บทที่ 6
เตียงที่ไม่มีผ้าปูที่นอนทำให้ผิวที่ชื้นจากเหงื่อติดหนึบหนับจนน่ารำคาญ ผมต้องลุกขึ้นปรับแอร์ให้อุณหภูมิต่ำลงอีก ก่อนจะเดินง่วงๆ กลับมาที่เตียงที่มีใครบางคนแย่งพื้นที่ข้างๆ ไปแล้ว
ริมเขื่อนฉีกยิ้มหวาน เลิกชายผ้าห่มด้านที่ผมนอนให้พร้อมส่งสายตาเชิญชวน ผมมองขนาดผ้านวมที่ไม่ได้ใหญ่พอให้ผู้ชายสองคนปันกันห่มด้วยความท้อแท้ในใจ แต่ก็ยอมปีนขึ้นเตียงและล้มตัวนอนข้างๆ ผู้ชายที่ยังยิ้มกว้างไม่เลิก
นานมากแล้วที่เราไม่ได้นอนร่วมเตียงกัน
อาจจะตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อหนุ่ม เตียงในห้องของผมขนาดเพียงสามฟุตครึ่ง เมื่อก่อนยังนอนกอดเจ้าเด็กตัวเล็กๆ ได้สบาย แต่พอต่างฝ่ายต่างขยายร่าง ก็ไม่ได้สามารถเบียดกันบนเตียงแคบๆ ได้อีก เขื่อนที่อายุสิบหกพยายามอยู่หลายวันจนในที่สุดก็ต้องยอมกลับไปนอนห้องตัวเอง เพราะทั้งผมและเขาต่างนอนไม่หลับทั้งคู่
เมื่อได้กลับสู่บรรยากาศเดิมๆ ความทรงจำเหล่านั้นก็คล้ายย้อนกลับมา น้องเขื่อนตัวเล็กๆ ที่มุดอยู่กับอกของผม ซุกหน้าด้วยรอยยิ้มและร่ำร้องให้ผมจูบหน้าผากราตรีสวัสดิ์
ผมเหลือบมองไอ้เขื่อนตัวโตที่ตะแคงข้างหันมามอง ก่อนจะลอบถอนหายใจ
กาลเวลาเปลี่ยนผู้คนได้มากขนาดนี้เชียว
ผมไม่มีทางที่จะคว้าคนที่ตัวใหญ่กว่าตัวเองมากอดไว้แนบอกได้อีกแล้ว ไม่สามารถจูบลงไปบนหน้าผากขาวเนียนได้อีกแม้ว่ามันจะน่าจูบสักแค่ไหน
ไอ้คนที่เคยใช้มือลวนลามกัน ผมไม่มีทางเข้าไปทำอะไรแบบนั้นแน่
งูพิษที่ยิ้มหวานราวกับลูกแกะแบบนี้ไม่เห็นมีอะไรน่าไว้ใจสักนิด
เมื่อผมคิดได้ดังนั้นก็คว้าหมอนข้างมากั้นกลางระหว่างเรา ยอมปล่อยผ้าห่มที่มีเพียงผืนเดียวให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญ หมุนตัวหันหลังให้เขื่อนก่อนจะปิดเปลือกตาลงทั้งๆ ที่หลอดไฟบนเพดานยังสว่างโร่
หลังจากนั้นไม่นานผมรู้สึกได้มีใครบางคนลุกขึ้นไปปิดไฟ เตียงด้านข้างยวบลงอีกครั้งเมื่อเขื่อนกลับมาล้มตัวลงนอน และดูท่าว่าเขาจะถือโอกาสเขยิบเข้ามาใกล้จนระยะห่างในคราแรกหดสั้นลง
ผมทำเป็นหลับ ทั้งๆ ที่ยังรู้สึกตัวดีทุกประการ
เขื่อนไม่ได้ทำอะไรมากกว่าย้ายตัวเองเข้ามาใกล้กว่าเดิม ไม่รู้หมอนข้างที่วางกั้นไว้จะยังอยู่ที่เดิมไหม แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น ตัวผมเองจึงคลายลมหายใจที่อึดอัดลง ปล่อยตัวเองให้ค่อยๆ ไหลเข้าสู่ห้วงนิทราทีละนิด
ในช่วงจังหวะกึ่งกลางระหว่างความจริงกับความฝัน ผมสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างสอดเข้ามาที่เอว ดึงรั้งตัวผมให้เข้าสู่ความอบอุ่น แผ่นหลังแนบชิดกับอะไรบางอย่าง พร้อมผ้าห่มที่เลื่อนมาคลุมจนถึงหน้าอก
ผมขยับตัวหนีด้วยความรำคาญ แต่อะไรบางอย่างนั้นกลับกระชับตัวผมให้แนบชิดยิ่งขึ้น พร้อมสัมผัสลูบแผ่วเบาที่เส้นผม หน้าผากโดนไอร้อนกับความนุ่มหยุ่นประทับลงมาเบาๆ
“ฝันดีนะครับ”
อากาศในห้องอาจจะเย็นเกินไป หรือเพราะผ้าห่มที่ต้องแย่งกันกับใครอีกคนบนเตียงนั้นไม่พอต่อความอบอุ่นที่ต้องการ ผมถึงได้พลิกกายหันหน้าหาไอร้อนจากบางสิ่งบางอย่างนั้น มุดหัวเข้าหากลิ่นหอมๆ จากสบู่อาบน้ำ ซุกหน้าหลบความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ตกลงมากระทบหัวพอดี
ผมหลับสนิทในท่วงท่านั้นโดยไม่ได้เอะใจอะไร
ในความฝัน ผมรู้สึกว่ามีหมาตัวใหญ่อยู่ตัวหนึ่งกำลังกระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้า มันกระโจนเข้าหาผม ใช้สองขาหน้าวางแปะไว้บนหัวไหล่ ก่อนจะแลบลิ้นเลียไปทั่วทั้งบริเวณจนเปียกแฉะ โดนเฉพาะริมฝีปากที่เจ้าหมาตัวนั้นดูท่าจะติดใจเป็นอย่างยิ่ง
‘หยุด’ ผมตะโกนบอกมันในความฝัน ทั้งหันหน้าหนีซ้ายขวามันก็ยังตามมาไม่เลิก
จมูกของมันแตะๆ ดมที่พวงแก้มของผมซ้ำๆ ก่อนจะวกกลับมาเลียปากของผมเล่นอีก ผมพยายามดันหน้าของมันออก สัมผัสโดนเส้นขนที่นุ่มสลวยยิ่งกว่าผมมนุษย์ ก่อนจะเผลอไผลลูบเล่นโดยลืมไปว่าจุดประสงค์ในคราแรกคือจะผลักมันออกไปให้ห่าง
เจ้าหมาหอบหายใจแฮก แต่ก็ยังมีกำลังเหลือพอที่จะกระโดดเข้ามาปลุกปล้ำผมต่อ
ผมหัวเราะ ล้มตัวลงนอนงายโดยมีร่างของเจ้าสัตว์หน้าคนกระโจนเข้ามาทับ มันหนักเอามากๆ จนหายใจแทบไม่ออก ทั้งยังยุ่มย่ามไม่เลิก ทั้งเลียหน้าเลียหูเลียคอจนผมคิดว่าคงเปียกแฉะไปหมดทั้งตัว
‘พอแล้ว’ ผมบอกอีกครั้ง หันหน้าหันตัวหนีแต่ก็สู้น้ำหนักตัวสิ่งมีชีวิตบนอกไม่ได้
บ้าชะมัด หมาตัวเดียวผมยังผลักออกไปให้พ้นตัวไม่ได้
‘หยุดดดดด!” ผมเสียงดังแต่ไม่ได้ตะคอก ใช้มือดันปากหมาตัวโตออกไป มันหอบหายใจแฮก แลบลิ้นเลยมือของผมที่ปะอยู่บนปากของมันทันที
ผมนิ่งมอง ครุ่นคิดกับตัวเองว่าทำไมสัมผัสที่ได้มันเหมือนไม่ใช่ใบหน้าของหมา จมูกที่ควรยื่นยาวกลับเป็นเพียงแค่สันเล็กๆ ผมขมวดคิ้ว มองเจ้าหมาขนยาวที่กำลังแลบลิ้นหายใจด้วยสีหน้าฉงน ใช้ปลายนิ้วค่อยๆ เคลื่อนสัมผัสไปทั่วใบหน้า ตรงแก้มมันนิ่มๆ ลื่นๆ ไม่ได้มีขนปุกปุยดั่งเช่นภาพที่มองเห็น
บริเวณปากก็มีริมฝีปาก ผมย่นหัวตา สอดนิ้วเข้าไปแตะเขี้ยวคมของสิ่งมีชีวิตตรงหน้า ค่อยๆ สำรวจด้วยความตั้งใจ คงมีบางอย่างผิดพลาด ภาพที่ผมเห็นกับสิ่งที่สัมผัสมันคนละอย่างกันไปหมด
ผมทำท่าจะดึงนิ้วออก แต่กลับถูกความอุ่นชื้นครอบลงมา ส่วนนุ่มหยุ่นทั้งยังมีปุ่มรับรสเล็กๆ ดุนดันนิ้วชี้ของผมเล่น แรงดูด ฟันที่ขบลงมา ค่อยๆ ดึงผมกลับออกมาจากความฝันที่แปลกประหลาดมากขึ้นทุกที
หมาไม่น่าดูดนิ้วคนได้
ใช่ หมาทำแบบนั้นไม่ได้
ผมลืมตาโพลง สะดุ้งกายขึ้นมาด้วยความตกใจ
โลกเปลี่ยนไปแล้ว จากลานกว้างในทุ้งหญ้าสักแห่ง กลายเป็นห้องนอนที่ไม่คุ้นชินนัก ความมืดทำให้มองสิ่งรอบข้างได้ไม่ชัดเจน แต่เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้ามันกลับแจ่มชัดที่สุดราวกับมีไฟสปอร์ตไลท์ฉายลงมา
ใบหน้าสวยที่ควรหลับพริ้มอยู่บนเตียงกลับนั่งทับเอวของผมไว้ ริมฝีปากบางเป็นกระจับค่อยๆ ดูดกลืนนิ้วของผมเล่น ทั้งยังแลบลิ้นออกมาหยอกล้อเย้าแหย่ให้ไอความร้อนพวยพุ่งออกมาจากหน้า
แสงจันทร์จากหน้าต่างที่รูดม่านปิดไม่หมดตกกระทบเรือนร่างใต้ชุดนอนลายสติช เขื่อนเท้าแขนยันตัวเองอยู่กับอกผม เส้นไหมสีดำขลับยาวสยาย บางส่วนละลงมาที่ด้านหน้า ก่อให้เกิดภาพสวยงามน่ามอง ใบหน้าของเขายามต้องแสงจันทร์ ดูราวกับนางฟ้านางสวรรค์ลอยลงมาสถิตย์
ผมกลืนน้ำลาย จับจ้องลิ้นเล็กที่โลมเลียปลายนิ้วของผมไม่เลิกรา
“ขะ เขื่อน?” กว่าผมจะหาเสียงตัวเองเจอ ก็พบว่าเลือดลมสูบฉีดไปที่อะไรๆ หมดแล้ว
เขื่อนฉีกยิ้มบาง ยอมปล่อยนิ้วผมให้เป็นอิสระ ก่อนจะโน้มหน้าลงมาใช้สันจมูกคลอเคลียอย่างออดอ้อน คอเสื้อหย่อนลงจนเห็นแผงอกเนียนสวยราวกับจงใจ เพราะกระดุมเม็ดบนถูกปลดออกไปสามเม็ด
ผมพยายามตั้งสติ เมื่อความจริงกับความฝันกำลังถาโถมเข้าใส่จนเกิดความสับสน
เขื่อนไม่ปล่อยให้ช่วงเวลาแห่งโอกาสทองหลุดลอยไป เขาประคองหน้าผมไว้ กดริมฝีปากลงมาแล้วค่อยๆ ดูดผิวปากของผมเล่น
เส้นผมที่ตกลงมากำลังเคลียเคล้ากับแก้มของผม แพขนตาดำอยู่ห่างออกไปเพียงสามนิ้วทาบ ผมเบิกตาโต ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะเพราะยังสับสนงงงวยไม่เลิก
และสักพักเมื่อตั้งสติได้ ผมก็ออกแรงผลักร่างที่ทาบทับอยู่ด้านบนออกไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี
พลั่ก!
“โอ๊ย”
เขื่อนร้องเสียงหลง ร่างสูงกลิ้งลงไปจากตัว ในขณะเดียวกันผมก็คว้าผ้าห่มมาม้วนตัวเองจนมิดชิด หอบหายใจแฮกๆ อย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะชี้หน้าริมเขื่อนอย่างคาดโทษ
“มึงทำอะไร”
“เห็นมึงฝันร้าย ก็เลยเข้าไปปลอบ”
ตอแหล!
ผมขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ฝันว่าหมาเลียปากเนี่ยนะฝันร้าย ผมรักหมาจะตาย เพราะฉะนั้นผมไม่มีทางเรียกความฝันแสนอบอุ่นนั่นว่าฝันร้ายแน่นอน ผมส่งสายตาคาดโทษไปให้เขา
“เลิกรุ่มร่ามกับกูสักทีเหอะเขื่อน” ผมบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ
เขื่อนมีสีหน้าหงอยลงไปสิบส่วน แต่เขาก็ขยับเข้ามาทิ้งน้ำหนักลงมาทาบทับผมอีกครั้ง ผมที่ไม่ยอมแพ้ก็ดิ้นรนขดขืนสุดแรง จนคนด้านบนยอมกลิ้งออกไปยังพื้นที่บนเตียงด้านข้าง แต่อ้อมแขนแกร่งก็ยังกอดเกี่ยวผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“กี่โมงแล้ว” ผมถามลอยๆ พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะหัวเตียงมาเปิดดู
ดึกพอสมควรแล้ว อีกสิบห้านาทีก็ตีสาม ผมหันกลับไปมองคนที่ยังนอนมองหน้ากันตาแป๋ว เขื่อนเหมือนไม่เข้าใจสายตาของผมเลยเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
“ทำไมยังไม่นอน”
“นอนไปแล้ว แต่ตื่นมาเข้าห้องน้ำ”
ผมพยักหน้า ทำเนียนๆ ดึงตัวเองออกมาจากอ้อมแขนที่คลายแรงรัดลง
“นอนได้แล้ว” ผมทำตัวเหมือนพี่คนโต ตบหัวไหล่อีกคนเบาๆ แล้วล้มตัวหันหน้าหนีอีกทาง แต่เขื่อนกลับรั้งต้นแขนผมให้หันไปทางเขา
“นานๆ ทีได้นอนกับมึง” เขื่อนชิงบอกเมื่อผมทำท่าจะด่า
“แล้ว?”
“ปกติถ้านอนด้วยกัน มึงจะกอดกู” เสียงทุ้มอ่อยพอๆ กับหางตาที่ตกลง
ผมพ่นลมหายใจเบาๆ ขยับหน้าไปสบดวงตาสีดำสนิทที่หลุบลงต่ำราวกับเด็กกระทำความผิด หัวอกหัวใจอดีตพี่ชายสั่นระริก นึกอยากลูบหลังปลอบขึ้นมาแต่ก็ข่มมันเอาไว้ก่อน
ความบราค่อนไม่เคยปราณีใคร
“ตัวใหญ่ขนาดนี้กูจะกอดยังไงหมด” ผมบอกแล้วยกนิ้วจิ้มลงบนกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ที่แขน
“งั้นให้กูกอด”
“ไม่!”
“ไผ่...”
“นอนเหอะ พรุ่งนี้กูจะออกไปซื้อของเข้าห้อง”
“ไปด้วยดิ” เขื่อนร้องขึ้นมาเสียงดัง พร้อมดวงตาเป็นประกายระยับอย่างอ้อนวอน
“ไม่มีงานเหรอ”
“มีถ่ายแบบเช้า แปบเดียว เที่ยงก็กลับแล้ว”
“...” ผมเงียบอย่างครุ่นคิด แต่เขื่อนกลับพูดแทรกขึ้นมาอย่างมัดมืดชก
“เที่ยงนะ เดี๋ยวออกไปกินข้าวที่ห้างด้วยกัน กูกลับมารับ มึงไม่มีรถนี่ กูไปด้วยจะได้ขนของง่ายๆ” เขื่อนสรุปทุกอย่างด้วยตัวเองก่อนจะตบท้ายด้วยรอยยิ้มกว้างบนหน้า
สุดท้ายผมก็ตามใจเขาอีกเช่นเคย
เป็นความวกวนย้อนแย้ง ที่ปฏิเสธมันทุกครั้ง ห้ามและตีตัวห่างทุกครั้ง แต่สุดท้ายใจก็อ่อนยวบยอมริมเขื่อนตลอดทุกทีเช่นกัน
บางทีผมอาจจะยังมองผู้ชายตัวสูงชะรูดเป็นน้องเขื่อนของผมอยู่เหมือนเดิม
เอาเถอะ จะสูงกว่า กล้ามจะใหญ่กว่าแค่ไหนก็ตาม เขื่อนก็ยังเป็นเขื่อนอยู่วันยังค่ำ บางทีผมควรพยายามทำใจรับสภาพร่างกายของอีกคนให้ได้ แล้วกลับไปเป็นพี่ไผ่ที่คอยดูแลปกป้องเจ้าเขื่อนเหมือนเดิม
หน้าสวยๆ แบบนี้ คงมีคนเข้ามาจีบกันให้ขวัก
“เขื่อน ถามหน่อยดิ”
“หืม?”
“มีคนมาจีบเยอะป่ะ”
“เอ๋?” เขื่อนร้องเสียงสูงขึ้นจมูก เบิกตาโตมองหน้าผมด้วยความตกใจ “ทำไมถึงถามเรื่องนี้”
“กูอยากรู้ หน้าอย่างมึงถ้าบอกไม่มีคนมาจีบกูไม่เชื่อ”
“ก็มี ไม่เยอะหรอก”
“กี่คน”
“...จะไปรู้เหรอไม่ได้นับ” เขื่อนอึกอัก ผมเลยขมวดคิ้วด้วยความสงสัยที่พอกพูนในใจ
“ผู้หญิงผู้ชาย?”
“ไผ่ นอนกัน กูง่วง”
“ผู้ชายแน่ๆ”
“ผู้หญิงก็มี!”
“นายแบบเหรอ?”
“...” เขื่อนเงียบลง แต่ในอกผมกลับร้อนระอุ ดึงดันจะเอาคำตอบให้ได้
“คนไหนอ่ะ อยากเห็นหน้า”
“มึงจะรู้ไปทำไมเนี่ย” เขื่อนโวยวาย หัวใจผมยิ่งเต้นระรัวอย่างไม่ยอมแพ้ ผมขยับตัวเข้าไปหา คาดคั้นเอาอย่างไม่ยอมให้บ่ายเบี่ยง
จนคนข้างๆ ถอนหายใจ ยกมือเสยผมก่อนจะยอมบอกออกมาเสียงเบา
“ที่จะไปถ่ายแบบด้วยพรุ่งนี้”
“...” ผมชะงัก
“แต่ว่ากูไม่ได้อะไรกับเขานะ” อยู่ๆ เขื่อนที่เห็นผมขมวดคิ้วก็แหวขึ้นมาเสียงดัง สองมือชูขึ้นราวกับผู้ร้ายกำลังถูกจับ สีหน้าของเขาดูร้อนรนแปลกๆ ในขณะที่ผมแค่กำลังจินตนาการว่าผู้ชายที่มาจีบเขื่อนเป็นคนแบบไหน
จะตัวสูงกว่าเขื่อนไหม เพราะมันเองก็สูงจนจะเป็นเปรตอยู่แล้ว
แต่หน้าสวยๆ แบบนี้คงไม่มีเกย์ควีนมาจีบหรอกมั้ง
ผมไล่สายตาสำรวจเครื่องหน้าของเขื่อนทีละอย่าง ตั้งแต่หน้าผากที่ไม่กว้างมากแต่ก็ไม่แคบจนเกินไป โหนกนูนสวยงาม โดยเฉพาะเวลาที่เขารวบผมหางม้าเปิดทุกสัดส่วนบนใบหน้า ดวงตาก็คมสวย แต่ก็หวานเชื่อมเพราะแพขนตายาวสีดำสนิทที่ขับให้ดูกลมโตน่ามอง จมูกรึก็โด่งธรรมชาติ ริมฝีปากกระจับบางที่ได้รับการบำรุงอย่างดีจนมีสีอมชมพูสวยแม้ไม่ได้ทาลิป
ผมถอนหายใจ นึกอยากไว้หนวดไว้เคราขึ้นมาเสียแล้ว
อีกนิดคงได้พกปืนไว้ที่บ้าน ทำตัวเป็นกำนันหวงลูกสาวแบบในหนังในละคร
“ไผ่ ไปที่สตูฯ ด้วยกันพรุ่งนี้ก็ได้นะ” น้ำเสียงร้อนรนยังคงไม่ได้ลดระดับลง เขื่อนคว้ามือผมมากุมและเขย่าเบาๆ หัวคิ้วย่นเข้าหากันแล้วพูดต่อ “ไปดูได้เลย ว่ากูไม่ได้อะไรกับเขาจริงๆ”
ผมไม่ได้เอะใจกับการชวนไปทำงานนั้น เพราะใจหนึ่งเอาแต่คิดว่าอยากเห็นหน้าคนที่มาจีบน้องเขื่อนของผม สุดท้ายเลยได้แต่พยักหน้าตอบรับไปเพราะความี้เสือกในตัวมันเร่งเร้า
คืนนั้นผมครุ่นคิดทั้งคืนจนนอนไม่หลับ ในขณะที่อีกคนบนเตียงก็ดูจะไม่ต่างกัน เขาเอาแต่มองหน้าผมในความมืด ขยับตัวเข้ามากระแซะแต่ไม่ได้โอบกอดแบบที่เจ้าตัวร้ายชอบเนียนทำ
อย่างกับคนมีความผิดติดตัว
__________________________________
Talk: มาเลทเพราะเมื่อวานเขียนไม่เสร็จ แง้ๆๆๆ
มาแล้วค่า มาแล้วววววววววว
ขอบคุณทุกคอมเม้นและยดวิวนะคะ ฮึ้บๆๆๆๆ
มันดีย์ค่าาาาา
แต่ตอน 4 ยังแทนตัวละครผิดบางจึดนะคะ ส่วนตอน 5 ก็มีใช้สรรพนามแทนว่า นาย ด้วย เราเข้าใจจากตอนแรกๆ ว่าใช้กู-มึง เลยสะกิดๆนิดหน่อย
แต่ยังไงก็รอตอนต่อไปนะค้าาาาา
รับทราบค่ะ เราจะไปแก้ไขนะคะ เขินจังดูไม่มีสติตอนเขียนเลย ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ รักกก
ด้วยความสะเพร่าที่เราไม่ตรวจสอบก่อนลง เพราะอยากรีบๆ ลงให้อ่าน ฮืออ
จะเปลี่ยนใหม่แล้วค่ะ หลังจากนี้เราจะอ่านทวนก่อนรอบนึงนะคะ งื้อออ
ใครมีคำแนะนำติชมบอกได้เสมอนะคะ
ด้วยว่าเราเขียนสลับกันสองเรื่อง เรากลัวมากว่าคาแรคเตอร์เรื่องนี้จะไม่นิ่ง
เพราะ #เจ้าสกาย เรามีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนมากในหัว แต่กับ #เขื่อนคนสวย ทุกอย่างยังไม่ชัดขนาดนั้น
ปกติเราจะมีคนจริงๆ มาเป็นเรฟเรื่องนิสัย แต่ #เขื่อนคนสวย คือเราโมขึ้นมาเองทั้งหมด
แต่เราเต็มที่กับทุกงานเขียนนะคะ ถึงแม้มันจะมีข้อผิดพลาดที่เรารู้ตัวดี แต่ก็พยายามค่อยๆ ตบเข้าหากันตลอดเวลา
ใครที่อ่านแล้วรู้สึก เอ๊ะ นี่มันไม่ใช่เขื่อน ไม่ใช่ไผ่ สะกิดบอกได้ค่ะ
ตอนแรกเรากะจะพักไว้สักเรื่อง แล้วเอาให้จบเป็นเรื่องๆ ก่อน
แต่ก็อยากจะรับผิดชอบในฐานะที่ตัดสินใจเปิดเรื่องขึ้นมาแล้ว และมีคนรออ่านอยู่ จึงน้อมรับคำติชมเสมอนะคะ รักทุกคน
ติชมได้ แต่อย่าด่าแรงนะคะ ฮือออ รับไม่ไหวจริงๆ ปล. ที่ย่อตัวอักษรเพราะกลัวจะรกไป งื้อ