บทที่ 17
“ตรงนี้ขอเสียงสูงกว่านี้หน่อยนะครับ” พี่ยุทธบอกนักร้องในห้องที่เข้าไปในนั้นได้ราวๆ ครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมนั่งรออยู่ข้างนอก คุยเล่นกับพี่เมฆและพี่อ้อยที่วันนี้ไม่ยอมทำงาน โดดมานั่งมองหน้า ‘ประเด็น’ อย่างโฬม ลภณพร้อมวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก
“หล่อมากๆ เลยสกาย”
“จริง พี่โบกครีมขนาดนี้ ผิวยังเนียนไม่สู้โฬมเลย” ผมมองพี่อ้อยที่ดูจะอวยเกินจริง โฬมขาวและหน้าใสก็จริง แต่ถ้าถามว่าผิวดีไหม ก็ต้องตอบว่าผิวของคนที่ผ่านเครื่องบำรุงและวิธีการมากมายอย่างพี่อ้อย ยังไงก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว
“พี่ยุทธเวอร์ชั่นเครียดๆ แบบนี้ยังไงผมก็ไม่ชิน” ผมเปลี่ยนเรื่องเป็นครั้งที่สิบสองของวัน พยายามลากให้ไกลจากหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับโฬมทั้งหมด เพราะพี่ๆ เขามักวกเข้ามาถามคำถามที่ผมก็ตอบไม่ถูก แถมยังใจเต้นจนน่ารำคาญ
“สกายไม่ค่อยโดนพี่แกด่านี่หว่า” พี่เมฆเบ้หน้าเบ้ปาก เหลือบมองไปทางคนตัวใหญ่ที่นั่งปรับเสียงนู่นนี่อยู่หน้าโต๊ะทำงาน ในขณะที่โฬมก็กำลังร้องแก้ท่อนที่พลาดอยู่ในห้องอัดเสียง
ผมที่อัดส่วนของตัวเองไปแล้วนั่งรอโฬมอยู่ไม่นานทุกอย่างก็เสร็จสิ้น เป็นการอัดเพลงที่น่าจะเร็วที่สุดในชีวิตแล้วมั้ง ด้วยความที่ว่าทั้งโฬมและผมเป็นคนแต่งเพลงเอง อัดเดโม่เอง จึงไม่ต้องเสียเวลาปรับจูนเสียงหรือจังหวะทำนอง
ผมบิดตัวคลายความขี้เกียจ ยิ้มรับคนตัวสูงที่เดินออกมาจากห้องอัดด้วยใบหน้ามีความสุข
โฬมเดินมานั่งข้างๆ ผม คว้าขวดน้ำบนพื้นมาแกะดื่มด้วยความกระหาย ผมไม่ได้สนใจเขามากนักเพราะพี่ยุทธที่เดินเข้ามาร่วมวงเป็นคนสุดท้ายกำลังเปิดบทสนทนาเรื่องใหม่ขึ้นมา
“ประธานฯ บอกให้ปล่อยออดิโอ้ไปก่อน เอ็มวีค่อยปล่อยหลังจากนั้นเดือนนึง” ร่างอวบอ้วนทิ้งตัวลงเบียดพี่เมฆจนหน้าแทบคะมำ แว่วเสียงโวยวายขึ้นมาขัด แต่เสียงหัวเราะร่วนของคนในห้องกลับดังยิ่งกว่า “แล้วตกลงเอ็งจะไปถ่ายเอ็มวีที่ไหน”
“เนี่ยพี่ อาทิตย์หน้าพวกผมจะไปดูสถานที่แล้ว” ผมตอบ พร้อมกับส่งห่อขนมปังให้คนข้างตัว โฬมยิ้มรับ ผงกหัวขอบคุณ
“ที่ไหนๆ” พี่อ้อยยื่นหน้าเข้ามาอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ระยองมั้งครับ”
“ไปกันสองคนเหรอ”
ผมพยักหน้า
รอยยิ้มกรุ้มกริ่มปรากฎบนริมฝีปากของทุกคน ขนาดโฬมยังไม่เว้น ผมที่เพิ่งสำนึกได้ว่าพูดออกไปเต็มปากต้องยกมือขึ้นเกาแก้มแก้เก้อ
ถึงจะโดนล้อมาเป็นอาทิตย์ ยังไงก็ไม่ชินสักที
“คบๆ ไปให้จบๆ ไป รำคาญ!” พี่ยุทธทำน้ำเสียงรำคาญอย่างที่ปากว่า แต่ทุกอย่างก็เป็นแค่การกลั่นแกล้ง เพราะมืออวบๆ ยื่นมาผลักหัวผมแล้วดันให้มุดเข้าไปในหน้าอกของโฬมจนจมูกผมบี้ไปหมด
“อี้ อ่อยอมๆๆๆ (พี่ ปล่อยผมๆๆๆ)” ผมโวยวาย ตะเกียดตะกายจะดันหัวออก โฬมโอบแขนรอบตัวผมเนื่องจากท่านั่งผมมันพิสดารขึ้นทุกครั้งที่ขยับตัว สุดท้ายก็ได้รับอิสระโดยที่ทั้งเสื้อผ้า และเส้นผมยุ่งเหยิงไปหมด
“แล้วสกายคิดเนื้อเรื่องเอ็มวียัง” พี่อ้อยโพล่งขึ้นมาเมื่อสถานการณ์ค่อยๆ สงบลง
“ยังเลยพี่”
“โฬมมีไอเดียไหมครับ”
“ไม่มีเลยครับ”
“ผมมี!” พี่เมฆยกมือแห้งๆ ของตัวเองขึ้นสุดแขน
“อ่ะ เชิญญ”
“ขอถามก่อนนะ สกายกับโฬมจะเล่นเอ็มวีเองเลยไหม”
“...” ผมเงียบ โฬมก็เงียบ
พวกเราหันมามองหน้ากัน ปรึกษากันผ่านสายตาแต่สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบอะไรอยู่ดี
“จริงๆ เพลงนี้มันต้องเป็นพวกรักร่วมเพศอยู่แล้วใช่ม้ะ พี่ไม่อยากให้จำกัดแค่เกย์อ่ะ มันมีอื่นๆ อีกเยอะเลย” พี่เมฆทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะค่อยๆ พูดออกมา
“น่าสนใจอ่ะเมฆ” คนเจ้าสำอางค์ที่สุดหันไปชูนิ้วโป้งให้
แต่ผมกลับสองจิตสองใจ ไม่ได้คล้อยตามไปง่ายๆ เพราะความคิดบางอย่างตกตะกอนอยู่ในหัวผมมันสักพัก ตอนแรกก็กะจะทิ้งไปเพราะมันออกจะไร้สาระไม่น้อย แต่นานวันมันก็ยังวนเวียนไม่เลิก
เพลงนี้... ผมอยากให้มันมีแค่เรา
ไร้สาระไหมละครับ ทั้งๆ ที่ความตั้งใจแรกคือจะทำเพลงรักสะท้อนสังคมเกี่ยวกับรักร่วมเพศ แต่ไปๆ มา ผมแค่อยากให้เพลงนี้เป็นเพลงของโฬม
เพลงที่เขาจะใช้พูดคุยกับคนอื่น ว่าการที่เขารักเพศเดียวกัน เขาไม่ผิด
การที่เขามีคนรักเป็นผู้ชาย มันไม่ใช่สิ่งบาปหนาที่คนอื่นจะนำมันมาทิ่มแทงและจมตัวเขาให้อยู่กับโลกอันเน่าเฟะจากคำดูถูกดูแคลนพวกนั้น
คนทุกคนมีสิทธิที่จะรักใครก็ตามที่พวกเขาเลือก ไม่ใช่คนอื่นๆ มาเลือกให้
“ว่าไงสกาย”
“อ๊ะ ครับ”
ผมไม่ได้ฟังที่พี่เมฆกับพี่อ้อยพูดเพราะมัวแต่จมกับความคิดของตัวเอง พอสะดุ้งขึ้นมาอีกทีก็พบว่าทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว
“กะ ก็ดีครับพี่”
“ได้ฟังป่ะเนี่ย”
“...ผม”
“ไม่สบายเหรอครับฟ้า”
ผมที่ละลำละลักตอบไม่ถูกโดนชะงักด้วยเสียงนุ่มกับฝ่ามืออุ่นที่ทาบลงมาบนหน้าผาก โฬมยิ้มบางๆ ให้แต่คิ้วเขากลับขมวดยุ่งด้วยความเป็นห่วง
“เนี่ย กูถึงบอกให้คบๆ กันไป” พี่ยุทธบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่เสียงไม่ได้เบาเลยสักนิด
ผมรู้ พี่เขาจงใจให้ได้ยิน
หน้าผมแดงเถือกไปหมด พยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นเพราะโฬมเอาแต่ลูบหน้าลูบหัวไปแคร์สายตาล้อเลียนกับอากัปกรอกตาอย่างเบื่อหน่ายของพี่ใหญ่สุดในห้อง
ผมดึงมือของอีกคนพลางส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร ก่อนจะกลับไปคุยประเด็นเดิมต่อ จริงๆ คืออยากหลบเลี่ยงกับคำแซวที่อีกสักพักคงพรูกันเข้ามาอย่างไม่มีหยุด
รับไม่ไหวครับ แค่โฬมหยอดทุกวันหัวใจก็จะพังอยู่แล้ว
“ผมว่าจะเล่นเอ็มวีเอง”
“หืม” ทุกคนส่งเสียงขึ้นจมูกด้วยความสนใจใคร่รู้
แต่ผมเลือกเบี่ยงบ่ายด้วยการบ่นว่าหิวแล้วลากคนตัวสูงข้างๆ ออกมาเลย ไหว้สวัสดีแล้วจรลีออกมา ไม่เผื่อเวลาให้ใครได้คาดคั้นทั้งนั้น
ความคิดมันออกจะ...น่าอายไปสักหน่อย
เอาไว้เอ็มวีเสร็จแล้วผมค่อยเอามาให้พี่ๆ เขาดูแล้วกัน จะได้เขินไปทีเดียวไปเลย!
ผมลากโฬมดุ่มๆ มาที่รถ วันนี้เป็นผมที่ขับมาและวนไปรับโฬมตอนเช้าด้วย ถุงเงินถุงทองยังไม่สนใจผมเหมือนเดิม ส่วนผมก็กระโดดหนีไม่เข้าใกล้ไม่ต่างกัน
“เรื่องเอ็มวี...” พอเข้ามาในรถ โฬมก็เปิดประเด็นทันที
ผมเม้มปาก หัวเราะแหะๆ แต่ก็ยอมบอกคร่าวๆ ออกไป ยังไงถ้าผมจะเล่นเอ็มวีเอง โฬมก็ไม่พ้นต้องมาเล่นกับผมอยู่แล้ว
“โฬมไม่สบายใจที่จะเล่นเอ็มวีเองรึเปล่าครับ”
“ไม่ครับ แค่อยากรู้ว่าฟ้าคิดอะไรอยู่”
“...” ผมกลืนน้ำลายลงคอ ถ่วงเวลาด้วยการหันไปสตาร์ทรถแล้วถอยออกจากซองจอด รอจนรถเข้าสู้ท้องถนนได้เต็มตัวผมถึงกลับมามีเสียงพูดอีกครั้ง
“จริงๆ ผมมีเนื้อเรื่องคร่าวๆ ไว้เหมือนกัน”
“เล่าให้ฟังหน่อยสิครับ”
ผมคลี่ยิ้มตอบกลับรอยยิ้มบุ๋มลึกที่ส่งมาให้
“ไว้ไปเล่าให้ฟังที่ระยองนะครับ”
ขอเวลาทำใจเดี๋ยวเดียว ไม่นาน...
ผมมองตัวเองในกระจก สำรวจหูที่สัมผัสได้ว่าแผลแห้งแล้ว เวลาผ่านมาพอสมควรและผมคิดว่าผมสามารถเปลี่ยนมาใส่ห่วงสีดำที่ได้มาตอนนั้นได้แล้ว
มันเป็นความตื่นเต้นเอามากๆ ผสมกับอาการตื่นกลัวตอนที่ยื่นมือไปปลดต่างหูที่สวมไว้ออก แต่ผมก็ไม่กล้าดึงแรงอยู่ ขยับนิดๆ หน่อยๆ ก็เสียววาบขึ้นเพราะสัมผัสได้ถึงก้านที่คว้านอยู่ในหู ผมยอมละมืออกมาด้วยหน้าหงอยๆ ให้คนอื่นใส่ให้น่าจะดีกว่า
ผมขยับตัวออกมาหลังจากยื่นหน้าเข้าไปแทบชิดกระจก มองสำรวจเสื้อผ้าหน้าผมเป็นครั้งสุดท้าย หัวสีบลอนด์ที่ทำมาช่วยทำให้เวลาผมหยิบแว่นไร้เลนซ์มาสวมมันดูน่ารักมากขึ้นกว่าปกติ
จำได้เลยว่าครั้งแรกที่โฬมเห็นผมในลุคใหม่นี้ เขาถึงกับขอถ่ายรูปเก็บไว้ ต่างจากเก่งกาจที่เอาแต่มองนิ่งๆ และบ่นพึมพำว่าผมไม่ใช่สกายที่มันรู้จัก อะไรก็ไม่รู้ แต่ส่วนมากฟีดแบ็คก็ล้วนบอกว่ามันเข้ากับผมเอามากๆ ช่วงนี้เสื้อผ้าบนตัวเลยออกโทนสดใสสว่างๆ หน่อย เพื่อให้เข้ากันทั้งตัว
วันนี้ผมใส่เสื้อฮาวายสีน้ำเงินลายผลไม้ ตัวใหญ่โอเวอร์ไซซ์เหมือนเดิม กางเกงก็เป็นเอวยางยืดขาสั้นสีดำ วันนี้กะจะลากแตะไปให้เข้ากับอีเวนท์
ใช่แล้วครับทุกคน ผมกำลังจะไประยองฮิ!
กระเป๋าเป้ตุงๆ หน่อยนั่นรวมเสื้อผ้าและของใช้มากมายเท่าที่จะยัดไปได้ ด้วยความที่ผมไม่มีงานช่วงนี้เพราะเก็บตัวก่อนปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ รวมถึงโฬมก็ว่างงานอยู่เหมือนกัน พวกเราเลยกะไปเที่ยวสักห้าวันสี่คืน อาจจะย้ายที่นอนไปเรื่อยจนกว่าจะได้เจอสถานที่ถูกใจ
Rrrrrrrr
“ครับ” ผมรับสายของคนที่น่าจะรู้กันดีว่าใคร
[ผมจอดรออยู่ที่เดิมนะครับ]
“ได้ครับ” ผมตอบรับแล้วกดตัดสายทิ้งไป หมุนตัวไปคว้ากระเป๋ามาสะพายบ่า สำรวจอีกครั้งว่าไม่ลืมอะไรอีกแล้วจึงเดินฉับๆ ออกมาจากห้อง
ตอนเช้าแม้แดดแรงแต่ยังไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ ผมดันหมวดแก๊ปที่สวมมาด้วยให้เลื่อนลงมาบังสายตา รถของโฬมจอดอยู่ข้างรั้วที่ประจำ ผมโยนกระเป๋าไปไว้เบาะหลังก่อนจะกระโดดเข้ามานั่งในที่ข้างคนขับ
“หวัดดีครับ” ผมทัก หันไปมองเจ้าของรถที่ส่งยิ้มไว้รออยู่แล้ว
ยังหล่อเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือแว่นกันแดดเสริมความเท่
ผมข่มความอิจฉาปนปลาบปลื้มในใจ แอบใช้สายตาสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางร้องอื้อหือในใจ
กางเกงขาสั้นสีครีม เสื้อเชิ้ตขาวพับแขนเสื้อ ทรงผมที่เซ็ตมาอย่างดีพร้อมแว่นเรย์แบนสีชาบนใบหน้า ยิ่งผนวกกับฟันเขี้ยวและลักยิ้มสวยๆ ผมก็ไม่อาจถอนสายตาออกมาได้โดยง่าย
“มองแบบนี้ผมเขินแย่เลย”
ผมหัวเราะเพราะโฬมไม่ได้จริงจังกับคำพูดนั้น
เขาคงจะชินแล้วกับการที่ผมชอบมองหน้าเขาค้างอยู่บ่อยๆ
“เดี๋ยวครึ่งทางสลับกันขับนะครับ” ผมบอก ถึงจะไม่เคยไปแต่โทรศัพท์มือถือก็มีจีพีเอส ผมไม่อยากให้โฬมขับรถคนเดียวเพราะก็ถือว่าไกลอยู่เหมือนกัน แถมกว่าจะวนหาที่พักได้ก็น่าจะกินเวลาอีกสักพัก
ทริปนี้พวกผมกะไปตายเอาดาบหน้าจริงๆ เพราะไม่ได้จองที่พักกันไว้ แค่เล็งว่าจะไปมีรีสอร์ทอยู่ตรงไหนบ้างแล้วค่อยๆ ขับไปเพื่อสำรวจสถานที่
ผมเอื้อมมือไปเปิดเพลง ปรับเบาะให้เอนลงเพื่อความสบาย หันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ขับรถอย่างตั้งใจ ก่อนจะสังเกตุเห็นบางอย่างที่สะดุดตา
ต่างหูห่วงดำกับกางเขนเล็กๆ ห้อยเอาไว้ประดับอยู่บนติ่งหูของโฬม
ตั้งแต่เมื่อไหร่...
“โฬมใส่ต่างหูแล้วเหรอครับ”
“อ๋อ ครับ เพิ่งใส่เมื่อเช้าเอง” เขาหันมาสบตากับผมแปบนึงก่อนกลับไปมองถนนต่อ “ฟ้าไม่ใส่เหรอครับ แผลน่าจะแห้งแล้ว”
“ผมใส่ไม่เป็น” ผมเลือกเลี่ยงคำว่าไม่กล้าไป
“เดี๋ยวถึงรีสอร์ทผมใส่ให้นะ”
“ก็ดีครับ” ผมยิ้ม
บทสนทนาของพวกเราหยุดลงไว้แค่นั้น มีเพียงผมที่ฮัมทำนองเพลงตามดนตรีที่ดังออกมาจากลำโพง วิทยุช่วงนี้เปิดเพลงสากลที่ได้ยินอยู่บ่อยๆ ตามร้านกาแฟ ผมโยกหัวเบาๆ มองลอดออกไปนอกกระจก
ความเงียบไม่ได้ทำให้พวกเราอึดอัด
ผมจะเป็นพวก ถึงชอบหมกตัวทำเพลงเงียบๆ ทั้งวัน แต่ถ้าต้องเข้าสังคม หัวผมจะหมุนติ้วเพื่อหาเรื่องมาคุยกับอีกฝ่ายแก้อึดอัด แต่กับโฬมผมไม่จำเป็นต้องสรรกาเรื่องราวร้อยแปดมาชวนคุย เพราะแค่เรานั่งอยู่ข้างกันเงียบๆ หัวใจผมก็เบาสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อย่างนี้เรียกว่ารักได้หรือยัง
ผมถามใครไม่ได้ เก่งกาจก็ตอบไม่ได้ จะให้ถามโฬมเหรอก็ไม่กล้าพอ ผมถึงทำได้แค่ค่อยๆ ถามตัวเองแล้วหาคำตอบอย่างช้าๆ
ผมรู้ว่าผมชอบโฬมนะ และมันมากขึ้นในทุกๆ ครั้งที่พวกเราค่อยๆ รู้จักกัน
ข่าวของผมกับโฬมยังมีกระแสเรื่อยๆ และคนข้างๆ ผมก็มีอาการไม่อยากรับรู้ทุกครั้งที่เห็นมันผ่านหน้าไทม์ไลน์ ผมมองเห็นความอ่อนแอของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันผมก็เห็นความเข้มแข็งของเขามากขึ้นเช่นกัน
แววเศร้าๆ ในดวงตาของเขามันจางลงไปเยอะมากทีเดียว รวมถึงรอยยิ้มของเขาก็สวยมากกว่าครั้งแรกที่เราเจอกันมากทีเดียว
ผมหลงใหลโฬมในมุมที่ทั้งอ่อนแอและเข้มแข็ง
ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องรู้สึกมากแค่ไหนถึงเรียกว่ารัก แต่แค่นี้หัวใจผมก็บวมเป่งจนแทบปริแตก อีกนิดมันก็จวนจะเก็บเอาไว้ไม่ไหวอยู่แล้ว
“โฬม...”
“ว่าไงครับ”
“...”
“ครับ?”
“หิวแล้วครับ”
“อะ เดี๋ยวผมแวะปั้มข้างหน้าให้นะครับ”
จะมาบอกอะไรตอนนี้วะไอ้สกาย มันใช่เวลาที่ไหน
ให้ตายเถอะ!
ผมได้รีสอร์ทแล้วครับ!
ผมขับรถวนอยู่เป็นชั่วโมง พวกที่สถานที่สวยๆ ก็ล้วนเต็มหมดแล้ว หรือบางทีรีสอร์ทสวยแต่ชายหาดด้านหน้าแคบไปหน่อย ผมก็เปลี่ยนไปเป็นที่อื่นทันที กว่าจะได้ที่ที่ทั้งผมและโฬมถูกใจก็สี่โมงเย็นไปแล้ว
ผมเช็คอินเข้าห้องพัก ขอวิวที่ดีที่สุดเพราะอยากเสพบรรยากาศ พวกเราจองห้องพักเดียวกันแบบเตียงเดี่ยว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจองห้องแยกหรือแบบเตียงคู่ เพราะยังไงก็ทำมากกว่านอนกอดกันไปแล้ว
หมายถึงจูบนะ!
“ฟ้าจะเล่นทะเลไหมครับ”
ผมฟังคำถามแล้วมองออกนอกหน้าต่าง แดดยังแรงอยู่เลยแหะ
“สักห้าโมงแล้วกันครับ ยังร้อนอยู่เลย”
โฬมพยักหน้า พวกเราผลัดกันเข้าไปล้างขาล้างหน้าก่อนจะกระโดดขึ้นนอนแผ่กันเต็มเตียง แขนและขาของพวกเราก่ายกันไปมา ในขณะที่ดวงตาจับจ้องเพดานสีขาวอย่างเหม่อลอย
คนตัวสูงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น ผมเห็นเขาอัพรูปที่ถ่ายเมื่อตอนถึงรีสอร์ทใหม่ๆ ลงไอจี ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเลยขยับหัวเข้าไปกระแซะอย่างโจ่งแจ้ง
โฬมหัวเราะ แต่ก็ยอมให้ผมอ่านแคปชั่นของเขาที่ยังไม่ได้กดอัพรูป
ท้องฟ้ากับทะเลผมยิ้มเขิน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าท้องฟ้าที่ว่านั่นหมายถึงอะไร
ก็ช่วงหลังๆ แคปชั่นแทบจะทุกรูปที่โฬมลง ไม่ว่าจะถ่ายติดท้องฟ้าหรือไม่ เขาก็ยังจะบรรยายทุกสิ่งด้วยคำว่าท้องฟ้าอยู่ดี
“ไม่เห็นมีทะลหรือท้องฟ้าเลยนี่ครับ” ถึงจะรู้ ผมก็ยังแซวออกไปแก้อาการเขิน
เพราะรูปที่โฬมถ่ายมันคือป้ายรีสอร์ทกับดอกไม้หลากสีเป็นพุ่มด้านล่าง
“มีท้องฟ้านะครับ”
“หืม ไหนครับ” ผมคิ้วขมวด เพ่งมองรูปนั้นด้วยความตั้งใจ
ไม่เห็นอะไรเลยสักนิด จนกระทั่งโฬมจิ้มนิ้วชี้ลงบนมุมขวาของภาพ ซึ่งนั่นทำให้หน้าผมแดงเถือกพร้อมกับลมหายใจติดขัด
เป็นมือของผมที่ติดเข้ามาในเฟรม
เห็นแค่นิ้วก้อยกับนิ้วนางด้วยซ้ำ ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าจะเขินทำไม
ผมแกล้งหัวเราะ ทำท่าจะพลิกตัวตะแคงข้างหนี แต่โฬมกลับคว้าไหล่ผมไว้ก่อนจะขยับร่างกายท่อนบนมาคร่อมผมเอาไว้
“ฟ้าหน้าแดง”
ผมไม่ตอบ เบื่อจะอ้างว่าอากาศร้อนแล้ว เพราะอ้างบ่อยจนบางทีก็กระดากปาก
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสะท้อนแสงแดดจนวาววับ มองไม่สามารถสบมันได้นานเกินห้าวิจึงต้องเบนศีรษะหนี โฬมหัวเราะเบาๆ เขาแกล้งผมพอสนุกๆ ก่อนจะยอมผละลำตัวออกไป
“มาครับ ผมใส่ต่างหูให้”
ผมโดนดึงแขนให้ลุกขึ้นจากที่นอน ยอมเดินไปหยิบกล่องต่างหูมายื่นให้อีกคนก่อนจะขยับตัวไปนั่งนิ่งๆ ที่หน้ากระจก โฬมใช้สำลีชุบแอลกอฮอลล์เช็ดต่างหู ทำความสะอาดมันตามขั้นตอนจนพอใจ จิวหูเดิมถูกถอดออกอย่างช้าๆ มันไม่เจ็บอย่างที่คิด แต่ผมก็กลัวอยู่ดีเลยหลับตาปี๋
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนเพราะมันแค่แปบเดียวเสียงทุ้มก็บอกว่าเสร็จ ผมค่อยๆ ลืมตามองตัวเองในกระจก ติ่งหูมีห่วงสีดำปะดับไว้ทั้งสองข้าง ไม่ต่างจากของโฬมเลยสักนิดเพราะเขาขอของผมไป
อย่างกับต่างหูคู่เลยแหะ
“ขอบคุณครับ” ผมพูดพลางยื่นหน้าไปใกล้กระจก สำรวจสภาพตัวเองก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความพอใจ
โคตรเท่เลยตอนนี้
ขนาดผมสีบลอนด์สว่างยังดับความเท่ลงไปไม่ได้เลย
ผมหัวเราะกับความคิดยกยอตัวเอง หันไปมองคนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ยื่นโทรศัพท์ให้เขาก่อนจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ
“ถ่ายรูปให้หน่อยสิครับ”
ผมเก๊กท่าเป็นนายแบบอยู่สองสามท่า แต่ส่วนมากคือเน้นไปที่หูที่มีสิ่งแปลกปลอมสวมเข้ามาเรียบร้อยทั้งสองข้าง ผมรับโทรศัพท์มาตกแต่งรูปนิดหน่อย ก่อนจะกดเข้าแอพอินสตราแกรมแล้วโพสรูปลง โดยมีแคปชั่นใต้ภาพว่า
ชอบมากๆ เลยไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองหมายถึงใคร
ระหว่างต่างหู กับคนถ่ายรูป
______________________
Talk: มาแล้ววววววว กลับมาแล้วววว จะกลับมาลง 3-4 วันเหมือนเดิมแล้วค่า
โปรเจคโดนสั่งแก้ยับ แต่เดดไลน์คืออาทิตย์หน้า เศร้าใจ
ยังมีคนรออยู่ไหมค้าาาาาาาา
เจ้าสกายเป็นคนที่ไม่งี่เง่าใดๆ เพราะชัดเจนในความรู้สึกตัวเองมากๆ
ไม่รู้เลยว่าสองคนนี้จะทะเลาะกันยังไง 5555555555
เอ็นดูน้องและนังพี่ด้วยนะคะะะะะ
รักทุกๆ คนตะเหมออออ จุ้บ