จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | แจ้งข่าว + อวดปกค่า (01/08/2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | แจ้งข่าว + อวดปกค่า (01/08/2020)  (อ่าน 79966 ครั้ง)

ออฟไลน์ หะมายด์เอง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-1
บทที่ 10




ผมกลับมาที่คอนโดพร้อมอาการเหม่อลอย อยู่ๆ ความทรงจำหลังจากที่ถูกเรียกว่าฟ้าจนกระทั่งมานั่งจุ้มปุ้กอยู่บนเตียงของตัวเองก็หายไป แต่สิ่งที่ยังติดค้างอยู่กลับเป็นสัมผัสอุ่นชื้นที่ปากกับเสียงทุ้มที่กระซิบเบาๆ อยู่ข้างหู

ตุบ!

ผมฟาดหน้าตัวเองลงบนหมอน มุดไว้จนหายใจแทบไม่ออก แต่ก็ไม่ยอมขยับตัวลุกขึ้นมาอยู่ดี อะไรบางอย่างที่ฉายวนเวียนอยู่ในหัวกำลังทำให้ผมบ้า

จูบ...

นั่นคือจูบจริงๆ

มันไม่เห็นเหมือนในความฝันเลยสักนิด สิ่งที่จินตนาการกับความเป็นจริงนั้นแตกต่างกันอย่างมหันต์ ผมเม้มปากบดริมฝีปากบนล่างเข้าหากัน พยายามไม่คิดถึงมันอีกแต่สุดท้ายก็อดนึกถึงไม่ได้

ผมกระชากผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง มือก็คว้าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายตรงถึงเพื่อนที่ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไงแล้ว ‘เก่งกาจ’ ผู้ชายที่เป็นเจ้าของเรื่องราวน่าเศร้ากับชีวิตของเพศทางเลือกไม่ยอมติดต่อผมมาอาทิตย์กว่าๆ แล้ว ไลน์ก็ไม่อาจ โทรไปก็ไม่รับ ผมก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกันแต่เพราะเก่งกาจมันชอบหายหัวอยู่บ่อยๆ เลยทำได้แค่ส่งข้อความทิ้งไว้ว่าสะดวกก็โทรกลับมาบ้าง

แต่วันนี้ผมต้องการมัน!

ผมเปิดลำโพงแล้วนอนมุดหน้ากับหมอนระหว่างรอปลายสายกดรับ นานจนสายเกือบตัดไปแล้วถึงได้ยินเสียงแหบๆ ของเพื่อนสนิทดังลอดออกมาจากลำโพง

[ว่าไง]

“เก่ง ช่วยด้วย”

[เฮ้ย เป็นอะไร!] จากที่เสียงปลายสายเนือยๆ เหมือนขี้เกียจคุย อยู่ก็แหกปากตะโกนลั่นจนผมต้องดึงโทรศัพท์มือถือออกห่างๆ [สกาย เกิดอะไรขึ้น]

ผมจับน้ำเสียงร้อนรนของเพื่อนได้ และเมื่อผมไม่ตอบ เก่งกาจก็ยิ่งถามย้ำมาทุกวินาทีด้วยความเป็นห่วง

ปกติจะเป็นเก่งที่มาขอความช่วยเหลือผม เอาง่ายๆ คือชีวิตผมไม่เคยมีปัญหาอะไรที่ยากเกินจะจัดการด้วยตัวเอง ผมเป็นแหล่งพลังงานและชักโครกที่ดีสำหรับเพื่อน แต่เพื่อนจะไม่เคยได้ทำหน้าที่นั้นเพื่อผมเลยสักครั้ง

ผมเป็นคนควบคุมมสถานการณ์ทุกอย่างได้ดี เก่งกาจเคยบอกมา เขาถึงชอบโทรมาคร่ำครวญโวยวายใส่ผมก่อนจะกลับไปเผชิญเรื่องเลวร้ายต่อ

และนี่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมขอความช่วยเหลือจากคนอื่น

ก็ไม่แปลกถ้าเก่งกาจจะตกใจจนแทบคว้ากระเป๋าตังค์แล้วบึ่งมาหาผมที่คอนโด

“ไม่อยากคุยทางโทรศัพท์” ผมบอกเสียงเบา งึมงำในลำคอจนปลายสายแทบจะด่ากราดด้วยความหงุดหงิดผสมร้อนใจ “เดี๋ยวไปหาที่ห้อง”

[ให้กูไปหาไหม?]

“ไม่เอา”

[เออ ขับรถดีๆ] และบทสนทนาก็จบลงอย่างว่องไว

เก่งรู้ว่าผมไม่ชอบให้คนแปลกหน้าขึ้นห้อง มันเลยไม่เซ้าซี้เมื่อผมปฏิเสธไป

ผมยอมลุกขึ้นจากหมอนและผ้าห่มที่เอามาคลุมๆ เพื่อหวังว่ามันจะระงับอาการแปลกประหลาด แต่เมื่อไม่เป็นผลจึงหันหาที่พึ่งอย่างอื่น ผมไม่ได้พิถีพิถันกับการแต่งตัวอีกแล้วเมื่อภายในใจร้อนรนด้วยกระแสความรู้สึก ผมหยิบเสื้อยืดผ้าเรย่อนสีแดงก่ำกับกางเกงผ้ายืดสีเทาเข้มมาสวม รองเท้าก็เป็นแตะคู่ใจที่ดูดีพอให้ใส่ออกไปข้างนอกได้ พร็อพอื่นๆ ถูกผมเมินจากความรีบร้อน สุดท้ายทั้งเนื้อทั้งตัวผมก็มีแค่กระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์ที่ยัดๆ ใส่ถุงผ้าใบเล็กมาด้วย

ผมขับรถออกมาจากคอนโดตอนสองทุ่มกว่า ไม่ได้กินข้าวเย็นและกะว่าจะไปชวนเพื่อนสนิทที่ไม่เห็นหน้ามาเป็นเดือนๆ สั่งอาหารเข้าไปกินในห้องพัก เก่งกาจมาเช่าหออยู่ใกล้ที่ทำงานใหม่ เห็นว่าหัวหน้าใจดีและไม่เหยียดเพศ รวมถึงผู้หญิงในที่ทำงานก็ล้วนเป็นสาววายกันเกือบหมด ดูเหมือนชีวิตมันจะดีขึ้น

ยกเว้นเรื่องความรักที่เพิ่งอกหักไปเมื่อไม่นานมานี้


“เพราะพวกเราไม่มีทางเลือกมากนัก คนส่วนมากเลยให้ความสำคัญกับเซ็กส์มากกว่า”
“ความรักสำหรับพวกเราเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อมน่ะครับ”



อยู่ๆ คำพูดของโฬมก็เด้งเข้ามาในหัวระหว่างที่ผมคิดอะไรเพลินๆ ตอนติดไฟแดง ผมเคาะปลายนิ้วลงบนพวงมาลัย นึกย้อนไปถึงชีวิตรักแสนเศร้าของเพื่อนตั้งแต่แรกก็เริ่มจะพอเข้าใจแล้วว่าอะไรๆ มันคงยากจริงๆ

แต่เก่งกาจมันก็ยังตามหาความรักของมันจ่อไป แม้จะโดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะโดนกีดกัน โดนด่าหรือทำร้ายจิตใจแค่ไหนมันก็เลือกที่จะไขว่คว้าต่อไป

ต่างกับผมที่ไม่แม้แต่จะสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เลยสักนิด

“ฟ้าครับ จีบนะครับ”

เพราะแบบนี้ ตอนที่โฬมพูดคำนี้ออกมา ผมถึงทำได้แค่มองหน้าเขานิ่งๆ แล้วปล่อยสมองขาวโพลนไปทั้งอย่างนั้น ไม่มีทั้งการปฏิเสธหรือตอบตกลง ทุกอย่างถูกทำให้เบลอแล้วจางหายไปอย่างง่ายๆ ผมจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าหลังจากนั้นโฬมทำตัวยังไงต่อ บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน หรือสีหน้าของเขาตอนที่เห็นว่าผมไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยเป็นยังไง
ผมไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง เพราะทำอะไรไม่ถูก สมองถึงได้ชัทดาวน์ไปในทันทีที่เจอข้อมูลที่ยากเกินกว่าจะประมวลผล
ในตอนนี้ผมถึงได้ถ่อสังขารขับรถเข้ามาที่ใจกลางเมือง ฝ่ารถติดสาหัสเพื่อปรึกษาปัญหาร้ายแรงที่สุดในชีวิตกับเพื่อนสนิท

ผมต้องการคำแนะนำเอามากๆ เลย

กว่าจะมาถึงหอพักของเก่งก็กินเวลาไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ผมขึ้นทางด่วนมาต้องสามต่อเลยนะยังใช้เวลาขนาดนี้ ขาของผมล้าจากการเหยียบเบรกทำให้เมื่อลงจากรถก็ต้องสะบัดเตะๆ คลายกล้ามเนื้อ

หอพักของเก่งกาจเป็นตึกสูงประมาณห้าชั้น สภาพยังใหม่และด้านล่างสะอาดเรียบร้อยดี เห็นว่าราคาค่าเช่าก็เกือบครึ่งหมื่นต่อเดือนอยู่เหมือนกัน ผมที่เคยมาช่วยขนของจำห้องพักเพื่อนได้ดีเลยอาศัยช่วงที่มีคนเข้าออกตึกเนียนๆ เดินเข้าประตูไปด้วย
ผมกดลิฟต์ไปที่ชั้นบนสุด เลี้ยวซ้ายนับไปอีกสองห้องก็จะเป็นห้องของเก่ง ไม่ได้อยู่ริมสุดหรือบริเวณที่วิวหน้าต่างดีๆ เพราะตอนมาหาห้องนั้นเหลืออยู่เพียงห้องเดียวทำให้ไม่มีทางเลือก แต่สภาพภายในแม้จะแอบแคบอยู่หน่อยๆ แต่ก็สะอาดและมีเฟอร์นิเจอร์ให้ครบครัน

ก๊อก ก๊อก

ผมเคาะกำปั้นลงบนประตูไม้ รอไม่นานเก่งกาจก็เดินมาเปิดให้ด้วยสภาพหัวยุ่งกับกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว โชว์กล้ามหน้าท้องที่ลำบากลำบนเข้าฟิตเนสมาตั้งแต่มอปลายอวดแก่สายตาคนอื่น ผมที่เห็นจนชินแล้วเลยได้แต่เมินหุ่นล้ำๆ ของเพื่อนแล้วเดินเข้าห้องไป

“ตกลงเป็นอะไรวะสกาย กูตกใจหมด” เก่งกาจเปิดบทสนทนาทันทีที่เขากดล็อคกลอนประตู

ผมกวาดสายตาผ่านความรกรุงรังของห้องชายโสด ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงที่ไม่แม้แต่จะปูผ้าปูที่นอน เงยหน้ามองสบตากับเจ้าของห้องที่ลากเก้าอี้เลื่อนหน้าคอมมานั่งลงตรงหน้า

“มีเรื่องจะปรึกษาเฉยๆ”

“แค่มึงมีเรื่องจะปรึกษา มันก็นับว่าคอขาดบาดตายละ” เก่งบอก สีหน้าของเขายังเต็มไปด้วยความกังวล เขาคงเดาไร้สาระไปไกลแล้วแน่ๆ เพราะผมไม่ยอมบอกสักทีว่าเรื่องอะไร

“รู้จักโฬมป่ะ?” ผมเกริ่นขึ้นมาเพราะไม่รู้จะเข้าเรื่องยังไงดี

“โฬม ลภณที่เป็นเกย์อ่ะนะ”

“อื้อ”

“ใครจะไม่รู้จักวะ เขาพูดกันให้ทั่วโดยเฉพาะพวกในบาร์เกย์ ชะเง้อคอมองกันทุกวันว่าเมื่อไหร่โฬมจะโผล่ไปบ้าง จะได้ลองสักครั้งให้กระชุ่มกระชวย”

“...มะ มึงก็คิดงั้นเหรอ”

“ถุ้ยสิวะ!” เก่งกาจชักสีหน้า “ผู้ชายสุภาพไม่ใช่สเปคกู”

ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ

เก่งกาจชอบผู้ชายที่ไลฟ์สไตล์ไม่ต่างจากตัวมันเอง ซึ่งโฬมต่างจากเพื่อนผมคนนี้แทบคนละขั่ว เก่งกาจอารมณ์ร้อนจะตาย ในขณะที่ผมไม่สามารถนึกภาพโฬมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟออกเลยแม้แต่นิดเดียว

“แล้วยังไง เกี่ยวอะไรกับนักร้องนั่นวะ”

“เขา... จะจีบกู”

“หืมม” เก่งกาจส่งเสียงในลำคอพร้อมเบิกตากว้าง “เขาจีบมึง!?”

“เขาบอกมาอย่างงั้น” ผมก้มหน้าลง ซ่อนไอร้อนระอุบนหน้าที่พวยพุ่งออกมาไม่หยุด

มันไม่ใช่ความเขินจากการที่มีคนมาบอกว่าจะจีบ

แต่มันคือความอายจากการที่ภาพจูบแรกของผมผุดขึ้นมาแล้วฉายวนซ้ำๆ ไม่ยอมหยุด ผมรู้สึกเหมือนริมฝีปากยังถูกบดเบียดไม่เลิก ยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากลมหายใจของโฬม และยังถูกรวบกอดไว้ในอ้อมแขนอบอุ่น

เวลาคนเรามีจูบแรก เขาเพ้อกันแบบผมไหมนะ

“นานแค่ไหนแล้ว”

“เมื่อกลางวัน แต่ก็รู้จักกันมาสักพักแล้ว”

“...” เก่งกาจกัดปาก “สกาย ถ้ามึงไม่ชอบ ไม่โอเคกับการที่มีผู้ชายมาจีบ ก็บอกเขาไปตรงๆ เลย ไม่ต้องไปเล่นด้วย ไม่ต้องไปให้ความหวัง เขาต้องเข้าใจว่ามึงเป็นผู้ชายแท้ๆ”

“กู...” คราวนี้ผมตะกุกตะกักไม่รู้จะตอบไปว่าอะไร

“แล้วไปรู้จักกันได้ยังไง”

“กูชวนเขามาทำเพลง เพลงที่เคยบอกว่าจะทำอ่ะ”

“เพลงเกย์อ่ะนะ”

“อื้อ” ผมพยักหน้าอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นสำรวจสีหน้าของเพื่อนที่ขมวดคิ้วอย่างคนคิดไม่ตก

“งั้นก็ต้องทำงานด้วยกันอีกสักพักเลยป่ะ”

“ก็คงงั้น เพลงยังไม่เสร็จ ไหนจะอัดเสียง ถ่ายเอ็มวี แล้วก็ช่วงโปรโมท”

“กูว่าปฏิเสธไปตรงๆ ดีที่สุด ยังไงมึงก็รู้วิธีถนอมน้ำใจคนอยู่แล้ว” เก่งกาจสรุปคำตอบให้เสร็จสรรพ แต่กลับไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการสักนิด “ไม่งั้นเดี๋ยวกูไปด้วย เผื่อมันทำอะไรมึง”

“ไม่ต้อง คือจริงๆ กูไม่ได้จะปฏิเสธ...” คำว่าไม่ปฏิเสธของผมนี่คือพูดในลำคอโดยสมบูรณ์ จากปกติที่เป็นคนมั่นอกมั่นใจ ทำอะไรไม่เคยงึมงำเก็บไว้คนเดียว ตอนนี้กลายเป็นว่าผมกำลังเปลี่ยนไปจนเก่งกาจไม่อาจเก็บสีหน้าตกตะลึงไว้ได้อีก แม้ว่าเขาจะฟังไม่ออกว่าผมพูดอะไรอยู่ก็ตาม

“สกาย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ มึงเป็นอะไร” เก่งกาจร้องลั่น ขยับตัวมานั่งข้างๆ ก่อนจะคว้าไหล่ผมไว้ทั้งสองข้าง “เรื่องใหญ่กว่านี้กูยังไม่เห็นมึงเสียอาการเลยนะ”

“...” ผมเม้มปากเงียบไม่ยอมตอบ

“กูเป็นห่วง มึงไม่เคยเป็นยังงี้”

“เก่ง” ผมเรียกขัดแรงเขย่าจากมือหนา “ตอนมึงมีจูบแรก มึงเป็นยังไงวะ”

“...”

“...”

“สกาย มึง...” เก่งกาจตาถลนออกมาจากเบ้าเรียบร้อยแล้ว เขากำไหล่ของผมแน่น อ้าปากพะงาบๆ เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่สามารถเค้นเสียงออกมาจากลำคอได้ ในขณะที่ผมก็พอจะรู้ว่าเก่งเดาอะไรบางอย่างออก เลยรีบหลบสายตามองไปทางอื่นทันที

“สกาย!”

“อะไร...”

“มึงไปจูบใคร!”

“กูถามมึงนะเก่ง” ผมแย้งทันที

“ตอบกู”

“...คนที่มึงเดานั่นแหละ”

“ไอ้สกาย!!!”

พลั่ก

ผมถูกผลักลงบนเตียง ส่วนเก่งกาจก้มหัวกุมขมับพร้อมบ่นพึมพำอะไรไม่รู้เป็นประโยคยาวๆ

“มันบังคับมึงเหรอ” เสียงของเก่งกาจดังขึ้นหลายระดับ พร้อมสีหน้าเขียวคล้ำเหมือนโมโหเอามากๆ “กูจะไปเอาเลือดหัวมันออก ทำตัวเสื่อมเสียสถาบันเกย์ ไอ้สัส”

ผมรีบกระชากขอบกางเกงย้วยๆ ของเพื่อนไว้ทันทีที่มันกระเด้งตัวลุกจากเตียง

“โฬมไม่ได้ทำ”

“มันไม่ทำแล้วใครจะทำ สกาย กูรู้จักมึงดี คนอย่างมึงมันโง่เรื่องแบบนี้จะตาย มึงโดนมันหลอกจูบใช่ไหม มึงบอกกูคำเดียวกูจะไปเอาเลือดปากมันออกให้” เก่งกาจหัวร้อนเอามาก ในขณะที่ผมต้องออกแรงลากเพื่อนให้ลงมานั่งสงบจิตสงบใจ

“เปล่า กูทำเอง”

“...อะไรของมึง”

“กูเป็นคนไปจูบเขาก่อนเอง” ผมบอกอย่างสัตย์จริง โดยข้ามเรื่องที่ตัวเองเกือบจะโดนลักจูบตอนหลับไปเพราะไหนๆ โฬมก็ขอโทษแล้ว และเป็นผมเองที่ไปเริ่มก่อนเพราะสติสตังไม่ค่อยดี

“มึง...”

“เก่ง กูลืมไม่ได้เลย”

“...”

“กูอยากจูบเขาอีกอ่ะ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ โถมตัวไปกอดเพื่อนไว้พร้อมซบใบหน้าลงที่ไหล่หนาเปล่าเปลือย กลิ่นสบู่ที่โชยออกมาจากตัวเก่งไม่ได้ทำให้รู้สึกวูบวาบแบบที่เคยได้กลิ่นจากโฬม ผมเหมือนคนหมกมุ่นเรื่องจูบไปแล้วจริงๆ ตั้งแต่เก็บเอาไปฝันจนเป็นบ้าเป็นหลัง พอมาตอนนี้ก็กลับอย่างจูบเขาอีกครั้ง

วัยแตกหนุ่มในชีวิตผมมาช้าไปมากจริงๆ ให้ตาย

“สกาย ตอบกูมาตรงๆ”

ผมพยักหน้าทั้งๆ ที่ยังมุดอยู่ในซอกคอของเพื่อน

“ทำไมมึงไปจูบเขา”

“อยาก... ก็เลยเข้าไปจูบ” ผมบอก ละเรื่องความฝันแสดงความโรคจิตของตัวเองไป

“ไม่รู้สึกรังเกียจที่จูบผู้ชาย?”

คราวนี้ผมส่ายหน้า “ไม่เคยจูบผู้หญิงอ่ะ แต่จูบกับโฬม... มันดี”

“สกาย มันเป็นครั้งแรกของมึง ทั้งเรื่องจูบทั้งเรื่องความรัก” เก่งกาจผลักหัวผมออกจากบ่าของเขา “มึงค่อยๆ เรียนรู้เพราะบางทีมันอาจเป็นเรื่องชั่ววูบ มึงอาจแค่กำลังตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ”

“...” ผมเม้มปาก ยอมตั้งใจฟังสิ่งที่เพื่อนพูด

รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมสลับบทบาทมาเป็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือแทน

“ถ้ามึงโอเคที่จะให้เขาจีบ กูก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้ามึงรู้ตัวว่ามันไม่ใช่จริงๆ บอกเขาไปตรงๆ มึงไม่ผิดที่จะปฏิเสธความรู้สึกใคร”
ผมพยักหน้าตอบรับแทนการพูด เก่งกาจเลยโบกหัวผมเป็นรางวัลหนึ่งที

“ไวไฟไอ้สัส ไปจูบเขาก่อน”

“ก็กูอยากลอง...”

“ลองแล้วเป็นไง”

“ก็ดี...”

“แค่นั้น?”

“เก่ง ถ้ากูจะขอเขาจูบอีก... มึงว่- ”

ผัวะ!

ผมโดนตบหัวอีกครั้งจนไม่สามารถพูดต่อให้จบประโยคได้

“มึงหยุดสิ่งที่มึงคิดเลยนะไอ้สกาย!”







ผมกลับมาที่คอนโดด้วยจิตใจที่ยังว้าวุ่นเหมือนเดิมแม้ว่าจะนั่งฟังเก่งกาจพูดอภิปรายยาวเป็นชั่วโมง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว ผมที่ปิดประตูห้องเรียบร้อยก็เดินถือผ้าขนหนูเข้าไปอาบน้ำเตรียมตัวมานอนไถโทรศัพท์เล่นก่อนนอน ระหว่างอาบก็อดคิดไปถึงเรื่องที่คุยกับเพื่อนไม่ได้

เก่งกาจบอกให้ผมทำตัวเหมือนเดิม อย่าให้ความหวัง อย่าเพิ่งปฏิเสธ ศึกษากันไปก่อนเพราะความรู้สึกเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่พอผมถามมันกลับว่ามันไม่เห็นทำแบบนี้บ้างเลย เห็นเอะอะลากขึ้นเตียงก่อนเป็นอย่างแรก เก่งกาจก็ตบผัวะลงมาบนหัวผมอีกครั้งก่อนจะเตะโด่งไล่ผมออกมาจากห้องทันที

ผมปัดๆ เรื่องวุ่นวายออกจากหัวเมื่อล้างฟองสบู่ออกจากตัวจนหมด หยิบผ้าขนหนูมาถูๆ ซับน้ำบนร่างกายก่อนจะสวมชุดนอนสบายๆ แบบที่ใส่ประจำ

เครื่องปรับอากาศแผ่อุณหภูมิเย็นทั่วห้องนอน ผมมุดตัวลงใต้ผ้านวมผืนหนา ปิดสวิตซ์ไฟเพดานแล้วเปิดเพียงแค่โคมไฟสีนวลที่หัวเตียงแทน

ไลน์!

ยังไม่ทันได้จัดท่านอนให้เรียบร้อย อยู่ๆ มือถือเครื่องเก่าเกือบสามปีก็สั่นร้องเตือนข้อความเข้า

ผมหยิบมากดดู พอเห็นชื่อคนส่งก็ชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง


Rome_o: นอนรึยังครับ


ผมมองชื่อไลน์ที่เป็นชื่อเดียวกับไอจีของเขา ไม่กล้ากดนิ้วสั่นๆ ของตัวเองเพื่อเข้าไปอ่าน ทำให้ทิ้งเวลาโดยเปล่าประโยชน์ไปหลายนาทีจนโฬมทักเข้ามาอีกรอบ


Rome_o: นอนแล้วเหรอครับ


ผมกลืนน้ำลาย เพิ่งรู้ว่าการตอบไลน์คนบางคนมันยากลำบากขนาดนี้มาก่อน

โฬมเข้ามาเปิดโลกใบใหม่ของผมจริงๆ หลายอย่างที่ผมไม่คิดว่าผมจะเป็นก็เป็นมันซะเกือบหมด ขนาดเก่งกาจยังงงว่าผมเสียอาการได้ขนาดนี้เลยเหรอ แค่จูบจูบเดียว

ผมก็งงเหมือนกัน แค่จูบเดียวเองนะ...

แต่มันเป็นจูบที่ดีชะมัด ให้ตาย ผมเอามันออกจากหัวไม่ได้!


Rome_o: ผมจะทักมาบอกว่าพรุ่งนี้ผมมีงาน คงไม่ได้เข้าสตูดิโอนะครับ
Rome_o: ยังไงพรุ่งนี้หลังเสร็จงาน ไปทานข้าวเย็นด้วยกันไหมครับ



ผมเม้มปาก จิ้มกดเข้าไปในกล่องข้อความด้วยอาการลุ้นระทึก


สกายครับ: ได้ครับ
   Rome_o: ตกลงใช่ไหมครับ
   Rome_o: พรุ่งนี้ผมเลิกงานแล้วจะโทรหานะครับ



ผมที่พิมพ์ข้อความปฏิเสธกินข้าวเย็นค้างไว้ต้องจำใจกดลบเพราะส่งไม่ทันคนที่ตอบกลับมาเร็วเกินปกติ พอเห็นเขานัดแนะบอกเวลาคร่าวๆ มาก็ได้แค่กดสติกเกอร์หมีโอเคไปอย่างมึนๆ

ช่างมันเถอะ ไปกินข้าวเอง

ผมไม่ได้โกรธ ไม่ได้จะหลบหน้าเขาสักหน่อย แค่ไปกินข้าวเย็นด้วยกันไม่เห็นเป็นอะไรเลย


   Rome_o: แล้วยังไม่นอนเหรอครับ
สกายครับ: กำลังจะนอนครับ
สกายครับ: โฬมก็ยังไม่นอนเหรอครับ
   Rome_o: นอนไม่หลับครับ
   Rome_o: กลัวฟ้าหลบหน้า



   ผมอ่านข้อความนั้นด้วยอาการอึกอัก นิ้ววางอยู่เหนือแป้นพิมพ์แต่ไม่สามารถพิมพ์ถ้อยคำไหนตอบไปได้เลยจริงๆ แค่เห็นเขาเรียกผมว่าฟ้า สมองผมก็ระเบิดบู้มกลายเป็นภาพสว่างวูบวาบแทนทันที


   Rome_o: แต่ฟ้ายอมไปทานข้าวด้วยกันแล้วผมก็สบายใจ
   Rome_o: ผมไม่กวนเวลานอนฟ้าแล้วนะครับ
   Rome_o: ฝันดีนะครับฟ้า

สกายครับ: ฝันดีเช่นกันครับ
   Rome_o: คิดถึงนะครับ


แล้วผมก็ปล่อยให้แชทจบลงที่ประโยคนั้น...

ผมรีบกดออกไลน์ทันทีที่อ่านบรรทัดสุดท้ายนั้นจบ คลิ๊กเข้าแอพลิเคชั่นอื่นทันทีเพื่อหาอะไรมาล้างความว้าวุ่นในจิตใจ ทวิตเตอร์ช่วยเยียวยาผมด้วยแท็กดราม่าของใครสักคนที่ปกติผมไม่มีทางกดเข้าไปอ่าน แต่เวลานี้ผมไม่ปกติเลยไถอ่านทวิตของแต่ละคนจนรู้เกือบหมดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง

จิตใจผมสงบลงช้าๆ ค่อยๆ ลืมเรื่องไลน์เมื่อกี้ไปเพราะอ่านไทม์ไลน์ที่ไหลเรื่อยๆ ยิ่งกว่าน้ำป่าไหลหลาก และเมื่อผมเริ่มอ้าปากหาวด้วยความง่วง ผมก็เปลี่ยนมาเข้าแอพอินสตราแกรมเป็นอย่างสุดท้ายก่อนนอน หวังดูภาพของนักร้องที่ชอบกับเพื่อนๆ ที่ฟอลโลว์กันไว้ โดยที่ลืมว่าตัวเองได้กดฟอลไอจีชื่อ Rome_o มาแล้วพักใหญ่

โฬมอัพรูปล่าสุดเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน น่าจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาส่งข้อความสุดท้ายนั้นมา

มันเป็นรูปท้องฟ้าที่ถ่ายจากหน้าต่างบ้านชั้นสอง มีเพียงความมืดมิดของท้องนภากับไฟข้างถนนที่สาดลงบนพื้นคอนกรีต ที่มุมหนึ่งของเฟรมแอบเห็นเจ้าแมวสองตัวนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนขอบหน้าต่าง ทุกองค์ประกอบของภาพและการปรับสีนั้นสวยมากจนต้องยอมรับว่าเขามีฝีมือ

แต่สิ่งที่ดึงความสนใจผมมากกว่าภาพถ่ายสวยๆ นั้นกลับเป็นแคปชั่นสั้นๆ ใต้ภาพท้องฟ้านั้น


Rome_o: Spread your wings and kiss the sky – Kiss the sky (Jason Derulo)


ผมพยายามคิดแล้วว่าเนื้อเพลงที่เขาโพสต์ไม่ได้สื่อความหมายอะไรเลย

แต่หน้าผมกลับร้อนขึ้นมาเสียเฉยๆ เลย ให้ตายเถอะ!



___________________
Talk:
มาช้า เพราะว่าหยุดสามวันเราก็ใช้เวลาคุ้มเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องทำงานอีกแล้ว แง้
เปิดตัวเก่งกาจค่ะ มนุษย์เมะที่มีไทป์ชอบเมะเหมือนตัวเอง
จริงๆ มีสตอรี่ของเก่งกาจอยู่ในหัว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเขียนดีไหม

ส่วนน้องสกาย กำลังสับสนในตัวเองอยู่เหมือนเดิม
เอ็นดูน้องด้วยนะคะ เดินทางมาถึงตอนที่สิบแล้ว เย้ะ!
รักทุกคอมเม้นและยอดวิว ยอดกดไลค์กดบวก ร้ากกกกก  :กอด1:
จะรีบปั่นมาเสิร์ฟให้เลยค่า  :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 578
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :hao6: น้องน่ารักกกก  :hao7: ค่อยๆโตนะค่ะ แต่รักพี่โฬมได้คนเดียวนะค่ะ  :hao7: คนพี่ก็สู้ๆ รุกบ่อยๆอย่างมั่นคงค่ะ  :hao3:  o13

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ค่อยๆรู้จักกันไปเนาะะะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
ขำตรงเพื่อนเป็นคนหยาบคาย :hao3:

และสกายต้องใจเย็นๆ

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
สกายน่ารักอะ อิออ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ หะมายด์เอง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-1
บทที่ 11



วันนี้เป็นวันว่างๆ เนื่องจากโฬมติดงานและผมก็ไม่มีคิวอะไรพอดี ผมเลยกะจะออกไปเดินเตร่กินแอร์ฟรีในห้างใกล้คอนโด ผลาญเงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ หลังจากไม่ได้ช้อปมาอย่างยาวนาน รวมถึงมีแพลนจะไปหาหนังสือจิตวิทยามาอ่านเล่นๆ สักเล่ม ชีวิตที่เวลาว่างไม่ตรงกับคนอื่นทำให้ตัดพวกตัวเลือกชวนเพื่อนไปดูหนังหรือกินข้าวด้วยได้เลย ผมชินแล้วที่จะต้องไปไหนมาไหนคนเดียว จริงๆ ก็ชอบด้วยเพราะผมเป็นพวกอยากแวะก็แวะ อยากไปก็ไปเลย ขี้เกียจมาคอยรอคนอื่น

วันนี้ผมจึงตื่นตั้งแต่สิบโมงเช้า อันที่จริงอาจไม่เรียกว่าเช้าได้ แต่เพราะเมื่อคืนผมนอนไม่หลับอีกแล้ว กว่าจะได้พักผ่อนจริงๆ ก็ปาไปตีสามตีสี่ และขนาดหลับแล้วยังฝันเรื่องบ้าๆ อีก

ถ้าโฬมรู้ผมคงโดนตั้งแง่ว่าเป็นพวกโรคจิตแน่ๆ

ก็ผมเล่นปู้ยี้ปู้ยำเขาในฝันไว้เสียเยอะเลย ให้ตาย

ผมสะบัดหัวเบาๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถเล่นพร้อมตั้งเวลาปลุกไว้ตอนบ่ายโมง กะว่ารอให้หายขี้เกียจค่อยออกไปเดินห้าง โฬมส่งไลน์มาบอกว่าจะเสร็จงานประมาณห้าโมงกว่า ผมเลยคิดว่าน่าจะชวนหาอะไรกินในห้างไปเลย ง่ายดี

ก็นอนเล่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นว่าเป็นเวลาอันสมควรที่จะออกไปได้แล้ว ผมเลยลากร่างแสนขี้เกียจของตัวเองเข้าห้องน้ำแล้วออกมาหลังจากนั้นประมาณสิบนาที เป็นการวิ่งผ่านน้ำที่แท้จริง แต่ตัวผมก็หอมกลิ่นสบู่ยี่ห้อประจำแบบสุดๆ เพราะผมชอบถูแล้วแช่ไว้นานๆ

เสื้อผ้าในตู้ถูกรื้ออีกครั้งเมื่อผมกำลังคิดว่าวันนี้จะใส่อะไรดี กางเกงยีนส์สีซีดที่มีลายหนังสือพิมพ์แปะเป็นแถบอยู่ข้างๆ เป็นตัวที่ผมเลือกออกมาสวม พร้อมกับสอดตัวเองเข้าไปในเสื้อสีขาวที่ทั้งตัวใหญ่ทั้งแขนกว้างพร้อมกับยัดชายเสื้อเข้าในกางเกง ผมมองตัวเองที่ดูพองๆ ขึ้นมาหน่อยในกระจกอย่างพอใจ มีสร้อยสีเงินคล้องแหวนแทจี้ห้อยประดับเอาไว้บนคอ และหยิบรองเท้าคู่ใจสีกรมท่ามาเป็นสิ่งสุดท้าย

ผมฉีดน้ำหอมกลิ่นประจำ หยิบกระเป๋าคาดอกมาสะพายก่อนจะคว้ากุญแจรถแล้วเดินดุ่มๆ ออกมาจากห้อง แดดประเทศไทยแรงมากจนหน้าผมแทบไหม้ ทั้งๆ ที่มันเป็นหน้าฝนแท้ๆ

ผมที่รีบวิ่งมาขึ้นรถหวังจะตากแอร์ให้สบายกลับต้องหัวเสียหนักกว่าเก่า เพราะไม่ว่าจะหมุนบิดกุญแจรถสักกี่ครั้ง เครื่องยนต์ก็เพียงส่งเสียงหึ่มๆ เล็กน้อยก่อนจะดับลง ผมไม่สามารถสตาร์ทรถได้ และตอนนี้ห้องโดยสารที่เต็มไปด้วยไอร้อนจากแสงแดดก็กำลังจะเผาผมให้ตายทั้งเป็น ผมเบ้หน้า ตัดสินใจปลอ่ยรถยนต์คู่ใจที่น่าจะตายไปแล้วทิ้งไว้ที่เดิม เดินดุ่มๆ ออกไปที่ถนนใหญ่และคอยชะเง้อมองหารถแท็กซี่สักคัน

ซวยตั้งแต่หัววันเลย ให้ตายเถอะ

“ไปห้าง D ครับ” ผมโบกแท็กซี่สีชมพูที่ขับผ่านมา ก่อนจะรีบยัดตัวเองเข้าห้องโดยสารทันทีที่คนขับพยักหน้าแล้วเอื้อมมือไปกดมิเตอร์ ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศในรถช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นหน่อย เหงื่อที่ไหลพรากค่อยๆ แห้งลงทีละนิด ผมเอนหลังพิงเบาะนุ่ม มองวิวนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย

ดีจังที่เขาไม่ชวนคุย

ห้าง D อยู่ไม่ไกลจากคอนโดของผมเท่าไหร่ มิเตอร์เงินจึงวิ่งมาได้แค่ 71 บาทผมก็ได้ลงจากรถแล้ว ผมควักเงินในกระเป๋าออกมาเท่าจำนวนที่ต้องจ่าย เอ่ยขอบคุณเขาตามมารยาทแล้วพาตัวเองออกมายืนมองประตูเลื่อนของห้างสรรพสินค้า พลางคิดกับตัวเองว่าจะไปไหนก่อนดี

เวลานี้เป็นช่วงเกือบๆ บ่ายสองของวันธรรมดา คนในห้างจึงยังบางตาอยู่มาก ผมเดินล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วตรงไปยังฟู๊ดคอร์ทเพื่อหาอะไรง่ายๆ กิน

ระหว่างทางก็มีคนจำได้และเข้ามาทักบ้าง ขอถ่ายรูปบ้าง ไม่ได้เยอะมากแต่แค่นี้ผมก็อมยิ้มแก้มแตกไปทั้งวันแล้ว ดีใจด้วยซ้ำที่มีทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายมาสนใจ ทำให้รู้สึกภูมิใจในตัวเองหน่อยๆ

“พี่สกายเมื่อไหร่จะออกเพลงใหม่คะ” เด็กสาวน่าจะวัยมัธยมปลายถามผมหลังจากถ่ายรูปไปแล้วสองสามรูป เพื่อนๆ ของเขาก็มองจ้องมาเหมือนกำลังเฝ้ารอคำตอบของผมอยู่

“กำลังทำอยู่เลยครับ เร็วๆ นี้แหละ รอติดตามได้เลย” ผมบอกด้วยรอยยิ้ม

“หนูเพิ่งซื้อนิตยสารที่พี่ถ่ายแบบมา สุดยอดเลยค่ะ!”

อันไหนหว่า

ผมขมวดคิ้วเพราะนึกไม่ออก เด็กคนนั้นเลยควานหาถุงหนังสือในกระเป๋าเป้ออกมาโชว์ให้ผมดู เป็นนิตยสารที่ผมไปถ่ายไปสักพักแล้วแต่เพิ่งได้ออกวางแผง นานจนผมลืมไปแล้วเหมือนกัน

ผมหัวเราะเขินๆ เพราะรูปปกมันออกจะ... นิดนึง แต่ก็ยอมรับปากกามาเซ็นชื่อตัวเองที่หน้าปกให้อย่างเต็มใจ ยืนคุยกันอีกสองสามคำผมก็ขอตัวออกมาเพื่อจะได้ไปหาอะไรกินตามที่ตั้งใจสักที

กว่าสามชั่วโมงกับการนั่งกินข้าวแล้วเดินเข้าออกร้านเสื้อผ้าเป็นว่าเล่น ผมเหมือนคนที่อยู่ท่ามกลางทะเลทรายแล้วเพิ่งได้เจอโอเอซิสแล้วกระเดือกน้ำลงคอจนพุงป่อง เพราะถุงกระดาษเต็มทั้งสองแขนจนที่แทบจะใช้ยกแทนเวทได้อยู่แล้ว ผมถอนหายใจมองของในมือตัวเอง

พอไม่มีเก่งกาจมาคอยห้าม ผมก็เลยตามเลยแล้วก็เป็นแบบนี้

ซื้อเยอะจนได้ของสัมนาคุณมาหนึ่งกล่องเลยครับ ผมหาม้านั่งข้างเสาในห้างก่อนจะกองๆ ถุงไว้ข้างตัว หยิบกล่องสีดำขนาดเท่าฝ่ามือที่มีโบว์สีเดียวกับผูกไว้ด้านบน ข้างกล่องสลักคำว่า ‘Thank you’ ด้วยตัวอักษรสีทองเงาวับ ผมดึงฝากล่องออกด้วยความอยากรู้อยากเห็น แล้วก็พบว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจผมเต้นรัว

ต่างหูแบบห่วงสีดำสองคู่ถูกวางสอดไว้ในผ้ากำมะหยีอย่างดี คู่หนึ่งมีจี้กางเขนห้อยออกมา ส่วนอีกคู่เป็นห่วงธรรมดา ผมแตะนิ้วลงลูบผิวสัมผัสเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมือไปลูบติ่งหูที่ไร้รอยเจาะของตัวเอง

ผมอยากเจาะหูมาตั้งแต่เด็กๆ ยายก็ขยั้นขยอให้ไปเจาะเพราะมีต่างหูทองจะยัดให้ใส่เต็มไป แต่ความกลัวในใจทำให้ผมไม่ไปเจาะสักทีทั้งๆ ที่เพื่อนก็บอกว่าไม่เจ็บไม่ปวดเลยสักนิด

ทำไงได้ ตอนประถมผมเคยอยากเจาะหูจนซื้อต่างหูคู่ละสามบาทจากร้านขายของชำใกล้โรงเรียน เอามาตัดปลายด้วยกรรไกรตัดเล็บให้แหลม แล้วให้เพื่อนเจาะเข้าไปให้ ด้วยความที่ใช้มือดันและเป็นเด็ก เพื่อนผมมันทั้งดันทั้งคว้านให้เป็นรู ผมเจ็บจนน้ำตาไหล ติ่งหูทะลุก็จริงแต่ผมทนใส่ต่อไม่ได้ เลยต้องถอดทิ้งแล้วเข็ดขยาดกับการเจาะหูมาตลอด

แต่พอชอบแต่งตัว การได้ใส่ต่างหูเป็นสิ่งที่น่าสนุกมาก ผมเคยทำใจเดินวนอยู่หน้าร้านที่รับเจาะหูอยู่ราวๆ สิบรอบ เคยพาเพื่อนไปเจาะและมาดหมายว่าจะเจาะด้วย แต่พอเห็นปืนยิงเท่านั้นแหละ ใจผมฝ่อขึ้นมาทันที หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น หูผมไม่มีรูใดๆ เลยสักนิด

แต่ไหนๆ ก็ได้ต่างหูมาแล้ว แถมยังเป็นแบบที่ผมอยากใส่ ผมกัดปากมองกล่องเล็กๆ ในมือด้วยความชั่งใจ นึกถกเถียงกับตัวเองอยู่ครู่ใหญ่เลยทีเดียวว่าจะเอายังไงดี

Rrrrrrrrrrrrr

และก่อนที่จะทันได้คำตอบ โทรศัพท์ผมก็ดังขัดขึ้นมาก่อน

ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร เพราะตอนนี้ก็ห้าโมงกว่าๆ แล้ว ได้เวลาเลิกงานของโฬมพอดี

“ฮัลโหล” ผมกดรับหลังจากเห็นว่าเป็นคนที่คิดเอาไว้

[ฟ้าครับ ผมอยู่บนทางด่วนแล้ว อีกประมาณสิบนาทีน่าจะถึง]

“ผมอยู่ห้าง D นะครับ โฬมมาถูกไหม”

[เอ๋ ฟ้าออกไปห้างเหรอครับ]

“ออกมาสักพักแล้วครับ”

[งั้นเดี๋ยวผมไปหาที่ห้างนะครับ]

“ได้ครับ”

[แล้วเจอกันนะครับ]

ผมรับคำเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกลับมาสนใจต่างหูในมือต่อ เพราะห้างนี้มีร้านที่เคยพาเพื่อนมาเจาะ ผมเลยรู้สึกสองใจสุดๆ ระหว่างไปทำให้มันจบๆ กับล้มเลิกแล้วเอาต่างหูไปให้คนอื่นซะ

เป็นความสับสนในใจที่หาคำตอบไม่ได้จนกระทั่งโฬมมาถึง

เขาบอกสิบนาทีก็สิบนาทีจริงๆ โฬมในชุดเต็มยศทั้งเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมบนกับกางเกงแสลคเข้ารูปวิ่งกระหืดกระหอบมาหาทันทีที่เห็นผม วันนี้โฬมเซ็ทผมขึ้นเรียบร้อย ทั้งยังแต่งหน้าบางๆ อย่างทีต้องทำเป็นปกติเวลาออกงาน ผมยอมรับเลยว่าเผลอมองหน้าหล่อๆ ของเขาค้างอีกแล้ว

เพิ่งเคยเห็นโฬมในลุคจัดเต็มแบบนี้ ในหัวผมเต็มไปด้วยคำถามอีกครั้ง

คนเราจะหล่อขึ้นกว่าเดิมได้อีกมากแค่ไหนกัน

ผมสงสัยเอามากๆ เพราะปกติผมก็มองว่าโฬมดูดีมากๆ แบบมากจนผมยังชอบลอบมองใบหน้าของเขาบ่อยๆ แต่พอมาเจอวันนี้ เขากลับทำลายล้างสิ่งที่ผมเคยเชื่อว่าเมื่อก่อนเขาหล่อสุดๆ แล้วทิ้งไป

โฬมยังดูดีได้มากกว่านี้

และยิ่งตอนที่เขาส่งยิ้มจนตาหยีมาให้ ผมก็ได้รู้ว่าความหน้าตาดีของเขามันไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ

“ฟ้าครับ”

“คะ ครับ”

“ซื้อของเยอะจังเลยนะครับ” เขาเหลือบตาไปมองถุงกระดาษสี่ห้าอันที่ผมวางไว้ข้างตัว ผมทำได้แค่หัวเราะแห้งๆ รวบของพวกนั้นมาถือไว้ในมือแล้วเอ่ยชวนเขาไปหาอะไรกิน

โฬมพยักหน้า ทำท่าจะเข้ามาช่วยถือของแต่ผมเบี่ยงหลบและส่งยิ้มปฏิเสธไปให้ คนตัวสูงเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตัวปลิวเคียงข้างกันมา

“โฬมอยากทานอะไรครับ” ผมเอ่ยปากถาม เมื่อเราเดินมาถึงชั้นที่มีร้านอาหารนานาชนิดเรียงราย

“ผมแล้วแต่ฟ้า” เขาตอบ ซึ่งนั้นทำให้หัวคิ้วของผมขมวดยุ่ง

ปัญหาโลกแตกอีกแล้วกับคำถามที่ว่า

วันนี้กินอะไรดี

ผมกวาดตามอง เพ่งไปจนสุดสายตาก็ยังตัดสินใจไม่ได้ เลยหันไปส่งยิ้มขอความช่วยเหลือจากผู้ชายที่ยืนสะบัดคอเสื้อเชิ้ตเพื่อคลายร้อนอยู่ข้างๆ

“อาหารญี่ปุ่นไหมครับ” โฬมเสมอขึ้นมาหลังจากเห็นอาการหนักใจของผม ผมเลยรีบพยักหน้าตกลงแล้วบอกให้เขาเดินนำไปเลย
น่าแปลกเหมือนกันที่บรรยากาศระหว่างเราไม่มีความอึดอัดเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ผมทำใจอยู่นานเหมือนกัน คิดไม่ตกว่าจะทำตัวยังไงดีหลังจากที่ตัวเองพุ่งไปจูบโฬมแล้วเขาบอกว่าจะขอจีบ

ผมนึกว่าทุกอย่างมันจะแย่ลง แต่เพราะรอยยิ้มของโฬมก็คล้ายจะกู้สถาณการณ์ทุกอย่างมาอย่างง่ายๆ บรรยากาศรอบตัวเขาชวนให้อบอุ่นและวางใจ ผมไม่ได้เกร็งเหมือนที่ตัวเองเคยคิดไว้ สามารถวางตัวได้แบบที่เคย แม้จะยังแอบเหลือบๆ มองริมฝีปากของโฬมอยู่บ้างก็ตาม

นับว่าไม่เลว

ผมคลี่ยิ้มพึงพอใจ ก้าวเท้าตามคนที่ตัวสูงกว่ากันไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นใกล้ๆ เริ่มมีคนเดินในห้างมากขึ้น ภายในร้านจึงมีหลายโต๊ะที่ถูกจับจองไว้แล้ว โฬมเลือกที่นั่งชิดมุมผนังเพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจ ก่อนที่แต่ละคนจะเริ่มดูเมนูและสั่งอาหารกันคนละอย่าง
ผมสั่งหมูย่างผัดซอส ส่วนโฬมสั่งข้าวกล่องเบนโตะ

หลังจากพยักงานรับเมนูได้จากไปแล้ว ก็เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วคราว ผมกระดิกเท้า พยายามคิดหาเรื่องคุยเพื่อรักษาบรรยากาศดีๆ นี้ไว้ ไม่อยากให้ความอึดอัดเข้ามาแทนที่เท่าไหร่เพราะผมไม่ชอบความรู้สึกพวกนั้นเอาเสียเลย

“ทำงานเป็นยังไงบ้างครับ” ผมเลือกที่จะถามด้วยหัวข้อเบสิค โฬมที่จ้องผมอยู่ตั้งแต่แรกแล้วคลี่ยิ้มส่งมาให้เหมือนเคย ผมอยากจะถามเขาจริงๆ ว่าไม่เมื่อยแก้มบ้างเหรอ

เขาไม่เคยหยุดยิ้มเลยไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม

เป็นผู้ชายที่แผ่ความสดใสออกมาได้แม้ในวันที่แถลงข่าวยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ ผมนับถือในความแข็งแกร่งของผู้ชายคนนี้มาก แต่เพราะแบบนั้นเขาก็เลยน่าสงสารที่สุดในสายตาผม

“สนุกดีครับ แต่คนเยอะมากกว่าจะออกมาได้”

“มีคนไปดูเยอะๆ ก็ดีออกนะครับ” ผมตอบเขาขณะเอื้อมมือไปช่วยรับอาหารที่เพิ่งมาเสิร์ฟ

“ดีสิครับ แต่จริงๆ ถ้าฟ้าไปดูด้วยคงจะดีกว่านี้” โฬมพูดด้วยรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม เขาเท้าศอกลงบนโต๊ะ วางคางไว้บนมือแล้วทอดสายตาสื่อความหมายมาให้อย่างโจ่งแจ้ง

ผมรีบหยิบช้อนขึ้นมาพร้อมก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปากทันที ไม่ยอมเงยหน้ามองคนที่แม้ข้าวกล่องจะตั้งอยู่ตรงหน้าก็ยังเอาแต่เท้าคางมองหน้าผม สัมผัสได้เลยว่ามีไอความลอยอบอวลอยู่รอบกาย ผมหลุบตาลงต่ำ เมินสายตาพราวระยิบระยับกับเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูของคนตรงข้าม

ให้ตายๆๆ

ตลอดเวลาที่ทานอาหารผมไม่ปริปากพูดออกมาสักคำเดียว โฬมก็เอาแต่ยิ้มแล้วตักข้าวช้าๆ ปล่อยให้ผมที่จ้วงเอาๆ ตั้งแต่แรกอยู่กับความเคว้งคว้างหลังข้าวในชามหมดลง

ผมวางช้อนไว้ที่ถาดรอง หยิบน้ำชาเขียวเย็นขึ้นมาดื่มก่อนจะลอบมองคนตรงหน้าด้วยหางตา โฬมเหมือนจะรู้เพราะเขายกมุมปากให้ครั้งหนึ่งก่อนจะกลับไปกินข้าวในกล่องเบนโตะต่อ

“ฟ้าจะทำอะไรต่อเหรอครับ”

ผมนิ่งคิด พอดีกับที่โฬมหันข้างไปหยิบทิชชู่เลยทำให้เห็นติ่งหูข้างซ้ายของเขาที่มีจิวหูสีใสเสียบอยู่ ถ้าไม่สังเกตก็คงมองไม่เห็น ผมขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยปากถามออกไปเมื่อตัดสินใจได้

“โฬมเจาะหูด้วยเหรอครับ”

“อ๋อ ครับ หลายปีแล้ว” โฬมว่าพร้อมกับยกนิ้วไปแตะๆ บริเวณรอยเจาะประกอบคำพูด

“ทำไมไม่ใส่ต่างหูล่ะครับ” ผมถามด้วยความสงสัย คนเจาะหูกลับใส่สีใสเหมือนไม่อยากจะใส่ ในขณะที่ผมนี่กระตือรือร้นในการเลือกต่างหูมากทั้งๆ ที่ยังไม่กล้าแม้จะเจาะ

“คือจริงๆ แล้ว ผมเจาะใส่คู่กับแฟนเก่า” อีกฝ่ายบอกเสียงเบา เขายังคงใช้ปลายนิ้วไร้ติ่งหูข้างนั้นเบาๆ ดวงตาคล้ายจมเข้าไปกับอดีตเก่าๆ “พอเลิกกันก็ทิ้งต่างหูไปแล้วครับ แต่ก็เสียดายเพราะตอนนั้นไปเจาะร้านในห้าง ราคาก็ค่อนข้างแพง เลยใส่จิวใสแทนจะได้ไม่ตัน”

ประโยคหลังเขาพูดยาวมาก เหมือนพยายามเปลี่ยนประเด็นจากช่วงแรกออกมา

ผมพยักหน้าเข้าใจ คลี่ยิ้มจางๆ ให้เขาแล้วเบี่ยงหัวข้อสนทนาออกมาเช่นกัน อดีตที่มันไม่ดีผมก็ไม่อยากจะรู้หรอกถ้าเจ้าของเขาไม่อยากเล่า

บางอย่างก็ควรปล่อยให้มันจางไปกับกาลเวลา

“จริงๆ แล้วผมอยากเจาะหูแต่ไม่กล้าสักที” ผมบอก พยายามทำเสียงสดใสเพื่อดึงรอยยิ้มเศร้าๆ ให้หลุดหายออกไปจากคนฝั่งตรงข้าม “ผมได้ต่างหูมาฟรีพอดี ตอนโฬมเจาะหู มันเจ็บมากไหมครับ”

“ฟ้าอยากเจาะหูเหรอครับ?”

ผมพยักหน้ารัวๆ เป็นการตอบรับ

“ไม่เจ็บหรอกครับ เหมือนมดกัดเอง”

“โกหกชัดๆ เลยนะครับ” ผมหัวเราะ เพราะคำพูดกับสีหน้าที่เหยเกของเขามันโคตรจะขัดกัน

แต่ดูก็รู้ว่าเขาแค่แกล้งเล่น

“ไม่เจ็บจริงๆ ครับ เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนนะถ้าฟ้าจะไปเจาะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ผมตอบไปอย่างเกรงใจ

“ให้ผมไปเถอะนะครับ อยากเป็นกำลังใจให้ฟ้า”

น้ำเสียงของเขา รอยยิ้มของเขา กับอากัปเท้าคางมองอย่างอ่อนโยน

ผมว่าผมได้ยินเสียงฉ่าดังออกมาจากหน้าตัวเอง

“นะครับ”

“กะ ก็ได้ครับ” ผมก้มหน้ามองมือตัวเองบนตัก หยักหน้าเบาๆ แล้วตอบรับด้วยเสียงในลำคอ

มันเป็นอาการเขินอายแบบแปลกๆ ที่ผมไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต ผมรับมือกับมันไม่ได้ ไม่รู้จะวางตัวยังไง มือไม้ก็เก้ๆ กังๆ เหมือนนี่ไม่ใช่ร่างกายของตัวเอง โดยเฉพาะหัวใจที่เต้นแรงยิ่งกว่าบีทแรปของ Eminem เสียอีก

นะครับนี่มันอะไรกัน!

ผมเม้มปาก ขยุ้มกางเกงยีนส์จนเริ่มเจ็บที่ข้อนิ้ว ปล่อยให้โฬมเรียกพนักงานมาเก็บเงินแล้วจัดการค่าใช้จ่ายโดยที่ผมลืมไปเลยว่าต้องออกเงินในส่วนค่าอาหารของตัวเองด้วย

“ไปเจาะหูเลยไหมครับ” โฬมที่รับเงินทอนจากพนักงานเรียบร้อยแล้วหันมายิงคำถามใส่ผม

ไอ้ผมก็ยังไม่ได้สติ เลยพยักหน้าหงึกหงักไปโดยไม่คิดอะไร

โฬมคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะมาถือ ผมก็ทำตามแม้ใจจะลอยๆ แปลกๆ พวกเราก้าวออกมาจากร้านท่ามกลางเสียงเอ่ยขอบคุณเป็นภาษาญี่ปุ่นของพนักงาน ผมยังคงเม้มปากเดินมองพื้นห้าง โดยมีโฬมที่ก้าวช้าๆ เคียงข้างกันไปตามทางที่ทอดยาว ฝ่ามือของเขาสอดเข้ามากอบกุมมือผมตอนไหนไม่รู้ เพราะพอได้สติอีกทีก็พบว่าผมถูกจูงมือให้เดินตามอีกฝ่ายไปซะแล้ว

“ร้านนี้ผมเคยไปเจาะ แต่คนละสาขากัน” โฬมหันมาบอกเมื่อเรามาถึงร้านเล็กๆ ร้านหนึ่งที่ตกแต่งสไตล์มินิมอล

ผมสอดสายตามองเข้าไปในร้าน ในตู้กระจกและด้านบนประกอบไปด้วยต่างหูมากมายเรียงราย มีพนักงานผู้หญิงสองคนนั่งอยู่หลังเคาท์เตอร์และชะโงกหน้ามามองก่อนจะหันไปสะกิดกันยิกๆ

“เอ่อ... เจาะเลยเหรอครับ”

“แปบเดียวครับ สองวิก็เสร็จแล้ว” รอยยิ้มของโฬมเปรียบเสมือนน้ำที่รดลงมาในวันที่แห้งผาก อยู่ๆ ผมก็มีกำลังใจฮึดสู้ อาจจะเพราะนิ้วอุ่นร้อนที่ลูบเบาๆ บนหลังมือของผมด้วยละมั้งที่ช่วยให้ความกลัวมลายหายไป

อ้ะ... นี่พวกเรายังจับมือกันอยู่เหรอ

ผมก้มลงมองมือข้างขวาของผมที่ถูกกุมประสาน เงยหน้าขึ้นไปสบตาก็พบเพียงรอยยิ้มใสซื่อที่อีกคนส่งมาให้ ผมสูดลมหายใจ ค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกมาจากฝ่ามือที่ใหญ่กว่ากันพอสมควร

“เข้าไปกันเถอะครับ”

มือผมยังไม่ทันหลุด โฬมก็กระชับกลับเข้ามาให้แน่นเหมือนเดิมแล้วออกแรงดึงกระชากผมเข้าไปในร้าน

“สวัสดีค่า” พนักงานทั้งสองคนประสานเสียงทันทีที่พวกเราผลักประตูกระจกเข้ามา

โฬมยิ้มทักทายกลับไป ต่างจากผมที่ยังจ้องมือตัวเองไม่วางตา

ผมว่ามันแปลกๆ อยู่นะ

“ฟ้าจะเจาะกี่ข้างครับ” เสียงทุ้มนุ่มเรียกสายตาผมให้หลุดออกมาจากสัมผัสที่เริ่มชื้นด้วยเหงื่อของผม เขายิ้มเหมือนไม่รู้ว่าผมกำลังพยายามจะดึงมือตัวเองออกมา เขายิ้มเหมือนว่าตัวเองไม่ได้กระชับมือผมให้แน่นกว่าเดิมทุกครั้งที่ผมเริ่มขยับมัน

“สองครับ” ผมตอบ แต่พอจะกลับไปสนใจสิ่งเดิมต่อ พนักงานก็ดันเรียกให้ผมเข้าไปเลือกจิวแทน

“ผมมีต่างหูแล้ว” ผมบอกและพยายามจะใช้มือที่เหลือข้างเดียวหยิบๆ หากล่องต่างหูในถุงเสื้อผ้า แต่มันคงทุลักทุเลจนเกินไปโฬมถึงได้ขยับตัวมายืนปิดด้านหน้าของผม ก่อนจะล้วงมือเข้าไปควานหาให้แทน

ให้ตายเถอะ จมูกผมแทบจะชนคางของเขาอยู่แล้วนะ

“อันนี้รึเปล่าครับ” โฬมชูกล่องเล็กๆ สีดำให้ดู ผมก็พยักหน้าหงึกหงัก

แต่เมื่อพนักงานเปิดฝากล่องออกมาก็รีบร้องห้ามทันที

“เจาะครั้งแรกต้องใส่จิวก่อนนะคะ”

“เอ๋?” ผมเลิกคิ้ว ร้องเสียงหลง

“ยังใส่ห่วงไม่ได้ค่ะ ต้องรอให้แผลแห้งก่อน”

ผมก็เลยได้แต่พยักหน้าแล้วเข้าไปหยิบๆ จับๆ เลือกจิวแทน

หน้าผมคงหงอยน่าดู โฬมถึงได้ใช้มืออีกข้างลูบหัวปลอบเบาๆ

“จิวก็มีลายเท่ๆ นะครับ” เขาหยิบพวกลายไม้กางเขน ดาวและพระจันทร์มาให้ผมดู ผมก็มองแล้วส่ายหน้าทันที ก่อนจะเลื่อนจิวกลมๆ สีดำให้พนักงานแทน

“อันนี้ครับ”

“อันนี้นะคะ” พนักงานถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ผมก็พยักหน้าให้หนึ่งทีแทนคำพูด

เกิดช่วงเวลารอคอยขึ้นมาครู่หนึ่งเมื่อพนักงานทั้งสองกำลังเตรียมอุปกรณ์สำหรับเจาะ ผมเลยยืนมองต่างหูลายอื่นๆ ไปเพลินๆ ในขณะที่โฬมยังจ้องกล่องสีดำที่วางอยู่บนตู้กระจก ซึ่งเป็นต่างหูที่ผมได้แถมมาฟรีจากร้านเสื้อผ้าร้านประจำ

“ฟ้าครับ”

“ครับ?” ผมหันไปตามเสียงเรียก ก็พบว่าโฬมชี้นิ้วมือไปที่ต่างหูห่วงห้อยกางเขนของผม

“ผมขอได้ไหมครับ”

“โฬมอยากได้เหรอครับ”

“ครับ” โฬมตอบพร้อมรอยยิ้ม

“เอาเลยครับ เหลือไว้ให้ผมคู่หนึ่งนะ” ผมยิ้ม ยกให้อย่างใจกว้างเพราะยังไงก็คงไม่ได้ใส่มันในเร็ววัน กว่าแผลจะแห้ง พนักงานบอกว่าประมาณสองเดือน

ถึงตอนนั้นผมอาจจะหาต่างหูฟรีที่เพิ่งได้มานี้ไม่เจอแล้วก็ได้ ยิ่งเป็นพวกเก็บของจนลืมอยู่ด้วย

“ผมขออย่างละข้างนะครับ”

“...?” ผมไม่เข้าใจ แต่โฬมก็ไม่ยอมอธิบายอะไรมากกว่านี้

“มานั่งตรงนี้เลยค่ะ” เสียงพนักงานเรียกดังขัดขึ้นมาก่อน ผมเลยหันไปตอบรับแล้วเดินดุ่มๆ ไปยังเก้าอี้หัวโล้นที่อยู่มุมหนึ่งของร้าน โฬมก็ตามมาติดๆ เพราะมือพวกเรายังจับกันไว้อย่างเหนียวแน่น

ผมเห็นพนักงานทั้งสองลอบยิ้มใส่กันด้วย!

โฬมยอมปล่อยมือผมในที่สุดเมื่อพนักงานบอกว่าจะเจาะสองข้างพร้อมกัน แต่เขาก็ไม่ไปไหนไกล ยังยืนส่งยิ้มอบอุ่นอยู่ตรงหน้า ในขณะที่ผมใจเสียไปแล้วตอนเห็นปืนยิงสองอันที่อยู่ในมือของพี่สาวทั้งสองคน

ไม่เจาะแล้วได้ไหมครับ!

ผมตัวเกร็ง ยิ่งตอนที่ดินสอมาร์คจุดแตะลงบนติ่งหู หลังของผมก็ตรงดิ่งขึ้นมาทันที

คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคงสังเกตเห็น ร่างสูงเลยขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม วางมือลงบนหัวผมแล้วบีบนวดเบาๆ ให้รู้สึกผ่อนคลาย

“กลั้นหายใจแปบเดียวก็เสร็จแล้วครับ”

ผมส่ายหน้า

“ไม่เจาะแล้วได้ไหม” ผมว่าเสียงสั่น เผลอสะดุ้งสุดตัวตอนสำลีชุ่มแอลกอฮอลล์แตะลงบนติ่งหูทั้งสองข้าง ผมคว้าชายเสื้อของโฬมไว้ เงยหน้ามองเขาอย่างอ่อนวอน

ไอ้ความเจ็บปวดตอนเด็กที่ฝังใจกำลังเผาความกล้าของผมจนไม่เหลือหลอแล้ว

ผมเหมือนเห็นภาพตัวเองที่พยายามเข้าร้านเจาะหูมาตลอดตั้งแต่มอปลายซ้อนทับเข้ามา ทุกๆ ครั้งจะมีเพื่อนมาด้วย และเพื่อนไม่เคยบังคับให้ผมนั่งลงรับเข็มได้สักครั้ง โดยเฉพาะไอ้เก่งกาจที่แม้จะชอบทำร้ายร่างกาย แต่ก็แพ้ทางสายตาลูกหมาของผมทุกที

หูของเก่งกาจที่ต้องเจาะแทนผมนั้น มีมากกว่าสองรูแน่นอน!

“มันเจ็บ” ผมเบ้ปาก ไม่ค่อยกล้างอแงกับโฬมเท่าไหร่เพราะไม่ใช่คนสนิทแบบทุกครั้ง

โฬมแค่ยิ้ม ลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าให้พนักงานสอดรูปืนเข้ามาที่หูผมทั้งสองข้างได้เลย

ให้ตายเถอะ!

ผมหลับตาปี๋ กำเสื้อราคาแพงของโฬมจนน่ากลัวว่ามันจะขาด ความเจ็บแล่นจี๊ดเข้ามาพร้อมกันทีเดียว ผมกลั้นหายใจอยู่สักพักจนโฬมสะกิดบอกว่าเสร็จตั้งนานแล้ว

ผมเหวอเลย

มันไม่ได้เจ็บเหมือนที่ผมคิด

คงเพราะปืนยิงจิวหูสีดำนั่นเข้ามาทีเดียว ต่างจากตอนเด็กๆ ที่เพื่อนผมค่อยๆ กดเข้ามาช้าๆ จนกว่าจะทะลุ ผมมองตัวเองในกระจกถือที่พนักงานยื่นมาให้

น้ำตาจะไหล เหมือนบรรลุภารกิจระดับ A ที่ไม่เคยผ่านมาหลายปี

ผมสำรวจหูตัวเองด้วยการหันซ้ายหันขวา ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาหยีลงให้โฬมที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ ผมเห็นร่างสูงชะงักอีกแล้ว เหมือนวันแรกที่เจอกันเลย แต่ไม่นานโฬมก็กลับมายิ้มให้ผมพร้อมกับชวนไปชำระค่าใช้จ่าย

หลายร้อยเหมือนกันเมื่อรวมค่าต่างหูไปด้วย

ผมได้ยาทาแก้อาการบวมกับอักเสบมาหลอดนึง พร้อมคำแนะนำว่าห้ามว่ายน้ำหรือรุนแรงกับหูตัวเองเป็นเวลาสามเดือน ผมก็พยักหน้ารับคำอย่างดี เก็บขงเก็บของลงถุงให้เรียบร้อยก่อนจะเดินผิวปากออกมาจากร้าน โดยมีโฬมที่ช่วยหยิบถุงกระดาษของผมไปช่วยถือสองถุง

“ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“โห ผมอยากเจาะมาตั้งนาน ก็ต้องดีใจอยู่แล้วครับ” ผมบอก ยังคงยิ้มไม่หุบ นี่ถ่ายรูปตัวเองอัพลงทวิตเตอร์พร้อมไอจีเรียบร้อย ไม่สนว่าติ่งหูตัวเองจะยังแดงแจ๋อยู่ก็ตาม

“น่ารักจังครับ”

“เอ๋?” ผมหันไปส่งเสียงถามเมื่อไม่ได้ยินที่โฬมพูด เพราะเขาพูดในลำคอด้วยเสียงที่เบาเว่อร์ๆ แต่โฬมกลับส่ายหน้าแล้วสอดมือเข้ามาจับมือข้างเดิมของผมแทน

“กลับกันครับ ฟ้าเอารถมาหรือเปล่า”

“เปล่าครับ” ผมตอบไปพลางมองมือข้างนั้นไป

จับมืออีกแล้ว

นี่เรียกว่าทำเนียนหรือเปล่า?

“งั้นผมไปส่งที่คอนโดนะครับ”

“รบกวนด้วยนะครับ” ผมยืดอกรับความสบายเต็มที่ ของรุงรังขนาดนี้ แถมยังแอบปวดๆ ตึงๆ หูทั้งสองข้าง ขอนั่งรถสบายๆ กลับบ้านดีกว่า

ยังไงคนจีบกันไปส่งกันก็คงไม่แปลกหรอก

ให้ตายเถอะ ทำไมพูดเองแล้วผมต้องเขินเองด้วยเนี่ย!




 :z13: :z13: :z13: :z13:
ต่อข้างล่างงงงงงงง

ออฟไลน์ หะมายด์เอง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-1
โฬมมาส่งผมที่หน้ารั้วคอนโดเหมือนเดิม เขาจอดเทียบข้างทางก่อนจะช่วยผมเอื้อมไปหยิบถุงเสื้อผ้าที่เบาะหลัง ผมเอ่ยขอบคุณเขาก่อนจะเตรียมตัวลงจากรถ

แต่ต้นแขนกลับถูกรั้งไว้ด้วยฝ่ามือหนา

“ครับ?” ผมหันกลับไป เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ยังมีเครื่องสำอางค์โปะอยู่ในระยะประชิดก็ตกใจผงะก็นิดนึง “เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ฟ้าครับ” โฬมจงใจพ่นลมหายใจร้อนๆ ของเขาลงบนแก้มผม

ผมรู้ ผมเริ่มจะรู้แล้วตั้งแต่เขาเนียนจับมือผมในห้าง

ผมเลยเงียบ รอดูว่าคนตัวสูงจะทำอะไรต่อไป กลิ่นมิ้นต์จากหมากฝรั่งที่โฬมเคี้ยวหลังทานข้าวยังมีกลิ่นอ่อนๆ โชยออกมา ผมพลันนึกย้อนไปถึงจูบแรกของเราอีกครั้ง

ไอ้ความต้องการอยากจูบพุ่งทะลักทลายเข้ามาในอกจนผมอึดอัดคับแน่น

ผมมองสบกับดวงตาสีนิลที่ทอดมองมาด้วยความเอ็นดู โฬมคลี่ยิ้มจางๆ กดปลายจมูกแตะลงบนผิวแก้มผมเบาๆ ก่อนจะผละออกไป

“ฝันดีนะครับ”

อ่า... ผมคิดว่าเขาจะจูบเสียอีก

เมื่อกี้เกือบหลับตาไปแล้ว ให้ตาย

“ฝันดีครับ” ผมตอบรับคำลาของเขา แต่กลับไม่มีใครขยับกายออกห่างกันเลยสักมิลเดียว

ผมหลุบตามองริมฝีปากสีอ่อนที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า กลืนน้ำลายก้อนเล็กลงคอพลันคิดถึงคำสั่งของเพื่อนสนิทว่าห้ามไปทำอะไรโฬมอีก จนกว่าจะรู้ความรู้สึกตัวเอง

แต่ผมว่าผมก็รู้ความรู้สึกตัวเองตอนนี้ดีนะ

ก็ความรู้สึกที่ผมอยากจูบเขาไง

ผมเม้มปาก ยังคงมองจ้องเข้าไปในดวงตาพราวระยับของคนตรงหน้าอยู่อย่างนั้น จนตัดสินใจกับตัวเองว่าควรยับยั้งชั่งใจเอาไว้ก่อนถึงได้เอ่ยขอตัวแล้วรีบเปิดประตูรถกระโดดออกมาในทันที

ผมวิ่งไม่คิดชีวิต กดลิฟต์รัวๆ แล้วพุ่งเข้าไปในห้องทันทีที่มาถึง

โทรศัพท์มือถือถูกต่อสายหาเพื่อนที่เพิ่งไปหามาเมื่อวาน ระหว่างรอปลายสายรับก็เดินวนทั่วห้องด้วยความร้อนอกร้อนใจ ไฟบางอย่างกำลังแผดเผาจนผมนั่งอยู่กับที่ไม่ได้

[มีอะไร?]

“เก่ง ช่วยด้วย”

[อะไรของมึงอีกเนี่ย]

“เก่ง กูอยากจูบเขา กูอยากจูบอีก กูต้องทำยังไง!”

________________________
Talk: เรื่องเจาะหูตอนเด็กๆ นี่เรื่องจริงจากเราเอง 5555 เจ็บมากๆ เลยแง้
ยาวมากๆ ตอนนี้ ไม่รู้จะเวิ่นไปเปล่า แต่นิสัยเจ้าสกายคือค่อยๆ เล่า ค่อยๆ บอก
 :katai4: :katai4: น้องยังคงหมกมุ่นกับจูบอยู่ เพราะเด็กเพิ่งเคยลอง เพิ่งรู้ว่ามันรู้สึกดี 5555
เด็กน้อยเอ้ยยยยย พงเพลงหนูจะเสร็จไหมคะเนี่ย

ฝากเจ้าสกายด้วยนะคะ รักทุกคนเลย จุ้บ :กอด1:

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
จูบเลยค่ะ อย่าช้า

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
สก๊ายยยยยยยย อาการหนักขนาดนี้ก็รู้ตัวสักทีเถอะค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2662
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
อ่อยเก่ง

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
น้องอย่าคิดมากค่ะ อยากจูบก็จูบเลย ส่วนคนพี่ก็เนียนเก่งค่ะ เนียนจับมือน้องเรื่อยเลย

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 578
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :o8:  :-[  :impress2: คนพี่เนียนได้ใจมากกกก  :hao7: คนน้องก็น่ารักกกก  :hao3: ถ้าพี่ไม่จูจุ๊บสักที น้องจัดเองเล๊ย...  :hao7:  :hao7:  o13

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เอ็นดู 555555555555

ออฟไลน์ หะมายด์เอง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-1
บทที่ 12




“เพิ่มเสียงกลองท่อนนี้หน่อยดีไหมครับ” ผมที่กำลังนั่งอยู่หน้าเครื่องสังเคราะห์เสียงกับหูฟังแบบครอบอันใหญ่หมุนเก้ากี้หันไปหาคนที่นั่งอยู่ข้างกัน บนหัวโฬมก็มีหูฟังแบบเดียวกันสวมไว้อยู่ ผมซื้อตัวแยกแจ็กมาต่อเพิ่มเพื่อจะได้ไม่ทำงานได้แบบง่าย
ตอนนี้พวกเรากำลังทำทำนองเพลงให้เรียบร้อยก่อนที่จะเริ่มต้นอัดเสียงเดโม่ไปเสนอท่านประธาน

นับจากวันที่ผมเจาะหู ก็ผ่านมาราวๆ อาทิตย์กว่า งานก็คืบหน้ามามากเพราะเนื้อเพลงของโฬมเสร็จหมดแล้ว ในส่วนของผมก็รอบีทให้เรียบร้อยจะได้ปรับแก้ท่อนแรปเป็นครั้งสุดท้าย

“ผมว่าอันเก่าดีแล้ว แต่อยากได้เสียงปรบมือเข้าไปด้วย ช่วงท่อนนี้สแนร์ก็ดังไป” โฬมใช้ปากกาในมือจิ้มๆ ลงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่โชว์โปรแกรมตัดต่อเสียงอยู่ ผมพยักหน้า ลองลากเม้าส์ไปลดเสียงแล้วเพิ่มนั่นนู้นนี่ตามคำแนะนำ
พวกเราจมอยู่ในห้องสตูดิโอนี้มากว่าสามชั่วโมงแล้ว ยิ่งงานใกล้เสร็จผมก็ยิ่งมีแรงขับเคลื่อนให้พยายามทำมันต่อไป นึกอยากให้เพลงออกมาเป็นรูปเป็นร่างเร็วๆ

อ่า คงมีคนสงสัย

หลังจากวันนั้นที่ผมโทรไปหาเก่งกาจ ก็โดนบ่นไปชุดใหญ่พร้อมกับบอกมาว่าถ้าอยากจูบนักก็ให้ไปหามัน ผมเลยได้แต่ทำหน้าแหยงๆ แล้วบอกว่าไม่อยากแล้วก็ได้ จากนั้นมาก็เลยพยายามห้ามความรู้สึกตัวเอง ระยะเวลาที่ผ่านมาทำให้ผมดีขึ้น แม้จะแอบลอบมองปากของโฬมบ่อยๆ แต่ผมไม่ได้นึกจินตนาการถึงตอนที่เขากดจูบลงมาอีกแล้ว

อันที่จริงก็มีบ้าง แต่ไม่ได้บ่อยจนเก็บเอาไปฝันอีก

ตอนนี้ระหว่างผมกับโฬมมีแค่ดนตรีกับเนื้อเพลงเป็นตัวเชื่อมต่อ อาจจะบวกกินข้าวด้วยกันและไปรับส่งที่คอนโดเพราะรถผมส่งเข้าศูนย์ไปเรียบร้อยแล้วเมื่อสามวันก่อน

บ้านของโฬมไกลจากที่นี่พอสมควร ผมเกรงใจมากๆ และบอกไปแล้วว่าสามารถเดินทางไปเองได้เพราะสตูฯ อยู่แค่ตรงนี้ แต่โฬมกลับดื้อและโผล่มารอที่หน้าคอนโดก่อนทุกที

“ฟ้าครับ พักก่อนไหม” เสียงของใครอีกคนในห้องดังขัดความคิดที่เริ่มไปไกลของผม หูฟังถูกดันออกไปคล้องไว้ที่คอโดยฝีมือของโฬม ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เสียงกระดูกลั่นดังกร๊อบเมื่อผมขยับคอซ้ายขวาจนสุดเพื่อคลายเมื่อย

โฬมเดินไปเปิดตู้เย็นเล็กหยิบน้ำดื่มออกมาสองขวด ผมกล่าวขอบคุณเขาแต่ยังไม่ได้ดื่มในทันที การนั่งจดจ่อมาทั้งวันเล่นเอาทั้งเมื่อยขบทั้งดวงตาล้า ผมปิดเปลือกตาลง ปล่อยให้ลมแอร์เย็นฉ่ำตกกระทบใบหน้า

เกิดความเงียบขึ้นเมื่อต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันพักผ่อน ผมเอาขวดน้ำเย็นมาโปะตาไว้ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น มีไลน์จากเพื่อนสนิทแจ้งเตือนเข้ามาตั้งแต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน ช่วงนี้เก่งกาจติดต่อผมมาบ่อยเกินปกติ คอยถามไถ่ชีวิตความรักผมแบบตามติดยิ่งกว่าเรียลลิตี้

เก่งบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มันต้องการรู้ความเป็นไปทั้งหมด ผมที่ต้องการที่ปรึกษาอยู่แล้วก็ยิ้มกริ่มน้อมรับความหวังดีนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเก่งกาจอยากรู้อยากเห็นแบบนี้ กว่าผมจะได้คุยกับเพื่อนที่เดือนสองเดือนครั้งนั่นแหละ


เก่งไม่เก่งมาลองสิ: สกาย นี่อะไรยังไง
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: sent you a photo.



ผมกดขยายรูปนั้นให้ใหญ่เต็มจอ มันเป็นภาพแคปมาจากจอโทรศัพท์ของอีกฝ่าย เป็นเพจของนิตยสารซุบซิบชื่อดังพร้อมกับรูปผมที่หราอยู่กลางภาพ



เปิดตัว! คู่ขาคนใหม่ของนักร้องหนุ่ม โฬม ลภณ



ผมเม้มปาก มองวงกลมมุมขวาบนที่เป็นภาพแอบถ่ายในห้างใกล้คอนโดของผม ทั้งตอนที่พวกเราเดินจับมือกัน ตอนที่นั่งทานข้าวในร้านอาหารญี่ปุ่น และตอนที่ผมกำลังเจาะหูโดยมือยังขยำชายเสื้อเชิ้ตของโฬมไว้แน่น
แม้ภาพจะไม่ชัดเหมือนซูมมาจากที่ไกลๆ ที่เพราะรูปผมที่แปะอยู่ข้างๆ ก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่าใครคือคู่ขาใหม่คนนั้นที่เขาพาดหัวข่าวถึง



ตายแล้ว! อกอีแป้นจะแตก

หลังจากมีข่าวว่านักร้องหนุ่ม โฬม ลภณ เปิดเผยว่าตัวเองเป็นเกย์หลังมีข่าวฉ๊าวฉาวออกมาจากปากของแฟนหนุ่มคนเก่า จนทำให้ห่างหายไปจากหน้าจอเนิ่นนาน ในที่สุดหนุ่มโฬมก็เปิดตัวคู่ขาคนใหม่ที่เจ๊ก็ยังไม่แน่ใจว่าตกลงคบเป็นแฟนกันหรือยัง ก็เล่นจับมือควงกันเดินห่างไม่แคร์สายตาใคร เปิดเผยซะขนาดนี้ก็ให้ชาวเน็ตอย่างเราๆ ตัดสินกันเอาว่าตกลงหนุ่มน้อยคนนี้เป็นใครอะไรยังไง

และคู่ขาคนใหม่นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน น้องสกาย แรปเปอร์หนุ่มหน้าใหม่ที่กำลังฮอตฮิตสุดๆ กับผลงานเพลงสะท้อนสังคมกับหน้าตาที่ต้องบอกว่าใครเห็นใครก็ต้องเอ็นดู เจ๊ก็แอบตามเพลงน้องมานานสองนาน ไม่เห็นรู้เลยว่าน้องสกายจะเป็นกับเขาด้วย ถ้ารู้อย่างนี้เจ๊เข้าหาก่อนใคร ไม่ยอมให้หนุ่มโฬมได้ขโมยไปครอบครองหรอก!

ไว้ถ้าเจ๊มีโอกาสได้พบกับคนทั้งสอง เจ๊จะถามมาให้ว่าตกลงคู่นี้อะไรยังไงกันแน่ แต่บอกไว้เลยว่า ดูจากรูปที่มีมือดีส่งมาให้ เรียกว่าหวานเจี๊ยบจนทั้งชะนีเก้งกวางต้องปิดตาหนีด้วยความอิจฉาเลยทีเดียว

แหมแหมแหม ถ้ามาบอกว่าไม่ได้คบกัน ก็ไม่มีใครเชื่อแล้วนะคะแบบนี้




ผมอ่านแคปชั่นเหนือภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มันไม่ได้เจ็บปวดเพราะทางเว็บก็ไม่ได้พิมพ์ด่าอะไร แต่ถ้าผมเป็นโฬมแล้วมาเห็น ก็อาจจะแสบๆ คันๆ กับถ้อยคำแอบกัดเล็กๆ นั้นพอสมควร พอคิดแบบนั้นก็อดเหลือบตามองคนที่นั่งแต่งรูปเพื่ออัพลงไอจีอยู่ข้างๆ ไม่ได้

โฬมจะเห็นข่าวรึยังนะ

ดูจากวันที่ของโพสต์ก็หลังจากที่พวกเราไปเดินห้างด้วยกันแค่สองวัน แต่นี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์

ผมไม่รู้เลยว่ารอยแผลที่ยังอยู่ในใจของโฬมมันใหญ่แค่ไหน ไม่รู้ว่าแรงสะกิดเล็กๆ นี้เพียงพอจะทำให้เลือดซึมออกมารึเปล่า มันเป็นความห่วงกังวลที่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน อยู่ๆ ผมก็รู้สึกร้อนรน อยากจะถามเขาว่าเป็นยังไงบ้าง แต่ถ้าโฬมยังไม่เห็น ก็เหมือนกับเป็นการเอาน้ำเสียเทลงในคลองรึเปล่า

“มีอะไรรึเปล่าครับ” คนตัวสูงที่กดอัพโหลดรูปเสร็จกันมาถามผม คงเพราะผมจ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาแบบโต้งๆ มาหลายนาที คิ้วดำสวยเลิกขึ้นเชิงถาม

“ปะ เปล่าครับ” เสียงผมกะตุก รีบก้มลงจัดการหน้าจอมือถือตัวเอง

แต่เหมือนอีกคนจะจับได้

“ข่าวเหรอครับ”

“เอ่อ...” ผมเม้มปากเมื่อได้ยินคำถามนั้น แต่โฬมก็แค่ฉีกยิ้มบางๆ มาให้ พร้อมกับเลื่อนมือมาลูบศีรษะผมเบาๆ

“เห็นตั้งนานแล้วครับ”

“...” นั่นน่ะสิ ก็คงมีแค่ผมที่รู้ข่าวช้ากว่าชาวบ้าน

“ฟ้ารู้สึกแย่ไหมครับ”

“เรื่องอะไรครับ”

“เรื่องข่าวนั่นไง”

ผมส่ายหน้า “ผมเฉยๆ ยังไงเขาก็ไม่ได้ด่าอะไรเสียๆ หายๆ”

“ไม่กลัวเหรอครับ เป็นข่าวกับผมนะ” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนเหมือนเดิม แต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนยามต้องไฟกลับเต็มไปด้วยร่องรอยบางอย่าง

ผมพยายามเพ่งมองเข้าไป ท่ามกลางฉากหน้าที่ทาบลงมาปิด มันมีบางอย่างที่เต้นเร้าอยู่ในนั้น ดิ้นรนด้วยความทรมานราวกับคนจมอยู่ในน้ำและกำลังขาดอากาศ

“ผมต้องกลัวเหรอครับ” ผมถาม ปรับน้ำเสียงตัวเองลงมาจากเดิมหนึ่งระดับ หันเก้าอี้เข้าหาคู่สนทนาที่ยังคลึงนวดหัวผมเบาๆ ไม่เลิก

คนตรงหน้าก็ยังเหมือนเดิม เป็นคนที่มีรอยยิ้มสดใสแจกจ่ายให้แก่คนรอบตัว แม้ผมจะรู้มาตั้งแต่ต้นว่าหลังรอยยิ้มอบอุ่นกับ
บรรยากาศแสนสงบนี่มันมีความอึมครึมของเมฆฝนปกคลุมอยู่ แต่เมื่อก่อนผมก็เลือกที่จะเมินผ่านมันไป และปล่อยให้พวกเราอยู่ด้วยกันในฐานะของเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน

แต่เมื่อความสัมพันธ์มันเขยื้อนขึ้นมาจากขั้นเดิม ความรู้สึกมันก็แปรเปลี่ยนไปตามช่วงเวลากับความผูกพันที่เพิ่มมากขึ้น ถึงผมอาจจะยังไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกชอบพอโฬมแล้วหรือยัง แต่บางอย่างก็ชัดเจนมากพอที่เด็กประถมจะยังมองออก
ผมกำลังเป็นห่วงเขา

เป็นห่วงผู้ชายที่กำลังฉีกยิ้มปลอบประโลมมาให้ผมคนนี้นี่แหละ

“ฟ้าควรกลัวนะครับ สื่อมีผลต่อคนทั้งประเทศเลยนะ”

“แล้วโฬมกลัวไหมครับ”

“...”

ได้ผล คำถามของผมทำเขาชะงักไปในทันที

มันเหมือนกับการยิงปืนแล้วเข้าเป้ากลางรอยเปอร์เซ็นต์ รอยยิ้มของโฬมค่อยๆ คลายลง แม้เขาจะพยายามยื้อมุมปากของตัวเองให้รั้งขึ้น แต่มันก็ไม่เป็นผลอีกแล้ว

ผมเหมือนไม่อาจควบคุมปากตัวเองได้อีก ดวงตาสีน้ำตาลที่เริ่มปิดบังอะไรไม่ได้ทำให้ผมเลือกที่จะทำตามสิ่งที่หัวใจสั่ง

“โฬมกลัวมันเหรอครับ” ผมถามย้ำ มองฝ่ามืออุ่นที่ถูกยกออกไปจากศีรษะ มันตกลงบนตักของโฬมก่อนที่ผู้ชายตรงหน้าจะคลี่ยิ้มเศร้าสร้อยส่งมาให้

“กลัวสิครับ” เขาตอบ พร้อมหลุบตามองไปทางอื่นอย่างผิดปกติ “เวลาโดนคนไม่รู้จักมารุมด่า มันก็ต้องรู้สึกแย่เป็นธรรมดา ผมรับมือกับเรื่องแบบนี้ไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่เสียด้วย”

ผมอยากจะถามเขาออกไป ว่าจริงๆ แล้วเขาแค่กลัวคนอื่นมารุมด่า หรือจริงๆ แล้วมีอย่างอื่นที่ทับถมจนกลายเป็นตะกอนผลึกใหญ่ ที่ไม่ว่าจะราดน้ำพยายามกร่อนมันให้สลายยังไง ตะกอนนั้นก็ยังตั้งตระหง่านอยู่กลางพื้นที่ในหัวใจเหมือนเดิม

แต่ผมไม่กล้าพูด

โฬมหลุดมาดของเขาแล้วเพราะแค่คำถามง่ายๆ คำเดียว ผมเลยเลือกที่จะหยุดปากลง ยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปหาคนที่ยังเบนสายตาหนีกันอยู่

“คราวนี้โฬมมีผมนะครับ”

“...?” เขาเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความไม่เข้าใจ

“ตอนนั้นโฬมอาจไม่มีใคร พวกเขารุมคุณคนเดียว” ผมพาดพิงไปถึงเรื่องเก่าๆ “แต่ตอนนี้ในข่าวไม่ได้มีแค่โฬมนะครับ ถ้าจะโดนด่ายังไง ก็โดนกันทั้งคู่”

“แบบนั้นคงไม่ดีมั้งครับ”

“ความเศร้า ถ้าได้แบ่งกัน มันก็ไม่หนักเท่าเดิมนี่ครับ”

“...”

“เมื่อก่อนโฬมอาจจะโดนคนทั้งร้อยคนด่า แต่ตอนนี้อาจจะแค่ห้าสิบคนที่ด่าโฬม อีกห้าสิบที่เหลือก็จะแวะมาด่าผมบ้าง” ผมส่งยิ้มให้เขา เลือกที่จะดึงผู้ชายที่ดูราวจะแตกสลายเพราะเขายังพยายามฝืนยิ้มอยู่เหมือนเคยเข้ามาในอ้อมกอด “ทีนี้คนที่ด่าโฬมก็จะเหลือแค่ห้าสิบคนเองนะครับ”

โฬมหัวเราะเบาๆ เขาเอนหัวพิงหน้าท้องของผม ก่อนจะพาดมือข้างหนึ่งมาโอบรัดบั้นเอวของผมไว้หลวมๆ

“ใจดีเหมือนเดิมเลยนะครับ”

“แบบนี้เรียกว่าใจดีเหรอครับ”

“ขนาดเพื่อนผมยังไม่เคยปลอบผมแบบนี้เลย” โฬมบอกเสียงอู้อี้เพราะเขายังมุดหน้าอยู่ที่เดิม

“ผมก็แค่ปลอบคนอื่นเก่ง” ผมบอกในความสามารถของตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงอยู่กับเก่งกาจ เพื่อนที่มีเรื่องน่าเศร้ามาทั้งชีวิตไม่ได้หรอก ผมปลอบใจเพื่อนจนมันฮึดกลับมาสู้ใหม่ได้เป็นสิบๆ รอบ ทำไมกับแค่ผู้ชายตรงหน้าผมจะช่วยให้กำลังใจเขาไม่ได้

“เพราะฟ้าแบบนี้ถึงได้น่ารักไงล่ะครับ” โฬมเงยหน้าขึ้นมาแล้ว หลังจากที่เขาซุกจมูกอยู่ที่หน้าท้องผมจนต้องแขม่วเอาไว้เพราะกลัวอีกคนจะรับรู้ถึงพุงกลมๆ ของตัวเอง

“ชมว่าน่ารัก มันก็จะรู้สึกแปลกๆ หน่อยนะ” ผมว่ากลั้นหัวเราะ เขาน่าจะกลับไปชมว่าผมใจดีเหมือนเดิมดีกว่า พอได้ยินผู้ชายหน้าตาดีบอกว่าผมน่ารัก หัวใจมันก็จั๊กกะจี๊ขึ้นมาเสียเฉยๆ

“น่ารักถูกแล้วครับ”

“เอ่อ...”

“ก็ฟ้าน่าที่จะถูกรักจริงๆ นะครับ” โฬมบอก

เขาเล่นคำว่าน่ารัก กับน่า-รักเนี่ยนะ!

แถมดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นก็กลับมาทอประพายวิบวับอีกแล้ว ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังเต็มไปด้วยหมอกอึมครึมอยู่เลย

ผมเบนหน้าหนีซ้อนไอร้อนที่ข้างแก้ม คิดว่าควรกลับไปทำเพลงได้แล้วแต่เขนที่ตอนแรกกอดเอวไว้อย่างหลวมๆ กลับกระชับแน่นขึ้นจนผมขยับตัวไปไหนไม่ได้

“เอ่อ โฬมครับ”

“ครับ?”

“ผมจะไปทำเพลงต่อ” ผมชี้ไปที่เก้าอี้ตัวเอง แต่โฬมกลับคลี่ยิ้มส่งมาให้โดยไม่คลายอ้อมแขนออก อีกทั้งยังโอบแขนอีกข้างเข้ามารัด จนกลายเป็นว่าตอนนี้ผมอยู่ในอ้อมกอดแข็งแกร่งโดยสมบูรณ์

“คือว่า...”

“ขอกอดแปบเดียวนะครับ”

“...”

“ฟ้าเป็นแหล่งกำลังใจที่ดีมากๆ เลย แค่ได้กอดก็รู้สึกดีขึ้นมาง่ายๆ” โฬมบอกพร้อมกับกดหน้ามุดท้องผมอีกครั้ง ส่วนหน้าผมที่สะท้อนกับจอคอมพิวเตอร์ก็กำลังแดงซ่าน

ไอ้กอดปลอบตอนแรกมันก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก เพราะผมมัวแต่สนใจสรรหาคำพูดดีๆ อยู่เลยไม่ได้สนใจสัมผัสร้อนจากอุณหภูมิร่างกายของใครอีกคนที่เข้ามาแนบชิด

แต่เมื่อมันไม่ใช่กอดปลอบ ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ผมเม้มปากอีกแล้ว ไม่กล้าพูดอะไรหรือแม้แต่จะหายใจตามปกติก็ยังไม่กล้า ผมทำได้แค่ค่อยๆ หุบเอาอากาศเข้าปากช้าๆ จนเริ่มรู้สึกอึดอัดที่หน้าอก

“ฟ้าครับ” โฬมร้องเรียก แต่ผมไม่ได้หันไปมองหรือขานรับอะไร “ขอบคุณนะครับ”

“มะ ไม่เป็นไรครับ”

จุ๊บ

เฮือก!

ผมสะดุ้งโหยงเพราะอยู่ๆ ก็เกิดเสียงจุ๊บพร้อมกับสัมผัสที่หน้าท้อง โฬมกดจูบผ่านเสื้อของผมพร้อมทำเสียงน่าอายนั่นอย่างจงใจ ดวงตาสีน้ำตาลช้อนขึ้นมามองก่อนจะกระตุกมุมปากยิ้มอย่างพออกพอใจกับปฏิกิริยาของผม

“ชอบฟ้านะครับ”

เขาบอก พร้อมกับจูบลงท้องผมอีกครั้ง

คราวนี้เหมือนได้ยินเสียงดังโพล๊ะในหัว ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะกลายเป็นขาวโพลนไปหมด

ฮือ เก่ง ช่วยด้วย!


_____________________
Talk: มาแล้วค่าาาาา
จริงๆ ถ้าเล่าเรื่องนี้ในมุมมองโฬม มันคงเป็นนิยายหม่นๆ แน่เลยแหะ
แต่พอมาเป็นสกายเล่า มันก็จะเป็นฟีลอบอุ่นแบบแปลกๆ

ส่วนนังพี่ก็เนียนไปเรื่อย มือปลาหมึก
เนียนแบบโจ่งแจ้งนี่คือก็น่าสับสนแปลกๆ

ขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ รักทุกคนเลยยยยยยย  :กอด1:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เพราะสกายปลอบเก่งหรือเป็นเพราะสกายปลอบก็ไม่รู้  :hao5:

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ฟ้าจับมือพี่ให้แน่นๆเลย สงสารพี่

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2662
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
เขาหยอดกันรถขนอ้อยคว่ำเรื่อยเลยค่ะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
อยากให้โลกนี้มีฟ้าหลายๆคน

 :L2: :L1: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ PandP

  • Déjame vivir esa fantasía.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-0
    • http://www.facebook.com/iAMpingPINGping
หวานกว่านี้ก็อ้อยเคลือบน้ำตาลแล้วค่าาา

ออฟไลน์ FrozenSnow2019

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ฮือออ  หวานไปอีกกกก :haun4:

ออฟไลน์ หะมายด์เอง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-1
บทที่ 13



เพลงของผมกับโฬมเสร็จแล้วครับ!

ผมลากไฟล์ที่นั่งหลังขดหลังแข็งแก้จนพอใจใส่แฟลชไดรฟ์เตรียมนำไปเสนอทางค่าย หลังจากเปอร์เซ็นต์ย้ายไฟล์ขึ้นครบหนึ่งร้อย ผมก็ถือโอกาสยืดตัวออกคลายความเมื่อยล้า ตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งครึ่ง ผมกับโฬมหมกกันอยู่ในสตูดิโอยาวมาตั้งแต่หกโมงเย็น เพราะผมคิดว่าอีกแปบเดียวคงเสร็จ ไหนๆ ก็อัดเสียงลงไปแล้ว เหลือแค่บีทกับบางท่อนที่ต้องมาแก้

แต่เปล่าเลยครับ ทำไปทำมา เดี๋ยวตรงท่อนนั้นรกไป ท่อนนี้บางไป ท่อนนี้ไม่พอใจ เอาใหม่ ร้องใหม่ อัดใหม่ เดี๋ยวมีเสียงแหบ เดี๋ยวเสลดติดคอ เรื่อยมาจนขึ้นวันใหม่เพลงของผมถึงเสร็จ

“อื้ออออ” ผมส่งเสียงไปพร้อมกับตอนที่บิดเอวตัวเองเป็นเกลียว โฬมก็ไม่ต่างกัน ขยับตัวยืดกล้ามเนื้อจนกระดูกแข่งกันลั่นกรอบแกรบ

“เสร็จสักทีนะครับ” โฬมหันมายิ้มให้ผมที่ยังยืดตัวไม่เลิก

“กินข้าวต้มไหมครับ ผมหิว” ผมกลับมานั่งเรียบร้อย เท้าแขนลงบนเบาะเก้าอี้ตรงช่องว่างระหว่างขา เงยหน้ามองคนที่ลุกขึ้นยืนพร้อมส่งสายตาหิวโหยไปให้

พวกเราทานข้าวเย็นกันตอนหกโมงก่อนเข้ามาสตูฯ ตอนนี้ท้องผมร้องโครกครากยังกับเสียงฟ้าร้อง

“เอาสิครับ”

เมื่อโฬมพยักหน้าผมก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วคว้ากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มาไว้ในมือทันที

พวกเราเดินลงมาที่ลานจอดรถ เป็นรถโฬมอีกเหมือนเคยเพราะเจ้าลูกชายผมยังซ่อมไม่เสร็จ เข้าอู่ไปจะครบอาทิตย์แล้ว เห็นช่างบอกต้องรออะไหล่หน่อยเพราะรถรุ่นนี้อะไหล่หายาก ผมก็พยักหน้าเข้าใจ เลยได้แต่รอต่อไปโดยมีสารถีจำเป็นอย่างโฬม ลภณเทียวรับเทียวส่ง

“เดี๋ยวไปซอยถัดไป มันมีร้านข้าวต้มกุ๊ยอยู่ร้านนึง อร่อยมากเลยครับ” ผมว่าพลางดึงประตูรถปิด

“ไปทานบ่อยเหรอครับ”

“ดึกๆ ก็ต้องมีบ้าง” ผมหัวเราะ โฬมก็เลยหัวเราะตาม

ท้องถนนยามค่ำคืนไม่ค่อยมีรถสัญจรนัก แต่ก็อันตรายเพราะแต่ละคันขับเร็วยิ่งกว่าจรวด โฬมขับรถได้สุภาพและนิ่มมากๆ ผมยอมรับความใจเย็นของเขาเลย ขนาดเมื่อกี้มีมอเตอร์ไซค์ปาดหน้าไปอย่างฉิวเฉียดเขายังไม่บ่นสักคำ มีแค่หันมาถามผมที่ร้องโวยวายด้วยความตกใจว่าไม่เป็นไรนะครับ

เมื่อเลี้ยวเข้ามาในซอยข้างๆ วิ่งไปประมาณครึ่งซอยก็จะเห็นร้านข้าวต้มริมทางที่ยังมีคนนั่งอยู่ภายในร้านประปราย โฬมเข้าจอดเทียบข้างทางเพราะบริเวณร้านไม่มีที่ให้จอดรถ ผมรอจนเขาดับเครื่องเรียบร้อยก็ค่อยเปิดประตู

ผมเดินนำเขาเข้าไปในร้าน เลือกที่นั่งใกล้พัดลมเพื่อหนียุง มีพนักงานเอาเมนูมาเสิร์ฟพร้อมยืนรอรับรายการ ผมพลิกเมนูที่เป็นกระดาษเอสี่แผ่นเดียวแต่เคลือบแผ่นใสไว้จนแข็ง

“โฬมทานอะไรครับ”

“ผมไม่เคยกิน...”

ผมยิ้มบางๆ ให้คนที่ไม่เคยกินข้าวต้มกุ๊ย

เลยจิ้มเลือกกับข้าวมาสามอย่าง เป็นผัดผักบุ้งหนึ่งจาน ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหนึ่งจาน กับยำไข่ดาวอีกหนึ่งจาน จากนั้นก็ขอข้าวต้มมาสี่ถ้วย แบ่งกันคนละครึ่ง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเอาเดโม่เข้าบริษัท” ผมชวนคุยระหว่างรออาหาร

“ให้ผมไปด้วยไหม”

“ว่างเหรอครับ”

“ว่างบ่ายครับ”

“โฬมมีงานเช้าเหรอครับ!” ผมตกใจเผลอส่งเสียงดังไป เพราะตอนนี้ก็เกือบจะตีสองอยู่แล้ว กว่าเขาจะขับรถกลับบ้านที่อยู่คนละฝั่ง กว่าจะได้นอน

ให้ตาย ทำไมเขาไม่บอกผมก่อนนะ

“ฟ้าอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ”

“ดึกขนาดนี้ ทำไมโฬมไม่บอกผม จริงๆ เพลงก็ไม่ได้รีบขนาดนั้น”

“ผมเต็มใจทำครับ” เขาคลี่ยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยว “อันที่จริงก็อยากอยู่กับฟ้านานๆ”

ฉ่า...

ผมไม่แน่ใจ ว่าเสียงที่ได้ยินนี่มจากกระทะของแม่ครัวหรือหน้าผมร้อนจนไหม้กันแน่

“เดี๋ยวตื่นไม่ไหวนะครับ” ผมเปลี่ยนเรื่อง เบนหน้าหนีหลบสายตาพราวระยับนั้นอย่างเก้อเขิน

“ไหวครับ เมื่อก่อนผมนอนน้อยกว่านี้อีกนะ”

“ไม่ดีต่อสุขภาพเลยนะครับ” ผมบอก พอดีกับที่กับข้าวสามอย่างพร้อมข้าวต้มควันฉุยมาเสิร์ฟ ผมเลยคว้าถ้วยข้าวต้มสองถ้วยมาไว้ในครอบครอง ดันที่เหลือให้โฬมที่มองด้วยความสนใจ

ข้าวต้มในถ้วยเป็นข้าวต้มเปล่าๆ ที่ไม่มีรสชาติ ไม่มีเครื่องอย่างอื่น เมื่อนำมาทานร่วมกับอาหารรสจัดๆ หน่อยอย่างยำไข่ดาวหรือผัดผักบุ้งก็นับว่าเป็นสวรรค์สุดยอด

ผมชอบมากๆ เลยตักเข้าปากเอาๆ จนถ้วยแรกหมดไปอย่างง่ายดาย

“ทานได้ไหมครับ” ผมถามตอนที่กลืนข้าวคำสุดท้ายลงคอ โฬมพยักหน้าแล้วตักอาหารเข้าปากโชว์ ผมเลยกลับมาตั้งหน้าตั้งตาเติมเต็มกระเพาะตัวเองต่อ

“พี่ครับ ขอข้าวต้มอีกถ้วย” ผมชูนิ้วชี้บอกพนักงาน คนตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกใจ

“หิวมากเลยเหรอครับ” เขาอมยิ้มขำ ส่วนผมยืดอกอย่างภาคภูมิ

“อร่อยครับ ผมชอบข้าวต้มกุ๊ยมากๆ”

“แล้วเมื่อไหร่ฟ้าจะชอบผมบ้างล่ะครับ”

“...ฮ่ะๆๆ” ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วก้มลงตักข้าวต้มเข้าปากแบบเงียบๆ เลิกคิดที่จะชวนอีกฝ่ายคุยในทันที

ไม่เอาแล้วครับ หยอดจนนึกว่าเป็นขนมครกแล้ว ให้ตาย









“สกาย ชักช้า” ผมที่รีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปหาเก่งกาจโดนบ่นทันทีที่เราสบตากันครั้งแรก ผมยกมือไหว้ใครอีกคนที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะ ก่อนจะหันไปเบ้ปากให้นายเก่งกาจ เพื่อนที่เดี๋ยวนี้ชีวิตเริ่มเข้ารูปเข้ารอยกับคนอื่นเขาบ้างแล้ว

“นั่งๆ” เฮียเต็มที่ผมไม่ได้เจอหน้าหลายอาทิตยชี้ให้ผมนั่งลงข้างๆ บนโต๊ะไม้ทรงกลมมีถังน้ำแข็งกับขวดเบียร์กองอยู่ประมาณสองโปร มีบางส่วนถูกกินหมดไปแล้ว เก่งกาจหยิบแก้วเปล่ามาใส่น้ำแข็งแล้วรินเบียร์ให้คนทั้งโต๊ะ ส่วนผมเมื่อรับแก้วมาก็ยกไปขอชนกับพี่เจ้าของร้านที่สุดแสนจะใจดี

แกร๊ง

“ทำไมอยู่ๆ นัดมาล่ะครับ” ผมถามเฮียเต็มพลางจิบของเหลวขมฝาดลงคอ

“ไอ้เก่งมันมาติดเด็กที่ร้าน เลยขี้เกียจนั่งกับมันสองคน”

ผมเลิกคิ้ว หันไปมองเพื่อนที่แค่ยักคิ้วมาให้สองที

“เด็กร้านเฮีย?”

“เออ มาทุกวัน เฮียก็ต้องเลี้ยงมันทุกวัน น่าเบื่อ” เฮียเต็มบ่นก่อนจะหันไปโบกหัวเพื่อนผมเสียงดังผัวะ

เฮียเต็มกับเก่งกาจสนิทกันก่อนหน้าผมอีก เพราะไอ้เก่งเคยมารับจ็อบเป็นเด็กเสิร์ฟที่นี่ ที่ผมได้รับความเอ็นดูจ้างงานมาเรื่อยๆ ก็เพราะมีเส้นสายด้วยแหละ เป็นไอ้เก่งที่เอาคลิปเพลงผมมาอวดเจ้าของร้านจนเฮียนึกอยากจ้างผมมาร้องเพลง

“แล้วมึงมาติดเด็กคนไหนอีกล่ะ” ผมกวาดสายตามองทั่วร้าน โดยเฉพาะแถวๆ เคาท์เตอร์บาร์เพราะมีพนักงานยืนออกันอยู่เต็มไปหมด ทั้งหมดเป็นเพศผู้อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนที่เป็นผู้หญิงนั่นคือสาวเชียร์เบียร์เสียมากกว่า

“คนที่ตัวสูงๆ” ผมมองตามนิ้วชี้ เป็นผู้ชายที่น่าจะสูงพอๆ กับโฬม ผมยาวประบ่ามัดต่ำ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย อีกทั้งยังมีรอยสักเล็กๆ ที่ไหปลาร้าเป็นรูปปีก

“สเปคเหมือนเดิมเลย”

“ก็กูชอบ”

“จะจีบอีกแล้วเหรอ”

“เออดิ”

“เพิ่งเลิกกับคนเก่าเอง”

ไอ้เก่งส่งแก้วมาให้ผมเหมือนต้องการให้ผมหยุดพูด

หลังจากผมเลิกคุยกับเพื่อนสนิท เฮียเต็มก็ค่อยๆ กลับเข้าสู่วงสนทนาอีกครั้ง แกดูเจาะจงผมเป็นพิเศษเหมือนมีจุดประสงค์ที่นัดผมมาอยู่ก่อนแล้ว

“ไอ้หนู มีอะไรจะสารภาพกับข้าไหม”

“...อะ อะไรเฮีย”

“เอ็งมีข่าวอะไรล่ะวะ เอ๊ะไอ้นี่”

“เรื่อง... โฬมเหรอครับ” ผมเสียงอ่อน แสร้งยกเบียร์ขึ้นจิบจนหมดแก้ว เก่งกาจก็ทำหน้าที่อย่างดีสมตำแหน่งเด็กเสิร์ฟเก่า แก้วผมไม่เคยว่างเกินสามวินาทีเลยสักครั้ง

“เออสิ วันนั้นยังไม่เห็นมีอะไร เป็นไงมาไงวะ”

“ก็... เอ่อ” ผมเม้มปาก กระดกของเหลวเข้าปากอักๆ พลางหันไปมองหน้าเก่งกาจเลิ่กลั่ก

“มันจีบกันอยู่อ่ะเฮีย”

“เก่ง!”

“อะไรของมึง” เก่งผลักหัวผมแล้วหันไปเม้าส์กับเฮียต่อ

“ไม่ต้องตามมันมาก็ได้ ถ้าเฮียอยากรู้ถามผมนี่”

“เออ ไหนเหลามาดิ ไอ้สกายมันไม่เห็นหัวเฮีย ไม่เคยบอกเคยเล่า รอให้ฟังจากขี้ปากคนอื่นเอา น่าน้อยใจชะมัด” เฮียเต็มเหลือบมองผมก่อนจะจ้องมองด้วยสายตาตัดพ้อปนอยากกระโจนเข้ามาบีบคอ

“ไอ้สกายมันไปดูดปากเขา เขาเลยติดใจ”

“ไม่ใช่นะ!”

“เอ็งมันไม่ได้ใสซื่อนี่หว่า”

“เฮียยยย”

ผมคร่ำครวญจากการโดนเผาแบบร้ายกาจ

เก่งกาจหัวเราะ คว้าคอผมเข้าไปกอดก่อนจะใช้มืออีกข้างขยี้จนทรงผมที่อุตส่าห์เซ็ทมาตั้งนานยุ่งเหยิงไปหมด รวมถึงเสื้อเชิ้ตที่สวมมาวันนี้ก็เละเทะไม่เป็นชิ้นดี

พวกฆาตกรรมแฟชั่นชัดๆ

“แดกเข้าไปเลยไอ้สกาย” เฮียเต็มยื่นขวดเบียร์คนละยี่ห้อมาให้ ผมมองแล้วส่ายหัวเบาๆ ตีกันแน่ๆ แค่ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกโลกเบลอๆ หมุนๆ แล้ว “กล้าปฏิเสธเหรอไอ้หนู”

“เดี๋ยวผมเมาเฮีย”

“ไม่ได้เอารถมา เมาได้” เก่งกาจยุยงพลางจุดบุหรี่สูบอย่างชิลๆ

มาเพื่อให้โดยรุมชัดๆ เลย ผมนึกว่าจะมานั่งถกคุยกันเพลินๆ ซะอีก นานๆ ทีเฮียเต็มจะนัดมาถ้าไม่ใช่เพราะมีงาน ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ผมถึงกลายเป็นเป้า รถก็ไม่มีขับ เก่งกาจก็ไม่มีรถ และถึงมันมีก็คงไม่ไปส่งผมแน่ มีแต่จะลากคอพาผมกลับหอตัวเองแล้วปล่อยผมทิ้งไว้กับผ้าเช็ดเท้าหน้าห้องน้ำ

เคยๆ มาแล้ว ทำไมจะไม่รู้

“ให้ใจข้าเท่าไหร่วะ”

“...” ผมเบ้ปาก

ประโยคแบบนี้ตลอด ท้ากันแบบนี้แสดงว่าเก่งกาจบอกจุดอ่อนผมให้เฮียรู้แน่ๆ

ผมเป็นคนให้ใจคนอื่นเกินร้อยโดยเฉพาะคนสนิท ผมเลยมักถูกท้าทายด้วยประโยคนี้ได้ง่ายๆ เป็นมาตั้งแต่สมัยเฟรชชี่แล้วครับ โชคดีที่ไม่ได้ออกตัวว่ากินหนัก กินเยอะเลยไม่ค่อยถูกเล่นงานเท่าไหร่ แถมยังมีเพื่อนของผมอีกคนที่นิสัยน่าแกล้งจนเป็นเป้าหมายแทนทำให้ผมอยู่รอดมาได้โดยไม่ถูกน้ำเมาเลี้ยงดูตลอดสี่ปี

“สกาย เอ็งให้ใจข้าแค่ไหนเอ็งกินเท่านั้น” เฮียเต็มพูดจบก็ยื่นขวดเบียร์ที่เพิ่งเปิดฝามาให้

ผมมองมันสลับกับหน้าของสองคนบนโต๊ะ เม้มปากก่อนจะยอมคว้าขวดสีชานั้นมากระดกอั่กๆ ไม่ยอมวาง หลับตายอมรับชะตากรรมในวันนี้ว่าตายแน่นอน อาจจะแฮงค์ไปจนถึงบ่ายวันพรุ่งนี้แน่ๆ

แต่เอาแค่ว่า คืนนี้จะกลับคอนโดยังไงก่อนดีกว่า





“โทรเรียกโฬมมารับไป” ผมที่ล่วงลงไปกองอยู่กับโต๊ะได้ยินเสียงของเฮียเต็มเข้ามาแว่วๆ

“จะดีเหรอเฮีย”

“คนจีบกัน ไม่เป็นไรหรอก”

“เดี๋ยวผมเอามันไปนอนหอด้วยก็ได้” คนที่คุยกับเฮียน่าจะเป็นเก่งกาจ ผมขยับยันตัวลุกขึ้นนั่ง มองภาพร้านที่เบลอและเหวี่ยงจนน่าคลื่นเหียน ขยับหัวไปซบไหล่กว้างของเพื่อนที่ยังโคลงแก้วในมือเล่นอยู่

“สร้างสถานการณ์ให้มันหน่อย”

“เฮียจะเป็นพ่อสื่อรึไง”

“บ๊ะไอ้เก่ง อย่างกูนี่สำเร็จมาแล้วสิบกว่าคู่”

“แล้วที่ไม่สำเร็จละเฮีย”

“อีกเป็นร้อย”

“ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะทำให้ร่างที่ผมใช้เป็นเสาพิงสั่นสะเทือน ผมครางฮือสอดมือเข้ากอดเอวเก่ง เหลือบตามองมันด้วยดวงตาที่เยิ้มไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลล์

“จะนอน”

“เรื้อนตลอด”

“หนวกหูอ่ะ” ผมบ่นแล้วหลับตาลงไปต่อ

“ข้าโทรบอกโฬมแล้ว เดี๋ยวมันมารับ” เฮียเต็มพูดอะไรอีกหลายคำต่อจากนั้น แต่ผมง่วงเลยไม่สามารถได้ยินมันอีก รู้แค่มีชื่อของโฬมดังลอดเข้ามา

โฬมจะมาเหรอ...





ผมวาร์ปขึ้นมาอีกครั้งในตอนที่ร่างกายถูกจับออก ผมที่กอดเอวเก่งกาจไว้แน่นพยายามขืนตัวเพราะกำลังสบาย เพื่อนผมสบถอะไรสักอย่าง แต่ผมไม่สนใจ ไถหัวเข้าไปซุกอกของเพื่อนพร้อมบ่นงึมงำ

“เก่งอย่าดิ้น กูจะนอน”

“ไอ้สกาย มึงกำลังหาเรื่องให้กู”

“เก่งงงง” ผมครางลากยาวเพราะขัดใจ เก่งเอาแต่ดันตัวผมออกอยู่นั่น

“ฟ้าครับ กลับกันได้แล้ว” ผมได้ยินเสียงนุ่มๆ ที่แสนคุ้นเคยเลยยอมลืมตาขึ้นมามอง แต่ทุกอย่างกลับวูบวาบไปหมด รวมถึงหัวก็หนักจนไม่สามารถผงกขึ้นมาได้

แขนของผมถูกดึงเหมือนจะคลายอ้อมกอดออก แต่ผมกลับรีบขยับตัวเข้าไปใหม่ อะไรอีกแล้ว ปกติเก่งกาจจะถีบผมออกในครั้งเดียว แต่พอโดนดึงโดนฉุดไม่เลิกมันก็เลยสร้างความรำคาญให้แก่ผมที่กำลังง่วงสุดๆ

“จะนอนครับ” ผมบ่น แต่ก็ดันสุภาพด้วยเพราะได้ยินคนแปลกหน้าคนนั้นพูดจาลงท้ายด้วยครับแทบทุกคำ

“สกาย ปล่อยกู” เก่งก้มลงมากระซิบ ผมย่นคิ้ว “ไอ้เหี้ย มึงลืมตามามองหน้านักร้องมึงด้วย”

“อะไร” ผมงึมงำ ขยับหัวหนีเพราะรำคาญลมหายใจที่กระทบใบหู

“ยิ้มน่ากลัวชิบหาย”

“เก่งหยุดพูดหน่อยดิ” ผมบ่น ปกติมันไม่เห็นวุ่นวายกับผมขนาดนี้

“มึงก็ปล่อยเอวกูสิ” แขนผมโดนดึงอีกครั้ง “เฮียเต็ม ช่วยผมด้วย”

“ฟ้าครับ กลับนะครับ”

ผมสู้แรงคนมากมายที่วุ่นวายกับตัวผมไม่ได้ สุดท้ายเลยปลิวไปตามแรงดึงของใครสักคน แขนผมถูกดึงให้โอบรอบคอ กอดที่บั้วเอวจะถูกประคองไว้ด้วยฝ่ามืออุ่น

“ขอบคุณที่ดูแลสกายนะครับ” เสาหลักอันใหม่ของผมหันไปพูดกับใครไม่รู้ ได้ยินเสียงเก่งกาจบอกลาแว่วๆ ผมเลยชะเง้อคอหันไปมองแล้วคลี่ยิ้มตาหยีให้เพื่อน

“บายเก่ง”

“ไม่ต้องมายุ่งกับกู” เก่งกาจตะคอกกลับ แต่ผมดันหัวเราะ

พอเมาอะไรๆ ก็สนุกไปหมดเลยแหะ ยกเว้นหัวหนักๆ ที่ผมต้องเอนพิงไหล่คนข้างๆ ร่างกายโดนลากไปตามทางเดินอย่างทุกลักทุเล ผมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างโง่งมทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่องอะไรให้ขำ

“ฟ้ากินเหล้าเมาแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ”

“เอ๊ะ... โฬมเหรอ” ผมเงยหน้ามอง เห็นเพียงสันกรามที่มีไรหนวดขึ้นจางๆ ซ้อนทับเป็นสองสามภาพ

ผมถูกยัดเข้าไปนั่งในรถ เข็มขัดนิรภัยพาดผ่านช่วงตัวด้วยฝีมือของคนที่ผมคิดว่าคือโฬม เสียงปิดประตูรถทำให้หูผมวิ้งจนต้องเบ้หน้า ที่นั่งฝั่งคนขับมีร่างกายสูงโปร่งเข้ามาเติมเต็ม เขาโน้มตัวเข้ามาหา เกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าออกให้อย่างเบามือ

“ไม่น่ารักเลยนะครับ”

“...ขอโทษครับ” ผมบอกแบบนั้นเพราะรู้สึกเหมือนกำลังถูกดุ

“ผู้ชายคนนั้นเพื่อนเหรอครับ”

“อึ่ก คนไหน อึก ครับ”

“คนที่ชื่อเก่ง”

“เพื่อนผมเอง” ผมฉีกยิ้มให้แม้ดวงตาจะปิดไปตั้งนานแล้ว หลังจากนั้นไม่นานสติก็ดับวูบตามไป ไม่รู้เลยว่าประโยคต่อจากนั้นที่โฬมตอบมาคืออะไร ผมรู้แค่ว่าแอร์รถยนต์ที่เย็นช่ำกำลังทำให้ผมนอนหลับฝันหวาน

สบายจัง




__________________________
Talk: หวา โดนพี่หึงงงงงงง
วันนี้มาแต่หัววัน เพราะเดี๋ยวจะออกไปงานหนังสือแล้วค่า
มาช้าอีกแล้ว เพราะเขียนเขื่อนคนสวยช้า อันนี้ก็เลยเลทไปด้วย
ขอโทษด้วยนะคะ ฮืออออ  :hao5: :hao5:

เราจะพยายามเขียนสต็อครอไว้ ถ้าทำได้  :katai4: :katai4:
รักทุกคนนนนน จะพยายาม 3 วันครั้งให้ได้เหมือนเดิมค่ะ!
สู้ เดี๋ยวกลับมาปั่นต่อ คนอ่านจะได้ไม่รอนานนนน

ฝากคอมเม้นให้กำลังใจด้วยนะคะ
ต่อเติมแรงกายแรงใจให้เราที ฮรุก

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ชอบเพื่อนๆของสกาย

คุณคนเขียนสู้สู้วววววว เรารออ่านตอนต่อไป

ออฟไลน์ PandP

  • Déjame vivir esa fantasía.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-0
    • http://www.facebook.com/iAMpingPINGping
พี่หึงแล้ว น้องจะโดนทำโทษมั้ยเนี่ย

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
 จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
รอจร้าาา

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2662
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
เก่งโดนดักเกบแน่

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
สกายโดนดุเลย

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ตื่นมาจะเป็นยังไงนะ 555555555555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด