10
strangers again
//
“ถึงแล้วเหรอครับ” พู่กันกรอกเสียงลงไปทันทีเมื่อกดรับสายของพี่ปัถย์ ความจริงอีกฝ่ายบอกเขาว่าจะไปเชียงใหม่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ แต่เพราะการดีลงานกับลูกค้าผ่านไปได้อย่างฉลุยก็เลยรีบบินกลับมา “พี่รอผมแป๊บนึง”
แน่นอนว่าเขาถามเหตุผลของพี่ปัถย์แล้วว่าทำไมถึงไม่อยู่เที่ยวให้ครบอาทิตย์ก่อนค่อยกลับก็ได้ความมาว่า ‘อยากเอาของฝากกลับมาให้เร็วๆ’ แต่นั่นเป็นเหตุผลรอง ส่วนเหตุผลหลักนั่นก็...
(ให้ไวครับ อยากเจอ) นี่แหละส่วนสำคัญที่พี่ปัถย์ส่งมาบอกเขาตั้งแต่วันที่ไปถึงเชียงใหม่ ขนาดเพิ่งไปถึงก็รีบทักมาบ่นว่าอยากกลับไปเจอแล้ว พู่กันหัวเราะเบาๆ กับความช่างหยอดของคนพี่ อันที่จริงเรานัดเจอกันตอนเย็นของวันนี้ แต่เพราะอีกฝ่ายต้องไปรับคุณแม่ที่เลื่อนไฟล์ทกลับมาจากเวียดนามกะทันหัน นัดของพวกเขาก็เลยล่มไปด้วย ถึงอย่างนั้นก็แก้ไขด้วยการเปลี่ยนเวลาการเจอกันให้เร็วขึ้น
พู่กันกดเปิดแอพพลิเคชั่นแชทแล้วกดซ่อนแชทที่เคยอยู่บนปักหมุดของเขาเพื่อให้แจ้งเตือนสีแดงนั้นหายไป ตั้งแต่ครามเข้าโรงพยาบาลตอนนี้ก็หลายวันแล้วที่ไม่ได้คุยกัน เขาตั้งใจหลบหน้าและตัดขาดการติดต่อเสมือนเราไม่เคยอยู่ในวงโคจรของกันและกัน
เขาไม่ไปเยี่ยมครามตามแบบที่พูดแม้ว่าน้ำเงินจะมาบอกว่าครามอยากเจอ ก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม แต่เหตุผลก็อาจคงไม่พ้นเรื่องของพี่นับ เพราะข้อความที่ได้รับซ้ำๆ ติดต่อกันคือคำถามที่ว่า ‘โกรธเหรอ’ หรือ ‘เป็นอะไรทำไมไม่ตอบ’ และประโยคบอกเล่าที่พร่ำบอก ‘ขอโทษ’ กับ ‘ตอบหน่อยมีเรื่องจะคุยด้วย’
เช่นนั้นเวลาที่กลุ่มเพื่อนจะไปหาครามเขาก็อ้างกับน้ำเงินว่าต้องกลับไปช่วยแม่ทำขนม แต่ก็ยังถามไถ่อาการอยู่บ้างจนได้รู้ว่าอีกฝ่ายกลับบ้านมาได้เมื่อวาน ถามว่าเป็นอย่างไรกับการที่ไม่ได้คุย ก็มีความรู้สึกแปลกๆ แล้วเหมือนจะร้องไห้ออกมาทุกครั้งที่เห็นว่าครามทักหรือโทรเข้ามา เขาเป็นคนใจแข็งแม้ว่าส่วนหนึ่งจะมาจากการพยายามแสดงออกให้เป็นอย่างนั้น
แต่พู่กันก็ต้องทำเพื่อจบความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนลงเสียที
“มึงเดี๋ยวกูมานะ” เขาหันไปบอกเพลิงที่กำลังนั่งเท้าคางแบบตาจะปิด หนังสือเล่มใหญ่ตรงหน้าก็เป็นเพียงพร็อบบังคับ ถ้าคนอย่างไอ้เพลิงอ่านหนังสือก็เหมือนบอกว่าหมิงเหมยจะไม่ทะเลาะกัน เพราะมันเป็นไปไม่ได้
“ไปไหนวะ” คนตาปรืออ้าปากหาววอดๆ พร้อมคำถามนั่นทำให้พู่กันต้องเอื้อมไปตบแก้มเพื่อเรียกสติ “สัด จะฟ้องหมิง”
“ทำตัวเป็นเด็กเลยห่า ขี้ฟ้อง”
“ตกลงมึงจะไปไหน” เพลิงถามย้ำอีกครั้งขณะมองเพื่อนตัวจ้อยเก็บเครื่องเขียนลงกระเป๋า “อ้อ หรือไปหาพี่ปัถย์”
“เออ พอใจมึงแล้วนะ กูไปละ เดี๋ยวมา” ไม่รอให้อีกฝ่ายขานตอบเขาก็รีบชิงลุกออกมาทั้งที่ยังเก็บของไม่เสร็จ ขืนอยู่ต่อคงได้โดนแซว เพราะเพลิงน่าจะโดนหมิงเสี้ยมสอนให้กวนตีนมาเยอะเช่นกัน
ร่างบางเดินลิ่วๆ ลงมาจากชั้นบนโดยไม่ได้มองแวดล้อมรอบด้าน ก่อนข้อมือเล็กจะถูกคว้าด้วยความรวดเร็วจากคนที่ดักรออยู่และเป็นคนที่พู่กันไม่อยากเจอมากที่สุด
“เฮ้ย!”
“มึงหลบหน้ากูทำไม” คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าถ้าได้เจอกันต้องไม่พ้นคำถามนี้ เจ้าของร่างเล็กไม่แม้แต่หันหน้ากลับไปมอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียงความเข้มแข็งที่เคยมีก็พังทลายลงเสียแล้ว “พู่กัน”
“ปล่อย” เขากัดฟันตอบก่อนจะสะบัดข้อมือเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการ
“มึงโกรธที่กูปิดเครื่องเหรอ” ครามพูดเสียงเบาเพราะไม่รู้แน่ชัดว่าไปทำให้น้องโกรธเรื่องใด “กูขอโทษ”
“ช่างเหอะ” เสียงหวานกำลังจะสั่นไหวในอีกไม่ช้าหากครามยังคงอธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง เขาไม่ต้องการที่จะได้ยินอะไรทั้งนั้น
“โกรธกูมากเลยเหรอพู่กัน” ยิ่งได้ยินคำถามก็ยิ่งได้รู้ว่าจริงๆ แล้วครามก็ไม่ได้รู้อะไรเลยสักอย่าง “มึงไม่ไปหากูเลย ทำไม”
“ผมมีธุระ” เขาตัดสินใจหันกลับไปเผชิญหน้า ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแบบไม่รู้ตัวเมื่อเห็นว่าตรงศีรษะของอีกฝ่ายมีผ้าก๊อซปิดอยู่ อยากถามเช่นกันว่าเจ็บมากไหม แต่ภาพของวันนั้นกลับทำให้เขาพูดออกไปได้เพียงแค่... “ก็หายดีแล้วไม่ใช่เหรอ”
“กูมีเรื่องจะคุยด้วย” ครามคิดเอาไว้แล้วว่าถ้าได้เจอกันจะต้องพูดเรื่องที่เขาชอบน้องสักที ไม่อยากปล่อยให้ค้างคาแต่พอสถานการณ์ระหว่างเราเป็นแบบนี้ก็ทำให้เขาเลือกที่จะเก็บเอาไว้ก่อน เพราะการสารภาพรักทั้งที่ยังตึงกันอยู่คงไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่
“เรื่อง?” คนตัวเล็กกว่าขมวดคิ้วยุ่งแต่พออีกฝ่ายทำทีอ้ำอึ้งก็รีบตัดบท “ถ้าไม่มีอะไร ผมไปนะ รีบ”
ไม่รู้หรอกว่าเรื่องของครามคืออะไรและสำคัญแค่ไหน แต่ใจเขาตอนนี้ไม่พร้อมที่จะรับฟังเรื่องอะไรทั้งนั้น พู่กันพยายามจะชักมือของตัวเองออกจากการจับกุมแต่ก็ไม่สามารถสู้แรงของครามได้
“พู่ กูไม่ได้ตั้งใจ” เพราะคำว่าไม่ตั้งใจทำให้นึกย้อนไปถึงความผิดพลาดครั้งแรกที่เกิดขึ้นและมันไม่มีใครตั้งใจให้เกิด ครั้งที่สองก็ยังคงยกข้ออ้างนั้นจนทุกอย่างมันเลยเถิด ไม่ว่าจะลงลึกมากแค่ไหนแต่ก็ยังคงได้ยินคำว่าไม่ตั้งใจจากปากของครามอยู่ดี
“กี่ทีๆ พี่ก็บอกแต่ไม่ตั้งใจ” ครามสะดุ้งเฮือกเมื่อเด็กตรงหน้าใช้น้ำเสียงเชิงหงุดหงิด “ถามจริงเหอะ กับผมพี่เคยตั้งใจทำอะไรบ้างวะ”
“ตั้งใจมาง้ออยู่นี่ไง”
“...”
“กูตั้งใจมาง้อมึงจริงๆ”
“แต่ผมไม่อยากให้พี่ง้อ ...ไม่ต้องมาง้อผมแล้ว” พู่กันจำใจต้องพูดออกไปด้วยความฝืน แม้ลึกๆ จะพาลหัวใจกระตุกวูบตอนที่ครามบอกว่าตั้งใจมาง้อ ไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกดีตอนที่ได้ยินเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่อยากเข้าไปติดกับดักของนายพรานอีกแล้ว ...เพราะนายพรานไม่เคยใจดีกับเขาหรอก
“หมายความว่าอะไร”
“ผมไม่อยากยุ่งกับพี่แล้วว่ะ” ร่างสูงเริ่มหน้าซีด หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของพู่กันทำให้ภาพความทรงจำครั้งเก่าหวนกลับคืนมา สิ่งที่เขากลัวคือประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ครามกำลังจะเอ่ยปากบอกว่าอย่าพูดคำนั้นแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทัน “เลิกยุ่งกันได้ไหม”
“เดี๋ยวดิ มึงโกรธกูมากเลยเหรอ”
“ผมไม่ได้โกรธ แต่...”
“ไม่อยากยุ่งกับกูแล้ว” ชายหนุ่มขานตอบประโยคถัดมาจากนั้นที่เขารู้เพราะเคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง และในตอนนี้มันกำลังจะเกิดขึ้นอีก ครามไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ “ทำไมวะพู่”
“...”
“ถ้าเรื่องที่กูปิดเครื่อง กูอธิบายได้”
“มันไม่ใช่แค่เรื่องนี้ดิ” ครามขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินแบบนั้น
“มึงเป็นอะไรก็บอก ไม่พูดกูจะรู้ไหม”
“ผมพูดจริงๆ นะคราวนี้” เสียงหวานเริ่มสั่นเครือ หากยังคุยกันอยู่อย่างนี้มีหวังเขาต้องได้ร้องไห้ต่อหน้าครามแน่ๆ “เลิกยุ่งกันเถอะนะ ทำเหมือนเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ถ้าพี่เจอผมเมินกันไปเลย ไม่ต้องทัก ไม่ต้องมอง ไม่ต้องให้น้ำเงินมาช่วยคุย”
“...”
“ให้เรากลายเป็นคนแปลกหน้า ให้มัน... เป็นเหมือนตอนนั้น” ประโยคสุดท้ายพู่กันพูดออกไปอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกเจ็บตรงหัวใจก่อตัวขึ้นซ้ำอีกครั้ง เขาเจ็บ... เจ็บที่เป็นคนสร้างโซ่เส้นนี้ขึ้นมากับมือทั้งที่รู้ว่าสุดท้ายต้องเจ็บปวด
“กูไม่เข้าใจว่ะพู่ กูทำอะไรผิดวะ”
“ไม่ผิดที่พี่หรอก”
“ถ้าไม่ผิดที่กูแล้วทำไม...”
“มันผิดที่ผม”
“...”
“ผิดที่ผมไม่อยากอยู่ข้างพี่แล้วจริงๆ” พู่กันตอบเสียงผะแผ่วก่อนจะแกะข้อมือของตัวเองออก แต่ครามก็ยังคงดึงดันที่จะจับเอาไว้และออกแรงมากขึ้น “ปล่อยผมดิพี่”
“กูไม่ปล่อย มึงต้องพูดให้กูเข้าใจก่อน” เขาไม่เข้าใจว่าทำไมน้องถึงได้อยากจะเลิกยุ่งกันและเพราะไอ้ความไม่เข้าใจทำให้เขาเผลอบีบข้อมือพู่กันแรงขึ้นจนเด็กตรงหน้าท้วงออกมา
“เจ็บ! พี่ครามผมเจ็บไง!”
“เฮีย!” ข้อมือเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระเมื่อได้ยินเสียงตะโกนขัดจังหวะ พู่กันหันไปมองเพื่อนสนิทที่วิ่งเข้ามาหาหน้าตาตื่นพร้อมกับเหมยที่เดินตามมาติดๆ ถามว่าเป็นโชคดีไหมก็ตอบได้ไม่เต็มปากนัก เพราะน้ำเงินดันเข้ามาเห็นตอนเขาทะเลาะกับครามแบบนี้
“พู่ กู...” ครามกำลังจะเอ่ยปากขอโทษที่เผลอบีบข้อมือแรงเกินไปเมื่อครู่แต่ก็โดนขัดจังหวะอีกครั้ง สาบานได้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้น้องเจ็บเลยแม้แต่นิด
“ทะเลาะอะไรกันเหรอ”
“เปล่า” พู่กันชิงตอบก่อนเขาจะหันไปมองเหมย ซึ่งเพื่อนตัวโย่งอีกคนก็พยักหน้าให้เป็นเชิงรู้กัน “แค่ไม่เข้าใจกัน”
“แล้ว...”
“น้ำ” ครามหันไปหาน้องชายเพื่อหวังจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร พู่กันก็พูดตัดบทขึ้นมาเสียดื้อๆ
“กูไปก่อนนะ พี่ปัถย์รออยู่”
ครามได้แต่มองแผ่นหลังของพู่กันที่วิ่งไกลออกไป แค่คำว่าขอโทษก็ยังไม่ทันจะได้พูด จากสายตาที่มองตามเจ้าของร่างเล็กจำต้องกลับมามองหน้าน้องชายเพราะถูกสองมือประคองหน้าให้หันกลับมา ในตอนนี้เหลือเพียงแค่เขากับน้ำเงินเพราะเหมยเดินตามพู่กันไป
“เมื่อกี้เฮียทำอะไร” น้ำเงินถามด้วยความกังวล ก็รู้ว่าทั้งสองไม่ถูกกันแต่เมื่อกี้ที่เห็นมันดูรุนแรงมากกว่าการจิกกัดเหมือนอย่างเคย และเขาสังเกตเห็นความผิดปกติของพู่กันตั้งแต่วันแรกที่ไปหาพี่ครามแล้วขอตัวกลับก่อน อันที่จริงก็คิดว่าจะไม่ถามเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาคงปล่อยไปไม่ได้อีกแล้ว “มีอะไรจะเล่าให้เราฟังไหม”
“ไม่มีครับ”
“เราถามอีกที” น้องชายย้ำอีกครั้งและการกระทำนั้นทำให้ครามต้องหลบสายตาไปทางอื่น “มีอะไรจะเล่าไหม”
“ไม่...”
“ถ้าเฮียพูดจริง เฮียจะไม่หลบตาเรา” ครามตวัดสายตากลับมามองอีกครั้ง เขาไม่เคยปิดบังอะไรน้ำเงินได้เลยแม้แต่นิด
“เฮียแค่...”
“เรายังเป็นคอมฟอร์ดโซนของเฮียอยู่ไหม”
น้ำเสียงเจือความน้อยใจที่หลุดออกมาจากปากของน้ำเงินทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ครามดึงคนเป็นน้องชายเข้ามากอดแน่นๆ และเจ้าเด็กตัวเล็กนั่นรู้ว่าต้องทำอย่างไร สองแขนเล็กยกขึ้นโอบแล้วกอดเอาไว้ สัมผัสแผ่วเบาลูบหลังเขาเสมือนอยากปลอบประโลม ครามปล่อยให้น้องกลายเป็นที่พังพิกให้อย่างนั้น
เพราะตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอเหลือเกิน
*
ควันสีหม่นพ่นออกมาอย่างหนักหน่วงขณะสายตาคมยังคงจับจ้องอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ ข้อความนับร้อยที่ส่งไปหายังไม่ได้รับการตอบกลับหรือแม้กระทั่งเปิดอ่าน ครามถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะโยนมวนบุหรี่ในมือทิ้งลงบนพื้นแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า คาดว่าอย่างไรก็คงไม่เปิดอ่านเหมือนหลายวันที่ผ่านมา
ความรู้สึกของเขาในตอนนี้มันยิ่งกว่าคำว่าแย่เพราะไม่รู้ว่าทำอะไรผิดไป แต่ที่เป็นอย่างนี้ก็ไม่โทษใคร ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ปิดเครื่องเขาก็ต้องหาคำตอบให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ครามคงปล่อยให้เรากลายเป็นคนแปลกหน้าไม่ได้
เขาชอบน้อง ชอบจริงๆ แบบที่ปฏิเสธอะไรไม่ได้เลย
“เฮีย พอก่อนดีไหม” เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะตอนกำลังจะจุดไฟแช็กให้เผาไหม้บุหรี่มวนใหม่ที่คาบไว้ในปาก เขาหันไปมองก่อนจะต้องโยนมันทิ้งลงบนพื้นแม้จะยังไม่ได้จุดแต่ก็ไม่เสียดาย หากนับรวมกับที่อยู่บนพื้นตอนนี้เขาก็อัดมันเข้าไปมากกว่าเจ็ดตัวแล้ว
“ครับ” เขาขานตอบแล้วทิ้งตัวเองลงนั่งบนพื้นโดยที่ไม่กลัวว่าจะเลอะ พื้นที่ใช้สอยหลังบ้านกลายเป็นสถานที่พักพิงและทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น “พู่รับโทรศัพท์ไหม”
“ไม่ครับ”
“แย่มากเลยใช่ไหมครับ” คนเป็นพี่ชายแค่นเสียงถามด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง “เฮียน่ะ”
“ถ้าเรื่องพู่กัน ...ก็ใช่ เราไม่เห็นด้วยที่เฮียทำแบบนี้” ครามพยักหน้ารับรู้ แม้จะเป็นพี่น้องกันและน้ำเงินรักเขามากแต่ก็ไม่เคยเห็นด้วยในเวลาที่เขาทำผิด ถ้าทำแบบนี้แล้วน้องไม่โอเคก็จะพูดให้เขาได้รับรู้
น้ำเงินเป็นคอมฟอร์ดโซนของเขาเสมอแต่ที่ไม่เล่าอะไรให้ฟังเพราะไม่อยากให้ต้องมาเครียดไปด้วยกับเรื่องที่เขาผูกขึ้นมา แต่สุดท้ายวันนี้ครามก็ทำหน้าที่พี่ชายผิดพลาดพ่วงไปกับหน้าที่ของคนกำลังจะสารภาพรัก
ผิดพลาดทุกอย่าง
“เฮียขอโทษครับ”
“คนที่เฮียต้องขอโทษไม่ใช่เรา” คนเป็นน้องเดินเข้ามาหาแม้จะไม่ชอบกลิ่นบุหรี่เหมือนๆ กับพู่กันก็ตาม “แต่เป็นพู่กัน”
หลังจากที่เล่าเรื่องทั้งหมดให้น้ำเงินฟัง น้องก็โกรธพอสมควรและบอกว่าเขาไม่ควรสร้างความสัมพันธ์ซับซ้อนนี้ให้เกิดขึ้น ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าพู่กันเป็นอะไรก็ตาม
“เฮียบอกแล้ว”
“...”
“แต่ก็เป็นแบบที่หนูเห็น” คำว่าหนูถูกดึงกลับมาใช้อีกครั้งหลังจากที่อีกฝ่ายยกสรรพนามนี้ให้เป็นขององศาเพราะครามกำลังอ่อนแอถึงที่สุดและไม่มีใครรับฟังเขาได้นอกจากน้ำเงินอีกแล้ว “เฮียไม่เคยรู้สึกแย่เท่าวันนี้เลยหนู”
“อื้อ เราก็พอจะรู้” น้ำเงินขานตอบเสียงแผ่ว ยามเห็นพี่ชายยกมือขึ้นลูบใบหน้าเสมือนคนหมดแรงก็ยิ่งทำให้ความเป็นห่วงทวีคูณมากขึ้น สำหรับเขาครามเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดมาตลอดในทุกเรื่อง ไม่เคยทำอะไรขาดตกบกพร่อง ไม่เคยก้าวก่ายและวุ่นวายในเรื่องส่วนตัว ความเป็นจริงเขาก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายในเรื่องความรักของพี่ชาย แต่เห็นทีวันนี้เขาอาจจะต้องขอละเมิดความเป็นส่วนตัวนั้นบ้าง
“เหมือนจะเก่ง แต่เฮียไม่เก่งเลยว่ะ”
“...”
“เฮียผูกเอง แต่แก้เองไม่ได้”
“เฮียจะโกรธเราไหม” คนหมดแรงเงยหน้าขึ้นมาน้องชายด้วยสายตาเชิงสงสัย “ถ้าวันนี้เราจะขอยุ่งกับความรักของเฮียสักนิดนึง”
ครามเพียงแค่ยิ้มจางๆ ก่อนส่ายหน้าแทนคำตอบ น้ำเงินจึงเอื้อมไปกุมมือพี่ชายเอาไว้หลวมๆ เขาเป็นห่วงครามมาก แม้ตอนที่รู้เรื่องจะโกรธอยู่ไม่น้อยก็ตามเพราะพู่กันก็เป็นเพื่อนที่เขารักมากๆ คนหนึ่งเช่นกัน แต่คนกลางอย่างเขาทำอะไรได้ไม่มากนัก แถมยังไม่รู้เลยว่าทั้งสองคนตั้งกฎเกณฑ์ในความสัมพันธ์ไว้แบบไหน แล้วพู่กันเป็นอะไรไปถึงได้ขอเลิกยุ่งกัน จะว่าเป็นเพราะมีพี่ปัถย์ก็คงไม่น่าจะใช่ เพราะตั้งแต่วันที่ครามเข้าโรงพยาบาลพู่กันก็ดูซึมๆ มาตลอด
สิ่งที่น้ำเงินทำได้ในตอนนี้คือการถามครามให้แน่ชัดเรื่องของความรู้สึกที่มีต่อพู่กัน เขาต้องฟังความทั้งสองข้างจะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ยอมรับว่าแอบคิดว่าเพื่อนเขาต้องชอบพี่ครามบ้างเหมือนกัน จากข้อความของพู่กันที่ส่งมาหลังจากโทรเข้าไปแล้วไม่ยอมรับว่า ‘เงิน กูขอโทษแต่ตอนนี้กูยังไม่พร้อมคุยว่ะ ขอเวลากูหน่อยนะ ถ้าพี่มึงเล่าอะไรให้ฟังก็อย่าไปโกรธนะ เข้าใจไหม มันไม่ได้ผิดที่พี่มึงคนเดียว’ ถ้าไม่ใช่เพราะครามคนเดียว พู่กันก็ต้องมีส่วนผิดด้วยเหมือนกัน แล้วอะไรล่ะที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองผิด
“เฮียทำอะไรผิดยังไม่รู้เลย”
“คิดดีแล้วหรือยังครับ”
“ดีแล้ว ถ้าพู่บอกว่าเฮียทำอะไรผิดมันอาจจะ...”
“เรื่องที่เฮียทำผิด ก็ผิดตั้งแต่ที่เริ่มความสัมพันธ์แบบนี้แล้วไงครับ” น้ำเงินเอ่ยออกมาเสียงเบา “พู่ชอบเฮียหรือเปล่า”
“คงจะไม่... ไม่รู้ดิหนู เฮียไม่รู้เลย พู่กันไม่เคยไปไหน ไม่เคยปล่อยให้เฮียอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่เคยบอกว่าคิดอะไร ...เฮียเดาไม่ออก” ครามอยากคิดเข้าข้างตัวเองเช่นกันว่าที่น้องไม่เคยไปไหนเพราะชอบเขา แต่ในบางครั้งก็ไม่รู้ว่าที่พู่กันยังอยู่ด้วยนั่นเพราะสงสารหรือเปล่า
“ไม่เคยบอกว่าคิดอะไร แล้วไม่เคยแสดงออกให้เห็นเลยเหรอครับ หรือแสดงออกแล้วแต่เฮียไม่ได้สังเกต” ครามเหมือนจะเก่งในเรื่องความรักแต่จริงๆ แล้วก็ไม่ ...ไม่เลยสักนิด รายนี้ไม่เคยสังเกตสิ่งรอบตัวจนกว่ามันจะเปลี่ยนแปลงจนเห็นได้ชัด ที่น้ำเงินพูดแบบนี้ได้เพราะสถานการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นกับเขา แสดงออกแล้ว ชัดเจนแล้ว แต่เป็นเราที่ไม่เคยสังเกตหรือไม่เคยคิดเข้าข้างตัวเอง “ขนาดความรู้สึกเฮียยังต้องมีคนมากระตุ้นเลย”
“หนูคิดว่าเพื่อนหนูชอบเฮียเหรอ” เสียงทุ้มถามติดประหม่า หากแต่น้ำเงินกลับส่ายหน้าให้แทนคำตอบ
“พู่เคยบอกเราว่า ห้ามคิดแทนใคร เราไม่รู้ว่าพู่คิดอะไร แต่เฮียคิดว่ามันเป็นไปได้จริงๆ เหรอ มีเซ็กส์กันแต่จะไม่คิดอะไร ถ้าเป็นคนที่เขารักสนุก มันก็อาจจะเป็นไปได้ แต่พู่กันไม่ใช่นะเฮีย เท่าที่เรารู้จักมา พู่ไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับใครเลย... สักคน”
“...”
“แค่เราเผลอไปจูบพี่ศาตอนเมา เรายังคิดไกลเลย อีกอย่างขนาดเฮียที่ว่าชอบพี่นับมากๆ ยังเปลี่ยนมาชอบพู่ได้เลยนะ”
“...”
“แล้วเฮียว่าพู่จะไม่รู้สึกอะไรจริงๆ เหรอ”
ครามผ่อนลมหายใจออกก่อนทิ้งตัวไปพิงกับไหล่น้องชาย มันกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่และในสิ่งที่เขาทำมันก็แย่จนหาคำอธิบายไม่ได้ น้ำเงินทำให้ความสับสนและรู้สึกผิดเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว ถ้าพู่กันชอบเขามันก็ผิดที่เขาไม่เคยสังเกต มันผิดตรงที่เขาเอาแต่พุ่งความสนใจไปที่นับจนลืมมองคนใกล้ตัว ความรู้สึกปวดหนึบที่ใจก่อตัวซ้ำๆ และมันมากยิ่งกว่าตอนที่เขาโดนนับปฎิเสธครั้งแรก
มากกว่า... มากกว่าจริงๆ
“ทำผิดอีกแล้ว”
“ถ้ารู้ว่าผิดก็แก้สิครับ” ฝ่ามือเล็กถือวิสาสะวางลงบนเรือนผมของพี่ชายเบาๆ องศาตั้งใจมาส่งเขาไว้ที่บ้านวันนี้เพราะอยากให้อยู่กับคราม เราต่างรู้ดีว่าเวลาครามเสียศูนย์แล้วจะเป็นแบบไหน “เราถามจริงๆ นะ เฮียเคลียร์ความรู้สึกที่มีกับพี่นับได้แล้วเหรอ”
“ได้แล้วครับ” เสียงทุ้มที่ตอบกลับแบบไม่ต้องคิดนั่นทำให้น้ำเงินได้รู้ว่าครามไม่ได้โกหก เพราะปกติแล้วหากยังไม่มั่นใจอะไรอีกฝ่ายจะใช้เวลาคิดพักหนึ่งก่อนจะตอบออกมา “เฮียชอบเพื่อนหนู”
“...”
“มากๆ”
“ตอนแรกเราตั้งใจจะบอกเฮียว่าไม่ยุ่งกับพู่กันได้ไหม ถ้าเฮียยังชอบพี่นับอยู่ เรารักพู่กันมากนะ” น้ำเงินรู้ดีว่าที่พูดออกไปนั่นคือความใจร้าย “แต่เราก็รักเฮียเหมือนกัน ถ้าเฮียจะชอบพู่ต้องแน่ใจจริงๆ นะว่ามันไม่เกิดขึ้นเพราะเฮียผิดหวังมาจากพี่นับ”
เจ้าของร่างเล็กผละคนเป็นพี่ชายให้ออกห่างเพราะอยากจะมองหน้า นัยน์ตาคมสั่นไหวราวกับว่าทุกอย่างกำลังจะดับวูบ เคยอ่านมาจากที่ไหนสักแห่ง ที่บอกเอาไว้ว่าความรู้สึกสามารถรับรู้ได้ผ่านทางสายตา น้ำเงินรู้ดีว่าครามกำลังสับสนและความเข้มแข็งกำลังเริ่มพังทลายลง
“ครับ” ครามพยักหน้าลงอีกครั้งก่อนถอนหายใจออกมา แม้จะยังไม่แน่ใจว่าที่พู่กันขอให้เลิกยุ่งกันเป็นเพราะชอบเขาเข้าแล้วหรือไม่ แต่ถ้าเขารู้ตัวเร็วกว่านี้สักนิดคงได้พูดออกไปก่อนจะทะเลาะกัน ทั้งที่ได้อยู่ใกล้กันมากขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่กลับรักษาเอาไว้ไม่ได้
โลกเหวี่ยงให้น้องเข้ามาอยู่ใกล้เขาแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนจะเหวี่ยงออกไปแล้วเวียนซ้ำกลับมาหา แรงเหวี่ยงของโลกสามารถเหวี่ยงใครเข้ามาและเหวี่ยงใครออกไปก็ได้ เคยคิดว่าในครั้งนั้นคงเป็นเพราะแรงเหวี่ยงของโลกที่พาให้น้องหลุดออกไปจากวงโคจร แต่ในวันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะรู้แล้วว่าคนที่เหวี่ยงน้องออกไป
คือตัวเขาเอง
“เฮีย”
“หืม”
“...พู่กันเป็นคนใจแข็งมากๆ” น้ำเงินออกแรงบีบฝ่ามือใหญ่เบาๆ ขณะที่พี่ชายรอฟังแบบไม่พูดอะไร คงจะเป็นอย่างสุดท้ายที่เขาจะสามารถเข้ามายุ่งได้ “ถ้าชอบ ก็อย่าท้อก่อนนะ”
“...”
“ถ้ามีโอกาสนั้นอีกครั้งก็อย่าทำผิดอีกนะครับ เพราะมันอาจจะไม่มีครั้งต่อไป”
“แล้วถ้าเกิดว่า... ไม่มีแม้กระทั่งครั้งแรกล่ะหนู” น้ำเสียงของครามแผ่วลงจนคนฟังอดใจหายไม่ได้ “เฮียจะทำยังไงดีครับ”
ถ้าพู่กันชอบครามเขาคิดว่าเปอร์เซ็นต์ความสมหวังก็มีอยู่แล้ว อย่างไรก็คงต้องถามอีกทีเพราะอยากจะรู้คำตอบของพู่ แต่ถ้าไม่ชอบแล้วทำไมต้องตีตัวออกห่าง... และเขาแน่ใจว่ายังไงก็ไม่ใช่เพราะพี่ปัถย์แน่ๆ
“ต้องถามตัวเองสิครับ ถ้าเฮียถามเรา ...เราก็จะตอบได้แต่ความคิดเราสิ”
“เผื่อเฮียจะทำตามหนูได้”
“สำหรับเรา ...ถ้าหมดหนทางแล้วยังเลิกชอบไม่ได้ ก็เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียน จะได้ไม่ทำพลาดอีก” ครามพยักหน้าลงเพราะเขาคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้ในส่วนนี้ไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวังเขาก็จะไม่ทำพลาดอีกแล้ว แต่ประโยคถัดมาของน้ำเงินทำให้เขาต้องฟุบหน้าลงไปอีกครั้งเพราะมันยากเกินกว่าที่จะทำได้ “ส่วนเขา... จะเก็บไว้ในใจหรือความทรงจำ”
“...”
“ก็ขึ้นอยู่ที่จะเลือกแล้วครับ”
.
ต่อด้านล่างนะคะ