พิมพ์หน้านี้ - โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: stuff.lilac ที่ 19-09-2018 21:14:00

หัวข้อ: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 19-09-2018 21:14:00
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



❅❆❅❆❅❆❅❆❅❆❅❆❅❆


โซ่สีคราม ` ✎


ผมทำได้เพียงวาดโซ่คล้องตัวเองไว้กับเขา

.
.
.

your worst battle is between what you know and what you feel



เรื่องอื่นในเซต

 องศาสีน้ำเงิน (จบแล้ว)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65626.0)
 เรื่องของต้นเหมย  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69166.0)


พูดคุยหรือติดตามการอัปเดตของนิยายที่นี่นะคะ
https://twitter.com/stufflilac
https://facebook.com/thestufflilac




สารบัญ
00 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68422.msg3889280#msg3889280) 01 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68422.msg3889694#msg3889694) 02 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68422.msg3890162#msg3890162) 03 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68422.msg3893401#msg3893401)
04 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68422.msg3895962#msg3895962) 05 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68422.msg3897679#msg3897679) 06 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68422.msg3899180#msg3899180) 07 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68422.msg3901006#msg3901006)
08 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68422.msg3902456#msg3902456) 09 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68422.msg3904212#msg3904212) 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68422.msg3907509#msg3907509) 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68422.msg3909514#msg3909514)
12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68422.msg3913606#msg3913606) 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68422.msg3919206#msg3919206) 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68422.msg3927112#msg3927112)

หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 00 ; (19/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 19-09-2018 21:18:43
00
begin again
//

เสียงโซ่ลากพื้นดังออกมาจากโทรทัศน์ขนาดสี่สิบสองนิ้ว เด็กหนุ่มเจ้าของห้องเหลือบสายตาไปมองคนข้างกายก่อนถอนหายใจออกมา หากว่าคนข้างๆ ยังจ้องตาไม่กะพริบมีหวังได้สะดุ้งจนตัวโยนแน่ๆ ในจังหวะที่เขากำลังจะโยนหมอนใบหนาไปให้เสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

“กรี๊ดดดด อีเหี้ย!”

พู่กัน หรือ พนธกร กิตติปรัชญ์ ถอนหายใจออกมายาวเหยียด ก้มลงเก็บถุงขนมที่ร่วงลงพื้นจากความตกใจของเพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็ก

“เละหมด”

“ก็มึงอะ” มือเรียวของสาวเจ้าตบลงบนหัวไหล่เขาอย่างแรง “เอาหมอนให้กูไม่เคยจะทัน อีเหี้ย”

“คำก็เหี้ย สองคำก็เหี้ย หยาบคายนะเนี่ย”

“เงียบเลยไอ้พู่ กูงอนนะ”

“บอกให้เอาไปกอดไว้กับตัวก็ไม่เอา” คำก่นด่าหลุดออกมาจากปากของสาวร่างเล็ก ลูกหว้าดึงหนังยางมัดผมทรงดังโงะบนศีรษะของตัวเองออก ปล่อยเส้นผมสีน้ำตาลลงสยาย “สระผมล่าสุดเมื่อไหร่”

“ก่อนมา ทำไมอะ”

“เหม็นอีกแล้ว”

“ไอ้พู่ กูงอนจริงๆ นะ” พู่กันหัวเราะเบาๆ ก่อนเอื้อมมือไปตบบ่าของคนข้างๆ แล้วบอกเป็นเชิงว่าล้อเล่น เราสนิทกันมากถึงขั้นเล่นถึงเนื้อถึงตัว ในที่นี้หมายถึงการตบหัวจนทิ่มพื้นทำนองนั้น หว้าติดมหา’ลัยไกลบ้านจึงมักจะกลับมาแบบอาทิตย์เว้นอาทิตย์ แต่ถ้าอาทิตย์ไหนไม่มีงานก็เที่ยวตะลอนกลับมาทุกวันสุดสัปดาห์

“งอนไรเป็นเด็ก กูไม่ง้อนะ” เขาไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกอะไรหากจะมีเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิง “โตแล้วนะมึงอะ”

“หน้าเหี้ย” เสียงบ่นงุ้งงิ้งชวนให้พู่กันอยากเอาเทปมาปิดปาก “เออ ไอ้พู่ เมื่อวานน้าวาดบอกกูว่าเดี๋ยวนี้มึงมีคนมาติด มีใครมาจีบไม่บอกกูเหรอ”

พู่กันละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์ที่ในเวลานี้ลูกหว้าไม่ได้สนใจมันอีกต่อไปแล้ว เขาขมวดคิ้วยุ่งพลางยกยิ้มแห้ง มั่นใจว่าหว้าต้องเชื่อคำพูดของแม่เขาแบบเต็มร้อย

“เชื่อแม่กูเหรอ” เขาเลิกคิ้วขณะที่เพื่อนตัวจิ๋วพยักหน้าลงระรัว “มีใครที่ไหนล่ะห่า มีแต่ไอ้เงินเนี่ยติดกู”

“พูดจริงจังเลยนะ ถ้าไม่ติดว่าเขามีแฟนแล้วกูนึกว่าเป็นแฟนมึง”

“เพ้อเจ้อ กูบอกแล้วให้เลิกอ่านนิยายอะ” พู่กันผลักหัวหว้าเบาๆ “กูไม่ชอบใครทั้งนั้นแหละ”

“อ๋อเหรอๆ” น้ำเสียงยียวนที่ดังออกมาพร้อมริมฝีปากที่เบ้ลงนั่นแทบจะทำให้พู่กันอยากจับหมอนอุดไปที่หน้าให้รู้แล้วรู้รอด
“เพราะว่ามึงชอบคนนั้นใช่ปะ”

“คนไหนอีก”

“คนนั้นไง” ลูกหว้าแสร้งพูดเหมือนไม่รู้จัก “คนที่น้าวาดบอกมึงพามานอนที่บ้าน”

“ไม่มี”

“แต่เหมือนเขาจะเป็นพี่ชายของน้ำเงิน ...หรือเปล่านะ” พู่กันชะงักทันที่หว้ารู้เรื่องทุกอย่าง ความจริงเวลามีปัญหาลูกหว้าจะเป็นคนแรกที่เขาโทรไปบ่นหรือระบายให้ฟัง แต่เรื่องระหว่างเขากับครามมันยากเกินกว่าที่จะพูด “ปกติมึงไม่ให้ใครเข้าห้องนา”

“เขาเมา แล้วแม่กูก็บอกให้เขาค้างที่นี่ก็แค่นั้น ถ้าไม่นอนห้องกูจะให้ไปนอนห้องแม่กูหรือไงล่ะ”

“อะจ้า ขอโทษที่ดิฉันถามไม่คิดนะเจ้าคะ”

“เออ”

“แต่ว่าเขาเห็นบ้านมึงเป็นที่พักเวลาเมาเหรอ แม่มึงบอกมานอนค้างบ่อยมากกกกกกก”

“ขี้เสือกแบบนี้ไงเลยไม่มีใครมาจีบ”

“กรี๊ดดดด หยาบคาย อีเหี้ยๆๆๆๆ” เสียงโวยวายของลูกหว้าเป็นผลให้พู่กันต้องยกมือขึ้นมาอุดหูตัวเองแล้วหลับตาแน่นเพื่อบ่งบอกว่าเขาจะไม่รับรู้อะไรอีก “กูไม่ดูแล้ว”

“เอ้า เป็นงั้นไป” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกดพอสหนังเอาไว้ “แล้วจะ...”

“จะอาบน้ำ วันนี้กูนอนด้วยนะ พรุ่งนี้ก็กลับมอละ ขี้เกียจโคตร”

“นอนกับกูไม่กลัวข่าวฉาวเหรอคนสวย”

“อีห่า มึงหยุดพูดจาแบบนี้เลยนะ” เจ้าของใบหน้าสวยบ่นอุบอิบพลางเบ้ปากลง “คำพูดมึงเนี่ยทำกูนึกถึงพวกตาแก่ขี้เมาอะ”
“กูก็แซวเล่น” เขาหัวเราะลั่นเมื่อเห็นว่าลูกหว้าทำหน้าแขยงพอตัว “ไปอาบดิ เดี๋ยวกูไปอาบห้องแขก”

“เออ ให้มันรู้ซะบ้างนี่ห้องใคร”

“ห้องกู” พู่กันส่ายหน้าก่อนผลักหัวเพื่อนตัวเล็กแล้วรีบวิ่งออกมาจากห้อง แม้เขาจะสูงแค่ร้อยเจ็ดสิบเศษๆ แต่พอยืนกับลูกหว้าที่สูงร้อยห้าสิบกว่าแล้วก็กลายเป็นผู้ชายตัวใหญ่ทันที

เด็กหนุ่มเดินลงมาชั้นล่างก่อนจะปรี่เข้าไปยังห้องครัว เปิดตู้เย็นเอาน้ำผลไม้ที่นานๆ ครั้งเขาจะดื่มมันสักทีขึ้นมาเปิด หยิบเอาโทรศัพท์เครื่องบางออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดเข้าแอพยอดนิยมที่มักใช้ลงรูปของตัวเอง ชื่อแอคเคาท์ theindigo.g ซึ่งเป็นของบุคคลที่อยู่ในบทสนทนาของเขากับลูกหว้าเมื่อครู่

“อีกแล้วเหรอวะ” เขาสบถกับตัวเองเมื่อเห็นว่ารูปล่าสุดเพิ่งจะอัพไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน คงจะเป็นอีกวันที่สีครามออกไปดื่มกับเพื่อน พูดกันตามหลักความจริงมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขาหรอก แต่มันคงเป็นความเคยชินที่เขาต้องเข้ามาส่อง


ไม่กี่นาทีจากนั้นช่องแชทของแอพก็แจ้งเตือนข้อความเข้าซึ่งส่งมาจากเพื่อนในกลุ่มของครามที่ชื่อพี่ยิ้ม พู่กันหลุดยิ้มทันทีเขามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องส่งมาชวนออกไปแก๊งด้วยเพราะเราสนิทกันในระดับหนึ่ง

theyothin :
ไม่หลับไม่นอน ส่องสาวเหรอวะ

itspainttt :
ใครจะไปส่องเหมือนพี่

theyothin :
เอ้า กัดกูอีก มาปะๆๆ

itspainttt :
ที่ไหน

theyothin :
ดีเดย์อะ มาดิ อยากเจอ

itspainttt :
ไม่ไป เพื่อนมาบ้าน

theyothin :
เลี่ยงกูจังเลยน้า
ไม่สิ เลี่ยงกูหรือเลี่ยงใครน้า

itspainttt :
เพ้อไปคนเดียวเลย
ไปอาบน้ำละ

theyothin :
ครับๆ แต่ถ้าจะมาก็บอกนะจ๊ะ
เดี๋ยวแบกกลับได้

itspainttt :
เลิกฝันนะพี่ยิ้ม
ไปละ
 
พู่กันถอนหายใจก่อนเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า เขาดูดน้ำผลไม้จนหมดกล่องแล้วโยนมันทิ้งลงในถังขยะ ช่วงหลังเขาชักจะเกลียดไอ้พี่ยิ้มเต็มทนเพราะดูเหมือนว่าไปรู้อะไรมา ความสัมพันธ์ของเขากับครามมันอยู่ในจุดที่อธิบายยาก แถมเขายังบอกเพื่อนในกลุ่มไว้เพียงแค่คนเดียวเนื่องจากไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่

ครามหรือที่รู้จักกันอย่างดิบดีในชื่อของกันตวิชญ์ อธิษฐ์ปริยากร ซึ่งเป็นพี่ชายของเพื่อนสนิทเขาที่ชื่อน้ำเงิน หากว่าเรื่องถึงหูน้ำเงินเขาก็เกรงว่าคนที่เป็นกลางจะลำบากใจ

ข้อเท็จจริงข้อแรกคือเขากับครามไม่ถูกกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เจอหน้ากันทีก็ต้องทะเลาะกันตลอดในรูปแบบที่ไม่ยอมกัน จึงทำให้กลุ่มของเขาและครามขนานนามเราไว้ว่าเป็นคู่กัด จนกระทั่งความสัมพันธ์แบบคู่กัดที่ไม่ค่อยจะถูกกันกลับกลายเป็นไม่ถูกกันเลย จากความไม่ตั้งใจของเราทั้งสองคนที่ทำให้ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นทางกาย

เขาพลาดไปมีเซ็กส์กับคราม

ครั้งแรกมันเกิดขึ้นเพราะเราเมาด้วยกันทั้งคู่ เขายอมรับเลยว่าไม่ได้โกรธอะไร แต่มันคงจะดีกว่านี้หากว่าความไม่ตั้งใจนั้นเกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียว จากหนึ่งครั้งกลายมาเป็นสองครั้งและยังใช้ข้ออ้างเดิมคือไม่ได้ตั้งใจให้เกิด

การปล่อยตัวเองให้เป็นไปตามอารมณ์ทำให้ทุกอย่างมันเริ่มแย่ลง เพราะเซ็กส์ครั้งที่สองทำให้เราเคยทะเลาะกันจนแตกหักถึงขั้นที่บอกให้ต่างฝ่ายต่างเลิกยุ่งกันไป พอทิ้งช่วงห่างไประยะหนึ่งสุดท้ายเราก็กลับมาคุยกันได้เพราะน้ำเงินเป็นฝ่ายประสาน แต่เมื่อกลับมาคุยกันความยุ่งเหยิงก็ทวีคูณมากกว่าเดิม

ความเป็นจริงมันคงไม่ซับซ้อนหากว่าครามไม่มีคนที่ชอบ คนที่ครามชอบคือเพื่อนสนิทในกลุ่มของตัวเองอย่างพี่นับที่ตัวติดกันตลอดเวลาทำให้พู่กันปักใจว่าระหว่างเขากับครามมันไม่สมควรเกิด แต่เพราะสถานะของนับกับครามไม่ชัดเจนเลยทำให้ความสัมพันธ์ของเรามันวุ่นวาย

กลายเป็นพู่กันเองที่ไม่สามารถนั่งมองเฉยๆ ได้เวลาที่อีกฝ่ายเสียใจแล้วแบกร่างมาหา เขาเป็นคนที่ปลอบครามทั้งตอนที่มีสติและไม่มีสติ หากว่าวันไหนที่น้ำเงินไปค้างกับแฟนและครามออกไปดื่มก็จะมาหาเขาแทนการกลับบ้านตัวเอง

แน่นอนว่ามันจบลงด้วยเซ็กส์เกือบทุกครั้ง

พู่กันเหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่แต่บางครั้งก็คิดว่าไม่รู้ตัว เขาเป็นที่พักพิงให้กับครามในตอนที่อีกฝ่ายต้องการ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากเหมยที่เป็นเพื่อนในกลุ่มของเขา จากคำว่าไม่ได้ตั้งใจให้เกิดที่ใช้เป็นข้ออ้างของความผิดพลาดในครั้งที่หนึ่งและสองตอนนี้นั้นหายไป

มันถูกแทนที่ด้วยคำว่าตั้งใจให้เกิดแต่จะไม่บอกใคร

เพราะเป็นกฎของเรา

*

“กูง่วงแล้วอะ” ลูกหว้าเอ่ยออกมาหลังจากที่เรานั่งเล่นเกมกันอยู่พักใหญ่ หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากขณะหาววอดๆ “มึงนอนเลยปะ”

“เดี๋ยวกูนั่งเล่นอีกพักอะ มึงไปนอนเหอะ กูนอนพื้น”

“หูย พี่พู่กันคนดีศรีสังคม” เสียงหวานเอ่ยแหย่ ก่อนที่เธอจะวางจอยสติ๊กลงบนโต๊ะ “จิตใจดีงามมากเลยค่าพี่”

“มึงจะนอนห้องกูหรือจะไปนอนห้องแขก” คำถามเชิงขู่ของเขาทำเอาเพื่อนตัวเล็กเบ้ปาก “ไปนอนไป”

“จ้า ฝันดีค่ะพี่พู่กัน”

“ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิงกูต่อยปากแล้วนะ เร้าตีนเหลือเกิน” เขาตอบติดหัวเราะก่อนจะโบกมือไล่เพื่อนสนิทไปนอน หว้ามานอนกับเขาบ่อยพอสมควร พ่อกับแม่เราก็สนิทกันจนไม่มีใครคิดว่ามันดูไม่ดี เขาก็คอยบอกเสมอว่านอนห้องเดียวกันแต่ไม่ใช่เตียงเดียวกันเพราะพู่กันเสียสละนอนพื้นทุกครั้ง

เขาหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล็อค เลิกคิ้วเมื่อเห็นข้อความแจ้งเตือนของครามที่ส่งมาเป็นสิบ เหลือบมองตัวเลขบนหน้าจอที่บ่งบอกว่าอีกสิบนาทีจะตีสองแล้ว นิ้วเรียวกดเข้าแอพแชทเพื่อดูว่านอกจากสติกเกอร์แล้วอีกฝ่ายได้ส่งอะไรมาอีกหรือไม่

พู่กันแค่นยิ้มเมื่อในช่องแชทนั้นมีแต่ข้อความและสติกเกอร์ที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ เขาพิมพ์ข้อความเพื่อจะถามว่า ‘เป็นอะไร’ แต่ยังไม่ทันจะได้กดส่งบนหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นสายเรียกเข้าของครามเสียก่อน

“ว่า” เขากระซิบเสียงเบาเพราะเกรงว่าลูกหว้าที่เพิ่งจะล้มตัวลงนอนนั้นจะลุกขึ้นมาถามว่าเขาคุยกับใคร “ว่าไง”

(มารับกูหน่อย)

“ไปเที่ยวกับใครมา”

(มากับยิ้ม)

“ก็กลับกับพี่ยิ้มดิ ใครจะออกจากบ้านป่านนี้” พู่กันขมวดคิ้วยุ่ง “เดี๋ยวจะนอนละนะ”

(มารับก่อน) ครามยังคงยืนยันคำเดิมทำให้เจ้าของร่างเล็กเริ่มหวั่นใจ

“รับที่ไหน”

(หน้าบ้าน) เสมือนไฟลนก้น พู่กันลุกขึ้นแล้วรีบเดินออกมาจากห้องทันทีเพราะเขาไม่อยากเสียงดังในตอนที่ลูกหว้ากำลังนอน แถมยังไม่ค่อยแน่ใจด้วยว่าลูกหว้าหลับสนิทไปหรือยัง แต่ที่แน่ใจคือถ้าหว้ายังไม่หลับก็คงจะไม่เดินตามลงมาแน่ๆ (พู่กัน ลงมารับกู)

“ไอ้พี่คราม มาไม่บอกล่วงหน้าอีกแล้วเหรอวะ”

(กูบอกแล้วเถอะ)

“วันนี้เพื่อนมานอนบ้าน”

(ใคร)

“บอกไปก็ไม่รู้จักหรอก” พู่กันขานตอบขณะที่ก้าวขาลงบันไดด้วยความว่องไว “พี่แม่ง”

เขากดตัดสายเมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่าง รีบเดินไปหน้าประตูเพื่อไปรับคนที่โทรเข้ามาเมื่อครู่ จากที่ฟังน้ำเสียงก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายเมาแต่ระดับความเมานั้นเขาก็ไม่สามารถระบุได้จนกว่าจะเห็นหน้า

“ใครมานอนบ้านมึง” เสียงทุ้มถามทันทีที่เห็นหน้าเขา ครามยืนกอดอก ตีหน้านิ่งเพราะยังไม่ได้รับคำตอบในข้อนี้ เจ้าของร่างสูงจ้องเด็กตรงหน้าอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ

“คือพี่ควรถามว่ามารบกวนไหมมากกว่าใครมานอนบ้านผมปะวะ” เขาเถียงออกไปขณะที่มองหน้าของคนเมา “บอกกี่ครั้งแล้วว่าจะมาให้บอก”

“กูบอกแล้วเถอะ มึงไม่อ่าน” คนตัวสูงขมวดคิ้ว “ตกลงใครมานอนบ้านมึง”

“เพื่อน”

“คนไหน”

“บอกไปพี่ก็ไม่รู้จัก”

“ชายหญิง”

“หญิง” พู่กันตอบก่อนจะเอื้อมมือไปปิดปากของครามเอาไว้เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ถามหรือพูดอะไรต่อ “เอารถเข้ามาเก็บ”
“จอดแม่งหน้าบ้านมึงแหละ ไม่หายหรอก”

“ตามใจ” เขาตอบปัดๆ เพราะไม่อยากเซ้าซี้มาก พู่กันเดินนำเข้ามาภายในบ้านที่อีกฝ่ายคุ้นชินเนื่องจากมาบ่อยจนเสมือนเป็นบ้านของตัวเอง แต่เวลาที่ครามมานอนบ้านเขามักจะไม่มีใครรู้เพราะมันถูกเก็บเอาไว้เป็นความลับ

ส่วนแม่เขาก็ไม่เคยว่าเวลาที่ครามมานอนที่นี่ เพราะบางครั้งเจ้าของบ้านก็ไม่รู้เนื่องจากแม่มักจะนอนค้างที่ร้านคาเฟ่มากกว่า ยิ่งในช่วงที่คิดหาเมนูใหม่เข้าร้านก็แทบจะไม่กลับมานอนที่บ้านเลยด้วยซ้ำ

“จะนอนไหน” ครามเป็นฝ่ายเปิดประเด็นคำถามเมื่อพู่กันพาเดินเข้ามาในห้องนอนแขกซึ่งอยู่ชั้นล่าง

“กับเพื่อน”

“ทำไมไม่นอนกับกู” หนึ่งสิ่งที่พู่กันรู้คือเวลาครามเมาแล้วระดับความเอาแต่ใจก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว “นอนกับกูดิ”

“ไม่อะ จะนอนกับเพื่อน”

“กูอยากนอนกับมึง”

“ฐานะไหนล่ะ” คำถามของเขาทำเอาคนที่ยืนกอดอกอยู่หน้าประตูชะงักไป เขารู้ดีว่าครามไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ “นอนไปเหอะ หรือจะกลับไปนอนบ้าน”

เราเผชิญหน้ากันตรงๆ ไม่มีใครหลบสายตาใคร หากเป็นเมื่อก่อนพู่กันคงจะเป็นฝ่ายเดินหนีออกมาแล้วตะโกนด่าว่าเหี้ย ซึ่งเอาจริงๆ ตอนนี้เขาก็คิดแบบนั้นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันเข้าขั้นเหี้ยทั้งหมด

“ขี้เกียจขับรถ”

“งั้นก็นอน” ครามไหวไหล่เมื่อได้ยินถ้อยคำสั่ง เขาถอดเสื้อของตัวเองออกเพราะยังไม่ได้อาบน้ำ แน่นอนว่ายังมีสติมากพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร “แล้วทำไมวันนี้ไปกิน”

“นับไปกับพี่เข็ม” เป็นเหตุผลเดิมๆ ที่พู่กันฟังจนจำได้ เพราะที่เขารู้มาคือนับกับเข็มทิศเป็นแฟนเก่ากันแล้วบ้านของทั้งสองคนนั้นเป็นหุ้นส่วนบริษัทร่วมกันอยู่ทำให้ต้องไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ จากที่ฟังครามบ่นก็คือนับยังไม่ลืมแฟนเก่าและคงเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ครามกับนับไม่ได้คบกันสักที

“ไม่ปลอบ แต่สมน้ำหน้า” ครามแค่นหัวเราะก่อนเดินเข้ามาหาในระยะประชิด กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยฟุ้งติดจมูก “ไปอาบน้ำนอนไป”

“ไม่นอนกับกูจริงดิ”

“เออ” สิ้นสุดเสียงหวาน พู่กันถูกดันจนแผ่นหลังแนบชิดไปกับบานประตู เขารู้ดีว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้หากว่าไม่ห้าม “ไม่ให้”

“เคยห้ามกูได้สักครั้งไหมพู่กัน” ชายหนุ่มกดริมฝีปากทาบทับทันทีเพื่อไม่ให้พู่กันได้โต้แย้งสิ่งใด กลีบปากนุ่มหยุ่นถูกดูดดึงจนเกิดเสียง รสจูบคุ้นเคยจากความเอาแต่ใจเป็นสิ่งที่ตรึงไม่ให้เขาได้ดิ้นหนีไปไหน มือใหญ่สอดเข้าไปภายใต้เสื้อนอนสีสว่าง ลูบไล้ผิวขาวด้วยความรู้สึกคุ้นมือ

“พ...พอ ไม่เอา” เสียงหวานพยายามเอ่ยปรามและดันอกคนตรงหน้าให้ถอยออกไป แต่บอกแล้วว่าครามน่ะเอาแต่ใจ คนพี่กดจูบอีกครั้งอย่างรุนแรง ชายหนุ่มพยายามปลุกปั่นความต้องการให้เพิ่มขึ้นสูง

สุดท้ายคนพ่ายแพ้คือพู่กัน

เขาเคยถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่าทำไมถึงปล่อยให้ความต้องการอยู่เหนือความรู้สึก แม้ว่านับกับครามจะยังไม่ได้คบกันเป็นแฟน แต่คนภายนอกแค่มองก็พอจะเดาได้ว่าความสัมพันธ์มันเกินกว่าเพื่อนและที่เขาทำแบบนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังทำผิด

ตอนที่ทะเลาะรุนแรงในครั้งก่อน ครามบอกกับเขาเองว่าไม่สามารถปล่อยให้เรากลายเป็นคนไม่รู้จักกัน เพราะงั้นก็ต้องรับข้อตกลงร่วมกันให้ได้ พู่กันไม่เคยตอบตัวเองได้เลยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เพียงแค่ริมฝีปากเราแตะกันเขาก็ลืมทุกสิ่งอย่าง

ยอมรับว่าตอนที่เราเผลอมีเซ็กส์กันในครั้งที่สองทำให้เขาเคยคิดว่าชอบคราม แต่พอห่างกันแล้วได้กลับมาคุยกันอีกครั้งจึงได้รู้ว่ามันคงไม่ใช่ความชอบ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถจะจบความสัมพันธ์นี้ได้ เดินหน้าต่อก็ไม่ได้ มันหยุดอยู่ที่เดิมตรงเลขศูนย์ ไม่ได้เพิ่มหรือลดลง

จากคนเคยทะเลาะเคยกัดกันทุกครั้งที่พบตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเรามีเซ็กส์กันได้ราวกับมันเป็นเรื่องปกติ เขาจึงไม่แน่ใจว่าที่เป็นอยู่สามารถเรียกว่าเป็นเซฟโซนของกันและกันได้หรือไม่ หรือเราเป็นพวก friend with benefit ก็ไม่รู้

เขายังหาคำนิยามของความสัมพันธ์ของตัวเองไม่เจอ

“คืนนี้นอนกับกูนะ”

“จับกดเตียงขนาดนี้ จะให้ลุกไปไหนได้วะ ถามจริง” พู่กันเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดไม่พอใจ หากแต่เจ้าของร่างหนาที่คร่อมอยู่บนตัวเขากลับแค่นหัวเราะ “วุ่นวายว่ะ”

“บ่นเดี๋ยวกูจูบ”

“ไปอาบน้ำเหอะ เหม็น”

“อาบให้กูดิ” ครามซุกใบหน้าลงข้างๆ จรดปลายจมูกไล้ตามไปต้นคอระหง “ได้ปะ”

“พี่ไม่ได้เป็นง่อย ไปอาบเอง”

“พู่กัน”

“จะนอน …อือ” เสียงหวานครางท้วงแผ่วเบาเมื่อลำคอถูกขบกัดเพราะครามมันเขี้ยว ยิ่งพู่กันจิกเล็บลงบนหัวไหล่เขาก็ยิ่งฝังเขี้ยวลึกกว่าเดิม “ไอ้... เหี้ยพี่คราม”

“หึ” คนพี่หยุดการกระทำเมื่อโดนด่า เขาหยัดกายขึ้นจากร่างเล็กเพื่อที่จะเตรียมไปอาบน้ำ พู่กันได้แต่ฟึดฟัดด้วยความไม่พอใจ หยิบเอาผ้าห่มบนเตียงขึ้นมาคลุมร่างกายของตัวเองไว้เพราะเสื้อของเขาถูกครามถอดแล้วโยนทิ้งไปตั้งแต่ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตูแล้ว “ไปอาบน้ำนะ”

“เชิญ”

“มึงห้ามกลับไปนอนห้อง” เสียงทุ้มหันมาขู่ขณะที่เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบเอาผ้าขนหนูออกมาพาดบ่า “ถ้ากูกลับมาไม่เจอมึง”

“…”

“กูตามไปลากถึงห้องแน่”

“เออ รู้แล้วน่ะ” เขาขานตอบก่อนจะมองครามที่เดินเข้าไปในห้องน้ำ หัวใจเขาไม่ได้สั่นไหวเหมือนครั้งแรกที่จูบกัน ไม่ได้วูบหวิวแต่มันก็มีความรู้สึกประหม่าอยู่บ้างโดยที่ไม่รู้เหตุผล

ครามเหมือนจะเสียศูนย์ทุกครั้งเวลาที่มีเรื่องของนับ พู่กันจึงกลายเป็นที่พักพิง แต่เขาก็ทำได้เพียงวาดโซ่คล้องตัวเองไว้กับคราม โดยที่มั่นใจว่าโซ่ที่วาดเอาไว้จะไม่มีทางแน่นหนาไปกว่านี้เพราะว่าเขาจะไม่วาดเพิ่มและโซ่ที่คล้องไว้จะขาดสะบั้นก็ต่อเมื่อเราสองคน...

มีคนของตัวเอง

*
tbc
เรื่องนี้เป็นภาคของครามกับพู่กันที่มาจากเรื่ององศาสีน้ำเงินนะคะ แต่ถ้าใครเพิ่งจะอ่านเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกก็ไม่มีปัญหาค่า เพราะเรื่องนี้ก็เหมือนเริ่มความสัมพันธ์ใหม่เนอะ อาจจะมีงงตรงตัวละครบ้างแต่อธิบายหลักๆ ได้ดังนี้ค่ะ ( ครามเป็นพี่ชายของน้ำเงินซึ่งเป็นเพื่อนสนิทพู่กัน นับเป็นเพื่อนในกลุ่มของครามแล้วก็เป็นคนที่ครามชอบ ส่วนเข็มทิศเป็นแฟนเก่าของนับ )

ส่วนใครที่ตามมาจากองศาสีน้ำเงินก็ต้องบอกว่าเรื่องนี้จะเป็นการทำความรู้จักทั้งครามและพู่กันโดยตรง พล็อตเรื่องวางเอาไว้แบบนี้ตั้งแต่แรก สลัดคราบคนทั้งสองคนที่ไม่ถูกกันทิ้งไปแล้วมาเริ่มใหม่ไปพร้อมกันนะคะ คิดว่าเรื่องนี้คงจะวุ่นวายพอสมควร เพราะความสัมพันธ์มันแบบว่า... /กราบ เราก็ยังไม่เคยแต่งแนวความสัมพันธ์ที่มันซับซ้อนอย่างจริงจัง ก็ขอฝากไว้ด้วยนะคะ ถ้าอ่านแล้วยัง งงๆ ต้องขออภัยด้วยน้า แต่ต่อๆ ไปจะเข้าใจความสัมพันธ์ของคู่นี้มากขึ้นค่ะ แท็กเรื่องนี้ #โซ่สีคราม นะคะ ขอบคุณค่า

หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 00 ; (19/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 19-09-2018 22:12:37
กำลังรอคู่นี้เลยค่ะ สงสารพู่จัง ตามมาจากองศาสีน้ำเงินนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 00 ; (19/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-09-2018 22:45:59
 :m15:

อ่อยยย หม่นๆนะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 00 ; (19/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 20-09-2018 00:03:32
ดูเหมือนจะดราม่า ปนสีเทาๆ  :katai1: :katai1: สงสารน้องพู่!!!!
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 00 ; (19/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-09-2018 00:49:42
เหมือนเป็นความสัมพันธ์แบบ friend with benefit งี้หรอ
งื้อออออ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 00 ; (19/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-09-2018 16:07:43
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 01 ; (20/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 20-09-2018 19:03:13
01
Why me
//

“เมื่อคืน?” เสียงของเหมยถามย้ำอีกหนึ่งครั้งหลังจากที่พู่กันเล่าให้ฟังว่าครามไปหาที่บ้านอีกแล้ว เจ้าของเรื่องพยักหน้าเพื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายได้ยินไม่ผิด “หว้าไม่ได้นอนกับมึงหรือไง”

“นอน แต่กูไปนอนห้องแขก” พู่กันพรูลมหายใจออกเมื่อเห็นว่าเพื่อนตรงหน้ากำลังจ้องตาเขม็ง ยังไงก็ต้องโดนบ่นเอาแน่ๆ

“จะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่” เป็นคำถามที่เหมยไม่เคยได้รับคำตอบกลับไปเลยสักครั้ง เขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับพู่กัน เป็นเพราะช่วงหนึ่งเราเป็นรูมเมทตอนไปเที่ยว ความเมาทำให้เราต่างระบายสิ่งที่อยู่ในใจให้กันและกันฟัง “บอกไม่ฟัง”

“ไม่บ่นดิ”

“ก็ดูทำ”

“…”

“เดี๋ยวได้เจ็บเป็นตาย” เหมยแค่นหัวเราะขณะที่หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ดวงตาเรียวรีมองจ้องไปยังเพื่อนตัวจ้อยที่กำลังจะเบ้ปากลงก่อนอีกฝ่ายจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มจนเขาปรับอารมณ์ตามไม่ทัน

“กูไม่ใช่มึงนา” เขาวางแก้วน้ำลงแล้วตวัดมองทันทีที่พู่กันพูดออกมา “เหตุการณ์ของผมมันต่างกับคุณนะครับคุณเหมย ผมไม่ได้แอบรักเพื่อนนะบอกก่อน ชิลๆ เลยผมอะ”

“สัด”

“ตัดใจได้ยัง”

“ยัง แต่ทำอยู่”

พู่กันยกนิ้วโป้งขึ้นมาให้กำลังใจกับคนที่พยายามจะตัดใจจากเพื่อนสนิท เหมยแอบชอบน้ำเงินเป็นสิ่งที่เพื่อนในกลุ่มรู้ทุกคนยกเว้นเจ้าตัว มันถูกเก็บเป็นความลับเพราะเหมยตัดสินใจที่จะไม่บอกความรู้สึกของตัวเองออกไปเพราะไม่อยากให้น้ำเงินอึดอัด แต่ถึงจะบอกว่าคิดอย่างไรก็คงจะไม่สมหวังอยู่ดีเพราะน้ำเงินก็มีคนที่ชอบ แถมตอนนี้ก็ยังเป็นแฟนกันแล้วอย่างพี่องศา เหมยจำใจอยู่ในเฟรนด์โซนทั้งที่ตัวเองเจ็บเป็นตาย

“น้องรักมึงโทรมา” เขาเอ่ยปากเมื่อเห็นว่าเจ้าโทรศัพท์ของเหมยสั่น ซึ่งบนหน้าจอปรากฎให้เห็นว่าคนที่โทรเข้ามาเป็นน้องชายฝาแฝดอย่างหมิง พอเห็นว่าเจ้าตัวทำทีไม่สนใจเขาจึงเอื้อมมือไปกดรับสายให้ เหมยจึงเอ่ยปากขอบคุณแบบประชด

เหมยกับหมิงเป็นเพื่อนในกลุ่มของเขา ทั้งสองคนเป็นฝาแฝดที่เหมือนกันทุกประการจนคนภายนอกแยกไม่ออกแล้วทักผิดอยู่บ่อยๆ นั่นเลยเป็นเหตุผลให้เหมยไปย้อมผมเป็นสีน้ำตาลอ่อน ส่วนหมิงก็ไว้ผมสีดำตามกำเนิดเพราะเจ้าตัวร้องว่าไม่อยากแสบหนังหัว คนเป็นพี่ชายก็เลยตามใจเนื่องจากไม่อยากเถียงด้วย

ถึงอย่างนั้นหากได้ทำความรู้จักทั้งสองแฝดก็จะได้รู้ว่าแยกออกได้ง่ายมากๆ ว่าใครเป็นใคร เพราะนิสัยต่างกันแบบสุดขั้ว หมิงจะออกแนวช่างพูดจ้อส่วนเหมยก็ไม่ค่อยพูดถ้าไม่ใช่เรื่องจำเป็น เห็นแบบนี้เหมยก็ดุใช่เล่นเวลาหมิงทำอะไรไม่เหมาะสม บางทีก็ทำตัวเหมือนไม่สนใจแต่ลึกๆ แล้วก็หวงน้อง แถมสองแฝดยังรักกันยิ่งกว่าอะไรดี

“เอาไรไหม จะไปซื้อข้าว” เหมยถามออกมาหลังจากที่วางโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว

“มันโทรมาสั่งข้าวเหรอ”

“อืม” เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นว่าเพื่อนหน้าตี๋ทำหน้าไร้อารมณ์ เหมยตามใจแฝดเป็นบางเรื่อง ถ้าทำให้ได้ก็ทำ

“เมื่อคืนมันไม่ได้นอนบ้านเหรอวะ”

“เปล่า ไปนอนกับไอ้เพลิง” เพื่อนตัวโย่งว่าก่อนจะลุกขึ้นยืน “ตกลงเอาอะไรไหม”

“ไม่อะ เมื่อเช้ากูกินข้าวมาแล้ว แต่เดี๋ยวกูเดินไปช่วยถือ”

“ไม่เป็นไร” ไม่รอให้เขาได้ท้วงอะไรเหมยก็เดินออกไปจากโต๊ะโดยที่เหลือเขาที่กลายเป็นหมาเฝ้าของชั่วคราว

เพลิงเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งในกลุ่มที่บ้านมีหน้ามีตาพอสมควรเพราะพ่อเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนไม่ไกลจากมหา’ลัยที่พวกเขาเรียนอยู่ แถมยังเป็นคนที่มีเสน่ห์จากลักษณะนิสัยที่ขี้เล่น ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ไม่มีแฟนหรือคนควงเพราะติดหมิง แม้ว่าเพลิงกับหมิงจะบอกว่าเป็นเพื่อนกัน แต่ด้วยการกระทำของทั้งคู่ทำให้มองออกว่าเป็นความสัมพันธ์ที่เกินกว่าเพื่อน

เขารู้ว่าบนโลกมีความสัมพันธ์หลายรูปแบบ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องมาเจอรูปแบบที่ซับซ้อนจนไม่รู้ว่าจะเริ่มแก้จากตรงไหน ไม่สิ... ต้องถามว่าเมื่อไหร่เขาถึงจะเริ่มแก้มากกว่า เพราะเขารู้ว่าสาเหตุมาจากไหน

ครืด... ครืด...

พู่กันสลัดความคิดในหัวออกเมื่อเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมบนโต๊ะเกิดสั่นขึ้นมา เขากดรับสายโดยไม่ลังเลหลังจากที่เห็นว่าเป็นเบอร์ของน้ำเงิน

“พี่ศาเขาหลงทางหรือไง ถึงไม่พามึงมาส่งสักที” เขาแซวออกไปด้วยน้ำเสียงติดตลก ถ้าพูดกันโดยตรงแล้วในกลุ่มเขาสนิทกับน้ำเงินที่สุด มีอะไรเขาก็เล่าให้ฟังหรือเวลาขอความเห็นส่วนมากก็มาจากน้ำเงิน เรียกว่าแทบไม่มีอะไรปิดบังกันเลยยกเว้นเรื่องของครามที่ไม่สามารถเล่าหรือปรึกษาได้ เพราะเขาไม่อยากให้เพื่อนต้องลำบากใจ

(เงินไม่ไปเรียน) หากแต่น้ำเสียงที่ตอบมาทำให้เขาชะงักไปครู่หนึ่งเพราะเป็นเสียงของคราม (ฝากเลคเชอร์หน่อย)

“เค แล้วเงินเป็นไร” เขาถามด้วยความเป็นห่วง ส่วนมากน้ำเงินจะไม่ขาดเรียนถ้าไม่มีเรื่องจำเป็น “ไม่สบายเหรอ”

(นิดหน่อย)

“โอเค” พู่กันตอบและกำลังจะบอกว่าแค่นี้นะ แต่ปลายสายกลับเรียกเอาไว้ก่อนที่เขาจะได้พูดออกไป

(พู่)

“ว่า”

(ตอนเย็นมึงไปไหนหรือเปล่า) คำถามของครามทำให้เขาฉุกคิด ทบทวนตารางชีวิตของตัวเองก่อนจะตอบออกไปตามความจริง

“ไปร้าน มีไร”

(ไปเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ)

“ไปไหนวะ”

(หาอะไรกิน)

“เลี้ยงปะ”

(กูเคยให้มึงจ่ายเองไหมล่ะ)

“ไม่”

(ก็ตามนั้น)

“ที่ไหน กี่โมง อะไรยังไง บอกให้ครบ”

(มึงเลิกก็กลับไปร้านก่อน เดี๋ยวกูไปรับ จะไปหาแม่มึงด้วย วันนี้มึงเลิกบ่ายสองถูกปะ)

“ถูก ไม่ยักรู้ว่าความจำดี” เขาแซวออกไปโดยที่ไม่คิดอะไร แต่สิ่งที่ครามตอบกลับทำให้แทบอยากจะกระชากออกมาบีบคอ

(เออดิ กูเก่ง ขนาดเมื่อคืนทำรอยมึงไว้ตรงไหนบ้าง กูยังจำได้เลย เน้นตรงไหนเป็นพิเศษกูก็จำได้)

“ไอ้สัดพี่ ไม่พูดเรื่องนี้”

(เย็นเจอกัน)

“เออ” พู่กันกดตัดสายแล้ววางโทรศัพท์ลงข้างตัว เขาได้ยินไอ้พี่ครามมันหัวเราะก่อนวางสายด้วย ขี้แกล้งฉิบหาย

ส่วนมากแล้วเขาก็ไม่ค่อยได้ปฎิเสธหากว่าครามชวนไปไหนมาไหน เอาตรงๆ เวลาออกไปกินข้าวหรือใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คิดว่าคงทำแบบนั้นไม่ได้เพราะคงทะเลาะกันทุกๆ หนึ่งนาที แต่พอเป็นตอนนี้มันกลับกันเสียหมด

ครามเล่าอะไรให้เขาฟังหลายอย่าง ทั้งเรื่องครอบครัว เรื่องน้ำเงิน หรือแม้กระทั่งเล่าเรื่องของตัวเอง รวมไปถึงเล่าให้เขาฟังด้วยว่าเริ่มชอบนับเงินตั้งแต่ตอนไหนและชอบเพราะอะไร เวลาฟังอีกฝ่ายเล่าก็เพลินดีจนคิดว่ามันไม่ได้รู้สึกแย่อะไรมากมาย

ถึงอย่างนั้นก็มีเพียงแค่ครามที่เป็นฝ่ายเล่า เขาแทบจะไม่ได้เล่าเรื่องของตัวเองให้รุ่นพี่ฟังเลยด้วยซ้ำ แต่ครามมักจะไปรู้เรื่องต่างๆ จากแม่ของเขาที่ชอบเล่าให้ฟังเวลาคนพี่ไปหาที่ร้าน

เอาเข้าจริงแม่ก็เคยถามเขาอยู่เหมือนกันว่ากับครามเป็นแค่พี่น้องกันจริงหรือไม่ พอตอบไปว่าจริงคุณวาดก็ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อเสียอย่างนั้น จนเขาต้องแอบเล่าไปว่าครามมีคนที่ชอบอยู่แล้วแม่ถึงได้เชื่อ

“วันนี้ญาติมึงไปไหน” น้ำเสียงคุ้นหูดังเข้ามาในโสตประสาททำให้พู่กันหันไปสนใจ เพลิงจับเอาสัมภาระของเหมยให้ขยับไปอีกฝั่ง

“ไม่สบายอะดิ พี่มันเพิ่งโทรมาบอก” พู่กันตอบทันทีเพราะรู้ว่าญาติที่เพลิงพูดถึงนั้นคือใคร “แล้วแม่มึงอะไปไหน”

“ไปช่วยเหมย มันหิว บ่นมาตลอดทาง” เพลิงว่าก่อนยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วหาว ท่าทางเหมือนคนหลับอดนอนมาทั้งคืน “ง่วงว่ะ”

“ไม่ได้นอนหรือไง” มันคงจะเป็นคำถามปกติหากว่าพู่กันใช้โทนเสียงธรรมดาในการถาม แต่เขากลับทำเสียงกรุ้มกริ่มจึงทำให้เพลิงด่าออกมาหนึ่งที

“สัดพู่ เงียบๆ” เขาหัวเราะก๊ากทันทีเมื่อการจับพิรุธสำเร็จ อันที่จริงก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน พู่กันมองหน้าเพลิงก่อนยกมือขึ้นแตะต้นคอตัวเองเพื่อให้เพื่อนได้รู้สึกตัวว่ามันมีรอยอยู่ตรงไหน “แม่งเล่นกูแล้วไง”

“มีซัมติง ปิดไม่มิดแล้วงี้”

“ชัดมากปะวะ” เพลิงเอื้อมมือขึ้นไปจับต้นคอตัวเองตามคำบอกของเพื่อน

“ชัดเหมือนที่ไอ้เงินได้มาเลยมึง” เขาว่าพลางยกยิ้ม “พี่มันรู้ยัง”

“ยังอะดิ มึงมีพลาสเตอร์ปะ” พู่กันเลิกคิ้วขณะที่ช้อนสายตามอง มันเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุดสักเท่าไหร่ “แล้วทำไงวะ เดี๋ยวเหมยเห็น กูขี้เกียจฟังมันบ่น”

“ทำเฉยๆ ไป มันไม่ถามหรอก เชื่อกูดิ แต่ถ้ามึงปิดพลาสเตอร์มันถามแน่” เขาเสนอความคิดเห็น “อีกอย่างมึงก็รู้ว่ามันคงไม่แค่ถาม แต่มันจะแกะของมึงด้วย”

“ให้คำแนะนำดีมากครับ ทางออกของกูคือใส่ฮู้ด”

“ไม่ต้องไอ้สัด บอกให้เฉยๆ ไว้” เพลิงทำท่าเหมือนจะโขกหัวตัวเองลงบนโต๊ะ แต่เขาไม่ห้ามแถมยังหัวเราะจนมันพูดออกมาเบาๆ “ห้ามกูบ้าง กูเพื่อนมึงนะ”

“เหอะ เรื่องของมึง”

“แหม ไอ้สัด แต่ลืมไป กูไม่ใช่พี่ครามนี่หว่า” เสียงตัดพ้อปนล้อเลียนเป็นผลให้พู่กันชูนิ้วกลางใส่

“เกี่ยวอะไรกับมันวะ”

“เอ้า ก็ช่วงนี้กูเห็นมึงเหมือนจะสนิทกับเขาอะ เดี๋ยวก็ชวนไปหาไรแดก นู่นนี่นั่น ถ้าไม่ติดว่ากูรู้ว่าเขาชอบพี่นับนะ กูคิดว่ามีซัมติงกันละ” เขาเบ้ปากเมื่อเพลิงพูดจบ

“คิดอกุศลสัด พวกมึงนี่คิดให้กูมีซัมติงกับไอ้เงินไม่พอ ยังคิดให้กูไปมีกับพี่มันอีกเหรอวะ”

“ถ้าใจเราได้มันก็ได้เว้ย”

“ใจกูไม่ได้ไง” เขาเถียงออกไปอย่างจริงจัง ขณะที่เพลิงหรี่ตาลงเหมือนจะจับผิด “อะไรของมึงอีก”

“แล้วทำไมเป็นมึง”

“ไม่เข้าใจ”

“ทำไมเป็นมึงที่พี่มันชวนไปหาอะไรแดกวะ” พู่กันชะงักก่อนจะขมวดคิ้วจนยุ่ง หัวใจของเขาสั่นเพราะเกรงว่าเพื่อนจะรู้ “ทำไมไม่เป็นกู ไอ้เหี้ยยย เสี้ยนของฟรีมากๆ”

“ไอ้ส้นตีน” เขาสบถแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ กลายเป็นความรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เขานึกว่าความจะแตกเสียแล้ว แต่คำถามของเพลิงเมื่อครู่กลับติดอยู่ในหัวของเขา

ทำไมต้องเป็นเขา... นั่นสิ

ก็ไม่รู้เหมือนกัน

*

พู่กันละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์เมื่อเห็นแสงสว่างวาบเกิดขึ้นจากโทรศัพท์เพราะมีข้อความเข้า เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะความหงุดหงิดที่ก่อตัวมาตั้งแต่ช่วงเย็น จนป่านนี้ไอ้คนที่บอกว่าจะมารับไปหาอะไรกินก็ยังไม่โผล่หัวมา

เขาลุกขึ้นจากโซฟาทันทีเมื่อเห็นว่าคนพี่ส่งมาบอกให้ออกไปยืนรอหน้าบ้านเพราะกำลังจะถึง ร่างเล็กเดินมาออกมารอตามสั่ง ไม่ถึงห้านาทีรถสีดำกับป้ายทะเบียนคุ้นหน้าก็ขับเข้ามาจอดเทียบหน้าประตูบ้าน

“นึกว่าจะมาชาติหน้า” เขาสบถด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดทันทีที่กระจกรถเคลื่อนตัวลงจนเห็นใบหน้าของคนที่ด่าในใจแบบไฟไหม้ตั้งแต่ช่วงเย็น ก็เพราะยังไม่ได้กินอะไรเลยสักอย่างมัวรอแต่พี่มัน “เป็นไร”

“กำลังรู้สึกผิดอยู่” พู่กันเบ้ปากหลังจากที่ได้ยินเสียงหงอยๆ ของคนที่นั่งอยู่บนรถ “มึงกินไรยัง”

“ใครจะไปรอ ถามหน่อย ถ้ารอกินกับพี่ก็ไส้แห้งตายแล้วปะ”

“แซะเก่งนะมึงเนี่ย ...ขึ้นรถมา”

“ไม่ไป กินข้าวแล้ว”

“ขึ้นมา”

“เป็นแม่เหรอมาสั่ง”

“จะขึ้นมาเอง หรือจะให้กูลงไปอุ้ม” พู่กันจิ๊ปากด้วยความขัดใจก่อนจะเปิดประตูรถแล้วยัดตัวเองเข้ามานั่งอย่างหงุดหงิด “ก็แค่นั้น จะกินอะไร”

“บอกว่ากินข้าวแล้วไง”

“ให้มึงตอบอีกที” คนโตกว่าหันมาจ้องเหมือนจะกลืนเขาลงไปทั้งตัว ทำไมต้องทำเหมือนไปรู้อะไรมาด้วยวะ “พู่กัน”

“กินไรก็กิน”

“ก๋วยจั๊บ” เขาถามความเห็นเพราะไม่รู้ว่าไอ้เด็กช่างเถียงจะอยากกินหรือไม่ ก่อนจะเข้ามาที่บ้านเขาแวะไปที่ร้านมาก่อนแล้ว คุณน้าวาดก็บอกว่าพู่กันคงยังไม่ได้กินอะไรเพราะเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนยังโทรไปบ่นอยู่เลยว่าหิว “เคไม่เค”

“ได้หมด” เพราะหิวหรอกนะแม่ง ไม่งั้นอย่าฝันว่าจะก้าวขึ้นรถมาด้วยเลย “นี่ถามได้ปะ”

“ถามไร”

“ไปไหนมา” พู่กันหันหน้าไปมองคนที่ตั้งใจขับรถ “แต่ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ว่ากัน”

“บ้านนับ”

“อ้อ”

“อ้อไร กูไม่เจอเขา” ครามไม่ได้แสดงท่าทีหงุดหงิดใส่เขาเลยแม้แต่นิด “กูกลับจากบ้านไอ้ศาเลยแวะไป แต่มันไม่อยู่”

“อือฮึ โทษที”

“เรื่อง”

“แทงใจดำ จะไม่ถามว่าพี่นับไปไหนละกัน” เขาเม้มปากก่อนจะปล่อยให้บทสนทนาเงียบลงแล้วถูกแทนที่ด้วยเสียงเพลง พอเป็นได้ยินว่าพี่นับไม่อยู่ทั้งเขาและพี่ครามก็รู้ว่าไปไหน ช่วงนี้ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องงานเข้ามาเอี่ยว พี่นับก็เลยต้องไปกับพี่เข็มทิศบ่อยๆ
 
เขาเหลือบสายตาไปมองพี่ครามเล็กน้อยเพื่อดูว่ามีปฏิกิริยาของคนเศร้าโศกเสียใจหรือไม่ เพราะมันคงแย่ไม่เบาหากจะต้องไปนั่งกินก๋วยจั๊บเป็นเพื่อนคนเศร้า ได้กลายเป็นจั๊บเคล้าน้ำตาแน่

“มึง ร้านอยู่ไหนวะ” คนขับรถตีไฟเลี้ยวเข้าข้างทางเพื่อมองหาร้านก๋วยจั๊บที่พวกเขาเคยมากินด้วยกันสามสี่ครั้ง “หรือเจ๊ง”

“แหม ปาก อยู่ดีๆ ก็ไปแช่งเขา” พู่กันบ่นก่อนจะหันไปมองหาร้าน แถวๆ นี้เป็นย่านของกินที่มีตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง ร้านนม หรือแม้กระทั่งร้านเหล้าเล็กๆ “สงสัยจะหยุด”

“ซวยฉิบ”

“กลับบ้านดิ” ครามหันมาเหล่ บอกให้กลับบ้านทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้กินอะไรเนี่ยเหรอวะ “เอ้า จริงจังนะเนี่ย”

“กูหิวไงครับอีหนู”

“หนูบ้านพี่เหอะ เดี๋ยวต่อยปากแตก” ไม่ว่าเปล่าพู่กันยังกำหมัดขึ้นมาทำทีเหมือนจะต่อยเข้าที่แขนใหญ่ๆ ทำเอาไอ้รุ่นพี่ร่างยักษ์หัวเราะเหมือนคนเสียสติ “หนักแล้วนะ”

“ตัวมึงแค่นี้ ต่อยมาคิดว่ากูจะเจ็บเหรอ”

“ไม่อะ พี่มึงหนา”

“หมายถึง”

“หน้า ...โอ๊ย เจ็บนะเว้ย!” เขาร้องเสียงหลงเมื่อไอ้คนพี่เอื้อมมือมาหยิกเข้าที่แก้มอย่างแรง “ซาดิสม์เหรอ”

“พอตัวครับ” ครามกระตุกยิ้มเมื่อเห็นว่าเด็กตัวจ้อยฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ “ไปกินเตี๋ยว”

“เหอะ ไม่เอา ร้านนี้ไม่อร่อย”

“แล้วจะกินอะไร” เพราะมีน้องชายก็เลยติดนิสัยชอบถาม ส่วนมากเขาก็เป็นคนตามใจแต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่อง ยิ่งถ้าเมาเมื่อไหร่ก็เอาแต่ใจแบบขั้นสุดโดยเฉพาะเวลาที่อยู่กับพู่กัน “เร็ว ให้เลือก”

“กินไรก็ได้”

“กินอะไรก็ได้ก็เตี๋ยว”

“ไม่”

“กวนตีนแล้วงี้”

“ก็มันไม่อร่อยอะ” เขายกมือขึ้นกอดอกก่อนจะหันไปมองหน้ารุ่นพี่กำลังจ้องมา “แยกกันไปกินปะล่ะ”

“ถ้าจะแยกกันไป กูจะพามึงมาทำไม พูดไม่คิด”

“เอ้า”

“เลือกมา” เสียงทุ้มเอ่ยสั่งอีกครั้ง “กูกินได้หมด”

“จริงจังปะ” ครามพยักหน้าเพื่อยืนยันคำตอบ เขายังคงจอดรถอยู่ที่เดิมเพราะไม่รู้ว่าอาหารก่อนนอนจะเป็นอะไร “กินจั๊บแหละ เดี๋ยวพาไป”

“มีที่ไหนอีก”

“เออน่ะ ขับตามที่บอกละกัน” ชายหนุ่มฟังตามคำสั่ง โดยที่เสียงเจื้อยแจ้วนั่งบอกทางมาเป็นระยะ ซึ่งมันก็ไม่ได้ไกลจากที่เมื่อกี้เท่าไหร่นัก

ปกติแล้วครามเป็นคนง่ายๆ เรียกได้ว่าง่ายทุกอย่างตั้งแต่การกิน ใช้ชีวิตความเป็นอยู่ ยิ่งช่วงไหนเฮิร์ตก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่เพราะไม่ค่อยกินข้าว สิ่งที่ตกถึงท้องคือกับแกล้มและเหล้าเบียร์

ถ้าถามว่าติดไหมก็อาจจะนิดหน่อย ยังไม่ถึงขั้นดื่มจนเรื้อรัง เขาจะดื่มหนักๆ ก็ช่วงที่เฮิร์ตจากนับเงินแค่นั้น ถึงอย่างนั้นพักหลังก็กลับมาบ่อยจนเพื่อนอย่างไอ้ยิ้มกลัวว่าเขาจะตายเสียก่อน

แต่ไอ้ช่วงที่ดื่มหนักแบบแทบไม่ลืมหูลืมตาคือช่วงที่พู่กันไม่คุยด้วย เขารู้ตัวว่าทำผิดที่ไปข้ามขั้นจนทำให้น้องมันไม่อยากยุ่ง แต่เขาทนไม่ได้ถ้าไม่ได้คุยกัน มันอึดอัดจนทำตัวไม่ถูกเวลาเจอหน้าจึงเอ่ยปากให้น้ำเงินช่วย ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ได้เล่าให้น้องฟังอยู่ดีว่าไปทำอะไรไว้แค่บอกว่าทะเลาะกันนิดหน่อย

เขารู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวที่เอาพู่กันมากักไว้กับตัวเอง จากตอนแรกที่ไม่ชอบหน้าตอนนี้กลายเป็นว่าต้องได้เจอหน้าทุกวันซะแบบนั้น ครามไม่รู้ว่าควรจะเรียกสถานะแบบนี้ว่าอะไร ถึงจะกักไว้แต่เราก็ตกลงกันแล้วว่าถ้าใครมีคนของตัวเองก็จะเลิกยุ่งกัน

เรื่องของเขามีแค่องศาที่รู้ จะให้ระบายกับไอ้ยิ้มมีหวังเขาก็สับกบาลแหก เพราะดูท่าแล้วเพื่อนเขาก็ห่วงพู่กันใช่ย่อย แน่นอนว่าเขาก็โดนองศาเตือนมาหลายหนในเรื่องของความรู้สึก การมีเซ็กส์กันไปเรื่อยๆ อาจจะทำให้ใครคนใดคนหนึ่งเปลี่ยน แล้วถ้าเกิดมันเป็นอย่างนั้นก็ต้องรับผลที่ตามมาให้ได้ถ้าจะต้องเลิกยุ่งกันไป

หากแตกหักคราวนี้

คงจะไม่ได้เป็นแม้แต่พี่น้อง

*

ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 01 ; (20/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 20-09-2018 19:03:35

“สรุปคือยังไง” เสียงใสเอ่ยถามหลังจากที่เรานั่งดูหนังกันจนจบเรื่อง ตอนแรกพี่ครามบอกจะกลับบ้านหลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จจนออกมาแล้วก็ยังเจอรุ่นพี่นั่งอยู่ พอเขาบอกจะนั่งดูหนังคนเดียวก็ดันตื๊อว่าจะนั่งดูด้วยแป๊บนึง นี่ยันจบเรื่องแล้วก็ยังไม่ลุก “บ้านช่องไม่กลับแล้วว่างั้น”

“แม่ไม่กลับบ้าน?” ครามดูนาฬิกาบนฝาผนังที่บอกว่าอีกยี่สิบนาทีจะเที่ยงคืน เด็กที่ยืนอยู่หน้าโทรทัศน์ขนาดสี่สิบสองนิ้วหันมาส่ายหน้าเล็กน้อย “งานยุ่งเหรอ”

“ตอนไปเจอทำไมไม่ถามล่ะ”

“กวนตีน”

“พูดจริงก็หาว่ากวนตีน” เขากดปิดโทรทัศน์ก่อนเอาผ้าขนหนูบนไหล่ขึ้นไปวางโปะไว้บนหัว “นี่พี่จะกลับบ้านปะเนี่ย”

“ไม่กลับละ” จริงๆ เขากะว่าจะอยู่รอจนกว่าน้าวาดกลับบ้าน แต่พอได้ยินแบบนั้นก็ไม่กล้าจะปล่อยให้เด็กมันนอนคนเดียว แม้จะเป็นผู้ชายแต่ยุคสมัยนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น “กูนอนนี่แหละ”

“นอนบ่อยขนาดนี้ค่าน้ำค่าไฟต้องหารแล้วมั้ง” พู่กันหรี่ตาลงอย่างอ่อนใจ เขาไม่แม้แต่จะห้ามเพราะต่อให้พูดจนปากฉีกไปถึงรูหูก็เหมือนนั่งคุยกับหิน “ไปอาบน้ำดิ”

“อาบกับกูปะ”

“ตลกเหรอ จะไปนอนละ ง่วง” ครามหัวเราะก่อนเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าที่มีชุดของเขาอยู่ประมาณสิบกว่าชุด ที่จริงก็ไม่มีหรอกแต่พอมานอนค้างบ่อยเขาก็เลยทิ้งไว้บ้าง “ปิดไฟให้ด้วยนะ”

“เออครับ”

เขามองแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ ไม่ปฏิเสธเลยว่าครามดูดีแถมไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เป็นอดีตเดือนมหา’ลัยจะมาคลุกคลีอยู่กับเขา

ความแตกต่างของครามกับน้ำเงินที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนเลยคือโครงหน้า แม่เขาก็บอกว่าครามหน้าคมกว่า ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีเค้าความเป็นพี่น้อง อาจจะไม่ได้มองแล้วร้องอ๋อว่านี่ใช่ในทันทีแต่ถ้าบอกว่ามีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดก็รู้เลย

จากที่เขาสังเกตคือครามมักชอบใส่เสื้อกล้ามนอน พูดง่ายๆ คือเป็นคนขี้ร้อน แม้ว่าในห้องจะแอร์ยี่สิบองศาก็ตาม

พู่กันคลานขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วขยับไปชิดกำแพงซึ่งเป็นที่ประจำเวลาที่ครามมานอนด้วย หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเพราะเอาเข้าจริงๆ ก็ยังไม่ง่วงเท่าไหร่ ยิ่งพรุ่งนี้เป็นวันหยุดด้วยแล้วกว่าจะนอนบางทีก็ปาไปตีสี่

เขาเล่นเกมเพลินจนไม่รู้เวลา มารู้อีกทีก็ตอนที่พี่ครามอาบน้ำเสร็จแล้วนั่งลงบนเตียง พู่กันเหลือบสายตาไปมองก่อนจะขยับตัวเข้าไปชิดกำแพงมากขึ้น

“ไหนมึงบอกง่วง”

“ง่วงแต่นอนไม่หลับเลยนั่งเล่นเกม มีปัญหาอ่อ”

“จะจบยัง” คนพี่ถามด้วยน้ำเสียงนิ่ง พู่กันช้อนสายตามองครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงเล่นเกมต่อ

“ใกล้แล้ว ทำ —ทำเหี้ยอะไรของพี่เนี่ย” ครามหัวเราะเมื่อไอ้เด็กที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่สบถออกมาเสียงดังในตอนที่เขาทิ้งตัวลงนอนบนตัก “ไปนอนดีๆ ดิวะ”

“กูนอนดีแล้ว”

“หนักโว้ย” พู่กันเขย่าขาตัวเองเพื่อให้ครามที่นอนอยู่สั่นสะเทือนไปด้วย “เล่นเกมไม่ถนัด”

“บอกว่านอนดีแล้ว” ครามย้ำอีกหน “เพราะถ้ากูนอนไม่ดี มันจะเป็นแบบนี้”

“ไอ้เหี้ยพี่ ...!” พู่กันวางโทรศัพท์ลงข้างตัวทันทีที่ครามหันหน้าเข้าหาหน้าท้องเขา ความมือไวของอีกฝ่ายทำให้เสื้อยืดเลิกขึ้นไปจนเผยให้เห็นผิวขาว “อ...อย่า”

แม้จะพยายามดันครามให้ออกห่างแต่ก็ไม่เป็นผล ชายหนุ่มกดจูบเน้นย้ำตรงหน้าท้องด้วยความมันเขี้ยว เขาได้ยินเสียงครางดังขึ้นมาเป็นจังหวะ ยิ่งขบเม้มแรงเท่าไหร่เสียงของพู่กันก็ดังมากขึ้นเท่านั้น รวมไปถึงน้ำเสียงสั่งห้ามที่สั่นเครือนั่นด้วย

“อย่าอะไร” ครามยันตัวเองขึ้นนั่งก่อนโน้มไปกระซิบข้างใบหู “อย่าทำหรืออย่าหยุด”

“อย่ากวนตีน”

“ตอบแบบนี้แสดงว่า...”

“ไปไกลๆ เลยพี่คราม” เขางับติ่งหูพู่กันเบาๆ หลังจากที่โดนไล่ ปากก็ไล่แต่ด้วยความที่คุยกันมานานพอสมควรทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดเช่นนั้น “พอเลย จะนอน”

“ใครให้มึงนอน”

“ตัวเอง สั่งเอง นอนเอง” ไม่ว่าเปล่าพู่กันยังผลักเขาให้ถอยออกไป ก่อนสอดตัวเองลงใต้ผ้าห่มผืนหนาแถมยังพลิกตัวเข้าหากำแพงอีก “ปิดไฟด้วย”

“มึงหันหน้าเข้ากำแพงแล้วจะมาเดือดร้อนอะไร” ครามยียวนถามลองเชิง มั่นใจเต็มร้อยว่าไอ้เด็กช่างเถียงต้องลุกขึ้นมาสั่งแน่ๆ และเป็นไปตามที่คิด “ว่า”

“ปิดไฟ”

“ถ้าปิดแล้วกูจะได้อะไร” ครามเลิกคิ้วถาม ยอมรับว่าไอ้ความฟึดฟัดที่พู่กันแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดทำเอาเขาอยากจับกดให้จมอก “คำตอบ”

“ได้นอน” พู่กันตอบเสียงนิ่ง ขมวดคิ้วจนแทบจะผูกกันเป็นโบว์ อันที่จริงคือเขายังไม่ง่วงเลยสักนิด แต่ขืนนั่งเล่นเกมมีหวังโดนไอ้พี่ครามแกล้งเอาอีกแน่ “จะเลิกแกล้งได้ยัง”

“ได้” เขาเบ้ปากตอนเห็นครามไหวไหล่ คนพี่เอื้อมมือไปปิดไฟให้จนภายในห้องเหลือแค่แสงสว่างจากด้านนอกที่ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามา เขาทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ในขณะที่พลิกตัวเข้าหากำแพงกลับถูกไอ้คนเจ้าเล่ห์ห้ามเอาไว้ก่อน “ปิดไฟแต่กูไม่ให้นอน”

“อะไรของพี่อีกวะ” เขายุกยิกแล้วพยายามจะดิ้นให้หลุดจากการจับตรึง แม้จะเป็นผู้ชายแต่ขนาดตัวที่เล็กกว่าเกือบเท่าเลยทำให้สู้แรงของสีครามไม่ได้ “เบื่อหน้าพี่ว่ะ”

“มองเห็นหน้ากูเหรอ” พู่กันไม่ตอบแต่รู้ว่าในตอนนี้ใบหน้าของเราอยู่ใกล้กันเพียงใด ลมหายใจผสานกันจนแยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร

กระทั่งริมฝีปากถูกปิดประทับด้วยความร้อน ข้อมือเล็กได้รับอิสระเพราะฝ่ามือที่จับกุมไว้ในคราแรกกำลังเปลี่ยนไปซุกซนในจุดอื่น เสียงเฉอะแฉะจากการบดจูบอย่างรุนแรงทำให้ห้วงอารมณ์ของเราพุ่งขึ้นสูง

พู่กันเป็นคนที่ถูกกระตุ้นง่าย เขาเกิดอารมณ์ตั้งแต่ที่โดนจูบหน้าท้องเมื่อครู่ แต่ที่ต้องหยุดเพราะไม่อยากให้มันเกินเลย ถึงอย่างนั้นก็ยังคงห้ามไม่ได้อยู่ดี

ฝ่ามือใหญ่ไล้ไปตามแนวต้นขา ขณะที่เขายังป้อนจูบให้พู่กันไม่หยุด แม้ว่าตัวเองจะเคยพยายามหักห้ามไม่ให้ทำแบบนี้อยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ไม่รู้ว่าทำไมพอได้อยู่ใกล้ๆ แล้วเขาชอบเกิดความรู้สึกมันเขี้ยวจนอยากฟัดให้หายเถียง

“พี่” เสียงหวานขานเรียกเมื่อเขาผละจูบออก

“อะไร”

“เคยถามตัวเองไหม” คำถามของพู่กันทำให้ครามหยุดชะงัก เขามองหน้าน้องผ่านความมืด แม้จะเห็นได้ไม่ชัดแต่ก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร “ว่าทำไมต้องเป็นผม”

“เรื่องไหน” เขาไม่ค่อยเข้าใจคำถามสักเท่าไหร่ “ที่กูทำแบบนี้ หรือว่ายังไง”

“ทุกเรื่อง” เราไม่ได้คุยกันด้วยน้ำเสียงตัดพ้อหรือไม่พอใจ มันเป็นโทนเสียงปกติ “เคยคิดจะให้คนอื่นมาอยู่ตรงนี้ไหม”

“เคย” ครามโน้มลงไปกระซิบข้างหู เขาเคยคิดว่าควรจะหาที่ปรึกษาหรือที่ระบายใหม่ แต่ก็ทำได้แค่คิด เพราะสุดท้ายตอนที่มีปัญหาเขาก็นึกถึงพู่กันอยู่ดี “แต่ก็ไม่รู้”

“...”

“เคยคิดเท่าไหร่ แต่สุดท้ายมันก็ยังเป็นมึง”

“แล้วถ้าวันไหนผมมีแฟนขึ้นมา”

“ก็ให้ไปแบบที่ไม่ต้องมาสนใจกู” ครามตอบกลับตามความจริง “กูเห็นแก่ตัวกับมึง กูรู้”

“เห็นแก่ตัวยังไง ผมไม่ได้ชอบพี่ ถ้ามันไม่มีใครรู้สึกก็ไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัว ถูกปะวะ” เขาพูดจริงในตอนนี้ ความรู้สึกของเขาที่เป็นอยู่คือห่วงคราม เวลาที่มีปัญหากับพี่นับหรือมันไม่เป็นไปตามที่คิด ก็แค่รู้สึกว่าครามต้องมีที่ระบาย ถึงแม้ว่าการมาพูดคุยกับเขามันจะจบด้วยเซ็กส์ก็ตาม “แต่มันก็ไม่ดีถ้าพี่นับเขารู้”

“ความจริงคือกูไม่ควรดึงมึงเข้ามาเกี่ยวกับวงจรชีวิตกูตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ” เขายังคงซุกอยู่ข้างซอกคอของพู่กัน “แต่ก็อย่างที่บอก กูทำเป็นไม่รู้จักมึงไม่ได้”

“เพราะมีเซ็กส์เข้ามาเกี่ยวเหรอ” ครามยันตัวเองขึ้นจากร่างเล็ก พลิกตัวกลับไปนอนหงายก่อนที่พู่กันจะลุกขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนตัว สองมือเล็กยกขึ้นกอดอกเพื่อแสดงว่าในตอนนี้เขากำลังเอาแต่ใจและคาดหวังคำตอบที่ชัดเจน “จริงๆ พี่ต้องทำได้ดิ ผมเป็นผู้ชายนะเว้ย ไม่ท้อง ไม่ต้องมารับผิดชอบ”

“กูไม่ได้รับผิดชอบ แค่รู้สึกว่าไม่อยากให้มึงกับกูกลายเป็นคนแปลกหน้า” พูดตรงๆ ว่าไม่ได้คิดแบบนั้น มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์ เขาแค่มีความรู้สึกสบายใจตอนที่อยู่ด้วย ครามก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ามันคืออะไร เคยแอบคิดว่าจะเป็นความชอบ แต่เขายังปักหลักอยู่กับนับ มันทำให้สงสัยตัวเองเช่นกันว่าจะชอบคนสองคนเชิงคู่รักในเวลาเดียวกันได้จริงๆ เหรอ ผลสุดท้ายก็คือไม่ เขาจึงสับสน “ถ้ามึงไม่โอเคกับที่เป็นอยู่เมื่อไหร่ก็บอกกู แต่ถ้าถามกูตอนนี้มันต้องเป็นมึง”

“แล้วทำไมต้องเป็นผมวะ โคตรไม่เข้าใจ”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน ให้คนอื่นมานั่งฟังกูระบายเป็นสิบชั่วโมง แต่ถ้าไม่ใช่มึงกูก็ไม่เอา”

“งั้นขอให้สมหวังไวๆ ขี้เกียจมานั่งฟังพี่บ่นละ อีกอย่างพี่จะได้เลิกเหล้า เลิกบุหรี่”

“เอาความจริง”

“ก็เนี่ยจริง เลิกเหล้าต่อชีวิตให้พี่ไง จะได้ไม่ตายก่อนกำหนด เดี๋ยวพ่อแม่เสียใจ นี่ถ้ายังกินไม่หยุดงี้นะ โน่นอะ ยมบาลรอเวลาลงมารับแล้ว” พู่กันพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก ในจังหวะที่กำลังจะกลิ้งลงไปนอนที่ตัวเองกลับถูกขัดเอาไว้ด้วยฝีมือของคนใต้ร่าง ครามดึงให้เด็กบนตัวโน้มลงมาก่อนวาดวงแขนกอดเอวเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ดิ้นหนีไปไหน

“กูว่ากูรู้แล้ว”

“รู้อะไรวะ”

คนโตกว่าว่าพลางกดหัวพู่กันให้ลงมาจนเขารับรู้ได้ถึงลมหายใจที่ผ่อนรดอยู่ตรงลำคอ พอมั่นใจว่าพู่กันไม่ดิ้น เขาจึงพูดออกไปเบาๆ

“ถ้าเป็นคนอื่นมาพูดแบบนี้กูกระชากมาต่อยแล้วนะ”

“...”

“แต่มึงเป็นข้อยกเว้น”

“…”

“ก็เลยต้องเป็นมึงที่อยู่กับกู”

*
tbc
งืม เวลาอยู่ด้วยกันก็จะเป็นแบบนี้ แต่โลกมันซับซ้อน ._. ตอนนี้มันก็เป็นฟีลที่ยังโอเคด้วยกันทั้งคู่ ...
ปล. เรื่องที่แล้วไม่พอใจพี่ศา เรื่องนี้ก็ด่าพี่ครามค่ะ /พระเอกของเราชอบโดนด่า แต่อย่าด่าแรงนะคะ กัว 55555
#โซ่สีคราม นะคะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 01 ; (20/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: it.the.world ที่ 20-09-2018 22:42:53
จะมาม่ามากไหมอ่ะ แงงง พี่ครามคลหลายจายยย
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 01 ; (20/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-09-2018 10:40:53
 :เฮ้อ:

ต่างอารมณ์กับน้ำเงินเลย
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 01 ; (20/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 21-09-2018 16:06:33
ครามเห็นแก่ตัว
แถมโลเล
โลคดีของนับ  ที่ยังไม่คบกับคราม
พู่กันก็โอนอ่อน ยอมเขาตลอต
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 01 ; (20/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 21-09-2018 18:20:57
มันเป็นความรู้สึกดีๆที่ครามมีให้พู่ เป็นความสบายใจที่มีที่พึ่ง เป็นตัวของตัวเอง เอาแต่ใจ เท่าไหร่ก็ได้
 คนเราจะรักใครสองคนในเวลาเดียวกันได้นะ แต่ถ้าพอถึงเวลาที่ต้องเลือก ก็ต้องเลือกอ่ะ

เป็นความสัมพันธ์ที่แบบ ถ้าใครล้ำเส้นหรือรู้สึกมากกว่าคนนั้นจะเจ็บที่สุด ซึ่งมั่นใจเลยว่าเป็นพู่ เพราะครามยังมีนับที่คอยบอกตัวเองว่าชอบ แต่พู่ไม่มีใครเลย
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 01 ; (20/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 21-09-2018 18:56:04
เพิ่งมาเจอค่ะแต่ดีมากๆรอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 02 ; (21/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 21-09-2018 20:55:52
02
Deep down
//


 “เหมยมึงเอาขนมให้ไอ้เงินด้วย” เขาสั่งพลางชี้นิ้วไปยังเชลฟ์ที่มีขนมขบเคี้ยววางอยู่หลายยี่ห้อเพื่อให้เพื่อนตัวโย่งได้หยิบใส่ตะกร้าลงมา วันนี้พวกเขาต้องไปรวมตัวกันที่บ้านของน้ำเงินเพราะต้องทำงานกลุ่ม

เอาเข้าจริงๆ คือมันผิดจากที่คาดคิด จากตอนแรกที่วางแผนว่าจะไปทำบ้านของหมิงเหมยก็ต้องกลับลำกะทันหันเพราะพวกเขาค่อนข้างเกรงใจทางบ้านเหมย ด้วยความที่เวลาพวกเขาอยู่ด้วยกันแล้วเหมือนงิ้วโรงแตกเลยคิดว่าคงไม่สะดวกนักหากจะเสียงดังแล้วอยู่ทำงานกันดึกดื่น

แถมจะเป็นบ้านเพลิงหรือบ้านเขาพวกเพื่อนก็ไม่อยากมาเพราะอ้างว่ามันก็เสียงดังไม่ได้ เนื่องจากมีผู้ใหญ่ สุดท้ายก็เลยต้องไปจบลงที่บ้านของน้ำเงินเพราะมีพี่ครามคนเดียว

“สาหร่ายกับวาซาบิ” ยังไม่ทันที่พู่กันจะได้หันไปตอบก็ต้องก้มมาสนใจโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในมือก่อน เพราะเห็นว่าเป็นชื่อของน้ำเงิน เขาเอียงคอหนีบโทรศัพท์ไว้กับหัวไหล่ มือเล็กชี้ไปยังขนมทั้งสองรสเพื่อบ่งบอกว่าไม่ต้องเลือก “เงินว่า”

(พู่ซื้อของเสร็จหรือยัง) น้ำเสียงปลายสายดูตื่นตระหนก

“ยังๆ แล้วเป็นอะไรของมึง ทำไมต้องทำเสียงเหมือนใครจะตาย”

(เราฝากซื้อน้ำแข็งกับเบียร์เข้ามาหน่อย) คำสั่งของเพื่อนสนิททำเอาเขาขมวดคิ้วยุ่งจนเหมยสงสัย

“มึงกินเหรอวะ”

(ไม่ๆ ของพี่ศากับเฮีย) พู่กันเบ้ปากเมื่อรู้ว่าการทำงานวันนี้เขาคงจะวอกแวกน่าดูเพราะมีพี่ครามอยู่ที่บ้านด้วย (เงินพอหรือเปล่า)

“กูมากับเสี่ยร้านทอง ไม่พอก็ให้มันออก เดี๋ยวกูซื้อไปให้ แค่นี้นะ” เขารอฟังเพื่อนขานตอบก่อนจะกดวางสาย ตวัดสายตาไปหาเหมยที่ยืนขมวดคิ้วมองอยู่ทันที “พี่ศากับพี่ครามอยู่ด้วย ไอ้เงินโทรมาฝากซื้อน้ำแข็งกับเบียร์”

“งานยากเลยสิ”

“ก็ทั้งมึงทั้งกูแหละน่า” เขาหัวเราะให้กันกับการเริ่มต้นพยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ อันที่จริงพู่กันคงจัดการได้ง่ายหน่อยเพราะความรู้สึกของตัวเองก็ไม่ได้ชี้ชัดว่าชอบคราม แต่กับเหมยแล้วมีแต่เสียกับเสียเพราะปักหลักชอบน้ำเงิน

กับเรื่องเรียนเหมยเก่งจนแทบจะคว้าเกียรตินิยม แต่ถ้าเป็นเรื่องน้ำเงิน ก็จะเก่งแค่ทฤษฎีว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็พอเจอหน้าเข้าทีก็กลายเป็นทฤษฎีเต็มร้อยปฏิบัติติดลบ

พู่กันเดินไปหยิบขวดแอลกอฮอล์มาห้าหกขวด มั่นใจว่าถ้าซื้อไปเพลิงกับหมิงก็ต้องแอบไปมีส่วนเอี่ยวด้วย หลังจากที่เลือกซื้อของกินช่วยชีวิตในค่ำคืนนี้เรียบร้อยพวกเขาก็กลับไปที่บ้านของน้ำเงิน

แน่นอนว่าในระหว่างทางกลับเขาก็คุยกับเหมยว่าพยายามอย่ากินเบียร์เพราะมันทำให้ไม่มีสติ ก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าไอ้ตอนที่ตัวเองไร้สติมันพาความฉิบหายมาให้มากขนาดไหน ไม่ใช่ทุกคนที่จะเมาแล้วโชคดีได้คนที่แอบชอบเป็นแฟนแบบน้ำเงิน ถ้ามันเมาแล้วเป็นแบบเขาก็เรียกได้ว่างามหน้าที่สุดในชีวิต

ก็อย่างที่บอกว่าเขาในตอนนี้เดินหน้าต่อไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ ทำได้แค่ย่ำอยู่กับที่เพื่อรอให้เวลาเป็นตัวตัดสินว่าจะได้ไปทางไหน หรือสุดท้ายจะต้องยืนอยู่ที่เดิมจนกว่าจะแตกสลายไปเอง


*


“เอาไป” พู่กันว่าก่อนจะโยนซองบุหรี่ให้กับคนที่นั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ เขาให้เหมยเดินเข้าไปในบ้านก่อน ในตอนที่เขากำลังจะครามส่งข้อความมาบอกว่าฝากซื้อบุหรี่ด้วย เพราะงั้นเขาก็เลยให้คนพี่ออกมารอหน้าบ้านเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต “ตังค์มา”

“ในเป๋า มึงหยิบเอาดิ” ไม่ว่าเปล่าครามยังยืดขาออกมาข้างหนึ่งเพื่อแสดงให้เห็นชัดเจนว่าตรงกระเป๋ากางเกงข้างที่ยื่นออกมานั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมของกระเป๋าเงิน “มาเอา”

“เหอะ ซื้อให้ฟรีละกัน สงเคราะห์” เขาขานตอบก่อนจะย่นจมูกเมื่อครามแกะซองบุหรี่แล้วหยิบออกมาหนึ่งมวน ดวงตากลมจ้องมองทุกการกระทำตั้งแต่ที่แกะจนเอาไปคาบไว้ในปาก “ไม่กลัวเงินสงสัยเหรอ”

“อยู่กับศา ไม่ถามหรอก” พูดเพียงแค่นั้นก็หยิบเอาไฟแช็กที่พกติดตัวขึ้นมาจุดบุหรี่ ไฟสีเพลิงกำลังเริ่มเผามวนบุหรี่ทีละนิดจนควันหม่นฟุ้งไปทั่วบริเวณ “มึงจะเข้าบ้านก่อนไหม ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ไม่ใช่หรือไง”

“เออ ไม่ชอบ” พู่กันไม่ชอบกลิ่นบุหรี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ครามจำได้ขึ้นใจ เพราะเคยมีครั้งหนึ่งเขาที่สูบแล้วไปจูบน้องก็โดนด่ามายกใหญ่ เขาถึงได้ไม่ทำอีก ร่างเล็กยืนกอดอกมองคนพี่สูบบุหรี่โดยที่ไม่พูดอะไรก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้แบบขาตั้งคู่โดยที่ครามไม่ทันตั้งตัว

“เชี่ย กูใจหาย” ครามสบถเพราะเมื่อครู่เขาสะดุ้งสุดตัวตอนที่พู่กันทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะรถที่ยังว่างอยู่ มือใหญ่คีบบุหรี่ไว้แล้วยื่นออกไปอีกทางเพื่อให้ห่างจากคนข้างๆ มากที่สุด “จะนั่งกับกูหรือไง”

“คิดเงินปะล่ะ ถ้าไม่ก็นั่ง”

“ไม่คิด” พู่กันนั่งหันหน้าเข้าบ้านแล้วหันหลังให้เขา “ขอบคุณ”

“ไม่เป็นไร”

“กูควรชิน แต่แม่งก็ไม่ชินสักที” เสียงทุ้มเปิดประเด็นสนทนาขณะที่พู่กันได้แต่นั่งตั้งใจฟัง “มึงว่าคนเราจะทนอยู่กับความเสียใจได้แค่ไหนวะ”

“ไม่รู้ดิ ผมไม่เคยเสียใจเพราะรักว่ะ” เขาเหยียดขาลงบนพื้นอย่างสบายๆ เพราะอยากให้บทสนทนาในตอนนี้มันผ่อนคลาย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น

“มึงเคยรักใครปะวะ”

“แบบไหนล่ะ ที่ถามมานี่มันประเด็นกว้าง” เด็กหนุ่มว่าขณะที่หันหน้าไปมอง แม้จะเป็นมุมข้างแต่ก็เห็นได้ถึงความดูดี ในสายตาเขาครามเป็นแบบนั้น

“แบบคนรัก”

“ไม่เคย” สิ้นสุดน้ำเสียงเรียบนิ่งของพู่กัน ไม่มีบทสนทนาต่อจากนั้น มีเพียงความเงียบที่เข้าปกคลุมและกินเวลานานกว่าสิบนาที

“ก็ดี”

“อะไรดี” พู่กันขมวดคิ้วก่อนหันไปมองซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่คนข้างกายหันมาพอดี เราสบตากันและปล่อยให้มันเป็นอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่มีใครละสายตาไปไหน ปกติเขาจะมองว่าครามเป็นคนสายตาดุมาตลอดแต่ในครั้งนี้มันกลับต่างไป

“ไม่ต้องรักใครดีแล้ว” คนพี่ว่าก่อนจะลุกขึ้นจากมอเตอร์ไซค์ ไม่มีน้ำหนักที่สมดุล รถเอนมาทางด้านหลังเพราะเหลือน้ำหนักจากพู่กันที่นั่งอยู่เพียงคนเดียว ชายร่างสูงเดินอ้อมมายืนอยู่ตรงหน้า โยนบุหรี่ที่มอดไปเกือบครึ่งลงบนพื้นก่อนใช้เท้าขยี้เพื่อให้ไฟสีขุ่นดับลงไปพร้อมกับควันที่จางหายไป

“นี่คือห้ามหรือพูดเฉยๆ”

“แล้วแต่มึงจะคิด” ครามกระตุกยิ้มมุมปาก “แต่กูโคตรอิจฉามึงเลย”

“เรื่องอะไรวะ ยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าใจ” ไม่บ่อยนักที่ครามจะทำให้เขาสับสนในคำพูด พอเป็นแบบนี้เขาก็แน่ใจเต็มร้อยว่าอีกฝ่ายกำลังไม่โอเคมากๆ น่าแปลกที่ในวันนี้คนพี่ไม่เอ่ยปากพูดสักคำว่าไปเจออะไรมา “โอเคปะนั่น”

“โอเค... มั้งวะ” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ ก่อนเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า เขาเห็นความอ่อนแอผ่านสายตาคู่นั้น “กูจะบอกอะไรให้ฟัง”

“อะไร” เขาถามย้ำในขณะที่อีกฝ่ายโน้มเข้ามา ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งได้กลิ่นบุหรี่ที่ยังไม่จางหายไปไหน ไอความร้อนแผ่กระทบใบหูอย่างแผ่วเบาตอนที่ครามกระซิบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“ถ้ากูรู้ว่ารักแล้วจะเจ็บขนาดนี้”

“…”

“กูจะไม่รักเลย”

“…”

“จริงๆ”

น้ำเสียงคล้ายคนกำลังจะหมดแรงมาพร้อมกับสัมผัสตรงหัวไหล่ ครามไม่ได้ทิ้งน้ำหนักตัวเองลงมาที่เขาหมด เพียงแค่ซบอยู่กับไหล่พอให้รู้ว่าตอนนี้อ่อนแอเพียงใด พู่กันปล่อยให้เวลาดำเนินไปอย่างนั้นโดยที่ลืมไปชั่วคราวว่าไม่ควร

“พี่ก็เลือกเอาดิ”

“เลือกอะไร” เสียงทุ้มถามอู้อี้เพราะยังคงยืนซบอยู่ที่เดิม “อย่างกูนี่มีสิทธิ์เลือกด้วยเหรอ”

“มี”

“ว่ามา” พู่กันผลักคนพี่ให้ออกห่าง โดยที่คนถูกผลักออกได้แต่มองหน้านิ่งๆ โดยไม่พูดอะไร

“ตัวพี่เองก็น่าจะรู้ดีปะวะว่ามีอะไรให้เลือก” ครามหรี่ตาลงเพื่อรอฟัง “อยากรักเขาก็เจ็บต่อไป”

“ถ้ากูไม่อยากเจ็บ?”

“ก็อย่างที่ตัวพี่รู้”

“อะไร” แม้ว่าลึกๆ ในใจจะรู้คำตอบ แต่ก็อยากจะฟังจากปากของพู่กันอีกสักรอบ ย้ำให้ตายกันไปข้างหนึ่ง “พู่กัน”

“ไม่อยากเจ็บ ก็ไม่ต้องรัก”

“…”

“แล้วที่พี่ถามเมื่อกี้” พู่กันลุกขึ้นจากรถ ยืนประจันหน้าโดยไม่เกรง “ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับคนถาม”

“อืม”

“ถ้าพี่อยากรู้ว่าจะทนอยู่กับความเสียใจได้แค่ไหน”

“…”

“พี่ก็เลิกรักเขาสักที จะได้รู้คำตอบ”

*

“คุยอะไรกับพู่กัน” ประโยคคำถามเอ่ยออกมาจากปากของเพื่อนสนิททันทีที่เขาวางขวดเบียร์ลงบนโต๊ะ ครามเลิกคิ้วมององศาเชิงถามว่ารู้ได้ยังไง “กูเห็น”

“เป็นเหยี่ยวเหรอสัด สายตาดีในที่มืดงี้” ครามแค่นหัวเราะก่อนเดินไปหยิบที่เปิดขวดแล้วโยนให้กับเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม องศารับมาแล้วเอื้อมมือไปเปิดตามคำสั่ง “คุยเรื่องทั่วไป”

“มึงเคยมีเรื่องทั่วไปกับน้องด้วยหรือไง” องศาถามเสียงกระซิบขณะที่คอยหันไปมองทางประตูครัวว่ามีใครเดินอยู่แถวนี้หรือไม่ “อย่างมึงนี่มัน...”

“กูแค่ระบายนิดหน่อย” เขาตอบก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม คว้าขวดเบียร์ที่องศาเปิดเอาไว้ขึ้นมากระดกหลายๆ อึก พวกเขาสองคนเนรเทศตัวเองออกมาจากห้องรับแขก เพราะไม่อยากไปกวนเด็กๆ ที่กำลังทำงานกันอยู่ “พี่มึงอะ”

“ทำไม” เสียงทุ้มถามเชิงสงสัย เขารู้ว่าครามชอบนับ แต่นับยังไม่ลืมพี่เข็มทิศ มันเป็นความซับซ้อนที่ยังหาจุดจบไม่เจอ จะพูดอะไรมากก็ไม่ได้เพราะฝั่งหนึ่งก็พี่ชาย อีกฝั่งหนึ่งก็เพื่อน แม้ว่าครามกับพี่เข็มจะไม่ค่อยลงรอยกัน แต่เราก็ไม่เคยมีปัญหากันในเรื่องนี้เพราะแยกแยะออก

“วันนี้ไปไหน”

“ไม่ได้ถาม”

“เขาพานับไปด้วย” เขาแค่นหัวเราะก่อนยกขวดเบียร์ขึ้นกระดกอีกครั้ง จากเต็มขวดตอนนี้ก็ลดเหลือครึ่งหนึ่ง เรียกได้ว่าคืนนี้ยังไงก็ต้องเต็มแม็กซ์ พอเห็นว่าองศาหรี่ตาเขาจึงพูดออกไปเพื่อคลายความสงสัย “กูโทรหานับ แต่พี่เข็มรับ บอกมันหลับ”

“ก็เลยไปปรึกษาพู่กัน”

“กูแค่ระบาย”

“แต่มึงระบายกับกูได้” บอกตามตรงว่าองศาไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ที่เวลาครามมีปัญหาแล้วเอาทุกอย่างไปปรึกษาพู่กัน ถ้าเป็นรูปแบบพี่ชายน้องชายก็จะไม่ท้วงเลยสักคำ แต่มันผิดตรงที่สถานะพี่น้องต้องไม่มีเซ็กส์เข้ามาเกี่ยว “กูจะพูดอีกที ว่ามึงทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้”

“กูรู้”

“แล้วเมื่อไหร่จะหยุด” ครามมองหน้าเพื่อนสนิทโดยที่ไม่มีความคิดใดๆ นอกจากคำว่าเห็นแก่ตัว คำนี้มันเป็นเพียงคำเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัว “มึงเลิกรักนับไม่ได้ มึงก็ไม่ควรยุ่งกับน้องแบบนั้น ถ้าสมมติน้องเผลอชอบมึงขึ้นมา”

“…”

“มึงรู้หรือยังว่าจะทำยังไงกับความสัมพันธ์ที่มันไปต่อไม่ได้”

ครามถอนหายใจก่อนยกมือขึ้นลูบใบหน้า ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาทำหน้าที่แทนในตอนนี้ อันที่จริงคือเขายังไม่ได้คิดถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น เพราะมั่นใจว่ายังไงพู่กันก็คงไม่น่าจะมาชอบคนอย่างเขาแน่ๆ แต่ไม่ปฎิเสธว่าเขาเคยคิดในเชิงกลับกันว่าถ้าเกิดเป็นเขาที่ชอบพู่กัน

“แล้วกูต้องทำยังไง”

“อย่าถาม เพราะมึงรู้อยู่แล้ว” องศาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ก่อนยกมือขึ้นมากอดอก “อย่างน้อยมึงควรจะนึกถึงใจพู่กันกับน้ำเงินบ้าง”

“…”

“ถ้าน้ำเงินรู้ว่ามึงทำให้มันวุ่นวาย” เป็นอีกครั้งที่เขานิ่งไปจากคำพูดของเพื่อนสนิท “มึงก็น่าจะรู้ว่าน้องคงไม่โอเคแน่ๆ ยิ่งน้ำเงินบอกกูตลอดว่าอยากให้มึงมีความรักดีๆ แล้วดูที่มึงทำ”

“…”

“แต่น้องไม่ได้หมายถึงว่านับไม่ดีนะ”

“ศา กูเข้าใจ”

“มึงเข้าใจว่าอะไร”

“เขาดี แต่แค่เขาไม่รักกู”

ครามย้ำตัวเองมาตลอด แต่ในบางครั้งสิ่งที่นับทำก็เหมือนกับว่ามีใจ เขาจะไม่นับเรื่องที่เคยโทรหากันทุกวันก่อนนอน ไม่นับที่ชวนไปกินข้าวบ่อยๆ เพราะรู้ว่าเพื่อนก็ทำได้ แต่ว่าไอ้ที่ชวนกินเหล้าแบบคล้องแขนจนหน้าอยู่ใกล้กัน บอกคิดถึงแบบอยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นมา มันยังบัญญัติอยู่ในคำว่าเพื่อนไหม

นับรู้ว่าเขาชอบ รู้ว่าเขาคิดอะไร แต่เราไม่เคยมีความลึกซึ้งที่เกินกว่าการได้นอนจับมือหรือกอดกันก่อนนอน ไม่มีแม้แต่การจูบที่ใครก็คิดว่ามันควรจะมีเพราะเวลาไปเที่ยวไหนเขานอนห้องเดียวกันกับนับตลอด แต่ไม่เคยมีเลยสักครั้ง

“เฮีย” น้ำเสียงคุ้นหูที่ดังแว่วเข้ามาเป็นผลให้เขาหลุดออกจากภวังค์ความคิด ครามหันไปตามต้นเสียงก็เห็นว่าน้องชายกำลังยืนเกาะอยู่ตรงขอบประตู “เพื่อนเราจะอาบน้ำ”

“ครับ” เขาหรี่ตาลงด้วยความสงสัยในตอนที่เห็นว่าน้ำเงินอ้อมแอ้มไม่ยอมพูด หันไปมององศาที่ทำทีเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะต้องย้อนกลับไปมองที่น้องชายตัวเองอีกครั้ง “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

“ห้องน้ำไม่พอ” น้ำเงินหัวเราะแห้งๆ เมื่อครามยกยิ้ม ก็นึกว่ามีปัญหาอะไรมากกว่านั้น “เราให้เพื่อนไปอาบห้องเฮียได้เปล่า”

“ได้ครับ แล้วใคร?”

“ไม่รู้ว่าจะเป็นพู่หรือเหมยอะ หมิงกับเพลิงออกไปซื้อขนมเพิ่ม แต่ถ้าเพื่อนเราขึ้นไปอาบห้องเฮียจะไม่เป็นอะไรแน่นะ” พอเห็นว่าน้องชายถามย้ำอย่างเกรงใจเขาจึงหลุดหัวเราะ รวมไปถึงองศาที่ยังอยู่ตรงข้ามกัน “หัวเราะอะไรเล่า ...พี่ศาด้วย หัวเราะอะไรเราครับ”

“เปล่าครับ แล้วหนูจะอาบตอนไหน” องศาถามก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหา ตั้งแต่ที่คบกันองศาก็เรียกแทนตัวน้ำเงินด้วยคำว่าหนูเหมือนที่ครามเรียกเมื่อก่อน สุดท้ายคนเป็นพี่ก็ยอมเปลี่ยนไปเรียกน้องชายด้วยคำว่าน้ำเฉยๆ ตามที่นับเรียก

“ไม่ต้องมาอ้อนเราเลยนะ” น้ำเงินว่าพลางพลักคนเป็นแฟนให้ออกห่าง ก่อนจะกลับมาให้ความสนใจกับคนเป็นพี่ชายที่นั่งมองอยู่ “ตกลงเฮียโอเคแน่นะ”

“แน่ครับ เอากุญแจห้องไปเปิดเลย”

“ขอบคุณนะครับ” เขาพยักหน้าก่อนจะปล่อยให้น้องเดินออกไปพร้อมองศาที่ทิ้งท้ายเอาไว้ว่าเดี๋ยวมา เอาจริงๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไร พอเข้าใจคนติดแฟน ซึ่งในจุดนี้เขาไม่แน่ใจเท่าไหร่นักว่าใครติดใครกันแน่ ระหว่างน้องเขาติดไอ้ศา หรือไอ้ศาติดน้ำเงิน แต่โดยรวมก็ดีเพราะไม่ต้องห่วง

ครามล้วงเอาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมากดดูว่ามีแจ้งเตือนที่เกี่ยวกับนับเข้ามาหรือไม่ พอไม่พบเขาจึงกดเข้าแอพฟังเพลงโดยตั้งใจว่าจะเปิดไปเรื่อยๆ จนกว่าแบตที่เหลืออยู่เพียงเจ็ดเปอร์เซ็นต์จะหมดไป

เกือบยี่สิบนาทีที่นั่งฟังเพลงอยู่ที่เดิม เบียร์ขวดที่สามหมดลงอย่างง่ายดาย ครามถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นเพราะจะขึ้นไปบนห้องเนื่องจากว่าจะไปเอาสายชาร์จ พอได้นั่งกินเบียร์ฟังเพลงแล้วกลับมาอยู่เงียบๆ มันก็โล่งแปลกๆ อย่างน้อยมีเพลงให้ฟังก็ไม่แย่

เขาเดินขึ้นห้องไปด้วยความว่องไว แต่กลับต้องขมวดคิ้วยุ่งๆ ในตอนที่เดินเข้ามาในห้องแล้วได้ยินเสียงเพลงที่เปิดไว้ดังลั่น


ค่ำคืนที่มืดมัวเธอไม่ต้องกลัวอะไร เหน็บหนาวจนตัวสั่นเธอเพียงแค่กอดฉันไว้ ไม่นานก็คงจะดี...ดีกว่านี้ใช่ไหม เพราะฉันแค่กลัว...กลัวจะทนไม่ไหว
เขยิบมาหน่อยได้ไหมให้ใจตรงกัน แค่อยากจะยืนตรงนั้น ยืนอยู่ข้างๆเธอ รู้ดีว่าไม่มีทาง... เพราะเธอยังลืมเขาไม่ได้



อะไรมันจะเศร้าขนาดนี้วะ เขาคิดในใจก่อนจะส่ายหน้า เดินตรงไปทางโต๊ะข้างเตียงเพื่อจะหาสายชาร์จ เขาไม่รู้ว่าใครอยู่ในห้องน้ำ แต่ทางที่ดีก็ควรจะรีบหยิบแล้วรีบออกไป แต่ใจหนึ่งก็คิดอยากจะอยู่รอเพื่อถามว่าเพลงที่เปิดนั่นเพลงอะไร

เพราะแม่งก็ตรงกับเขาดี

“ฮ...เฮ้ย” ครามชะงักทันทีในตอนที่ก้าวขาออกมาจากห้องได้เพียงก้าวเดียว เพราะเสียงร้องท้วงนั้นเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี “เข้ามาตอนไหนวะ”

ร่างสูงหมุนตัวกลับไปก่อนกระตุกยิ้มเมื่อเห็นว่าพู่กันอยู่ในสภาพที่ล่อเสือ ผ้าขนหนูผืนเดียวที่พันอยู่รอบเอวเป็นผลให้เขาเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมกับล็อคประตู

“กูมาเอาที่ชาร์จ ไม่รู้ว่าเป็นมึง”

“รู้แล้วก็ออกไปดิ... มองห่าไรเนี่ยพี่” พู่กันขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะเอาผ้าเช็ดผมผืนเล็กที่วางอยู่บนศีรษะลงมาพาดบ่าไว้ หวังจะใช้มันปกปิดร่างกายแต่แน่นอนว่าปิดได้ไม่มิดชิด

“ปิดทำไม มึงเป็นผู้ชาย”

“เป็นผู้ชายแต่เจอคนหื่นๆ อย่างพี่ก็ไม่ไหวปะวะ” เขาสบถก่อนจะค่อยๆ เดินไปตรงโต๊ะทำงานของครามแล้วกดปิดเพลงที่เปิดจากโทรศัพท์ “ออกไปก่อน จะแต่งตัวเว้ย”

“เหมือนมึงลืม นี่ห้องกู” ไม่ว่าเปล่าครามยังเดินไปนั่งลงบนเตียงแล้วหันไปมองทางเด็กที่ยืนอยู่ไม่ไกล ผ้าขนหนูผืนสั้นจะหลุดหรือไม่หลุดก็คงแล้วแต่โชคชะตา “เปิดเพลงไร”

“ไม่รู้ ปล่อยมันรันเรื่อยๆ”

“ดูให้ที” พู่กันเหลือบสายตาขึ้นมองก่อนจะถอนหายใจ เขากดเข้าแอพสีแดงอีกครั้งแล้วเปิดดูประวัติการเข้าชม ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากบอกคนพี่ก็แย้งขึ้นมาก่อน “ไม่ดิ ส่งลิงก์เพลงให้กูเลย”

“เออ งั้นไว้ส่งทีหลัง แต่จะเศร้าไรนักหนา รกตา”

“ด่าจัง” เขาแค่นหัวเราะจนไอ้เด็กตัวบางนั้นมองแบบงงๆ “ศาบอกให้กูเลิกยุ่งกับมึง”

“...”

“มันบอกให้กูนึกถึงมึง กับน้ำเงินบ้าง” น้ำเสียงที่ไม่สามารถคาดเดาได้ของคนเป็นพี่ทำเอาใจเขากระตุกวูบ “แล้วมันก็จริง กูเห็นแก่ตัว ไม่เคยนึกถึงมึงกับน้ำ”

“ถ้าเลิกยุ่งไปแล้วไหวไหมล่ะ” ร่างบางยืนพิงโต๊ะแล้วกอดอกถามอย่างจริงจัง ดวงตากลมมองไปยังคนพี่ที่หน้าเริ่มแดงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ “ผมยังไงก็ได้ ถ้าพี่บอกให้ไปก็จะไป แต่ถ้าบอกให้อยู่”

“…”

“ก็จะอยู่”

“มึงโอเคจริงๆ เหรอวะ” เขาแทบไม่รู้เลยว่าพู่กันกำลังคิดอะไร มันจะมีคนที่ยอมขนาดนี้โดยที่ไม่ได้หวังอะไรจริงๆ ใช่ไหม ทั้งที่เขาเห็นแก่ตัวมากขนาดนี้ ทำไมถึงยังยอมอยู่ข้างกัน

“จริง ก็ตามที่ตกลงกันไง ถ้าผมหรือพี่มีคนของตัวเองก็จบ แต่ถ้าผมมีก่อนพี่ก็อย่าขอให้ผมอยู่ มันก็แค่นั้น” ครามลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปหาไอ้เด็กตัวจ้อย นึกไปถึงคำถามที่องศาตั้งขึ้นมาให้ตอบเมื่อครู่ เขาจำได้แต่ยังไม่มีคำตอบ เพราะฉะนั้นก็เลยอยากรู้ว่าพู่กันจะมีคำตอบไหม “หยุดตรงนั้นแหละ ไม่ต้องเข้ามาใกล้กว่านี้”

“ทำไม”

“ตรงๆ คือไม่ไว้ใจ” คนพี่ไหวไหล่แล้วยอมหยุดอยู่ที่เดิม มันเป็นระยะห่างที่ไม่ได้ห่าง เพียงแค่เขาคว้าหมัยก็เข้าถึงตัวพู่กันแล้ว “มีไรข้อง”

“ถ้าสมมติ” เขาเกริ่นออกไปเพื่อดูเชิง พอคนตรงหน้ากอดอกเพื่อรอฟังจึงพูดต่อ “กูชอบมึงขึ้นมา”

“…”

“มึงเคยคิดไหมว่าจะทำยังไงกับความสัมพันธ์ของเรา”

“ไม่เคย” พู่กันสวนกลับโดยไม่ต้องคิด “เพราะพี่ไม่มีวันชอบผม”

“ถ้าเกิดกูชอบไง”

“มันก็แค่ถ้าเกิดไหมวะ เรื่องจริงมันไม่ใช่ พี่รักพี่นับจะเป็นจะตาย” เขาไม่เคยคิดมากไปถึงขั้นนั้นหรอก ถ้าจะคิดมันก็คงสลับกัน จะทำยังไงถ้าเกิดเผลอไปชอบครามแต่ก็ยังไม่รู้คำตอบ เพราะไม่คิดจะชอบ “จะเอาใจที่ไหนมาชอบผม”

“แล้วถ้าเกิดมึงชอบกูล่ะ” เมื่อไม่ได้คำตอบจากคำถามเมื่อครู่ เขาจึงเปลี่ยนตัวแปร “มึงจะทำยังไง”

“เมาแล้วเป็นบ้าเป็นบอ” เขาเตรียมเดินหนี แน่นอนว่าจงใจเลี่ยงตอบ “หนาว จะใส่เสื้อผ้าไปทำงานต่อละ”

“เดี๋ยวดิ” ครามคว้าหมับที่ข้อมือของเด็กที่กำลังเบี่ยงตัวออกไป เจ้าของร่างเล็กหันมามองด้วยสายตาขุ่น ภาวนาในใจว่าอย่าให้อีกฝ่ายถามย้ำ จะให้เขาเอาคำตอบที่ไหน เพราะสิ่งที่ชัดเจนเลยคือยังไงครามก็ไม่มีวันชอบเขา ซึ่งตัวเขาเองก็แน่ใจเช่นกันว่าจะไม่ชอบคราม “ไม่ได้จะคาดคั้น กูรู้ว่ามึงคงไม่ชอบกูหรอก”

“ก็ถ้ารู้แล้วพี่จะถามเพื่อ”

“ลองเสี่ยง” ลึกๆ แล้วครามก็เคยคิดแต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะนำมาสานต่อให้ได้คำตอบ พอถูกองศากระตุ้น ก็เลยต้องเอากลับมาคิดใหม่ “แต่มึงเชื่อไหมว่ากูก็ตอบตัวเองไม่ได้”

“เรื่องอะไรอีก จะตั้งคำถามอะไรเยอะ—” ไม่ปล่อยให้พู่กันได้พูดจบประโยค ครามดึงไอ้เด็กตัวบางที่ไม่มีอาภรณ์ปกปิดร่างกายเข้ามาไว้ในอ้อมกอดจนผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนบ่าร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น

“กูจะทำยังไง ถ้าเกิดเผลอไปชอบมึง”


tbc
พอแต่งไปแต่งมาก็เริ่มสงสัยว่าเอ๊ะ นี่จะแต่งดราม่าได้ไหม ปกติไม่ถนัดสายนี้ แต่ก็นั่นแหละค่ะ พอกระชุ่มกระชวยเนาะ 5555555
ส่วนเพลงในเนื้อเรื่องชื่อเพลง เพราะเธอยังลืมเขาไม่ได้ ของ GTK นะคะ
ขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ เป็นกำลังใจให้เราได้มากๆ เลยค่ะ ♥
#โซ่สีคราม นะคะ ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 02 ; (21/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 23-09-2018 01:35:17
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 02 ; (21/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: it.the.world ที่ 23-09-2018 02:56:15
พู่กันต้องเล่นตัวหนักๆเลยนะ  :angry2: ถ้าพี่มาชอบ  :pig4:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 02 ; (21/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: BChampa ที่ 24-09-2018 19:33:31
จะจบประมาณ18ตอนเหมือนเดิมมั้ย จะได้คำนวนความหน่วงที่จะได้รับ จะดราม่าประมาณไหน ดูยังไงนับก็ไม่มีวันชอบคราม อยู่ที่เมื่อไหร่ครามจะถอยเองมากกว่า
อยากให้คู่นี้มีความสุขแบบ สุขที่รู้ว่าตัวเองสำคัญกับอีกคนนึง ไม่ใช่โอเค จะอยู่ก็อยู่ จะไปก็ไปต่อไปเรื่อยๆแบบนี้
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 03 ; (28/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 28-09-2018 20:30:45
03
wrong time

//


ผ่านมาเกือบอาทิตย์หลังจากที่ไปทำงานบ้านของน้ำเงิน แต่น้ำเสียงของครามยังคงดังก้องอยู่ในสมองของเขา จะทำยังไงถ้าเผลอมาชอบเขาเหรอ ...ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคิดมากทำไมในเมื่อมันไม่มีทางเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว มันเป็นคำถามที่เจ้าตัวก็ไม่รู้คำตอบ แล้วจะมาคาดหวังอะไรจากเขาล่ะ

“เหม่ออะไรของมึงไม่ทราบ หื้ออ” เสียงใสดังเจื้อยแจ้วจนพู่กันต้องช้อนสายตาขึ้นมอง อาทิตย์นี้ลูกหว้ากลับบ้านก่อนกำหนดแล้วก็ตั้งใจมากลับมาอยู่ที่บ้านสองสามวัน เนื่องจากมาอยู่ดูแลแม่ที่ป่วยกะทันหัน

“ขยันใส่ใจ”

“ก็ยังดีที่ไม่ใช้คำว่าเสือก” เพื่อนสนิทตัวเล็กว่าพลางจิ้มส้อมลงบนแพนเค้กเนื้อนุ่มก่อนจะอ้าปากงับ “เออนี่ มึงจำเพื่อนกูได้ปะ”

“คนไหน” พู่กันถามขณะที่เอื้อมไปดึงทิชชู่ออกมาจากกล่องแล้วยื่นให้คนตรงหน้า เธอรับไปโดยไม่ว่าอะไรแต่กลับเอาไปใช้ผิดจุดประสงค์ทำให้เขาต้องแย้งออกไป “กูให้เช็ดปาก กินอะไรมอมแมม แบบนี้ใครจะเอาเป็นแฟน”

“แหม กูก็มูมมามตอนอยู่ต่อหน้ามึงไหมอะ อีกอย่างกูไม่ได้ตั้งใจค่า ชิ้นมันใหญ่ ปากกูเล็ก โอเคนะคะพี่พู่กัน” หว้าเบ้ปากก่อนรับเอาทิชชู่จากมือเพื่อนชายมาเช็ดปากตามความประสงค์อย่างลวกๆ “เออ ต่อ เพื่อนกูที่ชื่อฟางอะ ตัวเล็กๆ แต่สูงกว่ากู”

“ไม่ต้องบรรยาย กูจำหน้าตาไม่ได้ ทำไม”

“บอกมึงหล่อ” เขาหรี่ตาลงอย่างจับผิด จริงๆ คือเพื่อนของหว้าไม่ได้มีคนเดียวที่พูดแบบนี้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นทั้งที่หน้าตาของเขาถ้าเทียบกับคนอื่นๆ แล้วถือว่าโดนแซงขาด “มันเอาโทรศัพท์กูไปเล่น แล้วทีนี้มันเจอรูปคู่มึงกะกู ก็บอกมึงหล่อ”

“แล้วยังไงต่อ มึงคงไม่ได้...”

“ชู่ว อย่าปฏิเสธกันเลยค่ะเพื่อนรัก กูแนะนำให้”

“ไอ้หว้า” พู่กันเรียกชื่อย้ำเพราะอยากให้เพื่อนตัวเองยืนยันว่าไม่ได้ทำอย่างที่คิด พอเพื่อนหว้าชมเขาเข้าหน่อยก็จัดแจงส่งช่องทางการติดต่อของเขาให้ไปโดยที่ไม่ถามสักคำ “จริงจัง?”

“แค่เฟซน่า” เธอตอบทั้งๆ ที่แพนเค้กยังเคี้ยวแพนเค้กตุ้ยๆ “มึงโสดอะ กูก็ช่วยหาไง”

“แต่กูบอกแล้วว่าไม่ต้อง กูไม่ได้อยากมีแฟน”

“เพราะมึงชอบพี่คนนั้นใช่ปะ” มือเรียววางช้อนส้อมลงบนจานก่อนหยิบเอาแก้วน้ำมาดูดขณะที่ใช้สายตามองเขาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ “มึงปฏิเสธเพื่อนกูทุกคนเลยอะ”

“ก็กูไม่ได้ชอบเพื่อนมึง”

“แต่มึงยังไม่ลองคุยนี่”

“ให้ลองกูก็ไม่ชอบ” เขาถอนหายใจอีกหนจนเพื่อนสนิทย่นจมูกนิดๆ “มีมึงคนเดียวกูก็ปวดหัวแล้วหว้า”

“นี่คือด่า”

“เออ” คนถูกบ่นเบ้ปากจนเขาหัวเราะออกมาเบาๆ พู่กันนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ระหว่างนั่งมองเพื่อนสนิทนั่งกินแพนเค้กที่เหลืออยู่เพียงนิด

เขาปฏิเสธเพื่อนหว้าทุกคนนั่นคือเรื่องจริง ไม่ว่าจะเพื่อนสนิทหว้าหรือที่รู้จักกันผิวเผินแล้วเห็นรูปเขาผ่านหน้าจอโทรศัพท์ อันที่จริงก็ไม่ได้ทำบอกปัดแบบน่าเกลียดเพราะไว้หน้าเพื่อน แต่ก็ตอบเท่าที่จำเป็นแล้วก็บอกไปตรงๆ ว่าไม่ได้คิดอะไรด้วยนะ อย่าพยายามจะดีกว่าเพราะยังไงก็เปลี่ยนใจเขาไม่ได้

“มึง”

“อะไรอีก”

“กูเจอพี่ของมึงอะ ใช่คนนี้ไหมวะที่มึงเคยแท็กในไอจี ...แต่ใช่ดิ กูจำหน้าได้ แล้วเขามากับใครวะ” พู่กันขมวดคิ้วจนยุ่งก่อนจะหันไปมองทางประตูตามสายตาของลูกหว้า ก่อนจะพบคนที่เพิ่งเจอกันไปเมื่อวันก่อน สีครามกำลังจะเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับพี่นับ

อะไรดลจิตดลใจให้มาร้านนี้วะ เพราะแม่เขาไปทำบุญเก้าวัดกับเพื่อนเลยต้องปิดคาเฟ่สองสามวัน ทำให้เขากับหว้าต้องระเห็ดมาหาร้านกินขนม แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาเจอครามที่นี่

“มึงอิ่มยัง” หว้ามองด้วยความสงสัยทันทีที่เขาหันหน้ากลับมาซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่กระดิ่งบนประตูร้านดังกระทบประตู

“ยัง ...มึงไม่ทักเขาเหรอ”

“ไม่อะ”

“พี่เขามากับแฟนเหรอวะ”

“กูจะไปรู้ได้ไง” เธอหรี่ตามองเพื่อนสนิทที่ดูมีพิรุธขึ้นมาทันที ปกติพู่กันเป็นคนเฟรนด์ลี่พอตัว เจอใครที่รู้จักก็มักจะทักทายอยู่เสมอ แต่การที่ตั้งใจจะหลบหน้าแบบนี้มันต้องมีอะไรแน่ๆ “ถ้าอิ่มก็กลับ”

“กลับก็กลับ แต่ถ้าให้กูกลับ มึงจ่าย”

“เออครับ” พู่กันควักกระเป๋าเงินออกมาก่อนหยิบแบงก์ร้อยสามใบให้กับเพื่อนสาว เธอรับมาถือเอาไว้ด้วยความสงสัยเมื่อเพื่อนตรงหน้าลุกขึ้นยืน “กูไปรอที่รถนะ รีบจ่ายรีบตามกูออกไป เข้าใจไหม”

“อะจ้า ตามใจท่านพี่เลยค่ะ น้องไม่ขัด”

“กวนตีน” เขาสบถเบาๆ ก่อนจะได้ยินเสียงลูกหว้าหัวเราะตามหลัง ควรจะรีบพาสารร่างตัวเองออกมาก่อนที่พี่นับจะเข้ามาทัก ถ้าเกิดไปเจอกันที่มอแล้วมาถามเขาก็จะแกล้งบอกว่าไม่เห็น

แต่ดูเหมือนว่าโชคจะไม่ได้เข้าข้างเขาสักเท่าไหร่ เมื่อตอนที่กำลังจะเปิดประตูออกไปจากร้านกลับต้องเจอกับรุ่นพี่อีกคนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับคราม

“เอ้า บังเอิญจังเลยน้า” เสียงยียวนของพี่ยิ้มดังกระแทกหน้าตอนที่เปิดประตูออกกว้าง เจ้าของผิวแทนฉีกยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นหน้าเขา “มึงมาคนเดียวอ่อ มาแดกกับพวกกูก่อนดิ”

“ไม่ได้มาคนเดียว มากับเพื่อน” สุดท้ายเขาก็ยังไม่ได้ออกไปไหน ได้แต่ยืนแอบอยู่มุมหนึ่งของประตูเพื่อคุยกับพี่ยิ้ม “นี่พี่มากับใครอะ”

แสร้งถามออกไปเสมือนไม่รู้ไม่เห็น ขืนบอกว่าเห็นพี่ครามมีหวังพี่ยิ้มคงได้เอาไปพูดอยู่ที่โต๊ะว่าเจอเขา หลังจากนั้นไอ้คนพี่ต้องรัวข้อความมาถามแน่ๆ ว่าทำไมเขาไม่ทัก

“มากับไอ้ครามอะดิ กูก็ยังงงๆ ตอนแรกเห็นมันคุยกันว่าจะมากันสองคน แต่ไหงไอ้นับลากกูมาด้วยเฉย” พี่ยิ้มว่าติดตลกก่อนจะสะกิดแขนแล้วทำท่ากระแนะกระแหนในตอนที่ลูกหว้าเดินมาหยุดอยู่ข้างหลัง “แฟนมึงอ่อ”

“เพื่อนพอ” พู่กันหรี่ตาลงก่อนจะลากเพื่อนตัวเล็กเข้ามาชิดตัว “ชื่อไม่ต้องบอก สวัสดีมันไปพอ”

“สวัสดีค่ะ” หว้าทำตามคำสั่งของคนที่ก้มมาบอก

“ทำไมไม่บอกชื่อ กูอยากรู้จัก” คนพี่กระลิ้มกระเหลี่ยจนหว้ากระตุกเสื้อพู่กันเบาๆ “เฮ้ย ล้อเล่น พี่ชื่อยิ้มนะครับ รุ่นพี่มัน”

“อ๋อค่ะ ฝากมัน... เอ้ย ฝากพู่กันด้วยนะคะ”

“ฝากอะไร กูเนี่ยต้องดูมัน ...” คนยืนระหว่างกลางสบถเบาๆ ก่อนจะขอตัวกลับ เพราะไม่อยากให้คนที่เพิ่งจะเข้าไปนั่งในร้านต้องเดินออกมาตามเพื่อน “แต่เดี๋ยวผมกลับก่อนนะ”

“เออๆ ตามบาย” ยิ้มตอบก่อนจะหันไปยิ้มให้สาวตัวเล็กครั้งหนึ่งตามมารยาทแล้วเดินตามเพื่อนสนิททั้งสองคนเข้าไป

พู่กันลากหว้าออกมาจากร้านโดยที่ไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ ซึ่งเพื่อนสนิทก็รู้จึงไม่เอ่ยปากถาม เขาแค่ยังสงสัยกับคำพูดของพี่ยิ้มอยู่

ที่บอกว่าพี่นับลากออกมา นั่นก็แปลได้ตรงๆ เลยว่าไม่อยากมากับครามสองคน สงสัยคืนนี้มีหวังดื่มเหล้าพร้อมน้ำตาอีกแน่ๆ

 
*

 
“จะกลับบ้านไหน” ครามเอ่ยถามหลังจากส่งยิ้มลงที่บ้านเรียบร้อยแล้ว “นับ”

“บ้านศา” พอเพื่อนข้างๆ ตอบออกมาเช่นนั้นเขาจึงไหวไหล่แล้วเตรียมที่จะเลี้ยวรถกลับ “พอให้มาส่งแล้วก็เป็นแบบนี้”

“ก็ไม่ได้เป็นอะไร ให้ไปส่งก็ไปส่งไง” เขาใช้น้ำเสียงเรียบนิ่งโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้านับเงินอย่างที่ควรจะเป็น

“อย่างี่เง่า ขอร้อง” คนฟังไม่ตอบอะไรเพราะรู้ว่าตัวเองกำลังงี่เง่าอยู่จริงๆ หลายวันมานี้เขาทะเลาะกับนับค่อนข้างบ่อย แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้เพราะเขามันก็เป็นเพียงแค่เพื่อน

มีสิทธิ์หึงก็แค่ในพื้นที่ของตัวเองเท่านั้น

เราไม่ได้คุยกันตลอดทั้งทาง มีเพียงแค่เสียงเพลงจากเครื่องเล่นบนรถที่ทำให้บรรยากาศไม่เงียบจนเกินไป ครามวนรถเข้าไปในบ้านองศา เขาจอดต่อท้ายเลกซัสป้ายทะเบียนที่ท่องจำได้จนขึ้นใจ เป็นไปได้คือเจอที่ไหนก็ไม่อยากทัก

“กูไม่ลง” ครามเอ่ยเมื่อนับหันมามองหน้าเขา รถที่อยู่ตรงหน้าเป็นของเข็มทิศ นั่นแปลว่าถ้าเข้าไปในบ้านก็ต้องเจอหน้ากันแน่ๆ

“ก็ตามใจ ไม่บังคับ” นับว่าพลางปลดเข็มขัดนิรภัยออก “ขอบคุณที่มาส่ง”

“นี่กูไม่อยากมานั่งทะเลาะกับมึงนะ” สุดท้ายคนที่ทนไม่ไหวก็เป็นเขา เจ้าของร่างเล็กที่กำลังจะเปิดประตูชะงักก่อนจะหันกลับมามองแล้วถอนหายใจเสียงดัง

“ไม่ได้อยากทะเลาะเหมือนกัน” นับขมวดคิ้วยุ่ง เขารู้ว่าในตอนนี้ความสัมพันธ์ของตัวเองกับครามนั้นแย่เพียงใด “แต่มึงงี่เง่า”

“กูไม่ได้อยากงี่เง่า มึงก็รู้ แต่จะให้กูทำไงวะ”

“มึงก็ท่องไว้ว่ามึงไม่มีสิทธิ์” คำพูดตอกหน้าทำเอาเขาใจกระตุกวูบ ความรู้สึกชาๆ ที่หัวใจเป็นผลให้เขาแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่ “มึง ...กู”

“ไม่ต้องขอโทษ มันเรื่องจริง” ครามเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากมองคนข้างๆ อีกต่อไป พอเป็นนับหลุดพูดจาแบบนี้ทีไรก็มักจะจบลงด้วยคำขอโทษ ซึ่งเขาไม่ต้องการ ขอโทษแล้วได้อะไรในเมื่อมันเป็นความจริงตามที่พูด “กูเป็นเพื่อนมึง”

“...”

“ฝากสวัสดีพี่มันด้วยแล้วกัน”

“คราม”

“มึงลงไปเหอะ กูจะกลับแล้ว” เขาไม่หันไปมองหน้านับเลยด้วยซ้ำ แล้วพอพูดไปอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยอมลงจากรถไปโดยไม่พูดอะไรอีก มันดีแล้วที่เป็นแบบนี้ เขากำลังอารมณ์เสีย พูดไปก็มีแต่จะทำให้ทะเลาะกันมากกว่าเก่า

รถคันหรูเคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านองศาด้วยความรวดเร็ว อยากจะเหยียบให้มิดแต่ก็เกิดฉุกคิดว่ากลัวไปทำชาวบ้านชาวช่องเดือดร้อน

กลายเป็นคนไร้จุดหมายในช่วงหัวค่ำ เขาขับรถมาตามทางเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่าจะเอาสารร่างตัวเองไปไว้ไหน ร้านเหล้ายังไม่เปิด ไม่กล้าไปรบกวนยิ้มที่เพิ่งจะส่งถึงบ้าน มันควรใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่บ้าง

องศาน่าจะทำงานอยู่ที่ร้านกับน้ำเงิน เขาคงไม่พาตัวเองที่มีแต่ความขมุกขมัวไปพลอยทำให้บรรยากาศเสียหรอก ครามถอนหายใจก่อนตัดสินใจพารถเข้าจอดข้างทาง

ในหัวก็เอาแต่คิดถึงพู่กัน น้องมันเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเขาจริงๆ แต่พอโดนองศาตอกหน้าเข้าวันนั้น ความคิดที่จะกลับตัวเป็นคนดีก็แทรกเข้ามาจนทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะโทรไปรบกวน

นิ้วเรียวเลื่อนรายชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ไปมา ตั้งแต่ตัวอักษรแรกยันตัวสุดท้าย ก่อนจะหยุดตรงที่เบอร์ที่เมมเอาไว้ด้วยคำว่า ‘คุณไพลิน’

คนที่คิดอะไรไม่ออกจึงตั้งใจจะขับรถไปสนามบินเพื่อกลับบ้านที่ขอนแก่น มันเป็นความชั่ววูบที่เกิดขึ้นจริง เขาใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะขับรถไปถึงสนามบิน ตั๋วยังไม่ได้จองก็คิดแต่ว่าจะมาหาเอาดาบหน้า ไฟล์ทไหนก็ได้แค่ได้ไปก็พอ

แต่ความเคยชินของคนติดโลกออนไลน์อย่างเขา กลับถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงอินสตาแกรม ไม่ได้ลงแคปชั่นใด ไม่เช็กอิน ไม่มีรูปถ่ายที่บ่งบอกว่าตอนนี้เขาอยู่สนามบิน มีเพียงรูปรองเท้ากับพื้นปูน ในจังหวะที่เขากำลังจะลุกขึ้นจากที่ตรงนี้ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือเกิดสั่นขึ้นมา ครามลังเลใจอยู่พักใหญ่จนสายตัดไป แล้วพู่กันก็โทรกลับมาใหม่ในครั้งที่สอง

(อยู่ไหนวะ)

“ทำไม”

(ตอบผมดีๆ พี่ อย่ามาทำน้ำเสียงแบบนี้ ไม่ชอบเว้ย) ปลายสายดูหงุดหงิดกว่าที่ควร (พี่คราม)

“สนามบิน”

(เดี๋ยว... จะไปไหนป่านนี้)

“กลับบ้าน” เขาตอบกลับตามความจริงขณะพาตัวเองเดินวนไปวนมาอยู่ที่เดิม “มึงมีอะไรหรือเปล่า”

(มี แต่เดี๋ยวเคลียร์พี่ก่อน จะกลับบ้านทำไมไม่เห็นบอก)

“กูเพิ่งคิดได้”

(ตอนนี้เนี่ยนะ) พู่กันเริ่มใช้น้ำเสียงหงุดหงิด (พี่จะบ้าเหรอ จองตั๋วแล้วหรือไง)

“ยัง ...กูไม่มีอะไรเลย”

(มานี่) ปลายสายถอนหายใจจนเขาได้ยิน (มาหาผมที่บ้าน)

“ทำไม”

(เออ มาเหอะ)

“อือ”

(ขับรถมาดีๆ)

“พู่”

(ไรอีก)

“ไม่วางได้ไหมวะ” ครามกลั้นใจถามออกไป ยังรู้สึกเกรงใจอยู่เนืองๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากให้พู่กันอยู่ตรงนี้ เขารอฟังคำตอบด้วยใจที่เต้นระส่ำ อยู่ดีๆ ก็เกิดกลัวคำตอบของน้องมันขึ้นมาเสียอย่างนั้น “แต่ถ้ามึงไม่...”

(ใส่กระเป๋า ถึงรถแล้วใส่บลูทูธ อย่าถือ เคยัง)

“โอเค ขอบคุณ” พอได้ยินปลายสายขานตอบแล้วเขาจึงเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าตามคำสั่ง ทำไมขี้แพ้ขนาดนี้วะ ทั้งที่มันไม่สมควรจะรบกวนเลยด้วยซ้ำ แต่อีกอย่างหนึ่งที่ยังคงสงสัยทำไมพู่กันถึงได้ทักมาถูกเวลาขนาดนี้ โทรมาหลังจากที่เขาลงรูปไปไม่ถึงห้านาที

แล้วมันก็เลยกลายเป็นพู่กันตลอดที่อยู่ด้วยกัน ในตอนที่เขาคิดอยากจะหนีไปคนเดียว


*


“พอแล้วมั้ง จะยัดอะไรนักหนาอะ” เสียงใสท้วงออกมาเมื่อเบียร์ขวดที่หกกำลังจะหมดลง เจ้าของร่างสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้แต่ช้อนสายตาขึ้นมอง แม้จะฟังแต่ก็ยังไม่หยุดรินใส่แก้ว “ผมไม่อยากคุยกับคนไม่มีสตินะเว้ย”

“กูคอแข็ง”

“แข็ง แข็งมากเนอะ เบียร์หกขวด หน้าแดงแจ๋” พู่กันเอื้อมไปหยิบแก้วที่มีน้ำสีอำพันอยู่จนเกือบเต็มมากระดก ถ้าหมดแก้วนี้ก็เหลือในขวดอีกนิดหน่อย ซึ่งเขาตั้งใจว่าจะเป็นคนดื่มเองทั้งหมดเพราะไม่อยากให้ไอ้คนพี่มันเมาไปมากกว่านี้ แม้ว่าก่อนหน้าพู่กันจะดื่มจนเริ่มมีอาการมึนๆ แล้วบ้างก็ตาม

“แย่งกู” เสียงทุ้มพูดออกมาสั้นๆ ก่อนจะรินเบียร์จนหมดขวดหลังจากที่ได้แก้วคืน ในจังหวะที่พู่กันกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบมาอีก แต่ครามรู้ทันจึงคว้าเอาไว้ก่อน “แก้วนี้ของกูแล้ว”

“ของพี่หลายแก้วแล้วเหอะ” แม้จะพูดไปให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่ากินมากเกินไปแล้วแต่ครามก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะปล่อยแก้วในมือให้มาเป็นของเขาเลยสักนิด “เอาให้ผม”

“ไม่”

“แบ่งกันดิ” พู่กันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเจือเอาแต่ใจ ครามรู้ว่าที่น้องทำเพราะไม่อยากให้เขาเมาแอ๋ “แก้วนี้แบ่งกัน”

พอเด็กตรงหน้าย้ำอีกครั้งเขาจึงพยักหน้า ครามกระดกเบียร์เข้าปากหนึ่งอึกก่อนจะเลื่อนกลับไปให้ ซึ่งพู่กันก็ทำตามเขา เราสลับกันเลื่อนแก้วไปมาจนกระทั่งมันดื่มได้อีกแค่ครั้งเดียว เป็นครามที่ได้แก้วสุดท้ายมาครอง เขาลุกขึ้นยืนท่ามกลางความสงสัยของพู่กันที่แสดงออกได้ชัดผ่านทางสีหน้า

“มึงบอกให้แบ่งกัน ถูกไหม”

“ใช่ไง” เขาตอบกลับไปโดยที่ไม่ต้องคิด “แต่ครั้งนี้พี่เอาไปก็ได้”

ครามไม่ตอบอะไรเพียงแต่กระดกเบียร์เข้าปากอีกครั้ง สิ่งที่คนพี่กระทำหลังจากนั้นคือการโน้มลงมาประกบริมฝีปากกับเขา เป็นเหตุผลที่ทำให้พู่กันต้องเผยอปากกวาดรับรสขมปร่าเข้ามาสู่ตนเองอย่างห้ามไม่ได้

การถูกป้อนโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้น้ำสีอำพันไหลซึมออกมาตามมุมปาก ชายหนุ่มบดจูบคล้ายเสน่ห์หา เรียวลิ้นกระหวัดหยอกเย้าจนเริ่มได้ยินเสียงอื้ออึง

มือเล็กกำคอเสื้อของครามแน่นเนื่องจากเริ่มหายใจติดขัดจากการถูกบดจูบเสมือนจะไม่ปล่อยให้เขาได้หายใจ กระทั่งเริ่มทนไม่ไหวถึงได้เขย่าคอเสื้อของอีกฝ่ายเพื่อบอกให้รู้ว่าพอก่อน

ครามถอนจูบแต่ก็ยังไม่หลบไปไหน มือหนึ่งยันตัวเองไว้กับขอบโต๊ะ อีกมือหนึ่งก็ค้ำยันไว้กับเก้าอี้ที่พู่กันนั่งอยู่ เจ้าของร่างสูงได้แต่กระตุกยิ้มเมื่อเห็นว่าไอ้เด็กตัวเล็กนั่งก้มหน้างุด เมื่อพู่กันไม่เงยหน้าขึ้นมาเขาจึงเดินกลับไปนั่งลงที่เดิมโดยที่เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อ

“ไหนบอกพอแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยถามในตอนที่เห็นว่าพู่กันกำลังเปิดเบียร์อีกขวด เจ้าของบ้านไม่ตอบแต่กลับกระดกเบียร์เข้าปากซึ่งคล้ายแบบที่เขาทำเมื่อครู่ ครามมองด้วยความสงสัยว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่า สุดท้ายก็รู้ว่าเขาเพียงแค่ทำให้อีกฝ่ายตื่นตัว

ร่างบางลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินมาหาก่อนกระชากเขาขึ้นไปจูบ ครามไม่ได้ตกใจเพราะชินเสียแล้วกับการโดนจู่โจมกลับ ไอ้เด็กที่ปากชอบบอกว่าไม่ตอนมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ความจริงแล้วก็เอาแต่ใจไม่หยอก

“ผมไม่โกง” พู่กันเป็นประเภทอย่าคิดว่าทำได้คนเดียว ถ้าอยากจะเอาคืนเขาน่ะนะ ไอ้ความช่างเถียง ไม่ยอมคน พูดตามที่คิดทำให้เขารู้สึกสบายใจเวลาที่อยู่ด้วย “พี่ทำได้ ผมก็ทำได้วะ”

“เก่งครับเก่ง”

ชายหนุ่มกระตุกยิ้มขยับเก้าอี้ถอยหลังออกไปเพราะคิดจะลุกขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ลุกไปไหน เพราะน้ำเสียงของเขาคงทำให้อีกฝ่ายไม่ค่อยพอใจ ถึงได้โน้มหน้าลงมาแล้วประกบริมฝีปากทาบทับอีกครั้ง ครามจูบตอบจนเด็กที่เป็นฝ่ายเริ่มเมื่อครู่อ่อนข้อลง ฝ่ามือใหญ่ดึงคนที่กำลังยืนอยู่ให้ทิ้งตัวลงนั่งบนตักได้อย่างง่ายดาย

เราจูบกันแบบที่ไม่มีใครยอมใคร เสียงหอบหายใจคละเคล้าไปกับเสียงเฉอะแฉะของลิ้นที่กระหวัดกันอยู่อย่างนั้น กระทั่งชายหนุ่มช้อนตัวคนบนตักขึ้นแล้วยกเพื่อให้นั่งบนโต๊ะใหญ่ ร่างสูงแทรกตัวเองไปอยู่ระหว่างกลางแล้วจับสองขาของพู่กันให้เกี่ยวเอวตัวเองไว้

“อย่าทำรอยที่คอ” เสียงคำสั่งดังแว่วเข้ามาในโสตเมื่อครามจรดปลายจมูกลากไปตามลำคอระหง เขาก็ไม่ใช่คนพูดไม่รู้เรื่อง มือใหญ่ถกเสื้อตรงหัวไหล่ของพู่กันลงเผยให้เห็นผิวละเอียดที่ยังมีรอยสีกุหลาบจางๆ ประทับอยู่ “...เดี๋ยวดิ ของเก่ายังไม่หายเลย”

“แล้วจะให้กูทำตรงไหน” ครามกระซิบข้างใบหู ไม่วายที่จะขบเบาๆ เพราะอยากแกล้งเด็กช่างสั่ง “คอก็ห้าม ไหล่ก็ห้าม”

พู่กันไม่ตอบแต่กลับใช้ฝ่ามือเล็กๆ นั่นสอดเข้ามาใต้เสื้อ ครามแค่นหัวเราะกับขี้แกล้งไม่แพ้กัน เขาผละออกก่อนเปลี่ยนมาจ้องหน้าตรงๆ แทน

“พี่เมายัง”

“ยัง... มือมึงอยู่ให้มันนิ่งๆ ได้ไหม” แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ก็ยังปล่อยให้ไอ้เด็กแสบไล้ฝ่ามือไปตามหน้าท้อง “จะหยุดไม่หยุด”

“...หยุด” เขายันสองแขนไว้กับขอบโต๊ะขณะที่ยังคงมองหน้าอยู่ ซึ่งที่พู่กันบอกว่าหยุดก็คือหยุดจริงๆ หยุดยุ่งกับหน้าท้อง แต่เปลี่ยนไปซนอยู่ตรงหัวเข็มขัดแทนน่ะสิ

“มึงกำลังยั่วกูอยู่ รู้ตัวหรือเปล่า”

“เหรอ งั้นไม่ทำ” คราวนี้ไอ้เด็กขี้ยั่วกลับหยุดการกระทำจริงๆ ตามที่พูด คนพี่กระตุกยิ้มก่อนโน้มไปกระซิบข้างหูอีกครั้ง

“มึงเมา”

“ไม่เมา”

“มึงมีอารมณ์”

“...”

“เงียบแปลว่าไม่มี”

“มี” คำตอบของพู่กันเป็นผลให้ครามจูบซับตามซอกคอขาวโดยทันที เจ้าของร่างเล็กเอียงคอไปอีกฝั่งโดยอัตโนมัติเพื่อให้อีกฝ่ายได้ซุกไซ้ได้ถนัดกว่าเดิม พอรู้สึกตัวว่าครามกำลังลืมสิ่งที่ห้ามก็ท้วงขึ้นมา “ไม่เอารอย”

“ลืม”

“ตลอด”

“ไม่หงุดหงิดดิ” คนพี่ขบติ่งหูเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงฟึดฟัด เขาสอดมือเข้าไปภายใต้เสื้อยืดสีทึบ ฟ้อนเฟ้นเอวคอดด้วยความมันเขี้ยว “หายหงุดหงิดยัง”

“ยัง”

“แล้วต้องทำไง”

“อย่าถาม” ครามจรดจมูกลงบนแก้มใสทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงดุ มันกลายเป็นความรู้สึกที่เขาเอ็นดูพู่กัน ความจริงมันก็เป็นแบบนี้มาตลอด “สีคราม”

“ไม่แกล้งแล้ว” คนพี่หัวเราะเบาๆ ตอนที่ได้ยินน้องเรียกว่าสีคราม ปกติไม่ค่อยมีใครเรียกชื่อเขาเต็มๆ นักหรอก แต่พอพู่กันหงุดหงิดเวลาโดนแกล้งแล้วทำอะไรไม่ได้ก็มักจะไม่เรียกพี่ เขาไม่เคยห้ามไม่ว่าน้องจะเรียกอะไร รวมไปถึงการเรียกโดยมีคำหยาบอย่างไอ้เหี้ยนำหน้าก็ตาม

“ให้จริง” พอได้อยู่กับพู่กันแล้วเขาก็แทบจะลืมความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นเมื่อหลายชั่วโมงก่อนไปเสียหมดสิ้น

“หงุดหงิดเก่ง”

“อย่าทำให้หงิดกว่านี้”

“ได้ครับ”

“อือ”

“ขอบคุณครับ” ไม่แน่ใจเช่นกันว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขาเอ่ยปากขอบคุณพู่กันจากใจจริงๆ ตั้งแต่เรามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเขาก็พูดคำพวกนี้บ่อยขึ้น และก็จะได้รับคำตอบแบบเดิมๆ กลับมาเสมอ

“เต็มใจ”

“ทำไมไม่เจอกันให้เร็วกว่านี้”

“หมายถึงอะไร”

“เรา”

“ถ้าเจอกันเร็วกว่านี้แล้วจะทำไม” ชายหนุ่มโน้มหน้าเข้าไปหาตอนได้ยินคำถาม หน้าผากของเราแตะกันอย่างแผ่วเบา พู่กันไม่ได้หลบสายตาเพราะอยากจะรู้ในคำตอบ “พูดมา”

“ไม่งั้นพี่คงชอบพู่กันจริงๆ” คนฟังชะงักทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกแทนตัวเองว่าพี่ มันไม่บ่อยนักแต่ยอมรับว่าเวลาที่ได้ยินแล้วก็เผลอใจกระตุกทุกที แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกใจกระตุกมากกว่าเดิมก็คงจะเป็นเพราะประโยคที่ดังขึ้นถัดมา “แล้วพี่คงจะมีความสุขกว่าที่เป็นอยู่”

พู่กันไม่ได้เกิดเพียงแค่ความรู้สึกหวั่น แต่สิ่งที่ครามพูดออกมากลับทำให้รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อโง่ๆ มาบินว่อนอยู่ภายในตัว แต่เขารู้ว่ามันก็เป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบหนึ่งของเราทั้งสองคน

“จะบอกว่าเจอผมผิดเวลาว่างั้น” พู่กันยิ้มเล็กน้อยด้วยความตั้งใจแซว ไม่แปลกถ้าอีกฝ่ายจะมีความคิดเช่นนั้น อารมณ์เปลี่ยวใครก็คิดได้ว่าถ้าเกิดเป็นคนนั้นคนนี้มันจะดีกว่า ไหนจะบรรยากาศที่ชวนให้เกิดความรู้สึกนั้นอีก

“ไม่เชิง”

“ผมผิดเวลา แต่พี่ผิดที่” ครามหัวเราะเบาๆ ให้กับความบัดซบของชีวิตในตอนที่นึกถึงคนที่ทำให้หัวเสีย เขาผิดที่จริงๆ ทั้งๆ ที่อยู่ถูกเวลา เพราะเขาชอบนับมาก่อน ชอบมาก่อนที่นับจะได้รู้จักเข็มทิศเสียอีก พอเป็นแบบนี้แล้วก็ได้รู้ ถูกเวลาแต่ผิดที่มันก็เท่านั้น

“ย้ำเข้าไป”

“เดี๋ยวจะตอกให้หงาย”

“อะไรอีกล่ะ”

“ผมกับพี่ผิดคนละอย่าง” สองแขนเล็กเกี่ยวต้นคอแล้วดึงให้เข้าไปหา พู่กันวางใบหน้าลงบนไหล่ของเขาก่อนกระซิบเบาๆ “แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของเรา”

“…”

“มันผิดทั้งที่ ผิดทั้งเวลา”

tbc

ผิดที่เราเจอกันช้าไป ไม่มีทางจะมารักกัน... /ตอนละเพลงหรือสองเพลงดี
บอกนิดนึงว่าเรื่องนี้มีเซ็กส์เข้ามาเกี่ยวแน่นอนนะคะ มันจะคนละฟีลกับองศาเลย แต่คงม่าไม่มากเพราะเราไม่ถนัดสายใจสลาย
แต่ถ้าใครไม่โอเคกับอะไรแนวๆ นี้ หยุดอ่านตอนนี้ยังทันน้า ไม่อยากให้เสียความรู้สึกที่หลังนะค้าบ T__T
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ด้วยค่า #โซ่สีคราม
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 03 ; (28/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-09-2018 21:32:11
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 03 ; (28/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 28-09-2018 22:51:05
งงกับพู่อ่ะ อยากจะตัดขาดแต่อยู่ดีๆก็โทรเรียกเขามาให้มาทำกันซะอย่างงั้น อยากแกร่งใจต้องนิ่งนะน้องพู่ ถ้ามันผิดทีผิดเวลา ก็อย่าจะไปจุ๊งจิ๊ง ทรมานตัวเองเปล่าๆ ถอยออกมา
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 03 ; (28/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 28-09-2018 23:31:52
อยากให้พู่ทำใจแข็ง ไม่สนใจคราม ให้อิพี่มันกระอัก   :katai1:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 03 ; (28/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 29-09-2018 10:28:22
เทามากกกกก
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 03 ; (28/09/61)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 29-09-2018 13:22:22
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 04 ; (04/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 04-10-2018 20:19:31
04
Keep trying

“ทะเลาะกันหรือยังไง” น้ำเสียงคุ้นหูดังแทรกเข้ามาในโสต จำให้นับต้องละสายตาจากสมาร์ทโฟนที่กดส่งข้อความไปหาเพื่อนสนิทรัวๆ ตั้งแต่อีกฝ่ายส่งเขาที่หน้าบ้าน แต่ไร้การเปิดอ่าน

“อือ” นับเงินช้อนสายตามองคนที่ยืนผูกเนคไทอยู่ไม่ไกล “แต่ไม่เกี่ยวกับเธอ”

“ครับ” เข็มทิศไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น แค่ถามดูเพราะเห็นว่านับนั่งหน้ามุ่ยมาพักหนึ่งแล้ว ถ้านึกๆ ดูก็คงจะตั้งแต่ที่เดินเข้ามาในบ้าน กระทั่งขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ยังคงนั่งอยู่หน้าเดิม หนึ่งในเหตุผลก็คงไม่พ้นเด็กผู้ชายคนนั้น

เข็มทิศรู้ดีว่าน้องอึดอัดที่ต้องมาออกงานด้วยกันบ่อยๆ ตามคำสั่งของผู้ใหญ่ ถ้าไม่ติดว่าบ้านเป็นหุ้นส่วนกันหรือโดนบังคับให้มาเขาก็คงไม่ได้เจอหน้านับหรอก

ความสัมพันธ์ของเขากับนับมีเพียงองศาที่รู้ว่าจบกันไม่สวยเท่าที่ควร ถึงอย่างนั้นน้องชายก็ไม่เคยถามถึงเหตุผล ผู้ใหญ่คิดเพียงว่าพวกเขาติดปัญหาเรื่องเวลาไม่ตรงกัน ซึ่งปัญหาหลักมันก็ใช่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าความจริงแล้วเราเลิกกันเพราะอะไร

นับพยายามตีตัวออกห่างจากเขาตั้งแต่เลิกกัน การหันไปให้ความสนใจเพื่อนสนิทที่มองก็รู้ว่าคิดไม่ซื่ออย่างคราม ทำให้เข็มทิศล้มเลิกความคิดที่จะพูดให้กลับมาเป็นเหมือนเคย อีกอย่างมันก็คงจะดีถ้านับได้เจอคนที่ดีกว่า

ถึงอย่างนั้นถ้าพูดในฐานะคนเคยคบกัน เขารู้นิสัยนับ รู้เท่าที่คนๆ นึงจะเคยใส่ใจได้ รู้ว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร รู้กระทั่งว่านับมีความรู้สึกบางอย่างที่มันไม่สมดุล เพราะงั้นมันก็คงไม่ผิดถ้าเขาจะมองออกว่านับพยายามจะชอบคราม

แต่ทำไม่ได้

“จะติดไปด้วยเหรอ” คนที่เพิ่งวางโทรศัพท์ถามทันทีเมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องกำลังจะกลัดคัฟฟ์ลิงก์เข้ากับข้อมือเสื้อ

“ปกติพี่ก็ติด” นับไม่ถามอะไรต่อเพราะขืนถามออกไปมีหวังได้โดนสวนกลับมาว่าเพราะเขาไม่สนใจมานานแล้ว ซึ่งมันเป็นความจริงที่ถูก แต่สิ่งที่เข็มทิศไม่เคยได้รู้เลยคือความไม่สนใจของเขาก็ต้องใช้พยายามมากเช่นกัน “เธอมากลัดข้างขวาให้ที”

“อือ” เขาลุกขึ้นไปอย่างว่าง่ายเนื่องจากไม่อยากมานั่งมีปากเสียงก่อนจะออกไปงานสำคัญ เข็มทิศยกข้อมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายได้กลัดถนัดขึ้น

ดวงตากลมมองไปยังคัฟฟ์ลิงก์ที่เห็นเสี้ยวหนึ่งก็จำได้อย่างแม่นยำว่าเป็นของใคร เพราะนับเป็นคนสั่งทำให้เป็นของขวัญวันเกิดเข็มทิศก่อนจะเลิกกัน

คัฟฟ์ลิงก์รูปเข็มทิศสีดำ รายละเอียดหน้าปัดที่ทำขึ้นโดยเฉพาะและสี่ทิศมีเพียงตัวอักษร N ซึ่งมันไม่ใช่ทิศเหนือทั้งสี่แต่อย่างใด
 
N บนหน้าปัดคือนับเงิน

“ถ้าคิดมากก็ส่งข้อความไปขอโทษ” เข็มทิศพูดขึ้นมาขณะแฟนเก่ายังจดจ้องอยู่ที่คัฟฟ์ลิงก์ เขาละมือลงหลังจากนับกลัดมันเข้ากับเสื้อเสร็จเรียบร้อยก่อนจะวางฝ่ามือลงบนหัวของเด็กตรงหน้าที่ระยะความสูงต่างจากเขามากพอสมควร “เด็กนั่นคงโกรธเธอได้ไม่นานหรอก”

“...”

“เชื่อพี่”

คนฟังกัดริมฝีปากทันทีหลังจากได้ยินอย่างนั้น เข็มทิศก็ยังเป็นคนเดิมๆ เป็นคนผลักไสให้เขาไปหาคนอื่นเสมอ ยอมรับว่าครามเป็นคนหนึ่งที่นับพยายามปันใจให้หลายครั้ง สิ่งที่ทำร่วมกันหากใครมองก็จะคิดว่าให้ความหวัง แต่เขาไม่ได้อยากทำให้เพื่อนสนิทต้องรู้สึกแบบนั้น นับเงินอยากรักครามจริงๆ

อยากรักให้ได้เหมือนตอนที่รักเข็มทิศ

แต่สุดท้ายก็ได้รู้ว่าไม่ควรฝืน เขาไม่สามารถทำให้เพื่อนสนิทเลื่อนขึ้นมาเป็นคนรักได้ และความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นตั้งแต่เริ่มคิดเช่นนั้น

นับพยายามไม่ไปไหนมาไหนกับครามสองต่อสองเหมือนก่อน พยายามไม่พูดอะไรให้อีกฝ่ายคิดไกล แต่บางทีเขาก็เผลอพูดจาแรงๆ ออกไป ทั้งที่มันไม่ใช่ความผิดของคราม

เขาผิดที่เริ่มต้นมัน ผิดที่คิดว่าจะเป็นใครก็สามารถแทนกันได้ แต่มันไม่ใช่ ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้ว่ามันไม่สามารถมีใครแทนใครได้จริงๆ

“ถ้าจะเชื่อเธอ ...พี่เข็ม” นับเงินเปลี่ยนสรรพนามการเรียกแทบไม่ถูก จริงๆ คือติดปากเรียกเข็มทิศว่าเธอ ซึ่งอีกฝ่ายก็เรียกเขาแบบนั้นเช่นกัน พอเลิกกันก็จะพยายามเปลี่ยนกลับมาเรียกให้เหมือนตอนแรกที่เจอกัน แต่ก็ล้มเหลวแทบจะทุกครั้ง

“ถ้ามันลำบากก็อย่าพยายาม”

“...”

“เพราะเธอ ไม่ได้เจ็บคนเดียว”
 
*

“พู่ ตื่น” ครามเรียกเด็กที่กำลังซุกอยู่ภายใต้ผ้าห่ม นิ้วเรียวเกลี่ยลงบนแก้มนิ่มหวังจะให้ไอ้คนที่หลับไม่รู้เรื่องได้รู้สึกตัว “พู่กัน”

เสียงครางฮือนั่นบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่อยากให้ใครมารบกวนเวลานอนอันแสนสุข แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้นอนอยู่ได้ เพราะการตื่นมากินข้าวเช้าคนเดียวมันก็ฟีลเหงาพอสมควร

“อือ ขออีกสิบนาที” พอทนไม่ไหวกับการโดนลากนิ้วไปทั่วใบหน้าจึงเอ่ยปากขอออกมา ทั้งๆ ที่ยังซุกอยู่กับผ้าห่ม ไม่คิดจะลืมตาขึ้นมาดูเลยว่าครามกำลังหาวิธีแกล้งด้วยสีหน้าเป็นสุขแค่ไหน

“ลุกมา” ไม่ว่าเปล่ายังกระชากผ้าห่มและโยนมันไปปลายเตียง ครามสอดแขนไปใต้วงแขนของเด็กขดตัวงอเป็นกุ้ง ก่อนจะใช้แรงระดับหนึ่งยกไอ้เด็กตัวเล็กขึ้นมานั่งตรงๆ พู่กันโงนเงนไปมาจนคนพี่เผลอยิ้มไปกี่ครั้งแล้วไม่รู้ “ไปล้างหน้า แปรงฟัน จะได้กินข้าว”

“ข้าวที่ไหน” คนงัวเงียถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้ แต่ความอยากรู้ก็คงสู้ความง่วงนอนไม่ได้ ในจังหวะที่น้องมันจะทิ้งตัวลงบนเตียงเขาจึงต้องจับหัวทุยๆ มาพิงกับอกตัวเองไว้แทน “อือ พี่คราม ง่วงอะ”

“ข้าวต้ม กูทำ”

“จะฆ่ากันให้ตายแล้วฝากแม่ผมที่ทัวร์เก้าวัดอยู่ทำบุญให้ถูกปะ” เด็กขี้เซาค่อยๆ ลืมตาหลังจากได้ยินว่าคนพี่ทำข้าวไว้ให้ พู่กันขยับศีรษะออกจากแผ่นอกเพียงนิดก่อนช้อนสายตาขึ้นมองคนที่กำลังกอดเขาอยู่ “หน้าแบบพี่เนี่ย ทำข้าวต้มได้เหรอ”

“พอบอกกูทำ รีบตื่นเชียวนะมึง” คนพี่หัวเราะตอนเห็นว่าน้องมันทำหน้ายู่เหมือนไม่อยากจะเชื่อ เขาตื่นมาแล้วนอนไม่หลับก็เลยลุกไปอาบน้ำ จากนั้นจึงลงไปทำข้าวเช้าไว้ให้ไอ้เด็กขี้เซา ครามทำอาหารเป็นบ้างเล็กน้อย เพราะเมื่อก่อนเขาก็ต้องดูแลน้ำเงิน “ไปอาบน้ำเร็วๆ”

“ขออีกห้านาที”

“...”

“นะ ผมโคตรง่วง”

“อ้อนกูดิ” ครามกระตุกยิ้มเย้ย เอาหัวเป็นประกันว่าไอ้เด็กช่างเถียงคงจะฟึดฟัดแล้วบอกว่างั้นไม่นอนก็ได้ แต่ในความเป็นจริงมันผิดจากที่คิด

“พี่คราม พู่ง่วงระดับสิบ ขอนอน นะ ...นะครับน้า” พอได้ยินเสียงออดอ้อนเป็นผลให้เขาถอนหายใจเบาๆ แต่ก็พยักหน้าเพื่อยอมตกลง ความง่วงคงจะทำให้อะไรๆ เปลี่ยน เขาเคยเห็นพู่กันโหมดนี้อยู่บ้าง แต่ไม่บ่อยแล้วก็ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็นอีก “แต๊งยูนะครับ”

“เดี๋ยวกูปลุก”

“ห้ามปลุกก่อนห้านาทีนะ โอเคเปล่า”

“เออ กูรู้แล้วน่า”

เมื่อได้รับคำยืนยันเด็กตัวจ้อยจึงพยักหน้าระรัวแล้วทิ้งตัวลงนอน ครามขยับตัวลงมานั่งบนพื้นเพราะอยากให้เจ้าของเตียงได้นอนดิ้นได้เต็มที่ ไอ้ที่บอกว่าห้านาทีจริงๆ ก็โกหก ครามรู้ว่าสำหรับพู่กันขั้นต่ำต้องสิบห้านาทีขึ้น

เขาเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่วางอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียง ตั้งแต่อยู่กับพู่กันก็ยังไม่ได้เช็กความเคลื่อนไหวใดๆ เลยสักนิด หัวคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยตอนเห็นแจ้งเตือนของคนที่ทำให้หัวเสียที่ส่งค้างไว้เมื่อคืน

nnubb :
หายโกรธยัง
ถ้าหายแล้วตอบกูด้วย
กูต้องไปงานกับพี่เข็ม
ไม่ได้ตั้งใจจะพูดจาทำร้ายมึงนะ
ขอโทษ
แต่กูก็พยายามแล้ว
 
พออ่านถึงประโยคว่าพยายามแล้วก็ทำให้เขาถอนหายใจออกมา ความรู้สึกหวิวเกิดขึ้นทันทีแถมใจยังเจ็บแปลบๆ แบบรู้หน้าที่ คำว่าพยายามแล้ว นี่ต้องพยายามขนาดไหนวะ คนเราจะชอบกันแม่งต้องใช้ความพยายามมากขนาดที่พูดออกมาแบบนี้ได้เลยหรือยังไงกัน
 
nnubb :
อย่าโกรธกูนานนะ เหงาปาก
เห้อ คราม ตอบหน่อยดิ
กูขอโทษที่ปากไม่ดี ขอโทษจริงๆ
พอมึงโกรธแล้วกูรู้สึกไม่ดีเหี้ยๆ เลย เหงา ไม่มีใครทักมาด่า
ดีกันได้ปะ กูง้อสุดๆ เท่าที่จะง้อได้แล้วนะ
 
จากครึ่งนาทีที่แล้วเขากำลังขมวดคิ้วจนยุ่ง แต่ตอนนี้กลับยิ้มเสียอย่างนั้น ความจริงคือนับรู้ว่าเขาโกรธมันได้ไม่นาน แถมรู้ว่าง้อยังไงถึงจะหาย ปกตินับง้อคนไม่เป็น จบแล้วก็จบกันไป เพราะงั้นไอ้การส่งข้อความมาตื๊อรัวๆ นี่มันไม่ใช่นิสัยของเพื่อนสนิทเลยสักนิด

จริงๆ แค่คำพูดที่บอกว่าไม่ได้คุยก็เหงา ก็สามารถทำให้เขายิ้มได้แล้ว ถามว่ามีความสุขไหมก็มีแต่ไม่เต็มร้อย

ความรักของเขากำลังถูกทำลายทีละนิดด้วยคำว่าเพื่อน ครามรู้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรว่าเราสนิทกันเกินกว่าที่จะเลื่อนขั้นเป็นคนรัก ถึงอย่างนั้นในเสี้ยวหนึ่งของความคิดก็ยังอยากมีนับเป็นของตัวเอง

เคยคิดว่ามันคงจะดีกว่านี้ถ้านับไม่เจอเข็มทิศ ต้องมีสักวินาทีหนึ่งที่เพื่อนสนิทจะมองเขาเป็นคนรัก แต่ในความเป็นจริงมันขึ้นอยู่ที่ใจของคนล้วนๆ ต่อให้อยู่ใกล้แทบตาย ทำดีแค่ไหน แต่เขาไม่รัก ก็คือไม่รัก

นับเป็นความสบายใจของเขามาตลอด เช่นเดียวกันกับที่นับคิด เคยมั่นใจว่านับคงจะเป็นคนเดียวที่ทำได้แล้วมันก็คงจะดีถ้าเรามีกันและกันอยู่ กระทั่งในชีวิตเขาเริ่มมีพู่กัน

มันทำให้รู้ว่าไม่ได้มีนับเพียงแค่คนเดียวที่ทำได้ น้องมันเป็นคนทำลายความคิดข้อนั้นของเขา แต่เพราะมันเป็นความลับจึงทำให้ไม่มีใครได้รู้ว่าบางทีเขามองว่าพู่กันน่ารักเพียงใด

“จะเอาขาพาดคอกูเลยหรือไง” ครามหันไปท้วงเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสเจ็บๆ หลังต้นคอ พอหันไปก็ปะทะกับเข่าแหลมที่เขารู้ว่าน้องมันตั้งใจทำ “เดี๋ยวมึงจะโดน”

“ผมหลับอยู่เหอะ รู้เรื่องที่ไหนกัน” ปากเล็กขยับมุบมิบขณะที่ยังไม่ยอมลืมตา ซึ่งมันก็ดีเพราะพู่กันจะได้ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังยิ้มกว้างแค่ไหน กวนประสาทแต่ก็ทำให้เขายิ้มได้ตลอด

“มึงไม่รู้เรื่องเหรอ”

“อือ” ครามวางโทรศัพท์ลงบนพื้นโดยที่ยังไม่ได้พิมพ์ข้อความตอบเพื่อนสนิท ร่างสูงกระโจนขึ้นไปก่อนคร่อมคนบนเตียงได้อย่างง่าย “เฮ้ย พี่!”

“อ้าว รู้เรื่องแล้วหรือไง”

“อย่ามาทับ ตัวหนัก” พู่กันพยายามพลิกตัวกลับมานอนหงายเพื่อจะใช้แรงต่อต้านคนพี่ได้เต็มที่ แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นก็เข้าทางคนเจ้าเล่ห์อย่างดี “ไอ้เหี้ย!”

“ด่าแต่เช้า ระวังสุขภาพจิตเสีย” ครามหัวเราะเมื่อโดนด่า พู่กันคงเป็นอาหารเสริมความสุขชั้นดีไม่ว่าจะเวลาไหนๆ เสี้ยวหนึ่งมันเริ่มทำให้คิดว่าเขาอาจจะชอบน้องไปแล้ว แต่พอนับเงินทักมาความคิดของเขาก็ถูกกลบไป “ตื่นแล้วก็ลุกไปอาบน้ำ”

“ไม่ไป”

“กูสั่งดีๆ แล้วนะ” เขายกยิ้มเจ้าเล่ห์ตอนที่เด็กใต้การบังคับบัญชาเอ่ยปฏิเสธ

“หยุดความคิด จะให้ไปอาบน้ำก็ลุกไปดิ มาคร่อมอยู่แบบนี้จะลุกได้ปะ ผมสู้แรงยักษ์แบบพี่ไม่ไหวหรอกนะเว้ย”

“พูดมากขนาดนี้เคยโดนบอกให้หยุดพูดบ้างไหมวะ”

“มีแต่คนอยากฟังผมพูดเหอะ”

“ไม่ใช่กูคนนึง”

“ตัดหูทิ้งไปดิงั้นก็” เด็กช่างเถียงจ้องหน้าอย่างไม่ยอมแพ้ ถ้าไม่อยากได้ยินก็ตัดหูตัวเองทิ้งไปสิโว้ย จะมาห้ามคนอื่นพูดได้ยังไง “หรือไม่ถนัด ผมตัดให้ก็ได้ ฟรี”

“ตัดหูมึงได้ไหมล่ะ”

“ไม่”

“กูก็ไม่ตัด”

“ทำไมไม่ตัด ไม่อยากได้ยินเสียงผมก็ตัดหูไปดิ”

“หยอกไปงั้น”

“...”

“กูอยากได้ยินเสียงมึงจะตายพู่กัน”

*

ครึ่งหลังของวันจบลงตรงที่เขาลากพู่กันออกมาเป็นเพื่อนตัดผม ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ยังไม่ยาวเท่าไหร่แต่แค่ไม่รู้จะไปไหนก็เท่านั้น

ครามผ่อนคันเร่งลงเมื่อเห็นว่าสัญญาณไฟจราจรข้างหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง หากเป็นเมื่อก่อนเขาก็คงจะเหยียบจนมิดเพื่อให้ไปต่อโดยไม่ต้องเหยียบเบรก แม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นช่วงวินาทีเฉียดตายก็ตาม

เคยมีครั้งหนึ่งเขาฝ่าไฟแดงตอนพู่กันนั่งมาด้วย หลังจากนั้นก็โดนด่าแบบหูฉีกในแบบที่จำได้จนวันตาย

‘ถ้าคิดจะฝ่าไฟแดงคราวหลังอย่าพามาด้วย จะตายก็ตายคนเดียว’
‘ไม่รักตัวเองก็ห่วงชีวิตคนอื่นเขาบ้าง ถ้าเกิดฝ่าไฟแดงไปแล้วชนใครเข้า คิดดูว่าทำไมเขาต้องซวยทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด บนโลกมันไม่ได้มีแค่พี่คนเดียวนะเว้ย’
‘ถ้าเกิดพลาดแล้วตาย คุ้มกันใช่ไหม หรือถ้าพี่ไม่ตาย แต่มีคนมาตายเพราะพี่ มันโอเคใช่ปะ’


พอโดนด่าครั้งนั้นเขาก็ไม่เคยคิดจะฝ่าไฟแดงอีก มีหลายอย่างที่ทำผิดแล้วคนที่เตือนได้ก็คือพู่กัน แม้แต่ละคำที่พูดออกมาจะฟังแล้วเจ็บจี๊ด แต่มันก็เป็นสิ่งที่น้องต้องทำ เพราะพู่กันเคยพูดเอาไว้ว่า ‘แบบพี่อะ พูดเบาๆ ก็ไม่สำนึกหรอก’ ฟังแล้วเหมือนโดนลากไปรุมต่อยแต่ก็ไม่เถียง เพราะมันเป็นเรื่องจริง

“ตกลงกูตัดทรงไหนดีวะ” ครามหันมาถามหลังจากที่จอดรถเทียบหน้าร้าน

“เอ้า มาถึงร้านแล้วเนี่ย ยังไม่รู้ทรงอีกเหรอวะ” พู่กันขมวดคิ้ว มองใบหน้าหล่ออย่างหาเรื่อง จริงๆ ก็ไม่เห็นว่าจะยาวสักเท่าไหร่ แต่ถ้าอยากจะตัดก็ไม่ขัด “โกนไปดิ”

“ก็เหี้ยแล้วน้อง” ครามสบถด้วยน้ำเสียงติดหัวเราะ ก่อนเอื้อมมือไปผลักหัวเด็กที่นั่งอยู่ข้างๆ “ปะ เดี๋ยวตัดผมเสร็จค่อยไปหาอะไรกิน”

“หือ จะกินอีกเหรอ ข้าวต้มก็กินมาแล้วไง” คนทำข้าวต้มมื้อเช้าได้แต่ขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินคำทักท้วง

“ก็มึงบอกไม่อร่อย กูก็ต้องพามาหาอย่างอื่นกินดิ”

พู่กันเบ้ปากแต่ไม่ตอบอะไรกลับ เอาเข้าจริงรสชาติมันก็ไม่ได้แย่ แถมเขาก็ยังกินจนหมดชาม ถ้าจะคิดว่าพูดจริงก็แล้วแต่เลย
ในมุมหนึ่งของครามก็ไม่ได้เลวร้ายกับเขา แถมมักจะเป็นแบบนี้หลายครั้ง แม้จะปากไม่ดีไปบ้างบางหน แต่สำหรับพู่กันคิดว่าคำพูดขัดกับการกระทำอย่างสิ้นเชิง

เมื่อคืนที่เขาโทรไปเรียกครามมาบ้านเพราะก่อนหน้านั้นเจ้าตัวทักมาบอกว่าอยู่กับพี่นับ แต่ก็บ่นเรื่องเพื่อนสนิทนั้นเอาแต่รับโทรศัพท์ที่เป็นสายเรียกเข้าจากพี่เข็มทิศ

ด้วยความที่พักหลังอยู่ด้วยกันบ่อยขึ้นก็คงไม่แปลกหากเขาจะรู้ว่านิสัยคราม พอเห็นว่าอีกฝ่ายอัพรูปแบบไม่มีแคปชั่นซึ่งเขาก็พอจะเดาได้ว่าเป็นโหมดดราม่า และเพราะอีกฝ่ายทำตัวผิดแปลกคือการไม่โทรมาระบายความทุกข์ จึงทำให้เขาตัดสินใจโทรไปหา ทั้งที่จะปล่อยไปโดยที่ไม่สนใจก็ได้ แต่พู่กันก็เลือกที่จะโทร อย่างน้อยครามก็ยังมีเขาเป็นที่พักพิง

มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาเริ่มหวั่นกลัว คือชักไม่แน่ใจแล้วว่าโซ่ที่คล้องเอาไว้กับครามมันจะขาดสะบั้นลงได้จริงไหม เกรงว่าใจของเขาจะสั่นคลอนและทำให้โซ่เส้นบางเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะมีคนของตัวเอง

“อ้าว น้องคราม ลมอะไรหอบมาจ๊ะเนี่ย” เสียงทุ้มกึ่งบีบให้เป็นสาวดังทักทายเมื่อคนพี่ก้าวขาเข้าไปภายใน เจ้าของร้านหุ่นดีเดินเข้ามาก่อนจับตัวพี่ครามหมุนเป็นวงกลม สำรวจทรงผมที่ผ่านการขยำก่อนออกจากบ้านด้วยฝีมือของพู่กัน “ผมยังไม่ยาวเลยนี่นา”

“คิดถึงเลยมาหาไงพี่เป้”

“ต๊ายย บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกปูเป้ แต่พูดแบบนี้พี่คิดนะคะน้อง” เสียงหัวเราะคิกคักทำให้เขาที่ยืนอยู่ข้างหลังครามเริ่มหน้าแห้ง ไม่รู้ว่ามาร้านคนรู้จักไม่งั้นก็คงไม่แบกร่างตัวเองมาด้วยหรอก “แล้วนี่น้องนับไม่มาเหรอ ...อุ้ย เดี๋ยวน้า พาใครมาเอ่ยวันนี้”

พี่เจ้าของร้านหน้าตาสละสลวยชะโงกหน้ามามองเขาก่อนฉีกยิ้มร่า เพียงเสี้ยววินาทีครามก็โดนผลักไปอยู่ข้างๆ เขาจึงเผชิญหน้ากับคนตัวสูงอย่างห้ามไม่ได้

“สวัสดีครับพี่ปู...” ไม่ทันที่จะได้พูดจบ ฝ่ามือใหญ่ก็ตะครุบมือเขาที่กำลังจะยกขึ้นไหว้แล้วดึงไปสัมผัสแก้มตัวเองทันที พู่กันหันไปขอความช่วยเหลือและครามก็รู้ดีจึงเป็นฝ่ายมาดึงมือเขาออกแล้วจับเอาไว้หลวมๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกระชับแน่นตอนเห็นพี่สตรีข้ามเพศมองเขม็ง

“ท่าทางแบบนี้คือหวงเหรอจ๊ะ แหมๆๆ พี่ก็เย้าเล่นน้า” เขาได้แต่ยืนนิ่งเพราะไม่กล้าพูดอะไร มองหน้าพี่ปูเป้กับพี่ครามสลับกันไปมา ทำตัวไม่ถูกนะเอาจริงๆ “ไม่ทำหน้าแบบหมาหวงกระดูกสิจ๊ะ เย้าๆ”

ครามแค่หัวเราะแล้วลากเขามานั่งที่โซฟาแถมยังลูบหัวเบาๆ ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ของตัวเองออกมายื่นให้ แน่นอนว่าพู่กันไม่เข้าใจ แต่อีกฝ่ายกลับวางมันลงบนตักเพื่อตัดจบทุกสิ่ง

“ฝาก นั่งรอตรงนี้ กูจะสระผมก่อน”

“ครับคุณชาย เชิญหลับให้สบาย”

“กูแค่ไปสระผม ไม่ได้ไปตาย”

“เอ้า ตอนสระก็เพลินไง ง่วงๆ ก็หลับ คิดอะไรเยอะแยะวะพี่”

คนพี่หัวเราะให้กับเด็กช่างสรรหาคำมาต่อล้อต่อเถียง พู่กันรีบผลักให้ครามรีบๆ ไป พออีกฝ่ายเดินเข้าไปหลังฉากกั้นที่ใช้สระผมซึ่งน่าจะมีพนักงานประจำหน้าอยู่ พี่ปูเป้ก็รีบปรี่เข้ามาหาเขาทันที

“น้องเป็นแฟนน้องครามเหรอ”

“เอ้ย ไม่ได้เป็นแฟนกันครับ” พู่กันปฏิเสธทันควัน แต่เจ้าของร้านกลับทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ “ไม่ใช่จริงๆ ครับ รุ่นพี่รุ่นน้องเฉยๆ”
“จริงเหรอจ๊ะ ...เอ พี่ว่าไม่น่าใช่ม้างง”

“พูดจริงๆ ครับพี่ปูเป้ ทำไมพี่ไม่เชื่อผม” เขาเริ่มหัวเราะตอนที่เห็นสีหน้าของคนฟัง “พี่ครามมีคนที่ชอบแล้วครับ”

“เนี่ย ถ้าไม่ติดตรงนี้พี่ก็จะไม่เชื่อน้องเลยจริงๆ” เธอตบเข่าฉาดใหญ่ ซึ่งเขาคิดว่าพี่ปูเป้ก็น่าจะรู้เรื่องของพี่ครามกับพี่นับมาบ้างพอสมควร เพราะทีแรกก็ทักว่าไม่พาพี่นับมาด้วยเหรอ

“มันไม่น่าเชื่อขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ที่สุดค่ะ!” พี่ปูเป้ตบอกก่อนจะคว้าเขาเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะลดระดับเสียงให้เบากว่าเดิม “น้องรู้ไหมคะ พี่เนี่ยเพิ่งจะเคยเห็น”

“เห็นอะไรเหรอครับ” เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

“ก็ไอ้ที่น้องครามมาดึงมือออกไปจากมือพี่น่ะสิ ขนาดน้องนับที่บอกว่าชอบนักชอบหนา พี่ยังลวนลามได้สบายเลย”

“ก็...” พู่กันทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะตอบว่าอะไร เขาจะเชื่อคำพูดของพี่ปูเป้ได้แค่ไหน “น่าจะบังเอิญอยากเป็นคนดีล่ะมั้งครับ”

“หูย ไม่หรอก พี่น่ะ รู้จักน้องครามมานานนะ รายนี้นี่เนี่ยคนสำคัญจะหวงแรงหึงแรง เหมือนตอนพาน้ำเงินมานี่แตะไม่ได้ มันเลยน่าแปลกน่ะสิ ตกลงไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ เหรอจ๊ะ”

“พี่เป้” เสียงทุ้มของคนที่ถูกนินทาดังขึ้นมาขัดจังหวะ พี่เป้ค่อยๆ ถดใบหน้าหนีออกจากเขาก่อนจะหันไปมองตามต้นเสียง “อย่าแอ๊ว”

“แอ๊วเอิ้วอะร้าย แค่มาผูกมิตรเฉยๆ ย่ะ” พู่กันหัวเราะเมื่อพี่เป้เถียงออกไปปาวๆ ครามเดินออกมาทั้งๆ ที่หัวยังเปียกชุ่ม

“มองหน้าก็เห็นลิ้นไก่แล้ว มานี่ …มาสระผมให้คราม”

“สั่งเป็นผัวพี่เลยนะ!” สตรีข้ามเพศหน้าสวยโวยวายก่อนจ้ำไปทางพี่ครามที่เดินไปหลังฉากกั้นอีกครั้ง ยังดีที่ร้านไม่มีคนอื่นนอกจากพวกเขา ไม่งั้นคงได้โดนด่าหาว่าเสียมารยาทแน่ๆ

กว่าจะสระผมเสร็จก็กินเวลาหลายนาที พู่กันนั่งมองคนที่เป็นหุ่นนิ่ง พี่เป้ไดร์ผมสีเข้มให้แห้งพลางบ่นนู่นนี่นั่นให้ฟัง ไม่รู้ว่าครามนั่งมองอะไรอยู่ แต่มีครู่หนึ่งที่เขาเผลอสบตากับคนในกระจกแล้วไอ้คนที่อยู่ในนั้นก็ยิ้มออกมา

เป็นบ้าเป็นบออะไรของเขาวะ

พู่กันก้มลงดูหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองเมื่อมีแจ้งเตือนข้อความเข้า เขาขมวดคิ้วยุ่งเมื่อเห็นว่ามีรายชื่อไม่คุ้นเพิ่มเพื่อนในเฟซบุ๊กเข้ามา ยังไม่ทันที่เขาจะได้กดเข้าไปส่องว่าเป็นใคร โทรศัพท์ของครามที่อยู่บนตักก็สั่นเพราะมีข้อความเข้ารัวๆ เสียก่อน

สาบานได้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท แต่เพราะมันสั่นไม่หยุด แถมแถบแจ้งเตือนป๊อปอัพก็เด้งขึ้นมาระรัวจนไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อ่านทุกข้อความจนมันหยุดสั่น

nnubb :
อ่านไม่ตอบ
โกรธกูมากเลยเหรอ
ตอนบ่ายไปกินข้าวกัน ถือว่ากูไถ่โทษ
ถ้ามึงไม่มา กูก็ไม่รู้จะง้อยังไงแล้วนะ
เห็นก็ตอบด้วย อย่าโกรธนานกว่านี้เลย
กูง้อไม่เป็น

พู่กันละสายตาเมื่อหน้าจอโทรศัพท์ดับลง เขาเม้มปากเพียงนิดกับความรู้สึกประหลาดที่ก่อตัวขึ้น ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วสลัดความคิดบ้าๆ ออกไป รอเวลาให้ครามทำผมเสร็จก็ค่อยบอก

ถ้ามีเพื่อนพนันเขาจะเทหมดหน้าตักว่ายังไงครามก็ต้องเลือกไปหานับ

กว่าอีกฝ่ายจะทำผมเสร็จก็ทำเอาเขานั่งหาวไปหลายนาที ซึ่งทรงผมใหม่ก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก ก็แค่เสยเปิดหน้าผากแล้วมีช่อผมบางส่วนปรกลงมาด้านข้าง โดยรวมก็ถือว่าดูดี... มากๆ แล้วกัน

“พี่นับทักมาอะ” พู่กันพูดขึ้นโดยที่ไม่ได้ทักเรื่องทรงผมใหม่ แต่ครามกลับขมวดคิ้วเขาจึงต้องย้ำอีกครั้ง “บอกว่าพี่นับทักมา”

“ว่า”

“ไม่รู้ อ่านเองดิ” จะบอกว่ารู้ก็กลัวโดนหาว่าขี้เสือก เขาจึงตัดปัญหาด้วยการส่งโทรศัพท์คืนเจ้าตัว ครามหน้านิ่งในตอนที่กดโทรศัพท์ยิกๆ จนเขาไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“นับชวนกูไปกินข้าว”

“ก็ไปดิ ได้โอกาสทั้งที แต่ส่งผมกลับบ้านก่อนนะ” พู่กันว่าก่อนจะหยัดกายขึ้นจากโซฟา “มองหน้าอยากมีเรื่องอ่อ”

“มึงไม่ไปกับกูเหรอ”

“เหอะ พี่จะบ้าปะ จะเอาผมไปทำไม” ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในร้านจะตะโกนถามดังๆ ว่าพี่บ้าเหรอวะอีกสักสิบรอบ พู่กันสวัสดีพี่ปูเป้ก่อนเดินออกมาจากร้าน ตามด้วยคราม พอเข้ามานั่งในรถแล้วจึงคุยต่อด้วยหัวข้อสนทนาเดิม

“กูจะพามึงไปกินข้าว”

“ไม่ต้อง ไปกับพี่นับเหอะ”

“แต่กู...”

“เขาอุตส่าห์ง้อทั้งที พี่ก็ไปคนเดียวดิ อย่าเอาผมไปเป็นไก่ไข่ควาย” ครามเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าโดยที่ไม่พูดอะไร และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าไอ้ที่อีกฝ่ายกดยิกๆ นั่นได้ตอบข้อความของพี่นับเขาหรือเปล่า “นี่ถ้าทางที่ดี คราวหลังอย่าลืมตอบข้อความพี่นับ”

“มึง”

“ไรอีก อย่าข้อแม้เยอะนักดิพี่”

“กูแค่จะถาม” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ครามคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จ เขามองหน้าคนพี่ด้วยความไม่เข้าใจ

“ถามไรอะ ว่ามาดิ”

“ความพยายามกับความรัก มึงว่ามันไปด้วยกันได้ไหมวะ”

“สงสัยเก่งนะเราอะ”

“เออ แล้วมึงคิดว่าไง”

“ถ้าถามผมก็มีทั้งได้กับไม่ได้” เขาตอบโดยไม่ลังเล แต่กลับทำให้อีกฝ่ายแสดงสีหน้าว่ามีคำถามผุดขึ้นมาอีกเป็นสิบ “พี่จะเอาพยายามไหนล่ะ”

“มีช้อยส์อะไรให้กูบ้าง”

“พยายามเลิกรักกับพยายามจะรัก”

“ขอทั้งสอง”

“เลิกรักมันต้องใช้ ไม่พยายามจะเลิกรักได้ยังไง ถูกปะ” ครามพยักหน้าลงเพื่อบอกให้รู้ว่าฟังอยู่ “แต่ถ้าพยายามจะรัก คิดว่ามันคงไปด้วยกันไม่ได้”

“...”

“เพราะถ้ารักแล้วจะต้องใช้ความพยายามทำไม”

“ถ้าเขาบอกพยายามแล้วล่ะ” น้ำเสียงแตกต่างจากโทนเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ครามตอนนี้กำลังถูกตัวเองฝ่ายอกหักเข้าสิงอีกหน “มึงว่า...”

“พยายามที่จะรัก”

“...”

“ก็น่าจะรู้แล้วไหมว่าไม่รัก พยายามแล้ว แต่มันก็ยังไม่รักอยู่ดี”

“กูคงไม่ไปหานับ เดี๋ยวส่งข้อความไปบอกเอาว่ากูไม่ว่าง” พู่กันอึ้งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น อยากยกมือตบหน้าตัวเองแรงๆ จะได้รู้ว่าไม่ได้ฝันไป เป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่อีกฝ่ายปฏิเสธการไปเจอพี่นับ ดวงตาจ้องไปยังคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างสงสัย และครามคงรู้ว่าเขาคิดอะไร “ไม่พร้อมว่ะ”

“มีอะไรที่ไม่พร้อม แค่ไปกินข้าว”

“กูยังทำใจไม่ได้” พออีกฝ่ายพูดมาด้วยน้ำเสียงโอนอ่อน พู่กันก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอื้อมมือไปตบบ่าคนพี่สองสามครั้ง “กูต้องพยายามแบบไหน เป็นคนยังไง เขาถึงจะรักกู”

“...”

“หรือกูต้องพยายามแค่ไหน ถึงจะเลิกรักเขาได้”

“มันก็ยากทั้งหมดแหละ” เขายกยิ้มก่อนจะเปลี่ยนไปบีบหัวไหล่ให้คนพี่ได้ตื่นตัวมากกว่าการที่นั่งก้มหน้ามองเท้าตัวเอง พู่กันหมายความตามที่พูด เขาเข้าใจดีเพราะตัวเองก็ต้องใช้เช่นกัน เคยพยายามที่จะไม่สนใจคราม พยายามที่จะหยุดความสัมพันธ์แบบนี้ แต่ก็ไม่เคยได้เลยสักครั้ง “พยายามต่อไปเหอะ”

“...”

“ผมคิดว่าความพยายามคงไม่ทำร้ายพี่มากไปกว่านี้หรอก”

tbc.
ใกล้ได้เวลาพาเข้าวงสมรภูมิ /หัวเราะทั้งน้ำตา
ขอบคุณทุกคนมากๆ นะคะ #โซ่สีคราม
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 04 ; (04/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-10-2018 21:19:54
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 04 ; (04/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 06-10-2018 01:01:44
 :katai1: เรารู้สึกไม่ค่อยชอบนับเลย
ในขณะที่รู้สึกว่าพี่เข็มน่าดึงดูดมากแม้จะออกมาแปปเดียว 5555
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 05 ; (08/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 08-10-2018 20:55:20
05
what if


palida faiii ส่งข้อความถึงคุณ

พู่กันละสายตาจากเค้กที่เพิ่งวางใส่จานเมื่อเห็นแจ้งเตือนข้อความเข้า พอเห็นว่าเป็นของฝ้ายเขาจึงเดินไปเสิร์ฟเค้กให้กับลูกค้าก่อน ร่างบางกลับมายืนพิงเคาน์เตอร์แล้วหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเปิดอ่าน

palida faiii :
ทำอะไรอยู่งะ
เรารบกวนเปล่าหว่า

เขาหลุดยิ้มตอนอ่านข้อความจบ ฝ้ายเป็นเพื่อนกับหว้าที่แอดเฟซบุ๊กเขามาเมื่อวันก่อน พอมีเรื่องครามเข้ามาก็เลยไม่ทันได้สนใจ เห็นอีกทีก็ตอนที่อีกฝ่ายกดอันเฟรนด์ไปแล้วแอดกลับมาใหม่

ซึ่งตอนแรกก็งงๆ เช่นกันว่าใครที่ไหนแอดมาอีก ปกติพู่กันก็ไม่ได้รับใครสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่แล้วเพราะมันรก เขาปล่อยให้คำขอค้างอยู่อย่างนั้นจนหว้าต้องโทรมาบอกว่าให้รับแอดเพื่อนเธอสักที

พู่กันบ่นไปหลายยก รวมถึงขอกับหว้าว่าให้ฝ้ายเป็นคนสุดท้าย อย่าแจกเฟซหรือช่องทางการติดต่อของเขากับใครอีก ซี่งเพื่อนสนิทก็รับปากอย่างดิบดีแต่ก็พูดดักหน้าไว้ว่าถ้าคนอื่นตามหาจนแอดมาเองหว้าก็ไม่ผิด เขาก็โอเค ขอแค่ไม่เอาไปแจกก็พอแล้ว


phu-gun phonthakorn :
ไม่กวนครับ
แต่พู่คงตอบช้านะ
วันนี้เปิดร้าน

palida faiii :
แง้ว
ถ้างั้นฝ้ายยังไม่กวนดีกว่า

phu-gun phonthakorn :
คุยได้
แต่ตอบช้า จะเบื่อรอเปล่า

palida faiii :
ฝ้ายรอได้แต่กลัวกวนอะ

phu-gun phonthakorn :
ไม่กวนจริงๆ ครับ

palida faiii :
ฮือ โอเช
แล้วได้กินข้าวบ้างยังเนี่ย

phu-gun phonthakorn :
ยังอะ เปิดมาก็ยุ่งเลย

palida faiii :
อย่าเพลินจนลืมกินข้าวเหมือนเมื่อวานนะ
เดี๋ยวผอมหมดดดดด

กับฝ้ายก็คุยกันมาได้ประมาณสามสี่วันแล้ว เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนคุยได้ในระดับหนึ่ง แต่เขาก็ไม่คอยได้ตอบตามประสาคนขี้เกียจ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ปล่อยค้างจนนานเกินไป แถมยังดีตรงที่ฝ้ายไม่ได้เป็นคนจุกจิกเหมือนคนก่อนๆ ทำให้เขาโอเคที่จะคุยด้วย

phu-gun phonthakorn :
คงต้องย้ำอีกหลายๆ ที เดี๋ยวลืม
ขาดลูกมือ หัวหมุนทั้งวันแล้ว

palida faiii :
อ้าว อยู่ร้านคนเดียวเหรอ

phu-gun phonthakorn :
ครับ แม่ไม่ยอมกลับบ้าน

palida faiii :
โอ๋ๆ น้า 55555


“สั่งเค้กหน่อยครับ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นแทรกจังหวะการตอบแชททำให้พู่กันต้องละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ เขาวางมันลงก่อนเงยหน้าไปมอง

“รับอะไรดีครับ”

“คัพเค้กทั้งหมดครับ” เจ้าของร้านจำเป็นอึ้งประหนึ่งว่าคุณคนตรงหน้าบอกจะซื้อร้านคาเฟ่ “น้องครับ”

“คือว่าทั้งหมดนี่เลยเหรอครับ” พู่กันถามย้ำอีกครั้งขณะมองคัพเค้กเกือบยี่สิบชิ้นในตู้โชว์สลับกับหน้าของลูกค้าที่แต่งตัวภูมิฐาน หน้าตาดี ตาคม ทรงผมถูกจัดแต่งมาอย่างดี แต่ก็น่าจะอายุมากกว่าเขาอยู่หลายปี มองผิวเผินก็คิดว่าน่าจะทำงานแล้ว

“ครับ”

“พี่ครับ คือมันน่าจะต้องแบ่งเป็นสองกล่องนะครับ จะเป็นอะไรหรือเปล่า ปกติถ้าสั่งเยอะๆ แม่ผมเขาจะเป็นคนจัด แต่ว่า...”

“แบ่งแบบไหนก็ได้ครับ” เขาฉีกยิ้มเมื่อลูกค้าไม่ขัดข้อง

“ถ้างั้นพี่รอผมแป๊บนึงนะ นั่งรอก่อนก็ได้ครับ”

“อ่า ให้พี่ช่วยไหมครับ”

“หือ” คนที่กำลังจะเปิดตู้เค้กท้วงออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ตลอดการช่วยแม่เปิดร้านขนมยังไม่เคยมีลูกค้าที่ไหนมาขอช่วยจัดขนมใส่กล่อง หรือว่าอีกฝ่ายจะกำลังรีบเขาจึงถามออกไป “พี่รีบหรือเปล่าครับ”

“พี่ไม่รีบครับ แต่เห็นเราอยู่คนเดียว” พู่กันยกยิ้มเล็กน้อย หน้าตาดี แต่งตัวดี แล้วยังใจดีอีกเหรอ เอ้อ ถ้าเจอลูกค้าแบบนี้บ่อยๆ ก็คงจะใจฟูไม่เบา “ตกลงว่าไงครับ ให้พี่ช่วยไหม”

“ไม่เป็นไรครับ พี่นั่งรอก่อนนะ เดี๋ยวผมจะรีบใส่กล่องให้” คนถูกปฏิเสธได้แต่พยักหน้าก่อนเดินไปนั่งโต๊ะที่อยู่ไม่ไกล เขามองเจ้าของร้านตัวเล็กที่เคยเห็นบ่อยครั้งเพราะมาซื้อขนมที่นี่หลายหน แต่ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะไม่เคยสังเกต

พู่กันค่อยๆ ใส่คัพเค้กลงในกล่องอย่างระมัดระวังเพราะกลัวจะเละ เขาใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะจับเค้กหลากสีสันลงกล่องได้จนหมด พอแม่หนีไปเที่ยวคนหนึ่งก็บอกได้คำเดียวว่าลำบาก ซึ่งปกติแม่ก็จะไม่ค่อยให้เปิดร้านถ้าไม่อยู่ แต่ไม่รู้ว่าอะไรเข้าดลใจให้คุณวาดโทรมาสั่งว่าให้เปิดร้านวันนี้ อาจจะเกรงว่าถ้าปิดนานแล้วลูกค้าจะหนีหมด

แต่ก็อยากบอกแม่เหลือเกินว่า ให้เขาทำขนมเนี่ยลูกค้าน่าจะหนีมากกว่าอีก พู่กันทำเป็นแค่พวกชิ้นเล็กๆ อย่างพวกคัพเค้ก มาการอง อะไรเทือกๆ นั้น ถ้าให้ไปนั่งทำเค้กเป็นปอนด์ก็ขอบาย

“น้องครับ พี่ลืม” เขาเงยหน้าขึ้นในตอนที่ปิดกล่องคัพเค้กเสร็จพอดี “เขียนการ์ดให้หน่อยได้ไหมครับ”

“อ๋อ ได้ครับ เดี๋ยวผมหยิบการ์ดให้นะ” ไม่ว่าเปล่าเจ้าคนตัวจ้อยยังเดินไปหยิบการ์ดของขวัญใบเล็กๆ มาให้เขาพร้อมปากกาหนึ่งด้าม

“พี่หมายถึงให้เราเขียนน่ะครับ”

“ผมเหรอ” พู่กันถามด้วยความงง พอเห็นลูกค้าพยักหน้าก็เลยตอบตกลงเพราะอย่างไรก็เป็นบริการของทางร้านอยู่แล้ว “พี่จะเขียนว่าอะไรครับ”

“ปัถย์”

“ครับ?” เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั่นคืออะไร จะว่าโง่ก็ได้ “ผมขออีกทีได้ไหม”

“ชื่อพี่ครับ ปัถย์ อ่า... เขียนถูกไหมครับ”

“ปอปลา ไม้หันอากาศ ดอเด็ก หรือว่า ปอปลา ไม้หันอากาศ ถอถุง ยอยักษ์ การันต์”

“แบบที่สองครับ” ปัถย์หลุดยิ้มกับการสะกดชื่อผ่านสีหน้าที่เต็มไปด้วยความลังเล เขามองคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ก้มลงไปเขียนยุกยิกก่อนส่งการ์ดที่มีลายมือหวัดๆ แบบเด็กผู้ชายมาให้ “ขอบคุณนะครับ”

“อ่า มันโอเคจริงๆ ใช่ไหมอะพี่ คือผมลายมือไม่ค่อยสวย” พู่กันหัวเราะแห้งๆ ลึกๆ คือเป็นกังวล ถ้ารู้ว่าโตมาจะต้องมาช่วยแม่เขียนชื่อลูกค้าบนหน้าเค้กหรือเขียนการ์ดส่งให้คนอื่นตอนเด็กจะหัดคัดลายมือให้สวยกว่านี้

“โอเคแล้วครับ พี่ไม่ได้ซีอะไร” พอได้ยินเช่นนั้นพู่กันก็เบาใจ เขาจับกล่องเค้กใส่ถุงแล้วยื่นให้กับคนตรงหน้า “เท่าไหร่ครับ”

“ทั้งหมดสิบเจ็ดชิ้น ก็ห้าร้อยเก้าสิบห้าครับ” เขาเอื้อมมือไปรับแบงก์สีม่วงกับแบงก์สีแดงที่อีกฝ่ายยื่นให้ก่อนจะทอนเงินคืน แต่คนที่ได้รับเงินทอนแล้วกลับยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน

“ค่าเขียนการ์ดไม่ได้คิดเหรอครับ”

“ไม่คิดครับ”

“แล้วถ้าเกิดพี่จะขอให้เขียนอีกสักใบ จะคิดเงินไหมครับ”

“ก็ต้องไม่คิดอยู่แล้วสิครับ” พู่กันหัวเราะร่วนเพราะไม่รู้ว่าคนที่กำลังยิ้มอยู่ตอนนี้คิดอะไรอยู่ เจ้าของร้านเอื้อมไปหยิบกล่องใส่การ์ดมาวางไว้ใกล้ๆ มือ เพราะเผื่อคุณคนตรงหน้าอาจจะต้องการเพิ่มมากกว่าหนึ่งใบ “จะให้เขียนอีกสิบใบก็ฟรีครับ ถ้าพี่ไม่ซีกับลายมือผมน่ะนะ”

“ไม่ซีครับ แต่เราจะเขียนให้ได้หรือเปล่า”

“ผมเขียนได้หมดแหละ” เขาย้ำอีกครั้งจนพี่ปัถย์ยิ้มออกมา “แค่พี่บอก”

“ถ้างั้นเขียนเบอร์เราให้พี่หน่อยได้ไหมครับ”


*


(สรุปคือมึงก็ให้เบอร์เขาไปเหรอ)

“ก็ใช่” พู่กันหนีบโทรศัพท์ไว้กับต้นคอ เดินไปเปลี่ยนป้ายหน้าร้านให้เป็นคำว่า close ถ้าอยู่คนเดียวเขาจะปิดร้านเร็วกว่าปกติ อีกอย่างเจอพี่ปัถย์เหมาคัพเค้กไปก็แทบไม่เหลืออะไรให้ขายแล้ว

(อ้าว อีเหี้ย แล้วไหนบอกไม่ให้กูแจก แล้วดูมึ้ง เฟซไม่แจก แจกเบอร์เลย ไอ้พู่ กูจะฟ้องน้าวาด แม่ให้เปิดร้านวันเดียว ใจแตก แจกเบอร์ให้เขาไปทั่ว)

“เดี๋ยว กูแค่ให้เบอร์พี่เขาไปคนเดียว ก็เขาบอกว่าเผื่อเอาไว้โทรสั่งเค้ก”

(มึงก็ให้เบอร์ร้านก็ได้ไหมอะ) ถ้าอยู่ใกล้กันมีหวังเขาโดนหว้าเขย่าคอรัวๆ แน่

“ก็ทีแรกกูจะให้เบอร์แม่ แต่พี่ปัถย์บอกมี เคยโทรมาแล้วแต่แม่กูไม่ค่อยว่างรับ กูก็เลยต้องให้เบอร์ตัวเอง ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าพี่เขามาที่นี่บ่อย กูไม่ยักจะจำหน้าได้”

(แล้วมึงเอาเพื่อนกูไปไว้หน๊ายย ฝ้ายกูอะไอ้พู่)

“กูไม่ได้ให้เบอร์ไปเพราะกูจะจีบเขาหรือเขาจะจีบกู เข้าใจยัง” พู่กันเดินมานั่งลงตรงมุมหนึ่งของร้าน เหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาหกโมงแล้ว “พี่ปัถย์แค่จะสั่งเค้ก”

(มึงรู้ได้ไง หะๆๆๆ มาขอเบอร์ขนาดนี้ก็แปลว่าเขาจะจีบมึงแล้วไหมอะ แต่ถ้าเขามาจีบมึงก็ดี)

“เอ้า สรุปคือมึงจะด่าหรือจะดีใจกับกู หรืออะไร งง”

(ได้หมด ถ้าเขามาจีบมึงก็จะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที จะได้หมดหน้าที่ของกู)

“หน้าที่มึงคืออะไร” ปลายนิ้วเคาะลงบนโต๊ะขณะรอฟังเสมือนว่าเป็นหน้าที่สำคัญก่อนโลกจะแตก

(หาแฟนให้มึง)

“กูไม่ได้ขอไง”

(เชอะ หวังดีอะ เข้าใจปะ แล้วนี่ พี่เขาเป็นไง หล่อปะวะ)

“ก็ดี” ไม่ปฏิเสธว่าอีกฝ่ายดูดีจริงๆ ตั้งแต่การแต่งตัวรวมไปถึงคำพูดคำจา “เขาก็ดูเป็นผู้ใหญ่ดี”

(แล้วไงต่อ อายุ หน้าที่การงาน หรือ...)

“หว้า กูรู้แค่เขาชื่อพี่ปัถย์ จบนะ”

(เฮอะ ผิดหวัง บอกกงๆ นะพี่พู่ หว้าผิดหวังในตัวพี่มาก)

“กวนตีน …มึง เดี๋ยวกูโทรกลับนะ พอดีเพื่อนกูโทรมา” พู่กันเป็นฝ่ายขอตัดสายเมื่อมีสายเรียกซ้อนโทรเข้ามา จะไม่รับก็คงไม่ได้ เพราะนอกจากหว้าแล้วก็มีเหมยที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา ยกเว้นเสียแต่เรื่องครามที่ตอนนี้มีเหมยรู้เพียงคนเดียว “มึงว่าไง”

(เขามาจีบหรือว่ายังไง) เป็นประโยคคำถามที่ทำให้พู่กันรู้ทันทีเลยว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงเรื่องไหน เพราะหลังจากที่โดนขอเบอร์ไปเขาก็เล่าเรื่องนี้ลงกลุ่ม จริงๆ ก็แค่อยากจะอวดว่าวันนี้มีคนมาเหมาคัพเค้กที่เขานั่งแหกตาทำทั้งคืนไปจนหมดก็เท่านั้น

“โห นึกว่าเรื่องไหน มึงเพิ่งอ่านแชทหรือไง”

(อืม) เขาเคยชินเสียแล้วกับการตอบสั้นๆ อย่างนี้ ความเป็นแฝดของหมิงเหมยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะหากเป็นแฝดน้องก็ร่ายยาวตั้งแต่เชียงใหม่ถึงภูเก็ต ถามนู่นนี่นั่นไม่หยุดจนเขาต้องพักก่อนแล้วปล่อยให้มันบ่นอยู่ในแชทคนเดียว แต่ก็ไม่คิดว่าพอแฝดพี่รู้แล้วจะโทรเข้ามาถามแบบนี้

“จีบเจิบบ้าบอ พี่เขาแค่เอาไว้โทรสั่งเค้ก”

(พนันกัน)

“เดี๋ยว ไอ้เชี่ยเหมย มึงจะโทรมาแค่ถามแล้วก็ขอพนันกับกูเนี่ยเหรอ”

(ใช่) ไอ้น้ำเสียงหนักแน่นที่ดังลอดเข้ามาทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง (โอเคไหม)

“โอเคเหี้ยไรล่ะ มึงจะพนันอะไรกูยังไม่รู้เลย”

(เขาจีบมึง)

“แล้วถ้าไม่ใช่?” พู่กันนั่งโยกเก้าอี้ไปมา ถ้าแม่อยู่ด้วยก็คงจะโดนด่าเพราะกลัวว่าขาเก้าอี้จะหักเสียก่อน แต่นี่ไม่เขาอยู่ร้านคนเดียวสามารถทำอะไรก็ได้ “คิดนานจังวะ”

(ทองบาทนึง)

“เชี่ย...” เขากลับมานั่งแบบเดิมทันทีที่ไอ้เพื่อนสนิทเอ่ยปากออกมาเช่นนั้น ก็รู้ว่าเป็นเจ้าของร้านทองแต่จะเอามาเล่นพนันกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ก็ได้เหรอวะ “มึงจริงจังปะ ถ้าป๊ารู้มึงโดนด่าตายห่าเลยนะ”

(จริงจัง) พู่กันนั่งเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มหลังจากได้ยินคำตอบ (กูมั่นใจว่ากูไม่เสีย)

“ละไง ถ้าเขาจีบกูขึ้นมา กูต้องแบกกระเป๋าเงินไปซื้อทองร้านมึงมาให้มึงอ่อ”

(ไม่ต้อง)

“แล้วจะให้กูทำยังไง”

(ถ้าถาม แปลว่ามึงตกลงพนัน) คำถามของปลายสายทำให้เขาต้องเงียบเพื่อใช้ความคิดอีกครั้ง (เอาไง)

“เออ พนันก็ได้” ที่ตกลงเพราะคิดว่ามันไม่ได้ไม่เสียอะไร อย่างไรเขาก็มั่นใจว่าพี่ปัถย์ไม่ได้มาจีบแน่ๆ และถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่คิดที่จะเอาทองบาทนึงหรอก อย่างน้อยเลี้ยงข้าวชิลๆ สักมื้อก็พอใจแล้ว “สรุปมึงจะให้กูทำไง”

(ถ้าเขาจีบ)

“…”

(มึงก็แค่เปิดใจ แค่นี้ที่กูต้องการ)


*


“เห็นแม่ผมไม่อยู่ก็เอาใหญ่” พู่กันแซวด้วยน้ำเสียงติดหัวเราะขณะเดินมาเปิดประตูบ้านให้กับเจ้าเก่าเจ้าเดิม ครามกระตุกยิ้มแบบไม่มีท่าทีว่าจะโกรธเคืองที่ถูกแซะ “กินไรมายัง”

“ยัง เสร็จก็มาหามึงเนี่ย” เจ้าของบ้านเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ มีอย่างที่ไหนกันบอกเสร็จธุระก็ปรี่มาหา ผิดสังเกตชัดๆ “มองเหมือนข้อง”

“ก็ข้องอะดิ”

“ข้องไรอีหนู” มือใหญ่เอื้อมมาผลักหัวเขาเบาๆ ก่อนจะถือวิสาสะเดินนำเข้าไปในบ้าน “มึงกินข้าวยัง”

“ใครจะรอ เปิดร้านทั้งวัน ขืนมานั่งรอพี่ก็ตายคาร้านพอดี” เขาบ่นอุบอิบก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบไข่ออกมาสองฟอง เมนูของพี่ครามวันนี้ก็คงไม่พ้นมาม่าหมูสับใส่ไข่

ครามนั่งมองแผ่นหลังบางที่ขยับไปทางนั้นทีทางนี้ทีโดยที่ไม่พูดอะไร แต่ที่เขามาบ้านพู่กันตอนสองทุ่มแบบก็เพราะมีเรื่องอยากจะถาม

“มึง”

“ไร” คนตอบยังคงจดจ้องอยู่ที่หม้อต้มมาม่า “เอ้า เรียกแล้วไม่พูด”

“เรียกกวนตีนเฉยๆ” ครามพูดหน้าซื่อๆ แล้วเก็บคำถามที่เวียนอยู่ในสมองมาตั้งแต่ชั่วโมงก่อนไว้เช่นเดิม น้ำเงินบอกว่ามีคนมาขอเบอร์พู่กันวันนี้

“ท่าจะบ้า”

“มึงอาบน้ำแล้วเหรอ” เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปกอดคนที่อยู่ในชุดนอนอย่างเรียบร้อย สงสัยวันนี้คงจะล้าจัดถึงได้ยอมอาบน้ำเร็ว

“เห็นปะล่ะ”

“เห็น” ชายหนุ่มวางคางไว้บนไหล่ขณะที่มองน้ำในหม้อสีเงินกำลังเดือดปุดๆ “กูเปลี่ยนใจไม่กินทันไหม”

พู่กันยั้งมือตัวเองทันที ถ้าบอกช้ากว่านี้อีกครึ่งนาทีเขาคงจะโยนก้อนมาม่าลงไปนอนแอ้งแม้งในน้ำเดือดแล้ว

“เป็นไรไม่กิน” เขาถามตอนที่ดับเตาแก๊ส ครามยังคงซุกหน้าอยู่ที่ต้นคอแถมยังไม่ยอมเอาแขนออกจากเอวด้วย ซึ่งมันผิดปกติทุกอย่าง “เป็นห่าอะไรพี่คราม”

“ไม่รู้”

“เอ้า”

“แค่อยากกอดมึง” น้ำเสียงอ่อนโยนกระซิบข้างใบหู ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะคำที่ครามพูดออกมาหรืออ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นตอนพูดจบอย่างไหนที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว

พู่กันคิดว่าช่วงหลังใจของตัวเองมักจะสั่นบ่อยเกินไปแล้วจากคนที่ชื่อคราม เขาคงไม่ได้โง่เกินกว่าที่จะไม่รู้ว่าหากบ่อยครั้งกว่านี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ยิ่งมีความรู้สึกเหมือนผีเสื้อโง่ๆ มาบินว่อน ก็ยิ่งทำให้รู้ ถ้ายังเป็นแบบนี้

คงไม่พ้นการตกหลุมรัก

“เป็นบ้าเป็นบออะไรอะ” เขาแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะจับท่อนแขนแกร่งให้หลุดออกจากตัว สิ่งแรกที่ต้องทำคือควรหลุดจากพันธนาการเสียก่อน “ไม่กินก็ไปอาบน้ำ อย่ามาเน่า”

“อืม” ครามขานตอบสั้นๆ นั่นทำให้เจ้าของบ้านแปลกใจไม่น้อย พู่กันเดินเข้าไปหาก่อนแตะหลังฝ่ามือลงบนหน้าผาก “อะไร”

“ไม่สบาย ผีเข้า หรือร่างทรงองค์ไหนลง” เขาขมวดคิ้วยุ่ง ปกติครามไม่ค่อยตอบแบบนี้หรอก “พี่คราม”

“ผีเข้ามั้ง” คนพี่แค่นหัวเราะก่อนถอนหายใจออกมา เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น มันแค่รู้สึกเหนื่อยและเหมือนจะไม่ค่อยสบอารมณ์พอนึกถึงเรื่องที่พู่กันมีคนมาจีบ ไม่แน่ใจว่าจะเป็นอารมณ์แบบพี่ชายหวงน้องหรือไม่ แต่ตอนที่น้ำเงินมีคนมาจีบเขาก็สามารถพูดออกไปได้ว่าหวง แต่กับพู่กันมันไม่ใช่ เขาไม่กล้าแม้แต่จะพูดในสิ่งที่คิด “คืนนี้นอนด้วยนะ”

“รู้แล้ว ไปอาบน้ำ เดี๋ยวหาอะไรให้กินก่อนนอน พี่ไม่กินไม่ได้หรอก มาร้องหิวตอนดึกไม่ลงมาต้มมาม่าให้แล้วนะ”

“ครับ” พู่กันได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างนั่นเดินออกไปจากห้องครัว วันนี้เป็นอะไรเหมือนมีเมฆสีดำมาลอยอยู่บนหัวคล้ายฝนจะตกเสียอย่างนั้น อึมครึมไปดิ และถ้าไม่ใช่มาม่าก็คงจะต้องเป็นนมหนึ่งแก้วกับซีเรียลรูปดาว เขาซื้อมาทิ้งไว้เพราะครามค่อนข้างชอบ

ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 05 ; (08/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 08-10-2018 20:55:47

ครืด... ครืด...

มือบางคว้าเอาโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู เขาเพ่งด้วยความสงสัยเพราะเบอร์ที่โทรเข้ามาไม่คุ้นตาเลยสักนิด

09xxxxxxxx

“ฮัลโหล ใครครับ” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อไม่ได้ยินเสียงใดๆ ตอบกลับมา มีเพียงความเงียบทำให้ต้องถามย้ำลงไปอีกครั้ง “ใครครับ”

(ขอโทษทีครับ พี่จะเมมเบอร์แล้วกดผิด)

“กดผิดหรือตั้งใจโทรมาครับ” พู่กันพูดติดหัวเราะ หากแต่ปลายสายกลับเงียบไป “ผมล้อเล่นครับพี่ปัถย์”

(ถ้าพี่บอกว่าตั้งใจโทรมาเราจะทำยังไง) เขาไปไม่เป็นตอนโดนสวนกลับ เรื่องที่พนันกับเหมยไว้ตอนเย็นผุดเข้ามาในหัว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ (พี่ล้อเล่นเหมือนกันครับ)

“ล้อเล่นเก่งนะครับเนี่ย ผมตกใจเลย”

(ขอโทษที่พี่โทรมารบกวนด้วยนะครับ)

“ไม่รบกวนหรอกครับ ถ้าพี่มีอะไรก็โทรมาได้เลย” พู่กันตอบขณะเดินไปที่ห้องนอนแขก เพราะครามมาอาบน้ำนานจนผิดปกติ “แต่เดี๋ยวตอนนี้ผมขออนุญาตไปดูหมาก่อนนะครับ ดูเหมือนจะป่วย”

พอหยุดที่หน้าห้องน้ำแล้วไม่ได้ยินเสียงฝักบัวเขาจึงต้องรีบเสียมารยาทขอตัดสายพี่ปัถย์ เพราะกลัวว่าไอ้คนที่เข้ามาอาบน้ำนานๆ อาจจะเอาหัวทิ่มชักโครกไปแล้ว ที่บอกว่าเหมือนจะป่วยไม่ใช่ร่างกายแต่น่าจะเป็นจิตใจมากกว่า

พู่กันเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ายังไม่ทันที่กำปั้นเล็กๆ จะได้เคาะลงบนประตู คนที่อยู่ด้านในก็เปิดออกมาเสียก่อน เจ้าของบ้านผงะถอยหลังเพราะตกใจ ครามมองด้วยสีหน้ายุ่งๆ พร้อมกับเช็ดผมที่กำลังเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำ

“มึงเป็นถ้ำมองหรือไง”

“ถ้ำมองบ้านพี่เหอะ เห็นหายมานานเลยมาดู นึกว่าเอาหัวทิ่มชักโครกไปแล้ว” เขาเดินถอยหลังเมื่อครามเริ่มเคลื่อนไหวร่างกาย ไอ้สภาพแบบนี้คือไม่ปลอดภัย “ถ้าแต่งตัวแล้วก็ไปอาบน้ำ... พูดผิด ไปกินซีเรียลดิ  ผมเทไว้ให้ละ”

“ลนอะไรของมึง” คนพี่หัวเราะก่อนเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง มือใหญ่ยังคงใช้ผ้าเช็ดผมตัวเองไปเรื่อยๆ โดยที่หันมองมาทางเขา “เดี๋ยวกูแต่งตัวแล้วตามไป”

เขาเห็นแต่ความผิดปกติจากตัวคราม อะไรจะว่านอนสอนง่ายจังวะวันนี้ พู่กันเดินเข้าไปในระยะประชิดก่อนใช้สองมือประกบหน้าอีกฝ่ายแล้วบังคับให้เงยขึ้นมามอง

“วันนี้เป็นอะไร” เราสบตากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร ครามยังคงนิ่งเงียบเพราะไม่รู้จะตอบออกไปแบบไหน เขาเป็นอะไร.... ไม่รู้ ก่อนจะออกมาก็ได้ยินน้องมันคุยโทรศัพท์แต่จะให้ถามก็คงไม่ใช่เรื่อง พอคิดว่าอาจจะเป็นคนคนเดียวกันกับที่ขอเบอร์ไปก็เป็นแบบนี้อีกแล้ว ทั้งที่ตอนอาบน้ำปรับอารมณ์ได้แล้วเชียว “พี่คราม พู่ถามก็ตอบดิ”

น้ำเสียงเชิงดุปนกดดันเป็นผลให้ครามดึงเจ้าเด็กตัวเล็กลงมานั่งบนตัก พู่กันไม่ได้ขัดขืนเพราะอยากรู้ว่าไอ้คนที่นิ่งอึนเป็นหุ่นไม่มีแบตเป็นอะไรกันแน่

“กูเป็นเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ ตอบไม่ได้เหมือนกัน” คนฟังได้แต่ชักสีหน้าใส่ ตอบมาแบบนี้แล้วจะไปตรัสรู้ได้ยังไง “เดี๋ยวก็หาย”

“เดี๋ยวคือเมื่อไหร่” ร่างเล็กขยับตัวไปนั่งคร่อมครามเอาไว้ สองแขนยกขึ้นไปโอบต้นคอของคนพี่ก่อนโน้มไปกระซิบข้างใบหู “อย่าเป็นแบบนี้ดิ ไม่ชอบเว้ย”

“ถ้ามึงมีแฟนจะบอกกูไหม” อยู่ดีๆ คนหงุดหงิดก็โผล่งถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

“บอกดิ”

“จะบอกกูคนแรกหรือเปล่า” พู่กันมองหน้าคนพี่ด้วยความข้องใจ

“ถ้าเกิดผมบอกพี่เป็นคนสุดท้าย พี่จะทำไง”

“กูทำอะไรได้ล่ะ จะให้ไปกระชากคอมึงมาถามว่าทำไมไม่บอกกูคนแรก ก็ไม่ได้หรือเปล่าวะ”

“ใช่ พี่ห้ามกระชากคอผม แต่ถ้าเดินมาถามดีๆ ก็จะตอบอยู่”

“จะตอบกูว่าอะไร” ดวงตาคมมองลึกไปยังนัยน์ตาคู่สวยเพราะเขาคาดหวังคำตอบ หากแต่เด็กตรงหน้ากลับยิ้มให้แทน

“พี่จะให้ผมตอบว่าไง ตอนนี้ผมก็ยังไม่มีแฟนปะวะ”

“ก็แล้วถ้ามึงมี”

“คำตอบตอนนี้กับตอนนั้นอาจจะไม่เหมือนกัน” เขาโน้มลงไปใกล้ใบหูก่อนจะกระซิบเบาๆ “อีกอย่างถ้าถึงตอนนั้น”

“…”

“ผมอาจจะบอกพี่คนแรกก็ได้”

“อย่าหายใจรดคอกู” ครามส่งเสียงดุเมื่อไอ้เด็กบนตักที่เขากอดเอาไว้ผ่อนลมหายใจใส่จนสัมผัสได้ถึงไอความร้อน แต่ดูเหมือนว่าคำห้ามจะกลายเป็นคำยุยง พู่กันทั้งผ่อนลมหายใจและเป่าลมใส่แต่เป็นสัมผัสที่แผ่วเบากว่าเดิม “พู่กัน”

ครามชักไม่แน่ใจแล้วว่าถ้าเกิดพู่กันมีแฟนแล้วตัวเองจะเป็นอย่างไร ตอนนี้เขาเอาทุกความคิดมายำรวมกันจนไม่รู้ว่าจะเริ่มคิดอะไรจากตรงไหน สุดท้ายทุกความคิดที่ปะปนกันอยู่ในหัวก็ถูกสลัดออกเพราะน้ำเสียงงุ้งงิ้งของเด็กที่กำลังเริ่มไม่พอใจ

“หายเป็นเมนส์ยังอะ ถ้าวันนี้ไม่หายเป็นเมนส์ก็อย่ามาห้าม หงุดหงิดเป็นคนเดียวอ่อ” พูดจบก็กลับไปวุ่นวายอยู่แถวๆ ต้นคอของเขาใหม่ พู่กันดื้อและไม่ฟังเวลาที่เขาไม่ได้ดั่งใจ แขนแกร่งกระชับแน่นเมื่อน้องมันยังไม่ฟังคำสั่ง

“พี่บอกว่าอย่า” เด็กบนตักชะงักทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงดุที่เอ่ยสั่งอยู่ข้างใบหู ความจริงคือพู่กันรู้ว่าเขาไวต่อสัมผัสตรงไหนแต่ดูเหมือนว่าคราวนี้คงจะลืมไป ครามซุกใบหน้าลงตรงซอกคอขาวพรมจูบแผ่วเบา “พูดแล้วทำไมไม่ฟัง”

“ลืม... อือ” เสียงหวานครางท้วงยามที่คนพี่ไล้ปลายลิ้นแตะตามใบหู ครามแกล้งผ่อนลมหายใจใส่ให้เหมือนกับที่น้องทำใส่เขาเมื่อครู่ ฝ่ามือใหญ่สอดไปใต้เสื้อลูบไล้แผ่นหลังตามแรงอารมณ์ “พี่... ไปกิน... อื้อ”

ชายหนุ่มกดจูบลงที่ริมฝีปากนุ่มหยุ่นเพื่อไม่ให้เด็กดื้อได้พูดอะไรอีก เขาถือว่าเตือนแล้วแต่ไม่ฟัง ฝ่ามือเล็กใช้ไหล่ของอีกฝ่ายเป็นที่ยึดเหนี่ยว เสียงครางอื้ออึงปะปนไปกับเสียงเฉอะแฉะของเรียวลิ้นที่กระหวัดเย้าอย่างไม่มีใครยอมใคร ลมหายใจร้อนผ่อนผสานกันอย่างลงตัว

ยิ่งเนิ่นนานก็ยิ่งรู้ว่าไม่เคยพอ แถมความต้องการยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวินาที พูดก็พูดว่าทั้งเขาและครามต่างเป็นคนที่ถูกกระตุ้นได้ง่าย เรารู้จุดสัมผัสของกันและกัน แตะตรงไหน ลากลิ้นตรงไหน หรือแม้แต่ผ่อนลมหายใจรดที่ใด

“ทำไมชอบยั่ว” เสียงทุ้มถามหลังจากที่ผละริมฝีปากออก ดวงตาคมมองลึกไปยังนัยน์ตาสีอ่อน “พี่บอกไม่รู้จักฟัง”

“บอกว่าลืม” พู่กันเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ร่างกายยังคงหอบถี่จากการถูกบดจูบเมื่อครู่

“ไม่ได้มีความอดทนสูงขนาดนั้น”

“ไม่ได้ตั้งใจเว้ย” เขาพยายามจะลุกขึ้นจากตักแต่ก็ไม่สามารถขัดแรงของครามได้ “ปล่อยดิ จะลุกเนี่ย”

“ไม่ให้ลุก”

“ทำไม ก็เมื่อกี้พี่บอกอย่าไง”

“เมื่อกี้อย่าทำ”

“…”

“แต่ตอนนี้อย่าหยุด”

ไม่ทันจะได้ท้วงหรือเอ่ยปากห้ามก็ถูกดึงเข้าไปจูบอีกครั้ง และคราวนี้ทุกอย่างรุนแรงกว่าเดิม ริมฝีปากเราแนบชิดกันจนไม่เหลือช่องว่างใด ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดอย่างเอาแต่ใจ ครามปลดกระดุมเสื้อของเด็กบนตักจนไม่เหลื
“ไม่เอา...” แม้ปากจะบอกปฏิเสธแต่ร่างกายของพู่กันกลับเป็นไปตรงกันข้าม ใบหน้าน่ารักเชิดขึ้นเมื่อโดนลากสัมผัสทุกช่วงลำคอ ไอความเย็นจากเครื่องปรับอากาศสัมผัสลงบนผิวละเอียดทันทีที่เสื้อถูกโยนออกไปไว้สักมุมหนึ่งภายในห้อง ครามเป็นคนเอาแต่ใจเวลาโดนกระตุ้น และเอาแต่ใจเป็นพิเศษเมื่อสิ่งเร้าคือพู่กัน

 “ทำไมเปลี่ยนสบู่” เสียงทุ้มเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย ว่าจะถามตั้งแต่ที่กอดในครัวแล้วแต่ก็ลืม ปกติพู่กันจะใช้สบู่เด็กเพราะเป็นพวกผิวแพ้ง่าย แต่วันนี้กลิ่นสบู่กลับกลายเป็นกลิ่นเดียวกันกับที่เขาใช้

“ของผมหมด ก็หยิบของพี่มาใช้”

“ทำไมไม่บอกจะได้ซื้อ” เขาเริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง เคยมีช่วงหนึ่งที่น้องมันลองไปใช้สบู่แบบอื่นแต่ผลลัพธ์ที่ได้คือผื่นแดงขึ้นเต็มตัว “ใช้มั่วเดี๋ยวก็แพ้”

“ของพี่ไม่แพ้ เคยใช้แล้ว”

“ถ้าผื่นขึ้น โดน” ก็ขู่ไปงั้น ครามทำอะไรไม่ได้นอกจากไปหายาแก้แพ้มาให้กินหรือหายามาทาให้

“รู้แล้ว …อ๊ะ เดี๋ยว...” เสียงหวานเอ่ยติดขัดเมื่ออีกฝ่ายแตะฝ่ามือลงตรงส่วนนั้นโดยที่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว “ไอ้พี่คราม ไอ้บ้า ...เอ๊ย”

“พูดไม่รู้เรื่อง” คนพี่กระตุกยิ้มตอนได้ยินน้ำเสียงหวานหู “เริ่มแล้วก็รับผิดชอบ”

“อย่าเอาแต่ใจดิ” เขาสบถก่อนจะฟุบหน้าลงกับแผ่นอก แค่ท่าทางก็ล่อแหลมพออยู่แล้วนี่ครามยิ่งมีแค่ผ้าขนหนูปกปิดไว้แค่ผืนเดียวอีก “อ...อา”

ยิ่งพู่กันส่งเสียงดังฝ่ามือใหญ่ก็ยิ่งออกแรงมากขึ้นเท่านั้น ร่างเล็กเริ่มอยู่ไม่สุขจากการถูกสัมผัสตรงจุดอ่อนไหว คลึงผ่านเนื้อผ้ากดเน้นย้ำจนรู้สึกได้ เขาไม่สามารถกลั้นเสียงของตัวเองได้อีกต่อไป รู้สึกมากแค่ไหนก็แสดงออกไปเท่านั้น

“ทำไมชอบทำให้พี่ทนไม่ได้”

“วันนี้แทนตัวเองว่าพี่บ่อยไปไหม”

“ไม่ชอบเหรอเวลาพูดเพราะ” เด็กช่างสงสัยหรี่ตามอง จะบอกว่าไม่ชอบก็คงไม่ใช่ เวลาครามพูดเพราะแล้วดูดีความเป็นผู้ดีขึ้นมาอีกสิบระดับ แถมมันยังทำให้เขาใจสั่นจนเหมือนกำลังโดนถล่มด้วยแผ่นดินไหว “ถาม”

“เปล่า แค่ไม่ชิน”

“เดี๋ยวคืนนี้จะทำให้ชิน” ครามกระซิบข้างหูอย่างเจ้าเล่ห์ “ไม่ทนแล้ว”

สิ้นสุดประโยคนั้นพู่กันถูกจับให้ลงไปนอนบนเตียง กางเกงนอนโดนดึงออกแล้วโยนไปคนละทิศละทางกับเสื้อ มันแทบจะไม่เหลือความขลาดอายใดๆ แล้วระหว่างเขากับคราม จะให้ปฏิเสธตอนนี้ก็คงไม่ทันเพราะเขาก็มีอารมณ์เช่นกัน

ร่างสูงโถมทับก่อนจูบซับบนหน้าผาก ลากผ่านมาทางแก้มใสและกดริมฝีปากแช่ค้างไว้อย่างแผ่วเบา เขาต้องข่มอารมณ์ถึงขีดสุด ยอมรับว่าพู่กันทำให้ใจสั่นแบบไม่รู้สาเหตุไปแล้วหลายหน ไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นคนโรคจิตไหมแต่พอโดนจิกเข้าที่หลังแล้วก็แทบจะยั้งตัวเองไม่อยู่ทุกที

“... อ๊ะ อย่าทีเดียวดิ จุก”

“จุกหรือ...”

“เงียบๆ เลยน่า …อื้อ ไอ้พี่คราม” พู่กันกัดปากแน่นเมื่อความอึดอัดก่อตัวขึ้นตอนที่อีกฝ่ายพาตัวตนของเข้ามาได้จนสุด

“อ่า” ครามยันตัวเองขึ้นด้วยสองแขนแกร่งที่ค้ำไว้กับเตียง เขาก้มมองเด็กที่ไม่มีอาภรณ์ใดๆ ปกปิดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ยังไม่ได้ขยับร่างกายในส่วนไหนเพราะอยากจะรู้นักว่าจะพู่กันจะมีท่าทีเป็นเช่นไร

“มองบ้ามองบอ”

“ติดปากหรือไง พูดบ่อยจัง …ซี้ด” เสียงทุ้มท้วงขึ้นมาตอนโดนมือเล็กนั่นหยิกเข้าที่เนื้อตรงท่อนแขน “อย่าหยิกพี่ดิ เจ็บ”

“ก็พี่ชอบกวนตีน”

“ถ้าพี่เจ็บ” คนพี่โน้มลงไปใกล้จนปลายจมูกเราแตะกันเบาๆ “พู่เจ็บกว่าพี่นะ”

“อื้อ! …พี่คราม!” พู่กันหวีดครางเมื่ออีกฝ่ายเริ่มขยับส่วนล่าง เขากอดคอคนพี่อย่างแรงจากการที่ครามถอนแกนกายออกมาจนสุดและกระแทกเข้าไปด้วยความอยากจะแกล้ง

ความสุขสมดำเนินต่อไม่รู้จบ เสียงหยาบโลนเกิดขึ้นเพราะความตั้งใจของสีคราม ทุกสัดส่วนภายในสมองขาวโพลนไปหมด ไม่มีใครสามารถควบคุมสติของตัวเองได้อีกต่อไป อารมณ์แห่งความต้องการเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบเกินขีดจำกัด

“ขอลึกกว่านี้หน่อยได้ไหม” ไม่รู้ว่าคำขอเป็นผลแค่ไหน ครามผ่อนลมหายใจออกกับการตอดรัดที่แน่นขึ้นจนเขาทนไม่ไหว “พู่กัน”

“น...นั่งดิ” ร่างสูงยกยิ้มพอใจก่อนจะพลิกกลับมานั่งโดยที่ไม่ปล่อยให้ขาดช่วง เขาดึงไอ้เด็กตัวเล็กขึ้นมานั่งซ้อนบนตัก มือใหญ่บีบเฟ้นก้นกลมอย่างมันเขี้ยว “อย่าบีบ... พี่แม่ง …อา”

“อะไร ทำเองร้องเองเหรอ” เขาแซวตอนที่พู่กันค่อยๆ กดตัวเองลงมาทีละนิด พอได้ยินเช่นนั้นเจ้าของดวงตากลมก็ตวัดมองคล้ายไม่พอใจ “ไม่งอแงดิ”

“ใครกันแน่...งอแง วันนี้เป็นบ้า ...อ๊ะ อะไร” เสียงหวานกระท่อนกระแท่นตอบเพราะถูกคนพี่จับบดสะโพกสนองความต้องการ “ผีออกยัง”

“ยัง”

“แล้ว...” คำพูดที่ขาดห้วงไปเป็นผลให้ครามหรี่ตามองด้วยความสงสัย “ลึกพอยัง”

“อย่าทำพี่ใจสั่น” คนฟังฟุบหน้าลงกับแผ่นอกแกร่งทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขาเองก็ใจสั่นกับประโยคเมื่อครู่เช่นกัน สะโพกมนยังคงบดเบียดอยู่กับความแข็งขืน “อยากได้คำตอบไหม”

“ไม่”

“แต่พี่อยากตอบว่ะ” มือหนาบีบเฟ้นก้นของพู่กันเต็มแรง แกนกายชื้นแฉะไปด้วยหยาดน้ำจากการถูกขยับโยก ครามเชยใบหน้าของเด็กดื้อขึ้นมา แก้มใสเริ่มมีสีแดงฝาดจนเขาสังเกตเห็น โน้มไปงับริมฝีปากล่างเบาๆ ขณะที่ส่วนนั้นก็ยังคงขยับเสียดสี

“อะ... อื้ม พี่ ค ...คราม ลึกไป ฮะ... แล้ว”

“ลึกแล้วยังไง” พู่กันไม่ตอบคำถามเขาแต่กลับตอบด้วยการจิกเล็บลงบนหัวไหล่ แถมยังลามไปลากแผ่นหลังจนคาดว่าคงได้รอยเพิ่มมาอีกประมาณสามสี่รอย “จับตัดเล็บดีไหม ยาวเหลือเกิน”

“ไม่ตัด เอาไว้ข่วนให้หลังแหก”

“แน่ใจว่าทำได้?”

“อ๊ะ!” ครามจับตัวน้องให้กดลงไปลึกกว่าที่เป็นอยู่ เด็กบนตักผละออกจากกอดแล้วมองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง พู่กันมองอย่างคาดโทษทำไมยั่วอารมณ์เก่งนักนะ คิดว่าเขาไม่กล้าหรือยังไง “พี่อย่าท้าพู่”

“ไม่ท้า”

“พี่คราม” เขาเรียกย้ำอีกครั้งเพื่อบอกให้รู้ว่าเล่นผิดคนแล้ว

“ว่าไงครับ” คนเจ้าเล่ห์ถามด้วยน้ำเสียงที่นานครั้งถึงได้จะยิน เป็นความยียวนผสมอ่อนโยนที่เขาไม่เคยจะคาดเดาถูก พู่กันกัดริมฝีปากตัวเองเพราะเริ่มรู้สึกปั่นป่วนจากการเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อๆ นั่น

พู่กันแกล้งบดสะโพกจนได้ยินเสียงอีกฝ่ายคำรามแผ่ว โน้มไปไล่กดริมฝีปากตามคางลากลงมาถึงแนวไหปลาร้าแล้วสร้างตราประทับสีแดงเข้มในที่ลับสายตา คนบนตักใช้หัวไหล่เป็นที่ยึดเหนี่ยวและระบายความสุขที่ได้รับ

“อ๊ะ... อย่า ...กระแทก พ...พี่คราม”

“ยั่วพี่ทำไมล่ะ” ครามกระซิบข้างหูสองมือบีบเฟ้นสะโพกขาวจนเกิดรอยเป็นรูปมือ เขากดจูบลงกลางลำคอขาวอย่างลืมตัวตอนน้องมันเชิดหน้าขึ้นจากอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน

แม้เครื่องปรับอากาศจะยังคงทำงานอยู่แต่การกระบนเตียงกลับทำให้ภายในตัวร้อนเสมือนโดนเผา เสียงหอบหายใจของเขาและน้องดังผสมปนเปกันไปหมด เขาค่อยๆ ปรับจังหวะให้ช้าลงตอนที่ได้ยินเสียงหวานครางบอกให้ช้ากว่านี้หน่อย และสีครามตามใจ

“ถ้าหลังแหกแล้วอย่ามาร้องนะ” ร่างสูงกระตุกยิ้มเมื่อได้ยินคำขู่จากเด็กที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ เขาหยุดสวนสะโพกปล่อยให้เรากลายเป็นคนคนเดียวกันโดยที่ไม่เคลื่อนไหว “หยุดทำบ้า”

“ใครกันแน่ที่จะร้อง” เขาถามเสียแผ่ว นาทีนี้ก็ต้องเจ้าเล่ห์ให้ถึงที่สุด พู่กันมักชอบคิดว่าตัวเองคุมเกมได้ อาจเป็นเพราะครามชอบทำให้น้องคิดอย่างนั้นเพราะปล่อยให้ได้ใจ

“พี่...” ริมฝีปากสีแดงขบกันจนรับรู้ได้ว่าเด็กบนตักกำลังประหม่า เขาแกล้งกระแทกเอวอีกครั้งจนน้องร้องท้วงขึ้นมา “อ...อ๊า!”

“ลองดูไหม”

“ดูอะไร” ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอดแน่นก่อนยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ เรามองตากันผ่านแสงไฟที่ทำให้เห็นได้ชัดว่านัยน์ตาคู่ที่กำลังสบสั่นไหวแค่ไหน แถมไม่แน่ใจนักว่าเราทั้งสองคนได้ยินเสียงหัวใจของกันและกันหรือไม่

“อะไรจะเกิดก่อนกัน”

“…”

“ระหว่างพี่หลังแหกกับพู่กันหมดแรง”

“…”

“แล้วถ้าเป็นอย่างหลัง”

“พี่จะทำไมพู่...”

“ถึงจะหมดแรงพี่ก็ไม่ให้นอน”

“…”

“ตกลงไหม”

tbc.
ไม่ใครก็ใคร
#โซ่สีคราม
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 05 ; (08/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 08-10-2018 21:23:30
เรารู้สึกว่าพู่กันชอบพี่ครามแล้วววว ส่วนพี่ครามมีความก้ำกึ่งของจิตใจ เพราะท่องมาตลอดว่าชอบนับ
ลึกๆ ถ้าพู่ ไม่ชอบพี่คราม พี่ปัถย์ถ้าไม่ใช่คนดีแตก เราก็เชียร์นะ
ความสัมพันธ์ที่ไม่มีสถานะมันเหนื่อย
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 05 ; (08/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 08-10-2018 21:40:06
พี่สีครามจะฮอตขนาดนี้ไม่ได้ป่ะ555555
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 05 ; (08/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 08-10-2018 22:32:05
เชียร์พี่ปัถย์ให้เข้ามารุกพู่ อยากเห็นอีพี่ครามเป็นบ้า อยากเห็นคนหึงงง
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 05 ; (08/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: pornwicha ที่ 09-10-2018 19:53:08
จบสวยใช่ไหมคะ :sad4:   ตามมาจากเรื่ององศาสีน้ำเงิน ชอบพี่ครามและพู่มาอัพปล่อยๆนะคะ รออ่านค่าา :L1:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 12-10-2018 20:19:56
06
can't deny

//


“ตกลงพี่ไปมอพร้อมผมเหรอ” เสียงอู้อี้ดังลอดออกมาจากคนที่กำลังแปรงฟันอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ เขามองครามผ่านทางกระจกห้องน้ำ คนตัวใหญ่ยืนกอดอกพิงประตูด้วยสีหน้านิ่ง

ครามมาบุกรุกตั้งแต่เช้า ปลุกเขาที่นอนขี้เซาด้วยการโทรเข้ามาหลายๆ สายจนรำคาญ แถมยังบอกให้รีบไปเปิดประตูไม่งั้นจะปีนเข้ามา พู่กันก็เออออไปงั้นเพราะคิดว่าคงทำไม่จริง แต่สุดท้ายคนพี่กลับเข้ามาปลุกถึงในห้องนอนเนื่องจากได้รับอานิสงส์ที่แม่มอบให้ นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องแหกตาตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันก่อนเวลาที่กำหนด

“แปรงให้เสร็จก่อนค่อยพูดก็ได้ มึงนี่”

“ก็เห็นมายืนมอง นึกว่าอยากได้เพื่อนคุย” พู่กันบ้วนปาก ล้างหน้าล้างตาก่อนคว้าเอาผ้าที่แขวนอยู่ไม่ไกลมาเช็ดให้แห้ง “แล้วนี่คือยังไง จะยืนตรงนี้เหรอ”

“เออ ทำไม”

“ผมจะอาบน้ำไง” เขาหรี่ตาแล้วเดินไปผลักให้ครามขยับถอยหลังออกไป “จะนั่งรอในห้องหรือจะไปหาแม่ก็ไป”

“รอในห้องน้ำได้ปะล่ะ”

“ไม่ต้องมายุ่งกับผมเลย ไปชิ่ว”

“ไปช่วยแม่ทำข้าวก็ได้วะ” พู่กันเบ้ปากก่อนไล่ให้พี่ครามออกไปจากห้อง เมื่อวานพอแม่กลับมาถึงบ้านก็รีบสั่งให้โทรบอกไอ้มนุษย์ที่มาสิงบ้านเขาแทนบ้านตัวเองให้มาหาเพราะจะเอาของฝากให้ แต่เขาเห็นว่ามันดึกแล้วก็เลยไม่โทรและคิดว่าจะฝากไปกับน้ำเงินทีเดียว

แต่ไหงดันมาโผล่ที่บ้านแต่เช้า และหากเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นคุณวาดนั่นแหละที่โทรไปเรียกให้มา

พู่กันใช้เวลาแต่งองค์ทรงโฉมอยู่นานพอสมควรเพราะต้องนั่งใช้คอนซีลเลอร์ปกปิดรอยจางๆ ที่พี่ครามเผลอฝากเอาไว้ตามแนวต้นคอ พอลงไปก็เจอลูกชายอันดับสองของคุณวาดช่วยจัดอาหารเช้าอยู่

“ก็แบบนี้ฟ้าฝนมันถึงได้ตก” เขาแซวก่อนเดินไปคว้าเอาขนมปังบนจานขึ้นมาถือแต่ยังไม่ทันที่จะได้งับเข้าปากครามก็เป็นฝ่ายดึงออกไปแล้ววางมันลงที่เดิม “เอ้า”

“รอแม่ก่อน สอนกี่ครั้งแล้วว่าอย่ากินก่อนผู้ใหญ่ ” ครามดุเสียงเบาจนไอ้เด็กตัวยุ่งหน้างอ นี่ถ้าไม่ใช่พี่ชายก็จะนึกว่าเป็นพ่ออีกคน เห็นแบบนี้ครามก็มีมารยาทกับผู้ใหญ่มากถึงมากที่สุด

“เย็นนี้จะกลับมาทานข้าวกับแม่ไหมคะ” น้ำเสียงหวานถามขึ้นมาขณะที่วางอาหารเช้าเมนูสุดท้ายอย่างไข่ดาวลงบนโต๊ะ ซึ่งแม่ก็ไม่ได้ถามใครที่ไหน ก็ลูกชายอันดับสองไงล่ะ พอพี่ครามมาหาทีไรแม่เขาก็เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีจนแทบจะลืมลูกชายอย่างเขาไปเลย

พู่กันกำลังจะหันไปตอบแทนแต่ก็ต้องชะงักและปล่อยให้พี่ครามคุยกับแม่ไปก่อน เพราะแจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมาทำให้หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบ เผลอยิ้มตอนเห็นว่าเป็นข้อความของพี่ปัถย์ รายนั้นส่งข้อความมาบอกฝันดีตั้งแต่เมื่อคืน นับจากวันที่อีกฝ่ายบอกว่าโทรผิดเข้ามา แอพพลิเคชั่นแชทส่วนตัวของเขาก็ปรากฏรายชื่อของพี่ปัถย์ทันที เขาก็แกล้งทักไปถามแล้วว่าแอดผิดหรือเปล่า คราวนี้อีกฝ่ายกลับบอกว่าตั้งใจแล้วก็ขอโทษที่แอดมาแบบไม่ได้ขอ เพราะตอนเมมเบอร์เสร็จแล้วไอดีมันไปขึ้นก็เลยถือวิสาสะแอดไว้ แต่พู่กันก็ไม่ได้ว่าอะไร

wanitsiri p. :
อรุณสวัสดิ์นะครับ
ตื่นหรือยัง

It’s paint :
วันนี้ตื่นแล้วครับ ไม่นอนแล้ว เก่งสุด
พี่ทำงานเหรอ

wanitsiri p. :
ทำครับ
ทำไมตื่นเร็ว?

It’s paint :
มีหมามากวนครับเลยตื่น

wanitsiri p. :
พี่ว่าจะถามหลายรอบแล้ว แต่จะเสียมารยาทหรือเปล่าครับ

It’s paint :
โหยพี่ คุยกับผมชิลๆ ได้เลย
ถามได้ครับ ผมไม่ว่าหรอก

wanitsiri p. :
เราเลี้ยงหมาด้วยเหรอครับ
คราวก่อนพี่ก็เห็นพูดถึง

เขาหลุดขำทันทีหลังอ่านจบจะว่าไปพอนึกๆ ดูแล้วก็พูดถึงพี่ครามในนามหมาบ่อยเช่นกัน ก็ไม่แปลกถ้าพี่ปัถย์จะสงสัย

“น้องพู่ แม่เคยบอกว่ายังไงคะ” ผู้เป็นแม่ถามเสียงดุตอนเห็นลูกชายนั่งก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ ปกติเธอก็ไม่เคยว่าเรื่องการใช้อยู่แล้ว แต่พู่กันควรจะใช้ให้ถูกเวลา

“ไม่ให้เล่นก่อนจะกินข้าว เดี๋ยวพู่วาง ขอตอบแชทแป๊บนึงนะครับ” เขาฉีกยิ้มแม้ว่าแม่จะถอนหายใจให้ก็ตาม


It’s paint :
อ้อ ไม่เชิงอะพี่ 5555
พี่ปัถย์เดี๋ยวผมกินข้าวก่อนนะครับ
แม่ดุ 555555

ที่จริงพู่กันตั้งใจจะวางโทรศัพท์ตั้งแต่ที่แม่ถอนหายใจแล้วแต่ครามกลับเป็นอัศวินขี่ม้าขาวที่หันไปชวนคุณวาดคุย เขาจึงรีบพิมพ์ตอบแล้ววางมันลงได้ แต่หากว่ามองไม่ผิดเหมือนแขกของบ้านจะไม่ค่อยพอใจที่เขาตอบแชทถึงอย่างนั้นก็ยังยอมช่วยไม่ให้โดนดุ

ซึ่งการกระทำเมื่อครู่เป็นอีกมุมหนึ่งที่พู่กันมองว่าครามก็น่ารักดี


*

สุดท้ายครามก็มามหา’ลัยพร้อมกับเขาตามแบบที่พูด การเข้ามอวันนี้ก็คงจะเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่เพราะคนพี่ไม่ยอมขับรถใหญ่แถมยังสั่งให้พู่กันกลายเป็นคนนั่งซ้อนท้าย

ไอ้ที่รู้แน่ชัดคือครามขี่มอเตอร์ไซค์ไม่แข็งเท่าที่ควร ระหว่างทางนี่เหมือนจะตายให้ได้ ไม่เคยนั่งซ้อนรถใครแล้วกลัวตายเท่าพี่ครามมาก่อน ไม่ว่าจะรถใหญ่รถเล็กก็แทบจะไม่เบรกจนเขาต้องหยิกเอวคนขี่เพื่อเตือนสติให้รู้ว่าเขายังไม่อยากตายก่อนกำหนด

“คราวหน้าไม่เอาแล้วนะเว้ยพี่ ซ้อนมอไซพี่แล้วใจคอไม่ดีเลยว่ะ” พู่กันบ่นอุบอิบขณะลงจากรถแล้วแกะหมวกกันน็อคที่สวมหัวอยู่ออก คนขี่ได้แต่หัวเราะร่วนเมื่อเห็นท่าทางตระหนกของเขา “ตลกมากมั้ง”

“กูขี่ได้” ครามว่าพลางเอาขาตั้งลง เขาลุกจากรถก่อนจะเอื้อมมือไปยีหัวลีบๆ ของพู่กันที่ผ่านการกดทับจากหมวกกันน็อค

“รู้ว่าขี่ได้ แต่พี่ไม่ขี่จะดีกว่า” เด็กตัวจ้อยตวัดตามองก่อนเอาหมวกกันน็อคแขวนไปตรงตะขอเกี่ยวของ “เออพี่ เย็นนี้ผมเลิกช้านะ พี่เอากุญแจรถไว้เลยไหมอะ”

“ถ้ากูเอาไว้แล้วมึงจะกลับคณะยังไง ไหนจะตอนเย็นอีก”

“ตอนนี้ก็เดินกลับคณะดิ ส่วนตอนเย็นก็ให้เพื่อนไปส่ง” ครามกอดอกพลางใช้ความคิด พู่กันแวะมาส่งเขาที่คณะก่อนแล้วค่อยกลับไปคณะตัวเองเพราะไม่อยากให้เพื่อนในกลุ่มแคลงใจว่าทำไมเขาถึงได้มาด้วยกัน “แต่ผมไม่อยากให้พี่ขี่รถเลยว่ะ”

“ห่วงกูหรือรถ”

“พี่คิดว่าไงล่ะ” พู่กันหรี่ตาขณะขึ้นไปนั่งคร่อมอยู่บนมอเตอร์ไซค์คันโปรด เพราะแน่ใจว่าครามคงไม่ปล่อยให้เขาเดินกลับคณะ เห็นแบบนี้คนพี่ก็เทคแคร์เขาอย่างดีเช่นกัน “หรือพี่จะให้เพื่อนไปส่งบ้านผมก็ได้ เอากุญแจบ้านไป”

“ไม่กลัวกูขโมยของเหรอวะ” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะหลังจากได้ฟังข้อเสนอ “ถ้ากูเอากุญแจบ้านไว้ มึงจะเข้าบ้านยังไง”

“ไปเอาที่แม่ดิ”

“ไม่ต้อง”

“แล้ว...”

“จบไม่ต้องหาทางเลือกให้กู เดี๋ยวเย็นนี้รอ กลับพร้อมกัน …ทำไมมึงต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น กูแค่บอกจะรอ”

“มันนานนะเว้ย” ไอ้เด็กตัวจ้อยพูดออกมาอย่างกังวล วันนี้เขามีประชุมกับกลุ่มเพื่อนกว่าจะเลิกก็หกโมงแล้วไอ้คนพี่ที่เรียนเลิกตั้งแต่บ่ายสามจะไปซุกหัวรออยู่ที่ไหน “จะรอไหวเหรอ”

“นานคือกี่โมง น้ำอยู่ด้วยไหม”

“ก็อยู่” น้ำที่อีกฝ่ายว่าก็หมายถึงน้องชายตัวเอง แต่ก่อนครามมักจะเรียกน้ำเงินว่าหนู แต่พอน้องคบกับองศาก็เลยเปลี่ยนมาเรียกว่าน้ำสั้นๆ เหมือนกับที่พี่นับเรียก

“ไอ้ศามันต้องรออยู่แล้ว เดี๋ยวกูอยู่กับมัน ตามนั้นนะ” ไม่ปล่อยให้พู่กันได้ท้วงอะไร ครามขยี้หัวที่น้องมันเพิ่งจะจัดทรงให้เข้าที่ด้วยความมันเขี้ยว “เย็นเจอกันครับ”

ร่างสูงรีบวิ่งขึ้นตึกก่อนจะหันหลังไปมองเมื่อได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ขี่ออกไป เขาถอนหายใจเบาๆ กับคำถามที่อยู่ในหัวมาตั้งแต่ตอนกินข้าว เดี๋ยวนี้น้องตอบแชทบ่อยซึ่งเขาเห็นและคิดจะถามหลายครั้งว่าคุยกับใคร แต่พออยู่ต่อหน้าก็ไม่กล้าที่จะถามทุกที ปกติครามไม่ใช่คนแบบนี้ เขาอยากรู้อะไรก็ถามตลอด แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอเป็นพู่กันแล้วก็ไม่กล้าถามขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ไอ้ศายังไม่มาเหรอวะ” ครามถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นนับนั่งอยู่เพียงคนเดียว จากเรื่องคราวก่อนพวกเขาก็คุยกันแบบปกติ แม้ว่าจะไม่ได้ไปไหนมาไหนบ่อยด้วยกันเหมือนแต่ก่อนก็ยังคงรู้สึกว่าชอบอยู่ดี

“ยัง มึงไม่ได้เอารถมาหรือไง” นับปิดหนังสือเล่มหนาแต่ก็ยังใช้มือของตัวเองคั่นหน้าเอาไว้ เขามองเพื่อนสนิททีเพิ่งทิ้งตัวลงนั่งตรงข้าม ครามมองหน้าเขาคล้ายจะถามว่าทำไม “ถ้าเอารถมาก็ต้องเห็นว่าศามันยังไม่ได้เอารถมาจอด”

“กูไม่ได้เอารถมา”

“แล้วมึงมายังไง” คนถามยกแขนขึ้นนั่งเท้าคาง “คนขี้ร้อนอย่างมึงคงไม่โบกแท็กหรือนั่งเมล์มา”

“มากับน้อง” ครามไม่ได้เอ่ยชื่อใดๆ เพราะอยากจะรู้ว่านับมีท่าทีแบบไหน ถ้าเกิดเขาบอกว่ามากับคนอื่น แต่ความคาดหวังก็มีมากเกินไปเพราะเพื่อนสนิทกลับไม่ถามอะไรสักคำแถมยังนิ่งใส่จนเขาใจเสีย ความสัมพันธ์ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่ไม่รู้ว่าทำไมพักหลังเวลาอยู่กับนับแล้วกลับรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเสียดื้อๆ

เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมเพราะไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาแบบใด ภายในใจก็ได้แต่คิดไอ้ยิ้มหรือไอ้ศาใครสักคนควรจะมาสักที แต่อยู่ดีๆ คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงหน้าก็โพล่งถามออกมาแบบที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว

“ใช่น้องคนที่ทำรอยบนคอมึงบ่อยๆ หรือเปล่า” นิ้วหัวแม่มือที่กำลังกดบนหน้าจอระรัวหยุดชะงัก ครามวางโทรศัพท์ลงและคว่ำหน้าจอไว้ เขาเอื้อมไปดึงหนังสือเล่มใหญ่ในมือของเพื่อนตรงหน้าออก ซึ่งนั่นทำให้นับเงยหน้าขึ้นมามองโดยอัตโนมัติ มันก็จริงที่พู่กันทำรอยบนคอเขาบ่อยทั้งที่ตัวเองห้าม แต่แน่นอนว่าครามไม่เคยว่าอะไรเลยสักหน เรื่องมันก็เกิดเพราะตัวเขาจะให้ไปว่าน้องก็ไม่ถูก คนมีอารมณ์บางทีก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าทำอะไรลงไปและเขาแน่ใจว่าพู่กันแค่เผลอไม่ได้ตั้งใจจะทำ

“ถ้าใช่แล้วมึงจะหวงกูไหมล่ะ”

“แค่ถามเฉยๆ” ระหว่างเรามันเกินกว่าคำว่าอึดอัด น้ำเสียงของนับเป็นปกติไม่ได้แสดงอาการว่าหึงหวงแบบที่เขาต้องการแต่อย่างใด “เราควรคุยกันแบบจริงจังได้แล้ว คิดแบบนั้นไหม”

“เรื่อง”

“เรื่องของเรา”

“กูว่ามึงพูดผิด” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาก่อนวางหนังสือที่ยึดมาจากเพื่อนลงบนโต๊ะ ดวงตาคมสบเข้ากับนัยน์ตาสีอ่อน นับเงินเม้มปากทีละนิดและเขารู้ว่าท่าทางอย่างนั้นหมายความอะไร “พูดใหม่ไหมนับ”

“ผิดตรงไหน”

“มันเป็นแค่เรื่องของกู”

“ทำไมมึงพูดแบบนั้น”

“กูชอบมึงอยู่ฝ่ายเดียว”

“…”

“คนเดียวนี่เป็นคำว่าเราได้ด้วยเหรอวะ”


*


“ก็สรุปว่าคุยกับพี่เขามาหลายวันแล้วเหรอ” เสียงของน้ำเงินเอ่ยถามอย่างอยากรู้หลังจากที่เขายื่นแชทในโทรศัพท์ให้อ่าน ทั้งโต๊ะเหลือแค่เราสองคนเพราะหมิงเหมยเพลิงลากกันไปเข้าห้องน้ำ “เราว่าพี่ปัถย์จีบพู่แน่ๆ”

“มึงเอาอะไรมามั่นใจขนาดนั้นวะ” พู่กันหัวเราะก่อนเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์คืนมาจากน้ำเงิน “ก็ทักมาคุยเล่นปกติ เหมือนฝ้ายอะแหละ”

“ฝ้ายชอบพู่ พี่ปัถย์ก็ชอบพู่” เพื่อนสนิทว่าด้วยสีหน้าจริงจังจนเขาหลุดหัวเราะ “อ้าว เราไม่ได้พูดให้ขำนะ นี่เราจริงจังมากๆ”

“เพ้อเจ้อว่ะเงิน มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วเพ้อใหญ่” เขาสลัดความคิดที่น้ำเงินยัดเยียดเข้ามาให้ออกไป จริงๆ ก็ไม่ได้มีแค่เงินคนเดียว เพื่อนสนิทอีกสามคนในกลุ่มก็พยายามสาดความคิดว่าคนนั้นคนนี้ชอบเขามาให้บ่อยๆ ยิ่งเล่าว่าฝ้ายกับพี่ปัถย์ทักมาก็ยิ่งยัดความคิดนั้นใส่สมองของเขา “ตอนเย็นพี่ศารอมึงไหมอะ”

“เห็นบอกว่าจะรอนะ”

“ไม่ต้องเห็น กูว่าเขารออยู่แล้ว ไม่ปล่อยมึงห่างตัวเลยเนี่ย” พู่กันแซวด้วยรอยยิ้มก่อนจะนึกถามออกไป “ช่วงนี้มึงก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านใช่ปะ”

“อื้อ เราอยู่ช่วยพี่ศาออกแบบเสื้อ ถ้าเรากลับไปนอนบ้านพี่ศาก็ไปด้วย” คนฟังพยักหน้าเพื่อบอกให้รู้ว่ายังฟังอยู่ “แต่ก็พากลับบ้านทุกอาทิตย์นะ เพราะเฮียบ่นคิดถึงอะ”

“พี่มึงคิดถึงคนอื่นนอกจากพี่นับเป็นด้วยเหรอวะ” ครามเป็นพวกหวงน้อง ตอนก่อนที่น้ำเงินจะมีแฟนก็หวงแบบแทบจะไม่ให้ไปไหน พอน้องได้คบกับเพื่อนตัวเอง รายนั้นก็ค่อนข้างปล่อยจนเขาคิดว่าอาจจะเลิกหวงไปแล้ว ไม่ยักรู้ว่ามีช่วงบ่นคิดถึงน้องด้วย นึกว่าจะเอาเวลาไปคิดถึงแต่เรื่องพี่นับเสียอีก

“ต้องเป็นสิ ...แต่นี่พู่ เราว่าไม่สมหวังหรอก” น้ำเสียงเจือความกังวลของน้ำเงินทำให้เขาเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“อะไรไม่สมหวังวะ ช่วยเกริ่น ลากชื่อกูยำกับความคิดมึงแบบนี้ กูตามไม่ทัน”

“เรื่องพี่ครามกับพี่นับ”

“ทำไม” พอเป็นเรื่องของคนที่แซะอยู่ในหัวเมื่อครู่ก็กลับกลายเป็นว่าพู่กันตั้งใจฟังโดยอัตโนมัติ

“เราว่าพี่นับยังไม่ลืมพี่เข็ม แถมช่วงนี้ก็อยู่ด้วยกันบ่อย”

“แล้ว?”

“เฮียก็ไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับพี่นับแล้วด้วย เราคิดว่าพี่นับคงไม่ชอบเฮีย แอบถามพี่ศาก็บอกว่าพี่นับกับเฮียแปลกๆ ไปช่วงนี้”

“กูเคยบอกแล้วนะเงิน มึงไม่ใช่เขา อย่าไปคิดแทนใคร” พอถูกเขาดุเข้าหน่อยเจ้าตัวก็ทำหน้ายู่ “พอดุก็แบบนี้ ลองย้อนกลับไปก่อนมึงจะคบพี่ศาดิ เป็นไง เขาไม่ชอบเราหรอก เขานู่นนี่นั่น สุดท้ายพี่ศารอเปิดร้านเสื้อขอเป็นแฟนซะงั้น”

“อ้าว ทำไมย้อนกลับมาที่เราได้เล่า” พู่กันหัวเราะก่อนคว้าแก้วน้ำตรงหน้าน้ำเงินมาดื่ม ดวงตายังคงมองเพื่อนสนิทที่นั่งทำปากยู่ “เมื่อไหร่พู่จะมีแฟน”

“ทำไมกับกูอีกครับ”

“เปล่าทำไมสักหน่อย เราแค่คิดว่า...” น้ำเงินยกยิ้มกว้างจนเขาอดเอ็นดูไม่ได้ คงจะเป็นเพื่อนคนแรกที่เขามีความรู้สึกว่าอยากจะเลี้ยง

“ฟังอยู่ ไม่พูดเดี๋ยวกูตีปากแตก”

“ดุตลอดเลย”

“ยังอีก”

“โธ่ เราแค่คิดว่าถ้าใครได้พู่กันเป็นแฟนก็คงจะโชคดี” แปลกใจไม่น้อยที่น้ำเงินพูดออกมาอย่างนั้น ได้เขาเป็นแฟนนี่โชคดีเหรอวะ เอาอะไรมาโชคดี พอเพื่อนตรงหน้าเห็นเขาทำหน้างงก็รีบพูดต่อ “ไม่เห็นต้องสงสัยเลย”

“ก็รู้ว่ากูสงสัยมึงยังไม่พูดให้เข้าใจอีก” เป็นอีกครั้งที่เขาหัวเราะให้กับความซื่อผสมกวนตีนแบบไม่รู้ตัวของน้ำเงิน แถมพอเขาพูดออกไปแบบนั้นเพื่อนตรงหน้ากลับทำท่ารูดซิปปาก “เงิน มึงกวนตีนกูแล้ว”

“ใจร้าย ก็ตอนเป็นเรื่องของเรา พู่ให้คำปรึกษาดีมากๆ”

“บอกให้มึงเลิกชอบพี่ศานี่ดีเหรอวะ”

“เนี่ย พอเราจะจริงจังพู่ก็เล่น”

“เอ้า” คนโดนดุด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้งหัวเราะก๊ากก่อนพู่กันยกมือขึ้นปัดๆ เป็นเชิงบอกว่าจะไม่ขัดแล้ว

“เราจะสรุปสั้นๆ”

“ว่า”

“คนเป็นแฟนพู่คือคนโชคดี” น้ำเงินพูดออกไปตามที่คิดและจะไม่ขยายความใดๆ เพราะนิสัยของพู่กัน สำหรับเขาแล้วคือความน่ารัก ไม่ว่าใครที่ได้รับความรักจากพู่กันก็คิดว่าโชคดี แถมเฮียเขาก็เคยพูดแบบนี้ให้ได้ยินด้วยก็เลยยิ่งแน่ใจเข้าไปใหญ่ เพราะปกติพี่ครามไม่ชมใครให้ฟังหรอก “จริงๆ นะ”

“เออ กูจะพยายามเข้าใจแล้วกันว่าทำไม”

“ถ้าพู่อยากรู้ว่าทำไมก็รีบๆ มีแฟน”

“มีแฟนแล้วมึงจะบอกกูหรือไง” คนถูกถามส่ายหน้าเล็กน้อย นั่นสร้างความไม่เข้าใจให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก “งงแล้ว กูเนี่ยงง”

น้ำเงินยังไม่ทันจะได้ตอบ เขาก็ต้องเบรกบทสนทนาไว้ก่อนเนื่องจากมีสายเรียกเข้า นิ้วเรียวกดรับเมื่อเห็นว่าคนที่โทรมาคือพี่ปัถย์

(เรียนอยู่หรือเปล่าครับ) ปลายสายถามทันทีที่เขากดรับ

“เปล่าครับ พี่ปัถย์มีอะไรหรือเปล่า” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอาคว้าโทรศัพท์ของน้ำเงินขึ้นมาดูเวลาและเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่เพื่อนอีกสามคนกลับมาพอดี

พู่กันตวัดสายตามองตัวแสบประจำกลุ่มอย่างหมิงที่สะกิดน้ำเงินแล้วถามแบบไม่ออกเสียงว่าเขาคุยกับใคร พอเพื่อนตัวยุ่งตอบไปว่าพี่ปัถย์ หมิงก็ทำหน้าล่อตีนแซวเขาทันที ส่วนแฝดพี่ชายอย่างเหมยก็ได้แต่กระตุกยิ้ม  และที่ขาดไม่ได้คือลิ่วล้ออย่างไอ้เพลิงที่ทำท่าปรบมือช้าๆ เสมือนจะบอกว่าเขาทำดีแล้ว กวนตีนกันชัดๆ

(พอดีเย็นนี้พี่จะไปแถวร้านเรา เลยจะโทรมาถามว่าเรามีธุระที่ไหนหรือเปล่าครับ พี่อยากชวนไปหาอะไรกิน)

“เอาของกินมาหลอกผมเหรอครับ” พู่กันแซวก่อนจะลุกขึ้นเพื่อหลีกหนีไอ้หมิงที่ยังไม่หยุดทำหน้าทำตาล้อเลียน ไอ้ความเป็นพี่ชายน้องชายของแฝดนี่มันแทบจะได้เรียกว่านรกกับสวรรค์

(หลอกได้หรือเปล่าล่ะครับ)

“หลอกไม่ได้ครับ ผมโตแล้ว ...วันนี้อาจจะไม่ได้อะพี่ ผมเลิกช้า มีประชุมงานกับเพื่อนครับ” ร่างเล็กยืนเตะลมไปมาขณะที่รออีกฝ่ายตอบกลับ พอโดนชวนไปกินข้าวแบบนี้แล้วก็รู้สึกเหมือนโดนจีบอยู่หน่อยๆ เอาเข้าจริงก็เริ่มหยิบเอาคำพูดของเหมยกับน้ำเงินเข้ามาคิดแล้ว

(อ่า พี่ถามได้หรือเปล่าว่ากี่โมง)

“น่าจะหกโมงนะครับ”

(ถ้าพี่ไปรับที่มอแล้วเราจะมาด้วยกันไหม)

“ลงทุนจังล่ะครับ เกิดเลทขึ้นมากว่าผมจะเสร็จก็เกรงใจพี่ตายเลยถ้าต้องมารอ”

(พี่อยากเจอก็ต้องรอได้สิครับ) พู่กันเม้มปากเล็กน้อย จะว่าเขินมันก็เขินแต่ไม่ได้เขินเพราะรู้สึกชอบหรืออะไร และด้วยความอยากรู้จึงถามออกไปตรงๆ ว่าท้ายที่สุดแล้วเรื่องที่เหมยพนันไว้จะเป็นไปทางไหน

“พี่ปัถย์จีบผมเหรอครับ” พอถามปลายสายก็เงียบไป เราต่างคนต่างเงียบจนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งนาที

(ถ้าพี่บอกใช่ เราจะโอเคหรือเปล่า) แค่ประโยคแรกก็พาลให้เขาหายใจไม่ทั่วท้องแล้ว มันก็แค่รู้สึกประหลาดที่มีผู้ชายเข้ามาจีบ เพราะปกติแล้วคนที่เข้าหาเขาก็มีแต่ผู้หญิงด้วยกันทั้งนั้น อีกอย่างไม่ได้คิดว่าพี่ปัถย์จะชอบเขาน่ะนะ (พูดตรงๆ คือพี่ชอบผู้ชาย แล้วเราจะ...)

“อย่าคิดมากครับพี่ปัถย์ ผมถามเพราะจะได้รู้ว่าควรจะวางตัวแบบไหนเท่านั้นเองครับ” พู่กันจำต้องถามเพราะเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีคนเข้ามาคุยด้วย แต่ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นชอบก็กลายเป็นว่าการพูดคุยของเขาเผลอไปทำร้ายหรือทำให้อีกคนคิดไกล เพราะงั้นก็กันไว้ดีกว่าแก้

(พี่ไม่คิดว่าเราจะถามตรงขนาดนี้)

“ผมสงสัยก็เลยลองถามดู ...แต่ว่าพี่ปัถย์ครับ ผมจีบยากนะ”

(พี่ไม่ได้คาดหวังว่าจะจีบเราติดหรอก)

“...”

(ถ้าพี่ไม่ใช่ ก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้วครับ)

“ทำไมใจดีจังล่ะครับเนี่ย” เขาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกันคนที่เข้ามาจีบแต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะติด พี่ปัถย์อาจจะเป็นคนแรกที่ทำให้เขารู้ว่าบนโลกยังมีคนอีกหลายแบบที่ยังไม่เคยพบ

(จะใจดีกว่านี้ถ้าเราอนุญาตให้พี่จีบ)

“ผมอนุญาตครับ” พู่กันตัดสินใจบอกออกไปอย่างนั้นตามความคิดและส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องที่พนันไว้กับเหมย หากมีคนเข้ามาจีบก็ไม่อยากจะปิดกั้นตัวเองแต่คนที่เข้าหาก็ควรจะได้รู้ด้วยว่าเขาเป็นคนแบบไหน “แต่จีบผมก็ทำใจหน่อยนะครับพี่ปัถย์ ผมชอบคนยาก”

(ไม่กลัวครับ ขอแค่ได้จีบ ติดไม่ติดค่อยว่ากัน แต่ถ้าเปอร์เซ็นต์ไม่ติดมีมากกว่า)

“...”

(ขอให้คงความเป็นพี่น้องไว้ได้ไหมครับ ไม่อยากเป็นคนไม่รู้จัก)

“ถ้าเป็นอย่างหลังแล้วพี่ยังอยากมีน้องชายอยู่”

(...)

“ผมก็ตามใจพี่ครับ”

 
ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 12-10-2018 20:20:32
*


“รอนานปะ” พู่กันถามเสียงติดตลกเมื่อเห็นครามนั่งหน้ายุ่ง กว่าจะเลิกประชุมก็ปาเข้าไปหกโมงกว่า เลทจากที่กำหนดเกือบครึ่งชั่วโมง

“นาน ยุงจะหามกูไปแดกแล้ว” ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ได้ทันทีว่าหงุดหงิดแค่ไหน เพราะเรื่องของเราเป็นความลับทำให้พี่องศาพาครามมาปล่อยไว้แถวๆ สวนใกล้ตึกคณะ “กูขี่ให้ปะ”

“เหอะ ไม่เอาอะ ตอนเย็นคนเยอะ ยังไม่อยากตาย” เขารีบปฏิเสธทันควันถ้าให้พี่ครามขี่มีหวังพรุ่งนี้ได้ไปหยอดข้าวต้มที่โรงพยาบาลแน่ “ขึ้นมาดิ”

“หมวกกันน็อคไม่ใส่เหรอวะ”

“ร้อน”

“ใส่ไป” ไม่ว่าเปล่าครามยังก้มไปหยิบหมวกกันน็อคหูแมวขึ้นสวมลงมาที่เขา ก่อนเอ่ยปากสั่งเสมือนพู่กันเป็นวินมอเตอร์ไซค์ประจำตัว “กลับบ้าน”

“ขึ้นมาดิครับคุณชาย”

ครามผลักหัวไอ้เด็กแสบไปหนึ่งทีเพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียง ใช้เวลาไม่กี่นาทีพู่กันก็ขี่รถเข้ามาในหมู่บ้านที่เขามาอย่างเป็นประจำจนคุณลุงยามจำหน้าได้

“แม่มึงยังไม่กลับ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาหลังจากที่รถมอเตอร์ไซค์จอดหน้าบ้าน ระหว่างทางเข้ามาเขาก็เห็นว่าร้านคาเฟ่ยังเปิดอยู่

“คนเยอะมั้ง นี่พี่จะกลับเลยปะ”

“มึงอยากให้กูอยู่ก่อนไหมล่ะ” ครามยื่นหน้าไปใกล้จนลมหายใจเราผสานกัน ไม่ได้เกรงกลัวว่าตรงนี้เป็นที่โล่งแจ้งแต่อย่างใด และเพราะความแสบพู่กันถึงได้ขยับเข้ามาใกล้แล้วงับริมฝีปากล่างเขาเบาๆ แล้วรีบผละออกอย่างรวดเร็ว “มึงนี่แม่ง”

“ถ้ามีธุระก็กลับ แต่ถ้าไม่มีก็รอกินข้าว แค่นั้น”

“ไม่เห็นชวนกูนอนบ้าน” ครามทำเสียงกึ่งงอนขณะเดินตามเจ้าของบ้านเข้ามาภายใน พู่กันเป็นพวกหิวน้ำง่ายก็เลยไม่แปลกหากกลับมาแล้วจะตรงไปยังห้องครัว

“ชวนเพื่อ ปกติพี่อยากนอนห้ามไปพี่ก็จะนอนอยู่ดีปะวะ” เขาหัวเราะเมื่อเด็กช่างเถียงหันมาสวน ครามยืนมองพู่กันหยิบน้ำออกมาเทใส่แก้ว “มีไรก็พูด”

“มึงไปทะเลกับกูไหม” คนที่กำลังกินน้ำอยู่แทบสำลัก หัวใจที่เต้นเป็นปกติกลับทำหน้าที่ผิดพลาดเพียงเพราะได้ยินอีกฝ่ายชวนไปเที่ยว “ถามแค่นี้ ทำไมมึงต้องสำลัก”

“ไปเอาผีที่ไหนห้อยตามมาด้วยเหรอ”

“ผีที่ไหนล่ะ ผีกูเนี่ย”

“คิดไงมาชวนผมวะ” 

“วันนี้กูคุยกับนับ” พออีกฝ่ายเกริ่นมาอย่างนั้น พู่กันจึงจำต้องละสายตาจากการหาของกินในตู้เย็นแล้วหันกลับไปมอง “มันบอกกูกับมันควรคุยเรื่องของเราได้แล้ว”

“ก็คุยดิ”

“เรื่องของเราเหี้ยไรล่ะ แม่งเรื่องของกูทั้งนั้น”

“เพราะพี่ชอบพี่นับคนเดียว ถูกปะ” ครามพยักหน้าส่งๆ ก่อนแบมือเพื่อขอแก้วน้ำจากเด็กที่ยืนอยู่ พู่กันจึงกระดกน้ำจนหมดแล้วส่งแก้วเปล่าให้เพราะรู้ว่าครามไม่ดื่มน้ำเปล่า “เอาใบบัวบกไหม ยังไงดี”

“ขยันซ้ำกู” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะก่อนจะรอน้องมันหยิบน้ำอัดลมในตู้เย็นมาเทใส่แก้ว “กูแค่อยากลองชวนนับไปทะเล”

คนที่กำลังรินน้ำชะงักไปครู่หนึ่ง สรุปที่ชวนเขาไปด้วยก็แค่ไม้กันหมาเหรอวะ แล้วไอ้ที่รู้สึกดีใจเมื่อกี้ก็เก้อเลยสินะ แม่งเอ๊ย เขากำลังคาดหวังอะไรจากพี่คราม พักหลังแทบจะทุกครั้งที่ครามจะไปหาพี่นับแล้วชวนเขาไปด้วยจนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่กันแน่

ตอนนี้ความรู้สึกของเขามันเองก็เริ่มชัดเจน พู่กันคงไม่ได้โง่เกินกว่าที่จะไม่รู้ มันแทบปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตัวเองเริ่มชอบครามเข้าแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เกิดความรู้สึกหน่วงอย่างนี้

“ชวนพี่นับแล้วจะเอาผมไปทำไม บ้าปะ” ครามนั่งมองน้ำอัดลมในแก้วโดยที่ไม่พูดอะไรหลังจากที่น้องถามออกมาอย่างนั้น เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมถึงชวนพู่กัน เพียงแค่รู้สึกว่าอยากให้ไปด้วยกัน

“กูอยากให้มึงไปด้วยจริงๆ”

“ไม่ไป” พู่กันตอบเสียงหนักแน่นจนครามหน้าจ๋อย “ชวนพี่นับยัง”

“ชวนแล้ว”

“แล้วเขาว่าไง”

“มันบอกขอคิดดูก่อน ที่กูอยากไปเพราะอยากลองอยู่กันด้วยสองคนอีกสักรอบ” จบประโยคนั้นคนพูดก็ถอนหายใจเบาๆ สีหน้าเคร่งเครียดเสมือนใช้ความคิดอย่างหนัก “กูแค่อยากรู้ว่ามันไม่รู้สึกอะไรกับกูจริงๆ ใช่ไหม มึงว่ากูดื้อดึงปะวะ”

“ก็นิดนึง แต่ถ้าพี่อยากรู้มันก็ไม่ผิด บางทีพี่อาจจะได้คำตอบจากการกระทำของพี่นับเขาก็ได้”

“ความหวังกูแม่งริบหรี่สัด” ครามแค่นหัวเราะกับความน่าสมเพชของตัวเอง “ช่วงนี้ก็เป็นเหี้ยไรไม่รู้ อยู่กับมันโคตรอึดอัด”

“ผมว่าพี่เคลียร์ตัวเองไม่ได้แล้วงี้” พู่กันนั่งลงตรงหน้าเพราะดูท่าแล้วปัญหาของวันนี้น่าจะยาว “ลองกลับไปคิดใหม่ไหม”

“คิดใหม่เรื่องอะไรวะ”

“ที่บอกว่าความหวังริบหรี่อะ”

“...”

“พี่รู้สึกว่ามีความหวังจริงๆ หรือแค่หลอกตัวเอง”



*


(ถอย) เหมยตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยหลังจากพู่กันเล่าเรื่องความรู้สึกของตัวเองให้กับเพื่อนฟัง และเป็นรอบสามที่เขาได้ยินเหมยบอกให้ถอย เขารู้สึกดีตอนครามชวนไปเที่ยว แต่ไอ้ความรู้สึกนั้นกลับถูกกลบไปตอนอีกฝ่ายบอกว่าชวนพี่นับไปด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาถูกชวนทีหลัง

พู่กันรู้ตัวแล้วว่าชอบครามแต่แค่อยากให้เพื่อนช่วยยืนยันให้แน่ชัดว่ามันใช่จริงๆ ไม่ได้คิดไปเอง เอาง่ายๆ ก็เรียกว่าตอกย้ำว่าตัวเองไม่มีความหวังนั่นแหละ

“ไม่มีคำอื่นนอกจากคำนี้แล้วใช่ไหมมึงเนี่ย”

(มี)

“คำว่า?”

(เลิกยุ่ง) คนฟังเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มเพราะคิดอะไรไม่ออก ดวงตากลมนั่งมองโมเดลกระดาษบนโต๊ะเขียนหนังสือที่เขากับครามเคยมานั่งต่อด้วยกัน (มึงก้าวเข้าไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว)

“...”

(อย่าเป็นเหมือนกู) เขาเข้าใจความหมายดี เพราะการเป็นแบบเหมยคือรู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้แต่ก็ยังปล่อยให้ตัวเองถลำเข้าไปจนถอนตัวลำบาก

“อือ แต่... กูคิดว่าถ้าพี่นับไม่ได้ตอบตกลงไปก็จะปล่อยให้มันเป็นเหมือนเดิม” ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมในความคิดถึงเป็นอย่างนี้ แต่เขาไม่สามารถปล่อยให้ครามอยู่คนเดียวได้ถ้าตรงนั้นไม่มีพี่นับอยู่ และมันยังเป็นอะไรที่อธิบายได้ยาก

พู่กันวาดโซ่เส้นนี้ขึ้นมาด้วยมือตัวเอง สถานะเริ่มแรกของโซ่มันเปราะบางจนคิดว่าสามารถขาดสะบั้นลงได้ง่ายๆ แต่เพราะความวางใจจนเกินไปทำให้เขาไม่รู้ตัวว่าเผลอวาดซ้ำลงไปจนความแข็งแรงของโซ่เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ จำนวนข้อต่อก็เพิ่มขึ้นจากหนึ่งห่วงเป็นสองและสามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้ไม่รู้ว่ามันยาวถึงเพียงไหนแล้ว

โซ่เพิ่มความยาวขึ้นในแบบที่ไม่รู้ตัวและเขาไม่เคยเคลื่อนไหวทำให้มันยังหย่อน หากคิดจะตัดจริงๆ ก็คงทำได้เพียงวิ่งไปให้ไกลจนมันตึง เมื่อไปถึงจุดนั้นสิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงการพยายามสะบัดอย่างแรง ดื้อดึงจนมันขาดออกจากกัน ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าเขาจะสามารถทำลายโซ่ที่สร้างขึ้นมาได้จริงๆ หรือไม่ เพราะโซ่ที่คล้องเอาไว้นั้นเป็นสีคราม

สีครามไม่ได้หมายถึงสีที่อยู่กึ่งกลางระหว่างน้ำเงินกับม่วง

แต่หมายถึงกันตวิชญ์คนนั้น

(ถ้าพี่นับตอบตกลง)

“...”

(มึงแน่ใจไหมล่ะว่าจะถอย)

“ไว้ถ้ามันเป็นแบบนั้นกูค่อยบอกได้ไหมว่าจะทำยังไง” เขาชั่งใจอยู่พักหนึ่งกว่าจะตอบออกไปแต่ความเป็นจริงคือพู่กันรู้ว่าจะทำอย่างไร

ใจของเขาไม่ได้แข็งแรงเหมือนกับโซ่ หากเป็นอย่างนั้นก็ต้องเลือกวิ่งออกไปให้สุดแล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีกระชากโซ่ให้ขาดสะบั้น แม้มันจะเสียดสีจนทำให้เกิดเป็นแผลเหวอะหวะ ต่อให้ต้องเจ็บมากแค่ไหน

เขาก็จะทำเพื่อรักษาใจตัวเอง

(ได้ ...มึง ป๊ากูเรียก แค่นี้ก่อน)

“เออๆ ขอบคุณนะ” เขากดตัดสายแล้วโยนโทรศัพท์ไปบนเตียง พู่กันนั่งมองไอ้เครื่องสี่เหลี่ยมนิ่งๆ และลังเลว่าจะตัดสินใจโทรไปถามครามดีไหมว่าสรุปแล้วพี่นับตกลงไปหรือเปล่า ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางนั้นคิดอะไรอยู่ แต่ถ้าพี่นับตัดสินใจว่าจะไป ในความคิดของพู่กันคืออาจจะมีรู้สึกกันบ้าง ไม่อย่างนั้นจะตกลงไปทำไม เพราะแค่ตกลงเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์คนชวนก็ต้องคิดว่ามีความหวังเข้าไปแล้ว

ตึ้ง

พู่กันพุ่งตัวไปบนเตียงทันทีเมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือน แต่แอบผิดหวังเล็กน้อยตอนเห็นว่าไม่ใช่ครามที่ทักเข้ามา ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลังเลที่จะกดอ่านเพราะคนส่งมาคือพี่ปัถย์

wanitsiri p. :
ส่งรูปภาพถึงคุณ
เห็นแล้วนึกถึงเรา

เขาพบว่าพี่ปัถย์ส่งรูปแก้วมัคลายเจ้าแพนด้าแดงมาให้แถมยังบอกว่านึกถึงเขาอีก นี่มันหมายความว่าอะไร


It’s paint :
เห็นแล้วนึกถึงผมนี่คือยังไงครับ
หน้าผมโง่ หรือว่ามันยังไงเนี่ย 55555

wanitsiri p. :
เปล่าครับ
แค่น่ารักดี

ก็ยังไม่ชินสักเท่าไหร่ที่โดนชม แต่ไม่ปฏิเสธว่าคำหยอดของอีกฝ่ายผ่านตัวอักษรสามารถทำให้เขายิ้มได้

It’s paint :
ชมผมผ่านแก้วก็ได้เหรอ
อยู่ร้านไหนครับ

เขากดออกจากห้องแชทเมื่อรออยู่ครู่หนึ่งแล้วอีกฝ่ายยังไม่เปิดอ่าน พี่ปัถย์คงจะเป็นหนึ่งในมนุษย์ที่ทักมาเสร็จก็โยนโทรศัพท์ออกนอกโลกไป ในจังหวะที่เขากำลังจะกดเข้าเฟซบุ๊กเพื่อไปตอบแชทของฝ้ายที่ดองไว้เมื่อคืนก่อน แจ้งเตือนแชทแอพพลิเคชั่นสีเขียวจากคนที่รออยู่ก็แทรกขึ้นมา

หากเป็นเมื่อก่อนก็คงจะรีบกดเข้าไปตอบอย่างไม่ลังเล แต่คราวนี้พู่กันกลับทำเพียงแค่กวาดสายตาอ่านข้อความนั้นคร่าวๆ ผ่านป๊อปอัพ

indigo_c :
มึง นับบอกกูว่าไปว่ะ กูไม่นึกว่ามันจะยอม แล้วตกลงมึงจะไปด้วยกันกับ...

ไม่ต้องอ่านจนจบประโยคก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นเรื่องอะไร และอีกสิ่งหนึ่งที่สีครามทำให้ได้รู้คือ ตัวเลือกของเขาไม่ใช่การหยุดอยู่กับที่แต่เป็นการเตรียมตัวให้พร้อม

เพราะเขาควรจะเริ่มวิ่งออกไปได้แล้ว


tbc
ก็คือในตอนนี้... อยากให้รู้ที่มาของชื่อเรื่องว่ามาจากไหนโดยผ่านความคิดของตัวละคร
ซึ่งเราแต่งๆ ลบๆ อยู่หลายทีเพราะไม่ได้ดั่งใจ กลัวอธิบายออกมาแล้วทำให้หลายๆ คนไม่เข้าใจในสิ่งที่เราจะสื่อ
แต่ก็พยายามจะสื่อสารออกมาอย่างดีที่สุดแล้ว ถ้างงๆ ก็ขอโทษด้วยนะคะ T____T ฮืออออออ
ส่วนพี่ครามนั้น... //จับใส่กระสอบแล้วรุมเตะ
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ด้วยค่า #โซ่สีคราม
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 12-10-2018 20:31:42
relationship is no relationship ความสัมพันธ์ไม่มีชื่อเรียกนี้น่ากลัวเสมอ
เราชอบพี่ครามนะ จากเรื่องที่แล้ว หรือจากเรื่องนี้ แต่ไม่ชอบการกระทำของพี่ครามที่แสดงออกแบบนี้
มันจะดีกว่านี้ ถ้าพู่กันจะไม่คิดอะไรจริงๆ แล้วใช้ ความสัมพันธ์แบบไม่มีสถานะไปเรื่อยๆ

ส่วนพี่ปัถย์ พี่นุ่มไปอะ พี่ดูเป็นตัวละครที่เกิดมาเพื่อเจ็บปวดเลยอะ ยกเว้นพี่จะดีแตก ในภายหลัง
อันนั้นคงต้องลุ้นต่อไป และยังเชียร์ ถ้าพี่เป็นคนดี

พู่กัน ถ้าพี่เขาดี แม่ก็โอเคนะลูกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 12-10-2018 20:32:22
อิพี่ครามเมิ๊ง :katai1:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 05 ; (08/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-10-2018 20:59:52
โอ้ยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 13-10-2018 16:24:02
ตามมาจากเรื่ององศาสีน้ำเงินคะ ชอบมาก และกำลังจะเริ่มอ่านเรื่องนี้ จะเป็นยังไงแล้วจะมาเม้นบอกอีกทีนะคะ เลิฟไรท์ ขอบคุณที่เขียนงานดีๆมาให้เสพคะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 13-10-2018 17:07:39
ชอบนิสัยพู่กันอะ เป็นนายเอกที่นิสัยตรงใจเรามาก ส่วนอิพี่ครามรู้สึกตัวบ้างก่อนที่น้องจะเดินต่อไม่รอแล้วน้าาา4555555
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 13-10-2018 19:47:29
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 13-10-2018 20:05:40
เส้าจัง อย่าเอาความเหงามาลงที่พู่ :katai1:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 13-10-2018 22:59:34
คือชอบนะ เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนน่าติดตามมากๆ อ่านแล้วใจมันหน่วงๆได้ทุกตอนเลย สงสารเฮีย สงสารนับ สงสารน้องพู่ และสงสารน้องเหมย หลังจากนี้คาดว่าน่าจะมีหน่วงหนักๆตามมาอีกช้ะ....เลิฟไรท์นะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 07 ; (16/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 16-10-2018 19:42:31
07
stupid butterflies

//


“มาหากู?” พู่กันกรอกเสียงลงไปขณะหนีบโทรศัพท์ไว้กับต้นคอ เขาล้วงกระเป๋าเงินออกมาแต่ยังไม่ทันจะได้ควักเงินให้ เพื่อนสนิทก็ชิงบอกปัดแล้วจ่ายให้แทน เพราะงั้นจึงต้องพูดว่า ‘แป๊บๆ เดี๋ยวคืน’ แบบที่ไม่ออกเสียงเพราะกำลังคุยโทรศัพท์กับหว้าอยู่

(ค่ะ มึงฟังไม่ผิด ไม่ต้องให้กูย้ำ เพื่อนกูอยากเจอมึงอะ)

“อยากเจอกูทำไมวะ มึงกลับวันไหน”

(วันนี้ ตอนนี้ กูกำลังจะขึ้นรถตู้)

“เดี๋ยว” เขาค้านด้วยน้ำเสียงตกใจ “กะไม่ให้กูตั้งตัวเลยงี้”

(ใช่ ถ้ากูบอกล่วงหน้า มึงก็หนีอะดิ)

“แล้วนี่มึงคิดว่ากูหนีมึงไม่ได้หรือไง” เจ้าของร่างเล็กขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะเดินตามหลังกลุ่มเพื่อนไปติดๆ

(ไม่ได้ นะพี่พู่น้า ถือว่ากูขอ ครั้งเดียว นะๆ เพื่อนกูอยากเจอมึงจริงๆ อะ) เขาลอบถอนหายใจก่อนจะตอบตกลงแล้วกดวางสาย ท่ามกลางสายตาของเพื่อนที่มองมาทางเขาเพียงคนเดียว

“เล่า” เพลิงเปิดประเด็นด้วยคำพูดสั้นๆ

“หว้าบอกฝ้ายอยากเจอกู” ก็ไม่ได้คิดจะปิดอะไรอยู่แล้ว ทุกคนรู้ว่าตอนนี้มีใครที่เข้าหาเขาบ้าง “แต่มึงก็รู้ว่ากู...”

“ไม่ได้ชอบฝ้าย” หมิงตอบแทนเพราะฟังจากที่พู่กันเล่าส่วนใหญ่ ดูเหมือนจะเอนเอียงไปทางพี่ปัถย์มากกว่า “หรือจริงๆ แล้วคือมึงไม่ชอบผู้หญิงเลยวะ”

สิ้นสุดคำถามทั้งโต๊ะก็ตกอยู่ในความเงียบและมองหน้าเขาเสมือนอยากรู้ว่าคิดแบบเดียวกันหรือเปล่า มันก็อาจจะมีส่วนเป็นไปในทางนั้น เพราะไม่ว่าจะมีผู้หญิงเข้ามาจีบกี่คนเขาก็ไม่สนใจ มันไม่ได้เกิดความรู้สึกตื่นเต้น หรือประหม่าใดๆ ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะเขาคลุกคลีอยู่กับหว้ามากเกินไปหรือเปล่า แม้ลักษณะส่วนใหญ่จะห้าวแต่ผู้หญิงก็คือผู้หญิง อีกอย่างหนึ่งพู่กันคิดว่าการดูแลใครสักคนเป็นเรื่องน่ารำคาญ

แต่ก็มีข้อยกเว้นกับบางคน และสีครามเป็นหนึ่งในนั้น

ไม่ปฏิเสธว่าพอเขาได้รู้จักกับพี่ปัถย์ก็แทบจะกลายเป็นคนละคน จากที่ต้องดูแลคนอื่นกลายเป็นถูกดูแลแทน พี่ปัถย์ดูแลเขาดีทุกอย่างจนบางทีก็ให้ความรู้สึกว่าดีเกินกว่าที่จะมาชอบคนอย่างเขา

“พู่ เป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเงินสังเกตเห็นความผิดปกติจึงถามออกไป แต่คนถูกถามก็ยังคงนิ่งไม่ตอบใดๆ “พู่กัน”

“หือ” เขาส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อไล่ความคิดเมื่อครู่ให้ออกไปจากหัว ดวงตากลมไล่มองหน้าเพื่อนทีละคนตั้งแต่น้ำเงิน เหมย หมิง และเพลิง “กูสับสนเฉยๆ”

“สับสนไรวะ” หมิงถามด้วยความเป็นห่วง ปกติแล้วกลุ่มเขาเวลามีอะไรก็จะเล่าให้กันฟัง แต่บางเรื่องถ้าเพื่อนไม่สะดวกใจก็ไม่เคยตื๊อหรือเซ้าซี้ “มีอะไรคุยได้นะเว้ย พวกกูเป็นห่วง”

“มึงห่วงหรืออยากเสือก” เพลิงแขวะก่อนจะโดนหมิงงับเข้าที่แขนจนสบถออกมาเสียงดัง “สัด กัดเป็นหมาบ้า”

“ก็มึงกวนส้นตีนอะ แม่ง กูก็อยากมีฟีลคูลๆ เท่ๆ บ้างปะวะ”

“ขอบคุณมากมึง แต่ตอนนี้กูก็เรื่อยๆ อะ” พู่กันพูดแทรกเพื่อตัดจบบทสงครามกลางโต๊ะที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ หากว่าไม่ห้าม นอกจากต้องคอยห้ามสองแฝดที่กัดกันบ่อยๆ แล้วยังต้องคอยห้ามมวยเพลิงหมิงอีกต่างหาก

ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยได้คุยกับครามเท่าไหร่นัก หมายถึงไม่ได้คุยทั้งวัน หรือมาเจอหน้ากันบ่อยๆ เหมือนก่อน แม้จะเขาจะพยายามปลีกตัวให้ห่างกันแต่ก็ยังทำไม่ค่อยได้ ตอนแรกคิดว่าถ้าห่างกันก็อาจจะทำให้อะไรๆ มันง่ายขึ้น แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้นเพราะเขายังอดตอบแชทครามไม่ได้

คนพี่รายงานความเป็นไปในแต่ละวันของตัวเองให้เขาฟังผ่านตัวอักษรหรือวิดีโอคอล ที่ห่างกันเพราะครามปันเวลาส่วนหนึ่งไปทุ่มกับชิ้นงานสำคัญซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมอีกฝ่ายไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ชวนพี่นับไปทะเลให้เขาแคลงใจ พู่กันไม่รู้กำหนดการ ไม่รู้ความคืบหน้าว่าเป็นแบบไหนเพราะไม่ถามและไม่อยากรู้ด้วย

“แล้วกับพี่ปัถย์นี่ยังไง ตกลงคือจีบมึงแน่ๆ ใช่ไหม กูเห็นมึงคุยกันเป็นอาทิตย์ละ” เพลิงถามออกมาด้วยความสงสัย จริงๆ ก็ฟังจากเหมยมาบ้างแล้วว่าจีบชัวร์ แต่ก็อยากได้ยินจากปากเพื่อนชัดๆ มันก็ดีถ้าพู่กันมีแฟนสักคน เพราะจากที่รู้จักกันมานานก็ใช่ว่าเป็นคนไม่น่ารัก ยอมรับว่าไอ้ก่อนหน้ายังเคยแอบคิดว่ามันกับน้ำเงินมีซัมติงเพราะเห็นว่าดูแลเทคแคร์แบบสุดตัว แต่ก็มาเข้าใจทีหลังว่าพู่กันก็ดูแลทุกคน

“อือ เขาว่างั้นนะ” สิ่งที่สับสนมากที่สุดในตอนนี้คือ เขาจะจัดการกับนัดตอนเย็นอย่างไร พี่ปัถย์ชวนไปกินข้าว หว้าก็จะให้เขาไปเจอเพื่อน มันเป็นครั้งแรกที่ตัดสินใจอะไรไม่ถูก หรือจะนัดให้ไปที่ร้านแม่เขาด้วยกันทั้งหมดนี่ดี แต่มันก็จะให้ความรู้สึกประหลาดเกินไปหน่อยล่ะมั้ง “มึงเดี๋ยวกูไปคุยธุระแป๊บ”

พู่กันไม่รอให้เพื่อนให้ท้วง เขาลุกขึ้นมาพร้อมกับการกดโทรออกไปยังรายชื่อที่โทรเข้าล่าสุดเมื่อสองวันก่อน รอฟังสัญญาณอยู่ครู่หนึ่งปลายสายก็กดรับ

(ว่าไงครับ มีอะไรหรือเปล่า)

“ผมจะถามว่าช่วงบ่ายสองพี่ว่างไหม” เขาก้มดูนาฬิกาข้อมือก่อนพบว่าอีกประมาณสามชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานั้น “คือตอนเย็นผมอาจจะไม่ว่างอะ เพื่อนผมเพิ่งกลับมาแล้วก็เลย...”

(ไม่อยากผิดนัดพี่)

“เก่งนะเนี่ย” พู่กันหัวเราะร่วนเมื่ออีกฝ่ายรู้ดีว่าเขาคิดอะไร จะว่าไปเขาก็ผิดนัดพี่ปัถย์บ่อยเช่นกัน แต่ก็ทดแทนด้วยการเลื่อนเวลาหรือเปลี่ยนเป็นวันถัดไป

(ที่จริงพี่ก็อยากบอกให้เลื่อนนัดอยู่หรอก) เขายืนฟังนิ่งๆ เพราะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร (แต่พี่อยากเจอ เดี๋ยวบ่ายสองไปรับนะครับ)

“ครับ ขอบคุณนะครับ แล้วก็ขอโทษที่ผมเลื่อนพี่บ่อยๆ ด้วย”

(อย่าคิดมากครับ เดี๋ยวเจอกันนะ)

“ตั้งใจทำงานนะพี่ปัถย์”

(ตั้งใจเรียนเหมือนกันครับ)

พู่กันกดวางสายหลังจากพี่ปัถย์พูดจบ แม้จะรู้จักกันได้ไม่นานแต่อีกฝ่ายกลับใจดีมากๆ การเปิดใจให้พี่ปัถย์แบบเต็มที่คือทางเลือกหนึ่งที่เขาทำ

เพราะคิดว่าพี่ปัถย์อาจจะทำให้เขาชอบได้โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายาม


*

“รอผมนานไหมอะ” พู่กันถามทันทีทีชะโงกหน้าเข้าไปให้เจ้าของรถสีขาวป้ายทะเบียนประมูลเห็น ปัถย์ส่ายหน้าก่อนเจ้าเด็กตัวจ้อยจะพาตัวเองขึ้นมานั่งบนรถ “ปะ พี่จะไปไหน”

“ตามใจเราเลย” เขาไม่ตอบแต่กลับหันไปมองหน้าคนขับ พี่ปัถย์เป็นคนที่ดูดีทุกอย่าง ตั้งแต่หน้าผม การแต่งตัว คำพูด รวมไปถึงทัศนคติความคิด อาจเพราะแอบมองนานไปหน่อยคนพี่ก็เลยหันหน้ามามองพู่กันจึงยกยิ้มเล็กๆ ให้ก่อนอีกฝ่ายจะยิ้มกลับมาเช่นเดียวกัน

“ถ้าตามใจผม หารครึ่งนะ เคปะ”

“ไม่ครับ ตามใจแต่พี่เลี้ยง” ปัถย์ตอบกลับแบบไม่ต้องคิด เขาตบไฟเลี้ยวเพื่อเตรียมจะออกจากมหา’ลัย โดยที่ยังไม่รู้ว่าควรจะไปทางไหน “พี่ทำงานแล้วจะให้เราเลี้ยงได้ยังไง”

“คราวก่อนพี่ก็เลี้ยงผมอะ” เขาย่นจมูกเพราะไม่อยากรบกวนมากเกินไป เท่าที่คุยกันมาพี่ปัถย์เป็นผู้บริหารของบริษัทอะไรสักอย่างที่ชื่อเรียกยากจนเขาจำไม่ได้ “ผมก็เกรงใจนะ”

“จะคราวก่อน คราวหน้า คราวไหน พี่ก็จะเลี้ยงครับ” ด้วยความไม่อยากเถียงจึงเอ่ยบอกร้านที่เด็กแถวมหา’ลัยชอบไปเวลาที่นึกอะไรไม่ออก เป็นเพียงร้านอาหารตามสั่งธรรมดาๆ ที่เลือก หลังจากสั่งอาหารกับป้าคนขายเรียบร้อยแล้วมุมในสุดของร้านเป็นที่นั่งของเรา

“พี่ลืมนาฬิกาเหรอ” พู่กันเอ่ยถามหลังจากกวาดสายตาไปทั่วร้านแล้วไม่รู้จะไปมองอะไรจึงมาจบลงตรงมือใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ

“ครับ เมื่อเช้ารีบ” ปัถย์ยิ้มก่อนชูข้อมือข้างซ้ายที่มักมีนาฬิกาแบรนด์ดังติดอยู่ตลอดเวลาแต่ในวันนี้มันกลับว่างเปล่า “สังเกตเก่งนะเรา”

“ผมอะจำโคตรเก่ง พูดเลย” ได้ทีก็ยกบอปอปั้นตัวเองสักหน่อย แต่คนตรงหน้ากลับหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น “พี่เส้นตื้นอะ”

“ไม่เรียกเส้นตื้นครับ”

“แล้ว...”

“เรียกเอ็นดู”

บทสนทนาของเราจบลงเพียงแค่นั้นเพราะเมนูข้าวผัดทั้งสองจานวางลงบนโต๊ะ ในจังหวะที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบช้อนจากในกล่องเขาก็ต้องชะงักแล้วได้แต่นั่งมองเฉยๆ เพราะพี่ปัถย์เป็นฝ่ายหยิบแถมยังเช็ดให้ก่อนจะวางมันลงบนจาน รวมไปถึงรินน้ำใส่แก้วให้อย่างเรียบร้อย

พี่ปัถย์เทคแคร์เก่งทุกอย่างจนทำให้เขาคิดว่าถ้ามีคนแบบนี้อยู่ในชีวิตก็ดีเช่นกัน แต่เขาก็คงนิสัยเสียอยู่ไม่น้อยหากได้รับการดูแลแบบนี้บ่อยๆ ถึงจะพูดอย่างนั้นตัวเขาก็ดูเหมือนจะเสพติดการถูกดูแลไปแล้ว

ถึงอย่างนั้นในความเทคแคร์ของพี่ปัถย์กลับมีภาพซ้อนของสีครามแทรกขึ้นมาเป็นภาพซ่าๆ ทุกครั้ง เหมือนทุกอย่างมันวนลูปเพียงแค่เปลี่ยนคน แม้ว่าครามจะไม่ได้เทคแคร์เก่งมากเท่า แต่ทุกครั้งที่ไปไหนด้วยกัน เขาก็ไม่เคยจะได้ออกเงินเลยสักบาท รวมไปถึงการหยิบช้อนมาวางให้หรือแม้แต่การรินน้ำนั่นครามก็ทำให้หมดทุกอย่าง

พอเป็นแบบนี้ก็ทำให้เขาคิดว่าแท้จริงแล้วเขาเสพติดการถูกดูแลหรือเสพติดสีครามกันแน่

“อร่อยหรือเปล่าอะพี่”

“ก็ไม่แย่ครับ” จากการรู้จักกันทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนพูดตรงและกินยากพอสมควรคล้ายกับเขา แต่พักหลังพู่กันก็กินง่ายขึ้น อาจเพราะติดครามมาบ้างบางส่วน เพราะรายนั้นขอแค่หิวก็แวะได้ทุกร้าน

ครืด... ครืด...

ในตอนที่พู่กันกำลังจะตักข้าวเข้าปากสายตาก็เหลือบไปมองโทรศัพท์ที่สั่นอยู่บนโต๊ะ เขามักชอบวางไว้ใกล้ๆ มือมากกว่าการเก็บใส่กระเป๋า เจ้าของโทรศัพท์มีท่าทีชั่งใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาคือสีคราม ก่อนจะปล่อยให้มันสั่นอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งดับไป

indigo_c :
พู่กัน
ทำไมไม่รับวะ
อยู่ไหนของมึง

นี่แหละสีครามพอโทรเข้ามาแล้วไม่รับก็จะรัวข้อความมาหลายๆ อัน และถ้ายังไม่ตอบข้อความอีกก็จะโทรเข้ามาอีกครั้งอย่างเช่นในตอนนี้

สุดท้ายพู่กันเลือกที่จะปิดเสียงและคว่ำหน้าจอไว้เพราะไม่อยากเสียมารยาทกับคนตรงหน้า แม้รู้ทั้งรู้ว่าจะได้เห็นมิสคอลของครามอีกประมาณสามสี่สายก็ตาม


*

จากความคิดที่ว่าครามจะโทรเข้ามาอีกสามสี่สายนั้นก็คิดผิด เขาเปิดโทรศัพท์เช็กดูอีกทีตอนที่พี่ปัถย์ส่งหน้าตึกคณะ แจ้งเตือนสีแดงขึ้นว่ามีแปดสายที่ไม่ได้รับและข้อความอีกเกือบสี่สิบอัน ก็ไม่รู้ว่าจะรัวอะไรนักหนา เสมือนมีเรื่องคอขาดบาดตาย แน่นอนว่าเขาโทรกลับไปแล้วแต่เหมือนครามจะเอาคืนด้วยการไม่รับสายและไม่ตอบข้อความเช่นกัน

เขาก็เลยได้แต่ปล่อยเพราะหากคิดในแง่ดีอีกฝ่ายก็อาจจะไม่สะดวกรับในตอนที่โทรกลับไป

พู่กันจอดรถมอเตอร์ไซค์เทียบหน้าคาเฟ่ของตัวเอง ป้ายร้านชื่อเพ้นท์ไทม์เด่นชัดจนใครที่ผ่านไปผ่านมาแถวนี้ก็รู้จัก ดวงตากลมสะดุดเข้ากับรถยนต์คันคุ้นตาที่จอดอยู่ไม่ไกลจากหน้าร้านเท่าไหร่นัก ขาทั้งสองก้าวไปข้างหน้าทีละนิดเพราะอยากจะมองให้แน่ชัดว่าป้ายทะเบียนของรถคันนั้นใช่ตัวอักษรและตัวเลขที่เขาจำได้จนขึ้นใจหรือไม่ ร่างบางรีบวิ่งกลับเข้าไปที่ร้านเมื่อรู้อย่างแน่ชัดแล้วว่ารถคันนั้นเป็นของคราม

“น้องพู่ แม่โทรหาตั้งหลายสายแล้วไม่ยอมรับ” เสียงของผู้เป็นมารดาดังขึ้นทันทีที่เขาไปหยุดยืนตรงหน้า

“โทรมาตอนไหนครับ พู่ไม่เห็นอะ”

“สักพักแล้วจ้ะ แล้วนี่น้องครามมารอตั้งแต่บ่ายแล้ว” เป๊ะเลย จะบอกตาฝาดก็คงไม่ใช่ คุณวาดพูดซะขนาดนี้แล้วดูเขามาถึงร้านตอนสี่โมงครึ่ง ไอ้ที่บอกมาตั้งแต่บ่ายนี่มันบ่ายกี่โมง คือพี่ครามไม่มีอะไรทำแล้วใช่ไหมถึงมานั่งรอเขาได้หลายชั่วโมงขนาดนี้

“แล้วนี่พี่ครามไปไหนครับ”

“หลังร้านจ้ะ น้องพู่เอาเค้กไปเสิร์ฟโต๊ะตรงกระจกให้แม่ก่อน” พู่กันพยักหน้าก่อนเอื้อมไปรับจานเค้กมาถือเอาไว้ ก่อนจะพูดถึงหว้าตอนที่นึกขึ้นได้ว่าเพื่อนตัวเล็กจะมาหา

“เอ้อ เดี๋ยวหว้าจะพาเพื่อนมาที่ร้านนะ แม่หาขนมไว้ให้หน่อยนะครับ”

“น้องหว้าโทรมาบอกแม่แล้ว เดี๋ยวแม่เตรียมให้นะคะ”

พู่กันรอจนแม่ยิ้มให้แล้วค่อยเดินมาเสิร์ฟเค้ก พอทำหน้าที่ตามคำสั่งเสร็จเรียบร้อยเขาจึงเดินออกไปหลังร้าน และพบกับเจ้าของรถยนต์ทะเบียนคุ้นตานั่งสูบบุหรี่อยู่ที่เก้าอี้ไม้เก่าๆ เขาไม่ได้ส่งเสียงทักทายใดๆ เพียงแต่เดินไปใกล้จนคนที่นั่งหันหลังอยู่รู้ตัว

“ทำไมมึงไม่รับสาย” ครามถามออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งแถมยังไม่หันมามองหน้าเขาอีก แค่นี้ก็รู้แล้วว่าน่าจะงอนพอตัว

“ไม่ว่าง โทรกลับแล้ว พี่ก็ประชดไม่รับนี่”

“อืม” อีกแล้ว เป็นแบบนี้อีกแล้ว ไอ้อาการเมนส์มาเนี่ยจะจัดการยังไง “เหม็นบุหรี่ก็เข้าไป”

“เมนส์มาอีกแล้วเหรอ”

“คงงั้น” คนโตว่าพลางทิ้งบุหรี่ในมือลงกับพื้นแล้วใช้เท้าขยี้เมื่อน้องมีท่าทีว่าจะไม่ยอมเดินกลับเข้าร้านตามคำบอก เขาพ่นควันสีหม่นครั้งสุดท้ายออกมาจนมันลอยฟุ้งแล้วก็จางหายไปกับสายลมที่พัดผ่าน “กูมีเรื่องจะถามมึง”

“ถามไรอะ” พู่กันประหม่าเล็กน้อยตอนที่ครามลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันมาเผชิญหน้ากับเขา แววตาดุดันและใบหน้านิ่งเฉยนั่นทำให้ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ “ไปโกรธใครมาเนี่ย”

“มึงนั่นแหละ”

“เอ้า” เขายกมือขึ้นเกาหัวด้วยความงุนงง ก็พอจะรู้ว่างอนที่ไม่รับสายแต่ต้องเป็นมากขนาดทำเสียงดุทำหน้างอแบบนี้เลยเหรอวะ “เรื่องไม่รับสายอ่อ”

“ส่วนนึง”

“งั้นแปลว่ามีอีก”

“เออ”

“เรื่องไรอะ”

“ค่อยคุย กูอารมณ์ไม่ดี” พู่กันเบ้ปากเพราะครามเป็นแบบนี้เสมอ ถามว่าดีไหมก็ดีที่อีกฝ่ายจะไม่คุยกับเขาเวลาตัวเองอารมณ์ไม่ดี ไม่ว่าเรื่องนั้นเขาจะทำให้โกรธมากแค่ไหนก็ไม่เคยตะคอกเขาเลยสักครั้ง แถมยังหลีกเลี่ยงที่จะปะทะอีกต่างหาก “มึงรอเพื่อนใช่ไหม”

“รู้ได้ไง” คนตัวเล็กกว่าเลิกคิ้วเพราะเขายังไม่ได้บอกครามว่าเพื่อนจะมาหาที่นี่ แต่หากเดาไม่ผิดก็คงไม่พ้นคนที่ใส่เอี๊ยมลายกระต่ายในร้านนั่นหรอก

“แม่บอก”

“ว่าละ”

“กูไปรอบ้านนะ” ไม่รอให้เขาได้ท้วงอะไรครามก็เดินออกไปโดยที่ไม่หันกลับมามองแม้แต่นิดเดียว ถ้ากลับไปรอบ้านแล้วจะคุยกันยังไง แทนที่จะคุยกันตรงนี้ให้จบจะได้ไม่รู้สึกคาใจ แต่นี่อะไรของเขาวะ

ตามไม่ทันโว้ย!


*


พู่กันไม่ค่อยมีสติตั้งแต่ครามกลับไป ยังหาคำตอบอยู่ว่านอกจากเรื่องไม่รับโทรศัพท์แล้วมีอะไรที่ทำให้ไม่พอใจอีก แต่ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ก็เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยนี่หว่า แล้วไอ้คนพี่มันไปแดงเดือดมาจากไหนวะ

“ไอ้พู่” เสียงกระซิบกระซาบของเพื่อนสนิทดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทการรับรู้ หว้ากระทุ้งศอกเข้าที่เอวเบาๆ จนเขาสะดุ้งเฮือก “เป็นไรเนี่ย”

“หือ เปล่า” เขาส่ายหน้าแล้วกวาดสายตามองหาเพื่อนใหม่อีกคนที่ตอนนี้ไม่อยู่ตรงหน้าแล้ว “ฝ้ายไปไหนอะ”

“ลุกไปห้องน้ำเมื่อกี้” ยอมรับว่าไม่รู้ตัวเลยว่าฝ้ายลุกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ อยากจะขอโทษที่ไม่มีค่อยมีสติ วันนี้ที่ได้เจอก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนน่ารักมากจริงๆ ไม่ว่าจะหน้าตาหรือนิสัย ฝ้ายไม่ใช่คนสวย แต่น่ารัก และที่สำคัญไม่ได้ทำให้เขาอึดอัดเลยสักนิด ทั้งตอนคุยผ่านตัวอักษรหรือต่อหน้า

“ตกลงกับเพื่อนกูว่าไง ผ่านปะ” หว้ายังคงกระซิบอยู่ใกล้ๆ เพราะเกรงว่าเพื่อนที่เดินไปเข้าห้องน้ำจะกลับมาได้ยิน

“มึงหมายถึงอะไร” พู่กันเท้าคางก่อนตวัดสายตามองจนเพื่อนสนิทตัวเล็กนั่นทำหน้าคิดพินิจ “ถ้าเรื่องนิสัยก็ผ่าน”

“ให้มันได้แบบนี้สิ! มึงชอบปะ” ไม่ใช่ครั้งแรกที่หว้าหูตาลุกวาวเวลาเขาบอกว่าใครผ่าน “ไอ้พู่”

“ก็ชอบ” เขาพูดออกไปตามที่ใจคิดแต่ก็ไม่ได้ชอบในเชิงชู้สาว พอเห็นว่าคนข้างๆ เริ่มจะเก็บอาการไม่อยู่จึงต้องพูดต่ออย่างเร็วเพื่อไม่ให้เข้าใจผิด “หยุด อย่าเพิ่งกรี๊ด ชอบแบบเพื่อนเฉยๆ”

“อีเหี้ย” หว้าสบถเสียงเบาก่อนจะหันมาบีบคอเขาแล้วเขย่าๆ เหมือนระบายอารมณ์ “มึงหักอกเพื่อนทุกคนเลยนะ!”

“ก็กูไม่ได้ชอบแบบนั้น”

“งอนมึงอะ เชอะ”

เขาไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่เอื้อมไปผลักหัวสาวเจ้าเบาๆ เข้าใจว่าหว้าเป็นห่วงและหวังดี แม้จะทำทีเหมือนไม่สบอารมณ์แต่เดี๋ยวก็หาย เพราะพู่กันรู้ว่าหว้ารักเขามากกว่าอะไรทั้งสิ้น งอนได้ไม่นานหรอก

อีกอย่างเรื่องของใจจะบังคับกันได้ไง


*

ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 07 ; (16/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 16-10-2018 19:42:55


“เอ้า มีคนอยู่บ้านมึงอ่อ” เสียงของหว้าถามออกมาความสงสัยเมื่อเห็นรถยนต์คันใหญ่จอดอยู่ในรั้วบ้าน เธอมั่นใจแบบเต็มร้อยว่าไม่ใช่รถของพ่อพู่กันแน่ๆ เพราะคุณอานานทีถึงจะกลับมาบ้านเนื่องจากตระเวนรับงานไปแทบทุกจังหวัด

“เออ ...กูไม่รู้ว่าพี่มันมา” คนถูกถามแทบอยากจะเอาหัวโขลกกับประตูรั้วเพราะรถที่จอดอยู่ด้านในคือรถของพี่คราม ไอ้ที่บอกว่าจะมารอบ้านคือบ้านเขาเหรอวะ

“ถ้าพู่มีแขกก็นอนบ้านหว้าเหมือนเดิมก็ได้นะ เราไม่อยากรบกวนอ่า” บุคคลที่สามในวงสนทนาเอ่ยออกมาด้วยความเกรงใจ ตอนแรกก็ตกลงว่านอนบ้านเพื่อนสาว แต่อยู่ดีๆ หว้าก็บอกขอเปลี่ยนมานอนบ้านพู่กันแทนเพราะจะเล่นเกม

“หว้า มึงกลับไปนอนบ้านได้ไหม” พูดกันตามตรงว่าเขาเองก็ค่อนข้างลำบากใจตอนที่หว้าบอกจะมานอนค้างที่บ้าน ซึ่งเอาจริงหากเป็นลูกหว้าคนเดียวก็คงไม่เท่าไหร่ แต่นี่เพิ่มเพื่อนเข้ามาอีกคน ถ้าใครรู้ว่าคืนนี้บ้านกิตติปรัชญ์มีผู้หญิงมานอนค้างถึงสองคนเขาเกรงว่ามันจะดูไม่ดีต่อตัวผู้หญิงน่ะนะ “กูกลัวว่ามันจะไม่ดีกับมึงแล้วก็ฝ้าย”

ก็รู้ที่หว้ามาขอมานอนก็คงไม่ได้คิดอะไรเพราะสนิทกันอยู่แล้ว แต่คนอื่นที่ไม่รู้ก็อาจจะทำให้มันดูแย่ เขาเป็นผู้ชายมันไม่เสียหายหรอก แต่ตัวผู้หญิงนี่สิ ยิ่งวันนี้มีครามมาอยู่ด้วยก็ยิ่งแล้วใหญ่ เผลอๆ อาจจะกลายเป็นว่าสองหญิงสองชายไปเสียอย่างนั้น

“ได้ค่ะพี่พู่ น้องเข้าใจว่าพี่คิดเยอะ” หว้าหัวเราะร่วนก่อนที่พู่กันจะยิ้มให้ฝ้ายแล้วเดินไปส่งทั้งสองคนที่หน้าประตูบ้าน แม้จะอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าวก็ตาม “ขอโทษด้วยนะครับฝ้าย”

“เอ้ย ไม่เป็นไรเลย เราสบายๆ อยู่แล้ว” ฝ้ายว่าพลางยิ้มให้จนเห็นเขี้ยว “เอ้อ เราลืมบอกเลยอะ เค้กร้านพู่อร่อยมาก”

“ถ้าอร่อยไว้พรุ่งนี้ก่อนกลับแวะไปก็ได้ เดี๋ยวเราบอกให้แม่เตรียมไว้ให้”

“บ้า ไม่เป็นไร เราเกรงใจ แค่บอกเฉยๆ ว่าอร่อย”

“โอเคครับ ขอบคุณนะ” เขาตอบเพื่อนใหม่ก่อนจะหันไปหาลูกหว้าที่ยืนทำหน้ายู่ยี่อยู่ข้างๆ “พรุ่งนี้พาฝ้ายไปเอาขนมกับแม่กูด้วยนะ”

“จ้าพ่อคุณ” ก็เพราะบอกฝ้ายแล้วอีกฝ่ายเกรงใจ คนรับหน้าที่ก็เลยเป็นลูกหว้าแทน “งั้นกูเข้าบ้านแล้วนะ”

“อือ ล็อคบ้านด้วย” เขายืนรอจนกว่าหว้าจะล็อคประตูรั้วเสร็จ โบกมือบ๊ายบายให้กับฝ้าย ที่ต้องบอกให้แวะไปเอาขนมกับแม่เพราะเขาไม่แน่ใจนักว่าพรุ่งนี้จะตื่นมาทันเจอทั้งสองคนหรือเปล่า

ร่างเล็กเดินเข้ามาในบ้านพลางกดตอบข้อความของพี่ปัถย์ที่ส่งมาหาตั้งแต่สองชั่วโมงก่อนรวมไปถึงส่งข้อความไปย้ำกับเพื่อนสนิทอีกครั้งว่า ‘อย่าลืมล็อคประตูด้านในให้หมด’ เพราะบ้านข้างๆ ก็มีแต่ผู้หญิง ส่วนบ้านเขาก็คงเหลือแต่ผู้ชายเนื่องจากวันนี้แม่ก็นอนค้างที่คาเฟ่ พู่กันปิดประตูและลงกลอนอย่างเรียบร้อย เจ้าของบ้านเดินสำรวจหาคนที่ชิงหนีมาเมื่อช่วงเย็น ตั้งแต่ห้องรับแขก ห้องนอนแขก จนเดินไปถึงในครัวแต่ก็ไม่พบคราม เพราะงั้นก็เลยจำต้องเดินขึ้นไปบนห้องเนื่องจากเป็นที่สุดท้าย

เรียกได้ว่าเราสนิทกันมากพอที่จะมีกุญแจบ้านของกันและกัน จากวันนั้นที่ไปมหา’ลัยด้วยกันแล้วสั่งให้ครามกลับมาก่อนแต่คนพี่ไม่ยอมเพราะกลัวเขาลำบาก ซึ่งพู่กันเองก็ไม่อยากให้ต้องมารอหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกจึงตัดสินใจปั๊มพวงกุญแจบ้านและห้องไว้ให้ แน่นอนว่าของบ้านครามพู่กันก็มีเก็บไว้ แต่ก็ไม่บ่อยนักที่จะได้ใช้ เพราะส่วนมากคนพี่จะชิงมาหาที่บ้านเสียมากกว่า

เท่าที่เคยได้ยินบ่อยๆ จนเขาจำได้คือครามไม่ค่อยชอบพกกุญแจบ้าน ทั้งที่โดนน้ำเงินสั่งให้ใส่ไว้กับพวงกุญแจรถแต่ก็ไม่เคยทำ แต่มันกลายเป็นเรื่องแปลกเพราะครามเอาทั้งกุญแจบ้านและห้องเขาไปใส่อยู่กับพวงกุญแจรถตัวเอง

พู่กันเปิดประตูห้องอย่างเบามือตอนแง้มไปแล้วพบกับความมืดมิด เป็นอันรู้แน่ชัดว่าครามไม่ได้อยู่ในห้องน้ำเพราะไฟไม่ได้เปิดอยู่ ฉะนั้นก็คงไม่มีที่ไหนให้สิงนอกจากเตียงของเขา พอคิดได้แบบนั้นพู่กันก็เลือกที่จะเดินเข้ามาเงียบๆ และไม่เปิดไฟในห้องสักดวง เป็นไปอย่างที่คิดโคมไฟข้างเตียงเปิดค้างเอาไว้กับคนตัวใหญ่ที่ซ่อนร่างกายไว้ภายใต้ผ้าห่ม เหลือไว้ให้รับรู้ว่าเป็นใครจากใบหน้าที่โผล่ออกมาเพียงครึ่งหนึ่ง

เขาย่อตัวลงเพื่อให้อยู่ในระดับสายตา เผลอโน้มเข้าไปใกล้ด้วยความเคยชินก่อนจะรีบผละออกมา กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ทำให้เริ่มสงสัยว่าไปดื่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มีหลายคำที่อยากด่าแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน ทำได้เพียงนั่งมองใบหน้าคมคายผ่านแสงไฟสีวอร์มจนไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น

เขาเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดเข้ากล้องแล้วสลับไปทางคนที่กำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องราว ตั้งใจจะถ่ายไว้ขู่ให้รู้ว่าถ้าหลับในห้องคนอื่นแล้วจะเป็นอย่างไร

แชะ

“ไม่ให้ถ่าย” เด็กขี้ขโมยสะดุ้งเฮือกตอนได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยออกมา เวรเอ๊ย ลืมไปว่าเปิดเสียงโทรศัพท์ไว้ ครามลืมตาขึ้นมาช้าๆ ก่อนคว้าเอาโทรศัพท์เจ้าปัญหาที่ส่งเสียงดังมาถือไว้ในมือตัวเอง “มองพอใจยัง”

“ห... หมายถึงอะไร”

“หน้ากู” ดวงตาคมจ้องมาทางเขาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ “มึงนั่งมองกูนานแล้ว”

“ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ตั้งแต่มึงหายใจอยู่ตรงหน้า” ครามยังคงตีหน้านิ่งใส่เด็กที่เริ่มทำตัวไม่ถูก “ไปอาบน้ำ”

“พี่มีอะไรจะคุยกับผม” ด้วยความที่ไม่อยากให้ค้างคา เขาจึงโพล่งถามออกไปแต่เจ้าของร่างยักษ์ที่นอนอยู่บนเตียงทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด “พี่คราม”

แม้จะเรียกย้ำอีกคนแต่ขี้งอนกลับพลิกตัวหนีไปอีกฝั่ง งานยากเลยงอนอะไรจริงจังวะ เพราะมันติดอยู่ในใจเขาจึงไม่สามารถปล่อยไว้ได้อีก พู่กันกระโจนขึ้นไปทับโดยที่คนพี่ไม่ส่งเสียงร้องออกมาสักคำ แถมยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมามองด้วย เขาพยายามให้สองมือและแรงที่มีจับตัวครามให้พลิกกลับมานอนหงายจะให้ได้เห็นหน้ากันชัดๆ

“ไปอาบน้ำ”

“ผมไปทำอะไรให้พี่งอนนักหนาเนี่ย งงโว้ย” ครามถอนหายใจอย่างแรงก่อนจะมองหน้าพู่กันนิ่งๆ แล้วยกแขนขึ้นมาทาบไว้บนดวงตาตัวเองเพื่อไม่ให้เห็นเขา “เอ้า เล่นตัวอ่อ”

“ทำไมมึงไม่รับสาย” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาแผ่วเบาจนคนฟังรู้สึกใจหวิว ไม่เข้าใจว่าแค่ไม่รับสายทำไมต้องนอยด์อะไรขนาดนี้อะ

“ก็ผมไม่ว่าง ...”

“วันนี้มึงไปกับใครมา” เป็นคำถามที่ติดอยู่ในหัวและลังเลอยู่นานว่าจะถามดีไหม แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ เขาอยากจะรู้ว่าน้องมันจะพูดเมื่อไหร่ หรือจะเล่าให้ฟังไหม

“เห็นเหรอ”

“อืม” ทำไมต้องให้ความรู้สึกเหมือนพู่กันหนีไปมีชู้ด้วยวะ “แฟนมึงหรือไง”

“ไม่ใช่ เขาแค่มาจีบ” คนอายุน้อยกว่าตอบกลับไปตามความจริง ฝ่ามือเล็กวางค่อยๆ เลื่อนไปจับท่อนแขนที่พาดทับอยู่ระดับสายตาของคนพี่ให้ออกไป “นอยด์เรื่องนี้อ่อ”

“กูเป็นส้นตีนไรไม่รู้” ครามว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาหงุดหงิดตั้งแต่ช่วงบ่าย เขาไม่ได้เจอกันน้องมาหลายวันแล้ววันนี้ก็เลยทำเนียนจะไปหาน้ำเงินเพราะอยากเจอหน้าพู่กัน แต่พอไปถึงเขาเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่เห็นว่าน้องมันกำลังขึ้นรถไปกับคนอื่น ครามไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรก็เลยรอจนรถขับออกไปแล้วรออยู่สักพักก่อนโทรเข้าไปถาม แต่พู่กันกลับไม่รับสายนั่นทำให้ความหงุดหงิดเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว

“แล้วผม...”

“กูหวงมึงได้ไหม” ครามถามเสียงนิ่งและมันเป็นความรู้สึกหลักที่เกิดขึ้น ตั้งใจจะเก็บเอาไว้แต่สุดท้ายปากก็ไวกว่าความคิด แถมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะมางอนเหมือนเด็กเพราะตกลงกันแล้วว่าจะไม่ล้ำเส้น แต่มันเป็นไปแล้วจะให้ทำอย่างไร

“ด... เดี๋ยวดิ” พู่กันใจเต้นไม่เป็นจังหวะ พยายามจะขยับไปนั่งบนเตียงเพราะไม่อยากให้ครามรู้ว่าใจเขาเต้นแรงแค่ไหนกับไอ้แค่คำว่าหวงที่หลุดออกมาจากปาก แต่ก็ทำได้เพียงคิดเพราะอีกฝ่ายกลับหยัดกายขึ้นนั่งแล้วกอดเอวก่อนกระชับไว้แน่น “บ...บ้าอะไรของพี่วะ”

“หงุดหงิด”

“เออ ...ก็รู้แล้ว”

“หงุดหงิดที่มึงไปกับคนอื่นแล้วไม่ยอมรับสายกู” เขาได้แต่เงียบแล้วปล่อยให้ครามกอดอยู่อย่างนั้น กระทั่งอีกฝ่ายซุกใบหน้าลงตรงซอกคอ ไอความร้อนกระทบแผ่วเบาจนขนลุกซู่ “เป็นเหี้ยไรวะ”

“เป็นบ้า ...อื้อ” ครามกดจูบลงบนกลีบปากนุ่ม ความรุนแรงทวีคูณเป็นเท่าตัวตอนภาพในหัวย้อนกลับไปเมื่อตอนช่วงบ่ายของวัน มันเหมือนเขาระบายทุกอารมณ์บนกลีบปาก อยากบอกให้รู้ว่าที่เป็นแบบนี้เพราะมันรู้สึกหวงมากแค่ไหน และหงุดหงิดตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง “พี่ จ... ใจเย็นดิ”

ไม่ฟังคำค้านมือใหญ่ชิงปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาจนครบทุกเม็ด แหวกออกจนเห็นผิวขาวที่มีสีแดงจางๆ แต่งแต้ม ลิ้นร้อนชื้นแตะลงตรงยอดอกแผ่วเบาก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นการกระหวัดเย้าถะถี่จนได้ยินเสียงครางหวาน

“คิดจะเล่าให้ฟังเมื่อไหร่” คำถามหนึ่งกระซิบข้างใบหู พู่กันยังคงหอบถี่จากการถูกปรนเปรอจนอารมณ์พุ่งขึ้นแทบทะลุเพดานความต้องการ “กูจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้ใช่ไหม”

“คนสุดท้ายอะไร ...ยังไม่ได้เป็นแฟนเขาเว้ย” ครามจรดจมูกลงบนแก้มใส กดย้ำอย่างเอาแต่ใจจนพู่กันต้องผละออกแล้วจ้องหน้า “เป็นไรเนี่ย”

“มันเรียกหวงได้ไหม”

“…”

“ถ้าได้”

“…”

“พี่ก็หวงพู่กัน” พู่กันเพิ่งรู้วันนี้ว่าบางทีคำตอบที่ตัวเองอยากรู้ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีมากนัก หัวใจเขาสั่นระรัวยิ่งกว่าโดนเขย่า กลายเป็นว่าความรู้สึกทุกอย่างผสมกันจนมั่วไปหมด “โคตรหวงเลยว่ะ”

“พ... พี่แม่งบ้าบอ”

ครามทำให้พู่กันรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนโลเลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนทำให้ใจเขาสับสน ไม่กี่วันก่อนยังพยายามวิ่งออกมาเรื่อยๆ แต่กลับต้องชะงักลงเพราะมีกำแพงของสีครามโผล่ขึ้นมากักกันเอาไว้ไม่ให้ไปไหน เมื่อตอนบ่ายยังคิดว่าตัวเองสามารถชอบพี่ปัถย์ได้โดยไม่ต้องพยายามแต่ตอนนี้เขากลับคิดว่าคนที่ทำได้คงไม่ใช่พี่ปัถย์ แต่เป็นคนที่สามารถสร้างผีเสื้อโง่ๆ มาทำให้เขาปั่นป่วนได้บ่อยๆ อย่างสีคราม

เขาชอบครามจริงๆ ชอบในแบบที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ชอบทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องเจ็บ แต่มันก็ยังห้ามไม่ให้ไปชอบไม่ได้อยู่ดี และครามเก่ง... เก่งมากพอเพราะทำให้เขาหยุดอยู่กับที่ได้และไปไหนไม่ได้เพียงเพราะคำๆ เดียว

“หูมึงแดง” น้ำเสียงยั่วหยอกเอ่ยติดหัวเราะตอนเห็นว่าเด็กบนตักหูแดงไปหมด “ร้อนหรือเขิน”

“เพ้อเจ้อเหอะ ...อ๊ะ!” พู่กันสะดุ้งเฮือกตอนอีกฝ่ายแตะฝ่ามือลงที่ตรงนั้น “ขอตั้งตัวก่อนดิ”

“เรื่อง” เขาไปไม่ถูกตอนที่โดนถาม เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะต้องตั้งตัวเรื่องไหนก่อน เรื่องที่ครามบอกว่าหวงหรือเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ “มีอารมณ์ยัง”

“โอ๊ย พี่แม่ง ไม่ต้องถามตรงๆ ก็ได้ไหมวะ”

“ถามไปแล้ว” พู่กันเริ่มหายใจติดขัดเมื่อโดนครามแกล้งทุกทาง ตั้งแต่หยอกตรงใบหู ลำคอ หรือแม้แต่การลากฝ่ามือผ่านกางเกงนักศึกษา “อยากได้คำตอบด้วย”

“ไม่บอก”

“แปลว่ายัง” ครามกระตุกยิ้ม ก่อนจับเด็กบนตักให้พลิกลงไปนอนที่เตียง แผ่นหลังบางแนบชิดกับที่นอนอย่างง่ายดาย ความมือไวของคนพี่ยังคงเป็นที่หนึ่ง เพียงแค่ไม่กี่นาทีก็สามารถสลัดกางเกงของเขาให้ออกไปจากตัว

“อารมณ์ไม่ดีไม่ใช่?”

“หายแล้ว” ชายหนุ่มกระซิบข้างหู “จูบเมื่อกี้ก็หายแล้ว”

“ทำ... อะไรของพี่” เสียงหวานถามกระท่อนกระแท่นยามที่ครามลากลิ้นร้อนผ่านลำคอลงมาจนถึงแนวไหปลาร้าอย่างเชื่องช้า ฝ่ามือใหญ่กอบกุมส่วนอ่อนไหวของเขาจนรับรู้ได้ว่ามันเริ่มจะขยายตัว เจ้าของร่างสูงไม่ตอบคำถามแต่กลับลากปลายลิ้นลงมาเรื่อยๆ กระทั่งถึงหน้าท้องขาว พรมจูบแผ่วเบาก่อนจะเปลี่ยนไปตีตราตามจุดที่ได้ลากผ่านจนรอยสีแดงระเรื่อเกิดขึ้นอีกหน

“ปลุกอารมณ์”

“ปลุกเพื่อ... อะ อา พี่คราม”

เพียงเสี้ยววินาทีเสียงหวานก็กลืนหายจากความหนักหน่วงและร้อนผ่าวที่อีกฝ่ายมอบให้ตรงจุดที่ไวต่อสัมผัส ครามทำให้เขาดิ้นพล่านได้เพียงแค่ใช้ริมฝีปากแตะและครอบคลุมในส่วนนั้น มือเล็กจิกลงบนเรือนผมหนา ริมฝีปากสีเชอร์รี่ขบเข้าหากันจากการถูกปรนเปรอแบบไม่ทันตั้งตัว เสียงน่าอายเกิดขึ้นทุกครั้งที่คนพี่กลืนกินและปลดปล่อยเขา หน้าท้องบางหดเกร็งเมื่อรู้สึกว่าทนต่อสัมผัสหนักๆ นั่นไม่ไหว

“พี่ถามอีกที” จังหวะที่น้องหอบถี่ครามเงยหน้าขึ้นถามก่อนพาตัวเองขึ้นมาโถมเอาไว้โดยที่ไม่ได้ทิ้งน้ำหนักลงไป พู่กันหลับตาแน่นเพราะอีกฝ่ายยังคงสาละวนกับส่วนนั้นด้วยฝ่ามือ “มีอารมณ์ยัง”

“ทำไม... ต้องถามอีก ฮะ... อื้อ พอ... ก่อน พี่แม่ง” ยิ่งห้ามก็ยิ่งยุ มือใหญ่เร่งความเร็วเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ใช้ปลายนิ้วเน้นย้ำตรงจุดสำคัญและครามรู้ว่าต้องสัมผัสแบบไหนพู่กันถึงจะพอใจ ชายหนุ่มกดจูบเบาๆ ตรงข้างแก้ม กลิ่นหอมของแป้งเด็กที่เขาคุ้นชินตรึงติดอยู่ที่ปลายจมูก “พี่...”

“พูดเพราะๆ สิครับ เดี๋ยวจะหยุด” พู่กันจิกผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่แต่คนที่เห็นอย่างนั้นกลับอารมณ์ดี ที่แน่ๆ คือเขาคงหยุดไม่ได้แม้ว่าเด็กใต้การบังคับบัญชาจะพูดเพราะแค่ไหนก็ตาม

เขาฟังเสียงหอบหายใจของพู่กันด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ยิ่งเห็นน้องเลียริมฝีปากก็ยิ่งรู้สึกประหม่า หัวใจกำลังเต้นถี่และมันไม่เหมือนกับทุกครั้ง ครามรู้ว่าตัวเองใจสั่นกับภาพตรงหน้าแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่โน้มตัวลงไปหาแล้วแตะริมฝีปากลงบนกลีบปากนุ่มนั่นอีกครั้ง

“มันจะ อา...” เสียงหวานเอ่ยผะแผ่วยามที่ผละออกหลังจากโดนครามบดจูบแบบไม่ให้พัก แถมยังไม่มีท่าทีว่าจะยั้งความเร็วของฝ่ามือที่กอบกุมส่วนนั้นของเขาลงเลยสักนิด “พี่คราม ไหนจะหยุด ...ให้พู่ไง”

“ไม่มีสัจจะในหมู่โจร เคยได้ยินไหม”

“พี่แม่งเจ้าเล่ห์” ร่างบางบิดเร่าและพยายามจะจับมือคนพี่ให้หยุดการกระทำแต่ไม่เคยมีสักครั้งที่พู่กันสู้แรงของอีกฝ่ายไหว อาจเพราะแรงทั้งหมดของเขากำลังจะหมดไปเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ ชายหนุ่มกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนผ่อนแรงลงแต่ยังกดปลายนิ้วย้ำๆ ตรงส่วนปลาย “อ๊ะ พี่คราม ... พอแล้ว ...นะ ...นะครับ”

ยิ่งสั่งให้หยุดก็ยิ่งเพิ่มความเร็วจนเผลอจิกไหล่เขาอย่างแรงก่อนเขาจะค่อยๆ ผ่อนแรงลงทีนิด แต่ที่ยอมใช่เพราะน้องพูดเพราะตามที่บอก แต่เจ้าเด็กแสบปลดปล่อยแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังคงกุมส่วนอ่อนไหวที่ชื้นไปด้วยหยาดน้ำขุ่นอย่างเชื่องช้า

“จะไปอาบน้ำได้ยัง”

“เหนื่อยแล้ว จะนอน” ไม่ว่าเปล่าพู่กันยังคว้าเอาหมอนที่หนุนอยู่ขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไว้โดยยังปล่อยให้ครามซุกซนอยู่ตรงส่วนกลางลำตัว พู่กันผ่อนลมหายใจออกเบาๆ เพราะความเขินห่าเหวพาลทำให้หน้าร้อนไปหมด

“เลอะเทอะ”

“เพราะใครล่ะวะ … อา” พู่กันบ่นอู้อี้ก่อนจะครางหวานเมื่อคนพี่แกล้งรูดรั้งอีกหน “พอ ฮะ... แล้ว”

“ก็ลุกสิครับ” ครามพยายามซุกหน้าลงใกล้เพื่อให้อยู่ใต้หมอนใบเดียวกัน แถมยังลากมือที่เลอะหยาดน้ำขุ่นขึ้นมาแถวหน้าท้องจนพู่กันต้องโผล่หน้าออกมาแล้วมองอย่างคาดโทษ “พู่กัน”

“พี่รู้ว่าเลอะแล้วจะลากทำไม” คนถูกถามยียวนไม่ตอบก่อนจะยอมละมือออกจากหน้าท้องหลังจากที่ทำให้ตัวเนื้อเขาเลอะเทอะไปหมด และสิ่งที่ครามกำลังจะทำต่อจากนั้นทำเอาพู่กันต้องคว้าข้อมือไว้ก่อนชิงขึ้นไปนั่งคร่อมบนตัก “พี่ครามอย่าแกล้งดิ”

“แกล้งอะไร”

“ก็พี่...” เขาสะดุดไปเพราะไม่รู้จะตอบแบบไหน เมื่อครู่ครามทำทีจะเลียมือของตัวเองที่มันเลอะหยาดน้ำจากตัวเขา “ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ”

“เขินอะไร ปกติพี่ก็...”

“พอเลย แม่งๆ!” ครามหัวเราะร่วนก่อนจะจับสะโพกมนไว้ด้วยสองมือ คนบนตัวตอนนี้จะลืมไปว่าตัวเองไม่มีอาภรณ์ปกปิดในส่วนล่าง ชายหนุ่มกอดเด็กตัวเล็กไว้แน่นเสมือนว่ากลัวจะหนีหาย “ปล่อยผมสิเฮ้ย”

“พู่กัน”

“ไรอีก” เจ้าของชื่อชักสีหน้าใส่ “หนึ่งนาที พูดมา พู่จะไปอาบน้ำแล้ว”

คนพี่กระชับอ้อมกอดแน่นกว่าเดิมก่อนกดศีรษะของน้องให้ซุกลงมาตรงอก โน้มไปกระซิบข้างใบหูเพราะอยากให้น้องได้ยินสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้ให้ชัดๆ และมันออกมาจากความรู้สึกของเขาจริงๆ

“ที่พี่บอกว่าหวง”

“…”

“คือหวงจริงๆ”

tbc
บทจะแน่ก็แน่ เอ๊ แม่ๆ น้องพู่ย้ายทีมกลับมาไหมคะ ฮรึก /ตั้งโครงการพาแม่ๆ กลับทีมพี่คราม
ขอบคุณค่า #โซ่สีคราม นะงับ ♥
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 07 ; (16/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 16-10-2018 19:59:12
แงงงง เรือเราล่มมมม ลืมไปว่าชื่อเรื่องก็บอกแล้วว่าคู่ใครเป็นใคร
พี่คราม พี่จะมางอแง หวงไปหมดไม่ได้ พี่ต้องเคลียร์เรื่องนับให้ได้ก่อนจะมาหวงน้อง

เราก็หวงพู่กันอะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 07 ; (16/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 16-10-2018 20:13:00
เอาว้อยยยยย คราวรีบรุกเร้วววว
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 07 ; (16/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 16-10-2018 21:13:13
พี่รักพู่กัน สะกดแบบนี้ มาหงมาหวงอะไร รักแล้วก็บอกว่ารักกกกกก :katai1:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 07 ; (16/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 16-10-2018 22:55:03
คนแบบพี่คราม ไม่ควรได้พู่กันไป
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 07 ; (16/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 17-10-2018 00:00:26
เมื่อไหร่พี่ครามจะชัดเจน ฮื่อออ สงสารน้องงงง
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 08 ; (20/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 20-10-2018 21:58:59
08
my heartbeat

//


“ถ้าเธอไม่สะดวกไปก็ไม่ต้อง” เสียงของเข็มทิศดังขึ้นขัดจังหวะคนที่กำลังเดินออกมาจากห้องรับแขก แม่ของเขากำลังธุระคุยอยู่กับน้ารัศมีคุณนายของตระกูลเตชวิรุฬห์วัชรโชติทำให้เขาต้องหาที่อยู่ใหม่ให้ตัวเอง

นับเงินหมุนตัวกลับไปหาคนที่เดินตามหลังออกมา วันนี้เข็มทิศอยู่ในชุดเสื้อผ้าสบายๆ อย่างเสื้อยืดและกางเกงขาสามส่วน เพราะอีกฝ่ายก็โดนเรียกลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว

“เธอคิดว่าปฏิเสธได้เหรอ” พักนี้แม่ให้เขาโคงานกับพี่เข็มทิศบ่อยขึ้น โดยยกคำอ้างมาว่าถ้าเรียนจบเมื่อไหร่จะได้ช่วยที่บ้านบริหารงานได้แบบไม่ติดขัด แม้จะรู้ว่าเขากับพี่เข็มไม่ลงรอยกันเหมือนก่อนแล้วก็ตาม “คราวก่อนนับก็ต้องไป”

“เธอทำหน้างอ”

“ก็นับมีนัด” ใช่ว่าจำไม่ได้ว่านัดไปไหนกับครามไว้ ที่เขาตอบตกลงไปเพราะอยากจะใช้ช่วงเวลานั้นเคลียร์ความสัมพันธ์ของตัวเอง ไม่ได้อยากให้ความหวังหรือต้องการให้ครามมารักในสถานะแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว รู้ดีว่าที่ผ่านมาเห็นแก่ตัวมากเพียงไหน และเพราะรู้จึงไม่อยากให้ครามต้องมาเสียใจเพราะคนอย่างเขาอีก

“กับคราม?”

“ใช่”

“ตกลงเธอชอบเด็กนั่นเหรอ” เข็มทิศถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย เป็นเพียงความสงสัยที่ไม่ได้คาดหวังว่าแฟนเก่าจะตอบ อารมณ์ประมาณเหมือนเสี่ยงโชค ถ้าได้รับก็ดีไป

“มันไม่ใช่แบบที่เธอคิดหรอก”

“พี่ยังไม่ได้คิดอะไร”

“สาบาน” คนตัวสูงกว่าเลิกคิ้วก่อนแค่นหัวเราะออกมากับคำพูดติดปากของนับเงินที่มักจะหยิบยกเวลาที่อยากจะให้เขาพูดความจริง “เธอแม่ง”

“หงุดหงิดอะไร พี่แค่ถาม”

“เธอจะถามทำไม”

“ก็อยากรู้” เข็มทิศยกแขนขึ้นกอดอกขณะสายตาจ้องไปยังคนที่ตัวเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้ายุ่งๆ กับคำพูดตรงไปตรงมา ช่างเถียงและหงุดหงิดเสมอเวลาเจอหน้าเขา “ถ้าเธอไม่ได้ชอบ แล้วจะไปกับเขาทำไม”

“ก็เพราะไม่ได้ชอบไง ถึงต้องไปบอกให้เขารู้”

“เธอก็ให้ความหวัง”

“ตรงไหน” นับเงินมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ เขาคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันดีที่สุดแล้วและแน่ใจว่ามันไม่ใช่การให้ความหวัง

“แค่บอกไม่ไป เขาก็รู้แล้วว่าเธอไม่ชอบ” คนฟังชะงักได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นตอนเข็มทิศเดินเข้ามาใกล้และวางมือลงบนหัว “เมื่อไหร่เธอจะโตสักที”

ฝ่ามือใหญ่ละออกจากศีรษะพร้อมกับเสียงของเข็มทิศที่แผ่วจนน่าใจหาย ถึงอย่างนั้นนับเงินกลับจับใจความได้ทุกประโยค อีกฝ่ายเดินออกไปแล้วทิ้งเขาไว้กับคำพูดเดิมๆ ที่เคยได้ยินไม่รู้กี่พันครั้งก่อนจะเลิกกัน เจ้าของร่างเล็กทรุดลงนั่งกับพื้น พยายามผ่อนปรนความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นเสี้ยววินาทีด้วยการขบริมฝีปากเข้าหากันทีละนิด

นับเงินร้องไห้ออกมาแบบที่ไม่แน่ใจในสาเหตุ ไม่รู้ว่าที่กำลังร้องไห้อยู่ในตอนนี้เป็นเพราะเขากำลังทำผิดกับครามอีกหน หรือเป็นเพราะน้ำเสียงที่เวียนซ้ำจนทำให้เขาไม่สามารถลืมได้ลงกันแน่

ไม่ว่าโลกจะหมุนไปสักแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยโตขึ้นเลยในสายตาของเข็มทิศ


*


“เฮียดูดียัง” เสียงทุ้มต่ำของคนอารมณ์ดีดังขึ้นขัดจังหวะน้องชายที่กำลังนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ น้ำเงินละสายตาจากหนังแฟนตาซีที่กำลังเสพติด สองสามวันนี้ครามไม่ค่อยสบายเขาเลยกลับมานอนที่บ้านเพื่อคอยดูอาการของคนเป็นพี่ชาย

“ดีแล้วครับ เฮียมีนัดกับใครเนี่ย” น้ำเงินยิ้มตาหยีก่อนจะวางหมอนโตโตโร่ลงบนโซฟาแล้วลุกมาหา ดวงตากลมสำรวจความเรียบร้อยแถมยังเดินวนรอบเขาเสมือนเป็นลูกแมว “ไปไหวเหรอ”

“ไหวสิครับ ไปหานับแค่นี้เอง”

“จริงอะ” น้ำเงินถามย้ำอีกครั้งพลางส่งสายตามองอย่างจับผิด เขาค่อนข้างเป็นห่วงเพราะครามชอบทำอะไรเกินตัวเสมอ บางทีรู้ว่าร่างกายไม่ไหวก็ยังฝืนทำ

“จริงสิครับ”

“ถ้าไม่ไหวต้องจอดพักเลยนะ แล้วเฮียห้ามกินเหล้านะครับ งดเลย” เขาพยักหน้าตอบรับคำ ก่อนลูบหัวน้องชายเบาๆ น้ำเงินห่วงเขามาก แม้ว่าจะบอกไปหลายหนแล้วว่าสามารถดูแลตัวเองได้ แต่เจ้าตัวดื้อก็ไม่ยอมแล้วก็มาเฝ้าทุกทีที่เขามีอาการไม่ค่อยดี

“นี่ไอ้ศาจะมารับตอนไหน”

“น่าจะอีกสักพักครับ”

“ทำไมมันช้า”

“ก็เฮียหายกะทันหัน พี่ศาก็มารับเราไม่ทันสิ” ครามหัวเราะเบาๆ เมื่อโดนเอ็ดเข้า พอน้ำเงินเป็นแฟนกับเพื่อนก็เรียกได้ว่าแตะไม่ได้เลยทีเดียว หมายถึงแตะองศาน่ะ แต่จริงๆ ก็ถือว่าเป็นความผิดเขานั่นแหละ เขาคิดว่าคืนนี้อาจจะกลับดึกหรือไม่กลับเลยให้องศามารับน้องเขาไปอยู่ในความดูแลเหมือนเดิม

พูดตรงๆ ว่าถ้าน้ำเงินอยู่กับองศาแล้วเขาก็หมดห่วง ครามหวงน้องจนเคยแอบคิดว่าถ้ามีแฟนก็คงไม่ปล่อยให้ไปไหนไกลสายตา รวมไปถึงหวงเด็กคนนั้นเรื่องที่บอกกับพู่กันเมื่อวันก่อนว่าหวง เขารู้สึกจริงๆ และมันไม่ใช่ความหวงแบบพี่ชายหวงน้องชาย ครามพยายามเข้าใจอยู่และวันนี้คิดว่าตัวเองอาจจะเข้าใจมากกว่าเดิม

ชายหนุ่มขึ้นมานั่งบนรถก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าแอพแชทเพื่อส่งข้อความบอกพู่กัน เพราะทีแรกเขาตั้งใจจะไปหาน้องแบบไม่บอก แต่พอนับทักมาให้ออกไปเจอเพราะมีเรื่องจะคุยด้วยก็เลยตัดสินใจไปหานับก่อน ที่บอกว่าอาจจะเข้าใจมากกว่าเดิมเพราะหากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะตกลงแบบไม่ลังเล

แต่วันนี้เขากลับใช้เวลาพักใหญ่กับการตัดสินใจว่าจะไปหานับหรือพู่กัน และที่เลือกไปหานับเพราะเป็นตัวแปรสำคัญกับความรู้สึกที่ทำให้ครามสับสน

indigo_c
กูไปหานับนะ
ได้ทะเลาะกันอีกแน่เลยว่ะ


เขาส่งข้อความหาน้องเพราะเวลาจะออกไปเจอนับเมื่อก่อนก็รายงานทุกครั้ง หลังจากนั้นก็จะได้รับข้อความตอบกลับมาให้กำลังใจผสมคำด่าที่แฝงไว้  หากแต่วันนี้ครามนั่งรออยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าอีกฝ่ายจะเปิดอ่าน เขาจึงเลือกวางโทรศัพท์ไว้ตรงเบาะข้างๆ

ก็หวังว่าน้องมันจะตอบมาก่อนที่เขาจะไปเจอนับน่ะนะ

*


ครามมาสายไปประมาณสิบนาทีเพราะมัวแต่นั่งรอข้อความจากไอ้เด็กคนนั้นจนป่านนี้ก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับ พอเขามาถึงร้านก็เห็นนับนั่งหน้างอรออยู่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าไปหัวเสียมาจากไหน ความจริงนับเป็นคนน่ารักไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ใจพี่เข็มทิศหรอก แต่เพราะช่วงหลังความสัมพันธ์ของเราแปลกประหลาดเกินกว่าจะเข้าใจก็เลยทำให้อีกฝ่ายแสดงออกอย่างนั้น

“จะกินก็กิน” ครามว่าก่อนจะหลุดหัวเราะเมื่อเพื่อนสนิทช้อนสายตาขึ้นมอง ก็เห็นว่าหิวแต่พออาหารมาถึงกลับนั่งเขี่ยไปเขี่ยมาเหมือนคนเบื่ออาหาร

“มึงจะนั่งมองทำไม ของตัวเองมีก็กินเข้าไป” นับดุออกมาแบบหงุดหงิด แม้พักนี้จะทะเลาะกับครามบ่อยแต่มากสุดก็ไม่เกินสองวัน สุดท้ายก็ดีกันเหมือนเดิม แต่แน่นอนว่าในทุกครั้งมันเพิ่มความอึดอัดเข้ามาเสมอจนทำให้เขาคิดว่าเราคงไม่เหมาะที่จะคบกันในสถานะแบบนั้น

นับเงินย่นจมูกก่อนวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ หากไม่มีเรื่องจำเป็นเขาจะไม่เรียกครามออกมาด้วยกันแบบสองคนเลย แต่เป็นเพราะไอ้เรื่องที่ตัดสินใจไปทะเลกับครามเมื่อไม่กี่วันก่อนทำให้ต้องเรียกออกมาคุยกันอีกครั้ง เหตุผลหนึ่งที่ทำให้นับเปลี่ยนใจก็มาจากคำว่าเมื่อไหร่เขาจะโตจากพี่เข็มทิศ

“มึงเรียกกูออกมาหาเพราะจะมากินข้าวเฉยๆ เนี่ยเหรอวะ” ครามเปิดประเด็นคำถาม ใจลึกๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง เพราะนับไม่ไปไหนมาไหนกับเขาสองคนเหมือนก่อนมานานแล้ว

“เปล่า” เขารู้ว่าถ้าพูดออกไปตอนนี้ก็มีแต่จะทำให้บรรยากาศมันเสีย ตั้งแต่ที่ทะเลาะกันบ่อยๆ ก็ทำให้เริ่มไม่แน่ใจว่าที่เคยคุยกันไว้ว่าจะเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมหากว่ามันไม่ใช่จริงๆ จะเป็นไปได้ไหม “มึงกินข้าวก่อนไหม ค่อยถาม”

“ทำไม เรื่องที่มึงจะคุยกับกูนี่มันจะทำให้กินอะไรไม่ลงหรือไง” พอเพื่อนสนิทเงียบไปก็ทำให้เขาได้รู้ว่ามื้ออาหารของวันนี้ก็คงไม่สนุกเหมือนเคย “มีอะไรก็พูดมาเหอะ ไม่มีอะไรที่กูจะ...”

“กูไม่ได้ไปทะเลกับมึงแล้วนะ” คนฟังชะงักเมื่อไม่มีการอ้อมค้อมใดๆ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงรู้สึกเหมือนใจโดนกรีดแล้วเหยียบซ้ำจนไม่เหลือชิ้นดี แต่ตอนนี้มันกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บอย่างนั้น แต่ก็ยังมีความแปลบๆ อยู่บ้างให้อารมณ์เหมือนโดนเข็มสะกิดเสียมากกว่า “แม่กูจะให้ไปสิงคโปร์กับ...”

“พี่เข็ม” คราวนี้กลายเป็นนับเงินที่นิ่งเพราะน้ำเสียงของครามฟังดูเย็นชาและมันค่อนข้างผิดปกติ ถ้าเป็นเมื่อก่อนอีกฝ่ายจะโวยวายแล้วก็พูดจาชวนทะเลาะ “มึงมีเรื่องจะบอกกูแค่นี้ใช่ไหม”

“เดี๋ยว มึงจะไปไหน” เขาท้วงเมื่อเพื่อนตรงหน้าลุกขึ้นโดยไม่แสดงท่าทีใดให้เห็นมากไปกว่าสายตาเย็นชาและใบหน้านิ่งเฉยนั่น “คราม”

“กูรู้แล้วนับว่ากูเป็นได้แค่เพื่อนมึง” น่าแปลกที่ในคราวนี้ครามรู้สึกว่าตัวเองยังไหวอยู่ หรืออาจจะเป็นเพราะมันกลายเป็นความเคยชินเสียแล้ว “กูไม่เคยได้ความรักจากมึงมากไปกว่าคำว่าเพื่อนเลย”

“แล้วเรา...”

“เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ไหม นี่หรือเปล่าที่มึงอยากจะถาม” เขามองหน้าเพื่อนสนิทที่กำลังทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ “ถ้าไม่เป็นเพื่อนมึงกูมีตัวเลือกอื่นด้วยเหรอ”

“...ไม่มี” น้ำเสียงแผ่วทำให้ความเจ็บแปลบเกิดขึ้นอีกครั้ง ครามหรี่ตาลงก่อนผ่อนลมหายใจออก โดนปฏิเสธมานับครั้งไม่ถ้วนโดนอีกครั้งจะเป็นอะไรไป

“ถ้าเกิดกูเป็นเพื่อนมึงเหมือนเดิมไม่ได้” เป็นสิ่งที่ครามอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะตอบแบบไหน “มึงจะว่ายังไง”

“ทำไมมึงถึงจะทำไม่ได้ กูพยายามห่างมึงมาตลอดเพื่อไม่ให้มึงคิดไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ กูขอโทษคราม ...แต่กูให้มึงแบบนั้นไม่ได้จริงๆ”

“มึงอย่าคิดว่าเรื่องทุกอย่างมันง่ายแค่ปากพูดได้ไหม” ทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายเลย กว่าครามจะเก่งได้อย่างวันนี้ได้ก็ผ่านมาแทบตายเหมือนกัน “ตัดใจมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกนับ”

“ขอโทษ” แม้จะนับจะไม่ได้ทำให้เจ็บเจียนตายเหมือนก่อน แต่ก็ยังมีความรู้สึกที่บ่งบอกว่าเขาเสียใจที่ไม่เป็นไปตามที่หวัง ถึงอย่างนั้นก็จะไม่พยายามดิ้นหรือพยายามจะรักอีกต่อไป แล้วไอ้ที่เขาบอกว่าตัดใจมันไม่ง่ายขนาดนั้นก็พูดให้นับได้คิดถึงใจตัวเองที่มีให้กับพี่เข็มทิศด้วย “มึงอย่ามาชอบคนอย่างกูเลยนะ ...”

“กูเลิกชอบมึงได้แน่ๆ” ครามยืนยันเสียงนิ่ง “ขอเวลากูหน่อย”

“มึง...”

“นับ มึงลองถามตัวเองบ้างยัง”

“...”

“ว่าทำไมมึงเลิกรักพี่เข็มไม่ได้ ทั้งๆ ที่มึงก็พยายามห่างเขาเหมือนกัน”

*

ครามนั่งอยู่บนรถมาพักหนึ่งแล้วและยังคงจอดอยู่ที่เดิมคือหน้าบ้านของตัวเองหลังจากขับกลับมาจากร้านอาหารที่ไปเจอนับเงิน พูดตรงๆ ว่ายังสับสนกับความรู้สึกตอนนี้

ตัวแปรที่หนึ่งอย่างนับตัดจบความสัมพันธ์ของเขาด้วยคำว่าเพื่อน และหากว่ามีเพียงแค่นับเขาคงจะไม่เป็นอย่างนี้ แต่เพราะการมีตัวแปรที่สองอย่างพู่กันเข้ามาทำให้ครามไม่แน่ใจว่าที่ไม่เจ็บเท่าเมื่อก่อนเป็นเพราะน้องมันหรือไม่

จากการที่ได้รักอยู่ฝ่ายเดียวมานานทำให้เขารู้ว่ามันเจ็บเพียงใด ตอนคนที่รักทำเหมือนเรามีตัวตนในชีวิตมันให้ความรู้สึกเหมือนได้รับเชือกให้ปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนบอลลูน สวยงาม รู้สึกดีแต่มีความเสี่ยงสูงเพราะไม่รู้ว่ามันจะตกลงมาเมื่อไหร่ และจะได้ไปถึงจุดหมายก่อนตกลงมาหรือไม่

แต่สิ่งที่รู้อย่างแน่ชัดคือไม่ควรเอาชีวิตขึ้นไปเสี่ยงอยู่บนนั้น เพราะถ้าตกลงมาก็ตาย

ถึงอย่างนั้นครามคงเป็นคนหนึ่งที่มีชีวิตรอดหลังจากตกลงมา อาจจะเป็นความโชคดีที่เขาไม่ได้ตกลงไปผิดที่เลยทำให้มีใครบางคนสามารถช่วยเอาไว้ได้

นิ้วเรียวเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปมาในหน้าจอแชท เขานั่งมองข้อความที่ไร้การเปิดอ่าน ไม่กล้าแม้แต่จะส่งข้อความซ้ำไปอีกครั้ง ครามได้แต่จ้องดูเพื่อรอว่าเมื่อไหร่ถึงจะขึ้นโชว์ว่ามันถูกอ่านแล้ว นานเข้าก็ทำให้รู้ว่าไม่ควรที่จะมานั่งรออะไรแบบนี้ พู่กันอาจจะไม่ว่าง แต่อีกหนึ่งความคิดด้านลบก็พาลไปคิดว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือเปล่า จึงเลือกที่จะขับเคลื่อนรถคันโปรดของตัวเองออกจากหน้าบ้านไป

เขาใช้เวลาขับรถไม่นาน เพียงแค่เลี้ยวเข้าซอยตรงนี้ไปก็จะผ่านร้านคาเฟ่ของน้อง และขับตรงไปอีกเล็กน้อยก็จะเข้าไปถึงบ้านได้ ดวงตาคมเหลือบไปมองร้านคาเฟ่เพื่อเช็กว่าคนน้องอยู่ร้านหรือบ้านในตอนนี้ แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำให้เขาหงุดหงิดจนทิ้งเรื่องของนับเงินไว้ข้างหลัง

ครามไม่ได้โทรบอกพู่กันล่วงหน้าว่าจะมาหา และเพราะแบบนั้นก็เลยรู้ว่าตัวเองมาผิดเวลา เขาขับเลยร้านคาเฟ่ไปเพราะน้องกำลังอยู่กับใครอีกคน เขาเคยบอกเอาไว้ว่าถ้ามีแฟนเมื่อไหร่จะให้ไปแบบที่ไม่ต้องมาสนใจ แต่ในตอนนี้กลับคิดว่าไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น

ทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บยิ่งกว่าตอนโดนนับปฏิเสธอีกวะ

โคตรบ้าเลยจริงๆ

*

“สรุปตามนี้นะครับ” พู่กันพยักหน้าก่อนยิ้มให้กับพี่ปัถย์อีกครั้ง คนพี่เพิ่งมาถึงหน้าร้านเขาเมื่อครู่เนื่องจากต้องการสั่งเค้กไปเลี้ยงที่บริษัท พวกเขาเลือกที่จะยืนคุยกันหน้าร้านเพราะอีกฝ่ายมีธุระต่อจึงอาจจะไม่ได้ใช้เวลามากนัก “เดี๋ยวถ้ามีอะไรเปลี่ยนพี่จะโทรหาเราอีกที”

“ได้ครับ นี่พี่ไปธุระต่อเลยใช่ไหม”

“ครับ พี่ลืมบอกว่ามีบินไปคุยกับลูกค้าที่เชียงใหม่”

“อ้าว ไปกี่วันครับ”

“เกือบอาทิตย์” ปัถย์ยิ้มตอบตอนเห็นหน้าดื้อๆ นั่นขมวดคิ้ว “ทำหน้าแบบนี้คือกลัวคิดถึงเหรอ”

“คิดถึงของฝากได้ไหม”

“คิดถึงคนซื้อดีกว่าครับ”

“ไม่เอา เดี๋ยวพี่คิดไกล” พู่กันหัวเราะเบาๆ ก่อนเบือนหน้าหนีออกไปทางถนน เป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่รถคุ้นตาแล่นผ่านหน้าไป “...ทำไมมาอยู่แถวนี้วะ”

“หืม ใครเหรอครับ” ร่างสูงถามอย่างสงสัยก่อนหันไปมองทางถนนตามสายตาของพู่กัน เท่าที่คุยกันมาก็พอจะรู้แล้วว่าน้องมีคนในใจ ถ้าการคาดเดาของเขาไม่ผิดพลาดจากวันที่ไปกินข้าวแล้วพู่กันเลือกไม่รับโทรศัพท์ สาบานได้ว่าไม่ได้คิดจะเสียมารยาท แต่รายชื่อที่โทรเข้ามานั่นตัวใหญ่มากพอที่จะทำให้เขาเห็นว่าน้องเมมเอาไว้ว่า ‘puppy’ ที่ให้ความหมายถึงลูกสุนัข และเป็นคนที่พู่กันพูดถึงบ่อยๆ ทำให้เขาแน่ใจว่าคงจีบไม่ติด

“เปล่าหรอกครับ นี่พี่จะไปเลยหรือเปล่า เดี๋ยวสายนะ”

“ครับ เดี๋ยวพี่ซื้อขนมมาฝาก แต่ถ้าอยากได้อะไรก็ทักไปบอกไว้ได้นะ”

“แค่พี่ปัถย์นึกถึงผมก็ดีใจแล้ว” พู่กันยกยิ้ม “เดินทางดีๆ ด้วยนะครับ”

“ถ้าเกิดพี่จะขึ้นเครื่องแล้วทักมาได้ไหม” เจ้าของร่างสูงร้อยแปดสิบเจ็ดเซ็นถามอย่างประหม่า มันก็แค่อยากเห็นคำว่าเดินทางปลอดภัยอีกครั้งเป็นข้อความก็เท่านั้น

“ได้สิครับ ถึงเชียงใหม่แล้วจะทักมาผมก็ไม่ว่าหรอก”

“ครับ งั้นเราเข้าร้านได้แล้ว แดดร้อน”

“อือฮึ ขับรถดีๆ นะครับพี่ปัถย์” พู่กันฉีกยิ้มจนตาหยี ยกมือขึ้นสวัสดีคนอายุมากกว่าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ไหนจะโบกมือลาตอนที่อีกฝ่ายขับรถออกไปไกลแล้วนั่นด้วย พอรถของพี่ปัถย์ขับไปไกลจนลับสายตา เขาจึงเดินเข้าไปในร้านแล้วรีบปรี่ไปหาโทรศัพท์ที่เสียบชาร์จแบตไว้นานแล้วแถมวันนี้แทบไม่ได้จับเนื่องจากลูกค้าเยอะ

พู่กันเม้มปากตอนเห็นข้อความของครามที่ส่งเข้ามาเมื่อสองชั่วโมงก่อนว่าจะออกไปหาพี่นับ ถ้าไปหาพี่นับแล้วมาอยู่ทำไมแถวนี้วะ เขามั่นใจว่าจำได้ไม่ผิดแน่ๆ เพราะตอนที่รถขับผ่านหน้าไปก็มองป้ายทะเบียนอยู่

เขากดโทรออกไปยังเบอร์ของคนที่เมมเอาไว้ว่าลูกหมา แต่กลับมีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาด้วยคำว่า ‘เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’ นั่นน่ะ คนตัวเล็กเริ่มหงุดหงิด ไม่ว่าจะโทรไปซ้ำๆ อีกสามหรือสี่หนก็ยังคงได้รับการตอบกลับแบบเดิม พอโทรไม่รับจึงต้องทักแชททิ้งเอาไว้

it’s paint :
พี่ขับรถผ่านหน้าร้านผมปะวะ ทำไมไม่แวะอะ
ไปหาพี่นับมาเป็นไงบ้างอะ วันนี้ลูกค้าเยอะเพิ่งได้จับ
แล้วปิดเครื่องหรือแบตหมด
พี่เป็นไรปะเนี่ย

และอีกหลายข้อความที่เขากดส่งไปตามความคิดจนมันน่าจะเกินยี่สิบไปแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เปิดอ่านนั่นทำให้เขาลองโทรกลับไปอีกครั้ง แต่ก็ยังพบว่าปิดเครื่องอยู่เช่นเดิม

แล้วแบบนี้จะไปติดต่อได้จากใครล่ะวะ


*

ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 08 ; (20/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 20-10-2018 21:59:41

“มึงโอเคปะเนี่ย” เสียงของเพื่อนสนิทดังเข้ามาในโสตแข่งกับเสียงดนตรีที่บรรเลงเพลงเศร้าตอกย้ำคนอกหักแล้วมากินเหล้าได้อย่างดิบดี “เชี่ยคราม มึงไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอแดกขนาดนี้เดี๋ยวก็น็อคหรอก”

แม้จะได้ยินคำก่นด่าแต่ก็ไม่เป็นผล ครามยังคงรินน้ำสีอำพันลงในแก้วที่น้ำแข็งเริ่มละลาย หากชงเพิ่มอีกสักครั้งสองครั้งก็คงจะได้กินเหล้าเพียวๆ ตั้งแต่ยิ้มมาถึงที่นี่ก็เห็นว่ามันนั่งกินอยู่แล้ว แถมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าไปเจออะไรมา เมื่อก่อนครามเป็นแบบนี้บ่อยจนเขาชินแต่พักหลังก็เริ่มเพลาๆ ลงไปแล้วก็เลยไม่รู้ว่าวันนี้ผีห่าซาตานที่ไหนลงถึงได้กลับมาซัดแบบไม่ยั้งมือ

“ยิ้ม” คนมีอาการมึนเมาเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียงกระด้าง เพื่อนผิวแทนที่กำลังจะกระดกเหล้าได้แต่ชะงักแล้วมองด้วยความสงสัย “ไอ้ที่บอกว่ารัก ...รักจริงๆ มันเป็นยังไงวะ”

“ถามห่าไร แล้วกับไอ้นับมันไม่ใช่รักหรือไง” ยิ้มวางแก้วลงโดยที่ไม่คิดจะดื่มอีกต่อไป เพราะถ้าเปิดประเด็นมาอย่างนี้ก็รู้แล้วว่าคงจะยาว ถ้าเขากินมีหวังได้คุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะเวลาเขาเมาก็เรียกได้ว่าหมาข้างทางยังพูดรู้เรื่องกว่า “มึงเป็นไรวะ”

“กูไม่รู้”

“อ้าว เชี่ยเลยกู”

ยิ้มไม่แน่ใจว่าที่ครามกำลังเป็นอยู่ตอนนี้เพราะใครกันแน่ระหว่างนับที่เพิ่งไปเจอมากับเด็กที่โพสสเตตัสเฟซติดกันถี่ยิบแบบน่าสงสัย เช่น ‘หายไปไหนวะ’ หรือ ‘เป็นห่าอะไรเนี่ย’ และอีกหลายข้อความที่แสดงออกถึงการตามตัวใครบางคน ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าหมายถึงครามหรือไม่ เพราะส่วนตัวก็พอจะรู้มาบ้างว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์บางอย่างตั้งแต่ตอนไปเที่ยวด้วยกันครั้งก่อน อย่าหาว่าขี้เสือกแต่เขาแอบเห็นตอนที่มันทะเลาะกันในช่วงนั้น

เอาจริงๆ คือเขาเคยแอบคิดว่าชอบพู่กันเข้าให้เหมือนกันเพราะเด็กนั่นเป็นคนน่ารัก ใครอยู่ใกล้ก็อดหัวเราะไม่ได้ อีกอย่างดูเป็นเด็กขี้อ้อนไม่หยอก สุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่าความชอบตัวของเองก็แค่รู้สึกรัก ห่วง และเอ็นดูในฐานะน้องชายเท่านั้น

“นับไม่ชอบกู” เสียงแผ่วดังออกมาจากปากของคนที่เพิ่งวางแก้วเหล้าลง “กูเจ็บ ...แต่ไหว ไม่ตาย”

“เจ็บแต่ไหว แล้วนี่ห่าเหวอะไร ซัดไม่ยั้งขนาดนี้” ยิ้มถอนหายใจเพราะพอเขาถามแล้วแม่งก็เงียบ วันนี้จะคุยกันรู้เรื่องไหมวะ “ไอ้คราม กูว่ามึงพอก่อนไหม ไม่งั้นกูจะโทรไปฟ้องเงินแล้วนะเว้ย”

“อย่า”

“อีกหนึ่งตัวเลือก คือมึงเล่ามาว่าเป็นเหี้ยอะไร มาแดกแบบนี้กูไม่รู้จะช่วยยังไง”

“สัดเอ๊ย” ครามสบถด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ยกมือขึ้นลูบใบหน้าและผ่อนลมหายใจออกอย่างเชื่องช้า เขาเริ่มรับรู้ได้ถึงไอความร้อนที่กระจายออกมาจากภายใน

สับสนเป็นคำเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวสมอง ซีกหนึ่งของความคิดคือเขารู้ตัวแล้วว่าหวงพู่กันเอาเสียมากๆ ภาพตอนที่น้องยิ้มให้กับคนนั้นยังติดอยู่ในหัว ตั้งใจจะเมาเพราะอยากสลัดภาพนั้นออกไป แต่ดูเหมือนยิ่งแอลกอฮอล์เข้าสู่เส้นเลือดมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้น ครามเห็นแก่ตัวและใจแคบเกินกว่าที่คนอื่นจะเข้าใจ อยากจะสั่งห้ามไม่ให้พู่กันยิ้มให้คนอื่นนอกจากเขา แต่สิ่งที่จะได้รับกลับมาคือคำถาม

เขาหวงพู่กันในฐานะอะไร

ทุกคำพูดขององศาเริ่มกลับมาตอกย้ำและชวนให้คิดอีกหนว่าจะทำอย่างไรหากเผลอไปชอบพู่กัน จะทำอย่างไรกับความสัมพันธ์ที่มันไปต่อไม่ได้ เพราะแค่ตอบตัวเองว่าชอบน้องไหมยังสับสนเพราะงั้นตัวช่วยของเขาก็เลยต้องกลายเป็นยิ้ม 

“คราม แค่มึงเล่า กูจะไม่เอาไปบอกใครเลยจริงๆ มึงอย่าแดกเยอะขนาดนี้ น็อคไปมันไม่คุ้มกัน” ยิ้มสวนขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่สามารถทนเห็นได้คนป่วยยัดแอลกอฮอล์เข้าร่างกายในปริมาณมากขนาดนี้ได้ ถ้าน้ำเงินรู้เรื่องมีหวังได้โกรธจนพองลมออกแก้มแน่ๆ “ถ้ามึงไม่หยุด กูต้องยื่นคำขาด”

“อะไร”

“มึงจะเล่าให้กูฟังคนเดียว หรือมึงจะให้น้องมึงรู้ด้วย” ไม่ว่าเปล่ายิ้มยังควักโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมาโชว์ให้รู้ว่าไม่ได้แค่คิดจะขู่ หน้าจอโทรศัพท์มีเบอร์ของน้ำเงินเด่นหราเพียงแค่ปลายนิ้วแตะลงไปน้องก็จะรู้เรื่องทั้งหมดทันที “จะเอาไง”

“คนเหี้ย” ครามแค่นหัวเราะกับความเจ้าเล่ห์ของเพื่อนแต่ก็รู้ว่ายิ้มเป็นห่วง เขาในตอนนี้อ่อนแอเกินกว่าที่จะแบกหน้าไปหาองศาแถมยังไม่อยากให้น้ำเงินต้องมาเป็นห่วงกับปัญหาที่ตัวเขาสร้างขึ้นมา “อะไรที่มึงเรียกว่าความรักวะ”

“กว้างเกิน จะให้กูตอบแบบไหน ปรัชญาเหรอ” ยิ้มขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะถอนหายใจ ขืนเป็นแบบนี้ต่อให้มีอีกร้อยชั่วโมงก็ไม่ได้เรื่อง เขาจึงต้องตัดสินใจถามตรงๆ “มึงเป็นแบบนี้เพราะนับหรือพู่กันวะ”

คนถูกถามชะงักและส่งสายตากลับมาเสมือนจะถามว่ารู้ด้วยเหรอประมาณนี้ แต่ยิ้มก็ทำได้เพียงโบกมือปัดๆ เพราะตอนนี้มันไม่สำคัญหรอกว่ารู้ได้ยังไง ถ้าจะมานั่งเล่าสาธยายก็กลัวจะเป็นเรื่องของเขาแทน

“ถ้ากูหงุดหงิดตอนเห็นมันไปกับคนอื่น...” คนเมาตั้งสติและเอ่ยถามแต่ก็ยังไม่บอกว่าคนที่เขาพูดคือใคร แม้จะตกใจที่เพื่อนพูดชื่อพู่กันขึ้นมาแต่หากเขาไม่เอ่ยปากถึงอาจจะทำให้มันไม่ถามซ้ำก็ได้ “มึงว่ากู...”

“มึงหึงหรือหวง อะไรก็ว่าไป แต่มันจะเป็นความรู้สึกนี้แน่ๆ” ยิ้มพูดแทรกโดยที่เขายังถามไม่ทันจบ “แต่กูขอถามอีกที ถึงจะตอบได้ชัด”

“จะถามอะไร”

“มันที่มึงว่า คือพู่กันหรือนับ”

“พู่กัน” ถ้าเป็นเมื่อก่อนครามก็อาจจะยั้งคิดว่าเป็นเพราะใคร แต่ในวันนี้เขาสามารถตอบได้โดยที่สมองประมวลคำตอบออกมาเป็นชื่อของน้องมันเลย

“ใช่จริงด้วยสินะ”

“มึงรู้ได้ไง”

“หยุด มึงหยุดก่อน ตอนนี้คนถามต้องเป็นกู มึงบอกมาก่อนความสัมพันธ์มึงกับน้องนี่ยังไง แบบถึงขั้นไหนแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่ด้วย” อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้คาดเดาได้อย่างไม่ยากเลยคือ เวลาครามไปไหนมาไหนชอบอัพรูปสถานที่ลงอินสตาแกรมซึ่งพู่กันก็จะลงถัดมาหลังจากนั้นหรือบางทีก็พู่กันลงก่อนแล้วเพื่อนเขาก็ตาม แม้จะไม่มีรูปคู่กัน ลงคนละเวลา หรือลงเพียงแค่พร็อบของสถานที่นั้นซึ่งแตกต่างกัน แต่มีหรือที่สายสืบแสนเสือกอย่างเขาจะปะติดปะต่อเรื่องไม่ได้

“เซ็กส์ ตั้งแต่ตอนไปเที่ยว” สิ้นสุดเสียงของเขายิ้มได้แต่ร้องเชี่ยลากยาว “ตอนแรกมันแค่ผิดพลาด แล้วกูกับน้องเลิกยุ่งกันไปแต่มึงเข้าใจไหมยิ้ม กูทนให้มันเป็นคนแปลกหน้าไม่ได้”

“ช่วงที่มึงเมาเละๆ คราวนั้นด้วยปะวะ ที่ไอ้นับยังงงว่ามึงเป็นเหี้ยไร” ยิ้มเริ่มรื้อฟื้นเหตุการณ์เก่าๆ เพราะมีช่วงหนึ่งที่ครามก็กินแบบไม่บันยะบันยังโดยที่สาเหตุหลักปกติอย่างนับยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น “กับน้องมันออกแนว friends with benefits ปะ”

“คงงั้น”

“แล้วกับน้องมึงตั้งกฏอะไรกันไว้”

“ห้ามบอกใคร” ครามนึกย้อนกฏที่น้องตั้งแล้วเขาก็จำมันได้จนขึ้นใจและกฎอีกข้อกำลังจะทำให้เขาหงุดหงิดจนบ้าตาย “ถ้าใครมีแฟนก่อนก็ต้องเลิกยุ่งกัน”

“คนที่มึงเห็นว่าน้องอยู่ด้วยเป็นใครอะ”

“ไม่รู้ แต่น้องบอกเขามาจีบ” พอพูดถึงเรื่องนี้เขาก็หัวเสียขึ้นมาอีกแล้ว “กูไม่มีสิทธิ์ไปห้ามแต่กูหวงว่ะยิ้ม กูไม่อยากให้น้องมันมีแฟน แล้วแม่งแบบ กูทำเหี้ยอะไรไม่ได้ มึงเข้าใจไหม”

“เข้าใจแต่ไม่หมด เพราะกูไม่ใช่มึง”

“กูบอกน้องไปว่าหวง พูดจริงๆ กูโคตรหวง ไม่อยากให้ใครมายุ่ง”

“ตัดพ้อขนาดนี้”

“...”

“มึงชอบน้องแล้ว รู้ตัวยัง” เสมือนทุกอย่างรอบตัวหยุดเคลื่อนไหว พอจบประโยคของยิ้มมันเหมือนเขากลับไปเป็นเด็กหัดมีความรัก หัวใจมันเต้นแรงกับไอ้คำว่าชอบ นานแล้วที่ครามไม่ได้รู้สึกใจเต้นแรงขนาดนี้ “ไง อึ้งแดก ประมวลผล จะปฏิเสธไหม”

“คงไม่” ครามเอนหลังพิงโซฟากำมะหยี่ ยกมือขึ้นยีหัวตัวเองจนมันฟูยุ่ง สมองพร่าเบลอเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับเรื่องของตัวเอง “มึงว่าน้องจะชอบกูไหม”

“อย่ามาถาม กูไม่ใช่น้อง ถ้ามึงอยากรู้ข้อนี้ให้ไปถามเอง”

“กูกลัวคำตอบ”

“ไอ้สัด อยากบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์” ยิ้มอึ้งไม่น้อยกับคำที่ครามพูดออกมา คนอย่างมันเคยกลัวอะไรที่ไหน ตอนเรื่องของนับหากจำไม่ผิดมันเคยพูดเพียงแค่ 'จะกลัวเหี้ยอะไร ถ้าไม่ชอบก็กลับมาเป็นเพื่อนกัน' แล้วดูตอนนี้กลับกลายเป็นคนละคนเลยด้วยซ้ำ

“กูชอบน้องจริงๆ ใช่ไหมวะ”

“ตอนอยู่กับน้องแล้วเป็นไง ...หยุด มึงไม่ต้องตอบกู แค่ตอบตัวเองให้ได้ ตอนมึงชอบนับเหมือนกับตอนนี้ไหม ถ้าเหมือนก็คือใช่”

“ทำไมกูถึงชอบน้องได้ ทั้งๆ ที่กูยังรู้สึกว่ายังชอบนับอยู่” มันเป็นเพียงความสงสัยที่ตัวเองอยากรู้ เพราะเขาปักหลักปักใจว่าชอบนับมาตลอด จะให้มาเปลี่ยนก็เลยกลัวว่าตัวเองอาจจะแค่เผลอหวั่นไหวไปกับความใจดีของพู่กัน

“กับไอ้นับกูว่ามึงลองคิดให้ดีก่อนไหมว่ามึงยังชอบอยู่จริงๆ หรือแค่ยึดติด” ครามมองหน้าเพื่อนนิ่งๆ และกำลังใช้ความคิดตาม “วันนี้มึงเจอมันมาเป็นไง”

“ก็ยังเจ็บที่โดนมันปฏิเสธ แต่ไม่ได้มากเท่าเมื่อก่อน”

“ก็เนี่ย ที่มึงไม่เจ็บเท่าเมื่อก่อนเพราะใจมึงมันไม่ได้อยู่กับไอ้นับแล้วไง แม่งก็แค่นี้ไหมวะ แต่ไอ้ที่มึงยังรู้สึกเจ็บอยู่นิดๆ เพราะมึงแค่รู้สึกผิดหวังหรือเปล่าที่มันไม่เป็นไปตามที่มึงคิด” ยิ้มว่าพลางยื่นนิ้วมาจิ้มลงตรงหัวใจเขาแรงๆ สามสี่ครั้ง “ภารกิจพิชิตใจไอ้นับมึงทำมันล้มเหลวไปนานแล้วนะเว้ย ตัวมึงเองรู้ดีว่ามันลืมพี่เข็มไม่ได้ มึงอาจจะเลิกรักมันแบบนั้นได้นานแล้วด้วยซ้ำ”

“...”

“ถ้ามึงยังคิดสับสน มึงแค่ตอบตัวเองให้ได้ระหว่างมึงโดนนับปฏิเสธกับเห็นพู่กันอยู่กับคนอื่น” เขาเว้นช่วงเพื่อให้เพื่อนได้คิดตามไปทีละขั้น พอมั่นใจว่าครามตามทันแล้วจึงพูดต่อ “ใครทำให้ใจมึงเจ็บมากกว่ากันในตอนนี้ ...กูย้ำนะว่าในตอนนี้”

“พู่กัน” ชื่อของรุ่นน้องดังแผ่วจากน้ำเสียงแหบแห้ง ไม่รู้ว่าครามรู้ตัวไหมว่าพูดออกมาหรือรู้ตัวแต่ตั้งใจพูดเสียงเบาเพราะกลัวว่าเขาจะได้ยิน แต่ไม่ว่าจะเป็นไปในทางไหนเขาก็ต้องพูดต่อไปเพื่อบอกให้เพื่อนได้รู้ตัวสักทีว่าคนที่มันชอบได้เปลี่ยนไปเป็นอีกคนแล้ว

“ถ้าพู่กันทำให้ใจมึงเจ็บมากกว่า”

“...”

“ใจมึงก็อยู่ที่น้องแล้วไงวะ”

“...”

“มึงคงฉลาดพอที่จะรู้ว่าต้องทำไงนะ”


*

พู่กันนั่งมองโทรศัพท์ที่มีแบตเหลือเพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์เนื่องจากไม่ได้ชาร์จตั้งแต่เมื่อคืน ได้แต่นั่งอ่านข้อความที่ตัวเองส่งไปหาครามซ้ำๆ จนไม่รู้ว่าเป็นข้อความเท่าที่ไหร่แล้ว รวมไปถึงประวัติการโทรออกไปหาเบอร์ที่เมมเอาไว้ว่า ‘puppy’  เพราะครามชอบทำตัวเป็นลูกหมาวุ่นวายแต่ก็เฝ้าบ้านได้ และเขาโทรไปเกือบร้อยสาย

“ยังติดต่อไม่ได้หรือไง” เหมยถามด้วยน้ำเสียงนิ่ง จากเมื่อคืนที่พู่กันโทรมาปรึกษาว่าควรทำอย่างไรเพราะติดต่อครามไม่ได้ เขาก็อยากจะช่วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยแบบไหน จะให้โทรไปถามน้ำเงินว่าครามไปไหนก็คงทำไม่ได้ เพราะไม่ได้สนิทกับรุ่นพี่ถึงขั้นที่จะถามไถ่

“อือดิ เป็นห่าอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้” พู่กันเป็นกังวลอย่างมากเพราะไปหาที่บ้านก็เจอเพียงแค่ความเงียบ แถมยังไม่กล้าบอกเหมยว่าไปหาครามที่บ้านมาเมื่อคืน “กูมั่นใจว่าใช่พี่มันจริงๆ นะเว้ย”

“อาจจะแบตหมด” ไม่รู้ว่าควรจะพูดแบบไหนไม่ให้คิดมาก แต่สิ่งที่เขามองออกคือความรู้สึกของเพื่อนที่ก้าวเข้าไปมากกว่าเดิมจนคิดว่าอาจจะถอนตัวไม่ทันแล้ว “พู่กัน”

“ว่า”

“มึงถอยไม่ได้แล้วใช่ไหม” คนที่นั่งจ้องแต่โทรศัพท์เงยหน้าขึ้นมองทันที พู่กันถอนหายใจเบาๆ และวางเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมในมือลงบนโต๊ะ ยังคงลังเลว่าควรจะเล่าให้เหมยฟังดีไหมเรื่องที่ครามบอกว่าหวงเขาในวันก่อน มันเป็นคำพูดเดียวที่พาลให้ใจเขาถลำลึกลงไปมากกว่าเดิม “มีอะไรจะพูดหรือเปล่า”

“…”

“ไม่บังคับ”

“พี่มันบอกหวงกู” เหมยอึ้งไปเล็กน้อยตอนที่เขาพูดจบ สองมือเล็กยกขึ้นมาปิดหูเพราะรู้ว่าสิ่งที่จะตามมาคือคำด่า พู่กันนั่งมองเพื่อนตรงหน้าก่อนจะขมวดคิ้วยุ่งเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรสักคำ “อ้าว มึงไม่ด่ากูอ่อ”

“ด่าแล้วได้อะไร”

“...”

“ด่าไปมึงก็ชอบเขาอยู่ดี”

บทสนทนาของเราจบลงตอนที่น้ำเงินเดินมานั่งลงที่โต๊ะ ไม่ใช่ครั้งแรกที่พู่กันมีเรื่องมากมายอยากจะถามเพื่อนสนิท แต่ติดตรงสิ่งที่อยากรู้มันเป็นความลับ หากถามออกไปก็มีแต่ทำให้เพื่อนแคลงใจ เนื่องจากน้ำเงินรู้เพียงแค่ว่าเขาไม่ถูกกับคราม แม้จะไกล่เกลี่ยให้กลับมาคุยกันแล้ว แต่เวลาอยู่ต่อหน้าพวกเขาก็พูดกันแบบนับประโยคได้

“เหมย! กูจะฆ่ามึ้งงง” เสียงตะโกนที่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลังจนเจ้าของชื่อต้องหันไปมอง แฝดคนน้องวิ่งมาแบบสี่คูณร้อยก่อนจะใช้แขนรัดคอคล้ายโกรธเคืองกันมาสิบชาติ ถัดมาจากนั้นไม่ถึงนาทีเพลิงก็ตามมาสบทบติดๆ “มึงทำแบบนี้ได้ไง ห๊า!”

“หมิงปล่อยเหมยก่อน เดี๋ยวหายใจไม่ออก” น้ำเงินที่นั่งอยู่เอ่ยห้ามด้วยสีหน้าตระหนก แม้จะเคยชินกับการทะเลาะกันของสองแฝด แต่ถ้าไม่ห้ามมีหวังเหมยได้ขาดอากาศหายใจตายแน่

“มึงไปตกมันที่ไหนมาวะ” พู่กันถามเสียงติดหัวเราะเมื่อหมิงรัดคอแฝดพี่ชายอย่างเอาเป็นเอาตายจนเพลิงต้องมาจับให้แยกออก


“แค่ก—” เหมยสำลักก่อนตวัดสายตาไปถามด้วยสายตาว่าไปทำอะไรให้

“มึงทำลายเวลานอนกู ไอ้เชี่ยๆๆๆๆ”

“ทำอะไร”

“ทำไมมึงไม่รับสายเพ่ย น้องโทรมาจิกกูตั้งแต่เช้า” หมิงบ่นอุบก่อนจะควักโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาโชว์ว่าเพราะเหมยไม่รับสาย ทำให้เขาต้องคุยกับเพ่ยเพ่ยตั้งหนึ่งนาที แต่การกระทำของหมิงกลับทำให้พี่ชายฝาแฝดถอนหายใจออกมาดังเฮือก “มึงจะถอนหายใจใส่กูไม่ได้สิเหมย”

“หมิงน่ารำคาญ”

“ไอ้เหม๊ยยยยยย!” พอโดนว่าเข้าแบบนั้นหมิงก็ทำทีจะกระโจนเข้ามาบีบคอแต่คนพี่รู้ทันจึงหันไปดันหน้าผากไว้ “นั่นคู่หมั้นมึงนะโว้ยยยย”

“เดี๋ยว หมั้นเหรอวะ ไอ้เหี้ย” เพลิงท้วงขึ้นมาอย่างสงสัย ก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าเพ่ยเพ่ยเป็นคนที่ป๊าไอ้แฝดดูตัวไว้ให้เพราะอยากให้มีครอบครัว เคยถามหมิงก็บอกว่ายังไม่รู้รายละเอียดมากเพราะเหมยตั้งใจว่าจะคุยเรื่องงานแต่งหลังเรียนจบ “ไหนมึงว่าเรียนจบไง”

“ป๊ากูจะให้หมั้นไว้ก่อนอะดิ กลัวไอ้เหมยชิ่ง”

“แล้วไอ้เหมยมึง...”

“เฮ้ย เงินเป็นไร” พู่กันจำต้องท้วงขึ้นมาขัดจังหวะเพลิงด้วยน้ำเสียงตระหนกตอนเห็นเพื่อนสนิทนั่งนิ่งหลังจากปล่อยโทรศัพท์ที่อยู่ในมือตกลงบนโต๊ะ และมันน่าตกใจมากกว่าสิ่งใดทั้งสิ้นเมื่อเจ้าของเรือนผมสีดำร้องไห้ออกมา “น้ำเงิน เฮ้ย ร้องไห้ทำไม เป็นอะไร บอกพู่”

เพื่อนอีกสามคนทำอะไรไม่ถูก ไอ้ที่บอกว่าให้ตั้งสติควรจะเป็นพวกเขามากกว่าที่ลนลาน สุดท้ายแล้วคนที่มีสติที่สุดในกลุ่มคือเหมย รายนั้นคว้าเอาโทรศัพท์ในมือของน้ำเงินขึ้นมาดูว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เพื่อนตัวจ้อยร้องไห้ออกมาขนาดนี้

(หนู ฟังพี่อยู่ไหม ...น้ำเงินครับ)

“พี่” เหมยเพียงแค่พูดออกไปสั้นๆ เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าคนที่ฟังอยู่ไม่ใช่น้ำเงิน

(เหมย ฝากดูน้ำเงินหน่อยครับ พี่กำลังวนรถกลับไปรับ) น้ำเสียงที่ลอดออกมาจากโทรศัพท์ดูตระหนกไม่แพ้กัน คนฟังขมวดคิ้วยุ่งขณะหันไปมองเจ้าของโทรศัพท์ที่ตอนนี้ร้องไห้จนเหมือนคนขาดสติ

“มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ”

(ครามอยู่โรง’บาลครับ ฝากดูน้ำเงินให้พี่หน่อย อย่าให้น้องไปไหนนะ)

“ตกลงมีอะไรวะ” เพลิงถามก่อนที่หมิงและพู่กันจะหันมามองที่เขาเป็นตาเดียว เพราะอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เหมยวางโทรศัพท์ลงแล้ว “ไอ้เหมย”

“พี่ครามอยู่โรงบาล” สิ้นสุดคำพูดของเหมยไม่ได้คงไม่ได้มีเพียงน้ำเงินที่เป็นห่วง ดวงตาเรียวรีตวัดมองเพื่อนอีกคนที่โทรหาและส่งข้อความหาครามทั้งคืน และเป็นอย่างที่คิดพู่กันในตอนนี้นั่งนิ่งไปเสียแล้วเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็คงต้องรอจนกว่าองศาจะมาถึงที่นี่

และหวังเพียงว่าพู่กันจะไม่สติแตกไปอีกคน

*

tbc
พี่เขารู้ตัวแล้วค่ะแม่ๆ อย่าด่าเย้อะะะะ 55555 อยากบอกว่ารัก เดี๋ยวพาไปเล่นในสวนสนุก ไวกิ้งๆๆ
ส่งคอมเมนต์ให้กำลังใจหรือแปะแท็กได้ที่ #โซ่สีคราม นะงับ ขอบคุณทุกๆ คนมากนะคะ T____T
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 08 ; (20/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 20-10-2018 22:49:13

……

เกิดอะไรขึ้นกับคราม????

ทั้งพู่กันและครามต่างก้อเริ่มรู้ใจตัวเองละ แต่จะได้คุยกันไหม

หรือต้องให้มีตัวช่วยนะ


 :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:


หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 08 ; (20/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 21-10-2018 01:49:58
ว้ากกกกกก ค้างสุดๆๆครามเป็นไรอีกงะะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 08 ; (20/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 21-10-2018 06:08:37
เรื่องเหมือนจะชัดเจนขึ้นนะ ถ้าไรท์ไม่แกล้งคนอ่านให้ปวดจิตอีก
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 08 ; (20/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 21-10-2018 07:45:47
พี่ครามมมมมมม อิพี่นี่แม่งทำน้องพู้เป็นห่วง พี่เมาแล้วขับใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 08 ; (20/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 25-10-2018 01:11:40
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 09 ; (25/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 25-10-2018 20:33:16
09
worst battle


//


“เราบอกเฮียแล้วใช่ไหมว่าอย่าหักโหม” เสียงของน้ำเงินดังขึ้นทำลายความเงียบ ภายในห้องพักผู้ป่วยมีเพียงเขาคนเดียวที่นั่งอยู่ กลุ่มเพื่อนของเขาบอกว่าจะตามมาทีหลังเพราะจำเป็นต้องเข้าคลาสไปเลคเชอร์วิชาสำคัญ องศากับนับยังคุยอยู่กับหมอพัต ส่วนคนที่แบกครามมาโรงพยาบาลอย่างพี่ยิ้มพอเจอหน้าองศาก็รีบถ่อกลับไปบ้านเพื่อจัดเสื้อผ้าเตรียมบินไปญี่ปุ่นกะทันหันเนื่องจากลูกพี่ลูกน้องป่วยหนัก

ความจริงคือหมอพัตสั่งให้แอดมิทเพราะอยากดูอาการก่อน แต่คนป่วยตั้งท่าจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านอย่างเดียวด้วยความที่น้ำเงินเป็นห่วงจึงขอให้อยู่ สุดท้ายครามก็ต้องยอมแพ้และไม่ขัดใจเนื่องจากรู้สึกผิดที่ทำให้น้องชายต้องร้องไห้จนตาบวม

“เฮียก็...”

“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลยนะ” คนเป็นพี่ชายทำหน้าหงอยเมื่อโดนดุ ปกติน้ำเงินจะไม่งอแงใส่ขนาดนี้แต่ครามรู้ว่าน้องเป็นห่วงแค่ไหน “เราโกรธเฮียจริงๆ ด้วย”

“เฮียขอโทษครับ”

“เราบอกเฮียแล้วว่าถ้าไม่ไหวก็พัก เราตกใจมากๆ ตอนพี่ศาโทรมาบอก” น้ำเงินบ่นก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปใกล้ๆ เตียงคนป่วย เขามองหลังฝ่ามือของครามที่มีสายน้ำเกลือเจาะอยู่ ไหนจะผ้าก๊อซสี่เหลี่ยมที่ปิดแผลตรงศีรษะ ครามวูบแล้วล้มแถมยังโชคร้ายเพราะหัวดันไปกระแทกกับขอบโต๊ะ “ตอนล้มลงไป... เฮียเจ็บหรือเปล่า”

“ไม่เจ็บครับ เฮียไม่รู้สึกตัวเลย ...ไม่ร้องไห้สิ ไม่เป็นอะไร...”

“เดี๋ยวพี่พัตจะมาดู” เสียงของผู้มาใหม่อย่างนับเงินดังขัดจังหวะ อีกฝ่ายเข้ามาเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครได้สังเกต อาจเพราะเสียงประตูนั้นเบาเกินกว่าที่จะได้ยินเวลาที่มีคนเปิดเข้าออก หมอพัตเป็นเพื่อนของเข็มทิศนั่นเลยทำให้นับมีความสนิทใจมากพอที่จะเรียกแทนตัวหมอว่าพี่ “น้ำไม่ต้องห่วงนะ ไม่เป็นอะไรแล้ว มันตายยาก”

“ขอบคุณนะครับพี่นับ” น้ำเงินยิ้มก่อนจะโดนพี่นับโยกหัวไปมาด้วยความเอ็นดู “แล้วพี่ศาล่ะครับ”

“ไปมินิมาร์ทครับ เห็นบอกจะไปหาอะไรให้น้ำกิน นี่มันทำตัวไม่ถูกเลยตอนน้ำร้องไห้ บ่นมาตลอดทาง” คนฟังได้แต่เม้มปากเพราะเขาทำให้องศาเป็นห่วง ก่อนจะหันไปมองหน้าพี่ชายที่นั่งอยู่บนเตียง โดยที่ครามเองก็รู้ว่าน้องจะพูดอะไร

“ไปหาศาก็ได้ครับ เฮียอยู่ได้ แต่หนูต้องขึ้นมาหาเฮียนะ”

“อื้อ เราก็ต้องขึ้นมาอยู่แล้ว คืนนี้เราจะนอนเฝ้า” น้องชายแตะฝ่ามือลงบนหน้าผาก ไอความร้อนยังคงกระจายอยู่ทั่วเพราะพิษไข้ยังคงอยู่ “เดี๋ยวเรามาคิดบัญชีเฮียแน่”

“หยิบที่อุดหูรอแล้วครับ ...อย่าขยี้ตานะ” คนพี่พูดเสียงติดหัวเราะก่อนยกมือไปเกลี่ยแก้มให้กับเด็กดื้อเบาๆ เขามองน้องชายเดินออกไปจากห้องทำให้เหลือเพียงแค่นับที่นั่งอยู่แทน “ถ้ามึงมีธุระก็ไปทำ กูอยู่คนเดียวได้”

“ป่วยแล้วงอแงอะไรของมึงอีก” เจ้าของร่างบางเอนหลังพิงโซฟาขณะที่สายตายังคงจ้องไปที่คนบนเตียงที่ถอนหายใจหนัก

“เปล่า”

“กูมากกว่าไหมที่ต้องโกรธมึง กูไม่บอกน้ำว่ามึงสัปดนไปกินเหล้าทั้งที่รู้ว่าป่วยก็บุญแค่ไหนแล้ว นี่ถ้าไอ้ยิ้มไม่อยู่ด้วยมึงได้นอนแหมะอยู่ที่บ้านคนเดียวแน่ กว่าจะรู้ก็น็อคตายแล้วมั้ง” นับตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หมอพัตบอกอาการวูบของครามเกิดจากหลายสาเหตุทั้งป่วยทั้งดื่มแอลกอฮอล์ ไหนจะพักผ่อนน้อยอีก ก็จะไม่ว่าอะไรเลยสักคำหากเมื่อวานหลังจากเจอเขาแล้วครามกลับไปนอนพักอยู่ที่บ้านไม่ออกไปร่อนไหน แต่มันดันทุรังแบกร่างตัวเองไปผับแล้วกลับตอนตีสามแถมยังคิดจะหิ้วสารร่างตัวเองเข้ามหา'ลัยอีก โชคดีที่ยิ้มไปนอนค้างที่บ้านด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้ตามตัวกันวุ่นเพราะมันปิดเครื่องจนติดต่อไม่ได้

“ขอบคุณแล้วกัน” ครามว่าพลางเอนตัวลงบนที่นอนบ้าง เขาคงพูดอะไรมากกว่าคำขอบคุณไม่ได้ ไอ้เมื่อคืนที่หนีไปกินเหล้ามันแน่ชัดแล้วว่าเป็นเพราะพู่กัน

“โทรศัพท์มึงไปไหน”

“อยู่บ้าน”

“ปิดเครื่อง?”

“เออ”

“มึงนี่แม่ง” นับลุกขึ้นไปหาแล้วถอนหายใจเบาๆ ระหว่างเขากับครามมันตึงมาตั้งแต่ที่อีกฝ่ายชวนไปทะเล ซึ่งเขาก็ตอบตกลงไปง่ายๆ เพราะอยากจะใช้เวลานั้นบอกครามให้ตัดใจอย่างจริงจังสักที แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเขาที่เบี้ยวนัดเพราะต้องบินไปสิงคโปร์เพื่อเปิดตัวแบรนด์ของที่บ้านกับครอบครัวและพี่เข็ม ก็เลยคิดว่าตัวเขาอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เพื่อนสนิทพาตัวเองไปเมาทั้งที่สภาพร่างกายไม่เต็มร้อย แต่ความคิดก็ไม่ถูกต้องหลังได้ฟังเรื่องราวจากยิ้มคร่าวๆ “หันมา”

“กูจะนอน” คนที่นอนหันหลังอยู่ขานออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แม้จะรู้ว่าไม่ได้ชอบนับแล้วแต่มันก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี

“หันหน้ามา”

“อะไร”

“กูสั่งให้หันมา” ด้วยความที่ไม่อยากมีปัญหาเจ้าของใบหน้าซีดจากพิษไข้จึงหันมาตามคำสั่ง ก่อนสองแก้มจะโดนประกบด้วยฝ่ามือเรียวสวย “มึงไปกินเหล้าเพราะกูปฏิเสธมึงเหรอ”

“ไม่”

“แต่เป็นเพราะน้องพู่ใช่ไหม” ครามชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เพราะไม่อยากปฏิเสธสิ่งที่รู้สึก “ตั้งแต่ตอนไหนวะ”

“กูไม่รู้”

“มึงชอบน้องจริงๆ ใช่ไหม” นับถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาเพียงแค่เป็นห่วงเพราะกลัวว่าเพื่อนสนิทอาจจะแค่หวั่นไหว และมันคงไม่ดีนักหากไปรู้ตัวเอาทีหลังว่าไม่ได้ชอบจริงๆ เพราะถ้าเกิดน้องพู่ชอบครามขึ้นมามันคงจะเป็นความสัมพันธ์ที่ยากเกินกว่าจะอธิบาย เขาไม่ได้คิดอยากจะกั๊กหรืออะไร ถ้าครามชอบน้องพู่จริงๆ ก็จะดีใจด้วยเพราะน้องเป็นเด็กที่น่ารักมากๆ คนหนึ่งจากตอนที่ไปเที่ยวด้วยกันครั้งนั้น “มึงไม่ได้แค่...”

“นับ ความรู้สึกกูมันจริงทุกอย่าง กูแน่ใจว่าไม่ได้แค่เหงาหรือชอบเพราะน้องมันใจดี กูทบทวนมาทั้งคืนแล้ว” เสียงทุ้มพูดออกมานิ่งเรียบ มือใหญ่จับมือเพื่อนให้ออกจากไปจากใบหน้า “ที่กูชอบมึงมันก็จริง”

“…”

“ที่กูชอบน้องมันก็จริงเหมือนกัน กูไม่ได้พูดพล่อยๆ ว่าชอบน้องเพราะมึงไม่รักกู อีกอย่างกูคงเลิกรักมึงแบบนั้นได้นานแล้ว” จากที่นับพยายามบอกให้เราคุยกัน ครามคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วจริงๆ ไม่ต้องฝืนหรือพยายามต่อไปอีกแล้ว “กูพูดตรงๆ ว่ากูเจ็บตอนที่มึงบอกไม่รัก กูเจ็บทุกครั้งเลยนับ”

“กูขอโทษ”

“มึงไม่ต้องขอโทษ เพราะวันนี้กูไม่ได้เจ็บเหมือนก่อนกับมึงกูคงด้านไปนานแล้วว่ะ แล้วกูก็เพิ่งรู้ว่าจริงๆ แค่ผิดหวังเพราะเหมือนเล่นเกมผ่านทุกด่านแต่ไปตายเอาด่านบอส เล่นกี่รอบก็ตายแล้วกูคาดหวังว่าจะผ่าน แต่ไม่ กูผ่านไปไม่ได้ มันก็เลยรู้สึกเจ็บ” เขาหัวเราะเบาๆ “กูบังคับให้มึงมารักกูไม่ได้หรอก”

“แล้วมึงกับกู...”

“เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม” ครามพูดเสียงนิ่งเรียบ หากแต่นับกำลังจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เพราะตอนแรกสิ่งที่กลัวมากๆ คืออีกฝ่ายไม่อยากจะเป็นเพื่อนกันต่อไป “กูขอโทษที่ทำให้มึงอึดอัดมาตลอด แต่กูไม่รั้นแล้วว่ะนับ”

“กูขอโทษทุกอย่างเลย ขอโทษ ... ฮึก ที่ทำเหมือนให้ความหวังมึงด้วย...” นับร้องไห้ออกมาได้อย่างไม่อาย ความรู้สึกทุกอย่างมันเหมือนถูกปลดล็อค “ขอโทษจริงๆ”

“ไม่ได้ผิดที่มึงคนเดียวหรอก กูรู้มาตลอดว่ามึงลืมพี่เข็มไม่ได้แต่ก็ยังคาดหวัง” เขาไม่อยากโทษว่ามันเป็นความผิดของนับคนเดียว ถ้าจะผิดก็คงจะเป็นเราทั้งคู่ที่เล่นตลกกับความรู้สึกของตัวเองมาตลอด “ไม่ต้องห่วงใจกูแล้วนับ มึงห่วงใจมึงเหอะ”

“แล้วน้อง...”

“ไม่รู้ กูไม่รู้ว่าน้องชอบกูไหม” ครามแทรกขึ้นมาเพราะคำถามของนับก็คงไม่พ้นว่าพู่กันชอบเขาหรือเปล่า “กูอาจจะผิดหวังเหมือนตอนที่รักมึงก็ได้”

“…”

“แต่กูชอบน้อง” เขายืนยันอีกครั้ง สิ่งที่เขาจะพูดถัดจากนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอยากประชดแต่อย่างใด แต่เป็นความรู้สึกจริงๆ ที่เขาอยากจะบอกให้นับได้รับรู้ว่าไม่ต้องคิดอะไรอีกต่อไปแล้วในเรื่องของเรา “แล้วกูคงชอบมากกว่าตอนที่ชอบมึง”

เพราะหลังจากนี้มันจะมีแค่เรื่องของครามกับพู่กัน

*

 “ลงไปก่อนไหม” พู่กันเบ้ปากตอนได้ยินเพื่อนสนิทเอ่ยปากไล่ เขากวาดสายตามองหาที่จอดรถบนลานโดยไม่ตอบคำถามจนเหมยต้องพูดออกมาอีกครั้ง “เดี๋ยวหาที่จอดแล้วตามไป”

“ไปพร้อมกันก็ได้ กูไม่ได้...”

“ห่วงเขาก็ไปดู” ไม่รอให้พู่กันได้พูดจบเหมยก็แทรกขึ้นอีกครั้งขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่บนถนน ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้รถถึงได้เยอะเป็นพิเศษเพราะวนหาที่จอดมาประมาณสามรอบได้แล้ว

กว่าจะเลิกคลาสก็ใช้เวลานานพอสมควร เขารู้ว่าตอนนั่งเรียนในคลาสพู่กันจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเนื่องจากห่วงคนที่นอนอยู่โรงพยาบาลแถมยังแทบไม่ได้จดในสิ่งที่อาจารย์พูด พอเลิกก็เลยต้องรีบขับรถพามาก่อน ซึ่งทีแรกเขาโดนป๊าโทรตามกลับไปที่บ้านเรื่องเพ่ยเพ่ย แต่ด้วยความห่วงพู่กันก็เลยสั่งให้หมิงไปรับหน้าแทนก่อนและเพลิงก็กลายเป็นองครักษ์ห้อยตามไปด้วย เวลาที่เพื่อนเขาไปบ้านป๊ามักจะไม่ค่อยกล้าดุอะไรมากนัก

โชคดีที่แฝดน้องไม่ได้ท้วงหรืองอแงอะไรแถมยังฝากให้ดูน้ำเงินด้วยว่าเป็นอย่างไรบ้าง เหมยไปรับพู่กันที่บ้านเพราะเจ้าตัวเอามอเตอร์ไซค์ไปเก็บ เพื่อนตัวจ้อยขับรถใหญ่ไม่เป็นและมันคงอันตรายเกินไปหากให้ขี่มาที่โรงพยาบาลทั้งที่จิตใจมีแต่ความกังวล อีกอย่างหนึ่งที่เขาอาสามาส่งก็เพราะเป็นห่วงเพื่อนอีกคนที่ร้องไห้จนเหมือนจะขาดใจตอนรู้ว่าครามอยู่โรงพยาบาลนั่นด้วย แม้จะรู้ดีว่าน้ำเงินมีองศาดูแลอยู่แล้วก็ตาม

“กูรอไปพร้อมมึงดีกว่า”

“ลงไป” พู่กันร้องอ้าวทันทีที่โดนเอ่ยปากไล่อีกครั้ง “สามวิ”

“มึงไล่กูอ่อ”

“อืม อย่าลีลา” น้ำเสียงดุๆ นั่นทำให้เพื่อนข้างกายต้องปลดเข็มขัดนิรภัยออก “เดี๋ยวตามไป”

“ขอบคุณมากนะมึง”

พู่กันรอจนเหมยขานตอบก่อนรีบลงมาจากรถ อย่าหาว่าเวอร์เกินไปแต่ใจเขาตอนนี้มันพาเดินไปหาครามแล้ว ยอมรับว่าเขาไม่มีสติเลยตอนรู้เรื่องแต่ก็ต้องพยายามไม่แสดงอาการอะไรมากนัก ความรู้สึกเป็นห่วงมันโถมเข้ามาหมด อยากรู้หลายๆ เรื่อง อยากถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงปิดโทรศัพท์ ไปทำยังไงถึงได้ล้มจนหัวฟาดโต๊ะและเจ็บมากหรือเปล่า

เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาก่อนกดโทรหาน้ำเงินเพราะไม่รู้ว่าครามอยู่ห้องไหนชั้นไหน ยังดีที่พวกเพื่อนบอกเอาไว้ว่าเลิกคลาสแล้วจะเข้ามาเยี่ยม ไม่อย่างนั้นมันคงผิดสังเกตหากเขาเป็นคนเดียวที่มาหาคราม

“เงิน พี่มึงอยู่ชั้นไหนนะ” กรอกเสียงลงไปทันทีที่อีกฝ่ายกดรับ ร่างบางเดินจ้ำๆ ไปหน้าลิฟต์และรอให้เจ้าตู้สี่เหลี่ยมนั่นลงมาจากชั้นเก้า ดวงตาไล่มองตัวเลขที่กำลังลดลงเรื่อยๆ “ห้องด้วย”

(ชั้นเจ็ด ห้องห้า พู่มาถึงแล้วเหรอ)

“เออ มึงอยู่ห้องปะ”

(ไม่ๆ เราอยู่มินิมาร์ทกับพี่ศา แต่พู่ขึ้นไปได้เลย เรารอจ่ายเงินเดี๋ยวก็ขึ้นไปแล้ว ...เอ้อ แล้วพู่จะเอาอะไรไหมเราจะซื้อไปให้)

“ไม่เอา มึงซื้อเสร็จก็ขึ้นมาเหอะ” เขากดวางสายเมื่อเพื่อนสนิทขานตอบก่อนจะก้าวขาเข้าไปภายในลิฟต์ทันที นิ้วเรียวกดไปยังชั้นเจ็ด ถ้าขึ้นลิฟต์ก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีแต่พู่กันก็ร้อนใจเลยมีความรู้สึกว่ามันนานเหลือเกิน เขาตั้งใจเอาไว้ว่าถ้าเจอหน้าครามจะด่าเอาสักทีโทษฐานที่ทำให้เขาเป็นห่วงและเรียนไม่รู้เรื่อง

พอเสียงแจ้งเตือนของลิฟต์ดังขึ้นในชั้นที่กำหนด ร่างบางรีบก้าวขาฉับๆ ก่อนเดินตรงไปหาห้องเจ็ดศูนย์ห้าด้วยความเร่งรีบ พอหยุดอยู่หน้าประตูก็เปิดเข้าไปโดยที่ไม่ทันได้เคาะเพราะคิดว่าครามอยู่คนเดียว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมาผิดเวลาเกินไปหน่อย

พู่กันถอยหลังออกมาทีละก้าวและกลับมายืนอยู่หน้าห้องด้วยเวลาที่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งนาที ความรู้สึกชาเกิดขึ้นชั่วขณะ แม้จะเห็นเพียงแค่ด้านหลังก็พอจะมองออกว่าท่าทางอย่างนั้นคืออะไร ใบหน้าที่อยู่ในระดับเดียวกันและสองมือที่ประคองไว้ ...พี่ครามกับพี่นับน่ะ

ก็จูบกันไม่ใช่เหรอ

พอกลับมายืนอยู่หน้าห้องก็ลังเลว่าควรจะทำอย่างไรกับสถานการณ์เมื่อครู่และเขาก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่ลิฟต์โดยที่ไม่เปิดเข้าไปให้คนป่วยเจอหน้าอีก เพราะความรู้สึกมันบอกว่าเขาไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไป ครามเคยบอกเขาว่ากับนับเคยเพียงแค่กอดและจับมือ ไม่เคยมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น แต่ที่เห็นเมื่อกี้นั่นก็หมายถึงว่าทั้งสองคนตกลงกันได้แล้วใช่หรือเปล่า

เมื่อคืนครามไปไหนมาเขาก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำ แต่ที่ถามไปในแชทว่าคุยกับพี่นับแล้วว่ายังไงบ้างตอนนี้ก็รู้คำตอบแล้ว ภาพที่เห็นมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว และที่ครามปิดโทรศัพท์ก็คงเพราะอยู่กับพี่นับคงไม่อยากให้เขารบกวน มีค่าเวลาเหงาสัดๆ สองขาพาตัวเองมาหยุดอยู่หน้าลิฟต์โดยที่เฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ ว่าเขาเป็นอะไรกันแน่สำหรับคราม

ริมฝีปากเล็กขบกัดเข้าหากันทีละนิด ทำไมต้องรู้สึกใจสั่นเหมือนจะขาดเสียให้ได้ และมันคงเป็นความโชคร้ายซ้ำสองที่ทำให้เขาเจอน้ำเงินกับพี่องศาตอนประตูลิฟต์เปิดออก หากรู้ว่าลิฟต์ตัวที่กำลังรอมีเพื่อนเขาอยู่พู่กันก็คงจะไม่ยืนอยู่ตรงนี้ แม้จะเป็นชั้นเจ็ดแต่เขาก็จะวิ่งลงไป

“อ้าว พู่จะไปไหน ไม่เข้าไปหาเฮียเหรอ”

“กูมีธุระด่วนว่ะ ...เดี๋ยวไว้กูมาใหม่นะ ค่อยคุยกันนะมึง”

เพิ่งจะรู้ว่าวันนี้เขาโกหกได้ไม่เนียนสุดๆ พู่กันรีบวิ่งเข้ามาก่อนปิดประตูลิฟต์เพราะเกรงว่าเพื่อนสนิทจะซักอะไรมากกว่านั้น และเขาก็คงทนไม่ไหวหากจะพูดในสิ่งที่เห็นแบบไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้หัวใจมันรู้สึกเจ็บไปหมด พู่กันผ่อนลมหายใจออกเพื่อพยายามปรับสติของตัวเองให้เป็นปกติ แต่ภาพที่เห็นก็ยังคงชัดเจนอยู่ภายในสมอง กัดริมฝีปากแน่นและก้มหน้าลงตอนที่ลิฟต์จอดเพื่อรับคนอื่นเข้ามาด้วย

ที่เขาเป็นอยู่มันเรียกว่าอกหักใช่ไหมนะ ถ้าใช่ ...ก็เพิ่งเข้าใจว่าอาการของคนอกหักมันเจ็บเหมือนจะขาดใจก็วันนี้

มือไม้มันสั่นจนเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ขอบตาร้อนผ่าวแบบน่ารำคาญ แถมยังรู้สึกเหมือนมีเข็มเป็นร้อยมาทิ่มอยู่ตรงหัวใจ ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลยจริงๆ ไม่ชอบความรู้สึกที่ต้องเก็บความอึดอัดทุกอย่างเอาไว้ก่อน ทั้งที่ใจเขามันร้องไห้ออกมาตั้งแต่ตอนออกมายืนอยู่หน้าห้องแล้ว เขาหยิบเอาโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมากดโทรออกไปที่เบอร์ของเหมยเมื่อลิฟต์หยุดลงที่ชั้นหนึ่ง

พู่กันเดินออกมาระหว่างรอให้ปลายสายกดรับ สองขาเสมือนไม่มีแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ แรงโน้มถ่วงเป็นห่าเป็นเหวอะไรกับไอ้แค่อกหักวะ รออยู่ไม่นานนักเหมยก็กดรับสายโดยที่เขาไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้เพราะมันติดอยู่ที่ปาก

(ว่า) เขานิ่งไปตอนที่ได้ยินเสียงเหมยจนอีกฝ่ายต้องพูดซ้ำ (พู่กัน)

“มึง... อยู่ไหนวะ” ทำไมมันถึงได้อ่อนแอไปหมดเพียงแค่ได้ยินชื่อตัวเองจากปากเพื่อนสนิทอกหักก็เจ็บแค่ที่ใจไปดิทำไมต้องมาพาลให้ใจสั่น เสียงสั่นไปหมดด้วยวะ แม่ง

(ร้องไห้?)

“เหมยกู ...” ไม่ทันที่จะปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติคนในโทรศัพท์ก็แทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร้อนใจ

(อยู่ไหน)

“หน้าตึก”

(รอตรงนั้น เดี๋ยววนไป) เขาขานตอบไปเบาๆ ก่อนจะกดวางสายเพื่อรอให้เหมยมารับ

พู่กันไม่ใช่คนเข้มแข็งมากพอที่จะเก็บความเจ็บปวดทุกอย่างเอาไว้ได้โดยไม่แสดงออกมา เขามันวางใจเกินไปจนปล่อยให้ตัวเองรู้สึกได้มากมายขนาดนี้ ถ้าเชื่อเหมยตั้งแต่แรกมันก็คงจะไม่เกินขึ้น ไม่น่ารั้น ไม่ควรปล่อยให้ชอบ และไม่ควรเพ้อฝันไปกับคำว่าหวงของครามเลยจริงๆ

รออยู่ไม่ถึงสิบนาทีรถของเหมยก็วนมาเทียบหน้าตึก พู่กันรีบเดินอ้อมไปขึ้นรถด้วยความรวดเร็วเสมือนว่าพื้นที่ที่ยืนอยู่ไม่ใช่ที่ปลอดภัยของตัวเองอีกแล้ว

“ยังไม่ต้องเล่า” เหมยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเมื่อเห็นว่าพู่กันจ้องหน้าเขาเสมือนมีอะไรอยากจะบอก “ถ้าไม่ไหวก็ร้องมา”

เจ้าคนตัวเล็กที่กลั้นน้ำตาเอาไว้ตั้งแต่ที่เห็นภาพนั้นไม่สามารถกักเก็บไว้ได้อีกต่อไป เหมยกระทำเพียงแค่ยกมือขึ้นไปวางบนหัวไหล่แล้วบีบเบาๆ ที่ทำได้แค่นี้เพราะกำลังขับรถอยู่ คนที่ได้รับการปลอบโยนจากคนปลอบคนไม่เป็นก็พาลสะอื้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ความรู้สึกเจ็บจี๊ดตรงหัวใจก่อตัวขึ้นซ้ำๆ จนใจมันพรุนไปหมดแล้ว

พู่กันเอนตัวพิงกับเบาะรถก่อนยกมือขึ้นมาปิดหน้าเพราะไม่อยากให้เหมยกังวลใจมากนัก เขารู้ดีว่าเหมยไม่ชอบคนร้องไห้เพราะปลอบคนไม่เก่ง แต่เสียงสะอื้นของเขาก็ยังทรยศจนได้รับรู้ว่าบางเรื่องมันก็มากเกินกว่าที่จะแบกมันเอาไว้

เหมยได้แต่นั่งฟังเสียงสะอื้นของเพื่อนตัวเล็กแทนการเปิดเพลง ปล่อยให้เพื่อนร้องไห้อยู่อย่างนั้นเพราะขืนพูดหรือถามอะไรไปตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ แต่ถามว่ารู้สึกดีไหมที่เห็น ก็ไม่ แต่คนเรามีวิธีจัดการกับตัวเองไม่เหมือนกัน แต่ก็ใจเสียใช่เล่นเพราะพู่กันสะอื้นไห้จนตัวโยน เขาไม่ชอบเห็นใครร้องไห้เพราะเป็นพวกแพ้น้ำตาแถมยังปลอบคนไม่เก่ง แต่ถ้าเป็นเพื่อนอย่างพู่กันหรือเป็นคนที่เขารักอย่างน้ำเงิน

เขาก็ยินดีที่จะปลอบแม้มันจะดูทุลักทุเลมากก็ตาม

*

ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 09 ; (25/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 25-10-2018 20:33:33
เจ้าของห้องยังคงซุกอยู่กับผ้าห่มบนเตียงใหญ่ มีเพียงแสงสว่างจากภายนอกที่สาดส่องเข้ามาภายในห้อง พู่กันนอนอยู่ที่เดิมมาพักใหญ่แล้ว ถอนหายใจจนไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวัน ดวงตากลมค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ ตอนหยิบโทรศัพท์ที่สั่นขึ้นมาดูก่อนจะเปลี่ยนเป็นหลับลงแน่นเมื่อความสว่างของหน้าจอนั้นพาลให้แสบตา

เขากดเข้าแอพพลิเคชั่นแชทสีเขียวที่มีแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาประมาณสิบกว่าอัน แอบคาดหวังว่าคงจะมีสักอันที่เป็นของคนที่ทำให้ใจบอบช้ำได้มากถึงเพียงนี้และความคาดหวังพังทลายลงเมื่อแชทของคนที่ปักหมุดเอาไว้ยังไม่มีแจ้งเตือนใด ข้อความสุดท้ายยังคงเป็นของเขาที่ส่งทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ช่วงบ่ายตอนกำลังจะออกไปหาครามที่โรงพยาบาล ส่วนที่โทรศัพท์สั่นเมื่อครู่นั่นไม่ใช่ของใครที่ไหนไกล wanitsiri p. ชื่อของพี่ปัถย์ส่งมาหาเขาซ้ำอีกครั้งด้วยคำว่าที่ว่า ‘หายไปเลย เป็นอะไรหรือเปล่า’ 

มือเล็กคว่ำโทรศัพท์ลงบนอก คงเป็นครั้งแรกที่พู่กันเลือกเมินแชทของทุกคน ยังคงเฝ้าถามตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับครามคืออะไร ความจริงหรือความฝัน สุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่ามันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นเพราะความหวั่นไหวและใจไม่หนักแน่นพอของตัวเอง

สิ่งที่ติดอยู่ในหัวมาตลอดคือคำว่าหวงที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาในวันก่อนเป็นการหวงในรูปแบบไหน น้องชายหรือให้เป็นมากกว่านั้นจนวันนี้เขาเองได้คำตอบแล้ว ภาพที่ครามจูบกับนับตอกย้ำว่าฐานะที่เขาได้รับไม่ใช่แม้กระทั่งน้องชาย แต่คงเป็นได้เพียงคนที่ทำให้ครามสบายใจก็เท่านั้น

ทั้งที่เขาควรจะดีใจที่เห็นครามกับนับอยู่ด้วยกันเพราะจะได้ไม่ต้องคอยมาเป็นห่วงเวลาที่ทะเลาะ มันก็ดีแล้วที่อีกฝ่ายสมหวังเพราะเขาจะได้ไม่ต้องมาเป็นคนคอยปลอบอีกต่อไป มันดีแล้วที่ทั้งสองคนได้อยู่ใกล้กันเพราะเขาจะได้ไม่ต้องกลายเป็นคนที่อีกฝ่ายผูกพันแค่ทางกาย มันดีที่สุดแล้วถ้าทั้งคู่ได้เป็นแฟนกัน

และไอ้คำว่ามันดีแล้ว... พู่กันก็โกหกเพื่อปลอบใจตัวเอง

ครืด... ครืด...

มือบางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองตาหยีเพราะปรับโฟกัสสายตาไม่ทัน พู่กันเผลอจิ๊ปากเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของหว้า เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคงไปทำตัวให้เพื่อนเป็นห่วงเข้าเสียแล้วแต่ก็กดรับสายอย่างไม่ลังเล

(มึงเป็นอะไร) หว้าคงเห็นที่เขาไปเพ้ออยู่ในแอพสีฟ้าที่เป็นแอคเคาท์ลับ (มีอะไรไม่บอกกูเหรอพู่)

“ขอโทษ” เขาตอบเสียงแผ่ว ไม่รู้ว่าทำไมพอโดนถามแบบนี้แล้วเหมือนจะร้องไห้ออกมาอีกครั้งให้ได้ ทั้งที่เพิ่งจะหยุดร้องเมื่อชั่วโมงก่อน หากต้องร้องซ้ำอีกมีหวังพรุ่งนี้คงได้ตาบวมเป็นลูกมะนาวจนเพื่อนถามแน่ๆ

(กูเพิ่งทำงานกับเพื่อนเสร็จ พอเห็นก็โทรหามึง) เพียงแค่ฟังเสียงก็รู้ว่าหว้าเป็นห่วงเขามากแค่ไหน (เล่าให้กูฟังได้ไหมพู่ กูมีเวลาให้มึงทั้งคืนเลย)

คงจะมีอยู่ไม่กี่คนที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัย เขาร้องไห้ออกมาอีกครั้งเพราะเสียงปลอบโยน พู่กันคนเก่งในตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว ไอ้ความรู้สึกชาไปหมดทั้งตัวนั่นทำให้ต้องหายใจเข้าลึกๆ รับรู้ได้เพียงหยาดน้ำใสที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาจนสองข้างแก้มเปียกไปหมด

“กูเจ็บ... เจ็บไปหมดเลยหว้า”

(หายใจลึกๆ แล้วค่อยๆ เล่าให้กูฟัง ทีละเรื่อง) หว้าเป็นกังวลและหากอยู่ใกล้ก็คงจะคว้าเข้ามากอดไปแล้ว

“ฮึก...”

(ชอบเขามากเลยเหรอ)

“...”

(ถึงร้องไห้หนักขนาดนี้)

“ไม่อยากชอบแล้ว เขามีคนของเขาอยู่แล้ว” พู่กันยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาให้แห้งเพราะเริ่มรู้สึกรำคาญที่ตัวเองอ่อนแอแบบนี้ เสียงสะอื้นดังพอให้เพื่อนสนิทในสายใจหาย

(พี่คนนั้นใช่ไหม)

“อือ”

เขาเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ลูกหว้าฟัง ตั้งแต่การเริ่มความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนจนกระทั่งถึงตอนนี้ ...ตอนที่ความรู้สึกของเขามันชัดเจน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ตัวเองก้าวเข้ามาจนปลายเท้าเฉียดขอบเหว มั่นใจว่าอย่างไรก็คงไม่มีทางตกลงไปแต่มันก็ผิดพลาด เพราะเขา ...ตกลงมาแล้ว

(มันยังไม่สายหรอกนะถ้าจะตัดใจตอนนี้)

“ทำไมกูถึงชอบเขาได้วะ”

(มึงไม่ควรถามว่าทำไมถึงไปชอบเขาได้) พู่กันเม้มปากตอนที่ได้ฟังเสียงแหลมๆ นั่นแหวออกมา (มึงอยู่กับเขาบ่อย ไหนจะลงลึกจนถึงขั้นนั้นอีก มึงไม่ใช่พวกชอบวันไนท์นะถึงจะได้ไม่รู้สึกอะไร)

“กูคิดว่าตัวเองเก่ง รับมือได้ แต่กูไม่รู้ ...ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้”

(กูไม่รู้นะว่าเขาคิดอะไรกับมึง แต่ถ้าถามกู ...ยังไงดี กูก็คิดว่าเขาต้องการมึงนะ เฮ้อ ยังไงดีวะ ไม่รู้ดิ บอกไม่ถูก)

“เขาจะต้องการกูในฐานะอะไร”

(มันเหมือนมึงเป็นต้นไม้ให้เขาอะพู่ แรกๆ เขามาหยุดพักที่มึงหลบร้อนแล้วก็ไปที่อื่นแล้วช่วงหลังเขามาหยุดที่มึงนาน... นานจนเหมือนว่าเขาจะไม่ไปไหนแล้ว แต่มึงคงลืมไปอะพู่)

“...”

(เขาไม่ได้ตั้งใจมาหยุดอยู่ตรงหน้ามึงตั้งแต่แรก)

“เจ็บว่ะ” มันก็จริงแบบที่หว้าพูดทุกอย่าง ครามไม่ได้ตั้งใจจะมาหยุดอยู่ตรงหน้า สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราก็เป็นเพราะความไม่ตั้งใจ

(คืนนี้คาสายกับกูไหม)

“ได้เหรอ” เขาถามเสียงอ่อนเพราะตอนนี้แทบจะหมดแรงอยู่แล้ว ไม่อยากคิดอะไรเลยสักอย่าง

(ได้ดิ วันนี้กูจะเฝ้ามึงเอง เคปะพี่พู่)

“กู...”

(อย่าคิดมาก เพราะถ้าตอนนี้กูอยู่ใกล้ก็คงจะปีนหน้าต่างขึ้นไปโอ๋แล้ว)

“แมนไป”

(กูก็แมนเฉพาะตอนมึงอ่อนแอนี่แหละ เดี๋ยวปลอบให้หาย แล้วก็กลับมาโอ๋กูเหมือนเดิมด้วย โอปะ)

“โอเค ขอบคุณนะครับ”

(อี๋ อย่ามาพูดเพราะ ไม่ชิน!) หว้าแหวเสียงออกมาจนเขาหลุดหัวเราะ (รักมึงนะ อกหักมันเจ็บกูรู้)

“อือ แม่งโคตรเจ็บเลย”

(ก็น่าจะโคตรเจ็บอยู่หรอก)

“...”

(เขาเป็นรักแรกของมึงเลยนี่)

รักแรกก็เจ็บเหมือนจะตาย สิ่งที่ครามเคยพูดกับเขามันย้อนกลับมาในหัวว่าถ้ารู้ว่ารักแล้วเจ็บขนาดนี้ก็จะไม่รักเลยจริงๆ มันเหมือนเป็นสงครามที่เหี้ยที่สุดในชีวิต เพราะไอ้สิ่งที่รู้กับสิ่งที่รู้สึกมันไปด้วยกันไม่ได้

รักเขาแต่เขารักคนอื่นมันจะบรรจบกันได้ยังไง


*

“เป็นอะไรของมึง” องศาถามด้วยน้ำเสียงสงสัยเมื่อเห็นเจ้าของร่างยักษ์บนเตียงคนไข้ทำหน้าหงุดหงิด แถมยังถอนหายใจเสียงดังจนเขาอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง

ด้วยความที่น้ำเงินติดเรียน นับเงินไปคุยเรื่องงานกับพี่เข็ม ไอ้ยิ้มก็มีเหตุต้องรีบบินไปญี่ปุ่นด่วนเมื่อคืนวันที่ครามโดนหิ้วมาโรงพยาบาลเพราะลูกพี่ลูกน้องไม่ป่วยหนัก ก็เลยเหลือเขามานั่งเฝ้าคนป่วยที่อยากถีบให้กระเด็นตอนหมอพัตบอกว่าเกือบน็อคเพราะได้รับปริมาณแอลกอฮอล์มากเกินไปแถมยังเป็นช่วงร่างกายไม่เต็มร้อยอีกต่างหาก

“มึงได้เจอพู่บ้างปะวะ” คนถูกถามเลิกคิ้วก่อนจะปิดหนังสือแล้ววางลงบนโต๊ะ “ไหนน้ำบอกจะมาเยี่ยมกู สามวันแล้วนะ”

“ทำอะไรให้โกรธหรือเปล่า”

“กูปิดเครื่องไปวันที่กูไปกินเหล้าอะ วันนั้นกูหงุดหงิด” องศาพยักหน้าเพื่อบอกให้รู้ว่าฟังอยู่ “แล้วน้องมันทั้งโทรทั้งส่งข้อความมา พอกูให้มึงไปเอาโทรศัพท์มาเมื่อวาน กูทักไปก็ไม่ตอบ โทรก็ไม่รับ”

ครามหงุดหงิดตั้งแต่ได้โทรศัพท์ เขาตกใจเช่นกันตอนเห็นข้อความที่น้องทักหลายข้อความรวมกับสายที่ไม่ได้รับระหว่างปิดเครื่องอีกเกือบร้อยสายและเขาไม่โกรธที่น้องไม่ตอบเพราะถ้าเป็นตัวเองก็คงจะโมโหหนักกว่านี้

“ก็นี่ไงสาเหตุ” เขามองครามที่ขมวดคิ้วยุ่งก่อนก้มลงไปกดโทรศัพท์ยิกๆ วันที่เจอพู่กันหน้าลิฟต์ก็ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะมีธุระจริงๆ เขาเคยคุยกับน้องอยู่บ้างตอนที่ขอให้ช่วยเรื่องน้ำเงิน แต่พักหลังก็ไม่ได้เจอกันเท่าไหร่นัก วันนั้นน้ำเงินก็มาบอกครามแค่ว่าพู่กันจะมา แต่มีเรื่องต้องไปทำกะทันหันเลยจะมาวันอื่น แต่นี่ก็สามวันแล้วเขายังไม่มีวี่แววว่าน้องจะโผล่หน้ามาให้เห็นหรือฝากน้ำเงินมาบอกอะไรเลยสักนิด

“ศา”

“อะไร”

“กูชอบพู่กันว่ะ” เพื่อนสนิทไม่ได้มีท่าทีตกใจตอนที่ได้ยินแบบนั้นเพราะได้ยินเรื่องทั้งหมดมาจากยิ้มแล้ว แต่คนที่ยังไม่รู้คือน้ำเงินและพู่กัน องศาได้แต่ยกแขนขึ้นกอดอกแล้วมองหน้าครามนิ่งๆ “ที่มึงเคยถามว่ากูจะทำยังไงถ้าเกิดชอบพู่กันขึ้นมา ตอนนี้กูรู้แล้ว”

“รู้ว่า”

“จีบดิ”

“ก่อนจีบ ง้อก่อนดีไหม” ครามหัวเราะตอนโดนสวนออกมาแบบนั้น

“มึงไปหมอพี่หมอพัตให้กูดิ ไม่เป็นอะไรแล้วเนี่ย กลับบ้านได้”

“ถามน้ำเงิน” พอคบกันแล้วก็แบบนี้ องศาหงอและกลัวน้องเขาแทบทุกทาง เรื่องไหนที่ต้องใช้ความเห็นร่วมต้องถามน้ำเงินก่อนเสมอ แต่เหมือนมันจะลืมไปว่าคนที่ป่วยคือเขาไม่ใช่น้อง “กูโดนสั่งไว้”

“กูคนป่วย หายแล้ว”

“ถามน้ำเงินก่อน”

“ไอ้สัดศา” ถ้าไม่ติดว่ามีสายน้ำเกลือปักอยู่ที่แขนแล้วเวลาลุกขึ้นไปไหนมาไหนมันลากลำบากจะเดินไปกระชากคอแล้วบอกให้พากลับบ้าน “อยากกลับบ้าน”

“บ่นไรเป็นเด็ก”

“อยากเจอพู่กัน”

“ส่งข้อความไปบอก”

“ส่งแล้ว ไม่อ่าน ไม่ตอบ ไม่รับ เหมือนตัดกูออกจากวงโคจรไปแล้ว” ครามถอนหายใจอีกหน “หรือโทรศัพท์น้องมันไม่โชว์ว่ากูทักกูโทรไปวะ”

“ก็เห็นเล่นเฟซอยู่”

“อาจจะเล่นในคอม”

“ไอจีก็อัพ”

“องศาหน้าเหี้ย” คนถูกด่าไหวไหล่เบาๆ ความจริงคือเขาไม่ได้ตั้งใจจะขัดคราม แต่การกระทำของน้องที่ฟังมาก็เหมือนโกรธอะไรสักอย่าง หรือถ้าจากประสบการณ์ที่เขาเคยเจอคือหลบหน้า ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อยากพูดอะไรมากเพราะไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร “ทำไงดีวะ”

“รอออกจากโรง’บาล”

“มึงก็ไปบอกหมอพัตให้กู”

“ถาม...”

“คนป่วยบ่นอะไรครับเนี่ย พี่อยู่หน้าประตูยังได้ยินเลย” เสียงของผู้มาใหม่อย่างหมอพัตเตอร์เป็นผลให้ครามและองศาหันไปมองพร้อมกัน

“สวัสดีครับ” องศาเป็นฝ่ายทักทายก่อนเพราะเป็นเพื่อนของพี่ชาย “ทำไมมาเร็ว”

“มาตรวจคนไข้อื่นก็เลยแวะเข้ามา” หมอพัตตอบก่อนเดินไปหาคนป่วยที่เตียง “เป็นไงบ้างครับ ดีขึ้นหรือยัง”

“ดียิ่งกว่าดีอีกครับพี่พัต แล้วนี่ผมว่าประตูห้องมันเงียบไปไหม ใครเดินเข้าเดินออกไม่รู้เรื่องเลย” ครามไม่มีปัญหาอะไรกับการที่อีกฝ่ายเป็นหมอประจำไข้ของเขา แม้จะเป็นเพื่อนสนิทของศัตรูหัวใจแต่นั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว “เออ พี่พัต ผมอยากกลับบ้านอะ”

“เดี๋ยวพี่ขอเช็กก่อน ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็อาจจะพรุ่งนี้หรือมะรืนเนอะ”

“กลับวันนี้ไม่ได้เหรอ”

“อยู่อีกสักวันสองวันดีไหมครับ ตอนเรามานี่ก็ฉุกเฉินแล้วนะ ไข้ก็สูงหัวก็แตก” หมอพัตหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินไปดูน้ำเกลือที่ให้ไว้ “ดีขึ้นเยอะแล้วนี่นา”

“ก็ใช่สิครับ พี่หลอกให้ผมอยู่ช่วยกินข้าวโรง’บาลอะดิ”

“หลอกอะไรครับ พี่รู้ว่าครามกินข้าวที่ศาซื้อ” หมอหรี่ตามองคล้ายจะดุแต่ก็ไม่ “พรุ่งนี้น่าจะกลับบ้านได้แล้ว”

“พูดขนาดนี้จะเถียงอะไรได้” ครามบ่นเล็กน้อยจนคนเป็นหมอหัวเราะเพราะดูคนบนเตียงไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด ตอนครามมาทีแรกไข้ขึ้นสูง ไหนจะหัวแตกมาจนต้องเย็บไปสามเข็มอีก “แล้วหัวผมนี่ ตัดไหมวันไหนอะ”

“น้ำเงินจำได้” องศาพูดแทรกขึ้นมาก่อนเพราะกลัวว่าบทสนทนาจะยาวจนกินเวลางานของหมอพัต “ค่อยไปถามน้อง”

“ขอบคุณนะครับพี่” ทั้งที่องศาเป็นคนตอบแต่ครามกลับหันไปขอบคุณหมอในชุดกาวน์ข้างเตียงแทน

“ถ้างั้นพี่ขอไปทำงานต่อก่อนนะครับ” ครามพยักหน้าให้แทนคำตอบ ตามด้วยเสียงขององศาที่ขานบอกขอบคุณอีกครั้ง คนตัวใหญ่หันไปมองหน้าเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ตรงโซฟาด้วยสายตาอ้อนวอน

“ศา...”

“ไม่”

“กู ยัง ไม่ ได้ พูด อะ ไร เลย” เสียงทุ้มเน้นหนักทุกพยางค์องศาจึงหัวเราะแล้วเอนกายลงบนโซฟา “อย่านอนดิ”

“แล้วจะให้กูทำอะไร อ่านหนังสือมึงก็ถอนหายใจจนกูไม่รู้เรื่อง”

“ช่วยกูคิดเรื่องพู่ก่อน” ชายหนุ่มทำเสียงอ่อนตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการคืออยากเจอหน้าพู่กัน อยากได้ยินเสียง อยากคุยด้วย และอยากบอกว่าเขาคิดอะไร คิดไปไกลแค่ไหน ถึงแม้จะกลัวคำตอบแต่ก็อยากที่จะบอกออกไปอยู่ดี

“ออกจากโรง’บาลก็ไปง้อ”

“มีคำแนะนำที่ดีกว่านี้ไหม”

“ไม่”

ครามถอนหายใจอีกครั้งก่อนคว้าโทรศัพท์ข้างตัวขึ้นมากดไปยังเบอร์ของคนที่เมมเอาไว้ว่า ‘baby’ และอีโมจิรูปลิงเพราะเวลานึกถึงก็หลุดยิ้มให้กับความซนเหมือนลิงทุกที เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองเปลี่ยนชื่อของพู่กันมาเป็นคำนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หากจำไม่ผิดตอนนั้นเขาคิดว่าพู่กันเป็นเด็กซนๆ คนหนึ่ง แต่ตอนนี้ความหมายมันเป็นไปแล้ว นิ้วเรียวกดแก้ไขรายชื่อก่อนพิมพ์คำว่า my เพิ่มลงไป

จนกลายเป็นคำว่า my baby โดยสมบูรณ์

และคาดหวังว่าน้องจะอยากเป็นคนของเขาเช่นกัน

*

tbc
ขณะที่ทุกท่านกำลังอยู่บนไวกิ้ง เหวี่ยงให้สุดแล้วหยุดที่คำว่า ....! คนนึงกำลังจะเดินเข้าไปใกล้ แต่อีกคนกำลังจะวิ่งออกไป
ตอนนี้ขอโทษที่ไม่ได้มีบทของพี่ครามกับน้องแต่ตอนหน้ามีแน่นอน ถ้าเกิดอะไรขึ้น... ก็จับมือกันไว้แน่นๆ นะคะ 5555555555
ฝากคอมเมนต์ให้กำลังใจกันได้ หรือแปะแท็ก #โซ่สีคราม พูดคุยกันได้นะคะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 09 ; (25/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 25-10-2018 21:16:30
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 09 ; (25/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 26-10-2018 05:51:08
น้องพู่...น้องมโนไปไกลแล้วนะคะ..เรื่องกำลังจะดีอยู่แล้วเนี้ย....แต่ไม่เป้นไร...ให้อิพี่ครามมันง้อหนักๆเดินหน้าง้อให้สุดๆ...น้องพู่จะทนรับไหวม่ะล่ะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 09 ; (25/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 26-10-2018 08:20:51
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 09 ; (25/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 26-10-2018 11:06:19
สนุกจ้า  ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 09 ; (25/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 26-10-2018 11:28:07
พี่ปัถย์ กินแห้วสินะคะ กรีดร้อง แงงงงง
แต่ถ้าครามชัดเจนกับความรู้สึก เจ๊ก็โอเคนะ เจ๊มันคนใจง่าย
ใครรักน้องเราก็ดีด้วย
แต่ตอนนี้ แก้ปัญหาเข้าใจผิดก่อนนนนนนน
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 09 ; (25/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 27-10-2018 07:06:31
ผู้อาจจะไปหาพี่ปัต แล้วมันก้จะสายไปแล้วไงอิพี่คราม
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 09 ; (25/10/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 27-10-2018 23:21:14
เรื่องมันอิรุงตุงนังไปหมด ครามได้ง้อหนักแน่เพราะความไม่ชัดเจนของตัวเองเลยจ้า
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 10 ; (03/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 03-11-2018 21:53:11
10
strangers again


//


“ถึงแล้วเหรอครับ” พู่กันกรอกเสียงลงไปทันทีเมื่อกดรับสายของพี่ปัถย์ ความจริงอีกฝ่ายบอกเขาว่าจะไปเชียงใหม่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ แต่เพราะการดีลงานกับลูกค้าผ่านไปได้อย่างฉลุยก็เลยรีบบินกลับมา “พี่รอผมแป๊บนึง”

แน่นอนว่าเขาถามเหตุผลของพี่ปัถย์แล้วว่าทำไมถึงไม่อยู่เที่ยวให้ครบอาทิตย์ก่อนค่อยกลับก็ได้ความมาว่า ‘อยากเอาของฝากกลับมาให้เร็วๆ’ แต่นั่นเป็นเหตุผลรอง ส่วนเหตุผลหลักนั่นก็...

(ให้ไวครับ อยากเจอ) นี่แหละส่วนสำคัญที่พี่ปัถย์ส่งมาบอกเขาตั้งแต่วันที่ไปถึงเชียงใหม่ ขนาดเพิ่งไปถึงก็รีบทักมาบ่นว่าอยากกลับไปเจอแล้ว พู่กันหัวเราะเบาๆ กับความช่างหยอดของคนพี่ อันที่จริงเรานัดเจอกันตอนเย็นของวันนี้ แต่เพราะอีกฝ่ายต้องไปรับคุณแม่ที่เลื่อนไฟล์ทกลับมาจากเวียดนามกะทันหัน นัดของพวกเขาก็เลยล่มไปด้วย ถึงอย่างนั้นก็แก้ไขด้วยการเปลี่ยนเวลาการเจอกันให้เร็วขึ้น

พู่กันกดเปิดแอพพลิเคชั่นแชทแล้วกดซ่อนแชทที่เคยอยู่บนปักหมุดของเขาเพื่อให้แจ้งเตือนสีแดงนั้นหายไป ตั้งแต่ครามเข้าโรงพยาบาลตอนนี้ก็หลายวันแล้วที่ไม่ได้คุยกัน เขาตั้งใจหลบหน้าและตัดขาดการติดต่อเสมือนเราไม่เคยอยู่ในวงโคจรของกันและกัน

เขาไม่ไปเยี่ยมครามตามแบบที่พูดแม้ว่าน้ำเงินจะมาบอกว่าครามอยากเจอ ก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม แต่เหตุผลก็อาจคงไม่พ้นเรื่องของพี่นับ เพราะข้อความที่ได้รับซ้ำๆ ติดต่อกันคือคำถามที่ว่า ‘โกรธเหรอ’ หรือ ‘เป็นอะไรทำไมไม่ตอบ’ และประโยคบอกเล่าที่พร่ำบอก ‘ขอโทษ’ กับ ‘ตอบหน่อยมีเรื่องจะคุยด้วย’

เช่นนั้นเวลาที่กลุ่มเพื่อนจะไปหาครามเขาก็อ้างกับน้ำเงินว่าต้องกลับไปช่วยแม่ทำขนม แต่ก็ยังถามไถ่อาการอยู่บ้างจนได้รู้ว่าอีกฝ่ายกลับบ้านมาได้เมื่อวาน ถามว่าเป็นอย่างไรกับการที่ไม่ได้คุย ก็มีความรู้สึกแปลกๆ แล้วเหมือนจะร้องไห้ออกมาทุกครั้งที่เห็นว่าครามทักหรือโทรเข้ามา เขาเป็นคนใจแข็งแม้ว่าส่วนหนึ่งจะมาจากการพยายามแสดงออกให้เป็นอย่างนั้น

แต่พู่กันก็ต้องทำเพื่อจบความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนลงเสียที

“มึงเดี๋ยวกูมานะ” เขาหันไปบอกเพลิงที่กำลังนั่งเท้าคางแบบตาจะปิด หนังสือเล่มใหญ่ตรงหน้าก็เป็นเพียงพร็อบบังคับ ถ้าคนอย่างไอ้เพลิงอ่านหนังสือก็เหมือนบอกว่าหมิงเหมยจะไม่ทะเลาะกัน เพราะมันเป็นไปไม่ได้

“ไปไหนวะ” คนตาปรืออ้าปากหาววอดๆ พร้อมคำถามนั่นทำให้พู่กันต้องเอื้อมไปตบแก้มเพื่อเรียกสติ “สัด จะฟ้องหมิง”

“ทำตัวเป็นเด็กเลยห่า ขี้ฟ้อง”

“ตกลงมึงจะไปไหน” เพลิงถามย้ำอีกครั้งขณะมองเพื่อนตัวจ้อยเก็บเครื่องเขียนลงกระเป๋า “อ้อ หรือไปหาพี่ปัถย์”

“เออ พอใจมึงแล้วนะ กูไปละ เดี๋ยวมา” ไม่รอให้อีกฝ่ายขานตอบเขาก็รีบชิงลุกออกมาทั้งที่ยังเก็บของไม่เสร็จ ขืนอยู่ต่อคงได้โดนแซว เพราะเพลิงน่าจะโดนหมิงเสี้ยมสอนให้กวนตีนมาเยอะเช่นกัน

ร่างบางเดินลิ่วๆ ลงมาจากชั้นบนโดยไม่ได้มองแวดล้อมรอบด้าน ก่อนข้อมือเล็กจะถูกคว้าด้วยความรวดเร็วจากคนที่ดักรออยู่และเป็นคนที่พู่กันไม่อยากเจอมากที่สุด

“เฮ้ย!”

“มึงหลบหน้ากูทำไม” คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าถ้าได้เจอกันต้องไม่พ้นคำถามนี้ เจ้าของร่างเล็กไม่แม้แต่หันหน้ากลับไปมอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียงความเข้มแข็งที่เคยมีก็พังทลายลงเสียแล้ว “พู่กัน”

“ปล่อย” เขากัดฟันตอบก่อนจะสะบัดข้อมือเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการ

“มึงโกรธที่กูปิดเครื่องเหรอ” ครามพูดเสียงเบาเพราะไม่รู้แน่ชัดว่าไปทำให้น้องโกรธเรื่องใด “กูขอโทษ”

“ช่างเหอะ” เสียงหวานกำลังจะสั่นไหวในอีกไม่ช้าหากครามยังคงอธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง เขาไม่ต้องการที่จะได้ยินอะไรทั้งนั้น

“โกรธกูมากเลยเหรอพู่กัน” ยิ่งได้ยินคำถามก็ยิ่งได้รู้ว่าจริงๆ แล้วครามก็ไม่ได้รู้อะไรเลยสักอย่าง “มึงไม่ไปหากูเลย ทำไม”

“ผมมีธุระ” เขาตัดสินใจหันกลับไปเผชิญหน้า ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแบบไม่รู้ตัวเมื่อเห็นว่าตรงศีรษะของอีกฝ่ายมีผ้าก๊อซปิดอยู่ อยากถามเช่นกันว่าเจ็บมากไหม แต่ภาพของวันนั้นกลับทำให้เขาพูดออกไปได้เพียงแค่... “ก็หายดีแล้วไม่ใช่เหรอ”

“กูมีเรื่องจะคุยด้วย” ครามคิดเอาไว้แล้วว่าถ้าได้เจอกันจะต้องพูดเรื่องที่เขาชอบน้องสักที ไม่อยากปล่อยให้ค้างคาแต่พอสถานการณ์ระหว่างเราเป็นแบบนี้ก็ทำให้เขาเลือกที่จะเก็บเอาไว้ก่อน เพราะการสารภาพรักทั้งที่ยังตึงกันอยู่คงไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่

“เรื่อง?” คนตัวเล็กกว่าขมวดคิ้วยุ่งแต่พออีกฝ่ายทำทีอ้ำอึ้งก็รีบตัดบท “ถ้าไม่มีอะไร ผมไปนะ รีบ”

ไม่รู้หรอกว่าเรื่องของครามคืออะไรและสำคัญแค่ไหน แต่ใจเขาตอนนี้ไม่พร้อมที่จะรับฟังเรื่องอะไรทั้งนั้น พู่กันพยายามจะชักมือของตัวเองออกจากการจับกุมแต่ก็ไม่สามารถสู้แรงของครามได้

“พู่ กูไม่ได้ตั้งใจ” เพราะคำว่าไม่ตั้งใจทำให้นึกย้อนไปถึงความผิดพลาดครั้งแรกที่เกิดขึ้นและมันไม่มีใครตั้งใจให้เกิด ครั้งที่สองก็ยังคงยกข้ออ้างนั้นจนทุกอย่างมันเลยเถิด ไม่ว่าจะลงลึกมากแค่ไหนแต่ก็ยังคงได้ยินคำว่าไม่ตั้งใจจากปากของครามอยู่ดี

“กี่ทีๆ พี่ก็บอกแต่ไม่ตั้งใจ” ครามสะดุ้งเฮือกเมื่อเด็กตรงหน้าใช้น้ำเสียงเชิงหงุดหงิด “ถามจริงเหอะ กับผมพี่เคยตั้งใจทำอะไรบ้างวะ”

“ตั้งใจมาง้ออยู่นี่ไง”

“...”

“กูตั้งใจมาง้อมึงจริงๆ”

“แต่ผมไม่อยากให้พี่ง้อ ...ไม่ต้องมาง้อผมแล้ว” พู่กันจำใจต้องพูดออกไปด้วยความฝืน แม้ลึกๆ จะพาลหัวใจกระตุกวูบตอนที่ครามบอกว่าตั้งใจมาง้อ ไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกดีตอนที่ได้ยินเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่อยากเข้าไปติดกับดักของนายพรานอีกแล้ว ...เพราะนายพรานไม่เคยใจดีกับเขาหรอก

“หมายความว่าอะไร”

“ผมไม่อยากยุ่งกับพี่แล้วว่ะ” ร่างสูงเริ่มหน้าซีด หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของพู่กันทำให้ภาพความทรงจำครั้งเก่าหวนกลับคืนมา สิ่งที่เขากลัวคือประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ครามกำลังจะเอ่ยปากบอกว่าอย่าพูดคำนั้นแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทัน “เลิกยุ่งกันได้ไหม”

“เดี๋ยวดิ มึงโกรธกูมากเลยเหรอ”

“ผมไม่ได้โกรธ แต่...”

“ไม่อยากยุ่งกับกูแล้ว” ชายหนุ่มขานตอบประโยคถัดมาจากนั้นที่เขารู้เพราะเคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง และในตอนนี้มันกำลังจะเกิดขึ้นอีก ครามไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ “ทำไมวะพู่”

“...”

“ถ้าเรื่องที่กูปิดเครื่อง กูอธิบายได้”

“มันไม่ใช่แค่เรื่องนี้ดิ” ครามขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินแบบนั้น

“มึงเป็นอะไรก็บอก ไม่พูดกูจะรู้ไหม”

“ผมพูดจริงๆ นะคราวนี้” เสียงหวานเริ่มสั่นเครือ หากยังคุยกันอยู่อย่างนี้มีหวังเขาต้องได้ร้องไห้ต่อหน้าครามแน่ๆ “เลิกยุ่งกันเถอะนะ ทำเหมือนเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ถ้าพี่เจอผมเมินกันไปเลย ไม่ต้องทัก ไม่ต้องมอง ไม่ต้องให้น้ำเงินมาช่วยคุย”

“...”

“ให้เรากลายเป็นคนแปลกหน้า ให้มัน... เป็นเหมือนตอนนั้น” ประโยคสุดท้ายพู่กันพูดออกไปอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกเจ็บตรงหัวใจก่อตัวขึ้นซ้ำอีกครั้ง เขาเจ็บ... เจ็บที่เป็นคนสร้างโซ่เส้นนี้ขึ้นมากับมือทั้งที่รู้ว่าสุดท้ายต้องเจ็บปวด

“กูไม่เข้าใจว่ะพู่ กูทำอะไรผิดวะ”

“ไม่ผิดที่พี่หรอก”

“ถ้าไม่ผิดที่กูแล้วทำไม...”

“มันผิดที่ผม”

“...”

“ผิดที่ผมไม่อยากอยู่ข้างพี่แล้วจริงๆ” พู่กันตอบเสียงผะแผ่วก่อนจะแกะข้อมือของตัวเองออก แต่ครามก็ยังคงดึงดันที่จะจับเอาไว้และออกแรงมากขึ้น “ปล่อยผมดิพี่”

“กูไม่ปล่อย มึงต้องพูดให้กูเข้าใจก่อน” เขาไม่เข้าใจว่าทำไมน้องถึงได้อยากจะเลิกยุ่งกันและเพราะไอ้ความไม่เข้าใจทำให้เขาเผลอบีบข้อมือพู่กันแรงขึ้นจนเด็กตรงหน้าท้วงออกมา

“เจ็บ! พี่ครามผมเจ็บไง!”

“เฮีย!”  ข้อมือเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระเมื่อได้ยินเสียงตะโกนขัดจังหวะ พู่กันหันไปมองเพื่อนสนิทที่วิ่งเข้ามาหาหน้าตาตื่นพร้อมกับเหมยที่เดินตามมาติดๆ ถามว่าเป็นโชคดีไหมก็ตอบได้ไม่เต็มปากนัก เพราะน้ำเงินดันเข้ามาเห็นตอนเขาทะเลาะกับครามแบบนี้

“พู่ กู...” ครามกำลังจะเอ่ยปากขอโทษที่เผลอบีบข้อมือแรงเกินไปเมื่อครู่แต่ก็โดนขัดจังหวะอีกครั้ง สาบานได้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้น้องเจ็บเลยแม้แต่นิด

“ทะเลาะอะไรกันเหรอ”

“เปล่า” พู่กันชิงตอบก่อนเขาจะหันไปมองเหมย ซึ่งเพื่อนตัวโย่งอีกคนก็พยักหน้าให้เป็นเชิงรู้กัน “แค่ไม่เข้าใจกัน”

“แล้ว...”

“น้ำ” ครามหันไปหาน้องชายเพื่อหวังจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร พู่กันก็พูดตัดบทขึ้นมาเสียดื้อๆ

“กูไปก่อนนะ พี่ปัถย์รออยู่”

ครามได้แต่มองแผ่นหลังของพู่กันที่วิ่งไกลออกไป แค่คำว่าขอโทษก็ยังไม่ทันจะได้พูด จากสายตาที่มองตามเจ้าของร่างเล็กจำต้องกลับมามองหน้าน้องชายเพราะถูกสองมือประคองหน้าให้หันกลับมา ในตอนนี้เหลือเพียงแค่เขากับน้ำเงินเพราะเหมยเดินตามพู่กันไป

“เมื่อกี้เฮียทำอะไร” น้ำเงินถามด้วยความกังวล ก็รู้ว่าทั้งสองไม่ถูกกันแต่เมื่อกี้ที่เห็นมันดูรุนแรงมากกว่าการจิกกัดเหมือนอย่างเคย และเขาสังเกตเห็นความผิดปกติของพู่กันตั้งแต่วันแรกที่ไปหาพี่ครามแล้วขอตัวกลับก่อน อันที่จริงก็คิดว่าจะไม่ถามเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาคงปล่อยไปไม่ได้อีกแล้ว “มีอะไรจะเล่าให้เราฟังไหม”

“ไม่มีครับ”

“เราถามอีกที” น้องชายย้ำอีกครั้งและการกระทำนั้นทำให้ครามต้องหลบสายตาไปทางอื่น “มีอะไรจะเล่าไหม”

“ไม่...”

“ถ้าเฮียพูดจริง เฮียจะไม่หลบตาเรา” ครามตวัดสายตากลับมามองอีกครั้ง เขาไม่เคยปิดบังอะไรน้ำเงินได้เลยแม้แต่นิด

“เฮียแค่...”

“เรายังเป็นคอมฟอร์ดโซนของเฮียอยู่ไหม”

น้ำเสียงเจือความน้อยใจที่หลุดออกมาจากปากของน้ำเงินทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ครามดึงคนเป็นน้องชายเข้ามากอดแน่นๆ และเจ้าเด็กตัวเล็กนั่นรู้ว่าต้องทำอย่างไร สองแขนเล็กยกขึ้นโอบแล้วกอดเอาไว้ สัมผัสแผ่วเบาลูบหลังเขาเสมือนอยากปลอบประโลม ครามปล่อยให้น้องกลายเป็นที่พังพิกให้อย่างนั้น

เพราะตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอเหลือเกิน

*

ควันสีหม่นพ่นออกมาอย่างหนักหน่วงขณะสายตาคมยังคงจับจ้องอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ ข้อความนับร้อยที่ส่งไปหายังไม่ได้รับการตอบกลับหรือแม้กระทั่งเปิดอ่าน  ครามถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะโยนมวนบุหรี่ในมือทิ้งลงบนพื้นแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า คาดว่าอย่างไรก็คงไม่เปิดอ่านเหมือนหลายวันที่ผ่านมา

ความรู้สึกของเขาในตอนนี้มันยิ่งกว่าคำว่าแย่เพราะไม่รู้ว่าทำอะไรผิดไป แต่ที่เป็นอย่างนี้ก็ไม่โทษใคร ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ปิดเครื่องเขาก็ต้องหาคำตอบให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ครามคงปล่อยให้เรากลายเป็นคนแปลกหน้าไม่ได้

เขาชอบน้อง ชอบจริงๆ แบบที่ปฏิเสธอะไรไม่ได้เลย

“เฮีย พอก่อนดีไหม” เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะตอนกำลังจะจุดไฟแช็กให้เผาไหม้บุหรี่มวนใหม่ที่คาบไว้ในปาก เขาหันไปมองก่อนจะต้องโยนมันทิ้งลงบนพื้นแม้จะยังไม่ได้จุดแต่ก็ไม่เสียดาย หากนับรวมกับที่อยู่บนพื้นตอนนี้เขาก็อัดมันเข้าไปมากกว่าเจ็ดตัวแล้ว

“ครับ” เขาขานตอบแล้วทิ้งตัวเองลงนั่งบนพื้นโดยที่ไม่กลัวว่าจะเลอะ พื้นที่ใช้สอยหลังบ้านกลายเป็นสถานที่พักพิงและทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น “พู่รับโทรศัพท์ไหม”

“ไม่ครับ”

“แย่มากเลยใช่ไหมครับ” คนเป็นพี่ชายแค่นเสียงถามด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง “เฮียน่ะ”

“ถ้าเรื่องพู่กัน ...ก็ใช่ เราไม่เห็นด้วยที่เฮียทำแบบนี้” ครามพยักหน้ารับรู้ แม้จะเป็นพี่น้องกันและน้ำเงินรักเขามากแต่ก็ไม่เคยเห็นด้วยในเวลาที่เขาทำผิด ถ้าทำแบบนี้แล้วน้องไม่โอเคก็จะพูดให้เขาได้รับรู้

น้ำเงินเป็นคอมฟอร์ดโซนของเขาเสมอแต่ที่ไม่เล่าอะไรให้ฟังเพราะไม่อยากให้ต้องมาเครียดไปด้วยกับเรื่องที่เขาผูกขึ้นมา แต่สุดท้ายวันนี้ครามก็ทำหน้าที่พี่ชายผิดพลาดพ่วงไปกับหน้าที่ของคนกำลังจะสารภาพรัก

ผิดพลาดทุกอย่าง

“เฮียขอโทษครับ”

“คนที่เฮียต้องขอโทษไม่ใช่เรา” คนเป็นน้องเดินเข้ามาหาแม้จะไม่ชอบกลิ่นบุหรี่เหมือนๆ กับพู่กันก็ตาม “แต่เป็นพู่กัน”

หลังจากที่เล่าเรื่องทั้งหมดให้น้ำเงินฟัง น้องก็โกรธพอสมควรและบอกว่าเขาไม่ควรสร้างความสัมพันธ์ซับซ้อนนี้ให้เกิดขึ้น ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าพู่กันเป็นอะไรก็ตาม

“เฮียบอกแล้ว”

“...”

“แต่ก็เป็นแบบที่หนูเห็น” คำว่าหนูถูกดึงกลับมาใช้อีกครั้งหลังจากที่อีกฝ่ายยกสรรพนามนี้ให้เป็นขององศาเพราะครามกำลังอ่อนแอถึงที่สุดและไม่มีใครรับฟังเขาได้นอกจากน้ำเงินอีกแล้ว “เฮียไม่เคยรู้สึกแย่เท่าวันนี้เลยหนู”

“อื้อ เราก็พอจะรู้” น้ำเงินขานตอบเสียงแผ่ว ยามเห็นพี่ชายยกมือขึ้นลูบใบหน้าเสมือนคนหมดแรงก็ยิ่งทำให้ความเป็นห่วงทวีคูณมากขึ้น สำหรับเขาครามเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดมาตลอดในทุกเรื่อง ไม่เคยทำอะไรขาดตกบกพร่อง ไม่เคยก้าวก่ายและวุ่นวายในเรื่องส่วนตัว ความเป็นจริงเขาก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายในเรื่องความรักของพี่ชาย แต่เห็นทีวันนี้เขาอาจจะต้องขอละเมิดความเป็นส่วนตัวนั้นบ้าง

“เหมือนจะเก่ง แต่เฮียไม่เก่งเลยว่ะ”

“...”

“เฮียผูกเอง แต่แก้เองไม่ได้”

“เฮียจะโกรธเราไหม” คนหมดแรงเงยหน้าขึ้นมาน้องชายด้วยสายตาเชิงสงสัย “ถ้าวันนี้เราจะขอยุ่งกับความรักของเฮียสักนิดนึง”

ครามเพียงแค่ยิ้มจางๆ ก่อนส่ายหน้าแทนคำตอบ น้ำเงินจึงเอื้อมไปกุมมือพี่ชายเอาไว้หลวมๆ เขาเป็นห่วงครามมาก แม้ตอนที่รู้เรื่องจะโกรธอยู่ไม่น้อยก็ตามเพราะพู่กันก็เป็นเพื่อนที่เขารักมากๆ คนหนึ่งเช่นกัน แต่คนกลางอย่างเขาทำอะไรได้ไม่มากนัก  แถมยังไม่รู้เลยว่าทั้งสองคนตั้งกฎเกณฑ์ในความสัมพันธ์ไว้แบบไหน แล้วพู่กันเป็นอะไรไปถึงได้ขอเลิกยุ่งกัน จะว่าเป็นเพราะมีพี่ปัถย์ก็คงไม่น่าจะใช่ เพราะตั้งแต่วันที่ครามเข้าโรงพยาบาลพู่กันก็ดูซึมๆ มาตลอด

สิ่งที่น้ำเงินทำได้ในตอนนี้คือการถามครามให้แน่ชัดเรื่องของความรู้สึกที่มีต่อพู่กัน เขาต้องฟังความทั้งสองข้างจะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ยอมรับว่าแอบคิดว่าเพื่อนเขาต้องชอบพี่ครามบ้างเหมือนกัน จากข้อความของพู่กันที่ส่งมาหลังจากโทรเข้าไปแล้วไม่ยอมรับว่า ‘เงิน กูขอโทษแต่ตอนนี้กูยังไม่พร้อมคุยว่ะ ขอเวลากูหน่อยนะ ถ้าพี่มึงเล่าอะไรให้ฟังก็อย่าไปโกรธนะ เข้าใจไหม มันไม่ได้ผิดที่พี่มึงคนเดียว’  ถ้าไม่ใช่เพราะครามคนเดียว พู่กันก็ต้องมีส่วนผิดด้วยเหมือนกัน แล้วอะไรล่ะที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองผิด

“เฮียทำอะไรผิดยังไม่รู้เลย”

“คิดดีแล้วหรือยังครับ”

“ดีแล้ว ถ้าพู่บอกว่าเฮียทำอะไรผิดมันอาจจะ...”

“เรื่องที่เฮียทำผิด ก็ผิดตั้งแต่ที่เริ่มความสัมพันธ์แบบนี้แล้วไงครับ” น้ำเงินเอ่ยออกมาเสียงเบา “พู่ชอบเฮียหรือเปล่า”

“คงจะไม่... ไม่รู้ดิหนู เฮียไม่รู้เลย พู่กันไม่เคยไปไหน ไม่เคยปล่อยให้เฮียอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่เคยบอกว่าคิดอะไร ...เฮียเดาไม่ออก” ครามอยากคิดเข้าข้างตัวเองเช่นกันว่าที่น้องไม่เคยไปไหนเพราะชอบเขา แต่ในบางครั้งก็ไม่รู้ว่าที่พู่กันยังอยู่ด้วยนั่นเพราะสงสารหรือเปล่า

“ไม่เคยบอกว่าคิดอะไร แล้วไม่เคยแสดงออกให้เห็นเลยเหรอครับ หรือแสดงออกแล้วแต่เฮียไม่ได้สังเกต” ครามเหมือนจะเก่งในเรื่องความรักแต่จริงๆ แล้วก็ไม่ ...ไม่เลยสักนิด รายนี้ไม่เคยสังเกตสิ่งรอบตัวจนกว่ามันจะเปลี่ยนแปลงจนเห็นได้ชัด ที่น้ำเงินพูดแบบนี้ได้เพราะสถานการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นกับเขา แสดงออกแล้ว ชัดเจนแล้ว แต่เป็นเราที่ไม่เคยสังเกตหรือไม่เคยคิดเข้าข้างตัวเอง “ขนาดความรู้สึกเฮียยังต้องมีคนมากระตุ้นเลย”

“หนูคิดว่าเพื่อนหนูชอบเฮียเหรอ” เสียงทุ้มถามติดประหม่า หากแต่น้ำเงินกลับส่ายหน้าให้แทนคำตอบ

“พู่เคยบอกเราว่า ห้ามคิดแทนใคร เราไม่รู้ว่าพู่คิดอะไร แต่เฮียคิดว่ามันเป็นไปได้จริงๆ เหรอ มีเซ็กส์กันแต่จะไม่คิดอะไร ถ้าเป็นคนที่เขารักสนุก มันก็อาจจะเป็นไปได้ แต่พู่กันไม่ใช่นะเฮีย เท่าที่เรารู้จักมา พู่ไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับใครเลย... สักคน”

“...”

“แค่เราเผลอไปจูบพี่ศาตอนเมา เรายังคิดไกลเลย อีกอย่างขนาดเฮียที่ว่าชอบพี่นับมากๆ ยังเปลี่ยนมาชอบพู่ได้เลยนะ”

“...”

“แล้วเฮียว่าพู่จะไม่รู้สึกอะไรจริงๆ เหรอ”

ครามผ่อนลมหายใจออกก่อนทิ้งตัวไปพิงกับไหล่น้องชาย มันกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่และในสิ่งที่เขาทำมันก็แย่จนหาคำอธิบายไม่ได้ น้ำเงินทำให้ความสับสนและรู้สึกผิดเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว ถ้าพู่กันชอบเขามันก็ผิดที่เขาไม่เคยสังเกต มันผิดตรงที่เขาเอาแต่พุ่งความสนใจไปที่นับจนลืมมองคนใกล้ตัว ความรู้สึกปวดหนึบที่ใจก่อตัวซ้ำๆ และมันมากยิ่งกว่าตอนที่เขาโดนนับปฎิเสธครั้งแรก

มากกว่า... มากกว่าจริงๆ

“ทำผิดอีกแล้ว”

“ถ้ารู้ว่าผิดก็แก้สิครับ” ฝ่ามือเล็กถือวิสาสะวางลงบนเรือนผมของพี่ชายเบาๆ องศาตั้งใจมาส่งเขาไว้ที่บ้านวันนี้เพราะอยากให้อยู่กับคราม เราต่างรู้ดีว่าเวลาครามเสียศูนย์แล้วจะเป็นแบบไหน “เราถามจริงๆ นะ เฮียเคลียร์ความรู้สึกที่มีกับพี่นับได้แล้วเหรอ”

“ได้แล้วครับ” เสียงทุ้มที่ตอบกลับแบบไม่ต้องคิดนั่นทำให้น้ำเงินได้รู้ว่าครามไม่ได้โกหก เพราะปกติแล้วหากยังไม่มั่นใจอะไรอีกฝ่ายจะใช้เวลาคิดพักหนึ่งก่อนจะตอบออกมา “เฮียชอบเพื่อนหนู”

“...”

“มากๆ”

“ตอนแรกเราตั้งใจจะบอกเฮียว่าไม่ยุ่งกับพู่กันได้ไหม ถ้าเฮียยังชอบพี่นับอยู่ เรารักพู่กันมากนะ” น้ำเงินรู้ดีว่าที่พูดออกไปนั่นคือความใจร้าย “แต่เราก็รักเฮียเหมือนกัน ถ้าเฮียจะชอบพู่ต้องแน่ใจจริงๆ นะว่ามันไม่เกิดขึ้นเพราะเฮียผิดหวังมาจากพี่นับ”

เจ้าของร่างเล็กผละคนเป็นพี่ชายให้ออกห่างเพราะอยากจะมองหน้า นัยน์ตาคมสั่นไหวราวกับว่าทุกอย่างกำลังจะดับวูบ เคยอ่านมาจากที่ไหนสักแห่ง ที่บอกเอาไว้ว่าความรู้สึกสามารถรับรู้ได้ผ่านทางสายตา น้ำเงินรู้ดีว่าครามกำลังสับสนและความเข้มแข็งกำลังเริ่มพังทลายลง

“ครับ” ครามพยักหน้าลงอีกครั้งก่อนถอนหายใจออกมา แม้จะยังไม่แน่ใจว่าที่พู่กันขอให้เลิกยุ่งกันเป็นเพราะชอบเขาเข้าแล้วหรือไม่ แต่ถ้าเขารู้ตัวเร็วกว่านี้สักนิดคงได้พูดออกไปก่อนจะทะเลาะกัน ทั้งที่ได้อยู่ใกล้กันมากขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่กลับรักษาเอาไว้ไม่ได้

โลกเหวี่ยงให้น้องเข้ามาอยู่ใกล้เขาแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนจะเหวี่ยงออกไปแล้วเวียนซ้ำกลับมาหา แรงเหวี่ยงของโลกสามารถเหวี่ยงใครเข้ามาและเหวี่ยงใครออกไปก็ได้ เคยคิดว่าในครั้งนั้นคงเป็นเพราะแรงเหวี่ยงของโลกที่พาให้น้องหลุดออกไปจากวงโคจร แต่ในวันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะรู้แล้วว่าคนที่เหวี่ยงน้องออกไป

คือตัวเขาเอง

“เฮีย”

“หืม”

“...พู่กันเป็นคนใจแข็งมากๆ” น้ำเงินออกแรงบีบฝ่ามือใหญ่เบาๆ ขณะที่พี่ชายรอฟังแบบไม่พูดอะไร คงจะเป็นอย่างสุดท้ายที่เขาจะสามารถเข้ามายุ่งได้ “ถ้าชอบ ก็อย่าท้อก่อนนะ”

“...”

“ถ้ามีโอกาสนั้นอีกครั้งก็อย่าทำผิดอีกนะครับ เพราะมันอาจจะไม่มีครั้งต่อไป”

“แล้วถ้าเกิดว่า... ไม่มีแม้กระทั่งครั้งแรกล่ะหนู” น้ำเสียงของครามแผ่วลงจนคนฟังอดใจหายไม่ได้ “เฮียจะทำยังไงดีครับ”

ถ้าพู่กันชอบครามเขาคิดว่าเปอร์เซ็นต์ความสมหวังก็มีอยู่แล้ว อย่างไรก็คงต้องถามอีกทีเพราะอยากจะรู้คำตอบของพู่ แต่ถ้าไม่ชอบแล้วทำไมต้องตีตัวออกห่าง... และเขาแน่ใจว่ายังไงก็ไม่ใช่เพราะพี่ปัถย์แน่ๆ

“ต้องถามตัวเองสิครับ ถ้าเฮียถามเรา ...เราก็จะตอบได้แต่ความคิดเราสิ”

“เผื่อเฮียจะทำตามหนูได้”

“สำหรับเรา ...ถ้าหมดหนทางแล้วยังเลิกชอบไม่ได้ ก็เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียน จะได้ไม่ทำพลาดอีก” ครามพยักหน้าลงเพราะเขาคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้ในส่วนนี้ไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวังเขาก็จะไม่ทำพลาดอีกแล้ว แต่ประโยคถัดมาของน้ำเงินทำให้เขาต้องฟุบหน้าลงไปอีกครั้งเพราะมันยากเกินกว่าที่จะทำได้ “ส่วนเขา... จะเก็บไว้ในใจหรือความทรงจำ”

“...”

“ก็ขึ้นอยู่ที่จะเลือกแล้วครับ”

.

ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 10 ; (03/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 03-11-2018 21:53:33
*

“ครับพี่ปัถย์ อยู่สนามบินแล้วเหรอ” พู่กันกรอกเสียงลงไปเมื่อคนที่เพิ่งเจอกันตอนบ่ายโทรเข้ามา

(อยู่แล้วครับ แม่พี่น่าจะเลท) อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง (แล้วเรา ...โอเคหรือยัง)

“ผมโอเคแล้วครับ ขอโทษที่ทำให้พี่ตกใจด้วยนะ” แทบอยากจะขอโทษอีกพันครั้งเพราะหลังจากทะเลาะกับครามแล้ววิ่งไปหาพี่ปัถย์ที่รออยู่เขาก็ตบะแตกใส่ทันที พู่กันฟูมฟายจนอีกฝ่ายตั้งรับไม่ทัน ยังดีที่เหมยเดินตามหลังไปช่วยปลอบ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงได้อึ้งไปยกใหญ่เพราะไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร

(ไม่เป็นไร พี่ถามเพราะห่วง ...นี่พู่กัน)

“หือ ครับ”

(พี่ถามได้หรือเปล่า)

“ถามอะไรครับ”

(พี่ยังจีบเราได้อยู่ไหม) คนถูกถามชะงักไปเล็กน้อย ไม่ได้คิดว่าพี่ปัถย์จะถามอะไรแบบนี้ตอนที่เราไม่ได้เจอหน้ากัน พู่กันไม่ค่อยชอบคุยเรื่องความรู้สึกแบบนี้ตอนที่ไม่ได้เจอ แม้เราจะรู้น้ำเสียงแต่ก็ไม่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายแสดงท่าทางแบบไหน เพราะงั้นก็อยากที่จะคุยต่อหน้ามากกว่า แต่ในบางเรื่องมันก็ยากเกินไปหากเราจะคุยกันแบบเห็นหน้า

“พี่ปัถย์...” เสียงใสแผ่วลงกว่าเดิม เพราะจากการทำความรู้จักกันมา เขาไม่สามารถทำให้พี่ปัถย์มาอยู่ในสถานะคนรักได้ “ผมไม่อยากให้ความหวังพี่เลยครับ”

แม้ว่าอีกฝ่ายจะดีกับเขามากแค่ไหนก็ตามแต่เขาก็ไม่อยากให้ต้องมาปักอยู่กับเขาแบบที่ไม่มีความหวัง พู่กันไม่อยากสร้างความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอีกแล้ว แถมคำพูดของน้ำเงินคราวเรื่ององศายังย้อนกลับเข้ามาในสมองอีก

ไม่ใช่ทุกคนจะชอบคนที่ดีกับตัวเองได้ วันนี้เขาเข้าใจคำพูดของน้ำเงินแล้ว เข้าใจดีทุกอย่างเลย

(พี่เข้าใจ) น้ำเสียงของพี่ปัถย์ไม่ได้ขุ่นเคืองแถมยังทำให้เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจจริงๆ (ถ้ามีคนในใจ แล้วไม่เป็นไรนะ)

“ผม... ผมขอโทษครับ”

(ขอโทษทำไม เราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย) พี่ปัถย์พูดเจือหัวเราะ (เราชัดเจนตลอด ขอบคุณนะครับ)

“...พี่ปัถย์”

(อย่ากังวลเลยครับ)

“...”

(พี่ยังอยากมีน้องชายแบบเราอยู่)

เสมือนว่าสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจในวันนี้มันได้รับการปลดล็อคทุกอย่าง อีกฝ่ายเป็นคนดีและดีมากๆ แบบที่พู่กันไม่เคยได้เจอ คนที่ชอบแต่ไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน เอาเข้าจริงๆ พี่ปัถย์ก็คงจะเป็นตัวแทนของเหมยเลยด้วยซ้ำ

“ขอบคุณนะครับ” เขาตอบเสียงแผ่วทั้งที่ใจยังคงรู้สึกผิด แต่ก็เป็นความรู้สึกสับสนเพราะเขากำลังหักอกคนที่ดีกับตัวเองมาตลอด

(ถ้าเป็นพี่น้องกัน ยังจะไปกินข้าวด้วยกันได้หรือเปล่า)

“ได้ครับ”

(งั้นพรุ่งนี้ไปกินข้าวกัน เดี๋ยวพี่ไปรับ)

“ครับ ...พี่ปัถย์” เขาเรียกชื่อปลายสายอีกครั้งจนอีกฝ่ายขานตอบเบาๆ “พรุ่งนี้ผมขอปรึกษาอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

(ได้ครับ ตอนนี้ยังได้เลย)

“ไม่เอา เกรงใจพี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันผมค่อยเล่าให้ฟัง ถ้าพี่ไม่ลำบากใจนะ” พู่กันยังคงเกรงใจอยู่เนืองๆ เขาหักอกพี่ปัถย์ไปไม่ถึงนาทีแล้วก็กำลังจะยัดเยียดเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายได้รับรู้ แต่ในเวลานี้เขาต้องการที่ปรึกษา แม้ว่าจะมีเหมยอยู่แล้วแต่เขากลับรู้สึกว่าอยากจะฟังคำพูดของพี่ปัถย์มากกว่า ไม่รู้ว่าทำไมเช่นกัน

(ไม่ลำบากหรอก ถ้าเป็นเรื่องคนที่ทำให้เราวิ่งร้องไห้มาหาพี่ ...พี่ก็ยินดีรับฟังครับ)

“ทำไมพี่ต้องดีกับผมขนาดนี้ด้วยเนี่ย รู้สึกผิดแล้วนะ” พู่กันว่าพลางหัวเราะก่อนจะโดนขัดขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกอุ่นใจทุกครั้ง “ผมเป็นเด็กเห็นแก่ตัวเลย หักอกพี่แล้วก็ยังจะให้พี่มารับรู้เรื่องของผมอีก”

(ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกครับ พี่บอกเราตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ได้คาดหวัง ไม่ติดก็ไม่เป็นไร)

“...”

(มีน้องชายแบบเรา ก็ดีเหมือนกัน)

“จะดีเกินไปแล้วจริงๆ นะ พี่ไม่เหมาะกับคนแบบผมหรอกนะเนี่ย ผมเป็นเด็กน่ารักให้พี่ไม่ได้หรอกครับ” พู่กันเม้มปากแน่นก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ความรู้สึกที่ตัวเองมีพี่ชายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนมันไม่ได้แย่ แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เป็นอะไรจริงๆ ตามปากพูดไหม

(แค่นี้ก็พอแล้ว อย่าน่ารักกว่านี้เลยครับ)

“...”

(เดี๋ยวพี่เปลี่ยนใจไม่อยากเป็นพี่ชาย)

“โหย พี่อะ” ไม่ปฏิเสธเลยว่าตัวเขาเองก็อยากจะรักพี่ปัถย์ให้ได้ในฐานะแบบนั้น แต่เมื่อรู้ว่ามันไม่ได้เขาก็ไม่อยากจะรั้งหรือให้ความหวัง “ผมขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ ครับ”

(พอแล้วครับ เอาเป็นเดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันนะ)

“ครับ กี่โมงพี่ปัถย์บอกผมอีกทีนะ เพราะพรุ่งนี้ผมว่างทั้งวันอะ”

(ได้ครับ เดี๋ยวพี่โทรหา เราอย่าคิดมากนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเป็นที่ปรึกษาให้ครับ)

“อื้อ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”

พู่กันกดวางสายก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงใหญ่ เขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจะบอกเล่ากับน้ำเงินอย่างไร แถมพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดคาดว่ากว่าจะได้เจอกันก็น่าจะเป็นวันจันทร์ทีเดียว ก็รู้สึกผิดเช่นกันที่ปฏิเสธน้ำเงินไปอย่างนั้น

แต่เขาก็ไม่พร้อมที่จะเล่าอะไรจริงๆ เรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ผิดที่ครามคนเดียวแต่เป็นเพราะเขาเองที่หักใจไม่ได้ เพราะงั้นเขาก็เลยคิดอยู่ว่าควรจะเริ่มเล่าตั้งแต่จุดไหนแต่ที่แน่ๆ คือครามต้องเล่าให้ฟังบ้างแล้ว

และเขาก็คงโกหกอะไรไม่ได้อีก

*

เจ้าของร่างบางยืนเลือกเสื้อเชิ้ตมานานกว่าสิบนาทีแล้ว ไม่ว่าจะหยิบตัวไหนออกมาผลสุดท้ายก็ต้องจับมันใส่ไม้แขวนแล้วเอาไว้ที่เดิม เขาจะไม่เครียดเรื่องชุดขนาดนี้หากว่าพี่ปัถย์พาไปกินข้าวแบบสบายๆ แต่เมื่อยี่สิบนาทีที่ผ่านมาคนพี่โทรมาบอกว่าจองร้านอาหารที่โรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งไว้ เนื่องจากเมื่อตอนบ่ายมีนัดกับลูกค้าแล้วเห็นว่าอาหารอร่อยก็เลยจะพาเขาไปลองชิม

ก็แน่นอนว่าคนที่แต่งเสื้อยืดโคร่งๆ กับกางเกงขาสามส่วนต้องรีบแจ้นขึ้นมาบนห้องเพื่อหาเสื้อเชิ้ตที่ใส่แล้วดูมีความเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย เขาบอกให้พี่ปัถย์เข้ามารับที่บ้านเพราะไม่อยากขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปร้าน ตอนแรกก็นึกว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมแต่ที่ไหนได้บอกให้ส่งบ้านเลขที่ไปเพราะจะได้บอกยามหน้าหมู่บ้านถูก

พู่กันเลือกเชิ้ตสีสว่างออกมาจากในตู้และเป็นแบรนด์ของพี่องศา ซึ่งตัวนี้เป็นรุ่นลิมิเต็ดที่น้ำเงินหอบมาฝากหลังจากเปิดตัวร้านหลักได้ประมาณหนึ่งเดือน ขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อก็ต้องชะงักเพราะพี่ปัถย์โทรมาอีกครั้ง ร่างบางคว้ามากดรับสายก่อนเดินไปชะโงกหน้าดูตรงหน้าต่าง

(อยู่หน้าบ้านนะ)

“โหยพี่ ผมเพิ่งเลือกเสื้อได้” ปลายสายหัวเราะทันทีที่เขาพูดออกไปด้วยน้ำเสียงตระหนกเพราะกำลังวิ่งลงมาจากข้างบนทั้งที่ยังติดกระดุมไม่เสร็จ “แป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวออกไป”

(ไม่ต้องรีบ พี่รอ)

พู่กันขานตอบก่อนจะกดวางสายแล้วยืนติดกระดุมให้เรียบร้อย รวมไปถึงไล่ปิดไฟในบ้านให้หมดแล้วเหลือเพียงหน้าบ้านไว้ดวงเดียว เขารีบเดินจ้ำออกมาจากบ้านเพราะพี่ปัถย์ออกมายืนพิงรถรออยู่แล้ว

“นอนน้อยเหรอครับ” คำทักทายแรกทำให้พู่กันพยักหน้าลงเบาๆ เมื่อคืนเขานอนไม่หลับเพราะเอาแต่คิดว่าจะพูดกับน้ำเงินอย่างไรตอนเจอหน้ากัน จะทำอย่างไรหากต้องเจอครามอีกครั้ง แต่เรื่องของความรู้สึกที่ตั้งใจเอาไว้คือจะตัดใจจากครามให้ได้ “ไหวไหม”

ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากพูดอะไร แสงสว่างของไฟหน้ารถคันใหม่ก็จอดต่อท้าย พู่กันหันไปมองก่อนจะสบถกับตัวเองเบาๆ เมื่อคนที่ลงมาจากรถคือสีคราม

“พี่มา...” และยังไม่ทันจะได้ถามจนจบประโยค ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาก็แทรกขึ้นขณะเดินมาประชิดตัวเขา

“ขอพี่คุยด้วยหน่อย”

“เดี๋ยวพี่ไปรอบนรถนะครับ” ปัถย์จำต้องเสียมารยาทเพราะดูท่าแล้วเด็กคนนี้น่าจะเป็นคนที่ทำให้พู่กันวิ่งร้องไห้มาหาเขา ไม่รู้ว่าผิดใจอะไรกันมาแต่ดูท่าแล้วผู้มาใหม่ก็น่าจะมีความคิดเป็นผู้ใหญ่พอสมควร เพราะฝ่ายนั้นยกมือขึ้นสวัสดีทั้งที่เราไม่รู้จักกัน เขาก็เลยต้องยกมือรับไหว้มาแบบงงๆ

“แต่พี่ปัถย์...” พู่กันหันไปท้วงแต่กลับโดนคนตัวสูงนั่นยกมือขึ้นวางบนศีรษะ

“รอได้ครับ” ปัถย์ยิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนผงกหัวให้กับเด็กนักศึกษาแบบไม่ถือตัว ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มให้เสมือนจะขอบคุณที่ยอมเสียเวลาและเปิดโอกาสให้ได้คุยกับพู่กัน

“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับพี่แล้ว” พู่กันตัดบทหลังจากพี่ปัถย์ขึ้นไปบนรถแล้ว เขาไม่อยากสาวความยาวต่อความยืดอะไรทั้งนั้น “พี่กลับไปเหอะ”

เจ้าของร่างเล็กกำลังจะหมุนตัวกลับแต่ถูกคว้าข้อมือเอาไว้ รวมถึงถูกรั้งให้ยืนอยู่ที่เดิมด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่ได้ยินทีไรก็แทบจะหลุดร้องไห้ออกมาเสียทุกครั้ง หเหตุการณ์เดิมๆ วนลูปจนเหมือนเป็นฝันร้ายที่เขาอยากจะตื่นขึ้นมาสักที

“พี่ขอเวลานิดเดียว”

พู่กันยืนมองหน้าครามนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไร ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่แต่สายตาที่ครามมองเขามันเป็นสายตาอ้อนวอนที่นานครั้งถึงจะได้พบ ถ้าครั้งล่าสุดก็น่าจะตั้งแต่ตอนที่ครามเคยถามว่าจะทำอย่างไรหากเราเผลอชอบกันขึ้นมา ยอมรับว่าเพียงแค่เห็นหน้าก็ทำให้เขาแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แต่ก็ต้องฝืนทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด

“ผม...”

“นะครับ”

“อือ สิบนาที”

tbc
ฉากเรียกนั้มตามาในตอนสุดท้าย เป็นกำลังใจให้เฮียด้วยนะคะ ฮรุก /ส่วนทีมน้องพู่พี่ปัถย์ ยื่นผ้าเช็ดหน้าค่ะ T___T
ฝากคอมเมนต์ให้กำลังใจกันได้ หรือแปะแท็ก #โซ่สีคราม พูดคุยกันได้นะคะ
ขอบคุณทุกคนมากๆ เลยฮับ ♥
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 10 ; (03/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 03-11-2018 22:14:22
โอ่ยยยยยย  :hao5:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 10 ; (03/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 04-11-2018 08:05:04
อยากเห้นตอนมุ้งมิ้งๆของคู่นี้จังเลย
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 10 ; (03/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 04-11-2018 10:43:43
พี่ปัถย์ เซมาทางนี้ก็ได้ค่ะ ถ้าพี่มีสกิลพระเอก พี่จะชนะ
ฮือ
คราม สู้นะ ในเมื่อรู้ความต้องการของตัวเองแล้ว อย่าท้อล่ะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 10 ; (03/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 04-11-2018 21:14:02
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 10 ; (03/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 05-11-2018 16:49:35
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 10 ; (03/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 06-11-2018 21:57:22
หาคู่ให้พี่ปัถย์ทีค่ะะ พี่ปัถย์คนดีของน้อง  :sad4:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 11 ; (09/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 09-11-2018 21:00:58
11
silent tears

//


“โกรธอะไรพี่” ครามใช้น้ำเสียงอ่อนโยน ไม่มีอีกแล้วสรรพนามมึงกูที่เคยใช้และเข้าสู่ประเด็นที่ตัวเองคาใจทันทีเพราะเกรงว่าถ้าลีลาน้องจะไม่อยากคุยด้วยเสียก่อน “บอกพี่ได้ไหม”

“ผมนึกว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว”

“ไม่ พี่ไม่เข้าใจ”

“มีอะไรที่พี่ไม่เข้าใจ อย่างเดียวที่ผมขอก็แค่เราเลิกยุ่งกัน”

“คุยกันดีๆ ได้ไหม”

“ผมคุยดีกับพี่ตั้งแต่วันแรกแล้ว” เราสบตากันในเสี้ยววินาทีก่อนพู่กันจะเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี “ไม่มีอะไรจะคุยแล้ว”

น้ำเสียงแผ่วเบาทำเอาครามใจกระตุกวูบ ภาพเก่าๆ ฉายซ้ำอีกครั้งตอนที่น้องกำลังหมุนตัวไปเพื่อขึ้นรถของบุคคลที่สาม ร่างสูงโปร่งได้แต่คว้าข้อมือเอาไว้แต่ก็โดนสะบัดออกเสมือนเรากลายเป็นแม่เหล็กขั้วเดียวกันเพราะมันไม่มีทางจะดึงดูดเข้าหากันได้อีก

“พี่ทำอะไรผิด” พู่กันถอนหายใจเมื่ออีกฝ่ายยังคงตั้งแต่คำถามเดิมๆ “ทำไมถึงเป็นแบบนี้”

“ผมบอกพี่ไปหมดแล้วนะ” สุดท้ายแล้วพู่กันก็ต้องหันมาเผชิญหน้ากับครามอีกครั้ง นัยน์ตาคมที่เขาเคยมองในวันนี้ดูสั่นไหวกว่าที่ผ่านมา ครามกำลังเล่นตลกอะไรกันแน่ ทำไมต้องมาตามเทียวไล้เทียวขื่อกับเขาอยู่แบบนี้ “เรื่องของเรามันจบแล้วพี่คราม”

“แต่พี่ไม่จบ จะให้เลิกยุ่งทั้งที่ยังไม่รู้ว่าทำอะไรผิดจริงๆ เหรอ”

“แต่ผมจบ ถ้าพี่ไม่จบมันก็เรื่องของพี่”

“...”

“อย่ามายุ่งกับผมได้ไหม”

“ก็ถึงได้ถามอยู่นี่ไงว่าทำไม พี่ไม่เข้าใจอะไรเลยพู่ อยู่ดีๆ ก็มาระเบิดใส่” เขาพูดจริงๆ ว่ายังคงไม่เข้าใจ ตั้งแต่วันที่ออกจากโรงพยาบาลมาน้องก็ระเบิดใส่แบบที่เขาตั้งรับไม่ทัน แน่นอนว่าพยายามจะมาพูดหรืออธิบายแล้วแต่น้องก็ไม่ยอมฟังและยืนยันอย่างเดียวว่าจะจบกัน

อย่าว่าแต่จะบอกชอบแค่หน้าเขาน้องยังไม่อยากมองเลยด้วยซ้ำ และเขาไม่อยากให้การสารภาพรักของตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่มันตึงด้วยกันทั้งคู่ ภาพในหัวที่คิดว่าจะบอกกับพู่กันว่าชอบมันไม่ใช่แบบนี้เลยสักนิด

“มันไม่มีอะไรนอกจากผมไม่อยากยุ่งกับพี่แล้วไง” พู่กันรู้ว่าคำพูดของเขาสร้างความไม่สบอารมณ์ให้กับครามมากขนาดไหน เพราะอีกฝ่ายเริ่มแสดงสีหน้าไม่พอใจจนเห็นได้ชัด

“แค่บอกพี่มันยากตรงไหน” น้องอยากจบทั้งๆ ที่ความรู้สึกของเขามันเพิ่งเริ่มต้นจะให้เขารู้สึกแบบไหนวะ “แค่บอกว่าเป็นอะไร พี่ทำอะไรให้โกรธ ไม่พอใจเรื่องไหนก็พูด”

“...”

“อย่าทำให้มันยากได้ไหม”

“มันต้องยากดิ”

“แล้วทำไมต้องทำให้ยาก แค่พูดมันก็จบแล้วพู่”

“พี่คิดว่ามันจบเหรอวะ ทำไมพี่คิดตื้นจังอะ”

“พี่ไม่เข้าใจว่ะ” ครามพูดเสียงดุ แน่นอนว่าท่าทางที่แสดงออกมองครู่เดียวก็รู้ว่าไม่สบอารมณ์มากแค่ไหน แต่คนพี่ก็ยังทำได้ดีตรงที่ไม่หลุดตะคอกเขามาเลยสักครั้งแค่โทนเสียงที่ใช้มันดุกว่าตอนแรกเป็นโทนที่ครามมักจะใช้ดุเวลาเขาดื้อ

“ไม่ต้องมาเข้าใจหรอก แค่เราเลิกยุ่งกันก็พอ” พู่กันแกะมือของครามออกอีกครั้งและคาดหวังว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้หันกลับมา ขอเพียงแค่ครามอย่าพูดอะไรและปล่อยให้เขาเดินต่อไป แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นไปตามที่คิดเมื่อคนด้านหลังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ

“ทำไมใจร้ายจังวะ” คำพูดของครามเป็นผลให้เขาหยุดชะงัก ความอึดอัดที่มีอยู่มันเหมือนจะทะลักออกมาแบบที่ไม่สามารถเก็บไว้ได้อีกต่อไป พู่กันจำต้องหันกลับไปแล้วท้วงถามด้วยความรู้สึกที่อยู่ในใจ

“ใจร้ายเหรอวะ พี่พูดออกมาได้ไง พี่แม่งไม่รู้อะไรแล้วมาบอกผมร้ายใจเหรอ”

“ก็พี่บอกให้พูดพู่ก็ไม่พูด บอกให้จบกันท่าเดียว ฟังก่อนได้ไหมว่าพี่คิดอะไร นี่พู่ไม่ฟังพี่สักอย่าง”

“...”

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ไม่เข้าใจเลยว่ะ พู่จะทำให้มัน...”

“ก็ที่แม่งเป็นแบบนี้เพราะผมชอบพี่ไง ผมชอบพี่ ชอบพี่ พี่ได้ยินปะวะ!” ไม่แม้แต่จะรอให้ครามได้พูดจบ ความอดกลั้นเฮือกสุดท้ายระเบิดออกมาราวกับภูเขาไฟปะทุ จากคำพูดที่ครามกรอกหูอยู่เมื่อครู่ว่าควรจะพูดออกไปทำให้พู่กันควบคุมสติตัวเองไม่อยู่เพียงแต่คิดว่าที่มันต้องเป็นแบบนี้เพราะความรู้สึกไม่รักดีของตัวเอง แน่นอนว่าคำพูดของเขาทำให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอึ้งไป

“เดี๋ยวดิ... พู่ชอบพี่เหรอ ชอบพี่จริงเหรอพู่” ครามไม่รู้ว่าตัวเองควรจะแสดงสีหน้าแบบไหนก่อน ตอนนี้เขาทั้งประหม่า ตกใจและดีใจแต่มันก็ใจเสียอยู่เพราะเรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง “ถ้าชอบพี่แล้วทำไมต้องเลิกยุ่งกัน”

“พี่จะให้ผมทำไง จะให้ผมอยู่ตรงไหน ผมไม่ได้เก่งมากพอที่จะชอบพี่ทั้งๆ ที่พี่ชอบคนอื่นนะเว้ย ผมก็ต้องเซฟใจตัวเองไหม แล้วพี่มาบอกว่าผมใจร้ายได้ไงวะ” พู่กันเหมือนคนสติแตกเขาพูดทุกอย่างคิดและเพิ่งรู้ตัวว่าพูดมากจนเกินไปแล้ว “พี่เลิกยุ่งกับผมเหอะ”

“...”

“ผมไม่อยากเจ็บ”

“ใครบอกว่าพี่ไม่ชอบพู่กัน” เจ้าของร่างเล็กชะงักทันที สมองที่ประมวลผลอยู่เมื่อครู่เริ่มรวนและปะติดปะต่อเรื่องไม่ได้ “เรื่องที่พี่อยากคุยด้วยคือเรื่องนี้”

“มัน... เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก” เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใจดวงเล็กสั่นระรัวกับสิ่งที่เพิ่งจะได้ยิน ความรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ก่อตัวขึ้นอย่างง่ายดาย “พี่อย่ามาเล่นกับความรู้สึกผม”

“ไม่ได้เล่น พี่พูดจริงๆ”

“พูดจริงเหรอ ...” เขากัดฟันแน่นพยายามนึกว่าตรงไหนที่เป็นความจริง “พูดจริงแล้วไอ้ที่จูบกับพี่นับวันนั้นคืออะไรวะพี่”

“เดี๋ยววันไหน” ครามอึ้งไปเล็กน้อยและพยายามทบทวนว่าเขาไปทำอย่างนั้นเมื่อไหร่

“วันแรกที่พี่เข้าโรง’บาลไง ผมไปหาพี่ แต่ไปถึงแล้วเจอพี่จูบกับพี่นับ” พู่กันตอบเสียงแข็งแต่อีกฝ่ายยังดูไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด “หรือพี่จะปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ”

“วันแรกที่น้ำเงินบอกพู่มีธุระด่วนใช่ไหม” ครามถามซ้ำอีกครั้งให้แน่ใจ พอน้องพยักหน้าเขาจึงรู้ว่าน้องคงจะเข้าใจอะไรผิด เพราะมากสุดวันนั้นที่เขาทำคือกอด “ถ้าวันนั้นพี่แค่กอดนับ แต่ถ้าจูบพี่ไม่ได้ทำ”

“แต่ผมเห็น” จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าแค่กอด ก็เขาเห็นเต็มสองตา แม้จะเห็นเพียงแค่ด้านหลังแต่ท่าทางแบบนั้นมันก็คิดไปแค่จูบได้อย่างเดียวไม่ใช่เหรอ “หน้าพี่นับเขาก็อยู่ใกล้พี่ ท่าทางแม่งก็จูบกันชัดๆ จะมาโกหกผมให้ได้อะไรวะ”

“พู่ไปหาพี่กี่โมง”

“ห้าโมง”

“เดี๋ยวดิพู่ เข้าใจผิดแล้ว” ครามท้วงเพราะเริ่มนึกออกแล้วว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในช่วงไหน ถ้าอยู่ใกล้เขาก็มีแต่ตอนที่ขอคำปรึกษาเรื่องพู่กัน ซึ่งเพื่อนก็ให้คำแนะนำมาแต่ครามก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะทำได้ตามแบบที่พูดไหม นับก็เลยประคองหน้าเขาแล้วให้กำลังใจ กับคนอื่นก็คงคิดว่ามันไม่สมควรที่จะทำแต่ครามชินเสียแล้ว เพราะเวลานับต้องการจะให้กำลังใจใครก็มักจะทำประคองหน้าเพื่อบังคับให้มองไปที่ตัวเอง แน่นอนว่านับทำแบบนี้กับเพื่อนทั้งกลุ่ม ไม่ว่าจะองศาหรือยิ้มก็โดนนับให้กำลังแบบนี้เสมอ คนที่จะได้สิทธิพิเศษจากการประคองหน้าแล้วจูบก็มีเพียงเข็มทิศแค่คนเดียว และที่สำคัญหากมองด้านข้างหน้าเขากับนับก็ไม่ได้ใกล้กันเลยด้วยซ้ำ

“เข้าใจอะไรผิด”

“พี่ไม่เคยจูบนับ จะวันก่อนหรือก่อนหน้าก็ไม่เคย ถ้าวันนั้นที่เห็นนับอยู่ใกล้พี่ มันแค่ให้กำลังใจเรื่องที่พี่จะมาบอกชอบพู่ นับมันเป็นแบบนี้กับทุกคน กับไอ้ศาไอ้ยิ้มมันก็เป็น ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเลยพู่”

“จะให้ผมเชื่อได้ยังไง”

“พี่เคยโกหกพู่สักครั้งไหม” คนถูกถามนิ่งงันไปเพราะนึกย้อนไปแล้วครามก็ไม่เคยโกหกจริงๆ ครามกำลังทำให้เขาสับสน ทั้งที่คิดว่าทำได้แล้ว ตัดใจได้แน่ๆ พอเจอแบบนี้ทุกอย่างที่สร้างขึ้นมาใหม่ก็พังทลายลงทั้งหมด “พี่ไม่เคยจูบนับ พี่จูบแต่พู่กัน”

“...”

“คนเดียว”

 “พี่คราม” พู่กันกลั้นใจเรียกชื่อคนตรงหน้าออกไป “ผมขอโทษนะ”

“เรื่อง...” ครามใจเต้นระรัวเพราะไม่รู้ว่าน้องขอโทษเขาในเรื่องไหน เรื่องที่เข้าใจผิดหรือว่าเรื่องอื่น ยังไม่ทันจะได้ถามจนจบพู่กันก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ผมไม่อยากเป็นแบบนี้แล้ว มันผิดตั้งแต่ผมแหกกฎที่ตัวเองตั้งขึ้นมาแล้ว เรื่องของเรามันไม่ควรเกิดขึ้นเลย ...มันเป็นไปไม่ได้” ครามทำให้เขาต้องเริ่มต้นใหม่ในการก่ออิฐเพื่อขังตัวเองไว้ภายใน คนตัวเล็กหมุนตัวก่อนจะเตรียมเดินไปหาพี่ปัถย์และจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ เพราะพู่กันจะไม่หันไปอีกแล้ว


“ถ้าเราชอบกันแล้วทำไมมันถึงเป็นไปไม่ได้” เจ้าของร่างบางหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำพูดนั้น หัวใจดวงเล็กสั่นอย่างรุนแรงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความรู้สึกใด เพราะความตั้งใจที่จะไม่หันไปทำให้ครามเข้ามาสวมกอดจากด้านหลังได้อย่างง่ายดาย สุดท้ายพู่กันก็ไม่สามารถที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้เพียงเพราะอ้อมกอดที่คุ้นเคย หยาดน้ำใสเอ่อล้นขอบตาและมันร้อนผ่าวจนน่ารำคาญ “พู่กัน”

“ใจผมรับไม่ไหวแล้ว” เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พยายามกลั้นสะอื้นเพื่อไม่ให้ครามรู้ว่าใจเขามันร้องไห้ออกมาแค่ไหน แรงกอดกระชับแน่นขึ้นและพู่กันไม่สามารถสะบัดหรือเดินหนีเมื่อครามซุกใบหน้าลงตรงต้นคอ “ผมเชื่อพี่ไม่ลงเลย”

“พี่ชอบพู่ จริงๆ” ยิ่งอีกฝ่ายพูดย้ำในคำว่าชอบก็ยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บ ยอมรับว่าใจเขามันไม่อยากจะกลับไปอยู่ในที่เดิมอีกแล้ว เขาไม่สามารถเชื่อครามได้เลยจริงๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เคยโกหกกัน แต่เมื่อประมวลเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วเขาก็คิดว่าอย่างไรมันก็เป็นไปไม่ได้ “ไม่งั้นจะตามง้อขนาดนี้ทำไม”

“อย่างพี่จะมาชอบผมได้ไง ใจพี่แม่งไม่เคยมองผมเลย... สักครั้งพี่ก็ไม่เคยมอง” ร่างเล็กตัวสั่นกับการฝืนกลั้นน้ำตาเพื่อไม่ให้ไหลไปมากกว่านี้ สองข้างแก้มเปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำที่ไหลออกมาแบบควบคุมไม่อยู่ เขาสับสนและสับสนมากๆ เพียงเพราะคนที่ทำให้เขาตกหลุมรักเป็นคราม คนที่ทำให้เขาพังกฎของตัวเองในทุกอย่าง เป็นคนต้องห้ามที่เขาไม่ควรเผลอไปรักตั้งแต่แรก “พี่เลิกรักพี่นับไม่ได้”

“พี่ไม่ได้รักนับแบบนั้นแล้ว” ยิ่งได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำบอกเล่าความรู้สึกก็ยิ่งทำให้ตัวเขาสะอื้นไห้ออกมา จากการพยายามกลั้นน้ำตาในตอนนี้มันไม่สามารถห้ามเอาไว้ได้อีกแล้ว  เขายอมรับว่ามันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายจะชอบกัน ทั้งที่ยังเพ้อถึงนับอยู่ในก่อนหน้านั้น มันจะกลายมาเป็นเขาได้ยังไง

“พี่คราม” คนตัวเล็กกัดฟันแน่น เขาไม่สามารถพาตัวเองเข้าไปติดบ่วงของนายพรานได้อีก อย่างที่รู้กันว่านายพรานไม่เคยใจดีกับเขา ในเมื่อพยายามดิ้นออกมาก็ไม่สมควร... ไม่สมควรที่จะกลับไปเลย “ผมไม่อยากอยู่ข้างพี่แล้ว ...จริงๆ นะ ผมเจ็บว่ะพี่”

“ไม่เอาดิพู่” ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่พู่กันรู้สึกว่าเสียงของครามสั่นเครือเหมือนคนจะร้องไห้ แต่มันคงไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเท่าที่รู้จักกันมา เท่าที่เป็นที่ปรึกษาให้เรื่องพี่นับ อย่างมากครามก็แค่เมาแต่ไม่เคยร้องไห้ให้เขาเห็นเลยสักครั้ง “อยู่ข้างกันเหมือนเดิมได้ไหมครับ”

“ม...ไม่”

“ไหนบอกว่าถ้าพี่ขอให้อยู่... แล้วพู่จะอยู่กับพี่ไง” ครามรู้ว่าสิ่งที่พูดออกไปมีแต่ความเห็นแก่ตัว แต่เขาไม่สามารถปล่อยให้น้องไปไหนได้ มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ทั้งๆ ที่น้องบอกว่าชอบเขา “พู่กัน...”

“พี่แค่หวั่นไหวไปกับเรื่องของเรา” ก้อนสะอื้นถูกกลืนลงไปในลำคอ พู่กันไม่แม้แต่จะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาแบบไม่ขาดสาย เขาทำได้เพียงกอดตัวเองเอาไว้แน่นๆ ด้วยแรงทั้งหมดที่มีทั้งที่ครามเองก็ยังกอดเขาไว้ “...พี่อย่าลืมดิ”

“...”

“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะมาหยุดตรงหน้าผม ...ตั้งแต่แรก”

“เป็นปัจจุบันได้ไหมพู่ ตอนนี้”

“คงไม่ได้... ไม่ได้แล้ว”

“ทำไม”

“พี่จำได้ไหม” สองมือเล็กพยายามจะจับแขนแกร่งที่กอดเอวตัวเองให้ออกไปให้พ้น เขาไม่สามารถที่จะดันทุรังให้บทสนทนาที่เราต่างคนต่างสร้างขึ้นมาได้ดำเนินต่อ “ที่พี่บอกว่า... ถ้าผมมีแฟน พี่จะปล่อยให้ผมไป”

พู่กันแน่ใจแล้ว แน่ใจมากจริงๆ ที่จะจบความสัมพันธ์นี้ลง เพราะเราไม่ควรมีกันตั้งแต่แรกกำแพงที่พังลงเมื่อครู่บัดนี้จึงก่อตัวขึ้นอีกครั้ง โซ่สีครามกำลังถูกเขาดึงให้ขาดต่อให้เจ็บเจียนตายแค่ไหน ตอนนี้เขาก็จะทำเพื่อให้มันสะบั้นออกจากกัน

“ไม่เป็นแบบนี้ได้ไหมพู่ อย่าโกหกพี่”

“แล้วเรื่องที่พี่เคยถามว่าผมจะบอกพี่เป็นคนแรกไหมถ้ามีแฟน” เสมือนว่าโสตการรับรู้ของพู่กันจะไม่ได้รับฟังเสียงของครามอีกต่อไปแล้ว เขาเพียงแต่คิดว่าต้องพูดออกไปเพื่อให้เรื่องราวบ้าๆ นี้มันจบลง “ตอนนี้ผมตอบได้แล้วนะ”

“ไม่ดิ...”

“วันนี้”

“พี่ไม่อยากได้ยินแล้วพู่... ไม่อยากรู้แล้ว” ครามกระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิม “อย่าบอกพี่”

“ผมคบกับพี่ปัถย์แล้ว” เสมือนโลกของครามพังทลายเมื่อได้ยินคำตอบ ชายหนุ่มขบฟันแน่น ความอ่อนแอที่สะสมมาทะลักจนแทบล้น ไม่มีอีกแล้วเช่นกันครามคนที่เคยเข้มแข็ง ใจของเขาเหมือนโดนบีบให้แตกสลายจนกลายเป็นเพียงผุยผง “พี่เป็นคนแรก ...คนแรกที่ผมบอกให้รู้”

ชายหนุ่มฝังใบหน้าลงที่ซอกคอ ผ่อนลมหายใจออกอย่างเชื่องช้าเสมือนว่าอากาศที่กำลังใช้อยู่ในตอนนี้กำลังจะหมดลง ครามกอดน้องเอาไว้แน่น ...แนบแน่นแบบที่กลัวว่าจะน้องหายไปไหน

“พี่คราม”

“ไม่เอาแบบนี้ พู่ชอบพี่ ...พู่จะไปคบคนอื่นได้ยังไง อย่าโกหกได้ไหมพู่”

“แต่มันเป็นไปแล้ว... ผมคบกับพี่ปัถย์แล้ว ปล่อยผมไปเถอะนะ”

“แต่พี่ชอบพู่ ชอบจริงๆ”

“เราเลิกยุ่งกัน... มันดีที่สุดแล้ว” ไม่ปฏิเสธเลยว่าคำพูดของพู่กันทำให้ใจเขากระตุกวูบ เจ็บยิ่งกว่าเหมือนโดนมีดกรีดหัวใจซ้ำๆ  พู่กันพยายามแกะแขนของเขาออกจากตัวและนั่นยิ่งทำให้เขาเจ็บเสมือนใจจะขาด แต่ครามจะไม่ยอม... ไม่ยอมให้น้องหลุดจากอ้อมกอดไปง่ายๆ

แต่มันคงเป็นเพียงแค่ความฝัน เพราะในความเป็นจริงน้องหลุดออกจากอ้อมกอดเขาไปแล้ว

“พี่ขอโทษที่ทำให้เป็นแบบนี้”

“ผมขอร้องนะพี่คราม เลิกยุ่งกันเถอะนะครับ”

“พี่โคตรเจ็บเลยครับ เจ็บกว่าตอนที่โดนนับปฏิเสธอีก”

“ผมไม่อยากรู้ ...ฮึก ไม่อยากรู้แล้ว” พู่กันพยายามกลั้นสะอื้นอีกครั้งเพราะไม่อยากให้คนที่กอดเขาอยู่ได้รับรู้ว่าตอนนี้ใจของเขาเจ็บมากแค่ไหน มันเป็นครั้งแรกที่อ้อมกอดระหว่างเราทำให้รู้สึกเจ็บเหมือนจะขาดใจ “ผมมีแฟนแล้ว ...พี่ปล่อยผมไปได้แล้ว”

“พู่กัน” เจ้าของชื่อพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการ ใจเขามันไม่อยากอยู่ในอ้อมกอดของครามอีกต่อไปเพียงแค่วินาทีเดียวก็ไม่อยากเพราะเขาจะขาดใจอยู่แล้ว แต่สิ่งที่พยายามมาทั้งหมดกับพังทลายเพราะน้ำเสียงของอีกฝ่ายที่เอ่ยขอขึ้นมา “ขอพี่กอดแบบนี้อีกสักพักได้ไหม”

“...”

“ขอเป็นครั้งสุดท้าย นะ... ครับ”

“อือ” พู่กันขานตอบเสียงแผ่ว ได้แต่ยืนนิ่งและปล่อยให้ครามกอดอยู่อย่างนั้นเพราะมันจะเป็นครั้งสุดท้ายระหว่างเรา แม้จะไม่มีเสียงสะอื้นดังให้น่าใจหายเหมือนเมื่อครู่ แต่การร้องไห้โดยพยายามกลั้นเอาไว้จนร่างกายสั่นเทิ้มก็บ่งบอกให้รู้ว่าเขาเจ็บจนแทบจะยืนไม่ไหว

โซ่เส้นหนาที่พันธนาการกันไว้ขาดสะบั้นลงที่ตรงนี้ สีครามของโซ่กำลังถูกชะล้างจากหยาดน้ำตาจนไม่มีเหลือและกลายเป็นเพียงโซ่ธรรมดา ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกำลังจะจบลงจริงๆ เราจะไม่มีกันอีกแล้ว

“พี่ขอให้เขาดูแลเราดีๆ นะ” ครามกระซิบข้างใบหูด้วยน้ำเสียงแผ่วเพราะมันขัดแย้งกับความรู้สึก เขาไม่อยากให้น้องมีแฟน ตอนนี้เขาคงเป็นไอ้ขี้แพ้ที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากขอในสิ่งที่ตัวเองต้องการให้เป็น ไม่ใช่ว่าอยากเป็นพระเอก ไม่ใช่ว่าไม่อยากตื๊อ แต่ครามทำไม่ได้ เขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเอาแต่ใจตัวเองได้อีกแล้ว สิ่งที่น้ำเงินบอกว่าพู่กันเป็นคนใจแข็งวันนี้เขารับรู้และได้เจอกับตัวเองแล้ว

ความเป็นจริงครามก็จะไม่เชื่อคำพูดของน้องเลย เพราะหากน้องชอบเขาจะหนีไปมีแฟนได้อย่างไร แต่การที่พู่กันพูดย้ำหลายหนและขอให้เราจบกัน อีกอย่างภาพมันก็ยังมาชัดตรงที่เขาคนนั้นก็รอพู่กันอยู่บนรถ ...มันชัดเจนเช่นกันว่าครามรู้สึกตัวช้าเกินไป เพราะน้องไม่ได้หยุดรอเขาอยู่ที่เดิม ...จริงๆ ก็คงไม่มีใครที่จะหยุดอยู่ที่เดิมได้ตลอดหากที่ตรงนั้นมันทำให้เจ็บปวด ครามเป็นคนที่ทำให้พู่กันเสียใจและทำให้น้องตัดสินใจเดินออกมาจากวงโคจรของเขา

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะคราม ...เพราะเขาคนเดียว

“พี่คราม...” เสมือนทุกอย่างมันกำลังแตกสลาย แม้อ้อมกอดจะยังแน่นแต่กลับรู้สึกว่าเรากำลังยิ่งห่างไกลกันออกไปเรื่อยๆ

“อย่าดื้อ อย่าโหมทำขนมดึกๆ แล้วพี่ก็... ขอบคุณนะครับ”

“...”

“ขอบคุณที่ทำให้พี่รู้ ...รู้ว่าจริงๆ แล้วพี่คงไม่ได้แค่ชอบ”

“พ... พอ เถอะครับ” พยายามเอ่ยปากห้ามแต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล เพราะไม่สามารถพาตัวเองออกมาจากอ้อมกอดของครามได้ทำให้พู่กันต้องยกแขนขึ้นกอดตัวเองแน่น จากความพยายามจะเข้มแข็งและกลั้นน้ำตาเอาไว้พังเละไม่เป็นท่า เขาไม่เคยอ่อนแอมากขนาดนี้จนกระทั่งได้รู้จักคราม และเพิ่งรู้ว่าตัวเองร้องไห้อย่างหนักก็ตอนที่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดขึ้นมาเบาๆ

“แต่พี่ครามรักพู่กัน” อ้อมกอดแน่นขึ้นทุกครั้งยามที่ครามผ่อนจังหวะการหายใจ แนบแน่นขึ้นทุกครั้งที่เขาเอื้อยเอ่ยความรู้สึกหวังเพียงน้องจะรับรู้ “พี่รักพู่กัน... ไปแล้ว”

“…”

“รัก... พี่รักเราจริงๆ”

เป็นอ้อมกอดที่จบความสัมพันธ์ทุกอย่าง เป็นอ้อมกอดที่ทำให้เราได้พูดความรู้สึกที่อยู่ภายในใจแต่มันกลับช้าเกินไปทำให้กลายเป็นอ้อมกอดสุดท้ายระหว่างเรา แต่มันคงจะเป็นอ้อมกอดแรกตลอดระยะเวลาที่เราได้รู้จักกันมา

เพราะเป็นครั้งแรก...

ครั้งแรกที่ครามร้องไห้ทั้งที่ยังกอดเขาอยู่


*
ต่อด้านล่างฮับ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 11 ; (09/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 09-11-2018 21:01:36


“ผมขอโทษนะ” พู่กันเอ่ยเสียงแผ่วหลังจากปล่อยให้บรรยากาศระหว่างเขากับพี่ปัถย์มันอึมครึมมาตั้งแต่ตอนก้าวขาขึ้นรถทั้งน้ำตา รวมไปถึงขอโทษในเรื่องที่ยกไปอ้างว่าเป็นแฟนกับเขาด้วย

ซึ่งตอนที่ครามปล่อยให้เป็นอิสระ เขาก็รีบเดินจ้ำมาขึ้นรถโดยไม่หันกลับไปมองอีก แถมยังมาเอาแต่ใจกับพี่ปัถย์โดยสั่งให้ออกรถทันทีแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีลังเลแต่สุดท้ายก็ยอมเพราะเขาขอร้อง ระหว่างทางก็เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้คนพี่ฟังทั้งหมด อาจจะพูดไม่รู้เรื่องไปบ้างเพราะเขาเล่าไปร้องไห้ไปแต่อีกฝ่ายก็จับใจความได้ เป็นเพราะเขาที่ทำให้แพลนการไปกินข้าวในโรงแรมห้าดาวต้องถูกเปลี่ยนเป็นร้านบะหมี่เกี๊ยวข้างทาง เนื่องจากพี่ปัถย์กลัวเขาอึดอัดใจหากจะต้องขึ้นไปเจอผู้คนมากหน้าหลายตาทั้งที่ตาบวมเป่งแบบนี้

“ไม่เป็นไรครับ” พี่ปัถย์ตอบเสียงนุ่มก่อนวางตะเกียบลงบนชาม “เราโอเคหรือยัง”

พู่กันได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ เอาเข้าจริงตอนแรกก็กลัวจะโดนว่าเช่นกันว่าทำไมเขาถึงยกไปอ้างทั้งที่มันไม่เป็นความจริงแต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น พี่ปัถย์ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่ถามว่าแน่ใจแล้วใช่ไหมที่อยากให้ครามเข้าใจอย่างนั้น

“ผมขอโทษจริงๆ นะ”

“ไม่ต้องขอโทษหรอก” อีกฝ่ายมองหน้าเขานิ่งๆ ก่อนเอาสองมือขึ้นมาประสานกันไว้ใต้คาง “แต่ถ้าชอบเขาแล้วจะปล่อยให้เป็นแบบนี้จริงๆ เหรอครับ”

“...ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออก ผมแค่อยากจบความสัมพันธ์บ้าๆ” พู่กันเม้มปากแน่นเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไร ก่อนคนตรงข้ามจะพยักหน้าลงเพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าพูดต่อมาได้เลย “ผมไม่อยากเจ็บแล้ว ผมกับเขามัน... ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมคิดว่าเขาคงแค่หวั่นไหวกับเรื่องของเรา เพราะความสัมพันธ์มันฉาบฉวยมาตั้งแต่แรกแล้ว”

“แต่เขาก็บอกเราแล้วหรือเปล่าว่าไม่ได้คิดอะไรกับคนนั้นแล้ว”

“ครับ แต่ผม...”

“ไม่เชื่อเขาใช่ไหมครับ” คนถูกถามพยักหน้าลงเบาๆ “ที่ผ่านมาเขาเคยโกหกเราไหม”

“ไม่ครับ”

“แล้วครั้งนี้ที่ไม่เชื่อ เพราะเขาทำให้ไม่น่าเชื่อ หรือเป็นเพราะเราปักใจว่าจะไม่เชื่อครับ” เด็กตรงหน้านิ่งงันทันทีที่ได้ยินคำถาม ปัถย์จำต้องถามตรงๆ เพราะเรื่องแบบนี้ต้องใช้ความรู้สึกจริงๆ เท่านั้น เขาอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว ใช่ว่าไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรัก และที่ถามก็เพราะอยากรู้ว่าพู่กันมีความคิดเห็นแบบไหน

เนื่องจากตอนที่เขานั่งอยู่บนรถแล้วมองสถานการณ์ผ่านกระจกข้างแม้อาจจะเห็นได้ไม่ชัดนัก แต่ก็พอจะมองออกอยู่บ้างว่าที่คุยกันมันคงไม่ราบรื่นเท่าไหร่ ตอนแรกก็คิดว่าจะลงไปช่วยคุยแต่สถานการณ์นั้นกลับบอกเขาเพียงแค่ว่าไม่ควรแม้แต่จะก้าวเข้าไปยุ่ง

พู่กันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นพี่ชายจริงๆ ก็ตอนที่วิ่งขึ้นมาบนรถทั้งน้ำตาแถมสะอื้นจนตัวโยนจนเขาใจสั่น ซึ่งในจังหวะที่เขาขับรถออกมาก็ยังมองกระจกหลังอยู่เพราะอยากจะรู้ว่าฝ่ายนั้นเป็นอย่างไรบ้างกับการปรับความเข้าใจที่ไม่เป็นไม่สวยสักเท่าไหร่

เขาเห็นเด็กคนนั้นทรุดตัวลงนั่งกับพื้น แม้จะไม่เห็นสีหน้าแต่ก็พอเดาได้ว่ามันเป็นอาการของคนหมดแรง จากท่าทางและการยกมือขึ้นลูบใบหน้านั่นคงไม่ใช่เช็ดเพราะอากาศร้อนแต่อย่างใด ใช่ว่าเป็นผู้ชายแล้วจะร้องไห้ไม่เป็น ใครๆ ก็มีความอ่อนแอด้วยกันทั้งนั้น เขาก็เลยคิดว่าสิ่งที่เด็กนั่นแสดงออกก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่ได้กำลังเล่นตลกกับความรู้สึก

เพียงแต่ก้าวผ่านกำแพงของพู่กันมาไม่ได้

“...มันยิ่งกว่าฝันอีกครับพี่ปัถย์ ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยมีท่าทีว่าชอบผมเลย เขาคิดถึงแต่คนนั้นมันจะมาเป็นผมได้จริงๆ เหรอ”

“เป็นได้สิ”

“…”

“รู้ตัวช้า พี่ว่าเขาเป็นแบบนั้น”

“เขาเลิกรักกันไม่ได้หรอกครับ” พู่กันตอบเสียงแผ่ว การกระทำทุกอย่างของครามย้อนกลับเข้ามาในระบบความคิด มันใช่ตรงที่อีกฝ่ายไม่เคยโกหกเขาสักครั้ง แต่เขาก็ยังทำใจเชื่อไม่ได้อยู่ดี ครามชอบนับมาเป็นปีจะหันมาชอบเขาที่เพิ่งสนิทกันไม่กี่เดือนได้อย่างไร

“เรารู้ได้ยังไง เราเองก็ไม่ใช่เขา” หลายครั้งที่คำถามของปัถย์ทำให้พู่กันฉุกคิด ทั้งที่เขาเป็นคนที่พูดประโยคนี้อยู่บ่อยครั้งแล้วแท้ๆ แต่กลับทำไม่ได้เองเสียอย่างนั้น “อย่าคิดถึงแต่ด้านตัวเองสิครับ พี่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเชื่อเขาทุกอย่าง แต่สิ่งที่เขาแสดงออก พี่ว่าเขาก็ชัดเจนเหมือนกัน”

“...”

“ถ้าต่างคนต่างรัก ก็อย่าปฏิเสธเลยครับ เสียใจเพราะกระทบกระทั่งกันบ้าง ยังไงมันก็ดีกว่าเสียใจเพราะเห็นเขาอยู่กับคนอื่น”

“...”

“เพราะถ้าเขามีคนใหม่เราจะไม่มีสิทธิ์อะไรอีกแล้ว”

“...”

“โอกาสยังมีอยู่ ลองทบทวนใหม่ดูนะครับ”


*

“แดกให้หมด” คนถูกสั่งเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงของหมิงขณะเขี่ยข้าวในจานตัวเองไปมา ตั้งแต่ที่ทะเลาะกับครามก็เป็นแบบนี้เกือบทุกวัน จากตอนแรกเพื่อนไม่รู้ถึงปัญหาแต่หลังจากวันนั้นเขาจำต้องเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เพื่อนสนิทฟังรวมถึงน้ำเงิน แน่นอนว่าเขาไม่ได้รับคำก่นด่าหรือคำพูดใดให้แคลงใจ มีแต่คำพูดให้กำลังใจทั้งที่พวกมันเป็นคนกลางที่ต้องลำบากใจแท้ๆ “มึงจะทำตัวตายซากแบบนี้เหรอ”

“กูไม่หิวอะ” ก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมความอยากอาหารถึงได้ไม่มีเหลืออยู่เลย มันรู้สึกเบื่อ ไม่อยากกิน ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น เหมยได้แต่มองหน้าเขาก่อนยื่นขนมปังไส้ถั่วแดงให้ พู่กันก็ทำเพียงแค่รับมาและวางมันไว้ข้างตัวเฉยๆ

พู่กันจำได้ว่าวันสุดท้ายก่อนจะตัดความสัมพันธ์อย่างจริงจัง เขาร้องไห้จนคุมสติไม่อยู่และบอกครามไปว่าชอบและตัดสินใจบล็อคทุกช่องทางที่อีกฝ่ายจะสามารถติดต่อมาได้ เพราะอยากจะจบมันจริงๆ เขาเสียใจที่ทำให้อีกฝ่ายร้องไห้แถมยังไม่เคยคิดมาก่อนด้วยว่าคนอย่างเขาจะทำให้ครามร้องไห้หนักขนาดนั้น

แม้ว่าสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ในใจคือคำถามว่าตั้งแต่วันนั้นครามหายไปไหน สิ่งที่วนเวียนอยู่รอบๆ ตัวคือเสียงสะอื้นของครามที่หลอกหลอนจนกลายเป็นมากกว่าฝันร้าย และพอนึกถึงก็ทำให้เขาร้องไห้ออกมาอีกหลายหน

แต่ความพยายามจะไม่คิดถึงก็ถูกทำลายด้วยการนึกถึงอยู่เสมอเพราะไม่สามารถลืมได้ลง

“กินข้าวบ้าง” เหมยเอ่ยปากเบาๆ เขาไม่รู้จะช่วยยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากเพื่อนในกลุ่มรู้เรื่องทั้งหมดแม้พู่กันจะไม่ได้ทะเลาะกับน้ำเงิน แต่เขาก็รู้ว่าเพื่อนตัวเล็กทั้งสองคนไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากันเหมือนเมื่อก่อน

“กูกินไม่ลง”

“...”

“จริงๆ”

“ไอ้เงิน ทางนี้เว้ย!” หมิงเป็นฝ่ายตะโกนเรียกทำให้เจ้าของชื่อได้แต่หันมามองแล้วเดินเข้ามาหา โรงอาหารวันนี้คนเยอะเป็นพิเศษน้ำเงินเลยอาจจะมองไม่เห็น

“นั่งดิมึง กินข้าวมายัง” คำถามของพู่กันทำเอาเพื่อนอีกคนเม้มปากแน่นก่อนส่ายหน้าให้แทนคำตอบ “กินกับกูไหมอะ”

“เรา...” พู่กันรู้ดีว่าสถานการณ์ของเขากับน้ำเงินมันยากเกินกว่าจะอธิบาย “พู่”

“ลงมานั่ง ช่วยกูกินข้าวหน่อย” ไม่ว่าเปล่าเขายังคว้าข้อมือเพื่อนสนิทลงมานั่งข้างกัน “แต่นมปั่นไม่มีนะ ร้านป้ามึงไม่เปิด”

“คุยกันไปก่อน” เหมยแทรกขึ้นมาท่ามกลางบทสนทนาที่มีแต่ความอึดอัด ความจริงเขาก็อยากจะนั่งฟังอยู่หรอกแต่ติดตรงที่โทรศัพท์ในมือของเขาดันสั่นขึ้นมาเสียก่อน แถมจะไม่รับก็ไม่ได้เนื่องจากคนที่โทรเข้ามาในเบอร์เขาคือพี่ปัถย์

“ไปไหนวะ” พู่กันหันมาถาม

“หาอะไรกิน” ไม่ว่าเปล่าเหมยยังลากคอน้องชายออกมาด้วยกัน ก็เลยถือให้เป็นโอกาสให้น้ำเงินกับพู่กันได้พูดคุยกันไปด้วยเลย ส่วนเขาก็คงต้องปลีกตัวไปคุยโทรศัพท์กับพี่ปัถย์ก่อน

“พู่...” น้ำเงินเรียกเสียงแผ่ว น้ำเงินไม่รู้ว่าควรจะวางตัวแบบไหนในเมื่ออีกฝั่งหนึ่งก็เป็นเพื่อนที่ตัวเองรักมากๆ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็เป็นพี่ชายที่รักมากเช่นกัน พอทั้งสองคนถึงขั้นแตกหักแบบมองหน้ากันไม่ติดก็ยิ่งไม่รู้ว่าจะทำยังไง พูดตรงๆ ว่าเขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับพู่กัน แม้กระทั่งกับพี่ชายตัวเองยังไม่กล้าเลย “ไม่หิวอีกแล้วเหรอ”

“เออ ไม่ค่อยอยากว่ะ แต่กูกินขนมปังไปแล้วนะ” เขาจำต้องโกหกเพราะไม่อยากให้เพื่อนต้องเป็นห่วงไปมากกว่านี้ แถมยังรู้สึกว่าตัวเองทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตเกินกว่าจะหันกลับไปแก้ไข “มึงไม่หิวเหรอ”

พูดตรงๆ ว่าเขาไม่ได้โกรธน้ำเงินเลยแม้แต่นิดและไม่ได้อยากให้เพื่อนต้องรู้สึกผิดแทนพี่ชาย แต่น้ำเงินคือน้ำเงิน คือคนที่อ่อนไหวและคิดมาก

“ไม่หิวหรอก แต่พู่...”

“กูกินขนมปังไปแล้วไง ส่วนมึงอะต้องกินข้าว ถ้าผอมพี่องศาจะมาเพ่นกบาลกู” เขาแสร้งพูดพลางหันไปตักข้าวขึ้นมาก่อนยื่นไปหาเพื่อนตรงหน้าที่ตาบวมช้ำมาหลายวันแถมยังเริ่มมีหยาดน้ำใสเอ่อขึ้นมาจนพู่กันรู้สึกผิด “มึง อย่าร้องไห้ดิ”

“ก็เรา... ฮึก เราขอโทษแทนเฮียได้ไหม” พู่กันวางช้อนลงที่เดิมแล้วผ่อนลมหายใจออกเบาๆ พยายามตั้งสติและสั่งตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมาเช่นกัน

“อย่าขอโทษแทนใครเลยน้ำเงิน กูบอกแล้วว่าเรื่องนี้มันไม่ได้ผิดที่พี่มึงคนเดียว อีกอย่างควรจะเป็นกูมากกว่าไหมที่ต้องขอโทษ ถ้ากูห้ามใจได้ตั้งแต่แรกมันก็ไม่เกิด”

“เรื่องความรักห้ามใจมันลำบากนะ ...”

“เฮ้อ กูทำให้มึงร้องไห้อีกแล้วเนี่ย” ไม่ว่าเปล่ายังยกมือไปลูบศีรษะเพื่อนเบาๆ “ทั้งมึงทั้งพี่มึงร้องไห้เพราะกูหมดเลย”

“เราขอโทษ” น้ำเงินรีบเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ เพราะเขากำลังจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้พู่กันคิดมาก “ขอโทษแทนเฮียด้วย”

“ไม่ต้อง”

“...”

“เขาขอโทษกูมาพอแล้ว มึงไม่ต้องขอโทษแทน”

“เราถามได้ไหม...” พู่กันมองหน้าเพื่อนสนิทนิ่งเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร แต่สุดท้ายก็พยักหน้าตอบไปเพราะมาถึงจุดนี้แล้วคงไม่มีอะไรที่ยากเกินกว่าที่จะตอบ “พู่ไม่รักเฮียเราแล้วเหรอ”

คนถูกถามชะงักไปทันทีที่ได้รับคำถามอย่างตรงไปตรงมา น้ำเงินรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นแฟนกับพี่ปัถย์ รู้เรื่องทุกอย่างที่เขาบอกให้รู้ แต่คนที่ไม่รู้อะไรเลยนั่นคือครามเพราะเขาขอร้องเอาไว้ว่าอย่าบอก ก็รู้ว่ามันแย่ที่ทำให้น้ำเงินต้องโกหกพี่ชายตัวเองไปด้วย ถึงอย่างนั้นตอนนี้เขาก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวไปแล้ว

“ถ้ากูบอกไปแล้วมึงจะว่ากูไหม”

“ไม่ว่าหรอก เราแค่อยากรู้”

“กูยังรักพี่มึงอยู่ แล้วกูก็ไม่รู้ด้วยว่าจะเลิกรักพี่มึงได้ไหม”

“…”

“...กูขอโทษที่เห็นแก่ตัว กูใจร้ายแค่เพราะกูไม่อยากเจ็บ” พู่กันกัดริมฝีปากแน่นเพราะเขากำลังจะทำให้เพื่อนร้องไห้อีกครั้งรวมถึงตัวเขาด้วยเช่นกัน “กูขอโทษจริงๆ เงิน”

“พู่ไม่ต้องขอโทษ... เราไม่เคยคิดจะว่า ที่จริงเราไม่อยากเข้ามายุ่งเลยด้วยซ้ำ เรา... เราแค่ไม่อยากให้พู่กับเฮียต้องเป็นแบบนี้ แต่มันเป็นความรักของพู่ ไม่ว่าจะเป็นเราหรือเฮียก็ต้องยอมรับในตัดสินใจ ...พู่อย่าร้องไห้”

“กูเสียใจ ...ฮึก” มันเป็นแบบนี้เกือบทุกครั้งเวลาที่เป็นเรื่องของคราม ต่อให้พยายามเข้มแข็งมากเท่าไหร่แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ “กูพยายามแล้ว แต่มันยากมากเลยเงิน มันยากที่จะเชื่อว่าพี่มึงรักกู ... โคตรใจร้ายเลยใช่ไหม”

“อย่าคิดแบบนั้น”

“ไม่คิดไม่ได้หรอก จริงๆ ...กูรักพี่มึง เขาเองก็บอกว่ารักกู แต่เป็นกูที่ไม่เชื่อ กูพังทุกอย่างด้วยตัวเอง กูทำเขาร้องไห้ ...กูรู้ว่ากูแม่งโคตรใจร้ายเลยแต่กูแค่อยากเซฟใจตัวเอง กูไม่รู้ว่าจะทำยังไงว่ะ” มือเล็กยกขึ้นมาเกลี่ยหยาดน้ำตาที่กำลังจะเอ่อล้นและปรับโทนเสียงให้เป็นปกติที่สุด “น้ำเงิน ถ้าคนใจร้ายอย่างกูจะขอให้มึงช่วย ...”

“…” น้ำเงินไม่ตอบแต่ก็พยักหน้าลงเพื่อบอกให้เพื่อนสนิทรู้ว่าเขายินดีจะช่วยอย่างเต็มที่หากต้องการ

“ช่วยดูพี่ครามให้หน่อย อย่าให้เขาไปกินเหล้าแล้วน็อคเหมือนคราวนั้น อย่าให้สูบบุหรี่เยอะ อย่าโหมงาน อย่าให้ป่วย ให้เขา ...ดูแลตัวเองดีๆ นะ” หยาดน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ร่วงบนอีกหน เขาเจ็บที่ทำได้เพียงแค่ขอแม้ว่าใจจริงจะอยากไปดูแลเองมากแค่ไหน แต่เขาก็ทำไม่ได้... มันยากเกินไปสำหรับเขา “อีกเรื่อง...”

“…”

“อย่าให้พี่ครามร้องไห้อีกได้ไหม ...กูไม่ชอบเลย”

tbc
สำหรับตอนนี้ก็ยกเพลง รักไม่ได้ มาเลยค่ะ ฮรุก อยากให้ฟังเพลงนี้จริงๆ ลองหาเนื้อเพลงดูได้นะคะ เราชอบ 55555555555
ฝากคอมเมนต์ให้กำลังใจกันได้ หรือแปะแท็ก #โซ่สีคราม พูดคุยกันได้นะคะ ขอบคุณทุกคนมากๆ เลยฮับ ♥
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 11 ; (09/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 09-11-2018 22:59:41
โอ้ยๆๆๆ....น้ำตาท่วมนองไปหมดแล้ว...มันบีบใจเสียเหลือเกิน ไรท์ต้าตอนหน้าไม่เอาแบบนี้แล้วนะคะ ใจเจ้มันรับแรงบีบคั้นไม่ไหวแล้ว
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 11 ; (09/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 12-11-2018 20:07:30
ตอนนี้อ่านไปจิ๊ดๆ ในใจตลอดเวลา
เข้าใจพู่กันเลย มันเชื่อยากมากเลยเพราะพู่กันฝังหัวไปแล้วว่าครามชอบนับ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 11 ; (09/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 13-11-2018 01:04:58
ดราม่าเกินไปแล้ว ใจรับไม่ไหวขอยาดskipผ่านไปเลยได้มั้ย แงๆ ไว้จะอ่านตอนเขากลับมาดีกันนะคะ ไม่ชอบดราม่าเลย สงสารพี่ครามเจ็บซ้ำเจ็บซ้อนพ่อคุณ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 11 ; (09/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 16-11-2018 00:46:13
อยากเห็นตอนที่พี่ครามจะข้ามกำแพงไปหาพู่ได้สักที ดราม่ากันจนใจพังหมดแล้ว :m15:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 12 ; (19/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 19-11-2018 21:39:59
12
missing you


//


(กี่วันแล้วนะ) เสียงปลายสายถามด้วยความสงสัยเจือเป็นห่วง

“เก้า” องศาเหลือบสายตาไปมองเพื่อนสนิทที่เมาหัวราน้ำตั้งแต่วันที่มันไปดักเจอน้องหน้าบ้านแล้วปรับความเข้าใจกันไม่ได้ พู่กันตัดขาดช่องทางการติดต่อและหลบหน้าแบบเห็นได้ชัด

(น้ำเงินไม่บ่นเหรอวะ) ยิ้มท้วงเพราะห่วงก็เลยโทรมาเช็กข่าวคราว เขาเห็นเพื่อนเพ้ออยู่ในเฟซด้วยการโพสต์เพลงอกหักเมื่อหลายวันก่อนแล้วก็หายไปจากโลกโซเชียลแบบไม่เคลื่อนไหวใดๆ อีกเลย ก็พอรู้เรื่องมาบ้างว่ามีอะไรเกิดขึ้นแต่ก็ยังไม่ได้ถามรายละเอียดทั้งหมดเพราะเขาเองก็ไม่ค่อยว่างช่วงนี้

“บ่น แต่ทำอะไรไม่ได้” เขาถอนหายใจเบาๆ เพราะปัญหาใจมันยากที่จะช่วย ทำได้เพียงให้คำแนะนำก็เท่านั้น “แล้วญี่ปุ่นเป็นไง”

(มึงหมายถึงที่มาอยู่ หรือหมายถึงน้องกูล่ะ) อีกฝ่ายหัวเราะออกมา เพราะญี่ปุ่นที่องศาถามตีความหมายได้ทั้งประเทศที่ยิ้มไปอยู่และชื่อของลูกพี่ลูกน้องของมัน

“น้องมึง”

(ก็ดีขึ้น อีกสามสี่วันกูน่าจะกลับแล้ว จะไปดูอาการเพื่อนมึงต่อ)

“อืม มาช่วยที”

(เออ ...พี่ยิ้มมม ปุ่นอยากกินชาอะ ออกไปซื้อได้ไหม หรือว่า—) คำว่าเออนั่นยิ้มตอบเขา ส่วนไอ้ประโยคหลังก็ไม่พ้นน้องชายตัวแสบที่เสียงเจื้อยแจ้วดังเข้าแทรกเข้ามาจนเขาหลุดหัวเราะ (กูไปซื้อเอง มึงยังไม่ค่อยหาย เดี๋ยวออกไปซุ่มซ่ามกูไม่ต้องกลับไทยกันพอดี)

“ไปดูลูกก่อน”

(สัดศา เดี๋ยวกูกลับไปโดดถีบ เออมึง ไอ้ปุ่นฝากบอกน้ำเงินว่าไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องห่วง จริงๆ มันก็ดีขึ้นเยอะแล้วแหละ แต่กูยังไม่อยากให้เล่นโทรศัพท์)

“โอเค”

(เออ งั้นกูวางละ เดี๋ยวโทรไปใหม่)

“อืม เจอกัน” องศาตอบก่อนกดวางสาย ตั้งแต่ที่ญี่ปุ่นกลับมาเที่ยวไทยครั้งก่อนก็ขอแอดไอดีน้ำเงินไว้เพราะอยากมีเพื่อนรุ่นเดียวกัน จากที่ฟังๆ ดูก็เห็นว่าสนิทกันพอสมควร

ร่างสูงเดินเข้าไปหาเจ้าของบ้านก่อนจะกระชากแก้วเหล้าในมือออกแล้ววางลงบนโต๊ะ ครามตวัดสายตามามองทันทีเหมือนโกรธเคืองที่เขาขัดใจ

“เอาให้กู”

“มึงจะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่” องศาถามเสียงแข็ง เขาคงทนให้มันยัดเข้าไปแบบนี้ไม่ได้ ถามว่าห่วงเพื่อนไหมก็ห่วงเพราะเท่ากับว่าครามล้มเหลวถึงสองรอบ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เห็นว่าการอัดแอลกอฮอล์เข้าร่างกายหนักๆ นี่จะเป็นผลดี “น้ำเงินห่วงมึง”

“อืม”

“มึงต้องตั้งสติ”

“ตั้งแล้วได้อะไรวะ” ครามหันหน้าไปมองก่อนผ่อนลมหายใจออกมา “กูทำพลาดทุกอย่างเลยศา น้องมีคนดูแลแล้ว กูจะทำเหี้ยอะไรได้”

“ศา” ไม่ทันที่องศาจะตอบอะไร เสียงของผู้มาใหม่กลับทำให้ทั้งเขาและครามต้องหันกลับไปสนใจพร้อมกัน นับเงินเดินเข้ามาด้วยสภาพอิดโรย “กูคุยเอง”

“กลับมาตอนไหน” องศาถามอย่างเป็นห่วง เพราะนับไปดูงานที่สิงคโปร์กับเข็มทิศมาหลายวัน คาดว่าคงจะยังไม่ได้พักเพราะไฟล์ทกำหนดถึงไทยตอนแปดโมง นี่เพิ่งจะเก้าโมงกว่าแปลว่าพอลงเครื่องแล้วก็มาหาเลย

“เพิ่งถึงแล้วก็รีบมา” ชายหนุ่มพยักหน้า ไม่ถามอะไรต่อและเดินออกมาจากห้องรับแขกเพื่อให้นับได้คุยกับครามตามที่ต้องการ “คราม”

“ถ้ามึงรู้เรื่องแล้วก็อย่าบ่นกูนับ” ครามพรูลมหายใจก่อนคว้าแก้วเหล้าขึ้นมากระดกจนหมด

นับเงินไม่พูดอะไรสักคำ เขารู้เรื่องตั้งแต่วันแรกที่ครามทะเลาะกับพู่กัน แต่กลับทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการรับฟังเพราะไม่สามารถทิ้งงานกลับมาได้จริงๆ เพราะงั้นวันนี้พอลงเครื่องก็เลยรีบถ่อมาแถมยังปล่อยให้พี่เข็มทิศรออยู่หน้าบ้าน เขารู้ว่าส่วนสำคัญที่ทำให้ความรักของทั้งสองคนพังไม่เป็นท่าก็มาจากตัวเองด้วย

“คราม”

“กูเจ็บสัดๆ เลยนับ กูแม่งรู้สึกโคตร... เหี้ย” ถ้อยคำสุดท้ายแผ่วเบาจนเพื่อนสนิทถึงกับเม้มปากแน่น “กูรู้ตัวช้า กูช้ากว่าน้อง ไม่ใช่แค่ก้าวเดียวแต่เป็นสิบๆ เก้า”

“มันก็ผิดที่กูด้วยเหมือนกัน” นับเงินพูดออกไปตามความจริงก่อนถือวิสาสะดึงแก้วเหล้าจากมือครามออกมาถือเอาไว้ เพราะเพื่อนตัวโย่งนั้นกินจนหน้าแดงไปหมดแล้ว “กูขอโทษ”

“ขอโทษทำไม มันไม่ได้เกี่ยวกับมึงแล้วนับ” ครามตอบตามความรู้สึก “มันเป็นเรื่องของกูกับน้อง”

“แต่ที่น้องเป็นแบบนี้เพราะคิดว่ามึงเลิกรักกูไม่ได้ไง” นับว่าพลางเอื้อมมือไปแตะไหล่ครามแล้วออกแรงบีบเบาๆ “มึง”

“อะไร”

“กูไปคุยกับน้องให้ไหม” ครามหันมามองทันทีที่เขาพูดจบ นับไม่ได้อยากจะเป็นตัวปัญหาให้กับความรักของใคร เขาทำใจครามพังมาแล้วรอบหนึ่งและเพื่อนเขาไม่สมควรจะเจ็บอีก ตอนนี้ที่ครามกำลังเจ็บมันก็เป็นผลมาจากตัวเขา นั่นหมายถึงนับเงินเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกๆ ความเจ็บปวดของคราม

“ไม่ต้องหรอก”

“ทำไม”

“น้องมีแฟนไปแล้วนับ น้องรักกูไม่ได้แล้ว”

“แล้วมึงไม่รักน้องแล้วเหรอ” คนถูกถามชะงัก “ยอมแพ้แล้วจริงๆ เหรอวะคราม กูไม่ได้อยากจะเปรียบ แต่กับกูทำไมมึงสู้ไม่ถอยทั้งที่กูไม่เคยรักมึงแบบนั้นเลย”

“...”

“แต่กับน้อง มึงรู้ทั้งรู้ว่าน้องรักมึงแบบไหน ทำไมมึงถึงถอยง่ายๆ”

“มึงจะให้กูทำยังไง ให้กูไปแย่งน้องกลับมาเหรอวะ กูรักน้องแค่ไหน กูรู้ตัว กูก็ไม่ได้อยากถอยเลย”

“...”

“แต่กูจำเป็นต้องถอย กูเป็นความทุกข์ให้น้องมาตลอด กูก็ควรจะดีใจไม่ใช่เหรอวะถ้าน้องมีแฟน เขาดูแลน้องได้ เขาน่าจะทำได้ดีกว่ากูด้วยซ้ำ”

“...”

“อีกอย่างเขาคงไม่ทำให้น้องเสียใจเหมือนที่กูทำ”

“แต่...” ไม่ทันที่นับได้พูดท้วงในสิ่งที่คิด ครามกลับละความสนใจไปจากเขาแล้วมุ่งเป้าไปยังโทรศัพท์เครื่องบางที่อยู่บนโต๊ะแทน

ชายหนุ่มหยิบมาถือเอาไว้ก่อนพิจารณาเบอร์ที่โทรเข้ามาเพราะไม่คุ้นตา แบตเตอรี่เหลืออยู่หกเปอร์เซ็นต์เนื่องจากไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร จะเพียงพอต่อการพูดคุยมากแค่ไหนก็ไม่อาจทราบแต่ครามก็เลือกที่จะกดรับ

(อ่า นึกว่าจะไม่รับ) ครามขมวดคิ้วยุ่งเพราะน้ำเสียงที่เล็ดลอดออกมานั้นคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินแต่นึกไม่ออก (ได้ยินไหมครับ)

“ใครครับ”

(พี่ปัถย์) เด็กหนุ่มเผลอกลั้นหายใจไปเสี้ยววินาทีเมื่อความทรงจำในวันนั้นหวนกลับคืนมา วันที่น้องบอกว่ามีแฟนแล้วและเป็นชื่อนี้ (น้องครามใช่ไหม)

“ครับ”

(พี่มีเรื่องอยากจะคุยด้วย เราสะดวกออกมาเจอพี่หรือเปล่า)

“เรื่องอะไรครับ” แม้จะไม่ชอบที่อีกฝ่ายเป็นแฟนของพู่กัน แต่เขาก็ไม่สามารถทำกิริยาที่ไม่ดีใส่ได้ “ถ้าไม่สำคัญผมคงไม่ไป”

(เรื่องน้องพู่)

“...”

(พี่คิดว่าน่าจะสำคัญนะ)

“พี่มีอะไร” บทสนทนาของเขาอยู่ในสายตาของเพื่อนสนิทอย่างนับเงิน

(ครามควรออกมาเจอพี่นะครับ)

“เรื่องที่พี่จะพูดมันพูดในโทรศัพท์ไม่ได้หรือไง”

(ไม่ครับ อ่า... เอาแบบนี้)

“...”

(ถ้าครามอยากจะรู้เรื่องของน้อง วันนี้ตอนห้าโมงมาเจอกัน พี่จะส่งโลไปทิ้งไว้ให้)

“ผมไม่เข้าใจ”

(พี่จะรอถึงห้าโมงครึ่ง)

“ทำไมต้องห้าโมงครึ่งครับ”

(หยุดตั้งคำถามครับ ถ้าอยากรู้ให้มา)

“แล้ว...”

(แค่นี้นะครับ)

“เดี๋ยวดิ ...อะไรวะ” ครามสบถด้วยความไม่เข้าใจ คิดจะโทรกลับไปซ้ำอีกหนก็ไม่ได้เพราะคำตอบที่จะได้รับก็คงไม่พ้นแบบเมื่อครู่ “นับ”

“อะไร”

“แฟนน้องโทรมา”

“แล้ว?”

“นัดกูออกไปเจอ บอกจะคุยกับกูเรื่องของน้อง เขาจะรอถึงแค่ห้าโมงครึ่ง ถ้ากูไม่ไปเขาจะทำไมไม่รู้”

“เอ้า อะไรวะ” นับสบถออกมาคำเดียวกับคราม เริ่มตงิดใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ “มึงจะไปหรือเปล่า”

“ไม่รู้ว่ะ”

“คราม”

“กูสับสน แม่งเหี้ยอะไรวะเนี่ย” ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบใบหน้าด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมฝ่ายนั้นถึงได้โทรมาหา หรืออยากจะคุยเรื่องที่เขากอดน้องในวันนั้น แต่มันก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์กว่าแล้ว “มึงว่ากูควรจะไปดีไหมวะ”

“ถ้าถามกูมันก็สมควร ลองไปเจอดูเหอะ”

“...”

“มึงรักน้องมากกว่ากู เพราะงั้นมึงควรจะสู้เรื่องของน้องให้มากๆ กูเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าน้องกับคนนั้นเป็นแฟนกันจริงไหม”

“มึงหมายความว่าไง” ครามเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ สะบัดหัวไล่อาการมึนเมาเมื่อครู่ “กูงง”

“น้องรักมึงคราม”

“...”

“กูแค่คิดเฉยๆ น้องบอกรักมึงแล้วจะหนีไปมีแฟนได้จริงๆ เหรอวะ กูก็รู้ว่ากูไม่ใช่น้อง”

“...”

“แต่ขนาดกูพยายามจะไม่รักพี่เข็ม” นับตัดสินใจพูดออกไปเพราะแน่ใจอย่างสุดๆ แล้วว่าใจเพื่อนไม่ได้อยู่ที่เขาอีกต่อไปแล้ว “กูยังทำไม่ได้เลยนะ กูยังไปรักมึงไม่ได้เลย แล้วน้องทำได้เหรอวะ”

“...”

“กูขอได้ไหมคราม ออกไปเจอเหอะ จริงๆ”

“ถ้ากูผิดหวังอีกล่ะ”

“มึงมีแค่สองทาง แต่ละทางมันมีโอกาสทำให้มึงผิดหวังทั้งนั้น” สองมือเล็กเอื้อมไปจับใบหน้าของเพื่อนแล้วบังคับให้หันกลับมามอง นับมักจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่อยากจะให้กำลังใจและเป็นกับทุกคน แต่คนที่กระทำแบบนี้ใส่บ่อยๆ คือเข็มทิศ “ฟังกูนะ ถ้ามึงไปมีสิทธิ์ผิดหวังเพราะไม่รู้ว่าเขาจะคุยเรื่องอะไร แต่คราม ถ้าเกิดมึงไม่ไปมึงไม่มีทางรู้ว่าเขาต้องการอะไร มันอาจจะทำให้มึงผิดหวังเหมือนกัน บางทีมันอาจจะทำให้ผิดหวังมากกว่าด้วย เพราะมึงตัดสินใจผิด”

“...”

“ถ้ามึงจะแพ้ ก็แพ้ให้สุด เอาให้แม่งรู้กันไปเลยว่าโลกแม่งจะใจร้ายกับมึงได้แค่ไหน”

“...”

“แต่เชื่อกูเหอะ โลกคงไม่ใจร้ายกับมึงไปมากกว่านี้แล้ว มึงสมควรจะมีความสุขได้แล้วคราม”

“กูก็มีความสุขอยู่นับ”

“สุขเรื่องไหน กูเห็นมึงร้องไห้จะเป็นจะตายขนาดนี้”

“กูมีความสุขที่ได้รัก” ครามพูดเสียงแผ่วก่อนความอ่อนแอจะก่อตัวขึ้นอีกหน “อีกอย่าง กูก็มีความสุขที่ได้รู้ว่าน้องเคยให้ความรักกูเหมือนกัน”

“...”

“มันก็เหมือนเรารักกัน”

“...”

“แต่รักกันผิดเวลาไปหน่อย แค่นั้น”



*



ปลายนิ้วเรียวเลื่อนหน้าจอสมาร์ทโฟนไปมาเพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไร ดวงตากลมไล่อ่านข้อความบนหน้าฟีดเฟซบุ๊คผ่านๆ เนื่องจากไม่อยากสนใจ กระทั่งเสียงของผู้เป็นแม่ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทเขาจึงวางโทรศัพท์ลง

“น้องพู่”

“ครับ?” เขาเงยหน้ามองคุณเจ้าของร้านคาเฟ่ที่กำลังถอดผ้ากันเปื้อนออก

“ช่วงนี้น้องครามไม่ว่างเหรอจ๊ะ” คนถูกถามชะงักเพราะไม่ทันตั้งตัว ลืมคิดไปเสียสนิทว่าถ้าแม่ถามแล้วเขาจะตอบว่าอะไร สำหรับเขาการตัดขาดการติดต่อจากครามอย่างจริงจังมันเพิ่งจะผ่านมาแค่อาทิตย์กว่า แต่สำหรับแม่เขามันเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ครามเข้าโรงพยาบาล

“ก็...”

“ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า” เสียงนุ่มถามอย่างเป็นห่วง นั่นเพิ่มความลังเลให้พู่กันเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ใจหนึ่งก็ไม่อยากโกหก แต่เขาก็ตอบไม่ถูกหากแม่ถามว่าทำไมถึงได้ทะเลาะกันรุนแรง

“...”

“น้องพู่”

“พี่มันยุ่งๆ อะแม่”

“แม่เห็นน้องครามมาหน้าร้านทุกวันเลยนะ แต่แม่งงว่าทำไมไม่เข้ามา” คำพูดของแม่ทำให้พู่กันอึ้งไปเล็กน้อย “น้องครามจอดอยู่หน้าร้าน พอแม่จะเดินออกไปเรียกก็ขับรถออกไปก่อนทุกที เอ... หรือน้องครามให้ใครยืมรถมาใช้ ปกติไม่เห็นจะเป็นแบบนี้เลย”

“เห็นทุกวันเลยเหรอครับ”

“จ้ะ แม่สงสัยก็เลยมาถามน้องพู่นี่ไงจ๊ะ”

“แม่ครับ คือจริงๆ แล้ว...” เสียงหวานขาดห้วงเมื่อผู้เป็นแม่หันไปทักทายลูกค้าผู้มาใหม่

“นั่งก่อนได้เลยจ้ะ”

“สวัสดีครับ ผมมาหาน้องพู่น่ะครับ”

แน่นอนว่าน้ำเสียงและประโยคนั้นทำให้เขาหันกลับไปมองอย่างง่ายดาย พอหันไปก็พบว่าระบบความทรงจำของเขายังใช้ได้ดีเพราะคนที่ยืนอยู่หน้าประตูร้านนั่นคือพี่นับเงินแถมยังมาพร้อมกับพี่เข็มทิศด้วย

“อ้าว รู้จักน้องเหรอจ้ะ นั่งๆ ก่อนได้เลยนะ เดี๋ยวแม่ทำอะไรมาให้ทาน” แม่ของพู่กันมักเป็นแบบนี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นใครแต่ถ้าบอกว่ารู้จักเขาก็ต้อนรับและเอ็นดูทุกคน พู่กันลุกขึ้นจากโต๊ะตัวเดิมแล้วรีบเดินเข้าไปหาพี่นับ โดยไม่ลืมยกมือสวัสดีรุ่นพี่ทั้งสองคนด้วย

“เธอ พี่จะไปดูขนม” เข็มทิศหันมาถามก่อนที่นับเงินจะพยักหน้าลง “เธอเอาอะไร”

“เหมือนเดิม”

“บนเครื่องเธอก็เพิ่งกินมา”

“ถ้าเธอจะไม่ให้กินแล้วถามนับทำไม” คนถูกว่าได้แต่ไหวไหล่ จะไม่ให้ดุได้อย่างไรในเมื่อบนเครื่องนับกินกาแฟมาแล้ว ตอนไปอยู่สิงคโปร์ก็แทบไม่มีเวลาพักผ่อน ความจริงเขาน่าจะพาน้องกลับบ้านได้นานแล้วถ้าไม่ติดว่าขอให้พาไปหาครามเสียก่อน ตอนแรกก็คิดว่าจะจบเพียงแค่นั้น แต่พอออกมาจากบ้านครามแล้วน้องก็สั่งให้มาที่นี่ แน่นอนว่าเขาบอกให้กลับไปพักก่อนแต่นับก็งอแง เพราะงั้นก็เลยต้องพามา

พู่กันได้แต่ยืนมองทั้งสองคนคุยกันด้วยความสับสน ทำไมทั้งพี่เข็มทั้งพี่นับถึงได้มาหาเขา แต่ก็ยังไม่กล้าถามอะไรจนกว่ารุ่นพี่จะคุยกันเสร็จ เพราะเขาไม่อยากเสียมารยาท

“มีพวกชามะนาวไหมครับ” เข็มทิศหันมาถามทำให้เขาพยักหน้าตอบ “เธอกินนี่แล้วกัน”

“เธอก็ไม่ต้องกินกาแฟแล้ว” นับสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ขนมก็ซื้อเท่าที่จะกินนะ เข้าใจไหม”

“ครับ รู้แล้ว”

“อือ” นับขานตอบพลางถอนหายใจเบาๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะตอบรับเช่นนั้นแต่พอถึงเวลาก็ซื้อมาเยอะเกินกว่าจะกินได้หมดแล้วสุดท้ายก็เหลือทิ้งทุกที “ตอนแรกพี่นึกว่าจะไม่อยู่ร้านซะแล้ว”

“พี่นับมีอะไรหรือเปล่าครับ” พู่กันถามตรงประเด็น เขามั่นใจว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ

“พี่มีเรื่องจะคุยกับพู่ มีที่อื่นที่ไม่ใช่ตรงนี้ไหมครับ พี่กลัวไปรบกวนลูกค้าที่ร้าน”

“อ่า ถ้างั้นหลังร้านผมได้ไหม”

“ได้ๆ ถ้างั้นพี่เดินไปบอกพี่เข็มก่อน เดี๋ยวไม่เห็นแล้วชอบบ่น พี่รำคาญ”

เขาได้แต่ผงกหัวแล้วขอตัวเดินออกมาทางหลังร้าน ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่ถึงสิบนาทีนับเงินก็เดินมาหลังร้านโดยที่มีพี่เข็มทิศเดินถือแก้วน้ำตามมาด้วย ทำไมถึงได้ดูตัวติดกันขนาดนี้

“คือ...”

“ไม่อ้อมนะครับ พี่มาคุยเรื่องคราม เรายังไม่ต้องพูดอะไร ฟังพี่ก็พอ” พู่กันพยักหน้าตอบรับก่อนนับเงินจะเริ่มพูด “พี่รู้เรื่องพู่กับครามแล้ว ทั้งเรื่องที่ชอบกันแล้วก็ที่ทะเลาะกัน ครามไม่ได้สั่งให้พี่มา แต่พี่จำเป็นต้องมา พี่ต้องมาบอกให้รู้ว่าระหว่างพี่กับครามเป็นแค่เพื่อนกัน”

“...” คนฟังได้แต่อึ้งเพราะประมวลผลไม่ทัน ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็ว “ผม...”

“เดี๋ยวครับ ฟังก่อน เรื่องที่โรงพยาบาล วันนั้นไม่มีอะไรจริงๆ พี่เป็นพวกชอบให้กำลังใจแบบนี้ครับ” ไม่ว่าเปล่านับยังเดินเข้ามาหาเข้าแล้วใช้สองมือของตัวเองขึ้นประกบแก้มเขา “พี่ให้กำลังใจครามแบบนี้”

“...”

“ศากับยิ้มก็ได้แบบนี้”

“พี่ก็ได้ครับ” คนที่ยืนถือขวดน้ำอยู่เอ่ยขึ้นมาจนนับเงินต้องหันไปส่งเสียงขู่เบาๆ

“เธอนิ่งๆ เลย”

“ก็น้องเข้าใจผิด พี่ก็บอกให้ฟัง” เข็มทิศหันมาพยักหน้าให้เขาและยังพูดต่อโดยที่ไม่ฟังคำสั่งของนับแม้แต่นิด “นับเป็นแบบนี้แหละครับ อีกอย่างนับไม่เคยจูบใครนอกจากพี่หรอก”

“เธอไปรู้มาจากไหนอีกเนี่ย แอบฟังนับคุยโทรศัพท์เหรอ” นับเงินหันไปมองพร้อมขมวดคิ้วยุ่งแต่ก็ยังไม่ยอมละฝ่ามือออกจากแก้มของเขา

“พี่เปล่า ก็เธอพูดเสียงดัง”

“คราวหลังนับจะนอนแยกห้องแล้วนะ” นับเงินบ่นอุบอิบเพราะเขาไม่ได้เล่าที่พู่กันเข้าใจผิดว่าเขากับครามจูบกันให้เข็มทิศฟัง แต่อีกฝ่ายกลับรู้ แต่ถึงอย่างนั้นก็บ่นเฉยๆ เพราะการที่เข็มทิศพูดขึ้นมาอาจจะทำให้น้องมั่นใจว่าเขากับครามเป็นเพื่อนกันจริงๆ “วันนี้พี่มาบอกพู่เรื่องนี้ ไม่อยากให้ผิดใจกันเพราะพี่เป็นต้นเหตุ”

“ผมขอโทษที่ทำให้วุ่นวายนะครับ” เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองควรจะพูดออกไปแบบไหน ยอมรับว่าตั้งแต่ได้ฟังประโยคแรกของพี่นับกำแพงที่สร้างเอาไว้ก็พังครืนลงมาทันที “คือผมไม่คิดว่า...”

“ไม่ต้องขอโทษ ส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะพี่” นับว่าพลางเอื้อมมือจับมือเขา “ครามมันรักพู่มากกว่าพี่อีกนะ จริงๆ พี่ไปหามันมาก่อน มันก็สั่งไม่ให้พี่มาหาเรา แต่พี่ไม่อยากเป็นตัวปัญหาแล้ว”

“...พี่นับครับ”

“พี่ถามจริงๆ นะ คนที่บอกว่าแฟน ใช่แฟนจริงๆ หรือเปล่า” เขาว่าแล้วว่าอย่างไรก็ต้องโดนคำถามนี้ พู่กันสับสนไปหมดกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า “พี่มาคุยกับเราแบบตรงๆ เพราะงั้นเราก็ควรจะบอกพี่เหมือนกัน”

“คือ...” พู่กันมองหน้านับเงินกับเข็มทิศสลับกันไปมา ก่อนจะก้มหน้างุดเพราะไม่รู้จะบอกออกไปอย่างไร หากบอกว่าไม่มีแฟนพี่นับจะโกรธเอาไหมที่เขาโกหกแล้วทำให้เรื่องทุกอย่างมันแย่ลง

“ไม่มีแฟนสินะ” หากแต่คำพูดของเข็มทิศกลับทำให้เขาต้องรีบเงยหน้าขึ้นมามอง “ไม่มีก็อย่าโกหกเลยครับ”

“...”

“เดี๋ยวเด็กนั่นจะตรอมใจตายก่อน”

“เธอ พูดจา” นับสวนขึ้นมาก่อนหันไปฟาดแขนเข็มทิศเต็มแรง “ตกลงว่า...”

“ผมโกหกครับ”

“...”

“ผมแค่ไม่อยากเจ็บก็เลย... โกหก” พู่กันพูดเสียงแผ่ว เขามั่นใจว่าอาจจะโดนนับเงินหรือเข็มทิศใครสักคนดุเข้าให้ที่ทำให้เรื่องมันบานปลายขนาดนี้ แต่ไม่ ...สิ่งที่เขาได้รับคือสองมือของพี่นับที่ประกบสองข้างแก้มเขาที่หนและรอยยิ้มที่เขาคาดเดาไม่ออก

“ไม่มีแฟนจริงๆ ใช่ไหมครับ”

“ค...ครับ”

“เยี่ยม!”

“ผม...”

“พี่กับครามเป็นเพื่อนกันจริงๆ นะ” นับเงินย้ำขึ้นมาอีกหน “อยากให้เชื่อใจครามนะครับ พี่เป็นเพื่อนกับมันมานาน ถ้ามันบอกว่ารักใคร คือรักจริงๆ ถ้าไม่มากเกินไป”

“…”

“กลับไปคุยกับมันอีกครั้งได้ไหมครับ ถือว่าพี่ขอ”



*


ต่อด้านล่างนะฮับ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 12 ; (19/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 19-11-2018 21:40:39



เจ้าของร่างสูงผ่อนลมหายใจแผ่ว ก่อนดึงที่บังแดดหน้ารถออกมาเพื่อส่องกระจกเช็กความเรียบร้อย เพียงไม่กี่วันแต่เขากลับโทรมยิ่งกว่าหมาข้างถนน ดวงตามองผิวเผินก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก แป้งเด็ก คอนซีลเลอร์ น้ำแข็งประคบก็เอาความบวมช้ำของขอบตาไม่อยู่ …โคตรจะเหี้ย

ชายหนุ่มลงมาจากรถหลังจากทำใจได้ที่จะให้แฟนของพู่กันเห็นสภาพทุเรศๆ ของตัวเอง นาฬิกาข้อมือบอกว่าเป็นเวลาสี่โมงสี่สิบห้านาที เขามาก่อนเวลานัดหมายเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมารอ ร้านที่พี่ปัถย์นัดออกมาเป็นคาเฟ่ใกล้มหา’ลัย ก็ยังดีที่ไม่นัดเขาไปร้านของพู่กัน

ดวงตาคมกวาดมองไปทั่วร้านเพื่อเลือกที่นั่งก่อนจะหยุดลงตรงโต๊ะหนึ่งมุมในสุดของร้าน เรียวขาก้าวเข้าไปหาทันทีเพราะแน่ใจว่าคนที่นั่งอยู่เป็นคนที่นัดให้เขาออกมาเจอ

“พี่ปัถย์” ครามส่งเสียงทักเบาๆ เพราะอยากแน่ใจว่าไม่ผิดพลาด ก่อนคนตรงหน้าจะเงยขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือ อีกฝ่ายใส่เชิ้ตเรียบง่ายแต่ดูก็รู้ว่ามีฐานะขนาดไหน “พี่มานานแล้วเหรอ”

“ครับ พี่เพิ่งคุยกับลูกค้าเสร็จก็เลยนั่งรอทีเดียว ...นั่งก่อนสิ” เด็กหนุ่มผงกหัวแล้วทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม “จะสั่งอะไรก่อนไหม”

“ไม่เป็นไรครับ ช่วงนี้ผม...”

“เฮิร์ตจนกินข้าวไม่ลงเลยเหรอครับ” คนโดนทักหน้าเจือนทันที ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไรเพราะมันเป็นความจริง “ถ้างั้นพี่เข้าเรื่องเลยแล้วกันจะได้ไม่เสียเวลา”

“ครับ”

“พี่ไม่ได้เป็นแฟนกับพู่กันนะ”

“ด... เดี๋ยวครับ” ครามขมวดคิ้วยุ่ง หัวใจเต้นระส่ำเหมือนแผ่นดินไหวเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและฉับพลัน คืออะไรวะ ...เขางงจนไม่รู้ว่าควรจะแสดงสีหน้าแบบไหนก่อน “ผมไม่เข้าใจ น้องบอกผมว่าเป็นแฟนพี่”

“ครับ น้องพูดแบบนั้น แต่น้องโกหก” น้ำเสียงเรียบนิ่งกับใบหน้าจริงจังนั่นทำให้เขาทำตัวไม่ถูก “พู่กันบอกพี่ว่าอยากจบกับครามก็เลยเอาพี่ไปอ้าง พี่กับพู่เป็นแค่พี่น้องกันครับ”

“...”

“ครามโกรธพู่กันหรือเปล่า” ปัถย์เลิกคิ้วมองอย่างเป็นกังวล เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังกระทำอยู่จะทำให้ผลลัพธ์นั้นดีขึ้นหรือไม่ พออีกฝ่ายส่ายหน้าเขาจึงคลายความกังวลไปเปราะหนึ่ง

“ทำไมพี่ถึงมาบอกผม …หมายถึง อ่า ผมจะอธิบายยังไงดี” ครามกำลังสับสนอย่างหนักกับคำถามหลากหลายที่ปะปนอยู่ภายในหัว ยอมรับว่าใจลึกๆ ยังแอบคิดว่านี่มันเรื่องตลกห่าเหวอะไร อยู่ดีๆ แฟนน้องก็มาบอกว่าไม่ได้คบกัน กำลังปั่นหัวอะไรเขาอยู่กันแน่ “พี่ไม่ได้หลอกผมนะ?”

“ไม่ครับ อย่างแรกคือพี่ต้องขอโทษด้วยที่เพิ่งจะมาบอก แต่พี่ทนเห็นพู่กันเป็นแบบนี้ไม่ได้แล้ว รวมถึงคราม”

“…”

“พู่กันรักครามนะ พี่ไม่รู้ว่ารักแค่ไหน แต่สิ่งที่น้องเป็นหลังจากที่ทะเลาะกับครามวันนั้นก็... อ่า น่าจะแย่พอกันน่ะครับ”

“พี่รู้ได้ยังไงว่าผมแย่” เด็กหนุ่มเปิดประเด็นถามในสิ่งที่สงสัย “อีกอย่างพี่เอาเบอร์ผมมาจากไหน”

“เพื่อนพู่ครับ ที่พี่ขอให้มาเจอวันนี้เพราะอยากบอกความจริง พี่อยากให้ครามกลับไปง้อน้อง พี่รู้ว่าพู่ก็ผิดเหมือนกัน เอาเป็นดีกันให้ได้ก่อนแล้วไปคิดบัญชีทีหลังก็ไม่สาย” ครามรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอมากเป็นพิเศษ ใจเขาแม่งจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว ถึงแม้พี่ปัถย์จะมาบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับน้องแล้วก็เถอะ แต่สิ่งที่เขากังวลใจมันมากกว่านั้น

“น้องจะยอมเจอหน้าผมเหรอพี่ เอาจริงๆ ใจผมยกธงขาวไปแล้ว”

“ยอมง่ายจังล่ะ” ปัถย์หรี่ตาลงกับคำตอบที่ทำให้เขาไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ “กำแพงสูงแต่ครามก็รู้ว่าเส้นชัยอยู่ข้างหลัง ที่สำคัญเส้นชัยไม่ได้ขยับไปไหน อยู่ที่เดิมตลอด”

“…”

“แค่ปีนขึ้นไป ทำไม่ได้เหรอครับ?”

“ผม…”

“พี่ถามคำเดียว จะถอยหรือจะสู้ ถ้าสู้พี่จะช่วย”

“ถ้าผมถอยล่ะ”

“พี่ดูแลพู่กันแทนได้ครับ” เขาไม่อ้อมค้อมใด ในเมื่อเปิดโอกาสให้มากขนาดนี้แล้วยังไม่คิดจะกลับไปคว้าก็จะเป็นคนดูแลแทน “แต่ครามจะโอเคใช่ไหมล่ะ ถ้าพี่จะเป็นคนดูแล”

“…”

“ครามรู้วิธีปีนกำแพง รู้ว่าควรจะทำอะไรถ้าได้ไปแตะเส้นชัย ผิดกับพี่ที่ไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้าครามเลือกที่จะไม่สู้ กำแพงสูงพี่ก็จะปีน”

“ขอโทษครับ แต่ผมไม่ถอยแล้ว ...ผมไม่อยากให้ใครมาดูแลน้องแทนผม” ครามรีบตอบกลับเพราะตอนที่เห็นว่าอีกฝ่ายจริงจังไม่แพ้กันทำเอาใจเขาเจ็บแปลบ จริงๆ เขาก็ไม่ได้คิดจะถอยตั้งแต่แรกแค่อยากจะรู้ว่าถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นแล้วพี่ปัถย์จะทำอย่างไร จะตอบว่าอะไร

“แน่ใจนะ?” ปัถย์ถามย้ำอีกครั้งพอเด็กตรงหน้าผงกศีรษะลงเขาจึงหันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออกไปยังเบอร์ที่อยู่เป็นลำดับที่สี่ของประวัติการโทร มือเรียวกดเปิดสปีกเกอร์โฟนเพื่อฟังสัญญาณรอสาย ในขณะที่ครามกำลังจะอ้าปากถามเสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

(ครับพี่ปัถย์?)

“พู่อยู่ไหน”

(ผมอยู่บ้าน พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ)

“จะออกไปไหนไหม”

(คงไม่ วันนี้ผมเหนื่อยๆ อะ ขึ้นมากลิ้งอยู่บนเตียงแล้วเนี่ย) ครามเผลอยิ้มเมื่อได้ยินเสียงปลายสายนั้นตอบกลับเจือหัวเราะ ยอมรับว่าแค่ได้ยินเสียงก็โคตรคิดถึงแล้ว

“โอเค พี่ว่าจะแวะเอาของเข้าไปให้ ...”

(หือ เดี๋ยวพี่...)

“เอาเป็นอีกประมาณชั่วโมงนึงพี่เข้าไปนะ เจอกันครับ” เขากดตัดสายโดยไม่ปล่อยให้พู่กันได้ทักท้วงใดๆ อีก ปัถย์เงยหน้ามองครามก่อนจะยกยิ้มให้ “ได้ยินแล้วนะครับ พี่เผื่อเวลาให้ชั่วโมงนึง แต่ถ้าครามจะไปคุยเลยพี่ก็ไม่ขัด”

“ขอบคุณครับ” ครามเอ่ยปากแบบไม่กระดาก ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะยอมช่วยเขาถึงเพียงนี้ “ผมเลี้ยงข้าวพี่ได้ไหมเนี่ย ...ทำตัวไม่ถูกเลย”

“ไม่ต้อง พี่ไม่ได้อยากได้อะไรตอบแทน” เขาคงจะกลายเป็นพี่ชายอย่างเต็มตัว กับการหลงรักเด็กคนหนึ่ง ได้เข้ามาวนเวียนอยู่ในชีวิตแถมยังได้สถานะ แม้จะไม่ใช่สถานะที่ต้องการแต่มันก็ดีกว่าการหลุดออกไปจากชีวิต

การเป็นเบื้องหลังให้กับความรักของใครสักคนมันก็ไม่ได้แย่

“ขอบคุณมากๆ ครับ” เขาน้อมรับความช่วยเหลืออย่างคนขี้แพ้ที่กำลังจะเริ่มสู้อีกครั้ง “แต่ยังไงผมก็ต้องเลี้ยงอะไรพี่สักอย่าง ...ได้ความช่วยเหลือแบบนี้เอาจริงๆ ไม่ค่อยสบายใจ”

“อย่าคิดมาก” ปัถย์ยิ้มก่อนขยับไปนั่งพิงพนักเก้าอี้ เขาไม่ได้อยากได้อะไรตอบแทนจริงๆ เพียงแค่ทนเห็นพู่กันจมอยู่ตรงนั้นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว อาจจะโดนโกรธบ้างที่โกหกแต่ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าความโกรธนั้นจะโดนลบล้างเพราะเด็กผู้ชายตรงหน้าจะง้อได้สำเร็จ “ดีกันให้ได้”

“…”

“ดูแลกันให้ดี ทำให้พี่แค่นี้ก็พอครับ”



*



   (แล้วมึงตอบเขาไปว่ายังไงอะ) น้ำเสียงเจือสงสัยเอ่ยถาม (มึงเชื่อที่เขามาบอกไหมหรือคิดอะไรยังไง)

“ไม่รู้ดิ มันแบบ ...กูยังสับสนอยู่เลยหว้า” พู่กันว่าพลางถอนหายใจเบาๆ เขากลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอยู่นานแล้วและคิดทบทวนในเรื่องที่พี่นับมาบอกจนหัวสมองไม่ว่างไปคิดอะไร พอลูกหว้าว่างก็เลยรีบโทรเล่าให้ฟัง แม้ว่าการตัดสินใจจะขึ้นอยู่ที่เขาคนเดียวแต่มันก็ดีกว่าหากมีคนรับฟัง “มันจะเป็นยังถ้าเกิดกูเชื่อพี่นับแต่ไม่เชื่อพี่คราม”

(มันต้องเป็นยังไงด้วยเหรอวะ กูถามจริง ที่มึงบอกไม่เชื่อพี่คราม มึงรู้สึกไม่เชื่อจริงๆ หรือแค่คิดว่ามึงต้องไม่เชื่อเพื่อให้เหตุผลของมึงมีน้ำหนัก ...อีเหี้ย พูดดีจังเลยอะ) เขาหลุดหัวเราะให้กับรูปประโยคของเพื่อนสาว

“หว้า”

(กูเท่ล่ะสิเมื่อกี้ เหมือนพี่จ้อยพี่จอดยัง)

“เปล่า กูงง”

(อีเหี้ย ถ้าอยู่ใกล้กูจะถีบมึง) เสียงโวยวายของปลายสายทำเอาเขาหัวเราะเบาๆ (แต่มึงไม่เข้าใจจริงอะ กูว่ากูพูดเคลียร์แล้วนะ งั้นเดี๋ยวอธิบายใหม่)

“ล้อเล่น กูเข้าใจ”

(เข้าใจว่าอะไร)

“เข้าใจว่า... หว้า เดี๋ยวกูโทรกลับนะ สงสัยพี่ปัถย์มาแล้ว”

(เออ ก็ได้ โทรมาด้วยนะ)

“เคครับ”

(อี๋) พู่กันหัวเราะก่อนกดวางสาย เขารีบเดินลงไปข้างล่างเพราะได้ยินเสียงกดกริ่ง วันนี้เขาก็ไม่ได้ล็อคประตูรั้ว พักหลังเวลาพี่ปัถย์มาหาเขามักจะกดกริ่งเรียกแทนการโทรขึ้นมาแล้วก็จะมายืนรออยู่หน้าประตู

เจ้าของร่างเล็กรีบล่กๆ เพราะเกรงว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูนั้นจะรอนาน มือเล็กหมุนลูกบิดประตูขณะกำลังจะอ้าปากถามว่าหอบอะไรมาให้อีกก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อทุกอย่างกลับผิดคลาดเพราะคนที่เขาเจอไม่ใช่พี่ปัถย์ ...

“พ... พี่คราม” เขาเอ่ยเรียกอย่างตะกุกตะกัก อีกฝ่ายดูแปลกตาไปใช่ว่าในทางที่ดีขึ้นแต่กลับกัน ถึงอย่างนั้นในมือก็ยังมือดอกไม้หนึ่งช่อ เพียงแค่เห็นหน้าน้ำตาก็เอ่อล้นขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ พู่กันคล้ายคนไร้สติและพยายามจะปิดประตูลงแต่ก็โดนครามท้วงเอาไว้ “เดี๋ยว... ฟังพี่ก่อน”

“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับพี่” เป็นรูปประโยคเดิมที่วนลูปทำให้ใจคนฟังกระตุกวูบ

“พี่รู้แล้วว่าพู่ยังไม่มีแฟน” ครามจำต้องพูดท้วงออกไปก่อนที่คนตัวเล็กจะปิดประตูเพื่อไม่ให้เขาได้พบหน้า “พี่รู้ทุกอย่างแล้ว”

“…ใครบอก” พู่กันถามเสียงแผ่วขณะละฝ่ามือออกจากบานประตู ดวงตากลมจ้องคนเป็นพี่ไม่กะพริบ “พี่นับเหรอ”

“ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกับนับ” ยิ่งทำให้เจ้าของบ้านไม่เข้าใจหนักกว่าเดิมเพราะคนที่ใกล้ชิดครามและเพิ่งจะรู้เรื่องก็มีเพียงแค่พี่นับคนเดียว แต่ถ้าอีกฝ่ายบอกไม่ใช่แล้วใคร ...พลันสมองกลับย้อนไปคิดถึงคนที่เพิ่งโทรเข้ามาหา

“พี่ปัถย์เหรอ” คนถูกถามพยักหน้าลงเบาๆ “ทำไม...”

“เราโกหกพี่ทำไม” น้ำเสียงนิ่งเฉยนั่นทำให้พู่กันเม้มปากแน่น เขาไล่สำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความคิดถึงที่ล้นออกมาจนแทบทะลัก ครามโทรมกว่าทุกทีที่เจอนั้น ขอบตาแดงช้ำ ไหนจะไรหนวดที่เริ่มขึ้นมานั่นอีก “ไม่อยากให้พี่อยู่ในชีวิตมากขนาดนั้นเลยเหรอ”

“…” เขาหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดเมื่อได้ยินน้ำเสียงเชิงตัดพ้อ พู่กันเม้มปากแน่นก่อนเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ความรู้สึกผิดก่อตัวซ้ำๆ ทุกความสับสนกำลังก่อตัว เหตุการณ์กระอักกระอ่วนเกิดขึ้นอีกครั้งเพราะพู่กันยังจัดการกับความรู้สึกตัวเองไม่ได้ “ผมไม่...”

“ไม่ต้องตอบ พี่ถามเฉยๆ”

“ถ้าพี่ไม่อยากรู้คำตอบจะถามทำไม” คนตัวเล็กหันกลับไปท้วง นัยน์ตาของเราทั้งคู่ตอนนี้สั่นเครือ ไม่เคยมีครั้งไหนที่ได้เจอหน้าครามแล้วรู้สึกอึดอัดมากเท่าวันนี้

“แค่โกรธ”

“โกรธแล้วจะมาทำไม ให้มันจบไปเลยก็ได้” พู่กันกัดริมฝีปากแน่น อยากจะตบปากตัวเองที่พูดจาแบบนั้นออกไป ทำไมเขาถึงได้กลายเป็นเด็กแบบนี้

“พี่ต้องมา”

“…”

“ต้องมาบอกให้รู้ว่าโกรธ”

“…”

“แต่ก็รัก”

คำพูดสั้นๆ นั่นทำให้เขาเผลอก้าวถอยหลังไปทีละนิด ความเจ็บแปลบเกิดขึ้นตรงหัวใจ ทำไมถึงยังรักเขาทั้งที่รู้ความจริง หยาดน้ำตาที่ก่อตัวขึ้นเริ่มเอ่อขึ้นมาหากกะพริบตาเพียงแค่ครั้งเดียวมันก็คงร่วงหล่นลงบนแก้มใสได้อย่างง่ายดาย

“พี่รักผมทำไม...”

“เราไม่น่าถามแบบนี้”

“ทำไม ...ทำไมผมจะถามไม่ได้ ผมใจร้ายขนาดนี้ยังจะรักผมอีกเหรอ”

“ครับ”

“…”

“ใจร้ายกว่านี้ก็รัก ...มันรักไปแล้วจะให้พี่ทำยังไง” พู่กันเบือนหน้าหนีขณะกลั้นสะอื้น เป็นแบบนี้ทุกทีที่อยู่ต่อหน้าคราม ไอ้คนเข้มแข็ง ไอ้คนใจร้ายแทบจะตายไปจากตรงนี้

“พี่แม่ง... ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ”

“แบบไหน ถ้าแบบที่รักพู่มากๆ ก็ไม่รู้เหมือนกัน” ครามตอบตามความจริงไม่ได้กวนประสาทแต่อย่างใด เขาเดินเข้าไปใกล้น้องทีละนิด จากที่เราห่างกันหลายก้าวตอนนี้กลับเข้าใกล้จนอีกนิดจะสัมผัสกันอยู่แล้ว เพียงแต่ครามยังไม่กล้าที่จะทำอะไรรุ่มร่ามอย่างนั้น “คิดถึง”

“ผมเห็นแก่ตัวมากนะ ห่วงแต่ความรู้สึกตัวเอง” พู่กันฝืนใจพูดออกไปอย่างนั้น “ผมไม่อยากเจ็บ ไม่อยากผิดหวัง พี่ไม่รักผมได้ไหม...”

“…”

“ผมกลัวพี่คราม ...ผมไม่อยากรักใครอีกแล้ว”

“รวมถึงพี่ด้วยเหรอ” ครามถามเสียงสั่นกับการโดนปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่อยากรักพี่ด้วยเหรอ”

“...” ยอมรับว่าพอได้ยินน้ำเสียงอย่างนั้นเสมือนฝันร้ายกลับมาหลอกหลอนไม่รู้จบ เสียงของครามทำให้เขาใจสั่นไม่แพ้กัน ความเป็นจริงกำแพงของเขามันพังลงตั้งแต่ที่นับมาคุยด้วยแล้ว ยิ่งพอเจอครามอย่างนี้ก็ยิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ไม่ได้

“พู่กัน”

“...” แม้เราจะอยู่ใกล้กันเพียงแค่นี้แต่พู่กันยังทำให้รู้สึกว่าห่างกันไกลเหลือเกิน

“โอเค …พี่รู้แล้วครับ” หัวใจดวงน้อยสั่นไหวเมื่อรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะร้องไห้อีกหนผ่านทางน้ำเสียงที่แสดงออก พู่กันเงยหน้ามองครามทั้งน้ำตา และเป็นอย่างที่คิดเมื่อดวงตาคมที่เคยดุดันตอนนี้กลับถูกกลบด้วยหยาดน้ำใสที่ก่อตัวอยู่บนนั้น “รู้แล้วว่าไม่อยากรัก”

“…”

“พู่อยากได้อะไร พี่ทำให้ได้... ถ้าไม่อยากให้อยู่ พี่ก็ทำได้ให้ได้” ครามถอยหลังออกไปทีละนิด เขากระชับช่อดอกไม้ในมือให้แน่นกว่าเดิม แม้จะพยายามเข้มแข็งแต่สุดท้ายก็อ่อนแออยู่ดี ใครบางคนเคยบอกว่าในบางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบของทุกอย่าง และสิ่งที่พู่กันกระทำนั่นก็ตอบได้อย่างแน่ชัดแล้ว

เขาปีนกำแพงได้... ปีนได้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่ลงไปแตะเส้นชัยไม่ได้ ไม่ว่าจะเขาหรือน้องเราต่างสะบักสะบอมด้วยกันทั้งคู่ หรือความเป็นจริงแล้วการปล่อยมือกันอาจจะดีที่สุด

“พี่คราม…” พู่กันเรียกเสียงแผ่ว ริมฝีปากสั่นระริกเพราะพยายามจะฝืนให้กลายเป็นคนเก่ง

“พี่ทำให้ได้ทุกอย่าง แต่อย่างเดียวที่พี่ทำให้ไม่ได้คือไม่รัก ...พี่ไม่รักพู่ไม่ได้ ไม่คิดถึงก็ไม่ได้” ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกแผ่วเบา “แต่พู่ไม่ต้องห่วง”

“…”

“พี่จะรักจะคิดถึงในพื้นที่ของพี่ ...จะไม่มาทำให้อึดอัดใจเลย”

“…”

“พี่สัญญา” ถ้อยคำสุดท้ายจบลงพร้อมกับช่อดอกไม้ที่ครามทิ้งมันลงในถังขยะ ตอกย้ำว่าความสัมพันธ์ของเราจบลงอีกครั้ง พู่กันได้แต่ยืนมองอีกฝ่ายเดินออกไป แผ่นหลังกว้างที่เขาเคยมองตามอยู่ตลอดเวลาตอนนี้ไกลออกไปเรื่อยๆ

พู่กันสะอื้นไห้กับความคิดและคำพูดแบบเด็กๆ ของตัวเอง เขาเห็นแก่ตัวเกินไปที่ห่วงแต่ความรู้สึกของตัวเอง ทั้งที่ครามอยู่ตรงหน้าแต่เขาก็ทำร้ายอีกฝ่ายไม่จบไม่สิ้น ดวงตากลมเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา ทั้งที่ภาพมันควรเบลอแต่เขากลับมองเห็นอย่างชัดเจนว่าครามจะไม่หันหลังกลับมาแล้ว

หากเขายังอยู่ที่เดิม... คงไม่มีวันบรรจบกันอีก

สองขาเริ่มขยับไปข้างหน้าทีละนิดและเพิ่มความเร็วมากขึ้นจนกลายเป็นว่าเขาวิ่งออกมาเพื่อจะหยุดคนที่กำลังก้าวขาพ้นประตูรั้วออกไป สองแขนยกขึ้นไปกอดคนตรงหน้าไว้โดยอัตโนมัติแถมยังรัดแน่นจนครามชักเท้ากลับมาวางไว้ที่เดิม

สุดท้ายโซ่เส้นหนาที่คิดว่าสะบัดจนขาดสะบั้นก็หวนกลับมาตรึงเขาเอาไว้... เช่นเคย

“ผมขอโทษ ฮึก... พี่คราม ขอโทษ”

“…” เจ้าของร่างสูงใจร่วงลงไปอยู่กับพื้นเพราะอ้อมกอดที่คุ้นชินและน้ำเสียงสั่นเครือ เขาคิดถึงกอดแน่นๆ แบบนี้ คิดถึงอ้อมแขน คิดถึงทุกอย่าง “ขอโทษเรื่องอะไร”

“ข... ขอโทษ” พู่กันพร่ำบอกคำขอโทษทั้งน้ำตา ขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างมันแย่เพราะความเอาแต่ใจของตัวเอง เพราะเขาขอโทษแบบไม่รู้จบทำให้ครามต้องจับอ้อมกอดให้คลายออกแล้วหันกลับมาหา พู่กันโผเข้ากอดเขาอีกครั้งแถมยังซุกหน้าลงกับแผ่นอก “อย่าเพิ่งไปไหนได้ไหม”

“อย่าร้องไห้” แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ตัวเขากลับกลายเป็นคนที่ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้เอง เพราะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สิ่งที่ครามทำได้คือพูดปลอบและยกมือขึ้นลูบศีรษะอย่างแผ่วเบา “พู่กันไม่ร้อง”

“ฮึก... ผมรักพี่ โคตรรักพี่เลย ...ขอโทษที่ทำให้มันแย่ ผมทนไม่ไหวแล้ว ...ไม่อยากเป็นแบบนี้แล้ว” กับครามเป็นความคิดถึงที่ทำให้เขาแทบจะขาดใจ คิดถึงทุกอย่างไม่ว่าจะน้ำเสียง อ้อมกอดและสัมผัสทุกอย่าง

“ทำไมอยู่ดีๆ ถึง...”

“รักก็เจ็บ ไม่รักก็เจ็บ ... พอพี่จะไปยิ่งโคตรเจ็บ ...เจ็บจะตายอยู่แล้ว” ครามประมวลผลไม่ถูก แม้น้ำเสียงจะฟังดูอู้อี้แต่เขาก็จับใจความได้ทุกประโยค เขาผละน้องให้ออกจากอ้อมกอดก่อนจะก้มหน้าลงไปมอง “คิดถึงแล้วไม่ได้เจอก็เจ็บ แต่ผม... ผมหยุดคิดถึงพี่ไม่ได้ ฮึก ไม่เอาแบบนี้แล้ว...”

“…”

“ผมขอ...”

“พี่รู้แล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว”

“พี่ไม่ไป... ไม่ไปได้ไหม ผมไม่รักพี่ไม่ได้... เหมือนกัน”

“มองพี่” ไม่ว่าเปล่าชายหนุ่มยังเชยใบหน้าดื้อๆ ที่เขาโคตรจะคิดถึงนั้นขึ้นมา ดวงตากลมเต็มไปด้วยหยาดน้ำตานั่นทำให้เขาเผลอถอนหายใจออกมาก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาให้ “กอดแน่นขนาดนี้”

“...”

“พี่จะไปไหนได้”


tbc
รักก็เจ็บ ไม่รักก็เจ็บ คิดถึงก็เจ็บ ไม่คิดถึงก็เจ็บ ... เขาดีกันยังนะ? นั่นสิ 555555555555555
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 12 ; (19/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 19-11-2018 22:23:49
แบบไหนก็เจ็บ แต่อยู่ด้วยกันยังได้มีความสุขนะเออออออออ
รักกันไปเถอะ เดี๋ยวก็ดีเอง เชื่อเจ๊
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 12 ; (19/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 20-11-2018 00:16:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 12 ; (19/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 20-11-2018 00:27:11
ขอให้มันดีขึ้นทุกๆอย่างเลย ในที่สุดพี่ครามก็ข้ามกำแพงพู่กันมาได้แล้ว ด้วยแรงถีบของพี่ปัถย์นั่นเอง :katai2-1: :pig4:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 12 ; (19/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 20-11-2018 00:41:49
โอ้ยย พี่ปัถย์คนดีของฉันน ใครไม่เอาฉันเอาาา 5555
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 12 ; (19/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 20-11-2018 21:38:25
ฮือออออออไม่ไหวแล้วววววอินมากน้ำตาไหล

พี่ครามของน้องพู่ กอดกันๆ ดีกันแล้ววววววว
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 12 ; (19/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 20-11-2018 22:32:22
ตอนหน้าขอฉากมุ้งมิ้งๆนะคะไรท์ เอาให้หวานหยดย้อยกันไปเลยคะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 12 ; (19/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 20-11-2018 23:12:13
ยังดีที่นังยังมำตามใจตัวเอง แงงงงงง จะไม่ต้องทนอ่านพาร์ทเรียกน้ำตาแล้วใช่มั้ยยย  :ling1:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 12 ; (19/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 21-11-2018 00:46:32
โว้ยยยยยยย เข้าใจกันแล้ว เข้าใจกันแล้วใช่มั้ยยยยยย ดีจังเลยยยย ฮืออออออออ รอต่อน้าาาา
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 12 ; (19/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: pwaruntorn ที่ 22-11-2018 09:30:43
ทำไมอยากยกพี่ปัถย์ให้เหมย เค้าโทรหากัน ฉันก็จิ้นได้
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 13 ; (03/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 03-12-2018 21:54:38
13
game over

//

ทำนองเพลงที่ดังออกมาจากสมาร์ทโฟนคลอไปกับเสียงลมหายใจของชายหนุ่ม ภายในหัวสมองขาวโพลนจากเหตุการณ์เมื่อครู่ เขากำลังนั่งอยู่ภายในห้องนอนที่คุ้นเคย เสียงเพลงพาลให้ครามดึงสติของตัวเองกลับมาเพราะมันเป็นเพลงที่เปิดแบบวนลูปตั้งแต่วันที่น้องสั่งให้เราเลิกยุ่งกัน ครามยกมือขึ้นตบแก้มตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติและยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป

‘หยุดไม่ได้หรอก หยุดไม่ได้หรอก จะให้ทำอย่างเธอนั้นมันไม่ได้หรอก หยุดไม่ได้หรอก หากต้องทำอย่างนั้นมันฝืนใจ’

เจ้าของร่างสูงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อดูว่าเหล่าชุดของตัวเองที่เคยทิ้งเอาไว้ยังอยู่หรือไม่ ลมหายใจถูกผ่อนออกมาเบาๆ เมื่อเขาพบเสื้อผ้าของตัวเองโดนปลดจากราวแขวนแต่ถูกพับเก็บเอาไว้ตรงชั้นวางของภายในเสมือนว่ารอเวลาจับมันเอามาคืน

‘จบไม่ได้หรอก จากไม่ได้หรอก ฉันรักเดียวใจเดียว เธอคนเดียวเท่านั้น เปลี่ยนไม่ได้ทั้งนั้น’

ครามกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอีกครั้ง แม้จะไม่ใช่ความฝันแต่ก็รู้สึกเจ็บแปลบพอสมควรเพราะพู่กันดูท่าจะไม่เดินกลับเข้าไปในชีวิตเขาเลยแม้แต่นิด ถึงตอนนี้จะยังไม่รู้เหตุผลที่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นน้องถึงได้ไม่ปฏิเสธเขาอีก

มือใหญ่เอื้อมไปคว้าโทรศัพท์บนเตียงที่กำลังดำเนินเพลงที่ค่อนข้างตรงกับชีวิตในช่วงเวลาก่อนหน้า ในจังหวะที่เขากำลังจะกดปิด เสียงลูกบิดประตูก็ดังขึ้นเรียกความสนใจไปเสียก่อน

‘สั่งให้ฉันนั้นหยุดรักเธอ สั่งให้ฉันให้เลิกคบเธอ เหมือนกับสั่งให้หยุดหายใจยังไงยังงั้น’

“พี่คราม” เจ้าของชื่อเงยหน้ามองตามน้ำเสียงหวานที่เขาแสนจะคิดถึง เขาไม่ได้ขานตอบเพียงแต่ขยับตัวไปอยู่ซีกหนึ่งของเตียง “ไม่อาบน้ำเหรอ”

“ค่อยอาบได้ไหม” พู่กันพยักหน้าให้เขาก่อนจะเดินเข้ามาหาแล้วทิ้งตัวลงนั่ง ยอมรับเลยว่าครามก็กลายเป็นคนใจกากคนหนึ่ง แค่เห็นหน้าก็จะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว ยิ่งได้ยินเสียง ได้สัมผัสที่เขายังจดจำมันได้ดีก็ยิ่งรู้สึกปั่นป่วน

‘สั่งให้ฉันต้องหยุดรักเธอ เท่ากับฉันต้องหยุดหายใจ’

“พี่ฟังเพลง...”

“กำลังจะปิด” พอได้ยินเสียงน้องแล้วก็แทบจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังจะทำ ปลายนิ้วเรียวแตะปุ่มพอสและล็อคหน้าจอโดยทันที “เรา...”

“ให้ผมพูดก่อน” คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างกันเอ่ยปากพูดขัด ครามกลืนคำถามในหัวสมองลงลำคอไปโดยอัตโนมัติ ไอ้คำถามที่ว่า ‘เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วใช่ไหม’ นั่นน่ะ “ผมขอ...”

“พูดอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ขอโทษ” สุดท้ายแล้วครามก็ยั้งปากตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ เพราะหากน้องพูดขึ้นมาอีกมันจะเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่เขาจะได้ยิน “พี่ไม่ได้อยากให้พู่ขอโทษ”

  “... ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน” น้ำเสียงแผ่วเบาทำให้เขาต้องหันกลับไปมองทั้งที่ในมือก็ยังถือโทรศัพท์ค้างเอาไว้อย่างนั้นและเหมือนน้องจะรู้ถึงได้เงยหน้าขึ้นมาหา เราสบตากันภายในเสี้ยววินาทีแต่ครานี้ทุกอย่างกลับชัดเจนกว่าเดิม “เอาจริงๆ นะ”

“…”

“ตอนนี้ทำตัวไม่ถูกเลย” ครามหรี่ตาลงก่อนหลุดหัวเราะเบาๆ “หัวเราะอะไร ผมไม่ได้พูดให้ขำ”

“ก็เปล่า”

“เปล่าอะไร ก็พี่ขำผมอยู่อะ” เจ้าของดวงตาบวมช้ำย่นจมูกพลางทำเสียงฟึดฟัดใส่ที่หัวเราะก็เพราะท่าทางอย่างนั้น ซึ่งมันแตกต่างกับเหตุการณ์เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเป็นอย่างมากและเขาแค่รู้สึกเอ็นดูก็เท่านั้น “ผมทำตัวไม่ดีกับพี่อะ”

“อือ” ไม่ปฏิเสธว่าพู่กันทำตัวไม่น่ารักตรงที่ไม่ยอมฟังเหตุผลเขาและเอาแต่ใจท่าเดียว แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากเขาที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราดำเนินต่อโดยที่ไม่ได้คิดถึงใจน้องเช่นกัน “แต่พี่ก็ทำเหมือนกัน”

“…เสียใจ”

“เรื่อง” ครามเอ่ยถามขณะมองเจ้าเด็กตัวเล็กเม้มปากเข้าหากันทีละนิดเสมือนจะปกปิดความสั่นไหวที่กำลังจะก่อตัวขึ้น “ไม่ร้องแล้วนะ”

“ก็พี่อะ”

“พี่ทำไม”

“ไม่รู้” คนโดนถามแสร้งบ่ายเบี่ยง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ เพราะครามมีอิทธิพลมากเกินไปกับตัวเขา แม้จะพยายามสร้างกำแพงป้องกันขึ้นมาสูงเท่าไหร่แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ หยาดน้ำที่กัดเซาะจนกำแพงหน้าสึกกร่อนมันถูกกลั่นกรองมาจากน้ำตา มันจะไม่รู้สึกแย่เท่านี้หากว่าก่อนหน้าไม่กี่นาทีมีเพียงแค่เขาที่ร้องไห้

ใช่... เขาทำครามร้องไห้อีกหน จากอ้อมกอดที่รัดแน่นแต่ไม่ได้อึดอัด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่ลูบผมให้เขาอย่างเบามือนั่นก็กำลังกลั้นน้ำตาอยู่ ที่เห็นได้ชัดก็คงจะเป็นตอนที่ผละออกจากกัน

และเป็นเขาเอง... ที่เช็ดน้ำตาให้กับคราม

“พี่ถามอย่างเดียว”

“…”

“เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วใช่ไหม” เขาไม่สามารถรอให้น้องพูดจบได้อีกต่อไป ในหัวมันมีแต่คำถามนี้เวียนซ้ำ

“อือ” พู่กันขานก่อนคนพี่จะขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ “อ...อะไร”

“เหมือนเดิมของพู่คือแบบไหน”

“ล...แล้วพี่ต้องการแบบไหนอะ” มือเล็กยกขึ้นมาดันหน้าอกอีกฝ่ายให้ถอยออกไปโดยอัตโนมัติ “ถ้าแบบที่...”

“เป็นแฟนกันได้ยัง” หัวใจคนฟังสั่นไหวอย่างรุนแรง ความรู้สึกมวนท้องและปั่นป่วนราวกับมีผีเสื้อบินว่อนอยู่ภายในกลับมาอีกหน ก็นึกว่าผีเสื้อจะตายไปหมดแล้วตั้งแต่วันที่คิดว่าจะไม่รัก แต่ไม่... ครามเป็นคนเดียวที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกนี้ และยังทำให้ได้รู้ว่าต่อให้ผีเสื้อตายไปกี่พันตัว ก็สามารถเสกให้มันฟื้นกลับมากลั่นแกล้งเขาได้อยู่ดี 

“เดี๋ยว”

“ไม่ได้เหรอ” น้ำเสียงคล้ายจะอ้อนทำเอาเขาขมวดคิ้วยุ่ง อ่า ถ้าต่อไปต้องเป็นแบบนี้สงสัยพู่กันได้ตายก่อนกำหนดแน่ๆ

“ก็ต้องไม่ดิ”

“ทำไม”

“...ก็”

“รักขนาดนี้ยังเป็นแฟนกันไม่ได้อีกเหรอ” แพ้ไปแล้ว ไอ้คนเก่งไม่มีเหลืออีกต่อไปแล้วในตอนนี้ พู่กันกลั้นยิ้มให้กับคำสารภาพรักที่ได้ฟังกี่ครั้งก็ยังใจสั่นทุกที “หรือพู่จะขอพี่เป็นแฟน ถ้าพู่จะขอพี่รู้คำตอบไว้เลย”

“…”

“พี่ตกลง”

“พี่แม่ง...”

“จริงจังอยู่” ไม่ว่าเปล่าครามยังขยับตัวเข้ามาใกล้อีกหน ไอ้การผลักดันของเขาก็ไม่เกิดผลใด สุดท้ายแล้วเขาก็โดนจับให้ทิ้งตัวลงนอนและเรานอนหันหน้าเข้าหากัน “ตกลงว่าไง”

“พี่จะไม่ฟังผมก่อนเหรอว่าทำไมสุดท้ายถึงได้...”

“ไม่อยากรู้หรอก”

“อ้าว”

“พี่ขอคิดว่าเรายอมเพราะรักพี่ได้ไหม” พู่กันหายใจไม่ทั่วท้อง มันไม่มีอะไรปกติเลยสักนิดในเวลานี้ คำพูด สรรพนามการแทนตัว ความรู้สึก ทุกอย่างที่ครามกำลังพูดกับเขาในตอนนี้มันเกี่ยวข้องกับตัวเขาโดยตรงทั้งนั้น “แต่ที่พี่มาหาเราได้วันนี้เพราะพี่ปัถย์ โคตรอยากขอบคุณ”

“พี่ยังไม่เล่าให้ฟังเลยอะว่าคุยอะไรกับพี่ปัถย์มา”

“ค่อยเล่า”

“ถ้างั้นเรื่องที่พี่นับมาหาผมวันนี้ก็ค่อยเล่า” ครามหรี่ตาลงก่อนจะเปลี่ยนไปนอนเท้าคางมองเด็กตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย แต่เสี้ยวหนึ่งในใจก็แอบหวั่นไปแล้วเพราะไม่รู้ว่าที่น้องกลับมาหาเป็นเพราะนับหรือเปล่า “ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

“นับมาหาเหรอ แล้วที่พี่คิดมันถูกอยู่ไหม”

“เรื่องไหน”

“พู่ยอมกลับมาคุย เพราะนับหรือเพราะรักพี่” คำถามของอีกฝ่ายทำให้เขาเลิกคิ้วขึ้นเพียงนิด “ไม่เงียบดิครับ”

“ก็ต้อง...” รอยยิ้มมุมปากยกขึ้นด้วยความรู้สึกที่อยากจะแกล้ง เขาแสร้งเงียบเพื่อให้ครามเฝ้ารอคำตอบ

“พู่กัน”

“รักอยู่แล้ว …อื้อ”

เสียงหวานครางท้วงเมื่อโดนจู่โจมอย่างว่องไว ครามคว้าเอาเด็กดื้อขึ้นมาคร่อมอยู่บนตัวได้อย่างง่ายดาย ประคองใบหน้าของน้องเอาไว้ขณะป้อนจูบด้วยความคิดถึง ชายหนุ่มสอดปลายลิ้นเข้าไปกวาดชิมรสสัมผัสคุ้นเคยยามที่น้องเผยอปากออกตามความเคยชิน เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดหยอกเย้าไล่ต้อนจนพู่กันเริ่มหายใจไม่ถูกจังหวะ

ลมหายใจร้อนผ่อนผสานและดำเนินไปพร้อมกับเสียงครางอื้ออึง ครามถอนจูบออกแต่ยังไม่ยอมผละไปไหน ไล่ขบเม้มและลากปลายลิ้นแตะกลีบปากบนและล่างสลับกันไปมา สลับกันสอดปลายลิ้นเข้าไปภายในในช่วงจังหวะที่สมควร เขาทำอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนพู่กันต้องกระตุกเสื้อเพื่อให้หยุดสิ่งที่กำลังกระทำอยู่

“คิดถึง” ครามกระซิบเมื่อจับให้น้องพิงซบมากับอกของตัวเอง “โคตรคิดถึง”

“อือ”

“…”

“คิดถึงเหมือนกัน”

“เป็นแฟนพี่นะ”

“พี่ขอผมอยู่เหรอ” เขาผละออกขณะต้องตีหน้าเคร่งเพื่อกลบความรู้สึกประหม่าเมื่อโดนขอเป็นแฟนซ้ำสอง ก่อนจะโดนอีกฝ่ายวาดวงแขนขึ้นมากอดเอาไว้แถมยังรัดแน่นเสมือนว่ากลัวเขาจะหนีหายไปไหน

“เปล่า”

“…”

“บังคับ”

“รีบอ่อ” พู่กันท้วงถามด้วยน้ำเสียงติดเย้า “ก่อนเป็นแฟนต้องจีบก่อนดิ”

“หืม”

“ขอผมจีบพี่ก่อนได้ปะ”

“ไม่” เขาปฏิเสธเสียงแข็ง “ติดแล้วจะจีบทำไม”

“อยากจีบอะ”

“จีบเป็นเหรอ” คนบนตัวพยักหน้าลงระรัวจนเขาเผลอขมวดคิ้ว “ทำไมไม่เชื่ออ่อ เห็นหน้าแบบนี้ทฤษฎีผมแน่นนะ ถือว่าจีบขอโทษที่ทำพี่ร้องไห้ โอเคปะ”

“ไม่โอ” ครามขานตอบทันที แน่นอนว่าไอ้คำตอบของเขานั้นทำให้เด็กดื้อย่นจมูก แถมยังเบ้ปากเสมือนไม่พอใจที่เขาไม่รับข้อเสนอ “ถ้าพู่จะจีบพี่ งั้นพี่จีบด้วย แข่งกัน”

“หมายถึงยังไงอะ” คนตัวเล็กหยัดกายขึ้นทำให้เราอยู่ในท่าทางที่ค่อนข้างล่อแหลม เพราะพู่กันนั่งคร่อมอยู่บนตัวเขา “พี่จะจีบผมเหรอ”

“ครับ” เขาเผลอเม้มปากเมื่อได้ยินคำขานตอบสั้นๆ ยอมรับว่ายังไม่ชินเลยแม้แต่นิดเวลาที่อีกฝ่ายพูดเพราะอย่างนี้ มันทำให้รู้สึก... เขินแปลกๆ

“แข่งกันแล้วใช้อะไรตัดสินอะ”

“ใครเขินแล้วพูดว่าพอแล้วก่อน ก็จบเกม”

“ยังไงต่อ”

“จบเกมแล้วก็เป็นแฟนพี่สิครับ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับใบหน้าหล่อๆ นั่นทำเอาพู่กันไม่ไว้ใจเลยแม้แต่นิด ถึงทฤษฎีการจีบของเขาจะแน่นแต่ก็ไม่รู้ว่าหากเอามาใช้ในทางปฏิบัติแล้วจะเป็นแบบไหน ยิ่งอีกฝ่ายเป็นสีครามก็เห็นความพ่ายแพ้ลอยมาแปะหน้าผากแล้ว “ดีลไหม ถ้าไม่ดีลก็ต้องเป็นแฟนกันตอนนี้ ไม่ต้องจีบแล้ว”

“ไม่เอาเว้ย ขอจีบก่อน”

“งั้นตามนี้” พู่กันจำต้องยอมพยักหน้าตกลง ก่อนครามจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นมาจากที่นอนกลายเป็นว่าเขาซ้อนอยู่บนตักในท่านั่ง แขนแกร่งโอบรอบเอวเขาไว้ขณะใบหน้าเราอยู่ห่างกันไม่ถึงเซ็น “หนู”

“ไม่เรียกหนูดิ” แม้จะพูดอย่างนั้นแต่เขากลับต้องกลั้นยิ้มให้กับสรรพนามแปลกใหม่ “มันแปลก”

“น่ารักดี”

“แต่มันเหมือนตอนพี่เรียกเงินอะ” สองแขนเล็กยกขึ้นไปโอบรอบคอคนพี่เอาไว้หลวมๆ

“ไม่อยากเป็นน้องชายเหรอ”

“เออดิ เรียกพู่ก็ได้ พี่ไม่ใช้กูมึงแล้วเหรอ”

“ไม่ครับ” เสียงทุ้มต่ำพาลทำให้หัวใจของเราเต้นระสับระส่าย

“…ทำไมอะ”

“กูมึงเก็บไว้ใช้กับรุ่นน้องกับเพื่อน” ไม่ว่าเปล่าครามยังแกล้งขยับใบหน้าเข้ามาประชิด ปลายจมูกเราสัมผัสกันไปมา

“แล้ว...”

“ไม่พูดไม่เพราะใส่ว่าที่แฟนครับ”

“พะ...” คำว่าพอแล้วถูกกลืนลงไปแทบไม่ทันเมื่อเห็นสีหน้าของคนเจ้าเล่ห์ ครามไม่แม้แต่จะเอ่ยปากห้าม แค่นี้ก็เห็นแววแพ้มาแต่ไกลแล้ว ยังเริ่มไม่ถึงห้านาทีก็เขินจะเป็นบ้า “พ...พูดอะไรเพ้อเจ้อ”

“ตกลงให้เรียกหนูไหม”

“ไม่เอา ซ้ำ”

“นุ่ม”

“มาจากอะไรวะพี่” แม้อีกฝ่ายจะไม่หลุดพูดวะว่ะหรือคำหยาบ แต่พู่กันก็ยังคงเป็นพู่กัน ต้องมีบ้างแหละน่าที่หลุดพูดคำต่อท้ายที่ฟังไม่รื่นหูแต่เขารู้ว่าครามไม่ว่าอะไร ถ้าจะให้เปลี่ยนก็อาจจะต้องใช้เวลาอีกพักเช่นกัน “ชื่อเด็กเก่าอ่อ”

“เพ้อกว่าพี่อีก”

“อ้าว”

“มาจากนุ่มนิ่มพอ” ครามหลุดหัวเราะเมื่อน้องทำหน้าเหยเกทันทีที่รู้ที่มา “ไม่ชอบเหรอ”

“อะไรนุ่มนิ่ม”

“แก้ม” เจ้าคนตัวเล็กหรี่ตาอย่างจับผิดเมื่อสิ่งที่ครามพูดออกมามีเพียงแค่อย่างเดียว ความเป็นจริงจะไม่เซ้าซี้เลยหากว่าอีกฝ่ายไม่ทำหน้าตากะล่อนจนไม่น่าเชื่อถือล่ะก็นะ “ปากด้วยก็ได้”

“เนี่ย พี่แม่งคิดไม่ซื่ออะ”

“ตรงไหน ถ้าคิดไม่ซื่อต้องตอบ...” อีกฝ่ายเว้นจังหวะพอให้เขาสงสัย “แก้ม”

“ต่างจากเดิมยังไง” พู่กันขมวดคิ้วยุ่งก่อนที่คนพี่จะโน้มมากระซิบข้างใบหู แถมคำตอบยังทำเอาเขาเขินจนหน้าร้อนไปหมด

“ก้น”

“พี่แม่งทะลึ่ง ...อือ อย่ามาจับดิเว้ย” เขาครางท้วงเมื่ออีกฝ่ายดันสาธิตโดยการใช้สองมือที่ประสานกันอยู่เลื่อนลงมาแตะก้นแล้วบีบเบาๆ พอโดนแกล้งเช่นนั้นถึงได้ผลักครามไปเต็มแรงจนทำให้อีกฝ่ายทิ้งตัวลงบนเตียงได้อย่างง่ายดาย

“พู่กัน”

“อะไรอีก” เขาเงยหน้ามองทั้งที่ยังอยู่บนตัวของอีกฝ่าย ครามเรียกเขาแล้วเงียบไปก่อนมือใหญ่จะคว้าเอาโทรศัพท์ที่อยู่ไม่ห่างจากตัวขึ้นมาถือเอาไว้ “มีไรเปล่า”

“พี่ให้” สิ้นสุดประโยคแสนสั้นพู่กันไม่ทันจะได้ท้วงอะไร เสียงเพลงที่คนพี่กดพอสเอาไว้ก็ดำเนินต่อและมันเป็นท่อนสุดท้ายในช่วงสำคัญของเพลง



‘ถ้าฉันขาดเธอไป รับรองว่าต้องขาดใจ ตาย’



“ถึงตายเลยเหรอ” เขาแสร้งถามเมื่อครามกดพอสต่อทันทีหลังจากสิ้นสุดประโยคนั้น

“อือ”

“น่ารักเก่งเหรอวะพี่อะ” ชายหนุ่มหลุดยิ้มให้กับประโยคที่คล้ายจะเป็นคำชม “แต่เลี่ยน”

“เลี่ยนไปเถอะหนู”

“เอ๊ะ”

“ติดปาก”

“อย่ามาติดปากเพิ่งเรียกเหอะ” เขาทำเสียงดุหากแต่อีกฝ่ายกลับยิ้มร่าแถมยังกระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิม

“ถ้าไม่อยากได้ยิน”

“…”

“หนูก็จูบปิดปากพี่ดิ”


*

ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 13 ; (03/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 03-12-2018 21:55:23

แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาผ่านผ้าม่านผืนบางทำให้เจ้าของร่างสูงเริ่มขยับพลิกตัวหลีกแสงที่แยงตา หากแต่ขณะที่กำลังจะพลิกไปอีกฝั่งกลับต้องคลำไปทั่วๆ ก่อนจะต้องลืมตาขึ้นมาหลังจากไม่พบกับคนตัวเล็กที่นอนกอดกันอยู่เมื่อคืน อารมณ์เหมือนละครแถวบ้านที่ตื่นมาแล้วไม่เจอนั่นทำให้ต้องฉุกคิดว่าอีกฝ่ายลุกไปไหนแล้ว

ครามลุกขึ้นนั่งพลางยีหัวตัวเอง ปรับโฟกัสสายตาให้เข้าที่ เมื่อภาพเบลอๆ ชัดเจนขึ้นมาแล้วถึงรีบพรวดออกจากเตียง ปรี่ไปดูตรงห้องน้ำก่อนพอไม่เจอถึงได้รีบลงไปดูข้างล่าง หวังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคงไม่ใช่เพราะน้องหลอกให้เขาตายใจแล้วหนีไปใช่ไหม

ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องครัวก่อนจะเผลอยิ้มออกมาเมื่อพู่กันยืนอยู่ตรงโต๊ะอาหารซึ่งหันหลังออกมาทางประตูและน้องยังไม่รู้ตัวว่าเขาลงมาแล้ว ขาก้าวก้าวฉับๆ เข้าไปหาก่อนสวมกอดแล้วซุกใบหน้าลงตรงซอกคอโดยอัตโนมัติ

“เกาะแกะอะไรแต่เช้าเนี่ย” น้ำเสียงติดไม่พอใจหันมาดุ หากแต่ชายหนุ่มกลับกระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิมแถมยังไม่ยอมขยับใบหน้าไปไหน จมูกโด่งจรดลงหลังคอสูดความหอมของเด็กที่เพิ่งอาบน้ำ “เป็นอะไรของพี่”

“นึกว่าหนีพี่ไปแล้ว”

“จะให้หนีไปไหน นี่บ้านผม” พู่กันว่าแต่ก็หลุดยิ้มออกมา “ไปอาบน้ำดิ เดี๋ยววันนี้ผมต้องไปช่วยแม่ที่ร้านนะ”

“ไปด้วย”

“กลับบ้านกลับช่องก่อนไหมอะ”

“ไม่กลับ” ครามยืนยันเสียงแข็ง ยอมผละออกจากเด็กตรงหน้าเมื่อน้องหันมาก็ยกสองมือขึ้นประกบแก้มเขาทันที “อะไร”

“โทรมมาก หนวดก็ขึ้น ตาก็คล้ำ รู้ตัวปะเราอะ”

“รู้” พู่กันย่นจมูกเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมาง่ายๆ เสมือนไม่ได้คิดอะไร “หนูก็ไม่ได้ต่างจากพี่นักหรอก”

“บอกว่าไม่เอาหนูไง”

“ไม่เอาหนูแล้วจะให้เอา— ซี้ด” ครามร้องท้วงเมื่ออีกฝ่ายหยิกเลื่อนไปบิดหูเสียเต็มแรง “ทำร้ายร่างกาย”

“ก็พี่แม่งทะลึ่ง นิดหน่อยวกเข้าเรื่องแบบนี้ตลอด ไปอาบน้ำเลยไป ชิ่ว” ชายหนุ่มหลุดยิ้มเพราะรู้ว่าไอ้คนตัวเล็กก็คงจะเขินไม่แพ้กัน ดูจากท่าทางและการอมยิ้มแบบนั้นมันน่าจับฟัดให้จมเขี้ยว “ไปอาบน้ำดิ จะได้มากินข้าว เดี๋ยวช้าแม่ดุ”

“นุ่ม” 

“จะเรียกชื่อพู่กันเหมือนเดิมนี่ไม่ได้แล้วถูกไหม” เขาถามอย่างจริงจังก่อนที่คนตัวสูงจะพยักหน้าลงเบาๆ “ทำไมอะ”

“อยากพิเศษ”

“งี้ผมต้องเรียกพี่ว่าแด๊ดดี้แทนละปะ อยากพิเศษขนาดนั้นก็”

“ได้เหรอ”

“ไอ้พี่คราม” เรียกเสียงแข็งเมื่อคนพี่ไม่เข้าใจคำว่าประชด พู่กันโดนอีกฝ่ายดึงกลับเข้าไปกอดก่อนโน้มมากระซิบข้างหู “ไปอาบน้ำ”

“หนูเรียกแด๊ดสิครับ”

“ล...ล้อเล่นบ้างก็ได้หรอก” พู่กันเอ่ยอย่างอ้อมแอ้ม ยอมรับว่าเสียงทุ้มต่ำข้างใบหูกับสรรพนามชวนขนลุกซู่นั่นทำให้รู้สึกแปลกไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้แปลกไปในเชิงลบ เขาแค่คิดว่ามันจั๊กจี้ดีแต่ก็ไม่ได้แย่อะไร ถึงอย่างนั้นหากไปเรียกแบบนี้ตอนอยู่นอกบ้านมีหวังได้กลายเป็นเด็กเสี่ยแน่ “อย่ามาแกล้งน่า”

“ไม่ได้แกล้ง แค่อยากพิเศษ”

“แค่นี้ก็พิเศษแล้ว จะเอาพิเศษขนาดไหน” พอพูดไปอย่างนั้นอีกฝ่ายกลับทำหน้าหงอๆ เหมือนลูกหมากำลังจะโดนทิ้ง หูหางลู่ตกหมดจนเขาต้องส่ายหน้าเบา “ไม่ดื้อดิ”

“โกนหนวดให้หน่อย” เหมือนว่าครามจะรู้ว่าหากยังคุยเรื่องนี้ต่ออาจจะได้มีปากเสียงกันถึงได้ยอมเปลี่ยนเรื่อง ไอ้เรื่องชื่อจริงๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเพียงแค่รู้สึกว่ามันไม่ค่อยชิน จะว่าเขิน... แบบนั้นก็คงได้ล่ะมั้ง “นะครับ”

“อือ”

“งั้นไป...”

“พี่จะเรียกอะไรก็เรียก ...แต่ตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นเรียกพู่เหมือนเดิม โอเคไหม” เพราะเขาพูดออกไประรัวทำให้คนตรงหน้าดูอึ้งไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะไปคิดมากหรือไม่ เพราะหากเป็นเขาจะสงสัยว่าทำไมอยู่ต่อหน้าคนอื่นถึงเรียกไม่ได้ ฉะนั้นจึงต้องอธิบายเสริมแม้ว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้ข้องใจก็ตาม “คือผมไม่ได้กลัวคนอื่นจะรู้”

“…”

“แต่เขิน พอใจยัง”

“ครับ”

“ครับคือไรอะ ขยายความ” พู่กันขมวดคิ้วยุ่งเพราะเขาอุตส่าห์อธิบายเสียยืดยาวแต่กลับตอบมาเพียงแค่นั้น อย่างน้อยก็ช่วยพูดอะไรที่มันมากกว่านี้ไม่ได้หรือยังไง “ตอบแค่นี้ผมเสีย... เฮ้ย!”

ไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบอีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามาหาแล้วอุ้มพาดบ่าได้อย่างง่ายๆ พู่กันจำต้องบ่นอุบอิบว่าอย่าทำแบบนี้บ่อยเพราะยังไม่ทันตั้งตัว ไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนหากทำไปมีหวังได้ตกบันไดตายทั้งคู่แน่ๆ ครามพาเดินเข้ามาในห้องน้ำก่อนจะปล่อยให้ลงบนอ่างล่างหน้าที่เป็นแบบเคาน์เตอร์ทำให้มีพื้นที่ใช้สอยมากพอสมควร

“นั่งรอตรงนี้”

“เดี๋ยว” ไม่ว่างเปล่าพู่กันยังคว้าครามเข้ามาในระยะประชิด สองแขนโอบรอบต้นคอแกร่งเอาไว้แล้วดึงให้เข้ามาใกล้ เด็กดื้องับต้นคอไปทีหนึ่งด้วยความมันเขี้ยว เมื่อครู่ก็ทำอะไรไม่ได้ตอนนี้ก็ได้โอกาสที่จะเอาคืน หากแต่ครามกลับไม่ส่งเสียงแสดงความเจ็บปวดเลยสักแอะทั้งที่เขางับจนเป็นรอยฟันจางๆ แล้ว

“อย่ากัด”

“เจ็บอะดิ พี่เจ็บใช่ปะ” เสียงใสเอ่ยถามอย่างอยากรู้ มั่นใจว่าที่โดนสั่งห้ามก็เป็นเพราะครามรู้สึกเจ็บ แต่ไม่ ขณะที่อีกฝ่ายผละตัวออกมามองหน้าเขาตรงๆ กลับกระตุกยิ้มมุมปาก “ซาดิสม์เหรอ เจ็บแล้วยิ้ม”

“ใครบอกพี่เจ็บ”

“อ้าว ไม่เจ็บแล้วพี่ห้ามทำไม”

“เดี๋ยวมีอารมณ์” ครามพูดสั้นๆ ก่อนจะดีดหน้าผากมาทีหนึ่งแล้วผละตัวออกไปล้างหน้าแปรงฟันและเตรียมผิว แต่ไอ้คำพูดแค่นั้นกับน้ำเสียงทุ้มเบาๆ ทำเอาใจเขาสั่นไม่เป็นจังหวะ คำพูดคำจาแต่ละคำต้องคอยระวังให้ดี เพราะพอเผลอเมื่อไหร่ครามก็วกเข้าเรื่องอย่างว่าทุกที

พู่กันเปลี่ยนใบมีดโกนรอ เขาไม่ใช่คนที่ชอบใช้อะไรยุ่งยาก ดังนั้นเวลาตัวเองมีไรหนวดขึ้นก็หยิบมีดโกนมาปาดเอาตลอด แต่หากเป็นครามรายนี้ไม่เคยใช้มีดเพราะพอใช้เข้าทีก็เลือดซิบเนื่องจากบางทีก็ออกแรงมากเกินไปก็เลยต้องมีเครื่องโกนหนวดไฟฟ้าติดบ้านไว้

“เสร็จแล้วก็มานี่”

“ใช้เครื่อง...”

“ไม่ ถ้าจะให้ผมโกนต้องใช้มีด จะเอาปะ” เพราะอยากให้น้องโกนหนวดให้จำต้องพยักหน้าตอบตกลงโดยอัตโนมัติ พู่กันยกยิ้มร่าขณะรอให้คนพี่ปรับสภาพผิวหน้าตัวเอง พออีกฝ่ายเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าเขาจึงหยิบเอาครีมโกนหนวดปาดตามคางให้ “อยู่นิ่งๆ ด้วย”

“ถ้าไม่นิ่งล่ะ”

“หน้าแหกแน่” ครามหลุดหัวเราะเมื่อน้องยกมีดโกนขึ้นมาขู่ เขาแทรกตัวไปอยู่ระหว่างขา ยืนเป็นหุ่นนิ่งให้น้องโกนหนวดให้ แต่ก็มองทุกการกระทำ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มองหน้าน้องแล้วรู้สึกเขินจนไม่เป็นตัวเอง “มองอะไร”

“มองหนู”

“มองทำไม มองไปทางอื่นดิ” เขาว่าเพราะพอเหลือบไปสบตาทีไรก็ร้อนวูบวาบไปหมด

“เขินเหรอ”

“ใครจะไม่เขินบ้าง ถามหน่อย ผมชอบพี่นะเว้ย ไม่ใช่พระอิฐพระปูน”

“ขี้บ่นจัง” พู่กันย่นจมูกใส่ ตั้งใจโกนให้โดนไม่สนใจคำพูดหยอกของครามอีก ขืนอยู่นานกว่านี้มีหวังได้เขินจนทำตัวไม่ถูกแน่ “หนู”

“ว่าไง” เอ่ยถามเชิงสงสัยขณะหันไปล้างใบมีด พอหันกลับขึ้นมาอีกทีครามก็ยังไม่พูดอะไรต่อจากนั้น “เรียกทำไมอะ”

“ไปทะเลกันไหม” เขาขมวดคิ้วยุ่งเมื่อเหตุการณ์วนลูปกลับมาอีกครั้ง อาจเพราะครามเห็นว่าเขาชะงักเลยพูดต่อ “ไม่มีใครแล้ว”

“…”

“มีแค่พี่กับหนูสองคน”

“คิดก่อน” แม้จะพูดแบบนั้นแต่ในใจก็ตอบตกลงไปแล้ว “ทำไมผมต้องไปกับพี่อะ ถามก่อน”

“เล่นลิ้นเก่ง” ชายหนุ่มหัวเราะก่อนจะขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ บนหน้าน้องโกนหนวดให้หมดแล้วเหลือแต่ช่วงลำคอที่ยังมีครีมป้ายอยู่

“ขยับไปเดี๋ยวเลอะ” มือเล็กดันคนตรงหน้าให้ออกห่าง แต่มีหรือที่ครามจะยอมฟัง ลูกแกะเข้าปากเสือแล้วจะรอดไปได้อย่างไร “ตกลงว่าไง ถ้าพี่ไม่ตอบ พู่ไม่ไปนะ”

“พี่อยากไปกับหนู”

“ไม่อยากไปกับพี่นับแล้วเหรอ” เขาแสร้งเย้านั่นทำให้ครามส่ายหน้าระรัว “แต่ตอนนั้น...”

“ตอนนี้กับตอนนั้นไม่เหมือนกัน”

“จริงเปล่า”

“จริงครับ” คนพี่ตอบทันทีแบบไม่ต้องรอคิด “ไปด้วยกันนะ”

“ชวนแม่ไปด้วยได้ปะ” พู่กันยังคงแกล้งปั่นประสาท คำพูดของเขาเป็นผลให้ครามเอื้อมมาบีบจมูกเบาๆ ก่อนจะหยิบเอามีดโกนวางลงบนเคาน์เตอร์ก่อน “อ้อนเอาไรอะ”

“ไปกับหนูสองคนก่อนได้ไหม”

“…”

“เดี๋ยวแม่ค่อยพาไปขอนแก่น”

“ไปทำไมที่นั่น”

“พาแม่หนูไปเจอแม่พี่ไงครับ”

“เพ้อใหญ่เลยอะ” เขาหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะพยักหน้าตกลง หากยังเล่นอยู่มีหวังโดนหยอดจนหูเหอแดงไปหมดแน่ๆ แค่นี้ก็ร้อนไปทั้งหน้าแล้ว “ถ้าไปแล้วห้ามทะลึ่งกับผมนะ”

“ห้ามของยากด้วย”

“ไม่แตะเนื้อต้องตัวผมสักวันจะตายปะเนี่ย”

“ตายครับ”

“…”

“เฉาเลย” ไอ้น้ำเสียงและท่าทางแบบหูตาลุกวาวทำให้เขาหมั่นไส้ไม่น้อย “ขอทะลึ่งนิดเดียว”

“แบบไหนที่เรียกนิด— อื้อ” คนถูกกระทำครางท้วงเมื่อโดนจู่โจมด้วยความเอาแต่ใจของคราม ฝ่ามือเล็กประคองใบหน้าสากโดยอัตโนมัติเพราะยังโกนหนวดไม่เรียบร้อย ริมฝีปากบางเผยอต้อนรับเรียวลิ้นร้อนที่สอดแทรกเข้ามาภายใน ต่างคนต่างป้อนจูบอย่างไม่มีใครยอมใคร อีกหนึ่งความคิดอาจจะเป็นเพราะความคิดถึงที่มากล้น แม้เมื่อคืนจะโดนครามจูบไปหลายยกแต่ดูเหมือนว่าคงไม่พอ

ครามถอนจูบออกก่อนมองหน้าน้องนิ่งๆ เจ้าของร่างเล็กหอบถี่จากการโดนบดจูบหลายนาที เขาคาดหวังให้น้องพูดอะไรออกมาอีกหนจะได้จูบอีกที แต่พู่กันกลับไม่พูดอะไรสักคำ

“จูบแค่นี้เหนื่อยเหรอ”

“ใครเหนื่อย ไม่มีหรอก” ถึงจะเถียงออกไปแบบปากเก่งแต่สภาพของเขากลับขัดแย้ง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างถี่รัว ไม่เหนื่อยก็บ้าแล้วเล่นจูบแบบไม่ปล่อยให้หายใจ ถ้าไม่กระตุกเสื้อให้รู้อีกฝ่ายคงไม่หยุด

“แน่ใจ?”

“อือ จะโกนหนวดต่อได้ยัง”

“ยัง”

“จูบก็จูบแล้วทำไมลีลาจัง”

“ขอก่อน”

“ขออะไร” พู่กันขมวดคิ้วยุ่งเพราะไม่เข้าใจในคำถาม “บอกก่อน”

“ขอทำให้หนูเหนื่อย”

“จะจูบอีกเหรอ” และอีกฝ่ายกลับตอบคำถามด้วยการกระทำ มือใหญ่สอดเข้าไปภายใต้เสื้อยืดสีพื้น “พี่ครามใช่ปะเนี่ย”

“เรียกแด๊ดเดี๋ยวบอก”

“ตลก”

“จริงจัง”

“แด๊ด” เสียงหวานยอมเรียกแบบไม่เถียงใดๆ เจ้าของร่างเล็กยักคิ้วให้เสมือนอยากจะบอกว่า อย่าคิดท้า ถ้าอยากให้เรียกก็จะเรียก

“ขอน่ารักกว่านี้”

“แบบไหน”

“คิดว่าแบบไหนน่ารักพอที่จะให้พี่บอกหนูล่ะครับ” เพราะพู่กันยอมที่จะเล่นด้วย เขาก็เลยต้องแกล้งต่ออีกสักหน่อย “อยากรู้ก็คิดมา”

“แด๊ดบอกพู่หน่อยนะ นะครับน้า …” ชายหนุ่มกระตุกยิ้มทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น แต่ไอ้เด็กแสบกลับเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เลิกเล่นละ บอกมา”

“ขอจูบจะให้ไหม”

“ถ้าขอก็ให้”

“อยากทำให้เหนื่อย”

“มาจูบดิ”

“ไม่ให้เหนื่อยตรงนี้”

“แล้วจะให้ไปเหนื่อยตรงไหน”

“บนเตียง”


tbc
คุณคิดว่าจะจบแค่จูบไหมคะ สิบคะแนน ฮรืออออออออออ
คอมเมนต์หรือให้กำลังใจกันได้น้า หรือแปะแท็ก #โซ่สีคราม ก็ได้ฮับ คิกค้าก
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 13 ; (03/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 03-12-2018 22:00:27
งุยยยยย เข้ามาเจอกำลังอัพพอดี
เขาดีกันแล้วค่ะ คุณขาาา แบบจริงจัง
 :hao5:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 13 ; (03/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-12-2018 12:24:02
 :-[ :pig4:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 13 ; (03/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 04-12-2018 15:05:50
 :-[ บ้าบออ่ะหนู
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 13 ; (03/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 04-12-2018 21:44:39
จะละลายกับตอนนี้ อารมณ์นี้ที่รอคอย  :-[
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 13 ; (03/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 05-12-2018 23:16:13
โอ้ยๆๆๆเจ้นี่ล่ะคะเหนื่อย สุดท้ายความมุ้งมิ้งๆของน้องก็มาแบบจัดหนักจัดเต็มกันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 25-12-2018 21:08:15
14
your body

หลังจากเคลียร์ปัญหาได้ครามก็ไม่ปล่อยให้เขาไปพบผู้คน แม้ว่าจะนัดเจอกันกับพี่ปัถย์ในช่วงเย็นของวันนี้ก็ต้องเลื่อนนัดเพราะคนพี่ลากเขามาเที่ยวที่เกาะเสม็ดแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว แบบที่ถามเมื่อคืนว่าไปทะเลกันไหมและก็ได้มาเที่ยวในวันถัดมา

แถมคนที่เห็นดีเห็นงามก็ไม่พ้นคุณวาดที่ขับไสไล่ส่งทั้งที่บอกให้ออกไปช่วยงาน แต่พอครามบอกขออนุญาตพาเขามาเที่ยวก็ไล่ให้กลับไปเก็บกระเป๋าที่บ้านเสียอย่างนั้น ไม่รู้เช่นกันว่าแม่รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาไหม แต่ใจลึกๆ ก็แอบคิดว่าคงจะรู้แล้ว ถึงอย่างไรกลับจากเที่ยวก็คงได้พูดคุยกันเพราะเขาก็ไม่อยากปิดบัง

ถามว่าที่มาได้นี่คือได้เที่ยวยาวไหม ก็ไม่ มาแบบไม่ตั้งตัวก็จัดไปสองวันหนึ่งคืน ค้างคืนเดียวเพราะวันถัดไปเขามีเรียน เนื่องจากออกมาช้าทำให้กว่าจะขับรถจากกรุงเทพฯ มาถึงระยองก็ปาไปเกือบสามโมงเย็นและสถานที่เที่ยวก็ไม่พ้นเกาะยอดฮิต

“กูมาเสม็ด”

(หะ? ขออีกทีซิเพื่อน มึงอยู่ไหนนะ) เสียงปลายสายถามย้ำด้วยน้ำเสียงที่อธิบายไม่ถูก แต่ฟังดูก็รู้ว่าหากเขาพูดไปอีกครั้งต้องถูกมันล้อเข้าแน่ๆ โชดดีที่ตอนนี้พี่ครามเดินออกไปหาพนักงานของทางรีสอร์ทข้างนอกเพื่อสอบถามรหัสไวไฟ ไม่อย่างนั้นคนพี่ได้เข้ามาร่วมสมทบวงอีกคนแน่

“เสม็ด ชัดยังไอ้เหี้ย” พู่กันพูดสวนเข้าไปหมิงก็หัวเราะก๊าก แถมยังมีหน้าไปบอกแฝดตัวเองด้วยว่าเขามาเสวยสุขอยู่กับพี่ครามที่เสม็ด

(เหี้ยไรว้า ไลน์มาเล่าว่าดีกันแล้ว รายละเอียดยิบย่อยกูก็ยังไม่ได้รู้ มารู้อีกที อ้าว เพื่อนกูจะไปเสียตัวแล้ว)

“ความคิดมึงนี่แม่ง” หากอยู่ใกล้ก็อยากจะหาอะไรโยนเข้าปากแฝดคนน้องมันจะได้เงียบปากสักที “กูแค่มาเที่ยว”

(เอออ ก็รู้ว่าเที่ยว แต่เชื่อกูดิ ยังไงก็เสีย— อาหมิง ลื๊อมาช่วยม้าก่อน)

“หม่าม้าตามแล้วอาหมิง รีบๆ ไปช่วย เดี๋ยวม้าเอาทองฟาดหัว” เขาระเบิดหัวเราะใส่ทันทีเมื่ออีกฝ่ายยังพูดไม่ทันจบประโยคแล้วก็ต้องโดนขัดด้วยเสียงแห่งอำนาจของผู้เป็นแม่

(ไอ้ห่า เดี๋ยวกูมาแซวใหม่ ไปละ …เออ ไอ้พู่)

“ไรอีก”

(ไปเสม็ดไม่เสร็จรอบเดียวนะเว้ย จุ๊บๆ)

“ไอ้เหี้ย!” พู่กันสบถเสียงดังหากแต่เป็นคำที่ได้ยินอยู่เพียงคนเดียวเพราะแฝดตัวดีนั้นวางสายก่อนที่เขาจะได้เอ่ยปากพูดเสียอีก ไปเสม็ดไม่เสร็จรอบเดียวห่าเหวอะไร พูดกันแบบแมนๆ เลยว่าไม่ยอมแล้วเว้ย แค่รอบเช้าก่อนจะออกไปหาแม่ก็รอยทั่วตัวไปหมดแล้ว

บ้าฉิบหาย

“ด่าใครอยู่คนเดียว” น้ำเสียงคุ้นเคยดังเข้ามาในโสตประสาทขัดอารมณ์ฉุนเฉียวได้เป็นอย่างดี เขาหันไปมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับโทรศัพท์ในมือก่อนจะต้องยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้กับอีกฝ่ายเพื่อให้ครามใส่รหัสไวไฟให้

“ด่าเพื่อนอะดิ มันกวนตีน”

“เรื่องอะไร” ครามถามทั้งที่ยังไม่ได้เงยหน้ามามองเขา เพราะเจ้าตัวกำลังตั้งใจใส่รหัสไวไฟให้อยู่ “จะออกไปเล่นน้ำหรือเปล่า”

“จะเย็นแล้วเนี่ย พี่เล่นไรอะ” พู่กันไม่ได้กวนประสาท แต่ถามด้วยความสงสัยจริงๆ เพราะเขามาถึงระยองเกือบสามโมงและกว่าจะทำนู่นนี่นั่นเสร็จตอนนี้ก็เกือบห้าโมงแล้ว “ค่อยเล่นพรุ่งนี้ก็ได้ปะ ขับรถมาเหนื่อย”

“พูดเหมือนขับมาเอง” ชายหนุ่มหัวเราะร่วนก่อนส่งโทรศัพท์คืนแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาที่อยู่ไม่ห่างจากเตียงเท่าไหร่นัก ห้องพักที่จองไว้เป็นห้องแบบคู่รักจึงมีเตียงคิงไซซ์หนึ่งเตียง ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไรเพราะปกติเขากับน้องก็นอนเตียงเดียวกันอยู่แล้ว

“ผมก็หมายถึงพี่แหละปะ”

“บอกจะสอนขับรถก็ไม่เอา”

“เหอะ ไม่เอาอะ วุ่นวาย” เด็กที่นั่งอยู่บนเตียงส่ายหน้าระรัวก่อนไปคว้าเอาหมอนมากอดเอาไว้บนตัก “อีกอย่างผมก็มีพี่ขับให้ละปะ”

“ถ้าวันไหนพี่ไม่อยู่ทำไง” เขาถามอย่างจริงจัง หากขับรถเป็นไว้มันก็ดีกว่าเผื่อเกิดเหตุอะไรจำเป็นที่จะต้องใช้ “ไว้สอน”

“พู่ไม่อยากขับรถอะพี่คราม นั่งอย่างเดียวพอแล้ว”

“เป็นไว้มันดีกว่า” ยังคงดื้อดึงที่จะสอนน้องขับรถใหญ่ ถ้าเป็นเรื่องมอเตอร์ไซค์เขาก็ไม่ห่วงเพราพู่กันน่ะขี่โคตรจะเก่ง “เป็นสองอย่างเลยไง”

“งั้นพี่ให้พู่สอนขี่มอไซค์ปะล่ะ”

“สอนทำไม พี่ขี่เป็นอยู่หรอก” ครามว่าพลางลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ก่อนถือวิสาสะเอนตัวลงบนหมอนที่น้องกำลังกอดอยู่ คล้ายเป็นการนอนหนุนตักไปโดยปริยาย “เหลือแต่หนูเนี่ย”

“ขี่ก็ไม่แข็ง จะพาผมล้มทุกทีทำมาเป็นพูด” ไม่ว่าเปล่าเด็กดื้อยังเอื้อมมือไปบีบจมูกคนโตกว่าด้วยความมันเขี้ยวและหมั่นไส้ที่ขี้อวด ทั้งที่ตัวเองก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เก่งแท้ๆ

“ถ้าจะขี่ให้แข็งต้องทำไง”

“ขี่ในตลาดดิ” เจ้าของเสียงยักคิ้วเพราะเขาแน่ใจว่าอย่างไรครามก็ไม่ตกลงแน่นอน ขนาดแค่ขี่จากบ้านเขาไปมอก็บ่นสามสิบแปดตลบ แถมยังเกือบจะพาเขาล้ม คิดว่าอีกฝ่ายก็คงจะเข็ดกับการขี่มอเตอร์ไซค์บ้างแหละ

“พี่ตกลงแล้วหนูต้องเรียนขับรถกับพี่”

“เฮ้ย เอาจริงอะ”

“จริง” อีกฝ่ายตอบน้ำเสียงเข้มทำเอาเขาเริ่มประหม่ากับความจริงจังแบบนี้ “หัดไว้”

“แต่...”

“เดี๋ยวให้นั่งตักตอนสอน”

“บ้าบอละ นั่งตักแล้วจะไปสอนถนัดได้ไง”

“ลองไหมล่ะ”

“ลองดิ” พู่กันตอบอย่างไม่ลังเล แต่หารู้ไม่ว่าคำตอบนั้นครามหยัดกายขึ้นจากตักแล้วขยับไปนั่งอยู่ตรงขอบเตียงวางเท้าลงบนพื้นทันทีแถมยังไม่ลืมคว้าเอาเด็กดื้อให้ขยับเข้ามาใกล้ด้วย “ด...เดี๋ยว ทำอะไรวะพี่”

“ให้ลองนั่งตัก”

“ไม่ได้อยู่บนรถ ยังไม่ต้องเว้ย” แม้จะขัดขืนแต่สุดท้ายก็โดนจับยกสะโพกให้ไปนั่งอยู่บนตักของคนโตกว่าอยู่ดี แขนแกร่งโอบรอบเอวคอดเอาไว้อย่างหลวมๆ เพื่อรอดูว่าพู่กันจะดิ้นหนีไปไหนหรือไม่ “มันเหมือนกันยังไงเนี่ยพี่”

“นั่งดีๆ” เขาไม่ตอบคำถามแต่เอ่ยสั่งเด็กบนตักยุกยิกไปมา

“ก็ดีแล้วเนี่ย นั่งแบบนี้ถ้าอยู่ในรถหัวผมก็ชนแล้วหลังคาปะ” เพราะคำพูดนั้นทำให้ครามขยับถอยหลังไปอีกแล้วดันเขาให้ลงไปนั่งอยู่เตียงเปรียบเสมือนว่านั่งอยู่ที่เบาะรถแล้วมีครามซ้อนหลัง แต่เอาความจริงรถเบาะรถก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดที่จะนั่งซ้อนกัน ยังไงก็ต้องอึดอัดอยู่แล้วไหม

“เหยียดขาไปข้างหน้า” ครามเอ่ยสั่งเนื่องจากน้องนั่งหดขาเข้าหาตัว “จะเหยียดเองหรือให้พี่จับ”

“โอ๊ย พี่แม่ง” พู่กันฟึดฟัดแต่ก็ต้องยอมเหยียดขาทั้งสองข้างออกไป ดูท่าก็พอจะคล้ายกับการขับรถอยู่บ้างหรอก “ลองแบบนี้จะรู้เรื่องได้ยังไง ถามจริงๆ”

“ถามคำนี้กี่รอบแล้ว” คนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังโน้มเข้ามากระซิบข้างใบหูก่อนจะกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น จมูกโด่งจรดลงหลังหูโดยอัตโนมัติ

“ก็...”

“รถพี่เกียร์ออโต้ ถ้าหัดมันไม่ยาก”

“อือ ร...รู้แล้ว ไว้เดี๋ยวค่อยไป— อื้อ อย่าเลียหูได้ไหมเนี่ย” เสียงหวานทักท้วงทันทีเมื่อโดนหยอกล้อตรงใบหู ความชื้นแฉะที่อีกฝ่ายสร้างให้ฉนวนให้เขาขนลุกซู่ “อย่ามาเจ้าเล่ห์แถวนี้นะ”

“อะไร พี่แค่เลีย”

“อย่าเลียดิ พี่ยังไม่ชอบให้ผมหายใจรดคอเลยนะ” บ่นเสียงอุบอิบขณะหันหน้าไปปะทะแต่กลับต้องเจอกับปลายจมูกที่จรดลงบนแก้มใสแถมยังกดลงมาแนบแน่น “หอมอะไรทั้งวัน”

“ก็หนูไม่ให้เลีย”

“พี่ครามพูดให้มันดีๆ หน่อยดิ” เขาขมวดคิ้วยุ่งเมื่ออีกฝ่ายตัดจบประโยคด้วยคำว่าเลีย หากใครมาได้ยินเข้าคงได้คิดไปไกล “เลียอะไรพูดให้มันรู้เรื่อง”

“หู”

“เออ ก็—”

“ขอเลียปากหน่อยดิ”

“โอ๊ย พี่คราม คำพูดอย่าส่อได้ปะ” มือเล็กตีลงบนท่อนแขนแกร่งอย่างมันเขี้ยว ก็ใช่ว่าไม่ชอบ แต่ฟังทีไรแล้วมันก็พาลทำให้หน้าตาเขาแดงแบบควบคุมไม่ได้ทุกที “เป็นหมาเหรอจะมาเลียปากอะ”

“ถ้าเป็นหมาแล้วได้เลียปากหนู”

“…”

“พี่ก็เป็นได้”

“จะทะลึ่งทุกวันเลยหรือไง”

“ครับ...” สิ้นสุดเสียงตอบรับ ครามก็โดนเจ้าคนตัวเล็กเอี้ยวใบหน้าไปประกบปากปิดประทับ ความเจ้าเล่ห์ถูกกลืนหายไปในเสี้ยวขณะแต่ก็แทนที่ด้วยความหื่น เสียงเฉอะเกิดขึ้นทุกวินาทีที่ชายหนุ่มพยายามถอนจูบแต่น้องกลับไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น

เมื่อพู่กันไม่หยุดเสือที่คิดอยากจะแกล้งขย้ำให้ตกใจก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยไปอย่างไรเสียก็ต้องจบลงด้วยการที่เสือกินเด็กดื้อให้เต็มคราบ มือใหญ่เริ่มซุกซน ดึงเสื้อเชิ้ตที่ยัดเอาไว้ในกางเกงให้หลุดออกก่อนจะไล้ฝ่ามือเข้าไปสัมผัสความร้อนจากผิวกาย

“ไม่... ไม่ได้จะให้”

“พี่จะหยุดแล้วแต่หนูไม่หยุด” ครามว่าพลางเลื่อนมือลงมาปลดกระดุมกางเกงยีนส์เนื้อดีออกอย่างเคยชิน “ช่วยไม่ได้”

“ก็...”

“ตอนนี้หยุดไม่ทันแล้ว”

“อื้อ... พี่คราม”

“แค่แตะครางแล้วเหรอ” ยอมรับว่าเสียงทุ้มที่กระซิบข้างใบหูทำให้การปฏิเสธของเขากลายเป็นเพียงคำพูดที่ล่องลอยไปกับอากาศ ต่อให้ปากเขาบอกไม่แต่ครามก็คงไม่หยุดให้หากร่างกายเขาตอบสนองกลับอย่างที่เป็นอยู่

“แตะบ้า... อะไรของพี่ล่ะวะ” เจ้าของร่างเล็กกัดปากถามขณะเอนหลังพิงไปกับคนโตกว่า ไอ้คำว่าแตะของเขากับครามคงไม่เท่ากันเพราะเมื่อครู่ที่รู้สึกนั่นคือการบีบคลึง “ฮะ ก่อนมาเพิ่งจะ...”

“หนูรู้หรือเปล่า” ชายหนุ่มไม่ฟังเหตุผลใด นอกจากอารมณ์ของน้องตอนนี้ก็อยู่ในการควบคุมของเขา

“อะไรอีก ไม่มาเล่นตอบคำถามตอนนี้นะ ...อะ จะล้วงไปไหนของพี่เนี่ย อื้ม” พู่กันท้วงถามด้วยน้ำเสียงหอบถี่เมื่อฝ่ามือซุกซนนั้นเริ่มสอดเข้าไปภายใต้กางเกงชั้นใน “พี่คราม”

“เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของร่างกายหนูเป็นน้ำ”

“แล้ว... ยังไง” คนตัวเล็กบิดแอ่นและพยายามจะจับมือของครามให้ออกห่างจากจุดอ่อนไหวของตัวเองแต่ก็ไม่เกิดผลใด แถมยิ่งเขาห้ามครามก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักของฝ่ามือตัวเองด้วย

“แต่อีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ของหนู”

“…”

“เป็นพี่”

“ไปเอามาจากไหน” พู่กันเอนศีรษะพิงกับไหล่แล้วช้อนสายตามองคนที่มีอิทธิพลต่อร่างกายของเขาในตอนนี้ ที่ถามเพราะอย่างครามคงไม่คิดคำพูดแบบนี้ขึ้นมาเองแน่ๆ

“อ่านเจอมาจากไหนไม่รู้” คนพี่หัวเราะเบาๆ “อ่านเจอแต่พี่ทำจริง”

สิ้นสุดเสียงนั้นครามยกสะโพกน้องขึ้นเพียงนิดแล้วดึงกางเกงที่ปกปิดส่วนอ่อนไหวเอาไว้ให้ลงมาจนถึงเข่า จัดการปลดกระดุมกางเกงของตัวเองออกแล้วดึงน้องให้นั่งทับลงมาบนตัก มันเป็นความเคยชินระหว่างเขากับน้อง ครามรู้ว่าพู่กันชอบอะไรและไม่ชอบอะไร การปลุกอารมณ์ของเราจึงน้อยครั้งที่จะใช้นิ้วก่อนจะเริ่มทำภารกิจ

“อือ พี่อย่าเป็นแบบนี้บ่อยนะ”

“ทำไม”

“พู่ช้ำตายพอดี” เสียงหวานท้วงแผ่วนั่นทำให้ครามหลุดยิ้มก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งจับเอวคอดเอาไว้แน่น เขายังไม่ได้สอดใส่เพียงแต่จับให้ส่วนแข็งขืนของตัวเองถูไถไปในส่วนที่สามารถกระทำได้ เป็นการปลุกปั่นอย่างหนึ่งที่ครามชอบทำในเวลาที่เราต่างรู้ว่าต้องการกันและกัน “อะ อา... ยังไม่ทันจะได้ออกไปไหนเลย”

“หืม”

“พี่จะทำพู่หมดแรงอีกแล้ว”

“พูดเก่งจังล่ะครับวันนี้” ครามนั่งตัวตรงก่อนจะช้อนให้น้องนั่งตัวตรงตามเช่นกัน ชายหนุ่มพรมจูบลงบนแผ่นหลังทั้งที่ยังมีเสื้อปกคลุม ส่วนกางเกงน่ะพู่กันดึงลงไปจนสุดข้อขาแล้วสะบัดทิ้งไปแล้ว น้องเป็นพวกที่อารมณ์ขึ้นง่ายหากสัมผัสถูกจุด สำหรับเขาเป็นต้นคอ ส่วนพู่กันเป็นใบหู “พี่จะไม่ทำให้หมดแรงโอเคไหม”

“อือ ถ้าพี่ผิดสัญญาคืนนี้นอนโซฟาไปเลยนะ”

“ไม่ไว้ใจเหรอ” เขาแสร้งถามขณะยกสะโพกน้องขึ้นเพียงเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ จับตัวพู่กันกดทับลงมาเมื่อได้จุดที่ต้องการ

“ที่สุดอะ อ๊ะ!” เสียงหวานครางท้วงเมื่อครามจับกดลงไปจนสุด พู่กันโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยตามการจับท่าทางของคนเป็นพี่ สองมือใหญ่จับเอวคอดเพื่อยึดเอาไว้ เป็นท่าทางที่ค่อนข้างสร้างความลำบากให้เด็กดื้อเพราะไร้ที่ยึดเหนี่ยวนอกจากการใช้มือเอี้ยวไปจับแขนของครามเอาไว้

“อ่า แน่นจัง”

“อย่าพูดดิ”

“เขินเหรอ”

“ไม่เขิน อื้อ ...ไม่เขินก็บ้าแล้ว” เขากระท่อนกระแท่นตอบเพราะครามไม่ได้หยุดขยับสะโพกสวนในเวลาที่ถามคำถามกับเขา ท่าทางนี้เราไม่ได้เห็นหน้ากันและกันแต่ก็ต่างรู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรกับน้ำเสียงที่เล็ดลอดเข้ามาภายในโสตประสาทการได้ยิน “พี่มันลึก”

“ชอบหรือไม่ชอบ” ครามพรูลมหายใจออกเมื่อน้องตอดรัดกับความเป็นตัวตนของเขาอย่างแรงและเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ จากการที่เขาซอยสะโพกและน้องก็ขยับก้นรับ “พี่ถามหนูอยู่”

“ช... ชอบก็ได้ อื้ม พ... พี่คราม”

“ไม่เอาคำว่าก็ได้ ได้ไหมครับ ขอความชัดเจน” ร่างสูงกลั่นแกล้งแม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว อย่างที่บอกว่าเราทั้งสองคนรู้ความชอบของกันและกัน เอาเข้าจริงครามไม่ได้เป็นพวกที่คิดแต่เรื่องทะลึ่งตลอดเวลา แต่ไม่รู้ว่าทำไมพออยู่กับพู่กันแล้วความคิดหื่นๆ ก็วกกลับเข้ามาภายในหัวสมองได้อย่างง่ายดาย

ด้วยความมันเขี้ยวจึงบีบก้นนุ่มนิ่มอย่างเต็มไม้เต็มมือ แน่นอนนี่เป็นสิ่งหนึ่งที่พู่กันไม่ชอบให้เขาทำ แต่ก็พยายามแก้ไขมาหลายหนแล้วก็เป็นเรื่องที่ยังแก้ไม่ได้เช่นกัน อาจจะเป็นเพราะเขาชอบเวลาที่น้องฟึดฟัดตอนที่เขาทำอะไรขัดใจ

“ไม่บีบได้ไหมเล่า”

“อ้อนพี่สิครับ” ครามว่าก่อนจะออกแรงบีบก้นขาวแรงขึ้นจนรอยแดงตามเรียวนิ้ว แถมยังฟาดเบาๆ เมื่อน้องไม่ตอบรับคำขอของเขา อ่า ยิ่งอยู่ด้วยกันก็เขาก็ยิ่งเหมือนพวกโรคจิตเข้าไปทุกที

“อ๊ะ! ไม่ให้ตี”

“ก็หนูไม่อ้อน” ความร้อนภายในร่างกายพุ่งขึ้นสูง เสียงหอบหายใจของเราปะปนกันจนแทบจะแยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร ความอบอุ่นที่เกิดขึ้นจากภายในตอกย้ำให้ครามรู้ว่าตัวเองหลงรักเรือนร่างของเด็กดื้อทุกสัดส่วน “ไม่อ้อนพี่บีบ”

“แด๊ดครับ ฮะ อย่าบีบนะ ห้ามตีก้นด้วย”

“อ่า จะเอาแบบนี้ใช่ไหม” เขาช้อนตัวน้องขึ้นมานั่งตรงๆ กระซิบข้างใบหูของพู่กันก่อนละเลียดแตะปลายลิ้นลงตรงใบหูอย่างมันเขี้ยว ในคำว่าอ้อนของเขาหวังเพียงให้น้องเอ่ยขอว่าอย่าทำ ไม่จำเป็นต้องเรียกแด๊ดก็ได้ แต่ในเมื่อพู่กันทำให้เขาตื่นตัวมากกว่าเดิมก็คงจะต้องรับผิดชอบกันไป ชายหนุ่มจับให้พู่กันลุกขึ้นยืนก่อนจะดันให้ไปชิดกับผนังห้อง

“อย่ากระแทก อะ อ๊า!” พู่กันครางท้วงเมื่อคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังกระแทกแกนกายสวนเข้ามาภายใน เสียงหยาบโลนของเนื้อที่กระทบกันทำเอาความรู้สึกกระหายพลุ่งพล่านไปหมด กายบางเขยื้อนไปตามแรงกระแทกที่ได้รับ “เบา อา... เบากว่านี้หน่อย”

“หนูชอบทำให้พี่รุนแรง”

“พู่ทำอะไร ก็... ก็พี่สั่งให้อ้อน”

“อ่า งั้นพี่ผิดที่แพ้เวลาหนูอ้อน” ครามโน้มตัวลงแนบชิด กดแกนกายเข้าและออกจนสุดในทุกครั้ง ใครจะหาว่าเขาแพ้ทางเด็กยังไงก็ช่าง ในเมื่อมันเป็นความจริงก็จะไม่ขัดหรือแย้งใดๆ ทั้งนั้น “หนูอย่าไปอ้อนใครเชียว”

“ถ้าอ้อนล่ะ ...อื้อ”

“เมื่อกี้หนูพูดว่าอะไร”

“ถ้า... อ๊ะ พี่คราม ไม่… อ้อนแล้ว ...” พู่กันครางด้วยน้ำเสียงหอบเมื่อคนโตแกล้งสวนสะโพกเข้ามาถี่รัวจนแข้งขาเริ่มอ่อน จะทรงตัวไม่อยู่แล้ว

“พูดให้ชัด”

“พู่ไม่อ้อน ...ฮะ ไม่อ้อนใครนอกจากพี่ ...อื้อ พ...พอแล้ว” เขาเอี้ยวใบหน้ามาหาเพื่อบอกความต้องการอย่างแน่ชัดและการกระทำนั้นส่งผลให้คนพี่ขยับเข้ามางับริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะคลายออก “ไม่อ้อนใครแล้ว ช้าหน่อยได้ไหมครับ ...อ่า จะยืนไม่ไหวแล้ว”

“น้องพู่”

“เป็นบ้าอะไรมาเรียกแบบนี้เล่า” เขากัดริมฝีปากแน่น รู้สึกว่าตัวเองชักจะอ่อนไหวง่ายเกินไปแล้วกับสรรพนามที่มักจะเคยได้ยินอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอครามเรียกแล้วหัวใจสั่นระรัวทุกที

“ถ้าพี่รู้ว่าหนูไปอ้อนคนอื่นนอกจากพี่”

“…”

“พี่เอาหนูตายแน่ครับ”

*

ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stuff.lilac ที่ 25-12-2018 21:08:40
ทำนองเพลงยอดนิยมดังคลอกับเสียงพูดคุยจอแจของผู้คนภายในร้านอาหารริมทะเล อาหารห้าหกอย่างวางเรียงอยู่บนโต๊ะหลังจากที่พนักงานเสิร์ฟจนครบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครที่สั่งอาหารแบบไม่บันยะบันยัง ไม่ได้คิดถึงหัวอกคนกินเลยว่าจะยัดเข้าไปหมดได้อย่างไร

“พู่ก็ยังไม่เข้าใจ มากันสองคนเหมือนสั่งเลี้ยงทั้งบ้าน สองสามอย่างก็พอแล้วมั้งที่จริง”

“พี่อยากสั่ง” ครามทำไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับคำบ่นของเขา “กินให้มันหลากหลาย จะได้โต”

“แต่นี่ก็หลากหลายไปปะ อย่าใช้เงินเปลืองดิพี่คราม”

“ครับๆ คราวหน้านะ” พู่กันถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายแค่ตอบกลับรับคำไปอย่างนั้น ถ้ามีครั้งหน้าก็ยังมีห้าหกอย่างอยู่ดี “แต่จริงๆ น้องพู่คนเดียวพี่เลี้ยงได้”

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนสรรพนามเลย” เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงติดดุ ขณะหันไปจิ้มปลาหมึกหนึ่งมะนาวเข้าปาก “จะเรียกหนูก็เรียก มาน้องพงน้องพู่อะไรอีก”

“ชอบน้องพู่มากกว่าแล้ว” อีกฝ่ายยักคิ้วก่อนจะวางช้อนและส้อมลง คนอย่างครามที่มาของการเรียกชื่อเขาก็ไม่บริสุทธิ์นักหรอก ไอ้คำว่าน้องนั่นก็เกิดมาจากในห้องก่อนออกมากินข้าว บ้าชะมัด

“ทำไรอะ”

“แกะกุ้งให้ไงครับ” ครามตอบเสียงนิ่งขณะที่ก้มลงไปสนใจกุ้งตัวใหญ่ในมือของตัวเองต่อ ก่อนมันจะถูกวางลงบนจานของเขา

“สุภาพบุรุษมากอ่อ” แฟนเด็กถามด้วยน้ำเสียงติดหัวเราะ “เดี๋ยวพู่แกะเอง พี่กินข้าวไป”

“อยากแกะให้”

“...”

“ถ้าอยู่ด้วยกันพี่ป้อนให้ด้วย”

“มากไป เดี๋ยวพู่ก็เป็นง่อยพอดี” พู่กันเบ้ปากตอนที่คนพี่หัวเราะเบาๆ แล้วก็ยังไม่ฟังคำพูดของเขา ครามยังคงเอื้อมมือมาแกะเขาอยู่ดี แม้จะเพิ่งคบกันแต่ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษากันมาก่อนก็มากพอสมควร นั่นทำให้เรารู้ความชอบของกันและกัน ... “พอๆ ไม่เอาแล้ว”

“อีกตัว” เขาย่นจมูกใส่แต่คนพี่ก็หาได้สนใจ ครามเป็นพวกรั้นและพูดไม่ฟังพอตัว กุ้งตัวใหญ่วางลงจานเป็นตัวสุดท้ายเพราะพู่กันขยับมาใกล้ตัว แถมพออีกฝ่านทำทีจะแกะเพิ่มให้เขาก็ต้องยกมือขึ้นไปตีเบาๆ “รู้ทัน”

“กินข้าวไปเลยพี่คราม”

“ป้อนหน่อย มือพี่เลอะ” พู่กันหรี่ตาลงทันใด สรุปแล้วไอ้ความเจ้าเล่ห์ก็ไม่ได้หายไปไหนเลย “แกะกุ้งให้น้อง มือเลอะจะจับช้อนได้ยังไง”

“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ ไม่ได้อยู่กันสองคน” เขาว่าแต่ก็ไม่ได้เกิดผลอะไร แถมครามยังยิ้มให้เสมือนกำลังจะกวนประสาทกัน “พี่นี่แม่ง”

“ถ้าอยู่สองคนจะป้อนเหรอ”

“ไม่ กินเอง”

“ใจร้ายเก่ง”

“เว่อร์เก่ง กินข้าวเลย” พอทำเสียงดุเข้าหน่อยก็ทำหน้าหงอ คิดว่าเขาจะหลงกลหรือไง ไม่มีทางหรอก อย่างครามนี่เผลอนิดเผลอหน่อยไม่ได้ “เฮ้อ”

“...”

“กลับห้องเดี๋ยวให้จูบ พอใจยัง” เออ เขาเป็นคนผิดคำพูดเองก็ได้ ...ก็แพ้มาตลอด เคยคิดว่าจะชนะครามได้บ้างแต่สุดท้ายก็ไม่ เคยแพ้มาแบบไหนทุกวันนี้ก็แพ้แบบนั้น ไม่เปลี่ยนหรอก

ครามยอมก้มไปกินข้าวดีๆ แบบไม่หันขึ้นมาแกล้งหรือเร้าประสาทอีก หลายหนที่พู่กันเงยหน้าขึ้นมามองในจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังก้มหน้าแล้วเขาเผลอยิ้ม ก็ไม่คิดหรอกว่าจะมีวันนี้ ...

“พี่ไปห้องน้ำแป๊บนึง”

“อือ อย่าลากใครไปล่ะ” เขาตวัดสายตามอง ใช่ว่าไม่ไว้ใจแต่ไอ้หน้าหล่อๆ แบบนี้ล่ะตัวดีนัก “หึงแล้วไม่มีให้หรอกนะเหตุผลอะ”

“ครับ”

คนโตกว่าลุกขึ้นในขณะที่กำลังจะเดินผ่านเขาก็ไม่วายยกมือขึ้นมาลูบศีรษะ ให้ตาย รู้ว่าแพ้ก็ขยันทำ พู่กันวางช้อนและส้อมลงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างมือขึ้นมา ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าพี่ปัถย์ส่งข้อความมา ด้วยความที่อยากจะขอบคุณเขาจึงเลือกโทรกลับไปหาแทน เพียงแค่สัญญาณดังตื๊ดแรกอีกฝ่ายก็กดรับสายแล้ว

(ไงครับ)

“ก็... ขอบคุณอีกครั้งนะครับพี่ปัถย์” ปลายสายขานรับด้วยน้ำเสียงติดหัวเราะ “พี่โคตรดีกับผมเลยอะ”

(เรื่องธรรมดา)

“…”

(น้องชายพี่ทั้งสองคน) อือ ไปไม่เป็นเลย ใครจะไปคิดว่าบนโลกมันจะมีคนแบบนี้จริงๆ รักแต่ไม่หวังผล ไอ้อย่างเขาที่ว่าแน่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ แพ้ให้กับความโลภของตัวเอง ความโลภที่อยากจะมีเขาอยู่ข้างๆ แม้จะรักมากแต่ไม่ได้ครอบครองใจเขาก็ไปไม่ไหวเช่นกัน (กลับวันไหนกันครับ)

“พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว พี่อยากได้ของฝากอะไรเปล่า”

(ไม่อยากครับ เที่ยวให้สนุกนะ ถือว่าเที่ยวชดเชยที่ใจพังเป็นอาทิตย์ๆ)

“อ่า พี่ปัถย์ ผมขอบคุณจริงๆ นะ” พู่กันไม่ได้คิดว่าคำขอบคุณมันหนักปาก เอาเข้าจริงแค่คำขอบคุณสำหรับพี่ปัถย์แล้วมันยังไม่พอเลยด้วยซ้ำ “พี่ครามเขาก็อยากขอบคุณพี่เหมือนกัน”

(ไม่เป็นอะไรครับ แค่มีความสุขก็พอ คบกันแล้วมีอะไรก็พูดกันล่ะ อย่าเก็บไว้ถ้าไม่อยากจะมีปัญหาทีหลัง มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้นะ)

“พี่ดีจนไม่รู้ผมจะเอาคำไหนมาพูดเลย ...ขอให้พี่เจอความรักที่ดีๆ นะ ถ้าพี่มีอะไรก็บอกผมได้เหมือนกันนะครับ” พู่กันพูดออกไปเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่ครามเดินกลับมานั่งที่โต๊ะพอดี คนพี่ทำหน้าสงสัยเมื่อเห็นเขาคุยโทรศัพท์ ก็รู้แหละว่าลึกๆ คงอยากจะถามว่าคุยกับใคร แต่ครามก็จะรอให้คุยเสร็จก่อนค่อยถาม

(โอเค ขอบคุณครับ) พี่ปัถย์ถือว่าเป็นผู้ชายที่ดีและดีมากๆ จนเขาไม่อยากจะให้มาจมอยู่กับเขา แต่มันก็อย่างที่น้ำเงินว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะรักคนที่ดีกับตัวเองได้ คำนี้ต่อให้ได้ยินอีกกี่หนมันก็ยังถูกต้องเสมอ (เดี๋ยวพี่ทำงานต่อก่อนนะครับ)

“ครับ อย่าหักโหมนะพี่ปัถย์” ถ้อยคำสุดท้ายคงจะตอบคำถามในหัวของครามได้เป็นอย่างดีเพราะอีกฝ่ายกลับยื่นมาเสมือนจะขอโทรศัพท์ แต่เขาก็ไม่ได้ให้ไปเนื่องจากปลายสายนั้นต้องไปทำงานต่อ

“วางแล้วเหรอ”

“ใช่ พี่ปัถย์จะไปทำงานต่อ อยากคุยอ่อ” เขาแสร้งถามนั่นทำให้อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงัก “จะคุยเรื่องไรอะ”

“จะไปมีอะไรนอกจากขอบคุณ”

“อยากขอบคุณแต่ลากผมมาเที่ยวก่อนเนี่ยเหรอ ย้อนแย้งนะเราอะ” ครามกระตุกยิ้มทันที ไม่สามารถเถียงได้จริงๆ “กลับไปค่อยไปนัด”

“ครับ”

“พี่อิ่มยังอะ พู่อยากกินไอติม รอได้ปะ”

“ได้ พี่สั่งให้” โคตรตามใจ ปกติครามก็ตามใจอยู่แล้ว พอเป็นแบบนี้ก็ยิ่งตามใจเข้าไปใหญ่

“อะไรก็ได้ แต่สั่งมาแล้วพี่ช่วยกินด้วยนะ” ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเรียกพนักงานแล้วขอสั่งไอศกรีมกะทิที่เป็นเมนูของหวาน ส่วนกับข้าวที่สั่งมานั้นก็เหลือเยอะเพราะกินกันไปอย่างละนิดละหน่อยเท่านั้น “เนี่ย พู่บอกแล้วว่าให้สั่งน้อยๆ”

“บ่นอีกแล้ว” จำได้ว่าเพิ่งจะพ้นจากเรื่องนี้ไปเมื่อไม่กี่นาที แต่คาดว่าพู่กันเห็นอาหารที่เหลืออยู่นั่นทำให้ดึงเรื่องนี้กลับมาบ่นอีกครั้ง “คราวหน้าพี่จะไม่สั่งเยอะๆ แล้ว โอเคไหมครับ”

“ตลอดอะพี่”

“ไม่ทำแล้วจริงๆ”

“ถ้าคราวหน้าพี่สั่งเกินตัวแบบนี้อีก พี่ต้องกินให้หมดห้ามเหลือเลยนะ เคปะ สั่งมาเองรับผิดชอบเอง เหลือทิ้งแล้วมันเสียดายของ เสียดายเงิน”

ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกหงักรับฟังคำสั่งของเด็กตรงหน้า พยายามบันทึกไว้ภายในหัวสมองแบบฝังลากลึก เขาคิดไม่ผิดหรอกที่ชอบเด็กคนนี้และคิดว่ามันก็ดีแล้วหากว่าเป็นพู่กันที่คอยมาดูแลเงินในกระเป๋าให้ ...พูดง่ายๆ ก็คือหลง หลงแบบหัวปักหัวปำ

“เงินให้กระเป๋าพี่ยกให้น้องพู่หมดเลยนะ” พู่กันเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาไม่เข้าใจ อยู่ดีๆ ก็เอ่ยอะไรออกมาแบบไม่บอกไม่กล่าว “พี่หมายถึงจากนี้”

“แน่จริงเอาเงินในบัญชีพี่มาด้วยดิ” เขาแกล้งหยอกเพราะคิดว่าครามพูดเล่น หากแต่อีกฝ่ายพยักหน้านั่นทำให้เขาต้องท้วงออกไป “เดี๋ยว จริงจังเหรอเนี่ย”

“ครับ ตอนนี้กับหนูพี่ก็จริงจังหมดทุกเรื่อง”

“โอ๊ย อะไรมันจะขนาดนั้น” เขาหัวเราะเบาๆ หัวใจตอนนี้กำลังพองโตกับน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังของอีกฝ่าย “รักผมขนาดไหนเนี่ย”

“รักขนาดที่หนูคาดไม่ถึง”

“…”

“รักแบบที่พี่ให้หนูได้หมดทุกอย่าง”

“พอก่อน” พู่กันพูดเบาๆ พลางยกมือขึ้นปรามเพราะรู้สึกได้ว่าสองข้างแก้มตอนนี้กำลังร้อนผ่าวไปหมด เป็นบ้าเป็นบอมาบอกรักที่ร้านอาหาร ยังดีที่โต๊ะเขาอยู่ติดระเบียงและอยู่มุมสุดจึงทำให้ไม่เป็นที่สังเกตมากนัก แต่พูดก็พูดเถอะ ยังไงตอนนี้ครามก็ต้องเห็นว่าหน้าเขาแดงขนาดไหน

“พี่ครามพูดจริง”

“อ่า ทุกอย่างที่ว่านี่คือไร ผมไม่ได้อยากได้เงินพี่นะ”

“ก็ทุกอย่าง... ทุกอย่างที่เป็นของพี่”

“พี่คราม พอ ไม่ไหวละ เขิน” เขาพูดตัดบทหากแต่คนพี่กลับไม่ฟัง แถมยังทำท่าทางสบายๆ ด้วยการยกแขนขึ้นมานั่งเท้าคางมอง “มองไปไกลๆ นู่น อย่าเพิ่งมามองตอนนี้”

“อยากได้อะไรบอกพี่”

“ไม่อยากได้”

“สักอย่างก็ไม่อยากได้เหรอ” ชายหนุ่มหรี่ตานั่นทำให้พู่กันเม้มปากแน่นด้วยความประหม่า บทจะรุกก็รุกแบบไม่ให้ตั้งตัว ให้ตาย

“รักพู่ก็พอละพี่คราม”

“รักอยู่”

“…”

“รักจนไม่รู้จะรักยังไงแล้ว”

“พอก่อน พอๆ ๆ” เขายกมือขึ้นปิดหน้าเพราะความเขินก่อตัวขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภาวนาภายในใจว่าพนักงานเสิร์ฟอย่าเพิ่งเอาไอศกรีมมาส่งตอนนี้ พอนึกขึ้นได้ว่านี่อาจจะเป็นแผนของครามที่จะทำให้เขาพูดคำว่าพอแล้วออกมาก็เอามือลง “แผนพี่ปะเนี่ย จะให้ผมพูดว่าพอแล้วก่อนใช่ปะ”

“หืม” ยอมรับว่าครามไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยจริงๆ เขาก็แค่บอกไปตามที่ใจคิด “พี่เปล่า”

“ไม่เชื่ออะ แผนพี่แน่ๆ ยังไงพู่ก็ไม่พูดก่อนหรอกนะ”

“เกมมันจบแล้ว” ครามยิ้มเมื่ออีกฝ่ายทำหน้างง

“จบได้ยังไง พู่ยังไม่ได้พูดว่าพอแล้วเลย” พู่กันขมวดคิ้วยุ่งเพราะหากเป็นเกมที่กำลังเล่นกันอยู่นั่นก็ต้องมีใครสักคนพูดว่าพอแล้วก่อนหมายความว่าข้อตกลงที่จะจีบก่อนค่อยเป็นแฟนก็จบลง แต่เขาจำได้ว่าตัวเองยังไม่ได้พูด “พี่อย่าอำดิ ยังไม่เป็นแฟนกันเพราะพู่ยังไม่ได้พูด”

“คิดใหม่” พอโดนย้ำเข้าอีกทีก็ทำให้ต้องฉุกใจคิด “พี่ไม่ได้โกง แต่หนูพูดแล้ว”

“…ตอนไหน”

“คิดไม่ออกเหรอ”

“ไม่อะ”

“ก่อนออกมากินข้าวไงครับ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นทันทีที่พูดจบ ความทรงจำหวนกลับไปในช่วงที่ผ่านมา ... “พูดเสียงหวานด้วย”

“…ไอ้พี่คราม หยุดพูดเลย” พู่กันยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองเมื่อเขาพลาด “แต่ไอ้พอแล้วที่มาจากตอนนั้นนี่ก็นับเหรอ พู่ไม่รู้เรื่องเหอะ”

“นับสิ”

“…”

“แต่ถ้าหนูยังบอกไม่รู้เรื่องก็ไม่เป็นไร”

“ทำไมยอมง่ายจังอะ” อีกฝ่ายกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ “คิดอะไรทะลึ่งๆ อีกอะดิ”

“เปล่า”

“งั้นคิดไรอยู่”

“คิดว่าคืนนี้พี่จะทำให้รู้ว่าหนูเป็นแฟนพี่แล้ว”

“…”

“ด้วยคำว่าพอแล้วที่หนูพูดเอง”


tbc
สุขสันต์วันคริสต์มาสค่าทุกคนนนน เอาน้องพู่กับพี่ครามมาเป็นของขวัญ งิงิ
ส่วนพี่ครามนั้นเป็นคนรว้ายๆ ดักน้องทุกทาง 5555555555555555555 หลงขนาดไหนไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ พี่ให้หนูได้หมดทุกอย่าง ฮึก
แปะคอมเมนต์หรือแปะแท็ก #โซ่สีคราม ให้กำลังใจกันได้น้า เป็นกำลังใจที่มากๆ เลยฮับ ขอบคุณค่า

ปล. เปิดเรื่องของต้นเหมยแล้วนะคะ เรื่องของต้นเหมย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69166.0) ฝากติดตามด้วยน้า
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 25-12-2018 21:24:39
พอเค้ารักกัน เราก็ดีใจ หวานไปอีกกกกก
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 26-12-2018 01:04:18
พอหวานแล้วปรับตัวไม่ถูกเลย5555
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 26-12-2018 01:57:55
น่ารักมาก น้องพู่ลูก หนีไม่พ้นแล้วล่ะ55
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 26-12-2018 07:13:35
คนอ่านจะสำลักความหวานตาย
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 29-12-2018 14:35:36
มดขึ้นแล้วค่าาาาาาา
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 29-12-2018 19:30:35
หวานกันเหลือเกิน

พี่คราม
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 30-12-2018 00:44:23
 :jul1:ท่วมจอกันไปเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 14-01-2019 07:50:19
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 23-01-2019 06:54:35
นี่จบรึยัง จะมาต่ออีกมั้ยคะไรท์
หัวข้อ: Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: itsgonnabeme ที่ 16-09-2019 23:18:35
คิดถึงพี่ครามมมมมมมม
รออยู่เสมอนะค้า

คุณคนเขียนสบายดีไหมม
อย่าลืมแวะมาทักทายกันบ้างนะคะ
เป็นกำลังใจให้เสมอเลยค่าาาา