04
Keep trying
“ทะเลาะกันหรือยังไง” น้ำเสียงคุ้นหูดังแทรกเข้ามาในโสต จำให้นับต้องละสายตาจากสมาร์ทโฟนที่กดส่งข้อความไปหาเพื่อนสนิทรัวๆ ตั้งแต่อีกฝ่ายส่งเขาที่หน้าบ้าน แต่ไร้การเปิดอ่าน
“อือ” นับเงินช้อนสายตามองคนที่ยืนผูกเนคไทอยู่ไม่ไกล “แต่ไม่เกี่ยวกับเธอ”
“ครับ” เข็มทิศไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น แค่ถามดูเพราะเห็นว่านับนั่งหน้ามุ่ยมาพักหนึ่งแล้ว ถ้านึกๆ ดูก็คงจะตั้งแต่ที่เดินเข้ามาในบ้าน กระทั่งขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ยังคงนั่งอยู่หน้าเดิม หนึ่งในเหตุผลก็คงไม่พ้นเด็กผู้ชายคนนั้น
เข็มทิศรู้ดีว่าน้องอึดอัดที่ต้องมาออกงานด้วยกันบ่อยๆ ตามคำสั่งของผู้ใหญ่ ถ้าไม่ติดว่าบ้านเป็นหุ้นส่วนกันหรือโดนบังคับให้มาเขาก็คงไม่ได้เจอหน้านับหรอก
ความสัมพันธ์ของเขากับนับมีเพียงองศาที่รู้ว่าจบกันไม่สวยเท่าที่ควร ถึงอย่างนั้นน้องชายก็ไม่เคยถามถึงเหตุผล ผู้ใหญ่คิดเพียงว่าพวกเขาติดปัญหาเรื่องเวลาไม่ตรงกัน ซึ่งปัญหาหลักมันก็ใช่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าความจริงแล้วเราเลิกกันเพราะอะไร
นับพยายามตีตัวออกห่างจากเขาตั้งแต่เลิกกัน การหันไปให้ความสนใจเพื่อนสนิทที่มองก็รู้ว่าคิดไม่ซื่ออย่างคราม ทำให้เข็มทิศล้มเลิกความคิดที่จะพูดให้กลับมาเป็นเหมือนเคย อีกอย่างมันก็คงจะดีถ้านับได้เจอคนที่ดีกว่า
ถึงอย่างนั้นถ้าพูดในฐานะคนเคยคบกัน เขารู้นิสัยนับ รู้เท่าที่คนๆ นึงจะเคยใส่ใจได้ รู้ว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร รู้กระทั่งว่านับมีความรู้สึกบางอย่างที่มันไม่สมดุล เพราะงั้นมันก็คงไม่ผิดถ้าเขาจะมองออกว่านับพยายามจะชอบคราม
แต่ทำไม่ได้
“จะติดไปด้วยเหรอ” คนที่เพิ่งวางโทรศัพท์ถามทันทีเมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องกำลังจะกลัดคัฟฟ์ลิงก์เข้ากับข้อมือเสื้อ
“ปกติพี่ก็ติด” นับไม่ถามอะไรต่อเพราะขืนถามออกไปมีหวังได้โดนสวนกลับมาว่าเพราะเขาไม่สนใจมานานแล้ว ซึ่งมันเป็นความจริงที่ถูก แต่สิ่งที่เข็มทิศไม่เคยได้รู้เลยคือความไม่สนใจของเขาก็ต้องใช้พยายามมากเช่นกัน “เธอมากลัดข้างขวาให้ที”
“อือ” เขาลุกขึ้นไปอย่างว่าง่ายเนื่องจากไม่อยากมานั่งมีปากเสียงก่อนจะออกไปงานสำคัญ เข็มทิศยกข้อมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายได้กลัดถนัดขึ้น
ดวงตากลมมองไปยังคัฟฟ์ลิงก์ที่เห็นเสี้ยวหนึ่งก็จำได้อย่างแม่นยำว่าเป็นของใคร เพราะนับเป็นคนสั่งทำให้เป็นของขวัญวันเกิดเข็มทิศก่อนจะเลิกกัน
คัฟฟ์ลิงก์รูปเข็มทิศสีดำ รายละเอียดหน้าปัดที่ทำขึ้นโดยเฉพาะและสี่ทิศมีเพียงตัวอักษร N ซึ่งมันไม่ใช่ทิศเหนือทั้งสี่แต่อย่างใด
N บนหน้าปัดคือนับเงิน
“ถ้าคิดมากก็ส่งข้อความไปขอโทษ” เข็มทิศพูดขึ้นมาขณะแฟนเก่ายังจดจ้องอยู่ที่คัฟฟ์ลิงก์ เขาละมือลงหลังจากนับกลัดมันเข้ากับเสื้อเสร็จเรียบร้อยก่อนจะวางฝ่ามือลงบนหัวของเด็กตรงหน้าที่ระยะความสูงต่างจากเขามากพอสมควร “เด็กนั่นคงโกรธเธอได้ไม่นานหรอก”
“...”
“เชื่อพี่”
คนฟังกัดริมฝีปากทันทีหลังจากได้ยินอย่างนั้น เข็มทิศก็ยังเป็นคนเดิมๆ เป็นคนผลักไสให้เขาไปหาคนอื่นเสมอ ยอมรับว่าครามเป็นคนหนึ่งที่นับพยายามปันใจให้หลายครั้ง สิ่งที่ทำร่วมกันหากใครมองก็จะคิดว่าให้ความหวัง แต่เขาไม่ได้อยากทำให้เพื่อนสนิทต้องรู้สึกแบบนั้น นับเงินอยากรักครามจริงๆ
อยากรักให้ได้เหมือนตอนที่รักเข็มทิศ
แต่สุดท้ายก็ได้รู้ว่าไม่ควรฝืน เขาไม่สามารถทำให้เพื่อนสนิทเลื่อนขึ้นมาเป็นคนรักได้ และความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นตั้งแต่เริ่มคิดเช่นนั้น
นับพยายามไม่ไปไหนมาไหนกับครามสองต่อสองเหมือนก่อน พยายามไม่พูดอะไรให้อีกฝ่ายคิดไกล แต่บางทีเขาก็เผลอพูดจาแรงๆ ออกไป ทั้งที่มันไม่ใช่ความผิดของคราม
เขาผิดที่เริ่มต้นมัน ผิดที่คิดว่าจะเป็นใครก็สามารถแทนกันได้ แต่มันไม่ใช่ ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้ว่ามันไม่สามารถมีใครแทนใครได้จริงๆ
“ถ้าจะเชื่อเธอ ...พี่เข็ม” นับเงินเปลี่ยนสรรพนามการเรียกแทบไม่ถูก จริงๆ คือติดปากเรียกเข็มทิศว่าเธอ ซึ่งอีกฝ่ายก็เรียกเขาแบบนั้นเช่นกัน พอเลิกกันก็จะพยายามเปลี่ยนกลับมาเรียกให้เหมือนตอนแรกที่เจอกัน แต่ก็ล้มเหลวแทบจะทุกครั้ง
“ถ้ามันลำบากก็อย่าพยายาม”
“...”
“เพราะเธอ ไม่ได้เจ็บคนเดียว”
*
“พู่ ตื่น” ครามเรียกเด็กที่กำลังซุกอยู่ภายใต้ผ้าห่ม นิ้วเรียวเกลี่ยลงบนแก้มนิ่มหวังจะให้ไอ้คนที่หลับไม่รู้เรื่องได้รู้สึกตัว “พู่กัน”
เสียงครางฮือนั่นบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่อยากให้ใครมารบกวนเวลานอนอันแสนสุข แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้นอนอยู่ได้ เพราะการตื่นมากินข้าวเช้าคนเดียวมันก็ฟีลเหงาพอสมควร
“อือ ขออีกสิบนาที” พอทนไม่ไหวกับการโดนลากนิ้วไปทั่วใบหน้าจึงเอ่ยปากขอออกมา ทั้งๆ ที่ยังซุกอยู่กับผ้าห่ม ไม่คิดจะลืมตาขึ้นมาดูเลยว่าครามกำลังหาวิธีแกล้งด้วยสีหน้าเป็นสุขแค่ไหน
“ลุกมา” ไม่ว่าเปล่ายังกระชากผ้าห่มและโยนมันไปปลายเตียง ครามสอดแขนไปใต้วงแขนของเด็กขดตัวงอเป็นกุ้ง ก่อนจะใช้แรงระดับหนึ่งยกไอ้เด็กตัวเล็กขึ้นมานั่งตรงๆ พู่กันโงนเงนไปมาจนคนพี่เผลอยิ้มไปกี่ครั้งแล้วไม่รู้ “ไปล้างหน้า แปรงฟัน จะได้กินข้าว”
“ข้าวที่ไหน” คนงัวเงียถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้ แต่ความอยากรู้ก็คงสู้ความง่วงนอนไม่ได้ ในจังหวะที่น้องมันจะทิ้งตัวลงบนเตียงเขาจึงต้องจับหัวทุยๆ มาพิงกับอกตัวเองไว้แทน “อือ พี่คราม ง่วงอะ”
“ข้าวต้ม กูทำ”
“จะฆ่ากันให้ตายแล้วฝากแม่ผมที่ทัวร์เก้าวัดอยู่ทำบุญให้ถูกปะ” เด็กขี้เซาค่อยๆ ลืมตาหลังจากได้ยินว่าคนพี่ทำข้าวไว้ให้ พู่กันขยับศีรษะออกจากแผ่นอกเพียงนิดก่อนช้อนสายตาขึ้นมองคนที่กำลังกอดเขาอยู่ “หน้าแบบพี่เนี่ย ทำข้าวต้มได้เหรอ”
“พอบอกกูทำ รีบตื่นเชียวนะมึง” คนพี่หัวเราะตอนเห็นว่าน้องมันทำหน้ายู่เหมือนไม่อยากจะเชื่อ เขาตื่นมาแล้วนอนไม่หลับก็เลยลุกไปอาบน้ำ จากนั้นจึงลงไปทำข้าวเช้าไว้ให้ไอ้เด็กขี้เซา ครามทำอาหารเป็นบ้างเล็กน้อย เพราะเมื่อก่อนเขาก็ต้องดูแลน้ำเงิน “ไปอาบน้ำเร็วๆ”
“ขออีกห้านาที”
“...”
“นะ ผมโคตรง่วง”
“อ้อนกูดิ” ครามกระตุกยิ้มเย้ย เอาหัวเป็นประกันว่าไอ้เด็กช่างเถียงคงจะฟึดฟัดแล้วบอกว่างั้นไม่นอนก็ได้ แต่ในความเป็นจริงมันผิดจากที่คิด
“พี่คราม พู่ง่วงระดับสิบ ขอนอน นะ ...นะครับน้า” พอได้ยินเสียงออดอ้อนเป็นผลให้เขาถอนหายใจเบาๆ แต่ก็พยักหน้าเพื่อยอมตกลง ความง่วงคงจะทำให้อะไรๆ เปลี่ยน เขาเคยเห็นพู่กันโหมดนี้อยู่บ้าง แต่ไม่บ่อยแล้วก็ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็นอีก “แต๊งยูนะครับ”
“เดี๋ยวกูปลุก”
“ห้ามปลุกก่อนห้านาทีนะ โอเคเปล่า”
“เออ กูรู้แล้วน่า”
เมื่อได้รับคำยืนยันเด็กตัวจ้อยจึงพยักหน้าระรัวแล้วทิ้งตัวลงนอน ครามขยับตัวลงมานั่งบนพื้นเพราะอยากให้เจ้าของเตียงได้นอนดิ้นได้เต็มที่ ไอ้ที่บอกว่าห้านาทีจริงๆ ก็โกหก ครามรู้ว่าสำหรับพู่กันขั้นต่ำต้องสิบห้านาทีขึ้น
เขาเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่วางอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียง ตั้งแต่อยู่กับพู่กันก็ยังไม่ได้เช็กความเคลื่อนไหวใดๆ เลยสักนิด หัวคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยตอนเห็นแจ้งเตือนของคนที่ทำให้หัวเสียที่ส่งค้างไว้เมื่อคืน
nnubb :
หายโกรธยัง
ถ้าหายแล้วตอบกูด้วย
กูต้องไปงานกับพี่เข็ม
ไม่ได้ตั้งใจจะพูดจาทำร้ายมึงนะ
ขอโทษ
แต่กูก็พยายามแล้ว
พออ่านถึงประโยคว่าพยายามแล้วก็ทำให้เขาถอนหายใจออกมา ความรู้สึกหวิวเกิดขึ้นทันทีแถมใจยังเจ็บแปลบๆ แบบรู้หน้าที่ คำว่าพยายามแล้ว นี่ต้องพยายามขนาดไหนวะ คนเราจะชอบกันแม่งต้องใช้ความพยายามมากขนาดที่พูดออกมาแบบนี้ได้เลยหรือยังไงกัน
nnubb :
อย่าโกรธกูนานนะ เหงาปาก
เห้อ คราม ตอบหน่อยดิ
กูขอโทษที่ปากไม่ดี ขอโทษจริงๆ
พอมึงโกรธแล้วกูรู้สึกไม่ดีเหี้ยๆ เลย เหงา ไม่มีใครทักมาด่า
ดีกันได้ปะ กูง้อสุดๆ เท่าที่จะง้อได้แล้วนะ
จากครึ่งนาทีที่แล้วเขากำลังขมวดคิ้วจนยุ่ง แต่ตอนนี้กลับยิ้มเสียอย่างนั้น ความจริงคือนับรู้ว่าเขาโกรธมันได้ไม่นาน แถมรู้ว่าง้อยังไงถึงจะหาย ปกตินับง้อคนไม่เป็น จบแล้วก็จบกันไป เพราะงั้นไอ้การส่งข้อความมาตื๊อรัวๆ นี่มันไม่ใช่นิสัยของเพื่อนสนิทเลยสักนิด
จริงๆ แค่คำพูดที่บอกว่าไม่ได้คุยก็เหงา ก็สามารถทำให้เขายิ้มได้แล้ว ถามว่ามีความสุขไหมก็มีแต่ไม่เต็มร้อย
ความรักของเขากำลังถูกทำลายทีละนิดด้วยคำว่าเพื่อน ครามรู้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรว่าเราสนิทกันเกินกว่าที่จะเลื่อนขั้นเป็นคนรัก ถึงอย่างนั้นในเสี้ยวหนึ่งของความคิดก็ยังอยากมีนับเป็นของตัวเอง
เคยคิดว่ามันคงจะดีกว่านี้ถ้านับไม่เจอเข็มทิศ ต้องมีสักวินาทีหนึ่งที่เพื่อนสนิทจะมองเขาเป็นคนรัก แต่ในความเป็นจริงมันขึ้นอยู่ที่ใจของคนล้วนๆ ต่อให้อยู่ใกล้แทบตาย ทำดีแค่ไหน แต่เขาไม่รัก ก็คือไม่รัก
นับเป็นความสบายใจของเขามาตลอด เช่นเดียวกันกับที่นับคิด เคยมั่นใจว่านับคงจะเป็นคนเดียวที่ทำได้แล้วมันก็คงจะดีถ้าเรามีกันและกันอยู่ กระทั่งในชีวิตเขาเริ่มมีพู่กัน
มันทำให้รู้ว่าไม่ได้มีนับเพียงแค่คนเดียวที่ทำได้ น้องมันเป็นคนทำลายความคิดข้อนั้นของเขา แต่เพราะมันเป็นความลับจึงทำให้ไม่มีใครได้รู้ว่าบางทีเขามองว่าพู่กันน่ารักเพียงใด
“จะเอาขาพาดคอกูเลยหรือไง” ครามหันไปท้วงเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสเจ็บๆ หลังต้นคอ พอหันไปก็ปะทะกับเข่าแหลมที่เขารู้ว่าน้องมันตั้งใจทำ “เดี๋ยวมึงจะโดน”
“ผมหลับอยู่เหอะ รู้เรื่องที่ไหนกัน” ปากเล็กขยับมุบมิบขณะที่ยังไม่ยอมลืมตา ซึ่งมันก็ดีเพราะพู่กันจะได้ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังยิ้มกว้างแค่ไหน กวนประสาทแต่ก็ทำให้เขายิ้มได้ตลอด
“มึงไม่รู้เรื่องเหรอ”
“อือ” ครามวางโทรศัพท์ลงบนพื้นโดยที่ยังไม่ได้พิมพ์ข้อความตอบเพื่อนสนิท ร่างสูงกระโจนขึ้นไปก่อนคร่อมคนบนเตียงได้อย่างง่าย “เฮ้ย พี่!”
“อ้าว รู้เรื่องแล้วหรือไง”
“อย่ามาทับ ตัวหนัก” พู่กันพยายามพลิกตัวกลับมานอนหงายเพื่อจะใช้แรงต่อต้านคนพี่ได้เต็มที่ แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นก็เข้าทางคนเจ้าเล่ห์อย่างดี “ไอ้เหี้ย!”
“ด่าแต่เช้า ระวังสุขภาพจิตเสีย” ครามหัวเราะเมื่อโดนด่า พู่กันคงเป็นอาหารเสริมความสุขชั้นดีไม่ว่าจะเวลาไหนๆ เสี้ยวหนึ่งมันเริ่มทำให้คิดว่าเขาอาจจะชอบน้องไปแล้ว แต่พอนับเงินทักมาความคิดของเขาก็ถูกกลบไป “ตื่นแล้วก็ลุกไปอาบน้ำ”
“ไม่ไป”
“กูสั่งดีๆ แล้วนะ” เขายกยิ้มเจ้าเล่ห์ตอนที่เด็กใต้การบังคับบัญชาเอ่ยปฏิเสธ
“หยุดความคิด จะให้ไปอาบน้ำก็ลุกไปดิ มาคร่อมอยู่แบบนี้จะลุกได้ปะ ผมสู้แรงยักษ์แบบพี่ไม่ไหวหรอกนะเว้ย”
“พูดมากขนาดนี้เคยโดนบอกให้หยุดพูดบ้างไหมวะ”
“มีแต่คนอยากฟังผมพูดเหอะ”
“ไม่ใช่กูคนนึง”
“ตัดหูทิ้งไปดิงั้นก็” เด็กช่างเถียงจ้องหน้าอย่างไม่ยอมแพ้ ถ้าไม่อยากได้ยินก็ตัดหูตัวเองทิ้งไปสิโว้ย จะมาห้ามคนอื่นพูดได้ยังไง “หรือไม่ถนัด ผมตัดให้ก็ได้ ฟรี”
“ตัดหูมึงได้ไหมล่ะ”
“ไม่”
“กูก็ไม่ตัด”
“ทำไมไม่ตัด ไม่อยากได้ยินเสียงผมก็ตัดหูไปดิ”
“หยอกไปงั้น”
“...”
“กูอยากได้ยินเสียงมึงจะตายพู่กัน”
*
ครึ่งหลังของวันจบลงตรงที่เขาลากพู่กันออกมาเป็นเพื่อนตัดผม ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ยังไม่ยาวเท่าไหร่แต่แค่ไม่รู้จะไปไหนก็เท่านั้น
ครามผ่อนคันเร่งลงเมื่อเห็นว่าสัญญาณไฟจราจรข้างหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง หากเป็นเมื่อก่อนเขาก็คงจะเหยียบจนมิดเพื่อให้ไปต่อโดยไม่ต้องเหยียบเบรก แม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นช่วงวินาทีเฉียดตายก็ตาม
เคยมีครั้งหนึ่งเขาฝ่าไฟแดงตอนพู่กันนั่งมาด้วย หลังจากนั้นก็โดนด่าแบบหูฉีกในแบบที่จำได้จนวันตาย
‘ถ้าคิดจะฝ่าไฟแดงคราวหลังอย่าพามาด้วย จะตายก็ตายคนเดียว’
‘ไม่รักตัวเองก็ห่วงชีวิตคนอื่นเขาบ้าง ถ้าเกิดฝ่าไฟแดงไปแล้วชนใครเข้า คิดดูว่าทำไมเขาต้องซวยทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด บนโลกมันไม่ได้มีแค่พี่คนเดียวนะเว้ย’
‘ถ้าเกิดพลาดแล้วตาย คุ้มกันใช่ไหม หรือถ้าพี่ไม่ตาย แต่มีคนมาตายเพราะพี่ มันโอเคใช่ปะ’ พอโดนด่าครั้งนั้นเขาก็ไม่เคยคิดจะฝ่าไฟแดงอีก มีหลายอย่างที่ทำผิดแล้วคนที่เตือนได้ก็คือพู่กัน แม้แต่ละคำที่พูดออกมาจะฟังแล้วเจ็บจี๊ด แต่มันก็เป็นสิ่งที่น้องต้องทำ เพราะพู่กันเคยพูดเอาไว้ว่า ‘แบบพี่อะ พูดเบาๆ ก็ไม่สำนึกหรอก’ ฟังแล้วเหมือนโดนลากไปรุมต่อยแต่ก็ไม่เถียง เพราะมันเป็นเรื่องจริง
“ตกลงกูตัดทรงไหนดีวะ” ครามหันมาถามหลังจากที่จอดรถเทียบหน้าร้าน
“เอ้า มาถึงร้านแล้วเนี่ย ยังไม่รู้ทรงอีกเหรอวะ” พู่กันขมวดคิ้ว มองใบหน้าหล่ออย่างหาเรื่อง จริงๆ ก็ไม่เห็นว่าจะยาวสักเท่าไหร่ แต่ถ้าอยากจะตัดก็ไม่ขัด “โกนไปดิ”
“ก็เหี้ยแล้วน้อง” ครามสบถด้วยน้ำเสียงติดหัวเราะ ก่อนเอื้อมมือไปผลักหัวเด็กที่นั่งอยู่ข้างๆ “ปะ เดี๋ยวตัดผมเสร็จค่อยไปหาอะไรกิน”
“หือ จะกินอีกเหรอ ข้าวต้มก็กินมาแล้วไง” คนทำข้าวต้มมื้อเช้าได้แต่ขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินคำทักท้วง
“ก็มึงบอกไม่อร่อย กูก็ต้องพามาหาอย่างอื่นกินดิ”
พู่กันเบ้ปากแต่ไม่ตอบอะไรกลับ เอาเข้าจริงรสชาติมันก็ไม่ได้แย่ แถมเขาก็ยังกินจนหมดชาม ถ้าจะคิดว่าพูดจริงก็แล้วแต่เลย
ในมุมหนึ่งของครามก็ไม่ได้เลวร้ายกับเขา แถมมักจะเป็นแบบนี้หลายครั้ง แม้จะปากไม่ดีไปบ้างบางหน แต่สำหรับพู่กันคิดว่าคำพูดขัดกับการกระทำอย่างสิ้นเชิง
เมื่อคืนที่เขาโทรไปเรียกครามมาบ้านเพราะก่อนหน้านั้นเจ้าตัวทักมาบอกว่าอยู่กับพี่นับ แต่ก็บ่นเรื่องเพื่อนสนิทนั้นเอาแต่รับโทรศัพท์ที่เป็นสายเรียกเข้าจากพี่เข็มทิศ
ด้วยความที่พักหลังอยู่ด้วยกันบ่อยขึ้นก็คงไม่แปลกหากเขาจะรู้ว่านิสัยคราม พอเห็นว่าอีกฝ่ายอัพรูปแบบไม่มีแคปชั่นซึ่งเขาก็พอจะเดาได้ว่าเป็นโหมดดราม่า และเพราะอีกฝ่ายทำตัวผิดแปลกคือการไม่โทรมาระบายความทุกข์ จึงทำให้เขาตัดสินใจโทรไปหา ทั้งที่จะปล่อยไปโดยที่ไม่สนใจก็ได้ แต่พู่กันก็เลือกที่จะโทร อย่างน้อยครามก็ยังมีเขาเป็นที่พักพิง
มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาเริ่มหวั่นกลัว คือชักไม่แน่ใจแล้วว่าโซ่ที่คล้องเอาไว้กับครามมันจะขาดสะบั้นลงได้จริงไหม เกรงว่าใจของเขาจะสั่นคลอนและทำให้โซ่เส้นบางเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะมีคนของตัวเอง
“อ้าว น้องคราม ลมอะไรหอบมาจ๊ะเนี่ย” เสียงทุ้มกึ่งบีบให้เป็นสาวดังทักทายเมื่อคนพี่ก้าวขาเข้าไปภายใน เจ้าของร้านหุ่นดีเดินเข้ามาก่อนจับตัวพี่ครามหมุนเป็นวงกลม สำรวจทรงผมที่ผ่านการขยำก่อนออกจากบ้านด้วยฝีมือของพู่กัน “ผมยังไม่ยาวเลยนี่นา”
“คิดถึงเลยมาหาไงพี่เป้”
“ต๊ายย บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกปูเป้ แต่พูดแบบนี้พี่คิดนะคะน้อง” เสียงหัวเราะคิกคักทำให้เขาที่ยืนอยู่ข้างหลังครามเริ่มหน้าแห้ง ไม่รู้ว่ามาร้านคนรู้จักไม่งั้นก็คงไม่แบกร่างตัวเองมาด้วยหรอก “แล้วนี่น้องนับไม่มาเหรอ ...อุ้ย เดี๋ยวน้า พาใครมาเอ่ยวันนี้”
พี่เจ้าของร้านหน้าตาสละสลวยชะโงกหน้ามามองเขาก่อนฉีกยิ้มร่า เพียงเสี้ยววินาทีครามก็โดนผลักไปอยู่ข้างๆ เขาจึงเผชิญหน้ากับคนตัวสูงอย่างห้ามไม่ได้
“สวัสดีครับพี่ปู...” ไม่ทันที่จะได้พูดจบ ฝ่ามือใหญ่ก็ตะครุบมือเขาที่กำลังจะยกขึ้นไหว้แล้วดึงไปสัมผัสแก้มตัวเองทันที พู่กันหันไปขอความช่วยเหลือและครามก็รู้ดีจึงเป็นฝ่ายมาดึงมือเขาออกแล้วจับเอาไว้หลวมๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกระชับแน่นตอนเห็นพี่สตรีข้ามเพศมองเขม็ง
“ท่าทางแบบนี้คือหวงเหรอจ๊ะ แหมๆๆ พี่ก็เย้าเล่นน้า” เขาได้แต่ยืนนิ่งเพราะไม่กล้าพูดอะไร มองหน้าพี่ปูเป้กับพี่ครามสลับกันไปมา ทำตัวไม่ถูกนะเอาจริงๆ “ไม่ทำหน้าแบบหมาหวงกระดูกสิจ๊ะ เย้าๆ”
ครามแค่หัวเราะแล้วลากเขามานั่งที่โซฟาแถมยังลูบหัวเบาๆ ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ของตัวเองออกมายื่นให้ แน่นอนว่าพู่กันไม่เข้าใจ แต่อีกฝ่ายกลับวางมันลงบนตักเพื่อตัดจบทุกสิ่ง
“ฝาก นั่งรอตรงนี้ กูจะสระผมก่อน”
“ครับคุณชาย เชิญหลับให้สบาย”
“กูแค่ไปสระผม ไม่ได้ไปตาย”
“เอ้า ตอนสระก็เพลินไง ง่วงๆ ก็หลับ คิดอะไรเยอะแยะวะพี่”
คนพี่หัวเราะให้กับเด็กช่างสรรหาคำมาต่อล้อต่อเถียง พู่กันรีบผลักให้ครามรีบๆ ไป พออีกฝ่ายเดินเข้าไปหลังฉากกั้นที่ใช้สระผมซึ่งน่าจะมีพนักงานประจำหน้าอยู่ พี่ปูเป้ก็รีบปรี่เข้ามาหาเขาทันที
“น้องเป็นแฟนน้องครามเหรอ”
“เอ้ย ไม่ได้เป็นแฟนกันครับ” พู่กันปฏิเสธทันควัน แต่เจ้าของร้านกลับทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ “ไม่ใช่จริงๆ ครับ รุ่นพี่รุ่นน้องเฉยๆ”
“จริงเหรอจ๊ะ ...เอ พี่ว่าไม่น่าใช่ม้างง”
“พูดจริงๆ ครับพี่ปูเป้ ทำไมพี่ไม่เชื่อผม” เขาเริ่มหัวเราะตอนที่เห็นสีหน้าของคนฟัง “พี่ครามมีคนที่ชอบแล้วครับ”
“เนี่ย ถ้าไม่ติดตรงนี้พี่ก็จะไม่เชื่อน้องเลยจริงๆ” เธอตบเข่าฉาดใหญ่ ซึ่งเขาคิดว่าพี่ปูเป้ก็น่าจะรู้เรื่องของพี่ครามกับพี่นับมาบ้างพอสมควร เพราะทีแรกก็ทักว่าไม่พาพี่นับมาด้วยเหรอ
“มันไม่น่าเชื่อขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ที่สุดค่ะ!” พี่ปูเป้ตบอกก่อนจะคว้าเขาเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะลดระดับเสียงให้เบากว่าเดิม “น้องรู้ไหมคะ พี่เนี่ยเพิ่งจะเคยเห็น”
“เห็นอะไรเหรอครับ” เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“ก็ไอ้ที่น้องครามมาดึงมือออกไปจากมือพี่น่ะสิ ขนาดน้องนับที่บอกว่าชอบนักชอบหนา พี่ยังลวนลามได้สบายเลย”
“ก็...” พู่กันทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะตอบว่าอะไร เขาจะเชื่อคำพูดของพี่ปูเป้ได้แค่ไหน “น่าจะบังเอิญอยากเป็นคนดีล่ะมั้งครับ”
“หูย ไม่หรอก พี่น่ะ รู้จักน้องครามมานานนะ รายนี้นี่เนี่ยคนสำคัญจะหวงแรงหึงแรง เหมือนตอนพาน้ำเงินมานี่แตะไม่ได้ มันเลยน่าแปลกน่ะสิ ตกลงไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ เหรอจ๊ะ”
“พี่เป้” เสียงทุ้มของคนที่ถูกนินทาดังขึ้นมาขัดจังหวะ พี่เป้ค่อยๆ ถดใบหน้าหนีออกจากเขาก่อนจะหันไปมองตามต้นเสียง “อย่าแอ๊ว”
“แอ๊วเอิ้วอะร้าย แค่มาผูกมิตรเฉยๆ ย่ะ” พู่กันหัวเราะเมื่อพี่เป้เถียงออกไปปาวๆ ครามเดินออกมาทั้งๆ ที่หัวยังเปียกชุ่ม
“มองหน้าก็เห็นลิ้นไก่แล้ว มานี่ …มาสระผมให้คราม”
“สั่งเป็นผัวพี่เลยนะ!” สตรีข้ามเพศหน้าสวยโวยวายก่อนจ้ำไปทางพี่ครามที่เดินไปหลังฉากกั้นอีกครั้ง ยังดีที่ร้านไม่มีคนอื่นนอกจากพวกเขา ไม่งั้นคงได้โดนด่าหาว่าเสียมารยาทแน่ๆ
กว่าจะสระผมเสร็จก็กินเวลาหลายนาที พู่กันนั่งมองคนที่เป็นหุ่นนิ่ง พี่เป้ไดร์ผมสีเข้มให้แห้งพลางบ่นนู่นนี่นั่นให้ฟัง ไม่รู้ว่าครามนั่งมองอะไรอยู่ แต่มีครู่หนึ่งที่เขาเผลอสบตากับคนในกระจกแล้วไอ้คนที่อยู่ในนั้นก็ยิ้มออกมา
เป็นบ้าเป็นบออะไรของเขาวะ
พู่กันก้มลงดูหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองเมื่อมีแจ้งเตือนข้อความเข้า เขาขมวดคิ้วยุ่งเมื่อเห็นว่ามีรายชื่อไม่คุ้นเพิ่มเพื่อนในเฟซบุ๊กเข้ามา ยังไม่ทันที่เขาจะได้กดเข้าไปส่องว่าเป็นใคร โทรศัพท์ของครามที่อยู่บนตักก็สั่นเพราะมีข้อความเข้ารัวๆ เสียก่อน
สาบานได้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท แต่เพราะมันสั่นไม่หยุด แถมแถบแจ้งเตือนป๊อปอัพก็เด้งขึ้นมาระรัวจนไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อ่านทุกข้อความจนมันหยุดสั่น
nnubb :
อ่านไม่ตอบ
โกรธกูมากเลยเหรอ
ตอนบ่ายไปกินข้าวกัน ถือว่ากูไถ่โทษ
ถ้ามึงไม่มา กูก็ไม่รู้จะง้อยังไงแล้วนะ
เห็นก็ตอบด้วย อย่าโกรธนานกว่านี้เลย
กูง้อไม่เป็น
พู่กันละสายตาเมื่อหน้าจอโทรศัพท์ดับลง เขาเม้มปากเพียงนิดกับความรู้สึกประหลาดที่ก่อตัวขึ้น ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วสลัดความคิดบ้าๆ ออกไป รอเวลาให้ครามทำผมเสร็จก็ค่อยบอก
ถ้ามีเพื่อนพนันเขาจะเทหมดหน้าตักว่ายังไงครามก็ต้องเลือกไปหานับ
กว่าอีกฝ่ายจะทำผมเสร็จก็ทำเอาเขานั่งหาวไปหลายนาที ซึ่งทรงผมใหม่ก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก ก็แค่เสยเปิดหน้าผากแล้วมีช่อผมบางส่วนปรกลงมาด้านข้าง โดยรวมก็ถือว่าดูดี... มากๆ แล้วกัน
“พี่นับทักมาอะ” พู่กันพูดขึ้นโดยที่ไม่ได้ทักเรื่องทรงผมใหม่ แต่ครามกลับขมวดคิ้วเขาจึงต้องย้ำอีกครั้ง “บอกว่าพี่นับทักมา”
“ว่า”
“ไม่รู้ อ่านเองดิ” จะบอกว่ารู้ก็กลัวโดนหาว่าขี้เสือก เขาจึงตัดปัญหาด้วยการส่งโทรศัพท์คืนเจ้าตัว ครามหน้านิ่งในตอนที่กดโทรศัพท์ยิกๆ จนเขาไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“นับชวนกูไปกินข้าว”
“ก็ไปดิ ได้โอกาสทั้งที แต่ส่งผมกลับบ้านก่อนนะ” พู่กันว่าก่อนจะหยัดกายขึ้นจากโซฟา “มองหน้าอยากมีเรื่องอ่อ”
“มึงไม่ไปกับกูเหรอ”
“เหอะ พี่จะบ้าปะ จะเอาผมไปทำไม” ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในร้านจะตะโกนถามดังๆ ว่าพี่บ้าเหรอวะอีกสักสิบรอบ พู่กันสวัสดีพี่ปูเป้ก่อนเดินออกมาจากร้าน ตามด้วยคราม พอเข้ามานั่งในรถแล้วจึงคุยต่อด้วยหัวข้อสนทนาเดิม
“กูจะพามึงไปกินข้าว”
“ไม่ต้อง ไปกับพี่นับเหอะ”
“แต่กู...”
“เขาอุตส่าห์ง้อทั้งที พี่ก็ไปคนเดียวดิ อย่าเอาผมไปเป็นไก่ไข่ควาย” ครามเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าโดยที่ไม่พูดอะไร และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าไอ้ที่อีกฝ่ายกดยิกๆ นั่นได้ตอบข้อความของพี่นับเขาหรือเปล่า “นี่ถ้าทางที่ดี คราวหลังอย่าลืมตอบข้อความพี่นับ”
“มึง”
“ไรอีก อย่าข้อแม้เยอะนักดิพี่”
“กูแค่จะถาม” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ครามคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จ เขามองหน้าคนพี่ด้วยความไม่เข้าใจ
“ถามไรอะ ว่ามาดิ”
“ความพยายามกับความรัก มึงว่ามันไปด้วยกันได้ไหมวะ”
“สงสัยเก่งนะเราอะ”
“เออ แล้วมึงคิดว่าไง”
“ถ้าถามผมก็มีทั้งได้กับไม่ได้” เขาตอบโดยไม่ลังเล แต่กลับทำให้อีกฝ่ายแสดงสีหน้าว่ามีคำถามผุดขึ้นมาอีกเป็นสิบ “พี่จะเอาพยายามไหนล่ะ”
“มีช้อยส์อะไรให้กูบ้าง”
“พยายามเลิกรักกับพยายามจะรัก”
“ขอทั้งสอง”
“เลิกรักมันต้องใช้ ไม่พยายามจะเลิกรักได้ยังไง ถูกปะ” ครามพยักหน้าลงเพื่อบอกให้รู้ว่าฟังอยู่ “แต่ถ้าพยายามจะรัก คิดว่ามันคงไปด้วยกันไม่ได้”
“...”
“เพราะถ้ารักแล้วจะต้องใช้ความพยายามทำไม”
“ถ้าเขาบอกพยายามแล้วล่ะ” น้ำเสียงแตกต่างจากโทนเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ครามตอนนี้กำลังถูกตัวเองฝ่ายอกหักเข้าสิงอีกหน “มึงว่า...”
“พยายามที่จะรัก”
“...”
“ก็น่าจะรู้แล้วไหมว่าไม่รัก พยายามแล้ว แต่มันก็ยังไม่รักอยู่ดี”
“กูคงไม่ไปหานับ เดี๋ยวส่งข้อความไปบอกเอาว่ากูไม่ว่าง” พู่กันอึ้งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น อยากยกมือตบหน้าตัวเองแรงๆ จะได้รู้ว่าไม่ได้ฝันไป เป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่อีกฝ่ายปฏิเสธการไปเจอพี่นับ ดวงตาจ้องไปยังคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างสงสัย และครามคงรู้ว่าเขาคิดอะไร “ไม่พร้อมว่ะ”
“มีอะไรที่ไม่พร้อม แค่ไปกินข้าว”
“กูยังทำใจไม่ได้” พออีกฝ่ายพูดมาด้วยน้ำเสียงโอนอ่อน พู่กันก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอื้อมมือไปตบบ่าคนพี่สองสามครั้ง “กูต้องพยายามแบบไหน เป็นคนยังไง เขาถึงจะรักกู”
“...”
“หรือกูต้องพยายามแค่ไหน ถึงจะเลิกรักเขาได้”
“มันก็ยากทั้งหมดแหละ” เขายกยิ้มก่อนจะเปลี่ยนไปบีบหัวไหล่ให้คนพี่ได้ตื่นตัวมากกว่าการที่นั่งก้มหน้ามองเท้าตัวเอง พู่กันหมายความตามที่พูด เขาเข้าใจดีเพราะตัวเองก็ต้องใช้เช่นกัน เคยพยายามที่จะไม่สนใจคราม พยายามที่จะหยุดความสัมพันธ์แบบนี้ แต่ก็ไม่เคยได้เลยสักครั้ง “พยายามต่อไปเหอะ”
“...”
“ผมคิดว่าความพยายามคงไม่ทำร้ายพี่มากไปกว่านี้หรอก”
tbc.
ใกล้ได้เวลาพาเข้าวงสมรภูมิ /หัวเราะทั้งน้ำตา
ขอบคุณทุกคนมากๆ นะคะ #โซ่สีคราม