โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)  (อ่าน 26014 ครั้ง)

ออฟไลน์ stuff.lilac

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



❅❆❅❆❅❆❅❆❅❆❅❆❅❆


โซ่สีคราม ` ✎


ผมทำได้เพียงวาดโซ่คล้องตัวเองไว้กับเขา

.
.
.

your worst battle is between what you know and what you feel



เรื่องอื่นในเซต

องศาสีน้ำเงิน (จบแล้ว)
เรื่องของต้นเหมย


พูดคุยหรือติดตามการอัปเดตของนิยายที่นี่นะคะ




สารบัญ
12 13 14

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2018 21:09:19 โดย stuff.lilac »

ออฟไลน์ stuff.lilac

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 00 ; (19/09/61)
«ตอบ #1 เมื่อ19-09-2018 21:18:43 »

00
begin again
//

เสียงโซ่ลากพื้นดังออกมาจากโทรทัศน์ขนาดสี่สิบสองนิ้ว เด็กหนุ่มเจ้าของห้องเหลือบสายตาไปมองคนข้างกายก่อนถอนหายใจออกมา หากว่าคนข้างๆ ยังจ้องตาไม่กะพริบมีหวังได้สะดุ้งจนตัวโยนแน่ๆ ในจังหวะที่เขากำลังจะโยนหมอนใบหนาไปให้เสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

“กรี๊ดดดด อีเหี้ย!”

พู่กัน หรือ พนธกร กิตติปรัชญ์ ถอนหายใจออกมายาวเหยียด ก้มลงเก็บถุงขนมที่ร่วงลงพื้นจากความตกใจของเพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็ก

“เละหมด”

“ก็มึงอะ” มือเรียวของสาวเจ้าตบลงบนหัวไหล่เขาอย่างแรง “เอาหมอนให้กูไม่เคยจะทัน อีเหี้ย”

“คำก็เหี้ย สองคำก็เหี้ย หยาบคายนะเนี่ย”

“เงียบเลยไอ้พู่ กูงอนนะ”

“บอกให้เอาไปกอดไว้กับตัวก็ไม่เอา” คำก่นด่าหลุดออกมาจากปากของสาวร่างเล็ก ลูกหว้าดึงหนังยางมัดผมทรงดังโงะบนศีรษะของตัวเองออก ปล่อยเส้นผมสีน้ำตาลลงสยาย “สระผมล่าสุดเมื่อไหร่”

“ก่อนมา ทำไมอะ”

“เหม็นอีกแล้ว”

“ไอ้พู่ กูงอนจริงๆ นะ” พู่กันหัวเราะเบาๆ ก่อนเอื้อมมือไปตบบ่าของคนข้างๆ แล้วบอกเป็นเชิงว่าล้อเล่น เราสนิทกันมากถึงขั้นเล่นถึงเนื้อถึงตัว ในที่นี้หมายถึงการตบหัวจนทิ่มพื้นทำนองนั้น หว้าติดมหา’ลัยไกลบ้านจึงมักจะกลับมาแบบอาทิตย์เว้นอาทิตย์ แต่ถ้าอาทิตย์ไหนไม่มีงานก็เที่ยวตะลอนกลับมาทุกวันสุดสัปดาห์

“งอนไรเป็นเด็ก กูไม่ง้อนะ” เขาไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกอะไรหากจะมีเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิง “โตแล้วนะมึงอะ”

“หน้าเหี้ย” เสียงบ่นงุ้งงิ้งชวนให้พู่กันอยากเอาเทปมาปิดปาก “เออ ไอ้พู่ เมื่อวานน้าวาดบอกกูว่าเดี๋ยวนี้มึงมีคนมาติด มีใครมาจีบไม่บอกกูเหรอ”

พู่กันละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์ที่ในเวลานี้ลูกหว้าไม่ได้สนใจมันอีกต่อไปแล้ว เขาขมวดคิ้วยุ่งพลางยกยิ้มแห้ง มั่นใจว่าหว้าต้องเชื่อคำพูดของแม่เขาแบบเต็มร้อย

“เชื่อแม่กูเหรอ” เขาเลิกคิ้วขณะที่เพื่อนตัวจิ๋วพยักหน้าลงระรัว “มีใครที่ไหนล่ะห่า มีแต่ไอ้เงินเนี่ยติดกู”

“พูดจริงจังเลยนะ ถ้าไม่ติดว่าเขามีแฟนแล้วกูนึกว่าเป็นแฟนมึง”

“เพ้อเจ้อ กูบอกแล้วให้เลิกอ่านนิยายอะ” พู่กันผลักหัวหว้าเบาๆ “กูไม่ชอบใครทั้งนั้นแหละ”

“อ๋อเหรอๆ” น้ำเสียงยียวนที่ดังออกมาพร้อมริมฝีปากที่เบ้ลงนั่นแทบจะทำให้พู่กันอยากจับหมอนอุดไปที่หน้าให้รู้แล้วรู้รอด
“เพราะว่ามึงชอบคนนั้นใช่ปะ”

“คนไหนอีก”

“คนนั้นไง” ลูกหว้าแสร้งพูดเหมือนไม่รู้จัก “คนที่น้าวาดบอกมึงพามานอนที่บ้าน”

“ไม่มี”

“แต่เหมือนเขาจะเป็นพี่ชายของน้ำเงิน ...หรือเปล่านะ” พู่กันชะงักทันที่หว้ารู้เรื่องทุกอย่าง ความจริงเวลามีปัญหาลูกหว้าจะเป็นคนแรกที่เขาโทรไปบ่นหรือระบายให้ฟัง แต่เรื่องระหว่างเขากับครามมันยากเกินกว่าที่จะพูด “ปกติมึงไม่ให้ใครเข้าห้องนา”

“เขาเมา แล้วแม่กูก็บอกให้เขาค้างที่นี่ก็แค่นั้น ถ้าไม่นอนห้องกูจะให้ไปนอนห้องแม่กูหรือไงล่ะ”

“อะจ้า ขอโทษที่ดิฉันถามไม่คิดนะเจ้าคะ”

“เออ”

“แต่ว่าเขาเห็นบ้านมึงเป็นที่พักเวลาเมาเหรอ แม่มึงบอกมานอนค้างบ่อยมากกกกกกก”

“ขี้เสือกแบบนี้ไงเลยไม่มีใครมาจีบ”

“กรี๊ดดดด หยาบคาย อีเหี้ยๆๆๆๆ” เสียงโวยวายของลูกหว้าเป็นผลให้พู่กันต้องยกมือขึ้นมาอุดหูตัวเองแล้วหลับตาแน่นเพื่อบ่งบอกว่าเขาจะไม่รับรู้อะไรอีก “กูไม่ดูแล้ว”

“เอ้า เป็นงั้นไป” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกดพอสหนังเอาไว้ “แล้วจะ...”

“จะอาบน้ำ วันนี้กูนอนด้วยนะ พรุ่งนี้ก็กลับมอละ ขี้เกียจโคตร”

“นอนกับกูไม่กลัวข่าวฉาวเหรอคนสวย”

“อีห่า มึงหยุดพูดจาแบบนี้เลยนะ” เจ้าของใบหน้าสวยบ่นอุบอิบพลางเบ้ปากลง “คำพูดมึงเนี่ยทำกูนึกถึงพวกตาแก่ขี้เมาอะ”
“กูก็แซวเล่น” เขาหัวเราะลั่นเมื่อเห็นว่าลูกหว้าทำหน้าแขยงพอตัว “ไปอาบดิ เดี๋ยวกูไปอาบห้องแขก”

“เออ ให้มันรู้ซะบ้างนี่ห้องใคร”

“ห้องกู” พู่กันส่ายหน้าก่อนผลักหัวเพื่อนตัวเล็กแล้วรีบวิ่งออกมาจากห้อง แม้เขาจะสูงแค่ร้อยเจ็ดสิบเศษๆ แต่พอยืนกับลูกหว้าที่สูงร้อยห้าสิบกว่าแล้วก็กลายเป็นผู้ชายตัวใหญ่ทันที

เด็กหนุ่มเดินลงมาชั้นล่างก่อนจะปรี่เข้าไปยังห้องครัว เปิดตู้เย็นเอาน้ำผลไม้ที่นานๆ ครั้งเขาจะดื่มมันสักทีขึ้นมาเปิด หยิบเอาโทรศัพท์เครื่องบางออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดเข้าแอพยอดนิยมที่มักใช้ลงรูปของตัวเอง ชื่อแอคเคาท์ theindigo.g ซึ่งเป็นของบุคคลที่อยู่ในบทสนทนาของเขากับลูกหว้าเมื่อครู่

“อีกแล้วเหรอวะ” เขาสบถกับตัวเองเมื่อเห็นว่ารูปล่าสุดเพิ่งจะอัพไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน คงจะเป็นอีกวันที่สีครามออกไปดื่มกับเพื่อน พูดกันตามหลักความจริงมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขาหรอก แต่มันคงเป็นความเคยชินที่เขาต้องเข้ามาส่อง


ไม่กี่นาทีจากนั้นช่องแชทของแอพก็แจ้งเตือนข้อความเข้าซึ่งส่งมาจากเพื่อนในกลุ่มของครามที่ชื่อพี่ยิ้ม พู่กันหลุดยิ้มทันทีเขามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องส่งมาชวนออกไปแก๊งด้วยเพราะเราสนิทกันในระดับหนึ่ง

theyothin :
ไม่หลับไม่นอน ส่องสาวเหรอวะ

itspainttt :
ใครจะไปส่องเหมือนพี่

theyothin :
เอ้า กัดกูอีก มาปะๆๆ

itspainttt :
ที่ไหน

theyothin :
ดีเดย์อะ มาดิ อยากเจอ

itspainttt :
ไม่ไป เพื่อนมาบ้าน

theyothin :
เลี่ยงกูจังเลยน้า
ไม่สิ เลี่ยงกูหรือเลี่ยงใครน้า

itspainttt :
เพ้อไปคนเดียวเลย
ไปอาบน้ำละ

theyothin :
ครับๆ แต่ถ้าจะมาก็บอกนะจ๊ะ
เดี๋ยวแบกกลับได้

itspainttt :
เลิกฝันนะพี่ยิ้ม
ไปละ
 
พู่กันถอนหายใจก่อนเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า เขาดูดน้ำผลไม้จนหมดกล่องแล้วโยนมันทิ้งลงในถังขยะ ช่วงหลังเขาชักจะเกลียดไอ้พี่ยิ้มเต็มทนเพราะดูเหมือนว่าไปรู้อะไรมา ความสัมพันธ์ของเขากับครามมันอยู่ในจุดที่อธิบายยาก แถมเขายังบอกเพื่อนในกลุ่มไว้เพียงแค่คนเดียวเนื่องจากไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่

ครามหรือที่รู้จักกันอย่างดิบดีในชื่อของกันตวิชญ์ อธิษฐ์ปริยากร ซึ่งเป็นพี่ชายของเพื่อนสนิทเขาที่ชื่อน้ำเงิน หากว่าเรื่องถึงหูน้ำเงินเขาก็เกรงว่าคนที่เป็นกลางจะลำบากใจ

ข้อเท็จจริงข้อแรกคือเขากับครามไม่ถูกกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เจอหน้ากันทีก็ต้องทะเลาะกันตลอดในรูปแบบที่ไม่ยอมกัน จึงทำให้กลุ่มของเขาและครามขนานนามเราไว้ว่าเป็นคู่กัด จนกระทั่งความสัมพันธ์แบบคู่กัดที่ไม่ค่อยจะถูกกันกลับกลายเป็นไม่ถูกกันเลย จากความไม่ตั้งใจของเราทั้งสองคนที่ทำให้ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นทางกาย

เขาพลาดไปมีเซ็กส์กับคราม

ครั้งแรกมันเกิดขึ้นเพราะเราเมาด้วยกันทั้งคู่ เขายอมรับเลยว่าไม่ได้โกรธอะไร แต่มันคงจะดีกว่านี้หากว่าความไม่ตั้งใจนั้นเกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียว จากหนึ่งครั้งกลายมาเป็นสองครั้งและยังใช้ข้ออ้างเดิมคือไม่ได้ตั้งใจให้เกิด

การปล่อยตัวเองให้เป็นไปตามอารมณ์ทำให้ทุกอย่างมันเริ่มแย่ลง เพราะเซ็กส์ครั้งที่สองทำให้เราเคยทะเลาะกันจนแตกหักถึงขั้นที่บอกให้ต่างฝ่ายต่างเลิกยุ่งกันไป พอทิ้งช่วงห่างไประยะหนึ่งสุดท้ายเราก็กลับมาคุยกันได้เพราะน้ำเงินเป็นฝ่ายประสาน แต่เมื่อกลับมาคุยกันความยุ่งเหยิงก็ทวีคูณมากกว่าเดิม

ความเป็นจริงมันคงไม่ซับซ้อนหากว่าครามไม่มีคนที่ชอบ คนที่ครามชอบคือเพื่อนสนิทในกลุ่มของตัวเองอย่างพี่นับที่ตัวติดกันตลอดเวลาทำให้พู่กันปักใจว่าระหว่างเขากับครามมันไม่สมควรเกิด แต่เพราะสถานะของนับกับครามไม่ชัดเจนเลยทำให้ความสัมพันธ์ของเรามันวุ่นวาย

กลายเป็นพู่กันเองที่ไม่สามารถนั่งมองเฉยๆ ได้เวลาที่อีกฝ่ายเสียใจแล้วแบกร่างมาหา เขาเป็นคนที่ปลอบครามทั้งตอนที่มีสติและไม่มีสติ หากว่าวันไหนที่น้ำเงินไปค้างกับแฟนและครามออกไปดื่มก็จะมาหาเขาแทนการกลับบ้านตัวเอง

แน่นอนว่ามันจบลงด้วยเซ็กส์เกือบทุกครั้ง

พู่กันเหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่แต่บางครั้งก็คิดว่าไม่รู้ตัว เขาเป็นที่พักพิงให้กับครามในตอนที่อีกฝ่ายต้องการ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากเหมยที่เป็นเพื่อนในกลุ่มของเขา จากคำว่าไม่ได้ตั้งใจให้เกิดที่ใช้เป็นข้ออ้างของความผิดพลาดในครั้งที่หนึ่งและสองตอนนี้นั้นหายไป

มันถูกแทนที่ด้วยคำว่าตั้งใจให้เกิดแต่จะไม่บอกใคร

เพราะเป็นกฎของเรา

*

“กูง่วงแล้วอะ” ลูกหว้าเอ่ยออกมาหลังจากที่เรานั่งเล่นเกมกันอยู่พักใหญ่ หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากขณะหาววอดๆ “มึงนอนเลยปะ”

“เดี๋ยวกูนั่งเล่นอีกพักอะ มึงไปนอนเหอะ กูนอนพื้น”

“หูย พี่พู่กันคนดีศรีสังคม” เสียงหวานเอ่ยแหย่ ก่อนที่เธอจะวางจอยสติ๊กลงบนโต๊ะ “จิตใจดีงามมากเลยค่าพี่”

“มึงจะนอนห้องกูหรือจะไปนอนห้องแขก” คำถามเชิงขู่ของเขาทำเอาเพื่อนตัวเล็กเบ้ปาก “ไปนอนไป”

“จ้า ฝันดีค่ะพี่พู่กัน”

“ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิงกูต่อยปากแล้วนะ เร้าตีนเหลือเกิน” เขาตอบติดหัวเราะก่อนจะโบกมือไล่เพื่อนสนิทไปนอน หว้ามานอนกับเขาบ่อยพอสมควร พ่อกับแม่เราก็สนิทกันจนไม่มีใครคิดว่ามันดูไม่ดี เขาก็คอยบอกเสมอว่านอนห้องเดียวกันแต่ไม่ใช่เตียงเดียวกันเพราะพู่กันเสียสละนอนพื้นทุกครั้ง

เขาหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล็อค เลิกคิ้วเมื่อเห็นข้อความแจ้งเตือนของครามที่ส่งมาเป็นสิบ เหลือบมองตัวเลขบนหน้าจอที่บ่งบอกว่าอีกสิบนาทีจะตีสองแล้ว นิ้วเรียวกดเข้าแอพแชทเพื่อดูว่านอกจากสติกเกอร์แล้วอีกฝ่ายได้ส่งอะไรมาอีกหรือไม่

พู่กันแค่นยิ้มเมื่อในช่องแชทนั้นมีแต่ข้อความและสติกเกอร์ที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ เขาพิมพ์ข้อความเพื่อจะถามว่า ‘เป็นอะไร’ แต่ยังไม่ทันจะได้กดส่งบนหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นสายเรียกเข้าของครามเสียก่อน

“ว่า” เขากระซิบเสียงเบาเพราะเกรงว่าลูกหว้าที่เพิ่งจะล้มตัวลงนอนนั้นจะลุกขึ้นมาถามว่าเขาคุยกับใคร “ว่าไง”

(มารับกูหน่อย)

“ไปเที่ยวกับใครมา”

(มากับยิ้ม)

“ก็กลับกับพี่ยิ้มดิ ใครจะออกจากบ้านป่านนี้” พู่กันขมวดคิ้วยุ่ง “เดี๋ยวจะนอนละนะ”

(มารับก่อน) ครามยังคงยืนยันคำเดิมทำให้เจ้าของร่างเล็กเริ่มหวั่นใจ

“รับที่ไหน”

(หน้าบ้าน) เสมือนไฟลนก้น พู่กันลุกขึ้นแล้วรีบเดินออกมาจากห้องทันทีเพราะเขาไม่อยากเสียงดังในตอนที่ลูกหว้ากำลังนอน แถมยังไม่ค่อยแน่ใจด้วยว่าลูกหว้าหลับสนิทไปหรือยัง แต่ที่แน่ใจคือถ้าหว้ายังไม่หลับก็คงจะไม่เดินตามลงมาแน่ๆ (พู่กัน ลงมารับกู)

“ไอ้พี่คราม มาไม่บอกล่วงหน้าอีกแล้วเหรอวะ”

(กูบอกแล้วเถอะ)

“วันนี้เพื่อนมานอนบ้าน”

(ใคร)

“บอกไปก็ไม่รู้จักหรอก” พู่กันขานตอบขณะที่ก้าวขาลงบันไดด้วยความว่องไว “พี่แม่ง”

เขากดตัดสายเมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่าง รีบเดินไปหน้าประตูเพื่อไปรับคนที่โทรเข้ามาเมื่อครู่ จากที่ฟังน้ำเสียงก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายเมาแต่ระดับความเมานั้นเขาก็ไม่สามารถระบุได้จนกว่าจะเห็นหน้า

“ใครมานอนบ้านมึง” เสียงทุ้มถามทันทีที่เห็นหน้าเขา ครามยืนกอดอก ตีหน้านิ่งเพราะยังไม่ได้รับคำตอบในข้อนี้ เจ้าของร่างสูงจ้องเด็กตรงหน้าอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ

“คือพี่ควรถามว่ามารบกวนไหมมากกว่าใครมานอนบ้านผมปะวะ” เขาเถียงออกไปขณะที่มองหน้าของคนเมา “บอกกี่ครั้งแล้วว่าจะมาให้บอก”

“กูบอกแล้วเถอะ มึงไม่อ่าน” คนตัวสูงขมวดคิ้ว “ตกลงใครมานอนบ้านมึง”

“เพื่อน”

“คนไหน”

“บอกไปพี่ก็ไม่รู้จัก”

“ชายหญิง”

“หญิง” พู่กันตอบก่อนจะเอื้อมมือไปปิดปากของครามเอาไว้เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ถามหรือพูดอะไรต่อ “เอารถเข้ามาเก็บ”
“จอดแม่งหน้าบ้านมึงแหละ ไม่หายหรอก”

“ตามใจ” เขาตอบปัดๆ เพราะไม่อยากเซ้าซี้มาก พู่กันเดินนำเข้ามาภายในบ้านที่อีกฝ่ายคุ้นชินเนื่องจากมาบ่อยจนเสมือนเป็นบ้านของตัวเอง แต่เวลาที่ครามมานอนบ้านเขามักจะไม่มีใครรู้เพราะมันถูกเก็บเอาไว้เป็นความลับ

ส่วนแม่เขาก็ไม่เคยว่าเวลาที่ครามมานอนที่นี่ เพราะบางครั้งเจ้าของบ้านก็ไม่รู้เนื่องจากแม่มักจะนอนค้างที่ร้านคาเฟ่มากกว่า ยิ่งในช่วงที่คิดหาเมนูใหม่เข้าร้านก็แทบจะไม่กลับมานอนที่บ้านเลยด้วยซ้ำ

“จะนอนไหน” ครามเป็นฝ่ายเปิดประเด็นคำถามเมื่อพู่กันพาเดินเข้ามาในห้องนอนแขกซึ่งอยู่ชั้นล่าง

“กับเพื่อน”

“ทำไมไม่นอนกับกู” หนึ่งสิ่งที่พู่กันรู้คือเวลาครามเมาแล้วระดับความเอาแต่ใจก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว “นอนกับกูดิ”

“ไม่อะ จะนอนกับเพื่อน”

“กูอยากนอนกับมึง”

“ฐานะไหนล่ะ” คำถามของเขาทำเอาคนที่ยืนกอดอกอยู่หน้าประตูชะงักไป เขารู้ดีว่าครามไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ “นอนไปเหอะ หรือจะกลับไปนอนบ้าน”

เราเผชิญหน้ากันตรงๆ ไม่มีใครหลบสายตาใคร หากเป็นเมื่อก่อนพู่กันคงจะเป็นฝ่ายเดินหนีออกมาแล้วตะโกนด่าว่าเหี้ย ซึ่งเอาจริงๆ ตอนนี้เขาก็คิดแบบนั้นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันเข้าขั้นเหี้ยทั้งหมด

“ขี้เกียจขับรถ”

“งั้นก็นอน” ครามไหวไหล่เมื่อได้ยินถ้อยคำสั่ง เขาถอดเสื้อของตัวเองออกเพราะยังไม่ได้อาบน้ำ แน่นอนว่ายังมีสติมากพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร “แล้วทำไมวันนี้ไปกิน”

“นับไปกับพี่เข็ม” เป็นเหตุผลเดิมๆ ที่พู่กันฟังจนจำได้ เพราะที่เขารู้มาคือนับกับเข็มทิศเป็นแฟนเก่ากันแล้วบ้านของทั้งสองคนนั้นเป็นหุ้นส่วนบริษัทร่วมกันอยู่ทำให้ต้องไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ จากที่ฟังครามบ่นก็คือนับยังไม่ลืมแฟนเก่าและคงเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ครามกับนับไม่ได้คบกันสักที

“ไม่ปลอบ แต่สมน้ำหน้า” ครามแค่นหัวเราะก่อนเดินเข้ามาหาในระยะประชิด กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยฟุ้งติดจมูก “ไปอาบน้ำนอนไป”

“ไม่นอนกับกูจริงดิ”

“เออ” สิ้นสุดเสียงหวาน พู่กันถูกดันจนแผ่นหลังแนบชิดไปกับบานประตู เขารู้ดีว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้หากว่าไม่ห้าม “ไม่ให้”

“เคยห้ามกูได้สักครั้งไหมพู่กัน” ชายหนุ่มกดริมฝีปากทาบทับทันทีเพื่อไม่ให้พู่กันได้โต้แย้งสิ่งใด กลีบปากนุ่มหยุ่นถูกดูดดึงจนเกิดเสียง รสจูบคุ้นเคยจากความเอาแต่ใจเป็นสิ่งที่ตรึงไม่ให้เขาได้ดิ้นหนีไปไหน มือใหญ่สอดเข้าไปภายใต้เสื้อนอนสีสว่าง ลูบไล้ผิวขาวด้วยความรู้สึกคุ้นมือ

“พ...พอ ไม่เอา” เสียงหวานพยายามเอ่ยปรามและดันอกคนตรงหน้าให้ถอยออกไป แต่บอกแล้วว่าครามน่ะเอาแต่ใจ คนพี่กดจูบอีกครั้งอย่างรุนแรง ชายหนุ่มพยายามปลุกปั่นความต้องการให้เพิ่มขึ้นสูง

สุดท้ายคนพ่ายแพ้คือพู่กัน

เขาเคยถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่าทำไมถึงปล่อยให้ความต้องการอยู่เหนือความรู้สึก แม้ว่านับกับครามจะยังไม่ได้คบกันเป็นแฟน แต่คนภายนอกแค่มองก็พอจะเดาได้ว่าความสัมพันธ์มันเกินกว่าเพื่อนและที่เขาทำแบบนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังทำผิด

ตอนที่ทะเลาะรุนแรงในครั้งก่อน ครามบอกกับเขาเองว่าไม่สามารถปล่อยให้เรากลายเป็นคนไม่รู้จักกัน เพราะงั้นก็ต้องรับข้อตกลงร่วมกันให้ได้ พู่กันไม่เคยตอบตัวเองได้เลยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เพียงแค่ริมฝีปากเราแตะกันเขาก็ลืมทุกสิ่งอย่าง

ยอมรับว่าตอนที่เราเผลอมีเซ็กส์กันในครั้งที่สองทำให้เขาเคยคิดว่าชอบคราม แต่พอห่างกันแล้วได้กลับมาคุยกันอีกครั้งจึงได้รู้ว่ามันคงไม่ใช่ความชอบ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถจะจบความสัมพันธ์นี้ได้ เดินหน้าต่อก็ไม่ได้ มันหยุดอยู่ที่เดิมตรงเลขศูนย์ ไม่ได้เพิ่มหรือลดลง

จากคนเคยทะเลาะเคยกัดกันทุกครั้งที่พบตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเรามีเซ็กส์กันได้ราวกับมันเป็นเรื่องปกติ เขาจึงไม่แน่ใจว่าที่เป็นอยู่สามารถเรียกว่าเป็นเซฟโซนของกันและกันได้หรือไม่ หรือเราเป็นพวก friend with benefit ก็ไม่รู้

เขายังหาคำนิยามของความสัมพันธ์ของตัวเองไม่เจอ

“คืนนี้นอนกับกูนะ”

“จับกดเตียงขนาดนี้ จะให้ลุกไปไหนได้วะ ถามจริง” พู่กันเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดไม่พอใจ หากแต่เจ้าของร่างหนาที่คร่อมอยู่บนตัวเขากลับแค่นหัวเราะ “วุ่นวายว่ะ”

“บ่นเดี๋ยวกูจูบ”

“ไปอาบน้ำเหอะ เหม็น”

“อาบให้กูดิ” ครามซุกใบหน้าลงข้างๆ จรดปลายจมูกไล้ตามไปต้นคอระหง “ได้ปะ”

“พี่ไม่ได้เป็นง่อย ไปอาบเอง”

“พู่กัน”

“จะนอน …อือ” เสียงหวานครางท้วงแผ่วเบาเมื่อลำคอถูกขบกัดเพราะครามมันเขี้ยว ยิ่งพู่กันจิกเล็บลงบนหัวไหล่เขาก็ยิ่งฝังเขี้ยวลึกกว่าเดิม “ไอ้... เหี้ยพี่คราม”

“หึ” คนพี่หยุดการกระทำเมื่อโดนด่า เขาหยัดกายขึ้นจากร่างเล็กเพื่อที่จะเตรียมไปอาบน้ำ พู่กันได้แต่ฟึดฟัดด้วยความไม่พอใจ หยิบเอาผ้าห่มบนเตียงขึ้นมาคลุมร่างกายของตัวเองไว้เพราะเสื้อของเขาถูกครามถอดแล้วโยนทิ้งไปตั้งแต่ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตูแล้ว “ไปอาบน้ำนะ”

“เชิญ”

“มึงห้ามกลับไปนอนห้อง” เสียงทุ้มหันมาขู่ขณะที่เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบเอาผ้าขนหนูออกมาพาดบ่า “ถ้ากูกลับมาไม่เจอมึง”

“…”

“กูตามไปลากถึงห้องแน่”

“เออ รู้แล้วน่ะ” เขาขานตอบก่อนจะมองครามที่เดินเข้าไปในห้องน้ำ หัวใจเขาไม่ได้สั่นไหวเหมือนครั้งแรกที่จูบกัน ไม่ได้วูบหวิวแต่มันก็มีความรู้สึกประหม่าอยู่บ้างโดยที่ไม่รู้เหตุผล

ครามเหมือนจะเสียศูนย์ทุกครั้งเวลาที่มีเรื่องของนับ พู่กันจึงกลายเป็นที่พักพิง แต่เขาก็ทำได้เพียงวาดโซ่คล้องตัวเองไว้กับคราม โดยที่มั่นใจว่าโซ่ที่วาดเอาไว้จะไม่มีทางแน่นหนาไปกว่านี้เพราะว่าเขาจะไม่วาดเพิ่มและโซ่ที่คล้องไว้จะขาดสะบั้นก็ต่อเมื่อเราสองคน...

มีคนของตัวเอง

*
tbc
เรื่องนี้เป็นภาคของครามกับพู่กันที่มาจากเรื่ององศาสีน้ำเงินนะคะ แต่ถ้าใครเพิ่งจะอ่านเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกก็ไม่มีปัญหาค่า เพราะเรื่องนี้ก็เหมือนเริ่มความสัมพันธ์ใหม่เนอะ อาจจะมีงงตรงตัวละครบ้างแต่อธิบายหลักๆ ได้ดังนี้ค่ะ ( ครามเป็นพี่ชายของน้ำเงินซึ่งเป็นเพื่อนสนิทพู่กัน นับเป็นเพื่อนในกลุ่มของครามแล้วก็เป็นคนที่ครามชอบ ส่วนเข็มทิศเป็นแฟนเก่าของนับ )

ส่วนใครที่ตามมาจากองศาสีน้ำเงินก็ต้องบอกว่าเรื่องนี้จะเป็นการทำความรู้จักทั้งครามและพู่กันโดยตรง พล็อตเรื่องวางเอาไว้แบบนี้ตั้งแต่แรก สลัดคราบคนทั้งสองคนที่ไม่ถูกกันทิ้งไปแล้วมาเริ่มใหม่ไปพร้อมกันนะคะ คิดว่าเรื่องนี้คงจะวุ่นวายพอสมควร เพราะความสัมพันธ์มันแบบว่า... /กราบ เราก็ยังไม่เคยแต่งแนวความสัมพันธ์ที่มันซับซ้อนอย่างจริงจัง ก็ขอฝากไว้ด้วยนะคะ ถ้าอ่านแล้วยัง งงๆ ต้องขออภัยด้วยน้า แต่ต่อๆ ไปจะเข้าใจความสัมพันธ์ของคู่นี้มากขึ้นค่ะ แท็กเรื่องนี้ #โซ่สีคราม นะคะ ขอบคุณค่า


ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 00 ; (19/09/61)
«ตอบ #2 เมื่อ19-09-2018 22:12:37 »

กำลังรอคู่นี้เลยค่ะ สงสารพู่จัง ตามมาจากองศาสีน้ำเงินนะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 00 ; (19/09/61)
«ตอบ #3 เมื่อ19-09-2018 22:45:59 »

 :m15:

อ่อยยย หม่นๆนะ

ออฟไลน์ Ti0590

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 00 ; (19/09/61)
«ตอบ #4 เมื่อ20-09-2018 00:03:32 »

ดูเหมือนจะดราม่า ปนสีเทาๆ  :katai1: :katai1: สงสารน้องพู่!!!!

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 00 ; (19/09/61)
«ตอบ #5 เมื่อ20-09-2018 00:49:42 »

เหมือนเป็นความสัมพันธ์แบบ friend with benefit งี้หรอ
งื้อออออ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 00 ; (19/09/61)
«ตอบ #6 เมื่อ20-09-2018 16:07:43 »

ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ stuff.lilac

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 01 ; (20/09/61)
«ตอบ #7 เมื่อ20-09-2018 19:03:13 »

01
Why me
//

“เมื่อคืน?” เสียงของเหมยถามย้ำอีกหนึ่งครั้งหลังจากที่พู่กันเล่าให้ฟังว่าครามไปหาที่บ้านอีกแล้ว เจ้าของเรื่องพยักหน้าเพื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายได้ยินไม่ผิด “หว้าไม่ได้นอนกับมึงหรือไง”

“นอน แต่กูไปนอนห้องแขก” พู่กันพรูลมหายใจออกเมื่อเห็นว่าเพื่อนตรงหน้ากำลังจ้องตาเขม็ง ยังไงก็ต้องโดนบ่นเอาแน่ๆ

“จะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่” เป็นคำถามที่เหมยไม่เคยได้รับคำตอบกลับไปเลยสักครั้ง เขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับพู่กัน เป็นเพราะช่วงหนึ่งเราเป็นรูมเมทตอนไปเที่ยว ความเมาทำให้เราต่างระบายสิ่งที่อยู่ในใจให้กันและกันฟัง “บอกไม่ฟัง”

“ไม่บ่นดิ”

“ก็ดูทำ”

“…”

“เดี๋ยวได้เจ็บเป็นตาย” เหมยแค่นหัวเราะขณะที่หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ดวงตาเรียวรีมองจ้องไปยังเพื่อนตัวจ้อยที่กำลังจะเบ้ปากลงก่อนอีกฝ่ายจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มจนเขาปรับอารมณ์ตามไม่ทัน

“กูไม่ใช่มึงนา” เขาวางแก้วน้ำลงแล้วตวัดมองทันทีที่พู่กันพูดออกมา “เหตุการณ์ของผมมันต่างกับคุณนะครับคุณเหมย ผมไม่ได้แอบรักเพื่อนนะบอกก่อน ชิลๆ เลยผมอะ”

“สัด”

“ตัดใจได้ยัง”

“ยัง แต่ทำอยู่”

พู่กันยกนิ้วโป้งขึ้นมาให้กำลังใจกับคนที่พยายามจะตัดใจจากเพื่อนสนิท เหมยแอบชอบน้ำเงินเป็นสิ่งที่เพื่อนในกลุ่มรู้ทุกคนยกเว้นเจ้าตัว มันถูกเก็บเป็นความลับเพราะเหมยตัดสินใจที่จะไม่บอกความรู้สึกของตัวเองออกไปเพราะไม่อยากให้น้ำเงินอึดอัด แต่ถึงจะบอกว่าคิดอย่างไรก็คงจะไม่สมหวังอยู่ดีเพราะน้ำเงินก็มีคนที่ชอบ แถมตอนนี้ก็ยังเป็นแฟนกันแล้วอย่างพี่องศา เหมยจำใจอยู่ในเฟรนด์โซนทั้งที่ตัวเองเจ็บเป็นตาย

“น้องรักมึงโทรมา” เขาเอ่ยปากเมื่อเห็นว่าเจ้าโทรศัพท์ของเหมยสั่น ซึ่งบนหน้าจอปรากฎให้เห็นว่าคนที่โทรเข้ามาเป็นน้องชายฝาแฝดอย่างหมิง พอเห็นว่าเจ้าตัวทำทีไม่สนใจเขาจึงเอื้อมมือไปกดรับสายให้ เหมยจึงเอ่ยปากขอบคุณแบบประชด

เหมยกับหมิงเป็นเพื่อนในกลุ่มของเขา ทั้งสองคนเป็นฝาแฝดที่เหมือนกันทุกประการจนคนภายนอกแยกไม่ออกแล้วทักผิดอยู่บ่อยๆ นั่นเลยเป็นเหตุผลให้เหมยไปย้อมผมเป็นสีน้ำตาลอ่อน ส่วนหมิงก็ไว้ผมสีดำตามกำเนิดเพราะเจ้าตัวร้องว่าไม่อยากแสบหนังหัว คนเป็นพี่ชายก็เลยตามใจเนื่องจากไม่อยากเถียงด้วย

ถึงอย่างนั้นหากได้ทำความรู้จักทั้งสองแฝดก็จะได้รู้ว่าแยกออกได้ง่ายมากๆ ว่าใครเป็นใคร เพราะนิสัยต่างกันแบบสุดขั้ว หมิงจะออกแนวช่างพูดจ้อส่วนเหมยก็ไม่ค่อยพูดถ้าไม่ใช่เรื่องจำเป็น เห็นแบบนี้เหมยก็ดุใช่เล่นเวลาหมิงทำอะไรไม่เหมาะสม บางทีก็ทำตัวเหมือนไม่สนใจแต่ลึกๆ แล้วก็หวงน้อง แถมสองแฝดยังรักกันยิ่งกว่าอะไรดี

“เอาไรไหม จะไปซื้อข้าว” เหมยถามออกมาหลังจากที่วางโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว

“มันโทรมาสั่งข้าวเหรอ”

“อืม” เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นว่าเพื่อนหน้าตี๋ทำหน้าไร้อารมณ์ เหมยตามใจแฝดเป็นบางเรื่อง ถ้าทำให้ได้ก็ทำ

“เมื่อคืนมันไม่ได้นอนบ้านเหรอวะ”

“เปล่า ไปนอนกับไอ้เพลิง” เพื่อนตัวโย่งว่าก่อนจะลุกขึ้นยืน “ตกลงเอาอะไรไหม”

“ไม่อะ เมื่อเช้ากูกินข้าวมาแล้ว แต่เดี๋ยวกูเดินไปช่วยถือ”

“ไม่เป็นไร” ไม่รอให้เขาได้ท้วงอะไรเหมยก็เดินออกไปจากโต๊ะโดยที่เหลือเขาที่กลายเป็นหมาเฝ้าของชั่วคราว

เพลิงเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งในกลุ่มที่บ้านมีหน้ามีตาพอสมควรเพราะพ่อเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนไม่ไกลจากมหา’ลัยที่พวกเขาเรียนอยู่ แถมยังเป็นคนที่มีเสน่ห์จากลักษณะนิสัยที่ขี้เล่น ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ไม่มีแฟนหรือคนควงเพราะติดหมิง แม้ว่าเพลิงกับหมิงจะบอกว่าเป็นเพื่อนกัน แต่ด้วยการกระทำของทั้งคู่ทำให้มองออกว่าเป็นความสัมพันธ์ที่เกินกว่าเพื่อน

เขารู้ว่าบนโลกมีความสัมพันธ์หลายรูปแบบ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องมาเจอรูปแบบที่ซับซ้อนจนไม่รู้ว่าจะเริ่มแก้จากตรงไหน ไม่สิ... ต้องถามว่าเมื่อไหร่เขาถึงจะเริ่มแก้มากกว่า เพราะเขารู้ว่าสาเหตุมาจากไหน

ครืด... ครืด...

พู่กันสลัดความคิดในหัวออกเมื่อเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมบนโต๊ะเกิดสั่นขึ้นมา เขากดรับสายโดยไม่ลังเลหลังจากที่เห็นว่าเป็นเบอร์ของน้ำเงิน

“พี่ศาเขาหลงทางหรือไง ถึงไม่พามึงมาส่งสักที” เขาแซวออกไปด้วยน้ำเสียงติดตลก ถ้าพูดกันโดยตรงแล้วในกลุ่มเขาสนิทกับน้ำเงินที่สุด มีอะไรเขาก็เล่าให้ฟังหรือเวลาขอความเห็นส่วนมากก็มาจากน้ำเงิน เรียกว่าแทบไม่มีอะไรปิดบังกันเลยยกเว้นเรื่องของครามที่ไม่สามารถเล่าหรือปรึกษาได้ เพราะเขาไม่อยากให้เพื่อนต้องลำบากใจ

(เงินไม่ไปเรียน) หากแต่น้ำเสียงที่ตอบมาทำให้เขาชะงักไปครู่หนึ่งเพราะเป็นเสียงของคราม (ฝากเลคเชอร์หน่อย)

“เค แล้วเงินเป็นไร” เขาถามด้วยความเป็นห่วง ส่วนมากน้ำเงินจะไม่ขาดเรียนถ้าไม่มีเรื่องจำเป็น “ไม่สบายเหรอ”

(นิดหน่อย)

“โอเค” พู่กันตอบและกำลังจะบอกว่าแค่นี้นะ แต่ปลายสายกลับเรียกเอาไว้ก่อนที่เขาจะได้พูดออกไป

(พู่)

“ว่า”

(ตอนเย็นมึงไปไหนหรือเปล่า) คำถามของครามทำให้เขาฉุกคิด ทบทวนตารางชีวิตของตัวเองก่อนจะตอบออกไปตามความจริง

“ไปร้าน มีไร”

(ไปเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ)

“ไปไหนวะ”

(หาอะไรกิน)

“เลี้ยงปะ”

(กูเคยให้มึงจ่ายเองไหมล่ะ)

“ไม่”

(ก็ตามนั้น)

“ที่ไหน กี่โมง อะไรยังไง บอกให้ครบ”

(มึงเลิกก็กลับไปร้านก่อน เดี๋ยวกูไปรับ จะไปหาแม่มึงด้วย วันนี้มึงเลิกบ่ายสองถูกปะ)

“ถูก ไม่ยักรู้ว่าความจำดี” เขาแซวออกไปโดยที่ไม่คิดอะไร แต่สิ่งที่ครามตอบกลับทำให้แทบอยากจะกระชากออกมาบีบคอ

(เออดิ กูเก่ง ขนาดเมื่อคืนทำรอยมึงไว้ตรงไหนบ้าง กูยังจำได้เลย เน้นตรงไหนเป็นพิเศษกูก็จำได้)

“ไอ้สัดพี่ ไม่พูดเรื่องนี้”

(เย็นเจอกัน)

“เออ” พู่กันกดตัดสายแล้ววางโทรศัพท์ลงข้างตัว เขาได้ยินไอ้พี่ครามมันหัวเราะก่อนวางสายด้วย ขี้แกล้งฉิบหาย

ส่วนมากแล้วเขาก็ไม่ค่อยได้ปฎิเสธหากว่าครามชวนไปไหนมาไหน เอาตรงๆ เวลาออกไปกินข้าวหรือใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คิดว่าคงทำแบบนั้นไม่ได้เพราะคงทะเลาะกันทุกๆ หนึ่งนาที แต่พอเป็นตอนนี้มันกลับกันเสียหมด

ครามเล่าอะไรให้เขาฟังหลายอย่าง ทั้งเรื่องครอบครัว เรื่องน้ำเงิน หรือแม้กระทั่งเล่าเรื่องของตัวเอง รวมไปถึงเล่าให้เขาฟังด้วยว่าเริ่มชอบนับเงินตั้งแต่ตอนไหนและชอบเพราะอะไร เวลาฟังอีกฝ่ายเล่าก็เพลินดีจนคิดว่ามันไม่ได้รู้สึกแย่อะไรมากมาย

ถึงอย่างนั้นก็มีเพียงแค่ครามที่เป็นฝ่ายเล่า เขาแทบจะไม่ได้เล่าเรื่องของตัวเองให้รุ่นพี่ฟังเลยด้วยซ้ำ แต่ครามมักจะไปรู้เรื่องต่างๆ จากแม่ของเขาที่ชอบเล่าให้ฟังเวลาคนพี่ไปหาที่ร้าน

เอาเข้าจริงแม่ก็เคยถามเขาอยู่เหมือนกันว่ากับครามเป็นแค่พี่น้องกันจริงหรือไม่ พอตอบไปว่าจริงคุณวาดก็ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อเสียอย่างนั้น จนเขาต้องแอบเล่าไปว่าครามมีคนที่ชอบอยู่แล้วแม่ถึงได้เชื่อ

“วันนี้ญาติมึงไปไหน” น้ำเสียงคุ้นหูดังเข้ามาในโสตประสาททำให้พู่กันหันไปสนใจ เพลิงจับเอาสัมภาระของเหมยให้ขยับไปอีกฝั่ง

“ไม่สบายอะดิ พี่มันเพิ่งโทรมาบอก” พู่กันตอบทันทีเพราะรู้ว่าญาติที่เพลิงพูดถึงนั้นคือใคร “แล้วแม่มึงอะไปไหน”

“ไปช่วยเหมย มันหิว บ่นมาตลอดทาง” เพลิงว่าก่อนยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วหาว ท่าทางเหมือนคนหลับอดนอนมาทั้งคืน “ง่วงว่ะ”

“ไม่ได้นอนหรือไง” มันคงจะเป็นคำถามปกติหากว่าพู่กันใช้โทนเสียงธรรมดาในการถาม แต่เขากลับทำเสียงกรุ้มกริ่มจึงทำให้เพลิงด่าออกมาหนึ่งที

“สัดพู่ เงียบๆ” เขาหัวเราะก๊ากทันทีเมื่อการจับพิรุธสำเร็จ อันที่จริงก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน พู่กันมองหน้าเพลิงก่อนยกมือขึ้นแตะต้นคอตัวเองเพื่อให้เพื่อนได้รู้สึกตัวว่ามันมีรอยอยู่ตรงไหน “แม่งเล่นกูแล้วไง”

“มีซัมติง ปิดไม่มิดแล้วงี้”

“ชัดมากปะวะ” เพลิงเอื้อมมือขึ้นไปจับต้นคอตัวเองตามคำบอกของเพื่อน

“ชัดเหมือนที่ไอ้เงินได้มาเลยมึง” เขาว่าพลางยกยิ้ม “พี่มันรู้ยัง”

“ยังอะดิ มึงมีพลาสเตอร์ปะ” พู่กันเลิกคิ้วขณะที่ช้อนสายตามอง มันเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุดสักเท่าไหร่ “แล้วทำไงวะ เดี๋ยวเหมยเห็น กูขี้เกียจฟังมันบ่น”

“ทำเฉยๆ ไป มันไม่ถามหรอก เชื่อกูดิ แต่ถ้ามึงปิดพลาสเตอร์มันถามแน่” เขาเสนอความคิดเห็น “อีกอย่างมึงก็รู้ว่ามันคงไม่แค่ถาม แต่มันจะแกะของมึงด้วย”

“ให้คำแนะนำดีมากครับ ทางออกของกูคือใส่ฮู้ด”

“ไม่ต้องไอ้สัด บอกให้เฉยๆ ไว้” เพลิงทำท่าเหมือนจะโขกหัวตัวเองลงบนโต๊ะ แต่เขาไม่ห้ามแถมยังหัวเราะจนมันพูดออกมาเบาๆ “ห้ามกูบ้าง กูเพื่อนมึงนะ”

“เหอะ เรื่องของมึง”

“แหม ไอ้สัด แต่ลืมไป กูไม่ใช่พี่ครามนี่หว่า” เสียงตัดพ้อปนล้อเลียนเป็นผลให้พู่กันชูนิ้วกลางใส่

“เกี่ยวอะไรกับมันวะ”

“เอ้า ก็ช่วงนี้กูเห็นมึงเหมือนจะสนิทกับเขาอะ เดี๋ยวก็ชวนไปหาไรแดก นู่นนี่นั่น ถ้าไม่ติดว่ากูรู้ว่าเขาชอบพี่นับนะ กูคิดว่ามีซัมติงกันละ” เขาเบ้ปากเมื่อเพลิงพูดจบ

“คิดอกุศลสัด พวกมึงนี่คิดให้กูมีซัมติงกับไอ้เงินไม่พอ ยังคิดให้กูไปมีกับพี่มันอีกเหรอวะ”

“ถ้าใจเราได้มันก็ได้เว้ย”

“ใจกูไม่ได้ไง” เขาเถียงออกไปอย่างจริงจัง ขณะที่เพลิงหรี่ตาลงเหมือนจะจับผิด “อะไรของมึงอีก”

“แล้วทำไมเป็นมึง”

“ไม่เข้าใจ”

“ทำไมเป็นมึงที่พี่มันชวนไปหาอะไรแดกวะ” พู่กันชะงักก่อนจะขมวดคิ้วจนยุ่ง หัวใจของเขาสั่นเพราะเกรงว่าเพื่อนจะรู้ “ทำไมไม่เป็นกู ไอ้เหี้ยยย เสี้ยนของฟรีมากๆ”

“ไอ้ส้นตีน” เขาสบถแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ กลายเป็นความรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เขานึกว่าความจะแตกเสียแล้ว แต่คำถามของเพลิงเมื่อครู่กลับติดอยู่ในหัวของเขา

ทำไมต้องเป็นเขา... นั่นสิ

ก็ไม่รู้เหมือนกัน

*

พู่กันละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์เมื่อเห็นแสงสว่างวาบเกิดขึ้นจากโทรศัพท์เพราะมีข้อความเข้า เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะความหงุดหงิดที่ก่อตัวมาตั้งแต่ช่วงเย็น จนป่านนี้ไอ้คนที่บอกว่าจะมารับไปหาอะไรกินก็ยังไม่โผล่หัวมา

เขาลุกขึ้นจากโซฟาทันทีเมื่อเห็นว่าคนพี่ส่งมาบอกให้ออกไปยืนรอหน้าบ้านเพราะกำลังจะถึง ร่างเล็กเดินมาออกมารอตามสั่ง ไม่ถึงห้านาทีรถสีดำกับป้ายทะเบียนคุ้นหน้าก็ขับเข้ามาจอดเทียบหน้าประตูบ้าน

“นึกว่าจะมาชาติหน้า” เขาสบถด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดทันทีที่กระจกรถเคลื่อนตัวลงจนเห็นใบหน้าของคนที่ด่าในใจแบบไฟไหม้ตั้งแต่ช่วงเย็น ก็เพราะยังไม่ได้กินอะไรเลยสักอย่างมัวรอแต่พี่มัน “เป็นไร”

“กำลังรู้สึกผิดอยู่” พู่กันเบ้ปากหลังจากที่ได้ยินเสียงหงอยๆ ของคนที่นั่งอยู่บนรถ “มึงกินไรยัง”

“ใครจะไปรอ ถามหน่อย ถ้ารอกินกับพี่ก็ไส้แห้งตายแล้วปะ”

“แซะเก่งนะมึงเนี่ย ...ขึ้นรถมา”

“ไม่ไป กินข้าวแล้ว”

“ขึ้นมา”

“เป็นแม่เหรอมาสั่ง”

“จะขึ้นมาเอง หรือจะให้กูลงไปอุ้ม” พู่กันจิ๊ปากด้วยความขัดใจก่อนจะเปิดประตูรถแล้วยัดตัวเองเข้ามานั่งอย่างหงุดหงิด “ก็แค่นั้น จะกินอะไร”

“บอกว่ากินข้าวแล้วไง”

“ให้มึงตอบอีกที” คนโตกว่าหันมาจ้องเหมือนจะกลืนเขาลงไปทั้งตัว ทำไมต้องทำเหมือนไปรู้อะไรมาด้วยวะ “พู่กัน”

“กินไรก็กิน”

“ก๋วยจั๊บ” เขาถามความเห็นเพราะไม่รู้ว่าไอ้เด็กช่างเถียงจะอยากกินหรือไม่ ก่อนจะเข้ามาที่บ้านเขาแวะไปที่ร้านมาก่อนแล้ว คุณน้าวาดก็บอกว่าพู่กันคงยังไม่ได้กินอะไรเพราะเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนยังโทรไปบ่นอยู่เลยว่าหิว “เคไม่เค”

“ได้หมด” เพราะหิวหรอกนะแม่ง ไม่งั้นอย่าฝันว่าจะก้าวขึ้นรถมาด้วยเลย “นี่ถามได้ปะ”

“ถามไร”

“ไปไหนมา” พู่กันหันหน้าไปมองคนที่ตั้งใจขับรถ “แต่ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ว่ากัน”

“บ้านนับ”

“อ้อ”

“อ้อไร กูไม่เจอเขา” ครามไม่ได้แสดงท่าทีหงุดหงิดใส่เขาเลยแม้แต่นิด “กูกลับจากบ้านไอ้ศาเลยแวะไป แต่มันไม่อยู่”

“อือฮึ โทษที”

“เรื่อง”

“แทงใจดำ จะไม่ถามว่าพี่นับไปไหนละกัน” เขาเม้มปากก่อนจะปล่อยให้บทสนทนาเงียบลงแล้วถูกแทนที่ด้วยเสียงเพลง พอเป็นได้ยินว่าพี่นับไม่อยู่ทั้งเขาและพี่ครามก็รู้ว่าไปไหน ช่วงนี้ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องงานเข้ามาเอี่ยว พี่นับก็เลยต้องไปกับพี่เข็มทิศบ่อยๆ
 
เขาเหลือบสายตาไปมองพี่ครามเล็กน้อยเพื่อดูว่ามีปฏิกิริยาของคนเศร้าโศกเสียใจหรือไม่ เพราะมันคงแย่ไม่เบาหากจะต้องไปนั่งกินก๋วยจั๊บเป็นเพื่อนคนเศร้า ได้กลายเป็นจั๊บเคล้าน้ำตาแน่

“มึง ร้านอยู่ไหนวะ” คนขับรถตีไฟเลี้ยวเข้าข้างทางเพื่อมองหาร้านก๋วยจั๊บที่พวกเขาเคยมากินด้วยกันสามสี่ครั้ง “หรือเจ๊ง”

“แหม ปาก อยู่ดีๆ ก็ไปแช่งเขา” พู่กันบ่นก่อนจะหันไปมองหาร้าน แถวๆ นี้เป็นย่านของกินที่มีตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง ร้านนม หรือแม้กระทั่งร้านเหล้าเล็กๆ “สงสัยจะหยุด”

“ซวยฉิบ”

“กลับบ้านดิ” ครามหันมาเหล่ บอกให้กลับบ้านทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้กินอะไรเนี่ยเหรอวะ “เอ้า จริงจังนะเนี่ย”

“กูหิวไงครับอีหนู”

“หนูบ้านพี่เหอะ เดี๋ยวต่อยปากแตก” ไม่ว่าเปล่าพู่กันยังกำหมัดขึ้นมาทำทีเหมือนจะต่อยเข้าที่แขนใหญ่ๆ ทำเอาไอ้รุ่นพี่ร่างยักษ์หัวเราะเหมือนคนเสียสติ “หนักแล้วนะ”

“ตัวมึงแค่นี้ ต่อยมาคิดว่ากูจะเจ็บเหรอ”

“ไม่อะ พี่มึงหนา”

“หมายถึง”

“หน้า ...โอ๊ย เจ็บนะเว้ย!” เขาร้องเสียงหลงเมื่อไอ้คนพี่เอื้อมมือมาหยิกเข้าที่แก้มอย่างแรง “ซาดิสม์เหรอ”

“พอตัวครับ” ครามกระตุกยิ้มเมื่อเห็นว่าเด็กตัวจ้อยฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ “ไปกินเตี๋ยว”

“เหอะ ไม่เอา ร้านนี้ไม่อร่อย”

“แล้วจะกินอะไร” เพราะมีน้องชายก็เลยติดนิสัยชอบถาม ส่วนมากเขาก็เป็นคนตามใจแต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่อง ยิ่งถ้าเมาเมื่อไหร่ก็เอาแต่ใจแบบขั้นสุดโดยเฉพาะเวลาที่อยู่กับพู่กัน “เร็ว ให้เลือก”

“กินไรก็ได้”

“กินอะไรก็ได้ก็เตี๋ยว”

“ไม่”

“กวนตีนแล้วงี้”

“ก็มันไม่อร่อยอะ” เขายกมือขึ้นกอดอกก่อนจะหันไปมองหน้ารุ่นพี่กำลังจ้องมา “แยกกันไปกินปะล่ะ”

“ถ้าจะแยกกันไป กูจะพามึงมาทำไม พูดไม่คิด”

“เอ้า”

“เลือกมา” เสียงทุ้มเอ่ยสั่งอีกครั้ง “กูกินได้หมด”

“จริงจังปะ” ครามพยักหน้าเพื่อยืนยันคำตอบ เขายังคงจอดรถอยู่ที่เดิมเพราะไม่รู้ว่าอาหารก่อนนอนจะเป็นอะไร “กินจั๊บแหละ เดี๋ยวพาไป”

“มีที่ไหนอีก”

“เออน่ะ ขับตามที่บอกละกัน” ชายหนุ่มฟังตามคำสั่ง โดยที่เสียงเจื้อยแจ้วนั่งบอกทางมาเป็นระยะ ซึ่งมันก็ไม่ได้ไกลจากที่เมื่อกี้เท่าไหร่นัก

ปกติแล้วครามเป็นคนง่ายๆ เรียกได้ว่าง่ายทุกอย่างตั้งแต่การกิน ใช้ชีวิตความเป็นอยู่ ยิ่งช่วงไหนเฮิร์ตก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่เพราะไม่ค่อยกินข้าว สิ่งที่ตกถึงท้องคือกับแกล้มและเหล้าเบียร์

ถ้าถามว่าติดไหมก็อาจจะนิดหน่อย ยังไม่ถึงขั้นดื่มจนเรื้อรัง เขาจะดื่มหนักๆ ก็ช่วงที่เฮิร์ตจากนับเงินแค่นั้น ถึงอย่างนั้นพักหลังก็กลับมาบ่อยจนเพื่อนอย่างไอ้ยิ้มกลัวว่าเขาจะตายเสียก่อน

แต่ไอ้ช่วงที่ดื่มหนักแบบแทบไม่ลืมหูลืมตาคือช่วงที่พู่กันไม่คุยด้วย เขารู้ตัวว่าทำผิดที่ไปข้ามขั้นจนทำให้น้องมันไม่อยากยุ่ง แต่เขาทนไม่ได้ถ้าไม่ได้คุยกัน มันอึดอัดจนทำตัวไม่ถูกเวลาเจอหน้าจึงเอ่ยปากให้น้ำเงินช่วย ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ได้เล่าให้น้องฟังอยู่ดีว่าไปทำอะไรไว้แค่บอกว่าทะเลาะกันนิดหน่อย

เขารู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวที่เอาพู่กันมากักไว้กับตัวเอง จากตอนแรกที่ไม่ชอบหน้าตอนนี้กลายเป็นว่าต้องได้เจอหน้าทุกวันซะแบบนั้น ครามไม่รู้ว่าควรจะเรียกสถานะแบบนี้ว่าอะไร ถึงจะกักไว้แต่เราก็ตกลงกันแล้วว่าถ้าใครมีคนของตัวเองก็จะเลิกยุ่งกัน

เรื่องของเขามีแค่องศาที่รู้ จะให้ระบายกับไอ้ยิ้มมีหวังเขาก็สับกบาลแหก เพราะดูท่าแล้วเพื่อนเขาก็ห่วงพู่กันใช่ย่อย แน่นอนว่าเขาก็โดนองศาเตือนมาหลายหนในเรื่องของความรู้สึก การมีเซ็กส์กันไปเรื่อยๆ อาจจะทำให้ใครคนใดคนหนึ่งเปลี่ยน แล้วถ้าเกิดมันเป็นอย่างนั้นก็ต้องรับผลที่ตามมาให้ได้ถ้าจะต้องเลิกยุ่งกันไป

หากแตกหักคราวนี้

คงจะไม่ได้เป็นแม้แต่พี่น้อง

*

ต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ stuff.lilac

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 01 ; (20/09/61)
«ตอบ #8 เมื่อ20-09-2018 19:03:35 »


“สรุปคือยังไง” เสียงใสเอ่ยถามหลังจากที่เรานั่งดูหนังกันจนจบเรื่อง ตอนแรกพี่ครามบอกจะกลับบ้านหลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จจนออกมาแล้วก็ยังเจอรุ่นพี่นั่งอยู่ พอเขาบอกจะนั่งดูหนังคนเดียวก็ดันตื๊อว่าจะนั่งดูด้วยแป๊บนึง นี่ยันจบเรื่องแล้วก็ยังไม่ลุก “บ้านช่องไม่กลับแล้วว่างั้น”

“แม่ไม่กลับบ้าน?” ครามดูนาฬิกาบนฝาผนังที่บอกว่าอีกยี่สิบนาทีจะเที่ยงคืน เด็กที่ยืนอยู่หน้าโทรทัศน์ขนาดสี่สิบสองนิ้วหันมาส่ายหน้าเล็กน้อย “งานยุ่งเหรอ”

“ตอนไปเจอทำไมไม่ถามล่ะ”

“กวนตีน”

“พูดจริงก็หาว่ากวนตีน” เขากดปิดโทรทัศน์ก่อนเอาผ้าขนหนูบนไหล่ขึ้นไปวางโปะไว้บนหัว “นี่พี่จะกลับบ้านปะเนี่ย”

“ไม่กลับละ” จริงๆ เขากะว่าจะอยู่รอจนกว่าน้าวาดกลับบ้าน แต่พอได้ยินแบบนั้นก็ไม่กล้าจะปล่อยให้เด็กมันนอนคนเดียว แม้จะเป็นผู้ชายแต่ยุคสมัยนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น “กูนอนนี่แหละ”

“นอนบ่อยขนาดนี้ค่าน้ำค่าไฟต้องหารแล้วมั้ง” พู่กันหรี่ตาลงอย่างอ่อนใจ เขาไม่แม้แต่จะห้ามเพราะต่อให้พูดจนปากฉีกไปถึงรูหูก็เหมือนนั่งคุยกับหิน “ไปอาบน้ำดิ”

“อาบกับกูปะ”

“ตลกเหรอ จะไปนอนละ ง่วง” ครามหัวเราะก่อนเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าที่มีชุดของเขาอยู่ประมาณสิบกว่าชุด ที่จริงก็ไม่มีหรอกแต่พอมานอนค้างบ่อยเขาก็เลยทิ้งไว้บ้าง “ปิดไฟให้ด้วยนะ”

“เออครับ”

เขามองแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ ไม่ปฏิเสธเลยว่าครามดูดีแถมไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เป็นอดีตเดือนมหา’ลัยจะมาคลุกคลีอยู่กับเขา

ความแตกต่างของครามกับน้ำเงินที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนเลยคือโครงหน้า แม่เขาก็บอกว่าครามหน้าคมกว่า ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีเค้าความเป็นพี่น้อง อาจจะไม่ได้มองแล้วร้องอ๋อว่านี่ใช่ในทันทีแต่ถ้าบอกว่ามีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดก็รู้เลย

จากที่เขาสังเกตคือครามมักชอบใส่เสื้อกล้ามนอน พูดง่ายๆ คือเป็นคนขี้ร้อน แม้ว่าในห้องจะแอร์ยี่สิบองศาก็ตาม

พู่กันคลานขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วขยับไปชิดกำแพงซึ่งเป็นที่ประจำเวลาที่ครามมานอนด้วย หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเพราะเอาเข้าจริงๆ ก็ยังไม่ง่วงเท่าไหร่ ยิ่งพรุ่งนี้เป็นวันหยุดด้วยแล้วกว่าจะนอนบางทีก็ปาไปตีสี่

เขาเล่นเกมเพลินจนไม่รู้เวลา มารู้อีกทีก็ตอนที่พี่ครามอาบน้ำเสร็จแล้วนั่งลงบนเตียง พู่กันเหลือบสายตาไปมองก่อนจะขยับตัวเข้าไปชิดกำแพงมากขึ้น

“ไหนมึงบอกง่วง”

“ง่วงแต่นอนไม่หลับเลยนั่งเล่นเกม มีปัญหาอ่อ”

“จะจบยัง” คนพี่ถามด้วยน้ำเสียงนิ่ง พู่กันช้อนสายตามองครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงเล่นเกมต่อ

“ใกล้แล้ว ทำ —ทำเหี้ยอะไรของพี่เนี่ย” ครามหัวเราะเมื่อไอ้เด็กที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่สบถออกมาเสียงดังในตอนที่เขาทิ้งตัวลงนอนบนตัก “ไปนอนดีๆ ดิวะ”

“กูนอนดีแล้ว”

“หนักโว้ย” พู่กันเขย่าขาตัวเองเพื่อให้ครามที่นอนอยู่สั่นสะเทือนไปด้วย “เล่นเกมไม่ถนัด”

“บอกว่านอนดีแล้ว” ครามย้ำอีกหน “เพราะถ้ากูนอนไม่ดี มันจะเป็นแบบนี้”

“ไอ้เหี้ยพี่ ...!” พู่กันวางโทรศัพท์ลงข้างตัวทันทีที่ครามหันหน้าเข้าหาหน้าท้องเขา ความมือไวของอีกฝ่ายทำให้เสื้อยืดเลิกขึ้นไปจนเผยให้เห็นผิวขาว “อ...อย่า”

แม้จะพยายามดันครามให้ออกห่างแต่ก็ไม่เป็นผล ชายหนุ่มกดจูบเน้นย้ำตรงหน้าท้องด้วยความมันเขี้ยว เขาได้ยินเสียงครางดังขึ้นมาเป็นจังหวะ ยิ่งขบเม้มแรงเท่าไหร่เสียงของพู่กันก็ดังมากขึ้นเท่านั้น รวมไปถึงน้ำเสียงสั่งห้ามที่สั่นเครือนั่นด้วย

“อย่าอะไร” ครามยันตัวเองขึ้นนั่งก่อนโน้มไปกระซิบข้างใบหู “อย่าทำหรืออย่าหยุด”

“อย่ากวนตีน”

“ตอบแบบนี้แสดงว่า...”

“ไปไกลๆ เลยพี่คราม” เขางับติ่งหูพู่กันเบาๆ หลังจากที่โดนไล่ ปากก็ไล่แต่ด้วยความที่คุยกันมานานพอสมควรทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดเช่นนั้น “พอเลย จะนอน”

“ใครให้มึงนอน”

“ตัวเอง สั่งเอง นอนเอง” ไม่ว่าเปล่าพู่กันยังผลักเขาให้ถอยออกไป ก่อนสอดตัวเองลงใต้ผ้าห่มผืนหนาแถมยังพลิกตัวเข้าหากำแพงอีก “ปิดไฟด้วย”

“มึงหันหน้าเข้ากำแพงแล้วจะมาเดือดร้อนอะไร” ครามยียวนถามลองเชิง มั่นใจเต็มร้อยว่าไอ้เด็กช่างเถียงต้องลุกขึ้นมาสั่งแน่ๆ และเป็นไปตามที่คิด “ว่า”

“ปิดไฟ”

“ถ้าปิดแล้วกูจะได้อะไร” ครามเลิกคิ้วถาม ยอมรับว่าไอ้ความฟึดฟัดที่พู่กันแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดทำเอาเขาอยากจับกดให้จมอก “คำตอบ”

“ได้นอน” พู่กันตอบเสียงนิ่ง ขมวดคิ้วจนแทบจะผูกกันเป็นโบว์ อันที่จริงคือเขายังไม่ง่วงเลยสักนิด แต่ขืนนั่งเล่นเกมมีหวังโดนไอ้พี่ครามแกล้งเอาอีกแน่ “จะเลิกแกล้งได้ยัง”

“ได้” เขาเบ้ปากตอนเห็นครามไหวไหล่ คนพี่เอื้อมมือไปปิดไฟให้จนภายในห้องเหลือแค่แสงสว่างจากด้านนอกที่ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามา เขาทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ในขณะที่พลิกตัวเข้าหากำแพงกลับถูกไอ้คนเจ้าเล่ห์ห้ามเอาไว้ก่อน “ปิดไฟแต่กูไม่ให้นอน”

“อะไรของพี่อีกวะ” เขายุกยิกแล้วพยายามจะดิ้นให้หลุดจากการจับตรึง แม้จะเป็นผู้ชายแต่ขนาดตัวที่เล็กกว่าเกือบเท่าเลยทำให้สู้แรงของสีครามไม่ได้ “เบื่อหน้าพี่ว่ะ”

“มองเห็นหน้ากูเหรอ” พู่กันไม่ตอบแต่รู้ว่าในตอนนี้ใบหน้าของเราอยู่ใกล้กันเพียงใด ลมหายใจผสานกันจนแยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร

กระทั่งริมฝีปากถูกปิดประทับด้วยความร้อน ข้อมือเล็กได้รับอิสระเพราะฝ่ามือที่จับกุมไว้ในคราแรกกำลังเปลี่ยนไปซุกซนในจุดอื่น เสียงเฉอะแฉะจากการบดจูบอย่างรุนแรงทำให้ห้วงอารมณ์ของเราพุ่งขึ้นสูง

พู่กันเป็นคนที่ถูกกระตุ้นง่าย เขาเกิดอารมณ์ตั้งแต่ที่โดนจูบหน้าท้องเมื่อครู่ แต่ที่ต้องหยุดเพราะไม่อยากให้มันเกินเลย ถึงอย่างนั้นก็ยังคงห้ามไม่ได้อยู่ดี

ฝ่ามือใหญ่ไล้ไปตามแนวต้นขา ขณะที่เขายังป้อนจูบให้พู่กันไม่หยุด แม้ว่าตัวเองจะเคยพยายามหักห้ามไม่ให้ทำแบบนี้อยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ไม่รู้ว่าทำไมพอได้อยู่ใกล้ๆ แล้วเขาชอบเกิดความรู้สึกมันเขี้ยวจนอยากฟัดให้หายเถียง

“พี่” เสียงหวานขานเรียกเมื่อเขาผละจูบออก

“อะไร”

“เคยถามตัวเองไหม” คำถามของพู่กันทำให้ครามหยุดชะงัก เขามองหน้าน้องผ่านความมืด แม้จะเห็นได้ไม่ชัดแต่ก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร “ว่าทำไมต้องเป็นผม”

“เรื่องไหน” เขาไม่ค่อยเข้าใจคำถามสักเท่าไหร่ “ที่กูทำแบบนี้ หรือว่ายังไง”

“ทุกเรื่อง” เราไม่ได้คุยกันด้วยน้ำเสียงตัดพ้อหรือไม่พอใจ มันเป็นโทนเสียงปกติ “เคยคิดจะให้คนอื่นมาอยู่ตรงนี้ไหม”

“เคย” ครามโน้มลงไปกระซิบข้างหู เขาเคยคิดว่าควรจะหาที่ปรึกษาหรือที่ระบายใหม่ แต่ก็ทำได้แค่คิด เพราะสุดท้ายตอนที่มีปัญหาเขาก็นึกถึงพู่กันอยู่ดี “แต่ก็ไม่รู้”

“...”

“เคยคิดเท่าไหร่ แต่สุดท้ายมันก็ยังเป็นมึง”

“แล้วถ้าวันไหนผมมีแฟนขึ้นมา”

“ก็ให้ไปแบบที่ไม่ต้องมาสนใจกู” ครามตอบกลับตามความจริง “กูเห็นแก่ตัวกับมึง กูรู้”

“เห็นแก่ตัวยังไง ผมไม่ได้ชอบพี่ ถ้ามันไม่มีใครรู้สึกก็ไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัว ถูกปะวะ” เขาพูดจริงในตอนนี้ ความรู้สึกของเขาที่เป็นอยู่คือห่วงคราม เวลาที่มีปัญหากับพี่นับหรือมันไม่เป็นไปตามที่คิด ก็แค่รู้สึกว่าครามต้องมีที่ระบาย ถึงแม้ว่าการมาพูดคุยกับเขามันจะจบด้วยเซ็กส์ก็ตาม “แต่มันก็ไม่ดีถ้าพี่นับเขารู้”

“ความจริงคือกูไม่ควรดึงมึงเข้ามาเกี่ยวกับวงจรชีวิตกูตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ” เขายังคงซุกอยู่ข้างซอกคอของพู่กัน “แต่ก็อย่างที่บอก กูทำเป็นไม่รู้จักมึงไม่ได้”

“เพราะมีเซ็กส์เข้ามาเกี่ยวเหรอ” ครามยันตัวเองขึ้นจากร่างเล็ก พลิกตัวกลับไปนอนหงายก่อนที่พู่กันจะลุกขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนตัว สองมือเล็กยกขึ้นกอดอกเพื่อแสดงว่าในตอนนี้เขากำลังเอาแต่ใจและคาดหวังคำตอบที่ชัดเจน “จริงๆ พี่ต้องทำได้ดิ ผมเป็นผู้ชายนะเว้ย ไม่ท้อง ไม่ต้องมารับผิดชอบ”

“กูไม่ได้รับผิดชอบ แค่รู้สึกว่าไม่อยากให้มึงกับกูกลายเป็นคนแปลกหน้า” พูดตรงๆ ว่าไม่ได้คิดแบบนั้น มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์ เขาแค่มีความรู้สึกสบายใจตอนที่อยู่ด้วย ครามก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ามันคืออะไร เคยแอบคิดว่าจะเป็นความชอบ แต่เขายังปักหลักอยู่กับนับ มันทำให้สงสัยตัวเองเช่นกันว่าจะชอบคนสองคนเชิงคู่รักในเวลาเดียวกันได้จริงๆ เหรอ ผลสุดท้ายก็คือไม่ เขาจึงสับสน “ถ้ามึงไม่โอเคกับที่เป็นอยู่เมื่อไหร่ก็บอกกู แต่ถ้าถามกูตอนนี้มันต้องเป็นมึง”

“แล้วทำไมต้องเป็นผมวะ โคตรไม่เข้าใจ”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน ให้คนอื่นมานั่งฟังกูระบายเป็นสิบชั่วโมง แต่ถ้าไม่ใช่มึงกูก็ไม่เอา”

“งั้นขอให้สมหวังไวๆ ขี้เกียจมานั่งฟังพี่บ่นละ อีกอย่างพี่จะได้เลิกเหล้า เลิกบุหรี่”

“เอาความจริง”

“ก็เนี่ยจริง เลิกเหล้าต่อชีวิตให้พี่ไง จะได้ไม่ตายก่อนกำหนด เดี๋ยวพ่อแม่เสียใจ นี่ถ้ายังกินไม่หยุดงี้นะ โน่นอะ ยมบาลรอเวลาลงมารับแล้ว” พู่กันพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก ในจังหวะที่กำลังจะกลิ้งลงไปนอนที่ตัวเองกลับถูกขัดเอาไว้ด้วยฝีมือของคนใต้ร่าง ครามดึงให้เด็กบนตัวโน้มลงมาก่อนวาดวงแขนกอดเอวเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ดิ้นหนีไปไหน

“กูว่ากูรู้แล้ว”

“รู้อะไรวะ”

คนโตกว่าว่าพลางกดหัวพู่กันให้ลงมาจนเขารับรู้ได้ถึงลมหายใจที่ผ่อนรดอยู่ตรงลำคอ พอมั่นใจว่าพู่กันไม่ดิ้น เขาจึงพูดออกไปเบาๆ

“ถ้าเป็นคนอื่นมาพูดแบบนี้กูกระชากมาต่อยแล้วนะ”

“...”

“แต่มึงเป็นข้อยกเว้น”

“…”

“ก็เลยต้องเป็นมึงที่อยู่กับกู”

*
tbc
งืม เวลาอยู่ด้วยกันก็จะเป็นแบบนี้ แต่โลกมันซับซ้อน ._. ตอนนี้มันก็เป็นฟีลที่ยังโอเคด้วยกันทั้งคู่ ...
ปล. เรื่องที่แล้วไม่พอใจพี่ศา เรื่องนี้ก็ด่าพี่ครามค่ะ /พระเอกของเราชอบโดนด่า แต่อย่าด่าแรงนะคะ กัว 55555
#โซ่สีคราม นะคะ

ออฟไลน์ it.the.world

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 01 ; (20/09/61)
«ตอบ #9 เมื่อ20-09-2018 22:42:53 »

จะมาม่ามากไหมอ่ะ แงงง พี่ครามคลหลายจายยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 01 ; (20/09/61)
« ตอบ #9 เมื่อ: 20-09-2018 22:42:53 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 01 ; (20/09/61)
«ตอบ #10 เมื่อ21-09-2018 10:40:53 »

 :เฮ้อ:

ต่างอารมณ์กับน้ำเงินเลย

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 01 ; (20/09/61)
«ตอบ #11 เมื่อ21-09-2018 16:06:33 »

ครามเห็นแก่ตัว
แถมโลเล
โลคดีของนับ  ที่ยังไม่คบกับคราม
พู่กันก็โอนอ่อน ยอมเขาตลอต

ออฟไลน์ Ti0590

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 01 ; (20/09/61)
«ตอบ #12 เมื่อ21-09-2018 18:20:57 »

มันเป็นความรู้สึกดีๆที่ครามมีให้พู่ เป็นความสบายใจที่มีที่พึ่ง เป็นตัวของตัวเอง เอาแต่ใจ เท่าไหร่ก็ได้
 คนเราจะรักใครสองคนในเวลาเดียวกันได้นะ แต่ถ้าพอถึงเวลาที่ต้องเลือก ก็ต้องเลือกอ่ะ

เป็นความสัมพันธ์ที่แบบ ถ้าใครล้ำเส้นหรือรู้สึกมากกว่าคนนั้นจะเจ็บที่สุด ซึ่งมั่นใจเลยว่าเป็นพู่ เพราะครามยังมีนับที่คอยบอกตัวเองว่าชอบ แต่พู่ไม่มีใครเลย

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 01 ; (20/09/61)
«ตอบ #13 เมื่อ21-09-2018 18:56:04 »

เพิ่งมาเจอค่ะแต่ดีมากๆรอติดตามนะคะ

ออฟไลน์ stuff.lilac

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 02 ; (21/09/61)
«ตอบ #14 เมื่อ21-09-2018 20:55:52 »

02
Deep down
//


 “เหมยมึงเอาขนมให้ไอ้เงินด้วย” เขาสั่งพลางชี้นิ้วไปยังเชลฟ์ที่มีขนมขบเคี้ยววางอยู่หลายยี่ห้อเพื่อให้เพื่อนตัวโย่งได้หยิบใส่ตะกร้าลงมา วันนี้พวกเขาต้องไปรวมตัวกันที่บ้านของน้ำเงินเพราะต้องทำงานกลุ่ม

เอาเข้าจริงๆ คือมันผิดจากที่คาดคิด จากตอนแรกที่วางแผนว่าจะไปทำบ้านของหมิงเหมยก็ต้องกลับลำกะทันหันเพราะพวกเขาค่อนข้างเกรงใจทางบ้านเหมย ด้วยความที่เวลาพวกเขาอยู่ด้วยกันแล้วเหมือนงิ้วโรงแตกเลยคิดว่าคงไม่สะดวกนักหากจะเสียงดังแล้วอยู่ทำงานกันดึกดื่น

แถมจะเป็นบ้านเพลิงหรือบ้านเขาพวกเพื่อนก็ไม่อยากมาเพราะอ้างว่ามันก็เสียงดังไม่ได้ เนื่องจากมีผู้ใหญ่ สุดท้ายก็เลยต้องไปจบลงที่บ้านของน้ำเงินเพราะมีพี่ครามคนเดียว

“สาหร่ายกับวาซาบิ” ยังไม่ทันที่พู่กันจะได้หันไปตอบก็ต้องก้มมาสนใจโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในมือก่อน เพราะเห็นว่าเป็นชื่อของน้ำเงิน เขาเอียงคอหนีบโทรศัพท์ไว้กับหัวไหล่ มือเล็กชี้ไปยังขนมทั้งสองรสเพื่อบ่งบอกว่าไม่ต้องเลือก “เงินว่า”

(พู่ซื้อของเสร็จหรือยัง) น้ำเสียงปลายสายดูตื่นตระหนก

“ยังๆ แล้วเป็นอะไรของมึง ทำไมต้องทำเสียงเหมือนใครจะตาย”

(เราฝากซื้อน้ำแข็งกับเบียร์เข้ามาหน่อย) คำสั่งของเพื่อนสนิททำเอาเขาขมวดคิ้วยุ่งจนเหมยสงสัย

“มึงกินเหรอวะ”

(ไม่ๆ ของพี่ศากับเฮีย) พู่กันเบ้ปากเมื่อรู้ว่าการทำงานวันนี้เขาคงจะวอกแวกน่าดูเพราะมีพี่ครามอยู่ที่บ้านด้วย (เงินพอหรือเปล่า)

“กูมากับเสี่ยร้านทอง ไม่พอก็ให้มันออก เดี๋ยวกูซื้อไปให้ แค่นี้นะ” เขารอฟังเพื่อนขานตอบก่อนจะกดวางสาย ตวัดสายตาไปหาเหมยที่ยืนขมวดคิ้วมองอยู่ทันที “พี่ศากับพี่ครามอยู่ด้วย ไอ้เงินโทรมาฝากซื้อน้ำแข็งกับเบียร์”

“งานยากเลยสิ”

“ก็ทั้งมึงทั้งกูแหละน่า” เขาหัวเราะให้กันกับการเริ่มต้นพยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ อันที่จริงพู่กันคงจัดการได้ง่ายหน่อยเพราะความรู้สึกของตัวเองก็ไม่ได้ชี้ชัดว่าชอบคราม แต่กับเหมยแล้วมีแต่เสียกับเสียเพราะปักหลักชอบน้ำเงิน

กับเรื่องเรียนเหมยเก่งจนแทบจะคว้าเกียรตินิยม แต่ถ้าเป็นเรื่องน้ำเงิน ก็จะเก่งแค่ทฤษฎีว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็พอเจอหน้าเข้าทีก็กลายเป็นทฤษฎีเต็มร้อยปฏิบัติติดลบ

พู่กันเดินไปหยิบขวดแอลกอฮอล์มาห้าหกขวด มั่นใจว่าถ้าซื้อไปเพลิงกับหมิงก็ต้องแอบไปมีส่วนเอี่ยวด้วย หลังจากที่เลือกซื้อของกินช่วยชีวิตในค่ำคืนนี้เรียบร้อยพวกเขาก็กลับไปที่บ้านของน้ำเงิน

แน่นอนว่าในระหว่างทางกลับเขาก็คุยกับเหมยว่าพยายามอย่ากินเบียร์เพราะมันทำให้ไม่มีสติ ก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าไอ้ตอนที่ตัวเองไร้สติมันพาความฉิบหายมาให้มากขนาดไหน ไม่ใช่ทุกคนที่จะเมาแล้วโชคดีได้คนที่แอบชอบเป็นแฟนแบบน้ำเงิน ถ้ามันเมาแล้วเป็นแบบเขาก็เรียกได้ว่างามหน้าที่สุดในชีวิต

ก็อย่างที่บอกว่าเขาในตอนนี้เดินหน้าต่อไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ ทำได้แค่ย่ำอยู่กับที่เพื่อรอให้เวลาเป็นตัวตัดสินว่าจะได้ไปทางไหน หรือสุดท้ายจะต้องยืนอยู่ที่เดิมจนกว่าจะแตกสลายไปเอง


*


“เอาไป” พู่กันว่าก่อนจะโยนซองบุหรี่ให้กับคนที่นั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ เขาให้เหมยเดินเข้าไปในบ้านก่อน ในตอนที่เขากำลังจะครามส่งข้อความมาบอกว่าฝากซื้อบุหรี่ด้วย เพราะงั้นเขาก็เลยให้คนพี่ออกมารอหน้าบ้านเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต “ตังค์มา”

“ในเป๋า มึงหยิบเอาดิ” ไม่ว่าเปล่าครามยังยืดขาออกมาข้างหนึ่งเพื่อแสดงให้เห็นชัดเจนว่าตรงกระเป๋ากางเกงข้างที่ยื่นออกมานั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมของกระเป๋าเงิน “มาเอา”

“เหอะ ซื้อให้ฟรีละกัน สงเคราะห์” เขาขานตอบก่อนจะย่นจมูกเมื่อครามแกะซองบุหรี่แล้วหยิบออกมาหนึ่งมวน ดวงตากลมจ้องมองทุกการกระทำตั้งแต่ที่แกะจนเอาไปคาบไว้ในปาก “ไม่กลัวเงินสงสัยเหรอ”

“อยู่กับศา ไม่ถามหรอก” พูดเพียงแค่นั้นก็หยิบเอาไฟแช็กที่พกติดตัวขึ้นมาจุดบุหรี่ ไฟสีเพลิงกำลังเริ่มเผามวนบุหรี่ทีละนิดจนควันหม่นฟุ้งไปทั่วบริเวณ “มึงจะเข้าบ้านก่อนไหม ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ไม่ใช่หรือไง”

“เออ ไม่ชอบ” พู่กันไม่ชอบกลิ่นบุหรี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ครามจำได้ขึ้นใจ เพราะเคยมีครั้งหนึ่งเขาที่สูบแล้วไปจูบน้องก็โดนด่ามายกใหญ่ เขาถึงได้ไม่ทำอีก ร่างเล็กยืนกอดอกมองคนพี่สูบบุหรี่โดยที่ไม่พูดอะไรก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้แบบขาตั้งคู่โดยที่ครามไม่ทันตั้งตัว

“เชี่ย กูใจหาย” ครามสบถเพราะเมื่อครู่เขาสะดุ้งสุดตัวตอนที่พู่กันทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะรถที่ยังว่างอยู่ มือใหญ่คีบบุหรี่ไว้แล้วยื่นออกไปอีกทางเพื่อให้ห่างจากคนข้างๆ มากที่สุด “จะนั่งกับกูหรือไง”

“คิดเงินปะล่ะ ถ้าไม่ก็นั่ง”

“ไม่คิด” พู่กันนั่งหันหน้าเข้าบ้านแล้วหันหลังให้เขา “ขอบคุณ”

“ไม่เป็นไร”

“กูควรชิน แต่แม่งก็ไม่ชินสักที” เสียงทุ้มเปิดประเด็นสนทนาขณะที่พู่กันได้แต่นั่งตั้งใจฟัง “มึงว่าคนเราจะทนอยู่กับความเสียใจได้แค่ไหนวะ”

“ไม่รู้ดิ ผมไม่เคยเสียใจเพราะรักว่ะ” เขาเหยียดขาลงบนพื้นอย่างสบายๆ เพราะอยากให้บทสนทนาในตอนนี้มันผ่อนคลาย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น

“มึงเคยรักใครปะวะ”

“แบบไหนล่ะ ที่ถามมานี่มันประเด็นกว้าง” เด็กหนุ่มว่าขณะที่หันหน้าไปมอง แม้จะเป็นมุมข้างแต่ก็เห็นได้ถึงความดูดี ในสายตาเขาครามเป็นแบบนั้น

“แบบคนรัก”

“ไม่เคย” สิ้นสุดน้ำเสียงเรียบนิ่งของพู่กัน ไม่มีบทสนทนาต่อจากนั้น มีเพียงความเงียบที่เข้าปกคลุมและกินเวลานานกว่าสิบนาที

“ก็ดี”

“อะไรดี” พู่กันขมวดคิ้วก่อนหันไปมองซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่คนข้างกายหันมาพอดี เราสบตากันและปล่อยให้มันเป็นอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่มีใครละสายตาไปไหน ปกติเขาจะมองว่าครามเป็นคนสายตาดุมาตลอดแต่ในครั้งนี้มันกลับต่างไป

“ไม่ต้องรักใครดีแล้ว” คนพี่ว่าก่อนจะลุกขึ้นจากมอเตอร์ไซค์ ไม่มีน้ำหนักที่สมดุล รถเอนมาทางด้านหลังเพราะเหลือน้ำหนักจากพู่กันที่นั่งอยู่เพียงคนเดียว ชายร่างสูงเดินอ้อมมายืนอยู่ตรงหน้า โยนบุหรี่ที่มอดไปเกือบครึ่งลงบนพื้นก่อนใช้เท้าขยี้เพื่อให้ไฟสีขุ่นดับลงไปพร้อมกับควันที่จางหายไป

“นี่คือห้ามหรือพูดเฉยๆ”

“แล้วแต่มึงจะคิด” ครามกระตุกยิ้มมุมปาก “แต่กูโคตรอิจฉามึงเลย”

“เรื่องอะไรวะ ยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าใจ” ไม่บ่อยนักที่ครามจะทำให้เขาสับสนในคำพูด พอเป็นแบบนี้เขาก็แน่ใจเต็มร้อยว่าอีกฝ่ายกำลังไม่โอเคมากๆ น่าแปลกที่ในวันนี้คนพี่ไม่เอ่ยปากพูดสักคำว่าไปเจออะไรมา “โอเคปะนั่น”

“โอเค... มั้งวะ” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ ก่อนเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า เขาเห็นความอ่อนแอผ่านสายตาคู่นั้น “กูจะบอกอะไรให้ฟัง”

“อะไร” เขาถามย้ำในขณะที่อีกฝ่ายโน้มเข้ามา ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งได้กลิ่นบุหรี่ที่ยังไม่จางหายไปไหน ไอความร้อนแผ่กระทบใบหูอย่างแผ่วเบาตอนที่ครามกระซิบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“ถ้ากูรู้ว่ารักแล้วจะเจ็บขนาดนี้”

“…”

“กูจะไม่รักเลย”

“…”

“จริงๆ”

น้ำเสียงคล้ายคนกำลังจะหมดแรงมาพร้อมกับสัมผัสตรงหัวไหล่ ครามไม่ได้ทิ้งน้ำหนักตัวเองลงมาที่เขาหมด เพียงแค่ซบอยู่กับไหล่พอให้รู้ว่าตอนนี้อ่อนแอเพียงใด พู่กันปล่อยให้เวลาดำเนินไปอย่างนั้นโดยที่ลืมไปชั่วคราวว่าไม่ควร

“พี่ก็เลือกเอาดิ”

“เลือกอะไร” เสียงทุ้มถามอู้อี้เพราะยังคงยืนซบอยู่ที่เดิม “อย่างกูนี่มีสิทธิ์เลือกด้วยเหรอ”

“มี”

“ว่ามา” พู่กันผลักคนพี่ให้ออกห่าง โดยที่คนถูกผลักออกได้แต่มองหน้านิ่งๆ โดยไม่พูดอะไร

“ตัวพี่เองก็น่าจะรู้ดีปะวะว่ามีอะไรให้เลือก” ครามหรี่ตาลงเพื่อรอฟัง “อยากรักเขาก็เจ็บต่อไป”

“ถ้ากูไม่อยากเจ็บ?”

“ก็อย่างที่ตัวพี่รู้”

“อะไร” แม้ว่าลึกๆ ในใจจะรู้คำตอบ แต่ก็อยากจะฟังจากปากของพู่กันอีกสักรอบ ย้ำให้ตายกันไปข้างหนึ่ง “พู่กัน”

“ไม่อยากเจ็บ ก็ไม่ต้องรัก”

“…”

“แล้วที่พี่ถามเมื่อกี้” พู่กันลุกขึ้นจากรถ ยืนประจันหน้าโดยไม่เกรง “ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับคนถาม”

“อืม”

“ถ้าพี่อยากรู้ว่าจะทนอยู่กับความเสียใจได้แค่ไหน”

“…”

“พี่ก็เลิกรักเขาสักที จะได้รู้คำตอบ”

*

“คุยอะไรกับพู่กัน” ประโยคคำถามเอ่ยออกมาจากปากของเพื่อนสนิททันทีที่เขาวางขวดเบียร์ลงบนโต๊ะ ครามเลิกคิ้วมององศาเชิงถามว่ารู้ได้ยังไง “กูเห็น”

“เป็นเหยี่ยวเหรอสัด สายตาดีในที่มืดงี้” ครามแค่นหัวเราะก่อนเดินไปหยิบที่เปิดขวดแล้วโยนให้กับเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม องศารับมาแล้วเอื้อมมือไปเปิดตามคำสั่ง “คุยเรื่องทั่วไป”

“มึงเคยมีเรื่องทั่วไปกับน้องด้วยหรือไง” องศาถามเสียงกระซิบขณะที่คอยหันไปมองทางประตูครัวว่ามีใครเดินอยู่แถวนี้หรือไม่ “อย่างมึงนี่มัน...”

“กูแค่ระบายนิดหน่อย” เขาตอบก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม คว้าขวดเบียร์ที่องศาเปิดเอาไว้ขึ้นมากระดกหลายๆ อึก พวกเขาสองคนเนรเทศตัวเองออกมาจากห้องรับแขก เพราะไม่อยากไปกวนเด็กๆ ที่กำลังทำงานกันอยู่ “พี่มึงอะ”

“ทำไม” เสียงทุ้มถามเชิงสงสัย เขารู้ว่าครามชอบนับ แต่นับยังไม่ลืมพี่เข็มทิศ มันเป็นความซับซ้อนที่ยังหาจุดจบไม่เจอ จะพูดอะไรมากก็ไม่ได้เพราะฝั่งหนึ่งก็พี่ชาย อีกฝั่งหนึ่งก็เพื่อน แม้ว่าครามกับพี่เข็มจะไม่ค่อยลงรอยกัน แต่เราก็ไม่เคยมีปัญหากันในเรื่องนี้เพราะแยกแยะออก

“วันนี้ไปไหน”

“ไม่ได้ถาม”

“เขาพานับไปด้วย” เขาแค่นหัวเราะก่อนยกขวดเบียร์ขึ้นกระดกอีกครั้ง จากเต็มขวดตอนนี้ก็ลดเหลือครึ่งหนึ่ง เรียกได้ว่าคืนนี้ยังไงก็ต้องเต็มแม็กซ์ พอเห็นว่าองศาหรี่ตาเขาจึงพูดออกไปเพื่อคลายความสงสัย “กูโทรหานับ แต่พี่เข็มรับ บอกมันหลับ”

“ก็เลยไปปรึกษาพู่กัน”

“กูแค่ระบาย”

“แต่มึงระบายกับกูได้” บอกตามตรงว่าองศาไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ที่เวลาครามมีปัญหาแล้วเอาทุกอย่างไปปรึกษาพู่กัน ถ้าเป็นรูปแบบพี่ชายน้องชายก็จะไม่ท้วงเลยสักคำ แต่มันผิดตรงที่สถานะพี่น้องต้องไม่มีเซ็กส์เข้ามาเกี่ยว “กูจะพูดอีกที ว่ามึงทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้”

“กูรู้”

“แล้วเมื่อไหร่จะหยุด” ครามมองหน้าเพื่อนสนิทโดยที่ไม่มีความคิดใดๆ นอกจากคำว่าเห็นแก่ตัว คำนี้มันเป็นเพียงคำเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัว “มึงเลิกรักนับไม่ได้ มึงก็ไม่ควรยุ่งกับน้องแบบนั้น ถ้าสมมติน้องเผลอชอบมึงขึ้นมา”

“…”

“มึงรู้หรือยังว่าจะทำยังไงกับความสัมพันธ์ที่มันไปต่อไม่ได้”

ครามถอนหายใจก่อนยกมือขึ้นลูบใบหน้า ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาทำหน้าที่แทนในตอนนี้ อันที่จริงคือเขายังไม่ได้คิดถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น เพราะมั่นใจว่ายังไงพู่กันก็คงไม่น่าจะมาชอบคนอย่างเขาแน่ๆ แต่ไม่ปฎิเสธว่าเขาเคยคิดในเชิงกลับกันว่าถ้าเกิดเป็นเขาที่ชอบพู่กัน

“แล้วกูต้องทำยังไง”

“อย่าถาม เพราะมึงรู้อยู่แล้ว” องศาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ก่อนยกมือขึ้นมากอดอก “อย่างน้อยมึงควรจะนึกถึงใจพู่กันกับน้ำเงินบ้าง”

“…”

“ถ้าน้ำเงินรู้ว่ามึงทำให้มันวุ่นวาย” เป็นอีกครั้งที่เขานิ่งไปจากคำพูดของเพื่อนสนิท “มึงก็น่าจะรู้ว่าน้องคงไม่โอเคแน่ๆ ยิ่งน้ำเงินบอกกูตลอดว่าอยากให้มึงมีความรักดีๆ แล้วดูที่มึงทำ”

“…”

“แต่น้องไม่ได้หมายถึงว่านับไม่ดีนะ”

“ศา กูเข้าใจ”

“มึงเข้าใจว่าอะไร”

“เขาดี แต่แค่เขาไม่รักกู”

ครามย้ำตัวเองมาตลอด แต่ในบางครั้งสิ่งที่นับทำก็เหมือนกับว่ามีใจ เขาจะไม่นับเรื่องที่เคยโทรหากันทุกวันก่อนนอน ไม่นับที่ชวนไปกินข้าวบ่อยๆ เพราะรู้ว่าเพื่อนก็ทำได้ แต่ว่าไอ้ที่ชวนกินเหล้าแบบคล้องแขนจนหน้าอยู่ใกล้กัน บอกคิดถึงแบบอยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นมา มันยังบัญญัติอยู่ในคำว่าเพื่อนไหม

นับรู้ว่าเขาชอบ รู้ว่าเขาคิดอะไร แต่เราไม่เคยมีความลึกซึ้งที่เกินกว่าการได้นอนจับมือหรือกอดกันก่อนนอน ไม่มีแม้แต่การจูบที่ใครก็คิดว่ามันควรจะมีเพราะเวลาไปเที่ยวไหนเขานอนห้องเดียวกันกับนับตลอด แต่ไม่เคยมีเลยสักครั้ง

“เฮีย” น้ำเสียงคุ้นหูที่ดังแว่วเข้ามาเป็นผลให้เขาหลุดออกจากภวังค์ความคิด ครามหันไปตามต้นเสียงก็เห็นว่าน้องชายกำลังยืนเกาะอยู่ตรงขอบประตู “เพื่อนเราจะอาบน้ำ”

“ครับ” เขาหรี่ตาลงด้วยความสงสัยในตอนที่เห็นว่าน้ำเงินอ้อมแอ้มไม่ยอมพูด หันไปมององศาที่ทำทีเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะต้องย้อนกลับไปมองที่น้องชายตัวเองอีกครั้ง “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

“ห้องน้ำไม่พอ” น้ำเงินหัวเราะแห้งๆ เมื่อครามยกยิ้ม ก็นึกว่ามีปัญหาอะไรมากกว่านั้น “เราให้เพื่อนไปอาบห้องเฮียได้เปล่า”

“ได้ครับ แล้วใคร?”

“ไม่รู้ว่าจะเป็นพู่หรือเหมยอะ หมิงกับเพลิงออกไปซื้อขนมเพิ่ม แต่ถ้าเพื่อนเราขึ้นไปอาบห้องเฮียจะไม่เป็นอะไรแน่นะ” พอเห็นว่าน้องชายถามย้ำอย่างเกรงใจเขาจึงหลุดหัวเราะ รวมไปถึงองศาที่ยังอยู่ตรงข้ามกัน “หัวเราะอะไรเล่า ...พี่ศาด้วย หัวเราะอะไรเราครับ”

“เปล่าครับ แล้วหนูจะอาบตอนไหน” องศาถามก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหา ตั้งแต่ที่คบกันองศาก็เรียกแทนตัวน้ำเงินด้วยคำว่าหนูเหมือนที่ครามเรียกเมื่อก่อน สุดท้ายคนเป็นพี่ก็ยอมเปลี่ยนไปเรียกน้องชายด้วยคำว่าน้ำเฉยๆ ตามที่นับเรียก

“ไม่ต้องมาอ้อนเราเลยนะ” น้ำเงินว่าพลางพลักคนเป็นแฟนให้ออกห่าง ก่อนจะกลับมาให้ความสนใจกับคนเป็นพี่ชายที่นั่งมองอยู่ “ตกลงเฮียโอเคแน่นะ”

“แน่ครับ เอากุญแจห้องไปเปิดเลย”

“ขอบคุณนะครับ” เขาพยักหน้าก่อนจะปล่อยให้น้องเดินออกไปพร้อมองศาที่ทิ้งท้ายเอาไว้ว่าเดี๋ยวมา เอาจริงๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไร พอเข้าใจคนติดแฟน ซึ่งในจุดนี้เขาไม่แน่ใจเท่าไหร่นักว่าใครติดใครกันแน่ ระหว่างน้องเขาติดไอ้ศา หรือไอ้ศาติดน้ำเงิน แต่โดยรวมก็ดีเพราะไม่ต้องห่วง

ครามล้วงเอาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมากดดูว่ามีแจ้งเตือนที่เกี่ยวกับนับเข้ามาหรือไม่ พอไม่พบเขาจึงกดเข้าแอพฟังเพลงโดยตั้งใจว่าจะเปิดไปเรื่อยๆ จนกว่าแบตที่เหลืออยู่เพียงเจ็ดเปอร์เซ็นต์จะหมดไป

เกือบยี่สิบนาทีที่นั่งฟังเพลงอยู่ที่เดิม เบียร์ขวดที่สามหมดลงอย่างง่ายดาย ครามถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นเพราะจะขึ้นไปบนห้องเนื่องจากว่าจะไปเอาสายชาร์จ พอได้นั่งกินเบียร์ฟังเพลงแล้วกลับมาอยู่เงียบๆ มันก็โล่งแปลกๆ อย่างน้อยมีเพลงให้ฟังก็ไม่แย่

เขาเดินขึ้นห้องไปด้วยความว่องไว แต่กลับต้องขมวดคิ้วยุ่งๆ ในตอนที่เดินเข้ามาในห้องแล้วได้ยินเสียงเพลงที่เปิดไว้ดังลั่น


ค่ำคืนที่มืดมัวเธอไม่ต้องกลัวอะไร เหน็บหนาวจนตัวสั่นเธอเพียงแค่กอดฉันไว้ ไม่นานก็คงจะดี...ดีกว่านี้ใช่ไหม เพราะฉันแค่กลัว...กลัวจะทนไม่ไหว
เขยิบมาหน่อยได้ไหมให้ใจตรงกัน แค่อยากจะยืนตรงนั้น ยืนอยู่ข้างๆเธอ รู้ดีว่าไม่มีทาง... เพราะเธอยังลืมเขาไม่ได้



อะไรมันจะเศร้าขนาดนี้วะ เขาคิดในใจก่อนจะส่ายหน้า เดินตรงไปทางโต๊ะข้างเตียงเพื่อจะหาสายชาร์จ เขาไม่รู้ว่าใครอยู่ในห้องน้ำ แต่ทางที่ดีก็ควรจะรีบหยิบแล้วรีบออกไป แต่ใจหนึ่งก็คิดอยากจะอยู่รอเพื่อถามว่าเพลงที่เปิดนั่นเพลงอะไร

เพราะแม่งก็ตรงกับเขาดี

“ฮ...เฮ้ย” ครามชะงักทันทีในตอนที่ก้าวขาออกมาจากห้องได้เพียงก้าวเดียว เพราะเสียงร้องท้วงนั้นเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี “เข้ามาตอนไหนวะ”

ร่างสูงหมุนตัวกลับไปก่อนกระตุกยิ้มเมื่อเห็นว่าพู่กันอยู่ในสภาพที่ล่อเสือ ผ้าขนหนูผืนเดียวที่พันอยู่รอบเอวเป็นผลให้เขาเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมกับล็อคประตู

“กูมาเอาที่ชาร์จ ไม่รู้ว่าเป็นมึง”

“รู้แล้วก็ออกไปดิ... มองห่าไรเนี่ยพี่” พู่กันขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะเอาผ้าเช็ดผมผืนเล็กที่วางอยู่บนศีรษะลงมาพาดบ่าไว้ หวังจะใช้มันปกปิดร่างกายแต่แน่นอนว่าปิดได้ไม่มิดชิด

“ปิดทำไม มึงเป็นผู้ชาย”

“เป็นผู้ชายแต่เจอคนหื่นๆ อย่างพี่ก็ไม่ไหวปะวะ” เขาสบถก่อนจะค่อยๆ เดินไปตรงโต๊ะทำงานของครามแล้วกดปิดเพลงที่เปิดจากโทรศัพท์ “ออกไปก่อน จะแต่งตัวเว้ย”

“เหมือนมึงลืม นี่ห้องกู” ไม่ว่าเปล่าครามยังเดินไปนั่งลงบนเตียงแล้วหันไปมองทางเด็กที่ยืนอยู่ไม่ไกล ผ้าขนหนูผืนสั้นจะหลุดหรือไม่หลุดก็คงแล้วแต่โชคชะตา “เปิดเพลงไร”

“ไม่รู้ ปล่อยมันรันเรื่อยๆ”

“ดูให้ที” พู่กันเหลือบสายตาขึ้นมองก่อนจะถอนหายใจ เขากดเข้าแอพสีแดงอีกครั้งแล้วเปิดดูประวัติการเข้าชม ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากบอกคนพี่ก็แย้งขึ้นมาก่อน “ไม่ดิ ส่งลิงก์เพลงให้กูเลย”

“เออ งั้นไว้ส่งทีหลัง แต่จะเศร้าไรนักหนา รกตา”

“ด่าจัง” เขาแค่นหัวเราะจนไอ้เด็กตัวบางนั้นมองแบบงงๆ “ศาบอกให้กูเลิกยุ่งกับมึง”

“...”

“มันบอกให้กูนึกถึงมึง กับน้ำเงินบ้าง” น้ำเสียงที่ไม่สามารถคาดเดาได้ของคนเป็นพี่ทำเอาใจเขากระตุกวูบ “แล้วมันก็จริง กูเห็นแก่ตัว ไม่เคยนึกถึงมึงกับน้ำ”

“ถ้าเลิกยุ่งไปแล้วไหวไหมล่ะ” ร่างบางยืนพิงโต๊ะแล้วกอดอกถามอย่างจริงจัง ดวงตากลมมองไปยังคนพี่ที่หน้าเริ่มแดงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ “ผมยังไงก็ได้ ถ้าพี่บอกให้ไปก็จะไป แต่ถ้าบอกให้อยู่”

“…”

“ก็จะอยู่”

“มึงโอเคจริงๆ เหรอวะ” เขาแทบไม่รู้เลยว่าพู่กันกำลังคิดอะไร มันจะมีคนที่ยอมขนาดนี้โดยที่ไม่ได้หวังอะไรจริงๆ ใช่ไหม ทั้งที่เขาเห็นแก่ตัวมากขนาดนี้ ทำไมถึงยังยอมอยู่ข้างกัน

“จริง ก็ตามที่ตกลงกันไง ถ้าผมหรือพี่มีคนของตัวเองก็จบ แต่ถ้าผมมีก่อนพี่ก็อย่าขอให้ผมอยู่ มันก็แค่นั้น” ครามลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปหาไอ้เด็กตัวจ้อย นึกไปถึงคำถามที่องศาตั้งขึ้นมาให้ตอบเมื่อครู่ เขาจำได้แต่ยังไม่มีคำตอบ เพราะฉะนั้นก็เลยอยากรู้ว่าพู่กันจะมีคำตอบไหม “หยุดตรงนั้นแหละ ไม่ต้องเข้ามาใกล้กว่านี้”

“ทำไม”

“ตรงๆ คือไม่ไว้ใจ” คนพี่ไหวไหล่แล้วยอมหยุดอยู่ที่เดิม มันเป็นระยะห่างที่ไม่ได้ห่าง เพียงแค่เขาคว้าหมัยก็เข้าถึงตัวพู่กันแล้ว “มีไรข้อง”

“ถ้าสมมติ” เขาเกริ่นออกไปเพื่อดูเชิง พอคนตรงหน้ากอดอกเพื่อรอฟังจึงพูดต่อ “กูชอบมึงขึ้นมา”

“…”

“มึงเคยคิดไหมว่าจะทำยังไงกับความสัมพันธ์ของเรา”

“ไม่เคย” พู่กันสวนกลับโดยไม่ต้องคิด “เพราะพี่ไม่มีวันชอบผม”

“ถ้าเกิดกูชอบไง”

“มันก็แค่ถ้าเกิดไหมวะ เรื่องจริงมันไม่ใช่ พี่รักพี่นับจะเป็นจะตาย” เขาไม่เคยคิดมากไปถึงขั้นนั้นหรอก ถ้าจะคิดมันก็คงสลับกัน จะทำยังไงถ้าเกิดเผลอไปชอบครามแต่ก็ยังไม่รู้คำตอบ เพราะไม่คิดจะชอบ “จะเอาใจที่ไหนมาชอบผม”

“แล้วถ้าเกิดมึงชอบกูล่ะ” เมื่อไม่ได้คำตอบจากคำถามเมื่อครู่ เขาจึงเปลี่ยนตัวแปร “มึงจะทำยังไง”

“เมาแล้วเป็นบ้าเป็นบอ” เขาเตรียมเดินหนี แน่นอนว่าจงใจเลี่ยงตอบ “หนาว จะใส่เสื้อผ้าไปทำงานต่อละ”

“เดี๋ยวดิ” ครามคว้าหมับที่ข้อมือของเด็กที่กำลังเบี่ยงตัวออกไป เจ้าของร่างเล็กหันมามองด้วยสายตาขุ่น ภาวนาในใจว่าอย่าให้อีกฝ่ายถามย้ำ จะให้เขาเอาคำตอบที่ไหน เพราะสิ่งที่ชัดเจนเลยคือยังไงครามก็ไม่มีวันชอบเขา ซึ่งตัวเขาเองก็แน่ใจเช่นกันว่าจะไม่ชอบคราม “ไม่ได้จะคาดคั้น กูรู้ว่ามึงคงไม่ชอบกูหรอก”

“ก็ถ้ารู้แล้วพี่จะถามเพื่อ”

“ลองเสี่ยง” ลึกๆ แล้วครามก็เคยคิดแต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะนำมาสานต่อให้ได้คำตอบ พอถูกองศากระตุ้น ก็เลยต้องเอากลับมาคิดใหม่ “แต่มึงเชื่อไหมว่ากูก็ตอบตัวเองไม่ได้”

“เรื่องอะไรอีก จะตั้งคำถามอะไรเยอะ—” ไม่ปล่อยให้พู่กันได้พูดจบประโยค ครามดึงไอ้เด็กตัวบางที่ไม่มีอาภรณ์ปกปิดร่างกายเข้ามาไว้ในอ้อมกอดจนผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนบ่าร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น

“กูจะทำยังไง ถ้าเกิดเผลอไปชอบมึง”


tbc
พอแต่งไปแต่งมาก็เริ่มสงสัยว่าเอ๊ะ นี่จะแต่งดราม่าได้ไหม ปกติไม่ถนัดสายนี้ แต่ก็นั่นแหละค่ะ พอกระชุ่มกระชวยเนาะ 5555555
ส่วนเพลงในเนื้อเรื่องชื่อเพลง เพราะเธอยังลืมเขาไม่ได้ ของ GTK นะคะ
ขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ เป็นกำลังใจให้เราได้มากๆ เลยค่ะ ♥
#โซ่สีคราม นะคะ ขอบคุณค่า

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 02 ; (21/09/61)
«ตอบ #15 เมื่อ23-09-2018 01:35:17 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ it.the.world

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 02 ; (21/09/61)
«ตอบ #16 เมื่อ23-09-2018 02:56:15 »

พู่กันต้องเล่นตัวหนักๆเลยนะ  :angry2: ถ้าพี่มาชอบ  :pig4:

ออฟไลน์ BChampa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 02 ; (21/09/61)
«ตอบ #17 เมื่อ24-09-2018 19:33:31 »

จะจบประมาณ18ตอนเหมือนเดิมมั้ย จะได้คำนวนความหน่วงที่จะได้รับ จะดราม่าประมาณไหน ดูยังไงนับก็ไม่มีวันชอบคราม อยู่ที่เมื่อไหร่ครามจะถอยเองมากกว่า
อยากให้คู่นี้มีความสุขแบบ สุขที่รู้ว่าตัวเองสำคัญกับอีกคนนึง ไม่ใช่โอเค จะอยู่ก็อยู่ จะไปก็ไปต่อไปเรื่อยๆแบบนี้

ออฟไลน์ stuff.lilac

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 03 ; (28/09/61)
«ตอบ #18 เมื่อ28-09-2018 20:30:45 »

03
wrong time

//


ผ่านมาเกือบอาทิตย์หลังจากที่ไปทำงานบ้านของน้ำเงิน แต่น้ำเสียงของครามยังคงดังก้องอยู่ในสมองของเขา จะทำยังไงถ้าเผลอมาชอบเขาเหรอ ...ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคิดมากทำไมในเมื่อมันไม่มีทางเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว มันเป็นคำถามที่เจ้าตัวก็ไม่รู้คำตอบ แล้วจะมาคาดหวังอะไรจากเขาล่ะ

“เหม่ออะไรของมึงไม่ทราบ หื้ออ” เสียงใสดังเจื้อยแจ้วจนพู่กันต้องช้อนสายตาขึ้นมอง อาทิตย์นี้ลูกหว้ากลับบ้านก่อนกำหนดแล้วก็ตั้งใจมากลับมาอยู่ที่บ้านสองสามวัน เนื่องจากมาอยู่ดูแลแม่ที่ป่วยกะทันหัน

“ขยันใส่ใจ”

“ก็ยังดีที่ไม่ใช้คำว่าเสือก” เพื่อนสนิทตัวเล็กว่าพลางจิ้มส้อมลงบนแพนเค้กเนื้อนุ่มก่อนจะอ้าปากงับ “เออนี่ มึงจำเพื่อนกูได้ปะ”

“คนไหน” พู่กันถามขณะที่เอื้อมไปดึงทิชชู่ออกมาจากกล่องแล้วยื่นให้คนตรงหน้า เธอรับไปโดยไม่ว่าอะไรแต่กลับเอาไปใช้ผิดจุดประสงค์ทำให้เขาต้องแย้งออกไป “กูให้เช็ดปาก กินอะไรมอมแมม แบบนี้ใครจะเอาเป็นแฟน”

“แหม กูก็มูมมามตอนอยู่ต่อหน้ามึงไหมอะ อีกอย่างกูไม่ได้ตั้งใจค่า ชิ้นมันใหญ่ ปากกูเล็ก โอเคนะคะพี่พู่กัน” หว้าเบ้ปากก่อนรับเอาทิชชู่จากมือเพื่อนชายมาเช็ดปากตามความประสงค์อย่างลวกๆ “เออ ต่อ เพื่อนกูที่ชื่อฟางอะ ตัวเล็กๆ แต่สูงกว่ากู”

“ไม่ต้องบรรยาย กูจำหน้าตาไม่ได้ ทำไม”

“บอกมึงหล่อ” เขาหรี่ตาลงอย่างจับผิด จริงๆ คือเพื่อนของหว้าไม่ได้มีคนเดียวที่พูดแบบนี้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นทั้งที่หน้าตาของเขาถ้าเทียบกับคนอื่นๆ แล้วถือว่าโดนแซงขาด “มันเอาโทรศัพท์กูไปเล่น แล้วทีนี้มันเจอรูปคู่มึงกะกู ก็บอกมึงหล่อ”

“แล้วยังไงต่อ มึงคงไม่ได้...”

“ชู่ว อย่าปฏิเสธกันเลยค่ะเพื่อนรัก กูแนะนำให้”

“ไอ้หว้า” พู่กันเรียกชื่อย้ำเพราะอยากให้เพื่อนตัวเองยืนยันว่าไม่ได้ทำอย่างที่คิด พอเพื่อนหว้าชมเขาเข้าหน่อยก็จัดแจงส่งช่องทางการติดต่อของเขาให้ไปโดยที่ไม่ถามสักคำ “จริงจัง?”

“แค่เฟซน่า” เธอตอบทั้งๆ ที่แพนเค้กยังเคี้ยวแพนเค้กตุ้ยๆ “มึงโสดอะ กูก็ช่วยหาไง”

“แต่กูบอกแล้วว่าไม่ต้อง กูไม่ได้อยากมีแฟน”

“เพราะมึงชอบพี่คนนั้นใช่ปะ” มือเรียววางช้อนส้อมลงบนจานก่อนหยิบเอาแก้วน้ำมาดูดขณะที่ใช้สายตามองเขาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ “มึงปฏิเสธเพื่อนกูทุกคนเลยอะ”

“ก็กูไม่ได้ชอบเพื่อนมึง”

“แต่มึงยังไม่ลองคุยนี่”

“ให้ลองกูก็ไม่ชอบ” เขาถอนหายใจอีกหนจนเพื่อนสนิทย่นจมูกนิดๆ “มีมึงคนเดียวกูก็ปวดหัวแล้วหว้า”

“นี่คือด่า”

“เออ” คนถูกบ่นเบ้ปากจนเขาหัวเราะออกมาเบาๆ พู่กันนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ระหว่างนั่งมองเพื่อนสนิทนั่งกินแพนเค้กที่เหลืออยู่เพียงนิด

เขาปฏิเสธเพื่อนหว้าทุกคนนั่นคือเรื่องจริง ไม่ว่าจะเพื่อนสนิทหว้าหรือที่รู้จักกันผิวเผินแล้วเห็นรูปเขาผ่านหน้าจอโทรศัพท์ อันที่จริงก็ไม่ได้ทำบอกปัดแบบน่าเกลียดเพราะไว้หน้าเพื่อน แต่ก็ตอบเท่าที่จำเป็นแล้วก็บอกไปตรงๆ ว่าไม่ได้คิดอะไรด้วยนะ อย่าพยายามจะดีกว่าเพราะยังไงก็เปลี่ยนใจเขาไม่ได้

“มึง”

“อะไรอีก”

“กูเจอพี่ของมึงอะ ใช่คนนี้ไหมวะที่มึงเคยแท็กในไอจี ...แต่ใช่ดิ กูจำหน้าได้ แล้วเขามากับใครวะ” พู่กันขมวดคิ้วจนยุ่งก่อนจะหันไปมองทางประตูตามสายตาของลูกหว้า ก่อนจะพบคนที่เพิ่งเจอกันไปเมื่อวันก่อน สีครามกำลังจะเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับพี่นับ

อะไรดลจิตดลใจให้มาร้านนี้วะ เพราะแม่เขาไปทำบุญเก้าวัดกับเพื่อนเลยต้องปิดคาเฟ่สองสามวัน ทำให้เขากับหว้าต้องระเห็ดมาหาร้านกินขนม แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาเจอครามที่นี่

“มึงอิ่มยัง” หว้ามองด้วยความสงสัยทันทีที่เขาหันหน้ากลับมาซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่กระดิ่งบนประตูร้านดังกระทบประตู

“ยัง ...มึงไม่ทักเขาเหรอ”

“ไม่อะ”

“พี่เขามากับแฟนเหรอวะ”

“กูจะไปรู้ได้ไง” เธอหรี่ตามองเพื่อนสนิทที่ดูมีพิรุธขึ้นมาทันที ปกติพู่กันเป็นคนเฟรนด์ลี่พอตัว เจอใครที่รู้จักก็มักจะทักทายอยู่เสมอ แต่การที่ตั้งใจจะหลบหน้าแบบนี้มันต้องมีอะไรแน่ๆ “ถ้าอิ่มก็กลับ”

“กลับก็กลับ แต่ถ้าให้กูกลับ มึงจ่าย”

“เออครับ” พู่กันควักกระเป๋าเงินออกมาก่อนหยิบแบงก์ร้อยสามใบให้กับเพื่อนสาว เธอรับมาถือเอาไว้ด้วยความสงสัยเมื่อเพื่อนตรงหน้าลุกขึ้นยืน “กูไปรอที่รถนะ รีบจ่ายรีบตามกูออกไป เข้าใจไหม”

“อะจ้า ตามใจท่านพี่เลยค่ะ น้องไม่ขัด”

“กวนตีน” เขาสบถเบาๆ ก่อนจะได้ยินเสียงลูกหว้าหัวเราะตามหลัง ควรจะรีบพาสารร่างตัวเองออกมาก่อนที่พี่นับจะเข้ามาทัก ถ้าเกิดไปเจอกันที่มอแล้วมาถามเขาก็จะแกล้งบอกว่าไม่เห็น

แต่ดูเหมือนว่าโชคจะไม่ได้เข้าข้างเขาสักเท่าไหร่ เมื่อตอนที่กำลังจะเปิดประตูออกไปจากร้านกลับต้องเจอกับรุ่นพี่อีกคนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับคราม

“เอ้า บังเอิญจังเลยน้า” เสียงยียวนของพี่ยิ้มดังกระแทกหน้าตอนที่เปิดประตูออกกว้าง เจ้าของผิวแทนฉีกยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นหน้าเขา “มึงมาคนเดียวอ่อ มาแดกกับพวกกูก่อนดิ”

“ไม่ได้มาคนเดียว มากับเพื่อน” สุดท้ายเขาก็ยังไม่ได้ออกไปไหน ได้แต่ยืนแอบอยู่มุมหนึ่งของประตูเพื่อคุยกับพี่ยิ้ม “นี่พี่มากับใครอะ”

แสร้งถามออกไปเสมือนไม่รู้ไม่เห็น ขืนบอกว่าเห็นพี่ครามมีหวังพี่ยิ้มคงได้เอาไปพูดอยู่ที่โต๊ะว่าเจอเขา หลังจากนั้นไอ้คนพี่ต้องรัวข้อความมาถามแน่ๆ ว่าทำไมเขาไม่ทัก

“มากับไอ้ครามอะดิ กูก็ยังงงๆ ตอนแรกเห็นมันคุยกันว่าจะมากันสองคน แต่ไหงไอ้นับลากกูมาด้วยเฉย” พี่ยิ้มว่าติดตลกก่อนจะสะกิดแขนแล้วทำท่ากระแนะกระแหนในตอนที่ลูกหว้าเดินมาหยุดอยู่ข้างหลัง “แฟนมึงอ่อ”

“เพื่อนพอ” พู่กันหรี่ตาลงก่อนจะลากเพื่อนตัวเล็กเข้ามาชิดตัว “ชื่อไม่ต้องบอก สวัสดีมันไปพอ”

“สวัสดีค่ะ” หว้าทำตามคำสั่งของคนที่ก้มมาบอก

“ทำไมไม่บอกชื่อ กูอยากรู้จัก” คนพี่กระลิ้มกระเหลี่ยจนหว้ากระตุกเสื้อพู่กันเบาๆ “เฮ้ย ล้อเล่น พี่ชื่อยิ้มนะครับ รุ่นพี่มัน”

“อ๋อค่ะ ฝากมัน... เอ้ย ฝากพู่กันด้วยนะคะ”

“ฝากอะไร กูเนี่ยต้องดูมัน ...” คนยืนระหว่างกลางสบถเบาๆ ก่อนจะขอตัวกลับ เพราะไม่อยากให้คนที่เพิ่งจะเข้าไปนั่งในร้านต้องเดินออกมาตามเพื่อน “แต่เดี๋ยวผมกลับก่อนนะ”

“เออๆ ตามบาย” ยิ้มตอบก่อนจะหันไปยิ้มให้สาวตัวเล็กครั้งหนึ่งตามมารยาทแล้วเดินตามเพื่อนสนิททั้งสองคนเข้าไป

พู่กันลากหว้าออกมาจากร้านโดยที่ไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ ซึ่งเพื่อนสนิทก็รู้จึงไม่เอ่ยปากถาม เขาแค่ยังสงสัยกับคำพูดของพี่ยิ้มอยู่

ที่บอกว่าพี่นับลากออกมา นั่นก็แปลได้ตรงๆ เลยว่าไม่อยากมากับครามสองคน สงสัยคืนนี้มีหวังดื่มเหล้าพร้อมน้ำตาอีกแน่ๆ

 
*

 
“จะกลับบ้านไหน” ครามเอ่ยถามหลังจากส่งยิ้มลงที่บ้านเรียบร้อยแล้ว “นับ”

“บ้านศา” พอเพื่อนข้างๆ ตอบออกมาเช่นนั้นเขาจึงไหวไหล่แล้วเตรียมที่จะเลี้ยวรถกลับ “พอให้มาส่งแล้วก็เป็นแบบนี้”

“ก็ไม่ได้เป็นอะไร ให้ไปส่งก็ไปส่งไง” เขาใช้น้ำเสียงเรียบนิ่งโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้านับเงินอย่างที่ควรจะเป็น

“อย่างี่เง่า ขอร้อง” คนฟังไม่ตอบอะไรเพราะรู้ว่าตัวเองกำลังงี่เง่าอยู่จริงๆ หลายวันมานี้เขาทะเลาะกับนับค่อนข้างบ่อย แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้เพราะเขามันก็เป็นเพียงแค่เพื่อน

มีสิทธิ์หึงก็แค่ในพื้นที่ของตัวเองเท่านั้น

เราไม่ได้คุยกันตลอดทั้งทาง มีเพียงแค่เสียงเพลงจากเครื่องเล่นบนรถที่ทำให้บรรยากาศไม่เงียบจนเกินไป ครามวนรถเข้าไปในบ้านองศา เขาจอดต่อท้ายเลกซัสป้ายทะเบียนที่ท่องจำได้จนขึ้นใจ เป็นไปได้คือเจอที่ไหนก็ไม่อยากทัก

“กูไม่ลง” ครามเอ่ยเมื่อนับหันมามองหน้าเขา รถที่อยู่ตรงหน้าเป็นของเข็มทิศ นั่นแปลว่าถ้าเข้าไปในบ้านก็ต้องเจอหน้ากันแน่ๆ

“ก็ตามใจ ไม่บังคับ” นับว่าพลางปลดเข็มขัดนิรภัยออก “ขอบคุณที่มาส่ง”

“นี่กูไม่อยากมานั่งทะเลาะกับมึงนะ” สุดท้ายคนที่ทนไม่ไหวก็เป็นเขา เจ้าของร่างเล็กที่กำลังจะเปิดประตูชะงักก่อนจะหันกลับมามองแล้วถอนหายใจเสียงดัง

“ไม่ได้อยากทะเลาะเหมือนกัน” นับขมวดคิ้วยุ่ง เขารู้ว่าในตอนนี้ความสัมพันธ์ของตัวเองกับครามนั้นแย่เพียงใด “แต่มึงงี่เง่า”

“กูไม่ได้อยากงี่เง่า มึงก็รู้ แต่จะให้กูทำไงวะ”

“มึงก็ท่องไว้ว่ามึงไม่มีสิทธิ์” คำพูดตอกหน้าทำเอาเขาใจกระตุกวูบ ความรู้สึกชาๆ ที่หัวใจเป็นผลให้เขาแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่ “มึง ...กู”

“ไม่ต้องขอโทษ มันเรื่องจริง” ครามเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากมองคนข้างๆ อีกต่อไป พอเป็นนับหลุดพูดจาแบบนี้ทีไรก็มักจะจบลงด้วยคำขอโทษ ซึ่งเขาไม่ต้องการ ขอโทษแล้วได้อะไรในเมื่อมันเป็นความจริงตามที่พูด “กูเป็นเพื่อนมึง”

“...”

“ฝากสวัสดีพี่มันด้วยแล้วกัน”

“คราม”

“มึงลงไปเหอะ กูจะกลับแล้ว” เขาไม่หันไปมองหน้านับเลยด้วยซ้ำ แล้วพอพูดไปอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยอมลงจากรถไปโดยไม่พูดอะไรอีก มันดีแล้วที่เป็นแบบนี้ เขากำลังอารมณ์เสีย พูดไปก็มีแต่จะทำให้ทะเลาะกันมากกว่าเก่า

รถคันหรูเคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านองศาด้วยความรวดเร็ว อยากจะเหยียบให้มิดแต่ก็เกิดฉุกคิดว่ากลัวไปทำชาวบ้านชาวช่องเดือดร้อน

กลายเป็นคนไร้จุดหมายในช่วงหัวค่ำ เขาขับรถมาตามทางเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่าจะเอาสารร่างตัวเองไปไว้ไหน ร้านเหล้ายังไม่เปิด ไม่กล้าไปรบกวนยิ้มที่เพิ่งจะส่งถึงบ้าน มันควรใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่บ้าง

องศาน่าจะทำงานอยู่ที่ร้านกับน้ำเงิน เขาคงไม่พาตัวเองที่มีแต่ความขมุกขมัวไปพลอยทำให้บรรยากาศเสียหรอก ครามถอนหายใจก่อนตัดสินใจพารถเข้าจอดข้างทาง

ในหัวก็เอาแต่คิดถึงพู่กัน น้องมันเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเขาจริงๆ แต่พอโดนองศาตอกหน้าเข้าวันนั้น ความคิดที่จะกลับตัวเป็นคนดีก็แทรกเข้ามาจนทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะโทรไปรบกวน

นิ้วเรียวเลื่อนรายชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ไปมา ตั้งแต่ตัวอักษรแรกยันตัวสุดท้าย ก่อนจะหยุดตรงที่เบอร์ที่เมมเอาไว้ด้วยคำว่า ‘คุณไพลิน’

คนที่คิดอะไรไม่ออกจึงตั้งใจจะขับรถไปสนามบินเพื่อกลับบ้านที่ขอนแก่น มันเป็นความชั่ววูบที่เกิดขึ้นจริง เขาใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะขับรถไปถึงสนามบิน ตั๋วยังไม่ได้จองก็คิดแต่ว่าจะมาหาเอาดาบหน้า ไฟล์ทไหนก็ได้แค่ได้ไปก็พอ

แต่ความเคยชินของคนติดโลกออนไลน์อย่างเขา กลับถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงอินสตาแกรม ไม่ได้ลงแคปชั่นใด ไม่เช็กอิน ไม่มีรูปถ่ายที่บ่งบอกว่าตอนนี้เขาอยู่สนามบิน มีเพียงรูปรองเท้ากับพื้นปูน ในจังหวะที่เขากำลังจะลุกขึ้นจากที่ตรงนี้ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือเกิดสั่นขึ้นมา ครามลังเลใจอยู่พักใหญ่จนสายตัดไป แล้วพู่กันก็โทรกลับมาใหม่ในครั้งที่สอง

(อยู่ไหนวะ)

“ทำไม”

(ตอบผมดีๆ พี่ อย่ามาทำน้ำเสียงแบบนี้ ไม่ชอบเว้ย) ปลายสายดูหงุดหงิดกว่าที่ควร (พี่คราม)

“สนามบิน”

(เดี๋ยว... จะไปไหนป่านนี้)

“กลับบ้าน” เขาตอบกลับตามความจริงขณะพาตัวเองเดินวนไปวนมาอยู่ที่เดิม “มึงมีอะไรหรือเปล่า”

(มี แต่เดี๋ยวเคลียร์พี่ก่อน จะกลับบ้านทำไมไม่เห็นบอก)

“กูเพิ่งคิดได้”

(ตอนนี้เนี่ยนะ) พู่กันเริ่มใช้น้ำเสียงหงุดหงิด (พี่จะบ้าเหรอ จองตั๋วแล้วหรือไง)

“ยัง ...กูไม่มีอะไรเลย”

(มานี่) ปลายสายถอนหายใจจนเขาได้ยิน (มาหาผมที่บ้าน)

“ทำไม”

(เออ มาเหอะ)

“อือ”

(ขับรถมาดีๆ)

“พู่”

(ไรอีก)

“ไม่วางได้ไหมวะ” ครามกลั้นใจถามออกไป ยังรู้สึกเกรงใจอยู่เนืองๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากให้พู่กันอยู่ตรงนี้ เขารอฟังคำตอบด้วยใจที่เต้นระส่ำ อยู่ดีๆ ก็เกิดกลัวคำตอบของน้องมันขึ้นมาเสียอย่างนั้น “แต่ถ้ามึงไม่...”

(ใส่กระเป๋า ถึงรถแล้วใส่บลูทูธ อย่าถือ เคยัง)

“โอเค ขอบคุณ” พอได้ยินปลายสายขานตอบแล้วเขาจึงเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าตามคำสั่ง ทำไมขี้แพ้ขนาดนี้วะ ทั้งที่มันไม่สมควรจะรบกวนเลยด้วยซ้ำ แต่อีกอย่างหนึ่งที่ยังคงสงสัยทำไมพู่กันถึงได้ทักมาถูกเวลาขนาดนี้ โทรมาหลังจากที่เขาลงรูปไปไม่ถึงห้านาที

แล้วมันก็เลยกลายเป็นพู่กันตลอดที่อยู่ด้วยกัน ในตอนที่เขาคิดอยากจะหนีไปคนเดียว


*


“พอแล้วมั้ง จะยัดอะไรนักหนาอะ” เสียงใสท้วงออกมาเมื่อเบียร์ขวดที่หกกำลังจะหมดลง เจ้าของร่างสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้แต่ช้อนสายตาขึ้นมอง แม้จะฟังแต่ก็ยังไม่หยุดรินใส่แก้ว “ผมไม่อยากคุยกับคนไม่มีสตินะเว้ย”

“กูคอแข็ง”

“แข็ง แข็งมากเนอะ เบียร์หกขวด หน้าแดงแจ๋” พู่กันเอื้อมไปหยิบแก้วที่มีน้ำสีอำพันอยู่จนเกือบเต็มมากระดก ถ้าหมดแก้วนี้ก็เหลือในขวดอีกนิดหน่อย ซึ่งเขาตั้งใจว่าจะเป็นคนดื่มเองทั้งหมดเพราะไม่อยากให้ไอ้คนพี่มันเมาไปมากกว่านี้ แม้ว่าก่อนหน้าพู่กันจะดื่มจนเริ่มมีอาการมึนๆ แล้วบ้างก็ตาม

“แย่งกู” เสียงทุ้มพูดออกมาสั้นๆ ก่อนจะรินเบียร์จนหมดขวดหลังจากที่ได้แก้วคืน ในจังหวะที่พู่กันกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบมาอีก แต่ครามรู้ทันจึงคว้าเอาไว้ก่อน “แก้วนี้ของกูแล้ว”

“ของพี่หลายแก้วแล้วเหอะ” แม้จะพูดไปให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่ากินมากเกินไปแล้วแต่ครามก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะปล่อยแก้วในมือให้มาเป็นของเขาเลยสักนิด “เอาให้ผม”

“ไม่”

“แบ่งกันดิ” พู่กันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเจือเอาแต่ใจ ครามรู้ว่าที่น้องทำเพราะไม่อยากให้เขาเมาแอ๋ “แก้วนี้แบ่งกัน”

พอเด็กตรงหน้าย้ำอีกครั้งเขาจึงพยักหน้า ครามกระดกเบียร์เข้าปากหนึ่งอึกก่อนจะเลื่อนกลับไปให้ ซึ่งพู่กันก็ทำตามเขา เราสลับกันเลื่อนแก้วไปมาจนกระทั่งมันดื่มได้อีกแค่ครั้งเดียว เป็นครามที่ได้แก้วสุดท้ายมาครอง เขาลุกขึ้นยืนท่ามกลางความสงสัยของพู่กันที่แสดงออกได้ชัดผ่านทางสีหน้า

“มึงบอกให้แบ่งกัน ถูกไหม”

“ใช่ไง” เขาตอบกลับไปโดยที่ไม่ต้องคิด “แต่ครั้งนี้พี่เอาไปก็ได้”

ครามไม่ตอบอะไรเพียงแต่กระดกเบียร์เข้าปากอีกครั้ง สิ่งที่คนพี่กระทำหลังจากนั้นคือการโน้มลงมาประกบริมฝีปากกับเขา เป็นเหตุผลที่ทำให้พู่กันต้องเผยอปากกวาดรับรสขมปร่าเข้ามาสู่ตนเองอย่างห้ามไม่ได้

การถูกป้อนโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้น้ำสีอำพันไหลซึมออกมาตามมุมปาก ชายหนุ่มบดจูบคล้ายเสน่ห์หา เรียวลิ้นกระหวัดหยอกเย้าจนเริ่มได้ยินเสียงอื้ออึง

มือเล็กกำคอเสื้อของครามแน่นเนื่องจากเริ่มหายใจติดขัดจากการถูกบดจูบเสมือนจะไม่ปล่อยให้เขาได้หายใจ กระทั่งเริ่มทนไม่ไหวถึงได้เขย่าคอเสื้อของอีกฝ่ายเพื่อบอกให้รู้ว่าพอก่อน

ครามถอนจูบแต่ก็ยังไม่หลบไปไหน มือหนึ่งยันตัวเองไว้กับขอบโต๊ะ อีกมือหนึ่งก็ค้ำยันไว้กับเก้าอี้ที่พู่กันนั่งอยู่ เจ้าของร่างสูงได้แต่กระตุกยิ้มเมื่อเห็นว่าไอ้เด็กตัวเล็กนั่งก้มหน้างุด เมื่อพู่กันไม่เงยหน้าขึ้นมาเขาจึงเดินกลับไปนั่งลงที่เดิมโดยที่เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อ

“ไหนบอกพอแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยถามในตอนที่เห็นว่าพู่กันกำลังเปิดเบียร์อีกขวด เจ้าของบ้านไม่ตอบแต่กลับกระดกเบียร์เข้าปากซึ่งคล้ายแบบที่เขาทำเมื่อครู่ ครามมองด้วยความสงสัยว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่า สุดท้ายก็รู้ว่าเขาเพียงแค่ทำให้อีกฝ่ายตื่นตัว

ร่างบางลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินมาหาก่อนกระชากเขาขึ้นไปจูบ ครามไม่ได้ตกใจเพราะชินเสียแล้วกับการโดนจู่โจมกลับ ไอ้เด็กที่ปากชอบบอกว่าไม่ตอนมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ความจริงแล้วก็เอาแต่ใจไม่หยอก

“ผมไม่โกง” พู่กันเป็นประเภทอย่าคิดว่าทำได้คนเดียว ถ้าอยากจะเอาคืนเขาน่ะนะ ไอ้ความช่างเถียง ไม่ยอมคน พูดตามที่คิดทำให้เขารู้สึกสบายใจเวลาที่อยู่ด้วย “พี่ทำได้ ผมก็ทำได้วะ”

“เก่งครับเก่ง”

ชายหนุ่มกระตุกยิ้มขยับเก้าอี้ถอยหลังออกไปเพราะคิดจะลุกขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ลุกไปไหน เพราะน้ำเสียงของเขาคงทำให้อีกฝ่ายไม่ค่อยพอใจ ถึงได้โน้มหน้าลงมาแล้วประกบริมฝีปากทาบทับอีกครั้ง ครามจูบตอบจนเด็กที่เป็นฝ่ายเริ่มเมื่อครู่อ่อนข้อลง ฝ่ามือใหญ่ดึงคนที่กำลังยืนอยู่ให้ทิ้งตัวลงนั่งบนตักได้อย่างง่ายดาย

เราจูบกันแบบที่ไม่มีใครยอมใคร เสียงหอบหายใจคละเคล้าไปกับเสียงเฉอะแฉะของลิ้นที่กระหวัดกันอยู่อย่างนั้น กระทั่งชายหนุ่มช้อนตัวคนบนตักขึ้นแล้วยกเพื่อให้นั่งบนโต๊ะใหญ่ ร่างสูงแทรกตัวเองไปอยู่ระหว่างกลางแล้วจับสองขาของพู่กันให้เกี่ยวเอวตัวเองไว้

“อย่าทำรอยที่คอ” เสียงคำสั่งดังแว่วเข้ามาในโสตเมื่อครามจรดปลายจมูกลากไปตามลำคอระหง เขาก็ไม่ใช่คนพูดไม่รู้เรื่อง มือใหญ่ถกเสื้อตรงหัวไหล่ของพู่กันลงเผยให้เห็นผิวละเอียดที่ยังมีรอยสีกุหลาบจางๆ ประทับอยู่ “...เดี๋ยวดิ ของเก่ายังไม่หายเลย”

“แล้วจะให้กูทำตรงไหน” ครามกระซิบข้างใบหู ไม่วายที่จะขบเบาๆ เพราะอยากแกล้งเด็กช่างสั่ง “คอก็ห้าม ไหล่ก็ห้าม”

พู่กันไม่ตอบแต่กลับใช้ฝ่ามือเล็กๆ นั่นสอดเข้ามาใต้เสื้อ ครามแค่นหัวเราะกับขี้แกล้งไม่แพ้กัน เขาผละออกก่อนเปลี่ยนมาจ้องหน้าตรงๆ แทน

“พี่เมายัง”

“ยัง... มือมึงอยู่ให้มันนิ่งๆ ได้ไหม” แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ก็ยังปล่อยให้ไอ้เด็กแสบไล้ฝ่ามือไปตามหน้าท้อง “จะหยุดไม่หยุด”

“...หยุด” เขายันสองแขนไว้กับขอบโต๊ะขณะที่ยังคงมองหน้าอยู่ ซึ่งที่พู่กันบอกว่าหยุดก็คือหยุดจริงๆ หยุดยุ่งกับหน้าท้อง แต่เปลี่ยนไปซนอยู่ตรงหัวเข็มขัดแทนน่ะสิ

“มึงกำลังยั่วกูอยู่ รู้ตัวหรือเปล่า”

“เหรอ งั้นไม่ทำ” คราวนี้ไอ้เด็กขี้ยั่วกลับหยุดการกระทำจริงๆ ตามที่พูด คนพี่กระตุกยิ้มก่อนโน้มไปกระซิบข้างหูอีกครั้ง

“มึงเมา”

“ไม่เมา”

“มึงมีอารมณ์”

“...”

“เงียบแปลว่าไม่มี”

“มี” คำตอบของพู่กันเป็นผลให้ครามจูบซับตามซอกคอขาวโดยทันที เจ้าของร่างเล็กเอียงคอไปอีกฝั่งโดยอัตโนมัติเพื่อให้อีกฝ่ายได้ซุกไซ้ได้ถนัดกว่าเดิม พอรู้สึกตัวว่าครามกำลังลืมสิ่งที่ห้ามก็ท้วงขึ้นมา “ไม่เอารอย”

“ลืม”

“ตลอด”

“ไม่หงุดหงิดดิ” คนพี่ขบติ่งหูเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงฟึดฟัด เขาสอดมือเข้าไปภายใต้เสื้อยืดสีทึบ ฟ้อนเฟ้นเอวคอดด้วยความมันเขี้ยว “หายหงุดหงิดยัง”

“ยัง”

“แล้วต้องทำไง”

“อย่าถาม” ครามจรดจมูกลงบนแก้มใสทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงดุ มันกลายเป็นความรู้สึกที่เขาเอ็นดูพู่กัน ความจริงมันก็เป็นแบบนี้มาตลอด “สีคราม”

“ไม่แกล้งแล้ว” คนพี่หัวเราะเบาๆ ตอนที่ได้ยินน้องเรียกว่าสีคราม ปกติไม่ค่อยมีใครเรียกชื่อเขาเต็มๆ นักหรอก แต่พอพู่กันหงุดหงิดเวลาโดนแกล้งแล้วทำอะไรไม่ได้ก็มักจะไม่เรียกพี่ เขาไม่เคยห้ามไม่ว่าน้องจะเรียกอะไร รวมไปถึงการเรียกโดยมีคำหยาบอย่างไอ้เหี้ยนำหน้าก็ตาม

“ให้จริง” พอได้อยู่กับพู่กันแล้วเขาก็แทบจะลืมความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นเมื่อหลายชั่วโมงก่อนไปเสียหมดสิ้น

“หงุดหงิดเก่ง”

“อย่าทำให้หงิดกว่านี้”

“ได้ครับ”

“อือ”

“ขอบคุณครับ” ไม่แน่ใจเช่นกันว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขาเอ่ยปากขอบคุณพู่กันจากใจจริงๆ ตั้งแต่เรามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเขาก็พูดคำพวกนี้บ่อยขึ้น และก็จะได้รับคำตอบแบบเดิมๆ กลับมาเสมอ

“เต็มใจ”

“ทำไมไม่เจอกันให้เร็วกว่านี้”

“หมายถึงอะไร”

“เรา”

“ถ้าเจอกันเร็วกว่านี้แล้วจะทำไม” ชายหนุ่มโน้มหน้าเข้าไปหาตอนได้ยินคำถาม หน้าผากของเราแตะกันอย่างแผ่วเบา พู่กันไม่ได้หลบสายตาเพราะอยากจะรู้ในคำตอบ “พูดมา”

“ไม่งั้นพี่คงชอบพู่กันจริงๆ” คนฟังชะงักทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกแทนตัวเองว่าพี่ มันไม่บ่อยนักแต่ยอมรับว่าเวลาที่ได้ยินแล้วก็เผลอใจกระตุกทุกที แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกใจกระตุกมากกว่าเดิมก็คงจะเป็นเพราะประโยคที่ดังขึ้นถัดมา “แล้วพี่คงจะมีความสุขกว่าที่เป็นอยู่”

พู่กันไม่ได้เกิดเพียงแค่ความรู้สึกหวั่น แต่สิ่งที่ครามพูดออกมากลับทำให้รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อโง่ๆ มาบินว่อนอยู่ภายในตัว แต่เขารู้ว่ามันก็เป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบหนึ่งของเราทั้งสองคน

“จะบอกว่าเจอผมผิดเวลาว่างั้น” พู่กันยิ้มเล็กน้อยด้วยความตั้งใจแซว ไม่แปลกถ้าอีกฝ่ายจะมีความคิดเช่นนั้น อารมณ์เปลี่ยวใครก็คิดได้ว่าถ้าเกิดเป็นคนนั้นคนนี้มันจะดีกว่า ไหนจะบรรยากาศที่ชวนให้เกิดความรู้สึกนั้นอีก

“ไม่เชิง”

“ผมผิดเวลา แต่พี่ผิดที่” ครามหัวเราะเบาๆ ให้กับความบัดซบของชีวิตในตอนที่นึกถึงคนที่ทำให้หัวเสีย เขาผิดที่จริงๆ ทั้งๆ ที่อยู่ถูกเวลา เพราะเขาชอบนับมาก่อน ชอบมาก่อนที่นับจะได้รู้จักเข็มทิศเสียอีก พอเป็นแบบนี้แล้วก็ได้รู้ ถูกเวลาแต่ผิดที่มันก็เท่านั้น

“ย้ำเข้าไป”

“เดี๋ยวจะตอกให้หงาย”

“อะไรอีกล่ะ”

“ผมกับพี่ผิดคนละอย่าง” สองแขนเล็กเกี่ยวต้นคอแล้วดึงให้เข้าไปหา พู่กันวางใบหน้าลงบนไหล่ของเขาก่อนกระซิบเบาๆ “แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของเรา”

“…”

“มันผิดทั้งที่ ผิดทั้งเวลา”

tbc

ผิดที่เราเจอกันช้าไป ไม่มีทางจะมารักกัน... /ตอนละเพลงหรือสองเพลงดี
บอกนิดนึงว่าเรื่องนี้มีเซ็กส์เข้ามาเกี่ยวแน่นอนนะคะ มันจะคนละฟีลกับองศาเลย แต่คงม่าไม่มากเพราะเราไม่ถนัดสายใจสลาย
แต่ถ้าใครไม่โอเคกับอะไรแนวๆ นี้ หยุดอ่านตอนนี้ยังทันน้า ไม่อยากให้เสียความรู้สึกที่หลังนะค้าบ T__T
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ด้วยค่า #โซ่สีคราม

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 03 ; (28/09/61)
«ตอบ #19 เมื่อ28-09-2018 21:32:11 »

 :L2: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 03 ; (28/09/61)
« ตอบ #19 เมื่อ: 28-09-2018 21:32:11 »





ออฟไลน์ Ti0590

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 03 ; (28/09/61)
«ตอบ #20 เมื่อ28-09-2018 22:51:05 »

งงกับพู่อ่ะ อยากจะตัดขาดแต่อยู่ดีๆก็โทรเรียกเขามาให้มาทำกันซะอย่างงั้น อยากแกร่งใจต้องนิ่งนะน้องพู่ ถ้ามันผิดทีผิดเวลา ก็อย่าจะไปจุ๊งจิ๊ง ทรมานตัวเองเปล่าๆ ถอยออกมา

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 03 ; (28/09/61)
«ตอบ #21 เมื่อ28-09-2018 23:31:52 »

อยากให้พู่ทำใจแข็ง ไม่สนใจคราม ให้อิพี่มันกระอัก   :katai1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 03 ; (28/09/61)
«ตอบ #22 เมื่อ29-09-2018 10:28:22 »

เทามากกกกก

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 03 ; (28/09/61)
«ตอบ #23 เมื่อ29-09-2018 13:22:22 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ stuff.lilac

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 04 ; (04/10/61)
«ตอบ #24 เมื่อ04-10-2018 20:19:31 »

04
Keep trying

“ทะเลาะกันหรือยังไง” น้ำเสียงคุ้นหูดังแทรกเข้ามาในโสต จำให้นับต้องละสายตาจากสมาร์ทโฟนที่กดส่งข้อความไปหาเพื่อนสนิทรัวๆ ตั้งแต่อีกฝ่ายส่งเขาที่หน้าบ้าน แต่ไร้การเปิดอ่าน

“อือ” นับเงินช้อนสายตามองคนที่ยืนผูกเนคไทอยู่ไม่ไกล “แต่ไม่เกี่ยวกับเธอ”

“ครับ” เข็มทิศไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น แค่ถามดูเพราะเห็นว่านับนั่งหน้ามุ่ยมาพักหนึ่งแล้ว ถ้านึกๆ ดูก็คงจะตั้งแต่ที่เดินเข้ามาในบ้าน กระทั่งขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ยังคงนั่งอยู่หน้าเดิม หนึ่งในเหตุผลก็คงไม่พ้นเด็กผู้ชายคนนั้น

เข็มทิศรู้ดีว่าน้องอึดอัดที่ต้องมาออกงานด้วยกันบ่อยๆ ตามคำสั่งของผู้ใหญ่ ถ้าไม่ติดว่าบ้านเป็นหุ้นส่วนกันหรือโดนบังคับให้มาเขาก็คงไม่ได้เจอหน้านับหรอก

ความสัมพันธ์ของเขากับนับมีเพียงองศาที่รู้ว่าจบกันไม่สวยเท่าที่ควร ถึงอย่างนั้นน้องชายก็ไม่เคยถามถึงเหตุผล ผู้ใหญ่คิดเพียงว่าพวกเขาติดปัญหาเรื่องเวลาไม่ตรงกัน ซึ่งปัญหาหลักมันก็ใช่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าความจริงแล้วเราเลิกกันเพราะอะไร

นับพยายามตีตัวออกห่างจากเขาตั้งแต่เลิกกัน การหันไปให้ความสนใจเพื่อนสนิทที่มองก็รู้ว่าคิดไม่ซื่ออย่างคราม ทำให้เข็มทิศล้มเลิกความคิดที่จะพูดให้กลับมาเป็นเหมือนเคย อีกอย่างมันก็คงจะดีถ้านับได้เจอคนที่ดีกว่า

ถึงอย่างนั้นถ้าพูดในฐานะคนเคยคบกัน เขารู้นิสัยนับ รู้เท่าที่คนๆ นึงจะเคยใส่ใจได้ รู้ว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร รู้กระทั่งว่านับมีความรู้สึกบางอย่างที่มันไม่สมดุล เพราะงั้นมันก็คงไม่ผิดถ้าเขาจะมองออกว่านับพยายามจะชอบคราม

แต่ทำไม่ได้

“จะติดไปด้วยเหรอ” คนที่เพิ่งวางโทรศัพท์ถามทันทีเมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องกำลังจะกลัดคัฟฟ์ลิงก์เข้ากับข้อมือเสื้อ

“ปกติพี่ก็ติด” นับไม่ถามอะไรต่อเพราะขืนถามออกไปมีหวังได้โดนสวนกลับมาว่าเพราะเขาไม่สนใจมานานแล้ว ซึ่งมันเป็นความจริงที่ถูก แต่สิ่งที่เข็มทิศไม่เคยได้รู้เลยคือความไม่สนใจของเขาก็ต้องใช้พยายามมากเช่นกัน “เธอมากลัดข้างขวาให้ที”

“อือ” เขาลุกขึ้นไปอย่างว่าง่ายเนื่องจากไม่อยากมานั่งมีปากเสียงก่อนจะออกไปงานสำคัญ เข็มทิศยกข้อมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายได้กลัดถนัดขึ้น

ดวงตากลมมองไปยังคัฟฟ์ลิงก์ที่เห็นเสี้ยวหนึ่งก็จำได้อย่างแม่นยำว่าเป็นของใคร เพราะนับเป็นคนสั่งทำให้เป็นของขวัญวันเกิดเข็มทิศก่อนจะเลิกกัน

คัฟฟ์ลิงก์รูปเข็มทิศสีดำ รายละเอียดหน้าปัดที่ทำขึ้นโดยเฉพาะและสี่ทิศมีเพียงตัวอักษร N ซึ่งมันไม่ใช่ทิศเหนือทั้งสี่แต่อย่างใด
 
N บนหน้าปัดคือนับเงิน

“ถ้าคิดมากก็ส่งข้อความไปขอโทษ” เข็มทิศพูดขึ้นมาขณะแฟนเก่ายังจดจ้องอยู่ที่คัฟฟ์ลิงก์ เขาละมือลงหลังจากนับกลัดมันเข้ากับเสื้อเสร็จเรียบร้อยก่อนจะวางฝ่ามือลงบนหัวของเด็กตรงหน้าที่ระยะความสูงต่างจากเขามากพอสมควร “เด็กนั่นคงโกรธเธอได้ไม่นานหรอก”

“...”

“เชื่อพี่”

คนฟังกัดริมฝีปากทันทีหลังจากได้ยินอย่างนั้น เข็มทิศก็ยังเป็นคนเดิมๆ เป็นคนผลักไสให้เขาไปหาคนอื่นเสมอ ยอมรับว่าครามเป็นคนหนึ่งที่นับพยายามปันใจให้หลายครั้ง สิ่งที่ทำร่วมกันหากใครมองก็จะคิดว่าให้ความหวัง แต่เขาไม่ได้อยากทำให้เพื่อนสนิทต้องรู้สึกแบบนั้น นับเงินอยากรักครามจริงๆ

อยากรักให้ได้เหมือนตอนที่รักเข็มทิศ

แต่สุดท้ายก็ได้รู้ว่าไม่ควรฝืน เขาไม่สามารถทำให้เพื่อนสนิทเลื่อนขึ้นมาเป็นคนรักได้ และความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นตั้งแต่เริ่มคิดเช่นนั้น

นับพยายามไม่ไปไหนมาไหนกับครามสองต่อสองเหมือนก่อน พยายามไม่พูดอะไรให้อีกฝ่ายคิดไกล แต่บางทีเขาก็เผลอพูดจาแรงๆ ออกไป ทั้งที่มันไม่ใช่ความผิดของคราม

เขาผิดที่เริ่มต้นมัน ผิดที่คิดว่าจะเป็นใครก็สามารถแทนกันได้ แต่มันไม่ใช่ ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้ว่ามันไม่สามารถมีใครแทนใครได้จริงๆ

“ถ้าจะเชื่อเธอ ...พี่เข็ม” นับเงินเปลี่ยนสรรพนามการเรียกแทบไม่ถูก จริงๆ คือติดปากเรียกเข็มทิศว่าเธอ ซึ่งอีกฝ่ายก็เรียกเขาแบบนั้นเช่นกัน พอเลิกกันก็จะพยายามเปลี่ยนกลับมาเรียกให้เหมือนตอนแรกที่เจอกัน แต่ก็ล้มเหลวแทบจะทุกครั้ง

“ถ้ามันลำบากก็อย่าพยายาม”

“...”

“เพราะเธอ ไม่ได้เจ็บคนเดียว”
 
*

“พู่ ตื่น” ครามเรียกเด็กที่กำลังซุกอยู่ภายใต้ผ้าห่ม นิ้วเรียวเกลี่ยลงบนแก้มนิ่มหวังจะให้ไอ้คนที่หลับไม่รู้เรื่องได้รู้สึกตัว “พู่กัน”

เสียงครางฮือนั่นบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่อยากให้ใครมารบกวนเวลานอนอันแสนสุข แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้นอนอยู่ได้ เพราะการตื่นมากินข้าวเช้าคนเดียวมันก็ฟีลเหงาพอสมควร

“อือ ขออีกสิบนาที” พอทนไม่ไหวกับการโดนลากนิ้วไปทั่วใบหน้าจึงเอ่ยปากขอออกมา ทั้งๆ ที่ยังซุกอยู่กับผ้าห่ม ไม่คิดจะลืมตาขึ้นมาดูเลยว่าครามกำลังหาวิธีแกล้งด้วยสีหน้าเป็นสุขแค่ไหน

“ลุกมา” ไม่ว่าเปล่ายังกระชากผ้าห่มและโยนมันไปปลายเตียง ครามสอดแขนไปใต้วงแขนของเด็กขดตัวงอเป็นกุ้ง ก่อนจะใช้แรงระดับหนึ่งยกไอ้เด็กตัวเล็กขึ้นมานั่งตรงๆ พู่กันโงนเงนไปมาจนคนพี่เผลอยิ้มไปกี่ครั้งแล้วไม่รู้ “ไปล้างหน้า แปรงฟัน จะได้กินข้าว”

“ข้าวที่ไหน” คนงัวเงียถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้ แต่ความอยากรู้ก็คงสู้ความง่วงนอนไม่ได้ ในจังหวะที่น้องมันจะทิ้งตัวลงบนเตียงเขาจึงต้องจับหัวทุยๆ มาพิงกับอกตัวเองไว้แทน “อือ พี่คราม ง่วงอะ”

“ข้าวต้ม กูทำ”

“จะฆ่ากันให้ตายแล้วฝากแม่ผมที่ทัวร์เก้าวัดอยู่ทำบุญให้ถูกปะ” เด็กขี้เซาค่อยๆ ลืมตาหลังจากได้ยินว่าคนพี่ทำข้าวไว้ให้ พู่กันขยับศีรษะออกจากแผ่นอกเพียงนิดก่อนช้อนสายตาขึ้นมองคนที่กำลังกอดเขาอยู่ “หน้าแบบพี่เนี่ย ทำข้าวต้มได้เหรอ”

“พอบอกกูทำ รีบตื่นเชียวนะมึง” คนพี่หัวเราะตอนเห็นว่าน้องมันทำหน้ายู่เหมือนไม่อยากจะเชื่อ เขาตื่นมาแล้วนอนไม่หลับก็เลยลุกไปอาบน้ำ จากนั้นจึงลงไปทำข้าวเช้าไว้ให้ไอ้เด็กขี้เซา ครามทำอาหารเป็นบ้างเล็กน้อย เพราะเมื่อก่อนเขาก็ต้องดูแลน้ำเงิน “ไปอาบน้ำเร็วๆ”

“ขออีกห้านาที”

“...”

“นะ ผมโคตรง่วง”

“อ้อนกูดิ” ครามกระตุกยิ้มเย้ย เอาหัวเป็นประกันว่าไอ้เด็กช่างเถียงคงจะฟึดฟัดแล้วบอกว่างั้นไม่นอนก็ได้ แต่ในความเป็นจริงมันผิดจากที่คิด

“พี่คราม พู่ง่วงระดับสิบ ขอนอน นะ ...นะครับน้า” พอได้ยินเสียงออดอ้อนเป็นผลให้เขาถอนหายใจเบาๆ แต่ก็พยักหน้าเพื่อยอมตกลง ความง่วงคงจะทำให้อะไรๆ เปลี่ยน เขาเคยเห็นพู่กันโหมดนี้อยู่บ้าง แต่ไม่บ่อยแล้วก็ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็นอีก “แต๊งยูนะครับ”

“เดี๋ยวกูปลุก”

“ห้ามปลุกก่อนห้านาทีนะ โอเคเปล่า”

“เออ กูรู้แล้วน่า”

เมื่อได้รับคำยืนยันเด็กตัวจ้อยจึงพยักหน้าระรัวแล้วทิ้งตัวลงนอน ครามขยับตัวลงมานั่งบนพื้นเพราะอยากให้เจ้าของเตียงได้นอนดิ้นได้เต็มที่ ไอ้ที่บอกว่าห้านาทีจริงๆ ก็โกหก ครามรู้ว่าสำหรับพู่กันขั้นต่ำต้องสิบห้านาทีขึ้น

เขาเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่วางอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียง ตั้งแต่อยู่กับพู่กันก็ยังไม่ได้เช็กความเคลื่อนไหวใดๆ เลยสักนิด หัวคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยตอนเห็นแจ้งเตือนของคนที่ทำให้หัวเสียที่ส่งค้างไว้เมื่อคืน

nnubb :
หายโกรธยัง
ถ้าหายแล้วตอบกูด้วย
กูต้องไปงานกับพี่เข็ม
ไม่ได้ตั้งใจจะพูดจาทำร้ายมึงนะ
ขอโทษ
แต่กูก็พยายามแล้ว
 
พออ่านถึงประโยคว่าพยายามแล้วก็ทำให้เขาถอนหายใจออกมา ความรู้สึกหวิวเกิดขึ้นทันทีแถมใจยังเจ็บแปลบๆ แบบรู้หน้าที่ คำว่าพยายามแล้ว นี่ต้องพยายามขนาดไหนวะ คนเราจะชอบกันแม่งต้องใช้ความพยายามมากขนาดที่พูดออกมาแบบนี้ได้เลยหรือยังไงกัน
 
nnubb :
อย่าโกรธกูนานนะ เหงาปาก
เห้อ คราม ตอบหน่อยดิ
กูขอโทษที่ปากไม่ดี ขอโทษจริงๆ
พอมึงโกรธแล้วกูรู้สึกไม่ดีเหี้ยๆ เลย เหงา ไม่มีใครทักมาด่า
ดีกันได้ปะ กูง้อสุดๆ เท่าที่จะง้อได้แล้วนะ
 
จากครึ่งนาทีที่แล้วเขากำลังขมวดคิ้วจนยุ่ง แต่ตอนนี้กลับยิ้มเสียอย่างนั้น ความจริงคือนับรู้ว่าเขาโกรธมันได้ไม่นาน แถมรู้ว่าง้อยังไงถึงจะหาย ปกตินับง้อคนไม่เป็น จบแล้วก็จบกันไป เพราะงั้นไอ้การส่งข้อความมาตื๊อรัวๆ นี่มันไม่ใช่นิสัยของเพื่อนสนิทเลยสักนิด

จริงๆ แค่คำพูดที่บอกว่าไม่ได้คุยก็เหงา ก็สามารถทำให้เขายิ้มได้แล้ว ถามว่ามีความสุขไหมก็มีแต่ไม่เต็มร้อย

ความรักของเขากำลังถูกทำลายทีละนิดด้วยคำว่าเพื่อน ครามรู้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรว่าเราสนิทกันเกินกว่าที่จะเลื่อนขั้นเป็นคนรัก ถึงอย่างนั้นในเสี้ยวหนึ่งของความคิดก็ยังอยากมีนับเป็นของตัวเอง

เคยคิดว่ามันคงจะดีกว่านี้ถ้านับไม่เจอเข็มทิศ ต้องมีสักวินาทีหนึ่งที่เพื่อนสนิทจะมองเขาเป็นคนรัก แต่ในความเป็นจริงมันขึ้นอยู่ที่ใจของคนล้วนๆ ต่อให้อยู่ใกล้แทบตาย ทำดีแค่ไหน แต่เขาไม่รัก ก็คือไม่รัก

นับเป็นความสบายใจของเขามาตลอด เช่นเดียวกันกับที่นับคิด เคยมั่นใจว่านับคงจะเป็นคนเดียวที่ทำได้แล้วมันก็คงจะดีถ้าเรามีกันและกันอยู่ กระทั่งในชีวิตเขาเริ่มมีพู่กัน

มันทำให้รู้ว่าไม่ได้มีนับเพียงแค่คนเดียวที่ทำได้ น้องมันเป็นคนทำลายความคิดข้อนั้นของเขา แต่เพราะมันเป็นความลับจึงทำให้ไม่มีใครได้รู้ว่าบางทีเขามองว่าพู่กันน่ารักเพียงใด

“จะเอาขาพาดคอกูเลยหรือไง” ครามหันไปท้วงเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสเจ็บๆ หลังต้นคอ พอหันไปก็ปะทะกับเข่าแหลมที่เขารู้ว่าน้องมันตั้งใจทำ “เดี๋ยวมึงจะโดน”

“ผมหลับอยู่เหอะ รู้เรื่องที่ไหนกัน” ปากเล็กขยับมุบมิบขณะที่ยังไม่ยอมลืมตา ซึ่งมันก็ดีเพราะพู่กันจะได้ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังยิ้มกว้างแค่ไหน กวนประสาทแต่ก็ทำให้เขายิ้มได้ตลอด

“มึงไม่รู้เรื่องเหรอ”

“อือ” ครามวางโทรศัพท์ลงบนพื้นโดยที่ยังไม่ได้พิมพ์ข้อความตอบเพื่อนสนิท ร่างสูงกระโจนขึ้นไปก่อนคร่อมคนบนเตียงได้อย่างง่าย “เฮ้ย พี่!”

“อ้าว รู้เรื่องแล้วหรือไง”

“อย่ามาทับ ตัวหนัก” พู่กันพยายามพลิกตัวกลับมานอนหงายเพื่อจะใช้แรงต่อต้านคนพี่ได้เต็มที่ แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นก็เข้าทางคนเจ้าเล่ห์อย่างดี “ไอ้เหี้ย!”

“ด่าแต่เช้า ระวังสุขภาพจิตเสีย” ครามหัวเราะเมื่อโดนด่า พู่กันคงเป็นอาหารเสริมความสุขชั้นดีไม่ว่าจะเวลาไหนๆ เสี้ยวหนึ่งมันเริ่มทำให้คิดว่าเขาอาจจะชอบน้องไปแล้ว แต่พอนับเงินทักมาความคิดของเขาก็ถูกกลบไป “ตื่นแล้วก็ลุกไปอาบน้ำ”

“ไม่ไป”

“กูสั่งดีๆ แล้วนะ” เขายกยิ้มเจ้าเล่ห์ตอนที่เด็กใต้การบังคับบัญชาเอ่ยปฏิเสธ

“หยุดความคิด จะให้ไปอาบน้ำก็ลุกไปดิ มาคร่อมอยู่แบบนี้จะลุกได้ปะ ผมสู้แรงยักษ์แบบพี่ไม่ไหวหรอกนะเว้ย”

“พูดมากขนาดนี้เคยโดนบอกให้หยุดพูดบ้างไหมวะ”

“มีแต่คนอยากฟังผมพูดเหอะ”

“ไม่ใช่กูคนนึง”

“ตัดหูทิ้งไปดิงั้นก็” เด็กช่างเถียงจ้องหน้าอย่างไม่ยอมแพ้ ถ้าไม่อยากได้ยินก็ตัดหูตัวเองทิ้งไปสิโว้ย จะมาห้ามคนอื่นพูดได้ยังไง “หรือไม่ถนัด ผมตัดให้ก็ได้ ฟรี”

“ตัดหูมึงได้ไหมล่ะ”

“ไม่”

“กูก็ไม่ตัด”

“ทำไมไม่ตัด ไม่อยากได้ยินเสียงผมก็ตัดหูไปดิ”

“หยอกไปงั้น”

“...”

“กูอยากได้ยินเสียงมึงจะตายพู่กัน”

*

ครึ่งหลังของวันจบลงตรงที่เขาลากพู่กันออกมาเป็นเพื่อนตัดผม ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ยังไม่ยาวเท่าไหร่แต่แค่ไม่รู้จะไปไหนก็เท่านั้น

ครามผ่อนคันเร่งลงเมื่อเห็นว่าสัญญาณไฟจราจรข้างหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง หากเป็นเมื่อก่อนเขาก็คงจะเหยียบจนมิดเพื่อให้ไปต่อโดยไม่ต้องเหยียบเบรก แม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นช่วงวินาทีเฉียดตายก็ตาม

เคยมีครั้งหนึ่งเขาฝ่าไฟแดงตอนพู่กันนั่งมาด้วย หลังจากนั้นก็โดนด่าแบบหูฉีกในแบบที่จำได้จนวันตาย

‘ถ้าคิดจะฝ่าไฟแดงคราวหลังอย่าพามาด้วย จะตายก็ตายคนเดียว’
‘ไม่รักตัวเองก็ห่วงชีวิตคนอื่นเขาบ้าง ถ้าเกิดฝ่าไฟแดงไปแล้วชนใครเข้า คิดดูว่าทำไมเขาต้องซวยทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด บนโลกมันไม่ได้มีแค่พี่คนเดียวนะเว้ย’
‘ถ้าเกิดพลาดแล้วตาย คุ้มกันใช่ไหม หรือถ้าพี่ไม่ตาย แต่มีคนมาตายเพราะพี่ มันโอเคใช่ปะ’


พอโดนด่าครั้งนั้นเขาก็ไม่เคยคิดจะฝ่าไฟแดงอีก มีหลายอย่างที่ทำผิดแล้วคนที่เตือนได้ก็คือพู่กัน แม้แต่ละคำที่พูดออกมาจะฟังแล้วเจ็บจี๊ด แต่มันก็เป็นสิ่งที่น้องต้องทำ เพราะพู่กันเคยพูดเอาไว้ว่า ‘แบบพี่อะ พูดเบาๆ ก็ไม่สำนึกหรอก’ ฟังแล้วเหมือนโดนลากไปรุมต่อยแต่ก็ไม่เถียง เพราะมันเป็นเรื่องจริง

“ตกลงกูตัดทรงไหนดีวะ” ครามหันมาถามหลังจากที่จอดรถเทียบหน้าร้าน

“เอ้า มาถึงร้านแล้วเนี่ย ยังไม่รู้ทรงอีกเหรอวะ” พู่กันขมวดคิ้ว มองใบหน้าหล่ออย่างหาเรื่อง จริงๆ ก็ไม่เห็นว่าจะยาวสักเท่าไหร่ แต่ถ้าอยากจะตัดก็ไม่ขัด “โกนไปดิ”

“ก็เหี้ยแล้วน้อง” ครามสบถด้วยน้ำเสียงติดหัวเราะ ก่อนเอื้อมมือไปผลักหัวเด็กที่นั่งอยู่ข้างๆ “ปะ เดี๋ยวตัดผมเสร็จค่อยไปหาอะไรกิน”

“หือ จะกินอีกเหรอ ข้าวต้มก็กินมาแล้วไง” คนทำข้าวต้มมื้อเช้าได้แต่ขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินคำทักท้วง

“ก็มึงบอกไม่อร่อย กูก็ต้องพามาหาอย่างอื่นกินดิ”

พู่กันเบ้ปากแต่ไม่ตอบอะไรกลับ เอาเข้าจริงรสชาติมันก็ไม่ได้แย่ แถมเขาก็ยังกินจนหมดชาม ถ้าจะคิดว่าพูดจริงก็แล้วแต่เลย
ในมุมหนึ่งของครามก็ไม่ได้เลวร้ายกับเขา แถมมักจะเป็นแบบนี้หลายครั้ง แม้จะปากไม่ดีไปบ้างบางหน แต่สำหรับพู่กันคิดว่าคำพูดขัดกับการกระทำอย่างสิ้นเชิง

เมื่อคืนที่เขาโทรไปเรียกครามมาบ้านเพราะก่อนหน้านั้นเจ้าตัวทักมาบอกว่าอยู่กับพี่นับ แต่ก็บ่นเรื่องเพื่อนสนิทนั้นเอาแต่รับโทรศัพท์ที่เป็นสายเรียกเข้าจากพี่เข็มทิศ

ด้วยความที่พักหลังอยู่ด้วยกันบ่อยขึ้นก็คงไม่แปลกหากเขาจะรู้ว่านิสัยคราม พอเห็นว่าอีกฝ่ายอัพรูปแบบไม่มีแคปชั่นซึ่งเขาก็พอจะเดาได้ว่าเป็นโหมดดราม่า และเพราะอีกฝ่ายทำตัวผิดแปลกคือการไม่โทรมาระบายความทุกข์ จึงทำให้เขาตัดสินใจโทรไปหา ทั้งที่จะปล่อยไปโดยที่ไม่สนใจก็ได้ แต่พู่กันก็เลือกที่จะโทร อย่างน้อยครามก็ยังมีเขาเป็นที่พักพิง

มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาเริ่มหวั่นกลัว คือชักไม่แน่ใจแล้วว่าโซ่ที่คล้องเอาไว้กับครามมันจะขาดสะบั้นลงได้จริงไหม เกรงว่าใจของเขาจะสั่นคลอนและทำให้โซ่เส้นบางเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะมีคนของตัวเอง

“อ้าว น้องคราม ลมอะไรหอบมาจ๊ะเนี่ย” เสียงทุ้มกึ่งบีบให้เป็นสาวดังทักทายเมื่อคนพี่ก้าวขาเข้าไปภายใน เจ้าของร้านหุ่นดีเดินเข้ามาก่อนจับตัวพี่ครามหมุนเป็นวงกลม สำรวจทรงผมที่ผ่านการขยำก่อนออกจากบ้านด้วยฝีมือของพู่กัน “ผมยังไม่ยาวเลยนี่นา”

“คิดถึงเลยมาหาไงพี่เป้”

“ต๊ายย บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกปูเป้ แต่พูดแบบนี้พี่คิดนะคะน้อง” เสียงหัวเราะคิกคักทำให้เขาที่ยืนอยู่ข้างหลังครามเริ่มหน้าแห้ง ไม่รู้ว่ามาร้านคนรู้จักไม่งั้นก็คงไม่แบกร่างตัวเองมาด้วยหรอก “แล้วนี่น้องนับไม่มาเหรอ ...อุ้ย เดี๋ยวน้า พาใครมาเอ่ยวันนี้”

พี่เจ้าของร้านหน้าตาสละสลวยชะโงกหน้ามามองเขาก่อนฉีกยิ้มร่า เพียงเสี้ยววินาทีครามก็โดนผลักไปอยู่ข้างๆ เขาจึงเผชิญหน้ากับคนตัวสูงอย่างห้ามไม่ได้

“สวัสดีครับพี่ปู...” ไม่ทันที่จะได้พูดจบ ฝ่ามือใหญ่ก็ตะครุบมือเขาที่กำลังจะยกขึ้นไหว้แล้วดึงไปสัมผัสแก้มตัวเองทันที พู่กันหันไปขอความช่วยเหลือและครามก็รู้ดีจึงเป็นฝ่ายมาดึงมือเขาออกแล้วจับเอาไว้หลวมๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกระชับแน่นตอนเห็นพี่สตรีข้ามเพศมองเขม็ง

“ท่าทางแบบนี้คือหวงเหรอจ๊ะ แหมๆๆ พี่ก็เย้าเล่นน้า” เขาได้แต่ยืนนิ่งเพราะไม่กล้าพูดอะไร มองหน้าพี่ปูเป้กับพี่ครามสลับกันไปมา ทำตัวไม่ถูกนะเอาจริงๆ “ไม่ทำหน้าแบบหมาหวงกระดูกสิจ๊ะ เย้าๆ”

ครามแค่หัวเราะแล้วลากเขามานั่งที่โซฟาแถมยังลูบหัวเบาๆ ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ของตัวเองออกมายื่นให้ แน่นอนว่าพู่กันไม่เข้าใจ แต่อีกฝ่ายกลับวางมันลงบนตักเพื่อตัดจบทุกสิ่ง

“ฝาก นั่งรอตรงนี้ กูจะสระผมก่อน”

“ครับคุณชาย เชิญหลับให้สบาย”

“กูแค่ไปสระผม ไม่ได้ไปตาย”

“เอ้า ตอนสระก็เพลินไง ง่วงๆ ก็หลับ คิดอะไรเยอะแยะวะพี่”

คนพี่หัวเราะให้กับเด็กช่างสรรหาคำมาต่อล้อต่อเถียง พู่กันรีบผลักให้ครามรีบๆ ไป พออีกฝ่ายเดินเข้าไปหลังฉากกั้นที่ใช้สระผมซึ่งน่าจะมีพนักงานประจำหน้าอยู่ พี่ปูเป้ก็รีบปรี่เข้ามาหาเขาทันที

“น้องเป็นแฟนน้องครามเหรอ”

“เอ้ย ไม่ได้เป็นแฟนกันครับ” พู่กันปฏิเสธทันควัน แต่เจ้าของร้านกลับทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ “ไม่ใช่จริงๆ ครับ รุ่นพี่รุ่นน้องเฉยๆ”
“จริงเหรอจ๊ะ ...เอ พี่ว่าไม่น่าใช่ม้างง”

“พูดจริงๆ ครับพี่ปูเป้ ทำไมพี่ไม่เชื่อผม” เขาเริ่มหัวเราะตอนที่เห็นสีหน้าของคนฟัง “พี่ครามมีคนที่ชอบแล้วครับ”

“เนี่ย ถ้าไม่ติดตรงนี้พี่ก็จะไม่เชื่อน้องเลยจริงๆ” เธอตบเข่าฉาดใหญ่ ซึ่งเขาคิดว่าพี่ปูเป้ก็น่าจะรู้เรื่องของพี่ครามกับพี่นับมาบ้างพอสมควร เพราะทีแรกก็ทักว่าไม่พาพี่นับมาด้วยเหรอ

“มันไม่น่าเชื่อขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ที่สุดค่ะ!” พี่ปูเป้ตบอกก่อนจะคว้าเขาเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะลดระดับเสียงให้เบากว่าเดิม “น้องรู้ไหมคะ พี่เนี่ยเพิ่งจะเคยเห็น”

“เห็นอะไรเหรอครับ” เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

“ก็ไอ้ที่น้องครามมาดึงมือออกไปจากมือพี่น่ะสิ ขนาดน้องนับที่บอกว่าชอบนักชอบหนา พี่ยังลวนลามได้สบายเลย”

“ก็...” พู่กันทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะตอบว่าอะไร เขาจะเชื่อคำพูดของพี่ปูเป้ได้แค่ไหน “น่าจะบังเอิญอยากเป็นคนดีล่ะมั้งครับ”

“หูย ไม่หรอก พี่น่ะ รู้จักน้องครามมานานนะ รายนี้นี่เนี่ยคนสำคัญจะหวงแรงหึงแรง เหมือนตอนพาน้ำเงินมานี่แตะไม่ได้ มันเลยน่าแปลกน่ะสิ ตกลงไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ เหรอจ๊ะ”

“พี่เป้” เสียงทุ้มของคนที่ถูกนินทาดังขึ้นมาขัดจังหวะ พี่เป้ค่อยๆ ถดใบหน้าหนีออกจากเขาก่อนจะหันไปมองตามต้นเสียง “อย่าแอ๊ว”

“แอ๊วเอิ้วอะร้าย แค่มาผูกมิตรเฉยๆ ย่ะ” พู่กันหัวเราะเมื่อพี่เป้เถียงออกไปปาวๆ ครามเดินออกมาทั้งๆ ที่หัวยังเปียกชุ่ม

“มองหน้าก็เห็นลิ้นไก่แล้ว มานี่ …มาสระผมให้คราม”

“สั่งเป็นผัวพี่เลยนะ!” สตรีข้ามเพศหน้าสวยโวยวายก่อนจ้ำไปทางพี่ครามที่เดินไปหลังฉากกั้นอีกครั้ง ยังดีที่ร้านไม่มีคนอื่นนอกจากพวกเขา ไม่งั้นคงได้โดนด่าหาว่าเสียมารยาทแน่ๆ

กว่าจะสระผมเสร็จก็กินเวลาหลายนาที พู่กันนั่งมองคนที่เป็นหุ่นนิ่ง พี่เป้ไดร์ผมสีเข้มให้แห้งพลางบ่นนู่นนี่นั่นให้ฟัง ไม่รู้ว่าครามนั่งมองอะไรอยู่ แต่มีครู่หนึ่งที่เขาเผลอสบตากับคนในกระจกแล้วไอ้คนที่อยู่ในนั้นก็ยิ้มออกมา

เป็นบ้าเป็นบออะไรของเขาวะ

พู่กันก้มลงดูหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองเมื่อมีแจ้งเตือนข้อความเข้า เขาขมวดคิ้วยุ่งเมื่อเห็นว่ามีรายชื่อไม่คุ้นเพิ่มเพื่อนในเฟซบุ๊กเข้ามา ยังไม่ทันที่เขาจะได้กดเข้าไปส่องว่าเป็นใคร โทรศัพท์ของครามที่อยู่บนตักก็สั่นเพราะมีข้อความเข้ารัวๆ เสียก่อน

สาบานได้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท แต่เพราะมันสั่นไม่หยุด แถมแถบแจ้งเตือนป๊อปอัพก็เด้งขึ้นมาระรัวจนไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อ่านทุกข้อความจนมันหยุดสั่น

nnubb :
อ่านไม่ตอบ
โกรธกูมากเลยเหรอ
ตอนบ่ายไปกินข้าวกัน ถือว่ากูไถ่โทษ
ถ้ามึงไม่มา กูก็ไม่รู้จะง้อยังไงแล้วนะ
เห็นก็ตอบด้วย อย่าโกรธนานกว่านี้เลย
กูง้อไม่เป็น

พู่กันละสายตาเมื่อหน้าจอโทรศัพท์ดับลง เขาเม้มปากเพียงนิดกับความรู้สึกประหลาดที่ก่อตัวขึ้น ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วสลัดความคิดบ้าๆ ออกไป รอเวลาให้ครามทำผมเสร็จก็ค่อยบอก

ถ้ามีเพื่อนพนันเขาจะเทหมดหน้าตักว่ายังไงครามก็ต้องเลือกไปหานับ

กว่าอีกฝ่ายจะทำผมเสร็จก็ทำเอาเขานั่งหาวไปหลายนาที ซึ่งทรงผมใหม่ก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก ก็แค่เสยเปิดหน้าผากแล้วมีช่อผมบางส่วนปรกลงมาด้านข้าง โดยรวมก็ถือว่าดูดี... มากๆ แล้วกัน

“พี่นับทักมาอะ” พู่กันพูดขึ้นโดยที่ไม่ได้ทักเรื่องทรงผมใหม่ แต่ครามกลับขมวดคิ้วเขาจึงต้องย้ำอีกครั้ง “บอกว่าพี่นับทักมา”

“ว่า”

“ไม่รู้ อ่านเองดิ” จะบอกว่ารู้ก็กลัวโดนหาว่าขี้เสือก เขาจึงตัดปัญหาด้วยการส่งโทรศัพท์คืนเจ้าตัว ครามหน้านิ่งในตอนที่กดโทรศัพท์ยิกๆ จนเขาไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“นับชวนกูไปกินข้าว”

“ก็ไปดิ ได้โอกาสทั้งที แต่ส่งผมกลับบ้านก่อนนะ” พู่กันว่าก่อนจะหยัดกายขึ้นจากโซฟา “มองหน้าอยากมีเรื่องอ่อ”

“มึงไม่ไปกับกูเหรอ”

“เหอะ พี่จะบ้าปะ จะเอาผมไปทำไม” ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในร้านจะตะโกนถามดังๆ ว่าพี่บ้าเหรอวะอีกสักสิบรอบ พู่กันสวัสดีพี่ปูเป้ก่อนเดินออกมาจากร้าน ตามด้วยคราม พอเข้ามานั่งในรถแล้วจึงคุยต่อด้วยหัวข้อสนทนาเดิม

“กูจะพามึงไปกินข้าว”

“ไม่ต้อง ไปกับพี่นับเหอะ”

“แต่กู...”

“เขาอุตส่าห์ง้อทั้งที พี่ก็ไปคนเดียวดิ อย่าเอาผมไปเป็นไก่ไข่ควาย” ครามเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าโดยที่ไม่พูดอะไร และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าไอ้ที่อีกฝ่ายกดยิกๆ นั่นได้ตอบข้อความของพี่นับเขาหรือเปล่า “นี่ถ้าทางที่ดี คราวหลังอย่าลืมตอบข้อความพี่นับ”

“มึง”

“ไรอีก อย่าข้อแม้เยอะนักดิพี่”

“กูแค่จะถาม” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ครามคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จ เขามองหน้าคนพี่ด้วยความไม่เข้าใจ

“ถามไรอะ ว่ามาดิ”

“ความพยายามกับความรัก มึงว่ามันไปด้วยกันได้ไหมวะ”

“สงสัยเก่งนะเราอะ”

“เออ แล้วมึงคิดว่าไง”

“ถ้าถามผมก็มีทั้งได้กับไม่ได้” เขาตอบโดยไม่ลังเล แต่กลับทำให้อีกฝ่ายแสดงสีหน้าว่ามีคำถามผุดขึ้นมาอีกเป็นสิบ “พี่จะเอาพยายามไหนล่ะ”

“มีช้อยส์อะไรให้กูบ้าง”

“พยายามเลิกรักกับพยายามจะรัก”

“ขอทั้งสอง”

“เลิกรักมันต้องใช้ ไม่พยายามจะเลิกรักได้ยังไง ถูกปะ” ครามพยักหน้าลงเพื่อบอกให้รู้ว่าฟังอยู่ “แต่ถ้าพยายามจะรัก คิดว่ามันคงไปด้วยกันไม่ได้”

“...”

“เพราะถ้ารักแล้วจะต้องใช้ความพยายามทำไม”

“ถ้าเขาบอกพยายามแล้วล่ะ” น้ำเสียงแตกต่างจากโทนเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ครามตอนนี้กำลังถูกตัวเองฝ่ายอกหักเข้าสิงอีกหน “มึงว่า...”

“พยายามที่จะรัก”

“...”

“ก็น่าจะรู้แล้วไหมว่าไม่รัก พยายามแล้ว แต่มันก็ยังไม่รักอยู่ดี”

“กูคงไม่ไปหานับ เดี๋ยวส่งข้อความไปบอกเอาว่ากูไม่ว่าง” พู่กันอึ้งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น อยากยกมือตบหน้าตัวเองแรงๆ จะได้รู้ว่าไม่ได้ฝันไป เป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่อีกฝ่ายปฏิเสธการไปเจอพี่นับ ดวงตาจ้องไปยังคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างสงสัย และครามคงรู้ว่าเขาคิดอะไร “ไม่พร้อมว่ะ”

“มีอะไรที่ไม่พร้อม แค่ไปกินข้าว”

“กูยังทำใจไม่ได้” พออีกฝ่ายพูดมาด้วยน้ำเสียงโอนอ่อน พู่กันก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอื้อมมือไปตบบ่าคนพี่สองสามครั้ง “กูต้องพยายามแบบไหน เป็นคนยังไง เขาถึงจะรักกู”

“...”

“หรือกูต้องพยายามแค่ไหน ถึงจะเลิกรักเขาได้”

“มันก็ยากทั้งหมดแหละ” เขายกยิ้มก่อนจะเปลี่ยนไปบีบหัวไหล่ให้คนพี่ได้ตื่นตัวมากกว่าการที่นั่งก้มหน้ามองเท้าตัวเอง พู่กันหมายความตามที่พูด เขาเข้าใจดีเพราะตัวเองก็ต้องใช้เช่นกัน เคยพยายามที่จะไม่สนใจคราม พยายามที่จะหยุดความสัมพันธ์แบบนี้ แต่ก็ไม่เคยได้เลยสักครั้ง “พยายามต่อไปเหอะ”

“...”

“ผมคิดว่าความพยายามคงไม่ทำร้ายพี่มากไปกว่านี้หรอก”

tbc.
ใกล้ได้เวลาพาเข้าวงสมรภูมิ /หัวเราะทั้งน้ำตา
ขอบคุณทุกคนมากๆ นะคะ #โซ่สีคราม

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 04 ; (04/10/61)
«ตอบ #25 เมื่อ04-10-2018 21:19:54 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 04 ; (04/10/61)
«ตอบ #26 เมื่อ06-10-2018 01:01:44 »

 :katai1: เรารู้สึกไม่ค่อยชอบนับเลย
ในขณะที่รู้สึกว่าพี่เข็มน่าดึงดูดมากแม้จะออกมาแปปเดียว 5555

ออฟไลน์ stuff.lilac

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 05 ; (08/10/61)
«ตอบ #27 เมื่อ08-10-2018 20:55:20 »

05
what if


palida faiii ส่งข้อความถึงคุณ

พู่กันละสายตาจากเค้กที่เพิ่งวางใส่จานเมื่อเห็นแจ้งเตือนข้อความเข้า พอเห็นว่าเป็นของฝ้ายเขาจึงเดินไปเสิร์ฟเค้กให้กับลูกค้าก่อน ร่างบางกลับมายืนพิงเคาน์เตอร์แล้วหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเปิดอ่าน

palida faiii :
ทำอะไรอยู่งะ
เรารบกวนเปล่าหว่า

เขาหลุดยิ้มตอนอ่านข้อความจบ ฝ้ายเป็นเพื่อนกับหว้าที่แอดเฟซบุ๊กเขามาเมื่อวันก่อน พอมีเรื่องครามเข้ามาก็เลยไม่ทันได้สนใจ เห็นอีกทีก็ตอนที่อีกฝ่ายกดอันเฟรนด์ไปแล้วแอดกลับมาใหม่

ซึ่งตอนแรกก็งงๆ เช่นกันว่าใครที่ไหนแอดมาอีก ปกติพู่กันก็ไม่ได้รับใครสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่แล้วเพราะมันรก เขาปล่อยให้คำขอค้างอยู่อย่างนั้นจนหว้าต้องโทรมาบอกว่าให้รับแอดเพื่อนเธอสักที

พู่กันบ่นไปหลายยก รวมถึงขอกับหว้าว่าให้ฝ้ายเป็นคนสุดท้าย อย่าแจกเฟซหรือช่องทางการติดต่อของเขากับใครอีก ซี่งเพื่อนสนิทก็รับปากอย่างดิบดีแต่ก็พูดดักหน้าไว้ว่าถ้าคนอื่นตามหาจนแอดมาเองหว้าก็ไม่ผิด เขาก็โอเค ขอแค่ไม่เอาไปแจกก็พอแล้ว


phu-gun phonthakorn :
ไม่กวนครับ
แต่พู่คงตอบช้านะ
วันนี้เปิดร้าน

palida faiii :
แง้ว
ถ้างั้นฝ้ายยังไม่กวนดีกว่า

phu-gun phonthakorn :
คุยได้
แต่ตอบช้า จะเบื่อรอเปล่า

palida faiii :
ฝ้ายรอได้แต่กลัวกวนอะ

phu-gun phonthakorn :
ไม่กวนจริงๆ ครับ

palida faiii :
ฮือ โอเช
แล้วได้กินข้าวบ้างยังเนี่ย

phu-gun phonthakorn :
ยังอะ เปิดมาก็ยุ่งเลย

palida faiii :
อย่าเพลินจนลืมกินข้าวเหมือนเมื่อวานนะ
เดี๋ยวผอมหมดดดดด

กับฝ้ายก็คุยกันมาได้ประมาณสามสี่วันแล้ว เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนคุยได้ในระดับหนึ่ง แต่เขาก็ไม่คอยได้ตอบตามประสาคนขี้เกียจ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ปล่อยค้างจนนานเกินไป แถมยังดีตรงที่ฝ้ายไม่ได้เป็นคนจุกจิกเหมือนคนก่อนๆ ทำให้เขาโอเคที่จะคุยด้วย

phu-gun phonthakorn :
คงต้องย้ำอีกหลายๆ ที เดี๋ยวลืม
ขาดลูกมือ หัวหมุนทั้งวันแล้ว

palida faiii :
อ้าว อยู่ร้านคนเดียวเหรอ

phu-gun phonthakorn :
ครับ แม่ไม่ยอมกลับบ้าน

palida faiii :
โอ๋ๆ น้า 55555


“สั่งเค้กหน่อยครับ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นแทรกจังหวะการตอบแชททำให้พู่กันต้องละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ เขาวางมันลงก่อนเงยหน้าไปมอง

“รับอะไรดีครับ”

“คัพเค้กทั้งหมดครับ” เจ้าของร้านจำเป็นอึ้งประหนึ่งว่าคุณคนตรงหน้าบอกจะซื้อร้านคาเฟ่ “น้องครับ”

“คือว่าทั้งหมดนี่เลยเหรอครับ” พู่กันถามย้ำอีกครั้งขณะมองคัพเค้กเกือบยี่สิบชิ้นในตู้โชว์สลับกับหน้าของลูกค้าที่แต่งตัวภูมิฐาน หน้าตาดี ตาคม ทรงผมถูกจัดแต่งมาอย่างดี แต่ก็น่าจะอายุมากกว่าเขาอยู่หลายปี มองผิวเผินก็คิดว่าน่าจะทำงานแล้ว

“ครับ”

“พี่ครับ คือมันน่าจะต้องแบ่งเป็นสองกล่องนะครับ จะเป็นอะไรหรือเปล่า ปกติถ้าสั่งเยอะๆ แม่ผมเขาจะเป็นคนจัด แต่ว่า...”

“แบ่งแบบไหนก็ได้ครับ” เขาฉีกยิ้มเมื่อลูกค้าไม่ขัดข้อง

“ถ้างั้นพี่รอผมแป๊บนึงนะ นั่งรอก่อนก็ได้ครับ”

“อ่า ให้พี่ช่วยไหมครับ”

“หือ” คนที่กำลังจะเปิดตู้เค้กท้วงออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ตลอดการช่วยแม่เปิดร้านขนมยังไม่เคยมีลูกค้าที่ไหนมาขอช่วยจัดขนมใส่กล่อง หรือว่าอีกฝ่ายจะกำลังรีบเขาจึงถามออกไป “พี่รีบหรือเปล่าครับ”

“พี่ไม่รีบครับ แต่เห็นเราอยู่คนเดียว” พู่กันยกยิ้มเล็กน้อย หน้าตาดี แต่งตัวดี แล้วยังใจดีอีกเหรอ เอ้อ ถ้าเจอลูกค้าแบบนี้บ่อยๆ ก็คงจะใจฟูไม่เบา “ตกลงว่าไงครับ ให้พี่ช่วยไหม”

“ไม่เป็นไรครับ พี่นั่งรอก่อนนะ เดี๋ยวผมจะรีบใส่กล่องให้” คนถูกปฏิเสธได้แต่พยักหน้าก่อนเดินไปนั่งโต๊ะที่อยู่ไม่ไกล เขามองเจ้าของร้านตัวเล็กที่เคยเห็นบ่อยครั้งเพราะมาซื้อขนมที่นี่หลายหน แต่ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะไม่เคยสังเกต

พู่กันค่อยๆ ใส่คัพเค้กลงในกล่องอย่างระมัดระวังเพราะกลัวจะเละ เขาใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะจับเค้กหลากสีสันลงกล่องได้จนหมด พอแม่หนีไปเที่ยวคนหนึ่งก็บอกได้คำเดียวว่าลำบาก ซึ่งปกติแม่ก็จะไม่ค่อยให้เปิดร้านถ้าไม่อยู่ แต่ไม่รู้ว่าอะไรเข้าดลใจให้คุณวาดโทรมาสั่งว่าให้เปิดร้านวันนี้ อาจจะเกรงว่าถ้าปิดนานแล้วลูกค้าจะหนีหมด

แต่ก็อยากบอกแม่เหลือเกินว่า ให้เขาทำขนมเนี่ยลูกค้าน่าจะหนีมากกว่าอีก พู่กันทำเป็นแค่พวกชิ้นเล็กๆ อย่างพวกคัพเค้ก มาการอง อะไรเทือกๆ นั้น ถ้าให้ไปนั่งทำเค้กเป็นปอนด์ก็ขอบาย

“น้องครับ พี่ลืม” เขาเงยหน้าขึ้นในตอนที่ปิดกล่องคัพเค้กเสร็จพอดี “เขียนการ์ดให้หน่อยได้ไหมครับ”

“อ๋อ ได้ครับ เดี๋ยวผมหยิบการ์ดให้นะ” ไม่ว่าเปล่าเจ้าคนตัวจ้อยยังเดินไปหยิบการ์ดของขวัญใบเล็กๆ มาให้เขาพร้อมปากกาหนึ่งด้าม

“พี่หมายถึงให้เราเขียนน่ะครับ”

“ผมเหรอ” พู่กันถามด้วยความงง พอเห็นลูกค้าพยักหน้าก็เลยตอบตกลงเพราะอย่างไรก็เป็นบริการของทางร้านอยู่แล้ว “พี่จะเขียนว่าอะไรครับ”

“ปัถย์”

“ครับ?” เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั่นคืออะไร จะว่าโง่ก็ได้ “ผมขออีกทีได้ไหม”

“ชื่อพี่ครับ ปัถย์ อ่า... เขียนถูกไหมครับ”

“ปอปลา ไม้หันอากาศ ดอเด็ก หรือว่า ปอปลา ไม้หันอากาศ ถอถุง ยอยักษ์ การันต์”

“แบบที่สองครับ” ปัถย์หลุดยิ้มกับการสะกดชื่อผ่านสีหน้าที่เต็มไปด้วยความลังเล เขามองคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ก้มลงไปเขียนยุกยิกก่อนส่งการ์ดที่มีลายมือหวัดๆ แบบเด็กผู้ชายมาให้ “ขอบคุณนะครับ”

“อ่า มันโอเคจริงๆ ใช่ไหมอะพี่ คือผมลายมือไม่ค่อยสวย” พู่กันหัวเราะแห้งๆ ลึกๆ คือเป็นกังวล ถ้ารู้ว่าโตมาจะต้องมาช่วยแม่เขียนชื่อลูกค้าบนหน้าเค้กหรือเขียนการ์ดส่งให้คนอื่นตอนเด็กจะหัดคัดลายมือให้สวยกว่านี้

“โอเคแล้วครับ พี่ไม่ได้ซีอะไร” พอได้ยินเช่นนั้นพู่กันก็เบาใจ เขาจับกล่องเค้กใส่ถุงแล้วยื่นให้กับคนตรงหน้า “เท่าไหร่ครับ”

“ทั้งหมดสิบเจ็ดชิ้น ก็ห้าร้อยเก้าสิบห้าครับ” เขาเอื้อมมือไปรับแบงก์สีม่วงกับแบงก์สีแดงที่อีกฝ่ายยื่นให้ก่อนจะทอนเงินคืน แต่คนที่ได้รับเงินทอนแล้วกลับยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน

“ค่าเขียนการ์ดไม่ได้คิดเหรอครับ”

“ไม่คิดครับ”

“แล้วถ้าเกิดพี่จะขอให้เขียนอีกสักใบ จะคิดเงินไหมครับ”

“ก็ต้องไม่คิดอยู่แล้วสิครับ” พู่กันหัวเราะร่วนเพราะไม่รู้ว่าคนที่กำลังยิ้มอยู่ตอนนี้คิดอะไรอยู่ เจ้าของร้านเอื้อมไปหยิบกล่องใส่การ์ดมาวางไว้ใกล้ๆ มือ เพราะเผื่อคุณคนตรงหน้าอาจจะต้องการเพิ่มมากกว่าหนึ่งใบ “จะให้เขียนอีกสิบใบก็ฟรีครับ ถ้าพี่ไม่ซีกับลายมือผมน่ะนะ”

“ไม่ซีครับ แต่เราจะเขียนให้ได้หรือเปล่า”

“ผมเขียนได้หมดแหละ” เขาย้ำอีกครั้งจนพี่ปัถย์ยิ้มออกมา “แค่พี่บอก”

“ถ้างั้นเขียนเบอร์เราให้พี่หน่อยได้ไหมครับ”


*


(สรุปคือมึงก็ให้เบอร์เขาไปเหรอ)

“ก็ใช่” พู่กันหนีบโทรศัพท์ไว้กับต้นคอ เดินไปเปลี่ยนป้ายหน้าร้านให้เป็นคำว่า close ถ้าอยู่คนเดียวเขาจะปิดร้านเร็วกว่าปกติ อีกอย่างเจอพี่ปัถย์เหมาคัพเค้กไปก็แทบไม่เหลืออะไรให้ขายแล้ว

(อ้าว อีเหี้ย แล้วไหนบอกไม่ให้กูแจก แล้วดูมึ้ง เฟซไม่แจก แจกเบอร์เลย ไอ้พู่ กูจะฟ้องน้าวาด แม่ให้เปิดร้านวันเดียว ใจแตก แจกเบอร์ให้เขาไปทั่ว)

“เดี๋ยว กูแค่ให้เบอร์พี่เขาไปคนเดียว ก็เขาบอกว่าเผื่อเอาไว้โทรสั่งเค้ก”

(มึงก็ให้เบอร์ร้านก็ได้ไหมอะ) ถ้าอยู่ใกล้กันมีหวังเขาโดนหว้าเขย่าคอรัวๆ แน่

“ก็ทีแรกกูจะให้เบอร์แม่ แต่พี่ปัถย์บอกมี เคยโทรมาแล้วแต่แม่กูไม่ค่อยว่างรับ กูก็เลยต้องให้เบอร์ตัวเอง ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าพี่เขามาที่นี่บ่อย กูไม่ยักจะจำหน้าได้”

(แล้วมึงเอาเพื่อนกูไปไว้หน๊ายย ฝ้ายกูอะไอ้พู่)

“กูไม่ได้ให้เบอร์ไปเพราะกูจะจีบเขาหรือเขาจะจีบกู เข้าใจยัง” พู่กันเดินมานั่งลงตรงมุมหนึ่งของร้าน เหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาหกโมงแล้ว “พี่ปัถย์แค่จะสั่งเค้ก”

(มึงรู้ได้ไง หะๆๆๆ มาขอเบอร์ขนาดนี้ก็แปลว่าเขาจะจีบมึงแล้วไหมอะ แต่ถ้าเขามาจีบมึงก็ดี)

“เอ้า สรุปคือมึงจะด่าหรือจะดีใจกับกู หรืออะไร งง”

(ได้หมด ถ้าเขามาจีบมึงก็จะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที จะได้หมดหน้าที่ของกู)

“หน้าที่มึงคืออะไร” ปลายนิ้วเคาะลงบนโต๊ะขณะรอฟังเสมือนว่าเป็นหน้าที่สำคัญก่อนโลกจะแตก

(หาแฟนให้มึง)

“กูไม่ได้ขอไง”

(เชอะ หวังดีอะ เข้าใจปะ แล้วนี่ พี่เขาเป็นไง หล่อปะวะ)

“ก็ดี” ไม่ปฏิเสธว่าอีกฝ่ายดูดีจริงๆ ตั้งแต่การแต่งตัวรวมไปถึงคำพูดคำจา “เขาก็ดูเป็นผู้ใหญ่ดี”

(แล้วไงต่อ อายุ หน้าที่การงาน หรือ...)

“หว้า กูรู้แค่เขาชื่อพี่ปัถย์ จบนะ”

(เฮอะ ผิดหวัง บอกกงๆ นะพี่พู่ หว้าผิดหวังในตัวพี่มาก)

“กวนตีน …มึง เดี๋ยวกูโทรกลับนะ พอดีเพื่อนกูโทรมา” พู่กันเป็นฝ่ายขอตัดสายเมื่อมีสายเรียกซ้อนโทรเข้ามา จะไม่รับก็คงไม่ได้ เพราะนอกจากหว้าแล้วก็มีเหมยที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา ยกเว้นเสียแต่เรื่องครามที่ตอนนี้มีเหมยรู้เพียงคนเดียว “มึงว่าไง”

(เขามาจีบหรือว่ายังไง) เป็นประโยคคำถามที่ทำให้พู่กันรู้ทันทีเลยว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงเรื่องไหน เพราะหลังจากที่โดนขอเบอร์ไปเขาก็เล่าเรื่องนี้ลงกลุ่ม จริงๆ ก็แค่อยากจะอวดว่าวันนี้มีคนมาเหมาคัพเค้กที่เขานั่งแหกตาทำทั้งคืนไปจนหมดก็เท่านั้น

“โห นึกว่าเรื่องไหน มึงเพิ่งอ่านแชทหรือไง”

(อืม) เขาเคยชินเสียแล้วกับการตอบสั้นๆ อย่างนี้ ความเป็นแฝดของหมิงเหมยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะหากเป็นแฝดน้องก็ร่ายยาวตั้งแต่เชียงใหม่ถึงภูเก็ต ถามนู่นนี่นั่นไม่หยุดจนเขาต้องพักก่อนแล้วปล่อยให้มันบ่นอยู่ในแชทคนเดียว แต่ก็ไม่คิดว่าพอแฝดพี่รู้แล้วจะโทรเข้ามาถามแบบนี้

“จีบเจิบบ้าบอ พี่เขาแค่เอาไว้โทรสั่งเค้ก”

(พนันกัน)

“เดี๋ยว ไอ้เชี่ยเหมย มึงจะโทรมาแค่ถามแล้วก็ขอพนันกับกูเนี่ยเหรอ”

(ใช่) ไอ้น้ำเสียงหนักแน่นที่ดังลอดเข้ามาทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง (โอเคไหม)

“โอเคเหี้ยไรล่ะ มึงจะพนันอะไรกูยังไม่รู้เลย”

(เขาจีบมึง)

“แล้วถ้าไม่ใช่?” พู่กันนั่งโยกเก้าอี้ไปมา ถ้าแม่อยู่ด้วยก็คงจะโดนด่าเพราะกลัวว่าขาเก้าอี้จะหักเสียก่อน แต่นี่ไม่เขาอยู่ร้านคนเดียวสามารถทำอะไรก็ได้ “คิดนานจังวะ”

(ทองบาทนึง)

“เชี่ย...” เขากลับมานั่งแบบเดิมทันทีที่ไอ้เพื่อนสนิทเอ่ยปากออกมาเช่นนั้น ก็รู้ว่าเป็นเจ้าของร้านทองแต่จะเอามาเล่นพนันกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ก็ได้เหรอวะ “มึงจริงจังปะ ถ้าป๊ารู้มึงโดนด่าตายห่าเลยนะ”

(จริงจัง) พู่กันนั่งเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มหลังจากได้ยินคำตอบ (กูมั่นใจว่ากูไม่เสีย)

“ละไง ถ้าเขาจีบกูขึ้นมา กูต้องแบกกระเป๋าเงินไปซื้อทองร้านมึงมาให้มึงอ่อ”

(ไม่ต้อง)

“แล้วจะให้กูทำยังไง”

(ถ้าถาม แปลว่ามึงตกลงพนัน) คำถามของปลายสายทำให้เขาต้องเงียบเพื่อใช้ความคิดอีกครั้ง (เอาไง)

“เออ พนันก็ได้” ที่ตกลงเพราะคิดว่ามันไม่ได้ไม่เสียอะไร อย่างไรเขาก็มั่นใจว่าพี่ปัถย์ไม่ได้มาจีบแน่ๆ และถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่คิดที่จะเอาทองบาทนึงหรอก อย่างน้อยเลี้ยงข้าวชิลๆ สักมื้อก็พอใจแล้ว “สรุปมึงจะให้กูทำไง”

(ถ้าเขาจีบ)

“…”

(มึงก็แค่เปิดใจ แค่นี้ที่กูต้องการ)


*


“เห็นแม่ผมไม่อยู่ก็เอาใหญ่” พู่กันแซวด้วยน้ำเสียงติดหัวเราะขณะเดินมาเปิดประตูบ้านให้กับเจ้าเก่าเจ้าเดิม ครามกระตุกยิ้มแบบไม่มีท่าทีว่าจะโกรธเคืองที่ถูกแซะ “กินไรมายัง”

“ยัง เสร็จก็มาหามึงเนี่ย” เจ้าของบ้านเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ มีอย่างที่ไหนกันบอกเสร็จธุระก็ปรี่มาหา ผิดสังเกตชัดๆ “มองเหมือนข้อง”

“ก็ข้องอะดิ”

“ข้องไรอีหนู” มือใหญ่เอื้อมมาผลักหัวเขาเบาๆ ก่อนจะถือวิสาสะเดินนำเข้าไปในบ้าน “มึงกินข้าวยัง”

“ใครจะรอ เปิดร้านทั้งวัน ขืนมานั่งรอพี่ก็ตายคาร้านพอดี” เขาบ่นอุบอิบก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบไข่ออกมาสองฟอง เมนูของพี่ครามวันนี้ก็คงไม่พ้นมาม่าหมูสับใส่ไข่

ครามนั่งมองแผ่นหลังบางที่ขยับไปทางนั้นทีทางนี้ทีโดยที่ไม่พูดอะไร แต่ที่เขามาบ้านพู่กันตอนสองทุ่มแบบก็เพราะมีเรื่องอยากจะถาม

“มึง”

“ไร” คนตอบยังคงจดจ้องอยู่ที่หม้อต้มมาม่า “เอ้า เรียกแล้วไม่พูด”

“เรียกกวนตีนเฉยๆ” ครามพูดหน้าซื่อๆ แล้วเก็บคำถามที่เวียนอยู่ในสมองมาตั้งแต่ชั่วโมงก่อนไว้เช่นเดิม น้ำเงินบอกว่ามีคนมาขอเบอร์พู่กันวันนี้

“ท่าจะบ้า”

“มึงอาบน้ำแล้วเหรอ” เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปกอดคนที่อยู่ในชุดนอนอย่างเรียบร้อย สงสัยวันนี้คงจะล้าจัดถึงได้ยอมอาบน้ำเร็ว

“เห็นปะล่ะ”

“เห็น” ชายหนุ่มวางคางไว้บนไหล่ขณะที่มองน้ำในหม้อสีเงินกำลังเดือดปุดๆ “กูเปลี่ยนใจไม่กินทันไหม”

พู่กันยั้งมือตัวเองทันที ถ้าบอกช้ากว่านี้อีกครึ่งนาทีเขาคงจะโยนก้อนมาม่าลงไปนอนแอ้งแม้งในน้ำเดือดแล้ว

“เป็นไรไม่กิน” เขาถามตอนที่ดับเตาแก๊ส ครามยังคงซุกหน้าอยู่ที่ต้นคอแถมยังไม่ยอมเอาแขนออกจากเอวด้วย ซึ่งมันผิดปกติทุกอย่าง “เป็นห่าอะไรพี่คราม”

“ไม่รู้”

“เอ้า”

“แค่อยากกอดมึง” น้ำเสียงอ่อนโยนกระซิบข้างใบหู ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะคำที่ครามพูดออกมาหรืออ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นตอนพูดจบอย่างไหนที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว

พู่กันคิดว่าช่วงหลังใจของตัวเองมักจะสั่นบ่อยเกินไปแล้วจากคนที่ชื่อคราม เขาคงไม่ได้โง่เกินกว่าที่จะไม่รู้ว่าหากบ่อยครั้งกว่านี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ยิ่งมีความรู้สึกเหมือนผีเสื้อโง่ๆ มาบินว่อน ก็ยิ่งทำให้รู้ ถ้ายังเป็นแบบนี้

คงไม่พ้นการตกหลุมรัก

“เป็นบ้าเป็นบออะไรอะ” เขาแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะจับท่อนแขนแกร่งให้หลุดออกจากตัว สิ่งแรกที่ต้องทำคือควรหลุดจากพันธนาการเสียก่อน “ไม่กินก็ไปอาบน้ำ อย่ามาเน่า”

“อืม” ครามขานตอบสั้นๆ นั่นทำให้เจ้าของบ้านแปลกใจไม่น้อย พู่กันเดินเข้าไปหาก่อนแตะหลังฝ่ามือลงบนหน้าผาก “อะไร”

“ไม่สบาย ผีเข้า หรือร่างทรงองค์ไหนลง” เขาขมวดคิ้วยุ่ง ปกติครามไม่ค่อยตอบแบบนี้หรอก “พี่คราม”

“ผีเข้ามั้ง” คนพี่แค่นหัวเราะก่อนถอนหายใจออกมา เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น มันแค่รู้สึกเหนื่อยและเหมือนจะไม่ค่อยสบอารมณ์พอนึกถึงเรื่องที่พู่กันมีคนมาจีบ ไม่แน่ใจว่าจะเป็นอารมณ์แบบพี่ชายหวงน้องหรือไม่ แต่ตอนที่น้ำเงินมีคนมาจีบเขาก็สามารถพูดออกไปได้ว่าหวง แต่กับพู่กันมันไม่ใช่ เขาไม่กล้าแม้แต่จะพูดในสิ่งที่คิด “คืนนี้นอนด้วยนะ”

“รู้แล้ว ไปอาบน้ำ เดี๋ยวหาอะไรให้กินก่อนนอน พี่ไม่กินไม่ได้หรอก มาร้องหิวตอนดึกไม่ลงมาต้มมาม่าให้แล้วนะ”

“ครับ” พู่กันได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างนั่นเดินออกไปจากห้องครัว วันนี้เป็นอะไรเหมือนมีเมฆสีดำมาลอยอยู่บนหัวคล้ายฝนจะตกเสียอย่างนั้น อึมครึมไปดิ และถ้าไม่ใช่มาม่าก็คงจะต้องเป็นนมหนึ่งแก้วกับซีเรียลรูปดาว เขาซื้อมาทิ้งไว้เพราะครามค่อนข้างชอบ

ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ stuff.lilac

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 05 ; (08/10/61)
«ตอบ #28 เมื่อ08-10-2018 20:55:47 »


ครืด... ครืด...

มือบางคว้าเอาโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู เขาเพ่งด้วยความสงสัยเพราะเบอร์ที่โทรเข้ามาไม่คุ้นตาเลยสักนิด

09xxxxxxxx

“ฮัลโหล ใครครับ” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อไม่ได้ยินเสียงใดๆ ตอบกลับมา มีเพียงความเงียบทำให้ต้องถามย้ำลงไปอีกครั้ง “ใครครับ”

(ขอโทษทีครับ พี่จะเมมเบอร์แล้วกดผิด)

“กดผิดหรือตั้งใจโทรมาครับ” พู่กันพูดติดหัวเราะ หากแต่ปลายสายกลับเงียบไป “ผมล้อเล่นครับพี่ปัถย์”

(ถ้าพี่บอกว่าตั้งใจโทรมาเราจะทำยังไง) เขาไปไม่เป็นตอนโดนสวนกลับ เรื่องที่พนันกับเหมยไว้ตอนเย็นผุดเข้ามาในหัว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ (พี่ล้อเล่นเหมือนกันครับ)

“ล้อเล่นเก่งนะครับเนี่ย ผมตกใจเลย”

(ขอโทษที่พี่โทรมารบกวนด้วยนะครับ)

“ไม่รบกวนหรอกครับ ถ้าพี่มีอะไรก็โทรมาได้เลย” พู่กันตอบขณะเดินไปที่ห้องนอนแขก เพราะครามมาอาบน้ำนานจนผิดปกติ “แต่เดี๋ยวตอนนี้ผมขออนุญาตไปดูหมาก่อนนะครับ ดูเหมือนจะป่วย”

พอหยุดที่หน้าห้องน้ำแล้วไม่ได้ยินเสียงฝักบัวเขาจึงต้องรีบเสียมารยาทขอตัดสายพี่ปัถย์ เพราะกลัวว่าไอ้คนที่เข้ามาอาบน้ำนานๆ อาจจะเอาหัวทิ่มชักโครกไปแล้ว ที่บอกว่าเหมือนจะป่วยไม่ใช่ร่างกายแต่น่าจะเป็นจิตใจมากกว่า

พู่กันเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ายังไม่ทันที่กำปั้นเล็กๆ จะได้เคาะลงบนประตู คนที่อยู่ด้านในก็เปิดออกมาเสียก่อน เจ้าของบ้านผงะถอยหลังเพราะตกใจ ครามมองด้วยสีหน้ายุ่งๆ พร้อมกับเช็ดผมที่กำลังเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำ

“มึงเป็นถ้ำมองหรือไง”

“ถ้ำมองบ้านพี่เหอะ เห็นหายมานานเลยมาดู นึกว่าเอาหัวทิ่มชักโครกไปแล้ว” เขาเดินถอยหลังเมื่อครามเริ่มเคลื่อนไหวร่างกาย ไอ้สภาพแบบนี้คือไม่ปลอดภัย “ถ้าแต่งตัวแล้วก็ไปอาบน้ำ... พูดผิด ไปกินซีเรียลดิ  ผมเทไว้ให้ละ”

“ลนอะไรของมึง” คนพี่หัวเราะก่อนเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง มือใหญ่ยังคงใช้ผ้าเช็ดผมตัวเองไปเรื่อยๆ โดยที่หันมองมาทางเขา “เดี๋ยวกูแต่งตัวแล้วตามไป”

เขาเห็นแต่ความผิดปกติจากตัวคราม อะไรจะว่านอนสอนง่ายจังวะวันนี้ พู่กันเดินเข้าไปในระยะประชิดก่อนใช้สองมือประกบหน้าอีกฝ่ายแล้วบังคับให้เงยขึ้นมามอง

“วันนี้เป็นอะไร” เราสบตากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร ครามยังคงนิ่งเงียบเพราะไม่รู้จะตอบออกไปแบบไหน เขาเป็นอะไร.... ไม่รู้ ก่อนจะออกมาก็ได้ยินน้องมันคุยโทรศัพท์แต่จะให้ถามก็คงไม่ใช่เรื่อง พอคิดว่าอาจจะเป็นคนคนเดียวกันกับที่ขอเบอร์ไปก็เป็นแบบนี้อีกแล้ว ทั้งที่ตอนอาบน้ำปรับอารมณ์ได้แล้วเชียว “พี่คราม พู่ถามก็ตอบดิ”

น้ำเสียงเชิงดุปนกดดันเป็นผลให้ครามดึงเจ้าเด็กตัวเล็กลงมานั่งบนตัก พู่กันไม่ได้ขัดขืนเพราะอยากรู้ว่าไอ้คนที่นิ่งอึนเป็นหุ่นไม่มีแบตเป็นอะไรกันแน่

“กูเป็นเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ ตอบไม่ได้เหมือนกัน” คนฟังได้แต่ชักสีหน้าใส่ ตอบมาแบบนี้แล้วจะไปตรัสรู้ได้ยังไง “เดี๋ยวก็หาย”

“เดี๋ยวคือเมื่อไหร่” ร่างเล็กขยับตัวไปนั่งคร่อมครามเอาไว้ สองแขนยกขึ้นไปโอบต้นคอของคนพี่ก่อนโน้มไปกระซิบข้างใบหู “อย่าเป็นแบบนี้ดิ ไม่ชอบเว้ย”

“ถ้ามึงมีแฟนจะบอกกูไหม” อยู่ดีๆ คนหงุดหงิดก็โผล่งถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

“บอกดิ”

“จะบอกกูคนแรกหรือเปล่า” พู่กันมองหน้าคนพี่ด้วยความข้องใจ

“ถ้าเกิดผมบอกพี่เป็นคนสุดท้าย พี่จะทำไง”

“กูทำอะไรได้ล่ะ จะให้ไปกระชากคอมึงมาถามว่าทำไมไม่บอกกูคนแรก ก็ไม่ได้หรือเปล่าวะ”

“ใช่ พี่ห้ามกระชากคอผม แต่ถ้าเดินมาถามดีๆ ก็จะตอบอยู่”

“จะตอบกูว่าอะไร” ดวงตาคมมองลึกไปยังนัยน์ตาคู่สวยเพราะเขาคาดหวังคำตอบ หากแต่เด็กตรงหน้ากลับยิ้มให้แทน

“พี่จะให้ผมตอบว่าไง ตอนนี้ผมก็ยังไม่มีแฟนปะวะ”

“ก็แล้วถ้ามึงมี”

“คำตอบตอนนี้กับตอนนั้นอาจจะไม่เหมือนกัน” เขาโน้มลงไปใกล้ใบหูก่อนจะกระซิบเบาๆ “อีกอย่างถ้าถึงตอนนั้น”

“…”

“ผมอาจจะบอกพี่คนแรกก็ได้”

“อย่าหายใจรดคอกู” ครามส่งเสียงดุเมื่อไอ้เด็กบนตักที่เขากอดเอาไว้ผ่อนลมหายใจใส่จนสัมผัสได้ถึงไอความร้อน แต่ดูเหมือนว่าคำห้ามจะกลายเป็นคำยุยง พู่กันทั้งผ่อนลมหายใจและเป่าลมใส่แต่เป็นสัมผัสที่แผ่วเบากว่าเดิม “พู่กัน”

ครามชักไม่แน่ใจแล้วว่าถ้าเกิดพู่กันมีแฟนแล้วตัวเองจะเป็นอย่างไร ตอนนี้เขาเอาทุกความคิดมายำรวมกันจนไม่รู้ว่าจะเริ่มคิดอะไรจากตรงไหน สุดท้ายทุกความคิดที่ปะปนกันอยู่ในหัวก็ถูกสลัดออกเพราะน้ำเสียงงุ้งงิ้งของเด็กที่กำลังเริ่มไม่พอใจ

“หายเป็นเมนส์ยังอะ ถ้าวันนี้ไม่หายเป็นเมนส์ก็อย่ามาห้าม หงุดหงิดเป็นคนเดียวอ่อ” พูดจบก็กลับไปวุ่นวายอยู่แถวๆ ต้นคอของเขาใหม่ พู่กันดื้อและไม่ฟังเวลาที่เขาไม่ได้ดั่งใจ แขนแกร่งกระชับแน่นเมื่อน้องมันยังไม่ฟังคำสั่ง

“พี่บอกว่าอย่า” เด็กบนตักชะงักทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงดุที่เอ่ยสั่งอยู่ข้างใบหู ความจริงคือพู่กันรู้ว่าเขาไวต่อสัมผัสตรงไหนแต่ดูเหมือนว่าคราวนี้คงจะลืมไป ครามซุกใบหน้าลงตรงซอกคอขาวพรมจูบแผ่วเบา “พูดแล้วทำไมไม่ฟัง”

“ลืม... อือ” เสียงหวานครางท้วงยามที่คนพี่ไล้ปลายลิ้นแตะตามใบหู ครามแกล้งผ่อนลมหายใจใส่ให้เหมือนกับที่น้องทำใส่เขาเมื่อครู่ ฝ่ามือใหญ่สอดไปใต้เสื้อลูบไล้แผ่นหลังตามแรงอารมณ์ “พี่... ไปกิน... อื้อ”

ชายหนุ่มกดจูบลงที่ริมฝีปากนุ่มหยุ่นเพื่อไม่ให้เด็กดื้อได้พูดอะไรอีก เขาถือว่าเตือนแล้วแต่ไม่ฟัง ฝ่ามือเล็กใช้ไหล่ของอีกฝ่ายเป็นที่ยึดเหนี่ยว เสียงครางอื้ออึงปะปนไปกับเสียงเฉอะแฉะของเรียวลิ้นที่กระหวัดเย้าอย่างไม่มีใครยอมใคร ลมหายใจร้อนผ่อนผสานกันอย่างลงตัว

ยิ่งเนิ่นนานก็ยิ่งรู้ว่าไม่เคยพอ แถมความต้องการยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวินาที พูดก็พูดว่าทั้งเขาและครามต่างเป็นคนที่ถูกกระตุ้นได้ง่าย เรารู้จุดสัมผัสของกันและกัน แตะตรงไหน ลากลิ้นตรงไหน หรือแม้แต่ผ่อนลมหายใจรดที่ใด

“ทำไมชอบยั่ว” เสียงทุ้มถามหลังจากที่ผละริมฝีปากออก ดวงตาคมมองลึกไปยังนัยน์ตาสีอ่อน “พี่บอกไม่รู้จักฟัง”

“บอกว่าลืม” พู่กันเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ร่างกายยังคงหอบถี่จากการถูกบดจูบเมื่อครู่

“ไม่ได้มีความอดทนสูงขนาดนั้น”

“ไม่ได้ตั้งใจเว้ย” เขาพยายามจะลุกขึ้นจากตักแต่ก็ไม่สามารถขัดแรงของครามได้ “ปล่อยดิ จะลุกเนี่ย”

“ไม่ให้ลุก”

“ทำไม ก็เมื่อกี้พี่บอกอย่าไง”

“เมื่อกี้อย่าทำ”

“…”

“แต่ตอนนี้อย่าหยุด”

ไม่ทันจะได้ท้วงหรือเอ่ยปากห้ามก็ถูกดึงเข้าไปจูบอีกครั้ง และคราวนี้ทุกอย่างรุนแรงกว่าเดิม ริมฝีปากเราแนบชิดกันจนไม่เหลือช่องว่างใด ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดอย่างเอาแต่ใจ ครามปลดกระดุมเสื้อของเด็กบนตักจนไม่เหลื
“ไม่เอา...” แม้ปากจะบอกปฏิเสธแต่ร่างกายของพู่กันกลับเป็นไปตรงกันข้าม ใบหน้าน่ารักเชิดขึ้นเมื่อโดนลากสัมผัสทุกช่วงลำคอ ไอความเย็นจากเครื่องปรับอากาศสัมผัสลงบนผิวละเอียดทันทีที่เสื้อถูกโยนออกไปไว้สักมุมหนึ่งภายในห้อง ครามเป็นคนเอาแต่ใจเวลาโดนกระตุ้น และเอาแต่ใจเป็นพิเศษเมื่อสิ่งเร้าคือพู่กัน

 “ทำไมเปลี่ยนสบู่” เสียงทุ้มเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย ว่าจะถามตั้งแต่ที่กอดในครัวแล้วแต่ก็ลืม ปกติพู่กันจะใช้สบู่เด็กเพราะเป็นพวกผิวแพ้ง่าย แต่วันนี้กลิ่นสบู่กลับกลายเป็นกลิ่นเดียวกันกับที่เขาใช้

“ของผมหมด ก็หยิบของพี่มาใช้”

“ทำไมไม่บอกจะได้ซื้อ” เขาเริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง เคยมีช่วงหนึ่งที่น้องมันลองไปใช้สบู่แบบอื่นแต่ผลลัพธ์ที่ได้คือผื่นแดงขึ้นเต็มตัว “ใช้มั่วเดี๋ยวก็แพ้”

“ของพี่ไม่แพ้ เคยใช้แล้ว”

“ถ้าผื่นขึ้น โดน” ก็ขู่ไปงั้น ครามทำอะไรไม่ได้นอกจากไปหายาแก้แพ้มาให้กินหรือหายามาทาให้

“รู้แล้ว …อ๊ะ เดี๋ยว...” เสียงหวานเอ่ยติดขัดเมื่ออีกฝ่ายแตะฝ่ามือลงตรงส่วนนั้นโดยที่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว “ไอ้พี่คราม ไอ้บ้า ...เอ๊ย”

“พูดไม่รู้เรื่อง” คนพี่กระตุกยิ้มตอนได้ยินน้ำเสียงหวานหู “เริ่มแล้วก็รับผิดชอบ”

“อย่าเอาแต่ใจดิ” เขาสบถก่อนจะฟุบหน้าลงกับแผ่นอก แค่ท่าทางก็ล่อแหลมพออยู่แล้วนี่ครามยิ่งมีแค่ผ้าขนหนูปกปิดไว้แค่ผืนเดียวอีก “อ...อา”

ยิ่งพู่กันส่งเสียงดังฝ่ามือใหญ่ก็ยิ่งออกแรงมากขึ้นเท่านั้น ร่างเล็กเริ่มอยู่ไม่สุขจากการถูกสัมผัสตรงจุดอ่อนไหว คลึงผ่านเนื้อผ้ากดเน้นย้ำจนรู้สึกได้ เขาไม่สามารถกลั้นเสียงของตัวเองได้อีกต่อไป รู้สึกมากแค่ไหนก็แสดงออกไปเท่านั้น

“ทำไมชอบทำให้พี่ทนไม่ได้”

“วันนี้แทนตัวเองว่าพี่บ่อยไปไหม”

“ไม่ชอบเหรอเวลาพูดเพราะ” เด็กช่างสงสัยหรี่ตามอง จะบอกว่าไม่ชอบก็คงไม่ใช่ เวลาครามพูดเพราะแล้วดูดีความเป็นผู้ดีขึ้นมาอีกสิบระดับ แถมมันยังทำให้เขาใจสั่นจนเหมือนกำลังโดนถล่มด้วยแผ่นดินไหว “ถาม”

“เปล่า แค่ไม่ชิน”

“เดี๋ยวคืนนี้จะทำให้ชิน” ครามกระซิบข้างหูอย่างเจ้าเล่ห์ “ไม่ทนแล้ว”

สิ้นสุดประโยคนั้นพู่กันถูกจับให้ลงไปนอนบนเตียง กางเกงนอนโดนดึงออกแล้วโยนไปคนละทิศละทางกับเสื้อ มันแทบจะไม่เหลือความขลาดอายใดๆ แล้วระหว่างเขากับคราม จะให้ปฏิเสธตอนนี้ก็คงไม่ทันเพราะเขาก็มีอารมณ์เช่นกัน

ร่างสูงโถมทับก่อนจูบซับบนหน้าผาก ลากผ่านมาทางแก้มใสและกดริมฝีปากแช่ค้างไว้อย่างแผ่วเบา เขาต้องข่มอารมณ์ถึงขีดสุด ยอมรับว่าพู่กันทำให้ใจสั่นแบบไม่รู้สาเหตุไปแล้วหลายหน ไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นคนโรคจิตไหมแต่พอโดนจิกเข้าที่หลังแล้วก็แทบจะยั้งตัวเองไม่อยู่ทุกที

“... อ๊ะ อย่าทีเดียวดิ จุก”

“จุกหรือ...”

“เงียบๆ เลยน่า …อื้อ ไอ้พี่คราม” พู่กันกัดปากแน่นเมื่อความอึดอัดก่อตัวขึ้นตอนที่อีกฝ่ายพาตัวตนของเข้ามาได้จนสุด

“อ่า” ครามยันตัวเองขึ้นด้วยสองแขนแกร่งที่ค้ำไว้กับเตียง เขาก้มมองเด็กที่ไม่มีอาภรณ์ใดๆ ปกปิดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ยังไม่ได้ขยับร่างกายในส่วนไหนเพราะอยากจะรู้นักว่าจะพู่กันจะมีท่าทีเป็นเช่นไร

“มองบ้ามองบอ”

“ติดปากหรือไง พูดบ่อยจัง …ซี้ด” เสียงทุ้มท้วงขึ้นมาตอนโดนมือเล็กนั่นหยิกเข้าที่เนื้อตรงท่อนแขน “อย่าหยิกพี่ดิ เจ็บ”

“ก็พี่ชอบกวนตีน”

“ถ้าพี่เจ็บ” คนพี่โน้มลงไปใกล้จนปลายจมูกเราแตะกันเบาๆ “พู่เจ็บกว่าพี่นะ”

“อื้อ! …พี่คราม!” พู่กันหวีดครางเมื่ออีกฝ่ายเริ่มขยับส่วนล่าง เขากอดคอคนพี่อย่างแรงจากการที่ครามถอนแกนกายออกมาจนสุดและกระแทกเข้าไปด้วยความอยากจะแกล้ง

ความสุขสมดำเนินต่อไม่รู้จบ เสียงหยาบโลนเกิดขึ้นเพราะความตั้งใจของสีคราม ทุกสัดส่วนภายในสมองขาวโพลนไปหมด ไม่มีใครสามารถควบคุมสติของตัวเองได้อีกต่อไป อารมณ์แห่งความต้องการเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบเกินขีดจำกัด

“ขอลึกกว่านี้หน่อยได้ไหม” ไม่รู้ว่าคำขอเป็นผลแค่ไหน ครามผ่อนลมหายใจออกกับการตอดรัดที่แน่นขึ้นจนเขาทนไม่ไหว “พู่กัน”

“น...นั่งดิ” ร่างสูงยกยิ้มพอใจก่อนจะพลิกกลับมานั่งโดยที่ไม่ปล่อยให้ขาดช่วง เขาดึงไอ้เด็กตัวเล็กขึ้นมานั่งซ้อนบนตัก มือใหญ่บีบเฟ้นก้นกลมอย่างมันเขี้ยว “อย่าบีบ... พี่แม่ง …อา”

“อะไร ทำเองร้องเองเหรอ” เขาแซวตอนที่พู่กันค่อยๆ กดตัวเองลงมาทีละนิด พอได้ยินเช่นนั้นเจ้าของดวงตากลมก็ตวัดมองคล้ายไม่พอใจ “ไม่งอแงดิ”

“ใครกันแน่...งอแง วันนี้เป็นบ้า ...อ๊ะ อะไร” เสียงหวานกระท่อนกระแท่นตอบเพราะถูกคนพี่จับบดสะโพกสนองความต้องการ “ผีออกยัง”

“ยัง”

“แล้ว...” คำพูดที่ขาดห้วงไปเป็นผลให้ครามหรี่ตามองด้วยความสงสัย “ลึกพอยัง”

“อย่าทำพี่ใจสั่น” คนฟังฟุบหน้าลงกับแผ่นอกแกร่งทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขาเองก็ใจสั่นกับประโยคเมื่อครู่เช่นกัน สะโพกมนยังคงบดเบียดอยู่กับความแข็งขืน “อยากได้คำตอบไหม”

“ไม่”

“แต่พี่อยากตอบว่ะ” มือหนาบีบเฟ้นก้นของพู่กันเต็มแรง แกนกายชื้นแฉะไปด้วยหยาดน้ำจากการถูกขยับโยก ครามเชยใบหน้าของเด็กดื้อขึ้นมา แก้มใสเริ่มมีสีแดงฝาดจนเขาสังเกตเห็น โน้มไปงับริมฝีปากล่างเบาๆ ขณะที่ส่วนนั้นก็ยังคงขยับเสียดสี

“อะ... อื้ม พี่ ค ...คราม ลึกไป ฮะ... แล้ว”

“ลึกแล้วยังไง” พู่กันไม่ตอบคำถามเขาแต่กลับตอบด้วยการจิกเล็บลงบนหัวไหล่ แถมยังลามไปลากแผ่นหลังจนคาดว่าคงได้รอยเพิ่มมาอีกประมาณสามสี่รอย “จับตัดเล็บดีไหม ยาวเหลือเกิน”

“ไม่ตัด เอาไว้ข่วนให้หลังแหก”

“แน่ใจว่าทำได้?”

“อ๊ะ!” ครามจับตัวน้องให้กดลงไปลึกกว่าที่เป็นอยู่ เด็กบนตักผละออกจากกอดแล้วมองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง พู่กันมองอย่างคาดโทษทำไมยั่วอารมณ์เก่งนักนะ คิดว่าเขาไม่กล้าหรือยังไง “พี่อย่าท้าพู่”

“ไม่ท้า”

“พี่คราม” เขาเรียกย้ำอีกครั้งเพื่อบอกให้รู้ว่าเล่นผิดคนแล้ว

“ว่าไงครับ” คนเจ้าเล่ห์ถามด้วยน้ำเสียงที่นานครั้งถึงได้จะยิน เป็นความยียวนผสมอ่อนโยนที่เขาไม่เคยจะคาดเดาถูก พู่กันกัดริมฝีปากตัวเองเพราะเริ่มรู้สึกปั่นป่วนจากการเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อๆ นั่น

พู่กันแกล้งบดสะโพกจนได้ยินเสียงอีกฝ่ายคำรามแผ่ว โน้มไปไล่กดริมฝีปากตามคางลากลงมาถึงแนวไหปลาร้าแล้วสร้างตราประทับสีแดงเข้มในที่ลับสายตา คนบนตักใช้หัวไหล่เป็นที่ยึดเหนี่ยวและระบายความสุขที่ได้รับ

“อ๊ะ... อย่า ...กระแทก พ...พี่คราม”

“ยั่วพี่ทำไมล่ะ” ครามกระซิบข้างหูสองมือบีบเฟ้นสะโพกขาวจนเกิดรอยเป็นรูปมือ เขากดจูบลงกลางลำคอขาวอย่างลืมตัวตอนน้องมันเชิดหน้าขึ้นจากอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน

แม้เครื่องปรับอากาศจะยังคงทำงานอยู่แต่การกระบนเตียงกลับทำให้ภายในตัวร้อนเสมือนโดนเผา เสียงหอบหายใจของเขาและน้องดังผสมปนเปกันไปหมด เขาค่อยๆ ปรับจังหวะให้ช้าลงตอนที่ได้ยินเสียงหวานครางบอกให้ช้ากว่านี้หน่อย และสีครามตามใจ

“ถ้าหลังแหกแล้วอย่ามาร้องนะ” ร่างสูงกระตุกยิ้มเมื่อได้ยินคำขู่จากเด็กที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ เขาหยุดสวนสะโพกปล่อยให้เรากลายเป็นคนคนเดียวกันโดยที่ไม่เคลื่อนไหว “หยุดทำบ้า”

“ใครกันแน่ที่จะร้อง” เขาถามเสียแผ่ว นาทีนี้ก็ต้องเจ้าเล่ห์ให้ถึงที่สุด พู่กันมักชอบคิดว่าตัวเองคุมเกมได้ อาจเป็นเพราะครามชอบทำให้น้องคิดอย่างนั้นเพราะปล่อยให้ได้ใจ

“พี่...” ริมฝีปากสีแดงขบกันจนรับรู้ได้ว่าเด็กบนตักกำลังประหม่า เขาแกล้งกระแทกเอวอีกครั้งจนน้องร้องท้วงขึ้นมา “อ...อ๊า!”

“ลองดูไหม”

“ดูอะไร” ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอดแน่นก่อนยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ เรามองตากันผ่านแสงไฟที่ทำให้เห็นได้ชัดว่านัยน์ตาคู่ที่กำลังสบสั่นไหวแค่ไหน แถมไม่แน่ใจนักว่าเราทั้งสองคนได้ยินเสียงหัวใจของกันและกันหรือไม่

“อะไรจะเกิดก่อนกัน”

“…”

“ระหว่างพี่หลังแหกกับพู่กันหมดแรง”

“…”

“แล้วถ้าเป็นอย่างหลัง”

“พี่จะทำไมพู่...”

“ถึงจะหมดแรงพี่ก็ไม่ให้นอน”

“…”

“ตกลงไหม”

tbc.
ไม่ใครก็ใคร
#โซ่สีคราม

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 05 ; (08/10/61)
«ตอบ #29 เมื่อ08-10-2018 21:23:30 »

เรารู้สึกว่าพู่กันชอบพี่ครามแล้วววว ส่วนพี่ครามมีความก้ำกึ่งของจิตใจ เพราะท่องมาตลอดว่าชอบนับ
ลึกๆ ถ้าพู่ ไม่ชอบพี่คราม พี่ปัถย์ถ้าไม่ใช่คนดีแตก เราก็เชียร์นะ
ความสัมพันธ์ที่ไม่มีสถานะมันเหนื่อย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด