ตอนที่ 33
พระอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้าแสงแรกของวันยังไม่ทันได้เห็น ทั้งสองก็รีบหาทางออกจากป่าทันที พวกเขากลัวว่าเช้าแล้วพวกมันจะแห่กันมา หรือดักอยู่ตรงทางออก ปฐวีร์พยายามเงี่ยหูฟังเสียงรถเสียงเครื่องยนต์ตลอด เดินหลงทิศหลงทางอยู่หลายชั่วโมงจากพระอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่ขึ้นมาจนตอนนี้โผล่ขึ้นมาอยู่ตรงหัวแล้ว ในป่ารกต้นหญ้าขึ้นสูงไม่มีลมพัดทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าว ปฐวีร์เหนียวตัวและเหม็นเหงื่อ เขาคิดถึงอ่างอาบน้ำถ้าออกที่นี่ไปได้สิ่งแรกที่อยากทำคือนอนแช่ในอ่างน้ำ กำลังคิดถึงอ่างอาบน้ำท้องก็ส่งเสียงร้องประท้วงขึ้นมาเตือนให้รู้ว่าเขาไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้าเมื่อวานแล้ว เหมือนเจ้าป่าเจ้าเขารำคาญเสียงบ่นปฐวีร์ ในที่สุดเขาก็ยินเสียงเครื่องยนต์ดังมาอีกทาง
“พี่เทวาผมได้ยินเสียงรถมาจากทางนี้” ไม่รอให้เทวาตอบเขารีบเดินนำอีกฝ่ายไป ยิ่งเดินเสียงยิ่งชัด เขาเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่ง ก่อนที่จะถึงถนนใหญ่เขาชะลอฝีเท้าและหยุดลงกลัวว่ามีพวกมันดักรออยู่ ทั้งสองนั่งอยู่หลังพุ่มหญ้าสังเกตรอบ ๆ นั่งรออย่างใจเย็น จนเหงื่อบนหน้าผากไหลย้อยลงบนแก้มก็ยังไม่เห็นมีใครอยู่แถวนั้น
“อยู่นี่ก่อนพี่จะเดินออกไปก่อน” เทวาเดินออกไปและไม่ลืมระวังตัว มองซ้ายมองขวา สักพักก็ไม่เห็นใคร เขากวักมือเรียกให้ปฐวีร์ออกมา ปฐวีร์ยิ้มกว้างรีบเดินออกมา
“ที่นี่มันที่ไหน คงไม่ได้เดินมาไกลมาถึงชายแดนหรือข้ามชายแดนมาแล้วนะ”
“ถ้ามันข้ามกันง่ายขนาดนั้นคงไม่ต้องทำพาสปอร์ตกันแล้ว”
“พวกเราไปทางไหนกันดี” ปฐวีร์มองไปซ้ายเห็นถนนไกลสุดลูกดูลูกตา หันไปมองทางขวาก็ไม่ต่างกัน “หรือจะโบกรถดี”
“ไม่ดี ไม่รู้ว่าจะเจอกับคนแบบไหนบ้างพวกเราต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เห็นหลักกิโลเมตรหรือป้ายข้างทางก็จะรู้เองว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน” ชีวิตเพิ่งผ่านช่วงเวลาความเป็นความตายมาพวกเขารู้สึกว่าโลกใบนี้โหดร้ายและไม่กล้าไว้ใจใครทั้งนั้น ทั้งสองตกลงกันได้ก็เดินไปทางซ้าย เดินฝ่าแสงแดดตอนเที่ยงจนถึงบ่ายก็เห็นหลักกิโลเมตรแรก ปฐวีร์ไม่เคยเห็นหลักกิโลเมตรแล้วดีใจอย่างนี้มาก่อน คำนวณจากหลักกิโลเมตรปัจจุบัน ทำให้พวกเขารู้ว่าตอนนี้อยู่ห่างจากหลักกิโลเมตรที่ 108 ไกลพอสมควร พวกเขารู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที ก่อนจะเดินทางต่อทั้งสองตัดสินใจหาที่พักใต้ต้นไม้ริมทาง ร่างกายขาดน้ำมาหลายชั่วโมงทำให้ร่างกายอ่อนแรง ริมฝีปากแห้งแตก
“ตอนนี้อยากได้น้ำเย็น ๆ สักแก้วไม่สิต้องสักขวด เป็นน้ำอัดลมเย็น ๆ ก็ดี” ปากแทบไม่มีแรงพูดส่วนในใจคิดว่าถ้ากลับไปได้เขาจะจัดการทศพลและพวกให้ถึงที่สุด ให้ทรมานกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ หลายร้อยเท่า หายเหนื่อยแล้วทั้งสองเร่งฝีเท้าเดินต่อกลัวว่าค่ำแล้วจะต้องได้นอนอยู่กลางป่าอีกคืน พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงเป็นเวลาสี่โมงเย็น พวกเขาเดินมาเจอตลาดนัดข้างทาง ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้ม ในที่สุดพวกเขาก็รอดตาย ปฐวีร์แทบวิ่งเข้าไปในตลาด แต่ตอนนี้เขาไม่มีแรง เข้าไปในตลาดสิ่งแรกที่ต้องการคือน้ำเปล่า เขาเดินตรงไปที่ร้านขายน้ำทันที
“พี่น้ำเปล่า 2 ขวด เครื่องดื่มเกลือแร่ 2 ขวด” แม่ค้าสาวเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีเนื้อตัวมอมทั้งสองเธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เธอหยิบน้ำใส่ถุงให้ ได้น้ำมาทั้งสองรีบจิบน้ำทีละนิดทันที เพราะร่างกายขาดน้ำมานานและยังเหนื่อย เมื่อกินน้ำกินเครื่องดื่มผสมเกลือแร่น้ำหมดไปคนละสองขวดร่างกายก็รู้สึกสดชื่นทันที แต่ท้องกลับรู้สึกจุก นั่งพักสักครู่ให้ร่างกายปรับตัวมองผู้คนเดินสวนไปมา พวกเขาเริ่มตาลาย
“ไปหาอะไรกินกัน ผมหิวมากเลย” ทั้งสองเดินหาของกิน ปฐวีร์เดินตามกลิ่นไปที่ร้านขายลูกชิ้นปิ้ง ต่อด้วยร้านหมูปิ้ง ตลาดนัดขนาดไม่ใหญ่มากแบ่งเป็นโซนของกินและของทั่วไป ใช้เวลาไม่นานก็เดินจนทั่วโซนของกิน เติมพลังงานใส่ท้องจนเต็มทั้งสองก็เปลี่ยนไปเดินโซนของใช้เห็นเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทั้งสองถือโอกาสซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่สำหรับเปลี่ยน เดินเพลินจนลืมคิดไปว่าคืนนี้พวกเขาไปนอนกันที่ไหน เทวาถามพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นว่ามีโรงแรมที่พักใกล้ ๆ นี้ไหม ทุกคนบอกโรงแรมที่ใกล้ที่สุดอยู่ในเมืองซึ่งห่างจากที่นี่เกือบสามสิบกิโล ทั้งสองมองหน้ากันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเดินได้ไกลขนาดนั้น แม่ค้าบอกว่าหน้าตลาดมีรถเข้าเมืองรอบสุดท้ายหกโมง ทั้งสองขอบคุณแล้วตรงไปที่ท่ารถเห็นรถจอดอยู่ท้ายรถแขวนป้ายว่าเข้าเมือง ทั้งสองรีบขึ้นทันที
พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าแล้วทั้งสองนั่งเงียบอยู่บนรถ ปฐวีร์มองฝ่าความมืดออกไปลมเย็นปะทะหน้ารู้สึกแสบร้อนเพราะถูกแดดเผา ผ่านไปสักพักรถก็เลี้ยวจอดท่ารถ ทั้งสองถามคนขับทันทีว่ามีที่พักแถวนี้ไหม ชายสูงอายุชี้ไปที่ป้ายติดไฟมองเห็นไกล ๆ ทั้งสองขอบคุณ และรีบตรงไปที่นั่นทันทีพวกเขาเหนื่อยอยากจะพัก ปฐวีร์เหนียวตัวอยากอาบน้ำ อยากนอนบนเตียงนุ่ม ๆ ระหว่างทางเจอร้านสะดวกซื้อ พวกเขาซื้อของใช้ส่วนตัวอย่างครีมอาบน้ำ แปรงสีฟัน และขนมของกิน ปฐวีร์กำลังเลือกซื้อกางเกงใน
“หยิบให้พี่สักตัวดิเอาเบอร์ L นะ” ปฐวีร์ไม่ตอบแต่กลับรู้สึกอาย เขาไม่เคยซื้อกางเกงในให้ใครมาก่อน เทวาเดินไปที่เคาน์เตอร์เขาอยากได้โทรศัพท์เครื่องใหม่เอาไว้ชั่วคราว ไม่รู้ป่านนี้ที่บ้านรู้เรื่องที่รถเกิดอุบัติเหตุจะเป็นห่วงแค่ไหน ได้ของครบพวกเขาไปที่โรงแรมที่อยู่ถัดจากร้านสะดวกซื้อ
เข้าไปในโรงแรมบอกพนักงานว่าต้องการห้องพักสักห้องสำหรับสองคนพักสองวัน โชคดีที่นี่เป็นโรงแรมต่างจังหวัดไม่ค่อยเข้มงวดแขกเข้าพักเท่าไหร่ ได้กุญแจห้องพวกเขาเดินขึ้นชั้นสาม โรงแรมค่อนข้างใหม่บรรยากาศเหมือนรีสอร์ต มีกลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาตามลม ขึ้นมาถึงชั้นสามห้องพวกเขาอยู่ทางตะวันตก เดินผ่านห้องอื่น ๆ มาปฐวีร์รู้ได้ทันทีว่าทุกห้องมีคนพัก เปิดประตูห้องเห็นห้องพักไม่กว้างมากเตียงเดียวแต่ก็กว้างพอสำหรับนอนสองคน ปฐวีร์วางของลงบนโต๊ะแล้วไปเลื่อนผ้าม่านเปิดประตูระเบียงออก มองลงไปข้างล่างเห็นสระน้ำใสพื้นสีฟ้า มีแขกบางห้องกำลังเล่นน้ำกันอยู่
“ไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” เทวากอดปฐวีร์จากด้านหลัง “ไม่เหม็นรึไงกอดมาได้”
“ดีออกได้อารมณ์ไปอีกแบบ”
“งั้นผมไปอาบน้ำก่อนเหนื่อยแล้วง่วงนอนเป็นบ้า”
“อาบด้วยกันไหม” เทวาส่งสายวิบวับให้
“ทะลึ่งเถอะ” เขาไม่สนคำพูดและสายตานั่นรีบเข้าเดินเข้าห้องน้ำ ล็อกประตูเรียบร้อยถอดเสื้อผ้าจนหมด เดินเข้าตู้อาบน้ำ ปล่อยให้อุ่นค่อยๆชำระล้างความเหนื่อยล้าออกไป ร่างกายได้สัมผัสน้ำอุ่นรู้ดีขึ้น คราบเหงื่อไปชำระไปพร้อมครีมอาบน้ำ แต่ความรู้สึกกลัวยังเกาะกุมหัวใจไม่จางหาย เขารีบอาบน้ำเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเดินออกมาจากห้องน้ำ เปลี่ยนให้เทวาอาบบ้าง เขาปีนขึ้นเตียงเปิดโทรทัศน์เป็นเพื่อน ก่อนนอนหยิบยาพารามากินกันป่วย ไม่นานร่างกายที่เหนื่อยล้ามาหลายชั่วโมงก็ถึงขีดจำกัดเปลือกตาอยู่ ๆ ก็หนักขึ้นมาดื้อ ๆ และผล็อยหลับไปในที่สุด
เทวาอาบน้ำเรียบร้อยเดินออกมาจากห้องน้ำมีผ้าขนหนูตัวเดียวพันรอบเอว เห็นคนบนเตียงหลับไปแล้ว เขาหยิบยาหม่องออกมาถุงที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อมาทาบนแขน คอ และแก้มของปฐวีร์ที่มีตุ่มแดงที่เกิดจากยุงและแมลงกัด และทาให้ตัวเองด้วย จากนั้นหยิบโทรศัพท์ที่เพิ่งซื้อมาโทรหาพี่ชาย ธนาเห็นเบอร์แปลกโทรเข้ามากดรับถึงได้รู้ว่าเป็นน้องชาย
“ว่าไงน้องชายไปทำอีท่าไหนทำไมรถมีภาพแบบนั้น ตอนที่ตำรวจติดต่อมาคุณแม่ตกใจแทบแย่ แล้วน้องวีร์ของฉันเป็นยังบ้าง” เทวานิ่วหน้าปฐวีร์เป็นคนของเขา เขาไม่ตอบคำถามพี่ชายเขาเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ให้พี่ชายฟัง ธนาฟังแล้วก็ตกใจไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย รู้สึกเป็นห่วงน้องชายขึ้นมาแต่เห็นติดต่อมาก็คิดว่าน้องชายคงจัดการปัญหาเองได้ เพราะถ้ามีเรื่องที่เกินความสามารถอีกฝ่ายคงขอความช่วยเหลือจากเขาแล้ว “ยังไงก็ต้องบอกเรื่องนี้ให้พ่อได้รับรู้ไว้”
“งั้นฝากรบกวนพี่ด้วย”
วางสายจากธนาเขาติดต่อไปที่ยุทธจักรและให้ยุทธจักรประชุมสาย
“ไอ้ยุทธแกเรียกประชุมสายไมวะ ฉันกำลังดูหนังโป๊อยู่” เสียงคางเบา ๆ ดังแว่วมาทำให้ทุกคนรู้ตติวัฒน์ไม่ได้โกหก “ไม่ใช่ไอ้ยุทธเรียกหรอกเป็นฉันเอง”
“อ้าวนั่นแกเหรอไอ้เทวา หายไปไหนมาวะไม่ยอมมาเรียน โทรไปก็ไม่รับสาย แน่แอบไปฮันนีมูลกับน้องวีร์สองคนอะดิ” ฮันนิมูลเกือบได้ไปแล้วในนรก “อย่าไปสนใจพวกมันเลยแกมีเรื่องอะไรสำคัญถึงประชุมสาย”
“พวกแกตั้งใจฟังนะ......” เทวาเล่าทุกอย่างให้ทุกคนฟัง ทำให้เขาไม่สามารถกลับไปเรียนในช่วงนี้ เพราะคนของทศพลอาจจะดักรออยู่ที่มหาวิทยาลัย หรือที่คอนโดมิเนียม และเตือนให้ทุกคนระวังตัว พวกมันต้องมาถามแน่นอนว่าเขาติดต่อไปรึเปล่า หรือถามว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน “ขอโทษที่ทำให้พวกแกยุ่งยาก”
“เฮ้ยเพื่อนกันพูดแบบนี้เหรอวะ”
“แล้วแกเป็นยังไงบ้างวะ”
“ก็เกือบแย่เหมือนกัน ยังไงพวกแกระวังตัวไว้ก็ดีฝากเตือนเพื่อน ๆ ของวีร์ด้วย มีอะไรก็ติดต่อมาเบอร์นี้ได้” ทุกคนรับปาก เทวาวางสายไปแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ เขาหันไปมองปฐวีร์กำลังหลับสบายขอบตามีรอยคล้ำเล็กน้อย หนึ่งคืนในป่าจะบอกว่าเป็นคืนที่ดีหรือจะเรียกว่าเลวร้ายก็ได้ แต่มันกลับทำให้ความรู้สึกของพวกเขาเติบโตขึ้น เขาจูบลงบนหน้าผากมน นอนลงข้าง ๆ ปฐวีร์แล้วหลับไป
เที่ยงวันต่อมาปฐวีร์งัวเงียตื่นเพราะหิว เขานั่งบนเตียงมองไปรอบ ๆ ถึงจำได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เมื่อคืนเขาหลับลึกมาก ขยับตัวรู้สึกปวดขา ไม่รู้ระยะทางที่เดินทั้งหมดในสองวันที่ผ่านเป็นเท่าไหร่แต่คงทำลายสถิติการเดินทางไกลตอนที่เรียนลูกเสือสามปีในมัธยมต้น เขาหันไปมองคนนอนข้าง ๆ ใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวนอน ไม่รู้ว่าใส่กางเกงในด้วยรึเปล่า ปฐวีร์คิดพิเรนทร์แง้มขากางเกงขาสั้นดู
“ทำอะไรน่ะ อยากดูก็บอกจะแก้ให้ดู”
“ป เปล่า” เขาปฏิเสธไม่เต็มเสียง อายเมื่อถูกอีกฝ่ายจับได้ว่ากำลังทำเรื่องน่าอาย “จะอยากดูทำไมมีเหมือนกัน”
“ใครจะไปรู้ขนาดมันอาจจะไม่เท่ากันก็ได้” ปฐวีร์ถูกแกล้งจนอาย เทวากอดอีกฝ่ายไว้ “เป็นไงบ้างเมื่อคืนหลับสบายไหม”
“ที่สุด ปวดเนื้อปวดตัวไปหมด แต่ตอนนี้หิวแล้วไปหาอะไรกินกัน” ทั้งสองรีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดเข้าไปหาอะไรง่าย ๆ กินในร้านสะดวกซื้อ และถามพนักงานถ้าจะเดินทางเข้ากรุงเทพด้วยรถไฟต้องไปขึ้นที่ไหน พนักงานช่วยอธิบายเส้น จากนั้นทั้งสองรีบเช็คเอาส์จากโรงแรมไปขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้าย
รถไฟเที่ยวสุดท้ายเข้ากรุงเทพชั้น 2 ที่นั่งปรับอากาศในวันปกติค่อนข้างว่างหรือว่างเป็นปกติก็ไม่รู้ ผู้โดยสารทยอยขึ้นรถไฟ โดยมีเจ้าหน้าที่เดินดูความเรียบร้อยและอำนวยความสะดวก ปฐวีร์กำลังมองออกไปข้างนอก ทศพลคงกำลังตามหาเขาให้ควั่กแต่คงไม่คิดว่าเขาจะเลือกเดินทางด้วยรถไฟ อย่างน้อยเขาก็มีเวลาตั้งหลัก ถ้ากลับไปแล้วยังไม่รู้จะทำยังไงต่อไป
“ขนมจีบซาลาเปาหน่อยไหม เผื่อกินแล้วจะคิดออก” กลิ่นหอมขนมจีบซาลาเปาทำลายสมาธิ กลิ่นของมันกำลังเชิญชวนน้ำย่อยในกระเพาะ
“อืม ขอบคุณ” เขาหยิบขนมจีบเข้าปากรู้สึกอร่อยถูกปาก เขาจิ้มชิ้นที่สองต่อด้วยชิ้นที่สาม “อร่อย ซื้อมาจากไหน” เทวายิ้มให้คนเจริญอาหารไม่ได้กินอะไรเกือบสองวันปฐวีร์ดูผอมไปเยอะ แล้วยังคิดมากเขากลัวอีกฝ่ายจะป่วยเอา “ก็ตอนก่อนขึ้นรถมาไงเอาอีกกล่องไหม” ปฐวีร์พยักหน้า เขาจิ้มขนมเข้าปากเห็นสายตาคนหล่อมองมารู้สึกเขิน เขาหาวิธีแก้เขิน “กินไหมป้อน” เทวาไม่ขัดศรัทธาอ้าปากรับอย่างเต็มใจ
“กุญแจนั่นมันใช้สำหรับอะไร”
“เอกสารสำคัญฝากไว้ในที่ปลอดภัย คนที่มีกุญแจนี้เท่าไหนถึงจะสามารถเอาเอกสารนั่นออกมาได้”
“ถ้ายังไงเราไปเอาเอกสารนั่นแล้ว ให้คุณนายทนายช่วยดีไหม”
“ใช่ ถ้าเป็นลุงทนายต้องจัดการปัญหาทุกอย่างได้แน่นอน” แววตาของเขาเป็นประกายคราวนี้รับรองทศพลไปไหนไม่รอดแน่
ผ่านไปสองวันแต่ทศพลกลับไม่ได้ข่าวของปฐวีร์และพลพัฒน์เลยให้คนไปเฝ้าตามบ้าน มหาวิทยาลัยหรือที่คอนโดมิเนียมก็ไม่มีวี่แวว เขาทั้งกลุ้มใจและร้อนใจหรือเขาจะคิดผิดทั้งสองคงยังไม่ได้ออกจากป่านั่น
“นายครับ รถที่ชนท้ายพวกเราผมตรวบสอบแล้วเป็นของ เทวาพิทักษ์ สุรัตนธรรมวรธิเบศณ์” ทศพลรับแฟ้มเอกสารมาดู เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าสุรัตนธรรมฯมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย ดูเหมือนเรื่องมันจะยุ่งยากมากขึ้น เห็นทีเขาต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เร็วขึ้น
วันต่อมาทศพลไปพบคุณรองที่บ้านทั้งสองปิดห้องคุยกันเงียบ แต่บางครั้งก็มีเสียงเหมือนทั้งคู่กำลังทะเลาะกันดังลอดออกมาจากห้อง เงียบลงได้สักพักก็มีเสียงดังขึ้นอีก พิมพ์รตาเพิ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัยถามคนงานว่าใครมาที่บ้าน คนงานบอกว่าทศพลมาพบคุณนายรองตั้งตอนบ่ายแล้ว และบอกห้ามให้ใครไปรบกวน พิมพ์รตาพยักรับรู้แต่เธอก็ยังเดินตรงไปที่ห้องนั้น เธออยากรู้ว่าทั้งสองกำลังคุยเรื่องอะไรกันถึงต้องปิดห้องเงียบและยังบอกไม่ให้รบกวน เธอแนบหูชิดประตูแต่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไร เธอลองผลักประตูออกเบา ๆ เห็นทั้งสองเหมือนกำลังทะเลาะกันมากกว่าคุย
“มีอะไรให้พิมพ์ช่วยไหมคะ” ทั้งสองหันมามองคนเดินเข้ามาในห้อง
“พิมพ์มีอะไรรึเปล่าลูก คนงานไม่ได้เหรอ ว่าแม่กำลังคุยธุระกับคุณตาอยู่ อย่ารบกวน”
“บอกค่ะ แต่พิมพ์แค่สงสัยว่าคุยอะไรกันทำไมถึงต้องขึ้นเสียงกันด้วย” ทั้งสองเงียบไม่มีใครพูดอะไร ทศพลคิดได้ว่าถ้ากล่อมลูกสาวไม่ได้ทำไมเขาพูดกับหลานสาวล่ะ บางทีมันอาจจะจะง่ายกว่า
“ไม่มีอะไรมากแค่..”
“คุณพ่อ ยัยพิมพ์ยังเด็กอย่าดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยค่ะ” คุณนายรองไม่เห็นด้วยกับการกระทำของทศพล พิมพ์รตารู้สึกท่าทางแปลก ๆ ของทั้งสอง “คุณแม่พิมพ์ไม่เด็กแล้วนะคะ ”
“ดูเหมือนลูกสาวแกจะพูดจารู้เรื่องกว่าแก” ทศพลยิ้มอย่างพอใจ “ไม่มีอะไรมากแค่เรื่องทุกอย่างมันสมควรจบได้แล้ว”
“คุณตาหมายความว่ายังไง” ทศพลมองไปทางคุณนายรอง เธอเบือนหน้าหนีปฏิเสธไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว
“บางทีถ้าปล่อยให้พ่อแกไปสบายทุกอย่างจะดีขึ้น”
“คุณตาหมาย.....” เธอแทบพูดไม่ออก หันมองแม่ที่ยืนนั่ง เธอรู้แล้วว่าทั้งสองทะเลาะเรื่องอะไรกัน แต่ที่คุณตาเธอพูดมาก็ถูก พ่อของเธอนอนเป็นเจ้าชายนิทรามาได้สักระยะแล้ว หมอก็แค่รักษาไปตามอาการ เปล่าประโยชน์ที่จะยื้อให้อยู่ แม่ของเธอต่างหากที่ต้องทุกข์ เมื่อเห็นพ่อนอนไม่ได้สติ
“พิมพ์เห็นด้วยค่ะ” คุณนายรองหันไปมองลูกสาวอย่างเชื่อว่าจะได้ยินคำพูดนี้
“ดี แกมันพูดเข้าใจง่ายกว่าแม่ของแก เท่านี้ทุกอย่างก็จะเป็นของพวกเรา” พิมพ์รตามองหน้าทศพลอย่างไม่เข้าใจ “ถ้าปทีปไม่อยู่ ปฐวีร์หายสาบสูญ สมบัติก็จะเป็นของแม่แกและพี่ชายแก” พิมพ์รตาไม่สนใจเรื่องสมบัติแต่หูเธอสะกิดประโยคที่ว่า ปฐวีร์หายสาบสูญ มันทำให้หัวใจเธอเต้นแรงและยิ้มออกมาโดยไม่ตั้งใจ ทศพลสังเกตสีหน้าแววตาของพิมพ์รตาที่เปลี่ยนไป เขาเริ่มพูดจาหว่านล้อมต่อ เขาต้องการให้ใครสักคนไปถอดสายออกซิเจนออก ทุกอย่างต้องทำให้เป็นเหมือนอุบัติเหตุ การจะเข้าไปไม่ใช่ว่าใครก็เข้าได้ ฟังมาถึงตรงนี้พิมพ์รตารู้สึกหัวใจกระตุกขึ้นมาทันทีหมายความว่าต้องเป็นเธอ
“นี่เป็นตารางเข้าเวรของหมอและพยาบาล หกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มจะมีหมอเข้าตรวจเช็คเป็นประจำ ต่อจากนั้นอีกนั้นอีกทุกหนึ่งชั่วโมงจะมีพยาบาลเที่ยวเข้าไป” ทศพลส่งแผ่นกระดาษให้พิมพ์รตา เธอจ้องไปที่แผ่นกระดาษ แล้วยื่นมือออกไปรับ มือที่ถือกระดาษไว้สั่นเบา ๆ
“ช่วงเวลาระหว่างนี้จะไม่มีคนอยู่แถวนั้น ถ้าแกลงมือทุกคนจะคิดว่าเป็นอุบัติเหตุ”
“พิมพ์อย่าทำเลยนะลูก” เธออ้อนวอนพิมพ์รตาให้คิดทบทวนดูใหม่อีกครั้ง
“ตัดสินใจเองนะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับแกแล้ว ตอนนี้พ่อแกก็เหมือนคนตายไปแล้ว แต่ถ้าตายแล้วมีประโยชน์กับคนข้างหลังก็ดีไม่ใช่เหรอ” พิมพ์รตารู้สึกลังเลในหลายอย่าง หัวใจรู้สึกปวดร้าวขึ้นมาเมื่อคิดว่าเธอต้องเป็นคนลงมือทำ เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังจะทำเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ตั้งแต่ที่พ่อป่วยเธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย บางครั้งยังคิดว่าจะมีพ่อหรือไม่มีก็คงไม่ต่างกันคงเพราะเธอเคยได้ยินว่า เธอพี่ชายและน้องชายต่างไม่เกิดมาจากความรัก ความรักทั้งหมดพ่อได้ให้คุณนายใหญ่กับปฐวีร์ไปหมดแล้ว สิ่งที่ทำให้พวกเธอคือหน้าที่เท่านั้น เธอพยายามค้นหาคำปลอบใจตัวเอง และบอกตัวเองว่าเธอทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้วอย่างได้กลัวอย่าได้กังวล ทศพลและคุณนายรองต่างรอคอยการตัดสินใจของพิมพ์รตา เธอสูดลมหายใจเข้าก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนมันออก “พิมพ์ตัดสินใจแล้วค่ะ พิมพ์จะทำ”
ขณะที่คุณนายรองกังวลเรื่องงานหมั่นลูกชายคนโตอย่างพลพัฒน์ พยายามเกลี้ยกล่อมให้พิมพ์รตาคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง แต่เธอกลับลืมสนใจลูกคนเล็กอย่างพีรพลณ์ไปเสียสนิท ตอนนี้พีรพลธ์กำลังคิดหาทางเพื่อหาเงินไปใช้หนี้ส่วนที่เหลือ ขโมยเครื่องเพชรของแม่ก็ทำแล้ว แต่ถ้าทำบ่อยเกินไปก็จะถูกจับได้
“แล้วพี่ชายแกล่ะ”
“ผมไม่กล้าเงินเยอะขนาดนั้นไปขอมีหวังต้องโดนถามแน่นอน”
“แล้วทีนี้เอาไง”
“ผมไม่รู้เหมือนกันพี่ พี่ช่วยผมหน่อยสิ ผมยังไม่อยากถูกซ้อมจนตาย”
“เอาน่ายังไงเสี่ยก็ต้องอยากได้เงินมากกว่าชีวิตแกอยู่แล้ว ว่าแต่พี่สาวแกล่ะ”
“อยากพูดถึงผู้หญิงคนนั้นเลย”
“ทำไมวะ พูดถึงพี่สาวแกทีไร ทำไมแกต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย”
“ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากมีพี่สาวแบบนั้นหรอก ชอบจับผิดผมอยู่เรื่อย ทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง คิดว่าตัวเองวิเศษคนเดียวรึไง เรื่องมากจนไม่มีผู้ชายเขาสนใจ”
“แกนี่ท่าทางจะเป็นเอามาก เอายังงี้ฉันคิดอะไรดี ๆ ออกแล้ว”
”ยังไงพี่” โจ้เรียกพีรพลธ์กระซิบเบา ๆ บอกแผนการของเขาให้ฟัง พีรพลธ์ได้ฟังแล้วก็ต้องขมวดคิ้วแต่พอฟังไปเรื่อย ๆ ก็ยิ้มกว้างเริ่มเห็นด้วยกับความคิดของโจ้
เมื่อเดินทางมาถึงกรุงเทพ ปฐวีร์และเทวารีบไปเอาเอกสารหลักฐานทันที ทั้งสองช่วยกันตรวจดูเอกสารอีกครั้ง เทวาโทรถามข่าวเพื่อนว่าเป็นยังไงกันบ้าง ยุทธจักรบอกว่าตอนบ่ายเห็นชายแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนแถวคณะข้าง ๆ และถามคนโน้นคนนี้ว่าเห็นปฐวีร์มาเรียนรึเปล่า แต่ก็ไม่มีใครรู้ เทวาบอกให้เพื่อนระวังตัวไว้
วันต่อมาทั้งสองเอาเอกสารที่ได้ไปที่บ้านของทนายความเรืองโรจน์ ในตอนแรกที่ได้รับการติดต่อมาเรืองโรจน์ยังแปลกใจ ยิ่งได้เห็นเอกสารที่ปฐวีร์เอามาให้เขายิ่งแปลกใจ ตรวจสอบอยู่หลายรอบก็แน่ใจว่ามันเป็นเอกสารสำคัญ เขาอยากรู้ว่าทั้งสองได้เอกสารพวกนี้มายัง ปฐวีร์ไม่มีอะไรปิดบังเขาเริ่มเล่าตั้งแต่ที่พลพัฒน์ติดต่อมาจนถึงทศพลให้คนตามฆ่า เรืองโรจน์ตั้งใจฟังเงียบๆ เขาไม่แสดงท่าทีอะไรแต่ในใจกลับรู้สึกโกรธ ทศพลเลวกว่าเขาคิดไว้
“ท่าทางพวกคุณจะเจอช่วงเวลาที่ไม่ดีเท่าไหร่” เรืองโรจน์มองหน้าทั้งสองที่มีรอยยุงกัดเต็มไปหมด “แต่ก็โชคดีที่พวกคุณปลอดภัย ถ้าไม่อย่างนั้นผมไม่รู้จะตอบคำถามพ่อคุณยังไง”
“เอกสารพวกนี้จะสามารถเอาผิดทศพลและพวกได้” เขากังวลถ้าจัดการทศพลไม่ได้ชีวิตเขาคงกลับไปเป็นปกติไม่ได้ ตอนนี้ต้องหลบต้องซ่อนเหมือนคนหนีความผิดยังไงยังงั้น แล้วไหนจะเพื่อนและคนรอบยังต้องมาพลอยเดือดร้อนด้วยอีก
“แน่นอน เขาคงจะได้ไปนอนในคุกหลายปีทีเดียว แค่ข้อหาพยายามฆ่านี่ก็ตลอดชีวิตแล้ว” ปฐวีร์พอใจกับตอบมาก ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ทศพลจะได้รับกรรมซะที เมื่อไม่มีเหตุผลอะไรต้องอยู่ทั้งสองก็ออกมาจากที่นั่น
ผ่านไปเกือบชั่วโมงพระอาทิตย์ก็ตกดิน ประตูรั้วหน้าบ้านทนายเรื่องโรจน์ก็เปิดออก ทนายเรืองโรจน์ขับรถยุโรปสีขาวออกมา “นี่ใช่ไหมที่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องรีบออกมา และนั่งรออยู่ตรงนี้เป็นชั่วโมง”
“ใช่ ผมแค่อยากรู้ว่า ทันทีที่เขาได้เอกสารแล้วเขาจะไปที่ไหน พี่ครับช่วยตามรถคันสีขาวไป อย่าให้คาดสายนะตานะครับ” คนขับแท็กซี่ค่อย ๆ เคลื่อนรถออกไป เขาเว้นช่วงระยะพอสมควรเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังถูกตาม ขับผ่านโค้งเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจอดติดไฟแดงสองสามครั้ง สุดท้ายก็เห็นรถของเรืองโรจน์เลี้ยวเข้าไปในโรงพยาบาล เขามาทำอะไรที่นี่ เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว เขาไม่ได้สั่งแท็กซี่ให้เลี้ยวเข้าไปแต่ให้ไปจอดด้านหลัง รอสักพักแต่ก็ไม่เห็นรถคันสีขาวโผล่มา นั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าทนายเรืองโรจน์ตั้งใจมาที่โรงพยาบาลจริง ๆ
*************************************************
โปรดติดตามตอนต่อไป