บทที่25
(กุ๊ก)
“ทำไมเอาแต่มองออกไปนอกรถแบบนั้นล่ะคะหนู”
เสียงสองที่ดังขึ้นมาจากฝั่งขวามือทำให้ผมต้องละสายตากลับไปมองคนร่างหนาหน้าหล่อที่ชอบแต่งหน้าแต่งตามาจนเต็มแทบทุกครั้งที่ได้เจอกัน วันนี้พี่มันก็ยังหล่อแม้ว่าจะทาปากแดงมากก็ตาม
“ก็ไม่มีอะไร อยากดูวิว” ตอบพี่มันออกไปแบบนั้น แต่อีกคนก็ยิ้มบางๆส่งมาให้ มือหนาที่เลื่อนเกียร์ไปที่ตัวNแล้วหันหน้ามาหาผมในตอนที่รถติดไฟแดง
“วิวสวยๆก็ต้องหน้าพี่แล้วไหมอ่ะคะหนู”
“หึ สวยตายอ่ะพี่มึง”
“ทำไมคะ กูไม่สวยตรงไหนคะ นี่ถ้าไม่ใช่น้องกุ๊กๆกิ๊กๆคือกูตบปากเลยนะคะ”
“พี่จะตบผมหรอวะ”
“ใช่ค่ะ ตบด้วยปากดีไหมยังไง”
“ไอ้สัด”
“อ้าว อิเด็กนี่ด่ารุนแรงจุงกะเบย ใจร้าว” เราทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันตอนที่พี่มันพูดออกมาแบบนั้น มองกันไปสักพักแล้วก็
‘พรืดดด อุ๊บ ฮ่าๆๆๆ’
ต่างฝ่ายต่างหัวเราะใส่กันแบบทนไม่ไหว ก็ดูบทสนทนาของเราสองคนสิครับ แม่ง ไร้สาระชิพหายเลยว่ะ แต่เรื่องน้ำลายที่พี่มันพ่นออกมามันคือเต็มๆหน้ากูเลยนะเอาจริงๆ
“อย่าพ่นน้ำลายสิโว้ยอิเจ๊”
“โอ๋ๆนะคะ น้ำลายคนสวยๆก็คือน้ำมนต์ค่ะ จำ!” ว่าออกมาแบบนั้นแล้วก็เริ่มเปลี่ยนเกียร์เป็นตัวD รถค่อยๆเคลื่อนตัวไปตามถนนสายติด ติดทุกวันจันทร์ถึงอาทิตย์ ไม่มีวันไหนที่มันจะไม่ติดเลยจริงๆ น่าเบื่อ
“วันนี้หนูอยากกินอะไรคะ แต่พี่อยากกินสเต๊กค่ะ” แล้วมึงจะปรึกษากูเพื่ออะไรวะไอ้พี่ เวน
“หรอ”
“ทำไมอ่ะคะ หนูไม่ชอบหรอคะ พี่นี่ชอบมากเลย อยากให้หนูได้ลองทานดูน้า”
พี่มันที่ว่าออกมาแบบนั้นแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ก็ปล่อยให้พี่มันนั่งวี๊ดว๊ายผู้ชายที่ขับมอเตอร์ไซด์ผ่านมันไปเรื่อยๆของมัน ... และสุดท้ายพี่มันก็พาผมเลี้ยวเข้าโรงแรมห้าดาวที่ตั้งอยู่แถวนานา
“ที่นี่เลยค่ะหนู เนื้อนุ่มละลายในปากมั๊กมาก”
ว่าแบบนั้นตอนที่พาผมเดินเข้าไปในร้าน พี่มันเลือกที่นั่งที่ติดตรงกระจกใส มองเห็นวิวข้างนอกได้ชัดแจ๋ว แน่นอนว่าวิวที่เห็นก็แค่แสงสีของรถติดที่วิ่งผ่านไปผ่านมาในช่วงเวลามืดๆของกรุงเทพนั่นแหล่ะ
“น้องกุ๊กๆกิ๊กๆอยากทานอะไรดีคะ สั่งเลยน้า แต่พี่ว่าเริ่มต้นของการกินสเต๊กเราต้องเริ่มจากComplementary breadกันดีกว่าเนอะ อีกอย่างคือฟรีอิอิ งั้นเราสั่งสลัดด้วยเผื่อหนูกลัวอ้วน แล้วก็....”
แล้วก็อีกมากมายหลายสิ่งที่พี่มันเลือกสั่งมาตามที่มันอยาก และพอเห็นมันสั่งมามากมายขนาดนั้น ผมเลยไม่สั่งอะไรแล้วดีกว่า จานแรกที่พนักงานเอามาเสริฟคือComplementary bread มันเป็นขนมปังสี่รสชาติที่มี โฮววีท ซาเซมี โพกาเซีย ออนเนี่ยน พร้อมเนยสด 2 แบบคือ butter กับ garlic butter โดยขนมปังแต่ละแบบ มีกลิ่นและรสชาติที่ แตกต่างกัน อบมาร้อนๆก็หอมน่ากินดีครับ สักพักพนักงานก็เข็นรถเข็น Top หินสีดำมาข้างๆโต๊ะของเรา พร้อมแซลมอนรมควันชิ้นใหญ่ ใหญ่โคตรๆ สีสวยสดมาสไลด์โชว์กันแบบสดๆยาวตลอดตัว ทีละชิ้นๆ แล้วค่อยๆเรียงบนจาน จากนั้นก็ใส่สารพัดเครื่องปรุงลงไป หน้าตาน่าทาน แต่ผมเองไม่ค่อยชอบอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ เพราะผมไม่ชอบกินแซลม่อนที่ไม่ได้เบิร์นมาก่อน
“นี่นะคะ บีบเลม่อนด้วย อร่อยๆค่ะ” พี่มันที่ว่าแบบนั้นแล้วเอื้อมมือมาหยิบเลม่อนมาบีบให้ผม รสชาติก็โอเค แต่ถ้าคนที่ไม่ชอบอาหารเลี่ยนๆแบบพวกอาหารอิตาลีผมว่ามันไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่
“ว้าวว มาแล้วๆค่ะหนู สลัดของหนูเนอะ”
ของกูหรอไอ้พี่ กูไม่ชอบ! ...
แต่จะแหกปากโวยวายก็ไม่ได้ เพราะสถานที่หรูหราหมาเห่ามากผมเลยต้องยิ้มอ่อนส่งไปให้พี่มันแทน ตอนที่พนักงานเข็นรถพร้อมอุปกรณ์และวัตถุดิบทั้งหมดมาแล้วทำกันสดๆตรงหน้า สลัดซีซ่า ผักสดโรยด้วยเบคอนกรอบๆ
“พี่แนะนำให้ใส่ปลาแอนโชวี่ด้วยนะคะจะช่วยให้กลิ่นและรสชาติที่ดีขึ้นล่ะค่ะ”
พี่มันว่าออกมาแบบนั้นแล้วขยิบตาให้ ผมที่แค่พยักหน้าตอบรับพี่มันไปและทำตาม ก็อร่อยดีครับ แต่ไม่ใช่ทางของผมเท่าไหร่ ตอนนี้คิดถึงกระเพราไข่เยี่ยวม้าจังวะ
“เมนครอสของเรา มาแล้วค่ะหนู”
หลังจากที่ผมนั่งเขี่ยสลัดในจานเล่นไปเรื่อย และอิเจ๊ดานี่ที่ดูจะมีความสุขสุดๆยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาสักพัก พี่มันก็ร้องขึ้นมาแบบนั้น พอเงยหน้าขึ้นไปถึงเห็นว่าพนักงานกำลังเดินมาทางโต๊ะเรา ก่อนจะวางจานแรกคือสเต๊กไดแอน และอีกจานคือสเต๊กเนื้อวากิล เป็นAustralian Wagyu เป็นเนื้อติดกระดูก ชิ้นใหญ่ขนาด 1 กิโลกรัมมาทำเป็นสเต๊กจานใหญ่ให้เราทาน
“พี่...”
“ว่าไงคะ เดี๋ยวพี่หั่นให้เนอะ”
พออีกคนที่ดูจะตื่นเต้นมากๆกับการที่จะเอาใจ ผมก็เลยเลือกที่จะไม่ขัดมันดีกว่า ถึงแม้ว่าสเต๊กเนื้อวากิลที่มันกำลังหั่นอยู่นั่นจะชิ้นละเกือบห้าพันบาทก็ตามเถอะ แพงสัดๆ
“อื้มมม รสชาตินุ่มละมุนละไมม๊าก” ยิ้มทั้งหน้ายิ้มทั้งตาตอนที่พี่มันเอาเข้าปาก ผมเองก็ไม่ปฏิเสธหรอกครับ มันอร่อยสมราคาจริงๆล่ะ
“วันหลังไม่ต้องพาผมมากินอะไรเว่อร์แบบนี้ก็ได้นะพี่”
“ไม่ได้หรอกค่ะ พี่อยากให้หนูประทับใจในตัวพี่ที่สุด”
ว่าออกมาแบบนั้นแล้วขยิบตาใส่ ผมที่ได้แต่ส่ายหัวส่งไปให้ แต่อีกคนก็ยังคงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากสนุกไปเรื่อยๆ เห็นแบบนั้นก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ อิเจ๊พี่ดานี่เป็นคนที่อารมณ์ดีและติดจะกวนตีน ใครอยู่ด้วยก็ค่อนข้างจะสบายใจ รวมถึงผมเองด้วยที่พอได้มาคุยกับพี่มันก็สบายใจดี เหมือนได้อยู่กับพี่ชายที่ยังระบุเพศสภาพของตัวเองไม่ได้นั่นแหล่ะครับ
“หนูกุ๊กอิ่มไหมคะ ส่วนเจ๊อิ๊มอิ่มค่ะ ดูท้องพี่สิคะ ลูบไหมๆ”
ว่าแบบนั้นแล้วเอามือกูไปแปะที่หน้าท้องตัวเองซะแบบนั้น ไอ้บ้า!
“โว้ยพี่มึง”
“ฮ่าๆก็หยอกนี่นา อยากเห็นหนูยิ้มเยอะๆ”
“ขอบคุณที่พาผมมานะพี่ แม้ราคาที่พี่จ่ายไปทั้งหมดจะเกือบหมื่นก็เถอะ”
“แค่นี้สบายค่ะ สวยรวย” ส่ายหัวใส่พี่มัน แต่อีกคนก็ยังคงยิ้มและเดินตามหลังผมมา หลังจากที่พวกเราทานกันอิ่ม พี่มันส่งผมที่หน้าคอนโด
“ประทับใจในตัวพี่ไหมคะหนู”
“ถามไมงั้นอ่ะ”
“อยากได้กำลังใจในการใช้ชีวิตต่อในค่ำคืนนี้”
“ประสาท”
“คนน่ารักด่าแปลว่าเค้ารักสวยค่ะแม่ขา” คุยกับใครกูถามแค่นี้ มองพี่มันแบบปลงๆ อีกคนที่หันมาหาผมแล้วยิ้มให้แบบลูกหมาขอคะแนน
“ขอบคุณมากครับ วันนี้พี่ได้5”
“5เต็ม10หรอคะหนู”
“เต็มร้อย”
“โอ๊ยอิดอกกก เจ็บปวดไปหมด” อีกคนที่โหยหวนพร้อมเอามือทาบอก เล่นใหญ่เล่นโตเว่อร์ๆไปหมด เห็นแบบนั้นแล้วก็ต้องยิ้มขำๆออกมากับท่าทางของพี่มัน
“เยอะจริง”
“ฮ่าๆ ก็อยากให้หนูยิ้มไปกับพี่ เอาล่ะถึงคอนโดแล้วหนูไปพักเถอะ”
“ขอบคุณนะพี่”
“ยินดีค่ะ”
ขยิบตาให้กูหนึ่งที ผมก็ก้าวลงจากรถของพี่มันมา อีกฝ่ายที่โบกมือหยอยๆจากในรถให้ผม ก่อนจะขับรถออกไปเพื่อกลับเข้าร้าน ร้านอาหารของพี่มันที่เจ้าของร้านไม่แดก เพราะวันนี้พาผมไปแดกที่โรงแรมหรูแทน
“เฮ้อ อยากแดกกระเพราว่ะแม่ง” บ่นกับตัวเองออกไปแบบนั้นตอนที่เดินไปกดลิฟเพื่อจะขึ้นตึก พอเห็นลิฟแล้วก็อดคิดถึงเรื่องเมื่อวันก่อนไม่ได้ วันนั้นที่เจอเบน วันนั้นที่ไอ้บินพาตัวผมขึ้นไปถึงห้อง และ...
“พึ่งกลับหรอ” เสียงเข้มที่ดังมาจากด้านหลังทำผมสะดุ้งหลุดออกจากความคิด พอมองกลับไปก็เป็นไอ้บิน มันที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีเทาคอกว้างจนมองเห็นกระดูกไหปลาร้าที่ใส่เข้าคู่กับกางเกงขายาวสีดำเป็นกางเกงวอร์มที่มันชอบเอาไว้ใส่นอนพร้อมกับคีบร้องเท้าหนีบแตะมาด้วย
“อืม” ตอบรับมันกลับไปเบาๆ
“ไปแดกข้าวกับไอ้ตุ๊ดนั่นมา อร่อยไหม” มันที่ถามออกมาแบบนั้น ทำเอาผมต้องกำมือแน่นๆกลัวจะเผลอโมโหต่อยอัดหน้ามันไป ค่อนข้างที่จะเกลียดน้ำเสียงของมันหน่อยๆ
“อร่อย อร่อยมากๆเลยล่ะสัด ทั้งอร่อยทั้งอิ่ม กูไปแดกสเต๊กเนื้อวากิลมา” ขมวดคิ้วตอบมันแบบไปแบบนั้น อีกฝ่ายก็แค่ยกยิ้มมาให้ สัดบิน กวนตีน เห็นแล้วอยากเอาตีนลูบหน้า
“หึ ก็ดี”
มันที่บอกแบบนั้น และในจังหวะต่อมาประตูลิฟท์ก็เปิดออกมาพอดี เราสองคนที่เดินเข้าไปในลิฟด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างหันหน้าไปคนละทาง ผมมองไปที่ผนังฝั่งซ้าย ส่วนไอ้บินมองไปที่หน้าจอบอกชั้นว่าลิฟท์มันเลื่อนขึ้นไปถึงชั้นไหนๆ เป็นความเงียบที่ชวนอึดอัดจริงๆ
‘จ๊อกๆ’
สัด!
อยากสบถออกมาด้วยคำนี้! ไอ้ท้องไม่รักดี มึงจะเสือกมาร้องในช่วงเวลาที่เงียบๆแบบนี้ไม่ได้นะโว้ย
“หึ” เสียงหัวเราะเข้มๆที่ดังออกมาจากในลำคอของไอ้ตัวที่ยืนอยู่ข้างๆแล้วยิ่งอยากแกล้งตายเหมือนเจอหมี สัดเอ๊ย
‘ตึ๊ง’
ประตูลิฟท์เปิดออกในชั้นของพวกเรา และเป็นผมเองที่รีบก้าวฉับๆเดินหนีอายออกมาก่อนโดยไม่หันไปมองไอ้บ้าที่เดินผิวปสกตามหลังมาติดๆ
แม่งเอ๊ย จะมาท้องร้องอะไรตอนนี้วะแม่ง ใบได้บ่นอยู่ในใจตอนที่หยิบการ์ดเข้าห้องออกมาแตะที่ประตู ในจังหวะที่กำลังจะดันประตูให้เปิดออก ข้อมือของผมก็โดนฉุดเอาไว้ซะก่อน
‘หมับ’
“อ๊ะ ปล่อยกู...เอ๊ะ”
“เอาไปแดกซะ กูรู้ว่ามึงไม่ชอบอาหารอิตาเลี่ยน ยิ่งพวกสเต๊กมันไม่ทำให้มึงอิ่มจนนอนหลับหรอก ... กูว่าอันนี้มึงน่าจะชอบมากกว่านะ” มันที่พูดออกมาแบบนั้นพร้อมๆกับมองหน้าผมและยกยิ้มให้หน่อยๆ
“กูไปล่ะ” มันที่เดินผ่านหน้าของผมไปที่ห้องของมัน ผมก้มลงมองถุงที่อยู่ในมือ ข้าวกล่องธรรมดาบ้านๆสุดอยู่ในมือของผม
“อ่อ...กูไม่ได้ไถ่โทษเรื่องคืนนั้นหรอกนะ เพราะตอนนั้น...กูตั้งใจ”
“ไอ้สัด!”
“ฝันดีครับ”
ยิ้มตอบรับคำด่าของกูหน้าระรื่น ก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องตัวเองไปทั้งแบบนั้น ยกถุงในมือขึ้นมาดูก็รู้ตั้งแต่ยังไม่ได้เปิดกล่อง
กระเพราไข่เยี่ยวม้าแน่นอน...
สัดบิน เกลียดมึงชะมัดเลย!
...
(คาราเมล)
‘ครืดๆ’
เสียงสั่นของมือถือทำให้ผมที่นอนกลิ้งเล่นอยู่บนเตียงกว้างๆของไอ้ทัพหน้าต้องเอื้อมมือหยิบมือถือกดมาดู เป็นการแจ้งเตือนมาจากอินสตาร์แกรม พอเปิดเข้าไปดู ก็ต้องเผลออมยิ้มออกมาแบบที่ห้ามไม่อยู่เมื่อชื่อของแอคเค้าท์ที่มากดไลค์ก็คือ Thapna.T ไม่ต้องมองรูปโปรไฟล์ที่เป็นรูปแผ่นหลังของเจ้าของแอคก็รู้แล้วว่าคือใคร ก็ชื่อนี้น่ะผมเป็นคนตั้งกับมือ ทัพหน้า.ที ก็ทัพหน้า เตชะณรงกรค์ ยังไงล่ะ .... มันที่มากดไลค์รูปล่าสุดที่ผมพึ่งลงรูปสปาเก็ตตี้ไป พร้อมกับคอมเม้นท์เข้ามาแค่หน้ายกยิ้ม แต่ดันได้ยอดไลค์ระรัวยังกับคนอื่นๆรู้ว่านี่คือแอคของใคร แม่มเอ้ย พึ่งเปิดแอคเมื่อตอนเย็นเองนะ
“นอนยิ้มอะไรอยู่คนเดียว เป็นบ้าหรอวะ”
เงยหน้าขึ้นไปมองเห็นร่างสูงของไอ้เจ้าของบ้านที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าตายๆแบบทุกที มือของมันที่ถือแก้วนมอุ่นเข้ามาด้วย ได้แต่มองมันงงๆตอนที่มันเอามายื่นให้ตรงหน้าผม
“ลุก”
“คืออะไร?”
“ปัญญาอ่อนไม่รู้จักนมอุ่น” มองหน้าผมนิ่งๆพร้อมทำหน้าระอาใส่ คือกูรู้ว่าคือนมอุ่นไงวะ แต่ไม่รู้ว่ายื่นมาให้กูทำไม อย่าบอกว่ามึงจะราดหัวกูนะโว้ย
“คือ...ให้กู?”
“ถามมาก กูสาดใส่หน้ามึงนะ”
มันที่จ้องหน้าผมนิ่งๆ ทำท่าทางเหมือนเริ่มรำคาญ พอมันพูดออกมาแบบนั้นก็รีบคว้าแก้วนมอุ่นๆนั่นมาถือไว้ทันที กลัวมันราดลงมาจริงๆ ถือแก้วไว้ในมือแล้วได้แต่เงยหน้าขึ้นไปมองมันแบบไม่เข้าใจ อีกฝ่ายที่ก็ก้มลงมามองหน้าผมอยู่แล้ว
“แดกซะ ถ้าไม่แดกมึงจะชอบนอนไม่หลับไม่ใช่รึไง”
มันที่ว่าออกมาแบบนั้นแล้วสาวเท้าเดินหนีไปที่อีกฝั่งนึงของเตียงนอน ผมก้มหน้าลงมองแก้วในมือแล้วยิ้มออกมากว้าง ไม่พลาดที่จะกดถ่ายรูปเอาไว้ กดลงในไอจีและเขียนแคปชั่นไปว่า
‘second time’
‘ครืดๆ’
เสียงแจ้งเตือนจากไอจีที่ทำให้ต้องเลิกคิ้วมอง ข้อความที่ปรากฏข้างใต้รูปภาพแก้วนมที่ผมพึ่งลงไป
‘รีบแดกแล้วขึ้นมานอน’
หันหลังกลับไปมองคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง มือถือที่วางอยู่บนอกแกร่งของมันและใบหน้าคมที่หันมามองผมนิ่งๆ ดวงตาคมเข้มสีดำสนิทเหมือนท้องฟ้าตอนกลางคืนของมันที่จ้องหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว
“มึง....”
“อีกนานไหม มึงจะรอให้ไอ้หน้าเหี้ยที่ไหนมาเม้นท์แซวมึงอีก สัด”
สะบัดเสียงในคำสุดท้ายเหมือนจะหงุดหงิดหน่อยๆ ผมที่ก้มลงมองในหน้าจอมือถือเห็นคอมเม้นท์ของใครต่อใครที่ผมไม่รู้จักเข้ามาคอมเม้นท์ผมเรื่อยๆ แซ็วบ้างหยอดบ้างตาประสาเกรียนคีบอร์ด แต่คำพูดจากคนตรงหนาที่มองแรงมาไม่หยุดก็อดที่จะแอบคิดไม่ได้ว่าไอ้ทัพหน้า ... มันดูจะหวงกัน
“เปล่าสักหน่อย”
“เปล่าก็รีบๆขึ้นมา อย่าให้กูต้องหงุดหงิดนะไอ้สัด”
“เออๆ รู้แล้วน่า บ่นจริง”
ได้แต่บ่นงึมงำเบาๆ แล้วรีบยกแก้วนมอุ่นขึ้นดื่ม รสชาติอุ่นๆหอมๆกลิ่นนมทำให้รู้สึกอบอุ่นในช่องท้องแปลกๆ จริงๆผมค่อนข้างจะติดดื่มนมก่อนนอนมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมมันรู้ได้
ดื่มจนเสร็จก็รีบวิ่งไปบ้วนปากในห้องน้ำ แล้วเอาแก้วไปวางไว้ที่โต๊ะกันมดแดกหัว เดินเข้าไปใกล้เตียงนอนที่คนร่างสูงก็นอนนิ่งๆจ้องมือถือก่อนจะเงยหน้ามามองผมอีกที
“รีบมา”
“ท...ทำไม” ถามออกไปแบบใจคิด คือมึงเร่งทำไมวะ
“ขึ้นมา”
“ทัพ...ไม่เอานะเว้ย พรุ่งนี้มีเรียน แล้วก็มีทำรายงานกลุ่มที่บ้านมึงด้วยอ่ะ”
“จะมาไวๆหรือให้กูไปกระชาก มึงเลือก”
มันที่บอกออกมาแบบนั้นแล้วจ้องตาผมนิ่งๆ ฝ่ามือหนาที่เอื้อมหยิบโทรศัพท์ไปวางไว้บนหัวโต๊ะข้างเตียงแล้วตั้งท่าจะลุกขึ้นจริงๆ ในตอนนั้นกูก็ก้าวยาวๆเข้าไปถึงเตียงนอนทันที
“หึ ขึ้นมา”
“รู้แล้วน่า อะไรนักหนาก็ไม่ อ๊ะ...”
ในช่วงจังหวะที่สอดขาขึ้นไปนอนบนเตียง ตั้งใจจะคว้าผ้าห่มมาให้ห่มให้แน่นหนา ตอนนั้นวงแขนแกร่งของไอ้คนข้างๆตัว ก็สอดเข้ามาที่เอวรวบตัวผมไปกอดไว้จากด้านหลังอย่างแน่นหนา
“อยู่นิ่งๆ”
มันที่ว่าออกมาแบบนั้นแล้วเอาหน้าหล่อๆของมันมาซุกอยู่ที่ท้ายทอย ลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดลงมาที่ต้นขอรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวจนรู้สึกเกร็งไปหมด
“อ...ไอ้ทัพ คือ”
ว่าออกมาไปแบบนั้นพร้อมๆกับพยายามเขยิบตัวดิ้นออกมาจากวงแขนของมันแบบเนียนๆ แต่อาจจะไม่เนียนในสายตาของทัพหน้า มันที่พอเห็นผมเขยิบหนี มันก็ยิ่งดึงตัวผมเข้าไปกอดให้แน่นมากยิ่งขึ้น ใบหน้าคมๆที่เอี้ยวตัวมาซุกลงที่ลำคอ กดจูบเบาๆลงไปซ้ำๆ ไม่ได้รุนแรงแต่มันรุนแรงกับหัวใจ
“อย..อย่า” บอกมันออกไปด้วยเสียงที่ไม่มั่นคงนัก ลิ้นร้อนๆของอีกคนที่เลียเข้าที่ใบหู ความรู้สึกร้อนวูบไปทั้งหน้าในตอนนี้
“มึงน่ะอย่าดิ้น”
“อื้อ มึง มึงก็...”
“ถ้ามึงยังดิ้นไม่หยุด กูไม่รับประกันนะว่าจะหยุด”
เสียงทุ้มที่ดังเข้าข้างหูทำเอาตัวเกร็งชะงักหยุดดิ้นในทันที ได้ยินเสียงหึเบาๆจากคนที่นอนกอดผมจากด้านหลัง ฝ่ามือแกร่งที่ดันตัวผมให้พลิกกลับไปหา ดวงตาคมที่มองหน้าผมนิ่งๆ ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคิดอะไรอยู่ มองดูสายตานิ่งๆของมันกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ดูไม่ออก
เป็นคนลึกลับที่บางทีก็ดูเปิดเผย แต่บ่อยครั้งก็ปิดบังอะไรบางอย่างไว้จนแนบเนียน
ใบหน้าหล่อๆที่เลื่อนเข้ามาหาผมช้าๆ สายตาที่มองสบกันทำให้ผมต้องนิ่ง ไม่แม้แต่จะกล้าขยับตัวหนี ทัพหน้าที่ขยับตัวลุกขึ้นนิดหน่อยแล้วเลื่อนหน้าเข้ามาหาผม ริมฝีปากอุ่นๆที่เฉียดเข้าที่ข้างแก้ม สัมผัสอุ่นๆที่ข้างแก้มเห่อร้อนแม้ว่ามันจะไม่ได้หอมลงมาเต็มๆ ช้อนสายตามองตามรูปปากของมันที่ค่อยๆเลื่อนผ่านจมูก ตาของผม และสุดท้าย...ริมฝีปากเย็นๆของมันก็นาบลงมาที่กลางหน้าผากของผม
ตึกตักๆ
หัวใจผมเต้นแรงขึ้นเมื่อความเย็นทาบทับลงมา พร้อมๆกับดวงตาของผมที่ปิดลงไป
คุณเคยได้ยินคำพูดของนักจิตวิทยากล่าวไว้หรือเปล่า ...
อย่าปล่อยให้คนที่เรารู้สึกดีมาจูบหน้าผาก เพราะจะทำให้เราจดจำเขาตลอดไป ...และในค่ำคืนนี้ ไม่มีแม้แต่เสียงทัดทานออกจากปากของผม ไม่ทันได้ห้ามปรามว่าอย่าทำ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มันผละออกมามองหน้าผม มองเห็นรอยยิ้มที่อบอุ่นสุดๆของมันผ่านดวงตาที่ไม่แสดงความหมาย แต่มันกลับมีค่าทางจิตใจกับผม
ไม่รู้ว่าคำกล่าวของนักจิตวิทยาจะจริงหรือไม่ แต่ถ้าถามว่าผมจะจดจำมันรวมถึงค่ำคืนนี้ตลอดไปหรือเปล่า...ผมว่ามันเป็นเรื่องจริง
...
“วันนี้พวกมึงจะมาทำรายงานที่นี่ใช่ไหม”
“ก็มึงบอกว่าให้มาอ่ะ”
เงยหน้าจากชามข้าวต้มกุ้งขึ้นไปมองคนที่กำลังจิบกาแฟด้วยท่วงท่าผู้ดีจัด มือจับแก้วทำมุมได้องศาดูมีชาตระกูลยิ่งนัก ส่วนมืออีกข้างนึงของมันก็กำลังกดๆจิ้มๆไอแพดของตัวเอง เปิดหน้ากระดานหุ้นอะไรไม่รู้ดูอยู่ ทำแบบนี้เสมอๆในทุกๆเช้า ก็คือมาดของนักธุรกิจใหญ่ที่กำลังใช้สมองคิดเรื่องเอาเงินจากคนอื่น ทัพหน้าเป็นคนเก่ง เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่เก่งมีอำนาจและหาตัวจับยาก อันนี้ผมไม่เถียงเลย
“อืม” มันที่ตอบรับออกมาแค่นั้น ก็ทำเอาผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ คือยังไงวะ มึงอยากให้มาหรือไม่ยังไงอ่ะ
“คือมึงอยากให้พวกมันมาทำรายงานที่นี่จริงๆหรอ คือ...พวกกูไปทำห้องไอ้บินก็ได้นะ”
ถามมันออกไปแบบนั้น เพราะผมค่อนข้างรู้นิสัยของมันครับ ทัพหน้าเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง รวมถึงมันที่ไม่ชอบให้ใครมาบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว ดูจากชีวิตความเป็นอยู่ แค่บ้านหลังนี้ที่แยกออกมาตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยวในท้ายหมูบ้าน และรวมถึงเวลาที่พี่น้องของมันมาหาแบบไม่ได้นัดก่อนมันก็ไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะเป็นแบบนั้น ผมเลยไม่มั่นใจว่ามันอยากให้เพื่อนๆผมมารบกวนที่นี่แน่หรอ
“ทำไม” ใบหน้าคมที่เงยหน้าขึ้นมาจากไอแพดทันที หัวคิ้วของมันที่ขมวดเข้าหากัน ดูเหมือนจะหงุดหงิดและสายตาคมๆที่มองมาทางผมแบบไม่พอใจ ... คือกูทำอะไรผิดรึจ๊ะ?
“ก็...กลัวมึงไม่สดวก”
“มึงหรือกูที่ไม่สดวก” เสียงแข็งๆของมันที่มาพร้อมกับการหันหน้ามาหาผมทั้งตัว
“ทำไมกูต้องไม่สดวกอ่ะ”
“แล้วทำไมกูต้องไม่สดวกเหมือนกัน” ยอกย้อนเก่ง
“ก็นี่มันบ้านมึง”
“แล้ว?” ถามผมออกมาแบบนั้นพร้อมเอนหลังไปพิงพนักพิงเก้าอี้พร้อมเลิกคิ้วถามอย่างหาเรื่อง เอาจริงๆคือหน้าตาตอนนี้ของมันค่อนข้างจะกวนตีนหน่อยๆครับ
“ก็ไม่แล้วไงอ่ะ ก็ถามดู”
“อะไรที่กูตัดสินใจไปแล้วแสดงว่ากูพอใจ อย่าถามย้ำ นอกจากมึงอยากจะไปแด๊ะแด๋กับชู้มึง”
“ชู้พ่อง!” ก็เพราะว่ายั้งปากไม่อยู่ ก็เลยโพล่งออกไปแบบนั้น ยกมือขึ้นปิดปากแทบจะทันที รวมถึงไอ้ทัพหน้าที่จ้องกลับมาแบบโหดๆ
“กะ....ก็มึงชอบพูดชู้ๆ ก็มันไม่ใช่ป๊ะวะ” เถียงมันออกไปแบบอ้อมแอม กลัวครับ กลัวมันตบตกเก้าอี้ ถึงเดียวนี้มันจะใจดีขึ้นเยอะ แต่มันตบได้แน่ๆอ่ะถ้ามันอยากทำ
“ไม่ใช่ก็พามา กูจะทำให้รู้ว่า มึงเป็นของใคร”
“ห๊ะ”
ได้ยินไม่ชัดเท่าไหร่ ได้แต่ทำหน้าเหลอหลาออกไป มองเห็นมันที่ยกยิ้มมุมปากร้ายๆพร้อมๆกับสายตาคมนิ่งที่มีไฟลุกโชนอยู่ในดวงตาของมัน ผมว่าผมมองไม่ผิดจริงๆนะ
“เสือก ไปเรียนได้แล้ว”
มันที่หันมาว่าผมแบบนั้น ก่อนจะหยิบสูธของมันที่วางอยู่ที่เก้าอี้ตัวข้างๆมาคล้องไว้ที่แขน ผมที่ดื้มน้ำอีกอึกแล้วลุกเดินตามมันออกมาจากห้องอาหาร มองสภาพมันที่เป็นมาดนักธุรกิจแบบเต็มตัว
“วันนี้จะไปประชุมหรอวะ”
“อืม แล้วก็มีธุระ”
“ธุระ?”
“เรื่องส่วนตัวที่แปลว่ามึงอย่าเสือก”
“หึ่ย ก็แค่ถามโว้ย อยากรู้ตายล่ะ”
เบะปากใส่มันตอนที่เดินออกมาที่หน้าบ้าน ยืนรอสักพักรถที่จะไปส่งผมที่มหาลัยก็มาจอดเทียบ กำลังจะเดินออกไปอยู่แล้วๆถ้าไม่ติดว่าวงแขนแข็งแกร่งที่เอื้อมมาโอบตัวผมไว้ซะก่อน แขนหนาที่เอื้อมมากระชากตัวผมให้เข้าไปปะทะกับอกแกร่ง ได้แต่เงยหน้าขึ้นไปมองอย่างตกใจ และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ริมฝีปากของคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังโฉบริมฝีปากลงมากดจูบที่ริมฝีปากของผมแบบหนักหน่วง ไม่ใช่จูบที่ร้อนแรงแต่ก็ทำให้หน้าผมเห่อร้อนไปทั้งหน้าได้ ในจังหวะที่ผละหน้าออกห่างจากผม สายตาคมก็จ้องกลับมาอย่างแวววาวพร้อมกับยกยิ้มมุมปากร้ายๆ ผมที่ยืนทำหน้าเลิกลักพอหันไปมองรอบๆ ก็เห็นลูกน้องชุดดำของมันที่รีบก้มหน้าหลบกันไปเป็นแถวๆ ไอ้...ไอ้...
“กูมีธุระ แต่ไม่ต้องห่วง วันนี้กูจะรีบกลับมา ไม่ปล่อยมึงไว้กับเพื่อนสนิทคิดไม่ซื้อของมึงนานหรอก”
“อ..ไอ้..”
“หึ ไปเรียนได้แล้วไอ้ดื้อ”
ว่าออกมาแบบนั้น ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวผม พร้อมๆกับเอามือมาดันแผ่นหลังของผมให้เดินไปขึ้นรถ มึงไม่ต้องมาผลักเลย กูนี่รีบจ้ำขึ้นรถไปเลยทันที อายครับ ลูกน้องมันนี่ยืนสลอนเลย ไอ้บ้าเอ๊ย...เล่นกูแต่เช้า!
พอหันหน้าออกไปนอกรถ ก็เห็นรอยยิ้มมุมปากของมันที่ยังคงประดับอยู่บนใบหน้า สายตาของมันที่มองเข้ามาในรถยิ่งทำให้ผมอยากวาปหายตัวไปเลยตอนนี้
“พี่ๆๆไวๆออกรถเลยเดี๋ยวผมไปเรียนสาย!”
ไม่อยู่แม่งแล้วตอนนี้ อายโว้ยยย
...
(มีต่อจ้า)