-จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7  (อ่าน 120812 ครั้ง)

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
แล้วเมื่อไรเรย์จะย้ายไปอยู่กับฮาเซลล่ะฮึ

ตอนนี้หวานกันซะมดขึ้นเลยอ่ะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
หวานกระจายเลยยยยย  :o8: :o8:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่21




กิจวัตรประจำวันของมือสังหารอย่างผมเริ่มสายกว่าอาชีพปกติทว่าช่วงหลายเดือนมานี่กลับต้องตื่นเช้าดั่งเช่นพนักงานบริษัทเพื่อรับสายแฟนหรือคนรัก ฮาเซล กอนซาเลส ชายผู้มีทั้งเงินและอำนาจระดับสูงหนึ่งในสามคานผู้คอยขับเคลื่อนประเทศ การเป็นแฟนกับฮาเซลก็ถือว่าไม่เลวถ้าไม่ติดนิสัยของแหย่ของอีกฝ่าย


หน้าจอคอมพิวเตอร์เปิดหน้าต่างอีเมลเพื่อดูภารกิจมากมายที่ถูกส่งมา ทว่าหนึ่งในเมลเหล่านั้นเรียกคิ้วข้างนึงของผมให้ยกขึ้นด้วยความแปลกใจ เมลนี่ไม่ได้เห็นมาตั้งนาน...เมลของฮาเซล


“เพิ่งจะวางสายไปจะก่อกวนรึไง” ผมบ่นเจ้าของเมลตรงหน้า แม้จะอยากปล่อยผ่านแต่มือกลับกดเข้าไปดูเนื้อหาภายในซะแล้ว


เค้กใบเตยมะพร้าวอ่อนถูกตักเข้าปากหมดตามด้วยเค้กส้มและเค้กเนยสดซึ่งเป็นอาหารของวัน หลายคนอาจมองว่าการกินของหวานช่วงเช้าทำให้เลี่ยน สำหรับผมไม่เคยเลี่ยนของหวาน อร่อยกว่าพวกของคาวอย่างสเต็กหรือขาหมูเยอรมันอีก


“...เรือสำราญจาโชเตสเหรอ” เมื่ออ่านมาถึงจุดหนึ่งชื่อของเรือสำราญขนาดใหญ่ที่สุดในประดับเทศและใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกก็ปรากฏขึ้น เจ้าของเรือรำนี้เป็นบุคคลในระดับสูงเช่นเดียวกับฮาเซล แองเจริก้า โรเตริสผู้กุมอำนาจด้านการขนส่งของประเทศ


ในงานวันเกิดฮาเซลครั้งก่อนได้เห็นตัวจริงแต่ก็ไม่ได้เข้าไปทักทายหรือพูดคุยอะไร เนื้อหาของงานคือต้องการว่าจ้างให้ผมไปเป็นบอดี้การ์ดให้ฮาเซลระหว่างร่วมงานบนเรือรำนั้น ไม่ได้บอกเนื้อหาอื่นอย่างจะเกิดอะไรขึ้นหรือมีข้อมูลอะไร แบบนี้คงต้องไปถามจากเจ้าตัวสินะ โทรไปตอนนี้คงขัดจังหวะการทำงาน


เมื่อตัดสินใจได้ผมปิดคอมลุกไปแต่งตัวก่อนออกจากห้องตรงไปยังบริษัทอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของประเทศในสภาพของเทเลอร์ การปลอมเป็นเทเลอร์ไม่ใช่เรื่องอยากเพราะเป็นหน้าจริงๆ ของผม เส้นผมก็สีเดียวกันมีแค่สีตาเท่านั้นที่แตกต่าง



“นั่นแซม?” ผมเอียงคอมองภาพบอดี้การ์ดคนสนิทของฮาเซลทำท่าลับๆ ล่อๆ หันมองซ้ายขวาอยู่ข้างตึกด้วยความสงสัย


ทำอะไรน่ะ


ลุกรี้ลุกรนแปลกๆ น่าสงสัยเข้าไปใหญ่


ดูยังไงท่าทางนั่นก็น่าสงสัยเกินกว่าจะปล่อยผ่านผมเลยเดินตามหลังอีกฝ่ายไปถึงด้านหลังตึกซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับการพักผ่อนของพนักงาน สวนขนาดกลางทอดยาวไปจนถึงขอบรั้วเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มเย็น พุ่มไม้ขนาดกลางเล็กถูกตัดแต่งเป็นรูปทรงสวยงามไปจนถึงเหล่าดอกไม้นานาพันธ์ บรรยากาศนี้ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆ เก้าอี้นั่งใต้ร่มไม้เหล่านั้นคงช่วยให้พนักงานหลายคนผ่อนคลายจากการทำงานหนัก


ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาชื่นชม ผมหันไปมองด้านขวาซึ่งเห็นแผ่นหลังของแซมอยู่ลางๆ ไม่รอช้าผมรีบก้าวเข้าไปใกล้พร้อมแตะไหล่อีกฝ่ายแทนการเรียก


“เฮ้ย!” แซมสะดุ้งร้องเสียงหลงก่อนหมุนตัวกลับมาเมื่อเห็นผมยืนอยู่ดวงตาเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจปนสงสัย


“ซ่อนอะไรไว้” ผมพยายามมองอ้อมไปด้านหลังของแซม ท่าทางเหมือนซ่อนอะไรบางอย่างไว้ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้


“เทเลอร์มานี่ได้ไง”


“ผมเดินมา”


“ไม่ใช่ เอ่อ ตามฉันมาทำไม” แซมแก้คำถามใหม่อีกรอบ


“ทำตัวน่าสงสัยแบบนั้นจะไม่ให้ตามคงแปลก”


“นี่มองฉันมาตลอด?”


“ตั้งแต่หันซ้ายขวาอยู่หน้าบริษัท” ผมบอกไปตามจริง การที่ผมเข้ามาทักโต้งๆ เพราะรู้จักแซมดีเขาไม่ทำอะไรบ้าๆ อย่างทรยศหรือหักหลังฮาเซลแน่ คงเป็นเรื่องอื่นมากกว่า


“ให้ตายสิ ฉันว่าดูรอบๆ ดีแล้วนะ สมกับฉายาเลยนะ” ประโยคสุดท้านแซมจ้องมายังผมตรงๆ


“ขอบคุณ” ผมว่านั่นคือคำชม


“ไม่คิดว่ายมทูตแห่งความตายจะอายุน้อยขนาดนี้” แซมพูดต่อ


“อย่าเปลี่ยนเรื่อง ซ่อนอะไรไว้” ผมไม่ยอมให้เขาเบี่ยงเบนหรือเปลี่ยนเรื่องแน่


“นายนี่นะ เฮ้อ ก็ได้ๆ แต่อย่าบอกบอสหรือมากส์นะไม่งั้นภาพพจน์ฉันปลิวหายไปหมดชัว”


“ครับๆ” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ


แซมเห็นผมยอมสัญญาก็ค่อยๆ หลบไปด้านข้างจนเห็นกล่องลังกระดาษสีน้ำตาลที่ภายในมีลูกสุนัขอยู่ 2 ตัว ตัวแรกเป็นสีขาวล้วนและอีกตัวเป็นสีดำล้วน ท่าทางของพวกมันดูร่าเริงเพราะหางทั้งสองส่ายไปมาโดยไม่มีการส่งเสียงเห่า ภายในกล่องลังนั่นมีถ้วยขนาดกลางใส่นมและอาหารเม็ดไว้ ไม่ต้องถามก็เดาได้ว่าฝีมือใคร


“ทำไมต้องปิดด้วย” เรื่องนี้ไม่น่าจะใหญ่ขนาดต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่ให้ฮาเซลหรือมากส์รู้


“น่าอายจะตาย หนุ่มหล่ออย่างฉันเก็บลูกหมามาเลี้ยง ทั้งบอสทั้งมากส์ต้องล้อฉันแน่” แซมตอบพลางขยี้เส้นผมตัวเองจนฟูฟ่อง


“ไปบอกตรงๆ ผมว่าอาจจะให้เลี้ยงนะ ยังไงบ้านฮาเซลก็ใหญ่จะตาย” เพิ่มหมามาอีก 2 ตัวไม่ทำให้บ้านคับแคบหรอก ด้วยฐานะของฮาเซลแค่เงินไม่เท่าไหร่เลี้ยงได้สบายๆ


“ฉันไม่กล้าบอกน่ะสิ โอ๊ะ เทเลอร์ช่วยหน่อยสิ ขอบอสให้หน่อย” พูดจบก็ประกบมือทั้งสองข้างเข้าหากันแทนการขอร้อง


“ฮะ...ไม่เอา ไม่เกี่ยวกับผมนี่...”


“ฉันจะเลี้ยงชีสเค้กไม่อั้น” แซมพูดสวน


“ผมมีเงินมากพอจะซื้อกินเอง...”


“งั้นจะไปต่อคิวซื้อชีสเค้กให้” ประโยคนี้ทำให้ผมนิ่งไป ไปยืนต่อคิวให้เหรอถือว่าเป็นข้อเสนอไม่เลว...ร้านขนมส่วนมากจะมีช่วงเวลาพิเศษสำหรับขนมพิเศษดังนั้นจึงมีการต่อคิวยาวเพื่อให้ได้มา


ตัวผมไม่ได้ว่างขนาดไปต่อคิวได้ตลอด ถ้ามีคนไปต่อให้ละก็...


“ได้ ผมตกลง” แบบนี้คงได้ชีสเค้กของหลายๆ ร้านมาครอบครองจนเต็มตู้ ไม่มีอะไรจะมีความสุขเท่าเปิดตู้เย็นไปแล้วเจอเหล่าของหวานเรียงรายอยู่เต็มตู้อีกแล้ว


“เยี่ยม ว่าแต่นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ” เหมือนแซมจะนึกได้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ควรถามมากที่สุด


“มาหาฮาเซล เขาจะจ้างให้เป็นบอดี้การ์ดตอนขึ้นเรืองสำราญจาโชเตส” ผมไม่ต้องปิดบังข้อมูลกับคนสนิทเพราะยังไงฮาเซลคงบอก


“อ้อ เรื่องนี้เอง เห็นด้วยที่บอสเรียกนายมาเพราะเหมือนทางแองเจริก้า โรเตริสกำลังถูกจ้องเร่งงานอยู่ งานคืนนี้อาจเกิดเรื่องอะไรขึ้น” แซมบอกเสียงเบาระหว่างพาผมขึ้นไปหาฮาเซลบนห้อง


“เดี๋ยว คืนนี้?” หมายถึงวันนี้?


“ใช่ อ้าว บอสไม่ได้บอกเหรอ”


“ไม่ได้บอก เนื้อหาของงานก็น้อยมาจนต้องมาคุยเองเนี่ย” แถมยังเป็นงานวันนี้อีก จะเร่งเกินไปแล้ว


“บอสคงอยากเจอมั้ง เป็นแฟนกันแล้วนี่ ฮิฮิ”


“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลย คุณเป็นคนบอกให้ฮาเซลหยอดคำหวานๆ สินะช่วยเลิกทีเถอะ”


“เลิกก็ได้อยู่ แต่ท่าทางของบอสดูสนุกฉันว่าคงไม่ยอมเลิกหรอก” ระหว่างคุยกับลิฟต์ก็หยุดบนชั้นสูงสุดพวกเราจึงออกมาด้านนอกลิฟต์


“ชอบแหย่ไม่เลิก สักวันพวกคุณอาจต้องหามเขาเข้าโรงพยาบาล” ไม่ใช่เพราะถูกศัตรูทำร้ายแต่ด้วยฝีมือผมนี่แหละ


“บอสเก่งจะตาย หลบจุดตายได้อยู่แล้ว” พูดจบก็เคาะประตูตรงหน้าสามครั้งแทนการขออนุญาต เหล่าบอดี้การ์ดรอบๆ ต่างทักทายมาพอเป็นพิธีเนื่องจากยังอยู่ในหน้าที่


“เข้ามา” เมื่อได้ยินเสียงอนุญาตแซมเปิดประตูเข้าไปโดยมีผมเดินตามเข้าไป ภายในห้องไม่ได้มีเพียงฮาเซลแต่ยังมีมากส์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล สายตาสองคู่มองแซมก่อนจะเปลี่ยนมามองผม...มากส์ค่อนข้างตกใจกับการมาเยือนของผมผิดกับฮาเซลที่ส่งยิ้มมาให้


“ถ้าคุณยังไม่เลิกยิ้มผมจะเขวี้ยงปากกานี่ใส่หัวคุณ” ผมประกาศพร้อมหยิบปากกาขึ้นมาเตรียม รอยยิ้มนั่นมันทั้งน่าโมโห น่าหงุดหงิดด้วย


“นั่นเป็นวิธีทักทายแบบใหม่เหรอเรย์” นอกจากจะดูไม่สะทกสะท้านแล้วยังกวนกลับมาอีก


“เข้าเรื่องเลยดีกว่าฮาเซล งานเริ่มคืนนี้นี่” ผมเลิกการต่อปากต่อคำที่อาจทำให้เกิดบทสนทนาอันไร้สาระ


“รู้จากแซมสินะ ใช่ ฉันรู้ว่าเรย์ต้องมาเลยเตรียมเสื้อผ้าสำหรับคืนนี้ไว้แล้ว”


“เดี๋ยว การที่ผมมาใช่ว่าผมจะรับงาน” เข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า


“อะไรเรย์คนที่พูดว่าคนเดียวที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินจ้างหรืออำนาจสั่งผมก็พร้อมจะอยู่ข้างเขาคือนายแท้ๆ” ประโยคตอนเหตุการณ์คิง จามาน่าดังขึ้นโดยไม่มีผิดเพี้ยนเลยสักคำ


อัดเสียงไว้รึไง!


“คุณนี่นะ ก็ได้ผมรับงาน บอกรายละเอียดมาหน่อย” ผมเดินเข้าไปหาฮาเซลเพื่อฟังรายละเอียดต่างๆ


“แองเจริก้า โรเตริสกำลังโดนจ้องเล่นงานจากกลุ่มผู้มีอำนาจภายในประเทศ เหตุผลคงพอเดาได้พวกนั้นต้องการให้ยกเลิกระบบขนส่งที่มีแองเจริก้าเป็นศูนย์กลางจึงสร้างเรื่องวุ่นวายมาสักพักแล้ว” ฮาเซลอธิบายด้วยใบหน้านิ่งๆ


“พวกนั้นไม่รู้รึไงว่าหากยกเลิกขนส่งจะต้องเจอกับอะไรน่ะ” ผมถามกลับพลางขมวดคิ้วแน่น ระบบขนส่งของแองเจริจ้า โรเตริสเป็นระบบขนาดใหญ่ที่มีการวางไว้อยู่ทั่วโลกซึ่งระบบนั่นจะช่วยเอื้อต่อการขนย้ายสินค้า แรงงานหรือแม้แต่วัตถุอันตรายภายในประเทศไปยังต่างประเทศได้โดยแทบไม่ต้องมีการตรวจสอบหลายขั้นตอนหรือการเสียภาษีซับซ้อนเนื่องจากชื่อเสียง อิทธิพลและอำนาจที่มีมาอย่างยาวนานนั้นมีความน่าเชื่อถือสูงเพียงแต่ทุกอย่างขนย้ายผ่านระบบจำเป็นต้องเสียค่าผ่านทางซึ่งผมว่ามันคุ้มกว่าการจัดการเอง


หากระบบนั้นถูกยกเลิกผมบอกได้ว่าการคมนาคมหรือการขนส่งของประเทศต้องหยุดชะงักลงเป็นแน่ การยกเลิกระบบขนส่งไม่ใช้เรื่องฉลาดเลย


“คงรู้แหละแต่คงคิดว่าถ้าจัดการเองน่าจะได้กำไรเพิ่มมั้ง” ฮาเซลพูดต่อ


“กำไร? ในบางประเทศมีการเสียภาษีหลายต่อหลายรอบกว่าจะนำของเข้าไปได้ กำไรพวกนั้นหายหมดแน่ถ้าคิดจะเอาของเข้าไปเอง” ความคิดของพวกละโมบชัดๆ ละโมบแบบไม่ดูความเป็นจริงด้วย มีช่องทางขนส่งดีๆ เสียเงินแค่ครั้งเดียวก็สามารถเอาของเข้าไปได้เลยยังจะอยากทำให้ยุ่งยากอีกนะ


“ก็นะ ฉันไม่เข้าใจนักหรอกว่าใช้อะไรคิดกัน”


“แต่ถ้ามีแค่นั้นคงไม่เรียกผมมาหรอกมั้ง” ผมพูดออกไปตามที่คิด แค่มีคนจ้องทำร้ายด้วยการคุ้มกันจากโรเบิร์ต เกลสันผู้ควบคุมกองกำลังความปลอดภัยคงไม่ปล่อยให้รอดไปได้อยู่แล้ว


“สมกับที่เป็นเรย์ เหมือนจะได้ข่าวมาว่าหนึ่งในนั้นจ้างยมทูตแดงมาน่ะ”


“...ทุ่มน่าดูแฮะ” ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะพึมพำกลับไป มือสังหารหรือนักฆ่าอย่างพวกเราหากมีฝีมือเก่งกาจจะได้รับฉายามาครอบครอบอย่างผมคือยมทูตแห่งความตาย เนื่องจากอัตราสำเร็จของการและการที่ไม่มีใครได้ล่วงรู้ถึงตัวตน


สำหรับยมทูตแดง แน่นอนว่าเป็นนักฆ่าทว่าไม่ใช่นักฆ่าธรรมดาถ้าให้เปรียบผมเป็นอันดับหนึ่งยมทูตแดงก็คืออันดับสอง ที่มาของฉายาตรงตามผลงานคือทุกการฆ่าจะละเลงเลือดของเป้าหมายไปทั่วเรียกว่าเป็นภาพที่เด็ก คนชราหรือคนจิตอ่อนไม่ควรดู อีกอย่างคือค่าจ้างในการทำงานแต่ละครั้งขั้นต่ำคือ 7 หลัก ความหมายง่ายๆ คือมีเพียงคนมีเงินเท่านั้นถึงจะสามารถจ้างได้


“เรย์เคยเจอรึเปล่า” ฮาเซลถาม


“ผมไม่เคยเจอ” นักฆ่าส่วนมากไม่เปิดเผยตัวต่อสาธารณะอยู่แล้ว ในแวดวงเดียวกันบางทียังไม่รู้จักเลย ไม่แน่อาจเคยเดินสวนๆ กันที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้


“เพราะงั้นแหละถึงได้ต้องจ้างเรย์ให้มาคอยระวัง”


“งั้นให้แองเจริก้าจ้างผมโดยตรงง่ายกว่ามั้ง” ผมถามกลับ


“ฉันอยากเจอเรย์นี่”


“เหตุผลบ้าๆ” ผมพึมพำพร้อมรอยยิ้มมุมปาก


“จะว่าไปถ้าต้องปะทะกันเรย์จะไหวรึเปล่า” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองของฮาเซลเงยขึ้นมาสบด้วยความอยากรู้


“บอกตรงๆ ว่าผมไม่รู้ ยมทูตแดงเก่งเรื่องการฆ่ามากกว่าผมแต่ถ้าเป็นด้านประสบการณ์ผมว่าตัวเองมีมากกว่า” ผมอาจแพ้หากต้องแข่งเรื่องการฆ่าหรือฉีกกระชากเป้าหมายในทางกลับกันด้วยประสบการณ์ทั้งชีวิตของการเป็นนักฆ่าผมว่าสามารถจัดการกับอีกฝ่ายได้


“ประสบการณ์? เรย์อาจทำงานมาเยอะแต่น่าอยู่ในวงการมาไม่นานเท่ายมทูตแดง” คำพูดของฮาเซลทำให้ผมขมวดคิ้วแน่น


“ผมอยู่มานานกว่า” ผมสวนกลับทันที


“ต่อให้บอกว่าทำงานนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ก็เถอะ ถ้าลบอายุประมาณ 25...”


“เดี๋ยวใครอายุ 25 ?” ผมยกมือห้ามระหว่างฮาเซลกำลังคำนวณ


“นายไง อายุน่าจะประมาณ 20 กว่าๆ” ฮาเซลตอบกลับ


“มากส์ แซม ผมเหมือนคนอายุเท่าไหร่” ผมหันไปถามอีกสองคนในห้องบ้าง


“ไม่ใช่ 20 กว่าๆ เหรอ” มากส์และแซมหันไปมองหน้ากันสักพักก่อนแซมจะเป็นฝ่ายตอบ


ผมเข้าใจคำพูดของพวกเขาแล้วล่ะ


นี่เข้าใจกันผิดมาตลอดงั้นสิ


“มากกว่าคุณ 2 ปี” ผมบอกพลางชี้ไปยังฮาเซล


“อะไร?” คนถูกชี้ถามกลับด้วยความไม่เข้าใจ


“ผมบอกว่าอายุผมมากกว่าคุณ 2 ปีฮาเซล กอนซาเลส” ครั้งนี้ผมเพิ่มคำอธิบายให้มากขึ้นกว่าเก่า


“...” พอได้ยินคำพูดผมทั้งห้องก็ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบมีเพียงเสียงแอร์ที่ดังเป็นระยะ ใบหน้าทั้งสามคนนอกจากผมมีสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะฮาเซลที่ทำตาโตเกือบเท่าไข่ห่าน


ดูเหมือนอายุผมจะสร้างความตกใจให้พวกเขาอยู่ไม่น้อย ความจริงผมไม่เคยบอกอายุกับใครมาก่อนแต่พอรู้ตัวแหละว่าหน้าค่อนข้างเด็กกว่าอายุโข ช่วยไม่ได้นี่ด้วยอาชีพที่ต้องปลอมตัวการบำรุงใบหน้าเป็นเรื่องสำคัญที่ควรให้ความสำคัญเพราะหากต้องปลอมเป็นคนหนุ่มจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาก


“เอาเป็นว่าจบเรื่องนี้ ฮาเซลคุณแพ้ขนสัตว์ไหม” ก่อนความเงียบจะขยายไปมากกว่านี้ผมจำต้องเปิดบทสนทนาอีกรอบ


“ไม่แพ้ เดี๋ยวสิเรย์ พูดจริงเหรอที่บอกว่าอายุมากกว่าฉัน?” ฮาเซลยังคงไม่เชื่อเรื่องอายุผม


“ผมไม่มีความจำเป็นต้องโกหกนี่นา”


“แต่หน้านายดูยังไงก็...ใช่ไหมแซม” ฮาเซลหันไปขอความเห็นคนสนิท


“ใช่บอส ใบหน้านี่ดูยังไงก็คนละวัยกับพวกเราต่อให้เกิน 30 แต่ไม่มีทางมากกว่าบอสได้”


“พูดแบบนั้นจะบอกว่าฮาเซลหน้าแก่สินะ” ผมแปลความหมายได้แบบนั้น


“เอ้ย! ไม่ใช่นะบอส ผมแค่เปรียบกับเทเลอร์เฉยๆ” แซมรีบหันไปแก้ตัวทันควัน


“ไม่เป็นไร แต่ไม่อยากเชื่อ...” สายตาของฮาเซลมองมายังผมตั้งแต่หัวจรดเท้า


“รู้อายุผมแล้วรู้สึกอยากเลิกกันรึเปล่าล่ะ” ผมเอ่ยถามบ้าง วัยผมในตอนนี้ไม่เรียกว่าวัยรุ่นยี่สิบกว่าแล้ว


“ใครจะเลิก ไม่มีทาง” ฮาเซลตอบกลับอย่างรวดเร็วราวกับไม่ต้องใช้เวลาคิดสักนิด


“คุณนี่นะ กลับเข้าเรื่อง ถ้าคุณไม่แพ้ขนสัตว์งั้นเลี้ยงสุนัขสัก 2 ตัวคงไม่เป็นไรเนอะ” มีสัญญากับแซมก็ต้องจัดการให้เรียบร้อย


“สุนัข?”


“ใช่ แซมให้ผมมาขอคุณน่ะ อยากให้เอาไปเลี้ยง”


“เทเลอร์อย่าพูดสิ” แซมเข้ามาสะกิดทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเองในบทสนทนา


“ฮืม เรย์คงไม่ยอมทำให้ฟรีๆ หรอก แลกกับอะไรล่ะ” ฮาเซลเหล่มองไปทางแซมก่อนหันกลับมาหาผม


“ต่อแถวซื้อของหวาน” ผมไม่ปิดบังเพราะเห็นว่าไม่จำเป็น


“ถูกซื้อตัวง่ายไปแล้วนะเรย์”


“ผมว่าไม่ง่ายนะ” ถ้าเป็นคนอื่นผมคงไม่ยอมต่อลองด้วยแบบนี้หรอก


“ก็ได้ ฉันจะเลี้ยงพวกมัน”


“ขอบคุณนะบอส เดี๋ยวผมจะพาพวกมันไปตรวจแล้วก็ฉีดวัคซีนเลย” แซมตาลุกวาวด้วยความดีใจเมื่อได้ยิน


“ให้คนอื่นไปจัดการ อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงเวลาไปงานแล้ว” ฮาเซลบอกแซม


“ครับบอส ขอบคุณเทเลอร์” ประโยคสุดท้ายแซมบอกกับผม


“ไม่เป็นไร”


“เรย์จะไปเตรียมตัวก่อนไหม”


“อืม ผมขอเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเดี๋ยวกลับมาหา” ในเมื่อรู้ว่าต้องเจอกับใครก็ควรจะไปเตรียมตัวสักหน่อย


“ชุดฉันเตรียมแล้ว เอาไปเปลี่ยนด้วยสิ” ถุงกระดาษสีน้ำตาลถูกยื่นมาตรงหน้าผมผ่านทางมากส์


“เข้าใจแล้ว” ผมพยักหน้าก่อนรับถุงนั้นมา



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


ผ่านไปจนถึงเวลานัดหมายรถสีดำสนิทถูกขับมาจอดบริเวณท่าเรือด้านหน้าเรือสำราญจาโชเตส ฮาเซล กอนซาเลสในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มกับเสื้อเชิ้ตสีเงินดูเข้ากับทรงผมสีน้ำตาลที่ถูกจัดแต่งได้เป็นอย่างดี ใบหน้าคมดูหล่อเหลากว่าปกติเป็นหลายเท่า บอดี้การ์ดคนสนิททั้งสองเองแม้จะอยู่ในชุดสูทสีดำเสื้อเชิ้ตสีขาวแต่ก็ไม่อาจปกปิดออร่าน่าดึงดูดจากตัวพวกเขาได้ ส่วนผมอยู่ในชุดสูธสีเทาเข้มเสื้อเชิ้ตสีขาวเช่นเดียวกับบอดี้การ์ดทั้งสองคน เส้นผมสีดำถูกเซตแบบง่ายๆ ให้ความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่


เมื่อพวกเราสี่คนเดินเข้าไปภายในงานเสียงกรีดร้องและเสียงชื่นชมของสาวๆ ต่างดังขึ้นไม่ขาดสาย สายตาของพวกเธอจับจ้องมาด้วยใบหน้าเห่อแดงเล็กน้อยในทางตรงกันข้ามมีสายตาของผู้ชายหลายคู่จับจ้องมาด้วยความไม่พอใจนัก


อยู่กับฮาเซลทีไรเป็นจุดเด่นตลอด


“ฮาเซล อย่าทำตัวเด่นนักได้ไหม” ผมเดินเข้าไปประชิดพร้อมกระซิบบอก


“ฉันไม่ได้ทำนี่”


“แค่รอยยิ้มมุมปากนั่นก็มากพอจะเรียกว่าทำแล้ว” อย่างที่บอกว่าปกติฮาเซลไม่ใช่คนยิ้มบ่อยนักแต่ตอนนี้กลับมีรอยยิ้มประดับอยู่มุมปาก บรรยากาศของฮาเซล กอนซาเลสหนึ่งในสามคานผู้ทรงอิทธิพลแถมไม่มีใครกล้าเข้าใจเปลี่ยนมาเป็นบรรยากาศคล้ายดารามาเดินพรหมแดง


“แซม คุณด้วย” ผมหันไปบอกแซมอีกคนที่กำลังส่งสายตาให้สาวๆ ด้านข้าง


“สาวสวยขนาดนั้นส่งสายตามาให้จะไม่ตอบรับได้ยังไงล่ะ” แซมตอบกลับ


“เฮ้อ” ผมถอนหายใจอย่างปลงๆ ไม่เป็นไรผมยังใช้ความเด่นของพวกเขากลบการมีตัวตนของผมได้


ภายในห้องโถงด้านในตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าขาวแลดูสดใส ตรงกลางห้องเต็มไปด้วยโต๊ะซึ่งมีอาหารสุดหรูวางไว้สำหรับแขกผู้มาเยือนพนักงานเองก็เดินเสิร์ฟน้ำต่างๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม บรรยากาศโดยรวมเหมือนมางานเลี้ยงฉลองอะไรสักอย่างหากไม่ติดว่ามีเหล่าทหารและตำรวจใส่ชุดเต็มยศยืนอยู่มุมห้องละก็นะ


“ไงฮาเซล มาช้ากว่านี้อาจต้องว่ายน้ำตามมาแล้วมั้ง” เสียงทักทายติดตลกนั้นมาจากโรเบิร์ต เกลสันหนึ่งในสามคานผู้ควบคุมกองกำลังด้านความปลอดภัยของประเทศ ผมเคยเจอเขามาแล้วสองครั้งนี่เป็นครั้งที่ 3 ไม่นับเรื่องการรับงานในฐานะยมทูตแห่งความตายนะ


“ถ้าเป็นแบบนั้นคงต้องซื้อเรือสักลำให้ขับมาส่งนี่” ฮาเซลตอบ


“เธอ...แฟนของฮาเซล?” เมื่อสายตาของอีกฝ่ายหันมาเห็นผมเขาก็เอ่ยถาม ในงานวันเกิดฮาเซลครั้งก่อนเขาคงเห็นผมถูกฮาเซลสารภาพรักแน่ๆ จะว่าไปตอนนั้นลูกสาวเขาอยู่ด้วยนี่นา


งามหน้าจริงๆ


“...ครับ สวัสดีครับท่านโรเบิร์ต เกลสัน” ผมทักทายกลับตามมารยาท


“ฉันละแปลกใจจริงๆ ที่หมอนี่จะสารภาพกับใครสักคน ลูกสาวฉันนี่ตกใจจนอ้าปากค้างเลย ฮ่าฮ่าฮ่า” เหมือนโรเบิร์ตจะไม่ได้เคืองเรื่องก่อนหน้านี้ ถือว่าโชคดีไป


“ผมเองก็ไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนั้น” จะว่าไปคนที่สมควรอ้าปากค้างสุดก็ผมนี่แหละ


“ฮาเซล รู้เรื่องข่าวลือวันนี้แล้วใช่ไหม” โรเบิร์ต เกลสันเดินเข้ามาใกล้ฮาเซลก่อนถามเสียงเบา ด้านหลังของเขามีผู้ติดตามอยู่ 4 คนในชุดธรรมดาไม่ใช่ชุดของทางการ


“เรื่องยมทูตแดง” ฮาเซลพึมพำตอบ


“ฉันเลยให้คนมาเฝ้าเยอะหน่อยแต่คิดว่าอาจทำอะไรไม่ได้ ทางนั้นมีฝีมือเหนือกว่าด้านการสังหาร แต่ยังไงเราต้องปกป้องแองเจริก้าให้ได้”


“ครับ พวกเขาเองก็จะช่วยปกป้องเท่าที่ทำได้” ฮาเซลหมายถึงผม มากส์และแซมที่ยืนอยู่ใกล้ๆ


“ดี...”


“คุยอะไรกันอยู่เอ่ยหนุ่มๆ” เสียงหวานติดแหบตามอายุดังขึ้นก่อนร่างในชุดเดรสสีฟ้าจะเดินเข้ามาร่วมวงด้วย หลังหน้าเธอมีผู้ติดตามอยู่ 6 คนและกว่าครึ่งเป็นคนในเครื่องแบบ ทางโรเบิร์ต เกลสันคงส่งคนไปตามประกบละมั้ง


“ฉันแก่เกินจะเรียกว่าหนุ่มแล้วแองเจริก้า” โรเบิร์ต เกลสันหันไปส่งยิ้มให้


“คุณยังดูหนุ่มอยู่เลย แต่ทางนี้สิหนุ่มจริงแถมพาแฟนมาซะด้วย เนอะฮาเซล” แองแจริก้าหันไปทักฮาเซลต่อ


“ฝีมือเขาจะช่วยให้ทุกอย่างเรียบร้อย” ฮาเซลมองมายังผมระหว่างพูด


“เธอพูดออกตัวขนาดนั้นเลย แปลว่าไม่ใช่ธรรมดาสินะ แหม...คนธรรมดาเอาเธอไม่อยู่หรอกพ่อคนใจร้อน” การแซวและบนสนทนายังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง


ผมแม้จะยืนปั้นหน้ายิ้มแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหล่มองไปด้านข้าง อย่าเข้าใจผิดว่ากำลังมองหาคนแปลกหน้าหรือยมทูตแดงเพราะมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจับสัมผัสคนระดับนั้นได้ท่ามกลางกลุ่มคนนับร้อยชีวิต ที่ผมเหล่มองคือโต๊ะของหวานด้านข้างที่เต็มไปด้วยขนมนาๆ ชนิดต่างหาก


อยากกินจังนะ


แต่จะให้หลบออกไปคงไม่งามนัก


พึ่บ!


เพียงเสี้ยววินาทีแสงไฟภายในห้อง ไม่สิ แสงไฟทุกดวงบนเรือก็ดับลง ความมืดมิดเข้ามาแทนที่พร้อมเสียงกรีดร้อยและโวยวายของคนในงาน ทั้งเหล่าพนักงานเองก็พยายามบอกให้ทุกคนใจเย็นๆ มีเพียงไม่กี่คนที่สงบสติได้ในสถานนี้หนึ่งในนั้นคือผมและฮาเซล ทีเหลือเหมือนจะมีโรเบิร์ต เกลสันกับพวกมากส์


“ส่งคนไปดูไฟ!” เสียงของโรเบิร์ต เกลสันสั่งลูกน้องดังแว่วมาให้ได้ยิน


ท่ามกลางความมืดหากขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้าอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ง่ายๆ ทว่ากับผมที่สายตาชินกับความมืดอย่างรวดเร็วถือเป็นอีกเรื่อง


ผมก้าวเข้าไปหาแองเจริก้า โรเตริสก่อนใช้มือจับเข้ายังด้ามมีดที่หมายจะจู่โจมท่ามกลางความมืด ก่อนจะมานี่ผมคิดไว้แล้วว่าถ้าตัวเองเป็นฝ่ายถูกจ้างจะจัดการเป้าหมายยังไง ในฐานะเพื่อนร่วมอาชีพผมจึงคิดว่ายมทูตแดงน่าจะใช้วิธีแบบเดียวกันซึ่งผมคิดไว้หลายวิธีอย่างแรกคือปลอมตัวเข้ามาเป็นหนึ่งในคนคุ้มกัน สองคือปลอมเป็นพนักงานบนเรือ หรือสามปลอมมาเป็นแขกบนเรือ


และการจะเข้าใกล้เป้าหมายที่มีเหล่าบอดี้การ์ดหรือคนคุ้มกันจำนวนมากไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ไม่ได้ยากอะไรมากเพียงแค่ดึงจุดสนใจให้ไปอยู่ที่อื่นก็สามารถเข้าประชิดเป้าหมายได้แล้ว ไฟที่ดับนี่เหมือนเป็นตัวล่อให้คิดว่ากำลังมีคนบุกมาจากด้านนอกจึงขยายการป้องกันไปยังประตูโดยปล่อยให้บริเวณรอบตัวเป้าหมายลดการป้องกันลง พอรู้แบบนั้นผมจึงสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของมีดตรงหน้าได้ เงารางๆ ท่ามกลางความมืดทำให้ผมไม่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครทว่าจากกล้ามเนื้อบริเวณข้อมือคงเป็นผู้ชาย


เมื่อถูกหยุดการโจมตีได้คนตรงหน้ามีท่าทีชะงักเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะตวัดหมัดอีกข้างใส่ผมจนต้องปล่อยมือนั่นเพื่อหลบเลี่ยงการปะทะ การก้าวหลบของผมไม่ใช่เพียงถอยหลังแต่ก้าวไปด้านข้างและอาศัยช่องเพียงเสี้ยววินาทีไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังพร้อมกับมีดในมือที่หมายโจมตีบริเวณคอ ทว่าด้วยสัญชาตญาณของนักฆ่าผู้เก่งกาจทำให้อีกฝ่ายหันกลับใช้มีดของตนป้องกันการโจมตีได้ในระยะประชิด การเสียดสีของอาวุธพานให้เกิดเสียงดังไปทั่วบริเวณจนมีเสียงตะโกนถามถึงสถานการณ์


หากเป็นคนทั่วไปคงตะโกนตอบกลับไปแต่ไม่ใช่กับผมที่ต้องเพ่งสมาธิเพื่อดูการเคลื่อนไหวอันเลือนรางด้านหน้า ไม่มีเวลาไปตอบคำถามเหล่านั้นหรอก


มีดอันคมกริบพุ่งเข้ามาหาไม่ใช่หนึ่งแต่ถึงสองเล่มในเวลาเดียวกัน นั่นทำให้ผมทำได้เพียงลดการบาดเจ็บปล่อยให้มีดเล่มนึงเฉือนบริเวณลำคอไปถากๆ การฆ่าจะไม่เล็งไปยังใบหน้าเหมือนในหนังหรือละครแต่เป็นจุดตายของร่างกายอย่างหน้าผาก ลำคอหรือหัวใจ เพราะรู้จึงต้องป้องกันเป็นพิเศษ


“พวกเดียวกันเหรอ” เสียงพึมพำอันแสนเบาหวิวดังขึ้นก่อนการโจมตีจะหยุดลง คำว่าพวกเดียวกันคงสือถึงอาชีพที่เป็นนักฆ่าเหมือนกัน ฝีมือที่พวกเราทั้งคู่แสดงออกมามันเกินกว่าการต่อสู้ปกติของผู้ติดตามหรือพวกกองกำลังต่างๆ ไม่แปลกเลยที่จะรู้


“อืม” ผมตอบกลับไป


“ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็ขอตัวดีกว่า”


“หมายถึงจะปล่อยเป้าหมาย?”


“ฝีมือพวกเราสูสี ต่อให้สู้ต่อฉันอาจจัดการเป้าหมายไม่ได้และอาจต้องบาดเจ็บ ฉันไม่คิดจะเจ็บตัวโดยไม่จำเป็น”


“เห็นด้วยกับคำพูดนั้น” นักฆ่าอย่างพวกเราไม่เหมือนกับบอดี้การ์ดหรือทหารรับจ้าง พวกเราจะประเมินสถานการณ์หากคิดแล้วว่าดึงดันต่อไปก็ไม่คุ้มพวกเราจะถอย ไม่ต้องเจ็บตัวโดยเปล่าประโยชน์หากไม่มั่นใจพอว่าเป้าหมายจะโดนจัดการ ยิ่งการเจอกับนักฆ่าด้วยกันยิ่งไม่ควรปะทะแถมฝีมือพวกเรายังใกล้เคียงกัน เพราะนอกจากจะเจ็บทั้งสองฝ่ายแล้วยังเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตน


“อีกอย่างหากฉันยังไม่หยุดคนด้านหลังนั่นคงยิงมาแน่”


“...ฮาเซล” ผมพึมพำเสียงเบาเมื่อหันไปเห็นฮาเซลกำลังเล็งปืนมาทางนี้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองคล้ายจะส่องประกายท่ามกลางความมืด ตาของฮาเซลชินกับความมืดได้เร็วอย่างที่คิด


“ต่อให้ฉันกลับใช่ว่าทุกอย่างจะจบ แต่ด้วยฝีมือระดับนั้นคงไม่มีปัญหามั้ง” เสียงเดิมดังขึ้นในระยะประชิด


“หมายความว่า...”


“ขอตัว”


พึ่บ!


สิ้นเสียงลาแสงไฟทั่วทั้งห้องโถงก็สว่างขึ้นพร้อมกันจนผมถึงกับลับตาลงเนื่องจากความจ้าของแสง พอตามเริ่มชินกับความมืดกลับถูกแสงสว่างนี้ทำให้การมองเห็นลดลงในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผมพยายามหรี่ตาเพื่อมองสถานณ์โดยรอบก่อนรีบเข้าไปดึงแองเจิก้า โรเตริสพร้อมตะโกนเสียงดังลั่น


“หมอบลง!”


ปัง!


ปัง!


กระสุนปืนหลายสิบกระบอกถูกยิงออกมาอย่างต่อเนื่องในเสี้ยววินาทีหลังเสียงตะโกน ผมหันไปมองฮาเซลที่ขยับเข้ามาใกล้พร้อมแซมและมากส์ ไม่ไกลมีโรเบิร์ต เกลสันกับลูกน้องอยู่ ระหว่างทั้งห้องตกอยู่ในความมืดคนคุ้มกันตามมุมห้องก็ถูกจัดการไปจนหมดและแทนที่ด้วยฝ่ายศัตรูกว่า 30 คนรอบห้องโถง อาจเป็นโชดดีเพียงเล็กน้อยที่โต๊ะอาหารพวกนี้สามารถใช้หลบกระสุนได้


แต่คงกันได้ไม่นาน


“เรย์เจ้านั่นไปแล้ว?” ฮาเซลขยับเข้ามาถาม


“อืม” ผมพนักหน้า ฮาเซลคงหมายถึงยมทูตแดง


“โรเบิร์ต” แองเจริก้าเรียกชายที่ขยับเข้ามาใกล้


“เธอไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ทำได้ดีนี่” เขาหันมามองผมก่อนเอ่ยชม


“เล็กน้อยครับ”


“เอายังไงต่อดี” ฮาเซลถาม


“คนของฉันกำลังทยอยจัดการพวกมันอยู่” โรเบิร์ต เกลสันบอกพลางมองลูกน้องที่ยิงปืนตอบโต้ใส่ฝ่ายศัตรู


“งั้นที่นี่ให้คุณกับลูกน้องจัดการได้ใช่ไหมครับ” ผมถามอีกฝ่าย


“ที่นี่? หมายความว่ายังไง”


“ผมว่าข้างนอกต้องมีอีก”


“เรย์ คิดจะไปจัดการสินะ” ฮาเซลรู้ดีว่าผมจะทำอะไร การต่อสู้ด้วยการดวลฝีมือปืนไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัดเท่าไหร่นัก


“อืม เคลียร์ข้างในให้หมดที่เหลือผม...”


“ฉันจะไปด้วย” ฮาเซลพูดแทรก


“ท่านฮาเซล พวกเราจะไปช่วยอีกแรงแค่สองคนเสี่ยงเกินไป” มากส์พูดเสริม


“เดี๋ยวก่อน พวกเธอสี่คนคิดจะจัดการพวกข้างนอกนั่นทั้งหมด?” โรเบิร์ต เกลสันเหมือนจะตกใจอยู่ไม่น้อยกับบทสนทนาที่ได้ยิน


“สามสิบคนพวกเราก็จัดการมาแล้ว ฝากทางนี้ด้วย” ฮาเซลพูดแทนทุกคน


“อันตรายเกินไป อีกอย่างจะออกไปจากวงล้อมกระสุนยังไง”


“จริงด้วย พวกเราควรรวมกันค่อยๆ จัดการ...” แองเจิริก้าพูดเสริม


“การรวมกลุ่มอาจเป็นวิธีที่ดีแต่ไม่ใช่ในสถานการณ์นี้” ผมเอ่ยแทรก การรวมกลุ่มเห็นได้บ่อยๆ ยามเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินทว่าเหตุการณ์นี้มีฝ่ายศัตรูอยู่ข้างนอกอีกกลุ่ม การรวมตัวอยู่แต่ในนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีหากพวกนั้นมารวมตัวกันพวกเราก็เสร็จหมด


“เธอดูมีประสบการณ์กับอะไรแบบนี้” โรเบิร์ต เกลสันหรี่ตามมองผมที่ดูไม่ตื่นเต้นหรือหวาดกลัว


“นิดหน่อยครับ”


“เรย์มีวิธีออกไปใช่ไหม” ฮาเซลหันมาถาม


“แน่นอน แต่ถ้าจะไปกันหมด 4 คนต้องเสี่ยงหน่อย โอเครึเปล่า” ผมถามอีกสามคนกลับ วิธีที่ผมใช้ถ้าเป็นคนเดียวสามารถออกไปได้สบายๆ แต่ถ้าสี่คนความเสี่ยงก็จะเพิ่มเป็น 4 เท่าได้


“อืม” ฮาเซลหันไปมองมากส์และแซมที่พยักหน้าก่อนจะมองผมด้วยรอยยิ้ม


ผมยิ้มตอบก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบจานเปล่าด้านบนโต๊ะมาสามใบโดยเสียงกระสุนยังคงดังไม่หยุด จานทั้งสามใบถูกเขวี้ยงไปยังสามทิศทางคือด้านขวา ซ้ายและหลังในเวลาไล่เลี่ยกันนั่นทำใหฝ่ายศัตรูหันเหความสนใจไปยังการเคลื่อนของจาน


“มาเร็ว!” ผมเรียกอีกสามคนก่อนจะพุ่งตัวออกไปยังประตู ฝ่ายศัตรูที่ยืนขวางอยู่ถูกมากส์และแซมจัดการระหว่างวิ่งไปจนทางออกโล่งพวกเราจึงหลบออกมาจากห้องโถงได้สำเร็จ มนุษย์น่ะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้สายตามากกว่าสัญชาตญาณดังการเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวอะไรขึ้นก็มักจะเพ่งไปบริเวณนั้นจนไม่ทันสังเกตตรงอื่น นั่นเป็นช่องว่างให้สามารถหลบออกมาได้


“ผมจะไปจัดการบนดาดฟ้า” ผมพูดขณะวิ่งหลบกระสุนจากศัตรูอีกกลุ่ม


“คนเดียว?” ฮาเซลถาม


“ใช่ ผมไปคนเดียวจะง่ายกว่า”


“เข้าใจแล้ว ระวังตัวด้วยเรย์” ครั้งนี้ฮาเซลปล่อยให้ไปค่อนข้างง่าย อาจเพราะรู้ว่าทักษะผมไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับการโจมตีแบบซึ่งๆ หน้าหรือการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อจัดการ


“ทางนั้นก็ระวังตัวด้วย”


“มีอะไรเกิดขึ้นตะโกนเรียกฮาเซลมาช่วยเรย์ด้วยดังๆ เลยนะ” ก่อนจากอีกฝ่ายยังมีหน้ามาพูดติดตลกอีก


“ผมไม่ตะโกนแบบนั้นแน่!”


ผมวิ่งแยกขึ้นไปทางบันไดสู่ดาดฟ้าเรือด้วยตัวคนเดียว แน่นอนว่าระหว่างทางเจอศัตรูหลายคนทว่าผมใช้การเข้าประชิดพร้อมโจมตีไปยังท้อง ใบหน้าและลำคอเพื่อจัดการคู่ต่อสู้ให้เร็วที่สุด ด้านบนดาดฟ้ามีรั้วสีเงินกั้นรอบบริเวณโดยด้านบนมีทางขึ้นอีกชั้น  ด้านบนไม่ใช่ห้องแต่เป็นจุดชมวิวที่สูงสุดของเรือสำราญนี้


แรงเหยียบเท้าลงบนพื้นของผมเบาจนคนด้านบนไม่สามารถสัมผัสถึงการมาเยือนของผมได้ ลวดสีเงินตวัดเพียงครั้งเดียวสามารถจัดการร่างนั้นให้ล้มลงแน่นิ่งบนพื้น ตามมาด้วยอีกคนที่อยู่ข้างๆ หันมามองภาพของเพื่อนด้วยความตกใจ...ปืนกระบอกดำถูกหันมายังผมแต่แทนที่จะถอยหลังผมกลับเพิ่มความเร็วเข้าไปใกล้ปากกระบอกปืนแล้วใช้เท้ากดกระบอกปืนนั่นลงไปด้านล่างเช่นเดียวกับร่างเจ้าของที่ตามไปติดๆ


เมื่อมองจากดาดฟ้าด้านล่างมีศัตรูอีกสองคนยืนอยู่ติดกับผนังเรือผมจึงใช้ขายึดกับรั้วสีเงินเพื่อห้อยหัวหย่อนตัวเองลงไปด้านล่าง ลวดสีเงินถูกทำให้เป็นห่วงคว้าคอของทั้งสองคนก่อนจะกระชากอย่างแรง


ปัง!


เสียงปืนที่ดังขึ้นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนในสภาพห้อยหัว ร่างของศัตรูคนหนึ่งร่วงตกลงไปด้านล่างโดยในมือของฝ่ายศัตรูนั้นมีปืนถืออยู่ หากนั้นไม่ใช่การยิงของเขาก็แปลว่า...


“เปิดช่องแบบนั้นอัตรายนะเรย์” ไม่ต้องหันไปมองผมก็รู้ว่าเสียงปืนเมื่อครู่เป็นของใคร


“ทางนั้นจัดการเรียบร้อยแล้ว?” ผมปล่อยขาที่เกาะรั้วสีเงินก่อนจะม้วนตัวลงมาอยู่ในระนาบเดียวกับฮาเซล


“เหลือทางนั้นอีกหน่อย” ฮาเซลมองไปทางหัวเรือ


“งั้นก็ไปจัดการให้เสร็จเถอะ”


“นี่เรย์” ฮาเซลเรียก


“อะไร”


“ถามจริงๆ นะ อายุมากกว่าฉันจริงเหรอ” คำถามนั้นเหมือนจะไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ตรงหน้าแม้แต่นิดแต่ด้วยใบหน้าเครียดๆ ราวกับปัญหาระดับโลกของฮาเซลทำให้บรรยากาศรอบตัวผ่อนคลายขึ้น


“ใช่ ผมอายุมากกว่าคุณ อย่าบอกนะว่าเปลี่ยนใจจะเลิกกันแล้วน่ะ” ผมเดินเข้าไปใกล้ฮาเซลมากขึ้น


อายุผมไม่ใช่หนุ่มๆ อย่างที่ฮาเซลคิด ไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไง


แต่ถ้าถามหลายรอบแบบนี้คงไม่ชอบล่ะมั้ง


“อย่าพูดบ้าๆ น่าเรย์ คำว่าเลิกจะเป็นประโยคสุดท้ายที่ฉันจะบอก” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองหรี่ลงเล็กน้อยระหว่างพูดคล้ายจะบอกให้ผมเลิกพูดคำนั้นสักที


“ถ้างั้นคุณมีอะไรกับอายุผมล่ะ”


“ก็...ถ้าเรย์อายุมากแล้วคงทำทั้งคืนไม่ได้น่ะสิ ทั้งที่คิดว่าครั้งแรกจะทำให้เรย์รู้สึกดีสุดๆ จนถึงอีกวันเลยแท้ๆ” น้ำเสียงเศร้าๆ นั่นดูขัดกับบทสนทนาอันแสนลามกซะเหลือเกิน


ผมผิดเองที่คิดว่าฮาเซลจะมีปัญหาร้ายแรงกับอายุผม


“ไม่ต้องห่วงปัญหานั้นจะไม่เกิดเพราะผมจะไม่ยอมให้คุณทำแน่นอน!” ผมพูดเสียงดังก่อนจะปล่อยหมัดใส่หน้าอีกฝ่ายแรงๆ แล้วเดินไปทางหัวเรือ แน่นอนว่าฮาเซลหลบหมัดนั่นได้สบายๆ ก่อนเดินตามผมมา


“ฉันจะทำให้ยอมเองเรย์”


“ผมบอกว่าไม่ยอมไงเล่า”


“เรย์”


“หยุดพูดแล้วไปจัดการเรื่องนี้ให้จบสักที!”


และแล้วฝ่ายศัตรูก็ถูกจัดการจนราบเป็นหน้ากองโดยฝีมือกว่าครึ่งเป็นของผมและฮาเซลรวมถึงมากส์กับแซม ศัตรูด้านนอกอาจมีมากกว่าแต่ไม่ได้ระวังอะไรจึงสามารถจัดการได้ง่าย เมื่อเรื่องจบผมถูกทั้งโรเบิร์ต เกลสันและแองเจริก้า โรเตริสชื่นชมทว่าผมไม่ได้อยากเด่นมาเลยตอบไปว่าทุกอย่างฮาเซลเตรียมแผนไว้รองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ฮาเซลจึงได้รับหน้าไปเต็มๆ โดยไม่รู้ตัว

...................................................

เหมือนเราจะชอบเขียนฉากตอนเรย์บู๊มากเป็นพิเศษ

สำหรับตอนนี้เราแทรกเข้ามาเองความจริงไม่ได้วางไว้ว่าจะแต่งแต่เกิดคิดขึ้นมาว่าอยากเห็นเรย์ปะทะกับนักฆ่าคนอื่นจังๆ สักครั้งจังน้าาาา ก็เลยได้ออกมาเป็นตอนนี้

ต่อจากตอนนี้จะเป็นฉากที่จัดว่าหวานมากสำหรับคู่อีกประมาณ2ตอนก็จะจบแล้วค่ะ

ฝากติดตามทั้งคู่ไปจนจบด้วยนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ Psycho

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 388
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
อายุเท่าไหร่เนี่ย ช๊อคแป๊บ

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ฮาเซล คิดแต่เรื่องลามกจังเลย

ระวังเรย์เอามีดจิ้มนะ 5555

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
หน้าสิ่วหน้าขวานฮาเซลก็ไม่สน 5555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
สรุปแล้วแต่ละคน อายุเท่าไหร่กันบ้างล่ะ  :hao4:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่22




“เดท?!” เสียงของผมและฮาเซลดังประสานในจังหวะเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย


วันนี้ผมได้มาหาฮาเซลยังบริษัทด้วยเหตุผลง่ายๆ คือช่วงนี้พวกเราแทบไม่ได้เจอกันเลย ความจริงก็เรียกว่าเป็นปกติที่พวกเราจะไม่ได้เจอกันไม่ว่าจะด้วยอาชีพ เวลาหรือหน้าที่ของผมมันค่อนข้างต้องใช้เวลาและความรอบครอบค่อนข้างมาก เคยบอกไปแล้วถึงพวกเราอาจอยู่บนเส้นทางสีเทาหมือนกันทว่ามันก็ขนานกันเองอยู่ในตัว


การได้มาสนิทจนถึงขั้นเป็นแฟนนี่แค่โชคชะตาหรือพรหมลิขิตยังน้อยไปเลย


แทบทุกวันพวกเราคุยกันฮาเซลมักจะเรียกให้ผมออกไปหาซึ่งก็มีหลายครั้งที่ไปไม่ได้ ความรู้สึกอยากเจอผมไม่เคยมีมาก่อน ไม่อยากเชื่อว่าจะมีวันนี้วันที่ผมรู้สึกอยากเจอฮาเซล คำว่าแฟนเหมือนเป็นคำเชื่อมสำหรับการเรียนรู้ซึ่งกันและกันให้มากขึ้น


แน่นอนว่าผมใช้คำนั้นมาหลายเดือนแล้ว และวันนี้เป็นครั้งแรกที่มีคำอื่นปรากฏเข้ามาในหัวข้อสนทนา ภายในห้องส่วนตัวของฮาเซลไม่ได้เพียงผมกับฮาเซลเท่านั้น ทั้งแซมและมากส์ต่างก็อยู่ไม่ไกลซึ่งแซมเป็นคนเอ่ยคำถามหนึ่งขึ้นมา


‘บอสกับเทเลอร์เคยไปเดทกันรึยัง’


เพราะคำถามนั่นจึงเป็นที่มาของการประสานเสียงโดยไม่ตั้งตัวในปัจจุบัน


“นี่คงไม่บอกว่าไม่รู้จักเดทหรอกนะ” แซมถามต่อด้วยสีหน้าอึ้งๆ


“คำแค่นั้นทำไมจะไม่รู้จัก” ฮาเซลพูด


“เคยได้ยินอยู่แล้ว” ผมตอบบ้าง ถ้าแค่คำว่าเดทยังไม่เคยได้ยินคงเป็นพวกเก็บตัวซะละมั้ง ต่อให้เป็นผมที่ไม่สนใจเรื่องรักมาตลอดชีวิตยังเคยต้องปลอมตัวเพื่อไปเดทกับเป้าหมายเลย


“แปลว่าเคยไปเดทกัน?”


“แน่นอน ฉันพาเรย์ไปดินเนอร์” ใบหน้าคล้ายคนกำลังอวดนั่นดูตลกอย่างบอกไม่ถูก


“ก่อนดินเนอร์ล่ะบอส”


“...ก่อนดินเนอร์?” เครื่องหมายคำถามหลายสิบตัวปรากฏบนหัวผู้ทรงอำนาจฮาเซล กอนซาเลส แม้จะมองไม่เห็นแต่สายตาสงสัยนั่นทำเอาผมยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อกลั้นขำ


“ถ้าไม่มีก่อนงั้นหลังดินเนอร์ล่ะบอส” แซมเปลี่ยนคำถาม


“ขึ้นห้องไง”


“ฮาเซล!” ผมขึ้นเสียงเล็กน้อยเมื่อคำพูดเมื่อครู่สามารถตีความหมายได้ว่าผมนอนกับฮาเซลไปแล้ว ซึ่งในความจริงก็ใช่ แค่นอนแล้ว...นอนนิ่งๆ ไม่ได้ทำอะไร ไม่สิ ความจริงก็ทำไปหน่อยแต่ยังไม่สุด


ช่างมันเถอะ ปล่อยผ่านมันไป!


“บอส นั่นไม่สามารถเรียกว่าเดทได้เต็มปากหรอกนะ ใช่ไหมเทเลอร์” แซมพูดด้วยใบหน้าจริงจังแถมยังหันมาพูดกับผมต่ออีก จนถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าบทสนทนามันวกมาเรื่องนี้ได้ยังไง


“ผมว่ามันเรียกว่าเดทได้แล้วนะ” แค่ได้เจอหน้า พูดคุยหรือใช้เวลาด้วยกันผมคิดว่ามันคือเดทแล้ว


“งั้นเทเลอร์เคยไปเดทรึเปล่า ที่ไม่ใช่กับบอสน่ะ”


“ก็เคยอยู่” ผมนึกสักครู่ก่อนตอบ สังเกตว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองของฮาเซลเริ่มหรี่ลงเมื่อได้ยินคำตอบ


“แล้วเป็นไงบ้าง”


“เป็นไงนี่หมายถึงยังไง” ผมถามกลับ


“ก็แบบทำอะไรบ้าง”


“เริ่มแรกก็ไปเดินเล่น ซื้อของให้ ไปกินข้าวแล้วก็ขึ้นห้อง...” เอ๊ะ! ทำไมมันจบเหมือนฮาเซลเลยล่ะ


“...” ความเงียบของคนในห้องคล้ายกำลังรอฟังประโยคหลังจากนี้ผมจึงเริ่มขมวดคิ้วแน่นขึ้นเพื่อคิดและจึงได้คำตอบหนึ่งออกมา...


“อ้อ แล้วก็จัดการซะ” ผมเสริมต่ออีกนิด ทำให้เป้าหมายตายใจก่อนจะจัดการในเวลาที่ไร้การป้องกันมากที่สุด


“มากส์ ดูพวกเขาสิจบที่ห้องกันตลอดเลย แถมคนนึงยังใช้เป็นพื้นที่สังหารอีก” แซมหันไปพูดกับมากส์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ


“แต่ละคู่ก็มีรูปแบบที่ต่างกันไป” มากส์ให้ความเห็น


“ก็ใช่ แต่แบบนั้นมันเห็นแล้วขัดใจนี่ เวลาก็แทบจะไม่มีให้กันอยู่แล้วถ้ามีเวลาว่างควรจะพากันไปเดทให้สนุกสิ” แซมดูเหมือนจะขัดใจมากพอดู


ผมและฮาเซลมองหน้ากันเล็กน้อยเพราะพวกเราต่างไม่ค่อยเข้าใจถึงคำว่าสนุกเหมือนๆ กัน ความสนุกเพียงหนึ่งเดียวของผมคือการวางแผนและจัดการเป้าหมายให้สำเร็จในขณะเดียวกันความสนุกของฮาเซลถ้าเป็นตอนนี้คือการได้แหย่ผมเล่นละมั้ง ถ้าถามว่าการเดทสนุกไหม ถ้าเอาประสบการณ์หลายๆ ครั้งมาวัดผมตอบเลยว่าไม่


“ถ้ามีเวลาว่างฉันอยากจองโรงแรมอยู่กับเรย์ทั้งคืนมากกว่า โอ๊ะ!...” ไม่ต้องให้ฮาเซลพูดจบประโยคปากกาบนโต๊ะถูกปาเฉี่ยวหน้าผากเจ้าของบริษัทไปเพียงไม่กี่เซน


“อยู่คนเดียวไปเถอะ!”


“ครั้งก่อนออกจากรู้สึกดีนี่นา เฮ้ย! นั่นมันของมีคมนะเรย์” เป็นอีกครั้งที่ของมีคมถูกปาออกไปทว่าครั้งนี้ไม่ใช่ปากกาแต่เป็นมีดพก ด้วยความแรงของมีดจึงปักเข้ากับผนังด้านหลังอย่างจัง


“หยุดพูดเลยฮาเซล”


“เจอกันแล้วพาขึ้นห้องมันไม่เรียกว่าเดทหรอกบอส แบบนี้แปลว่าทั้งคู่ยังไม่รู้ถึงความสนุกของการเดทจริงๆ งั้นผมจะช่วยทำให้รู้เอง” พูดจบแซมก็ชูกำปั้นขึ้นด้วยความแนวแน่


“ผมว่าไม่ต้อง...”


“ไม่ต้องไม่ได้ ขืนปล่อยไว้แบบนี้ชีวิตคู่ได้จืดชืดพอดี เทเลอร์ว่างวันไหนขอเป็นแบบทั้งวัน” แซมถามพลางหยิบสมุดเล่มเล็กขึ้นมาเตรียมจด


“...วันศุกร์นี้ว่างทั้งวัน” ผมนึกไม่นานก็ได้คำตอบ


“วันศุกร์เหรอ มากส์เหมือนบอสจะว่างใช่ไหม” แซมหันไปถามเพื่อนอีกรอบ


“มีประชุมภายในแต่ปกติพวกเราก็ถูกให้เข้าประชุมแทนอยู่แล้ว” มากส์ตอบ


“โอเค งั้นถือว่าว่าง ฉันจะจัดตารางการเดทให้เอง”


“แซม” ฮาเซลเรียกลูกน้องตัวเอง


“ครับ บอส”


“จบด้วยขึ้นห้องนะ อั๊ก! แค่ล้อเล่นเองเรย์” เท้าขวาผมตวัดตรงเข้าใบหน้าฮาเซลจนเกือบหลบไม่พ้นทันทีที่ได้ยินประโยคบ้าๆ


ผมยอมแค่ครั้งเดียวอย่าคิดว่าจะมีครั้งต่อไปเชียวฮาเซล คิดเหรอว่าผมไม่รู้สึกถึงสายตาอยากครอบครองที่ส่งมาแทบตลอดเวลานั่นน่ะ จริงอยู่ผมยอมรับว่าตัวเองชอบและรักฮาเซล แต่กับเรื่องนี้มันคนละเรื่องกัน ผมไม่ได้กลัวเจ็บเพราะรู้ดีตั้งแต่ยอมรับความรู้สึกนี้แล้วว่าต้องเป็นฝ่ายรับให้อีกฝ่าย


ไม่ใช่กลัวแต่เป็นอาย แค่แช่อ่างด้วยกันก็อายจนแทบบ้าแล้วถ้าต้องเปลือยกายอยู่บนเตียงที่ไร้สิ่งใดมาบดบังผมคงระเบิดความเขินอายออกมาจนหมด ผมทนระงับความอายขนาดนั้นไม่ไหว


ขอเวลาอีกนาน ไม่สิ น่าจะนานมาก แต่ฮาเซลคงรอนานขนาดนั้นไม่ไหวซะละมั้ง


ตั้งแต่เจอกันผมไม่เคยเห็นเขาไปเที่ยวหญิงหรือพาใครมาช่วยระบายเลยสักครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะไม่ยากวุ่นวายหรือไม่ชอบให้ใครมาลุกล้ำความเป็นส่วนตัวกันแน่ ในฐานะแฟนผมควรจะยอม...ไม่ คนมันอายนี่นาแถมครั้งก่อนเพียงแค่น้ำเสียงกับสายตาที่ส่งมาก็แทบเผาร่างผมให้ไหม้เป็นจุล


ระหว่างกำลังคิดหนักวันแห่งการเดทหรือวันศุกร์ก็มาถึงในที่สุด สถานที่นัดหมายเป็นหน้าประตูเข้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมืองซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมายเดินกันให้ทั่ว สมกับชื่อห้างที่ดังที่สุดจริงๆ


เวลานัดหมายคือ 11โมง ผมเดินมาจากห้องแทนการใช้มอเตอร์ไซค์หรือรถประจำทางเพราะอยากออกกำลังกายสักหน่อย พอก้าวเข้ามาใกล้บริเวณนัดหมายร่างสูงของฮาเซลในชุดลำลองปกติก็ปรากฏแก่สายตาแม้แว่นตาสีชานั่นจะดูขัดหน่อยๆ ก็ตาม


คงไม่คิดว่าการใส่แว่นนั่นเรียกว่าปลอมตัวหรอกนะ


“มาเร็วจังฮาเซล” ผมเอ่ยทักก่อนก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่าย


“รู้ว่าเรย์ต้องมาก่อนฉันเลยซ้อนแผนด้วยการมาเร็วกว่า” รอยยิ้มราวกับได้รับชัยชนะนั้นผมไม่รู้ว่าต้องตบมือแสดงความยินดีให้ไหมที่แผนการนั้นสำเร็จ


“ผมให้คุณชนะก็ได้” นี่เราไม่ได้แข่งกันสักหน่อย


“คอเปิดโล่งไม่หนาวเหรอ” ฮาเซลมองมายังเสื้อคอวีสีเข้มเปิดคอโล่งของผม


“นิดหน่อยแต่ไม่เป็นไร” ช่วงนี้เข้าหน้าหนาวแล้วส่วนมากจึงสวมทั้งเสื้อกันหนาวและผ้าพันคอ ผมเองก็หนาวแต่ถ้าเทียบกับอุณหภูมิของแอร์ที่เปิดอยู่ตลอดหน้าร้อนอากาศตอนนี้ไม่ได้หนาวสักเท่าไหร่


“ไม่เป็นไรที่ไหน เอานี่” ผ้าพันคอขนนิ่มสีน้ำตาลอ่อนถูกย้ายมาพันรอบคอผมโดยไม่ขอความสมัครใจ


“ผมไม่ใช่ผู้หญิงฮาเซล ไม่ต้องดูแลกันขนาดนี้” แค่ความเย็นระดับนี้ผมไม่เป็นไรหรอก


“ฉันไม่เคยดูแลผู้หญิงหรอกนะ ที่ทำกับเรย์แค่เป็นห่วงและอยากดูแล เพราะว่ารักมาก” คำพูดตรงๆ จากปากอีกฝ่ายทำเอาผมเบนหน้าหนี ไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมกำลังเขิน


ช่างกล้าพูดออกมาจริงๆ


“ต้องไปไหนต่อ” เพื่อหลีกหนีกับสถานการณ์นี้ผมจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เพิ่งรู้ว่าการชอบใครสักคนมันทำให้หัวใจเหนื่อยง่ายแบบนี้


“แซมเขียนมาแล้ว ไล่ตามลิสนี่เลย” กระดาษโน้ตสีขาวถูกหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วไล่สายตาไปยังบรรทัดบนสุดของกระดาษ


“ไหนขอผมดูบ้าง...ดูหนัง?” ผมพึมพำเมื่ออ่านบรรทัดแรก


“เหมือนจะอย่างนั้น ไปกันเถอะ” ฮาเซลเดินพานำเข้าไปด้านในห้าง ขึ้นลิฟต์ไปจนถึงชั้นโรงหนังตามอักษรในแผนกระดาษ โน้ตนั่นไม่ได้มีแค่สิ่งที่ต้องทำแต่ยังมีคำอธิบายเพิ่มอย่างโรงหนังอยู่ชั้นไหนด้วย


เตรียมพร้อมดีจนอยากยกนิ้วให้เลยแซม


ชั้นโรงหนังเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนไม่น้อยยืนต่อแถวซื้อตั๋วหนังยังเคาท์เตอร์ ผมมองฮาเซลที่ยืนนิ่งสักพักก่อนจะเป็นฝ่ายดึงชายเสื้อให้ตามมายังบอร์ดแสดงตารางหนังเรื่องต่างๆ ที่เข้าฉาย ดูเหมือนผู้ทรงอิทธิพลฮาเซล กอนซาเลสจะไม่เคยมาดูหนังในโรงมาก่อน


“จะดูเรื่องอะไร” ผมเอ่ยถามระหว่างไล่มองหนังทีละเรื่อง


“เรย์เคยมาดูสินะ”


“ใช่ ผมเคยมา” ไม่จำเป็นต้องโกหกนี่นะ


“คนเดียว?”


“เปล่า” ผมส่ายหัว


“กับแฟน?” ฮาเซลยังคงถามต่อ


“ผมไม่เคยมีแฟน” นอกจากฮาเซล


“งั้นมากับใคร”


“มากับหนึ่งในเป้าหมาย” ผมตอบโดยไม่ปิดบัง มีเป้าหมายหลายคนจำเป็นต้องใช้เวลาในการเข้าถึงและทำให้ไว้ใจก่อนจะลงมือซึ่งการจะสร้างความไว้ใจมีแต่ต้องออกมาเที่ยวด้วย เมื่อเกิดความไว้ใจผมจะลงมือได้ง่ายขึ้น


“คงไม่ได้ลงมือในโรงหนังหรอกนะ” ฮาเซลถามเสียงเบา สายตาที่มองมาแฝงไปด้วยความสงสัย


“ผมไม่ทำแบบนั้นแน่” ทั้งกล้องวงจรปิด ทั้งสภาพแวดล้อมในการจัดการรวมไปถึงการจัดการกับสถานที่หลังลงมือโรงหนังเป็นสถานที่ที่ไม่ควรลงมืออย่างยิ่ง


“ก็ว่าอยู่ เรื่องนี้ดีไหมเห็นว่าเกี่ยวกับพ่อค้าอาวุธกับนักฆ่า” ฮาเซลชี้ไปยังหนังเรื่องหนึ่งที่ฉายตัวอย่าง


“เหมือนผมกับคุณเลยแฮะ”


“เนอะ ชักสนใจแล้วว่าจะทำออกมาเป็นยังไง”


“เห็นด้วย ดูเรื่องนี้เลย”


เมื่อตัดสินใจได้พวกเราเดินไปซื้อตั๋ว โชคค่อนข้างดีมีรอบที่กำลังฉายจึงไม่ต้องไปเดินเล่นหรือนั่งรอเวลา ที่นั่งนั้นแน่นอนว่าเป็นแบบส่วนตัวไม่ต้องเบียดกับใครถึงจะมีราคาสูงทว่าไม่ได้มากสำหรับพ่อค้าอาวุธอย่างฮาเซล


การดูหนังใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ ก่อนจะทำตามรายการต่อใบบนกระดาษโน้ตซึ่งหลายๆ คนคงเดากันได้นั่นคือกินมื้อกลางวัน ผมให้ฮาเซลเป็นคนเลือกร้านแม้ตอนแรกเขาจะยืนกรานให้ผมเลือกแต่พอผมไม่เลือกสักทีฮาเซลจึงคว้าแขนผมเดินเข้าไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นใกล้ๆ เซตอาหารต่างๆ มีให้เลือกค่อนข้างมากผมใช้เวลาพอสมควรไปกับการเลือกของหวานที่เสิร์ฟคู่กับจานหลักไม่ใช่แค่เซตตัวเองแต่ยังลามไปถึงของฮาเซลเพราะรู้ว่ายังไงอีกฝ่ายต้องยกของหวานให้อยู่แล้ว


“เรย์ว่าหนังเป็นไง” ฮาเซลเริ่มบทสนทนาหลังอาหารมาเสิร์ฟ


“ห่วย ผมยังหงุดหงิดอยู่เลย นักฆ่าที่ไหนกระโดดลงพื้นเสียงดังขนาดนั้นยังไม่มีคนหันกลับมามองแถมการใช้ลวดนั่นดูยังไงก็ตัดต่อชัดๆ” พอพูดเรื่องหนังที่ดูความหงุดหงิดระหว่างดูกลับมาอีกครั้ง อาจเพราะเป็นอาชีพของตัวเองเลยรู้แทบอย่างในวงการแต่ในหนังกลับไม่ได้ทำให้ดูสมจริงสักนิด ถ้าเอาแผนนั้นไปใช้จริงคงความแตกตั้งแต่เริ่มแล้ว


“คิดเหมือนกัน ฉากขนอาวุธเองก็เหมือนกันต่อให้เป็นหนังแต่ไม่คิดว่าจะใช้วิธีโบราณอย่างขนใส่กระเป๋าผ่านด่านตรวจที่รู้ๆ กันอยู่ว่าผ่านไม่ได้” ฮาเซลเองดูขัดกับวิธีการขนอาวุธตั้งแต่อยู่ในโรงหนังแล้ว ขนาดผมที่ไม่ค่อยรู้วิธีส่งยังหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เลย พ่อค้าอาวุธต่างรู้ดีว่าอาวุธสามารถใช้เครื่องตรวจจับโลหะจับได้ ดังนั้นจึงต้องมีการวางแผนอย่างรัดกุมหากต้องขนผ่านด่านตรวจไม่ใช่เดินเข้าไปโต้งๆ พอสัญญาณเตือนร้องก็ตกใจวิ่งหนี


“เหมือนมาดูหนังตลก”


“ใช่ ถ้าดูตลกๆ ได้อยู่”


“แล้วต่อไปพวกเราต้องทำอะไร” ผมถามระหว่างตักของหวานอย่างพุดดิ้งชาเขียวโรยถั่วแดงเข้าปาก


“...เดินซื้อของ ชั้น 2 มีพวกร้านเสื้อผ้า ชั้นแรกเป็นซูปเปอร์” ฮาเซลอ่านข้อความบนกระดาษต่อ


“ไม่เอาพวกเสื้อผ้า ซูปเปอร์ก็ไม่เอา...ข้ามข้อนี้ไปได้ไหม” ผมถามอีกฝ่ายกลับ แค่เริ่มต้นมาไปเท่าไหร่ผมก็รู้สึกไม่ไหวแล้ว


การเดทนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบเท่าไหร่ อย่างการดูหนังไม่ได้ช่วยเพิ่มความสัมพันธ์อะไร ที่ทำมีแค่ต่างคนจ้องไปยังจอด้านหน้า


“ฉันก็คิดอยู่ว่ามันไม่เหมาะกับพวกเราเท่าไหร่” กระดาษในมือถูกขย้ำทิ้งไว้บนโต๊ะ สายตาของฮาเซลมองมายังผมเล็กน้อยก่อนจะหยิบกระดาษอีกใบขึ้นมา


“นั่นอะไร?” ผมถามทันที ไม่ได้มีใบเดียวเหรอ


“แซมให้มาอีกใบเผื่อแบบปกติมันไม่โอเค”


“จะบอกว่าแผ่นนั้นเป็นแบบไม่ปกติ?” ผมไม่เห็นเข้าใจเลยว่าปกติกับไม่ปกติมันต่างกันยังไง


“เหมือนจะใช่ ลองดู” ฮาเซลยืนกระดาษใบนั้นมาให้


ผมรับมาแล้วกวาดสายตาตั้งแต่บรรทัดแรก คำว่าโซนขนมหวานทำเอาดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์ทอประกายขึ้นมาทันที ต่อมาเป็นเกมเซนเตอร์ที่ชั้นก่อนบนสุดของห้างแถมยังมีสนามเพ้นบอลให้เช่าอีกต่างหาก


นี่สิน่าสนุก!


“ไปโซนขนมแล้วไปเล่นเพ้นบอลกันฮาเซล” ผมตัดสินใจหลังอ่านโน้ตจบ


“ไหนบอกว่าไม่ถนัดการดวลปืนไม่ใช่?”


“ที่ไม่ถนัดคือการเล็งแล้วยิ่ง ไม่ใช่การเคลื่อนไหวไประหว่างยิงสักหน่อย” ถ้าเป็นการดวลปืนขณะเคลื่อนไหวร่างกายไปด้วยแบบนี้ผมชอบ แถมยังไม่เคยเล่นเลยสักครั้ง


“ได้ งั้นไปดวลกัน ย่อยอาหารหน่อย”


“ไปโซนของหวานก่อน ชั้นจีในโน้ตบอกมีเทศกาลของหวานระดับโลก”


“ตาลุกวาวเลยนะเรย์” ฮาเซลสบตาผมเล็กน้อยก่อนลุกไปจ่ายเงินค่าอาหาร


“แน่นอน” ได้ชื่อว่าของหวานแถมยังเป็นระดับโลกอีก ไม่มีอะไรน่ากินไปมากกว่านี้แล้ว



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


ภายในงานของหวานระดับโลกเต็มไปด้วยผู้คนมากมายต่อคิวซื้อบัตรบุฟเฟ่สำหรับกินของหวานภายในงานได้ไม่อั้น กลิ่นหอมของขนมสุกใหม่ลอยออกมายามเตาอบถูกเปิด แต่ละร้านจะมีพื้นที่ทำขนมของตัวเองโดยจะมีเตาอบและเคาท์เตอร์ให้...ร้านไหนทำเสร็จจะวางไว้ในถาดที่ถูกจัดอย่างหรูหราด้านหน้าร้านของตน


“ฮาเซล ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบของหวานเพราะงั้นรออยู่นี่แป๊บ” ผ้าพัดคอสีน้ำตาลถูกดึงจนหลุดแล้วฝากไว้กับเจ้าของ


“ฉันว่าไม่แป๊บละมั้ง คิดจะกินหมดทุกร้าน?” ฮาเซลมองดูร้านขนมตรงหน้า


“ใช่ ซื้อบัตรทั้งทีต้องคุ้มสิ ไม่ต้องห่วงไม่นานหรอก” พูดจบผมวิ่งไปต่อแถวซื้อบัตรราคาหลักพันและเข้าไปด้านในงานเลี้ยงบุฟเฟ่ของหวานระดับโลกด้วยความตื่นเต้น ไม่ว่าจะเป็นเค้กด้านนี้หรือช็อกโกแลตด้านนั้นก็น่ากินไปหมด


“ใจเย็นๆ” ผมพึมพึมบอกตัวเองที่เหมือนจะถูกความอยากกินเข้าครอบงำ เสียงสูดหายใจเข้าปอดและปล่อยออกดังเป็นจังหวะเพื่อรวบรวมสมาธิ


ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์หันไปมองร้านด้านริมซ้ายสุดไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงร้านริมขวาสุด ถึงจะมองร้านเหล่านั้นแบบผ่านๆ ทว่าได้เก็บรายละเอียดของแต่ละร้านไว้เรียบร้อย ผมก้าวตรงไปยังร้านด้านข้างที่มีชีสเค้กเคลือบช็อกโกแลตเหลืออยู่เพียงสองชิ้นและเอื้อมมือไปหยิบหนึ่งชิ้นออกมาด้วยความเร็วจนกลุ่มสาวมหาลัยข้างๆ ดูไม่ทัน


ทักษะของมือสังหารสามารถเอามาดัดแปลงใช้ได้อย่างดีเยี่ยมในสถานการณ์เช่นนี้ เรียกว่าทักษะนักฆ่าที่ผมสะสมมานั้นมีไว้เพื่อสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่ผิดนัก เข้าประชิดขนมด้วยการพรางตัวไปในหมู่คนแล้วค่อยอาศัยช่องว่างและจังหวะคว้าขนมชิ้นนั้นมาอยู่ในมือ


ผมไล่ตั้งแต่ร้านที่ขนมใกล้หมดเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลารอขนมรอบใหม่อบเสร็จ เพราะมีการวางแผนอย่างเป็นลำดับทำให้ผมสามารถชิมขนมหวานจากทุกร้านได้ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง


“กินขนาดนั้นวิ่งไม่ไหวแล้วมั้ง” ฮาเซลแหย่ระหว่างเดินไปยังเคาท์เตอร์เกม


“ไหวแน่นอน” แค่ขนมไม่กี่สิบชิ้นไม่ทำให้ผมอิ่มหรอก


“เช่าสนามเพ้นบอล 2 ชั่วโมง พอเนอะ” ประโยคสุดท้ายฮาเซลหันมาถาม


“อืม พอ”


“รับทราบค่ะ ต้องรออีก 30 นาทีนะคะตอนนี้มีอีกกลุ่มกำลังเล่นอยู่ค่ะ” พนักงานสาวอธิบายด้วยรอยยิ้มรับแขก


“อืม” ฮาเซลพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจ่ายเงิน


“ระหว่างนี้เล่นเกมกันดีกว่า แลกเหรียญด้วยฮาเซล” ผมกระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายสองสามครั้ง


“เอาสิ” และฮาเซลก็แลกเหรียญสำหรับเล่นเกมต่อ


เกมเซนเตอร์นี่เต็มไปด้วยเครื่องเกมต่างตั้งแต่ตีตัวตุ่นไปจนถึงเกมเต้น ผมเคยผ่านเครื่องเกมพวกนี้อยู่บ้างแต่แทบไม่เคยได้แตะเลยสักครั้ง พอมาวันนี้จะได้ลงเล่นก็รู้สึกตื่นเต้นไปอีกแบบ


“เล่นอะไรดี เรย์เคยเล่นอันไหนแล้ว” ฮาเซลถาม


“ไม่เลย ผมไม่เคยเล่น”


“นึกว่าเล่นบ่อยซะอีก”


“แล้วคุณล่ะ” พูดแบบนี้เหมือนตัวเองเล่นเก่งกว่าทั้งที่แค่ดูหนังยังไม่ค่อยจะเป็นเลยแท้ๆ


“ไม่เคยเหมือนกัน”


“ก็พอๆ กันแหละ ลองอันนั้นไหม” ผมชี้ไปยังตู้เกมคีบตุ๊กตาด้านข้าง


“ได้ ลองเล่นดู” พวกเราเดินไปยังตู้เกมจับตุ๊กตา ภายในตู้มีตุ๊กตาใส่ไว้หลายตัวมีทั้งตัวที่ตั้งและล้มลงไปกับพื้นปะปนกันไป เคยได้ยินมาว่าเกมนี้ค่อนข้างยากถ้าไม่มีฝีมือหรือความแม่นในการเล็งเป้าหมาย


“ผมขอก่อน” ผมบอกพลางคว้าเหรียญไปหยอดใส่ตู้แล้วเริ่มต้นการจับตุ๊กตาครั้งแรก ปุ่มบังคับมีลูกศรกำกับสำหรับกดเลื่อนทิศทางของที่คีบ ผมใช้สายตามองพร้อมกะระยะให้ที่คีบอยู่เหนือตุ๊กตาแมวน้ำหน้าย่นแล้วกดปุ่มกลาง ที่คีบอ้าออกกว้างก่อนหุบลงพอดีกับหัวแมวน้ำทำให้ตุ๊กตาตัวนั้นลอยขึ้นมาตามแรงดึงและตกลงมาเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง ครั้งแรกของการเล่นก็ได้ของซะแล้ว


หรือว่าผมจะมีทักษะด้านนี้?


“เก่งนี่เรย์ ไหนขอฉันลองบ้าง” ฮาเซลแทรกตัวมาตรงหน้าปุ่มบังคับก่อนใส่เหรียญลงในช่อง ที่คีบเคลื่อนไหวตามการกดของแต่ละปุ่มจากการสังเกตฮาเซลเล็งตุ๊กแมวสีดำริมตู้ซึ่งค่อนข้างยากต่อการจับแต่แล้วเมื่อกดปุ่มที่คีบกลับอ้าออกแล้วคว้าหัวแมวสีดำได้พอดีแป๊ะราวกับจับจับวาง


“ไม่จริงน่า” ขนาดอยู่ริมขนาดนั้นยังคีบได้อีก


“ฉันเก่งใช่ไหมล่ะ” ตุ๊กตาแมวสีดำยืนมาตรงหน้าผมพร้อมรอยยิ้มของฮาเซล


“ไม่ปฏิเสธ” ก็เก่งจริงนี่


“ฉันให้” ตุ๊กตาแมวสีดำถูกวางลงผมแขนข้างที่อุ้มตุ๊กตาแมวน้ำไว้


“แต่คุณคีบได้นะ”


“ให้เรย์”


“งั้นผมให้แมวน้ำกับคุณ” ในเมื่ออีกฝ่ายให้ผมก็จะให้ด้วย การเป็นคนรับอยู่ฝ่ายเดียวไม่ใช่ตัวผม


“ได้ แลกกัน ต่อไปเกมนั้นไหม แข่งกัน” ฮาเซลชี้ไปยังเกมยิงปืนที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกล


“แข่งยิงปืนกับคุณผมก็แพ้น่ะสิ” จะให้ชนะพ่อค้าอาวุธได้ยังไง


“รู้ตัวเหรอเรย์” ทั้งที่เป็นคำพูดธรรมดาแต่กลับทำให้อารมณ์ผมขึ้นอย่างบอกไม่ถูก


รู้สึกไม่อยากแพ้เกมนี่เลย


“มาแข่งกันก็ได้”


“ใครแพ้ถูกหอมแก้มด้วย”


“ได้ ไม่สิ แบบนั้นผมเสียเปรียบจะตาย!” ถ้าฮาเซลแพ้ผมต้องเป็นฝ่ายหอมฮาเซล ถ้าฮาเซลชนะก็เป็นฝ่ายหอมแก้มผม ไม่ว่าทางไหนผมก็เสียเปรียบชัดๆ


“ตกลงแล้วเปลี่ยนไม่ได้ เริ่มเลย!” เหรียญสีดำถูกหย่อนลงทั้งสองเครื่องในเวลาใกล้เคียงกัน


ผมไม่มีทางเลือกนอกจากเดินไปเตรียมพร้อมด้านหน้าเครื่อง ปืนกระบอกดำสองกระบอกทำขึ้นจากพลาสติกแลดูไม่คงทนแถมน้ำหนักยังไม่เหมาะมืออีก คิดหาทางแก้ยังไม่ได้เกมตรงหน้าก็นับถอยหลัง ภาพสองมิติฉากป่ารกทึบปรากฏขึ้นพร้อมแมงมุมยักษ์ที่กระโจนเข้ามาใกล้ ปืนกระบอกดำในมือขวายกขึ้นและยิงอย่างรวดเร็ว เสียงปืนดังก้องไปทั่วบริเวณไม่ใช่แค่ของผมแต่ฮาเซลเองก็ใช่เล่น


พวกเราต่างจัดการสัตว์ร้ายทั้งแมงมุม หมาป่า สิงโตหรือตะขาบยักษ์แต่ละตัวด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว เกมนี้กระสุนมีจำกัดเช่นเดียวกับพลังชีวิตที่จะลดลงเรื่อยเมื่อถูกจู่โจม ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่พวกสัตว์ร้ายต่างพากันออกมามากขึ้นจนผมต้องใช้ปืนทั้งสองกระบอกจัดการพร้อมกัน


บรรยากาศรอบตัวผมและฮาเซลในตอนแรกไม่มีใครทว่าตอนนี้กลับมีคนยืนมุงดูอยู่ อาจเพราะทักษะและการเคลื่อนไหวของพวกเราที่สามารถจัดการกับสัตว์ในเกมได้มันสุดยอดละมั้ง จุดจบของเกมคือกระสุนของพวกเราหมดโดยจำตัวสัตว์ร้ายที่ฆ่าไปเป็นตัวเลขเดียวกัน ไม่เพียงแค่นั้นตัวเลขนี้ยังเป็นสถิติใหม่อีกด้วย


น่าภูมิใจเหลือเกินแฮะเล่นเกมยิงปืนได้ที่หนึ่ง


“เสมอแบบนี้สลับกันหอมเนอะ” คำพูดพร้อยรอยยิ้มนั่นได้รับหมัดตรงเป็นการตอบแทนกลับไป


“หอมไปคนเดียวเถอะ!”


“หมายถึงให้ฉันหอมได้?” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองทอประกายเจ้าเล่ห์ทันควัน


“ไม่ได้ ถึงเวลาไปสนามแล้ว” ผมรีบหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจทำให้ตัวเสียเปรียบ


สนามเพ้นบอลชั้นบนสุดของห้างเป็นพื้นที่จำลองในร่มซึ่งมีสิ่งกีดขว้างอยู่ทั่วสนามไม่ว่าจะเป็นถัง ลังไม้หรือแม้แต่ต้นไม้ ขนาดก็เป็นมาตรฐานถ้าเล่นกันแค่ 2 คนคงกว้างพอดู


“ไหนๆ ก็เล่นกันสองคนมาพนันกันไหม” ฮาเซลเสนออีกรอบ ตอนนี้พวกเรากำลังใส่กระสุนลงในปืนสีของฮาเซลคือสีเหลืองในขณะที่ของผมเป็นสีแดง


“พนันอีกแล้ว? จะหอมแก้มอีกรึไง” ผมถามกลับ


“เอาเป็นคนแพ้ต้องทำตามคำสั่งคนชนะ”


“...คุณต้องการอะไร” ผมรู้สึกว่าฮาเซลมีบางอย่างที่อยากได้จากผมถึงขนาดต้องพนันแบบนี้เลยเหรอ


“บอกตอนนี้ก็หมดสนุกสิ” กระบอกปืนอันที่สองถูกหยิบมาใส่กระสุน ปกติเพ้นบอลจะใช้ปืนเดียวแปลว่าตั้งใจเอาจริง


“ผมรับพนัน ถ้าคุณแพ้เตรียมตัวไว้ได้เลย” เพ้นบอลไม่ใช่การดวลปืนผมจึงไม่รู้สึกว่าตัวเองจะแพ้การพนันนี่


พวกเราต่างแยกย้ายไปเตรียมตัวคนละฝั่งของสนามและทันทีที่สัญญาณที่ตั้งไว้ดันขึ้นผมก็เคลื่อนไหวโดยอาศัยสิ่งกีดขวางเป็นเกาะกำบังไปจนถึงตรงกลางซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดการปะทะมากที่สุด ทว่าเมื่อมองไปกลับไม่เห็นฮาเซลไม่ว่าจะเป็นด้านซ้ายหรือขวา


หรือคิดจะล่อให้ผมเข้าไป?


“หึ...จัดให้ฮาเซล” ขอดูหน่อยว่าจะวางแผนอะไรไว้


ผมก้าวเข้าไปยังยังเขตของฮาเซลด้วยความระมัดระวังก่อนจะหมุนตัวหลบไปยังถังด้านข้างอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสได้ถึงกระสุนที่เชี่ยวหน้ากากไปเพียงไม่กี่เซน ระดับอย่างฮาเซลไม่พลาดอยู่แล้ว...แปลว่าจงใจเตือน


น่าหงุดหงิดจริง


คิดว่าผมเป็นใครถึงขนาดต้องเตือนก่อนลงมือจริงแบบนี้!


กระบอกปืนในมือถูกยกขึ้นมาเตรียมพร้อมขณะผมวิ่งเข้าใส่ไปยังจุดที่กระสุนถูกยิงออกมา ผมไม่หวังว่าฮาเซลจะอยู่ที่เดิมเพียงแค่จะหาล่องลอยว่าไปทางไหนเท่านั้น รอยเท้าบนพื้นแม้จะจางแต่ใช่ว่าจะดูไม่ออก


“หาฉันเหรอเรย์” เสียงทุ้มของฮาเซลดังรอดมาจากอีกฝั่งของฉากกั้น


“จะยั่วผมให้โกรธใช่ไหมฮาเซล” กล้าออกมาเองแถมยังส่งเสียงเรียกบอกที่อยู่อีก


“แค่คิดถึงเลยอยากเห็นหน้าที่รัก”


ปัง!


กระสุนนัดแรกของผมยิงใส่ฮาเซลทันทีที่วิ่งกลับไปยังสิ่งกีดขวางทว่าฮาเซลกลับก้มตัวลงต่ำเพื่อหลบก่อนจะยิงกระสุนออกมาจากปืนทั้งสองกระบอกพร้อมกัน ผมไม่ได้ถอยหนีแต่พุ่งเข้าหากระสุนนั่นแล้วเอียงตัวหลบไปด้านข้างใช้ขาข้างหนึ่งเตะปืนในมือขวาของฮาเซลจนกระเด็นไป


ในจังหวะหันกระบอกปืนไปหาฮาเซลกระบอกปืนอีกอันก็มาจ่อขมับผมอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์เบิกกว้างขึ้นเมื่อถูกสวนกลับในเสี้ยววินาที ทั้งที่คิดแล้วว่าฮาเซลต้องมีอาการชะงักหลังอาวุธถูกจัดการเป็นช่องว่างให้ผมโจมตี


ใครจะคิดว่าจากไม่ชะงักแล้วยังสวนกลับอีก ไม่สิ นี่หรือว่า...


“คุณรู้ว่าผมต้องจัดการกระบอกปืนนั่น!” ผมกัดฟันถามคนด้านหลังที่เริ่มใช้มือข้างที่ว่างโอบเอวผม


“ใช่ หากฉันยั่วอารมณ์ได้เรย์ต้องพุ่งมาจัดการฉันแน่ การจัดการนั้นถ้าเป็นเรย์จะต้องลดอาวุธในมือคู่ต่อสู้ก่อนจะโจมตีสวนกลับ ฉันเลยซ้อนแผนอีกที” คำอธิบายกระซิบข้างไปหูพร้อมกระสุนสีเหลืองที่ถูกยิงใส่ยังหน้ากาก


แพ้อย่างหมดรูป


ฮาเซลอาจเป็นคนเดียวที่สามารถยั่วอารมณ์ผมให้เขวได้ เมื่อถูกอารมณ์ครอบงำสติและสมาธิจะลดลงจนไม่อาจตอบสนองต่อสถานการณ์คับขันได้ทันที บทสรุปก็จะเป็นอย่างสถานการณ์ผมในตอนนี้คือตกอยู่ในแผนการของฮาเซลมาตั้งแต่เริ่มเกม


“...ผมแพ้แล้ว บอกมาสิว่าต้องการอะไร” ผมถอดหน้ากากมาถือไว้ในมือ ใส่หน้ากากเล่นอึดอัดไม่ใช่น้อยแต่ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ได้อีก


“ไว้ว่างมาหาฉันที่บ้านที”


“นั่นคือคำสั่ง?”


“อ่าฮะ” ฮาเซลพยักหน้า


“แค่นั้นคุณถึงต้องทุ่มขนาดนี้เลย” ผมไม่เข้าใจเลยว่ากับแค่ให้ผมไปบ้านทำไมต้องลงทุนพนันด้วย


แค่บอกตรงๆ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะปฏิเสธหรอกนะ


“ใช่ ค้างคืนด้วย” ผู้ชนะพูดเสริมอีกนิด


“ผมนึกว่าคุณจะขออย่างอื่น”


“เรย์คิดว่าฉันจะขออะไรล่ะ”


“...เรื่องบนเตียง” ผมตอบเสียงเบา ความคิดแรกเมื่อรู้ว่าตัวเองแพ้ผมคิดว่าฮาเซลจะอยากให้ผมยอมมีอะไรกับเขาสักทีไม่ใช่ไปบ้านแบบนั้น


“เรื่องนั้นฉันก็อยากอยู่ แต่ถ้ามันเป็นการบังคับเรย์ฉันไม่ทำหรอก”


“ฮาเซล” ผมเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ


“ฉันรู้ว่าไม่ควรรีบร้อนเพราะเรย์ไม่มีใครนอกจากฉัน ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่ในใจกลับอยากครอบครองจนแทบบ้า อยากทำให้เรย์เป็นของตัวเอง...เป็นของฉันแค่คนเดียว ฉันนี่โลภเนอะ” ผมยืนฟังฮาเซลพูดโดยไม่เอ่ยแทรกใดๆ


ทุกคำพูดของฮาเซลผมสัมผัสได้ถึงความจริงใจที่มีให้


การอยากครอบครองคนรักของตัวเองมันเรียกว่าโลภเหรอ


ผมถามตัวเองในใจ ตัวผมไม่เคยมีความรู้สึกอยากครอบครองใครไม่เข้าใจว่าทำไมถึงอยากเป็นเจ้าของแต่เมื่อได้มาเจอกับฮาเซลผมได้รู้ เพราะว่าชอบ เพราะว่ารัก เพราะว่าหวง เพราะแบบนั้นจึงได้ต้องการจะครอบครองทุกอย่างไม่เพียงแค่หัวใจแต่เป็นร่างกายด้วย


ฮาเซลบอกว่าตัวเองโลภที่ต้องการจะครอบครองผม


แต่สำหรับผมน่ะ...


มือทั้งสองข้างเอื้อมไปคว้าใบหน้าของฮาเซลก่อนจะดึงลงมาแนบริมฝีปากตัวเองลงไปยังริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้าทว่าลึกล้ำจนแทบไม่เหลือช่องว่าง ดวงตาผมประสานกับอีกฝ่ายตลอดการจูบเพื่อสื่อความนัยบางอย่าง เพียงแค่สายตาอาจไม่เพียงพอเมื่อผละออกจากจูบผมจึงยกยิ้มพร้อมเอ่ยบางอย่างออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา...


“นั่นไม่เรียกว่าโลภหรอกฮาเซล”

...............................................

เฮือกกกก

ขอเลือดเพิ่มค่ะ

แต่งจบหัวใจเต้นแรงมาพูดเลยกับความหวานของเรย์ที่นับว่าหวานมากแล้วนะ

สำหรับเราคิดว่าทั้งเรย์และฮาเซลเป็นคู่ที่เหมาะกันมาก คนนึงก็เกิน(กวนเกิน) อีกคนก็ขาด(ขาดความรัก)

พอมาอยู่ด้วยกันเลยให้บรรยากาศที่ละมุลปนมุ๋งๆ แปลกๆ แม้จะอยู่ในฉากบู๊ก็ตาม

ฉากที่ชอบที่สุดของตอนนี้คือการได้แต่งให้เรย์ใช้ทักษะนักฆ่าในการกินขนม 555

ตอนหน้าเป็นตอนจบของเรื่องค่ะ ฉากที่ใครๆ เฝ้ารออยากเกาะขอบเตียงเกาะหน้าต่างเพื่อจะได้แอบดูนั้นตอนหน้าห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ในตอนจบ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตอนหน้าจะรอดูให้ได้  :hao3:

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
เป็นการเดทที่สนุกและเหมาะกับทั้งสองคนมากเลย

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ตอนหน้าไม่พลาด เราจะเกาะขอบเตียงเลย

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันสุดท้าย



ประตูบ้านหลังยักษ์หรือคฤหาสน์ของฮาเซล กอนซาเลสมีการรักษาความปลอดภัยไม่แน่นหนาเหมือนอย่างตอนผมอยู่ในฐานะบอดี้การ์ด คงเพราะจัดการตัวต้นเหตุได้แล้วจึงไม่จำเป็นต้องรักษาความปลอดภัยมากมายอะไร นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผมกลับมาเยือนที่นี่


การเดทครั้งที่แรกของผมและฮาเซลมีการพนันเล็กกันเกิดขึ้นและคนแพ้คือผม คำสั่งจากผู้ชนะคือต้องการให้ผมมาบ้านเขาพร้อมค้างคืน ผมพอจะเดาในสิ่งที่ฮาเซลต้องการได้ลางๆ ให้ค้างคืนคงไม่พ้นเรื่องบนเตียง


วันนี้ก่อนมาผมเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้ว ถ้าฮาเซลรุกมาผมคงยอมโดยไม่ขัดขืนอะไร การอยากครอบครองคนรักเป็นเรื่องปกติซึ่งผมเองก็ยอมรับว่ารักฮาเซลมาก...มากขนาดที่ตัวเองยังนึกไม่ถึงเลย


บอดี้การ์ดหน้าประตูมองมายังผมก่อนจะเอ่ยทักทายตามประสาคนเคยเห็นหน้ากันถึงจะไม่ได้มาตั้งหลายเดือนแล้วก็ตาม ทักทายไม่นานผมเดินผ่านเข้ามาด้านในตัวคฤหาสน์ ระหว่างทางเดินไปยังตัวบ้านเสียงแปลกๆ ตรงพุ่มไม้ทำให้ขาที่กำลังก้าวหยุดชะงักแล้วเดินตรงไปบริเวณนั้นเพื่อแก้ไขข้อสงสัย ร่างเล็กๆ ของสัตว์สี่เท้าโผล่หัวออกมาจากพุ่มไม้ก้าวมาตรงหน้าผมไม่ใช่แค่หนึ่งแต่ถึงสองตัว สุนัขสีขาวล้วนและดำล้วนไม่ส่งเสียงเห่าเหมือนสุนัขปกติที่เคยเห็นพวกมันทำเพียงเดินเข้ามาใกล้และใช้จมูกดมกลิ่น
สองตัวนี้คงเป็นลูกสุนัขเมื่อไม่กี่เดือนก่อน


ผ่านไปไม่กี่เดือนดูเปลี่ยนไปมาก รูปร่างผอมแห้งก่อนหน้านี้กลายมาเป็นสมบูรณ์ ขนเองก็แลดูสุขภาพดี สงสัยได้รับการดูแลอย่างดีถึงได้ตัวใหญ่ขึ้นได้ขนาดนี้


“ไง” ผมทักทายพวกมันโดยไม่สัมผัสหรือแตะต้อง นิสัยผมใช่ว่าจะไม่ชอบสัตว์ซะทีเดียวแต่ก็ไม่ได้รักสัตว์อะไรมากมาย การจะเลี้ยงอะไรสักอย่างจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบมากพอซึ่งผมไม่ค่อยมีนักเลยไม่เลี้ยงอะไรสักย่างแม้แต่ต้นไม้


สุนัขสองตัวดมกลิ่นผมสักพักก่อนหางเป็นพวงของมันจะเริ่มส่ายไปมา ดวงตาสีน้ำตาลเงยขึ้นมาสบด้วยสายตาระยิบระยับราวกับอยากให้ผมทำอะไรบางอย่าง


“อะไร” แม้จะถามแต่ก็ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบกลับมาหรอก ถ้ามีเสียงตอบกลับมาผมนี่แหละจะเตะโด่งพวกมันออกนอกรั้วโดยไม่มีแม้แต่ความลังเล


เสียงครางเล็กๆ ตามประสาลูกสุนัขดังขึ้นพร้อมชายกางเกงที่ถูกงับและดึงเบาๆ ทั้งสองตัวต่างแยกกันงับดึงชายกางเกงผมเล่นทว่าแรงอันน้อยนิดไม่ได้ทำให้ผมต้องออกแรงขืน ผมนั่งยองๆ ลงมองภาพสิ่งมีชีวิตสองสีเล่นกันโดยมีกางเกงผมเป็นของเล่นด้วยความขบขัน


“เจ้าของพวกนายไม่ซื้อของเล่นให้รึไง” ลูกสุนัขวัยนี้กำลังคันฟันจึงควรมีของเล่นให้พวกมันแทะ ข้อมูลพวกนี้ผมไม่ได้หาเป็นสิ่งที่ได้ยินมา


“ฉันซื้อนะ แต่พวกมันไม่เล่น” เสียงทุ้มแสนคุ้นเคยมาพร้อมร่างเจ้าของบ้านเดินยิ้มมาหาผม ด้านหลังมีแซมและมากส์อยู่ด้วย


“โยนๆ ให้เดี๋ยวก็เล่นเองแหละ”


“มานี่มา วัน ทู” แซมวิ่งนำหน้าฮาเซลก่อนอุ้มลูกสุนัขสองตัวขึ้นพร้อมกัน


“วัน ทู?” ผมขมวดคิ้วกับชื่อที่ได้ยิน


อย่าบอกนะว่าชื่อหมาน่ะ


“ฉันตั้งเอง น่ารักใช่ไหมล่ะ” ฮาเซลเดินมายืนข้าง


“ชื่อสิ้นคิด” มีอีกหลายล้านชื่อที่น่าจะดีกว่าวัน ทู


“จำง่ายดีออก”


“จำง่ายไป” ใช่ ผมไม่เถียงว่าจำง่าย ผมได้ยินครั้งเดียวยังจำได้เลยและผมว่าคนอื่นที่ได้ยินคงจำได้ในทันทีเหมือนกัน


“เป็นหมาที่แปลก ไม่เห็นเห่าเลย” ฮาเซลบอกระหว่างมองแซมเล่นกับทั้งสองตัว


“ดีแล้วนี่ สุนัขที่ไม่เห่ามีโอกาสดุสูงนะ” แถมยังเฝ้าบ้านได้ดีด้วย


“คงต้องเอาไปฝึก”


“ผมเห็นด้วย หรือไม่ก็ให้มากส์ฝึก” ผมออกความเห็นพลางหันไปทางมากส์


“ทำไมต้องทางนี้ล่ะเทเลอร์ ให้แซมฝึกไปสิ” มากส์ถามกลับ


“ให้คนรักสัตว์ฝึกคงไม่มีความอดทนพอจะดุหรือลงโทษเวลาทำผิดหรอก อีกอย่างถ้าเป็นแซมคงตามใจพวกมันเกินไป” การฝึกที่ดีควรมีการให้ความรักแต่พอดีไม่มากเกินไป ถ้าเป็นแซมผมรู้เลยว่าเมื่อสองตัวนั่นส่งสายตาหง๋อยๆ ให้คงไม่เป็นอันฝึกพอดี


“หมอนั่นตามใจจนแทบจะเอาไปนอนด้วยแล้ว” มากส์พูดต่อ


“จะออกไปข้างนอกกันเหรอ” ผมหันกลับไปถามฮาเซลเนื่องจากชุดของทั้งสามคนไม่ใช่ชุดใส่อยู่บ้าน เรียกให้ผมมาวันนี้นึกว่าจะไม่มีงานซะอีก หรือว่าเป็นงานด่วน


“เปล่า ฉันเพิ่งกลับมาถึงก่อนหน้าเรย์ไม่ถึง 5 นาทีเลย” ฮาเซลตอบ


“ทำงานหนักจังนะ” ทั้งที่มีเงินและอำนาจมากมายแต่เวลาที่จะใช้มันยังแทบไม่มีเลย


“อยากเคลียร์ให้เสร็จวันนี้จะได้อยู่กับเรย์ทั้งวัน”


“ไหนคุณบอกว่าว่างไง” ตอนแรกที่นัดกันผมถามแล้วว่าวันนี้ว่างรึเปล่าเพราะถึงผมว่างใช่ว่างฮาเซลจะว่างด้วย


“ว่างสิ ก็งานเสร็จหมดแล้ว”


“คุณนี่ฝืนไปแล้ว ถ้าป่วยไปผมซ้ำแน่” คนไม่ดูแลตัวแลผมไม่สงสารหรอกนะ


“ใจร้าย” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองเบนมาสบพร้อมรอยยิ้ม


“นักฆ่าใจร้ายอยู่แล้ว”


“ยกเว้นเรย์”


“คุณเพิ่งบอกว่าผมใจร้ายนะ” จะมายกเว้นได้ยังไง อย่าคิดว่าผมจะลืมคำพูดที่เพิ่งถูกเอ่ยออกมาเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านั่นนะ


“การที่เรย์จะซ้ำเวลาฉันป่วยมันหมายถึงเรย์ไม่อยากให้ฉันฝืนตัวเอง แบบนั้นจะเรียกใจร้ายได้เหรอ” คำอธิบายนั่นทำให้ผมเงียบลง จริงอย่างที่ฮาเซลพูด ความหมายมันเป็นแบบนั้นจริงๆ


ไม่คิดว่าจะรู้


ผมไม่เคยจะปิดบังหรือโกหกอะไรฮาเซลได้เลย


รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังแพ้


“มากส์ แซม”


“ครับ” ทั้งสองคนที่ถูกเรียกขานรับพร้อมกัน


“แยกย้ายไปพักผ่อนได้ แซมอย่าเล่นกับพวกมันเพลินไปพักซะด้วย” ฮาเซลหันไปย้ำแซมด้วยใบหน้าจริงจัง


“รับทราบบอส ขออีกแป๊บ”


“ให้จริงเถอะ เรย์เข้าบ้านกัน” ฮาเซลเปลี่ยนมาคว้าแขนผมแล้วออกแรงดึงให้เดินตามเข้าไปภายในตัวบ้านที่ไม่อาจเรียกว่าบ้านได้อย่างสนิทใจนักเนื่องจากขนาดของมัน


ทุกอย่างยังคงเหมือนก่อนผมไปทั้งข้าวของ เฟอร์นิเจอร์หรือแม้แต่ตำแหน่งของแจกันดอกไม้นอกจากห้องรับแขกขนาดใหญ่มีโซฟาสีเข้มขนนุ่มมาแทนที่โซฟาตัวเก่า ฮาเซลให้ผมนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันไม่นานคุณเชหัวหน้าเชฟก็เดินออกมาเสิร์ฟเครื่องดื่มและขนมด้วยตัวเอง เนื้อเค้กสีเหลืองนวลมีผิวสัมผัสอันอ่อนนุ่มและเด้งดึ๋งเช่นเดียวกับกลิ่นหอมของนม เนยและชีสลอยอบอวลมาแต่ไกล ยิ่งเข้ามาใกล้กลิ่นหอมกรุ่นก็พานให้ผมตาลุกวาว


“ชีสเค้กแถมเป็นแบบอบไอน้ำ” ผมขยับตัวไปมองชีสเค้กเนื้อเนียนตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น ในจำนวนชีสเค้กมากมายหลายแบบผมชอบชีสเค้กแบบอบไอน้ำมากที่สุด


“ยินดีที่ได้เจอกันอีกครับคุณเทเลอร์ ท่านฮาเซลให้ผมทำเตรียมไว้ให้คุณโดยเฉพาะ” ผมหันไปมองฮาเซลเล็กน้อยหลังได้ยินคำอธิบาย


“ผมก็ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งครับ ขอบคุณสำหรับชีสเค้กมากนะครับ”


“หวังว่าจะถูกปากคุณ”


“ฝีมือคุณเชอร่อยแน่นอนครับ” รสชาติฝีมือคุณเชเทียบเท่าร้านดังระดับประเทศ ไม่มีทางไม่อร่อยหรอก


“ถ้าเป็นเช่นนั้นผมก็ดีใจ ทานให้อร่อยผมขอตัวก่อน” คุณเชโค้งตัวเล็กน้อยแล้วเดินออกไปจาห้องรับแขก


ชุดน้ำชาสีส้มอ่อนถูกรินเสิร์ฟอย่างเร็วระหว่างบทสนทนา ชีสเค้กชิ้นโตเป็นเหมือนของว่างทานคู่กับชาได้อย่างลงตัว รสชาติของชาช่วยเพิ่มความเข้มข้นให้กับชีสเค้กแต่ไม่หนักเกินไปเวลากินคู่กัน


“ขอบคุณนะฮาเซล” ผมเอ่ยขอบคุณพลางหันไปมองคนด้านข้าง


“แค่ได้เห็นใบหน้ายิ้มๆ นั่นก็แทนคำขอบคุณได้แล้ว”


“...กินไหม” ผมรีบหุบยิ้มแล้วยื่นจานใบเล็กที่มีชีสเค้กหนึ่งชิ้นใส่ไว้ ด้วยความที่ชีสเค้กทั้งก้อนค่อนข้างใหญ่ผมเลยค่อยๆ ตัดกินทีละชิ้น


“ไม่ล่ะ”


“คุณดูเหนื่อยมาก ไปพักดีกว่ามั้งผมจะรออยู่นี่แหละ” ตั้งแต่เจอกันผมลอบมองอีกฝ่ายตลอดแม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้มทว่าดวงตากลับดูอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด


“อยากอยู่กับเรย์นี่”


“ตื่นมาค่อยอยู่ด้วยกันก็ไม่สาย” จะมาฝืนอยู่ด้วยกันทั้งที่สภาพร่างกายไม่ไหวแบบนี้ผมไม่ชอบ


“...อยากอยู่กับเรย์”


“คุณเป็นเด็กรึไงฮาเซล” ดูคำพูดกับน้ำเสียงนั่นสินึกว่าตัวเองเป็นเด็กอายุ 12 รึไง


“นี่เรย์”


“ไปพักซะ” ผมพูดย้ำ


“เรย์” ฮาเซลเริ่มใช้น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น


“ไปนอน”


“เรย์”


“...มีอะไรจะพูดก็พูดสิ” ฟังน้ำเสียงแบบนั้นมากๆ หัวใจมาเริ่มไม่ปกติ


“ขอหนุนตักหน่อย”


“ฮะ? เฮ้ย! เดี๋ยวฮาเซล” อีกฝ่ายไม่ยอมฟังแม้แต่คำตอบหลังพูดจบฮาเซลเอนตัวนอนลงกับโซฟาโดยใช้ตักผมแทนหมอนหนุน ทำเอาผมต้องจับชามใส่ชีสเค้กไว้ให้มั่นไม่ให้ตกลงไปบนพื้นพรมด้านล่าง


ถ้าจะนอนเลยจะขอเพื่อ?


“อย่าเกร็งสิเรย์” ฮาเซลพึมพำระหว่างหลับตาลง


“คุณพูดง่ายนี่ ถ้าจะนอนนี่เดี๋ยวผมหยิบหมอนให้ยกหัวขึ้นก่อน” บนโซฟาข้างๆ มีหมอนใบเล็กวางอยู่น่าจะหนุนได้ดีกว่าตักแข็งๆ นี่ ผมพยายามใช้มือยกหัวฮาเซลขึ้นเพื่อจะเอื้อมมือไปหยิบหมอนทว่ากลับถูกคนบนตักใช้แขนทั้งสองข้างรวบเอวแล้วซุกหน้าลงบริเวณหน้าท้องผมเพื่อไม่ให้สามารถขยับไปไหนได้ดั่งใจ


“อยู่เฉยๆ เรย์ ฉันจะนอนแล้ว”


“จะนอนก็นอนดีๆ สิ ตักผมมันไม่น่านอนหรอกฮาเซล” ตักผู้ชายมันจะนุ่มน่านอนได้ยังไงไม่มีทาง


“ใครบอก ตักเรย์น่านอนจะตาย...พออยู่แบบนี้แล้วได้กลิ่นเรย์ด้วย ฉันต้องฝันดีแน่ๆ” เสียงอู้อี้ดังขึ้นจากใบหน้าที่ซุกอยู่บริเวณหน้าท้องทำเอาทั้งร่างผมเกร็งขึ้น น้ำเสียงและคำพูดนั่นอาจธรรมดาทว่ามันกลับสร้างดาเมจรุนแรงให้ผมได้


โชคดีที่ฮาเซลหลับตาอยู่จึงไม่เห็นว่าตอนนี้ใบหน้าผมมันเห่อแดงขนาดไหน หัวใจเองก็เต้นเร็วซะเหลือเกิน หากยิ่งยื้อบทสนทนาคงมีแต่จะทำให้ผมเสียเปรียบดังนั้นผมจึงยอมอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้ฮาเซลหนุนตักผมนอนไปเรื่อยๆจนกว่าจะพอใจ เสียงลมหายใจในตอนแรกเริ่มเปลี่ยนไปเป็นสัญญาณว่าฮาเซลหลับเรียบร้อยแล้ว


ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์ก้มมองเส้นผมสีน้ำตาลพริ้วไหวตาแรงลมลับกับโครงหน้าเรียวคมได้รูปอย่างเผลอใผลไม่รู้ตัว ผ่านไปสักพักใหญ่ผมใช้มือข้างหนึ่งลูบเส้นผมนั้นเล่นอย่างแผ่วเบาไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว เพิ่งเคยได้เห็นใบหน้าตอนหลับที่ไร้การป้องกันตัวขนาดนี้เป็นครั้งแรก


แปลว่าเขาเชื่อใจผมขนาดนั้นเลยสินะ...เชื่อว่าผมจะไม่อาศัยช่องว่างนี้จัดการเขา


ช่วงนี้ศัตรูกลุ่มเล็กไม่กล้าเข้ามามีเรื่องเนื่องจากข่าวลือที่แพร่กระจายไปไกลว่าฮาเซล กอนซาเลสมียมทูตแห่งความตายคอยหนุนหลังอยู่ ก็ไม่รู้ว่าใครปล่อยข่าวแต่ผมค่อนข้างชอบ หากมียมทูตแห่งความตายนักฆ่าที่เก่งที่สุดคอยหนุนหลังอยู่ต่อให้เป็นผู้มีอำนาจในระดับเดียวกันยังต้องคิดให้รอบคอบก่อนจะเป็นศัตรูด้วยเลยแทบไม่ต้องพูดถึงพวกผู้มีอิทธิพลระดับล่างๆ


ถ้าฉายาผมช่วยให้ฮาเซลเหนื่อยน้อยลงผมก็ยินดี


นี่ผมคงหลงเขาเอามากเลยแฮะ


“ไม่เข้าใจเลย ทำไมกันนะฮาเซล” ทำไมคุณถึงทำให้ผมรู้สึกได้ขนาดนี้ ทุกเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันอาจมีทะเลาะ อาจมียุแหย่ อาจมีไม่เข้าใจ แต่ทุกอย่างนั้นกลับทำให้ความชอบที่มีเพิ่มมากขึ้น


ตอนนี้ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่ากำลังมีความสุข...มีมากอย่างที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยเจอเพราะแบบนั้นผมจึงจะยอม ยอมที่จะเป็นของฮาเซล


คืนนี้เขาต้องรุกแน่


ผมมาค้างถึงบ้านจะไม่ทำอะไรเลยก็ดูเป็นสุภาพบุรุษเกินไปแล้ว


ฮาเซลตื่นขึ้นมาในช่วงบ่ายแก่ๆ ก่อนจะพาผมเดินเล่นยังสวนด้านข้าง ลูกสุนัขสองตัววัน ทูเดินตามพวกเราต้อยๆ หลังออกมาจากตัวบ้านเหมือนทั้งสองตัวจะรู้ว่าห้ามเข้าในตัวบ้านจึงนอนอยู่ตรงบันไดใกล้ประตูหน้า พอเดินดูสวนเสร็จถึงช่วงเวลาอาหารเย็นพอดี มื้อเย็นนี้คุณเชจัดทำเต็มรูปแบบราวกับเป็นการฉลองใหญ่งานอะไรสักอย่าง อาหารบนโต๊ะมีมากเกิน 10 อย่างจนฮาเซลต้องเรียกทุกคนในบ้านให้มานั่งกินด้วยกัน


ผมอยู่บ้านนี้มาหลายเดือนฮาเซลถึงจะดูเหมือนเจ้านายที่ไม่ค่อยสนใจลูกน้องแต่ความจริงแล้วเขาแสดงความสนใจในรูปแบบของตัวเอง มีหลายครั้งที่ฮาเซลเรียกพวกลูกน้องหรือลูกจ้างให้มาร่วมโต๊ะโดยไม่รังเกียจเหมือนบ้านอื่น นี่อาจเป็นเหตุผลที่ไม่มีใครในนี้กล้าทรยศหรือหักหลังฮาเซล การจะจัดการฮาเซลมันจะง่ายมากหากซื้อตัวหนึ่งในคนสนิทได้ แต่กับความสัมพันธ์แบบนี้ผมว่าไม่มีทางที่จะมีใครถูกซื้อตัว


“เอาล่ะ นี่ก็ดึกแล้วไปนอนกันเถอะ ห้องเรย์อยู่ที่เดิมนะ” ฮาเซลบอกระหว่างเดินมายังบันไดกลางตัวบ้านหลังมื้ออาหาร


“จะให้ผมนอนห้องนั้น?” ผมถามกลับพร้อมคิ้วสองข้างเริ่มขมวดเข้าหากัน


“...ห้องอยู่ทางนั้น อ้อ ถ้าเล็กไปมีห้องข้างๆ ฉันที่ใหญ่อยู่” ฮาเซลเงียบไปสักพักถึงพูดต่อ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะพูดสักหน่อย


คิดว่าผมจำห้องตัวเองไม่ได้รึไงอยู่มาตั้ง 6 เดือน อีกอย่างห้องนั้นก็ใหญ่มากพอสำหรับอยู่คนเดียวแล้วผมจะขอห้องนอนใหญ่ขึ้นเพื่ออะไร


นี่เขาคิดจะให้ผมไปนอนทั้งที่ผมอุตส่าเดินตามมาถึงบันไดขึ้นชั้น 2 เนี่ยนะ!


กำลังแกล้งหรือคิดไม่ทันกันแน่ฮาเซล


ผมเปิดช่องว่างให้ขนาดนี้จะไม่ชวนเข้าห้องหน่อยรึไง!


คำพูดมากมายหลายสิบประโยคผมอยากตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายแต่ต้องเม้มปากแน่นไม่ให้เสียงเล็ดรอดออกไปเพราะหากพูดออกไปมันก็เหมือนมีเพียงผมที่อยากทำน่ะสิ เพราะแบบนั้นผมจึงได้แต่ข่มความอายเดินเข้าไปใกล้ฮาเซลก่อนจะทาบฝ่ามือบนแผ่นอกนั่นแล้วลูบเบาๆ โดยเงยหน้าขึ้นไปประสานสายตากับอีกฝ่ายแทนการสื่อสาร


จะเรียกว่าอ่อยก็ไม่ผิด จะยั่วก็ไม่เชิง


ถามตัวว่าอายไหม


ตอบเลยว่ามาก ขอเติมคำว่าที่สุดด้วย


ทำขนาดนี้หวังว่าจะเข้าใจนะฮาเซล


“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะเรย์ ฝันดี” คำพูดนั่นทำเอาร่างกายผมถึงกับชะงักค้างกลางอากาศ


ผมมองดูฮาเซลเดินขึ้นไปยังชั้นสองนิ่งๆ ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใดๆ จนกระทั่งเดินไปถึงห้องนอนของตัวเอง ทันทีที่ประตูปิดเครื่องปรับอากาศภายในห้องถูกเปิดจนเย็นเฉียบก่อนท่อนขาเรียวของผมจะฟาดลงบนเตียงเต็มแรงและตามด้วยหมัดหนักซ้ายขวาที่ต่อยรัวยังหมอนนุ่มจนบิดเบี้ยว



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


“ฮาเซล กอนซาเลส” ผมกัดฟันเรียกชื่อเจ้าของบ้านด้วยความหงุดหงิด


“คิดจะปั่นหัวผมเล่นรึไง!” ไม่เพียงแค่หมัดที่ชกไปทั่วแต่ยังมีการหยิบหมอนขึ้นมาฟาดลงกับเตียงหลายๆ รอบแทนการระบาย ทั้งหงุดหงิด ทั้งโกรธ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นไม่เท่าความเขินอายที่แทบปะทุออกมา


ตลอดมาเพียงแค่ผมชายตามองไม่ว่าจะชายหรือหญิงต่างไม่รอช้าที่จะสานสัมพันธ์จึงทำให้ผมสามารถจัดการเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย


แล้วนี่อะไร


จะบอกว่าใช้ไม่ได้ผลกับฮาเซลเหรอ


“ไม่ ไม่ใช่สิ” ผมว่าต้องได้ผลแต่มีบางอย่างฮาเซลถึงได้ไม่ทำอะไร


เหนื่อยเหรอ ไม่ใช่หรอกเพิ่งตื่นเมื่อช่วงบ่ายเอง


หรือไม่สบาย ท่าทางดูปกติทุกอย่างตัดข้อนี้ทิ้งไปได้เลย


ผมมันเป็นพวกขี้สงสัย เมื่อมีอะไรที่ไม่รู้ผมจะทำทุกทางเพื่อหามัน และในเมื่อเรื่องนี้มีประเด็นหลักคือฮาเซล ทางที่เร็วที่สุดคือไปถามจากเจ้าตัวโดยตรง แต่จะให้ไปเคาะประตูยามวิกาลผมก็ไม่กล้าเลยใช้วิธีอื่นที่ชินกว่าซึ่งก็คือการลอบเข้าไปทางระเบียงโดยการออกไปยืนยังขอบระเบียงห้องตัวเองแล้วใช้ลวดยึดระเบียงด้านบนปีนขึ้นไปอย่างเงียบเชียบไม่มีแม้แต่เสียงยามกระโดดลงไปบนพื้นระเบียง


โชคดีที่ไม่ได้ปิดม่านไว้ผมจึงเห็นภายในห้องไฟทุกดวงดับสนิท บนเตียงมีร่างฮาเซลนอนหลับหันข้างอยู่ ประตูระเบียงเป็นแบบกระจกเลื่อนซึ่งล๊อกไปจากด้านใน


“หึ คิดว่าแค่นี้จะหยุดผมได้เหรอ” ผมยกยิ้มพร้อมใช้ลวดเส้นเดิมไขแทนการใช้กุญแจ ทักษะการไขเปิดปิดประตูผมพอมีอยู่บ้างเนื่องจากหลายๆ ภารกิจจำเป็นต้องใช้ เพียงไม่นานประตูกระจกก็ถูกเลื่อนออก ผมก้าวเข้าไปด้านในและปิดประตูลงตามเดิม เดินไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ข้างเตียงมองฮาเซลที่หลับตาสนิท ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเตรียมใจก่อนจะก้าวขึ้นไปบนเตียงในจังหวะเดียวกับฮาเซลพลิกตัวหันมาทางนี้


ดวงตาสีม่วงอันปราศจากคอนแทคเลนส์ของผมมองไปยังใบหน้าหลับสนิทบนเตียง ร่างกายผมขยับเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว รู้อีกทีผมก็จูบแก้มอีกฝ่ายเบาๆ ไปหนึ่งที


พอแล้ว


วันนี้พอแค่นี้แหละ


เหมือนสมองและร่างกายไม่สามารถรับได้มากไปกว่านี้แล้วผมจึงได้หันหน้าไปยังประตูกระจกเตรียมกลับไปยังห้องและทำเป็นเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นทว่าก่อนลุกออกจากเตียงมือผมกลับถูกคว้าไว้ และเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้นแผ่นหลังผมแนบสนิทกับเตียงโดยมีชายที่น่าจะหลับสนิทขึ้นคร่อม


“คิดจะกลับคงไม่ง่ายเหมือนตอนเข้ามาหรอกนะเรย์” เสียงกระซิบพร้อมดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองที่เปล่งประกายจริงจังทำเอาขนทั้งร่างลุกชัน ในหัวพยายามประมวลสถานการณ์ด้วยสติที่ตอนนี้แทบจะไม่หลงเหลือ


“...นี่คุณรู้ว่าผมมา?” ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายตรงๆ


“ไม่รู้หรอก แค่คิดไว้ว่าถ้ามาฉันคงไม่สามารถปล่อยกลับไปได้” ฮาเซลตอบโดยยังสบตากับผมอยู่


“หมายความว่ายังไง”


“ฉันรู้ว่านายยังไม่พร้อม และฉันไม่อยากบังคับถึงได้อดทนไม่ลากเรย์มานอนด้วย แต่ท่าทางตั้งแต่เดินตามหลังมาจนถึงบันไดกับการใช้ฝ่ามือลูบอกมันทำเอาความอดที่มีค่อยๆ หมดลง ถ้าท่าทางเหล่านั้นคือยอมให้ฉันสัมผัสเรย์ก็น่าจะเป็นฝ่ายมาหาเองเพราะไม่ชอบให้อะไรค้างคา” คำอธิบายไขข้อสงสัยทุกอย่างได้เป็นอย่างดี


กะแล้วเชียว ไม่ใช่ว่าไม่ได้ผลแต่ฮาเซลกำลังอดทนและให้ผมเป็นฝ่ายมาหา


คิดแบบนี้เหมือนผมเดินวนอยู่บนฝ่ามือของฮาเซลไม่มีผิด


“คุณมันนิสัยแย่...อื้อออ~” ยังไม่ทันพูดจบริมฝีปากร้อนก็ประกบลงมาแนบชิดจนไม่เหลือที่ว่าง ผมขัดขืนเล็กน้อยก่อนจะยอมเปิดปากให้อีกฝ่ายรุกล้ำเข้ามา ฮาเซลไม่ปล่อยโอกาสที่ผมให้ตักตวงทุกย้ำทุกสัมผัสอย่างรุนแรงทว่ากลับแฝงไปด้วยความอ่อนโยน


ในขณะปากกำลังเชื่อมต่อกันฝ่ามือร้อนๆ ของฮาเซลเลิกเสื้อผมขึ้นลูบไล้หน้าท้องไปมาก่อนจะขยับมือสูงถึงไปถึงแผ่นอก หน้าอกถูกลูบไล้สลับกันทั้งสองข้างสร้างอารมณ์ที่มีให้ทะยานสูงขึ้น ผมทำได้เพียงหลับตาลงเพื่อรับทุกสัมผัส มือข้างหนึ่งเอื้อมไปขย้ำเสื้อฮาเซลแน่นส่วนอีกข้างกำผ้าปูที่นอนไว้ ความร้อนภายในร่างกำลังปะทุ จูบอันเร่าร้อนแฝงไปด้วยความรู้สึกดีจนแทบละลาย


ผ่านไปสักพักฮาเซลถอนจูบออกอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองทอประกายแม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดซึ่งมีเพียงแสงจันทร์รอดผ่าน ฝ่ามืออีกข้างของฮาเซลเอื้อมมาแตะใบหน้าผมพร้อมรอยยิ้มอันเปี่ยมด้วยความสุขขนาดฝ่ายอย่างผมมองยังเขิน


“ถ้าไม่ขัดขืนตอนนี้ฉันจะไม่ปล่อยจริงๆ นะเรย์” แม้เขาจะอยากต่อแทบตายแต่ก็ยังคิดถึงความรู้สึกผม


ฮาเซลเป็นแบบนี้เสมอ แม้จะดูเหมือนชอบแหย่ชอบแกล้งแต่กลับรู้ทุกอย่าง และอ่อนโยนกว่าใครๆ


“ต่อให้ผมขัดขืนก็อย่างปล่อยนะฮาเซล” ผมบอกเสียงเบาแล้วจูบลงบนฝ่ามือที่แนบอยู่ยังใบหน้าพร้อมเผยปลายลิ้นออกมาเลียฝ่ามือนั้นเบา


“อึก...ขนาดมองไม่ค่อยเห็นยังทำกันได้นะเรย์ ฉันขอเปิดไฟได้ไหม”


“ไม่ได้ ผมไม่ยอมให้หยุดตอนนี้หรอกนะ” นี่ก็ทั้งเขินทั้งอายตัวเองจะตายอยู่แล้วขืนให้เปิดไฟผมได้ละลายกลายเป็นไอแน่


“ยั่วได้ยั่วดี เตรียมตัวรับผลที่ตามมาได้เลย”


“จะรอดู อ๊ะ! อื้ออ~” แรงขบเม้มบริเวณลำคอเรียกเสียงครางจากผม แผ่นออกเปลือยเปล่าปราศจากเสื้อที่ไม่รู้ว่าถูกถอดออกไปตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวฮาเซลก็ขบเม้มไล่ลงมาจนถึงหน้าอกข้างหนึ่งถูกดูดดึง อีกข้างถูกลูบไล้ด้วยฝ่ามือร้อนเป็นสัมผัสที่พานให้สติดับวูบ ในหัวขาวโพลนไปหมด


ความรู้สึกแปลกๆ คล้ายจะรู้สึกดีแล่นเข้ามาและทวีความรุนแรงขึ้น เสียงครางดังอย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่ปลายลิ้นและฝ่ามือของฮาเซลเคลื่อนไหว


“อื้อ! อ๊ะ...ฮาเซล” ผมเรียกเสียงแผ่วพยายามดันหัวอีกฝ่ายให้ออกไป ส่วนกลางลำตัวกำลังร้อนและตื่นตัวมากขึ้นโดยไร้การแตะต้อง ปล่อยไว้แบบนี้อีกไม่นานผมคงถึงจุดหมาย


เจ้าของชื่อนอกจากไม่ยอมผละออกหรือผ่อนแรงแล้วยังรุกดุดันมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า เพียงริมฝีปาก ปลายลิ้นและฝ่ามือที่สัมผัสบริเวณแผ่นอกนั้นมากพอทำให้ความสุขสมถูกปลดปล่อยออกมาอย่างง่ายดาย


“อื้ออ~! อ๊า! ไม่” ทันทีที่ปลดปล่อยฮาเซลไม่รอช้าปลดกางเกงผมลงพร้อมปลดซิปกางเกงตัวเอง ความร้อนรุ่มถูกปลุกเร้าขึ้นมาอีกครั้งเพียงแค่ฮาเซลทาบทันร่างกายลงมาจนส่วนร้อนผ่าวแตะกันแนบชิด


“แค่ได้ยินเสียงก็แทบไม่ไหวแล้ว นี่ใช้เวทมนต์อะไรถึงทำให้ฉันคลั่งได้ขนาดนี้ฮืมเรย์” ฮาเซลจูบแก้มผมหนักๆ ก่อนเปลี่อนท่าให้ผมคว่ำหน้าลงกับเตียงโดยยกสะโพกขึ้น


เป็นท่าทางที่ทำให้เจ็บน้อยที่สุด


ผมรู้และคิดว่าฮาเซลคงรู้เช่นกันถึงเลือกท่านี้


น่าอายที่สุด!


“อ๊า! ฮาเซล ช้าหน่อย อื้อ! เจ็บ” ทั้งร่างสะดุ้งเฮือกเมื่อช่องทางด้านหลังถูกรุกรานด้วยปลายนิ้วเปียกชื้นจากโลชั่นหรืออะไรสักอย่าง เพียงเริ่มแรกความเจ็บเสียดก็มากเกินกว่าจะรับรู้ถึงความรู้สึกอื่น


“ขอโทษ นายทำฉันทนไม่ไหวนี่ จะช้าลงให้” เสียงกระซิบดังขึ้นก่อนการเคลื่อนไหวจะลดลงจนผมสามารถผ่อนลมหายหายออกมาได้


“อ๊ะ อื้อออ~!” เพียงไม่นานความเจ็บเสียดหายไปและแทนที่ด้วยความกระสันที่มากกว่าเดิมหลายเท่า สะโพกยกขึ้นและเริ่มส่ายอย่างไม่รู้ตัวเมื่อความรู้สึกดีแล่นเข้ามา


“อย่ายั่วเรย์ จะฆ่ากันทางอ้อมหรอคุณนักฆ่า” ฮาเซลลูบสะโพกผมและบิดเบาๆ เพื่อให้ผมหยุด


“อ๊า! อย่าแกล้ง ผมไม่ อื้อ! ไม่ไหว”


“ฉันก็ไม่ไหวเหมือนกัน เป็นของฉันนะเรย์” ร่างกายกำยำสมส่วนของฮาเซลขยับมาทาบทับพร้อมส่วนตอนที่ตื่นตัวจนเต็มที่ค่อยๆ ล่วงล้ำเข้ามาด้านใน


“เจ็บ อึก!” ผมก้มหน้าลงกับหมอนก่อนจะขยับสะโพกหนีทว่าฮาเซลกลับไม่ยอม เขาจับสะโพกผมไว้แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาโดยก้มลงจบแผ่นหลังแล้วขบเม้มเพื่อให้ผมหันไปสนใจบริเวณอื่น


“ทนหน่อย อย่าเกร็งฉันไม่อยากให้นายเจ็บมาก” น้ำเสียงห่วงใยนั่นทำให้ผมกลั้นใจผ่อนคลายและปล่อยให้การลุกล้ำนั้นเป็นไปด้วยดี


“ไม่จำเป็นต้องห่วงขนาดนั้น ผมเป็นผู้ชายนะ อื้มม~” ไม่นานการเคลื่อนไหวก็หยุดลง ผมสัมผัสได้ถึงตัวตนของฮาเซลอย่างชัดเจน ทั้งที่อายแต่กลับแฝงไปด้วยความสุข


“จะเป็นหญิงหรือชายฉันไม่สนหรอก ขอแค่เป็นเรย์ไม่ว่าเพศไหนฉันจะอ่อนโยนและดูแลอย่างดี ไม่นับที่นายยั่วนะ”


“ผมไม่ได้ยั่ว อ๊ะ!” ผมร้องเสียงหลงทันทีที่การเคลื่อนไหวเริ่มขึ้น อาจเพราะเริ่มชินจึงไม่รู้สึกเจ็บมากเหมือนตอนเข้ามาแรกๆ ไม่นานความคิดนั้นก็ละลายหายไปไม่เพียงไม่เจ็บแต่ความรู้สึกดีแล่นเข้ามาจนร่างกายไม่รับรู้ถึงอย่างอื่นนอกจากสัมผัสของฮาเซล


แรงขยับสะโพกเริ่มเร็วและเร็วขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งได้ยินเสียงผมครางฮาเซลยิ่งเพิ่มแรงกระแทกเข้าไปอีก ใบหน้าผมเชิดขึ้นทุกครั้งที่ถูกรุกลานอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายสั่นระริกแทบพยุงตัวไม่อยู่


“อ๊า! ฮาเซล อึก ไม่ไหวแล้ว อ๊ะ! อื้ออ~!” ความต้องการจะปลดปล่อยแล่นเข้ามา ผมอยากสัมผัสส่วนกลางตื่นตัวของตนเองทว่าด้วยท่านี้ผมไม่มีแรงมากพอจะพยุ่งร่างตัวเองด้วยมือเดียวได้ ฮาเซลยังคงขยับรุนแรงขณะแผ่นหลังผมถูกขบเม้มหลายต่อหลายรอบหากจบเรื่องคงมีรอยเต็มหลังแน่


“ปล่อยออกมา อ่า อยากเห็นหน้าเรย์ชะมัด” ฝ่ามือร้อนๆ เอื้อมมาสัมผัสส่วนร้อนกลางลำตัวพร้อมขยับเคลื่อนไหวเป็นจังหวะเดียวกันกับแรงขยับสะโพก แม้จะรุนแรงทว่าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน


นี่แหละฮาเซล


“ฮาเซล อ๊ะ! ฮาเซล...ผมก็ อึก อยากเห็นหน้า อื้อ!” ผมครางแล้วพยายามหันหน้าไปมองฮาเซล เพียงพริบตาหลังจบคำพูดร่างผมถูกจับพลิกให้หันหน้าเข้ากัน ในทุกจังหวะการขยับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองประสานกับดวงตาสีม่วงของผมอยู่ตลอด
ใบหน้าของฮาเซลกำลังรู้สึกดี


“อึก ทำหน้าเซ็กซี่ไปแล้ว”


“อ๊าาา~!” แรงขยับที่มากขึ้นทำให้ผมคว้าคออีกฝ่ายมาก่อนไว้แน่น ไม่นานอารมณ์และความสุขสมก็ถูกปลดปล่อยออกมาในที่สุด มือทั้งสองข้างของผมยังคงกอดคอฮาเซลแน่นและซุกใบหน้าลงหอบหายใจแรง เช่นเดียวกับฮาเซค่อยๆ ถอนตัวออกไปแล้วเอนตัวลงนอนโดยกอดผมไว้หลวมๆ


“อยากทำอีกรอบ” เสียงกระซิบนั่นทำให้ผมมีแรงดิ้นขัดขืนแทนจะทันที


“...ปล่อยเลย ผมไม่ไหวแล้ว” ให้ทำอีกรอบผมไม่ไหวแน่ๆ สลบคาเตียงพอดี


“ฉันแค่อยากไม่ทำหรอก รู้ว่าเรย์ไม่ไหว นอนเถอะ” อ้อมกอดฮาเซลรัดแน่นขึ้นกันผมดิ้นหลุด


“ผมจะกลับไปนอนห้อง” จะให้นอนตรงนี้กลัวหัวใจมันจะหลุดออกมาซะก่อน


“ไม่ให้กลับ บอกแล้วไงว่าถ้าเข้ามาแล้วออกยาก”


“...คุณนี่ เป็นแบบนี้ซะเรื่อย”


“แล้วรักไหมล่ะ” ฮาเซลกระซิบถาม


“ถ้าไม่รักจะยอมขนาดนี้เหรอ” ถ้าเป็นคนอื่นผมถีบกระเด็นตกเตียงไปแล้ว


ฮาเซลเป็นคนแรกที่ทำให้ผมยอมได้ขนาดนี้


“ฉันก็รักนาย รักเรย์ รักมากๆ เลย”


“ฮาเซล...”


“ฉันยังแปลกใจเลยที่ตัวเองรักใครได้มากแบบนี้ ตอนแรกเพียงแค่สนใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ไม่อาจละสายตาไปได้ ดวงตาสีม่วงตรึงไม่ให้ฉันไปไหน รอยยิ้มมุมปากเปี่ยมเสน่ห์ทำให้หลงใหลจนไม่เป็นอันทำอะไร ทุกอย่างของเรย์ทำให้ฉันหลงรักอย่างหมดหัวใจ” ทุกถ้อยคำผมตั้งใจฟังและรับรู้ได้ว่ามันคือความจริงที่มาจากความรู้สึกของฮาเซล


ความรู้สึกของเขาที่มีต่อผม


“ผมเองก็เหมือนกัน ทั้งที่คุณชอบมาแกล้ง ชอบมาแหย่ ชอบทำให้หงุดหงิดและโมโหแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มกลับมามีชีวิต เริ่มสนุกไปกับทุกอย่างรอบตัวโดยมีคุณเป็นศูนย์กลาง มีเพียงคุณเท่านั้นที่ทำให้ผมหวั่นไหวและหัวใจเต้นแรง ทุกอย่างนี้คงเป็นเพราะรักใช่ไหม” ผมไม่เคยรักจึงไม่รู้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นนคืออะไร


“นั่นคือรักเรย์ พวกเราต่างรู้สึกเหมือนกัน”


“แล้วต่อไปมันจะยังเหมือนเดิมไหม” มันอาจเป็นคำถามที่ยากแต่ผมอยากรู้


อยากขอความมั่นใจให้กับความรู้สึกที่เรียกว่ารักนี้


“ทุกอย่างเราต้องเสี่ยงที่จะเดินต่อถึงจะรู้ว่าต่อจะเป็นยังไง แต่ฉันไม่คิดว่ามันเหมือนเดิม เพราะตอนนี้ฉันรักเรย์มากกว่าเดิมซะอีก” หัวใจผมเริ่มเต้นแรงกับคำพูดนี่


นั่นสินะ ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ว่าจะเรื่องไหนต่างต้องเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น


ความรักเองก็คงเหมือนกัน


ต้องเสี่ยงเพื่อจะได้รับรู้


ต้องเสี่ยงที่จะยอมรับ


ต้องเสี่ยงหากคิดจะเดินหน้าต่อ


ต่อให้วันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร...


ถึงต้องเสี่ยงสักแค่ไหนแต่หากตรงหน้าผมมีชายชื่อฮาเซล กอนซาเลสผมก็พร้อมที่จะเสี่ยง...ยอมเสี่ยงเพื่อให้ได้อยู่เขียงข้างและได้หัวใจของเขามาครอบครอง


“ผมก็รักคุณฮาเซล”

.................................จบบริบูรณ์..................................

จบแล้วค่าาา

รู้สึกดีใจและเสียใจไปพร้อมๆ กันหลังจากแต่งเรื่องนี้จบ

ดีใจที่ได้เห็นทั้งคู่ครองรักกันและเสียใจที่ไม่ได้แต่งให้ฮาเซลโดนเรย์ซ้อมแล้ว 555

ขอบคุณนักอ่านทุกๆ คนนะคะที่คอยติดตามกันมาตั้งแต่เริ่มเรื่องจนจบเรื่อง

หลายเดือนที่ผ่านมาสนุกมากๆ กับการได้แต่งเรื่องของเรย์และฮาเซล

ถึงเรื่องนี้จะจบลงแต่งเรายังคงแต่งนิยายต่อ

ฝากผลงานเรื่องอื่นๆ ของเราด้วยนะคะ

เรื่องนี้จะมีรวมเล่มในอีกไม่ช้าค่ะ

สามารถติดตามข่าวได้ทางเพจของเรา nicedog  นะคะ
 
ขอบคุณมากๆ ค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เรียบร้อยโรงเรียนฮาเซล อิอิ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ขอบคุณค่ะ เป็นอีกเรื่องที่น่ารักมาก

ออฟไลน์ blugar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุกมากก ช่วงนี้กำลังอยากอ่านแนวนายเอกเป็นนักฆ่าพอดีเลย ;__;

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
สมหวัวแล้วนะฮาเซล ต่อไปนี่ก็จะมีเรย์มาอยู้ข้างกานแล้ว

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ เรื่องนี้ค่ะ

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ minicabbage

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ ชอบตอนฮาเซลอยู่กับเรย์มากกก :3123:

ออฟไลน์ kaokorn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 903
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
ขอบคุณฮะ สนุกสนาน เนื้อเรื่องแปลกดี
อิจฉาคู่นี้เบาๆ 5555+
รอติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปนะฮะ
  :L2::pig4:

ออฟไลน์ HappyYaoi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมาก ๆ ค่ะ จะรออุดหนุนผลงานนะคะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
สนุกมากกก เป็นนายเอกที่แกร่งของจริงค่ะ เท่มากๆเลยนานๆจะเจอแบบนี้ ขอบคุณมากนะคะ สนุกมากเลน  :hao5:

ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
 :-[ อยากมีเรย์เป็นของตัวเองงงงง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด