✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่9
“อรุณสวัสดิ์เรย์!” เสียงตะโกนทักทายดังขึ้นจากชั้น 2 ของคฤหาสน์หลังใหญ่ทำเอาคนถูกเรียกอย่างผมหันควับไปมองด้วยความไม่พอใจเนื่องจากเสียงตะโกนนั่นทำให้สมาธิในการเตรียมเคลื่อนไหวร่างกายหายไป
ช่วงเช้าถ้ามีเวลาผมมักจะมาออกกำลังกายชื่นชมเหล่านกที่ส่งเสียงร้องตอนรับเช้าวันใหม่ด้วยอารมณ์สุนทรีทว่าไม่กี่วันก่อนหลังจากหมดสติไปรู้สึกตัวอีกทีก็พบกับเจ้าของบ้านหรือเจ้านายอย่างฮาเซล กอนซาเลสนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ บอกตามตรงคือไม่มีความทรงจำตลอดสองวันที่หมดสติไปเลยสักนิด
พอถามฮาเซลคำตอบที่ได้นั่นทำเอาแทบจะหยุดหมัดตัวเองไม่ให้พุ่งใส่หน้าอีกฝ่ายไว้ไม่อยู่
‘เรย์สารภาพรักกับฉันด้วย’
สารภาพรักบ้าบออะไรเล่า!
ไม่มีทาง!
แล้วยังมารู้จากแซมทีหลังอีกว่าฮาเซลยอมไม่เข้าประชุมลับเพียงเพราะต้องการดูแลผม ถึงจะใช้วิดีโอคอลแทนก็ไม่ช่วยให้ความหงุดหงิดนี้ลดลง
ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องลงทุนขนาดนี้
ผมป่วยแล้วไง
ปล่อยเอาไว้เฉยๆ เดี๋ยวก็หายเอง ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อยที่ป่วย
เพราะความหงุดหงิดนั่นผมเลยจัดการเดินเข้าไปบ่นฮาเซลทว่านอกจากจะไม่สะทกสะท้านแล้วยังยิ้มอยู่ตลอดการสนทนา
ขอพูดเลยนะ...หงุดหงิดกว่าเดิมอีกหลายสิบเท่า!
“เรย์ ได้ยินรึเปล่า!” ฮาเซลตะโกนอีกรอบ
“จะตะโกนทักทายคนข้างบ้านรึไง” ผมสวนกลับ
“เห็นไม่ตอบนึกว่าไม่ได้ยิน”
“ดังขนาดนั้นไม่ได้ยินก็แปลกละ”
“เพิ่งหายป่วยอย่าหักโหมสิ”
“แค่ออกกำลังกายนิดหน่อยหักโหมตรงไหน” การออกกำลังกายไม่เพียงช่วยขัดเกลาการเคลื่อนไหวให้ดีขึ้นแต่ยังเป็นการระบายอารมณ์ไปในตัวด้วย ลองนึกภาพว่าตรงหน้ามีฮาเซลยืนยิ้มอยู่สิพลังในการเตะทวีความรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่า
“ออกมาจะ 45 นาทีแล้ว พักบ้างเถอะ”
“นี่คุณมองอยู่?” ไม่ใช่ว่าเพิ่งออกมาตอนส่งเสียงทักเมื่อครู่หรอกเหรอ
“ใช่ ตั้งแต่เรย์ลุกจากเตียงแล้ว”
“หึ ผมเช็คแล้วว่าในห้องไม่มีกล้อง” ผมกอดอกเงยหน้ามองฮาเซลตรงๆ การสำรวจห้องพักเป็นเรื่องแรกที่ต้องทำเพราะผมต้องรักษาความปลอดภัยของตัวเองให้มากที่สุด
“เช็กเมื่อไหร่ ฉันเพิ่งเอาไปติดตอนนายป่วย”
“ว่าไงนะ” คิ้วทั้งสองข้างของผมขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยิน
“ล้อเล่นน่า”
“ฮาเซล กอนซาเลส” คิดจะหาเรื่องกันเริ่มต้นเช้าวันใหม่เลยสินะ
“นี่เรย์”
“ผมไม่ว่างคุยแล้ว ขอตัว” อยู่ต่อไปนอกจากจะไม่ได้ออกกำลังแล้วยังจะพลอยทำให้อารมณ์ขึ้นอีก กลับไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปทำงานดีกว่า
“ฉันอยากเห็นตาสีม่วงของนายอีก”
กึก!
ขาที่ก้าวถึงกับหยุดชะงัก อาการเกร็งแผ่ซ่านมาทั่วร่างก่อนผมจะหันไปสบตากับฮาเซลตรงๆ อีกรอบ ความลับที่ผมไม่เคยบอกใครทำไมฮาเซลถึงได้รู้ได้
ดวงตาจริงๆ ของผมคือสีม่วง ซึ่งผมไม่ชอบด้วยเหตุผลง่ายๆ คือมันเด่น
คิดดูว่าอาชีพผมจำเป็นต้องทำตัวกลืนกับทุกสิ่งรอบตัว ต้องไม่เป็นจุดเด่นและไม่เป็นจุดด้อยซึ่งถ้ามีคนเห็นดวงตาสีม่วงคงจะกลายเป็นจุดเด่นให้คนจดจำขึ้นมาทันที นั่นจึงเห็นสาเหตุที่ผมไม่เคยให้ใครได้เห็นหรือล่วงรู้ถึงสีตาจริงๆ ของตัวเอง แต่ตอนนี้กลับมีคนนึงที่รู้
ก็ว่าแปลกตั้งแต่ตื่นมาแล้วไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์
เห็นไม่มีใครพูดถึงก็นึกว่าตัวผมเป็นคนถอดเอง
“คุณเป็นถอด?”
“หมายถึงเสื้อผ้าหรือคอนแทคเลนส์ล่ะ” ผมถึงกับคิ้วกระตุกผิดกับอีกฝ่ายที่ส่งยิ้มมาให้ ฮาเซลไม่ใช่คนยิ้มกว้างแบบนี้บ่อยแต่ต้องบอกเลยว่าใบหน้าตอนยิ้มกว้างกวนบาทากว่าตอนยิ้มปกติถึง 1,000 เท่า
“ทั้งสองอย่าง!” จะบอกว่าเสื้อผ้าผมฮาเซลเป็นคนเปลี่ยนให้เหรอ
อยากหัวเราะดังๆ
ผู้ทรงอิทธิพลอันดับต้นๆ จะมานั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนธรรมดารึไง คงให้แซมไม่ก็คุณหลุยส์เปลี่ยนให้นั่นแหละ ที่พูดถึงเรื่องนี้คงแค่อยากแกล้งผม
“อืม ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าและถอดคอนแทคเลนส์ให้เอง”
“...โกหก”
“จะโกหกทำไม ฉันเป็นคนถอดเสื้อผ้าของเรย์ออกจนร่างกายเปลือยเปล่าเผยให้เห็นผิวสีขาวดูมีน้ำมีนวลและกล้ามเนื้อพองาม...”
“หยุดพูดนะ!” ผมรีบตะโกนขัด
“ส่วนคอนแทคเลนส์ตอนนอนอยู่เรย์ละเมอออกมาว่าฮาเซลผมเจ็บจังเลย ช่วยผมที ฉันเลยช่วยถอดคอนแทคเลนส์ออกให้ แต่ใครจะคิดละว่าภายใต้คอนแทคเลนส์จะมีดวงตาสีม่วง...”
“ฮาเซล!”
เกลียด
ผมเกลียดเขาจริงๆ เลย
ทั้งชอบแกล้ง ชอบแหย่
จะปั่นหัวผมให้แหลกเลยรึไงกัน!
“ฉันดีใจนะที่ได้เห็นสีตาของนายเป็นคนแรก” อยู่น้ำเสียงกวนๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ดวงตาสีน้ำตาลจนเกือบทองจับจ้องมาพร้อมรอยยิ้มอันหล่อเหลาพานทำให้ใจเต้นแรงถ้าเป็นเป็นผู้หญิงล่ะก็นะ
“คุณรู้ได้ไงว่าเป็นคนแรก” ดูจะมั่นใจซะเหลือเกินนะ
“เซ้นส์มันบอก”
“ผมเกลียดเซ้นส์คุณ” ยิ่งกว่าเกลียดเจ้าตัวก็เป็นเซ้นส์นี่แหละ
จะแม่นเกินไปแล้ว
การถกเถียงยามเช้าผ่านพ้นไปจนถึงมื้อเช้าที่ผมมายืนรวมตัวอยู่ในห้องอาหารโดยมีฮาเซลนั่งอยู่หัวโต๊ะและมีมากส์ แซมและบอดี้การ์ดคนอื่นๆ ยืนกระจายอยู่ไม่ไกล
ทำไมถึงเรียกมารวมกันที่นี่นะ
ปกติจะเรียกไปประชุมอีกที่หนึ่งไม่ใช่ห้องอาหารแบบวันนี้
“เชิญรับเครื่องดื่มคนละแก้วครับ” น้ำเสียงทุ้มต่ำออกแนวสูงอายุเรียกความสนใจจากคนทั้งห้องให้หันไปมอง คนที่เดินออกมาพร้อมกับสาวใช้ 5 คนคือคุณเชเชฟประจำคฤหาสน์หลังนี้ มื้อเช้าหลังจากทำให้ฮาเซลแล้วก็ทำเผื่อของเหล่าบอดี้การ์ดต่อ เหมือนจะเคยบอกไปแล้วว่ารสชาติฝีมือคุณเชนั้นสุดยอดเพียงแต่เขาไม่ทำของหวานเนื่องจากเจ้าของบ้านไม่ชอบกิน
“มีอะไรรึเปล่าเช” ฮาเซลถามพลางมองแก้วที่คุณเชเดินมาเสิร์ฟด้วยตัวเอง สาวใช้ทั้ง 5 คนต่างเดินถือถาดให้ทุกคนต่างหยิบแก้วที่ด้านในมีของเหลวสีน้ำเข้มอยู่
กลิ่นนี่มัน...
“ช็อกโกแลต...” ผมพึมพำเมื่อหยิบแก้วหนึ่งขึ้นมา เป็นกลิ่นอันคุ้นเคยเพราะในของหวานมีหลายชนิดเลยที่มีส่วนผสมของช็อกโกแลต แต่จากกลิ่นนี่ไม่ใช่ช็อกโกแลตระดับธรรมดา
“ลองดื่มเลยครับท่านฮาเซล” คุณเชยิ้มพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม
“...กาแฟรสชาติไม่เหมือนทุกทีนะ รสนี่...ช็อกโกแลต?” ฮาเซลเหมือนไม่แน่ใจกับคำตอบตัวเองนัก ดูเหมือนแก้วของาเซลจะไม่ใช่ช็อกโกแลตเพียงอย่างเดียวเหมือนอย่างแก้วอื่นๆ
ก็แน่ล่ะ ถ้าขืนเอาช็อกโกแลตเพียวๆ มาให้เขาคงไม่กินหรอก
ไม่ชอบของหวานซะขนาดนั้น
“ใช่ครับ วันนี้ถือเป็นวันพิเศษผมเลยขอมอบช็อกโกแลตให้กับทุกคน สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ” คำพูดของคุณเชทำเอาทั้งห้องเงียบกริบไม่เว้นแม้แต่ผม
จะว่าไปวันนี้วันที่ 14 กุภาพันธ์
อ่า...วันเทศกาลระดับโลกนี่นา
วันแห่งความรัก
ลืมสนิทเลย
ถึงว่าอยู่เมื่อวานเห็นขายดอกกุหลาบกันเต็มแนวถนน
“วันนี้แล้วเหรอ” ใบหน้าของฮาเซลดูไม่ยินดีกับวันนี้สักเท่าไหร่
พอจะเข้าใจหน้าตาแบบนั้นคงมีสาวๆ มอบช็อกโกแลตแทนใจให้นับร้อยแต่เจ้าตัวกลับไม่ชอบของหวานเข้าไส้ เรียกว่าเป็นเทศกาลแห่งความทรมานสำหรับคนไม่ชอบของหวาน
“บอสไม่ต้องห่วง ผมกับมากส์บอกพนักงานแล้วว่าห้ามให้ช็อกโกแลตบอส แต่ให้พวกผมได้” แซมเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริง แปลว่าเตรียมตัวช็อกโกแลตจากสาวพร้อมแล้วสินะ
สำหรับวันแห่งความรักไม่ได้พิเศษอะไร อ้อ จะว่าไม่พิเศษก็ไม่ใช่ มีพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือร้านของหวานจะมีเมนูพิเศษเฉพาะช่วงเทศกาล
คิดแล้วอยากไปเหมือนกันแฮะ ช่วงพักหาเวลาออกไปหาซื้อดีกว่า
“ขอบคุณเช” ฮาเซลส่งยิ้มให้กับเจ้าของเซอร์ไพรสน์เล็กๆ
“ยินดีครับ ถึงท่านจะไม่ชอบของหวานแต่หากผสมเล็กน้อยกับกาแฟก็จะให้รสชาติกลอมกล่อมขึ้นมาก”
“พูดถูก ฉันดื่มได้ทั้งที่รู้ว่ามีช็อกโกแลตอยู่” ฮาเซลย้ำด้วยการยกแก้วขึ้นมาจิบอีกรอบ
ถ้าใส่น้ำตาลอีกหน่อยผลคงไม่เป็นแบบนี้แน่ ผมว่าคุณเชคงรู้ว่าฮาเซลไม่ชอบรสหวานเลยใช้กาแฟเป็นตัวหลัก หากเป็นผมคงไม่ต้องทำขนาดนั้นเพราะชื่นชอบของหวานอยู่แล้ว อย่างช็อกโกแลตในมือนี้ก็รสชาติดีไม่หวานมากเกินไป
อยากกินอีกสักแก้ว...จะได้ไหมนะ
“คุณเทเลอร์รสชาติถูกปากไหมครับ” คุณเชส่งเสียงถาม
“อร่อยมากเลยครับ ผมยังอยากเติมอีกสักถ้วยเลย ขอบคุณมากนะครับ” ผมเดินเข้าไปขอบคุณตามมารยาทเผื่อว่าจะได้อีกสักแก้ว
“เติมได้เลยครับเดี๋ยวให้จีไปเติมให้” พูดจบก็กวักมือเรียกหนึ่งในสาวใช้ให้มารับแก้วจากผมไป
“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยขอบคุณโดยพยายามกลั้นยิ้มไว้อย่างสุดความสามารถ
อารมณ์ดีสุดเลย
ได้กินของหวานตั้งแต่เช้าแบบนี้
“เรย์ชอบช็อกโกแลต?” ฮาเซลเงยหน้าขึ้นมาถาม
“เปล่านี่” ชอบทุกอย่างที่เป็นขนมต่างหาก
“เล่นกระดกครั้งเดียวหมดแบบนั้นอย่าโกหกเลย”
“ใครกระดกครั้งเดียวหมดกัน” ผมไม่ได้ทำอะไรเสียมารยาทแบบนั้นนะ อย่างน้อยก็สองครั้งหมดเหอะ
“เรย์ไง”
“แหย่ผมนี่สนุกมากไหม” ถึงไม่ต้องตอบผมก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว เล่นทำหน้ามีความสุขซะเต็มประดาขนาดนั้น
“มาก นี่เรย์ถึงฉันจะไม่รับช็อกโกแลตจากใครแต่ถ้าเรย์ให้ฉันจะรับนะ” พูดจบก็ยักคิ้วข้างหนึ่งส่งมาให้
“งั้นต้องขอโทษที่ทำให้เสียใจเพราะผมไม่คิดจะให้คุณ”
“พูดแบบนั้นหมายความว่ามีคนที่จะให้?” ฮาเซลยิงคำถามต่อ
“ไม่รู้สิ” ผมไม่ตอบแล้วเดินไปรับแก้วช็อกโกแลตมาจิบต่อ
“เรย์” ใบหน้าสงสัยปนไม่เข้าใจนั่นทำให้ผมยกยิ้มขึ้น
“ผมเคยบอกแล้วนะว่าถึงเป็นเจ้านายผมก็ไม่บอกทุกอย่างน่ะ”
บรรยากาศภายในบริษัทต่างจากวันอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัดไม่ว่าจะเป็นหน้าตาของพนักงานที่ดูสดชื่นร่าเริงขึ้นหรือแม้แต่เสื้อผ้าก็ใส่ชุดมีสีสันสดใส วัยทำงานเองดูเหมือนจะชื่นชอบเทศกาลอยู่ไม่น้อยสินะ ว่าไม่ได้หรอกวันวาเลนไทน์ทั้งทีผู้ชายก็อยากได้ช็อกโกแลตส่วนผู้หญิงก็อยากสารภาพรักและให้ช็อกโกแลตกับคนที่ชอบ
งานของผมวันนี้เหมือนทุกๆ วันคือดูแลฮาเซลผลัดกับออกมาพักบ้าง ช่วงกลางวันผมลงมากินมื้อเที่ยงตามปกติทว่ามีบางอย่างไม่ปกติ อาจเพราะอาชีพผมเลยทำให้สัมผัสถึงบางอย่างได้ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดคุยหรือสายตาที่จับจ้องมายังผม
“เอ่อ ขอเวลาสักครู่ได้ไหมคะ” ผมหันกลับไปมองหญิงสาวในชุดเดรสด้วยท่าทีสบายๆ ไม่ได้ตกใจกับการเรียกเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าเข้าใกล้ก่อนหน้านี้แล้ว
“มีอะไรครับ” ผมถามกลับเสียงสุภาพพลางมองสไตล์การแต่งหน้าโทนสีนู้ดอย่างพินิจ ครั้งหน้าถ้าปลอมเป็นผู้หญิงผมแต่งแบบนี้ดีกว่า
ไม่จัดจ้านหรืออ่อนจนเกินไป
กำลังดี
ทักษะการแต่งหน้าไม่ได้มากจากข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตอย่างเดียวแต่ต้องหาข้อมูลจริงซึ่งก็คือจากสาวๆ นี่แหละ
“อยากให้ช่วยรับนี่ไว้ได้ไหมคะ” พูดจบเธอก็ยืนกล่องรูปหัวใจสีชมพูอ่อนมาตรงหน้า
“...ให้ผม?” ที่ถามเพราะไม่แน่ใจเท่าไหร่ ไม่แน่ว่าอาจต้องการฝากผมไปให้ใครสักคน
“ใช่ค่ะ ให้คุณ” เธอพยักหน้าด้วยใบหน้าแดงๆ
ครั้งแรกเลยนะที่ได้รับช็อกโกแลต อาจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเปิดเผยตัวเข้ามาอยู่ร่วมกับสังคมปกติก็ได้ ปกติผมจะอยู่แค่กับตัวเองไม่ได้สนใจจะเข้ากลุ่มหรือสังคมเลยไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้
“ผมตอบรับความรู้สึกคุณไม่ได้หรอกนะ” ไม่อยากให้ความหวังใครผมจึงพูดไปตามตรง
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่อยากให้คุณรับรู้เท่านั้น”
“ถ้าแค่รับก็โอเค” ผมพูดพร้อมรับกล่องรูปหัวใจสีชมพูมา
ผมไม่ปฏิเสธของหวานหรอกนะ
แบบนี้ก็มีขนมกินเล่นแล้ว
“ขอบคุณมากค่ะ” เธอก้มหัวอยู่สองสามครั้งก่อนจะหันหลังวิ่งออกไป
ผมคิดว่าทุกอย่างคงจบแต่ไม่ใช่พอมีคนแรกวิ่งออกไปสาวๆ อีกหลายคนต่างก็ลุกขึ้นก่อนจะตรงมาหาผมพร้อมกล่องหรือถุงกระดาษในมือ ไม่เพียงผู้หญิงที่ล้อมรอบในจำนวนนี้ยังมีผู้ชายอยู่หลายคนด้วย
“รับช็อกโกแลตของฉันด้วยค่ะ”
“ฉันหลงรักคุณตั้งแต่แรกเห็นช่วยรับความรู้สึกนี้ไว้ด้วยค่ะ”
“ผมรู้สึกสนใจคุณมาก ช่วยรับช็อกโกแลตนะครับ”
“ผมเห็นคุณอยู่นานแล้วอยากทำความรู้จัก...”
ผมได้แต่ยืนนิ่งๆ อยู่กลางวงล้อมเพราะไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์นี้ยังไง บอกแล้วว่าผมไม่เก่งการเผชิญหน้าตรงๆ ไม่รู้จะหนียังไงด้วยซ้ำ เมื่อคิดหาทางออกไม่ได้ทางเลือกเดียวของผมคือรับช็อกโกแลตของทุกคนพร้อมเอ่ยพูดประโยคเดิมๆ อย่าง...
‘ผมไม่สามารถตอบรับความรู้สึกคุณได้’
กับ
‘ขอบคุณสำหรับความรู้สึกแต่ผมไม่ได้รู้สึกกับคุณในแง่นั้น’
รู้ไหมผมพูดสองประโยคนั้นหลายสิบรอบจนรู้สึกเหนื่อยแถมในอ้อมแขนผมก็เต็มไปด้วยกล่องและถุงช็อกโกแลตมากมาย โชคดีที่บางคนให้มาพร้อมถุงใบใหญ่ผมเลยเอากล่องอื่นๆ ใส่รวมไว้เป็นถุงเดียว
ผมเสียเวลากับเรื่องนี้นานจนต้องรีบวิ่งลงไปรวมกับมากส์และแซมที่โทรตามให้ผมไปคุ้มกับฮาเซลออกไปข้างนอก
“ขอโทษที่มาช้า” ผมเอ่ยด้วยความสำนึกผิด
ไม่คิดว่าจะใช้เวลานานขนาดนี้
“นั่นอะไร” น้ำเสียงไม่พอใจจากฮาเซลดังขึ้นเปิดบทสนทนา
“พอดีมีคนให้...”
“นายรับความรู้สึกของพวกเขา?”
“ก็แค่รับไว้ ผมบอกทุกคนแล้วว่าไม่สามารถตอบรับความรู้สึกได้ ถ้ารู้ว่ายอมคนนึงแล้วจะเป็นแบบนี้ผมคงไม่รับหรอก” ผมตอบฮาเซลไปตามตรง ถึงจะชอบขนมขนาดไหนแต่เรื่องวุ่นวายแถมน่ารำคาญแบบนี้คงต้องขอบาย อย่าหวังเลยว่าจะมีครั้งหน้าอีก
“เนื้อหอมใช่เล่นนะ” แซมพูดพลางมองมายังถุงช็อกโกแลตทั้งสองข้างในมือ
“ของแซมก็เยอะนี่” ผมเห็นนะว่าสาวๆ ต่อแถวให้ช็อกโกแลตเป็นสิบๆ คน มากส์เองก็เหมือนกัน
“ก็นะ ของแบบนี้อยู่ที่หน้าตาแต่ถ้าบอสยอมรับช็อกโกแลตคงจะมากที่สุดแน่นอน เนอะมากส์” แซมหันไปขอความเห็นมากส์
“ตอนที่ไม่ตั้งกฎห้ามให้ช็อกโกแลตกับท่านฮาเซลถือเป็นปรากฏการณ์ที่ผู้หญิงและชายทั้งในและนอกบริษัทมาต่อคิวให้ช็อกโกแลตอยู่นานจนแทบไม่ได้ทำงาน” มากส์เล่าเหตุการณ์ในอดีตให้ฟัง
“ผมพอจะเดาได้อยู่” ถ้าไม่มีสาวติดสิแปลก มีทั้งหน้าตา ทั้งเงิน ทั้งอำนาจและทั้งอิทธิพล
มีใครบ้างไม่อยากได้
“คนที่ให้นี่แค่ผู้หญิงใช่ไหม” ฮาเซลที่เงียบมานานถามต่อ
“มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย” ถามทำไมน่ะ?
“ผู้ชายด้วย?”
“แล้วผิดตรงไหน” ไม่มีกฎห้ามผู้ชายให้ช็อกโกแลตในวันวาเลนไทน์นี่
“งั้นช็อกโกแลตของฉันล่ะ” ฮาเซลแบมือระหว่างพูด
“ของคุณ?” หมายถึงอะไร
“เรย์ไม่มีช็อกโกแลตให้ฉันเหรอ”
“ผมจำไม่ได้นะว่าจะให้” เหมือนเมื่อเช้าผมจะบอกไปชัดเจนแล้วนะว่าไม่ให้
“ไม่ให้ฉันแต่ไปรับช็อกโกแลตจากคนอื่นแบบนี้ไม่แฟร์นะ”
“ไม่แฟร์? ตรงไหน” ผมยังไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนไม่แฟร์เลย การที่ผมรับช็อกโกแลตคนอื่นแต่ไม่ได้ให้ฮาเซลมันไม่แฟร์ตรงไหน
งงไปหมดแล้วเนี่ย
“ช็อกโกแลตฉัน” ฮาเซลยังคงแบมือมาตรงหน้าผมอย่างไม่ย่อท้อ
“แค่ให้ก็พอใช่ไหม” ผมถอดหายใจเบาๆ ก่อนจะหยิบช็อกโกแลตในถุงเตรียมยื่นให้อีกฝ่าย
“ฉันไม่รับช็อกโกแลตที่มาจากคนอื่น” ฮาเซลชักมือกลับ
“คุณเป็นเด็กรึไง” ผมตอบกลับพลางทอดสายตาออกไปด้านนอกเพื่อสงบสติอารมณ์แต่แล้วสายตาผมกลับไปสะดุดเข้ากับบุคคลน่าสงสัยที่ทำท่าเดินผ่านหน้าบริษัท รูปลักษณ์ภายนอกอาจไม่ทำให้เกิดความสงสัยทว่าวิธีการก้าวที่ช้ากว่าปกติกับสายตาที่เหลือบมองมาเป็นระยะนั่นไม่รอดตาผมไปได้หรอก
น่าสงสัย
“ฉันอยากได้ช็อกโกแลตจากเรย์นี่”
“โอเค งั้นเดี๋ยวผมออกไปซื้อให้”
“...” ฮาเซลถึงกับอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดผม ใบหน้าตกตะลึงราวกับไม่เชื่อว่าผมจะทำตามที่พูดจริงๆ
“ทำหน้าแบบนั้นชกหน้าผมเถอะ”
“ชกไม่ลงหรอก” อีกฝ่ายยกยิ้มขึ้น
“ใช้คำผิดไปนิดนะ ไม่ใช่ชกไม่ลงแต่เป็นชกไม่โดนต่างหาก” ผมแก้ให้ หากเป็นตอนที่ผมลับประสาทสัมผัสแบบนี้ค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียวว่าต่อให้เป็นฮาเซลก็ไม่มีทางชกโดน
“เรื่องนั้นช่างก่อนเถอะ จะไปซื้อช็อกโกแลตให้จริงน่ะ”
“ใช่ เพราะงั้นรออยู่นี่ก่อน แล้วก็อย่าทำตัวมีพิรุจ” ประโยคสุดท้ายทำเอาเซล มากส์และแซมชะงักไปเล็กน้อยแต่แค่นี้คนที่มองอยู่คงไม่รู้หรอก
“มีอะไรเรย์” ฮาเซลเริ่มถามเสียงเบาขึ้น
“ไม่แน่ใจแต่น่าสงสัย”
“อะไรที่ว่าน่าสงสัย” มากส์ถามบ้าง
“อย่าเพิ่งหันไปมองนะ ข้างหน้าบริษัทมีคนน่าสงสัยเดินผ่านอยู่”
“อาจจะแค่เดินผ่านเฉยก็ได้นี่” แซมพยายามเหล่มองด้านหน้าอย่างไม่ให้ผิดสังเกต
“คนเดินผ่านเฉยๆ คงไม่เดินผ่านแล้วยืนพิงต้นไม้แกล้งทำเป็นโทรศัพท์อยู่หน้าบริษัทหรอก” ผมอธิบายต่อ ฝ่ายนั้นคงคิดว่าต้องทำไม่ให้ผิดสังเกตแต่เสียใจด้วยที่ผมดูออก
ผมเคยสอดแนมและเคยใช้วิธีคล้ายๆ กัน บอกเลยว่ามันมีข้อเสียอยู่มากไม่ว่าจะเป็นสายตาที่ถึงจะมือโปรยังไงก็มักจะไปหยุดอยู่ตรงเป้าหมายอย่างไม่รู้ตัว หรือจะเป็นการแต่งตัวที่ดูเหมือนจะช่วยปิดบังตัวจริงแต่ความจริงนั้นกลับทำให้เป็นจุดเด่นมากขึ้น
แปลว่ายังอ่อนประสบการณ์อยู่
“ท่านฮาเซลให้ผม...”
“ไม่ ให้ผมจัดการเองดีกว่า” ผมรีบขัดสิ่งที่มากส์พูด
“ขอเหตุผล” ฮาเซลถาม
“การจะให้คนสนิทอย่างมากส์หรือแซมหายไปมันจะเป็นจุดเด่นเกินไป เราควรคิดว่าอีกฝ่ายรู้กำหนดการณ์ของเราดังนั้นพวกเขาคงรู้ว่าทั้งมากส์และแซมจะไปด้วยแต่ถ้าเกิดหายไปคนนึงอาจทำให้อีกฝ่ายไหวตัวทัน ซึ่งถ้าเป็นผมที่เพิ่งมาเข้าร่วมได้ไม่นานจะปลีกตัวไปจัดการได้ง่ายกว่า”
“แค่อีกฝ่ายเห็นชุดคงเพ่นหนีแล้วมั้ง” แซมพูดพลางมองชุดบอดี้การ์ดที่ผมใส่อยู่
“ก็อย่าใส่ชุดนี้ไปสิ” ผมบอกพร้อมยกยิ้มขึ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบกับดวงตาสีน้ำตาลจนเกือบทองของฮาเซล ถ้าเป็นฮาเซลต้องเข้าใจแน่
แค่ปลอมตัวออกไปจัดการ
ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
“ให้เวลาครึ่งชั่วโมง” นิ่งไปสักพักฮาเซลก็พูดต่อ
“15 นาทีก็พอแล้ว เดี๋ยวไปข้างนอกช้าหรอก”
“ระวังตัวด้วย”
ผมหันหลังกลับเดินจากไปอย่างเนียนๆ ปล่อยให้พวกฮาเซลเปลี่ยนไปนั่งยังโซฟารับรองข้างๆ เพื่อรอการติดต่อจากผมหลังจัดการเรื่องเสร็จ การปลอมตัวครั้งนี้เร็วกว่าทุกๆ ครั้งเพราะไม่ต้องแต่งหน้าหรือเลือกชุดเหมือนอย่างทุกทีเพราะครั้งนี้ผมปลอมตัวเป็นหนุ่มวัยรุ่นที่มีผมสีทองเข้ม
(มีต่อค่ะ)