พิมพ์หน้านี้ - -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: nicedog ที่ 13-09-2018 20:47:37

หัวข้อ: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 13-09-2018 20:47:37
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับ

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น 

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้   

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว  ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


**********************************************



สวัสดีนะคะนักอ่านทุกท่าน

วันนี้มาเปิดนิยายเรื่องใหม่

หลายคนคงจะพอคุ้นหน้าคุ้นตากับเรากันมาบ้างแล้ว

ดีใจที่ทุกคนเปิดเข้ามาอ่านเรื่องนี้กัน

สำหรับเรื่อง «·´✖Defeat Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ นี้ เป็นเรื่องใหม่ในแนวที่เราไม่เคยแต่งมาก่อนซึ่งจะออกแนวดาร์กๆ หน่อย แต่แน่นอนว่าด้วยสไตล์การแต่งของเราดราม่านั้นอย่าถามหา 555

ความรักระหว่างเจ้าพ่อค้าอาวุธXนักฆ่าชื่อดังที่ไม่มีใครล่วงรู้ตัวตนมาก่อน

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไรสามารถติดตามได้เลยค่าา
 
ขอฝากผลงานใหม่ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของทุกคนด้วยนะคะ


*ผลงานที่ผ่านมา*

   ✉ CorrespondencE สื่อรักทางจดหมาย!✉ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=45471.0)

    ◣♥◥ Precinct ►◄ อาณาเขตรักของหัวใจ ◣♥◥ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47133.0)

(http://www.navaraclubthailand.com/images/icon_hot3.gif)   ✥ Jurassic Heart ✥ดวงใจ กลายพันธุ์รัก
 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47401.0)

(http://www.navaraclubthailand.com/images/icon_hot3.gif)   ✣Jurassic Confidant✣ คู่หู กลายพันธุ์รัก
 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51956.msg3307933#msg3307933)

(http://www.navaraclubthailand.com/images/icon_hot3.gif)   ❣Secret heart❣ หัวใจ แอบรัก
 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50864.msg3262162#msg3262162)

    Find Love  ▪พบรัก▪
 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55504.msg3462361#msg3462361)

.。.:*・ ۩ Creative สรรค์สร้างรัก۩・*:.。. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57551.0)

♧♣Touch Love♣♧ สัมผัสรัก ด้วยหัวใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59707.msg3626975#msg3626975)

◈Jurassic Foster◈ กลายพันธุ์รัก ใต้ธารา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64185.0)


My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3789747#msg3789747)


สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของนิยายได้ในเพจนะคะ>>nicedog (https://www.facebook.com/novelistnicedog/)<<

ขอบคุณทุกที่ติดตามค่ะ

*นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล สถาบันหรือสถานที่ใดทั้งสิ้น*


สารบัญ

»จุดเริ่ม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3886578#msg3886578)«»เสี่ยงรักวันที่1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3887510#msg3887510)«
»เสี่ยงรักวันที่2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3889726#msg3889726)«»เสี่ยงรักวันที่3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3892589#msg3892589)«
»เสี่ยงรักวันที่4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3895499#msg3895499)«»เสี่ยงรักวันที่5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3898366#msg3898366)«
»เสี่ยงรักวันที่6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3901215#msg3901215)«»เสี่ยงรักวันที่7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3903897#msg3903897)«
»เสี่ยงรักวันที่8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3906290#msg3906290)«»เสี่ยงรักวันที่9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3908828#msg3908828)«
»เสี่ยงรักวันที่10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3911474#msg3911474)«»เสี่ยงรักวันที่11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3914232#msg3914232)«
»เสี่ยงรักวันที่12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3917242#msg3917242)«»เสี่ยงรักวันที่13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3919808#msg3919808)«
»เสี่ยงรักวันที่14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3922512#msg3922512)«»เสี่ยงรักวันที่15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3924970#msg3924970)«
»เสี่ยงรักวันที่16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3927385#msg3927385)«»เสี่ยงรักวันที่17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3929659#msg3929659)«
»เสี่ยงรักวันที่18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3932218#msg3932218)«»เสี่ยงรักวันที่19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3934795#msg3934795)«
»เสี่ยงรักวันที่20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3937348#msg3937348)«»เสี่ยงรักวันที่21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3939729#msg3939729)«
»เสี่ยงรักวันที่22 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3942130#msg3942130)«»เสี่ยงรักวันสุดท้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68385.msg3944662#msg3944662)«



(https://www.img.in.th/image/5JQkWJ)(https://www.img.in.th/image/5JQkWJ)

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeat Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »จุดเริ่ม« 13/09/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 13-09-2018 20:53:26
«·´จุดเริ่ม`·»


แสงสีเหลืองนวลส่องสว่างของหลอดไฟจากด้านบนเพดานถูกดับลงด้วยฝีมือของผมพร้อมกับก้าวขึ้นบนไปเตียงซึ่งมีชายรูปร่างอ้วนท้วมเอื้อมมือมาสัมผัสใบหน้าขาวเนียนแล้วค่อยๆ ไล่ต่ำลงไปจนถึงสะโพก


มือข้างเดิมลูบไล้สะโพกผ่านชุดอาบน้ำตัวบางก่อนจะซุกไซร้ใบหน้าลงยังลำคอ สัมผัสของการขบเม้มอย่างแรงทำเอาผมนิ่วหน้าเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ผลักไสออก เสียงครางเบาๆ ดังขึ้นเพื่อเพิ่มอารมณ์ให้กับผู้ชายตรงหน้าเช่นเดียวกับมือข้างหนึ่งที่วางบนแผ่นอกนั้นลากลงมายังส่วนล่างโดยมีอีกมือหนึ่งค่อยเอื้อมไปคว้าสิ่งที่เหน็บอยู่ด้านในของเสื้อคลุมอาบน้ำอย่างเชื่องช้า


เส้นผมสีน้ำตาลยาวสะบัดเล็กน้อยระหว่างดันชายร่างท้วมแนบกับเตียงแล้วขึ้นคร่อมด้วยรอยยิ้มอันแสนหวานเยิ้มและสายตายั่วยวนชวนให้หลงใหลดึงดูดจนไม่อาจละสายตาไปทางอื่นได้


“เร็วสิ...ให้ฉันเข้าไปในตัวเธอสักที” น้ำเสียงแห่งกามอารมณ์กับใบหน้าอันเต็มไปด้วยความต้องการนั่นทำให้ผมได้แต่ส่งยิ้มพลางใช้มือข้างหนึ่งกดลงไปบนแผ่นอกไม่ให้อีกฝ่ายขยับตัวมากไปกว่านี้


“อ่า ได้เข้าแน่แต่ไม่ใช่ในตัวผมหรอกนะ” พูดจบมืออีกข้างก็ยกขึ้นพร้อมมีดแสนคมกริบที่ปักลงยังหัวใจโดยไม่มีแม้แต่ความลังเล


ไม่มีแม้โลหิตที่ไหลออกมาเปื้อนหรือแม้แต่เสียงกรีดร้องในช่วงสุดท้ายของชีวิตเพราะมีดเล่มนั้นยังคงทำหน้าที่เป็นตัวกั้นไม่ให้เลือกทะลักออกมา ผมก้าวลงจากเตียงพร้อมเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่ถอดไว้กลับมาใส่ตามเดิม


เมื่อสำรวจว่าทุกอย่างเรียบร้อยผมก็ก้าวออกจากห้องในชุดเดรสสีดำของหญิงสาวผ่านบอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าหน้าห้องและออกจากโรงแรมหรูในเวลาไม่นาน


ชุดเดรสสีดำและวิกผมถูกเปลี่ยนกลับเป็นเสื้อผ้าในชุดธรรมดาเพื่อไม่ให้ดูผิดสังเกตเวลาเดินในย่านรื่นเริง


ใครที่ลงมือฆ่าครั้งแรกต่างต้องตื่นกลัวกันทั้งนั้นแต่ไม่ใช่กับผมที่ทำงานนี้มาตั้งแต่จำความได้


ชินชากับร่างไร้ลมหายใจ


เคยชินกับการทำให้ร่างของอีกฝ่ายเย็นเฉียบ


มันก็คงเหมือนกับตัวผมแหละ


ที่ต่างคงมีแค่ร่างนี้ยังคงหายใจอยู่


กับเด็กที่ถูกทิ้งให้อยู่ลำพังมันมีทางเลือกอยู่ไม่มากในการมีชีวิตรอด


ในยุคนี้เงินคือทุกสิ่ง


ถ้าไม่มีเงินก็ไม่อาจมีชีวิตได้


ดังนั้นจึงเกิดอาชีพมากมายขึ้นเพื่อหากำไรเข้าตัว อาชีพที่คนปกติทำคงจะไม่พ้นค้าขายแต่การจะค้าขายได้จำเป็นต้องมีต้นทุนไม่เหมือนกับอาชีพที่ผมทำที่ไม่จำเป็นต้องมีเงินมาลงทุนแค่ต้องลงแรงนิดๆ หน่อยๆ สิ่งที่ต้องมีคือไหวพริบและทักษะเล็กน้อย
เป็นอาชีพที่เหมาะกับเด็กไม่มีใครต้องการอย่างผมจริงๆ


เงินจากการทำงานมีมากจนสามารถซื้อที่พักได้ด้วยเงินสด เพียงแต่ถ้าทำแบบนั้นก็จะเป็นจุดสงสัยผมเลยเลือกที่จะเช่าคอนโดนธรรมดาอยู่แทน


คอนโดนสูงใจกลางเมืองมีราคาตั้งแต่ระดับคนธรรมดาไปจนถึงระดับรวยล้นฟ้าซึ่งผมไม่สนใจหรอกว่าใครจะรวยหรือจน
ขอแค่ไม่เข้ามาก้าวก่ายผมก็พอ


ประตูห้องถูกเปิดพร้อมกับผมที่รีบตรงเข้าไปอาบน้ำเป็นอย่างแรก น้ำสีใสค่อยๆ ไหลลงไปตามร่างเปลือยเปล่าอย่างเชื่องช้า บริเวณลำคอที่ถูกขบเม้มถูกละเลงสบู่ลงไปแล้วถูแรงๆ จนเกิดรอยแดง


ผมอาจไม่มีทางเลือกจึงต้องมาทำงานแบบนี้แต่ผมก็ไม่คิดจะขายร่างกายนี้เพื่อแลกกับเงินหรอกนะ ถึงอย่างงั้นก็ใช่ว่าจะไม่เคยถูกบังคับให้ทำ แน่นอนว่าพวกที่คิดจะทำผมจัดการจนอีกฝ่ายขยับตัวแทบไม่ได้ไปเรียบร้อยแล้ว


ผ้าขนหนูสีขาวขยับไปมาบนเส้นผมสีดำอันเปียกปอนพลางเปิดคอมพิวเตอร์ในห้องนอนขึ้นแล้วกดเข้าอีเมลดูข้อความที่ถูกส่งเข้ามา ธุรกิจในปัจจุบันเน้นการทำผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ครีม อาหารหรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงก็ยังทำการซื้อขายผ่านออนไลน์


งานผมก็เช่นกัน


มีเพียงคนในวงการเพียงหยิบมือที่รู้ถึงเมลนี่ แต่ก็ทำได้เพียงรู้เพราะผมไม่เคยไปพบกับผู้ว่าจ้างโดยตรงหรือแม้แต่การออกไปลอบฆ่าก็ไม่เคยใช้รูปลักษณ์จริงๆ เลยสักครั้ง นั่นทำให้การหาตัวผมทวีความยากขึ้นไปอีก


“หื้ม...งานใหม่เหรอ” ผมพึมพำพร้อมกดเข้าไปยังข้อความด้านบนสุดที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน


เนื้อหาภายในกล่าวถึงเป้าหมายไปจนถึงรายละเอียดต่างของงานในครั้งนี้ตลอดจนจำนวนเงินเมื่อทำงานสำเร็จ  มือผมขยับเลื่อนเมาส์ไปเปิดไฟล์ภาพของเป้าหมายขึ้นมาแล้วพึมพำด้วยใบหน้าเฉยชา...


“หมอนี่เหรอ...เป้าหมายคนต่อไป”
....................................................

วันนี้เปิดเรื่องใหม่เป็นเหมือนบทนำ

นายเอกเรื่องอื่นๆ ของผลงานเราที่ว่าโหดบอกเลยว่านายเอกคนนี้โหดกว่าx10 555

อย่างที่บอกไปว่าเป็นแนวที่ไม่เคยแต่งมาก่อน

หวังว่าจะถูกใจทุกคนนะคะ

อีกไม่นานจะมาอัพตอนที่ 1 ให้ค่ะ

เรื่องนี้คิดไว้แล้วว่าจะมาอัพอาทิตย์ละตอน

ฝากติดตามด้วยค่า

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeat Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »จุดเริ่ม« 13/09/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 13-09-2018 23:30:27
เห็นชื่อคนแต่งแล้วรีบกดมาเลยค่ะ
มีเรื่องใหม่มาให้ตามแล้วววว
แต่นายเอกเรื่องนี้อืมมมม... ดูโหดจริงๆด้วยค่ะ
แต่ก้นะ น้องเป็นนักฆ่าอะ
โหดแต่ไม่ได้นิสัยไม่ดีเนอะ
รอค่าาาา
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeat Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »จุดเริ่ม« 13/09/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-09-2018 12:59:14
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeat Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่1« 15/09/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 15-09-2018 21:18:17
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่1



การเริ่มต้นวันใหม่ถูกปลุกด้วยเสียงท้องร้องและความแสบภายในกระเพาะอาหารที่ไม่มีอะไรลงท้องมาตั้งแต่เมื่อคืน ผ้านวมผืนหนาถูกสะบัดไปข้างเตียงท่ามกลางความเย็นเฉียบของเครื่องปรับอากาศเข้ามาปะทะร่างจนต้องรีบเอื้อมมือไปคว้าผ้าห่มขนนุ่มข้างๆ ขึ้นมาคลุมตัวไว้


“หนาวชะมัด” ผมพึมพำพลางลุกขึ้นจากเตียงตรงไปยังตู้เย็น


ห้องพักนี้เป็นห้องขนาดเล็กที่เปิดเข้ามาก็เจอห้องครัวอยู่ด้านซ้าย ห้องน้ำอยู่ด้านขวาและมีเตียงอยู่ด้านในสุดของห้อง เรียกว่าเป็นห้องธรรมดาที่มีไว้เพื่อดำรงชีวิตตามปกติ ภายในห้องไม่มีโซฟาหรือเฟอร์นิเจอร์เพราะถึงมีไปก็ไม่มีใครมาหาอยู่ดี


ผมเป็นพวกชอบเปิดแอร์แต่ไม่ชอบความหนาว


อาจฟังดูแปลกซึ่งก็ใช่


ทุกครั้งที่เปิดแอร์ ความเย็นยะเยือกจะเข้ามาเกาะผิวหน้าจนรู้สึกได้ถึงอาการสั่นเล็กๆ คล้ายจะเป็นเครื่องยืนยันว่าตอนนี้ผมยังมีชีวิต แต่เพราะไม่ชอบความหนาวเลยมักจะห่มผ้าเสมอไม่ว่าจะเดินไปส่วนไหนของห้อง


ความจริงมันอาจเป็นเพราะชุดนอนที่ใส่เป็นเพียงเสื้อคอกลมบางๆ และกางเกงขาสั้นทำให้รู้สึกหนาวกว่าปกติก็เป็นได้


เอาเถอะ


จะยังไงก็ช่าง


ประตูตู้เย็นสีเงินเปิดอ้าออกเพื่อหาของกินที่เหลืออยู่ไม่มาก ในตู้ส่วนมากจะเป็นน้ำเปล่าและอาหารแช่แข็งหรือพวกของที่หยิบกินได้เลยอย่างขนมหวาน


“พุดดิ้งหมดแล้วเหรอเนี่ย” จำได้ว่าน่าจะยังเหลืออยู่อันอันนี่นา


หรือเผลอกินไปเมื่อวันก่อนกันนะ


“...ไม่อยากกินข้าวเลยแฮะ” ผมถอนหายใจเมื่อมองไปยังถาดอาหารแช่แข็งตรงกลางชั้นที่ถูกปรับให้มีความเย็นระดับเดียวกับช่องแข็ง


ผมเป็นคนไม่ชอบกินพวกข้าวสักเท่าไหร่ ปกติถ้าไม่จวนจริงๆ ก็จะอาศัยกินพวกของหวานซะมากกว่า ให้พลังงานดีกว่าข้าวเยอะ...สำหรับผมน่ะนะ แต่เมื่อไม่มีทางเลือกผมก็หยิบอาหารแช่แข็งไปเวฟยังไมโครเวฟข้างๆ


เสียงท้องร้องยังคงแผดเสียงไม่เกรงใจเจ้าของร่างอย่างผมที่ยังง่วงนอนอยู่ เมื่อคืนกว่าจะเสร็จงานแล้วกลับมาถึงนี่ก็ปาเข้าไปเกือบตี 3 ทั้งที่เป็นแบบนั้นยังต้องมาตื่นตั้งแต่ยังไม่ 8 โมงเพราะท้องดันร้องซะได้


“รีบกินแล้วไปนอนต่อดีกว่า” บอกตัวเองเสร็จก็หยิบอาหารแช่แข็งในไมโครเวฟออกมานั่งกินยังโต๊ะคอมพิวเตอร์


ระหว่างกินมื้อเช้าผมก็เปิดคอมเข้าไปดูเมลที่มีข้อความใหม่ถูกส่งมาโดยมีหัวข้อคือแจ้งโอนเงิน ทันทีที่คลิ๊กเข้าไปดูก็เจอกับไฟล์แนบซึ่งก็คือสลิบโอนเงินค่าแรงของงานเมื่อคืนถูกส่งมาให้เรียบร้อยแล้ว


“โอนเร็วแบบนี้สิน่าทำงานให้” ผมยิ้มบางๆ กับภาพสลิปตรงหน้า


อย่างที่เคยบอกไปว่างานผมทำผ่านอินเตอร์เน็ตดังนั้นการจ่ายค่าบริการก็ต้องส่งมายืนยันที่เมลเช่นกัน การทำงานผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตอาจดูเหมือนสามารถติดตามง่ายแต่นั่นก็เป็นความคิดของพวกที่ไม่รู้ทริคว่าการทำให้อีกฝ่ายไม่รู้ที่อยู่เรามันง่ายขนาดไหน เรียกว่าง่ายกว่าการให้อีกฝ่ายทิ้งเงินไว้ตามสถานที่นัดหมายซะอีกเพราะไม่ต้องมาคอยสังเกตดูลาดราวว่ามีคนคอยมองอยู่ตรงไหนบ้าง


“ง่วง หนาว...อยากเข้าห้องน้ำด้วย” ยิ่งมีหลายอย่างในหัวก็ยิ่งพานให้ร่างกายไม่อยากขยับออกจากเก้าอี้


อยากจะหลับไปทั้งๆ แบบนี้จัง


ไม่ได้สิ บนเตียงหลับสบายกว่า


นี่ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำก่อนใช่ไหมถึงจะได้นอน


แม้จะมีคำบ่นอยู่มากมายแต่ผมก็จำต้องค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำก่อนจะเดินกลับไปยังเตียงแล้วคว้าผ้านวมมาคลุมตัวพร้อมกับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกรอบ


การนอนให้เต็มที่เป็นส่วนหนึ่งในการทำงานให้สำเร็จ งานของผมส่วนมากจะลงมือช่วงกลางคืนทำให้ตลอดเช้าและบ่ายผมมักจะหมกตัวนอนอยู่บนเตียง ช่วงเวลาที่ผมจะตื่นเต็มตาคือช่วงบ่าย 2 เป็นต้นไป อย่างวันนี้เองผมก็ลุกขึ้นมาพลางบิดขี้เกียจด้วยท่าทางสดชื่นผิดจากเมื่อเช้าราวกับคนละคน


นอนเต็มอิ่มนี่สุดยอด


“อยากกินพุดดิ้งชะมัด” น่าแปลกที่พอรู้ว่าในตู้เย็นหมดแล้วความรู้สึกอยากกินกลับยิ่งมีมากขึ้น


สงสัยคงต้องไปซื้อซะแล้ว


การตัดใจนั้นนำพาผมออกมาจากห้องบนชั้น 3 ของคอนโดตรงไปยังร้านขนมหวานเจ้าประจำที่เต็มไปด้วยคนพลุกพล่านทั้งที่ยังไม่ถึงช่วงเลิกงาน  ผมเดินเข้าร้านในสภาพที่ปลอมตัวเป็นชายหนุ่มแนวเรียบร้อยผมสีน้ำตาลแดงพลางส่งยิ้มไปให้เหล่าหญิงสาวที่หันมามองทางผมด้วยความสนใจ


คงเป็นเรื่องแปลกละมั้งที่ผู้ชายชอบกินขนมหวาน


ทุกครั้งผมจะปลอมตัวเวลาออกไปข้างนอกเพื่อกันไม่ให้ใครรู้ถึงตัวจริง แน่นอนว่าผมไม่ทำเรื่องน่าสงสัยอย่างการปลอมตัวออกจากคอนโดเพราะมีกล้องวงจรปิดอยู่ขืนเห็นว่าเจ้าของห้องออกมาใสภาพไม่เหมือนกันในแต่ละวันคงน่าสงสัยพอดู เพราะงั้นผมเลยมักจะใช้คาแร็กเตอร์เดิมในการพาตัวเองเข้าออกคอนโดนแล้วค่อยไปปลอมตัวต่อในสถานที่ปลอดคนอีกที


พุดดิ้งรสออริจินอลบนชั้นหายเกลี้ยงในพริบตาที่ผมเดินผ่านเช่นเดียวกับแยมโรและพายสตอเบอรี่ ผมชอบร้านนี้เพราะนอกจากขนมจะรสชาติอร่อยแต่ยังมีขนมให้เลือกมากกว่าร้านอื่นอีก


“วันนี้มีเมนูพิเศษชีสเค้กนมฮอกไกโดไม่ทราบว่าจะรับเพิ่มไหมคะ” พนักงานสาวสาวเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มการค้า


“ครับ” ผมพยักหน้าด้วยใบหน้านิ่งๆ ทว่าในใจนั้นกำลังยิ้ม


ร้านนี้มักจะมีเมนูพิเศษประจำวันให้ลูกค้าเสมอ และหนึ่งในเมนูพิเศษที่ผมชื่นชอบที่สุดก็คือชีสเค้กนมฮอกไกโดนี่แหละ ด้วยสัมผัสอันนุ่มฟูของเนื้อเค้กแสนยืดหยุ่นประสานกับครีมนมฮอกไกโดเนื้อเนียนได้อย่างลงตัว


จะให้กินทั้งเดือนก็ยังไหว


“รับกี่ชิ้นดีคะ”


“7 ไม่สิ 10 ชิ้นครับ” ความจริงอยากเหมาหมดแต่ตู้แช่คงไม่พอแถมขนมเองก็อยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่ด้วย


“ค่ะ ทั้งหมดราคา...” คิดเงินเรียบร้อยผมก็กลับคอนโดด้วยอารมณ์สดใส


วันนี้จะได้กินชีสเค้กเป็นมื้อเย็น


ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว


โต๊ะกินอาหารของผมคือหน้าคอมพิวเตอร์ระหว่างกินชีสเค้กผมก็เปิดเมลขึ้นมาดูอีกรอบปรากฏว่ามีข้อความใหม่เข้ามา พอลองกฎเข้าดูก็เป็นเหมือนที่คาดไว้


“มีงานติดๆ กันเลย...ครั้งนี้เป้าหมายคือใครล่ะ” ผมพึมพำพร้อมเปิดดูไฟล์ภาพหน้าตาของเป้าหมายที่ส่งแนบมาให้ มืออีกข้างที่กำลังตักชีสเค้กเข้าปากถึงกับชะงักเมื่อเห็นภาพเป้าหมายคนต่อไปชัดๆ เส้นผมสีน้ำตาลถูกจัดแต่งอย่างดูดีเช่นเดียวกับดวงตาเรียวสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองและจมูกโด่งเป็นสันราวกับภาพวาดของจิตกรชื่อดัง


อาการชะงักที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะความหล่อของคนในรูปแต่เป็นเพราะคนในรูปนั้นเป็นถึงผู้มีอิทธิพลอันดับต้นๆ ของประเทศ ไม่สิ อาจเป็นลำดับต้นๆ ของโลกเลยก็ได้ หนึ่งใน 3 เสาหลักหรือสามคานผู้ขับเคลื่อนประเทศนี้


“ฮาเซล กอนซาเลซ” ไม่จำเป็นต้องเปิดข้อมูลของเป้าหมายผมก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร


บุคคลที่ได้ชื่อว่าอันตรายและไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วยมากที่สุดไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม


เรื่องของฮาเซล กอนซาเลซผมเคยได้ยินผ่านหูหลายต่อหลายครั้งถึงไม่อยากก็พลอยจำได้โดยไม่รู้ตัว เบื้องหน้าเป็นจ้าของอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ทั้งภายในประเทศและนอกประเทศรวมถึงเข้าของคลับหรูระดับไฮโซหรือพวกมีเงินถึง ทว่าเบื้องหลังนั้นเป็นผู้ปล่อยเงินกู้รายใหญ่และเป็นตัวกลางในการซื้อขายอาวุธตัวเบ้ง ภาษาบ้านๆ ก็คือยากูซ่าไม่ก็มาเฟียดีๆ นี่เอง


“งานยากมาแล้วไง”


ฮาเซล กอนซาเลซไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ แค่บอดี้การ์ดรอบตัวก็เป็นสิบคนแล้วการจะให้เข้าประชิดแล้วจัดการไม่ใช่เรื่องง่าย


“ฮื้ม?...” ไฟล์ข้อมูลของการว่าจ้างทำเอาผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อภายในมีข้อมูลว่าวันที่ 14 ฮาเซล กอนซาเลซจะเดินทางส่วนตัวด้วยรถยนต์ในช่วงบ่ายและมีบอดี้การ์ดคุ้มกันเพียง 4 คนเท่านั้น


อะไร


ทำไมลางสังหรณ์ผมมันบอกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลล่ะ


ข้อมูลระดับลึกนี่ไม่น่าจะถูกปล่อยมาให้รู้ได้ง่ายๆ แต่ทำไมถึง...


หรือว่าผู้ว่าจ้างจะเป็นคนใน


“เอายังดีนะ...จะรับหรือไม่รับ” ระหว่างตัดสินใจชีสเค้กด้านข้างก็หมดไปอีกชิ้น


ถึงผมจะทำงานแนวนี้ก็ใช่ว่าจะรับทุกงาน งานไหนคิดว่าเสี่ยงเกินไปก็จะปฏิเสธไปและถ้างานไหนรับทำก็จะตอบตกลงกลับไปทางเมลเป็นการยืนยัน


ส่วนตัวผมค่อนข้างเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเองว่ามันต้องมีอะไรบางอย่าง แต่การที่อีกฝ่ายจะลดการป้องกันลงจนเหลือบอดี้การ์ดแค่ 4 คนนี่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ เป็นโอกาสที่ไม่รู้ว่าจะมีอีกไหม


“ลองดูก็ไม่เสียหาย” อย่างมากก็แค่ตาย


ไม่ได้มากมายอะไรเลย


ในเมื่อมีโอกาสก็ขอลองสักหน่อย


อีกอย่างอยากเจอตัวจริงอยู่สักครั้ง...


ฮาเซล กอนซาเลซ


ก่อนจะถึงวันลงมือการมาสำรวจสถานที่ถือเป็นหลักพื้นฐาน สถานที่ที่ว่าคือบริเวณลานจอดรถของคอนโดหรูใจกลางเมืองซึ่งเจ้าของก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป้าหมายในการลอบฆ่าในครั้งนี้ จากข้อมูลที่รวบรวมมาเหมือนคอนโดนี้จะเป็นที่อยู่ปัจจุบัน


ก็ไม่แน่ว่ามันอาจเป็นข้อมูลเท็จ


ในยุคนี้แค่การปล่อยข่าวลวงมันทำได้ง่ายสุดๆ เพราะงั้นเลยเชื่อในข้อมูลได้เพียงครึ่งเดียว เรื่องแปลกๆ ที่เจอมีเพียงคอนโดนี้เหมือนจะไม่มียามรักษาความปลอดภัยมากนัก เท่าที่เห็นผลัดกันเดินมาก็ 4 คนซึ่งเรียกว่าน้อยจนน่าสงสัย


ไม่แน่ว่าการักษาความปลอดภัยหลักๆ อาจเป็นในตัวอาคาร


“โอเค สำรวจเรียบร้อย” พื้นที่ทุกอย่างเป็นไปตามคาดเลยไม่มีการเปลี่ยนแผนในวันจริง ที่เหลือก็แค่การปลอมตัวและแสดงละครให้สมบทบาท


เรื่องพวกนี้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะทำได้ดีเพราะมันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว การปลอมตัวเองเป็นหนึ่งในทักษะแรกๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลในการทำงาน ไม่อยากคุยหรอกนะว่าผมสามารถปลอมได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย


จริงอยู่ที่รูปร่างอาจไม่ได้ตัวเล็ก หน้าหวาน ตาโตแต่ผู้หญิงก็ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้นหมด ด้วยรูปร่างโปร่งออกเพรียวทำให้ง่ายต่อการปลอมไม่ว่าจะหญิงหรือชาย เป็นข้อดีในไม่กี่อย่างที่มี


วันลงมือผมสวมเสื้อคอกว้างสีฟ้ากับกระโปรงพองๆ สีขาว วิกผมยาวสีน้ำตาลอ่อนดัดเป็นลอนเล็กน้อยถูกเลือกมาสวมให้เหมาะกับบุคลิกของสาวหวานในวันนี้


“เอาล่ะ” เมื่อใส่คอนแทคเลนส์สีเทาและแว่นตากรอบขาวทุกอย่างก็เรียบร้อย


เวลาที่เป้าหมายจะมาถึงคือบ่ายสองครึ่งผมเลยมาเตรียมตัวรอก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงโดยการนั่งรอยังร้านคาเฟ่ฝั่งตรงข้ามของคอนโด เมื่อใกล้ได้เวลาผมก็เดินข้ามถนนไปยังฝั่งคอนโดในขณะที่รถสีดำเงากำลังแล่นเข้าไปยังลานจอดรถ


ผมแกล้งทำเป็นเดินโซเซก่อนจะล้มลงขวางหน้ารถสีดำเงาที่เหยียบเบรกจนมิด ทั้งร่างทรุดลงราบกับพื้นท่ามกลางเสียงเปิดประตูรถออกด้วยความตื่นตกใจ


“คุณๆ เป็นอะไรไหม” หนึ่งในบอดี้การ์ดลงจากรถมาดูผมด้วยใบหน้าร้อนรน


คาดไว้อยู่แล้วว่าเป้าหมายคงไม่ลงมาเองแน่


“อึก...เจ็บ! เจ็บหน้าอก” ผมบีบเสียงด้วยท่าทางทุรนทุราย มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาขย้ำเสื้อบริเวณหน้าอกเพื่อเพิ่มความสมจริง


“ทำใจดีๆ ไว้...”


“เกิดอะไรขึ้น” เสียงทุ้มอันทรงเสน่ห์ดังขึ้นท่ามกลางเสียงร้อนรนของบอดี้การ์ด


เสียงแบบนี้...ถึงจะไม่เคยได้ยินแต่สัมผัสได้ว่าเป็นใคร


มาแล้วสินะ


ฮาเซล กอนซาเลซ


“เหมือนเธอจะเจ็บหน้าอกครับ” บอดี้การ์ดคนเดิมรายงานโดยที่มีบอดี้การ์ดอีกคนเข้ามาพยุงร่างผมที่ยังคงส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด


“เดี๋ยวจะพาไปโรงพยาบาล” ฮาเซลคุกเข่าลงพลางช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้นพร้อมกับบอดี้อีกคน


“เจ็บจัง...” ผมอาศัยจังหวะเหมาะทำทีเป็นเจ็บแล้วเซเข้าหาเป้าหมาย มือข้างหนึ่งกำเสื้อนอกอีกฝ่ายไว้แน่นราวกับกำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดทว่าอีกมีกลับขยับมีดที่อยู่ในเสื้อแขนยาวให้ออกมาพร้อมใช้งาน


ประมาทกว่าที่คิดแฮะ


ไม่คิดว่ามุกนี้จะใช้ได้เลยเตรียมแผนสำรองไว้สองสามแผนแท้ๆ


โทษความประมาทของตัวเองละกันนะ


“ฉันน่าจะเจ็บกว่านะถ้าเธอใช้มีดนั่นน่ะ” เสียงทุ้มกระซิบข้างใบหูพร้อมกับมือข้างที่มีมีดถูกจับและบิดจนมีดด้ามเงินล่วงลงสู่พื้น


“บอส!!” เหล่าบอดี้การ์ดต่างเข้ามาจับตัวผมให้แยกออกจากบอสของตัวเอง


ร่างผมถูกกดลงกับพื้นด้วยฝีมือของบอดี้การ์ด 2 คนโดยปราศจากแรงต่อต้านเพราะในหัวผมตอนนี้กำลังคิดวิเคราะห์เหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ ประโยคที่ได้ยินนั่นราวกับจะบอกว่ารู้ดีว่าผมจะมาลงมือ


มีคนไปบอก ไม่สิ ที่ถูกน่าจะเป็น...


“คนที่ว่าจ้างคือคุณงั้นเหรอ?!” ผมเงยหน้าสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองด้วยความหงุดหงิดที่ใกล้จะปะทุเต็มที


“ฟังแค่ประโยคเดียวรู้ได้ขนาดนี้เชียว ไม่คิดว่ามีใครมาบอกฉันเรื่องของเธอรึไง” อีกฝ่ายก้มหน้าลงมาถามด้วยรอยยิ้ม


“ไม่คิด”


“อะไรที่ทำให้ไม่คิดล่ะ”


“สงสัยตั้งแต่แรกที่รับทำงานแล้วว่าทำไมถึงได้มีข้อมูลเจาะลึกถึงขนาดจำนวนบอดี้การ์ดของวันนั้นๆ แถมยังมีกำหนดเวลาเดินทางมาให้อีก อีกอย่างจำนวนยามที่นี่มันน้อยเกินกว่าจะบอกว่าไม่มีเงินจ้าง!” ถ้าให้เดาคงถูกจัดฉากเพื่อล่อให้ผมมา


บ้าจริงเชียวดันถูกตลบหลังง่ายๆ ซะได้


“ประชดกันน่าดูเลยนะ”


“ต้องการอะไร” ผมไม่มีอารมณ์มาต่อปากต่อคำหรอกนะ


การที่ล่อผมออกมาแบบนี้ต้องการอะไรกันแน่


เรื่องนี้เท่านั้นที่คิดยังไงก็คิดไม่ออก


“เป็นผู้หญิงอย่างทำหน้าโหดขนาดนั้นสิ”


“ผู้หญิง? นี่คุณจะบ้าก็ให้มีขอบเขตหน่อยผู้หญิงที่ไหนจะเสียงต่ำขนาดนี้” ไม่คิดว่าจะบ้าถึงขนาดแยกเพศไม่ออก


“ก็ไม่ได้ต่ำมากนี่ จะบอกว่าไม่ใช่ผู้หญิงทั้งที่ใส่กระโปรงแถมผมยาว?”


“มันเป็นการปลอมตัวหรอก!” นี่ผมต้องมาบอกเรื่องพวกนี้เพื่ออะไรเนี่ย


“...เป็นผู้ชายที่แต่งหญิงออกมาได้ไม่ขัดเลย” ระหว่างพูดก็เอื้อมมือมาลูบใบหน้าผมเบาๆ ความร้อนจากฝ่ามือทำเอาสะบัดหน้าหนีแทบไม่ทัน


“สรุปต้องการอะไร” ผมถามย้ำอีกรอบ


“เห็นว่าเป็นนักฆ่าที่มีฝีมือแต่ไม่มีใครเคยเห็นตัวจริง ฉันเลยอยากเจอ”


“ว่างนักรึไง!” ผมสวนกลับด้วยความโมโห


จ้างให้คนมาลอบฆ่าตัวเองเพียงเพราะอยากเจอตัวจริงเนี่ยนะ


นอกจากว่างแล้วแถมคำว่าบ้าให้ด้วยละกัน


“ก็ไม่ว่างหรอก”


“งั้นพอใจแล้วสินะ” ได้เจอสมใจแล้วนี่


“อืม...แต่ไม่คิดว่านักฆ่าที่ได้ชื่อว่ายมทูตแห่งความตายจะหมดท่าได้ง่ายขนาดนี้หรือว่าฉันส่งไปผิดเมล” คำพูดเหยียดหยามนั่นถ้าเป็นปกติผมคงทำนิ่งและปล่อยให้อีกฝ่ายพล่ามจนกว่าจะพอใจเพราะนักฆ่าจะไม่อวดฝีมือตัวเองเพราะคำยั่วยุ


แต่ตอนนี้ผมกำลังโดนอารมณ์เข้าครอบงำ


“หมดท่า...หมายถึงใครกัน”


“ก็หมายถึงเธอที่ถูกบอดี้การ์ดฉันกดอยู่ไง”


“ขอแก้หน่อย ไม่ใช่ถูกกดอยู่แต่ยอมให้กดอยู่ต่างหาก” ผมแก้คำพูดให้ถูกพร้อมกับอาศัยจังหวะที่บอดี้การ์ดทั้งคู่กำลังผ่อนแรงใช้หัวโขกจนคนหนึ่งปล่อยมือที่กดไว้แล้วใช้ขาถีบอีกคนจนกระเด็นในจังหวะเดียวกันก็คว้าปืนทั้งสองกระบอกจ่อไปยังฮาเซล กอนซาเลซ


“คิดจะยิง?”


“หึ...ก็อยากอยู่แต่ถึงยิงไปก็ไม่ได้เงินอยู่ดี”


“งั้นจะทำยังไงต่อ” อีกฝ่ายังคงถามด้วยรอยยิ้มราวกับไม่กลัวว่าผมจะลั่นไกปืนสักนิด


ผมเกลียดคนแบบนี้ ทั้งน่าโมโหและชวนให้อารมณ์เสีย


“จะกลับ”


“ให้ไปส่งไหม”


“ไปตายซะ!” ผมตะโกนใส่อีกฝ่ายด้วยความหงุดหงิด


“ใจร้ายจัง”


“บอกให้บอดี้การ์ดอีกสองคนวางปืนซะไม่งั้นผมยิงแน่” ผมบอกพลางชายตามองบอดี้การ์ดด้านหลังที่หันปืนมาทางผม


“ไหนบอกว่าจะไม่ยิงไง”


“ไม่ได้ยิงคุณแต่เป็นพวกเขาต่างหาก” เป้าของปืนกระบอกหนึ่งเล็งไปยังบอดี้การ์ดตรงหน้าส่วนอีกกระบอกก็เล็งไปยังบอกดีการ์ดบนพื้นที่ทำท่าเหมือนจะพุ่งเข้าใส่ผม


“มั่นใจว่าจะชนะได้เหรอ 1 ต่อ 4 น่ะ”


“แน่นอน” แค่ 4 คน


จัดการได้อยู่แล้ว


“ฉันชอบความมั่นใจของเธอ”


“จะให้ถอดกางเกงให้ดูเลยไหมถึงจะเลิกเรียกว่าเธอสักที!” ผมเริ่มหงุดหงิดกับการถูกกวนแล้วนะ


“จะถอดให้ดู? ขอหยิบโทรศัพท์ถ่ายเก็บไว้ได้ไหม”


“โรคจิต!” ไม่มีคำไหนเหมาะไปมากกว่านี้อีกแล้ว


“ห้ามยิง แล้วก็ไม่ต้องขยับด้วย” ฮาเซลออกคำสั่งกับบอดี้การ์ดทั้ง 4 คนของตัวเอง


“คืนให้” ผมโยนปืนทั้งสองกระบอกลงบนพื้นพร้อมกับสบตากับฮาเซลอย่างหาเรื่อง อารมณ์ในตอนนี้ถ้าได้เตะอีกฝ่ายสักทีคงจะช่วยได้เยอะ


“ไปกินมื้อเย็นกันหน่อยไหม”


“ไม่” คำตอบไม่จำเป็นต้องคิดสักนิด


ผมอยากรีบออกจากบริเวณนี้เต็มทีแล้ว


“ไว้เจอกันใหม่” อีกฝ่ายังคงพูดด้วยน้ำเสียงปกติไม่มีท่าทีจะโกรธกับการกวนของผมเลย


ยิ่งทำให้หงุดหงิดเข้าไปใหญ่


“ไม่” ตอบเสร็จก็หันหลังเดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง


ผมไม่คิดว่าจะถูกปล่อยไปง่ายๆ จึงระวังตัวอยู่ตลอด ในเสื้อผมเองก็มีปืนอยู่แต่การจะเอามายิงในสถานที่แบบนี้คงไม่เหมาะเพราะงั้นถ้าอีกฝ่ายไม่เข้ามาผมก็ไม่คิดจะทำอะไรมากไปกว่านี้หรอก


“เดี๋ยว” เสียงทุ้มออกแนวเจ้าเล่ห์เรียก


“...” แต่มีเหรอที่ผมจะหยุดเดินแล้วหันกลับไปพร้อมถามว่ามีอะไรเหรอ


ฝันไปเถอะ


“คราวหน้าบอกชื่อกันด้วยล่ะ!” เหมือนจะรู้ว่าผมไม่คิดจะพูดด้วยเลยตะโกนเสียงดังให้ได้ยิน


คำพูดนั่นทำให้ผมกำมือแน่นอย่างข่มอารมณ์ไม่ให้หยิบปืนยิงเข้าหน้าผากอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอดแต่ถ้าไม่ตอบโต้อะไรไปเลยมันก็หงุดหงิด เพราะงั้นเลยหันกลับไปชี้หน้าฮาเซล กอนซาเลซพร้อมเสียงตะโกนลั่น...


“ไม่!!!”

...........................................

มาต่อกับตอนแรกขอเรื่องค่ะ

มาเร็วหน่อย อยากให้ทุกคนได้เห็นพระเอก 555

เรื่องนี้พูดเลยว่าพระเอกและนายเอกไม่มีใครยอมใคร

เป็นแนวที่อยากแต่งมานานแต่ยังไม่มีโอกาสสักที ดีใจที่ในที่สุดก็สามารถแต่งออกมาได้

มารอลุ้นกันว่าทั้งคู่จะได้เจอกันอีกในสถานการณ์ไหน

ขอฝากผลงานเรื่องใหม่ของเราด้วยน้าาา

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeat Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่1« 15/09/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-09-2018 04:32:51
เรื่องใหม่ ลุ้น ๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeat Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่1« 15/09/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 20-09-2018 05:55:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
ทำไมพระเอกปล่อยไปง่ายจังหรือว่าค่อยแอบตามติดที่หลัง
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeat Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่2« 20/09/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 20-09-2018 19:49:20
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่2




ขอมอบสามคำให้กับงานครั้งล่าสุดนี้...


หงุด หงิด มาก!


ขนาดผ่านมาหลายวันความหงุดหงิดก็ยังคงคลุกกรุ่นอยู่ภายในอก ภายในสมองผมกำลังรู้สึกผิดกับตัวเองที่ไม่ต่อยหรือเตะอีกฝ่ายไปสักทีสองที ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีอารมณ์อยากซ้อมใครมากขนาดนี้


“อย่าได้เจอกันอีกเลยชั่วชีวิต!” และต่อให้เจออย่าหวังว่าผมจะเข้าไปยุ่งด้วยอีก


แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว


เหมือนร่างกายจะรับไม่ไหว...ผมไม่ใช่พวกชอบคุยนัก นับครั้งได้เลยกับการพูดคุยกับใครสักคนยกเว้นพนักงานร้านขนม กับฮาเซล กอนซาเลซเป็นหนึ่งในคนที่ผมคุยด้วยมากที่สุด


เพียงแค่ชื่อนี้ผุดขึ้นมาขาขวาก็ฟาดลงบนเตียงอย่างแรงแทนการระบายอารมณ์


ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงหงุดหงิดได้ขนาดนี้


ให้ตายสิ


น่ารำคาญ!


แม้ผ่านมาตั้งหลายอาทิตย์แล้วทั้งคำพูดและรอยยิ้มนั่นยังคงวนเวียนราวกับภาพย้อนอดีตที่ฉายซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่มีวันหยุด


“โอ้ย...” ผมใช้มือขยี้เส้นผมสีดำจริงๆ ของตัวเองพลางทิ้งตัวหงายหลังนอนราบลงบนเตียง


ดวงตาสีแปลกเงยหน้าขึ้นมองเพดาน เวลาอยู่ในห้องผมไม่ปลอมตัวแต่จะอยู่ในสภาพจริงๆ ของตัวเองที่ไม่มีใครเคยเห็น แม้จะถูกฮาเซลเจอตัวแต่ก็เท่านั้นเขาไม่มีทางสืบมาถึงตัวผมได้เพราะนอกจากจะรู้ว่าผมเป็นผู้ชายแล้วก็ไม่มีเบาะแสอย่างอื่นอีก ทั้งเส้นผมหรือแม้แต่สีตาเองก็ล้วนเป็นของปลอมหมด


ช่วงหลายอาทิตย์นี่ไม่มีงานเข้ามาทำให้นั่งว่างอยู่ในห้องจนรู้สึกเบื่อแถมร่างกายก็เริ่มฝืดเลยจำเป็นต้องไปออกกำลังสักหน่อย ความจริงผมก็ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำอยู่แล้วเพราะการจะจัดการใครสักคนนั้นกำลังเป็นสิ่งสำคัญ ถึงการลอบฆ่าความสามารถในการตั้งรับจะไม่จำเป็นนักแต่มันก็ช่วยได้มากเวลาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน


ยามพระอาทิตย์ตกดินเป็นเวลาที่ผมชอบมาที่สุด แสงสีส้มแดงส่องสว่างแยงตาราวกับจะทำลายผู้เพ่งมองทว่าความร้อนแรงนั่นกลับงดงามจนแทบละสายตาไม่ได้


“โอ๊ะ...งานใหม่เหรอ” ผมพึมพำระหว่างกดเข้าไปดูเนื้อหาในเมลฉบับใหม่


ไฟล์รูปภาพและข้อมูลของงานถูกไล่อ่านโดยละเอียดทุกบรรทัดเพื่อไม่ให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว งานในครั้งนี้คือการลอบสังหารหนึ่งในแกนนำต่อต้านรัฐบาลซึ่งเป็นที่รู้กันในวงกว้างว่านอกจากจะเป็นตาแก่กินเงินประชาชนแล้วยังแอบทำผิดกฎหมายหลายอย่าง


เท่าที่ผมรู้ก็ข่มขืนและค้ายา


คนแบบนี้เป็นเป้าการแก้แค้นได้ง่าย


และยังเป็นเป้าหมายที่ฆ่าได้ไม่ยากด้วย


ผู้ว่าจ้างถึงจะไม่รู้ว่าเป็นใครแต่เดาได้ว่าเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกกระทำแน่ เนื้อหาช่วงสุดท้ายถามถึงจำนวนเงินของงานว่าแค่นี้พอไหม ราคาของแต่ละงานผมไม่ได้ตั้งไว้ว่าต้องเท่าไหร่ ให้เท่าไหร่ผมก็เอาเท่านั้นไม่มีการต่อรองหรือขอเพิ่ม ยังไงผู้ว่าจ้างส่วนมากมักจะให้จำนวนมหาศาลขนาดเหมาซื้อของหวานกินได้ไม่อั้นไปได้เกือบปี


“ตกลงรับงาน” มือข้างหนึ่งพิมพ์ตอบเมลกลับไปส่วนอีกข้างก็ตักพุดดิ้งสีเหลืองอร่ามเข้าปาก


ระยะเวลาในการทำงานแต่ละครั้งนั้นไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง ครั้งนี้เองคงใช้เวลานานเนื่องจากเป้าหมายเป็นพวกมีคนคุ้มกับแน่นหนายิ่งกว่าประธานาธิบดีซะอีก ไม่แน่อาจรู้ว่ามีเรื่องอะไรให้คนอยากเอาคืนเลยต้องเตรียมรับมือให้พร้อมไว้ แต่ถึงจะรับมือให้พร้อมยังไงมันก็ต้องมีสักวันที่การป้องกันนั่นอ่อนลงโดนเฉพาะกับพวกหื่นกาม


ทุกๆ เดือนจะมีสองถึงสามวันที่เป้าหมายจะเข้าไปหาเหยื่อในสถานบันเทิงซึ่งผมตรวจสอบวันเหล่านั้นไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ไม่เพียงแค่วันแต่สเปกของเป้าหมายผมก็หามาได้


“ผู้หญิงหน้าตาน่ารัก มีความมั่นใจออกแรงนิดๆ หน้าอกใหญ่ ผมยาวตรงสีดำ...ช่างเลือกจริงนะ” ผมพึมพำระหว่างใส่วิกผมสีดำยาวสลวยและเสริมหน้าอกให้นูนขึ้น ชุดในวันนี้เน้นเซ็กซี่อย่างสายเดี่ยวสีดำเสื้อคลุมสีขาวบางและกระโปรงบานสีเทาพร้อมด้วยกำไลและสร้อยคอพองามเป็นอันเสร็จ


สถานบันเทิงใจกลางเมืองเป็นทั้งคลับและโรงแรมรวมกัน พอตกเหยื่อได้ก็พาขึ้นโรงแรมได้ทันที ไม่มีอะไรง่ายไปกว่านี้อีกแล้ว
คลับแห่งนี้ไม่ใช่คลับไฮโซอย่างของฮาเซลทำให้มีคนธรรมดาเข้าใช้บริการจำนวนมากผมเลยตีเนียนเข้าไปด้านในได้ไม่ยาก อาจดูเข้าไม่ยากแต่ระบบรักษาความปลอดที่นี่อยู่ในเกณฑ์ดีแถมโรงแรมชั้นบนนั้นยังมีรีวิวว่าหรูหราสมราคา ความมืด แสงสีและเสียงเพลงดังกระห่มตั้งแต่ด้านนอกจนถึงด้านใน โซนเป้าหมายของผมคือโซวีไอพีลึกเข้าไปด้านใน


ความยากอยู่ที่จะเข้าไปได้ยังไง


แน่นอนว่าผมไม่ได้เข้ามาโดยไม่ได้วางแผนไว้ การจะเข้าไปโซนวีไอพีก็ง่ายๆ แค่หาคนระดับนั้นแล้วพาเข้าไปก็พอ


ผมเดินไปเรื่อยๆ พลางใช้หางตามองรอบๆ ห้องเพื่อหาใครสักคนที่สามารถพาผมเข้าไปได้ ทุกย่างก้าวมีสายตาของผู้ชายหลายคู่จับจ้องมาแสดงความอยากรู้จักเต็มแก่


ไม่มีเวลาเล่นด้วยหรอกนะ...โทษทีละกัน


หมับ!


ทันทีที่ข้อมือถูกคว้าผมก็ใช้ศอกกระแทกไปด้านหลังตามสัญชาตญาณทว่ากลับถูกหยุดไว้ได้แถมยังดึงแขนผมแรงๆ จนร่างกายเซไปประชิดตัวอีกฝ่าย


“มีอะไรให้ช่วยไหม” น้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์กระซิบข้างใบหูด้วยเสียงเบาหวิวให้ได้ยินเพียงสองคน เสียงแบบนี้ถึงอยากลืมก็ลืมไปลง


“...ฮาเซล กอนซาเลซ” ผมหันกลับไปมองอีกฝ่ายพร้อมพึมพำเสียงเข้มหมดมาดหญิงสาวที่ปลอมตัวอยู่


“ดีใจที่ยังจำกันได้”


“ทำไมถึงรู้ได้” ผมถามออกไปตามตรง การปลอมตัวในครั้งนี้ต่างจากตอนไปเจอเขาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิงทั้งสีผมหรือสีตา ดังนั้นผมเลยไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้จำผมได้


“เซ้นมั้ง”


“ปล่อย!” ผมไม่คิดจะคุยด้วยไปนานกว่านี้หรอกนะ


“ฉันพาเข้าโซนวีไอพีได้นะ”


“...” ผมเงียบลงเมื่อได้ยินคำพูดราวกับล่วงรู้ถึงทุกอย่าง


อย่าบอกนะว่าถูกหลอกให้มาอีกแล้วน่ะ


“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ แค่เห็นเธอเดินมองซ้ายขวาเหมือนหาใครก็เลยเดาเอาแค่นั้น”


“ตามผมมารึไง”


“ถ้าบอกว่าใช่จะดีใจรึเปล่าล่ะ”


“ไม่มีทาง” ผมตอบเสียงห้วน


“แค่ล้อเล่นน่า อยากเข้าไปข้างในไม่ใช่เหรอ”


“...เข้าไปแล้วก็เลิกตามด้วย” ผมครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบกลับไป


ไหนๆ ก็มีคนพาเข้าไม่ควรจะเรื่องมาก


รีบจัดการให้เสร็จเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี


“ดื่มด้วยกันสักแก้วเถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวถูกสงสัยเอาหรอก” ฮาเซลบอกพร้อมพาผมเดินเข้าไปยังโซนวีไอพีด้านใน


บรรยากาศของโซนวีไอพีต่างจากข้างนอกลิบลับ เสียงเพลงดังแสบแก้วหูถูกเปลี่ยนมาเป็นดนตรีเบาๆ โต๊ะเกาอี้เองก็ถูกจัดไว้ตามมุมต่างๆ เป็นส่วนตัวกว่าด้านนอกเยอะแถมยังมีฉากกั้นเหมาะกับการนัดพบกับลับๆ เหลือเกิน


“ยินดีต้อนรับครับคุณฮาเซล วันนี้จะรับเครื่องดื่มอะไรดีครับ” พนักงานก้าวมาทักทายทันทีที่ฮาเซลเลือกที่นั่งมุมหน้าต่าง


“Vodka Martini”


“รับทราบครับ...แล้วอีกท่านจะรับอะไรดีครับ” พนักงานหันมาถามผมด้วยรอยยิ้มบางๆ แบบนี้คงต้องนั่งด้วยสักพักไม่งั้นคงเป็นที่สังเกตพอดูถ้าอยู่ๆ ลุกพรวดไป


“Cuba Libre” ผมสั่งเครื่องดื่มอันมีส่วนผสมไม่หนักอย่างโคล่าไป


“รับทราบครับ จะรับอะไรเพิ่มอีกไหมครับ”


“แค่นี้ก่อน” ฮาเซลบอก


“ครับ”


“นี่ ขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ สิ อย่าห่างเหินนักเลย” คำพูดและมือที่กวักเรียกทำให้ผมทำหน้าตึงส่งไปให้ โซฟาของโต๊ะนี่เป็นโซฟาแบบโค้งยาวฮาเซลนั่งอยู่ตรงกลางส่วนผมนั่งอยู่ริมนอกสุด


“เหมือนจะจำไม่ได้ว่าเราสนิทกันนะ”


“งั้นก็มาสนิทกันจริงๆ สิ”


“เหมือนคุณจะว่างมากจริงๆ เนอะถึงได้มีเวลาอยากสนิทกับใครไปทั่ว” ผมเอ่ยประชด


“ใช่ว่าจะอยากสนิทไปทั่วนี่ นั่งห่างขนาดนั้นจะเป็นเป้าสายตาเอานะ” ฮาเซลบอกพลางเหล่ไปมองพนักงานหลายคนมองมาทางผมด้วยใบหน้าแปลกใจ เพราะมีสายตาหลายคู่จับจ้องผมเลยได้แต่จำใจแสดงละครขยับเข้าไปนั่งชิดพร้อมใช้มือทั้งสองข้างควงแขนอีกฝ่ายไว้แน่น


“แบบนี้พอใจรึยัง” ผมประชดต่อ


“อืม ยิ้มหวานๆ ด้วยสิ”


“ได้คืบจะเอาศอกรึไง”


“ไม่เอาหรอกศอก เมื่อกี๊ถ้ารับไม่ทันได้ทรุดไปแล้ว” ที่ฮาเซลพูดคงหมายถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ละมั้ง ความจริงก็กะเอาให้ทรุดนั่นแหละ ไม่คิดว่าจะรับได้


“หึ สั่งของหวานด้วย” ผมบอกหลังจากเครื่องดื่มมาเสิร์ฟแล้ว


“ของหวาน? ไม่เอากับแกล้มเหรอ” อีกฝ่ายสงสายตางงๆ มาให้


“เอาเค้กขึ้นชื่อของที่นี่ 3 ชิ้น”


“กินของหวานก่อนทำงานเดี๋ยวก็วิ่งไม่ไหวหรอก”


“ไม่จำเป็นต้องวิ่งนี่ สั่งมาแล้วก็จ่ายด้วย”


“ได้ตามต้องการ” รับคำแล้วฮาเซลก็เรียกพนักงานมาสั่งของหวาน


เค้กสามรสถูกยกมาเสิร์ฟท่ามกลางความพึงพอใจของผม ชิ้นแรกเป็นรสวนิลานมสดมีกลิ่นหอมหวานตั้งแต่ยกขึ้นมาแถมรสชาติยังละลายในปากด้วย


อร่อยมาก


“นี่...เป้าหมายครั้งนี้คือใครบอกได้รึเปล่า” อยู่ฮาเซลก็โอบไหล่ผมพลางกระซิบถาม


“จะรู้ไปทำไม”


“แค่อยากรู้”


“ปีเตอร์ คลาร์ม” ผมตอบระหว่างตักเค้กชิ้นที่สองเข้าปาก


“อ้อ...”


“ดูไม่ตกใจเลยนะ” ท่าทางนิ่งมากราวกับไม่สนใจว่าเป้าหมายผมจะเป็นใคร


“คนแบบนั้นสักวันต้องได้รับการลงโทษอยู่แล้ว”


“พูดเหมือนตัวเองดีซะเต็มประดาเลย”


“หึ...ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองดี การจะอยู่ในสังคมนี้แค่สีขาวน่ะอยู่ไม่ได้หรอก”


“จะบอกว่าตัวเองอยู่กึ่งกลางระหว่างสองสีคือสีเทางั้นสิ” สีขาวที่ว่าคงหมายถึงผู้คนที่ทำงานอย่างใสสะอาด


“เทาเข้มได้ไหม”


“แล้วแต่ละกัน” นี่ผมต้องมานั่งคุยเรื่องไร้สาระอีกนานไหมเนี่ย


“ดูท่าจะชอบของหวาน...”


“เปล่า” ผมปฏิเสธทันควัน


“ไม่ต้องโกหกก็ได้”


“ไม่เกี่ยวกับคุณ จะว่าไปพวกบอดี้การ์ดไม่มาด้วยรึไง” ผมถามเพราะสะกิดใจมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าบอดี้การ์ดหายไปไหนกันหมด


“ให้รออยู่ข้างหน้า”


“ประมาทไปแล้ว ตายขึ้นมาไม่รู้ด้วย” ผู้มีอิทธิพลระดับฮาเซลมีคนจับตามองทุกฝีก้าวอยู่แล้ว เล่นเปิดช่องโล่งแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่มีแม้แต่เวลาจะเสียใจหรอก


“ถูกเป็นห่วงแบบนี้ ดีใจนะเนี่ย”


“ใครเป็นห่วง”


“ปากแข็ง”


“พอทีผมไม่คุยด้วยแล้ว” ผมบอกพลางเตรียมตัว เป้าหมายในครั้งนี้เข้ามาด้านในพร้อมบอดี้การ์ด 6 คน


“นี่...บอกชื่อกันหน่อยสิ”


“ไม่” ผมปฏิเสธพร้อมลุกขึ้นจัดชุดให้เรียบร้อย


“ไว้เจอกัน...ระวังตัวด้วย” น้ำเสียงห่วงใยและมือที่เอื้อมมาจับหลวมๆ สร้างความรู้สึกแปลกๆ แต่ผมก็สะบัดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
เป้าหมายนั่งอยู่ด้านในถัดเข้าไปลึกเกือบในสุด ผมปั้นรอยยิ้ม รวบรวมสมาธิเรียดเลือดให้มาเลี้ยงบนใบหน้ามากกว่าปกติให้คล้ายกับคนกำลังเมา นี่เป็นหนึ่งในความสามารถพิเศษที่ติดตัวมาของผม


การทำให้ใบหน้าตัวเองแดงได้ตามต้องการ อาจดูเหมือนไม่มีประโยชน์แต่ความจริงมันมีประโยชน์อย่างมหาศาลเวลาที่ต้องเข้าถึงใครสักคนการเมาเป็นสิ่งที่ทำให้เป้าหมายลดการป้องกันแต่ถ้าเมาจริงงานเป็นอันล้มเหลวดังนั้นการแกล้งเมาได้ถือเป็นอาวุธอันร้ายกาจ


“โอ๊ะ...ขอโทษนะคะ” ผมแกล้งเดินเซไปชนเข้ากับหนึ่งในบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่


“ไม่เป็นไรครับ” พออีกฝ่ายเห็นว่าผมหน้าแดงก่ำก็ไม้คิดถือโทษ


“ต้องโทษที่ทำให้เสียงบรรยากาศนะคะ” ผมส่งยิ้มหวานไปทางเป้าหมายด้วยใบหน้าแดงก่ำคล้ายจะเย้ายวน


“...อ่า ฉันจะยกโทษให้ถ้าเธอมาดื่มกันสักแก้ว” ดวงตาของปีเตอร์ คลาร์มจ้องผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะแสยะยิ้ม


ติดกับล่ะ


“แน่นอนค่ะ” ผมส่งยิ้มก่อนจะเดินไปนั่งแนบชิดร่างอ้วนท้วม


“เหมือนจะเห็นเธอนั่งอยู่กับฮาเซลใช่ไหม”


“ก็ใช่ค่ะ แต่ผู้ชายน่าเบื่อแบบนั้นฉันไม่สนหรอก” ผมบอก


“แล้วสนแบบไหนล่ะ”


“แบบคุณ” ผมขยับปากไปกระซิบข้างหูอีกฝ่าย


“อยากลองกับฉันเหรอ” คำถามตรงๆ ดังขึ้น


“ได้ไหมล่ะคะ”


“แน่นอน เธอนี่สเปกฉันเลย ไปจองห้อง” ประโยคสุดท้ายปีเตอร์หันไปบอกหนึ่งในบอดี้การ์ด


“ครับ”


พวกหื่นนี่ติดกับง่ายกันซะจริง


เหล้าหนึ่งแก้วที่ถูกให้กินเรียกว่าแรงมากสำหรับผู้หญิง ถ้าเป็นผู้หญิงคงสลบไปแล้ว แต่พอดีผมไม่ใช่ผู้หญิง ทั้งที่บอกว่าจะยอมแท้ๆ สงสัยคงกลัวหนีไม่ก็คงกันไว้เพื่อความปลอดภัยละมั้ง ผมแกล้งทำเป็นล้มพับและปล่อยให้ถูกอุ้มขึ้นไปยงห้องด้านบน บอดี้การ์ดล่างใหญ่วางผมบนไว้บนเตียงก่อนจะถูกไล่ให้ออกไปรอด้านนอก


อ่า...


แบบนี้ขากลับท่าจะแย่แฮะ


แสดงเป็นคนเมาขนาดนี้จะให้เดินกลับออกไปโต้งๆ คงลำบาก


เอาเถอะ


มีแผนสำรองเผื่อสถานการณ์นี้อยู่แล้ว


ตอนนี้ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน


“มาเริ่มกันเถอะสาวสวย” เสียงแรงพร้อมแรงดึงจากข้อมูลทำให้ผมทำเป็นเซล้มลงกลางเตียง


“อื้อ...ขออาบน้ำก่อนนะคะ” ผมแกล้งปรือตาขึ้นทำเหมือนเพิ่งตื่นเงยหน้าพลางสบสายตานั้นอย่างยั่วยวน รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นพวกไม่ชอบรออะไรไม่มีทางยอมให้ไปอาบน้ำแน่ๆ


“อย่าเสียเวลาเลยน่า...” อีกฝ่ายพยายามจะปลดเสื้อผ้าผมซึ่งผมคงยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เลยพลิกบทบาทเป็นฝ่ายอยู่ข้างบนแทน


“ฉันชอบอยู่ข้างบนมากกว่า”


“โฮ่...เอาสิ แบบนี้เร้าใจดี” สายตาหื่นกามจับจ้องมาโดยบริเวณตักที่ผมนั่งเริ่มแข็งขืนขึ้น


เป็นคนแก่ที่คึกจังนะ


รอยยิ้มหวานถูกยกขึ้นพร้อมกับฝ่ามือผมค่อยๆ ปลดเสื้อผ้าของคนตรงหน้าแล้วลูบไล้แผ่นอกนั่นลงมาจนถึงหน้าท้องเรียกเสียงครางต่ำด้วยความพึงพอใจจนคนด้านล่างหลับตาเคลิบเคลิ้ม ผมไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปหยิบมีดขึ้นมาเตรียมในจังหวะเดียวกับไล่มือมายังขอบกางเกงแล้วใช้มีดด้ามเงินจัดการปักเข้ายังหัวใจอย่างแม่นยำ


“อึก...” มีเพียงเบาๆ เล็ดรอดออกมาหลังกดมีดลงไปจนสุดด้าม


จะเรียกว่าไปอย่างสงบคงได้อยู่มั้ง


ถือว่างานเสร็จล่ะนะ


“ถ้าจะโทษก็โทษตัวเองเถอะ” แต่จะบอกว่าเพราะเป็นคนไม่ดีถึงจำต้องถูกฆ่าก็ไม่ถูก


มันคงเป็นโชคชะตาละมั้ง


ผมไม่ได้ชอบการฆ่าเพียงแต่มันเป็นอาชีพที่ผมสามารถใช้ความสามารถของตัวเองได้เต็มที่ อีกอย่างการได้คิดวิธีฆ่าและหลบหนีก็เป็นหนึ่งในความสนุกอันน้อยนิดในชีวิตผม


“เรียบร้อย” เมื่อจัดการดูความเรียบร้อยเสร็จต่อไปคือการออกไปจากห้องนี้


ตอนเข้ามาผมถูกมองว่าเมาจนไม่มีสตินักขืนออกไปโต้งๆ คงน่าสงสัย แถมด้วยนิสัยของปีเตอร์ คลาร์มกว่าจะพอคงไม่ใช่แค่รอบสองรอบด้วย ความจริงการออกจากห้องนี้ของผมพอจัดการเสร็จก็จะทำเป็นกลัววิ่งหนีออกไปแต่ดูท่าคงต้องใช้แผนสำรองอย่างการปีนหนีไปยังห้องข้างๆ


ผมได้สำรวจทางหนีทีไล่มาอย่างดีรวมถึงแผนผังของห้องพักด้วย แต่ละห้องจะมีระเบียงที่ปิดมิดชิดไม่เห็นห้องอื่นๆ ทว่าสามารถข้ามไปได้ถึงจะเสี่ยงอันตรายไปสักหน่อยก็ตาม แค่เกาะผนังให้มั่นแล้วก้าวไปยังอีกฝากของกำแพง


“เอาล่ะ” ระเบียงของห้องสามารถไปได้แค่ทางขวาเพราะห้องนี้เป็นห้องริมสุดของทางเดิน


ทั้งที่น่าจะไม่มีอะไร


ทำไมลางสังหรณ์มันถึงร้องเตือนว่ามีบางอย่างรออยู่กัน


แผนสำรองผมมีอยู่อีกแผนก็จริงแต่พอชะโงกหน้าลงไปมองห้องชั้นล่างก็เห็นแสงไฟส่องสว่างอยู่ นั่นแปลว่าห้องด้านล่างมีคนอยู่ ส่วนห้องทางขวาที่ผมจะไปนั้นกลับปิดไฟมืดสนิท


ไม่รู้ว่าเพราะกังวลเกิดเหตุรึเปล่าลางสังหรณ์ถึงได้บอกว่าไม่ควรไป


“เลิกลังเลแล้วไปได้แล้ว” บอกตัวเองเสร็จผมก็ปีนขึ้นไปบนรั้วระเบียงโดยใช้มือข้างหนึ่งเกาะผนังไว้แน่นแล้วก้าวขาไปยังระเบียงอีกห้อง


ประตูห้องน้ำด้านในถูกเปิดออกในจังหวะเดียวกับที่ผมกระโดดลงมาจากรั้วริมระเบียง กระจกบานใสของระเบียงบวกกับแสงจากดวงจันทร์ทำให้สามารถมองเข้าไปในห้องได้โดยไม่จำเป็นต้องเปิดไฟ


ร่างสูงในชุดคลุมอาบน้ำหันมามองยังระเบียงเช่นเดียวกับผมที่ไม่ทันแม้แต่จะขยับตัว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองสะท้อนแวววาวอยู่ในความมือสลัวกำลังสั่นเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ปรากฏขึ้นเฉกเช่นเดียวกับผมที่ขมวดคิ้วแน่นมองหน้าคนด้านในอย่างไม่เชื่อสายตา


ลางสังหรณ์ผมมั่นแม่นสุดๆ


ดันมาเจอคนที่ไม่อยากเจอที่สุดในชีวิตแถมยังสองครั้งในวันเดียว!


ซวย!


นี่มันวันซวยของผมรึไง!


“ฮาเซล กอนซาเลซ” เสียงที่เอ่ยออกไปใกล้เคียงกับคำว่าเอือมระอา


“อยากเจอกันบอกดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องลำบากปีนระเบียงเลย” น้ำเสียงกึ่งตลกดังขึ้นพร้อมคนด้านในเดินมาเปิดประตูกระจกออกกว้าง


“ถ้ารู้ว่าต้องมาเจอคุณผมขอกระโดดลงไปข้างล่างดีกว่า” ผมกัดฟันบอก


“เกลียดอะไรฉันนักนะ”


“ทุกอย่าง”


“แต่ฉันอยากรู้จักนี่ ที่มาอยู่นี่แปลว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว?”


“ไม่เกี่ยวกับคุณ”


“ไหนๆ ก็เข้ามาข้างในก่อนสิ”


“ไม่” ผมตัดบทแล้วเตรียมจะปีนระเบียงไปยังอีกห้องหนึ่ง


“นี่...อย่าเสี่ยงดีกว่าน่า อยู่ด้วยกันจนถึงเช้าเดี๋ยวก็ออกไปได้แล้วจะรีบไปทำไม”


“ไม่อยากอยู่กับคุณ” คำตอบมันง่ายๆ แต่ก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด มันเสี่ยงที่จะปีนไปอีกห้องถึงจะปิดไฟแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคน


“แต่ฉันอยาก...มานี่” พูดจบข้อมือผมก็ถูกคว้าและดึงให้เข้าไปด้านในห้อง แม้จะสามารถสะบัดหลุดได้แต่ผมก็ทำเพียงถอนหายใจแรงๆ แล้วยอมถูกลากเท่านั้น


ต่อต้านไปเรื่องคงไม่จบง่ายๆ ดูจากเหตุการณ์ก่อนๆ ก็พอเดาได้


ฮาเซล กอนซาเลซเป็นคนดื้อดึงและเอาแต่ใจสุดๆ


“ปล่อย” ผมบอกเสียงนิ่ง


“ถ้าปล่อยก็เปิดช่องให้หนีน่ะสิ” อีกฝ่ายพูดราวกับอ่านใจได้


“ไม่หนีแล้ว น่ารำคาญปล่อยสักที” ผมสะบัดมือแรงแต่ก็ยังคงสลัดมือนั่นไม่หลุด


“ทำหน้าหงุดหงิดตลอดแบบนั้นไม่เหนื่อยเหรอ”


“เหนื่อย”


“งั้นก็ยิ้มหน่อย”


“ยิ้มไปคนเดียวเหอะ บอกให้ปล่อยไง!” ผมเริ่มขึ้นเสียงเมื่อดึงยังข้อมือก็ไม่หลุดจากการจับกุม


“ปล่อยก็ได้แต่มีข้อแม้”


“หึ งั้นไม่เป็นไร มือนี่ขอละกัน” มีดอีกเล่มถูกหยิบขึ้นมาหมายจะจัดการคนตรงหน้าทว่าเป้าหมายกลับรู้ทันหลบเลี่ยงได้


“อย่าใช้อาวุธอันตรายสิ”


ผมไม่ตอบแต่เริ่มเหวี่ยงมีดใส่ฮาเซลอีกรอบ การขยับที่สามารถหลบการเคลื่อนไหวของมืดได้นั้นอยู่ในสายตาของผมทั้งหมด ท่าทางแบบนั้นทำให้รู้ได้เลยว่าคนคนนี้มีทักษะการต่อสู้แถมไม่ใช่ระดับธรรมดาด้วย


อ่านทางมีดได้อย่างเฉียบคมแถมยังหลบในจังหวะเฉียดกับร่างกายมากที่สุดอีก


“ทักษะดีนี่” ผมไม่ได้อยากชมหรอกนะ


“คงไม่เท่านาย วางมีดเถอะ”


“ทำไม หลบได้อยู่แล้วไม่ใช่?” ผมเคลื่อนไหวเร็วเข้าไปเหวี่ยงมีดใส่ใบหน้าฮาเซลในระยะประชิด ด้วยความตกใจอีกฝ่ายเลยปล่อยมือผมเป็นอิสระซึ่งจังหวะนี้ผมเตรียมหันหลังกลับวิ่งไปยังระเบียงทว่าแขนกลับถูกดึงแล้วเหวี่ยงจนร่างกายตกลงบนเตียงด้านข้าง


ฮาเซลอาศัยช่องว่านั้นขึ้นคร่อมและจับข้อมือผมบิดแรงๆ จนมีดในมือหลุดออก ผมเงยหน้าขึ้นไปสบอีกฝ่ายด้วยความโกรธและไม่พอใจ


“ลงไป” ผมไม่ชอบให้ใครมาขึ้นคร่อม


ในงานผมอาจจำใจแต่ตอนนี้ผมไม่จำเป็นต้องทน


“อย่าหนีสิ”


“ฮาเซล กอนซาเลซ!” ผมเรียกชื่อเต็มแสดงให้เห็นว่าตอนนี้อารมณ์ผมไม่ได้ดีนัก


“...เราจะญาติดีกันไม่ได้เลยเหรอ”


“ใช่” ผมสวนกลับ


“ฉันไม่ได้เกลียดท่าทางแบบนี้หรอกนะ”


“...” ผมเลือกที่จะไม่ตอบโต้แต่สบตากับคนด้านบนอย่างเอาเรื่อง


“นี่ ไม่ชอบหรือกลัว...”


“ไม่ได้กลัว!” เพียงคำว่ากลัวถูกเอ่ยขึ้นผมก็เหวี่ยงหมัดด้วยมือข้างซ้ายใส่อย่างแรง ทั้งที่ควรจะโดนเต็มๆ แต่กลับวืดซะได้


“ดูออกง่ายกว่าที่คิด”


“ฮาเซล”


“ขอโทษ” คำด่าที่กำลังจะออกจากปากถูกหยุดลงทันทีที่ได้ยินคำขอโทษจากอีกฝ่าย


“...” ขอโทษอะไร


“ฉันไม่ทำอะไรหรอก” น้ำเสียงนุ่มนวลกับฝ่ามืออุ่นที่สัมผัสใบหน้าผมเบาๆ


ความร้อนจากฝ่ามือและสายตาอันอบอุ่นมันทำให้ความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสถาโถมเข้ามาภายในอก นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี...ครั้งแรกที่ถูกสัมผัสแบบนี้


คำพูดของฮาเซลราวกับรู้อดีตของผมเมื่อยามเด็ก เขาพูดถูกว่าผมกลัวการถูกคร่อมเพราะเมื่อตอนเด็กเคยถูกพวกผู้ใหญ่จะจับปล้ำผมในตอนนั้นทำได้แค่ดิ้นและส่งเสียงร้อง แรงของเด็กต่อให้พยายามแค่ไหนก็สู้ผู้ไม่ได้ ตอนนั้นเหมือนเป็นโชคช่วยที่ผมคว้าขวดแก้วได้เลยทุ่มให้อีกฝ่ายเต็มแรงจนหนีออกมาได้


ทว่ากลับฮาเซลในตอนแรกอาจกลัวแต่เมื่อถูกฝ่ามืออุ่นๆ สัมผัสอย่างอ่อนโยนราวกับกำลังถนอมสิ่งล้ำค่าผมกลับรู้สึกดี ทั้งที่รู้สึกดีแท้ๆ ทำไมจู่ๆ ความรู้สึกนึงก็แล่นเข้ามา...


น่ากลัว


คนคนนี้...น่ากลัว


“ปล่อยผม” แม้จะเอ่อยออกไปก็ทำใจไว้กว่าครึ่งว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมทำตาม


“อืม โทษทีที่ทำเรื่องที่ไม่ชอบ” ข้อมือและใบหน้าถูกปล่อยให้เป็นอิสระพร้อมฮาเซลที่ขยับไปนั่งข้างๆ


“...” ผมเงยหน้ามองคนด้านข้างในสภาพที่ยังนอนแผ่อยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจ


บทจะปล่อยก็ปล่อยง่ายๆ


“บอกชื่อกันไม่ได้จริงๆ เหรอ ฉันอยากรู้จักนายนะ”


“ไม่...”


“ถ้ายอมบอกฉันจะยกห้องนี้ให้ทั้งคืนเลย” ข้อเสนอนั่นดูหน้าสนใจไม่น้อย


“...เชื่อได้แน่รึเปล่า”


“แน่นอน” อีกฝ่ายพยักหน้า


“...เรเวน มาเกอร์” ผมเอ่ยชื่อตัวเองออกไปเบาๆ


ครั้งแรกเลยที่บอกชื่อจริงของตัวเองออกไป


“เรเวน มาเกอร์”


“ทีนี้ก็ออกไปได้แล้ว...เฮ้ย!” ฮาเซลทิ้งตัวลงพร้อมคว้าตัวผมที่กำลังลดการป้องกันตัวไปกอดแน่น


“เรเวน...เรียกเรย์ได้ไหม”


“ปล่อย! ไหนบอกว่าจะยกห้องให้ไง ออกไปสิ!” ผมไม่สนใจประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยพยายามง้างแขนฮาเซลออกอย่างสุดความสามารถ


“อืม ยกห้องให้ไงแต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่อยู่ด้วยสักหน่อย”


“คุณ!...” ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกผิดคำพูดแบบซึ่งๆ หน้า


ยังมีหน้ามาแถอีกนะ


น่าโมโหที่สุด


อย่าให้หยิบมีดได้นะจะแทงให้พรุนเลย!

.........................................................

มาต่อแล้วกับตอนต่อไป

ขอแจ้งอีกรอบนะคะ เรื่องนี้เราจะอัพอาทิตย์ละตอน ซึ่งจะมาช่วงกลางๆ อาทิตย์

อาจอัพไม่ถี่นักแต่ขอฝากผลงานไว้ในอ้อมอกของทุกคนด้วยนะคะ

ช่วงแรกเนื่องเรื่องยังไม่เข้มขนเข้าไหร่

อ่านสบายๆ ไปกับการกวนโมโหของฮาเซลและความโหดของเรย์

เพิ่งมานึกได้ว่าทั้งบทนำและตอนแรกยังไม่มีชื่อนายเอกออกมาเลยนี่นา 555

วันนี้ได้รู้ชื่อนายเอกกันแล้วนะคะ

ชื่อชื่อเรย์มาก ตั้งใจว่าสักวันจะให้ตัวเองในนิยายใช้ชื่อนี้แต่ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมาตั้งเป็นชื่อของนักฆ่าสุดโหดแบบนี้ พยายามคิดอยู่หลายชื่อแต่ยังรู้สึกไม่โดนเท่าชื่อเรย์ สงสัยทั้งเรย์และฮาเซลคงอยากคู่กัน อิ๊ว!

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeat Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่2« 20/09/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 21-09-2018 00:20:33
มาต่อสิ มาเยอะไป อยากอ่านรวดเร็วเดียวอ่ะ
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeat Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่2« 20/09/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-09-2018 03:04:41
ในที่สุดก็ได้รู้ชื่อเสียทีนะ หนูเรย์  o18
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeat Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่2« 20/09/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 21-09-2018 06:19:49
พระเอกเคยรู้จักเรย์แน่เลย
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeat Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่2« 20/09/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 22-09-2018 19:11:29
ทำไมรู้ไปหมดเลย แถมวางแผนมาดียังไง
ก็แพ้ทางฮาเซลหมด เรเวนโดนต้อนแล้วไหมล่ะ

จะโดนกักตัวได้นานไหมน้า หรือจะยอมปล่อยไปก่อน
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่3« 26/09/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 26-09-2018 19:43:01
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่3



ความทรงจำในคืนก่อนที่อยู่ค้างกับฮาเซล กอนซาเลซถูกเหวี่ยงทิ้งออกจากหัวทันทีที่ออกมาจากห้องนั้นได้ในเช้าวันต่อมา การถูกกอดอยู่ค่อนคืนสร้างภาระให้ร่างกายมากพอควร...ตลอดคืนผมพยายามหาช่องเผื่อจะหนีได้แต่อีกฝ่ายกลับไม่เปิดช่องเลยจนกระทั่งในช่วงเช้า


ไม่รู้ว่าจงใจหรือว่าอะไรแต่นั่นทำให้ผมรีบเด้งตัวลุกจากเตียงแล้วจากไปโดยครั้งนี้ไม่ลืมถีบอีกฝ่ายแรงๆ แทนคำขอบคุณอย่างสุดซึ้งจากผม


การออกจากโรงแรมไม่ใช่เรื่องยากอะไรเพราะก่อนออกจากห้องผมเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกชุดเพื่อไม่ให้เหมือนเป็นคนคนเดียวกัน ตอนออกมาก็แอบเหล่มองพวกบอดี้การ์ดที่กำลังเปิดประตูเข้าไปด้านใน...อีกไม่นานคงวุ่นจะให้อยู่รอเรื่องวุ่นคงไม่ใช่แนวผมด้วย ถึงภาพจากกล้องวงจรปิดอาจทำให้มีคนสงสัยถึงผู้หญิงที่เดินออกมาจากห้องของฮาเซลทั้งที่ไม่ได้เข้าไปก็เท่านั้นเพราะยังไงก็ตามสืบต่อมาถึงผมไม่ได้อยู่แล้ว อีกอย่างพวกตำรวจคงไม่มีใครกกล้าเสี่ยงจะไปขอสอบปากคำฮาเซลด้วย


วันเวลาได้ไหลผ่านไปท่ามกลางความหงุดหงิดที่เพิ่มมากขึ้น อดีตที่เหวี่ยงทิ้งไปถูกขุดขึ้นมาเป็นรอบที่สิบผ่านเนื้อหาทางเมลที่ส่งมาแทบทุกวัน วันแรกผมเปิดดูเมลตามปกติทว่าเนื้อหาของงานทำเอาผมต้องหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด


เนื้อหางานคือตอบเมลกลับตามคำถามที่ส่งไป


‘สบายดีไหมเรย์’


เนื้อหาของข้อความเพียงสองบรรทัดสร้างความปวดหัวให้ผมราวกับอ่านเนื้อหางานมาเป็นร้อยๆ หน้า มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะรู้ชื่อผมและเรียกว่าเรย์


จะเป็นใครล่ะนอกจากฮาเซล  กอนซาเลซ


คิดเหรอว่าผมจะตอบกลับไป


ไม่มีทาง!


ผมปล่อยเมลบ้าๆ นั่นไว้แล้วไปทำอย่างอื่นแต่รู้ไหมเมื่อผมกลับมาดูอีกรอบเจออะไร


เมลแจ้งโอนเงิน


จะจากใครล่ะถ้าไม่ใช่เจ้าของเมลบ้าๆ ก่อนหน้านี้


เงินของงานถูกโอนมาให้ล่วงหน้าทั้งที่ผมไม่ได้ตอบกลับไปสักคำคล้ายจะกดดันให้ผมต้องตอบ ยิ่งเหมือนถูกบีบให้ทำตามผมก็ยิ่งไม่สนใจจนทุกวันนี้เมลจากฮาเซลก็ยังคงส่งมาอยู่เรื่อยๆ ส่งมาสักพักก็จะตามด้วยการแจ้งโอนเงินเป็นแบบนี้มาเกือบเดือน


“น่ารำคาญ!” พอรู้ว่าเปิดเมลเข้าไปแล้วต้องเจอกับงานบ้าๆ อย่างชวนไปกินข้าวก็ไม่อยากเปิดเลยจริงๆ


เงินที่โอนมานี่รวมกันเกินล้านแล้ว


แลจะว่างมาก


แค่ว่างคงยังไม่พอขอเพิ่มคำว่าบ้าเพิ่มให้ด้วย


ตื้อไม่เลิกจริงๆ


ความจริงก็อยากจะตอบเมลกลับไปเพื่อให้หยุดทำบ้าแบบนี้สักทีแต่ก็กลัวว่าพออีกฝ่ายเห็นว่าผมเล่นด้วยก็จะได้ใจเข้าไปอีก ถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องน่าปวดหัวได้ตามมาเป็นพรวนแน่


“ต้องเอาไปคืน” ผมพึมพำพลางนึกถึงเงินในบัญชี


ไม่ได้รับทำงานแต่กลับได้รับเงินมามันใช่สิ่งที่ผมชอบ


ระหว่างที่คิดว่าจะคืนยังไงเมลฉบับใหม่ก็ปรากฏขึ้นและพอกดเข้าไปอ่านเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นอีกรอบ เนื้อหาภายในเมลยาวเพียงสองบรรทัดเอย่างทุกๆ ครั้งนี้กลับเหลือเป็นประโยคสั้นๆ ประโยคเดียวและไม่ใช่คำถามที่ต้องการให้ตอบกลับไป


‘อยากเจอ’


ประโยคสั้นๆ พร้อมหลักฐานการโอนเงินถูกแนบมาด้วยแถมจำนวนครั้งนี้คือ...


“ยี่สิบล้าน!!” ผมถึงกับตะโกนลั่นเมื่อเห็นจำนวนเงินในใบแจ้งโอน


จะบ้าตายจริงๆ


คุณต้องการอะไรเนี่ยฮาเซล กอนซาเลซ


อยากเจอเหรอ


ได้!


“ถ้าอยากเจอมากเดี๋ยวจะไปเจอให้!” ผมพูดพลางชี้นิ้วไปทางเมล บ่นใส่ราวกับทุกคำบ่นจะถูกส่งไปถึงเจ้าของเมลได้


ไม่กี่วันต่อมาผมได้มาหยุดยืนอยู่ด้านของตึกสูงกว่า 9 ชั้นของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังในชุดคนทำงานเพื่อไม่ให้ผิดแปลกจนเกินไป เส้นผมสีดำถูกเซตเล็กน้อยให้เข้ากับบุคลิกพนักงานบริษัทมากขึ้น ตึกสีขาวล้วนตรงหน้ามีเจ้าของเป็นถึงบุคลดังระดับโลก


ใช่


จะเป็นใครล่ะถ้าไปใช่ฮาเซล กอนซาเลซเจ้าเดิม ในเมื่อทางนั้นอยากเจอนักผมก็จะทำตามต้องการโดยมาหาถึงบริษัท


“หึ...” แค่คิดถึงใบหน้าตกใจของอีกฝ่ายก็ทำอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก


ผมไม่คิดว่าฮาเซลจะเดาถูกหรอกนะว่าผมจะมาหาถึงที่แบบนี้


ห้องทำงานของฮาเซลอยู่ชั้น 9 ซึ่งเป็นชั้นบนสุด การจะขึ้นไปนั้นถ้าเป็นคนนอกจำเป็นต้องติดต่อเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ด้านหน้าซะก่อน แต่สำหรับผมนั้นไม่คิดจะทำอะไรแบบนั้นหรอกเพราะรู้ได้โดยไม่ต้องลองว่าพนักงานจะพูดว่าอะไร


ได้นัดไว้ไหมคะ


และเมื่อตอบว่าไม่คำพูดต่อมาก็คงไม่พ้น


ถ้าไม่ได้นัดคงให้พบไม่ได้ค่ะ


แน่ๆ


เมื่อรู้ผมเลยวางแผนมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว วิธีการเข้าไปโดยไม่ต้องผ่านเคาน์เตอร์และยังไม่น่าสงสัยก็ทำได้ง่ายมากๆ เพียงแค่เดินตรงเข้าไปด้วยใบหน้านิ่งๆ ราวกับมาที่นี่อยู่เป็นปกติ พอเจอเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เดินผ่านไปโดยไม่ทำตัวมีพิรุจ เพียงเท่านี้ผมก็สามารถไปยังลิฟต์ได้สบายๆ


แผนนี้สามารถใช้ได้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีจำนวนพนักงานหลายร้อยไปจนถึงหลายพันคน ถึงจะมีคนรักษาความปลอดภัยสัก 10 หรือ 20 คนผมก็กล้าฟันธงเลยว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะจำหน้าพนักงานได้หมดทุกคน ทำให้สามารถแผงตัวเข้าไปได้ไม่ยากแต่มันก็เป็นเพียงด่านแรกของการไปยังห้องเจ้าของบริษัท


ทุกบริษัทมักจะมีระบบรักษาความปลอดภัยภายในแน่นหนากว่าภายนอก เข้ามาได้แล้วก็จริงแต่การจะไปถึงยังชั้น 9 จำเป็นต้องใช้คีย์การ์ดเฉพาะซึ่งมีอยู่กับผู้บริหารระดับสูงขององค์กรไม่ก็ได้รับอนุญาติให้ขึ้นไป ผมก็พูดให้ดูยากไปงั้นแหละ ความจริงถึงไม่มีคีย์การ์ดก็ขึ้นไปชั้น 9 ได้สบายๆ คีย์การ์ดน่ะไว้ใช้กับลิฟต์...เพราะงั้นก็แค่ไม่ใช้ลิฟต์ก็พอแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นต้องร้อยทั้งร้อยก็ต้องมีอยู่แล้ว...บันไดหนีไฟน่ะ


โดยปกติบันไดหนีไฟไม่มีใครใช้หรอกแถมยังเปิดไว้แทบตลอดไม่ได้ล๊อกไว้ ถ้าให้เดาคงไม่ล๊อกจากด้านนอกแต่ล๊อกจากด้านในแทน ถ้าจะเปิดจากด้านในก็จะมีรหัสสำหรับปลดล๊อก ด้วยฝีมือระดับผมคงไม่คิดว่ามาตรงนี้โดยไม่วางแผนอะไรไว้หรอกนะ


คืนเดียวก็มากพอแล้วสำหรับการสืบหารหัส จากข้อมูลเหมือนรหัสจะถูกเปลี่ยนทุกเดือนเพื่อความหลอดภัยและวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายก่อนรหัสใหม่จะถูกตั้ง


“111111” ผมพึมพำระหว่างกดตัวเลขบนหน้าจอบนชั้น 9


ไม่ตองถามก็รู้ว่าใครตั้งรหัส


เล่นเลขเดียวกันหมดแบบนี้คงสนุกมากเนอะฮาเซล กอนซาเลซ


ถ้ามีคนบุกเข้าไปจะขำกลิ้งให้ดู!


ในส่วนของกล้องวงจรปิด จริงอยู่ว่าในทุกๆ ชั้นของบันไดหนีไฟจะมีอยู่ 1 ตัวทว่ากล้องตัวเดียวมันหลบได้ง่ายซะจนน่าเบื่อ มุมอับของกล้องถ้าค้นคว้าสักหน่อยก็หาได้ไม่ยาก เพียงแค่ต้องฝึกหลบให้คล่องๆ หน่อยเท่านั้น


“ขอรบกวนหน่อยละกัน” บนชั้น 9 ถูกตกแต่งในโทนสีสะอาดอย่างสีขาว เงินและทองอ่อนให้ความรู้สึกหรูหราอย่างมีระดับช่างเหมาะสมกับตัวเจ้าของ


ทางเดินถูกปูด้วยกระเบื้องลวดลายแปลกตา ด้านข้างมีต้นไม้วางประดับเพิ่มความสดชื่น ทั้งชั้นมีเพียงประตูบานเดียวตรงหน้าลิฟต์ เรียกว่าพอขึ้นลิฟต์มาถึงก็ไม่ต้องเสียเวลาเดินหา หน้าต่างด้านข้างถูกติดด้วยกระจกที่ไม่สามารถมองเห็นด้านในได้ แต่ถ้ามองจากด้านในจะเห็นด้านนอกให้ชัดเลยล่ะ


ผมเดินหลบกระจกเหล่านั้นมาจนถึงบานประตูสีเงิน ด้วยสัญชาตญาณทำให้ผมทรุดตัวแล้วแนบหูฟังด้านในโดยอัตโนมัติ และเหมือนจะเป็นโชคดีที่สามารถฟังเสียงบทสนทนาภายในได้


“...เหมือนจะช้าไปนะฮาเซล กอนซาเลซ” เสียงทุ้มของใครสักคนเรียกให้ผมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อจะได้ฟังถนัดขึ้น


“เห็นแบบนั้นเหรอ” เสียงนี้ผมจำได้เสียงของฮาเซล


“ยังนิ่งได้อยู่อีกนะ”


“แล้วทำไมฉันต้องตื่นตระหนกด้วย?” ขนาดผมเป็นเพียงผู้ฟังยังรู้สึกอารมณ์เมื่อได้ยินน้ำเสียงยียวนของฮาเซล ให้เดาอีกฝ่ายที่ได้ยินคงมีอารมณ์ไม่ต่างจากผมนัก


“นี่แกไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้รึไง” น้ำเสียงหงุดหงิดจากคู่สนทนาเพิ่มความสงสัยถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี่มากกว่าเดิมจนผมอดใจไม่ไหวที่จะแอบมองเข้าไปด้านในผ่านแผ่นกระจกที่ติดอยู่กับบนประตูซึ่งโชคดีที่สามารถมองทะลุเข้าไปด้านในได้


สถานการณ์ตรงหน้ามีภาพของคน 10 คนแยกกันออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งละ 5 คนซึ่งทั้งสองฝั่งยกวัตถุสีดำหรือก็คือปืนจ่อใส่กันอยู่ จะพูดว่าถือปืนทั้งสองฝ่ายก็ไม่ถูกเพราะเหมือนว่าฮาเซลจะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ถือปืนไว้ ไม่สิ ไม่ใช่ไม่ถือแต่คงถือไม่ได้ดูจากสภาพมือของฮาเซลค้างอยู่ก่อนจะถึงปืนซึ่งเหน็บไว้ข้างเอว


ภาพตรงหน้าอธิบายสถานการณ์ทุกอย่างได้ชัดเจน ทั้งคู่คงมีเรื่องอะไรกันสักอย่างจนสุดท้ายก็หันมาใช้อาวุธ และดูจากสถานการณ์แล้วฮาเซลกำลังเสียเปรียบ


“ก็บอกแล้วว่าอย่าประมาท” ผมพึมพำเสียงเบา


กะจะมาให้ตกใจสักหน่อย แบบนี้จะเอายังไงต่อดีนะ


กลับดีไหม


ยังไงมันก็ไม่ใช่กงการของผมที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายโดยไม่จำเป็น


‘อยากเจอ’


อยู่ๆ ข้อความบนเมลก็ปรากฏขึ้นในหัว


ผมมองหน้าฮาเซลสลับกับคู่กรณี รูปร่างหน้าตาแบบนั้นผมเคยเห็นมาก่อน...โจ บาเลสเตอร์เจ้าของธุรกิจผิดกฎหมายมากมายนับไม่ถ้วนไล่ตั้งแต่ทำสวนปลูกฝิ่น ผลิตยาและค้าเอากำไรมหาศาลไปจนถึงธุรกิจดำมืดอย่างค้ามนุษย์ หนึ่งในผู้มีอิทธิพลระดับอันตรายทว่าถ้าเทียบกับอำอาจของฮาเซลยังต่างกันมากนัก


ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรกัน


จะกลับหรือไม่กลับดีเนี่ย


ในหัวผมกำลังไล่สองคำนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดสมอง


“เฮ้อ...” สุดท้ายเสียงถอนหายใจแผ่วๆ ก็ดังขึ้น หัวร้อนจนไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว ในเมื่อใช้สมองตัดสินไม่ได้ก็ใช้อย่างอื่นละกัน


“จะช่วยแค่ครั้งนี่เท่านั้น” ไม่เข้าใจว่าใช้อะไรตัดสินถึงได้คำตอบออกมาว่าช่วย


เอาเถอะ


ช่วยก็ช่วย


ดวงตาสีอ่อนภายใต้คอนแทคเลนส์สีเข้มของผมเงยขึ้นมองเพดานด้านบนก่อนจะยกยิ้มขึ้นเมื่อแผนการผุดเข้ามาในหัวเรียบร้อย ผมอาศัยของรอบๆ อย่างกระถางต้นไม้เพื่อเป็นฐานในการกระโดดขึ้นไปยังฝ้าเพดานด้านบน


ตึง!


เสียงของแรงปะทะทำให้เกิดบุคลภายในห้องส่งเสียงกระสับกระส่ายพอสมควร ด้านบนของเพดานก็เป็นอย่างที่คาด เพราะเป็นชั้นบนสุดเลยมีค่อนข้างกลวงแล้วยังมีคานสำหรับก้าวไปได้ง่ายๆ เพียงไม่กี่ก้าวผมก็มาถึงด้านในห้องส่วนด้านหลังของโจ บาเลสเตอร์


“ข้างนอกไม่มีอะไรครับบอส” ลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามารายงานเจ้านายอย่างโจ


คงจะให้ไปดูต้นตอของเสียงละมั้งแต่เสียใจด้วยนะที่ช้าไปหน่อย กว่าจะออกคำสั่ง กว่าจะเดินออกมาผมก็จัดการปิดช่องว่างบนเพดานเสร็จไปนานแล้ว


“บอกมาว่านั่นเสียงอะไร” โจหันไปถามฮาเซลที่ยังคงยืนนิ่งอยู่เหมือนเดิม


“ไม่รู้สิ”


“แกยังจะมีหน้ามาเล่นอีกเหรอฮาเซล ไม่ได้รู้สถานการณ์เลยใช่ไหม”


“ฉันไม่ได้เล่นแค่ตอบไปตามตรงเท่านั้น”


“เอาเถอะ ถ้ามีอะไรตุกติกฉันจะยิงหัวแกทันทีเลย”


“กลัวจัง” ปากฮาเซลบอกว่ากลัวทว่าแววตากลับไม่แสดงออกเช่นนั้น ส่วนตัวผมนั้นแอบลอบมองผ่านช่องว่างของเพดานเพื่อหาจังหวะอยู่


“คิดจะกวนอีกนานไหม ถ้าไม่อยากตายก็ยอมตกลงซะ!” เสียงตะหวาดอย่างหมดความอดทนดังขึ้น


“บอกแล้วไงว่าไม่” แม้จะอยู่ในสถานการณ์กดดันก็ยังคงไม่ยอมง่ายๆ


ข้อตกลงที่ว่าคืออะไรกัน ถึงจะไม่รู้แต่ก็พอเดาได้ว่าข้อตกลงนั้นต้องสร้างปัญหาให้ไม่น้อยฮาเซลจึงไม่ยอมตกลงแม้จะอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ


“แกก็ค้าอาวุธอยู่แล้วทำไมถึงขายให้ฉันไม่ได้เล่า!!” โจ บาเลสเตอร์ตะโกนเสียงดัง


“...แบบนี้นี่เอง” ความสงสัยถูกไขทันทีที่ได้ยิน โจ บาเลสเตอร์คงอยากให้ฮาเซลขายอาวุธเพื่อไปทำเรื่องอะไรสักอย่างแต่ฮาเซลไม่ยอมขายก็เลยต้องใช้กำลังบังคับ


“ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องขายให้นี่นะ”


“คงรู้เรื่องที่ฉันต้องการอาวุธไปทำอะไรสินะ คิดจะทำตัวเป็นคนดีรึงไง”


“เปล่า คนดีที่ไหนค้าอาวุธล่ะ” ฮาเซลกวนกลับ รอยยิ้มมุมปากนั่นน่าโมโห


“ถ้าไม่ยอมตกลงคงไม่มีทางเลือกนอกจากให้แกตาย” น้ำเสียงเอาจริงนั่นดูจะไม่ใช่คำขู่ ปืนกระบอกสีดำขยับเข้าใกล้ฮาเซลมากขึ้นพร้อมนิ้วที่กำลังจะเหนี่ยวไก “ตกลงสิ ถ้าฉันสั่งให้ยิคนของแกรวมทั้งแกก็จะตายทันที!”


“...” ฮาเซลยืนนิ่งๆ โดยใช้สายตาจับจ้องไปยังโจ บาเลสเตอร์


“ทำไมทำหน้าแบบนั้น แค่ปืนกระบอกเดียวยังหยิบไม่ได้คิดว่าจะทำอะไรในสถานการณ์นี้ได้รึไง!” เสียงตะโกนอย่างขาดสติถือเป็นจังหวะเหมาะให้ผมถีบเพดานแล้วกระโดดลงไปด้านล่าง


วัตถุสีดำหรือปืนขนาดพกพาส่วนตัวของผมจ่อเข้าบริเวณศีรษะของโจ บาเลสเตอร์ ความเย็นของปืนที่แนบสนิทดูจะทำให้อีกฝ่ายชะงักด้วยความหวาดกลัวพอสมควรเพราะร่างกายนั่นเริ่มสั่นน้อยๆ


ทั้งห้องเงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงตื่นตระหนกทั้งที่มีผมเพิ่มเข้ามาในห้องอีกคน ความจริงทุกคนต่างตกใจทว่าไม่มีใครกล้าขยับตัวอาจเพราะถ้าเบี่ยงปืนมาทางนี้ก็เผยโอกาสให้อีกฝ่ายหนึ่งยิงสวน สายตาทุกคู่เหล่มองมาทางผมด้วยความสงสัยว่าเป็นใคร มาจากไหนและมาทำไม จากที่ดูคงมีแค่ฮาเซลคนเดียวที่รู้ว่าผมคือใคร รอยยิ้มมุมปากกับดวงตาสีสว่างมองมายังร่างผมคล้ายจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


“ให้ยิงไหม” ผมเอ่ยถามตรงๆ ในเมื่อไม่มีใครเปิดการสนทนาผมเลยเลือกเป็นคนเปิดเอง


ถือปืนนานๆ เมื่อยใช่เล่นนะ


“จะยิงฉันไปด้วยงั้นสิ”


“หึ...น่าสนแฮะ” จะว่าไปตำแหน่งยืนนี่ถ้ามีปืนดีๆ คงยิงได้ทีเดียวสองคนรวด


“แต่ปืนนั่นคงมาไม่ถึงฉันล่ะมั้ง” ฮาเซลพูด


“รู้ดี” พูดถูกแล้ว  ปืนนี่ไม่ได้มีประสิทธิภาพขนาดนั้นก็แค่พกไว้ป้องกันตัวเผื่อกรณีฉุกเฉิน พลังในการทะลวงให้ได้ถึงสองคนน่ะทำไม่ได้หรอก แต่ถ้ายิงคนนึงให้ล้มก่อนก็เป็นอีกเรื่อง


“ฮาเซล แกวางแผนไว้” เสียงสั่นปนโกรธแค้นดังขึ้นจากโจ บาเลสเตอร์


“เปล่า”


“อย่ามาโกหก แกทำให้ตอนแรกฉันดูเหนือกว่าแล้วก็ให้ลูกน้องมาซ่อน...”


“เดี๋ยวๆ คุณโจ บาเลสเตอร์ ผมขอแทรกหน่อยนะ คือผมไม่ใช่ลูกน้องเขา” ผมรีบพูดแทรกก่อนที่หลายๆ คนจะเข้าใจผิดไป ท่าทางและการกระทำของผมในตอนนี้เหมือนเป็นลูกน้องของฮาเซลตรงไหนกัน


“ไม่ต้องมาไขสือ ถ้าแกไม่ใช่ลูกน้องมันแล้วมาจะเข้ามายุ่งเรื่องนี้ทำไม!”


“พอดีเดินผ่านมาแล้วเกิดสงสัยนิดหน่อย  จะเอายังไงมือผมเมื่อยแล้วนะ” ผมมองหน้าฮาเซลเพื่อเอาคำตอบ การถือปืนนานๆ ไม่ใช่งานถนัดของผม เข้าประชิดตัวอีกฝ่ายแล้วยิงอย่างรวดเร็วนั่นต่างหากเป็นสิ่งที่ผมถนัดกว่า


“ไหนบอกไม่ใช่ลูกน้องฉันไง จะฟังที่ฉันสั่งเหรอ” รอยยิ้มกวนๆ นั่นทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา


“หึ ทิ้งปืนให้หมด ผมหมายถึงทุกคนที่ถือปืน” ผมบอกกับคนทั้งห้องแต่ดูเหมือนบอดี้การ์ดของฮาเซลจะคิดว่าผมให้พวกลูกน้องโจ บาเลสเตอร์ทิ้งปืนเท่านั้นเลยยังถือปืนอยู่ พอได้ยินอีกรอบพวกเขาก็ทำหน้างงแต่ก็ยอมทิ้งปืนโดยดี


“คิดจะทำอะไร” โจ บาเลสเตอร์ถาม


“นั่นสิ เอาตรงๆ นะว่าผมไม่อยากวุ่นวายแล้วก็ไม่อยากยิงปืนด้วยเดี๋ยวเลือดกระเด็นมาโดนจะแย่เปล่าๆ ” ความจริงคือกระสุนมันแพงแทนที่จะเอาเงินไปซื้อกระสุนเอาไปนั่งร้านบุฟเฟ่ของหวานคุ้มกว่ากันเยอะ ถ้าให้เลือกระหว่างยิงกระสุนกับสู้มือเปล่าผมคงเลือกมือเปล่าโดยไม่ลังเลเลย


จะได้เก็บกระสุนไปใช้งานอื่นที่จำเป็นกว่า


“...แกเป็นใคร” คำพูดผมเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายเดาได้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา


“ไม่จำเป็นต้องบอก”


“...”


“ในเมื่อผมเป็นคนคุมสถานการณ์นี้ก็ขอจัดการแบบนี้ละกัน เอาเป็นว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นพวกคุณก็กลับไปซะเถอะ”  การฆ่าโดยไม่ใช่งานมันไม่ใช่แนวทางผมถึงจะสามารถฆ่าได้ก็ตาม


“เข้าใจแล้ว...”


“ดี” ผมละปืนออกมาจากหัวอีกฝ่าย


“คิดว่าฉันจะพูดแบบนั้นรึไง! จัดการมัน! ถ้าไม่ใช่ลูกน้องของฮาเซลมันก็ไม่มีพวกหรอก!” คำสั่งจากโจ บาเลสเตอร์ดังขึ้นทันทีที่ผมลดปืนลง ลูกน้องสี่คนวิ่งตรงเข้ามาหาด้วยร่างกายอันกำยำไม่ว่าใครมองก็รู้ทันทีว่าใครเสียเปรียบ ถ้าดูแค่ภายนอกล่ะก็นะ...


หมัดขวาของหนึ่งในลูกน้องพุ่งมาจากมุมอับในด้านหลังทว่าผมกลับเบี่ยงหลบหมัดได้ในเสี้ยววินาทีก่อนหมัดนั้นจะถึงตัวและใช้ศอกสวนกลับไป


“อุก...” ร่างอันกำยำทรุดลงไปกองกับพื้นในเวลาไม่นาน อีกสามคนชะงักเมื่อเห็นทักษะของผมแต่มีเหรอที่ผมจะปล่อยไปง่ายๆ
ผมให้โอกาสกลับไปดีๆ แต่พวกเขาไม่รับไว้เองจะมาโทษกันที่หลังไม่ได้นะ


ผมพุ่งตัวเข้าไปหาคนแรกพร้อมใช้มือคว้าคออีกฝ่ายแล้วเสยเข่าเข้าใบหน้าไปเต็มๆ อีกคนที่อยู่ไม่ไกลตั้งการ์ดขึ้นเพื่อป้องกันลำตัวโดยที่ไม่รู้ว่าผมเล็งช่วงขาไม่ใช่ช่วงลำตัว...มันอาจดูยากในการล้มคนตัวใหญ่แต่สำหรับผมไม่ใช่


เพียงแค่เตะเข้าไปยังข้อเท้าให้ขายกขึ้นแล้วอาศัยจังหวะนั้นเตะเข้ายังขาอีกข้างร่างของชายร่างกำยำก็ล้มลงกองกับพื้น ผมเอื้อมมือไปคว้าแขนคนสุดท้ายไว้แล้วดึงเพื่อให้เสียศูนย์...อาจเพราะเห็นฝีมือผมเลยทำให้อีกฝ่ายมีท่าทีหวาดกลัวนั่นเลยเป็นจุดให้ผมชกเข้ายังท้องได้เต็มๆ หมัด


“อ้อ...เหมือนจะเหลืออีกคน” ผมทำท่านึกออกพลางเดินไปหาโจ บาเลสเตอร์ที่ขยับหนีจนหลังแนบสนิทกับผนังห้อง


“จะ...ทำอะไร ฉันจะกลับแล้ว”


“โทษทีนะ ตอนนี้คงให้กลับไปง่ายๆ ไม่ได้หรอก” ผมมองหน้าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มมุมปากก่อนจะหมัดขึ้นเหวี่ยงเข้าใบหน้าอวบสุดแรง


คู่ต่อสู่ 4 คนและอีก 1 บอสถูกจัดการเรียบในเวลาไม่กี่นาที


บอกให้กลับดีๆ ไม่ยอมผมเลยต้องมาเสียเหงื่อเลยเห็นไหม


“สุดยอด” เสียงตบมือจากฮาเซล กอนซาเลซดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ


“อยากโดนแบบเดียวกัน?”


“อย่าพูดแบบนั้นน่า ช่วยได้พอดีเลย”


“บอกแล้วไงว่าอย่าประมาท คุณประมาทเกินไปถึงได้เกือบแย่แบบนี้ไง” ถ้าผมไม่มาป่านนี้คงถูกยิงตายไปแล้วมั้ง


“อืม”


“ตายขึ้นมาผมจะตามไปหัวเราะถึงในงานเลย”


“ไม่ตายหรอก”


“มั่นใจจังนะทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังถูกปืนจ่ออยู่เลย”


“ต่อให้ถูกปืนจ่อใช่ว่าจะจัดการไม่ได้ คงไม่ลืมนะว่านี่คือห้องฉัน”


“หมายความว่าไง” จะบอกว่าสามารถรอดจากสถานการณ์นั้นได้งั้นเหรอ


“เห็นนี่ไหม” ฮาเซลชี้ลงไปยังพื้นกระเบื้องบริเวณปลายเท้า


“...อะไร”


“มันเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน แค่กดลงไปนอกจากจะเรียกบอดี้การ์ดคนอื่นมาแล้วยังปล่อยระเบิดควันด้วย”


“...” ผมถึงกับเงียบเมื่อได้ยิน


แปลว่าต่อให้ไม่มีผมฮาเซลก็สามารถกดปุ่มนั่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจแล้วหยิบปืนขึ้นมาแถมยังเรียกคนมาเพิ่ม เรียกว่าสถานการณ์พลิกกลับอย่างสมบูรณ์ นั่นหมายความว่าถึงผมไม่มาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน


บ้าเอ้ย!


นี่ผมทำอะไรลงไปเนี่ย


เหมือนเอาฝีมือมาอวดเลย


น่าขายหน้า!


น่าขำ!


อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีแล้ว!


“ตกใจที่เห็นนะเรย์”


“ขอตัว” ผมเตรียมหมุนตัวเดินออกจากห้อง


อยากออกไปจากสถานการณ์นี้แล้วล้างสมองลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นซะให้หมดไม่ว่าจะความโง่หรือความอับอายของตัวเองที่ดันหลงเข้ามาช่วยอีกฝ่ายที่ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือเลยสักนิดเดียว


“เดี๋ยวสิ” อีกฝ่ายเอื้อมมือมาคว้าแขนผมไว้ในจังหวะที่นึกเหตุผลของการมาเยือนที่นี่ออกพอดิบพอดี


“อ้อ ลืมธุระที่มานี่เลย” ผมดึงมืออีกฝ่ายทิ้งแล้วหยิบเช็คเงินล่าสุดที่ได้ยื่นให้เจ้าของ


“อะไร”


“ไม่ต้องมาทำหน้างง เงินที่คุณโอนมาไง อยากจะบ่นมานานแล้ว เลิกส่งเมลมากวนกันทุกวันสักทีแล้วก็เลิกโอนเงินมาให้ได้แล้ว ถ้าว่างนักก็เอาเวลาไปกลิ้งตัวทำความสะอาดพื้นห้องไป!” ผมระบายทุกอย่างที่อัดอั้นออกไป


เงินทุกบาทถูกเขียนอยู่บนเช็กนี่หมดแล้ว


“ฉันไม่รับ”


“รวยมากจนทิ้งเงินยี่สิบล้านได้ง่ายๆ เลย?”


“เปล่า...ก็นายทำงานสำเร็จนี่ก็ต้องให้ค่าจ้างถูกแล้ว”


“ทำงานสำเร็จ? พูดอะไร” ผมยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง


“ทำหน้างง เมลเมื่อวันก่อนเขียนไว้ว่าอะไรจำได้รึเปล่า” คำถามของฮาเซลเรียกให้ดวงตาสีอ่อนของผมเบิกกว้างขึ้น


“...อยากเจอ” นั่นคือประโยคเดียวที่เขียนอยู่ในเมล


“ใช่ ฉันเจอและก็ได้เจอจริงๆ เพราะงั้นเงินนี่เป็นของเรย์”


“เอาเงินมาเล่นไร้สาระ”


“งั้นเหรอ”


“ยังไงผมก็จะคืน” ผมไม่ยอมรับเงินจำนวนขนาดนี้เพียงแค่งานง่ายๆ อย่างมาเจอหรอก


“ฉันไม่รับ”


“ฮาเซล!”


“อะไร”


“อย่ามากวน รับเช็คนี่ไป” ผมคว้ามืออีกฝ่ายให้แบบอกและวางเช็คลงทว่าฮาเซลกลับจับมือผมไว้แน่นแล้วเอาเช็คใบเดิมยัดใส่มือผมอีกรอบ


“ไม่”


“คุณนี่มัน...”


“นี่เรย์ ถ้าลำบากใจงั้นช่วยรับทำงานให้ฉันได้ไหมล่ะ” อยู่ๆ น้ำเสียงกวนๆ ก็แฝงความจริงจังขึ้นมา


“...งานอะไร” ผมนิ่งสักพักก่อนถามกลับ


“มาเป็นบอดี้การ์ดให้ฉัน”


“มีอยู่แล้วไม่ใช่” ผมพูดพลางมองไปยังบอดี้การ์ดที่กำลังจัดการกับร่างของเหล่าลูกน้องโจ บาเลสเตอร์อยู่รอบๆ นอกจากนี้การค้นหาข้อมูลเมื่อครั้งก่อนลิสรายชื่อของบอดีการ์ดที่ฮาเซลจ้างมานั้นยาวเป็นหางว่าว นับคร่าวๆ ก็เกิน 20 คนได้


มีเยอะขนาดนั้นยังจะให้ผมมาเป็นบอดี้การ์ดอีกเพื่อ?


“ช่วงนี้ค่อนข้างอันตรายเลยอยากได้คนมีฝีมือมาช่วยเผื่อเกิดอะไรขึ้น”


“ก็อยากทำเรื่องให้คนอื่นหมันไส้ทำไมล่ะ” ผมกวนกลับ ไม่ว่าใครก็คงไม่ชอบให้ใครเด่นมากนักหรอก...กับฮาเซลนอกจากจะเด่นแล้วยังเปี่ยมไปด้วยอิทธิพลและอำนาจ


ไม่แปลกใจที่จะมีหลายคนไม่ชอบหน้าหรืออยากกำจัดให้พ้นทาง


“ฉันผิด?”


“ขอข้อมูลมากกว่านี้” แค่นี้มันไม่พอที่จะตัดสินใจหรอก


“อยากรู้อะไรล่ะ”


“ระยะเวลา สถานที่ที่ผมต้องดูแลคุณและอื่นๆ อย่างพวกต้องการให้ผมปลอมตัวยังไง”


“ระยะเวลาไม่แน่นอนอาจจนกว่าจะจัดการคนที่อยู่เบื้องหลังได้”


“อย่างอื่นล่ะ”


“ถ้าเป็นไปได้อยากให้คอยคุ้มกันตลอด ส่วนเรื่องปลอมตัวแล้วแต่นายเลย”


“ตลอดเวลานี่คิดจะให้ผมไปอยู่ด้วย?”


“แน่นอน มานอนด้วยกันเถอะ อุ๊ก!...” ไม่ต้องรอให้พูดจบประโยคผมจัดการชกเข้าที่ท้องอีกฝ่ายจนนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด


“ผมรับงาน เพียงแต่ถ้ามาก้าวก่ายกันเกินไปมือไม้ผมอาจกระตุกได้ง่ายๆ ”

................................................

มาต่อแล้วค่า

ความโหดของเรย์ยังคงทวีความรุนแรงขึ้นยามได้อยู่กับฮาเซล 55

ถึงอย่างงั้นก็ยังมีมุมที่อยากมาหา อิ๊วว

พอได้แต่งถึงได้รู้ว่าเรานี่สงสัยจะชอบให้เคะโหดนะเนี่ย พอเห็นพระเอกถูกกระทำแล้วรู้สึกชอบอย่างบอกไม่ถูก

หวังว่าทุกคนเองก็คงจะชอบทั้งเรย์และฮาเซลนะคะ

ตอนหน้ามันส์แน่แถมเป็นพาทที่ฮาเซลเล่าเรื่อง บอกได้แค่ไม่ธรรมดาาา...ขอสปอยเล็กๆ อิอิ

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์นะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่3« 26/09/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 26-09-2018 20:10:20
ฮาเซลก็ตรงเกิ๊นนน 
รออ่านพาร์ทพระเอก  :-[
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่3« 26/09/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 27-09-2018 03:07:09
ได้งานแบบนี้ ทำไปเลยลูกเรย์ เอาเงินไว้ก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน  :hao3:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่3« 26/09/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 27-09-2018 18:03:24
55555 เรย์ต้องแพ้ทางฮาเซลแน่เลย
ฮาเซลก็ชัดเจนมาก ตรงไปอีก
อยากรู้แล้วว่าทำไมถึงเหมือนรู้ตัวตนเรย์
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่3« 26/09/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: PK.Kenaf ที่ 30-09-2018 00:23:32
ชอบบบบบบ มีความตอบโต้กันไปมา หุยๆ อ่านไปยิ้มไปเลยค้าบบบ
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่4« 3/10/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 03-10-2018 19:45:49
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่4




ช่วงเช้าของการเริ่มต้นวันใหม่อันแสนน่าเบื่อกลับดูตื่นเต้นขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์เมื่อวาน บ้านหลังใหญ่เทียบเคียงกับคฤหาสน์มีระบบรักษาความปลอดภัยชั้นยอดตั้งแต่หน้าประตูมาจนถึงในตัวบ้าน ทุกๆ วันจะมีบอดี้การ์ดอย่างน้อย 4-6 คนคอยตามประกบอยู่แทบทุกฝีก้าว ทั้งที่ความจริงต่อให้ไม่มีบอดี้การ์ดเจ้าของคฤหาสน์อย่างผมก็มั่นใจในฝีมือตัวเองอยู่พอตัว


แต่ก็เอาเถอะ


“ท่านฮาเซล” เสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นหลังจากมาถึงยังห้องทำงาน


ฮาเซล กอนซาเลซคือชื่อของผมที่ใครได้ยินเป็นต้องรู้จัก เพราะไม่ใช่เพียงเจ้าของบริษัทอสังหาระดับแนวหน้าแต่ยังพ่วงด้วยเจ้าของคลับหรูและแถมท้ายด้วยค้าอาวุธทำให้มีทั้งอิทธิพลและอำนาจค่อนข้างมาก อาจเพราะแบบนั้นทำให้มีคนไม่ชอบหน้าหรือตั้งตัวเป็นศัตรูอยู่พอสมควร


ยิ่งช่วงนี้ก็เหมือนกำลังถูกล้วงข้อมูลอะไรบางอย่างอยู่ด้วย


ตัวการคือใคร ต้องการอะไร และจะใช้วิธีไหน ผมไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเลยให้ลูกน้องคนสนิทไปรวบรวมข้อมูลพ่วงไปเข้าประชุมในที่ต่างๆ แทน


“ไงมากส์” ผมหันไปทักทายหนึ่งในลูกน้องคนสนิทที่เพิ่งกลับมาจากการไปต่างประเทศมาเมื่อคืน


“พวกลูกน้องรายงานว่าเมื่อวานเกิดเรื่องเหรอครับ” มากส์ถามด้วยใบหน้านิ่งๆ


“นิดหน่อย”


“สงสัยผมต้องเทรนพวกลูกน้องใหม่ซะแล้ว” ใบหน้าของมากส์เริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดผม มากส์เป็นชายรู้ร่างออกกำยำแต่ไม่มาก เขาเป็นอดีตทหารผ่านศึกที่มาทำงานให้ผมตั้งแต่สิบปีก่อน สำหรับมากส์ผมไว้ใจเขาได้ เวลามีอะไรก็มักจะให้มากส์ไปจัดการแทน


“เทรนให้พอดีละกัน แล้วแซมไม่ได้มาด้วยกัน?” ผมถามต่อ แซมที่ว่าเป็นหนึ่งในลูกน้องคนสนิทของผมเช่นกัน


“มาครับ เหมือนจะลงไปเอากาแฟแต่ 20 นาทีแล้วยังไม่มาสักที” มากส์บอกพลางขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่พอใจ


“หึ...หลีสาวน่ะสิ” นิสัยของแซมเป็นที่รู้กันดีว่าชอบหลีสาวเป็นชีวิตจิตใจ


“น่าจะหาวิธีจัดการนิสัยนี้นะครับ...”


“อะไรกันครับ...พูดถึงผมรึเปล่า” ยังไม่ทันที่มากส์จะพูดจบน้ำเสียงทะเล้นออกแนวขี้เล่นก็ดังพร้อมเจ้าของร่างสูงในชุดบอดี้การ์ดโผล่เข้ามาในห้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


“ไหนว่าไปเอากาแฟ” มากส์ถามพลางจ้องไปยังมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายซึ่งปราศจากแก้วกาแฟใดๆ


“จัดการหมดแล้ว บอสพวกผมไปจัดการโจ บาเลสเตอร์มาแล้วนะ”


“จัดการ?”


“ไม่ได้ฆ่าหรอก แค่เตือนว่าอย่ามาหยามบอสเท่านั้นเอง เนอะ” แซมบอกแล้วหันไปขอความเห็นมากส์


“แค่อยากให้พวกนั้นรู้ว่าหันปืนใส่ผิดคน” มากส์พูดต่อ


“ทำอะไรไรบอกกันหน่อยสิ” นี่ผมเพิ่งรู้เรื่องหลังจัดการเรียบร้อยแล้วแบบนี้มันก็เหมือนผมสั่งลูกน้องไปจัดการน่ะสิ


ถ้ารู้ว่าพวกมากส์จะไปผมคงจะไปด้วยแล้ว


“ขืนให้บอสไปเดี๋ยวก็ได้พลั้งมือฆ่าหมอนั่นพอดี” แซมบอก


“เห็นฉันเป็นแบบนั้น?” ผมไม่ใช่พวกโมโหร้ายหรือป่าเถื่อนสักหน่อย


ฆ่าเหรอ...


ถ้าไม่จำเป็นไม่คิดจะทำหรอก


“ถ้าโมโหล่ะก็ต่อให้เป็นพวกเราก็หยุดไม่อยู่หรอก ว่าแต่เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นครับเห็นพวกลูกน้องเล่าว่ามีอีกคนเข้ามาช่วย?” มากส์เอ่ยถามด้วยใบหน้าสงสัย แซมที่ยืนข้างๆ เองก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน


การรายงานเหตุการณ์แต่ละวันเป็นเรื่องปกติที่พวกลูกน้องต้องทำอยู่แล้ว แน่นอนว่าเหตุการณ์เมื่อวานต้องถูกรายงานไปด้วยอยู่แล้ว


“ช่วยเหรอ...นั่นสิ” ภาพของชายหนุ่มท่าทางเรียบร้อยจ่อปืนไปยังศีรษะของโจ บาเลสเตอร์ด้วยสายตาของนักล่าช่างดูมีเสน่ห์เหลือเกิน


ไม่คิดว่าจะเป็นคนน่าสนใจขนาดนี้


ในตอนแรกก็แค่อยากรู้ว่านักฆ่าที่ได้ชื่อว่ายมทูตแห่งความตายจะเป็นยังไง กิติศักดิ์ของเขาผ่านหูผมมานานมาก หลายคนก็บอกว่าเป็นสาวสวยสุดเซ็กซี่ บางคนก็บอกว่าเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำ บ้างก็บอกว่าเป็นหนุ่มน้อยน่ารัก เรียกว่าพูดกันไปคนละทาง


พอได้เจอจริงๆ ก็ทำเอาตกใจไม่น้อย ใบหน้าขาวเรียวกับดวงตาอันทรงเสน่ห์ปรากฏตัวในร่างของหญิงสาว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้ชายที่แต่เป็นหญิงแล้วไม่รู้สึกขัดอยู่ด้วย ความสงสัยเมื่อเจอกันมีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นชื่อหรือใบหน้าจริงๆ ยามไม่ได้ปลอมตัว ทุกครั้งที่เจอกันเขาไม่เคยแสดงตัวตนจริงๆ ออกมาให้เห็นไม่ว่าจะเป็นสีผมหรือสีตาก็มักจะถูกปลอมอยู่ตลอด


ยิ่งปกปิดก็ยิ่งอยากจะล้วงเข้าไปหาจนกว่าจะเจอ


ภายใต้การปลอมตัวอันสมบูรณ์แบบจะมีอะไรอยู่กันนะ


น่าสนใจจริงๆ


“ท่านฮาเซล” เสียงเรียกจากมากส์เรียกสติผมให้กลับมา


พอเป็นเรื่องของนักฆ่านามว่าเรเวน มาเกอร์ก็ทำให้เป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า


ราวกับจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ใบหน้าบึ้งตึงกับคำพูดคมๆ นั่นตราตรึงอย่างบอกไม่ถูก และถือเป็นโชคดีที่อีกฝ่ายยอมรับงานง่ายๆ ไม่อย่างงั้นผมคงได้เมลไปก่อกวนจนอีกฝ่ายต้องก้าวเข้ามาหาด้วยความหงุดหงิดพร้อมจ่อปืนที่ขมับผมชัวร์ๆ


“อืม วันนี้จะมีบอดี้การ์ดใหม่มา” ผมบอกกับทั้งคู่


“บอดี้การ์ดใหม่?” ทั้งคู่ประสานเสียงแฝงความตกใจไม่น้อย จำนวนบอดี้การ์ดในตอนนี้ก็นับว่าค่อยข้างมากแล้วพวกเขาเลยแปลกใจที่ผมหาบอดี้การ์ดมาเพิ่มอีก


“ใช่ แต่ไม่รู้หรอกนะว่าจะมาตอนไหน” เมื่อวานหลังจากถูกชกเข้าเต็มท้องเรย์ก็ก้าวฉับๆ ออกจากห้องไป


ผมไม่สงสัยว่าอีกฝ่ายลักลอบเข้ามาได้ยังไงเพราะด้วยฝีมือระดับนั้นแค่ลอบเข้าบริษัทไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอก ที่สงสัยกว่าคือทักษะการต่อสู้ประชิดตัวที่เห็นเต็มๆ สองตาต่างหาก


เคยได้ยินว่านักฆ่าจะไม่เรียนพวกศิลปะป้องกันตัวในแนวของการตั้งรับมากนักเพราะไม่มีความจำเป็นต้องใช้ หน้าที่ของนักฆ่าคือเข้าประชิดโดยไม่ให้เป้าหมายรู้ก่อนจะจัดการแล้วจากไปเงียบๆ ดังนั้นพวกศิลปะการปัดป้องเลยไม่จำเป็นนัก


“ใครครับบอส อย่าบอกนะว่าไปจ้างพวกบริษัทรักษาความปลอดภัยน่ะ”


“ไม่ใช่...แต่ก็จ้างอย่างที่ว่าแหละ”


“จ้างไปเท่าไหร่ครับ” มากส์ถามบ้าง


“ยี่สิบล้านได้มั้ง” ผมยิ้มมุมปากนิดๆ ระหว่างตอบ


นี่ยังไม่นับรวมจำนวนเงินก่อนหน้านี้ที่โอนไปให้อีกนะ


“ยี่สิบล้าน!”


“ท่านฮาเซล แบบนี้มันไม่มากไปหน่อยเหรอครับ ต่อให้ฝีมือดีขนาดไหนแต่จำนวนเงินขนาดนั้นมันค่อนข้างจะ...”


“แค่ยี่สิบล้านไม่ใช่จำนวนเงินมากมายอะไรหรอก” ถ้าเทียบกับการได้เห็นใบหน้าหงุดหงิดเวลาถูกแหย่ใกล้ๆ เกือบตลอดเวลาแบบนี้นับว่าคุ้มค่ากับเงินแค่ไม่กี่สิบล้านที่ต้องเสียไป เงินจำนวนแค่นั้นผมสามารถหาคืนได้ในไม่กี่วันด้วยซ้ำ


“แปลว่าเก่งมากสินะครับ” มากส์ถามเสียงจริงจัง ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมายังผมเพื่อรอคำตอบ ท่าทางของมากส์เหมือนกำลังไม่ไว้ใจผู้มาใหม่


“มาก” ผมเพิ่มความมั่นใจให้ ฝีมือที่แสดงออกเมื่อวานดูเหมือนจะยังไม่ใช่ทั้งหมดแต่นั่นก็มากพอให้คะเนความสามารถของอีกฝ่ายได้


ฝีมือของเรย์ไม่ใช่ระดับธรรมดา


“พวกเราจะรอเจอ” มากส์เหล่มองแซมเล็กน้อยก่อนจะขอตัวออกไปจัดการงานอื่นๆ ต่อ


นอกจากทั้งคู่จะเป็นบอดี้การ์ดคนสนิทแล้วยังเป็นเหมือนเลขาส่วนตัวที่สามารถจัดการงานได้แทบทุกอย่าง เวลาผมไม่อยากไปประชุมหรือเข้าร่วมงานที่ไหนก็จะส่งพวกเขาไป การทำงานในช่วงเช้าผ่านไปจนถึงช่วงเย็นของวันทว่ากลับไม่มีวี่แววของเรเวน มาเกอร์เลยสักนิด


จะว่าไปพวกเราก็ยังไม่ได้คุยรายละเอียดของงานให้ชัดเจนเท่าไหร่


ที่ผมบอกไปก็มีแค่ให้คอยมาอยู่ข้างๆ


“หรือไม่ได้บอกว่าให้เริ่มงานวันนี้?” ผมชักเริ่มไม่แน่ใจซะแล้วสิ เล่นไม่ปรากฏตัวออกมาตลอดวันแบบนี้


พอหมดเวลาทำงานพวกมากส์พ่วงด้วยบอดี้การ์ดอีก 4 คนก็เข้ามารับผมลงไปยังรถที่จอดซึ่งอยู่ด้านล่าง เมื่อมากส์และแซมกลับมาการป้องกันรอบตัวผมก็ยิ่งทวีความแน่นหนามากขึ้น รถสีดำเงาตรงหน้าเองไม่เพียงแค่มีระบบรักษาความปลอดภัยชั้นยอดแต่ยังมีความทนทานสูงจึงไม่ต้องห่วงเรื่องการถูกยิงล้อหรือเบียดจนรถเสียหาย


“ฮื้ม...” มุมปากผมยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนยืนกอดอกพิงเสาอยู่ไม่ไกลจากตัวรถ  ไม่ใช่เพียงผมแค่ที่เห็นแต่ทั้งมากส์และแซมเองก็เหลือบมองโดยไม่แสดงออกมากนัก ถึงจะปกปิดตัวเองด้วยการใช้ผมปกหน้าไม่ให้เห็นดวงตาแถมยังเปลี่ยนสีผมเป็นสีดำสนิททว่ากลับไม่สามารถปิดบังตัวจริงของอีกฝ่ายไว้ได้


จะว่าเป็นเซ้นส์ของผมก็ได้ล่ะมั้งที่สามารถรู้ได้แม้อีกฝ่ายจะปลอมตัวเป็นใคร


เพียงแค่ใช้สายตามองก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร


เรเวน มาเกอร์


มาทำงานสายนะ


ผมอยากจะเอ่ยประโยคนั้นออกไปถ้าไม่ติดที่ถูกสายตาคู่นั้นเบนมาสบโดยไม่มีคำพูดละก็นะ สายตาแบบนั้นกำลังบอกว่าอย่ามาเอ่ยทักเชียว เขาไม่ใช่พวกที่ชอบตามติดในระยะประชิด แปลว่าคงคอยดูผมอยู่จากที่ไกลๆ และมีความเป็นไปได้สูงที่คอยดูมาตลอดเพียงแต่ผมไม่ทันรู้สึกก็แค่นั้น อาจเพราะผมแสดงสีหน้าหรือท่าทางบ่งบอกว่ากำลังหาตัวอยู่ อีกฝ่ายเลยยอมเผยตัวตนออกมาให้เห็น


“บอส...หมอนั่นมองมาทางนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นพวก...”


“หม่อนั่นไม่ใช่ศัตรู” ผมบอกแซม


“รู้จักเหรอครับ?”


“อืม บอดี้การ์ดคนใหม่ไง”


“หมอนั่นน่ะเหรอ ท่านฮาเซล...รูปร่างแบบนั้นไม่น่าไหว”


“คิดเหมือนฉันเลย” ผมยกยิ้ม ตอนที่เจอกับเรย์ครั้งแรกก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน


รูปร่างแบบนั้นจะไปสู้ใครได้ แค่จะเหวี่ยงหมัดยังดูไม่มีแรงเลย ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้แบบตัวต่อตัวร่างกายอย่างงั้นแค่จะหลบยังไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ


“งั้นทำไมถึงได้จ้าง”


“ไว้ไปคุยเรื่องที่บ้าน ติดต่อไปที่บ้านด้วยว่าให้เขาเข้าไปได้” ผมบอกมากส์ก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ


“แล้วเรื่องการตรวจร่างกายเขา...”


“ไม่จำเป็น” ตรวจไปก็เท่านั้น ความสามารถจริงๆ ของนักฆ่าต่อให้ไม่มีอาวุธก็สามารถหยิบเอาวัตถุแถวนั้นมาใช้ได้อยู่ดี หากเขาต้องการจะฆ่าต่อให้เนื้อตัวปราศาจากอาวุธก็ยังสามารถฆ่าได้อยู่ดี


“ครับ”


รถคันสีดำเงาของผมแล่นออกจากบริษัทโดยมีมากส์และแซมนั่งอยู่ด้านหน้า ด้านหลังมีรถยนต์แบบเดียวกับซึ่งมีบอดี้การ์ดอีก 4 คนขับตามท้ายมา ถัดออกไปไม่ไกลมีรถมอเตอร์ไซค์ขับตามมาเช่นกัน รูปลักษณ์การแต่งตัวของเรย์ในวันนี้ออกแนวเซอร์ๆ เลยเข้ากับมอเตอร์ไซค์ธรรมดาค่อนข้างมาก


ใช้เวลาไม่นานมากรถยนต์สองคนและมอเตอร์ไซค์อีกคันก็เข้ามาจอดภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ ทั้งมากส์แซมและเหล่าบอดี้การ์ดดูจะสงสัยกับผู้มาใหม่อยู่พอควร ส่วนของผู้มาใหม่นั้นกลับเมินเฉยไม่สนสายตาที่ถูกจับจ้องไปแถมยังยืนนิ่งๆ อยู่ไกลๆ อีก


“มานี่สิเรย์” ผมเอ่ยปากเรียกเป็นครั้งแรกของวัน


“อย่าเรียกผมด้วยชื่อนั้น” คนถูกเรียกก้าวฉับๆ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ


“ทำท่าทางแบบนี้ใส่ผู้ว่าจ้างไม่ดีนะ” น้ำเสียงออกแนวไม่พอใจจากมากส์ดังขึ้น เขาคงเห็นเรย์แสดงท่าทางไม่เหมาะสมกับผมละมั้ง


กับคนอื่นผมอาจไม่ชอบแต่กับเรย์ผมมองว่าท่าทางโมโหออกแนวไม่พอใจนี่ดูน่ามองดี อยากให้ดวงตานั้นสะท้อนภาพของตัวเองอยู่ภายใน


“ถ้าไม่พอใจกับท่าทางผมก็ขอโทษด้วย” เรย์ก้มหัวโค้งขอโทษเล็กๆ ทำเอาทั้งผมและคนอื่นๆ งงกันเป็นแถว


ทำไมถึงยอมก้มหัวได้ง่ายๆ ขนาดนี้


“บอสบอกว่านายจะมาเป็นบอดี้การ์ดคนใหม่” ชะงักไปสักพักมากส์ก็ถามต่อ


“จะว่าใช่ก็คงใช่”


“ดูท่าทางไม่อยากทำเท่าไหร่นะ”


“ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลย?” นอบน้อมเสร็จอยู่ๆ ก็เปลี่ยนมากวน ปกติเรย์จะปกปิดความรู้สึกได้ดีดังนั้นการที่แสดงออกมามากขนาดนี้แปลว่าจงใจให้รู้


“งานนี้อันตรายมาก ถ้าคิดจะมาทำเล่นๆ หรือส่งๆ ก็กลับไปซะ” คำพูดของมากส์ดูจริงจังจนฝ่ายเรย์เริ่มเงียบไป


“ผมขอบอกไว้หน่อยนะว่าจริงอยู่ที่ผมไม่ได้อยากรับงานนี้เท่าไหร่ แต่ในเมื่อผมรับแล้วนั่นหมายความว่างานจะต้องสำเร็จ ไม่ต้องกังวลว่าผมจะมาทำเล่นๆ” เรย์ตอบมากส์ด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้กัน


“มีความมั่นใจดี แต่แค่ความมั่นใจไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไว้ใจให้เข้าใกล้ท่านฮาเซลได้”


“ความหมายคืออยากเห็นฝีมือผม?” เรย์ถามกลับตรงๆ


“ประมาณนั้น”


“เอาตรงๆ ผมไม่เก่งศิลปะป้องกันตัว”


“...คิดจะถ่อมตัว?” เหมือนมากส์จะไม่ใช่ในสิ่งที่เรย์พูด


ไม่ว่าใครก็คงจะคิดแบบเดียวกัน บอดี้การ์ดที่ผมจ้างด้วยเงินถึงยี่สิบล้านจะไม่เก่งศิลปะป้องกันตัวได้ยังไง แต่สำหรับผมคิดว่าคำพูดนั่นไม่ได้จะถ่อมตัวแต่กำลังบอกความจริงออกมา ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นเหมือนกัน


“ผมพูดจริง”


“ถ้าเป็นเรื่องจริงแล้วคิดว่าจะสามารถปกป้องท่านฮาเซลได้รึไง”


“ได้สิ ผมจะใช้วิธีของตัวเอง”


“คิดว่าเราจะเชื่อคนที่แค่ศิลปะป้องกันตัวยังไม่เก่งเหรอ”


“เหมือนคุณอยากจะดูฝีมือผม?” เรย์ถามกลับพลางสบสายตากับมากส์ตรงๆ


“ใช่”


“กับคุณ?”


“เปล่า แซม” สิ้นเสียงเรียกจากมากส์แซมก็เหวี่ยงหมัดใส่เรย์อย่างแรงทันทีทว่าฝ่ายเรย์กลับมองหมัดนั้นออกและสามารถหลบได้เพียงแค่เอียงคอเล็กน้อยเท่านั้น


ทั้งมากส์และแซมต่างหรี่ตามองการเคลื่อนไหวนั้นด้วยใบหน้ากึ่งตกใจเล็กๆ แซมไม่ปล่อยให้ทิ้งช่วงนานเหวี่ยงหมัดอีกข้างใส่พร้อมยกขาขึ้นถีบเข้ายังหน้าท้องซึ่งหมัดที่เหวี่ยงไปนั้นใช้เป็นตัวหลอกเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นการโจมตีจากด้านล่าง


ไม่ว่าใครได้เจอท่านี้ก็มักจะหลงกลทุกรายแต่เหมือนเรย์จะไม่ใช่ ดวงตาสีเรียวจ้องมองหมัดที่ปล่อยในเสี้ยววินาทีก่อนจะตัดสินใจกระโดดถอยไปด้านหลังเพื่อทิ้งระยะห่างไม่ให้ทั้งหมัดและขาโจมตีมาโดนได้


“ผมไม่อยากสู้” เรย์บอกเสียงนิ่ง แม้จะโดนจู่โจมถึงสองครั้งเรย์ก็ไม่มีทีท่าจะตอบโต้


“คงไม่ได้ ฉันชักอยากเห็นฝีมือจริงๆ ของนายแล้วสิ” แซมพูดกับเรย์เป็นครั้งแรกด้วยสายตาทอประกายเหมือนคนกำลังเจอเรื่องสนุก พูดจบแซมขยับเคลื่อนไหวอีกครั้งด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นกว่าในตอนแรกเข้าประชิดตัวเรย์หมายจะหาโอกาสโจมตี


ดูจากแววตาแซมคงเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างในตัวเรย์ และอาจไม่ได้มีแค่แซมแต่มากส์เองก็เช่นกัน


“...จะจบการต่อสู้นี้ได้ยังไง” เรย์ถามระหว่างหลบการโจมตีจากหมัดซ้ายขวา เขาคงรู้แล้วว่าขืนไม่สู้ต่อไปก็เปล่าประโยชน์
ผมเองไม่คิดจะเข้าไปขวางการต่อสู้เพื่อดูฝีมือในครั้งนี้เพราะมันเป็นสิ่งจำเป็นที่จะให้ทุกคนเห็นฝีมือของผู้มาใหม่ ตอนนี้บอดี้การ์ดจากในและนอกบ้านมาล้อมวงเพื่อดูการต่อสู้ของผู้ที่ได้ชื่อว่าคนสนิทอย่างแซมกับบอดี้การ์ดผู้มาใหม่


“ง่ายๆ แค่โจมตีฉันให้โดน” คำประกาศจากแซมเรียกร้อยยิ้มมุมปากของเรย์ให้ยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มนั่นเหมือนกำลังดีใจราวกับได้โจทย์เลขที่สามารถแก้ได้ไม่ยาก


แซมเองก็เหมือนจะรับรู้ได้ถึงรอยยิ้มจึงได้ถอยหลังเพื่อตั้งหลักรอรับการโจมตีที่ไม่รู้จะมายังไง เรย์มองการเคลื่อนไหวของแซมเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปหาตรงๆ ด้วยความเร็วคงที่ ไม่มีแม้การขยับตัวหลอกล่อใดๆ สายตาทุกคู่มองผู้มาใหม่อย่างไม่เข้าใจซึ่งผมเองก็เหมือนกัน


เดินเข้าไปตรงๆ แบบนั้นคิดจะทำอะไร


เสี้ยววินาทีหลังจากคิดเรย์ก็เอื้อมมือซ้ายเข้าใส่โดยที่แซมอ่านการเคลื่อนไหวออกจึงหลบไปอีกฝั่งซึ่งนั่นเหมือนเป็นสิ่งที่เรย์คาดการณ์เอาไว้แล้วจึงอาศัยจังหวะเดียวกับที่แซมเบี่ยงตัวหลบพุ่งเข้าไปด้านหลังแล้วใช้ปลายนิ้วจ่อเข้ายังลำคอของแซมอย่างรวดเร็วในเสี้ยววินาที


ภาพของเหตุการณ์เกิดขึ้นในชั่วพริบตาและมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวทุกอย่าง สำหรับหลายๆ คนคงเห็นแค่อยู่ๆ เรย์ก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังแซม...ไม่ได้เห็นการเคลื่อนไหวทั้งหมดอย่างที่ผมและมากส์เห็น


สิ่งที่เรย์แสดงให้เห็นมันไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้แต่เป็นการลอบสังหาร แถมยังเป็นการลอบสังหารต่อหน้าต่อตาอีกต่างหาก ทั้งที่แซมระวังตัวแต่กลับไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของเรย์ได้


ฝีมือสุดยอด!


สมแล้วกับชื่อยมทูตแห่งความตาย


ทุกงานที่รับทำมีอัตราสำเร็จคือร้อยเปอร์เซ็นต์ ได้มาเห็นกับตาแบบนี้ผมรู้เลยว่าข่าวพวกนั้นเป็นความจริง ขนาดมองเห็นอยู่ตรงหน้ายังไม่สามารถทำอะไรได้ประสาอะไรกับการลอบฆ่า เหยี่อพวกนั้นคงไม่ทันได้รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกดับลมหายใจไปแล้ว


“แบบนี้ก็จบแล้วสินะ” เรย์ลดนิ้วที่จ่อคอแซมออกพร้อมกับถาม


“...ทำไมถึงโกหกเรื่องไม่เก่งการต่อสู้” นิ่งไปสักพักแซมก็ถามกลับ  เหล่าบอดี้การ์ดรอบๆ ต่างไม่เชื่อสายตาว่าแซมที่เป็นถึงบอดี้การ์ดคงสนิทของผมแถมมีฝีมือดีจากการเรียนมวยจะมาแพ้ให้กับคนท่าทางอ่อนแอได้ในเวลาไม่กี่นาที


“ผมไม่ได้บอกว่าไม่เก่งการต่อสู้ แค่บอกว่าไม่เก่งศิลปะป้องกันตัวต่างหาก” คำตอบของเรย์ทำเอาหลายคนขมวดคิ้วกันเป็นแถบ


“จะกวนกันรึไง”


“เปล่า มันเป็นความจริง...ดูจากการเคลื่อนไหวของคุณคงเรียนมวยใช่ไหม”


“ใช่”


“สำหรับคนที่เรียนศิลปะป้องกันตัวมักจะติดการเคลื่อนไหวเป็นสไตล์เฉพาะของศาสน์นั้นๆ ซึ่งที่บอกว่าไม่เก่งคือผมไม่ได้เรียนศิลปะป้องกันตัวจึงได้บอกว่าไม่เก่ง”


“จะบอกว่าทักษะขนาดนั้นไม่ได้เรียน?” แซมถามต่อด้วยแววตาไม่เชื่อ


ไม่ใช่แค่แซมหรอกที่ไม่เชื่อ ด้วยทักษะเมื่อครู่ไม่ว่าใครได้มาเห็นกับตาก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันแน่ว่าได้รับการฝึกฝนมาอย่างหนักถึงเชี่ยวชาญได้ขนาดนี้


“อืม ผมไม่ได้เรียน”


“...เรียนรู้ด้วยตัวเองจากประสบการณ์สินะ” ผมพึมพำสิ่งที่คิดออกไป จากที่ฟังมีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น


ถ้าทักษะเหล่านั้นไม่ได้มาจากการเรียนที่ไหนแปลว่าทุกอย่างเรย์เรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวหรือวิธีการโจมตีหลอก การจะทำได้ขนาดนั้นไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาในการสะสมประสบการณ์สักเท่าไหร่ถึงจะมีฝีมือระดับนี้


มันไม่ง่ายที่จะเรียนเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเอง


ก็ว่าอยู่...การเคลื่อนไหวของคนเรียนมามักจะเป็นแบบแผนแต่ท่าทางการเคลื่อนไหวของเรย์แทบเดาไม่ได้เลยว่าจะทำอะไรต่อ


“เท่านี้พอแล้วใช่ไหม” เรย์ถามต่อ


“มากส์ แซม” ผมเรียกทั้งคู่


“ครับ...พวกเรายอมรับฝีมือของนาย มาช่วยปกป้องท่านฮาเซลด้วยกันเถอะ ฉันชื่อมากส์ มาสัน ครอฟ” มากส์เอื้อมมือไปตรงหน้าเรย์แสดงถึงการยอมรับ


“...เทเลอร์ ยินดีที่รู้จัก” เรย์ยื่นมือไปจับตอบ


“ชื่อนาย?” ผมถามพลางมองไปยังใบหน้าเรียบเฉยที่เริ่มมองมาขวางๆ


“ผมไม่คิดจะบอกชื่อจริงให้ใครต่อใครรู้หรอกนะ”


“แปลว่าฉันที่รู้ก็เป็นคนพิเศษเหรอเนี่ย ดีใจจัง” ผมพยักหน้าพลางส่งยิ้มกวนๆ ไปให้


“หึ พิเศษมากเลยล่ะ” น้ำเสียงออกแนวประชดเรียกร้อยยิ้มผมให้กว้างขึ้น


คนอะไรขนาดประชดยังน่ามอง


หลังจากจบเรื่องทุกคนต่างแยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ส่วนเรย์ผมให้พักอยู่ห้องในชั้น 1 ของบ้านซึ่งห้องของเรย์อยู่ด้านล่างห้องผมพอดี เนื้อหาของงานครั้งนี้ผมอธิบายให้อีกฝ่ายฟังให้ละเอียดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่รู้ว่าศัตรูคือใครไม่จนถึงเรื่องการปกป้องผม


ด้วยความที่ผมมีบอดี้การ์ดคอยตาติดแทบตลอดเวลาอยู่แล้วผมเลยบอกให้เรย์ทำตามใจตัวเองได้เลยไม่ว่าจะมาร่วมกลุ่มกับพวกมากส์หรือจะคอยสังเกตการอยู่รอบนอก ชีวิตอันแสนน่าเบื่อเหมือนมีสีสันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก


“นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้” ผมพึมพำระหว่างเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีจากระเบียงห้องนอนบนชั้นสอง


ความรู้สึกสนุกยามเห็นท่าทางของเรย์มันมีมากจนตัวเองยังแปลกใจ เช่นเดียวกับความสงสัยที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ เรย์ปิดบังตัวจริงได้เก่งมาก แค่รู้ชื่อจริงกับนามสกุลก็ถือว่ามากแล้วแต่สำหรับผมมันยังไม่พอ...


อยากรู้มากกว่านี้


อยากรู้สิ่งที่มีเพียงผมเท่านั้นที่รู้


และเพราะความอยากรู้นั่นทำให้ผมก้าวมาหยุดอยู่หน้าห้องอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว




(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่4« 3/10/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 03-10-2018 19:46:12
(ต่อนะคะ)


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


แกร๊ก!


“...ฮาเซล?” ไม่นานหลังเคาะบานประตูตรงหน้าก็เปิดอ้าออกพร้อมร่างโปร่งออกบางโผล่ออกมาจากห้อง ชุดนอนธรรมดาอย่างเสื้อคอกลมกับกางเกงขาสั้นดูเหมาะกับบุคลิกของเรย์อย่างบอกไม่ถูก ความเย็นเฉียบจากในห้องทำให้ผมขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ถามอะไรออกไป


“มีเรื่องจะคุยด้วย”


“เข้ามาสิ” อีกฝ่ายเปิดประตูต้อนรับก่อนจะเดินกลับเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงขนาดสามฟุต


“ไม่ระวังตัวแบบนี้จะดีเหรอ” ผมบอกหลังจากเดินเข้ามาในห้องแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกเชิญเข้าห้องง่ายๆ แบบนี้ ว่าแต่ในห้องนี้เย็นไปไหมเนี่ย


“ตรงไหนของผมที่แสดงออกว่าไม่ระวังตัว?” เรย์ถามกลับ


“ก็การให้คนเข้าห้องไง”


“จะบอกว่าผมควรไล่คุณออกจากห้องสินะ”


“ยังใส่คอนแทคเลนส์อยู่อีกเหรอ” ผมเปลี่ยนการสนทนาเมื่อสบสายตาอีกฝ่ายแล้วเห็นว่าสีตานั้นยังเป็นสีเดียวกับก่อนหน้านี้


“ทำไมถึงคิดว่าเป็นคอนแทคเลนส์ล่ะ มันอาจเป็นสีตาจริงๆ ของผมก็ได้นี่”


“เซ้นส์มั้ง” เหมือนมีอะไรบางอย่างบอกว่านี่ไม่ใช่สีตาจริงๆ


“...ผมเกลียดคนแบบคุณ” เรย์บอกพลางมองสบตาผมโดยไม่หนี


“ขอบคุณ” ผมยิ้มตอบรับประโยคนั้นด้วยความเต็มใจ


ในโลกที่ผมอยู่แบ่งคนออกได้ไม่กี่ประเภทหนึ่งในประเภทเหล่านั้นคือคนที่ประจบสอพลอ เอาแต่พูดถ้อยคำหวานเพื่อหวาดล้อมให้ผมสนใจโดยไม่รู้เลยว่าผมสามารถมองออกได้ง่ายดายขนาดไหน ก็เข้าใจว่าสังคมมันเต็มไปด้วยการตบตาและหลอกลวงเพียงแต่ผมไม่ชอบอะไรแบบนั้น


ดังนั้นการได้ยินคำว่าเกลียดออกมาจากปากเรย์พร้อมน้ำเสียงเน้นย้ำขนาดนั้นผมเลยไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด ผมว่าการพูดความจริงมันดีกว่าการโกหกซะอีก


เพิ่งเคยถูกพูดว่าเกลียดตรงๆ ก็ครั้งนี้


น่าประทับใจใช่เล่น


“...มีอะไรจะคุย” เรย์เปิดประเด็นก่อน


สงสัยคงอยากให้ผมคุยให้เสร็จๆ แล้วกลับไปสักที


“มีหลายเรื่อง แต่ตอนนี้มีเรื่องเดียว”


“คือ?”


“สีตาจริงๆ ของเรย์คือสีอะไร” ตลอดการพูดผมจับสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายอยู่ตลอด การที่ปลอมตัวทุกครั้งแล้วเปลี่ยนสีตาไปเรื่อยๆ มันอาจเป็นการป้องกันตัวไม่ให้คนจำได้แต่ผมว่ามันน่าจะมีอะไรอยู่มากกว่านั้น


“ทำไมถึงถามเรื่องนี้”


“เซ้นส์มั้ง” อาจดูเหมือนกวนก็จริง ผมไม่รู้จะอธิบายมันออกมายังไงเหมือนกัน


“ผมเกลียดเซ้นส์คุณ”


“ฉันควรดีใจที่ถูกบอกว่าเกลียดสองรอบติดไหม”


“เอาที่สบายใจเถอะ”


“ที่ว่าเกลียดเซ้นส์ฉันหมายความว่ามีอะไรจริงๆ สินะ” ผมยิงคำถามต่อ


“หึ...ถึงคุณจะเป็นนายจ้างก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องตอบทุกคำถามนะ”


“แปลว่าจะไม่บอก?”


“ผมไม่เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องบอกนี่”


“แล้วคิดว่าฉันจะยอมถอยง่ายๆ ”


“ไม่” อีกฝ่ายตอบกลับทันที


“รู้ดีจัง” เจอกันไม่กี่ครั้งแท้ๆ ทำไมถึงรับรู้ตัวตนของอีกฝ่ายได้มากขนาดนี้กัน


“อย่ายุ่งเรื่องส่วนตัวผม” สายตาคมๆ จับจ้องมาเพื่อย้ำในประโยคที่พูด


“ก็อยากรู้”


“แล้วก็เลิกกวนด้วย”


“เปล่ากวนสักหน่อย”


“คงไม่คิดนะว่าผมไม่รู้ว่าคุณกำลังสนุกกับการได้เห็นท่าทางของผมน่ะ” เรย์พูดสวนกลับพลางหรี่ดวงตาลงอย่างรู้ทัน สังเกตจากสีหน้าดูเหมือนผมจะเริ่มทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดซะแล้ว


“รู้สิ” ตัวผมเองยังรับรู้เลยว่ากำลังแสดงออกว่าสนุกออกไป


“ถ้าว่างนักก็ไปปีนต้นไม้เล่นไป”


“สีตาของนาย...บอกหน่อยสิ” ผมย้ำสิ่งที่อยากรู้อีกรอบ


“ไม่” คำตอบเดิมๆ ดังขึ้น


“งั้นสีผมก็ได้” ยังไงวันนี้ผมก็รู้เรื่องอีกฝ่ายเพิ่มอีกสักอย่างให้ได้ ถ้าไม่ได้รู้อย่าคิดว่าผมจะยอมกลับหรือยอมถอยง่ายๆ นะ


“แลว่างเนอะ” เรย์พูดพลางมองผมด้วยสีหน้าหน่ายๆ


“ไม่ว่างสักหน่อย ถ้าได้คำตอบของสักคำถามจะเลิกกวนเลย” ผมยื่นข้อเสนอ


“ไม่ใช่แค่เลิกกวนแต่ต้องออกไปด้วย” เหมือนประสบการณ์ตอนโดนผมเล่นแง่ด้วยคำพูดจะทำให้อีกฝ่ายระแวงจนต้องเพิ่มรายละเอียดให้ชัดเจน


“เข้าใจแล้ว” รุกมากเกินไปก็ใช่ว่าจะดี วันนี้ผมยอมก่อนก็ได้ถ้าการยอมนี่จะทำให้รู้ถึงความลับบางอย่างเพิ่มขึ้นมาล่ะก็


“สีดำ” คำพึมพำดังขึ้นโดยไม่มีประธานนำหน้าประโยค


“หมายถึงสีผม?”


“ใช่ สีผมจริงๆ คือสีดำ”


“ขอดูด้วย”


“เหมือนจะไม่ได้อยู่ในข้อตกลงนะฮาเซล กอนซาเลซ” ดูเหมือนจะเริ่มไม่พอใจแล้ว เวลาเคืองเรย์มักจะเรียกชื่อเต็มผมเสมอ


“ไม่แน่ว่าอาจโกหกก็ได้นี่ แค่พูดใครๆ ก็พูดได้”


“คิดว่าผมโกหก?”


“เปล่า แค่อยากเห็นเท่านั้น”


“...พอใจรึยัง” วิกผมสีดำสนิทถูกดึงออกแรงๆ จนเส้นผมสีเดียวกันทว่าดูนุ่มลื่นและยาวกว่าสยายลงมา เส้นผมสีดำซอยประบ่าดูนุ่มสลวยน่าสัมผัส ยิ่งประกอบกับดวงตาเรียวคมที่มองมาด้วยความไม่พอใจนั่นดูคล้ายเด็กวัยรุ่นไม่ใช่นักฆ่าฝีมือฉกาจ


เส้นผมสีเข้มแปลว่าคงมีเชื้อสายมาจากคนละที่กับผม


“นุ่มจัง...ดูแลดีนี่นา” ผมพึมพำพลางเอื้อมมือไปสัมผัสเส้นผมสีเข้มเบาๆ โดยอาศัยโอกาสตอนเรย์กำลังจ้องมองผมด้วยสายตาหงุดหงิด


เมื่อคนเริ่มโมโหหรือหงุดหงิดก็จะโฟกัสอยู่เพียงที่เดียวผมเลยใช้จังหวะนี้ให้เป็นประโยชน์ แต่ไม่กี่วินาทีต่อมามือผมก็ถูกอีกฝ่ายปัดเต็มแรงพร้อมหมัดขวาที่พุ่งเข้าหาลำตัวอย่างหนักหน่วงจนผมแทบทรุดลงไปกองกับพื้น


“อึก...” ผมได้แต่สกัดกั้นความเจ็บปวดที่มี


หมัดหนักมาก!


เห็นยอมให้จับใครจะคิดล่ะว่าจะเจอหมัดสวนกลับเลยไม่ได้เตรียมตั้งรับไว้


“ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าผมไม่ระวังตัวที่ให้เข้าห้องได้ง่ายๆ สินะ ผมขอบอกไว้หน่อยนะว่าผมระวังตัวทุกฝีก้าวอยู่แล้วโดยเฉพาะกับคนที่ชื่อว่าฮาเซล กอนซาเลซ!”

.....................................

ใครอ่านตอนนี้จบโทรเรียกรถพยาบาลมาให้ฮาเซลหน่อยนะคะ 555

รู้สึกสนุกมากที่ได้แต่งพาทของฮาเซลมาสลับบ้าง

ได้เห็นถึงความรู้สึกในอีกมุมนึง

จะว่าไปฮาเซลนี่จะใช้คำว่าน่ารักคงจะแปลกเกินไปแต่ไม่รู้ทำไมพอแต่งแล้วรู้สึกว่าเป็นผู้ชายกวนๆ ที่แลน่ารักซะเหลือเกิน

เราชอบคอมเม้นท์นึงที่เขียนมาว่าตอนจบพระเอกจะช้ำในตายมากเลย อ่านแล้วขำไม่หยุด

บอกตรงๆ ว่าเราก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าเป็นคนปกติโดยไปขนาดนั้นคงต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วแต่ฮาเซลแข็งแกร่งยังทนได้อีกนาน 555

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่4« 3/10/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-10-2018 02:52:24
จุกไหมอ่ะ ดีนะที่ไม่ใช่ตรงหว่างขา  :hao3:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่4« 3/10/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 04-10-2018 13:28:21
ช้ำในตายแน่ๆอ่ะ
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่4« 3/10/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: PK.Kenaf ที่ 06-10-2018 17:44:35
เนี้ยไปกวนเขามาก สมแล้ว 555555
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่4« 3/10/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 10-10-2018 17:53:40
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่5




งานบอดี้การ์ดครั้งแรกสำหรับนักฆ่าอย่างผมค่อนข้างต้องใช้เวลาปรับตัวมากโดยเฉพาะการควบคุมอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ให้ตัวเองเผลอควักมีดออกมากระหน่ำแทงผู้ว่าจ้างอย่างฮาเซล กอนซาเลซจนตายจมกองเลือดกันไปข้าง เปิดช่องว่างหรือเผลอเพียงเล็กน้อยก็จะถูกสวนกลับอย่างไม่รู้ตัว


รู้อีกทีฝ่ามืออุ่นๆ ก็สัมผัสเส้นผมจริงๆ ของผมอยู่ซะแล้ว


นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมจะเผยสีผมจริงๆ ให้คนอื่นรู้ ยิ่งกับฮาเซลผมยิ่งไม่อยาก


ดวงตาสีอ่อนที่ทอประกายความสนุกยามได้เห็นอาการร้อนรนหรือหงุดหงิดของผมมันน่าเตะก้านคอไปสักที  เขาอาจสนุกที่ได้เห็นท่าทางของผมแต่คนโดนแหย่ไม่ได้สนุกด้วย


ไม่อยากคิดเลยว่าต้องอยู่ร่วมกันไปอีกนานในสภาพอารมณ์แบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน ปกติผมไม่ใช่คนระเบิดอารมณ์ออกมาง่ายเหมือนอย่างตอนอยู่กับฮาเซล


“สงสัยต้องฝึกสมาธิแล้วมั้ง” พึมพำเสร็จผมก็คว้าเสื้อนอกสีดำสนิทมาสวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านใน เครื่องแบบสำหรับบอดี้การ์ดถูกจัดหาและมาถึงมือผมเมื่อเย็นวาน ดูเผินๆ คงเหมือนกับชุดบอดี้การ์ดปกติทว่าชุดนี่กลับแฝงไปด้วยความลับหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเล็กๆ ที่ถูกทำขึ้นด้านในแขนเสื้อหรือด้านในของเสื้อคลุม


อีกทั้งเสื้อเชิ้ตสีขาวแลดูธรรมดาทำเอาผมต้องยกยิ้มขึ้นเมื่อได้สัมผัสกับเนื้อผ้าตรงๆ เส้นใยของเนื้อผ้าทั้งแข็งแรงและดูทนทานต่อการเสียดสีพ่วงด้วยแผ่นกันกระสุนเล็กๆ บริเวณหัวใจ


“อยากฝากคำขอบคุณไปให้คนทำเลยนะเนี่ย” ไม่คิดว่าจะทำได้ดีขนาดนี้ ด้วยขนาดของแผ่นกันกระสุนอาจกันปืนที่มีการทะลวงสูงๆ ไม่ได้แต่ถ้าเป็นพวกปืนธรรมดาก็คงได้รับความเสียหายแค่รอยซ้ำเท่านั้น


วันนี้ผมเลือกเข้าร่วมเป็นหนึ่งในบอดี้การ์ดคอยติดตามเจ้านายสุดกวนแทนที่จะปลอมตัวตามไปเนื่องจากสามารถสอดส่องได้ในระยะใกล้กว่า


แต่งตัวเสร็จนาฬิกาบอกเวลาเกือบเจ็ดโมงเช้าผมเดินออกไปรวมตัวกับเหล่าบอดี้การ์ดด้านข้างของคฤหาสน์ขนาดใหญ่ตามปกติเหมือนอย่างที่เห็นทุกๆ วัน ตลอดระยะเวลาหลายวันที่อาศัยอยู่นี่ผมสังเกตแทบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นทุกเช้าเหล่าบอดี้การ์ดจะมารวมตัวกันหรือทุกเย็นมักจะมีการเทรนฝึกต่อสู้จริงกับพวกมากส์และแซม


พูดถึงมากส์และแซมก็อดชื่นชมในความสามารถไม่ได้ วันก่อนผมได้ดูการฝึกต่อสู้จริงของพวกเขาทั้งคู่ทำให้รู้ว่าทั้งทักษะและฝีมือต่างอยู่ในระดับสูง การต่อสู้ในวันแรกที่เจอผมอาจเอาชนะได้เพราะอีกฝ่ายไม่รู้ถึงความสามารถของผมและยังเผลออยู่ไม่น้อยแต่ถ้ามีการต่อสู้อีกรอบผลอาจไม่ได้เป็นเหมือนเดิม


แม้จะได้ชื่อว่านักฆ่าแต่พูดตรงๆ ว่าตัวผมไม่คิดว่าตัวเองเก่งที่สุดหรอกนะ


การประมาณตนเป็นสิ่งสำคัญ


“มาเร็วนี่เทเลอร์” ชื่อปลอมผมถูกเรียกจากมากส์ซึ่งเป็นหัวหน้าของเหล่าบอดี้การ์ดพ่วงด้วยตำแหน่งคนสนิทของฮาเซล


“ครับ”


“ไม่ต้องสุภาพไง บอกกี่รอบแล้ว” เมื่อเห็นผมพูดสุภาพอีกฝ่ายก็เริ่มบ่น


“เข้าใจแล้ว” ไม่สุภาพก็ไม่สุภาพ


ไม่นานเหล่าบอดี้การ์ดหลายสิบชีวิตก็มายืนรวมกับโดยมีมากส์และแซมยืนอยู่ด้านหน้า หลายคนที่เห็นผมต่างขยับตัวถอยออกไปคนละนิดราวกับฝังใจการต่อสู้เมื่อหลายวันก่อนอยู่ หลายวันที่ผ่านมาผมตามฮาเซลด้วยการปลอมตัวแต่ก็ค้นพบว่ามันช่างน่ารำคาญที่ต้องมายืนรออยู่หน้าบริษัทไม่ก็เดินทำเนียนไปตามแต่ละชั้นของบริษัทผมเลยตัดสินใจว่าตั้งแต่วันนี้ขอมาเล่นบทบอดี้การ์ดละกัน


“เอาล่ะ ในเมื่อมากันครบแล้ว วันนี้จะแบ่งกลุ่มคนที่จะอยู่เฝ้านี่และติดตามท่านฮาเซล แซม” พูดเสร็จก็หันไปเรียกเพือนสนิทด้านข้างให้พูดต่อ


“วันนี้ทีมซีไปคุ้มกันท่านฮาเซล ทีมดีคอยตามอยู่ห่างๆ เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือมีคนน่าสงสัยส่วนที่เหลือจัดการที่นี่”


“ครับ” คำขานรับจากบอดี้การ์ดหลายสิบคนดังขึ้นพร้อมกันยกเว้นผมที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ทีมไหน


ดูเหมือนจะมีการจัดทีมเพื่อผลัดกันคอยคุ้มกันโดยทีมนึงตอนนี้จากสี่คนเพิ่มเป็นหกคนเมื่อไม่กี่วันก่อนเพื่อเพิ่มการคุ้มกันให้หนาแน่นขึ้น


“แล้วผมอยู่ทีมไหน” พอมีโอกาสผมก็เดินเข้าไปถาม บอดี้การ์ดคนอื่นต่างรู้หน้าที่ตัวเองจึงแยกย้ายกันออกไป


“อ้อ นายอยู่กับพวกเรา” แซมตอบ


“หมายถึงให้ดูแลคนคนนั้นในระยะประชิด?” ผมถามกลับ


“ตามที่เข้าใจ พวกเรามีหลายๆ งานที่ไม่สามารถดูแลบอสได้ตลอดเวลาจึงมอบหน้าที่นี้ให้กับนาย” แซมอธิบายต่อ


“...เข้าใจแล้ว” ต้องอยู่ประกบตลอดวันเลยเหรอเนี่ย


ขอไปทำสมาธิความคุมสติไม่ให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลสักสองชั่วโมงได้ไหมนะ


เรื่องของคนคุ้มกันมากส์ได้บอกกับเจ้านายหรือฮาเซลในเวลาต่อมาช่วงก่อนขึ้นรถไปยังบริษัท ท่าทีของฮาเซลยามรู้ว่าผมเป็นคนคุ้มกันนั่นดูเหมือนเด็กที่พ่อแม่บอกจะพาไปสวนสนุกต่างกับผมที่ถอนหายใจเป็นรอบที่สิบได้แล้ว


ไม่อยากคิดเลยว่าจะถูกกวนถูกแหย่อะไรบ้าง


“เทเลอร์ ถ้าเกิดอะไรขึ้นนายมีสิทธิ์สั่งทีมซีได้เลยเข้าใจนะ” ก่อนมากส์จะต้องออกไปประชุมอีกที่ได้เดินมาพูดย้ำกับผม


“อืม” ผมพยักหน้ารับแล้วเดินตามฮาเซลพร้อมบอดี้การ์ดอีกหกคนขึ้นไปยังห้องทำงานบนชั้น 9


ภายในบริษัทไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรักษาความปลอดภายหรือข้อมูลการทำงานของแต่ละชั้นผมต่างรู้ดีเนื่องจากตีเนียนเดินเล่นไปมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา


“พวกนายออกไปเฝ้าข้างนอก” คำสั่งจากเจ้านายอย่างฮาเซลดังขึ้นเมื่อนั่งลงบนโต๊ะให้ห้องทำงานแล้ว


“ครับ” บอดี้การ์ดทุกคนต่างขานรับแล้วเดินออกไปด้านนอกไม่เว้นแต่ผมที่แอบดีใจอยู่ไม่น้อย


อยู่ข้างนอกก็ดีจะได้ไม่ต้องเห็นหน้ากัน


“ที่พูดไม่ได้รวมนายนะเรย์” ประโยคต่อมาทำเอาขาที่กำลังจะก้าวถึงกับชะงักพร้อมหันกลับไปมองคนด้านในด้วยสายตานิ่งๆ


“ผมคิดว่าคุณจะมีสมาธิกว่าถ้าทำงานเพียงคนเดียว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นค่อยเรียกผมก็ได้” จากประโยคที่พูดออกไปมีความหมายกลายๆ ว่าผมไม่อยากอยู่กับคุณ


“แล้วถ้าไม่มีโอกาสให้ส่งเสียงเรียกจะทำยังไงอย่างมีใครบุกมาจากเพดานแล้วเอาปืนจ่อหัวฉันอะไรแบบนี้” ภาพเหตุการณ์เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนถูกกลับมาเล่าใหม่อีกครั้ง


“นี่คิดจะเหน็บแนมผมรึไง” ถึงรู้ว่าเป็นนายจ้างแต่ก็ใช่ว่าจะทนได้ทุกอย่าง


ผมไม่ใช่พวกเก่งการสื่อสารงานที่ผมรับจึงมีแค่การสังหาร ไม่จำเป็นต้องพูดคุยอะไรกับผู้ว่าจ้างให้อารมณ์เสีย และไม่จำเป็นต้องมาวุ่นวายควบคุมหรือจัดการกับอารมณ์ตัวเองด้วย


“อารมณ์เสียแต่เช้าแบบนี้ลืมกินข้าวรึไง”


“ใครล่ะเป็นคนเริ่มก่อน” ผมว่าคนเริ่มไม่ใช่ผมนะ


“ฉันแค่ยกตัวอย่าง”


“ถ้าไม่ใช่ระดับนักฆ่าหรือพวกมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทำแบบนั้นไม่ได้หรอก” ที่ผมพูดหมายถึงการจะใช้กระถางต้นไม้เป็นฐานแล้วกระโดดขึ้นไปบนเพดาน การจะทำได้ต้องเน้นการเคลื่อนไหวและการทรงตัว พวกตัวใหญ่หรือก้ามปูตัดทิ้งไปได้เลย


“ไม่แน่นี่ ขนาดนักฆ่าบางคนยังเก่งทั้งการต่อสู้และการปัดป้องในระยะประชิดเลย”


“บอกชื่อเลยก็ได้มั้ง” ไม่ต้องพูดหรอกว่าบางคงบางคนจะพูดถึงผมก็บอกมาเลยดีกว่า


“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะกวนแค่อยากชื่นชม”


“งั้นก็ต้องขอบคุณ”


“อย่าตัดการสนทนาเหมือนไม่อยากคุยกันแบบนั้นสิ”


“คุณก็รู้ตัวนี่” ดวงตาสีอ่อนใต้คอนแทคเลนส์ของผมหันไปสบกับเจ้าของบริษัทตรงๆ


“ท่าทางแบบนี้ฉันก็ไม่ได้เกลียดหรอกนะ” อีกฝ่ายพึมพำพลางยกยิ้มขึ้น


“ผมจะถือว่าเป็นคำชม คุณจัดการงานของตัวเองให้เสร็จเถอะกองท่วมหัวแล้ว” คำพูดผมไม่ได้ประชดเพียงแค่บอกสถานการณ์ให้เข้าใจ แฟ้มเอกสารสูงเกือบสิบชั้นถูกวางตั้งไว้โดยแบ่งเป็นสองแถว เมื่อมองภานั้นแล้วในหัวผมก็เริ่มภวนา...


ภวนาให้แฟ้มพวกนั้นล่วงใส่หัวอีกฝ่ายจังๆ ไปเลย!


“ถ้างั้นมากินมื้อกลางวันด้วยกัน...”


“ไม่” แทบไม่ต้องให้เอ่ยจบประโยคผมก็สงนกลับทันที


“นี่ฉันเป็นนายจ้างนะ”


“ผมเคยบอกแล้วนะว่าถึงคุณจะเป็นนายจ้างแต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะทำทุกอย่างตามที่คุณต้องการ”


“ก็ได้ ฉันจะไม่เรียกนายมากินมื้อกลางวันด้วย”


“...” ผมได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ


ยอมแพ้ง่ายเกินไป


แปลว่าต้องมีอะไรแน่


แล้วอะไรที่ว่าคืออะไรล่ะ


“จ้องกันแบบนี้หรือว่าความจริงอยากมากินด้วยกันจริงๆ”


“ไม่!” ตอบเสร็จผมหันหลังกลับเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว


บอดี้การ์ดทั้งหกคนต่างทำหน้าดีเยี่ยมคอยเฝ้าระวังทุกที่เข้าออกห้องของฮาเซล มีหลายครั้งผมสั่งให้บอดี้การ์ดสองถึงสามคนเข้าไปประกบฮาเซลด้านในเมื่อมีแขกมาเยือน


สาเหตุที่ผมไม่เข้าไปประกบฮาเซลเองเพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมาสามารถใช้ทักษะที่มีเข้าจัดการจากด้านนอกได้แต่ถ้าเกิดให้ผมเข้าไปแล้วเกิดเหตุอะไรขึ้นพูดเลยว่าผมคงทำอะไรมากไม่ได้เพราะไม่มีประสบการณ์การถูกปืนจ่อตรงๆ หรือการสู้ซึ่งๆ หน้านัก
ทำแบบนี้เหมาะกับผมมากกว่า


ช่วงพักเที่ยงผมลงซื้อข้าวยังโรงอาหารของบริษัทซึ่งผมให้บอดี้การ์ดทั้งหกคนลงมากินก่อนหน้านี้แล้ว ถือเป็นการผลัดกันทำงาน โรงอาหารของบริษัทก็เหมือนกับโรงอาหารในบริษัททั่วๆ ไปเว้นแต่การตกแต่งของโรงอาหารที่ออกแนวหรูหราราวกับกำลังกินอยู่ในร้านอาหารสักร้าน


จานอาหารง่ายๆ ถูกยกมาถึงมุมด้านในสุดที่ไม่ค่อยมีคน อาจด้วยนิสัยของนักฆ่าทำให้มักจะชอบหลบมุมไม่ให้เป็นที่สังเกตของใครหลายๆ คน


สถานที่อย่างโรงอาหารถือเป็นแหล่งเก็บข้อมูลสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นใครทำอาชีพอะไรก็มักจะมารวมตัวพูดคุยกันตามร้านอาหารและพูดคุยระหว่างมื้ออาหารทั้งนั้น การจะได้ข้อมูลเหล่านั้นก็ง่ายแสนง่ายเพียงทำตัวไม่เป็นจุดสนใจก็สามารถแอบฟังได้ไม่ยาก ผมใช้วิธีนี้มาหลายสิบครั้งแล้ว บอกเลยว่าได้ผลดี ยิ่งเป็นผู้หญิงยิ่งคลายการระวังเข้าไปอีก


“...รสชาติไม่เลว” ผมพึมพำหลังจากตักคำแรกเข้าปาก


“เหรอ แบบนี้ฉันคงต้องไปสั่งบ้างแล้ว” เสียงตอบกลับอันคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมเก้าอี้อีกฝั่งที่ถูกเลื่อนออก


“...” ผมได้แต่เงียบทำเป็นไม่สนใจว่าเจ้าของบริษัทอย่างฮาเซล กอนซาเลสจะลงมายังโรงอาหารเพื่ออะไร


คำพูดเมื่อเช้าอย่าง...


‘ฉันจะไม่เรียกนายมากินมื้อกลางวันด้วย’


ผุดเข้ามาในหัวก่อนจะเข้าใจว่าความหมายของมันคืออะไร


ไม่เรียกมากินด้วยแต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่มากินด้วยสักหน่อย


หึ


เรื่องง่ายๆ ทำไมเพิ่งนึกได้นะ


กวนไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ ถ้าอีกฝ่ายกวนมาผมก็จะนิ่งกลับ มาลองดูกันว่าในสถานการณ์นี้ฝ่ายไหนจะประสาทเสียก่อน


“นี่เรย์ จะไม่ตกใจหน่อยเหรอ”


“...” ผมยังคงเงียบและไม่หันไปมองหน้าอีกฝ่าย บริเวณนี้อยู่ด้านในสุดของโรงหารและยังนั่งติดกับกระจกบานใหญ่ กระจกนี่สามารถมองวิวได้ไม่มากเนื่องจากอยู่ที่ชั้น 1 วิวส่วนมากที่เห็นคือลานจอดรถด้านข้างบริษัท


“ไม่สนใจกันเลยนะเรย์”


“...” อาหารที่นี่ก็ทำได้อร่อยพอใช้ทีเดียว ถ้าจะให้ดีกว่านี้คือมีร้านขนมหวานขายสักร้านสองร้านไม่ใช่มีแต่ร้านข้าว น้ำตาลถือเป็นพลังงานสำคัญที่ร่างกายจะขาดไม่ได้ในแต่ละวันโดยเฉพาะผมถ้าไม่ได้กินของหวานในแต่ละวันคงได้หมดเรี่ยวหมดแรงกันตั้งแต่หัววันพอดี


“นี่เรย์”


“...” ส่วนมื้อเย็นมีเชฟใหญ่ในคฤหาสน์คอยทำให้แถมฝีมือนี่บอกได้เลยว่าระดับภัตตาคาร ครั้งแรกที่ได้ชิมทำให้รู้เลยว่าอาหารอร่อยมันเป็นแบบนี้นี่เอง


“...” ครั้งนี้ฮาเซลเงียบลงบ้างนั่นทำให้ผมแอบยิ้มในใจที่ทำให้อีกฝ่ายประสาทเสียได้สำเร็จ


น่าจะคิดวิธีนี้ได้ตั้งนานแล้ว


บรรยากาศเงียบเริ่มนานขึ้นทีละน้อยจนผมเริ่มเกร็งขึ้นมา ถ้าเพียงแค่บรรยากาศเงียบๆ คงไม่ทำให้ผมเกร็งได้หรอกทว่าผมสัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องและคงไม่ต้องหันไปมองก็สามารถรู้ได้ว่าใคร ผมค่อยๆ ตัดสินใจหันไปมองอีกฝ่ายช้าๆ ก่อนจะเจอเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองจ้องมองมาพร้อมกับริมฝีปากเรียวที่เผยรอยยิ้มยามมองมาทางผม


สีหน้าและรอยยิ้มนั่นทำเอาผมทำตัวไม่ถูกขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง ถ้าเป็นผู้หญิงลงละลายเป็นไอไปแล้ว


“มองอะไร” ผมถามออกไป


“เห็นไม่ตอบนึกว่าอยากนั่งจ้องตากันซะอีก”


“ไม่มีทาง!” ผมสวนกลับทันควัน คิดได้ยังไงว่าอยากนั่งจ้องตากัน


 “นั่งมองกันเงียบๆ แบบนี้ก็ดีนะ โรแมนติกดี” พูดจบฮาเซลก็ส่งยิ้มมุมปากมาให้


“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง”


“ไม่ต้องเขินน่า ตอนฉันมานั่งนายก็ไม่ไล่นี่ ความจริงอยากให้มากินด้วยกันใช่ไหมล่ะ” นอกจากจะไม่สนใจคำพูดผมแล้วยังคิดเข้าข้างตัวเองแบบสุดๆ อีกต่างหาก


“ไม่ใช่!” คนเริ่มอย่างผมกลับเป็นฝ่ายถูกกวนประสาทซะแล้ว


นี่ผมคิดตื้นไปเหรอเนี่ย


“น่ารัก”


ควับ!


ส้อมบนจานถูกคว้าพร้อมกับร่างกายที่ลุกขึ้นอย่างฉันพลัน มือข้างที่ถือส้อมจ่อไปยังคำคออีกฝ่ายด้วยสีหน้าของนักฆ่าที่กำลังจะลงมือปลิดชีพ


“ถ้ากล้าพูดคำนั้นอีกอย่าหาว่าผมไม่เตือน” นอกจากการขึ้นคร่อมแล้วคำว่าน่ารักเป็นอีกสิ่งที่ผมไม่ชอบให้ใครมาพูด


ไม่ใช่เพราะกลัวแต่เป็นไม่ชอบ คำที่แสดงความหมายอ่อนแอแถมยังเหมาะกับผู้หญิงแบบนั้นผมไม่ชอบ และไม่ต้องการที่จะได้ยินด้วย


“น่ารักเป็นคำชมนะ” ฮาเซลดูไม่กังวลกับส้อมซึ่งจ่อคออยู่สักนิด


“สำหรับผมมันไม่ใช่”


“เพราะมันเป็นคำที่สื่อความหมายไปในทางสิ่งเล็กๆ แลดูอ่อนแอเหรอ”


“...” ผมไม่ตอบแต่ชักมือกลับและวางส้อมกลับบนจานเหมือนเดิม


ขู่แล้วไม่ได้ผลก็ไม่จำเป็นต้องทำต่อให้เปลืองแรง


เป็นอย่างที่เคยคิดจริงๆ ด้วย...ผมเกลียดเซ้นส์ของหมอนี่จริงๆ


“ไม่ตอบฉันคิดเอาเองว่าใช่นะ”


“คุณก็ปักใจเชื่อไปแล้วนี่”


“ฉันไม่รู้ว่าน่ารักสำหรับนายมองว่าไม่เหมาะหรืออะไรแต่สำหรับฉันที่ชมเรย์ว่าน่ารักไม่ใช่ดูตัวเล็ก น่าทะนุทะนอมหรือดูอ่อนแอแต่เป็นน่ามอง...”


“ฮะ?” น่ามอง...ความหมายคืออะไร


“การกระทำของเรย์ไม่ว่าจะทำหน้านิ่ง หงุดหงิด โกรธหรือโมโหต่างน่ามองไปหมดเพราะน่ามองเลยน่ารัก” คำพูดพร้อมรอยยิ้มของฮาเซลทำเอาผมนิ่งไป


ไม่รู้เลยว่าจะพูดต่อไปทางไหนดี


“...เอาเวลาพูดไปกินข้าวไป” เมื่อไม่รู้ว่าจะต่อไปทางไหนผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องซะ


“นี่เรย์”


“อะไรอีก”


“ถ้ามีคนชมว่าน่ารักจะเจอแบบที่ฉันโดนรึเปล่า”


“แน่นอน จะเฉือนเส้นเลือดให้ขาดเลย”


“พูดแบบนั้นแปลว่าถึงฉันพูดว่าน่ารักอีกก็จะไม่โดนปาดคอใช่ไหม”


“ใครบอก ถ้าคุณกล้าพูดอีกนอกจากปาดคอแล้วจะใช้มีดแทงทะลุหัวใจก่อนจะกระทืบซ้ำเลยด้วย” เรื่องเคืองยิ่งมีเยอะๆ อยู่ อย่าให้สบโอกาสนะผมจัดการไม่เลี้ยงแน่


จะรวมทุกลิสรายการแล้วบวกเพิ่มดอกเบี้ยเข้าไปด้วย!


“โหด”


“ก็ไม่เคยบอกนะว่าใจดี”



(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่5« 10/10/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 10-10-2018 17:54:11
(ต่อค่ะ)


หลังจากนั้นมื้อกลางวันของประธานบริษัทอย่างฮาเซลและผมก็ผ่านพ้นไป ทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะนิ่งจนให้อีกฝ่ายประสาทเสียแต่กลับถูกกวน ยั่วยุและหลอกล่อจนเป็นฝ่ายต้องประสาทเสียซะเอง


ในช่วงเย็นแซมเดินมาบอกผมว่าก่อนกลับต้องแวะไปยังคลับแห่งหนึ่งก่อน เห็นว่ามีการนัดเจอกันอย่างกะทันหันกับใครสักคน...ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเลยตามมาจนถึงคลับหรูแห่งหนึ่งในย่านใจกลางเมือง


คลับนี้ตั้งอยู่บนชั้น 5 ของตึกซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่แม้พื้นที่จะมีเพียงชั้นเดียวทว่าจัดรูปแบบร้านออกมาให้มีพื้นที่ใช้สอยมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นส่วนของบาร์ด้านข้างที่ทำยาวเป็นเส้นตรงหลายเมตรและมีส่วนสำหรับมาเป็นหมู่คณะรวมทั้งต้องการพื้นที่ส่วนตัวให้บริการครบทุกรูปแบบในพื้นที่จำกัด


ผมเดินตามหลังมากส์ แซมและฮาเซลไปจนด้านในของร้านบริเวณมุมขวาสุดติดกับกระจกบานใหญ่ โต๊ะกลมสีเข้มดูตัดกับโซฟากำมะหยี่สีตัดกันเพิ่มความดูดีให้มากขึ้นไปอีก โต๊ะตรงหน้ามีชายวัยกลางคนและหญิงสาวซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นลูกสาวนั่งอยู่ เมื่อเห็นฮาเซลเดินไปถึงทั้งคู่ก็ลุกขึ้นทักทายด้วยรอยยิ้ม


“ไง ไม่ได้เจอกันานนะฮาเซล ฉันรบกวนเวลารึเปล่า” ชายท่าทาภูมิฐานตรงหน้าพูด แสงไฟสลัวๆ ทำให้เห็นใบหน้าฝ่ายตรงข้ามไม่ชัดแต่เมื่อลุกขึ้นผมก็สามารถบอกชื่ออีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องถาม


สมกับเป็นฮาเซลรู้จักแต่คนระดับสูงๆ ทั้งนั้น คนตรงหน้าคือโรเบิร์ต เกลสัน ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้กุมอำนาจทางทหารและตำรวจได้อย่างอยู่หมัด ง่ายๆ คือผู้บัญชาการสูงสุดนั่นแหละ


“ไม่เลยครับ ไม่ได้เจอกันพักใหญ่ผมก็เป็นห่วงอยู่” ฮาเซลตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ


“กว่าจะจัดการหลายๆ อย่างเสร็จกินเวลานานอยู่ นั่งๆ วันนี้ฉันเลี้ยงเอง”


“สวัสดีค่ะ ท่านฮาเซล” หญิงสาวในสุดเดรสสีขาวสะอาดเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม เธอคนนี้ลูกสาวของจอมพล...เดโรซ่า เกลสัน
หญิงสาวที่เป็นที่หมายปองของเหล่าชายหนุ่ม เส้นผมสีทองสว่างประกอบกับดวงตาสีฟ้าสดใสสามารถทำให้ผู้พบเห็นเชื่อได้ว่าเธอคือเจ้าหญิงองค์หนึ่ง ด้วยความงามทั้งภายนอกและภายในนั่นทำเอาชายทั้งหลายต่างอยากได้มาครอบครอง ยิ่งมองใกล้ๆ ก็ยิ่งหมดข้อกังขาในความงามนั้น


“ครับคุณเดโรซ่า”


พอทักทายพอเป็นพิธีเสร็จทั้งสามก็นั่งลงก่อนจะเริ่มพูดคุยกันหลังเครื่องดื่มเสร็จ สำหรับเหล่าบอดี้การ์ดต่างคอยเฝ้าระวังอยู่ทางด้านหลังโซฟาไปจนถึงด้านข้าง ไม่ใช่เพียงบอดี้การ์ดของฮาเซลเท่านั้นแต่ยังมีทหารนอกเครื่องแบบของฝั่งโรเบิร์ต เกลสันด้วย
รูปร่างแบบนั้นคงถูกฝึกมาอย่างดีแน่ๆ แม้จะอยู่นอกเครื่องแบบความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อกลับปรากฏอย่างชัดเจนจนผมต้องจ้องมองไล่ทีละคนๆ


อยากได้บางแฮะกล้ามเนื้อนั่น แต่คงไม่เหมาะกับสายงานแบบผมเท่าไหร่


“เรย์” เสียงเรียกชื่อดังขึ้นพร้อมกระดิกนิ้วเรียกผมให้ก้มลงไปหา


“...มีอะไรครับ” หรือว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น ผมว่าตัวเองคอยจับสังเกตการเคลื่อนไหวรอบตัวแล้วนะ แต่ยังไม่พบอะไรผิดปกติเลยสักอย่าง


“สนใจลูกน้องของคุณโรเบิร์ตเหรอ”


“ถ้าจะเรียกมาเพื่อกวนก็รบกวนกรุณาอย่าเรียกผมอีกนะครับ” ผมกัดฟันส่งยิ้มพร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ความจริงอยากจะตอบกลับไปแรงกว่านี้แต่เห็นว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องมาอยู่


“เพิ่งเคยเห็นเธอแซวลูกน้องครั้งแรกนะเนี่ย” โรเบิร์ต เกลสันหัวเราะเล็กน้อย


“ก็มีบ้าง ผมเพิ่งเคยเห็นเขาจ้องใครตาเป็นมันส์ขนาดนี้” ระหว่างพูดสายตาก็เหลือบมามองผมเล็กน้อย


“โฮ่...หรือว่ารู้จักกันมาก่อน?” ผู้บัญชาการโรเบิร์ตเอ่ยถามโดยสายตาจับจ้องมาให้ผมเป็นคนตอบ


“เปล่าครับ ผมเพียงแค่ดูว่าพวกเขามีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงเลยรู้สึกสนใจเท่านั้นเพราะท่านก็เห็นว่ารูปร่างผมเป็นยังไง” ผมตอบกลับไปอย่างมีมารยาท


“แบบนี้นี่เอง...รูปร่างแบบเธอถ้าจะให้ได้แบบนั้นคงต้องฝึกกันนานเลย”


“ผมก็ว่าเช่นนั้น”


“คุณโรเบิร์ตผมว่าเราเข้าเรื่องกันเลยดีไหม” ฮาเซลที่เห็นว่าถึงเวลาก็เข้าเรื่อง


“รีบร้อนเหมือนเคยนะ ที่เรียกมาคือจะบอกว่าจับตัวโจ บาเลสเตอร์ได้แล้วเป็นเพราะได้ความข้อมูลจากเธอแท้ๆ”


“เล็กน้อยครับ” ฮาเซลตอบกลับพลางยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาจิบ


“อีกเรื่องคือช่วงนี้เหมือนมีการลักลอบค้าอาวุธเข้ามาแต่ไม่รู้ว่าเป็นพวกไหน ข้อมูลจากปากโจ บาเลสเตอร์เห็นว่ามีกลุ่มหนึ่งกำลังทำการล้างบางพวกกลุ่มอำนาจเล็กๆ อยู่” ประโยคต่อมาเป็นข้อมูลน่าสนใจที่ผมต้องรีบทำการเก็บไว้ในหัวทันที


“มาบอกผมนี่คิดว่าเกี่ยวข้องกับการที่ผมกำลังถูกจ้อง?”


“ใช่ อยากให้เธอระวังตัวมากขึ้น อำนาจและอิทธิพลของเธอมันสูงมาก ถ้าเกิดอะไรคานอำนาจอาจทลายลงได้ง่ายๆ” พูดจบโรเบิร์ต เกลสันก็เอื้อมมือมาแตะไหล่ฮาเซลเบาๆ


“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมเพิ่งได้มือดีมาร่วม” ฮาเซลตอบพร้อมยกยิ้มขึ้น


“มือดี? ออกปากชมขนาดนี้ชักอยากเห็นแล้วสิ” ดูจากท่าทางคงจะสนใจอยู่ไม่น้อย


“ผมคงให้เจอไม่ได้หรอก”


“ทำไมล่ะ”


“ผมหวง” รอยยิ้มและสายตาทอประกายนั่นทำเอาคนที่รอฟังถึงกับนิ่งไป


“พูดแบบนั้นยิ่งทำให้อยากเห็นเข้าไปใหญ่”


“หึหึ...”


“ผู้บัญชาการครับ” บอดี้การ์ดด้านหลังเข้ามาสะกิดเรียกก่อนกระซิบอะไรบางอย่าง


“เข้าใจแล้ว โทษทีนะฮาเซลพอดีมีเรื่องต้องไปจัดการต่อน่ะ”


“ครับ งั้นผมคงต้องขอตัวเช่นกัน”


“เดี๋ยวสิ...ไหนๆ ก็มาแล้วอยู่คุยเล่นกับเดโรซ่าหน่อยเถอะ” พูดจบก็ลุกขึ้นแล้วขยับให้ลูกสาวเข้ามานั่งใกล้กับฮาเซลแทน


ผมว่านี่ต้องเป็นแผนการแน่ๆ คงอยากให้ลูกสาวทำความรู้จักและสนิทกับฮาเซลมากขึ้นไม่งั้นคงไม่มีพ่อคนไหนพาลูกสาวมาในที่แบบนี้ในขณะคุยเรื่องค้าอาวุธหรอก


“...ครับ” เหมือนฮาเซลไม่อยากเท่าไหร่แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับ ไม่นานจอมพลโรเบิร์ตก็ออกไปโดยเหลือลูกน้องสี่คนคอยเฝ้าดูแลลูกสาว


“ท่านฮาเซล” เสียงหวานๆ ดังขึ้น


“ครับ” ฮาเซลเองก็ขานด้วยรอยยิ้ม


“ถ้าไม่ว่าอะไรเราไปที่อื่นกันดีไหมคะ ฉันไม่ค่อยถนัดสถานที่แบบนี้เท่าไหร่”


“เรื่องนั้นก็อยากจะไปต่ออยู่หรอกแต่พอดีนัดคนรักไว้น่ะ”


“...” ความเงียบบังเกิดขึ้นทันทีที่ฮาเซลพูดประโยคนั้นออกมา ไม่เพียงแค่เดโรซ่า เกลสันที่เงียบแต่บอดี้การ์ดฝั่งนี้แทบทุกคนต่างขมวดคิ้วกันเป็นแถว


คนรัก?


ใคร?


ผมว่าทั้งมากส์และแซมคงมีสองคำนี้วนอยู่ในหัว ผมเองก็งงอยู่ไม่น้อยจากข้อมูลที่หามาไม่เคยรู้ว่าอีกฝ่ายมีแฟนหรือคนรักอยู่ในตอนนี้


“เรย์จะไปพาแฟนฉันมา เนอะ” ผมถึงกับก้มลงไปมองใบหน้าของฮาเซล กอนซาเลสด้วยสายตากลืนไม่เข้าคายไม่ออก


ให้ไปพามาเหรอ


ที่ไหน


แล้วใครเล่า!


“...จะให้ผมไปพาจากไหน” ผมก้มลงไปกระซิบถามด้วยเสียงอันเบาที่สุด


“นายไง” คำตอบเบาทำเอาคิ้วผมขมวดแน่นขึ้นกว่าเดิม


“ว่าไงนะ นี่คิดจะให้ผม...” เพียงคำพูดเดียวผมก็สามารถเดาได้ถึงสิ่งที่ฮาเซลต้องการ นี่คิดจะให้ผมปลอมเป็นหญิงเพื่อหลอกงั้นเหรอ


“ตามนั้น นี่เป็นเหตุผลที่ปฏิเสธได้ง่ายสุดแล้ว”


“ง่ายคุณแต่ไม่ง่ายผมนี่”


“น่า”


“ไม่ต้องมาน่าเลย...ปฏิเสธไม่ตรงๆ ก็จบแล้วจะทำให้เรื่องยุ่งยากทำไม”


“อยากเห็นเรย์เวอร์ชั่นผู้หญิง”


“คุณว่างนักรึไง มาอยากอะไรตอนนี้!”


“เอ่อ ท่านฮาเซล” เสียงของเดโรซ่าดังขึ้นเมื่อเห็นผมซุบซิบกันมาได้สักพัก


“ผมแค่บอกสถานที่ไปรับเท่านั้นแหละ รบกวนด้วยนะ” พูดจบก็หันมาส่งยิ้มปิดท้าย


รบกวนด้วยอะไรเล่า!


“โรซ่าไม่เคยได้ยินว่าตอนนี้ท่านฮาเซลมีคนรักด้วย”


“ผมเพิ่งคบกับเธอได้ไม่นานเท่าไหร่”


“...เป็นโรซ่าไม่ได้เหรอคะ” หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยถามตรงๆ


“ผมไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ในตอนนี้ลง” ความหมายของคำพูดนั่นคงไม่ใช่เพียงความสัมพันธ์ของทั้งคู่แต่รวมไปถึงความสัมพันธ์กับผู้บัญชาการอย่างโรเบิร์ต เกลสันด้วย


“แต่โรซ่ารักท่านฮาเซล...”


“อีกอย่างผมไม่ได้คิดกับคุณในแง่นั้น”


“ท่านฮาเซล...”


“หวังว่าคงเข้าใจ”


“...ถ้าอย่างงั้นขอฉันได้เจอกับคนรักของท่านได้ไหมคะเห็นบอกว่ากำลังไปรับ” นิ่งไปสักพักเธอก็พูดต่อ ผมเหรออุตส่าห์รู้สึกดีใจที่เรื่องอาจจบโดยไม่ต้องแต่งหญิง


“ได้สิ” และฝ่ายชายก็ดันตบปากรับคำไปง่ายๆ ซะอีก


ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้ผมก็ได้แต่จำใจเดินออกไปจัดการปลอมตัวเป็นหญิงสาวในมุมอับของร้านที่ไม่มีใครอยู่ สำหรับเสื้อผ้า วิกผมหรือแม้แต่เครื่องสำอางผมมีติดตัวไว้เสมอเรียกว่ากลายเป็นเรื่องปกติที่ผมมักจะพกอุปกรณ์ปลอมตัวไปไหนมาไหนด้วยเสมอ


ครั้งนี้ผมเลือกวิกยาวสีน้ำตาลอ่อนกับคอนแทคเลนส์สีน้ำตาลเข้มและชุดเดรสยาวสีฟ้าอ่อน เครื่องสำอางถูกแต่งรีบๆ โดยทำเพียงปัดๆ ให้รู้ว่าแต่งแต่ไม่ได้แต่งออกมาให้ดีนักเนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลา


ถ้าคิดว่าสามารถแต่งหน้าได้ภายในสิบนาทีละก็คิดผิดแล้ว


เวลาในการปลอมตัวครั้งนี้ทำลายทุกสถิติเพราะใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีผมก็เดินเข้ามาปรากฏตรงหน้าโต๊ะของฮาเซลด้วยรอยยิ้ม เหล่าบอดี้การ์ดด้านหลังต่างจับจ้องมายังผมอย่างพินิจพิเคราะห์ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะสงสัยหรอก บอดี้การ์ดที่คอยตาม 24 ชั่วโมงกลับไม่เคยเจอหน้าคนรักของเจ้านายทว่าอยู่กลับมีคนรักปรากฏตัวออกมาซะอย่างนั้น


“ฮาเซล” ผมดัดเสียงเรียกอีกฝ่ายให้ดูหวานขึ้น


“เรย์ไม่ได้มาด้วยเหรอ” คำถามนั้นราวกับกลั่นแกล้งทั้งที่รู้ความจริงแท้ๆ ว่าผมคือใคร


“...เขาบอกว่ามีธุระเลยพาฉันมาส่งแล้วขอตัวกลับไปก่อน” ผมพยายามหาข้อแก้ตัว


“เหรอ มานี่สิ” ฮาเซลกวักมือเรียกผมให้เข้าไปนั่งใกล้ๆ ซึ่งผมก็ทำตามโดยดี บนใบหน้าผมพยายามค้างรอยยิ้มใสๆ ไว้อย่างสุดความสามารถ


“ถ้าไม่อยากโดนชกก็เอามืออกไป” ผมแกล้งทำทีเป็นซบไหล่พร้อมพูดเสียงเข้มให้ได้ยินกันสองคน ที่ผมไม่พอใจคือมือข้างหนึ่งที่เริ่มโอบเอวผมไว้


“อยากพูดแบบนั้นสิ คนรักที่ไหนก็โอบเอวกันทั้งนั้นแหละ”


“แค่แกล้งทำเป็นโอบก็พอแล้วจะจับแน่นทำไม” ผมกัดฟันพูดต่อ


“น่าๆ เดโรซ่านี่คือแฟนของผม เอเรน่า เฟอร์เมท”


“...” ผมถึงกับเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายอึ้งๆ


นี่ถึงขนาดคิดชื่อไว้เลย


ผมยังนึกอยู่เลยว่าต้องคิดเอง


“ค่ะ สวัสดีค่ะ ฉันเดโรซ่า เกลสัน” พูดจบอีกฝ่ายก็เอื้อมมือมามาทักทาย


“ยินดีเช่นกัน” ผมตอบรับคำทักทายด้วยน้ำเสียงที่พยายามดัดให้หวานที่สุด


“อาจดูทำตัวเป็นศัตรูแต่ฉันอยากบอกว่าไม่ยอมแพ้คุณหรอกนะคะ ถึงท่านฮาเซลจะไม่ได้รักฉันแต่ในอนาคตก็ไม่แน่ เพราะงั้นฉันจะพยายามพัฒนาตัวเองให้เป็นแบบที่ท่านฮาเซลต้องการค่ะ จะให้ดีกว่าคุณเอเรน่าด้วย”


“เอ่อ...” ตอนนี้คุณดีมากอยู่แล้วไม่ต้องพัฒนาอะไรหรอก


ผมอยากบอกออกไปแบบนั้นจริงๆ


ขนาดผมยังคิดว่าอีกฝ่ายทั้งสวยและเพียบพร้อมเลย


จะให้ดีกว่าผมเหรอ...บอกเลยว่าดีกว่าอยู่แล้ว


“ขอตัวค่ะ” พูดจบเธอก็ลุกพร้อมก้มหัวเอ่ยลาก่อนจะเดินจากไปกับเหล่าบอดี้การ์ด


จบแล้วสินะ


ผมถอนหายใจและลดการป้องกันทันใดนั้นฝ่ามือที่โอบเอวอยู่ก็กระชับดึงร่างผมให้เข้าไปประชิดตัวมากขึ้น หัวผมเอียงไปซบบริเวณแผ่นอกตามแรงโน้มถ่วงโดยในหัวกำลังประมวลสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


“ไปซบต่อบนห้องได้นะ” เพียงประโยคเดียวที่ได้ยิน


สมองผมก็ไม่จำเป็นต้องประมวลอะไรอีกต่อไป


ผั๊วะ!


หมัดหนักๆ พุ่งเข้าสีข้างของฮาเซล กอนซาเลสโดยไม่ให้เหล่าบอดี้การ์ดด้านหลังสังเกตเห็น และเหมือนหมัดผมจะถูกคาดการณ์ไว้อีกฝ่ายเลยใช้มืออีกข้างตั้งรับได้ทัน


“ฮาเซล กอนซาเลส” ผมพึมพำชื่อด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด


“คราวหน้าฉันจะซื้อชุดให้นะ อย่าทำหน้าหงิกน่าที่รัก”


จะเล่นแบบนี้ใช่ไหม


จัดให้!


“เราเลิกกัน!!” ผมเด้งตัวลุกขึ้นจากโซฟาด้วยใบหน้าบึ้งตึงจนบอดี้การ์ดด้านหลังและลูกค้าหลายโต๊ะหันมามองอย่างสนใจปนตกตะลึงเพราะคงไม่มีใครคิดหรอกว่าจะมีผู้หญิงกล้าบอกเลิกฮาเซล กอนซาเลสโต้งๆ แบบนี้


“...ฮะ?”


“ฉันทนคุณต่อไปไม่ไหวแล้ว คนนิสัยแย่ๆ แบบคุณน่ะเฉาตายไปเถอะ ลาก่อน!” พูดจบผมก็ทำท่าปาดน้ำตาก่อนจะวิ่งจากไป


หึ...ให้รู้ซะบ้างว่าเล่นอยู่กับใคร


ชื่อเสียงที่มีขอทำลายสักหน่อยละกันแต่ถ้าคิดว่าทำแค่นี้แล้วจบละบอกเลยว่าไม่ใช่


อย่าได้เผลอเชียวผมจะโต้กลับให้อับอายกันไปข้างเลย!

...................................................

มาต่อแล้วค่าา

ครั้งที่แล้วให้บทฮาเซลไปเต็มๆ ครั้งนี้กลับมาที่เรย์บ้าง

ยิ่งแต่งยิ่งรู้สึกเหมือนฮาเซลเป็นพวกมาโซ

ทั้งที่รู้ตัวว่าต้องโดนเรย์โกรธและโต้กลับแต่ก็ยังไม่วายไปแหย่เขาเล่น

ได้อ่านคอมเม้นท์จากทุกคนแล้วเหมือนทุกคนจะอยากให้ฮาเซลโดนเรย์เอาคืนโทษฐานที่ชอบแหย่ เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่อยากให้ฮาเซลถูกเอาคืน

สนุกมากเลยค่ะที่ได้แต่งให้ฮาเซลถูกเรย์เอาคืน555

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นและกำลังใจนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่5« 10/10/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-10-2018 18:23:48
หื่นจนโดนบอกเลิก ทำไงต่อดีน่ะ.  :hao3:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่5« 10/10/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-10-2018 12:02:26
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่5« 10/10/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: PK.Kenaf ที่ 11-10-2018 23:38:13
ขำ 555555
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่6« 17/10/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 17-10-2018 13:47:13
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่6



หน้าที่ของบอดี้การ์ดคือการเฝ้าระวังทุกสิ่งรอบๆ ตัวของเจ้านายไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ต้องระวังเอาไว้ก่อนเพราะสิ่งเล็กน้อยเหล่านั้นอาจทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงตามมาได้ ซึ่งนั่นหมายถึงบอดี้การ์ดมืออาชีพใช้กับผมไม่ได้หรอก


นักฆ่าไม่จำเป็นต้องเฝ้าระวังให้ใครนอกจากตัวเองเพราะแบบนั้นการปรับตัวมาเป็นบอดี้การ์ดจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเคยชินได้ในวันสองวัน แม้จะผ่านไปหลายวันก็ยังไม่ชินสักทีโดยเฉพาะท่าทีของเจ้านายอย่างฮาเซล กอนซาเลสที่มักจะหาเรื่องมาแหย่อารมณ์กันได้อยู่เรื่อย


อารมณ์ดีกลับติดลบได้ในชั่วพริบตาช่างเป็นพรสวรรค์ของฮาเซลจริงๆ


วันนี้ก็เป็นอีกวันของการเป็นบอดี้การ์ดทว่าเมื่อเช้าผมได้รับข่าวดีจากมากส์และแซมซึ่งเป็นหัวหน้าว่าวันนี้ให้ผมเฝ้าอยู่ที่คฤหาสน์ไม่ต้องตามไปยังบริษัทพร้อมแอบกระซิบว่าอยากให้ผมพักบ้างเพราะเห็นถูกกวนตลอด


แล้วมีเหรอที่ผมจะไม่ตกลง


จริงอยู่ว่างานผมคือการดูแลฮาเซลจนกว่าจะจัดการตัวการได้แต่ไม่ได้บอกนี่ว่าห้ามพัก ด้วยฝีมือของมากส์และแซมน่าจะเพียงพอในการดูแลฮาเซล อีกอย่างเจ้าตัวเองฝีมือใช่ย่อยซะที่ไหน ต่อให้ไม่มีบอดี้การ์ดผมว่าคงไม่มีปัญหาด้วยซ้ำ


ฮาเซลเองดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยนักกับการให้ผมอยู่เฝ้าคฤหาสน์แต่ก็ไม่ได้บอกให้ตามไป ผมว่าเขาคงรู้ตัวว่ากวนผมไว้เยอะเลยยอมปล่อยให้พักผ่อนละมั้ง


“... อีก5นาทีจะมีการจัดโปรโมชั่นพิเศษ ชีสเค้กทุกรสชาติซื้อหนึ่งฟรีหนึ่งจนกว่าจะหมดกันไปเลย ใครสนใจเตรียมตัวมาหยิบ มาจับจองกันได้นะครับ” เสียงประกาศจากร้านขนมหวานถัดออกไปด้านหน้าประมาณหนึ่งร้อยเมตรเรียกสติผมให้เงยหน้าขึ้นไปมองระหว่างขาก้าวไปยังต้นเสียงเต็มกำลัง


ชีสเค้กงั้นเหรอ


แถมยังซื้อหนึ่งแถมหนึ่งอีก


ตอนนี้ผมกำลังโดดการเฝ้าระวังคฤหาสน์ออกมาเดินยังย่านร้านค้าในถนนสายหนึ่งไม่ไกลจากคฤหาสน์ของฮาเซลนัก ด้วยเส้นทางที่ไม่เคยผ่านทำให้ผมต้องจำเส้นทางที่ผ่านมาตลอดการเดิน แต่ตอนนี้ช่างเส้นทางก่อนเถอะ


ชีสเค้กน่ะไม่ใช่ว่าทุกร้านจะทำได้อร่อยหรอกนะ มีหลายร้านที่ทำแล้วไม่ได้คงรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของชีสเค้กไว้...หลายคนคงไม่รู้ต่างกับผมที่เป็นแฟนตัวยงของขนมหวานแทบทุกอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งชีสเค้ก


ก้าวตรงไปไม่กี่ก้าวก็มาถึงร้านที่พูดประกาศจัดโปรโมชั่นเรียบร้อย ร้านกระจกขนาดไม่ใหญ่ตกแต่งด้วยโทนสีครีมสลับกับชมพูอ่อนดูแล้วน่ารักสบายตา ด้านหน้าร้านมีโต๊ะตัวยาวแล้วชีสเค้กเกือบสิบแบบวางเรียงให้เลือกตามใจ


นั่นยังไม่ดึงดูผมเท่ากับป้ายชื่อร้านซึ่งเป็นหนึ่งในร้านขึ้นชื่อสำหรับคนรักชีสเค้กที่ต้องมากินให้ได้ ผมเคยอ่านข้อมูลของร้านนี้มาก่อนและเคยอยากไปสักครั้งทว่ากลับไม่มีสาขาเปิดใกล้ๆ เลย แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ


ผมไม่เห็นรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย...


“วันนี้ทางร้านจัดโปรโมชั่นฉลองเปิดสาขาใหม่...ใครที่สนใจสามารถเข้ามาเลือกซื้อกันได้นะครับ ชีสเค้กซื้อหนึ่งฟรีหนึ่งกันไปเลย ช้าหมดอดนะครับ” ความสงสัยถูกคลายทันทีที่ได้ยินเสียงประกาศอีกรอบ


เปิดสาขาใหม่นี่เอง


ครืดดด~ ครืดดด~


แรงสั่นจากเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าดังขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาพร้อมรับสายโดยสายตายังจับจ้องไปยังกลุ่มเด็กสาวในชุดนักศึกษาที่กำลังเดินเข้าไปซื้อชีสเค้ก


“ครับ”


เอาเถอะ ช่วงบ่ายแบบนี้คงไม่มีใครมาเดินซื้อนักหรอกเพราะงั้นไม่ต้องรีบก็ได้


(เรย์) เสียงจากปลายสายดังขึ้น


มีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละที่เรียกผมด้วยชื่อนี้


นี่ผมจะไม่ได้พักเลยจริงๆ สินะ


“มีอะไรครับคุณฮาเซล กอนซาเลส”


(อยู่ไหน ไม่ได้อยู่บ้านใช่ไหม)


“...ทำไมถึงรู้” ผมขมวดคิ้วพลางหันซ้ายขวามองรอบตัวทันควัน นี่คงไม่ได้ถูกตามหรือสะกดรอยอยู่หรอกนะ


(ตอนนี้ฉันอยู่บ้าน)


เข้าใจล่ะ


แค่นี้ก็ตอบคำถามที่ว่าทำไมถึงรู้ได้แล้ว


“กลับเร็วนะ” พึ่งช่วงบ่ายแท้ๆ ปกติกว่าจะกลับมาก็พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว


(คิดถึงนี่)


“หึ...คิดถึงคุณเชขนาดนั้นเลย?” คุณเชที่ว่าคือเชฟวัย 60 ของบ้าน ฝีมือของเขาน่ะเรียกว่าสุดยอดไม่ว่าจะเป็นอาหารแนวไหนก็สามารถทำได้หมด ผมเองก็กำลังพยายามสนิทกับอีกฝ่ายเผื่อจะขอให้ทำขนมให้กินบ้าง


ตั้งแต่อยู่คฤหาสน์นี้มาได้รู้ข้อมูลของเจ้าบ้านอย่างฮาเซล กอนซาเลสหลายอย่างหนึ่งในนั้นคือไม่ชอบของหวานจึงไม่มีการทำขนมหลังอาหารไม่ว่าจะมื้อไหนก็ตาม


(คิดถึงเรย์ต่างหาก)


“แต่ผมไม่ยักคิดถึงคุณแฮะ...ถ้าไม่มีอะไรแค่นี้นะผมกำลังยุ่ง” ผมรีบตัดบทเพราะไม่รู้ว่าเป็นเวลาเลิกเรียนหรือยังไงถึงได้มีกลุ่มนักศึกษาหลายสิบคนวิ่งเข้าไปยังร้านเปิดใหม่จนแน่นหน้าร้านไปหมด


ถ้าไม่รีบอดแน่ๆ


(เดี๋ยวสิเรย์ สรุปนายอยู่ไหน)


“อยู่แถวนี้แหละน่า แค่นี้นะผมรีบ...”


(เดี๋ยว ห้ามวางสายนะ ทำอะไรอยู่น่ะทำไมเสียงดังๆ) เสียงที่ว่าคงเป็นเสียงประกาศและเสียงแย่งชิงชีสเค้กที่เหลืออยู่ไม่มาก


ผมไม่มีเวลาแม้แต่จะวางสายเลยยัดโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อปล่อยให้ปลายสายพูดคนเดียวไปโดยผมนั้นก็ทำการใช้ทักษะของนักฆ่าค่อยดันและเบียดตัวเองเข้าไปอยู่ด้านหน้าในเวลาไม่นาน รอยยิ้มยามนึกถึงชีสเค้กยกขึ้นทว่าถาดตรงหน้าผมนั้นกลับว่างเปล่า...


ไม่ใช่สิ ไม่ใช่แค่หน้าผมแต่ทั้งโต๊ะว่างเปล่าเหลือเพียงถาดเปล่าๆ เท่านั้น


ไม่จริง


อย่าบอกนะว่า...


“อ่า น่าเสียดายสำหรับหลายๆ ท่านนะครับตอนนี้โปรโมชั่นชีสเค้กซื้อหนึ่งแถมหนึ่งได้หมดลงแล้วครับ ถ้าลูกค้าท่านใดสนใจสามารถเข้าไปเลือกซื้อขนมอื่นๆ ด้านในได้นะครับแต่สำหรับชีสเค้กจะเริ่มขายขายวันพรุ่งนี้นะครับ!”


“...” คำประกาศด้วยน้ำเสียงร่าเริงไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกตามเลยสักนิด


ทั้งที่ผมได้ยินเสียงประกาศก่อน


ทั้งที่ผมเห็นร้านก่อน


ทั้งที่ผมมาถึงก่อน


แล้วทำไมถึงไม่ทันล่ะ


ชีสเค้กของผม!


(...เรย์...นี่เรย์)


นี่ไงสาเหตุ


“เพราะคุณคนเดียวฮาเซล กอนซาเลส!!” ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาตะโกนด้วยเสียงหงุดหงิด


ถ้าไม่ต้องมารับโทรศัพท์ก็ซื้อทันแล้วแท้ๆ


แบบนี้จะรับผิดชอบยังไง!


(...ฉันทำอะไร) ปลายสายดูตกใจไม่น้อยที่ได้ยินเสียงผมตะโกน


“จะทำอะไรล่ะก็เล่นโทรมาในช่วงเวลาสำคัญไง คุณต้องรับผิดชอบด้วย!”


(รับผิดชอบ?)


รู้ไหมว่าเวลาอยากกินอะไรแล้วไม่ได้กินมันหงุดหงิดขนาดไหน


ในเมื่อเป็นต้นเหตุก็จงเตรียมตัวให้ดี


“ใช่ พาผมไปที่ร้านKäse konditorei&torteเลย!”


เมื่อวางสายเรียบร้อยผมก็ตรงกลับบ้านหลังยักษ์ด้วยใบหน้าสงบนิ่งทว่าภายใต้ความสงบกลับแฝงไปด้วยอารมณ์ที่ใกล้ระเบิดเต็มที เหล่าบอดี้การ์ดที่เฝ้าประตูบ้านเองคงจะสัมผัสได้เลยสะดุ้งกันเป็นแถบยามผมเดินผ่านเข้าไปด้านใน


ตัวต้นเหตุอย่างฮาเซล กอนซาเลสยืนอยู่หน้าลานจอดรถพอเห็นผมก็ส่งยิ้มทักทายมาให้แน่นอนว่าผมไม่ได้โบกมือยิ้มตอบแต่อย่างใด


“เตรียมตัวรับผิดชอบรึยัง” ผมไม่เกริ่นหรือทักทายเจ้านายสักนิด


“ฉันยังไม่เข้าใจเลยว่าทำอะไรให้ต้องโกรธขนาดนั้น...แต่ไม่เป็นไร ให้รับผิดชอบงั้นแต่งงานกันเลยไหม”


“ผมไม่ตลกด้วยนะ” ผมตอบอีกฝ่ายกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ


“...ให้พาไปร้านที่บอกก่อนหน้านี้ก็จะหายโกรธใช่ไหม” เหมือนฮาเซลจะรู้ว่าผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์เล่นด้วยเลยเข้าเรื่อง


“ใช่” ผมพยักหน้ายืนยัน


“งั้นเดี๋ยวฉันขับรถพาไป”


“คุณจะขับ?” ผมถามเสียงสูงเพราะปกติมักจะให้แซม มากส์ไม่ก็ใครสักคนเป็นคนขับให้เสมอ


“อืม ไปข้างนอกกับเรย์ทั้งทีอยากไปกันแค่สองคน”


“ไม่ใช่ว่าช่วงนี้ต้องระวังตัวรึไง” ผมถามกลับพลางหันไปมองหน้ามากส์ที่ยืนอยู่ข้างๆ เป็นเชิงขอความเห็น


“นั่นสิครับท่านฮาเซล ถ้ายังไงให้พวกผมไปด้วย...”


“แค่มีเรย์ไปด้วยคงไม่เป็นไรมั้ง” ฮาเซลพูด


“มั่นใจไปแล้ว ผมบอกแล้วไงว่าไม่ค่อยเก่งพวกศิลปะป้องกันตัว” อีกอย่างถ้าอีกฝ่ายมีจำนวนเยอะผมก็ไม่คิดว่าจะไหวหรอกนะ ยังไงพวกการต่อสู้โดยเผชิญหน้ากันตรงๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัดเท่าไหร่


“ถ้าอยู่กันสองคนน่าจะทำอะไรได้บ้างแหละ”


“เอางี้ไหมบอส บอสก็ไปกับเขาสองคนส่วนพวกเราจะใช้รถอีกคันตามไป อ้อ ไม่ต้องห่วงว่าพวกเราจะตามเข้าไปในร้านหรอกนะ ไม่อยากรบกวนการเดทของบอส” แซมเสนอความเห็นด้วยรอยยิ้ม


“ไม่ใช่เดทสักหน่อย” ผมบออกแซมเสียงเข้ม


“ไม่ต้องเขินน่าเรย์”


“คุณน่ะเงียบไปเลย” ผมหันควับมองหน้าอีกฝ่าย ระยะเวลาที่อยู่นี่มาทำให้ทั้งมากส์และแซมต่างเข้าใจถึงลักษณะนิสัยหรือแม้แต่ท่าทางที่ผมแสดงออกกับเจ้านายอย่างฮาเซลเวลาว่าเป็นยังไงและสาเหตุที่ทำให้ผมต้องแสดงออกแบบนั้นคืออะไร


ช่วงแรกๆ มากส์ก็เข้ามาบอกให้ผมนอบน้อมหน่อยแต่พอเห็นเจ้านายตัวเองแหย่ผมได้อยู่แทบทุกวันก็เหมือนจะเข้าใจแถมยังมีพูดด้วยว่าปกติฮาเซลไม่ใช่คนชอบแหย่หรือกวนใครแบบที่ทำกับผม


ซึ่งผมก็รู้แหละว่าฮาเซลกวนอยู่แค่กับผม คงสนุกที่ได้เห็นผมอารมณ์ขึ้นละมั้ง


อีกอย่างคือเรื่องชื่อ ชื่อที่ผมแนะนำตัวออกไปกับฮาเซลเรียกเป็นคนละชื่อทั้งที่เป็นแบบนั้นกลับไม่มีใครเอ่ยถามหาความจริงเรื่องนี้ แถมยังเรียกผมด้วยชื่อปลอมๆ นั่นด้วย ถ้าให้เดาพวกเขาคงไม่อยากก้าวก่ายหรือเข้ามายุ่งเรื่องของกับฮาเซลมากไปกว่านี้


“สรุปเอาตามนี้นะ มากส์เราไปเตรียมรถเถอะ” เหมือนแซมจะไม่อยากดูการเถียงของผมและฮาเซลเลยทำการตัดจบแล้วสรุปเอง


“นั่นสิ ฝากบอสด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันคิดว่านายสามารถจัดการได้อยู่แล้ว” มากส์เดินมาแตะไหล่ผมพร้อมบอกเสียงเบา


“หมายถึงจัดการกับบอสคุณหรืออย่างอื่น” ผมถามกลับ


“ทั้งสองอย่าง”


จากนั้นพวกเราก็แยกย้ายโดยผมและฮาเซลใช้รถคันสีดำขับออกจากคฤหาสน์ตรงไปยังสถานที่ตามคำบอกทางของผม ร้านที่ผมจะไปเป็นร้านติดอันดับต้นๆ ของร้านขนมหวานแต่เพราะไม่ได้บอกอีกคนไว้ว่าเป็นร้านอะไรทำให้พอมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูกระจกสีสมพูดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองของฮาเซลก็เบิกกว้างพร้อมหันมามองหน้าผม


ร้านKäse konditorei&torteเรียกได้ว่าเป็นร้านขนมของคนรักขนมอย่างแท้จริง ใครที่ลองมาสักครั้งรับรองจะติดใจแถมยังเป็นร้านสำหรับพวกคอขนมเพราะร้านนี้อยู่บนชั้นสองของตึกโดยมีชั้นล่างเป็นธนาคาร ใครที่เดินผ่านคงไม่รู้ว่ามีร้านขนมอยู่ชั้นสอง


ผมเองได้ที่อยู่ร้านนี้มาระหว่างต่อแถวซื้อพุดดิ้งนมสดอยู่ และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้มาเยือน ประตูกระจกตรงหน้าใสปิ๊งจนเห็นบรรยากาศด้านได้ของร้านซึ่งมีสีชมพูเป็นตัวนำได้อย่างดี ผมเหลือบมองใบหน้าของฮาเซลก่อนจะยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ฮาเซลไม่ชอบของหวานหรือขนมแทบทุกชนิดดังนั้นการพามาร้านขนมถือเป็นการทรมานซึ่งๆ หน้า


ไม่มีอะไรจะแก้แค้นดีไปกว่านี้แล้ว


“อย่ายืนนิ่งสิ เข้าไปกัน” ผมเปิดประตูเข้าไปด้านในพลางดึงแขนอีกฝ่ายให้ก้าวตามเข้ามา เสียงกระดิ่งด้านหน้าเรียกพนักงานในชุดผ้ากันเปื้อนสีสดใสหันมามองด้วยรอยยิ้ม


“ยินดีต้อนรับค่า สองท่านนะคะ” พนักงานสาวในชุดเมดสีฟ้าอ่อนเดินมาต้อนรับ


“ครับ ขอเป็นมุมหน้าต่างนะครับ” ผมบอกพนักงานหลังมองไปรอบๆ ร้านแล้ว บริเวณที่ดีที่สุดถูกวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว


“รับทราบค่ะ เชิญด้านนี้เลยค่า” พนักงานสาวผายมือก่อนจะเดินนำพวกเราไปยังโต๊ะสำหรับสองที่ริมกระจกบานใหญ่


กระเบื้องสีขาวสลับชมพูกับกำแพงสีครีมชมพูดนั้นดูหวานแหวนเข้าคู่กับชุดโต๊ะเก้าอี้สีโทนเดียวกัน บริเวณกลางร้านมีการจัดวางขนมอย่างหรูหราคล้ายของต่างชาติที่จะมีการจัดวางขนมอยู่บนภาชนะ 3 ชั้น


“ไม่ทราบว่าจะรับเป็นเมนูปกติหรือบุฟเฟ่ดีคะ” พนักงานคนเดิมถามเมื่อเห็นพวกเรานั่งเรียบร้อย


“บุฟเฟ่ครับ” ผมตอบโดยไม่ขอความเห็นอีกคน


ผมเช็กทุกอย่างไว้หมดแล้ว ร้านนี้เป็นร้านขนมที่มีราคาค่อนข้างสูงซึ่งเหมาะสมกับรสชาติที่ใครกินก็เห็นว่าต้องติดใจ เค้กชิ้นหนึ่งราคาก็เลขสามหลักได้แต่ถ้าเลือกเป็นบุฟเฟ่แม้ราคาจะสูงทว่ากลับสามารถทานได้ไม่อั้น


พูดได้แค่คุ้มสุดๆ สำหรับคนชอบทานขนมล่ะนะ


“เดี๋ยวเรย์ถามกันก่อนสิ” ฮาเซลที่ปกติจะพูดมากครั้งนี้กลับสามารถเงียบได้กว่า 10 นาทีตั้งแต่ก้าวมาถึงร้าน


“คุณต้องเลี้ยงด้วย”


“เรื่องเลี้ยงไม่มีปัญหาหรอก ฉันขอแค่ชาก็พอ...”


“ไม่ได้ มาร้านนี้ทั้งทีจะสั่งแค่ชาได้ยังไง บุฟเฟ่ 2 ที่ครับ ชาของเป็นมาริยาจ แฟรร์” ผมหันไปสั่งพนักงานสาวด้านข้าง


“รับทราบค่ะ บุฟเฟ่เค้กสองที่และชามาริยาจ แฟรร์นะคะ ไม่ทราบว่าลูกค้าพึ่งมาเป็นครั้งแรกรึเปล่าคะ?”


“ครับ” ผมพยักหน้า


“ถ้างั้นทางเราขอแนะนำสักนิดนะคะ สำหรับบุฟเฟ่ลูกค้าสามารถเดินไปเลือกเค้กบริเวณโต๊ะกลางร้านได้ตามต้องการ นอกจากนี้ถ้าต้องการจะสั่งเมนูพิเศษอย่างชีสเค้กอบไอน้ำ บานอฟฟี่ชีสเค้กหรือเมนูอื่นๆ สามารถเรียกพนักงานเพื่อสั่งได้นะคะ สำหรับเมนูพิเศษรบกวนลูกค้ารอประมาณ 15-20 นาทีค่ะ ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลานะคะเพราะทางร้านเราไม่มีการจับเวลาค่ะ”


“ขอชีสเค้กอบไอน้ำกับบานอฟฟี่ชีสเค้กอย่างละ 2 ครับ” ผมรีบสั่งเมนูพิเศษที่ต้องใช้เวลาในการทำก่อน ความจริงข้อมูลพวกนี้ผมก็รู้แล้ว...พนักงานที่นี่ทำงานดีจริง สมแล้วกับที่ได้รับการประเมินว่ามีทั้งรสชาติและการบริการอันยอดเยี่ยม


“ชีสเค้กอบไอน้ำกับบานอฟฟี่ชีสเค้กอย่างละ 2 ชิ้นนะคะ รับทราบค่ะ” พูดจบพนักงานสาวก็จากไปพร้อมรอยยิ้ม


“...เรย์”


“ฮืม?” ตอนนี้อารมณ์ผมเริ่มดีขึ้นแล้ว กลิ่นหอมของเค้กและขนมรวมทั้งเครื่องดื่มช่างอบอวนชวนให้เคลิ้มจริงๆ อารมรณ์หงุดหงิดค่อยดีขึ้นมาหน่อย


“ฉันไม่ค่อยชอบของหวานเท่าไหร่”


“ผมรู้” ผมตอบทันที เรื่องแค่นี้ทำไมจะไม่รู้ล่ะ


“รู้แล้วทำไมถึง...”


“ถือเป็นการแก้แค้นที่ทำให้ผมซื้อชีสเค้กไม่ทัน” ไม่ต้องฟังคำถามจบก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะบอกอะไร


“เฮ้อ แล้วหายโกรธรึยัง”


“นิดนึง”


“หลังกินเสร็จค่อยหายสนิทสินะ”


“คิดงั้น?”


“ใช่”


“รู้ดีนี่”


“แค่เรื่องของเรย์หรอก” ฮาเซลเปลี่ยนท่ามาเป็นเท้าแขนข้างหนึ่งลงบนโต๊ะก่อนตอบกลับพร้อมดวงตาสีน้ำตาลจนเกือบทองที่ประสานมา


“หึ จะรู้สักแค่ไหนเชียว” ต่อให้อยู่ด้วยกันก็ใช่ว่าผมจะเผยเรื่องของตัวเองให้ใครรู้ง่ายๆ


“รู้มากกว่าที่เรย์คิดละกัน” รอยยิ้มเต็มไปด้วยความมั่นใจนั่นดูไม่เหมือนคนโกหก


“ชามาริยาจ แฟรร์ได้แล้วค่ะ” พนักงานสาวคนเดิมเดินมาเสิร์ฟชาก่อนจะกลับไป


กลิ่นหอมของชาอันดับหนึ่งของฝรั่งเศสไม่ใช่แค่เรื่องเล่า กลิ่นหอมของใบชาลอยขึ้นมาจากกาสีขาวนวลส่งกลิ่นน่าลิ้มลอง


“ชานี่คุณคงชอบ” ผมบอกพลางยกแก้วสีเดียวกับกาขึ้นมาจิบ ได้ชื่อว่าชาหลายคนจะคิดว่ามีรสขมทว่ากับชานี่กลับอมหวานละมุนเล็กๆ ให้ความรู้สึกสดชื่นยามจิบ


“เลือกของดีเลยนี่” เหมือนฮาเซลเองก็จะรู้จักมาริยาจ แฟรร์อยู่ไม่น้อย


ก็สมแล้วกับการที่ต้องไปเจรจาธุรกิจหลายๆ ที่


“ผมจะไปตักเค้ก เอาไหม” ผมลุกพลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มนึกสนุก


“...ก็รู้คำตอบอยู่ยังจะถามอีกนะ”


“เอา 5 ชิ้นเหรอ ได้สิ เดี๋ยวผมตักให้” ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินไปยังโต๊ะวางขนมหวานใจกลางห้อง


ภาชนะทรงสูงสีเงินประมาณ 5 อันวางเรียงเป็นจุดๆ บนโต๊ะตัวสั้นที่วางจัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมโดยมีผ้าปูโต๊ะสีสันสดใสและดอกไม้ดอกเล็กๆ ประดับให้ความรู้สึกสบายตา


ผมหยิบจานพร้อมเดินกวาดสายตามองทุกเมนูอย่างพินิจ เมนูแรกอย่างชิฟฟ่อนเค้กเนื้อนุ่มวางลงบนจานก่อนจะตามมาด้วยมูสวนิลาเนื้อละเอียดและเค้กหน้าตาแปลกใหม่ จานแรกเสร็จอีกจานก็ถูกหยิบขึ้น...จานนี้ผมเลือกมินิแซนด์วิช แครกเกอร์เนื้อกรอบและทาร์ตไข่


เดินมาถึงโต๊ะจานแรกถูกวางทางฝั่งผมส่วนอีกจานวางไว้ตรงหน้าของฮาเซล อีกฝ่ายที่เห็นจานวางตรงหน้าก็ขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมามองงงๆ


“บอกแล้วไงว่าจะหยิบมาเผื่อ” ผมบอก


“ฉันไม่ชอบของหวาน...”


“บนจานนั่นไม่ถือเป็นขนมหรอกแค่ของทานเล่น” ไม่มีใครเรียกแซนด์วิชว่าเป็นขนมหรอก อาจมีแค่ทาร์ตไข่ละมั้งที่เรียกว่าขนมแต่รสชาติไม่ได้หวานมากเหมือนอย่างเค้ก


“ดูเรย์จะชอบของหวานจริงๆ นะเนี่ย” ฮาเซลพึมพำเสียงเบาขณะมองผมตักมูสวนิลาเนื้อละเอียดเข้าปากคำแล้วคำเล่า


“...ก็ไม่ได้เกลียด”


“มาถึงที่นี่คงไม่ใช่แค่ไม่ได้เกลียดหรอกมั้ง”


“กินของตัวเองไปเถอะ”


“อืม” ฮาเซลยิ้มบางๆ ส่งมาให้ก่อนจะตักมินิแซนด์วิชเข้าปาก


ขนมสามอย่างในจานแรกหมดไปในเวลาไม่นานจนผมต้องลุกไปตักอีกรอบ รอบใหม่นี้ผมได้พุดดิ้งเนื้อเนียน เครปเค้กสายรุ้งราดคาราเมลและก็คุกกี้ธัญพืชมา


จากการคำนวณคาดว่าอีกไม่นานชีสเค้กอบไอน้ำและบานอฟฟี่ชีสเค้กก็จะมาถึงแล้ว เมนูพิเศษที่ต้องสั่งไม่ได้มีเพียงสองเมนูนี้แต่ยังมีอีกหลายเมนูอย่างแพนเค้กหรือฮันนี่โทสเป็นต้น พื้นที่ของร้านมีไม่มากนับดูคร่าวๆ มีประมาณ 10-15 โต๊ะ และช่วงนี้ก็ยังไม่ใช่ช่วงเลิกงานเลยมีลูกค้าไม่มากรวมโต๊ะผมก็มีประมาณ 7 โต๊ะได้


ถือว่าเยอะพอดูเลย


“กลิ่นนี่มัน...” กลิ่นหอมคลุ้งลอยมาแตะจมูกแบบนี้ไม่ผิดแน่


ชีสเค้กอบไอน้ำ


หอมมาก


อีกอันที่ได้กลิ่นคงเป็นบานอฟฟี่ชีสเค้กสินะ


อยากกินแล้ว!


“น้ำลายไหลแล้วแหนะ” สิ้นเสียงของฮาเซลผมรีบยกแขนขึ้นมาเช็ดปากทันที


“ไม่มีสักหน่อย” ไม่เห็นจะเปียกเลย


“หึ...ทำหน้ามีความสุขแบบนั้นฉันก็มีความสุขไปด้วย”


“เอาคำพูดนั้นไปใช้จีบหญิงเถอะ” คำหยอดหวานใช้ไม่ได้กับผู้ชาย ยิ่งกับผมยิ่งใช่ไม่ได้ใหญ่


“ผู้หญิงฉันไม่จำเป็นต้องจีบนี่” ความหมายนั่นคือมีผู้หญิงมาหลงโดยไม่ต้องจีบล่ะสิ


“พ่อคนเนื้อหอม”


“เรย์เคยดมตอนไหนทำไมฉันไม่ยักจำได้ อ้อ ตอนที่เรานอนด้วยกันในห้อง...”


“ถ้าคุณยังไม่หยุดพุดดิ้งนี่ได้ถูกกรอกลงปากคุณแน่” ผมยกแก้วพุดดิ้งขึ้นเพื่อให้ฮาเซลเห็นว่าผมไม่ได้ล้อเล่น


“...อย่าหงุดหงิดสิ พนักงานกำลังยกมาเสิร์ฟแล้วนั่น” ผมหันควับไปมองตาคำพูดอีกฝ่ายซึ่งเป็นอย่างฮาเซลบอกพนักงานหญิงกำลังยกถาดมาเสิร์ฟ


อีกแค่อึดใจเดียวก็จะได้กินแล้วชีสเค้ก อุปสรรคก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กที่จะทำให้ผมได้มาลิ้มรสชีสเค้กนี่


กริ๋งๆ


ปัง!


เพียงเสี้ยววินาทีที่เสียงกระดิ่งประตูดังขึ้นเสียงของวัตถุอันแสนคุ้นเคยก็ดังตามมา ทั้งร้านอยู่ในสภาพเงียบกริบราวกับไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ปัจจุบันนัก ร่างกำยำของชายสามคนเดินก้าวเข้ามาในสภาพใบหน้าถูกปิดด้วยโหม่งสีดำทำให้เห็นเพียงดวงตาเท่านั้น


“ถ้าไม่อยากตายก็หุบปากแล้วเดินมารวมกันตรงนี้ ส่งเครื่องมือสื่อสารมาให้หมดด้วย!!” เสียงทุ้มจากชายถือปืนตะโกนดังลั่น
ไม่ต้องคิดอะไรมากก็เดาสถานการณ์ได้ง่ายๆ


กลุ่มคนปิดหน้าถืออาวุธ


ชั้นแรกของตึกคือธนาคาร


และช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ไม่มีคนพลุกพล่าน


จะเป็นอะไรได้นอกจากจะเป็นการปล้นธนาคาร ที่ขึ้นมาบนชั้นสองคงเผื่อช่วงกำลังดำเนินแผนการแล้วมีใครเปิดประตูลงไปละมั้ง แปลว่าไม่ได้มีแค่สามคนแต่มีด้านล่างอีก


เรื่องปล้นธนาคารจะยังไงก็ช่าง ตอนนี้เรื่องสำคัญไม่ใช่เรื่องนั้นแต่เป็นเรื่องที่พนักงานสาววางถาดที่จะเสิร์ฟลงแล้วเดินไปรวมกลุ่มตามคำสั่งของชายถือปืน


ชีสเค้กอบไอน้ำของผม


จะได้กินอยู่แล้วเชียว


วันนี้มันวันอะไรเนี่ย


ตอนสายก็ทีนึงแล้ว


ทำไมอุปสรรคมันมากแบบนี้!



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่6« 17/10/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 17-10-2018 13:47:38
(ต่อนะคะ)


“เรย์” ฮาเซลเรียกพลางคว้าแขนผมให้เดินไปรวมกับคนอื่น


“คุณจัดการเรื่องนี้ได้ไหม” ผมกระซิบถามระหว่างเดินไป


“หมายถึงให้ฉันสู้?”


“เปล่า หมายถึงถ้าผมจัดการพวกนั้นจะไม่โดนข้อหาพยายามฆ่าใช่ไหม” อารมณ์หงุดหงิดในตอนนี้กำลังปะทุขึ้น ถ้าไม่ระบายออกมาคงไม่หายเป็นแน่


“คิดจะเล่นหนักขนาดไหนน่ะ” ฮาเซลมองมาหวาดๆ


“ความผิดของการมาขัดเวลากินชีสเค้กผมมันหนักมากนะ”


“พวกแกซุบซิบอะไรกัน ส่งโทรศัพท์มาไม่งั้นลูกปืนได้เจาะหัวแน่” เสียงตะหวาดและถ้อยคำข่มขู่พร้อมจ่ออาวุธมาตรงหน้าไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกลัวสักนิด


ผมอยู่วงการนี้มานาน


ชินกับการใช้อาวุธและการฆ่า


มืออาชีพอย่างผมพูดได้เลยว่าพวกนี้เป็นมือใหม่


ดวงตาสีอ่อนใต้คอนแทคเลนส์ของผมมองกระบอกปืนสีดำตรงหน้าพร้อมกับเหลือบมองไปยังกระบอกปืนของอีกสองคนด้านหลัง เพียงแค่มองผมก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วหันไปมองหน้าฮาเซลเล็กน้อยเพื่อขอความมั่นใจว่าสิ่งที่คิดถูกต้องหรือไม่


ทันทีที่ฮาเซลพยักหน้าตอบกลับรอยยิ้มผมก็ปรากฏขึ้น มือทั้งสองข้างเอื้อมไปคว้าบอกกระบอกปืนแล้วจัดการล๊อคมันซะ ปืนทุกชนิดมีกลไกลการล๊อคไม่เหมือนกันแต่ก็ไม่ได้เกินความสามารถในการจำ


“แกทำอะไร...”


ผั๊วะ!


หมัดแรกไม่ได้พุ่งเข้าใส่ชายตรงหน้าแต่เป็นชายอีกคนที่กำลังเปิดช่องอยู่ เพียงแค่หมัดเดียวเข้าโจมตียังใบหน้าอย่างรุนแรงจนร่างนั้นล้มลงกับพื้นในเสี้ยวนาที แน่นอนว่าผมไม่คิดจะปล่อยชายคนแรกไปนานเลยจัดการอาศัยช่วงกำลังงงกับสถานการเตะเข้าบริเวณหน้าท้องพร้อมใช้ขาอีกข้างเตะเข้ายังข้อเท้าอย่างจังจนร่างเซใกล้ล้ม


“อ๊าก...”


โคร่ม!


ฮาเซลเหมือนจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องร้องออกมาเลยปิดฉากโดยการชกเข้ายังหน้าท้องอีกรอบทำให้เสียงที่กำลังจะดังขึ้นเงียบลงทันตา  ร่างกายอันกำยำร่วงลงไปกองกับพื้นตามเพื่อนคนแรกไปอย่างรวดเร็ว


คนสุดท้ายเมื่อเห็นเพื่อนสองคนถูกจัดการแสดงท่าทีร้อนรนขึ้นมา มือข้างหนึ่งเตรียมควักเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาติดต่อพรรคพวกด้านล่างแต่มีเหรอที่ผมจะยอมปล่อยให้ทำได้ง่ายๆ ชั่วพริบตาผมเคลื่อนที่เข้าไปใกล้ปัดเครื่องมือสื่อสารนั่นลงพื้นก่อนศอกขวาจะซัดอีกฝ่ายหมอบตามไปติดๆ


ได้ระบายออกไปก็ช่วยให้ความหงุดหงิดทุเลาลงได้พอสมควร


“ฉันคงไม่กล้าแหย่นายเรื่องของหวานแน่นอน” ฮาเซลส่ายหน้าพลางมองชายสามคนบนพื้น ทั้งพนักงานและลูกค้าคนอื่นต่างยืนอึ้งราวกับตามสถานการณ์ไม่ทัน


“คุณเองก็มีส่วนนะ” โทษกันคนเดียวได้ไง


“ฉันแค่ป้องกันตัว”


“ผมควรเชื่อ?”


“เอาน่า พวกนี้เลือกเวลาผิดสุดๆ น่าสงสารแฮะ” ฮาเซลเปลี่ยนเรื่อง


“นั่นสิ” ข้อนี้ผมเห็นด้วย


ถ้าเลือกลงมอวันอื่นที่ผมและฮาเซลไม่ได้มาแผนอาจสำเร็จไปด้วยดีไม่เหมือนวันนี้ที่มีทั้งนักฆ่าและผู้ทรงอำนาจควบค้าอาวุธ ปืนกระบอกแรกที่ใช้ยิงอาจเป็นของจริงแต่อีกสองกระบอกเป็นของปลอม


สายตาของผมมองออกด้วยประสบการณ์ ด้วยความไม่แน่ใจเลยหันไปขอความเห็นผู้ช่วยชาญและคำตอบก็เป็นอย่างที่เดา ก็เข้าใจอยู่ ปืนกระบอกนึงใช่ว่าจะหาง่ายและราคาถูก


“จะเอาไงต่อ” ฮาเซลถาม


“กินชีสเค้ก” ตอบแบบไม่ต้องคิดเลย เป้าหมายของการมานี่คือชีสเค้กดังนั้นผมไม่คิดจะกลับก่อนได้กินหรอก


“ยังจะกินต่อ?” ดูฮาเซลอะตกใจไม่น้อยกับคำตอบที่ได้ยิน


“คุณก็โทรแจ้งตำรวจสิ” เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับผมอยู่แล้ว


จะมองว่าผมไม่ดีก็ได้ซึ่งก็ถูก ผมไม่ได้เป็นคนดีที่จะช่วยทุกคน สังคมในปัจจุบันเป็นแบบนี้แหละผู้ที่อ่อนแอกว่าย่อมตกเป็นเหยื่อ มันเป็นเรื่องปกติ


ถ้าฝ่ายปล้นธนาคารได้เงินไปแปลว่าทางธนาคารไม่มีการเตรียมตัวรับมอสถานการณ์ดีมากพอ ในทางกลับกันถ้าทางธนาคารสามารถจัดการพวกโจรได้ก็หมายความว่ามีการเตรียมตัวรับมือครบถ้วน


“โทรแล้ว แต่จะรอให้ตำรวจมาจัดการโจรคงกลับไปแล้วมั้ง”


“สถานีใกล้สุดกว่าจะมาถึงอย่างเร็ว 10 นาที” ผมคำนวณเวลาคร่าวๆ ดู แต่นั่นแค่เวลามาถึงยังไม่รวมเวลาปฏิบัติการณ์ที่ไม่รู้จะกินเวลาไปอีกเท่าไหร่


“ฉันมีนัดกินเลี้ยง 5 โมง” ฮาเซลบอกพร้อมยกนาฬิกาขึ้นมาชี้ไปยังหน้าปัด


เข็มสั้นชี้ไปเกือบถึงเลข 5 โดยเข็มยาวนั้นชี้ไปยังเลข 11


ความหมายคือสี่โมงห้าสิบห้า


งานเลี้ยงเริ่ม 5 โมง


“ทำไมเพิ่งมาบอกเล่า!” ผมบ่นเสียงสูงทันควัน เห็นกลับมาเร็วนึกว่าว่างซะอีก


“ขืนรอตำรวจจัดการคงสายล่ะนะ”


“ต่อให้ผมจัดการก็สายอยู่ดีเหอะ” จะให้จัดการให้จบแล้วตรงไปงานเลี้ยงใน 5 นาทีเนี่ยนะไม่มีทาง


“อย่างน้อยก็เร็วกว่ารอตำรวจ” ก็จริงอย่างที่ฮาเซลว่า


ถ้าจัดการเองเร็วกว่าแน่ๆ


“ติกต่อมากส์กับแซมรึยัง” ผมถามต่อ ทั้งคู่ขับรถตามมาด้วยถึงจะได้เข้ามาในร้านแต่น่าจะรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี่


“อืม บอกให้ไปหาชุดสูทเข้างานเตรียมไว้แล้ว” ฮาเซลยกโทรศัพท์ในมือขึ้นมาให้ผมเห็น


“บอกให้เข้ามาช่วยสิ!” แทนที่จะให้เข้ามาช่วยดันให้ไปทำเรื่องไร้สาระซะได้


ถ้ามีมากส์และแซมโอกาศที่จัดจัดการเรื่องนี้ในเวลาไม่นานย่อมเป็นไปได้สูงกว่าให้จัดการกันอยู่แค่สองคน


“น่า แค่นี้เราจัดการกันเองเถอะ” สีหน้าของฮาเซลไม่ได้กังวลว่าจะไปงานสายหรือเข้าร่วมงานไม่ทัน สีหน้านั้นกำลังสนุกกับสถานการณ์ที่กำลังจะเผชิญ


“เฮ้อ ขอชีสเค้กอบไอน้ำกับบานอฟฟี่ชีสเค้กใส่กล่องด้วยครับ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนหันไปบอกพนักงานด้านข้าง


“คะ...ค่ะ รอสักครู่” อ้ำอึ้งสักพักก็รีบวิ่งไปจัดการตามคำขอ


“สรุปคือ?”


“รีบจัดการให้จบก่อนคุณจะไปงานเลี้ยงสายเถอะ”


เมื่อได้ของหวานอย่างชีสเค้กอบไอน้ำและบานอฟฟี่ชีสเค้กฮาเซลก็เตรียมจะจ่ายเงินทว่าทางร้านกลับบอกว่าไม่คิดเงิน ง่ายๆ คือให้พวกเราทานฟรีแทนการขอบคุณที่ช่วยพวกเขาไว้ แน่นอนว่าผมน้อมรับด้วยความยินดี


บันไดริมผนังถูกสร้างขึ้นติดริมกำแพงซึ่งเป็นบันไดแบบวนทำให้มีความเสี่ยงสูงว่าจะถูกมองเห็น เพราะแบบนั้นผมเลยมองดูลาดราวคร่าวๆ ก่อนจะอาศัยจังหวะที่ไม่เห็นคนกระโดดลงมาจากชั้นสองโดยใช้ราวบันไดเป็นตัวยึด ขืนค่อยๆ ลงทีละขั้นคงช้าเกินไปแถมเสียงของแต่ละก้าวอาจทำให้คนด้านล่างรู้ตัว


ผมเงยหน้าขึ้นมองด้านบนพร้อมกวักมือเรียกฮาเซล อีกฝ่ายพยักหน้าตอบแล้วกระโดดลงมาเช่นเดียวกับผม ท้วงท่านั่นบอกได้แค่ต้องมีทักษะเฉพาะพอๆ กันถึงจะสามารถทำได้  บางทีผมก็คิดนะว่าอยากเห็นฝีมือจริงๆ ของฮาเซลสักครั้ง


พวกเราทั้งคู่หลบอยู่หลังเสาต้นใกล้สุดเพื่อสังเกตการณ์ ถัดออกไปไม่ไกลมีกลุ่มพนักงานธนาคารและผู้มาให้บริการนั่งเบียดกันอยู่ ตรงหน้าของพวกเขามีคนในชุดโม่งถือปืนคอยคุมและมีอีกสี่คนกระจายอยู่รอบๆ อีกฝั่งหนึ่งมีคนร้ายอีกคนกำลังบังคับพนักงานให้เอาเงินสดใส่กระเป๋าหนังสือดำ


“เอาไงเรย์” ฮาเซลกระซิบถาม


“6 คน...ไม่ใช่จำนวนที่เยอะอะไร” ผมบอกไปตามตรง ยิ่งมีฮาเซลอยู่ด้วยผมคิดว่าแค่ 6 คนไม่น่าจะหยุดพวกเราได้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรประมาท


“ถูก อีกอย่างปืนนั่นมีของจริงอยู่แค่อันเดียว” เหมือนผมกับฮาเซลจะเห็นตรงกัน


ปืนกระบอกเดียวที่เป็นของจริงอยู่ในมือของชายคนหนึ่งในกลุ่มที่กำลังเฝ้ากลุ่มพนักงานและลูกค้า ดูท่าแล้วคงเป็นหัวหน้า


“ผมจะออกไปล่อ” ผมเอ่ยบอก


มันเป็นทางที่สามารถจัดการได้ง่ายสุด


ผมไม่จำเป็นต้องกังวลปืนของคนนอกจากคนเพียงคนเดียวที่ถือของจริง ซึ่งถ้าอีกฝ่ายยิงมาผมมั่นใจเกินครึ่งได้ว่าสามารถหลบพ้น ชนิดของปืนไม่ใช่สำหรับเล็งระยะไกลแถมยังมีสปีดในการเคลื่อนที่ช้ากว่าชนิดอื่น


ถึงในกรณีที่พลาดก็ยังสามารถให้ฮาเซลใช้ปืนที่พกไว้จัดการต่อได้ ผมเองก็มีปืนพกอยู่เพียงแต่ถ้ายิงออกไปคงจะทำให้จัดการกับสถานการณ์ลำบากขึ้น ดีไม่ดีอาจมีการจับตัวประกันเป็นโล่


“ฉันไม่คิดว่าเป็นทางเลือกที่ถูก” ฮาเซลค้าน


“แล้วทางที่ถูกคืออะไรล่ะ” ขอฟังความคิดหน่อยละกัน


“เรย์ นายเป็นนักฆ่านะ...สิ่งที่ถนัดสุดไม่ใช่การเป็นนกต่อหรือเหยื่อล่อเป็นเป็นการเข้าประชิดเป้าหมายและจัดการอย่างแม่นยำโดยไม่มีใครรู้ตัว”


“ก็ถูก แต่ไม่ใช่ว่าผมจะล่อไม่ได้นี่ คิดจะให้ผมค่อยๆ จัดการที่ละคนเหรอ” ผมถามต่อ


“เปล่า เราจะช่วยกัน และฉันจะเป็นคนล่อเอง”


“อย่ามาพูดบ้าๆ น่าฮาเซล กอนซาเลส” ให้เขาเป็นเหยื่อล่อเนี่ยนะ


บ้าไปแล้ว


ไม่มีทาง


หน้าที่ผมคือปกป้องเขา


จะให้คนที่ต้องปกป้องมาเป็นเหยื่อล่อได้ยังไง!


“เราจะแยกกัน ฉันจะดึงความสนใจคนที่ใช้ปืนจริง...ระหว่างนั้นเรย์ก็จัดการทีละคนซะ”


“อย่าพูดเหมือนสามารถจัดการคน 5 คนได้ในครั้งเดียวสิ”


“ค่อยๆ จัดการไป ไม่ต้องรีบ”


“ไม่รีบได้ยังไงนี่เลยเวลางานเลี้ยงแล้ว” ผมยกนาฬิกาขึ้นพร้อมชี้ไปยังหน้าปัดที่บอกเวลา 5 โมง 5 นาทีเข้าไปแล้ว


“น่า”


“ถ้าถูกยิงไปจะทำยังไง”


“ฉันคิดว่าน่าจะหลบได้”


“...ผมไม่คิดจะให้คนที่ใช้คำว่าน่าจะออกไปล่อหรอกนะ”


“ก็ได้ ฉันหลบได้” ฮาเซลเปลี่ยนคำพูด


“แล้วถ้าหลบไม่ได้ล่ะ”


“ฉันยอมให้จูบเลย โอ๊ะ แบบนี้ยอมโดนถากๆ ดีกว่าไหมนะ” ฮาเซลทำท่าคิดหนักกับประโยคที่ตัวเองเพิ่งเอ่ยออกไป


“ฮาเซล กอนซาเลส!” นี่ใช่เวลามามัวเล่นรึไง


“ล้อเล่นๆ สรุปเอาตามนี้”


พรึ่บ!


ยังไม่ทันที่ผมจะตอบตกลงร่างของฮาเซลก็ออกไปจากเสาพร้อมเดินเข้าไปหากลุ่มของคนร้านตรงๆ ทั้งคนร้ายหรือแม้แค่กลุ่มคนด้านหลังต่างก็ตกใจกับการปรากฏตัวของเขา


เอาเข้าไปสิ!


แบบนี้คงมีแต่ต้องทำเท่านั้น


ผมหลับตาลงเพื่อเรียกสมาธิก่อนจะอาศัยจังหวะที่ทุกสายตาจับจ้องไปยังฮาเซลเพื่อเคลื่อนที่ไปยังเคาน์เตอร์ด้านใน ชายสวมโม่งกำลังง่วนอยู่กับการบังคับให้พนักงานรีบเอาเงินใส่กระเป๋าโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัว เมื่อถูกความโลภเข้าครอบงำก็เป็นกันซะแบบนี้


“โทษทีนะ” พึมพำจบผมก็เอื้อมมือไปปิดปากและจมูกของอีกฝ่ายพร้อมออกแรงบิดเข้าบริเวณลำคออย่างแรง เพียงเสียงกระดูกดังขึ้นเบาๆ ก่อนร่างกายนั้นก็อ่อนยวบลง


“ชู่ อย่าเสียงดัง” ผมบอกพนักงานที่ทำตาโตกับภาพเหตุการณ์


“...” อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรแต่พยักหน้าให้แทน


“แกเป็นใคร!” เสียงตะโกนจากอีกฝั่งดังขึ้น


“แค่คนธรรมดาที่มากินของหวาน” ฮาเซลตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆ น่าแปลกที่ไม่รู้จักฮาเซล


ที่บ้านไม่มีโทรทัศน์รึไง


“หัวหน้า หมอนี่มันฮาเซล กอนซาเลสนี่” ลูกน้องคนหนึ่งพูดขึ้น


ในที่สุดก็มีคนรู้จักสักที


“ฮาเซล กอนซาเลส...คนที่ค้าอาวุธน่ะเหรอ”


“นั่นไม่ใช่ธุรกิจหลัก แค่งานอดิเรก” ฮาเซลตอบด้วยใบหน้านิ่งๆ


“ต่อให้เป็นฮาเซล กอนซาเลสแล้วไง ถ้าไม่อยากโดนยิงก็อยู่เฉยๆ” อีกฝ่ายบอกพลางยกกระบอกปืนเข้าใส่


“พอดีฉันรีบ ขอออกไปก่อนได้ไหม”


“หึ คงไม่ได้ ไหนๆ แกก็มานี่คงต้องขอเงินค่าปล่อยตัวสักหน่อย” ผมพยักหน้าให้กับความหัวหน้า ช่างหัวหมอจริงๆ ค่าไถ่ตัวฮาเซลดีไม่ได้อาจได้มากกว่าเงินของธนาคารก็เป็นได้


“โทษที พอดีไม่ใช่คนที่จะใช้เงินไปกับเรื่องไร้สาระ”


“ว่าไงนะ อยากโดนสักรูสินะ”


ปัง!


ปัง!


เสียงปืนดังขึ้นพร้อมการขยับตัวเบี่ยงหลบของฮาเซลในจังหวะเดียวกันกับที่ควักปืนออกมายิงสวนจนปืนในมือนั่นกระเด็นตกไปบนพื้น


“อ๊ากก~ นิ่งอยู่ทำไมยิงมันเลย” กระสุนฝีมือฮาเซลเหมือนจะโดนมือหัวหน้า


“ครับ” หนึ่งในลูกน้องหยิบปืนที่กระเด็นไปขึ้นมาแล้วเล็งด้วยมือสั่นๆ


คงไม่เคยยิงล่ะสิ


ผมหันมองรอบตัวเพื่อหาอะไรบางอย่างก่อนจะพบเข้ากับอาวุธที่น่าสนใจอย่างปากกาหมึกซึมหัวแหลม


ฟิ้ว!


ปัง!


“อ๊ากกก~” เสียงร้องโอดครวญดังขึ้นในเสี้ยววินาทีจากหนึ่งในลูกน้องที่กำลังจะเหนี่ยวไกลปืน ปากกาหมึกซึมถูกผมเควี้ยงไปเต็มแรงโดยเล็งไปยังมือข้างถือปืน ด้วยแรงเคลื่อนทำเอาปากกาด้ามนั้นปักเข้าบนฝ่ามือจนเลือดไหลอาบ


ฝีมือยังแม่นไม่ตกนะเนี่ย


“ใครกัน!” พรรคพวกอีกสามคนมองซ้ายขวาเพื่อหาที่มาของอาวุธ


“มองที่ไหนน่ะ” ผมพูดเสียงเบาก่อนกระโดดข้ามเคาน์เตอร์พุ่งตัวไปกระโดถีบหนึ่งในคนร้ายจนล้มลงไปนอนแน่นิ่ง อีกสองคนหันมามองผมด้วยความตื่นตกใจซึ่งผมก็ส่งยิ้มบางๆ กลับไปให้พร้อมหมัดและศอกที่เข้าโจมตีทั้งคู่ในเวลาไล่เลี่ยกัน


“แก...ต้องเจอนี่...”


ปัง!


เสียงอาวุธปืนดังสนั่น ในตอนที่ผมหันกลับไปมองสถานการณ์ก็พบกับร่างของหัวหน้าคนร้ายที่จมกองเลือดโดยในมือถือกระบอกปืนหันมาทางผม ปืนคงกระเด็นกลับไปแน่ๆ และฮาเซลคงจัดการเขาก่อนกระสุนจะถูกยิงออกมา


ลั่นไกเพียงครั้งเดียวเข้ากลางศีรษะอย่างแม่นยำ


หมดโอกาสรอด


ดวงตาสีน้ำตาลจนเกือบทองที่มักทอประกายกวนประสาทและขี้เล่นกลับสงบนิ่ง เฉยชาและแฝงไปด้วยอารมณ์รุนแรงยังคงจ่อปืนไปยังร่างไร้ลมหายใจ


ผมเคยบอกว่าอยากเห็นฝีมืออีกฝ่าย


ตอนนี้ขอถอนคำพูด


สายตาและท่าทางนั่นมันสัตว์ร้ายที่จ้องขย้ำเหยื่อให้ตายคาที่ชัดๆ

..............................................

จบแล้วกับตอนที่6

ฉากบู๊เป็นสิ่งที่สนุกมากเวลาแต่งราวกับตัวเองเป็นคนเคลื่อนไหว 555

พระเอกเหมือนจะโหดซึ่งก็ใช่ แต่พออยู่ต่อหน้าเรย์ก็เป็นได้แค่พวกกวน...แค่ก

บอกเลยพอวางให้เรย์ชอบของหวานดันกบายเป็นว่าเราต้องหาของหวานมากินตอนกลางคืนระหว่างแต่งด้วย //น้ำหนักไม่ขึ้นให้รู้ไป

ได้อ่านคอมเม้นท์ของทุกๆ คนเหมือนได้รับกำลังใจมาอย่างมากมาย

ขอบคุณนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่6« 17/10/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-10-2018 18:35:34
อยากกินเค้ก  :ling1:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่6« 17/10/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: ROCKLOBSTER ที่ 18-10-2018 10:00:05
 :L2:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่7« 24/10/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 24-10-2018 17:27:23
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่7




ท้องฟ้าสีดำโปรยปรายไปด้วยหยาดน้ำฝน ด้วยความที่ฝนตกทำให้อากาศเย็นกว่าวันอื่น...ผมเหม่อมองสายฝนตกปรอยๆ ผ่านทางหน้าต่างในห้องนอน หลังจากผ่านเหตุการณ์โจรปล้นธนาคารก็ผ่านมาสักพักใหญ่ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมอย่างผ่านมา


สายตาของสัตว์ป่าตอนนี้กลับมากวนประสาทเหมือนเดิม


ผมไม่ค่อยชอบฝนนักเพราะมันทำให้การทำงานยากขึ้น ถ้าไม่นับเรื่องนั้นผมก็ชอบฝนอยู่ไม่น้อย


ทั้งเย็น ทั้งเปียกชื้น


รู้สึกดี


กระจกบานใสตรงหน้าสะท้อนภาพสวนด้านข้างตัวบ้านและต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล ดวงตาผมหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเห็นบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่บริเวณพื้นหญ้าใต้ต้นไม้ใหญ่


ผมไม่ชอบปล่อยให้ความสงสัยครอบงำนานเลยตัดสินใจเปิดหน้าต่างออก ขอบหน้าต่างถูกใช้เป็นฐานรองขณะผมกระโดดออกไปด้านนอก สายฝนตกเข้าใส่จนเสื้อผ้าและร่างกายเปียกปอนในเวลาไม่นาน


เท้าเปล่าๆ เหยียบย่ำพื้นดินแฉะๆ ไปจนถึงต้นไม้ใหญ่ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กส่งเสียงร้องแข่งกับสายฝนโดยมีอีกหลายเสียงดังประสานอยู่ด้านบน ผมนั่งลงพลางอุ้มสิ่งมีชีวิตตัวเล็กอย่างนกกระจอกขึ้นแล้วเงยหน้ามองด้านบนต้นไม้


ในความมืดอาจมองยากอยู่สักหน่อยแต่ก็สามารถมองเห็นได้ในที่สุด รังขนาดเล็กของนกอยู่เยื้องไปด้านบนไม่มากเท่าไหร่ ผมเลยตัดสินใจปีนต้นไปขึ้นไปด้วยมือข้างเดียว อีกข้างกุมร่างสั่นๆ ของนกตัวน้อยไว้ เสียงร้องของตัวที่คาดว่าเป็นพ่อแม่และลูกๆ ที่เหลือดังอยู่ไม่ขาด


คงอยากช่วยแต่ไม่รู้จะทำยังไง


ปีนขึ้นมาถึงผมวางร่างเล็กๆ ลงในรังก่อนกระโดดกลับลงมายังพื้น ผมช่วยเท่าที่ทำได้แล้วที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเล็กนั่นว่าจะแข็งแรงพอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไหม ความสูงที่ตกอาจไม่มากแต่มีน้ำฝนกระเด็นโดนอาจทำให้ป่วยและตายได้ง่ายๆ


“หวังว่าจะรอดนะ” ผมพึมพำเสียงเบาระหว่างเตรียมก้าวกลับห้อง


แกร็ก!


“เรย์” เสียงเปิดหน้าต่างดังขึ้นพร้อมเสียงเรียกจากชั้นสอง


“...ฮาเซล” ผมมองหน้าชายในชุดนอนสีเรียบ ห้องนอนผมอยู่ข้างล่างห้องของฮาเซลพอดีจึงไม่แปลกที่เขาจะเห็นผมผ่านทางหน้าต่าง


“ทำอะไรน่ะออกมาตากฝนเดี๋ยวก็ป่วยหรอก”


“ไม่เป็นไร” ผมตอบกลับไป


จะป่วยหรือไม่ผมก็ไม่ได้สนใจเพราะต่อให้ป่วยก็ไม่มีอะไรต่าง


ไม่มีใครคอยห่วงหรือดูแลอยู่แล้ว


ที่ต่างอาจมีแค่ทำงานลำบากขึ้นละมั้ง


“จะไม่เป็นไรได้ยังไง สรุปทำอะไร ไม่สิ รีบเข้าห้องไปอาบน้ำเช็ดหัวให้แห้งก่อนนอนเลย” น้ำเสียงอันแฝงความห่วงใยทำเอาหัวใจผมอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด ปกติชอบแหย่ชอบกวนแท้ๆ ทีตอนนี้มาทำเป็นใจดี


“คุณก็รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ออกเช้านี่” ผมเตือนความจำพรุ่งนี้ฮาเซลต้องออกตั้งแต่ตี 5 เพื่อไปคุยงานกับที่ไหนสักแห่งไปจนถึงช่วงเย็นที่เห็นว่าจะไปคลับหรูที่ไม่ได้ไปมานาน


“เรย์ก็ไปนี่”


“อืม” ผมพยักหน้า วันพรุ่งนี้ผมเองก็ต้องไปด้วย


“ฝันดีเรย์”


“...เช่นกัน” ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้ยินถ้อยคำธรรมดาพวกนี้


อาจเพราะผมไม่เคยมีใครบอกแบบนี้มาก่อน


การมีคนบอกเลยทำให้ผมทำตัวไม่ถูกและก็ไม่ชินด้วย


เข้ามาในห้องเสร็จผมก็เปิดแอร์พลางใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมหลังออกมาจากห้องอาบน้ำ ผมไม่ได้ทำตามคำสั่งฮาเซลเพียงแต่ทั้งเท้าทั้งตัวเปียกน้ำและดินเลยจำต้องอาบอีกรอบเท่านั้น นิสัยของผมอย่างที่เคยบอกไปว่าชอบเปิดแอร์เย็นๆ แล้วมุดอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนา ความอบอุ่นท่ามกลางความเย็นทำให้ผมรู้สึกดีไม่น้อย


ช่วงเช้าตรู่ของวันใหม่ผมค่อยๆ โผล่หัวออกมาจากผ้านวม แสงสว่างสลัวๆ ยามพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นบวกกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้บรรยากาศเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งห้อง


“...หัว” ผมยกมือขึ้นมากุมหัวตัวเองเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความปวดปนมึน


หรือเพราะเมื่อคืนนอนทั้งที่ผมยังเช็ดไม่แห้ง


หรือเพราะเปิดแอร์เย็นไป


หรือเพราะตากฝน


อ่า...สาเหตุมีเยอะจนเดาไม่ออก


“ต้องเตรียมตัว” ผมบอกตัวเองก่อนจะลุกขึ้นปิดแอร์แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป


ตั้งแต่มาอยู่นี่ผมใช้คาแรกเตอร์เดียวในการแต่งคือเส้นผมสีดำกับดวงตาสีน้ำตาล บางวันก็เป็นผมจริงบางวันก็เป็นวิกซึ่งวันนี้ผมใช้ผมจริงๆ ของตัวเองโดยมัดรวบครึ่งหัวไม่ให้ดูรุ่มร่ามเกินไป


เสื้อผ้าเองก็เป็นชุดเครื่องแบบของบอดี้การ์ดเหมือนคนอื่นๆ เตรียมตัวเสร็จก็เหลือเวลาไม่มากก่อนจะรวมตัว...ในวันออกเช้ามืดแบบนี้จะไม่มีการไปรวมกลุ่มกันแบบวันก่อนๆ


สถานที่นัดคือประตูหน้าบ้าน


ป่านนี้คงมากันพร้อมแล้ว


ผมคิดพลางเปิดประตูออกไปทว่าด้าหน้าที่ควรว่างเปล่ากลับมีร่างอันคุ้นเคยของเจ้าของบ้านยืนอยู่โดยในมือข้างหนึ่งรีบกำบางสิ่งแล้วเอาไปซ่อนไว้ด้านหลังอย่างรวดเร็ว  อาจเร็วแต่ไม่เท่าผมที่เห็นหรอก...ในมือนั่นคือกุญแจ ซึ่งการมีกุญแจสำรองไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่แปลกคือคุญแจนี่มันอยู่ในมือฮาเซลได้ยังไง


“ฮาเซล กอนซาเลส” ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตานิ่งๆ


“อรุณสวัสดิ์ นี่เปิดแอร์เย็นขนาดนี้นอนเหรอ”


“ในมือมีอะไร” ผมไม่ยอมให้อีกฝ่ายเลี่ยงหรือเปลี่ยนเรื่องหรอก


“อะไร ไม่มี” ฮาเซลส่ายหัวดิ๊กๆ พร้อมยกมือทั้งสองข้างแบให้ผมดู


“หันหลัง” ในเมื่อไม่อยู่ในมือก็ต้องกระเป๋ากางเกง


“จะสายแล้ว พวกเราควรรีบไป...”


“กุญแจห้องผมใช่ไหม” ผมถามออกไปตรงๆ


“...”


“ฮาเซล”


“แค่เห็นว่ามาช้าเลยเป็นห่วง”


“นั่นคือเหตุผลที่มีกุญแจห้องผม?”


“ประมาณนั้น”


“งั้นผมขอ” พูดจบผมก้าวตรงเข้าไปฮาเซลพร้อมใช้มือเอื้อมไปยังกระเป๋ากางเกงทว่าอีกฝ่ายรู้การเคลื่อนไหวนี้เลยเอี้ยวตัวหลบแล้วก้าวถอยหลังเว้นระยะห่างออกไป


“ฉันแค่เก็บไว้เฉยๆ น่า”


“ถ้าแค่เก็บไว้เฉยๆ ก็ให้ผมเอาไปคืนคุณหลุยส์ละกัน” คุณหลุยส์คือหัวหน้าพ่อบ้านของคฤหาสน์นี่ กุญแจทุกดอกถูกคุณหลุยส์ถือครองไว้ การที่ฮาเซลมีแปลว่าไปขอมาผมแค่จะเอากลับไปคืนเท่านั้น


“ไม่เชื่อใจฉันรึไง”


“เชื่อสิ เชื่อว่าถ้ากุญแจนี่อยู่ในมือคุณคงมีอะไรเกิดขึ้นแน่!” ลางสังหรณ์และสัญชาตญาณมันร้องเตือนถึงอันตราย ดังนั้นผมจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ถือครองกุญแจห้องผมไว้แน่


“ใจร้ายจัง”


“ฮาเซล!”


“ถ้าฉันไม่ให้เรย์จะทำยังไงต่อ” ฮาเซลถามพลางหยิบกุญแจมาถือไว้ในมือ


“ง่ายๆ แย่งมาไง!” ตะโกนประโยคสุดท้ายจบผมก็คว้าหมับเข้ายังมือข้างที่ถือกุญแจ


“อยากจับมือกันบอกดีๆ ก็ได้” อีกฝ่ายยกยิ้มขึ้น


“สนุกจังนะ” ใบหน้านั่นกำลังสนุกกับการได้แหย่ผม


“สนุกสิ ได้อยู่กับเรย์แล้วสนุกกว่าทุกคนเลย อยากจะสนุกกว่านี้อยู่หรอกแต่สายแล้ว ไปกัน” พูดจบก็หันหลังเดินไปทิ้งผมมองแผ่นหลังนั้นด้วยความรู้สึกใกล้ระเบิด


หัวก็ปวดๆ อยู่ยังมาทำให้ปวดกว่าเดิมอีก


คอยดูเถอะสักวันจะต้องหาทางแก้แค้นให้ได้เลย!


การออกไปทำงานตั้งแต่เช้าเหมือนจะไม่เป็นปัญหาสำหรับฮาเซลเพราะนอกจากจะอารมณ์ดีตลอดทางแล้วยังคอยแหย่ผมได้ตลอด กุญแจห้องผมถูกแกว่งไปมาหลายต่อหลายรอบแต่พอจะคว้ามันมากลับไม่เคยได้สักครั้ง


ไม่เป็นไร รอให้เผลอก่อน อย่าว่าแต่กุญแจเลยปากที่ยกยิ้มน่าหงุดหงิดนั่นผมจะถีบมันให้โดนสักทีสองทีแทนคำขอบคุณที่กวนผมได้ตลอดทางแบบนี้


“เป็นอะไรรึเปล่า” คำถามเบาๆ ดังขึ้นจากแซมที่ยืนอยู่ข้างๆ ตอนนี้พวกเราอยู่หน้าห้องของเจนิเดฟ ซีโทรหนึ่งในคู่ค้าสำคัญของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของฮาเซล


ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันถึงได้นานกว่า 2 ชั่วโมงเข้าไปแล้ว ภายในห้องมีมากส์ ฮาเซล เจนิเดฟและคนของเขาอีกคน เหมือนจะอยากคุยเป็นการส่วนตัวเลยกำหนดจำนวนคนที่เข้าไปด้านใน


“เปล่า...คุณเถอะถ้าจะส่งสายตาขนาดนั้นเดินไปหาเลยก็ได้นะ” ผมพูดหลังจากมองอีกฝ่ายส่งสายตาให้สาวในห้องฝั่งตรงข้ามามาได้ระยะหนึ่งแล้ว


“ฉันทำงานอยู่”


“แค่ยืนเฉยๆ ไม่ถือเป็นงานหรอก”


“เดี๋ยวฉันได้โดนบอสบ่นน่ะสิ”


“ไม่เห็นก็พอ”


“งั้นนายต้องช่วยฉันนะ ถ้าบอสกับมากส์เปิดประตูออกมาให้รีบโทรหาฉันเลย”


“ผมว่าไม่ทันล่ะมั้ง” ต่อให้รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาก็กินเวลาหลายวินาทีไม่มีที่อีกฝ่ายจะกลับมาทันโดยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้


“ลองดูก่อนน่า...”


แกร็ก!


“ลองอะไร” เสียงเปิดประตูตามมาด้วยคำถามดังตามมาติดๆ ทำเอาแซมถึงกับสะดุ้ง


“เปล่าครับบอส” แซมรีบตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ


“เรย์” พอไม่ได้คำตอบก็หันมาถามผมแทน


“...” ผมเลือกจะเงียบแทนคำตอบ


“ท่านฮาเซล จากนี้ต้องกลับบริษัทแล้วก็ไปคลับในตอนเย็นนะครับ” มากส์บอกกำหนดการณ์ต่อไป


“อืม เรย์ เป็นอะไร...หิวข้าวเหรอ” ฮาเซลก้มหน้าลงมองผมเล็กน้อย


“ไม่ได้หิว” แค่รู้สึกมึนๆ หัวเท่านั้นเอง


“หรืออยากเข้าห้องน้ำ”


“นั่นคุณมากกว่ามั้ง” ผมสวนกลับ กวนกันอีกแล้ว


“สมแล้วที่เป็นเรย์ รู้ใจจริง”


“คุณนี่มัน...” ผมไม่รู้จะต่อไปยังไงเลย


“แซม จะไปจีบสาวก็ไม่ว่าแต่อย่าเอาเรย์ไปเกี่ยวด้วย” ฮาเซลบอกระหว่างพวกเราเดินไปเข้าลิฟต์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากประตูหน้าห้องนัก


“เขานั่นแหละที่บอกให้ผมไป”


“จริงเหรอเรย์” ฮาเซลหันมา


“ใช่ ก็เห็นยืนส่งสายตาให้กันอยู่นั่นนี่”


“แปลว่าเรย์มองอยู่?”


“...ก็ใช่” ผมไม่เข้าใจว่าจะถามทำไม


“สนใจผู้หญิงคนนั้นเหมือนแซมเหรอ” สายตากับน้ำเสียงเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย


สนใจผู้หญิงคนนั้น?


“เปล่า...แค่สังเกตรอบตัวเท่านั้นเอง” มันเป็นเหมือนนิสัยติดตัวไปแล้ว ระวังรอบกายเพื่อให้ปลอดภัยมากที่สุดเพราะไม่แน่ว่าสิ่งที่อยู่รอบตัวอาจส่งผลในทางดีและไม่ดีให้ได้


“งั้นก็แล้วไป”


“แล้วไปอะไร” ผมยังไม่เข้าใจถึงความหมายของคำถามนั่นเลย


“ถ้าเรย์สนฉันคงอกหักแน่ๆ” พูดจบก็หันมาส่งสายตาเศร้ามาให้


“คุณนี่บ้าจริงๆ สินะ” ผมหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยกับท่าทางที่เห็น ใบหน้าเหมือนคนกำลังใจสลายนั่นตลกยิ่งกว่ารายการตลกในโทรทัศน์ซะอีก


ไปเอาดีด้านตลกน่าจะรุ่งนะฮาเซล


“ยิ้มแล้วๆ นานจะได้เห็นสักทีของถ่ายเก็บไว้หน่อยละกัน”


“ถ้าคุณกล้าถ่ายผมจะโยนโทรศัพท์นั่นให้ปลากิน!”



จากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับบริษัทแล้วแยกกันไปทำงานของตัวเอง สำหรับผมนั้นมีหน้าที่คอยดูแลฮาเซลต่างจากมากส์และแซมที่ดูเหมือนจะพ่วงด้วยตำแหน่งเลขาส่วนตัว พอกลับมาถึงก็วิ่งไปมาฝ่ายต่างๆ จนผมอดไม่ได้ที่จะชื่นชม ถ้าจะให้ผมไปทำงานแบบนั้นคงไม่ไหวหรอก ทักษะก็ไม่มี


วันๆ ได้แต่ยืนเฝ้าเจ้าของบริษัทอย่างฮาเซลเปิดแฟ้มเอกสารอ่านสิ่งภายในแล้วเขียนลายเซ็นลงไปเท่านั้นเอง มีบ้างที่สลับเป็นมากส์หรือแซมมาเฝ้าแทน


ตกเย็นรถสีดำเงาก็แล่นออกจากบริษัทตรงเข้าไปใจกลางเมืองย่านอันพลุกพล่านไปด้วยผู้คน จากการสำรวจประชากรพบว่ามีคนอาศัยอยู่บริเวณนี้เป็นมากเป็นอันดับหนึ่ง เพราะแบบนั้นย่านนี้จึงเป็นไปด้วยธุรกิจค้าขายไปจนถึงธุรกิจบริการ


หนึ่งในธุรกิจค้าขายและบริการอันเป็นที่นิยมก็ไม่พ้นคลับหรูใจกลางเมืองซึ่งมีเจ้าของคือฮาเซล กอนซาเลส เหมือนจะเคยบอกไปแล้วว่าคลับของฮาเซลมีเพียงผู้ถือบัตรสมาชิกเท่านั้นที่จะได้เข้าไปด้านในซึ่งการได้บัตรมานั้นไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนระดับสูงหรือมีอำนาจอะไรมากมายเพียงแค่ทำการสมัครสมาชิกผ่านเว็บไซต์ถ้าผ่านเกณฑ์ก็สามารถเข้ามาเป็นสมาชิกได้ไม่อยาก แต่ส่วนมากเขาต่างรู้กันว่ามีเพียงระดับไฮโซที่กล้าเข้าไปคนปกติหรือคนธรรมดาไม่มีทางจ่ายเงินราคาแพงให้กับอาหาร เครื่องดื่มราคาแพงพวกนั้นหรอก


ด้วยภาพลักษณ์และรูปแบบการบริการทำให้หลายคนต่างรู้กันว่าผู้ที่เข้าไปใช้บริการนั้นถือเป็นระดับสูง ไม่ว่าจะด้วยราคาหรือการบริการต่างก็เป็นระดับ 4 ดาวอย่างต่ำ  จากข้อมูลที่หามาบอกแบบนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะจริงอย่างที่บอกหรือไม่


ผมเดินตามหลังเจ้าของคลับผ่านประตูหรูติดกับที่จอดรถ ด้วยความที่อยู่ในตัวเมืองจึงทำให้ไม่มีพื้นที่ในการจอดรถมากนัก หลายๆ ธุรกิจเลยมักจะมีสถานที่จอดรถให้ลูกค้า สำหรับคลับแห่งนี้ก็เช่นกันทว่าที่จอดรถนั้นอยู่ในตัวอาคารตั้งแต่ชั้น 1-3 โดยทุกชั้นจะมีลิฟต์สำหรับขึ้นไปยังชั้น 4 หรือทางเข้าคลับนั่นเอง


การออกแบบโครงสร้างตัวตึกอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้อย่างดี และผมว่ายังมีเหตุผลอื่นที่สร้างที่จอดรถถึง 3 ชั้น  ถ้าให้เดาคงเพราะบรรยากาศ ไม่ว่าใครที่ออกมาเที่ยวหรือดื่มต่างต้องการความรู้สึกผ่อนคลายซึ่งความรู้สึกนั้นจะเกิดขึ้นไม่ใช่เพียงแค่การบริการหรือเมนูของร้านแต่เป็นบรรยากาศยามมองออกไปด้านนอก บรรยากาศดีๆ มักจะอยู่บนชั้นที่สูงเสมอ อย่างคลับของฮาเซลนี่ก็ 6 ชั้น แต่ละชั้นต่างรองรับลูกค้าคนละประเภท


บนชั้น 3 ประตูทางเข้าคลับสีขาวลายทองดูหรูหราประกอบกับพนักงานด้านหน้าชายหญิงส่งยิ้มมาให้เมื่อเห็นลูกค้าแสดงให้เห็นถึงการต้อนรับเยี่ยงโรงแรมระดับ 5 ดาว


“ยินดีต้อนรับครับ/ค่ะ ท่านฮาเซล” พนักงานชายหญิงต่างโค้งหัวลงพร้อมเปิดประตูให้พวกเราเดินเข้าไปด้านใน


ฮาเซลเดินผ่านชั้น 3 ขึ้นไปยังชั้น 4 ความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่กระทบกับผิวค่อนข้างเย็นแต่ไม่มากเท่าที่ผมเปิด นอกจากชุดโต๊ะเก้าอี้จะตกแต่งด้วยสีฟ้าครามแล้วด้านนอกประตูกระจกบานใหญ่ยังมีสระว่ายกลางแจ้งขนาดใหญ่อีกด้วย


ต่อกันบนชั้น 5 ซึ่งชั้นนี้ต่างจากชั้นแรกราวกับอยู่คนละสถานที่ เป็นโซนสำหรับดูการแสดงเนื่องจากมีเวทีขนาดการตั้งอยู่กลางห้อง ชุดโต๊ะเก้าอี้โทนสีเนื้อและน้ำตาลดูเข้ากับแสงไฟสีออกส้มได้อย่างลงตัว ดูเผินๆ ราวกับอยู่ในราชวัง ส่วนชั้น 6 เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างมีสีดำเงาไม่เว้นแม้แต่เคาน์เตอร์บาร์ตรงกลางห้อง ถ้าต้องการความสงบและความเป็นส่วนตัวชั้น 6 นี่แหละตอบโจทย์ที่สุดแล้ว


“ด้านบนนั่น...” ผมพึมพำเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนแล้วพบกับดวงดาวทอประกายอยู่ ดวงดาวนั่นไม่ใช่การฉายหรือลงสีแต่เป็นดาวจริงๆ ที่สะท้อนผ่านกระจกใสซึ่งใช้แทนหลังคาสีทึบ


เคยไปคลับมาก็มากแต่เพิ่งเคยเจอแบบนี้เป็นครั้งแรก


หรูเกินกว่าที่คาดไว้มาก


ผมสังเกตมองรอบตัวด้วยความสนใจในหลายๆ สิ่งที่ผ่านเข้ามา ฮาเซลเดินไปทั่วในทุกๆ ชั้นราวกับสำรวจความเรียบร้อย มีไม่น้อยที่เข้าไปคุยอะไรสักอย่างกับพนักงานหรือลูกค้าที่ส่งเสียงเรียก บนชั้น 6 หรือชั้น 5 ยังไม่เท่าไหร่แต่พอลงมายังชั้น 4 สาวๆ จากหลายโต๊ะก็เดินมาลุมล้อมจนผมและพวกมากส์ค่อยๆ ถูกดันออกมาอยู่วงนอก


สาวติดตรึมเลยนี่


ก็สมแล้วกับใบหน้าหล่อๆ นั่น


“คุณฮาเซลมาดื่มกับพวกเราไหมคะ” หญิงสาวคนหนึ่งชวน


“ไม่ได้เจอกันนานคิดถึงมากเลยนะคะ มาโต๊ะเราดีกว่า” สาวอีกกลุ่มเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าส่งยิ้มหวานพร้อมควงแขนฮาเซล
“โทษที วันนี้ฉันไม่ว่าง” คำบอกปัดทำเอาสาวๆ ส่งเสียงเสียดายออกมาเป็นแถบ


น่าแปลกสำหรับคนที่ถูกรุมล้อมขนาดนี้แต่ไม่ยักจะเคยได้ยินข่าวชู้สาวสักเท่าไหร่ ถ้าเป็นคนอื่นคงได้มีข่าวเที่ยวสาวไม่เว้นวันไปแล้ว


ไม่รู้ว่าไม่สนใจหรือเสื่อมสมรรถภาพกันแน่


“ปวดหัวอีกแล้ว” ผมพูดพลางยกมือขึ้นจับหัวตัวเอง อาจเพราะความเย็นเลยทำให้อาการปวดหัวกำเริบขึ้นมาอีกรอบ


“อีกนิดเดียว เดี๋ยวก็กลับแล้ว” บอกกับตัวเองเสร็จผมก็พิงหลังเข้ากับประตูกระจกโดยที่สายตามองไปยังสระน้ำด้านนอก


สระน้ำด้านนอกแม้จะเป็นช่วงค่ำก็ยังคงมีคนลงเล่นอยู่ไม่ขาดสาย รอบๆ สระก็เต็มไปด้วยชายหญิงในชุดว่ายน้ำเดินเต็มไปหมด ลูกค้าเยอะขนาดนี้รายได้ต่อวันคงไม่ใช่น้อยๆ แน่


“สนใจสระน้ำเหรอเรย์” คำถามดังขึ้นข้างใบหู


“ออกมาจากสาวๆ ได้แล้ว?” คงเพราะอาการปวดหัวนี่ทำให้สัมผัสรอบตัวเริ่มทื่อลงเลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเข้ามาประชิด

 
แบบนี้ท่าจะแย่แฮะสัมผัสทื่อไปหมดถ้าเกิดอะไรขึ้นนอกจากจะช่วยอีกฝ่ายไม่ได้แล้วยังอาจเป็นตัวถ่วงด้วยซ้ำ


“อะไร...นี่หึงฉัน?” อีกฝ่ายยกยิ้มขึ้นระหว่างถาม


“ไม่” ผมเองก็ไม่เสียเวลาตอบเช่นกัน


“ออกไปสูดอากาศไหมสีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย” ใบหน้าอันหล่อเหลาขยับเข้ามาใกล้ คิ้วทั้งสองข้างของฮาเซลขมวดเข้าหากันแน่นราวกับกำลังกังวล


“ไม่เป็นไรสักหน่อย”


“ข้างนอกอากาศดีนะ มาสิ” ข้อมือผมถูกรวบก่อนจะดึงให้ก้าวตามออกไปด้านนอก อากาศบริเวณนี้อุ่นกว่าด้านในมากอาการปวดหัวเลยดีขึ้นนิดหน่อย


ตอนนี้ผมอยากกลับไปห้องแล้วพักผ่อนสักที


“บอส!” เสียงแซมตะโกนเรียกฮาเซลพร้อมพยักหน้าเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้เดินไปหา


“มาด้วยกันเรย์” ฮาเซลบอกพลางกำข้อมือผมแน่นขึ้น


“คุณไปเถอะ ผมอยากเดินดูรอบๆ หน่อย” ผมขืนก่อนปฏิเสธ


“แต่ท่าทางนายเหมือนไม่โอเค” ผมขมวดคิ้วกับสิ่งที่ฮาเซลบอก


อย่าบอกนะว่าเป็นเซ้นส์อีกแล้วน่ะที่รู้ว่าผมไม่โอเค


“ผมโอเคดี” พูดจบก็ดึงมืออีกฝ่ายออกแล้วหันหลังกลับเดินไปยังสระน้ำด้านหน้า


อาจเหมือนการหนีซึ่งก็ใช่ ผมไม่ชอบให้ใครก้าวเข้ามายังพื้นที่ของผมมากนักซึ่งฮาเซลล่วงล้ำเข้ามาเกินไป


ผมไม่ชอบ


จะให้ย้ำอีกครั้งก็ได้ว่าผมไม่ชอบ!


ตัวผมใช่ว่าจะมีคนสนิท แค่คนที่พูดด้วยยังแทบไม่มีเลย ถ้าถามว่าใครที่ผมคุยด้วยมากที่สุด ในตอนนี้คำตอบก็คงไม่พ้นเป็นฮาเซล ผมชอบการอยู่คนเดียวและไม่อยากให้มันเปลี่ยนแปลงไปเพียงเพราะคนคนนึง


“คิดบ้าอะไรเนี่ย” ต้องเป็นอาการปวดหัวนี้แน่ที่ทำให้ในหัวผมคิดเพ้อเจ้อแบบนี้


ระหว่างกำลังต่อสู้กับอาการปวดหัวเสียงเอะอะก็ดังขึ้น พอหันไปมองกลุ่มคนที่ส่งเสียงดังก็พบว่ามีฮาเซล มากส์และแซมยืนเผชิญหน้าอยู่กับกลุ่มชายหนุ่มท่าทางเหมือนวัยรุ่นประมาณ 5 คน  ฝ่ายที่ส่งเสียงดังคือกลุ่มวัยรุ่นซึ่งดูแล้วคงมีอำนาจอยู่พอดูไม่งั้นคงไม่มีทางกล้าขึ้นเสียงใส่เจ้าของคลับอย่างฮาเซลแน่ๆ


“คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของจะทำอะไรก็ได้รึไง!”เสียงของวัยรุ่นคนเดิมพูดด้วยน้ำเสียงข่มๆ


ช่างกล้าจริงแฮะ


“แล้วผิดรึไงล่ะ” ฮาเซลตอบกลับ


“พวกฉันเป็นลูกค้านะจะมาไล่กันแบบนี้ได้ที่ไหน!” อีกฝ่ายดูเหมือนจะเริ่มอารมณ์เสียซะแล้ว


“กับพวกที่ก่อกวนคนอื่นไปทั่วฉันไม่นับว่าเป็นลูกค้าหรอก”


“แก...” น้ำเสียงโมโหนั้นแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน


ผมมองดูเหตุการณ์มาสักพักก็เข้าใจสถานการณ์อยู่พอสมควร เหมือนกลุ่มวัยรุ่นนี้จะสร้างความรำคาญให้กับลูกค้าสาวๆ ที่นั่งอยู่ริมสระน้ำ มากส์และแซมที่เห็นคงคิดจะเข้าไปห้ามปรามสถานการณ์นี้แต่ดูเหมือนจะปรามไม่อยู่จนต้องเรียกฮาเซลเข้าไปจัดการ และผลของการจัดการนี่ก็เป็นอย่างที่เห็นคืออีกฝ่ายไม่ยอมออกไปดีๆ


ใบหน้าของวัยรุ่น 5 คนทำเอาผมขมวดคิ้วแน่น ไม่ใช่เพราะรู้จักแต่เป็นไม่รู้จักต่างหาก ด้วยสายงานของผมรู้จักคนระดับสูงอยู่มากมายตลอดจนลูกหลานของพวกเขา แต่ผมไม่รู้สึกคุ้นหน้าเด็กๆ พวกนั้นเลย แปลว่าอาจเป็นกลุ่มของผู้มีอิทธิพลแต่อยู่ในระดับล่างๆ


“เล่นผิดคนแล้ว” ผมพึมพำพลางมองไปยังฮาเซลที่ยืนนิ่งไม่พูดอะไร


ผู้ใหญ่ดีๆ เขาไม่คิดจะเอาคำพูดเด็กมาทำให้อารมณ์ขึ้นกันหรอก


“ถ้าไม่ยอมออกไปดีๆ ฉันคงไม่มีทางเลือก” น้ำเสียงของฮาเซลทำให้กลุ่มวัยรุ่นถึงกับสะดุ้งกันเป็นแถบ เด็กด้านหลังสะกิดเพื่อนหน้าสุดพร้อมบอกว่าพอเถอะทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมทั้งที่ร่างกายกำลังสั่นอยู่ไม่น้อย


“แกจะทำอะไร กล้าทำลูกชายของอาเทียเจ็บถึงเป็นแกก็ไม่รอดแน่ๆ” คำตะโกนนั่นเรียกคิ้วผมให้ยกขึ้นข้างนึงเมื่อชื่ออาเทียปรากฏขึ้น


อาเทียที่ว่าอย่าบอกนะว่า อาเทีย เบียโซเต้น่ะ


อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ที่กล้าเอาชื่อนั่นมาขู่ฮาเซล


อาเทีย เบียโซเต้เจ้าของธุรกิจใสสะอาดอย่างแปรรูปผลิตภัณฑ์จากไม้ชนิดต่างๆ ตั้งแต่พวงกุญแจไม่จนถึงของใหญ่ๆ อย่างพวกรูปแกะสลักต่างๆ ส่งออกไปททั้งในและนอกประเททศ จะบอกว่ามีอำนาจก็ใช่อยู่แต่ถ้าให้เทียบกับฮาเซล


หึ


คิดว่าคนที่ทำธุรกิจแค่ฉากหน้านั้นจะมีอำนาจเท่าคนที่นอกจากจะค้าอาวุธแล้วยังรู้จักกับผู้บัญชาการเหรอ ผมตอบให้เลยว่าไม่ นี่ยังไม่รวมตำแหน่งหนึ่งในสามคานหลักอีกนะ


“เหมือนพวกนายจะยังไม่รู้จักฉันดี” ฮาเซลบอกเสียงนิ่ง


“หมายความว่าไง”


“ถ้าเทียบกันแค่ธุรกิจด้านหน้าคลับฉันอาจแพ้ธุรกิจของครอบครัวนาย...”


“ธุรกิจด้านหน้า?” น้ำเสียงงงๆ นั่นเป็นตัวบอกอย่างดีว่าอีกฝ่ายคิดว่าฮาเซลเป็นเพียงเจ้าของคลับธุรกิจธรรมดาที่ไม่มีอำนาจอะไรมากมาย


“ฉันไม่อยากมีเรื่องกับเด็กหรอกนะ ถ้ายอมกลับไปดีๆ ฉันจะไม่ทำอะไร”


ผมแอบตบมืออยู่ในใจให้กับความใจกว้างของฮาเซล ถ้าเป็นผมรับรองเลยว่าไม่จบแค่กลับออกไปแน่ๆ การแสดงท่าทีเหนือกว่าแสดงได้แต่ควรจะดูคนหน่อย อำนาจที่ฮาเซลมีสามารถกำจัดอีกฝ่ายโดยไม่มีใครรู้ได้ง่ายๆ ด้วยซ้ำ


“คิดว่าฉันจะกลัวคำขู่นั่นเหรอ...”


“ไร้สาระ!” ผมพูดโดยจงใจให้กลุ่มวัยรุ่นนั้นได้ยิน


ตอนนี้ไม่ได้มีเพียงกลุ่มของฮาเซลและคู่กรณีแต่ยังมีลูกค้าหลายสิบคนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่รอบๆ ผมอยากให้จบเหตุการณ์นี่ไปสักที


ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว อยากกลับไปนอนเต็มที ถ้าขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ได้อะไรนอกจากการถกเถียงที่ยืดยาว เพราะแบบนั้นผมเลยเลือกจะเข้าไปจัดการ ยังไงผมก็ไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรกับที่นี่คงลงมือได้ง่ายและเร็วกว่า


“แกว่าอะไรนะไอ้ขี้ก้าง!” คำหยาบคายดังขึ้นพร้อมอีกฝ่ายที่ก้าวเข้ามาใกล้ กระชากคอเสื้อผมแรงๆ จนร่างเซไปเล็กน้อย


ยิ่งปวดๆ หัวอยู่อย่ามาทำให้ปวดมากขึ้นได้ไหม


“จะมีเรื่องกับใครช่วยสืบข้อมูลอีกฝ่ายสักหน่อยเถอะ” ข้อมูลของฮาเซล กอนซาเลสหาได้ง่ายจะตายแค่พิมพ์ชื่อไปทุกอย่างก็ขึ้นมาให้อ่านหมดไม่ว่าจะเป็นวันเกิดหรือธุรกิจที่ทำทั้งหน้าฉากและหลังฉาก


“อยากมีเรื่องอีกคนสินะ”


“เปล่า ผมแค่อยากให้รีบจบเรื่องไร้สาระนี่สักที” อยากกลับไปนอนเต็มแก่แล้ว


“จบแน่ถ้ามันมาก้มหัวขอโทษฉัน” พูดจบก็หันไปมองยังฮาเซลด้วยสายตาหาเรื่องเต็มที่


“เฮ้อ” ผมส่ายหน้าเบาๆ


เล่นผิดคนซะแล้ว


“อะไรของแก” อีกฝ่ายขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นผมถอนหายใจยาว


“ไม่รู้สิ” ผมไม่จำเป็นต้องบอกนี่


“ฉันจะจัดการแกเป็นคนแรกเลย!” ตะโกนเสร็จหมัดขวาทื่อๆ ก็พุ่งเข้าใส่ผมในระยะประชิด แน่นนอนว่าผมสามารถหลบได้ไม่ยาก


“ถ้าผมตอบโต้จะถือเป็นการป้องกันตัวไหม” ผมหันไปถามฮาเซล ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจทำให้เรื่องถึงตำรวจ  ผมต้องหาลู่ทางป้องกันตัวไว้ก่อน


“อย่ารุนแรงละกัน”


ผมยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยหันกลับไปจ้องยังวัยรุ่นตรงหน้า ส่วนสูงอาจมากกว่าผมอยู่หน่อยแต่แค่นั่นไม่ได้ทำให้ผมเสียเปรียบหรอก การเคลื่อนไหวช้าๆ ออกแนวอืดอาดกับหมัดที่เหวี่ยงสลับซ้ายขวาทำให้ผมถอนหายใจออกมาเล็กน้อย สภาพผมไม่เต็มร้อยก็จริงแต่ถ้าคู่ต่อสู้ฝีมือแค่นี้ไม่เป็นปัญหา


“แก...เป็นใครกันแน่” ผมปล่อยให้อีกฝ่ายเหวี่ยงหมัดจนเหนื่อยหอบไปเอง แต่เพราะหลบซ้ายขวาติดๆ กันหลายรอบหัวที่มึนอยู่แล้วเลยมึนมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว


แย่ล่ะ เหมือนสติจะวูบเลย


“ครั้งนี้โดนแน่!” เสียงตะโกนและหมัดขวาตรงพุ่งเข้าโจมตีใบหน้าผมทว่าด้วยสัญชาตญาณทำให้เบี่ยงหลบหมัดนั้นได้แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น บริเวณที่ผมยืนอยู่คือตรงขอบของสระน้ำทำให้เท้าที่ขยับถอยหลังไปนั้นลื่นจนทั้งร่างตกลงไปในน้ำอย่างไม่รู้ตัว


“เรย์!!” ฮาเซลตะโกนลั่นด้วยน้ำเสียงตกใจ


ผมรับรู้ว่าตัวเองอยู่ในน้ำ


รู้ว่าต้องว่ายขึ้นไปด้านบน


แต่ร่างกายมันหนักไปหมด


หัวก็ปวดจนสติวูบดับ ไม่รับรู้อะไรนอกจากความเปียกชื้นของน้ำในสระและสัมผัสของอะไรบางอย่างที่ดึงตัวผมเข้าไปประชิด

.............................................

สวัสดีค่ะ

อ่านจบแล้วหลายคนคงแบบ...ค้าง!

ก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ค้างแต่เราอยากเปลี่ยนให้จากนี้เป็นบทฮาเซลซะหน่อยเลยขอตัดฉับตรงนี้เลยละกัน อิอิ

ตอนนี้จะได้เห็นเรย์ในมุมอ่อนโยนบ้างอย่างอุ้มลูกนกกลับขึ้นไปบนรัง

โดยส่วนตัวชอบฉากแย่งกุญแจห้องเรย์มาก เหมือนคนรักกำลังมุ๋งมิ๋งกัน

แต่งเองยิ้มเอง ท่าจะบ้าไปแล้ว 555

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเสมอนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่7« 24/10/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-10-2018 20:20:15
อ้าว.... ไงมาพลาดแบบง่ายๆ อย่างนี้  :mew5:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่7« 24/10/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 28-10-2018 08:57:27
อ่านรวดเดียวจนทัน เรย์ มีบุคลิกที่น่าสนใจมาก
ฮาเซล ก็เหมือนจะรู้จักตัวตนของเรย์อยู่บ้างนะ

แต่ตอนล่าสุด ดูเหมือนเรย์จะพลาดง่ายไปนิดนึง
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่8« 31/10/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 31-10-2018 12:29:15
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่8



“เรย์!!” ราวกับสติถูกระงับมีเพียงสัญชาตญาณที่บอกให้กระโดดลงไปยังสระด้านข้างยามไม่เห็นร่างที่ควรจะว่ายขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ความเย็นของน้ำด้านล่างไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไรได้เท่ากับร่างไร้สติในอ้อมแขนยามพาขึ้นมาเหนือผิวน้ำได้สำเร็จ


“มากส์!” ผมตะโกนเรียก


“ครับ” มากส์ขานรับพร้อมรับตัวเรย์จากผมไปโดยมีแซมวิ่งตามมาดูอาการไม่ห่าง


“เฮ้” แซมพยายามเข่าร่างนั้นเบาๆ ทว่าไม่มีทีท่าจะลืมตาตื่นสักนิด


“เรย์!” ผมรีบขึ้นมาจากบนน้ำแล้วเข้าไปอุ้มร่างของเรย์ขึ้นมามอง ลมหายใจแผ่วๆ ที่ได้ยินทำให้ผมเบาใจไปได้เปราะหนึ่งก่อนจะใช้มือเลื่อนไปสัมผัสหน้าผากอันเปียกปอน...ความร้อนแผ่ซ่านออกมาดั่งเปลวไฟที่ปะทุออกมาจากร่าง


ไม่ใช่แค่ตัวร้อนธรรมดา...


ตัวร้อนมาก


ร้อนขนาดที่ว่าแค่สัมผัสยังต้องรับชักมือออก


ทั้งที่น่าจะทรงตัวแทบไม่ได้ในอาการนี้แต่กลับทำท่าเหมือนไม่เป็นไรได้ทั้งวัน ผมไม่เชื่อเด็ดขาดว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะไม่สบายตอนตกลงไปในน้ำ อาการหนักขนาดนี้ต้องฝืนมาอย่างน้อยหลายชั่วโมง เป็นไปได้ว่าอาจเริ่มมีอาการหลังจากเมื่อคืนที่ผมเห็นอีกฝ่ายออกไปตากฝนนอกบ้าน


“บอส”


“ตัวร้อนมาก โทรตามหมอมา” ผมหันไปบอกแซมแล้วเตรียมอุ้มร่างของเรย์เข้าไปด้านใน


“เดี๋ยวผมอุ้มให้...”


“ไม่ต้อง ฉันอุ้มเอง” ผมปฏิเสธการช่วยเหลือของมากส์ก่อนจะอุ้มร่างอันไร้สติขึ้น


“เดี๋ยวสิ คิดจะหนีไปง่ายๆ รึไง!” น้ำเสียงหาเรื่องตะโกนก่อนจะเดินเข้ามาหา


ดวงตาสีน้ำตาลจนเกือบทองของผมหันไปสบด้วยอารมณ์โกรธที่ใกล้ปะทุ ก่อนหน้านี้คงไม่ถือสาเด็กพวกนี้ทว่าตอนนี้ไม่ใช่ พวกเขาอาจไม่ได้เป็นคนทำให้เรย์ตกน้ำแต่ก็เป็นเหมือนสาเหตุของเรื่องนี้ พอเป็นเรื่องของเรย์การควบคุมอารมณ์มักจะเป็นไปโดยไม่มีสตินัก


ไม่อยากให้ใครมาแตะต้อง ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม


ตั้งแต่คำพูดจาของอีกฝ่ายที่ว่าเรย์แล้ว


ถ้าอยากเจอดีนักก็จะจัดให้


จะทำให้รู้เลยว่าเล่นผิดคน!


“มากส์” ผมเรียกลูกน้องคนสนิทเสียงนิ่ง


“ครับ”


“บริษัทของอาเทีย ปิดมันซะ” เพียงคำสั่งเดียวสร้างความเงียบให้เกิดขึ้นแม้แต่เสียงซุบซิบโดยรอบยังหยุดชะงัก เงียบกริบราวกับไม่มีใครอยู่ทั้งที่รอบๆ เต็มไปด้วยผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ


“ได้ครับท่านฮาเซล” มากส์รับคำพลางมองไปยังใบหน้าของลูกชายเจ้าของบริษัทอาเทียที่มีสีหน้าตกตะลึง


“แกคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้ามาพูดแบบนี้!”


“ผมคงต้องขอให้หยุดพูดก่อนที่เจ้านายผมจะอารมณ์เสียมากไปกว่านี้ เดี๋ยวผมจัดการต่อเองครับ” มากส์เข้าไปยืนขวางเด็กที่กำลังจะเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ผม


การกระทำนั่นผมรู้ว่าไม่ใช่เพื่อปกป้องผมแต่เป็นเด็กคนนั้น อารมณ์แบบนี้ผมอาจลงไม้ลงมือได้ง่ายๆ


“อืม อ้อ...ฉันขอพูดอะไรหน่อยนะเจ้าหนู”


“...อะไร” ถึงจะทำเสียงแข็งแต่ร่างกายยังคงสั่นไม่หยุด


มันคงเป็นสัญชาตญาณระวังภัยละมั้ง


“คนที่นายบอกว่าขี้ก้างสามารถปลิดชีวิตนายได้โดยไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ครั้งหน้าจะทำอะไรเลือกคนหน่อยนะ” ผมบอกแล้วเดินพาร่างของเรย์มาด้านใน


ครั้งหน้าเหรอ...


อาจไม่มีก็ได้นะ


บริษัทของอาเทียอาจใหญ่โตแต่ไม่ยากเลยในการจะโค่นมันลง การใช้อำอาจจริงๆ เป็นยังไงผมจะแสดงให้ดูเป็นขวัญตาเอง ตอบแทนการกระทำของเขา


“แค่ก...” เสียงไอจากเรย์เรียกสติให้ผมรีบพาร่างเปียกๆ เข้าไปยังห้องสำหรับพนักงานด้านหลัง ผ้าขนหนูสีขาวหลายผืนถูกหยิบมาวางข้างๆ เพื่อเตรียมสำหรับเช็ดตัว


สูทสีดำซึ่งเป็นเครื่องแบบของบอดี้การ์ดถูกถอดออกไปก่อนจะตามไปด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านในไม่เว้นแม้แต่กางเกงขายาวจนร่างของเรย์ตอนนี้แทบเปลือยเปล่ามีเพียงกางเกงในตัวเดียวเท่านั้น


ผิวสีขาวน้ำนมราวกับคนที่ไม่เคยผ่านการออกแดดกับกล้ามเนื้อพองามนั่นเรียกความรู้สึกแปลกๆ ให้ตื่นขึ้น ร่างกายนี่ไม่แปลกใจเลยที่สามารถปลอมเป็นผู้หญิงได้ รูปร่างแบบนี้ผู้หญิงบางคนยังต้องอายด้วยซ้ำ


น่าสัมผัส


เหมือนร่างกายจะตอบสนองกับสมองโดยไม่ผ่านสติ รู้ตัวอีกทีมือของผมก็เอื้อมสัมผัสผิวกายนั่นซะแล้ว หากเป็นยามปกติอย่าว่าแต่สัมผัสแบบนี้เลยแค่จะยอมให้แตะตัวก็ต้องยากยิ่งกว่าผ่านสมรภูมิรบซะอีก


“อื้อ...”


กึก!


มือที่ขยับหยุดชะทันทีที่เสียงครางเบาๆ ดังออกมาจากริมฝีปากบาง อารมณ์เฉพาะตัวของผู้ชายตื่นขึ้นเต็มตาจนผมต้องรีบสะบัดมันทิ้งไปก่อนจะคว้าเสื้อแถวนั้นมาสวมใส่ให้เรย์


นี่ผม...


กำลังเกิดอารมณ์


แถมยังเป็นผู้ชาย?


ข้อมูลของเรย์ที่ว่าสามารถลอบเข้าไปประชิดเหยื่อด้วยเสน่ห์ยั่วยวนไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องหลงนั่นผุดเข้ามาในหัวพร้อมความรู้สึกหงุดหงิดที่ประทังเข้ามาเพียงแค่คิดว่าร่างกายขาวๆ และเสียงครางนี่มีคนอื่นเคยได้สัมผัสนอกจากตัวเอง


“...ต้องบอกว่าสมแล้วกับที่ได้ยินมาสินะ” ได้มาเจอกับตัวก็รู้เลยว่าถ้าเกิดวันนึงผมเป็นเหยื่อและถูกเรย์ล่อลวงด้วยเสน่ห์นี่ผมคงเป็นอีกคนที่ไม่รอด


ขนาดไม่ใช้เสน่ห์ผมยังแทบละสายตาไปจากเขาไม่ได้เลย


แกร็ก!


“ตามหมอมาแล้วครับบอส” ประตูถูกเปิดออกก่อนแซมจะลากหมอเข้ามาด้านใน


“ดูอาการแล้วจัดยามา” ผมลุกพลางบอกหมอที่พยักหน้ารัวๆ ทำตามคำสั่ง


“บอส เดี๋ยวผมเฝ้าให้ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะครับ” แซมพูดต่อ พอแซมพูดถึงนึกได้ว่าตัวผมก็อยู่ในสภาพเปียกโชกแค่ไหน นี่ผมร้อนรนเรื่องเรย์ขนาดไหนกันแน่นะ


“ฝากด้วย” บอกเสร็จผมก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่


ตอนกลับมาผมถือเสื้อผ้าชุดใหม่มาเผื่อเรย์ด้วย ในคลับมีเสื้อผ้าที่ผมทิ้งเอาไว้เผื่อฉุกเฉินไว้เยอะเลยง่ายเวลาเกิดเรื่องไม่คาดฝันแต่ด้วยขนาดตัวของเรย์คงจะหลวมไปไม่น้อยแต่ก็ดีกว่าใส่เสื้อของใครก็ไม่รู้


“จากที่ตรวจดูเหมือนจะฝืนร่างกายมาก ถ้าตอนมีอาการแรกๆ กินยาแล้วพักผ่อนคงไม่เป็นหนักขนาดนี้ ผมฉีดยาเข้าเส้นให้เรียบร้อยส่วนยานี่ให้เขากินวันละสามครั้งหลังอาหาร...สำหรับผู้ป่วยคงไม่อยากอาหารแต่ต้องให้ฝืนกินไม่งั้นร่างกายอาจทรุดได้” คำอธิบายอาการจากปากหมอทำให้ผมขมวดคิ้วตลอดการฟัง


หมายความว่าเรย์ฝืนร่างกายมาตั้งแต่เช้าอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ ด้วย


ว่าแล้วเชียว ท่าทางของเรย์มีบางอย่างผิดปกติ


เซ้นส์ผมบอกแบบนั้นแต่กลับไม่เอะใจว่าจะตัวร้อนจนล้มไปแบบนี้


“ทำไมต้องฝืนขนาดนี้ด้วยเรย์” ผมพึมพำถามเสียงแผ่วในขณะที่ตรงกลับบ้านหลังใหญ่ ซึ่งขากลับไม่ได้มีมากส์มาด้วย...สาเหตุคงไม่พ้นเรื่องการปิดบริษัทของอาเทีย ต่อให้ตอนนี้ผมใจเย็นลงก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว


เมื่อกลับมาถึงผมพาร่างไร้สติไปนอนบนเตียงในห้องของเจ้าตัวก่อนจะจัดการเตรียมผ้าและกะละมังเตรียมไว้สำหรับเช็ดตัวหรือแปะหน้าผากเพื่อลดไข้


“บอส เดี๋ยวผมทำเอง บอสไปพักเถอะ” แซมห้ามแล้วคว้ากะละมังจากมือผมถือไปวางไว้ข้างเตียง


“ฉันทำเอง”


“บอสดูแลคนป่วยเป็นเหรอ” อีกฝ่ายถามด้วยใบหน้าแปลกใจ


“...จะยากอะไร” ผมนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อคำพูดของแซมแทงใจอย่างจัง


ก็ถูก


ผมดูแลใครไม่เป็นหรอก


ไม่มีทั้งครอบครัวหรือใครให้ต้องดูแล


ขนาดกับพวกลูกน้องเองอย่างมากแค่พาไปเลี้ยงข้าว


ไม่เคยดูแลคนป่วยสักครั้ง


แต่กลับเรย์ผมไม่อยากปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ ความรู้สึกหน่วงในอกคล้ายอารมณ์กังวลนั่นผมไม่ได้มีมานานมากแล้ว ถ้าให้หาคำง่ายๆ มาอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ก็คือ...


ห่วง


ผมเป็นห่วงเรย์


“บอส บิดผ้าด้วยครับ ขืนวางผ้าเปียกขนาดนั้นคงอาการหนักกว่าเดิม” คำพูดของแซมทำเอามือที่ถือผ้าเปียกชุ่มชะงัก  ผมยืนกรานจะเป็นคนดูแลเรย์แซมเลยยืนดูใกล้ๆ ทว่าแค่เริ่มต้นก็พลาดซะแล้ว


“ฉันกำลังจะบิดหรอก” ผ้าชุ่มๆ ในมือถูกบีบจนเกือบแห้งสนิทและนำไปวางไว้บนหน้าผากคนบนเตียงอย่างไม่รีบร้อน


“ผมว่าให้จัดคนมาดูแลดีกว่านะบอส หรือไม่ก็ให้ผมดูเอง...บอสควรจะพักผ่อนได้แล้วพรุ่งนี้มีประชุม...”


“นายไปเข้าแทน” ไม่ต้องรอให้พูดจบผมก็จัดการบอกวิธีแก้ไขทันที


“บอส!”


“ถ้าพรุ่งนี้เรย์ไม่ดีขึ้นฉันจะให้นายไปประชุมแทน” ผมย้ำในสิ่งที่คิดอีกรอบ


“แต่นี่เป็นการประชุมลับเกี่ยวกับการซื้อขายอาวุธนะครับ” น้ำเสียงของแซมไม่เห็นด้วยกับความคิดผม


แซมพูดถูกการประชุมพรุ่งนี้ไม่ใช่การประชุมธรรมดาที่จะให้แซมหรือมากส์เข้าไปจัดการแทน มีหลายอย่างที่ต้องเป็นผมเท่านั้นถึงจะจัดการได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักของคำพูด อำนาจหรือการต่อรอง ถึงแบบนั้นถ้าให้เอามาเทียบกับเรย์...


น่าแปลก...ความลังเลแทบจะไม่มีเลย


“พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” ผมตัดบทพลางนั่งลงบนเตียงมองใบหน้าขาวกำลังเห่อแดงด้วยพิษไข้


“ถ้าอยากพักผ่อนเรียกผมให้มาดูต่อได้นะครับ”


“อืม” ผมพยักหน้ารับพอเป็นพิธี แซมเองก็ทำเพียงมองมาอย่างห่วงๆ แล้วเดินออกจากห้องไป


เมื่อทั้งห้องเหลือผมและคนป่วยไร้สติความเงียบก็บังเกิด ผมเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มแดงๆ อย่างเบามือ...ความร้อนยังคงแผ่ซ่านออกมาไม่มีทีท่าว่าไข้จะลดลงเลยสักนิด


หรือว่ายาจะไม่ได้ผล...ผมควรจะเรียกหมอมาตรวจใหม่ดีไหมนะ


“อื้อ! ร้อน...” ใบหน้าแดงสะบัดหนีสัมผัสพร้อมเอ่ยละเมอ


“เปิดแอร์ได้ไหมนะ” ผมถามตัวเอง


ไม่แน่ใจว่าคนป่วยให้นอนในห้องแอร์ได้ไหม


แต่คิดว่าไม่เป็นไรผมเลยเดินไปเปิดแอร์ให้ความเย็นปกคลุมห้อง ด้วยความที่ยืนอยู่หน้าแอร์พอกดเปิดอุณหภูมิของแอร์ที่ตั้งไว้ก็พุ่งตรงใส่หน้าผมจะแทบหันหน้าหนีเพราะความเย็นเฉียบราวกับอยู่ในเขตขั้วโลกเหนือ


อุณหภูมิบนหน้าจอทำเอาผมต้องยกรีโมทขึ้นมามองใกล้ๆ อย่างไม่เชื่อสายตา ต่อให้ช่วงนี้อยู่ในฤดูร้อนก็ไม่มีใครตั้งความเย็นแอร์อยู่ที่ 13 องศาหรอก


“อย่าบอกนะว่านอนแบบนี้ทุกวันน่ะ”


หนาวขนาดนี้ไม่ป่วยก็แปลกแล้ว


ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องเปิดแอร์เย็นขนาดนี้


หรือเป็นคนขี้ร้อน?


“ถึงเปิดแอร์ยังไงก็ต้องห่มผ้านะ”


รีโมทแอร์ถูกปรับให้อยู่ค่ามาตรฐานคือ 25 องศาเพื่อให้อากาศในห้องไม่เย็นจนเกินไป แต่ถึงจะไม่เย็นมากคนป่วยก็ไม่ควรโดนแอร์ตรงๆ


ผมเลื่อนผ้านวมมาคลุมตัวเรย์จนถึงระดับหน้าอก ในจังหวะที่ก้มลงไปมองใกล้ๆ ดวงตาของเขาก็ค่อยๆ ปรือขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะไข้หรืออาการเบลอทำให้อีกฝ่ายเหวี่ยงหมัดตรงเข้าใส่พร้อมกับขาที่ตะหวัดขึ้นเฉียดใบหน้าผมไปไม่กี่มิล


“เรย์?!” ผมเรียกก่อนจะรับหมดนั่นไว้ด้วยมือข้างเดียว แรงทั้งหมดถูกใช้ไปกับการหยุดการเคลื่อนไหวของคนป่วยที่ดูไม่เหมือนป่วยสักนิด


ตอนนี้มือทั้งสองข้างของผมยึดแขนอีกฝ่ายไว้แน่นกันไม่ให้หมัดถูกปล่อยออกมาอีกโดยขาผมก็ไม่ได้อยู่ว่างเลยเนื่องจากต้องใช้กดขาอีกฝ่ายที่พร้อมจะยกขึ้นมาเตะสวนผมได้ทุกเมื่อ


“อึก...ไม่...ไม่” แรงขัดขืน การต่อต้านและท่าทางของเรย์ดูเหมือนคนกำลังดิ้นรน


จะว่าไป เหมือนจะไม่ชอบให้ขึ้นคร่อมนี่นา


“เรย์”


“ไม่...ปล่อย...”


“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร...ฉันไม่ได้จะทำอะไร” มือที่ยึนเปลี่ยนมาคว้าอีกฝ่ายเข้ามาไว้ในอ้อมแขนพลางลูบเส้นผมสีดำสนิทอย่างเบามือ


ผมไม่รู้ว่ามีเรื่องหรือความหลังอะไร


ผมเพียงอยากจะให้เรย์ได้รู้ว่าไม่เป็นไร...ไม่มีใครมาทำอะไรเขาได้


“...ปล่อย...” เสียงงึมงำกับแรงผลักเบาๆ ไม่ได้ทำให้ผมสะเทือนสักนิด


สภาพแบบนี้ยังหลบหมัดได้ขอชื่นชมจริงๆ


“ไม่ปล่อย ขืนปล่อยฉันก็เจ็บตัวน่ะสิ” ถึงจะไม่มีพละกำลังเหมือนอย่างปกติแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ผลโดยเฉพาะกับลูกเตะเมื่อครู่ เพิ่งเคยเห็นเรย์แสดงความอ่อนแอออกมาชัดก็ครั้งนี้ ตอนปกติคงไม่มีทางจะได้เห็นแถมยังจะถูกสวนกลับอย่างไม่ทันตั้งตัวอีก


“อึก...เจ็บ...”


“เจ็บอะไร...” คำถามถูกกลืนหายไปยามก้มลงมองดวงตาที่ปรือขึ้นอีกครั้งทว่าครั้งนี้ดวงตาสีน้ำตาลที่เคยเห็นมาตลอดกลับไม่เหมือนเดิม คอนแทคเลนส์สีน้ำตาลนั้นคอยปกปิดสีอันแท้จริงมาตลอดแต่ตอนนี้กลับเลื่อนหลุดจนเผยให้เห็นถึงความจริงอันน่าตกตะลึง


สีม่วง


ดวงตาของเรย์ที่ปราศจากคอนแทคเลนส์คือสีม่วง


ผมพอจะรู้ว่าสีน้ำตาลไม่ใช่สีตาจริงๆ ของเรย์ แต่ไม่นึกว่าจะเป็นสีม่วง สีของดวงตาที่เกิดจากความผิดปกติของพันธุกรรมซึ่งหาได้ยากยิ่ง และมีเพียงไม่กี่คนบนโลกเท่านั้น


ไม่แปลกที่เรย์ไม่อยากบอกขนาดนั้น


“ลืมตาก่อนเรย์ เอาคอนแทคเลนส์อีกข้างออกก่อน” ผมขยับร่างอีกฝ่ายให้นอนหงายพร้อมจัดการกับคอนแทคเลนส์อีกข้าง พอผมถอดคอนแทคเลนส์ให้เสร็จดูเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายสบายตัวขึ้นมากถึงได้ผลอยหลับไปอีกครั้ง


อยากจะเห็นดวงตาสีม่วงอีกสักนิดแท้ๆ


แต่ไม่เป็นไร


“ไว้พรุ่งนี้ขอฉันดูด้วยล่ะ”


รุ่งเช้าของวันต่อมาอาการของเรย์ยังไม่ดีขึ้นมากนัก ตัวยังคงร้อนอยู่แม้ว่าจะไม่มากเท่าเมื่อวานแต่ก็ยังถือว่าร้อนมาก ตลอดคืนผมคอยเปลี่ยนจากผ้าเป็นเจลลดไข้หลายต่อหลายรอบเพราะความร้อนที่แผ่ออกมาทำให้ผ้าหรือเจลเย็นๆ อุ่นได้ในไม่กี่ชั่วโมง


“บอส” แซมเปิดประตูเข้ามาหาหลังจากเคาะประตูเล็กน้อย


คงจะมาถามเรื่องไปประชุมวันนี้


“เรย์ยังตัวร้อนอยู่” ความหมายของคำพูดผมคือจะไม่ไปเข้าร่วมประชุมวันนี้


“ให้คุณหลุยส์มาดูแลแทนได้นะบอส” แซมพยายามยื่นข้อเสนอ


“ไม่ล่ะ”


“ผมเพิ่งเคยเห็นบอสเป็นแบบนี้”


“แบบนี้?” หมายถึงแบบไหนกัน


“ก็ที่ห่วงคนอื่นไง ดีใจอยู่หรอกแต่วันนี้บอสต้องเข้าร่วมประชุมจริงๆ นะ ก็รู้อยู่ว่าคนที่จะเข้าร่วมประชุมนี่ไม่ใช่คนที่ผมหรือมากส์จะต่อรองด้วยง่ายๆ”


“งั้นก็วิดีโอคอล” คำพูดผมทำให้แซมถอนหายใจออกมายาวๆ ราวกับรู้ว่าต่อให้บทสนทนายืดยาวไปก็ไม่ได้ทำให้คำตอบเปลี่ยนไป


ผมเข้าร่วมประชุมได้เพียงแต่จะประชุมจากที่นี่ ผมไม่คิดจะปล่อยให้เรย์อยู่นอกสายตาถึจะคิดว่าคนอื่นคงจะดูแลเรย์ได้คล่องกว่าผมก็ตาม


“เข้าใจแล้วครับ ผมจะเป็นตัวแทนไปเข้าร่วมประชุมแทนบอสเองแต่เนื้อหาบอสต้องจัดการเองนะ”


“ตามนั้น วิดีโอคอลมา”


“ครับ เหมือนไข้จะลดลงนิดเดียวเองนะเนี่ย” พยักหน้าเสร็จแซมก็เดินมาวัดไข้เรย์ที่ยังคงหลับสนิท


“กำลังคิดอยู่ว่าจะตามหมอมาอีกรอบ”


“ไข้ไม่ลดลงทันทีหรอกครับโดยเฉพาะกับคนที่อาการหนักแบบนี้ ผมว่าปลุกให้มากินข้าวกินยาแล้วให้พักผ่อนต่อจะดีกว่า” แซมออกความเห็น


“ไปบอกเชให้ทำข้าวต้มมาด้วย” ไหนๆ แซมก็จะออกไปอยู่แล้วผมเลยให้ไปจัดการมื้อเช้าซะเลย


“ครับ นี่บอส”


“อะไร”


“พักหน่อยดีกว่านนะ หน้าบอสเหมือนคนไม่ได้นอนเลย แล้วก็บอสคงไม่ลืมนะว่าถ้าเขาทำงานจบแล้วก็ต้องไปจากบอสน่ะ” แซมบอกก่อนจะขอตัวออกจากห้องไป


คำพูดของแซมทำให้ผมคิด...


ถ้างานจบแล้วเหรอ


นั่นสินะ ตอนนี้ที่เรย์ยังอยู่เป็นเพราะงานและสัญญาที่ให้ไว้ ถ้าจบเรื่องทุกอย่างแล้ว...เรย์ก็คงต้องกลับไปอยู่ในสถานที่ของตัวเองซึ่งที่นั่นไม่มีผมอยู่ด้วย


ความรู้สึกไม่ชอบใจนี่คืออะไร


ผมไม่อยากให้เรย์กลับไปงั้นเหรอ


หรือแค่ไม่อยากให้ความสนุกในแต่ละวันนี่หายไป


ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงข้าวต้มร้อนๆ และมื้อเช้าของผมก็เข้ามาเสิร์ฟถึงในห้อง มื้อเช้าของตัวเองผมเอาไว้ที่หลังตอนนี้ต้องปลุกเรย์ขึ้นมากินก่อน


“เรย์ ตื่นก่อน” ผมนั่งบริเวณขอบเตียงพร้อมเรียกอีกฝ่ายเบาๆ


“อื้อ...”


“กินข้าวก่อน” ไม่ง่ายเลยที่จะปลุกคนป่วยให้ตื่น


เรย์เหมือนรู้สึกตัวแต่ยังคงไม่ลืมตา เขาหลีกหนีสัมผัสของมือที่ผมเขย่าโดยการพลิกตัวตะแคงไปอีกฝั่งหนึ่ง พอผมเอื้อมมือไปแตะอีกรอบคราวนี้อีกฝ่ายถึงกับดึงผ้านวมขึ้นคลุมหัวซุกตัวอยู่ด้านในราวกับดักแด้ในวัยกำลังเติบโต


“เรย์” ทำท่าทางเหมือนเด็กๆ เลย


“...ปล่อยผมไว้แบบนี้แหละ” เสียงงึมงำดังลอดผ่านผ้านวมออกมา


“จะปล่อยได้ยังไง”


“อย่ามายุ่งกับผม...”


“...เรย์”


“อย่ามายุ่งมากไปกว่านี้”


“เรย์เป็นอะไร” เหมือนคนกำลังระบายอะไรออกมาโดยไม่มีสติ ปกติเรย์จะไม่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแอแบบนี้


ผมพยายามดึงผ้านวมที่คลุมตัวเรย์อยู่ออกแต่คนด้านในเองก็ขืนไว้ทั้งๆ ที่อ่อนแออยู่ด้วยพิษไข้จึงไม่สามารถขืนได้นาน จะว่ารังแกคนป่วยก็ไม่ได้อยากดื้อเองนี่ ผ้านวมผืนหนาถูกเหวี่ยงไปอยู่ปลายเตียงก่อนเรย์จะพลิกตัวกลับมาพลางปรือตามองมาทางผม ดวงตาสีม่วงแปลกตานั่นราวกับจะดึงดูดผู้พบเห็นให้หลงใหลจนไม่อาจละสายตาออกมาได้


“เกลียด...”


“เกลียดฉัน?” ผมถามตรงๆ


มองมาทางนี้แล้วพูดว่าเกลียดคงไม่มีอย่างอื่น


“เกลียด...”


“อืม รู้แล้ว ลุกมากินอะไรหน่อยเถอะ” ผมวางมือลูบเส้นผมสีดำสนิทด้างข้างเบาๆ


“อย่ามาลูบ” อีกฝ่ายเตรียมสะบัดหน้าหนีทว่าผมกลับไม่ยอมให้ทำตามใจได้ ขืนปล่อยให้สะบัดหัวอาการปวดหัวคงปะทุขึ้นมาอีก


“อย่าขยับสิ”


“...ทำไมต้องมาดูแลผมด้วย” เงียบไปสักพักเรย์ก็ถามต่อ


“ก็เป็นห่วงนี่”


บอกตรงๆ เลยนะผมไม่ชินเลย...


น้ำเสียงเหมือนคนกำลังอดกลั้น


ดวงตาสีสวยที่กำลังสั่นระริก


ผมไม่ชินกับเรย์ที่ดูอ่อนแอราวกับจะแตกหักได้ทุกเมื่อแบบนี้


“เกลียดที่สุด...”


“ครับๆ” เรียกว่าเป็นการทำลายสติเก่าอย่างหมดจด


นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกพูดว่าเกลียดติดๆ กันในเวลาไม่กี่นาที ก็รู้ว่าเรย์ไม่ชอบผมนักแต่ไม่คิดว่าจะเกลียดกันขนาดนั้น สงสัยเพราะชอบแหย่เขาอยู่ตลอดเลยโดนเกลียดซะละมั้ง


ก็ใบหน้าตอนโดนแหย่มันน่ามองนี่นาจะให้อดใจยังไงไหว


“อย่าทำแบบนี้...”


“ฉันทำอะไรล่ะ ยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” ผมบอกพลางลูบเส้นผมสีดำสนิทเรื่อยๆ


“อย่าลูบหัว...”


“ทำท่าเหมือนชอบนี่นา” ทุกครั้งที่ผมทำมีอาการต่อต้านอย่างชัดเจนก็จริงแต่ผมกลับรู้สึกว่าเรย์ไม่ได้ไม่ชอบ


“อย่ามาอ่อนโยน...”


“อย่ามาดูแล...”


“อย่ามาเป็นห่วง...”


ผมนั่งนิ่งคอยฟังทุกคำพูดที่ถูกเอ่ยออกมาอย่างตั้งใจ ช่วงอาการเบลอๆ แบบนี้อาจเป็นช่วงเดียวที่จะได้รู้ถึงความจริงในหลายๆ อย่าง คนป่วยกับคนเมามักจะไม่โกหก ดังนั้นสิ่งที่ผมกำลังได้ยินมันเป็นความรู้สึกจริงๆ ที่เรย์ซ่อนเอาไว้ตลอดมา


“แล้วอะไรต่อ” ผมถามต่อ


“อย่าทำให้ผมชินเวลามีคุณอยู่ข้างๆ” เรย์เอ่อยออกมาพร้อมกับมือที่กำปลายผ้านวมแน่น


หลายๆ คำพูดของเรย์มันช่วยให้ผมตีความได้ในหลายเรื่อง เรย์ไม่ชินกับการอยู่ร่วมกันไม่ใช่แค่ผมแต่รวมไปถึงพวกมากส์หรือแซมด้วยซึ่งผมพอจะเดาได้จากงานของเขา และตอนนี้ผมยิ่งมันใจ นักฆ่าไม่จำเป็นต้องมีใคร ไม่จำเป็นต้องพูดกับใคร เป็นคนโดดเดี่ยวปราศจากเพื่อนหรือครอบครัว


อยู่คนเดียวมาตลอด


ผมไม่อยากนึกว่านานแค่ไหนแต่คงไม่ใช่ช่วงเวลาแค่ปีหรือสองปี อดีตของเรย์ผมไม่รู้แต่พอจะคาดเดาได้...ถูกทิ้งตั้งแต่เด็ก ไม่มีทางเลือกนอกจากดิ้นรนให้มีชีวิตรอดจนได้เป็นอาชีพนักฆ่า ดูเหมือนผมอาจเป็นคนแรกที่เรย์อยู่และคุยด้วยนานขนาดนี้


“ดีใจแฮะ” ผมยกยิ้มขึ้นมาระหว่างมองดูเรย์ที่ยังคงระบายทุกอย่างออกมา


เขาเกลียดผมที่เข้าหาเพราะกลัวจะชินกับการอยู่ด้วยกันซึ่งนั่นจะทำให้ความผูกพันมันเกิดขึ้น ซึ่งผมอยากจะบอกกับเรย์คำนึง...


“สายไปแล้วล่ะ” มาห้ามตอนนี้มันสายไปแล้ว


ยิ่งผมรู้ผมจะยิ่งไม่ถอย จะทำให้ชินกับการมีผมอยู่


เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ผมไม่อยากจับตัวคนร้ายที่กำลังจะจ้องเล่นตัวเองอยู่ ไม่อยากให้งานของเรย์ต้องจบลงและลงท้ายด้วยการกลับไปอยู่คนเดียว


ทำเพื่อเรย์เหรอ


ไม่ใช่


ผมทำเพื่อตัวเองต่างหาก


ความรู้สึกไม่อยากปล่อยไปนี่มันคืออะไร


เพิ่งเคยรู้สึกมากขนาดนี้เป็นครั้งแรก

..............................................

สวัสดีค่ะ

happy halloweenนะคะ

คอมเม้นท์จากตอนที่แล้วมีแต่คนบอกว่าเรย์พลาดง่ายไป 555

จะนำคอมเม้นท์ไปปรับปรุงต่อไปนะคะ ทุกคำคอมเม้นท์เราจะเอาไปปรับปรุงการเขียนให้ดีขึ้นนะคะ อย่างตอนที่แล้วที่หลายคนบอกว่าเรย์พลาดท่าง่ายไปเราแต่งโดยคิดว่าเรย์กำลังป่วยหนักแต่ก็ฝืนออกมาทำงานการเคลื่อนไหวหรือประสาทสัมผัสเลยทื่อไป

สำหรับตอนนี้เป็นเหมือนช่วงต่อจากตอนที่แล้ว

เราวางเรื่องให้เรย์ป่วยเพื่อจะได้เผยความอ่อนแอออกมาให้ได้เห็นกัน

ฉากอ่อนแอจะหมดลงตอนนี้ค่ะ ตั้งแต่ตอนหน้าจะกลับมาบู๊แล้ว

รอชมได้เลยยย

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่8« 31/10/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 31-10-2018 19:01:22
ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วนะเรย์ คราวหน้าอย่าฝืนร่างกายมากนะ

ฮาเซลเริ่มอยากให้เรย์มาอยู่ข้างๆ แล้ว


หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่8« 31/10/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-11-2018 02:49:15
ชอบเรย์ตอนป่วย เหมือนลูกแมวเลย  :mew4:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่8« 31/10/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 03-11-2018 18:40:21
นี่แหละน้า ความสนใจเป็นบ่อเกิดความชอบ
จนตอนนี้เหลอๆ ฮาเซลอาจจะรักไปแล้วด้วย

เรย์น่าสงสารนะ จากชีวิตตัวคนเดียว
พอมาเจอใครที่เป็นห่วงแบบนี้
ก็กลัวว่าจะเผลอดีใจ และถ้าขาดไปอีก
เรย์จะยิ่งบอบช้ำหนัก

หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่9« 7/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 07-11-2018 19:53:45
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่9




“อรุณสวัสดิ์เรย์!” เสียงตะโกนทักทายดังขึ้นจากชั้น 2 ของคฤหาสน์หลังใหญ่ทำเอาคนถูกเรียกอย่างผมหันควับไปมองด้วยความไม่พอใจเนื่องจากเสียงตะโกนนั่นทำให้สมาธิในการเตรียมเคลื่อนไหวร่างกายหายไป


ช่วงเช้าถ้ามีเวลาผมมักจะมาออกกำลังกายชื่นชมเหล่านกที่ส่งเสียงร้องตอนรับเช้าวันใหม่ด้วยอารมณ์สุนทรีทว่าไม่กี่วันก่อนหลังจากหมดสติไปรู้สึกตัวอีกทีก็พบกับเจ้าของบ้านหรือเจ้านายอย่างฮาเซล กอนซาเลสนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ บอกตามตรงคือไม่มีความทรงจำตลอดสองวันที่หมดสติไปเลยสักนิด


พอถามฮาเซลคำตอบที่ได้นั่นทำเอาแทบจะหยุดหมัดตัวเองไม่ให้พุ่งใส่หน้าอีกฝ่ายไว้ไม่อยู่


‘เรย์สารภาพรักกับฉันด้วย’


สารภาพรักบ้าบออะไรเล่า!


ไม่มีทาง!


แล้วยังมารู้จากแซมทีหลังอีกว่าฮาเซลยอมไม่เข้าประชุมลับเพียงเพราะต้องการดูแลผม ถึงจะใช้วิดีโอคอลแทนก็ไม่ช่วยให้ความหงุดหงิดนี้ลดลง


ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องลงทุนขนาดนี้


ผมป่วยแล้วไง


ปล่อยเอาไว้เฉยๆ เดี๋ยวก็หายเอง ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อยที่ป่วย


เพราะความหงุดหงิดนั่นผมเลยจัดการเดินเข้าไปบ่นฮาเซลทว่านอกจากจะไม่สะทกสะท้านแล้วยังยิ้มอยู่ตลอดการสนทนา


ขอพูดเลยนะ...หงุดหงิดกว่าเดิมอีกหลายสิบเท่า!


“เรย์ ได้ยินรึเปล่า!” ฮาเซลตะโกนอีกรอบ


“จะตะโกนทักทายคนข้างบ้านรึไง” ผมสวนกลับ


“เห็นไม่ตอบนึกว่าไม่ได้ยิน”


“ดังขนาดนั้นไม่ได้ยินก็แปลกละ”


“เพิ่งหายป่วยอย่าหักโหมสิ”


“แค่ออกกำลังกายนิดหน่อยหักโหมตรงไหน” การออกกำลังกายไม่เพียงช่วยขัดเกลาการเคลื่อนไหวให้ดีขึ้นแต่ยังเป็นการระบายอารมณ์ไปในตัวด้วย ลองนึกภาพว่าตรงหน้ามีฮาเซลยืนยิ้มอยู่สิพลังในการเตะทวีความรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่า


“ออกมาจะ 45 นาทีแล้ว พักบ้างเถอะ”


“นี่คุณมองอยู่?” ไม่ใช่ว่าเพิ่งออกมาตอนส่งเสียงทักเมื่อครู่หรอกเหรอ


“ใช่ ตั้งแต่เรย์ลุกจากเตียงแล้ว”


“หึ ผมเช็คแล้วว่าในห้องไม่มีกล้อง” ผมกอดอกเงยหน้ามองฮาเซลตรงๆ การสำรวจห้องพักเป็นเรื่องแรกที่ต้องทำเพราะผมต้องรักษาความปลอดภัยของตัวเองให้มากที่สุด


“เช็กเมื่อไหร่ ฉันเพิ่งเอาไปติดตอนนายป่วย”


“ว่าไงนะ” คิ้วทั้งสองข้างของผมขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยิน


“ล้อเล่นน่า”


“ฮาเซล กอนซาเลส” คิดจะหาเรื่องกันเริ่มต้นเช้าวันใหม่เลยสินะ


“นี่เรย์”


“ผมไม่ว่างคุยแล้ว ขอตัว” อยู่ต่อไปนอกจากจะไม่ได้ออกกำลังแล้วยังจะพลอยทำให้อารมณ์ขึ้นอีก กลับไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปทำงานดีกว่า


“ฉันอยากเห็นตาสีม่วงของนายอีก”


กึก!


ขาที่ก้าวถึงกับหยุดชะงัก อาการเกร็งแผ่ซ่านมาทั่วร่างก่อนผมจะหันไปสบตากับฮาเซลตรงๆ อีกรอบ ความลับที่ผมไม่เคยบอกใครทำไมฮาเซลถึงได้รู้ได้


ดวงตาจริงๆ ของผมคือสีม่วง ซึ่งผมไม่ชอบด้วยเหตุผลง่ายๆ คือมันเด่น


คิดดูว่าอาชีพผมจำเป็นต้องทำตัวกลืนกับทุกสิ่งรอบตัว ต้องไม่เป็นจุดเด่นและไม่เป็นจุดด้อยซึ่งถ้ามีคนเห็นดวงตาสีม่วงคงจะกลายเป็นจุดเด่นให้คนจดจำขึ้นมาทันที นั่นจึงเห็นสาเหตุที่ผมไม่เคยให้ใครได้เห็นหรือล่วงรู้ถึงสีตาจริงๆ ของตัวเอง แต่ตอนนี้กลับมีคนนึงที่รู้


ก็ว่าแปลกตั้งแต่ตื่นมาแล้วไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์


เห็นไม่มีใครพูดถึงก็นึกว่าตัวผมเป็นคนถอดเอง


“คุณเป็นถอด?”


“หมายถึงเสื้อผ้าหรือคอนแทคเลนส์ล่ะ” ผมถึงกับคิ้วกระตุกผิดกับอีกฝ่ายที่ส่งยิ้มมาให้ ฮาเซลไม่ใช่คนยิ้มกว้างแบบนี้บ่อยแต่ต้องบอกเลยว่าใบหน้าตอนยิ้มกว้างกวนบาทากว่าตอนยิ้มปกติถึง 1,000 เท่า


“ทั้งสองอย่าง!” จะบอกว่าเสื้อผ้าผมฮาเซลเป็นคนเปลี่ยนให้เหรอ


อยากหัวเราะดังๆ


ผู้ทรงอิทธิพลอันดับต้นๆ จะมานั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนธรรมดารึไง คงให้แซมไม่ก็คุณหลุยส์เปลี่ยนให้นั่นแหละ ที่พูดถึงเรื่องนี้คงแค่อยากแกล้งผม


“อืม ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าและถอดคอนแทคเลนส์ให้เอง”


“...โกหก”


“จะโกหกทำไม ฉันเป็นคนถอดเสื้อผ้าของเรย์ออกจนร่างกายเปลือยเปล่าเผยให้เห็นผิวสีขาวดูมีน้ำมีนวลและกล้ามเนื้อพองาม...”


“หยุดพูดนะ!” ผมรีบตะโกนขัด


“ส่วนคอนแทคเลนส์ตอนนอนอยู่เรย์ละเมอออกมาว่าฮาเซลผมเจ็บจังเลย ช่วยผมที ฉันเลยช่วยถอดคอนแทคเลนส์ออกให้ แต่ใครจะคิดละว่าภายใต้คอนแทคเลนส์จะมีดวงตาสีม่วง...”


“ฮาเซล!”


เกลียด


ผมเกลียดเขาจริงๆ เลย


ทั้งชอบแกล้ง ชอบแหย่


จะปั่นหัวผมให้แหลกเลยรึไงกัน!


“ฉันดีใจนะที่ได้เห็นสีตาของนายเป็นคนแรก” อยู่น้ำเสียงกวนๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ดวงตาสีน้ำตาลจนเกือบทองจับจ้องมาพร้อมรอยยิ้มอันหล่อเหลาพานทำให้ใจเต้นแรงถ้าเป็นเป็นผู้หญิงล่ะก็นะ


“คุณรู้ได้ไงว่าเป็นคนแรก” ดูจะมั่นใจซะเหลือเกินนะ


“เซ้นส์มันบอก”


“ผมเกลียดเซ้นส์คุณ” ยิ่งกว่าเกลียดเจ้าตัวก็เป็นเซ้นส์นี่แหละ


จะแม่นเกินไปแล้ว


การถกเถียงยามเช้าผ่านพ้นไปจนถึงมื้อเช้าที่ผมมายืนรวมตัวอยู่ในห้องอาหารโดยมีฮาเซลนั่งอยู่หัวโต๊ะและมีมากส์ แซมและบอดี้การ์ดคนอื่นๆ ยืนกระจายอยู่ไม่ไกล


ทำไมถึงเรียกมารวมกันที่นี่นะ


ปกติจะเรียกไปประชุมอีกที่หนึ่งไม่ใช่ห้องอาหารแบบวันนี้


“เชิญรับเครื่องดื่มคนละแก้วครับ” น้ำเสียงทุ้มต่ำออกแนวสูงอายุเรียกความสนใจจากคนทั้งห้องให้หันไปมอง คนที่เดินออกมาพร้อมกับสาวใช้ 5 คนคือคุณเชเชฟประจำคฤหาสน์หลังนี้ มื้อเช้าหลังจากทำให้ฮาเซลแล้วก็ทำเผื่อของเหล่าบอดี้การ์ดต่อ เหมือนจะเคยบอกไปแล้วว่ารสชาติฝีมือคุณเชนั้นสุดยอดเพียงแต่เขาไม่ทำของหวานเนื่องจากเจ้าของบ้านไม่ชอบกิน


“มีอะไรรึเปล่าเช” ฮาเซลถามพลางมองแก้วที่คุณเชเดินมาเสิร์ฟด้วยตัวเอง สาวใช้ทั้ง 5 คนต่างเดินถือถาดให้ทุกคนต่างหยิบแก้วที่ด้านในมีของเหลวสีน้ำเข้มอยู่


กลิ่นนี่มัน...


“ช็อกโกแลต...” ผมพึมพำเมื่อหยิบแก้วหนึ่งขึ้นมา เป็นกลิ่นอันคุ้นเคยเพราะในของหวานมีหลายชนิดเลยที่มีส่วนผสมของช็อกโกแลต แต่จากกลิ่นนี่ไม่ใช่ช็อกโกแลตระดับธรรมดา


“ลองดื่มเลยครับท่านฮาเซล” คุณเชยิ้มพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม


“...กาแฟรสชาติไม่เหมือนทุกทีนะ รสนี่...ช็อกโกแลต?” ฮาเซลเหมือนไม่แน่ใจกับคำตอบตัวเองนัก ดูเหมือนแก้วของาเซลจะไม่ใช่ช็อกโกแลตเพียงอย่างเดียวเหมือนอย่างแก้วอื่นๆ


ก็แน่ล่ะ ถ้าขืนเอาช็อกโกแลตเพียวๆ มาให้เขาคงไม่กินหรอก


ไม่ชอบของหวานซะขนาดนั้น


“ใช่ครับ วันนี้ถือเป็นวันพิเศษผมเลยขอมอบช็อกโกแลตให้กับทุกคน สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ” คำพูดของคุณเชทำเอาทั้งห้องเงียบกริบไม่เว้นแม้แต่ผม


จะว่าไปวันนี้วันที่ 14 กุภาพันธ์


อ่า...วันเทศกาลระดับโลกนี่นา


วันแห่งความรัก


ลืมสนิทเลย


ถึงว่าอยู่เมื่อวานเห็นขายดอกกุหลาบกันเต็มแนวถนน


“วันนี้แล้วเหรอ” ใบหน้าของฮาเซลดูไม่ยินดีกับวันนี้สักเท่าไหร่


พอจะเข้าใจหน้าตาแบบนั้นคงมีสาวๆ มอบช็อกโกแลตแทนใจให้นับร้อยแต่เจ้าตัวกลับไม่ชอบของหวานเข้าไส้ เรียกว่าเป็นเทศกาลแห่งความทรมานสำหรับคนไม่ชอบของหวาน


“บอสไม่ต้องห่วง ผมกับมากส์บอกพนักงานแล้วว่าห้ามให้ช็อกโกแลตบอส แต่ให้พวกผมได้” แซมเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริง แปลว่าเตรียมตัวช็อกโกแลตจากสาวพร้อมแล้วสินะ


สำหรับวันแห่งความรักไม่ได้พิเศษอะไร อ้อ จะว่าไม่พิเศษก็ไม่ใช่ มีพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือร้านของหวานจะมีเมนูพิเศษเฉพาะช่วงเทศกาล


คิดแล้วอยากไปเหมือนกันแฮะ ช่วงพักหาเวลาออกไปหาซื้อดีกว่า


“ขอบคุณเช” ฮาเซลส่งยิ้มให้กับเจ้าของเซอร์ไพรสน์เล็กๆ


“ยินดีครับ ถึงท่านจะไม่ชอบของหวานแต่หากผสมเล็กน้อยกับกาแฟก็จะให้รสชาติกลอมกล่อมขึ้นมาก”


“พูดถูก ฉันดื่มได้ทั้งที่รู้ว่ามีช็อกโกแลตอยู่” ฮาเซลย้ำด้วยการยกแก้วขึ้นมาจิบอีกรอบ


ถ้าใส่น้ำตาลอีกหน่อยผลคงไม่เป็นแบบนี้แน่ ผมว่าคุณเชคงรู้ว่าฮาเซลไม่ชอบรสหวานเลยใช้กาแฟเป็นตัวหลัก หากเป็นผมคงไม่ต้องทำขนาดนั้นเพราะชื่นชอบของหวานอยู่แล้ว อย่างช็อกโกแลตในมือนี้ก็รสชาติดีไม่หวานมากเกินไป


อยากกินอีกสักแก้ว...จะได้ไหมนะ


“คุณเทเลอร์รสชาติถูกปากไหมครับ” คุณเชส่งเสียงถาม


“อร่อยมากเลยครับ ผมยังอยากเติมอีกสักถ้วยเลย ขอบคุณมากนะครับ” ผมเดินเข้าไปขอบคุณตามมารยาทเผื่อว่าจะได้อีกสักแก้ว


“เติมได้เลยครับเดี๋ยวให้จีไปเติมให้” พูดจบก็กวักมือเรียกหนึ่งในสาวใช้ให้มารับแก้วจากผมไป


“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยขอบคุณโดยพยายามกลั้นยิ้มไว้อย่างสุดความสามารถ


อารมณ์ดีสุดเลย


ได้กินของหวานตั้งแต่เช้าแบบนี้


“เรย์ชอบช็อกโกแลต?” ฮาเซลเงยหน้าขึ้นมาถาม


“เปล่านี่” ชอบทุกอย่างที่เป็นขนมต่างหาก


“เล่นกระดกครั้งเดียวหมดแบบนั้นอย่าโกหกเลย”


“ใครกระดกครั้งเดียวหมดกัน” ผมไม่ได้ทำอะไรเสียมารยาทแบบนั้นนะ อย่างน้อยก็สองครั้งหมดเหอะ


“เรย์ไง”


“แหย่ผมนี่สนุกมากไหม” ถึงไม่ต้องตอบผมก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว เล่นทำหน้ามีความสุขซะเต็มประดาขนาดนั้น


“มาก นี่เรย์ถึงฉันจะไม่รับช็อกโกแลตจากใครแต่ถ้าเรย์ให้ฉันจะรับนะ” พูดจบก็ยักคิ้วข้างหนึ่งส่งมาให้


“งั้นต้องขอโทษที่ทำให้เสียใจเพราะผมไม่คิดจะให้คุณ”


“พูดแบบนั้นหมายความว่ามีคนที่จะให้?” ฮาเซลยิงคำถามต่อ


“ไม่รู้สิ” ผมไม่ตอบแล้วเดินไปรับแก้วช็อกโกแลตมาจิบต่อ


“เรย์” ใบหน้าสงสัยปนไม่เข้าใจนั่นทำให้ผมยกยิ้มขึ้น


“ผมเคยบอกแล้วนะว่าถึงเป็นเจ้านายผมก็ไม่บอกทุกอย่างน่ะ”


บรรยากาศภายในบริษัทต่างจากวันอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัดไม่ว่าจะเป็นหน้าตาของพนักงานที่ดูสดชื่นร่าเริงขึ้นหรือแม้แต่เสื้อผ้าก็ใส่ชุดมีสีสันสดใส วัยทำงานเองดูเหมือนจะชื่นชอบเทศกาลอยู่ไม่น้อยสินะ ว่าไม่ได้หรอกวันวาเลนไทน์ทั้งทีผู้ชายก็อยากได้ช็อกโกแลตส่วนผู้หญิงก็อยากสารภาพรักและให้ช็อกโกแลตกับคนที่ชอบ


งานของผมวันนี้เหมือนทุกๆ วันคือดูแลฮาเซลผลัดกับออกมาพักบ้าง ช่วงกลางวันผมลงมากินมื้อเที่ยงตามปกติทว่ามีบางอย่างไม่ปกติ อาจเพราะอาชีพผมเลยทำให้สัมผัสถึงบางอย่างได้ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดคุยหรือสายตาที่จับจ้องมายังผม


“เอ่อ ขอเวลาสักครู่ได้ไหมคะ” ผมหันกลับไปมองหญิงสาวในชุดเดรสด้วยท่าทีสบายๆ ไม่ได้ตกใจกับการเรียกเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าเข้าใกล้ก่อนหน้านี้แล้ว


“มีอะไรครับ” ผมถามกลับเสียงสุภาพพลางมองสไตล์การแต่งหน้าโทนสีนู้ดอย่างพินิจ ครั้งหน้าถ้าปลอมเป็นผู้หญิงผมแต่งแบบนี้ดีกว่า


ไม่จัดจ้านหรืออ่อนจนเกินไป


กำลังดี


ทักษะการแต่งหน้าไม่ได้มากจากข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตอย่างเดียวแต่ต้องหาข้อมูลจริงซึ่งก็คือจากสาวๆ นี่แหละ


“อยากให้ช่วยรับนี่ไว้ได้ไหมคะ” พูดจบเธอก็ยืนกล่องรูปหัวใจสีชมพูอ่อนมาตรงหน้า


“...ให้ผม?” ที่ถามเพราะไม่แน่ใจเท่าไหร่ ไม่แน่ว่าอาจต้องการฝากผมไปให้ใครสักคน


“ใช่ค่ะ ให้คุณ” เธอพยักหน้าด้วยใบหน้าแดงๆ


ครั้งแรกเลยนะที่ได้รับช็อกโกแลต อาจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเปิดเผยตัวเข้ามาอยู่ร่วมกับสังคมปกติก็ได้ ปกติผมจะอยู่แค่กับตัวเองไม่ได้สนใจจะเข้ากลุ่มหรือสังคมเลยไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้


“ผมตอบรับความรู้สึกคุณไม่ได้หรอกนะ” ไม่อยากให้ความหวังใครผมจึงพูดไปตามตรง


“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่อยากให้คุณรับรู้เท่านั้น”


“ถ้าแค่รับก็โอเค” ผมพูดพร้อมรับกล่องรูปหัวใจสีชมพูมา


ผมไม่ปฏิเสธของหวานหรอกนะ


แบบนี้ก็มีขนมกินเล่นแล้ว


“ขอบคุณมากค่ะ” เธอก้มหัวอยู่สองสามครั้งก่อนจะหันหลังวิ่งออกไป


ผมคิดว่าทุกอย่างคงจบแต่ไม่ใช่พอมีคนแรกวิ่งออกไปสาวๆ อีกหลายคนต่างก็ลุกขึ้นก่อนจะตรงมาหาผมพร้อมกล่องหรือถุงกระดาษในมือ ไม่เพียงผู้หญิงที่ล้อมรอบในจำนวนนี้ยังมีผู้ชายอยู่หลายคนด้วย


“รับช็อกโกแลตของฉันด้วยค่ะ”


“ฉันหลงรักคุณตั้งแต่แรกเห็นช่วยรับความรู้สึกนี้ไว้ด้วยค่ะ”


“ผมรู้สึกสนใจคุณมาก ช่วยรับช็อกโกแลตนะครับ”


“ผมเห็นคุณอยู่นานแล้วอยากทำความรู้จัก...”


ผมได้แต่ยืนนิ่งๆ อยู่กลางวงล้อมเพราะไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์นี้ยังไง บอกแล้วว่าผมไม่เก่งการเผชิญหน้าตรงๆ ไม่รู้จะหนียังไงด้วยซ้ำ เมื่อคิดหาทางออกไม่ได้ทางเลือกเดียวของผมคือรับช็อกโกแลตของทุกคนพร้อมเอ่ยพูดประโยคเดิมๆ อย่าง...


‘ผมไม่สามารถตอบรับความรู้สึกคุณได้’


กับ


‘ขอบคุณสำหรับความรู้สึกแต่ผมไม่ได้รู้สึกกับคุณในแง่นั้น’


รู้ไหมผมพูดสองประโยคนั้นหลายสิบรอบจนรู้สึกเหนื่อยแถมในอ้อมแขนผมก็เต็มไปด้วยกล่องและถุงช็อกโกแลตมากมาย โชคดีที่บางคนให้มาพร้อมถุงใบใหญ่ผมเลยเอากล่องอื่นๆ ใส่รวมไว้เป็นถุงเดียว


ผมเสียเวลากับเรื่องนี้นานจนต้องรีบวิ่งลงไปรวมกับมากส์และแซมที่โทรตามให้ผมไปคุ้มกับฮาเซลออกไปข้างนอก


“ขอโทษที่มาช้า” ผมเอ่ยด้วยความสำนึกผิด


ไม่คิดว่าจะใช้เวลานานขนาดนี้


“นั่นอะไร” น้ำเสียงไม่พอใจจากฮาเซลดังขึ้นเปิดบทสนทนา


“พอดีมีคนให้...”


“นายรับความรู้สึกของพวกเขา?”


“ก็แค่รับไว้ ผมบอกทุกคนแล้วว่าไม่สามารถตอบรับความรู้สึกได้ ถ้ารู้ว่ายอมคนนึงแล้วจะเป็นแบบนี้ผมคงไม่รับหรอก” ผมตอบฮาเซลไปตามตรง ถึงจะชอบขนมขนาดไหนแต่เรื่องวุ่นวายแถมน่ารำคาญแบบนี้คงต้องขอบาย อย่าหวังเลยว่าจะมีครั้งหน้าอีก


“เนื้อหอมใช่เล่นนะ” แซมพูดพลางมองมายังถุงช็อกโกแลตทั้งสองข้างในมือ


“ของแซมก็เยอะนี่” ผมเห็นนะว่าสาวๆ ต่อแถวให้ช็อกโกแลตเป็นสิบๆ คน มากส์เองก็เหมือนกัน


“ก็นะ ของแบบนี้อยู่ที่หน้าตาแต่ถ้าบอสยอมรับช็อกโกแลตคงจะมากที่สุดแน่นอน เนอะมากส์” แซมหันไปขอความเห็นมากส์


“ตอนที่ไม่ตั้งกฎห้ามให้ช็อกโกแลตกับท่านฮาเซลถือเป็นปรากฏการณ์ที่ผู้หญิงและชายทั้งในและนอกบริษัทมาต่อคิวให้ช็อกโกแลตอยู่นานจนแทบไม่ได้ทำงาน” มากส์เล่าเหตุการณ์ในอดีตให้ฟัง


“ผมพอจะเดาได้อยู่” ถ้าไม่มีสาวติดสิแปลก มีทั้งหน้าตา ทั้งเงิน ทั้งอำนาจและทั้งอิทธิพล


มีใครบ้างไม่อยากได้


“คนที่ให้นี่แค่ผู้หญิงใช่ไหม” ฮาเซลที่เงียบมานานถามต่อ


“มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย” ถามทำไมน่ะ?


“ผู้ชายด้วย?”


“แล้วผิดตรงไหน” ไม่มีกฎห้ามผู้ชายให้ช็อกโกแลตในวันวาเลนไทน์นี่


“งั้นช็อกโกแลตของฉันล่ะ” ฮาเซลแบมือระหว่างพูด


“ของคุณ?” หมายถึงอะไร


“เรย์ไม่มีช็อกโกแลตให้ฉันเหรอ”


“ผมจำไม่ได้นะว่าจะให้” เหมือนเมื่อเช้าผมจะบอกไปชัดเจนแล้วนะว่าไม่ให้


“ไม่ให้ฉันแต่ไปรับช็อกโกแลตจากคนอื่นแบบนี้ไม่แฟร์นะ”


“ไม่แฟร์? ตรงไหน” ผมยังไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนไม่แฟร์เลย การที่ผมรับช็อกโกแลตคนอื่นแต่ไม่ได้ให้ฮาเซลมันไม่แฟร์ตรงไหน
งงไปหมดแล้วเนี่ย


“ช็อกโกแลตฉัน” ฮาเซลยังคงแบมือมาตรงหน้าผมอย่างไม่ย่อท้อ


“แค่ให้ก็พอใช่ไหม” ผมถอดหายใจเบาๆ ก่อนจะหยิบช็อกโกแลตในถุงเตรียมยื่นให้อีกฝ่าย


“ฉันไม่รับช็อกโกแลตที่มาจากคนอื่น” ฮาเซลชักมือกลับ


“คุณเป็นเด็กรึไง” ผมตอบกลับพลางทอดสายตาออกไปด้านนอกเพื่อสงบสติอารมณ์แต่แล้วสายตาผมกลับไปสะดุดเข้ากับบุคคลน่าสงสัยที่ทำท่าเดินผ่านหน้าบริษัท รูปลักษณ์ภายนอกอาจไม่ทำให้เกิดความสงสัยทว่าวิธีการก้าวที่ช้ากว่าปกติกับสายตาที่เหลือบมองมาเป็นระยะนั่นไม่รอดตาผมไปได้หรอก


น่าสงสัย


“ฉันอยากได้ช็อกโกแลตจากเรย์นี่”


“โอเค งั้นเดี๋ยวผมออกไปซื้อให้”


“...” ฮาเซลถึงกับอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดผม ใบหน้าตกตะลึงราวกับไม่เชื่อว่าผมจะทำตามที่พูดจริงๆ


“ทำหน้าแบบนั้นชกหน้าผมเถอะ”


“ชกไม่ลงหรอก” อีกฝ่ายยกยิ้มขึ้น


“ใช้คำผิดไปนิดนะ ไม่ใช่ชกไม่ลงแต่เป็นชกไม่โดนต่างหาก” ผมแก้ให้ หากเป็นตอนที่ผมลับประสาทสัมผัสแบบนี้ค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียวว่าต่อให้เป็นฮาเซลก็ไม่มีทางชกโดน


“เรื่องนั้นช่างก่อนเถอะ จะไปซื้อช็อกโกแลตให้จริงน่ะ”


“ใช่ เพราะงั้นรออยู่นี่ก่อน แล้วก็อย่าทำตัวมีพิรุจ” ประโยคสุดท้ายทำเอาเซล มากส์และแซมชะงักไปเล็กน้อยแต่แค่นี้คนที่มองอยู่คงไม่รู้หรอก


“มีอะไรเรย์” ฮาเซลเริ่มถามเสียงเบาขึ้น


“ไม่แน่ใจแต่น่าสงสัย”


“อะไรที่ว่าน่าสงสัย” มากส์ถามบ้าง


“อย่าเพิ่งหันไปมองนะ ข้างหน้าบริษัทมีคนน่าสงสัยเดินผ่านอยู่”


“อาจจะแค่เดินผ่านเฉยก็ได้นี่” แซมพยายามเหล่มองด้านหน้าอย่างไม่ให้ผิดสังเกต


“คนเดินผ่านเฉยๆ คงไม่เดินผ่านแล้วยืนพิงต้นไม้แกล้งทำเป็นโทรศัพท์อยู่หน้าบริษัทหรอก” ผมอธิบายต่อ ฝ่ายนั้นคงคิดว่าต้องทำไม่ให้ผิดสังเกตแต่เสียใจด้วยที่ผมดูออก


ผมเคยสอดแนมและเคยใช้วิธีคล้ายๆ กัน บอกเลยว่ามันมีข้อเสียอยู่มากไม่ว่าจะเป็นสายตาที่ถึงจะมือโปรยังไงก็มักจะไปหยุดอยู่ตรงเป้าหมายอย่างไม่รู้ตัว หรือจะเป็นการแต่งตัวที่ดูเหมือนจะช่วยปิดบังตัวจริงแต่ความจริงนั้นกลับทำให้เป็นจุดเด่นมากขึ้น


แปลว่ายังอ่อนประสบการณ์อยู่


“ท่านฮาเซลให้ผม...”


“ไม่ ให้ผมจัดการเองดีกว่า” ผมรีบขัดสิ่งที่มากส์พูด


“ขอเหตุผล” ฮาเซลถาม


“การจะให้คนสนิทอย่างมากส์หรือแซมหายไปมันจะเป็นจุดเด่นเกินไป เราควรคิดว่าอีกฝ่ายรู้กำหนดการณ์ของเราดังนั้นพวกเขาคงรู้ว่าทั้งมากส์และแซมจะไปด้วยแต่ถ้าเกิดหายไปคนนึงอาจทำให้อีกฝ่ายไหวตัวทัน ซึ่งถ้าเป็นผมที่เพิ่งมาเข้าร่วมได้ไม่นานจะปลีกตัวไปจัดการได้ง่ายกว่า”


“แค่อีกฝ่ายเห็นชุดคงเพ่นหนีแล้วมั้ง” แซมพูดพลางมองชุดบอดี้การ์ดที่ผมใส่อยู่


“ก็อย่าใส่ชุดนี้ไปสิ” ผมบอกพร้อมยกยิ้มขึ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบกับดวงตาสีน้ำตาลจนเกือบทองของฮาเซล ถ้าเป็นฮาเซลต้องเข้าใจแน่


แค่ปลอมตัวออกไปจัดการ


ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย


“ให้เวลาครึ่งชั่วโมง” นิ่งไปสักพักฮาเซลก็พูดต่อ


“15 นาทีก็พอแล้ว เดี๋ยวไปข้างนอกช้าหรอก”


“ระวังตัวด้วย”


ผมหันหลังกลับเดินจากไปอย่างเนียนๆ ปล่อยให้พวกฮาเซลเปลี่ยนไปนั่งยังโซฟารับรองข้างๆ เพื่อรอการติดต่อจากผมหลังจัดการเรื่องเสร็จ การปลอมตัวครั้งนี้เร็วกว่าทุกๆ ครั้งเพราะไม่ต้องแต่งหน้าหรือเลือกชุดเหมือนอย่างทุกทีเพราะครั้งนี้ผมปลอมตัวเป็นหนุ่มวัยรุ่นที่มีผมสีทองเข้ม


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่9« 7/111/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 07-11-2018 19:54:27
(ต่อนะคะ)


หากปลอมเป็นผู้หญิงสิ่งที่จำเป็นคือวิกผมทรงต่างๆ แต่เมื่อปลอมเป็นผู้ชายทุกอย่างจึงง่ายขึ้นอย่างสเปรย์เปลี่ยนสีผมทำให้ไม่จำเป็นต้องพกวิกไปไหนมาไหนเหมือนวิกผู้หญิง ปลอมตัวเสร็จผมก็อ้อมออกไปทางประตูหลังของบริษัทซึ่งอีกฝั่งของถนนเต็มไปด้วยร้านค้า และหนึ่งในร้านค้านั้นมีร้านขายขนมที่กำลังพูดไมค์จัดโปรโมชั่นวันวาเลนไทน์แม้เวลาจะล่วงเลยมาจนถึงช่วงบ่ายแล้วก็ตาม


ไม่มีร้านค้าไหนอยากเก็บของในวันเทศกาลไว้หรอกเพราะโอกาสที่จะขายได้มันน้อยลง


จะว่าไปผมบอกว่าจะออกมาซื้อช็อกโกแลตให้นี่นะ แต่มันก็เป็นแค่ข้ออ้างไม่รู้ว่าฮาเซลจะคิดจริงจังรึเปล่า ถ้าไม่คิดก็ดีไปแต่ถ้าคิดคงได้แบมือขอเหมือนเด็กๆ อีกแน่


“ช่วยไม่ได้แฮะ” ผมเดินข้ามไปยังอีกฝั่งของถนนก่อนจะเลือกช็อกโกแลตชิ้นเล็กที่มีราคาค่อนข้างแพงมา จากที่อ่านข้อมูลเหมือนจะเป็นดาร์กช็อกโกแลตซึ่งเหมาะกับฮาเซลที่ไม่ชอบของหวาน


เอาล่ะ


เคลียร์ไปปัญหาหนึ่งเหลืออีกหนึ่ง


เนื่องจากเสียเวลาไปประมาณ 5 นาทีผมเลยจำต้องเร่งมือในการวิ่งไปด้านหน้าบริษัท ชายหนุ่มน่าสงสัยยังคงยืนเอาหลังพิงกำแพงโดยสายตาจับจ้องไปยังด้านในทั้งที่อีกมือถือโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ผมสูดลมหายใจเข้าปอดยาวๆ พร้อมตั้งสมาธิในจังหวะเดียวกับเดินตรงเข้าไปหาเป้าหมายนิ่งๆ คล้ายกับคนธรรมดาที่เดินผ่านมาทว่าจังหวะที่ผมเอื้อมมือเข้าไปใกล้อีกฝ่ายก็รู้ตัวแล้วเริ่มวิ่งหนี


คิ้วทั้งสองข้างของผมขมวดเข้าหากันแน่นทั้งๆ ที่ขากำลังวิ่งตามอีกฝ่าย ด้วยการเคลื่อนไหวผมนั้นมีความเร็วมากกว่าจึงไล่ตามทันได้ในเสี้ยววินาที


หมับ!


“เฮ้ย ปล่อยฉัน!” ฝ่ายถูกคว้าคอเสื้อดิ้นอย่างสุดกำลัง


“คงไม่ได้” ทันทีที่ตอบเสร็จผมจัดการทุ่มอีกฝ่ายลงกับพื้นอย่างแรงจนได้ยินเสียงร้องโอดครวญ แน่นอนว่าผมไม่ได้ประมาทรีบทำการค้นหาอาวุธทั้งในเสื้อและกางเกงแต่แล้วความไม่ชอบมาพากลก็มาเยื่อน


คนคนนี้ไม่มีอาวุธ


ต่อให้มาคอยสังเกตการณ์แต่ไม่พกอาวุธเลยนี่แทบเป็นไปไม่ได้ ขนาดผมยังต้องมีมีดไม่ก็ปืนพกติดตัวไปด้วยทุกที่เพื่อความปลอดภัย


หมายความว่ายังไง


อีกอย่างที่ผมติดใจคือคนคนนี้ไม่น่ามีสัญชาตญาณดีขนาดจับการณ์เคลื่อนไหวของผมเมื่อเข้าประชิดได้ง่ายๆ แบบนี้ การลบตัวตนหรือแม้แต่การแสดงตบตาผมมั่นใจว่าไม่มีทางที่จะถูกมองออกได้ง่ายๆ


ต้องมีอะไรแน่ อะไรบางอย่าง


“เรียบร้อยแล้วนี่ สมกับเป็นเรย์” เสียงของฮาเซลที่เข้ามาใกล้ทำให้ผมเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆ ชิ้นส่วนทุกอย่างก็ประกอบเข้าด้วยกัน
ดวงตาสีม่วงภายใต้คอนแทคเลนส์ของผมหันไปมองรอบตัวอย่างระแวดระวังไม่ว่าจะเป็นมุมตึก ระเบียงห้องหรือแม้แต่รถรอบๆ ที่จอดนิ่งอยู่


“เรย์?” เหมือนฮาเซลจะรู้ว่ามีอะไรผิดปกติจากท่าทางของผม


หาไม่เจอ


ไม่มีอะไรน่าสงสัยเลย


หรือว่าจะคิดไปเอง


“บอสเดี๋ยวผมจัดการหมอนี่เอง” แซมเดินเข้ามาจับคอเสื้อผู้ต้องสงสัยด้วยรอยยิ้มทอประกาย


“อืม เป็นอะไรเรย์”


“มีบางอย่างผิดปกติ” ผมบอกเสียงเครียด


เดี๋ยวนะ...ยังเหลืออีกที่


สายตาผมมองแค่ระดับพื้นดินยังเหลือด้านบน ผมเงยหน้ามองบนยอดตึกก่อนสายตาจะเจอเข้ากับปืนไรเฟิ้ลที่เล็งมาทางผม ไม่สิ เป้าหมายจริงๆ ของปืนนั่นคือ...


ปัง!


“ฮาเซล หมอบลง!” ผมตะโกนพร้อมคว้าแขนอีกฝ่ายให้ทรุดลงกับพื้นในจังหวะเดียวกับกระสุนปืนดังขึ้น


“ท่านฮาเซล!” มากส์ขยับตัวมาข้างหน้าแล้วหยิบปืนขึ้นมาถือไว้


“คิดจะหนีเหรอ!” ผมตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นมือปืนบนตึกหายไป


“เรย์!!”


ตอนนี้ผมไม่สนแม้กระทั่งเสียงเรียกของฮาเซลวิ่งไปยังด้านหลังตึกสีขาวโดยมีจุดหมายคือบันไดหนีไฟ ไม่มีทางที่มือปืนจะเข้าไปในตัวตึกเพราะอาวุธนั้นเด่นมากเกิดวิ่งเข้าไปคงมีหลายคนจำหน้าได้ ดีไม่ดีอาจถูกกักตัวไว้


ทางหนีอันรวดเร็วที่สุดคือบันไดหนีไฟซึ่งปลอดคน


“เจอล่ะ” ผมวิ่งมาหยุดอยู่หน้าบันไดหนีไฟ ชายสวมหมวกสีเขียวกำลังหอบกระเป๋าขนาดใหญ่กำลังวิ่งลงบันไดหนีไฟมาแต่เมื่ออีกฝ่ายเห็นผมก็เปลี่ยนการเคลื่อนไหวโดยการใช้ราวบันไดเป็นฐานในการกระโดดไปยังกองลังกระดาษมุมตึก


บ้าเอ้ย!


ผมน่าจะหยุดรอแล้วค่อยเข้าไปจัดการไม่ใช่ดักรอแบบนี้


ตัดสินใจพลาดซะได้


ผมไม่มีเวลามาสำนึกผิดนานนัก สิ่งที่ทำได้คือไล่ตามและจัดการให้ได้ ถ้าคิดว่าจะรอดจากผมไปได้ก็คิดผิดแล้วคุณมือปืน


ในหัวนึกภาพของแผนที่ละแวกนี้ขึ้นมาก่อนจะตัดสินใจในเสี้ยววินาทีเพื่ออ้อมไปดักอีกฝั่ง การคาดคะเนมันไม่ได้มีสูตรอะไร  ผมไม่ใช่พวกใช้หัวมากมายส่วนมากจึงใช้สัญชาตญาณและดวงที่จะช่วยให้แผนสำเร็จ


วิ่งออกมาจากซอยได้ก็เลี้ยวขวา


ขาผมวิ่งตามเส้นทางในสมองอย่างเม่นยำเลี้ยวขวาออกมาจนเจอเข้ากับมือปืนกำลังวิ่งฝ่ากลุ่มคนอยู่ในระยะค่อนข้างไกล ถ้าขืนเข้าไปวิ่งตามในกลุ่มคนมีสิทธิ์สูงมากที่จะคลาดกัน


“หึ...อยากลองสักครั้งมานานแล้ว” ผมยกยิ้มพร้อมกับกระโดดขึ้นไปบนเสาสแตนเลสสีเงินต้นเล็กที่เรียงรายไปจนสุดความยาวของถนนแทนแนวกั้นไม่ให้รถขับเกินขึ้นมาบนฟุตบาทและกันไม่ให้ใครลงไปเดินบนถนน


ผมทรงตัวพร้อมกระโดดไปตามเสาในการตามหลังมือปืนท่ามกลางฝูงคน ผมไม่บ้าพอจะวิ่งตามบนถนนที่เต็มไปด้วยรถและไม่มีความอดทนพอจะฝ่ากลุ่มคนตามไป


ทางเดียวที่เหมาะกับคือนี่แหละ


เพียงแค่ผมไม่เคยใช้วิธีนี้มาก่อนด้วยเหตุผลง่ายๆ คือเด่น ตลอดทางมีสายตาหลายสิบคู่จับจ้องราวกับมองว่าผมทำอะไร ถ้าเป็นตอนลอบฆ่าเหยื่อคงรู้ตัวไปแล้ว ทว่าตอนนี้ไม่ใช่...ผมในตอนนี้ไม่ใช่นักฆ่าแต่เป็นเพียงบอดี้การ์ดคนนึงเท่านั้น


พึ่บ!


แกร็ก!


เมื่อมาถึงจุดหมายผมควักปืนออกไปจ่อยังหัวอีกฝ่ายท่ามกลางกลุ่มคนส่งเสียงกรีดร้องและเว้นระยะห่างออกจากจุดที่ผมยืนอยู่ นั่นทำให้เห็นว่าฝ่ายมือปืนเองก็จ่อปืนมายังบริเวณท้องผมเช่นกัน


ถือว่าไหวพริบดีและปฏิกิริยารวดเร็วมาก แม้ว่าจะเลือกผิดตำแหน่งไปหน่อยก็ตาม


“จะลองยิงดูไหมว่าใครจะตายก่อน” ผมเริ่มบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม


ด้วยความเร็วของการเหนี่ยวไกในระยะนี้คงพอๆ กันดังนั้นการตัดสินอยู่ที่ตำแหน่งการยิง ระหว่างหัวกับท้อง คำตอบไม่ต้องคิดก็รู้ว่าฝ่ายไหนจะตายก่อน


“...ก็ยิงเลยสิ แกไม่กล้าฆ่าใครหรอก” น้ำเสียงท้าทายนั่นเหมือนกำลังยั่วยุให้ผมยิง


“ยั่วยุไปก็เท่านั้น เอาปืนทิ้งลงบนพื้น” ไม้นี้ใช้กับผมไม่ได้


มีมืออาชีพหลายคนยอมสละตัวเองเวลาทำภารกิจล้มเหลวซึ่งคนพวกนี้น่ากลัวเพราะต่อให้พยายามคาดคั้นยังไงก็คงไม่มีทางได้ข้อมูลอะไรเพิ่ม ความจงรักภักดีและศักดิ์ศรีมันเหนือความตาย


“ได้...ซะที่ไหนเล่า!”


ปัง!


กระสุนนัดแรกถูกยิงออกมาพร้อมกลุ่มคนรอบๆ ส่งเสียงกรีดร้องและพยายามวิ่งหนี คิดจะใช้ความกลหนนี่เพื่อจะหนีไปงั้นเหรอ
โทษทีนะที่ผมคงไม่ยอมง่ายๆ


หมับ!


แกร็ก!


เป็นอีกครั้งที่ปืนจออยู่บริเวณศีรษะทว่าครั้งนี้ฝ่ายที่เตรียมยิงไม่ใช่ผมแต่เป็นมือปืนตรงหน้า จะบอกว่าผมแพ้คงไม่ใช่เพราะมีปืนอีกกระบอกจ่ออยู่ยังบริเวณหลังด้านซ้ายหรือหัวใจจากด้านหลังนั่นเอง มีเพียงคนเดียวเท่านั้นแหละที่หาผมเจอตลอดไม่ว่าจะปลอมตัวเป็นใครหรืออยู่ที่ไหน


“ฮาเซล กอนซาเลส” ผมรู้ว่าเขาวิ่งตามมา แต่ไม่คิดว่าจะมาเจอกันตรงนี้ได้แถมในจังหวะประจวบเหมาะซะเหลือเกิน


“...ฮาเซลงั้นเหรอ” ฝ่ายมือปืนเริ่มมีใบหน้าซีดขึ้นเรื่อยๆ อาจเพราะหันหลังให้เลยไม่รู้ว่าฮาเซลอยู่ด้านหลัง


“ฉันขอบอกไว้เลยนะว่าฉันไม่คิดจะยิง แต่ถ้านายลั่นไกฉันบอกได้เลยว่าสิ่งที่ต้องเจอจะยิ่งกว่าความตายซะอีก” น้ำเสียงของฮาเซลทำเอามือที่ถือปืนสั่นระริกก่อนจะปล่อยปืนนั่นตกลงพื้นไป


ไม่รู้หรอกนะว่าสิ่งที่ยิ่งกว่าความตายคืออะไรแต่ถ้าเป็นผมคงไม่เสี่ยงที่จะเจอมันแน่น


“ตามมาถูกด้วยเนอะ” ผมพูดเสียงเบา


“เซ้นส์มันบอกว่าเรย์อยู่นี่”


“ว่าแล้วเชียว” ไอ้เซ้นส์นี่อีกแล้ว


“ไม่คิดว่าจะพลาดท่าง่ายๆ นะ”


“ใครพลาด?”


“ใครล่ะโดนปืนจ่อหัว” ฮาเซลย้อนถามขณะชักปืนเก็บ


“โดนจ่อหัวแล้วคือพลาดท่า?”


“จะบอกว่าไม่ใช่?”


“ผมล๊อกปืนนั่นไว้แล้วต่อให้ยิงกระสุนก็ไม่ออกหรอก” ผมบอกไปตามตรง การล๊อกปืนนั้นสำเร็จตั้งแต่มือปืนนั่นหันหลังเตรียมหนีผมเข้าไปยังกลุ่มคนแล้ว


“...สมกับเป็นเรย์” ฮาเซลยกยิ้มขึ้นหลังได้ยินคำอธิบาย


“แล้วจะทำยังไงกับคนคนนี้” ผมถามพลางก้มลงมองมือปืนที่ทรุดตัวทำหน้าซีดอยู่บนพื้น


“ให้มากส์จัดการ”


“อืม...อะไร?” ผมถามเมื่อฮาเซลแบมือมาตรงหน้าเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบ


“ช็อกโกแลตที่บอกจะให้ฉันล่ะ”


“คิก คุณนี่มัน...” ผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่อายใครกับท่าแบบมือและถ้อยคำน้ำเสียงเหมือนเด็กกำลังขอขนม


เคยจิตนาการไว้แต่นี่มันเกินกว่าที่คาด


ไม่ได้เข้ากับเจ้าพ่อค้าอาวุธพ่วงด้วยผู้มีอิทธิพลระดับแนวหน้าเลย


“นานๆ ทีจะเห็นหัวเราะนะเรย์”


“คนที่ทำให้หัวเราะก็คุณนี่”


“จะบอกว่ามีแค่ฉันที่ทำให้เรย์หัวเราะสินะ ดีใจนะเนี่ย”


“คิดไปเองแล้ว” ผมบอกตอนไหนว่าเป็นตามที่ว่า


“ช็อกโกแลตล่ะ” สุดท้ายฮาเซลก็วนกลับมาเรื่องเดิมทั้งที่แบมือมาตลอดตั้งแต่ก่อนหน้านี้


“ผมไม่ได้ซื้อ”


“อย่าโกหกน่า”


“ผมเปล่า”


“เรย์”


“ผมไม่มีจริงๆ” ผมต้องกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถกับท่าทางของฮาเซล


“เรย์”


“เฮ้อ...พอใจรึยัง” แกล้งมาได้สักพักช็อกโกแลตในกระเป๋าเสื้อก็ถูกวางบนมือฮาเซล


“ไม่ได้เอาของคนอื่นมาให้ใช่ไหม” เหมือนจะยังระแวงอยู่เลยถามย้ำ


“ถ้าไม่เอาผมขอคืน” จังหวะที่ผมกำลังเอื้อมมือไปหยิบฮาเซลกลับชัดมือกลับแล้วเก็บช็อกโกแลตเข้ากระเป๋าอย่างรวดเร็ว


“ให้แล้วห้ามขอคืน”


“คุณไม่ชอบของหวานไม่ใช่เหรอ” ถึงจะเป็นดาร์กช็อกโกแลตแต่ก็ใช่ว่าจะไม่หวาน


“อืม ไม่ชอบ”


“ไม่ชอบแล้วจะอยากได้ทำไมกัน” ไม่เห็นเข้าใจเลย


“อยากได้จากเรย์”


“...” ผมถึงกับเงียบกับสิ่งที่ได้ยิน สมองกำลังทำการประมวลผลถึงความหายของประโยค


“ไม่ต้องห่วงนะฉันรับความรู้สึกมาแล้ว เดี๋ยววันไวท์เดย์จะมาให้คำตอบ”


“ฮะ? พูดอะไรของคุณ...”


“การให้ช็อกโกแลตก็เหมือนสารภาพรักแหละ คนที่ได้รับช็อกโกแลตจะให้คำตอบกับอีกฝ่ายในวันไวท์เดย์เพราะงั้นรอคำตอบหน่อยนะ อ้อ...ความจริงให้คำตอบเลยก็ได้นี่นะ”


“ผมไม่ได้อยากได้คำตอบ...”


“แต่ฉันอยากให้”


“ฮาเซล!”


นี่ผมโดนปั่นหัวอยู่ใช่ไหมเนี่ย


สารภาพรักอะไร


รอคำตอบอะไร


ผมไม่ได้อยากจะให้ช็อกโกแลตเขาสักหน่อย!


มัดมือชกกันชัดๆ

.........................................

สวัสดีค่ะ

จบไปแล้วอีก

ก็รู้ว่ายังไม่ใช่ช่วงของวาเลนไทน์แต่ทำไงได้...อยากแต่งนี่นา 555

ตอนนี้ค่อนข้างยาวและมีเนื้อหาเยอะทีเดียว

ได้แต่งฉากต่อสู้หลังจากไม่ได้แต่งมาสักพักใหญ่รู้สึกมันส์มากเลย

หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่9« 7/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 07-11-2018 22:48:48
 :กอด1: แปะติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่9« 7/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-11-2018 03:18:01
 o11 ส่งที่เหลือมาแบ่งกันบ้างซิ กินคนเดียวฟันจะผุเอานะ
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่9« 7/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 08-11-2018 07:28:55
55555 สงสารเรย์ขึ้นมาเลยน่ะ
โดนฮาเซลปั่นมาก ก่อกวนมาก
ได้มีหลุดกันสักวันแน่

โอ๊ยยยย เรย์ ถึงจะมั่นใจยังไง
แต่คนเราก็อาจพลาดได้นะ
ดีนะที่ดูทางออก ไวเวอร์

หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่9« 7/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 09-11-2018 23:28:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่9« 7/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 11-11-2018 08:30:56
นี่เรย์จะได้เอาคืนจริงๆมั้ย ดูจะเข้าทางฮาเซลไปหมด
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่9« 7/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PK.Kenaf ที่ 11-11-2018 14:40:02
เรย์คนซึน น่ารักกกกก
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่9« 7/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 11-11-2018 17:16:20
ระวังจะได้ของขวัญวันไวท์เดย์เป็นช็อคโกแลตเคลือบยาพิษนะ ฮาเซล 555
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่10« 14/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 14-11-2018 13:13:51
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่10



เหตุการณ์ฮาเซลถูกลอบยิงได้ผ่านไปประมาณสองสามสัปดาห์แล้ว ทั้งสองคนที่ถูกจับได้นั้นมากส์และแซมได้พาตัวไปสอบสวนที่ไหนสักแห่งโดยไม่มีการแจ้งตำรวจซึ่งผมก็เข้าใจเรื่องนี้ถ้าให้ตำรวจระดับล่างๆ เข้ามายุ่งมีแต่จะทำให้เรื่องยากขึ้นทางที่ดีที่สุดคือจัดการด้วยตัวเอง


หลายสัปดาห์ที่ผ่านมามากส์และแซมแทบไม่อยู่อาลักขาฮาเซลผมจึงอยู่ดูแลแทน และวันนี้ทั้งคู่กลับมาอยู่พร้อมหน้าแถมยังเรียกผมให้เข้ามาในห้องส่วนตัวด้วย ปกติผมมักจะออกมารอด้านนอกห้องเพราะเข้าใจว่าบทสนทนาหลายๆ อย่างนั้นถือเป็นความลับไม่อาจให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องรู้ได้


“ให้ผมเข้ามาฟังจะดีเหรอ” ผมพูดไปตามตรง ถึงผมจะเป็นคนจับผู้ต้องสงสัยสองคนได้แต่ไม่คิดว่าจะให้ผมมาฟังรายงานการสอบสวนด้วย


“ฉันเชื่อใจนาย” ฮาเซลตอบ


“ตอนนี้ผมอาจยังเชื่อใจได้แต่ถ้าสัญญาระหว่างเราสิ้นสุดลงคุณจะยังคิดแบบนั้นอยู่รึเปล่า” เขาคงไม่ลืมหรอกใช่ไหมว่าหากจบเรื่องผมต้องกลับไปและรับงานอื่นต่อเรื่อยๆ หากมีวันหนึ่งงานที่เข้ามานั้นต้องการข้อมูลของฮาเซลผมอาจบอกมันออกไปได้ง่ายๆ


ฮาเซลไม่ควรเชื่อใจคนที่จ้างมา


“พูดเหมือนเรย์อยากให้เรื่องจบเร็วๆ เลยนะ”


“ยิ่งจบเร็วก็ยิ่งดีกับตัวคุณ” ปล่อยให้รอบตัวอันตรายนานๆ มันเสี่ยงมาก


“ห่วงฉันเหรอ” น้ำเสียงเปี่ยมสุขกับรอยยิ้มมุมปากนั่นทำเอาผมเบนหน้าหลบสายตาอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ ช่วงนี้เหมือนฮาเซลจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาและน้ำเสียงที่ส่งมาคล้ายกับจะสื่อถึงบางสิ่งซึ่งผมไม่อาจเข้าใจได้และในใจลึกผมไม่อยากจะเข้าใจด้วย


“เข้าเรื่องเถอะ”


“ก็ได้ มากส์ แซม”


“ครับ เรายังไม่ได้ข้อมูลอะไรจากทั้งสองคนที่จับมาได้ว่ามีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คาดว่าอีกไม่นานพวกผมน่าจะจัดการให้คลายข้อมูลออกมาได้” มากส์อธิบายสถานการณ์


ฮืม...ผ่านมาตั้งนานแล้วยังสืบอะไรไม่ได้แปลว่ามีความภักดีสูงพอดู


แบบนี้ถ้าเกิดฆ่าตัวตายขึ้นมาคงยากที่จะสืบไปถึงผู้บงการ


“แล้วสาเหตุที่มานี่ล่ะแถมยังบอกให้เรียกเรย์เข้ามาอีก” ฮาเซลถามต่อ ผมเองก็สงสัยแบบเดียวกัน ในเมื่อยังไม่มีความคืบหน้าแล้วจะมารายงานฮาเซลทำไม เรื่องนี้มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น


“เหมือนบอสจะลืมนะเนี่ย ดีแล้วที่เรามาเตือน” แซมพูดบ้าง


“วันที่ 27 มีงานMG”


“ฮืม ถึงแล้วเหรอเนี่ย” ฮาเซลจะนึกออกแล้ว


งานประชุมMGคืองานประชุมระดับโลกที่รวมผู้มีอิทธิพลในทุกแวดวงเข้าร่วม แม้จะพูดว่าประชุมแต่ก็เป็นงานพบปะระหว่างผู้ทรงอิทธิของแต่ละประเทศ


ผมเคยได้ยินมาเหมือนกัน


อย่าถามนะว่าเคยเข้าร่วมรึเปล่า งานระดับนั้นคนปกติธรรมดาเข้าไปไม่ได้หรอก


“พวกเราต้องทำการสืบสวนต่อเพราะงั้น...” พูดมาถึงตรงนี้สายตาของมากส์และแซมก็หันมามองผมอย่างพร้อมเพียง ผมที่ถูกมองเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเข้าใจถึงความหมายอ้อมๆ ของการเว้นว่างนั้น อย่าบอกนะว่า...


“จะให้นายไปอาลักขาบอสแทนพวกเรา” แซมพูดต่อประโยคสุดท้าย


ว่าแล้วเชียว


เป็นอย่างที่คิด


“กฎของงานคือแต่ละคนสามารถพาคนติดตามไปได้ 3 คน ถ้าอยากให้ใครไปเพิ่มก็ตามสะดวกเลย”


“ผมว่าพวกคุณควรไปด้วย” ไม่ใช่ว่าผมไม่มั่นใจในฝีมือตัวเองหรอกนะ แต่การจะให้ปกป้องฮาเซลในสภาพแวดล้อมไม่คุ้นเคยมันลำบาก ต่อให้พาไปได้อีก 2 คนก็ไม่ต่าง บอดี้การ์ดของฮาเซลอาจมีฝีมือทว่าไม่ได้โดดเด่นเท่ามากส์หรือแซม อีกอย่างคือผมไม่เก่งการออกคำสั่งหรือเป็นผู้นำ ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นผมไม่มั่นใจว่าจะสามารถสั่งการณ์ได้อย่างดีพอ


“ก็อยากไปอยู่ แต่ไม่ได้...เรื่องนี้ต้องรีบจัดการสืบหาคนเบื้องหลังให้เร็วที่สุด” มากส์บอก


“อีกอย่างการรักษาความปลอดภัยที่นั่นอยู่ในระดับสูง ไม่ต้องกังวลไป”


“...ยังไงผมก็ต้องไปเหรอ”


“มีอะไรรึเปล่าเรย์ เหมือนจะไม่อยากไปนะ” ฮาเซลหันมาถาม


“ผมไม่เคยไปประเทศอื่นนี่” ตั้งแต่จำความได้ก็อยู่แต่ในพื้นที่นี้มีบ้างออกไปทำงานไกลแต่ไม่ถึงกับต่างประเทศ มันเลยค่อยข้างกังวล


“ดีเลย ถือว่าไปฮันนีมูนละกันเนอะ”


“เนอะบ้าอะไรเล่า!”


ฮันนีมูนเหรอ


อยากขำ!


“ได้ไปค้างคืนกับเรย์ต่างประเทศ น่าสนุกจัง” น้ำเสียงร่าเริงของฮาเซลทำเอาผมแอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เหมือนทุกอย่างถูกตัดสินไปแล้วว่าผมต้องไป


จากนั้นสองวันผมและฮาเซลก็นั่งอยู่บนเครื่องบินส่วนตัวตรงไปยังประเทศที่จัดงานประชุมตั้งแต่ช่วงสายของวันซึ่งกว่าจะเดินทางมาถึงก็ใช้เวลาไปกว่าครึ่งวันไม่ว่าจะนั่งเครื่อง 6 ชั่วโมง นั่งเรือ 3 ชั่วโมงและนั่งรถอีก 2 ชั่วโมง


การเดินทางอันแสนยาวนานสิ้นสุดลงเมื่อรถหรูที่มารับจอดลงด้านหน้าประตูทางเข้าโรงแรมสีทองอร่าม กระจกสีใสกับสีทองและเหลืองนวลทำให้โรงแรมราวกับถูกสร้างขึ้นมาจากทองคำบริสุทธิ์ อีกทั้งความใหญ่โตยังไม่ใช่ธรรมดา ของประดับแทบทุกอย่างล้วนเลือกสรรมาอย่างเหมาะสมกับภาพลักษณ์หรูหราทั้งสิ้น


“เรย์” เสียงเรียกเบาๆ จากฮาเซลดังขึ้น


“อืม” ผมพยักหน้าก่อนเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปด้านในโรงแรม ประตูหน้าสีทองอร่ามนั้นเพียงมองก็รู้ทันทีว่ามีอุปกรณ์บางอย่างติดตั้งไว้ภายในและคนไม่พ้นเครื่องสแกนอาวุธ


ปิ๊บ! ปิ๊บ! ปิ๊บ!


เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นเมื่อฮาเซลเดินผ่านประตูเข้าไป พนักงานด้านข้างไม่ได้มีท่าทีตกใจกับเสียงเตือนนั่นอาจเพราะชินแล้วก็ได้ สถานที่นัดพบของผู้ทรงอิทธิพลระดับโลกคงไม่มีใครเข้ามาโดยไม่มีอาวุธติดตัวหรอก อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีปืนพกติดตัวกันคนละกระบอกสองกระบอก


“ท่านฮาเซล กอนซาเลสพาผู้ติดตามมาแค่คนเดียวเหรอครับ” พนักงานชายรูปร่างสมส่วนถามด้วยความสุภาพ  คงแปลกใจละมั้งเพราะปีนี้มากส์กับแซมไม่ได้มา หรือสาเหตุที่แปลกใจอาจเป็นเพราะพาผู้ติดตามมาแค่คนเดียวทั้งที่มีกำหนดให้ถึง 3 คน


“ใช่”


“ท่านคงรู้กฎของทางเราอยู่แล้ว กรุณาวางอาวุธไว้ที่นี่ด้วยครับ” คำพูดของพนักงานทำเอาผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


“งานนี่ห้ามพกอาวุธเข้าไปไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องฝากอาวุธไว้ที่นี่” ฮาเซลหันมากระซิบบอก คงเห็นผมทำหน้าสงสัยละมั้ง
เหมือนอย่างที่มากส์กับแซมพูดไว้ก่อนหน้านี่เลยว่าการรักษาความปลอดภัยอยู่ในระดับสูง ถ้าทำการยึดอาวุธไว้ก็สามารถลดความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นได้มาก กรณีมีเรื่องกันสิ่งเดียวที่ใช้ปะทะคือร่างกายล้วนๆ


เป็นกฎที่น่าสนใจดี แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีช่องว่าง


“หมายถึงอาวุธที่จะดังเมื่อผ่านเครื่องนั่นสินะ” ผมพึมพำเสียงเบาพลางเงยหน้าสบตากับฮาเซลที่ส่งยิ้มมุมปากมาให้ราวกับจะชมว่าเก่งมากที่หาช่องว่างเจอในเวลาไม่กี่วินาทีหลังรู้กฎ


เครื่องสแกนอาวุธจะตรวจจับของจำพวกโลหะ สแตนเลสหรืออะไรก็ตามที่เป็นวัสดุใช้ทำปืนหรือมีดแต่ถ้าไม่ใช่อาวุธที่มีวัสดุเหล่านั่นเครื่องก็จะไม่ร้องเตือน ในตัวผมมีปืนและมีดซึ่งเครื่องสแกนคงร้องเตือนแต่ก็มีอาวุธง่ายๆ ที่สามารถใช้ลอบสังหารได้อยู่หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นลวด ด้าย มีดจากไม้หรือยาสลบชนิดพกพา


ต่อให้วางปืนและมีดไว้ก็ไม่ทำให้ผมไร้อาวุธ ฮาเซลเองก็คงรู้ ไม่สิ ผมคิดว่าหลายๆ คนที่มาร่วมงานนี่ต่างรู้กันทั้งนั้น ยอมให้เอาอาวุธไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าไร้ทางสู้ทว่าความเป็นจริงกลับไม่ใช่


ชักน่าสนุกแล้วสิงานนี้น่ะ


พอผ่านประตูหน้าเข้ามาได้พนักงานต้อนรับสาวสวยเดินมาต้อนรับพร้อมพาขึ้นไปยังห้องพักหรูบนชั้น 40 ของโรงแรม ห้องผมและฮาเซลอยู่ด้านในสุดของชั้นโดยห้องผมอยู่ถัดจากฮาเซลไปอีกห้อง เรียกง่ายๆ ก็ห้องติดกันนั่นแหละ


“ทำหน้าแบบนั้นทำไมฮาเซล” ผมถามออกไปตามตรง ใบหน้าตอนรู้ว่านอนคนละห้องฮาเซลดูไม่พอใจเล็กๆ


“นึกว่ามากันแค่สองคนจะให้นอนห้องเดียวกันซะอีก”


“บอดี้การ์ดที่ไหนเขานอนห้องเดียวกับเจ้านายล่ะ” ถ้าไม่ใช่กรณีร้ายแรงไม่มีบอดี้การ์ดคนไหนพักห้องเดียวกันหรอก


“เรย์ไม่ใช่บอดี้การ์ดซะหน่อย”


“ตอนนี้ผมเป็นบอดี้การ์ด” ถึงความจริงจะไม่ใช่ก็ตาม


“เปล่า ฉันหมายถึงวันนี้เรามาฮันนีมูนกันก็ควรเป็นคนรักไม่ใช่บอดี้การ์ด เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนเรย์” ฮาเซลถึงกับเบี่ยงตัวหลบเมื่อใช้ตาเตะสูงเข้ายังหน้าท้องอีกฝ่ายโดยไม่มีการออมแรง


“เลิกเล่นเลยฮาเซล คุณควรระวังตัวให้ดีนะไม่แน่ว่าคนที่ทำร้ายคุณอาจมานี่ด้วยก็ได้” ซึ่งผมว่ามีความเป็นไปได้แต่ไม่สูงมากนัก แต่ยังไงก็ควรกันเอาไว้ก่อน


“ถ้าห่วงฉันก็มานอนด้วยกันสิ”


“ฮาเซล!” ยังจะเล่นอีก


“ไม่ต้องระวังขนาดนั้นน่า ก็เห็นนี่ว่าไม่มีใครเอาอาวุธเข้ามาได้” ฮาเซลพูด


“ที่เอาเข้ามาไม่ได้คืออาวุธที่ถูกตรวจจับได้ต่างหาก” ผมแก้ อาวุธที่ตรวจจับไม่ได้น่ะมีมากกว่าที่ตรวจจับได้อีก แถมในโรงแรมนี่มีของใช้แทนอาวุธอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นแจกัน มีดในครัวหรือแม้แต่ส้อม ถ้าจะใช้ไม่ว่าอะไรก็สามารถเป็นอาวุธได้ทั้งนั้น


“ถ้าเกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวเจ้าของที่นี่ก็จัดการเอง”


“คุณรู้จัก?” ผมถามกลับเพราะประโยคที่พูดมาสื่อความหมายได้แบบนั้น


“ก็นะ”


“ไว้ใจได้แน่นะ” ไม่ได้อยากจะละลาบละล้วงหรอกแต่ในสังคมปัจจุบันการหักหลังมันมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะวงการไหนก็ตาม การหักหลังที่ได้ผลดีและเป็นที่นิยมที่สุดก็คือการถูกคนสนิทหักหลังนี่แหละ


“ต้องดูเป็นเรื่องๆ ไปแต่ถ้าหักหลังไม่มีทาง” ความมั่นใจของฮาเซลสื่อผ่านยังผม


“แบบนั้นก็ดี”


“งานจะเริ่มตอน 6 โมง ปรับเวลาเป็นของประเทศนี้รึยัง” ฮาเซลถามต่อ


“เรียบร้อยแล้ว งั้นก่อน 6 โมงผมจะมาเคาะประตูละกัน” ผมบอกแล้วเตรียมเดินเข้าห้องพักตัวเอง


“อยู่ด้วยกันดีกว่าแท้ๆ”


“ผมขอตัวล่ะ” ผมเมินคำพูดของฮาเซลเปิดประตูเข้าห้องตัวเองอย่างรวดเร็ว


คำพูดของฮาเซลผมบอกเลยว่าไม่รู้อันไหนแกล้ง แหย่หรือจริงจัง เพราะบางทีคำพูดจริงจังก็แฝงไปด้วยการหยอกเย้าจนเอาแน่ไม่ได้ ผมไม่อยากให้ใครมามีอิทธิพลกับตัวเองมากเกินไป ตอนนี้ฮาเซลกำลังเข้ามามีอิทธิพลไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเพราะงั้นผมถึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดมัน สาเหตุอาจเป็นเพราะผมไม่เคยได้แสดงออกหรืออยู่ใกล้ใครนานเท่ากับฮาเซลก็เป็นได้


คิดอะไรเพลินๆ ภายในห้องพักโทนสีน้ำตาลทองสุดหรูสักพักใหญ่นาฬิกาข้อมือก็บอกเวลาก่อน 6 โมงซึ่งใกล้เวลาเริ่มงานเลี้ยง เสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีดำถูกถอดออกก่อนจะสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน สูทสีกรมท่ากับกางเกงสีเดียวกันตามธีมของงานที่ได้รับมาก่อนหน้านี้


เหมือนต้องใส่ชุดสูทถึงจะสามารเข้างานได้


เนคไทน์สีเงินถูกจัดอย่างประณีตพร้อมกับคอนแทคเลนส์สีน้ำตาลและรวบเส้นผมสีดำมัดเป็นมวยเล็กๆ ด้านหลัง ความจริงก็อยากจะทำผมสีน้ำตาลอยู่หรอกแต่ฮาเซลบอกว่าสีดำจะหาเจอง่ายกว่าเวลาหลงกัน แน่นอนว่าผมไม่เข้าใจว่าจะหลงกันได้ยังไงในเมื่อผมต้องตามติดคอยอารักขาเขาทุกฝีก้าว แต่ก็เอาเถอะ


“ฮาเซลได้เวลาแล้ว” ผมเคาะประตูห้องอีกฝ่ายระหว่างส่งเสียงเรียกไปด้วย


ประตูสีน้ำตาลทองเปิดออกกว้างพร้อมร่างสูงของฮาเซลในชุดสูทโทนสีน้ำตาลออกแนวหรูหรา ผมสีน้ำตาลถูกเซ็ตจัดทรงเล็กน้อยดูแปลกตาสำหรับผมที่ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายในลุกส์นี้


ดูดีมาก...มากจนน่าโมโห


“จ้องแบบนั้นฉันเขินนะเรย์” ฮาเซลพูดพลางส่งยิ้มกวนๆ มาให้


“มีของแปลกก็ต้องดูสิ” กวนมาก็กวนกลับ


“แปลกตรงไหน”


“หึ...ไม่รู้สิ” ไม่จำเป็นต้องชมนี่ว่าดูดีน่ะ


บอกได้เลยว่าสาวๆ ต้องมาตอมตรึมแน่นอน


พวกเราลงลิฟต์ลงมายังชั้น 10 ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานในครั้งนี้ ประตูไม้สีน้ำตาลสองบานใหญ่แสดงให้เห็นว่าด้านในต้องเป็นห้องโถงขนาดใหญ่โตไม่แพ้ขนาดของโรงแรม


“เรย์” อยู่ๆ ฮาเซลก็เรียกพอหันไปมองก็พบอีกฝ่ายยืนทำหน้าเครียดพร้อมสองมือที่ล้วงเข้าออกตามกระเป๋าเสื้อและกางเกง


“มีอะไรฮาเซล”


“ฉันลืมบัตรเข้างาน”


“ขี้ลืม”


“ถึงจะขี้ลืมแต่ฉันก็ไม่เคยลืมเรย์นะ” มุขเสี่ยวๆ ดังขึ้นจากปากของฮาเซลแถมยังส่งแววตาหวานเยิ้มมาให้อีก


“...” ผมมอบความเงียบกับสายตาเฉยชาให้ประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่


มุขหยอดหญิงให้กับผมไม่ได้หรอก เพราะเคยโดนมาเยอะล่ะนะเลยค่อนข้างมีภูมิต้านทานดีพอสมควร ไม่มีแม้แต่อาการใจเต้นหรือหวั่นไหวด้วยซ้ำ


“ฉันพอก็ได้ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” ฮาเซลยกมือสองข้างพลางส่ายหัวไปมาคล้ายจนปัญญา


“ให้ผมไปเอาให้ไหม ไว้ตรงไหนล่ะ” ผมกลับเข้าเรื่อง


“ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันไปเอาเองเรย์รออยู่ตรงนี้ห้ามตามคนแปลกหน้าไปไหนนะเข้าใจไหม” คำพูดราวกับบอกเด็กตัวเล็กๆ นั่นทำเอาผมถึงกับส่ายหน้าเบาๆ กลับไปให้


“เข้าใจแล้วครับคุณลุง” ขอประชดกลับสักนิด


“เรียกที่รักดีกว่านะ”


“...” และผมก็มอบความเงียบกับสายตาเอือมๆ ไปให้อีกรอบ


ฮาเซลที่เห็นปฏิกิริยาของผมก็รีบก้าวตรงไปยังลิฟต์ขึ้นไปบนชั้น 40 ของโรงแรม ผมยืนรอโดยพิงหลังเข้ากับกำแพงมองดูผู้ทรงอิทธิในแวดวงต่างๆ เดินเข้าไปด้านใน ผมว่ามันค่อนข้างมองง่ายทีเดียวสำหรับใครที่มีอิทธิพลจริงๆ บรรยากาศของคนเหล่านั้นน่าเกรงขามและสัมผัสได้ได้ว่าไม่ควรเข้าใกล้


กับฮาเซลเองผมรับรู้ได้ถึงแม้ผมจะเถียงกับเขาอยู่ตลอดแต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำตัวกร่างหรือเหนือกว่าเพราะรู้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นใบหน้ากวนๆ นั่นจะเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ท้ายที่สุดแล้วฮาเซล กอนซาเลสก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม อีกอย่างฮาเซลเป็นพวกมองคนเก่งไม่รู้ว่าด้วยเซ้นส์หรือการสังเกตแต่ผมไม่ชอบมันเอามากๆ


“ไม่ทราบว่ารอใครอยู่รึเปล่าครับ” เสียงทุ้มออกแนวสุภาพดังขึ้นจากจุดบอดด้านข้าง ผมสะดุ้งเพียงเล็กน้อยก่อนจะปรับทุกอย่างให้สู่สภาพปกติโดยเพิ่มการระวังตัวให้มากขึ้น


“ครับ ผมรอเจ้านายอยู่” ผมตอบกลับอย่างมีมารยาทพร้อมสังเกตอีกฝ่ายไปด้วย รูปร่างสูงโปร่งกับใบหน้าใสออกแนวหนุ่มเพลย์บอยดูเข้ากับเส้นผมสีทองกับดวงตาสีน้ำเงินมากพอดู ราวกับเจ้าชายในนิทานก่อนนอนของเด็ก ทว่าด้วยอาชีพผมทำให้รู้ว่ากำลังถูกอีกฝ่ายจ้องมาคล้ายสำรวจอยู่แม้จะไม่โจ่งแจ้งก็ตาม


“เจ้านายที่ว่าคือใครเหรอครับ” อีกฝ่ายถามต่อ


“ผมคงบอกให้คนน่าสงสัยไม่ได้ครับ” ขอดูหน่อยว่าจะตอบกลับมายังไง


“อ่า ผมไม่ใช่คนน่าสงสัยหรอกครับ...แค่อยากทำความรู้จักคุณเท่านั้นเอง”


“รู้จักผม?”


“ครับ ผมรู้สึกสนใจคุณตั้งแต่แรกเห็นก็เลยเข้ามาทักทาย”


“...” เป็นฝ่ายผมที่ไม่รู้จะตอบกลับไปว่างยังไงดี


โดนจีบแบบโต้งๆ เลยแฮะ


“ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะแค่อยากรู้จักคุณเท่านั้น โอ๊ะ ลืมแนะนำตัวอีกแล้วผม...”


“คิดจะทำอะไรกับคนของฉันคริส” ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคเสียงอันคุ้นเคยของฮาเซลก็ดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวยาวๆ มาคว้าตัวผมให้ไปยืนหลบด้านหลัง เนื่องจากกำลังประมวลสถานการณ์อยู่ผมเลยไม่ได้ทำการป้องกันจึงถูกดึงให้ไปอยู่ด้านหลังได้อย่างง่ายดาย


“อะไร นี่อย่าบอกนะว่าเจ้านายที่ว่าคือนายน่ะฮาเซล” น้ำเสียงและคำพูดนั่นราวกับอีกฝ่ายรู้จักกับฮาเซลมาก่อน...แล้วน่าจะสนิทกันพอสมควรด้วย


“ใช่ จะจีบใครก็ตามสบายแต่คนนี้อย่ายุ่ง” ฮาเซลพูดต่อ


“เอ๋...เพิ่งเคยเห็นนายเป็นแบบนี้นะเนี่ย หรือว่าจะเป็นนั่น” พูดจบก็ยักคิ้วส่งมาด้วยใบหน้ากวนๆ ต่างจากตอนคุยกับผมลิบลับ


“หึ แค่อยากเตือนไว้เพราะถ้าคิดจะฟันแล้วทิ้งเหมือนทุกทีฉันบอกได้เลยว่าไม่จบแค่แขนขาหัก”


“...พูดจริง?” อีกฝ่ายนิ่งไปสักพักระหว่างมองหน้าผมเพื่อสำรวจ


“ไม่รู้สิ”


“ถ้าไม่รู้ฉันขอลองได้รึเปล่าล่ะ” สายตาโลมเลียทำเอาเริ่มเข้าโหมดป้องกันตัว


“ไม่ได้”


“ขี้หวงนี่หว่า”


“ก็ไม่ได้ปฏิเสธ” ฮาเซลยักไหล่เบาๆ


“ชิ เลิกๆ ได้ยินแบบนั้นฉันก็ไม่อย่างเสี่ยงหรอกเพราะงั้นอย่าตั้งท่าเหมือนถ้าฉันก้าวเข้าไปใกล้จะถูกขาสวยๆ นั่นถีบกลับได้ไหม” คำขอของอีกฝ่ายผมยอมทำตามโดยลดการป้องกันลงช้าๆ


“คุณรู้จักเขาเหรอ” ผมถามฮาเซล


“จะว่ารู้ก็รู้อยู่ หมอนี่แหละเจ้าของโรงแรมพ่วงด้วยผู้จัดงานMG” คำพูดของฮาเซลทำเอาผมเบิกตากว้างขึ้น


เจ้าของโรงแรมนี่แถมยังเป็นผู้จัดการประชุมMGขึ้น ผู้ทรงอิทธิพลธรรมดาหรือเจ้าของโรงแรมปกติไม่มีทางทำแบบนี้ได้หรอกแปลว่าต้องมีเบื้องหลังอะไรอีก


“ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการนะ คริสโตลีนี่ คิวเบิร์กยินดีที่ได้รู้จัก” แนะนำตัวเสร็จก็ยื่นมือมาตรงหน้าผม


“...เทเลอร์ครับ” ผมจับมือทักทาย


 คริสโตลีนี่ คิวเบิร์ก


เคยได้ยินมาก่อน


แต่ที่ไหนและยังไงนั้นผมแทบจำไม่ได้แล้ว


อาจจะเคยได้ยินผ่านๆ หูมา อย่างที่เคยบอกว่าผมไม่เคยออกนอกประเทศเพราะงั้นบุคคลจากต่างแดนผมแทบไม่มีความรู้ ต้องลองสืบดูซะแล้ว


“ฉันเป็นเพื่อนสนิทกับฮาเซล ดังนั้นเราก็ถือว่าเป็นเพื่อนเช่นกันนะ มีอะไรบอกได้” ท่าทางสบายๆ ออกแนวไม่สนใจใครและไม่มีการวางมาดอย่างคนอื่นๆ ทำให้เขาดูแตกต่าง


เหมาะกับที่รู้จักกับฮาเซล


“ครับ”


“ไม่เอาคำสุภาพสิ เรียกฉันคริสละกันเทเลอร์”


“อืม” ผมพยักหน้าเบาๆ เข้ากับคนง่ายกว่าที่คิด


ไม่มีการถือตัวด้วย


แปลกคน


“แบบนั้นแหละ...อย่ามองสิฮาเซลฉันไม่ยุ่งแล้วน่า” คริสหันไปบอกเพื่อนสนิทอย่างฮาเซล


“เชื่อได้? กับคนที่นอนกับคนไม่ซ้ำหน้าทั้งชายหญิงอ่ะนะ”


“มันเป็นเรื่องปกติของวัยต่างหาก นายเถอะไม่ปลดปล่อยบ้างเดี๋ยวขาดใจตายหรอก”


“ใครจะไปตายกับเรื่องนั้น”


“เอ้าๆ ไม่รู้อะไรซะแล้ว รู้ไหมว่ามีงานวิจัยออกมาว่าเราควรมีเซ็กอย่างน้อยวันละครั้งนะ”


“คนวิจัยนี่ก็ว่างจัง” ฮาเซลพึมพำ


“เอาเถอะ เข้าไปในงานได้แล้วมั้ง ดีไม่ดีอาจมีเบาะแสคนที่จ้องเล่นงานนายอยู่ก็ได้” คริสบอก


“คุณรู้เหรอว่าใครที่จ้องทำร้ายฮาเซล” ผมถามต่อ ถ้ามีเบาะแสอะไรผมก็อยากจะรู้เอาไว้


“ถ้ารู้ก็บอกไปแล้ว ทางฉันเองก็พยายามหาเบาะแสอยู่แต่การที่แทบไม่มีอะไรเลยแปลว่าต้องมีใครสักคนพยายามปิด พูดแบบนี้คงเข้าใจใช่ไหม”


“ใครสักคนนั่นต้องมีอิทธิพลไม่ก็อำนาจมากพอในการปิดข่าว” ผมต่อตามที่คิดได้


“ถูกต้อง ดังนั้นงานนี่อาจมีเบาะแสอยู่ อ้อ ฮาเซล...ปีนี้ฉันลองเปิดให้พวกระดับกลางๆ เข้าร่วมด้วยถ้ามีอะไรก็อย่าใจร้อนปล่อยผ่านๆ ไปเถอะนะ มากส์กับแซมไม่มาด้วยนี่แค่หนุ่มน้อยจะไหวไหมนะ” คริสพูดพลางมองมายังผม


หนุ่มน้อยที่ว่าหมายถึงผมสินะ


“ไหวนี่หมายถึงอะไร...”


“อะไรกันนี่ไม่รู้เหรอว่าหมอนนี่น่ะใจร้อนตัวพ่อเลย ใครมาทำให้โกรธหรือโมโหอาจหายไปในชั่วข้ามคืน ถึงตอนนี้จะเย็นลงมามากแล้วก็เหอะ” ยังถามไม่ทันจบประโยคคริสก็คว้าคอผมไปกระซิบเล่าให้ฟัง


“คริส” เสียงนิ่งๆ ของฮาเซลทำเอามือที่กอดคอผมละออกไปแทบไม่ทัน


“รู้แล้วน่า แค่นิดหน่อยเอง”


“นิดหน่อยก็ไม่ได้”


“นี่มันหวงเกินปกติไปหน่อยมั้ง...หรือว่าจะ...”


“ไปเตรียมเปิดงานไป” ฮาเซลไม่ปล่อยให้คริสพูดมากไปกว่านี้


“แหม กำลังสนุกเลย ไว้เจอกันในงานนะทั้งคู่ บ๊ายบาย~” คริสโบกมือลาด้วยรอยยิ้มก็จะวิ่งไปตามทางเดิน


มาเร็วไปเร็วจริงๆ


“ไม่โดนทำอะไรใช่ไหม” คำถามของฮาเซลทำให้ผมขมวดคิ้วงงๆ


“ทำอะไรที่ว่าคืออะไรล่ะ?”


“หมอนั่นมันพวกมือไวเที่ยวแตะคนอื่นไปทั่ว”


“คุณคิดว่าผมจะยอมให้ใครมาลวนลามง่ายๆ เหรอ” ถ้าแค่แตะอาจพอได้แต่ถ้ามากกว่านั้นต่อให้มีอิทธิพลขนาดไหนผมก็ไม่คิดจะยอมให้ง่ายๆ หรอก


“ไม่” ฮาเซลตอบกลับทันทีราวกับไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย


“ก็รู้นี่”


“แต่ถ้าทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้นใช่ไหมล่ะ” ฮาเซลพูดต่อ


“ข้อยกเว้น?”


“ใช่ ยกเว้นฉันสักคนละกันเนอะ” พูดจบมือทั้งสองข้างก็เตรียมจะเอื้อมมาจับทว่าผมกลับก้าวถอยหลังให้พ้นระยะด้วยความรวดเร็ว


“กับคุณน่ะอยู่ในแบล็กลิสไปตลอดกาลเลย!”



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่10« 14/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 14-11-2018 13:14:18
(ต่อนะคะ)

ทะเลาะถกเถียงกันได้สักพักพวกเราก็เข้าไปภายในห้องโถงซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน เหล่าผู้ทรงอิทธิพลต่างอยู่ในชุดสูทตามธีมของงานส่วนผู้หญิงนั้นก็สวมชุดราตรีต่างเฉดสี ดูรวมๆ แล้วนึกว่าหลุดมาในโลกแห่งนิทานฉากงานเต้นรำ


ผมมองดูรอบๆ ได้ไม่นานก็ต้องชะงัก...กลิ่นหอมอ่อนๆ ของนม เนยและน้ำตาลนั้นเรียกความสนใจผมจากทุกอย่างรอบตัว ห้องโถงขนาดใหญ่ถูกตกแต่งเป็นโทนสีทอง น้ำตาลและเหลืองอ่อนโดยมีโต๊ะอาหารจัดให้บริเวณอยู่เป็นจุดไม่ว่าจะเป็นกลางห้องหรือมุมห้องก็ตาม ผ้าปูโต๊ะสีขาวลิ่มทองส่งเสริมให้อาหารและขนมด้านบนดูน่าอร่อยมากขึ้น


“ผมขอไปด้านนั้นหน่อยนะ” ผมพึมพำบอกฮาเซล


“จะไปกินขนม?”


“...เซ้นส์อีกแล้วเหรอ” รู้ดีเกินไปแล้ว


“อันนี้ไม่ใช่เซ้นส์แต่เป็นเพราะฉันรู้ว่าเรย์ชอบอะไร” น้ำเสียงอ่อนโยนทำให้ผมหันหน้าหนีไปอีกทาง ผมไม่ชินเวลาที่ถูกพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้น


จะว่ารู้สึกดีก็ใช้จะว่าไม่ดีก็ไม่เชิง


“...เสียงแบบนั้นเอาไว้พูดกับผู้หญิงเถอะ” ไม่จำเป็นต้องมาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบนั้นกับผม


“จะเอาไว้พูดกับเรย์”


“ฮาเซล”


“จะไปกินขนมไม่ใช่เหรอ ไปสิ” ฮาเซลคว้าข้อมือผมเดินไปยังโต๊ะขนมด้านข้าง


“คุณไม่ชอบนี่”


“อืม...แต่เวลาเห็นเรย์กินรู้สึกชอบขึ้นมาเลย”


“ว่าอะไรนะ” ผมถามย้ำเพราะประโยคสุดท้ายนั่นฮาเซลพึมพำเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน


“เปล่า”


โต๊ะขนมหวานตรงหน้าทำเอาดวงตาสีม่วงภายใต้คอนแทคเลนส์สั่นระริกด้วยความตื่นเต้นแกมปิติยินดี ของหวานตรงหน้าไม่ได้มีเพียงแค่เค้กหรือคุกกี้แต่มีขนมหวานของนานาประเทศที่ผมไม่เคยเห็นอยู่เยอะมากๆ โชคดีที่ด้านหน้าของแต่ละอย่างมีป้ายชื่อเขียนไว้ด้วย


“นี่มันอ่านว่าอะไร...ดาอิ...” ผมพยายามอ่านป้ายชื่อขนมตรงหน้า


“ไดฟุกุ” ฮาเซลออกเสียงให้ฟัง


“ไดฟุกุ?”


“ของหวานของประเทศเล็กๆ แต่มีวิทยาการอันล้ำสมัย” ฮาเซลอธิบายเพิ่ม


“หืม...รู้ดีจัง”


“ฉันเคยไป”


“แล้วเคยกินไหม” ผมถามต่อพลางมองก้อนกลมแป้งแลดูเนื้อนุ่มด้วยความสงสัย


“ก็รู้นี่ว่าฉันไม่กินของหวาน”


“นั่นสิ ลองเลยดีกว่า” พูดจบผมหยิบไดฟุกุสีเขียวตรงหน้าเข้าปาก รสชาติหวานหอมและความเหนียวนุ่มของแป้งเข้ากับไส้ถั่วหวานๆ ได้อย่างลงตัว


อร่อย


อร่อยมาก


“บนหน้าผากเขียนไว้ว่าอร่อยมากนะ”


“ไม่ได้เขียนไว้สักหน่อย” ผมแสดงออกทางสีหน้ามากไปเหรอ


“ไว้ฉันจะให้เชทำให้”


“พูดจริงเหรอ ว่าแต่คุณเชทำได้?”


“เขาทำได้ทุกอย่างแหละ แถมอร่อยด้วย”


“ข้อนี้ไม่เถียง” คุณเชทำอาหารอร่อยแทบทุกอย่างดังนั้นของหวานเองคงไม่ต่างกัน


“ดื่มสักหน่อย อย่าเอาแต่กินเดี๋ยวติดคอ” ฮาเซลหยิบเครื่องดื่มจากถาดบนมือพนักงานเสิร์ฟใกล้ๆ ส่งมาให้


“ขอบคุณ แล้วคุณไม่เดินไปพูดคุยหรือทักทายอะไรกับคนอื่นหน่อยเหรอ” ผมถามพลางยกเครื่องดื่มสีสวยขึ้นมาจิบ รสชาติหวานอมขมนี่อร่อยใช่เล่น


“กำลังมองอยู่ว่าจะเข้าไปคุยกับใครบ้าง”


“เลือกคุยสินะ” สมแล้วกับที่เป็นฮาเซล


คนระดับบนต้องดูและเลือกคนไม่ใช่คุยไปทั่ว ก็จริงที่การมีคอนเน็กชั่นมากก็จะสื่อถึงอิทธิพลที่กระจายไปทั่วทว่าอีกแง่การรู้จัดเลือกเพียงบุคคลระดับสูงนั้นมีผลดีมากกว่า ขึ้นอยู่กับคนมองละนะ


“ฉันมันหล่อเลือกได้นี่” พูดเสร็จก็ยักคิ้วส่งมา


“หึ...ครับๆ ไปกันเถอะ”


“อิ่มแล้วเหรอ”


“ขนมไม่ทำให้อิ่มท้องหรอก ไปคุยเถอะ ระหว่างคุยผมจะหยิบนู่นนี่กินเอง” จะให้เจ้านายมารอเพราะความเห็นแก่กินของตัวเองได้ยังไง


“ก็ได้ เริ่มจากหมอนั่นละกัน...ซิลเลอร์ เบนซ์” ฮาเซลบอกพร้อมกับเดินไปยังกลุ่มคนกลางห้อง


“รอด้วย...”


ตุบ!


“อ๊ะ...ขอโทษครับ” ผมรีบเอ่ยขอโทษทันทีที่เครื่องดื่มบนมือหกรสเสื้อสูทสีแดงเลือดหมูของชายร่างท้วมเนื่องจากผมกำลังรีบตามฮาเซลไปเลยไม่ทันระวัง


“นี่แกกล้าทำสูทฉันเปียกเหรอ?!” เสียงตะหวาดพร้อมแรงของมือผลักผมอย่างแรงจนต้องก้าวถอยหลังเพื่อตั้งหลัก


ดูท่าจะไปชนกับคนเจ้าอารมณ์ซะแล้ว


“ขอโทษจริงๆ ครับ” ผมยังคงใช้น้ำเย็นเข้าลูบเพราะไม่อยากมีเรื่อง


“ไม่ยกโทษให้เว้ย! ดูหน้าแล้วแกคงเป็นลูกน้องของใครสักคนสินะ เจ้านายแกอยู่ไหนล่ะหรือว่ากลัวหัวหดจนไม่กล้าออกมา...”


“พูดถึงฉันเหรอ” ฮาเซลเดินกลับมาหาผมด้วยท่าทางนิ่งๆ


“ฮาเซล...”


“เกิดอะไรขึ้น” ฮาเซลก้มลงมากระซิบถามเสียงเบา


“ผมเดินชนเลยทำให้เสื้อเขาเปียก” ผมบอกไปตามตรง


“แค่นั้นถึงกับต้องเสียงดังเลยเหรอ” ประโยคนี้ฮาเซลไม่ได้กระซิบแต่พูดเสียงดังให้อีกฝ่ายได้ยินด้วย


“ฮาเซล กอนซาเลส...ผู้ทรงอิทธิพลอันดับต้นๆ ในแทบตะวันออก” เหมือนอีกฝ่ายจะรู้จักฮาเซลนะแต่ผมไม่คุ้นหน้าอีกฝ่ายเลยน่ะสิ


ผมน่าจะหาข้อมูลก่อนจะมา


จะมัวจมอยู่กับความผิดพลาดก็ไม่ใช่ผม โทรศัพท์ในมือถูกหยิบขึ้นมาค้นข้อมูลในชั่วพริบตาก่อนจะรู้ว่าคนตรงหน้าคือกาโต้ เชอบัลเนียผู้มีอิทธิพลระดับกลางๆ ในด้านการขนส่งและธุรกิจสีเทาอย่างขายแรงงานข้ามชาติ


“หาข้อมูลเหรอเรย์” ฮาเซลแอบมองมายังหน้าจอโทรศัพท์ผมก่อนเอ่ยถาม


“อืม ก็ผมไม่รู้จักเขานี่นา” สาบานได้ว่าประโยคนี้ผมไม่ได้ตั้งใจจะกวนหรือยั่วโมโหใครทว่าฝ่ายกาโต้ไม่ได้คิดแบบนั้น


“นี่แก คิดว่าเป็นลูกน้องฮาเซลแล้วฉันจะกลัวรึไง!”


“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น” น่าจะคิดก่อนพูดหน่อยเรื่องจะได้ไม่แย่ลงไปกว่าเดิม


“ฉันไม่เชื่อ เรื่องนี้แกต้องชดใช้” อีกฝ่ายยืนกรานพร้อมชี้หน้าผมอย่างเอาเรื่อง


“เจ้านายอย่างฉันจะชดใช้แทนละกัน ค่าซักรีดเท่าไหร่ล่ะ” ฮาเซลตอบแทน


“ฮาเซล...” ผมเรียกเสียงเบาเพื่อจะบอกว่าไม่จำเป็น ในเมื่อเป็นคนก่อเรื่องก็ควรต้องจัดการเอง


“หึ ระดับฮาเซลออกตัวปกป้องขนาดนี้ขอเป็นสัญญาซื้อขายอาวุธแทนได้ไหมล่ะ”


“ไม่ได้” ฮาเซลตอบทันที


“เอางี้ไหม ให้คนของแกกับคนของฉันสู้กันถ้าฉันแพ้ถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแต่ถ้าฉันชนะแกต้องยอมรับสัญญา” กาโต้อธิบายเพิ่ม


“ฉันไม่คิดจะตกลงถ้ายังไม่รู้เนื้อหาของสัญญา” สมกับเป็นฮาเซล รอบครอบจริงๆ


แต่พูดแบบนั้นเหมือนจะบอกว่าผมต้องแพ้เลยนะ ก็อาจจะแพ้จริงๆ ก็ได้ คนของกาโต้เป็นคนผิวสีรูปร่างกำยำคล้ายทหารผ่านศึกที่ถูกจ้างมา แค่ส่วนสูงกับรูปร่างผมก็แพ้อย่างหลุดลุ่ย ด้านพละกำลังไม่ต้องพูดถึงมีมากกว่าผมไม่รู้ต่อกี่เท่า


ถ้าสู้ปกติผมไม่คิดว่าจะชนะได้ง่ายๆ


“แหม พูดเหมือนมาลางบอกว่าจะแพ้เลยนะ” กาโต้หัวเราะเสียงดังใส่


“แค่อยากรู้เฉยๆ ว่าสัญญานั่นจะคุ้มกับสิ่งที่คนของคุณต้องโดนรึเปล่า” ฮาเซลพูดพลางยกยิ้มขึ้น บทสนทนาของทั้งคู่เรียกความสนใจจากคนโดยรอบให้มามุงดูเรื่องน่าสนุก


ไม่มีการเข้ามาช่วยเหลือหรือห้ามทัพ


คนพวกนี้นี่ชอบดูคนมีเรื่องกันสินะ


“มั่นใจจังนะ แปลว่าตกลงงั้นสิ”


“ยังไม่ได้พูดว่าตกลงสักหน่อย ดูขนาดตัวก็รู้ว่าทางนี้เสียเปรียบ”


“งั้นให้ทางนั้นตั้งกติกาก็ได้”


“สามารถใช้อาวุธได้” ฮาเซลเอ่ยทันทีคล้ายคิดเรื่องนี้ไว้ในหัวอยู่แล้ว ดีไม่ดีบทสนทนาทั้งหมดอาจต้องการให้มาจบลงแบบนี้ก็เป็นได้


“แค่นั้น?” เหมือนกาโต้จะตกใจไม่น้อยที่ฮาเซลตั้งกฎเพียงแค่ข้อเดียวทั้งที่สามารถคิดกฎให้ทางตัวเองได้เปรียบมากกว่านี้ แน่นอนว่าก่อนเข้ามาภายในโรงแรมทุกคนถูกริบอาวุธทว่าทุกคนต่างรู้ดีว่าอาวุธที่ถูกริบไปนั่นเป็นเพียงหนึ่งในอาวุธที่มีติดตัวเท่านั้น


“แค่นี้ก็พอแล้ว ใช่ไหมเรย์?” ประโยคสุดท้ายฮาเซลหันมามองผม


“อืม” ผมพยักหน้าด้วยรอยยิ้มมุมปาก


บอกแล้วว่าถ้าต่อสู้ปกติผมคงไม่ชนะได้ง่ายๆ แต่ถ้าให้ใช้อาวุธละก็...ต่อให้ตัวใหญ่เท่าตึกผมก็มั่นใจว่าชนะได้ ทักษะการใช้อาวุธของนักฆ่ากับทหารรับจ้างต่างกันราวฟ้ากับดิน


ไม่ต้องเฉลยคงเดากันได้ว่าฝ่ายไหนคือฟ้า


“ความมั่นใจนั่นจะกระชากให้แหละเลย บิส เค เบย์” ทั้งสามชื่อที่กาโต้เรียกก้าวมาหยุดยืนตรงหน้าผมอย่างพร้อมเพรียง ด้วยความสูงอันแตกต่างผมเลยจำเป็นต้องเงยหน้ามองอีกฝ่าย


“หมายความว่าไง” ฮาเซลถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายส่งคนมาถึง 3


“แกไม่ได้บอกนี่ว่าฝ่ายละกี่คนน่ะ ถ้าแกมีคนเพิ่มก็เรียกมาได้นะแต่เหมือนจะไม่มีนี่หรือจะร่วมด้วยฉันก็ไม่ว่าอะไรนะ” น้ำเสียงสะใจนั่นกวนโมโหจริงๆ


อาศัยช่องว่างของกฎได้ดี


ฮาเซลไม่ได้บอกว่าต้อง 1 ต่อ 1 จึงไม่แปลกถ้าจะส่งมาทั้งหมดเพื่อให้ง่ายต่อการเอาชนะ ขอปรบมือให้รัวๆ เลยกับความคิดนี้


“ฮาเซล” ผมคว้าแขนเสื้อแล้วดึงเบาๆ


“เรย์?” ใบหน้านั่นกำลังกังวล ถ้าเป็น 1 ต่อ 1 คงไม่กังวลขนาดนี้สินะ


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็จบแล้ว”


“จัดการ 3 คนได้แน่นะ”


“คุณก็เคยเห็นว่า 5 คนผมก็จัดการมาแล้ว”


“นั่นสินะ ถ้าไม่ไหวก็ตะโกนบอกฉันนะว่าฮาเซลช่วยเรย์ด้วย” น้ำเสียงดัดสูงนั่นทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะชกเข้าไปยังหน้าท้องอีกฝ่ายเบาๆ


“ถ้าให้พูดประโยคนั่นผมขอจัดการคนเดียวดีกว่า” บอกเสร็จผมก็เดินไปเผชิญหน้ากับพี่ก้ามปูทั้งสามคน คนรอบๆ ต่างถอยหลังตีวงกว้างขึ้นเพื่อให้มีพื้นที่ในการต่อสู้ ฮาเซลเองก็ถอยห่างออกไปเล็กน้อย


ไม่มีสัญญาณในการเริ่มมีเพียงหมัดสามหมัดที่เหวี่ยงเข้าหาร่างผมจนต้องกระโดดถอยหลังไปเท่านั้น ทางนั้นไม่ปล่อยให้ผมได้ตั้งหลักวิ่งกรูมาปล่อยหมัดหมายจะหยุดการเคลื่อนไหวทว่าผมไม่ปล่อยให้ถูกหยุดการเคลื่อนไหวได้ง่ายๆ


สายตาผมมองไปยังร่างกายกำยำของทั้งสามคนเพื่อหาทางโจมตีกลับ และเหมือนอยู่ๆ ในหัวก็นึกอะไรน่าสนุกขึ้นมาได้ วิธีที่สามารถจัดการพร้อมกันได้ทั้งสามคน


“ขอลองหน่อยละกัน” ผมพึมพำจบอาวุธเส้นเล็กจากในกระเป๋าก็ถูกนำขึ้นมาในเสี้ยววินาทีก่อนพุ่งตัวเข้าไปหาทั้งสามคน


ด้วยรูปร่าง ร่างกายและหลายๆ อย่างทำให้ความเร็วผมเหนือกว่าพวกเขาอย่างชัดเจน จึงอาศัยข้อดีนั้นพันด้ายเข้ากับข้อมือของคนแรกก่อนจะอ้อมไปจัดการพันท้องและใช้ขากระโดดเหยียบร่างของคนแรกที่ทรุดลงจากการถูกดึงเป็นฐานก่อนจัดการคนสุดท้ายด้วยการพันด้ายพอรอบคอใหญ่นั่น


แค่นี้ยังไม่พอหรอก


ผมยึดด้ายในมือไว้มั่นพร้อมกระโดดลงมายังพื้นด้านล่างทำให้ด้ายเพียงเส้นเดียวที่พันทั้งสามคนไว้ถูกกระตุกอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงกรีดร้อง ด้ายอาจดูเหมือนวัสดุที่ขาดได้ง่ายๆ แต่หากเลือกชนิดที่แข็งบวกกับการกะจังหวะในการกระชากอย่างเหมาะสมก็มากพอที่จะเฉือนเนื้อมนุษย์ได้


“อ๊ากกกก~!” เสียงร้องครวญครางดังขึ้นก่อนร่างอันกำยำจะดิ้นและทรุดลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด หลายคนอาจไม่รู้ว่าอาวุธอย่างด้ายมันมีพลังการทำลายมากกว่าปืนหรือมีดซะอีก ความคมกริบนั้นสามารถตัดคอเหยื่อได้ในเสี้ยววินาที


เท่านี้ก็จบแล้ว


“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจยาวระหว่างผ่อนแรงไม่ให้ด้ายนั้นรัดอีกฝ่ายจนอะไรๆ ขาดไป


ความเงียบเข้าปกคลุมในทั้งห้องไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุย ภาพตรงสถานการณ์ตรงหน้าอาจสร้างตกตะลึงให้กับหลายๆ คนในที่นี้ นักฆ่าอย่างผมไม่ชอบการแสดงฝีมือให้ใครดูแต่ในเมื่อตอนนี้เป็นบอดี้การ์ดก็ช่วยไม่ได้ ถือว่าเป็นเหตุสุวิสัยละกัน


“เยี่ยมเลยเรย์” ฮาเซลปรบมือเสียงดังเป็นคนแรกก่อนคนอื่นๆ จะพากันปรบมือตาม


“อย่าทำให้เป็นจุดเด่นสิ” ผมพึมพำบอกฮาเซล


“ทำขนาดนี้จะไม่เด่นได้ยังไง”


“...” ก็จริง เล่นทำขนาดนี้ไม่เด่นสิแปลก


“เหมือนคนชนะจะเป็นฉันนะกาโต้ เชอบัลเนีย” ฮาเซลเดินเข้าไปหาชายร่างท้วมด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ


“มันโกงชัดๆ”


“โกงตรงไหน กฎก็บอกอยู่ว่าใช้อาวุธได้ ถ้าจะบอกว่าโกงแล้วทางนั้นที่ส่ง 3 คนมาล่ะไม่โกงรึไง” ฮาเซลพูดต่อ สิ่งเดียวที่อาจพูดได้ว่าโกงคือการที่ผมมีทักษะฝีมือมากกว่าอีกฝ่ายนอกนั้นผมเล่นตามกฎกติตาทุกอย่าง


“อึก...ยังไงเรื่องนี้ฉันก็ไม่ยอมรับ...”


“ในเมื่อแพ้ก็ควรยอมรับนะคุณกาโต้ เชอบัลเนีย” น้ำเสียงนิ่งๆ ของผู้มาใหม่ดังขึ้น ร่างสูงสมส่วนเส้นผมสีควันบุหรี่กับดวงตาสีทองนั่นเพียงแค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา


“ไงซิล นึกว่าจะไม่มาช่วยกันซะแล้ว” ฮาเซลหันไปทักทายผู้มาใหม่


ซิลเหรอ หรือว่าจะเป็นซิลเลอร์ เบนซ์ที่ฮาเซลบอกจะเข้าไปคุยด้วย


“ดูไม่เหมือนคนต้องการความช่วยเหลือนี่ อีกอย่างได้ดูอะไรสนุกๆ บ้างก็ไม่เลว” ประโยคสุดท้ายเขาหันมามองหน้าผมสลับกับชายร่างใหญ่ 3 คนที่กองอยู่บนพื้นใกล้ๆ


“แล้วเข้ามาร่วมทำไม” ฮาเซลถามกลับ


“แค่สงสารน่ะ ขืนทำให้นายโกรธเดี๋ยวฉันต้องลงมาช่วยปิดข่าวอีก อีกอย่างควรรีบทำให้จบก่อนเจ้าของงานจะมาเห็น...”


“พูดถึงฉันเหรอพรรคพวก” ซิลยังไม่ทันพูดจบเจ้าของงานอย่างคริสโตลีนี่ คิวเบิร์กก็โผล่ออกมาจากด้านหลังกลุ่มคนมุง


“อยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่” ซิลหันไปถาม


“แต่แรกเลย”


“ไม่คิดจะห้ามรึไง”


“แหม ก็อยากเห็นฝีมือของเทเลอร์นี่นา ฮาเซลหวงขนาดนั้นนึกว่าสู้ไม่เป็นซะอีก”


“หมอนี่น่ะเหรอฮาเซลหวง?” เป็นอีกครั้งที่ซิลหันมามองหน้าผม


“ใช่ ฝีมือจัดว่าเยี่ยมเหมือนไม่ใช่บอดี้การ์ดปกติ” สายตาของคริสจับจ้องมายังผมอย่างสังเกต


สมแล้ว...แค่การต่อสู้เมื่อครู่ก็รู้ได้ หากเป็นคนที่มีประสบการณ์การจะแยกแยะทักษะหรือฝีมือของแต่ละคนไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งกับทักษะเฉพาะไม่ง่ายเลยที่จะรอดสายตาของพวกเซียนๆ ไปได้


“จัดการเรื่องนี้ก่อนดีไหม” ฮาเซลพูดบ้าง


“นั่นสิ เอาไงดี ปีนี้ฉันอุตส่าห์ยอมให้พวกนายเข้ามาร่วมงานแต่มาวางอำนาจแบบนี้ไม่ค่อยดีเลยนะ กาโต้ เชอบัลเนีย” ดวงตาของกาโต้สั่นระริกด้วยความหวาดกลัวแทบจะทันที


“นายจะจัดการ?” ฮาเซลถาม


“ขอละกัน นายก็ไม่ได้โกรธอะไรนี่จริงไหม” คริสถามกลับ


“ก็ใช่ ยังไงเรย์ก็ไม่ได้เจ็บอะไร” ฮาเซลมองสำรวจร่างกายผมสักพักก่อนตอบไป


“หวงจริงๆ ด้วย” ซิลพึมพำเสียงเบา


“หรือจะใช้ว่าห่วงดีล่ะ” คริสพูดต่อ


“หึ ใช้ทั้งสองคำเลยก็ได้” ฮาเซลมองหน้าผมพร้อมคลี่ยิ้มออกมาบ้างๆ


และแล้วเรื่องก็จบลงโดยมีคริสพาตัวกาโต้ เชอบัลเนียออกไปแล้วกล่าวเปิดงานประชุมMGหรือปาร์ตี้MGขึ้นอย่างเป็นทางการ อาจเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนในงานพากันสงบเสงี่ยมขึ้น ฮาเซลเองก็พาผมไปแนะนำกับซิลเลอร์ เบนซ์เพื่อนสนิทอีกหนึ่งที่เป็นเจ้าของสำนักข่าวระดับโลก ข้อมูลแทบทุกอย่างเขาคนนี้รู้เกือบหมด


ไม่รู้ว่าทั้งสามคนไปรู้จักกันตอนไหน


แต่ผมรู้เกี่ยวกับฮาเซลอีกอย่าง


คนรอบตัวฮาเซลมีแต่คนไม่ธรรมดา

................................................

จบกันไปอีกตอนกับเรื่องราวของทั้งคู่

ได้แต่งตอนเรย์ใช้ลวดในการจู่โจมนั้นเป็นอะไรที่ชอบมากๆ เลย

ก่อนหน้านี้เคยแต่งแต่ใช้ปืนพอได้ลองเปลี่ยนเป็นลวดแล้วรู้สึกติดใจมาก

หลังจากนี้จะให้เรย์ให้ลวดบ่อยๆ ค่ะ 555

สำหรับตอนหน้าบอกเลยว่าบู๊หนักแบบจัดเต็ม

ฝากติดตามด้วยนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่10« 14/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 14-11-2018 18:01:13
ฮาเซลขี้ห่วงเหมือนกันนะเนี่ย

หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่10« 14/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-11-2018 19:37:05
เรย์ก็ไม่ธรรมดาเกมือนกันนะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่10« 14/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-11-2018 21:39:55
ในเรื่องนี้ไม่มีใครธรรมดาซักคน
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่10« 14/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 16-11-2018 18:46:45
 :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่10« 14/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 16-11-2018 20:13:07
 :pig4:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่10« 14/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 16-11-2018 22:14:42
จ๊ะ ไปฮันนีมูน เป็นไงล่ะ มันส์เลย
เรย์เยี่ยมมาก สมควรแล้วที่เป็นนักฆ่า
ฮาเซลจะห่วงก็ไม่สุด แต่หวงนี่ไม่ต้องบอก

เพื่อนแต่ละคนไม่ธรรมดานะคะ
จะมีอะไรรออยู่อีกนะ เอ็นดูเรย์
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่11« 21/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 21-11-2018 11:10:02
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่11



ตกดึกหลังงานเลี้ยงเลิกลาผมกับฮาเซลต่างแยกกันกลับห้องของตัวเองเพื่อพักผ่อนเอาแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ที่มีทั้งการเข้าประชุมและงานเลี้ยงน้ำชาในช่วงเที่ยง งานนี้จัด 2 วันซึ่งได้มีกำหนดการแนบมาให้ตั้งแต่ตอนเข้าโรงแรมมาแล้ว


บรรยากาศมืดสนิทบวกกับสีของท้องฟ้ายามราตรีและความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมายังต่างประเทศครั้งแรกส่งผลทำให้ความง่วงเข้าครอบงำอย่างง่ายดายทว่าเสียงเปิดประตูเบาๆ นั่นเปลี่ยนความง่วงให้เป็นสัญชาตญาณระวังตัวฉับพลัน


ดวงตาสีม่วงของผมหลับลงพร้อมผ่อนลมหายใจราวกับกำลังอยู่ในห้วงนิทรารอดูว่าผู้บุกลุกนั่นเป็นใครและมาทำอะไร ประตูที่นี่เป็นแบบคีการ์ดหากอยู่ด้านในสามารถเปิดปิดได้ปกติแต่การจะเปิดจากด้านนอกนั้นจำเป็นต้องใช้คีการ์ด อาจไปของอันสำรองหรือทำของปลอมขึ้นมา


ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนที่จ้องทำร้ายฮาเซลก็ได้


ต้องให้เข้ามาใกล้กว่านี้


เสียงฝีเท้าเบาๆ แสดงถึงฝีมือระดับไม่ธรรมดา


ใกล้กว่านี้อีก...


ผมยังคงหลับตานอนนิ่งจับสัมผัสทุกการเคลื่อนไหวที่ขยับเดินเข้ามาใกล้จนถึงข้างเตียง แรงกดจากฝ่ามือจนเตียงยุบและสัมผัสของอีกฝ่ายที่เข้าใกล้อยู่ในระยะต่อสู้ผมไม่รอช้าลืมตาขึ้นก่อนจัดการพลิกตัวตวัดหมัดตามด้วยใช้เท้าฟาดลงยังเป้าหมายเต็มแรง


ตึง!


ความมืดยามค่ำคืนอาจมองเห็นยากแต่ไม่ใช่กับผมที่ค่อนข้างชินกับความมืดแบบนี้ ผมเห็นว่าอีกฝ่ายหลบการโจมตีได้ในเสี้ยววินาทีที่ผมขยับตัว ถึงจะแปลกใจเล็กน้อยเมื่อไม่มีการโต้กลับก็ตาม


เรื่องนั้นช่างเถอะ


การโจมตีรอบแรกถูกปัดหลบได้ผมจึงโจมตีรอบสองต่อเนื่องโดยไม่เปิดช่องปล่อยอีกฝ่ายให้มีโอกาสได้โจมตีกลับ หมัดซ้ายขวาถูกปล่อยสลับกันไปมา...การต่อสู้เปลี่ยนจากบนเตียงมาเป็นบนพื้นห้องจากการถอยหนีคนผู้บุกรุก


“เดี๋ยวเรย์ นี่ฉันเอง!”


กึก!


ขาที่กำลังจะเตะสูงเล็งไปยังคอหยุดชะงักในระยะใกล้จนเกือบประชิด ผมหรี่ตามองในความมืดเพื่อจะได้เห็นชัดขึ้นแม้จะบอกว่ามองเห็นทว่าไม่ชัดเจนจนแยกใครได้ จะว่าไปรูปร่างแบบนี้ก็คุ้นจริงๆ นั่นแหละ


“ฮาเซล กอนซาเลส” ผมกัดฟันเรียกชื่อคนตรงหน้าออกไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย


“ถ้าฉันไม่ส่งเสียงนี่คิดจะเตะก้านคอฉันจริงเหรอ”


“แน่นอน และพอรู้ว่าเป็นคุณผมยิ่งอยากใส่แรงมากกว่าเป็นสิบเท่า!” ว่าแล้วผมก็เปลี่ยนจากขาเป็นศอกกระทุ้งไปยังหน้าอกอีกฝ่ายแรงๆ


“อุก! เจ็บนะเรย์” ฮาเซลยกมือสองข้างขึ้นกุมบริเวณที่ถูกโจมตี


“ก็ทำให้เจ็บน่ะสิ เล่นบุกเข้ามาในห้องคนอื่นยามวิกาลแบบนี้ต่อให้ผมเผลออัดคุณจนสลบก็ไม่มีสิทธิ์มาโทษด้วยซ้ำ” ผมบอกเสียงดัง คนปกติที่ไหนแอบย่องเข้าห้องคนอื่นตอนดึกๆ ไม่ว่าใครก็คิดว่าเป็นศัตรูทั้งนั้น


“แค่อยากมานอน...เอ้ย...อยากมาอยู่กับเรย์เฉยๆ”


“กลับไปนอนห้องคุณเดี๋ยวนี้” ผมบอกเสียงดังฟังชัด


“ถ้าเรย์มานอนด้วยฉันจะกลับ”


“ฮาเซล กอนซาเลส” มือสองข้างผมยกเท้าเอวโดยอัตโนมัติยามรู้สึกไม่พอใจ


“ไม่รู้ล่ะ ฉันจะนอนนี่” ฮาเซลยื่นคำขาด เมินคำพูดผลโดยสินเชิง


“ได้ คุณก็นอนไปผมจะไปนอนห้องอื่น เฮ้ย!” ผมร้องลั่นเมื่อถูกฮาเซลคว้าคอลากไปยังเตียงแม้พยายามดิ้นก็ไม่สามารถหลุดไปได้


เมื่อดิ้นไม่ผลผมเลยเปลี่ยนมาใช้หมัดเตรียมชกทว่าฮาเซลรู้ทันเหวี่ยงตัวผมให้นอนราบลงบนเตียงก่อนจะขึ้นคร่อม เพียงเสี้ยววินาทีปฏิกิริยาของร่างกายก็เกิดขึ้น...ทั้งมือและขาต่างชกและถีบอีกฝ่ายให้ออกไปให้พ้น


ผมไม่ชอบให้ใครมาคร่อม!


“ออกไปนะฮาเซล”


“ไม่ออก”


“แกล้งแบบนี้ผมไม่สนุกด้วย” ผมบอกต่อ


“ฉันไม่ได้แกล้ง ใจเย็นเรย์ตัวนายสั่นอยู่แหน่ะ”


“สั่นเพราะโกรธต่างหาก” น้ำเสียงแข็งๆ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พูดให้ถูกคือผมพยายามจะทำให้เสียงแข็งเข้าไปเพราะภายในใจกำลังระงับตัวเองให้เลิกกลัวสักที


“ฉันรู้ว่าไม่ใช่”


“ฮาเซล ปล่อย...”


“ไม่เป็นไรเรย์ ไม่เป็นไร” น้ำเสียงอันอบอุ่นกับสัมผัสของฝ่ามือที่ลูบเส้นผมสีดำสนิทของผมไปมานั่นทำเอาร่างกายชาจนขยับไม่ได้


“...” ผมได้แต่เงียบเพราะไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกไปในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ชอบให้ใครมาขึ้นคร่อมทว่าสัมผัสของฝ่ามือนั่นรู้สึกดีอย่างไม่เคยเป็นจนลืมไปเลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังโดนทำอะไรอยู่


“คืนนี้นอนด้วยกันนะ” ถ้อยคำอันแสนอ่อนโยนกับน้ำเสียงแกมร้องขอนั่นกระซิบเบาๆ ข้างใบหูเรียกเสียงหัวใจให้เต้นแรงขึ้นอย่างไม่อาจห้ามได้ ไม่เพียงห้ามไม่ได้เท่านั้นแม้แต่คำพูดปฏิเสธสั้นๆ ผมยังไม่สามารถเอ่ยมันออกมาได้เลย


สิ่งที่ทำมีเพียงหลับตาที่กำลังสั่นระริกลงและยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมากำเสื้อฮาเซลเอาไว้อย่างเชื่องช้าปล่อยสติให้หายไปพร้อมกับความรู้สึกดียามถูกอีกฝ่ายสัมผัสด้วยหัวใจที่เต้นรัวกว่าครั้งไหนๆ


ความเงียบสงบที่กลืนกินทั้งห้องอยู่ๆ กลับมีเสียงใบพัดดังขึ้นในระยะใกล้ทำให้สัญชาตญาณพาสติเข้าร่าง ผมเด้งตัวลุกขึ้นมองดูด้านนอกผ่านกระจกใส


เสียงมาจากด้านบน


เสียงแบบนี้...


“เฮอร์ริคอปเตอร์” ฮาเซลพึมพำก่อนจะลุกขึ้นมานั่งด้วยอีกคน


“ข้างบนมีลานจอดเหรอ” ผมถาม


ไม่แน่ว่ามันอาจเป็นเรื่องปกติก็ได้


“มีแต่ไม่คิดว่าจะมาทีหลายลำแบบนี้หรอกนะ”


“...” คำตอบของฮาเซลสร้างความตรึงเครียดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พูดถูกเสียงที่ได้ยินไม่ได้มีเฮอร์ริคอปเตอร์แค่ลำเดียวแต่มากกว่านั้น


ถ้าบอกว่าปกติคงไม่ได้แล้ว


“มานี่เรย์” ฮาเซลกระโดดลงจากเตียงพร้อมดึงผมให้เข้าหลบอยู่ด้วยกันในตู้เสื้อผ้าด้านข้างในจังหวะเดียวกับเงาสีดำบางอย่างห้อยตัวลงมา


เคร้ง!


เสี้ยววินาทีที่ปิดประตูตู้เสื้อผ้าเสียงกระจกแตกก็ดังสนั่น ผมเงยหน้ามองฮาเซลราวกับถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนี้ มือของฮาเซลโอบกระชับเอวผมให้แน่นเช่นเดียวกับขยับร่างเข้ามาประชิดใกล้มากกว่าเดิม


“ถอยไป” ผมพึมพำบอกอีกฝ่าย


“ถอยได้ที่ไหน เล่นเปิดแอร์ซะเย็นมันหนาวนี่” ฮาเซลกระซิบตอบ


“มาหนาวอะไรตอนนี้” ก่อนหน้าที่นอนยังไม่บ่นเลยสักคำ


ถึงจะไม่เถียงเรื่องเปิดแอร์เย็นก็เถอะ


ผมบอกแล้วว่าชอบเปิดแอร์อุณหภูมิต่ำเพื่อให้ห้องเย็นแล้วขดตัวอยู่ในผ้านวมผืนหนา


“ก่อนหน้านี้กอดเรย์อยู่เลยไม่หนาว อุก...” ไม่ทันได้พูดจับประโยคผมก็จัดการชกเบาๆ เข้ายังท้องของฮาเซล


“เลิกเล่นฮาเซล”


สถานการณ์ในตอนนี้เป็นยังไงก็ไม่รู้


ไม่มีทั้งข้อมูล แถมยังไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ด้านนอกได้อีกด้วย สถานการณ์แบบนี้ทั้งเสี่ยงและอันตรายมากหากเผลอประมาทอาจไม่จบลงแค่การบาดเจ็บเหมือนอย่างทุกที


“ห้องนี้มันหนาวเป็นบ้าเลยว่ะ” เสียงทุ้มของชายวัยกลางคนทำให้ผมและฮาเซลเงียบลง


“นั่นสิ เปิดแอร์เย็นขนาดนี้เลี้ยงเพนกวินรึไง”


“ฮะฮะฮะ เพกวิน คิดได้ไงวะ” บุคคลที่สองและสามพูดต่อด้วยน้ำเสียงร่าเริง


เฮอะ ถ้าจะเลี้ยงสัตว์ผมไม่เลี้ยงเพนกวินหรอกขอเป็นจิ้งจอกหิมะดีกว่า


“แปลว่าต้องมีคนอยู่” เสียงของคนต่อมาดังขึ้นพร้อมผมและฮาเซลที่สะดุ้งตัวเล็กน้อย


ถ้าให้เดาหมอนี่ต้องเป็นผู้นำ


“หาไหมลูกพี่”


“เอาสิ ต้องจัดการให้หมด”


“รับทราบ” อีกสามคนตอบรับพร้อมเสียงฝีเท้ากระจายกันออกหาตามบริเวณต่างๆ ของห้อง ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำแว่วมาด้วย


“ฮาเซล” ผมเรียกคนตรงหน้าเสียงเบา


“ชู่ อย่าเสียงดังสิเรย์” ฮาเซลกระซิบก่อนจะขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ แม้จะอยู่ในความมืดทว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองนั่นกลับเด่นชัดออกมา เป็นดวงตาคู่แรกที่เข้ามาใกล้ผมได้ถึงขนาดนี้


ผมมองนัยตานั่นโดยไม่รู้ตัวซึ่งฮาเซลยังไม่หยุดขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ รู้ตัวอีกทีก็สัมผัสได้ถึงริมฝีปากที่แนบสนิทลงมาอย่างแผ่วเบาพร้อมขบเม้มจนผมเผยอปากออกโดยไม่รู้ตัว สัมผัสของปลายลิ้นทำเอาความร้อนค่อยๆ ก่อตัวตัวมา สติที่มีเริ่มหายไปทว่าแรงของฝ่ามือที่ลูบบั้นท้ายผมทำให้สติและทุกอย่างกลับมา


โคร่ม!


ผมแทบไม่ต้องรอให้สมองสั่งการร่างกายก็จัดการถีบอีกฝ่ายจนหงายหลังออกจากตู้เสื้อผ้าไป แค่นั้นยังไม่พอใจผมเดินออกไปแล้วยกเท้าขึ้นกระทืบเข้ายังหน้าท้องฮาเซลแบบไม่ยั้ง


“อั๊ก! ใจเย็นเรย์ โอ๊ย!...” ฮาเซลรีบหลบเท้าที่กำลังจะเหยียบลงไปอีกรอบ


“ใจเย็น? หึ ไม่มีทางซะล่ะ”


แกร็ก!


“พวกฉันว่าใจเย็นทั้งคู่ดีกว่านะ” เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้นพร้อมปากกระบอกปืนจ่อยังบริเวณท้ายทอยผม


ลืมไปเลยว่าข้างนอกสถานการณ์เป็นยังไง


ถ้าผมตายเตรียมโดนหลอกหลอนชั่วชีวิตได้เลยฮาเซล กอนซาเลส!


“เล่นออกมาเองแบบนี้ไม่กลัวตายกันซะเลยนะ” ชายอีกคนเดินเข้าไปจ่อปืนยังหัวของฮาเซลที่ลุกขึ้นมานั่งบนพื้นหลังหลบการโจมตีผม


งานเข้าซะแล้ว


จะเอายังไงต่อไปดี


ผมมองฮาเซลเพื่อดูปฏิกิริยา อีกฝ่ายเองเหมือนรู้เลยเงยหน้ามองผมพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างนึงเป็นเชิงถามกลับว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้


เอาเข้าไปสิ


อาวุธก็ไม่มีแถมยังถูกปืนจ่อหัวไว้ทั้งคู่อีก


ขืนโจมตีอาจจัดการได้คนหรือสองแต่ที่เหลือคงเล็งปืนและยิงมาโดยไม่ลังเล ผมพยายามหาทางออกโดยการมองไปรอบๆ ห้องว่าพอมีอะไรช่วยได้ไหมตั้งแต่บนพื้นพรหมไปจนถึงประตูหน้าที่ถูกเปิดอ้าออก


จะให้วิ่งอกไปก็ดูไม่ใช่ทางเลือกที่ถูก


ถ้าคู่ต่อสู้มีแค่สองต่อให้มีอาวุธผมก็มั่นใจว่าจะจัดการได้ แต่สี่คนแล้วถืออาวุธเล็งมามันเสี่ยงเกินไป


หื้ม?


แปลว่าถ้าแบ่งเป็นสองก็หมดปัญหาน่ะสิ


ดวงตาสีม่วงของผมหันไปสบตากับฮาเซลเพื่อสื่อความหมายในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ ฝ่ายฮาเซลมองตาผมสักพักก่อนมองไปยังศัตรูที่จ่อปืนด้านข้างและอีกคนที่อยู่เยื้องออกไป


อย่างนี้นี่เอง


ความคิดดีนี่ฮาเซล


ผมยกยิ้มขึ้นแทนการชื่นชมฮาเซล สายตานั่นบอกว่าให้ผมจัดการสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามส่วนฮาเซลจะจัดการอีกสองคนที่อยู่ด้านหลังผม ซึ่งผมเห็นด้วยมาก...มันง่ายกว่าถ้าจะให้พุ่งตัวไปจัดการศัตรูด้านหน้ามากกว่าด้านหลัง เพียงแต่วิธีนี้ถ้าไม่เชื่อในฝีมืออีกฝ่ายจริงๆ ก็ไม่ควรจะเสี่ยงทำเพราะหากจัดการไม่ได้มีสิทธิ์ถูกยิงได้ง่ายๆ


“มองอะไรกันน่ะ คิดจะส่งซิกรึไง ฉันอนุญาตให้พูดออกมาเลยก็ได้นะถ้าพวกแกคิดว่ามีวิธีรอดจากสถานการณ์ในตอนนี้น่ะ” สัมผัสของปืนจ่อแนบกับหัวผมแรงขึ้นก่อนทั้งสี่คนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน


“งั้นก็ขอพูดเลยละกัน เรย์!” พอฮาเซลเรียกชื่อผมพุ่งออกไปมือปัดปืนพร้อมยกเข่าขึ้นกระทุ้งเข้ายังหน้าท้องของศัตรูคนแรกด้วยความเร็วสูง


ปัง!


จัดการคนแรกเสร็จคนต่อมาก็ยกปืนขึ้นเล็งมาทว่าผมมกลับเบี่ยงหลบได้แบบฉิวเฉียด ดวงตาสีม่วงสะท้อนกับแสงจากดวงจันทร์จับจ้องไปยังอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าเพราะตกใจกับสีตาหรืออะไรแต่อีกฝ่ายชะงักไปซึ่งนั่นเป็นโอกาสให้ผมรีบเหวี่ยงหมัดเข้าใส่จนร่างนั้นล้มลง


“ฮาเซล!” ผมหัวควับไปมองเผื่อจะได้เข้าไปช่วยสมทบแต่แล้วกลับเห็นฮาเซลยืนมองผมอยู่ด้วยรอยยิ้มโดยมีอีกสองคนกองอยู่บนพื้นห้อง


จัดการได้เร็วกว่าผมอีกเหรอ


นี่มันไม่ใช่ระดับธรรมดาแล้ว


“เอาไงต่อดี” ฮาเซลเอ่ยถามระหว่างเก็บปืนของทั้งสี่คนขึ้นมาแล้วส่งให้ผมสองกระบอก


“คุณว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผมถามกลับ


“ถ้าให้เดาคงเกี่ยวกับคริส”


“คริสโตลีนี่ คิวเบิร์ก?”


“ใช่”


“ยังไง”


“ไม่รู้สิ”


“...” ผมเงียบกับคำตอบที่ได้ยิน


สรุปคือไม่รู้เลยสินะ


“ที่รู้แน่ๆ คือมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นและพวกที่บุกมาคงไม่ใช่แค่กลุ่มนี้กลุ่มเดียว” ฮาเซลบอกพลางมองคนสี่คนบนพื้น


“ผมเห็นด้วย” ไม่มีทางที่จะบุกเข้ามาด้วยจำนวนคนแค่นี้


“ไปข้างบนกัน” พูดจบฮาเซลก็ถือปืนวิ่งออกไปจากห้อง


ผมเองก็ได้แต่วิ่งตาหลังฮาเซลออกไปจนถึงบันไดหนีไฟ ทุกห้องที่วิ่งผ่านมีจุดร่วมเดียวกันคือประตูห้องถูกเปิดออก พอลองเข้าไปดูมีหลายห้องที่พบศพและศพนั่นไม่ใช่พวกศัตรูเพราะสังเกตจากชุด แปลว่าบุกมาจากเฮอร์ริคอปเตอร์ด้านบนพร้อมกับหลายห้อง เมื่อเจอคนก็คงถูกจัดการในทันที


แบบนี้เข้าข่ายอันตราย


ไม่รู้จำนวน


ไม่มีข้อมูล


แถมอาวุธในมือสามารถยิงได้จำกัดเพียงไม่กี่นัด


“ฮาเซล คุณจะไปไหน” ผมถามเมื่อเห็นฮาเซลกำลังวิ่งขึ้นไปบนบันไดหนีไฟทั้งที่ชั้นนี้คือชั้น 40 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดเว้นดาดฟ้าตึก


“ไปเอาอาวุธ”


“อาวุธ?” แม้ผมจะไม่เข้าใจแต่ก็ตามขึ้นไปด้านบน ประตูดาดฟ้าถูกเปิดอ้าไว้โดยปราศจากเฮอริคอปเตอร์สักลำ


“ทางนี้” เสียงของฮาเซลเรียกให้ผมหันไปมองก่อนจะเบิกตากว้างกับภาพประตูบานสีเหลืองนวลถูกเปิดออกทั้งที่มือผมจับประตูบนดาดฟ้าอยู่


มีอีกประตูซ่อนเอาไว้?


ตอนขึ้นมาผมยังไม่เห็นเลยว่ามี


“ฮาเซลนี่มัน...”


“ประตูนี่สร้างมาให้เป็นเนื้อเดียวกับพนังมากที่สุดจึงเป็นเรื่องยากถ้าจะมีใครหาเจอ แถมชั้นนี้ถือเป็นเขตหวงห้ามถ้าไม่ได้รับอนุญาติก่อนก็ขึ้นมาไม่ได้”


“งั้นทำไม...”


“เข้ามาแล้วจะรู้เอง” ฮาเซลกวักมือเรียก


“อืม” ผมเดินตามเข้าไปก่อนปิดประตูลง


ประตูด้านนอกว่าน่าตกใจแล้วยังไม่มากเท่าด้านในที่ราวกับสรวงสวรรค์...ใช่สวรรค์ของคนรักอาวุธน่ะนะ ห้องขนาดใหญ่เต็มไปด้วยอาวุธไม่ว่าจะบนผนังหรือในกล่องนบพื้น เรียกว่าเป็นคลังอาวุธขนาดใหญ่ มีตั้งแต่มีด ปืนไม่จนถึงระเบิดมือ


แกร็ก!


ควับ!


ผมและฮาเซลเตรียมเหนี่ยวไกจ่อไปยังบานประตูทันทีที่ได้ยินเสียงเปิด ถ้าเกิดเป็นศัตรูจะได้จัดการทันที...ครั้งนี้ไม่พลาดท่าเหมือนก่อนหน้านี้แน่


“โอ๊ะ มากันก่อนแล้วเหรอเนี่ย” น้ำเสียงเพลย์บอยอันคุ้นเคยของเจ้าของโรงแรมพ่วงด้วยผู้จัดงานMGอย่างคริสโตลีนี่ คิวเบิร์กดังขึ้น ด้านหลังมีซิลเลอร์ เบนซ์ก้าวตามเข้ามาด้านในอีกคน


“เร็วดีนี่” ซิลมองผมและฮาเซลสลับกัน


“ทางนั้นช้าเองมั้ง” ฮาเซลตอบ


“ช้าตรงวิ่งขึ้นบันไดนี่แหละ” คริสตอบพร้อมโยนปืนในมือทิ้งลงบนพื้น


“ฉันถึงบอกให้ไปชั้น 20 ไง” ซิลหันไปบอกคริสด้วยสีหน้าเอือมๆ


“เราอยู่ชั้น 38 นะจะให้วิ่งลงไปชั้น 20 รึไง”


“งั้นก็อย่าบ่น”


“ไม่ได้บ่นสักหน่อย โอ๊ะ นั่นๆ ตาสีม่วงนี่” คำพูดของคริสดังขึ้นพร้อมขยับหน้าเข้ามามองผมใกล้ๆ จนต้องก้าวถอยหลังไป


แย่ล่ะ ดันลืมหยิบคอนแทคเลนส์


“ของจริงสินะ” ซิลเองก็มองมาเช่นเดียวกัน


“เลิกมายุ่งกับคนของฉันแล้วบอกสถานการณ์มาดีกว่าคริส” ฮาเซลเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับคริสก่อนจะดันตัวผมให้ถอยห่างออกไปอีกนิด


“หวงอะไรขนาดนั้นฮาเซล แต่ก็เข้าใจล่ะนะ...ถ้าเป็นของฉันคงหวงเหมือนกัน” พูดจบคริสก็ส่งยิ้มมาให้


“คริส” ฮาเซลเริ่มสงสายตาไม่พอใจไปให้เพื่อนตัวเอง


“รักแฟนจังนะ”


“ขอโทษที่ต้องพูดแต่ผมไม่ได้เป็นแฟนหรือของฮาเซล” ผมจำเป็นต้องเอ่ยออกไปก่อนที่หลายๆ คนจะเข้าใจผิดไปในทางเดียวกัน


“ไม่ใช่เหรอ?” คริสตาลุกวาวด้วยความอยากรู้


“เรย์” ฮาเซลเองก็มองมาอย่างไม่พอใจนัก


“ผมไม่ได้โกหกนี่” มองมาแบบนั้นคิดว่าผมจะกลัวรึไง


“หึหึ ฮาเซล กอนซาเลสตกอยู่ในจินตนาการตัวเอง ได้ข่าวใหม่แล้ว” ซิลที่ยืนอยู่เงียบๆ ยกยิ้มขึ้นก่อนจะหยิบสมุดเล่มเล็กขึ้นมาจดอะไรบางอย่างลงไป


“ซิล ฉันอนุญาตให้ลงได้แค่ข่าวแต่งงานของฉันกับเรย์”


“ผมไม่คิดจะแต่งกับคุณ!” ผมพูดเสียงดัง


ทำไมบทสนทนามันถึงกลายเป็นแบบนี้ได้


“ไม่ต้องรีบเรย์เดี๋ยวรอฉันขอแล้วค่อยแต่งกัน”


“ฮาเซล!”


“ชักน่าสนุกขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ ฉันเป็นกำลังใจให้ทั้งคู่นะ” คริสพูดพลางแตะใหล่ผมและฮาเซลเบาๆ แทนการให้กำลังใจ


“กลับเข้าเรื่องดีกว่าไหม ไม่งั้นจะไม่ทันการเอา” ทันทีที่ซิลเปิดประเด็นบรรยากาศทั้งห้องก็กลับเข้าสู่ความตึงเครียด


“นั่นสิ เรื่องนี้ต้องรีบจัดการ” คริสพยักหน้าเล็กน้อย


“ขอข้อมูลให้ฉันด้วยคริส” ฮาเซลบอก


“ได้ ยังไงพวกเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว...”


“เหมือนฉันยังไม่บอกนะว่าจะลงเรือด้วย ถ้ามีความเสี่ยงฉันขอกระโดดเปลี่ยนเรือละกัน” ฮาเซลรีบพูดแทรก


“เฮ้ย! จะทิ้งเพื่อนไว้ไม่ได้นะ เนอะซิล” คริสหันไปถามเพื่อนสนิทอีกคน


“เห็นด้วยกันฮาเซล” ซิลยกมือขึ้นประกอบ


“เพื่อนทรยศ!”


“รีบพูดมาได้แล้ว” ฮาเซลเร่ง


“ครับๆ ง่ายๆ ก็คือมีพวกพ่อค้าอาวุธที่อยากตั้งตัวเองว่าเป็นที่ 1 ของการผลิตและส่งออกอาวุธเลยคิดจะจัดการฉันซึ่งมีอำนาจสูงสุด แค่นั้น” คริสอธิบายแล้วยักไหล่เบาๆ ราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร


“มีเรื่องแบบนั้นยังกล้าจัดงานอีกนะ”


“อ้าว ถ้าไม่จัดพวกนายก็ไม่มานี่น่ะสิ”


“จะบอกว่าวางแผนให้พวกเรามาทั้งที่รู้ว่าจะมีเรื่อง?” ซิลมองหน้าเพื่อนตัวเองด้วยสายตาเย็นเฉียบ


“เอ่อ ฉันคากว่าคงมีเรื่องเกิดขึ้นแต่ไม่คิดว่าจะเป็นนี้...ตั้งแต่เริ่มงานฉันจัดคนคอยคุ้มกันอย่างแน่นหนาตั้งแต่ก่อนทางเข้าโรงแรมไปจนถึงด้านในแต่...”


“ไม่ได้ป้องกันบนอากาศ” ฮาเซลต่อประโยคสุดท้ายให้


“...อืม” คริสพยักหน้ารับผิด


“น่าจะบอกกันก่อน” ผมเห็นด้วยกับที่ฮาเซลพูดนะ สถานการณ์แบบนี้ก็ควรจะบอกเพื่อจะได้เตรียมป้องกันหรือระวังตัวไม่ใช่เพิ่งมารู้เอาป่านนี้ ถ้าไม่ใช่พวกเราที่มีประสามสัมผัสและฝีมืออยู่ละก็ไม่มีทางรอดออกมาจากห้องได้ในสภาพครอบ 32 แบบนี้หรอก


“ขอโทษที”


“พวกนั้นบุกมาทางเฮริคอปเตอร์อย่างเดียวรึเปล่า” ฮาเซลถามต่อ


“เปล่า บุกมาข้างหน้าด้วยแต่ด้านนั้นคนของฉันกำลังจัดการอยู่และคิดว่าคงเจาะเข้ามาด้านในไม่ได้”


“แปลว่าถ้าจัดการข้างในได้หมดทุกอย่างก็จบ” ซิลพูดบ้าง


“ใช่ เพราะงั้นเราสี่คนมาช่วยกันจัดการให้เสร็จเถอะ”


“แผนล่ะ”


“ไล่ไปทีละชั้น เจอศัตรูก็จัดการทิ้งซะ”


“...” ผมถึงกับเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ฟังแผนการอันแยบยล...


แยบยลที่ไหนเล่า!


เรียกว่าไม่มีแผนเลยมากกว่า


“เสี่ยงไป ต่อให้ไล่จัดการแต่จำนวนอาวุธที่ติดตัวไปได้มีจำกัด เราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีจำนวนเท่าไหร่ถ้าเกิดกระสุนหมดระหว่างนั้นทำให้พวกเราเสียเปรียบ” ซิลอธิบายช่องโหว่งของแผนการแสนจะแยบยลของคริส


“กระสุนหมดก็ใช้อย่างอื่นสู้สิ อย่าลืมนะว่าพวกเรากำลังอยู่ในคลังเก็บอาวุธของผู้ผลิตอาวุธอันดับหนึ่งของประเทศและเป็นอันดับต้นๆ ของโลกน่ะ” คริสยืนอกพูดด้วยความภูมิใจ


ผมว่าแล้วเชียวว่าทำไมถึงมีอาวุธมากขนาดนี้ในโรงแรม


คริสไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่คาด


มีทั้งผู้ผลิตอาวุธอย่างคริส


ผู้ค้าอาวุธอย่างฮาเซล


และผู้สื่อข่าวอย่างซิล


แถมแต่ละคนยังทรงอิทธิพลกันทั้งนั้น อยากถามเหลือเกินว่าไปสนิทกันได้ยังไง



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่11« 21/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 21-11-2018 11:10:30
(ต่อนะคะ)


“เรย์ คิดว่าไง” นิ่งไปสักพักฮาเซลก็หันมาขอความเห็นผม


“...ผมว่าการไล่จัดการทีละชั้นไม่ใช่แผนที่ดีเท่าไหร่เพราะพวกเราคงเหนื่อยตั้งแต่กลางทาง” จำนวน 40 ชั้นไม่ใช่น้อยๆ เลย ต่อให้เป็นผมจะให้วิ่งลงพร้อมจัดการทั้ง 40 ชั้นก็ขอบอกตรงนี้เลยว่าเป็นไปไม่ได้


“ฉันเหนื่อยตั้งแต่ 5 ชั้นแรกแล้ว” คริสเสริม


“เฮ้อ แล้วนายมีแผนอย่างอื่นไหม” ซิลถอนหายใจใส่เพื่อนตัวเองก็ถามต่อ


“แผนไม่มีหรอก แค่คิดว่าถ้ารวมอีกฝ่ายไว้ที่เดียวกันได้เราคงจัดการง่าย” ผมบอกตามที่คิดออกไป


“ความคิดดีนี่ แต่การจะรวมคงไม่ง่าย”


“ใช่” มันไม่ง่ายเลย


“แต่ก็ไม่ได้ยากสักเท่าไหร่” ซิลพูดต่อพร้อมยกยิ้มขึ้น


“มีแผน?” คริสหันควับไปมองหน้าซิลด้วยความหวัง


“ในเมื่อพวกนั้นมีเป้าหมายอยู่นี้หมอนี้เราก็ใช้เป็นเหยื่อล่อพวกมันมารวมกันแล้วจัดการ ง่ายๆ”


“ให้ฉันเป็นเหยื่อล่อ? ไม่ดีมั้งถ้าถูกยิงขึ้นมาจะทำไงเล่า ฉันไม่ได้เก่งกาจเหมือนพวกนายที่จะหลบกระสุนได้นะ”


“ไม่เก่งพวกหลบหลีกแต่ถ้าปะทะตรงๆ ก็ไม่ธรรมดานี่” คำพูดของฮาเซลทำให้รู้ว่าคริสเองก็มีความสามารถในการต่อสู้อยู่ไม่น้อยซึ่งผมก็คาดไว้แล้ว การทำธุรกิจระดับนี้หากไม่มีทักษะติดตัวคงอยู่ไม่รอดถึงปัจจุบันหรอก


“ถึงบอกให้ลุยทีละชั้นไง เหนื่อยก็พักไป”


“ระหว่างนายพักได้มีคนตายเพิ่มพอดี”


“...ก็ถูก แต่จะให้ใช้ลิฟต์ก็ไม่ใช่ ขืนถูกตัดสายได้ดิ่งตกกันแน่”


“น่าจะมีแผนอะไรที่ดีกว่านี้” ทั้งสามคนต่างเงียบลงราวกับกำลังพยายามคิดหาแผนการณ์


“ทำไมไม่ลองใช้กลลวงสักหน่อยล่ะ” ผมเสนอเผื่อทุกคนจะสนใจ


“กลลวง? คิดอะไรได้เรย์” ฮาเซลถาม


“ไม่จำเป็นที่คริสต้องออกไปล่อศัตรูเองแต่เราจะใช้เสียง”


“เสียง?”


“ที่นี่เป็นโรงแรม ผมคิดว่ามีเครื่องกระจายเสียอยู่แล้ว ดังนั้นเราก็แค่ทำเป็นว่าเป็นหนึ่งในคนของคุณแล้วบอกไปว่าคริสอยู่ไหนจากนั้นก็แค่ทำเป็นตกใจว่าเครื่องกระจายมันดังอยู่ อาจดูเป็นแผนตลกหลอกเด็กแต่เชื่อเลยว่าต้องมีไม่น้อยที่เชื่อ” ผมอธิบายแผนในหัวให้ทุกคนฟัง


จริงอยู่แผนนี้มันค่อนข้างจะดูเด็กและไม่แนบเนียนมีแค่ในนิยายที่เอาไปใช้กันทว่าในสถานการณ์คับขันที่หาตัวเป้าหมายไม่เจอฝ่ายศัตรูเองคงต้องเร่งรีบและกระสับกระส่าย ด้วยพฤติกรรมของมนุษย์ยามนั้นจะทำให้การตัดสินใจขาดความแม่นยำ


ผมเคยลองวิธีนี้มาก่อนเลยรู้ดี


“นายไม่ใช่บอดี้การ์ดสินะ” ซิลมองผมระหว่างถาม


“ตอนนี้ผมเป็นบอดี้การ์ด” แค่ตอนนี้น่ะนะ


“หึ เอาอย่างที่เขาบอก คริสโทรไปบอกพวกลูกน้องให้จัดการซะ”


“ได้เลย ระหว่างนี้ก็เลือกอาวุธกันได้ตามสบายเลย ใช้ได้ไม่อั้น” พูดจบคริสก็เดินไปโทรศัพท์ด้านข้าง


พวกเราอีกสามคนจึงแยกกันดูอาวุธภายในห้อง ทางผมเดินไปยังโซนของมีด กริซและอาวุธไร้เสียงอื่นๆ อีกมากมาย มีดสั้นเล่มสีเงินมีส่วนใบมีดบางเฉียบกว่ามีดปกตินั่นช่างดึงดูสายตานักฆ่าอย่างผมซะเหลือเกิน ผมหยิบมีดเล่มนั้นเหน็บไปยังเอวก่อนหันไปมองฮาเซลที่กำลังใส่กระสุนลงยังปืนสั้นสีดำสนิททั้งสองกระบอก ส่วนซิลเองก็กำลังเดินเลือกปืนอยู่เช่นกัน


เหมือนว่าทุกคนต่างชอบปืนมากกว่าอาวุธอื่นอาจเพราะด้วยพลังการทำลายและความปลอดภัยเนื่องจากระยะของการยิง ต่างจากผมที่ชินกับพวกมีดหรือลวดซึ่งเป็นการต่อสู้ระยะประชิดและไร้เสียงเหมาะกับการลอบจู่โจมมากกว่าให้ถือปืนเล็งยิงศัตรู แต่ใช่ว่าจะใช้ไม่คล่องหรอกนะ


“เลือกเสร็จแล้วเหรอเรย์” ฮาเซลถาม


“อืม” ผมพยักหน้าตอบ


“พกปืนไปสักกระบอกสิ” พูดจบก็ส่งปืนอีกกระบอกมาให้ผม


คงเห็นละมั้งว่าอาวุธที่ผมมีนั้นไม่ใช่ปืน


“ขอบคุณ” ผมรับปืนนั้นมาก่อนจับทำความคุ้นเคย กระบอกนี้เหมาะกับมือผมมาก


“ฉันเลือกได้ถูกใจใช่ไหมล่ะ”


“เซ้นส์อีกแล้วเหรอ” ผมยกยิ้มระหว่างถามกลับ


“ประมาณนั้น” ฮาเซลเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน


“ถ้าผมมีเงินเยอะๆ สิ่งแรกที่ผมจะซื้อคุณคิดว่าเป็นอะไร” ผมถามพลางเงยหน้ามองอีกฝ่าย


“หืม ขนมมั้ง”


“ผิด”


“เฉลยมา”


“เซ้นส์คุณ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมไม่รู้ว่าเซ้นส์ของฮาเซลใช้ได้กับทุกคนไหมแต่มันใช้กับผมได้ดีเหลือเกินซึ่งผมไม่ชอบเลยสักนิด


“โปรโมชั่นตอนนี้ซื้อเซ้นส์แถมร่างกายนะครับ”


“หึ รอหมดโปรโมชั่นผมค่อยซื้อละกัน” กวนมาก็ขอกวนกลับ


“ใจร้าย”


“ผมไม่เคยบอกนี่ว่าใจดี”


ถกเถียงกันได้สักพักการเตรียมการณ์ทุกอย่างก็เรียบร้อย ทุกคนล้วนได้อาวุธที่เหมาะมือมาคนละสองสามอย่างก่อนจะตรงไปยังสถานที่สำหรับวางกลยุทธ์ เมื่อมาถึงชั้น 30 เสียงจากเครื่องกระจายเสียงประกาศบอกว่าคริสอยู่ชั้น 30 ก็ดังขึ้น ระหว่างทางไม่มีการปะทะใดๆ เพราะพวกเราใช้บันไดหนีไฟเป็นทางผ่าน


“มากันเยอะเลยแฮะ” ฮาเซลพึมพำระหว่างลอบมองศัตรูที่พากันวิ่งมายังชั้น 30


ตอนนี้พวกเราแยกกันเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือซิลกับคริส...ทั้งสองคนจะจัดการตั้งแต่ด้านในสุดของชั้นส่วนผมและฮาเซลนั้นจะจัดการตั้งแต่ทางเข้าหรือก็คือหน้าบันได ลิฟต์และทางหนีไฟไล่ไปด้านใน อาจดูเหมือนเยอะแต่บันได ลิฟต์และทางหนีไฟนั้นอยู่ในบริเวณเดียวกันจึงทำให้สามารถดูได้ทั่วถึง


“รออีกหน่อยเถอะ” ผมกระซิบบอก จากเสียงฝีเท้ายังมีมาอีกเรื่อยๆ


“เคยใช่แผนนี้มาก่อนสินะ” อยู่ฮาเซลก็พูดขึ้น


“ใช่ เมื่อนานมาแล้ว”


“ไว้จบแล้วเล่าให้ฟังหน่อยนะ”


“ทำไมผมต้องเล่า?” ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังนี่


“เพราะอยากรู้”


“นั่นไม่ใช่เหตุผล”


“บอกหน่อยน่า”


“จบเรื่องค่อยว่ากัน ออกไปจัดการได้แล้ว” ผมบอกเมื่อเสียงฝีเท่าเงียบไป


“ระวังตัวด้วย”


“คุณเองก็ระวังด้วย” ผมบอกก่อนจะวิ่งออกจากมุมตรงไปยังบันไดแล้วก้มมองด้านบนว่างมีคนกำลังวิ่งลงมาอยู่อีกไหม
ด้านบนไม่มีก็เหลือด้านล่าง...


ปัง!


เสียงกระสุนดังขึ้นจากบันได้ด้านล่างพร้อมกับร่างของชายคนหลายคนวิ่งขึ้นมา โชคดีที่ผมเบี่ยงตัวหลบได้ทัน...ของกลมๆ ในกระเป๋าถูกหยิบขึ้นมาทำการดึงฉนวนแล้วคว้างลงไปตามบันได ทันทีที่ของนั่นลงไปถึงฝ่ายศัตรูเสียงแตกตื่นก็ดังขึ้นเช่นเดียวกับเสียงระเบิดและควันจำนวนมากที่แผ่ขึ้นมาด้านบน บอกก่อนนะว่านั่นไม่ใช่ระเบิดแต่เป็นระเบิดควัน


ผมไม่เสี่ยงใช่ระเบิดจริงภายในตึก 40 ชั้นหรอก


แว่นกันควันถูกสวมใส่ก่อนผมจะพุ่งตัวเข้าไปด้านในกลุ่มควัน เสียงแตกตื่นทำให้ผมกะระยะการโจมตีได้ง่ายจึงสามารถจัดการทั้งสี่คนในภายในเวลาอันรวดเร็ว พอกลับขึ้นมาผมก็ตามฮาเซลเข้าไปด้านในทว่าเท้าผมกลับหยุดชะงักเมื่อสังเกตถึงความผิดปกติบางอย่าง ความจริงก็ไม่ใช่สังเกตเห็นแต่เป็นอะไรบางอย่างดัง ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด


เสียงแบบนี้อย่างบอกนะว่า...


ผมเดินตามเสียงจนถึงด้านหลังของกระถางต้นไม้ วัตถุสี่เหลี่ยมมีหน้าปัดนับเวลาถอยหลังอยู่ที่10:12


“ระเบิด” ผมพึมพำเสียงเบา


งานเข้า!


และผมไม่คิดว่ามีแค่ลูกเดียวด้วย


เดี๋ยวนะ


ระเบิดนี่ต้องมีรีโมทบังคับอยู่ที่ใครสักคนแน่ แบบนี้ต้องรีบไปบอกฮาเซล


ผมวิ่งเข้าไปด้านในโดยใช้เสียงเบาที่สุดจนถึงห้องโถงห้องหนึ่ง ด้วยสัญชาตญาณผมเอาหลังแนบกับประตูพร้อมใช้หูฟังบทสนทนาด้านในทันที


“ลองยิงมาสิ ฉันจะกดให้ระเบิดทั้ง 10 ลูกทำงานพร้อมกัน!” เพียงประโยคเดียวก็สามารถอธิบายสถานการณ์ทุกอย่างได้


รีโมทที่ผมตามหาอยู่นั่น


“งั้นแกก็คงไม่รอดด้วย” เสียงของซิลดังขึ้น


ผมแอบมองไปยังด้านและพบกับกองเหล่าศัตรูที่ทรุดลงบนพื้นโดยตรงกลางมีคริส ฮาเซล ซิลและศัตรูอีกหนึ่งที่ถือรีโมทชูขึ้น


จัดการกันเร็วเกินไปแล้ว


บางทีผมก็ไม่เข้าใจนะว่าจะจ้างคนคุ้มกันหรือบอดี้การ์ดไปทำไมถ้าฝีมือดีกันขนาดนี้ แต่ไม่แน่ว่าอาจจ้างมาในสถานนี้ก็เป็นได้


ไม่สามารถขยับตัวหรือยิง แม้แต่การจะโต้ตอบก็ยังทำไม่ได้


ดูท่าแล้วผมคงต้องเป็นคนจัดการสินะ


ดวงตาสีม่วงลอบมองไปยังรอบๆ ห้องเพื่อสังเกตทุกสิ่งตั้งแต่ศัตรูบนพื้นไปจนถึงบนกำแพงว่ามีอะไรที่ดูน่าสงสัยอยู่ไหมแล้วก็พบเข้ากับระเบิดลูกใหญ่ที่ถูกติดตั้งอยู่บนกำแพง ถ้าให้เดาอีกฝ่ายคงเตรียมแผนมาแล้วว่าจะระเบิดจึงสร้างสถานการณ์ให้แตกตื่นเพื่อไม่ให้คิดได้ว่าเล็งการใช้ระเบิดไว้


“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจพร้อมหยิบมีดออกมาโดยสายตาเล็งไปยังมือข้างที่ชูขึ้น


ฉึก!


เพียงพริบตาของการขว้างมีดสีเงินก็ทะลุผ่านมือนั่นพร้อมรีโมทกระเด็นไปยังฮาเซล


“อ๊ากกก~!” เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและร่างที่ทรุดลงกับพื้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสงสารแต่เป็นปลงซะมากกว่า ผมไม่ค่อยจะใช้ปืนเพราะพวกเก่งๆ มักจะมีเซ้นส์หลังจากได้เสียงยิงจึงมีไม่น้อยเลยที่สามารถหลบกระสุนได้ แต่ถ้าเป็นมีดหากไม่ได้มองอยู่ก็หลบไม่พ้นหรอก


“รีบหยุดระเบิด!” ผมก้าวเข้าไปพร้อมตะโกนบอก


“เล็งแม่นนะเรย์” ฮาเซลเอ่ยชมหลังมองมีดเล่มบางบนฝ่ามืออาบเลือดด้านล่าง


“นิดหน่อย” ผมค่อนข้างมั่นใจเวลาปามืดมากกว่ายิงปืน


คงเพราะใช้บ่อยละมั้ง


“เรย์หมอบลง”


ปัง!


ปัง!


เสียงตะโกนของฮาเซลดังขึ้นก่อนเสียงปืนเพียงเสี้ยววินาทีแต่นั่นก็นานพอให้ผมหมอบลงตามคำพูดนั่นโดยไม่มีความลังเล ผมหันกลับไปมองยังประตูห้องโถงที่ตอนนี้มีศัตรูมาเพิ่มอีก 5 คนแถมถือปืนกันอยู่ครบ


“ยังไม่หมดเหรอเนี่ย” คริสบ่น


“ห้องนี้ไม่มีที่หลบด้วย” ซิบพึมพำต่อ


“ไม่จำเป็นต้องหลบนี่” ผมพูดบ้าง


“เฮ้! คิดจะทำอะไรน่ะเรย์” ฮาเซลพูดเมื่อเห็นผมพุ่งตัวไปด้านหน้า


“ผมจะล่อให้ จัดการคนละนัดก็จบแล้ว” ผมบอกพร้อมวิ่งตรงไปด้านหน้า


ปัง!


ปัง!


ดวงตาสีม่วงของผมมองดูฝ่ายศัตรูทั้ง 5 คนราวกับล๊อคเป้าหมายไว้ เพียงการขยับนิ้วเหนี่ยวไกเล็กน้อยก็ทำให้ผมหลบได้ไม่ยากเพราะเสียงปืนดังเพียงสองนัดเท่านั้น


ปัง!


ปัง!


เสียงปืนอีกสองนัดดังขึ้นจากด้านหลังซึ่งไม่ต้องหันไปก็เดาได้ว่าเป็นใคร การเล็งอันแม่นยำทำเอาอีกฝ่ายล้มลงแทบจะทันที เมื่อเห็นท่าไม่ดีอีกสามคนที่เหลือก็เตรียมจะเล็งปืนใส่ผมพร้อมกันทว่าผมเข้ามาถึงในระยะโจมตีแล้ว มีดอีกเล่มถูกหยิบขึ้นมาและกรีดยังบริเวณลำคออย่างแม่นยำในจังหวะเดียวกับหมุนตัวใช้เท้ากระโดดถีบคนข้างๆ ได้อีกหนึ่ง


ปัง!


เสียงปืนนัดสุดท้ายคือสัญญาณของการจบการต่อสู้นี้ลง แน่นอนว่าฝ่ายชนะคือพวกผม...แม้จะมีจำนวนน้อยกว่าก็ใช่กว่าจะแพ้เสมอไป ทุกอย่างมันอยู่ที่การวางแผน ฝีมือและประสบการณ์


“เรย์ อย่าวิ่งเข้าหาปืนแบบนั้นอีกเข้าใจไหม!” ฮาเซลก้าวยาวๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าผมพร้อมเสียงบ่น


“ถ้าผมไม่ล่อ พวกเราอาจตายกันหมด” เพราะผมพุ่งเข้าไปอีกฝ่ายจึงเปลี่ยนเป้าจากเล็งทุกคนมาเป็นผมคนเดียวนั่นทำให้คนที่เหลือสามารถเล็งได้ง่ายขึ้น


“ถึงแบบนั้นก็อันตราย”


“ผมไม่ได้อ่อนแอ” ผมเงยหน้าสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองตรงๆ คำพูดของฮาเซลเหมือนจะบอกว่าผมอ่อนแอ


“ฉันไม่ได้คิดว่านายอ่อนแอ ก็แค่...บ้าเอ้ย!” ฮาเซลสะบัดหัวแรงก่อนจะคว้าตัวผมเข้าไปกอดไว้แน่น


“ฮาเซล ทำอะไรน่ะ ปล่อย!” ผมพยายามดิ้น


“ไม่”


“ฮาเซล!”


“ฉันไม่เคยคิดว่าเรย์อ่อนแอ เพียงแค่เป็นห่วงเท่านั้น...เป็นห่วงจริงๆ” คำพูด แรงสัมผัสและไออุ่นจากร่างกายทำให้ผมเงียบลง


คำว่าเป็นห่วง


ฮาเซลเป็นคนแรกที่มอบให้


เขาเป็นคนแรกของหลายๆ อย่างสำหรับผมที่อยู่มาเพียงลำพัง


เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าฮาเซลอันตราย


ใช่...เขาอันตราย อันตรายมากกับหัวใจของผม


อยากจะรีบจบงานนี่สักที...ก่อนที่อะไรบางอย่างมันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

.............................................

สวัสดีค่า

ตอนนี้บู๊แบบจัดเต็ม จัดหนัก แทบไม่มีให้ได้หยุดพักกันเลยทีเดียว

แต่งเองก็รู้สึกสนุกเอง ชอบมากเลยเวลาได้เห็นเรย์ต่อสู้

หวังว่าทุกคนจะชอบเช่นกันนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจค่ะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊าบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่11« 21/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-11-2018 14:00:25
เป็นการออกกำลังกายก่อนนอนที่ดุเดือดมาก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่11« 21/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 24-11-2018 00:49:06
ตอนนี้ดุเดือดมาก เรย์เริ่มหวั่นไหวกับฮาเซลแล้ว
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่11« 21/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-11-2018 10:25:25
เก่งสุดดดด
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่12« 28/11/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 28-11-2018 16:41:15
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่12



เสียงฝีเท้าเหยียบลงบนพื้นจนเกิดเสียงก้องกังวานในระยะใกล้ส่งผลให้สติที่ดับวูบค่อยๆ กลับเข้าร่างทีละนิด ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์สีน้ำตาลปรือขึ้นโดยไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวซึ่งอาจสร้างพิรุจ ภาพแรกยามดวงตาลืมขึ้นคือพื้นคอนกรีดและกลิ่นของเหล็กลอยอยู่รอบๆ


มือทั้งสองข้างถูกจับมัดไพร่หลังไว้กับเสาเหล็กด้านหลังอย่างแน่นหนาในสภาพนั่งทรุดอยู่บนพื้นซึ่งด้านข้างมีน้ำนองอยู่เช่นเดียวกับปากที่ภายในถูกผ้าขึงมัดไว้ให้สามารถเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือได้


ความทรงจำก่อนหน้านี้ทยอยปรากฏขึ้นคล้ายกับจะหาถึงสาเหตุของการมาอยู่ตรงนี้...


จำได้ว่าผมและฮาเซลกลับจากการร่วมประชุม MG เมื่อหลายวันก่อนพร้อมกับข่าวอันน่าตกใจที่มากส์กับแซมถูกลอบทำร้ายจนบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาล สภาพร่างกายของทั้งคู่อาจปลอดภัยรอดพ้นจากความตายมาได้ทว่ากลับต้องรักษาตัวอยู่หลายวันถึงจะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้


ฮาเซลเองดูร้อนรนรีบถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และคำตอบพวกนั้นไม่เพียงแค่ทำให้ผมนิ่งไปแต่ฮาเซลถึงกับแผ่รังสีความโกรธปนโมโหออกมาเต็มห้องจนบอดี้การ์ดคนอื่นถอยหนีกับไปรวมอยู่มุมห้อง คงจำเหตุการณ์ตอนฮาเซลเกือบถูกเล็งยิงด้วยปืนไรเฟิ้ลได้สินะ จากการสอบสวนและสอบปากคำอย่างยาวนานในที่สุดหมอนั่นก็ยอมเปิดปากเรื่องสถานที่แห่งหนึ่งขึ้นมา พวกมากส์เลยพาบอดี้การ์ดเข้าไปตรวจสอบก่อนจะพบว่านั่นเป็นกับดังที่ไม่รู้ว่าวางแผนไว้ตั้งแต่ตอนไหน ทั้งคู่ถูกอีกฝ่ายที่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นใครละดมยิงจนต้องรีบถอยออกมา


แม้จะถอยออกมาได้ทางฝ่ายนั้นก็กัดไม่ปล่อยคว้างระเบิดมือมายังรถจนพุ่งตกทะเล โชคยังดีที่ทั้งคู่สามารถจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยมจึงได้มานอนพักอยู่ในโรงพยาบาลแบบนี้


ผมรู้ถึงชะตาของตัวการณ์ให้ข้อมูลเลยว่าต้องเจอกับจุดจบแบบไหน ฮาเซลอาจเหมือนคนกวนประสาทไม่สนใจใครแต่เมื่อลูกน้องคนสนิทโดนแบบนี้เข้าคงไม่อยู่เฉย


ไม่รู้ว่าฮาเซลคิดจะทำอะไร ที่แน่ๆ คือเขาออกไปคุยอะไรสักอย่างกับใครบางคนที่ดูแล้วคนไม่ใช่บุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน หลายวันต่อมาผมซึ่งได้รับหน้าที่จากแซมและมากส์ให้ดูแลฮาเซลอย่างใกล้ชิดก็เดินตามอีกฝ่ายเข้ามายังโรงพยาบาลเหมือนเช่นทุกวัน และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นขณะผมเผลอเพียงเสี้ยววินาทีตอนมีรถเข็นฉุกเฉินวิ่งตรงมาตามทาง ความเจ็บแปล๊บบริเวณศีรษะแล่นเข้ามาก่อนสติก็ดับวูบไปอย่างรวดเร็ว


พอตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ที่นี่ซะแล้ว


ผมบังคับลมหายใจตัวเองให้ช้าลงเหมือนตอนหมดสติเพื่อไม่ให้ฝ่ายศัตรูจับได้ว่าผมมีสติกลับมาแล้ว เสียงฝีเท้าโดยรอบดังก้องอยู่ในหัวพร้อมพร้อมกับเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์


จำนวนมีเยอะ...ไม่ใช่เยอะธรรมดาแต่เป็นเยอะมาก


ฟังดูแล้วก็หลายสิบคู่ มีทั้งเดิน ทั้งวิ่งหรือแม้แต่นั่งใช่เท้าเคาะกับตู้คอนเทนเนอร์


อย่าบอกนะว่าคือแหล่งกบดานน่ะ


งานเข้าของแท้!


เดี๋ยวก่อนสิ มีบางอย่างที่ต้องหาคำตอบให้เจอก่อนจะตัดสินใจต่อว่าจะทำยังไง ทำไมถึงจับตัวผมมาแถมยังแบบมีลมหายใจ ถ้าเป็นผมหลังทำให้สลบคงปลิดชีวิตอีกฝ่ายทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาหาเชือกมามัด ความจริงคือควรฆ่าซะแต่แรกไม่ใช่มาเก็บไว้แบบนี้


นั่นแปลว่าต้องมีอะไรบางอย่าง


สาเหตุอะไรบางอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายละชีวิตผมไว้


แต่มันคืออะไรล่ะ


รอบกายมีแสงไฟส่องสว่างเป็นจุดๆ หมายความว่าตอนนี้อยู่ในช่วงกลางคืน ฮาเซลตอนนี้คงรู้แล้วว่าผมหายไป


เอาเถอะ


ตอนนี้ต้องคิดถึงสถานการณ์ตรงหน้าก่อน ในเมื่อหาเหตุผลของการไว้ชีวิตไม่เจอก็เหลือแค่ทางเดียวคือถามเอาจากปากศัตรูตรงๆ


“อึก...” ผมแกล้งสะดุ้งตัวพร้อมส่งเสียงออกไปเบาๆ ไม่กี่วิต่อมาใบหน้าก็เงยขึ้นสอดส่องสายตาไปรอบๆ ด้วยอาการแสร้งทำเป็นตื่นตระหนก


นี่เป็นโอกาสให้ผมได้สังเกตสถานที่แห่งนี้มากขึ้น ไล่ตั้งแต่ด้านข้างทั้งสองฝากเต็มไปด้วยตู้คอนเทนเนอร์เรียงรายอยู่เต็มพื้นที่ชั้นเดียวบ้าง สองชั้นบ้าง สามชั้นบ้าง โดยแต่ละตู้คอนเทนเนอร์ผมเห็นแสงสว่างที่ลอดมาจากด้านในหมายถึงพวกนี้ใช้ตู้คอนเทนเนอร์เป็นที่อยู่ มองดูรอบๆ ได้ราวสองครั้งในสมองทำการวิเคราะห์และประมวลอย่างรวดเร็วจนได้คำตอบว่าที่นี่คือโกดังขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ติดทะเลเนื่องจากพอเอี้ยหูฟังแล้วได้ยินเสียงคลื่น


บุคคลหลายสิบชีวิตมีรูปร่างแตกต่างกันไปตั้งแต่บอบบางไปจนถึงกำยำ ส่วนมากจะรูปร่างกลางๆ ซะมากกว่า ไม่ใช่รูปร่างที่ทำให้ผมรู้สึกหวาดหวั่นแต่เป็นกล่องลังไม้ด้านข้างหลายสิบลังต่างหาก ฝาของลังไม้กล่องหนึ่งถูกเลื่อนออกจนเห็นอาวุธปืนถูกวางอยู่ภายใน และอาวุธปืนคงไม่ใช่เพียงอย่างเดียว ที่อยู่ในลังนั่น


นี่มันเป็นคลังอาวุธชัดๆ คิดจะก่อการร้ายระดับไหนกันถึงได้ต้องตุนอาวุธไว้มากขนาดนี้


“โอ๊ะ เหมือนคนที่จับมาจะฟื้นแล้วนะเหว่ย” น้ำเสียงร่าเริงกับใบหน้านวลของหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมดังขึ้นพลางกวักมือเรียกใครบางคน


“อย่าเสียงดังไปเปอร์” ชายชื่อเหว่ยเดินมาจากในมุมมืด รูปร่างสูงสมส่วนกับใบหน้าคมนั่นดูคล้ายพวกมหาเศรษฐีของประเทศไหนสักที่


“พวกคุณเป็นใคร” ผมเอ่ยถามออกไปตามตรงในขณะใช้สายตาจับจ้องไปยังอีกฝ่ายเพื่อสังเกตทุกการเคลื่อนไหว


“เรื่องนั้นบอกไม่ได้” คนชื่อเหว่ยตอบ


“...จับผมมาทำไม” เมื่อคำถามแรกใช้ไม่ได้เลยยิงอีกคำถาม


ผมต้องการข้อมูลมากกว่านี้ ดังนั้นจึงควรหาเรื่องพูดคุยต่อเผื่อจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่ม


“ลูกน้องของฮาเซลนี่โง่ขนาดนี้เลยเหรอ” ถ้อยคำสบประมาทจากชายหนุ่มในวัยเดียวกันอาจทำให้หลุดความหงุดหงิดออกไปได้ง่ายๆ ทว่าผมควบคุมตัวเองให้อยู่อย่างสงบนิ่งไม่ไปต่อปากต่อคำ


“ถึงจะเป็นลูกน้องแต่เพิ่งมาอยู่ได้ 6 เดือนเองนี่” ประโยคนั่นทำให้คิ้วผมเริ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย


การเคลื่อนไหวของฮาเซลถูกจับตามองอยู่ตลอดตั้งแต่ก่อนผมจะเข้ามาเป็นหนึ่งในบอดี้การ์ด


ไม่อยากเชื่อว่าจะสามารถจับตาดูได้โดยไม่มีใครรู้สึกตัวแม้แต่ผมที่ค่อนข้างมั่นใจเรื่องประสาทสัมผัสของตัวอยู่พอสมควรยังไม่เอะใจเลยว่าถูกจับตามองมาตลอด 6 เดือนแบบนี้


ไม่สิ ใจเย็นก่อน


การจะจับตาดูโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวไม่ใช่สิ่งยากขนาดนั้น การจับตามองในระยะใกล้มีความเสี่ยงสูงในการถูกจับได้ดังนั้นถ้าต้องการเพิ่มความปลอดภัยก็แค่เว้นระยะให้ห่างขึ้น แปลว่าถึงภาพรวมจะถูกจับตาแต่ก็ไม่มีข้อมูลชัดเจนอย่างเรื่องบทสนทนา


เรื่องที่ผมเป็นนักฆ่าเองคงยังไม่ถูกเปิดเผยเพราะผมค่อนข้างมั่นใจว่าทุกครั้งก่อนจะทำอะไรสังเกตรอบด้านอยู่เสมอ อีกอย่างคนธรรมดาไม่มีทางจับตามองการเคลื่อนไหวในระยะไกลได้...เมื่อนำข้อมูลมารวมกันทุกอย่างก็เริ่มปะติดปะต่อ...คนกลุ่มนี้เป็นนักฆ่าเหมือนผมไม่ก็ต้องเป็นสายลับ


“...พวกคุณเป็นนักฆ่า?” ผมพูดเสียงเบาหวิวพร้อมแกล้งทำดวงตาให้สั่นระริกคล้ายหวาดกลัว การจะหลอกหาข้อมูลจะทำได้ง่ายสุดต่อเมื่อทำให้อีกฝ่ายเห็นว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า เพียงทำเป็นหวาดกลัวเดี๋ยวข้อมูลอะไรๆ ก็จะปรากฏขึ้นมาเอง


“โอ้...เริ่มฉลาดแล้วนี่”


ผมยกยิ้มมุมปากเมื่อได้รับคำตอบ


ว่าแล้วเชียว หากเป็นอาชีพเดียวกันคงไม่ง่ายในการจับสัมผัส


“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอก ในเมื่อยังไม่มีคำสั่งให้กำจัดนายพวกเราก็ไม่คิดจะให้มือเปื้อนเลือดหรอก” คนชื่อเปอร์อธิบายด้วยรอยยิ้มยามเห็นร่างกายผมเริ่มสั่นน้อยๆ


นักฆ่าส่วนมากก็เป็นแบบนี้ ถึงจะมีฝีมือในการฆ่าแต่พวกเราก็ไม่ได้อยากนองเลือดใครโดยไม่จำเป็น หากพบกันในรูปแบบอื่นผมอาจจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับอีกฝ่ายก็เป็นได้


“คำสั่งนั่นมาจากคนที่จ้องเล่นงานฮาเซลอยู่ในช่วงนี้สินะ” ผมลองหยอดเผื่ออีกฝ่ายจะเปิดปากกว่านี้


อยากรู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร


ใครกันที่จ้องเล่นงานฮาเซลอยู่


“เดาได้ดี พวกนายคงกำลังตามสืบอยู่สินะแต่เสียใจด้วยที่ต่อให้สืบไปอีก 10 ชาติก็คงไม่เจอคำตอบ”


“หมายถึงอะไร” จะบอกว่าไม่มีทางรู้ว่าใครเป็นตัวการงั้นเหรอ


“คุณเหว่ย เจ้านายติดต่อมาบอกว่ากำลังจะมาที่นี่!” เสียงตะโกนของชายบนตู้คอนเทนเนอร์ด้านข้างสร้างความสนใจให้กับทุกคนโดยรอบ


“มาด้วยตัวเอง?”


“ใช่ อีกเดี๋ยวคงถึง พวกเราต้องเตรียมทำอาหารไหม?” ไม่รู้ว่าเป็นการเล่นตลกหรือจริงจังแต่ถ้าจริงจังคงเป็นภาพที่น่าดูไม่น้อย กลุ่มนักฆ่าหลายสิบคนนั่งหั่นผัก ทอดปลาเตรียมจัดโต๊ะสำหรับมื้ออาหาร


ถึงไม่ต้องถามต่อผมก็ปักใจเชื่อทันทีว่าพวกนี้เป็นกลุ่มนักฆ่าไม่ใช่เพียงแค่คนหรือสองคน และยิ่งแน่ใจมากขึ้นเมื่อเห็นทักษะการเคลื่อนไหวของชายด้านหน้าที่ใช้เท้ากระโดดม่วนตัวขึ้นไปยังด้านบนของตู้คอนเทนเนอร์ก่อนจะตบหัวคนเอ่ยถึงการทำอาหารก่อนหน้านี้จนหัวทิ่ม


“มีเวลามาทำอาหารที่ไหนเล่า!”


“ผมแค่พูดเล่นเอง”


“นายน่ะดูหายกลัวแล้วนี่ ปรับตัวได้เร็วดี” เหว่ยพูดระหว่างมองสำรวจผมตั้งแต่ใบหน้า


แย่ล่ะดันทำตัวนิ่งเร็วเกินไป หวังว่าจะไม่ถูกจับได้นะ


“...ขอบคุณ”


“ฉันจะบอกอะไรให้สักอย่างนะ พวกเราเป็นกลุ่มนักฆ่ารับจ้างซึ่งทำงานในเงามืดหากมีใครเห็นตัวจริงของเราก็ไม่อาจไว้ชีวิตได้” ความหมายคือต่อให้ผู้ว่างจ้างบอกให้ปล่อยผมก็อาจทำทีเป็นปล่อยก่อนจะตามเก็บในอีกไม่กี่ก้าวสินะ


เรื่องนี้ผมเข้าใจดี


สำหรับนักฆ่าการถูกล่วงรู้ใบหน้าก็เปรียบเหมือนการพ่ายแพ้ทั้งที่ยังไม่ต้องสู้ ดังนั้นการทำงานทุกครั้งจึงต้องทำการปกปิดตัวเองไม่ว่าจะกับผู้ว่าจ้างหรือฝ่ายศัตรูก็ตาม


“งั้นทำไมถึงไม่ปกปิดไว้ล่ะ” ผมถามกลับ ถ้าเป็นแบบนั้นควรแต่งหน้าปกปิดไม่ใช่โชว์หน้าหลาทั้งที่ผู้ว่าจ้างกำลังมา


คงไม่บอกนะว่าเสร็จงานก็จะฆ่าผู้ว่าจ้างด้วยน่ะ


“กับคนคนนั้นไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร” น้ำเสียงแสดงถึงความจงรักภักดีจนผมได้แต่ทำหน้านิ่งอย่างไม่เข้าใจ


อะไรที่ทำให้อีกฝ่ายเชื่อใจได้ขนาดนั้นกัน


ผ่านไปหลายสิบนาทีประตูด้านหน้าโกดังก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงใหญ่และกำยำของชายคนหนึ่งเดินเข้ามา เหล่านักฆ่ารับจ้างหลายสิบคนพากันก้มหัวให้ตลอดทางจนอีกฝ่ายมาหยุดอยู่ตรงหน้า แสงไฟด้านข้างช่วยให้ผมเห็นใบหน้าคมเข้มที่ดูเลยวัยหนุ่มไปค่อนข้างเยอะได้อย่างชัดเจน และเมื่อได้เห็นใบหน้านั่นเต็มตาขนทั้งร่างต่างพากันลุกตั้งชันด้วยความตกตะลึง


ไม่อยากเชื่อว่าจะได้เห็นใบหน้านั่นอีกครั้ง ไม่สิ ต้องบอกว่าทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่?!


คิง จามาน่า ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในคานทั้งสามต้นของประเทศนี้ก่อนหน้าฮาเซล กอนซาเลสจะขึ้นครองตำแหน่ง ว่าง่ายๆ คือชายคนนี้คือบุคคลระสูงผู้ทรงอิทธิพลในแวดวงมืดอย่างค้าแรงงานตั้งแต่ระดับหัวกะทิไปจนถึงแรงงานระดับต่ำ เพียงค้าแรงงานคงไม่ทำให้ขึ้นไปอยู่บนคานมหาอำนาจได้ง่ายๆ แต่เพราะลูกน้องของเขาต่างเป็นนักฆ่าฝีมือเยี่ยมหาใครต่อกร


ช่วงที่คิง จามาน่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลอยู่คือก่อนหน้านี้ประมาณ 7 ปี มีข่าวลือออกมาว่าหนึ่งในสามคานหลักของประเทศถูกลอบสังหารซึ่งแทบไม่มีใครเชื่อข่าวลือนั่นเนื่องจากรู้กันดีถึงพรรคพวกนักฆ่าฝีมือเยี่ยม นักฆ่าธรรมดาไม่มีทางเทียบฝีมือของพวกเขาได้ แต่แล้วหลังจากข่าวนั่นถูกปล่อยออกมาคิง จามาน่าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


ไม่มีใครรู้ถึงสาเหตุหรือเรื่องราวใดๆ


รู้เพียงว่าอยู่ๆ ก็หายไป


และไม่กี่วันต่อมาฮาเซล กอนซาเลสได้ถูกยกให้เป็นหนึ่งในคานมหาอำนาจทั้งสามของประเทศ แต่แล้ว 7 ปีผ่านไปชายผู้หายสาบสูญกลับมายืนอยู่ตรงหน้าผมโดยรวมกลุ่มนักฆ่ามืออาชีพหมายจะจัดการฮาเซล เรื่องนี้มันเป็นยังไงกันแน่เนี่ย


“ทำหน้าแบบนั้นคงรู้สินะว่าฉันเป็นใคร” น้ำเสียงแหบกร้านดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือแข็งๆ ที่เชยคางผมขึ้นไปด้านบนจนสามารถสบสายตากับอีกฝ่ายได้ ดวงตาสีควันบุหรี่กับบริเวณหัวที่ไร้เส้นผมนั่นเป็นคิง จามาน่าตัวจริง


“...คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักคุณ” ผมบอกไปตามตรง


“หึ ตอบได้ดี ไอ้ฮาเซลคงปลื้มแกน่าดูเลยสิเพิ่งเข้าใหม่ดันได้ติดตามใกล้ชิดขนาดนั้น”


“...” ผมเงียบไม่ตอบอะไรกลับไป ยังไงประโยคนั่นก็ไม่ใช่ประโยคคำถามอยู่แล้ว


“เหว่ย ใครจะเป็นคนทำตามแผนที่ฉันให้ไป” คิง จามาน่าปล่อยมือจากคางผมก่อนจะหันไปถามคนด้านข้าง


“เปอร์ครับ ด้วยรูปร่างที่คล้ายกันประกอบกับทักษะ ความสามารถของเขาจะทำให้ภารกิจประสบความสำเร็จแน่นอนครับ” เหว่ยตอบเจ้านายแล้วดันร่างเปอร์ให้มาอยู่ตรงหน้า


“จับมันยืนขึ้น” คิง จามาน่าชี้มายังผม ชายสองคนที่อยู่ไม่ไกลรีบเข้ามากระชากร่างผมให้รีบลุกขึ้นจนข้อมือที่ถูกจับไพร่หลังเสียดสีไปกับราวเหล็กจนต้องข่มความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น


“โอ๊ย!...” แม้จะข่มความเจ็บปวดได้แต่ผมเลือกส่งเสียงร้องออกไปให้ดูเป็นธรรมชาติ ศีรษะผมโครงเครงเล็กน้อยซบเข้ากับไหล่ชายคนด้านขวา ชายคนนั้นออกแรงผลักหัวผมออกในจังหวะเดียวกับของชิ้นเล็กตกใส่มือพอดิบพอดี ในมือผมไม่มีอะไรมากนอกจากเส้นผมเส้นเรียวเล็กของตัวเอง


อาจดูเหมือนของไร้ประโยชน์แต่เชื่อไหมว่าผมสามารถหลุดจากการมัดนี้ได้โดยใช้เส้นผมเพียงเส้นเดียวจัดการเชือกที่มัดอยู่ได้


“อืม รูปร่าง ส่วนสูงเหมือนกันแป๊ะ ผิวเองก็สีเดียวกัน...ถ้าปลอมตัวสักหน่อยคงแยกไม่ออกว่าใครเป็นตัวจริง” คำพูดจากคิง จามาน่าดูพอใจกับการมองร่างผมกับชายหนุ่มชื่อเปอร์สลับกันไปมา


“เรื่องการปลอมตัวผมมั่นใจว่าไม่มีใครเทียบ รับรองว่าจะไม่ทำให้หัวหน้าผิดหวังครับ” เปอร์พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ


“เหรอ แต่ฉันว่ามีคนที่เก่งกว่านะ...ยมทูตแห่งความตาย” ทั้งโกดังตกอยู่ในความเงียบหลังจากชื่อยมทูตแห่งความตายถูกเอ่ยออกมาแม้แต่ตัวผมยังเผลอเกร็งร่างขึ้นโดยอัตโนมัติ


ยมทูตแห่งความตาย


ฉายาของผมเอง


ที่มาของฉายาก็ตรงตามชื่อ ทุกงานที่ได้รับมอบหมาย ทุกภารกิจที่ต้องการให้ทำ ทุกการปลอบตัวที่ไม่มีสามารถแยกหรือจดจำได้ อีกอย่างคืออัตราความสำเร็จของภาระกิจ 100 เปอร์เซ็น ไม่มีงานไหนที่ผมพลาด ทุกอย่างทำโดยคนเพียงคนเดียวไม่มีพรรคพวกหรือคนสนับสนุน


ถือมีดราวกับเคียว เก็บเกี่ยวชีวิตของอีกฝ่ายราวกับผู้มาปลดเปลื้องกายหยาบด้วยภาพลักษณ์อันทรงเสน่ห์เย้ายวนทั้งชายและหญิง


นั่นจึงเป็นที่มาของฉายายมทูตแห่งความนี้


ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้งแต่ผมว่ามันก็เหมาะดี


ถ้าเจอก็อยากจะขอบคุณคนตั้งฉายานี่ให้สักหน่อย


“เรื่องของยมทูตแห่งความตายพวกเราเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน” เหว่ยเอ่ยหลังจากนิ่งเงียบมาสักพัก


“ฉันเองอยากจะได้เจ้านั่นมาร่วมด้วยแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงไม่มีการตอบรับภารกิจทางเมล” คนฟังอย่างผมเบิกตากว้างเมื่อนึกได้ว่าตลอดการมาเป็นบอดี้การ์ดให้ฮาเซลนั้นทำให้ไม่ได้เปิดดูเมลเลยสักครั้ง


เรียกว่าลืมก็ไม่ผิดซะทีเดียว


แต่ใครจะคิดละว่ามีงานมาจากคิง จามาน่า ถึงเปิดเมลดูความเป็นไปได้ที่จะรู้ว่าผู้ว่าจ้างเป็นใครก็แทบเป็นศูนย์ยกเว้นเมลจากคิง จามาน่าซึ่งจะมีตัวอักษรเป็นเหมือนสัญลักษณ์พิเศษที่ในหมู่นักฆ่าต่างรู้จักกันดี


“ไม่แน่ว่าอาจตายไปแล้ว” เหว่ยเสนอความเห็นที่ทำเอาผมแสดงสีหน้าตึงๆ ออกไปก่อนจะรีบเปลี่ยนกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว


“หึ ก็ไม่รู้สิแต่ถ้าตายง่ายๆ แบบนั้นฉันก็ไม่ต้องการ” คิง จามาน่าพูด


ผมเองก็ไม่คิดจะรับงานง่ายๆ หรอกนะ


“ครับ เพราะงั้นเจ้านายเชื่อใจพวกเราได้เลย เปอร์ถูกฝึกมาอย่างดีรับรองว่าต้องลอบสังหารฮาเซลสำเร็จแน่” ผมหรี่ตามองร่างของเปอร์ที่อยู่ตรงหน้าก่อนสำรวจ ไม่ว่าจะเป็นส่วนสูง รูปร่าง สีผิวก็เป็นอย่างที่อีกฝ่ายบอกคือคล้ายผมมากถ้าเพิ่มทักษะในการปลอมตัวเข้าไปคงเหมือนจนแยกไม่ออก


“ฝึกมาดีก็ใช่ แต่ปัญหาคือคนที่ต้องสวมรอยเป็นผู้มาใหม่ที่แทบไม่มีข้อมูล ไม่รู้ว่าเป็นคนขององค์กรไหนถึงสามารถปกปิดตัวตนได้แต่ในสถานการณ์นี้คงรู้นะว่าถ้าไม่ทำตามจะเกิดอะไร” พูดจบเท้าหนักๆ ก็ตรงเข้ายังหน้าท้องผม


“อุ๊ก!...” ความเจ็บแล่นเข้าสู่หัวพร้อมร่างกายที่แทบจะทรุดลงพื้นถ้าไม่ยันกายไว้


“ยอมทำตามดีๆ จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว...หรือว่าชอบความเจ็บปวดล่ะ” ไม่พูดเปล่าคิง จามาน่าดึงเส้นผมสีดำของผมขึ้นแรงจนเหมือนหนังหัวจะหลุด


ดีนะที่ช่วงนี้ผมเลือกที่จะไม่ใช้วิก ขืนใส่วิกแล้วถูกดึงขนาดนี้ความคงแตกกันพอดี


“...ต้องการอะไร” ผมถามด้วยใบหน้าเจ็บปวด


“ข้อมูลของตัวแก ทุกอย่าง ไม่ว่าจะคำที่ใช้เรียกไอ้ฮาเซล นิสัยหรือแม้แต่ของกินที่ชอบ คายออกมาให้หมดซะ” มือหยาบยังคงดึงเส้นผมสีดำขึ้นก่อนจะออกแรงกระแทกหัวผมกับเสาด้านหลัง


“อึก...เข้าใจแล้ว ผมจะบอก”


“อ้อ...ถ้าคิดจะโกหกเตรียมตัวตายได้เลย เหว่ยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาแค่การโกหกดูออกแน่” อีกฝ่ายขู่อีกรอบ มือหยาบถูกเปลี่ยนจากเส้นผมสีดำมาบีบคางแรงๆ ทีนึงก่อนปล่อยผมให้เป็นอิสระ


“โอ๊ย!” ผมร้องออกมาเบาๆ


“เหว่ย จัดการเรื่องนี้แล้วรายงานผลมา”


“ครับเจ้านาย”


“แกด้วย จำไว้ว่าต่อให้ตายก็ต้องแทงไอ้ฮาเซลให้ได้สักแผล” สั่งการเหว่ยเสร็จก็หันไปพูดกับเปอร์ต่อ


คิง จามาน่าคุยกับพวกเหว่ยต่ออีกไม่กี่ประโยคเสียงโทรศัพท์ดังแทรกพร้อมกับร่างของผู้คุ้มกันเดินมาจาด้านนอก เจ้านายอย่างคิง จามาน่าหันไปมองผู้มาใหม่สักพักพร้อมพยักหน้าเดินออกจากโกดังไป จากนั้นชายชื่อเปอร์หันหลังเดินจากไปก่อนจะกลับมาในอีกไม่กี่นาทีต่อมาพร้อมกล่องอุปกรณ์ปลอมตัวและแต่งหน้า


“เอาล่ะ นั่งดีๆ ให้ฉันมองหน้านายตรงๆ” คอนแทคเลนส์สีน้ำตาลออกเข้มถูกหยิบออกมาจากกล่องคอนแทคเลนส์ที่ดูแล้วน่าจะมีอยู่หลายสิบสี


ของครบเลยนี่


ผมเองมีคอนแทกเลนส์อยู่ทุกสีเช่นเดียวกัน สีตาไม่ใช่มีเพียงสีฟ้า น้ำตาล เขียว ทองหรือดำแต่ยังมีโทนสีที่ต่างกันไปอย่างน้ำตาลมีทั้งน้ำตาลอ่อน น้ำตาลเข้ม  การจะปลอมตัวให้เหมือนจึงต้องใช้มีอุปกรณ์ครบครัน ดวงตาของเปอร์จริงๆเป็นสีเทาอ่อนพอสวมคอนแทคเลนส์สีน้ำตาลเข้าไปทำให้ดูเปลี่ยนไปพอสมควรเช่นเดียวกับสีผมที่ถูกทำให้เป็นสีดำสนิท


ด้วยอายุใกล้ๆ กันทำให้การปลอมตัวกินเวลาไม่มาก ไม่กี่นาทีแฝดคนละฝาก็ถือกำเนิดขึ้น จากการมองตั้งแต่สีผมไล่ลงมาจนถึงต้นคอทุกส่วนถูกแต่งเสริมให้เหมือนกับใบหน้าผมแบบเป๊ะๆ


นี่ถ้าไม่โดนมัดผมคงชูนิ้วโป้งชมอีกฝ่ายไปแล้ว


“ได้เวลาบอกข้อมูลแล้ว เหว่ย” เปอร์หันไปกวักมือเรียกเหว่ยให้มานั่งใกล้ๆ คอยสังเกตอาการผิดปกติของผม


“อย่าคิดโกหกเชียว ไม่งั้นนิ้วนายอาจหายไปได้ง่ายๆ” คำขู่นั่นไม่ได้น่ากลัวแต่ผมก็แกล้งตัวสั่นเล็กๆ


“...เข้าใจแล้ว”


“เริ่มจากนายชื่ออะไร” ดูจากคำถามแรกอีกฝ่ายคงไม่มีข้อมูลของผมเลยสักอย่างนอกจากมาทำงานเป็นบอดี้การ์ดของฮาเซลเมื่อ 6 เดือนก่อน


แบบนี้สิน่าสนุก


“เทเลอร์” ผมตอบไปด้วยท่าทางสบายๆ


“ฮาเซลเรียกนายว่าไง แล้วนายเรียกเขาว่าไง” อีกสองคำถามตามมาติดๆ


“ฮาเซลเรียกผมว่าเรย์ ส่วนผมเรียกว่าคุณฮาเซล” คำโกหกจังๆ ถูกเอ่ยออกไปอย่างแนบเนียนราวกับกำลังพูดเรื่องจริง


การจับสังเกตหรือศาสตร์จิตวิทยาเป็นสิ่งที่น่ากลัว ทว่าพวกเขาพลาดตั้งแต่ให้ผมรู้แล้วว่าจะมีคนคอยจับผิด ยิ่งรู้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญยิ่งง่ายต่อการโกหกหรือหลบเลี่ยง


ผมรู้เรื่องการจับโกหกดี ไม่เพียงดูจังหวะการเต้นหรือการบีบของหัวใจอย่างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์แต่ยังสามารถดูการกระพริบของตาที่จะต่างไปหากมีการพูดโกหก แล้วยังมีจังหวะการหายใจ...คนเวลาโกหกมักจะหายใจเร็วกว่าปกติอีกทั้งอาจมีการพูดติดอ่าง ซึ่งพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่ถึงจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญก็สามารถทำได้ทว่าเหว่ยเป็นผู้เชี่ยวชาญแปลว่ามีมากกว่านั้น...


ถ้าให้เดาว่าเป็นอะไรคงเป็นดวงตา...ไม่ใช่การกระพริบตาแต่เป็นการเคลื่อนไหวของสายตา สัญชาตญาณของมนุษย์เวลาทำผิดมักหลบสายตาไปด้านขวาทว่ามีหลายคนที่ไม่ใช่จึงต้องอาศัยการสังเกตทุกการเคลื่อนไหวถึงจะบอกได้ว่าโกหกหรือพูดจริง

สำหรับผมแค่ตอบด้วยท่าทีเหมือนเดิมก็ไม่มีปัญหา


“บอกนิสัยของนายมา” เปอร์ถามต่อ คำตอบทุกอย่างถูกจดลงในสมุดบันทึกอย่างละเอียด


“ผมเป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยชอบพูดกับใครเท่าไหร่นอกจากเวลาที่คุณฮาเซลถามและเขาเป็นคนเดียวที่ผมมักส่งยิ้มให้”


“แปลว่าคุยกับฮาเซลมากสุด”


“อืม...มีแค่คุณฮาเซลที่ผมจะตอบทุกคำถาม”


“ปกติฮาเซลคุยอะไรกับนาย”


“เอ่อ...เรื่องนั้น...” ผมแสร้งทำเป็นหลบหน้าด้วยใบหน้าแดงๆ


“อย่าคิดโกหกไม่งั้นนิ้วขาดแน่” เหว่ยที่อยู่ไม่ไกลควักมีดออกมาเตรียมจัดการหากผมไม่พูด


“ขะ เข้าใจแล้ว คือปกติผมจะเข้าไปคุยกับคุณฮาเซลในห้องนอน...ตอนกลางคืน” ผมเอ่ยประโยคหลังสุดด้วยเสียงเบาหวิวคล้ายไม่อยากตอบ


ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติมทั้งเหว่ยและเปอร์ต่างรู้ดีถึงความหมายของประโยค พูดคุยในห้องตอนกลางคืน ความหมายของมันคือผมกับฮาเซลเป็นอะไรที่มากกว่าบอดี้การ์ดปกติ


“...หน้าตาแบบนายจะเป็นที่สนใจของฮาเซลคงไม่แปลกใจเท่าไหร่” นิ่งไปไม่นานเปอร์ก็พูดต่อ


“อย่าบอกนะว่าที่ได้อยู่ข้างกายฮาเซลเพราะเรื่องนี้” เหว่ยถามบ้าง


“...” ผมไม่ตอบแต่ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์สั่นน้อยๆ แทนคำโกหกที่ถูกส่งไป


“หึ เหมือนฉันจะได้คำตอบแล้ว”


“นิสัยอย่างอื่นล่ะ”


“ผมเป็นคนขี้หนาวเลยไม่ค่อยชอบเปิดแอร์เย็น เวลาอยู่กับคุณฮาเซลผมมักจะเดินไปปรับแอร์ให้อุ่นขึ้น” ก็ไม่ได้โกหกไปซะทั้งหมดนะ ผมขี้หนาวจริงนะเออแค่ชอบเปิดแอร์ให้ห้องมันเย็นๆ แค่นั้นเอง


“กิจวัตรประจำวันล่ะ” เปอร์ยังคงถามต่อ


“ติดตามท่านฮาเซลทุกที่ บางวันผมจะได้รับเวลาพักก็จะอยู่แค่ในห้องตัวเอง”


“อาหารหรือขนมที่ชอบล่ะ”


“ผมไม่ชอบของหวาน คุณฮาเซลเองก็ไม่ชอบพวกเราเลยมักดื่มกาแฟด้วยกับตอนเช้า...อาหารที่ผมชอบคืออาหารจีน” ซะทีไหน ผมไม่ชอบอาหารจีนเพราะมีน้ำมันเยอะ


การโกหกรอบนี้ไม่ธรรมดา...ผมยังแปลกใจเลยที่ตัวเองกล้าพูดว่าไม่ชอบของหวาน ยังไงผมต้องให้ข้อมูลปลอมๆ เพื่อให้ฮาเซลรู้ว่านั่นไม่ใช่ผมตัวจริง เรื่องยากคือต่อจากนี้ไป หลังจากฮาเซลรู้แล้วผมจะบอกที่อยู่ยังไงดี จริงอยู่ที่ผมพอจำกัดบริเวณได้ว่าอยู่ตรงไหนแต่การจะบอกฮาเซลโดยผ่านศัตรูไม่ใช่เรื่องง่าย


“มีอะไรที่นายต้องทำเป็นประจำบ้างไหม พวกนิสัยติดตัวน่ะ” พอเปอร์ถามมาผมก็นึกวิธีในการสื่อสารกับฮาเซลขึ้นมาได้


“มีสิ...ผมน่ะ...” การถามตอบยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ คำถามของเปอร์ผมถือว่าครอบคลุมและมากพอในการจะปลอมเป็นใครสักคนไม่ว่าจะเป็นการถามถึงห้องที่ผมอาศัยหรือลักษณะการแต่งตัว เรียกว่าเป็นคนมีฝีมือคนหนึ่งเลย


แต่แค่มีฝีมือคงจัดการฮาเซลไม่ได้หรอก ขนาดผมยังพ่ายแพ้มาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่


ไม่มีทางที่นักฆ่าอย่างเปอร์จะทำอะไรฮาเซลได้


ที่เหลือก็แค่รอ...


รอให้ฮาเซลรู้ถึงข้อความและจัดการกับเรื่องยุ่งยากนี่


ผมมั่นใจว่าฮาเซลจะรู้ว่านั่นคือตัวปลอมจากเซ้นส์ที่ผมเกลียดแสนเกลียดนั่น


ลองไม่รู้ผมจะตามไปจัดการถึงภพหน้าเลยฮาเซล กอนซาเลส!


หากเรื่องครั้งนี้จบลง...งานของผมคงจะจบลงเช่นเดียวกัน น่าแปลกที่กลับไม่ค่อยรู้สึกดีใจเลยเมื่อคิดถึงเรื่องราวยามกลับไปอยู่คนเดียวแม้ในความจริงผมจะชินกับการอยู่คนเดียวมานับสิบปีแล้วก็ตาม

...................................................

สวัสดีค่า

ตอนนี้บอกเลยว่าแต่งค่อนข้างยากสำหรับเราเนื่องจากปกติจะชินกับการให้เรย์โต้ตอบกับฮสเซลซะมากกว่า พอในตอนนี้ไม่มีฮาเซลเลยค่อนข้างสั้นไปนิดนึง

ถึงเรย์จะเก่งแต่ก็อย่างว่าไม่ว่าจะเก่งหรือมีฝีมือแค่ไหนก็ต้องมีช่วงที่เผลอหรือไม่ระวังตัวบ้าง

ฉากเรย์ถูกจับตัวนี่เป็นหนึ่งในฉากในวางไว้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่คิดจะแต่งเรื่องนี้เลย

ตอนหน้าจะเป็นพาทของฮาเซล มารอลุ้นไปด้วยกันว่าคนที่ปลอมตัวแฝงเข้าไปเป็นเรย์จะสามารถสังหารฮาเซลได้ไหม หรือฮาเซลจะรู้ตัวก่อน และช่วยเรย์ได้อย่างไร

คงต้องให้รอลุ้นกันอาทิตย์หน้า

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์ที่ติดตามเสมอนะคะ

ไว้เจอกันใหม่

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่12« 28/11/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-11-2018 18:17:04
อยากรู้ผลตอนหน้าเร็วๆ จัง  :hao3:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่12« 28/11/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 28-11-2018 19:35:51
ทิ้งความอยากรู้ไว้ ตอนต่อไปอยู่ไหน  :ling1:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่12« 28/11/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 28-11-2018 19:57:06
ขอให้เรย์ปลอดภัย
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่12« 28/11/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PK.Kenaf ที่ 29-11-2018 09:15:41
เดาว่าแค่เห็นฮาเซลก็รู้เลย อวดอ้างมาเยอะ แหมมม ขอให้เรย์ปลอดภัยนะๆ
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่12« 28/11/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 29-11-2018 16:28:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่12« 28/11/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 29-11-2018 18:58:20
เรย์แสบอ่ะ
ขนาดโดนจับตัวมายังทำได้ขนาดนี้
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่13« 5/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 05-12-2018 14:41:37
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่13



ความว้าวุ่นภายในใจแผ่ซ่านไปทั้งร่างตั้งแต่รู้ว่าเรย์หายไปจากโรงพยาบาล โทรศัพท์มือถือที่มีก็ไม่สามารถติดต่อได้แม้จะกลับไปดูยังคฤหาสน์สิ่งเห็นเห็นมีเพียงห้องอันว่างเปล่า เหล่าบอดี้การ์ดเองต่างไม่มีใครรู้ถึงการหายตัวไปของเรย์เลยสักคน


จะให้โทษพวกเขาก็ไม่ถูก


คนที่ควรจะโทษคือตัวผมเองที่ไม่รู้ว่าเรย์หายไปจากสายตา


ลางสังหรณ์บอกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น แต่ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นอะไร


ด้วยฝีมือของเรย์อาจมีมากเมื่อเทียบกับคนอื่นทว่าไม่มีใครที่จะเก่งไปได้ตลอด ทุกคนล้วนมีเวลาประมาทหรือเผลอกันทั้งนั้นและนั่นจะสร้างโอกาสให้ถูกโจมตีได้ง่ายๆ


เรย์


ขออย่าให้เป็นอะไรเลย


ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องไม่ดี...วันนี้มากส์และแซมได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วหลังจากถูกศัตรูลอบกัดจนเกือบเอาชีวิตไปทิ้ง เรื่องราวในครั้งนี้ผมคงไม่สามารถนิ่งนอนใจได้อีกต่อไป วันก่อนเลยโทรหาหนึ่งในเพื่อนสนิทอย่างซิลเลอร์ เบนซ์ผู้สื่อข่าวพ่วงด้วยพ่อค้าข้อมูลระดับโลกเพื่อหาข้อมูลทุกอย่างมาให้ผม


“ท่านฮาเซล...ไปนอนพักสักหน่อยไหมครับ” มากส์บอกเมื่อเห็นผมนั่งอยู่ยังโซฟาในห้องรับแขกมาตั้งแต่ช่วงเย็นของเมื่อวานจนถึงเช้าวันใหม่


“ฉันไม่ง่วง” ในหัวตอนนี้มีเพียงความกังวลใจ


เรย์ไม่ใช่พวกประมาท หากมีใครที่สามารถเร่งงานเรย์ได้คงไม่ใช่คนธรรมดา


“ให้ผมส่งคนออกไปหาไหมบอส” แซมที่ยืนอยู่ข้างๆ เสนอ


“ไม่ต้องหรอก...” ต่อให้ส่งออกไปหาผมไม่คิดว่าจะเจอโดยง่าย เรย์มีทักษะการซ่อนตัวอยู่ในระดับสูงจึงไม่ง่ายเลยในการตามแกะรอย ขนาดรู้ชื่อแล้วข้อมูลที่หาได้ยังแทบไม่มีราวกับไม่มีบุคคลชื่อเรเวน มาเกอร์อยู่ในโลกนี้


ไม่แน่ว่าชื่อนั่นอาจจะตั้งขึ้นมาเองก็เป็นได้


“บอสทางประตูติดต่อมาว่าเทเลอร์กลับมาแล้วครับ” สิ้นเสียงของแซมผมเด้งตัวลุกขึ้นวิ่งตรงไปยังประตูหน้าโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ความใจร้อนเดิมก็มีมากอยู่แล้วกลับมากขึ้นไปอีกเมื่อเป็นเรื่องของเรย์


ขาดสติและความยับยั้ง


ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าผมเป็นแบบนี้คงหัวเราะแน่ๆ ผมยังอยากหัวเราะตัวเองเลย แค่รอให้เรย์เข้ามาหาคงไม่นานเพียงแค่ผมไม่อยากรอ


“เรย์!” ผมตะโกนเรียกชายร่างโปร่งในชุดบอดี้การ์ดที่ขาดลุ่ยเล็กน้อยด้วยความเป็นห่วง ทว่าความรู้สึกบางอย่างทำให้ขาที่กำลังก้าวไปหาหยุดชะงัก ใบหน้าขาวเนียน ดวงตาสีน้ำตาลและเส้นผมสีดำ ทุกอย่างคือใบหน้าของเรย์...แล้วทำไมความรู้สึกไม่ใช่ถึงได้มีมากขนาดนี้


“คุณฮาเซล” คำที่ใช้เรียกทำเอาคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันแน่น


เรย์ไม่เคยเรียกผมแบบนั้น


“เรย์” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา


“ครับคุณฮาเซล...ผมขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงพอดีผมถูกจับตัวไปเลยใช้เวลานานกว่าจะจัดการเสร็จ” อีกฝ่ายอธิบายพร้อมยกมือข้างนึงกุมไหล่คล้ายจะบ่งบอกถึงความเจ็บ


นี่ไม่ใช่เรย์


เพียงสองประโยคที่ได้สนทนากันผมก็สามารถสรุปได้ทันที ความจริงผมเชื่อในเซ้นส์ตัวเองกว่า 99 เปอร์เซ็นต์เพราะเซ็นต์ของผมมันใช้ได้ดีกับเรื่องของเรย์อยู่แล้ว ในเมื่อคนตรงหน้าไม่ใช่เรย์ แล้วเรย์ตัวจริงอยู่ที่ไหน


อยากจะกระชากตัวอีกฝ่ายมาคาดคั้นหาคำตอบแต่ก็ต้องกำมือสองข้างแน่นไม่ให้เผลอทำแบบนั้นออกไป หากเรย์ถูกสลับตัวแปลว่าเป้าหมายคือการเข้าใกล้ตัวผมซึ่งการเลือกเรย์อาจเพราะเพิ่งเข้ามาอยู่กับผมไม่กี่เดือนแถมยังอยู่ในตำแหน่งเหมือนคนสนิทอีก


ด้วยทักษะการปลอมตัวและการแสดงบอกได้เพียงคนตรงหน้าคือนักฆ่าเช่นเดียวกับเรย์ การส่งนักฆ่าแฝงตัวเข้ามาเป้าหมายเดียวคือจัดการผมในจังหวะเผลอ ถ้าผมจัดการอีกฝ่ายลงตรงนี้อาจส่งอันตรายต่อเรย์ที่ถูกจับไว้เพราะทางนั้นคงต้องการการติดต่อบอกความคืบหน้าอยู่เป็นระยะหากไม่ได้รับข้อมูลอาจคิดว่าแผนล้มเหลวและเรย์จะเป็นอันตราย


ด้วยคำเรียก รอยยิ้มและท่าทางคนตรงหน้าไม่มีอะไรเหมือนเรย์เลยแต่ก็ยังแสดงออกด้วยความมั่นใจแปลว่าได้ถามถึงลักษณะนิสัยจากเจ้าตัวโดยตรง แน่นอนว่าเรย์คงบอกคำโกหกถึงได้ออกมาในรูปแบบนี้ แปลว่าต้องการให้ผมรู้สินะว่าเป็นตัวปลอม


ผมไม่คิดว่าเรย์จะจบลงเพียงแค่ให้ผมรู้ว่าเป็นตัวปลอมหรอก


ต้องมีอะไรอีก


ต้องมีอะไรบางอย่าง


อาจจะเป็นสถานที่หรือบริเวณคร่าวๆ หรืออะไรสักอย่าง ตอนนี้สิ่งเดียวที่ทำได้คือรอให้อีกฝ่ายเผยข้อมูลจากเรย์เท่านั้น


“เจ็บมากไหม” ผมถามออกไปพอเป็นพิธี


“ไม่เป็นไรครับ ผมดีใจที่คุณฮาเซลเป็นห่วง”


“อืม...ไปพักผ่อนเถอะ” ผมล่ะอยากให้เรย์ตัวจริงพูดแบบนี้บ้างจังนะ


“ครับ” เรย์ตัวปลอมเดินกลับเข้าไปยังตัวบ้านพร้อมกับผมก่อนจะขอตัวกลับไปพักยังห้องของตนเอง ทิศทางของอีกฝ่ายเดินไปโดยไม่มีความลังเล คงถามห้องพักมาด้วยสินะ รอบครอบกว่าที่คาด


“มากส์ แซม” รอหลังเรย์ตัวปลอมเดินจากไปผมเรียกบอดี้การ์ดคนสนิททั้งคู่ขึ้นมาบนห้องส่วนตัว


“ครับท่านฮาเซล”


“ให้ผมตามหมอมารักษาเทเลอร์ไหมครับ” แซมรีบเสนอ


“ไม่ต้อง” ผมตอบโดยไม่ต้องคิดทำให้ทั้งคู่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย จะสงสัยคงไม่แปลก ถ้าเป็นผมปกติคงให้ไปตามหมอหรือพาไปโรงพยาบาลแล้ว


“เกิดอะไรขึ้นครับ ปกติบอสห่วงเทเลอร์จะตาย” แซมถามต่อ


“อืม ถ้าเป็นตัวจริงละก็นะ” ผมพึมพำเสียงเบาให้ได้ยินในวงแคบ ความเงียบจากบอดี้การ์ดทั้งสองบ่งบอกว่าทั้งคู่กำลังคิดประมวลคำพูดผมเมื่อครู่อยู่ ไม่นานใบหน้าสงสัยหรืองงงวยก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างรวดเร็ว


“ให้ผมไปจัดการ...”


“อย่าทำอะไร” ผมรีบพูดแทรก


“งั้นให้ผมส่งคนของเราไปตามหา”


“นั่นจะยิ่งทำให้สงสัยมากกว่าเดิม” ไม่ควรจะเคลื่อนไหวอะไรในตอนนี้


“งั้นจะให้ศัตรูมาอยู่ในคฤหาสน์เหรอครับ มันอันตรายเกินไป” มากส์ไม่เห็นด้วย


“ถ้าเฝ้าระวังดีๆ ก็ไม่อันตรายหรอก เป้าหมายคือฉันเพราะงั้นไม่เป็นไร”


“ไม่เป็นไรที่ไหนบอส ไม่แน่ว่าเทเลอร์ตัวจริงอาจกำลังตกอยู่ในอันตราย”


“...” ผมเงียบลงเมื่อได้ยินคำพูดของแซม


นั่นเป็นสิ่งที่ผมกำลังกังวลอยู่


“ขอโทษบอส...ผมไม่ได้อยากให้บอสกังวลแต่...”


“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ”


“เราจะปล่อยไว้แบบนี้จริงๆ เหรอบอส” มากส์ถามอีกครั้ง


“ใช่...ฉันคิดว่าเรย์ใช้หมอนี่มาบอกข้อความบางอย่างกับเรา” ผมบอกไปตามที่คิด


“ใช้มาบอก? เป็นไปไม่ได้แน่นอนจะมีศัตรูคนไหนเอาข้อความมาบอกกัน”


“คงไม่ใช่ข้อความตรงๆ เดี๋ยวฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง” ถ้าเป็นข้อความจากเรย์ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะไขได้


“แล้วจากนี้...”


“จากนี้ให้ทำตัวปกติอย่าให้อีกฝ่ายรู้ได้ว่าพวกเรารู้แล้ว ระวังตัวให้มากมีความเป็นไปได้สูงที่อีกฝ่ายจะเป็นนักฆ่า” ผมเอ่ยเตือน


“นักฆ่า?....ก็พอเดาได้ แต่คงไม่ใช่คนที่ได้ฉายาว่ายมทูตแห่งความตายหรอกนะ” แซมพึมพำพลางหันไปขอความเห็นจากมากส์


“ขออย่าให้เป็นละกัน ถ้านักฆ่าฉายายมทูตแห่งความตายมาลงมือเองพวกเราคงเจอศึกหนัก”


ทั้งมากส์และแซมต่างรู้ดีถึงข้อมูลของนักฆ่าฉายายมทูตแห่งความตาย ไม่ว่าใครหากอยู่ในวงการสีเทาต่างรู้จักชื่อนี้กันทั้งนั้น ฉายาที่มอบให้กับนักฆ่าที่ไม่มีใครล่วงรู้ถึงตัวตน ไม่ว่าจะเป็นชื่อ หน้าตาหรือแม้แต่เพศ ทุกงานที่ตกลงต่างสำเร็จอย่างงดงามโดยไม่มีใครสามารถสืบหาตัวตนได้


มีเพียงคนคนเดียวที่รู้ว่ายมทูตแห่งความตายคือใคร


คนคนนั้นก็ผมนี่แหละ


เรเวน มาเกอร์


อาชีพนักฆ่า


ฉายายมทูตแห่งความตาย


ข้อมูลนี้หากเอาไปขายคงมีราคาสูงลิ่วแต่แค่เศษเงินพวกนั้นไม่มีค่าพอให้ผมพูดความลับนี่กับใครหรอก


“ไม่ต้องกังวล หมอนั่นไม่ใช่ยมทูตแห่งความตาย” ผมบอกทั้งคู่


“ทำไมบอสดูแน่ใจขนาดนั้น?”


“หึ...ไม่รู้สิ” รายยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นราวกับกำลังมีความสุขกับความลับเล็กๆ ของตัวเองกับเรย์


หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย การดำเนินชีวิตประจำวันก็เป็นไปตามธรรมชาติ...ผมให้มากส์เอางานมาทำบนห้องโดยให้แซมไปเข้าประชุมประจำสัปดาห์แทน เรย์ตัวปลอมพอถึงกลางวันก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยใบหน้านิ่งๆ พอเห็นผมก็ส่งยิ้มมาให้


ผมไม่รู้ว่าเรย์เล่าข้อมูลตัวเองออกไปแบบไหนแต่มันแทบจะไม่มีอะไรจริงเลยสักอย่างเดียว ปกติเรย์แทบไม่ยิ้มให้ผมมีแต่ทำหน้าหงุดหงิดยามถูกแหย่ ของโปรดของเรย์เองเป็นที่รู้กันว่าคือของหวานทุกชนิดโดยเฉพาะชีสเค้กทว่ามื้อเย็นผมได้ยินคำปฏิเสธขนมหวานที่เชฟเชทำให้ด้วยเหตุผลว่าไม่ชอบ


ผมอยากจะหลุดขำออกมาให้รู้แล้วรู้รอด ไม่รู้ว่าเรย์ทำหน้าแบบไหนตอนบอกข้อมูลตัวเอง ทำขนาดนี้ต่อให้ไม่ใช่ผมก็ต้องมีระแคะระคายบ้างแหละ ที่น่าตกใจที่สุดไม่ใช่เรื่องนิสัยหรือการกินแต่เป็นเรย์ตัวเป็นๆ ที่มาเคาะประตูห้องผมยามวิกาลในชุดนอนด้วยใบหน้าเขอะเขิน


“ผมมาช้าเพราะอาบน้ำนานไปหน่อย...ขอโทษนะครับ” อีกฝ่ายอธิบายด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด


ฮื้อ?


“...ไม่เป็นไร เข้ามาสิ” ผมได้แต่เล่นไปตามน้ำ เรย์คงบอกไปละมั้งว่ามานอนห้องผมทุกคืน


 “ผมจะมาเล่าเรื่องต่อจากเมื่อคืน” อีกฝ่ายบอกระหว่างขยับตัวขึ้นมาบนเตียงเดียวกับผม


“เล่าเรื่อง? อ้อ...เอาสิฉันยังคาใจอยู่เลยว่าตอนต่อเป็นยังไง” ผมพยายามแสดงละครอย่างแนบเนียนก่อนจะหันหน้าหนีหลุดยิ้มกว้างออกมาอย่างช่วยไม่ได้


แย่ล่ะ...อยากขำชะมัด


ปกติแค่จะชวนกินข้าวยังต้องใช้สารพัดวิธีแต่นี่กลับเดินเข้ามาหาถึงห้องนอน ถ้าเป็นเรย์ตัวจริงฉากต่อไปคือผลักผมลงบนเตียงก่อนจะใช้มีดที่ซุกไปแทงหัวใจผมไม่ใช่มาเล่าอะไรให้ฟังแบบนี้ รอกลับมาก่อนเถอะผมจะลากเรย์มาเล่าตอนต่อไปให้ฟังต่อบนเตียงนี่เลย ขนาดอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดแต่เรย์ก็ยังช่วยให้ผมผ่อนคลายได้เสมอแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้อยู่ข้างๆ ก็ตาม


“เมื่อวานผมเล่าถึงตอนที่อัญมนีถูกขโมยไป วันนี้ผมจะมาต่อจากนั้นนะครับ....อัญมณีสีม่วงอันเป็นสมบัติของพ่อมดได้ถูกเจ้าชายองค์หนึ่งขโมยไปด้วยความต้องการพลังอำนาจซึ่งอยู่ในอัญมณีนั้น พ่อมดทำทุกวิถีทางเพื่อตามหาอัญมณีสีม่วงแสนงดงามทุกที่ไม่ว่าจะเป็นในราชวังขององค์ชายหรือสวนขนาดใหญ่...”


ระหว่างฟังเรื่องเล่าในหัวผมก็จับใจความบางอย่างได้ อัญมณีสีม่วงหมายถึงตัวเรย์ที่โดนจับไปส่วนพ่อมดคงหมายถึงผมละมั้ง


หึ...ขอเป็นเจ้าชายไม่ได้รึไง


แต่ไม่เป็นไรแค่ได้เป็นเจ้าของอัญมณีสีม่วงก็เพียงพอแล้ว


สีม่วง...สีของดวงตาเรย์


เห็นกี่ทีก็ยังรู้สึกหลงใหล


อยากเห็นจังนะ


“เหตุที่พ่อมดหาอัญมณีไม่เจอเพราะองค์ชายนั้นนำไปซ่อนยังบ้านพักตากอากาศริมทะเลด้านตะวันออกใกล้สะพานข้ามไปยังอีกเมือง ซึ่งความจริงแล้วองค์ชายคนนั้นไม่ใช่องค์ชายตัวจริงแต่เป็นพ่อมดรุ่นพี่ที่หายตัวไปจากเวทย์มนต์เผาตัวเอง และต้องการหวนกลับมาเป็นพ่อมดที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งด้วยการขโมยอัญมณีสีม่วง...พอพ่อมดรู้ถึงความจริงก็ได้ตามไปเอาอัญมณีคืนโดยต่อสู้กับพ่อมดซึ่งเป็นรุ่นก่อนจะได้รับชัยชนะ” เสียงของอีกฝ่ายที่เงียบลงเป็นสัญญาณบอกว่าเรื่องราวจบลงเพียงเท่านี้


ในหัวผมกำลังตีความหมายของหลายๆ อย่าง อย่างแรกคือสถานที่...ริมทะเลแล้วมีสะพานข้ามไปยังอีกเมือง ถ้าบวกลบเรื่องเวลา สถานที่ที่ตรงและอยู่ในบริเวณนี้มีแห่งเดียว แต่มีประเด็นสำคัญที่ผมยังไขไม่ได้...องค์ชายความจริงเป็นพ่อมดรุ่นพี่ แปลว่าเป็นคนที่ผมรู้จักและมีอายุมากกว่า ไม่แน่ว่าอาจทำงานในวงการเดียวกันหรือมีฐานะอะไรสักอย่างที่เชื่อมเข้ากับผมได้ อีกอย่างที่ติดอยู่คือทำไมต้องพูดถึงเวทมนต์ไฟเผาตัวเองด้วย


เดี๋ยวนะ...เผาตัวเอง


ตายหรือแกล้งตาย


รุ่นพี่ในวงการ


อาชีพหรือตำแหน่งเดียวกัน


พ่อมดเป็นตัวละครที่ทั้งดีและชั่วแปลว่าอยู่ในธุรกิจสีเทาค่อนไปทางดำ


“...ไม่จริงน่า” ผมพึมพำออกมาอย่างเกินคาดเมื่อนำทุกอย่างมารวมเข้าด้วยกัน


“คุณฮาเซล” คนข้างๆ เรียกพลางขยับตัวเข้ามาใกล้ มือข้างนึงวางบนต้นขาผมก่อนจะลูบไล้ด้วยท่าทางยั่วยวนชวนหลงใหลทว่าสำหรับผมเสน่ห์ของเรย์ไม่ได้มีแค่นี้


ไม่จำเป็นต้องสัมผัสหรือแสดงท่าทียั่วเย้าก็ทำให้ผมหลงใหลได้ นี่ทำให้ผมรู้ว่าถึงจะมีใบหน้าเหมือนกันแต่ถ้าภายในไม่ใช่เรเวน มาเกอร์ผมก็ไม่รู้สึกอะไร


“โทษทีนะ...ขอบคุณสำหรับข้อมูล” ผมขยับใบหน้าเข้าไปกระซิบข้างใบหูพร้อมใช้มือข้างหนึ่งกดด้ามมีดที่กำลังจะถูกชักออกกลับลงไปอยู่ในฝักตามเดิม


อีกฝ่ายเบิกตากว้างด้วยความตกใจปนตระหนกไม่กี่วิต่อมาก็เหวี่ยงหมัดใส่ซึ่งผมสามารถหลบได้ง่ายๆ มืออีกข้างกดไหล่อีกฝ่ายลงกับเตียงด้วยพละกำลังจนได้ยินเสียงครางด้วยความปวดร้าว ด้ามมีดบริเวณเอวถูกเหวี่ยงทิ้งไปข้างเตียงเมื่อมีจังหวะ


“...อึก...ทำไมถึงรู้ได้” ใบหน้าอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความสงสัย


“เซ้นส์มันบอก อย่าคิดจะกัดลิ้นดีกว่านะ” ผมยกยิ้มระหว่างตอบคำถาม


“บ้าเอ้ย...ต่อให้จับผมได้แล้วไง ไม่สนตัวประกันรึไง หมอนั่นมันคู่นอนนายนี่”


“คู่นอน?” ผมเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินอะไรแปลกๆ


“ใช่ หมอนั่นมันบอกว่ามาหานายที่ห้องทุกคืน”


“หึ...ฉันก็อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน” คงดีไม่น้อยเลยถ้าได้นอนกอดอีกฝ่ายระหว่างจมอยู่ในห้วงนิทราทุกวัน


“นายฆ่าฉันไม่ได้หรอก”


“เสียใจด้วยนะ พอดีฉันรู้แล้วว่าคู่นอนของตัวเองอยู่ไหน”


“โกหก!” อีกฝ่ายตะโกนด้วยสีหน้าไม่เชื่อ


“ต้องขอบใจนายที่เอาข้อความจากเรย์มาให้”


“ข้อความเหรอ...หมอนั่นโกหก? เป็นไปไม่ได้ทางผมมีผู้เชี่ยวชาญเวลาจับโกหกไม่มีทางที่คนธรรมดาจะหลอกเขาได้!” ได้ข้อมูลมาอีกอย่างแล้ว


ดูท่าจะมีพวกตามที่คิดไว้


“พอดีคนที่พวกนายจับไปไม่ใช่คนธรรมดาล่ะนะ” บอกตรงๆ ว่าผมตกใจไม่น้อยเลยที่สามารถปกปิดแล้วแอบส่งข้อความมาหาผมได้แบบนี้


ไม่ธรรมดา


ฉายายมทูตแห่งความตายไม่ใช่แค่ฉายาที่ตั้งไปงั้นๆ


เสียงเอะอะภายในห้องเรียกให้มากส์และแซมเปิดประตูเข้ามาภายในห้องผมโดยไม่มีการเคาะเรียกหรือขออนุญาตใดๆ พอเห็นผมกำลังยึดตัวอีกฝ่ายกดไว้กับเตียงมากส์ก็รีบเข้ามาจัดการต่อผมเลยถือโอกาสปล่อยตัวนักฆ่าในคราบเรย์ให้มากส์


“บอส ไหนบอกว่าให้ปล่อยไปก่อนไงครับ” แซมหันมาถาม


“พอดีได้ข้อมูลมาแล้ว” คำตอบของผมสร้างความตกใจให้กับบอดี้การ์ดทั้งสองไม่น้อย


“ได้แล้ว? หมายความว่ายังไงบอส”


“ทางตะวันออกติดกับทะเล และมีสะพานเชื่อมไปต่างเมืองอยู่ไม่ไกล...คิดว่าคงเป็นหนึ่งในโกดังโทสน์” ผมบอกข้อมูลหลังการวิเคราะห์ให้ทั้งคู่รู้


“ทำไมถึงรู้ว่าเป็นที่นั่น” ฝ่ายศัตรูที่โดนจับตัวไว้พึมพำด้วยใบหน้าไม่อยากเชื่อ


“นิทานที่นายเล่าไง” ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร


“...หมอนั่นมันกล้าซ้อนแผนพวกเรา ไม่กลัวตายเลยรึไง” คำพูดนั่นคงหมายถึงเรย์สินะ


“เอาล่ะ ฉันขอถามว่าเป็นโกดังไหน ฉันไม่อยากใช้กำลังเข้าไปจัดการทุกโกดังโดยไม่จำเป็นหรอกนะ” ผมเดินเข้าไปถามอีกฝ่ายด้วยใบหน้านิ่งๆ ทั้งที่ภายในใจกำลังร้อนรนอยู่ไม่น้อย


หากสถานที่คือโกดังมีความเป็นไปได้สูงที่ฝ่ายศัตรูจะมีจำนวนไม่น้อย อีกทั้งข้อมูลจากเรย์บอกให้ผมเห็นถึงบุคคลอันตรายเบื้องหลังเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่แค่อันตรายธรรมดาแต่อันตรายสุดๆ


“...ฉันไม่จำเป็นต้องบอก”


“คิง จามาน่า” ทันทีที่ชื่อนี้ดังขึ้นร่างโปร่งของนักฆ่าก็กระตุกเกร็งเป็นสัญญาณบอกว่ามากกว่าแค่รู้จัก


ตรงกับการวิเคราะห์เลย


คิง จามาน่าหนึ่งในสามคานหลักผู้อยู่เหนือสุดของประเทศและมีอำอาจในวงกว้างไม่ว่าจะในหรือต่างประเทศทว่ากลับมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย มีข่าวลือมากมายบอกว่าเขาตายไปแล้วซึ่งในความจริงก็ควรเป็นตามข่าวลือนั่นเพราะผมเองที่เป็นคนยิงหมอนั่นจนตกลงไปกลางทะเล


ช่วง 7 ปีก่อนผมอาจไม่ได้มีอำนาจในมือมากมายเหมือนปัจจุบันทว่ามีบุคคลมากมายคอยหนุนหลังและต้องการให้ผมขึ้นไปแทนที่คิง จามาน่าด้วยเหตุผลง่ายๆ คือคิง จามาน่าคิดวางแผนการใหญ่คือโค่นล้มคานอีก 2 ต้นลงและขึ้นไปเป็นที่หนึ่ง คานทั้งสามต้นถ้าไม่นับคิง จามาน่า ก็มีจอมพลผู้ควบคุมวงการความปลอดภัยในทุกๆ ด้านอย่าง โรเบิร์ต  เกลสันตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดซึ่งมีอำนาจเด็ดขาดไม่ว่าจะในองค์กรทหารด้วยกันหรือองค์กรความปลอดภัยอื่นๆ อย่างตำรวจ


อีกหนึ่งคานที่คอยค้ำจุนประเทศคือแองเจริก้า โรเตริส หญิงสาวในวัน 40 ต้นๆ ผู้เป็นเจ้าแม่แห่งการคมนาคมและการขนส่ง ประเทศจะทำการค้าไม่ได้เลยหากไม่ได้รับการอนุมัติจากเธอคนนี้ และตำแหน่งคานต้นสุดท้ายปัจจุบันเป็นของผม เจ้าของอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งในประเทศพ่วงด้วยเจ้าพ่อค้าอาวุธสงครามตั้งแต่มีดสั้นไปจนถึงอาวุธร้ายแรงที่ห้ามซื้อขายอย่างขีปนาวุธ


คานทั้งสามต้นจะเกี่ยวพันกันโดยไม่มีคนไหนสูงกว่าเนื่องจากการทำลายหนึ่งในคานจะสร้างหายนะให้เกิดขึ้นอย่างร้ายแรง เมื่อคิง จามาน่าต้องการโค่นอีกสองคนมีเหรอที่พวกเขาจะยอมถูกโค่น ผมในตอนนั้นเป็นตัวเก็งอยู่จึงอาศัยความช่วยเหลือจากอีก 2 คนจัดการคิง จามาน่าลงไปได้ แต่ใครจะคิดว่าเขายังไม่ตาย


การกลับมาครั้งนี้ของคิง จามาน่าคงวางเป้าหมายหลักคือจัดการผมก่อนจะเล็งไปอีก 2 คนที่เหลือซึ่งก็ถือว่าถูก หากจัดการผู้ค้าอาวุธลงได้ก็เหมือนตัดไฟตั้งแต่ต้นลม


“มากส์ แซม” ผมเรียกทั้งคู่


“ครับ”


“ไปเตรียมคน อนุญาตให้ใช้อาวุธรุนแรงได้ ครั้งนี้ศัตรูไม่ธรรมดาห้ามประมาท”


“ท่านฮาเซลหมายถึงคิง จามาน่า? ผมคิดว่าคนคนนั้นตายไปแล้ว...”


“เขาไม่ได้ตาย!” คนของฝ่ายศัตรูเพียงคนเดียวตะโกนขึ้น คงจะเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์พอดู


“บอกมาว่าโกดังไหน” เป็นอีกครั้งที่ผมถาม


“ใครจะบอก อั๊ก!” เสียงกระดูกซี่โครงปริร้าวดังประสานกับเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทันทีที่ผมใช้เท้าเตะอีกฝ่ายพร้อมออกแรงเหยียบลงบริเวณซี่โครง


“ฉันไม่มีเวลามาทรมานแก” คำสรรพนามแปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์ที่กำลังพุ่งทะยานสูง สถานภาพของเรย์ในตอนนี้อาจหมดความจำเป็นแล้ว สิ่งที่จะทำกับคนหมดประโยชน์ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดีคือการปลิดชีวิตนั้นลง


คิง จามาน่าได้ชื่อว่าสามารถรวบรวมนักฆ่าให้มาสวามิภักได้นั่นแปลว่าต่อให้เป็นนักฆ่ามือฉมังค์อย่างเรย์ก็ไม่อาจต่อกรกับนักฆ่าจำนวนมากได้ด้วยตัวคนเดียว


“...อึก ไม่”


ครืดดด~  ครืดดดด~


แรงสั่นจากเครื่องมือสื่อสารบนหัวเตียงเรียกให้ผมเดินไปกดรับสายอย่างรวดเร็ว ปลายสายคือหนึ่งในเพื่อนสนิทอันทรงอิทธิพล  ซิลเลอร์ เบนซ์


“บอกข้อมูลมา” ผมแทบไม่เอ่ยทักทาย ในใจตอนนี้กำลังว้าวุ่นจนแทบคุมตัวเองไม่อยู่ อีกอย่างถ้าซิลโทรมาแปลว่าได้ข้อมูลแล้ว


(อย่าใจร้อนสิ  ฉันเพิ่งได้ข้อมูลสุดยอมมา...รู้ไหมว่าเจ้าของคานคนก่อน...)


“คิง จามาน่ายังมีชีวิตอยู่” ผมพูดแทรกเพราะรู้เรื่องแล้ว


(รู้แล้ว? จากไหนกัน)


“เรย์โดนจับตัวไป มีนักฆ่าปลอมตัวเป็นเขาเข้ามาใกล้ฉันและเรย์ฝากข้อความเหล่านั้นมาบอก” คำอธิบายสั้นดูเหมือนปลายสายต้องใช้เวลาสักพักในการประมวล


(ดูเหมือนว่าเรย์ของนายจะไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่คิด)


“หึ ฉันไม่เคยบอกนี่ว่าเขาเป็นคนธรรมดา”


(เหมือนลุงกำลังพูดอวดหลานสาวเลย)


“ใช้ว่าแฟนกำลังอวดคนรักแทนดีกว่ามั้ง” ใช้คำว่าลุงมันดูแก่ไป


(แล้วไง...รู้รึยังว่าเรย์อยู่ไหน)


“รู้บริเวณแต่ไม่รู้พิกัดชัดๆ ”


(โกดังโทสน์หมายเลข859-41)


“...เอาข้อมูลมากจากไหน” ผมหรี่ตาลงระหว่างถามกลับ


(จะจากไหนล่ะถ้าไม่ใช่คนในน่ะ รีบไปจัดการเถอะ...ฉันอยากรีบบินไปหาตอนนี้เลย ไม่แน่ว่าอาจได้เห็นใครบางคนเอาจริง)


“เงียบไปเลย” ผมวางสายลงพร้อมกับเดินไปจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อยู่ในชุดที่เคลื่อนไหวสะดวกกว่านี้


“ท่านฮาเซล”


“โกดังโทสน์หมายเลข859-41”


“...” นักฆ่าตัวจ้อยเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แปลว่าข้อมูลที่ได้มาถูกสินะ


“ผมตามคนมาแล้วบอส อีก 5 นาทีจะมาถึง” แซมบอกต่อ


“ไม่ต้องให้มานี่ ไปรวมกันที่โกดังนั่นเลย”


“ตอนนี้ยังมืดอยู่เลยนะบอส” อย่างที่แซมบอกตอนนี้เป็นเวลาตี1 เป็นเวลาของการนิทราของใครหลายๆ คน


“แซม”


“...เข้าใจแล้วบอส จะสั่งการทันที” เพียงเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แซมก็รู้ถึงความหมายโดยไม่จำเป็นต้องขยายความเพิ่ม


จะให้ผมรอถึงเช้าค่อยเข้าไปจัดการเหรอ


ไม่มีทาง


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่13« 5/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 05-12-2018 14:42:02
(ต่อนะคะ)


ผมรอนานขนาดนั้นไม่ได้ ในเมื่อรู้ทั้งที่อยู่ มีทั้งกำลังคนไม่มีเหตุผลอะไรเเลยที่ต้องรอคอยให้ถึงช่วงเช้า จริงอยู่การเข้าจู่โจมในความมืดอาจสร้างความลำบากให้แต่ก็มีข้อดีคืออีกฝ่ายไม่มีโอกาสได้ตั้งตัว ความมืดเองไม่ใช่แค่ฝั่งผมที่มองลำบากแต่ฝั่งนั้นเองก็เช่นกัน


โกดังโทสน์อยู่ทางตะวันออกของประเทศติดกับทะเลและสะพานข้ามไปยังเมืองข้างๆ เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ซึ่งเอาไว้สำหรับให้นักธุรกิจเช่าโกดังเก็บของ กว่าพวกเราจะมาถึงก็กินเวลาไปหลายชั่วโมงเนื่องจากต้องมีการจัดเตรียมอาวุธอีกหลายอย่าง


ตอนนี้ทั้งผมและคนด้านหลังมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูโกดังหมายเลย859-41ด้วยเสียงอันเงียบกริบ บอดี้การ์ดและคนคุ้มกันกว่า 100 คนถูกจัดตำแหน่งให้กระจายไปรอบๆ ตัวโกดัง ร่างของนักฆ่าที่ปลอมเป็นเรย์ถูกผมดึงและลากไปยังประตูหน้าโกดังด้วยพละกำลังอันเหนือกว่าในสภาพถูกปิดปากไม่ใช่ส่งเสียงพูดออกมาได้


ตึง!


บึ้ม!


ด้วยความแข็งแกร่งของประตูทำให้การโจมตีเดียวไม่อาจทำให้มันพังเลยจำเป็นต้องมีการใช้ระเบิดสักเล็กน้อย ควันและเสียงจากการระเบิดดังพอๆ กับแรงถีบประตูโกดังให้ล้มเข้าไปด้านในพร้อมกับผมที่ดึงนักฆ่าฝ่ายศัตรูให้ตามเข้ามา


สภาพด้านในมีแสงไฟจุดอยู่เป็นจุดๆ ซึ่งมีบริเวณเดียวที่มีแสงไฟสว่างสุด ภาพของใบหน้าขาวนวลบัดนี้เต็มไปด้วยรอยแผลฟกซ้ำ มือและขาถูกเชือกมัดยึดติดอยู่กับเสา ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์ปรือขึ้นมามองหน้าผมช้าๆ ยามได้ยินเสียงดังอึกกะทึกก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นคล้ายกำลังตกใจที่เห็นผมเดินเข้ามา


“...ฮาเซล” แม้จะได้ยินเสียงเพียงแผ่วเบาแต่ก็มากพอจะทำให้ผมยิ้มออก


นี่สิเรย์ตัวจริง


“พวกแก...ฮาเซล กอนซาเลส” ชายรูปร่างสูงโปร่งก้าวมาตรงหน้าผมพร้อมกับลูกน้องอีกหลายสิบคนที่เริ่มตื่นตัวกับเสียงระเบิดก่อนหน้านี้ บนตู้คอนเทรนเนอร์ปรากฏร่างของหลายๆ คนโดยในมือเล็งปืนมายังร่างผมทว่ากลับไม่ยิงเนื่องจากผมใช้ร่างของนักฆ่าก่อนหน้านี้มาเป็นโล่


พวกนั้นคงรู้ว่าเป็นพวกเดียวกันจึงไม่คิดจะยิง ไม่แน่อาจรอโอกาสเผลอแล้วค่อยยิงก็เป็นได้


ผมไม่คิดว่าอาชีพนักฆ่าจะรักและสามัคคีกันในหมู่พวกพ้องถึงขนาดไม่ยอมทำร้ายพวกเดียวกันหรอก มีหลายงานที่ต้องทิ้งพวกเดียวกันเพื่อให้ภารกิจประสบความสำเร็จ


“ทำไมถึงรู้ว่าเป็นที่นี่” ชายตรงหน้าคล้ายจะเป็นหัวหน้าก้าวเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่ไม่สามารถปิดบังได้ว่าดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมองร่างของหนุ่มนักฆ่าในมือผม


“หมอนี่บอกมา” ผมดึงคอเสื้อนักฆ่าคนเดิมขึ้นเล็กน้อย


“อย่ามาโกหก พวกเราไม่มีวันทรยศกันแน่นอน” น้ำเสียงมั่นใจนั่นไม่เลวเลย


“ไม่ได้ทรยศแค่บอกที่อยู่ให้ฉันรู้เท่านั้น” ผมบอกไปตามจริง ตอนนี้ทุกการสนใจมาอยู่ที่ตัวผมโดยไม่มีใครสนใจเรย์ที่ถูกจับมัดอยู่ด้านหลังเลย มีเพียงผมคนเดียวมั้งที่เห็นการเคลื่อนไหวของเรย์...เขาค่อยๆ ทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นแล้วพยายามทำอะไรบางอย่าง สายตานั่นสื่อความหมายบอกให้ถ่วงเวลาให้อีกสักนิด


น่าแปลก...ทำไมถึงเข้าใจได้นะ


เพราะเป็นเรย์งั้นเหรอ


เอาเถอะ...ก็ไม่ผิด


เพราะเป็นเรย์ผมถึงเข้าใจ


ในหัวใจผมตอนนี้มันอาจถูกนักฆ่าคนหนึ่งครอบครองไปกว่าครึ่งแล้วก็เป็นได้


“...บุกมานี่คิดจะทำอะไร โชว์ตัวเป็นฮีโร่มาช่วยคู่นอนรึไง” อีกฝ่ายพยายามไม่แสดงความหวั่นไหวออกมา


“ใช่ จะมาช่วยคนรักตัวเองมันผิดรึไง” บอกตรงๆ ว่าผมไม่ชอบคำว่าคู่นอนเท่าไหร่


“หึ โจนยิงหัวคู่นอนมันเลย” เสียงสั่นการดังขึ้นโดยที่ผมไม่รู้ว่าคนชื่อโจนนั่นคือใครและอยู่บริเวณไหน แต่ในความนิ่งไม่มีใครเคลื่อนไหวกับมีคนหนึ่งบนตู้คอนเทรนเนอร์หันกระบอกปืนไปทางเรย์ที่ยังคงนั่งทรุดตัวอยู่กับพื้น


“เรย์!” ผมตะโกนส่งเสียงเตือนด้วยความตระหนก


ปัง!


แทบจะจังหวะเดียวกับเสียงตะโกนกระสุนจากปืนไรเฟิ้ลก็ถูกยิงออกไป ร่างกายผมขยับไปเอง ปล่อยร่างของนักฆ่าฝ่ายศัตรูลงพื้นอย่างไม่แยแสรีบวิ่งตรงเข้าไปหาเรย์ทว่ากลับถูกสกัดไว้ด้วยกระบอกปืนสีดำที่จ่อบริเวณหน้าผากในระยะใกล้


อีกแล้ว


พอเป็นเรื่องของเรย์ทีไรร่างกายมันขยับไปเองโดยไม่มีแม้แต่การวางแผนใดๆ ทุกทีสิ


ตึง!


เสียงจากตู้คอนเทรนเนอร์เสียงความสนใจของทุกคนให้หันไปมองพร้อมกับภาพของเรย์กระโดดม้วนตัวขึ้นไปเหนือหัวชายที่ยิงกระสุนออกไปเมื่อครู่ ด้วยแรงดิ่งและทักษะการเคลื่อนไหวอันยอดเยี่ยมส่งผลให้เรย์ปล่อยลูกเตะใส่หน้าอีกฝ่ายได้ในขณะลอยตัวอยู่บนอากาศ เป็นภาพที่ทำเอาบรรยากาศทั้งโกดังเงียบสนิทราวกับไม่มีคนอยู่ เรย์ไม่รอช้าเมื่อขาลงพื้นก็รีบคว้าปืนไรเฟิ้ลขึ้นมาเล็งเป้าโดยไม่มีแม้ความลังเล


“ฮาเซล!” เสียงนุ่มของเรย์เรียกสติผมให้ปัดกระบอกปืนสีดำตรงหน้าทิ้งพร้อมหยิบปืนสองกระบอกของตัวเองขึ้นมา กระบอกหนึ่งเล็งไปยังหัวของคนที่อาจเป็นหัวหน้า ส่วนอีกกระบอกก็เล็งไปยังคนด้านข้าง


เพียงไม่กี่วินาทีหลังเสียงปืนดังการพลิกสถานการณ์ก็เกิดขึ้นถึงสองครั้ง และครั้งนี้ฝ่ายที่ได้เปรียบคือฝั่งผมที่มีนักฆ่าฉายายมทูตแห่งความตายเป็นหนึ่งในทีม


“มากส์! แซม!” ทันทีที่ผมตะโกนเรียกการเข้าปะทะกันของสองกลุ่มก็เกิดขึ้นอย่างรุนแรงมีการใช้ทั้งมีด ปีนหรือแม้แต่ระเบิดมือ ต่างฝ่ายต่างพยายามสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นมากที่สุด


ตัวผมถูกมากส์และแซมบอกให้ถอยไปรอข้างนอกอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะอยากเข้าไปร่วมแต่การดูสถานการณ์ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ หากเกิดอะไรขึ้นผมจะรีบเข้าไปสบทบ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองของผมมองไปยังการต่อสู้ซึ่งทวีความดุเดือนพร้อมมองหาใครคนหนึ่งใจกลางสมรภูมิ ใบหน้าขาวอันเต็มไปด้วยรอยฟกซ้ำควรจะดูเหนื่อยอ่อนแต่ในความเป็นจริงกับแสดงฝีมือออกมามากว่าใครๆ


ทักษะการเคลื่อนไหวในระยะประชิดเฉียบคมขึ้นเรื่อยๆ จากการฝึกกับแซมและมากส์ ประกอบการความอ่อนตัว ไหวพริบและสัญชาตญาณทำให้สามารถจัดการคู่ต่อสู่ได้ในเสี้ยววินาที ท่วงท่าและการเคลื่อนไหวเหล่านั้นไม่เสียเปล่าเลย แม้จะถูกรุมแต่เพียงมองก็รู้ได้เลยว่าการเข้าไปช่วยเหลือนั้นไม่จำเป็น


“ฮาเซล!” เสียงตะโกนของเรย์ดังขึ้นก่อนไรเฟิ้ลในมือเรย์จะถูกยิงออกมาทางผม


ปัง!


ไม่สิ...ด้านหลัง


ปัง!


ผมหันควับไปมองด้านหลังและเบี่ยงตัวหลบตามสัญชาตญาณที่ได้ยินเสียงปืน กระสุนเฉี่ยวแก้มผมไปเพียงไม่กี่มิลเท่านั้น ด้านหน้าผมมีร่างสูงกำยำ ผิวสีแทน ศีรษะโล้นไร้เส้นผม...ใบหน้านั่น...


“คิง จามาน่า” ผมกัดฟันเรียกคนตรงหน้า ก็รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่แต่พอมาเจอจริงแล้วกลับอดไม่ได้ที่จะตกใจ


“ไง ต้องบอกสวัสดียามรุ่งสางรึเปล่าล่ะไอ้ฮาเซล!” น้ำเสียงหงุดหงิดออกแนวเครียดแค้นนั่นผมสัมผัสได้อย่างชัดเจน ไม่แปลกถ้าเขาจะแค้น


“งั้นฉันควรพูดว่ายินดีที่ได้พบกันอีกสินะ”


“หึ...ปากแบบนั้นฉันจะยิงให้เละเลย”


ปัง!


และกระสุนปืนรัวๆ ก็ดังขึ้นอีกระลอก ผมวิ่งหาที่หลบสลับกับยิงใส่อีกฝ่ายบ้างแต่ด้วยความที่ฝั่งนั้นมีลูกน้อยคอยคุ้มกันทำให้ไม่มีโอกาสได้ยิงโดน


“ผมจะจัดการคนคุ้มกันให้!” เสียงตะโกนอันคุ้นเคยของเรย์เรียกให้ผมหันไปมองด้านหลังก่อนจะเห็นร่างของเรย์วิ่งผ่านหน้าไป เรย์ไม่ได้ประมาทถึงขนาดบุกลุยฝ่ายห่ากระสุนตรงๆ แต่อาศัยหน้าต่างบานข้างๆ เป็นทางออก


“เดี๋ยวเรย์!” ผมส่งเสียงห้ามแน่นอนว่าไม่ทัน


ร่างของเรย์เข้าปะทะกับผู้คุ้มกันคนแรก ผู้ติดตามที่เหลือรวมทั้งคิง จามาน่าเปลี่ยนเป้าหมายมายังเรย์อย่างรวดเร็ว ผมสถบเสียงดังพร้อมวิ่งเข้าไปร่วมวงจัดการด้วย คนคุ้มกันร่างกายกำยำถูกผมเข่าลอยเข้าเต็มๆ แผ่นอกจนร่างล้มลงไปนอนแน่นิ่งในขณะที่เรย์โยนไรเฟิ้ลในมือขึ้นเหนือหัวเพื่อเรียกความสนใจจากคู่ต่อสู่แล้วจัดการกระโดดใช้ขาล๊อคคออีกฝ่ายโดยมือทั้งสองข้างคว้าคอคนที่อยู่ใกล้อีกคนไว้แน่นก่อนจะออกแรงบิดแรงๆ จนเกิดเสียงหักของกระดูกขึ้นพร้อมกัน


ผมเบิกตากว้างกับภาพเมื่อครู่...ในหัวนึกภาพออกเลยว่าถ้ากวนอารมณ์เรย์มากๆ ท่านั้นคงได้ถูกใช้ออกมาแน่นอน การจะรับมือกับท่านั้นทำได้ง่ายๆ แค่มีส่วนคอที่แข็งแรงจนไม่สามารถบิดหักได้ก็พอ เพียงแต่ไม่มีมนุษย์คนไหนจะคอแข็งแรงได้ขนาดนั้น


“เจ้านั่นมันเป็นใคร!” เสียงตะโกนแบบไม่ต้องการคำตอบจากคิง จามาน่าดังขึ้นเมื่อได้เห็นฝีมือของเรย์


“คนรักฉันเอง!” ผมถือโอกาสเข้าประชิดพร้อมออกหมัดชกอีกฝ่ายทว่าคิง จามาน่าก็ไม่ใช่คนอ่อนหัดขนาดจะหลบการโจมตีง่ายๆ ไม่ได้


“ผมไม่ใช่คนรักคุณ!” เรย์ตะโกนตอบด้วยสีหน้าไม่พอใจ


“อย่าเขินน่า” ผมหมุนตัวเตะเข้าบริเวณหน้าท้องของคิง จามาน่าจนอีกฝ่ายกระเด็นไปพอสมควร


“ไม่ได้เขิน เลิกพูดสักทีจัดการให้เรียบร้อยก่อนเถอะ” พูดจับศอกแหลมๆ ของเรย์ก็โจมตีเข้าใส่ใบหน้าของหนึ่งในผู้คุ้มกันจนทรุดตัวลงกับพื้นทันควัน ด้วยสภาพร่างกายไม่น่าจะเหลือกำลังมากขนาดนี้ ไม่รู้เอาแรงมาจากไหน ฟังจากเสียงของการโจมตีที่ปล่อยออกไปอย่างต่อเนื่องนั่นยังทรงพลังอยู่เลย


“บ้าเอ้ย!” คิง จามาน่าหันมองซ้ายขวาไม่นานก็หันหลังวิ่งหนีไปยังด้านข้างโกดัง


“ไม่ให้หนีหรอก!” ผมวิ่งตามไปโดยปล่อยอีก 3 คนที่เหลือให้เรย์จัดการซึ่งผมคิดว่าเรย์สามารถจัดการได้ไม่ยากอยู่แล้ว


คิง จามาน่าวิ่งหนีจนในที่สุดก็มาหยุดอยู่บริเวณทางตันซึ่งด้านหลังเป็นผนังฉาบปูนไม่มีอะไรพอจะให้ปีนได้มีเพียงด้านขวามือที่เป็นน้ำทะเลลึก ผมมองการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายก่อนจะตัดสินใจยกกระบอกปืนขึ้นเล็งและยิงอีกฝ่ายในจังหวะเดียวกับที่คิดจะกระโดดหนีลงทะเล


ปัง!


“อ๊ากก~!...”


ตู้ม!


น้ำทะเลบริเวณที่อีกฝ่ายตกไปมีน้ำสีแดงแผ่กระจายเป็นวง...สีของเลือดแปลว่าคงยิงโดน


แต่ยิงโดนใช่ว่าจะตาย


ยิ่งร่างนั้นจมหายไปในทะเล ไม่มีอะไรยืนยันว่าคิง จามาน่าจะตายแล้วแต่ฟองอากาศที่หายไปอาจเป็นสัญญาณว่าร่างนั้นไร้ชีวิตก็เป็นได้


ผมยืนมองบริเวณน้ำทะเลสีแดงอยู่สักพักจึงหันหลังเดินกลับไปทางเดิม เมื่อกลับมาถึงโกดังโทนส์หมายเลย 859-41 ทกอย่างดูเหมือนจะจบลงเรียบร้อยโดยมีฝ่ายชนะคือพวกเรา มากส์และแซมวิ่งเข้ามาหาผมพร้อมกับถามว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเจ็บตรงไหนบ้าง พอบอกว่าไม่เป็นไรมากส์ก็รายงานว่ามีนักฆ่าหลายคนที่หลบหนีไปได้...เห็นว่าเหล่าคนที่มารวมกันอยู่ในโกดังไม่ได้มีเพียงนักฆ่าแต่ยังมีทหารรับจ้างและอื่นๆ อีก


“เรย์อยู่ไหน” ผมเอ่ยถามพลางมองไปรอบกาย ปกติต่อให้อยู่ท่ามกลางผู้คนผมก็สามารถมองหาเรย์ได้ทันที


“พวกเราไม่รู้ พอออกมาจากโกดังก็เห็นร่างของชายหลายคนนอนกองอยู่บนพื้น ไม่เห็นเทเลอร์เลย” คำอธิบายจากมากส์ทำให้ผมเริ่มขมวดคิ้ว


“เดี๋ยวมา” ผมวิ่งออกไปอีกทางด้วยท่าทีรีบร้อน


ดวงตาสองข้างมองซ้ายขวาเพื่อหาร่างของคนที่น่าจะยังไปได้ไม่ไกลก่อนจะเห็นแผ่นหลังอันคุ้นเคยจากบริเวณไกลๆ กำลังหลบไปยังหลังโกดังแห่งหนึ่ง


“เรย์!” ผมวิ่งเข้าไปพร้อมส่งเสียงเรียก เรย์ที่ได้ยินชะงักเล็กน้อยไม่นานก็หันกลับมามองผม ใบหน้าอันเต็มไปด้วยแผลฟกซ้ำเรียกขาผมให้ก้าวเข้าไปใกล้แล้วเอื้อมมือลูบไล้แผลนั้นอย่างอ่อนโยน...อ่อนโยนจนตัวเองยังไม่อยากเชื่อ


“ฮาเซล...”


“ไปโรงพยาบาลกัน” ผมพูดแล้วเตรียมคว้ามืออีกฝ่ายทว่าเรย์กลับชักมือหนีก่อนก้าวถอยหลัง


“จัดการคิง จามาน่าแล้วใช่ไหม” อีกฝ่ายเอ่ยถาม


“อืม ฉันยิงหมอนั่นระหว่างหนีไปทางทะเล”


“งั้นก็แปลว่างานของผมสิ้นสุดลงแล้ว”


“...” ครั้งนี้เป็นฝ่ายผมที่ยืนนิ่ง ประมวลถ้อยคำของเรย์เมื่อครู่


“ในเมื่องานเสร็จผมก็คงต้องขอตัว”


“ฉันไม่ให้ไป” ผมรีบคว้ามืออีกฝ่ายที่กำลังจะหันหลังหนีทันที


อยู่ๆ ก็บอกว่าจะไป


นี่ถ้าผมไม่วิ่งตามมาเขาจะไปโดยไม่มีการบอกลาอะไรเลยเหรอ


“ฮาเซล...คุณน่าจะเข้าใจนะว่าผมเป็นนักฆ่าไม่ใช่บอดี้การ์ด คุณไม่มีสิทธิ์มาบอกให้ผมไม่ไป”


“เรย์...”


“เรื่องมันจบลงด้วยดี คุณจัดการศัตรูได้ ผมปกป้องคุณได้ จากนี้ก็ต่างคนต่างไป” เรย์พูดโดยไม่หันมาทางผม


“นายไม่รู้สึกอะไรที่เราต้องจากกันเลยเหรอ”


“...ไม่”


“มีแค่ฉันเหรอที่ไม่อยากให้ทุกอย่างมันเป็นเพียงอดีต” ผมยังคงถามต่อ


“...ใช่”


“งั้นก็หันมาบอกฉันตรงๆ สิไม่ใช่หันหลังให้กันแบบนี้” ผมรู้จักเรย์ดี เวลาเรย์ตอบหรือสวนผมกลับแทบจะไม่มีการเว้นวรรคหรือนิ่งไป แต่กับสองคำถามก่อนหน้านี้เรย์นิ่งไปก่อนตอบนั่นแสดงถึงความลังเลที่เกิดขึ้น


“ฮาเซล คุณสนุกกับผมมาพอแล้ว เลิกยุ่งกับผมเถอะ” เรย์บอกพร้อมกับถอดคอนแทคเลนส์ออก ดวงตาสีม่วงที่ปราศจากคอนแทคเลนส์หันมาสบกับผมตรงๆ จนเผลอมองอย่างหลงใหล ใบหน้าของเรย์นิ่งจนเหมือนไม่มีอารมณ์ใดๆ


นั่นคือคำตอบเหรอเรย์


“ฉันชอบนายนะเรย์” ผมเอ่ยเสียงเบา มันอาจเป็นฉากสารภาพรักที่ไร้ความโรเมนติกที่สุดในโลก ฉากคือโกดังเก่าๆ สภาพของเราสองคนมีทั้งเลือดและแผลฟกช้ำ


“คิดจะแหย่ผมเล่นก่อนจากรึไง”


“ฉันพูดจริง” ผมย้ำเมื่อเห็นว่าเรย์ไม่มีทีท่าจะเชื่อ


“ผมไม่เชื่อ และต่อให้จริงผมก็คงต้องขอปฏิเสธ”


“ทำไม...”


“ผมชอบชีวิตที่มีเพียงตัวเอง ชอบการอยู่ในห้องโดยไม่ต้องพูดคุยกับใครๆ ชอบที่จะป่วยแล้วไม่มีคนดูแล!” ยังไม่ทันที่ผมจะถามจบเรย์ก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ


“นายก็แค่ไม่อยากจะชินกับการอยู่กับฉัน” ผมบอกออกไป สิ่งที่เรย์กำลังแสดงออกคือการปฏิเสธทุกอย่างตลอดเวลาหลายเดือนที่พวกเราใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ปฏิเสธราวกับคนกำลังหวาดกลัวต่อความรู้สึกของตัวเอง


“...ก็อาจใช่ ผมไม่อยากชินกับการมีคุณอยู่ข้างๆ”


“แต่ฉันอยากให้เรย์มาอยู่ข้างๆ”


“ผมไม่เหมาะกับตำแหน่งนั้นหรอกฮาเซล ปล่อยผมไปเถอะ” พูดจบมือของเรย์เอื้อมมาสัมผัสกับมือข้างที่ผมรั้งอีกฝ่ายไว้แล้วค่อยๆ ชักมือออก


“กลัวเหรอเรย์ กลัวจะรักฉันเหรอ” ผมยอมปล่อยมือแต่ไม่ยอมให้เรย์จากไปทั้งที่ค้างคาแน่ๆ


“...” ความเงียบเป็นคำตอบอย่างดี


“ฉันรักนาย” ผมพูดอีกรอบ


“ผมเกลียดคุณ” ครั้งนี้เรย์ไม่ได้นิ่งแต่พูดออกมาทันที ดวงตาสีม่วงเงยขึ้นมาสบราวกับจะสื่อความเกลียดออกมาตามประโยคทว่าสำหรับผมกลับมองว่าดวงตานั่นไม่ได้สื่อออกมาแค่ความเกลียด มีบางอย่างที่มากกว่านั้น


“ฉันรักนาย”


“แต่ผมเกลียดคุณ!” เป็นอีกครั้งที่คำว่าเกลียดดังขึ้นติดๆ กัน


ทั้งที่เป็นคำว่าเกลียดแต่กลับทำให้ผมยิ้มออก


บ้าจริงๆ เลยตัวผมเนี่ย


จะฝืนให้ยอมรับทั้งที่เรย์ยังสับสนและลังเลก็ดูน่าสงสารเกินไป


“เราจะได้เจอกันอีกใช่ไหม” ครั้งนี้ผมจะยอมถอยให้หนึ่งก้าว


“...” เรย์ไม่ตอบ ดวงตาสีแปลกประสานกับดวงตาผมสักพักก่อนจะผละออกแล้วหันหลังเดินจากไป


ไม่มีการเรียกหรือรั้งไว้แม้ภายในใจอยากจะวิ่งตามไปกระชากอีกฝ่ายให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด


ผมจะยอมให้แค่ครั้งนี้


ถ้าวันหนึ่งเรย์เป็นฝ่ายก้าวเข้ามาหาผมรับรองเลยว่าจะดึงเขาให้มาอยู่ข้างกายโดยไม่ปล่อยให้ไปไหนอีก การจากกันครั้งนี้ไม่ใช่การจากตลอดไปแต่เป็นการจากเพื่อเจอกันใหม่ในวันหนึ่ง


ความเงียบของเรย์นั่นสื่อประโยคหนึ่งออกมาโดยปราศจากคำพูดใดๆ...


ไว้เจอกันใหม่

................................................

มาต่อแล้วค่าา

สำหรับตอนนี้เรียกว่าเป็นตอนที่เศร้าที่สุดของเรื่องก็ว่าได้

พยายามจะแต่งให้เศร้าแต่ก็เศร้าได้แค่นี้เพราะไม่ค่อยชอบฉากเสียน้ำตาเท่าไหร่แต่ถ้าไม่มีเลยก็จะเหมือนขาดอะไรไป

การจากกันในวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการพบเจอกันในวันใหม่

แล้วมาลุ้นไปด้วยกันนะคะว่าทั้งคู่จะลงเอยกันได้อย่างไร

ผ่านมาเกินครึ่งแล้วขอบคุณทุกคนที่คอยคอมเม้นท์และเป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ

ช่วยเอ็นดูเรย์และฮาเซลจนจบเรื่องด้วยน้า

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่13« 5/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-12-2018 15:11:50
เราว่าฮาเซลเตรียมชุดใหญ่ไว้รอเรย์แน่ ๆ
ดีไม่ดี คงนัดให้เรย์มาฆ่าแบบน่าปวดหัวหนักกว่าเดิม 55555
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่13« 5/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nattacha ที่ 05-12-2018 16:17:26
คิง จามาน่า ไม่น่าตายง่ายขนาดนี้ มีอะไรต่ออีกรึป่าวนะ
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่13« 5/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-12-2018 17:32:00
จากเพื่อพบกันใหม่  :กอด1:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่13« 5/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PK.Kenaf ที่ 05-12-2018 17:40:33
อยากรู้ว่าจะกลับมาเจอกันได้ยังไง ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่13« 5/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 06-12-2018 23:23:56
โอยยย ลุ้นมากเลยค่ะ

คนร้ายตัวจริงโผล่มาแล้ว แล้วเหมือนรอดได้อีกรอบ
เพราะฮาเซลรีบมาตามหาเรย์ซะก่อน กลัวไม่ได้บอกรัก

เรย์สามารถมาก เล่าได้แบบจับโกหกไม่ได้น่ะ
สงสารเรย์นะ คนไม่อยากรัก ไม่อยากเจ็บปวด
ฮาเซลก็เซนส์ดีมากค่ะ หลอกล่อซะตัวปลอมเชื่อ



หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่13« 5/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 10-12-2018 19:24:49
หวังว่า คิง จามาน่า จะตายแล้วนะ กลัวจะมีพลิกจัง

หากเจอกันครั้งหน้าขอให้เป็นการเจอกันที่ไม่มีวันจากนะ
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่14« 12/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 12-12-2018 16:03:08
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่14



ความหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในห้องสี่เหลี่ยมแผ่เข้ามาถึงด้านในของผ้านวมผ่านช่องว่างเล็กๆ ยามพลิกตัวไปด้านข้างเรียกให้เจ้าของห้องอย่างผมสะดุ้งขึ้นพร้อมขยับผ้านวมปิดช่องว่างนั้น...นาฬิกาดิจิตอลด้านข้างบอกเวลาเที่ยงครึ่ง


“...ยังง่วงอยู่เลย” พึมพำเสร็จผมก็ล้มตัวขดเข้าไปในผ้านวมอีกครั้ง


งานใหม่ที่รับมาผมเพิ่งจัดการเสร็จไปตอนรุ่งสางของวันนี่เอง แม้ร่างกายจะอยากพักและนอนต่อแทบขาดใจแต่ก็รู้ๆ กันดีว่ามีอวัยวะหนึ่งที่ไม่ยอมทำตาม ความแสบร้อนของกรดในกระเพาะทำเอาผมสะบัดผ้านวมออกด้วยความไม่พอใจนัก ประตูตู้เย็นถูกเปิดอย่างแรงก่อนจะหยิบทั้งแยมโรลชาเขียว ชูครีมรสกาแฟและนมสดหนึ่งขวดออกมาวางหน้าคอมแล้วเริ่มลงมือกินท่ามกลางอากาศเย็นๆ จากแอร์ที่เปิดทิ้งไว้


ระหว่างจัดการมื้อเช้าควบกลางวันดวงตาสีม่วงของผมก็ไล่ดูเมลมากมายที่ถูกส่งมา ตั้งแต่เสร็จงานของฮาเซลผมพบว่ามีเมลเรื่องงานเข้ามาหลายสิบเมลโดยหนึ่งในนั้นมีเมลจากคิง จามาน่ารวมอยู่ด้วย เนื้อหาของงานคือให้ผมปลอมตัวเข้าไปใกล้คิดและสังหารฮาเซลซะ


ผมคิดนะว่าเป็นงานที่ง่ายเหลือเกินเพราะผมอยู่ข้างกายฮาเซลในฐานะบอดี้การ์ดอยู่แล้ว ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมไม่มีความคิดจะหักหลังหรือทรยศฮาเซล


“หึ...ไม่ใช่ลูกน้องหมอนั่นสักหน่อย คิดอะไรบ้าๆ” ผมบ่นตัวเองสลับกระดกขวดนมสดเข้าปาก


เรื่องของฮาเซลผ่านมาหลายอาทิตย์แล้ว ทั้งที่น่าจะลืมเหมือนกับงานอื่นๆ ไม่รู้ทำไมถึงยังนึกถึงอยู่ตลอด ความรู้สึกเหงาปากนี่ถือเป็นครั้งแรกเลย ตลอด 6 เดือนผมพูดมากกว่าในช่วงหลายปีรวมกันซะอีก


ตั้งแต่วันที่ฮาเซลปล่อยผมอีกฝ่ายติดต่อมาตลอดทางโทรศัพท์มือถือที่ให้ไว้แน่นอนว่าผมไม่คิดจะรับสายหรือตอบข้อความใดๆ กลับไป เมื่องานจบผมไม่คิดจะสานต่อความสัมพันธ์ใดๆ การมีสัมพันธ์กับใครสักคนมันทำให้งานยากขึ้นและยังมีห่วง


ผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนั้น...ถึงจะไม่เคยมีก็เถอะ


ฮาเซลพูดว่าผมกลัวที่จะชินเวลามีเขาอยู่ข้างๆ


ใช่...ผมยอมรับว่าผมกลัว


ผมอยู่คนเดียวมาตลอด อยู่จนชินชากับความเหงาและโดดเดี่ยวและอยู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งเข้ามาทำลายกำแพงสูงลิ่วของผมจนไม่เหลือชิ้นดี ทั้งคอยแหย่ คอยพูดคุย คอยดูและและคอยเอาใจใส่ มีใครบ้างจะไม่รู้สึกกลัว...กลัวจะชินกับการมีอีกฝ่ายอยู่ข้างกายจนไม่สามารถอยู่ตามลำพังได้อีก


“โอ๊ะ...” ผมหยุดการเลื่อนเม้าส์แล้วกดคลิกเข้าไปดูเนื้อหางานด้านใน


งานหลายๆ ชิ้นที่ผมทำผู้ว่าจ้างส่วนมากจะไม่บอกว่าตัวเองเป็นใครแต่ก็มีส่วนน้อยที่จะบอก อย่างเมลนี่เองก็เป็นหนึ่งในส่วนน้อยนั่น ชื่อของหนึ่งสามคานผู้คอยขับเคลื่อนประเทศอย่างผู้บัญชาการโรเบิร์ต เกลสันอันเปี่ยมไปด้วยอิทธิพลและอำนาจ มือขวาทำการเลื่อนเนื้อหาของงานเพื่ออ่านและทำความเข้าใจในทุกๆ บรรทัด ยิ่งอ่านนานเข้าคิ้วทั้งสองข้างค่อยๆ ขมวดเข้าหากันทีละน้อย


งานนี้ไม่ใช่การลอบสังหารแต่เป็นการเก็บข้อมูลและล่อลวงเป้าหมายก่อนจะส่งให้ทางการจัดการต่อ เป็นงานไม่ยากทว่าเป้าหมายค่อนข้างจะต้องใช้วิธีเฉพาะในการเข้าถึง


“รับหรือไม่รับ” ถามตัวเองพลางเคี้ยวแยมโรลชาเขียวไปพลาง


มีไม่น้อยหรอกที่จะมีงานพวกหาข้อมูลหรือล่อลวงเป้าหมายเข้ามาเพียงแค่ผมมักจะไม่ค่อยรับเนื่องจากมันมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวในการปฏิบัติการต่อจากนั้น ดีไม่ดีอาจพลอยโดยลูกหลงไปด้วย ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เคยมีใครจับผมได้สักคน


ไม่อยากชมตัวเองหรอก...ผมนี่เก่งใช่เล่นนะเนี่ย!


“รับก็ได้ ไม่ได้ทำงานแบบนี้มานานแล้ว” งานที่ได้เงินโดยไม่ต้องพรากชีวิตใครถือเป็นหนึ่งในงานดีๆ ที่นอกจากจะไม่ค่อยจะมีผ่านเข้ามาแล้วผมมักจะไม่รับทำสักเท่าไหร่ เพราะถ้าต้องการข้อมูลไปหาพวกขายข่าวจะง่ายกว่าหรือถ้าต้องการลวงเป้าหมายแค่จ้างบริษัทสักแห่งเป็นอันจบไม่จำเป็นต้องมาจ้างนักฆ่าอย่างผมหรอก


สำหรับงานของโรเบิร์ต เกลสันถือเป็นหนึ่งในข้อยกเว้นเนื่องจากเป้าหมายไม่ใช่คนที่มีเพียงข้อมูลจะสามารถจัดการได้ ต่อให้จ้างบริษัทใดเพื่อทำการล่อลวงให้ตกอยู่ในแผนก็มีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทเหล่านั้นจะรับมือไม่ได้


เมลตกลงรับงานถูกส่งกลับไปพร้อมกับชูครีมรสกาแฟชิ้นสุดท้ายถูกกลืนลงท้อง ความง่วงก่อนหน้านี้ยังคงหลงเหลืออยู่พอสมควรผมเลยเดินตรงไปยังเตียงทิ้งตัวลงและม้วนตัวขดอยู่ใต้ผ้านวมอีกครั้ง


หลายวันต่อมาการเตรียมการทุกอย่างก็เสร็จสิ้นและเป็นวันเดียวกับที่ทางโรเบิร์ต เกลสันกำหนดด้วย งานครั้งนี้จำเป็นต้องมีการกะจังหวะเวลาให้ดีไม่อย่างนั้นจะเสี่ยงกับการเปิดเผยตัวตนของผม ยามนาฬิกาบอกเวลา 5 โมงผมในชุดเด็กนั่งดริ้งสีเลือดหมูแนวจีนก็เดินออกมาเรียงหน้ากระดานพร้อมกับเหล่าชายหนุ่มในชุดแบบเดียวกันต่างกันเพียงสีอีกประมาณ 20 คน โดยมีผู้หญิงจำนวนเท่าๆ กันยืนอยู่แถวหน้า ด้านหน้ามีหญิงเจ้าของสถานที่เริงรมย์ยินทำหน้าตึงด้วยชุดสีแดงสดมือด้านขวากางพัดออกพร้อมส่ายเบาๆ ให้เกิดลม


ตอนนี้ผมอยู่ในสถานเริงรมย์ชื่อดังของเมืองตำแหน่งพนักงานนั่งดริ้งชาย วันก่อนผมได้มาสมัครเข้าทำงานด้วยใบหน้าและดวงตาเรียวคมจากการแต่งหน้าช่วยเสริมภาพลักษณ์ผมให้ดูดีและน่ามองโดดเด่นกว่าคนอื่นที่มาสมัครผมเลยได้รับคัดเลือกเข้าทำงานทันที สาเหตุของการเข้าทำงานในสถานเริงรมย์มีอย่างเดียวคือเป้าหมายในครั้งนี้คือเจ้าของสถานเริงรมย์ขึ้นชื่อหรือก็คือผู้หญิงในชุดแดงตรงหน้าผมนี่เอง


ชื่อของเธอคือเชิง ต้าเกว๋ย ดูเผินๆ ร้านนี้ก็เป็นเพียงสถานเริงรมย์ธรรมดาแต่ความจริงแล้วไม่ใช่...เจ้าของร้านหรือเชิง ต้าเกว๋ยมีรสนิยมทางเพศแบบรุนแรงและมักจะบังคับให้ชายที่เธอชอบต้องขึ้นเตียงและจบลงด้วยบาดแผลหลายแห่ง ถ้าแค่นั้นจอมพลอย่างโรเบิร์ต เกลสันคงไม่เข้ามายุ่งทว่าด้วยความรุนแรงทำให้มีคนตายไปหลายคนทางหน่วยรักษาความปลอดภัยจึงได้เริ่มเคลื่อนไหว


ด้วยความที่เชิง ต้าเกว๋ยมีอำอาจไม่มากจึงไม่สามารถหลบการตรวจสอบพื้นที่เมื่อถูกตั้งให้เป็นผู้ต้องสงสัย แต่แล้วหลังจบการตวรจสอบกลับไม่เจอทั้งเลือดหรือเครื่องมืออะไรเลยทั้งในบ้านและสถานเริงรมย์แห่งนี้  จากขอมูลที่ทางจอมพลโรเบิร์ต เกลสันให้มาทำให้รู้ว่าในสถานเริงรมย์นี้น่าจะมีห้องลับอยู่ งานของผมคือหามันและทำให้เชิง ต้าเกว๋ยใช้ห้องนั้น ถ้าถูกจับได้คาหนังคาเขาคงจะดิ้นไม่หลุด


แน่นอนว่าเรื่องนี้มันไม่ง่าย


ผมเลยต้องเริ่มจากการเข้ามาเป็นพนักงานนั่งดริ้งแล้วพยายามส่งสายตาให้เธอสนใจตลอด ช่วงหลายวันมานี้เหมือนจะให้ความสนใจผมมากพอดู คิดว่าวันนี้แหละผมสามารถให้เธอพาไปยังห้องลับนั่นได้


“...คงเข้าใจนะว่าเจ๊ไม่อยากรุนแรงแต่หากมีเรื่องแบบเมื่อวานเกิดขึ้นอีกเจ๊ก็มีวิธีการเด็ดขาดจัดการ” ตอนนี้เชิง ต้าเกว๋ยกำลังพูดเตือนพนักงานสาวในสุดสีฟ้าแนวจีนด้วยน้ำเสียงตำหนิเมื่อวานเองก็ตำหนิไปทีแล้วเนื่องจากผู้หญิงคนนั้นเผลอตบหน้าชายซึ่งเป็นลูกค้าจนหน้าหันจากการโดนลวนลาม


อาชีพนี้เป็นปกติที่จะโดนลวนลาม มีไม่น้อยหากลูกค้าถูกใจก็จะจบลงด้วยการขึ้นไปเปิดห้องหรือโรงแรมข้างบน คนที่มาทำอาชีพนี้ต่างรู้ดีทว่าหลายคนไม่ได้มาทำด้วยความยากแต่เป็นการบังคับ จำยอมหรือถูกซื้อขายในตลาดแรงงาน


ผมได้แต่ยืนมองเจ้าของร้านกล่าวตำหนิด้วยใบหน้านิ่งๆ เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับผม...ไม่ใช่ว่าผมใจร้ายหรืออะไรหรอกถ้าเข้าไปช่วยมีโอกาสสูงที่ผู้หญิงคนนั้นจะโดนหนักกว่านี้ อีกอย่างเรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับวิธีจัดการของแต่ละคน


อย่างผมเองใช่ว่าจะไม่โดนลวนลาม บอกเลยว่าโดนทั้งชายและหญิง ในจำนวนนั้นมีมากกว่าครึ่งพยายามจะพาผมขึ้นเตียง แน่นอนว่าผมมีวิธีจัดการ ถ้าง่ายๆ ก็แค่มอมเหล้าหนักๆ จนขึ้นเตียงไม่ไหว ในกรณีที่เปิดห้องได้ผมก็อาศัยช่องว่างสับต้นคออีกฝ่ายจนสลบถึงเช้าวันต่อมาแล้วทำท่าว่าโดนกระทำเรียบร้อย สำหรับผู้หญิงผมใช้วิธีนิ่มนวลกว่านั้นหน่อยแต่ง่ายๆ ก็มอมเหล้านั่นแหละ


“วันนี้เจ๊ก็ไม่มีอะไรจะพูดมากนักหรอก...พยายามทำงานให้ดี แยกย้ายได้” คำเกริ่นหลังจากพูดมาครึ่งชั่วโมงทำเอาทั้งห้องเลิกคิ้วครึ่งอย่างพร้อมเพรียงกัน


นี่ขนาดไม่มีอะไรจะพูดนะเนี่ย


“คุณต้าเกว๋ย” ผมเดินเข้าไปเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงคมคาย


“แหม วันนี้ก็หล่อเหมือนเดิมเลยนะโจ” เจ้าของร้านหันมามองผมด้วยรอยยิ้มพลางยกมือลูบตั้งแต่แผ่นอกไล่ลงมาถึงหน้าท้องแน่นอนว่าผมได้แต่คงรอยยิ้มไว้ ชื่อเรียกในภารกิจนี้ผมใช้ชื่อว่าโจ


“คุณก็สวยเหมือนเดิมเช่นกัน ชุดสีแดงเหมาะกับคุณกว่าสีอื่นเยอะเลย”


“เจ๊ก็ว่าสีแดงนี่เหมาะกับเจ๊สุดเหมือนกัน ตาถึงนะเราน่ะ แล้วเจ๊บอกแล้วนี่ว่าให้เรียกว่าอะไร” พูดจบอีกฝ่ายขยับหน้าเข้าใกล้ นิ้วมีหยาบๆ เอื้อมมาแตะริมฝีบางผมเบาๆ


“เจ๊ต้าเกว๋ย” ผมเรียก


“เด็กดี แบบนี้สิเจ๊ชอบ”


“ผมก็ชอบเจ๊นะ” คำพูดนี้ผมขยับใบหน้าเขาไปกระซิบให้อีกฝ่ายได้ยินเบาๆ น้ำเสียงเชิญชวนนี้ผมไม่คิดว่าเชิง ต้าเกว๋ยจะไม่รู้ ขึ้นอยู่กับว่าจะยอมติดกับไหม


“...แน่ใจนะ เจ๊ไม่ชอบแบบธรรมดาหรอกนะหนุ่มน้อย”


“ผมก็ไม่ชอบแบบธรรมดาเหมือนกัน” ผมกระซิบต่อ


“...เลิกงานแล้วมาหาเจ๊ที่ห้อง874”


“ครับเจ๊” ผมยกยิ้มเมื่อเหยื่อติดเบ็ด


การทำงานของสถานเริงรมย์แห่งนี้อาจต่างกับที่อื่นเล็กน้อยตรงบรรยากาศแนวจีนประยุกต์ให้ดูหรูหราและสมัยใหม่มากขึ้น พนักงานนั่งดริ้งชายหญิงอย่างพวกผมจะถูกจัดให้อยู่บริเวณทางเข้า เมื่อมีแขกเข้ามาสามารถเลือกคนที่ต้องการแล้วพาไปได้เลย ไม่มีห้องกระจกกั้น ไม่มีหมายเลขติดอก...มีเพียงสีเสื้อที่แตกต่างกันไปตามแต่ละคน


การยืนรอแขกเลือกเป็นเวลาค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับผม แต่ก็มีมุมน่าสนุกเช่นกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ หากมีลูกค้าเข้ามาแต่ดูเป็นพวกรับมือยากผมจะลบตัวตนของตัวเองออกไปให้มากที่สุด จะกลืนอยู่กับคนอื่นๆ ไม่ให้ลูกค้าคนนั้นรับรู้ถึงการมีอยู่ของผม แค่เรื่องงานก็จัดการยากแล้วผมไม่อยากมาวุ่นวายจัดการกับลูกค้าอีก


ช่วงเวลาเปิดร้านคืน 6 โมงเย็น ลูกค้าส่วนมากเป็นผู้ที่มีเชื้อสายจีนหรือชื่นชอบบรรยากาศหรูหราสไตล์จีนประยุกต์ มีตั้งแต่ชายหนุ่มหญิงสาวไปจนถึงผู้สูงวัยที่อยากมาหาความสุขสำราญยามค่ำคืน ลูกค้าหลายคนเดินเข้ามาก่อนเลือกพนักงานไปนั่งดื่มด้วย ทางร้านไม่มีกฎว่าลูกค้าสามารถเลือกได้เพียงคนเดียวจึงมีไม่น้อยเลือกคนไปนั่งด้วย 2-3 คน


ผมยืนนิ่งกลืนตัวเองกับบริเวณมุมเพื่อไม่ให้ลูกค้าเลือกไปนั่งดื่มด้วย วันนี้ผมไม่อยากรับลูกค้าเพราะต้องเตรียมรับมือกับเชิง ต้าเกว๋ยหลังปิดร้าน ดีไม่ดีผมอาจไปหาเธอก่อนร้านปิดจะได้มีเวลาจัดการหลายๆ อย่าง


“ยินดีตอบรับครับ โอ๊ะ...ท่านฮาเซล กอนซาเลส” ทันทีที่พนักงานต้อนรับพูดชื่อลูกค้าตรงหน้าร่างทั้งร่างของผมก็เกร็งขึ้นโดยอัตโนมัติ ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์สีน้ำเงินเข้มหันไปมองภาพของฮาเซลในชุดนักธุรกิจเหมือนอย่างทุกทีเดินเข้ามาพร้อมกับบอดี้การ์ดคนสนิทอย่างมากส์และแซม


ภาพความทรงจำเก่าๆ เวลาอยู่กับพวกเขาผุดขึ้นมาจนผมต้องกำมือแน่นและสะบัดทุกอย่างทิ้งไป ผมก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อใช้ชายหนุ่มข้างๆ เป็นเกราะกำบังไม่ให้ฮาเซลเห็น ทั้งทำตัวกลืนและหลบขนาดนี้หวังว่าสายตาและเซ้นส์ของฮาเซลคงใช้ไม่ได้นะ


“ฉันเลือกคนริมด้านในสุด” เสียงทุ้มอันทรงเสน่ห์นั่นไม่ได้ทำให้ผมหลงใหลตรงกันข้ามกลับรู้สึกหมันไส้จนอยากเหวี่ยงหมัดใส่สักที


คนริมด้านในสุดที่ว่าไม่ใช่ใครนอกจากผมเอง


มองแค่พริบตาเดียวก็รู้เลยเหรอว่าเป็นผม


บุคลิก ท่าทาง สีผม สีตาหรือแม้แต่ใบหน้าต่างไม่ใช่ปกติของผมแล้วทำไมถึงรู้ได้


คำตอบนั้นผมรู้อยู่แล้ว


จะให้พูดอีกกี่ครั้งก็ได้


ผมเกลียดเซ้นส์ของฮาเซลจริงๆ


“โจ มานี่” เสียงพนักงานต้อนรับเรียกผมที่ไม่ยอมเดินออกไปด้วยสายตาตำหนิอยู่ไม่น้อย ปกติเมื่อมีคนเรียกพวกเราต้องรีบเดินออกไปทักทายด้วยรอยยิ้ม ในเมื่อมาแบบนี้ผมจะแกล้งสวมบทเป็นคนอื่นให้ฮาเซลเขวไปเลย


“ครับ ขอโทษที่ออกมาช้านะครับ พอดีผมตกใจที่คนระดับคุณเรียกผมให้ไปเป็นเพื่อนนั่งดื่ม” ผมก้าวเข้าไปประชิดฮาเซลพร้อมยกมือข้างนึงแนบแผ่นอกนั่นเบาๆ


“...” ฮาเซลไม่พูดอะไร เขาทำเพียงจ้องมองผมที่ส่งยิ้มยั่วยวนไปให้ราวกับกำลังวิเคราะห์ว่าเป็นผมจริงหรือคนอื่น


แบบนี้สิดี


จะตีบทให้แตกจนไม่รู้เลยว่าเป็นผม


“ท่านฮาเซลจะเลือกอีกสักคนไหมครับ ทางเรามีหญิงสาวที่เพิ่งเข้ามาใหม่อีกหลายคนเลยนะครับ” พนักงานต้อนรับบอกต่อ


“ไม่ล่ะ สำหรับฉันแค่คนเดียวก็พอแล้ว” ประโยคสุดท้ายนั้นแผ่วเบาราวกับจะบอกให้ได้ยินกันเพียงสองคน


“ถ้าต้องการอะไรเพิ่มบอกโจได้เลยนะครับ”


“อืม”


“ต้องการโซนไหนดีครับ” ผมถามก่อนจะออกเดิน มากส์และแซมด้านหลังเหมือนจะจำไม่ได้ว่าเป็นผมเช่นกัน ก็เข้าใจ ปกติไม่มีใครแยกแยะหรือจำผมได้หรอกจะมีก็ฮาเซลคนเดียวเท่านั้นแหละที่ไม่ว่าผมจะอยู่ในรูปลักษณ์หรือสีผมอะไรอีกฝ่ายก็มักจะแยกได้เสมอ


“ส่วนตัว ขอเป็นแบบไม่มีใครมายุ่ง” ฮาเซลตอบ


“เชิญทางนี้ครับ” ผมผายมือไปด้านข้างก่อนจะเดินนำไปยังด้านในเกือบสุดของร้านบนชั้น 3 ซึ่งเป็นมุมส่วนตัวมากที่สุดเมื่อเทียบกับบริเวณอื่นที่มีเพียงฉากกั้นแต่บริเวณนี้นอกจากจะมีฉากไม้ขนาดใหญ่กั้นแล้วยังเป็นมุมอับของร้านทำให้เป็นส่วนตัวกว่า


“มากส์ แซม” ฮาเซลเรียกบอดี้การ์ดคนสนิท


“ครับท่านฮาเซล”


“ฉันขออยู่ตามลำพัง”


“...แต่ว่า...” เหมือนมากส์จะไม่เห็นด้วยกับการท่าเซลจะอยู่ตามลำพังกับเด็กนั่งดื่มที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ผมคิดว่ามากส์คงรู้แล้วถึงเรื่องก่อนหน้านี้มีนักฆ่าปลอมตัวเป็นเทเลอร์เพื่อเข้ามาใกล้จึงต้องทำการป้องกันทุกวิถีทางไม่ให้ฮาเซลเป็นอันตราย


ข้อนี้ผมเห็นด้วย ขืนปล่อยให้ผมอยู่กับเขาสองต่อสองอาจมีการลงมือเกิดขึ้นนอกเหนือภารกิจหลัก


“มากส์”


“...พวกเราจะอยู่โต๊ะด้านนั้น” สุดท้ายมากส์ก็ทำตามคำขอของเจ้านายอย่างเลี่ยงไม่ได้


พอบอดี้การ์ดทั้งสองคนเดินไปนั่งยังโต๊ะห่างออกไปไม่ไกลฮาเซลก็นั่งลงบนเก้าอี้ยาวหรูสไตล์จีน โต๊ะมุมนี้เป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมเตี้ยๆ กับเก้าอี้ยาวเพียงตัวเดียวผมจึงจำเป็นต้องนั่งข้างๆ อีกฝ่ายแม้ในใจนะอยากไปหาเก้าอีกอีกตัวมานั่ง แต่แบบนั้นคงจะยิ่งทำให้สงสัยมากขึ้น


“จะรับเครื่องดื่มหรือกับแกล้มอะไรไหมครับ” ผมเอ่ยถาม


“Spirytus96%”


“...ครับ?” ผมอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างเมื่อได้ยินชื่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่แรงที่สุดออกมาจากปากของฮาเซล


Spirytus96%เป็นเหล้าที่มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ถึง96% หากดื่มเข้าไปเพียวๆ จะได้เจออาการคล้ายกับโดนชกท้องแรงๆ 
สั่งของแรงขนาดนั้นคิดจะให้มากส์กับแซมลากกลับบ้านรึไง


“ถ้าไม่แรงขนาดนี้คงมอมนายไม่ได้ใช่ไหมล่ะ” เหมือนฮาเซลจะอ่านออกว่าผมกำลังสงสัยเลยพูดต่อด้วยรอยยิ้มมุมปากอันทรงเสน่ห์ ใครได้เห็นรอยยิ้มนี่คงหน้าแดงละลายกลายไปไอแน่


“...เป็นเกรียติอย่างยิ่งที่คุณประเมินผมสูงขนาดนั้น” ผมพยายามเลี่ยงอะไรก็ตามที่อาจทำให้อีกฝ่ายรู้ความจริง สำหรับ Spirytus96%ผมเลยดื่มอยู่หลายครั้ง และขนาดผมที่คอแข็งยังไม่สามารถดื่มหมดขวดได้...ความหมายคือถ้าคิดจะมอมผมคงไม่มีอะไรดีเท่านี้


“ที่นี่มีของหวานไหม” อยู่ฮาเซลก็เปลี่ยนเรื่อง


“มีครับ มีของหวานพวกของหวานทางประเทศจีนอย่างสาลี่ตุ๋นลำไย หิมะลอยน้ำ บัวลอยน้ำขิงและพวกถั่วตัด” ผมบอกเมนูของหวานให้อีกฝ่ายรู้ ร้านนี้ไม่ได้มีเมนูของหวานเหมือนปกติเนื่องจากเน้นเป็นสไตล์จีน


แต่ชื่อว่าของหวานผมก็ชอบหมดแหละอย่างหิมะลอยน้ำเป็นของขึ้นชื่อของร้านเหมาะสำหรับสาวๆ ที่ต้องการบำรุงผิวพรรณเนื่องจากใช้เห็ดหูหนูขาวมาเคี่ยว ผมยังไม่เคยลองเพราะจะเสียภาพลักษณ์เลยกะว่าถ้ามีโอกาสอาจไปหาซื้อกินสักครั้ง


“เอามาอย่างละอัน”


“ครับ” ผมไม่ได้ถามว่าทำไมถึงสั่งทั้งที่ไม่ชอบกินเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ถึงตัวตน


ถึงจะพูดไปแบบนั้นผมก็เดาได้แล้วแหละว่าฮาเซลรู้แล้วว่าเป็นผม


เครื่องดื่มและของหวานตามสั่งถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะพร้อมกับแกล้มสองสามอย่างที่ผมถือวิสาสะสั่งมาเอง ผมกลับมานั่งข้างฮาเซลแล้วเริ่มชงเครื่องดื่มให้อีกฝ่ายด้วยความคล่องแคล่ว


“คล่องจังนะ” น้ำเสียงอันคุ้นเคยพูดขึ้น พอเหล่มองก็พบว่าตัวเองกำลังถูกฮาเซลจ้องมองอยู่


“ผมทำมานานน่ะครับ” การที่เขาไม่พูดชื่อผมมีอยู่สองทาง ทางแรกคือเขาไม่รู้ว่าเป็นผม อีกทางคือเขารู้แต่ทำเป็นไม่รู้ อีกความหมายคือต้องการรักษาระยะห่างซึ่งผมก็ว่าดี ขืนเขามาทำตัวสนิทสนมเหมือนก่อนหน้านี้ผมคง...


“ทำไมมาทำงานนี้ล่ะ ถ้าไม่มีเงินก็รับงานฉันสิ...เรย์” เสียงกระซิบแสนเบาหวิวนั่นทำเอามือที่ถือแก้วเกร็งขึ้นโดยอัตโนมัติ
ว่าแล้วเชียว


จำได้จริงๆ ด้วย


ไม่ว่าจะแต่งยังไง ไม่ว่าจะปลอมเป็นใคร


หลอกฮาเซลไม่เคยได้!


“ผมไม่รู้ว่าคุณพูดอะไร ผมชื่อโจ” ผมจะแถให้สุดทางเลยคอยดูสิ


“คิดว่าฉันจะจำคนรักตัวเองไม่ได้เหรอ”


“ผมไม่ใช่คนรักคุณฮาเซล กอนซาเลส” เมื่ออารมณ์ปะทุขึ้นน้ำเสียงที่ดัดและบุคลิกที่คงไว้ทุกอย่างล้วนละลายหายไปในพริบตา

 
“ฮืม? ไหนบอกไม่ใช่เรย์ไง ฉันพูดถึงคนรักที่ชื่อเรเวน มาเกอร์ต่างหาก” พอผมหลุดตัวจริงออกมาฮาเซลก็เผยรอยยิ้มกว้างที่ทำเอาใจผมกระตุกออกมาพร้อมประโยคกวนๆ ตามแบบฉบับ


“นี่คุณ...” ผมควรจะตอบกลับไปยังไงให้อีกฝ่ายรู้ถึงความหงุดหงิดนี้ดี


ใช้ที่เปิดขวดแทงคอซะเลยดีไหม!


“พูดเพราะๆ ด้วยเสียงหวานๆ ฉันก็ชอบนะ แต่ชอบแบบนี้มากกว่า คิดถึงนะเรย์” พอเอ่ยประโยคสุดท้ายจบอีกฝ่ายก็คว้าเอวผมให้ขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น


“...รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเป็นผม” ครั้งนี้ผมไม่ลุกหรือขยับหนีเหมือนทุกครั้ง


“ตั้งแต่แรกที่เดินเข้ามา”


“ผมว่าตัวเองมีทักษะดีแล้วนะ” ผมหมายถึงทักษะด้านการทำตัวไม่ให้เป็นที่สนใจ


“อืม แต่ใช้กับฉันไม่ได้”


“จะบอกว่าเพราะเซ้นส์สินะ”


“รู้ใจนี่ สมแล้วที่เป็นคนรักของฉัน”


“ผมไม่ได้เป็นคนรักของคุณ” ผมพูดย้ำอีกรอบ


“ฉันอยากให้เรย์มาเป็นคนรัก” ฮาเซลบอก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองที่ไม่ได้เห็นมานานมันตราตรึงอย่างบอกไม่ถูก


“...อย่ามาแหย่ผมเล่นเลย”


“นายรู้ดีว่ามันไม่ใช่การแหย่” ผมนิ่งเมื่อได้ยินคำพูดของฮาเซล


ใช่...ผมสัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่การแหย่หรือหยอกเล่น


แต่ถ้าฮาเซลคาดหวังในคำตอบผมคงไม่สามารถให้ได้ ต่อให้รับรู้ผมก็จะทำเป็นไม่รู้


“คุณมาทำอะไรที่นี่” ผมเปลี่ยนหัวข้อสนทนา


“โรเบิร์ต เกลสันให้ฉันมานี่เผื่อคนที่จ้างทำงานพลาด”


“คุณรู้ว่าเขาจ้างผม?” ผมรีบหันควับไปถามทันที  ความจริงฮาเซลไม่ใช่คนจะมาสถานที่แบบนี้ ผมยังแปลกใจเลยที่เห็นเข้าก้าวเข้ามาในร้านแต่ถ้าบอกว่าเป็นหนึ่งในแผนของโรเบิร์ต เกลสันค่อยพอเป็นไปได้หน่อย


“เปล่า ทางนั้นไม่ได้บอกว่าจ้างใคร พูดแค่ว่าเป็นมือดี...ฉันแค่มาเป็นตัวกลาง หากมีเรื่องอะไรจะให้พวกหน่วยรักษาความปลอดภัยด้านนอกเข้ามา”


“แบบนี้นี่เอง” ให้ฮาเซลที่ดูไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมาเป็นตัวประสานงาน


เลือกได้ดี


ทางโรเบิร์ต เกลสันคงไม่สามารถบุกเข้ามาได้ตรงๆ หากไม่เกิดเรื่อง ในกรณีที่ผมทำงานสำเร็จแต่ไม่มีใครส่งสัญญาณนั่นอาจทำให้ทุกอย่างพังไม่เป็นท่า


“ใครจะคิดล่ะว่าพอมานี่แล้วจะได้เจอกับคนที่อยากเจอที่สุด รู้งี้มาตั้งแต่เปิดร้านแล้ว” ฮาเซลพูดพลางเอื้อมมือมาสัมผัสใบหน้าผมให้แหงนขึ้นไปสบกับดวงตาเรียวคมด้านบน


“ผมไม่ยักอยากเจอคุณนะ”


“ฉันไม่คิดแบบนั้น”


“...หึ” ผมไม่ปฏิเสธเพราะรู้ตัวดีว่าตอนเห็นหน้าของฮาเซลมีเศษเสี้ยวหนึ่งที่แสดงความดีใจออกมา


“ไม่ปฏิเสธแบบนี้ฉันดีใจนะ”


“ผมแกล้งให้คุณดีใจต่างหาก”


“ฉันยอมถูกแกล้ง ถ้าเป็นนาย”


“ไม่ต้องมาหยอด ใช้กับผมไม่ได้หรอก” คำหยอดพวกนั้นใช้ไม่ได้ผล อย่างน้อยๆ ก็ตอนนี้


“ทำงานที่นี่คงไม่ได้ถูก...หรอกนะ” แม้ฮาเซลจะเว้นบางคำแต่ผมก็เดาได้ถึงความหมายของประโยคนั้น


“หมายถึงถูกลวนลามหรือพาขึ้นห้องล่ะ” ผมถามกลับก่อนจะยกยิ้มขึ้นท้าทายอีกฝ่ายด้วยสายตานิ่งๆ


“อย่าแหย่ฉันแบบนี้เรย์” คิ้วสีน้ำตาลของฮาเซลเริ่มขมวดเข้าหากันแน่นขึ้นโดยที่ดวงตาสีสว่างเองก็กำลังทอประกายของความหงุดหงิดจนปิดไม่มิด



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่14« 12/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 12-12-2018 16:03:31
(ต่อนะคะ)


“ผมไม่ได้แหย่ แค่พูดความจริง” ผมย้ำอีกรอบ


“...” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองหรี่ลงเล็กน้อยจ้องมองผมด้วยสายตาอันคมกริมราวกับกำลังทำโทษ


“อาชีพผมคืออะไรคุณก็รู้ คิดเหรอว่าผมจะไม่เคยถูกทำอะไรแบบนั้น” ใช่ ผมถูกทั้งลวนลามและพาขึ้นห้องแต่ไม่ได้พูดนี่ว่านอนกับพวกนั้นแล้ว


“รู้ไหมว่าตอนนี้ฉันกำลังคิดอะไรอยู่” ฮาเซลถามโดยยังไม่ปล่อยมือจากใบหน้าผม


“รังเกียจผมมั้ง” ยอมโดนลวนลาม ยอมขึ้นห้องกับใครไปทั่ว


“ไม่ใช่ ฉันกำลังคิดจะเก็บพวกที่มาลวนลามนายยังไงดี จับตัวมาขังในห้องเทงูใส่ทางหน้าต่างขังไว้สัก 2 วันหรือให้ไปว่ายน้ำเล่นกับฉลามดี”


“คิก...” พอนึกภาพตามผมก็เผลอหลุดหัวเราะออกมา


วิธีการสมกับเป็นฮาเซล


“ฉันรู้ว่าอาชีพนายเป็นยังไง มันห้ามไม่ได้ที่จะถูกแตะหรือสัมผัสแต่ฉันมันใจว่ายังไม่มีใครได้ครั้งแรกของนายไป”


“อะไรที่ทำให้มั่นใจขนาดนั้น”


“แค่ฉันขึ้นคร่อมก็สั่นระริกแถมทั้งถีบทั้งต่อย ไม่มีใครรับมือเรย์บนเตียงได้นอกจากฉันหรอก อีกอย่างเซ้นส์มันบอก” น้ำเสียงมั่นใจนั่นน่าหงุดหงิดจริงๆ


“ถ้าใช้เซ้นส์ก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว” คนเดียวที่ผมไม่อยากเป็นศัตรูด้วยก็คือฮาเซลนี่แหละ


ผมไม่รู้ว่าจะเอาชนะเซ้นส์เขาได้ยังไง


“จะจัดการเชิง ต้าเกว๋ยยังไง”


“หลังปิดร้านเธอเรียกผมให้ไปหาบนห้อง แต่ผมว่าจะไปก่อน”


“ใช้เวลากี่วันถึงได้เข้าใกล้ได้ขนาดนี้” ฮาเซลถามต่อ


“อาทิตย์กว่ามั้ง” ผมลองนับคร่าวๆ


“ต้องบอกว่าสมกับฉายายมทูตแห่งความตายสินะ”


“แน่นอน”


“ห้องไหน”


“ถามทำไม”


“เผื่อจะเข้าไปร่วมด้วย”


“หึ...จะถีบออกนอกห้องเลย 874” ผมโน้มหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูฮาเซลทว่าพอจะผละออกกลับถูกแขนทั้งสองข้างโอบกอดจนไม่สามารถขยับหนีได้


ไออุ่นจากร่างกายแผ่ซ่านออกมาจนสัมผัสได้แม้จะมีเสื้อผ้าคั่นกลาง อาการขัดขืนมีในช่วงแรกก่อนจะหายไปเมื่อมือข้างหนึ่งของฮาเซลลูบไล้เส้นผมสีเข้มของผมไปมา ใบหน้าคมซุกเข้ายังลำคอแล้วสูดกลิ่นอายจากร่างกายราวกับจะจดจำกลิ่นนี้ไว้


ผมปล่อยให้ฮาเซลกอดแลละสัมผัสตามใจโดยไม่กอดตอบหนีขยับหนี ที่ทำมีเพียงหลับตาลงพร้อมเก็บไออุ่นและทุกสัมผัสนี้เอาไว้ หากผ้านวมที่ผมห่มทุกคืนอุ่นเหมือนอ้อมกอดนี้ก็คงจะดีไม่น้อย


“...เรย์”


“พอรึยัง?” ผมถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกอดมานานพอสมควรแล้ว


“ยัง...ขออีก 3 ปี”


“นานไป” ไม่รู้ว่าพูดเล่นหรือพูดจริง


“งั้นขอเป็นสองปีกับอีก 11 เดือน”


“ฮาเซล ผมต้องไปแล้ว” ควรรีบจัดการให้เสร็จระหว่างที่ยังมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอยู่


“อีกแป๊บ” ฮาเซลนอกจากไม่ยอมปล่อยแล้วยังกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก


“ฮาเซล”


“...รับโทรศัพท์กันหน่อยสิ อย่างน้อยตอบไลน์มาก็ได้” ฮาเซลพึมพำให้ได้ยินกันสองคน


“แบตหมดไปแล้ว” ผมบอกความจริงไป โทรศัพท์ที่ฮาเซลให้ตอนทำงานเป็นบอดี้การ์ดตอนนี้ถูกทิ้งไว้บนโต๊ะคอมโดยไม่เสียบชาร์ตมาหลายอาทิตย์แล้ว


“งั้นบอกเบอร์ของเรย์หน่อย มีโทรศัพท์อีกเครื่องใช่ไหม”


“ผมไม่บอกคุณหรอก”


“ทำไม”


“เพราะผมมั่นใจว่าถ้าบอกผมอาจโดนกระหน่ำโทรไม่ก็ส่งข้อความมากวน”


“ถ้ารับสายฉันก็ไม่กวนนานหรอกน่า”


“ขอปฏิเสธ”


“งั้นมาพนันกัน”


“พนัน?”


“ใช่ ถ้าใน 1 เดือนต่อจากนี้ฉันเจอนายต้องบอกเบอร์ให้ฉันรู้” การพนันครั้งนี้อยู่นอกเหนือการคาดการผมเลยนิ่งเพื่อใช้ความคิด การที่ใน 1 เดือนจะเจอฮาเซล มีความเป็นไปได้แต่น้อยมากเพราะผมไม่ได้รับงานบ่อย และถึงรับงานก็ใช่ว่าฮาเซลจะมาเจอผมประจวบเหมาะได้ตลอด


เอาเถอะ


แค่พนันคงไม่เสียหายเท่าไหร่


“ได้ ผมตกลง ปล่อยได้แล้ว” ครั้งนี้ผมไม่อยู่นิ่งให้อีกฝ่ายกอดแต่เริ่มขยับตัว มือข้างขวากำแน่นเตรียมจะชกเข้าบริเวณชายโครงทว่าฮาเซลกลับผละผมออกคล้ายกับรู้ล่วงหน้าว่าผมจะโจมตี


“อย่าใช้กำลังสิ”


“ก็พูดดีๆ คุณฟังที่ไหนล่ะ” บอกให้ปล่อยเป็นสิบรอบก็ยังเหมือนเดิม


“แล้วเจอกันใหม่”


ผมไม่ได้ตอบอะไรกับคำพูดนั่น เมื่อลุกขึ้นผมมองฮาเซลเล็กน้อยก่อนจะก้าวขึ้นไปยังห้อง 874 ตามที่เชิง ต้าเกว๋ยนัดไว้ เคาะประตูไม่กี่ครั้งคนด้านในห้องก็ส่งเสียงอนุญาตให้เข้าไปด้านในได้ ภายในห้องถูกจัดฉากเหมือนอยู่ในประเทศจีนทั้งผนังห้องสีสด เตียงสี่เสามีผ้าระบายสีแดงสดดูหรูหราและคงความเป็นจีนไว้  ด้านข้างมีประตูห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้ารวมถึงชุดโต๊ะไม้เล็กสามเก้าอี้สำหรับนั่งจิบชาหรือพูดคุย


นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้ามาในห้องของเชิง ต้าเกว๋ย หมายเลขห้อง 874 อาจดูเหมือนเป็นห้องทั่วไปแต่ความจริงเป็นห้องของเธอ จากการสำรวจรอบๆ โดยไม่ให้มีพิรุจผมไม่เห็นถึงความผิดปกติไม่ว่าจะเป็นประตูลับหรืออุปกรณ์ทรมานใดๆ


“มาเร็วจังนะ” เชิง ต้าเกว๋ยในชุดนอนสายเดี่ยวสีแดงสั้นกุดเอ่ยถามพร้อมยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว้ข้างจนเห็นผิวขาวเนียนมากยิ่งขึ้น


“ผมรอแทบไม่ไหวแล้ว” ผมก้าวเข้าไปหาแล้วคลุกเข่านั่งลงด้านหน้าเธอ ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์สีน้ำเงินเงยขึ้นไปสบสายตาคนด้านบนคล้ายคนกำลังร้องขอบางสิ่ง


“เจ๊จะรอดูว่าเธอจะเหมาะสมกับเจ๊รึเปล่า” พูดจบปลายคางผมก็ถูกบีบอย่างแรงจนปวด


“อื้อ...แรงอีกสิครับเจ๊” ผมร้องขอด้วยร่างกายที่แกล้งทำเป็นสั่น


“เยี่ยม ถูกใจจริงหนุ่มน้อย” สายตาอันเป็นประกายของเชิง ต้าเกว๋ยเป็นตัวบอกอย่างดีว่าอีกฝ่ายติดกับผมเข้าอย่างจัง


“...เริ่มกันเลยเถอะครับ”


“เจ๊มีสถานที่ที่เหมาะกับคนอย่างเธอ มานี่สิ” เชิง ต้าเกว๋ยลุกขึ้นเดินไปยังตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ พอเปิดออกเสื้อผ้าหลายสิบตัวที่แขวนอยู่ก็ถูกเควี้ยงออกมากองด้านนอกกระจัดกระจายเต็มพื้น ผนังไม้ด้านในถูกเปิดออกกว้างก่อนเจ้าของห้องจะหายตัวเข้าไปด้านใน


เข้าใจแล้วว่าทำไมทางการถึงหาไม่เจอ พอเห็นว่าเป็นตู้เสื้อผ้าคงแค่มองผ่านๆ ไม่ได้ตรวจด้านในอย่างจริงจังเพราะประตูลับส่วนมากมักจะอยู่ใต้เตียงหรือตามผนังไม่ใช่ในตู้เสื้อผ้า ผมเดินก้าวตามอีกฝ่ายเข้าไปด้านใน ภาพของของสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีขาวสะอาดมีกลิ่นคาวเลือดอบอวนแต่นั่นไม่ใช่สิ่งน่าตกใจเท่ากับเครื่องมือทรมานหลายสิบชิ้นที่ตั้งอยู่ตามมุมต่างๆ ของห้องโดยมีเตียงขนาดใหญ่สีแดงอยู่กลางห้อง


อื้อฮือ...รสนิยมสุดๆ ไปเลย


เสี้ยววินาทีหลังสำรวจทั้งห้องเสร็จเสียงของแส้ที่หวดลงบนพื้นกระเบื้องก็ดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งห้อง เชิง ต้าเกว๋ยในชุดนอนสีแดงกำลังหวดแส้ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข


“มานี่สิโจ มาใกล้ๆ เจ๊” น้ำเสียงแหบพร่าคล้ายคนกำลังมีอารมณ์นั่นทำเอาผมอยากถอนหายใจออกมาดังๆ ถ้าไม่ติดที่ว่ากำลังทำงานอยู่


“ก่อนจะใช้แส้นั่นผมอยากให้เจ๊จับผมไว้ด้วยกุญแจมือ อยากถูกจับล๊อกจนหนีไปไหนไม่ได้” ผมพยายามอย่างมากในการใช้น้ำเสียงสื่ออารมณ์คล้ายคนโรคจิต


“ดี ดีมาก ถูกใจเจ๊จริง อยากได้กุญแจมือแบบไหนดีล่ะ มาเลือกเลยโจ” อีกฝ่ายกวักมือผมให้เข้าไปเลือกกุญแจมือในกล่องพลาสติกสีใสริมผนัง กุญแจมือหลากหลายสไตล์ถูกเรียงเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


“ผมชอบแบบนุ่มสีเทานี่” ผมบอกพลางหยิบกุญแจมือที่ถูกหุ้มด้วยขนนุ่มๆ


“เลือกได้แล้วเราก็มาเริ่มกันเถอะ” เชิง ต้าเกว๋ยพูดพร้อมดึงมือผมให้เดินไปยังข้างเตียงพร้อมดึงเหล็กสำหรับล๊อคกุญแจมือลงมา ผมมองภาพนั่นด้วยความตะลึงในความเพียบพร้อมของสถานที่


“ช่วยผมล๊อคหน่อยสิครับ” ผมส่งเสียงออดอ้อนจนอีกฝ่ายหลงทำตาม ทันทีที่มือนั้นเข้ามาใกล้ผมก็จัดการล๊อกข้อมือทั้งสองข้างเข้ากับคานเหล็กอย่างรวดเร็ว และไม่กี่วินาทีต่อมาผ้าเช็ดหน้าก็ถูกคาดปิดปากเพื่อไม่ให้เจ้าของร้านส่งเสียงร้องหรือขอความช่วยเหลือได้


เชิง ต้าเกว๋ยดิ้นไปมาไม่หยุดด้วยสีหน้าของคนกำลังตื่นตระหนก ผมได้แต่ส่งยิ้มบางๆ ก่อนจากกันไปให้แล้วเดินออกมาทางประตูลับในตู้เสื้อผ้า ประตูเสื้อผ้าถูกผมเปิดอ้าให้กว้างพอที่ถ้ามีคนเข้ามาต้องนึกเอะใจหรือสงสัย


หลังสำรวจความเรียบร้อยบานประตูห้อง 874 ก็ถูกปิดลงพร้อมกับร่างผมที่เดินกลับเข้าไปในร้านโดยไม่ใครรู้สึกผิดสังเกต ผ่านชั้นสามผมเหลือบเห็นฮาเซลและบอดี้การ์ดคนสนิททั้งสองนั่งดื่มอยู่ในมุมปกติ คงเพราะผมจ้องนานไปฮาเซลเลยจับสัมผัสได้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองเงยขึ้นมาสบและแสดงท่าทีตกใจผ่านทางสายตาคล้ายจะพูดว่าจัดการเสร็จแล้วเหรอ


ผมยกยิ้มมุมปากพลางพยักหน้าเบาๆ


ไม่มีการเข้าไปหา


ไม่มีการพูดคุย


ไม่มีแม้การสนทนาหรือส่งรหัสใดๆ


เพียงแค่สบตากันผมก็รู้ว่าทุกถ้อยคำสื่อไปถึงฮาเซลได้ มองกันสักพักผมหลับตาลงแล้วหันหลังเดินจากไปท่ามกลางผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ กลืนไปกับคลื่นของมนุษย์นับสิบและออกไปด้านนอกโดยไม่มีใครจับได้ดังฉายาของนักฆ่ามือหนึ่ง...ยมทูตแห่งความตาย

..........................................

มาแล้วค่าา

อ่านจบแล้วรู้สึกยังไงกันบ้างคะ

หลายคนน่าจะอยากให้เรย์กลับมาอยู่กับฮาเซลเลย

แต่ด้วยนิสัยของเรย์ที่ก็รู้ๆ กันอยู่ แค่มาเจอกันก็นับว่าเป็นพรหมลิขิตแล้ว

ได้เจอกันอีกครั้งหลังไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยรู้สึกว่าบทสนทนาของทั้งคู่หวานเป็นพิเศษ

ตอนนี้แต่แล้วลื่นไหลมาก

หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ กำลังใจ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่14« 12/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PK.Kenaf ที่ 12-12-2018 17:52:45
ดีต่อใจ หุยยย น้องเขาชอบอ้อมกอดพี่เด้อ แต่มีความต่างคนต่างกวน 555555 เราว่าฮาเซลได้เบอร์แน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่14« 12/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-12-2018 19:20:43
ให้เวลาน้องเขาหน่อย 3 ปีเอง จิ๊บๆ  :hao4:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่14« 12/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 12-12-2018 20:51:31
เจอกันรอบหน้าฮาเซลต้องได้เบอร์ของเรย์แน่นอน เลย
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่14« 12/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 12-12-2018 22:55:43
 :pig4: ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่14« 12/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-12-2018 23:07:29
มีการส่งสายตาหากันแล้วก็แยกย้าย
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่14« 12/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 17-12-2018 18:39:21
เซนส์ฮาเซลแรงเกินไปแล้ว ร้ายกาจมาก
คืออยู่ตรงไหนก็จับติดน่ะ ต้องรักมากขนาดไหน

เรย์แนบเนียนมาก และสมจริงมาก
แต่ระวังตัวบ้างน้า กลัวพลาดจัง
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่15« 19/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 19-12-2018 17:42:12
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่15




อาชีพมือสังหารหรือนักฆ่ามีการทำงานในขอบเขตค่อนข้างกว้าง เมื่อมีภารกิจเข้ามาและตกลงรับต่อให้อยู่นอกเมือง ต่างประเทศ ในน้ำหรือแม้แต่บนฟ้าก็จำต้องเดินทางไปจัดการเช่นเดียวกับงานในวันนี้ สถานที่ไม่เพียงอยู่นอกเมืองเท่านั้น...


บรรยากาศสีเขียวชอุ่ม ต้นไม้สูงเตี้ยนาๆ พรรณขึ้นแตกใบออกดอกจนเต็มภูเขาทั้งลูก หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวอันลือเลื่องอุทยานแห่งชาติฟีโอซึ่งกินพื้นที่ภูเขาถึง 2 ลูก นอกจากพื้นที่ภูเขาและป่าไม้แล้วยังมีโรงแรมขนาดกลางถูกสร้างโดยวัสดุธรรมชาติอย่างไม้ทำให้ภายนอกดูกลืนไปกับป่า ภายในเองคงจะให้ความรู้สึกเหมือนนอนในโพรงไม้ละมั้ง


ในหัวผมคิดพลางกระชับกระเป๋าเป้ยาวสีดำให้แน่นขึ้นระหว่างเดินลัดเลาะจากด้านล่างของอุทยานมาจนถึงด้านบนใกล้กับโรงแรมสำหรับพักของทั้งแขกและบุคคลากรภายใน ฤดูนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิบนพื้นดินทุกย่างก้าวเลยค่อนข้างชุ่มชื้นเต็มไปด้วยต้นหญ้าหรือพุ่มไม้ พอเงยหน้าขึ้นมองด้านบนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ก็เข้ามาอยู่ในสายตา...ท้องฟ้าสีครามนั่นมองเห็นเพียงช่องว่างตรงกลางลอดผ่านกิ่งไม้เข้ามา


ถึงจะดูทึบแต่ไม่ได้อึดอัด ป่าที่นี่เป็นป่าโปร่งเลยมีบรรยากาศเย็นสบายแม้จะมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นติดๆ กันนับพันต้น ความทึบของต้นไม้เป็นส่วนหนึ่งในแผนการที่เตรียมมาหากเป็นฤดูใบไม้ร่วงคงใช้วิธีนี้ไม่ได้


ขาสองข้างของผมหยุดเดินเมื่อเห็นหลังคาของโรงแรมด้านหน้าในระยะประมาณ 100 เมตร ไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็อาศัยกิ่งก้านของต้นไม้เล็กใหญ่เป็นฐานเพื่อส่งตัวเองให้ขึ้นไปยังบริเวณที่ต้องการ บริเวณนั้นคือกิ่งไม้ขนาดใหญ่อันเต็มไปด้วยใบไม้ปกคลุมช่วยอำพรางร่างผมได้อย่างดี


ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์สีน้ำตาลมองตรงไปยังห้องบนชั้น 4 มุมขวาสุดระหว่างมือทั้งสองข้างหยิบอาวุธสีดำคลับออกมาจากกระเป๋าเป้ยาวด้านหลัง ปืนไรเฟิ้ลถูกประกอบอย่างเชื่องช้าและจบลงหลังติดกล้องส่องลงไป


ไรเฟิ้ลกระบอกดำถูกตั้งบนฐานยิงพร้อมเล็งไปยังห้องมุมขวาสุดบนชั้น 4 ภายในห้องมีเป้าหมายของวันนี้เข้าพักอยู่ โจโจลี่ แครริ่งหรือพ่อค้าอาวุธพ่วงด้วยพ่อค้ายาระดับกลางค่อนไปทางล่าง...คนคนนี้มีศัตรูอยู่เยอะเนื่องจากชอบโกงและหลอกลวงคนอื่นเพื่อล้วงเอาความลับหรือใช้ประโยชน์ก่อนจะหักหลังหน้าตายเฉย


จากการหาข้อมูลผมได้รู้ว่าโจโจลี่ แครริ่งจะมายังอุทยานนี่และเข้าพักยังห้องมุมขวาบนชั้นที่ 4 ซึ่งสาเหตุของการมาที่นี่ทั้งที่เจ้าตัวไม่ใช่พวกรักธรรมชาติผมก็ไม่รู้และไม่จำเป็นต้องรู้ด้วย การรอบสังหารปกติผมจะไม่ใช้อาวุธปืนหรือพวกไรเฟิ้ลด้วยเหตุผลง่ายๆ คือจัดการยาก เคยบอกว่าบางคนมีเซ้นส์สามารถหลบปืนได้ง่ายๆ ทว่าครั้งนี้ผมเลือกใช้อาวุธปืนเพราะเหตุผลอันสมควรหลายๆ ข้อ


ข้อแรกการจะลอบเข้าไปจัดการโจโจลี่ แครริ่งในระยะใกล้ทำได้ยาก...เขาไม่ใช่พวกที่จะหลอกล่อด้วยสาวสวยหรือหนุ่มหล่อ ข้อสอง...โจโจลี่ แครริ่งมีผู้ติดตามกว่า 10 คนซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมีบอดี้การ์ดมากมายด้วย ข้อสุดท้ายคือมันไม่ง่ายที่จะลอบเข้าไปในโรงแรมของทางอุทยาน จริงอยู่ที่มีนักท่องเที่ยวมากมายมาพักยังอุทยานแห่งนี้แต่งไม่ใช่โรงแรมนี้ ในอุทยานจะมีโรงแรมความสูง 4 ชั้นอยู่ทั้งหมด 5 แห่งและมีเพียงที่นี่เท่านั้นที่มีการคุ้มกันแน่นหนาสุดสำหรับพวกค่อนข้างมีอิทธิพลไปจนถึงผู้มีอิทธิพลระดับสูง


ผมไม่อยากเสี่ยงกับภารกิจลอบสังหารธรรมดานี่เลยเลือกใช้ไรเฟิ้ลในการจัดการ อีกอย่างเล็งจากตรงนี้ไม่มีพวกคนคุ้มกันคอยบัง ไม่มีใครบ้าขนาดพาบอดี้การ์ดเข้ามานอนในห้องด้วยทั้ง 10 คนหรอก ระหว่างรอเป้าหมายให้เข้ามาอยู่ในระยะยิงก็มีเสียงรถมาจอดด้านหน้าโรงแรม จากที่ฟังมาหลายคันแล้วด้วย...จะว่าไปวันนี้เหมือนจะมีการจัดงานอะไรสักอย่างในแวดวงของผู้มีอิทธิพล เหมือนจะเป็นงานสังสรรค์ว่าด้วยจะคืนธรรมชาติให้กับโลกได้ยังไง


อยากขำออกมาดังๆ


ผมสามารถตอบได้เลยว่าจะทำยังไง


อย่างแรกก็เลิกใส่เสื้อขนสัตว์


อย่างที่สองก็เลิกให้กระเป๋าหนังสัตว์


และอย่างที่สามก็เลิกซื้อพรมขนสัตว์ไปเดินเหยียบเล่นในบ้าน แค่นี้ก็ช่วยคืนธรรมชาติให้กับโลกได้มากโขแล้ว


“หืม?...” ผมพึมพำพลางหันเลนส์ปืนไปยังประตูรถสีดำสนิทที่เพิ่งถูกเปิดอ้าออก ร่างของชายในชุดนักธุรกิจสีน้ำเงินเข้มกับเส้นผมสีน้ำตาลและดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองอันแสนคุ้นเคยนั่นทำเอาผมเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย


ไม่คิดว่าจะเจอกันในสถานที่แบบนี้เลย...


ฮาเซล กอนซาเลส


ตั้งแต่วันนั้นในสถานเริงรมย์แบบจีนประยุกต์ผมก็ไม่เจอฮาเซลอีกเลย ผ่านมาเกือบเดือนได้แล้วมั้ง


“ช่างสิ ไม่เกี่ยวอะไรกับผมสักหน่อย” เขาจะไปไหนมาไหนก็ไม่เกี่ยวอะไร ตอนนี้ต้องมีสมาธิกับการทำงานก่อน


ชายร่างผอมผิวสีซีดของโจโจลี่ แครริ่งเดินออกจากห้องมายืนรับลมยังระเบียงด้านข้าง ผมหันกระบอกปืนไปหาเป้าหมายในเสี้ยววินาทีพร้อมรวบรวมสติและสมาธิ เสียงลมหายใจดังขึ้นอย่างแผ่วเบาเพียงเสี้ยววินาทีไกปืนถูกเหนี่ยวพร้อมกระสุนที่พุ่งตรงไปยังเป้าหมายโดยจุดหมายของลูกกระสุนคือกลางหน้าผากของโจโจลี่ แครริ่งพอดิบพอดี


ร่างนั้นเอนตัวไปมาเล็กน้อยก่อนจะหงายหลังล้มตึงไปบนพื้นห้อง ผมมองเช็คสักพักว่าร่างนั้นไร้วิญญาณแล้วจริงๆ ค่อยทำการถอดปืนไรเฟิ้ลเก็บเข้ายังกระเป๋าซึ่งอยู่ไม่ไกล ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นผมเตรียมจะกระโดดลงไปยังพื้นด้านล่างทว่าด้วยความที่อยู่สูงทำให้สายตามองเห็นได้ไกลจนสามารถเห็นควันอะไรสักอย่างได้อย่างชัดเจน


ผมหรี่ตามองบริเวณดังกล่าวด้วยความสงสัย  ในเมื่องานเสร็จผมก็ควรกลับ แต่มีบางอย่างบอกให้ผมตามกลุ่มควันนั่นไป


“สัญชาตญาณเหรอ” ผมพึมพำกับตัวเอง


ก็อาจใช่


ลองไปดูก็ไม่เสียหายนี่นะ


ได้ข้อสรุปแบบนั้นผมก็เปลี่ยนจากกระโดดลงไปด้านล่างเป็นกระโดดไปยังกิ่งไปด้านข้างแทน ความสูงจากตรงนี้ถึงพื้นคงมากพอจะทำให้กระดูกหลายซี่หักดีไม่ดีอาจตายได้จึงไม่ควรกระโดดเล่นอย่างที่ผมทำโดยไม่มีทักษะ


ผมกระโดดผ่านต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่าไปยังบริเวณควันไฟอย่างคล่องแคล่ว พอเข้าใกล้กลุ่มควันการเคลื่อนไหวค่อยๆ ช้าลงและทำทุกการขยับให้เงียบกริบราวกับไม่มีตัวตนจนมาหยุดอยู่ยังกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่มีใบไม้แตกเป็นพุ่มหนา  ดวงตาผมแอบมองลงไปด้านล่างทันทีที่หมอบตัวลงกับกิ่งไม้ ภาพตรงหน้าทำเอาดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์เบิกกว้างขึ้น คิ้วสองข้างเองขมวดเข้าหากันแน่นเมื่อทำการวิเคราะห์สถานการณ์ด้านล่าง ภาพของกลุ่มคนหลายสิบคนมีทั้งยืนและนั่งอยู่รอบกองฟืนโดยรอบๆ มีลังไม้ขนาดกลางหลายสิบลังวางซ้อนกันไว้เป็นจุดๆ


“เฮ้ย! เราลองของนี่หน่อยได้ไหมวะ” เสียงพูดคุยของคนด้านล่างดังขึ้น ชายร่างกายสูงใหญ่เดินไปเปิดกล่องลังดังข้างแล้วหยิบถุงสีขุ่นขนาดเล็กขึ้นมาโยนเล่นบนฝ่ามือ


ถุงนั่นมันหรือว่าจะเป็น...


ยาเสพติด


“หยุดเลย นั่นมันของซื้อขายนะโว้ยขืนขาดหายไปสักเม็ดได้วุ่นพอดี” ชายอีกคนที่อยู่ไม่ไกลตะโกนบอก


“ก็ไม่แน่นี่ว่าจะขายได้ เจ้าโจโจลี่ แครริ่งมันอาจโกงเราก็ได้” ชื่อของโจโจลี่ แครริ่งทำให้ผมเริ่มขมวดคิ้วมากขึ้น สัญชาตญาณผมกำลังบอกว่ากำลังมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น


“หึ ลองมันโกงสิระเบิดที่แอบไปติดไว้ทั้งในและนอกโรงแรมได้ถูกจุดพร้อมกันแน่ ถ้ามันมาช้ากว่าเที่ยงคืนแม้แต่วิเดียวโรงแรมนั่นจะบึ้มทันที” พอพูดจบเสียงหัวเราะราวกับฟังเรื่องตลกของคนหลายสิบคนก็ดังขึ้นผิดจากผมที่ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา
ตอนนี้เป็นเวลา 5 โมงครึ่ง เหลือเวลาอีกประมาณ 6 ชั่วโมงครึ่งก่อนระเบิด


ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าโจโจลี่ แครริ่งมาทำอะไรที่นี่ หมอนั่นทำการซื้อขายยาเสพติดจำนวนมากโดยใช้ป่าไม้เป็นเครื่องอำพราง และผมเป็นคนจัดการโจโจลี่ แครริ่งก่อนจะได้มาทำการซื้อขายนี้


ผมน่าสืบเรื่องนี้ก่อนจะได้ลงมือหลังจากนั้น


ไม่คิดว่าฝ่ายนี้จะหัวร้อนขนาดกล้าวางระเบิดโรงแรมกลางอุทยาน นี่ถือเป็นความรับผิดชอบผม หากผมยังไม่ลงมือมีสิทธิ์สูงที่โจโจลี่ แครริ่งจะมาทำการซื้อขาย


“งานเข้าอีกแล้ว” ผมพึมพำพลางใช้หัวคิดหาทางออก


“พวกแกไปเช็คอาวุธด้วยว่าครบตามจำนวนไหม” เสียงจากด้านล่างยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชายร่างสูงใหญ่ดูจะเป็นหัวหน้าสั่งลูกน้องให้เดินไปเปิดลังไม้ด้านข้าง อาวุธนับสิบทั้งปืน มีดและระเบิดมือต่างเรียงรายอยู่ในลัง ถ้าให้ผมเดาคงไม่ได้มีแค่ลังเดียวหรอก


“ทำการค้าครั้งนี้คุ้มชะมัดเลยเนอะลูกพี่ เจ้าโจโจลี่ แครริ่งไม่ต่อรองราคาด้วย” ลูกน้องคนหนึ่งพูดไปหัวเราะไป


“นั่นสิ ลูกค้าแบบนี้สิดี ดีไม่ดีต่อไปพวกเราอาจมีอำนาจเหนือกว่าพ่อค้าอาวุธอย่างฮาเซล กอนซาเลสก็ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมส่ายหัวไปมาทันทีที่ได้ยิน


ไม่มีทาง


พ่อค้าอาวุธรายย่อยจะขึ้นไปเทียบชั้นฮาเซลเนี่ยนะ แทบเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ


ฮาเซลเป็นเพื่อสนิทกับผู้ผลิตอาวุธข้ามชาติอย่างคริสโตลีนี่ คิวเบิร์กทำให้มีคลังอาวุธขนาดใหญ่อีกทั้งยังรู้จักและสนิทกับหนึ่งในสามคานอย่างโรเบิร์ต เกลสัน หากไม่ฆ่าฮาเซลให้ตายก็ไม่มีทางที่พ่อค้าเล็กๆ จะขึ้นไปทัดเทียมกันฮาเซลได้ แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เรื่องสำคัญคือจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไง


ผมอาจมีปืนไรเฟิ้ลแต่กระสุนไม่เพียงพอจะจัดการหมดทุกคน ต่อให้พอก็ไม่คิดว่าจะสามารถจัดการทุกคนด้วยไรเฟิ้ลเพียงอย่างเดียวได้ วิถีกระสุนคาดเดาได้ง่ายยิ่งเล็งยิงจากจุดเดียวผมอาจจัดการได้ประมาณ 5-6 คนแต่พวกที่เหลือจะหันปืนมาระดมยิงผมกลับแน่ หรือจะให้ลงไปจัดการทีละคนก็ดูไม่เข้าท่า แทบไม่เป็นไปไม่เลยที่พวกเขาจะไม่ไหวตัวหากเพื่อนร่วมทีมค่อยๆ หายไปทีละคน ต่อให้เป็นผมการเผชิญหน้ากับคนหลายสิบคนไม่ใช่เรื่องง่าย อาวุธนอกจากไรเฟิ้ลผมมีมีด ลวด ด้ายและปืนกระบอกเล็กทว่าการจะใช้อาวุธเหล่านี้จัดการทั้งหมด...


เสี่ยงเกินไป


ดีไม่ดีพวกมันอาจกดระเบิดโรงแรมเมื่อเห็นท่าไม่ดี ผมไม่รู้ว่าเป็นระเบิดชนิดไหนแต่ระยะของมันคงไม่น้อยคนในโรงแรมคงตายกันเป็นแทบ...


“เดี๋ยวนะ คนในโรงแรม?” ผมพึมพำระหว่างนึกย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้


มีนี่นา...วิธีจัดการน่ะ


ถ้าคนเดียวไม่ไหวก็หาเพิ่มซะ


ถ้าอาวุธไม่พอก็ไปขอสิ


หึ...นี่ผมจะเป็นฝ่ายไปหาเองถึง 2 ครั้งเลยนะฮาเซล


เมื่อนึกแผนได้จะให้อยู่ตรงนี้ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่อง ผมค่อยๆ ขยับตัวเคลื่อนไหวโดยไม่ให้คนด้านล่างสงสัยหรือจับสังเกตได้ กิ่งไม้กิ่งแล้วกิ่งเล่าถูกใช้เป็นฐานในการกระโดดตรงไปยังโรงแรมด้วยเส้นทางที่รวดเร็วกว่าวิ่งบนพื้นหลายเท่า


ไม่นานนักหลังคาไม้ของโรงแรมก็เข้ามาอยู่ในสายตา ตอนนี้มีปัญหาหลักคือผมจะลอบเข้าไปบอกฮาเซลเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ได้ยังไงในเมื่อโรงแรมนี้มีคนคุ้มกันแน่นหนาและยิ่งแน่นหนาขึ้นเมื่อมีการจัดงานในช่วงหัวค่ำ ผู้คุ้มกันต้องทำหน้าที่อย่างดีเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอันทำให้บุคคลด้านในต้องตื่นตระหนกหรือบาดเจ็บ แค่ได้ยินเสียงหรือเจอสิ่งผิดปกติจำต้องรีบค้นหาต้นตอและจัดการโดยด่วน


“โอ๊ะ ใช้แผนนั้นดีกว่า” ความจริงจะเรียกว่าแผนก็ไม่เชิง


เป็นแค่ทริกแสนง่ายที่สามารถเลียนแบบไปใช้ได้ง่ายๆ ล่ะนะ ผมลงมาจากต้นไม้สูงเปลี่ยนมาเคลื่อนไหวบนพื้นดินซึ่งคล่องแคล่วกว่าบนต้นไม้พอสมควร ประตูด้านหลังโรงแรมเป็นจุดบอดแม้จะมีคนเฝ้าแต่มีเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น ไม่มากมายอะไรเลย


ก้อนหินขนาดกลางถูกวางไว้ด้านบนของกิ่งไม้โดยมีฐานเป็นก้อนหินอีกก้องไว้คอยถ่วงดุลน้ำหนัก ด้ายในกระเป๋ากางเกงถูกเอาออกมาผูกเป็นเงื่อนกระตุกง่ายๆ ก่อนผมจะลัดเลาะไปยังอีกฝั่งอาศัยพุ่มไม้เป็นเกราะกำบัง ทันทีที่กระตุกด้ายก้อนหินด้านบนก็เด้งขึ้นสูงเรียกความสนใจจากคนเฝ้าประตูได้ทั้งสามคนในครั้งเดียว อาวุธอย่างด้ายถูกม้วนเก็บในเสี้ยววินาที


“อะไรน่ะ” เสียงคนเฝ้าคนแรกดังขึ้น


“ตามไปดูเร็ว!”


“เดี๋ยวฉันไปด้วย นายเฝ้าประตูไว้ดีๆ ”


“ได้!” บทสนทนาดังขึ้นโดยที่ไม่มีใครสังเกตถึงการมาเยือนของนักฆ่าฉายายมทูตแห่งความตายเลยสักคน แม้จะมีคนยืนเฝ้าประตูทว่าสายตาของเขากลับมองไปยังเพื่อนอีกสองคนจึงง่ายมาในการลอบไปด้านหลัง จัดการเปิดประตูและเข้าไปได้โดยไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น


หละหลวมไปนิดแฮะ


แบบนี้กันพวกนักฆ่าไม่ได้หรอก


“เอาล่ะ ต่อไปคือหาฮาเซล” พอก้าวเข้ามาด้านในสิ่งแรกที่ทำคือมองไปด้านบนของกำแพงเพื่อดูกล้องวงจรปิด กล้องวงจรปิดถูกติดไว้ในทุกๆ 10 เมตรเรียกว่าพยายามยังไงก็หลบทุกตัวไม่ได้


ผมถอนหายใจพลางยกมือขึ้นขยี้เส้นผมสีดำสนิทของตัวเองจนฟูฟ่อง แว่นแฟนซีถูกหยิบมาใส่ เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกปล่อยไว้นอกกางเกงเหมือนพวกเซอร์ ไรเฟิ้ลข้างหลังเลยกลายเป็นเครื่องดนตรีประดับหลังไปในที่สุด การเตรียมตัวทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่วินาทีก่อนเริ่มก้าวเข้าด้านในเนื่องจากวางแผนเอาไว้เรียบร้อย ต่อให้ถูกจับภาพเชื่อเถอะว่าไม่มีใครสืบมาถึงตัวตนของผมได้


ในชั้น 1 เหมือนจะเป็นลอบบี้โรงแรมและห้องอาหารผมจึงเดินขึ้นไปยังชั้น 2 ซึ่งเป็นห้องโถงสำหรับจัดการเลี้ยงในวันนี้ การที่ฮาเซลมาที่นี่มีเหตุผลเดียวคือมาร่วมงาน แทบเป็นไปไม่ได้หากฮาเซลจะอยากมารับลมธรรมชาติเอาวันนี้ พอมาถึงชั้น 2 ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างหรือพรมลิขิตก็ช่างเถอะ คนที่ผมกำลังตามหากำลังเดินออกจากลิฟต์โดยมีมากส์และแซมตามอยู่ด้านหลัง


เยี่ยมเลย ถ้ามีมากส์และแซมมาช่วยคงจัดการได้ง่ายขึ้นเยอะ


ผมไม่รอช้าเดินตรงเข้าไปหาทั้งสามคน ฮาเซลเองเหมือนจะไม่ได้สังเกตผมเลยอาศัยจังหวะที่พนักงานโรงหันไปสนใจฮาเซลวิ่งเข้าไปกระแทกอีกฝ่ายจนเกือบเซล้ม


“บอส”


“ท่านฮาเซล” มากส์และแซมรวมไปถึงพนักงานในโรงแรมต่างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งผมไม่สนใจว่าใครกำลังมองมาหรือจะมีใครมาลากผมให้ออกจากฮาเซล


ตอนนี้มีเรื่องสำคัญต้องจัดการ


“ฮาเซล” ผมขยับใบหน้าใต้เลนส์แว่นกระซิบเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ร่างของฮาเซลชะงักเกร็งคล้ายคนกำลังตกใจแต่เพียงไม่กี่วินาทีต่อมามือของเขาก็คว้าเอวผมไปกอดไว้หลวมๆ


“คนนี้เป็นคนรู้จักฉันเอง” คำเดียวทำเอาบรรยากาศต่อตระหนกและความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นหายไปทันตา


“ท่านฮาเซล...หมอนี่...”


“มากส์ แซม กลับห้อง” ฮาเซลบอกทั้งสองคนพร้อมหันตัวเดินกลับไปยังลิฟต์ท่ามกลางความสงสัยของหลายๆ คน แม้แต่ตอนนี้ผมยังโดยฮาเซลกอดเอวไว้จนไม่สามารถขยับออกห่างอีกฝ่ายได้


บานประตูลิฟต์ปิดลงโดยมีผม ฮาเซล มากส์และแซมอยู่เพียง 4 คน สายตาของบอดี้การ์ดคนสนิทมองมายังผมด้วยสายตาระแวดระวัง ส่วนผมก็ใช้ศอกกระทุ้งเข้ายังเอวของฮาเซลแทนการบอกให้ปล่อย พอเป็นอิสระผมเสยเส้นผมยุ่งให้กลับเข้าที่แล้วเก็บแว่นแฟนซีลง สภาพผมจากคนมาดเซอร์กลายเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาอย่าเทเลอร์จนมากส์และแซมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ตกใจไม่นานทั้งคู่ก้าวมาแทรกกลางระหว่างผมและฮาเซลด้วยสายตาไม่เป็นมิตร


“ไม่ใช่เทเลอร์ใช่ไหม” เหมือนนั่นจะเป็นคำถามนะ


ผมไม่แปลกใจกับท่าทีของพวกเขาเพราะก่อนหน้านี่เคยมีคนปลอมตัวเป็นผมเพื่อเข้าใกล้ฮาเซลมาแล้ว และการปรากฏตัวครั้งนี้ค่อนข้างจะกะทันหัน


ไม่แปลกที่จะสงสัย


“ผมคือเทเลอร์ ไม่ได้เจอกันนานนะมากส์ แซม ขอโทษที่อยู่ๆ มากะทันหันพอดีมีเรื่องด่วน” ผมอธิบายคร่าวๆ


“ไม่แน่ว่าอาจเป็นตัวปลอมก็ได้” เหมือนมากส์จะยังไม่มั่นใจ


“นั่นเป็นตัวจริง” ฮาเซลบอกทั้งคู่


“บอสแน่ใจได้ยังไง”


“เซ้นส์มันบอก ไม่สิ หัวใจมันบอกใช่ไหมเรย์” พูดจบฮาเซลก็ก้าวเข้ามาหาหมายจะรบผมเข้าไปยังอ้อมกอดทว่าผมกับหมุนตัวหลบไปยังอีกฝั่งของลิฟต์


“ไม่ใช่!” หัวใจบ้าอะไรกัน


“...พวกเราคิดว่าเป็นตัวจริงแล้วล่ะ” มากส์และแซมหันไปมองหน้ากันสักพักก่อนแซมจะพูดออกมา


การกระทำผมคงบอกทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี ทุกครั้งที่ฮาเซลเข้ามาใกล้เกินไปผมก็มักจะสวนกลับไปด้วยท่าทางต่างๆ เพื่อให้อีกฝ่ายเลิกกวนหรือแหย่เล่น


“ฉันดีใจที่เรย์เป็นฝ่ายมาหาเองแบบนี้” ฮาเซลเดินออกจากลิฟต์ตรงไปยังห้องตรงกลางของชั้น 4 ถัดออกไปไม่กี่ห้องคงมีร่างไร้วิญญาณของโจโจลี่ แครริ่งนอนอยู่สินะ ในเมื่อยังไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายแปลว่ายังไม่มีใครพบศพ


“วันนี้ผมไม่มีอารมณ์มาเล่นนะฮาเซล ผมอยากขอความช่วยเหลือหน่อย” น้ำเสียงจริงจังดังขึ้นทันทีที่ประตูห้องพักถูกปิดลง ภายในห้องนอกจากผมและฮาเซลยังมีบอดี้การ์ดคนสนิทที่ผมบอกอยากให้พวกเขาเข้ามาฟังด้วย


“เกิดอะไรขึ้น” พอได้ยินว่าผมขอความช่วยเหลือน้ำเสียงกวนๆ ของฮาเซลเปลี่ยนมาจริงจังทันที


“มีคนวางระเบิดโรงแรมนี้และพวกนั้นจะกดระเบิดหากโจโจลี่ แครริ่งไม่ไปตามนัดตอนเที่ยงคืน” สถานการณ์ทุกอย่างถูกอธิบายด้วยความรวบลัด


“แล้วโจโจลี่ แครริ่งจะไม่ไปตามนัด?” ฮาเซลถามกลับ


“ไปไม่ได้ต่างหาก” เพียงประโยคเดียวคนอย่างฮาเซลรู้อยู่แล้วว่าผมหมายถึงอะไร


“เข้าใจล่ะ แล้วต้องการอะไรบ้าง”


“ผมอยากได้อาวุธสักหน่อย พวกนั้นมีประมาณ 30 คน เหมือนจะเป็นพ่อค้าอาวุธและยาเสพติด ตอนแรกผมคิดจะจัดการคนเดียวแต่ดูท่าคงไม่ไหว”


“ไม่ไหวอยู่แล้ว คนเดียวจะสู้กับคน 30 คนโดยอาวุธครบมือได้ยังไง” ฮาเซลสวนกลับเมื่อได้ยินเรื่องราวก่อนหน้า


“ผมถึงได้มาขอให้คุณช่วยไง” ผมทำอะไรผิดอีกล่ะถึงต้องส่งสายตาไม่พอใจมาให้


“ฉันเป็นห่วงนะรู้ไหม ต่อให้เจอแค่ 10 คนแต่ถ้าไม่ไหวก็ให้มาบอกฉันจะช่วย”


“ถ้ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตคุณผมจะบอก...”


“ต่อให้เป็นชีวิตของเรย์ก็ต้องบอก นี่เรย์ไม่เข้าใจเลยเหรอว่าฉันห่วงขนาดไหนน่ะ” น้ำเสียงหงุดหงิดราวกับคนไม่ได้ดั่งใจทำให้ผมขมวดคิ้วแน่น


“ใช่ ผมไม่เข้าใจว่าคุณจะห่วงผมทำไม”


“ฉันบอกไปหลายรอบแล้วนะว่ารักนายน่ะ เรย์” คำบอกรักครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้เอ่ยออกมา


“...เหมือนผมจะปฏิเสธไปหลายรอบแล้วเหมือนกัน” นิ่งไปสักพักผมก็ตอบกลับไป ผมไม่อยากนึกถึงถ้อยคำบอกรักเหล่านั้น จะจำไปทำไมในเมื่อสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน ผมยังอยากอยู่ในพื้นที่ของตัวเองโดยไม่มีใครก้าวเข้ามา


“ฉันจะพูดจนกว่าจะได้ก้าวเข้าไปในพื้นที่ของนาย” น้ำเสียงและสายตาที่สบมานั่นมีทั้งความจริงจังและมั่นใจจนเป็นฝ่ายผมเองที่ต้องเงียบลง


จะก้าวเข้ามาเหรอ...


อย่าก้าวเข้ามาอีกเลย


ตอนนี้แม้จะไม่มีใครก้าวเข้ามาในพื้นที่ของผมได้ทว่าตรงหน้าเส้นกั้นนั่นมีฮาเซลยืนอยู่ และอีกเพียงก้าวเดียวละมั้งที่เขาจะสามารถก้าวเข้ามาหาผมได้ เพราะงั้นอย่าก้าวต่อเลย หยุดแล้วหันหลังกลับไปเถอะ



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่15« 19/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 19-12-2018 17:42:36
(ต่อนะคะ)


“เอ่อ ผมว่าตอนนี้เราควรจัดการเรื่องระเบิดก่อนดีไหม” แซมที่เห็นบรรยากาศในห้องเริ่มเปลี่ยนไปจึงเรียกให้ทุกคนกลับเข้ามาอยู่ในสถานการณ์ตรงหน้าก่อน


“ก็ได้ เราจะคุยกันหลังเรื่องนี้จบ”


“ผมไม่...” ผมกลืนคำว่าไม่ลงคอไปเมื่อถูกสายตาคมคายของฮาเซลจับจ้องมา


“จะให้ฉันเรียกลูกน้องมาเพิ่มไหม” ฮาเซลกลับเข้าเรื่อง


“ถ้าเป็นการหาระเบิดผมว่าควรเรียกผู้เชี่ยวชาญแต่ต้องไม่ให้เป็นที่สังเกต ส่วนเรื่องจัดการกับพวกนั้นผมคิดว่าแค่พวกเรา 4 คนน่าจะพอ” ผมบอกไปตามที่คิด


“อืม แซมติดต่อคุณโรเบิร์ต”


“ครับบอส”


“พวกเราแค่ 4 คนจะไม่หนักมือไปเหรอ” มากส์หันมาถาม


“ก็อาจหนักไปสักหน่อยแต่หากใช้คนมากๆ พวกนั้นจะไหวตัวทันและอาจกดระเบิด อีกอย่างยิ่งจำนวนคนมากการสูญเสียก็จะมากตามไปด้วย ผมคิดว่าด้วยฝีมือของพวกเราจัดการได้อยู่แล้ว” ไม่ได้ยกยอตัวเองหรือประมาทคู่ต่อสู้เพียงแต่ผมวิเคราะห์มาแล้ว ฝีมือและทักษะของพวกเรารวมกัน 4 คนมากกว่าอีกฝ่าย ต่อให้ทางนั้นมีอาวุธครบมือแต่ถ้าใช้ไม่ได้อาวุธก็เป็นเพียงหินถ่วงเท่านั้น


“เหมือนนายจะไม่ใช่แค่บอดี้การ์ดที่ท่านฮาเซลจ้างมาจริงๆ สินะ” คำพูดพร้อมรอยยิ้มมุมปากของมากส์ราวกับเดาได้ว่าผมไม่ใช่คนธรรมดา


“ผมก็ไม่เคยบอกนะว่าเป็นแค่บอดี้การ์ด”


“ท่านฮาเซลเชื่อใจนายมาก ฉันคิดว่านายเองจะไม่ทรยศความรู้สึกของท่านฮาเซล” มากส์บอกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ


“เรื่องนั้นมันไม่แน่นอน หากท่านฮาเซลของมากส์ยังไม่หยุดลูบเอวผม ก่อนจะไปจัดการพวกนั้นผมอาจเตะขาเขาแล้วทุ่มลงพื้นสักที” ผมตอบกลับก่อนจะหันไปมองฮาเซลที่เอื้อมมือมาลูบเอวผมเล่นตั้งแต่เริ่มสั่งแซมให้โทรหาคุณโรเบิร์ต เกลสันหนึ่งใน 3 คานผู้คอยขับเคลื่อนประเทศ


“ท่านฮาเซล นี่ผมกำลังพูดเรื่องสำคัญอยู่นะครับ อย่าเพิ่งแหย่เทเลอร์สิครับ” มากส์หันไปบอกเจ้านายตัวเอง


“ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรหรอก ฉันเชื่อเพราะอยากเชื่อไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนกันหรอก แค่ครั้งนี้ยอมมาขอความช่วยเหลือฉันก็ดีใจจะแย่แล้ว เรย์อยากได้อาวุธอะไรเป็นพิเศษไหมฉันจะให้แซมหามาให้” บอกมากส์เสร็จก็หันมาถามผมต่อ


“มีอาวุธทุกอย่างเลยเหรอ” ผมถามกลับทั้งที่รู้คำตอบ


“หึ คิดว่าพูดอยู่กับใครล่ะเรย์”


“นั่นสิ...นี่ผมไม่ต้องเสียเงินใช่ไหม”


“ถ้าให้หัวใจนายมาจะเอาอาวุธเท่าไหร่ก็ตามสบายเลย” พูดจบรอยยิ้มมุมปากของฮาเซลก็ปรากฏขึ้น


“งั้นขอจ่ายเงินดีกว่านะ”


“ฉันล้อเล่นน่า อยากได้อะไรว่ามาเลย”


“ผมอยากได้...”


หลังจากบอกความต้องการไปจนหมดตอนนี้เหลือเพียงรอเวลาให้คนของทางโรเบิร์ต เกลสันและอาวุธถูกนำมาเท่านั้น เวลาตอนนี้คือ 3 ทุ่มมีเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงก่อนพวกนั้นจะจุดระเบิด ทันทีที่ทุกอย่างมาพร้อมพวกเราทั้ง 4 คนรีบออกจากโรงแรมเข้าไปด้านในของป่าโดยปล่อยให้คนของโรเบิร์ต เกลสันจัดการเรื่องระเบิดอย่างเงียบๆ


“พวกนั้นอยู่ไกลไหม” ฮาเซลหลังพวกเราก้าวเข้ามาในป่าได้สักพัก


“พอสมควร อีกประมาณ 300 เมตรได้ ผมเดินไม่ค่อยถนัดขอนำไปด้วยวิธีอื่นได้ไหม” ผมหันไปขอ ตอนก้าวขาไปตามพื้นดินนี่ต้องคอยมองพื้นเพื่อไม่ให้สะดุดหรือเกิดเสียงดังซึ่งมันค่อนข้างน่ารำคาญไปหน่อยสำหรับผม


“วิธีอื่น? ยังไง” ไม่เพียงแค่ฮาเซลที่มีแววตาสงสัยบอดี้การ์ดคนสนิทอีกสองคนเองก็มองมาด้วยความสงสัยเดียวกัน


ผมยกยิ้มแทนการตอบคำถามก่อนจะอาศัยขอนไม้ด้านล่างเป็นฐานเพื่อกระโดดไปยังกิ่งไม้กิ่งแรก แล้วกระโดดต่อไปจนถึงกิ่งไม้ด้านบนซึ่งอยู่เหนือหัวฮาเซลประมาณ 10 เมตรได้ ใบหน้าของทั้งสามคนดูเหมือนกำลังตกใจกับท่าทางและทักษะของผมมากพอดู


ก็นะ...คนปกติกระโดดขึ้นมาบนนี้ไม่ได้ง่ายๆ หรอกต่อให้เป็นฮาเซลเองผมว่าคงทำไม่ได้เช่นกัน ใช่ว่าแค่ทักษะจะเพียงพอมันต้องอาศัยความอ่อนตัว การรักษาสมดุลและความเบาของร่างกาย คนตัวใหญ่ๆ น่ะทำไม่ได้หรอก


“บอส บางทีผมก็คิดนะว่าคนที่เหมาะกับบอสคงมีแต่เทเลอร์นี่แหละ” แซมพูดพลางไล่มองฐานที่ผมใช้แทนแท่นกระโดดทีละอัน


“ฉันก็ว่างั้น แต่มีฝีมือมากเกินไปก็ลำบากจะกอดแต่ละทีเหมือนต้องฝ่าสงครามสักที่” ฮาเซลทำหน้าลำบากใจเล็กน้อยระหว่างพูด


“เพราะผมไม่อยากโดนกอดต่างหาก” ผมสวนกลับ คำหมายของฮาเซลคงจะสื่อว่ากว่าจะได้กอดผมทีต้องทั้งหลบหมัดหลบลูกเตะ ใครจะยอมให้กอดง่ายๆ กันล่ะ


ไม่มีทาง!


“พวกเราไม่ได้มาเดินป่าเล่นนะ ช่วยเงียบเสียงแล้วไปจัดการต่อเถอะทุกคน” เป็นอีกครั้งที่มากส์ต้องเข้ามาห้ามทัพ


ผมได้แต่ส่งความหงุดหงิดผ่านสายตาไปให้ฮาเซลแล้วกระโดดไปยังต้นไม้ต้นต่อๆ ไปพอใกล้ถึงบริเวณที่มีควันผมชะลอการเคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติคนด้านล่างเองเหมือนจะรู้เลยลดความเร็วก่อนจะเตรียมพร้อมหยิบอาวุธขึ้นมา


สำหรับแผนการผมได้อธิบายไปแล้ว เรียกว่าแค่ประโยคเดียวเท่านั้น ผมว่าแค่นั้นมากพอแล้วล่ะสำหรับการจะจัดการพวกนี้น่ะ ไร้ซึ่งการป้องกันตัวไม่มีแม้แต่วางกับดักไว้โดยรอบเพื่อมีคนผ่านเข้ามา


ประมาทเกินไป


แบบนี้จัดการได้ไม่ยาก


ผมหมอบร่างกายลงต่ำยามมาอยู่เหนือกลุ่มค้าอาวุธและยาเสพติด มองไปด้านล่างเห็นฮาเซล มากส์และแซมต่างกระจายตัวออกไปโดยรอบตามแผน การอยู่ในมุมสูงถือเป็นเรื่องดีเพราะสามารถมองเห็นภาพรวมจากด้านบนได้หมดแม้จะมืดไปหน่อยก็ตาม


อาวุธใหม่ที่เพิ่งขอฮาเซลมาอย่างแรกถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกง ปืนไรเฟิ้ลผมวางไว้ตรงโคนต้นไม้เผื่อมีสถานการณ์ฉุกเฉินต้องการใช้ ในมือผมมีวัตถุทรงกลมสีดำอยู่สามลูก แน่นอนว่าผมไม่คิดจะใช้ระเบิดเพื่อจัดการรวดเดียวแม้มันจะง่ายกว่าแต่มันจะเป็นปัญหาใหญ่ตามมาทีหลัง


ก่อนจะเริ่มแผนผมหันไปมองพรรคพวกทั้ง 3 คนแล้วพยักหน้าเบาๆ แทนการส่งสัญญาณ ทุกคนรวมทั้งผมต่างหลับตาลงวัตถุในมือถูกปลดการทำงานแล้วขว้างลงไปยังพื้นด้านล่างสุดแรง จริงอยู่ที่ชื่ออาวุธในมือมีชื่อขึ้นต้นว่าระเบิดแต่มันไม่ไม่ได้ทำอันตรายกับร่างกายเพียงแค่ช่วยให้ฝ่ายศัตรูตื่นตระหนกและลดการป้องกันลง นั่นคือระเบิดแสง


ทันทีที่ระเบิดแสงทำงานแสงสว่างสีเหลืองนวลส่องแสงจ้าขนาดผมที่หลับตายังสัมผัสได้ถึงความสว่าง ไม่ต้องพูดถึงคนด้านล่าง...


“อะไรวะเนี่ย!”


“แสบตา มองไม่เห็น!” เสียงตะโกนโวยวายเป็นสัญญาณให้ผมและอีกสามคนออกจากที่หลบเพื่อจัดการเรียงคน


ผมกระโดดลงมาจากบนกิ่งไม้พร้อมอาวุธใหม่อีกชิ้นอย่างลวด จริงอยู่ว่าผมมีลวดของตัวเองอยู่แล้วเพียงแต่ลวดอันนี้ถูกทำขึ้นจากวัสดุพิเศษที่นอกจากจะมีความยืดหยุ่นสูงแล้วยังแข็งแรงกว่ามาก ลวดสีเงินถูกกางออกกว้างในจังหวะเดียวกับใช้ลวดนั่นรัดคอคนที่อยู่ใกล้สุดก็หมุนตัวกลางอากาศกางขาเป็นเส้นตรงจัดการไปได้อีกสองคนก่อนจะลงสู่พื้นอย่างสวยงาม ฝ่ายศัตรูยังคงเจอฤทธิ์ของระเบิดแสงจนหมดทางตอบโต้ อีกหนึ่งคนถูกผมชกเข้ายังหน้าท้องแล้วทุ่มลงพื้นทับร่างคนด้านหลังอีกหนึ่งคน ฝ่ายฮาเซลและพวกมากส์ใช้หมัดสลับกับปืนจนเก็บไปได้อีกหลายคน


“พวกมันมีแค่ 4 คน  จัดการมันสิโว้ย!” ฟังจากเสียงตะโกนพวกนั้นคงกลับมาสู่สภาพปกติแล้ว แต่ก็เท่านั้นเพราะตอนนี้เหลือคนอยู่ไม่ถึงครึ่ง


กระบอกปืนหลายกระบอกถูกหันมาทางนี้ทว่าผมไม่ปล่อยให้พวกเขาได้มีโอกาสได้เล็งเป้าหรือเหนี่ยวไก มีสั้นถูกหยิบขึ้นมาปาใส่คนที่อยู่ไกลระยะโจมตีมากสุดโดยพวกใกล้ๆ ผมอาศัยความเร็วเข้าไปประชิดก่อนจะจัดการทั้งปล่อยหมัด ทั้งจับทุ่มในชั่วพริบตา


“พวกแกเป็นใคร คนของโจโจลี่ แครริ่งเหรอ ฉันจะกดระเบิด อั๊ก!” ไม่ต้องรอให้หัวหน้าฝ่ายศัตรูพูดจบผมจัดการเตะล่างเข้ายังเข่าของอีกฝ่ายจนเสียหลักนั่นทำให้ผมสบโอกาสใช้ท่าเข่าลอยกระแทกเข่าเข้ายังใบหน้านั้นสุดแรง เมื่อตัวจุดฉนวนระเบิดมาอยู่ในมือผมทุกอย่างคนจบแล้วล่ะ


“ผมได้ที่จุดระเบิดมาแล้ว!” ผมตะโกนบอกพวกฮาเซล


“เยี่ยม สมแล้วที่เป็นคนรักฉัน”


“ถ้าคุณยังไม่หยุดพูดผมจะปามีดใส่หัวคุณ!” ผมตะโกนกลับพลางปล่อยหมัดกระแทกคางและปิดท้ายการใช้ศอกโจมตีบริเวณคอจนชายอีกสองคนทรุดลงไปกองบนพื้นอย่างรวดเร็ว


เสียงปืนหลายนัดสลับกับสียงร้องโอดครวญของฝ่ายศัตรู ผมหันไปมองฮาเซลที่ยืนยิ่งๆ อยู่ท่ามกลางวงล้อมของคนเกือบ 10 คนด้วยความสนใจ ผมไม่เคยเห็นฮาเซลต่อสู้แบบถูกรุมขนาดนี้มาก่อน อาจจะได้เห็นอะไรที่น่าสนใจก็เป็นได้


ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์จับจ้องไปยังภาพตรงหน้าราวกับกำลังชมภาพยนตร์โปรดสักเรื่อง ร่างของฮาเซลไม่ได้ขยับหนีหรือวิ่งฝ่าวงล้อมไปด้านใดด้านหนึ่งอย่างที่ผมคิดแต่เขากลับรอให้อีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหาแล้วจัดการสอยไปทีละคนสลับกับหลบกระสุนปืนที่เล็งไป


ทางด้านแซมและมากส์ก็ไม่น้อยหน้า ด้วยทักษะของทั้งสองคนสามารถจัดการคนที่เข้ามารุมล้อมได้โดยไม่ต้องยิงกระสุนให้เปลืองโดยเฉพาะมากส์ ทักษะของเขาค่อนข้างน่าสนใจเพราะมีท่วงท่าปรับเปลี่ยนไปตลอดไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้เพียงอย่างเดียวเหมือนแซม การต่อสู้จริงพวกศิลปะการต่อสู้น่ะเอามาใช้เพียวๆ ไม่ได้หรอกต้องมีการประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม แซมเองถึงเป็นเป็นมวยแต่มีหลายครั้งที่โต้ตอบกลับไปด้วยการทุ่มอีกฝ่ายลงพื้น


ทุกอย่างถูกจัดการเสร็จภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง แม้จะมีจำนวนคนเพียง 4 คนแต่สามารถเอาชนะคนกว่า 30 คนได้ไม่ยากแม้จะเหนื่อยพอสมควรก็ตาม การต่อสู้กับคนจำนวนมากๆ ต้องอาศัยสมาธิสูงเพราะนอกจากต้องคอยสังเกตศัตรูรอบกายแล้วยังต้องสวนกลับก่อนโดนรุมจู่โจมด้วย สำหรับผมไม่ค่อยชินกับการต่อสู้แบบนี้นัก ปกติงานจะให้จัดการเป้าหมายแค่คนเดียว ไม่ค่อยมีหรอกที่จะจ้างนักฆ่าจัดการสังหารหมู่น่ะ


“จากนี้ก็ฝากด้วยละกัน ผมขอตัว” ผมเดินไปบอกฮาเซล เมื่อทุกอย่างจบผมก็ได้เวลาไปแล้วยังไงมีคนของทางการอยู่ที่โรงแรมเรียกมาจัดการต่อคงไม่อยากสำหรับฮาเซลหรอก


ไม่อยากถูกดึงไปเกี่ยวหรือถูกสอบปากคำเพราะงั้นคงต้องขอตัว


“เดี๋ยวสิเรย์ ไหนบอกว่าจบการต่อสู้แล้วจะคุยเรื่องของเราต่อไง” ฮาเซลคว้าข้อมือผมไว้


“เรื่องของเรา?” หมายถึงเรื่องของผมกับฮาเซล?


น่าขำ พวกเรามีเรื่องอะไรต้องคุยกันอีกเหรอ


ผมจำได้ว่าไม่มีนะ


“นี่คงไม่ได้ลืมพนันของเราหรอกใช่ไหม”


“...พนัน” จะว่าไปนึกได้ลางๆ ว่าพนันอะไรสักอย่างกับฮาเซลไว้ที่สถานเริงรมย์ก่อนหน้านี้


“ถ้าเราเจอกันอีกภายใน 1 เดือน เรย์ต้องบอดเบอร์โทรศัพท์มาให้ฉันรู้”


“...” คำพูดของฮาเซลทำให้ความทรงจำถูกขุดขึ้นมาทันที


จริงด้วย


ผมเคยพนันเอาไว้แบบนั้น


วันนี้เกือบจะครบ 1 เดือนแล้ว และผมดันเป็นฝ่ายโผล่ไปหาเขาก่อนอีก


“อยากบอกเบอร์ฉันไม่เห็นต้องทำเรื่องวุ่นวายเลย” ฮาเซลอมยิ้มด้วยใบหน้ากวนๆ


“ผมไม่ได้อยากบอก” ถ้าจำเรื่องพนันได้ผมคงเสี่ยงจัดการพวกนี้ตามลำพังไปแล้ว


“อย่าเขินสิ”


“ไม่ได้เขิน”


“หน้าแดงนะ”


“เพราะโมโหต่างหาก!” ผมตะโกนสวนกลับด้วยความหงุดหงิด


ให้ตายสิ อย่าบอกนะว่าทั้งหมดนี่เป็นแผนของฮาเซลน่ะ


เวลานี้ผมไม่รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร มีอะไรให้โทษผมจะโทษหมดแหละ


“ขอเบอร์ที่รักหน่อยครับ” พูดจบฮาเซลก็ยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้


“ฮึ้ย!...” ผมได้แต่ทำหน้าหงุดหงิดแล้วกดเบอร์ตัวเองใส่ลงไป หงุดหงิดมากจนไม่ได้ยินว่าอีกฝ่ายพูดอะไรด้วยซ้ำ


“ไม่ปฏิเสธที่ฉันเรียกว่าที่รักด้วย แปลว่าเรียกได้...เฮ้ย!” หมัดหนักถูกเหวี่ยงข้ายังใบหน้าของคนพูดทันที ฮาเซลแม้จะหลบได้ในระยะประชิดแต่ก็ต้องยอมปล่อยมือที่จับผมไว้


“อย่าทำให้ผมหงุดหงิดมากไปกว่านี้ฮาเซล กอนซาเลส!” ผมก้าวถอยหลังพลางเอ่ยบอกฮาเซล ตอนนี้อารมณ์ผมไม่ได้ดีเหมือนก่อนหน้านี้


“แค่ให้เบอร์ฉันทำให้นายหงุดหงิดขนาดนั้นเลย?”


“ใช่”


“ทำไมล่ะ”


“คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งในพื้นที่ส่วนตัวของผมแต่คุณกลับก้าวเข้ามาเหยียบๆ ๆ แล้วก็เหยียบในพื้นที่ผม อีกอย่างพอได้เบอร์ไปผมรู้เลยว่าต่อไปนี้คงหาความสงบไม่ได้!” ขนาดตอนยังไม่มีเบอร์ยังเมลมาหาจนผมอยากจะบล็อกเมลนั่นทิ้งซะจริงๆ แล้วนี่ถ้ามีเบอร์ผมไม่ต้องบล็อกเบอร์เขาด้วยรึไง


ความสงบผมมันจะหายไป ไม่สิ ไม่ใช่จะหายแต่มันหายไปตั้งแต่รู้จักกับคนชื่อฮาเซล กอนซาเลสแล้ว!

.........................................

ในที่สุด...ฮาเซลก็ได้เบอร์เรย์มาจนได้

จากนี้เรย์คงต้องมาปวดหัวกับการโทรของฮาเซลเป็นแน่

ตอนนี้ได้แต่งในฉากที่ต่างออกไป รู้สึกสนุกมากเลยกับการได้แต่งฉากที่เรย์ใช้ไรเฟิล

หวังว่าทุกคนเองจะสนุกด้วยเช่นกันนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ กำลังใจค่ะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่15« 19/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-12-2018 18:06:32
เดี๋ยวๆ นี่แผนฮาเซลเรอะ
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่15« 19/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 19-12-2018 20:43:20
ถึงกับขนาดวีนแตกเลยนะเรย์
ต่อไปนี้ฮาเซลต้องโทรหาจนกว่าเรย์จะรับสายแน่นอน 5555
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่15« 19/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-12-2018 23:27:22
ก็มั่ว ๆ เบอร์ให้ไปก็ได้นิ เรย์  :hao3:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่15« 19/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 22-12-2018 15:16:48
เอ๊ะ อย่าบอกนะว่าคนจ้างเป็นฮาเซล

เรย์เอ้ยยย คนเราก็ต้องมีพลาดบ้างแหละเนาะ
แต่เข้าทางฮาเซลหลายอย่างเลยจ้า 5555

สงสารเรย์นะ ไม่อยากผูกติดกับใคร มีความหลังอีก
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่15« 19/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 23-12-2018 20:47:07
 :pig4:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่16« 26/12/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 26-12-2018 12:54:42
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่16



อาชีพนักฆ่าหรือนักลอบสังหารส่วนมากจะเป็นอาชีพกลางคืนเนื่องจากการจัดการเป้าหมายในช่วงกลางวันจะเป็นจุดเด่นได้ง่ายกว่าช่วงกลางคืน ดังนั้นไม่ว่าใครที่รู้ว่าอาชีพของผมคืออะไรก็ควรจะรู้ถึงจุดนี้เป็นอย่างดี


ครืดดดด~  ครืดดดดด~


แรงสั่นจากโทรศัพท์บนหัวเตียงดังขึ้นไม่รู้รอบที่เท่าไหร่แต่มันมากพอจะทำให้ดวงตาสีม่วงของผมปรือลืมขึ้นด้วยความหงุดหงิดก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันแน่นแสดงถึงความไม่สบอารมณ์เมื่อถูกปลุกในเวลานี้


7 โมงครึ่ง


ใช่ นาฬิกาข้างเตียงบอกเวลา 7 โมงครึ่ง!


เป็นเวลาที่พนักงานบริษัทหรือคนทั่วไปเริ่มตื่นไปทำงานแต่ไม่ใช่กับผมที่เพิ่งกลับมาจากภารกิจเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ด้วยความหงุดหงิดปนโมโหบวกกับอาการงัวเงียส่งผลให้ไม่มีสตินึกคิดมากนัก รู้เพียงว่าต้องบอกปลายสายที่โทรมาให้รู้ถึงอารมณ์ผมในตอนนี้


“เลิกโทรมาช่วงเช้าสักที!” ผมตะโกนทันทีที่กดรับสาย เบอร์โทรศัพท์เครื่องนี้มีเบอร์อยู่ 10 เบอร์ และ 9 เบอร์จากในนั้นเป็นร้านอาหารเดลิเวอรรี่หรือพวกเบอร์โทรฉุกเฉินอย่างร้านซ่อนคอมหรือร้านขนม จึงมีเพียงเบอร์เดียวเท่านั้นที่สามารถโทรเข้ามาหาได้
ก็รู้ตัวตั้งแต่ให้เบอร์อีกฝ่ายไปแล้วว่ามันต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น


ใครจะคิดล่ะว่าจะมากกว่าที่เตรียมใจไว้อีก ปลายสายนี่ไม่ใช่อื่นนอกจากฮาเซล กอนซาเลส หนึ่งในสามคานหลักผู้คอยขับเคลื่อนประเทศ เจ้าของคลับหรูและพ่อค้าอาวุธ


(หงุดหงิดแต่เช้าจะพานให้ทั้งวันหงุดหงิดไปด้วยนะเรย์ ) ปลายสายพูดโดยไม่สนใจอารมณ์ของคนฟังอย่างผมเลยสักนิด


“แล้วใครล่ะที่ทำให้ผมหงุดหงิดแบบนี้ ผมบอกแล้วไงว่าอย่ามาโทรจิกแล้วก็อย่าโทรมาช่วงเช้าด้วยผมง่วง!” ตอนนี้ผมแทบไม่สนอะไรนอกจากการทิ้งหัวลงบนหมอนแล้วหลับตาลง


(ถ้าโทรไปตอนอื่นนายอาจกำลังทำงานอยู่ก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นจะอันตรายนี่)


“...” ผมเงียบเนื่องจากคำพูดของฮาเซลมีเหตุผลสมควร จริงอยู่หากฮาเซลโทรมาตอนผมกำลังทำงานมีโอกาสสูงที่ผมจะเสียสมาธิและจัดการเป้าหมายไม่สำเร็จ งานของผมมักเป็นช่วงเย็นหรือดึกไม่แน่นอน เวลาเดียวที่ไม่ค่อยมีงานคือช่วงเช้า


(อีกอย่างถึงเรย์จะหงุดหงิดแต่ก็ยอมรับสายโดยดี ฉันดีใจ)


“นั่นเพราะคุณโทรจิกต่างหาก” ผมสวนกลับด้วยคำพูดรัวๆ ในหัวกำลังประมวลหาข้อแก้ตัวทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิด


(ถ้าเรย์ไม่ชอบคงปิดเครื่องหนีไม่ก็บล็อกเบอร์ไปแล้ว แต่นี่นอกจากจะไม่ปิดเครื่องแล้วยังรอรับสายอีก)


“ใครรอรับสายกัน ก็ถ้าผมไม่รับคุณจะหาวิธีอื่นติดต่อมาน่ะสิ!” ความง่วงที่มีเริ่มหายไปเมื่อคุยกับฮาเซลได้สักระยะ


(ถึงฉันจะใช้วิธีอื่นแต่ถ้าไม่อยากคุยก็แค่เมินไปก็ได้)


“อึก...” ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดของฮาเซล


ใช่


ต่อให้ฮาเซลจะพยายามติดต่อผมยังไงหากผมเมินและปล่อยทุกอย่างไปเขาก็จะไม่สามารถติดต่อกับผมได้ แต่นี่ผมกลับยอมไม่ใช่แค่เปิดเครื่องแต่ยังวางไว้บนหัวเตียงราวกับกำลังรอสายจากอีกฝ่าย แค่คิดความร้อนจากไหนไม่รู้ก็เริ่มมารวมกันบนใบหน้า ตั้งแต่รู้จักกับฮาเซลผมเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อยแม้จะไม่อยากเปลี่ยนสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจทำได้


เขามีอิทธิพลกับผมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว


(อยากเจอ) อยู่ๆ ฮาเซลก็พึมพำเสียงเบา


“...ผมไม่อยากเจอคุณ”


(อยากเจอเรย์)


“ผมบอกแล้วไงว่าไม่อยากเจอคุณ”


(อยากเจอ อยากเจอ อยากเจอเรย์)


“หยุดพูดเลยนะฮาเซล คุณเป็นเด็กรึไง!” ผมเริ่มขึ้นเสียงด้วยใบหน้าเห่อแดงเพียงเพราะได้ยินคำว่าอยากเจอข้างใบหู


(จะพูดจนกว่าจะยอมมาเจอเลย)


“งั้นผมจะวางสาย”


(เรย์ที่รักของฉันไม่ใช่คนใจร้าย...)


ปิ๊บ!


ผมตัดสายอีกฝ่ายทิ้งโดยไม่ต้องมีคำกล่าวอำลาใดๆ


“หึ ผมน่ะใจร้ายกว่าที่คุณคิดนะ” ผมบอกพลางก้มมองหน้าจอโทรศัพท์


เท่านี้ก็นอนต่อได้สักที


ครืดดดดด~  ครืดดดดด~


ยังไม่ทันได้วางโทรศัพท์แรงสั่นจากวัตถุในมือก็เรียกเสียงถอนหายใจจากเจ้าของอย่างผมได้ ชื่อที่เมมไว้เป็นชื่อของเจ้าตัวสั้นๆ 2 พยางค์คือฮาเซล แม้ในใจจะอยากใช้คำว่าคนบ้าหรือคนเอาแต่ใจก็ตาม


“คุณนี่ท่าจะว่างนะ” ผมรับสายอีกรอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ


(สำหรับเรย์ฉันว่างเสมอ)


“ถ้ายังไม่หยุดหยอดผมจะวางสายแล้วไม่รับจริงๆ ด้วย”


(โอเคอย่าเพิ่งวางนะ ฉันมีเรื่องอยากถามหน่อย)


“จะซื้อข้อมูลจากผม?” ยอมรับว่าค่อนข้างแปลกใจไม่น้อยที่คนระดับฮาเซลจะมาถามข้อมูลกับผม ยังไงเขาก็มีเพื่อนซึ่งเป็นเหมือนพ่อค้าข้อมูลระดับโลกอย่างซิลเลอร์ เบนซ์อยู่แล้ว


(ใช่ จะขายข้อมูลละเท่าไหร่ล่ะ)


“ขึ้นอยู่กับว่าเป็นข้อมูลอะไร”


(ข้อมูลของเรย์)


“...ผมว่าคงคุยกับคนว่างงานนานไปแล้ว ผมขอตัว...”


(เดี๋ยวๆ ฉันมีเหตุผลที่ต้องถามนะ) ฮาเซลรีบพูดสวนเมื่อเห็นท่าว่าผมจะวางสายอีกรอบ


“เหตุผล?”


(ฉันอยากจ้างนายทำภารกิจหนึ่ง)


“ติดต่อผมทางเมลครับ ถ้านานเกิน 3 วันแปลว่าผมไม่รับงาน” สำหรับคนในวงการต่างรู้เรื่องนี้ดีถึงแม้การจ้างผมจะมีอัตราสำเร็จสูงลิ่วทว่าผมเลือกรับงานไม่ใช่ว่าใครเมลมาก็จะรับหมด ผมจะดูตั้งแต่เป้าหมายงาน เนื้อหาภารกิจไปจนถึงความเสี่ยงและสถานที่หากคิดว่าไม่เหมาะสมเมลนั่นจะไม่ถูกตอบรับกลับไป อาจเป็นเพราะความรอบครอบนี่ละมั้งที่ทำให้ทุกงานที่ผ่านไม่เคยพลาด


(อย่าพูดแบบนั้นกับคนกันเองสิ)


“คนกันเอง? เหมือนจะมีใครสักคนบอกนะว่ายิ่งเป็นคนรู้จักยิ่งต้องละเอียดรอบครอบกว่าคนอื่น” ในสังคมปัจจุบันการหักหลังหรือทรยศที่เจ็บที่สุดมากจากคนใกล้ตัวนี่แหละ


(ไม่ใช่งานยาก แค่ต้องอาศัยทักษะเฉพาะ)


“ทักษะเฉพาะที่ว่าคืออะไร” ผมถามต่อ


(เล่นเปียโนหรือเครื่องดนตรีอะไรได้บ้างไหม)


“ผมเล่นได้เกือบทุกอย่าง แต่ถ้าถนัดหน่อยคือเปียโนกับกีต้าร์” ผมนิ่งไปสักพักกับคำถามก่อนจะตอบกลับไป การทำงานมีหลายครั้งต้องปลอมเป็นนักดนตรีเพราะงั้นการจะเรียนรู้ทักษะพวกนี้ไว้จึงมีความจำเป็นและสำคัญโดยเฉพาะกีต้าร์กับเปียโนถือเป็นเครื่องดนตรีสำคัญที่ต้องเล่นให้ชินมือไว้


(แบบนั้นเยี่ยมเลย)


“นั่นคือทักษะเฉพาะที่คุณต้องการ?”


(ใช่ พอดีฉันจะจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ขึ้นบนชั้น 6 ของคลับเลยต้องการนักเปียโนเก่งๆ สักคน)


“ผมอาจถนัดแต่ไม่ได้พูดว่าเก่งนะ” ถ้าคิดว่าผมจะเก่งระดับเดียวกับพวกนักดนตรีอาชีพก็คิดผิดแล้ว


(ไม่เป็นไร รับงานของฉันได้ไหม)


“คุณมีคนรู้จักตั้งเยอะแค่หานักเปียโนสักคนคงไม่ยากหรอกมั้ง” ผมพูดต่อ จริงไหมล่ะคนละดับฮาเซล กอนซาเลสแค่ประกาศไปว่าอยากได้นักเปียโนสักคนรับรองเลยว่าต้องมีหลายคนเข้ามาเสนอตัว


(เรื่องนั้นก็ใช่ ฉันคิดว่าเรย์รู้ดีว่าทำไมฉันถึงเลือก)


“...ผมไม่รู้” และไม่อยากรู้ด้วย


(รู้สิ เรย์รู้อยู่แล้ว)


“ผมไม่รู้” ผมยังคงย้ำคำเดิม


(จะแกล้งทำเป็นไม่รู้อีกนานเท่าไหร่เหรอเรย์)


“จนกว่าคุณจะยอมหันหลังแล้วเดินกลับไปล่ะมั้ง”


(เหตุผลที่ฉันเลือกเพราะว่าอยากเจอเรย์ ก็แค่นั้น)


“...ขอรายละเอียดงานด้วย” ผมต้องรีบหาคำพูดอะไรสักอย่างก่อนที่เสียงหัวใจจะดังจนปลายสายได้ยิน


(ความจริงก็อยากคุยต่อแต่ฉันมีประชุม จะส่งให้ทางเมลแล้วกัน)


“อืม” มือข้างขวาที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์ถูกยกขึ้นมากุมบริเวณหัวใจเพื่อชละการเต้นของหัวใจให้ช้าลงหน่อย


(แล้วเจอกันเรย์)


แม้ฮาเซลจะวางสายไปแล้วแต่ผมยังคงนั่งอยู่บนเตียงนิ่งๆ ปล่อยให้เสียงหัวใจดังๆ ของตัวเองได้คลายความรู้สึกหลายๆ อย่างออกมาโดยไม่ต้องปิดบังใคร มือข้างขวาถูกยกวางทาบบริเวณหัวใจ...แรงขยับยังคงถี่รัวจนพานให้ใบหน้ารู้สึกร้อนตาม


ความรู้สึกแบบนี้ผมไม่ชอบเลย


ฮาเซล กอนซาเลส


จะทำยังไงคุณถึงจะเลิกมากวนใจผมสักทีนะ


ในเมื่อเป็นแบบนี้ต่อให้นอนก็คงไม่อาจหลับได้ผมเลยจำต้องลุกจากเตียงทั้งที่ยังรู้สึกง่วงตรงเข้าไปยังห้องน้ำด้านข้างเพื่อหวังให้สายน้ำเย็นๆ นั่นช่วยสลายความง่วงไปพร้อมกับความรู้สึกแปลกที่นับวันยิ่งมาเกาะหัวใจมากขึ้นทุกที


รายละเอียดของงานฮาเซลส่งมาให้รวดเร็วมาก พอผมอาบน้ำเสร็จก็เปิดคอมใครจะคิดล่ะว่าจะมีเมลเรื่องรายละเอียดของงานถูกส่งมาแล้ว รายละเอียดของงานมีตั้งแต่ธีมงาน จำนวนแขกหรือแม้แต่เพลงที่อยากให้เล่นซึ่งเนื้อหามีมากจนผมไม่คิดว่าฮาเซลจะพิมพ์เสร็จในเวลาอันสั้น


เหมือนกับพิมพ์เอาไว้ล่วงหน้า


“แปลว่าคุณมั่นใจว่าผมต้องรับงานสินะ” ผมพึมพำโดยสายตากำลังอ่านเนื้อหาของงาน ผมว่าตัวเองค่อนข้างละเอียด รอบคอบและไม่เข้าไปอยู่ในเกมของใครง่ายๆ แต่ทำไมทุกครั้งที่อีกฝ่ายเป็นฮาเซลผมถึงรู้สึกเหมือนโดนมองทะลุ เล่นไปตามเกมเขาทุกอย่าง


น่าโมโหชะมัดเลย


ไม่รู้ว่าเพราะความหงุดหงิด โมโหหรือความหิวที่ทำให้ผมซัดอาหารเช้าอย่างชีสเค้กอบไอน้ำราดวิปปิ้งครีมตกแต่งด้วยสตอเบอร์รี่ กล้วยและผลไม้อื่นๆ ทั้งปอนด์หมดในเวลาไม่ถึง 20 นาที


งานที่รับมานี้ผมต้องไปเล่นเปียโนในอีก 5 วันนับจากนี้ ผมยกมือทั้งสองข้างมาตรงหน้าก่อนขยับนิ้วทำท่าดีดเปียโนแม้จะเล่นได้แต่ช่วงหลังย้อนกลับไปกว่าครึ่งปีผมไม่ได้แตะเปียโนเลยสักครั้ง อะไรที่เคยจำได้เหมือนลืมเลือนไป แน่นอนว่าถ้าผมรับงาน งานนั้นต้องออกมาดีที่สุด


จะไม่มีมาหยุดเล่นโดยอ้างว่าจำคีย์ไม่ได้แน่นอน


“คงต้องไปซ้อมซะแล้ว” พึมพำเสร็จผมก็ลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกไปหาสถานที่สำหรับซ้อมเปียโน ร้านดนตรีแถวนี้มีอยู่ไม่น้อยแต่ละร้านจึงคิดจุดขายเพื่อดึงลูกค้าซึ่งหนึ่งในจุดขายนั้นมีการเช่าห้องสำหรับซ้อมด้วย


ผมเลือกเข้าไปยังร้านระดับกลางๆ มีคนเดินเข้าออกพอปะปาย พอทำการเช่าห้องไว้ทั้งวันเสร็จทุกอย่างก็เริ่มไหลไปตามท้วงทำนองของเปียโนสีดำใจกลางห้องซ้อม คอร์ดเพลงหลายสิบเพลงถูกเปิดผ่านโทรศัพท์แล้วบรรเลงไปเรื่อยๆ


ช่วงแรกอาจติดขัดค่อนข้างมากทว่าพอผ่านไปสักระยะผมก็หลับตาลงพร้อมกับนิ้วมือที่กดลงไปตามคีย์ ราวกับทุกสิ่งโดยรอบหายไปเหลือเพียงเสียงเพลงที่จะขับกล่อมทุกประสาทสัมผัสให้คล้อยตาม ตลอดหลายวันผมซ้อมเล่นเปียโนตลอดไม่รับงานหรือภารกิจใดๆ ทั้งสิ้น


และแล้ววันงานก็มาถึง เสื้อเชิ้ตสีม่วงอ่อนตามธีมงานถูกสวมก่อนจะตามด้วยเสื้อสูทสีขาวสะอาดตาเช่นเดียวกับสีของกางเกงและโบว์สีม่วงเข้ม ทุกอย่างเข้ากันได้เป็นอย่างดี


วันนี้ผมไม่เปลี่ยนสีผมมีเพียงใส่คอนแทคเลนส์สีน้ำตาล เนื่องจากเป็นนักเปียโนรูปลักษณ์จึงสำคัญเส้นผมสีดำสนิทถูกจัดแต่งให้ดูเหมาะกับงาน ตอนแรกที่มองตัวเองในกระจกยังหลุดหัวเราะกับรูปลักษณ์เนี๊ยบๆ นี่เลย ไม่บ่อยนักที่ผมจะแต่งตัวเนี๊ยบขนาดนี้ ขนาดแอบเข้าร่วมงานเลี้ยงระดับสูงยังไม่จัดทรงผมเรียบร้อยขนาดนี้


เอาเถอะ ยังไงก็ถือเป็นมืออาชีพล่ะนะ


งานเริ่มช่วงเย็นหรือก็คือหลัง 1 ทุ่ม ผมซึ่งเป็นนักเปียโนจึงมาก่อนเวลางานประมาณ 2-3 ชั่วโมงเพื่อเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมต่างๆ คลับหรูใจกลางเมืองของฮาเซลยังคงได้ความนิยมอย่างล้นหลาม จำนวนผู้มาใช้บริการแต่ละวันคงแซงหน้าคลับอื่นไปโข ยิ่งวันนี้มีจัดงานเลี้ยงทางเจ้าของคลับหรือฮาเซล กอนซาเลสได้เปิดให้ทุกคนเข้ามาใช้บริการได้ฟรี แค่คำว่าฟรีก็มากพอให้ลูกค้าวิ่งเข้ามาในร้านแล้ว แม้จะเปิดให้บริการฟรีทว่าผู้ที่สามารถเข้าร่วมงานบนชั้น 6 ได้มีเพียงไม่กี่สิบคน


“มาเร็วนะเรย์” คำทักทายจากปากฮาเซลดังขึ้นพร้อยรอยยิ้ม


“แต่ก็มาช้ากว่านายจ้างนี่” ผมเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ใจกลางห้องเพื่อดูความพร้อมในแต่ละมุมของห้อง ทั้งห้องใช้สีโทนม่วงอ่อนและสีขาวเป็นหลัก มีบ้างที่มีสีม่วงเข้มหรือสีเทาอ่อนแซมเพิ่มความสดใส


เปียโนหลังสีขาวขลิบทองตั้งอยู่ใจกลางห้องบนเนินรูปวงกลมสีขาวสว่าง ความสวยงามของเปียโนทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย แค่ดูก็รู้เลยว่าราคาของเปียโนไม่ใช่ระดับธรรมดา ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นโชคดีของผมที่ได้เล่นเปียโนหลังนั้น


“ชอบไหม” ฮาเซลกระซิบข้างใบหู


“ชอบ” ไม่จำเป็นต้องกวนหรือโกหกนี่นะ


ผมชอบเปียในหลังนั้นจริงๆ


“เห็นเรย์ยิ้ม แบบนี้ค่อยคุ้มกับค่าเปียโนหน่อย”


“นี่คุณไม่ได้มีอยู่แล้ว?” ผมหันควับไปถาม


“ก็มีอยู่แต่สีดำไม่เหมาะกับเรย์เท่าไหร่” ฮาเซลตอบกลับมาตามตรง


“คุณซื้อเปียโนใหม่ด้วยเหตุผลแค่นั้นน่ะนะ” แค่เพราะมันไม่เหมาะกับผมเลยซื้อใหม่เหรอ


บ้าไปแล้ว


ผมมาเล่นแค่วันนี้ไม่ใช่ทุกวันสักหน่อย


“ใช่ ไม่ได้เหรอ” ฮาเซลถามกลับ


“งั้นถ้าคนอื่นมาเล่นแล้วไม่เหมาะคุณก็จะซื้อใหม่อีกงั้นสิ” สิ้นเปลืองเกินไปนะฮาเซล


“ฉันไม่ใช่คนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายนะเรย์”


“คนไม่ใช่จ่ายสุรุ่ยสุร่ายที่ไหนเขาซื้อเปียโนใหม่ด้วยเหตุผลนั้นกัน” ผมพึมพำเสียงดังจงให้ให้ฮาเซลได้ยิน กลับคำตอนนี้ก็สายไปแล้วนะฮาเซล


“เรื่องของเรย์เป็นข้อยกเว้น” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองนั่นหันมาสบอย่างอ่อนโยนกว่าที่เคย


“...ผมขอไปลองเปียโนก่อนดีกว่า” ผมหลบเลี่ยงอะไรก็ตามที่อาจทำให้หัวใจรับศึกหนัก ฝ่ายฮาเซลทั้งที่ปกติชอบรั้งไว้แต่ครั้งนี้กลับยอมปล่อยให้ผมเดินหนีไปยังเปียโนได้ง่ายๆ


เปียโนหลังสีขาวขลิบทองนี้ให้สัมผัสต่างจากร้านที่ไปฝึกซ้อมตลอดหลายวันที่ผ่านมาราวกับเป็นเครื่องดนตรีคนละชนิดกัน เพียงวางนิ้วลงไปไล่แต่ละคีย์เสียงก้องกังวานปนนุ่มนวลก็ดังไปทั่วห้อง เปียโนหลังนี้ผมเดาว่าต้องมีนักดนตรีหลายคนยอมเสียเงินเพื่อให้ได้มันมาอยู่ในครอบครองแน่ๆ


“เทเลอร์...สินะ” ซ้อมได้ไม่นานร่างของบอดี้การ์ดคนสนิทของฮาเซลก็เดินเข้ามาขนาบผมทั้งสองด้านของเปียโน


“อืม...ดูแปลกตาใช่ไหม” ผมตอบรับด้วยท่าทีปกติ ด้วยใบหน้านี้ผมมั่นใจว่าพวกมากส์จำได้อยู่แล้วว่าเป็นผม


“เหมาะจะตาย ถ้าพวกผู้หญิงเข้ามารับรองว่าส่งสายตาให้นายเป็นมันส์ชัวร์” แซมตอบแทนมากส์


“ไม่ขนาดนั้น พวกคุณก็ดูดีมาก” ผมเอ่ยชม ทั้งคู่อยู่ในชุดสูทสีม่วงอ่อนด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขายาวสีเดียวกับเสื้อสูท แม้จะใช้ชุดเหมือนกันแต่มีอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกันคือมากส์สวมเน็คไทด์สีเงินส่วนแซมสวมเป็นหูกระต่ายสีชมพูอ่อน


“ฉันก็ว่างั้น อดใจไม่ไหวแล้วที่จะได้สาวน่ารักไปเต้นรำด้วย” แซมพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง


“สาวๆ พวกนั้นน่าจะอยากเต้นรำกับเจ้าของวันเกิดมากกว่านะ” มากส์พูดต่อ


“เจ้าของวันเกิด...ใครเหรอ?” ผมถามกลับ รู้ว่าวันนี้มีงานแต่ไม่เห็นรู้เลยว่าเป็นงานวันเกิดของใคร


“...ท่านฮาเซลไม่ได้บอก?” มากส์และแซมมองหน้ากันสักพักก่อนจะถามกลับ


“ไม่ได้บอกนี่”


“บอสนะบอส นี่คงกะให้นายมาเป็นของขวัญของตัวเองล่ะสิ” แซมพูดต่อ


“ของขวัญ?” หมายถึงอะไรผมเริ่มงงแล้วนะ


“เทเลอร์ วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้าของคลับนี้” คำพูดของมากส์ทำให้ผมขมวดคิ้วพลางวิเคราะห์ความหมาย


“ง่ายๆ ก็วันเกิดของบอส ฮาเซล กอนซาเลส”


“วันเกิดฮาเซล?!” ผมไม่ต้องประมวลอะไรในหัวอีกแล้วเมื่อได้ฟังสิ่งที่แซมบอก


วันนี้คือวันเกิดของฮาเซล?!


ข้อมูลของฮาเซลผมอยู่และได้อ่านตอนรับงานก่อนหน้าแล้วแต่ถึงจะมีข้อมูลทุกอย่างใช่ว่าผมต้องจำมันทั้งหมด ข้อมูลที่ไม่ได้สำคัญอะไรอย่างพวกวันเกิด น้ำหนักหรือส่วนสูงจึงไม่ได้อยู่ในความจำผม


“ใช่ น่าแปลกที่ท่านฮาเซลไม่บอกนาย” มากส์ทำสีหน้าสงสัย


“นั่นสิ...”



“คุยอะไรกับเรย์ล่ะมากส์ แซม” เสียงทุ้มของฮาเซลดังขึ้นก่อนร่างสูงในชุดสูทสีม่วงเข้มกับกางเกงขายาวสีเดียวกันด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตสีม่วงอ่อนกับเนคไทด์สีม่วงเงา เส้นผมสีน้ำตาลของฮาเซลปกติจะปล่อยตามธรรมชาติทว่าตอนนี้กลับถูกจัดแต่งเป็นทรงเสริมให้ดูดีขึ้นอีกหลายเท่า


หน้าตาดีและหล่อขนาดนี้ทำไมไม่หาผู้หญิงดีๆ สักคนแล้วสร้างครอบครัวนะ จะมายุ่งกับผู้ชายที่ไม่มีอะไรเลยอย่างผมทำไมกัน
สนุกเหรอ


หรือกำลังแหย่ผมเล่นกันแน่


“พวกเราแค่บอกสิ่งที่บอสยังไม่ได้บอกเท่านั้นเอง” แซมบอกเจ้านายด้วยรอยยิ้มกว้าง


“พวกเขาบอกอะไร เรย์” ฮาเซลเดินเข้ามาถามผมใกล้ๆ


“ไม่รู้สิ ผมลืมไปแล้ว” ผมเบือนหน้าหนี ต่อให้รู้ว่าเป็นวันเกิดของฮาเซลก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนผมไม่คิดจะเตรียมของขวัญหรืออะไรให้อยู่แล้ว


เราไม่ได้สนิทกันขนาดจะมาอวยพรให้ของขวัญ แม้สำหรับผมฮาเซลจะเป็นคนแรกที่ผมเปิดใจมากถึงขนาดนี้ก็ตาม


“โกหกไม่เก่งนะเรย์”


“ผมไม่คิดแบบนั้นนะ ก่อนหน้านี้ขนาดมีนักจิตวิทยายังจับโกหกผมไม่ได้เลย” เรื่องทักษะการโกหกหรือหลอกลวงผมน่ะอาจเก่งเป็นอันดันต้นๆ เลยทีเดียว


“คนอื่นจับไม่ได้แต่ฉันจับได้”


“...ทำไม”


“เซ้นส์มันบอก” พูดจบก็ส่งยิ้มมุมปากกวนๆ มากให้


“คุณนี่นะ...คิดจะใช้เซ้นส์ทำทุกอย่างเลยรึไง” ไม่คิดว่าเซ้นส์ของฮาเซลจะใช้จับโกหกได้ด้วย


“ไม่หรอก จะจีบเรย์ฉันไม่ใช้เซ้นส์หรอกนะ”


“ผมแค่พูดลอยๆ ไม่ได้ต้องการคำตอบ” ผมสวนกลับด้วยใบหน้าที่เห่อแดงขึ้นเล็กน้อย


“อย่าเขินเลย”


“ฮาเซล กอนซาเลส!”


“ฉันไม่แหย่แล้วก็ได้ อีกไม่นานจะได้เวลางานแล้ว คงไม่ลืมธีมของงานนอกจากสีม่วงหรอกนะ” ฮาเซลเปลี่ยนเรื่องพลางหยิบบางอย่างออกจากในเสื้อสูท


“ผมไม่ลืมหรอกน่า” ของในเสื้อสูทถูกหยิบออกมาก่อนสวมทับลงบนใบหน้าจนเห็นครึ่งหน้าตั้งแต่ปากลงมา


ธีมในงานนี้นอกจากจะเป็นสีม่วงแล้วยังมีหน้ากาก หน้ากากของผมเป็นหน้ากากเรียบๆ ที่ ตกแต่งด้วยสีขาวแซมม่วงโดยมีขนนุ่มๆ ปกคลุมหน้ากากอยู่ หน้ากากของฮาเซลเป็นสีเงินเงาแวบวับพอสะท้อนกับแสงไฟจะเห็นว่าเปลี่ยนเป็นสีเหลือบม่วง สำหรับของมากส์เป็นหน้ากากสีดำธรรมดาต่างจากของแซมที่มีสีสันฉูดฉาดอย่างสีส้มและชมพู



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่16« 26/12/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 26-12-2018 12:55:15
(ต่อนะคะ)


เมื่อเวลางานเริ่มพวกแขกต่างทยอยเดินเข้ามาด้านใน หญิงสาวทุกคนล้วนอยู่ในชุดเดรสธีมสีมม่วงโดยมีหน้ากากระยิบระยับใส่ปิดบังใบหน้าอยู่ เหล่าเพื่อนชายของฮาเซลก็ไม่น้อยหน้าแม้จะใส่หน้ากาก ปิดบังทว่าเส้นผมสีทองตามแบบฉบับเจ้าชายในนิทานไม่ใช่สิ่งปกติยิ่งในงานแบบนี้...คนนั้นคงเป็นคริสโตลีนี่ คิวเบิร์ก เจ้าของโรงแรมหรูพ่วงด้วยผู้ผลิตอาวุธและเพื่อนสนิทของฮาเซล


อีกคนเองต่อให้สีผมควันบุหรี่จะกลืนกับสีดำได้แต่ดวงตาสีทองสว่างรอดผ่านหน้ากากออกมาจนผมรู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าคือซิลเลอร์ เบนซ์ ผู้สื่อข่าวชื่อดังและพ่อค้าข้อมูลระดับโลก แค่นั้นยังไม่พอหนึ่งในสามคานหลักของประเทศอย่างโรเบิร์ต เกลสันเดินเข้ามาในงานพร้อมลูกสาวคนสวย...เดโรซ่า เกลสัน เส้นผมสีทองถูกดัดเป็นลอนดูเข้ากับชุดเกาะอกสีม่วงอ่อนที่มีระบายสีขาวตรงชายกระโปรงได้เป็นอย่างดี และคนสุดท้ายเป็นอีกบุคคลในตำนาน หนึ่งในสามคานผู้ขับเคลื่อนประเทศด้านการคมนาคมและการขนส่ง เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนตรงยาวสลวยกับนัยน์ตาสีเดียวกัน...แองเจริก้า โรเตริส


สมกับเป็นงานวันเกิดของฮาเซล มีแต่คนธรรมดามาร่วมทั้งนั้น!


ผมแอบประชดอยู่ในใจ


“ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานวันเกิดในปีนี้ งานในวันนี้มีนักเปียโนคนสนิทให้เกรียติมาเล่นให้ตลอดงานหวังว่าทุกคนจะชอบ” การเปิดม่านของฮาเซลไม่ได้ยิ่งใหญ่มีเพียงคำพูดธรรมดาผ่านหน้ากากแล้วผายมือมาทางผมให้ลุกขึ้นโค้งทักทายคนในงาน


พอนั่งลงตามเดิมเพลงวันเกิดในเวอร์ชั่นดัดแปลงถูกเล่นเป็นเพลงเปิด ความจริงตามลิสที่ฮาเซลให้มาไม่ใช่เพลงนี้ เรียกว่าผมเล่นเพลงนี้สดๆ โดยไม่มีการเตรียมตัวเลยก็ได้ วันเกิดทั้งทีจะไม่ให้มีเพลงได้ยังไงล่ะจริงไหม


เสียงเพลงจากเปียนโนให้ความรู้สึกนิ่มนวลในขณะเดียวกันก็ก้องกังวานอยู่ในจิตใจ เพลงวันเกิดธรรมดาๆ ถูกดัดแปลงสดๆ ถือเป็นของขวัญจากผมที่มีให้เจ้าของงาน ระหว่างเล่นมองแอบหันไปมองฮาเซล เขายืนนิ่งและมองตรงมายังผมโดยมุมปากมีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดจนเพลงจบลง เพลงต่อๆ ไปผมเล่นมันตาลิสและโน้ตเพลงที่วางอยู่ตรงหน้า...ตลอดการเล่นผมมีสมาธิอยู่กับเปียโนจนกระทั่งแสงไฟทั้งห้องถูกดับลง


ผมรู้ดีว่ากำหนดการต่อไปหลังจากการมอบของขวัญให้เจ้าของวันเกิดอย่างฮาเซลคือการเต้นรำ แสงไฟจะดับลงและฉายไปยังเจ้าของงานซึ่งก็คือฮาเซลให้เดินไปหาหญิงสาวมาเป็นคู่เต้นรำ เป็นการเปิดฟรอเต้นรำนั่นเอง


ใช่...กำหนดการคือฮาเซลเดินไปหาผู้หญิงไม่ใช่มาหยุดยืนอยู่ด้านข้างผมแบบนี้


ผมเอียงคอเล็กน้อยแทนคำถามว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมาหยุดอยู่ตรงนี้


“เต้นรำกับฉันนะ” คำขอเรียบๆ กับมือที่ยืนมาตรงหน้าทำเอาท้วงทำนองของเปียโนหยุดชะงักลง


“...ทำอะไร” ผมพึมพำถามเสียงเบาโดยไม่ให้คนรอบๆ ได้ยิน


“เต้นรำกับฉันนะเรย์” คำขอส่งถูกมาอีกรอบด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมราวกับกำลังกดดันให้ผมต้องทำตามเพื่อให้งานดำเนินต่อไป


“แล้วเปียโน...” ผมลุกขึ้นตามแรงดึงจากอีกฝ่ายก่อนจะเห็นมากส์เข้าไปนั่งแทนที เสียงบรรเลงจากเปียโนดังขึ้นอีกรอบด้วยฝีมือของคนที่ผมไม่อยากเชื่อว่าจะเล่นเปียโนได้


ถ้าเป็นแซมผมยังพอเชื่อ


แต่มากส์...


คนเรานี่มองแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ


“มีสมาธิหน่อย” ฮาเซลพูดพลางดึงร่างผมให้เข้าไปใกล้


มือข้างหนึ่งจับกุมกันไหวโดยอีกข้างแตะบริเวณไหล่ฮาเซลเบาๆ จังหวะการเต้นฮาเซลเป็นฝ่ายเริ่มผมทำเพียงก้าวตามจังหวะนั้นปล่อยตัวให้สบายไม่เกร็ง ใช่ว่านี่จะเป็นครั้งแรกของการเต้นรำ...และไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเต้นในตำแหน่งของฝ่ายหญิงด้วย สิ่งที่แตกต่างจากปกติมีเพียงคู่เต้นของผมคือฮาเซล


ฝ่ามืออุ่นๆ ไม่ได้จับแน่นอะไร น่าแปลกว่าทำไมถึงได้รู้สึกอุ่นราวกับถูกโอบกอดทั้งตัว ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองที่สอดประสานมาตลอดการเคลื่อนไหวนี้ หน้ากากช่วยให้หลายคนไม่เห็นว่าผมเป็นใครแต่ที่ดีกว่าคือช่วยซ่อนใบหน้าแดงระเรื่ออย่างไม่ทราบสาเหตุนี่ได้


พอคู่เปิดเต้นได้สักพักคู่อื่นๆ ต่างพากันออกมาเต้นตาม สายตาของหญิงชายทั้งห้องโถงจับจ้องมายังผมราวกับจะดูว่าใครกันเป็นคู่เต้นรำของฮาเซล บทเพลงยังคงบรรเลงด้วยท้วงทำนองผ่อนคลายปนสดใสเหมาะกับบรรยากาศของงานวันเกิดไปเรื่อยๆ จากหนึ่งเป็นสองและสามตามลำดับ เพลงของการเต้นรำมีทั้งหมด 5 เพลง ไม่จำเป็นต้องเต้นจนหมดและไม่จำเป็นต้องเต้นกับคนเดิม


ฮาเซลรู้แต่เขากลับยื้อผมให้เต้นรำด้วยจนกระทั่งเพลงที่ 5 บรรเลงจบ สายตาของหญิงสาวทั้งห้องโถงใกล้เคียงกับคำว่าลุกเป็นไฟหากไม่มีหน้ากากปิดอยู่ไม่แน่ผมอาจจะไหม้เป็นจุลไปแล้ว


“พอแล้วฮาเซล” ผมบอกเสียงเมื่อเพลงที่ 5 จบลง


“อืม งั้นเริ่มขั้นต่อไปเลยนะ”


“ขั้นต่อไปอะไร...” ยังไม่ทันถามจบแสงสว่างทั้งห้องโถงก็มืดลงอีกครั้ง ด้านบนเพดานของชั้น 6 นี้เป็นกระจกใจจึงสามารถมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรีได้ชัดเจน ผมเผลอเงยหน้ามองด้านบนอยู่สักพักก่อนจะกลับมามองฮาเซลตามเดิมทว่าฮาเซลที่ควรจะยืนอยู่กลับคลุกเข่าข้างนึงลงกับพื้นโดยเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม


หัวใจเพียงดวงเดียวของร่างเร่งจังหวะเต้นขึ้นโดยไม่ทราบเหตุผล ผมควรจะพูดอะไรสักอย่างหรือก้าวถอยหนี สมองคิดทว่าร่างกายกลับไม่ทำตาม


“เรย์...ฉันรักนาย” คำสารภาพรักจากฮาเซลสร้างความเงียบให้แก่คนทั้งห้องไม่เว้นผม


ไม่เพียงหัวใจที่กำลังเต้นรัวแต่ความเห่อร้อนจากทั่วร่างแผ่ซ่านออกมาผ่านใบหน้า ต่อให้มีหน้ากากผมก็มั่นใจว่ามันปิดบังใบหน้าแดงๆ ของตัวเองไม่ได้


ทำไมถึงรู้สึกเขินอาย


ทำไมหัวถึงต้องเต้นรัว


ทำไมความรู้สึกนี้ถึงได้เกิดกับฮาเซล


“...ฮาเซล”


“รักจริงๆ” ฮาเซลย้ำโดยการจูบเบาๆ บนฝ่ามือผม


“...” ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังหรือแม้แต่ต้องพูดอะไร


ในหัวมันขาวโพลนไปหมด ยิ่งมีสายตาหลายสิบคู่จับจ้องมาผมยิ่งทำตัวไม่ถูก ผมไม่ชอบเป็นจุดเด่น...ไม่ชอบมาก แต่ตอนนี้ฮาเซลกำลังทำให้ผมเป็นจุดเด่น และเด่นมากจนร่างกายเริ่มเกร็งไปหมด


“มากส์ แซม” ฮาเซลเรียกบอดี้การ์ดคนสนิททั้งคู่


“ครับ”


“ฝากงานที่เหลือด้วย”


“ได้ครับ แล้วท่านฮาเซลจะ...”


“พวกเราขอตัว” ไม่ต้องรอให้มากส์ถามจบประโยคฮาเซลหันไปก้มหัวให้เหล่าบรรดาแขกรับเชิญก่อนจะอาศัยจังหวะที่ผมกำลังไม่มีสติอุ้มผมพาดบ่าแล้วเดินออกจากห้องท่ามกลางเสียงปรบมือรัวๆ จากเพื่อนสนิททั้งสองอย่างคริสโตลีนี่ คิวเบิร์กและซิลเลอร์ เบนซ์ที่ส่งยิ้มกว้างมาให้ราวกับสนุกกับเหตุการณ์นี้สุดๆ


ในหัวผมตอนนี้แทบไม่รู้ถึงสิ่งรอบตัว พอสติเริ่มกลับมาก็พบว่าตัวเองถูกพาเข้ามายังห้องด้านข้างซึ่งเป็นเหมือนห้องนอนขนาดใหญ่มีเฟอร์นิเจอร์ตั้งแต่เตียงกลางห้องไปจนถึงโซฟาและโต๊ะคอมด้านข้าง


“ฮาเซล ปล่อย” ทันทีที่สติเข้าร่างผมใช้มือกดไหล่ฮาเซลพร้อมพลิกตัวตีลังกาเพื่อหลบหนีจากการถูกอุ้มพาดบ่าอันแสนน่าอายโดยไม่ต้องรออีกฝ่ายปล่อย


“ท่านั่นสุดยอด ตัวอ่อนจังนะเรย์” ฮาเซลดูไม่ตกใจที่ผมหลุดออกมาได้แถมยังทำหน้าชื่นชมอีกต่างหาก


“พาผมมานี่ทำไม ถ้างานจบแล้วผมขอตัวกลับ...” บานประตูตรงห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวทว่าผมกลับไม่สามารถก้าวขาไปถึงได้เนื่องจากฮาเซลคว้าแขนไว้


“ฉันอยากคุยด้วย”


“ผมว่าเราคุยกันเยอะแล้วนะ” ตั้งแต่มาถึงนี้ก็พูดคุยกับฮาเซลไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่


“อยากคุยเรื่องของเรา...”


“ฮาเซล กอนซาเลส จะให้ผมบอกอีกกี่ครั้งว่ามันไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นของเรา คุณจ้างและผมรับงานเมื่องานเสร็จคุณจ่ายเงินจากนั้นก็แยกย้าย” ผมต้องย้ำความจริงให้ฮาเซลฟังเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบ


ผมไม่อยากได้ยินคำว่าเราจากปากของฮาเซล คำๆ นั้นมามีอิทธิพลมากเกินไปสำหรับผม


เรา...หมายถึงผมและฮาเซล พวกเราทั้งคู่


“ฉันจะย้ำจนกว่าเรย์จะรับรู้”


“รับรู้แล้วยังไง ก็ได้ผมยอมรับว่าได้ยินคำสารภาพของคุณ” ถ้าการรับรู้ทำให้เรื่องจบผมจะยอมรับรู้ถึงคำสารภาพนั้นก็ได้


ในเมื่อผมรับรู้แล้วก็ปล่อยผมไปสักที


ปล่อยผมไปก่อนที่เสียงหัวใจมาจะเต้นดังไปมากกว่านี้


“ถ้ารับรู้ฉันก็อยากให้นายยอมรับ...”


“จะมากไปแล้วฮาเซล ผมไม่คิดจะยอมรับคำสารภาพนั่นผมเคยบอกแล้วไงว่า...”


“ไม่อยากให้ใครเข้าไปยุ่งในพื้นที่ส่วนตัว ใช่ฉันรู้ แต่เรย์...ถ้านายไม่อยากให้ฉันก้าวเข้าไปจริงๆ ทำไมถึงได้ยอมให้ขนาดนี้ล่ะ ทั้งยอมให้เบอร์ ทั้งยอมรับสาย ทั้งยอมมาหา ความหมายของพวกมันคืออะไรเข้าใจใช่ไหม” ฮาเซลพูดแทรกสิ่งที่ผมกำลังจะบอกพร้อมดึงร่างผมให้เข้าสู่อ้อมกอดนั้นอย่างไม่ทันตั้งตัว


“...ไม่...ผมไม่เข้าใจ” ผมเม้มปากแน่นราวกับกำลังปฏิเสธเสียงหัวใจและความร้อนบนใบหน้าอย่างสุดความสามารถ


“นายแค่ไม่อยากยอมรับ”


“...ปล่อยผมฮาเซล”


“ครั้งก่อนฉันอาจยอมปล่อย แต่ครั้งนี้คงยอมไม่ได้” ไม่เพียงแค่พูดแต่ยังกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นจนสามารถสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจ...หัวใจที่ไม่ใช่เพียงของตัวเอง


หัวใจฮาเซลกำลังเต้น...และเต้นแรง


แรงพอๆ กับหัวใจของผม


“ฮาเซล ปล่อย...” ผมไม่อยากอยู่ในสถานการแบบนี้แล้ว ผมไม่ชินกับการปฏิสัมพันธ์ใดๆ แต่ตอนนี้กลับต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เคยชินและเป็นครั้งแรกที่รู้สึกราวกับร่างกายกำลังไร้น้ำหนักยามได้ยินเสียงหัวใจของฮาเซล


“ไม่”


“ฮาเซล!”


“เรย์ ไม่จำเป็นต้องตอบรับ ขอเพียงแค่ยอมเปิดใจรับความรู้สึกของฉัน...นะ” เสียงกระซิบดังขึ้นพร้อมสัมผัสที่กดลงมายังขมับด้านข้าง สัมผัสแบบนี้...ฮาเซลจูบหัวผม


บ้าจริง


ร่างกายอยู่ๆ ก็สั่นขึ้นมา


เปิดใจเหรอ


“ไม่...” จะให้เปิดได้ยังไง


เพราะถ้าเปิดใจ...ก็ไม่สามารถสะกดกั้นความรู้สึกนี้ได้อีก


กลัวการเปลี่ยนแปลงที่ไม่รู้ทิศทาง หากยอมรับและเปิดใจสิ่งที่เปลี่ยนไปมันจะเป็นยังไง...ผมไม่อาจรู้ และไม่กล้าพอที่จะเสี่ยง


“เรย์” น้ำเสียงของฮาเซลไม่ได้กดดันอะไร มีเพียงเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นและอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ อ่อนโยนและอบอุ่นมากเกินไป...เพิ่งมีฮาเซลเป็นคนแรกที่มอบน้ำเสียงแบบนี้ให้


ไม่สิ ไม่ใช่แค่น้ำเสียงแต่หลายสิ่งตลอดช่วงเวลาที่ได้รู้จักกัน เขามอบครั้งแรกให้กับผมมามากมาย ทั้งความขี้เล่น ความจริงใจ ความดุดัน ความเป็นห่วง ความอบอุ่น ความอ่อนโยน ความเอาใจใส่และตอนนี้เขากำลังมอบความรักให้ผม


มือทั้งสองข้างของผมค่อยๆ ยกขึ้นมาขยุ้มเสื้อสูทสีม่วงเข้มราวกับคนกำลังตัดสินใจ ริมฝีปากเองก็เม้มแน่นสลับกับอ้าออกคล้ายคนอยากจะพูดบางอย่างแต่ไม่มีความกล้าพอ สัมผัสของมือข้างนึงเปลี่ยนจากกอดมาเป็นลูบแผ่นหลังเหมือนล่วงรู้ถึงความรู้สึกของผมนั่นยิ่งทำให้ผมซุกใบหน้าลงกับแผ่นอกแทนการถอยหนีมากขึ้น


มันอาจถึงเวลาต้องเลิกกลัวและก้าวออกมาจากพื้นที่ของตัวเองสักที


ให้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ด้านนอกมีอะไรอยู่


ผมจะลองเสี่ยงดูก็ได้...ฮาเซล


“อืม” เสียงครางเบาๆ ในลำคอของผมถูกส่งออกไปท่ามกลางความเงียบของยามราตรี


“อะไรอืมเหรอเรย์” ฮาเซลกระซิบถาม


“...จะลองดูก็ได้ จะเปิดใจดูละกัน” ผมกลั้นใจตอบด้วยใบหน้าร้อนวูบวาบยิ่งกว่าคนเป็นไข้


“เก่งมากเรย์ ฉันดีใจสุดๆ เลยรู้ไหม”


“...ไม่รู้” ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละตอนนี้ รู้แค่ว่าหากอยู่แบบนี้ต่อไปอีกไม่กี่นาทีผมลงได้หมดสติเพราะความร้อนบนใบหน้าและแรงเต้นจากหัวใจที่รัวกว่าทุกที


“ดึกขนาดนี้ ค้างนี่เนอะ”


“ไม่!” ผมรีบตอบเสียงหลง


จะให้ค้างนี่กับฮาเซล?


ไม่ ไม่ ไม่มีทาง!


“ถือเป็นของขวัญวันเกิดฉันเนอะ”


“ไม่ต้องมาเนอะ ผมไม่ได้ตกลง” มือที่ขยุ้มเสื้อสูทสีม่วงเข้มเปลี่ยนเป็นผลักแผ่นอกอีกฝ่ายออกไปทันควัน


“เรย์” น้ำเสียงอ่อนโยนเข้ามากระซิบยังใบหูสร้างความรู้สึกแปลกให้เกิดขึ้น


“...ไม่” ทำไมกัน...ทำไมถึงได้รู้สึกแพ้ทางน้ำเสียงแบบนั้น


“เรย์” คล้ายจะกลั่นแกล้งฮาเซลย้ำเสียงอ่อนโยนต่อ


“อึก...หยุดพูด”


“เรย์” และอีกครั้งที่น้ำเสียงนั่นทำเอาหัวใจสั่นไหว ฮาเซลค่อยๆ ขยับตัวพลางดึงผมให้ล้มลงไปนอนบนเตียงกลางห้องในสภาพเดิมคือถูกโอบกอด


มาถึงขนาดนี้ต่อให้ผมบอกว่าไม่ก็คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้ แม้ผมจะมั่นใจว่าสามารถหนีออกจากสถานการนี้ได้แต่กลับไม่ยอมทำปล่อยให้อีกฝ่ายกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น จะยอมให้แค่ครั้งนี้แทนของขวัญวันเกิดละกันฮาเซล


ถ้ามีครั้งหน้าเตรียมโดนถีบตกเตียงได้เลย!

.................................................

มาต่อกันค่ะ

ตอนนี้ค่อนข้างมีหลากหลายอารมณ์และเป็นตอนที่แต่งยากที่สุดในบรรดาตอนที่แต่งมา

ด้วยความที่อารมณ์ของเรย์ค่อนข้างซับซ้อน ไม่สิ ต้องบอกว่าอารมณ์เรย์ไม่ได้ซับซ้อนแค่ไม่อยากยอมรับความรู้สึกของตัวเองก็เท่านั้น กว่าจะแต่งออกมาให้ได้ดั่งใจนี่ค่อนข้างใช้เวลาทีเดียว

แต่พอแต่งจบแล้วรู้สึกมีความสุขมาก

สำหรับเรื่องนี้เหลือเพียงไม่กี่ตอนก็จะจบแล้ว

เนื้อเรื่องเข้าสู่ช่วงท้าย

หวังว่าทุกคนจะคอยติดตามกันไปจนจบเรื่องนะคะ

ขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่มีให้เสมอน้าาา

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่16« 26/12/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-12-2018 17:37:59
ไปหมดแล้ว เรย์ สติสตัง รักคำเดียวแท้ๆ  :o8:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่16« 26/12/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-12-2018 21:57:00
เสร็จแน่ๆ เรย์
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่16« 26/12/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 27-12-2018 07:20:41
พลาดตั้งแต่ยอมครั้งแรกแล้วเรย์ ครั้งต่อไปมันต้องมี
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่16« 26/12/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 27-12-2018 16:36:27
ครั้งหน้าจะได้ทีบจนตกเตียงหรือเปล่า เรย์

หึหึ
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่16« 26/12/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: PK.Kenaf ที่ 27-12-2018 22:50:04
ร้ายมาก รู้ว่าน้องแพ้น้ำเสียงแบบนี้ ลูกอ้อนแบบนี้ ใช้ใหญ่เลยจ้า
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่17« 2/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 02-01-2019 19:58:54
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่17



นักฆ่าส่วนมากไม่ชอบเป็นจุดเด่นท่ามกลางกลุ่มคนจึงมีไม่น้อยที่ปลีกตัวอยู่ตามลำพังหรือตามกลุ่มของตนเอง แต่แม้จะเป็นนักฆ่าแต่พวกเราก็เป็นมนุษย์...การไม่ออกไปไหนเลยจึงแทบเป็นไปไม่ได้ เพียงแค่ต้องระวังตัวสักหน่อย


สำหรับผมเองการอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องร้ายแรงรวมถึงการขลุกอยู่ในห้องก็เป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบ ส่วนตัวผมไม่ชอบออกไปเดินเบียดเสียดกันกับใครๆ ตามท้องถนนยิ่งช่วงมีงานเทศกาลหรือวันพิเศษผมนี่แทบไม่ออกนอกห้อง ยกเว้นเพียงหนึ่งเทศกาลในรอบปีจะจัดสักครั้ง


เทศกาลอันยิ่งใหญ่ที่หลายๆ ประเทศต่างพากันจัดงานใหญ่โตตั้งแต่ช่วงเย็นข้ามไปยังอีกวันก่อนถึงรุ่งสาง พูดถึงตรงนี้อาจคิดกันไม่ออกแต่ถ้าเพิ่มข้อมูลอย่างธีมของงานเทศกาลเป็นสีดำ มีการแต่งกายและแต่งหน้าด้วยภาพลักษณ์อันแสนน่ารักไปจนถึงน่ากลัว และคำพูดติดปากของงานเทศกาบนี้คือ trick or treat


ใช่ เทศกาลนี้คือฮาโลวีน


ค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองและสนุกสนานไปกับการแต่งกายอันน่าพิศวง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักที่ผมยอมออกจากห้องในวันเทศกาล ประเด็นหลักคือวันงานฮาโลวีนมักมีการทำขนมหรือของหวานพิเศษออกมา บนถนนสายยาวใจกลางเมืองเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายไม่ว่าร้านไหนในวันเทศกาลจะมีการแจกขนมสำหรับผู้ที่ออกมาร่วมงานสังสรรค์ครั้งยิ่งใหญ่ของปีจนกลายเป็นเทศกาลประจำชาติที่มีชื่อเสียงโด่งดัง


การจะเข้าร่วมงาน ทำได้ง่ายแสนง่ายเพียงแค่แต่งกายให้เข้ากับธีมฮาโลวีนและไปเคาะประตูตามร้านต่างเราก็จะได้ขนมนั้นมา ไม่เพียงแค่เด็กที่สามารถเข้าร่วมได้มีผู้ใหญ่จำนวนมากเข้าร่วมงานดีด้วยความสนุกและผ่อนคลายจากการทำงานในหลายๆ เดือน


และนั่นคือเหตุผลหลักของการมาเยือนถนนสายหลักในวันนี้ของผม เส้นผมสีดำสนิทถูกสเปรย์สีเงินฉีดทับโดยมีตรงปลายๆ เส้นเป็นสีแดงคล้ายเลือด ใบหน้าเองเต็มไปด้วยบาดแผลแหวะหวะจนแทบไม่มีเค้าโครงเดิมให้เห็นแม้แต่เสื้อเชิ้ตสีขาวยังมีสีแดงปรากฏเป็นหย่อมๆ อยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีดำที่ตัดเย็บแบบพิเศษโดยการนำหนอนจำลองหลายสิบตัวมาเย็นติดจนเหมือนเป็นเสื้อของศพ เท่านั้นยังไม่พอกางเกงขายาวสีดำมีร่องรอยของการฉีกขาดไปจนถึงเหนือเข่าหนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างก็ทำการกรีดให้เป็นริ้วๆ ตั้งแต่หัวเข่าลงไป


ด้วยภาพลักษณ์ของผมในตอนนี้ไม่มีใครมองออกแน่นอนว่าเป็นใคร ความจริงไม่ได้มีเพียงแค่ผมแต่กลุ่มคนนับร้อยบริเวณรอบนี้ต่างแต่งกายด้วยรูปลักษณ์ในธีมเดียวกัน ผู้หญิงส่วนมากจะแต่งเป็นแนวแม่มดหรือแมวดำเพิ่มความน่ารักน่ามอง


ร้านขายเสื้อผ้าด้านข้างตอนนี้มีกลุ่มคนคล้ายซอมบี้นับสิบยืนล้อมพร้อมออกแรงเคาะทั้งประตูและกระจกใส เช่นเดียวกับร้านฝั่งตรงข้ามที่เต็มไปด้วยเหล่าแม่มดและปิศาจอีกหลายชนิดต่อคิวกันเพื่อรับขนมจากทางร้านหากไม่ใช่วันฮาโลวีนคงได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจตลอดทางแน่ ผมเดินแทรกกลุ่มคนบนถนนเส้นใหญ่ที่วันนี้ถูกปิดห้ามเข้าตั้งแต่ช่วงบ่ายไปยังส่วนบนของถนน พวกร้านขายเสื้อผ้าหรือของอุปโภคไม่ใช่เป้าหมายผม


ต้องร้านขนมหรืออาหารสิถึงจะเยี่ยม


ทั้งร้านขนมและร้านอาหารบนถนนเส้นนี้จะได้รับงบจำนวนมากกว่าร้านอื่นในช่วงวันฮาโลวีนเพื่อทำการคิดสูตรและทำขนมแบบใหม่ขึ้นทุกปี และขนมเหล่านั้นแหละที่เป็นของขึ้นชื่อ ไม่เพียงรูปลักษณ์แต่รสชาติของมันนั้นสุดบรรยาย จริงอยู่ผมอาจมีเงินมากพอจะกวาดซื้อขนมพวกนั้นได้แต่ขนมวันงานเทศกาลฮาโลวีนจะไม่มีขายทั้งในวันนี้หรือวันต่อไปใครต้องการจะได้ลิ้มรสก็ทำได้เพียงเข้าร่วมงานเทศกาลนี่เท่านั้น


ไม่งั้นผมคงมาเหมาตั้งแต่กลางวันแล้ว


ร้านขนมชื่อดังร้านแรกแออัดไปด้วยผู้คนนับร้อยเบียดเสียดกันเพื่อแย่งขนม แม้จะพูดว่าเบียดเสียดแต่ก็ต่อแถวกันทีละสองคนเคาะประตูร้านพร้อมคำ “trick or treat” เมื่อทางร้านตอบว่า treat ก็จะได้รับขนมไปแต่ก็มีไม่น้อยที่ทางร้านตอบว่า trick แน่นอนว่าสิ่งตามมาคือการถูกหลอกนั่นเอง ด้วยความที่ธีมของงานเป็นโทนดำบวกกับสีของท้องฟ้ายามราตรีช่วยให้ทักษะนักฆ่าของผมเปล่งประกายอย่างถึงขีดสุด การลบสัมผัสออกแล้วก้าวไปด้านหน้าพร้อมกับแทรกตัวไปอยู่เมื่อเห็นช่องว่างระหว่างคนในพริบตา


อย่าหาว่าผมโกงเลยนะ


มีทักษะก็ต้องใช้


แต่เด็กดีอย่าเลียนแบบแต่เอาไปปรับใช้ได้


“trick or treat” ผมดัดเสียงต่ำหลังเคาะประตูกระจกร้านขนมชื่อดัง


“หว๋า แบบนี้ต้อง treat สิคะ สุดยอดทำเหมือนจริงสุดๆ อย่าหลอกพวกเราเลยนะคะ นี่ค่ะขนมสูตรพิเศษสำหรับวันฮาโลวีน” พนักงานสาวคนแรกเอ่ยชมพลางมองบาดแผลบนใบหน้าผมก่อนจะยื่นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่ด้านในมีขนมสีดำใส่อยู่


“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยเสียงต่ำขอบคุณแล้วเดินออกจากร้านไป


และแล้วการตะเวนเก็บขนมก็เริ่มต้นขึ้น ทุกๆ ร้านที่ผมเลือกต่างเป็นร้านขนมหรือร้านอาหารขึ้นชื่อทั้งสิ้น...เกือบทุกปีผมชิมมาหมดจนรู้ว่าไหนรสชาติดีหรือไม่ดี ส่วนมากจะมีดีกับดีมากเท่านั้นแหละ ผมแค่เรื่องมากกับรสชาติของหวานเลยเลือกกินนิดหน่อย


“โอ๊ะ...ร้านนั้น ชีสเค้ก” ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์เบิกกว้างยามเห็นร้านต่อไปอยู่ไม่ไกล


ร้านหลายสิบร้านถูกผมเดินสลับไปมาตลอดสองฝั่งถนนพร้อมคว้าขนมมาไว้ถุงเรื่อยๆ จนถึงคลับแห่งหนึ่งใจกลางเมืองซึ่งมีเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง และผมเคยมาเยือนที่นี่หลายครั้ง ครั้งล่าสุดคือเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน...งานวันเกิดของเจ้าของคลับหรูที่สร้างความสับสนให้ผมอย่างมหาศาล...


จะเป็นที่ไหนได้ล่ะถ้าไม่ใช่คลับของฮาเซล กอนซาเลส


คลับของฮาเซลมีการจัดการและการบริหารที่ดีมาก เหมือนจะรู้ว่าอะไรที่สามารถสร้างชื่อเสียงและดึงคนให้หันมาสนใจมากขึ้นได้ ร้านค้าอื่นให้ขนมชิ้นเล็กแต่นี่มาเป็นชิ้นใหญ่ แค่นั้นยังไม่พอยังมีของแถมให้อย่างบัตรส่วนลดเมื่อมาใช้บริการครั้งต่อไป


ทำการตลาดได้ดี


สมกับเป็นฮาเซลล่ะนะ


เมื่อได้ขนมมามากพอผมก็ออกจากจากถนนสายนี้ตรงกลับยังห้องพัก ดูเหมือนจะเป็นโชคดีหรือร้ายก็ไม่รู้ที่ทางกลับห้องที่สั้นสุดของผมจำเป็นต้องผ่านหน้าบริษัทอสังหาริมทรัพย์อันโด่งดังและมีชื่อเสียงติดอันดับต้นๆ นี่


“เฮ้อ นี่คุณจะผุดเข้ามาในหัวผมตลอดเลยใช่ไหม” ผมส่ายหน้าพลางโยนชื่อเจ้าของบริษัททิ้งไป


ด้วยรูปลักษณ์ของผมในตอนนี้การเดินผ่านหน้าบริษัทใหญ่ๆ คงเป็นที่จับสังเกตของยามหรือพนักงานรักษาความปลอดภัยน่าดู ผมก็คิดแบบนั้นจนกระทั่งสัมผัสไม่ได้ถึงสายตาใดๆ ที่ควรจะจับจ้องมาซึ่งนั่นทำให้ผมหันไปมองทางเข้าบริษัทฮาเซลด้วยความแปลกใจก่อนจะพบว่าพนักงานรักษาความปลอดที่ควรจะมีสองคนยืนอยู่ข้างหน้าและอีกสองคนอยู่รอบๆ ตอนนี้กลับมีเพียงความว่างเปล่า


จะบอกว่าเป็นช่วงผลัดเวรก็ไม่ใช่แน่นอน ตลอดระยะเวลาของการเป็นบอดี้การ์ดให้ฮาเซลทำให้ข้อมูลต่างๆ ของบริษัทผ่านเข้าหัวผมอย่างช่วยไม่ได้ พวกระบบรักษาความปลอดภัยเองก็เช่นกัน พนักงานรักษาความปลอดภัยด้านหน้าจะมีประจำการอยู่ 4 คนโดยจะมีอยู่ด้านข้างและด้านหลังอีกอย่างละ 4 รวมเป็น 12 คน ช่วงการผลัดเวรจะมี 3 ครั้งคือช่วงเที่ยง หนึ่งทุ่มและตี 3


นาฬิกาข้อมือผมบอกเวลา 2 ทุ่มกว่าซึ่งเลยเวลาผลัดเวรไปนานโข


ได้กลิ่นน่าสงสัย


แต่เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับผมนี่นา หรือจะเกี่ยวแล้วนะ...


แม้ผมจะยอมเปิดใจกับฮาเซลแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะยอมเป็นแฟน เพียงแค่ดูใจกันไปก่อนเท่านั้น แค่คิดเรื่องฮาเซลความกระสับกระส่ายก็เข้ามาทันที ความรู้สึกแปลกๆ นี่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต


“ให้ตายสิ” ต้องทำยังไงถึงอาการพวกนี้จะหายไปสักทีนะ


ผมไม่ชินและไม่อยากชินด้วย


ระหว่างในหัวจะคิดเรื่องเรื่อยเปื่อยขาทั้งสองข้างยังคงก้าวตรงไปด้านข้างตึกด้วยฝีเท้าอันเบาหวิวจนแทบไม่มีเสียงเล็ดรอด ผมหลบอยู่ตรงมุมตึกพลางแอบมองไปยังอีกฝั่งของผนังเพื่อดูลาดราวและก็เจอเค้ากับสิ่งปกติบางอย่าง ร่างของหน่วยรักษาความปลอดภัยหลายคนถูกวางพิงผนังในสภาพหมดสติ ถัดออกไปไม่ไกลมีชายคนหนึ่งกำลังก้มทำอะไรสักอย่างอยู่บนพื้น


มองจากตรงนี้มองไม่เห็นว่าทำอะไร


แต่ถ้าให้เดาคงไม่ใช่สิ่งที่ดีนักหรอก


“ต้องเข้าไปใกล้กว่านี้” ผมพึมพำเสียงเบาแล้วเตรียมก้าวเข้าไปหาเป้าหมายทว่าสัมผัสบางอย่างจากด้านหลังทำให้ผมหันกลับไปพร้อมกระโดดก้าวถอยหลังเพื่อเว้นระยะห่างออกมา ด้วยเสียงเพียงเล็กน้อยมากพอจะเรียกชายคนแรกให้หันมามอง


“ฉันจัดการหมอนี่เอง นายทำหน้าที่ตัวเองต่อไปซะ” เสียงชายคนที่ 2 บอกเพื่อนคนแรกในจังหวะเดียวกับพุ่งตัวเข้าหาผม


หมัดซ้ายขวาถูกปล่อยในจังหวะรวดเร็วติดกันหลายครั้งแล้วจึงเปลี่ยนมาใช้ขาหมายจะจัดการผม แต่ด้วยทักษะที่ผมมีสามารถหลบการจู่โจมทั้งหมดได้ไม่ยาก  ทั้งที่ผมแต่งหน้าให้ดูเหมือนศพขนาดนี้พวกเขายังไม่มีทีท่าตกใจแปลว่าต้องมีฝีมือสมควร จังหวะก้าว การปล่อยหมัดและทักษะอื่นๆ ของคู่ต่อสู้ผมมองทุกอย่างก่อนทำการวิเคราะห์


เมื่อเห็นว่าผมหลบหมัดได้ทางนั้นเลยเปลี่ยนการโจมตี อาวุธสีเงินหรือมีดยาวขนาดเท่าไม้บรรทัดเหวี่ยงเข้าใบหน้าในระยะประชิดจนผมเกือบหลบไม่พ้น ระยะของมีดถูกเพิ่มด้วยการก้าวขาเข้ามาใกล้ในเสี้ยววินาทีเช่นเดียวกับผมที่รับรู้ถึงมันจึงก้าวถอยหลังไปอีก


“แกเป็นใคร” หลังจากโจมตีใส่ผมไม่โดนสักทีเขาก็หยุด สายตานั่นจับจ้องมายังผมด้วยความสงสัยปนหวั่นใจ


“ขอคืนคำถามนั้นกลับ แล้วพวกคุณเป็นใครกัน” ทักษะของเขาไม่ใช่คนเป็นการต่อสู้ปกติ


นั่นคือศิลปะการสังหาร


เขาเป็นนักฆ่า


“ไม่จำเป็นต้องบอก เมื่อแกเห็นพวกเราคงมีแค่ความตายจะมอบให้แทนการทักทายเท่านั้น” พูดจบมีดเล่มเงินพุ่งเข้ายังหัวใจผมโดยไม่มีแม้ความลังเลของการพรากชีวิต


ดูยังไงอีกฝ่ายก็คือนักฆ่า


ความสงสัยผมตอนนี้คือทำไมนักฆ่าถึงมาที่นี่...ที่บริษัทของฮาเซลมีอะไร


หรือว่ามีคนจ้าง


“ผมไม่ชอบการทักทายรุนแรงสักเท่าไหร่” ผมตอบระหว่างหลบการโจมตี ในเมื่ออีกฝ่ายใช้มีดจะให้ผมเอามีดสั้นตัวเองออกมาคงไม่ใช่วิธีที่ฉลาดเท่าไหร่นัก


ถ้างั้นก็ต้อง...


ลวดสีเงินซึ่งได้มาจากฮาเซลถูกหยิบออกมาในจังหวะเดียวกับอีกฝ่ายแทงตรงมายังท้อง ผมใช้ลวดพันรอบมือทั้งสองข้างของตัวเองก่อนจะยึดปลายมีดด้วยการม้วนลวดสีเงิน ความคมของมีดอาจมีมากแต่ตัดลวดไม่ได้ง่ายๆ หรอก ทันทีที่ยึดมีดได้ผมไม่รอช้าจัดการหมุนตัวส่งลูกแตะใส่ท้องอีกฝ่ายจนล้มลงไปกองกับพื้นโดยยึดอาวุธของคู่ต่อสู้มาไว้ในมือเรียบร้อย


“แกเป็นใครกันแน่...ทักษะแบบนั้นมันนักฆ่า...”


“ชู่~! ไม่พูดสิ ผมก็แค่คนเดินผ่านมาเท่านั้นเอง ขอถามว่าคิดจะทำอะไร” ผมถามกลับ


“หึ คนผ่านมาอย่างแกจะรู้ไปทำไม”


“แค่อยากรู้” ผมถามตรงๆ โดยไม่มีการโจมตีซ้ำใดๆ


“วางเพลิงที่นี่คืองานของพวกเรา”


“วางเพลิง?” ผมหันไปมองพรรคพวกอีกคนที่กำลังเตรียมจุดไฟลงบนน้ำมันที่ราดไว้รอบตึกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้


บ้าเอ้ย!


ผมพาร่างวิ่งเข้าหานักวางเพลิงทว่ากลับถูกอีกคนขัดเท้าจนล่างเซใกล้ล้ม ถ้าล้มง่ายๆ อย่าเรียกผมว่ายมทูตแห่งความตายเลย ฝ่ามือข้างหนึ่งถูกใช้เป็นฐานหลังสัมผัสพื้นเพื่อเพิ่มแรงดีดส่งให้ร่างกายผมที่เซใกล้ล้มกลับมาอยู่ในสภาพปกติพร้อมใช้มืออีกข้างตะหวัดลวดสีเงินในมือพัดรอบคออีกฝ่ายแล้วออกแรกดึง


“อั๊ก!...”เสียงร้องอย่างทรมานดังขึ้นก่อนการวางเพลิงนั้นจะสำเร็จในเสี้ยววินาที


ลวดเป็นอาวุธที่สามารถฆ่าได้ในพริบตาเช่นเดียวกับด้ายทว่าสามารถใช้ได้หลากหลายกว่า ในกรณีที่ไม่อยากฆ่าเพียงแค่รัดแรงๆ ไม่กี่วินาทีบริเวณหลดลมก็สามารถทำให้สลบได้ สถานการนี้ผมทำให้นักวางเพลิงสลบด้วยวิธีเดียวกัน


“ไม่จริง...ทักษะแบบนั้นมัน...” นักฆ่าคนแรกพยุงตัวเองลุกขึ้นด้วยสีหน้าตกตะลึง


“โทษทีนะ ขอทำให้สลบหน่อยละกัน” เพียงพริบตาหลังพูดจบร่างของนักฆ่าก็ล้มลงแน่นิ่งบนพื้น ไม่ใช่จากลวดแต่เป็นการสับลงบริเวณต้นคออย่างรวดเร็วหลังจากมาโผล่ข้างหลังศัตรูในพริบตา ความจริงไม่ได้เร็วอะไรขนาดนั้น เพียงแค่อาการตกใจช่วยให้เห็นการเคลื่อนไหวผมเร็วขึ้นกว่าที่เป็นจริงเท่านั้นเอง


เอาล่ะ...ต่อไปยังไงดี


ผมเงยหน้ามองดูตึกสุงกว่า 9 ชั้นตรงหน้า บนชั้นสูงสุดของตึกมีแสงไฟเปิดส่องสว่างอยู่จึงมีความเป็นไปได้ว่าเจ้าของตึกยังคงทำงานอยู่แม้จะเป็นช่วงดึกของวันเทศกาลฮาโลวีน


“ช่วยไม่ได้แฮะ” ถ้าจะติดต่อใครในตอนนี้คงมีตัวเลือกที่ดีที่สุดเพียงเบอร์เดียว โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขาดๆ ถูกหยิบขึ้นและโทรหาปลายสายพร้อมเสียงถอนหายใจยาว


กะว่าจะไม่เจอสักระยะแล้วเชียวนะ


(เรย์?) เหมือนปลายสายจะตกใจไม่น้อยที่เห็นผมเป็นฝ่ายโทรไป


อืม...ผมเองยังตกใจเลย


“คุณอยู่ที่บริษัทสินะ” ผมเข้าเรื่องโดยไม่มีการเกริ่นทักทายใดๆ


(ใช่ มีอะไร...หรือว่าจะมารอฉันอยู่หน้าบริษัท)


“ก็ไม่ผิด แต่ไม่ถูกทั้งหมด” ถูกแค่ตรงที่ผมรออยู่หน้าบริษัทแต่อย่างอื่นไม่ใช่สักนิด


(รู้แล้ว คิดถึง อยากเจอเลยมาหาฉันสินะ)


“ทำไมถึงได้สรุปไปในรูปแบบนั้นกัน” ดูยังไงข้อสรุปนี่ก็ควรจะตัดทิ้งเป็นอันดับแรก


ถึงจะไม่เถียงที่ว่าอยากเจอกก็เถอะ แม้ในใจจะพยายามทำเป็นไม่อยากเจอหรือไม่คิดเรื่องของฮาเซลมากเท่าไหร่สุดท้ายชื่อฮาเซลก็เข้ามาวนเวียนอยู่ในสมองทุกครั้งไป


ผลของการเปิดใจช่างน่ากลัว


(ไม่ใช่เหรอ ฉันอุตส่าห์ตั้งใจคิดนะเนี่ย)


“ตั้งใจคิดหรือตั้งใจแหย่ผม” ให้โอกาสพูดใหม่อีกรอบ


(รู้ทันจังนะ ว่าแต่เกิดเรื่องอะไรขึ้น)


“ทำไมคิดว่ามีเรื่องล่ะ ผมอาจแค่อยากโทรหาคุณก็ได้” ในเมื่อฮาเซลแหย่ได้ผมก็มีสิทธิ์จะแหย่เขากลับเหมือนกัน


(...ต่อให้นายพูดเล่นแต่ฉันคิดจริงจังนะ)


“หึ พอดีผมเจอคนกำลังวางเพลิงบริษัทคุณน่ะ” น้ำๆ ไม่ต้อง พูดเนื้อไปเลยจะง่ายกว่า


(วางเพลิง? ตอนนี้อยู่ไหน) น้ำเสียงของฮาเซลเริ่มจริงจังขึ้นเมื่อได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


“ด้านข้างบริษัท อีกฝั่งที่ไม่ใช่ลาดจอดรถ” ผมบอก


(เดี๋ยวฉันลงไป)


หลังจากวางสายเสร็จไม่ถึงสิบนาทีฮาเซลก็วิ่งออกมาจากตึกพร้อมด้วยบอดี้การ์ดคนสนิททั้งสองที่ดูจะยังงงๆ กับสถานการณ์อยู่ไม่น้อย และยิ่งมาเจอกับผมในสภาพแต่งเป็นผีดิบทั้งคู่ก็แทบจะส่งเสียงออกมาพร้อมกัน...


“เฮ้ย!...นั่น เทเลอร์?” เหมือนแซมจะไม่มั่นใจว่าใบหน้าเละๆ นี่เป็นใคร


ผมบอกแล้วว่ายังไงก็จำไม่ได้หรอก


“อืม ใบหน้าตกใจนั่นถือเป็นคำชมนะ” การตกใจแปลว่าผมคงแต่งเหมือนมาก


“ไม่คิดว่านายจะชอบไปเที่ยวพวกงานเทศกาลนะ” มากส์พูดบ้าง ดวงตาของมากส์ยังคงจ้องมายังบาดแผลใกล้เน่าบนใบหน้า


“เฉพาะฮาโลวีน” งานอื่นไม่มีใครเห็นผมแม้แต่เงาแน่นอน


“บอสก็อึ้งจนพูดไม่ออกเลยเหรอ” แซมหันไปถามเจ้านายตัวเอง


นั่นสิ น่าแปลกที่ฮาเซลเงียบได้ขนาดนี้


“ใช่ ไม่คิดว่าจะแต่งแบบนี้ น่าเสียดายใบหน้าน่ารักๆ นั่นหมด”


“ลองพูดคำว่าน่ารักอีกครั้งคุณได้มีแผลเหมือนเมกอัพบนหน้าผมแน่” ผมย้ำในคำพูด้วยการหยิบมีดสั้นขึ้นมา


“ใจเย็นนะที่รัก...”


“ฮาเซล กอนซาเลส!”


“โอเค คนที่วางเพลิงคือสองคนนี้สินะ” ฮาเซลยอมกลับเข้าเรื่องเมื่อเห็นมีดสั้นในมือผมเริ่มเคลื่อนไหว


“อืม พวกเขาเป็นนักฆ่า” ผมบอกขยายความ


“นักฆ่า?...ทำไมถึงรู้ได้” ฮาเซลถามกลับสลับกับมองร่างสองร่างริมกำแพง


“ตอนปะทะกันทั้งทักษะและการเคลื่อนไหวมันไม่ใช่ของคนปกติ”


“ถ้าเรย์พูดเองคงไม่ผิด มากส์พาตัวพวกนี้ไป แซมเรียกหมอมาดูพวกพนักงาน” คำสั่งของฮาเซลดังขึ้นทันทีหลังมองเหตุการณ์ทุกอย่างแล้ว


“ครับ” บอดี้การ์ดทั้งสองขานรับก่อนรีบจัดการตามคำสั่ง


“ได้เรย์ช่วยไว้อีกแล้วสิเนี่ย” ใบหน้าของฮาเซลตอนนี้มีรอยยิ้มประดับอยู่


“คุณควรระวังมากกว่านี้นะ” ครั้งนี้ผมอาจมาช่วยได้เพราะผ่านมาเห็นพอดีแต่ใช่ว่าผมจะสามารถช่วยได้ทุกครั้ง หากครั้งหน้าพวกเขาสามารถวางเพลิงสำเร็จต่อให้ด้านในมีระบบป้องกันไฟแต่ยังไงความเสียหายก็ต้องเกิดเพียงแค่มากหรือน้อยเท่านั้น


“ไม่คิดว่าจะใช้วิธีนี้ ถึงจะระวังยังหากอีกฝ่ายเป็นนักฆ่าคนปกติคงป้องกันตัวยาก”


ที่ฮาเซลพูดก็มีเหตุผล


นักฆ่าไม่ใช่คนที่ใครก็สามารถต่อกรได้


หากไม่มีฝีมือจริงๆ ส่วนใหญ่ก็โดนจัดการหมด อย่างพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทฮาเซลเองก็ไม่ใช่แค่จ้างใครก็ได้ ทุกคนล้วนเรียนศิลปะป้องกันตัว เพียงแต่นั่นใช้จัดการกับพวกนักฆ่าไม่ได้ ไม่สิ ต้องพูดว่าไม่ทันได้ใช้ทักษะที่เรียนมาต่างหาก

สำหรับนักฆ่าการจบงานให้เร็วและแม่นยำถือเป็นเรื่องพื้นฐาน พวกเราไม่มาใช้หมัดจัดการแต่ลอบเข้าด้านหลังสับต้นคอไม่ก็ปาดคอทิ้งซะ


“เพิ่มการป้องกันให้มากกว่านี้” ผมบอกฮาเซล


“เป็นห่วงฉันเหรอ”


“...ถ้าบอกว่าใช่ล่ะ” ผมนิ่งสักพักถึงตอบกลับไป


ใช่ ผมไม่เถียงเพราะผมรู้สึกเป็นห่วงฮาเซลแม้จะมีความรู้สึกนั้นไม่กี่เปอร์เซ็นต์ก็ตาม ฝีมือระดับฮาเซลต่อให้เป็นนักฆ่าคงสามารถจัดการได้ไม่ยาก ถึงจะรู้แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้


ผมเกลียดความรู้สึกแบบนี้ชะมัด


“ไม่ได้เจอกันตั้งนานเล่นทำตัวน่ารักเดี๋ยวก็ไม่ปล่อยกลับเลยนี่” ไม่พูดเปล่าฮาเซลคว้าตัวผมเข้าไปกอดหลวมๆ โดยไม่มีแม้แต่การขัดขืนของผม


ไม่ใช่ไม่ขัดขืนแต่ขัดขืนไม่ทันต่างหาก


ชอบมาเล่นทีเผลออยู่เรื่อย


“ปล่อยเลยฮาเซล”


“ยังไม่อยากปล่อยนี่”


“แหย่ผมเล่นสนุกรึไง”


“ไม่ได้แหย่...แค่คิดถึง” น้ำเสียงทุ้มนั้นอบอุ่นจนหัวใจแทบละลายกลายเป็นไอ


“เลิกหยอดด้วย”


“ไม่ได้หยอด จีบต่างหาก”


“ฮาเซล”


“ได้ผลนี่...หน้าแดงใช่ไหม”


“พูดอะไร คุณเห็นหน้าผมแดงรึไง” แต่งหน้าปิดขนาดนี้ไม่มีทางเห็นใบหน้าแดงๆ ของผมแน่นอน


“เปล่า แต่หูแดงแจ๋เลย” ทันทีที่ได้ยินผมยกมือสองข้างขึ้นปิดหูตัวเองทันควัน


“...ปล่อยผม” ใครจะยอมอยู่ในระยะประชิดมากไปกว่านี้กัน


“เดี๋ยวนี้ทำตัวน่ารักนะเรย์”


“ผมบอกให้หยุดไงฮาเซล!” นี่ผมโมโหจริงๆ แล้วนะ


“หยุดก็ได้ trick or treat” เสียงกระซิบจากฮาเซลดังขึ้นข้างใบดูอีกครั้งโดยยังไม่ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระ


เดี๋ยวนะ...ฮาเซลพูดว่า...


trick or treat?



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่17« 2/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 02-01-2019 19:59:23
(ต่อนะคะ)


“เล่นอะไรของคุณอีกเนี่ย”


“วันนี้ฮาโลวีนนี่ แต่งตัวมาทั้งทีเอาก็ต้องเล่นด้วยหน่อย สรุป trick or treat” ฮาเซลถามย้ำอีกรอบ


“...t...”


“อ้อ ฉันไม่เอาขนมที่ไปเอามาจากคนอื่นหรอกนะ” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอีกฝ่ายก็แทรกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มคล้ายรู้ทันว่าผมจะทำอะไร ในถุงผมมีขนมอยู่เยอะแยะเพียงแต่ได้มาทั้งนั้นไม่ใช่เตรียมมาให้


“คุณก็รู้ว่าผมไม่มีถ้าไม่ใช่ของคนอื่น”


“งั้นก็เลือก trick นะ”


“ผมไม่ได้เลือกสักหน่อย”


“หืม...สรุปยังไงถ้าเอาของคนอื่นมาให้ฉันจะหลอกคืนเป็น 3 เท่าเลย”


“ฮาเซล คุณนี่ทำไมชอบแหย่ผมนักนะ” สนุกนักรึไงกับการได้เห็นผมหัวปั่น


“trick or treat” ครั้งที่สามสำหรับประโยคเดิม


“trick trick ก็ได้!” ผมตะโกนด้วยความหงุดหงิดเมื่อถูกไล่ต้อนอยู่ฝ่ายเดียว


“หลับตาสิ”


“...ทำไมต้องหลับตา” คิดจะทำอะไรที่ผมไม่ควรเห็นงั้นสิ


“น่า หลับตาเร็วเรย์”


“...” ผมได้แต่เม้มปากแน่นและหลับตาตามคำพูดฮาเซล สัมผัสของมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายเอื้อมมาทาบใบหน้าผมแล้วลูบไล้ด้วยนิ้วโป้งสักพักสัมผัสของอะไรบางอย่างก็แนบลงบริเวณหน้าผากไล่ลงมายังจมูก ปลายคางและปิดท้ายด้วนการประทับริมฝีปากลงมาบนปากผมอย่างแผ่วเบา


ไม่มีการรุกล้ำใดๆ มีเพียงสัมผัสอันร้อนผ่าวที่ทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น


ผมกำหมัดแน่นเตรียมชกหน้าคนตรงหน้าแรงๆ สักสองทีทว่าร่างกายกลับแข็งเกร็งไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้แต่จะลืมตาขึ้นยังยากเลย


“ถ้ายังหลับตาอยู่ฉันขอแบบเมื่อกี๊อีกรอบ...”


“ฝันไปเถอะ!” ครั้งนี้ผมสามารถเหวี่ยงหมัดใส่ฮาเซลได้เต็มแรง แน่นอนว่าระดับฮาเซลหลบหมัดผมได้สบาย ๆแถมยังอมยิ้มส่งมาอีก


“จะทำร้ายแฟนได้ลงคอเหรอเรย์”


“ผมไม่ใช่แฟนคุณ”


“อีกเดี๋ยวก็ใช่”


“ฮาเซล!”


“กลัวลืมชื่อแฟนเหรอที่รัก” ผมเม้มริมฝีปากแน่นเพราะไม่อาจตอบอะไรกลับได้


ตอบไปก็มีแต่จะถูกสวนกลับ


น่าโมโห หงุดหงิด


นี่ผมจะทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ


จะแก้เค้นซักนิดไม่ได้เลยรึไง


เดี๋ยวสิ...มีสิ สิ่งที่ทำได้น่ะ


“ฮาเซล trick or treat” ผมเงยหน้าสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองด้วยใบหน้าท้าทาย


อยากรู้นักว่าจะตอบกลับมาแบบไหน การที่ผมมาวันนี้ฮาเซลไม่มีทางรู้แน่นอน ดังนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ฮาเซลจะเตรียมขนมอะไรไว้ คราวนี้แหละผมจะหลอกคืนให้สาแก่ใจ


“อะไรเรย์ อยากทำกับฉันเหมือนที่ฉันทำกับนายเหรอ”


“ฮะ?”


“บอกกันดีๆ ก็ได้ ฉันยอมอยู่แล้ว หลับตาเลยดีไหม” พูดจบฮาเซลก็หลับและยืนนิ่งๆ


“ผมไม่ได้อยากทำแบบนั้นสักหน่อย ไม่มีขนมใช่ไหมผมจะได้หลอกคุณให้สยองไปเลย” พอกันทีกับการถูกแกล้งอยู่ฝ่ายเดียว


“หึ ก็อยากให้หลอกอยู่แต่พอดีเตรียมขนมไว้ให้แล้ว ฉันเลือก treat แต่ถ้าอยากหลอกด้วย ฉันก็ไม่ว่า” ประโยคสุดท้ายดังขึ้นพร้อมคิ้วที่ยักส่งมาให้


“...คุณเตรียมขนมไว้ให้ผม?” ตอนนี้ผมแทบไม่สนใจท่าทางกวนๆ นั่นเลยเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเตรียมอะไรไว้ให้


“ใช่ มากส์ แซมให้คนเอาของลงมาให้ฉันที!” ฮาเซลหันไปตะโกนบอกบอดี้การ์ดคนสนิท


“รอสักครู่ครับท่านฮาเซล”


ไม่ถึง 5 นาทีกล่องกระดาษสีขาวลวดลายขนาดใหญ่ก็ถูกถือมาส่งถึงมือฮาเซลก่อนกล่องนั่นจะมาอยู่ในมือผมอีกที ด้านบนของกล่องเป็นสีใสจึงสามารถมองเห็นขนมหวานด้านในได้อย่างชัดเจน รูปร่างของมันคือเค้กประมาณ 12 ชิ้นที่มีรูปร่างและลวดลายต่างกันไปแต่ทุกชิ้นล้วนอยู่ในธีมวันฮาโลวีน อย่างชิ้นกลางสุดถูกทำเป็นรูปแมงมุม


“ผมไม่ได้บอกว่าจะมา...ทำไมถึงเตรียมไว้ให้” ผมถามออกไปตามตรง ขนมพวกนี้ไม่ใช่ว่าอยากได้ก็จะได้เลย ต้องมีการสั่งทำพิเศษล่วงหน้าแน่ๆ


“ความจริงหลังฉันทำงานเสร็จกะจะโทรหาแล้วเอาขนมพวกนี้ให้ แต่ใครจะคิดล่ะว่าเรย์จะเป็นฝ่ายมาหาเองแบบนี้น่ะ” น้ำเสียงราบเรียบนั่นแสดงว่าฮาเซลพูดความจริง


“...แล้วถ้าผมบอกว่าไม่มาคุณจะทำยังไงกับขนมนั่น” จะปล่อยทิ้งเหรอ ยังไงฮาเซลไม่มีทางกินพวกมันเองอยู่แล้ว


“ถ้าเรย์ไม่ยอมมา ฉันจะเป็นฝ่ายไปหาเองถึงห้อง”


“ผมไม่ยอมบอกที่อยู่กับคุณแน่ๆ” ขืนบอกความส่วนตัวผมคงไม่มีเหลือ


“ฉันทำให้บอกได้เชื่อรึเปล่า”


“ไม่เชื่อ ผมไม่มีวันบอกที่อยู่กับคุณแน่” ผมย้ำอีกรอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


“ตอนนี้ไม่บอกก็ไม่บอก”


“จะตอนไหนก็ไม่บอกเหอะ”


“ได้เค้กแล้วอารมณ์ดีเลยนะ”


“ไม่ใช่สักหน่อย” ถึงจะมีส่วนจริงๆ ก็เถอะ


“ชีสเค้กด้วย”


“จริงเหรอ?” ผมตารุกวาวทันทีที่ได้ยินคำว่าชีสเค้ก


“ถ้าชอบคงดีนะ”


“เค้กพวกนี้ผมชอบอยู่แล้ว” จะไม่ชอบได้ยังไงกัน


“หมายถึงถ้าชอบฉันก็คงดีนะ” ผมประมวลคำพูดฮาเซลประมาณ 10 วินาทีก่อนใบหน้าจะเริ่มเห่อแดงขึ้นเมื่อเข้าใจความหมายที่แท้จริงของประโยค


“ใครจะชอบ บอกแล้วไงว่าเกลียดน่ะ”


“เกลียดยังไงมักจะได้อย่างนั้นนะ เรย์” รอยยิ้มมุมปากนั่นไม่ส่งผลเท่ากับน้ำเสียงอันอบอุ่นและอ่อนโยนยามเรียกชื่อผม


ผมแพ้น้ำเสียงแบบนั้น


“...หลับตา”


“ฮืม? อะไร” เพราะเสียงพึมพำของผมเบาเกินไปฮาเซลเลยไม่ได้ยิน


“หลับตา”


“ฉัน?” ฮาเซลชี้ไปยังตัวเอง


“ใช่” ผมพยักหน้า


“ฉันให้ขนมแล้วยังต้องถูกหลอกด้วยเหรอ”


“ไหนบอกว่าผมหลอกได้ไง”


“ก็ใช่...เบามือหน่อยฉันขวัญอ่อนนะ” สุดท้ายฮาเซลก็ยอมหลับตาลงโดยดี


ผมยกยิ้มกับท่าทางของคนตรงหน้า กล่องเค้กในมือผมยังคงถือไว้โดยขยับร่างเข้าไปใกล้ฮาเซลทีละนิดจนใบหน้าเราห่างกันเพียงคืบเดียว ด้วยความสูงที่ต่างกันนิดหน่อยทำให้ผมเขย่งเท้าขึ้นก่อนจะแนบริมฝีปากตัวเองลงบนปากของฮาเซล สัมผัสของการแนบชิดถูกกดย้ำเล็กน้อยและผละออกมาอย่างรวดเร็ว


ดวงตาสีน้ำตาลจนเกือบทองฉายแววประหลาดใจปนดีใจยามลืมขึ้น ฮาเซลก้าวเข้ามาหาพร้อมมือที่หมายจะคว้าตัวผมให้เข้าไปแนบชิดทว่าตัวผมในตอนนี้ไม่สามารถทนอยู่ในสถานการณ์นี้ต่อไปได้ สิ่งที่ทำมันเป็นเหมือนอารมณ์ชั่ววูบพอทำเสร็จความเขิน อายและความสับสนก็ทวีความรุนแรงขึ้นจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้


“...ผมขอตัว” ผมไม่รอแม้แต่จะให้ฮาเซลบอกลารีบหันหลับกลับแล้ววิ่งออกจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทันที


ทางเดินยามค่ำคืนตามท้องถนนจะมีแสงไฟคอยส่องนำทาง แต่ถึงจะมีไฟแต่ในวันที่มีงานเทศกาลฮาโลวีนจึงเงียบและดูเปลี่ยวกว่าปกติหลายเท่า เสียงฝีเท้าที่ไม่ใช่ของผมดังขึ้นในระยะไกลๆ แถมไม่ใช่ 1 หรือ 2 แต่มากกว่านั้น ตอนแรกอาจไม่สังเกตแต่พออารมณ์เย็นลงประสาทสัมผัสก็ถูกลับจนคมกริบอีกครั้ง


มีคนตามผมมาตั้งแต่ออกจากบริษัทฮาเซล


เสียงฝีเท้าพวกนั้นเบามากแปลว่าเป็นพวกนักฆ่า


ผมว่าปะติดปะต่อเรื่องได้แล้วล่ะ ก็ว่าอยู่มันดูง่ายเกินไปกับไอ้แค่วางเพลิง เป้าหมายจริงๆ คือมีอีกกลุ่มคอยจับตาเพื่อดูการเคลื่อนไหว และเป้าหมายของพวกนั้นอาจเป็นฮาเซล แต่เมื่อเห็นผมที่อาจส่งผลต่อภารกิจในอนาคตเลยต้องรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลมโดยการจัดการผมก่อน


อยากจะชมอยู่หรอก


เรื่องนี้มันชักไม่ปกติขึ้นทุกที


มีใครคิดจะฆ่าฮาเซล


และคนคนนั้นทุ่มขนาดจ้างกลุ่มนักฆ่า


ความจริงผมไม่อยากลงมือจัดการอะไรหรอกนะแต่จะให้ตามไปถึงห้องหรือกลับไปฟ้องผู้ว่าจ้างถึงตัวตนของผมก็ไม่ได้ ทักษะที่แสดงตอนสู้กับนักฆ่าสองคนมันมากพอจะทำให้คนในวงการเดียวกันรู้ว่าผมเป็นใคร อาจไม่รู้ขนาดว่าเป็นยมทูตแห่งความตายแต่ก็อาจมากพอที่จะสืบมาถึงผมในอนาคต


ผมก็กำลังจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเหมือนกัน


เหลือแค่มาวัดกันว่าใครจะเป็นฝ่ายตัดได้


ผมล่อพวกเขามาจนถึงตรอกมืดๆ และอาศัยจังหวะช่วงเลี้ยวเข้าซอยวางกล่องและขนมต่างๆ ที่ได้รับมาไว้บนรั้วบ้านข้างๆ พร้อมกับด้ายสีดำในกระเป๋าที่ถูกหยิบมาเตรียม ทันทีที่เงาคนแรกเลี้ยวเข้ามาด้ายสีดำก็ถูกพันยึดรอบลำคอและเพียงเสี้ยววินาทีที่ดึงด้ายร่างนั้นก็ล่วงลงบนพื้น


เสียงล้มลงของคนแรกเรียกให้พวกที่เหลืออีก 4 คนกรูเข้ามาพร้อมกัน มีดสั้นเล่มเล็กโจมตีใส่ผมในจังหวะเผลอทว่าผมกลับใช้ด้ายรับไว้ได้ทันท้วงที แต่การใช้ด้ายรับมีดคมผลของมันคือด้ายเส้นนั้นถูกตัดขาด


แต่ไม่มีปัญหา มีสั้นสีเงินถูกหยิบขึ้นมาแทนและเขวี้ยงตรงไปยังหน้าผากคนที่อยู่ใกล้สุด...ก่อนร่างนั้นจะล้มลงผมเหยียบเข่าอีกฝ่ายเป็นฐานเพื่อส่งตัวเองขึ้นไปบนอากาศพร้อมดึงมีดกลับมา นักฆ่าอีกสามคนเงยหน้าขึ้นมามองร่างผมที่ตีลังตาบนอากาศราวกับกำลังโผลบินด้วยความตกตะลึง


เสี้ยววินาทีของนักฆ่าหากเปิดช่องว่างให้เห็นก็จะไม่มีทางที่จะได้ตอบโต้อะไรกลับมาได้อีก


นักฆ่าทั้ง 5 คนถูกจัดการในเวลาไม่กี่นาทีโดยผมได้เพียงแผลถลอกจากหมัดที่เหวี่ยงมาเฉียดเท่านั้น การจัดการศพไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องทำเพราะต่อมีคนพบและแจ้งความก็ไม่มีใครสามารถสืบมาถึงผมได้อยู่แล้ว


ที่ผมห่วงไม่ใช่เรื่องนั้นแต่เป็นฮาเซล


เพียงคืนเดียวกลับเจอนักฆ่าถึง 7 คน


ฝีมือพวกเขาอาจไม่เก่งมากแต่ก็มากพอจะจัดการกับคนปกติได้ง่ายๆ


เรื่องนี้ต้องมีใครสักคนอยู่เบื้องหลัง สัญชาตญาณผมบอกว่าอีกไม่นานจะมีพายุลูกใหญ่เกิดขึ้น และนั่นต้องเกี่ยวกับฮาเซล กอนซาเลสแน่นอน

..............................................

จบกันไปอีกตอน

ฉากของตอนนี้เป็นยังไงกันบ้างคะ

เทศกาลฮาโลวีนที่ผ่านพ้นไปหลายเดือนแล้วในที่สุดเราก็มีโอกาสได้แต่งสักที

ช่วงปลายตุลาที่นึกได้ว่าเป็นวันฮาโลวีนเราก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะแต่งฉากเทศกาลนี้ให้จงได้

หากฮาเซลแต่งชุดผีดูดเลือดละก็...เรย์อาจโดนดูดจนเลือดหมดตัวก็เป็นได้ 555

เนื้อเรื่องได้เข้าสู้โค้งสุดท้ายแล้ว

จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นติดตามต่อในตอนหน้านะคะ

ขอบคุณทุกๆ กำลังใจนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่17« 2/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-01-2019 22:53:35
เป็นห่วงกลัวเขาจะเป็นอันตราย ก็ย้ายไปอยู่ด้วยกันเสียเลยซิ  :hao3:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่17« 2/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: PK.Kenaf ที่ 03-01-2019 09:05:40
ชอบเวลา2คนนี้คุยกัน น่ารักกกกกก ยิ้มหน้าบานแล้วมั้งโดนเรย์จูบ แต่ฮาเซลอยู่เฉยๆเรื่องก็มาหาอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่17« 2/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 03-01-2019 16:21:25
 :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่17« 2/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-01-2019 20:13:15
ไม่ใช่ว่าคุณชายเค้าจ้างมาเองนะเรย์ 5555
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่17« 2/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 03-01-2019 21:11:04
ชักจะน่าเป็นห่วงนะเรย์ แบบนี้ต้องย้ายไปอยู่กับฮาเซลเนาะ จะได้สบายใจไม่ต้องกังวลงัย อิอิ

หวังว่าคนที่ส่งนักฆ่ามาครั้งนี้ จะไม่ใช่คิงจามาน่าหรอกนะ
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่18« 9/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 09-01-2019 20:09:08
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่18



ค่ำคืนอันแสนยาวนานหลังผ่านการปะทะกับนักฆ่าถึง 7 คนผ่านไปจนกระทั่งแสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่ปรากฏและเลื่อนขึ้นสูง หากให้คาดคะเนเวลาจากแสงแดดที่ส่องเข้ามาผมคงตอบว่า 11 โมงไม่ก็เที่ยง แสงแดดส่องสว่างพร้อมความร้อนอบอ้าวอันเป็นปกติของช่วงเที่ยงทว่าผมไม่รู้สึกร้อนเนื่องจากการเปิดเครื่องปรับอากาศที่มีอุณหภูมิอยู่ประมาณ 18 องศาซึ่งถือว่าสูงกว่าวันอื่นๆ ที่ผมเปิดอีก


“วันนี้ไม่มีเสียงโทรศัพท์แฮะ” ถือว่าแปลกมากสำหรับฮาเซล ปกติจะโทรมาปลุกแทบทุกเช้า นี่จึงเป็นหนึ่งในไม่กี่วันที่ผมได้นอนหลับเต็มตา พอพลังงานเต็มหลอดอารมณ์ก็พลอยดีตามไปด้วย


ผมก้าวลงจากเตียงโดยมีผ้าห่มขนนุ่มพาดบ่าแล้วก้าวช้าไปยังตู้เย็นเพียงหนึ่งเดียวของห้อง ด้านในมีกล่องสีเหลี่ยมสีขาวลวดลายสดใสถูกวางไว้ตรงกลางตู้ เพียงแค่กล่องเดียวก็กินพื้นที่ไปเกือบทั้งชั้น กล่องเค้กในตู้เย็นถูกผมหยิบมาวางหน้าโต๊ะคอมก่อนกดเปิดคอมพิวเตอร์เหมือนอย่างทุกวัน ขนมเค้กรูปฟักทองสีส้มสดดูน่ากินมากจนอดไม่ได้ที่จะหยิบมันขึ้นมากัดเป็นชิ้นแรก รสชาติของชีสเค้กผสมเข้ากับรสหวานอ่อนๆ ของครีมแครอทได้เป็นอย่างดี


“อร่อย” อร่อยมากๆ


ผมเคยกินเค้กแครอทอยู่บ้างแต่ไม่มีเจ้าไหนที่จะมีรสชาติดีเท่าร้านนี้ ไม่รู้ฮาเซลที่ไม่แตะของหวานทุกประเภทไปหาร้านนี้มาจากไหน สงสัยผมคงต้องไปถามซะแล้ว เค้กรสอื่นเองก็มีรสชาติอร่อยไม่แพ้กันอย่างชีสเค้กสีเหลืองถูกครีมสีขาวสว่างตกแต่งคล้ายผ้าพันแผลของมัมมี่และตกแต่งด้วยผลไม้เล็กๆ แทนตาและแยมสตอเบอรรี่แทนเลือด


ดูยังไงเค้กพวกนี้ต้องมีการสั่งทำล่วงหน้าหลายวัน ดีไม่ดีอาจเป็นเดือน แล้วยิ่งรสชาติระดับนี้คงไม่พ้นเชฟฝีมือเยี่ยมสักคนของประเทศ


ทุ่มเกินไปแล้วฮาเซล


“คิดว่าจะใช้ขนมซื้อผมได้ก็คิดผิดแล้ว” ผมยกยิ้มพลางกดเข้าไปดูเมลเหมือนอย่างทุกวัน


เมลหลายสิบฉบับถูกเรียงเป็นลำดับของเวลาการส่งอย่างเป็นระเบียบ ผมเริ่มไล่ดูตั้งแต่เมลของเมื่อวานช่วงเย็นที่ผมไปเข้าร่วมงานเทศกาลฮาโลวีน...ทุกฉบับถูกเปิดอ่านเนื้อหาด้านในโดยละเอียดเพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินว่าจะรับงานหรือไม่


หลายๆ ฉบับเมื่ออ่านเสร็จผมก็ปล่อยมันไว้โดยไม่สนใจทว่าเมลฉบับต่อมาทำเอามือข้างหนึ่งที่กำลังเอาเค้กรูปแมงมุงเข้าปากถึงกับชะงัก ดวงตาสีม่วงอ่อนจับจ้องไปยังเนื้อหาของงานตั้งแต่บรรทัดแรกอีกครั้งเพื่อย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้อ่านผิด เก้าอี้ปกติผมจะเลื่อนออกห่างจากโต๊ะคอมหน่อยทว่าตอนนี้ผมกลับเลื่อนเก้าอี้มาติดโต๊ะคอมโดยไม่ละสายตาออกจากตัวอักษรนับพันบนหน้าจอด้านหน้านี่


งานของเมลฉบับนี้ไม่ต่างจากฉบับอื่นเพราะเป็นงานลอบสังหารแต่เป้าหมายของการสังหารเป็นคนที่ผมรู้จัก และค่อนข้างรู้จักเป็นอย่างดี เรียกว่าผมรู้จักเขามากที่สุดตั้งแต่เกิดมาบนโลกนี้ก็ว่าได้


ใช่ เป้าหมายที่ว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฮาเซล กอนซาเลส


มีคนว่าจ้างให้ผมฆ่าฮาเซล


คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันแน่พลางอ่านรายละเอียดของเนื้อหา...


“ฮาเซล กอนซาเลสตั้งแต่เดือนก่อนได้มีการติดต่อกับแฟนหนุ่มตลอดเกือบทุกเช้า จึงอยากให้ปลอมตัวเป็นเขาแล้วเข้าไปใจเพื่อจัดการซะ แฟนหนุ่ม?...หมายถึงผม?” ระหว่างอ่านผมชี้นิ้วมายังตัวเองด้วยสีหน้างงๆ ไม่สิ ที่ควรงงกว่าคือทำไมถึงรู้ได้ว่าฮาเซลโทรหาผมเกือบทุกเช้า


ความหมายของประโยคนั้นตีความได้เพียงโทรศัพท์ถูกดักฟัง


ทันทีที่คิดได้ผมลุกไปหยิบโทรศัพท์บนหัวเตียงก่อนทำการแยกส่วนประกอบอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์ภายในทุกชิ้นถูกสำรวจอย่างละเอียดแต่ไม่พบเครื่องดักฟังแปลว่าไม่ได้อยู่ที่เครื่องผมแต่เป็นของฮาเซล หากไปใช่โทรศัพท์ก็อาจเป็นบริเวณโดยรอบ


การจะเอาเครื่องดักฟังไปติดไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ใช่ว่าจะยากอะไร ขนาดผมยังลอบเข้าไปถึงห้องของฮาเซลบนชั้นบนสุดของตึกมาแล้ว หากมีฝีมือในระดับหนึ่งกับข้อมูลรหัสผ่านไม่ว่าใครก็สามารถผ่านได้ทั้งนั้น ถึงได้บอกไงว่าระบบป้องกันมันหละหลวม


ที่ผมพูดไม่ใช่เฉพาะบริษัทของฮาเซลแต่เป็นทุกบริษัท แม้จะมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด 24 ชั่วโมง มีพนักงานรักษาความปลอดภัยเฝ้ารอบตึกหรือการใช้คีย์การ์ดสำหรับเข้าออก หากรู้จักทริกเพียงเล็กน้อยการป้องกันระดับนั้นสามารถฝ่าไปได้โดยไม่ต้องเสียแรงปะทะให้เหนื่อย...ถ้าเป็นพวกนักฆ่าหรือผู้เชี่ยวชาญน่ะนะ ความจริงนอกจากที่บริษัทแล้วยังมีที่บ้านของฮาเซลอีกที่ซึ่งอาจมีเครื่องดักฟัง แต่ถ้าเลือกผมระหว่างดักฟังที่บริษัทกับที่บ้านของฮาเซลผมคงจะเลือกดักฟังที่บริษัทโดยไม่ลังเล


บ้านก็เป็นเพียงแค่บ้าน ฮาเซลให้สำหรับนอนแค่นั้น ตอนทำงานเป็นบอดี้การ์ดให้ฮาเซลไม่เคยเอางานกลับไปทำที่บ้าน ยิ่งพูดคุยเรื่องที่เป็นประโยชน์ถึงขนาดต้องเสี่ยงเข้าไปดักฟังยิ่งไม่มีหากจะมีก็ตอนคุยเรื่องธุรกิจในห้องทำงานนั่นแหละ ดังนั้นผมเลยปักใจเชื่อไปกว่าครึ่งว่าเครื่องดักฟังต้องอยู่ในห้องทำงานของฮาเซลแน่


กลับมาเรื่องภารกิจในเมลก่อน จากการวิเคราะห์เวลาและเนื้อหางานผมค่อนข้างมันใจเกิน 90 เปอร์เซ็นต์ว่าผู้ว่าจ้างคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อคืน นักฆ่า 7 คนที่ส่งไปจัดการกับฮาเซลหายไปอย่างไร้ล่องลอยโดยไม่มีการตอบกลับใดๆ ไม่แปลกที่จะสงสัยจนต้องว่าจ้างนักฆ่าคนอื่นให้ไปทำแทน ที่สงสัยคือคนคนนี้เป็นใคร...


“...ไม่จริงน่า” ความคิดในหัวหยุดชะงักกะทันหันเมื่อเลื่อนเมาส์ลงมาจนถึงด้านล่างสุดที่มีตัวย่อของอักษรสีแดงเลือดนกสองตัวเขียนอยู่


K.J.


ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหาข้อมูลว่าชื่อนั้นเป็นของใคร ในวงการนักฆ่าต่างรู้จักตัวย่อของชื่อนี้ดี ชายผู้เป็นหนึ่งในสามคานหลักของประเทศในอดีตเมื่อ 7 ปีก่อนและปัจจุบันน่าจะตายไปด้วยฝีมือของฮาเซลที่โกดังโทสน์ตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน...


“คิง จามาน่า” ผมแทบไม่อยากเอ่ยชื่อนั้นออกมา


ฮาเซลบอกว่ายิงอีกฝ่ายระหว่างจะหนีไปทางทะเล ผมไม่คิดว่าฮาเซลจะรีบจากที่เกิดเหตุมาโดยไม่รอให้แน่ใจว่าไม่มีร่างใครโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ หรือว่าจะว่ายไปขึ้นบริเวณอื่น ทะเลแถวโกดังโทสน์ไม่ใช่น้ำทะเลใสมากเหมือนตามชายหาดขึ้นชื่อเพราะเป็นแหล่งสะสมของดินตะกอนต่อให้มีการบำบัดน้ำอยู่ตลอดก็แทบไม่ช่วยให้สีน้ำดูใสขึ้น


“ว่าแล้วเชียว มีพายุลูกใหญ่จริงๆ ด้วย” ผมสังหรณ์ใจตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ใครจะคิดละว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ มันจะมีเรื่องไหนใหญ่ไปกว่าชายที่ถูกฆ่าถึง 2 ครั้งแต่ยังไม่ตายอีกล่ะ


แต่การส่งเมลมาจ้างผมแปลว่าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าผมมีความสัมพันธ์กับฮาเซลยังไง แน่ล่ะข้อมูลผมต่อให้ค้นแทบตายก็หาอะไรไม่ได้ ไม่มีแม้แต่การขึ้นทะเบียนเป็นคนของประเทศด้วยซ้ำ ถึงจะไม่ได้ขึ้นทะเบียนแต่ใช่ว่าจะไม่มีบัตรประชาชน ผมมีหลายใบเลยแหละ


“จะทำยังไงดี” กับสถานการณ์นี้ผมควรจะทำยังไง


นักฆ่าไม่ควรมีความลังเลต่อเป้าหมายที่จะต้องจัดการ ทุกครั้งที่ผมลงมือไม่มีแม้ความลังเลหรือสับสน ผมคิดเพียงทุกอย่างมันคืองานเมื่อมีคนจ้างผมก็ทำและได้รับผลตอบแทนเป็นเงิน ไม่มีความรู้สึกอยากปล่อยให้เป้าหมายมีชีวิตมาก่อน


แต่กลับงานครั้งนี้ เมื่อชื่อของเป้าหมายที่ต้องสังหารคือฮาเซล ผมกล้าบอกเลยว่าไม่เพียงแค่ความลังเลที่มีแต่ยังมีความรู้สึกปฏิเสธอยู่ภายในอกลึกๆ ผมไม่อยากฆ่าฮาเซล แต่หากผมปฏิเสธคิง จามาน่าคงไปจ้างคนอื่นมารับหน้าที่นี้แทน และนั่นจะยิ่งเป็นอันตรายกับฮาเซล


ทั้งที่ภายในหัวคิดเรื่องของฮาเซลมากมายขนาดนี้ยังมีหน้าไปพูดว่าเกลียดใส่อีกฝ่ายได้อีกนะตัวผม ก็แค่ไม่อยากยอมรับความรู้สึกนี้เท่านั้นเอง แต่ถ้าผมรับงานนี้...ฉายายมทูตแห่งความตายที่ทำภารกิจสำเร็จทุกครั้งนั่นคงต้องยุติลง


“หึ...แล้วยังไงล่ะ”


ใครจะสนเรื่องแค่นั้นกัน


ถ้าคนที่จะหยุดสถิตินั้นเป็นฮาเซล...


ผมก็ยอม


ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ในหัวคิดแต่เรื่องของฮาเซลถึงขนาดนี้ นี่ผมอาจต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเองสักที แม้จะไม่แน่ใจว่ามันคือชอบหรือรักไหมแต่ที่ผมสามารถบอกได้คือฮาเซลไม่ได้เพียงแค่พิเศษแต่เขามีอิทธิพลกับผมในทุกอย่าง เพราะงั้นผมจะไม่ยอมให้คิง จามาน่าไปฆ่าฮาเซลตามที่ต้องการแน่


เมลตอบรับการทำภารกิจถูกส่งกลับไปยังคิง จามาน่าโดยคนตอบรับอย่างผมนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์เพื่อคิดถึงแผนการหลายๆ อย่าง พอตอบรับภารกิจผมจำต้องลงมือเพื่อพิสูจว่าทำจริงทว่าผมจะใช้การลงมือนั่นเพื่อซ้อนแผน แต่การจะทำแบบนั้นได้จำเป็นต้องไปคุยกับเป้าหมายโดยตรง


“นี่ผมจะเป็นฝ่ายไปหาเอง 2 วันติดเลยนะฮาเซล” ผมพึมพำด้วยรอยยิ้มมุมปาก


ช่วงบ่ายหลังจากปลอมตัวเล็กน้อยผมก็เดินทางไปยังบริษัทของฮาเซลในคราบของเทเลอร์ที่หลายๆ คนรู้จัก การเข้าไปยังบริษัทฮาเซลแทบไม่เป็นปัญหาสำหรับผมเลยสักนิด ในช่วงบ่ายแบบนี้มีหลายคนที่เข้ามาทำธุรกรรมกับบริษัทพนักงานรักษาความปลอดภัยด้านหน้าจึงทำเพียงยืนเฉยๆ ปล่อยให้ทุกคนผ่านเข้าไปได้ ต่อมาผมอาศัยคนในลิฟต์เป็นตัวช่วยในการขึ้นไปด้านบน ความจริงแค่โทรไปหาฮาเซลทุกอย่างคงจบลงโดยที่ผมแทบไม่ต้องเหนื่อยอะไร แต่แบบนั้นมันจะน่าเบื่อไปหน่อย


แผนที่ทุกอย่างภายในบริษัทนี้ผมรู้ดีเนื่องจากเดินเล่นอยู่ 6 เดือนเศษได้ ดังนั้นการใช้ทริกง่ายๆ อย่างการฝ่าไปตรงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ไม่ถึง 10 นาทีผมก็มายืนอยู่หน้าห้องของฮาเซลโดยหน้าห้องมีบอดี้การ์ด 4 คนคอยยืนดูแลความปลอดภัย


แบบนี้สิดีหน่อย ไม่ใช่เปิดโล่งเหมือนตอนผมบุกมาครั้งก่อน


ถึงจะชมไปแบบนั้นแต่ใช่ว่าจำนวนคน 4 คนจะหยุดผมได้ ด้วยใบหน้าผมทุกคนให้กลุ่มบอดี้การ์ดต่างรู้จักกันดีเมื่อพวกเขาเห็นผมก็ทักทายอย่างเป็นมิตรโดยไม่มีความละแวงสงสัยแถมยังจะเปิดประตูให้ผมเข้าไปหาฮาเซลอีก แน่นอนว่าผมรับข้อเสนอนั้นเพียงแต่ก่อนจะเปิดประตูได้เตือนเหล่าบอดี้การ์ดให้ระวังตัวมากขึ้นและได้ให้โค้ดง่ายๆ ไว้สำหรับถามเพื่อดูว่าผมเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม ใบหน้าของเทเลอร์สามารถหาได้ไม่ยาก...ตามสื่อโซเชียลมีอยู่ให้ว่อน นักฆ่าส่วนมากมีทักษะในการปลอมตัวทั้งนั้น การปลอมเป็นผมจึงง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ผมเคาะประตูตามมารยาทพอได้ยินเสียงอนุญาตบอดี้การ์ดคนด้านซ้ายมีก็เป็นคนเปิดประตูให้ผมเดินเข้าไปด้านใน ภายในห้องยังเหมือนครั้งก่อนที่ผมเข้ามาแทบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่ง เจ้าของห้องหรือฮาเซลจรดปากกาบนกระดาษหลายแผ่นในแฟ้มเอกสารอีกสองหน้าก่อนจะละสายตาเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ ทว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองนั่นเบิกกว้างเล็กน้อยยามเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้า มุมปากยกยิ้มขึ้นเช่นเดียวกับร่างสูงที่ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานตรงมาหาผม


“เรย์” น้ำเสียงทุ้มๆ ยังเหมือนกับเมื่อคืน จะว่าไปไม่เพียงแค่เสียงที่เหมือนเดิมแต่เสื้อผ้าที่ฮาเซลใส่อยู่ก็ยังเป็นชุดเดิมกับเมื่อคืนแปลว่ายังไม่ได้กลับไปคฤหาสน์


“คุณนอนนี่?” ผมถามพลางเดินเข้าไปหา


“ใช่ อย่าบอกนะว่าพอเมื่อเช้าฉันไม่โทรไปหาเลยคิดถึงน่ะ” ฮาเซลถามด้วยใบหน้ากวนๆ


“ผมไม่ได้พูดนะ” ระหว่างโต้ตอบผมหยิบปากกาบนโต๊ะพร้อมกับดาษเปล่าด้านข้างมาเขียนข้อความบางอย่างลงไป


‘คุณกำลังถูกดังฟัง ผมจะหาเครื่องดักฟังเพราะงั้นพูดกันไปเรื่อยๆ อย่าหยุด’


นั่นคือสิ่งที่ผมเขียนใส่กระดาษแล้วชูให้ฮาเซลอ่าน คิ้วสองข้างของฮาเซลขมวดเข้ากันก่อนพยักหน้าเบาๆ แทนการตกลง โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะถูกหยิบและยื่นของให้เจ้าของ เพียงแค่นั่นฮาเซลรู้ทันทีว่าต้องทำอะไรกับมัน...การแยกส่วนประกอบถูกทำอย่างคล่องแคล่ว


“ถึงไม่พูดฉันก็รู้น่า มาถึงนี่อยากกินอะไรหน่อยไหมจะให้คนเอาเข้ามา” ฮาเซลพูดต่อบทโดยน้ำเสียงยังคงปกติ มือทั้งสองข้างจัดการแยกชิ้นส่วนโทรศัพท์ของตนบนโต๊ะญี่ปุ่นขนาดเล็กกลางโซฟากลางห้อง


แสดงได้ดีเกินคาด


“ผมอยากได้โกโก้สักแก้ว ขนมยามบ่ายหน่อยก็ดี” ผมพูดโดยมองไปรอบๆ ห้อง การจะติดเครื่องดังฟังหากไม่ใช่ในโทรศัพท์มือนั่นแปลว่าต้องอยู่ในห้องนี้ แน่นอนว่าการเข้ามาไม่ใช่เรื่องยากทว่าการจะติดตั้งเครื่องดังฟังได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะในห้องของฮาเซลมีกล้องวงจรปิดอยู่ 2 ตัว แต่ละตัวจะเคลื่อนที่ไปคนละฟังในเวลาเดียวกัน ผมมองการเคลื่อนไหวของกล้องพร้อมวิเคราะห์ว่าหากเป็นตัวเองจะจัดการเอาเครื่องดังฟังมาติดยังไง


กล้องวงจรปิดด้านหน้าห้องไม่เป็นปัญหาเท่าในห้องแต่ใช่ว่าปัญหานั้นจะใหญ่จนไร้ทางแก้ ในเมื่อกล้อง 2 ตัวเคลื่อนที่ในจังหวะเดียวกันทำให้มีช่วงเวลาประมาณ 10 วินาทีในการหลบ และด้วยมุมที่ติดกล้องมีมุมบอดอยู่ทางมุมซ้ายและขวาของห้อง ระยะก็คงประมาณนั้น บวกกับช่วงเวลาประมาณ 10 วินาทีและตำแหน่งของที่สามารถใช้หลบกล้องวงจรปิดได้หลังจากติดตั้งเครื่องดักฟังแล้ว


เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน สถานที่ต้องสงสัยมีเพียงแจกันดอกไม้ปลอมขนาดกลางที่ตั้งอยู่ทางด้านขวาของห้องในตำแหน่งใกล้กับโต๊ะทำงานของฮาเซล


“อยากกินขนมอะไรล่ะ” ฮาเซลถามต่อ ใบหน้าคมส่ายไปมาเพื่อบอกว่าภายในโทรศัพท์ไม่พบเครื่องดังฟังใดๆ


“คุกกี้เนยกับพุดดิ้งนมก็ดีนะ” ผมเสนอพลางเดินตรงไปยังแจกันดอกไม้มุมห้องแล้วล้วงมือลงไปควานหน้าบางสิ่งอย่างเชื่องช้า และแล้ววัตถุสีดำขนาดไม่ใหญ่มากก็มาอยู่ในมือผม


เครื่องดังฟังขนาดจิ๋วกำลังสงสัญญาณไปหาผู้ติดตั้งมันพร้อมข้อมูลแทบทุกสิ่งที่ได้ยิน ผมหยิบมีดขนาดเล็กออกมาหลังทำการชำแหละเครื่องนั่นอย่างเบามือเส้นสายสีดำของลำโพงที่ใช้สำหรับบันทึกหรือฟังเสียงถูกตัดออกโดยที่เครื่องยังสามารถส่งสัญญาณต่อได้ วิธีการนี้จะช่วยให้ทางนั้นคิดว่าเกิดปัญหาขึ้นกับเครื่องไม่ใช่ว่ามีคนค้นพบเนื่องจากคนส่วนมากเมื่อพบเครื่องดังฟังมักทำลายทิ้งจนสัญญาณของเครื่องหายไปไม่ใช่มาตัดเพียงลำโพงแบบนี้


“เรียบร้อยแล้วสินะ” ฮาเซลถามหลังเห็นผมเอนหลังพิงโซฟาตัวยาว


“อืม คุณควรเพิ่มการป้องกัน” ผมพูดเรื่องนี้อีกครั้งเมื่อวานผมอาจพูดไปทีแต่ในสถานการณ์ควรจะให้ฮาเซลเพิ่มการป้องกันจริงๆ
เรื่องนี้มันอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ


“อธิบายมาก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จู่ๆ ก็มาหาแถมยังรู้ว่ามีเครื่องดักฟังอยู่ในห้องฉันอีก”


“เรื่องค่อนข้างยาว...”


“ฉันมีเวลาฟังทั้งปี” ฮาเซลพูดแทรกทั้งที่ผมยังพูดไม่จบประโยค


“ผมยังพูดไม่จบเลยนะ จะบอกว่าเรื่องมันยาวแต่ผมสรุปมาให้แล้ว”


“สมกับที่เป็นคนรักฉัน”


“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาแหย่ผมเล่นนะฮาเซล รู้ไหมว่ากำลังเกิดพายุลูกใหญ่ขึ้นน่ะ” ผมบ่นเสียงเครียด


“พายุลูกใหญ่? หมายถึงอะไร” เมื่อเห็นว่าเริ่มเครียดฮาเซลเองจึงเปลี่ยนมาจริงจังขึ้นเช่นกัน


“คิง จามาน่ายังไม่ตาย” เพียงคำพูดเดียวของผมทำเอาบรรยากาศรอบๆ ตัวฮาเซลเปลี่ยนไปทันควัน


“รู้มาจากไหน” ใบหน้ากวนๆ ที่มักแหย่ผมเล่นเสมอตอนนี้เริ่มเคร่งขรึม แถมดวงตานั่นกำลังทอประกายของสัตว์ป่าที่รู้ว่าเหยื่อของตัวเองยังมีชีวิตอยู่


“เขาจ้างผมให้ฆ่าคุณ” ปกติผมไม่เคยบอกเรื่องงานหรือภารกิจกับใครโดยเฉพาะกับคนที่เป็นเป้าหมาย แต่ครั้งนี้เป็นข้อยกเว้นในหลายๆ ด้าน


“...แล้วนายรับ?” นิ่งไปสักพักฮาเซลก็ถามกลับ


“ใช่ ผมรับงาน” ผมพูดพลางลุกขึ้นเดินตรงไปหาฮาเซลแล้วนั่งคร่อมบนตักอีกฝ่ายโดยหันหน้าเข้าหากัน ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์ประสานเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองนิ่งๆ


ฮาเซลจะทำยังไงเมื่อรู้ว่าผมรับงาน


จะแสดงท่าทีออกมายังไง


ผมอยากรู้


จะเชื่อใจหรือว่าหวาดระแวง


“...อย่าทำอะไรเสี่ยงๆ เพื่อฉันเรย์” ฝ่ามืออุ่นๆ ยกขึ้นมาแนบกับใบหน้าผมพร้อมน้ำเสียงอ่อนโยน


“เสี่ยงอะไร การจะฆ่าคุณผมทำได้ง่ายจะตาย” ผมยังคงไม่บอกความจริง


“ฉันรู้ว่าการที่นายรับงานก็เพื่อฉัน”


“...นั่นคุณแค่คิดเอาเอง”


“เรย์ ถ้าคิดจะตลบหลังแผนการณ์ของคิง จามาน่าแล้วความแตกนายจะโดนตามล่าไม่ก็อาจตกอยู่ในอันตรายไปด้วย” คำพูดของฮาเซลทำให้ดวงตาผมสั่นระริกด้วยความรู้สึกหลากหลาย ไม่เพียงแค่เขายังเชื่อใจผมแต่ยังรู้อีกว่าผมคิดจะทำอะไรต่อไป


“ชีวิตผมไม่เคยมีคำว่าปลอดภัยอยู่แล้ว” ไม่เคยมีตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้


สถานที่ปลอดภัยผมไม่เคยมี


(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่18« 9/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 09-01-2019 20:09:29
(ต่อนะคะ)

“เมื่อก่อนอาจไม่มีแต่ตอนนี้เปลี่ยนความคิดได้เลย” ระหว่างพูดฮาเซลคว้าตัวผมเข้าไปกอดหลวมๆ สัมผัสของร่างกายแนบสนิทจนไร้ช่องว่างใดๆ ทวีไออุ่นอีกหลายเท่า


“เปลี่ยนความคิดอะไร” ผมไม่เข้าใจที่ฮาเซลพูด


“นายจะปลอดภัยถ้าอยู่กับฉัน” เสียงกระซิบข้างใบหูช่างสั่นคลอนหัวใจได้ดีจริงๆ


“...ผมจะเชื่อคนที่ในห้องมีเครื่องดักฟังได้ยังไง” ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะตอบกลับไป สัมผัสของไออุ่นนี่ผมไม่ผลักไสเหมือนอย่างทุกที ผมไม่เคยรู้สึกดีกับการแนบชิดหรือถูกโอบกอดโดยใครสักคนทว่าพอโดนฮาเซลกอดผมกลับรู้สึกดี


“หลังจากนี้จะไม่ประมาทแล้ว”


“ผมจะเชื่อได้?”


“ได้สิ ขืนให้เรย์มาปกป้องตลอดก็เสียชื่อแย่”


“หึ...ปล่อยผมได้แล้ว” ดูเหมือนว่าผมจะถูกกอดมานานเกินไปหน่อยแล้ว


“ไม่อยากปล่อย”


“ผมอึดอัด ไม่ชอบด้วย” ผมบอกเหตุผล


“โกหก ถ้าไม่ชอบฉันโดนชกซี่โครงหักไปสามท่อนแล้ว”


“อ้อ คุณอยากโดนแบบนั้นก็ไม่บอกเดี๋ยวผมจัดให้”


“ล้อเล่นน่าเรย์ บอกแผนการให้ฉันฟังหน่อย”


“ได้แต่ปล่อยผมก่อน” ผมยื่นข้อเสนอ จะให้ผมอธิบายทั้งที่อยู่ในสภาพน่าอายนี่คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่


“ไม่ปล่อย พูดทั้งแบบนี้แหละ” ไม่พูดเปล่าฮาเซลยังซุกใบหน้ากับต้นคอผมแล้วขยับไปมาจนรู้สึกจั๊กจี้


“ถ้าไม่ปล่อยผมไม่บอก” ถ้าพูดดีๆ ไม่ได้ก็ต้องขมขู่


“ก็ถ้าเรย์ไม่บอกฉันก็จะไม่ปล่อย”


“ฮาเซล!” ผมเริ่มขึ้นเสียเมื่ออีกฝ่ายสวนกลับด้วยคำพูดกวนๆ


“มาลองดูกันว่าใครจะทนไม่ไหวก่อน ยังไงฉันก็กอดเรย์ได้ทั้งปีอยู่แล้ว อยู่แบบนี้สิสวรรค์” อ้อมแขนที่กระชับแน่นกับปลายจมูกที่ไล้ไปตามลำคอทำเอาทำร่างเกร็งขึ้นโดยอัตโนมัติ


“ก็ได้ ผมยอมแล้วเลิกแกล้งสักที!” สุดท้ายผมต้องยอมเล่าแผนการทุกอย่างที่คิดให้ฮาเซลฟังในสภาพแสนน่าอาย ไม่น่าหลวมตัวอยากแกล้งฮาเซลโดยวิธีนี้เลยนึกว่าเขาจะถอยห่างผมเพราะระแวงว่าจะฆ่าซะอีก นี่นอกจากไม่ถอยแล้วยังกอดแน่นอีก


แผนการทุกอย่างถูกอธิบายออกไปตามที่วางแผนไว้ ฮาเซลนั่งฟังแผนผมนิ่งๆ ก่อนจะเสริมหรือบอกให้แก้ในบางจุดที่อาจเสี่ยงหรืออาจก่อให้เกิดความน่าสงสัยขึ้นได้ เพราะได้ฮาเซลแผนการในครั้งนี้จึงรัดกุมกว่าเดิมหลายเท่า


วันแห่งการทำภารกิจหรือวันที่ผมต้องสังหารฮาเซลมาถึงในที่สุด ทุกอย่างต่างถูกเตรียมพร้อมเพื่อกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น ผมออกจากห้องไปหาฮาเซลในเวลาประมาณ 11 โมงยังบริษัทบริเวณด้านข้างของตึก บรรยากาศรอบๆ ผมสัมผัสได้ถึงการถูกแอบมองในระยะไกล ความจริงผมสัมผัสถึงสายตาเหล่านั้นได้ตั้งแต่บุกมาหาเครื่องดังฟังแล้วแต่นี่เหมือนจะเพิ่มจำนวนมากเข้าไปอีก


ก็ไม่แปลกเครื่องดักฟังถูกตัดการบันทึกและรับเสียง ต่อให้อยากมาเปลี่ยนอันใหม่แต่ด้วยการรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นทำให้ไม่สามารถทำได้จึงต้องเปลี่ยนมาให้คนมาคอยเฝ้าดูแทน ยามปกติผมไม่ค่อยรู้สึกถึงสายตาพวกนี้ได้เด่นชัดนักเนื่องจากไม่ได้คิดว่าจะตกเป็นเป้าหมายของใคร ทว่าตั้งแต่เจอกับนักฆ่าทั้ง 7 คนผมก็ลับสัญชาตญาณของตัวเองให้คมยิ่งกว่ามีดจนสามารถจับสัมผัสได้เฉียบคมขึ้น


ผมไม่ได้บอกว่าจะลงมือลอบสังหารฮาเซลเมื่อไหร่หรือที่ไหน ดังนั้นถ้าต้องการให้ฝ่ายคิง จามาน่ารับรู้มีทางเดียวคือจัดการฮาเซลท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมานี่แหละ


เมื่อเดินมาถึงข้างตึกฮาเซลพ่วงด้วยบอดี้การ์ดคนสนิทอย่างมากส์และแซมต่างยืนรออยู่ในร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ผมยกยิ้มทักทายทั้งคู่ก่อนจะเดินเข้าไปหาฮาเซลใกล้ๆ ฝ่ายฮาเซลเองก็โอบเอวผมให้เข้าไปประชิดซึ่งผมแกล้งทำเป็นขืนเล็กน้อยก่อนจะยอมโอนอ่อนตาม และเพียงเสี้ยววินาที่ฮาเซลเผลอหรือเปิดช่องว่างมีดสั้นในปลายแขนเสื้อก็โผล่ออกมาแล้วปักเข้าบริเวณหัวใจจนเลือดสีแดงฉานเริ่มแผ่นกระจายผ่านเสื้อสีขาวสะอาด และยิ่งดึงมีดออกสายน้ำสีแดงสดก็ไหลมากขึ้นพร้อมกับร่างของฮาเซลที่ทรุดลงบนพื้น


“ท่านฮาเซล!”


“บอส!” เสียงของบอดี้การ์ดคนสนิทประสานกันเสียงดังลั่น


มากส์รีบเข้าไปประคองร่างฮาเซลพร้อมดูบาดแผลโดยที่แซมหรี่ตามองมายังผมที่ยืนมองภาพนั้นนิ่งๆ ในมือยังคงถือมีดสั้นสีเงินเปื้อนเลือดไว้ หลายวินาทีต่อมาแซมก้าวมาตรงหน้าพร้อมเปิดฉากโจมตีด้วยหมัดหนักๆ ทั้งซ้ายขวา


คงคิดว่าผมเป็นตัวปลอมสินะ


ตอนแรกผมกะจะให้ฮาเซลบอกแผนการนี้กับมากส์และแซมแต่ฮาเซลไม่เห็นด้วยเพราะเมื่อเป็นการแสดงละครอาจทำให้พวกนักฆ่าจับผิดได้ ผมคิดไว้นะว่าเมื่อบอกแผนการแล้วจะเปิดเผยว่าตัวตนจริงๆ ของผมคือใครให้กับแซมและมากส์รู้ จริงอยู่ผมอาจไม่เชื่อใจพวกเขาร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็มากพอที่ผมจะบอกความจริง แต่เพราะตอนนี้พวกเขาไม่รู้คนซวยจึงตกเป็นผมที่ต้องคอยหลบหมัดหนักๆ นั่น มีหลายครั้งผมแกล้งโจมตีกลับเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยว่าทำไมถึงทำแค่หลบ


การต่อสู้กับแซมผมไม่ปล่อยไว้นาน เมื่ออีกฝ่ายเตรียมควักปืนออกมาก็เป็นโอกาสให้ผมเข้าไปประชิดก่อนจะใช่ฝ่ามือกระแทกจนปืนกระบอกนั้นตกพื้นพร้อมส่งฝ่ามือกระแทกปลายคางของแซม ด้วยการโจมตีบริเวณปลายคงจะส่งผลให้ร่างกายไร้การควบคุมไปชั่วขณะหนึ่ง จังหวะเดียวกับที่แซมทรุดผมก้าวถอยหลังแล้วออกจากสถานที่นี้โดยไม่มีการเหลียวหลังกลับไป แผนการทุกอย่างประสบความสำเร็จด้วยดีอย่างไม่น่าเชื่อ


น้ำสีแดงสดบริเวณอกฮาเซลแน่นอนว่ามันคือเลือดเพียงแค่ไม่ใช่เลือดของฮาเซลแต่เป็นถุงเลือดจากโรงพยาบาลสักแห่งที่เอามายัดไว้บริเวณหน้าอก สำหรับมีดสั้นผมไม่สิ้นคิดขนาดใช้ของเล่นที่ยืดหดได้แต่เป็นของจริงแท้ๆ ถ้าโดนแทงก็ตายชัวร์เพียงแต่ผมกะระยะของปลายมีดให้แทงทะละเพียงถุงเลือดไม่ใช่เนื้อหนัง


จากนี้มากส์และแซมคงพาฮาเซลไปโรงพยาบาล และผลของการสังหารคือฮาเซลรอดตายมาได้ทั้งที่มีพยานเห็นเหตุการณ์ว่ายมทูตแห่งความตายได้เข้าประชิดและปล่อยมีดแทงหัวใจอีกฝ่ายแล้ว เรื่องการทำงานพลาดของนักฆ่าฉายายมทูตแห่งความตายไม่รู้ว่าจะกระจายไปทั่วรึยังแต่อาการปลอดภัยของฮาเซลนั้นดูเหมือนจะสร้างความไม่พอใจให้นายจ้างอย่างคิง จามาน่าไม่น้อย


เมลจากคิง จามาน่าถูกส่งมาในวันเดียวกับข่าวฮาเซลยังไม่ตายถูกประกาศ เนื้อหาของเมลบอกในทำนองว่าผมทำงานพลาดและต้องการให้ผมไปจัดการงานต่อให้เสร็จไม่งั้นจะไม่จ่ายเงิน และส่งท้ายเมลคิง จามาน่าได้ชวนผมให้เข้าร่วมกลุ่มหากสามารถจัดการฮาเซลได้สำเร็จ แถมยังได้ตำแหน่งใหญ่โตอย่างหัวหน้าหน่วยลอบสังหารเชียวนะ


อยากจะขำออกมาให้ดังลั่นห้องจริงๆ


ผมไม่เห็นอยากได้ทั้งเงินหรือตำแหน่งบ้าๆ พวกนั้นเลยสักนิด


ยังไงตอนนี้แผนผมก็สำเร็จไปขั้นนึงแล้ว


ใช่ แค่ขั้นแรกเท่านั้น


หลังจากนี้ผมมีแผนจะทำบางอย่าง และการกระทำนี่ฮาเซลไม่รู้ด้วย ขืนบอกเขาคงไม่ยอมให้ผมลงมือทำแน่ มีคนบอกว่าถ้าอยากได้ลูกเสื้อก็จงเข้าถ้ำเสือ การจะจัดการคิง จามาน่าเองก็คงไม่ต่างกัน แค่เข้าไปให้ถึงตัวอีกฝ่ายให้ได้


เพียงแต่วิธีการเข้าถึงมันค่อนข้างเสี่ยงไปสักหน่อยแต่ผมรู้ว่ามันต้องได้ผล เมลจากคิง จามาน่าผมไม่ได้ตอบรับมันจนย่างเข้าวันที่สามเมลอีกฉบับก็ถูกส่งมาอีกครั้งเนื้อหาภายในยังเหมือนเดิมเพื่อเติมคือจะเพิ่มเงินให้หากผมรับภารกิจ แน่นอนว่าผมไม่ตอบกลับไปเลยสักฉบับเดียว ผมเดาเหตุการณ์ต่อไปที่จะเกิดขึ้นได้ไม่อยากหากไม่มีการตอบรับจากยมทูตแห่งความตายคิง จามาน่าจะเปลี่ยนวิธีการ


ด้วยความโกรธ หงุดหงิดและโมโหในสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจเขาจะหันกลับมาใช้วิธีที่ง่ายและรวดเร็วในการฆ่าและฮาเซลอย่างทรมานโดยการจับคนที่คิดว่าเป็นแฟนหนุ่มของฮาเซลแน่นอน


ตลอดหลายวันนี้ผมจึงเปลี่ยนสถานที่อยู่มาเป็นห้องเช่ากลางเมืองแล้วออกไปเดินตามสถานที่ต่างๆ เพื่อล่อให้พวกนั้นเห็นว่าผมอยู่นี่ เมื่อผมถูกจับร้อยทั้งร้อยพวกนั้นจะไม่ฆ่าผมในทันทีเพราะจะเอาไปใช้ต่อลองกับฮาเซล ซึ่งผมเล็งสิ่งนี้ไว้


การที่พวกเขาไม่ฆ่าผมในทันทีผมค่อนข้างมั่นใจว่าสามารถจัดการทำอะไรสักอย่างกับสถานการนั้นได้ ไม่เพียงแค่จะหลุดออกมาจากการจับกุมของคิง จามาน่าและพรรคพวกแต่ผมจะลอบจัดการคิง จามาน่าในจังหวะเผลอหรือเมื่อมีโอกาส เอาตรงๆ ผมคิดนะว่าวิธีนี้มันเสี่ยงเกินไปแต่ถ้าการเสี่ยงมันจะช่วยให้ฮาเซลจัดการกับคิง จามาน่าได้ผมว่าคุ้ม


คิง จามาน่าไม่มีทางยอมรามือจนกว่าจะจัดการฆ่าฮาเซลได้ หากยังมีชีวิตเขาจะทำทุกอย่างเพื่อล้างแค้นและทวงเอาทุกสิ่งที่เคยเป็นของตัวเองกลับคืน ทางเดียวที่จะยุติปัญหาคือจัดการคิง จามาน่าไม่ก็ฮาเซล กอนซาเลส คนใดคนหนึ่ง และแน่นอนหากผมต้องเลือกช่วยใครสักคน...คนคนนั้นก็คือฮาเซล กอนซาเลส


ผมรู้ว่าตัวเองกำลังตกเป็นของฮาเซลมากขึ้นทุกที ซึ่งความรู้สึกนี้มากเกินกว่าจะถอนตัวได้แล้ว


“รับผิดชอบด้วยล่ะฮาเซล” ผมพึมพำเสียงเบาพลางก้าวเดินไปบนถนนเปลี่ยวหลังจากเข้าไปเดินในตัวเมืองมา ผมเลือกห้องพักเป็นสถานทีที่ค่อนข้างเปลี่ยวหน่อย ว่าง่ายๆ ก็เอื้อให้พวกนั้นจับตัวผมไปได้โดยไม่มีใครเห็นละนะ ในช่วงหลายวันมานี่ผมสัมผัสได้ว่ามีคนคอยตามแต่ผมทำเมินต่อทุกสัมผัสที่เจอราวกับคนไร้ฝีมือต่อกร


ยิ่งพวกนั้นคิดว่าสามารถจัดการผมได้ง่ายๆ ก็ยิ่งแสดงตัวออกมามากขึ้น สัมผัสของพวกเขาเด่นชัดขึ้นกว่าที่เคยจนผมอยากจะเดินเข้าไปทักเหลือเกินว่าให้ลดจิตสังหารหน่อยมันทำให้ความอยากอาหารลดลงไปกว่าครึ่ง ไม่รู้ว่าพวกเขาจะอยู่ดูลาดราวอีกนานแค่ไหน


อยากจะให้รีบๆ มาจับผมไปสักที


เดินอ่อยจนปวดขาแล้วเนี่ย!


ระหว่างในหัวกำลังคิดเรื่อยเปื่อยสัมผัสของวัตถุบางอย่างก็โจมตีจากด้านหลัง ด้วยสัญชาตญาณของนักฆ่าทำให้ผมหลับการโจมตีนั่นโดยไม่ทันคิด


จะหลบทำไม!


ผมด่าตัวเองในใจ ตรงหน้าผมมีชายคนหนึ่งยืนอยู่ในชุดสีดำสนิททั้งตัวแลดูกลืนกับความมืดยามราตรี แม้จะเห็นเพียงคนเดียวแต่ผมเดาได้ว่ามีอีกไม่ต่ำกว่า 5 คนกำลังลอบดูสถานการณ์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ชายตรงหน้ามองผมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก่อนพุ่งเข้าหาด้วยความเร็วสูงจนสายตาของคนธรรมดาจับแทบไม่ทัน อาจเพราะสายตาผมไม่ใช่คนธรรมดาจึงมองการเคลื่อนไหวนั่นได้สบายๆ


ในหัวผมกำลังคิดว่าจะทำยังไงอีกฝ่ายถึงจะโจมตีผมจนสลบได้ ผมไม่อยากโดนต่อยหลายรอบ หากมีฝีมือหน่อยคงสับต้นคอผมสักทีหรือชกหน้าท้องผมแรงๆ ให้สลบได้ในทันทีไม่ต้องมาลงมือหลายๆ ครั้ง ดูจากชายตรงหน้ามีฝีมืออยู่เพียงแต่อาจไม่มากพอ ไม่แน่อาจส่งมาทดสอบความสามารถโดยให้ผมเป็นหนูทดลอง


ลำบากใจจัง


งั้นคงต้องล่อให้คนเก่งๆ ออกมาสินะ


ทันทีที่คิดได้ผมเบี่ยงตัวหลบขาที่ตวัดมาจากด้านหลังพร้อมสวนกลับด้วยการเตะขาอีกฝ่ายจนเซล้มไปกองกับพื้น ผมสามารถแสดงฝีมือได้ระดับหนึ่งเพราะเทเลอร์รู้จักกันดีว่าเป็นบอดี้การ์ดของฮาเซล


ไม่มีบอดี้การ์ดที่ไหนต่อสู้ไม่เป็นหรอก อย่างน้อยพวกศิลปะป้องกันตัวต้องดีระดับหนึ่งฮาเซลจึงจะยอมเสียเงินจ้าง


เสียงฝีเท้าเบาๆ ก้าวออกมาจากมุมมืดทางด้านหลัง...ผมยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายมีฝีมืออยู่ไม่น้อย ถ้าเป็นคนคนนี้คงทำให้จบได้ด้วยการโจมตีเดียว ผมปล่อยให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้เพียงไม่กี่วินาทีแรงสับต้นคอจากด้านหลังก็พานให้สติที่มีดับวูบลงอย่างง่ายดาย ฝีมือสมแล้วกับที่คาดหวังไว้


แบบนี้สิที่ผมต้องการ


รอตื่นมาก่อนเถอะ...แล้วเราจะได้เจอกันคิง จามาน่า


อ่า....หวังว่าฮาเซลจะไม่ร้อนรนเกินไปเมื่อเห็นว่าผมถูกพาตัวไปหรอกนะ


พอเป็นเรื่องผมฮาเซลมักจะใจร้อนและขาดการตัดสินใจ เหมือนกับผมที่พอเป็นเรื่องฮาเซลก็อารมณ์ขึ้นได้ตลอดเหมือนกัน พวกเราทั้งคู่เหมือนกันตรงที่ต่างถูกอีกฝ่ายครอบครองทั้งความรู้สึกและพื้นที่ภายในหัวใจไว้จนเต็ม

..........................................

ค้างงงงง

หลายคนคงอยากเม้นท์คำคำนี้ 555

ความจริงก็อาจไม่ค้างมาก(มั้ง)

หลายคนคงเดากันได้ว่าคนที่จ้องเร่งงานฮาเซลอยู่เป็นใคร

วางเรื่องอาจไม่ซับซ้อนนัก เน้นอ่านสบายๆ คลายเคลียทั้งคนอ่านและคนแต่ง

สำหรับตอนหน้า มาดูฉากจบของเรื่องราวกัน...แต่เรื่องยังไม่จบนะ!

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์และกำลังไจค่ะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่18« 9/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 09-01-2019 20:50:43
ใช่อย่างที่คาดเดาจริงๆ คิง จามาน่ายังไม่ตาย ฮึ หนังเหนียวจริงๆ นะ แต่รอบนี้แกตายแน่ ไม่น่าจะรอดเป็นครั้งที่สาม

เรย์ ระวังตัวด้วยนะ
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่18« 9/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-01-2019 01:36:38
นับถือ ๆ เป็นการปลอมตัวที่ยากจริง ๆ ทำต้องปลอมอย่างไงให้คิดว่าปลอมแล้วไม่ใช่ตัวเอง ยากสุด ๆ  o14
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่18« 9/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 10-01-2019 02:16:17
ค้างจริงด้วยยย 55
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่18« 9/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-01-2019 16:04:11
นายเอกเรื่องนี้เปรี้ยวจริงๆ  5555555
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่18« 9/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 11-01-2019 12:34:35
หวังว่าแผนจะเป็นไปด้วยดีนะ เรย์  :hao3: :mew1:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่19« 16/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 16-01-2019 20:52:30
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่19



ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เสียงเคาะประตูห้องพยาบาลในยามสายเรียกสติของเจ้าของบริษัทพ่วงด้วยพ่วงค้าอาวุธอย่างผมละมือออกจากโทรศัพท์ไปยังประตูหน้าห้อง ตอนนี้ผมนอนเอนกายอยู่บนเตียงในห้องส่วนตัวสุดหรูโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง


“เข้ามา” ไม่ต้องถามออกไปว่าใครผมก็รู้ว่าคนที่เดินเข้ามาต้องเป็นบอดี้การ์ดคนสนิทของผมทั้งสองคน


“ท่านฮาเซล วันนี้พวกเราต้องให้ท่านบอกความจริงเรื่องนี้มาสักที” ทั้งคู่เดินเข้ามาประชิดเตียงโดยมีมากส์เป็นฝ่ายเปิดฉากสนทนาขึ้นก่อน


เรื่องที่มากส์และแซมสงสัยไม่พ้นเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ก่อนที่ผมถูกลอบฆ่าในระยะประชิดด้วยการใช้มีดสั้นแทงเข้าบริเวณหัวใจอย่างแม่นยำในเสี้ยววินาทีที่ผมเปิดช่องว่าง เหตุการณ์นั้นเป็นแผนการของเรย์ที่จะตลบหลังการว่าจ้างของอดีตหนึ่งในสามคานหลักของประเทศ คิง จามาน่า เสี้ยววินาทีที่เห็นคมมีดปักยังหัวผมยังนึกอยู่เลยว่ามันสมจริงซะจนน่าตกใจที่บนแผ่นอกตอนนี้ไม่มีล่องลอยของบาดแผลอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งมากส์และแซมในตอนนั้นตกใจกับสถานการณ์มากจึงรีบพาผมมาส่งโรงพยาบาลโดยด่วน


ซึ่งผมว่าดีแล้ว หากบอกความจริงถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นมีโอกาสสูงมากในการถูกจับได้ เรื่องนี้ยิ่งมีคนรู้น้อยก็ยิ่งเพิ่มความสมจริงมากขึ้นไปอีก แต่เพราะผมไม่ได้บาดเจ็บจริงๆ หลังถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดก็เลยต้องจัดการกับพวกทีมแพทย์ให้ทำเป็นเหมือนผ่าตัดอยู่เกือบ 3 ชั่วโมงก่อนเข็นร่างผมไปห้องพักเดี่ยว มากส์และแซมทั้งคู่มีสายตาที่ดีเพียงแค่ผมฟื้นพวกเขาก็ล่วงรู้ทันทีว่าผ้าพันแผลนี้ถูกพันไว้ปลอมๆ แน่นอนว่าผมเลี่ยงการเปิดเผยของมูลทุกอย่างตลอดมา


ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจหรือต้องการปิดบังแต่ไม่อยากบอกหรือเปิดเผยข้อมูลอะไรออกไปก่อนจะได้รับการยินยอมจากเรย์ การจะบอกว่าเรย์คือยมทูตแห่งความตายผมอยากถามเจ้าตัวก่อนจะบอก แม้จะอยากรีบออกจากโรงพยาบาลด้วยบาดแผลสาหัสอย่างถูกแทงหัวใจไม่สามารถหายได้ภายในอาทิตย์เดียวจึงจำต้องนอนเล่นทำงานอยู่บนเตียงนิ่งๆ


กลับเข้าสถานการณ์ปัจจุบัน เมื่อย่างเข้าอาทิตย์ที่สามเหมือนความอยากรู้ของทั้งคู่จะมีมากจนถามผมอยู่แทบทุกวัน สายตาของพวกเขาจับจ้องมายังผมราวกับต้องการคำตอบในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


“เฮ้อ...ฉันเข้าใจแล้ว” ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ในเมื่อเป็นบอดี้การ์ดคนสนิทผมควรจะไว้ใจและบอกทุกอย่าง เรย์เองถ้าเป็นมากส์และแซมคงยอมให้บอกได้


“พวกเรารอฟังอยู่บอส” แซมเดินลากเก้าอี้เข้ามานั่งใกล้เตียงโดยมีมากส์ยืนอยู่ข้างๆ


“มันเป็นแผนที่เรย์วางไว้”


“เทเลอร์? หมายถึงยังไงบอส” แวมถามต่อด้วยความสงสัย


“คิง จามาน่ายังมีชีวิตอยู่” ผมพูดต่อ


“ว่าไงนะบอส! เดี๋ยวก่อน แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับเทเลอร์ยังไง” แซมยังคงถามรัวด้วยความไม่เข้าใจ ส่วนมากส์ยืนฟังผมเล่าเรื่อยๆ


“ความจริงฉันไม่อยากเปิดเผยเรื่องนี้แต่คิดว่าพวกนายเชื่อใจได้” ผมพูดพลางจับจ้องไปยังคนสนิททั้งสองคน


“พวกเราจะไม่มีวันทรยศท่าน” มากส์ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


“ใช่บอส ไม่ว่าจะเกิดอะไรเราจะอยู่กับบอส” แซมเสริมคำพูดมากส์


“งั้นก็อย่าตกใจละกัน คิง จามาน่าจ้างนักฆ่าฉายายมทูตแห่งความตายให้มาจัดการฉัน”


“...ไม่จริง งั้นที่ปะทะเมื่ออาทิตย์ก่อนนู้นคือยมทูตแห่งความตาย” แซมถึงกับเหงื่อออกบริเวณขมับเมื่อรู้ว่าคนที่ตนต่อสู้เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนเป็นใคร การปะทะระหว่างแซมและเรย์อยู่ในสายตาผมเช่นกัน การเคลื่อนไหวของเรย์ดีมากเขาหลบและตอบโต้ตามสมควรเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยและปิดฉากด้วยการโจมตีบริเวณคางให้แซมล้มลงไปกองกับพื้น


“เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่ท่านฮาเซลบอกว่าแผนการนี้เป็นของเทเลอร์ แต่คนที่คิง จามาน่าจ้างมาคือยูมทูตแห่งความตาย...แล้วเทเลอร์รู้เรื่องได้ยัง....” ระหว่างกำลังเอ่ยถามน้ำเสียงของมากส์ก็ขาดหายไปเนื่องจากทุกอย่างเริ่มประติดประต่อกันอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแค่มากส์ที่มีสีหน้าตกใจ แซมถึงขนาดเบิกตากว้างพร้อมอ้าปากอย่างไม่อายใคร


“ตามที่คิด เรย์คือนักฆ่าฉายายมทูตแห่งความตาย” ผมเฉลยเสียงเบา


“...ไม่อยากเชื่อ ก็จริงที่ทักษะของเทเลอร์ดีมากทั้งประสาทสัมผัสหรือการเคลื่อนไหวแต่... ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเป็น...” แซมดูรนลานกว่าปกติอยู่ไม่น้อยเมื่อรู้ความจริง


“ท่านฮาเซลรู้ตั้งแต่เมื่อไรว่าเขาเป็นใคร” มากส์ถามบ้าง


“ตั้งแต่แรก ฉันจ้างเขาให้มาเป็นบอดี้การ์ดเพราะรู้ว่าเป็นใครนี่แหละ”


“เสี่ยงเกินไปแล้วท่านฮาเซล นักฆ่าน่ะอันตรายมากยิ่งท่านเพิ่งรู้จักเขาก็ไม่ควรให้มาอยู่ข้างกาย หากเกิดอะไรขึ้นเขาสามารถ...”


“ฆ่าฉันได้ง่ายๆ สินะ” ผมต่อประโยคสุดท้ายของมากส์ให้


“ใช่ครับ อีกอย่าง...พวกเราไม่มีสิทธิ์ห้ามถ้าท่านจะรักเทเลอร์แต่ถ้าเขาเป็นยูมทูตแห่งความตายท่านไม่คิดว่ามันเสี่ยงเกินไปหน่อยเหรอครับ” มากส์พูดต่อด้วยสีหน้ากังวล


ผมเข้าใจว่าเขากังวลอะไร ผมเคยกังวลมาก่อนเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นเชื่อใจได้ไหม จะหักหลังกันรึเปล่า จะจีบติดได้ยังไงหรือหากคบกันเราจะไปกันรอดไหม การดำเนินชีวิตของผมและเรย์อาจอยู่บนเส้นทางเดียวกันแต่มันก็ขนานกันอยู่ การจะดึงคนที่อยู่แต่ในพื้นที่ของตัวเองให้ก้าวออกมามันทำได้ยากและการจะก้าวเข้าไปในพื้นที่นั้นก็ยากไม่แพ้กัน


แต่ทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกัน ได้สัมผัสถึงตัวตนของอีกฝ่าย ผมกลับหลงรักเรย์มากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจถอนตัวได้ ความวาดระแวงหรือความไม่เชื่อใจถูกโยนทิ้งไปอย่างง่ายดาย หากผมต้องถูกฆ่าก็อยากให้คนคนนั้นเป็นเรย์ไม่ใครอื่น อาการแบบนี้อาจเรียกว่าหลงละมั้ง


ก็ไม่ปฏิเสธหรอกแค่ได้เห็นความคืบหน้าเล็กๆ ก็มากพอให้มีกำลังใจในการก้าวต่อไปแล้ว เรย์เปิดรับผมมากขึ้น มากขึ้นและมากขึ้นอย่างรวดเร็วจนผมเองยังแปลกใจที่เขายอมให้ขนาดนั้น ราวกับว่าความรู้สึกเราเหมือนกัน


“ฉันพร้อมจะเสี่ยง” หากการเสี่ยงนั้นมันทำให้ผมอาจได้มาซึ่งหัวใจของนักฆ่านามว่าเรเวน มาเกอร์ละก็


“ถ้าแบบนั้นพวกเราขอเป็นกำลังใจท่านฮาเซล เทเลอร์ไม่ใช่คนที่จะยอมเปิดใจให้ใครง่ายๆ แต่ผมว่าเขาเปิดใจให้ท่านฮาเซลมาก”


“เห็นแบบนั้นเหรอ” ผมถามกลับพลางอมยิ้ม


“ครับ ท่านเองก็เปิดใจให้เขามากเช่นกัน”


“นั่นสิ...จะได้เสมอกันไง” ในเมื่อเรย์เปิดรับผม ผมก็จะเปิดรับเรย์แม้ว่าผมจะเปิดมาตั้งนานแล้วก็ตามที


“แล้วต่อจากนี้บอสจะทำยังไงเรื่องคิง จามาน่า” แซมถามหลังเงียบฟังอยู่สักพัก


“คงต้องจัดการให้เด็ดขาด” ผมคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่วันที่รู้ว่าคิง จามาน่ายังไม่ตายจากปากเรย์ ทั้งผมและเขาต้องมีสักคนที่หายไป ซึ่งผมจะไม่ยอมเป็นฝ่ายหายไป


“บอสน่าจะเรียกเทเลอร์มานี่นะ พวกเราจะได้ทำความรู้จักกันใหม่” แซมเสนอความคิด


“อยากอยู่แต่เขาไม่รับโทรศัพท์มาจะสามอาทิตย์แล้ว” ในช่วงแรกๆ ของการเข้าโรงพยาบาลมีบ้างที่เรย์ยังรับโทรศัพท์ทว่าหลังจากนั้นกลับไม่สามารถติดต่อได้ เวลาโทรไปจะเข้าระบบฝากข้อความเหมือนเครื่องถูกปิด


“อาจเกิดอะไรขึ้นรึเปล่าครับ”


“...ฉันก็คิดอยู่” แต่ฝีมือระดับเรย์คงไม่พลาดท่าง่ายๆ


“วันพรุ่งนี้จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เราค่อยไปหาเทเลอร์ก็ได้ยังไงบอสก็คงมีที่อยู่เขาอยู่แล้วนี่” แซมเสนอความเห็นด้วยรอยยิ้มเพลย์บอยเหมือนยามปกติ


“หึ...ไม่รู้” อยากรู้ใจจะขาดแต่ไม่ว่าทำยังไงเรย์ก็ไม่บอกเลยสักนิด ทั้งที่คิดว่าสามารถทำให้เปิดปากได้แล้วเชียว


“...บอสกับเทเลอร์นี่คบกันใช่ไหม” แซมถามเสียงเบากว่าเดิม


“ยัง” ผมเบนหน้าหนีสายตาสองคู่ที่ดูจะตกใจไม่กับสิ่งที่ได้ยิน


“ไม่จริงน่าบอส บอสเนื้อหอมจะตายแถมหยอดแทบทุกทีที่เจอ ผมนึกว่าเป็นแฟนกันตั้งนานแล้วซะอีก”


“เลิกพูดเรื่องนี้แล้วเตรียมตัวออกจากโรงพยาบาล” ผมตัดการสนทนาเรื่องนี้ลง


ตัวผมอยากจะคบกับเรย์จะตายแต่จะให้บังคับผมไม่อยากทำ ความรู้สึกเป็นสิ่งที่ไม่อาจบังคับได้ต่อให้มีเงินทองหรืออำนาจมากมายก็ไม่อาจซื้อความรู้สึกได้ ผมจึงทำได้เพียงรอ...รอให้วันหนึ่งเรย์จะยอมรับผมและคบกันสักที


วันต่อมาหลังออกจากโรงพยาบาลในช่วงเช้าผมเข้าไปจัดการงานต่อยังบริษัทใจกลางเมืองทันทีแม้การกระทำนี้อาจสร้างความสงสัยให้พนักงานหลายคนก็ตาม โดนแทงหัวใจ นอนพักเพียงสามอาทิตย์และเดินฉับๆ ขึ้นไปทำงาน การกระทำแบบนั้นจะไม่ให้สงสัยได้ยังไงล่ะ


เอาเถอะ ตอนนี้งานค่อนข้างเยอะยิ่งพอรู้ว่าคิง จามาน่ายังมีชีวิตผมต้องรีบเคลียร์งานพวกนี้ให้หมดโดยเร็วที่สุดเพราะรู้ว่าอีกไม่นานการปะทะกับคิง จามาน่าต้องเกิดขึ้น และการปะทะกันครั้งต่อไปต้องมีใครสักคนที่ต้องหายไปตลอดกาล ผมไม่กลัวหากต้องตายเพียงแต่ผมไม่คิดจะตายด้วยฝีมือของหมอนั่น คนเดียวที่ผมจะยอมถูกฆ่าคือเรเวน มาเกอร์ไม่ใช่คิง จามาน่า


ครืดดดด~  ครืดดดด~


โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสั่นพร้อมเบอร์แปลกหน้าที่ปรากฏบนหน้าจอ ผมหรี่ตามองเบอร์แปลกนั่นสักพักก่อนตัดสินใจรับสาย
ไม่แน่ว่าเบอร์นั่นอาจเป็นของเรย์


เข้าวันใหม่มาไม่เท่าไหร่ก็เข้ามาอยู่ในหัวอีกแล้วนะเรย์ อย่าให้เจอเชียวจะคว้าตัวมากอดแน่ๆ เลย


“ฮัลโหล” ผมเป็นฝ่ายทักก่อน


(ไงไอ้ฮาเซล)


“...คิง จามาน่า” เพียงคำสั้นๆ ก็มากพอสำหรับการบ่งบอกตัวตนของปลายสาย


(หึ...ไปขอพรโบสถ์ไหนถึงได้รอดมาได้ล่ะ)


“พอดีมีนางฟ้ามาช่วยชีวิตน่ะ” ผมสวนกลับด้วยเสียงนิ่งๆ


(เป็นนางฟ้าที่แกร่งพอดูถึงได้ลากตัวแกมาจากยมทูตแห่งความตายได้) ประโยคนี้คงจะหมายถึงการที่ผมรอดพ้นจากความตายทั้งที่อีกฝ่ายจ้างยมทูตแห่งความตายมาละมั้ง


“ลงทุนน่าดูเลยนี่ถึงกับนักฆ่าระดับนั้น” ในเมื่ออีกฝ่ายเปิดบทสนทนาถึงยมทูตแห่งความตายมาคงไม่แปลกถ้าผมจะรู้ว่าคิง จามาน่าจ้างใครมาจัดการตัวเอง


(ไม่ถือเป็นการลงทุน ในเมื่องานไม่สำเร็จฉันก็ไม่คิดจะจ่าย)


งานของนักลอบสังหารหรือนักฆ่าก็แบบนี้ ความสำเร็จของภารกิจคือทุกอย่างเพราะถ้าไม่สำเร็จค่าจ้างก็จะไม่ถูกจ่ายต่อให้มีคนเห็นว่ามีดนั้นแทงทะลุหัวใจก็ตามที


“เงินแค่นั้นยังจะหวงอีกนะ” อดไม่ได้ที่จะแควะกลับ


(เออ ฉันให้โอกาสมันเอาเงินอีกรอบแต่มันกลับโง่เอง) คำพูดนั่นสื่อได้ว่าคิง จามาน่าว่าจ้างยมทูตแห่งความตายอีกรอบทว่ากลับถูกปฏิเสธ


เรย์ปฏิเสธงั้นเหรอ


หรือว่ากำลังคิดวางแผนอะไรไว้


“เขาคงรู้มั้งว่าใครที่ควรหรือไม่ควรถูกกำจัด”


(แก...คิดว่ารอดได้อย่ามาทำปากเก่ง ในเมื่อยมทูตบ้านั่นมันใช้ไม่ได้ก็ช่างหัวมัน รู้ไหมว่าฉันโทรมาหาแกทำไมไอ้ฮาเซล หึหึหึ) เสียงหัวเราะราวกับคนเหนือกว่าทำให้ผมเริ่มขมวดคิ้วแน่น


“คิดจะทำอะไร” ลางสังหรณ์ผมเอ่ยเตือนถึงอันตรายที่กำลังมาเยือน


(ก็ไม่อะไรมากแค่จับตัวคนรักแกมาทักทายนิดหน่อย)


“...คิดว่าฉันจะเชื่อรึไง” ผมพยายามสงบสติไม่ให้ผลีผลาม


ฝีมือของเรย์ผมรู้ดีที่สุด...การจะจับเรย์ไปไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนหน้านี้อาจทำได้แต่ในตอนนี้ที่เรย์รับรู้ถึงอันตรายรอบตัวแทบไม่มีทางที่จะจับตัวเรย์ไปได้ ฝีมือระดับนั้นต่อให้มีนักฆ่าเป็นกลุ่มผมกล้าพนันเลยว่าทำอะไรเรย์ไม่ได้ ดังนั้นคำพูดของคิง จามาน่าจึงไม่มีน้ำหนัก


(หึ...ในเมื่อไม่เชื่อจะส่งหลักฐานให้ดูก็ละกัน) หลังจากพูดจบไปนานโทรศัพท์ก็เกิดแรกสั่นอีกรอบพร้อมกับรูปภาพที่ถูกส่งมา
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองของผมเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นภาพของเรย์ถูกมัดมือทั้งสองข้างติดกับหัวเตียงในสภาพหลับใหล เซ้นส์ผมมันบอกว่านี่คือเรย์ตัวจริงไม่ใช่ใครมาปลอมตัวหรือจัดฉาก


นี่เรย์ถูกจับ...ไม่อยากเชื่อ


ไม่สิ ต่อให้ได้ชื่อว่ายมทูตแห่งความตายแต่สุดท้ายก็ยังเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง การจะเสียท่าให้กับศัตรูบ้างใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้


“แกต้องการอะไร” ผมรู้ว่าตัวเองเริ่มระงับสติและอารมณ์ที่พุ่งพล่านนี่แทบไม่ไหวแล้ว


(ชีวิตแก)


“ยังไง” จะให้ผมยิงหัวฆ่าตัวตายตรงนี้รึไง


(ความจริงก็อยากให้แกตายซะเดี๋ยวนี้อยู่ แต่แบบนั้นมันจะสนุกอะไร มาสิ มาหาฉันที่ท่าเรือมิสเคาท์ 709 ภายในบ่าย ฉันมันคนใจกว้างจะพาผู้ติดตามมาเท่าไหร่ก็ได้...ยังไงก็ต้องตายหมดอยู่แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า) และแล้วเสียงหัวเราะก็ถูกตัดสายปลายท่ามกลางอารมณ์หงุดหงิดที่กำลังทวีขึ้นจนถึงขีดสุด


“บ้าเอ้ย!” ผมกำหมัดทุบลงบนโต๊ะเต็มแรงเพื่อระบายความโกรธ ใจกว้างบ้าอะไร ต่อให้พาคนไปเป็นฝูงแต่หากมีตัวประกันอย่างเรย์ผมคงทำอะไรไม่ได้นอกจากยอม


“เรย์” ผมต้องไปช่วยเรย์ สิบนาทีต่อมาผมเรียกบอดี้การ์ดคนสนิททั้งสองอย่างมากส์และแซมให้เข้ามาหาผมในห้องนี้ อาจเพราะใบหน้าเครียดๆ ทำให้ทั้งคู่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติจึงได้แต่ยืนนิ่งๆอยู่ด้านหน้าผม


“เรย์ถูกคิง จามาน่าจับตัวไป” ผมบอกสถานการณ์


“...ไม่จริงน่า ฝีมือระดับนั้นไม่น่าจะ...” แซมถึงกับเบิกตากว้างเมื่อได้ยิน


“แปลว่าทางนั้นต้องใช้พวกมีฝีมือไปจัดการ” มากส์พูดด้วยใบหน้าเคร่งเครียดขึ้น


“หากถูกคนจำนวนมากรุมคงจัดการเพียงลำพังไม่ไหว”


“แล้วคิง จามาน่าต้องการอะไรครับ” มากส์หันมาถามผม


“ชีวิตฉัน” ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรทั้งนั้น


“...” บรรยากาศในห้องตึงเครียดขึ้นอีกระดับ มากส์และแซมต่างหันหน้ามองกันคล้ายจะปรึกษาทางสายตา


“บอสคิดจะทำยังไง” สุดท้ายแซมก็ถามผมตรงๆ


“ไปช่วยเรย์” ผมตอบ


“คิง จามาน่าให้ท่านไปหาที่ไหนครับ”


“ท่าเรือมิสเคาท์ 709 ภายในบ่าย”


“คิดจะให้ท่านฮาเซลขึ้นแล้วเอาเรือออกจากท่า จากนั้นค่อยจัดการล่ะสิ” เป็นอย่างที่มากส์พูด ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ทางนั้นคงเตรียมคนฝีมือดีไว้เต็มเรือ หากจัดการผมเสร็จก็อาจโยนลงทะเลซะ เรื่องเป็นอันจบลงง่ายๆ โดยไม่มีใครรู้และชายชื่อฮาเซล กอนซาเลสก็จะหายไปตลอดกาล


“บอสไม่ควรไป...”


“ฉันจะไป” ผมพูดแทรกแซม


“แต่ถ้าบอสไปพวกเราจะเสียเปรียบมากนะ” แซมพยายามหยุดความคิดผม


“ฉันจะไปคนเดียว พวกนายเตรียมเฮลิคอปเตอร์ไว้ ด้วยฝีมือของเรย์แค่มีอาวุธหน่อยก็สามารถหลบหนีได้แล้ว”


“เขาอาจหนีได้แต่ท่านฮาเซลล่ะ พวกมันคงไม่ได้มีจำนวนน้อยๆ”


“หากฉันเป็นอะไรไปก็ฝากเรย์ด้วย”


“บอส อย่าสั่งเสียแบบนี้สิ”


“ไม่ได้สั่งเสียแค่พูดเผื่อไว้” ผมไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ว่าจะสามารถรอดกลับมาได้ในสถานการณ์นั้นรึเปล่า จริงอยู่ผมอาจมีฝีมือทว่าคนที่อยู่บนนั้นเองก็มีเช่นกัน ไม่รู้ว่าต้องสู้กับกี่สิบคน แต่หากไปโดยคิดว่าต้องตายก็เท่ากับตายไปแล้ว


“พวกเราจะไปกับท่านด้วย” มากส์พูดพร้อมสบสายตากับผมด้วยความแน่วแน่


“ใช่บอส หากมีพวกเรารวมเทเลอร์ก็เป็น 4 คน ถ้า 4 คนต้องจัดการได้แน่” แซมพูดเสริม


“แน่ใจเหรอ รู้ใช่ไหมว่ามันเสี่ยงขนาดไหน” การเข้าไปอยู่ท่ามกลางวงล้อมศัตรูไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้ง่ายๆ ต่อให้มีเพิ่มจากสองเป็นสี่ก็ใช่ว่าเปอร์เซ็นต์รอดจะเพิ่มขึ้นมากมาย


“พวกเรารู้ ไม่ต้องห่วงผมจะสั่งลูกน้องให้เตรียมเฮลิคอปเตอร์ไว้ จะให้บินอยู่ในระยะไกลๆ หน่อยเมื่อให้สัญญาณค่อยให้บินเข้ามาใกล้” มากส์พูดเสริม


“แบบนั้นก็ได้” ผมพยักหน้า


“แบบนี้ต้องรีบเตรียมตัวก่อนถึงบ่ายแล้วสินะบอส”


“นั่นสิ ไปเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเถอะ”


ภายในบริษัทนี้มีห้องลับสำหรับเป็นคลังเก็บอาวุธอยู่แทบทุกชั้น แม้จะไม่ใช่คลังใหญ่เหมือนผู้ผลิตอาวุธอย่างคริสโตลีนี่ คิวเบิร์กแต่ก็มากพอจะมีอาวุธหลากหลายให้เลือก ปืนสั้นสองกระบอกถูกเหน็บไว้บริเวณเอวพร้อมมีดสั้นและอาวุธของเรย์อย่างลวดกับระเบิดควัน มีหลายอย่างที่ผมพกติดตัวไปด้วย ถึงจะดูเยอะแต่ด้วยขนาดและน้ำหนักของอาวุธเหล่านั้นค่อนข้างเล็กและเบาจึงสามารถพกไปไหนมาไหนได้ไม่ยากอย่างลวดสีเงินนี่เบาซะจนไม่อยากเชื่อใช้เป็นอาวุธสำหรับฆ่า


เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมผมและบอดี้การ์ดคนสนิททั้งสองมุ่งหน้าสู่ท่าเรือมิสเคาท์ 709 ในช่วงก่อนเวลาบ่ายเล็กน้อย เรือขนาดใหญ่จอดรอเทียบท่าโดยมีคนเฝ้าทั้งทางขึ้นและรอบๆ เรือหลายสิบคน เรียกว่าการป้องกันแน่นหนามากทีเดียว


ไม่จำเป็นต้องบอกว่าตัวเองเป็นใครคนที่เฝ้าอยู่บริเวณทางขึ้นก็ผายมือเชิญผมขึ้นไปยังด้านบนของเรือโดยไม่มีแม้แต่การค้นตัว คงจะมั่นใจมากว่าจะชนะละมั้ง ไม่แปลกที่จะมั่นใจดูจากรูปร่างและการประเมินฝีมือคร่าวๆ ทุกคนในนี้มีฝีมือในระดับสูง ดีไม่ดีทั้งหมดอาจเป็นนักฆ่าเหมือนเรย์


คนของคิง จามาน่าเดินนำพวกผมไปยังห้องหนึ่งของเรือลำยักษ์ ห้องสีขาวสลับทองนั่นดูราวกับอยู่ในแถบยุโรปจริงๆ ถ้าไม่ติดที่ว่าคนในห้องเป็นชายผิวคล้ำจนเกือบดำและบนศีรษะนั้นไม่มีผมเลยสักเส้น


“คิง จามาน่า เรย์อยู่ไหน” ผมเรียกอีกฝ่ายพลางมองหาเรย์ทว่ากลับไม่เจอ


“นั่นคือคำทักทายแรกเหรอฮาเซล กอนซาเลส” อีกฝ่ายยกยิ้มระหว่างพูด


“เรย์อยู่ไหน” ผมไม่อยากจะต่อบทสนทนาให้ยืดยาวไปกว่านี้ หลายชั่วโมงที่ผ่านมาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรย์บ้าง


“ฆ่าแล้วไปแล้ว...ถ้าบอกแบบนี้จะทำยังไงล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”


“คิง จามาน่า” น้ำเสียงเย็นเฉียบของผมเป็นเหมือนสัญญาณเตือนให้หยุดการหลอกเล่นอันไร้สาระนี่


“หึ คิดว่าฉันกลัวแกรึไงล่ะ คนรักแกป่านนี้คงกำลังสนุกกับการถูกผู้ชายรายล้อมละมั้ง”


“แกทำอะไรเรย์” ผมเดินเข้าไปคว้าคออีกฝ่ายพร้อมกระตุกแรงๆ ด้วยความโมโห


“เป็นสีหน้าที่ดี คิดจะฆ่าฉันตรงนี้เหรอ ไม่ห่วงคนรักของแกงั้นสิ”


“แก...”


“ปล่อยเดี๋ยวนี้” ผมได้แต่กำหมัดแน่นแล้วปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ ถ้าไม่มีตัวประกันป่านนี้ลูกกระสุนได้ถูกฝังอยู่ในหัวนั่นแล้ว


“เรย์อยู่ไหน” ผมกัดฟันถาม


“ตามมาสิ ไปดูสภาพคนรักของแกกันดีกว่า” เสียงหัวเราะดังขึ้นตลอดทางที่คิง จามาน่านำไป


ประตูห้องสีน้ำตาลถูกเปิดออกพร้อมกับคิง จามาน่าเดินเข้าไปก่อนตามด้วยพวกเรา ภายในห้องถูกตรงแต่งด้วยเฉดสีเดียวกับห้องก่อนหน้านี้เพียงแต่มีจำนวนคนแออัดกว่ามาก รอบๆ ห้องมีคนประมาณ 10 คนยืนล้อมทั้งประตูทางเข้าและหน้าต่างเพื่อป้องกันไม่ให้ใครออกไปจากสถานที่นี้ได้


ผมรู้ทันทีว่าสถานที่นี้คือจุดตัดสินทุกอย่าง และข้างนอกนั่นคงมีอีกหลายสิบคนยืนเรียงรอสาดกระสุนเข้าใส่ผู้ที่เปิดประตูออกไป แต่ทุกอย่างรอบตัวนั่นแทบไม่ได้อยู่ในหัวผมเลยสักนิดเมื่อได้เห็นภาพเรย์ถูกมัดติดอยู่กับหัวเตียงโดยมีชายประมาณ 5 คนนั่งอยู่แนบชิด ชายคนแรกและคนที่สองเอื้อมมือไปลูบไล้แผ่นอกเรย์อันปราศขากเสื้อผ้า ชายคนที่สามเริ่มปลอดเข็มขัดของเรย์ให้หลุดออก คนต่อมาซุกไซร้ใบหน้าลงกับลำคอของเรย์พร้อมขบเม้มอย่างเมามัน และคนสุดท้ายจับคางเรย์ให้เชิดขึ้นแล้วประกบจูบอย่างดูดดื่มต่อหน้าต่อหน้า


ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองของผมจับจ้องภาพนั่นพร้อมร่างกายที่เคลื่อนไหวตรงไปยังเตียง ปืนกระบอกดำถูกหยิบขึ้นจ่อบริเวณขมับแล้วลั่นไกโดยไม่มีแม้แต่ความลังเลหรือสงสาร เพียงพริบตาร่างของชายที่กล้าจูบเรย์ของผมก็หงายหลังล้มลงไปจากเตียงท่ามกลางความเงียบงัน  ไม่มีใครเดินมาขวางผมด้วยซ้ำ การเคลื่อนไหวผมคงทำให้ทุกคนตกใจ ไม่มีใครคิดหรอกว่าจะกล้าเดินถือปืนมายิงฝ่ายศัตรูโต้งๆ ทั้งที่มีจำนวนน้อยกว่าหลายเท่า


แต่จะทำไงได้ ใครมันกล้ามาแตะเรย์ผมจะไม่ปล่อยมันไปแน่!


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่19« 16/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 16-01-2019 20:52:59
(ต่อนะคะ)


“...ฮาเซล” เรย์เงยหน้ามองผมด้วยดวงตาสีน้ำตาลของคอนแทคเลนส์


“เรย์” ผมขยับเข้าไปใกล้โดยที่เรย์เองก็ขยับตัวเข้ามาหาผมบริเวณขอบเตียงเช่นกัน ชายอีกสี่คนต่างพากันลุกขึ้นแล้วถอยหน้าไปรวมกลุ่มอยู่ด้านข้างระเบียง


“ฮ่าฮ่าฮ่า แกมันสุดยอดไอ้ฮาเซล กล้าเดินไปยิงหัวลูกน้องฉันง่ายๆ แบบนั้นเลยนะ”


“คนของแกมาแตะคนของฉันก่อน” หากแค่แตะธรรมดาผมคงไม่โกรธเท่าถูกประกบจูบอย่างดูดดื่ม


“คนของแก? เป็นความรักที่น่าสะอิดสะเอียดซะจริงๆ”


“แกน่าสะอิดสะเอียดกว่าอีกคิง จามาน่า”


“พูดเหมือนตัวเองถูกไปหมดทุกอย่างเลยนะ ทั้งที่แกแย่งทุกอย่างไปจากฉัน!!” เสียงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น


“นั่นแกทำตัวเอง” หากไม่ปรารถนาอำนาจหรืออิทธิพลเหนือทุกคนเรื่องคงไม่เป็นแบบนี้


คิง จามาน่าต้องการเอาอำนาจทุกอย่างมาอยู่ในเมื่อและขึ้นปกครองประเทศด้วยอำนาจนั้น เมื่อคานทั้งสามต้นมีต้นนึงต้องการอยู่สูงกว่า ทุกคานจะเริ่มไม่สมดุลและเอนเอียงจนอาจตกลงไปได้ มีหรือที่คานอีกสองต้นจะยอมอยู่เฉยให้มีคนขึ้นไปกุมอำนาจไว้เพียงหนึ่งเดียว ทุกคนต่างต้องการอำนาจเพียงแต่คนที่ไม่รู้จักพอก็ไม่ควรได้รับอำนาจนั้นมาไว้ในครอบครอง


“แกนั่นแหละที่มาแย่งทุกอย่างไป ฉันจะฆ่า ไม่สิ จะทรมานแกจนกว่าจะร้องขอให้ฆ่าซะ จะให้ลิ้มรสความเจ็บปวดและสิ้นหวังยิ่งกว่าฉันเป็นร้อยเท่า!”


“ฉันไม่คิดจะยอมหรอกนะ” ปืนสีดำทั้งสองกระบอกของผมและคิง จามาน่าถูกยกขึ้นเล็งไปยังอีกฝ่ายในจังหวะเดียวกัน


“มาลองยิงดูไหมล่ะว่าใครจะเป็นฝ่ายตายก่อน” น้ำเสียงสนุกปนเคียดแค้นนั่นทำให้บรรยากาศทั้งห้องหนักอึ้ง


“เอาสิ” ยังไงวันนี้ต้องมีใครสักคนที่ต้องจากไปตลอดกาล ใช้วิธีนี้ก็ดีเหมือนกันระยะของปืนทั้งสองกระบอกเท่ากัน ระยะยิงเองคงมากพอจะทะลุหัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง


“ฉันจะลากแกไปลงนรกไอ้ฮาเซล...”


“แต่ผมว่าคนที่จะลงนรกคงเป็นคุณมากกว่านะ คิง จามาน่า” เสียงนุ่มจากปากของคนที่ควรอยู่ด้านหลังผมตอนนี้กลับไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของคิง จามาน่าพร้อมมีดสั้นจ่อไปยังลำคอสีแทน คมมีดหันเข้าหาคอแสดงถึงการเตรียมพอจะปลิดชีพในเสี้ยววินาที


มีดสั้นนั่นเหน็บอยู่เอวผมนี่...เอาไปตั้งแต่เมื่อไร


ไม่สิ แก้เชือกที่มัดแน่นไว้ได้ตั้งแต่ตอนไหน


อีกทั้งยังเข้าไปหาคิง จามาน่าโดยไม่มีใครสังเกตเห็นได้ยังไง?!


“แกมาได้ยังไง เทเลอร์” คิง จามาน่าเองก็สงสัยไม่แพ้ผม คนทั้งห้องเองคงสงสัยไม่ต่างกัน


“แค่เดินมาตรงๆ”


“อย่ามาพูดบ้าๆ นักฆ่าที่ฉันจ้างมาไม่มีทางปล่อยแกมาได้”


“พวกเขาอาจเป็นนักฆ่าฝีมือดีก็จริงอยู่แต่เพราะการกระทำคุณทำให้ทุกสายตาจับจ้องอยู่ นั่นเป็นช่องว่างให้ผมสามารถเข้าถึงตัวคุณได้อย่างง่ายดาย” คำอธิบายของเรย์ทำเอาบรรยากาศในห้องเริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง ผู้ชายธรรมดารูปร่างค่อยไปทางบอบบางและผอมอย่างเรย์กำลังแผ่รังสีฆ่าฟันออกมาจนแทบไม่มีใครกล้าขยับเคลื่อนไหว


นี่คือเรย์ในโหมดนักฆ่า...ยมทูตแห่งความตาย!


“...แกเป็นใครกันแน่?!” คิง จามาน่าถามเสียงดังคล้ายคนกำลังควบคุมตัวเองไม่ได้เมื่อแผนที่วางไว้ถูกทำให้พลิกไปอีกด้าน


“บอกชื่อไปคุณคงไม่รู้ งั้นบอกฉายาแทนน่าจะรู้จักกันมากกว่า” เรย์พึมพำเสียงนิ่ง สายตาเรย์ไม่เพียงจับจ้องการเคลื่อนไหวของคิง จามาน่าแต่ลามไปถึงทุกคนภายในห้อง หากมีการเคลื่อนไหวเรย์จะรู้ได้ทันที


“ฉายาอะไร”


“หึ...คุณก็น่าจะรู้ เคยจ้างผมนี่”


“...พูดอะไรของแก” เหมือนคิง จามาน่ายังไม่รู้ว่าคนที่หันมีดใส่คอตัวเองอยู่นั้นเป็นใคร


“ฉายาผม ยมทูตแห่งความตาย” เพียงเสียงเบาๆ ที่เล็ดรอดมากก็มากพอจะทำให้คนหลายสิบชีวิตเบิกตากว้างด้วยความตกใจตั้งแต่นักฆ่ารอบๆ ห้องไปจนถึงตัวของคิง จามาน่าเอง


“เป็นไปไม่ได้” น้ำเสียงนั่นดูจะไม่เชื่อว่าคนด้านหลังคือยมทูตแห่งความตายจริงๆ ด้วยรูปลักษณ์แบบนั้นจะไม่เชื่อคงไม่แปลก ตอนแรกที่ผมเจอยังไม่เชื่อจนต้องเจอกับตัวเองถึงได้รู้ว่าภายในรูปลักษณ์นั้นหากทำให้โกรธหรือโมโหก็อาจทิ้งชีวิตไปได้ง่ายๆ


“ผมไม่ได้ขอให้เชื่อนี่นะ ปฏิเสธการว่าจ้างไปตั้งหลายครั้งก็ยังตื้อไม่เลิกรู้ไหมมันน่ารำคาญ”


“...นี่แกทำไมถึงรู้ เป็นตัวจริงงั้นเหรอ” ใบหน้าตื่นตกใจนั่นเรียกรอยยิ้มอันแสนเย็นเฉียบจากเรย์ได้


“ผมบอกแล้วว่าไม่ได้ขอให้เชื่อ”


“ไอ้ฮาเซล แกจ้างมันมาใช่ไหม!” คิง จามาน่าหันมาตะโกนใส่ผม


“เปล่า” ผมตอบไปตามตรง


“อย่ามาโกหก ถ้าแกไม่จ้างมันจะมาอยู่นี่ได้ไง”


“ก็คนที่จับเขามาคือใครล่ะ” ไม่ใช่ตัวนายเองรึไง คิง จามาน่า


“...” ความเงียบจากคิง จามาน่าแสดงถึงเขากำลังคิดถึงคำพูดผม


“ขอแก้นิดนะ คือผมไม่ได้ถูกจับ” เรย์พูดแทรกความเงียบ


“หมายความว่าไงเรย์” ที่ว่าไม่ได้ถูกจับน่ะ


“ผมยอมโดนจับมาเองต่างหาก” ในหัวผมเริ่มประเมินทุกอย่างจากคำพูดขอเรย์ก่อนจะได้ข้อสรุปออกมาว่าเรย์วางแผนเรื่องนี้เอาไว้แล้ว ยอมให้โดนจับเพื่อจะได้เข้าถึงตัวคิง จามาน่าได้


“แกคิดจะทำอะไรยมทูตแห่งความตาย”


“เพราะคุณจ้องเร่งงานฮาเซลไม่เลิกผมเลยต้องเข้ามาจัดการด้วยตัวเอง ไม่คุณก็ฮาเซลสักวันต้องมีการตัดสินเกิดขึ้นและมีคนเดียวที่จะได้อยู่ต่อไป”


“แล้วแกมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย” คิง จามาน่ายังคงถามต่อ


“อ้าว นี่จับผมมาทั้งที่ไม่รู้ว่าเกี่ยวอะไรเหรอ” ใบหน้าขำขันเหมือนกำลังจะหัวเราะนั่นไม่ได้ทำให้บรรยากาศโดยรอบลดความหนักอึ้งลงเลยสักนิด


“...คนรักของฮาเซล” คิง จามาน่าพึมพำคำตอบ


“ใช่”


“แกยังเปลี่ยนใจนะ มาเข้าร่วมกับฉันเถอะแล้วทุกอย่างที่แกต้องการฉันจะให้ไม่ว่าเงินทองหรืออำนาจฉันจะให้ทุกอย่าง”


“ผมจะบอกให้นะว่าต่อให้คุณเอาทั้งเงินและอำนาจมากองตรงหน้าผมก็ไม่มีวันเข้าร่วมกับคุณ มีเพียงคนเดียวที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินจ้างหรืออำนาจสั่งผมก็พร้อมจะอยู่ข้างเขา คนคนนั้นมีเพียงฮาเซล  กอนซาเลส”


“เรย์” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา


ความหมายของคำพูดนั่นผมคิดเข้าข้างตัวเองได้ใช่ไหม


“ก็อย่างที่บอกไป หากผมจะต้องเลือกช่วยใครสักคนให้รอดคงไม่ต้องบอกก็น่าจะเดาได้ จะหันมาแค้นผมแทนก็ได้นะคิง จามาน่า” เรย์พูดพลางกดปลายมีดแนบสนิทกับลำคอมากยิ่งขึ้น


“แก...”


“ลาก่อน” เพียงเสี้ยววินาทีหลังพูดจบปลายมีดสีเงินก็ถูกชโลมด้วยเลือดพร้อมร่างของคิง จามาน่าที่ถูกปล่อยให้ร่วงลงไปกองกับพื้น


สายตาของนักฆ่าจับไล่มองไปรอบๆ ห้อง ฝ่ายถูกมองมีหลายคนตัวสั่นและเกร็งร่างกายขึ้นโดยอัตโนมัติไว้เว้นแม้แต่มากส์กับแซมที่ผมเห็นว่าสะดุ้งเล็กๆ ไม่แปลกเล่นโชว์ความสามารถต่อหน้าต่อตาขนาดนี้ไม่ว่าใครก็ต้องกลัวทั้งนั้น ยิ่งมีฉายายมทูตแห่งความตายเป็นตัวช่วยอีกแค่สามารถยืนทรงตัวอยู่ได้โดยไม่ทรุดลงไปกองบนพื้นก็นับว่ามีฝีมือในระดับนึงแล้ว


“ผมไม่อยากฆ่าโดยไม่จำเป็น นายจ้างพวกคุณตายแล้วถือว่ายกเลิกสัญญาได้ไหม” เรย์เอ่ยถามคนทั้งห้อง พวกเขาหันหน้ามองกันซ้ายขวาคล้ายจะปรึกษาว่าจะทำยังไง


“ได้ พวกเราจะเลิกยุ่งกับพวกคุณเพียงแต่อยากขอประมือกับคุณได้ไหม” คนที่คาดว่าจะเป็นหัวหน้าก้าวออกมาจากบริเวณริมระเบียง รูปร่างของเขาสูงและผอมดูคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหวร่างกายมาก


“ประมือกับผม?” เรย์ชี้นิ้วมายังตัวเอง


“อืม พวกเราเป็นมือสังหารมานานอยู่ในวงการนี้มาเป็นสิบปีแต่ไม่เคยได้เจอกับคุณซึ่งเป็นยมทูตแห่งความตายเลยสักครั้ง ฉันในฐานะหัวหน้าของพวกเขาอยากจะขอโอกาสได้ประมือกับคุณ”


“ผมไม่ได้เก่งกาจอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าทำให้เรื่องจบได้โดยไม่ต้องมีคนตายเพิ่มผมก็ยินดี” ทันทีที่เรย์หยักหน้าตอบตกลงร่างของนักฆ่ามืออาชีพก็พุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็ว อาวุธอย่างมีดปลายแหลมถูกใช้โจมตีต่อเนื่องจนเรย์ได้แต่หลบ


เรย์มองทุกการเคลื่อนไหวที่จู่โจมมาด้วยสายตาของนักฆ่าที่จับจ้องเป้าหมาย ทุกการหลบหลีกเรย์จะย่อตัวลงเรื่อยๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็รู้จึงโจมตีต่ำลงเช่นกัน เมื่อมาถึงจุดหนึ่งเรย์หมอบทั้งร่างลงกับพื้นพร้อมใช้เท้าถีบเข้าบริเวณหัวเข่า เนื่องจากหัวเข่านั่นกำลังงอจึงส่งผลให้ร่างนั้นเสียสมดุลแล้วล้มลงทว่าอีกฝ่ายกลับยังไม่ยอมแพ้แม้ท่อนล่างจะกระแทรกลงบนพื้นแต่ยังอาศัยจังหวะนั้นใช้มีดเล็งช่องว่างบริเวณด้านหลัง


แน่นอนว่าสัมผัสของเรย์สามารถจับการเคลื่อนไหวนั่นได้ไม่ยากจึงหันมารับมีดได้ ไม่เพียงรับการโจมตีแต่อยู่ๆ อาวุธในมือของอีกฝ่ายถูกเปลี่ยนมาอยู่ในมือเรย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ แม้แต่ผมยังมองการเคลื่อนไหวนั้นไม่ทัน มีดที่อยู่ในมือถูกโยนขึ้นกลางอากาศเรียกทุกสายตาให้จับจ้องไปยังมีดนั่นโดยไม่รู้เลยว่าเรย์ได้อาศัยจังหวะนั้นหยิบมีดของตัวเองขึ้นมาจ่อยังลำคออีกฝ่ายโดยอีกมือนึงรับมีดอีกเล่นได้ในจังหวะตกลงมาพอดี


การต่อสู้นี้อาจดูไม่เหมือนนักฆ่าปะทะนักฆ่านักเนื่องจากพื้นที่คับแคบและสถานที่ที่มีคนอยู่นับสิบ หากมีพื้นที่มากกว่านี้คงได้เห็นการต่อสู้ที่สุดยอดกว่านี้เป็นแน่ แต่แค่นี้ก็สุดยอดมากแล้ว


“ขอบคุณสำหรับการประมือในครั้งนี้” หัวหน้านักฆ่าก้มหัวลงเล็กน้อยแทนคำขอบคุณก่อนจะเปิดประตูไปสั่งการณ์และบอกคนที่เหลือด้านนอก


เหตุการณ์ทุกอย่างค่อยๆ กลับสู่สภาวะปกติ เรือลำใหญ่แล่นเข้าสู่ฝั่งโดยสวัสดิ์ภาพไม่ต้องพึ่งเฮลิคอปเตอร์อย่างที่เตรียมไว้ เมื่อลงสู่พื้นนักฆ่านับสิบต่างกระจายตัวหายไปในพริบตาโดยมีสายตามากมายจับจ้องไปยังยมทูตแห่งความตาย ในวงการนักฆ่ายมทูตแห่งความตายเปรียบเหมือนผู้อยู่บนจุดสูงสุดที่ไม่มีใครเคยได้เห็น การได้เจอตัวจริงจึงค่อนข้างเป็นที่สนใจ


ไม่รู้ว่านักฆ่าพวกนั้นไปคุยกันยังไงถึงได้ไม่เกิดการต่อสู้ใดๆ ขึ้น ถึงแม้จะจัดการนักฆ่ากลุ่มแรกไปด้วยสันติวิธีแต่ยังมีนักฆ่าอีกหลายกลุ่มและยังพวกที่ไม่ใช่นักฆ่าอีก ถ้าให้เดาคงเป็นเพราะทางผมมีเรย์อยู่ทางนั้นจึงไม่อยากเอาชีวิตมาเสี่ยงหากปะทะกันขึ้น แต่ในเมื่อทุกอย่างจบลงด้วยการไม่ต้องเสียเลือดผมก็ว่าดีแล้ว


“เรย์” ผมคว้ามืออีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าเรย์ทำท่าจะเดินหนีไป


“ตอนนี้ผมเหนื่อยมากฮาเซล ผมขอกลับไปพักก่อน ถ้ามีเรื่องอะไรขอเป็นวันอื่น” ใบหน้าของเรย์ดูเหนื่อยมากอย่างที่ว่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังสีหน้าดูปกติอยู่เลย


“ถูกจับนานรึยัง” ผมถาม


“ประมาณ 4 วัน ผมบอกว่าไว้ค่อยคุยไง” เรย์เริ่มขัดขืนด้วยการดึงมือออก


“เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยได้แต่มีสองเรื่องที่ต้องคุยเดี๋ยวนี้”


“สองเรื่อง? ว่ามาเร็วๆ”


“ทำไมยอมให้คนอื่นจูบ” เรื่องแรกที่ต้องจัดการคือเรื่องนี้ ครั้งก่อนที่ผมจูบถูกเตะแถมทุ่มจนซี่โครงแทบหักแต่นี่เรย์กลับอยู่เฉยๆ ยอมให้จูบ ผมนึกว่าจะกัดลิ้นขาดไปแล้วด้วยซ้ำ


“ฮะ...มันใช่เรื่องที่ต้องคุยเดี๋ยวนี้ไหมเนี่ย”


“เรย์”


“ก็ได้ สถานการณ์นั้นผมทำอะไรไม่ได้นอกจากยอม ผมไม่มีอาวุธจะหลุดจากการจับกุมแต่รู้ไหมว่าหากคุณเข้ามาช้ากว่านี้ผมกัดลิ้นหมอนั่นขาดไปแล้ว”


“หืม จริงเหรอ” คำพูดของเรย์ทำให้ผมเริ่มยิ้มออก อารมณ์หงุดหงิดเริ่มดีขึ้น


“ใช่ อีกคำถามล่ะ” เรย์สะบัดมือผมทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็นยืนกอดอก


“ยังอยู่ในคำถามเดิมอยู่”


“ยังจะถามเรื่องจูบอีก? คุณก็จัดการไปแล้วนี่”


“ใช่ฉันจัดการแล้ว แต่แค่นั้นยังไม่พอ” แค่ระบายความโกรธด้วยการลั่นไกไม่ทำให้รู้สึกพอ


“งั้นต้องทำยังถึงพอ” เรย์ถามกลับ


“ง่ายๆ ก็แค่...” ผมละคำตอบไปที่จะพูดก่อนเอื้อมมือไปคว้าใบหน้าเรย์ให้แหงนขึ้นแล้วทำการประกบจูบลงไปไม่ให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวทัน อาจด้วยความตกใจหรือไม่ทันตั้งตัวเรย์เผยอริมฝีปากออกจึงเป็นโอกาสให้ผมได้กดย้ำสัมผัสจูบได้ลึกล้ำยิ่งขึ้น กำปั้นหนักๆ ทุบลงบนแผ่นอกแทนการสื่อสารทว่าผมกลับไม่สนใจและจูบเรย์ต่อ


ความร้อนลุ่มจากสัมผัสของจูบแผ่ขยายไปทั่วร่างจนแทบหลอมละลาย ผมสามารถเรียกจูบนี้ว่าเป็นจูบที่รู้สึกดีที่สุดในชีวิตได้เลย


“อึก พอสักทีจะจูบให้ตายกันไปข้างเลยรึไง!” ผมจำต้องละออกจากริมฝีปากนุ่มๆ เพราะถูกยันปลายคางตามด้วยเข่าที่เกือบจะโดนหน้าท้อง


“ถ้าตายเพราะจูบกับเรย์ฉันว่าคุ้ม”


“คุณคุ้มแต่ผมไม่ ไม่คุ้มเลยสักนิด”


“หน้าแดงนะเรย์” ผมมองใบหน้าขาวที่ตอนนี้แดงก่ำด้วยรอยยิ้ม เรย์ปกติก็น่ามองอยู่แล้วแต่ใบหน้าแดงๆ หรือดวงตาที่กำลังสั่นระริกยิ่งเพิ่มความน่ามองเข้าไปใหญ่


“แดงเพราะขาดอากาศต่างหาก”


“น่ารัก”


“ฮาเซล กอนซาเลส!” เสียงตะโกนชื่อผมดังลั่น


“จบเรื่องแรก มาเรื่องต่อไป”


“ฮึ้ย! ว่ามาเร็วๆ”


“ประโยคที่เรย์พูดกับคิง จามาน่า ความหมายของมันคืออะไร” ผมถามพลางเดินเข้าไปสบดวงตาสีอ่อน คอนแทคเลนส์สีน้ำตาลนั่นขัดขวางดวงตาสีม่วงอันน่าหลงใหลอยู่


อยากเห็นดวงตาสีม่วงนั่นจัง


“ผมพูดอะไร”


“อย่าทำเป็นไม่รู้เรย์ รู้ไหมว่าคำพูดนั่นทำให้ฉันหวัง”


“คุณหวังอะไรล่ะ” ครั้งนี้เรย์เป็นฝ่ายถามกลับ


“หวังว่านายจะรักฉันเหมือนที่ฉันรักนายบ้าง” กับเรย์ต้องพูดไปตรงๆ อย่าอ้อมค้อม


“อืม แล้วไงต่อ”


“ฉันจะขอเรย์เป็นแฟน”


“เอาสิ ผมจะเป็นแฟนคุณ”


“...” คำตอบรับง่ายๆ นั่นทำเอาผมเงียบพร้อมประมวลสถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง ผมเพิ่งสารภาพรักและเรย์ตอบตกลง ตอบตกลงง่ายๆ ไม่มีทั้งการปฏิเสธหรือขัดขืนใดๆ เหมือนอย่างปกติ


“ผมอยู่แต่ในพื้นที่ของตัวเองมาตลอดชีวิต ทว่าพอเจอกับคุณทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดจนผมไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว”


“เรย์...”


“เพราะงั้นคุณต้องรับผิดชอบ รับผิดชอบผมด้วย” ใบหน้าเห่อแดงกับประโยคที่เริ่มติดขัดนี่เรียกรอยยิ้มกว้างจากผมได้ก่อนจะคว้าตัวเรย์เข้ามากอดไว้แน่น


ความรู้สึกตอนนี้กำลังตีกันมั่วไปหมดทั้งสับสน ทั้งไม่แน่ใจ ทั้งดีใจและทั้งมีความสุข ทุกอย่างมันรวดเร็วกว่าที่คิดไว้มาก ผมคิดว่าต้องรออีกนานกว่าเรย์จะตอบรับความรู้สึกนี้


เรย์บอกให้ผมรับผิดชอบ


ผมก็อยากจะบอกเรย์กลับเหมือนกัน...


“ทำให้ฉันรักขนาดนี้รับผิดชอบด้วยนะเรย์”

.......................................................

เปิดฉากมาด้วยความระลึกและปิดบทด้วยความหวานนนน

แบบนี้นักอ่านน่าจะฟินกัน

เนื้อหาหลักจบลงที่ตอนนี้แล้วค่ะ

ความจริงตอนแรกจะให้จบที่บทนี้เลยแต่เห็นหลายคนขอฉากหวานๆ ของทั้งคู่มาเลยคิดว่าขอแต่งต่ออีกสักนิดละกัน

บอกเลยว่ามีแน่ค่ะ แต่เป็นหวานแบบสไตล์ของเรย์นะ 555

ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดนะคะ

หวังว่าทุกคนจะช่วยติดตามจนถึงตอนจบน้าา

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่19« 16/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 16-01-2019 22:11:46
 :pig4:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่19« 16/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-01-2019 22:19:02
เรย์น่ารักกกกกกกกกกกก เก่งที่สุดอ่ะคนเนี้ย
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่19« 16/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 16-01-2019 22:49:21
เห้ยๆๆๆๆมายด้าย....ต้องมีอะไรที่มัน...... :katai1: :ling3:...กันบ้าง.. :hao6:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่19« 16/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-01-2019 04:37:42
เรื่องหลักจบไปแล้ว รอเรื่อง "บนเตียง" จ้า  :hao6:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่20« 23/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 23-01-2019 14:19:47
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่20



ความมืดยามราตรีนั้นเต็มไปด้วยความอึกทึกจากแหล่งบันเทิงหรือย่านห้างร้านค้ามากมายตามท้องถนนใจกลางเมืองทว่าหากออกหากจากบริเวณใจกลางเมืองมาหน่อยก็จะพบกับความเงียบสงัดราวกับอยู่คนละโลก เพราะความเงียบนั่นทำให้ทุกย่างก้าวของนักฆ่าอย่างผมต้องเบากว่าเคย


งานในวันนี้เป็นงานที่ไม่ง่ายเลย


สังหารผู้นำแก็งฟีซาร์คนปัจจุบัน ในยุคนี้แม้จะมีหลายสิ่งปรับเปลี่ยนไปตามค่านิยมแต่ยังมีพวกแก็งหลงเหลืออยู่จำนวนมาก การสืบทอดสายเลือดของผู้นำรุ่นสู่รุ่นมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นแก็งอันเปี่ยมไปด้วยอิทธิพลและอำนาจ


สำหรับแก็งฟีซาร์นั้นแตกต่างจากแก็งปกติเนื่องจากแต่ตั้งมาได้ไม่นานและเป็นแหล่งซ่องสุมของเหล่าพวกใช้ความรุนแรงไปจนถึงกระทำการผิดกฎหมายนับไม่ถ้วน เห็นว่าช่วงนี้ยิ่งทวีความรุนแรงเนื่องจากหัวหน้าคนปัจจุบันชื่นชอบการทะเลาะวิวาทและฆ่าฟัน ทว่ากลับมาฉากหน้าเป็นนักบุญคอยช่วยทั้งการกุศลและทำสาธารณะประโยชน์มากมาย ปิดบังสีดำสนิทไว้ด้านหลังสีขาวอย่างแนบเนียน


ช่างน่าชื่นชม


ผมไม่สนใจหรอกว่าสิ่งที่เขาทำมันผิดหรือถูก ทุกการกระทำไม่ว่าจะเป็นใครต่างมีผิดและถูกด้วยกันทั้งนั้น หากมองเพียงด้านเดียวก็ไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่อีกด้านได้ คนที่เห็นว่าใจบุญหรือทำแต่เรื่องดีใช่ว่าจะเป็นคนดีเสมอไป เช่นเดียวกันกับคนที่คลุกคลีอยู่ในความมืดจะต้องเลวเสมอไป สภาพแวดล้อมอาจมีส่วนในนิสัยทว่าทุกสิ่งมันอยู่ที่แต่ละคนว่าจะดำเนินชีวิตไปในทางใด


“เอาล่ะ” เสียงสูดหายใจของผมดังขึ้นก่อนจะกระโดดจากหลังคาบ้านข้างๆ ไปยังหลังที่พักของแก็งฟีซาร์ในการกระโดดเพียงครั้งเดียว ถึงจะมีคนคุ้มกันอยู่รอบๆ มากแค่ไหนก็ปิดช่องว่างด้านบนไม่ได้หรอก มีไม่กี่คนที่จะป้องกันศัตรูอย่างแน่นหนาครบทุกทิศทาง ส่วนมากจะเน้นการป้องกันด้านหน้าโดยปล่อยด้านบนให้โล่งโจ้ง


หน้าต่างบานเล็กถัดลงไปจากหลังคาถูกเปิดออกพร้อมผมที่พาตัวเองในชุดสีดำคล่องแคล่วลอบเข้าไปด้านในได้สำเร็จ ที่นี่ไม่ได้มีระบบรักษาความปลอดภัยระดับสูงอย่างคีย์การ์ดหรือกล้องวงจรปิดจึงง่ายต่อการเข้ามาพอสมควร


บ้านหลังนี้ถูกสร้างตามต่างชาติที่ใช้ไม้เป็นวัสดุในการสร้างบ้านจึงทำให้เวลาเดินต้องระวังเสียงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา สถานที่ที่ผมต้องไปคือห้องพักส่วนตัวของหัวหน้าแก็งฟัซาร์ในกลางบ้านที่มีเพียงชั้นครึ่งคือส่วนที่พกอาศัยในชั้นแรกกับชั้น 2 ขนาดเล็กสำหรับเก็บของที่ผมยืนอยู่นี่


ผนังไม้ด้านข้างเกิดเสียงดังเล็กน้อยเมื่อถูกเคาะเพื่อหาช่องว่างระหว่างผนังเหล่านี้ เสียงหนักที่ได้ยินทำเอาผมส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปเคาะผนังอีกฝั่งดูบ้างจนสุดท้ายก็เจอเข้ากับเสียงกลวงๆ จากผนังฝั่งขวามือ ข้าวของต่างๆแนบชิดอยู่ติดกับผนังมากเกินกว่าจะย้าย แน่นอนว่าผมไม่เคยคิดจะย้ายเพราะอาจถูกจับสงสัยเอาได้ ที่ผมทำมีเพียงใช้มีดสั้นด้ามเงินกรีดบริเวณด้านบนของผนังไม้โดยใช้ข้าวของด้านล่างเป็นฐานเหยียบเพิ่มความสูง เพราะทำด้วยไม้ความทนทานจึงมีไม่มากเท่าวัสดุอื่นส่งผลให้ผมสามารถเลาะผนังไม้นั่นได้ในเวลาไม่นาน


ไม้ชิ้นใหญ่ที่ใช้แทนผนังถูกผลักไปด้านในก่อนผมจะตามเข้าไปแล้วยกแผ่นไม้นั่นปิดเหมือนเดิม เส้นทางภายในบ้านหลังนี้ผมสำรวจมากแล้วพอรู้ว่าจุดที่ตัวเองอยู่คือตรงไหนผมก็เดินไปห้องของเป้าหมายผ่านการก้าวไปบนคานไม้โดยระวังไม่ให้เสียงฝีเท้านั้นดังเกินไป พอเห็นคานหน้าของฮาเซลก็ลอยขึ้นมา หนึ่งในสามคานผู้คอยขับเคลื่อนประเทศ


หลังจบเหตุการณ์ของคิง จามาน่าผมแทบไม่ได้เจอฮาเซลเลย แต่ถึงไม่ได้เจอใช่ว่าจะไม่ได้คุยกัน ทุกเช้าเขามักจะโทรมาปลุก เอือมจนไม่รู้จะเอือมยังไงแล้ว แต่ทุกครั้งผมก็รับสายเขาตลอด


สถานะของพวกเรามันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่เพียงคนรู้จักแต่เป็นแฟน…อ่า ควรใช้คำว่าคนรักสินะ


การตอบรับในวันนั้นมันเหมือนอารมณ์ชั่ววูบจากการไม่ได้เจอกันถึงสามอาทิตย์ ความจริงอยากจะใช้ช่วงเวลาอีกสักพักเพื่อเรียนรู้และเข้าใจความรู้สึกของตัวเอาให้มากกว่านี้ก่อน


ช่างเถอะ ยังไงก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ แล้วผมไม่อยากเปลี่ยนด้วยละมั้ง


คำว่าแฟนหรือคนรัก...ไม่ได้เลวร้ายอะไร


ดูแปลกใหม่ดีสำหรับผมที่แทบไม่ยุ่งหรือสุงสิงกับใคร


กลับเข้าเรื่องงาน ระหว่างคิดอะไรเพลินๆ ผมได้ก้าวมาถึงบนห้องของเป้าหมายเรียบร้อย ผมย่อตัวคุกเข่าลงกับพื้นเพดาก่อนค่อยๆ เปิดเพดานทีละน้อยเพื่อดูสถานการณ์ภายในห้อง ความมืดด้านในเป็นตัวบอกว่าเจ้าของห้องนั้นหลับไม่ก็ไม่ได้อยู่ห้อง แต่พอมองไปด้านข้างแล้วเห็นร่างนอนหลับบนเตียง


เพดาไม้ในมือก็ถูกยกขึ้นไปวางด้านข้าง อาวุธที่ผมใช้ในครั้งนี้เหมาะกับระยะห่างที่ค่อนข้างไกลและไม่อยากให้หลงเหลือล่องรอยใดๆ กับเป้าหมาย อาวุธนี้คล้ายๆ กับเครื่องเป่าลูกดอกทว่าเปลี่ยนมาใช้มือในการยิงคล้ายปืน ในลำกระสุนไม่ใช่ลูกปืนแต่เป็นเข็มยาพิษ เพียงยิงโดยผิวหนังสารพิษจะละลายและเข้าสู่ผิวหนังไปจนถึงกระแสเลือดทำให้ไม่หลงเหลือแม้แต่เข็มที่ปักอยู่

นอกจากยาพิษยังมีพวกยาสลบหรือยาชาใส่อยู่อีก สะดวกต่อการใช้งานแถมง่ายต่อการพกพา


ถึงแบบนั้นผมก็ยังชอบมีดและลวดมากกว่าล่ะนะ


ผมทำการเล็งเข็มพิษไปยังเป้าหมายบนเตียง บริเวณที่เล็งคือส่วนหน้าผากซึ่งง่ายสุดในการเล็งเป้า ไม่กี่วินาทีต่อมาเข็มขนาดเล็กถูกยิงใส่เป้าหมาย พิษชนิดนี้ไม่ได้ทำให้ทรมานหรือดิ้นทุรนทุรายเพราะงั้นการจากไปของหัวหน้าคนปัจจุบันของแก็งฟีซาร์จึงเป็นไปอย่างเงียบสงบ เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นผมก็ไม่มีเหตุผลต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป ทุกทางที่ผมผ่านถูกลบล่องรอยอย่างระมัดระวังก่อนจะจากไปดังเช่นฉายายมทูตแห่งความตายที่มารับเหยื่อในค่ำคืนอันเงียบสงัด


“กี่โมงแล้ว...สามทุ่ม? บ้าจริง!” นาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาสามทุ่มซึ่งถ้าเป็นตอนปกติผมคงไม่มาวิ่งด้วยความเร็วสูงแบบนี้หรอก


วันนี้ค่อนข้างพิเศษ...เรียกว่าครั้งแรกก็ได้ที่ฮาเซลนัดผมให้ไปกินมื้อเย็นและผมตอบรับไปว่าได้ทว่าดันตรงกับเวลาทำภารกิจของวันนี้พอดี ผมหาข้อมูลของหัวหน้าแก็งฟีซาร์มาสักพักกว่าจะรู้ทั้งสถานที่และวันที่อยู่บ้านก็กินเวลาพอสมควรเพราะงั้นการจะเลื่อนภารกิจจึงไม่ใช่เรื่องที่สมควร แน่นอนว่าผมไม่คิดจะขอเลื่อนนัดฮาเซลเช่นกัน หากผมทำภารกิจเสร็จแล้วตรงไปหาฮาเซลทันทีก็ทันเวลาอยู่


แต่ติดเพียงแค่รถไฟฟ้าที่ใช้เดินทางเข้าไปยังตัวเมืองดันเกิดขัดคล่องจนไม่สามารถทำการเดินรถใดๆ ได้ทั้งสิ้น และคงใช้เวลาหลายชั่วโมงถึงจะกลับมาเป็นปกติ


นี่ผมรอมาประมาณชั่วโมงได้ละมั้งถึงจะได้มุ่งหน้าไปยังร้านที่ฮาเซลนัด ผมโทรไปบอกฮาเซลว่าเกิดเรื่องแต่ฝ่ายนั้นดันตอบกลับมาด้วยประโยคสั้นๆ คือรอได้ จึงกลายเป็นฝ่ายผมที่เร่งซะเอง


สถานที่นัดเป็นตึกแฝดสูงกว่า 20 ชั้นซึ่งนอกจากจะเป็นภัตคารสุดหรูแล้วยังเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว คนระดับธรรมดาไม่มีทางก้าวเข้ามาใช้บริการแน่นอน ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่เคยมาใช้บริการแม้จะได้ยินข่าวลือถึงการบริการหรือรสชาติของอาหารมามากมายก็ตามที ภัตคารชั้น 15 เป็นห้องอาหารบนสุดของโรงแรมแห่งนี้ โรงแรมนี้มีจุดเด่นอยู่ตรงภัตรคารนั้นจะไม่อยู่ในห้องแต่ตั้งอยู่บนทางเชื่อมตึกจึงทำให้ทุกโต๊ะสามารถมองเห็นวิวได้จากกระจกใสทั้งสองฝั่ง


“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าท่านชื่ออะไรครับ” พนักงานบนชั้น 15 ก้มหัวเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงมีมารยาท การจะเข้ามารับประทานอาหารในนี้ได้ต้องทำการจองล่วงหน้า...มีข่าวลือว่าต้องจองเป็นเดือนถึงจะได้มาสักโต๊ะ


“ผมมาหาฮาเซล กอนซาเลส” ผมบอกชื่อฮาเซลให้อีกฝ่ายได้ยิน


“รับทราบครับ ท่านฮาเซลกำลังรออยู่เชิญทางนี้เลยครับ” พนักงานชายผายมือพลางเปิดประตูเพื่อพาผมไปด้านใน บรรยากาศสุดหรูในธีมสีทองช่วยให้ความหรูหราและไฮโซมากขึ้นไปอีกหลายเท่า พนักงานชายเดินนำผมไปจนถึงโต๊ะอีกฝั่งซึ่งติดกับประตูทางเชื่อมอีกตึกหนึ่งทว่ากลับมีการจัดฉากกั้นเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว


“ฮาเซล” ผมเดินเข้าไปหาฮาเซลที่กำลังมองไปด้านนอก


“รีบมาเหรอ เหงื่อโชกเลย” ฮาเซลหันมามองด้วยรอยยิ้มรู้ทัน


“ผมแค่ร้อนต่างหาก” ปฏิเสธเสร็จก็นั่งลงยังเก้าอี้อีกฝั่ง โต๊ะนี้มีที่นั่งเพียงสองที่ซึ่งถูกจัดให้หันข้างติดกระจกทำให้สามารถหันไปมองวิวข้างนอกได้


“โกหกฉันไม่ได้หรอก”


“รอตั้งสองชั่วโมง ผมถึงบอกให้เปลี่ยนไปนัดวันอื่นแทนไง” รวมเวลาเดินทางและเวลารอรถซ่อมเสร็จก็ประมาณสองชั่วโมงได้ งานฮาเซลเองใช่ว่าจะน้อยสองชั่วโมงสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง


“อยากเจอเรย์นี่ ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่จบเรื่อง” เรื่องที่ว่าคือเรื่องของคิง จามาน่า


“คุณเองก็ยุ่ง ผมเองก็ยุ่งเหมือนกัน” พวกเราทั้งคู่ต่างยุ่งกับหลายๆ อย่าง ด้านผมนอกจากต้องทำการยกเลิกสัญญาห้องพักที่ใช่ล่อพวกของคิง จามาน่าก็ต้องทำภารกิจอื่นต่อ ภารกิจเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผมตอบตกลงไปแต่ยังไม่ได้ลงมือจัดการ ต่างฝ่ายต่างยุ่งจะมีเวลามาเจอกันได้ยังไง


“ถึงฉันจะยุ่งแต่ถ้าเรย์บอกฉันมาหาได้เสมอ”


“คุณนี่นะ เลิกหยอดสักที ไม่เบื่อรึไง” ทางโทรศัพท์ก็ทีนึงแล้ว ทำราวกับผมเป็นผู้หญิง


“มีแฟนทั้งทีต้องหมั่นพูดคำหวาน แซมบอกมา”


“ผมไม่ชอบคำหยอดหวานๆ พวกนั้นหรอกนะ” ว่าแล้วเชียวต้องมีคนบอก ปกติฮาเซลอาจหยอดบ้างแต่ไม่มากเท่าช่วงนี้ ฝีมือแซมนี่เอง


“งั้นชอบแบบไหน”


“ปกติ” ผมตอบพลางมองซุปจานแรกที่ถูกเสิร์ฟ ซุปสีใสมีแครอท ถั่วลันเตาและเบค่อนลอยอยู่ปะปาย พอลองตักชิมรสชาติหวานกลมกล่อมตามแบบฉบับซุปคุณภาพนั่นเรียกความอยากอาหารให้มีมากกว่าปกติ


“อร่อยสินะ” ฮาเซลมองดูท่าทีผมหลังตักซุปเข้าปาก


“ร้านระดับนี้ไม่อร่อยก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว”


“ของหวานเด็ดกว่านี้อีก”


“ของหวาน?” ไม่รู้ว่าผมแสดงปฏิกิริยามากไปหรือไงกับคำว่าของหวานฮาเซลถึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ


“ฉันสั่งให้ทำแบบพิเศษ”


“ราคาคงพิเศษกว่าละมั้ง” แค่ราคาอาหารจานปกติก็มากพอจะทำให้คนธรรมดาอยู่ได้หลายวันแล้ว


“นายก็รู้ว่าฉันจ่ายได้” ฮาเซลบอกระหว่างตักสเต็กในจานหลักเข้าปาก


“ครับๆ ก็คุณรวยนี่”


“นายก็รวยนี่ ค่าจ้างแต่ละครั้งคงไม่ใช้หลักพันหรอกมั้ง” แก้วไวน์แดงถูกยกขึ้นมาจิบสลับมองหน้าผม


“คงรวยไม่เท่าคุณ ค่าจ้างผมบางทีก็มีนะหลักพัน” ใช่ว่าทุกคนจะต้องใช้ค่าจ้างสูงๆ เสมอไป แต่ส่วนมากก็ใช่...คงคิดว่ายิ่งให้ราคาแพงโอกาสที่ผมจะตกลงคงมีมากขึ้น


“หลักพันเนี่ยนะ แล้วรับไหม” ฮาเซลถามด้วยความสนใจ


“รับ ผมไม่ได้ตัดสินรับงานด้วยจำนวนเงินนี่นะ”


“สมกับเป็นเรย์ เล่าให้ฟังหน่อยได้รึเปล่า”


“ใช่ว่าไม่ได้  คงรู้จักเจเจย์ กากอซอยู่แล้ว ไม่มีอะไรมากหนึ่งในเหยื่อที่ถูกกระทำมีครอบครัวหนึ่งค่อนข้างยากจนแต่พวกเขาอยากจะให้หมอนั่นชดใช้เลยเมลมาหาผม ผมไม่รู้ว่าพวกเขาไปหาเมลผมมาจากไหนถึงได้ส่งเมลมาหาโดยมีค่าจ้าง 5,000 บาท ภารกิจครั้งนั้นไม่ได้ยากอะไรเพราะเจเจย์ กากอซไร้การป้องกันตัว ผมแค่ปลอมตัวนิดหน่อยอีกฝ่ายก็ติดกับและถูกจัดการ” ผมเล่าเนื้อหาของงานในภาพรวมในฮาเซลฟังระหว่างกินสเต็ก


“เจเจย์นั่นฝีมือเรย์เหรอเนี่ย ได้ข่าวมาเหมือนกันว่าถูกพบในสภาพเหมือนกำลังล่าเหยื่อแต่กลับถูกเหยื่อคนนั้นจัดการเข้าให้ เล่นชอบการลักพาตัวเยาวชนไปขมขืนก็สมควร” ฮาเซลพูดเสริม เป็นอย่างที่ฮาเซลบอกหมอนั่นขึ้นชื่อเรื่องขมขืนเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แม้จะถูกจับแต่ก็ถูกปล่อยในไม่กี่วันเนื่องด้วยอิทธิพลของทางบ้าน

 
“คุณเองก็ระวังไว้ อาจมีใครจ้องเร่งงานอยู่” ใช่ว่าพอจบเรื่องคิง จามาน่าแล้วจะปลอดภันร้อยเปอร์เซ็นต์ในโลกนี้คนนึงไม่ได้มีศัตรูเพียงแค่คนเดียว


“ฉันมีเรย์อยู่แล้วคงไม่เป็นไร” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองจ้องมองประสานสายตากับผมระหว่างพูด


“ผมไม่ได้อยู่ข้างๆ คุณตลอดนี่”


“งั้นทำไมไม่มาอยู่ข้างฉันล่ะเรย์” น้ำเสียงและดวงตาที่ยังคงจับจ้องมานั้นราวกับกำลังสื่อหลายสิ่งให้ผมได้รับรู้


“ผมชอบตัวเองในตอนนี้ คุณอาจเปลี่ยนผมแต่ใช่ว่าผมจะยอมเปลี่ยนไปทุกอย่าง” ผมตอบกลับไปตามตรง ความหมายของประโยคนั้นทำไมผมจะไม่เข้าใจเพราะเข้าใจถึงได้ปฎิเสธ บอกตามตรงว่าตั้งแต่เจอกับฮาเซลตัวผมเปลี่ยนไปมาก ซึ่งทุกอย่างมันใหม่สำหรับผมเลยอยากค่อยเป็นค่อยไป


“ฉันเป็นห่วงรู้ไหม” น้ำเสียงห่วงใยนั่นทำให้ผมยิ้มออกมาบางๆ


“คุณรู้ไหมว่าคุณเป็นคนแรกที่พูดว่าห่วงผม” ผมวางมีดและส้อมในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบตาอีกฝ่ายตรงๆ


“ได้ยินแบบนั้นดีใจจังแฮะ”


“อาชีพผมมันหาความปลอดภัยไม่ค่อยได้แต่ผมสนุกกับสิ่งเหล่านั้น หวังว่าคงเข้าใจ” ความหมายคือผมไม่คิดจะเลิกอาชีพนี้ตราบเท่าร่างกายยังเอื้ออำนวย


“จะบอกว่าอยู่กับฉันไม่สนุก?”


“อืม เข้าใจถูกแล้ว” ผมพยักหน้าแล้วเรียกพนักงานให้เสิร์ฟของหวนต่อเลย


“ฉันเสียใจนะเรย์ได้ยินคนรักพูดแบบนั้น” ฮาเซลทำท่าเสียใจโดยการยกมือข้างนึงขึ้นปาดน้ำตาลที่ไม่ได้ไหลจริง


“คิก...คุณมันบ้าจริงๆ เลย” พ่อค้าอาวุธฮาเซล กอนซาเลสกำลังเล่นเหมือนเด็ก


“หัวเราะแล้ว การแสดงฉันใช่ได้เลยล่ะสิ”


“โนคอมเม้นท์” ผมโบกมือเป็นเชิงไม่บอก ขนมหวานจานยักษ์วางลงตรงหน้าผมพร้อมกลิ่นอันหอมหวนของวนิลาและเนยเป็นตัวนำ...สีน้ำตาล เหลืองอ่อน ทองและขาวถูกจัดแต่งให้ขนมหวานจานดูหรูหราและสมส่วนกว่าจานไหนๆ ที่เคยเห็น


“อร่อยสินะ” ฮาเซลถามเมื่อผมตักคำแรกเข้าปาก


“ไม่อร่อย” ผมโกหก


“คนโกหกต้องถูกทำโทษรู้ไหม”


“ไม่รู้ และผมไม่ยอมให้ถูกทำโทษแน่ๆ”


“นี่เรย์ ถ้าเป็นแฟนกันต้องตอบประมาณ ผมขอโทษที่โกหกฮาเซลนะ ของหวานนี่อร่อยมากๆ เลยผมรักฮาเซลที่สุด ประมาณนี้สิ”


“คิก! ไม่ไหวแล้ว...นี่คุณคิดได้ยังไงน่ะ” แถมยังมีการดัดเสียงเล็กๆ อีก ขำจนเริ่มปวดท้องแล้วเนี่ย


“จะว่าไปฉันยังไม่เคยได้ยินเลยนี่”


“ได้ยินอะไร” ผมถามกลับ


“คำว่ารักจากเรย์”


“...” คำพูดนั่นทำเอาร่างกายผมเกร็งไปชั่วขณะ


จะว่าไปก็ยังไม่เคยบอกจริงด้วย


“อยากได้ยินจัง”


“...ไว้วันอื่น” วันนี้ผมยังไม่ได้เตรียมใจ


“ฉันอยากได้ยินวันนี้นี่เรย์” ฮาเซลไม่ยอมอย่างที่คาด


“ไม่” ยังไงวันนี้ผมไม่พูดแน่ๆ


“ไม่กล้าละสิ”


“ฮาเซล!” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงดังลั่น


“งั้นก็อาย”


“ไม่ใช่...”


“อ้อ อาจจะเขิน”


“ฮาเซล กอนซาเลส!” ผมลุกขึ้นพร้อมตบโต๊ะดังปังโดยไม่รู้ว่าแก้วไวน์ฝั่งฮาเซลอยู่ใกล้ขอบมากเพียงแค่แรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยแก้วนั่นก็ตกลงใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวของฮาเซลจนกลายเป็นสีแดงอ่อน


“เขินแรงนะเรย์” ฮาเซลขยับตัวลุกขึ้นหลังพนักงานวิ่งเข้ามาเก็บแก้วไวน์และเตรียมทำความสะอาด


“ขอโทษ” ผมเดินไปหาอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยขอโทษ


ไม่คิดว่าจะหกรดแบบนั้น


“ไม่เป็นไร แต่คงต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดละนะ มาด้วยกันเรย์” พูดจบฮาเซลก็เดินไปหาพนักงานแล้วสั่งหลายๆ อย่าง


“ผมรออยู่นี่...”


“ไม่มาฉันจะอุ้มไป” เพียงคำพูดเดียวผมถึงกับก้าวขายาวๆ ตามหลังฮาเซลทันที ด้วยพละกำลังบวกทักษะของฮาเซลเขาสามารถจับผมอุ้มพาดบ่าได้ง่ายๆ ถึงผมจะขัดขืนแต่ในภัตรคารแถมยังเต็มไปด้วยผู้คนนับสิบมันเป็นภาพที่ไม่น่าดูเอาซะเลย


ฮาเซลเดินนำจนถึงห้องหนึ่งบนชั้น 20 ภายในห้องถูกตกแต่งในโทนสีเดียวกับด้านนอกซึ่งเป็นสีครีมและทองดูสบายตา เฟอร์นิเจอร์ในห้องเองมีครบแทบทุกอย่างตั้งแต่ตู้เย็นขนาดเล็ก ตู้เสื้อผ้า ชุดโซฟาและเตียงกลางห้อง ด้านขวามือมีประตูหนึ่งบานคงเป็นห้องน้ำ


“ผมจะรอตรงนี้” ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาสีครีมติดผนังห้อง


“ไปอาบด้วยกันเรย์”


“ฮะ ไม่ ไม่มีทาง!” ผมถึงกับชะงักเมื่อได้ยิน


จะให้อาบด้วยกันเนี่ยนะ


ไม่มีทาง!


“ทำฉันเลอะจะไม่รับผิดชอบหน่อยเหรอ” ฮาเซลพูดแล้วเดินเข้ามาใกล้


“ให้ผมซักเสื้อคืนก็ได้ ไม่เห็นต้องให้เข้าไปอาบด้วยสักหน่อย” ผมลุกจากโซฟาแล้วก้าวถอยหลังเตรียมหนี


“อยากอาบน้ำกับคนรักมันผิดตรงไหน”


“ไม่ผิดแค่ผมไม่ยอม”


“ถ้าฉันจับได้ต้องยอมด้วย” ข้อเสนอของฮาเลดังขึ้น


“ได้ ถ้าผมออกจากห้องได้ต้องห้ามตาม”


“ตกลง”


ไม่รู้ว่าเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงแต่ในเมื่อเดิมพันด้วยการอาบน้ำกับฮาเซลผมขอสู้ตาย!


ผมก้าวถอยหลังเพื่อทำสมาธิในการมองทุกการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้าในขณะที่ฮาเซลใช้สายตาจับจ้องมายังผมอยู่ก่อนแล้ว ที่ต่างคือเขาก้าวเข้ามาหาในจังหวะเร็วขึ้น ขาผมกระโดดหลบมือที่หมายจะขวางตัวไปทางด้านข้างก่อนเร่งความเร็วเพื่อพุ่งตรงไปยังประตู ทั้งที่ทิ้งระยะห่างค่อนข้างมากและความเร็วผมเหนืออกว่าแน่ๆ แต่กลับถูกฮาเซลคว้าเอวไว้ก่อนมือจะถึงประตู


ไม่เพียงแค่จับได้แต่ฮาเซลยังอุ้มผมขึ้นพาดบ่าเดินตรงไปยังห้องน้ำด้วยท่าทางสบายๆ


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่20« 23/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 23-01-2019 14:20:11
(ต่อนะคะ)


“ปล่อยผม!” ผมเริ่มดิ้นแล้วเตรียมใช้ท่าเดิมที่เคยใช้ก่อนหน้านี้


“เราตกลงกันแล้วเรย์”


“คุณโกงแน่ๆ ระยะห่างมากขนาดนั้นไม่มีทางถึงตัวผมได้” ผมไม่ยอมรับความพ่ายแพ้นี่


“ฉันอาจไม่เร็วเท่านายเลยต้องอาศัยเซ้นส์ในการเคลื่อนไหว ตั้งแต่ฉันเข้าไปหานายเซ้นส์มันบอกว่าเรย์จะหลบไปทางนั้น เพราะงั้นเลยเตรียมคว้าตัวเรย์ได้ทันเวลา” คำอธิบายไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นสักนิด


“ผมเกลียดเซ้นส์คุณ!” เป็นอีกครั้งที่ถูกเซ้นส์ของฮาเซลสร้างปัญหาให้ และครั้งนี้ดันเป็นปัญหาใหญ่ซะด้วย


“อย่าดิ้นเรย์ ไม่งั้นฉันอาจเปลี่ยนจากห้องน้ำเป็นเตียงแทน”


“...คุณ” ผมแทบพูดไม่ออกขยับตัวไม่ได้ ตอนนี้มีเพียงสองทางเลือกคือห้องน้ำกับเตียง


ไม่ว่าทางไหนก็อันตรายทั้งนั้น


ระหว่างกำลังคิดร่างผมถูกพามาในห้องน้ำเรียบร้อย ฮาเซลปล่อยผมลงก่อนเดินไปเปิดน้ำในอ่างสีขาวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดไม่ใหญ่มากแต่เปี่ยมไปด้วยความหรูหราตามประสาโรงแรมชั้นยอด


“อ่าง?” ผมนึกว่าจะเป็นฝักบัว


“อยากแช่น้ำกลิ่นอะไรเรย์ อโลเวล่าไหม มีกลิ่นป่าด้วย” ฮาเซลเอ่ยถามขณะเลือกขวดข้างอ่าง


“...แล้วแต่คุณเลย” ผมคงทำได้แค่ถอนหายใจแรงๆ แล้วปลงกับสถานการณ์นี้ซะ


“ได้ กลิ่นนี้ละกัน เอ้า...ถอดเสื้อผ้าสิเรย์หรืออยากให้ฉันถอดให้?”


“เดี๋ยวผมทำเอง คุณหันไปเลย” ผมก้าวถอยหลังจนแผ่นหลังติดกับประตูเมื่อเห็นฮาเซลก้าวเข้ามา


“อายอะไรเรย์”


“ผมไม่ใช่คุณนี่ที่จะแช่กับคนอื่นจนเคยชินน่ะ” นี่เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำสำหรับผม


“ฉันไม่เคยแช่กับใคร” ฮาเซลตอบ


“ผมคงเชื่อหรอก”


“ฉันพูดจริง ฉันจะลงไปก่อนเสร็จแล้วตามมา” ฮาเซลหันหลังให้ผมก่อนเริ่มถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปแช่ในอ่านโดยยังหันหลังให้ผม


ผมใช้จังหวะนั้นถอดเสื้อผ้าตัวเองออกก่อนจะก้าวยาวลงไปในอ่าง ผ้าขนหนูสีขาวผมหยิบมาตรงชั้นข้างๆ แล้ววางไว้ข้างอ่างเผื่อตอนขึ้นจากน้ำ เมื่อสัมผัสได้ว่าผมแช่ลงในอ่างฮาเซลก็หันกลับมามองหน้าผม ตอนนี้พวกเราแช่น้ำอยู่ในอ่างขณะหันหน้าเข้าหากัน โชคดีอ่างค่อนข้างใหญ่จึงไม่มีร่างกายส่วนไหนแนบสนิทกับเกินไป มีเพียงขาเท่านั้นที่สัมผัสกันใต้น้ำสีขาวขุ่น


“หน้าแดงนะเรย์”


“หยุดพูดเลยฮาเซล” ผมกวักน้ำใส่หน้าอีกฝ่าย


“...ไม่ใช่แค่หน้าแต่เหมือนลามไปทั้งตัว...”


“ฮาเซล!” ครั้งนี้ไม่เพียงกวักน้ำใส่แต่ผมสาดน้ำใส่อีกฝ่ายไม่ยั้งไปหลายรอบ


ก็รู้อยู่ว่าผมทั้งเขินทั้งอายยังจะมาแหย่กันไม่เลิกอีก


“รู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำท่าทางน่ารักมากๆ อยู่น่ะ” ตลอดการพูดฮาเซลจับจ้องมายังผมราวกับจะไม่ยอมคาดสายตาแม้แต่วินาที


“ไม่รู้ เลิกแกล้งกันสักที” น่ารักอีกแล้ว ไม่ชอบคำนี้


“เรย์”


“อะไร”


“เรย์” น้ำเสียงอ่อนโยนที่ผมแพ้ทางดังขึ้นอีกรอบ


“อะไรเล่า” รีบๆ พูดมาสักที


“เรย์”


“เลิกเรียกด้วยน้ำเสียงแบบนั้นสักที!” ผมจะตายเพราะจังหวะการเต้นของหัวใจที่มากเกินไปแล้ว


“อย่าทำตัวน่ารักสิ แค่นี้ก็รักจะแย่แล้ว” ฝ่ามือเปียกๆ เอื้อมมาสัมผัสใบหน้าผมพร้อมขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น


“...ถอยไปเลย” ผมไม่อยากให้ฮาเซลเข้ามาใกล้ตอนนี้


“เรย์... ” น้ำเสียงสั่นขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะสัมผัสได้ถึงริมฝีปากที่ซุกไซร้บริเวณลำคอ


“ฮาเซล” ผมสะดุ้งเฮือกเตรียมจะลุกทว่ากลับถูกมือของฮาเซลกดไว้


“ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นได้ขนาดนี้เพียงแค่เห็นเรย์ในสภาพ...”


“หยุดพูด” ผมรีบพูดแทรกก่อนคำต่อไปจะถูกเอ่ย


“ถ้าฉันขอสักนิดจะยอมรึเปล่า”


“ขออะไร” ผมถามกลับเสียงสั่น ในหัวมันเริ่มขาวโพลนมากขึ้นเมื่อริมฝีปากขบเม้มตามลำคอลงมาเรื่อยๆ


“จะไม่ทำถึงที่สุด ขอฉันสักนิดเถอะนะ” เหมือนฮาเซลจะไม่รอคำตอบจากผมอีกต่อไป เมื่อขยับมาคร่อมผมไว้ริมฝีปากร้อนก็ประกบจูบย่างดูดดื่มโดยไม่รอให้ตั้งตัว ความร้อนของริมฝีปากที่เบียดเสียดไม่ได้น้อยไปกว่าฝ่ามือทั้งสองข้างค่อยๆ ลูบไล้ร่างกายผมตั้งแต่แผ่นอกไปยังหน้าท้องและต่ำลงมาจนถึงสะโพก


“อ๊ะ!...อึก” ผมรีมเม้มปากตัวเองแน่นเมื่อเสียงบางอย่างเริ่มหลุดออกมา


“อย่ากลั้นเสียงเรย์ ให้ฉันได้ยิน” เสียงฮาเซลกระซิบระหว่างมือข้างนึงเลื่อนต่ำลงจนสัมผัสกับความร้อนรุ่มที่แข็งขืนจากการปลุกเร้าของฮาเซล


“อื้อ!...ไม่” จะให้ส่งเสียง น่าอายจะตายไป


“เรย์” ไม่เพียงแค่กระซิบด้วยเสียงอันเต็มไปด้วยอารมณ์แต่ฝ่ามือยังปลุกเร้าผมแทบทุกส่วนที่ลากผ่านโดยเฉพาะส่วนกลางลำตัวที่ดูเหมือนฮาเซลจะเร่งเร้าเป็นพิเศษ ความรู้สึกปั่นป่วนยามถูกกระตุ้นมีมากจนร่างกายไม่อาจขัดขืน


“อ๊ะ...อื้ออ~!” สุดท้ายเมื่อถูกสัมผัสอย่างรุนแรงผมก็เผลอหลุดเสียงครางออกมา ฮาเซลเหมือนจะดีใจอยู่ไม่น้อยจึงก้มลงจูบแล้วขบเม้มลำคอแรงๆ แทนรางวัล


การกระทำนั้นอาจสร้างความเจ็บทว่าอารมณ์ที่พุ่งทะยานขึ้นมันมากเกินกว่าจะมาสนใจความเจ็บนี้ ผมลืมตาขึ้นมองฮาเซลด้วยดวงตาสีม่วงอันปราศจากคอนแทคเลนส์ตั้งแต่ก่อนลงแช่อ่าง ยิ่งเห็นดวงตาผมเหมือนยิ่งเพิ่มแรงปรารถนาให้ทวีความรุนแรงเข้าไปอีก


ฮาเซลเปลี่ยนให้ผมมานั่งบนตักโดยหันหน้าเข้าหากัน นั่นทำให้ผมสัมผัสส่วนร้อนกลางลำตัวของฮาเซลได้ชัดเจน ความร้อนภายในร่างสูบฉีดขึ้นมาบนใบหน้าทันควัน ผมรู้ว่าฮาเซลมีอารมณ์แต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้ ผู้ชายปกติไม่มีทางมีอารมณ์กับผู้ชายด้วยกัน และฮาเซลไม่ได้ชอบผู้ชาย


ที่เขาชอบคือผม


เมื่อคิดได้แบบนั้นอยู่ๆ ความกล้าบ้าบิ่นในเรื่องบ้าๆ ก็ทำให้ผมเอื้อมมือไปสัมผัสความแข็งขืนนั่นพร้อมออกแรงขยับ การกระทำผมเรียกเสียงครางเบาๆ จากฮาเซลได้


“เรย์...นายกำลังทำให้ฉันคลั่งรู้ไหม” สัมผัสของฝ่ามือลูบไล้บริเวณสะโพกก่อนจะปลุกเร้าความรู้สึกดีให้อีกครั้ง ทุกครั้งที่ฮาเซลขยับมือผมส่งครางออกมาอย่างห้ามไม่ได้


“อ๊า!...อื้ออ~” ใจหนึ่งอยากบอกให้หยุด ทว่าอีกใจกลับอยากให้ทำต่อ ผมไม่ชอบถูกใครสัมผัสแต่พอเป็นฮาเซลผมกลับรู้สึกดี...ดีมาก


“เรย์ อย่าหยุดมือสิ” เสียงแหบพล่าด้วยแรงอารมณ์กระตุ้นความร้อนของร่างกายให้พุ่งทะยานสูงขึ้น


“อื้อ อย่าพูดนะ อ๊ะ!” ทั้งร่างบิดเร้าด้วยความเสียวซ่านมากขึ้นจากการที่ยอดอกถูกจู่โจม เพียงแค่สัมผัสเบาๆ ก็พานให้หัวสมองขาวโพลน ความรู้สึกดีแล่นเข้ามาจนควบคุมตัวเองไม่ได้


“รัก...รักนะเรย์”


“ผมก็...รัก อื้อออ~” ผมคว้าคอฮาเซลกอดแน่นเมื่อส่วนกลางลำตัวถูกเร่งจังหวะ ฮาเซลกอบกุมทั้งของตัวเองและของผมไว้ด้วยกันก่อนขยับเร็วขึ้น เพียงไม่นานพวกเราต่างถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ในเวลาไล่เลี่ยกัน


ผมซุกใบหน้าเข้าหาอีกฝ่ายโดยฮาเซลกอดผมในร่างเปลือยเปล่าไว้แน่นคล้ายจะย้ำเตือนว่านี่คือความจริง เสียงหอบหายใจเบาๆ ดังขึ้นท่ามกลางเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นถี่รัวในจังหวะเดียวกัน


“อยากจะทำต่อแต่วันนี้พอดีกว่า” ฮาเซลกระซิบเสียงเบาก่อนหอมแก้มผมเบาๆ


“อื้อ ผมก็ไม่ยอมให้ทำต่อแล้วเหอะ จะกลับแล้ว” ผมเพิ่งไปทำงานเสร็จมานะไม่เห็นใจกันเลย ทั้งเหนื่อยทั้งง่วงแบบนี้จะกลับถึงห้องไหมเนี่ย


“วันนี้ค้างด้วยกันเถอะ” ฮาเซลพูดต่อ


“...ไม่”


“ไปนอนกันดีกว่า”


“คุณฟังที่ผมพูดบ้างสิ บอกว่าไม่ไง” ผมเริ่มขึ้นเสียง


“ฟังอยู่ ไม่ปฏิเสธใช่ไหม” ฮาเซลพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแล้วลุกขึ้นจากอ่างไปคว้าผ้าขนหนูด้านข้าง


“ไม่ค้างด้วยต่างหาก” ผมเองก็หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตัวเช่นกัน


“งั้นจะไล่จับอีกสักรอบ?”


“ไม่” ให้ไล่จับตอนนี้ผมแพ้ราบคาบแน่


นี่แค่ยืนให้ขาไม่สั่นก็แทบไม่ไหวแล้ว ผมไม่เคยถูกใครสัมผัสมากเท่านี้มาก่อน ความร้อนของริมฝีปากและฝ่ามือยังคงติดอยู่ทุกที่บนร่างกายกาย เพียงแค่คิดใบหน้าก็เห่อแดงอย่างรวดเร็ว


“ฉันรู้ว่าเหนื่อย พักนี่เถอะ อยู่ด้วยกันต่ออีกหน่อย” น้ำเสียงและสายตาที่มองมาทำให้ผมคิดหนักขึ้น ผมเองอยากอยู่กับฮาเซลต่ออีกนิดเช่นกัน


“...อืม” สุดท้ายผมต้องทำตามฮาเซลทุกทีสิน่า


เมื่อตกลงกันได้พวกเราต่างแยกกันแต่งตัวโดยมีเสื้อผ้าชุดใหม่จากทางโรงแรมอยู่ในตู้ ชุดนอนแขนยาวขายาวค่อนข้างอึดอัดไปนิดสำหรับผม บนเตียงเดี่ยวขนาด 6 ฟุตมีร่างของฮาเซลนอนอยู่ก่อน พอเขาเห็นผมเดินออกมาจากห้องน้ำก็พลิกตัวแล้วกวักมาเรียกพร้อมตบเตียงเบาๆ แทนการบอกให้ผมนอนตรงนั้น


“ฮาเซล” ผมเรียกเสียงเบาหลังขึ้นไปอยู่บนเตียงเดียวกัน


“อะไรเรย์”


“วันนี้คุณจะยิ้มมากไปหน่อยมั้ง” ตั้งแต่เจอกันผมเห็นฮาเซลอมยิ้มมาตลอดแม้แต่ตอนนี้ก็ยังคงยิ้มอยู่ ปกติฮาเซลไม่ใช่คนยิ้มบ่อยมีแต่ตอนแกล้งหรือแหย่ผมมั้งที่จะยิ้ม แต่รอยยิ้มนี่ไม่ใช่รอยยิ้มของคนกำลังสนุกแบบนั้น


“คงงั้น ช่วยไม่ได้นี่คนมันมีความสุข”


“มีความสุข?” มีความสุขอะไร


“เรย์ไม่รู้หรอกว่าฉันดีใจขนาดไหนกับคำตอบรับนั่น ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ตัวเองจะรักใครได้มากขนาดนี้ ทั้งรักทั้งหลงยิ่งได้อยู่กับเรย์ยิ่งมีความสุข” ฮาเซลตอบพลางคว้าเอวผมให้ขยับตัวไปนอนใกล้ขึ้น


“ช่วงแรกๆ ก็แบบนี้ เดี๋ยวก็เบื่อแล้วมั้ง” ความรักในช่วงแรกเป็นแบบนี้ทั้งนั้นแต่พอเวลาผ่านไปทุกอย่างจะค่อยๆ เปลี่ยน


“เบื่อเรย์? นึกภาพนั้นไม่ออกเลย”


“หึ...แต่ผมนึกภาพที่ตัวเองเบื่อคุณได้นะ”


“งั้นต้องทำให้เรย์ไม่เบื่อใช่ไหม มาทำต่อจากในห้องน้ำดีกว่า” พูดจบฮาเซลพลิกตัวมาคร่อมผมไว้ทั้งตัวพร้อมริมฝีปากที่ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้


“ไม่ หยุดเลยฮาเซล” ผมขยับตัวเตรียมลุกขึ้นบ้างแต่กลับถูกฮาเซลโน้มตัวเข้ามาใกล้


“จะเบื่อกันจริงเหรอ” เสียงกระซิบเบาๆ กับสัมผัสของจูบพรหมไปตามใบหน้าตั้งแต่แก้ม หน้าผากและจบลงบริเวณริมฝีปาก ไม่มีการลุกล้ำใดๆ สิ่งที่ฮาเซลทำมีเพียงแตะอย่างแผ่วเบาแล้วผละออก


รู้สึกว่าใบหน้าร้อนวูบวาบยิ่งกว่าจูบดูดดื่มอีก


“...ปล่อยฮาเซล” ความรู้สึกไม่ชอบยามถูกคร่อมเริ่มหายไปอย่างสิ้นเชิงหากคนคนนั้นคือฮาเซล


“จะปล่อยถ้าตอบ”


“ไม่”


“จะตอบไหม” ฮาเซลย้ำสัมผัสบนหน้าผาก แก้มและริมฝีปากผมอีกครั้งเมื่อได้ยินคำปฏิเสธ


หัวใจเต้นรัวราวกับจะปะทุออกมาจากอก


ถ้าไม่ตอบเขาต้องทำต่อแน่


“อึก...ไม่เบื่อ” ผมกลั้นใจตอบ


“ไม่เบื่ออะไร เงยหน้ามองฉันเรย์ ให้ฉันเห็นดวงตาสีม่วงของนาย”


“...ไม่เบื่อฮาเซล” ผมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการโดยเงยหน้าสบตากับฮาเซลก่อนพูดอีกรอบ


อย่าให้ผมหลุดไปได้นะ เตรียมเจอเตะก้านคอได้เลย


“ดีมาก นอนกันเถอะ” พอได้ดั่งใจฮาเซลก็ทิ้งตัวนอนลงด้านข้าง แขนทั้งสองข้างของเขายังคว้าเอวผมไปกอดไว้หลวมๆ


“ปล่อยเอวผม” โดนกอดแบบนี้จะหลับตาลงได้ไง


“ถ้าปล่อยเดี๋ยวเรย์หนี”


“ไม่หนีแล้วน่า” ถึงจะหนีจริงแต่เชื่อเถอะว่าไม่รอดมือฮาเซล


“อยากกอดเรย์”


“นั่นคือเหตุผลจริงๆ ใช่ไหม” ไม่ได้กลัวผมหนีแค่อยากกอด


“รู้ใจจัง สมแล้วที่เป็นคนรักของฉัน” เสียงกระซิบข้างใบหูนั่นสร้างความเขินอายให้มีมากขึ้นไปอีก จะตอบกลับว่าไม่ใช่คนรักแล้วก็ไม่ได้เพราะตอนนี้ผมกับฮาเซลเป็นคนรักกัน


“ถ้าไม่อยากโดนศอกก็หลับซะ” ถึงจะไม่มีแรงพอจะหนีแต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรไม่ได้


“อืม ราตรีสวัสดิ์เรย์” น้ำเสียงแสนอ่อนโยนได้ยินทีไรแพ้ทางทุกทีสิน่า


“ฝันดีฮาเซล” ผมพึมพำเสียงเบาก่อนหลับตาลงในอ้อมกอดของฮาเซล


เครื่องปรับอากาศในห้องถูกปรับให้หนาวตามความต้องการผม ทั้งที่ควรจะหนาวจนต้องห่มผ้านวมแต่ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกอุ่นทั้งร่างกายและหัวใจแบบนี้


ฮาเซลกำลังทำให้ผมเคยชิน...เคยชินกับทุกสัมผัสของเขา


แม้จะชินอย่างเชื่องช้าทว่ากลับไม่สามารถลืมเลือนสัมผัสเหล่านั้นได้

...........................................

โอ้วววว หวานมากกก

หลายคงรอฉากบนเตียง ขอโทษนะคะที่เป็นฉากในอ่างแทน อิ๊ววว

ตอนนี้แต่งเอาใจฮาเซลมากค่ะพูดเลย

อยากอยู่กับเรย์ได้ เราจัดให้

อยากลงอ่างกับเรย์ได้ เราตามใจ

อยากแนบสัมผัสเรย์หน่อย? แบบนี้ไม่หน่อยแล้วมั้งงง

ความหวานของทั้งคู่กำลังพวงพุ่งซึ่งจะพุ่งทะลุไปได้แค่ไหนติดตามได้ในตอนต่อๆ ไปค่ะ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจที่มีให้เสมอนะคะ

ไว้เจอกับใหม่อาทตย์หน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่20« 23/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 23-01-2019 17:52:18
 :mew1:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่20« 23/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-01-2019 19:12:06
หวานมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่20« 23/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 23-01-2019 20:04:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่20« 23/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 23-01-2019 22:02:20
แล้วเมื่อไรเรย์จะย้ายไปอยู่กับฮาเซลล่ะฮึ

ตอนนี้หวานกันซะมดขึ้นเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่20« 23/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-01-2019 02:10:06
เสร็จจนได้  :hao6:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่20« 23/1/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 24-01-2019 12:33:04
หวานกระจายเลยยยยย  :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่21« 30/1/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 30-01-2019 11:27:00
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่21




กิจวัตรประจำวันของมือสังหารอย่างผมเริ่มสายกว่าอาชีพปกติทว่าช่วงหลายเดือนมานี่กลับต้องตื่นเช้าดั่งเช่นพนักงานบริษัทเพื่อรับสายแฟนหรือคนรัก ฮาเซล กอนซาเลส ชายผู้มีทั้งเงินและอำนาจระดับสูงหนึ่งในสามคานผู้คอยขับเคลื่อนประเทศ การเป็นแฟนกับฮาเซลก็ถือว่าไม่เลวถ้าไม่ติดนิสัยของแหย่ของอีกฝ่าย


หน้าจอคอมพิวเตอร์เปิดหน้าต่างอีเมลเพื่อดูภารกิจมากมายที่ถูกส่งมา ทว่าหนึ่งในเมลเหล่านั้นเรียกคิ้วข้างนึงของผมให้ยกขึ้นด้วยความแปลกใจ เมลนี่ไม่ได้เห็นมาตั้งนาน...เมลของฮาเซล


“เพิ่งจะวางสายไปจะก่อกวนรึไง” ผมบ่นเจ้าของเมลตรงหน้า แม้จะอยากปล่อยผ่านแต่มือกลับกดเข้าไปดูเนื้อหาภายในซะแล้ว


เค้กใบเตยมะพร้าวอ่อนถูกตักเข้าปากหมดตามด้วยเค้กส้มและเค้กเนยสดซึ่งเป็นอาหารของวัน หลายคนอาจมองว่าการกินของหวานช่วงเช้าทำให้เลี่ยน สำหรับผมไม่เคยเลี่ยนของหวาน อร่อยกว่าพวกของคาวอย่างสเต็กหรือขาหมูเยอรมันอีก


“...เรือสำราญจาโชเตสเหรอ” เมื่ออ่านมาถึงจุดหนึ่งชื่อของเรือสำราญขนาดใหญ่ที่สุดในประดับเทศและใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกก็ปรากฏขึ้น เจ้าของเรือรำนี้เป็นบุคคลในระดับสูงเช่นเดียวกับฮาเซล แองเจริก้า โรเตริสผู้กุมอำนาจด้านการขนส่งของประเทศ


ในงานวันเกิดฮาเซลครั้งก่อนได้เห็นตัวจริงแต่ก็ไม่ได้เข้าไปทักทายหรือพูดคุยอะไร เนื้อหาของงานคือต้องการว่าจ้างให้ผมไปเป็นบอดี้การ์ดให้ฮาเซลระหว่างร่วมงานบนเรือรำนั้น ไม่ได้บอกเนื้อหาอื่นอย่างจะเกิดอะไรขึ้นหรือมีข้อมูลอะไร แบบนี้คงต้องไปถามจากเจ้าตัวสินะ โทรไปตอนนี้คงขัดจังหวะการทำงาน


เมื่อตัดสินใจได้ผมปิดคอมลุกไปแต่งตัวก่อนออกจากห้องตรงไปยังบริษัทอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของประเทศในสภาพของเทเลอร์ การปลอมเป็นเทเลอร์ไม่ใช่เรื่องอยากเพราะเป็นหน้าจริงๆ ของผม เส้นผมก็สีเดียวกันมีแค่สีตาเท่านั้นที่แตกต่าง



“นั่นแซม?” ผมเอียงคอมองภาพบอดี้การ์ดคนสนิทของฮาเซลทำท่าลับๆ ล่อๆ หันมองซ้ายขวาอยู่ข้างตึกด้วยความสงสัย


ทำอะไรน่ะ


ลุกรี้ลุกรนแปลกๆ น่าสงสัยเข้าไปใหญ่


ดูยังไงท่าทางนั่นก็น่าสงสัยเกินกว่าจะปล่อยผ่านผมเลยเดินตามหลังอีกฝ่ายไปถึงด้านหลังตึกซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับการพักผ่อนของพนักงาน สวนขนาดกลางทอดยาวไปจนถึงขอบรั้วเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มเย็น พุ่มไม้ขนาดกลางเล็กถูกตัดแต่งเป็นรูปทรงสวยงามไปจนถึงเหล่าดอกไม้นานาพันธ์ บรรยากาศนี้ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆ เก้าอี้นั่งใต้ร่มไม้เหล่านั้นคงช่วยให้พนักงานหลายคนผ่อนคลายจากการทำงานหนัก


ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาชื่นชม ผมหันไปมองด้านขวาซึ่งเห็นแผ่นหลังของแซมอยู่ลางๆ ไม่รอช้าผมรีบก้าวเข้าไปใกล้พร้อมแตะไหล่อีกฝ่ายแทนการเรียก


“เฮ้ย!” แซมสะดุ้งร้องเสียงหลงก่อนหมุนตัวกลับมาเมื่อเห็นผมยืนอยู่ดวงตาเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจปนสงสัย


“ซ่อนอะไรไว้” ผมพยายามมองอ้อมไปด้านหลังของแซม ท่าทางเหมือนซ่อนอะไรบางอย่างไว้ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้


“เทเลอร์มานี่ได้ไง”


“ผมเดินมา”


“ไม่ใช่ เอ่อ ตามฉันมาทำไม” แซมแก้คำถามใหม่อีกรอบ


“ทำตัวน่าสงสัยแบบนั้นจะไม่ให้ตามคงแปลก”


“นี่มองฉันมาตลอด?”


“ตั้งแต่หันซ้ายขวาอยู่หน้าบริษัท” ผมบอกไปตามจริง การที่ผมเข้ามาทักโต้งๆ เพราะรู้จักแซมดีเขาไม่ทำอะไรบ้าๆ อย่างทรยศหรือหักหลังฮาเซลแน่ คงเป็นเรื่องอื่นมากกว่า


“ให้ตายสิ ฉันว่าดูรอบๆ ดีแล้วนะ สมกับฉายาเลยนะ” ประโยคสุดท้านแซมจ้องมายังผมตรงๆ


“ขอบคุณ” ผมว่านั่นคือคำชม


“ไม่คิดว่ายมทูตแห่งความตายจะอายุน้อยขนาดนี้” แซมพูดต่อ


“อย่าเปลี่ยนเรื่อง ซ่อนอะไรไว้” ผมไม่ยอมให้เขาเบี่ยงเบนหรือเปลี่ยนเรื่องแน่


“นายนี่นะ เฮ้อ ก็ได้ๆ แต่อย่าบอกบอสหรือมากส์นะไม่งั้นภาพพจน์ฉันปลิวหายไปหมดชัว”


“ครับๆ” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ


แซมเห็นผมยอมสัญญาก็ค่อยๆ หลบไปด้านข้างจนเห็นกล่องลังกระดาษสีน้ำตาลที่ภายในมีลูกสุนัขอยู่ 2 ตัว ตัวแรกเป็นสีขาวล้วนและอีกตัวเป็นสีดำล้วน ท่าทางของพวกมันดูร่าเริงเพราะหางทั้งสองส่ายไปมาโดยไม่มีการส่งเสียงเห่า ภายในกล่องลังนั่นมีถ้วยขนาดกลางใส่นมและอาหารเม็ดไว้ ไม่ต้องถามก็เดาได้ว่าฝีมือใคร


“ทำไมต้องปิดด้วย” เรื่องนี้ไม่น่าจะใหญ่ขนาดต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่ให้ฮาเซลหรือมากส์รู้


“น่าอายจะตาย หนุ่มหล่ออย่างฉันเก็บลูกหมามาเลี้ยง ทั้งบอสทั้งมากส์ต้องล้อฉันแน่” แซมตอบพลางขยี้เส้นผมตัวเองจนฟูฟ่อง


“ไปบอกตรงๆ ผมว่าอาจจะให้เลี้ยงนะ ยังไงบ้านฮาเซลก็ใหญ่จะตาย” เพิ่มหมามาอีก 2 ตัวไม่ทำให้บ้านคับแคบหรอก ด้วยฐานะของฮาเซลแค่เงินไม่เท่าไหร่เลี้ยงได้สบายๆ


“ฉันไม่กล้าบอกน่ะสิ โอ๊ะ เทเลอร์ช่วยหน่อยสิ ขอบอสให้หน่อย” พูดจบก็ประกบมือทั้งสองข้างเข้าหากันแทนการขอร้อง


“ฮะ...ไม่เอา ไม่เกี่ยวกับผมนี่...”


“ฉันจะเลี้ยงชีสเค้กไม่อั้น” แซมพูดสวน


“ผมมีเงินมากพอจะซื้อกินเอง...”


“งั้นจะไปต่อคิวซื้อชีสเค้กให้” ประโยคนี้ทำให้ผมนิ่งไป ไปยืนต่อคิวให้เหรอถือว่าเป็นข้อเสนอไม่เลว...ร้านขนมส่วนมากจะมีช่วงเวลาพิเศษสำหรับขนมพิเศษดังนั้นจึงมีการต่อคิวยาวเพื่อให้ได้มา


ตัวผมไม่ได้ว่างขนาดไปต่อคิวได้ตลอด ถ้ามีคนไปต่อให้ละก็...


“ได้ ผมตกลง” แบบนี้คงได้ชีสเค้กของหลายๆ ร้านมาครอบครองจนเต็มตู้ ไม่มีอะไรจะมีความสุขเท่าเปิดตู้เย็นไปแล้วเจอเหล่าของหวานเรียงรายอยู่เต็มตู้อีกแล้ว


“เยี่ยม ว่าแต่นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ” เหมือนแซมจะนึกได้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ควรถามมากที่สุด


“มาหาฮาเซล เขาจะจ้างให้เป็นบอดี้การ์ดตอนขึ้นเรืองสำราญจาโชเตส” ผมไม่ต้องปิดบังข้อมูลกับคนสนิทเพราะยังไงฮาเซลคงบอก


“อ้อ เรื่องนี้เอง เห็นด้วยที่บอสเรียกนายมาเพราะเหมือนทางแองเจริก้า โรเตริสกำลังถูกจ้องเร่งงานอยู่ งานคืนนี้อาจเกิดเรื่องอะไรขึ้น” แซมบอกเสียงเบาระหว่างพาผมขึ้นไปหาฮาเซลบนห้อง


“เดี๋ยว คืนนี้?” หมายถึงวันนี้?


“ใช่ อ้าว บอสไม่ได้บอกเหรอ”


“ไม่ได้บอก เนื้อหาของงานก็น้อยมาจนต้องมาคุยเองเนี่ย” แถมยังเป็นงานวันนี้อีก จะเร่งเกินไปแล้ว


“บอสคงอยากเจอมั้ง เป็นแฟนกันแล้วนี่ ฮิฮิ”


“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลย คุณเป็นคนบอกให้ฮาเซลหยอดคำหวานๆ สินะช่วยเลิกทีเถอะ”


“เลิกก็ได้อยู่ แต่ท่าทางของบอสดูสนุกฉันว่าคงไม่ยอมเลิกหรอก” ระหว่างคุยกับลิฟต์ก็หยุดบนชั้นสูงสุดพวกเราจึงออกมาด้านนอกลิฟต์


“ชอบแหย่ไม่เลิก สักวันพวกคุณอาจต้องหามเขาเข้าโรงพยาบาล” ไม่ใช่เพราะถูกศัตรูทำร้ายแต่ด้วยฝีมือผมนี่แหละ


“บอสเก่งจะตาย หลบจุดตายได้อยู่แล้ว” พูดจบก็เคาะประตูตรงหน้าสามครั้งแทนการขออนุญาต เหล่าบอดี้การ์ดรอบๆ ต่างทักทายมาพอเป็นพิธีเนื่องจากยังอยู่ในหน้าที่


“เข้ามา” เมื่อได้ยินเสียงอนุญาตแซมเปิดประตูเข้าไปโดยมีผมเดินตามเข้าไป ภายในห้องไม่ได้มีเพียงฮาเซลแต่ยังมีมากส์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล สายตาสองคู่มองแซมก่อนจะเปลี่ยนมามองผม...มากส์ค่อนข้างตกใจกับการมาเยือนของผมผิดกับฮาเซลที่ส่งยิ้มมาให้


“ถ้าคุณยังไม่เลิกยิ้มผมจะเขวี้ยงปากกานี่ใส่หัวคุณ” ผมประกาศพร้อมหยิบปากกาขึ้นมาเตรียม รอยยิ้มนั่นมันทั้งน่าโมโห น่าหงุดหงิดด้วย


“นั่นเป็นวิธีทักทายแบบใหม่เหรอเรย์” นอกจากจะดูไม่สะทกสะท้านแล้วยังกวนกลับมาอีก


“เข้าเรื่องเลยดีกว่าฮาเซล งานเริ่มคืนนี้นี่” ผมเลิกการต่อปากต่อคำที่อาจทำให้เกิดบทสนทนาอันไร้สาระ


“รู้จากแซมสินะ ใช่ ฉันรู้ว่าเรย์ต้องมาเลยเตรียมเสื้อผ้าสำหรับคืนนี้ไว้แล้ว”


“เดี๋ยว การที่ผมมาใช่ว่าผมจะรับงาน” เข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า


“อะไรเรย์คนที่พูดว่าคนเดียวที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินจ้างหรืออำนาจสั่งผมก็พร้อมจะอยู่ข้างเขาคือนายแท้ๆ” ประโยคตอนเหตุการณ์คิง จามาน่าดังขึ้นโดยไม่มีผิดเพี้ยนเลยสักคำ


อัดเสียงไว้รึไง!


“คุณนี่นะ ก็ได้ผมรับงาน บอกรายละเอียดมาหน่อย” ผมเดินเข้าไปหาฮาเซลเพื่อฟังรายละเอียดต่างๆ


“แองเจริก้า โรเตริสกำลังโดนจ้องเล่นงานจากกลุ่มผู้มีอำนาจภายในประเทศ เหตุผลคงพอเดาได้พวกนั้นต้องการให้ยกเลิกระบบขนส่งที่มีแองเจริก้าเป็นศูนย์กลางจึงสร้างเรื่องวุ่นวายมาสักพักแล้ว” ฮาเซลอธิบายด้วยใบหน้านิ่งๆ


“พวกนั้นไม่รู้รึไงว่าหากยกเลิกขนส่งจะต้องเจอกับอะไรน่ะ” ผมถามกลับพลางขมวดคิ้วแน่น ระบบขนส่งของแองเจริจ้า โรเตริสเป็นระบบขนาดใหญ่ที่มีการวางไว้อยู่ทั่วโลกซึ่งระบบนั่นจะช่วยเอื้อต่อการขนย้ายสินค้า แรงงานหรือแม้แต่วัตถุอันตรายภายในประเทศไปยังต่างประเทศได้โดยแทบไม่ต้องมีการตรวจสอบหลายขั้นตอนหรือการเสียภาษีซับซ้อนเนื่องจากชื่อเสียง อิทธิพลและอำนาจที่มีมาอย่างยาวนานนั้นมีความน่าเชื่อถือสูงเพียงแต่ทุกอย่างขนย้ายผ่านระบบจำเป็นต้องเสียค่าผ่านทางซึ่งผมว่ามันคุ้มกว่าการจัดการเอง


หากระบบนั้นถูกยกเลิกผมบอกได้ว่าการคมนาคมหรือการขนส่งของประเทศต้องหยุดชะงักลงเป็นแน่ การยกเลิกระบบขนส่งไม่ใช้เรื่องฉลาดเลย


“คงรู้แหละแต่คงคิดว่าถ้าจัดการเองน่าจะได้กำไรเพิ่มมั้ง” ฮาเซลพูดต่อ


“กำไร? ในบางประเทศมีการเสียภาษีหลายต่อหลายรอบกว่าจะนำของเข้าไปได้ กำไรพวกนั้นหายหมดแน่ถ้าคิดจะเอาของเข้าไปเอง” ความคิดของพวกละโมบชัดๆ ละโมบแบบไม่ดูความเป็นจริงด้วย มีช่องทางขนส่งดีๆ เสียเงินแค่ครั้งเดียวก็สามารถเอาของเข้าไปได้เลยยังจะอยากทำให้ยุ่งยากอีกนะ


“ก็นะ ฉันไม่เข้าใจนักหรอกว่าใช้อะไรคิดกัน”


“แต่ถ้ามีแค่นั้นคงไม่เรียกผมมาหรอกมั้ง” ผมพูดออกไปตามที่คิด แค่มีคนจ้องทำร้ายด้วยการคุ้มกันจากโรเบิร์ต เกลสันผู้ควบคุมกองกำลังความปลอดภัยคงไม่ปล่อยให้รอดไปได้อยู่แล้ว


“สมกับที่เป็นเรย์ เหมือนจะได้ข่าวมาว่าหนึ่งในนั้นจ้างยมทูตแดงมาน่ะ”


“...ทุ่มน่าดูแฮะ” ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะพึมพำกลับไป มือสังหารหรือนักฆ่าอย่างพวกเราหากมีฝีมือเก่งกาจจะได้รับฉายามาครอบครอบอย่างผมคือยมทูตแห่งความตาย เนื่องจากอัตราสำเร็จของการและการที่ไม่มีใครได้ล่วงรู้ถึงตัวตน


สำหรับยมทูตแดง แน่นอนว่าเป็นนักฆ่าทว่าไม่ใช่นักฆ่าธรรมดาถ้าให้เปรียบผมเป็นอันดับหนึ่งยมทูตแดงก็คืออันดับสอง ที่มาของฉายาตรงตามผลงานคือทุกการฆ่าจะละเลงเลือดของเป้าหมายไปทั่วเรียกว่าเป็นภาพที่เด็ก คนชราหรือคนจิตอ่อนไม่ควรดู อีกอย่างคือค่าจ้างในการทำงานแต่ละครั้งขั้นต่ำคือ 7 หลัก ความหมายง่ายๆ คือมีเพียงคนมีเงินเท่านั้นถึงจะสามารถจ้างได้


“เรย์เคยเจอรึเปล่า” ฮาเซลถาม


“ผมไม่เคยเจอ” นักฆ่าส่วนมากไม่เปิดเผยตัวต่อสาธารณะอยู่แล้ว ในแวดวงเดียวกันบางทียังไม่รู้จักเลย ไม่แน่อาจเคยเดินสวนๆ กันที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้


“เพราะงั้นแหละถึงได้ต้องจ้างเรย์ให้มาคอยระวัง”


“งั้นให้แองเจริก้าจ้างผมโดยตรงง่ายกว่ามั้ง” ผมถามกลับ


“ฉันอยากเจอเรย์นี่”


“เหตุผลบ้าๆ” ผมพึมพำพร้อมรอยยิ้มมุมปาก


“จะว่าไปถ้าต้องปะทะกันเรย์จะไหวรึเปล่า” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองของฮาเซลเงยขึ้นมาสบด้วยความอยากรู้


“บอกตรงๆ ว่าผมไม่รู้ ยมทูตแดงเก่งเรื่องการฆ่ามากกว่าผมแต่ถ้าเป็นด้านประสบการณ์ผมว่าตัวเองมีมากกว่า” ผมอาจแพ้หากต้องแข่งเรื่องการฆ่าหรือฉีกกระชากเป้าหมายในทางกลับกันด้วยประสบการณ์ทั้งชีวิตของการเป็นนักฆ่าผมว่าสามารถจัดการกับอีกฝ่ายได้


“ประสบการณ์? เรย์อาจทำงานมาเยอะแต่น่าอยู่ในวงการมาไม่นานเท่ายมทูตแดง” คำพูดของฮาเซลทำให้ผมขมวดคิ้วแน่น


“ผมอยู่มานานกว่า” ผมสวนกลับทันที


“ต่อให้บอกว่าทำงานนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ก็เถอะ ถ้าลบอายุประมาณ 25...”


“เดี๋ยวใครอายุ 25 ?” ผมยกมือห้ามระหว่างฮาเซลกำลังคำนวณ


“นายไง อายุน่าจะประมาณ 20 กว่าๆ” ฮาเซลตอบกลับ


“มากส์ แซม ผมเหมือนคนอายุเท่าไหร่” ผมหันไปถามอีกสองคนในห้องบ้าง


“ไม่ใช่ 20 กว่าๆ เหรอ” มากส์และแซมหันไปมองหน้ากันสักพักก่อนแซมจะเป็นฝ่ายตอบ


ผมเข้าใจคำพูดของพวกเขาแล้วล่ะ


นี่เข้าใจกันผิดมาตลอดงั้นสิ


“มากกว่าคุณ 2 ปี” ผมบอกพลางชี้ไปยังฮาเซล


“อะไร?” คนถูกชี้ถามกลับด้วยความไม่เข้าใจ


“ผมบอกว่าอายุผมมากกว่าคุณ 2 ปีฮาเซล กอนซาเลส” ครั้งนี้ผมเพิ่มคำอธิบายให้มากขึ้นกว่าเก่า


“...” พอได้ยินคำพูดผมทั้งห้องก็ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบมีเพียงเสียงแอร์ที่ดังเป็นระยะ ใบหน้าทั้งสามคนนอกจากผมมีสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะฮาเซลที่ทำตาโตเกือบเท่าไข่ห่าน


ดูเหมือนอายุผมจะสร้างความตกใจให้พวกเขาอยู่ไม่น้อย ความจริงผมไม่เคยบอกอายุกับใครมาก่อนแต่พอรู้ตัวแหละว่าหน้าค่อนข้างเด็กกว่าอายุโข ช่วยไม่ได้นี่ด้วยอาชีพที่ต้องปลอมตัวการบำรุงใบหน้าเป็นเรื่องสำคัญที่ควรให้ความสำคัญเพราะหากต้องปลอมเป็นคนหนุ่มจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาก


“เอาเป็นว่าจบเรื่องนี้ ฮาเซลคุณแพ้ขนสัตว์ไหม” ก่อนความเงียบจะขยายไปมากกว่านี้ผมจำต้องเปิดบทสนทนาอีกรอบ


“ไม่แพ้ เดี๋ยวสิเรย์ พูดจริงเหรอที่บอกว่าอายุมากกว่าฉัน?” ฮาเซลยังคงไม่เชื่อเรื่องอายุผม


“ผมไม่มีความจำเป็นต้องโกหกนี่นา”


“แต่หน้านายดูยังไงก็...ใช่ไหมแซม” ฮาเซลหันไปขอความเห็นคนสนิท


“ใช่บอส ใบหน้านี่ดูยังไงก็คนละวัยกับพวกเราต่อให้เกิน 30 แต่ไม่มีทางมากกว่าบอสได้”


“พูดแบบนั้นจะบอกว่าฮาเซลหน้าแก่สินะ” ผมแปลความหมายได้แบบนั้น


“เอ้ย! ไม่ใช่นะบอส ผมแค่เปรียบกับเทเลอร์เฉยๆ” แซมรีบหันไปแก้ตัวทันควัน


“ไม่เป็นไร แต่ไม่อยากเชื่อ...” สายตาของฮาเซลมองมายังผมตั้งแต่หัวจรดเท้า


“รู้อายุผมแล้วรู้สึกอยากเลิกกันรึเปล่าล่ะ” ผมเอ่ยถามบ้าง วัยผมในตอนนี้ไม่เรียกว่าวัยรุ่นยี่สิบกว่าแล้ว


“ใครจะเลิก ไม่มีทาง” ฮาเซลตอบกลับอย่างรวดเร็วราวกับไม่ต้องใช้เวลาคิดสักนิด


“คุณนี่นะ กลับเข้าเรื่อง ถ้าคุณไม่แพ้ขนสัตว์งั้นเลี้ยงสุนัขสัก 2 ตัวคงไม่เป็นไรเนอะ” มีสัญญากับแซมก็ต้องจัดการให้เรียบร้อย


“สุนัข?”


“ใช่ แซมให้ผมมาขอคุณน่ะ อยากให้เอาไปเลี้ยง”


“เทเลอร์อย่าพูดสิ” แซมเข้ามาสะกิดทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเองในบทสนทนา


“ฮืม เรย์คงไม่ยอมทำให้ฟรีๆ หรอก แลกกับอะไรล่ะ” ฮาเซลเหล่มองไปทางแซมก่อนหันกลับมาหาผม


“ต่อแถวซื้อของหวาน” ผมไม่ปิดบังเพราะเห็นว่าไม่จำเป็น


“ถูกซื้อตัวง่ายไปแล้วนะเรย์”


“ผมว่าไม่ง่ายนะ” ถ้าเป็นคนอื่นผมคงไม่ยอมต่อลองด้วยแบบนี้หรอก


“ก็ได้ ฉันจะเลี้ยงพวกมัน”


“ขอบคุณนะบอส เดี๋ยวผมจะพาพวกมันไปตรวจแล้วก็ฉีดวัคซีนเลย” แซมตาลุกวาวด้วยความดีใจเมื่อได้ยิน


“ให้คนอื่นไปจัดการ อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงเวลาไปงานแล้ว” ฮาเซลบอกแซม


“ครับบอส ขอบคุณเทเลอร์” ประโยคสุดท้ายแซมบอกกับผม


“ไม่เป็นไร”


“เรย์จะไปเตรียมตัวก่อนไหม”


“อืม ผมขอเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเดี๋ยวกลับมาหา” ในเมื่อรู้ว่าต้องเจอกับใครก็ควรจะไปเตรียมตัวสักหน่อย


“ชุดฉันเตรียมแล้ว เอาไปเปลี่ยนด้วยสิ” ถุงกระดาษสีน้ำตาลถูกยื่นมาตรงหน้าผมผ่านทางมากส์


“เข้าใจแล้ว” ผมพยักหน้าก่อนรับถุงนั้นมา



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่21« 30/1/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 30-01-2019 11:27:27
(ต่อนะคะ)


ผ่านไปจนถึงเวลานัดหมายรถสีดำสนิทถูกขับมาจอดบริเวณท่าเรือด้านหน้าเรือสำราญจาโชเตส ฮาเซล กอนซาเลสในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มกับเสื้อเชิ้ตสีเงินดูเข้ากับทรงผมสีน้ำตาลที่ถูกจัดแต่งได้เป็นอย่างดี ใบหน้าคมดูหล่อเหลากว่าปกติเป็นหลายเท่า บอดี้การ์ดคนสนิททั้งสองเองแม้จะอยู่ในชุดสูทสีดำเสื้อเชิ้ตสีขาวแต่ก็ไม่อาจปกปิดออร่าน่าดึงดูดจากตัวพวกเขาได้ ส่วนผมอยู่ในชุดสูธสีเทาเข้มเสื้อเชิ้ตสีขาวเช่นเดียวกับบอดี้การ์ดทั้งสองคน เส้นผมสีดำถูกเซตแบบง่ายๆ ให้ความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่


เมื่อพวกเราสี่คนเดินเข้าไปภายในงานเสียงกรีดร้องและเสียงชื่นชมของสาวๆ ต่างดังขึ้นไม่ขาดสาย สายตาของพวกเธอจับจ้องมาด้วยใบหน้าเห่อแดงเล็กน้อยในทางตรงกันข้ามมีสายตาของผู้ชายหลายคู่จับจ้องมาด้วยความไม่พอใจนัก


อยู่กับฮาเซลทีไรเป็นจุดเด่นตลอด


“ฮาเซล อย่าทำตัวเด่นนักได้ไหม” ผมเดินเข้าไปประชิดพร้อมกระซิบบอก


“ฉันไม่ได้ทำนี่”


“แค่รอยยิ้มมุมปากนั่นก็มากพอจะเรียกว่าทำแล้ว” อย่างที่บอกว่าปกติฮาเซลไม่ใช่คนยิ้มบ่อยนักแต่ตอนนี้กลับมีรอยยิ้มประดับอยู่มุมปาก บรรยากาศของฮาเซล กอนซาเลสหนึ่งในสามคานผู้ทรงอิทธิพลแถมไม่มีใครกล้าเข้าใจเปลี่ยนมาเป็นบรรยากาศคล้ายดารามาเดินพรหมแดง


“แซม คุณด้วย” ผมหันไปบอกแซมอีกคนที่กำลังส่งสายตาให้สาวๆ ด้านข้าง


“สาวสวยขนาดนั้นส่งสายตามาให้จะไม่ตอบรับได้ยังไงล่ะ” แซมตอบกลับ


“เฮ้อ” ผมถอนหายใจอย่างปลงๆ ไม่เป็นไรผมยังใช้ความเด่นของพวกเขากลบการมีตัวตนของผมได้


ภายในห้องโถงด้านในตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าขาวแลดูสดใส ตรงกลางห้องเต็มไปด้วยโต๊ะซึ่งมีอาหารสุดหรูวางไว้สำหรับแขกผู้มาเยือนพนักงานเองก็เดินเสิร์ฟน้ำต่างๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม บรรยากาศโดยรวมเหมือนมางานเลี้ยงฉลองอะไรสักอย่างหากไม่ติดว่ามีเหล่าทหารและตำรวจใส่ชุดเต็มยศยืนอยู่มุมห้องละก็นะ


“ไงฮาเซล มาช้ากว่านี้อาจต้องว่ายน้ำตามมาแล้วมั้ง” เสียงทักทายติดตลกนั้นมาจากโรเบิร์ต เกลสันหนึ่งในสามคานผู้ควบคุมกองกำลังด้านความปลอดภัยของประเทศ ผมเคยเจอเขามาแล้วสองครั้งนี่เป็นครั้งที่ 3 ไม่นับเรื่องการรับงานในฐานะยมทูตแห่งความตายนะ


“ถ้าเป็นแบบนั้นคงต้องซื้อเรือสักลำให้ขับมาส่งนี่” ฮาเซลตอบ


“เธอ...แฟนของฮาเซล?” เมื่อสายตาของอีกฝ่ายหันมาเห็นผมเขาก็เอ่ยถาม ในงานวันเกิดฮาเซลครั้งก่อนเขาคงเห็นผมถูกฮาเซลสารภาพรักแน่ๆ จะว่าไปตอนนั้นลูกสาวเขาอยู่ด้วยนี่นา


งามหน้าจริงๆ


“...ครับ สวัสดีครับท่านโรเบิร์ต เกลสัน” ผมทักทายกลับตามมารยาท


“ฉันละแปลกใจจริงๆ ที่หมอนี่จะสารภาพกับใครสักคน ลูกสาวฉันนี่ตกใจจนอ้าปากค้างเลย ฮ่าฮ่าฮ่า” เหมือนโรเบิร์ตจะไม่ได้เคืองเรื่องก่อนหน้านี้ ถือว่าโชคดีไป


“ผมเองก็ไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนั้น” จะว่าไปคนที่สมควรอ้าปากค้างสุดก็ผมนี่แหละ


“ฮาเซล รู้เรื่องข่าวลือวันนี้แล้วใช่ไหม” โรเบิร์ต เกลสันเดินเข้ามาใกล้ฮาเซลก่อนถามเสียงเบา ด้านหลังของเขามีผู้ติดตามอยู่ 4 คนในชุดธรรมดาไม่ใช่ชุดของทางการ


“เรื่องยมทูตแดง” ฮาเซลพึมพำตอบ


“ฉันเลยให้คนมาเฝ้าเยอะหน่อยแต่คิดว่าอาจทำอะไรไม่ได้ ทางนั้นมีฝีมือเหนือกว่าด้านการสังหาร แต่ยังไงเราต้องปกป้องแองเจริก้าให้ได้”


“ครับ พวกเขาเองก็จะช่วยปกป้องเท่าที่ทำได้” ฮาเซลหมายถึงผม มากส์และแซมที่ยืนอยู่ใกล้ๆ


“ดี...”


“คุยอะไรกันอยู่เอ่ยหนุ่มๆ” เสียงหวานติดแหบตามอายุดังขึ้นก่อนร่างในชุดเดรสสีฟ้าจะเดินเข้ามาร่วมวงด้วย หลังหน้าเธอมีผู้ติดตามอยู่ 6 คนและกว่าครึ่งเป็นคนในเครื่องแบบ ทางโรเบิร์ต เกลสันคงส่งคนไปตามประกบละมั้ง


“ฉันแก่เกินจะเรียกว่าหนุ่มแล้วแองเจริก้า” โรเบิร์ต เกลสันหันไปส่งยิ้มให้


“คุณยังดูหนุ่มอยู่เลย แต่ทางนี้สิหนุ่มจริงแถมพาแฟนมาซะด้วย เนอะฮาเซล” แองแจริก้าหันไปทักฮาเซลต่อ


“ฝีมือเขาจะช่วยให้ทุกอย่างเรียบร้อย” ฮาเซลมองมายังผมระหว่างพูด


“เธอพูดออกตัวขนาดนั้นเลย แปลว่าไม่ใช่ธรรมดาสินะ แหม...คนธรรมดาเอาเธอไม่อยู่หรอกพ่อคนใจร้อน” การแซวและบนสนทนายังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง


ผมแม้จะยืนปั้นหน้ายิ้มแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหล่มองไปด้านข้าง อย่าเข้าใจผิดว่ากำลังมองหาคนแปลกหน้าหรือยมทูตแดงเพราะมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจับสัมผัสคนระดับนั้นได้ท่ามกลางกลุ่มคนนับร้อยชีวิต ที่ผมเหล่มองคือโต๊ะของหวานด้านข้างที่เต็มไปด้วยขนมนาๆ ชนิดต่างหาก


อยากกินจังนะ


แต่จะให้หลบออกไปคงไม่งามนัก


พึ่บ!


เพียงเสี้ยววินาทีแสงไฟภายในห้อง ไม่สิ แสงไฟทุกดวงบนเรือก็ดับลง ความมืดมิดเข้ามาแทนที่พร้อมเสียงกรีดร้อยและโวยวายของคนในงาน ทั้งเหล่าพนักงานเองก็พยายามบอกให้ทุกคนใจเย็นๆ มีเพียงไม่กี่คนที่สงบสติได้ในสถานนี้หนึ่งในนั้นคือผมและฮาเซล ทีเหลือเหมือนจะมีโรเบิร์ต เกลสันกับพวกมากส์


“ส่งคนไปดูไฟ!” เสียงของโรเบิร์ต เกลสันสั่งลูกน้องดังแว่วมาให้ได้ยิน


ท่ามกลางความมืดหากขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้าอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ง่ายๆ ทว่ากับผมที่สายตาชินกับความมืดอย่างรวดเร็วถือเป็นอีกเรื่อง


ผมก้าวเข้าไปหาแองเจริก้า โรเตริสก่อนใช้มือจับเข้ายังด้ามมีดที่หมายจะจู่โจมท่ามกลางความมืด ก่อนจะมานี่ผมคิดไว้แล้วว่าถ้าตัวเองเป็นฝ่ายถูกจ้างจะจัดการเป้าหมายยังไง ในฐานะเพื่อนร่วมอาชีพผมจึงคิดว่ายมทูตแดงน่าจะใช้วิธีแบบเดียวกันซึ่งผมคิดไว้หลายวิธีอย่างแรกคือปลอมตัวเข้ามาเป็นหนึ่งในคนคุ้มกัน สองคือปลอมเป็นพนักงานบนเรือ หรือสามปลอมมาเป็นแขกบนเรือ


และการจะเข้าใกล้เป้าหมายที่มีเหล่าบอดี้การ์ดหรือคนคุ้มกันจำนวนมากไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ไม่ได้ยากอะไรมากเพียงแค่ดึงจุดสนใจให้ไปอยู่ที่อื่นก็สามารถเข้าประชิดเป้าหมายได้แล้ว ไฟที่ดับนี่เหมือนเป็นตัวล่อให้คิดว่ากำลังมีคนบุกมาจากด้านนอกจึงขยายการป้องกันไปยังประตูโดยปล่อยให้บริเวณรอบตัวเป้าหมายลดการป้องกันลง พอรู้แบบนั้นผมจึงสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของมีดตรงหน้าได้ เงารางๆ ท่ามกลางความมืดทำให้ผมไม่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครทว่าจากกล้ามเนื้อบริเวณข้อมือคงเป็นผู้ชาย


เมื่อถูกหยุดการโจมตีได้คนตรงหน้ามีท่าทีชะงักเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะตวัดหมัดอีกข้างใส่ผมจนต้องปล่อยมือนั่นเพื่อหลบเลี่ยงการปะทะ การก้าวหลบของผมไม่ใช่เพียงถอยหลังแต่ก้าวไปด้านข้างและอาศัยช่องเพียงเสี้ยววินาทีไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังพร้อมกับมีดในมือที่หมายโจมตีบริเวณคอ ทว่าด้วยสัญชาตญาณของนักฆ่าผู้เก่งกาจทำให้อีกฝ่ายหันกลับใช้มีดของตนป้องกันการโจมตีได้ในระยะประชิด การเสียดสีของอาวุธพานให้เกิดเสียงดังไปทั่วบริเวณจนมีเสียงตะโกนถามถึงสถานการณ์


หากเป็นคนทั่วไปคงตะโกนตอบกลับไปแต่ไม่ใช่กับผมที่ต้องเพ่งสมาธิเพื่อดูการเคลื่อนไหวอันเลือนรางด้านหน้า ไม่มีเวลาไปตอบคำถามเหล่านั้นหรอก


มีดอันคมกริบพุ่งเข้ามาหาไม่ใช่หนึ่งแต่ถึงสองเล่มในเวลาเดียวกัน นั่นทำให้ผมทำได้เพียงลดการบาดเจ็บปล่อยให้มีดเล่มนึงเฉือนบริเวณลำคอไปถากๆ การฆ่าจะไม่เล็งไปยังใบหน้าเหมือนในหนังหรือละครแต่เป็นจุดตายของร่างกายอย่างหน้าผาก ลำคอหรือหัวใจ เพราะรู้จึงต้องป้องกันเป็นพิเศษ


“พวกเดียวกันเหรอ” เสียงพึมพำอันแสนเบาหวิวดังขึ้นก่อนการโจมตีจะหยุดลง คำว่าพวกเดียวกันคงสือถึงอาชีพที่เป็นนักฆ่าเหมือนกัน ฝีมือที่พวกเราทั้งคู่แสดงออกมามันเกินกว่าการต่อสู้ปกติของผู้ติดตามหรือพวกกองกำลังต่างๆ ไม่แปลกเลยที่จะรู้


“อืม” ผมตอบกลับไป


“ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็ขอตัวดีกว่า”


“หมายถึงจะปล่อยเป้าหมาย?”


“ฝีมือพวกเราสูสี ต่อให้สู้ต่อฉันอาจจัดการเป้าหมายไม่ได้และอาจต้องบาดเจ็บ ฉันไม่คิดจะเจ็บตัวโดยไม่จำเป็น”


“เห็นด้วยกับคำพูดนั้น” นักฆ่าอย่างพวกเราไม่เหมือนกับบอดี้การ์ดหรือทหารรับจ้าง พวกเราจะประเมินสถานการณ์หากคิดแล้วว่าดึงดันต่อไปก็ไม่คุ้มพวกเราจะถอย ไม่ต้องเจ็บตัวโดยเปล่าประโยชน์หากไม่มั่นใจพอว่าเป้าหมายจะโดนจัดการ ยิ่งการเจอกับนักฆ่าด้วยกันยิ่งไม่ควรปะทะแถมฝีมือพวกเรายังใกล้เคียงกัน เพราะนอกจากจะเจ็บทั้งสองฝ่ายแล้วยังเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตน


“อีกอย่างหากฉันยังไม่หยุดคนด้านหลังนั่นคงยิงมาแน่”


“...ฮาเซล” ผมพึมพำเสียงเบาเมื่อหันไปเห็นฮาเซลกำลังเล็งปืนมาทางนี้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองคล้ายจะส่องประกายท่ามกลางความมืด ตาของฮาเซลชินกับความมืดได้เร็วอย่างที่คิด


“ต่อให้ฉันกลับใช่ว่าทุกอย่างจะจบ แต่ด้วยฝีมือระดับนั้นคงไม่มีปัญหามั้ง” เสียงเดิมดังขึ้นในระยะประชิด


“หมายความว่า...”


“ขอตัว”


พึ่บ!


สิ้นเสียงลาแสงไฟทั่วทั้งห้องโถงก็สว่างขึ้นพร้อมกันจนผมถึงกับลับตาลงเนื่องจากความจ้าของแสง พอตามเริ่มชินกับความมืดกลับถูกแสงสว่างนี้ทำให้การมองเห็นลดลงในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผมพยายามหรี่ตาเพื่อมองสถานณ์โดยรอบก่อนรีบเข้าไปดึงแองเจิก้า โรเตริสพร้อมตะโกนเสียงดังลั่น


“หมอบลง!”


ปัง!


ปัง!


กระสุนปืนหลายสิบกระบอกถูกยิงออกมาอย่างต่อเนื่องในเสี้ยววินาทีหลังเสียงตะโกน ผมหันไปมองฮาเซลที่ขยับเข้ามาใกล้พร้อมแซมและมากส์ ไม่ไกลมีโรเบิร์ต เกลสันกับลูกน้องอยู่ ระหว่างทั้งห้องตกอยู่ในความมืดคนคุ้มกันตามมุมห้องก็ถูกจัดการไปจนหมดและแทนที่ด้วยฝ่ายศัตรูกว่า 30 คนรอบห้องโถง อาจเป็นโชดดีเพียงเล็กน้อยที่โต๊ะอาหารพวกนี้สามารถใช้หลบกระสุนได้


แต่คงกันได้ไม่นาน


“เรย์เจ้านั่นไปแล้ว?” ฮาเซลขยับเข้ามาถาม


“อืม” ผมพนักหน้า ฮาเซลคงหมายถึงยมทูตแดง


“โรเบิร์ต” แองเจริก้าเรียกชายที่ขยับเข้ามาใกล้


“เธอไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ทำได้ดีนี่” เขาหันมามองผมก่อนเอ่ยชม


“เล็กน้อยครับ”


“เอายังไงต่อดี” ฮาเซลถาม


“คนของฉันกำลังทยอยจัดการพวกมันอยู่” โรเบิร์ต เกลสันบอกพลางมองลูกน้องที่ยิงปืนตอบโต้ใส่ฝ่ายศัตรู


“งั้นที่นี่ให้คุณกับลูกน้องจัดการได้ใช่ไหมครับ” ผมถามอีกฝ่าย


“ที่นี่? หมายความว่ายังไง”


“ผมว่าข้างนอกต้องมีอีก”


“เรย์ คิดจะไปจัดการสินะ” ฮาเซลรู้ดีว่าผมจะทำอะไร การต่อสู้ด้วยการดวลฝีมือปืนไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัดเท่าไหร่นัก


“อืม เคลียร์ข้างในให้หมดที่เหลือผม...”


“ฉันจะไปด้วย” ฮาเซลพูดแทรก


“ท่านฮาเซล พวกเราจะไปช่วยอีกแรงแค่สองคนเสี่ยงเกินไป” มากส์พูดเสริม


“เดี๋ยวก่อน พวกเธอสี่คนคิดจะจัดการพวกข้างนอกนั่นทั้งหมด?” โรเบิร์ต เกลสันเหมือนจะตกใจอยู่ไม่น้อยกับบทสนทนาที่ได้ยิน


“สามสิบคนพวกเราก็จัดการมาแล้ว ฝากทางนี้ด้วย” ฮาเซลพูดแทนทุกคน


“อันตรายเกินไป อีกอย่างจะออกไปจากวงล้อมกระสุนยังไง”


“จริงด้วย พวกเราควรรวมกันค่อยๆ จัดการ...” แองเจิริก้าพูดเสริม


“การรวมกลุ่มอาจเป็นวิธีที่ดีแต่ไม่ใช่ในสถานการณ์นี้” ผมเอ่ยแทรก การรวมกลุ่มเห็นได้บ่อยๆ ยามเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินทว่าเหตุการณ์นี้มีฝ่ายศัตรูอยู่ข้างนอกอีกกลุ่ม การรวมตัวอยู่แต่ในนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีหากพวกนั้นมารวมตัวกันพวกเราก็เสร็จหมด


“เธอดูมีประสบการณ์กับอะไรแบบนี้” โรเบิร์ต เกลสันหรี่ตามมองผมที่ดูไม่ตื่นเต้นหรือหวาดกลัว


“นิดหน่อยครับ”


“เรย์มีวิธีออกไปใช่ไหม” ฮาเซลหันมาถาม


“แน่นอน แต่ถ้าจะไปกันหมด 4 คนต้องเสี่ยงหน่อย โอเครึเปล่า” ผมถามอีกสามคนกลับ วิธีที่ผมใช้ถ้าเป็นคนเดียวสามารถออกไปได้สบายๆ แต่ถ้าสี่คนความเสี่ยงก็จะเพิ่มเป็น 4 เท่าได้


“อืม” ฮาเซลหันไปมองมากส์และแซมที่พยักหน้าก่อนจะมองผมด้วยรอยยิ้ม


ผมยิ้มตอบก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบจานเปล่าด้านบนโต๊ะมาสามใบโดยเสียงกระสุนยังคงดังไม่หยุด จานทั้งสามใบถูกเขวี้ยงไปยังสามทิศทางคือด้านขวา ซ้ายและหลังในเวลาไล่เลี่ยกันนั่นทำใหฝ่ายศัตรูหันเหความสนใจไปยังการเคลื่อนของจาน


“มาเร็ว!” ผมเรียกอีกสามคนก่อนจะพุ่งตัวออกไปยังประตู ฝ่ายศัตรูที่ยืนขวางอยู่ถูกมากส์และแซมจัดการระหว่างวิ่งไปจนทางออกโล่งพวกเราจึงหลบออกมาจากห้องโถงได้สำเร็จ มนุษย์น่ะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้สายตามากกว่าสัญชาตญาณดังการเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวอะไรขึ้นก็มักจะเพ่งไปบริเวณนั้นจนไม่ทันสังเกตตรงอื่น นั่นเป็นช่องว่างให้สามารถหลบออกมาได้


“ผมจะไปจัดการบนดาดฟ้า” ผมพูดขณะวิ่งหลบกระสุนจากศัตรูอีกกลุ่ม


“คนเดียว?” ฮาเซลถาม


“ใช่ ผมไปคนเดียวจะง่ายกว่า”


“เข้าใจแล้ว ระวังตัวด้วยเรย์” ครั้งนี้ฮาเซลปล่อยให้ไปค่อนข้างง่าย อาจเพราะรู้ว่าทักษะผมไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับการโจมตีแบบซึ่งๆ หน้าหรือการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อจัดการ


“ทางนั้นก็ระวังตัวด้วย”


“มีอะไรเกิดขึ้นตะโกนเรียกฮาเซลมาช่วยเรย์ด้วยดังๆ เลยนะ” ก่อนจากอีกฝ่ายยังมีหน้ามาพูดติดตลกอีก


“ผมไม่ตะโกนแบบนั้นแน่!”


ผมวิ่งแยกขึ้นไปทางบันไดสู่ดาดฟ้าเรือด้วยตัวคนเดียว แน่นอนว่าระหว่างทางเจอศัตรูหลายคนทว่าผมใช้การเข้าประชิดพร้อมโจมตีไปยังท้อง ใบหน้าและลำคอเพื่อจัดการคู่ต่อสู้ให้เร็วที่สุด ด้านบนดาดฟ้ามีรั้วสีเงินกั้นรอบบริเวณโดยด้านบนมีทางขึ้นอีกชั้น  ด้านบนไม่ใช่ห้องแต่เป็นจุดชมวิวที่สูงสุดของเรือสำราญนี้


แรงเหยียบเท้าลงบนพื้นของผมเบาจนคนด้านบนไม่สามารถสัมผัสถึงการมาเยือนของผมได้ ลวดสีเงินตวัดเพียงครั้งเดียวสามารถจัดการร่างนั้นให้ล้มลงแน่นิ่งบนพื้น ตามมาด้วยอีกคนที่อยู่ข้างๆ หันมามองภาพของเพื่อนด้วยความตกใจ...ปืนกระบอกดำถูกหันมายังผมแต่แทนที่จะถอยหลังผมกลับเพิ่มความเร็วเข้าไปใกล้ปากกระบอกปืนแล้วใช้เท้ากดกระบอกปืนนั่นลงไปด้านล่างเช่นเดียวกับร่างเจ้าของที่ตามไปติดๆ


เมื่อมองจากดาดฟ้าด้านล่างมีศัตรูอีกสองคนยืนอยู่ติดกับผนังเรือผมจึงใช้ขายึดกับรั้วสีเงินเพื่อห้อยหัวหย่อนตัวเองลงไปด้านล่าง ลวดสีเงินถูกทำให้เป็นห่วงคว้าคอของทั้งสองคนก่อนจะกระชากอย่างแรง


ปัง!


เสียงปืนที่ดังขึ้นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนในสภาพห้อยหัว ร่างของศัตรูคนหนึ่งร่วงตกลงไปด้านล่างโดยในมือของฝ่ายศัตรูนั้นมีปืนถืออยู่ หากนั้นไม่ใช่การยิงของเขาก็แปลว่า...


“เปิดช่องแบบนั้นอัตรายนะเรย์” ไม่ต้องหันไปมองผมก็รู้ว่าเสียงปืนเมื่อครู่เป็นของใคร


“ทางนั้นจัดการเรียบร้อยแล้ว?” ผมปล่อยขาที่เกาะรั้วสีเงินก่อนจะม้วนตัวลงมาอยู่ในระนาบเดียวกับฮาเซล


“เหลือทางนั้นอีกหน่อย” ฮาเซลมองไปทางหัวเรือ


“งั้นก็ไปจัดการให้เสร็จเถอะ”


“นี่เรย์” ฮาเซลเรียก


“อะไร”


“ถามจริงๆ นะ อายุมากกว่าฉันจริงเหรอ” คำถามนั้นเหมือนจะไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ตรงหน้าแม้แต่นิดแต่ด้วยใบหน้าเครียดๆ ราวกับปัญหาระดับโลกของฮาเซลทำให้บรรยากาศรอบตัวผ่อนคลายขึ้น


“ใช่ ผมอายุมากกว่าคุณ อย่าบอกนะว่าเปลี่ยนใจจะเลิกกันแล้วน่ะ” ผมเดินเข้าไปใกล้ฮาเซลมากขึ้น


อายุผมไม่ใช่หนุ่มๆ อย่างที่ฮาเซลคิด ไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไง


แต่ถ้าถามหลายรอบแบบนี้คงไม่ชอบล่ะมั้ง


“อย่าพูดบ้าๆ น่าเรย์ คำว่าเลิกจะเป็นประโยคสุดท้ายที่ฉันจะบอก” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองหรี่ลงเล็กน้อยระหว่างพูดคล้ายจะบอกให้ผมเลิกพูดคำนั้นสักที


“ถ้างั้นคุณมีอะไรกับอายุผมล่ะ”


“ก็...ถ้าเรย์อายุมากแล้วคงทำทั้งคืนไม่ได้น่ะสิ ทั้งที่คิดว่าครั้งแรกจะทำให้เรย์รู้สึกดีสุดๆ จนถึงอีกวันเลยแท้ๆ” น้ำเสียงเศร้าๆ นั่นดูขัดกับบทสนทนาอันแสนลามกซะเหลือเกิน


ผมผิดเองที่คิดว่าฮาเซลจะมีปัญหาร้ายแรงกับอายุผม


“ไม่ต้องห่วงปัญหานั้นจะไม่เกิดเพราะผมจะไม่ยอมให้คุณทำแน่นอน!” ผมพูดเสียงดังก่อนจะปล่อยหมัดใส่หน้าอีกฝ่ายแรงๆ แล้วเดินไปทางหัวเรือ แน่นอนว่าฮาเซลหลบหมัดนั่นได้สบายๆ ก่อนเดินตามผมมา


“ฉันจะทำให้ยอมเองเรย์”


“ผมบอกว่าไม่ยอมไงเล่า”


“เรย์”


“หยุดพูดแล้วไปจัดการเรื่องนี้ให้จบสักที!”


และแล้วฝ่ายศัตรูก็ถูกจัดการจนราบเป็นหน้ากองโดยฝีมือกว่าครึ่งเป็นของผมและฮาเซลรวมถึงมากส์กับแซม ศัตรูด้านนอกอาจมีมากกว่าแต่ไม่ได้ระวังอะไรจึงสามารถจัดการได้ง่าย เมื่อเรื่องจบผมถูกทั้งโรเบิร์ต เกลสันและแองเจริก้า โรเตริสชื่นชมทว่าผมไม่ได้อยากเด่นมาเลยตอบไปว่าทุกอย่างฮาเซลเตรียมแผนไว้รองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ฮาเซลจึงได้รับหน้าไปเต็มๆ โดยไม่รู้ตัว

...................................................

เหมือนเราจะชอบเขียนฉากตอนเรย์บู๊มากเป็นพิเศษ

สำหรับตอนนี้เราแทรกเข้ามาเองความจริงไม่ได้วางไว้ว่าจะแต่งแต่เกิดคิดขึ้นมาว่าอยากเห็นเรย์ปะทะกับนักฆ่าคนอื่นจังๆ สักครั้งจังน้าาาา ก็เลยได้ออกมาเป็นตอนนี้

ต่อจากตอนนี้จะเป็นฉากที่จัดว่าหวานมากสำหรับคู่อีกประมาณ2ตอนก็จะจบแล้วค่ะ

ฝากติดตามทั้งคู่ไปจนจบด้วยนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่21« 30/1/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 30-01-2019 15:38:40
อายุเท่าไหร่เนี่ย ช๊อคแป๊บ
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่21« 30/1/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 30-01-2019 18:56:00
ฮาเซล คิดแต่เรื่องลามกจังเลย

ระวังเรย์เอามีดจิ้มนะ 5555
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่21« 30/1/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-01-2019 20:42:43
หน้าสิ่วหน้าขวานฮาเซลก็ไม่สน 5555
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่21« 30/1/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 31-01-2019 15:04:54
สรุปแล้วแต่ละคน อายุเท่าไหร่กันบ้างล่ะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่22« 6/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 06-02-2019 17:14:02
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่22




“เดท?!” เสียงของผมและฮาเซลดังประสานในจังหวะเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย


วันนี้ผมได้มาหาฮาเซลยังบริษัทด้วยเหตุผลง่ายๆ คือช่วงนี้พวกเราแทบไม่ได้เจอกันเลย ความจริงก็เรียกว่าเป็นปกติที่พวกเราจะไม่ได้เจอกันไม่ว่าจะด้วยอาชีพ เวลาหรือหน้าที่ของผมมันค่อนข้างต้องใช้เวลาและความรอบครอบค่อนข้างมาก เคยบอกไปแล้วถึงพวกเราอาจอยู่บนเส้นทางสีเทาหมือนกันทว่ามันก็ขนานกันเองอยู่ในตัว


การได้มาสนิทจนถึงขั้นเป็นแฟนนี่แค่โชคชะตาหรือพรหมลิขิตยังน้อยไปเลย


แทบทุกวันพวกเราคุยกันฮาเซลมักจะเรียกให้ผมออกไปหาซึ่งก็มีหลายครั้งที่ไปไม่ได้ ความรู้สึกอยากเจอผมไม่เคยมีมาก่อน ไม่อยากเชื่อว่าจะมีวันนี้วันที่ผมรู้สึกอยากเจอฮาเซล คำว่าแฟนเหมือนเป็นคำเชื่อมสำหรับการเรียนรู้ซึ่งกันและกันให้มากขึ้น


แน่นอนว่าผมใช้คำนั้นมาหลายเดือนแล้ว และวันนี้เป็นครั้งแรกที่มีคำอื่นปรากฏเข้ามาในหัวข้อสนทนา ภายในห้องส่วนตัวของฮาเซลไม่ได้เพียงผมกับฮาเซลเท่านั้น ทั้งแซมและมากส์ต่างก็อยู่ไม่ไกลซึ่งแซมเป็นคนเอ่ยคำถามหนึ่งขึ้นมา


‘บอสกับเทเลอร์เคยไปเดทกันรึยัง’


เพราะคำถามนั่นจึงเป็นที่มาของการประสานเสียงโดยไม่ตั้งตัวในปัจจุบัน


“นี่คงไม่บอกว่าไม่รู้จักเดทหรอกนะ” แซมถามต่อด้วยสีหน้าอึ้งๆ


“คำแค่นั้นทำไมจะไม่รู้จัก” ฮาเซลพูด


“เคยได้ยินอยู่แล้ว” ผมตอบบ้าง ถ้าแค่คำว่าเดทยังไม่เคยได้ยินคงเป็นพวกเก็บตัวซะละมั้ง ต่อให้เป็นผมที่ไม่สนใจเรื่องรักมาตลอดชีวิตยังเคยต้องปลอมตัวเพื่อไปเดทกับเป้าหมายเลย


“แปลว่าเคยไปเดทกัน?”


“แน่นอน ฉันพาเรย์ไปดินเนอร์” ใบหน้าคล้ายคนกำลังอวดนั่นดูตลกอย่างบอกไม่ถูก


“ก่อนดินเนอร์ล่ะบอส”


“...ก่อนดินเนอร์?” เครื่องหมายคำถามหลายสิบตัวปรากฏบนหัวผู้ทรงอำนาจฮาเซล กอนซาเลส แม้จะมองไม่เห็นแต่สายตาสงสัยนั่นทำเอาผมยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อกลั้นขำ


“ถ้าไม่มีก่อนงั้นหลังดินเนอร์ล่ะบอส” แซมเปลี่ยนคำถาม


“ขึ้นห้องไง”


“ฮาเซล!” ผมขึ้นเสียงเล็กน้อยเมื่อคำพูดเมื่อครู่สามารถตีความหมายได้ว่าผมนอนกับฮาเซลไปแล้ว ซึ่งในความจริงก็ใช่ แค่นอนแล้ว...นอนนิ่งๆ ไม่ได้ทำอะไร ไม่สิ ความจริงก็ทำไปหน่อยแต่ยังไม่สุด


ช่างมันเถอะ ปล่อยผ่านมันไป!


“บอส นั่นไม่สามารถเรียกว่าเดทได้เต็มปากหรอกนะ ใช่ไหมเทเลอร์” แซมพูดด้วยใบหน้าจริงจังแถมยังหันมาพูดกับผมต่ออีก จนถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าบทสนทนามันวกมาเรื่องนี้ได้ยังไง


“ผมว่ามันเรียกว่าเดทได้แล้วนะ” แค่ได้เจอหน้า พูดคุยหรือใช้เวลาด้วยกันผมคิดว่ามันคือเดทแล้ว


“งั้นเทเลอร์เคยไปเดทรึเปล่า ที่ไม่ใช่กับบอสน่ะ”


“ก็เคยอยู่” ผมนึกสักครู่ก่อนตอบ สังเกตว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองของฮาเซลเริ่มหรี่ลงเมื่อได้ยินคำตอบ


“แล้วเป็นไงบ้าง”


“เป็นไงนี่หมายถึงยังไง” ผมถามกลับ


“ก็แบบทำอะไรบ้าง”


“เริ่มแรกก็ไปเดินเล่น ซื้อของให้ ไปกินข้าวแล้วก็ขึ้นห้อง...” เอ๊ะ! ทำไมมันจบเหมือนฮาเซลเลยล่ะ


“...” ความเงียบของคนในห้องคล้ายกำลังรอฟังประโยคหลังจากนี้ผมจึงเริ่มขมวดคิ้วแน่นขึ้นเพื่อคิดและจึงได้คำตอบหนึ่งออกมา...


“อ้อ แล้วก็จัดการซะ” ผมเสริมต่ออีกนิด ทำให้เป้าหมายตายใจก่อนจะจัดการในเวลาที่ไร้การป้องกันมากที่สุด


“มากส์ ดูพวกเขาสิจบที่ห้องกันตลอดเลย แถมคนนึงยังใช้เป็นพื้นที่สังหารอีก” แซมหันไปพูดกับมากส์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ


“แต่ละคู่ก็มีรูปแบบที่ต่างกันไป” มากส์ให้ความเห็น


“ก็ใช่ แต่แบบนั้นมันเห็นแล้วขัดใจนี่ เวลาก็แทบจะไม่มีให้กันอยู่แล้วถ้ามีเวลาว่างควรจะพากันไปเดทให้สนุกสิ” แซมดูเหมือนจะขัดใจมากพอดู


ผมและฮาเซลมองหน้ากันเล็กน้อยเพราะพวกเราต่างไม่ค่อยเข้าใจถึงคำว่าสนุกเหมือนๆ กัน ความสนุกเพียงหนึ่งเดียวของผมคือการวางแผนและจัดการเป้าหมายให้สำเร็จในขณะเดียวกันความสนุกของฮาเซลถ้าเป็นตอนนี้คือการได้แหย่ผมเล่นละมั้ง ถ้าถามว่าการเดทสนุกไหม ถ้าเอาประสบการณ์หลายๆ ครั้งมาวัดผมตอบเลยว่าไม่


“ถ้ามีเวลาว่างฉันอยากจองโรงแรมอยู่กับเรย์ทั้งคืนมากกว่า โอ๊ะ!...” ไม่ต้องให้ฮาเซลพูดจบประโยคปากกาบนโต๊ะถูกปาเฉี่ยวหน้าผากเจ้าของบริษัทไปเพียงไม่กี่เซน


“อยู่คนเดียวไปเถอะ!”


“ครั้งก่อนออกจากรู้สึกดีนี่นา เฮ้ย! นั่นมันของมีคมนะเรย์” เป็นอีกครั้งที่ของมีคมถูกปาออกไปทว่าครั้งนี้ไม่ใช่ปากกาแต่เป็นมีดพก ด้วยความแรงของมีดจึงปักเข้ากับผนังด้านหลังอย่างจัง


“หยุดพูดเลยฮาเซล”


“เจอกันแล้วพาขึ้นห้องมันไม่เรียกว่าเดทหรอกบอส แบบนี้แปลว่าทั้งคู่ยังไม่รู้ถึงความสนุกของการเดทจริงๆ งั้นผมจะช่วยทำให้รู้เอง” พูดจบแซมก็ชูกำปั้นขึ้นด้วยความแนวแน่


“ผมว่าไม่ต้อง...”


“ไม่ต้องไม่ได้ ขืนปล่อยไว้แบบนี้ชีวิตคู่ได้จืดชืดพอดี เทเลอร์ว่างวันไหนขอเป็นแบบทั้งวัน” แซมถามพลางหยิบสมุดเล่มเล็กขึ้นมาเตรียมจด


“...วันศุกร์นี้ว่างทั้งวัน” ผมนึกไม่นานก็ได้คำตอบ


“วันศุกร์เหรอ มากส์เหมือนบอสจะว่างใช่ไหม” แซมหันไปถามเพื่อนอีกรอบ


“มีประชุมภายในแต่ปกติพวกเราก็ถูกให้เข้าประชุมแทนอยู่แล้ว” มากส์ตอบ


“โอเค งั้นถือว่าว่าง ฉันจะจัดตารางการเดทให้เอง”


“แซม” ฮาเซลเรียกลูกน้องตัวเอง


“ครับ บอส”


“จบด้วยขึ้นห้องนะ อั๊ก! แค่ล้อเล่นเองเรย์” เท้าขวาผมตวัดตรงเข้าใบหน้าฮาเซลจนเกือบหลบไม่พ้นทันทีที่ได้ยินประโยคบ้าๆ


ผมยอมแค่ครั้งเดียวอย่าคิดว่าจะมีครั้งต่อไปเชียวฮาเซล คิดเหรอว่าผมไม่รู้สึกถึงสายตาอยากครอบครองที่ส่งมาแทบตลอดเวลานั่นน่ะ จริงอยู่ผมยอมรับว่าตัวเองชอบและรักฮาเซล แต่กับเรื่องนี้มันคนละเรื่องกัน ผมไม่ได้กลัวเจ็บเพราะรู้ดีตั้งแต่ยอมรับความรู้สึกนี้แล้วว่าต้องเป็นฝ่ายรับให้อีกฝ่าย


ไม่ใช่กลัวแต่เป็นอาย แค่แช่อ่างด้วยกันก็อายจนแทบบ้าแล้วถ้าต้องเปลือยกายอยู่บนเตียงที่ไร้สิ่งใดมาบดบังผมคงระเบิดความเขินอายออกมาจนหมด ผมทนระงับความอายขนาดนั้นไม่ไหว


ขอเวลาอีกนาน ไม่สิ น่าจะนานมาก แต่ฮาเซลคงรอนานขนาดนั้นไม่ไหวซะละมั้ง


ตั้งแต่เจอกันผมไม่เคยเห็นเขาไปเที่ยวหญิงหรือพาใครมาช่วยระบายเลยสักครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะไม่ยากวุ่นวายหรือไม่ชอบให้ใครมาลุกล้ำความเป็นส่วนตัวกันแน่ ในฐานะแฟนผมควรจะยอม...ไม่ คนมันอายนี่นาแถมครั้งก่อนเพียงแค่น้ำเสียงกับสายตาที่ส่งมาก็แทบเผาร่างผมให้ไหม้เป็นจุล


ระหว่างกำลังคิดหนักวันแห่งการเดทหรือวันศุกร์ก็มาถึงในที่สุด สถานที่นัดหมายเป็นหน้าประตูเข้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมืองซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมายเดินกันให้ทั่ว สมกับชื่อห้างที่ดังที่สุดจริงๆ


เวลานัดหมายคือ 11โมง ผมเดินมาจากห้องแทนการใช้มอเตอร์ไซค์หรือรถประจำทางเพราะอยากออกกำลังกายสักหน่อย พอก้าวเข้ามาใกล้บริเวณนัดหมายร่างสูงของฮาเซลในชุดลำลองปกติก็ปรากฏแก่สายตาแม้แว่นตาสีชานั่นจะดูขัดหน่อยๆ ก็ตาม


คงไม่คิดว่าการใส่แว่นนั่นเรียกว่าปลอมตัวหรอกนะ


“มาเร็วจังฮาเซล” ผมเอ่ยทักก่อนก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่าย


“รู้ว่าเรย์ต้องมาก่อนฉันเลยซ้อนแผนด้วยการมาเร็วกว่า” รอยยิ้มราวกับได้รับชัยชนะนั้นผมไม่รู้ว่าต้องตบมือแสดงความยินดีให้ไหมที่แผนการนั้นสำเร็จ


“ผมให้คุณชนะก็ได้” นี่เราไม่ได้แข่งกันสักหน่อย


“คอเปิดโล่งไม่หนาวเหรอ” ฮาเซลมองมายังเสื้อคอวีสีเข้มเปิดคอโล่งของผม


“นิดหน่อยแต่ไม่เป็นไร” ช่วงนี้เข้าหน้าหนาวแล้วส่วนมากจึงสวมทั้งเสื้อกันหนาวและผ้าพันคอ ผมเองก็หนาวแต่ถ้าเทียบกับอุณหภูมิของแอร์ที่เปิดอยู่ตลอดหน้าร้อนอากาศตอนนี้ไม่ได้หนาวสักเท่าไหร่


“ไม่เป็นไรที่ไหน เอานี่” ผ้าพันคอขนนิ่มสีน้ำตาลอ่อนถูกย้ายมาพันรอบคอผมโดยไม่ขอความสมัครใจ


“ผมไม่ใช่ผู้หญิงฮาเซล ไม่ต้องดูแลกันขนาดนี้” แค่ความเย็นระดับนี้ผมไม่เป็นไรหรอก


“ฉันไม่เคยดูแลผู้หญิงหรอกนะ ที่ทำกับเรย์แค่เป็นห่วงและอยากดูแล เพราะว่ารักมาก” คำพูดตรงๆ จากปากอีกฝ่ายทำเอาผมเบนหน้าหนี ไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมกำลังเขิน


ช่างกล้าพูดออกมาจริงๆ


“ต้องไปไหนต่อ” เพื่อหลีกหนีกับสถานการณ์นี้ผมจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เพิ่งรู้ว่าการชอบใครสักคนมันทำให้หัวใจเหนื่อยง่ายแบบนี้


“แซมเขียนมาแล้ว ไล่ตามลิสนี่เลย” กระดาษโน้ตสีขาวถูกหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วไล่สายตาไปยังบรรทัดบนสุดของกระดาษ


“ไหนขอผมดูบ้าง...ดูหนัง?” ผมพึมพำเมื่ออ่านบรรทัดแรก


“เหมือนจะอย่างนั้น ไปกันเถอะ” ฮาเซลเดินพานำเข้าไปด้านในห้าง ขึ้นลิฟต์ไปจนถึงชั้นโรงหนังตามอักษรในแผนกระดาษ โน้ตนั่นไม่ได้มีแค่สิ่งที่ต้องทำแต่ยังมีคำอธิบายเพิ่มอย่างโรงหนังอยู่ชั้นไหนด้วย


เตรียมพร้อมดีจนอยากยกนิ้วให้เลยแซม


ชั้นโรงหนังเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนไม่น้อยยืนต่อแถวซื้อตั๋วหนังยังเคาท์เตอร์ ผมมองฮาเซลที่ยืนนิ่งสักพักก่อนจะเป็นฝ่ายดึงชายเสื้อให้ตามมายังบอร์ดแสดงตารางหนังเรื่องต่างๆ ที่เข้าฉาย ดูเหมือนผู้ทรงอิทธิพลฮาเซล กอนซาเลสจะไม่เคยมาดูหนังในโรงมาก่อน


“จะดูเรื่องอะไร” ผมเอ่ยถามระหว่างไล่มองหนังทีละเรื่อง


“เรย์เคยมาดูสินะ”


“ใช่ ผมเคยมา” ไม่จำเป็นต้องโกหกนี่นะ


“คนเดียว?”


“เปล่า” ผมส่ายหัว


“กับแฟน?” ฮาเซลยังคงถามต่อ


“ผมไม่เคยมีแฟน” นอกจากฮาเซล


“งั้นมากับใคร”


“มากับหนึ่งในเป้าหมาย” ผมตอบโดยไม่ปิดบัง มีเป้าหมายหลายคนจำเป็นต้องใช้เวลาในการเข้าถึงและทำให้ไว้ใจก่อนจะลงมือซึ่งการจะสร้างความไว้ใจมีแต่ต้องออกมาเที่ยวด้วย เมื่อเกิดความไว้ใจผมจะลงมือได้ง่ายขึ้น


“คงไม่ได้ลงมือในโรงหนังหรอกนะ” ฮาเซลถามเสียงเบา สายตาที่มองมาแฝงไปด้วยความสงสัย


“ผมไม่ทำแบบนั้นแน่” ทั้งกล้องวงจรปิด ทั้งสภาพแวดล้อมในการจัดการรวมไปถึงการจัดการกับสถานที่หลังลงมือโรงหนังเป็นสถานที่ที่ไม่ควรลงมืออย่างยิ่ง


“ก็ว่าอยู่ เรื่องนี้ดีไหมเห็นว่าเกี่ยวกับพ่อค้าอาวุธกับนักฆ่า” ฮาเซลชี้ไปยังหนังเรื่องหนึ่งที่ฉายตัวอย่าง


“เหมือนผมกับคุณเลยแฮะ”


“เนอะ ชักสนใจแล้วว่าจะทำออกมาเป็นยังไง”


“เห็นด้วย ดูเรื่องนี้เลย”


เมื่อตัดสินใจได้พวกเราเดินไปซื้อตั๋ว โชคค่อนข้างดีมีรอบที่กำลังฉายจึงไม่ต้องไปเดินเล่นหรือนั่งรอเวลา ที่นั่งนั้นแน่นอนว่าเป็นแบบส่วนตัวไม่ต้องเบียดกับใครถึงจะมีราคาสูงทว่าไม่ได้มากสำหรับพ่อค้าอาวุธอย่างฮาเซล


การดูหนังใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ ก่อนจะทำตามรายการต่อใบบนกระดาษโน้ตซึ่งหลายๆ คนคงเดากันได้นั่นคือกินมื้อกลางวัน ผมให้ฮาเซลเป็นคนเลือกร้านแม้ตอนแรกเขาจะยืนกรานให้ผมเลือกแต่พอผมไม่เลือกสักทีฮาเซลจึงคว้าแขนผมเดินเข้าไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นใกล้ๆ เซตอาหารต่างๆ มีให้เลือกค่อนข้างมากผมใช้เวลาพอสมควรไปกับการเลือกของหวานที่เสิร์ฟคู่กับจานหลักไม่ใช่แค่เซตตัวเองแต่ยังลามไปถึงของฮาเซลเพราะรู้ว่ายังไงอีกฝ่ายต้องยกของหวานให้อยู่แล้ว


“เรย์ว่าหนังเป็นไง” ฮาเซลเริ่มบทสนทนาหลังอาหารมาเสิร์ฟ


“ห่วย ผมยังหงุดหงิดอยู่เลย นักฆ่าที่ไหนกระโดดลงพื้นเสียงดังขนาดนั้นยังไม่มีคนหันกลับมามองแถมการใช้ลวดนั่นดูยังไงก็ตัดต่อชัดๆ” พอพูดเรื่องหนังที่ดูความหงุดหงิดระหว่างดูกลับมาอีกครั้ง อาจเพราะเป็นอาชีพของตัวเองเลยรู้แทบอย่างในวงการแต่ในหนังกลับไม่ได้ทำให้ดูสมจริงสักนิด ถ้าเอาแผนนั้นไปใช้จริงคงความแตกตั้งแต่เริ่มแล้ว


“คิดเหมือนกัน ฉากขนอาวุธเองก็เหมือนกันต่อให้เป็นหนังแต่ไม่คิดว่าจะใช้วิธีโบราณอย่างขนใส่กระเป๋าผ่านด่านตรวจที่รู้ๆ กันอยู่ว่าผ่านไม่ได้” ฮาเซลเองดูขัดกับวิธีการขนอาวุธตั้งแต่อยู่ในโรงหนังแล้ว ขนาดผมที่ไม่ค่อยรู้วิธีส่งยังหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เลย พ่อค้าอาวุธต่างรู้ดีว่าอาวุธสามารถใช้เครื่องตรวจจับโลหะจับได้ ดังนั้นจึงต้องมีการวางแผนอย่างรัดกุมหากต้องขนผ่านด่านตรวจไม่ใช่เดินเข้าไปโต้งๆ พอสัญญาณเตือนร้องก็ตกใจวิ่งหนี


“เหมือนมาดูหนังตลก”


“ใช่ ถ้าดูตลกๆ ได้อยู่”


“แล้วต่อไปพวกเราต้องทำอะไร” ผมถามระหว่างตักของหวานอย่างพุดดิ้งชาเขียวโรยถั่วแดงเข้าปาก


“...เดินซื้อของ ชั้น 2 มีพวกร้านเสื้อผ้า ชั้นแรกเป็นซูปเปอร์” ฮาเซลอ่านข้อความบนกระดาษต่อ


“ไม่เอาพวกเสื้อผ้า ซูปเปอร์ก็ไม่เอา...ข้ามข้อนี้ไปได้ไหม” ผมถามอีกฝ่ายกลับ แค่เริ่มต้นมาไปเท่าไหร่ผมก็รู้สึกไม่ไหวแล้ว


การเดทนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบเท่าไหร่ อย่างการดูหนังไม่ได้ช่วยเพิ่มความสัมพันธ์อะไร ที่ทำมีแค่ต่างคนจ้องไปยังจอด้านหน้า


“ฉันก็คิดอยู่ว่ามันไม่เหมาะกับพวกเราเท่าไหร่” กระดาษในมือถูกขย้ำทิ้งไว้บนโต๊ะ สายตาของฮาเซลมองมายังผมเล็กน้อยก่อนจะหยิบกระดาษอีกใบขึ้นมา


“นั่นอะไร?” ผมถามทันที ไม่ได้มีใบเดียวเหรอ


“แซมให้มาอีกใบเผื่อแบบปกติมันไม่โอเค”


“จะบอกว่าแผ่นนั้นเป็นแบบไม่ปกติ?” ผมไม่เห็นเข้าใจเลยว่าปกติกับไม่ปกติมันต่างกันยังไง


“เหมือนจะใช่ ลองดู” ฮาเซลยืนกระดาษใบนั้นมาให้


ผมรับมาแล้วกวาดสายตาตั้งแต่บรรทัดแรก คำว่าโซนขนมหวานทำเอาดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์ทอประกายขึ้นมาทันที ต่อมาเป็นเกมเซนเตอร์ที่ชั้นก่อนบนสุดของห้างแถมยังมีสนามเพ้นบอลให้เช่าอีกต่างหาก


นี่สิน่าสนุก!


“ไปโซนขนมแล้วไปเล่นเพ้นบอลกันฮาเซล” ผมตัดสินใจหลังอ่านโน้ตจบ


“ไหนบอกว่าไม่ถนัดการดวลปืนไม่ใช่?”


“ที่ไม่ถนัดคือการเล็งแล้วยิ่ง ไม่ใช่การเคลื่อนไหวไประหว่างยิงสักหน่อย” ถ้าเป็นการดวลปืนขณะเคลื่อนไหวร่างกายไปด้วยแบบนี้ผมชอบ แถมยังไม่เคยเล่นเลยสักครั้ง


“ได้ งั้นไปดวลกัน ย่อยอาหารหน่อย”


“ไปโซนของหวานก่อน ชั้นจีในโน้ตบอกมีเทศกาลของหวานระดับโลก”


“ตาลุกวาวเลยนะเรย์” ฮาเซลสบตาผมเล็กน้อยก่อนลุกไปจ่ายเงินค่าอาหาร


“แน่นอน” ได้ชื่อว่าของหวานแถมยังเป็นระดับโลกอีก ไม่มีอะไรน่ากินไปมากกว่านี้แล้ว



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่22« 6/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 06-02-2019 17:14:33
(ต่อนะคะ)


ภายในงานของหวานระดับโลกเต็มไปด้วยผู้คนมากมายต่อคิวซื้อบัตรบุฟเฟ่สำหรับกินของหวานภายในงานได้ไม่อั้น กลิ่นหอมของขนมสุกใหม่ลอยออกมายามเตาอบถูกเปิด แต่ละร้านจะมีพื้นที่ทำขนมของตัวเองโดยจะมีเตาอบและเคาท์เตอร์ให้...ร้านไหนทำเสร็จจะวางไว้ในถาดที่ถูกจัดอย่างหรูหราด้านหน้าร้านของตน


“ฮาเซล ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบของหวานเพราะงั้นรออยู่นี่แป๊บ” ผ้าพัดคอสีน้ำตาลถูกดึงจนหลุดแล้วฝากไว้กับเจ้าของ


“ฉันว่าไม่แป๊บละมั้ง คิดจะกินหมดทุกร้าน?” ฮาเซลมองดูร้านขนมตรงหน้า


“ใช่ ซื้อบัตรทั้งทีต้องคุ้มสิ ไม่ต้องห่วงไม่นานหรอก” พูดจบผมวิ่งไปต่อแถวซื้อบัตรราคาหลักพันและเข้าไปด้านในงานเลี้ยงบุฟเฟ่ของหวานระดับโลกด้วยความตื่นเต้น ไม่ว่าจะเป็นเค้กด้านนี้หรือช็อกโกแลตด้านนั้นก็น่ากินไปหมด


“ใจเย็นๆ” ผมพึมพึมบอกตัวเองที่เหมือนจะถูกความอยากกินเข้าครอบงำ เสียงสูดหายใจเข้าปอดและปล่อยออกดังเป็นจังหวะเพื่อรวบรวมสมาธิ


ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์หันไปมองร้านด้านริมซ้ายสุดไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงร้านริมขวาสุด ถึงจะมองร้านเหล่านั้นแบบผ่านๆ ทว่าได้เก็บรายละเอียดของแต่ละร้านไว้เรียบร้อย ผมก้าวตรงไปยังร้านด้านข้างที่มีชีสเค้กเคลือบช็อกโกแลตเหลืออยู่เพียงสองชิ้นและเอื้อมมือไปหยิบหนึ่งชิ้นออกมาด้วยความเร็วจนกลุ่มสาวมหาลัยข้างๆ ดูไม่ทัน


ทักษะของมือสังหารสามารถเอามาดัดแปลงใช้ได้อย่างดีเยี่ยมในสถานการณ์เช่นนี้ เรียกว่าทักษะนักฆ่าที่ผมสะสมมานั้นมีไว้เพื่อสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่ผิดนัก เข้าประชิดขนมด้วยการพรางตัวไปในหมู่คนแล้วค่อยอาศัยช่องว่างและจังหวะคว้าขนมชิ้นนั้นมาอยู่ในมือ


ผมไล่ตั้งแต่ร้านที่ขนมใกล้หมดเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลารอขนมรอบใหม่อบเสร็จ เพราะมีการวางแผนอย่างเป็นลำดับทำให้ผมสามารถชิมขนมหวานจากทุกร้านได้ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง


“กินขนาดนั้นวิ่งไม่ไหวแล้วมั้ง” ฮาเซลแหย่ระหว่างเดินไปยังเคาท์เตอร์เกม


“ไหวแน่นอน” แค่ขนมไม่กี่สิบชิ้นไม่ทำให้ผมอิ่มหรอก


“เช่าสนามเพ้นบอล 2 ชั่วโมง พอเนอะ” ประโยคสุดท้ายฮาเซลหันมาถาม


“อืม พอ”


“รับทราบค่ะ ต้องรออีก 30 นาทีนะคะตอนนี้มีอีกกลุ่มกำลังเล่นอยู่ค่ะ” พนักงานสาวอธิบายด้วยรอยยิ้มรับแขก


“อืม” ฮาเซลพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจ่ายเงิน


“ระหว่างนี้เล่นเกมกันดีกว่า แลกเหรียญด้วยฮาเซล” ผมกระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายสองสามครั้ง


“เอาสิ” และฮาเซลก็แลกเหรียญสำหรับเล่นเกมต่อ


เกมเซนเตอร์นี่เต็มไปด้วยเครื่องเกมต่างตั้งแต่ตีตัวตุ่นไปจนถึงเกมเต้น ผมเคยผ่านเครื่องเกมพวกนี้อยู่บ้างแต่แทบไม่เคยได้แตะเลยสักครั้ง พอมาวันนี้จะได้ลงเล่นก็รู้สึกตื่นเต้นไปอีกแบบ


“เล่นอะไรดี เรย์เคยเล่นอันไหนแล้ว” ฮาเซลถาม


“ไม่เลย ผมไม่เคยเล่น”


“นึกว่าเล่นบ่อยซะอีก”


“แล้วคุณล่ะ” พูดแบบนี้เหมือนตัวเองเล่นเก่งกว่าทั้งที่แค่ดูหนังยังไม่ค่อยจะเป็นเลยแท้ๆ


“ไม่เคยเหมือนกัน”


“ก็พอๆ กันแหละ ลองอันนั้นไหม” ผมชี้ไปยังตู้เกมคีบตุ๊กตาด้านข้าง


“ได้ ลองเล่นดู” พวกเราเดินไปยังตู้เกมจับตุ๊กตา ภายในตู้มีตุ๊กตาใส่ไว้หลายตัวมีทั้งตัวที่ตั้งและล้มลงไปกับพื้นปะปนกันไป เคยได้ยินมาว่าเกมนี้ค่อนข้างยากถ้าไม่มีฝีมือหรือความแม่นในการเล็งเป้าหมาย


“ผมขอก่อน” ผมบอกพลางคว้าเหรียญไปหยอดใส่ตู้แล้วเริ่มต้นการจับตุ๊กตาครั้งแรก ปุ่มบังคับมีลูกศรกำกับสำหรับกดเลื่อนทิศทางของที่คีบ ผมใช้สายตามองพร้อมกะระยะให้ที่คีบอยู่เหนือตุ๊กตาแมวน้ำหน้าย่นแล้วกดปุ่มกลาง ที่คีบอ้าออกกว้างก่อนหุบลงพอดีกับหัวแมวน้ำทำให้ตุ๊กตาตัวนั้นลอยขึ้นมาตามแรงดึงและตกลงมาเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง ครั้งแรกของการเล่นก็ได้ของซะแล้ว


หรือว่าผมจะมีทักษะด้านนี้?


“เก่งนี่เรย์ ไหนขอฉันลองบ้าง” ฮาเซลแทรกตัวมาตรงหน้าปุ่มบังคับก่อนใส่เหรียญลงในช่อง ที่คีบเคลื่อนไหวตามการกดของแต่ละปุ่มจากการสังเกตฮาเซลเล็งตุ๊กแมวสีดำริมตู้ซึ่งค่อนข้างยากต่อการจับแต่แล้วเมื่อกดปุ่มที่คีบกลับอ้าออกแล้วคว้าหัวแมวสีดำได้พอดีแป๊ะราวกับจับจับวาง


“ไม่จริงน่า” ขนาดอยู่ริมขนาดนั้นยังคีบได้อีก


“ฉันเก่งใช่ไหมล่ะ” ตุ๊กตาแมวสีดำยืนมาตรงหน้าผมพร้อมรอยยิ้มของฮาเซล


“ไม่ปฏิเสธ” ก็เก่งจริงนี่


“ฉันให้” ตุ๊กตาแมวสีดำถูกวางลงผมแขนข้างที่อุ้มตุ๊กตาแมวน้ำไว้


“แต่คุณคีบได้นะ”


“ให้เรย์”


“งั้นผมให้แมวน้ำกับคุณ” ในเมื่ออีกฝ่ายให้ผมก็จะให้ด้วย การเป็นคนรับอยู่ฝ่ายเดียวไม่ใช่ตัวผม


“ได้ แลกกัน ต่อไปเกมนั้นไหม แข่งกัน” ฮาเซลชี้ไปยังเกมยิงปืนที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกล


“แข่งยิงปืนกับคุณผมก็แพ้น่ะสิ” จะให้ชนะพ่อค้าอาวุธได้ยังไง


“รู้ตัวเหรอเรย์” ทั้งที่เป็นคำพูดธรรมดาแต่กลับทำให้อารมณ์ผมขึ้นอย่างบอกไม่ถูก


รู้สึกไม่อยากแพ้เกมนี่เลย


“มาแข่งกันก็ได้”


“ใครแพ้ถูกหอมแก้มด้วย”


“ได้ ไม่สิ แบบนั้นผมเสียเปรียบจะตาย!” ถ้าฮาเซลแพ้ผมต้องเป็นฝ่ายหอมฮาเซล ถ้าฮาเซลชนะก็เป็นฝ่ายหอมแก้มผม ไม่ว่าทางไหนผมก็เสียเปรียบชัดๆ


“ตกลงแล้วเปลี่ยนไม่ได้ เริ่มเลย!” เหรียญสีดำถูกหย่อนลงทั้งสองเครื่องในเวลาใกล้เคียงกัน


ผมไม่มีทางเลือกนอกจากเดินไปเตรียมพร้อมด้านหน้าเครื่อง ปืนกระบอกดำสองกระบอกทำขึ้นจากพลาสติกแลดูไม่คงทนแถมน้ำหนักยังไม่เหมาะมืออีก คิดหาทางแก้ยังไม่ได้เกมตรงหน้าก็นับถอยหลัง ภาพสองมิติฉากป่ารกทึบปรากฏขึ้นพร้อมแมงมุมยักษ์ที่กระโจนเข้ามาใกล้ ปืนกระบอกดำในมือขวายกขึ้นและยิงอย่างรวดเร็ว เสียงปืนดังก้องไปทั่วบริเวณไม่ใช่แค่ของผมแต่ฮาเซลเองก็ใช่เล่น


พวกเราต่างจัดการสัตว์ร้ายทั้งแมงมุม หมาป่า สิงโตหรือตะขาบยักษ์แต่ละตัวด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว เกมนี้กระสุนมีจำกัดเช่นเดียวกับพลังชีวิตที่จะลดลงเรื่อยเมื่อถูกจู่โจม ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่พวกสัตว์ร้ายต่างพากันออกมามากขึ้นจนผมต้องใช้ปืนทั้งสองกระบอกจัดการพร้อมกัน


บรรยากาศรอบตัวผมและฮาเซลในตอนแรกไม่มีใครทว่าตอนนี้กลับมีคนยืนมุงดูอยู่ อาจเพราะทักษะและการเคลื่อนไหวของพวกเราที่สามารถจัดการกับสัตว์ในเกมได้มันสุดยอดละมั้ง จุดจบของเกมคือกระสุนของพวกเราหมดโดยจำตัวสัตว์ร้ายที่ฆ่าไปเป็นตัวเลขเดียวกัน ไม่เพียงแค่นั้นตัวเลขนี้ยังเป็นสถิติใหม่อีกด้วย


น่าภูมิใจเหลือเกินแฮะเล่นเกมยิงปืนได้ที่หนึ่ง


“เสมอแบบนี้สลับกันหอมเนอะ” คำพูดพร้อยรอยยิ้มนั่นได้รับหมัดตรงเป็นการตอบแทนกลับไป


“หอมไปคนเดียวเถอะ!”


“หมายถึงให้ฉันหอมได้?” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองทอประกายเจ้าเล่ห์ทันควัน


“ไม่ได้ ถึงเวลาไปสนามแล้ว” ผมรีบหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจทำให้ตัวเสียเปรียบ


สนามเพ้นบอลชั้นบนสุดของห้างเป็นพื้นที่จำลองในร่มซึ่งมีสิ่งกีดขว้างอยู่ทั่วสนามไม่ว่าจะเป็นถัง ลังไม้หรือแม้แต่ต้นไม้ ขนาดก็เป็นมาตรฐานถ้าเล่นกันแค่ 2 คนคงกว้างพอดู


“ไหนๆ ก็เล่นกันสองคนมาพนันกันไหม” ฮาเซลเสนออีกรอบ ตอนนี้พวกเรากำลังใส่กระสุนลงในปืนสีของฮาเซลคือสีเหลืองในขณะที่ของผมเป็นสีแดง


“พนันอีกแล้ว? จะหอมแก้มอีกรึไง” ผมถามกลับ


“เอาเป็นคนแพ้ต้องทำตามคำสั่งคนชนะ”


“...คุณต้องการอะไร” ผมรู้สึกว่าฮาเซลมีบางอย่างที่อยากได้จากผมถึงขนาดต้องพนันแบบนี้เลยเหรอ


“บอกตอนนี้ก็หมดสนุกสิ” กระบอกปืนอันที่สองถูกหยิบมาใส่กระสุน ปกติเพ้นบอลจะใช้ปืนเดียวแปลว่าตั้งใจเอาจริง


“ผมรับพนัน ถ้าคุณแพ้เตรียมตัวไว้ได้เลย” เพ้นบอลไม่ใช่การดวลปืนผมจึงไม่รู้สึกว่าตัวเองจะแพ้การพนันนี่


พวกเราต่างแยกย้ายไปเตรียมตัวคนละฝั่งของสนามและทันทีที่สัญญาณที่ตั้งไว้ดันขึ้นผมก็เคลื่อนไหวโดยอาศัยสิ่งกีดขวางเป็นเกาะกำบังไปจนถึงตรงกลางซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดการปะทะมากที่สุด ทว่าเมื่อมองไปกลับไม่เห็นฮาเซลไม่ว่าจะเป็นด้านซ้ายหรือขวา


หรือคิดจะล่อให้ผมเข้าไป?


“หึ...จัดให้ฮาเซล” ขอดูหน่อยว่าจะวางแผนอะไรไว้


ผมก้าวเข้าไปยังยังเขตของฮาเซลด้วยความระมัดระวังก่อนจะหมุนตัวหลบไปยังถังด้านข้างอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสได้ถึงกระสุนที่เชี่ยวหน้ากากไปเพียงไม่กี่เซน ระดับอย่างฮาเซลไม่พลาดอยู่แล้ว...แปลว่าจงใจเตือน


น่าหงุดหงิดจริง


คิดว่าผมเป็นใครถึงขนาดต้องเตือนก่อนลงมือจริงแบบนี้!


กระบอกปืนในมือถูกยกขึ้นมาเตรียมพร้อมขณะผมวิ่งเข้าใส่ไปยังจุดที่กระสุนถูกยิงออกมา ผมไม่หวังว่าฮาเซลจะอยู่ที่เดิมเพียงแค่จะหาล่องลอยว่าไปทางไหนเท่านั้น รอยเท้าบนพื้นแม้จะจางแต่ใช่ว่าจะดูไม่ออก


“หาฉันเหรอเรย์” เสียงทุ้มของฮาเซลดังรอดมาจากอีกฝั่งของฉากกั้น


“จะยั่วผมให้โกรธใช่ไหมฮาเซล” กล้าออกมาเองแถมยังส่งเสียงเรียกบอกที่อยู่อีก


“แค่คิดถึงเลยอยากเห็นหน้าที่รัก”


ปัง!


กระสุนนัดแรกของผมยิงใส่ฮาเซลทันทีที่วิ่งกลับไปยังสิ่งกีดขวางทว่าฮาเซลกลับก้มตัวลงต่ำเพื่อหลบก่อนจะยิงกระสุนออกมาจากปืนทั้งสองกระบอกพร้อมกัน ผมไม่ได้ถอยหนีแต่พุ่งเข้าหากระสุนนั่นแล้วเอียงตัวหลบไปด้านข้างใช้ขาข้างหนึ่งเตะปืนในมือขวาของฮาเซลจนกระเด็นไป


ในจังหวะหันกระบอกปืนไปหาฮาเซลกระบอกปืนอีกอันก็มาจ่อขมับผมอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์เบิกกว้างขึ้นเมื่อถูกสวนกลับในเสี้ยววินาที ทั้งที่คิดแล้วว่าฮาเซลต้องมีอาการชะงักหลังอาวุธถูกจัดการเป็นช่องว่างให้ผมโจมตี


ใครจะคิดว่าจากไม่ชะงักแล้วยังสวนกลับอีก ไม่สิ นี่หรือว่า...


“คุณรู้ว่าผมต้องจัดการกระบอกปืนนั่น!” ผมกัดฟันถามคนด้านหลังที่เริ่มใช้มือข้างที่ว่างโอบเอวผม


“ใช่ หากฉันยั่วอารมณ์ได้เรย์ต้องพุ่งมาจัดการฉันแน่ การจัดการนั้นถ้าเป็นเรย์จะต้องลดอาวุธในมือคู่ต่อสู้ก่อนจะโจมตีสวนกลับ ฉันเลยซ้อนแผนอีกที” คำอธิบายกระซิบข้างไปหูพร้อมกระสุนสีเหลืองที่ถูกยิงใส่ยังหน้ากาก


แพ้อย่างหมดรูป


ฮาเซลอาจเป็นคนเดียวที่สามารถยั่วอารมณ์ผมให้เขวได้ เมื่อถูกอารมณ์ครอบงำสติและสมาธิจะลดลงจนไม่อาจตอบสนองต่อสถานการณ์คับขันได้ทันที บทสรุปก็จะเป็นอย่างสถานการณ์ผมในตอนนี้คือตกอยู่ในแผนการของฮาเซลมาตั้งแต่เริ่มเกม


“...ผมแพ้แล้ว บอกมาสิว่าต้องการอะไร” ผมถอดหน้ากากมาถือไว้ในมือ ใส่หน้ากากเล่นอึดอัดไม่ใช่น้อยแต่ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ได้อีก


“ไว้ว่างมาหาฉันที่บ้านที”


“นั่นคือคำสั่ง?”


“อ่าฮะ” ฮาเซลพยักหน้า


“แค่นั้นคุณถึงต้องทุ่มขนาดนี้เลย” ผมไม่เข้าใจเลยว่ากับแค่ให้ผมไปบ้านทำไมต้องลงทุนพนันด้วย


แค่บอกตรงๆ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะปฏิเสธหรอกนะ


“ใช่ ค้างคืนด้วย” ผู้ชนะพูดเสริมอีกนิด


“ผมนึกว่าคุณจะขออย่างอื่น”


“เรย์คิดว่าฉันจะขออะไรล่ะ”


“...เรื่องบนเตียง” ผมตอบเสียงเบา ความคิดแรกเมื่อรู้ว่าตัวเองแพ้ผมคิดว่าฮาเซลจะอยากให้ผมยอมมีอะไรกับเขาสักทีไม่ใช่ไปบ้านแบบนั้น


“เรื่องนั้นฉันก็อยากอยู่ แต่ถ้ามันเป็นการบังคับเรย์ฉันไม่ทำหรอก”


“ฮาเซล” ผมเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ


“ฉันรู้ว่าไม่ควรรีบร้อนเพราะเรย์ไม่มีใครนอกจากฉัน ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่ในใจกลับอยากครอบครองจนแทบบ้า อยากทำให้เรย์เป็นของตัวเอง...เป็นของฉันแค่คนเดียว ฉันนี่โลภเนอะ” ผมยืนฟังฮาเซลพูดโดยไม่เอ่ยแทรกใดๆ


ทุกคำพูดของฮาเซลผมสัมผัสได้ถึงความจริงใจที่มีให้


การอยากครอบครองคนรักของตัวเองมันเรียกว่าโลภเหรอ


ผมถามตัวเองในใจ ตัวผมไม่เคยมีความรู้สึกอยากครอบครองใครไม่เข้าใจว่าทำไมถึงอยากเป็นเจ้าของแต่เมื่อได้มาเจอกับฮาเซลผมได้รู้ เพราะว่าชอบ เพราะว่ารัก เพราะว่าหวง เพราะแบบนั้นจึงได้ต้องการจะครอบครองทุกอย่างไม่เพียงแค่หัวใจแต่เป็นร่างกายด้วย


ฮาเซลบอกว่าตัวเองโลภที่ต้องการจะครอบครองผม


แต่สำหรับผมน่ะ...


มือทั้งสองข้างเอื้อมไปคว้าใบหน้าของฮาเซลก่อนจะดึงลงมาแนบริมฝีปากตัวเองลงไปยังริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้าทว่าลึกล้ำจนแทบไม่เหลือช่องว่าง ดวงตาผมประสานกับอีกฝ่ายตลอดการจูบเพื่อสื่อความนัยบางอย่าง เพียงแค่สายตาอาจไม่เพียงพอเมื่อผละออกจากจูบผมจึงยกยิ้มพร้อมเอ่ยบางอย่างออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา...


“นั่นไม่เรียกว่าโลภหรอกฮาเซล”

...............................................

เฮือกกกก

ขอเลือดเพิ่มค่ะ

แต่งจบหัวใจเต้นแรงมาพูดเลยกับความหวานของเรย์ที่นับว่าหวานมากแล้วนะ

สำหรับเราคิดว่าทั้งเรย์และฮาเซลเป็นคู่ที่เหมาะกันมาก คนนึงก็เกิน(กวนเกิน) อีกคนก็ขาด(ขาดความรัก)

พอมาอยู่ด้วยกันเลยให้บรรยากาศที่ละมุลปนมุ๋งๆ แปลกๆ แม้จะอยู่ในฉากบู๊ก็ตาม

ฉากที่ชอบที่สุดของตอนนี้คือการได้แต่งให้เรย์ใช้ทักษะนักฆ่าในการกินขนม 555

ตอนหน้าเป็นตอนจบของเรื่องค่ะ ฉากที่ใครๆ เฝ้ารออยากเกาะขอบเตียงเกาะหน้าต่างเพื่อจะได้แอบดูนั้นตอนหน้าห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ในตอนจบ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่22« 6/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-02-2019 19:36:35
ตอนหน้าจะรอดูให้ได้  :hao3:
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่22« 6/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 07-02-2019 05:16:22
เป็นการเดทที่สนุกและเหมาะกับทั้งสองคนมากเลย
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่22« 6/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 07-02-2019 21:24:06
ตอนหน้าไม่พลาด เราจะเกาะขอบเตียงเลย
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 13-02-2019 19:55:43
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันสุดท้าย



ประตูบ้านหลังยักษ์หรือคฤหาสน์ของฮาเซล กอนซาเลสมีการรักษาความปลอดภัยไม่แน่นหนาเหมือนอย่างตอนผมอยู่ในฐานะบอดี้การ์ด คงเพราะจัดการตัวต้นเหตุได้แล้วจึงไม่จำเป็นต้องรักษาความปลอดภัยมากมายอะไร นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผมกลับมาเยือนที่นี่


การเดทครั้งที่แรกของผมและฮาเซลมีการพนันเล็กกันเกิดขึ้นและคนแพ้คือผม คำสั่งจากผู้ชนะคือต้องการให้ผมมาบ้านเขาพร้อมค้างคืน ผมพอจะเดาในสิ่งที่ฮาเซลต้องการได้ลางๆ ให้ค้างคืนคงไม่พ้นเรื่องบนเตียง


วันนี้ก่อนมาผมเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้ว ถ้าฮาเซลรุกมาผมคงยอมโดยไม่ขัดขืนอะไร การอยากครอบครองคนรักเป็นเรื่องปกติซึ่งผมเองก็ยอมรับว่ารักฮาเซลมาก...มากขนาดที่ตัวเองยังนึกไม่ถึงเลย


บอดี้การ์ดหน้าประตูมองมายังผมก่อนจะเอ่ยทักทายตามประสาคนเคยเห็นหน้ากันถึงจะไม่ได้มาตั้งหลายเดือนแล้วก็ตาม ทักทายไม่นานผมเดินผ่านเข้ามาด้านในตัวคฤหาสน์ ระหว่างทางเดินไปยังตัวบ้านเสียงแปลกๆ ตรงพุ่มไม้ทำให้ขาที่กำลังก้าวหยุดชะงักแล้วเดินตรงไปบริเวณนั้นเพื่อแก้ไขข้อสงสัย ร่างเล็กๆ ของสัตว์สี่เท้าโผล่หัวออกมาจากพุ่มไม้ก้าวมาตรงหน้าผมไม่ใช่แค่หนึ่งแต่ถึงสองตัว สุนัขสีขาวล้วนและดำล้วนไม่ส่งเสียงเห่าเหมือนสุนัขปกติที่เคยเห็นพวกมันทำเพียงเดินเข้ามาใกล้และใช้จมูกดมกลิ่น
สองตัวนี้คงเป็นลูกสุนัขเมื่อไม่กี่เดือนก่อน


ผ่านไปไม่กี่เดือนดูเปลี่ยนไปมาก รูปร่างผอมแห้งก่อนหน้านี้กลายมาเป็นสมบูรณ์ ขนเองก็แลดูสุขภาพดี สงสัยได้รับการดูแลอย่างดีถึงได้ตัวใหญ่ขึ้นได้ขนาดนี้


“ไง” ผมทักทายพวกมันโดยไม่สัมผัสหรือแตะต้อง นิสัยผมใช่ว่าจะไม่ชอบสัตว์ซะทีเดียวแต่ก็ไม่ได้รักสัตว์อะไรมากมาย การจะเลี้ยงอะไรสักอย่างจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบมากพอซึ่งผมไม่ค่อยมีนักเลยไม่เลี้ยงอะไรสักย่างแม้แต่ต้นไม้


สุนัขสองตัวดมกลิ่นผมสักพักก่อนหางเป็นพวงของมันจะเริ่มส่ายไปมา ดวงตาสีน้ำตาลเงยขึ้นมาสบด้วยสายตาระยิบระยับราวกับอยากให้ผมทำอะไรบางอย่าง


“อะไร” แม้จะถามแต่ก็ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบกลับมาหรอก ถ้ามีเสียงตอบกลับมาผมนี่แหละจะเตะโด่งพวกมันออกนอกรั้วโดยไม่มีแม้แต่ความลังเล


เสียงครางเล็กๆ ตามประสาลูกสุนัขดังขึ้นพร้อมชายกางเกงที่ถูกงับและดึงเบาๆ ทั้งสองตัวต่างแยกกันงับดึงชายกางเกงผมเล่นทว่าแรงอันน้อยนิดไม่ได้ทำให้ผมต้องออกแรงขืน ผมนั่งยองๆ ลงมองภาพสิ่งมีชีวิตสองสีเล่นกันโดยมีกางเกงผมเป็นของเล่นด้วยความขบขัน


“เจ้าของพวกนายไม่ซื้อของเล่นให้รึไง” ลูกสุนัขวัยนี้กำลังคันฟันจึงควรมีของเล่นให้พวกมันแทะ ข้อมูลพวกนี้ผมไม่ได้หาเป็นสิ่งที่ได้ยินมา


“ฉันซื้อนะ แต่พวกมันไม่เล่น” เสียงทุ้มแสนคุ้นเคยมาพร้อมร่างเจ้าของบ้านเดินยิ้มมาหาผม ด้านหลังมีแซมและมากส์อยู่ด้วย


“โยนๆ ให้เดี๋ยวก็เล่นเองแหละ”


“มานี่มา วัน ทู” แซมวิ่งนำหน้าฮาเซลก่อนอุ้มลูกสุนัขสองตัวขึ้นพร้อมกัน


“วัน ทู?” ผมขมวดคิ้วกับชื่อที่ได้ยิน


อย่าบอกนะว่าชื่อหมาน่ะ


“ฉันตั้งเอง น่ารักใช่ไหมล่ะ” ฮาเซลเดินมายืนข้าง


“ชื่อสิ้นคิด” มีอีกหลายล้านชื่อที่น่าจะดีกว่าวัน ทู


“จำง่ายดีออก”


“จำง่ายไป” ใช่ ผมไม่เถียงว่าจำง่าย ผมได้ยินครั้งเดียวยังจำได้เลยและผมว่าคนอื่นที่ได้ยินคงจำได้ในทันทีเหมือนกัน


“เป็นหมาที่แปลก ไม่เห็นเห่าเลย” ฮาเซลบอกระหว่างมองแซมเล่นกับทั้งสองตัว


“ดีแล้วนี่ สุนัขที่ไม่เห่ามีโอกาสดุสูงนะ” แถมยังเฝ้าบ้านได้ดีด้วย


“คงต้องเอาไปฝึก”


“ผมเห็นด้วย หรือไม่ก็ให้มากส์ฝึก” ผมออกความเห็นพลางหันไปทางมากส์


“ทำไมต้องทางนี้ล่ะเทเลอร์ ให้แซมฝึกไปสิ” มากส์ถามกลับ


“ให้คนรักสัตว์ฝึกคงไม่มีความอดทนพอจะดุหรือลงโทษเวลาทำผิดหรอก อีกอย่างถ้าเป็นแซมคงตามใจพวกมันเกินไป” การฝึกที่ดีควรมีการให้ความรักแต่พอดีไม่มากเกินไป ถ้าเป็นแซมผมรู้เลยว่าเมื่อสองตัวนั่นส่งสายตาหง๋อยๆ ให้คงไม่เป็นอันฝึกพอดี


“หมอนั่นตามใจจนแทบจะเอาไปนอนด้วยแล้ว” มากส์พูดต่อ


“จะออกไปข้างนอกกันเหรอ” ผมหันกลับไปถามฮาเซลเนื่องจากชุดของทั้งสามคนไม่ใช่ชุดใส่อยู่บ้าน เรียกให้ผมมาวันนี้นึกว่าจะไม่มีงานซะอีก หรือว่าเป็นงานด่วน


“เปล่า ฉันเพิ่งกลับมาถึงก่อนหน้าเรย์ไม่ถึง 5 นาทีเลย” ฮาเซลตอบ


“ทำงานหนักจังนะ” ทั้งที่มีเงินและอำนาจมากมายแต่เวลาที่จะใช้มันยังแทบไม่มีเลย


“อยากเคลียร์ให้เสร็จวันนี้จะได้อยู่กับเรย์ทั้งวัน”


“ไหนคุณบอกว่าว่างไง” ตอนแรกที่นัดกันผมถามแล้วว่าวันนี้ว่างรึเปล่าเพราะถึงผมว่างใช่ว่างฮาเซลจะว่างด้วย


“ว่างสิ ก็งานเสร็จหมดแล้ว”


“คุณนี่ฝืนไปแล้ว ถ้าป่วยไปผมซ้ำแน่” คนไม่ดูแลตัวแลผมไม่สงสารหรอกนะ


“ใจร้าย” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองเบนมาสบพร้อมรอยยิ้ม


“นักฆ่าใจร้ายอยู่แล้ว”


“ยกเว้นเรย์”


“คุณเพิ่งบอกว่าผมใจร้ายนะ” จะมายกเว้นได้ยังไง อย่าคิดว่าผมจะลืมคำพูดที่เพิ่งถูกเอ่ยออกมาเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านั่นนะ


“การที่เรย์จะซ้ำเวลาฉันป่วยมันหมายถึงเรย์ไม่อยากให้ฉันฝืนตัวเอง แบบนั้นจะเรียกใจร้ายได้เหรอ” คำอธิบายนั่นทำให้ผมเงียบลง จริงอย่างที่ฮาเซลพูด ความหมายมันเป็นแบบนั้นจริงๆ


ไม่คิดว่าจะรู้


ผมไม่เคยจะปิดบังหรือโกหกอะไรฮาเซลได้เลย


รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังแพ้


“มากส์ แซม”


“ครับ” ทั้งสองคนที่ถูกเรียกขานรับพร้อมกัน


“แยกย้ายไปพักผ่อนได้ แซมอย่าเล่นกับพวกมันเพลินไปพักซะด้วย” ฮาเซลหันไปย้ำแซมด้วยใบหน้าจริงจัง


“รับทราบบอส ขออีกแป๊บ”


“ให้จริงเถอะ เรย์เข้าบ้านกัน” ฮาเซลเปลี่ยนมาคว้าแขนผมแล้วออกแรงดึงให้เดินตามเข้าไปภายในตัวบ้านที่ไม่อาจเรียกว่าบ้านได้อย่างสนิทใจนักเนื่องจากขนาดของมัน


ทุกอย่างยังคงเหมือนก่อนผมไปทั้งข้าวของ เฟอร์นิเจอร์หรือแม้แต่ตำแหน่งของแจกันดอกไม้นอกจากห้องรับแขกขนาดใหญ่มีโซฟาสีเข้มขนนุ่มมาแทนที่โซฟาตัวเก่า ฮาเซลให้ผมนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันไม่นานคุณเชหัวหน้าเชฟก็เดินออกมาเสิร์ฟเครื่องดื่มและขนมด้วยตัวเอง เนื้อเค้กสีเหลืองนวลมีผิวสัมผัสอันอ่อนนุ่มและเด้งดึ๋งเช่นเดียวกับกลิ่นหอมของนม เนยและชีสลอยอบอวลมาแต่ไกล ยิ่งเข้ามาใกล้กลิ่นหอมกรุ่นก็พานให้ผมตาลุกวาว


“ชีสเค้กแถมเป็นแบบอบไอน้ำ” ผมขยับตัวไปมองชีสเค้กเนื้อเนียนตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น ในจำนวนชีสเค้กมากมายหลายแบบผมชอบชีสเค้กแบบอบไอน้ำมากที่สุด


“ยินดีที่ได้เจอกันอีกครับคุณเทเลอร์ ท่านฮาเซลให้ผมทำเตรียมไว้ให้คุณโดยเฉพาะ” ผมหันไปมองฮาเซลเล็กน้อยหลังได้ยินคำอธิบาย


“ผมก็ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งครับ ขอบคุณสำหรับชีสเค้กมากนะครับ”


“หวังว่าจะถูกปากคุณ”


“ฝีมือคุณเชอร่อยแน่นอนครับ” รสชาติฝีมือคุณเชเทียบเท่าร้านดังระดับประเทศ ไม่มีทางไม่อร่อยหรอก


“ถ้าเป็นเช่นนั้นผมก็ดีใจ ทานให้อร่อยผมขอตัวก่อน” คุณเชโค้งตัวเล็กน้อยแล้วเดินออกไปจาห้องรับแขก


ชุดน้ำชาสีส้มอ่อนถูกรินเสิร์ฟอย่างเร็วระหว่างบทสนทนา ชีสเค้กชิ้นโตเป็นเหมือนของว่างทานคู่กับชาได้อย่างลงตัว รสชาติของชาช่วยเพิ่มความเข้มข้นให้กับชีสเค้กแต่ไม่หนักเกินไปเวลากินคู่กัน


“ขอบคุณนะฮาเซล” ผมเอ่ยขอบคุณพลางหันไปมองคนด้านข้าง


“แค่ได้เห็นใบหน้ายิ้มๆ นั่นก็แทนคำขอบคุณได้แล้ว”


“...กินไหม” ผมรีบหุบยิ้มแล้วยื่นจานใบเล็กที่มีชีสเค้กหนึ่งชิ้นใส่ไว้ ด้วยความที่ชีสเค้กทั้งก้อนค่อนข้างใหญ่ผมเลยค่อยๆ ตัดกินทีละชิ้น


“ไม่ล่ะ”


“คุณดูเหนื่อยมาก ไปพักดีกว่ามั้งผมจะรออยู่นี่แหละ” ตั้งแต่เจอกันผมลอบมองอีกฝ่ายตลอดแม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้มทว่าดวงตากลับดูอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด


“อยากอยู่กับเรย์นี่”


“ตื่นมาค่อยอยู่ด้วยกันก็ไม่สาย” จะมาฝืนอยู่ด้วยกันทั้งที่สภาพร่างกายไม่ไหวแบบนี้ผมไม่ชอบ


“...อยากอยู่กับเรย์”


“คุณเป็นเด็กรึไงฮาเซล” ดูคำพูดกับน้ำเสียงนั่นสินึกว่าตัวเองเป็นเด็กอายุ 12 รึไง


“นี่เรย์”


“ไปพักซะ” ผมพูดย้ำ


“เรย์” ฮาเซลเริ่มใช้น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น


“ไปนอน”


“เรย์”


“...มีอะไรจะพูดก็พูดสิ” ฟังน้ำเสียงแบบนั้นมากๆ หัวใจมาเริ่มไม่ปกติ


“ขอหนุนตักหน่อย”


“ฮะ? เฮ้ย! เดี๋ยวฮาเซล” อีกฝ่ายไม่ยอมฟังแม้แต่คำตอบหลังพูดจบฮาเซลเอนตัวนอนลงกับโซฟาโดยใช้ตักผมแทนหมอนหนุน ทำเอาผมต้องจับชามใส่ชีสเค้กไว้ให้มั่นไม่ให้ตกลงไปบนพื้นพรมด้านล่าง


ถ้าจะนอนเลยจะขอเพื่อ?


“อย่าเกร็งสิเรย์” ฮาเซลพึมพำระหว่างหลับตาลง


“คุณพูดง่ายนี่ ถ้าจะนอนนี่เดี๋ยวผมหยิบหมอนให้ยกหัวขึ้นก่อน” บนโซฟาข้างๆ มีหมอนใบเล็กวางอยู่น่าจะหนุนได้ดีกว่าตักแข็งๆ นี่ ผมพยายามใช้มือยกหัวฮาเซลขึ้นเพื่อจะเอื้อมมือไปหยิบหมอนทว่ากลับถูกคนบนตักใช้แขนทั้งสองข้างรวบเอวแล้วซุกหน้าลงบริเวณหน้าท้องผมเพื่อไม่ให้สามารถขยับไปไหนได้ดั่งใจ


“อยู่เฉยๆ เรย์ ฉันจะนอนแล้ว”


“จะนอนก็นอนดีๆ สิ ตักผมมันไม่น่านอนหรอกฮาเซล” ตักผู้ชายมันจะนุ่มน่านอนได้ยังไงไม่มีทาง


“ใครบอก ตักเรย์น่านอนจะตาย...พออยู่แบบนี้แล้วได้กลิ่นเรย์ด้วย ฉันต้องฝันดีแน่ๆ” เสียงอู้อี้ดังขึ้นจากใบหน้าที่ซุกอยู่บริเวณหน้าท้องทำเอาทั้งร่างผมเกร็งขึ้น น้ำเสียงและคำพูดนั่นอาจธรรมดาทว่ามันกลับสร้างดาเมจรุนแรงให้ผมได้


โชคดีที่ฮาเซลหลับตาอยู่จึงไม่เห็นว่าตอนนี้ใบหน้าผมมันเห่อแดงขนาดไหน หัวใจเองก็เต้นเร็วซะเหลือเกิน หากยิ่งยื้อบทสนทนาคงมีแต่จะทำให้ผมเสียเปรียบดังนั้นผมจึงยอมอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้ฮาเซลหนุนตักผมนอนไปเรื่อยๆจนกว่าจะพอใจ เสียงลมหายใจในตอนแรกเริ่มเปลี่ยนไปเป็นสัญญาณว่าฮาเซลหลับเรียบร้อยแล้ว


ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์ก้มมองเส้นผมสีน้ำตาลพริ้วไหวตาแรงลมลับกับโครงหน้าเรียวคมได้รูปอย่างเผลอใผลไม่รู้ตัว ผ่านไปสักพักใหญ่ผมใช้มือข้างหนึ่งลูบเส้นผมนั้นเล่นอย่างแผ่วเบาไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว เพิ่งเคยได้เห็นใบหน้าตอนหลับที่ไร้การป้องกันตัวขนาดนี้เป็นครั้งแรก


แปลว่าเขาเชื่อใจผมขนาดนั้นเลยสินะ...เชื่อว่าผมจะไม่อาศัยช่องว่างนี้จัดการเขา


ช่วงนี้ศัตรูกลุ่มเล็กไม่กล้าเข้ามามีเรื่องเนื่องจากข่าวลือที่แพร่กระจายไปไกลว่าฮาเซล กอนซาเลสมียมทูตแห่งความตายคอยหนุนหลังอยู่ ก็ไม่รู้ว่าใครปล่อยข่าวแต่ผมค่อนข้างชอบ หากมียมทูตแห่งความตายนักฆ่าที่เก่งที่สุดคอยหนุนหลังอยู่ต่อให้เป็นผู้มีอำนาจในระดับเดียวกันยังต้องคิดให้รอบคอบก่อนจะเป็นศัตรูด้วยเลยแทบไม่ต้องพูดถึงพวกผู้มีอิทธิพลระดับล่างๆ


ถ้าฉายาผมช่วยให้ฮาเซลเหนื่อยน้อยลงผมก็ยินดี


นี่ผมคงหลงเขาเอามากเลยแฮะ


“ไม่เข้าใจเลย ทำไมกันนะฮาเซล” ทำไมคุณถึงทำให้ผมรู้สึกได้ขนาดนี้ ทุกเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันอาจมีทะเลาะ อาจมียุแหย่ อาจมีไม่เข้าใจ แต่ทุกอย่างนั้นกลับทำให้ความชอบที่มีเพิ่มมากขึ้น


ตอนนี้ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่ากำลังมีความสุข...มีมากอย่างที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยเจอเพราะแบบนั้นผมจึงจะยอม ยอมที่จะเป็นของฮาเซล


คืนนี้เขาต้องรุกแน่


ผมมาค้างถึงบ้านจะไม่ทำอะไรเลยก็ดูเป็นสุภาพบุรุษเกินไปแล้ว


ฮาเซลตื่นขึ้นมาในช่วงบ่ายแก่ๆ ก่อนจะพาผมเดินเล่นยังสวนด้านข้าง ลูกสุนัขสองตัววัน ทูเดินตามพวกเราต้อยๆ หลังออกมาจากตัวบ้านเหมือนทั้งสองตัวจะรู้ว่าห้ามเข้าในตัวบ้านจึงนอนอยู่ตรงบันไดใกล้ประตูหน้า พอเดินดูสวนเสร็จถึงช่วงเวลาอาหารเย็นพอดี มื้อเย็นนี้คุณเชจัดทำเต็มรูปแบบราวกับเป็นการฉลองใหญ่งานอะไรสักอย่าง อาหารบนโต๊ะมีมากเกิน 10 อย่างจนฮาเซลต้องเรียกทุกคนในบ้านให้มานั่งกินด้วยกัน


ผมอยู่บ้านนี้มาหลายเดือนฮาเซลถึงจะดูเหมือนเจ้านายที่ไม่ค่อยสนใจลูกน้องแต่ความจริงแล้วเขาแสดงความสนใจในรูปแบบของตัวเอง มีหลายครั้งที่ฮาเซลเรียกพวกลูกน้องหรือลูกจ้างให้มาร่วมโต๊ะโดยไม่รังเกียจเหมือนบ้านอื่น นี่อาจเป็นเหตุผลที่ไม่มีใครในนี้กล้าทรยศหรือหักหลังฮาเซล การจะจัดการฮาเซลมันจะง่ายมากหากซื้อตัวหนึ่งในคนสนิทได้ แต่กับความสัมพันธ์แบบนี้ผมว่าไม่มีทางที่จะมีใครถูกซื้อตัว


“เอาล่ะ นี่ก็ดึกแล้วไปนอนกันเถอะ ห้องเรย์อยู่ที่เดิมนะ” ฮาเซลบอกระหว่างเดินมายังบันไดกลางตัวบ้านหลังมื้ออาหาร


“จะให้ผมนอนห้องนั้น?” ผมถามกลับพร้อมคิ้วสองข้างเริ่มขมวดเข้าหากัน


“...ห้องอยู่ทางนั้น อ้อ ถ้าเล็กไปมีห้องข้างๆ ฉันที่ใหญ่อยู่” ฮาเซลเงียบไปสักพักถึงพูดต่อ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะพูดสักหน่อย


คิดว่าผมจำห้องตัวเองไม่ได้รึไงอยู่มาตั้ง 6 เดือน อีกอย่างห้องนั้นก็ใหญ่มากพอสำหรับอยู่คนเดียวแล้วผมจะขอห้องนอนใหญ่ขึ้นเพื่ออะไร


นี่เขาคิดจะให้ผมไปนอนทั้งที่ผมอุตส่าเดินตามมาถึงบันไดขึ้นชั้น 2 เนี่ยนะ!


กำลังแกล้งหรือคิดไม่ทันกันแน่ฮาเซล


ผมเปิดช่องว่างให้ขนาดนี้จะไม่ชวนเข้าห้องหน่อยรึไง!


คำพูดมากมายหลายสิบประโยคผมอยากตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายแต่ต้องเม้มปากแน่นไม่ให้เสียงเล็ดรอดออกไปเพราะหากพูดออกไปมันก็เหมือนมีเพียงผมที่อยากทำน่ะสิ เพราะแบบนั้นผมจึงได้แต่ข่มความอายเดินเข้าไปใกล้ฮาเซลก่อนจะทาบฝ่ามือบนแผ่นอกนั่นแล้วลูบเบาๆ โดยเงยหน้าขึ้นไปประสานสายตากับอีกฝ่ายแทนการสื่อสาร


จะเรียกว่าอ่อยก็ไม่ผิด จะยั่วก็ไม่เชิง


ถามตัวว่าอายไหม


ตอบเลยว่ามาก ขอเติมคำว่าที่สุดด้วย


ทำขนาดนี้หวังว่าจะเข้าใจนะฮาเซล


“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะเรย์ ฝันดี” คำพูดนั่นทำเอาร่างกายผมถึงกับชะงักค้างกลางอากาศ


ผมมองดูฮาเซลเดินขึ้นไปยังชั้นสองนิ่งๆ ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใดๆ จนกระทั่งเดินไปถึงห้องนอนของตัวเอง ทันทีที่ประตูปิดเครื่องปรับอากาศภายในห้องถูกเปิดจนเย็นเฉียบก่อนท่อนขาเรียวของผมจะฟาดลงบนเตียงเต็มแรงและตามด้วยหมัดหนักซ้ายขวาที่ต่อยรัวยังหมอนนุ่มจนบิดเบี้ยว



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 13-02-2019 19:56:14
(ต่อนะคะ)


“ฮาเซล กอนซาเลส” ผมกัดฟันเรียกชื่อเจ้าของบ้านด้วยความหงุดหงิด


“คิดจะปั่นหัวผมเล่นรึไง!” ไม่เพียงแค่หมัดที่ชกไปทั่วแต่ยังมีการหยิบหมอนขึ้นมาฟาดลงกับเตียงหลายๆ รอบแทนการระบาย ทั้งหงุดหงิด ทั้งโกรธ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นไม่เท่าความเขินอายที่แทบปะทุออกมา


ตลอดมาเพียงแค่ผมชายตามองไม่ว่าจะชายหรือหญิงต่างไม่รอช้าที่จะสานสัมพันธ์จึงทำให้ผมสามารถจัดการเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย


แล้วนี่อะไร


จะบอกว่าใช้ไม่ได้ผลกับฮาเซลเหรอ


“ไม่ ไม่ใช่สิ” ผมว่าต้องได้ผลแต่มีบางอย่างฮาเซลถึงได้ไม่ทำอะไร


เหนื่อยเหรอ ไม่ใช่หรอกเพิ่งตื่นเมื่อช่วงบ่ายเอง


หรือไม่สบาย ท่าทางดูปกติทุกอย่างตัดข้อนี้ทิ้งไปได้เลย


ผมมันเป็นพวกขี้สงสัย เมื่อมีอะไรที่ไม่รู้ผมจะทำทุกทางเพื่อหามัน และในเมื่อเรื่องนี้มีประเด็นหลักคือฮาเซล ทางที่เร็วที่สุดคือไปถามจากเจ้าตัวโดยตรง แต่จะให้ไปเคาะประตูยามวิกาลผมก็ไม่กล้าเลยใช้วิธีอื่นที่ชินกว่าซึ่งก็คือการลอบเข้าไปทางระเบียงโดยการออกไปยืนยังขอบระเบียงห้องตัวเองแล้วใช้ลวดยึดระเบียงด้านบนปีนขึ้นไปอย่างเงียบเชียบไม่มีแม้แต่เสียงยามกระโดดลงไปบนพื้นระเบียง


โชคดีที่ไม่ได้ปิดม่านไว้ผมจึงเห็นภายในห้องไฟทุกดวงดับสนิท บนเตียงมีร่างฮาเซลนอนหลับหันข้างอยู่ ประตูระเบียงเป็นแบบกระจกเลื่อนซึ่งล๊อกไปจากด้านใน


“หึ คิดว่าแค่นี้จะหยุดผมได้เหรอ” ผมยกยิ้มพร้อมใช้ลวดเส้นเดิมไขแทนการใช้กุญแจ ทักษะการไขเปิดปิดประตูผมพอมีอยู่บ้างเนื่องจากหลายๆ ภารกิจจำเป็นต้องใช้ เพียงไม่นานประตูกระจกก็ถูกเลื่อนออก ผมก้าวเข้าไปด้านในและปิดประตูลงตามเดิม เดินไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ข้างเตียงมองฮาเซลที่หลับตาสนิท ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเตรียมใจก่อนจะก้าวขึ้นไปบนเตียงในจังหวะเดียวกับฮาเซลพลิกตัวหันมาทางนี้


ดวงตาสีม่วงอันปราศจากคอนแทคเลนส์ของผมมองไปยังใบหน้าหลับสนิทบนเตียง ร่างกายผมขยับเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว รู้อีกทีผมก็จูบแก้มอีกฝ่ายเบาๆ ไปหนึ่งที


พอแล้ว


วันนี้พอแค่นี้แหละ


เหมือนสมองและร่างกายไม่สามารถรับได้มากไปกว่านี้แล้วผมจึงได้หันหน้าไปยังประตูกระจกเตรียมกลับไปยังห้องและทำเป็นเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นทว่าก่อนลุกออกจากเตียงมือผมกลับถูกคว้าไว้ และเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้นแผ่นหลังผมแนบสนิทกับเตียงโดยมีชายที่น่าจะหลับสนิทขึ้นคร่อม


“คิดจะกลับคงไม่ง่ายเหมือนตอนเข้ามาหรอกนะเรย์” เสียงกระซิบพร้อมดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองที่เปล่งประกายจริงจังทำเอาขนทั้งร่างลุกชัน ในหัวพยายามประมวลสถานการณ์ด้วยสติที่ตอนนี้แทบจะไม่หลงเหลือ


“...นี่คุณรู้ว่าผมมา?” ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายตรงๆ


“ไม่รู้หรอก แค่คิดไว้ว่าถ้ามาฉันคงไม่สามารถปล่อยกลับไปได้” ฮาเซลตอบโดยยังสบตากับผมอยู่


“หมายความว่ายังไง”


“ฉันรู้ว่านายยังไม่พร้อม และฉันไม่อยากบังคับถึงได้อดทนไม่ลากเรย์มานอนด้วย แต่ท่าทางตั้งแต่เดินตามหลังมาจนถึงบันไดกับการใช้ฝ่ามือลูบอกมันทำเอาความอดที่มีค่อยๆ หมดลง ถ้าท่าทางเหล่านั้นคือยอมให้ฉันสัมผัสเรย์ก็น่าจะเป็นฝ่ายมาหาเองเพราะไม่ชอบให้อะไรค้างคา” คำอธิบายไขข้อสงสัยทุกอย่างได้เป็นอย่างดี


กะแล้วเชียว ไม่ใช่ว่าไม่ได้ผลแต่ฮาเซลกำลังอดทนและให้ผมเป็นฝ่ายมาหา


คิดแบบนี้เหมือนผมเดินวนอยู่บนฝ่ามือของฮาเซลไม่มีผิด


“คุณมันนิสัยแย่...อื้อออ~” ยังไม่ทันพูดจบริมฝีปากร้อนก็ประกบลงมาแนบชิดจนไม่เหลือที่ว่าง ผมขัดขืนเล็กน้อยก่อนจะยอมเปิดปากให้อีกฝ่ายรุกล้ำเข้ามา ฮาเซลไม่ปล่อยโอกาสที่ผมให้ตักตวงทุกย้ำทุกสัมผัสอย่างรุนแรงทว่ากลับแฝงไปด้วยความอ่อนโยน


ในขณะปากกำลังเชื่อมต่อกันฝ่ามือร้อนๆ ของฮาเซลเลิกเสื้อผมขึ้นลูบไล้หน้าท้องไปมาก่อนจะขยับมือสูงถึงไปถึงแผ่นอก หน้าอกถูกลูบไล้สลับกันทั้งสองข้างสร้างอารมณ์ที่มีให้ทะยานสูงขึ้น ผมทำได้เพียงหลับตาลงเพื่อรับทุกสัมผัส มือข้างหนึ่งเอื้อมไปขย้ำเสื้อฮาเซลแน่นส่วนอีกข้างกำผ้าปูที่นอนไว้ ความร้อนภายในร่างกำลังปะทุ จูบอันเร่าร้อนแฝงไปด้วยความรู้สึกดีจนแทบละลาย


ผ่านไปสักพักฮาเซลถอนจูบออกอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองทอประกายแม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดซึ่งมีเพียงแสงจันทร์รอดผ่าน ฝ่ามืออีกข้างของฮาเซลเอื้อมมาแตะใบหน้าผมพร้อมรอยยิ้มอันเปี่ยมด้วยความสุขขนาดฝ่ายอย่างผมมองยังเขิน


“ถ้าไม่ขัดขืนตอนนี้ฉันจะไม่ปล่อยจริงๆ นะเรย์” แม้เขาจะอยากต่อแทบตายแต่ก็ยังคิดถึงความรู้สึกผม


ฮาเซลเป็นแบบนี้เสมอ แม้จะดูเหมือนชอบแหย่ชอบแกล้งแต่กลับรู้ทุกอย่าง และอ่อนโยนกว่าใครๆ


“ต่อให้ผมขัดขืนก็อย่างปล่อยนะฮาเซล” ผมบอกเสียงเบาแล้วจูบลงบนฝ่ามือที่แนบอยู่ยังใบหน้าพร้อมเผยปลายลิ้นออกมาเลียฝ่ามือนั้นเบา


“อึก...ขนาดมองไม่ค่อยเห็นยังทำกันได้นะเรย์ ฉันขอเปิดไฟได้ไหม”


“ไม่ได้ ผมไม่ยอมให้หยุดตอนนี้หรอกนะ” นี่ก็ทั้งเขินทั้งอายตัวเองจะตายอยู่แล้วขืนให้เปิดไฟผมได้ละลายกลายเป็นไอแน่


“ยั่วได้ยั่วดี เตรียมตัวรับผลที่ตามมาได้เลย”


“จะรอดู อ๊ะ! อื้ออ~” แรงขบเม้มบริเวณลำคอเรียกเสียงครางจากผม แผ่นออกเปลือยเปล่าปราศจากเสื้อที่ไม่รู้ว่าถูกถอดออกไปตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวฮาเซลก็ขบเม้มไล่ลงมาจนถึงหน้าอกข้างหนึ่งถูกดูดดึง อีกข้างถูกลูบไล้ด้วยฝ่ามือร้อนเป็นสัมผัสที่พานให้สติดับวูบ ในหัวขาวโพลนไปหมด


ความรู้สึกแปลกๆ คล้ายจะรู้สึกดีแล่นเข้ามาและทวีความรุนแรงขึ้น เสียงครางดังอย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่ปลายลิ้นและฝ่ามือของฮาเซลเคลื่อนไหว


“อื้อ! อ๊ะ...ฮาเซล” ผมเรียกเสียงแผ่วพยายามดันหัวอีกฝ่ายให้ออกไป ส่วนกลางลำตัวกำลังร้อนและตื่นตัวมากขึ้นโดยไร้การแตะต้อง ปล่อยไว้แบบนี้อีกไม่นานผมคงถึงจุดหมาย


เจ้าของชื่อนอกจากไม่ยอมผละออกหรือผ่อนแรงแล้วยังรุกดุดันมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า เพียงริมฝีปาก ปลายลิ้นและฝ่ามือที่สัมผัสบริเวณแผ่นอกนั้นมากพอทำให้ความสุขสมถูกปลดปล่อยออกมาอย่างง่ายดาย


“อื้ออ~! อ๊า! ไม่” ทันทีที่ปลดปล่อยฮาเซลไม่รอช้าปลดกางเกงผมลงพร้อมปลดซิปกางเกงตัวเอง ความร้อนรุ่มถูกปลุกเร้าขึ้นมาอีกครั้งเพียงแค่ฮาเซลทาบทันร่างกายลงมาจนส่วนร้อนผ่าวแตะกันแนบชิด


“แค่ได้ยินเสียงก็แทบไม่ไหวแล้ว นี่ใช้เวทมนต์อะไรถึงทำให้ฉันคลั่งได้ขนาดนี้ฮืมเรย์” ฮาเซลจูบแก้มผมหนักๆ ก่อนเปลี่อนท่าให้ผมคว่ำหน้าลงกับเตียงโดยยกสะโพกขึ้น


เป็นท่าทางที่ทำให้เจ็บน้อยที่สุด


ผมรู้และคิดว่าฮาเซลคงรู้เช่นกันถึงเลือกท่านี้


น่าอายที่สุด!


“อ๊า! ฮาเซล ช้าหน่อย อื้อ! เจ็บ” ทั้งร่างสะดุ้งเฮือกเมื่อช่องทางด้านหลังถูกรุกรานด้วยปลายนิ้วเปียกชื้นจากโลชั่นหรืออะไรสักอย่าง เพียงเริ่มแรกความเจ็บเสียดก็มากเกินกว่าจะรับรู้ถึงความรู้สึกอื่น


“ขอโทษ นายทำฉันทนไม่ไหวนี่ จะช้าลงให้” เสียงกระซิบดังขึ้นก่อนการเคลื่อนไหวจะลดลงจนผมสามารถผ่อนลมหายหายออกมาได้


“อ๊ะ อื้อออ~!” เพียงไม่นานความเจ็บเสียดหายไปและแทนที่ด้วยความกระสันที่มากกว่าเดิมหลายเท่า สะโพกยกขึ้นและเริ่มส่ายอย่างไม่รู้ตัวเมื่อความรู้สึกดีแล่นเข้ามา


“อย่ายั่วเรย์ จะฆ่ากันทางอ้อมหรอคุณนักฆ่า” ฮาเซลลูบสะโพกผมและบิดเบาๆ เพื่อให้ผมหยุด


“อ๊า! อย่าแกล้ง ผมไม่ อื้อ! ไม่ไหว”


“ฉันก็ไม่ไหวเหมือนกัน เป็นของฉันนะเรย์” ร่างกายกำยำสมส่วนของฮาเซลขยับมาทาบทับพร้อมส่วนตอนที่ตื่นตัวจนเต็มที่ค่อยๆ ล่วงล้ำเข้ามาด้านใน


“เจ็บ อึก!” ผมก้มหน้าลงกับหมอนก่อนจะขยับสะโพกหนีทว่าฮาเซลกลับไม่ยอม เขาจับสะโพกผมไว้แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาโดยก้มลงจบแผ่นหลังแล้วขบเม้มเพื่อให้ผมหันไปสนใจบริเวณอื่น


“ทนหน่อย อย่าเกร็งฉันไม่อยากให้นายเจ็บมาก” น้ำเสียงห่วงใยนั่นทำให้ผมกลั้นใจผ่อนคลายและปล่อยให้การลุกล้ำนั้นเป็นไปด้วยดี


“ไม่จำเป็นต้องห่วงขนาดนั้น ผมเป็นผู้ชายนะ อื้มม~” ไม่นานการเคลื่อนไหวก็หยุดลง ผมสัมผัสได้ถึงตัวตนของฮาเซลอย่างชัดเจน ทั้งที่อายแต่กลับแฝงไปด้วยความสุข


“จะเป็นหญิงหรือชายฉันไม่สนหรอก ขอแค่เป็นเรย์ไม่ว่าเพศไหนฉันจะอ่อนโยนและดูแลอย่างดี ไม่นับที่นายยั่วนะ”


“ผมไม่ได้ยั่ว อ๊ะ!” ผมร้องเสียงหลงทันทีที่การเคลื่อนไหวเริ่มขึ้น อาจเพราะเริ่มชินจึงไม่รู้สึกเจ็บมากเหมือนตอนเข้ามาแรกๆ ไม่นานความคิดนั้นก็ละลายหายไปไม่เพียงไม่เจ็บแต่ความรู้สึกดีแล่นเข้ามาจนร่างกายไม่รับรู้ถึงอย่างอื่นนอกจากสัมผัสของฮาเซล


แรงขยับสะโพกเริ่มเร็วและเร็วขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งได้ยินเสียงผมครางฮาเซลยิ่งเพิ่มแรงกระแทกเข้าไปอีก ใบหน้าผมเชิดขึ้นทุกครั้งที่ถูกรุกลานอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายสั่นระริกแทบพยุงตัวไม่อยู่


“อ๊า! ฮาเซล อึก ไม่ไหวแล้ว อ๊ะ! อื้ออ~!” ความต้องการจะปลดปล่อยแล่นเข้ามา ผมอยากสัมผัสส่วนกลางตื่นตัวของตนเองทว่าด้วยท่านี้ผมไม่มีแรงมากพอจะพยุ่งร่างตัวเองด้วยมือเดียวได้ ฮาเซลยังคงขยับรุนแรงขณะแผ่นหลังผมถูกขบเม้มหลายต่อหลายรอบหากจบเรื่องคงมีรอยเต็มหลังแน่


“ปล่อยออกมา อ่า อยากเห็นหน้าเรย์ชะมัด” ฝ่ามือร้อนๆ เอื้อมมาสัมผัสส่วนร้อนกลางลำตัวพร้อมขยับเคลื่อนไหวเป็นจังหวะเดียวกันกับแรงขยับสะโพก แม้จะรุนแรงทว่าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน


นี่แหละฮาเซล


“ฮาเซล อ๊ะ! ฮาเซล...ผมก็ อึก อยากเห็นหน้า อื้อ!” ผมครางแล้วพยายามหันหน้าไปมองฮาเซล เพียงพริบตาหลังจบคำพูดร่างผมถูกจับพลิกให้หันหน้าเข้ากัน ในทุกจังหวะการขยับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองประสานกับดวงตาสีม่วงของผมอยู่ตลอด
ใบหน้าของฮาเซลกำลังรู้สึกดี


“อึก ทำหน้าเซ็กซี่ไปแล้ว”


“อ๊าาา~!” แรงขยับที่มากขึ้นทำให้ผมคว้าคออีกฝ่ายมาก่อนไว้แน่น ไม่นานอารมณ์และความสุขสมก็ถูกปลดปล่อยออกมาในที่สุด มือทั้งสองข้างของผมยังคงกอดคอฮาเซลแน่นและซุกใบหน้าลงหอบหายใจแรง เช่นเดียวกับฮาเซค่อยๆ ถอนตัวออกไปแล้วเอนตัวลงนอนโดยกอดผมไว้หลวมๆ


“อยากทำอีกรอบ” เสียงกระซิบนั่นทำให้ผมมีแรงดิ้นขัดขืนแทนจะทันที


“...ปล่อยเลย ผมไม่ไหวแล้ว” ให้ทำอีกรอบผมไม่ไหวแน่ๆ สลบคาเตียงพอดี


“ฉันแค่อยากไม่ทำหรอก รู้ว่าเรย์ไม่ไหว นอนเถอะ” อ้อมกอดฮาเซลรัดแน่นขึ้นกันผมดิ้นหลุด


“ผมจะกลับไปนอนห้อง” จะให้นอนตรงนี้กลัวหัวใจมันจะหลุดออกมาซะก่อน


“ไม่ให้กลับ บอกแล้วไงว่าถ้าเข้ามาแล้วออกยาก”


“...คุณนี่ เป็นแบบนี้ซะเรื่อย”


“แล้วรักไหมล่ะ” ฮาเซลกระซิบถาม


“ถ้าไม่รักจะยอมขนาดนี้เหรอ” ถ้าเป็นคนอื่นผมถีบกระเด็นตกเตียงไปแล้ว


ฮาเซลเป็นคนแรกที่ทำให้ผมยอมได้ขนาดนี้


“ฉันก็รักนาย รักเรย์ รักมากๆ เลย”


“ฮาเซล...”


“ฉันยังแปลกใจเลยที่ตัวเองรักใครได้มากแบบนี้ ตอนแรกเพียงแค่สนใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ไม่อาจละสายตาไปได้ ดวงตาสีม่วงตรึงไม่ให้ฉันไปไหน รอยยิ้มมุมปากเปี่ยมเสน่ห์ทำให้หลงใหลจนไม่เป็นอันทำอะไร ทุกอย่างของเรย์ทำให้ฉันหลงรักอย่างหมดหัวใจ” ทุกถ้อยคำผมตั้งใจฟังและรับรู้ได้ว่ามันคือความจริงที่มาจากความรู้สึกของฮาเซล


ความรู้สึกของเขาที่มีต่อผม


“ผมเองก็เหมือนกัน ทั้งที่คุณชอบมาแกล้ง ชอบมาแหย่ ชอบทำให้หงุดหงิดและโมโหแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มกลับมามีชีวิต เริ่มสนุกไปกับทุกอย่างรอบตัวโดยมีคุณเป็นศูนย์กลาง มีเพียงคุณเท่านั้นที่ทำให้ผมหวั่นไหวและหัวใจเต้นแรง ทุกอย่างนี้คงเป็นเพราะรักใช่ไหม” ผมไม่เคยรักจึงไม่รู้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นนคืออะไร


“นั่นคือรักเรย์ พวกเราต่างรู้สึกเหมือนกัน”


“แล้วต่อไปมันจะยังเหมือนเดิมไหม” มันอาจเป็นคำถามที่ยากแต่ผมอยากรู้


อยากขอความมั่นใจให้กับความรู้สึกที่เรียกว่ารักนี้


“ทุกอย่างเราต้องเสี่ยงที่จะเดินต่อถึงจะรู้ว่าต่อจะเป็นยังไง แต่ฉันไม่คิดว่ามันเหมือนเดิม เพราะตอนนี้ฉันรักเรย์มากกว่าเดิมซะอีก” หัวใจผมเริ่มเต้นแรงกับคำพูดนี่


นั่นสินะ ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ว่าจะเรื่องไหนต่างต้องเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น


ความรักเองก็คงเหมือนกัน


ต้องเสี่ยงเพื่อจะได้รับรู้


ต้องเสี่ยงที่จะยอมรับ


ต้องเสี่ยงหากคิดจะเดินหน้าต่อ


ต่อให้วันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร...


ถึงต้องเสี่ยงสักแค่ไหนแต่หากตรงหน้าผมมีชายชื่อฮาเซล กอนซาเลสผมก็พร้อมที่จะเสี่ยง...ยอมเสี่ยงเพื่อให้ได้อยู่เขียงข้างและได้หัวใจของเขามาครอบครอง


“ผมก็รักคุณฮาเซล”

.................................จบบริบูรณ์..................................

จบแล้วค่าาา

รู้สึกดีใจและเสียใจไปพร้อมๆ กันหลังจากแต่งเรื่องนี้จบ

ดีใจที่ได้เห็นทั้งคู่ครองรักกันและเสียใจที่ไม่ได้แต่งให้ฮาเซลโดนเรย์ซ้อมแล้ว 555

ขอบคุณนักอ่านทุกๆ คนนะคะที่คอยติดตามกันมาตั้งแต่เริ่มเรื่องจนจบเรื่อง

หลายเดือนที่ผ่านมาสนุกมากๆ กับการได้แต่งเรื่องของเรย์และฮาเซล

ถึงเรื่องนี้จะจบลงแต่งเรายังคงแต่งนิยายต่อ

ฝากผลงานเรื่องอื่นๆ ของเราด้วยนะคะ

เรื่องนี้จะมีรวมเล่มในอีกไม่ช้าค่ะ

สามารถติดตามข่าวได้ทางเพจของเรา nicedog (https://www.facebook.com/novelistnicedog/)  นะคะ
 
ขอบคุณมากๆ ค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-02-2019 20:53:42
เรียบร้อยโรงเรียนฮาเซล อิอิ
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-02-2019 23:45:41
ทะนุถนอมสุด ๆ เลยนะ  o13
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 14-02-2019 06:57:51
ขอบคุณค่ะ เป็นอีกเรื่องที่น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: blugar ที่ 14-02-2019 18:59:16
สนุกมากก ช่วงนี้กำลังอยากอ่านแนวนายเอกเป็นนักฆ่าพอดีเลย ;__;
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 14-02-2019 19:11:00
สมหวัวแล้วนะฮาเซล ต่อไปนี่ก็จะมีเรย์มาอยู้ข้างกานแล้ว

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ เรื่องนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 17-02-2019 12:45:49
สนุกค่ะ ขอบคุณมากๆ :pig4: :pig4: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 17-02-2019 13:20:01
 :3123: :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: minicabbage ที่ 20-02-2019 15:32:16
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ ชอบตอนฮาเซลอยู่กับเรย์มากกก :3123:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 21-02-2019 15:18:56
ขอบคุณฮะ สนุกสนาน เนื้อเรื่องแปลกดี
อิจฉาคู่นี้เบาๆ 5555+
รอติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปนะฮะ
  :L2::pig4:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 22-02-2019 11:27:49
สนุกมาก ๆ ค่ะ จะรออุดหนุนผลงานนะคะ
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-02-2019 20:18:44
สนุกมากกก เป็นนายเอกที่แกร่งของจริงค่ะ เท่มากๆเลยนานๆจะเจอแบบนี้ ขอบคุณมากนะคะ สนุกมากเลน  :hao5:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 26-02-2019 22:03:11
 :-[ อยากมีเรย์เป็นของตัวเองงงงง
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: naezapril ที่ 27-02-2019 08:36:48
สนุกกกกกมาก
ขอบคุณ​ครับ
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 28-02-2019 09:50:38
สนุกมากๆ ชอบความฉลาดและเก่งทันกันของพระเอกนายเอก
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: enas290843 ที่ 28-02-2019 13:34:37
เรย์น่าเอ็นดูมากกก สนุกมากๆค่ะ ตามหานิยายดีๆแบบนี้มานานแล้ว ฉากบู๊ก็มันส์สุดๆเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ อ่านแล้วภาพออกเลย555555 ขอบคุณมากค่า สำหรับนิยายสนุกๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: dekzappp ที่ 01-03-2019 13:40:35
หูยยยยยยยย ชอบพล็อต ชอบตัวละครมากกกก ชอบเรย์ เป็นคนสู้ชีวิตจริงๆ ชอบคาแรคเตอร์แบบดูคอนทราสท์ดี ในมุมทำงานก็เก่งเท่ห์ พอพักเท่านั้นแหละ หนูเรย์น่าร๊ากกกกกกก อยากจะเหมาชีสเค้กให้เลย
ส่วนคุณพระเอก ฉลาดดด ไม่โง่ เซ้นดีสุดๆ

เราอ่านรวดเดียว สนุกมากๆ ยกนิ้วในคนเขียนเลย
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 01-03-2019 23:51:10
 :pig4: สนุกไหลลื่นดีชอบการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครดี o13
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 02-03-2019 19:10:37
ด้วยความที่คาแลคเตอร์ของเรย์มีความแฟนตาซีอยู่เล็กๆ ทำให้เหมือนอ่านการ์ตูนเลย
มันเขี้ยวเรย์มาก
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: yumenari ที่ 02-03-2019 20:14:31
สนุกมากกกกก

ดีมากกกกิ

ชื่อนักเขียนนี่ ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Parapoyfaii ที่ 03-03-2019 00:18:29
จบแล้ววว เจอรีวิวของคุณหมีในทวิตก็รีบเข้ามาเลย555
สนุกมากค่า อ่านแล้วยิ้มในความกวนของฮาเซล
2คนนี้เหมือนเกิดมาเพื่อกันและกันจริงๆ เหมาะสมกันสุดๆ
ไม่ได้คู่กันก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว เรย์ก็คือเป็นนายเอกที่แข็งแกร่งสุด
สามารถปกป้องพระเอกได้555 นายเอกอันดับ1จริงๆ
ขอบคุณนะคะ ที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่าน สนุกมากจริงๆ
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: mrsnikiforov ที่ 03-03-2019 21:06:58
ตามรอย :hao7:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Wanwann ที่ 03-03-2019 22:32:52
สนุกมากกกกก ชอบมากกก ขอบคุณนักเขียนที่เขียนเรื่องนี้:mew1: :bye2:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nightcap ที่ 03-03-2019 22:33:57
สนุกมากค่าาา ดีงามมมชอบฉากบู๊มากกกกก บรรยายได้เห็นภาพ ฉากขนมก็บรรยายได้น่ากินน ตามอ่านนิยายของไรท์จะครบแล้ว อยากให้แต่งต่อไปเรื่อยๆ เป็นกำลังใจให้เสมอค่าาา o13
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 03-03-2019 22:39:00
ขอบคุณค่ะ สนุกมากๆเลย หลงรักทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: «·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันที่5« 10/10/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 04-03-2019 01:45:41
นี่แม่โรซ่า เธอกลับไปเป็นซอสมะเขือเทศของเธอเหมือนเดิมไป

อย่าได้มายุ่งกะเขาเลย ผช.เขาก็บอกขนาดนั้นแล้ว
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 04-03-2019 10:34:17
สนุกอ่ะ o13
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 05-03-2019 03:28:32
ขอบคุณนะคะ สนุกมาก ๆ เลย
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: FeRnChOi ที่ 06-03-2019 08:41:30
สนุกมากกกกกกกกกก เนื้อเรื่องดีมากเลยค่ะ
ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกแบบนี้มาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 06-03-2019 09:37:25
ชอบคาแลคเตอร์ เรย์ มาก
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: dekfad ที่ 07-03-2019 22:54:13
สนุกมากเลยค่ะ ชอบพล็อตเรื่องแปลกใหม่น่าติดตาม ภาษาดี เป็นกำลังใจให้เขียนงานดีๆ แบบนี้อีกนะคะ
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: palm-metto ที่ 07-03-2019 23:30:53
สนุกมาก ๆ ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ
เรื่องราวดีมาก ครบรส ถึงแม้จะตัดจบห้วนไปหน่อย แต่ก็ถือว่าไขทุกประเด็น อยากให้มีตอนพิเศษ อยากรู้เรื่องชีวิตคู่ของพวกเค้าหลังจากนี้..
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 10-03-2019 17:32:58
ฮาเซลถือว่าเป็นคนน่ารักสำหรับแฟนมาก
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แกมแก่มแก้มแก๊มแก๋ม ที่ 10-03-2019 18:14:47
สนุกมากก โดยเฉพาะฉากบู้อ่านเพลินสุดดๆ  :pig4:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Piiiimsen ที่ 12-03-2019 21:41:45
โอ๊ยย สนุกกก ชอบเรื่องนี้ ชอบบุคลิกของทุกตัวละคร ชอบความอ่อนโยน ชอบความละมุน ชอบความท้าทาย ภาษาที่ใช่ก็บรรยายดี ฉากต่อสู้ต่างๆเขียนออกมาดี ฉากกุ๊กกิ๊กก็น่ารัก พล็อตเรื่องก็ดี เดินเรื่องไม่ช้า ขอบคุณมากนะคะ ชอบบบ  :o8:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 13-03-2019 16:33:45
ชอบการที่เค้าค่อยๆหลงรักกัน
ค่อยๆๆเรียนรู้และสุดท้ายก้ปรับตัวเข้าหากันได้แบบเนียนๆเลย
เหมือนการยอมที่ไม่เรียกว่ายอมอะ
น่ารักมากกกกกกที่สามารถจูนเข้าหากันได้โดนไม่สูญเสียความเป็นตัวตนไป
บทบาทในชีวิตคงเดิม เพิ่มเติมคือมีอีกคนอยู่ข้างๆ
ฮาเซลคือแบบขั้นกว่าของคำว่ารักและหลง
ส่วนเรย์ก้คือ น่ารักทุกเวลาอยู่กับขนมหวาน
ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆนะคะ
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 16-03-2019 09:53:00
จะมีตอนพิเศษมั้ยน้าาาา :hao7:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 16-03-2019 19:14:42
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ชอบอ่าน ที่ 16-03-2019 23:26:24
อ่านยาวๆเลย สนุกมากกกกก พระเอกยอมสุด หลงแรง  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Fufufeel ที่ 17-03-2019 20:19:15
เราอยากมีฮาเซลเป็นของตัวเองจังค่ะ5555คนอะไรดีเบอร์นี้ :hao7:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 20-03-2019 06:56:33
 :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 20-03-2019 09:47:55
 :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »เสี่ยงรักวันสุดท้าย« 13/2/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 21-03-2019 20:20:47
สนุก ตื่นเต้น และลุ้นไปกับความสัมพันธ์น่ารักๆของสองหนุ่ม

ขอบคุณสำหรับนิยาย
บวกค่ะ^^
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 29-03-2019 12:47:15
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ ส่งท้าย



“เรย์” เสียงแรกยามลืมตาตื่นคือเสียงอันคุ้นเคยของฮาเซลผู้เป็นคนรัก


“...ขออีกแป๊บ” ผมหลับตาลงและเตรียมเข้าสู่นิทราอีกรอบ เมื่อคืนผมเปลืองพลังไปมากกับการร่วมรักครั้งแรกของพวกเรา ฮาเซลแม้จะอ่อนโยนแต่ก็รุนแรงจนร่างกายแทบไม่ไหว


“เรย์” น้ำเสียงอันอ่อนโยนกระซิบข้างใบหูก่อนจะจูบเบาๆ บริเวณขมับ


“...ผมจะนอน” แม้จะแพ้ทางน้ำเสียงแสนอ่อนโยนนั่นแต่ตอนนี้ความง่วงมีมากว่าหลายเท่า


“เรย์”


“...” ผมเงียบแล้วหลับตาลง ทำแบบนี้คงจะหยุดกวนกันได้สักที


“เรย์” เหมือนสิ่งที่คาดจะไม่เป็นจริง นอกจากจะไม่ได้ผลฮาเซลยังกระซิบเสียงอ่อนโยนอีกหลายต่อหลายรอบ ความง่วงเริ่มละลายหายไปแทนที่ด้วยความร้อนบนให้หน้า


“...มีอะไร” ในที่สุดผมก็ต้องลืมตาหันไปสบกับฮาเซลตรงๆ


“ไม่นอนต่อเหรอ ฉันอยากกระซิบต่ออีกหน่อย”


“ถ้าจะกระซิบต่อผมจะกลับไปนอนห้องตัวเองแล้ว” แหย่กันได้ตั้งแต่เช้า


“ก็รู้อยู่ว่าไม่ยอมให้ไปหรอก” พูดจบวงแขนก็โอบเอวผมให้เข้าไปแนบชิดกับแผ่นอกเปลือยเปล่า ความอบอุ่นแผ่ซ่านมาถึงได้โดยตรง


“อย่ากวนสิ” ผมไม่ได้ขัดขืนต่อสัมผัสที่ได้รับ การถูกกอดรัดราวกับตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ น่าทะนุถนอมแบบนี้ผมชอบแต่ไม่บอกฮาเซลหรอกนะเดี๋ยวจะเอามาแหย่ผมเล่นอีก


“งั้นเข้าเรื่องเลยนะ”


“ควรจะเข้าตั้งนานแล้ว”


“ย้ายมาอยู่นี่เถอะเรย์”


“...ทำไม ผมว่าแบบนี้มันดีอยู่แล้วนะ พวกเราต่างมีหน้าที่ของตัวเองโดยเฉพาะผมที่ต้องทำงานช่วงกลางคืนหรือออกไปหาข้อมูลบางทีก็กินเวลาหลายวันการมาอยู่นี่มันไม่สะดวกแล้วอาจทำให้คุณเป็นอันตรายไปด้วย” ผมบอกเหตุผลไปตามตรง


ใช่ว่าผมไม่เข้าใจฮาเซลแต่อาชีพผมไม่รู้ว่าจะมีศัตรูมาตลบหลังหรือแอบตามรึเปล่า หากพวกนั้นตามมาถึงบ้านนี้จะเป็นการดึงฮาเซลเข้ามาเกี่ยวด้วย


เขามีเรื่องมากพอแล้ว ผมไม่อยากเอาเรื่องมาให้อีก


“อาชีพฉันก็อันตรายไม่แพ้กัน มาปกป้องซึ่งกันและกันไม่ดีกว่าเหรอ” ฮาเซลให้เหตุผลบ้าง


ความคิดฮาเซลถือว่าดี ปกป้องซึ่งกันและกัน ผมชอบคำนี้นะ ไม่ใช่เขาปกป้องผมแต่เป็นพวกเราต่างปกป้องกันและกัน หากได้อยู่ที่นี่คงมีเวลาได้เจอกันมากกว่าเดิมหลายเท่า


มีทั้งข้อดีและข้อเสีย


“ถ้าผมไม่ตกลงล่ะ” ผมลองถามดู


“เซ้นส์ฉันบอกว่าเรย์ต้องตกลง”


“ใช้เซ้นส์อีกแล้ว ผมเกลียดเซ้นส์คุณจริงๆ” แค่ใช้เซ้นส์ก็ตัดสินได้แทบทุกอย่างแถมยังตรงอย่างไม่น่าเชื่ออีก ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เซ้นส์ดีขนาดนั้น


“เกลียดเซ้นส์แต่รักฉันใช่ไหมเรย์” พูดจบก็กระชับวงแขนกอดผมแน่นขึ้นกว่าเดิม แถมยังใช้ริมฝีปากไล้เบาๆ บริเวณขมับแล้วกดจูบลงติดกันหลายๆ ครั้ง


“...ผมไม่ได้พูดนะ” ผมแอบยิ้มกับสัมผัสที่ได้รับ


“ยิ้มอยู่นี่ ฉันเห็นผ่านกระจก” เสียงกระซิบนั่นทำให้ผมมองตรงไปด้านหน้าซึ่งมีประตูระเบียงทำจากกระจก กระจกนั้นสะท้อนใบหน้าผมและฮาเซลที่ขยับใบหน้ามาเกยแขนผมและส่งยิ้มยักคิ้วผ่านกระจกมาให้


 ใบหน้าของผมเห่อแดงอันตโนมัติผมแทบอยากมุดหน้างลงกับหมอนถ้าไม่ติดว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองนั่นตรึงไม่ให้ผมขยับร่างกายได้


“เงียบไปเลย”


“น่ารักจังเรย์”


“ฮาเซล!” ผมขึ้นเสียงก่อนใช้ศอกแทงไปด้านหลังหวังจะโดนอีกฝ่ายทว่ากลับถูกมือข้างหนึ่งรับไว้ได้ ไม่เพียงแค่รับได้แต่ยังใช้โอกาสนั้นพลิกตัวผมให้หันหน้าเข้าหากัน


“มาอยู่ด้วยกันนะเรย์” น้ำเสียงแสนอ่อนโยนและแววตาสีน้ำตาลอ่อนส่องประกายเจิดจ้า


ผมแพ้น้ำเสียงแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ


แพ้อย่างหมดรูป


แพ้ตั้งแต่เขาใช้เซ้นส์ตัดสินคำตอบแล้ว


“อืม แต่ไม่นอนห้องนี้นะ”


“ได้ เดี๋ยววันนี้ฉันไปนอนกับเรย์ สลับกันเนอะ”


“ไม่ต้องมาเนอะเลย ไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย”


“ฉันทำให้เรย์มานอนด้วยกันได้เชื่อไหม”


“อะไรที่ทำให้คิดแบบนั้นกัน”


“เซ้นส์มันบอก”


อีกแล้ว เซ้นส์นี่อีกแล้ว!


ถ้าจะใช้เซ้นส์ช่วยก็ไม่ต้องมาถามกันเลย...


“ผมเกลียดเซ้นส์คุณ ฮาเซล กอนซาเลซ!”

.....................................

แอบมาอัพตอนส่งท้ายพร้อมกับแจ้งข่าวค่ะ

ตอนส่งท้ายอาจจะสั้นๆ แต่ก็อยากจะให้ทุกคนได้อ่านกัน

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่แต่งแล้วรู้สึกชอบมาก

รู้สึกเหมือนเวลาเรย์อยู่กับฮาเซลแล้วเหมือนจะความดันขึ้นตลอด 555

สำหรับข่าวที่จะมาแจ้งคือเรื่องเสี่ยงรักได้มีการรวมเล่มแล้วนะคะ


(https://www.img.in.th/images/6e4e3147686cc5a10466db1e18251cb8.jpg)


เรื่อง : Defeated Heart เสี่ยงรัก สยบหัวใจ

คนแต่ง : nicedog

สำนักพิมพ์ : Facai

ปก : leila

ราคา : 489 บาท

จำนวนหน้า : 512 หน้า
      - ภายในเล่มมีตอนพิเศษยาวๆ อยู่ถึง 5 ตอนแแถมด้วยฉากแซ่บอีกมากมายอาทิเช่นเรย์พันโบว์รอบตัวเองเป็นของขวัญให้ฮาเซลหรือแม้แต่การลองของเล่นที่ฮาเซลซื้อมาเพราะคิดถึงเรย์มาก แต่ละตอนจะทำให้ทุกคนฟินหนักขึ้นเรื่อยๆ สำหรับที่คิดว่าแค่อ่านในเว็บไม่พอแนะนำให้ซื้อหนังสือค่ะจะได้อ่านยาวๆ กันไปเลย (ขอขายของหน่อยน้าาา)

แถมพิเศษ : แถมมินิโนเวลเมื่อผมกลายเป็นหมาป่า (จนกว่าของจะหมด) ซึ่งเล่มพิเศษนี้บอกได้แค่ว่าแซ่บมากกก เราไม่อยากให้ทุกคนพลาดได้เห็นเรย์แสดงฝีมือในร่างหมาป่าแถมด้วยฉากสุดแซ่บที่จะทำให้ลืมไม่ลง

เริ่มจำหน่าย : ประมาณ 1 เมษายนที่งานหนังสือบูธ N12

ใครสนใจแวะไปงานหนังสือสามารถเข้าไปซื้อเรย์กับฮาเซลได้น้าา

ขอฝากผลงานของเราด้วยนะคะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 29-03-2019 17:45:38
จากคำ่คืนร้อนแรง สู่เช้าที่หวานแหวว
ฮาเซลเป็นคนอบอุ่นขึ้นมาทันที
กับเรย์ ทุกอย่างได้หมด เอ็นดูและรักมาก
ยอมใจเซนส์ฮาเซล จะดีเกินไปแล้ว

เรย์กลายเป็นน่ารักไปเลยค่ะ
พอยอมรับว่ารัก อะไรก็เข้าใจและดีงาม
ชอบที่เรย์แสดงออกให้รู้ และตอนเขินแบบเก็บไม่มิด

ต่างคนต่างยอมรับตัวตนกัน แฮปปี้ด้วยเลยค่ะ
ฮาเซลเนียนเก่ง และเรย์ก็ยอมเยอะมาก

ขอบคุณมากนะคะ นิยายสนุกมาก
ลุ้นทุกตอน อินความตอแยของฮาเซล
และความปากแข็งของเรย์
เป็นกำลังใจให้ต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Persephone ที่ 30-03-2019 19:36:38
เป็นอีกเรื่องที่ชอบมากกกก สนุกมาก ดีต่อใจมากด้วย ยังอยากได้ฉากเรย์บู๊เยอะๆ เหมือนรับรู้ได้ถึงความเซ็กซี่ของเรย์ ยิ่งฟีลนักฆ่านี่ชอบมากกก ดูอ่อนแอแต่อันตรายคือนายเอกแบบที่ชอบ
ปล.สรุปแต่ละคนอายุเท่าไหร่กัน :laugh:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 30-03-2019 20:47:23
น่ารักมากกกกก  :m1:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 01-04-2019 17:12:16
เรื้องนี้สนุกมาก ชอบนายเอกเก่งๆ
แถมตอนหวานๆก็น่ารัก  :mew1:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: sse29162 ที่ 25-04-2019 22:00:45
ชอบนิยายแนวเคะโหดแบบนี้มากเลยคะอยากให้มีภาคต่อจัง :L1:เรย์&ฮาเซล
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 05-05-2019 10:28:03
สนุกมากๆเลย
หาอ่านอย่างนี้มานานมาก
ตามอ่านของnicedogมาหลายเรื่อง
แต่เพิ่งเจอเรื่องนี้เลยลองเข้ามาอ่าน
ไม่ผิดหวังเลย สนุกมาก
แต่เหมือนเดิมที่เขียนผิดหลายคำเลย
เจอเกือบทุกเรื่อง แต่ก็โอเค รับได้ค่ะ
แต่อยากรู้ว่าแต่ละคนอายุเท่าไหร่....
ดูเป็นความลับกันมาก 55555
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 07-05-2019 00:18:45
ทำไมพึ่งมาเจอเรื่องนี่เนี่ย สนุกมากๆเลยค่ะ ผลงานดีมาก เราตามหานิยายแนวแฟนตาซี หรืออารมณ์ไซไฟมาตลอดซึ่งเรื่องที่สนุกๆจะค่อนข้างหายากพอควร จนมาเจอเรื่องนี้ คือแบบต่อสู้มาตรึม รู้สึกถูกอกถูกใจมากๆเลย :กอด1: ชอบค่ะ ขอบคุณนักเขียนที่ผลิตนิยายคุณภาพคับแน่นอย่างนี้ออกมา :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 07-05-2019 17:25:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 08-05-2019 13:32:52
เนื้อเรื่องสนุกและลุ้นไปกับทุกตอนเลยค่ะ ชอบๆ
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: MaidenQueen ที่ 15-05-2019 22:41:48
สนุกมากๆเลย ขอบคุณคุณไนซ์ด็อกที่แต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา  เพราะหาอ่านนิยายแนวนี้ยากพอสมควร นายเอกที่ฉลาดและเก่ง บู๊๊ อารมณ์นักฆ่ามาเต็มแบบนี้ หายากมากกกกกก  แถมพระเอกยังเก่งและรวยอีก ชอบ ชอบผู้ชายนิสัยรวย555555 หวังว่าในอนาคตคุณไรท์จะหันมาแต่งแนวๆนี้อีก ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 18-05-2019 16:28:53
ติดตามผลงานของคุณ nicedog แทบทุกเรื่อง อิอิ

ชอบเนื้อหาและตัวละครทุกตัวเลยค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 20-05-2019 07:46:22
ดีเกินไปแล้ว เรื่องนี้แต่งได้ดีเกินไปแล้วววว
รักคู่นี้เหลือเกิน
มันใช่ .. สุดๆ
ขอบคุณสำหรับฟิคดีๆนะค้า
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 08-06-2019 12:22:28
เรื่องสนุกมากๆๆๆๆๆๆ ฉากตอนเรย์ทำงานคือดีมากกกก ลุ้นไปด้วยตลอด เรย์เก่งจริงๆ
ยิ่งฉากเรย์กินของหวาน นี่แทบจะออกไปร้านขนมเดี๋ยวนั้น
บรรยายดีมากจนได้กลิ่นขนมลอยออกมาเลยค่ะ(เอ๊ะ!! รึเราหิว55)

ขอบคุณคุณนักเขียนนะคะ ชอบเรื่องนี้มากกกกก ครบรสทุกอย่าง อ่านแล้วเพลินสุดดดด // ปรบมือค่าา :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 09-07-2019 18:26:17
มันดีมาก สนุก ชอบทุกอย่างของเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 22-08-2019 09:17:43
 :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Spoypopoy ที่ 24-08-2019 20:21:17
สนุกมากๆเลยค่าา
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 31-08-2019 13:35:20
สนุกมากเลยค่ะ ขอบคุณนักเขียนด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 04-09-2019 08:00:00
ขอบคุณคนเขียนน้า นิยายสนุกมากกกก


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ASAMENG ที่ 05-09-2019 11:07:12
 :-[ นิๆๆๆ แพ้ทางเซ้น ของฮาเซล ชัดๆ  :hao3:
ขอบคุณมากๆ ที่นำผลงานดีๆ มาลงนะ  :L2:
เป็นกำลังใจให้เรื่องต่อๆไป  :กอด1:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: MaidenQueen ที่ 06-10-2019 20:08:56
กลับมาอ่านรอบที่สาม ก็ยังชอบมากกกกกก เหมือนเดิม ชอบคาแรกเตอร์นายเอกแบบนี้มากกกกก
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 16-10-2019 17:07:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 19-10-2019 23:16:46
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: เนื้อเรื่องสนุก น่าติดตา  ต้องอ่านทีเดียวจนจบเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 23-10-2019 16:04:59
สนุกมากเลยค่ะ ชอบแนวนี้มากๆ
ตอนจบน่ารักมากกกก หวานนนนนน อิอิ
ขอบคุณนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: littlepink ที่ 29-10-2019 22:40:21
สนุกดีค่ะ นายเอกเก่ง  o13
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: AdLy ที่ 08-11-2019 18:47:35
อยากมีฮาเซลเป็นของตัวเองอะ

ฉันรักการหยอดไม่เลือกเวลาของเขา

หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: habanice ที่ 10-01-2021 12:17:06
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 11-01-2021 15:11:11
สนุกมากค่ะ มีครบทุกรสจริงๆ จบแบบรถน้ำตาลหกที่เดียว ชอบนิยายแนวนี้มาก ขอบคุณมากค่ะสำหรับนิยายดีๆสนุกๆนะคะ
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 11-03-2021 19:47:17
สนุกมาก ๆ ครับ มีครบทุกอารมณ์เลย



ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 01-05-2021 17:51:47
ย้อนกลับมาอ่านรอบที่สองก้อยังชอบเหมือนเดิมมม งื้อออ :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 07-05-2022 00:25:30
เรย์น่ารักจริงๆ ชอบมากก
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 11-05-2022 18:01:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 14-05-2022 00:47:48
สนุกมากกกกกกก ขอบคุณมากค่า
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: sakura_sung ที่ 01-11-2022 21:13:57
สนุกมากกกกกกกกกกกก :mew1:
หัวข้อ: Re: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 02-03-2024 14:08:31
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw (https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)

เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)