-จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: -จบ-«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ »ส่งท้าย« 29/3/62 P.7  (อ่าน 120810 ครั้ง)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่16



อาชีพนักฆ่าหรือนักลอบสังหารส่วนมากจะเป็นอาชีพกลางคืนเนื่องจากการจัดการเป้าหมายในช่วงกลางวันจะเป็นจุดเด่นได้ง่ายกว่าช่วงกลางคืน ดังนั้นไม่ว่าใครที่รู้ว่าอาชีพของผมคืออะไรก็ควรจะรู้ถึงจุดนี้เป็นอย่างดี


ครืดดดด~  ครืดดดดด~


แรงสั่นจากโทรศัพท์บนหัวเตียงดังขึ้นไม่รู้รอบที่เท่าไหร่แต่มันมากพอจะทำให้ดวงตาสีม่วงของผมปรือลืมขึ้นด้วยความหงุดหงิดก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันแน่นแสดงถึงความไม่สบอารมณ์เมื่อถูกปลุกในเวลานี้


7 โมงครึ่ง


ใช่ นาฬิกาข้างเตียงบอกเวลา 7 โมงครึ่ง!


เป็นเวลาที่พนักงานบริษัทหรือคนทั่วไปเริ่มตื่นไปทำงานแต่ไม่ใช่กับผมที่เพิ่งกลับมาจากภารกิจเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ด้วยความหงุดหงิดปนโมโหบวกกับอาการงัวเงียส่งผลให้ไม่มีสตินึกคิดมากนัก รู้เพียงว่าต้องบอกปลายสายที่โทรมาให้รู้ถึงอารมณ์ผมในตอนนี้


“เลิกโทรมาช่วงเช้าสักที!” ผมตะโกนทันทีที่กดรับสาย เบอร์โทรศัพท์เครื่องนี้มีเบอร์อยู่ 10 เบอร์ และ 9 เบอร์จากในนั้นเป็นร้านอาหารเดลิเวอรรี่หรือพวกเบอร์โทรฉุกเฉินอย่างร้านซ่อนคอมหรือร้านขนม จึงมีเพียงเบอร์เดียวเท่านั้นที่สามารถโทรเข้ามาหาได้
ก็รู้ตัวตั้งแต่ให้เบอร์อีกฝ่ายไปแล้วว่ามันต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น


ใครจะคิดล่ะว่าจะมากกว่าที่เตรียมใจไว้อีก ปลายสายนี่ไม่ใช่อื่นนอกจากฮาเซล กอนซาเลส หนึ่งในสามคานหลักผู้คอยขับเคลื่อนประเทศ เจ้าของคลับหรูและพ่อค้าอาวุธ


(หงุดหงิดแต่เช้าจะพานให้ทั้งวันหงุดหงิดไปด้วยนะเรย์ ) ปลายสายพูดโดยไม่สนใจอารมณ์ของคนฟังอย่างผมเลยสักนิด


“แล้วใครล่ะที่ทำให้ผมหงุดหงิดแบบนี้ ผมบอกแล้วไงว่าอย่ามาโทรจิกแล้วก็อย่าโทรมาช่วงเช้าด้วยผมง่วง!” ตอนนี้ผมแทบไม่สนอะไรนอกจากการทิ้งหัวลงบนหมอนแล้วหลับตาลง


(ถ้าโทรไปตอนอื่นนายอาจกำลังทำงานอยู่ก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นจะอันตรายนี่)


“...” ผมเงียบเนื่องจากคำพูดของฮาเซลมีเหตุผลสมควร จริงอยู่หากฮาเซลโทรมาตอนผมกำลังทำงานมีโอกาสสูงที่ผมจะเสียสมาธิและจัดการเป้าหมายไม่สำเร็จ งานของผมมักเป็นช่วงเย็นหรือดึกไม่แน่นอน เวลาเดียวที่ไม่ค่อยมีงานคือช่วงเช้า


(อีกอย่างถึงเรย์จะหงุดหงิดแต่ก็ยอมรับสายโดยดี ฉันดีใจ)


“นั่นเพราะคุณโทรจิกต่างหาก” ผมสวนกลับด้วยคำพูดรัวๆ ในหัวกำลังประมวลหาข้อแก้ตัวทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิด


(ถ้าเรย์ไม่ชอบคงปิดเครื่องหนีไม่ก็บล็อกเบอร์ไปแล้ว แต่นี่นอกจากจะไม่ปิดเครื่องแล้วยังรอรับสายอีก)


“ใครรอรับสายกัน ก็ถ้าผมไม่รับคุณจะหาวิธีอื่นติดต่อมาน่ะสิ!” ความง่วงที่มีเริ่มหายไปเมื่อคุยกับฮาเซลได้สักระยะ


(ถึงฉันจะใช้วิธีอื่นแต่ถ้าไม่อยากคุยก็แค่เมินไปก็ได้)


“อึก...” ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดของฮาเซล


ใช่


ต่อให้ฮาเซลจะพยายามติดต่อผมยังไงหากผมเมินและปล่อยทุกอย่างไปเขาก็จะไม่สามารถติดต่อกับผมได้ แต่นี่ผมกลับยอมไม่ใช่แค่เปิดเครื่องแต่ยังวางไว้บนหัวเตียงราวกับกำลังรอสายจากอีกฝ่าย แค่คิดความร้อนจากไหนไม่รู้ก็เริ่มมารวมกันบนใบหน้า ตั้งแต่รู้จักกับฮาเซลผมเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อยแม้จะไม่อยากเปลี่ยนสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจทำได้


เขามีอิทธิพลกับผมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว


(อยากเจอ) อยู่ๆ ฮาเซลก็พึมพำเสียงเบา


“...ผมไม่อยากเจอคุณ”


(อยากเจอเรย์)


“ผมบอกแล้วไงว่าไม่อยากเจอคุณ”


(อยากเจอ อยากเจอ อยากเจอเรย์)


“หยุดพูดเลยนะฮาเซล คุณเป็นเด็กรึไง!” ผมเริ่มขึ้นเสียงด้วยใบหน้าเห่อแดงเพียงเพราะได้ยินคำว่าอยากเจอข้างใบหู


(จะพูดจนกว่าจะยอมมาเจอเลย)


“งั้นผมจะวางสาย”


(เรย์ที่รักของฉันไม่ใช่คนใจร้าย...)


ปิ๊บ!


ผมตัดสายอีกฝ่ายทิ้งโดยไม่ต้องมีคำกล่าวอำลาใดๆ


“หึ ผมน่ะใจร้ายกว่าที่คุณคิดนะ” ผมบอกพลางก้มมองหน้าจอโทรศัพท์


เท่านี้ก็นอนต่อได้สักที


ครืดดดดด~  ครืดดดดด~


ยังไม่ทันได้วางโทรศัพท์แรงสั่นจากวัตถุในมือก็เรียกเสียงถอนหายใจจากเจ้าของอย่างผมได้ ชื่อที่เมมไว้เป็นชื่อของเจ้าตัวสั้นๆ 2 พยางค์คือฮาเซล แม้ในใจจะอยากใช้คำว่าคนบ้าหรือคนเอาแต่ใจก็ตาม


“คุณนี่ท่าจะว่างนะ” ผมรับสายอีกรอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ


(สำหรับเรย์ฉันว่างเสมอ)


“ถ้ายังไม่หยุดหยอดผมจะวางสายแล้วไม่รับจริงๆ ด้วย”


(โอเคอย่าเพิ่งวางนะ ฉันมีเรื่องอยากถามหน่อย)


“จะซื้อข้อมูลจากผม?” ยอมรับว่าค่อนข้างแปลกใจไม่น้อยที่คนระดับฮาเซลจะมาถามข้อมูลกับผม ยังไงเขาก็มีเพื่อนซึ่งเป็นเหมือนพ่อค้าข้อมูลระดับโลกอย่างซิลเลอร์ เบนซ์อยู่แล้ว


(ใช่ จะขายข้อมูลละเท่าไหร่ล่ะ)


“ขึ้นอยู่กับว่าเป็นข้อมูลอะไร”


(ข้อมูลของเรย์)


“...ผมว่าคงคุยกับคนว่างงานนานไปแล้ว ผมขอตัว...”


(เดี๋ยวๆ ฉันมีเหตุผลที่ต้องถามนะ) ฮาเซลรีบพูดสวนเมื่อเห็นท่าว่าผมจะวางสายอีกรอบ


“เหตุผล?”


(ฉันอยากจ้างนายทำภารกิจหนึ่ง)


“ติดต่อผมทางเมลครับ ถ้านานเกิน 3 วันแปลว่าผมไม่รับงาน” สำหรับคนในวงการต่างรู้เรื่องนี้ดีถึงแม้การจ้างผมจะมีอัตราสำเร็จสูงลิ่วทว่าผมเลือกรับงานไม่ใช่ว่าใครเมลมาก็จะรับหมด ผมจะดูตั้งแต่เป้าหมายงาน เนื้อหาภารกิจไปจนถึงความเสี่ยงและสถานที่หากคิดว่าไม่เหมาะสมเมลนั่นจะไม่ถูกตอบรับกลับไป อาจเป็นเพราะความรอบครอบนี่ละมั้งที่ทำให้ทุกงานที่ผ่านไม่เคยพลาด


(อย่าพูดแบบนั้นกับคนกันเองสิ)


“คนกันเอง? เหมือนจะมีใครสักคนบอกนะว่ายิ่งเป็นคนรู้จักยิ่งต้องละเอียดรอบครอบกว่าคนอื่น” ในสังคมปัจจุบันการหักหลังหรือทรยศที่เจ็บที่สุดมากจากคนใกล้ตัวนี่แหละ


(ไม่ใช่งานยาก แค่ต้องอาศัยทักษะเฉพาะ)


“ทักษะเฉพาะที่ว่าคืออะไร” ผมถามต่อ


(เล่นเปียโนหรือเครื่องดนตรีอะไรได้บ้างไหม)


“ผมเล่นได้เกือบทุกอย่าง แต่ถ้าถนัดหน่อยคือเปียโนกับกีต้าร์” ผมนิ่งไปสักพักกับคำถามก่อนจะตอบกลับไป การทำงานมีหลายครั้งต้องปลอมเป็นนักดนตรีเพราะงั้นการจะเรียนรู้ทักษะพวกนี้ไว้จึงมีความจำเป็นและสำคัญโดยเฉพาะกีต้าร์กับเปียโนถือเป็นเครื่องดนตรีสำคัญที่ต้องเล่นให้ชินมือไว้


(แบบนั้นเยี่ยมเลย)


“นั่นคือทักษะเฉพาะที่คุณต้องการ?”


(ใช่ พอดีฉันจะจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ขึ้นบนชั้น 6 ของคลับเลยต้องการนักเปียโนเก่งๆ สักคน)


“ผมอาจถนัดแต่ไม่ได้พูดว่าเก่งนะ” ถ้าคิดว่าผมจะเก่งระดับเดียวกับพวกนักดนตรีอาชีพก็คิดผิดแล้ว


(ไม่เป็นไร รับงานของฉันได้ไหม)


“คุณมีคนรู้จักตั้งเยอะแค่หานักเปียโนสักคนคงไม่ยากหรอกมั้ง” ผมพูดต่อ จริงไหมล่ะคนละดับฮาเซล กอนซาเลสแค่ประกาศไปว่าอยากได้นักเปียโนสักคนรับรองเลยว่าต้องมีหลายคนเข้ามาเสนอตัว


(เรื่องนั้นก็ใช่ ฉันคิดว่าเรย์รู้ดีว่าทำไมฉันถึงเลือก)


“...ผมไม่รู้” และไม่อยากรู้ด้วย


(รู้สิ เรย์รู้อยู่แล้ว)


“ผมไม่รู้” ผมยังคงย้ำคำเดิม


(จะแกล้งทำเป็นไม่รู้อีกนานเท่าไหร่เหรอเรย์)


“จนกว่าคุณจะยอมหันหลังแล้วเดินกลับไปล่ะมั้ง”


(เหตุผลที่ฉันเลือกเพราะว่าอยากเจอเรย์ ก็แค่นั้น)


“...ขอรายละเอียดงานด้วย” ผมต้องรีบหาคำพูดอะไรสักอย่างก่อนที่เสียงหัวใจจะดังจนปลายสายได้ยิน


(ความจริงก็อยากคุยต่อแต่ฉันมีประชุม จะส่งให้ทางเมลแล้วกัน)


“อืม” มือข้างขวาที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์ถูกยกขึ้นมากุมบริเวณหัวใจเพื่อชละการเต้นของหัวใจให้ช้าลงหน่อย


(แล้วเจอกันเรย์)


แม้ฮาเซลจะวางสายไปแล้วแต่ผมยังคงนั่งอยู่บนเตียงนิ่งๆ ปล่อยให้เสียงหัวใจดังๆ ของตัวเองได้คลายความรู้สึกหลายๆ อย่างออกมาโดยไม่ต้องปิดบังใคร มือข้างขวาถูกยกวางทาบบริเวณหัวใจ...แรงขยับยังคงถี่รัวจนพานให้ใบหน้ารู้สึกร้อนตาม


ความรู้สึกแบบนี้ผมไม่ชอบเลย


ฮาเซล กอนซาเลส


จะทำยังไงคุณถึงจะเลิกมากวนใจผมสักทีนะ


ในเมื่อเป็นแบบนี้ต่อให้นอนก็คงไม่อาจหลับได้ผมเลยจำต้องลุกจากเตียงทั้งที่ยังรู้สึกง่วงตรงเข้าไปยังห้องน้ำด้านข้างเพื่อหวังให้สายน้ำเย็นๆ นั่นช่วยสลายความง่วงไปพร้อมกับความรู้สึกแปลกที่นับวันยิ่งมาเกาะหัวใจมากขึ้นทุกที


รายละเอียดของงานฮาเซลส่งมาให้รวดเร็วมาก พอผมอาบน้ำเสร็จก็เปิดคอมใครจะคิดล่ะว่าจะมีเมลเรื่องรายละเอียดของงานถูกส่งมาแล้ว รายละเอียดของงานมีตั้งแต่ธีมงาน จำนวนแขกหรือแม้แต่เพลงที่อยากให้เล่นซึ่งเนื้อหามีมากจนผมไม่คิดว่าฮาเซลจะพิมพ์เสร็จในเวลาอันสั้น


เหมือนกับพิมพ์เอาไว้ล่วงหน้า


“แปลว่าคุณมั่นใจว่าผมต้องรับงานสินะ” ผมพึมพำโดยสายตากำลังอ่านเนื้อหาของงาน ผมว่าตัวเองค่อนข้างละเอียด รอบคอบและไม่เข้าไปอยู่ในเกมของใครง่ายๆ แต่ทำไมทุกครั้งที่อีกฝ่ายเป็นฮาเซลผมถึงรู้สึกเหมือนโดนมองทะลุ เล่นไปตามเกมเขาทุกอย่าง


น่าโมโหชะมัดเลย


ไม่รู้ว่าเพราะความหงุดหงิด โมโหหรือความหิวที่ทำให้ผมซัดอาหารเช้าอย่างชีสเค้กอบไอน้ำราดวิปปิ้งครีมตกแต่งด้วยสตอเบอร์รี่ กล้วยและผลไม้อื่นๆ ทั้งปอนด์หมดในเวลาไม่ถึง 20 นาที


งานที่รับมานี้ผมต้องไปเล่นเปียโนในอีก 5 วันนับจากนี้ ผมยกมือทั้งสองข้างมาตรงหน้าก่อนขยับนิ้วทำท่าดีดเปียโนแม้จะเล่นได้แต่ช่วงหลังย้อนกลับไปกว่าครึ่งปีผมไม่ได้แตะเปียโนเลยสักครั้ง อะไรที่เคยจำได้เหมือนลืมเลือนไป แน่นอนว่าถ้าผมรับงาน งานนั้นต้องออกมาดีที่สุด


จะไม่มีมาหยุดเล่นโดยอ้างว่าจำคีย์ไม่ได้แน่นอน


“คงต้องไปซ้อมซะแล้ว” พึมพำเสร็จผมก็ลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกไปหาสถานที่สำหรับซ้อมเปียโน ร้านดนตรีแถวนี้มีอยู่ไม่น้อยแต่ละร้านจึงคิดจุดขายเพื่อดึงลูกค้าซึ่งหนึ่งในจุดขายนั้นมีการเช่าห้องสำหรับซ้อมด้วย


ผมเลือกเข้าไปยังร้านระดับกลางๆ มีคนเดินเข้าออกพอปะปาย พอทำการเช่าห้องไว้ทั้งวันเสร็จทุกอย่างก็เริ่มไหลไปตามท้วงทำนองของเปียโนสีดำใจกลางห้องซ้อม คอร์ดเพลงหลายสิบเพลงถูกเปิดผ่านโทรศัพท์แล้วบรรเลงไปเรื่อยๆ


ช่วงแรกอาจติดขัดค่อนข้างมากทว่าพอผ่านไปสักระยะผมก็หลับตาลงพร้อมกับนิ้วมือที่กดลงไปตามคีย์ ราวกับทุกสิ่งโดยรอบหายไปเหลือเพียงเสียงเพลงที่จะขับกล่อมทุกประสาทสัมผัสให้คล้อยตาม ตลอดหลายวันผมซ้อมเล่นเปียโนตลอดไม่รับงานหรือภารกิจใดๆ ทั้งสิ้น


และแล้ววันงานก็มาถึง เสื้อเชิ้ตสีม่วงอ่อนตามธีมงานถูกสวมก่อนจะตามด้วยเสื้อสูทสีขาวสะอาดตาเช่นเดียวกับสีของกางเกงและโบว์สีม่วงเข้ม ทุกอย่างเข้ากันได้เป็นอย่างดี


วันนี้ผมไม่เปลี่ยนสีผมมีเพียงใส่คอนแทคเลนส์สีน้ำตาล เนื่องจากเป็นนักเปียโนรูปลักษณ์จึงสำคัญเส้นผมสีดำสนิทถูกจัดแต่งให้ดูเหมาะกับงาน ตอนแรกที่มองตัวเองในกระจกยังหลุดหัวเราะกับรูปลักษณ์เนี๊ยบๆ นี่เลย ไม่บ่อยนักที่ผมจะแต่งตัวเนี๊ยบขนาดนี้ ขนาดแอบเข้าร่วมงานเลี้ยงระดับสูงยังไม่จัดทรงผมเรียบร้อยขนาดนี้


เอาเถอะ ยังไงก็ถือเป็นมืออาชีพล่ะนะ


งานเริ่มช่วงเย็นหรือก็คือหลัง 1 ทุ่ม ผมซึ่งเป็นนักเปียโนจึงมาก่อนเวลางานประมาณ 2-3 ชั่วโมงเพื่อเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมต่างๆ คลับหรูใจกลางเมืองของฮาเซลยังคงได้ความนิยมอย่างล้นหลาม จำนวนผู้มาใช้บริการแต่ละวันคงแซงหน้าคลับอื่นไปโข ยิ่งวันนี้มีจัดงานเลี้ยงทางเจ้าของคลับหรือฮาเซล กอนซาเลสได้เปิดให้ทุกคนเข้ามาใช้บริการได้ฟรี แค่คำว่าฟรีก็มากพอให้ลูกค้าวิ่งเข้ามาในร้านแล้ว แม้จะเปิดให้บริการฟรีทว่าผู้ที่สามารถเข้าร่วมงานบนชั้น 6 ได้มีเพียงไม่กี่สิบคน


“มาเร็วนะเรย์” คำทักทายจากปากฮาเซลดังขึ้นพร้อยรอยยิ้ม


“แต่ก็มาช้ากว่านายจ้างนี่” ผมเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ใจกลางห้องเพื่อดูความพร้อมในแต่ละมุมของห้อง ทั้งห้องใช้สีโทนม่วงอ่อนและสีขาวเป็นหลัก มีบ้างที่มีสีม่วงเข้มหรือสีเทาอ่อนแซมเพิ่มความสดใส


เปียโนหลังสีขาวขลิบทองตั้งอยู่ใจกลางห้องบนเนินรูปวงกลมสีขาวสว่าง ความสวยงามของเปียโนทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย แค่ดูก็รู้เลยว่าราคาของเปียโนไม่ใช่ระดับธรรมดา ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นโชคดีของผมที่ได้เล่นเปียโนหลังนั้น


“ชอบไหม” ฮาเซลกระซิบข้างใบหู


“ชอบ” ไม่จำเป็นต้องกวนหรือโกหกนี่นะ


ผมชอบเปียในหลังนั้นจริงๆ


“เห็นเรย์ยิ้ม แบบนี้ค่อยคุ้มกับค่าเปียโนหน่อย”


“นี่คุณไม่ได้มีอยู่แล้ว?” ผมหันควับไปถาม


“ก็มีอยู่แต่สีดำไม่เหมาะกับเรย์เท่าไหร่” ฮาเซลตอบกลับมาตามตรง


“คุณซื้อเปียโนใหม่ด้วยเหตุผลแค่นั้นน่ะนะ” แค่เพราะมันไม่เหมาะกับผมเลยซื้อใหม่เหรอ


บ้าไปแล้ว


ผมมาเล่นแค่วันนี้ไม่ใช่ทุกวันสักหน่อย


“ใช่ ไม่ได้เหรอ” ฮาเซลถามกลับ


“งั้นถ้าคนอื่นมาเล่นแล้วไม่เหมาะคุณก็จะซื้อใหม่อีกงั้นสิ” สิ้นเปลืองเกินไปนะฮาเซล


“ฉันไม่ใช่คนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายนะเรย์”


“คนไม่ใช่จ่ายสุรุ่ยสุร่ายที่ไหนเขาซื้อเปียโนใหม่ด้วยเหตุผลนั้นกัน” ผมพึมพำเสียงดังจงให้ให้ฮาเซลได้ยิน กลับคำตอนนี้ก็สายไปแล้วนะฮาเซล


“เรื่องของเรย์เป็นข้อยกเว้น” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองนั่นหันมาสบอย่างอ่อนโยนกว่าที่เคย


“...ผมขอไปลองเปียโนก่อนดีกว่า” ผมหลบเลี่ยงอะไรก็ตามที่อาจทำให้หัวใจรับศึกหนัก ฝ่ายฮาเซลทั้งที่ปกติชอบรั้งไว้แต่ครั้งนี้กลับยอมปล่อยให้ผมเดินหนีไปยังเปียโนได้ง่ายๆ


เปียโนหลังสีขาวขลิบทองนี้ให้สัมผัสต่างจากร้านที่ไปฝึกซ้อมตลอดหลายวันที่ผ่านมาราวกับเป็นเครื่องดนตรีคนละชนิดกัน เพียงวางนิ้วลงไปไล่แต่ละคีย์เสียงก้องกังวานปนนุ่มนวลก็ดังไปทั่วห้อง เปียโนหลังนี้ผมเดาว่าต้องมีนักดนตรีหลายคนยอมเสียเงินเพื่อให้ได้มันมาอยู่ในครอบครองแน่ๆ


“เทเลอร์...สินะ” ซ้อมได้ไม่นานร่างของบอดี้การ์ดคนสนิทของฮาเซลก็เดินเข้ามาขนาบผมทั้งสองด้านของเปียโน


“อืม...ดูแปลกตาใช่ไหม” ผมตอบรับด้วยท่าทีปกติ ด้วยใบหน้านี้ผมมั่นใจว่าพวกมากส์จำได้อยู่แล้วว่าเป็นผม


“เหมาะจะตาย ถ้าพวกผู้หญิงเข้ามารับรองว่าส่งสายตาให้นายเป็นมันส์ชัวร์” แซมตอบแทนมากส์


“ไม่ขนาดนั้น พวกคุณก็ดูดีมาก” ผมเอ่ยชม ทั้งคู่อยู่ในชุดสูทสีม่วงอ่อนด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขายาวสีเดียวกับเสื้อสูท แม้จะใช้ชุดเหมือนกันแต่มีอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกันคือมากส์สวมเน็คไทด์สีเงินส่วนแซมสวมเป็นหูกระต่ายสีชมพูอ่อน


“ฉันก็ว่างั้น อดใจไม่ไหวแล้วที่จะได้สาวน่ารักไปเต้นรำด้วย” แซมพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง


“สาวๆ พวกนั้นน่าจะอยากเต้นรำกับเจ้าของวันเกิดมากกว่านะ” มากส์พูดต่อ


“เจ้าของวันเกิด...ใครเหรอ?” ผมถามกลับ รู้ว่าวันนี้มีงานแต่ไม่เห็นรู้เลยว่าเป็นงานวันเกิดของใคร


“...ท่านฮาเซลไม่ได้บอก?” มากส์และแซมมองหน้ากันสักพักก่อนจะถามกลับ


“ไม่ได้บอกนี่”


“บอสนะบอส นี่คงกะให้นายมาเป็นของขวัญของตัวเองล่ะสิ” แซมพูดต่อ


“ของขวัญ?” หมายถึงอะไรผมเริ่มงงแล้วนะ


“เทเลอร์ วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้าของคลับนี้” คำพูดของมากส์ทำให้ผมขมวดคิ้วพลางวิเคราะห์ความหมาย


“ง่ายๆ ก็วันเกิดของบอส ฮาเซล กอนซาเลส”


“วันเกิดฮาเซล?!” ผมไม่ต้องประมวลอะไรในหัวอีกแล้วเมื่อได้ฟังสิ่งที่แซมบอก


วันนี้คือวันเกิดของฮาเซล?!


ข้อมูลของฮาเซลผมอยู่และได้อ่านตอนรับงานก่อนหน้าแล้วแต่ถึงจะมีข้อมูลทุกอย่างใช่ว่าผมต้องจำมันทั้งหมด ข้อมูลที่ไม่ได้สำคัญอะไรอย่างพวกวันเกิด น้ำหนักหรือส่วนสูงจึงไม่ได้อยู่ในความจำผม


“ใช่ น่าแปลกที่ท่านฮาเซลไม่บอกนาย” มากส์ทำสีหน้าสงสัย


“นั่นสิ...”



“คุยอะไรกับเรย์ล่ะมากส์ แซม” เสียงทุ้มของฮาเซลดังขึ้นก่อนร่างสูงในชุดสูทสีม่วงเข้มกับกางเกงขายาวสีเดียวกันด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตสีม่วงอ่อนกับเนคไทด์สีม่วงเงา เส้นผมสีน้ำตาลของฮาเซลปกติจะปล่อยตามธรรมชาติทว่าตอนนี้กลับถูกจัดแต่งเป็นทรงเสริมให้ดูดีขึ้นอีกหลายเท่า


หน้าตาดีและหล่อขนาดนี้ทำไมไม่หาผู้หญิงดีๆ สักคนแล้วสร้างครอบครัวนะ จะมายุ่งกับผู้ชายที่ไม่มีอะไรเลยอย่างผมทำไมกัน
สนุกเหรอ


หรือกำลังแหย่ผมเล่นกันแน่


“พวกเราแค่บอกสิ่งที่บอสยังไม่ได้บอกเท่านั้นเอง” แซมบอกเจ้านายด้วยรอยยิ้มกว้าง


“พวกเขาบอกอะไร เรย์” ฮาเซลเดินเข้ามาถามผมใกล้ๆ


“ไม่รู้สิ ผมลืมไปแล้ว” ผมเบือนหน้าหนี ต่อให้รู้ว่าเป็นวันเกิดของฮาเซลก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนผมไม่คิดจะเตรียมของขวัญหรืออะไรให้อยู่แล้ว


เราไม่ได้สนิทกันขนาดจะมาอวยพรให้ของขวัญ แม้สำหรับผมฮาเซลจะเป็นคนแรกที่ผมเปิดใจมากถึงขนาดนี้ก็ตาม


“โกหกไม่เก่งนะเรย์”


“ผมไม่คิดแบบนั้นนะ ก่อนหน้านี้ขนาดมีนักจิตวิทยายังจับโกหกผมไม่ได้เลย” เรื่องทักษะการโกหกหรือหลอกลวงผมน่ะอาจเก่งเป็นอันดันต้นๆ เลยทีเดียว


“คนอื่นจับไม่ได้แต่ฉันจับได้”


“...ทำไม”


“เซ้นส์มันบอก” พูดจบก็ส่งยิ้มมุมปากกวนๆ มากให้


“คุณนี่นะ...คิดจะใช้เซ้นส์ทำทุกอย่างเลยรึไง” ไม่คิดว่าเซ้นส์ของฮาเซลจะใช้จับโกหกได้ด้วย


“ไม่หรอก จะจีบเรย์ฉันไม่ใช้เซ้นส์หรอกนะ”


“ผมแค่พูดลอยๆ ไม่ได้ต้องการคำตอบ” ผมสวนกลับด้วยใบหน้าที่เห่อแดงขึ้นเล็กน้อย


“อย่าเขินเลย”


“ฮาเซล กอนซาเลส!”


“ฉันไม่แหย่แล้วก็ได้ อีกไม่นานจะได้เวลางานแล้ว คงไม่ลืมธีมของงานนอกจากสีม่วงหรอกนะ” ฮาเซลเปลี่ยนเรื่องพลางหยิบบางอย่างออกจากในเสื้อสูท


“ผมไม่ลืมหรอกน่า” ของในเสื้อสูทถูกหยิบออกมาก่อนสวมทับลงบนใบหน้าจนเห็นครึ่งหน้าตั้งแต่ปากลงมา


ธีมในงานนี้นอกจากจะเป็นสีม่วงแล้วยังมีหน้ากาก หน้ากากของผมเป็นหน้ากากเรียบๆ ที่ ตกแต่งด้วยสีขาวแซมม่วงโดยมีขนนุ่มๆ ปกคลุมหน้ากากอยู่ หน้ากากของฮาเซลเป็นสีเงินเงาแวบวับพอสะท้อนกับแสงไฟจะเห็นว่าเปลี่ยนเป็นสีเหลือบม่วง สำหรับของมากส์เป็นหน้ากากสีดำธรรมดาต่างจากของแซมที่มีสีสันฉูดฉาดอย่างสีส้มและชมพู



(มีต่อ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


เมื่อเวลางานเริ่มพวกแขกต่างทยอยเดินเข้ามาด้านใน หญิงสาวทุกคนล้วนอยู่ในชุดเดรสธีมสีมม่วงโดยมีหน้ากากระยิบระยับใส่ปิดบังใบหน้าอยู่ เหล่าเพื่อนชายของฮาเซลก็ไม่น้อยหน้าแม้จะใส่หน้ากาก ปิดบังทว่าเส้นผมสีทองตามแบบฉบับเจ้าชายในนิทานไม่ใช่สิ่งปกติยิ่งในงานแบบนี้...คนนั้นคงเป็นคริสโตลีนี่ คิวเบิร์ก เจ้าของโรงแรมหรูพ่วงด้วยผู้ผลิตอาวุธและเพื่อนสนิทของฮาเซล


อีกคนเองต่อให้สีผมควันบุหรี่จะกลืนกับสีดำได้แต่ดวงตาสีทองสว่างรอดผ่านหน้ากากออกมาจนผมรู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าคือซิลเลอร์ เบนซ์ ผู้สื่อข่าวชื่อดังและพ่อค้าข้อมูลระดับโลก แค่นั้นยังไม่พอหนึ่งในสามคานหลักของประเทศอย่างโรเบิร์ต เกลสันเดินเข้ามาในงานพร้อมลูกสาวคนสวย...เดโรซ่า เกลสัน เส้นผมสีทองถูกดัดเป็นลอนดูเข้ากับชุดเกาะอกสีม่วงอ่อนที่มีระบายสีขาวตรงชายกระโปรงได้เป็นอย่างดี และคนสุดท้ายเป็นอีกบุคคลในตำนาน หนึ่งในสามคานผู้ขับเคลื่อนประเทศด้านการคมนาคมและการขนส่ง เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนตรงยาวสลวยกับนัยน์ตาสีเดียวกัน...แองเจริก้า โรเตริส


สมกับเป็นงานวันเกิดของฮาเซล มีแต่คนธรรมดามาร่วมทั้งนั้น!


ผมแอบประชดอยู่ในใจ


“ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานวันเกิดในปีนี้ งานในวันนี้มีนักเปียโนคนสนิทให้เกรียติมาเล่นให้ตลอดงานหวังว่าทุกคนจะชอบ” การเปิดม่านของฮาเซลไม่ได้ยิ่งใหญ่มีเพียงคำพูดธรรมดาผ่านหน้ากากแล้วผายมือมาทางผมให้ลุกขึ้นโค้งทักทายคนในงาน


พอนั่งลงตามเดิมเพลงวันเกิดในเวอร์ชั่นดัดแปลงถูกเล่นเป็นเพลงเปิด ความจริงตามลิสที่ฮาเซลให้มาไม่ใช่เพลงนี้ เรียกว่าผมเล่นเพลงนี้สดๆ โดยไม่มีการเตรียมตัวเลยก็ได้ วันเกิดทั้งทีจะไม่ให้มีเพลงได้ยังไงล่ะจริงไหม


เสียงเพลงจากเปียนโนให้ความรู้สึกนิ่มนวลในขณะเดียวกันก็ก้องกังวานอยู่ในจิตใจ เพลงวันเกิดธรรมดาๆ ถูกดัดแปลงสดๆ ถือเป็นของขวัญจากผมที่มีให้เจ้าของงาน ระหว่างเล่นมองแอบหันไปมองฮาเซล เขายืนนิ่งและมองตรงมายังผมโดยมุมปากมีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดจนเพลงจบลง เพลงต่อๆ ไปผมเล่นมันตาลิสและโน้ตเพลงที่วางอยู่ตรงหน้า...ตลอดการเล่นผมมีสมาธิอยู่กับเปียโนจนกระทั่งแสงไฟทั้งห้องถูกดับลง


ผมรู้ดีว่ากำหนดการต่อไปหลังจากการมอบของขวัญให้เจ้าของวันเกิดอย่างฮาเซลคือการเต้นรำ แสงไฟจะดับลงและฉายไปยังเจ้าของงานซึ่งก็คือฮาเซลให้เดินไปหาหญิงสาวมาเป็นคู่เต้นรำ เป็นการเปิดฟรอเต้นรำนั่นเอง


ใช่...กำหนดการคือฮาเซลเดินไปหาผู้หญิงไม่ใช่มาหยุดยืนอยู่ด้านข้างผมแบบนี้


ผมเอียงคอเล็กน้อยแทนคำถามว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมาหยุดอยู่ตรงนี้


“เต้นรำกับฉันนะ” คำขอเรียบๆ กับมือที่ยืนมาตรงหน้าทำเอาท้วงทำนองของเปียโนหยุดชะงักลง


“...ทำอะไร” ผมพึมพำถามเสียงเบาโดยไม่ให้คนรอบๆ ได้ยิน


“เต้นรำกับฉันนะเรย์” คำขอส่งถูกมาอีกรอบด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมราวกับกำลังกดดันให้ผมต้องทำตามเพื่อให้งานดำเนินต่อไป


“แล้วเปียโน...” ผมลุกขึ้นตามแรงดึงจากอีกฝ่ายก่อนจะเห็นมากส์เข้าไปนั่งแทนที เสียงบรรเลงจากเปียโนดังขึ้นอีกรอบด้วยฝีมือของคนที่ผมไม่อยากเชื่อว่าจะเล่นเปียโนได้


ถ้าเป็นแซมผมยังพอเชื่อ


แต่มากส์...


คนเรานี่มองแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ


“มีสมาธิหน่อย” ฮาเซลพูดพลางดึงร่างผมให้เข้าไปใกล้


มือข้างหนึ่งจับกุมกันไหวโดยอีกข้างแตะบริเวณไหล่ฮาเซลเบาๆ จังหวะการเต้นฮาเซลเป็นฝ่ายเริ่มผมทำเพียงก้าวตามจังหวะนั้นปล่อยตัวให้สบายไม่เกร็ง ใช่ว่านี่จะเป็นครั้งแรกของการเต้นรำ...และไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเต้นในตำแหน่งของฝ่ายหญิงด้วย สิ่งที่แตกต่างจากปกติมีเพียงคู่เต้นของผมคือฮาเซล


ฝ่ามืออุ่นๆ ไม่ได้จับแน่นอะไร น่าแปลกว่าทำไมถึงได้รู้สึกอุ่นราวกับถูกโอบกอดทั้งตัว ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองที่สอดประสานมาตลอดการเคลื่อนไหวนี้ หน้ากากช่วยให้หลายคนไม่เห็นว่าผมเป็นใครแต่ที่ดีกว่าคือช่วยซ่อนใบหน้าแดงระเรื่ออย่างไม่ทราบสาเหตุนี่ได้


พอคู่เปิดเต้นได้สักพักคู่อื่นๆ ต่างพากันออกมาเต้นตาม สายตาของหญิงชายทั้งห้องโถงจับจ้องมายังผมราวกับจะดูว่าใครกันเป็นคู่เต้นรำของฮาเซล บทเพลงยังคงบรรเลงด้วยท้วงทำนองผ่อนคลายปนสดใสเหมาะกับบรรยากาศของงานวันเกิดไปเรื่อยๆ จากหนึ่งเป็นสองและสามตามลำดับ เพลงของการเต้นรำมีทั้งหมด 5 เพลง ไม่จำเป็นต้องเต้นจนหมดและไม่จำเป็นต้องเต้นกับคนเดิม


ฮาเซลรู้แต่เขากลับยื้อผมให้เต้นรำด้วยจนกระทั่งเพลงที่ 5 บรรเลงจบ สายตาของหญิงสาวทั้งห้องโถงใกล้เคียงกับคำว่าลุกเป็นไฟหากไม่มีหน้ากากปิดอยู่ไม่แน่ผมอาจจะไหม้เป็นจุลไปแล้ว


“พอแล้วฮาเซล” ผมบอกเสียงเมื่อเพลงที่ 5 จบลง


“อืม งั้นเริ่มขั้นต่อไปเลยนะ”


“ขั้นต่อไปอะไร...” ยังไม่ทันถามจบแสงสว่างทั้งห้องโถงก็มืดลงอีกครั้ง ด้านบนเพดานของชั้น 6 นี้เป็นกระจกใจจึงสามารถมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรีได้ชัดเจน ผมเผลอเงยหน้ามองด้านบนอยู่สักพักก่อนจะกลับมามองฮาเซลตามเดิมทว่าฮาเซลที่ควรจะยืนอยู่กลับคลุกเข่าข้างนึงลงกับพื้นโดยเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม


หัวใจเพียงดวงเดียวของร่างเร่งจังหวะเต้นขึ้นโดยไม่ทราบเหตุผล ผมควรจะพูดอะไรสักอย่างหรือก้าวถอยหนี สมองคิดทว่าร่างกายกลับไม่ทำตาม


“เรย์...ฉันรักนาย” คำสารภาพรักจากฮาเซลสร้างความเงียบให้แก่คนทั้งห้องไม่เว้นผม


ไม่เพียงหัวใจที่กำลังเต้นรัวแต่ความเห่อร้อนจากทั่วร่างแผ่ซ่านออกมาผ่านใบหน้า ต่อให้มีหน้ากากผมก็มั่นใจว่ามันปิดบังใบหน้าแดงๆ ของตัวเองไม่ได้


ทำไมถึงรู้สึกเขินอาย


ทำไมหัวถึงต้องเต้นรัว


ทำไมความรู้สึกนี้ถึงได้เกิดกับฮาเซล


“...ฮาเซล”


“รักจริงๆ” ฮาเซลย้ำโดยการจูบเบาๆ บนฝ่ามือผม


“...” ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังหรือแม้แต่ต้องพูดอะไร


ในหัวมันขาวโพลนไปหมด ยิ่งมีสายตาหลายสิบคู่จับจ้องมาผมยิ่งทำตัวไม่ถูก ผมไม่ชอบเป็นจุดเด่น...ไม่ชอบมาก แต่ตอนนี้ฮาเซลกำลังทำให้ผมเป็นจุดเด่น และเด่นมากจนร่างกายเริ่มเกร็งไปหมด


“มากส์ แซม” ฮาเซลเรียกบอดี้การ์ดคนสนิททั้งคู่


“ครับ”


“ฝากงานที่เหลือด้วย”


“ได้ครับ แล้วท่านฮาเซลจะ...”


“พวกเราขอตัว” ไม่ต้องรอให้มากส์ถามจบประโยคฮาเซลหันไปก้มหัวให้เหล่าบรรดาแขกรับเชิญก่อนจะอาศัยจังหวะที่ผมกำลังไม่มีสติอุ้มผมพาดบ่าแล้วเดินออกจากห้องท่ามกลางเสียงปรบมือรัวๆ จากเพื่อนสนิททั้งสองอย่างคริสโตลีนี่ คิวเบิร์กและซิลเลอร์ เบนซ์ที่ส่งยิ้มกว้างมาให้ราวกับสนุกกับเหตุการณ์นี้สุดๆ


ในหัวผมตอนนี้แทบไม่รู้ถึงสิ่งรอบตัว พอสติเริ่มกลับมาก็พบว่าตัวเองถูกพาเข้ามายังห้องด้านข้างซึ่งเป็นเหมือนห้องนอนขนาดใหญ่มีเฟอร์นิเจอร์ตั้งแต่เตียงกลางห้องไปจนถึงโซฟาและโต๊ะคอมด้านข้าง


“ฮาเซล ปล่อย” ทันทีที่สติเข้าร่างผมใช้มือกดไหล่ฮาเซลพร้อมพลิกตัวตีลังกาเพื่อหลบหนีจากการถูกอุ้มพาดบ่าอันแสนน่าอายโดยไม่ต้องรออีกฝ่ายปล่อย


“ท่านั่นสุดยอด ตัวอ่อนจังนะเรย์” ฮาเซลดูไม่ตกใจที่ผมหลุดออกมาได้แถมยังทำหน้าชื่นชมอีกต่างหาก


“พาผมมานี่ทำไม ถ้างานจบแล้วผมขอตัวกลับ...” บานประตูตรงห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวทว่าผมกลับไม่สามารถก้าวขาไปถึงได้เนื่องจากฮาเซลคว้าแขนไว้


“ฉันอยากคุยด้วย”


“ผมว่าเราคุยกันเยอะแล้วนะ” ตั้งแต่มาถึงนี้ก็พูดคุยกับฮาเซลไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่


“อยากคุยเรื่องของเรา...”


“ฮาเซล กอนซาเลส จะให้ผมบอกอีกกี่ครั้งว่ามันไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นของเรา คุณจ้างและผมรับงานเมื่องานเสร็จคุณจ่ายเงินจากนั้นก็แยกย้าย” ผมต้องย้ำความจริงให้ฮาเซลฟังเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบ


ผมไม่อยากได้ยินคำว่าเราจากปากของฮาเซล คำๆ นั้นมามีอิทธิพลมากเกินไปสำหรับผม


เรา...หมายถึงผมและฮาเซล พวกเราทั้งคู่


“ฉันจะย้ำจนกว่าเรย์จะรับรู้”


“รับรู้แล้วยังไง ก็ได้ผมยอมรับว่าได้ยินคำสารภาพของคุณ” ถ้าการรับรู้ทำให้เรื่องจบผมจะยอมรับรู้ถึงคำสารภาพนั้นก็ได้


ในเมื่อผมรับรู้แล้วก็ปล่อยผมไปสักที


ปล่อยผมไปก่อนที่เสียงหัวใจมาจะเต้นดังไปมากกว่านี้


“ถ้ารับรู้ฉันก็อยากให้นายยอมรับ...”


“จะมากไปแล้วฮาเซล ผมไม่คิดจะยอมรับคำสารภาพนั่นผมเคยบอกแล้วไงว่า...”


“ไม่อยากให้ใครเข้าไปยุ่งในพื้นที่ส่วนตัว ใช่ฉันรู้ แต่เรย์...ถ้านายไม่อยากให้ฉันก้าวเข้าไปจริงๆ ทำไมถึงได้ยอมให้ขนาดนี้ล่ะ ทั้งยอมให้เบอร์ ทั้งยอมรับสาย ทั้งยอมมาหา ความหมายของพวกมันคืออะไรเข้าใจใช่ไหม” ฮาเซลพูดแทรกสิ่งที่ผมกำลังจะบอกพร้อมดึงร่างผมให้เข้าสู่อ้อมกอดนั้นอย่างไม่ทันตั้งตัว


“...ไม่...ผมไม่เข้าใจ” ผมเม้มปากแน่นราวกับกำลังปฏิเสธเสียงหัวใจและความร้อนบนใบหน้าอย่างสุดความสามารถ


“นายแค่ไม่อยากยอมรับ”


“...ปล่อยผมฮาเซล”


“ครั้งก่อนฉันอาจยอมปล่อย แต่ครั้งนี้คงยอมไม่ได้” ไม่เพียงแค่พูดแต่ยังกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นจนสามารถสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจ...หัวใจที่ไม่ใช่เพียงของตัวเอง


หัวใจฮาเซลกำลังเต้น...และเต้นแรง


แรงพอๆ กับหัวใจของผม


“ฮาเซล ปล่อย...” ผมไม่อยากอยู่ในสถานการแบบนี้แล้ว ผมไม่ชินกับการปฏิสัมพันธ์ใดๆ แต่ตอนนี้กลับต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เคยชินและเป็นครั้งแรกที่รู้สึกราวกับร่างกายกำลังไร้น้ำหนักยามได้ยินเสียงหัวใจของฮาเซล


“ไม่”


“ฮาเซล!”


“เรย์ ไม่จำเป็นต้องตอบรับ ขอเพียงแค่ยอมเปิดใจรับความรู้สึกของฉัน...นะ” เสียงกระซิบดังขึ้นพร้อมสัมผัสที่กดลงมายังขมับด้านข้าง สัมผัสแบบนี้...ฮาเซลจูบหัวผม


บ้าจริง


ร่างกายอยู่ๆ ก็สั่นขึ้นมา


เปิดใจเหรอ


“ไม่...” จะให้เปิดได้ยังไง


เพราะถ้าเปิดใจ...ก็ไม่สามารถสะกดกั้นความรู้สึกนี้ได้อีก


กลัวการเปลี่ยนแปลงที่ไม่รู้ทิศทาง หากยอมรับและเปิดใจสิ่งที่เปลี่ยนไปมันจะเป็นยังไง...ผมไม่อาจรู้ และไม่กล้าพอที่จะเสี่ยง


“เรย์” น้ำเสียงของฮาเซลไม่ได้กดดันอะไร มีเพียงเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นและอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ อ่อนโยนและอบอุ่นมากเกินไป...เพิ่งมีฮาเซลเป็นคนแรกที่มอบน้ำเสียงแบบนี้ให้


ไม่สิ ไม่ใช่แค่น้ำเสียงแต่หลายสิ่งตลอดช่วงเวลาที่ได้รู้จักกัน เขามอบครั้งแรกให้กับผมมามากมาย ทั้งความขี้เล่น ความจริงใจ ความดุดัน ความเป็นห่วง ความอบอุ่น ความอ่อนโยน ความเอาใจใส่และตอนนี้เขากำลังมอบความรักให้ผม


มือทั้งสองข้างของผมค่อยๆ ยกขึ้นมาขยุ้มเสื้อสูทสีม่วงเข้มราวกับคนกำลังตัดสินใจ ริมฝีปากเองก็เม้มแน่นสลับกับอ้าออกคล้ายคนอยากจะพูดบางอย่างแต่ไม่มีความกล้าพอ สัมผัสของมือข้างนึงเปลี่ยนจากกอดมาเป็นลูบแผ่นหลังเหมือนล่วงรู้ถึงความรู้สึกของผมนั่นยิ่งทำให้ผมซุกใบหน้าลงกับแผ่นอกแทนการถอยหนีมากขึ้น


มันอาจถึงเวลาต้องเลิกกลัวและก้าวออกมาจากพื้นที่ของตัวเองสักที


ให้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ด้านนอกมีอะไรอยู่


ผมจะลองเสี่ยงดูก็ได้...ฮาเซล


“อืม” เสียงครางเบาๆ ในลำคอของผมถูกส่งออกไปท่ามกลางความเงียบของยามราตรี


“อะไรอืมเหรอเรย์” ฮาเซลกระซิบถาม


“...จะลองดูก็ได้ จะเปิดใจดูละกัน” ผมกลั้นใจตอบด้วยใบหน้าร้อนวูบวาบยิ่งกว่าคนเป็นไข้


“เก่งมากเรย์ ฉันดีใจสุดๆ เลยรู้ไหม”


“...ไม่รู้” ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละตอนนี้ รู้แค่ว่าหากอยู่แบบนี้ต่อไปอีกไม่กี่นาทีผมลงได้หมดสติเพราะความร้อนบนใบหน้าและแรงเต้นจากหัวใจที่รัวกว่าทุกที


“ดึกขนาดนี้ ค้างนี่เนอะ”


“ไม่!” ผมรีบตอบเสียงหลง


จะให้ค้างนี่กับฮาเซล?


ไม่ ไม่ ไม่มีทาง!


“ถือเป็นของขวัญวันเกิดฉันเนอะ”


“ไม่ต้องมาเนอะ ผมไม่ได้ตกลง” มือที่ขยุ้มเสื้อสูทสีม่วงเข้มเปลี่ยนเป็นผลักแผ่นอกอีกฝ่ายออกไปทันควัน


“เรย์” น้ำเสียงอ่อนโยนเข้ามากระซิบยังใบหูสร้างความรู้สึกแปลกให้เกิดขึ้น


“...ไม่” ทำไมกัน...ทำไมถึงได้รู้สึกแพ้ทางน้ำเสียงแบบนั้น


“เรย์” คล้ายจะกลั่นแกล้งฮาเซลย้ำเสียงอ่อนโยนต่อ


“อึก...หยุดพูด”


“เรย์” และอีกครั้งที่น้ำเสียงนั่นทำเอาหัวใจสั่นไหว ฮาเซลค่อยๆ ขยับตัวพลางดึงผมให้ล้มลงไปนอนบนเตียงกลางห้องในสภาพเดิมคือถูกโอบกอด


มาถึงขนาดนี้ต่อให้ผมบอกว่าไม่ก็คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้ แม้ผมจะมั่นใจว่าสามารถหนีออกจากสถานการนี้ได้แต่กลับไม่ยอมทำปล่อยให้อีกฝ่ายกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น จะยอมให้แค่ครั้งนี้แทนของขวัญวันเกิดละกันฮาเซล


ถ้ามีครั้งหน้าเตรียมโดนถีบตกเตียงได้เลย!

.................................................

มาต่อกันค่ะ

ตอนนี้ค่อนข้างมีหลากหลายอารมณ์และเป็นตอนที่แต่งยากที่สุดในบรรดาตอนที่แต่งมา

ด้วยความที่อารมณ์ของเรย์ค่อนข้างซับซ้อน ไม่สิ ต้องบอกว่าอารมณ์เรย์ไม่ได้ซับซ้อนแค่ไม่อยากยอมรับความรู้สึกของตัวเองก็เท่านั้น กว่าจะแต่งออกมาให้ได้ดั่งใจนี่ค่อนข้างใช้เวลาทีเดียว

แต่พอแต่งจบแล้วรู้สึกมีความสุขมาก

สำหรับเรื่องนี้เหลือเพียงไม่กี่ตอนก็จะจบแล้ว

เนื้อเรื่องเข้าสู่ช่วงท้าย

หวังว่าทุกคนจะคอยติดตามกันไปจนจบเรื่องนะคะ

ขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่มีให้เสมอน้าาา

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ไปหมดแล้ว เรย์ สติสตัง รักคำเดียวแท้ๆ  :o8:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ Psycho

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 388
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
พลาดตั้งแต่ยอมครั้งแรกแล้วเรย์ ครั้งต่อไปมันต้องมี

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ครั้งหน้าจะได้ทีบจนตกเตียงหรือเปล่า เรย์

หึหึ

ออฟไลน์ PK.Kenaf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ร้ายมาก รู้ว่าน้องแพ้น้ำเสียงแบบนี้ ลูกอ้อนแบบนี้ ใช้ใหญ่เลยจ้า

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่17



นักฆ่าส่วนมากไม่ชอบเป็นจุดเด่นท่ามกลางกลุ่มคนจึงมีไม่น้อยที่ปลีกตัวอยู่ตามลำพังหรือตามกลุ่มของตนเอง แต่แม้จะเป็นนักฆ่าแต่พวกเราก็เป็นมนุษย์...การไม่ออกไปไหนเลยจึงแทบเป็นไปไม่ได้ เพียงแค่ต้องระวังตัวสักหน่อย


สำหรับผมเองการอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องร้ายแรงรวมถึงการขลุกอยู่ในห้องก็เป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบ ส่วนตัวผมไม่ชอบออกไปเดินเบียดเสียดกันกับใครๆ ตามท้องถนนยิ่งช่วงมีงานเทศกาลหรือวันพิเศษผมนี่แทบไม่ออกนอกห้อง ยกเว้นเพียงหนึ่งเทศกาลในรอบปีจะจัดสักครั้ง


เทศกาลอันยิ่งใหญ่ที่หลายๆ ประเทศต่างพากันจัดงานใหญ่โตตั้งแต่ช่วงเย็นข้ามไปยังอีกวันก่อนถึงรุ่งสาง พูดถึงตรงนี้อาจคิดกันไม่ออกแต่ถ้าเพิ่มข้อมูลอย่างธีมของงานเทศกาลเป็นสีดำ มีการแต่งกายและแต่งหน้าด้วยภาพลักษณ์อันแสนน่ารักไปจนถึงน่ากลัว และคำพูดติดปากของงานเทศกาบนี้คือ trick or treat


ใช่ เทศกาลนี้คือฮาโลวีน


ค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองและสนุกสนานไปกับการแต่งกายอันน่าพิศวง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักที่ผมยอมออกจากห้องในวันเทศกาล ประเด็นหลักคือวันงานฮาโลวีนมักมีการทำขนมหรือของหวานพิเศษออกมา บนถนนสายยาวใจกลางเมืองเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายไม่ว่าร้านไหนในวันเทศกาลจะมีการแจกขนมสำหรับผู้ที่ออกมาร่วมงานสังสรรค์ครั้งยิ่งใหญ่ของปีจนกลายเป็นเทศกาลประจำชาติที่มีชื่อเสียงโด่งดัง


การจะเข้าร่วมงาน ทำได้ง่ายแสนง่ายเพียงแค่แต่งกายให้เข้ากับธีมฮาโลวีนและไปเคาะประตูตามร้านต่างเราก็จะได้ขนมนั้นมา ไม่เพียงแค่เด็กที่สามารถเข้าร่วมได้มีผู้ใหญ่จำนวนมากเข้าร่วมงานดีด้วยความสนุกและผ่อนคลายจากการทำงานในหลายๆ เดือน


และนั่นคือเหตุผลหลักของการมาเยือนถนนสายหลักในวันนี้ของผม เส้นผมสีดำสนิทถูกสเปรย์สีเงินฉีดทับโดยมีตรงปลายๆ เส้นเป็นสีแดงคล้ายเลือด ใบหน้าเองเต็มไปด้วยบาดแผลแหวะหวะจนแทบไม่มีเค้าโครงเดิมให้เห็นแม้แต่เสื้อเชิ้ตสีขาวยังมีสีแดงปรากฏเป็นหย่อมๆ อยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีดำที่ตัดเย็บแบบพิเศษโดยการนำหนอนจำลองหลายสิบตัวมาเย็นติดจนเหมือนเป็นเสื้อของศพ เท่านั้นยังไม่พอกางเกงขายาวสีดำมีร่องรอยของการฉีกขาดไปจนถึงเหนือเข่าหนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างก็ทำการกรีดให้เป็นริ้วๆ ตั้งแต่หัวเข่าลงไป


ด้วยภาพลักษณ์ของผมในตอนนี้ไม่มีใครมองออกแน่นอนว่าเป็นใคร ความจริงไม่ได้มีเพียงแค่ผมแต่กลุ่มคนนับร้อยบริเวณรอบนี้ต่างแต่งกายด้วยรูปลักษณ์ในธีมเดียวกัน ผู้หญิงส่วนมากจะแต่งเป็นแนวแม่มดหรือแมวดำเพิ่มความน่ารักน่ามอง


ร้านขายเสื้อผ้าด้านข้างตอนนี้มีกลุ่มคนคล้ายซอมบี้นับสิบยืนล้อมพร้อมออกแรงเคาะทั้งประตูและกระจกใส เช่นเดียวกับร้านฝั่งตรงข้ามที่เต็มไปด้วยเหล่าแม่มดและปิศาจอีกหลายชนิดต่อคิวกันเพื่อรับขนมจากทางร้านหากไม่ใช่วันฮาโลวีนคงได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจตลอดทางแน่ ผมเดินแทรกกลุ่มคนบนถนนเส้นใหญ่ที่วันนี้ถูกปิดห้ามเข้าตั้งแต่ช่วงบ่ายไปยังส่วนบนของถนน พวกร้านขายเสื้อผ้าหรือของอุปโภคไม่ใช่เป้าหมายผม


ต้องร้านขนมหรืออาหารสิถึงจะเยี่ยม


ทั้งร้านขนมและร้านอาหารบนถนนเส้นนี้จะได้รับงบจำนวนมากกว่าร้านอื่นในช่วงวันฮาโลวีนเพื่อทำการคิดสูตรและทำขนมแบบใหม่ขึ้นทุกปี และขนมเหล่านั้นแหละที่เป็นของขึ้นชื่อ ไม่เพียงรูปลักษณ์แต่รสชาติของมันนั้นสุดบรรยาย จริงอยู่ผมอาจมีเงินมากพอจะกวาดซื้อขนมพวกนั้นได้แต่ขนมวันงานเทศกาลฮาโลวีนจะไม่มีขายทั้งในวันนี้หรือวันต่อไปใครต้องการจะได้ลิ้มรสก็ทำได้เพียงเข้าร่วมงานเทศกาลนี่เท่านั้น


ไม่งั้นผมคงมาเหมาตั้งแต่กลางวันแล้ว


ร้านขนมชื่อดังร้านแรกแออัดไปด้วยผู้คนนับร้อยเบียดเสียดกันเพื่อแย่งขนม แม้จะพูดว่าเบียดเสียดแต่ก็ต่อแถวกันทีละสองคนเคาะประตูร้านพร้อมคำ “trick or treat” เมื่อทางร้านตอบว่า treat ก็จะได้รับขนมไปแต่ก็มีไม่น้อยที่ทางร้านตอบว่า trick แน่นอนว่าสิ่งตามมาคือการถูกหลอกนั่นเอง ด้วยความที่ธีมของงานเป็นโทนดำบวกกับสีของท้องฟ้ายามราตรีช่วยให้ทักษะนักฆ่าของผมเปล่งประกายอย่างถึงขีดสุด การลบสัมผัสออกแล้วก้าวไปด้านหน้าพร้อมกับแทรกตัวไปอยู่เมื่อเห็นช่องว่างระหว่างคนในพริบตา


อย่าหาว่าผมโกงเลยนะ


มีทักษะก็ต้องใช้


แต่เด็กดีอย่าเลียนแบบแต่เอาไปปรับใช้ได้


“trick or treat” ผมดัดเสียงต่ำหลังเคาะประตูกระจกร้านขนมชื่อดัง


“หว๋า แบบนี้ต้อง treat สิคะ สุดยอดทำเหมือนจริงสุดๆ อย่าหลอกพวกเราเลยนะคะ นี่ค่ะขนมสูตรพิเศษสำหรับวันฮาโลวีน” พนักงานสาวคนแรกเอ่ยชมพลางมองบาดแผลบนใบหน้าผมก่อนจะยื่นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่ด้านในมีขนมสีดำใส่อยู่


“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยเสียงต่ำขอบคุณแล้วเดินออกจากร้านไป


และแล้วการตะเวนเก็บขนมก็เริ่มต้นขึ้น ทุกๆ ร้านที่ผมเลือกต่างเป็นร้านขนมหรือร้านอาหารขึ้นชื่อทั้งสิ้น...เกือบทุกปีผมชิมมาหมดจนรู้ว่าไหนรสชาติดีหรือไม่ดี ส่วนมากจะมีดีกับดีมากเท่านั้นแหละ ผมแค่เรื่องมากกับรสชาติของหวานเลยเลือกกินนิดหน่อย


“โอ๊ะ...ร้านนั้น ชีสเค้ก” ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์เบิกกว้างยามเห็นร้านต่อไปอยู่ไม่ไกล


ร้านหลายสิบร้านถูกผมเดินสลับไปมาตลอดสองฝั่งถนนพร้อมคว้าขนมมาไว้ถุงเรื่อยๆ จนถึงคลับแห่งหนึ่งใจกลางเมืองซึ่งมีเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง และผมเคยมาเยือนที่นี่หลายครั้ง ครั้งล่าสุดคือเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน...งานวันเกิดของเจ้าของคลับหรูที่สร้างความสับสนให้ผมอย่างมหาศาล...


จะเป็นที่ไหนได้ล่ะถ้าไม่ใช่คลับของฮาเซล กอนซาเลส


คลับของฮาเซลมีการจัดการและการบริหารที่ดีมาก เหมือนจะรู้ว่าอะไรที่สามารถสร้างชื่อเสียงและดึงคนให้หันมาสนใจมากขึ้นได้ ร้านค้าอื่นให้ขนมชิ้นเล็กแต่นี่มาเป็นชิ้นใหญ่ แค่นั้นยังไม่พอยังมีของแถมให้อย่างบัตรส่วนลดเมื่อมาใช้บริการครั้งต่อไป


ทำการตลาดได้ดี


สมกับเป็นฮาเซลล่ะนะ


เมื่อได้ขนมมามากพอผมก็ออกจากจากถนนสายนี้ตรงกลับยังห้องพัก ดูเหมือนจะเป็นโชคดีหรือร้ายก็ไม่รู้ที่ทางกลับห้องที่สั้นสุดของผมจำเป็นต้องผ่านหน้าบริษัทอสังหาริมทรัพย์อันโด่งดังและมีชื่อเสียงติดอันดับต้นๆ นี่


“เฮ้อ นี่คุณจะผุดเข้ามาในหัวผมตลอดเลยใช่ไหม” ผมส่ายหน้าพลางโยนชื่อเจ้าของบริษัททิ้งไป


ด้วยรูปลักษณ์ของผมในตอนนี้การเดินผ่านหน้าบริษัทใหญ่ๆ คงเป็นที่จับสังเกตของยามหรือพนักงานรักษาความปลอดภัยน่าดู ผมก็คิดแบบนั้นจนกระทั่งสัมผัสไม่ได้ถึงสายตาใดๆ ที่ควรจะจับจ้องมาซึ่งนั่นทำให้ผมหันไปมองทางเข้าบริษัทฮาเซลด้วยความแปลกใจก่อนจะพบว่าพนักงานรักษาความปลอดที่ควรจะมีสองคนยืนอยู่ข้างหน้าและอีกสองคนอยู่รอบๆ ตอนนี้กลับมีเพียงความว่างเปล่า


จะบอกว่าเป็นช่วงผลัดเวรก็ไม่ใช่แน่นอน ตลอดระยะเวลาของการเป็นบอดี้การ์ดให้ฮาเซลทำให้ข้อมูลต่างๆ ของบริษัทผ่านเข้าหัวผมอย่างช่วยไม่ได้ พวกระบบรักษาความปลอดภัยเองก็เช่นกัน พนักงานรักษาความปลอดภัยด้านหน้าจะมีประจำการอยู่ 4 คนโดยจะมีอยู่ด้านข้างและด้านหลังอีกอย่างละ 4 รวมเป็น 12 คน ช่วงการผลัดเวรจะมี 3 ครั้งคือช่วงเที่ยง หนึ่งทุ่มและตี 3


นาฬิกาข้อมือผมบอกเวลา 2 ทุ่มกว่าซึ่งเลยเวลาผลัดเวรไปนานโข


ได้กลิ่นน่าสงสัย


แต่เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับผมนี่นา หรือจะเกี่ยวแล้วนะ...


แม้ผมจะยอมเปิดใจกับฮาเซลแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะยอมเป็นแฟน เพียงแค่ดูใจกันไปก่อนเท่านั้น แค่คิดเรื่องฮาเซลความกระสับกระส่ายก็เข้ามาทันที ความรู้สึกแปลกๆ นี่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต


“ให้ตายสิ” ต้องทำยังไงถึงอาการพวกนี้จะหายไปสักทีนะ


ผมไม่ชินและไม่อยากชินด้วย


ระหว่างในหัวจะคิดเรื่องเรื่อยเปื่อยขาทั้งสองข้างยังคงก้าวตรงไปด้านข้างตึกด้วยฝีเท้าอันเบาหวิวจนแทบไม่มีเสียงเล็ดรอด ผมหลบอยู่ตรงมุมตึกพลางแอบมองไปยังอีกฝั่งของผนังเพื่อดูลาดราวและก็เจอเค้ากับสิ่งปกติบางอย่าง ร่างของหน่วยรักษาความปลอดภัยหลายคนถูกวางพิงผนังในสภาพหมดสติ ถัดออกไปไม่ไกลมีชายคนหนึ่งกำลังก้มทำอะไรสักอย่างอยู่บนพื้น


มองจากตรงนี้มองไม่เห็นว่าทำอะไร


แต่ถ้าให้เดาคงไม่ใช่สิ่งที่ดีนักหรอก


“ต้องเข้าไปใกล้กว่านี้” ผมพึมพำเสียงเบาแล้วเตรียมก้าวเข้าไปหาเป้าหมายทว่าสัมผัสบางอย่างจากด้านหลังทำให้ผมหันกลับไปพร้อมกระโดดก้าวถอยหลังเพื่อเว้นระยะห่างออกมา ด้วยเสียงเพียงเล็กน้อยมากพอจะเรียกชายคนแรกให้หันมามอง


“ฉันจัดการหมอนี่เอง นายทำหน้าที่ตัวเองต่อไปซะ” เสียงชายคนที่ 2 บอกเพื่อนคนแรกในจังหวะเดียวกับพุ่งตัวเข้าหาผม


หมัดซ้ายขวาถูกปล่อยในจังหวะรวดเร็วติดกันหลายครั้งแล้วจึงเปลี่ยนมาใช้ขาหมายจะจัดการผม แต่ด้วยทักษะที่ผมมีสามารถหลบการจู่โจมทั้งหมดได้ไม่ยาก  ทั้งที่ผมแต่งหน้าให้ดูเหมือนศพขนาดนี้พวกเขายังไม่มีทีท่าตกใจแปลว่าต้องมีฝีมือสมควร จังหวะก้าว การปล่อยหมัดและทักษะอื่นๆ ของคู่ต่อสู้ผมมองทุกอย่างก่อนทำการวิเคราะห์


เมื่อเห็นว่าผมหลบหมัดได้ทางนั้นเลยเปลี่ยนการโจมตี อาวุธสีเงินหรือมีดยาวขนาดเท่าไม้บรรทัดเหวี่ยงเข้าใบหน้าในระยะประชิดจนผมเกือบหลบไม่พ้น ระยะของมีดถูกเพิ่มด้วยการก้าวขาเข้ามาใกล้ในเสี้ยววินาทีเช่นเดียวกับผมที่รับรู้ถึงมันจึงก้าวถอยหลังไปอีก


“แกเป็นใคร” หลังจากโจมตีใส่ผมไม่โดนสักทีเขาก็หยุด สายตานั่นจับจ้องมายังผมด้วยความสงสัยปนหวั่นใจ


“ขอคืนคำถามนั้นกลับ แล้วพวกคุณเป็นใครกัน” ทักษะของเขาไม่ใช่คนเป็นการต่อสู้ปกติ


นั่นคือศิลปะการสังหาร


เขาเป็นนักฆ่า


“ไม่จำเป็นต้องบอก เมื่อแกเห็นพวกเราคงมีแค่ความตายจะมอบให้แทนการทักทายเท่านั้น” พูดจบมีดเล่มเงินพุ่งเข้ายังหัวใจผมโดยไม่มีแม้ความลังเลของการพรากชีวิต


ดูยังไงอีกฝ่ายก็คือนักฆ่า


ความสงสัยผมตอนนี้คือทำไมนักฆ่าถึงมาที่นี่...ที่บริษัทของฮาเซลมีอะไร


หรือว่ามีคนจ้าง


“ผมไม่ชอบการทักทายรุนแรงสักเท่าไหร่” ผมตอบระหว่างหลบการโจมตี ในเมื่ออีกฝ่ายใช้มีดจะให้ผมเอามีดสั้นตัวเองออกมาคงไม่ใช่วิธีที่ฉลาดเท่าไหร่นัก


ถ้างั้นก็ต้อง...


ลวดสีเงินซึ่งได้มาจากฮาเซลถูกหยิบออกมาในจังหวะเดียวกับอีกฝ่ายแทงตรงมายังท้อง ผมใช้ลวดพันรอบมือทั้งสองข้างของตัวเองก่อนจะยึดปลายมีดด้วยการม้วนลวดสีเงิน ความคมของมีดอาจมีมากแต่ตัดลวดไม่ได้ง่ายๆ หรอก ทันทีที่ยึดมีดได้ผมไม่รอช้าจัดการหมุนตัวส่งลูกแตะใส่ท้องอีกฝ่ายจนล้มลงไปกองกับพื้นโดยยึดอาวุธของคู่ต่อสู้มาไว้ในมือเรียบร้อย


“แกเป็นใครกันแน่...ทักษะแบบนั้นมันนักฆ่า...”


“ชู่~! ไม่พูดสิ ผมก็แค่คนเดินผ่านมาเท่านั้นเอง ขอถามว่าคิดจะทำอะไร” ผมถามกลับ


“หึ คนผ่านมาอย่างแกจะรู้ไปทำไม”


“แค่อยากรู้” ผมถามตรงๆ โดยไม่มีการโจมตีซ้ำใดๆ


“วางเพลิงที่นี่คืองานของพวกเรา”


“วางเพลิง?” ผมหันไปมองพรรคพวกอีกคนที่กำลังเตรียมจุดไฟลงบนน้ำมันที่ราดไว้รอบตึกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้


บ้าเอ้ย!


ผมพาร่างวิ่งเข้าหานักวางเพลิงทว่ากลับถูกอีกคนขัดเท้าจนล่างเซใกล้ล้ม ถ้าล้มง่ายๆ อย่าเรียกผมว่ายมทูตแห่งความตายเลย ฝ่ามือข้างหนึ่งถูกใช้เป็นฐานหลังสัมผัสพื้นเพื่อเพิ่มแรงดีดส่งให้ร่างกายผมที่เซใกล้ล้มกลับมาอยู่ในสภาพปกติพร้อมใช้มืออีกข้างตะหวัดลวดสีเงินในมือพัดรอบคออีกฝ่ายแล้วออกแรกดึง


“อั๊ก!...”เสียงร้องอย่างทรมานดังขึ้นก่อนการวางเพลิงนั้นจะสำเร็จในเสี้ยววินาที


ลวดเป็นอาวุธที่สามารถฆ่าได้ในพริบตาเช่นเดียวกับด้ายทว่าสามารถใช้ได้หลากหลายกว่า ในกรณีที่ไม่อยากฆ่าเพียงแค่รัดแรงๆ ไม่กี่วินาทีบริเวณหลดลมก็สามารถทำให้สลบได้ สถานการนี้ผมทำให้นักวางเพลิงสลบด้วยวิธีเดียวกัน


“ไม่จริง...ทักษะแบบนั้นมัน...” นักฆ่าคนแรกพยุงตัวเองลุกขึ้นด้วยสีหน้าตกตะลึง


“โทษทีนะ ขอทำให้สลบหน่อยละกัน” เพียงพริบตาหลังพูดจบร่างของนักฆ่าก็ล้มลงแน่นิ่งบนพื้น ไม่ใช่จากลวดแต่เป็นการสับลงบริเวณต้นคออย่างรวดเร็วหลังจากมาโผล่ข้างหลังศัตรูในพริบตา ความจริงไม่ได้เร็วอะไรขนาดนั้น เพียงแค่อาการตกใจช่วยให้เห็นการเคลื่อนไหวผมเร็วขึ้นกว่าที่เป็นจริงเท่านั้นเอง


เอาล่ะ...ต่อไปยังไงดี


ผมเงยหน้ามองดูตึกสุงกว่า 9 ชั้นตรงหน้า บนชั้นสูงสุดของตึกมีแสงไฟเปิดส่องสว่างอยู่จึงมีความเป็นไปได้ว่าเจ้าของตึกยังคงทำงานอยู่แม้จะเป็นช่วงดึกของวันเทศกาลฮาโลวีน


“ช่วยไม่ได้แฮะ” ถ้าจะติดต่อใครในตอนนี้คงมีตัวเลือกที่ดีที่สุดเพียงเบอร์เดียว โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขาดๆ ถูกหยิบขึ้นและโทรหาปลายสายพร้อมเสียงถอนหายใจยาว


กะว่าจะไม่เจอสักระยะแล้วเชียวนะ


(เรย์?) เหมือนปลายสายจะตกใจไม่น้อยที่เห็นผมเป็นฝ่ายโทรไป


อืม...ผมเองยังตกใจเลย


“คุณอยู่ที่บริษัทสินะ” ผมเข้าเรื่องโดยไม่มีการเกริ่นทักทายใดๆ


(ใช่ มีอะไร...หรือว่าจะมารอฉันอยู่หน้าบริษัท)


“ก็ไม่ผิด แต่ไม่ถูกทั้งหมด” ถูกแค่ตรงที่ผมรออยู่หน้าบริษัทแต่อย่างอื่นไม่ใช่สักนิด


(รู้แล้ว คิดถึง อยากเจอเลยมาหาฉันสินะ)


“ทำไมถึงได้สรุปไปในรูปแบบนั้นกัน” ดูยังไงข้อสรุปนี่ก็ควรจะตัดทิ้งเป็นอันดับแรก


ถึงจะไม่เถียงที่ว่าอยากเจอกก็เถอะ แม้ในใจจะพยายามทำเป็นไม่อยากเจอหรือไม่คิดเรื่องของฮาเซลมากเท่าไหร่สุดท้ายชื่อฮาเซลก็เข้ามาวนเวียนอยู่ในสมองทุกครั้งไป


ผลของการเปิดใจช่างน่ากลัว


(ไม่ใช่เหรอ ฉันอุตส่าห์ตั้งใจคิดนะเนี่ย)


“ตั้งใจคิดหรือตั้งใจแหย่ผม” ให้โอกาสพูดใหม่อีกรอบ


(รู้ทันจังนะ ว่าแต่เกิดเรื่องอะไรขึ้น)


“ทำไมคิดว่ามีเรื่องล่ะ ผมอาจแค่อยากโทรหาคุณก็ได้” ในเมื่อฮาเซลแหย่ได้ผมก็มีสิทธิ์จะแหย่เขากลับเหมือนกัน


(...ต่อให้นายพูดเล่นแต่ฉันคิดจริงจังนะ)


“หึ พอดีผมเจอคนกำลังวางเพลิงบริษัทคุณน่ะ” น้ำๆ ไม่ต้อง พูดเนื้อไปเลยจะง่ายกว่า


(วางเพลิง? ตอนนี้อยู่ไหน) น้ำเสียงของฮาเซลเริ่มจริงจังขึ้นเมื่อได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


“ด้านข้างบริษัท อีกฝั่งที่ไม่ใช่ลาดจอดรถ” ผมบอก


(เดี๋ยวฉันลงไป)


หลังจากวางสายเสร็จไม่ถึงสิบนาทีฮาเซลก็วิ่งออกมาจากตึกพร้อมด้วยบอดี้การ์ดคนสนิททั้งสองที่ดูจะยังงงๆ กับสถานการณ์อยู่ไม่น้อย และยิ่งมาเจอกับผมในสภาพแต่งเป็นผีดิบทั้งคู่ก็แทบจะส่งเสียงออกมาพร้อมกัน...


“เฮ้ย!...นั่น เทเลอร์?” เหมือนแซมจะไม่มั่นใจว่าใบหน้าเละๆ นี่เป็นใคร


ผมบอกแล้วว่ายังไงก็จำไม่ได้หรอก


“อืม ใบหน้าตกใจนั่นถือเป็นคำชมนะ” การตกใจแปลว่าผมคงแต่งเหมือนมาก


“ไม่คิดว่านายจะชอบไปเที่ยวพวกงานเทศกาลนะ” มากส์พูดบ้าง ดวงตาของมากส์ยังคงจ้องมายังบาดแผลใกล้เน่าบนใบหน้า


“เฉพาะฮาโลวีน” งานอื่นไม่มีใครเห็นผมแม้แต่เงาแน่นอน


“บอสก็อึ้งจนพูดไม่ออกเลยเหรอ” แซมหันไปถามเจ้านายตัวเอง


นั่นสิ น่าแปลกที่ฮาเซลเงียบได้ขนาดนี้


“ใช่ ไม่คิดว่าจะแต่งแบบนี้ น่าเสียดายใบหน้าน่ารักๆ นั่นหมด”


“ลองพูดคำว่าน่ารักอีกครั้งคุณได้มีแผลเหมือนเมกอัพบนหน้าผมแน่” ผมย้ำในคำพูด้วยการหยิบมีดสั้นขึ้นมา


“ใจเย็นนะที่รัก...”


“ฮาเซล กอนซาเลส!”


“โอเค คนที่วางเพลิงคือสองคนนี้สินะ” ฮาเซลยอมกลับเข้าเรื่องเมื่อเห็นมีดสั้นในมือผมเริ่มเคลื่อนไหว


“อืม พวกเขาเป็นนักฆ่า” ผมบอกขยายความ


“นักฆ่า?...ทำไมถึงรู้ได้” ฮาเซลถามกลับสลับกับมองร่างสองร่างริมกำแพง


“ตอนปะทะกันทั้งทักษะและการเคลื่อนไหวมันไม่ใช่ของคนปกติ”


“ถ้าเรย์พูดเองคงไม่ผิด มากส์พาตัวพวกนี้ไป แซมเรียกหมอมาดูพวกพนักงาน” คำสั่งของฮาเซลดังขึ้นทันทีหลังมองเหตุการณ์ทุกอย่างแล้ว


“ครับ” บอดี้การ์ดทั้งสองขานรับก่อนรีบจัดการตามคำสั่ง


“ได้เรย์ช่วยไว้อีกแล้วสิเนี่ย” ใบหน้าของฮาเซลตอนนี้มีรอยยิ้มประดับอยู่


“คุณควรระวังมากกว่านี้นะ” ครั้งนี้ผมอาจมาช่วยได้เพราะผ่านมาเห็นพอดีแต่ใช่ว่าผมจะสามารถช่วยได้ทุกครั้ง หากครั้งหน้าพวกเขาสามารถวางเพลิงสำเร็จต่อให้ด้านในมีระบบป้องกันไฟแต่ยังไงความเสียหายก็ต้องเกิดเพียงแค่มากหรือน้อยเท่านั้น


“ไม่คิดว่าจะใช้วิธีนี้ ถึงจะระวังยังหากอีกฝ่ายเป็นนักฆ่าคนปกติคงป้องกันตัวยาก”


ที่ฮาเซลพูดก็มีเหตุผล


นักฆ่าไม่ใช่คนที่ใครก็สามารถต่อกรได้


หากไม่มีฝีมือจริงๆ ส่วนใหญ่ก็โดนจัดการหมด อย่างพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทฮาเซลเองก็ไม่ใช่แค่จ้างใครก็ได้ ทุกคนล้วนเรียนศิลปะป้องกันตัว เพียงแต่นั่นใช้จัดการกับพวกนักฆ่าไม่ได้ ไม่สิ ต้องพูดว่าไม่ทันได้ใช้ทักษะที่เรียนมาต่างหาก

สำหรับนักฆ่าการจบงานให้เร็วและแม่นยำถือเป็นเรื่องพื้นฐาน พวกเราไม่มาใช้หมัดจัดการแต่ลอบเข้าด้านหลังสับต้นคอไม่ก็ปาดคอทิ้งซะ


“เพิ่มการป้องกันให้มากกว่านี้” ผมบอกฮาเซล


“เป็นห่วงฉันเหรอ”


“...ถ้าบอกว่าใช่ล่ะ” ผมนิ่งสักพักถึงตอบกลับไป


ใช่ ผมไม่เถียงเพราะผมรู้สึกเป็นห่วงฮาเซลแม้จะมีความรู้สึกนั้นไม่กี่เปอร์เซ็นต์ก็ตาม ฝีมือระดับฮาเซลต่อให้เป็นนักฆ่าคงสามารถจัดการได้ไม่ยาก ถึงจะรู้แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้


ผมเกลียดความรู้สึกแบบนี้ชะมัด


“ไม่ได้เจอกันตั้งนานเล่นทำตัวน่ารักเดี๋ยวก็ไม่ปล่อยกลับเลยนี่” ไม่พูดเปล่าฮาเซลคว้าตัวผมเข้าไปกอดหลวมๆ โดยไม่มีแม้แต่การขัดขืนของผม


ไม่ใช่ไม่ขัดขืนแต่ขัดขืนไม่ทันต่างหาก


ชอบมาเล่นทีเผลออยู่เรื่อย


“ปล่อยเลยฮาเซล”


“ยังไม่อยากปล่อยนี่”


“แหย่ผมเล่นสนุกรึไง”


“ไม่ได้แหย่...แค่คิดถึง” น้ำเสียงทุ้มนั้นอบอุ่นจนหัวใจแทบละลายกลายเป็นไอ


“เลิกหยอดด้วย”


“ไม่ได้หยอด จีบต่างหาก”


“ฮาเซล”


“ได้ผลนี่...หน้าแดงใช่ไหม”


“พูดอะไร คุณเห็นหน้าผมแดงรึไง” แต่งหน้าปิดขนาดนี้ไม่มีทางเห็นใบหน้าแดงๆ ของผมแน่นอน


“เปล่า แต่หูแดงแจ๋เลย” ทันทีที่ได้ยินผมยกมือสองข้างขึ้นปิดหูตัวเองทันควัน


“...ปล่อยผม” ใครจะยอมอยู่ในระยะประชิดมากไปกว่านี้กัน


“เดี๋ยวนี้ทำตัวน่ารักนะเรย์”


“ผมบอกให้หยุดไงฮาเซล!” นี่ผมโมโหจริงๆ แล้วนะ


“หยุดก็ได้ trick or treat” เสียงกระซิบจากฮาเซลดังขึ้นข้างใบดูอีกครั้งโดยยังไม่ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระ


เดี๋ยวนะ...ฮาเซลพูดว่า...


trick or treat?



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


“เล่นอะไรของคุณอีกเนี่ย”


“วันนี้ฮาโลวีนนี่ แต่งตัวมาทั้งทีเอาก็ต้องเล่นด้วยหน่อย สรุป trick or treat” ฮาเซลถามย้ำอีกรอบ


“...t...”


“อ้อ ฉันไม่เอาขนมที่ไปเอามาจากคนอื่นหรอกนะ” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอีกฝ่ายก็แทรกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มคล้ายรู้ทันว่าผมจะทำอะไร ในถุงผมมีขนมอยู่เยอะแยะเพียงแต่ได้มาทั้งนั้นไม่ใช่เตรียมมาให้


“คุณก็รู้ว่าผมไม่มีถ้าไม่ใช่ของคนอื่น”


“งั้นก็เลือก trick นะ”


“ผมไม่ได้เลือกสักหน่อย”


“หืม...สรุปยังไงถ้าเอาของคนอื่นมาให้ฉันจะหลอกคืนเป็น 3 เท่าเลย”


“ฮาเซล คุณนี่ทำไมชอบแหย่ผมนักนะ” สนุกนักรึไงกับการได้เห็นผมหัวปั่น


“trick or treat” ครั้งที่สามสำหรับประโยคเดิม


“trick trick ก็ได้!” ผมตะโกนด้วยความหงุดหงิดเมื่อถูกไล่ต้อนอยู่ฝ่ายเดียว


“หลับตาสิ”


“...ทำไมต้องหลับตา” คิดจะทำอะไรที่ผมไม่ควรเห็นงั้นสิ


“น่า หลับตาเร็วเรย์”


“...” ผมได้แต่เม้มปากแน่นและหลับตาตามคำพูดฮาเซล สัมผัสของมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายเอื้อมมาทาบใบหน้าผมแล้วลูบไล้ด้วยนิ้วโป้งสักพักสัมผัสของอะไรบางอย่างก็แนบลงบริเวณหน้าผากไล่ลงมายังจมูก ปลายคางและปิดท้ายด้วนการประทับริมฝีปากลงมาบนปากผมอย่างแผ่วเบา


ไม่มีการรุกล้ำใดๆ มีเพียงสัมผัสอันร้อนผ่าวที่ทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น


ผมกำหมัดแน่นเตรียมชกหน้าคนตรงหน้าแรงๆ สักสองทีทว่าร่างกายกลับแข็งเกร็งไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้แต่จะลืมตาขึ้นยังยากเลย


“ถ้ายังหลับตาอยู่ฉันขอแบบเมื่อกี๊อีกรอบ...”


“ฝันไปเถอะ!” ครั้งนี้ผมสามารถเหวี่ยงหมัดใส่ฮาเซลได้เต็มแรง แน่นอนว่าระดับฮาเซลหลบหมัดผมได้สบาย ๆแถมยังอมยิ้มส่งมาอีก


“จะทำร้ายแฟนได้ลงคอเหรอเรย์”


“ผมไม่ใช่แฟนคุณ”


“อีกเดี๋ยวก็ใช่”


“ฮาเซล!”


“กลัวลืมชื่อแฟนเหรอที่รัก” ผมเม้มริมฝีปากแน่นเพราะไม่อาจตอบอะไรกลับได้


ตอบไปก็มีแต่จะถูกสวนกลับ


น่าโมโห หงุดหงิด


นี่ผมจะทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ


จะแก้เค้นซักนิดไม่ได้เลยรึไง


เดี๋ยวสิ...มีสิ สิ่งที่ทำได้น่ะ


“ฮาเซล trick or treat” ผมเงยหน้าสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองด้วยใบหน้าท้าทาย


อยากรู้นักว่าจะตอบกลับมาแบบไหน การที่ผมมาวันนี้ฮาเซลไม่มีทางรู้แน่นอน ดังนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ฮาเซลจะเตรียมขนมอะไรไว้ คราวนี้แหละผมจะหลอกคืนให้สาแก่ใจ


“อะไรเรย์ อยากทำกับฉันเหมือนที่ฉันทำกับนายเหรอ”


“ฮะ?”


“บอกกันดีๆ ก็ได้ ฉันยอมอยู่แล้ว หลับตาเลยดีไหม” พูดจบฮาเซลก็หลับและยืนนิ่งๆ


“ผมไม่ได้อยากทำแบบนั้นสักหน่อย ไม่มีขนมใช่ไหมผมจะได้หลอกคุณให้สยองไปเลย” พอกันทีกับการถูกแกล้งอยู่ฝ่ายเดียว


“หึ ก็อยากให้หลอกอยู่แต่พอดีเตรียมขนมไว้ให้แล้ว ฉันเลือก treat แต่ถ้าอยากหลอกด้วย ฉันก็ไม่ว่า” ประโยคสุดท้ายดังขึ้นพร้อมคิ้วที่ยักส่งมาให้


“...คุณเตรียมขนมไว้ให้ผม?” ตอนนี้ผมแทบไม่สนใจท่าทางกวนๆ นั่นเลยเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเตรียมอะไรไว้ให้


“ใช่ มากส์ แซมให้คนเอาของลงมาให้ฉันที!” ฮาเซลหันไปตะโกนบอกบอดี้การ์ดคนสนิท


“รอสักครู่ครับท่านฮาเซล”


ไม่ถึง 5 นาทีกล่องกระดาษสีขาวลวดลายขนาดใหญ่ก็ถูกถือมาส่งถึงมือฮาเซลก่อนกล่องนั่นจะมาอยู่ในมือผมอีกที ด้านบนของกล่องเป็นสีใสจึงสามารถมองเห็นขนมหวานด้านในได้อย่างชัดเจน รูปร่างของมันคือเค้กประมาณ 12 ชิ้นที่มีรูปร่างและลวดลายต่างกันไปแต่ทุกชิ้นล้วนอยู่ในธีมวันฮาโลวีน อย่างชิ้นกลางสุดถูกทำเป็นรูปแมงมุม


“ผมไม่ได้บอกว่าจะมา...ทำไมถึงเตรียมไว้ให้” ผมถามออกไปตามตรง ขนมพวกนี้ไม่ใช่ว่าอยากได้ก็จะได้เลย ต้องมีการสั่งทำพิเศษล่วงหน้าแน่ๆ


“ความจริงหลังฉันทำงานเสร็จกะจะโทรหาแล้วเอาขนมพวกนี้ให้ แต่ใครจะคิดล่ะว่าเรย์จะเป็นฝ่ายมาหาเองแบบนี้น่ะ” น้ำเสียงราบเรียบนั่นแสดงว่าฮาเซลพูดความจริง


“...แล้วถ้าผมบอกว่าไม่มาคุณจะทำยังไงกับขนมนั่น” จะปล่อยทิ้งเหรอ ยังไงฮาเซลไม่มีทางกินพวกมันเองอยู่แล้ว


“ถ้าเรย์ไม่ยอมมา ฉันจะเป็นฝ่ายไปหาเองถึงห้อง”


“ผมไม่ยอมบอกที่อยู่กับคุณแน่ๆ” ขืนบอกความส่วนตัวผมคงไม่มีเหลือ


“ฉันทำให้บอกได้เชื่อรึเปล่า”


“ไม่เชื่อ ผมไม่มีวันบอกที่อยู่กับคุณแน่” ผมย้ำอีกรอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


“ตอนนี้ไม่บอกก็ไม่บอก”


“จะตอนไหนก็ไม่บอกเหอะ”


“ได้เค้กแล้วอารมณ์ดีเลยนะ”


“ไม่ใช่สักหน่อย” ถึงจะมีส่วนจริงๆ ก็เถอะ


“ชีสเค้กด้วย”


“จริงเหรอ?” ผมตารุกวาวทันทีที่ได้ยินคำว่าชีสเค้ก


“ถ้าชอบคงดีนะ”


“เค้กพวกนี้ผมชอบอยู่แล้ว” จะไม่ชอบได้ยังไงกัน


“หมายถึงถ้าชอบฉันก็คงดีนะ” ผมประมวลคำพูดฮาเซลประมาณ 10 วินาทีก่อนใบหน้าจะเริ่มเห่อแดงขึ้นเมื่อเข้าใจความหมายที่แท้จริงของประโยค


“ใครจะชอบ บอกแล้วไงว่าเกลียดน่ะ”


“เกลียดยังไงมักจะได้อย่างนั้นนะ เรย์” รอยยิ้มมุมปากนั่นไม่ส่งผลเท่ากับน้ำเสียงอันอบอุ่นและอ่อนโยนยามเรียกชื่อผม


ผมแพ้น้ำเสียงแบบนั้น


“...หลับตา”


“ฮืม? อะไร” เพราะเสียงพึมพำของผมเบาเกินไปฮาเซลเลยไม่ได้ยิน


“หลับตา”


“ฉัน?” ฮาเซลชี้ไปยังตัวเอง


“ใช่” ผมพยักหน้า


“ฉันให้ขนมแล้วยังต้องถูกหลอกด้วยเหรอ”


“ไหนบอกว่าผมหลอกได้ไง”


“ก็ใช่...เบามือหน่อยฉันขวัญอ่อนนะ” สุดท้ายฮาเซลก็ยอมหลับตาลงโดยดี


ผมยกยิ้มกับท่าทางของคนตรงหน้า กล่องเค้กในมือผมยังคงถือไว้โดยขยับร่างเข้าไปใกล้ฮาเซลทีละนิดจนใบหน้าเราห่างกันเพียงคืบเดียว ด้วยความสูงที่ต่างกันนิดหน่อยทำให้ผมเขย่งเท้าขึ้นก่อนจะแนบริมฝีปากตัวเองลงบนปากของฮาเซล สัมผัสของการแนบชิดถูกกดย้ำเล็กน้อยและผละออกมาอย่างรวดเร็ว


ดวงตาสีน้ำตาลจนเกือบทองฉายแววประหลาดใจปนดีใจยามลืมขึ้น ฮาเซลก้าวเข้ามาหาพร้อมมือที่หมายจะคว้าตัวผมให้เข้าไปแนบชิดทว่าตัวผมในตอนนี้ไม่สามารถทนอยู่ในสถานการณ์นี้ต่อไปได้ สิ่งที่ทำมันเป็นเหมือนอารมณ์ชั่ววูบพอทำเสร็จความเขิน อายและความสับสนก็ทวีความรุนแรงขึ้นจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้


“...ผมขอตัว” ผมไม่รอแม้แต่จะให้ฮาเซลบอกลารีบหันหลับกลับแล้ววิ่งออกจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทันที


ทางเดินยามค่ำคืนตามท้องถนนจะมีแสงไฟคอยส่องนำทาง แต่ถึงจะมีไฟแต่ในวันที่มีงานเทศกาลฮาโลวีนจึงเงียบและดูเปลี่ยวกว่าปกติหลายเท่า เสียงฝีเท้าที่ไม่ใช่ของผมดังขึ้นในระยะไกลๆ แถมไม่ใช่ 1 หรือ 2 แต่มากกว่านั้น ตอนแรกอาจไม่สังเกตแต่พออารมณ์เย็นลงประสาทสัมผัสก็ถูกลับจนคมกริบอีกครั้ง


มีคนตามผมมาตั้งแต่ออกจากบริษัทฮาเซล


เสียงฝีเท้าพวกนั้นเบามากแปลว่าเป็นพวกนักฆ่า


ผมว่าปะติดปะต่อเรื่องได้แล้วล่ะ ก็ว่าอยู่มันดูง่ายเกินไปกับไอ้แค่วางเพลิง เป้าหมายจริงๆ คือมีอีกกลุ่มคอยจับตาเพื่อดูการเคลื่อนไหว และเป้าหมายของพวกนั้นอาจเป็นฮาเซล แต่เมื่อเห็นผมที่อาจส่งผลต่อภารกิจในอนาคตเลยต้องรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลมโดยการจัดการผมก่อน


อยากจะชมอยู่หรอก


เรื่องนี้มันชักไม่ปกติขึ้นทุกที


มีใครคิดจะฆ่าฮาเซล


และคนคนนั้นทุ่มขนาดจ้างกลุ่มนักฆ่า


ความจริงผมไม่อยากลงมือจัดการอะไรหรอกนะแต่จะให้ตามไปถึงห้องหรือกลับไปฟ้องผู้ว่าจ้างถึงตัวตนของผมก็ไม่ได้ ทักษะที่แสดงตอนสู้กับนักฆ่าสองคนมันมากพอจะทำให้คนในวงการเดียวกันรู้ว่าผมเป็นใคร อาจไม่รู้ขนาดว่าเป็นยมทูตแห่งความตายแต่ก็อาจมากพอที่จะสืบมาถึงผมในอนาคต


ผมก็กำลังจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเหมือนกัน


เหลือแค่มาวัดกันว่าใครจะเป็นฝ่ายตัดได้


ผมล่อพวกเขามาจนถึงตรอกมืดๆ และอาศัยจังหวะช่วงเลี้ยวเข้าซอยวางกล่องและขนมต่างๆ ที่ได้รับมาไว้บนรั้วบ้านข้างๆ พร้อมกับด้ายสีดำในกระเป๋าที่ถูกหยิบมาเตรียม ทันทีที่เงาคนแรกเลี้ยวเข้ามาด้ายสีดำก็ถูกพันยึดรอบลำคอและเพียงเสี้ยววินาทีที่ดึงด้ายร่างนั้นก็ล่วงลงบนพื้น


เสียงล้มลงของคนแรกเรียกให้พวกที่เหลืออีก 4 คนกรูเข้ามาพร้อมกัน มีดสั้นเล่มเล็กโจมตีใส่ผมในจังหวะเผลอทว่าผมกลับใช้ด้ายรับไว้ได้ทันท้วงที แต่การใช้ด้ายรับมีดคมผลของมันคือด้ายเส้นนั้นถูกตัดขาด


แต่ไม่มีปัญหา มีสั้นสีเงินถูกหยิบขึ้นมาแทนและเขวี้ยงตรงไปยังหน้าผากคนที่อยู่ใกล้สุด...ก่อนร่างนั้นจะล้มลงผมเหยียบเข่าอีกฝ่ายเป็นฐานเพื่อส่งตัวเองขึ้นไปบนอากาศพร้อมดึงมีดกลับมา นักฆ่าอีกสามคนเงยหน้าขึ้นมามองร่างผมที่ตีลังตาบนอากาศราวกับกำลังโผลบินด้วยความตกตะลึง


เสี้ยววินาทีของนักฆ่าหากเปิดช่องว่างให้เห็นก็จะไม่มีทางที่จะได้ตอบโต้อะไรกลับมาได้อีก


นักฆ่าทั้ง 5 คนถูกจัดการในเวลาไม่กี่นาทีโดยผมได้เพียงแผลถลอกจากหมัดที่เหวี่ยงมาเฉียดเท่านั้น การจัดการศพไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องทำเพราะต่อมีคนพบและแจ้งความก็ไม่มีใครสามารถสืบมาถึงผมได้อยู่แล้ว


ที่ผมห่วงไม่ใช่เรื่องนั้นแต่เป็นฮาเซล


เพียงคืนเดียวกลับเจอนักฆ่าถึง 7 คน


ฝีมือพวกเขาอาจไม่เก่งมากแต่ก็มากพอจะจัดการกับคนปกติได้ง่ายๆ


เรื่องนี้ต้องมีใครสักคนอยู่เบื้องหลัง สัญชาตญาณผมบอกว่าอีกไม่นานจะมีพายุลูกใหญ่เกิดขึ้น และนั่นต้องเกี่ยวกับฮาเซล กอนซาเลสแน่นอน

..............................................

จบกันไปอีกตอน

ฉากของตอนนี้เป็นยังไงกันบ้างคะ

เทศกาลฮาโลวีนที่ผ่านพ้นไปหลายเดือนแล้วในที่สุดเราก็มีโอกาสได้แต่งสักที

ช่วงปลายตุลาที่นึกได้ว่าเป็นวันฮาโลวีนเราก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะแต่งฉากเทศกาลนี้ให้จงได้

หากฮาเซลแต่งชุดผีดูดเลือดละก็...เรย์อาจโดนดูดจนเลือดหมดตัวก็เป็นได้ 555

เนื้อเรื่องได้เข้าสู้โค้งสุดท้ายแล้ว

จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นติดตามต่อในตอนหน้านะคะ

ขอบคุณทุกๆ กำลังใจนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เป็นห่วงกลัวเขาจะเป็นอันตราย ก็ย้ายไปอยู่ด้วยกันเสียเลยซิ  :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PK.Kenaf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบเวลา2คนนี้คุยกัน น่ารักกกกกก ยิ้มหน้าบานแล้วมั้งโดนเรย์จูบ แต่ฮาเซลอยู่เฉยๆเรื่องก็มาหาอีกแล้ว

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ไม่ใช่ว่าคุณชายเค้าจ้างมาเองนะเรย์ 5555

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ชักจะน่าเป็นห่วงนะเรย์ แบบนี้ต้องย้ายไปอยู่กับฮาเซลเนาะ จะได้สบายใจไม่ต้องกังวลงัย อิอิ

หวังว่าคนที่ส่งนักฆ่ามาครั้งนี้ จะไม่ใช่คิงจามาน่าหรอกนะ

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่18



ค่ำคืนอันแสนยาวนานหลังผ่านการปะทะกับนักฆ่าถึง 7 คนผ่านไปจนกระทั่งแสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่ปรากฏและเลื่อนขึ้นสูง หากให้คาดคะเนเวลาจากแสงแดดที่ส่องเข้ามาผมคงตอบว่า 11 โมงไม่ก็เที่ยง แสงแดดส่องสว่างพร้อมความร้อนอบอ้าวอันเป็นปกติของช่วงเที่ยงทว่าผมไม่รู้สึกร้อนเนื่องจากการเปิดเครื่องปรับอากาศที่มีอุณหภูมิอยู่ประมาณ 18 องศาซึ่งถือว่าสูงกว่าวันอื่นๆ ที่ผมเปิดอีก


“วันนี้ไม่มีเสียงโทรศัพท์แฮะ” ถือว่าแปลกมากสำหรับฮาเซล ปกติจะโทรมาปลุกแทบทุกเช้า นี่จึงเป็นหนึ่งในไม่กี่วันที่ผมได้นอนหลับเต็มตา พอพลังงานเต็มหลอดอารมณ์ก็พลอยดีตามไปด้วย


ผมก้าวลงจากเตียงโดยมีผ้าห่มขนนุ่มพาดบ่าแล้วก้าวช้าไปยังตู้เย็นเพียงหนึ่งเดียวของห้อง ด้านในมีกล่องสีเหลี่ยมสีขาวลวดลายสดใสถูกวางไว้ตรงกลางตู้ เพียงแค่กล่องเดียวก็กินพื้นที่ไปเกือบทั้งชั้น กล่องเค้กในตู้เย็นถูกผมหยิบมาวางหน้าโต๊ะคอมก่อนกดเปิดคอมพิวเตอร์เหมือนอย่างทุกวัน ขนมเค้กรูปฟักทองสีส้มสดดูน่ากินมากจนอดไม่ได้ที่จะหยิบมันขึ้นมากัดเป็นชิ้นแรก รสชาติของชีสเค้กผสมเข้ากับรสหวานอ่อนๆ ของครีมแครอทได้เป็นอย่างดี


“อร่อย” อร่อยมากๆ


ผมเคยกินเค้กแครอทอยู่บ้างแต่ไม่มีเจ้าไหนที่จะมีรสชาติดีเท่าร้านนี้ ไม่รู้ฮาเซลที่ไม่แตะของหวานทุกประเภทไปหาร้านนี้มาจากไหน สงสัยผมคงต้องไปถามซะแล้ว เค้กรสอื่นเองก็มีรสชาติอร่อยไม่แพ้กันอย่างชีสเค้กสีเหลืองถูกครีมสีขาวสว่างตกแต่งคล้ายผ้าพันแผลของมัมมี่และตกแต่งด้วยผลไม้เล็กๆ แทนตาและแยมสตอเบอรรี่แทนเลือด


ดูยังไงเค้กพวกนี้ต้องมีการสั่งทำล่วงหน้าหลายวัน ดีไม่ดีอาจเป็นเดือน แล้วยิ่งรสชาติระดับนี้คงไม่พ้นเชฟฝีมือเยี่ยมสักคนของประเทศ


ทุ่มเกินไปแล้วฮาเซล


“คิดว่าจะใช้ขนมซื้อผมได้ก็คิดผิดแล้ว” ผมยกยิ้มพลางกดเข้าไปดูเมลเหมือนอย่างทุกวัน


เมลหลายสิบฉบับถูกเรียงเป็นลำดับของเวลาการส่งอย่างเป็นระเบียบ ผมเริ่มไล่ดูตั้งแต่เมลของเมื่อวานช่วงเย็นที่ผมไปเข้าร่วมงานเทศกาลฮาโลวีน...ทุกฉบับถูกเปิดอ่านเนื้อหาด้านในโดยละเอียดเพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินว่าจะรับงานหรือไม่


หลายๆ ฉบับเมื่ออ่านเสร็จผมก็ปล่อยมันไว้โดยไม่สนใจทว่าเมลฉบับต่อมาทำเอามือข้างหนึ่งที่กำลังเอาเค้กรูปแมงมุงเข้าปากถึงกับชะงัก ดวงตาสีม่วงอ่อนจับจ้องไปยังเนื้อหาของงานตั้งแต่บรรทัดแรกอีกครั้งเพื่อย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้อ่านผิด เก้าอี้ปกติผมจะเลื่อนออกห่างจากโต๊ะคอมหน่อยทว่าตอนนี้ผมกลับเลื่อนเก้าอี้มาติดโต๊ะคอมโดยไม่ละสายตาออกจากตัวอักษรนับพันบนหน้าจอด้านหน้านี่


งานของเมลฉบับนี้ไม่ต่างจากฉบับอื่นเพราะเป็นงานลอบสังหารแต่เป้าหมายของการสังหารเป็นคนที่ผมรู้จัก และค่อนข้างรู้จักเป็นอย่างดี เรียกว่าผมรู้จักเขามากที่สุดตั้งแต่เกิดมาบนโลกนี้ก็ว่าได้


ใช่ เป้าหมายที่ว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฮาเซล กอนซาเลส


มีคนว่าจ้างให้ผมฆ่าฮาเซล


คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันแน่พลางอ่านรายละเอียดของเนื้อหา...


“ฮาเซล กอนซาเลสตั้งแต่เดือนก่อนได้มีการติดต่อกับแฟนหนุ่มตลอดเกือบทุกเช้า จึงอยากให้ปลอมตัวเป็นเขาแล้วเข้าไปใจเพื่อจัดการซะ แฟนหนุ่ม?...หมายถึงผม?” ระหว่างอ่านผมชี้นิ้วมายังตัวเองด้วยสีหน้างงๆ ไม่สิ ที่ควรงงกว่าคือทำไมถึงรู้ได้ว่าฮาเซลโทรหาผมเกือบทุกเช้า


ความหมายของประโยคนั้นตีความได้เพียงโทรศัพท์ถูกดักฟัง


ทันทีที่คิดได้ผมลุกไปหยิบโทรศัพท์บนหัวเตียงก่อนทำการแยกส่วนประกอบอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์ภายในทุกชิ้นถูกสำรวจอย่างละเอียดแต่ไม่พบเครื่องดักฟังแปลว่าไม่ได้อยู่ที่เครื่องผมแต่เป็นของฮาเซล หากไปใช่โทรศัพท์ก็อาจเป็นบริเวณโดยรอบ


การจะเอาเครื่องดักฟังไปติดไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ใช่ว่าจะยากอะไร ขนาดผมยังลอบเข้าไปถึงห้องของฮาเซลบนชั้นบนสุดของตึกมาแล้ว หากมีฝีมือในระดับหนึ่งกับข้อมูลรหัสผ่านไม่ว่าใครก็สามารถผ่านได้ทั้งนั้น ถึงได้บอกไงว่าระบบป้องกันมันหละหลวม


ที่ผมพูดไม่ใช่เฉพาะบริษัทของฮาเซลแต่เป็นทุกบริษัท แม้จะมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด 24 ชั่วโมง มีพนักงานรักษาความปลอดภัยเฝ้ารอบตึกหรือการใช้คีย์การ์ดสำหรับเข้าออก หากรู้จักทริกเพียงเล็กน้อยการป้องกันระดับนั้นสามารถฝ่าไปได้โดยไม่ต้องเสียแรงปะทะให้เหนื่อย...ถ้าเป็นพวกนักฆ่าหรือผู้เชี่ยวชาญน่ะนะ ความจริงนอกจากที่บริษัทแล้วยังมีที่บ้านของฮาเซลอีกที่ซึ่งอาจมีเครื่องดักฟัง แต่ถ้าเลือกผมระหว่างดักฟังที่บริษัทกับที่บ้านของฮาเซลผมคงจะเลือกดักฟังที่บริษัทโดยไม่ลังเล


บ้านก็เป็นเพียงแค่บ้าน ฮาเซลให้สำหรับนอนแค่นั้น ตอนทำงานเป็นบอดี้การ์ดให้ฮาเซลไม่เคยเอางานกลับไปทำที่บ้าน ยิ่งพูดคุยเรื่องที่เป็นประโยชน์ถึงขนาดต้องเสี่ยงเข้าไปดักฟังยิ่งไม่มีหากจะมีก็ตอนคุยเรื่องธุรกิจในห้องทำงานนั่นแหละ ดังนั้นผมเลยปักใจเชื่อไปกว่าครึ่งว่าเครื่องดักฟังต้องอยู่ในห้องทำงานของฮาเซลแน่


กลับมาเรื่องภารกิจในเมลก่อน จากการวิเคราะห์เวลาและเนื้อหางานผมค่อนข้างมันใจเกิน 90 เปอร์เซ็นต์ว่าผู้ว่าจ้างคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อคืน นักฆ่า 7 คนที่ส่งไปจัดการกับฮาเซลหายไปอย่างไร้ล่องลอยโดยไม่มีการตอบกลับใดๆ ไม่แปลกที่จะสงสัยจนต้องว่าจ้างนักฆ่าคนอื่นให้ไปทำแทน ที่สงสัยคือคนคนนี้เป็นใคร...


“...ไม่จริงน่า” ความคิดในหัวหยุดชะงักกะทันหันเมื่อเลื่อนเมาส์ลงมาจนถึงด้านล่างสุดที่มีตัวย่อของอักษรสีแดงเลือดนกสองตัวเขียนอยู่


K.J.


ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหาข้อมูลว่าชื่อนั้นเป็นของใคร ในวงการนักฆ่าต่างรู้จักตัวย่อของชื่อนี้ดี ชายผู้เป็นหนึ่งในสามคานหลักของประเทศในอดีตเมื่อ 7 ปีก่อนและปัจจุบันน่าจะตายไปด้วยฝีมือของฮาเซลที่โกดังโทสน์ตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน...


“คิง จามาน่า” ผมแทบไม่อยากเอ่ยชื่อนั้นออกมา


ฮาเซลบอกว่ายิงอีกฝ่ายระหว่างจะหนีไปทางทะเล ผมไม่คิดว่าฮาเซลจะรีบจากที่เกิดเหตุมาโดยไม่รอให้แน่ใจว่าไม่มีร่างใครโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ หรือว่าจะว่ายไปขึ้นบริเวณอื่น ทะเลแถวโกดังโทสน์ไม่ใช่น้ำทะเลใสมากเหมือนตามชายหาดขึ้นชื่อเพราะเป็นแหล่งสะสมของดินตะกอนต่อให้มีการบำบัดน้ำอยู่ตลอดก็แทบไม่ช่วยให้สีน้ำดูใสขึ้น


“ว่าแล้วเชียว มีพายุลูกใหญ่จริงๆ ด้วย” ผมสังหรณ์ใจตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ใครจะคิดละว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ มันจะมีเรื่องไหนใหญ่ไปกว่าชายที่ถูกฆ่าถึง 2 ครั้งแต่ยังไม่ตายอีกล่ะ


แต่การส่งเมลมาจ้างผมแปลว่าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าผมมีความสัมพันธ์กับฮาเซลยังไง แน่ล่ะข้อมูลผมต่อให้ค้นแทบตายก็หาอะไรไม่ได้ ไม่มีแม้แต่การขึ้นทะเบียนเป็นคนของประเทศด้วยซ้ำ ถึงจะไม่ได้ขึ้นทะเบียนแต่ใช่ว่าจะไม่มีบัตรประชาชน ผมมีหลายใบเลยแหละ


“จะทำยังไงดี” กับสถานการณ์นี้ผมควรจะทำยังไง


นักฆ่าไม่ควรมีความลังเลต่อเป้าหมายที่จะต้องจัดการ ทุกครั้งที่ผมลงมือไม่มีแม้ความลังเลหรือสับสน ผมคิดเพียงทุกอย่างมันคืองานเมื่อมีคนจ้างผมก็ทำและได้รับผลตอบแทนเป็นเงิน ไม่มีความรู้สึกอยากปล่อยให้เป้าหมายมีชีวิตมาก่อน


แต่กลับงานครั้งนี้ เมื่อชื่อของเป้าหมายที่ต้องสังหารคือฮาเซล ผมกล้าบอกเลยว่าไม่เพียงแค่ความลังเลที่มีแต่ยังมีความรู้สึกปฏิเสธอยู่ภายในอกลึกๆ ผมไม่อยากฆ่าฮาเซล แต่หากผมปฏิเสธคิง จามาน่าคงไปจ้างคนอื่นมารับหน้าที่นี้แทน และนั่นจะยิ่งเป็นอันตรายกับฮาเซล


ทั้งที่ภายในหัวคิดเรื่องของฮาเซลมากมายขนาดนี้ยังมีหน้าไปพูดว่าเกลียดใส่อีกฝ่ายได้อีกนะตัวผม ก็แค่ไม่อยากยอมรับความรู้สึกนี้เท่านั้นเอง แต่ถ้าผมรับงานนี้...ฉายายมทูตแห่งความตายที่ทำภารกิจสำเร็จทุกครั้งนั่นคงต้องยุติลง


“หึ...แล้วยังไงล่ะ”


ใครจะสนเรื่องแค่นั้นกัน


ถ้าคนที่จะหยุดสถิตินั้นเป็นฮาเซล...


ผมก็ยอม


ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ในหัวคิดแต่เรื่องของฮาเซลถึงขนาดนี้ นี่ผมอาจต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเองสักที แม้จะไม่แน่ใจว่ามันคือชอบหรือรักไหมแต่ที่ผมสามารถบอกได้คือฮาเซลไม่ได้เพียงแค่พิเศษแต่เขามีอิทธิพลกับผมในทุกอย่าง เพราะงั้นผมจะไม่ยอมให้คิง จามาน่าไปฆ่าฮาเซลตามที่ต้องการแน่


เมลตอบรับการทำภารกิจถูกส่งกลับไปยังคิง จามาน่าโดยคนตอบรับอย่างผมนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์เพื่อคิดถึงแผนการหลายๆ อย่าง พอตอบรับภารกิจผมจำต้องลงมือเพื่อพิสูจว่าทำจริงทว่าผมจะใช้การลงมือนั่นเพื่อซ้อนแผน แต่การจะทำแบบนั้นได้จำเป็นต้องไปคุยกับเป้าหมายโดยตรง


“นี่ผมจะเป็นฝ่ายไปหาเอง 2 วันติดเลยนะฮาเซล” ผมพึมพำด้วยรอยยิ้มมุมปาก


ช่วงบ่ายหลังจากปลอมตัวเล็กน้อยผมก็เดินทางไปยังบริษัทของฮาเซลในคราบของเทเลอร์ที่หลายๆ คนรู้จัก การเข้าไปยังบริษัทฮาเซลแทบไม่เป็นปัญหาสำหรับผมเลยสักนิด ในช่วงบ่ายแบบนี้มีหลายคนที่เข้ามาทำธุรกรรมกับบริษัทพนักงานรักษาความปลอดภัยด้านหน้าจึงทำเพียงยืนเฉยๆ ปล่อยให้ทุกคนผ่านเข้าไปได้ ต่อมาผมอาศัยคนในลิฟต์เป็นตัวช่วยในการขึ้นไปด้านบน ความจริงแค่โทรไปหาฮาเซลทุกอย่างคงจบลงโดยที่ผมแทบไม่ต้องเหนื่อยอะไร แต่แบบนั้นมันจะน่าเบื่อไปหน่อย


แผนที่ทุกอย่างภายในบริษัทนี้ผมรู้ดีเนื่องจากเดินเล่นอยู่ 6 เดือนเศษได้ ดังนั้นการใช้ทริกง่ายๆ อย่างการฝ่าไปตรงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ไม่ถึง 10 นาทีผมก็มายืนอยู่หน้าห้องของฮาเซลโดยหน้าห้องมีบอดี้การ์ด 4 คนคอยยืนดูแลความปลอดภัย


แบบนี้สิดีหน่อย ไม่ใช่เปิดโล่งเหมือนตอนผมบุกมาครั้งก่อน


ถึงจะชมไปแบบนั้นแต่ใช่ว่าจำนวนคน 4 คนจะหยุดผมได้ ด้วยใบหน้าผมทุกคนให้กลุ่มบอดี้การ์ดต่างรู้จักกันดีเมื่อพวกเขาเห็นผมก็ทักทายอย่างเป็นมิตรโดยไม่มีความละแวงสงสัยแถมยังจะเปิดประตูให้ผมเข้าไปหาฮาเซลอีก แน่นอนว่าผมรับข้อเสนอนั้นเพียงแต่ก่อนจะเปิดประตูได้เตือนเหล่าบอดี้การ์ดให้ระวังตัวมากขึ้นและได้ให้โค้ดง่ายๆ ไว้สำหรับถามเพื่อดูว่าผมเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม ใบหน้าของเทเลอร์สามารถหาได้ไม่ยาก...ตามสื่อโซเชียลมีอยู่ให้ว่อน นักฆ่าส่วนมากมีทักษะในการปลอมตัวทั้งนั้น การปลอมเป็นผมจึงง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ผมเคาะประตูตามมารยาทพอได้ยินเสียงอนุญาตบอดี้การ์ดคนด้านซ้ายมีก็เป็นคนเปิดประตูให้ผมเดินเข้าไปด้านใน ภายในห้องยังเหมือนครั้งก่อนที่ผมเข้ามาแทบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่ง เจ้าของห้องหรือฮาเซลจรดปากกาบนกระดาษหลายแผ่นในแฟ้มเอกสารอีกสองหน้าก่อนจะละสายตาเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ ทว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองนั่นเบิกกว้างเล็กน้อยยามเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้า มุมปากยกยิ้มขึ้นเช่นเดียวกับร่างสูงที่ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานตรงมาหาผม


“เรย์” น้ำเสียงทุ้มๆ ยังเหมือนกับเมื่อคืน จะว่าไปไม่เพียงแค่เสียงที่เหมือนเดิมแต่เสื้อผ้าที่ฮาเซลใส่อยู่ก็ยังเป็นชุดเดิมกับเมื่อคืนแปลว่ายังไม่ได้กลับไปคฤหาสน์


“คุณนอนนี่?” ผมถามพลางเดินเข้าไปหา


“ใช่ อย่าบอกนะว่าพอเมื่อเช้าฉันไม่โทรไปหาเลยคิดถึงน่ะ” ฮาเซลถามด้วยใบหน้ากวนๆ


“ผมไม่ได้พูดนะ” ระหว่างโต้ตอบผมหยิบปากกาบนโต๊ะพร้อมกับดาษเปล่าด้านข้างมาเขียนข้อความบางอย่างลงไป


‘คุณกำลังถูกดังฟัง ผมจะหาเครื่องดักฟังเพราะงั้นพูดกันไปเรื่อยๆ อย่าหยุด’


นั่นคือสิ่งที่ผมเขียนใส่กระดาษแล้วชูให้ฮาเซลอ่าน คิ้วสองข้างของฮาเซลขมวดเข้ากันก่อนพยักหน้าเบาๆ แทนการตกลง โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะถูกหยิบและยื่นของให้เจ้าของ เพียงแค่นั่นฮาเซลรู้ทันทีว่าต้องทำอะไรกับมัน...การแยกส่วนประกอบถูกทำอย่างคล่องแคล่ว


“ถึงไม่พูดฉันก็รู้น่า มาถึงนี่อยากกินอะไรหน่อยไหมจะให้คนเอาเข้ามา” ฮาเซลพูดต่อบทโดยน้ำเสียงยังคงปกติ มือทั้งสองข้างจัดการแยกชิ้นส่วนโทรศัพท์ของตนบนโต๊ะญี่ปุ่นขนาดเล็กกลางโซฟากลางห้อง


แสดงได้ดีเกินคาด


“ผมอยากได้โกโก้สักแก้ว ขนมยามบ่ายหน่อยก็ดี” ผมพูดโดยมองไปรอบๆ ห้อง การจะติดเครื่องดังฟังหากไม่ใช่ในโทรศัพท์มือนั่นแปลว่าต้องอยู่ในห้องนี้ แน่นอนว่าการเข้ามาไม่ใช่เรื่องยากทว่าการจะติดตั้งเครื่องดังฟังได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะในห้องของฮาเซลมีกล้องวงจรปิดอยู่ 2 ตัว แต่ละตัวจะเคลื่อนที่ไปคนละฟังในเวลาเดียวกัน ผมมองการเคลื่อนไหวของกล้องพร้อมวิเคราะห์ว่าหากเป็นตัวเองจะจัดการเอาเครื่องดังฟังมาติดยังไง


กล้องวงจรปิดด้านหน้าห้องไม่เป็นปัญหาเท่าในห้องแต่ใช่ว่าปัญหานั้นจะใหญ่จนไร้ทางแก้ ในเมื่อกล้อง 2 ตัวเคลื่อนที่ในจังหวะเดียวกันทำให้มีช่วงเวลาประมาณ 10 วินาทีในการหลบ และด้วยมุมที่ติดกล้องมีมุมบอดอยู่ทางมุมซ้ายและขวาของห้อง ระยะก็คงประมาณนั้น บวกกับช่วงเวลาประมาณ 10 วินาทีและตำแหน่งของที่สามารถใช้หลบกล้องวงจรปิดได้หลังจากติดตั้งเครื่องดักฟังแล้ว


เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน สถานที่ต้องสงสัยมีเพียงแจกันดอกไม้ปลอมขนาดกลางที่ตั้งอยู่ทางด้านขวาของห้องในตำแหน่งใกล้กับโต๊ะทำงานของฮาเซล


“อยากกินขนมอะไรล่ะ” ฮาเซลถามต่อ ใบหน้าคมส่ายไปมาเพื่อบอกว่าภายในโทรศัพท์ไม่พบเครื่องดังฟังใดๆ


“คุกกี้เนยกับพุดดิ้งนมก็ดีนะ” ผมเสนอพลางเดินตรงไปยังแจกันดอกไม้มุมห้องแล้วล้วงมือลงไปควานหน้าบางสิ่งอย่างเชื่องช้า และแล้ววัตถุสีดำขนาดไม่ใหญ่มากก็มาอยู่ในมือผม


เครื่องดังฟังขนาดจิ๋วกำลังสงสัญญาณไปหาผู้ติดตั้งมันพร้อมข้อมูลแทบทุกสิ่งที่ได้ยิน ผมหยิบมีดขนาดเล็กออกมาหลังทำการชำแหละเครื่องนั่นอย่างเบามือเส้นสายสีดำของลำโพงที่ใช้สำหรับบันทึกหรือฟังเสียงถูกตัดออกโดยที่เครื่องยังสามารถส่งสัญญาณต่อได้ วิธีการนี้จะช่วยให้ทางนั้นคิดว่าเกิดปัญหาขึ้นกับเครื่องไม่ใช่ว่ามีคนค้นพบเนื่องจากคนส่วนมากเมื่อพบเครื่องดังฟังมักทำลายทิ้งจนสัญญาณของเครื่องหายไปไม่ใช่มาตัดเพียงลำโพงแบบนี้


“เรียบร้อยแล้วสินะ” ฮาเซลถามหลังเห็นผมเอนหลังพิงโซฟาตัวยาว


“อืม คุณควรเพิ่มการป้องกัน” ผมพูดเรื่องนี้อีกครั้งเมื่อวานผมอาจพูดไปทีแต่ในสถานการณ์ควรจะให้ฮาเซลเพิ่มการป้องกันจริงๆ
เรื่องนี้มันอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ


“อธิบายมาก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จู่ๆ ก็มาหาแถมยังรู้ว่ามีเครื่องดักฟังอยู่ในห้องฉันอีก”


“เรื่องค่อนข้างยาว...”


“ฉันมีเวลาฟังทั้งปี” ฮาเซลพูดแทรกทั้งที่ผมยังพูดไม่จบประโยค


“ผมยังพูดไม่จบเลยนะ จะบอกว่าเรื่องมันยาวแต่ผมสรุปมาให้แล้ว”


“สมกับที่เป็นคนรักฉัน”


“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาแหย่ผมเล่นนะฮาเซล รู้ไหมว่ากำลังเกิดพายุลูกใหญ่ขึ้นน่ะ” ผมบ่นเสียงเครียด


“พายุลูกใหญ่? หมายถึงอะไร” เมื่อเห็นว่าเริ่มเครียดฮาเซลเองจึงเปลี่ยนมาจริงจังขึ้นเช่นกัน


“คิง จามาน่ายังไม่ตาย” เพียงคำพูดเดียวของผมทำเอาบรรยากาศรอบๆ ตัวฮาเซลเปลี่ยนไปทันควัน


“รู้มาจากไหน” ใบหน้ากวนๆ ที่มักแหย่ผมเล่นเสมอตอนนี้เริ่มเคร่งขรึม แถมดวงตานั่นกำลังทอประกายของสัตว์ป่าที่รู้ว่าเหยื่อของตัวเองยังมีชีวิตอยู่


“เขาจ้างผมให้ฆ่าคุณ” ปกติผมไม่เคยบอกเรื่องงานหรือภารกิจกับใครโดยเฉพาะกับคนที่เป็นเป้าหมาย แต่ครั้งนี้เป็นข้อยกเว้นในหลายๆ ด้าน


“...แล้วนายรับ?” นิ่งไปสักพักฮาเซลก็ถามกลับ


“ใช่ ผมรับงาน” ผมพูดพลางลุกขึ้นเดินตรงไปหาฮาเซลแล้วนั่งคร่อมบนตักอีกฝ่ายโดยหันหน้าเข้าหากัน ดวงตาสีม่วงใต้คอนแทคเลนส์ประสานเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองนิ่งๆ


ฮาเซลจะทำยังไงเมื่อรู้ว่าผมรับงาน


จะแสดงท่าทีออกมายังไง


ผมอยากรู้


จะเชื่อใจหรือว่าหวาดระแวง


“...อย่าทำอะไรเสี่ยงๆ เพื่อฉันเรย์” ฝ่ามืออุ่นๆ ยกขึ้นมาแนบกับใบหน้าผมพร้อมน้ำเสียงอ่อนโยน


“เสี่ยงอะไร การจะฆ่าคุณผมทำได้ง่ายจะตาย” ผมยังคงไม่บอกความจริง


“ฉันรู้ว่าการที่นายรับงานก็เพื่อฉัน”


“...นั่นคุณแค่คิดเอาเอง”


“เรย์ ถ้าคิดจะตลบหลังแผนการณ์ของคิง จามาน่าแล้วความแตกนายจะโดนตามล่าไม่ก็อาจตกอยู่ในอันตรายไปด้วย” คำพูดของฮาเซลทำให้ดวงตาผมสั่นระริกด้วยความรู้สึกหลากหลาย ไม่เพียงแค่เขายังเชื่อใจผมแต่ยังรู้อีกว่าผมคิดจะทำอะไรต่อไป


“ชีวิตผมไม่เคยมีคำว่าปลอดภัยอยู่แล้ว” ไม่เคยมีตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้


สถานที่ปลอดภัยผมไม่เคยมี


(มีต่อ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)

“เมื่อก่อนอาจไม่มีแต่ตอนนี้เปลี่ยนความคิดได้เลย” ระหว่างพูดฮาเซลคว้าตัวผมเข้าไปกอดหลวมๆ สัมผัสของร่างกายแนบสนิทจนไร้ช่องว่างใดๆ ทวีไออุ่นอีกหลายเท่า


“เปลี่ยนความคิดอะไร” ผมไม่เข้าใจที่ฮาเซลพูด


“นายจะปลอดภัยถ้าอยู่กับฉัน” เสียงกระซิบข้างใบหูช่างสั่นคลอนหัวใจได้ดีจริงๆ


“...ผมจะเชื่อคนที่ในห้องมีเครื่องดักฟังได้ยังไง” ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะตอบกลับไป สัมผัสของไออุ่นนี่ผมไม่ผลักไสเหมือนอย่างทุกที ผมไม่เคยรู้สึกดีกับการแนบชิดหรือถูกโอบกอดโดยใครสักคนทว่าพอโดนฮาเซลกอดผมกลับรู้สึกดี


“หลังจากนี้จะไม่ประมาทแล้ว”


“ผมจะเชื่อได้?”


“ได้สิ ขืนให้เรย์มาปกป้องตลอดก็เสียชื่อแย่”


“หึ...ปล่อยผมได้แล้ว” ดูเหมือนว่าผมจะถูกกอดมานานเกินไปหน่อยแล้ว


“ไม่อยากปล่อย”


“ผมอึดอัด ไม่ชอบด้วย” ผมบอกเหตุผล


“โกหก ถ้าไม่ชอบฉันโดนชกซี่โครงหักไปสามท่อนแล้ว”


“อ้อ คุณอยากโดนแบบนั้นก็ไม่บอกเดี๋ยวผมจัดให้”


“ล้อเล่นน่าเรย์ บอกแผนการให้ฉันฟังหน่อย”


“ได้แต่ปล่อยผมก่อน” ผมยื่นข้อเสนอ จะให้ผมอธิบายทั้งที่อยู่ในสภาพน่าอายนี่คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่


“ไม่ปล่อย พูดทั้งแบบนี้แหละ” ไม่พูดเปล่าฮาเซลยังซุกใบหน้ากับต้นคอผมแล้วขยับไปมาจนรู้สึกจั๊กจี้


“ถ้าไม่ปล่อยผมไม่บอก” ถ้าพูดดีๆ ไม่ได้ก็ต้องขมขู่


“ก็ถ้าเรย์ไม่บอกฉันก็จะไม่ปล่อย”


“ฮาเซล!” ผมเริ่มขึ้นเสียเมื่ออีกฝ่ายสวนกลับด้วยคำพูดกวนๆ


“มาลองดูกันว่าใครจะทนไม่ไหวก่อน ยังไงฉันก็กอดเรย์ได้ทั้งปีอยู่แล้ว อยู่แบบนี้สิสวรรค์” อ้อมแขนที่กระชับแน่นกับปลายจมูกที่ไล้ไปตามลำคอทำเอาทำร่างเกร็งขึ้นโดยอัตโนมัติ


“ก็ได้ ผมยอมแล้วเลิกแกล้งสักที!” สุดท้ายผมต้องยอมเล่าแผนการทุกอย่างที่คิดให้ฮาเซลฟังในสภาพแสนน่าอาย ไม่น่าหลวมตัวอยากแกล้งฮาเซลโดยวิธีนี้เลยนึกว่าเขาจะถอยห่างผมเพราะระแวงว่าจะฆ่าซะอีก นี่นอกจากไม่ถอยแล้วยังกอดแน่นอีก


แผนการทุกอย่างถูกอธิบายออกไปตามที่วางแผนไว้ ฮาเซลนั่งฟังแผนผมนิ่งๆ ก่อนจะเสริมหรือบอกให้แก้ในบางจุดที่อาจเสี่ยงหรืออาจก่อให้เกิดความน่าสงสัยขึ้นได้ เพราะได้ฮาเซลแผนการในครั้งนี้จึงรัดกุมกว่าเดิมหลายเท่า


วันแห่งการทำภารกิจหรือวันที่ผมต้องสังหารฮาเซลมาถึงในที่สุด ทุกอย่างต่างถูกเตรียมพร้อมเพื่อกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น ผมออกจากห้องไปหาฮาเซลในเวลาประมาณ 11 โมงยังบริษัทบริเวณด้านข้างของตึก บรรยากาศรอบๆ ผมสัมผัสได้ถึงการถูกแอบมองในระยะไกล ความจริงผมสัมผัสถึงสายตาเหล่านั้นได้ตั้งแต่บุกมาหาเครื่องดังฟังแล้วแต่นี่เหมือนจะเพิ่มจำนวนมากเข้าไปอีก


ก็ไม่แปลกเครื่องดักฟังถูกตัดการบันทึกและรับเสียง ต่อให้อยากมาเปลี่ยนอันใหม่แต่ด้วยการรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นทำให้ไม่สามารถทำได้จึงต้องเปลี่ยนมาให้คนมาคอยเฝ้าดูแทน ยามปกติผมไม่ค่อยรู้สึกถึงสายตาพวกนี้ได้เด่นชัดนักเนื่องจากไม่ได้คิดว่าจะตกเป็นเป้าหมายของใคร ทว่าตั้งแต่เจอกับนักฆ่าทั้ง 7 คนผมก็ลับสัญชาตญาณของตัวเองให้คมยิ่งกว่ามีดจนสามารถจับสัมผัสได้เฉียบคมขึ้น


ผมไม่ได้บอกว่าจะลงมือลอบสังหารฮาเซลเมื่อไหร่หรือที่ไหน ดังนั้นถ้าต้องการให้ฝ่ายคิง จามาน่ารับรู้มีทางเดียวคือจัดการฮาเซลท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมานี่แหละ


เมื่อเดินมาถึงข้างตึกฮาเซลพ่วงด้วยบอดี้การ์ดคนสนิทอย่างมากส์และแซมต่างยืนรออยู่ในร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ผมยกยิ้มทักทายทั้งคู่ก่อนจะเดินเข้าไปหาฮาเซลใกล้ๆ ฝ่ายฮาเซลเองก็โอบเอวผมให้เข้าไปประชิดซึ่งผมแกล้งทำเป็นขืนเล็กน้อยก่อนจะยอมโอนอ่อนตาม และเพียงเสี้ยววินาที่ฮาเซลเผลอหรือเปิดช่องว่างมีดสั้นในปลายแขนเสื้อก็โผล่ออกมาแล้วปักเข้าบริเวณหัวใจจนเลือดสีแดงฉานเริ่มแผ่นกระจายผ่านเสื้อสีขาวสะอาด และยิ่งดึงมีดออกสายน้ำสีแดงสดก็ไหลมากขึ้นพร้อมกับร่างของฮาเซลที่ทรุดลงบนพื้น


“ท่านฮาเซล!”


“บอส!” เสียงของบอดี้การ์ดคนสนิทประสานกันเสียงดังลั่น


มากส์รีบเข้าไปประคองร่างฮาเซลพร้อมดูบาดแผลโดยที่แซมหรี่ตามองมายังผมที่ยืนมองภาพนั้นนิ่งๆ ในมือยังคงถือมีดสั้นสีเงินเปื้อนเลือดไว้ หลายวินาทีต่อมาแซมก้าวมาตรงหน้าพร้อมเปิดฉากโจมตีด้วยหมัดหนักๆ ทั้งซ้ายขวา


คงคิดว่าผมเป็นตัวปลอมสินะ


ตอนแรกผมกะจะให้ฮาเซลบอกแผนการนี้กับมากส์และแซมแต่ฮาเซลไม่เห็นด้วยเพราะเมื่อเป็นการแสดงละครอาจทำให้พวกนักฆ่าจับผิดได้ ผมคิดไว้นะว่าเมื่อบอกแผนการแล้วจะเปิดเผยว่าตัวตนจริงๆ ของผมคือใครให้กับแซมและมากส์รู้ จริงอยู่ผมอาจไม่เชื่อใจพวกเขาร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็มากพอที่ผมจะบอกความจริง แต่เพราะตอนนี้พวกเขาไม่รู้คนซวยจึงตกเป็นผมที่ต้องคอยหลบหมัดหนักๆ นั่น มีหลายครั้งผมแกล้งโจมตีกลับเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยว่าทำไมถึงทำแค่หลบ


การต่อสู้กับแซมผมไม่ปล่อยไว้นาน เมื่ออีกฝ่ายเตรียมควักปืนออกมาก็เป็นโอกาสให้ผมเข้าไปประชิดก่อนจะใช่ฝ่ามือกระแทกจนปืนกระบอกนั้นตกพื้นพร้อมส่งฝ่ามือกระแทกปลายคางของแซม ด้วยการโจมตีบริเวณปลายคงจะส่งผลให้ร่างกายไร้การควบคุมไปชั่วขณะหนึ่ง จังหวะเดียวกับที่แซมทรุดผมก้าวถอยหลังแล้วออกจากสถานที่นี้โดยไม่มีการเหลียวหลังกลับไป แผนการทุกอย่างประสบความสำเร็จด้วยดีอย่างไม่น่าเชื่อ


น้ำสีแดงสดบริเวณอกฮาเซลแน่นอนว่ามันคือเลือดเพียงแค่ไม่ใช่เลือดของฮาเซลแต่เป็นถุงเลือดจากโรงพยาบาลสักแห่งที่เอามายัดไว้บริเวณหน้าอก สำหรับมีดสั้นผมไม่สิ้นคิดขนาดใช้ของเล่นที่ยืดหดได้แต่เป็นของจริงแท้ๆ ถ้าโดนแทงก็ตายชัวร์เพียงแต่ผมกะระยะของปลายมีดให้แทงทะละเพียงถุงเลือดไม่ใช่เนื้อหนัง


จากนี้มากส์และแซมคงพาฮาเซลไปโรงพยาบาล และผลของการสังหารคือฮาเซลรอดตายมาได้ทั้งที่มีพยานเห็นเหตุการณ์ว่ายมทูตแห่งความตายได้เข้าประชิดและปล่อยมีดแทงหัวใจอีกฝ่ายแล้ว เรื่องการทำงานพลาดของนักฆ่าฉายายมทูตแห่งความตายไม่รู้ว่าจะกระจายไปทั่วรึยังแต่อาการปลอดภัยของฮาเซลนั้นดูเหมือนจะสร้างความไม่พอใจให้นายจ้างอย่างคิง จามาน่าไม่น้อย


เมลจากคิง จามาน่าถูกส่งมาในวันเดียวกับข่าวฮาเซลยังไม่ตายถูกประกาศ เนื้อหาของเมลบอกในทำนองว่าผมทำงานพลาดและต้องการให้ผมไปจัดการงานต่อให้เสร็จไม่งั้นจะไม่จ่ายเงิน และส่งท้ายเมลคิง จามาน่าได้ชวนผมให้เข้าร่วมกลุ่มหากสามารถจัดการฮาเซลได้สำเร็จ แถมยังได้ตำแหน่งใหญ่โตอย่างหัวหน้าหน่วยลอบสังหารเชียวนะ


อยากจะขำออกมาให้ดังลั่นห้องจริงๆ


ผมไม่เห็นอยากได้ทั้งเงินหรือตำแหน่งบ้าๆ พวกนั้นเลยสักนิด


ยังไงตอนนี้แผนผมก็สำเร็จไปขั้นนึงแล้ว


ใช่ แค่ขั้นแรกเท่านั้น


หลังจากนี้ผมมีแผนจะทำบางอย่าง และการกระทำนี่ฮาเซลไม่รู้ด้วย ขืนบอกเขาคงไม่ยอมให้ผมลงมือทำแน่ มีคนบอกว่าถ้าอยากได้ลูกเสื้อก็จงเข้าถ้ำเสือ การจะจัดการคิง จามาน่าเองก็คงไม่ต่างกัน แค่เข้าไปให้ถึงตัวอีกฝ่ายให้ได้


เพียงแต่วิธีการเข้าถึงมันค่อนข้างเสี่ยงไปสักหน่อยแต่ผมรู้ว่ามันต้องได้ผล เมลจากคิง จามาน่าผมไม่ได้ตอบรับมันจนย่างเข้าวันที่สามเมลอีกฉบับก็ถูกส่งมาอีกครั้งเนื้อหาภายในยังเหมือนเดิมเพื่อเติมคือจะเพิ่มเงินให้หากผมรับภารกิจ แน่นอนว่าผมไม่ตอบกลับไปเลยสักฉบับเดียว ผมเดาเหตุการณ์ต่อไปที่จะเกิดขึ้นได้ไม่อยากหากไม่มีการตอบรับจากยมทูตแห่งความตายคิง จามาน่าจะเปลี่ยนวิธีการ


ด้วยความโกรธ หงุดหงิดและโมโหในสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจเขาจะหันกลับมาใช้วิธีที่ง่ายและรวดเร็วในการฆ่าและฮาเซลอย่างทรมานโดยการจับคนที่คิดว่าเป็นแฟนหนุ่มของฮาเซลแน่นอน


ตลอดหลายวันนี้ผมจึงเปลี่ยนสถานที่อยู่มาเป็นห้องเช่ากลางเมืองแล้วออกไปเดินตามสถานที่ต่างๆ เพื่อล่อให้พวกนั้นเห็นว่าผมอยู่นี่ เมื่อผมถูกจับร้อยทั้งร้อยพวกนั้นจะไม่ฆ่าผมในทันทีเพราะจะเอาไปใช้ต่อลองกับฮาเซล ซึ่งผมเล็งสิ่งนี้ไว้


การที่พวกเขาไม่ฆ่าผมในทันทีผมค่อนข้างมั่นใจว่าสามารถจัดการทำอะไรสักอย่างกับสถานการนั้นได้ ไม่เพียงแค่จะหลุดออกมาจากการจับกุมของคิง จามาน่าและพรรคพวกแต่ผมจะลอบจัดการคิง จามาน่าในจังหวะเผลอหรือเมื่อมีโอกาส เอาตรงๆ ผมคิดนะว่าวิธีนี้มันเสี่ยงเกินไปแต่ถ้าการเสี่ยงมันจะช่วยให้ฮาเซลจัดการกับคิง จามาน่าได้ผมว่าคุ้ม


คิง จามาน่าไม่มีทางยอมรามือจนกว่าจะจัดการฆ่าฮาเซลได้ หากยังมีชีวิตเขาจะทำทุกอย่างเพื่อล้างแค้นและทวงเอาทุกสิ่งที่เคยเป็นของตัวเองกลับคืน ทางเดียวที่จะยุติปัญหาคือจัดการคิง จามาน่าไม่ก็ฮาเซล กอนซาเลส คนใดคนหนึ่ง และแน่นอนหากผมต้องเลือกช่วยใครสักคน...คนคนนั้นก็คือฮาเซล กอนซาเลส


ผมรู้ว่าตัวเองกำลังตกเป็นของฮาเซลมากขึ้นทุกที ซึ่งความรู้สึกนี้มากเกินกว่าจะถอนตัวได้แล้ว


“รับผิดชอบด้วยล่ะฮาเซล” ผมพึมพำเสียงเบาพลางก้าวเดินไปบนถนนเปลี่ยวหลังจากเข้าไปเดินในตัวเมืองมา ผมเลือกห้องพักเป็นสถานทีที่ค่อนข้างเปลี่ยวหน่อย ว่าง่ายๆ ก็เอื้อให้พวกนั้นจับตัวผมไปได้โดยไม่มีใครเห็นละนะ ในช่วงหลายวันมานี่ผมสัมผัสได้ว่ามีคนคอยตามแต่ผมทำเมินต่อทุกสัมผัสที่เจอราวกับคนไร้ฝีมือต่อกร


ยิ่งพวกนั้นคิดว่าสามารถจัดการผมได้ง่ายๆ ก็ยิ่งแสดงตัวออกมามากขึ้น สัมผัสของพวกเขาเด่นชัดขึ้นกว่าที่เคยจนผมอยากจะเดินเข้าไปทักเหลือเกินว่าให้ลดจิตสังหารหน่อยมันทำให้ความอยากอาหารลดลงไปกว่าครึ่ง ไม่รู้ว่าพวกเขาจะอยู่ดูลาดราวอีกนานแค่ไหน


อยากจะให้รีบๆ มาจับผมไปสักที


เดินอ่อยจนปวดขาแล้วเนี่ย!


ระหว่างในหัวกำลังคิดเรื่อยเปื่อยสัมผัสของวัตถุบางอย่างก็โจมตีจากด้านหลัง ด้วยสัญชาตญาณของนักฆ่าทำให้ผมหลับการโจมตีนั่นโดยไม่ทันคิด


จะหลบทำไม!


ผมด่าตัวเองในใจ ตรงหน้าผมมีชายคนหนึ่งยืนอยู่ในชุดสีดำสนิททั้งตัวแลดูกลืนกับความมืดยามราตรี แม้จะเห็นเพียงคนเดียวแต่ผมเดาได้ว่ามีอีกไม่ต่ำกว่า 5 คนกำลังลอบดูสถานการณ์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ชายตรงหน้ามองผมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก่อนพุ่งเข้าหาด้วยความเร็วสูงจนสายตาของคนธรรมดาจับแทบไม่ทัน อาจเพราะสายตาผมไม่ใช่คนธรรมดาจึงมองการเคลื่อนไหวนั่นได้สบายๆ


ในหัวผมกำลังคิดว่าจะทำยังไงอีกฝ่ายถึงจะโจมตีผมจนสลบได้ ผมไม่อยากโดนต่อยหลายรอบ หากมีฝีมือหน่อยคงสับต้นคอผมสักทีหรือชกหน้าท้องผมแรงๆ ให้สลบได้ในทันทีไม่ต้องมาลงมือหลายๆ ครั้ง ดูจากชายตรงหน้ามีฝีมืออยู่เพียงแต่อาจไม่มากพอ ไม่แน่อาจส่งมาทดสอบความสามารถโดยให้ผมเป็นหนูทดลอง


ลำบากใจจัง


งั้นคงต้องล่อให้คนเก่งๆ ออกมาสินะ


ทันทีที่คิดได้ผมเบี่ยงตัวหลบขาที่ตวัดมาจากด้านหลังพร้อมสวนกลับด้วยการเตะขาอีกฝ่ายจนเซล้มไปกองกับพื้น ผมสามารถแสดงฝีมือได้ระดับหนึ่งเพราะเทเลอร์รู้จักกันดีว่าเป็นบอดี้การ์ดของฮาเซล


ไม่มีบอดี้การ์ดที่ไหนต่อสู้ไม่เป็นหรอก อย่างน้อยพวกศิลปะป้องกันตัวต้องดีระดับหนึ่งฮาเซลจึงจะยอมเสียเงินจ้าง


เสียงฝีเท้าเบาๆ ก้าวออกมาจากมุมมืดทางด้านหลัง...ผมยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายมีฝีมืออยู่ไม่น้อย ถ้าเป็นคนคนนี้คงทำให้จบได้ด้วยการโจมตีเดียว ผมปล่อยให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้เพียงไม่กี่วินาทีแรงสับต้นคอจากด้านหลังก็พานให้สติที่มีดับวูบลงอย่างง่ายดาย ฝีมือสมแล้วกับที่คาดหวังไว้


แบบนี้สิที่ผมต้องการ


รอตื่นมาก่อนเถอะ...แล้วเราจะได้เจอกันคิง จามาน่า


อ่า....หวังว่าฮาเซลจะไม่ร้อนรนเกินไปเมื่อเห็นว่าผมถูกพาตัวไปหรอกนะ


พอเป็นเรื่องผมฮาเซลมักจะใจร้อนและขาดการตัดสินใจ เหมือนกับผมที่พอเป็นเรื่องฮาเซลก็อารมณ์ขึ้นได้ตลอดเหมือนกัน พวกเราทั้งคู่เหมือนกันตรงที่ต่างถูกอีกฝ่ายครอบครองทั้งความรู้สึกและพื้นที่ภายในหัวใจไว้จนเต็ม

..........................................

ค้างงงงง

หลายคนคงอยากเม้นท์คำคำนี้ 555

ความจริงก็อาจไม่ค้างมาก(มั้ง)

หลายคนคงเดากันได้ว่าคนที่จ้องเร่งงานฮาเซลอยู่เป็นใคร

วางเรื่องอาจไม่ซับซ้อนนัก เน้นอ่านสบายๆ คลายเคลียทั้งคนอ่านและคนแต่ง

สำหรับตอนหน้า มาดูฉากจบของเรื่องราวกัน...แต่เรื่องยังไม่จบนะ!

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์และกำลังไจค่ะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ใช่อย่างที่คาดเดาจริงๆ คิง จามาน่ายังไม่ตาย ฮึ หนังเหนียวจริงๆ นะ แต่รอบนี้แกตายแน่ ไม่น่าจะรอดเป็นครั้งที่สาม

เรย์ ระวังตัวด้วยนะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นับถือ ๆ เป็นการปลอมตัวที่ยากจริง ๆ ทำต้องปลอมอย่างไงให้คิดว่าปลอมแล้วไม่ใช่ตัวเอง ยากสุด ๆ  o14

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ค้างจริงด้วยยย 55

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
นายเอกเรื่องนี้เปรี้ยวจริงๆ  5555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
หวังว่าแผนจะเป็นไปด้วยดีนะ เรย์  :hao3: :mew1:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่19



ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เสียงเคาะประตูห้องพยาบาลในยามสายเรียกสติของเจ้าของบริษัทพ่วงด้วยพ่วงค้าอาวุธอย่างผมละมือออกจากโทรศัพท์ไปยังประตูหน้าห้อง ตอนนี้ผมนอนเอนกายอยู่บนเตียงในห้องส่วนตัวสุดหรูโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง


“เข้ามา” ไม่ต้องถามออกไปว่าใครผมก็รู้ว่าคนที่เดินเข้ามาต้องเป็นบอดี้การ์ดคนสนิทของผมทั้งสองคน


“ท่านฮาเซล วันนี้พวกเราต้องให้ท่านบอกความจริงเรื่องนี้มาสักที” ทั้งคู่เดินเข้ามาประชิดเตียงโดยมีมากส์เป็นฝ่ายเปิดฉากสนทนาขึ้นก่อน


เรื่องที่มากส์และแซมสงสัยไม่พ้นเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ก่อนที่ผมถูกลอบฆ่าในระยะประชิดด้วยการใช้มีดสั้นแทงเข้าบริเวณหัวใจอย่างแม่นยำในเสี้ยววินาทีที่ผมเปิดช่องว่าง เหตุการณ์นั้นเป็นแผนการของเรย์ที่จะตลบหลังการว่าจ้างของอดีตหนึ่งในสามคานหลักของประเทศ คิง จามาน่า เสี้ยววินาทีที่เห็นคมมีดปักยังหัวผมยังนึกอยู่เลยว่ามันสมจริงซะจนน่าตกใจที่บนแผ่นอกตอนนี้ไม่มีล่องลอยของบาดแผลอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งมากส์และแซมในตอนนั้นตกใจกับสถานการณ์มากจึงรีบพาผมมาส่งโรงพยาบาลโดยด่วน


ซึ่งผมว่าดีแล้ว หากบอกความจริงถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นมีโอกาสสูงมากในการถูกจับได้ เรื่องนี้ยิ่งมีคนรู้น้อยก็ยิ่งเพิ่มความสมจริงมากขึ้นไปอีก แต่เพราะผมไม่ได้บาดเจ็บจริงๆ หลังถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดก็เลยต้องจัดการกับพวกทีมแพทย์ให้ทำเป็นเหมือนผ่าตัดอยู่เกือบ 3 ชั่วโมงก่อนเข็นร่างผมไปห้องพักเดี่ยว มากส์และแซมทั้งคู่มีสายตาที่ดีเพียงแค่ผมฟื้นพวกเขาก็ล่วงรู้ทันทีว่าผ้าพันแผลนี้ถูกพันไว้ปลอมๆ แน่นอนว่าผมเลี่ยงการเปิดเผยของมูลทุกอย่างตลอดมา


ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจหรือต้องการปิดบังแต่ไม่อยากบอกหรือเปิดเผยข้อมูลอะไรออกไปก่อนจะได้รับการยินยอมจากเรย์ การจะบอกว่าเรย์คือยมทูตแห่งความตายผมอยากถามเจ้าตัวก่อนจะบอก แม้จะอยากรีบออกจากโรงพยาบาลด้วยบาดแผลสาหัสอย่างถูกแทงหัวใจไม่สามารถหายได้ภายในอาทิตย์เดียวจึงจำต้องนอนเล่นทำงานอยู่บนเตียงนิ่งๆ


กลับเข้าสถานการณ์ปัจจุบัน เมื่อย่างเข้าอาทิตย์ที่สามเหมือนความอยากรู้ของทั้งคู่จะมีมากจนถามผมอยู่แทบทุกวัน สายตาของพวกเขาจับจ้องมายังผมราวกับต้องการคำตอบในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


“เฮ้อ...ฉันเข้าใจแล้ว” ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ในเมื่อเป็นบอดี้การ์ดคนสนิทผมควรจะไว้ใจและบอกทุกอย่าง เรย์เองถ้าเป็นมากส์และแซมคงยอมให้บอกได้


“พวกเรารอฟังอยู่บอส” แซมเดินลากเก้าอี้เข้ามานั่งใกล้เตียงโดยมีมากส์ยืนอยู่ข้างๆ


“มันเป็นแผนที่เรย์วางไว้”


“เทเลอร์? หมายถึงยังไงบอส” แวมถามต่อด้วยความสงสัย


“คิง จามาน่ายังมีชีวิตอยู่” ผมพูดต่อ


“ว่าไงนะบอส! เดี๋ยวก่อน แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับเทเลอร์ยังไง” แซมยังคงถามรัวด้วยความไม่เข้าใจ ส่วนมากส์ยืนฟังผมเล่าเรื่อยๆ


“ความจริงฉันไม่อยากเปิดเผยเรื่องนี้แต่คิดว่าพวกนายเชื่อใจได้” ผมพูดพลางจับจ้องไปยังคนสนิททั้งสองคน


“พวกเราจะไม่มีวันทรยศท่าน” มากส์ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


“ใช่บอส ไม่ว่าจะเกิดอะไรเราจะอยู่กับบอส” แซมเสริมคำพูดมากส์


“งั้นก็อย่าตกใจละกัน คิง จามาน่าจ้างนักฆ่าฉายายมทูตแห่งความตายให้มาจัดการฉัน”


“...ไม่จริง งั้นที่ปะทะเมื่ออาทิตย์ก่อนนู้นคือยมทูตแห่งความตาย” แซมถึงกับเหงื่อออกบริเวณขมับเมื่อรู้ว่าคนที่ตนต่อสู้เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนเป็นใคร การปะทะระหว่างแซมและเรย์อยู่ในสายตาผมเช่นกัน การเคลื่อนไหวของเรย์ดีมากเขาหลบและตอบโต้ตามสมควรเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยและปิดฉากด้วยการโจมตีบริเวณคางให้แซมล้มลงไปกองกับพื้น


“เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่ท่านฮาเซลบอกว่าแผนการนี้เป็นของเทเลอร์ แต่คนที่คิง จามาน่าจ้างมาคือยูมทูตแห่งความตาย...แล้วเทเลอร์รู้เรื่องได้ยัง....” ระหว่างกำลังเอ่ยถามน้ำเสียงของมากส์ก็ขาดหายไปเนื่องจากทุกอย่างเริ่มประติดประต่อกันอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแค่มากส์ที่มีสีหน้าตกใจ แซมถึงขนาดเบิกตากว้างพร้อมอ้าปากอย่างไม่อายใคร


“ตามที่คิด เรย์คือนักฆ่าฉายายมทูตแห่งความตาย” ผมเฉลยเสียงเบา


“...ไม่อยากเชื่อ ก็จริงที่ทักษะของเทเลอร์ดีมากทั้งประสาทสัมผัสหรือการเคลื่อนไหวแต่... ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเป็น...” แซมดูรนลานกว่าปกติอยู่ไม่น้อยเมื่อรู้ความจริง


“ท่านฮาเซลรู้ตั้งแต่เมื่อไรว่าเขาเป็นใคร” มากส์ถามบ้าง


“ตั้งแต่แรก ฉันจ้างเขาให้มาเป็นบอดี้การ์ดเพราะรู้ว่าเป็นใครนี่แหละ”


“เสี่ยงเกินไปแล้วท่านฮาเซล นักฆ่าน่ะอันตรายมากยิ่งท่านเพิ่งรู้จักเขาก็ไม่ควรให้มาอยู่ข้างกาย หากเกิดอะไรขึ้นเขาสามารถ...”


“ฆ่าฉันได้ง่ายๆ สินะ” ผมต่อประโยคสุดท้ายของมากส์ให้


“ใช่ครับ อีกอย่าง...พวกเราไม่มีสิทธิ์ห้ามถ้าท่านจะรักเทเลอร์แต่ถ้าเขาเป็นยูมทูตแห่งความตายท่านไม่คิดว่ามันเสี่ยงเกินไปหน่อยเหรอครับ” มากส์พูดต่อด้วยสีหน้ากังวล


ผมเข้าใจว่าเขากังวลอะไร ผมเคยกังวลมาก่อนเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นเชื่อใจได้ไหม จะหักหลังกันรึเปล่า จะจีบติดได้ยังไงหรือหากคบกันเราจะไปกันรอดไหม การดำเนินชีวิตของผมและเรย์อาจอยู่บนเส้นทางเดียวกันแต่มันก็ขนานกันอยู่ การจะดึงคนที่อยู่แต่ในพื้นที่ของตัวเองให้ก้าวออกมามันทำได้ยากและการจะก้าวเข้าไปในพื้นที่นั้นก็ยากไม่แพ้กัน


แต่ทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกัน ได้สัมผัสถึงตัวตนของอีกฝ่าย ผมกลับหลงรักเรย์มากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจถอนตัวได้ ความวาดระแวงหรือความไม่เชื่อใจถูกโยนทิ้งไปอย่างง่ายดาย หากผมต้องถูกฆ่าก็อยากให้คนคนนั้นเป็นเรย์ไม่ใครอื่น อาการแบบนี้อาจเรียกว่าหลงละมั้ง


ก็ไม่ปฏิเสธหรอกแค่ได้เห็นความคืบหน้าเล็กๆ ก็มากพอให้มีกำลังใจในการก้าวต่อไปแล้ว เรย์เปิดรับผมมากขึ้น มากขึ้นและมากขึ้นอย่างรวดเร็วจนผมเองยังแปลกใจที่เขายอมให้ขนาดนั้น ราวกับว่าความรู้สึกเราเหมือนกัน


“ฉันพร้อมจะเสี่ยง” หากการเสี่ยงนั้นมันทำให้ผมอาจได้มาซึ่งหัวใจของนักฆ่านามว่าเรเวน มาเกอร์ละก็


“ถ้าแบบนั้นพวกเราขอเป็นกำลังใจท่านฮาเซล เทเลอร์ไม่ใช่คนที่จะยอมเปิดใจให้ใครง่ายๆ แต่ผมว่าเขาเปิดใจให้ท่านฮาเซลมาก”


“เห็นแบบนั้นเหรอ” ผมถามกลับพลางอมยิ้ม


“ครับ ท่านเองก็เปิดใจให้เขามากเช่นกัน”


“นั่นสิ...จะได้เสมอกันไง” ในเมื่อเรย์เปิดรับผม ผมก็จะเปิดรับเรย์แม้ว่าผมจะเปิดมาตั้งนานแล้วก็ตามที


“แล้วต่อจากนี้บอสจะทำยังไงเรื่องคิง จามาน่า” แซมถามหลังเงียบฟังอยู่สักพัก


“คงต้องจัดการให้เด็ดขาด” ผมคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่วันที่รู้ว่าคิง จามาน่ายังไม่ตายจากปากเรย์ ทั้งผมและเขาต้องมีสักคนที่หายไป ซึ่งผมจะไม่ยอมเป็นฝ่ายหายไป


“บอสน่าจะเรียกเทเลอร์มานี่นะ พวกเราจะได้ทำความรู้จักกันใหม่” แซมเสนอความคิด


“อยากอยู่แต่เขาไม่รับโทรศัพท์มาจะสามอาทิตย์แล้ว” ในช่วงแรกๆ ของการเข้าโรงพยาบาลมีบ้างที่เรย์ยังรับโทรศัพท์ทว่าหลังจากนั้นกลับไม่สามารถติดต่อได้ เวลาโทรไปจะเข้าระบบฝากข้อความเหมือนเครื่องถูกปิด


“อาจเกิดอะไรขึ้นรึเปล่าครับ”


“...ฉันก็คิดอยู่” แต่ฝีมือระดับเรย์คงไม่พลาดท่าง่ายๆ


“วันพรุ่งนี้จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เราค่อยไปหาเทเลอร์ก็ได้ยังไงบอสก็คงมีที่อยู่เขาอยู่แล้วนี่” แซมเสนอความเห็นด้วยรอยยิ้มเพลย์บอยเหมือนยามปกติ


“หึ...ไม่รู้” อยากรู้ใจจะขาดแต่ไม่ว่าทำยังไงเรย์ก็ไม่บอกเลยสักนิด ทั้งที่คิดว่าสามารถทำให้เปิดปากได้แล้วเชียว


“...บอสกับเทเลอร์นี่คบกันใช่ไหม” แซมถามเสียงเบากว่าเดิม


“ยัง” ผมเบนหน้าหนีสายตาสองคู่ที่ดูจะตกใจไม่กับสิ่งที่ได้ยิน


“ไม่จริงน่าบอส บอสเนื้อหอมจะตายแถมหยอดแทบทุกทีที่เจอ ผมนึกว่าเป็นแฟนกันตั้งนานแล้วซะอีก”


“เลิกพูดเรื่องนี้แล้วเตรียมตัวออกจากโรงพยาบาล” ผมตัดการสนทนาเรื่องนี้ลง


ตัวผมอยากจะคบกับเรย์จะตายแต่จะให้บังคับผมไม่อยากทำ ความรู้สึกเป็นสิ่งที่ไม่อาจบังคับได้ต่อให้มีเงินทองหรืออำนาจมากมายก็ไม่อาจซื้อความรู้สึกได้ ผมจึงทำได้เพียงรอ...รอให้วันหนึ่งเรย์จะยอมรับผมและคบกันสักที


วันต่อมาหลังออกจากโรงพยาบาลในช่วงเช้าผมเข้าไปจัดการงานต่อยังบริษัทใจกลางเมืองทันทีแม้การกระทำนี้อาจสร้างความสงสัยให้พนักงานหลายคนก็ตาม โดนแทงหัวใจ นอนพักเพียงสามอาทิตย์และเดินฉับๆ ขึ้นไปทำงาน การกระทำแบบนั้นจะไม่ให้สงสัยได้ยังไงล่ะ


เอาเถอะ ตอนนี้งานค่อนข้างเยอะยิ่งพอรู้ว่าคิง จามาน่ายังมีชีวิตผมต้องรีบเคลียร์งานพวกนี้ให้หมดโดยเร็วที่สุดเพราะรู้ว่าอีกไม่นานการปะทะกับคิง จามาน่าต้องเกิดขึ้น และการปะทะกันครั้งต่อไปต้องมีใครสักคนที่ต้องหายไปตลอดกาล ผมไม่กลัวหากต้องตายเพียงแต่ผมไม่คิดจะตายด้วยฝีมือของหมอนั่น คนเดียวที่ผมจะยอมถูกฆ่าคือเรเวน มาเกอร์ไม่ใช่คิง จามาน่า


ครืดดดด~  ครืดดดด~


โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสั่นพร้อมเบอร์แปลกหน้าที่ปรากฏบนหน้าจอ ผมหรี่ตามองเบอร์แปลกนั่นสักพักก่อนตัดสินใจรับสาย
ไม่แน่ว่าเบอร์นั่นอาจเป็นของเรย์


เข้าวันใหม่มาไม่เท่าไหร่ก็เข้ามาอยู่ในหัวอีกแล้วนะเรย์ อย่าให้เจอเชียวจะคว้าตัวมากอดแน่ๆ เลย


“ฮัลโหล” ผมเป็นฝ่ายทักก่อน


(ไงไอ้ฮาเซล)


“...คิง จามาน่า” เพียงคำสั้นๆ ก็มากพอสำหรับการบ่งบอกตัวตนของปลายสาย


(หึ...ไปขอพรโบสถ์ไหนถึงได้รอดมาได้ล่ะ)


“พอดีมีนางฟ้ามาช่วยชีวิตน่ะ” ผมสวนกลับด้วยเสียงนิ่งๆ


(เป็นนางฟ้าที่แกร่งพอดูถึงได้ลากตัวแกมาจากยมทูตแห่งความตายได้) ประโยคนี้คงจะหมายถึงการที่ผมรอดพ้นจากความตายทั้งที่อีกฝ่ายจ้างยมทูตแห่งความตายมาละมั้ง


“ลงทุนน่าดูเลยนี่ถึงกับนักฆ่าระดับนั้น” ในเมื่ออีกฝ่ายเปิดบทสนทนาถึงยมทูตแห่งความตายมาคงไม่แปลกถ้าผมจะรู้ว่าคิง จามาน่าจ้างใครมาจัดการตัวเอง


(ไม่ถือเป็นการลงทุน ในเมื่องานไม่สำเร็จฉันก็ไม่คิดจะจ่าย)


งานของนักลอบสังหารหรือนักฆ่าก็แบบนี้ ความสำเร็จของภารกิจคือทุกอย่างเพราะถ้าไม่สำเร็จค่าจ้างก็จะไม่ถูกจ่ายต่อให้มีคนเห็นว่ามีดนั้นแทงทะลุหัวใจก็ตามที


“เงินแค่นั้นยังจะหวงอีกนะ” อดไม่ได้ที่จะแควะกลับ


(เออ ฉันให้โอกาสมันเอาเงินอีกรอบแต่มันกลับโง่เอง) คำพูดนั่นสื่อได้ว่าคิง จามาน่าว่าจ้างยมทูตแห่งความตายอีกรอบทว่ากลับถูกปฏิเสธ


เรย์ปฏิเสธงั้นเหรอ


หรือว่ากำลังคิดวางแผนอะไรไว้


“เขาคงรู้มั้งว่าใครที่ควรหรือไม่ควรถูกกำจัด”


(แก...คิดว่ารอดได้อย่ามาทำปากเก่ง ในเมื่อยมทูตบ้านั่นมันใช้ไม่ได้ก็ช่างหัวมัน รู้ไหมว่าฉันโทรมาหาแกทำไมไอ้ฮาเซล หึหึหึ) เสียงหัวเราะราวกับคนเหนือกว่าทำให้ผมเริ่มขมวดคิ้วแน่น


“คิดจะทำอะไร” ลางสังหรณ์ผมเอ่ยเตือนถึงอันตรายที่กำลังมาเยือน


(ก็ไม่อะไรมากแค่จับตัวคนรักแกมาทักทายนิดหน่อย)


“...คิดว่าฉันจะเชื่อรึไง” ผมพยายามสงบสติไม่ให้ผลีผลาม


ฝีมือของเรย์ผมรู้ดีที่สุด...การจะจับเรย์ไปไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนหน้านี้อาจทำได้แต่ในตอนนี้ที่เรย์รับรู้ถึงอันตรายรอบตัวแทบไม่มีทางที่จะจับตัวเรย์ไปได้ ฝีมือระดับนั้นต่อให้มีนักฆ่าเป็นกลุ่มผมกล้าพนันเลยว่าทำอะไรเรย์ไม่ได้ ดังนั้นคำพูดของคิง จามาน่าจึงไม่มีน้ำหนัก


(หึ...ในเมื่อไม่เชื่อจะส่งหลักฐานให้ดูก็ละกัน) หลังจากพูดจบไปนานโทรศัพท์ก็เกิดแรกสั่นอีกรอบพร้อมกับรูปภาพที่ถูกส่งมา
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองของผมเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นภาพของเรย์ถูกมัดมือทั้งสองข้างติดกับหัวเตียงในสภาพหลับใหล เซ้นส์ผมมันบอกว่านี่คือเรย์ตัวจริงไม่ใช่ใครมาปลอมตัวหรือจัดฉาก


นี่เรย์ถูกจับ...ไม่อยากเชื่อ


ไม่สิ ต่อให้ได้ชื่อว่ายมทูตแห่งความตายแต่สุดท้ายก็ยังเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง การจะเสียท่าให้กับศัตรูบ้างใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้


“แกต้องการอะไร” ผมรู้ว่าตัวเองเริ่มระงับสติและอารมณ์ที่พุ่งพล่านนี่แทบไม่ไหวแล้ว


(ชีวิตแก)


“ยังไง” จะให้ผมยิงหัวฆ่าตัวตายตรงนี้รึไง


(ความจริงก็อยากให้แกตายซะเดี๋ยวนี้อยู่ แต่แบบนั้นมันจะสนุกอะไร มาสิ มาหาฉันที่ท่าเรือมิสเคาท์ 709 ภายในบ่าย ฉันมันคนใจกว้างจะพาผู้ติดตามมาเท่าไหร่ก็ได้...ยังไงก็ต้องตายหมดอยู่แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า) และแล้วเสียงหัวเราะก็ถูกตัดสายปลายท่ามกลางอารมณ์หงุดหงิดที่กำลังทวีขึ้นจนถึงขีดสุด


“บ้าเอ้ย!” ผมกำหมัดทุบลงบนโต๊ะเต็มแรงเพื่อระบายความโกรธ ใจกว้างบ้าอะไร ต่อให้พาคนไปเป็นฝูงแต่หากมีตัวประกันอย่างเรย์ผมคงทำอะไรไม่ได้นอกจากยอม


“เรย์” ผมต้องไปช่วยเรย์ สิบนาทีต่อมาผมเรียกบอดี้การ์ดคนสนิททั้งสองอย่างมากส์และแซมให้เข้ามาหาผมในห้องนี้ อาจเพราะใบหน้าเครียดๆ ทำให้ทั้งคู่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติจึงได้แต่ยืนนิ่งๆอยู่ด้านหน้าผม


“เรย์ถูกคิง จามาน่าจับตัวไป” ผมบอกสถานการณ์


“...ไม่จริงน่า ฝีมือระดับนั้นไม่น่าจะ...” แซมถึงกับเบิกตากว้างเมื่อได้ยิน


“แปลว่าทางนั้นต้องใช้พวกมีฝีมือไปจัดการ” มากส์พูดด้วยใบหน้าเคร่งเครียดขึ้น


“หากถูกคนจำนวนมากรุมคงจัดการเพียงลำพังไม่ไหว”


“แล้วคิง จามาน่าต้องการอะไรครับ” มากส์หันมาถามผม


“ชีวิตฉัน” ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรทั้งนั้น


“...” บรรยากาศในห้องตึงเครียดขึ้นอีกระดับ มากส์และแซมต่างหันหน้ามองกันคล้ายจะปรึกษาทางสายตา


“บอสคิดจะทำยังไง” สุดท้ายแซมก็ถามผมตรงๆ


“ไปช่วยเรย์” ผมตอบ


“คิง จามาน่าให้ท่านไปหาที่ไหนครับ”


“ท่าเรือมิสเคาท์ 709 ภายในบ่าย”


“คิดจะให้ท่านฮาเซลขึ้นแล้วเอาเรือออกจากท่า จากนั้นค่อยจัดการล่ะสิ” เป็นอย่างที่มากส์พูด ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ทางนั้นคงเตรียมคนฝีมือดีไว้เต็มเรือ หากจัดการผมเสร็จก็อาจโยนลงทะเลซะ เรื่องเป็นอันจบลงง่ายๆ โดยไม่มีใครรู้และชายชื่อฮาเซล กอนซาเลสก็จะหายไปตลอดกาล


“บอสไม่ควรไป...”


“ฉันจะไป” ผมพูดแทรกแซม


“แต่ถ้าบอสไปพวกเราจะเสียเปรียบมากนะ” แซมพยายามหยุดความคิดผม


“ฉันจะไปคนเดียว พวกนายเตรียมเฮลิคอปเตอร์ไว้ ด้วยฝีมือของเรย์แค่มีอาวุธหน่อยก็สามารถหลบหนีได้แล้ว”


“เขาอาจหนีได้แต่ท่านฮาเซลล่ะ พวกมันคงไม่ได้มีจำนวนน้อยๆ”


“หากฉันเป็นอะไรไปก็ฝากเรย์ด้วย”


“บอส อย่าสั่งเสียแบบนี้สิ”


“ไม่ได้สั่งเสียแค่พูดเผื่อไว้” ผมไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ว่าจะสามารถรอดกลับมาได้ในสถานการณ์นั้นรึเปล่า จริงอยู่ผมอาจมีฝีมือทว่าคนที่อยู่บนนั้นเองก็มีเช่นกัน ไม่รู้ว่าต้องสู้กับกี่สิบคน แต่หากไปโดยคิดว่าต้องตายก็เท่ากับตายไปแล้ว


“พวกเราจะไปกับท่านด้วย” มากส์พูดพร้อมสบสายตากับผมด้วยความแน่วแน่


“ใช่บอส หากมีพวกเรารวมเทเลอร์ก็เป็น 4 คน ถ้า 4 คนต้องจัดการได้แน่” แซมพูดเสริม


“แน่ใจเหรอ รู้ใช่ไหมว่ามันเสี่ยงขนาดไหน” การเข้าไปอยู่ท่ามกลางวงล้อมศัตรูไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้ง่ายๆ ต่อให้มีเพิ่มจากสองเป็นสี่ก็ใช่ว่าเปอร์เซ็นต์รอดจะเพิ่มขึ้นมากมาย


“พวกเรารู้ ไม่ต้องห่วงผมจะสั่งลูกน้องให้เตรียมเฮลิคอปเตอร์ไว้ จะให้บินอยู่ในระยะไกลๆ หน่อยเมื่อให้สัญญาณค่อยให้บินเข้ามาใกล้” มากส์พูดเสริม


“แบบนั้นก็ได้” ผมพยักหน้า


“แบบนี้ต้องรีบเตรียมตัวก่อนถึงบ่ายแล้วสินะบอส”


“นั่นสิ ไปเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเถอะ”


ภายในบริษัทนี้มีห้องลับสำหรับเป็นคลังเก็บอาวุธอยู่แทบทุกชั้น แม้จะไม่ใช่คลังใหญ่เหมือนผู้ผลิตอาวุธอย่างคริสโตลีนี่ คิวเบิร์กแต่ก็มากพอจะมีอาวุธหลากหลายให้เลือก ปืนสั้นสองกระบอกถูกเหน็บไว้บริเวณเอวพร้อมมีดสั้นและอาวุธของเรย์อย่างลวดกับระเบิดควัน มีหลายอย่างที่ผมพกติดตัวไปด้วย ถึงจะดูเยอะแต่ด้วยขนาดและน้ำหนักของอาวุธเหล่านั้นค่อนข้างเล็กและเบาจึงสามารถพกไปไหนมาไหนได้ไม่ยากอย่างลวดสีเงินนี่เบาซะจนไม่อยากเชื่อใช้เป็นอาวุธสำหรับฆ่า


เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมผมและบอดี้การ์ดคนสนิททั้งสองมุ่งหน้าสู่ท่าเรือมิสเคาท์ 709 ในช่วงก่อนเวลาบ่ายเล็กน้อย เรือขนาดใหญ่จอดรอเทียบท่าโดยมีคนเฝ้าทั้งทางขึ้นและรอบๆ เรือหลายสิบคน เรียกว่าการป้องกันแน่นหนามากทีเดียว


ไม่จำเป็นต้องบอกว่าตัวเองเป็นใครคนที่เฝ้าอยู่บริเวณทางขึ้นก็ผายมือเชิญผมขึ้นไปยังด้านบนของเรือโดยไม่มีแม้แต่การค้นตัว คงจะมั่นใจมากว่าจะชนะละมั้ง ไม่แปลกที่จะมั่นใจดูจากรูปร่างและการประเมินฝีมือคร่าวๆ ทุกคนในนี้มีฝีมือในระดับสูง ดีไม่ดีทั้งหมดอาจเป็นนักฆ่าเหมือนเรย์


คนของคิง จามาน่าเดินนำพวกผมไปยังห้องหนึ่งของเรือลำยักษ์ ห้องสีขาวสลับทองนั่นดูราวกับอยู่ในแถบยุโรปจริงๆ ถ้าไม่ติดที่ว่าคนในห้องเป็นชายผิวคล้ำจนเกือบดำและบนศีรษะนั้นไม่มีผมเลยสักเส้น


“คิง จามาน่า เรย์อยู่ไหน” ผมเรียกอีกฝ่ายพลางมองหาเรย์ทว่ากลับไม่เจอ


“นั่นคือคำทักทายแรกเหรอฮาเซล กอนซาเลส” อีกฝ่ายยกยิ้มระหว่างพูด


“เรย์อยู่ไหน” ผมไม่อยากจะต่อบทสนทนาให้ยืดยาวไปกว่านี้ หลายชั่วโมงที่ผ่านมาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรย์บ้าง


“ฆ่าแล้วไปแล้ว...ถ้าบอกแบบนี้จะทำยังไงล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”


“คิง จามาน่า” น้ำเสียงเย็นเฉียบของผมเป็นเหมือนสัญญาณเตือนให้หยุดการหลอกเล่นอันไร้สาระนี่


“หึ คิดว่าฉันกลัวแกรึไงล่ะ คนรักแกป่านนี้คงกำลังสนุกกับการถูกผู้ชายรายล้อมละมั้ง”


“แกทำอะไรเรย์” ผมเดินเข้าไปคว้าคออีกฝ่ายพร้อมกระตุกแรงๆ ด้วยความโมโห


“เป็นสีหน้าที่ดี คิดจะฆ่าฉันตรงนี้เหรอ ไม่ห่วงคนรักของแกงั้นสิ”


“แก...”


“ปล่อยเดี๋ยวนี้” ผมได้แต่กำหมัดแน่นแล้วปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ ถ้าไม่มีตัวประกันป่านนี้ลูกกระสุนได้ถูกฝังอยู่ในหัวนั่นแล้ว


“เรย์อยู่ไหน” ผมกัดฟันถาม


“ตามมาสิ ไปดูสภาพคนรักของแกกันดีกว่า” เสียงหัวเราะดังขึ้นตลอดทางที่คิง จามาน่านำไป


ประตูห้องสีน้ำตาลถูกเปิดออกพร้อมกับคิง จามาน่าเดินเข้าไปก่อนตามด้วยพวกเรา ภายในห้องถูกตรงแต่งด้วยเฉดสีเดียวกับห้องก่อนหน้านี้เพียงแต่มีจำนวนคนแออัดกว่ามาก รอบๆ ห้องมีคนประมาณ 10 คนยืนล้อมทั้งประตูทางเข้าและหน้าต่างเพื่อป้องกันไม่ให้ใครออกไปจากสถานที่นี้ได้


ผมรู้ทันทีว่าสถานที่นี้คือจุดตัดสินทุกอย่าง และข้างนอกนั่นคงมีอีกหลายสิบคนยืนเรียงรอสาดกระสุนเข้าใส่ผู้ที่เปิดประตูออกไป แต่ทุกอย่างรอบตัวนั่นแทบไม่ได้อยู่ในหัวผมเลยสักนิดเมื่อได้เห็นภาพเรย์ถูกมัดติดอยู่กับหัวเตียงโดยมีชายประมาณ 5 คนนั่งอยู่แนบชิด ชายคนแรกและคนที่สองเอื้อมมือไปลูบไล้แผ่นอกเรย์อันปราศขากเสื้อผ้า ชายคนที่สามเริ่มปลอดเข็มขัดของเรย์ให้หลุดออก คนต่อมาซุกไซร้ใบหน้าลงกับลำคอของเรย์พร้อมขบเม้มอย่างเมามัน และคนสุดท้ายจับคางเรย์ให้เชิดขึ้นแล้วประกบจูบอย่างดูดดื่มต่อหน้าต่อหน้า


ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองของผมจับจ้องภาพนั่นพร้อมร่างกายที่เคลื่อนไหวตรงไปยังเตียง ปืนกระบอกดำถูกหยิบขึ้นจ่อบริเวณขมับแล้วลั่นไกโดยไม่มีแม้แต่ความลังเลหรือสงสาร เพียงพริบตาร่างของชายที่กล้าจูบเรย์ของผมก็หงายหลังล้มลงไปจากเตียงท่ามกลางความเงียบงัน  ไม่มีใครเดินมาขวางผมด้วยซ้ำ การเคลื่อนไหวผมคงทำให้ทุกคนตกใจ ไม่มีใครคิดหรอกว่าจะกล้าเดินถือปืนมายิงฝ่ายศัตรูโต้งๆ ทั้งที่มีจำนวนน้อยกว่าหลายเท่า


แต่จะทำไงได้ ใครมันกล้ามาแตะเรย์ผมจะไม่ปล่อยมันไปแน่!


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


“...ฮาเซล” เรย์เงยหน้ามองผมด้วยดวงตาสีน้ำตาลของคอนแทคเลนส์


“เรย์” ผมขยับเข้าไปใกล้โดยที่เรย์เองก็ขยับตัวเข้ามาหาผมบริเวณขอบเตียงเช่นกัน ชายอีกสี่คนต่างพากันลุกขึ้นแล้วถอยหน้าไปรวมกลุ่มอยู่ด้านข้างระเบียง


“ฮ่าฮ่าฮ่า แกมันสุดยอดไอ้ฮาเซล กล้าเดินไปยิงหัวลูกน้องฉันง่ายๆ แบบนั้นเลยนะ”


“คนของแกมาแตะคนของฉันก่อน” หากแค่แตะธรรมดาผมคงไม่โกรธเท่าถูกประกบจูบอย่างดูดดื่ม


“คนของแก? เป็นความรักที่น่าสะอิดสะเอียดซะจริงๆ”


“แกน่าสะอิดสะเอียดกว่าอีกคิง จามาน่า”


“พูดเหมือนตัวเองถูกไปหมดทุกอย่างเลยนะ ทั้งที่แกแย่งทุกอย่างไปจากฉัน!!” เสียงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น


“นั่นแกทำตัวเอง” หากไม่ปรารถนาอำนาจหรืออิทธิพลเหนือทุกคนเรื่องคงไม่เป็นแบบนี้


คิง จามาน่าต้องการเอาอำนาจทุกอย่างมาอยู่ในเมื่อและขึ้นปกครองประเทศด้วยอำนาจนั้น เมื่อคานทั้งสามต้นมีต้นนึงต้องการอยู่สูงกว่า ทุกคานจะเริ่มไม่สมดุลและเอนเอียงจนอาจตกลงไปได้ มีหรือที่คานอีกสองต้นจะยอมอยู่เฉยให้มีคนขึ้นไปกุมอำนาจไว้เพียงหนึ่งเดียว ทุกคนต่างต้องการอำนาจเพียงแต่คนที่ไม่รู้จักพอก็ไม่ควรได้รับอำนาจนั้นมาไว้ในครอบครอง


“แกนั่นแหละที่มาแย่งทุกอย่างไป ฉันจะฆ่า ไม่สิ จะทรมานแกจนกว่าจะร้องขอให้ฆ่าซะ จะให้ลิ้มรสความเจ็บปวดและสิ้นหวังยิ่งกว่าฉันเป็นร้อยเท่า!”


“ฉันไม่คิดจะยอมหรอกนะ” ปืนสีดำทั้งสองกระบอกของผมและคิง จามาน่าถูกยกขึ้นเล็งไปยังอีกฝ่ายในจังหวะเดียวกัน


“มาลองยิงดูไหมล่ะว่าใครจะเป็นฝ่ายตายก่อน” น้ำเสียงสนุกปนเคียดแค้นนั่นทำให้บรรยากาศทั้งห้องหนักอึ้ง


“เอาสิ” ยังไงวันนี้ต้องมีใครสักคนที่ต้องจากไปตลอดกาล ใช้วิธีนี้ก็ดีเหมือนกันระยะของปืนทั้งสองกระบอกเท่ากัน ระยะยิงเองคงมากพอจะทะลุหัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง


“ฉันจะลากแกไปลงนรกไอ้ฮาเซล...”


“แต่ผมว่าคนที่จะลงนรกคงเป็นคุณมากกว่านะ คิง จามาน่า” เสียงนุ่มจากปากของคนที่ควรอยู่ด้านหลังผมตอนนี้กลับไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของคิง จามาน่าพร้อมมีดสั้นจ่อไปยังลำคอสีแทน คมมีดหันเข้าหาคอแสดงถึงการเตรียมพอจะปลิดชีพในเสี้ยววินาที


มีดสั้นนั่นเหน็บอยู่เอวผมนี่...เอาไปตั้งแต่เมื่อไร


ไม่สิ แก้เชือกที่มัดแน่นไว้ได้ตั้งแต่ตอนไหน


อีกทั้งยังเข้าไปหาคิง จามาน่าโดยไม่มีใครสังเกตเห็นได้ยังไง?!


“แกมาได้ยังไง เทเลอร์” คิง จามาน่าเองก็สงสัยไม่แพ้ผม คนทั้งห้องเองคงสงสัยไม่ต่างกัน


“แค่เดินมาตรงๆ”


“อย่ามาพูดบ้าๆ นักฆ่าที่ฉันจ้างมาไม่มีทางปล่อยแกมาได้”


“พวกเขาอาจเป็นนักฆ่าฝีมือดีก็จริงอยู่แต่เพราะการกระทำคุณทำให้ทุกสายตาจับจ้องอยู่ นั่นเป็นช่องว่างให้ผมสามารถเข้าถึงตัวคุณได้อย่างง่ายดาย” คำอธิบายของเรย์ทำเอาบรรยากาศในห้องเริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง ผู้ชายธรรมดารูปร่างค่อยไปทางบอบบางและผอมอย่างเรย์กำลังแผ่รังสีฆ่าฟันออกมาจนแทบไม่มีใครกล้าขยับเคลื่อนไหว


นี่คือเรย์ในโหมดนักฆ่า...ยมทูตแห่งความตาย!


“...แกเป็นใครกันแน่?!” คิง จามาน่าถามเสียงดังคล้ายคนกำลังควบคุมตัวเองไม่ได้เมื่อแผนที่วางไว้ถูกทำให้พลิกไปอีกด้าน


“บอกชื่อไปคุณคงไม่รู้ งั้นบอกฉายาแทนน่าจะรู้จักกันมากกว่า” เรย์พึมพำเสียงนิ่ง สายตาเรย์ไม่เพียงจับจ้องการเคลื่อนไหวของคิง จามาน่าแต่ลามไปถึงทุกคนภายในห้อง หากมีการเคลื่อนไหวเรย์จะรู้ได้ทันที


“ฉายาอะไร”


“หึ...คุณก็น่าจะรู้ เคยจ้างผมนี่”


“...พูดอะไรของแก” เหมือนคิง จามาน่ายังไม่รู้ว่าคนที่หันมีดใส่คอตัวเองอยู่นั้นเป็นใคร


“ฉายาผม ยมทูตแห่งความตาย” เพียงเสียงเบาๆ ที่เล็ดรอดมากก็มากพอจะทำให้คนหลายสิบชีวิตเบิกตากว้างด้วยความตกใจตั้งแต่นักฆ่ารอบๆ ห้องไปจนถึงตัวของคิง จามาน่าเอง


“เป็นไปไม่ได้” น้ำเสียงนั่นดูจะไม่เชื่อว่าคนด้านหลังคือยมทูตแห่งความตายจริงๆ ด้วยรูปลักษณ์แบบนั้นจะไม่เชื่อคงไม่แปลก ตอนแรกที่ผมเจอยังไม่เชื่อจนต้องเจอกับตัวเองถึงได้รู้ว่าภายในรูปลักษณ์นั้นหากทำให้โกรธหรือโมโหก็อาจทิ้งชีวิตไปได้ง่ายๆ


“ผมไม่ได้ขอให้เชื่อนี่นะ ปฏิเสธการว่าจ้างไปตั้งหลายครั้งก็ยังตื้อไม่เลิกรู้ไหมมันน่ารำคาญ”


“...นี่แกทำไมถึงรู้ เป็นตัวจริงงั้นเหรอ” ใบหน้าตื่นตกใจนั่นเรียกรอยยิ้มอันแสนเย็นเฉียบจากเรย์ได้


“ผมบอกแล้วว่าไม่ได้ขอให้เชื่อ”


“ไอ้ฮาเซล แกจ้างมันมาใช่ไหม!” คิง จามาน่าหันมาตะโกนใส่ผม


“เปล่า” ผมตอบไปตามตรง


“อย่ามาโกหก ถ้าแกไม่จ้างมันจะมาอยู่นี่ได้ไง”


“ก็คนที่จับเขามาคือใครล่ะ” ไม่ใช่ตัวนายเองรึไง คิง จามาน่า


“...” ความเงียบจากคิง จามาน่าแสดงถึงเขากำลังคิดถึงคำพูดผม


“ขอแก้นิดนะ คือผมไม่ได้ถูกจับ” เรย์พูดแทรกความเงียบ


“หมายความว่าไงเรย์” ที่ว่าไม่ได้ถูกจับน่ะ


“ผมยอมโดนจับมาเองต่างหาก” ในหัวผมเริ่มประเมินทุกอย่างจากคำพูดขอเรย์ก่อนจะได้ข้อสรุปออกมาว่าเรย์วางแผนเรื่องนี้เอาไว้แล้ว ยอมให้โดนจับเพื่อจะได้เข้าถึงตัวคิง จามาน่าได้


“แกคิดจะทำอะไรยมทูตแห่งความตาย”


“เพราะคุณจ้องเร่งงานฮาเซลไม่เลิกผมเลยต้องเข้ามาจัดการด้วยตัวเอง ไม่คุณก็ฮาเซลสักวันต้องมีการตัดสินเกิดขึ้นและมีคนเดียวที่จะได้อยู่ต่อไป”


“แล้วแกมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย” คิง จามาน่ายังคงถามต่อ


“อ้าว นี่จับผมมาทั้งที่ไม่รู้ว่าเกี่ยวอะไรเหรอ” ใบหน้าขำขันเหมือนกำลังจะหัวเราะนั่นไม่ได้ทำให้บรรยากาศโดยรอบลดความหนักอึ้งลงเลยสักนิด


“...คนรักของฮาเซล” คิง จามาน่าพึมพำคำตอบ


“ใช่”


“แกยังเปลี่ยนใจนะ มาเข้าร่วมกับฉันเถอะแล้วทุกอย่างที่แกต้องการฉันจะให้ไม่ว่าเงินทองหรืออำนาจฉันจะให้ทุกอย่าง”


“ผมจะบอกให้นะว่าต่อให้คุณเอาทั้งเงินและอำนาจมากองตรงหน้าผมก็ไม่มีวันเข้าร่วมกับคุณ มีเพียงคนเดียวที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินจ้างหรืออำนาจสั่งผมก็พร้อมจะอยู่ข้างเขา คนคนนั้นมีเพียงฮาเซล  กอนซาเลส”


“เรย์” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา


ความหมายของคำพูดนั่นผมคิดเข้าข้างตัวเองได้ใช่ไหม


“ก็อย่างที่บอกไป หากผมจะต้องเลือกช่วยใครสักคนให้รอดคงไม่ต้องบอกก็น่าจะเดาได้ จะหันมาแค้นผมแทนก็ได้นะคิง จามาน่า” เรย์พูดพลางกดปลายมีดแนบสนิทกับลำคอมากยิ่งขึ้น


“แก...”


“ลาก่อน” เพียงเสี้ยววินาทีหลังพูดจบปลายมีดสีเงินก็ถูกชโลมด้วยเลือดพร้อมร่างของคิง จามาน่าที่ถูกปล่อยให้ร่วงลงไปกองกับพื้น


สายตาของนักฆ่าจับไล่มองไปรอบๆ ห้อง ฝ่ายถูกมองมีหลายคนตัวสั่นและเกร็งร่างกายขึ้นโดยอัตโนมัติไว้เว้นแม้แต่มากส์กับแซมที่ผมเห็นว่าสะดุ้งเล็กๆ ไม่แปลกเล่นโชว์ความสามารถต่อหน้าต่อตาขนาดนี้ไม่ว่าใครก็ต้องกลัวทั้งนั้น ยิ่งมีฉายายมทูตแห่งความตายเป็นตัวช่วยอีกแค่สามารถยืนทรงตัวอยู่ได้โดยไม่ทรุดลงไปกองบนพื้นก็นับว่ามีฝีมือในระดับนึงแล้ว


“ผมไม่อยากฆ่าโดยไม่จำเป็น นายจ้างพวกคุณตายแล้วถือว่ายกเลิกสัญญาได้ไหม” เรย์เอ่ยถามคนทั้งห้อง พวกเขาหันหน้ามองกันซ้ายขวาคล้ายจะปรึกษาว่าจะทำยังไง


“ได้ พวกเราจะเลิกยุ่งกับพวกคุณเพียงแต่อยากขอประมือกับคุณได้ไหม” คนที่คาดว่าจะเป็นหัวหน้าก้าวออกมาจากบริเวณริมระเบียง รูปร่างของเขาสูงและผอมดูคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหวร่างกายมาก


“ประมือกับผม?” เรย์ชี้นิ้วมายังตัวเอง


“อืม พวกเราเป็นมือสังหารมานานอยู่ในวงการนี้มาเป็นสิบปีแต่ไม่เคยได้เจอกับคุณซึ่งเป็นยมทูตแห่งความตายเลยสักครั้ง ฉันในฐานะหัวหน้าของพวกเขาอยากจะขอโอกาสได้ประมือกับคุณ”


“ผมไม่ได้เก่งกาจอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าทำให้เรื่องจบได้โดยไม่ต้องมีคนตายเพิ่มผมก็ยินดี” ทันทีที่เรย์หยักหน้าตอบตกลงร่างของนักฆ่ามืออาชีพก็พุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็ว อาวุธอย่างมีดปลายแหลมถูกใช้โจมตีต่อเนื่องจนเรย์ได้แต่หลบ


เรย์มองทุกการเคลื่อนไหวที่จู่โจมมาด้วยสายตาของนักฆ่าที่จับจ้องเป้าหมาย ทุกการหลบหลีกเรย์จะย่อตัวลงเรื่อยๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็รู้จึงโจมตีต่ำลงเช่นกัน เมื่อมาถึงจุดหนึ่งเรย์หมอบทั้งร่างลงกับพื้นพร้อมใช้เท้าถีบเข้าบริเวณหัวเข่า เนื่องจากหัวเข่านั่นกำลังงอจึงส่งผลให้ร่างนั้นเสียสมดุลแล้วล้มลงทว่าอีกฝ่ายกลับยังไม่ยอมแพ้แม้ท่อนล่างจะกระแทรกลงบนพื้นแต่ยังอาศัยจังหวะนั้นใช้มีดเล็งช่องว่างบริเวณด้านหลัง


แน่นอนว่าสัมผัสของเรย์สามารถจับการเคลื่อนไหวนั่นได้ไม่ยากจึงหันมารับมีดได้ ไม่เพียงรับการโจมตีแต่อยู่ๆ อาวุธในมือของอีกฝ่ายถูกเปลี่ยนมาอยู่ในมือเรย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ แม้แต่ผมยังมองการเคลื่อนไหวนั้นไม่ทัน มีดที่อยู่ในมือถูกโยนขึ้นกลางอากาศเรียกทุกสายตาให้จับจ้องไปยังมีดนั่นโดยไม่รู้เลยว่าเรย์ได้อาศัยจังหวะนั้นหยิบมีดของตัวเองขึ้นมาจ่อยังลำคออีกฝ่ายโดยอีกมือนึงรับมีดอีกเล่นได้ในจังหวะตกลงมาพอดี


การต่อสู้นี้อาจดูไม่เหมือนนักฆ่าปะทะนักฆ่านักเนื่องจากพื้นที่คับแคบและสถานที่ที่มีคนอยู่นับสิบ หากมีพื้นที่มากกว่านี้คงได้เห็นการต่อสู้ที่สุดยอดกว่านี้เป็นแน่ แต่แค่นี้ก็สุดยอดมากแล้ว


“ขอบคุณสำหรับการประมือในครั้งนี้” หัวหน้านักฆ่าก้มหัวลงเล็กน้อยแทนคำขอบคุณก่อนจะเปิดประตูไปสั่งการณ์และบอกคนที่เหลือด้านนอก


เหตุการณ์ทุกอย่างค่อยๆ กลับสู่สภาวะปกติ เรือลำใหญ่แล่นเข้าสู่ฝั่งโดยสวัสดิ์ภาพไม่ต้องพึ่งเฮลิคอปเตอร์อย่างที่เตรียมไว้ เมื่อลงสู่พื้นนักฆ่านับสิบต่างกระจายตัวหายไปในพริบตาโดยมีสายตามากมายจับจ้องไปยังยมทูตแห่งความตาย ในวงการนักฆ่ายมทูตแห่งความตายเปรียบเหมือนผู้อยู่บนจุดสูงสุดที่ไม่มีใครเคยได้เห็น การได้เจอตัวจริงจึงค่อนข้างเป็นที่สนใจ


ไม่รู้ว่านักฆ่าพวกนั้นไปคุยกันยังไงถึงได้ไม่เกิดการต่อสู้ใดๆ ขึ้น ถึงแม้จะจัดการนักฆ่ากลุ่มแรกไปด้วยสันติวิธีแต่ยังมีนักฆ่าอีกหลายกลุ่มและยังพวกที่ไม่ใช่นักฆ่าอีก ถ้าให้เดาคงเป็นเพราะทางผมมีเรย์อยู่ทางนั้นจึงไม่อยากเอาชีวิตมาเสี่ยงหากปะทะกันขึ้น แต่ในเมื่อทุกอย่างจบลงด้วยการไม่ต้องเสียเลือดผมก็ว่าดีแล้ว


“เรย์” ผมคว้ามืออีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าเรย์ทำท่าจะเดินหนีไป


“ตอนนี้ผมเหนื่อยมากฮาเซล ผมขอกลับไปพักก่อน ถ้ามีเรื่องอะไรขอเป็นวันอื่น” ใบหน้าของเรย์ดูเหนื่อยมากอย่างที่ว่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังสีหน้าดูปกติอยู่เลย


“ถูกจับนานรึยัง” ผมถาม


“ประมาณ 4 วัน ผมบอกว่าไว้ค่อยคุยไง” เรย์เริ่มขัดขืนด้วยการดึงมือออก


“เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยได้แต่มีสองเรื่องที่ต้องคุยเดี๋ยวนี้”


“สองเรื่อง? ว่ามาเร็วๆ”


“ทำไมยอมให้คนอื่นจูบ” เรื่องแรกที่ต้องจัดการคือเรื่องนี้ ครั้งก่อนที่ผมจูบถูกเตะแถมทุ่มจนซี่โครงแทบหักแต่นี่เรย์กลับอยู่เฉยๆ ยอมให้จูบ ผมนึกว่าจะกัดลิ้นขาดไปแล้วด้วยซ้ำ


“ฮะ...มันใช่เรื่องที่ต้องคุยเดี๋ยวนี้ไหมเนี่ย”


“เรย์”


“ก็ได้ สถานการณ์นั้นผมทำอะไรไม่ได้นอกจากยอม ผมไม่มีอาวุธจะหลุดจากการจับกุมแต่รู้ไหมว่าหากคุณเข้ามาช้ากว่านี้ผมกัดลิ้นหมอนั่นขาดไปแล้ว”


“หืม จริงเหรอ” คำพูดของเรย์ทำให้ผมเริ่มยิ้มออก อารมณ์หงุดหงิดเริ่มดีขึ้น


“ใช่ อีกคำถามล่ะ” เรย์สะบัดมือผมทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็นยืนกอดอก


“ยังอยู่ในคำถามเดิมอยู่”


“ยังจะถามเรื่องจูบอีก? คุณก็จัดการไปแล้วนี่”


“ใช่ฉันจัดการแล้ว แต่แค่นั้นยังไม่พอ” แค่ระบายความโกรธด้วยการลั่นไกไม่ทำให้รู้สึกพอ


“งั้นต้องทำยังถึงพอ” เรย์ถามกลับ


“ง่ายๆ ก็แค่...” ผมละคำตอบไปที่จะพูดก่อนเอื้อมมือไปคว้าใบหน้าเรย์ให้แหงนขึ้นแล้วทำการประกบจูบลงไปไม่ให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวทัน อาจด้วยความตกใจหรือไม่ทันตั้งตัวเรย์เผยอริมฝีปากออกจึงเป็นโอกาสให้ผมได้กดย้ำสัมผัสจูบได้ลึกล้ำยิ่งขึ้น กำปั้นหนักๆ ทุบลงบนแผ่นอกแทนการสื่อสารทว่าผมกลับไม่สนใจและจูบเรย์ต่อ


ความร้อนลุ่มจากสัมผัสของจูบแผ่ขยายไปทั่วร่างจนแทบหลอมละลาย ผมสามารถเรียกจูบนี้ว่าเป็นจูบที่รู้สึกดีที่สุดในชีวิตได้เลย


“อึก พอสักทีจะจูบให้ตายกันไปข้างเลยรึไง!” ผมจำต้องละออกจากริมฝีปากนุ่มๆ เพราะถูกยันปลายคางตามด้วยเข่าที่เกือบจะโดนหน้าท้อง


“ถ้าตายเพราะจูบกับเรย์ฉันว่าคุ้ม”


“คุณคุ้มแต่ผมไม่ ไม่คุ้มเลยสักนิด”


“หน้าแดงนะเรย์” ผมมองใบหน้าขาวที่ตอนนี้แดงก่ำด้วยรอยยิ้ม เรย์ปกติก็น่ามองอยู่แล้วแต่ใบหน้าแดงๆ หรือดวงตาที่กำลังสั่นระริกยิ่งเพิ่มความน่ามองเข้าไปใหญ่


“แดงเพราะขาดอากาศต่างหาก”


“น่ารัก”


“ฮาเซล กอนซาเลส!” เสียงตะโกนชื่อผมดังลั่น


“จบเรื่องแรก มาเรื่องต่อไป”


“ฮึ้ย! ว่ามาเร็วๆ”


“ประโยคที่เรย์พูดกับคิง จามาน่า ความหมายของมันคืออะไร” ผมถามพลางเดินเข้าไปสบดวงตาสีอ่อน คอนแทคเลนส์สีน้ำตาลนั่นขัดขวางดวงตาสีม่วงอันน่าหลงใหลอยู่


อยากเห็นดวงตาสีม่วงนั่นจัง


“ผมพูดอะไร”


“อย่าทำเป็นไม่รู้เรย์ รู้ไหมว่าคำพูดนั่นทำให้ฉันหวัง”


“คุณหวังอะไรล่ะ” ครั้งนี้เรย์เป็นฝ่ายถามกลับ


“หวังว่านายจะรักฉันเหมือนที่ฉันรักนายบ้าง” กับเรย์ต้องพูดไปตรงๆ อย่าอ้อมค้อม


“อืม แล้วไงต่อ”


“ฉันจะขอเรย์เป็นแฟน”


“เอาสิ ผมจะเป็นแฟนคุณ”


“...” คำตอบรับง่ายๆ นั่นทำเอาผมเงียบพร้อมประมวลสถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง ผมเพิ่งสารภาพรักและเรย์ตอบตกลง ตอบตกลงง่ายๆ ไม่มีทั้งการปฏิเสธหรือขัดขืนใดๆ เหมือนอย่างปกติ


“ผมอยู่แต่ในพื้นที่ของตัวเองมาตลอดชีวิต ทว่าพอเจอกับคุณทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดจนผมไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว”


“เรย์...”


“เพราะงั้นคุณต้องรับผิดชอบ รับผิดชอบผมด้วย” ใบหน้าเห่อแดงกับประโยคที่เริ่มติดขัดนี่เรียกรอยยิ้มกว้างจากผมได้ก่อนจะคว้าตัวเรย์เข้ามากอดไว้แน่น


ความรู้สึกตอนนี้กำลังตีกันมั่วไปหมดทั้งสับสน ทั้งไม่แน่ใจ ทั้งดีใจและทั้งมีความสุข ทุกอย่างมันรวดเร็วกว่าที่คิดไว้มาก ผมคิดว่าต้องรออีกนานกว่าเรย์จะตอบรับความรู้สึกนี้


เรย์บอกให้ผมรับผิดชอบ


ผมก็อยากจะบอกเรย์กลับเหมือนกัน...


“ทำให้ฉันรักขนาดนี้รับผิดชอบด้วยนะเรย์”

.......................................................

เปิดฉากมาด้วยความระลึกและปิดบทด้วยความหวานนนน

แบบนี้นักอ่านน่าจะฟินกัน

เนื้อหาหลักจบลงที่ตอนนี้แล้วค่ะ

ความจริงตอนแรกจะให้จบที่บทนี้เลยแต่เห็นหลายคนขอฉากหวานๆ ของทั้งคู่มาเลยคิดว่าขอแต่งต่ออีกสักนิดละกัน

บอกเลยว่ามีแน่ค่ะ แต่เป็นหวานแบบสไตล์ของเรย์นะ 555

ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดนะคะ

หวังว่าทุกคนจะช่วยติดตามจนถึงตอนจบน้าา

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เรย์น่ารักกกกกกกกกกกก เก่งที่สุดอ่ะคนเนี้ย

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เห้ยๆๆๆๆมายด้าย....ต้องมีอะไรที่มัน...... :katai1: :ling3:...กันบ้าง.. :hao6:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เรื่องหลักจบไปแล้ว รอเรื่อง "บนเตียง" จ้า  :hao6:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
✖`·»เสี่ยงรัก«·´✖ วันที่20



ความมืดยามราตรีนั้นเต็มไปด้วยความอึกทึกจากแหล่งบันเทิงหรือย่านห้างร้านค้ามากมายตามท้องถนนใจกลางเมืองทว่าหากออกหากจากบริเวณใจกลางเมืองมาหน่อยก็จะพบกับความเงียบสงัดราวกับอยู่คนละโลก เพราะความเงียบนั่นทำให้ทุกย่างก้าวของนักฆ่าอย่างผมต้องเบากว่าเคย


งานในวันนี้เป็นงานที่ไม่ง่ายเลย


สังหารผู้นำแก็งฟีซาร์คนปัจจุบัน ในยุคนี้แม้จะมีหลายสิ่งปรับเปลี่ยนไปตามค่านิยมแต่ยังมีพวกแก็งหลงเหลืออยู่จำนวนมาก การสืบทอดสายเลือดของผู้นำรุ่นสู่รุ่นมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นแก็งอันเปี่ยมไปด้วยอิทธิพลและอำนาจ


สำหรับแก็งฟีซาร์นั้นแตกต่างจากแก็งปกติเนื่องจากแต่ตั้งมาได้ไม่นานและเป็นแหล่งซ่องสุมของเหล่าพวกใช้ความรุนแรงไปจนถึงกระทำการผิดกฎหมายนับไม่ถ้วน เห็นว่าช่วงนี้ยิ่งทวีความรุนแรงเนื่องจากหัวหน้าคนปัจจุบันชื่นชอบการทะเลาะวิวาทและฆ่าฟัน ทว่ากลับมาฉากหน้าเป็นนักบุญคอยช่วยทั้งการกุศลและทำสาธารณะประโยชน์มากมาย ปิดบังสีดำสนิทไว้ด้านหลังสีขาวอย่างแนบเนียน


ช่างน่าชื่นชม


ผมไม่สนใจหรอกว่าสิ่งที่เขาทำมันผิดหรือถูก ทุกการกระทำไม่ว่าจะเป็นใครต่างมีผิดและถูกด้วยกันทั้งนั้น หากมองเพียงด้านเดียวก็ไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่อีกด้านได้ คนที่เห็นว่าใจบุญหรือทำแต่เรื่องดีใช่ว่าจะเป็นคนดีเสมอไป เช่นเดียวกันกับคนที่คลุกคลีอยู่ในความมืดจะต้องเลวเสมอไป สภาพแวดล้อมอาจมีส่วนในนิสัยทว่าทุกสิ่งมันอยู่ที่แต่ละคนว่าจะดำเนินชีวิตไปในทางใด


“เอาล่ะ” เสียงสูดหายใจของผมดังขึ้นก่อนจะกระโดดจากหลังคาบ้านข้างๆ ไปยังหลังที่พักของแก็งฟีซาร์ในการกระโดดเพียงครั้งเดียว ถึงจะมีคนคุ้มกันอยู่รอบๆ มากแค่ไหนก็ปิดช่องว่างด้านบนไม่ได้หรอก มีไม่กี่คนที่จะป้องกันศัตรูอย่างแน่นหนาครบทุกทิศทาง ส่วนมากจะเน้นการป้องกันด้านหน้าโดยปล่อยด้านบนให้โล่งโจ้ง


หน้าต่างบานเล็กถัดลงไปจากหลังคาถูกเปิดออกพร้อมผมที่พาตัวเองในชุดสีดำคล่องแคล่วลอบเข้าไปด้านในได้สำเร็จ ที่นี่ไม่ได้มีระบบรักษาความปลอดภัยระดับสูงอย่างคีย์การ์ดหรือกล้องวงจรปิดจึงง่ายต่อการเข้ามาพอสมควร


บ้านหลังนี้ถูกสร้างตามต่างชาติที่ใช้ไม้เป็นวัสดุในการสร้างบ้านจึงทำให้เวลาเดินต้องระวังเสียงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา สถานที่ที่ผมต้องไปคือห้องพักส่วนตัวของหัวหน้าแก็งฟัซาร์ในกลางบ้านที่มีเพียงชั้นครึ่งคือส่วนที่พกอาศัยในชั้นแรกกับชั้น 2 ขนาดเล็กสำหรับเก็บของที่ผมยืนอยู่นี่


ผนังไม้ด้านข้างเกิดเสียงดังเล็กน้อยเมื่อถูกเคาะเพื่อหาช่องว่างระหว่างผนังเหล่านี้ เสียงหนักที่ได้ยินทำเอาผมส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปเคาะผนังอีกฝั่งดูบ้างจนสุดท้ายก็เจอเข้ากับเสียงกลวงๆ จากผนังฝั่งขวามือ ข้าวของต่างๆแนบชิดอยู่ติดกับผนังมากเกินกว่าจะย้าย แน่นอนว่าผมไม่เคยคิดจะย้ายเพราะอาจถูกจับสงสัยเอาได้ ที่ผมทำมีเพียงใช้มีดสั้นด้ามเงินกรีดบริเวณด้านบนของผนังไม้โดยใช้ข้าวของด้านล่างเป็นฐานเหยียบเพิ่มความสูง เพราะทำด้วยไม้ความทนทานจึงมีไม่มากเท่าวัสดุอื่นส่งผลให้ผมสามารถเลาะผนังไม้นั่นได้ในเวลาไม่นาน


ไม้ชิ้นใหญ่ที่ใช้แทนผนังถูกผลักไปด้านในก่อนผมจะตามเข้าไปแล้วยกแผ่นไม้นั่นปิดเหมือนเดิม เส้นทางภายในบ้านหลังนี้ผมสำรวจมากแล้วพอรู้ว่าจุดที่ตัวเองอยู่คือตรงไหนผมก็เดินไปห้องของเป้าหมายผ่านการก้าวไปบนคานไม้โดยระวังไม่ให้เสียงฝีเท้านั้นดังเกินไป พอเห็นคานหน้าของฮาเซลก็ลอยขึ้นมา หนึ่งในสามคานผู้คอยขับเคลื่อนประเทศ


หลังจบเหตุการณ์ของคิง จามาน่าผมแทบไม่ได้เจอฮาเซลเลย แต่ถึงไม่ได้เจอใช่ว่าจะไม่ได้คุยกัน ทุกเช้าเขามักจะโทรมาปลุก เอือมจนไม่รู้จะเอือมยังไงแล้ว แต่ทุกครั้งผมก็รับสายเขาตลอด


สถานะของพวกเรามันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่เพียงคนรู้จักแต่เป็นแฟน…อ่า ควรใช้คำว่าคนรักสินะ


การตอบรับในวันนั้นมันเหมือนอารมณ์ชั่ววูบจากการไม่ได้เจอกันถึงสามอาทิตย์ ความจริงอยากจะใช้ช่วงเวลาอีกสักพักเพื่อเรียนรู้และเข้าใจความรู้สึกของตัวเอาให้มากกว่านี้ก่อน


ช่างเถอะ ยังไงก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ แล้วผมไม่อยากเปลี่ยนด้วยละมั้ง


คำว่าแฟนหรือคนรัก...ไม่ได้เลวร้ายอะไร


ดูแปลกใหม่ดีสำหรับผมที่แทบไม่ยุ่งหรือสุงสิงกับใคร


กลับเข้าเรื่องงาน ระหว่างคิดอะไรเพลินๆ ผมได้ก้าวมาถึงบนห้องของเป้าหมายเรียบร้อย ผมย่อตัวคุกเข่าลงกับพื้นเพดาก่อนค่อยๆ เปิดเพดานทีละน้อยเพื่อดูสถานการณ์ภายในห้อง ความมืดด้านในเป็นตัวบอกว่าเจ้าของห้องนั้นหลับไม่ก็ไม่ได้อยู่ห้อง แต่พอมองไปด้านข้างแล้วเห็นร่างนอนหลับบนเตียง


เพดาไม้ในมือก็ถูกยกขึ้นไปวางด้านข้าง อาวุธที่ผมใช้ในครั้งนี้เหมาะกับระยะห่างที่ค่อนข้างไกลและไม่อยากให้หลงเหลือล่องรอยใดๆ กับเป้าหมาย อาวุธนี้คล้ายๆ กับเครื่องเป่าลูกดอกทว่าเปลี่ยนมาใช้มือในการยิงคล้ายปืน ในลำกระสุนไม่ใช่ลูกปืนแต่เป็นเข็มยาพิษ เพียงยิงโดยผิวหนังสารพิษจะละลายและเข้าสู่ผิวหนังไปจนถึงกระแสเลือดทำให้ไม่หลงเหลือแม้แต่เข็มที่ปักอยู่

นอกจากยาพิษยังมีพวกยาสลบหรือยาชาใส่อยู่อีก สะดวกต่อการใช้งานแถมง่ายต่อการพกพา


ถึงแบบนั้นผมก็ยังชอบมีดและลวดมากกว่าล่ะนะ


ผมทำการเล็งเข็มพิษไปยังเป้าหมายบนเตียง บริเวณที่เล็งคือส่วนหน้าผากซึ่งง่ายสุดในการเล็งเป้า ไม่กี่วินาทีต่อมาเข็มขนาดเล็กถูกยิงใส่เป้าหมาย พิษชนิดนี้ไม่ได้ทำให้ทรมานหรือดิ้นทุรนทุรายเพราะงั้นการจากไปของหัวหน้าคนปัจจุบันของแก็งฟีซาร์จึงเป็นไปอย่างเงียบสงบ เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นผมก็ไม่มีเหตุผลต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป ทุกทางที่ผมผ่านถูกลบล่องรอยอย่างระมัดระวังก่อนจะจากไปดังเช่นฉายายมทูตแห่งความตายที่มารับเหยื่อในค่ำคืนอันเงียบสงัด


“กี่โมงแล้ว...สามทุ่ม? บ้าจริง!” นาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาสามทุ่มซึ่งถ้าเป็นตอนปกติผมคงไม่มาวิ่งด้วยความเร็วสูงแบบนี้หรอก


วันนี้ค่อนข้างพิเศษ...เรียกว่าครั้งแรกก็ได้ที่ฮาเซลนัดผมให้ไปกินมื้อเย็นและผมตอบรับไปว่าได้ทว่าดันตรงกับเวลาทำภารกิจของวันนี้พอดี ผมหาข้อมูลของหัวหน้าแก็งฟีซาร์มาสักพักกว่าจะรู้ทั้งสถานที่และวันที่อยู่บ้านก็กินเวลาพอสมควรเพราะงั้นการจะเลื่อนภารกิจจึงไม่ใช่เรื่องที่สมควร แน่นอนว่าผมไม่คิดจะขอเลื่อนนัดฮาเซลเช่นกัน หากผมทำภารกิจเสร็จแล้วตรงไปหาฮาเซลทันทีก็ทันเวลาอยู่


แต่ติดเพียงแค่รถไฟฟ้าที่ใช้เดินทางเข้าไปยังตัวเมืองดันเกิดขัดคล่องจนไม่สามารถทำการเดินรถใดๆ ได้ทั้งสิ้น และคงใช้เวลาหลายชั่วโมงถึงจะกลับมาเป็นปกติ


นี่ผมรอมาประมาณชั่วโมงได้ละมั้งถึงจะได้มุ่งหน้าไปยังร้านที่ฮาเซลนัด ผมโทรไปบอกฮาเซลว่าเกิดเรื่องแต่ฝ่ายนั้นดันตอบกลับมาด้วยประโยคสั้นๆ คือรอได้ จึงกลายเป็นฝ่ายผมที่เร่งซะเอง


สถานที่นัดเป็นตึกแฝดสูงกว่า 20 ชั้นซึ่งนอกจากจะเป็นภัตคารสุดหรูแล้วยังเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว คนระดับธรรมดาไม่มีทางก้าวเข้ามาใช้บริการแน่นอน ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่เคยมาใช้บริการแม้จะได้ยินข่าวลือถึงการบริการหรือรสชาติของอาหารมามากมายก็ตามที ภัตคารชั้น 15 เป็นห้องอาหารบนสุดของโรงแรมแห่งนี้ โรงแรมนี้มีจุดเด่นอยู่ตรงภัตรคารนั้นจะไม่อยู่ในห้องแต่ตั้งอยู่บนทางเชื่อมตึกจึงทำให้ทุกโต๊ะสามารถมองเห็นวิวได้จากกระจกใสทั้งสองฝั่ง


“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าท่านชื่ออะไรครับ” พนักงานบนชั้น 15 ก้มหัวเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงมีมารยาท การจะเข้ามารับประทานอาหารในนี้ได้ต้องทำการจองล่วงหน้า...มีข่าวลือว่าต้องจองเป็นเดือนถึงจะได้มาสักโต๊ะ


“ผมมาหาฮาเซล กอนซาเลส” ผมบอกชื่อฮาเซลให้อีกฝ่ายได้ยิน


“รับทราบครับ ท่านฮาเซลกำลังรออยู่เชิญทางนี้เลยครับ” พนักงานชายผายมือพลางเปิดประตูเพื่อพาผมไปด้านใน บรรยากาศสุดหรูในธีมสีทองช่วยให้ความหรูหราและไฮโซมากขึ้นไปอีกหลายเท่า พนักงานชายเดินนำผมไปจนถึงโต๊ะอีกฝั่งซึ่งติดกับประตูทางเชื่อมอีกตึกหนึ่งทว่ากลับมีการจัดฉากกั้นเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว


“ฮาเซล” ผมเดินเข้าไปหาฮาเซลที่กำลังมองไปด้านนอก


“รีบมาเหรอ เหงื่อโชกเลย” ฮาเซลหันมามองด้วยรอยยิ้มรู้ทัน


“ผมแค่ร้อนต่างหาก” ปฏิเสธเสร็จก็นั่งลงยังเก้าอี้อีกฝั่ง โต๊ะนี้มีที่นั่งเพียงสองที่ซึ่งถูกจัดให้หันข้างติดกระจกทำให้สามารถหันไปมองวิวข้างนอกได้


“โกหกฉันไม่ได้หรอก”


“รอตั้งสองชั่วโมง ผมถึงบอกให้เปลี่ยนไปนัดวันอื่นแทนไง” รวมเวลาเดินทางและเวลารอรถซ่อมเสร็จก็ประมาณสองชั่วโมงได้ งานฮาเซลเองใช่ว่าจะน้อยสองชั่วโมงสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง


“อยากเจอเรย์นี่ ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่จบเรื่อง” เรื่องที่ว่าคือเรื่องของคิง จามาน่า


“คุณเองก็ยุ่ง ผมเองก็ยุ่งเหมือนกัน” พวกเราทั้งคู่ต่างยุ่งกับหลายๆ อย่าง ด้านผมนอกจากต้องทำการยกเลิกสัญญาห้องพักที่ใช่ล่อพวกของคิง จามาน่าก็ต้องทำภารกิจอื่นต่อ ภารกิจเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผมตอบตกลงไปแต่ยังไม่ได้ลงมือจัดการ ต่างฝ่ายต่างยุ่งจะมีเวลามาเจอกันได้ยังไง


“ถึงฉันจะยุ่งแต่ถ้าเรย์บอกฉันมาหาได้เสมอ”


“คุณนี่นะ เลิกหยอดสักที ไม่เบื่อรึไง” ทางโทรศัพท์ก็ทีนึงแล้ว ทำราวกับผมเป็นผู้หญิง


“มีแฟนทั้งทีต้องหมั่นพูดคำหวาน แซมบอกมา”


“ผมไม่ชอบคำหยอดหวานๆ พวกนั้นหรอกนะ” ว่าแล้วเชียวต้องมีคนบอก ปกติฮาเซลอาจหยอดบ้างแต่ไม่มากเท่าช่วงนี้ ฝีมือแซมนี่เอง


“งั้นชอบแบบไหน”


“ปกติ” ผมตอบพลางมองซุปจานแรกที่ถูกเสิร์ฟ ซุปสีใสมีแครอท ถั่วลันเตาและเบค่อนลอยอยู่ปะปาย พอลองตักชิมรสชาติหวานกลมกล่อมตามแบบฉบับซุปคุณภาพนั่นเรียกความอยากอาหารให้มีมากกว่าปกติ


“อร่อยสินะ” ฮาเซลมองดูท่าทีผมหลังตักซุปเข้าปาก


“ร้านระดับนี้ไม่อร่อยก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว”


“ของหวานเด็ดกว่านี้อีก”


“ของหวาน?” ไม่รู้ว่าผมแสดงปฏิกิริยามากไปหรือไงกับคำว่าของหวานฮาเซลถึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ


“ฉันสั่งให้ทำแบบพิเศษ”


“ราคาคงพิเศษกว่าละมั้ง” แค่ราคาอาหารจานปกติก็มากพอจะทำให้คนธรรมดาอยู่ได้หลายวันแล้ว


“นายก็รู้ว่าฉันจ่ายได้” ฮาเซลบอกระหว่างตักสเต็กในจานหลักเข้าปาก


“ครับๆ ก็คุณรวยนี่”


“นายก็รวยนี่ ค่าจ้างแต่ละครั้งคงไม่ใช้หลักพันหรอกมั้ง” แก้วไวน์แดงถูกยกขึ้นมาจิบสลับมองหน้าผม


“คงรวยไม่เท่าคุณ ค่าจ้างผมบางทีก็มีนะหลักพัน” ใช่ว่าทุกคนจะต้องใช้ค่าจ้างสูงๆ เสมอไป แต่ส่วนมากก็ใช่...คงคิดว่ายิ่งให้ราคาแพงโอกาสที่ผมจะตกลงคงมีมากขึ้น


“หลักพันเนี่ยนะ แล้วรับไหม” ฮาเซลถามด้วยความสนใจ


“รับ ผมไม่ได้ตัดสินรับงานด้วยจำนวนเงินนี่นะ”


“สมกับเป็นเรย์ เล่าให้ฟังหน่อยได้รึเปล่า”


“ใช่ว่าไม่ได้  คงรู้จักเจเจย์ กากอซอยู่แล้ว ไม่มีอะไรมากหนึ่งในเหยื่อที่ถูกกระทำมีครอบครัวหนึ่งค่อนข้างยากจนแต่พวกเขาอยากจะให้หมอนั่นชดใช้เลยเมลมาหาผม ผมไม่รู้ว่าพวกเขาไปหาเมลผมมาจากไหนถึงได้ส่งเมลมาหาโดยมีค่าจ้าง 5,000 บาท ภารกิจครั้งนั้นไม่ได้ยากอะไรเพราะเจเจย์ กากอซไร้การป้องกันตัว ผมแค่ปลอมตัวนิดหน่อยอีกฝ่ายก็ติดกับและถูกจัดการ” ผมเล่าเนื้อหาของงานในภาพรวมในฮาเซลฟังระหว่างกินสเต็ก


“เจเจย์นั่นฝีมือเรย์เหรอเนี่ย ได้ข่าวมาเหมือนกันว่าถูกพบในสภาพเหมือนกำลังล่าเหยื่อแต่กลับถูกเหยื่อคนนั้นจัดการเข้าให้ เล่นชอบการลักพาตัวเยาวชนไปขมขืนก็สมควร” ฮาเซลพูดเสริม เป็นอย่างที่ฮาเซลบอกหมอนั่นขึ้นชื่อเรื่องขมขืนเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แม้จะถูกจับแต่ก็ถูกปล่อยในไม่กี่วันเนื่องด้วยอิทธิพลของทางบ้าน

 
“คุณเองก็ระวังไว้ อาจมีใครจ้องเร่งงานอยู่” ใช่ว่าพอจบเรื่องคิง จามาน่าแล้วจะปลอดภันร้อยเปอร์เซ็นต์ในโลกนี้คนนึงไม่ได้มีศัตรูเพียงแค่คนเดียว


“ฉันมีเรย์อยู่แล้วคงไม่เป็นไร” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองจ้องมองประสานสายตากับผมระหว่างพูด


“ผมไม่ได้อยู่ข้างๆ คุณตลอดนี่”


“งั้นทำไมไม่มาอยู่ข้างฉันล่ะเรย์” น้ำเสียงและดวงตาที่ยังคงจับจ้องมานั้นราวกับกำลังสื่อหลายสิ่งให้ผมได้รับรู้


“ผมชอบตัวเองในตอนนี้ คุณอาจเปลี่ยนผมแต่ใช่ว่าผมจะยอมเปลี่ยนไปทุกอย่าง” ผมตอบกลับไปตามตรง ความหมายของประโยคนั้นทำไมผมจะไม่เข้าใจเพราะเข้าใจถึงได้ปฎิเสธ บอกตามตรงว่าตั้งแต่เจอกับฮาเซลตัวผมเปลี่ยนไปมาก ซึ่งทุกอย่างมันใหม่สำหรับผมเลยอยากค่อยเป็นค่อยไป


“ฉันเป็นห่วงรู้ไหม” น้ำเสียงห่วงใยนั่นทำให้ผมยิ้มออกมาบางๆ


“คุณรู้ไหมว่าคุณเป็นคนแรกที่พูดว่าห่วงผม” ผมวางมีดและส้อมในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบตาอีกฝ่ายตรงๆ


“ได้ยินแบบนั้นดีใจจังแฮะ”


“อาชีพผมมันหาความปลอดภัยไม่ค่อยได้แต่ผมสนุกกับสิ่งเหล่านั้น หวังว่าคงเข้าใจ” ความหมายคือผมไม่คิดจะเลิกอาชีพนี้ตราบเท่าร่างกายยังเอื้ออำนวย


“จะบอกว่าอยู่กับฉันไม่สนุก?”


“อืม เข้าใจถูกแล้ว” ผมพยักหน้าแล้วเรียกพนักงานให้เสิร์ฟของหวนต่อเลย


“ฉันเสียใจนะเรย์ได้ยินคนรักพูดแบบนั้น” ฮาเซลทำท่าเสียใจโดยการยกมือข้างนึงขึ้นปาดน้ำตาลที่ไม่ได้ไหลจริง


“คิก...คุณมันบ้าจริงๆ เลย” พ่อค้าอาวุธฮาเซล กอนซาเลสกำลังเล่นเหมือนเด็ก


“หัวเราะแล้ว การแสดงฉันใช่ได้เลยล่ะสิ”


“โนคอมเม้นท์” ผมโบกมือเป็นเชิงไม่บอก ขนมหวานจานยักษ์วางลงตรงหน้าผมพร้อมกลิ่นอันหอมหวนของวนิลาและเนยเป็นตัวนำ...สีน้ำตาล เหลืองอ่อน ทองและขาวถูกจัดแต่งให้ขนมหวานจานดูหรูหราและสมส่วนกว่าจานไหนๆ ที่เคยเห็น


“อร่อยสินะ” ฮาเซลถามเมื่อผมตักคำแรกเข้าปาก


“ไม่อร่อย” ผมโกหก


“คนโกหกต้องถูกทำโทษรู้ไหม”


“ไม่รู้ และผมไม่ยอมให้ถูกทำโทษแน่ๆ”


“นี่เรย์ ถ้าเป็นแฟนกันต้องตอบประมาณ ผมขอโทษที่โกหกฮาเซลนะ ของหวานนี่อร่อยมากๆ เลยผมรักฮาเซลที่สุด ประมาณนี้สิ”


“คิก! ไม่ไหวแล้ว...นี่คุณคิดได้ยังไงน่ะ” แถมยังมีการดัดเสียงเล็กๆ อีก ขำจนเริ่มปวดท้องแล้วเนี่ย


“จะว่าไปฉันยังไม่เคยได้ยินเลยนี่”


“ได้ยินอะไร” ผมถามกลับ


“คำว่ารักจากเรย์”


“...” คำพูดนั่นทำเอาร่างกายผมเกร็งไปชั่วขณะ


จะว่าไปก็ยังไม่เคยบอกจริงด้วย


“อยากได้ยินจัง”


“...ไว้วันอื่น” วันนี้ผมยังไม่ได้เตรียมใจ


“ฉันอยากได้ยินวันนี้นี่เรย์” ฮาเซลไม่ยอมอย่างที่คาด


“ไม่” ยังไงวันนี้ผมไม่พูดแน่ๆ


“ไม่กล้าละสิ”


“ฮาเซล!” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงดังลั่น


“งั้นก็อาย”


“ไม่ใช่...”


“อ้อ อาจจะเขิน”


“ฮาเซล กอนซาเลส!” ผมลุกขึ้นพร้อมตบโต๊ะดังปังโดยไม่รู้ว่าแก้วไวน์ฝั่งฮาเซลอยู่ใกล้ขอบมากเพียงแค่แรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยแก้วนั่นก็ตกลงใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวของฮาเซลจนกลายเป็นสีแดงอ่อน


“เขินแรงนะเรย์” ฮาเซลขยับตัวลุกขึ้นหลังพนักงานวิ่งเข้ามาเก็บแก้วไวน์และเตรียมทำความสะอาด


“ขอโทษ” ผมเดินไปหาอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยขอโทษ


ไม่คิดว่าจะหกรดแบบนั้น


“ไม่เป็นไร แต่คงต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดละนะ มาด้วยกันเรย์” พูดจบฮาเซลก็เดินไปหาพนักงานแล้วสั่งหลายๆ อย่าง


“ผมรออยู่นี่...”


“ไม่มาฉันจะอุ้มไป” เพียงคำพูดเดียวผมถึงกับก้าวขายาวๆ ตามหลังฮาเซลทันที ด้วยพละกำลังบวกทักษะของฮาเซลเขาสามารถจับผมอุ้มพาดบ่าได้ง่ายๆ ถึงผมจะขัดขืนแต่ในภัตรคารแถมยังเต็มไปด้วยผู้คนนับสิบมันเป็นภาพที่ไม่น่าดูเอาซะเลย


ฮาเซลเดินนำจนถึงห้องหนึ่งบนชั้น 20 ภายในห้องถูกตกแต่งในโทนสีเดียวกับด้านนอกซึ่งเป็นสีครีมและทองดูสบายตา เฟอร์นิเจอร์ในห้องเองมีครบแทบทุกอย่างตั้งแต่ตู้เย็นขนาดเล็ก ตู้เสื้อผ้า ชุดโซฟาและเตียงกลางห้อง ด้านขวามือมีประตูหนึ่งบานคงเป็นห้องน้ำ


“ผมจะรอตรงนี้” ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาสีครีมติดผนังห้อง


“ไปอาบด้วยกันเรย์”


“ฮะ ไม่ ไม่มีทาง!” ผมถึงกับชะงักเมื่อได้ยิน


จะให้อาบด้วยกันเนี่ยนะ


ไม่มีทาง!


“ทำฉันเลอะจะไม่รับผิดชอบหน่อยเหรอ” ฮาเซลพูดแล้วเดินเข้ามาใกล้


“ให้ผมซักเสื้อคืนก็ได้ ไม่เห็นต้องให้เข้าไปอาบด้วยสักหน่อย” ผมลุกจากโซฟาแล้วก้าวถอยหลังเตรียมหนี


“อยากอาบน้ำกับคนรักมันผิดตรงไหน”


“ไม่ผิดแค่ผมไม่ยอม”


“ถ้าฉันจับได้ต้องยอมด้วย” ข้อเสนอของฮาเลดังขึ้น


“ได้ ถ้าผมออกจากห้องได้ต้องห้ามตาม”


“ตกลง”


ไม่รู้ว่าเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงแต่ในเมื่อเดิมพันด้วยการอาบน้ำกับฮาเซลผมขอสู้ตาย!


ผมก้าวถอยหลังเพื่อทำสมาธิในการมองทุกการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้าในขณะที่ฮาเซลใช้สายตาจับจ้องมายังผมอยู่ก่อนแล้ว ที่ต่างคือเขาก้าวเข้ามาหาในจังหวะเร็วขึ้น ขาผมกระโดดหลบมือที่หมายจะขวางตัวไปทางด้านข้างก่อนเร่งความเร็วเพื่อพุ่งตรงไปยังประตู ทั้งที่ทิ้งระยะห่างค่อนข้างมากและความเร็วผมเหนืออกว่าแน่ๆ แต่กลับถูกฮาเซลคว้าเอวไว้ก่อนมือจะถึงประตู


ไม่เพียงแค่จับได้แต่ฮาเซลยังอุ้มผมขึ้นพาดบ่าเดินตรงไปยังห้องน้ำด้วยท่าทางสบายๆ


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


“ปล่อยผม!” ผมเริ่มดิ้นแล้วเตรียมใช้ท่าเดิมที่เคยใช้ก่อนหน้านี้


“เราตกลงกันแล้วเรย์”


“คุณโกงแน่ๆ ระยะห่างมากขนาดนั้นไม่มีทางถึงตัวผมได้” ผมไม่ยอมรับความพ่ายแพ้นี่


“ฉันอาจไม่เร็วเท่านายเลยต้องอาศัยเซ้นส์ในการเคลื่อนไหว ตั้งแต่ฉันเข้าไปหานายเซ้นส์มันบอกว่าเรย์จะหลบไปทางนั้น เพราะงั้นเลยเตรียมคว้าตัวเรย์ได้ทันเวลา” คำอธิบายไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นสักนิด


“ผมเกลียดเซ้นส์คุณ!” เป็นอีกครั้งที่ถูกเซ้นส์ของฮาเซลสร้างปัญหาให้ และครั้งนี้ดันเป็นปัญหาใหญ่ซะด้วย


“อย่าดิ้นเรย์ ไม่งั้นฉันอาจเปลี่ยนจากห้องน้ำเป็นเตียงแทน”


“...คุณ” ผมแทบพูดไม่ออกขยับตัวไม่ได้ ตอนนี้มีเพียงสองทางเลือกคือห้องน้ำกับเตียง


ไม่ว่าทางไหนก็อันตรายทั้งนั้น


ระหว่างกำลังคิดร่างผมถูกพามาในห้องน้ำเรียบร้อย ฮาเซลปล่อยผมลงก่อนเดินไปเปิดน้ำในอ่างสีขาวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดไม่ใหญ่มากแต่เปี่ยมไปด้วยความหรูหราตามประสาโรงแรมชั้นยอด


“อ่าง?” ผมนึกว่าจะเป็นฝักบัว


“อยากแช่น้ำกลิ่นอะไรเรย์ อโลเวล่าไหม มีกลิ่นป่าด้วย” ฮาเซลเอ่ยถามขณะเลือกขวดข้างอ่าง


“...แล้วแต่คุณเลย” ผมคงทำได้แค่ถอนหายใจแรงๆ แล้วปลงกับสถานการณ์นี้ซะ


“ได้ กลิ่นนี้ละกัน เอ้า...ถอดเสื้อผ้าสิเรย์หรืออยากให้ฉันถอดให้?”


“เดี๋ยวผมทำเอง คุณหันไปเลย” ผมก้าวถอยหลังจนแผ่นหลังติดกับประตูเมื่อเห็นฮาเซลก้าวเข้ามา


“อายอะไรเรย์”


“ผมไม่ใช่คุณนี่ที่จะแช่กับคนอื่นจนเคยชินน่ะ” นี่เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำสำหรับผม


“ฉันไม่เคยแช่กับใคร” ฮาเซลตอบ


“ผมคงเชื่อหรอก”


“ฉันพูดจริง ฉันจะลงไปก่อนเสร็จแล้วตามมา” ฮาเซลหันหลังให้ผมก่อนเริ่มถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปแช่ในอ่านโดยยังหันหลังให้ผม


ผมใช้จังหวะนั้นถอดเสื้อผ้าตัวเองออกก่อนจะก้าวยาวลงไปในอ่าง ผ้าขนหนูสีขาวผมหยิบมาตรงชั้นข้างๆ แล้ววางไว้ข้างอ่างเผื่อตอนขึ้นจากน้ำ เมื่อสัมผัสได้ว่าผมแช่ลงในอ่างฮาเซลก็หันกลับมามองหน้าผม ตอนนี้พวกเราแช่น้ำอยู่ในอ่างขณะหันหน้าเข้าหากัน โชคดีอ่างค่อนข้างใหญ่จึงไม่มีร่างกายส่วนไหนแนบสนิทกับเกินไป มีเพียงขาเท่านั้นที่สัมผัสกันใต้น้ำสีขาวขุ่น


“หน้าแดงนะเรย์”


“หยุดพูดเลยฮาเซล” ผมกวักน้ำใส่หน้าอีกฝ่าย


“...ไม่ใช่แค่หน้าแต่เหมือนลามไปทั้งตัว...”


“ฮาเซล!” ครั้งนี้ไม่เพียงกวักน้ำใส่แต่ผมสาดน้ำใส่อีกฝ่ายไม่ยั้งไปหลายรอบ


ก็รู้อยู่ว่าผมทั้งเขินทั้งอายยังจะมาแหย่กันไม่เลิกอีก


“รู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำท่าทางน่ารักมากๆ อยู่น่ะ” ตลอดการพูดฮาเซลจับจ้องมายังผมราวกับจะไม่ยอมคาดสายตาแม้แต่วินาที


“ไม่รู้ เลิกแกล้งกันสักที” น่ารักอีกแล้ว ไม่ชอบคำนี้


“เรย์”


“อะไร”


“เรย์” น้ำเสียงอ่อนโยนที่ผมแพ้ทางดังขึ้นอีกรอบ


“อะไรเล่า” รีบๆ พูดมาสักที


“เรย์”


“เลิกเรียกด้วยน้ำเสียงแบบนั้นสักที!” ผมจะตายเพราะจังหวะการเต้นของหัวใจที่มากเกินไปแล้ว


“อย่าทำตัวน่ารักสิ แค่นี้ก็รักจะแย่แล้ว” ฝ่ามือเปียกๆ เอื้อมมาสัมผัสใบหน้าผมพร้อมขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น


“...ถอยไปเลย” ผมไม่อยากให้ฮาเซลเข้ามาใกล้ตอนนี้


“เรย์... ” น้ำเสียงสั่นขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะสัมผัสได้ถึงริมฝีปากที่ซุกไซร้บริเวณลำคอ


“ฮาเซล” ผมสะดุ้งเฮือกเตรียมจะลุกทว่ากลับถูกมือของฮาเซลกดไว้


“ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นได้ขนาดนี้เพียงแค่เห็นเรย์ในสภาพ...”


“หยุดพูด” ผมรีบพูดแทรกก่อนคำต่อไปจะถูกเอ่ย


“ถ้าฉันขอสักนิดจะยอมรึเปล่า”


“ขออะไร” ผมถามกลับเสียงสั่น ในหัวมันเริ่มขาวโพลนมากขึ้นเมื่อริมฝีปากขบเม้มตามลำคอลงมาเรื่อยๆ


“จะไม่ทำถึงที่สุด ขอฉันสักนิดเถอะนะ” เหมือนฮาเซลจะไม่รอคำตอบจากผมอีกต่อไป เมื่อขยับมาคร่อมผมไว้ริมฝีปากร้อนก็ประกบจูบย่างดูดดื่มโดยไม่รอให้ตั้งตัว ความร้อนของริมฝีปากที่เบียดเสียดไม่ได้น้อยไปกว่าฝ่ามือทั้งสองข้างค่อยๆ ลูบไล้ร่างกายผมตั้งแต่แผ่นอกไปยังหน้าท้องและต่ำลงมาจนถึงสะโพก


“อ๊ะ!...อึก” ผมรีมเม้มปากตัวเองแน่นเมื่อเสียงบางอย่างเริ่มหลุดออกมา


“อย่ากลั้นเสียงเรย์ ให้ฉันได้ยิน” เสียงฮาเซลกระซิบระหว่างมือข้างนึงเลื่อนต่ำลงจนสัมผัสกับความร้อนรุ่มที่แข็งขืนจากการปลุกเร้าของฮาเซล


“อื้อ!...ไม่” จะให้ส่งเสียง น่าอายจะตายไป


“เรย์” ไม่เพียงแค่กระซิบด้วยเสียงอันเต็มไปด้วยอารมณ์แต่ฝ่ามือยังปลุกเร้าผมแทบทุกส่วนที่ลากผ่านโดยเฉพาะส่วนกลางลำตัวที่ดูเหมือนฮาเซลจะเร่งเร้าเป็นพิเศษ ความรู้สึกปั่นป่วนยามถูกกระตุ้นมีมากจนร่างกายไม่อาจขัดขืน


“อ๊ะ...อื้ออ~!” สุดท้ายเมื่อถูกสัมผัสอย่างรุนแรงผมก็เผลอหลุดเสียงครางออกมา ฮาเซลเหมือนจะดีใจอยู่ไม่น้อยจึงก้มลงจูบแล้วขบเม้มลำคอแรงๆ แทนรางวัล


การกระทำนั้นอาจสร้างความเจ็บทว่าอารมณ์ที่พุ่งทะยานขึ้นมันมากเกินกว่าจะมาสนใจความเจ็บนี้ ผมลืมตาขึ้นมองฮาเซลด้วยดวงตาสีม่วงอันปราศจากคอนแทคเลนส์ตั้งแต่ก่อนลงแช่อ่าง ยิ่งเห็นดวงตาผมเหมือนยิ่งเพิ่มแรงปรารถนาให้ทวีความรุนแรงเข้าไปอีก


ฮาเซลเปลี่ยนให้ผมมานั่งบนตักโดยหันหน้าเข้าหากัน นั่นทำให้ผมสัมผัสส่วนร้อนกลางลำตัวของฮาเซลได้ชัดเจน ความร้อนภายในร่างสูบฉีดขึ้นมาบนใบหน้าทันควัน ผมรู้ว่าฮาเซลมีอารมณ์แต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้ ผู้ชายปกติไม่มีทางมีอารมณ์กับผู้ชายด้วยกัน และฮาเซลไม่ได้ชอบผู้ชาย


ที่เขาชอบคือผม


เมื่อคิดได้แบบนั้นอยู่ๆ ความกล้าบ้าบิ่นในเรื่องบ้าๆ ก็ทำให้ผมเอื้อมมือไปสัมผัสความแข็งขืนนั่นพร้อมออกแรงขยับ การกระทำผมเรียกเสียงครางเบาๆ จากฮาเซลได้


“เรย์...นายกำลังทำให้ฉันคลั่งรู้ไหม” สัมผัสของฝ่ามือลูบไล้บริเวณสะโพกก่อนจะปลุกเร้าความรู้สึกดีให้อีกครั้ง ทุกครั้งที่ฮาเซลขยับมือผมส่งครางออกมาอย่างห้ามไม่ได้


“อ๊า!...อื้ออ~” ใจหนึ่งอยากบอกให้หยุด ทว่าอีกใจกลับอยากให้ทำต่อ ผมไม่ชอบถูกใครสัมผัสแต่พอเป็นฮาเซลผมกลับรู้สึกดี...ดีมาก


“เรย์ อย่าหยุดมือสิ” เสียงแหบพล่าด้วยแรงอารมณ์กระตุ้นความร้อนของร่างกายให้พุ่งทะยานสูงขึ้น


“อื้อ อย่าพูดนะ อ๊ะ!” ทั้งร่างบิดเร้าด้วยความเสียวซ่านมากขึ้นจากการที่ยอดอกถูกจู่โจม เพียงแค่สัมผัสเบาๆ ก็พานให้หัวสมองขาวโพลน ความรู้สึกดีแล่นเข้ามาจนควบคุมตัวเองไม่ได้


“รัก...รักนะเรย์”


“ผมก็...รัก อื้อออ~” ผมคว้าคอฮาเซลกอดแน่นเมื่อส่วนกลางลำตัวถูกเร่งจังหวะ ฮาเซลกอบกุมทั้งของตัวเองและของผมไว้ด้วยกันก่อนขยับเร็วขึ้น เพียงไม่นานพวกเราต่างถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ในเวลาไล่เลี่ยกัน


ผมซุกใบหน้าเข้าหาอีกฝ่ายโดยฮาเซลกอดผมในร่างเปลือยเปล่าไว้แน่นคล้ายจะย้ำเตือนว่านี่คือความจริง เสียงหอบหายใจเบาๆ ดังขึ้นท่ามกลางเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นถี่รัวในจังหวะเดียวกัน


“อยากจะทำต่อแต่วันนี้พอดีกว่า” ฮาเซลกระซิบเสียงเบาก่อนหอมแก้มผมเบาๆ


“อื้อ ผมก็ไม่ยอมให้ทำต่อแล้วเหอะ จะกลับแล้ว” ผมเพิ่งไปทำงานเสร็จมานะไม่เห็นใจกันเลย ทั้งเหนื่อยทั้งง่วงแบบนี้จะกลับถึงห้องไหมเนี่ย


“วันนี้ค้างด้วยกันเถอะ” ฮาเซลพูดต่อ


“...ไม่”


“ไปนอนกันดีกว่า”


“คุณฟังที่ผมพูดบ้างสิ บอกว่าไม่ไง” ผมเริ่มขึ้นเสียง


“ฟังอยู่ ไม่ปฏิเสธใช่ไหม” ฮาเซลพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแล้วลุกขึ้นจากอ่างไปคว้าผ้าขนหนูด้านข้าง


“ไม่ค้างด้วยต่างหาก” ผมเองก็หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตัวเช่นกัน


“งั้นจะไล่จับอีกสักรอบ?”


“ไม่” ให้ไล่จับตอนนี้ผมแพ้ราบคาบแน่


นี่แค่ยืนให้ขาไม่สั่นก็แทบไม่ไหวแล้ว ผมไม่เคยถูกใครสัมผัสมากเท่านี้มาก่อน ความร้อนของริมฝีปากและฝ่ามือยังคงติดอยู่ทุกที่บนร่างกายกาย เพียงแค่คิดใบหน้าก็เห่อแดงอย่างรวดเร็ว


“ฉันรู้ว่าเหนื่อย พักนี่เถอะ อยู่ด้วยกันต่ออีกหน่อย” น้ำเสียงและสายตาที่มองมาทำให้ผมคิดหนักขึ้น ผมเองอยากอยู่กับฮาเซลต่ออีกนิดเช่นกัน


“...อืม” สุดท้ายผมต้องทำตามฮาเซลทุกทีสิน่า


เมื่อตกลงกันได้พวกเราต่างแยกกันแต่งตัวโดยมีเสื้อผ้าชุดใหม่จากทางโรงแรมอยู่ในตู้ ชุดนอนแขนยาวขายาวค่อนข้างอึดอัดไปนิดสำหรับผม บนเตียงเดี่ยวขนาด 6 ฟุตมีร่างของฮาเซลนอนอยู่ก่อน พอเขาเห็นผมเดินออกมาจากห้องน้ำก็พลิกตัวแล้วกวักมาเรียกพร้อมตบเตียงเบาๆ แทนการบอกให้ผมนอนตรงนั้น


“ฮาเซล” ผมเรียกเสียงเบาหลังขึ้นไปอยู่บนเตียงเดียวกัน


“อะไรเรย์”


“วันนี้คุณจะยิ้มมากไปหน่อยมั้ง” ตั้งแต่เจอกันผมเห็นฮาเซลอมยิ้มมาตลอดแม้แต่ตอนนี้ก็ยังคงยิ้มอยู่ ปกติฮาเซลไม่ใช่คนยิ้มบ่อยมีแต่ตอนแกล้งหรือแหย่ผมมั้งที่จะยิ้ม แต่รอยยิ้มนี่ไม่ใช่รอยยิ้มของคนกำลังสนุกแบบนั้น


“คงงั้น ช่วยไม่ได้นี่คนมันมีความสุข”


“มีความสุข?” มีความสุขอะไร


“เรย์ไม่รู้หรอกว่าฉันดีใจขนาดไหนกับคำตอบรับนั่น ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ตัวเองจะรักใครได้มากขนาดนี้ ทั้งรักทั้งหลงยิ่งได้อยู่กับเรย์ยิ่งมีความสุข” ฮาเซลตอบพลางคว้าเอวผมให้ขยับตัวไปนอนใกล้ขึ้น


“ช่วงแรกๆ ก็แบบนี้ เดี๋ยวก็เบื่อแล้วมั้ง” ความรักในช่วงแรกเป็นแบบนี้ทั้งนั้นแต่พอเวลาผ่านไปทุกอย่างจะค่อยๆ เปลี่ยน


“เบื่อเรย์? นึกภาพนั้นไม่ออกเลย”


“หึ...แต่ผมนึกภาพที่ตัวเองเบื่อคุณได้นะ”


“งั้นต้องทำให้เรย์ไม่เบื่อใช่ไหม มาทำต่อจากในห้องน้ำดีกว่า” พูดจบฮาเซลพลิกตัวมาคร่อมผมไว้ทั้งตัวพร้อมริมฝีปากที่ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้


“ไม่ หยุดเลยฮาเซล” ผมขยับตัวเตรียมลุกขึ้นบ้างแต่กลับถูกฮาเซลโน้มตัวเข้ามาใกล้


“จะเบื่อกันจริงเหรอ” เสียงกระซิบเบาๆ กับสัมผัสของจูบพรหมไปตามใบหน้าตั้งแต่แก้ม หน้าผากและจบลงบริเวณริมฝีปาก ไม่มีการลุกล้ำใดๆ สิ่งที่ฮาเซลทำมีเพียงแตะอย่างแผ่วเบาแล้วผละออก


รู้สึกว่าใบหน้าร้อนวูบวาบยิ่งกว่าจูบดูดดื่มอีก


“...ปล่อยฮาเซล” ความรู้สึกไม่ชอบยามถูกคร่อมเริ่มหายไปอย่างสิ้นเชิงหากคนคนนั้นคือฮาเซล


“จะปล่อยถ้าตอบ”


“ไม่”


“จะตอบไหม” ฮาเซลย้ำสัมผัสบนหน้าผาก แก้มและริมฝีปากผมอีกครั้งเมื่อได้ยินคำปฏิเสธ


หัวใจเต้นรัวราวกับจะปะทุออกมาจากอก


ถ้าไม่ตอบเขาต้องทำต่อแน่


“อึก...ไม่เบื่อ” ผมกลั้นใจตอบ


“ไม่เบื่ออะไร เงยหน้ามองฉันเรย์ ให้ฉันเห็นดวงตาสีม่วงของนาย”


“...ไม่เบื่อฮาเซล” ผมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการโดยเงยหน้าสบตากับฮาเซลก่อนพูดอีกรอบ


อย่าให้ผมหลุดไปได้นะ เตรียมเจอเตะก้านคอได้เลย


“ดีมาก นอนกันเถอะ” พอได้ดั่งใจฮาเซลก็ทิ้งตัวนอนลงด้านข้าง แขนทั้งสองข้างของเขายังคว้าเอวผมไปกอดไว้หลวมๆ


“ปล่อยเอวผม” โดนกอดแบบนี้จะหลับตาลงได้ไง


“ถ้าปล่อยเดี๋ยวเรย์หนี”


“ไม่หนีแล้วน่า” ถึงจะหนีจริงแต่เชื่อเถอะว่าไม่รอดมือฮาเซล


“อยากกอดเรย์”


“นั่นคือเหตุผลจริงๆ ใช่ไหม” ไม่ได้กลัวผมหนีแค่อยากกอด


“รู้ใจจัง สมแล้วที่เป็นคนรักของฉัน” เสียงกระซิบข้างใบหูนั่นสร้างความเขินอายให้มีมากขึ้นไปอีก จะตอบกลับว่าไม่ใช่คนรักแล้วก็ไม่ได้เพราะตอนนี้ผมกับฮาเซลเป็นคนรักกัน


“ถ้าไม่อยากโดนศอกก็หลับซะ” ถึงจะไม่มีแรงพอจะหนีแต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรไม่ได้


“อืม ราตรีสวัสดิ์เรย์” น้ำเสียงแสนอ่อนโยนได้ยินทีไรแพ้ทางทุกทีสิน่า


“ฝันดีฮาเซล” ผมพึมพำเสียงเบาก่อนหลับตาลงในอ้อมกอดของฮาเซล


เครื่องปรับอากาศในห้องถูกปรับให้หนาวตามความต้องการผม ทั้งที่ควรจะหนาวจนต้องห่มผ้านวมแต่ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกอุ่นทั้งร่างกายและหัวใจแบบนี้


ฮาเซลกำลังทำให้ผมเคยชิน...เคยชินกับทุกสัมผัสของเขา


แม้จะชินอย่างเชื่องช้าทว่ากลับไม่สามารถลืมเลือนสัมผัสเหล่านั้นได้

...........................................

โอ้วววว หวานมากกก

หลายคงรอฉากบนเตียง ขอโทษนะคะที่เป็นฉากในอ่างแทน อิ๊ววว

ตอนนี้แต่งเอาใจฮาเซลมากค่ะพูดเลย

อยากอยู่กับเรย์ได้ เราจัดให้

อยากลงอ่างกับเรย์ได้ เราตามใจ

อยากแนบสัมผัสเรย์หน่อย? แบบนี้ไม่หน่อยแล้วมั้งงง

ความหวานของทั้งคู่กำลังพวงพุ่งซึ่งจะพุ่งทะลุไปได้แค่ไหนติดตามได้ในตอนต่อๆ ไปค่ะ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจที่มีให้เสมอนะคะ

ไว้เจอกับใหม่อาทตย์หน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด