EP.7คงคิดถึง
“ฉันจะเอายังไงกับพวกแกดีเนี่ย”
ผมร้องออกมา ในขณะที่เท้าเอวยืนจังก้าอยู่หน้าเสื้อผ้าใส่แล้วกองโต แงงง จะไม่โตได้ยังไงล่ะครับ ตั้งแต่มาอยู่บ้านยายผมยังไม่เคยซักพวกมันเลย แถมบางตัวยังหยิบมาใส่ซ้ำมากกว่าสองครั้งอีกตะหาก แต่วันนี้ผมทนความเหม็นของพวกมันต่อไปไม่ได้แล้ว เห็นทีจะต้องจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด เอาล่ะ วันนี้ผมจะลองซักผ้าด้วยมือเป็นครั้งแรกของชีวิต!
แล้วซักผ้าแบบนี้จะต้องทำยังไงบ้างล่ะเนี่ย เอาผ้าใส่กาละมังก่อนแล้วค่อยใส่น้ำ? หรือใส่น้ำก่อนแล้วค่อยโยนผ้าลงไปแช่?โอ๊ยยย ปวดหัวเหมือนกันเด้
แต่ยังไม่ทันทำอะไร เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาในบ้านก็เรียกให้ผมไปมองซะก่อน
“อ้าวแพดเม่” ผมยิ้มใส่สาวผมหน้าม้า น่ารักยังไงก็น่ารักยังงั้นจริงๆ คนนี้ “มาได้ไงครับเนี่ย”
“สวัสดีจ้าฟีฟ่า พี่เหมบอกให้เรามาอยู่เป็นเพื่อนฟีฟ่าแหละ” เธอเดินเข้ามาใกล้ สายตาดูสนใจกาละมังสองใบเป็นพิเศษ “จะซักผ้าเหรอคะ”
“อือ กำลังหาวิธีอยู่เลย” แต่ก่อนอื่น ขอกลับมาเรื่องก่อนหน้านี้แป๊บ “ตะกี้แพดเม่ว่าน้าเหมให้มาอยู่เป็นเพื่อนเราเหรอ?”
“ใช่ค่ะ เขาฝากบอกพ่อเรามา พอดีในกรมเขาเจอเรื่องวุ่นกะทันหัน พ่อเราก็โดนเรียกด่วนเหมือนกัน”
อ๋อ ไม่น่าล่ะ จะเที่ยงอยู่แล้วก็ยังไม่เห็นพี่แกจะโผล่มาตามคำสัญญาสงสัยเพราะงานเข้านี่เอง ตอนแรกว่าจะโกรธแล้วนะเนี่ย พอรู้งี้ไม่โกรธละ จะได้ซักผ้าอย่างสบายใจ
แต่แอบสงสารพี่เติร์ดจัง สุดท้ายก็ไม่หยุดจริงๆ สินะ เฮ้อ
“แล้วนี่ไม่ต้องเฝ้าร้านเหรอ” ผมถามฝ่ายหญิง
“มีลูกจ้างดูแลอยู่จ้ะ” เธอว่า “ฟีฟ่ามีอะไรให้เราช่วยมั้ย”
“โหยยย ไม่เป็นระ...” ตอนแรกผมทำท่าจะบอกปัดไปตามความเป็นสุภาพบุรุษที่มีอยู่ในตัว แต่พอมาคิดดูแล้ว แงงง ไม่เอาดีกว่า เวลานี้ผมต้องการความช่วยเหลือจริงๆ “แพดเม่ เอ่อ... เธอซักผ้าเป็นหรือเปล่า”
“ก็ต้องเป็นสิ” อยู่ๆ เธอก็ขมวดคิ้ว “อ้าว... บ้านป้าปัดไม่มีเครื่องซักผ้าหรอกเหรอ”
“อือ ไม่มีอะ กำลังสงสัยอยู่เลยว่าก่อนเรามายายซักผ้าด้วยมือตลอดเลยหรือไงนะ ลำบากแย่” ขนาดนั่งยองๆ ข้างกาละมังแป๊บเดียวผมยังเมื่อย ไม่ต้องพูดถึงคนแก่อย่างคุณยายที่รายนั้นคงทรมานยิ่งกว่า ฮือออ สงสารจัง
“จริงๆ ก็ไม่แปลกใจนะ พ่อเราบอกว่าป้าปัดแกขี้งก”
“อ้าว อย่าว่ายายเราสิ”
“ว้าย เขาเรียกว่าเม้าท์จ้ะ” เธอหัวเราะคิกคักน่ารักจนโกรธไม่ลง “ให้เราช่วยมั้ยคะ ถือว่าตอบแทนค่าเครื่องสำอางไง”
“เฮ้ยยย ก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร” ผมโบกมือให้ยุ่ง โอ๊ยยย ยังไม่เลิกคิดเรื่องนี้กันอีกเหรอ คราวก่อนก็ไปเคลียร์ถึงบ้านมาแล้วไงเล่า “แค่แพดเม่สอนเราก็พอ”
เพื่อนหญิงผู้แสนดีของผมยิ้มหวาน เธอพยักหน้ายินดีอย่างไม่ลัง “งั้นเราจะมาเรียนซักผ้ากันนะคะ”
“เอ่อ...” จริงจังไปปะวะ แต่ก็เล่นไปตามน้ำก่อนละกัน ผมทำหน้ามุ่งมั่นก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัด “ผมพร้อมแล้วครับคุณครู!"
“เก่งมาก ทีนี้ฟีฟ่าก็เอาไปแช่น้ำเปล่าอีกกาละมังนึงนะ”
คุณครูแพดเม่พูดเจื้อยแจ้ว พร้อมทั้งทำให้ผมดูเป็นตัวอย่าง ทุกการเคลื่อนไหวของเธอทำมันช่ำชองมาก เล่นเอาผมเหงื่อตกเพราะตามไม่ค่อยทัน โหยยย ซักผ้าไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกันนะเนี่ยยย
“ฟีฟ่าขาวจังเลยเนอะ” ผมชะงักขณะกำลังขยี้คากางเกงในสีขาวในมือ เย้ย! มาจ้องนมผมทำไมเล่าาา ฮือออ ไม่น่าถอดเสื้อกู
“เอ่อ... ตามกรรมพันธุ์มั้ง พ่อแม่เราขาวหมดเลย”
พอพูดถึงครอบครัว เธอดูสนอกสนใจขึ้นมาทันที “แม่ฟีฟ่าเป็นลูกป้าปัดใช่มั้ย”
“อือ ทำไมเหรอ”
“เราไม่ค่อยเห็นป้าปัดแกพูดถึงลูกเท่าไหร่เลย” เธอว่า “เคยได้ยินแต่พ่อเล่าว่าแกเคยรู้จักลูกป้าปัด เพราะเล่นด้วยกันตอนเด็กๆ แต่พอโตขึ้นก็ย้ายเข้าไปกรุงเทพ คนที่นี่ก็ไม่ค่อยได้เห็นลูกป้าปัดอีกเลย”
“งั้นเหรอ...”
“อุ๊ย เราไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวนะ” เธอรีบส่ายหัวเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่นั่งนิ่งตั้งใจฟัง “ขอโทษทีนะคะ”
“ไม่เป็นไรๆ เอาจริงๆ นะ เราไม่ค่อยมีความทรงจำกับยายมากเท่าไหร่หรอก เพิ่งมารู้จักยายจริงๆ จังๆ ตอนโตนี่เอง เรามาที่นี่เพราะแกโทรมาขอความช่วยเหลือ”
“แต่เราดีใจมากเลยนะที่ฟีฟ่ามาช่วยป้าปัด จริงๆ แกก็อยากเจอหลานนั่นแหละ”
“อยากเจอหรืออยากแกล้งหลานกันแน่ก็ไม่รู้” ผมบ่นพึมพำ ฮือออ ก็ตั้งแต่มานี่แกใช้ทำงานผมซะคุ้ม ใช้แบบไม่หยุดหย่อน เพิ่งได้พักแบบจริงๆ วันนี้เป็นวันแรกเลยเนี่ย
“ไม่คุยเรื่องนี้แล้วดีกว่า” เธอโบกมือ ก่อนจะทำตาแป๋วใส่ผมต่อ “แล้วกรุงเทพเป็นยังไงบ้างเหรอฟีฟ่า”
ผมถึงกับเบิกตากว้าง “หืมมม แพดเม่ยังไม่เคยไปกรุงเทพเหรอ”
“โหยยย ไม่เคยหรอก อยากไปจะตาย” คนข้างๆ ทำเป็นบุ้ยปาก “เราว่าเราจะไปเรียนในกรุงเทพแหละ แต่อีกใจนึงก็ไม่อยากทิ้งพ่อ เรามีกันอยู่แค่สองคน”
“ค่อยๆ คิดก็ได้ ยังพอมีเวลานะ”
“แล้วฟีฟ่าจะเรียนต่อมหาลัยที่ไหนจ๊ะ”
“เราเพิ่งสอบติดมหาลัยCที่เชียงใหม่”
เธอร้องออกมาเหมือนว่าลืมไป “นั่นสินะ ฟีฟ่าแก่กว่าเราปีนึงนี่เนอะ อย่างนี้ต้องเรียกพี่ปะเนี่ย”
“โอ๊ย ไม่ต้องหรอก” ผมยิ้มหวานใส่ “เป็นเพื่อนกันนี่แหละ แพดเม่เป็นเพื่อนคนเดียวของเราที่นี่เลยนา”
“เราก็ดีใจที่ได้เป็นเพื่อนฟีฟ่าจ้ะ แถวนี้ไม่มีคนรุ่นราวคราวเดียวกับเราเลย เหงาจะแย่” หน้าเธอโคตรเซ็งโลกสุดๆ ฟังแล้วเข้าอกเข้าใจเลยทีเดียว บางทีเราก็ต้องการคนวัยเดียวกันไว้พูดคุยกันบ้างอะเนอะ
เอ... แต่พอได้คุยกันแบบนี้ มันชักคันปากอยากชวนพูดถึงเรื่องอื่นต่อจัง โดยเฉพาะเรื่องที่ผมอยากรู้ บางทีแพดเม่อาจจะช่วยผมได้ หึๆๆ
“แพดเม่ เราถามอะไรหน่อยสิ”
“เรื่องอะไรเหรอจ๊ะ”
เธอดูตื่นเต้นกับคำถามของผมมาก มีการเขยิบเก้าอี้เข้ามาใกล้เพื่อฟังชัดๆ อีกตะหาก เอ๊อออ นี่มันขาเม้าท์ตัวจริงเสียงจริง ไอแคนซียัวว้อยส์
ผมมองซ้ายมองขวา ถึงแถวนี้จะไม่มีใครแต่ผมขอพูดเบาๆ ให้เราได้ยินกันแค่สองคนดีกว่า “เราอยากรู้เรื่องของน้าเหมอะ”
“หา? เรื่องไหนอะ?”
“แพดเม่รู้เรื่องไหนบ้าง เอาหมดเลย”
อยู่ๆ คนสวยก็ทำเป็นทัดผมสะดีดสะดิ้ง “บ้า! เราไม่ค่อยรู้อะไรของพี่เขาหรอก”
“…”
“แต่จริงๆ ก็มีเรื่องนึงนะ”
จ้าาาาาาาา กูว่าแล้วววว อยากจะขำแต่ต้องทำเป็นจริงจังเก็บอารมณ์ “อะไรเหรอครับ”
“เราเคยได้ยินเรื่องนี้มาตอนที่แกประจำการที่นี่ใหม่ๆ...” สาวร้านชำยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “เห็นว่าแกมาที่นี่เพราะอกหักนะ”
“อกหัก!?”
“อื้อ อกหัก” เธอพยักหน้ายืนยัน “เห็นถึงขั้นประกาศว่าจะไม่กลับไปกรุงเทพอีกเลยนะ”
ถึงค่อนข้างจะตกใจเรื่องอกหัก แต่ดูเหมือนเรื่องหลังจะเรียกความสนใจของผมได้มากกว่า “อ้าว น้าเหมแกเป็นคนกรุงเทพเหรอ”
“เอ๊า หล่อขนาดนั้นก็ต้องเป็นคนกรุงอยู่แล้ว”
“เดี๋ยวๆ เธอต้องปรับความเข้าใจใหม่แพดเม่ คนกรุงเทพไม่ได้หล่อทุกคนนะ”
“แหมม ขนาดฟีฟ่ายังหล่อเลย”
“เอ๊า เขินไปดิ!” เราสองคนหัวเราะใส่กัน โอ๊ยยย นอกเรื่องไปไกลแล้วเนี่ย “อกหักแล้วไงต่อเหรอ เล่าๆๆ”
“เราก็รู้แค่นั้นแหละ พ่อบอกว่าพวกลูกน้องที่เคยหลอกถามแกโดนชกหลับคาวงเหล้ากันมาแล้ว ทุกคนก็เลยไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก”
“โห... ยิ่งกว่าซีรีส์คลับฟลายเดย์อีกอะ”
“ใช่มั้ยล่ะ” เธอตบมือฉาดอย่างออกรส แต่ในขณะที่คุยกันอยู่ดีๆ คนสวยข้างๆ ก็หรี่ตาใส่ผมซะงั้น “ว่าแต่ฟีฟ่าถามทำไมเหรอ สนใจน้าเหมเหรอจ๊ะ”
อ้าววว ทำไมลามมาที่ผมได้เล่า “คะ... แค่อยากรู้เฉยๆ เราจะสนใจเขาทำไม”
“แน่ใจ๊?”
“…” ผมล่ะอยากเอามือเปื้อนแฟ้บป้ายหน้าเธอจริงๆ เดี๋ยวก่อน... รอสนิทกว่านี้ก่อนเจอแน่ ร้ายนักนะ “เราแค่ถามเฉยๆ ไม่มีอะไร”
“แต่สนใจก็ไม่แปลกหรอก น้าเหมออกจะหล่อเทพปานนั้น”
ผมเห็นท่าทางเพ้อฝันของอีกฝ่ายแล้วถึงกับต้องทำหน้าเหย “ใครกันวะที่ชอบ ฮ่าๆ”
“ว้ายยย อย่าแซวสิจ๊ะ”
พรวด! อยู่ๆ เธอก็ทะลึ่งกวักน้ำแฟ้บมาสาดใส่หน้าผมซะงั้น แว้กกก เกือบเข้าปาก ดีนะเม้มไว้ทัน
แหมมมม จะเล่นเหรอจ๊ะคนสวยยยย ได้! กำลังอยากหาอะไรสนุกๆ ทำอยู่พอดี
“กรี๊ดดด” เธอร้องเสียงหลงเมื่อโดนผมเอาคืนบ้าง ฮ่าๆ แฟ้บติดผมเป็นก้อนเลย “คิดจะเอาคืนเหรอจ๊ะฟีฟ่า! คิกๆ”
“เอาสิ เรามีสายยางนะครับ” ไม่พูดเปล่า ผมชูขู่เธอด้วย พร้อมเปิดก๊อกทุกเมื่อบอกเลย ฮ่าๆ
“ว้ายยยย อย่าขี้โกงสิ” แล้วเธอก็กวักน้ำแฟ้บมาใส่หน้าผมอีกรอบ
อ้าววว สงสัยอยากเจอของจริง เอาพลังสายยางไปกินหน่อยแล้วกันนน ซู่!
ทันทีที่เปิดก๊อก น้ำก็พวยพุ่งออกจากสายปะทะเข้ากับหน้าสวยๆ ของแพดเม่อย่างจัง ตอนแรกผมนึกว่าเธอจะโกรธเพราะแรงดันน้ำไม่ใช่เบาๆ เธอคงจะเจ็บไม่ใช่เล่น แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายยิ้มชอบใจเฉยเลยฮะ แถมมีการเข้ามายื้อยุดทำท่าจะแย่งสายยางไปจากผมอีก เฮ้ยยยย ไปหาอาวุธใหม่เอาสิ
“อย่าแย่งเราาาา”
“เอามาาา เราจะฉีดฟีฟ่าคืนบ้าง”
“ไม่มีทางซะหรอก!”
เฮ้ยยยย สนุกดีอะ ผมไม่ได้หัวเราะแบบสุดเหวี่ยงขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้วเนี่ยยย มีความสุขจังโว้ยยยย
“ทำอะไรกันอยู่เด็กๆ”
“เย้ย!” ใครวะ!! มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ผมกับแพดเม่ตกใจหมดเลยเนี่ยยยย
แต่ก่อนจะได้เห็นหน้าผู้มาเยือน ความตกใจของผมทำให้สายยางที่ถืออยู่ชี้ไปทางผู้มาใหม่เข้าอย่างจัง มันพุ่งอย่างแรงสาดกระเซ็นเข้าใส่ใบหน้าอันหลอเหลาที่ทำหน้างุนงงอยู่ กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นน้าโปรดนายทหารหนุ่ม พี่แกก็เปียกไปทั้งตัวแล้ว เชี่ยยยยยย มาตั้งแต่ตอนไหนวะเนี่ยยย
เอ๋... แล้วทำไมมาคนเดียวล่ะ คนนั้นไม่ได้มาด้วยหรอกเหรอ...
“พี่โปรด! ขอโทษนะคะ” แพดเม่ร้องเสียงแหลมขึ้นมาก่อนใคร เธอดูจะมีสติกว่าผม เลยสามารถคว้าสายยางให้หันไปอีกทางได้อย่างทันท่วงที แต่เอาจริงๆ ไม่ทันเท่าไหร่หรอกครับ อีกฝ่ายเปียกชุ่มไปหมดแล้ว ฮืออออ
“แค่กๆๆ”
ผมเห็นน้าโปรดลูบหน้าลูบหน้าลูบตาไล่น้ำ ก็ทำตัวลีบวิ่งเข้าไปแบบรู้สึกผิด “ขอโทษนะครับน้า”
“ไม่เป็นไรๆ พี่ทักทายผิดเวลาเองอะ”
ถึงอีกฝ่ายจะยิ้มแต่ผมก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดีอะ ยูนิฟอร์มลายพรางซะด้วยนะ เปียกขนาดนี้คงหนักน่าดู
“เดี๋ยวผมซักให้เอามั้ยครับ”
“งั้นฝากด้วยนะ”
ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังถอดชุด ผมกัดปากกลั้นใจถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ปกติที่สุด “น้าโปรดมาคนเดียวเหรอ?”
นายทหารหนุ่มอารมณ์ดีเลิกคิ้วทันที “จะถามถึงไอ้เหมใช่ปะ?”
“…” แหงะ อย่ามาทำเป็นรู้ทันผมสิ
เขาคงเห็นว่าผมนิ่งไปนานเลยพูดต่อ “มันมีเรื่องด่วนที่ต้องประชุมต่อ เลยบอกให้พี่รีบมาอยู่เป็นเพื่อนฟีฟ่านี่ไง”
แหม่ วันนี้รู้สึกว่าตัวเองป็อบปูล่าจัง ใครๆ ก็อยากมาอยู่เป็นเพื่อน เขินว่ะ!
“งั้นเหรอครับ...”
“คิดถึงมันล่ะสิ”
“ผมแค่ถามถึงเฉยๆ”
“อ่ะคร้าบบ น้องฟีฟ่า” น้าโปรดส่งชุดลายพรางมาให้พร้อมกับสายตาเย้าแหย่ “งั้นเดี๋ยวพี่อยู่แถวนี้นะ อยากทำอะไรก็บอกพี่ หรือถ้าอยากกินอะไรเดี๋ยวพี่ไปซื้อให้ก็ได้นะ”
“โหยยย ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกพี่ เกินไป” ผมไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วน้าาา
“ไม่ได้หรอก ไอ้ห่าเหมเขากำชับมาอย่างดี ให้เงินค่าข้าวมาแล้วด้วยเนี่ย ไม่ทำตามบัญชาเดี๋ยวมันด่าตายเลย”
“…”
“งั้นมีไรก็บอกพี่นะ”
“น้าโปรดครับ!”
“หืมมม?” นายทหารชะงักทันทีที่โดนผมเรียก “มีอะไรฟีฟ่า”
“แล้วเขา...” โอ๊ย อย่าพูดกระตุกกระตักดิวะ “เขาจะมาหาผมหรือเปล่าครับ”
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าน้าโปรดทันที เขาเดินกลับมาแล้วตบไหล่ผมเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาสิ มันสัญญาไว้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“…” ก็ใช่น่ะสิ พี่เติร์ดเขาสัญญาไว้แล้วนี่นา
“มันก็อยากเจอฟีฟ่า เชื่อพี่เถอะ” น้าโปรดพูดเบาๆ ทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปนั่งยังเก้าอี้พลาสติกของร้านเรา ส่วนผมน่ะเหรอครับ พออีกฝ่ายพูดแบบนั้นก็เป็นอะไรก็ไม่รู้ระเบิดยิ้มแก้มแทบแตก อยากจงอยากเจออะไรเล่า จะมาจริงหรือเปล่าเห้อออ ฮึ่ยยย เดี๋ยวผมจะรอดู
“ฟีฟ่าจ๊ะ”
เย้ย! มัวแต่คุยกับพี่โปรด ลืมแพดเม่ไปเลยเนี่ยยยย “อะไรเหรอ”
สาวร้านชำมองมายังเสื้อลายพรางในมือผมตาเป็นประกาย แถมมีการยื่นมือทำท่าจะไขว่คว้ามาแต่ไกลอีกต่างหาก
“ขอ...” เธอกลืนน้ำลายดังอึก “เราขอซักตัวนั้นได้มั้ยจ๊ะ แฮะๆ”
“…”
หลังจากซักผ้าและขนพวกมันไปตากเสร็จ แพดเม่ก็ขอตัวกลับบ้าน น้าโปรดที่ปากบอกว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนบัดนี้สลบคอพับคออ่อนคาโต๊ะไปแล้วเรียบร้อย ทางด้านคุณยายที่ไปทำธุระจนบ่ายป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับ ส่วนพี่เติร์ด คนที่สัญญาไว้ว่าจะมาก็ยังไม่โผล่มาเห็นหน้า จริงๆ ผมรู้นะว่าเขาทำงาน แต่มันน่าหงุดหงิดใจนิดนึง เฮ้อออ เห็นทีผมต้องหาอะไรทำแก้เซ็งสักหน่อยแล้วล่ะ
ผมอุ้มผ้าสีฟ้าผืนใหญ่ไปหน้าบ้าน จัดการปูมันไว้ข้างๆ บ่อน้ำตกเล็กๆ ของคุณยาย โยนถุงขนมนมเนยตามลงไป ก่อนจะกลับไปค้นตู้เย็นแล้วเห็นว่ามีน้ำส้มแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์เหลืออยู่หนึ่งกล่อง ก็รีบเทใส่แก้วถือมันออกไปพร้อมกับกระดานวาดภาพที่ขนติดกระเป๋าเดินทางมาด้วย ผมทิ้งตัวนั่งลงบนผ้าที่ปูไว้ เงยหน้ารับแสงแดดยามเที่ยงก่อนจะยกน้ำส้มขึ้นมาดูดหนึ่งอึก อ๊าาาา ชื่นใจ ความรู้สึกเหมือนอยู่ริมชายหาดไม่มีผิด ผมนี่เก่งจริงๆ ยกทะเลมาไว้ที่นี่ได้ วะฮ่าๆๆๆ
เอาล่ะ เรามาเปิดเพลงฟังแล้ววาดรูปกันดีกว่า เวลาว่างๆ ผมชอบวาดรูปที่สุดเลยยยย
ว่าแต่... จะวาดอะไรดีฟะ?
ผมมองซ้ายมองขวา ก็เห็นว่ามีแต่สวนน้ำตกของคุณยายนี่แหละที่พอจะเป็นแบบได้ งั้นลงมือกันเลยดีกว่าครับ
แต่ลงเส้นไปได้ไม่นาน จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมายืนบังแสงทางด้านหลัง เล่นเอาผมต้องขมวดคิ้วหันไปมองด้วยความสงสัย ก่อนจะได้เห็นคนคุ้นเคยกำลังกอดออกยิ้มให้ผมอยู่ แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ฝืนๆ ชอบกล เหมือนก่อนหน้านี้พี่แกเจอเรื่องไม่สบอารมณ์มางั้นแหละ
“ทำอะไรอยู่เหรอ” คุณหัวหน้าเหมเอ่ยถาม หัวของเขามีประกายแสงแดดเจิดจ้าส่องสว่างอยู่ด้านหลัง เล่นเอาซะนึกว่าเทวดามาเยี่ยมเยียน เย้ยยย ผมยังไม่ตายนะ ทำไมเห็นสวรรค์เร็วจัง
แต่เหนืออื่นใด... ฮือออ มาแล้วเหรอ... คิดถึงอยู่พอดีเลย!
“ผมกำลังหาอะไรทำแก้เซ็ง”
“ด้วยการมานอนตากแดดต่างจังหวัดร้อนๆ แบบนี้? ไม่กลัวดำหรือไง”
“ผมทากันแดดแล้วน่าาา” ทาหลายชั้นเลยด้วยยย “คุณหัวหน้าเถอะ ไหนบอกว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนไง นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วฮะ”
“ฉันมีงานต้องเคลียร์”
“เห็นมั้ยเล่า พี่ไม่มีทางได้หยุดจริงๆ หรอกน่า”
“หึ ก็คงงั้น…” คนแก่กว่าชะโงกมาดูว่าผมกำลังทำอะไรกันแน่ และพอคุณพี่เติร์ดแกเห็นกระดาษปอนด์ที่หนีบอยู่บนกระดานก็ถึงกับเลิกคิ้ว “เธอวาดรูปเป็น?”
“แน่นอน”
“ไหน…" ร่างใหญ่ของเจ้าหน้าที่กรมอุทยานทิ้งตัวลงมายังพื้นที่ว่างข้างๆ ไอ้ตอนแรกก็นึกว่าจะนั่ง พี่แกเล่นเอนตัวนอนราบหนุนแขนโชว์รอยสักเลข 3 ใกล้ข้อศอกสบายใจเฉิบ โหยยย อย่ามาเบียดผมเซ่
แต่... ผมไม่ค่อยโอเคกบวงแขนของเขาที่โผล่ออกมาทักทายนั่นเท่าไหร่แฮะ เห็นแล้วจั๊กจี้ชะมัด ฮึ่ยยย
“มองอะไรอยู่ได้ ฉันขอดูหน่อย” ผมสะดุ้งรู้สึกตัวตอนที่มือใหญ่ๆ แบรออยู่ตรงหน้า เอ๊าาา ผมเหม่อไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ยยย
“จะดูไปทำไมครับ เนี่ยยย แทนที่ผมจะได้วาดให้มันเสร็จๆ น้าเข้ามาขัดจังหวะผมทำไมก็ไม่รู้”
อีกฝ่ายจับจ้องผมนิ่งๆ “หรือจะให้ฉันกลับ?”
“ผมยังไม่ได้พูดเลย”
“เธอทำเหมือนจะไล่ฉัน”
“ผมบอกว่าพี่เขามาขัดจังหวะ ยังไม่ได้ไล่สักคำ”
“สรุปจะให้ฉันกลับมั้ย?”
“ไม่” ให้กลับได้ไง อยากเจอจะตายยยย
“งั้นพี่ขอดูหน่อยครับ” พี่เติร์ดขยับตัวเข้ามาใกล้ แถมยังมียิ้มมุมปากพูดเสียงอ่อนเสียงหวานอีก โอ๊ยยย กับไอ้แค่กระดานวาดรูปจะมาออดอ้อนขนาดนี้ทำบ้าอะไรเล่า
เฮ้ออ ถ้าอยากดูนักก็เอาไปเล้ยยย “อ่ะ”
“หืม…" ผมหลับตาปี๋ตอนที่อีกฝ่ายใช้สายตาไล่สำรวจผลงาน ซึ่งเป็นเส้นร่างบางๆ ตัดกับแผ่นกระดาษสีขาว “สวยจัง”
“แค่ภาพเสก็ชก็ดูออกแล้วเหรอว่าสวย”
“สวยสิ” พี่เติร์ดช้อนตาขึ้นมาเหนือกระดานวาด “เธอมีฝีมือนะฟีฟ่า”
เอ๊าาา อยู่ดีๆ ก็มาชมเฉย
“ฉันจำได้แล้ว เธอเคยบอกว่าสอบติดวิจิตรศิลป์ใช่มั้ย ถ้างั้นไม่แปลกใจเลย”
โหยยยย จำได้ด้วยเหรอ... “ขะ... ขอบคุณนะครับ”
คนแก่กว่ายื่นของคืนให้ ก่อนจะพลิกตัวหงายหลับตาพริ้มรับแสงแดด เห็นแล้วผมถึงกับหลุดยิ้มออกมาเลย โธ่เอ๊ยย สบายใช่มั้ยล่ะ แล้วมาทำเป็นดุผมนะ เดี๋ยวเหอะ
แต่อยู่ๆ คิ้วเข้มๆ ของคุณเจ้าหน้าที่ก็ขมวดกันเป็นปม ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ เหมือนใจแกกำลังคิดอะไรอยู่ ผมเลยลองส่งเสียงถามไปเพราะความอยากรู้ “วันนี้อารมณ์ไม่ดีเหรอครับ”
พี่เติร์ดลืมตา ปั้นหน้าเรียบเฉยมาทางผม “เธอรู้ได้ยังไง”
“ผมรู้สึกได้อะ” ผมที่นอนคว่ำอยู่กระดึ๊บๆ เข้าไปใกล้เขา ห่างจากวงแขนสวยนั้นนิดเดียว “เกิดอะไรขึ้นฮะ”
“เรื่องงาน”
ทำไมตอบเหมือนไม่อยากให้ถามต่อจัง “บอกผมไม่ได้เลยเหรอ”
“พูดไปเธอจะรู้เรื่องหรือไง”
“ไม่รู้หรอก” ผมพูดตามตรง “แต่ผมถามเผื่อพี่เติร์ดอยากหาเพื่อนคุย แบบระบายหรืออะไรทำนองนี้”
เจ้าหน้าที่หนุ่มใช้ดวงตาสวยไล่สำรวจไปทั่วหน้าผม “แก้มเธอกลายเป็นสีส้มอีกแล้ว ร้อนหรือไง”
ผมสะอึกเมื่อเขายื่นมือเข้ามาปัดผมที่ปรกตาให้
ฮึ้ยยย ทำไมนุ่มนวลดีจังเลย...
“พี่เติร์ดเปลี่ยนเรื่องแล้วนะ”
“หึ” คนตัวใหญ่ขยับมาใกล้ผมมากขึ้น “ไม่มีอะไรหรอก ฉันเจอเรื่องนิดนึง ไปท้าทายอำนาจมืดเข้า”
“หา!?” ผมตาโต “พี่เติร์ดเจอลอร์ดวอเดอร์มอร์เหรอครับ?”
“อะไรของเธอวะ ฮ่าๆ”
โอ๊ยยย เขกกระบาลผมอีก “มันเป็นมุกมั้ยเล่า”
“อ๋อมุกเหรอ ไม่ได้บื้อจริงเนอะ”
“คำก็บื้อ สองคำก็บื้อ ในสายตาพี่ผมคงโง่จริงๆ สินะ”
“ใช่ แต่ก็เป็นเด็กบื้อที่น่ารักมาก”
แหงะ สตั๊นท์ไปดิ ฮือออ กลับไปคุยเรื่องเดิมดีกว่าจ้า “จะ...เจออำนาจมืดแล้วยังไงต่อนะครับ”
“พวกฉันก็คงต้องระวังตัวเป็นพิเศษ”
“ฟังดูน่ากลัวจัง”
“บอกแล้วไงว่าเธอคงไม่อยากรู้เรื่องนี้”
“กำลังเครียดแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวใช่มั้ยครับ” ผมถามเสียงแผ่ว
พี่เติร์ดหลุบตาใช้ความคิด “จริงๆ ก็มีอีกเรื่องนึง”
เจ้าหน้าที่ส่งเสียงถอนหายใจ ก่อนจะเหม่อออกไปไกลแสนไกลจนผมรู้สึกแปลกๆ ว่าเรื่องนี้กำลังกวนใจเขาหนักมากยังไงไม่รู้
“อันนี้เรื่องส่วนตัวใช่มั้ย”
“อืม เรื่องส่วนตัว”
“งั้นเหรอครับ...”
“ทำไม?” เกิดแววตาตั้งคำถามขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา “เรื่องนี้ไม่อยากรู้เหรอ”
“ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวผมก็ไม่อยากรู้หรอก”
“ทำไมน้ำเสียงแปลกๆ” พี่เติร์ดยกตัวขึ้นมาดูท่าทีของผมอย่างจริงจัง “ไม่พอใจ?”
“เฮ้ยยย ผมจะไม่พอใจเรื่องอะไร มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่นะ”
“ถามเถอะ ฉันอยากพูดเรื่องนี้”
“ก็คงไม่พ้นเรื่องแฟนเก่า...” ผมเบ้ปากบ่นออกมาไวกว่าความคิด
“เธอว่าไงนะ” อีกฝ่ายสวนเสียงแข็ง แถมยังทำตาดุใส่อีกต่างหาก “เธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
แย่แล้วไง สภาพพี่เติร์ดดูหัวร้อนมาก ฮือออ ไม่น่าพูดออกไปเลย
“ฟีฟ่า ฉันถามว่าเธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
“ผมแค่พูดเดาไปเฉยๆ” คงบอกว่าได้ยินจากแพดเม่ไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นเราซวยกันทั้งคู่นอนนนน
แต่โชคดีที่ดูเหมือนว่าพี่เติร์ดจะไม่จี้ถามต่อ เขากลับไปเอนตัวนอนหนุนแขนตัวเองเหมือนเดิม “เปล่า ไม่ใช่เรื่องพรรค์นั้น”
ฮู้วววว รอดตัวหวุดหวิด ขอบคุณสวรรค์! “ละ... แล้วเรื่องอะไรเหรอครับ”
“ฉันต้องไปลาดตระเวณตั้งแค้มป์ในอุทยานอาทิตย์นึง”
“อ่อ…” ก็เรื่องงานนี่หว่า ส่วนตัวตรงไหนเนี่ยยยย “แล้วยังไงครับ”
“ฉันก็จะไม่ได้เจอหน้าเธอนานเลยไง”
“…”
เขาพลิกหัวมามองผมอีกรอบ ซึ่งทางด้านนี้ก็ตัวแข็งถื่อไปกับคำพูดนั้นเรียบร้อยแล้ว “แย่จังเนอะ”
เลิกจ้องหน้าผมสักทีดิ๊ เดี๋ยวกระโดดตะปบซะเลย “แย่ตรงไหนครับ ก็น้าต้องไปทำงาน”
“จะไม่คิดถึงกันเลยจริงดิ”
“…”
“ฉันอุตส่าห์เข้าข้างตัวเองว่าเธอคงจะคิดถึงกันบ้าง” เขาผ่อนลมหายใจ “เพราะฉันจะคิดถึงเธอแน่”
“เอ่อ...”
“นี่กูพูดออกไปแล้วสินะ” เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง
“พี่เติร์ด...” ฮือออ เอาไงต่อดีวะ ผมต้องพูดอะไรต่อ สถานการณ์นี้อึดอัดเป็นบ้า
“ช่างเถอะ” เจ้าหน้าที่หนุ่มโบกมือปัด “เธอวาดรูปอยู่ใช่มั้ย”
“…”
นี่เขาพยายามเปลี่ยนเรื่องสินะ... แต่ถึงเขาจะพูดเรื่องตะกี้ต่อ ผมก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงเหมือนกัน เอาเถอะ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้วล่ะครับ
ผมคลี่ยิ้ม พร้อมกับพยักหน้าช้าๆ มองคนนอนราบด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม มันค่อนข้างเขิน กระดากๆ ยังไงก็ไม่รู้ ต่างจากทุกครั้งจริงๆ...
“งั้นฉันนอนรอ ถ้าเธอเสร็จก็ปลุกฉันด้วย เดี๋ยวไปหาอะไรกินพร้อมกัน”
“ความจริงพี่เติร์ดไปหาอะไรกินก่อนก็ได้นะ น่าจะนานอยู่อะ” จริงนะครับ รูปๆ นึงใช้เวลาไม่ใช่น้อยๆ นะ ผมยังไม่ได้เก่งถึงขั้นอาจารย์เฉลิยชัยสักหน่อย
แต่ว่าคนโดนถามกลับส่ายหัวอีกรอบ “ฉันรอได้”
“งั้นไปนอนในห้องผมมั้ย”
“ไม่ ฉันอยากนอนตรงนี้”
“ทำไมดื้อจังครับ”
“ฉันบอกยายเธอว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนนะ” เขาว่า “ฉันต้องทำหน้าที่สิ”
“…”
“ฟีฟ่า” เขาส่งเสียงออกมาทั้งๆ ที่ตายังคงจับจ้องอยู่ที่ท้องฟ้าเบื้องบน ไม่ได้สนจะมองผมด้วยซ้ำ “เธอเคยลองวาดรูปมือเดียวมั้ย”
“เอ๋? ทำไมเหรอครับ”
“ฉันอยากจับมือเธอ”
“…”
“ได้หรือเปล่า?”
ผมนิ่งไปแป๊บนึง และคิดว่าจะไม่ตอบเขา แต่ค่อยๆ เคลื่อนมือตัวเองไปกุมมือใหญ่ของเขาด้วยตัวเอง ถึงมันจะสากแต่ว่ามันนุ่มนวลกับความรู้สึกของผมเหลือเกิน
พี่เติร์ดกระชับมือผมไว้แน่น แต่แปลกที่เขาไม่คิดจะหันมามองด้วยซ้ำ แต่ก็ดีแล้วครับ ผมจะได้ไม่เขินไปมากกว่าเนอะ
“อืม…” เปลือกตาบางๆ นั้นค่อยๆ ปิดลง “ขอแค่นี้แหละ”
แล้วลมหายใจของพี่เติร์ดเว้นช่วงจนสม่ำเสมอ เป็นอันรู้กันว่าพี่แกหลับไหลไปแล้วเรียบร้อย ผมเฝ้ามองหน้าอกสวยใต้เสื้อยืดนั้นขยับขึ้นลงด้วยความลืมตัว ก่อนจะเบนหน้าหนีเพราะรู้สึกร้อนขึ้นมาดื้อๆ น้าเอ๊ย ทำอะไรของน้าเนี่ยยยยยย
เฮ้อ... ผมว่าผมชักหมดอารมณ์กับน้ำตกตรงหน้านี้แล้วครับ จริงๆ เส้นที่วาดบนกระดาษมันดูแข็งๆ ชอบกล ผมไม่ค่อยพอใจกับผลงานชิ้นนี้เท่าไหร่เลย ลองวาดงานใหม่ดีกว่า
ผมกวาดสายตาไปเจอคนที่นอนอยู่ข้างๆ แล้วในหัวก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ผมเปลี่ยนกระดาษแผ่นใหม่ด้วยมือเดียวและพยายามขยับตัวให้น้อยที่สุดเพราะกลัวจะทำเขาตื่น และพอผมหยิบดินสอขึ้นมาจับ อยู่ๆ ก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าตัวเองซะงั้น แต่ดีนะที่อีกฝ่ายยังนอนอยู่ เขาเลยไม่รู้ว่าผมกำลังทำอะไร
ผมจับมือของคนข้างๆ ให้แน่นขึ้น และเริ่มลงมือวาดภาพด้วยมือขวาข้างเดียว ซึ่งแปลกมาก ทุกอย่างมันไหลลื่นไปหมด เหมือนผมกำลังทำงานที่มีแรงบันดาลใจอันเต็มเปี่ยมและสนุกไปกับมัน
ผมจะคิดถึงพี่แน่ๆ พี่เติร์ด ไม่ต้องกังวลหรอกน่า
TBC แวะทอร์กซักนิด ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะมานะคร้าบ
ยังไงก็ฝากถูกใจ คอมเม้นท์และแชร์นิยายเรื่องนี้ได้นะครับ
พูดคุยได้ที่ #ฤดูหลงป่า
หรือ facebook และ twitter เสิร์ช 'theneoclassic' ครับ ^^