EP.4ชายผู้หยุดเวลา

สิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งได้รู้อีกเรื่องในวันนี้ก็คือ บ้านยายไม่มี... wi-fi
นั่นยังไม่พีคเท่าไหร่ครับ เพราะหลังจากที่ทำใจน้อมรับชะตากรรมว่าอยู่ที่นี่คงต้องเล่นเน็ตผ่านมือถืออย่างเดียว (ซึ่งสัญญาณห่วยแตกบรม) ยังมีความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมช็อก นั่นคือ... บ้านเราไม่มีเครื่องซักผ้า!!
ฮืออออ จะบ้าตาย ไอ้ล้างจานน่ะผมยังทำพอไหว แต่ซักผ้าในกาละมังแบบที่ยายแนะนำมันสุดจะทนจริงๆ คนเราจะซักผ้าด้วยมือไปทำไมครับ ในเมื่อนักวิทยาศาสตร์เขาคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าเครื่องซักผ้ามาให้ เพราะงั้นผมเลยสะกดจิตตัวเองว่าจะขอทนใส่เสื้อผ้าที่ขนมาด้วยให้หมดสต๊อกก่อน หลังจากนั้นจะเอายังไงก็ค่อยว่ากัน แต่ความเศร้าทำให้ผมต้องระบายความในใจเป็นสเตตัสในเฟซบุ๊คเลยทีเดียว
เราเหมือนคนหลงป่า ช่วยด้วยยยยยย
ไม่ถึงนาที คนคอมเม้นท์แสดงความเห็นอกเห็นใจเป็นร้อยเลยครับ ฮือออ อ่านแล้วน้ำตาจะไหล ทุกคนยังคิดถึงผม ยังไม่ลืมผมกันจริงๆ ใช่ม้ายยยย
RRRRRRRR
โอ๊ะ มีคนโทรมาแฮะ พอเห็นชื่อ ‘มังคุด’ โชว์หราบนหน้าจอผมก็รีบกดรับทันที มันคงเห็นสเตตัสของผมแล้วล่ะสิท่า
“ฮาโหลๆ”
[ทำไมเสียงมึงอีโรติกจัง แฟ้บอยู่เรอะสัด]
“แฟ้บบ้าอะไรล่ะ เราจะนอนแล้ว” ขณะนี้เวลาสี่ทุ่ม หลังจากร้านปิดและรู้ความจริงทั้งหมดนั้นผมก็รีบพุ่งมานอนคลุมโปงนึกน้อยเนื้อต่ำใจกับโชคชะตาในห้องนอน จนได้ตั้งสเตตัสไปนั่นแหละครับ อันที่จริงก็เกือบหลับไปแล้วนะเนี่ย ไอ้เพื่อนรักมันดันโทรมาซะก่อน
[แล้วสเตตัสมึงหมายถึงอะไรอะ ที่นั่นไม่โอเคเหรอวะ]
“ก็โอเคอะ แต่งานหนัก มันเหนื่อยยยย”
[ว้าววว อยากเห็นภาพคุณชายทำงานเลยว่ะ คงเป็นบุญตากูแท้ๆ]
“เลิกแซวแล้วได้แล้วน่า แล้วนี่โทรมามีอะไรอีกมั้ยนอกจากคิดถึงเรา”
[คิดถึง? กูบอกมึงตอนไหนคะเพื่อน] ไอ้มังคุดชอบพูดคะกับผมอยู่เรื่อย เดี๋ยวจะโดนถีบ [แต่ก็คิดถึงจริงๆ อะแหละ สรุปแข่งเต้นฤดูกาลนี้วงเราถอนตัวเนอะ?]
พอมันพูดถึงเรื่องนั้นผมก็คิดได้ครับ ทุกๆ ปิดเทอมทีมคัฟเวอร์แดนซ์ของเราจะลงประกวดแข่งเต้นชิงเงินรางวัลเพื่อแบ่งกันเป็นค่าขนม และวง Twinkle Little Monkey ของเราเนี่ยเป็นแชมป์ต่อกันถึงสามสมัยเลยน้า แต่เทอมนี้หัวหน้าวงอย่างผมดันต้องมาช่วยงานคุณยายที่ต่างจังหวัดแบบนี้ เลยไม่มีใครเป็นตัวตั้งตัวตีพาทีมเดินสายประกวดอีกต่อไปแล้ว ฮือออ
“ก็คงต้องอย่างนั้นแหละ” หงอยเลยฮะ พูดแล้วก็เศร้า
[เอาน่า ถือว่าเราทำมากันเต็มที่แล้ว สักวันต้องได้กลับมารวมทีมแข่งอีกแน่ แยกย้ายไปจัดการเรื่องมหาลัยกันให้เรียบร้อยก่อน] เสียงไอ้มังคุดแผ่วไป ในฐานะรองกัปตันทีมมันคงเศร้าไม่แพ้กัน [แล้วที่นั่นเป็นไงอะ นอกจากงานหนัก]
ผมเหลือกตาใช้ความคิด “ก็... บรรยากาศดี ผู้คนน่ารัก เราต้องเข้าไปส่งข้าวในกรมอุทยานฯ ด้วยแหละ มีแต่น้าๆ เจ้าหน้าที่กับทหารแต่งตัวเท่ๆ เต็มไปหมดเลย”
[แล้วมีเพื่อนยัง?]
“เพื่อนเหรอ... ก็มีนะ อายุเท่าๆ เราชื่อแพดเม่”
[ชื่ออะไรนะ!?]
“แพดเม่!”
[ไอ้ฟ่ามึงแน่ใจนะว่าอยู่ต่างจังหวัดไม่ใช่ต่างประเทศ] มันทำท่าจะหัวเราะ [ชื่อโคตรจ๊าบอะ]
“เออดิ น่ารักด้วยนะเว้ยยยย แบบใสๆ ฟิลสาวต่างจังหวัดอะ” ถึงแม้วันนี้เธอจะแต่งตัวเซ็กซี่ยั่วยวนผมจนตัวแข็งถื่อไปยกนึงก็เถอะ ฮ่าๆ
“ฟีฟ่า”
หืม... ทำไมเสียงไอ้คุดเปลี่ยนไป “คุดเรียกเราเหรอ?”
[หืม? กูยังไม่ได้พูดห่าอะไรเลย]
“อ้าว แล้วตะกี้เสียง... แว้กกกกกกกก” ผมร้องลั่นเมื่อพลิกตัวไปทางหน้าต่างแล้วเจอเงายักษ์ทะมึนยืนอยู่ด้านนอก ตอนแรกนึกว่าผีตัวจริงเสียงจริงครับ แต่พอหรี่ตาดูดีๆ แล้ว... นั่นมั่นน้าเหม หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเจ้าเดิมนี่นา โว้ยยยย มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ตกใจหมด!!
เจ้าหน้าที่หนุ่มโน้มตัวลงมาเท้าแขนกับกรอบสี่เหลี่ยม หน้านิ่งๆ แอบกระตุกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางหวาดผวาสุดขีดของผมเข้า
“น้า! มาโผล่อะไรตรงนี้เล่า!”
[มึงคุยกับใครอะไอ้ฟ่า?]
“อ๋อ คุย...” ผมเหล่ตาไปยังผู้บุกรุก ที่บัดนี้นอกจากกระตุกยิ้ม พี่แกเลิกคิ้วกวนๆ ใส่ผมไปแล้วเรียบร้อย
“ทำไม? ฉันเข้ามาขัดจังหวะเธอคุยกับแฟนงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่แฟนสักหน่อย!” แหวะะะ ไอ้คุดเนี่ยนะ หาแฟนเป็นหมายังคุ้มค่าซะกว่า
[ตอบกูได้ยังว่าเสียงใคร!! เสียงดูดุๆ พ่อมึงเหรอ?] เสียงนั้นตื่นเต้นเกินเหตุ [เฮ้ย แต่พ่อมึงไม่ได้ไปด้วยไม่ใช่หรือไง]
โว๊ะ ลืมเพื่อนในสายไปเลย “เอ่อ... พี่แถวนี้อะ... งั้นแค่นี้ก่อนนะ”
[เดี๋ยว!? พี่อะไรเสียงเป็นผู้ใหญ่ขนาดนั้น ระวังนะเว้ย เดี๋ยวเขาเอามึง...]
ตู๊ด! นี่ ตัดสายมันซะเลย แถมตัดตรงประโยคสุ่มเสี่ยงซะด้วย แงง รู้งี้ฟังมันพูดให้จบก่อนดีกว่า ได้ยินแล้วเสียววาบบบ
พอวางโทรศัพท์ไว้ข้างหมอน ผมก็รีบพุ่งไปยังหน้าต่างทันที มันเป็นบานเดียวกับที่พี่เบี้ยวยื่นงวงเข้ามานั่นแหละครับ โหยยย เอาจริงก็อันตรายเหมือนกันว่ะ พวกโจรมันสามารถกระโดดเข้ามาปล้นผมได้เลยนะเนี่ย ต้องบอกให้ยายติดลูกกรงให้สักหน่อยแล้วครับ
ผมกอดอกมองคุณหัวหน้า “มีอะไรครับ มาซะค่ำมืด”
“เธอความจำเสื่อมหรือไง” คนแก่ถอนหายใจ ก่อนจะยื่นอะไรบางอย่างมาให้ตรงหน้า “ค่าข้าว บวกกัปทิป”
“เฮ้ยยยย” พอเห็นว่าเป็นเงินผมนี่รีบคว้าไว้เลยครับ ฮี่ๆ คนขี้งกก็เงี้ย “ขอบคุณนะครับ นึกว่าน้าจะลืมซะแล้ว”
“หึ” หน้าหล่อๆ เลิกคิ้วอีกรอบ “แล้วใครตะโกนบอกว่าจะรอวะ?”
“หืม จริงเหรอ ผมเคยพูดอย่างนั้นเหรอ” จริงๆ จำได้แหละครับ กวนตีนน้าเขาไปงั้นแหละ อิๆ
“ไอ้บื้อเอ๊ย!” มือหนาๆ ยื่นเข้ามาขยุ้มหัวผมซะให้ยุ่ง โอ๊ยยย “ร้านปิดแล้วเหรอ”
“นี่คุณเจ้าหน้าที่ ช่วยดูเวลาด้วยได้มั้ยครับ” ดึกดื่นป่านนี้ใครมันจะมาเปิดรอเล่าาาา
“แต่ฉันหิว”
“ฮะ!?” ผมเบิกตากว้าง “ให้ผมไปปลุกยายมั้ย...”
“เธอจะบ้าหรือไง ให้ป้าปัดแกนอนไปเถอะ”
“แล้วน้าจะกินอะไรล่ะ บอกไว้ก่อนเลยนะว่าผมทำกับข้าวไม่เป็น” เคยแต่คลุกข้าวกับปลาทูให้แมวที่เคยเลี้ยงตอนเด็กๆ ครับ และแน่นอนว่านั่นไม่ใช่อาหารคน อิๆ
น้าเหมยืดตัวตรง ทำให้ผมรู้ว่าเขาสูงกว่าหน้าต่างบานนี้ซะอีก “อยากนั่งรถเล่นมั้ย”
“อะไรนะครับ...”
“ฉันว่าจะไปกินข้าวต้ม ไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ”
“แต่ว่า...”
“กลัวยายเหรอ?”
“เอ๊า กลัวสิ! น้าก็ถามมาได้!” ไม่รู้อะไรซะแล้วววว อยู่กับยายบรรยากาศเหมือนตอนที่โดนขังอยู่ในห้องปกครองไม่มีผิด ทำอะไรก็ต้องอึดอัดระแวดระวัง ฮือออ
“ไม่เป็นไรน่า แกนอนอยู่ ฉันจะมาส่งเธอก่อนที่แกจะรู้ตัวว่าหลานชายหายไปด้วยซ้ำ”
โหยยยย นี่มันเข้าข่ายคดีอุกอาจเลยนะเนี่ย แต่ฟังดูแล้วน่าตื่นเต้นชะมัด บอกตรงๆ เลยครับว่าตอนนี้ผมเริ่มเบื่อๆ อยากหาอะไรสนุกๆ ทำเหมือนกัน แต่ก็แอบกลัวว่าถ้าโดนจับได้แล้วจะซวย
“มัวแต่คิดอะไรอยู่ล่ะ”
“คือว่า...”
“ถือว่าตอบแทนความน่ารักของเธอที่ป้อนข้าวฉันวันนี้”
“…”
“มาเหอะน่า ฉันรู้ว่าเธอกำลังเซ็ง”
“เป็นความลับแค่น้ากับผมนะ”
หน้านิ่งๆ นั้นผงกขึ้นลง แต่ผมรับรู้ได้ว่ามันคือการรับปากอย่างหนักแน่น มันเลยทำให้ผมเบาใจขึ้นมา
“ฉันไม่บอกยายเธอหรอก”
โอเค... ถ้าในเมื่อคุณหัวหน้ารับคำขนาดนี้ ผมเลยไม่ลังเลสักกะนิดตอนที่ปีนออกไปนอกหน้าต่าง จัดการคว้ามือหนาๆ ที่ยื่นมารอรับอยู่ก่อนแล้วเพื่อพะยุงตัว ผมยิ้มแป้นเมื่อประจันหน้ากับคุณน้าที่กำลังมองผมมาอย่างนิ่งๆ เหมือนทุกที
“พาผมเสเพลได้เลยเพ่!!”
น้าเหมพาผมขึ้นรถจี๊บขับเข้ามาในตัวเมืองครับ ตอนที่เห็นเสาไฟฟ้ากับถนนลาดยางมะตอยผมนี่ยิ้มออกมาเลย ผมเป็นพวกวัตถุนิยม ดีใจทุกครั้งเมื่อเห็นตึกรามบ้านช่องมากกว่าต้นไม้ใบหญ้า เพราะงั้นผมถึงมีความสุขมากเวลาที่บ้านไปเที่ยวประเทศเจริญๆ อย่างเกาหลี ฮ่องกง สิงคโปร์ ในขณะที่เจ๊กับเฮียของผมชอบไปเที่ยวที่ติสๆ สโลว์ไลฟ์เปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมซึ่งผมไม่อินกับพวกมันเอาซะเลย ผมเลยโกรธมากตอนที่โดนเฮียโฟมหลอกไปอินเดีย คุณชายอย่างผมนี่เฉาเป็นแมวขาดเมียเลยทีเดียว ไปแต่ละที่แทบปลงกับชีวิต และสาบานกับตัวเองว่าต่อไปนี้จะไม่ไปเที่ยวกับพวกพี่ๆ อีกแล้ว กลัวทรมานนน
คุณเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ เลือกเลี้ยวเข้ามาในร้านข้าวต้มโต้รุ่งที่มีผู้คนมากมายคุยกันจอแจ น้าแกบอกว่าร้านนี้ขึ้นชื่อมากๆ ใครมาจังหวัดนี้ต้องแวะลิ้มลองรสชาติกันทุกคน ตอนแรกผมก็เฉยๆ นะ แต่พอเจอกับข้าวแต่ละอย่างที่น้าแกสั่งไปผมนี่ถึงกับต้องขอข้าวต้มเพิ่มอีกชามเลย ฮือออ เห็นอาหารแบบที่คนปกติเขากินกันแล้วหิวขึ้นมาเฉย ขอโทษที่อุดหนุนร้านคนอื่นนะครับคุณยายยย
“ค่อยๆ กิน เดี๋ยวก็สำลักตาย” คุณน้าหน้าหล่อแต่ไร้อารมณ์พูดออกมาตอนที่เห็นว่าผมจ้วงข้าวต้มเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ก็ที่ร้านยายไม่มีอะไรอย่างนี้นี่ครับ” ว่าแล้วก็ตักผัดผักบุ้งหมูกรอบเข้าปากอีกคำ ง่ำๆๆ
“ยายเธอขายอาหารป่า มันก็ต้องไม่มีของพวกนี้อยู่แล้ว”
“ผมกินไข่เจียวหมูสับมาสองวันแล้วนะน้า ขอผมเอ็นจอยหน่อยเห้ออออ”
“ไม่มีใครแย่งเธอกินหรอกน่า”
“ไม่ต้องพูดมากเลย” ผมมองค้อนใส่คนตรงหน้า “แล้วน้าไม่กินบ้างล่ะ ไหนบอกว่าหิว”
“ฉันเห็นเธอกินก็อิ่มแล้ว”
หืมมม พูดอะไรของน้าเขาวะ แต่ช่างเถอะครับ ถ้าไม่รีบกินผมแย่งกับข้าวหมดจะมาว่ากันไม่ได้น้า ง่ำๆๆ
เออ พอพูดถึงอาหารป่าก็นึกขึ้นมาได้ครับ มีเรื่องจะคุยกับคุณน้าเขาพอดี
“คนบาป”
คนตรงหน้านิ่งไปทันทีเมื่อโดนผมจ้อง “เธอว่าฉันทำไม?”
“ก็น้าทำงานเป็นหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า แต่ยังจะใจร้ายสั่งอาหารป่าคุณยายกิน”
“ฮะ!? - - อะไรนะ? หึๆ”
“หัวเราะทำไมครับ ใจร้ายแล้วยังเลือดเย็นอีก ดูแลสัตว์ป่ายังกล้ากินสัตว์ป่าอยู่ได้ คนอะไรเนี่ย”
“เธอรู้มั้ย เธอเป็นคนที่ทำให้ฉันส่ายหัวมากที่สุดตั้งแต่มาประจำการอยู่ที่นี่เลย”
แหมมม ก็ต้องรู้อยู่แล้วสิ ผมพูดอะไรแต่ละทีก็เห็นน้าแกส่ายหัวตลอดอะ ไม่รู้จะโกรธเกลียดอะไรกันนักหนา ใจร้ายชะมัด
“ฉันจะอธิบายให้ฟังนะ” คนแก่กว่าวางช้อน “อาหารป่า คืออาหารประเภทหนึ่ง ที่มีสูตรและวัตถุดิบต่างจากอาหารทั่วไป และถึงมันจะเป็นแบบนั้นก็ไม่หมายความว่าคนทำอาหารป่าจะระรานสัตว์ป่าหรอกนะ”
“อ้าว...”
“เธอคิดว่าป้าปัดแกเข้าป่าไปยิงกวางมาทำเป็นอาหารหรือไง” คุณน้าส่ายหัวรอบที่สองร้อยล้าน “ทุกอย่างในร้านยายเธอน่ะส่งมาจากฟาร์มทั้งนั้น”
“จริงเหรอ” ตาผมเป็นประกายเลยครับ โหยยย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยแฮะ
“และอีกอย่างนะ หน้าที่ของฉันคือดูแลและปกป้องสัตว์ที่อยู่ในป่าไม่ให้โดนรุกรานหรือลดจำนวนลงไปมากกว่านี้ แต่ฉันสามารถกินเนื้อสัตว์ที่ถูกเลี้ยงมาเพื่อเป็นอาหารได้ เพราะฉันก็เป็นมนุษย์คนนึงที่ต้องบริโภคและใช้โปรตีนเพื่อดูแลร่างกาย เข้าใจหรือเปล่า?”
“โหยยยย แจ่มแจ้งเลยครับ” ผมย่นจมูก รู้สึกผิดนิดๆ เลยแฮะ “ขอโทษนะฮะ”
“หึ ไม่เป็นไร แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่กินสัตว์ใหญ่อย่างพวกกวาง เลียงผาอะไรนั่นเหมือนกัน” เขาว่า “กินไม่ลง”
“แล้วกระต่ายล่ะฮะ” ผมถามต่ออย่างกระตือรือร้น
“หืม?”
“ในเมนูร้านยายผมเห็นว่ามีกระต่ายด้วย น้ากินหรือเปล่า”
ดวงตาคู่นั้นอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด “ไม่ ฉันไม่กินกระต่าย”
“เฮ้อออ ค่อยยังชั่ว” โล่งอกเลยครับ ชนิดว่าตัวเบาหวิวขึ้นมาเลยทีเดียว “น้าอย่ากินกระต่ายนะรู้มั้ย มันน่ารักเกินกว่าจะเป็นอาหาร”
“ไม่ต้องกลัว อะไรที่น่ารักๆ ฉันมักจะเอ็นดูเสมอ”
“แหมมม แบบพวกสาวๆ อะดิ”
น้าเหมขยับท่านั่ง ทำเป็นบิดขี้เกียจไปมา “อืม ประมาณนั้น”
แต่ก่อนที่จะพูดอะไรต่อ สายตาผมดันไปเห็นอะไรบางอย่างบนผิวหนังของคุณหัวหน้าเข้า มันเป็นสีดำสนิทตัดกับผิวสีน้ำตาลอ่อนจนเห็นได้ชัด โผล่วับๆ แวมๆ ออกมาจากใต้แขนเสื้อยืดที่แน่นเปรี้ยเพราะกล้ามสวยได้รูป
“เฮ้ยยย น้าสักด้วยเหรอออ” ผมตาโต คราวก่อนที่น้าเขาถอดเสื้อผมไม่ทันสังเกตแฮะ
คุณเจ้าหน้าที่หนุ่มเลิกคิ้ว มองตามที่ผมชี้ ก่อนจะขยับแขนเสื้อรัดๆ ให้เลิกขึ้นไปเพื่อให้ผมสิ่งนั้นได้ชัดขึ้น โอ้ววว มันเป็นเลข ‘3’ ครับ ชัดๆ ตัวโตๆ อยู่เหนือข้อศอกด้านขวาขึ้นไปนิดเดียว
“มันแปลว่าอะไรอะครับ?”
“ก็เลขสามไง”
แป่วววว “ผมรู้จ้าาา ผมหมายถึงว่ามันมีความหมายอะไร”
คุณน้าชะงักไป เหมือนลังเลใจว่าจะบอกผมดีหรือเปล่า
“เธออยากรู้เหรอ”
“อ้าว ผมถามก็ต้องอยากรู้สิ” ผมชะโงกหน้าเข้าไปใกล้จนอีกฝ่ายแอบขยับหนี แหนะ ขอดูชัดๆ หน่อยเด้
“มันเป็นชื่อ”
“ชื่อแฟน?”
“ชื่อฉัน”
“หาาาาา” ผมอ้าปากค้าง “น้าชื่อเหมไม่ใช่หรือไง”
“เหมเป็นชื่อที่ลูกน้องเรียก ตามชื่อจริง ‘เหมราช'” เขาว่า “แต่นี่เป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้”
“น้าชื่อสามเหรอ!!”
“เปล่า” เขาลูบรอยสักตัวเองไปมา “ชื่อเติร์ด เพราะฉันเป็นลูกคนที่สาม”
“เฮ้ยยย ผมก็เป็นคนลูกคนที่สามเหมือนกันนน”
“…"
ผมยิ้มยั่ว หึๆๆๆ ไหนๆ ก็รู้ความจริงแล้ว ขอล้อชื่อเล่นของน้าแกหน่อยนะครับ “บังเอิญจังนะครับ พี่เติร์ด!!”
“ทำไมทีงี้ไม่เรียกว่าน้า”
“โหยยย เติร์ดมันไม่เหมาะกับคำว่าน้าอะ อย่างชื่อเหมมันดูเก่าๆ โอลสคูลๆ เรียกนำหน้าว่าน้าได้ แต่น้าเติร์ดเงี้ยไม่เหมาะเท่าไหร่ ต้องพี่เติร์ด!”
“อย่าพูดไปล่ะ ฉันไม่อยากโดนลูกน้องล้อ” คนแก่ชี้หน้าคาดโทษ
“ไม่รู้สินะ น้าต้องติดสินบนผมไม่ให้ปากมากแล้วล่ะ ฮ่าๆๆ”
“เฮ้อ” แหนะะะ ส่ายหัวอีกแล้ว เห็นแล้วอยากพุ่งเข้าไปดึงหนวดบนหน้าแกชะมัด หมั่นเขี้ยววว “เอาเถอะ”
“…”
“ฉันยอมให้เธอเรียกพี่เติร์ดคนเดียว ตกลงมั้ย?”
“อะ...เอ่อ ได้เหรอครับ” แค่ตั้งใจจะล้อชื่อแกเฉยๆ นะครับ ไม่ได้คิดจะเรียกจริงจังสักกะหน่อย
“อืม” เขาหลุดยิ้ม
“เพราะพูดตรงๆ ฉันเกลียดเวลาที่เธอเรียกฉันว่าน้าเหมือนกัน” “…”
“เธอเห็นฉันเป็นพี่บ้างก็ดี” “เอ่อ...” ทำไมต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้นด้วยเล่าาาา และคนมีหนวดมีเคราทำหน้าอย่างนี้มันยิ่งเห็นแล้วเครียดดดดด เอาจริงผมไม่กล้าเรียกหรอก คนอื่นที่นี่เรียกเหมกันหมด ผมจะได้สิทธิพิเศษเรียกเขาว่าพี่เติร์ดคนเดียวได้ยังไง ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นสักกะหน่อย
“พูดเรื่องของเธอบ้างดีกว่า” เขาเท้าแขนมองหน้าผมจังๆ “อายุเท่าไหร่ เรียนที่ไหน มีแฟนหรือยัง แล้วทำไมถึงตัดสินใจมาที่นี่”
“ถามเยอะจังเลยนะครับ แฮะๆ” ตอบคำถามไหนก่อนดีล่ะเนี่ย “อืม... ผมชื่อฟีฟ่า อายุสิบแปด ตอนนี้สอบติดมหาลัยแล้วครับ มาที่นี่เพื่อที่จะพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่าผมสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว”
คิ้วเข้มๆ ย่นเข้าหากัน “ยังตอบไม่ครบเลย”
“น้าจะถามผมเรื่องแฟนทำไมเล่า” ผมกลอกตาด้วยความหงุดหงิด “ยังไม่มีครับ พอใจยัง”
“อืม พอใจ”
“น้าล่ะครับ มีเมียหรือเปล่า”
“อะไรนะ?” เขาทำหน้าเหมือนคำถามของผมเหลือเชื่อเกินกว่าจะออกจากปากเด็กตัวเท่านี้ ทำไมอะ เขาถามผมได้ ผมก็ต้องถามเขากลับได้สิฮะ
“ตอบมาเร้วววว” ผมวางช้อนบ้าง กอดอกรอคำตอบจากเขาเลยทีเดียว “คราวก่อนที่ถามก็ทำเป็นดุ คราวนี้ต้องตอบแล้วล่ะครับ”
“เคยมี แต่ตอนนี้ไม่มี”
“โหยยย หล่อๆ เข้มๆ อย่างน้าเนี่ยนะไม่มี” ไม่อยากจะเชื่อเลยแฮะ “ไม่เคยแอบรักใครเลยเรอะ”
“ใครจะไม่เคยวะ” เขาดุผม “แต่ฉันเลิกคิดเรื่องแบบนั้นมานานมากแล้ว”
“อ้อ…”
อยู่ๆ คนตรงข้ามโต๊ะก็ทำเป็นเกาท้ายทอย เฉไฉมองอาหารตรงหน้าแบบไม่รู้สาเหตุ
“แต่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนใจกลับมาคิดแล้วเหมือนกัน” ผมถึงกับยิ้ม “ผมรอดูหน้าแฟนน้านะครับ”
“หึ” เขาเอื้อมมื่อมาขยี้หัวผมอีกรอบ “อิ่มแล้วใช่มั้ย จะได้กลับบ้าน”
“อื้อ อิ่มแล้วฮะ”
อิ่มทั้งอาหาร แล้วก็อิ่มกับความรู้สึกด้วยฮะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมได้คุยกับน้าเขาแล้วผมรู้สึก... สบายใจ อบอุ่น ปลอดภัย และมีความสุขยังไงๆ ก็ไม่รู้
“ยิ้มอะไรของเธอ”
“น้าอย่าทิ้งผมนะ”
“…”
“อยู่ที่นี่ผมเหงามากเลย” ผมพูดตรงๆ ตามความรู้สึกของตัวเอง “เราเป็นเพื่อนกันนะครับ”
น้าเหมไม่ได้ตอบอะไรในทันที เขากลับเอียงคอมองเหมือนต้องการสำรวจสารรูปของผมให้เต็มตา และสุดท้ายเขาก็ยิ้มออกมา ซึ่งมันไม่ได้เหมือนกับยิ้มกวนๆ มึนๆ เฉยชาอย่างที่เขาชอบทำ แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากความรู้สึกข้างในจริงๆ ไม่ต่างจากผมที่กำลังเป็นอยู่
“ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนเธอ”
“โหยยยย” คำตอบของเขาแสกหน้าผมจังๆ ฮืออ อุตส่าห์เค้นดราม่า
“แต่ฉันจะไม่ทิ้งเธอหรอก” อยู่ๆ เขาก็จริงจังขึ้นซะงั้น เล่นเอาผมงง “ฉันรับรอง”
แหงะ... บ้าเอ๊ย พอเขาพูดอย่างนั้นผมถึงกับเม้มปากแน่นเลยฮะ เหมือนกับว่าเสียงของเขาจิ้มต่อมอะไรบางอย่างดังจึ้ก! ชวนให้ผมจั๊กจี้ครุๆ คริๆ สั่นระริกไปหมด
แต่ถึงยังไงก็เถอะ สุดท้ายผมก็ได้แต่ก้มหน้าเล่นนิ้วตัวเองอยู่ใต้โต๊ะ โหยยย แก้มผมต้องกลายเป็นสีส้มไปหมดแล้วแน่ๆ เผลอๆ ตัวอาจจะแดงก่ำเป็นเอเลี่ยนเหมือนที่เพื่อนเคยล้อไว้ด้วยซ้ำ
ฮือออ ดีใจชะมัดเลย ผมมีเพื่อนใหม่แล้วครับทุกคน!!
“ขอบคุณนะครับ”
แล้วเราก็กลับมาถึงบ้านอย่างสวัสดิภาพ ดูเหมือนว่าคุณยายจะยังไม่รู้ว่าผมหายตัวไปซนกับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานคนนี้มาแฮะ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดีแล้วครับ รอบนี้เราเลยระแวดระวังเป็นพิเศษโดยการจอดรถไว้ไกลหน่อย แล้วพากันเดินกลับมาที่บ้านแทน จริงๆ ผมเดินมาเองคนเดียวได้นะ ไม่รู้น้าเขาจะมาส่งผมทำไมเหมือนกัน ว่างเรอะ เห็นตอนกลางวันยุ่งเชียวว
เอาล่ะถึงหน้าต่างห้องผมแล้ว ผมคงต้องรีบปีนกลับไปชดใช้กรรมต่อ ต่อไปนี้ฉันจะตั้งฉายาแกว่าหน้าต่างไปที่ไหนก็ได้ วะฮ่าๆๆๆ
ผมหมุนตัวไปบอกลาคนพาหนีเที่ยว “ฝันดีนะครับ”
“อืม... ปีนเข้าไปได้ใช่มั้ย”
“หา!? ได้สิครับ ฮ่าๆ” ถามอะไรของน้าเขาวะเนี่ย ผมปีนออกมาได้ก็ต้องกลับเข้าไปได้สิ ไม่ใช่เด็กแล้วนะโว๊ะ!
“อืม” จู่ๆ เขาก็แทรกตัวเบียดเข้ามาทำท่าจะปีนเข้าห้องผมซะงั้น เล่นเอาผมตะลึงงันดึงเสื้อยืดเข้าไปทันที เฮ้ยยยย
“น้าจะทำอะไรเนี่ย!!”
“อ้าว ก็เธอบอกว่าให้ปีนเข้าไปได้”
โว้ยยยย ไอ้ฟีฟ่าจะบ้าตาย ผมมึนหรือน้ามึนวะ “ผมก็นึกว่าน้าถามว่าปีนกลับเข้าไปได้หรือเปล่า ไม่คิดว่าน้าจะหมายถึงว่าให้ตัวเองเข้าไปได้มั้ย!!”
“แล้วสรุปเข้าไปได้มั้ย?” เขาถามหน้าตาย
“ไม่ได้ดิ!! นี่มันห้องส่วนตัวนะครับ!!”
“อ่า โทษๆ” แล้วเขาก็ถอยออกมายืนนิ่งจ้องผมอยู่ข้างหลังแทน
บนจะมึนก็มึนเฉยเลยเนอะ แล้วมาว่าผมเป็นเด็กบื้อ หึ
เอ๋? ผมคุณเจ้าหน้าที่เขามองแปลกๆ แฮะ ไม่ค่อยน่าไว้ใจเลย “น้ามีอะไรอีกหรือเปล่าครับ”
“มี” เขาพูดนิ่งๆ “ฉันขอเบอร์เธอหน่อยได้มั้ย”
งะ... อยู่ดีๆ ก็พูดพรวดออกมาเลยเรอะ ไม่มีปี่มีขลุ่ยของแท้ แล้วสมัยนี้ยังมีคนขอเบอร์โทรกันอีกหรือไง โบราณชะมัด
“เอ่อ... เอาไลน์ไปแทนได้มั้ยครับ”
“ฉันไม่มีไลน์”
“อ้าว” ผมตาโต “กาเกา วีแชตไรงี้มีมั้ยฮะ”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น” แล้วเขาก็ล้วงอะไรบางอย่างออกมาโชว์ มันคือโทรศัพท์มือถือครับ แต่มันเป็นรุ่นที่เอาไว้โทรเข้าโทรออกธรรมดาๆ ไม่ใช่สมาร์ตโฟน เครื่องสั้นๆ อ้วนๆ หนาๆ ชนิดที่ว่าปาหัวหมามันคงร้องเอ๋งวิ่งกลับบ้านไม่คิดชีวิต
โหยยย นี่น้าเขาคิดว่าตัวเองเป็นพี่ติ๊ก เนวิเกเตอร์หรือไง ทำงานในป่าแต่ไม่ต้องทำเหมือนตัวเองเป็นคนป่าก็ได้!! ตำแหน่งงานของน้าเขาเงินเดือนเท่าไหร่กันเนี่ยย ให้ที่บ้านส่งเครื่องสำรองของผมมาให้เขาใช้ซะดีมั้ยเนี่ย เห็นแล้วสงซ้านนสงสาร
“งั้นเอาเบอร์น้ามาก็ได้ครับ”
“ตลกเหรอ ฉันขอเบอร์เธอ เธอต้องเป็นคนให้ฉัน”
“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
“เป็น” น้ำเสียงของคุณเจ้าหน้าที่ช่างจริงจังและหนักแน่นเหลือเกิน “มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี”
“…”
“แค่บอกเบอร์มา มันยากตรงไหนวะ”
“เฮ้อออ” กูล่ะเหนื่อยกับคนแก่เหลือเกิ๊นนนน “จดนะครับ ศูนย์แปดสอง...”
“เดี๋ยว!” อ้าววว กำลังจะบอกนี่ไง ยกมือห้ามทำไมเนี่ยยย
แต่ยังไม่ทันจะถาม น้าแกก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเล็กๆ ที่เหน็บอยู่ตรงเข็มขัด ผมกำลังจะสอดรู้สอดเห็นชะโงกไปสำรวจอยู่แล้วแท้ๆ แต่รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียง
แชะ! พร้อมกับแสงแฟลชสว่างโร่ เล่นเอาตาผมเบลอหมุนติ้วๆ ไปหมด โอยยยย
“หึ เรียบร้อย” เขายื่นแผ่นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามาให้ แล้วผมก็ประติดประต่อได้ทันทีว่าไอ้เจ้าที่อยู่ในมือของน้าคนนี้คือกล้องโพลารอยด์!!
แหงะ ว่าแต่รูปที่น้าแกยื่นมาให้เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วครับ โหยยยย หน้าเอ๋อเป็นเด็กโข่งเลย ฮือ แน่จริงอย่าแอบถ่ายตอนเผลอเซ่!
“ถ่ายใหม่ได้มั้ยน้า”
“ไม่ได้” คนพูดแยกเขี้ยว และยื่นปากกาแท่งเบ้อเร่อใส่หน้าผม “เขียนชื่อกับเบอร์โทรไว้ข้างหลังซะ”
“น้าจะทำอะไรให้ยุ่งยากทำไมว้า~”
“อย่างอแง เขียนๆ ไปซะไอ้หนู”
“เฮ้อ” บ่นไปอย่างนั้นแหละครับ สุดท้ายผมก็เขียนชื่อ ‘น้องฟีฟ่า’ กับเบอร์โทรครบทุกหลักไว้ด้านหลังรูปแผ่นนั้นโดยดี โหยยย จะว่าไปมันก็เจ๋งดีแฮะ เอามือถือมาถ่ายมันเก็บไว้บ้างดีกว่า
“เอามานี่!”
“อ้าว” มือของผมค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ อย่าเพิ่งแย่งไปดิน้า! “ผมยังไม่ถ่ายเก็บไว้เลยนะ”
“มันเป็นของฉันแล้ว” เขาพูดหน้านิ่ง จัดการยัดภาพของผมแทรกลงไปในกองทัพรูปโพราลอยด์ใบอื่นๆ ซึ่งถูกรัดไว้อย่างรันทดด้วยหนังยางสีแดงแบบที่เขาใช้รัดถุงข้าว โหยยยย เห็นแล้วอยากซื้อกล่องให้แกใส่ รูปสวยๆ เจอลมเจอแดดมันก็เสียหมดสิ เสียดายอะ
ว่าแต่ ผมนึกว่าน้าเขาจะโรคจิตแอบถ่ายผมคนเดียว สรุปมีเป็นตั้งเลยเรอะ
“นั่นคือวิธีเมมเบอร์ของน้าเหรอครับ”
เขาชูของในมือพร้อมทั้งทำหน้าภูมิอกภูมิใจ “อืม มันคือสมุดโทรศัพท์ของฉัน”
“เพี้ยนอะ”
“เพี้ยนตรงไหนวะ ก็สมมุติว่าฉันจะโทรหาเธอ...” น้าเหมไล่นิ้วค้นหารูปของผม เมื่อเจอก็ยื่นมันใส่หน้าทันที ผมเห็นตัวเองในรูปเต็มสองตาเลยล่ะ “ฉันก็จะเจอเบอร์ และหน้าตาของเธอด้วย”
“…”
“วิธีนี้จะทำให้รู้ว่าความสัมพันธ์ของฉันกับคนที่จะโทรหาเป็นยังไง เวลาคุยจะได้ต่อกันติด”
“เหรอ...” ผมพยักหน้า หึ ก็เป็นวิธีที่เท่ดี ยอมรับก็ได้โด่ววว “แล้วพอเห็นรูปผม น้าจะทำยังไงอะ”
“รูปเธอเหรอ...” คุณเจ้าหน้าที่หนุ่มเกาคาง พินิจพิเคราะห์เฟรมโพรารอยด์ใบนั้นอย่างตั้งใจ “ฉันเห็นแล้วคงบ่นว่า...
เด็กบื้อ”
“…”
“ต้องโทรหาหน่อยแล้ว ...คิดถึง” “เอ่อ...”
คนมีหนวดเครายักไหล่เมื่อเห็นว่าผมนิ่งไป “ฉันแค่ยกตัวอย่าง”
“อ๋ออออออ” ฮู้ว! แล้วไป โล่งอก “เอาเถอะครับ... แล้วผมต้องขอเบอร์น้าบ้างมั้ยเนี่ย”
“ไม่ต้อง ไว้ฉันโทรมาหาเธอเอง”
“อื้อ ตามนั้นครับ หาวววววว” โหยยย มัวแต่คุย ดึกแค่ไหนแล้วเนี่ยยยย ง่วงชะมัดเลย “ผมไปนอนก่อนนะฮะ”
“อืม ฝันดี”
พอเขาพูดว่าฝันดี ผมนี่ชะงักเลยครับ นั่งขาคร่อมข้างเติ่งคาหน้าต่าง พร้อมทั้งยิ้มกว้างมองเขาทันที
“ขอบคุณนะพี่เติร์ด” แฮะๆ ขอล้อหน่อยเห้อออ “ผมสนุกมาก อิ่มแปล้ด้วยยย”
คุณเจ้าหน้าที่หนุ่มกระตุกยิ้มอีกครั้ง และเช่นเคยครับ มันพาลให้หนวดเคราเท่ๆ ของเขากระตุกตามไปหมด โหยยย อย่างกับเจ้าหมียักษ์ดีใจที่ได้อาหารแหนะ
“พี่ก็สนุกเหมือนกันฟีฟ่า” เสียงนั้นพูดเบาๆ ทิ้งท้าย ก่อนที่ผมจะมุดเข้าไปในมุ้ง และค่อยๆ เอนตัวพิงหมอน หลับไหลไปในที่สุด zzZZzz
TBC 
แวะทอร์กซักนิด วันนี้เรามีบริการป้อนข้าวส่วนตัววว
ฮี่ๆๆๆ แหม่ มันก็ต้องแอ๊วเอินกันสักบทละเนอะ หวังว่าจะชอบกันนะครับบบบ
ฝากเก็บความลับของน้าเหมไว้ด้วยนะ จุ๊ๆๆๆ
ยังไงก็ฝากถูกใจ คอมเม้นท์และแชร์นิยายเรื่องนี้ได้นะครับ
พูดคุยได้ที่ #ฤดูหลงป่า
หรือ facebook และ twitter เสิร์ช 'theneoclassic' ครับ ^^