EP.1ช้างเผือกแห่งกรมอุทยาน

คิดผิดคิดถูกที่มาล่ะเนี่ย... ผมกลืนน้ำลายไปหลายอึกนับตั้งแต่รถครอบครัวราคาแพงของเราค่อยๆ แล่นออกมาจากตัวเมืองของจังหวัดหนึ่งทางภาคตะวันตก ยิ่งขับไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งห่างไกลความเจริญเท่านั้น จากตอนแรกที่สองข้างทางมีแต่ตึกรามบ้านช่อง ตอนนี้กลายเป็นบรรยากาศชนบทเต็มไปด้วยต้นไม้และทุ่งกว้างไร้ผู้คน ถนนลาดยางที่เคยขับนิ่มๆ ส่งต่อสู่ถนนดินแดงแสนขรุขระ หัวผมนี่สั่นด๊อกแด๊กเป็นตุ๊กตาหัวสปริงก์ตลอดทางเลยทีเดียว ฮือออ
ไม่เอาๆ ขอส่ายหัวไล่ความกลัวของตัวเองแป๊บ แค่เดือนเดียวเอง ผมต้องทำได้สิไอ้ฟีฟ่า! คิดซะว่ามาเข้าค่ายลูกเสือ so sad นิดหน่อยในวันแรก ทนๆ ไปพริบตาเดียวเดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้วววว ทีนี้แหละจะได้อยู่หอสมใจอยากโดยไม่มีใครมาขัดอีกต่อไป ฮี่ๆๆๆ
พูดถึงคุณยาย จำได้ลางๆ ว่าบ้านท่านเปิดเป็นร้านขายอาหารป่าที่อร่อยที่สุดในละแวกนั้น ตอนนั้นผมยังเด็กแต่ก็ไม่เคยลืมภาพลูกค้ามากหน้าหลายตาที่ยืนต่อคิวรอลิ้มรสอาหารป่ารสชาติอร่อยเหาะจนล้นออกมาจากร้านเลย
แต่หลังๆ มานี้แอบได้ยินม๊าคุยกับป๊าว่าคุณยายแก่มากแล้ว ไม่สามารถรองรับลูกค้าได้มากมายเหมือนแต่ก่อน บวกกับมีร้านอาหารอร่อยๆ จากฝีมือคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ผุดขึ้นเป็นว่าเล่น ความนิยมของร้านเราก็ค่อยๆ ลดลงไป คุณยายก็เลยปรับขนาดร้านลงให้เล็กจนเกือบคล้ายกับร้านอาหารตามสั่ง คอยทำข้าวกล่องส่งคนในละแวกใกล้ๆ และขายลูกค้าที่เข้ามาแบบตามมีตามเกิดแทน
คิดแล้วก็เสียดายนะฮะ ถ้าคุณยายเข้ามาเปิดร้านอาหารในกรุงเทพคงจะรวยเละทีเดียว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมท่านถึงดึงดันจะอยู่ที่นี่ต่อ ม๊าบอกว่าท่านเคยโกรธม๊าที่หนีไปอยู่กินกับคนรวย กลับมาอีกทีก็ตอนม๊าท้องเจ๊เฟิร์สทำให้ท่านรับไม่ได้ไล่ตะเพิดวงแตกกระเจิงกันไปทั้งผัวทั้งเมีย แทบจะตัดลูกตัดแม่กันเลย แต่พอนานวันไปคุณยายแกก็ใจอ่อนยอมให้ครอบครัวเราแวะเข้ามาเยี่ยมอยู่บ้าง แต่ท่านก็ยังปฏิเสธเงินจากทางป๊ากับม๊าแทบทุกครั้ง บอกว่าท่านเลี้ยงตัวเองได้ไม่ต้องการความเห็นใจจากใครทั้งนั้น ผมฟังแล้วก็ได้แต่สูดปากซี๊ดดด ครอบครัวเราดราม่าไม่แพ้ละครช่องวันเลยอะ
เอี้ยดดดดด
เย้ย! มัวแต่เหม่อ รู้ตัวอีกทีคนขับรถก็เหยียบเบรกซะเต็มแรงจนตัวผมเกือบไหลลงจากเบาะซะแล้ว
โหยยยย ถึงแล้วเหรอเนี่ยยยย
ผมหันไปขอกำลังใจจากป๊า ท่านเห็นหน้าออดอ้อนของผมก็บีบไหล่เบาๆ แต่สีหน้าป๊ากังวลมากเลยอะ กังวลกว่าผมอีกกกก คงจะคิดถึงลูกชายคนโปรดอย่างผมมากเลยล่ะซี่ ไม่เอาไม่ร้องนะคนเก่ง
“ลงไปไหว้แม่กันเถอะคุณ” ม๊าหันไปบอกสามี ก่อนจะคว้ามือผมไปจับและพากันจูงออกจากรถไปเจอกับแสงแดดแสนเจิดจ้าตามซิกเนอร์เจอร์จังหวัดที่ร้อนตับแล่บ
โอ้โหหหห บ้านคุณยายยังเหมือนเดิมเปี๊ยบ บ้านไม้สองชั้นหลังน้อยๆ ตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางบรรยากาศต่างจากหวัด ข้างๆ กันเป็นสวนเล็กๆ ที่คุณยายน่าจะเอาไว้ปลูกผักผลไม้ไว้ทานตามมีตามเกิด แอบเห็นว่ามีบ่อน้ำตกเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะขุดขึ้นมาใหม่ จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่มายังไม่มีเลยนี่นา บรรยากาศช่างร่มรื่นน่าอยู่มากเลยฮะ!
แต่ติดอยู่อย่างเดียว....
มันไม่เหมาะกับชีวิตคนกรุงตั้งแต่เกิดอย่างผมที่ไหนกันเล่า!!
ฮือออออ ผมต้องอยู่ที่นี่จริงๆ เหรอเนี่ย แค่เห็นก็คิดถึงตึก คิดถึงแอร์ คิดถึงแสงสีในเมืองกรุงจะแย่แล้ว
พี่คนขับรถลากกระเป๋าสิบสองใบ (ใช่ครับ สิบสองใบ อิๆ) ตามครอบครัวผมมาติดๆ พอเข้าที่ร่ม ผมก็เห็นหญิงชราร่างเล็กๆ ผมสีเทาๆ กำลังนั่งเด็ดใบไม้อยู่บนหนึ่งในโต๊ะรับรองลูกค้า ใกล้ๆ กันนั้นมีโซนเล็กๆ ไว้ทำอาหาร หน้าตามันช่างเหมือนบรรยากาศร้านอาหารตามสั่งอย่างที่เคยบอกไว้จริงๆ แต่ดูเหมือนว่าคุณยายจะยังไม่รู้ตัวว่าพวกเรามาแฮะ ยืนห่างกันไม่ถึงเมตรแบบนี้คุณยายควรจะเห็นเราแล้วสิ คุณยายเขาไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์อะไรเลยจริงๆ อะ?
“อะแฮ่ม!” ม๊าคงคิดแบบเดียวกับผม เลยส่งเสียงกระแอมส่งสัญญาณสักหน่อย “แม่คะ...”
ชวิ้ง!
หวายยยยย คุณยายปรายตาขึ้นมามองแล้ว โหยยยย ดุมากเลย ขอหลบหลังป๊าแป๊บบ ถึงจะไม่ได้เจอกันนาน แต่ความดุของท่านเมื่อวันวานก็กลับมาทำให้ผมหนาวกระดูกอีกรอบเลยอะ
“มากันแล้วเหรอ” เสียงหญิงชราเรียบกริบ เหมือนท่านไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรเลย
แม่ผมพยายามใจสู้ “เป็นยังไงบ้างคะ ไม่ได้เจอกันนานเลย”
“อืม ก็ยังไม่ได้ตาย สบายดีอยู่”
โหยยย เย็นชาสุดๆ ไปเลย
“พ่อลูกคู่นั้น รีบมาทักทายคุณยายกันเร้วววว” เหมือนม๊าจะรู้ตัวว่าบรรยากาศกำลังมาคุ ท่านเลยรีบยิ้มแป้นเรียกลูกเรียกผัวแทน
“สวัสดีครับแม่”
“อืม”
“…” ป๊าโดนยิงไปอีกคนแล้ว ฮืออออ
“ไม่เห็นต้องลงมาจากรถกันเลย” ผมแอบเห็นว่าคุณยายพูดทั้งๆ ที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเราเลยสักนิด “แค่เอาไอ้ตัวเล็กมาส่งแล้วก็รีบกลับไปกันเถอะ เสียเวลาเปล่าๆ”
“ไม่ได้หรอกค่ะแม่ หนูอยากเจอแม่นะคะ”
“หึ ฉันล่ะไม่อยากจะเชื่อเลย”
“แม่คะ...”
“แล้วไอ้ตัวเล็กมันอยู่ไหนล่ะ”
“…” ม๊าดูซึมไปเล็กน้อยเพราะรู้ว่าแม่ตัวเองกำลังเฉยชาใส่ คุณยายคงไม่เคยลืมความบาดหมางในอดีตเลยสินะ เรื่องแบบนี้พูดยากจังแฮะ “ฟีฟ่า ออกมาหาคุณยายสิลูก”
ฮู้ววว ถึงตาผมแล้วสินะ
ผมค่อยๆ เขยิบตัวออกไปจากหลังป๊า จัดการยิ้มกว้างๆ ทักทายคุณยายอย่างเป็นมิตร และได้ผลครับ ท่านมองผมตาเป็นมันต่างจากที่ทำกับลูกสาวและลูกเขยตัวเองลิบลับเลย
“มานั่งนี่สิ”
ผมเก้ๆ กังๆ เล็กน้อยเมื่อมือคุณยายตบเบาๆ ลงเก้าอี้พลาสติกสีแดงตัวข้างๆ “คะ... ครับ”
“ช่วยยายเด็ดใบกระเพราหน่อยนะ”
ผมเบิกตากว้าง “อ๋อออ นี่คือใบกระเพราเหรอครับ!?”
ไม่เคยเห็นใบกระเพราแบบเป็นๆ มาก่อนเลยฮะ เคยเห็นแต่ตอนมันอยู่ในอาหารจานโปรดแล้วเรียบร้อย ฮี่ๆ
คุณยายไม่ตอบ แต่หันไปหาลูกสาวตัวเองแทน “แกเลี้ยงมันมายังไงถึงไม่รู้จักใบกระเพรา?”
“เอ่อ... คือว่า...” แย่ละ ดูท่าม๊ากำลังจะซวยเพราะผม ผมต้องปกป้องท่านให้เร็วที่สุดดด
ผมทำเป็นหัวเราะคิกคัก “เปล่าครับๆ ผมรู้จักใบกระเพรา แต่ผมสับสนระหว่างมันกับใบโหระพา”
ใช่มั้ย? เคยได้ยินจากคนอื่นมาว่ามันคล้ายๆ กัน ไม่รู้ละ แถๆ ไปก่อน ผมกลัวววว
“ต่างกันที่กลิ่น” คุณยายกลับมาคุยกับผมจนได้ ผบรับรู้ถึงพลังงานการใส่ใจต่างกับที่ท่านคุยกับคนอื่น
โหยยยย ผมชอบคุณยายแล้วล่ะ ท่านคงไม่ดุเหมือนตอนสาวๆ แล้วล่ะเนอะ
“แม่คะ...” ม๊ายิ้มฝืนๆ แล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า “หนูอยากให้แม่รับเงินพวกนี้ไว้ ถือว่าเป็นค่าข้าวค่าขนมของฟีฟ่า และก็ให้แม่เก็บไว้ใช้เองด้วยค่ะ
คุณยายปรายตามองปึกแบงค์สีเทาอย่างเฉยเมย
“ไม่”
“…”
“ฉันไม่อยากได้เงินจากบ้านแก แกไม่ต้องมาเลี้ยงดูฉัน”
ฮืออออออ มาคุอีกแล้วววว เครียดจนอยากจะเอาใบกระเพรามาอมเล่นในปากกก
“แล้วอีกอย่าง นี่หลานฉัน ฉันเลี้ยงของฉันได้ แกสองคนไม่ต้องกลัวว่ามันจะอดอยากหรอก”
“แต่แม่คะ...”
“กลับไปได้แล้ว” คุณยายสวนขึ้นก่อนม๊าจะพูดจบ “เดี๋ยวเย็นกว่านี้จะเดินทางลำบาก ทิ้งมันไว้นี่แหละ”
คุณยายยยย อย่าพูดคำว่าทิ้งสิ ผมใจหายยยยย
ดูเหมือนป๊ากับม๊าจะต้านทานพลังของคุณยายไม่ไหว ทั้งคู่พยักหน้าให้กัน และรีบลุกพรวดยกมือไหว้คุณยายทันที
“ลาแล้วค่ะแม่”
“สวัสดีนะครับ”
โหยยย จะไปกันแล้วเหรออ “เดี๋ยวผมไปส่ง!”
ผมรีบเดินตามทั้งสองคนไปถึงรถ ตอนนี้กระเป๋าของผมทุกใบถูกวางไว้ให้ที่หน้าชานบ้านแล้ว พี่คนขับเห็นพวกเราทำท่าจะกลับก็เลยรีบไปพุ่งไปสตาร์ตรถ พอได้ยินเสียงเครื่องยนต์เท่านั้นแหละผมถึงกับจุกอกเลย ฮือออ น้ำตาจะไหล รถเที่ยวนี้จะไม่มีผมนั่งอยู่ในนั้น
“ดูแลตัวเองดีๆ นะลูก”
“ครับม๊า โทรหาผมบ่อยๆ ด้วยนะฮะ”
“แน่นอนอยู่แล้วจ้ะ” และจู่ๆ แม่ของผมก็ยัดอะไรบางอย่างมาใส่ในมือ เฮ้ยยย เงินก้อนเมื่อกี้นี่นา “ม๊าอยากให้ฟีฟ่าเก็บเงินนี้ไว้เป็นความลับ อย่าให้ยายรู้เด็ดเชียวนะขาด เอาไว้ซื้ออะไรก็ตามที่อยากได้ โอเคมั้ย?”
โอ๊ย น้ำตาผมจะไหลจริงๆ แล้วนะ “ครับ... ขอบคุณครับ”
“มาให้ป๊ากอดหน่อย” ไม่ต้องเว้นจังหวะนาน พอป๊าพูดไม่ทันจบผมก็กระโดดโผกอดท่านเต็มแรง “ดูแลตัวเองด้วยนะ และถ้าอยู่ไม่ไหวก็รีบโทรบอกป๊าเลย ป๊าจะรีบมารับ”
“เอาจริงๆ ตอนนี้ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วล่ะ...”
“อ๊าววว””
“แต่ผมจะลองสู้ดูก่อนสักตั้ง!” ผมว่า “ป๊าไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมจะดูแลตัวเองดีๆ”
“ดีมากลูกรัก” ป๊าโผตัวออกเพื่อเตรียมจะขึ้นรถ “อย่าลืมไลน์หาเจ๊กับเฮียว่าถึงแล้วล่ะ”
“ครับ จะทำเดี๋ยวนี้เลย”
“ไว้เจอกันจ้ะลูก”
“บ๊ายบายยยย” ผมโบกมือลาทุกคนรวมถึงพี่คนขับรถด้วย “ลุงเท่ง ส่งป๊ากับม๊าถึงบ้านด้วยน้า”
ฟิ้วววววว
และรถคนนั้นก็แล่นฉิวหายไปสุดถนน คนที่ผมรักทั้งสองคนไปแล้ว เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ผมจะได้อยู่ห่างป๊ากับม๊า ปกติครอบครัวเราไปไหนไปกันตลอด ชักจะหวิวๆ แล้วสิ
หลังจากนั้นผมได้ยินแต่เสียงลม มองซ้ายมองขวาไปตามถนนก็ไม่เจอผู้คน บรรยากาศชวนหดหู่ชะมัด นี่ผมถูกทิ้งไว้ที่เมืองลับแลหรือไงนะ ไม่คิดจะมีรถยนต์ผ่านมาสักคนเลยเรอะ
อุ๊ย รีบกลับเข้าบ้านคุณยายดีกว่า ยืนอยู่ตรงนี้นานเกินไปแล้ว เดี๋ยวโดนดุเอาจะแย่เลย
“แฮะๆ” ผมยิ้มแห้งๆ ใส่คุณยาย กุมไม้กุมมืออย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
“แต่งหน้าด้วยเหรอ”
“หา!?” เหวอเลยครับ พอได้ยินคุณยายว่าอย่างนั้นผมนี่รีบลูบหน้าตัวเองให้ยุ่งเลย “เปล่านะครับ ผมไม่เคยแต่งหน้าเลยนา”
“ก็เห็นแก้มส้มซะขนาดนั้น” คุณยายเหลือบมองนิ่งๆ ยังเดาความรู้สึกไม่ได้เหมือนเดิม
“อ้อ ถ้างั้นคงเป็นเพราะอากาศร้อนน่ะครับ” ผมยิ้มหวานอธิบาย “เวลาร้อนอบอ้าวแก้มผมมันชอบเปลี่ยนสีอยู่เรื่อยเลย นี่ถ้าได้ตากแดดนานๆ ตัวผมแดงเป็นเอเลี่ยนเลยนะครับจะบอกให้ ฮ่าๆๆๆ”
“…”
โหยยย ไม่ขำหน่อยเหรอยายยยยย ขำแห้งๆ ก็ได้ผมโอเค้
“รู้ใช่มั้ยว่ามาอยู่ที่นี่ต้องช่วยฉันทำงาน”
ผมเขยิบเก้าอี้เข้าไปใกล้คนพูด “รู้ครับ ผมพร้อมเต็มที่ ผมอยากช่วยคุณยายฮะ”
“ดี…"
“…” หูยยย ยายยิ้ม! เป็นรอยยิ้มแรกเลยนะตั้งแต่ได้คุยกัน แต่มันไม่ได้เห็นแล้วชวนให้ยิ้มตามสักนิด กลับทำให้ผมขนลุกซู่ซะมากกว่า
“อยู่ที่นี่ต้องตื่นตีห้าครึ่งทุกวัน”
“วะ... ว่าไงนะครับ”
“มีปัญหากับการตื่นเช้าเหรอ?” คุณยายเลิกคิ้ว
“มะ...ไม่มีๆ ไม่มีเลยครับ” ฮืออออ เวลานั้นยังฝันไม่จบเรื่องเลยมั้ง เคยตื่นเช้ากับเขาซะที่ไหนกันเล่าาา แต่บอกไปเดี๋ยวโดนด่า ก้มหน้าก้มตารอรับคำสั่งอย่างเดียวละกัน
“ทุกเช้าแกต้องตื่นไปจ่ายตลาดตามรายการที่ฉันสั่ง จัดการเตรียมจานชามสำหรับลูกค้า ลงน้ำแข็งใหม่ทุกวันเพื่อแช่ของสด คอยสังเกตดูว่าแกลลอนน้ำสำหรับลูกค้ามีพอหรือเปล่า แต่ปกติมันจะหมดวันต่อวัน ถ้าเห็นอย่างนั้นรีบโทรสั่งทันที เบอร์อยู่ในสมุดบัญชีในบ้าน” ยายละจากการพูดแวะมากระตุกยิ้มให้ผมทีนึง “ถ้าน้ำไม่พอลูกค้า ฉันจะโกรธมาก เข้าใจใช่มั้ย?”
อึกกกก (เสียงกลืนน้ำลาย) “เข้าใจคร้าบบบ”
แต่ตอนนี้อยากหาอะไรจดจัง ที่ยายพูดมามันเยอะเกินไปปปป ฮืออออ
“ระหว่างวันก็ช่วยเสิร์ฟอาหาร ล้างจาน และก็บริการส่งอาหารกล่องตามที่ได้รับออเดอร์”
“ส่งอาหารเหรอครับ?”
“ใช่”
“แบบฟู้ดแพนด้า อูเบอร์อี้ดเหรอครับ”
“มันคืออะไร?”
“อ่อๆ ไม่มีอะไรครับ แฮะๆ” ลืมไปว่าคุณยายคงไม่รู้จัก
แต่กลับมาที่ส่งอาหารกล่องแป๊บบบ เฮ้ยยย งานยักษ์เลยอะ ยักษ์ทั้งกรุงลงกาเลยด้วยย และบวกกับหน้าที่ที่ผมได้รับทั้งหมดนั้น พูดเลยว่าตัวผมคนเดียวมันจะไปสู้ไหวเหรอออ ลูกจ้างคนเก่าของคุณยายเป็นทรานฟอเมอร์หรือไง ทำไมเก่งกาจขนาดนี้ ฮือออ
“ติดใจตรงไหนหรือเปล่า หน้าเครียดๆ”
หวายยย ผมคงเหม่อนานไปหน่อย “เปล่าครับ แฮะๆ”
“ทำได้ใช่มั้ย?”
“ทำได้สิครับ สบายม้วกกกก ฮ่าๆๆๆ” หัวเราะแต่มีน้ำตาซ่อนอยู่ ฮือออ
“งั้นงานแรกของแกวันนี้ก็คือไปส่งอาหารเที่ยงลูกค้า”
“หาาาาา เริ่มงานเลยเหรอครับ!” โหยยย กะจะนอนอ่านหนังสือการ์ตูนให้เต็มที่ทิ้งท้ายสักหนึ่งวัน ผิดแผนไปหมดแล้ววว
“ก็ต้องใช่น่ะสิ หรือแกมีอะไรต้องรีบทำก่อนหรือไง?”
“มะ... ไม่มีครับ” โหยยย อย่าใช้คำพูดเชือดเฉือนกันแบบนี้สิ ผมกลัวเอาน้า
คุณยายค่อยๆ ลุกจากเก้าอี้อย่างกระย่องกระแย่งตามประสาคนแก่ ผมพยายามจะเข้าไปช่วยแต่แกเดินหนีซะงั้น
“ไปเตรียมรถ เดี๋ยวถ้าฉันทำเสร็จแกจะได้รีบไปส่งเลย”
“ระ...รถเหรอครับ” หูผมไม่ได้ฝาดไปใช่มั้ยยย “แต่ผมขับรถไม่เป็นนะฮะ”
“ไม่ต้องกังวล รับรองว่ารถที่ฉันพูดถึงน่ะแกขับเป็นแน่นอน”
“จริงเหรอครับ...”
“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่กกกกก”
ฮืออออ ทำไมชีวิตไอ้ฟีฟ่าถึงต้องมาลำบากลำบนแบบนี้ด้วยว้าาา
“ฮึ่บบบบบบ” ผมร้องลั่นถนนเมื่อต้องงัดแรงเฮือกสุดท้ายถีบจักรยานให้พ้นเนินสูงด้วยความยากลำบาก
ครับ... รถที่คุณยายพูดถึงคือจักรยานแม่บ้านสีชมพูหวานแหววซึ่งใหญ่กว่าตัวผมสักสองเท่าเห็นจะได้ ตอนขึ้นผมต้องเขย่งคร่อมมันจนเป้าแทบขาด แถมยังต้องลำบากหอบหิ้วถุงกล่องอาหารอีกสามถุงใหญ่ๆ โอยยย นี่มันงานกรรมกรชัดๆ เอ๊ะ แต่คิดๆ ดูแล้วพี่ๆ กรรมกรอาจจะไม่ต้องทำงานหนักขนาดนี้ด้วยซ้ำ นี่มันเข้าข่ายการใช้แรงงานเด็กแล้ว แถวนี้มีโรงพักมั้ยนะ ผมจะฟ้องตำรวจว่าคุณยายแกล้งงงง
หลังจากที่ถามทางชาวบ้านมาตลอดทาง ในที่สุดผมก็เจอลูกค้ารายที่สองจนได้ เป็นครอบครัวร้านโชว์ห่วยเล็กๆ ที่มีตู้แช่งเครื่องดื่มวางอยู่หน้าร้าน โอ้โหเห็นเอสโคล่าแล้วเปรี้ยวปากจังเลย ปกติผมไม่กินน้ำอัดลมนะ แต่เชื่อเถอะว่านี่ถึงเวลาที่ต้องแหกกฏแล้ว ต้องการดื่มอะไรดับร้อน!!
“ข้าวมาส่งครับบบ”
ตะโกนเรียกไปไม่นานก็มีเด็กสาวท่าทางซื่อๆ และน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมวิ่งจู๊ดออกมารับ
“อ๊ะ!”
“…” สาวหน้าม้ามองผมตาค้าง “มะ มีอะไรเหรอครับ?”
“ว้าย เปล่าจ้ะๆ” เธอหลบหน้าทันที มีการเอาผมทัดหูอย่างอายๆ ด้วย เอ... ชักไม่แน่ใจและ ไหนขอส่องกระจกตู้แช่เย็นหน่อยซิ... ก็ยังหน้าเหมือนอาตี๋น้อยท้ายซอยเหมือนเดิมนี่หว่า
พอเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติกับร่างกายตัวเองก็ยักไหล่ จัดการรีบยื่นถุงกล่องอาหารให้เธอ “สี่ร้อยเจ็ดสิบห้าบาทครับ”
“นี่ค่ะ” เธอยื่นเงินมาให้ แต่ดูเหมือนว่ามีอะไรจะพูดกับผมต่อ “เป็นหลานป้าปัดใช่มั้ยคะ?”
“อ๋อ ใช่ครับ ผมเพิ่งมาช่วยยายวันนี้ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
“ยินดีจ้า เราชื่อแพดเม่นะ”
หืม... ชื่อฟีฟ่าของผมถูกถีบลงชามข้าวหมาไปเลย โหยยย ชื่อเท่โคตรรรร แถมยังหน้าตาน่ารักน่าคุยชะมัด หน่วยก้านดีจนอยากพาเธอเข้าวงคัฟเวอร์แดนซ์ที่ผมเป็นหัวหน้าอยู่เลย ผูกมิตรเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันไว้สักคนก็คงจะดี นี่แพดเม่เพื่อนคนแรกของผมคร้าบบบ
“เราชื่อฟีฟ่าครับ” ผมเหล่ไปทางตู้แช่เย็นอีกรอบ “เออ แพดเม่ เราขอซื้อน้ำเอสขวดนึงสิ ขอเย็นๆ นะ”
“อ้อได้จ้า เอาแบบใส่น้ำแข็งมั้ยล่ะจะได้ชื่นใจสุดๆ ไปเลย”
“หืม?”
เธอคงเห็นว่าผมทำหน้างงเลยอธิบาย “แบบเทใส่ถุงหิ้วแล้วใส่น้ำแข็งป่นไง คนกรุงเทพคงไม่เคยกินสินะ”
พอเธอพูดผมก็อ๋อเลย เฮ้ยยยย เคยแต่เห็นผ่านๆ ตาไม่เคยลองกินสักที น่าสนใจดีแฮะ “งั้นจัดมาเลยจ้า”
และไม่นาน ผมก็มีถุงน้ำอัดลมห้อยอยู่ที่แฮนด์จักกระยานจนได้ อ๊าาาา ชื่นใจจัง มีกำลังใจทำงานต่อแล้ว มาดูกันซิว่าลูกค้ารายสุดท้ายที่ผมต้องไปส่งกล่องอาหารมื้อกลางวันคือใคร
ผมหยิบกระดาษที่ยายเขียนให้ขึ้นมาดูอีกครั้ง
ออเดอร์ 3
ผัดเผ็ดหมูป่าราดข้าว 6 กล่อง (ไข่ดาว 2 , ธรรมดา 1)
กระเพราเนื้อไข่ดาว 2 กล่อง
ต้มยำไก่ใส่พวงไข่ 2 ถุง
ราคา : 770 บาท
ส่ง : หัวหน้าเหม (กรมอุทยานฯ)
อื้อหือออ สั่งไปกินคนเดียวหรือเลี้ยงทั้งหมู่บ้านกันล่ะเนี่ย เยอะขนาดนี้ไม่โทรเรียกโต๊ะจีนไปเลยเล่า ผมต้องมาลำบากแบกมาส่งรู้บ้างมั้ยคุณน้าๆ
ว่าแต่... ไอ้กรมอุทยานอะไรนี่มันไปยังไงหว่า เคยได้ยินว่าบ้านยายอยู่ใกล้ๆ ที่นี่แต่ไม่เคยไปเยือนสักกะที แล้วแบบนี้เขาจะให้คนนอกอย่างผมเข้าไปส่งข้าวได้เรอะ
“แพดเม่ๆ”
“จ๋าาาา”
เย้ยยย ทำไมโผล่มาเร็วจัง นึกว่าเข้าไปในบ้านแล้วซะอีก “รู้จักหัวหน้าเหมอะไรนี่หรือเปล่าครับ”
“เอ๋?” สาวผมม้าเอียงคอ ชะโงกมาดูข้อความในกระดาษที่ผมถือ “ใช่พี่เหมที่ทำงานในอุทยานแห่งชาติXXหรือเปล่าคะ”
“อื่อน่าจะใช่นะ แล้วไอ้กรมอุทธยานฯ นี่มันอยู่ตรงไหนเหรอ พอจะรู้ทางมั้ยอะ?”
“อืม…” เพื่อนคนใหม่เดินออกมานอกถนนแล้วชี้นิ้ว “เดี๋ยวไปทางนี้นะ ตรงไปจนสุดแล้วก็เลี้ยวซ้าย ขับไปยาวๆ จะเจอป้ายใหญ่ๆ อยู่ทางขวา สะดุดตามาก”
โห... น้ำตาแทบร่วง คนไทยไม่ไร้น้ำใจจริงๆ แฮะ “โอ้ แต๊งกิ้วๆ”
“พอไปถึงก็ลองถามหาพี่เหมกับพวกพี่ๆ ในนั้นดูนะ แต่หาไม่ยากหรอก พี่เขาหล่อสะดุดตามาก เด่นสุดในกรมเลย”
ผมหลุดยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเพื่อนใหม่ทำสายตาหวานเยิ้ม ฮ่าๆ คงจะแอบชอบเขาล่ะสิสาวน้อย
“ไงก็ขอบคุณอีกทีนะ เราไปก่อน บ๊ายบาย”
“โชคดีนะจ๊ะ”
เอาล่ะ ผมแวะเติมพลังมานานพอแล้ว รีบจบงานนี้สักที เราจะได้กลับบ้านยายไปเกลือกกลิ้งอ่านหนังสือการ์ตูนฟินๆ ยิ่งพอได้คนสวยใจดีบอกทางแบบนี้ยิ่งมีกำลังใจสู้ใหญ่ จัดการก้มดูดน้ำอัดลมแล้วถีบตรงไปหาลูกค้าของเรากันเล้ยยย อ๊าาาาห์
ถึงผมพอจะรู้มาบ้างว่าบ้านยายอยู่ใกล้กรมอุทยานแห่งชาติ แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ปั่นจักรยานเข้ามาเหยียบในนี้เลย เพราะงั้นจึงไม่แปลกที่ผมจะอ้าปากค้างตลอดทางนับตั้งแต่ขับผ่านป้ายขนาดใหญ่ ในนี้มีพี่ๆ เจ้าหน้าที่และทหารวิ่งกันขวักไขว่ไปมา บางรายแอบยิ้มให้ผมด้วยแหละ ทำให้ผมต้องก้มหน้างุดรีบถีบรถหนีเพราะความเขินอาย จะมองอะไรกันเล่าาา รู้ตัวน่าว่าภาพลักษณ์ผมดูออกง่ายว่าเป็นเด็กกรุงเทพไก่อ่อน แต่ไม่เห็นต้องแอบนินทากันเลยนี่หว่า ฮึ่ยยย
เอ... ลุงเจ้าหน้าที่หน้าดุตรงป้อมบอกว่าคนชื่อหัวหน้าเหมคุยงานอยู่ที่ห้องประชุมสอง... อย่าว่าแต่ห้องประชุมสองเลย ห้องประชุมหนึ่งอยู่ตรงไหนผมยังไม่รู้!! เป็นการบอกทางที่ได้ประโยชน์กับผมมาก ขอบคุณคร้าบลุงงง หลงทางจนได้เนี่ยยย
เฮ้ยยย ถามพี่ที่กำลังกวาดถนนอยู่ตรงนั้นดีกว่า
เอี๊ยดดดดด
“พี่ครับบบบ”
“มีอะไรน้อง”
โหยยย สำเนียงแปร่งๆ สงสัยเป็นคนท้องถิ่นของแท้ “ห้องประชุมสองอยู่ตรงไหนฮะ”
“นั่นไง” พี่เจ้าหน้าที่ชี้ไปยังบ้านหลังเล็กๆ ซึ่งอยู่ใต้โคนต้นไม้ใหญ่ เย้ยยย สภาพเก๊าาาเก่า บ้านผีสิงที่ดรีมเวิร์ลยังน่าอยู่กว่านี้อีก
“พี่แน่ใจเหรอ หน้าตาเหมือนไม่ใช่ห้องประชุมเลยอะ”
“นั่นแหละที่ที่เขาเอาไว้ประชุมกัน” พี่เจ้าหน้าที่อธิบายต่อ “แล้วน้องมาหาใครล่ะ”
“คนชื่อหัวหน้าเหมครับ”
“นั่นแหละ หัวหน้าอยู่ในนั้น” เขาบอก ก่อนจะเกาคางหรี่ตามองผมเหมือนกำลังคิดอะไรได้ “นี่หลานป้าปัดใช่มั้ย?”
“โห ยายผมดังขนาดนี้เลยเรอะ”
“คนที่นี่ชอบสั่งอาหารป่าร้านป้าแก เกินครึ่งในนี้ฝากท้องไว้กับแกทั้งนั้นแหละ”
หูยยย ไม่รู้ทำไม ได้ยินแล้วผมยืดอกเลยครับ ภูมิใจจัง ฮี่ๆ
เฮ้ยยย นอกเรื่อง!! ผมต้องรีบไปส่งข้าวสิ ป่านนี้หัวหน้าเหมหิวท้องกิ่วแล้วมั้งงงงง
“ขอบคุณนะพี่!”
พูดเสร็จผมก็รีบจอดรถแล้ววิ่งปรู๊ดตัดสนามหญ้าแฉะๆ ไปที่บ้านหลังนั้นทันที จัดการดูแลเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่และรีบคว้าลูกบิดประตู
เดี๋ยวนะ! ไม่ได้สิ พี่ทหารบอกว่าเขากำลังประชุมกันอยู่ เปิดไปตอนนี้เสียมารยาทแย่เลย ต้องเคาะประตูกันสักหน่อย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เงียบ...
ประชุมหรือนอนกันอยู่เอ่ยยย ออกมาเปิดประตูหน่อยคร้าบบบ
เคาะอีกชุดแล้วกัน ก๊อก ก๊อก ก๊อก
โหยยยยย ไม่หิวข้าวกันหรือไงคร้าบบบ!! นี่ถ้าเคาะอีกครั้งแล้วไม่เปิดผมจะกลับบ้านยายแล้วจริงๆ ด้วยยย
ก๊อก...
แอดดดด~
เย้ย! เคาะไปได้ทีเดียวเอง ทีงี้ล่ะเปิดเร็วจัง
ทันทีที่ประตูถูกเหวี่ยงออก กลิ่นดินและกลิ่นกระดาษก็ลอยโชยมากระแทกจมูกผมอย่างจัง ผมเห็นว่าในห้องนั้นมีคนนั่งล้อมโต๊ะกันประมาณสิบคน บางคนใส่ชุดเจ้าหน้าที่ บางคนก็ใส่ชุดทหารซึ่งทุกคนล้วนกำลังมองผมเป็นตาเดียว รวมถึงพี่เข้มในชุดลายพรางครึ่งท่อนผู้เป็นคนเปิดประตูต้อนรับผมด้วย โหยยย น้าเขาเป็นทหารที่หน้าเด็กจังเลยแฮะ อายุน่าจะพอๆ กับพี่ชายผมแหง มองเผินๆ ดูเป็นคนกวนๆ สังเกตได้จากรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่โคตรไม่น่าไว้ใจ... ผมว่าหัวหน้าเหมคือคนนี้ละมั้ง หน่วยก้านใช้ได้ที่สุดในห้องแล้วล่ะ ถึงจะเด็กกว่าที่คิดก็เหอะ
ผมยื่นถุงบรรจุกล่องอาหารให้เขาทันที “ข้าวมาส่งครับหัวหน้าเหม”
“หึ พี่ไม่ใช่หัวหน้าเหมหรอก”
“อ้าว” ผมย่นคิ้วมองกระดาษในมืออีกที “ก็นี่เป็นออเดอร์ของหัวหน้าเหมนี่ครับ แล้วพี่ข้างหน้าบอกว่าเขาอยู่ในนี้”
เขาขำอีกรอบ แหนะ ตลกอะไรนักหนาอะน้า “พี่หมายถึงว่าพี่ไม่ใช่หัวหน้าเหม แต่หัวหน้าเหมอยู่ในนี้จริงๆ”
อ้าวเหรอ ฮือออ แสดงความบื้อใส่คนแปลกหน้าอีกแล้วสิผมเนี่ย
ผมรีบชะโงกหา ‘หัวหน้าเหม’ ตัวจริง แต่ยังไม่ทันจะพ้นไหล่คุณน้าทหารที่มาเปิดประตู เสียงหนึ่งก็ทำให้ผมชะงักซะก่อน
“ไอ้ผู้กอง รีบๆ รับข้าวและกลับมาประชุมต่อมันยากตรงไหน” “…”
“ใจคอมันจะอัธยาศัยดีกับทุกคนเลยหรือไงวะ” สะ... เสียงนั้นแทบทำให้ผมลืมหายใจ
อะไรมันจะน่าเกรงขามขนาดน้านนนน
[ต่อ]