ตอนที่ 12
“ปั้นใจ ทำไมนายถึงได้นิสัยแบบนี้ !”
“...”
“ไอ้เกลือมึงดูปั้นใจสิ เมื่อวานเขาหลอกกูอ่ะ !”
พาฝันที่ตอนนี้หน้าบึ้งดูท่าจะอารมณ์ไม่ดีสุดๆ ก็กำลังกระทืบเท้าอยู่กับพื้นหลังจากที่เข้ามาหาผมกับปั้นใจที่นั่งประจำที่พร้อมเรียนแล้ว
“มีอะไรเหรอ” ผมถามพาฝันออกไปพลางมองแบบงงๆ
“ก็เมื่อวาน...!”
“เกลือ”
“หืม...” ผมที่ตอนแรกตั้งใจฟังพาฝันก็ต้องหันไปทางปั้นใจที่เรียกขึ้นมา
“น่ากิน” คนข้างๆ ผมพูดพลางยื่นโทรศัพท์ที่ตอนนี้กำลังแสดงหน้าจอของรายการบน Youtube เป็นการทำขนมแพนเค้กที่ดูน่ากินสุดๆ
“อือ น่ากินมากเลย”
“ว่างๆ ลองทำกันมั้ย”
“ได้สิ”
“โอ๊ยยยยยย ~” เสียงของพาฝันทำให้ผมสะดุ้งก่อนจะหันไปมองเธออีกครั้ง ส่วนปั้นใจเองก็ถอยตัวออกไปแล้วสนใจกับของในโทรศัพท์ต่อ “ถามจริง ไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ ดิ”
“ยัง” ปั้นใจที่ตอบขึ้นมาทันทีทำให้ผมกับพาฝันหันไปมอง ซึ่งผมเองก็ไม่ได้เอะใจอะไรกับคำตอบของเขานัก มีแต่พาฝันเท่านั้นล่ะ ที่ตอนนี้ขมวดคิ้วไปแล้ว
“ปั้นใจ นายมันร้าย !”
“ยังไง”
“หน็อย อย่าคิดว่าพาฝันคนนี้ไม่รู้นะ คนคิดไม่ซื่อ !”
“รู้แล้วจะบอกเหรอ”
“ก็เปล่า...”
“ดี”
ผมมองคนสองคนที่สนทนากันไปมาก็ได้แต่หยิบลูกอมใส่ปากพลางทำหน้างงๆ แต่ก็คิดว่าคงไม่เกี่ยวอะไรกับผมเท่าไหร่นักเลยเลิกสงสัยไป
“เฮ้อ ทำไมรู้สึกเหนื่อยๆ ยังไงไม่รู้” อยู่ๆ พาฝันก็เข้ามาทิ้งตัวลงนั่งที่นั่งข้างๆ ผมแล้วเอนหัวเข้ามาซบไหล่ ทำให้ตัวเองต้องหันไปทางอีกฝ่ายแล้วยื่นลูกอมไปให้หนึ่งเม็ด ซึ่งพาฝันก็รับไปแต่โดยดี “ถ้ามึงคิดให้มากกว่านี้ก็คงดีเนอะเกลือ”
“หือ”
“เฮ้ออออออ ~!”
เสียงถอนหายใจยาวๆ ทำให้ผมมองเส้นผมสีน้ำตาลเกือบแดงบนไหล่อย่างงงๆ ก่อนที่เธอจะยกหัวออกไปแล้วทำหน้าคิ้วขมวด และฟาดมือลงด้านหลังผมเต็มๆ
แต่เชื่อมั้ยว่าผมไม่เจ็บ...
เพราะสิ่งที่พาฝันตีคือมือของปั้นใจนั่นเอง
“หาเรื่องกันเหรอ !”
“เห็นๆ อยู่ว่าใครหาเรื่องก่อน”
“เอ๊ะ ไอ้เกลือ มึงดูปั้นใจสิ !”
“หะ...” ผมที่ตอนนี้ทำตัวไม่ถูกเพราะคนที่อยู่ข้างกายทั้งสองฝั่งกำลังทำท่าจะตีกัน ซึ่งท่าทีแบบนี้ของพาฝันกับปั้นใจนั้นผมไม่เคยเห็นมาก่อน ก่อนที่คนข้างๆ ทั้งสองคนจะหยุดตีกันแล้วหันไปคนละทาง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นผมเองที่ไม่รู้จะหันไปทางไหนดี
เอ่อ...ระหว่างปั้นใจกับพาฝันนี่...
มีอะไรเกิดขึ้นแล้วผมไม่รู้เหรอ
ติ๊ง ~
เสียงแจ้งเตือนของแอพพลิเคชั่นสีเขียวทำให้ผมต้องหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เพราะเสียงแชทแบบนี้ไม่ได้ดังขึ้นบ่อยนัก ขนาดคนส่งเกมเขายังไม่เลือกส่งมาแชทผมเลย
“หืม...” เสียงใกล้ๆ หูทำให้ผมหันไปมองพาฝันที่ขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะเพิ่งสังเกตว่าปั้นใจเองก็หันมามองทางผมเช่นเดียวกัน
เอ่อ...
“เสียงโทรศัพท์เราดังเกินไปเหรอ...”
“เปล๊า แค่คิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับแชทไลน์ของมึง คนส่งเกมมาเหรอ”
“อ่า...” ผมส่ายหัวให้พาฝันก่อนจะก้มมองแชทไลน์ตรงหน้าอีกครั้ง ก็เห็นว่าเป็นข้อความจากพี่รหัสผมนั่นเอง “พี่เพชรทักมา...”
P. : อาจารย์มาหรือยัง
ผมอ่านข้อความบนหน้าจอก็ได้แต่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจในคำถามของเขา
เกลือ ._. : พี่เพชรทักผิดหรือเปล่าครับ
P. : ไม่ผิดๆ พี่ถามเกลือแหละ พอดีเอาขนมมาฝาก
เกลือ ._. : ยังไม่เข้าครับ
P. : พี่อยู่หน้าประตู
ผมเบิกตากว้างก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้น แล้วก็เป็นอย่างที่พี่เพชรว่าเมื่อตอนนี้อีกฝ่ายยืนชูถุงขนมสีหวานอยู่หน้าประตูห้อง ทำให้ผมต้องลุกขึ้นจนทั้งสองคนข้างตัวหันมามอง
“หือ...”
“ดะ...เดี๋ยวเรามานะ...”
ผมมองคนสองคนที่ทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะเดินออกจากที่นั่งเพื่อไปหาพี่เพชรที่รออยู่ พอออกมาก็ได้รับรอยยิ้มกว้างของพี่รหัสทำให้ผมได้แต่ยิ้มกลับไปแม้จะยังประหม่าอยู่ก็ตาม
กะ...ก็ปกติยกเว้นปั้นใจกับพาฝันแล้วก็ไม่เคยมีใครหิ้วขนมมาฝากถึงที่แบบนี้นี่ !
“ไง” พี่เพชรที่ทักทายขึ้นทำให้ผมไม่รู้จะทำตัวยังไงดีเลยได้แต่ยกมือไหว้อีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะทำท่าชะเง้อเข้ามามองในห้อง “เด็กปีหนึ่งนี่คึกคักดีจริงๆ”
“อ่า...” ผมได้แต่หันไปมองตามพี่เพชร ซึ่งภายในห้องตอนนี้ก็ดูคึกคักจริงๆ ก่อนจะหันมายิ้มให้กับพี่รหัสตรงหน้าเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี
“นี่ขนม” พี่เพชรไม่ได้ว่ากับอาการพูดน้อยของผม เขาแค่ยื่นถุงขนมสีชมพูมาให้ ทำให้ผมต้องยกมือไหว้อีกครั้งแล้วรับ ซึ่งคนตรงหน้าก็ยกมือขึ้นยีหัวผมเบาๆ “ตั้งใจเรียนล่ะเรา”
“ครับ ขอบคุณพี่เพชรมากๆ”
“ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวพี่ไปหาเพื่อนละ ไว้เจอกันใหม่ คราวหน้าจะพาไปเลี้ยงของอร่อย”
“ครับ ยังไงไว้เจอกันใหม่นะครับ” ผมยิ้มกว้างให้คนตรงหน้า ก่อนจะโดนอีกฝ่ายหยิกแก้มมาแรงๆ หนึ่งที “อ๋อย...”
“แก้มนี่น่าหมั่นเขี้ยวจริงๆ”
“พี่เพชรอ่า...เจ็บนะครับ”
“ขอโทษๆ เผลอไปนิด งั้นพี่ไปละ ฝากทักทายเพื่อนๆ ด้วย”
“ครับ”
ผมพยักหน้าแล้วยืนมองคนที่เดินออกไปพลางลูบแก้มของตัวเองเบาๆ โดยที่ความเจ็บยังมีอยู่ ก่อนจะเดินถือถุงกระดาษเข้ามาในห้อง และเมื่อเข้ามาด้านในก็ต้องแปลกใจเมื่อตอนนี้ทั้งพาฝันแล้วปั้นใจตอนนี้นั่งตัวติดกันแล้วมองมาทางผมเป็นทางเดียว
เอ่อ...
“พี่เพชรซื้อขนมมาฝากอ่ะ...” ผมว่าก่อนจะชูถุงขนมมาให้ ดูเหมือนจะเรียกความสนใจจากพาฝันได้คนเดียว ก่อนที่เธอจะย้ายกลับที่ทำให้ผมสามารถเข้าไปนั่งที่ตัวเองได้ “เขาฝากมาทักทายด้วย”
“จริงเหรอๆๆ อยากรู้จักกับพี่เพชรบ้างอ่ะ !” พาฝันพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น ทำให้ผมยิ้มกับท่าทีของเธอ ก่อนที่พวกเราทั้งสามคนก็ต้องเข้าสู่ความสงบกันทันทีที่อาจารย์ประจำวิชาเข้ามา “เฮ้อ...เรียนอีกละ น่าเบื่อออออ ~”
พาฝันเริ่มฟุบหัวลงกับโต๊ะ ทำให้ตอนนี้คนที่ดูเหมือนจะยังมีตัวตนอยู่อย่างปั้นใจที่นั่งข้างๆ ผมอีกฝั่ง ทำให้ตัวเองต้องหันไปหาเขาแทน แต่คนข้างๆ ตอนนี้นั้นกลับไม่หันมาสนใจผมแม้แต่น้อย ได้แต่จ้องไปด้านหน้าทั้งๆ ที่มันไม่มีอะไร
ชวนคุยดีมั้ย...
หรือควรตั้งใจเรียนก่อนดี
“ยืมปากกาบ้างสิ” เสียงของคนข้างๆ ทำเอาผมที่กำลังคิดกับตัวเองอยู่ต้องสะดุ้งก่อนจะพยักหน้ารัวๆ
“ได้ๆ”
“อ่ะปั้น” ผมที่ตอนแรกหยิบปากกาแท่งสีเหลืองจากในกระเป๋าออกมาก็ต้องทำท่าว่าจะต้องเก็บมันลงกระเป๋าเมื่อผู้หญิงข้างๆ ปั้นใจนั้นหยิบของที่ปั้นใจต้องการได้ก่อนผม
“ยืมเพื่อนแล้ว ขอบใจนะ” คำตอบของคนข้างๆ ผมนั้นทำให้เธอได้แต่หน้าแดง และดึงปากกากลับไป ก่อนที่เขาจะหันมาแบมือตรงหน้าผม ทำให้ตัวเองต้องเอาปากกาด้ามสีเหลืองลายเป็ดวางลงบนมือของอีกฝ่าย “ขอบใจ”
“อื้อ”
ผมหันกลับมาสนใจกับสมุดตรงหน้าตัวเอง ทั้งๆ ที่มันไม่ได้มีอะไรน่าสนใจนัก ส่วนปั้นใจนั้นก็เงียบไปอีกครั้ง ก่อนที่ตัวเองจะต้องแปลกใจเมื่ออยู่ๆ คนข้างๆ ผมก็ยื่นกระดาษที่พับเป็นแผ่นเล็กๆ มาให้ ทำให้ผมต้องเงยหน้ามอง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปากถาม อีกฝ่ายก็ส่ง ‘ชู่ว์’ เบาๆ ซะก่อน
อ่า...งั้นไม่พูด...
ผมพยักหน้าก่อนจะก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆ มา และพอพลิกอีกด้านก่อนจะคลี่มันก็ต้องเบิกตากว้างแล้วขยับเอี้ยวตัวไปทางปั้นใจทันที
‘ห้ามให้พาฝันเห็น’
สองคนนี้มีปัญหากันงั้นเหรอ
ผมคลี่กระดาษออก ก่อนจะเห็นตัวอักษรเล็กที่ปั้นใจเขียนไว้ด้านใน
‘ตอนเที่ยงออกไปกินข้าวที่หน้า ม. กัน’
ผมอ่านข้อความในกระดาษก็ได้แต่เงยหน้ามองอีกคน พลางหันไปมองทางพาฝันที่ตอนนี้กำลังบ่นว่า ‘เบื่อ’ ไม่หยุด จนไม่ได้หันมาสนใจผมกับปั้นใจนัก ก่อนที่ตัวเองจะมองหน้าคนที่เขียนข้อความในกระดาษอีกครั้ง โดยตอนนี้ปั้นใจเองก็มองมาทางผมราวกับรอคำตอบ สุดท้ายผมก็ได้แต่พยักหน้าแล้วพับกระดาษแผ่นนี้เก็บไว้ให้พ้นสายตาของพาฝันมากที่สุด ซึ่งคนที่โดนตอบรับก็ยิ้มออกมาเพื่อแสดงว่าพอใจในคำตอบของผมไม่น้อย
ว่าแต่แบบนี้มัน...
เหมือนแอบหนีผู้ปกครองไปทำอะไรไม่ดีเลย !
“มาแล้ว !”
ผมที่ตอนนี้วิ่งมาหาปั้นใจที่กำลังรออยู่หน้ามหาวิทยาลัยก็ต้องหอบแฮ่ก เมื่อวิ่งจากด้านในโรงอาหารมาตรงนี้ไม่ใกล้นัก ที่สำคัญกว่าฟางจะมาเบี่ยงความสนใจพาฝันจากผมได้ก็เล่นใช้เวลาไปนานเลยทีเดียว
“วิ่งมาเหรอ”
“อะ...อือ ขอโทษที่ช้านะ”
“ทีหลังไม่ต้องวิ่งก็ได้” ปั้นใจว่าเมื่อเห็นผมยกแขนปาดเหงื่อ ก่อนที่ตัวเองจะต้องสะดุ้งเมื่อมือใหญ่ๆ ของคนตรงหน้าลูบมาที่ขมับและแก้มของผมเบาๆ
“ขอบใจนะ...”
“เรื่องอะไร”
“ก็...” ผมที่กำลังจะตอบว่าเรื่องที่ช่วยเช็ดเหงื่อให้ก็ต้องหุบปากทันที เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามันแปลกๆ ที่สำคัญปั้นใจไม่ได้ใช้ผ้าด้วย เขาใช้มือของเขา...
หัวใจเต้นแรงมาก ฮื้อ...
“ไปกินข้าวกัน” คนที่ตอนแรกรอคำตอบจากผมก็เปลี่ยนเรื่องทันทีก่อนจะชักมือกลับไป ผมเลยได้แต่พยักหน้าแล้วก้มหน้างุดเดินตามคนตัวสูงเงียบๆ ซึ่งตอนแรกก็เดินตามหลังเขา แต่สักพักปั้นใจก็ยอมชะลอการเดินเพื่อให้ผมได้เดินคู่ไปกับเขาได้
มื้อเที่ยงของวันนี้ตอนแรกพาฝันก็ชวนผมไปที่โรงอาหารตามปกติ ซึ่งปั้นใจหลังจากเรียนเสร็จเราก็แยกกันทันที ผมที่ไม่รู้จะแยกไปจากพาฝันยังไงก็ได้แต่นั่งอยู่กับอีกคน จนกระทั่งฟางโทรหาพาฝันเลยทำให้ผมสามารถแยกตัวออกมาได้ และผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมปั้นใจถึงไม่ยอมให้บอกพาฝันด้วย
หรือสองคนนี้ไม่ถูกกัน...
“ปั้น” ผมเรียกคนข้างๆ เพราะรู้สึกข้องใจกับสิ่งที่คิดมากๆ เพราะอย่างน้อยผมก็ไม่อยากให้เพื่อนไม่ถูกกันล่ะนะ “ปั้นไม่ชอบฝันเหรอ”
“เปล่านี่”
“งั้นฝันไม่ชอบปั้น”
“ไม่รู้”
“อ่า...สองคนไม่ถูกกันเหรอ”
“เปล่า”
ผมที่คิดตามคำตอบของอีกฝ่ายก็ได้แต่ขมวดคิ้วเมื่อปั้นใจนั้นปฏิเสธทุกคำพูดของผม ก่อนที่ตัวเองจะเงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัย
“แล้วทำไมถึงบอกฝันไม่ได้ล่ะ”
“ไม่อยากให้มาด้วย”
“นั่นไง ปั้นใจไม่ถูกกับฝันแน่ๆ เลย...” ผมพูดโดยตอนนี้ในใจก็รู้สึกไม่ดีสุดๆ ไม่อยากให้พาฝันกับปั้นใจไม่ถูกกัน เพราะถ้าให้เลือกสองคนนี้ผมคงเลือกไม่ได้แน่ๆ “ดีกันเถอะนะ”
“ไม่ได้ไม่ถูกกัน แค่ไม่อยากให้มาด้วยเฉยๆ ไม่ได้มีอะไร มึงคิดมาก” คนข้างๆ ผมเอื้อมมือมาโยกหัวผมเบาๆ ขณะที่เดินไปที่ร้านข้าว ซึ่งผมก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี จนสุดท้ายคนที่ผมมองอยู่ก็ถอนหายใจออกมาแล้วยอมตอบ ‘ความจริง’ “อยากมากินข้าวกับมึง...”
“...”
“แค่สองคน”
“อ๋อ...” ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะใจเต้นแรงขึ้นมาเมื่อตีความความหมายของคำพูดของปั้นใจได้ สุดท้ายเลยได้แต่หลบสายตาอีกฝ่ายเท่านั้น “จริงๆ ถ้าบอกฝัน...”
“ตามมาแน่ๆ ไอ้ฟางด้วย”
คนตรงหน้าผมทำหน้าเซ็ง ก่อนจะดึงผมเข้าไปในร้านอาหารเล็กๆ ที่อยู่ไม่ห่างจากเขตมหาวิทยาลัยนัก ซึ่งแน่นอนว่าทั้งร้านก็เป็นเด็กจากมหาวิทยาลัยนั่นล่ะ ด้วยความที่ร้านแต่งได้ดูน่ารัก และบรรยากาศดีสุดๆ เลยทำให้เป็นที่นิยม และเมื่อปั้นใจเข้ามาด้านในอีกคนก็หยุดชะงักกึกทันทีจนทำให้ผมที่เดินตามต้องหยุดแล้วมองไปด้านในบ้าง
โอ้โห...คนเยอะ
ที่สำคัญหลายๆ คนมองมาทางปั้นใจทั้งนั้นเลย
ผมที่ตื่นเต้นทั้งกับบรรยากาศร้านและคนด้านในก็ได้แต่มองไปรอบๆ แต่ดูเหมือนคนข้างๆ ผมตอนนี้หน้าตาจะขมวดคิ้วหนักไปแล้ว
“คนเยอะมาก...”
“อ่า...”
“ไปหาที่นั่งกัน” ปั้นใจที่ดูเหมือนจะไม่ชอบใจกับความคนเยอะ แต่สุดท้ายก็เดินนำผมเข้าไปด้านในจนได้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะมองไปรอบๆ ร้านและชี้ไปทางมุมสุดที่มีโต๊ะว่างอยู่หนึ่งที่พอดี แต่ดูเหมือนจะยังไม่ทันเดินไปชื่อของผมก็ดังขึ้นมาจากที่ใดที่หนึ่งของร้านซะก่อน
“เกลือ !”
หือ...
ผมหันขวับไปทางต้นเสียงทันที ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าพี่เพชรที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ที่กลุ่มเพื่อนของเขากำลังโบกมือมาทางผมกับปั้นใจ
นะ...นั่นมันพี่ในคณะเราทั้งนั้นเลยนี่
บังเอิญสุดๆ !
“ซวยฉิบ...” เสียงพึมพำเบาๆ จากปั้นใจทำให้ผมหันไปมองเขาที่ตอนนี้ดูสีหน้าไม่รับแขกสุดๆ ก่อนที่เสียงจากโต๊ะพี่เพชรจะทำให้เราทั้งคู่ไม่สามารถละสายตาไปจากตรงนั้นได้ เพราะทางนั้นชี้เป้ามาที่พวกเราสองคนเต็ม
“น้องปั้นใจจจ มานั่งกับพวกพี่เร็ววววว ~”
อ่า...อาจจะเป็นปั้นใจคนเดียวก็ได้
พี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่โบกมือมาทางพวกเราทำเอาคนข้างๆ ถึงกับกุมขมับ ก่อนที่ปั้นใจจะกลับหลังหันเพื่อเดินไปทางโต๊ะที่เราเล็งไว้ตอนแรกทันที
“แกล้งทำเป็นไม่เห็นแล้วกัน” ผมมองคนข้างๆ ที่พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก
เอ่อ...ปั้น ดูเหมือนจะแกล้งไม่เห็นไม่ทันแล้วล่ะ...
“น้องปั้นใจจจจจ ~”
เสียงที่ยังคงดังขึ้นทำเอาคนอื่นๆ ในร้านเริ่มหันไปมอง ผมเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน ได้แต่มองไปทางพี่ที่ตะโกนอีกครั้ง โดยที่ยังโบกมือให้ปั้นใจไม่เลิก ก่อนที่คนข้างๆ ผมจะยอมหยุดเดินแล้วหันไปมองบ้าง สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาแล้วยอมเดินไปหาพี่ๆ ที่ตะโกนเรียกเราไว้
“สวัสดีครับ” ผมกับปั้นใจยกมือไหว้กลุ่มพี่ปีสองสี่ห้าคนที่ตอนนี้กำลังครองโต๊ะใหญ่สุดของร้าน ก่อนที่พี่เพชรพี่รหัสของผมจะพูดขึ้นมา
“พวกมึง นี่เกลือน้องรหัสกู”
“เอ่อ...สวัสดีครับ”
“ใช่น้องที่เป็นโรคหอบวันวิ่งป้ะ”
“อ่า...”
“อีกคนนี่ก็...น้องปั้นใจที่วิ่งแทนนี่ จำได้ละ โห นี่มันคนดังชัดๆ ฮ่าๆๆๆ” พี่ผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น ทำให้ผมทำหน้าไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าจะยังมีคนพูดเรื่องวันแรกของการรับน้องขึ้นมาอีก “แปลกแฮะ มากินข้าวด้วยกัน พี่นึกว่าหลังจากวันนั้นจะไม่ถูกกันแล้วซะอีก โดนเล่นงานไปซะหนัก ทำเพื่อนซวยนะเรา”
“...”
“ดีๆ เป็นเพื่อนกันได้ก็ดี”
“ไอ้เปรม อย่าปากหมา” พี่เพชรที่นั่งอยู่พูดเตือนเพื่อนตัวเอง แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่ใส่ใจนัก ได้แต่ยักไหล่แล้วหันไปสนใจพี่ผู้หญิงข้างๆ แทน ทำให้ผมที่ตอนนี้ทำหน้าไม่ถูกตั้งแต่โดนว่าว่า ‘ทำเพื่อนซวย’ ไปแล้ว
“พวกพี่มีอะไรหรือเปล่าครับ ผมกับเพื่อนมากินข้าว ถ้าไม่มีขอตัว ใกล้เวลาเรียนแล้ว” ปั้นใจพูดขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศตรงหน้า
“เฮ้ย สรุปนี่เพื่อนกันจริงดิ คิดว่าบังเอิญมาร้านเดียวกันซะอีก”
“ไอ้เปรม”
“อ่ะๆ กูไม่พูดแล้วก็ได้ ก็มันแปลกจริงๆ นี่หว่า ดูไม่เข้ากันเลยเนอะ น้องสองคนเนี่ย” พี่ที่ชื่อเปรมยังคงพูดไม่หยุดทำให้ผมได้แต่ก้มหน้าลงเพราะรู้สึกไม่อยากมองหน้าพี่คนนี้นัก และทั้งกลุ่มก็เงียบกริบไปแล้วด้วย
“ขอโทษแทนเพื่อนพี่ด้วยนะ...”
“เฮ้ย ไอ้เพชรมึงไปขอโทษทำไม กูแค่พูดความจริงเอง ถามหน่อยดิ ทั้งโต๊ะเนี่ย มีใครคิดบ้างว่าน้องสองคนนี้จะเป็นเพื่อนกัน เวลาว่างทำอะไรกันเหรอ เตะบอลป้ะ อีกคนเตะส่วนอีกคนกลิ้งเป็นลูกบอล น่ารักๆ ฮ่าๆๆๆๆ”
“ไอ้เปรม !”
“ปากดี...” เสียงข้างๆ ตัวทำให้ผมสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันไปมองปั้นใจที่ตอนนี้แสดงสีหน้าน่ากลัวออกมาแล้ว โดยตอนนี้ทั้งกลุ่มรุ่นพี่เงียบกริบยิ่งกว่าเดิม ขนาดคนที่เพิ่งหัวเราะไปยังหุบปากทันที “เวลาว่างไม่เคยเตะบอล แต่เวลาก่อนกินข้าวเที่ยงวันนี้นี่ล่ะจะได้เตะปากคน”
“ปะ...ปั้น...” ผมรีบเรียกคนข้างๆ ทันทีที่เขาพูดขึ้น ก่อนจะจับแขนอีกฝ่ายไว้
“ฮะ...เฮ้ย อะไรวะ กูแค่แซวเล่นเอง แล้วอีกอย่างมึงเป็นรุ่นน้องกล้าพูด...”
“ไม่ใช่แค่กล้าพูด แต่กล้าทำอย่างที่พูดด้วย”
“มึง...!”
“เฮ้ย พวกมึงสองคนใจเย็นกันก่อน !” พี่เพชรที่รีบพูดขึ้นทำให้เพื่อนของเขาต้องหุบปากลง ก่อนจะหันไปมองเพื่อนตัวเอง “ไอ้เปรมกูเตือนมึงแล้วนะ ว่าอย่าปากหมา ที่มึงว่านั่นน้องรหัสกู !”
“แต่ไอ้น้องเหี้ยนี่มันก็ลามปามเกินมั้ยวะ ถ้าน้องอ้วนด่ากูกูยังไม่อะไรเลย อันนี้กูไม่ได้ว่ามัน...!”
“ตอแหล” ดูเหมือนคำพูดของปั้นใจจะทำเอาทั้งกลุ่มสะดุ้งเฮือก
“เอ่อ...น้องปั้นใจเย็นๆ เด้อ” พี่ผู้หญิงที่เป็นคนโบกมือเรียกปั้นใจเข้ามาหาต้องลุกขึ้นแล้วห้ามทัพ ซึ่งคนอื่นๆ ในร้านก็เริ่มหันมามองทางเราแล้ว “พี่ขอโทษแทนเพื่อนพี่ด้วยนะน้องปั้น”
“พี่พริ๊ง พี่รู้ใช่มั้ยว่าผมเคารพพี่ ทั้งโต๊ะ ทั้งพี่ปีสองปีสามปีสี่ที่อยู่ที่นี่ผมเคารพหมด ทั้งรู้จักและยังไม่รู้จัก แต่ถ้ารู้แล้วว่ามันไม่น่าเคารพนักผมเองก็ไม่เกรงใจเหมือนกัน”
“พี่รู้ๆ พี่รู้ว่าปั้นเป็นเด็กดี...”
“ไอ้พริ๊ง ทำไมมึงเข้าข้างผู้ชายแบบนี้วะ !”
“ไอ้ห่าเปรม มึงผิดนะเว้ย กูไม่ได้เข้าข้างน้อง แต่มึงผิด !”
“เพื่อนเหี้ย !”
“ไอ้เปรม !”
เสียงของพี่พริ๊งที่ดังลั่นหลังจากที่โดนว่าไป ก่อนที่พี่เปรมจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากร้านไปทันที ปั้นใจที่ทำท่าว่าจะตามไปทำให้ผมรีบคว้าแขนของอีกฝ่ายไว้
“ปะ...ปั้น พอแล้ว...”
“เพื่อนพวกพี่ยังไม่ขอโทษเพื่อนผม”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร...”
“เกลือ !” ปั้นใจที่หันมามองดุใส่ผมทำให้ตัวเองรีบหุบปากก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาตรงหน้า
“ขะ...ขอโทษ” ผมรีบพูดขึ้นเมื่อตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นสาเหตุของความวุ่นวายเข้าให้แล้ว และคำว่า ‘ทำเพื่อนซวย’ ของผมนั้นดูเหมือนจะใช้ได้ดี เพราะเรื่องนี้จริงๆ ไม่ได้เกี่ยวกับปั้นใจสักนิด พี่เปรมเขาว่าผม ว่าผมคนเดียว ไม่ได้ว่าปั้นใจเลย “ขอโทษนะปั้น ทำปั้นซวยอีกแล้ว...”
เสียงของผมสั่นอย่างห้ามไม่ได้ ซึ่งพี่ๆ ที่อยู่ในสถานการณ์นั้นก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรขึ้นมา แม้แต่พี่เพชรเองก็ตาม ก่อนที่แขนของผมจะโดนคนข้างๆ ฉุดแล้วพาเดินออกไปจากร้านทันที ซึ่งวันนี้ดูเหมือนว่ามื้อเที่ยงจะไม่ได้ตกถึงท้องซะแล้ว
“ให้ตายสิ มึงมันน่าหงุดหงิด”
เสียงสบถเบาๆ ของปั้นใจ ทำให้ผมยิ่งไม่กล้าพูดเข้าไปใหญ่ ได้แต่ก้าวเท้าเร็วๆ ตามเขามาเท่านั้น ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าปั้นใจพาผมเดินมาที่ไหน และเราอยู่ไหนกันแล้ว รู้แค่ว่าดวงตาของผมพร่ามัวเพราะน้ำตาไปเรียบร้อย
จะโดนปั้นใจเกลียดมั้ย
ขอล่ะ ใครเกลียดก็ได้ แต่ปั้นใจอย่าเกลียดกันเลย
คนที่ดึงผมออกจากร้านอาหารมาหยุดเดิน ก่อนที่มือของอีกฝ่ายจะจับไหล่ทั้งสองข้างของผมไว้ ทำให้ตอนนี้รู้แล้วว่าเรากำลังหันหน้าเข้าหากันอยู่
“เกลือ” เสียงเรียกที่ดังขึ้ง ทำให้ผมได้แต่ก้มหน้าอยู่แบบนั้น เพราะถ้าเงยหน้าไปอีกฝ่ายต้องรู้แน่ๆ ว่าผมร้องไห้เข้าให้แล้ว “เกลือ เงยหน้าขึ้น”
“ขอโทษนะ”
“เรื่องอะไร”
“ทำปั้นซวย...”
“ไม่ได้ทำ แล้วก็ไม่ได้ซวย”
“...”
“เลิกให้คนอื่นว่าอย่างสนุกปากสักที” คำพูดของปั้นใจทำให้ได้แต่กำมือแน่น เพราะพอจะรู้ตัวว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องไปเข้าอยู่ในบทสนทนาของคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไร หรือโดนแซวในเรื่องที่มันไม่ลื่นหูนัก
มันอาจจะเรื่องเล็ก แต่เชื่อเถอะว่าผมก็ไม่ชอบแบบนี้เหมือนกัน...
“ขอโทษนะ...”
“ขอโทษทำไมอีก ไม่ได้ผิดอะไร จะขอโทษทำไม” ปั้นใจพูดขึ้นมา คราวนี้เสียงของเขาแสดงออกว่าหงุดหงิดเต็มขั้น ก่อนที่ใบหน้าของผมจะโดนอีกคนจับให้เงยขึ้น โดยตอนนี้น้ำตาที่ตั้งใจจะกลั้นไว้ตอนแรกกลับไหลออกมาอย่างง่ายดายแล้ว “อย่าร้องไห้สิวะ...!”
“ฮึก...”
ไม่ชอบแบบนี้เลย ไม่ได้ชอบให้ใครมาว่า ไม่อยากเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น
ผมทำผิดอะไรเหรอ...
“เกลือ อย่าร้อง” เสียงปลอบโยนของปั้นใจทำให้ผมต้องพยายามเช็ดคราบน้ำตาของตัวเองอย่างเชื่อฟัง “ดีมาก เด็กดี”
“ระ...เราอายุเยอะกว่าปั้นนะ ไม่เด็ก...ฮึก...” ผมพูดขึ้นเมื่อโดนอีกคนโยกหัวเบาๆ ในขณะที่กำลังเช็ดคราบน้ำตาอยู่ หลังจากที่สามารถไล่หยาดน้ำออกจากดวงตาได้แล้วก็ทำให้ผมเห็นหน้าปั้นใจได้ชัดขึ้น และสีหน้าของเขาตอนนี้ก็เต็มไปด้วยความสงสัย
“หะ...”
“หืม...มีอะไรเหรอ” ผมถามขึ้นพลางเริ่มมองไปรอบๆ โดยตอนนี้ปั้นใจพาผมมาที่ไหนสักที่ที่ไม่ค่อยมีคนนัก
“อืม ลืมไป กูเข้าก่อนเกณฑ์...” ปั้นใจพยักหน้าพลางทำหน้าเซ็งๆ ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบนักกับการรู้ว่าตัวเองเด็กกว่า “ก็แค่ปีเดียว...”
“สองปี”
“...”
“ปั้นเด็กกว่าเราสองปี” ผมพูดขึ้นพลางชูสองนิ้วไปให้ ทำให้คนตรงหน้ายิ่งคิ้วขมวด ส่วนผมเองหลังจากที่โดนปลอบไปตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นมา แต่กลับต้องมาเอ็นดูกับปั้นใจที่กำลังทำหน้าไม่เข้าใจเมื่อได้รู้อะไรใหม่ๆ แทน “เราเรียนซ้ำปีนึงอ่ะ...”
เอ่อ...ขอโทษนะฝัน...
“หมายความว่าไง”
“จริงๆ แล้วถ้าตามปกติ ตอนนี้เราต้องอยู่ปีสอง” ผมพูดเสียงเบาหลังจากที่ความลับที่ปิดมานานถูกเปิดเผยให้ปั้นใจฟังคนแรก “ปั้นอย่าไปบอกใครนะ ฝันบอกว่าเราต้องกลมกลืนกับรุ่นเดียวกัน เราบอกปั้นคนแรกเลย”
“นี่แก่กว่าสองปีเหรอ”
“อะ...อือ แต่เราก็อยากเป็นเพื่อนกับปั้นนะ” ผมรีบพูดขึ้นเมื่อปั้นใจดูเหมือนจะอึ้งกับเรื่องของผมเอามากๆ
“นี่กู...เอ่อ ผมเด็ก...” ปั้นใจที่ตอนนี้พูดไม่เป็นภาษาไปแล้ว ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมากับท่าทางตั้งตัวไม่ทันแบบนั้น “ยิ้มอะไร ไม่ขำนะ”
“ขอโทษๆ ปั้นใช้มึงกูเหมือนเดิมก็ได้ เราไม่ถือ”
“ทำไมต้องทำตัวเหมือนเด็ก...ไม่สิ ทำไมต้องทำให้รู้สึกว่าเกลือเป็นเด็กด้วย ไม่สิ...ทำไมกูต้องรู้สึกว่ามึงเด็กด้วย...!”
“หือ เราทำเหรอ...เอ่อ...เราก็เป็นแบบนี้ ขอโทษนะ” ผมพูดขึ้นเมื่อเห็นอีกคนบ่นในเรื่องที่ผมไม่เข้าใจนัก ก่อนที่ตัวเองจะก้มหน้าลงอีกครั้ง
“ไม่ต้องขอโทษแล้ว !” ปั้นใจพูดขึ้นทำให้ผมสะดุ้งก่อนจะเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง โดยตอนนี้คนตรงหน้าผมกุมขมับตัวเองเรียบร้อยแล้ว ซึ่งท่าทางแบบนี้ของเขาผมไม่ค่อยได้เห็นนัก เรียกว่าครั้งแรกเลยดีกว่าที่ได้เห็นมุมอื่นๆ ของปั้นใจ
ซึ่งผมมองว่ามันน่ารักมากๆ
“งั้นขอบใจก็ได้” ถ้าพูดอย่างอื่นแทนขอโทษน่าจะไม่ทำให้หงุดหงิดแล้วเนอะ
“...”
“ขอบใจที่ปกป้องเรานะ แล้วก็ยอมซวย...”
“บอกว่าไม่ได้ซวยไง !”
“อือ ไม่ซวย...” ผมรีบพยักหน้า ก่อนจะมองใบหน้าของปั้นใจที่ตอนนี้ขึ้นสีแดงเรื่อ จนผมไม่รู้ว่าเขาไม่สบายหรือมีเรื่องอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า และตอนนี้คนที่เคยมีแค่ท่าทางนิ่งๆ สยบทุกอย่างกลับดูเหมือนเด็กเอาแต่ใจไปแล้ว
“เต็มใจทุกอย่างแหละ...”
“หืม...” เสียงเบาๆ ของคนตรงหน้า ที่ตอนนี้ยกมือข้างหนึ่งปิดใบหน้าตัวเองไปกว่าครึ่งแล้ว
เมื่อกี๊ปั้นใจพูดว่าอะไร...
“บอกว่า...”
“...”
“ปั้นเต็มใจทุกเรื่องเกี่ยวกับเกลือนั่นล่ะ...”