chapter two。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
หลังจากวันนั้น วันที่ผมได้รับรู้และเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง มันก็ทำให้ผมกลับมามองตัวเองมากกว่าเดิม ใช้เวลาหลายอาทิตย์ในการทบทวนตัวเองว่าได้ทำอะไรผิดพลาดไปในความสัมพันธ์หรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งๆ คำตอบของผมก็มีเพียงแค่คำว่า ไม่มีเลย..
ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะล่วงเกิน
ไม่มีที่จะไม่รับฟังในเรื่องที่เธอลำบากใจ
ไม่มีที่จะไม่ไปส่งเธอให้ไกลที่สุดเท่าที่เธออยากให้ไป
ไม่มี ไม่มี และไม่มี
ดังนั้นผู้ชายแบบไป่ไป๋คนนี้ก็จะไม่เสียใจกับอะไรเดิมๆให้ตัวเองแย่ลงอีกแล้ว คิดเหรอว่าผมจะโศกเศร้าเสียใจจนแดกเหล้าหัวเมาราน้ำ เรียกร้องความสนใจจากคนที่ใจไม่เหลืออยู่แล้วไปทำไมกัน
เมื่อเสียใจก็ต้องเสียใจให้สุด แล้วไปหยุดในจุดที่จะสามารถมองความเสียใจที่ผ่านไปโดยไม่รู้สึกอะไรแล้วเพราะฉะนั้นผมจะขอจบเรื่องของเขาไว้แค่ที่ย่อหน้านี้พอ และเมื่อคิดปล่อยผมไปแล้วต่อให้กลับมาคุกเข่าขอร้องก็จะไม่ยอมกลับไปอีกเด็ดขาดเป็นผู้ชายย่อมมีศักดิ์ศรี ส่วนที่ผ่านมาผมจะเลือกจำแค่เรื่องดีๆพอ อะไรที่ไม่ดีๆก็จะยอมลืมและอโหสิให้ เพราะไป่ไป๋สะดวกแบบนี้ ตุลลี่สอนมา!!!
ไป่ไป๋จะเลิกดราม่า เพราะชีวิตต้องมูฟออน
“อีไป๋ มึงกลับมาเป็นผู้เป็นคนแล้ว ไม่เสียแรงที่พูดกรอกหูมึงทุกวันก่อนนอนจริงๆ”
“เออ พูดกรอกหูจนกูเริ่มติดนิสัยหวานๆแบบมึงแล้วเนี่ย”
“เอาน่าอย่างน้อยมึงก็รู้สึกดีขึ้นปะวะ”
“..ก็จริง”
เพราะวันนี้เป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ไม่มีเรียน พวกเรา 5 คนจึงเลือกมานั่งล้อมวงกลางห้องดูหนังกันอย่างครบองค์ประชุม
ถ้าถามว่าวันหยุดทั้งทีทำไมถึงไม่กลับบ้าน สาเหตุจากปากของเด็กมหาลัยก็มีเพียงไม่กี่อย่างหรอกครับ ข้อแรกเลยคือบ้านกับมหาลัยไกลเกินกว่าที่จะกลับได้ และสอง...
“เฮ้ยๆ กลุ่มพวกมึงเริ่มทำ Role play กันยังวะ?”
ใช่ครับ ข้อสอง อยู่อ่านหนังสือไม่ก็ทำงานกลุ่มเนี่ยแหละ
“กลุ่มกูนัดทำอาทิตย์หน้ามั้ง” ไอ้ก๊าซ
“ของกลุ่มกูยังเขียนบทไม่เสร็จ” ไอ้ตุลลี่
“กลุ่มกูทำพรุ่งนี้” และเสียงไอ้คราม
“มึงอะไป๋?”
“วันนี้ตอนบ่ายสอง”
“เอ้า ไอ้เหี้ยนี่บ่ายโมงห้าสิบแล้วเนี่ย มึงไม่ไปเตรียมตัวเหรอ?”
กูก็เพิ่งนึกได้ตอนมึงถามนี่แหละเพื่อน T_____T
หลังจากที่จำใจเก็บของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นแก่การไปทำงานกลุ่มลงกระเป๋าเป้ บอกลาเพื่อนฝูง ก่อนจะสะพายออกจากห้องมาด้วยหัวใจที่ห้องเหี่ยวเหลือเกิน
ฮือ ไป๋ อยากนอนดูหนัง
หยิบมือถือประจำตัวขึ้นมาเช็คเวลา และสถานที่อีกครั้งเพื่อความชัวร์ เมื่อแน่ใจแล้วจึงเดินแบบเอื่อยๆไปยังที่นัดหมาย สายตาสอดส่องชมนกชมไม้อะไรไปเรื่อยเปื่อย จนในที่สุดก็เดินมาถึงศูนย์การเรียนรู้สถานที่นัดหมายเสียที
อันที่จริงแม่งก็ไม่ได้ไกลจากหอหรอก มีแต่ความนิสัยเสีย และความขี้เกียจเท่านั้น ที่ทำให้เดินอู้ไปเรื่อย กว่าจะมาถึงก็ใช้เวลาเกินกว่าปกติไปพอสมควร
“ไป๋ ทางนี้ๆ” พะแพงสาวคณะแพทย์ ที่มักจะมีพลังงานในตัวเองสูงเสมอ หรือเรียกง่ายๆสั้นๆว่า ดีด อะ..
“สายไปสิบห้านาทีเลยอะ ขอโทษนะ ทุกคนรอนานแย่เลย” พร้อมทำหน้าตาที่คิดว่าดูน่าสงสารที่สุดในชีวิตใส่เพื่อนในกลุ่มโปรเจคเผื่อทุกคนจะมีความเห็นใจหลงเหลือให้คนซุยๆแบบผมบ้าง
จริงๆแล้วกลุ่มเรามีด้วยกันทั้งหมด 4 คนครับ นั่นก็ได้แก่ พะแพง คณะแพทย์, ขวัญ คณะพยาบาล, เปรมเพื่อนชายอีกคนในกลุ่ม เรียนคณะวิทยาศาสตร์ และอีกคนเป็นใครไปไม่ได้ครับ ไป่ไป๋ รูปหล่อ คณะวิศวกรรมศาสตร์คร้าบผม
“ไม่เป็นไรหรอกไป๋ แค่แพงรีบออกจากบ้านมาถึงตั้งแต่บ่ายโมงครึ่งเพื่อเตรียมของเอง” ฉึก
“ไม่เป็นไรนะไป๋ เมื่อกี๊เรากับขวัญไปกินข้าวเสร็จกลับมาก็ยังไม่เจอไป๋เอง” ฉึก
แงงงงง ทุกคนเราขอโทษ
“ฮ่าๆๆ ทุกคนเลิกแกล้งไป๋ได้แล้ว รีบอ่านบทรีบถ่ายกันดีกว่า เดี๋ยวแสงหมดกันพอดี” ผมลืมบอกไปหรือเปล่าครับว่า ขวัญเป็นสาวพยาบาลที่เหมือนเกิดมาเพื่ออาชีพนี้จริง หน้าตาดูสะอาดสะอ้าน คำพูดคำจาอ่อนหวาน ไม่เคยที่จะพูดทำร้ายให้เจ็บช้ำน้ำใจ แม้เพื่อนๆจะแกล้งผมด้วยความจังไรขนาดไหน ก็จะมีขวัญเนี่ยแหละครับ คอยห้ามทัพให้ผมอยู่ตลอด
แอร๊ยยย คิดไรกับเราปะเนี่ย
“ไอ้ไป๋ มึงเลิกมองขวัญด้วยสายตาแบบอยากได้เป็นเมียสักที ขวัญมันมีผัวแล้วโว้ย” หัวผมหันขวับไปมองไอ้เปรมต้นเสียงของประโยคล่าสุดทันที ก่อนจะหันกลับมามองสาวพยาบาลในฝันอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่มันพูด
“อือ” ทันทีที่สิ้นเสียงตอบรับ กับเจ้าตัวที่อมยิ้มแล้วหน้าแดงไปถึงหูนั่น มันก็ทำให้ผมใจแบบลีบเหมือนลูกโป่งไม่มีลมอีกครั้ง
เริ่มต้นการมูฟออนก็แป้กแล้วมึงเอ้ย “หูย ไรว้ามาไม่ทันเหรอเนี่ย”
“ไป๋ ถ้าไม่อยากโดนแฟนขวัญต่อย ก็หยุดเต๊าะแล้วมาอ่านบทซักที”
“คร้าบ แม่พะแพง”
พวกเรานั่งอ่านบทที่เป็นภาษาอังกฤษ ที่ต้องถ่ายเป็นการแสดงเกี่ยวกับหัวข้ออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับมหาลัยนั้น หลังจากที่ผมอ่านจนจบก็สามารถเล่าเนื้อเรื่องออกมาเป็นคำพูดได้ว่า..
ผมและบุคคลปริศนา ที่ฟังจากปากพะแพงว่าจะให้เพื่อนมาแสดงให้ รับบทเป็นคู่รักกัน จากนั้นเราก็ได้ทะเลาะกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต ส่วนพะแพงและขวัญรับบทเป็นเพื่อนๆของผมก็มีหน้าที่คอยปลอบและให้กำลังใจ แต่ก็ไม่อาจทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ ผมที่รู้สึกหมดหนทางจึงตัดสินใจคิดและกำลังจะลาออก แต่ก็ได้มาเจอกับเปรมพ่อหนุ่มรูปงามที่มาหันเหหัวใจผมเสียก่อน
อ้าวเฮ้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา ยิ่งอ่านแล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจเลยสักนิด
“เดี๋ยวนะ บทคราวที่แล้วที่ช่วยกันคิดไม่ใช่แบบนี้นี่หว่า” ผมจะร้องไห้อยู่แล้วครับ
“พล็อตนั้นไปถามอาจารย์มาแล้วอาจารย์บอกมันจำเจไป”
“เรากับแพงก็เลยถามอาจารย์ว่าถ้าเปลี่ยนเป็นเพศเดียวกันจะโอเคไหม? เพราะจะได้แทรกแนวคิดความรักของ IGBT เข้าไปด้วย”
“แล้วเปลี่ยนให้เป็นความสัมพันธ์แบบเพื่อนหรือแบบพี่น้องไรงี้ไม่ได้เหรอ?”
“แต่เราอยากให้มันมีอารมณ์ของความสัมพันธ์คู่รักที่พากันปั่นจักรยานรอบมอ ตะเวนกินนู้นนี่แล้วถ่ายทอดออกมาว่าความรักในชีวิตมหาลัยเป็นเรื่องสวยงาม ให้มันดูเข้ากับหัวข้อด้วยอ่ะ” พะแพงอธิบายให้ผมฟังอย่างยาวเหยียด
ผมหันไปหาเปรมมนัสผู้ร่วมชะตากรรมอย่างต้องการความช่วยเหลือ ก่อนที่จะพบว่ามันช่างไร้ประโยชน์ เมื่อเห็นสีหน้าปลงตก พร้อมหันมาพยักหน้าให้ผมเล็กน้อยแบบคนหัวอกเดียวกัน
อันที่จริงไม่ได้ต้องการจะบ่ายเบี่ยงงานหรือรังเกียจไอ้เปรมมันใดใดทั้งสิ้น แต่จากการที่อ่านบทแบบผ่านๆมาเมื่อกี๊ ดันมีฉากแฟลชแบคที่ต้องทำกุ๊กๆกิ๊กๆกับเพื่อนพะแพงที่ก็เป็นผู้ชายด้วยนี่สิ แล้วผมควรจะทำตัวยังไง..
หลังจากที่ปล่อยให้เกิดสถานการณ์เดดแอร์อยู่สักพัก สายตาของทุกคนจดจ้องมาที่ผมแบบอ้อนวอน ก่อนที่ผมจะเอ่ยตกลงกับเพื่อนๆไปอย่างจำนน
“อื้อ โอเคก็ได้ T___T” เพื่องานไป๋ ท่องไว้ว่าเพื่องาน
❋❋❋
“พะแพงตอนนี้ก็จะสี่โมงเย็นแล้วนะ เพื่อนพะแพงยังไม่มาอีกเหรอ?”
พวกเราที่ตอนนี้ได้อ่านบทและท่องจำกันไปบ้างเล็กน้อย เพราะวันนี้จะถ่ายแค่บางส่วนเท่านั้น จากนั้นก็ถึงเวลาที่จะได้ทำงานกันเสียที โดยในวันนี้เราจะเลือกถ่ายบทในช่วงที่มีนักแสดงสมทบกันเสียก่อน ซึ่งได้เปลี่ยนโลเคชั่นมาเป็นสแตนด์เชียร์กีฬาของสนามกีฬามหาลัย ส่วนผมต้องรับบทบาทแสดงเป็นแฟนที่ดีที่มานั่งเฝ้าคนรักออกกำลังกาย หวานซะ...
“ฮือ ทุกคนเพื่อนเราเพิ่งไลน์มาบอกว่าไม่ว่างแล้วอะ”
“อ้าว งี้เราเลื่อนไปถ่ายวันอื่นกันดีไหม?”
“ก็ดีนะ พวกเราจะได้ไปท่องบทกันมาเพิ่มด้วย”
“เอางั้นก็ได้ แต่ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะทุกคน” พะแพงขอโทษขอโพยทุกคนยกใหญ่ ก่อนที่จะสรุปเป็นเอกฉันท์ได้ว่าควรเลื่อนการถ่ายในส่วนของวันนี้ออกไปก่อน ซึ่งก็เป็นการดีเหมือนกัน ผมจะได้มีเวลาทำใจเพิ่มขึ้น…
ตามตกลงเราจึงทยอยเก็บกล้องและข้าวของที่ใช้กันทันที เพื่อแต่ละคนจะได้มีเวลาแยกย้ายไปทำธุระของตัวเองมากขึ้น แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เก็บของชิ้นแรกลงกระเป๋า ก็ได้ยินเสียงทุ้มใหญ่ตะโกนดังขึ้นมาจากทางด้านหลังเสียก่อน
“ไอ้เตี้ยไป๋!!!”
“มึงว่าใครเตี้ย?!!!” ยังไม่ทันได้เห็นหน้าผมก็ตะโกนตอกกลับไปอย่างลืมตัว และด้วยความที่เสียงเรียกเมื่อกี๊ช่างคุ้นหูเหลือเกิน จึงมั่นใจได้ตั้งแต่ยังไม่หันกลับได้ทันทีว่าคนปากหมาเมื่อกี๊ต้องเป็นคนรู้จักอย่างแน่นอน
ซึ่งมันก็เป็นแบบที่คิดไว้เป๊ะ ไอ้สมุย ไอ้เต้ และสุดท้ายที่จะขาดไปไม่ได้เลยก็คือไอ้พิว ทั้งสามคนอยู่ในชุดสวมสบาย คาดว่ามาอยู่สนามกีฬาแบบนี้ก็คงไม่พ้นมาออกกำลังกายกันหรอก
“ก็ว่ามึงอ่ะ แล้วนี่มาทำอะไรกัน?” ไอ้สมุยคนปากหมาfoever เป็นคนพูดเปิดประเด็น
“มาถ่ายงานอิ๊ง”
“ก็ว่าอยู่ คนอย่างมึงไม่น่ามาสนามออกกำลังกายอะ” ขอยืนยันนั่งยันไว้ตรงนี้เลยว่าสักวันไอ้สมุยต้องตายโดยถูกระบุสาเหตุการตายว่าโดนกระทืบเพราะไปกวนตีนชาวบ้านแน่นอน
“ไป๋ๆ นี่เพื่อนไป๋เหรอๆ” เสียงของพะแพงที่ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเดินมาหยุดยืนข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ พร้อมกับที่เจ้าตัวลากตัวผมออกห่างจากแก๊งสามสหายนั่น แล้วเขย่งกระซิบใส่หูผมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเสียเต็มประดา
“ใช่ แต่พะแพงอย่าไปสนใจพวกมันเลย ไอ้พวกนี้มันเหี้ยทุกคน” ผมบอกพะแพงกลับไปแบบปัดๆ แค่คิดว่าพะแพงสนใจคนใดคนหนึ่งในนี้ก็ชิบหายแล้วครับ อย่าเอาคนดีๆมาแปดเปื้อนเลย
“จะบ้าหรือไง ชวนคนนั้นมาถ่ายงานด้วยกันให้หน่อยสิ”
“คนไหนอ่ะ ไอ้สมุยเหรอ?”
“ไม่ใช่ๆ คนใส่กางเกงบอลสีแดงคนนั้นอ่ะ ชื่ออะไรเหรอ? ชวนให้หน่อยสิ” สิ้นคำของว่าที่คุณหมอ ผมก็หันไปมองทันนทีว่าใครเป็นคนที่แต่งตัวตามที่พะแพงบอก และแล้วหวยก็ตกไปอยู่ที่
ไอ้เดือนภาค... “อ๋อ ไอ้พิวอ่ะนะ ถ้าเป็นคนนั้นไม่เอาอ-”
“ถ้าไป๋ไม่พูด งั้นเราขอเองก็ได้”
แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม เลือกให้เธอไม่ไปได้หรือเปล่า
ไม่ทันได้ถามความสมัครใจผม พะแพงก็ตรงไปยังไอ้พิวที่ยังยืนคุยกับเพื่อนทั้งสองคนของมัน ยังไม่ได้เดินไปไหน กลับม๊า พะแพงกลับม๊า
“เฮ้ย นายๆ นายชื่อพิวใช่ป่ะ”
“อือ ใช่” ร่างสูงหน้ามึนเบนความสนใจจากบทสนทนาแล้วหันมาสนใจผู้หญิงร่างเล็กที่เดินไปยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า
“นายหล่ออ่ะ มาเล่นเป็นตัวประกอบให้เราหน่อยสิ” เที่ยงตรงและมั่นใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ส่วนทางด้านของพิวเมื่อฟังพะแพงจนจบประโยคก็ยิ่งทำหน้างงกันเข้าไปใหญ่ จนขวัญที่ยืนห่างๆต้องเดินเข้าไปช่วยพูดอีกแรง แบบขัดพระประสงค์ของแม่นางพะแพงไม่ได้
“คือว่าตอนนี้เราขาดตัวละครอยู่อีกคนอ่ะ เป็นแค่บทแฟนเก่าที่เราจะตัดต่อเป็นช่วงflashbackเฉยๆ ไม่ต้องมีบทพูดอะไร”
“แล้วเล่นเป็นแฟนเก่าใครเหรอ?” เหมือนไอ้เต้เห็นร่างสูงในกางเกงบอลสีแดงยังยืนบื้ออยู่ คงไม่ทันใจมันเลยชิงเอ่ยคำถามหมัดสำคัญขึ้นมา
“ก็ไป่ไป๋ไง” เท่านั้นแหละ ทุกสายตาของสามคนนั่นก็หันมามองผมอย่างพร้อมเพรียง คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแบบไม่นึกว่าสิ่งที่ได้ยินมันจริงหรือไม่
“พะแพงกับขวัญเป็นคนคิดบทขึ้นมา พวกมึงไม่ต้องมามองกูแบบนั้น”
“เออ เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า” พะแพงรีบเปลี่ยนประเด็นความสนใจ ก่อนที่จะเอ่ยประโยคที่ทำให้ทุกคนมุ่งความสนใจไปยังไอ้พิวแทน ซึ่งทำเอาพวกผมต้องลุ้นไปตามๆกัน
“ว่าไงพิวตกลงปะ?”
“อือ เอาดิ ”
ร่างโปร่งผิวโทนเหลืองค่อนไปทางขาวตามฉบับคนไม่ค่อยได้ออกแดดที่ตอนนี้กำลังจับจองที่นั่งอยู่บนสแตนด์เชียร์ขนาดใหญ่และสูงชันริมสนามที่ใช้เป็นลานวิ่งสำหรับคนที่ฝักใฝ่จะออกกำลังกาย สายตาทอดมองลอยไปยังเบื้องหน้าอย่างไม่มีจุดโฟกัส ทันใดนั้นสองมุมปากยิ้มเล็กๆเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ตัวชุ่มเหงื่อกำลังวิ่งเข้ามาใกล้สายตา
“เอาน้ำไหม?”
“ขอหน่อยก็ดี”
ทันทีที่มือเรียวส่งขวดน้ำให้ อีกฝ่ายก็เอื้อมมาจับทับแต่ไม่ได้ดึงขวดน้ำออกในทันที กลับปล่อยให้ร่างบางถือขวดโดยมีมือของตนเองทาบทับไว้ทั้งอย่างนั้น
“: )”
“เอาไปสิ” คนตัวสูงไม่มีวี่แววดึงขวดน้ำไปแต่อย่างไร อีกทั้งยังส่งรอยยิ้มมุมปากที่ดูน่ายียวนมาให้อีก
“ไอ้สัสพิว มึงปล่อยมือจากกูแล้วเอาขวดน้ำไปได้แล้ว” ผมปั้นยิ้มก่อนกระซิบแบบไม่ขยับปากมากให้อีกคนที่เอาแต่ยืนยิ้มไม่ทำตามบทสักที
ใช่ครับ ตอนนี้ผมได้มาเข้าฉากถ่าย Role play กับไอ้พิวตามบัญชาของคุณพะแพงแล้ว แม้ว่ามันไม่ได้จะเป็นไปด้วยดีทั้งหมดก็ตาม เพราะเหมือนไอ้หมาพิวข้างหน้านี้มันอยากจะเล่นสงครามประสาทกับผมอยู่
“ไม่อ่ะ”
“ไอ้เหี้-”
“โอเคคัท!!!”
และแล้วเสียงสวรรค์ดังออกมาจากปากคุณนายพะแพงที่มีหน้าที่เป็นผู้กำกับจำเป็นเสียที ก่อนผมจะดึงขวดน้ำเจ้าปัญหากลับมา ไอ้หมาพิว ลีลานักก็ไม่ต้องแดก!
ย้อนกลับไปเมื่อสิบนาทีก่อน
‘พิวๆ เดี๋ยวพิวทำเป็นวิ่งนะ แค่ประมาณครึ่งสนามก็ได้ แล้วก็วิ่งมาหาไป๋ที่นี่ เดี๋ยวไป๋จะส่งน้ำให้กิน ส่วนตอนยื่นน้ำจะพูดอะไรกันก็ได้ เพราะยังไงเดี๋ยวก็เอาเพลงใส่ลงไปอีกทีอยู่แล้ว’
พะแพงจัดแจงท่านั่งและบอกบทการแสดงไปเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นก็ตรงไปหาขวัญและไอ้เปรมที่รับหน้าที่เป็นช่างกล้องทันที โดยที่มีไอ้เต้กับไอ้สมุยยืนเป็นกำลังอยู่แบบห่างๆ
แต่ร่างสูงที่รับบทพระเอกกำมะลออยู่ตรงหน้ากลับวางมือปุลงหัวของผม พร้อมขยี้ไปมา ผมขมวดคิ้วแบบไม่เข้าใจในสิ่งที่คนตรงหน้าทำ
‘มึงทำเหี้ยไรเนี่ย?’
‘จะได้เนียนๆไง ถ่ายงานมึงทั้งที’
‘เออ อย่าเนียนให้มาก มึงไปได้แล้ว’
‘ไปนะ ’
ผมปัดมือใหญ่บนหัวทิ้ง ก่อนอีกฝ่ายจะเดินไปยังจุดที่ได้กำหนดไว้ ถ้าไอ้ตุลลี่มาเห็นนี่แม่งฆ่ากูตายแน่ๆเลย เสียงจากห้องหัวใจของผมมันเต้นตุ๊บตั๊บให้มั่วแบบหาสาเหตุไม่ได้ไปหมด
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผมไม่ชอบสกินชิพจากมันเลยจริงๆ..
“ไป๋ อันที่จริงเมื่อกี๊ต้องส่งขวดน้ำให้พิวกินด้วยนะ แต่ไม่เป็นไร ยืนจ้องตากันแบบนั้นก็โรแมนติกไปอีกแบบ”
“ก็เมื่อกี๊ไ-”
“ใช่ เราว่ามันก็ให้ไปอีกฟีลนึงเหมือนกัน ฉากต่อไปเลยไหมพะแพง?”
“ทั้งสองคนเตรียมตัวฉากต่อไปได้เลยนะ”
สิ้นสุดคำประกาศิต ร่างของผมก็ได้ถูลู่ถูกังไปตามแรงของเพื่อนๆสมาชิก พร้อมแขกรับเชิญและผองเพื่อนที่กำลังเดินตามมา เพื่อถ่ายฉากต่อไปกันอย่างพร้อมเพรียง
เพื่องานไป๋ ท่องไว้ว่าเพื่องาน
“ต่อไปจะเป็นฉากซ้อนจักรยานปั่นรอบมอกันนะ ทั้งสองคนปั่นไปเรื่อยๆเลย เดี๋ยวที่เหลือพวกเราจัดการเอง ถ้าพอใจแล้วเดี๋ยวจะสั่งคัทนะ”
ผมยืนทอดสายตามองเจ้าจักรยานแบบยืมแล้วคืนของมหาลัย ที่พะแพงเป็นคนไปยืมมาให้เสร็จสรรพ ก่อนหันหน้าไปหาคู่กรณีแบบมีคำถามในใจ
“เดี๋ยวกูปั่นมึงซ้อน” ไอ้พิวชิงบอกขึ้นมาก่อนเหมือนรู้ใจ
“ได้ไงวะ? กูจะปั่นเอง”
“กูปั่น เดี๋ยวใครเขาจะหาว่ากูใช้แรงงานคนแคระ”
ไม่ทันจบประโยคของมันก็คว้าจักรยานพร้อมเตะขาตั้งแล้วขึ้นคร่อมรถโดยที่ไม่คิดฟังเสียงคัดค้านจากผมเลยสักนิด
มึงกำลังทำให้กูดูไม่แมนไอ้พิว จำไว้เลย!!!
แต่จะให้ทำยังไงได้นอกจากขึ้นซ้อนเบาะหลังมันแบบหงอยๆล่ะครับ...
จะว่าไปถ้าตัดเรื่องคนปั่นคนซ้อนตอนนี้ออกคือบรรยากาศก็คงดีเอามากๆ เนื่องจากมหาลัยของผมร่มรื่นเหมาะแก่การปั่นจักรยานตอนเย็นแบบนี้มากครับ
เออ เข้าใจละว่าทำไมตกเย็นคนเป็นแฟนกันถึงชอบพากันมาปั่นจักรยานเล่น
“มึงอยู่หอไหนอ่ะไป๋?”
“หอ 7 นั่นไง ข้างหน้านั่นอ่ะ”
“มองจากข้างนอกยังรู้เลยว่าเก่า” มันยู่หน้าเล็กๆเมื่อมาเจอสภาพหอใน
“เออ มันถูกดี กูชอบ ค่าน้ำไม่ต้องเสีย ค่าไฟก็ยูนิตละ 5 บาทเอง”
“มึงจะอยู่นี่ยันปีสี่เลยเหรอ?” ร่างสูงเอี้ยวตัวกลับมาถามผม
“ไม่อะ เขาให้แค่ปีหนึ่งอยู่ ปีหน้าก็ต้องไปอยู่หอนอกละ”
สิ้นสุดประโยคนั้นเราต่างคนต่างเงียบ แต่ละฝ่ายปล่อยให้สิ่งรอบข้างครอบงำ สายตาผมสอดส่องมองโน้นนี่รอบทางที่ผ่านมาไปเรื่อย ตั้งแต่สระว่ายน้ำวิทย์กีฬา สเต๊กร้านโปรด หรือแม้แต่สาวพยาบาลต่างเซคที่ผมเคยเจอบ่อยๆ
ด้านหลังก็มีสมาชิกของผมที่แบกกล้องปั่นจักรยานตามหลังมา แต่ไม่มีวี่แววของสมุยและเต้เพื่อนซี้ของร่างสูงที่กำลังปั่นเจ้าสองล้อแบบขะมักเขม้นนี่อยู่เลย
“ไอ้พิว เต้กับสมุยหายไปไหนแล้วอะ?”
“มันบอกว่าหิวข้าว เลยขอกลับก่อน”
“แล้วเป็นไงตัวกูหนักปะ?”
“เบากว่าวาฬแดกช้างเข้าไปนิดนึง”
“ไอ้สัส”
ผมแกล้งโคลงตัวไปมา ซึ่งมันก็ทำเอาคนข้างหน้าเสียศูนย์ จนหันมาตวาดผมเบาๆ
“ไอ้ไป๋ มึงเล่นเชี่ยไรเนี่ย” ผมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่หลังไอ้คนขี้เก๊กไปทีนึง ทั้งๆที่รู้ว่าแม่งไม่เห็นหรอก แต่ก็พอใจจะทำเพราะความสะใจล้วนๆ
เดธแอร์ได้กลับมาหาเราทั้งสองอีกครั้ง ผมที่เวลาอยู่กับมันแล้วไม่รู้จะชวนคุยอะไร และมันที่เป็นคนพูดน้อยเป็นต้นทุนอยู่แล้ว เหตุการณ์แบบนี้จึงเกิดได้บ่อยครั้ง จากระยะทางรอบมอที่เคยครึ่งชั่วโมงก็ครบรอบแล้ว ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางมาครึ่งโลกแล้วอย่างไรไม่รู้
“ได้ข่าวมึงจะจีบสาวใหม่แล้วเหรอ?”
“ฮื้อ? มึงรู้มาจากไหนอ่ะ?”
“เปรมบอกว่ามึงจะจีบขวัญ” ไปคุยกันตอนไหนวะ?
“จีบเหี้ยไร ขวัญมีผัวแล้ว เพิ่งแดกหญ้าไป กูคงไม่หาตีนมาแดกเพิ่มหรอกสัส” เพิ่งจะมานึกได้ตอนอ้าปากพูดออกไปแล้ว อยากตบปากตัวเองชิบหายเลย ไอ้ไป๋เอ๋ย มึงแม่งปากหมาจริงๆ
“ปากบอกปาวๆว่าลืมได้ๆ แต่เอาเข้าจริงก็ฝังใจเหมือนกันนี่หว่ามึงอะ” ให้เดาว่าตอนนี้หน้าไอ้พิวต้องยียวนกวนส้นตีนได้พอสมควรเลย
“กูแค่เปรียบไหม? แล้วมึงเถอะ ให้กูซ้อนท้ายงี้ คงไม่มีสาวมึงคนไหนเข้าใจผิดว่ากูเป็นเด็กมึงหรอกนะ”
“ไม่..”
“ไม่เข้าใจผิด?”
“ไม่มีสาวเลย”
“ขี้โม้สัส เมื่อวันนู้นกูยังเห็นมึงเดินกับดาววิทย์อยู่เลย”
“นั่นไม่-”
“คัท!!!”