(end) ◦「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twenty one ―280918)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (end) ◦「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twenty one ―280918)  (อ่าน 77735 ครั้ง)

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0







          เพราะการที่ผิดหวังจากความรักมาหยกๆ ทำให้ไป่ไป๋ต้องเดินหน้ามูฟออนเพื่อลืมรักครั้งเก่า จนได้มาเจอกับกิจกรรม letter for love จากคณะเภสัชฯที่เป็นเหมือนกามเทพให้เขาได้เจอกับผู้ใช้ดิสเพลย์เนมที่ว่า ‘กุ้งเผา’

          แต่ใครจะไปรู้ว่าตัวจริงของคนที่เขาถูกชะตาด้วยนั้นจะเป็นพิว บุคคลที่เป็นเพื่อนภาคเดียวกัน เป็นผู้ชายเหมือนกัน แถมจู่ๆก็ยังประกาศกร้าวว่าจะเดินหน้าจีบเขาอีก



“สิ่งที่อยากทำมากที่สุดตอนนี้คือ จีบไป่ไป๋ คนที่อยู่วงเวียนใหญ่ คนที่ถนัดซ้าย คนที่เกลียดวิชาเคมี คนที่อยู่ข้างหน้ากูตอนนี้ .. และเป็นคนที่มีอยู่คนเดียวบนโลกด้วย”



          แล้วอย่างนี้หัวใจอันเปราะบางของไป่ไป๋ จะทนความอันตรายของผู้ชายที่ชื่อว่าพิวได้นานแค่ไหนกัน...




status: จบแล้วค่ะ, ขอบคุณที่เดินร่วมทางกันมานะคะ
ปล.ส่วนสเปรอแปปค่ะ



chapter zero ― ตั้งใจเรียนนะ 。
chapter one ― คนหยาบคาย2018 。
chapter two ― บังเอิญหรือบุพเพฯ 。
chapter three ― อยากคุยด้วยแล้วอะ 。
chapter four ― เวลคัมทูระย๊อง。
chapter five ― เครื่องกลคนปวกเปียก 。
chapter six ― แค่คนเดียวบนโลก 。 (ฉากดุเร้ก)
chapter seven ― อย่ามาซ่ากับไป่ไป๋ 。
chapter eight ― จองตัวแล้วนะ 。
chapter nine ― ความรักไม่เลือกเวลาเกิด 。
chapter ten ― ฮูอิสแดทเกิร์ล 。
chapter eleven ― ออกมาหาหน่อยดิ 。
chapter twelve ― หมดเวลา 。
chapter thirteen ― สุดท้ายคงเข้าใจ 。
chapter fourteen ― จากดวงจันทร์และกลับมา 。
chapter fifteen ― ที่นี่ไม่มีเธอ ที่นั่นก็ไม่มีฉัน 。
chapter sixteen ― การกลับมาของดวงจันทร์ 。
chapter seventeen ― ทางด้านของนายปฏิพล 。
chapter eighteen ― จุ๊บครั้งนึง แล้วก็จุ๊บตลอดไป 。
chapter nineteen ― ผู้ชายน่ารักมักโดนแกล้ง 。 (ฉากดุเร้ก)
chapter twenty ― จีบติดแล้วนะ 。 (ฉากดุใหญ่)
chapter twenty one ― 88 ○ 19 ○ 11 ○ 91 ○ 53 (ฉากดุใหญ่)



▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔


สวัสดีค่ะ ขอฝากเรื่องแรกไว้ด้วยนะฮับ

ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9



และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-09-2018 20:05:27 โดย pearyypinkyy »

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: ( yaoi ) ◦「 จีบเป็นคำกริยา 」
«ตอบ #1 เมื่อ13-08-2018 17:12:56 »

chapter zero。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔


 

 

     “ไป๋ พลอยขอโทษจริงๆ แต่เราเลิกกันเถอะนะ”



 



     และนั่นก็เป็นประโยคสุดท้ายที่เขาได้บอกกับผม

 


     8 เดือนแห่งความทรงจำของเราที่มีกันมาได้จบลงเพียงในประโยคเดียว สาเหตุหลักของคำบอกเลิกสำหรับเด็กมหาลัยคงไม่พ้นเรื่องเรียนอีกเช่นเคย



      ‘คณะพลอยเรียนหนักมากเลยไป๋ พลอยกลัวตามเพื่อนๆไม่ทัน ถ้าผลการเรียนตกแล้วพ่อกับแม่พลอยรู้ว่ามีแฟน พลอยตายแน่เลยไป๋’ พลอยใส แฟนสาวคนแรกในชีวิตมหาลัยของผม เธอกุมมือของผมไว้แนบแก้มอาบน้ำตานั่น สมองของผมยังประมวลอะไรไม่ค่อยถูกนัก



      เธอนัดเจอผมที่ร้านกาแฟใต้ตึกคณะวิศวะของผม ที่ที่เรานัดเจอกันเป็นประจำหลังเราทั้งสองเลิกเรียน



     ‘คะ แค่ห่างกันไปก็ได้ พลอยว่างเมื่อไหร่ เราค่อยมาเจอกันนะ’ เธอก้มหน้าเม้มปากปล่อยให้น้ำตาหยดลงบนโต๊ะ หยดแล้ว .. หยดเล่า



     ‘แต่ถ้าครอบครัวพลอยรู้ สักวันเราก็ต้องเลิกกันอยู่ดี ถ้าเราสองคนเลิกกันตอนนี้อาจยังไม่เจ็บมากนะไป๋’



     ‘แต่ว่-’



      “ไป๋ พลอยขอโทษจริงๆ แต่เราเลิกกันเถอะนะ”


 






     ย้อนกลับไปครั้งแรกที่ผมเจอพลอย เราเจอกันที่โรงอาหารกลางของมหาลัย ในวันสัมภาษณ์เข้าเรียนต่อในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนเธอเข้าเรียนต่อในคณะเทคนิคการแพทย์




     ความประทับใจแรกถ้าจะให้พูดเลยก็คงเป็นหน้าตาน่ารักดูไม่มีพิษภัย ผมสีดำประบ่าที่รวบเป็นหางม้าดูทะมัดทะแมง รวมไปถึงผิวขาวตามแบบของผู้หญิงที่ดูแลตนเอง เรียกได้ว่าทำให้ผมตกหลุมรักทันทีตั้งแต่แรกเห็น




     แอบมองเธอตั้งแต่ตอนเงอะงะมองหาจุดแลกบัตร ไปจนถึงต่อแถวร้านข้าว มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ผมแบกหน้าไปขอนั่งกับเธอที่มาคนเดียวเหมือนกับผมด้วยแล้ว





     ‘หวัดดี ตรงนี้ว่างไหม เราขอนั่งด้วยสิ’



      ‘อื้อ ว่าง นั่งเลยๆ’ ตายิ้มรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว บวกกับเสียงหวานติดห้าวนั่น  ตอกย้ำให้ผมยิ่งทะยานความต้องการของตัวเองมากขึ้น



      ‘มาสัมฯคนเดียวเหมือนกันเหรอ? เราชื่อไป่ไป๋นะ’



     ‘อื้มใช่ เราชื่อพลอยใสนะ’




     และแล้วมื้อนั้นก็ถือได้ว่าเป็นมื้อที่ข้าวผัดผักไข่พะโล้ของผมอร่อยที่สุดในโลก ตั้งแต่ที่เคยกินมา

 

 



     นั่นคือจุดเริ่มต้นความรักของเรา จากนั้นที่เป็นส่วนของในช่วงปิดเทอม เราแลกช่องทางติดต่อกัน และคุยกันทุกวันเรื่อยมา ทำให้ผมรู้อะไรๆเกี่ยวกับพลอยใสมากขึ้น ยกตัวอย่าง เช่น ว่าเธอไม่ได้มาจากกรุงเทพฯเหมือนกับผม



     พลอยใสจบมาจากโรงเรียนประจำจังหวัดหนึ่งในปริมณฑล เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ดังนั้นพ่อแม่เธอจึงหวงเธอมาก มีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่เราได้นัดเจอกันในช่วงปิดเทอมนั่น

     


     ‘ไป๋ ขอโทษที่พลอยมาช้า รอนานมากไหม?’

     

      ‘ไม่เป็นไรพลอย ไป๋ก็เพิ่งมา’



     'ขอโทษจริงๆน้า กว่าจะอ้อนพ่อกับแม่ขอออกมาได้นี่แทบแย่เลย’ ผมเอื้อมมือไปปาดไรผมชื้นเหงื่อที่ขมับให้พ้นกรอบหน้า



      ‘วันนี้ไปอ้อนพ่อแม่ว่าอะไรถึงได้ยอมปล่อยพลอยออกมาอีกหละ?’



      ‘เราบอกว่าเพื่อนจะติวปรับพื้นฐานให้แหละ เลยยอมให้เราออกมา ฮ่าๆ’



      ‘เป็นเด็กนิสัยไม่ดีนี่หว่า’ ผมพูดพลางยิ้มเอ็นดูคนรักตรงหน้า



     ‘ก็เค้าอยากเจอไป๋อ่ะ เรารีบเข้าห้างเถอะ พลอยร้อนจะแย่ละ’



      ‘อื้อ J’

 




ในตอนนั้นผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าพลอยใสคือหนึ่งความสุขของชีวิตผู้ชายอย่างผม

 




❋❋❋

 










 

       ตัดภาพมาที่ปัจจุบันที่ผมได้แต่นอนซม มือนึงก่ายหน้าผาก อีกมือนึงไถโทรศัพท์อยู่บนเตียงเดี่ยวสำหรับนอนคนเดียว ซึ่งภายในห้องก็มีอยู่สองเตียงด้วยกัน




        มือข้างที่ไถโทรศัพท์กำลังดูรูปในแกลลอรี่เก่าๆของผมกับพลอยใส ตั้งแต่รูปที่พลอยใสใส่ชุดนักเรียนกำลังนั่งทานข้าวตรงข้ามผม รูปที่เราไปเดินห้างด้วยกัน รูปถ่ายหน้ากระจกที่พลอยใสเป็นคนถ่ายและมือของเราสองคนได้จับกันไว้ จนถึงรูปล่าสุดคือรูปที่เราใส่ชุดพิธีการของมหาลัยในวันปฐมนิเทศหน้าหอประชุม




        ผมเคยคิดว่าเราสองคนน่าจะไปด้วยกันได้นานกว่านี้ รวมถึงใครๆที่ต่างบอกว่าคู่เราช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันเหลือเกิน ทำให้ผมไม่ได้ทำใจว่าวันแบบนี้จะมาถึง




       “ไอ้ไป๋มึงจะเป็นงี้ไปอีกนานไหมวะ นี่มันเป็นอาทิตย์ละนะเว้ย มึงเล่นเอาแต่นอนซมแทบไม่ไปเรียนเนี่ย”





       ไอ้ยีนส์ เมทปากหมาละสายตาจากหนังสือตรงหน้าก่อนจะหันมาด่าผมที่นอนเป็นผักเป็นปลาแบบนี้มาเกือบอาทิตย์




        อันที่จริงรูมเมทหอในของมหาลัยจะใช้ระบบสุ่มเอาครับ ดังนั้นผมจึงไม่มีสิทธิ์เลือกรูมเมทอย่างใด แต่อย่างไรผมก็โชคดีละที่ได้ไอ้ยีนส์มาเป็นเมท เพราะนอกจากจะอยู่ภาคเดียวกันแล้ว มันยังเป็นคนที่หัวดีพอตัว ดังนั้นเวลาไม่เข้าใจบทเรียนอะไร ผมก็จะมีรูมเมทเนี่ยแหละครับ เป็นคนอธิบายให้ผมฟัง

 


        “เออน่า พรุ่งมีนี้เรียนวิชาคณะ กูไม่กล้าขาดอยู่แล้ว”




       “เอาให้จริงเถอะ กูเรียกไม่เคยลุกอ่ะ ลานประชุมเชียร์ก็ไม่เข้า ชวดเกียร์ขึ้นมา ระวังจะเสียใจที่ไม่มีเกียร์ไปไว้ให้สาวนะคร้าบ”




        “สัสยีนส์ มึงแม่งพูดมาก อีกอย่างกูตัดทางโลกละ กูจะไม่รักผู้หญิงคนไหนนอกจากแม่กูอีกแล้วเว้ย” ผมหันไปยักคิ้วกวนๆให้อีกฝ่ายหนึ่งทีราวกับว่าผมโคตรสบายดี สามารถกลับมากวนตีนได้เหมือนเดิมแล้ว




        “เออ มึงไม่ต้องมีแล้วเมียอ่ะ ขาวๆตี๋ๆอย่างมึงกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดมืด”




        “ตลาดมืดพ่อมึงอ่ะ”




        “เอ้า ไม่เชื่อมึงลองแก้ผ้าแล้วเดินลงหอไปดิ ถ้าลงไปถึงชั้น 1 ละมึงยังไม่เสียตัว มึงเอาตีนมายัดปากกูได้เลย”




        “ไอ้-”

 

 

        ก๊อกๆๆๆๆๆๆ

 


        “ซิสไป๋ ซิสยีนส์ ฮัลโหลว ใครก็ได้มาเปิดประตูให้ตุลลี่หน่อยค่า เร้ววว”

 

 

 



        ยังไม่ทันที่ผมจะได้ด่าเมทตัวดีของผมต่อเสียงจากประตูหน้าห้องของผมก็ดังขึ้นก่อน แบบนี้มีคนเดียวแหละครับ ไอ้ตุลลี่หนึ่งในกลุ่มของผม มีสารร่างและจิตใจเป็นสาวหวาน แต่กลับบ้านไปต้องเป็นผู้ชายแบบแมนเต็มร้อย เนื่องจากมีพ่อเป็นทหารชั้นสูง ซึ่งมีระเบียบและเข้มงวดพอตัว ในตอนแรกทางบ้านจะให้ไอ้ตุลลี่เรียนทหารเฉกเช่นเดียวกันพ่อด้วยซ้ำ แต่เจ้าตัวก็ยืนกรานที่จะปฏิเสธ เลยทำให้ได้มาเรียนวิศวะเครื่องกลที่ดูยังไง๊ยังไงก็ไม่เข้ากับบุคลิกตุลลี่มาแบบงงๆ





       ส่วนเหตุการณ์ฝังใจมันตั้งแต่เด็กที่มันเคยเล่าว่า ตุลลี่เล่นพ่อแม่ลูกกับเพื่อนข้างบ้าน แล้วไปแย่งจะรับบทเป็นแม่กับน้องสาวแท้ๆของตัวเองขึ้นมา จากนั้นพ่อกลับบ้านมารู้เลยโดนฟาดจนขาลาย ทำให้นายตุลาฝังใจเป็นอย่างมาก เลยเลือกที่จะปิดบังความเป็นตัวของของตัวเองในตอนที่อยู่บ้าน




       “อ้าว ซิสไป๋ มีแรงลุกแล้วเหรอมึง?”
 


        “ซิสพ่อมึงสิไอ้ห่าตุล”



        “กูชื่อตุลลี่โว้ย” ถุงขนมขบเขี้ยวของผู้มาใหม่ถูกวางลงบนโต๊ะญี่ปุ่นกลางห้อง พร้อมหันมาทำตาขวางใส่ผมอย่างไม่ชอบใจ



        “อยากรู้จริงๆ ถ้าพ่อมึงมาได้ยินแล้วมึงยังจะชื่อตุลลี่อยู่ไหมวะ?”



        “อินี่ก็แซะเก่งจัง มึงล่ะ ถ้านังพลอยใสมาเห็นมึงในสภาพนี้ มึงคิดว่าเค้าจะยังจะกลับมารักมึงอยู่อีกหรือไง?”

 

 

        เรื่องเล่าของธรรมชาติของเพื่อนตุ๊ดที่ว่านอกจากพระเจ้าจะประทานความตลกมาให้แล้ว ท่านยังประทานเรดาห์จี้จุดแทงใจดำมาให้ไอ้ตุลลี่อีกด้วย..

 



        “ใครบอกมึงว่ากูยังเสียใจกับพลอยใสอยู่ นี่ใครครับ นี่ไป่ไป๋วงเวียนใหญ่เอง ผู้หญิงคนเดียวไม่เคยทำให้กูตายครับ พวกมึงจำเอาไว้” ถ้าหากยอมรับว่ากำลังเสียใจอยู่ตอนนี้คงจะเสียฟอร์มไม่มากก็น้อย ผมเลยแกล้งวางมาดเข้มพูดเสียงแข็งปฏิเสธไป

 

       “ไม่ตายแต่ก็ใกล้เคียงอ่ะนะ” เป็นไอ้ยีนส์ที่หันมาเบ้ปากใส่อย่างรู้ทัน



        “ไม่ตายเพราะผู้หญิง แต่จะตายเพราะอดข้าวประชดรักเนี่ยแหละ นั่งลง! แล้วแดกข้าวที่กูซื้อมาให้หมดเดี๋ยวนี้ไอ้ไป๋!!!” แรงกระชากให้ล้มตัวลงนั่งบนพื้นตรงหน้ากล่องข้าวขาหมูกลิ่นชวนน่ารับประทาน แต่ก็ต้องมานึกโมโหให้กับเสียงแข็งของไอ้ตุลลี่ที่สั่งให้ผมกินข้าวตรงหน้า

 


        โอ้โห! ไอ้ตุลมันขึ้นเสียงกับผมครับ แบบนี้ยอมไม่ได้อะบอกเลย

 


        “ครับแม่..”

 


        ยอมไม่แดกข้าวที่มันซื้อมาไม่ได้เนี่ยแหละ เดี๋ยวโดนฝ่ามืออรหันต์มันเข้านี่หลังแอ่นเลยนะ ไอ้ยีนส์เคยโดนมาแล้ว บอกคำเดียวว่าโคตรสงสาร เลยได้แต่นั่งกินข้าวไปนั่งฟังเพื่อนทั้งสองบ่นไปจนอาหารตกลงไปอยู่ในกระเพาะผมแล้วจนหมดเกลี้ยง..

 

 







 

        หลังจากที่ตุลลี่มาป่วนห้องผมได้สักพักจนถึงเวลาอันสมควรที่จะอาบน้ำเข้านอน มันก็เก็บของกลับห้องไปอย่างเรียบร้อย พร้อมกับกำชับให้ไอ้ยีนส์ลากผมไปเรียนในวันพรุ่งนี้ให้ได้



        บางทีการมีเพื่อนก็ทำให้รู้สึกเหมือนมีแม่คนที่สอง...

 
 


        “ไป๋ มึงก็นอนได้ละ พรุ่งนี้ถ้ามึงไม่ตื่นไปเรียน เดี๋ยวกูโดนพวกมันด่าที่ไม่ได้ลากมึงไปด้วยอีก”




        “เออ กูพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว”




        มันหัวเราะในลำคอค่อนไปทางระอา




        “หึๆ กูปิดไฟเลยนะมึง” ร่างสูงเดินไปปิดไฟ ผมที่นอนเอาผ้าห่มคลุมทั้งตัวก็ได้แต่ตอบรับไปเบาๆ มองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ ควรค่าแกการนอน

 



 

        หลังจากไฟถูกปิดลง จากนั้นทั้งห้องก็เงียบสนิท มีเพียงแสงที่ลอดเข้ามาจากหน้าต่างทางหลังห้องและเสียงพัดลมของเราทั้งสองคนเท่านั้น




        คงจริงอย่างที่เขาว่ากัน ยิ่งดึกยิ่งฟุ้งซ่าน
 



        ความฟุ้งซ่านเก่าๆของผมจึงกลับมาอีกครั้งหลังจากที่คิดว่าตัวเองคงลืมได้ไปชั่วขณะ ไม่เว้นแต่ความคิดถึง เสียใจ รวมทั้งความผูกพัน หรืออะไรหลายๆอย่างที่ผมรู้สึกในตอนนี้




        “ยีนส์ มึงหลับยังวะ?”




        “อื้อยัง ว่า?” มันตอบกลับมาสั้นๆ เหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่น




        “ถ้ากูขอกลับไปเป็นเพื่อนกับพลอยใส มึงว่ามันจะโอเคปะวะ?”




        “…”




        “หลับแล้วเหรอ?”




        “หึ กูไม่ได้กวนตีนนะ แต่ถ้ามึงกลับไปเป็นเพื่อนกับเค้า แล้วมันจะทำให้มึงสบายใจขึ้น ก็เอาเลย”




        “งั้นเหรอ”

 
 



        มันว่ามายาวๆก่อนที่จะได้ยินเพียงเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอออกมา ผมลองย้อนคำพูดของเพื่อนสักพัก แล้วตัดสินใจคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาพลอยใสอย่างที่เคยทำเป็นประจำแบบเหมือนก่อน เพื่อขอร้องในสิ่งที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลไหม..





paipai : พลอยใส อยู่ไหม


PLOY-SAI : ?



paipai :  ขอโทษที่ส่งมาดึกๆนะ


PLOY-SAI : อื้อ ไม่เป็นไร



PLOY-SAI : ว่าแต่ไป๋มีอะไรเหรอ?



paipai : เราเข้าใจพลอยแล้วนะ



paipai : ขอโทษที่งี่เง่าด้วย



paipai :  ไม่รู้ว่าสิ่งที่เรากำลังจะขอมันมากไปไหม



paipai : เราไม่ได้จะขอให้ทุกย่างเป็นเหมือนเดิมหรอก



paipai : แต่เราจะขอเป็นเพื่อนพลอยต่อไปได้ไหม



PLOY-SAI : อื้อ ได้สิ



PLOY-SAI : ขอบคุณที่ไป๋เข้าใจพลอยนะ



paipai : ขอบคุณเหมือนกันนะ



PLOY-SAI : ฝันดีนะไป๋



PLOY-SAI :  J



paipai : ฝันดีพลอย

 



 

        หลังจากที่ผมคุยกับพลอยใสเสร็จแล้ว ก็จัดการกดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองแล้ววางไว้ข้างๆ พร้อมยกยิ้มให้กับตัวเองในความมืด




        ‘โชคดีนะพลอยใส’

 



 

        หลายคนอาจสงสัยว่าผมมีโอกาส หรือเหตุผลง้อเธอตั้งเยอะแยะ ผมกลับมาถามตัวเองหลังจากวันนั้น หากผมกับเธอกลับมาคบกันแล้ว เราจะมีความสุขต่อไปจริงๆเหรอ? คำตอบอาจบอกว่าเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่ในเส้นทางที่ผมเลือกในตอนนี้ผมไม่ได้เลือกเส้นทางที่เป็นความสุขของเราทั้งสองก็จริง แต่อย่างน้อยมันก็เป็นทางที่เราทั้งสองสบายใจ

 



        เพราะในบางครั้งชีวิตเราก็จำเป็นต้องเลือกให้ความสบายใจมาก่อนทุกๆอย่างบนโลกใบนี้

 

 



        แต่อย่างไรการที่ผมเลือกที่จะเป็นเพื่อนกับพลอยใสต่อไป ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องทำใจให้ลืมเรื่องระหว่างเราได้ทันที...

 







        “พันหมื่นเหตุผลที่บอกกับฉัน คือความผูกพันเธอนั้นไม่มีเหลืออยู่ พันหมื่นเหตุผลที่เธอยืนยันให้รับรู้ ยิ่งฟังดูไม่ได้ความไม่มีค่าใด” ซิงเกิ้ลโดยตุลลี่เองครับ กูคันตีนยิกๆเลยตอนนี้



        “ไอ้ตุลลี่ ถ้ามึงไม่หยุดร้องกูจะกดหน้ามึงลงจานข้าวจริงๆด้วย”



        “อีไป๋ขา ฉันก็แค่ร้องเพลงไหมอะ ทำไมต้องมาเกรี้ยวกราดใส่ฉันอะไรเบอร์นั้น”



        “พวกมึงสองคนพอเลย แล้วไอ้ก๊าซกับไอ้ครามจะมาถึงยังเนี่ย จะถึงเวลาเรียนแล้วนะ” ไอ้ยีนส์พูดขัดก่อน เหมือนรู้ว่าถ้าปล่อยให้ผมกับไอ้ตุลลี่สองคนพูดกันเกินอีกหนึ่งประโยคผมจะต้องกดหน้ามันลงจานข้าวจริงๆตามคำขู่



        “สองผัวเมียนั่นเดี๋ยวก็มาแหละ สงสัยเมื่อคืนจัดหนักไป”

 


        ตอนนี้พวกผมกำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่ใต้ตึกคณะ เพื่อเตรียมตัวขึ้นไปเรียนวิชาคาบเช้าคือดรอว์อิ้ง ที่ต้องเข้าห้องเลกเชอร์ก่อนที่จะลงแลปวาดในช่วงหลัง



        ดูๆแล้วคงผิดวิสัยไม่มากก็น้อยนะครับที่นักศึกษาชายคณะวิศวกรรมศาสตร์แหกขี้ตาตื่นมานั่งกินข้าวเช้าใต้คณะแบบนี้ ทั้งๆที่เพื่อนรุ่นเดียวกันจะเข้าคลาสตอนเริ่มเรียนไปแล้ว 15 นาทีเป็นอย่างต่ำ หรือต่อเมื่ออาจารย์เช็คชื่อเท่านั้น



        เพราะเหตุผลนั่นก็คือ ไอ้ยีนส์และไอ้ตุลลี่เป็นคนติดข้าวเช้ามากครับ และเวรกรรมจึงตกมาที่เมทอย่างผม ที่ต้องแหกขี้ตาทนฟังเสียงไอ้ยีนส์ปลุกตั้งแต่เช้า แล้วรีบมาอาบน้ำมาคณะมานั่งกินข้าวกับพวกมันด้วย...

 
 




        จริงๆแล้วตอนนี้พวกเรากำลังเรียนอยู่ปี 1 ในภาคเครื่องกลครับ ซึ่งเนื้อหาวิชาในปีแรกจะยังไม่มีอะไรมาก เรียนแค่วิชาพื้นฐาน เช่น แคลคูลัส ฟิสิกส์ เคมี และจะมีวิชาคณะเช่น ดรอว์อิ้ง หรือแลปของภาคอุตสาหการบ้างเล็กน้อย







        ซึ่งในกลุ่มเพื่อนผมจะมีคนที่ผมสนิทที่สุดอยู่ 4 คน คือ ไอ้ยีนส์ เมทผม, ตุลลี่ และยังมีไอ้ก๊าซกับไอ้ครามที่เป็นเมทกัน ความสนิทของเราเริ่มจากในวันปฐมนิเทศคณะผมกับไอ้ยีนส์ที่หาห้องไม่เจอ ได้ไปเจอกับไอ้ก๊าซและไอ้ครามที่กำลังหลงทางเหมือนกัน



        พวกเราจึงตกลงกันว่าจะเดินไปหาห้องพร้อมๆกัน แต่ในระหว่างทางที่กำลังหาห้องประชุมนั้นก็ได้ยินเสียงกรี๊ดขึ้นพร้อมกับร่างทึกๆของไอ้ตุลลี่วิ่งตาลีตาเหลือกออกมาจากห้องน้ำชาย จับใจความได้ว่ามันเจอแมลงสาบในห้องน้ำเลยตกใจ... จากนั้นก็เลยกลายเป็นกลุ่มคนงงๆแบบพวกเรา 5 คนขึ้นมา

 


        ช่างเป็นเฟิร์สอิมเพรสชั่นที่หาไม่ได้จากที่ไหนแล้วจริงๆ...

 

 

 
        “ไอ้ตุลลี่ จะบ้าหรือเปล่า เรากับครามไม่ได้เป็นผัวเมียกัน!!!” เสียงของไอ้ก๊าซดังขึ้นจากข้างหลังของผม จึงหันไปดู พบกับไอ้ก๊าซที่ยืนหน้าบึ้งหน้าบูดพร้อมกับไอ้ครามที่ยืนหน้ายู่เหมือนคนเพิ่งตื่นอยู่ข้างๆ

 


        จะว่าไปสองคนนี้นิสัยแม่งโคตรต่างกันเลย ไอ้ก๊าซนี่จะนิสัยหน่อมแน้มตามสไตล์ลูกคุณหนูหน่อยๆ ส่วนไอ้ครามนี่จะอารมณ์นิ่งๆ ค่อนไปทางเบื่อโลกง่าย หรืออาจเรียกว่าขวางโลกก็ได้...




        “เออ จะเป็นผัวเมียหรือเป็นทุกอย่างอะไรก็เรื่องของพวกมึงเหอะ ถ้าจะแดกข้าวก็รีบไปซื้อซะ ใกล้ถึงเวลาเรียนแล้ว” ไอ้ตุลลี่พูดพร้อมบุ้ยปากไปทางร้านข้าว 2 ร้านใต้ตึกคณะ ที่ผมไม่สามารถเรียกมันว่าโรงอาหารได้จริงๆ...




        “กูกับครามแดกมาแล้ว ขึ้นห้องเลยๆ”

 

 


❋❋❋

 







        หลังจากจบคาบเลกเชอร์ที่โคตรจะเนือยและน่าเบื่อ ทุกคนในภาคก็ลงไปยังห้องแลป เพื่อวาดชิ้นงานกัน ซึ่งภายในห้องก็จะมีโต๊ะดรอว์อิ้งวางเรียงรายกันเป็นแถวๆ ประมาณ 40 ตัว ตามจำนวนของนักศึกษาในภาคเครื่องกล




        กฎของการใช้ห้องปฏิบัติการมีอยู่เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น คือ 1.ไม่วิ่งเล่นกันภายในห้อง 2.เมื่อทำชิ้นงานเสร็จแล้วอนุญาตให้ออกจากห้องได้ทันที และ 3.ต้องนั่งเรียงตามรหัสนักศึกษา

 



        เมื่อได้รับแบบที่ต้องมาวาดเป็นชิ้นงานจากอาจารย์ ผมและไอ้ก๊าซที่รหัสนักศึกษาติดกันก็หันมามองหน้าและยิ้มแหยๆให้กัน ด้วยความที่โจทย์มันเริ่มยากขึ้นในแต่ละสัปดาห์ อันที่จริงงานมันก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่มองรูปให้ออก และต้องวาดมุม Front, Top และ Side ของชิ้นงานให้ถูกต้องเท่านั้นเอง แต่อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการทำงานครั้งนี้คงหนีไม่พ้นสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด และนั่นก็คือ

 

        ความโง่ของผมเองครับพี่น้อง

 



        “ไอ้ก๊าซ ตรงนี้มันยาวเท่าไหร่วะ?” ผมเอี้ยวตัวไปหาเพื่อนที่นั่งติดฝั่งซ้ายของผม




        “กูไปถามไอ้ตุลลี่มาเมื่อกี๊ มันบอกว่า 20mm”




        “อ่อ โอเค” ผมเริ่มร่างแบบในเศษกระดาษก่อนวาดจริง เพราะหากเราลงไปในกระดาษจริงทันที อาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนแบบชิบหายขึ้นมาได้ นั่นคือต้องลบบางส่วนและวาดใหม่ หรือร้ายแรงสุดคือต้องลบทั้งหมดกันเลยทีเดียว

 


                รู้ตัวว่าโง่วาดรูป แล้วก็ยังโง่มาลงภาคเครื่องอีกนะไอ้ไป๋เอ๊ย

 





        ขณะที่ผมกำลังก้มๆเงยๆ ทำชิ้นงานในกระดาษจริงอยู่แบบตั้งใจ ปณิธานในใจอย่างหนักแน่นว่าวันนี้กูจะไม่ยอมเสร็จคนสุดท้ายอีกแล้วเว้ย! พลันสายตาของผมก็หันไปมองยังคนที่ประจำที่นั่งฝั่งขวา ที่กำลังวาดรูปอยู่กับโต๊ะแบบชำนาญ งานของเขาคืบหน้าไปเกินครึ่ง ผมเหล่มองกระดาษชิ้นงานที่ขาวสะอาดตา ต่างจากผมที่กระดาษเขรอะไปด้วยรอยดำของคาร์บอนของดินสอจากการลบแบบชุ่ยๆ




        ไม่ทันที่ผมจะได้พูดหรือถามอะไร หลังจากที่ละสายตาจากงานของเขา เมื่อเงยหน้ามาก็พบว่าเขาจ้องหน้าผมพร้อมทำสีหน้าเหมือนสงสัยว่าผมกำลังมองอะไรอยู่

 


        “ทำไวสัสอะ”




        “อือ” เจ้าตัวเลิกทำหน้างง ตอบผมเสียงในลำคออย่างไม่สนใจมากนัก แล้วก็ก้มหน้าทำงานต่อ

 



        เขาชื่อ ‘พิว’ ครับ หมอนี่ได้เป็นเดือนภาค หลังจากที่เคนเพื่อนของมันที่เป็นเดือนภาคคนก่อน โดนเลือกไปเป็นเดือนคณะ จึงทำให้ต้องเลือกเดือนภาคคนใหม่





        คือเอาจริงๆไอ้พิวมันก็หล่ออ่ะ ให้อารมณ์แบบทายาทเจ้าของโรงงานเงี้ย หล่อๆ รวยๆ ชิคๆ สาวตรึม มีรถขับ แต่ติดอยู่ตรงที่แม่งพูดน้อยชิบหาย เงียบเป็นเป่าสาก คุยอะไรก็ตอบกลับมาแค่ อืมๆเออๆ

 


        ถ้าจะให้พูดตรงๆคือกูหมั่นไส้ครับไอ้สัส

 
 

        แต่ด้วยความที่เรารหัสติดกัน เลยทำให้ผมได้เจอเขาบ่อย แต่ถามว่าสนิทไหม ก็ส่ายหน้าบอกเลยว่า ฮึ!

 


        ไป๋ว่าไป๋ก็เฟรนด์ลี่พอตัวนะ แต่ทำไมไม่สนิทกับไอ้พิวเลยวะ?

 

 




 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-08-2018 17:26:50 โดย pearyypinkyy »

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: ( yaoi ) ◦「 จีบเป็นคำกริยา 」
«ตอบ #2 เมื่อ13-08-2018 17:13:33 »

        “พิวตรงนี้ทำยังไงเหรอ?”

 

        “พิวตรงนี้ยาวเท่าไหร่อะ?”

 


        และอีกสารพัดพิวที่ออกจากปากผม ดูท่าทางเหมือนเจ้าตัวก็น่าจะเริ่มรำคาญผมแล้ว หลังจากที่อธิบายให้ผมฟัง แล้วผมยังทำไม่ได้สักที ผมเลยจำใจต้องไปวิ่งหาตัวช่วยที่เป็นคนอื่นแทน




        สักพักคนในห้องเริ่มหร่อยหรอลงตามจำนวนเวลา ไป๋มึงตายแน่ๆ มึงแดกข้าวไม่ทันอีกแน่ๆ ตอนบ่ายมีเรียนวิชาสังคมกับคณะอื่นยันเย็นอี๊ก ตาย!!!




        “ไป๋ อะไรวะมึงยังทำไม่เสร็จอีกเหรอ” ไอ้ยีนส์ที่ทำเสร็จได้สักพักก็เดินตรงมากดดันผมที่ยังนั่งขีดๆเขียนๆแบบรีบสุดชีวิตจนลนลานไปหมด



        “เหลืออีกเยอะเลยว่ะมึง”



        “ไหน-”




        “ยศวีร์ ว่างไหมมาช่วยขนโต๊ะไปห้องซ่อมบำรุงด้วยกันหน่อย” ไอ้ยีนส์ที่โดนอาจารย์เรียกไปช่วยทำให้ใจของผมกลับมาห่อเหี่ยวอีกครั้ง 3 สหายที่เหลือของผม ก็กำลังทำงานของตนเองที่เป็นรูปเป็นร่างและใกล้จะเสร็จแล้ว เหลือแต่ผมที่ช่างห่างเหินจากความเป็นจริงเสียเหลือเกิน







        “พิว!! มึงเสร็จแล้วก็ออกมาสิวะ จะได้รีบไปกินข้าว!!”



        “เออ แปปนึง” ตอนนี้รอบข้างผมเสียงดังอื้ออึงไปหมด ให้ทายว่าตอนนี้คนที่ทำเสร็จแล้วคงกำลังเก็บของเตรียมไปกินข้าวกันหมดแล้วแน่ๆ คิดได้ดังนั้นผมจึงรีบปั่นแบบไม่สนใจรอบข้าง แต่ก็ต้องละความสนใจเมื่อสามารถสัมผัสได้ว่ามีใครสักคนมายืนอยู่ด้านหลัง



        “อ้าว พิวเสร็จแล้วเหรอ?”



        “อือ”




        “กินข้าวให้อร่อยนะ วันนี้ก็ขอบคุณนะมึง” ผมหันไปขอบคุณเขาก่อนจะกลับมาสนใจตัวงานเบื้องหน้าอีกครั้ง




        “ไม่ใช่แบบนั้น”




        “หึ?” ผมเอี้ยวตัวกลับไปมองอีกครั้ง ก็พบว่าเค้ายังไม่ได้กระดิกเดินไปไหน




        “เรียนมาหลายอาทิตย์แล้ว ยังใช้ไม้ฉากไม่เป็นอีก”

 


        ฉึก!

 


        “ไม่ชอบใช้อ่ะ กูถนัดซ้ายใช้แล้วมันไม่ค่อยถนัด” นั่นนับว่าเป็นประโยคที่ยาวที่สุดตั้งแต่เขาเคยพูดกับผม และก็เป็นประโยคด่าในเวลาเดียวกัน




        “อะ...”





        เขายัดไม้ฉากใส่มือผมแบบงงๆ ยังไม่ทันให้ผมได้ถามอะไร เขาก็จับผมหันหน้าเข้าหาโต๊ะก่อนจะแนบร่างลงมาทาบทับบนหลัง พร้อมกับวางมือของเขาบนมือของผมให้อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน สัมผัสห่างกันเพียงเสื้อเชิ้ตนักศึกษาสีขาวที่อาจารย์บังคับให้ใส่ทุกครั้งที่มีเรียนในวิชานี้ เพราะความบางของเนื้อผ้า มันจึงทำให้ผิวผมรับรู้ได้ถึงความร้อนจากตัวอีกฝ่าย ลมหายใจเป่ารดข้างหูบ่งบอกว่าใบหน้าอีกคนแทบจะชิดหน้าของตัวเองอยู่ร่อมร่อ

 




        จากนั้นพิวก็เริ่มลงมือทำชิ้นงานตรงหน้าอย่างชำนาญขณะที่ยังอยู่ในท่าอันล่อแหลม แม้มองเผินๆก็ดูเหมือนคุณครูที่กำลังสอนเด็กอนุบาลอยู่บ้าง โดยแต่ละครั้งที่ดินสอได้จรดลงบนชิ้นงาน มันก็ได้สอนปนบ่นให้ผมได้รู้เทคนิคอันมีประโยชน์ไปด้วย

 


        เอาเข้าจริงถึงคำสอนของพิวจะดีแค่ไหน แต่ในเวลานี้ก็ต้องยอมรับว่ามันไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปในสมองผมได้ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ กลิ่นบุหรี่จางๆปนกลิ่นน้ำหอม นึกแปลกที่กลิ่นไม่ได้ชวนเหียนอย่างที่เคยได้กลิ่นจากคนอื่น แต่กลับเป็นความหอมเย็นๆแบบที่ผมก็อธิบายไม่ถูก 





        แต่ถึงอย่างนั้น แม้เราจะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่ขัดเขินเวลาเจออะไรแบบนี้..

 


        ผมไม่รู้ว่ามันกินเวลาไปเท่าไหร่ หรือไอ้พิวกำลังทำอะไร แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที ชิ้นงานตรงหน้ากลับเสร็จสมบูรณ์ ไม่มีคราบของความซกมกที่ผมเคยสร้างไว้หลงเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว จนพาให้อดตะลึงในความสามารถของเจ้าตัวอย่างห้ามไม่ได้




        “คราวหลังมึงต้องวาดเส้นอย่างนี้ก่อน มันจะได้ไม่งง .. เอ้า เสร็จละ มึงรีบเขียนชื่อจะได้รีบไปแดกข้าว” คนตัวสูงดันตัวให้ผละออกจากกัน ก่อนที่พิวจะทิ้งท้ายและคว้ากระเป๋าไปหาเพื่อนมันที่ยืนรออยู่ด้านนอก





        “เออ ขอบคุณมากมึง!!!” อีกฝ่ายยกมือขึ้นเชิงว่าไม่เป็นไร โดยที่ไม่หันหลังกลับมามองผมเลยสักนิด

 



        เออ ไอ้เดือนภาค ไอ้หล่อ วันนี้กูยอมวันนึงก็ได้..

 




        คงเป็นเพราะทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับตัวเอง เลยไม่มีใครสนใจให้ความสนใจมายังผม แต่ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องมีประเด็นให้เพื่อนได้แซว และที่สำคัญจะได้ไม่ต้องโดนไอ้ตุลลี่ซักไซ้ด้วย

 

        ใช่ครับ ไอ้ตุลลี่มันหวีดไอ้พิวเดือนภาคอยู่ ชนิดที่ว่าถ้าเจอพิวที่ไหนไอ้ตุลลี่ก็จะแฝงตัวของมันเข้าไปใกล้ให้มากที่สุด และถ้ามันรู้ว่าผมกับร่างสูงนั่นเขียนงานหลังแนบอกแบบเมื่อกี๊ ผมคงเละคาฝ่ามือมันอย่างไม่ต้องเดาเลย

 




 
❋❋❋

 


 

        “อกหักปุ๊บก็เริ่มทำงานเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาเลยนะมึง” หลังจากที่พวกเราทั้งหมดเพิ่งทำงานได้เสร็จสิ้นภายในเวลาที่กำหนดแล้ว ก็รีบเก็บของแล้วเดินออกจากห้องปฏิบัติการเพื่อจะได้รีบไปหาซื้อข้าวกลางวันกันอย่างพร้อมเพรียง



        “พ่องสัสตุล”




        “เออ ปกติถ้ารอไป๋ พวกเรานี่ต้องช่วยอาจารย์เก็บห้องตลอดอ่ะ” ไอ้ก๊าซที่เดินอยู่ด้านหลังพูดขึ้นเหมือนเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากความคับแค้นส่วนตัว




        “กูงี้ไม่ได้แดกข้าวเที่ยงวันอังคารมาหลายอาทิตย์ละ” ต่อด้วยไอ้ยีนส์ที่เดินอยู่ข้างกันเอ่ยขึ้นเสริม




        “แต่ถ้าพวกมึงยังชักช้าอยู่แบบนี้ วันนี้มึงก็จะไม่ได้แดกข้าวกลางวันอีก”




        “เออไปแล้วๆ ใครจะชักเร็วแบบครามอะ” ทางด้านของไอ้ครามที่ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ก๊าซก็ตะโกนตอกกลับไปด้วยคำพูดสองแง่สองง่าม ส่งผลให้ผมและไอ้ยีนส์ได้แต่ยืนเหวอ ไม่คิดว่าคนอย่างก๊าซจะพูดอะไรอย่างนี้ออกมา




        “เฮ้ยๆ พวกมึงสองผัวเมียมีชักช้าชักเร็วอะไรด้วย คืบหน้าไปถึงไหนแล้วอะ” กฎเกี่ยวกับการอยู่กับไอ้ตุลลี่มีอยู่ไม่กี่อย่าง หนึ่งในนั้นคือ อย่าพูดเปิดทางให้กับมัน... ไม่งั้นมันจะแซวจนแทบจะพลิกแผ่นดินหนีกันเลยทีเดียว




        “ตุลลี่ไร้สาระอีกและ รีบๆไปเหอะ เราหิวข้าว” ไอ้ก๊าซรีบตัดประเด็นด้วยการรีบเดินนำไป ยังมิวายมีเสียงหัวเราะของไอ้ตุลลี่กับไอ้ยีนส์ไล่หลังแบบล้อๆ




        มองจากตรงนี้ยังรู้เลยว่าแม่งเขินอะ..

 

 













        และหลังจากที่เรากินข้าวเที่ยงกันเสร็จแล้ว เราก็ได้แยกย้ายกันไปยังตึกเรียนของตนเอง โดยในปีหนึ่งมีวิชาบังคับที่ให้นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ลงเรียนร่วมกัน ได้แก่สังคมและภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นวิชาที่ให้ทุกคณะได้มาเรียนด้วยกัน แบ่งแต่ละเซคด้วยการสุ่มตามฉบับของทางมหาวิทยาลัย ทำให้ผมและไอ้พวกเพื่อนๆอีก 4 คนต้องกระจายกันไปเรียนในตึกตามแต่ละเซคกำหนด




        ผมจัดการจอดจักรยานไว้ด้านข้างของตึกคณะศิลปะศาสตร์ก่อนจะเดินกึ่งวิ่งเพื่อตรงไปยังห้องเรียนที่อยู่ชั้น 1ของตัวเอง แต่ในขณะที่ผมเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูกระจกหน้าด้านของห้องเรียน สายตาผมก็เหลือบไปเห็นคนที่รูปร่างสูงดูคุ้นๆยืนอยู่ยังประตูถัดไป ห่างกันแค่ไม่กี่ช่วงก้าว




        เมื่อผมหันไปมองให้เต็มตา ก็พบว่าเป็นไอ้พิวเจ้าเก่าที่เจ้าตัวได้มองมาทางผมอยู่ก่อนแล้ว ก่อนหน้านี้ทำไมไม่เคยเจอมันเลยวะ? แต่ด้วยความที่รหัสติดกันจะเรียนห้องข้างๆกันก็คงไม่แปลกอะไร และด้วยความดีของมันที่เปลี่ยนอคติในใจผมวันนี้เลยทำให้ผมกล้าที่จะพูดทักทายออกไป





        “หวัดดีไอ้พิว”





        “อืม หวัดดี”




        “ตั้งใจเรียนนะ” ผมพูดพร้อมฉีกยิ้มแบบที่คิดว่าเป็นมิตรที่สุดออกไป ไม่ทันคิดได้ว่าทำที่ผมกำลังจะพูดออกไปจะคำที่สามารถกลบฝังตัวเองได้มิดและไม่มีวันได้ผุดได้เกิด


 

        “กูว่ามึงน่าจะเป็นมึงมากกว่าที่ต้องตั้งใจเรียน”

 

        เสียงใหญ่ๆนั่นหัวเราะในลำคอบาๆ พร้อมเอ่ยประโยคที่ถือว่าเป็นหมัดเด็ดในการน็อคสมองใครสักคนออกมา..




        ให้หลังไม่กี่วินาที คนตัวสูงเมื่อกี๊ได้หายไปหลังบานประตูไปเป็นที่เรียบร้อย เหลือแต่ผมที่ยังยืนงงตีความหมายของประโยคที่ว่านั่นว่าที่จริงแล้วมันคือคำด่าหรือว่าเจ้าของต้องการที่จะให้กำลังใจ แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรความหมายของมันก็น่าจะเป็นอย่างแรกเสียมากกว่า ความคิดจะผูกมิตรด้วยในตอนแรกก็ได้หายวับไปกับตาในทันที..





        ไอ้สัสพิว!!!!!

 


▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔




สวัสดีค่ะ ขอฝากตอนแรกไว้ด้วยนะฮับ

ติดตามการอัพเดตได้ที่

tw : @pearyypinkyy

page : PearyyPinkyy



และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก

#จีบเป็นคำกริยา






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-08-2018 17:57:56 โดย pearyypinkyy »

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
chapter one。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔



   “เรื่องโปรเจคกลุ่ม role play หากไม่มีนักศึกษาคนไหนสงสัยแล้ว วันนี้ก็ขอจบเพียงเท่านี้ค่ะ” นาฬิกาบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นจวนจะครึ่ง หลังจากที่อาจารย์ชนันท์พรหรือเป็นที่รู้จักกันในนามจารย์ป้าบอกปล่อยนักศึกษาในคลาสที่มีจำนวนประมาณ 50 กว่าชีวิตเป็นที่เรียบร้อย ผมจากที่หันไปบอกลาเพื่อนในกลุ่มโปรเจคเดียวกันเสร็จแล้ว ก็หันไปกวนตีนเพื่อนคณะร่วมเซคอย่างที่ทำกันเป็นปกติ



   บอกแล้วครับ จะมีใครเฟรนด์ลี่เกินไป่ไป๋บ้าง



   “บายไอ้มิกซ์ ตอนจะกลับหอก็อย่าส่องสาวจนปั่นจักรยานชนเสาอีกนะเว้ย” เพื่อนร่วมคณะที่จับพลัดจับผลูได้อยู่เซคเดียวกัน หมอนี่มันอยู่ภาคโยธา แดกเหล้าเก่ง ม่อเก่ง บางทีมันก็มีบางมุมที่เหมือนจะหลุดโลกไปสักหน่อยครับ เช่น ล่าสุดมันมาปรึกษากับผมครับว่าจะเป็นโอตะดีไหม...


   แต่โอตะคืออะไรกูยังไม่รู้เลยเพื่อน



   “ว่าแต่กู มึงอ่ะเอาเรื่องหัวใจให้รอดก่อนสัสไป๋” ฉึก


   เหตุการณ์เหมือนจะจบที่แค่ให้ผมด่าไอ้มิกซ์เพิ่มอีกสักประโยคแล้วเราทั้งสองคนก็จะเจ๊ากันไปนะครับ แต่ก็ลืมนึกไปอีก ว่าไอ้มิกซ์เนี่ยมีฉายาว่า มิกซ์รู้ โลกรู้ ครับ เท่านั้นแหละมึงเอ้ย..




   “ทำไมวะ ไป๋มันอกหักอ่อ?”


   “แฟนมันชื่อไรนะ พลอยใสป่ะ น่ารักจะตายปล่อยไปได้ไงวะ”


   “ไป๋ ถ้าคนนี้มึงไม่เอาแล้วกูขอจีบต่อนะ”


   “ทำไมกูไม่รู้อะไรเลยวะ ใครมีสรุปเหลามาสิ”


   และเสียงอีกมากมาย จากปากของเพื่อนในเซคคละคณะกันไป




   อาจารย์ปล่อยแล้วทำไมพวกมึงยังอยู่กันอี๊กกกกกก!!!!!






   จากนั้นผมที่โดนฝูงชนซักถามประหนึ่งว่าเป็นดาราหรือเซเลปอะไรทำนองนั้นเกี่ยวกับเรื่องความรักอยู่นานหลายนาน ในส่วนของผมก็ตอบหมดครับ ทุกคำถามทุกประเด็น ถ้าถามถึงเหตุผลที่ทำไมผมถึงเล่าถึงกล้าบอกความสัมพันธ์ที่จบลงไปแล้วนั้นให้กับเพื่อนๆฟัง ก็คงเป็นเพราะ ผมไม่อยากให้ใครเอาเรื่องของผมกับพลอยใสไปคิดเองครับ มีโอกาสก็ต้องรู้จักใช้ไว้อธิบาย จะให้บอกเป็นเรื่องของอนาคต อุบอิบให้คนนินทาเสียๆหายๆนี่โคตรไม่ใช่ทาง



   
บอกเลยว่ารางวัล คนแมน2018 ต้องมากองที่เท้าไอ้ไป๋!!!   




   “อีไป๋ มึงเคยต้องรู้สึกผิดที่ทำให้เพื่อนมายืนรอมึงเช้าสายบ่ายเย็นบ้างป่ะกูถามจริง”


   “กูขอโทษ วันหลังกูจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”



   หลังจากที่ลงมาจากตึกเรียนได้ก็พบกับสองสหายตุลลี่และไอ้ยีนส์อยู่รออยู่ก่อนแล้ว และท่าทางจะยืนรอมาพักใหญ่ๆแล้วด้วย ทันทีที่เห็นหน้าบูดของพวกมันใกล้ๆ ก็รู้ได้ทันทีเลยว่าน่าจะเริ่มมีอาการโมโหเพราะความหิวกันบ้างแล้ว เลยบอกเหตุผลที่ผมลงจากตึกช้าในครั้งนี้ให้พวกมันฟัง หวังเพียงความเข้าใจ แต่ก็...


   “วันหลังไม่ลากพวกมันไปกับมึงทุกที่เลยอ่ะ จะได้ไม่ต้องมาเที่ยวเสือกเที่ยวถามเรื่องชาวบ้านแบบนี้ มึงก็ด้วยอีไป๋แบบนี้มันจัดอยู่ในหมวดเรื่องส่วนตัวปะ ถ้ามึงไม่เล่ามันก็ไม่ตายกันหรอก ทำตัวเป็นคนของประชาชนเหลือเกิ๊นพ่อคุณ”


   “มึงก็เลิกบ่นเป็นตุ๊ดโดนผัวเทแล้วไอ้ตุล สรุปจะไปแดกไหมข้าวอ่ะ จะหกโมงเย็นอยู่แล้ว กูหิว” โชคดีที่ได้ไอ้ยีนส์เป็นผู้ช่วยชีวิตผมเอาไว้


   “เออ กูก็หิว แล้วไอ้ก๊าซกับไอ้ครามกลับหอกันไปแล้วเหรอ?” หลังจากที่สอดส่องสายตารอบๆข้าง แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของสองคนนั้น


   “ครามมันจับไอ้ก๊าซเทรนคอร์สเพิ่มกล้ามอยู่ มันชอบบ่นว่าอยู่กับไอ้ครามแล้วมันดูไม่แมน”


   “ปล่อยให้สองผัวเมียแดกคลีนกันไป กูหิวจะตายละ จะไปแดกไหนหน้ามอป่ะ”


   “เออๆเอาดิกูอยากแดกตามสั่งพอดี”




   หลังจากนั้นพวกเราก็ตกลงที่จะไปกินข้าวที่หน้ามอด้วยกัน ส่วนหน้ามอที่เรียกๆกันมันคือฝั่งตรงข้ามมอที่จะมีร้านอาหารร้านของกินแบบปกติทั่วไป และมันก็เป็นแหล่งของข้าวเย็นไม่กี่ที่ที่พวกผมมักจะฝากท้องตอนเลิกเรียน


เพราะเราเพิ่งหมดฤดูของการเข้าประชุมเชียร์ไป เลยทำให้มีเวลามานั่งกินข้าวตอนเย็นหลังเลิกเรียนแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ได้


พวกเราปั่นผ่านคณะวิศวกรรมศาสตร์ของเราที่ตั้งอยู่ส่วนหน้าของมหาลัย ที่เมื่อสังเกตแล้วก็จะพบว่าหอในที่ผมอยู่มันตั้งอยู่คนละโยชน์กับคณะเลย รู้งี้ตอนปีหนึ่งผมขอแม่อยู่หอนอกก็ดีหรอก จะได้ไม่ต้องปั่นจักรยานมาเรียนตอนเช้าให้เหนื่อยหอบแบบทุกวันที่เป็นอยู่นี้..


ซึ่งตามปกติแล้วหากจะเดินทางในมหาลัย เรามักนิยมใช้จักรยานไม่ก็รถรางของมอในการเดินทางแทนพวกมอเตอร์ไซด์ ประจวบกับตามทางเดินมีต้นไม้ร่มรื่นจึงเหมาะแก่การปั่นจักรยานไปมาแต่ละตึกเรียนแม้แต่ในตอนกลางวัน หรือแม้แต่การปั่นเล่นในตอนกลางคืน


หลังจากที่ปั่นมาถึงบริเวณหน้ามอ พวกผมก็จอดจักรยานไว้ในที่ที่ทางมหาลัยจัดไว้ ก่อนจะล็อคล้อแล้วเดินข้ามสะพานลอยไปหาอะไรกิน





❋❋❋





   และแล้วเราก็ได้มาถึงตามสั่งร้านประจำของพวกเรา ที่มีเจ้าของชื่อว่าเจ๊หมวย คนในร้านหนาแน่นเป็นปกติเพราะนอกจากเจ๊แกจะใจดีแล้วยังให้ข้าวเยอะเมื่อเทียบกับร้านอื่น นักศึกษาจึงนิยมมาทานกันหลังเลิกเรียนจากวันเหนื่อยๆ
พวกผมเมื่อได้ที่นั่งและสั่งอาหารเป็นที่เรียบร้อย เราต่างคนต่างก็นั่งเล่นโทรศัพท์เล่มเกมเงียบๆเพื่อข่มความหิวของตัวเองกันไป แต่ยังไม่ทันที่ข้าวจะมาถึงเสียงของไอ้ยีนส์ก็ทักขึ้นมาทำลายความเงียบของโต๊ะเราเสียก่อน



   “นั่นกลุ่มไอ้พิวปะวะ”



เมื่อผมหันไปก็พบกับไอ้พิวและผองเพื่อนมันที่กำลังหาโต๊ะกันอยู่ ปกติกลุ่มนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 4 คนครับ ได้แก่ พิว สมุย เต้ และไอ้เคนเดือนคณะ แต่วันนี้กลับไม่เห็นไอ้เคน สงสัยคงจะยุ่งๆกับงานคณะอยู่ คนฮอตก็เงี้ยแหละ


ผมหันหน้ากลับมาดังเดิม สมองก็พลันคิดได้ว่าไอ้ตุลลี่ที่นั่งตรงข้ามผมมันต้องทำอะไรสักอย่างแน่นอน


   “ตายแล้ววว พิวขาโต๊ะนี้ว่างค่า” ความจริงอีกข้อนึงคือร่างตุ๊ดของนายตุลาจะประทับลงแบบเต็มร้อยตอนเจอไอ้พิวในทุกครั้ง ไม่รอช้าปากก็ตะโกนเรียก มือข้างซ้ายกวักเรียก มือข้างขวาตบลงปุๆบนโต๊ะตัวข้างๆ



   
   นี่ถ้าไอ้ตุลลี่เป็นหวย คนคงถูกทั้งประเทศไปแล้ว!!!





   ตอนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่กลุ่มไอ้พิวที่หันมาให้ความสนใจไอ้ตุลลี่อยู่กลุ่มเดียว เพราะคนทั้งร้านได้หันมามองที่นายตุลาเป็นตาเดียวกันหมดแล้ว แต่เจ้าตัวก็หาได้แคร์ไม่ คงเป็นเพราะมันยึดคติประจำใจแบบคมๆที่ว่า ถ้าด้านไม่ได้ เรื่องผู้ชายก็อด กระมัง


   ทางด้านคนตัวสูงเมื่อเห็นดังนั้น ก็หน้าเรียบตามนิสัย ก่อนเดินตรงมายังโต๊ะข้างๆผม ในขณะที่เพื่อนตุ๊ดของผมยิ้มหน้าบานจนแก้มจะมากองบนหน้าผากได้แล้ว


   “หูยยย ไม่เคยเห็นพิวขาแต่งตัวชิวๆแบบนี้เลย แล้วนี่มากัน 3 คนเหรอ แล้วเคนไปไหนอะ?” ผมที่ได้ยินได้ตุลลี่พูดแบบนั้น เลยหันไปพิจารณาการแต่งตัวของร่างสูงในตอนนี้ ก็พบว่ามันได้เปลี่ยนจากชุดช็อปของคณะเป็นชุดลำลองธรรมดาแบบเสื้อยืด กางเกงขาสั้นพร้อมคีบอีแตะมากินข้าวแล้ว


   “มันอยู่กับแฟน” พิวตอบเสียงเรียบตามสไตล์ ก่อนจะก้มเขียนสั่งรายการอาหารในมือ ก่อนให้ไอ้สมุยเป็นคนเดินไปส่งรายการ


   “เคนไม่อยู่งี้ พิวขาต้องเหงาแน่ๆเลย งั้นให้ตุลลี่ไปเป็นแฟนพิวขาดีไหมคะ?”


   “ไม่เป็นไร มีไอ้หมุยกับไอ้เต้อยู่เป็นเพื่อนแล้ว”


   “พิวขาอยู่หอหน้ามอเหรอ? แล้วพิวขาอยู่หอไหน?”


   “หอมูนไลท์ เยื้องๆร้านข้าวเนี่ยแหละ”


   “ดีอ่ะ รู้งี้ตุลลี่จะมากินข้าวร้านเจ๊หมวยทุกวันเลย”


   “ไอ้พิว ตุลมันเต๊าะมึงขนาดนี้มึงไม่ใจอ่อนบ้างเหรอวะ?” เสียงของสมุยดังขึ้นขัดอีตุลลี่ที่กำลังออเซาะว่าที่ผัวในมโนของมันไม่มีหยุดหย่อน


   “นั่นสิพิวขา เริ่มแอบชอบเราขึ้นมาบ้างหรือยังอะ?”


   “ตรงๆ”



   ท่ามกลางความงงงวยของทุกคนบนโต๊ะอาหารรวมถึงผม ที่อยู่ๆร่างสูงก็พูดคำๆนึงออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย รวมทั้งไม่มีความเชื่อมโยงกับประโยคก่อนหน้าแม้แต่นิดเดียว


   “ตรงๆคืออะไรเหรอคะพิวขา?”


   “แม่สอนว่าถ้าไม่ได้คิดอะไรด้วยให้พูดกับเค้าไปตรงๆ”


   เท่านั้นแหละทั้งโต๊ะแม่งฮาลั่น แม้แต่ไอ้ยีนส์ที่นั่งเงียบๆมาตั้งแต่ต้นยังขำไปกับคนอื่น ไอ้พิวมันมีมุมอะไรแบบนี้กับเค้าด้วยเหรอวะ เพิ่งจะรู้



   “โหยพิวขาอ่ะ ตุลลี่เสียใจนะเนี่ย”




   ประโยคสนทนาเริ่มบางลงเมื่อข้าวที่สั่งเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ แม้แต่ไอ้ตุลลี่ที่พูดมากๆยังยอมเงียบแล้วกินข้าว เพราะความหิวที่ถูกสะสมมาตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ


   “กูว่าเขียนของกูไว้อันแรกสุดนะ แต่ทำไมพวกมึงได้ก่อนกูอีกอ่ะ” ผมโอดครวญหลังจากที่เห็นคนอื่นๆได้ข้าวกันหมดแล้ว รวมทั้งไอ้เต้ กับไอ้สมุยที่มาทีหลังพวกผมด้วย กูหิวแล้วนะโว้ยยยย


“อีไป๋ มึงก็รอแปปนึง ของพิวขาก็ยังไม่ได้ ถ้าของพิวขามาก่อนของมึงอีกเดี๋ยวค่อยไปทวง” แม้จะนึกน้อยใจที่เพื่อนให้ความสำคัญกับผัวก่อนเพื่อนเบอร์แรงสุด แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งนิ่งๆรออาหารต่อไป




แต่ยังไม่ทันให้ได้บ่นเป็นหมีกินผึ้งอีกรอบ เสียงของเด็กเสิร์ฟตะโกนขึ้นมาด้วยอินเนอร์พี่ว้ากที่ฟังแล้วช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน
“ผัดไทยกุ้งสดของโต๊ะไหนครับ?!!!”


“โต๊ะนี้ครับ/โต๊ะนี้ครับ!!!” ผมหันไปมองคนข้างๆที่ยังไม่ได้อาหารเช่นเดียวกันกับผมที่พูดขึ้นมาพร้อมกัน แต่ต่างกันที่ผมลืมตัวแล้วเผลอตะโกนเสียงดังฟังชัดกลับไป กูนึกว่าตัวเองอยู่ในลานประชุมเชียร์ อีเหี้ย อายสัสๆเลย


“นี่มึงอินว้ากขนาดนั้นเลยเหรอไป๋ ฮ่าๆ” เป็นเสียงของไอ้เต้ที่ก่อนหน้านี้ไม่คิดจะเปิดปากออกมาเลย ผมเลยกวนตีนกลับด้วยการเขวี้ยงทิชชู่ใช้แล้วของตุลลี่ใส่อีกฝ่าย


“มึงสั่งผัดผัดไทยกุ้งสดเหมือนกูเลยอ่อ?” ถามเอื้อมหยิบตะเกียบ พลางถามร่างสูงแก้เก้อจากเมื่อกี๊ แอบสังเกตนิดๆด้วยว่าโต๊ะข้างๆแอบขำอยู่..


“อืม” มันตอบกลับมาสั้นอย่างสมกับเป็นมัน



หลังจากนั้นที่ทุกคนได้อาหารครบหมดแล้วความสงบสุขจึงได้กลับมาอีกครั้ง อาจมีตัวป่วนแบบไอ้ตุลลี่กับไอ้สมุยที่ชวนคุยนู้นนี่บ้าง เมื่อทานเสร็จอิ่มท้องเราต่างก็บอกลาและแยกย้ายกันตามปกติ พวกกลุ่มไอ้พิวอยู่หอหน้ามอกันทั้งหมด พวกกลุ่มพวกผมก็อยู่หอในกันหมดเช่นกัน




❋❋❋





“เฮ้ยพวกมึง แวะห้องน้ำใต้คณะก่อนได้ปะวะ ปวดขี้ว่ะ ไม่น่าถึงหอ”


ไอ้ตุลลี่พูดแทรกความเงียบในตอนที่ผมกำลังก้มปลดล็อกจักรยาน ก่อนที่ผมจะเงยขึ้นมาแล้วผมพบว่าไอ้ยีนส์ได้ปลดล็อกพร้อมออกตัวแล้วเป็นที่เรียบร้อย ส่วนตุลลี่ที่ไม่มีจักรยานเลยอาศัยซ้อนจักรยานผมเรื่อยมา ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติ เว้นแต่เหงื่อที่ไหลออกมาเหมือนก๊อกแตก และมือที่ลูบไปมาที่แขนขนลุกชันของมัน


เออ เชื่อละว่าปวดขี้จริง



“เออ ไอ้ท่อสั้น อย่าเพิ่งขี้แตกกลางทางนะมึง”



สุดท้ายแล้วผมกับไอ้ยีนส์ก็ได้รับหน้าที่ให้มาเฝ้าตุ๊ดผู้น่ารักประจำกลุ่มเข้าห้องน้ำใต้ตึกคณะอย่างจำยอม จะบอกให้ว่ายุงตอนกลางคืนของที่นี่มันดุมากครับ ดุชนิดที่ว่าสามารถกัดผ่านกางเกงผ้ายีนส์หนาของผมได้


เราสองคนนั่งที่โต๊ะกลมใต้ตึก ตบยุงบ้าง หาเรื่องชวนไอ้ยีนส์ตีบ้าง จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้ามากกว่า 1 คนดังมาจากทางด้านหลัง ในตอนแรกผมคิดว่าคงเป็นพวกรุ่นพี่นักกีฬาที่มักจะอยู่ที่คณะจนดึกดื่น แต่จังหวะที่ผมจะหันไปมองก็ได้โดนไอ้ยีนส์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆลากไปหลบข้างหลังของเสาข้างๆโต๊ะนั่นแทน


“อะไรของมึงวะไอ้สั-”


“จุ๊ๆ” มันจุ๊ปากเป็นสัญญาณให้อยู่เงียบๆ พยักเพยิดให้ผมกลับไปมองในสิ่งที่ผมอยากเห็น





และนั่นก็ทำให้ผมพบเจอในสิ่งที่ผมเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน..


หากผมเป็นหมอคงอาจอธิบายปฏิกิริยาทางร่างการตอนนี้ของตัวเองได้ในทันที


หัวใจเต้นแรง มือเริ่มสั่นเทาอย่างเบาๆ สมองตื้อจนชาไปหมด ตาพร่าจนเหลือจุดที่สามารถโฟกัสได้แค่จุดเดียว และในตอนนั้นก็มีจุดที่ให้ผมโฟกัสเพิ่มขึ้นมาอีกจุดนึง


ในจุดแรกเป็นคนที่ผมเคยรักและเป็นผู้หญิงที่มีความทรงจำต่อกันดีมากคนนึงที่ผ่านมาในชีวิต นั่นก็คือ พลอยใส ทันทีก็มีคำถามขึ้นมาในหัวว่า เธอมาทำไม? และหลังจากนั้นคำตอบของคำถามก็เดินขึ้นมาเทียบข้างก่อนจะแกล้งเบียดกระแซะอย่างหยอกล้อ



“แฮร่!!!”


“เฮ้ย เคนเล่นอะไรบ้าๆ”


“พลอยกลัวด้วยเหรอ ฮ่าๆ แต่ความจริงพลอยไม่ต้องกลัวหรอกนะ” มันเอื้อมมือไปวางบนหัวพลอยอย่างช้าๆ ก่อนทั้งสองจะคลี่ยิ้มออกมาบางๆ จากจุดนี้ผมสามารถเห็นใบหน้าทั้งใบของพลอยใสได้อย่างชัดเจน ดวงตาของเธอมักบอกอะไรหลายๆอย่างออกมาเสมอ เช่น ในครั้งนี้ที่ตาของเธอมันไม่ได้หลงเหลือสายตาของความน่าสงสารในครั้งล่าสุดที่ผมได้สบตาเธอแม้แต่นิดเดียว
มันมีแค่เพียงสายตาของความสุข


ความสุขที่ล้นออกมาเท่านั้น





สมองของผมประมวลภาพตรงหน้าอย่างเชื่องช้า ก่อนที่จะกลั่นกรองออกมาเป็นความรู้สึกในตอนนี้ที่หลากหลาย



สงสัย?


โกรธ?


น้อยใจ?


แต่สิ่งที่ผมแน่ใจในตอนนี้ คือ การโกหกของเขา


เธอไม่ได้เอาเวลาที่ตัดผมออกไปจากชีวิต ทำในสิ่งที่เธอเคยบอกคือการตั้งใจเรียน


ผมควรโกรธในสิ่งที่เธอโกหก ว่าเธอเห็นความรู้สึกของครอบครัวสำคัญ แต่จริงๆแล้วเธอเห็นคนใหม่สำคัญ


หรือผมควรผิดหวังที่เธอดูไม่ได้เสียใจ หรือเสียดายไปกับเรื่องของเราที่จบลงไปแล้วเลยดี?



“ทำไม ถ้าเรากลัวเคนจะปกป้องเราเหรอ?”


“เปล่า จะบอกให้พลอยเอาขาเตะผีได้เลย เบอร์นี้ผีสลบง่ายๆแน่นอน”


“เดี๋ยวเถอะเคน!!!”



รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะทั้งหมดทั้งมวลนั่น ได้อยู่ในสายตาคนเสียมารยาทแบบผมหมดแล้วทุกอย่าง ตอนนี้ผมอยู่ในมุมที่สามารถเห็นโลกของพวกเขาในที่ดูจะเหมือนใกล้ แต่มันไกลในความรู้สึกเหลือเกิน


มันยิ่งตอกย้ำว่าผู้หญิงคนนั้นเขาไม่ได้เป็นของผมอีกต่อไปแล้ว เธอเป็นของไอ้เดือนคณะนั่น และตอนนี้ผมได้กลายเป็นคนนอกอย่างสมบูรณ์ในเวลาอันรวดเร็ว




วงโคจรที่เคยตัดกันของเรา ในตอนนี้มันห่างจนดูไม่เหมือนเส้นขนานเสียด้วยซ้ำ และเขาก็ดูไม่เหมือนดาวเคราะห์ที่เราเคยมาโคจรรอบกันแต่อย่างใด



ไม่มีอะไรที่ดูเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว...





“เคนรีบๆหาของเถอะ พลอยไม่อยากอยู่ที่นี่นาน”


“อื้อ แปปนะ อ่อ เจอแล้วๆ เรารีบกลับกันเลยดีกว่า”



ผมที่ไม่สามารถทนเห็นภาพอะไรได้อีก ตัดสินใจหันหลังให้ตั้งแต่หลายประโยคก่อนหน้าที่เสียงฝีเท้าของพวกเขาจะย่างออกไปไกล ไกลจนผมไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว


ทั้งบริเวณนี้ ทั้งผม ทั้งไอ้ยีนส์ และไอ้ตุลลี่ออกมาจากห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่กลับไม่มีใครเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาแม้แต่คนเดียว


“ไป๋มึงอย่าเพิ่งพูด ปั่นจักรยานกลับตอนนี้ไหวหรือเปล่า”


เพียงแค่เงยหน้าสบตาเท่านั้น ทั้งสองคนก็เหมือนได้อ่านจิตใจของผมไปทั้งหมดเสียแล้ว ผมที่หมดเรี่ยวแรงเหมือนได้ไปวิ่งรอบสนามบอลมาสักสิบรอบ เมื่อสติกลับมาก็ได้แต่พยักหน้ารับเบาๆอย่างจำนนในความรู้สึกตัวเอง



ให้พูดตรงๆ คือโคตรจุก แล้วก็โคตรเสียใจเลยว่ะ...







ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ผมกลับมาเป็นผม คนที่เคยเป็นเมื่ออาทิตย์ก่อนและเมื่อหลายวันก่อน กับเรื่องแบบนี้ไม่ว่าเป็นใครก็ยากที่จะทำใจอยู่แล้ว หลังมารู้ว่าสิ่งที่ผมคิดกับสิ่งที่ผมเห็นมันไม่ใช่แบบเดียวกันแล้ว เหมือนเป็นการรื้อฟื้นขึ้นมาแล้วยังทวีความผิดหวังในตัวเขาเข้าไปอีก ให้ตายยังไงในตอนนี้ผมก็คงยังสลัดเรื่องบ้าๆนี่ออกจากหัวในทันทีคงไม่ได้


ไปคบกันตอนไหน?


แล้วเรื่องพ่อแม่ของพลอยใสเป็นแค่ข้ออ้างในการบอกเลิกหรอกเหรอ?


หรือพลอยใสโดนไอ้เคนหลอก?




หงุดหงิดโว้ยยยยยยยยยย




“ไป๋ วันนี้ที่มึงเห็นอาจไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้นะเว้ย” ไอ้ยีนส์ที่เห็นผมนอนหัวฟัดหัวเหวี่ยงบนเตียง ก็เอ่ยขึ้นแบบเอาน้ำเย็นเข้าลูบ


“มึงกับไอ้ตุลก็เห็นปะวะ ตำตาขนาดนั้นนี่เป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้ว”


“เออน่ามึงคิดในแง่ดีไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปถามไอ้เคนตรงๆเลยดีกว่านะมึง” ไอ้ตุลลี่ที่บอกว่าวันนี้จะอยู่นอนที่ห้องกับพวกผม ก็ยืนกรานหอบหมอนมุ้งผ้าห่มมาจะนอนกลางห้องแบบหัวชนฝา


ผมที่นอนบนเตียง เหม่อสายตามองเพดาน ก่อนจะทวนคำพูดของตุลลี่สักพัก .. เออ เอาว่ะ พรุ่งนี้ค่อยไปเคลียร์กับมันก็ได้ แต่ถ้ามันเป็นในสิ่งที่กูเห็นจริงๆ และยิ่งถ้าไอ้เคนเป็นคนที่ทำตัวผิดในเรื่องนี้ ผมคงต้องมีอะไรที่มากกว่าการพูดกับมันเฉยๆแล้ว


“แต่คุยกันด้วยความประนีประนอมโนะไป๋โนะ” เหมือนไอ้ตุลลี่สามารถอ่านใจผมออกได้จริงอย่างไรอย่างนั้น


“มึงเห็นกูเป็นคนยังไงไอ้ตุลลี่ แมนๆเปิดอก ชกต่อยใช้กำลังไม่เคยมีเว้ย”


“เอาให้จริงเถอะคุณชาย พรุ่งนี้มีเรียนวิชาคณะ ตอนนี้ก็นอนได้แล้ว”



แล้วทุกคนก็ทิ้งโลกแห่งความจริงไปสู่โลกแห่งนิทรากันหมด โดยฟังจากการหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอนั่น เหลือเพียงแค่ร่างโปร่งในชุดนอนสีฟ้าที่ตอนนี้ดูเหมือนจะยากในการข่มตาให้หลับลงในคืนที่ยาวนานนี้




ผมตะแคงตัวกลับไปมองเพื่อนสองคนที่นอนได้อย่างสบายใจก็ได้แต่ทอดถอนหายใจอยู่เพียงคนเดียว เมื่อไหร่จะเช้าวะ แม้นาฬิกาบอกเวลาว่าเหลือกี่ชั่วโมงไก่ก็จะขันรับแสงอาทิตย์แล้ว พลันนึกได้ว่าพรุ่งนี้มีเรียนในวิชาที่สำคัญที่ไม่สามารถขาดได้ ก็เริ่มข่มตา ทำสมองให้ปลอดโปร่งอีกครั้ง ไว้ก่อนเว้ยไป๋ ถึงความรักจะเหี้ยไปหน่อย แต่ก็อย่าให้มันเสียถึงการเรียนเว้ย





❋❋❋





“ไป๋ มึงหันหน้ามาสัญญากับกูตรงนี้ก๊อนนนนน”


“ไอ้ตุลลี่อะไรของมึงอีก เดี๋ยวชักช้าไม่ทันคุยจะทำยังไง”


เมื่อผมไม่ได้ดั่งใจของมัน ไอ้ตุลลี่เลยเอามือทั้งสองของมันแนบเข้าที่ใบหน้าของผมเพื่อให้หยุดมองหน้ามันตรงๆ สองขาที่กำลังก้าวไปข้างหน้ายาวๆต้องหยุดชะงัก พร้อมจิ๊ปากเหมือนคนโดนขัดใจ


“มึงมองหน้ากูแล้วสัญญามาว่าจะไม่ชวนไอ้เคนทะเลาะ”


“เออ กูสัญญาไปแล้วไง”


“และต่อให้มึงหัวร้อนแค่ไหนก็ห้ามมีเรื่องชกต่อยนะโอเค๊”


“เอออออ กูแค่อยากฟังเรื่องทั้งหมดจากปากมันแค่นั้นเอง มึงเห็นกูเป็นอันธพาลหรือไงไอ้ตุล รีบปล่อยกูเร็วๆ เดี๋ยวมันไป”


ผมแทบจะถลาออกวิ่งไปทันทีที่ไอ้ตุลลี่ปล่อยมือออกจากหน้า ดังนั้นจึงรีบจ้ำไปยังสถานที่ประจำของกลุ่มพวกมันที่มักจะเป็นซุ้มโค้กข้างแลปอุตสาหการ และเมื่อผมย่างก้าวมาถึงที่แล้วก็ได้ส่องสายตามองไปรอบๆเพื่อหาตัวไอ้เคน และแล้วผมก็เจอ...
ร่างหนาผิวค่อนไปทางเข้มของมันนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงโซนสูบบุหรี่อยู่เพียงคนเดียว ให้เดาว่าพวกเพื่อนที่เหลือคงไปซื้อของกัน ในมือของหมอนั่นกำลังพิมพ์ข้อความอะไรสักอย่างอยู่ อีกทั้งมุมปากที่ยกยิ้มนิดๆ ปฏิกิริยาแบบนั้นคงเดาไม่ยากนักว่าข้อความที่กำลังพิมพ์จะถูกส่งไปหาใคร..




“ไอ้เคน กูคุยด้วยหน่อยดิ”


“อ้าว ไอ้ไป๋ ลมอะไรพัดมึงมาอ่ะ นั่งก่อนดิๆ” มันขยับตัวให้พื้นที่ข้างตัวที่ผมกำลังจะนั่งให้กว้างขึ้น ก่อนจะพูดอะไรออกไปผมก็ได้สูดหายใจเข้าลึกๆทีนึง ในหัวตอนนี้มีแต่คำพูดของไอ้ตุลลี่อยู่ ไอ้ไป๋ใจเย็นๆ


“ไม่อ้อมเลยแล้วกัน มึงเป็นแฟนกันพลอยใสอยู่เหรอ?” มันละความสนใจจากสมาร์ทโฟนตรงหน้าก่อนจะเงยหน้ามามองผมแบบเต็มๆตา


“เออใช่ มึงจะทำไม” มันว่าพร้อมคว่ำหน้าโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ด้วยน้ำเสียงที่แข็งขึ้น .. จนน่ากลัว


“คบกันมานานเท่าไหร่แล้ววะ?”


“เพิ่งเดือนแรก” สิ้นคำของร่างใหญ่ตรงหน้า ผมก็ปิดเปลือกตาลงเพื่อระงับอารมณ์ที่อาจพาลไปสู่การมีปากเสียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆอีกครั้ง


และเมื่อผมเผยเปลือกตาขึ้น ปลายหางตาก็ไปสะดุดกับกลุ่มเพื่อนของผมทั้งสี่คนที่กำลังมองตรงมาอยู่ห่างๆ



ขอบใจมากเว้ยพวกมึง...




   “มึงจะอยากรู้ไปทำไมวะไป๋?” ด้านไอ้เคนที่เห็นว่าผมเงียบไปก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความแคลงใจ ให้ทายว่าตอนนี้อีกฝ่ายคงเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาบ้างแล้ว


   “กูเพิ่งเลิกกับพลอยใสเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว” สิ้นคำพูดของผม สายตาคู่นั้นก็เบิกกว้างเล็กน้อยราวกับเพิ่งได้เรื่องที่มันเหลือเชื่อเหลือเกิน ก่อนที่จะปรับกลับมาเป็นปกติเช่นในตอนแรก


   “แล้วมึงจะมาบอกกูทำไมวะ”


   “กูขอยืนยันว่าเรื่องที่กูพูดเป็นความจริง และถ้ามึงก็ยืนยันว่าสิ่งที่มึงเล่าเป็นความจริงก็ช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดให้กูฟังที” มันเงียบราวกับกำลังใช้สมองในการตัดสินใจ


   “ก่อนหน้านี้มึงรู้ปะว่ากูกับเขาเป็นแฟนกัน?”


   “ตอนกูจีบเค้าเมื่อเดือนที่แล้ว พลอยบอกเพิ่งเลิกกับมึงมา...”


   “โอเค กูต้องการแค่นี้แหละ ขอบใจมากไอ้เคน”


   “เดี๋ยวไป๋ ถ้ามึงไม่โอ-”


   “ไม่เป็นไรมึง กูไม่เสียใจแล้ว กูแค่อยากมาฟังจากปากมึงเฉยๆ” ผมตบบ่าไอ้เคนไปสองที แต่ก่อนที่จะเดินออกมาจากตรงนั้น ผมพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ และเป็นสิ่งที่ผมเห็นสมควรจะพูดกับมันมากที่สุด


   “อันที่จริงพลอยเป็นคนน่ารักคนนึงเลยนะ คิดซะว่าวันนี้กูไม่ได้มาพูดอะไรแล้วกัน ดูแลกันดีๆนะเว้ย”


   “เออ เรื่องมันแน่อยู่แล้ว .. แต่มึงโอเคแน่จริงๆเหรอวะ?“


   “ขอบใจที่เป็นห่วง กูไม่รู้สึกอะไรกับพลอยแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงนะยังไงมึงก็ยังเป็นเพื่อนกูเหมือนเดิม”



   ผมยิ้มส่งท้ายให้มันไป ก่อนที่มันจะยิ้มอ่อนๆกลับมา มันก็คงหนักใจไม่ต่างจากผมตอนแรกหรอก ไอ้เคนมันก็รักพลอยใสไปแล้ว ผมก็คนนอก จะให้ผมทำอะไรได้มากกว่านี้เหรอ?



   คงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้วนอกจากการอวยพร
   ขอให้เป็นเคนและพลอยใสที่มีความสุขมากๆนะ
   ถือเสียคำอวยพรว่าเป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้าที่กำลังจะถึงแต่ไม่มีโอกาสได้ให้เธอก็แล้วกัน



   หลายคนอาจด่าผมไปแล้วว่าผมมันโง่หรือเปล่า ที่มีตรรกะเกี่ยวกับความรักแบบนี้ หรือทำไมผมยังสามารถอวยพรให้เขาทั้งสอง ทั้งที่ผมเป็นคนโดนหลอก และต้องมานั่งเสียใจเพียงคนเดียว


คือความคิดผมมันบอกให้ผมเดินออกมาแทนที่จะไปยืดเยื้อเค้นให้เธอขอโทษในสิ่งที่เธอทำ แล้วให้เธอกลับมา ถ้าทำแบบนั้นจริงผมก็จะได้แค่ตัวพลอยกลับมา แต่ไม่มีหวังที่จะได้ใจกลับ แถมอาจยังต้องเสียเพื่อนดีๆแบบไอ้เคนไปด้วย สุดท้ายเมื่อรับรู้ความเป็นมาทั้งหมดต่อให้ย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรก็ได้ ผมก็จะยอมให้ทุกอย่างเป็นแบบปัจจุบันนี้



   ผมยอมเอาความเสียใจในวันนี้ไปแลกเพื่อความสบายใจที่จะเกิดขึ้นดีกว่า





   ผมเดินกลับมาหายังไอ้พวกเพื่อนๆที่ทำหน้าโล่งใจเมื่อผมเดินออกมาโดยไม่มีเรื่องชกต่อย จากนั้นเราจึงพากันไปหาข้าวเที่ยงกินที่โรงอาหารคณะอื่น แล้วจึงตัดสินใจเล่าคำพูดระหว่างผมกับไอ้เคนให้พวกมันได้ฟังทั้งหมด เท่านั้นแหละ พวกเพื่อนๆทั้งหลายก็เกิดอาการที่เรียกว่า อินจัด ขึ้นมาในทันที


   “โห อีไป๋มึงยังจะให้อภัยผู้หญิงแบบนี้อีกเหรอวะ เป็นกูนี่จะตามตบให้ถึงคณะเลย”


   “ผู้ชายที่ไหนเขาตบผู้หญิงกัน?”


   “แล้วนี่มึงเริ่มตัดใจจากพลอยใสอะไรนั่นได้ยังวะ”


ไอ้ก๊าซถึงกับไม่จับส้อมซ้อมขึ้นมากินข้าวแล้วนั่งฟังผมอย่างตั้งใจ มาตั้งแต่ต้นจวบจนตอนนี้ ต่างจากไอ้ครามที่ได้แต่ฟังเงียบๆแล้วตอบรับกลับบางทีอย่างมีมารยาท พวกมึงสองคนนี่อยู่ด้วยกันได้ไงวะ


   “ก็นิดนึงอ่ะ รักมาตั้งเยอะจะให้ตัดใจปุบปับมันเป็นไปไม่ได้หรอก”


   “เออ ค่อยๆตัดใจไปแบบนี้แหละ ไม่ต้องกดดันตัวเองหรอก พาตัวเองออกมาทีละนิด เดี๋ยวก็ทำได้” ผมหันไปมองหน้าไอ้ยีนส์แบบอึ้งๆ


   “ เขร้ ยีนส์ มึงมีความคิดอะไรดีๆแบบนี้ด้วยเหรอวะ? โอ้ย! ไอ้สัส กูเจ็บ” กวนตีนผู้มีบทบาทเป็นรูมเมทด้วยกันไม่ทันไรก็เจอเลยครับ ขวดน้ำพลาสติกยังแบบยังไม่ได้เปิดฝา ฝาดเข้าเต็มๆกลางหัว..


   “ไอ้ห่าคนจะปลอบ จะแนะนำ ยังมีหน้ามากวนตีน”


   “เออ ที่ไอ้ยีนส์พูดอ่ะถูกละ มึงต้องพาตัวเองออกมา มูฟออนไปให้สุด แล้วหยุดที่คำว่าเมียใหม่!!!”


   “มูฟออนเหี้ยไรล่ะไอ้ตุลลี่ ให้กูได้พักหัวใจก่อนเถ๊อะ”


   “เออ มูฟออน เมียใหม่อะไรของมึงอีตุลลี่ มันจะไม่เกิดขึ้น เพราะเดี๋ยวไป่ไป๋หนีไปเป็นเมียคนอื่นแทนแล้ว ฮ่าๆ” ทันทีที่ไอ้ก๊าซปล่อยมุกขึ้นมากลางวง ทั้งโต๊ะก็ปล่อยก๊ากออกมาแม้แต่ไอ้ครามมันก็เอากับเค้าด้วย



   ไปเป็นเมียคนอื่นอะไรของพวกมึ๊งงงงงง





   จนแล้วจนรอดก็ยังขอบคุณความเข้มแข็งในตัวเองที่ยังสามารถทำให้ผมอยู่เรียนช่วงบ่ายที่ตึกคณะได้ไหว ไม่ได้เศร้ากลับหอไปนอนซมเหมือนอย่างเคย


   “พวกมึง เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำนะ” ในขณะที่กำลังรอเรียนในวิชาช่วงบ่ายที่เป็นคาบเลกเชอร์ที่ห้องเรียนชั้นสี่ที่เป็นชั้นเรียนของภาคเครื่องกลอยู่นั้น ถึงแม้เป็นเวลาเกือบบ่ายโมงแล้วแต่อาจารย์ยังไม่เข้าสอน ผมที่จู่ๆก็เกิดปวดธุระขึ้นมา จึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำในอย่างไม่รอช้า



   เมื่อมาถึงห้องสุขาผมก็ต้องยกยิ้มด้วยความสบายใจเพราะในตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำแม้แต่คนเดียว เออ เข้าคนเดียวกูสบายใจชิบหายเลย แต่ในขณะที่กำลังยืนปลดเข็มขัดออกเพื่อที่จะได้ทำธุระ ก็มีคนมาใหม่เดินมาหยุดที่โถข้างๆกัน มือที่กำลังสาละวนอยู่เบื้องล่างก็หยุดลงและหันไปมองผู้มาใหม่เสียก่อน


   “อ้าว ไอ้พิว” หลังจากที่ผมเอ่ยทัก มันเหลือบมามองผมตามเสียงเรียกเล็กน้อย ก่อนจะยักคิ้วให้ แล้วจัดการธุระของตัวเองไป ผมเลยเลิกสนใจร่างสูงแล้วกลับมาสนใจที่กางเกงของตนเองดังเดิม




   “ได้ข่าวไปเคลียร์กับไอ้เคนมา” มือที่กำลังรูดซิปขึ้นก็ชะงักทันที


   “เออใช่”


   “ก็ดีแล้วที่ไม่หัวร้อนจนต่อยกัน” ผมเดินไปหยุดตรงอ่างล่างมือข้างๆมันที่ยืนเหมือนรอผมอยู่ ก่อนเปิดน้ำเพื่อชำระสิ่งสกปรกที่ฝ่ามือ


   “เห็นกูเป็นคนยังไงกันวะเนี่ย?” ร่างสูงหัวเราะเพียงเบาๆ แต่ก็ยังไม่เดินไปไหน ผมเลยรวบรวมความกล้าและถามคำถามที่อยากรู้ออกไปจนได้


   “ก่อนหน้านี้มึงรู้ปะว่ากูกับพลอยใสคบกันอยู่?”


   “..รู้”


   “แล้วตอนที่ไอ้เคนคบพลอยใสนี่มึงรู้ปะว่าเขาก็ยังคบกับกูด้วย?” ผมถามเพื่อเช็คให้แน่ใจ เพราะการคบกันของสองคนนั้น เพื่อนสนิทในกลุ่มอย่างไอ้พิวต้องรู้แน่นอน


   “ไอ้เคนไม่รู้ แต่กูรู้”


   “เอ้า แล้วทำไมมึงถึงปล่อยให้เรื่องมันเป็นไปแบบนี้วะ?”


   “แล้วตอนนั้นจะให้กูทำไงอ่ะ?” บทจะโง่ก็โง่ขึ้นมาเลยไอ้เวรนี่


   “มึงก็ต้องไปบอกเพื่อนมึงสิ” ผมเถียงด้วยความที่ผมอยากพยายามหาทางชนะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้นก็ตาม


   “ก็ฝ่ายหญิงเขาบอกมาแบบนั้นกูจะทำอะไรได้”


   “แล้วทำไมมึงไม่มาบอก-”


   “ให้กูไปบอกมึง? ถ้าตอนนั้นไปบอกจริงทำอย่างกับว่ามึงจะเชื่อกูตายห่าแหละ” เมื่อคิดตามดีๆแล้วก็จริงอย่างที่มันว่า ก่อนหน้านี้เราแทบไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ ดังนั้นเรื่องที่ให้ผมเชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดคงยากเอาการ


“เออ ช่างแม่งเหอะ แล้วก็ถอยออกไปซักที กูจะออกไปเรียนแล้ว” ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมได้มายืนหลังชิดกับผนังห้องน้ำโดยร่างสูงยืนอยู่ด้านหน้าชนิดที่ว่าร่างกายห่างกันไม่ถึงไม้บรรทัดแบบนี้


“เอ้า ไอ้สัสถอยออกไปดิ” ผมมักรู้สึกแปลกๆเวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆกันแบบนี้ แม้นี่จะเป็นครั้งที่สองแล้วก็ตาม แต่คงไม่มีใครชินเวลามีคนมายืนใกล้ๆแบบนี้ .. มันใกล้จนแทบจะมองเห็นขนตาเรียงเส้นได้แทบทุกอณูอยู่แล้ว


“อือ” มันแยกตัว และหันหลังเดินกลับไปอย่างว่าง่าย แต่ยังไม่ทันที่จะให้ผมได้หายใจหายคอสะดวก ร่างสูงของมันก็หยุดเดินเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก ก่อนจะพูดมันออกมา


ซึ่งแน่นอนเวลาไอ้พิวพูดประโยคอะไรออกมายาวๆ แม่งไม่เคยธรรมดาเลยสักครั้ง...




“ส่วนมึงก็เอาเวลาที่อกหักเสียใจไปออกกำลังกายบ้างนะ”


“ทำไมวะ?” ผมที่ยืนอยู่ที่เดิม ก็ได้แต่มองเพียงด้านหลังของมันด้วยความสงสัย



“อะไรๆข้างล่างๆมันห่อเหี่ยวไปกับมึงจนหดเล็กลงหมดแล้ว”




“ไอ้เหี้ยพิว!!!”



แม่งโคตรของโคตรหยาบคาย!!!!!



ผมตะโกนไล่หลังร่างสูงที่เดินออกไปจากห้องน้ำทันทีหลังพูดจบ แต่ก็มีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอเท่านั้นที่ถูกตอกกลับมา แม้ว่าจะเจ็บใจขนาดไหนแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ไปโกรธอะไร..



หยามไป๋น้อยชิบหายเลยแม่งเอ้ย T______T





ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter one ― 130818)
«ตอบ #5 เมื่อ13-08-2018 20:05:31 »

 :pig4:

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter one ― 130818)
«ตอบ #6 เมื่อ13-08-2018 22:57:36 »

chapter two。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔


   หลังจากวันนั้น วันที่ผมได้รับรู้และเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง มันก็ทำให้ผมกลับมามองตัวเองมากกว่าเดิม ใช้เวลาหลายอาทิตย์ในการทบทวนตัวเองว่าได้ทำอะไรผิดพลาดไปในความสัมพันธ์หรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งๆ คำตอบของผมก็มีเพียงแค่คำว่า ไม่มีเลย..

   ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะล่วงเกิน

   ไม่มีที่จะไม่รับฟังในเรื่องที่เธอลำบากใจ

   ไม่มีที่จะไม่ไปส่งเธอให้ไกลที่สุดเท่าที่เธออยากให้ไป

   ไม่มี ไม่มี และไม่มี



   ดังนั้นผู้ชายแบบไป่ไป๋คนนี้ก็จะไม่เสียใจกับอะไรเดิมๆให้ตัวเองแย่ลงอีกแล้ว คิดเหรอว่าผมจะโศกเศร้าเสียใจจนแดกเหล้าหัวเมาราน้ำ เรียกร้องความสนใจจากคนที่ใจไม่เหลืออยู่แล้วไปทำไมกัน
   


   
   เมื่อเสียใจก็ต้องเสียใจให้สุด แล้วไปหยุดในจุดที่จะสามารถมองความเสียใจที่ผ่านไปโดยไม่รู้สึกอะไรแล้วเพราะฉะนั้นผมจะขอจบเรื่องของเขาไว้แค่ที่ย่อหน้านี้พอ และเมื่อคิดปล่อยผมไปแล้วต่อให้กลับมาคุกเข่าขอร้องก็จะไม่ยอมกลับไปอีกเด็ดขาดเป็นผู้ชายย่อมมีศักดิ์ศรี ส่วนที่ผ่านมาผมจะเลือกจำแค่เรื่องดีๆพอ อะไรที่ไม่ดีๆก็จะยอมลืมและอโหสิให้ เพราะไป่ไป๋สะดวกแบบนี้ ตุลลี่สอนมา!!!



   ไป่ไป๋จะเลิกดราม่า เพราะชีวิตต้องมูฟออน






   “อีไป๋ มึงกลับมาเป็นผู้เป็นคนแล้ว ไม่เสียแรงที่พูดกรอกหูมึงทุกวันก่อนนอนจริงๆ”

   “เออ พูดกรอกหูจนกูเริ่มติดนิสัยหวานๆแบบมึงแล้วเนี่ย”

   “เอาน่าอย่างน้อยมึงก็รู้สึกดีขึ้นปะวะ”

   “..ก็จริง”





   เพราะวันนี้เป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ไม่มีเรียน พวกเรา 5 คนจึงเลือกมานั่งล้อมวงกลางห้องดูหนังกันอย่างครบองค์ประชุม


   ถ้าถามว่าวันหยุดทั้งทีทำไมถึงไม่กลับบ้าน สาเหตุจากปากของเด็กมหาลัยก็มีเพียงไม่กี่อย่างหรอกครับ ข้อแรกเลยคือบ้านกับมหาลัยไกลเกินกว่าที่จะกลับได้ และสอง...



   “เฮ้ยๆ กลุ่มพวกมึงเริ่มทำ Role play กันยังวะ?”


   ใช่ครับ ข้อสอง อยู่อ่านหนังสือไม่ก็ทำงานกลุ่มเนี่ยแหละ



   “กลุ่มกูนัดทำอาทิตย์หน้ามั้ง” ไอ้ก๊าซ

   “ของกลุ่มกูยังเขียนบทไม่เสร็จ” ไอ้ตุลลี่

   “กลุ่มกูทำพรุ่งนี้” และเสียงไอ้คราม

   “มึงอะไป๋?”

   “วันนี้ตอนบ่ายสอง”

   “เอ้า ไอ้เหี้ยนี่บ่ายโมงห้าสิบแล้วเนี่ย มึงไม่ไปเตรียมตัวเหรอ?”



   กูก็เพิ่งนึกได้ตอนมึงถามนี่แหละเพื่อน T_____T





   หลังจากที่จำใจเก็บของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นแก่การไปทำงานกลุ่มลงกระเป๋าเป้ บอกลาเพื่อนฝูง ก่อนจะสะพายออกจากห้องมาด้วยหัวใจที่ห้องเหี่ยวเหลือเกิน


   ฮือ ไป๋ อยากนอนดูหนัง


   หยิบมือถือประจำตัวขึ้นมาเช็คเวลา และสถานที่อีกครั้งเพื่อความชัวร์ เมื่อแน่ใจแล้วจึงเดินแบบเอื่อยๆไปยังที่นัดหมาย สายตาสอดส่องชมนกชมไม้อะไรไปเรื่อยเปื่อย จนในที่สุดก็เดินมาถึงศูนย์การเรียนรู้สถานที่นัดหมายเสียที


   อันที่จริงแม่งก็ไม่ได้ไกลจากหอหรอก มีแต่ความนิสัยเสีย และความขี้เกียจเท่านั้น ที่ทำให้เดินอู้ไปเรื่อย กว่าจะมาถึงก็ใช้เวลาเกินกว่าปกติไปพอสมควร


   “ไป๋ ทางนี้ๆ” พะแพงสาวคณะแพทย์ ที่มักจะมีพลังงานในตัวเองสูงเสมอ หรือเรียกง่ายๆสั้นๆว่า ดีด อะ..

   “สายไปสิบห้านาทีเลยอะ ขอโทษนะ ทุกคนรอนานแย่เลย” พร้อมทำหน้าตาที่คิดว่าดูน่าสงสารที่สุดในชีวิตใส่เพื่อนในกลุ่มโปรเจคเผื่อทุกคนจะมีความเห็นใจหลงเหลือให้คนซุยๆแบบผมบ้าง

   จริงๆแล้วกลุ่มเรามีด้วยกันทั้งหมด 4 คนครับ นั่นก็ได้แก่ พะแพง คณะแพทย์, ขวัญ คณะพยาบาล, เปรมเพื่อนชายอีกคนในกลุ่ม เรียนคณะวิทยาศาสตร์ และอีกคนเป็นใครไปไม่ได้ครับ ไป่ไป๋ รูปหล่อ คณะวิศวกรรมศาสตร์คร้าบผม

   “ไม่เป็นไรหรอกไป๋ แค่แพงรีบออกจากบ้านมาถึงตั้งแต่บ่ายโมงครึ่งเพื่อเตรียมของเอง” ฉึก

   “ไม่เป็นไรนะไป๋ เมื่อกี๊เรากับขวัญไปกินข้าวเสร็จกลับมาก็ยังไม่เจอไป๋เอง” ฉึก


   แงงงงง ทุกคนเราขอโทษ


   “ฮ่าๆๆ ทุกคนเลิกแกล้งไป๋ได้แล้ว รีบอ่านบทรีบถ่ายกันดีกว่า เดี๋ยวแสงหมดกันพอดี” ผมลืมบอกไปหรือเปล่าครับว่า ขวัญเป็นสาวพยาบาลที่เหมือนเกิดมาเพื่ออาชีพนี้จริง หน้าตาดูสะอาดสะอ้าน คำพูดคำจาอ่อนหวาน ไม่เคยที่จะพูดทำร้ายให้เจ็บช้ำน้ำใจ แม้เพื่อนๆจะแกล้งผมด้วยความจังไรขนาดไหน ก็จะมีขวัญเนี่ยแหละครับ คอยห้ามทัพให้ผมอยู่ตลอด


   แอร๊ยยย คิดไรกับเราปะเนี่ย


   “ไอ้ไป๋ มึงเลิกมองขวัญด้วยสายตาแบบอยากได้เป็นเมียสักที ขวัญมันมีผัวแล้วโว้ย” หัวผมหันขวับไปมองไอ้เปรมต้นเสียงของประโยคล่าสุดทันที ก่อนจะหันกลับมามองสาวพยาบาลในฝันอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่มันพูด


   “อือ” ทันทีที่สิ้นเสียงตอบรับ กับเจ้าตัวที่อมยิ้มแล้วหน้าแดงไปถึงหูนั่น มันก็ทำให้ผมใจแบบลีบเหมือนลูกโป่งไม่มีลมอีกครั้ง



   เริ่มต้นการมูฟออนก็แป้กแล้วมึงเอ้ย



   “หูย ไรว้ามาไม่ทันเหรอเนี่ย”

   “ไป๋ ถ้าไม่อยากโดนแฟนขวัญต่อย ก็หยุดเต๊าะแล้วมาอ่านบทซักที”

   “คร้าบ แม่พะแพง”




   พวกเรานั่งอ่านบทที่เป็นภาษาอังกฤษ ที่ต้องถ่ายเป็นการแสดงเกี่ยวกับหัวข้ออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับมหาลัยนั้น หลังจากที่ผมอ่านจนจบก็สามารถเล่าเนื้อเรื่องออกมาเป็นคำพูดได้ว่า..

   ผมและบุคคลปริศนา ที่ฟังจากปากพะแพงว่าจะให้เพื่อนมาแสดงให้ รับบทเป็นคู่รักกัน จากนั้นเราก็ได้ทะเลาะกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต ส่วนพะแพงและขวัญรับบทเป็นเพื่อนๆของผมก็มีหน้าที่คอยปลอบและให้กำลังใจ แต่ก็ไม่อาจทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ ผมที่รู้สึกหมดหนทางจึงตัดสินใจคิดและกำลังจะลาออก แต่ก็ได้มาเจอกับเปรมพ่อหนุ่มรูปงามที่มาหันเหหัวใจผมเสียก่อน


   อ้าวเฮ้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา ยิ่งอ่านแล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจเลยสักนิด


   “เดี๋ยวนะ บทคราวที่แล้วที่ช่วยกันคิดไม่ใช่แบบนี้นี่หว่า” ผมจะร้องไห้อยู่แล้วครับ

   “พล็อตนั้นไปถามอาจารย์มาแล้วอาจารย์บอกมันจำเจไป”

   “เรากับแพงก็เลยถามอาจารย์ว่าถ้าเปลี่ยนเป็นเพศเดียวกันจะโอเคไหม? เพราะจะได้แทรกแนวคิดความรักของ IGBT เข้าไปด้วย”

   “แล้วเปลี่ยนให้เป็นความสัมพันธ์แบบเพื่อนหรือแบบพี่น้องไรงี้ไม่ได้เหรอ?”

   “แต่เราอยากให้มันมีอารมณ์ของความสัมพันธ์คู่รักที่พากันปั่นจักรยานรอบมอ ตะเวนกินนู้นนี่แล้วถ่ายทอดออกมาว่าความรักในชีวิตมหาลัยเป็นเรื่องสวยงาม ให้มันดูเข้ากับหัวข้อด้วยอ่ะ” พะแพงอธิบายให้ผมฟังอย่างยาวเหยียด

   ผมหันไปหาเปรมมนัสผู้ร่วมชะตากรรมอย่างต้องการความช่วยเหลือ ก่อนที่จะพบว่ามันช่างไร้ประโยชน์ เมื่อเห็นสีหน้าปลงตก พร้อมหันมาพยักหน้าให้ผมเล็กน้อยแบบคนหัวอกเดียวกัน

   อันที่จริงไม่ได้ต้องการจะบ่ายเบี่ยงงานหรือรังเกียจไอ้เปรมมันใดใดทั้งสิ้น แต่จากการที่อ่านบทแบบผ่านๆมาเมื่อกี๊ ดันมีฉากแฟลชแบคที่ต้องทำกุ๊กๆกิ๊กๆกับเพื่อนพะแพงที่ก็เป็นผู้ชายด้วยนี่สิ แล้วผมควรจะทำตัวยังไง..



   หลังจากที่ปล่อยให้เกิดสถานการณ์เดดแอร์อยู่สักพัก สายตาของทุกคนจดจ้องมาที่ผมแบบอ้อนวอน ก่อนที่ผมจะเอ่ยตกลงกับเพื่อนๆไปอย่างจำนน

   “อื้อ โอเคก็ได้ T___T” เพื่องานไป๋ ท่องไว้ว่าเพื่องาน





❋❋❋





   “พะแพงตอนนี้ก็จะสี่โมงเย็นแล้วนะ เพื่อนพะแพงยังไม่มาอีกเหรอ?”


   พวกเราที่ตอนนี้ได้อ่านบทและท่องจำกันไปบ้างเล็กน้อย เพราะวันนี้จะถ่ายแค่บางส่วนเท่านั้น จากนั้นก็ถึงเวลาที่จะได้ทำงานกันเสียที โดยในวันนี้เราจะเลือกถ่ายบทในช่วงที่มีนักแสดงสมทบกันเสียก่อน ซึ่งได้เปลี่ยนโลเคชั่นมาเป็นสแตนด์เชียร์กีฬาของสนามกีฬามหาลัย ส่วนผมต้องรับบทบาทแสดงเป็นแฟนที่ดีที่มานั่งเฝ้าคนรักออกกำลังกาย หวานซะ...


   “ฮือ ทุกคนเพื่อนเราเพิ่งไลน์มาบอกว่าไม่ว่างแล้วอะ”

   “อ้าว งี้เราเลื่อนไปถ่ายวันอื่นกันดีไหม?”

   “ก็ดีนะ พวกเราจะได้ไปท่องบทกันมาเพิ่มด้วย”

   “เอางั้นก็ได้ แต่ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะทุกคน” พะแพงขอโทษขอโพยทุกคนยกใหญ่ ก่อนที่จะสรุปเป็นเอกฉันท์ได้ว่าควรเลื่อนการถ่ายในส่วนของวันนี้ออกไปก่อน ซึ่งก็เป็นการดีเหมือนกัน ผมจะได้มีเวลาทำใจเพิ่มขึ้น…


   ตามตกลงเราจึงทยอยเก็บกล้องและข้าวของที่ใช้กันทันที เพื่อแต่ละคนจะได้มีเวลาแยกย้ายไปทำธุระของตัวเองมากขึ้น แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เก็บของชิ้นแรกลงกระเป๋า ก็ได้ยินเสียงทุ้มใหญ่ตะโกนดังขึ้นมาจากทางด้านหลังเสียก่อน

   “ไอ้เตี้ยไป๋!!!”

   “มึงว่าใครเตี้ย?!!!” ยังไม่ทันได้เห็นหน้าผมก็ตะโกนตอกกลับไปอย่างลืมตัว และด้วยความที่เสียงเรียกเมื่อกี๊ช่างคุ้นหูเหลือเกิน จึงมั่นใจได้ตั้งแต่ยังไม่หันกลับได้ทันทีว่าคนปากหมาเมื่อกี๊ต้องเป็นคนรู้จักอย่างแน่นอน
   


   ซึ่งมันก็เป็นแบบที่คิดไว้เป๊ะ ไอ้สมุย ไอ้เต้ และสุดท้ายที่จะขาดไปไม่ได้เลยก็คือไอ้พิว ทั้งสามคนอยู่ในชุดสวมสบาย คาดว่ามาอยู่สนามกีฬาแบบนี้ก็คงไม่พ้นมาออกกำลังกายกันหรอก


   “ก็ว่ามึงอ่ะ แล้วนี่มาทำอะไรกัน?” ไอ้สมุยคนปากหมาfoever เป็นคนพูดเปิดประเด็น

   “มาถ่ายงานอิ๊ง”

   “ก็ว่าอยู่ คนอย่างมึงไม่น่ามาสนามออกกำลังกายอะ” ขอยืนยันนั่งยันไว้ตรงนี้เลยว่าสักวันไอ้สมุยต้องตายโดยถูกระบุสาเหตุการตายว่าโดนกระทืบเพราะไปกวนตีนชาวบ้านแน่นอน

   “ไป๋ๆ นี่เพื่อนไป๋เหรอๆ” เสียงของพะแพงที่ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเดินมาหยุดยืนข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ พร้อมกับที่เจ้าตัวลากตัวผมออกห่างจากแก๊งสามสหายนั่น แล้วเขย่งกระซิบใส่หูผมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเสียเต็มประดา

   “ใช่ แต่พะแพงอย่าไปสนใจพวกมันเลย ไอ้พวกนี้มันเหี้ยทุกคน” ผมบอกพะแพงกลับไปแบบปัดๆ แค่คิดว่าพะแพงสนใจคนใดคนหนึ่งในนี้ก็ชิบหายแล้วครับ อย่าเอาคนดีๆมาแปดเปื้อนเลย

   “จะบ้าหรือไง ชวนคนนั้นมาถ่ายงานด้วยกันให้หน่อยสิ”

   “คนไหนอ่ะ ไอ้สมุยเหรอ?”

   “ไม่ใช่ๆ คนใส่กางเกงบอลสีแดงคนนั้นอ่ะ ชื่ออะไรเหรอ? ชวนให้หน่อยสิ” สิ้นคำของว่าที่คุณหมอ ผมก็หันไปมองทันนทีว่าใครเป็นคนที่แต่งตัวตามที่พะแพงบอก และแล้วหวยก็ตกไปอยู่ที่


   ไอ้เดือนภาค...


   “อ๋อ ไอ้พิวอ่ะนะ ถ้าเป็นคนนั้นไม่เอาอ-”

   “ถ้าไป๋ไม่พูด งั้นเราขอเองก็ได้”

   แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม เลือกให้เธอไม่ไปได้หรือเปล่า


   ไม่ทันได้ถามความสมัครใจผม พะแพงก็ตรงไปยังไอ้พิวที่ยังยืนคุยกับเพื่อนทั้งสองคนของมัน ยังไม่ได้เดินไปไหน กลับม๊า พะแพงกลับม๊า

   “เฮ้ย นายๆ นายชื่อพิวใช่ป่ะ”

   “อือ ใช่” ร่างสูงหน้ามึนเบนความสนใจจากบทสนทนาแล้วหันมาสนใจผู้หญิงร่างเล็กที่เดินไปยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า

   “นายหล่ออ่ะ มาเล่นเป็นตัวประกอบให้เราหน่อยสิ” เที่ยงตรงและมั่นใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ส่วนทางด้านของพิวเมื่อฟังพะแพงจนจบประโยคก็ยิ่งทำหน้างงกันเข้าไปใหญ่ จนขวัญที่ยืนห่างๆต้องเดินเข้าไปช่วยพูดอีกแรง แบบขัดพระประสงค์ของแม่นางพะแพงไม่ได้

   “คือว่าตอนนี้เราขาดตัวละครอยู่อีกคนอ่ะ เป็นแค่บทแฟนเก่าที่เราจะตัดต่อเป็นช่วงflashbackเฉยๆ ไม่ต้องมีบทพูดอะไร”

   “แล้วเล่นเป็นแฟนเก่าใครเหรอ?” เหมือนไอ้เต้เห็นร่างสูงในกางเกงบอลสีแดงยังยืนบื้ออยู่ คงไม่ทันใจมันเลยชิงเอ่ยคำถามหมัดสำคัญขึ้นมา

   “ก็ไป่ไป๋ไง” เท่านั้นแหละ ทุกสายตาของสามคนนั่นก็หันมามองผมอย่างพร้อมเพรียง คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแบบไม่นึกว่าสิ่งที่ได้ยินมันจริงหรือไม่

   “พะแพงกับขวัญเป็นคนคิดบทขึ้นมา พวกมึงไม่ต้องมามองกูแบบนั้น”

   “เออ เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า” พะแพงรีบเปลี่ยนประเด็นความสนใจ ก่อนที่จะเอ่ยประโยคที่ทำให้ทุกคนมุ่งความสนใจไปยังไอ้พิวแทน ซึ่งทำเอาพวกผมต้องลุ้นไปตามๆกัน


   “ว่าไงพิวตกลงปะ?”



   “อือ เอาดิ ”








   ร่างโปร่งผิวโทนเหลืองค่อนไปทางขาวตามฉบับคนไม่ค่อยได้ออกแดดที่ตอนนี้กำลังจับจองที่นั่งอยู่บนสแตนด์เชียร์ขนาดใหญ่และสูงชันริมสนามที่ใช้เป็นลานวิ่งสำหรับคนที่ฝักใฝ่จะออกกำลังกาย สายตาทอดมองลอยไปยังเบื้องหน้าอย่างไม่มีจุดโฟกัส ทันใดนั้นสองมุมปากยิ้มเล็กๆเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ตัวชุ่มเหงื่อกำลังวิ่งเข้ามาใกล้สายตา


   “เอาน้ำไหม?”

   “ขอหน่อยก็ดี”

   ทันทีที่มือเรียวส่งขวดน้ำให้ อีกฝ่ายก็เอื้อมมาจับทับแต่ไม่ได้ดึงขวดน้ำออกในทันที กลับปล่อยให้ร่างบางถือขวดโดยมีมือของตนเองทาบทับไว้ทั้งอย่างนั้น

   “: )”

   “เอาไปสิ” คนตัวสูงไม่มีวี่แววดึงขวดน้ำไปแต่อย่างไร อีกทั้งยังส่งรอยยิ้มมุมปากที่ดูน่ายียวนมาให้อีก
   

   “ไอ้สัสพิว มึงปล่อยมือจากกูแล้วเอาขวดน้ำไปได้แล้ว”



   ผมปั้นยิ้มก่อนกระซิบแบบไม่ขยับปากมากให้อีกคนที่เอาแต่ยืนยิ้มไม่ทำตามบทสักที



   ใช่ครับ ตอนนี้ผมได้มาเข้าฉากถ่าย Role play กับไอ้พิวตามบัญชาของคุณพะแพงแล้ว แม้ว่ามันไม่ได้จะเป็นไปด้วยดีทั้งหมดก็ตาม เพราะเหมือนไอ้หมาพิวข้างหน้านี้มันอยากจะเล่นสงครามประสาทกับผมอยู่


   “ไม่อ่ะ”

   “ไอ้เหี้-”


   “โอเคคัท!!!”


   และแล้วเสียงสวรรค์ดังออกมาจากปากคุณนายพะแพงที่มีหน้าที่เป็นผู้กำกับจำเป็นเสียที ก่อนผมจะดึงขวดน้ำเจ้าปัญหากลับมา ไอ้หมาพิว ลีลานักก็ไม่ต้องแดก!






   ย้อนกลับไปเมื่อสิบนาทีก่อน


   ‘พิวๆ เดี๋ยวพิวทำเป็นวิ่งนะ แค่ประมาณครึ่งสนามก็ได้ แล้วก็วิ่งมาหาไป๋ที่นี่ เดี๋ยวไป๋จะส่งน้ำให้กิน ส่วนตอนยื่นน้ำจะพูดอะไรกันก็ได้ เพราะยังไงเดี๋ยวก็เอาเพลงใส่ลงไปอีกทีอยู่แล้ว’

   พะแพงจัดแจงท่านั่งและบอกบทการแสดงไปเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นก็ตรงไปหาขวัญและไอ้เปรมที่รับหน้าที่เป็นช่างกล้องทันที โดยที่มีไอ้เต้กับไอ้สมุยยืนเป็นกำลังอยู่แบบห่างๆ

   แต่ร่างสูงที่รับบทพระเอกกำมะลออยู่ตรงหน้ากลับวางมือปุลงหัวของผม พร้อมขยี้ไปมา ผมขมวดคิ้วแบบไม่เข้าใจในสิ่งที่คนตรงหน้าทำ

   ‘มึงทำเหี้ยไรเนี่ย?’

   ‘จะได้เนียนๆไง ถ่ายงานมึงทั้งที’

   ‘เออ อย่าเนียนให้มาก มึงไปได้แล้ว’

   ‘ไปนะ ’


   ผมปัดมือใหญ่บนหัวทิ้ง ก่อนอีกฝ่ายจะเดินไปยังจุดที่ได้กำหนดไว้ ถ้าไอ้ตุลลี่มาเห็นนี่แม่งฆ่ากูตายแน่ๆเลย เสียงจากห้องหัวใจของผมมันเต้นตุ๊บตั๊บให้มั่วแบบหาสาเหตุไม่ได้ไปหมด



   พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผมไม่ชอบสกินชิพจากมันเลยจริงๆ..







   
   “ไป๋ อันที่จริงเมื่อกี๊ต้องส่งขวดน้ำให้พิวกินด้วยนะ แต่ไม่เป็นไร ยืนจ้องตากันแบบนั้นก็โรแมนติกไปอีกแบบ”

   “ก็เมื่อกี๊ไ-”

   “ใช่ เราว่ามันก็ให้ไปอีกฟีลนึงเหมือนกัน ฉากต่อไปเลยไหมพะแพง?”

   “ทั้งสองคนเตรียมตัวฉากต่อไปได้เลยนะ”

   สิ้นสุดคำประกาศิต ร่างของผมก็ได้ถูลู่ถูกังไปตามแรงของเพื่อนๆสมาชิก พร้อมแขกรับเชิญและผองเพื่อนที่กำลังเดินตามมา เพื่อถ่ายฉากต่อไปกันอย่างพร้อมเพรียง


   เพื่องานไป๋ ท่องไว้ว่าเพื่องาน






   “ต่อไปจะเป็นฉากซ้อนจักรยานปั่นรอบมอกันนะ ทั้งสองคนปั่นไปเรื่อยๆเลย เดี๋ยวที่เหลือพวกเราจัดการเอง ถ้าพอใจแล้วเดี๋ยวจะสั่งคัทนะ”



   ผมยืนทอดสายตามองเจ้าจักรยานแบบยืมแล้วคืนของมหาลัย ที่พะแพงเป็นคนไปยืมมาให้เสร็จสรรพ ก่อนหันหน้าไปหาคู่กรณีแบบมีคำถามในใจ



   “เดี๋ยวกูปั่นมึงซ้อน” ไอ้พิวชิงบอกขึ้นมาก่อนเหมือนรู้ใจ

   “ได้ไงวะ? กูจะปั่นเอง”

   “กูปั่น เดี๋ยวใครเขาจะหาว่ากูใช้แรงงานคนแคระ”

   ไม่ทันจบประโยคของมันก็คว้าจักรยานพร้อมเตะขาตั้งแล้วขึ้นคร่อมรถโดยที่ไม่คิดฟังเสียงคัดค้านจากผมเลยสักนิด


   มึงกำลังทำให้กูดูไม่แมนไอ้พิว จำไว้เลย!!!


   แต่จะให้ทำยังไงได้นอกจากขึ้นซ้อนเบาะหลังมันแบบหงอยๆล่ะครับ...




   จะว่าไปถ้าตัดเรื่องคนปั่นคนซ้อนตอนนี้ออกคือบรรยากาศก็คงดีเอามากๆ เนื่องจากมหาลัยของผมร่มรื่นเหมาะแก่การปั่นจักรยานตอนเย็นแบบนี้มากครับ


   เออ เข้าใจละว่าทำไมตกเย็นคนเป็นแฟนกันถึงชอบพากันมาปั่นจักรยานเล่น

   
   “มึงอยู่หอไหนอ่ะไป๋?”

   “หอ 7 นั่นไง ข้างหน้านั่นอ่ะ”

   “มองจากข้างนอกยังรู้เลยว่าเก่า” มันยู่หน้าเล็กๆเมื่อมาเจอสภาพหอใน

   “เออ มันถูกดี กูชอบ ค่าน้ำไม่ต้องเสีย ค่าไฟก็ยูนิตละ 5 บาทเอง”

   “มึงจะอยู่นี่ยันปีสี่เลยเหรอ?” ร่างสูงเอี้ยวตัวกลับมาถามผม

   “ไม่อะ เขาให้แค่ปีหนึ่งอยู่ ปีหน้าก็ต้องไปอยู่หอนอกละ”


   

   สิ้นสุดประโยคนั้นเราต่างคนต่างเงียบ แต่ละฝ่ายปล่อยให้สิ่งรอบข้างครอบงำ สายตาผมสอดส่องมองโน้นนี่รอบทางที่ผ่านมาไปเรื่อย ตั้งแต่สระว่ายน้ำวิทย์กีฬา สเต๊กร้านโปรด หรือแม้แต่สาวพยาบาลต่างเซคที่ผมเคยเจอบ่อยๆ


   ด้านหลังก็มีสมาชิกของผมที่แบกกล้องปั่นจักรยานตามหลังมา แต่ไม่มีวี่แววของสมุยและเต้เพื่อนซี้ของร่างสูงที่กำลังปั่นเจ้าสองล้อแบบขะมักเขม้นนี่อยู่เลย


   “ไอ้พิว เต้กับสมุยหายไปไหนแล้วอะ?”

   “มันบอกว่าหิวข้าว เลยขอกลับก่อน”

   “แล้วเป็นไงตัวกูหนักปะ?”

   “เบากว่าวาฬแดกช้างเข้าไปนิดนึง”

   “ไอ้สัส”


   ผมแกล้งโคลงตัวไปมา ซึ่งมันก็ทำเอาคนข้างหน้าเสียศูนย์ จนหันมาตวาดผมเบาๆ


   “ไอ้ไป๋ มึงเล่นเชี่ยไรเนี่ย” ผมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่หลังไอ้คนขี้เก๊กไปทีนึง ทั้งๆที่รู้ว่าแม่งไม่เห็นหรอก แต่ก็พอใจจะทำเพราะความสะใจล้วนๆ



   เดธแอร์ได้กลับมาหาเราทั้งสองอีกครั้ง ผมที่เวลาอยู่กับมันแล้วไม่รู้จะชวนคุยอะไร และมันที่เป็นคนพูดน้อยเป็นต้นทุนอยู่แล้ว เหตุการณ์แบบนี้จึงเกิดได้บ่อยครั้ง จากระยะทางรอบมอที่เคยครึ่งชั่วโมงก็ครบรอบแล้ว ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางมาครึ่งโลกแล้วอย่างไรไม่รู้



   “ได้ข่าวมึงจะจีบสาวใหม่แล้วเหรอ?”

   “ฮื้อ? มึงรู้มาจากไหนอ่ะ?”

   “เปรมบอกว่ามึงจะจีบขวัญ” ไปคุยกันตอนไหนวะ?

   “จีบเหี้ยไร ขวัญมีผัวแล้ว เพิ่งแดกหญ้าไป กูคงไม่หาตีนมาแดกเพิ่มหรอกสัส” เพิ่งจะมานึกได้ตอนอ้าปากพูดออกไปแล้ว อยากตบปากตัวเองชิบหายเลย ไอ้ไป๋เอ๋ย มึงแม่งปากหมาจริงๆ

   “ปากบอกปาวๆว่าลืมได้ๆ แต่เอาเข้าจริงก็ฝังใจเหมือนกันนี่หว่ามึงอะ” ให้เดาว่าตอนนี้หน้าไอ้พิวต้องยียวนกวนส้นตีนได้พอสมควรเลย

   “กูแค่เปรียบไหม? แล้วมึงเถอะ ให้กูซ้อนท้ายงี้ คงไม่มีสาวมึงคนไหนเข้าใจผิดว่ากูเป็นเด็กมึงหรอกนะ”

   “ไม่..”

   “ไม่เข้าใจผิด?”

   “ไม่มีสาวเลย”

   “ขี้โม้สัส เมื่อวันนู้นกูยังเห็นมึงเดินกับดาววิทย์อยู่เลย”

   “นั่นไม่-”



   “คัท!!!”

   


   

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter one ― 130818)
«ตอบ #7 เมื่อ13-08-2018 22:59:35 »

   
(ต่อ)



   และแล้วภารกิจหนึ่งวันของผมก็จบลงสักที ผมที่กุลีกุจอรีบไขกุญแจเข้าห้องด้วยความอยากอาบน้ำเต็มแก่ หลังจากที่การถ่ายทำวันนี้จบลง และคำสัญญาจากสมาชิกในกลุ่มผมที่ขอติดการเลี้ยงข้าวไอ้พิวเอาไว้ แม้มันจะบอกหลายต่อหลายรอบแล้วว่าไม่จำเป็น แต่คุณพะแพงก็ยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่ายังไงก็ต้องเลี้ยงขอบคุณให้สมกับค่าเหนื่อยให้ได้ ไอ้พิวเลยไม่กล้าพูดอะไรต่อมากมายนัก


   ตัดภาพมา ณ ปัจจุบันที่ผมกำลังเปิดประตูห้องมาแล้วก็พบว่าไอ้ก๊าซและไอ้ครามยังอยู่ที่ห้องผม ต่างจากไอ้ตุลลี่ที่หายไปไหนแล้วไม่รู้ ตอนนี้พวกมันสามคนกำลังนั่งจับเจ่าที่พื้นและล้อมวงตีป้อมกันอย่างเมามัน ส่วนผมที่เล่นเกมไม่บ่อย แล้วก็ไม่ได้ติดอย่างสามคนนี้ก็ได้แต่เดินเข้าห้องมาแบบเงียบๆ



   คือ เวลาไอ้พวกนี้เล่นเกม ทักไปแม่งก็ไม่ได้ยินหรอก อยู่ในโลกที่สามกันสุดไรสุด



   ผมเลยตัดสินใจวางกระเป๋า แล้วคว้าผ้าเช็ดตัวพร้อมของใช้วิ่งไปเข้าห้องน้ำรวมด้านนอกทันที .. ร้อนโว้ย หอในแม่งก็ไม่มีแอร์ อากาศเมืองไทยร้อนกว่านี่คนได้กลายพันธุ์มีโหนกกลางหลังไว้เก็บน้ำแบบอูฐแน่ๆ



   เมื่อผมกลับเข้ามาในห้องหลังอาบน้ำเสร็จ ก็พบว่าวงตีป้อมได้สลายตัวแถมมีสมาชิกเพิ่มมาอีกคนแล้ว เป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจาก...



   “ซิสไป๋ กลับมาแล้ววว รีบแต่งตัวเปลี่ยนชุดดีๆเร็วว” ผมมองท่าทางดี๊ด๊าออกนอกหน้านอกตาของไอ้ตุลลี่ แล้วชำเลืองสายตามองคนที่เหลือ ก็พบว่ามีสีหน้าหน่ายไม่ต่างกับผม



   เพื่อนๆควรชินนะ แต่ให้ตายยังไงก็ไม่ชินสักที


   
   “อะไรของมึงไอ้ตุลลี่ กูเพิ่งอาบน้ำมาเนี่ย” ผมก้มมองชุดเสื้อยืดคอย้วยๆพร้อมล้มตัวนอน กับบ็อกเซอร์ตัวเก่งตัวเก่าตั้งแต่มอปลาย แล้วเงยขึ้นมามองหน้ามัน


   “อีไป๋ มึงเคยรู้อะไรกับเขาบ้างไหมเนี่ย”


   “มึงจะให้กูรู้อารายยยย”


   “ก็งานชั้นปีของเภสัชไง ‘letter for love’ อะ เขาโปรโมตกันโครมๆ มีแต่มึงเนี่ยที่ไม่เคยรู้อะไรกับเขาเลย”


   สิ่งที่ไอ้ตุลลี่พูดอยู่ตอนนี้คงเป็นงานของเภสัชปีหนึ่งที่เขาจะมีกิจกรรมให้สมัครกิจกรรมแล้วสร้างโพรไฟล์ของตัวเองว่าอะไรก็ได้ เช่น รักน้ำ รักปลา ชอบคนจริงใจอะไรก็ว่าไป จากนั้นเขาจะเอาโพรไฟล์เราไปแปะในซุ้ม แล้วคนอื่นที่สนใจในโพรไฟล์เราสามารถเขียนจดหมายหาเรา หรือเราที่ถูกใจโพรไฟล์คนอื่นจะเขียนจดหมายไปหาเขาก็ได้


คนอย่างไป่ไป๋ก็รู้เรื่องพวกนี้นะครับ เพราะเพื่อนเภสัชในเซคเดียวกันแม่งมากรอกหูขายตรงกูแทบทุกวันเลย..



   “กูรู้จัก แล้วมึงจะทำไมอะ?”


   “อีไป๋ มึงก็ถามมาได้ กูจะเริ่มต้นการมูฟออนของมึงให้อยู่นี่ไง”


   “ไม่จำเป็นอะ” ผมบอกปัดแล้วหันมาสนใจกองชีทที่คาไว้ตอนช่วงขาดเรียนบ่อยๆอีกครั้ง


   “อีไป๋ มึงมองหน้ากูแล้วตอบมาว่าในใจมึงไม่เคยคิดถึงเขาอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว” ผมชะงัก แล้วนั่งคิด


   “เรื่องแบบนี้จะให้ลืมหมดมันก็ต้องใช้เวลาปะวะ”



   “เพราะมึงไม่เคยพาตัวเองออกจากอะไรเดิมๆไง” ฉึก



   “รูปเค้า ตุ๊กตาครบรอบสามเดือน หรือแม้แต่เสื้อคู่ มึงก็ยังเก็บไว้อยู่เลย” ฉึก



   “ต่อให้มึงไม่เสียใจแล้ว แต่มึงก็ปฏิเสธกูไม่ได้อยู่ดีว่ามึงเห็นของพวกนั้นแล้วมึงไม่คิดถึง” ฉึก



   “นี่ยังไม่นั-”


   “เออพอแล้วไอ้ตุลลี่!” ผมตะโกนแบบเหลืออด ก็มันจี้จุดอะ ให้ทำยังไงได้...

   “เพราะฉะนั้น เชื่อตุ๊ดแล้วไปเปลี่ยนชุดค่ะ”



   
❋❋❋
   


   และแล้วสิ่งที่ผมอาจไม่คาดคิดหากเป็นหลายชั่วโมงก่อนก็ได้เกิดขึ้นด้วยการที่โดนเพื่อนสาวคนเดียวของกลุ่มลากมายืนยังลานรวมของหอที่หน้าซุ้มกิจกรรม พร้อมก๊วนชายโสดแบบพร้อมหน้าพร้อมตาจนได้


   “ตอนนี้สำหรับกิจกรรม letter for love เรามีโปรโมชั่นสำหรับแก๊งไหนที่มากัน 5 ท่าน จ่ายค่าสมัครแค่ 4 แล้วฟรี 1 ไปเลยค่า” เสียงสาวเภสัชที่ดูแล้วน่าจะห้าวพอตัว ที่ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ทั้งๆที่ใส่กระโปรงพรีทแบบนั้น ส่วนพวกข้างล่างนี่ก็เต้นเอาๆ เชื่อเลยว่าทุ่มเทให้งานคณะมากจริงๆ


   บรรยากาศโดยรอบตอนนี้เป็นไปอย่างคึกครื้นมากครับ มาทั้งกลองสัน ทีมสัน พร้อมทั้งลำโพงสเตอริโอชุดใหญ่ชนิดที่ว่าหากทีมสันฯร้องได้ไม่สะใจพอแล้วก็สามารถสั่งเปิดให้กระหึ่มได้ทันที ภายในซุ้มก็แน่นขนัดไปด้วยนักศึกษามากหน้าหลายตาและต่างคณะกันไปที่กำลังรุมไปที่โต๊ะสมัครแบบแออัดสุด


   ชายอกสามศอกแบบพวกเราสี่คนเลยหันมามองหน้ากันแบบแหยๆ ไม่ใช่อะไรแต่พวกเราเกลียดสถานที่คนมารวมกันเยอะๆมาก โดยเฉพาะไอ้ครามเนี่ยแทบหันหลังกลับหอทันทีเลย ถ้าไม่มีเสียงเพื่อนๆเบรกไว้ก่อน


   “อ๊ะๆ อีครามมึงจะไปไหน ไหนๆก็มาแล้วสมัครกันให้หมดเนี่ยแหละ เดี๋ยวกูออกค่าสมัครให้เอง” ว่าแล้วไอ้ตุลลี่มันก็วิ่งดุ๊กๆเข้าซุ้มไป ทิ้งให้พวกผมยืนเอ๋อแดกกันอยู่สี่คน

มัดมือชกชิบหายเลยไอ้ห่าตุลลี่

   

   สักพักไอ้ตุลลี่ก็วิ่งพาสารร่างถึกๆกลับมา พร้อมกับกระดาษใบบางๆในมือ


   “อ่ะๆ พวกมึงเอาไปเขียนโปรโฟล์” มันยิ้มระรื่น แล้วกึ่งแจกกึ่งยัดกระดาษลงในมือของทุกคน


   “โดยเฉพาะมึงนะไอ้ไป๋ ตั้งใจเขียนดีๆนะ มึงอย่าลืมว่านี่คือโอกาสใหม่ของมึง”


   ผมส่ายหัวไปมาอย่างเอือมๆ บทไอ้ตุลลี่มันจะดีดก็ดี๊ดดีด เหมือนแดกยาม้าหรือไปเจอผู้ชายเภสัชหล่อๆมาก็ไม่รู้ ผมก้มมองในมือผมอีกครั้งแล้วจับเจ้ากระดาษขนาดไม่เกิน A5 แบบพิจารณาดู ก็จะเห็นได้ว่ามีข้อมูลส่วนตัวที่ต้องให้เขียนไม่กี่ข้อ ก็ประมาณว่า Display Name, เพศ และความชอบ เท่านั้น


   “ไอ้ตุลลี่ งี้ถ้าจะเขียนว่าเป็นผู้หญิงอะไรแบบนี้ก็ได้เหรอ?” ไอ้ก๊าซขมวดคิ้วแล้วชูของในมือขึ้นมาถามแบบข้องใจ


   “เขียนได้ มึงจะเขียนว่าเป็นลูกนายก นักรบสงครามโลก อะไรก็ได้หมดอะ”


   “เอ้า แล้วงี้คนที่เขียนหาจะชอบเราที่เราเป็นเราจริงๆเหรอวะ?”


   “คนเราเขียนโพรไฟล์มาก็เพื่อให้คนอื่นเขาสะดุดตาปะ แต่การที่มึงจะชอบใครสักคนได้ก็ต่อเมื่อเริ่มเขียน เริ่มคุยกับเขาปะวะ”


   “เชรด ทำไมทีเรื่องแบบนี้อีตุลลี่มันเก่งจังเลยวะ?” ไอ้ยีนส์ที่ตอนแรกยืนฟังเงียบๆ ถึงกับต้องหันหน้ามาปรบมือให้เลยอ่ะ คมครับๆ ชอบๆ


   “นี่กูใครคะ ตุลลี่คนที่สวยที่สุดในภาคเครื่องกลไง”


   “เออ ถ้าไม่นับผู้หญิงอะ”


   “ไอ้คราม!!! เดี๋ยวเถอะมึงเนี่ย เดี๋ยวนี้ชักจะเอาใหญ่” คำต่อล้อต่อเถียงทำเอาเรียกเสียงหัวเราะไปจากผมได้อย่างมากมายจนกลัวตัวเองจะสำลักตายเหลือเกิน






   หลังจากนั้นไม่นานผมก็ต้องกลับมานั่งเครียดอีกครั้ง กูจะใช้ชื่อดิสเพลย์ว่าอะไรดีวะเนี่ย แม่งคิดยากกว่าหัวข้อโครงงานอีก โอ้ย!


   “ไอ้ไป๋มึงเขียนเสร็จยังวะ?”

   “เออ แปปนึง กำลังคิดชื่ออยู่”

   “นานละนะมึงอ่ะ ยังไม่ได้อีกเหรอ? อะไรวะสิ่งที่ชอบ นอน อากาศเย็น อาจารย์ยกคลาส” ไอ้ยีนส์ชะโงกหน้ามาอ่านกระดาษที่กำลังจะเสร็จสมบูรณ์ในมือผม

   “เอ้า ไอ้สัส อย่าเสือกสิครับ” ผมรีบดึงกระดาษออกมาให้พ้นสายตาของไอ้ยีนส์มัน เสือกเก่งจังอะ


   “ทำไมมึงถึงชอบอากาศเย็นวะ?”

   “ก็มันนอนสบาย”

   “แล้วทำไมถึงชอบเวลาอาจารย์ยกคลาสอ่ะ?”

   “ก็จะได้กลับหอมานอนไง”

   “-_____-”


   พอผมบอกเหตุผลเท่านั้นแหละสายตาของทุกคนโดยเฉพาะไอ้ตุลลี่ก็มองมาที่ผมแบบเอือมและเบื่อโลกเอามากๆ
   

   ก็ไป๋ชอบนอนจริงๆอ่ะ แล้วไป๋ทำไรผิด..



   “ไอ้ไป๋ มึงแก้โปรไฟล์มึงเดี๋ยวนี้เลย เขียนแบบนั้นแล้วสาวที่ไหนจะมาสนใจมึ๊งงง!!!” ไอ้ตุลลี่กระโจนโถมตัวมาหวังตะครุบแผ่นในมือของผม

   “เอ้า กูก็ชอบแบบนี้อ่ะ จะให้กูแก้เป็นอย่างอื่น มันก็ไม่ใช่ตัวกูแล้วปะ?”

   “เออ เรื่องของมึงละ เฟิร์สอิมเพรสชั่นกับสาวๆเป็น 0 จ้า กูบอกเลย”

   “ไอ้ตุลลี่มึงก็ปล่อยให้ไอ้ไป๋เขียนไปเถอะ เผื่อมีคนหลงมาชอบความแปลกของมัน”

   “หรือเรียกอีกอย่างว่าชอบของแปลกใช่ไหมไอ้ก๊าซ” ไอ้ตุลลี่แย้งขึ้นในทันที

   “เออ พอๆมาช่วยไอ้ไป๋คิดชื่อดิสเพลย์ก่อน กูอยากกลับหอจะแย่ละ ยุงแม่งเยอะชิบหายเลยเนี่ย” ไอ้ยีนส์พูดพลางปัดป่ายยุงไปด้วย เออ แต่ยุงที่นี่แม่งก็เยอะจริงแหละ

   “มึงอยากได้ชื่อประมาณไหนอ่ะ?”

   “แล้วของพวกมึงตั้งชื่อประมาณไหนกันอ่ะ?”


   “ของกูเป็นชื่อแมวตัวแรกที่เลี้ยง” ไอ้ตุลลี่

   “ของกู Jeans – Dragon แม่งเท่ชิบหายเลย ” ไอ้ยีนส์

   “ของเรา sag ตั้งชื่อแบบกลับตัวอักษรของชื่อเล่นอ่ะ” ไอ้ก๊าซ

   “ของกูคราม”

   “ไอ้ครามมึงตั้งแบบนี้จริงๆอ่ะ”

   “ก็กูชื่อครามอ่ะ จะให้กูตั้งว่าอะไรอีก”


   “-_______-”



   บางทีก็ชอบความขวางโลกของไอ้ครามมันเหมือนกันดูคูลๆดีนะ


   “ไอ้ไป๋มึงจะคิดออกได้ยัง?”

   “เดี๋ยวดิ ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา”

   “ไม่งั้นลองตั้งชื่อตามของกินที่ชอบไหม ดูเป็นผู้ชายน่ารักๆดีนะ”


   ของกินเหรอ?


   “กูนึกออกแล้ว!!! ป่ะพวกมึง เอาไปให้เขาติดที่ซุ้มกัน” ผมบรรจงเขียนชื่อที่นึกออกลง แล้วสะกิดพวกมันให้รีบเดิน



   แต่ก่อนที่จะทำไปติดที่ซุ้มได้นั้นจะต้องผ่านการตรวจชื่อภายในไฟล์ข้อมูลของผู้สมัครทั้งหมดก่อนว่ามีการใช้ชื่อซ้ำหรือไม่ และแล้วก็มาถึงตาผม ที่ผมโคตรจะมั่นใจเลยว่าไม่น่ามีใครใช้ชื่อเดียวกับผมแน่นอน

   “ขอโทษนะคะ พอดีว่าดิสเพลย์เนม ‘กุ้งเผา’ มีคนใช้ไปแล้วแล้วค่ะ”

   “ฮ่าๆ ไอ้ไป๋มึงใช้ชื่อกุ้งเผาอ่อ? ไอ้เหี้ยแม่งจี้สัส”

   “เอ้า ก็กูชอบแดกอะ มึงจะทำไมกู” ผมที่ต้องระเห็จออกจากแถวมาเพื่อคิดชื่อใหม่อีกครั้ง ยังมีคนตั้งซ้ำกูอีกเหรอวะเนี่ย นี่ก็แรร์สุดๆละนะ


   “ไป๋ จะเปลี่ยนเป็นอะไรอ่ะ” ไอ้ก๊าซที่ผ่านการตรวจชื่อและติดโปรไฟล์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินมาไถ่ถามผมที่เกือบจะทึ้งหัวตัวเองอยู่แล้ว

   “ไม่รู้อ่ะ นอกจากชื่อนี้ก็ยิ่งคิดไม่ออกแล้วเนี่ย”

   “โห มึงเชื่อกูนะว่าคนนี้แหละแม่งบุพเพฯ”

   “เพ้อเจ้ออะไรของมึงไอ้ตุลลี่”

   “คิดตามกูนะชื่อบนโลกนี้รวมทั้งไทยและอังกฤษที่มีสองคำ แม่งมีเป็นล้านล้านอ่ะ แต่เสือกมีคนใช้ชื่อเดียวกับมึง แล้วถ้ายิ่งเขาเป็นผู้หญิงนะแม่งเอ้ย ไม่ใช่พรหมลิขิตกูก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรละ” ไอ้ตุลลี่พล่ามมายาวเหยียด แต่มันทำให้ผมคิดตามไปด้วยได้

   เออ ก็จริงของมัน ชื่อมีตั้งเยอะตั้งแยะ แต่มาตั้งซ้ำกันแบบนี้ โคตรบังเอิญเลยแม่ง

   “อะไรวะ มึงคิดชื่อใหม่ได้แล้วเหรอ?” ไอ้ยีนส์ถามขึ้น หลังจากที่ผมหยิบปากกาขึ้นมามาเขียนอีกรอบ

   “อือ ได้ละ” ผมชูกระดาษในมือให้ทุกคนดูเป็นครั้งสุดท้ายแบบยิ้มๆ โดยไม่สนใจรอยยิ้มกรุ้มกริ่มและเสียงแซวจากเพื่อนๆ ก่อนจะเอาไปให้เขาติดที่ซุ้มเสียที



   ‘ชอบกุ้งเผา’



   ถ้ามองว่ามันคือความบังเอิญ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าความบังเอิญมันจะมีหน้าตาเป็นยังไง : )



▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔


ขยันอัพฮะ
   



ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter two ― 130818)
«ตอบ #8 เมื่อ14-08-2018 05:07:32 »

ตามมม

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 578
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter two ― 130818)
«ตอบ #9 เมื่อ14-08-2018 13:16:10 »

 :hao3: มาแอบรออ่านค่ะ  o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter two ― 130818)
« ตอบ #9 เมื่อ: 14-08-2018 13:16:10 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter two ― 130818)
«ตอบ #10 เมื่อ14-08-2018 13:24:28 »

chapter three。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔





   “มาพวกมึง คนละไม้คนละมือ ช่วยกูหาโปรไฟล์กุ้งเผาหน่อย” สภาพพวกเราตอนนี้กำลังวุ่นวายเอาการ ในตอนแรกที่ผมคิดว่าโปรไฟล์ของคนสมัคร letter of love จะมีแค่ร้อยสองร้อยคนเท่านั้น ที่ไหนได้แม่งเกือบพันเลยมั้งเนี่ย อย่างนี้กว่าจะเขียนจดหมายหาใครสักคนได้ไม่อ่านกันตาแตกยิ่งกว่าอ่านหนังสือสอบไฟนอลกันไปเลยหรือยังไง



   “โอ้โห ไอ้ไป๋มึงนี่ชอบหางานช้างมาให้เพื่อนตลอดอะ”


   “ก็เมื่อกี๊พวกมึงบอกเองปะว่ามันคือบุพเพฯอ่ะ เอาน่าช่วยกูหน่อย”


   “เออ เอาก็เอาวะ เพื่อมึงเลยนะไป๋ ไปค่ะ ไปหากันคนละมุมไปเลย”



   และแล้วพวกเราก็เริ่มค้นหาโปรไฟล์กันแบบจริงจัง ในขณะที่ผมหาไปก็ได้อ่านของคนอื่นๆไปด้วย มันก็ทำให้ผมได้รู้ถึงความหลากหลายทางชีวภาพผ่านชื่อได้มากขึ้นอย่างมหาศาล ยกตัวอย่างเช่น



   ‘ทิงกี้วิงกี้ดิฟซี่ลาล่าและโพ’
   ‘เบิ้มท่อระเบิด’
   ‘ณ๊องนุ้ย ม่หล่อจีงอย่าหยิ่งดั้ยมะ’
   ‘รับปรึกษาวิชาสแตทครับ’
   ‘ปากหมากว่าแม่ค้าขายเครป’
   


   และอื่นๆอีกมากมายด้วยกัน เออ อ่านแล้วมันก็คลายเครียดดีเหมือนกัน..



   “เจอแล้ว” เมื่อเสียงทุ้มของไอ้ครามเอ่ยขึ้น ก็สร้างความแตกตื่นให้กับพวกผมเป็นอย่างมาก


   “ไหนๆ ขอดูสิ่งที่ชอบหน่อย” ผมกุลีกุจอไปยังจุดที่ไอ้ครามยืนอยู่ แล้วมองตามนิ้วที่ชี้ไปยังกระดาษแผ่นหนึ่งของมัน




   อยู่ล่างสุดแบบนี้ ถ้ากูมาคนเดียวคงหาเจอหร๊อก




   ผมบรรจงอ่านแต่ละตัวอักษรอย่างตั้งใจ ลายมือถึงไม่ได้น่ารักมาก แต่ก็สามารถรู้ได้เลยว่าคนเขียนขึ้นมาแต่ละตัวอักษรได้อย่างประณีตแค่ไหน ดูจากน้ำหนักและลายเส้นแล้วบอกเลยว่าแค่นี้ก็ถูกชะตาด้วยมากๆแล้วแหละ



   ฮือ แค่ลายมือเขาไป๋ยังชอบเลย
   


   ผมไม่รอช้าจึงอ่านโปรไฟล์ของคุณกุ้งเผาทันที



   ชื่อ(Display Name) : กุ้งเผา
   เพศ : หญิง
   สิ่งที่ชอบ :    1.หมา       
         2.อ่านหนังสือ
         3.คนที่เห็นแล้วรู้สึกว่าอยากอยู่ด้วยใกล้ๆ




   “เขียนคนละเรื่องกับของไป๋เลยอะ”


   “ลงขันกันดีกว่า กูว่าคนเนี้ยไอ้ไป๋ชวดแน่ๆ”


   “อ้าว ไอ้ตุลลี่ ไอ้ก๊าซทำไมพูดงี้วะ?”


   “อะ ไอ้ก๊าซกูลงเลยยี่สิบ” ไอ้ยีนส์คนพูดจริงทำจริง2018 เพราะแบงค์ยี่สิบจากกระเป๋าตังมันได้ส่งทอดไปยังมือของไอ้ก๊าซแล้วเป็นที่เรียบร้อย


   “อีไป๋ กูว่ามึงมองโปรไฟล์ผู้หญิงคนอื่นเผื่อๆไว้บ้างก็ดีนะ ._.”


   “ทำไมไม่มีใครเชื่อใจกูเลยวะ” ผมเหลือบไปมองไอ้ครามอย่างขอกำลังเสริม คนอื่นย้ายทีมไปหมดแล้วเพื่อน ช่วยลงทีมกูให้กูมีกำลังใจหน่อยเถอะ


   “สู้ๆ” ไอ้ครามมันเดินมาตบไหล่ผมแบบงงๆ ก่อนจะรู้ความหมายของคำพูดมัน เมื่อไอ้ครามมันหย่อนเหรียญสิบลงฝ่ามือของไอ้ก๊าซไปอีกคน



   ไอ้พวกเหี้ย แม่งให้กำลังใจกูกันชิบหาย



   “เดี๋ยวพวกมึงคอยดู บอกเลยว่ากูจะไม่เขียนจดหมายหาใครนอกจากกุ้งเผาทั้งนั้น!”







   สองเท้าก้าวอย่างมั่นใจ สองมือกุมกระเป๋าสตางค์แล้วควักเหรียญห้าออกมาอย่างมาดมั่น


   “เอาโปสการ์ดอันนึงครับ”


   หนึ่งสมอง สองมือ และหนึ่งด้ามปากกา กำลังจดจ่ออยู่กับสิ่งที่จะเขียนลงตรงหน้า กูจะเขียนยังไงดีวะ? แบบสุภาพชนดีแมะ?




   สวัสดีครับ คุณกุ้งเผาผู้น่าเคารพรัก กระผมใช้ชื่อว่าชอบกุ้งเผา เพื่ออยากทำความรู้จักกับคนกุ้งเผานะครับ




   สัส แบบนี้ไม่น่าเวิร์ค หรือจะเอาแบบรุกๆไปเลยดี?





   หวัดดีกุ้งเผา เราชอบเธอว่ะ อยากรู้จักเธอด้วย พรุ่งนี้มาเจอกันหน่อยที่ใต้หอ 7 ตอนห้าโมงเย็นนะ





   เชี่ย น่ากลัว กุ้งเผาเขาคงมาหากูอะนะ




   ผมนั่งคิดอยู่สักพัก คำพูดที่ผมเคยพูดกับเพื่อนๆ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนก็ได้ลอยกลับมาในหัว ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมเริ่มคิดได้ และเริ่มคลายกังวลที่จะเริ่มเขียนจดหมายแบบจริงจังสักที


   ‘เอ้า กูก็ชอบแบบนี้อ่ะ จะให้กูแก้เป็นอย่างอื่น มันก็ไม่ใช่ตัวกูแล้วปะ?’


   เออ ถ้าไม่เขียนแบบที่เป็นตัวกู แล้วเขาจะมาประทับใจตัวกูในแบบที่เป็นได้ไงวะ ดังนั้น ไอ้ไป๋ มึงลุย!!!





   สวัสดีกุ้งเผา เราชื่อชอบกุ้งเผานะ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนตั้งชื่อดิสเพลย์คล้ายเราด้วย เพื่อเป็นการทำความรู้จักให้มากขึ้นเรามาเล่น #10factsaboutme โดยห้ามบอกชื่อและคณะกันไหม?





   ผมตัดสินใจเขียนไปแบบสั้นๆง่ายๆ ส่วนการชวนให้มาเล่น บอก 10 ข้อที่เกี่ยวกับตนเองนั้นก็เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อใจและอยากรู้จักเขาให้มากขึ้นเท่านั้นเอง


   รีบๆตอบกลับมานะคุณกุ้งเผา อยากคุยด้วยแล้วอะ









   หลายๆคนอาจจะงงใช่ไหมครับว่าแล้วจดหมายเราที่อีกฝ่ายตอบกลับจะมาถึงมือเราอย่างสวัสดิภาพได้อย่างไร ขอเล่าย้อนไปตั้งแต่ตอนที่สมัครกิจกรรมเลยนะครับว่า ทางเภสัชเนี่ยเขาจะมีใบกระดาษแยกจากใบโปรไฟล์ที่จะเอาไปแปะที่ซุ้มอีกทีนึง ซึ่งในนั้นก็จะมีให้กรอก ชื่อ คณะ และหมายเลขเซคของวิชาสังคมที่เราจะได้เรียนรวมกัน เพื่อที่จะได้ให้เพื่อนเภสัชในเซคเดียวกันนำมาส่งให้ครับ และแน่นอนว่าข้อมูลส่วนตัวตรงนี้จะถูกเก็บเป็นความลับจนกว่าจะเสร็จสิ้นกิจกรรม ถึงจะมีการเฉลยโปรไฟล์แต่ละคนในเพจของ letter of love นั่นเองครับผม!!!




   ฮาร์ดเซลล์เหมือนคณะตัวเองอีกแล้วกู



   และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเนื้อเต้น นั่งเรียนจนไม่ติดเก้าอี้แบบนี้ วันนี้กูจะได้เรียนวิชาสังคมแล้วโว้ยยยย!!!!



   “ไอ้เชี่ยไป๋ วันนี้มึงเป็นเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย ยุกยิกๆอยู่นั่นอ่ะ” ไอ้สัสยีนส์ที่นั่งเรียนอยู่ข้างๆหันมาดุผมที่เอาแต่นั่งไม่เป็นสุข จนทำให้มันไม่มีสมาธิในการเรียนแคลคูลัสของจารย์หัวเหม่งหน้าห้อง


   ความแค้นส่วนตัวล้วนๆที่เรียกแบบนั้นออกไป เพราะมิดเทอมจารย์แม่งออกข้อสอบยากจนกูตกมีนเลยเนี่ย จะโทษอาจารย์อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะข้อสอบแม่งยากสัสก็จริง แต่ไอ้พวกหัวกระทิภาคไบโอกับภาคเคมีแม่งก็ฉุดมีนระห่ำเหมือนไม่ใช่คนปกติสามัญชนอย่างเราๆ .. เห็นใจคนโง่ๆอย่างกูหน่อยยย




   “กูตื่นเต้นเฉยๆ” หลังจากจารย์เหม่งปล่อยให้เบรก 10 นาทีแล้ว ผมที่เหมือนเก็บกดมาทั้งคาบก็หันมาพูดกับไอ้ยีนส์แบบต้องการหาที่พึ่งทันที



   “ตื่นเต้นอะไรของมึงอีไป๋” แต่เหมือนไอ้ตุลลี่ที่นั่งอยู่แถวหน้าพร้อมไอ้ก๊าซและไอ้ครามอยากมีส่วนรวมด้วย จึงหันหน้ามาทางพวกผมอย่างทันที



   เรื่องพวกนี้นี่เร็วจังนะมึง



   “ก็วันนี้จะได้เรียนวิชาสังคมแล้ว”


   “แล้ว?” ไอ้ยีนส์ย้อนถามเหมือนไม่เข้าใจคำพูดของผม


   “ก็จะได้เรียนกับพวกเภสัชแล้วไง”


   “คือมึงแบบปิ๊งสาวเภสัชอยู่?” ไปกันใหญ่แล้วมึงเอ้ย


   “อ๋อ กูเข้าใจละ คือมึงกำลังรอจดหมายตอบกลับจากอีกุ้งเผาอะไรนั่นอยู่ใช่แมะ” เออ กูรักความไอ้ตุลลี่ก็ตรงนี้แหละ เก็ทไว ใส่ใจทุกเหตุการณ์


   “เออ!!!”


   “มึงยังจะหวังให้เขาตอบกลับอยู่อีกเหรออีไป๋”


   “ของแบบนี้มันก็ต้องรออย่างมีความหวังปะวะ”


   “อะ อีก๊าซกูลงกับมึงด้วย เอาไปร้อยนึงเลย”


   “เออ ใช่สิ พวกมึงแม่งก็เอาแต่บอกให้กูลืมๆ แต่ไม่เคยให้กำลังใจกูเหมือนกันนั่นแหละ” ผมแกล้งบีบจมูกให้ดูแดงๆ เพื่อความสมจริง แสร้งทำเป็นเสียใจในการกระทำของเพื่อน


   “แหะๆ กูล้อเล่นนะอีไป๋ เรื่องวางตังนี่กูไม่ได้ยุ่งด้วยแล้วนะ” ไอ้ตุลลี่รีบชักธนบัตรสีแดงกลับอย่างไว อยู่กับมึงมันต้องใข้ไม้นี้แหละไอ้ตุลลี่!!!


   “เออ ช่างแม่-”



   “อีแพรมึงดู๊ แก๊ง F4 มานู้นแล้วๆๆๆๆ” เสียงกึ่งกระซิบกึ่งตะโกนจากเพื่อนผู้หญิงในภาคดังขึ้นมาจากแถวหน้าสุด ที่กำลังเอี้ยวหลังมองไปสุดหลังห้องแบบคอแทบหลุด ด้วยความที่วิชาแคลคูลัสเป็นวิชาวิศวะปีหนึ่งทุกภาควิชาจะได้เรียนรวมด้วยกันหมด จึงไม่สามารถรู้ได้ว่าแก๊ง F4 ที่พวกเธอพูด หมายถึงพวกไหน และมาจากภาควิชาอะไร


   อะ ไหนๆก็ไหนๆ หันไปใส่ใจหน่อยละกัน ว่าทำไมถึงสถาปนาให้เสียใหญ่โตถึงขนาดนั้น..



   เมื่อหันไปก็พบว่ากูไม่น่าหันมาเลย พร้อมอุทานในใจตนเองว่า อ๋อ ไอ้พวกเหี้ยนี่เองอะนะ..



   ไม่ผิดหรอกครับ ไอ้พวกที่สาวๆพูดถึงนั่นก็คือ กลุ่มของไอ้พิวนั่นเอง พวกมันเปิดประตูเดินเข้ามาจากข้างหลัง คงเกรงใจอาจารย์ที่ยังนั่งอยู่หน้าห้องละมั้ง ทั้ง 4 คนเดินแบบเอื่อยๆเพื่อมาหาที่นั่งข้างหน้ากัน แต่ละคนนี่สภาพดูไม่ได้กันทั้งนั้น บอกเลย กูให้ร้อยนึงแล้วพนันได้เลยว่าพวกแม่งไปตี้กันมาเมื่อคืน


   พวกมันเดินกันมาเรื่อยๆจนมาสุดที่เก้าอี้แถวหลังของผมที่ยังว่างอยู่



   “ตรงนี้ว่างปะ?” เสียงของไอ้เคนดังขึ้นถามพวกผมเพื่อความมั่นใจ


   “เตี่ยไอ้ยีนส์นั่งอยู่พวกมึงไม่เห็นกันหรือไง?”


   “อ้าว สัสไป๋ เกี่ยวเหี้ยไรกับเตี่ยกู” ว่ายังไม่ทันจบไอ้ยีนส์มันก็หันมาตบนิสัยเกรียนของผมไปทีนึง จนทำเอาผมรู้สึกเหมือนเห็นดาวไปชั่วขณะนึง




   “F4 ทุกคนมานั่งกับเราก็ได้นะ ตรงนี้ว่างสี่ที่พอดีเลย” มิ้นฐาเน็ตไอดอลสุดเปรี้ยวประจำภาคเราตะโกนขึ้นมาจากแถวหน้าสุดเหมือนเดิม เพื่อแซวไอ้พวกที่กำลังยืนงงอยู่ตรงโต๊ะแถวหลังพวกผม ซึ่งมันก็สามารถเรียกเสียงฮาจากทุกคนบริเวณนั้นได้เป็นอย่างดี แต่พลันสายตาของผมก็เหลือบมองไปเห็นปฏิกิริยาของไอ้ตุลลี่


   แหม คนอื่นแซวว่าที่ผัวหน่อยนี่กำหมัดแน่นเชียว


   แต่จากปฏิกิริยาของไอ้สี่คนนี่ที่ไม่หือไม่อือไม่ปฏิเสธอะไรออกไป มันทำให้ผมรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาดื้อๆ ด้วยความปากหมาและสันดานเสียเลยทำให้โพล่งพูดขึ้นมาแบบแทบไม่รู้ตัวเอง




   “ถ้ากลุ่มไอ้พวกเหี้ยนี่เป็น F4 กลุ่มพวกกูก็คงเป็น MAROON5 แล้วแหละ!!!” หลังจากพูดจบแล้วถึงได้อยากนึกตบปากของตัวเองแรงๆ




   เพราะกว่าค่อนห้อง และแม้แต่ไอ้พวกเอ๋อทั้งสี่ที่ตอนนี้จับจองที่นั่งข้างหลังผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมใจกันขำกันจ๊ากในความมั่นหน้าและปากไวของผม


   ผิดไปแล้วจ้า อย่าฆ่ากันแบบนี้เลย ไป๋แค่เผลอพูดเสียงดังไปนิดเดียวเอง


   “อะไรเนี่ย มึงอยากเป็นอดัมเหรอวะไป๋ ฮ่าๆๆๆๆๆ” ไอ้เต้ชะโงกมาพูดกับผมทั้งๆที่ตัวเองขำน้ำหูน้ำตาไหล เออ! ไอ้สัสพอได้แล้ว ตอนนี้กูโคตรอายเลยไอ้เหี้ย!






   “หมดเวลาพักแล้วครับนักศึกษา กลับมานั่งประจำที่เพื่อเรียนเนื้อหาต่อไปได้แล้วครับ ต่อไปจะเป็นในส่วนของเรื่อง Non-linear…”




   ผมที่ได้เผชิญกับความอับอายเลยหันไปชูนิ้วกลางใส่ไอ้เต้ทีนึง ซึ่งก็ได้เป็นฝ่ามือที่เกือบประทับบนหัวผมตามรอยไอ้ยีนส์กลับมา ยังไม่ได้หันหน้ากลับมานั่งมองจอโปรเจคเตอร์เหมือนเดิม ก็พบว่าไอ้พิวที่นั่งติดกันกับไอ้เต้กำลังมองมาที่ผมแบบที่ไม่สามารถอ่านสายตาออก ผมเลยกระซิบถามเชิงกวนตีนเพื่อไม่ให้รบกวนเพื่อนๆที่กำลังนั่งฟังอาจารย์ไปว่า



   ‘มองเหี้ยไรสัส’


   มันยกยิ้มมุมปากพร้อมพูดเสียงเบาออกมาคำนึง ที่ผมไม่สามารถอ่านปากของเจ้าตัวออกได้ว่ากำลังพูดอะไร


   ‘ห้ะ?’


   ‘----ก’ อะไรของมันวะ?


   ‘อะไรของมึ-’


   ‘เสือก’ คราวนี้มันเลยเลือกที่จะพูดให้เสียงดังขึ้น และแน่นอนว่าแม่งโคตรเหี้ยเหมือนเดิม



   กูจะไม่คุยกับพวกมึงอีกแล้ว!!!











   และแล้ว และแล้ว และแล้ว เวลาที่ไป่ไป๋คนนี้รอคอยก็มาจนได้


   ถึงคาบวิชาสังคมเสียที!!!



   “หวัดดีไป่ไป๋ ทำไมวันนี้ดูอารมณ์ดีจังเลยอะ” พะแพงผู้ที่ตรงต่อเวลาก้าวเท้าเข้ามาในห้องตามเวลาที่เรียนเป๊ะ ส่วนผมน่ะเหรอครับ แหกตูดมาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วนู่น


   “มีเรื่องให้ตื่นเต้นนิดหน่อยอ่ะ ฮ่าๆ”


   “อะไรๆ ไป๋ตามจีบสาวในเซคอยู่หรือไง” แซวเสร็จก็ยังจะหันไปมองรอบๆแบบหาผู้ต้องสงสัยที่คาดไว้ แต่ก็เธอก็ต้องพบกับความผิดหวัง ก็เพราะในห้องตอนนี้มีนักศึกษามาร่อยหรอมาก ทั้งๆที่จะถึงเวลาเรียนอยู่รอมร่ออยู่แล้วแท้ๆ


   “ไม่ใช่ เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”


   “โถ่ ไอ้เราก็อุตส่าห์อยากจะแซวสักหน่อย”



   จากนั้นก็ถึงเวลาสมควรที่อาจารย์จะเข้ามาสอน และนักศึกษาก็เริ่มทยอยเข้าห้องเรียนมาเรื่อยๆ การเรียนการสอนเป็นไปอย่างน่าเบื่อมาก สองสายตาก็เอาแต่ชะเง้อหาเพื่อนคณะเภสัชที่มัวแต่นั่งจดเลกเชอร์การสอนอยู่ อยากรู้แล้ว จะมีใครส่งจดหมายมาให้ผมบ้างไหม



   จนจบคาบเรียนแล้วผมก็ยังรอคอยจดหมายน้อยกลอยใจอยู่ สองมือเก็บเครื่องเขียนอย่างอ้อยอิ่ง ตาก็ไม่ไดละไปจากไอ้โต้ง และจ๋า หนุ่มสาวจากคณะเภสัชเพียงสองคนในเซคเลย ต้องได้จดหมายจากมือไม่คนใดก็คนหนึ่งในนี้แหละ แต่ยังไม่ทันให้ผมได้ลุกไปถามหรืออะไร สองคนนั้นเมื่อเก็บกระเป๋าเสร็จก็วิ่งออกจากห้องไปอย่างรีบร้อนทันที


   อ้าว นี่กูไม่ได้จดหมายตอบกลับจริงๆเหรอ...


   ฮือ เศร้า โดนหักอกตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเลยเหรอเนี่ยกู ผมคอตกยกมือโบกบายบายเพื่อนทุกคนก่อนจะก้าวออกจากห้องไป


   “ไป๋!!!” ผมหันไปก็พบกับขวัญที่สะพายกระเป๋าเตรียมจะออกจากห้องเหมือนกัน


   “อะนี่ เมื่อกี๊โต้งกับจ๋าฝากมา บอกว่าต้องรีบไปจัดซุ้มเลยไม่มีเวลาให้” ผมตาโตมองจดหมายในมือขวัญที่ยื่นมาให้


   เยดเขร้ แม่งเล่นมาเป็นปึกเลยเว้ยเฮ้ย!!!


   “ขอบใจมากนะขวัญ”


   “เดี๋ยวนี้ฮอตขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย ฮ่าๆ” ขวัญพูดแกมล้อผม จากนั้นเราจึงแยกทางกันตรงทางแยกกลับหอ



   แต่ด้วยทนความตื่นเต้นไม่ไหว ผมก็เลยถือปึกซองจดหมายแล้วยืนอ่านชื่อดิสเพลย์คนส่งตรงนี้ซะเลย



   Little Bears

   ท้องฟ้าสีชมพู

   บิงซูถ้วยใหญ่ ❤

   ningigi




   และแล้วความดี๊ด๊าเมื่อไม่กี่นาทีที่ก่อนก็หายวับไปอีกรอบ เพราะไม่ว่าจะอ่านจ่าหน้าฉบับแล้วฉบับเล่าก็ไม่มีชื่อของกุ้งเผาอยู่เลย


   รู้สึกเศร้าเหมือนตอนเห็นข้าวมันไก่กล่องสุดท้ายที่ร้านหน้าปากซอย แต่ป้าบอกว่ามีคนจองไว้แล้ว


   รู้สึกเศร้าเหมือนตอนที่นั่งรอบุรุษไปรณีย์มาส่งทั้งวัน แต่ฝนเสือกมาตกตอนบ่ายสอง


   รู้สึกเศร้าเหมือนตอนที่แม่สัญญาว่าจะไปเที่ยวทะเล แต่ผมก็ดันมาป่วยในวันก่อนไป


   ถึงเหตุการณ์มันจะต่าง แต่ตอนท้ายผมก็รู้สึกผิดหวังเหมือนๆกัน





   ผมที่ตุปัดตุเป๋เดินไปคว้าจักรยานที่จอดไว้ไม่ห่างจากตัวตึกมากนัก เพื่อกลับไปตั้งหลักที่หอก่อน เดี๋ยวค่อยไลน์บอกไอ้ยีนส์กับไอ้ตุลลี่เอาละกัน


   “ไป่ไป๋!!!” เสียงของผู้หญิงที่ไม่คุ้นเอาเสียเลยดังขึ้นมาทางด้านหลัง ผมหยุดจักรยานเข้าข้างทางแล้วจึงหันกลับไปมอง


   “อ้าว จ๋า” ผมมองจ๋าที่วิ่งกระหืดกระหอบมาแบบไม่สนใจสายตารอบข้างของนักศึกษาที่เพิ่งเลิกเรียนเหมือนกัน ให้เดาว่าจ๋าคงวิ่งตามผมมาพักนึงแล้วแหละ ถึงได้หอบหนักขนาดนี้


   “อะ จดหมายอีกอัน มันตกอยู่ในกระเป๋าเราอ่ะ ขอโทษนะ”


   “อ๋อ ขอบคุณมากๆนะ ยังไงซุ้มวันนี้ก็สู้ๆ”


   “อื้ม ไปแล้วนะ บาย” ผมมองตามหลังของจ๋าที่วิ่งกลับไป ถ้าถึงตาคณะผมมีกิจกรรมเมื่อไหร่คงเหนื่อยไม่ต่างจากนี้แน่ๆเลย


   ว่าแล้วผมก็ก้มมองจดหมายที่เพิ่งได้มาอย่างใจเต้นระรัว สาธุๆๆ ขอให้มันเป็นในสิ่งที่ผมคิดด้วยเถอะพอแก้วแม่แก้ว ค่อยๆแง้มเปลือกตาจากเดิมที่ปิดสนิทเพื่อรอลุ้นอย่างช้า






   ‘กุ้งเผา’




   วู้ว!!! ในที่สุดผมก็ได้จดหมายตอบกลับจากกุ้งเผาแล้ว ผมรีบเก็บจดหมายลงกระเป๋า จัดการเก็บอาการตัวเอง เพราะกลัวคนที่เดินอย่างพลุกพล่านในตอนนี้จะมองว่าผมเป็นบ้า ก่อนจะรีบปั่นจักรยานกลับหอของตนเองทันที


   เหมือนสาววัยแรกแย้มชิบหายเลยไอ้ไป๋เอ๊ย







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2018 22:13:29 โดย pearyypinkyy »

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter two ― 130818)
«ตอบ #11 เมื่อ14-08-2018 13:26:00 »

(ต่อ)

❋❋❋



   “คือมึงได้จดหมายจากกุ้งเผาอะไรนั่นแล้วเหรอ?” เมื่อสองเท้าก้าวถึงห้องยังไม่ทันให้ผมได้เปิดอ่านจดหมายอะไร ไอ้ตุลลี่และไอ้ยีนส์ก็โทรจิกตามผมมากินข้าวทั้งอย่างนั้น ผมที่กำลังเนื้อเต้นจึงจำใจวางกระเป๋า หยิบข้าวของที่จำเป็นเพื่อมาทานข้าวที่โรงอาหารกลางกับพวกมันก่อน


    “ถูกต้องนะคร้าบ”


   “แล้วมึงเปิดอ่านหรือยัง?”


   “ก็ยังอะดิ ต้องมานั่งแดกข้าวกับพวกมึงก่อนเนี่ย”


   “มึงทำถูกแล้วอีไป๋ มึงจะเห็นนังกุ้งเผาอะไรนั่นสำคัญกว่าพวกกูไม่ด้าย”


   “มึงว่ากุ้งเผาจะตอบไอ้ไป๋กลับมาแบบไหนวะ?”


   “กูว่านะอีคุณกุ้งเผาเนี่ย จะต้องมีความเด็กเรียนประมาณนึงอ่ะ แบบชอบไปหอสมุดไรงี้ กูว่าตอบอีไป๋มาแบบล้นโปสการ์ดแน่ๆอ่ะ”


   “เออก็จริงของมึงไอ้ตุลลี่”


   ผมปล่อยให้เพื่อนทั้งสองนั่งเดานั่นเดานี่กันไปตามประสา เพราะจิตใจผมตอนนี้กลับไปอยู่ที่กระเป๋าเป้ใส่จดหมายแทนที่จะเป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่ต้มยำข้างหน้าแล้ว


   “เอ้า ไอ้ไป๋แดกเสร็จยัง? จะได้รีบเก็บจานไปทำการบ้านวิชาเคมีต่อ”


   “เออ ไปๆ”






❋❋❋






   ถึงตอนนี้จะเป็นเวลาร่วมๆเที่ยงคืนแล้ว ถ้าหากถามว่าผมได้เปิดจดหมายหรือยังก็ส่ายหัวบอกได้ทันทีเลยว่า ยัง!!!


   “ไอ้ยีนส์ ข้อนี้แม่งทำยังไงวะ? กูนั่งอ่านเคมีบทนี้มาเป็นชั่วโมงละกูยังไม่เข้าใจเลยเนี่ย” ผมทิ้งตัวหาพนักผิงเก้าอี้ ก่อนหันไปหาความช่วยเหลือจากไอ้เมทสุดที่รักมัน


   “กูก็ไม่รู้ว่ะ ตอนนี้กูลอกโพยจากกลุ่มภาคละแม่ง เกินเยียวยาสัสๆ”


   “เออ มึงลอก กูลอกด้วย” ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดใดผมก็คว้าสมาร์ทโฟนลูกรักขึ้นมากดเปิดไลน์กลุ่มภาคทันที




   เครื่องกลคนหัวร้อน (46)




   เปิดข้อความที่ยังไม่ได้อ่านของกลุ่มขึ้นมาปุ๊บก็พบกับรูปการบ้านพร้อมวิธีทำ และข้อความที่เพื่อนคุยเล่นกันอีกนิดหน่อย แต่เมื่อสังเกตรูปและชื่อโปรไฟล์คนส่งโพยมาดีๆ ก็พบว่าเป็นคนไม่ไกลตัวนี่เอง



just pew




   “ไอ้พิวมันเก่งเคมีอ่อวะ?”


   “นี่มึงไม่รู้เหรอวะว่าไอ้พิวนี่แม่งตัวโหดภาคเลยนะเว้ย”


   “อ้าวงั้นเหรอ” ผมเบะภาพใส่ภาพโปรไฟล์ยืนเก๊กหล่อที่สักที่ใดที่หนึ่งบนโลกใบนี้ ซึ่งเดาๆแล้วคงไม่ใช่ประเทศไทยแน่นอน แหงละ ก็บ้านแม่งโคตรรวย แต่ยังไงเห็นกากๆอย่างมันนี่ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเนี่ย







   กว่าจะได้วางปากกาจากการลอกการบ้าน ย้ำครับว่าลอก เพราะการบ้านอีวิชาเคมีนี่ก็ว่าโหดแล้ว เจอสมองปลาทองที่เกลียดเคมีเข้าไส้จนต้องมาเรียนภาคเครื่องกลยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่เลยครับ



   แม่งเอ้ย อุตส่าห์หนีมาเรียนเครื่องกล ทำไมกูต้องมานั่งเรียนเคมีพื้นฐานอีกวะเนี่ย



   แต่ก่อนที่จะล้มตัวนอนสมองก็เพิ่งจะนึกได้ กูยังไม่ได้อ่านจดหมายของคุณกุ้งเผาเลยนี่หว่า... ว่าแล้วผมก็เอื้อมมือไปเปิดไฟโต๊ะอ่านหนังสืออีกครั้ง เพราะทั้งห้องตอนนี้ได้มืดสนิทลง เนื่องจากได้ปิดไฟดวงใหญ่ไปแล้วนั่นเอง จากนั้นก็ถึงเวลารื้อสัมภาระออกมาเพื่อหาของสำคัญ


   ก่อนสิ่งอื่นใดต้องขอโทษสาวๆที่เขียนมาหาด้วยนะครับ แต่ผมสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะเขียนหาแค่คนเดียวเท่านั้น




To. ชอบกุ้งเผา
From. กุ้งเผา




   แค่อ่านจ่าหน้าก็ม้วนไปสิบตลบแล้วมึงเอ้ย ไอ้ไป๋มึงตั้งสติ! ผมค่อยๆแกะกระดาษให้ออกจากกันเพราะอนุภาพของกาว แล้วค่อยๆหยิบโปสการ์ดข้างในออกมาด้วยหัวใจสั่นระรัว จะตอบกลับมาว่ายังไงวะ?


   กระดาษอีกด้านของโปสการ์ดเป็นลายที่ทางเภสัชเขาวาดขึ้นเอง เป็นข้อความที่ว่า Hello Stranger พร้อมวาดดอกไม้ประดับให้ดูมรุ้งมริ้งฟรุ้งฟริ้ง ผมไม่รอช้าพลิกโปสการ์ดให้หันกลับอีกด้าน ปรากฏเป็นลายมือที่ผมชอบดังเดิม แต่ข้อความข้างหน้ากลับทำให้ผมขมวดคิ้ว




เอาดิ ใครเริ่มก่อนอะ?





   “อะไรวะ กุ้งเผาตอบกลับมาแค่เนี้ย?” นั่นไม่ใช่เสียงผม แต่กลับเป็นเสียงไอ้ยีนส์เมทขี้เสือกเจ้าเก่า ที่มายืนข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้


   “ชอบ...”


   “อะไรของมึ-”


   “กูโคตรถูกชะตากับคนนี้เลยว่ะไอ้ยีนส์”




   ปากผมกำลังพูดกับไอ้ยีนส์ก็จริง แต่สายตาตอนนี้ยังไม่ได้ละจากกระดาษตรงหน้าไปแม้แต่น้อย ส่วนไอ้เมทด้านหลังผมคงยืนเอ๋อแดกไปแล้ว


   ก็แหงหละ ผมเพิ่งเคยเจอคนแบบนี้เป็นครั้งแรกเลย ไม่รู้จะพูดยังไงดีจะว่าแปลกใหม่ก็ไม่เชิง ห้วนๆ ห้าวๆ  แต่ที่แน่ใจเลยคืออยากคุยต่ออะ จบ


   ไม่รอช้าจึงหยิบโปสการ์ดที่ถูกซื้อไว้เกือบสิบแผ่นตั้งแต่หลายวันก่อนขึ้นมานั่งเขียนด้วยความตั้งใจ




เดี๋ยวเราเริ่มก่อนเอง #10factsaboutme
1.บ้านเราอยู่วงเวียนใหญ่
2.ที่บ้านเราชอบเลี้ยงหมา
3.ชอบกินอาหารที่เป็นข้าว มากกว่าแบบเส้นหรือขนมปัง
4.เป็นคนติดบ้าน
5.ชอบสีฟ้ากับขาว
6.ชอบทะเลมากกว่าภูเขา
7.ถนัดซ้าย
8.ชอบหนังแนวโรแมนติก มากกว่าหนังผี
9.ฟังเพลงได้ทุกแนว เน้นเพลงไทย
10.ส่วนข้อนี้ไว้สนิทกันแล้วเดี๋ยวจะบอกนะ :p
 


   ร่างบางระบายยิ้มออกมาบางๆให้กับกระดาษที่ตนเองเพิ่งลงมือเขียนเสร็จ ก่อนจะเก็บลงซองจดหมายแล้วปิดผนึกอย่างเรียบร้อย นิ้วเรียวเอื้อมไปแตะสวิตซ์ไฟหัวโต๊ะอีกครา ก่อนจะล้มตัวนอนยังเตียงที่ตั้งไม่ห่างกัน
   

   พลางคิดวางแผนว่าพรุ่งนี้จะนำจดหมายไปให้เพื่อนเภสัชหรือนำไปส่งที่ซุ้มดี คิดแล้วคิดอีกก็พบว่ากว่าจะได้เจอเพื่อนเภสัชในเซคเดียวกันอีกทีก็ตั้งวันมะรืน เขาคงไม่รอช้าถึงขนาดนั้น ดังนั้นจึงติดสินใจว่าจะนำไปส่งที่ซุ้มในตอนเย็นของวันพรุ่งนี้อย่างใจจดใจจ่อ



   เมื่อวานก็อยากให้ถึงวันนี้เร็วๆ พอเป็นวันนี้ก็อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆอีกแล้ว


   







   วันถัดมา และในขณะนี้ผมก็กำลังเรียนในวิชาที่สามารถเรียกได้ว่าผมไม่ชอบที่สุดในขีวิตเลยก็ว่าได้ เป็นวิชาไหนไปไม่ได้หรอกครับ นอกเสียจากวิชาเคมีนั่นเอง...


   “มีนักศึกษาคนไหนยังไม่ได้ส่งการบ้านอีกไหมคะ?” อาจารย์ศิวพรคนดีคนเดิม เพิ่มเติมคือออกข้อสอบและให้การบ้านชนิดที่ว่ายากชิบหาย ชูปึกกระดาษการบ้านขึ้นมาเพื่อไถ่ถามนักศึกษาที่นั่งคุยกันจ๊อกแจ๊กจอแจ เนื่องจากแกกำลังจะปล่อยแล้ว


   “ถ้าไม่มีแล้ว เจอกันคาบหน้าค่ะ”


   “อาจารย์ครับ! คะแนนมิดเทอมจะออกหรือยังครับ?!” ผมหันขวับตามเสียงตะโกนของเพื่อนร่วมห้องทันที ไอ้นี่มันอยู่ภาคเคมีครับ ผมไม่เคยคุยหรอก แต่ได้ข่าวมาว่าเป็นตัวจี๊ดของภาคอยู่เหมือนกัน ส่วนภายในหัวสมองของผมในตอนนี้กำลังก่นสบถอย่างบ้าคลั่ง



   ไอ้! ชิบ! หาย!



   ไม่ได้ด่าไอ้คนตะโกนถามอาจารย์หรอกครับ บอกตัวเองเนี่ยแหละว่าชิบหายแล้วกูเอ๊ย คนเรามันรู้อยู่แก่ใจตั้งแต่ออกมาจากห้องสอบอยู่แล้วว่าทำได้หรือไม่ได้อะ แมนๆแบบไอ้ไป๋นี่บอกแบบเต็มๆปากไปได้เลยว่า กูทำไม่ได้ครับ!


   อาจารย์ที่กำลังเก็บของเตรียมออกจากห้องเรียนไปก็กลับลงมานั่งและจับไม่โครโฟนอีกครั้ง อย่านะอย่า กูไม่ได้เตรียมใจมา สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ได้โปรดช่วยลูกช้างด้วย T_____T



   “เรื่องคะแนนสอบ ตอนนี้อยู่ระหว่างการตรวจค่ะ คาดว่าจะสามารถประกาศได้ภายในอาทิตย์หน้า”




   โอเค วันนี้กูรอดไป








   “เฮ้ย พวกภาคเครื่องนั่งอยู่ก่อน อย่าเพิ่งไปไหน เดี๋ยวจะมีรุ่นพี่มาพูดเรื่องการรับน้อง” มิ้นฐาที่นั่งแถวหน้าลุกขึ้นมาตะโกนหลังจากที่อาจารย์ได้ออกจากห้องเรียนไปแล้ว อันที่จริงได้มีการนัดหมายในไลน์ไปรอบนึงแล้วแหละ ว่าหลังเลิกเรียนให้นั่งรอรุ่นพี่ก่อน ไม่งั้นป่านนี้พวกผมแหกตูดเปิงออกจากห้องก่อนอาจารย์ไปแล้ว




   “อย่าลืมนัดของเรานะคะทุกคน อีกสองอาทิตย์ ในวันเสาร์ล้อจะเริ่มหมุนตอน 7 โมงตรง มาให้ตรงเวลากันด้วยน้า” คร่าวๆของการที่พวกพี่ๆมาพูดวันนี้ก็คือ การรับน้องของภาคเครื่องกลที่จะจัดขึ้นที่ริมชายหาดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดระยองครับ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นปี 1 ไม่ต้องเสียเงินเลยสักบาท ข้าวฟรีรถฟรีน้ำอะไรต่างๆก็ฟรีด้วย


   “ไงไอ้ไป๋ เรียนเป็นไงบ้าง” พี่ป็อป พี่รหัสปี 2 สุดที่รักของผมผู้ที่เป็นทุกอย่างให้เธอแล้วตั้งแต่แบกลังรหัสมาให้ยันหอ หอบขนมนมเนยมาให้ บอกเลยคนนี้ไป๋โคตรรัก


   “สุดว่ะพี่ป็อป”


   “ทำไมอ่านหนังสือเข้าหัวสุดๆ?”


   “เหอะ หลับลึกแบบสุดๆไปเลยพี่”



   ...ฮากริบ...



   “คิดซะว่าผมไม่ได้พูดอะไรแล้วกันนะ แฮะๆ”



   “ชิวไปเถอะไอ้ไป๋ เดี๋ยวเกรดเทอมนี้ออกแล้วมึงจะรู้สึก”


   “เชื่อมือไป๋เถอะพี่ เทอมที่แล้วไม่เอฟไม่โปรมานี่ก็ถือว่าเจ๋งพอตัวอ่ะ”


   “เอาที่มึงสบายใจ เออ ไว้เดี๋ยวจะพาไปเลี้ยงนะ แต่ไม่น่าใช่เร็วๆนี้ คงรอให้พ้นรับน้องก่อน” พี่ป็อปแกเป็นพวกสายกิจกรรม รูปหล่อ คารมดี เห็นพี่แกหน้าโหดๆแบบนี้สาวติดตรึมนะครับจะบอกให้


   “ขอคิดค่ารอเป็นบุฟเฟ่ต์แพงๆได้ไหมครับ?”


   “ไอ้นี่ได้คืบจะเอาศอก” เราคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนผมจะขอแยกตัวไปหาข้าวกลางวันกิน วันนี้ตอนบ่ายผมไม่มีเรียนครับ กลับไปนอนเล่นที่หอได้อย่างสบายใจเฉิบ





   “เดี๋ยวไป๋!!!” ทำไมเดี๋ยวนี้มีแต่คนตะโกนเรียกวะเนี่ย กูงี้สะดุ้งตลอดเลย แมนๆก็ขวัญอ่อนเป็นนะครับทุกคน


   “มีไรวะมิ้นท์?” หันไปก็พบว่าเป็นมิ้นท์สาวมั่นคนเดิมที่พ่วงตำแหน่งเหรัญญิกภาคเข้ามาด้วย


   “มึงอยู่หอในใช่ปะ? อะ ฝากทวงเงินคณะจากไอ้พวกนี้หน่อยดิ” พูดแล้วมันก็ยื่นสิ่งที่ผมไม่สามารถเรียกว่าแผ่นกระดาษได้อย่างเต็มปาก เพราะมันช่างเล็กและยับยู่ยี่เสียเหลือเกิน


   “มาฝากกูแล้วทำไมมึงไม่ไปทวงเองอ่ะ?”


   “ไอ้พวกนี้แม่งเบี้ยวกูมาเป็นอาทิตย์ละ ฝากทวงแม่งถึงห้องเลยแล้วกัน กูไปละ”


   จากนั้นมิ้นท์ก็ชิ่งหนีไป ทิ้งผมไว้อยู่กับเศษกระดาษนี่ ไหนดูสิ มีใครบ้างวะ...



   ตุล(ลี่)

   เจ

   โอม

   เติ้ล

   พิว




   จากตอนแรกที่ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วตั้งแต่รายชื่อแรก และมันก็ทำให้ผมยิ่งขมวดคิ้วยิ่งกว่าเมื่ออ่านถึงรายชื่อสุดท้าย ไอ้คนอื่นๆนี่กูยังพอเข้าใจว่าอยู่หอในเหมือนกัน แต่ไอ้พิวมันอยู่หอนอกไม่ใช่เหรอ แล้วกูจะไปทวงยังง๊าย


   “อ้าว อีไป๋มัวยืนโอ้เอ้ทำอะไรอยู่ รีบไปแดกข้าวกันได้แล้ว”


   “ไอ้ตุลลี่ มึงมาพอดีเลย เอาตังค่าคณะมาจ่ายกูเดี๋ยวนี้!”




   เออ ได้จัดการคนเหนียวหนี้แบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน

   






   หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆจากวันที่ได้รับหน้าที่ทวงหนี้มา จนป่านนี้ผมก็ยังได้เงินมาไม่ครบเลย เนื่องด้วยจากผมไม่เจอเพื่อนบ้าง ลืมบ้างอะไรบ้าง ปะปนกันไป


   ส่วนในเรื่องของโปรเจคอิ๊งที่เราถ่ายทำกันไปนั้นก็เรียบร้อยด้วยดีครับ ส่งอาจารย์เสร็จสรรพพร้อมได้รับคำชมด้วย สมาชิกในกลุ่มผมก็ยิ้มรับหน้าบานตามกันท้องเรื่อง พร้อมกับพะแพงที่ยัดเงินใส่มือผมพร้อมกำชับให้พาพิวไปเลี้ยงข้าวให้ได้ เพราะทุกคนมีภาระการเรียนหนักหน่วงมากจริงๆ หน้าที่พาไปเลี้ยงข้าวจึงตกมาที่ผมอย่างยอมจำนน


   และถ้าหากถามถึงความคืบหน้าแล้วละก็ บอกเลยครับว่าตอนนี้เราได้เขียนจดหมายโต้ตอบกันประมาณ 2-3 ฉบับแล้วภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์ ข้อความก็ไม่ได้ไปในเชิงชู้สาวครับ ออกแนวเขียนหาเพื่อนที่นะนำนู่นนี่ให้กันมากกว่า ด้วยความที่ผมก็ไม่ได้ต้องการจะรุกอะไรมากมาย แต่อยากทำความรู้จักให้มากขึ้นเฉยๆด้วยแหละมั้ง จดหมายที่เขียนหากันจึงออกมาในแนวประมาณที่ว่า..





จดหมายของกุ้งเผาฉบับที่ 1
งั้นต่อไปตาเรานะ
1.บ้านอยู่สุขุมวิท
2.ชอบหมาที่สุด
3.กินได้หมดทุกอย่าง
4.ชอบฤดูฝนมากกว่าฤดูหนาว
5.ชอบสีขาวกับเทา
6.ชอบนิ่งๆกับคนแปลกหน้า ถ้าสนิทแล้วค่อยว่ากัน
7.ชอบอ่านหนังสือมากกว่าเล่นเกม
8.หนังที่ชอบที่สุด คือ About Time
9.ฟังได้ทุกแนว
10.ข้อนี้ไว้รู้จักกันเดี๋ยวจะบอก
ปล.วันนี้ฝนตกโคตรหนัก ไปเรียนก็ลืมเอาร่มไป ส่งช้าไปหน่อย ขอโทษด้วย






จดหมายของผมฉบับที่ 2
ยิ่งกว่าลืมร่ม คือการลืมเอากุญแจจักรยานไปอ่ะ โง่ซ้ำซ้อนมาก ลืมทั้งร่ม จักรยานก็ปั่นไม่ได้วิ่งตากฝนหวัดรับประทานไปอีก ว่างจังเลยอ่ะ มาเล่น #top5myfavouritesong กันดีกว่า เริ่มที่เราเลย
1. พอ – อะตอม ชนกันต์
2. Timehop - เอิ๊ต ภัทรวีดี
3.เกลียด – The yers
4.ดีใจที่มีเธอ – บอย โกสิยพงษ์ ft.ใหม่
5. ถามจันทร์ – 25 hour
ปล.อย่าลืมส่งเพลงกลับมาด้วย อยากฟัง






จดหมายของกุ้งเผาฉบับที่ 2
เออ โง่จริงๆแหละ จะเล่น #top5myfavouritesong ด้วย เพราะความสงสารแล้วกัน
1.ไม่บอกเธอ – Bedroom Audio
2. Paris in the rain – LAUV
3. สิ่งเหล่านี้ - Greasy Cafe
4. Message In A Bottle - Part Time Musicians
5.เพราะความรักมันไม่เลือกเวลาเกิด – Lomosonics
ปล.จะรอดูนะว่าฉบับหน้าจะมีอะไรให้เล่นอีก




และ




จดหมายของผมฉบับที่ 3
อุ้ย ทำไมต้องด่าเราว่าโง่ด้วยอ่ะ อิ_____อิ ต่อจากนี้ไม่มีแท็กให้เล่นละ แต่เราจะมาผลัดกันถามในสิ่งที่อยากรู้จากฝ่ายตรงข้ามยกเว้นชื่อกับคณะ คนละ 5 ข้อ เริ่ม!
1.ทำไมต้องตั้งดิสเพลย์เนมว่ากุ้งเผา?
2.กินข้าวที่ไหนบ่อยที่สุด?
3.เล่าเรื่องของรักแรกให้ฟังหน่อย
4.เรื่องปวดใจล่าสุด
5.คนในอุดมคติเป็นยังไง?





   หลังจากที่อ่านมาก็สามารถประเมินนิสัยของกุ้งเผาอย่างคร่าวๆได้เลยครับ ว่าเป็นคนกวนตีนพอสมควรเลยทีเดียว .. นิ้วเรียวของผมจัดแจงสอดโปสการ์ดลงซองจดหมายเพื่อนำฉบับล่าสุดที่เพิ่งเขียนเสร็จไปส่งเหมือนเช่นที่ผ่านมา 





❋❋❋






   ในตอนเย็นของอีกวัน เนื่องจากเป็นเวลาเลิกเรียนแล้วเวลาเลิกเรียนของวิชาสังคมและอังกฤษเหมือนเคย กิจวัตรที่ผมต้องทำทุกครั้ง คือการแชทหาไอ้ยีนส์และไอ้ตุลลี่มันครับ และเนื่องด้วยสองตาที่กำลังก้มมองจอที่ค้างโปรแกรมแชทที่คุยกับเพื่อน ทำให้ไม่ได้มองทัศนียภาพรอบข้างได้ถี่ถ้วนเท่าที่ควร


   “เฮ้ย ขอโทษๆ” ผมเอ่ยขอโทษบุคคลที่ผมเดินชน เพราะความที่ผมเดินไม่ได้ดูตาม้าตาเรืออะไรเลย


   “ไป๋?”


   “อ้าว มึงเองเหรอสัส” ผมเงยหน้าขึ้นมาจากกองสัมภาระที่ผมเดินไปชนจนหล่นลงมากระจายทั้งหมด แล้วก็พบว่าคนที่ผมซุ่มซ่ามไปชนจนเกิดอุบัติเหตุเป็นคนใกล้ตัวอย่างไอ้พิว..


   “เออ ไม่ใช่กูแล้วจะเป็นใครละ หมาที่ไหนก็ไม่รู้เดินชน ช่วยเก็บหน่อยละกัน”


   “มึงนี่ก็ปากหมาเหมือนเดิม เอ้อ พะแพงให้ชวนมึงไปกินข้าวอะ เนี่ยให้ตังกูมาละ ว่างวันไหนก็บอกนะ”


   “อื้อ ได้ๆ” ขานรับเสร็จมันก็ก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อ โดยที่มีผมช่วยด้วยอีกแรง




   แต่ในขณะที่ผมกำลังหยิบของชิ้นสุดท้ายขึ้นมาจากพื้น ผมก็พบว่ามันช่างมีหน้าตาที่คุ้นหน้าคุ้นตาเสียเหลือเกิน


   
   ซองจดหมาย?



   มือของผมค่อยๆพลิกดูจ่าหน้าอย่างเชื่องช้า คนอย่างไอ้พิวมันเล่น letter for love ด้วยเหรอวะเนี่ย?





To.กุ้งเผา
From.ชอบกุ้งเผา





   “!!!”
   
   
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔


ช่วงไหนขยันก็จะอัพบ่อยฮับ

ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy


และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา
[/b]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-08-2018 18:37:01 โดย pearyypinkyy »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter three ―140818)
«ตอบ #12 เมื่อ14-08-2018 14:28:13 »

น่าอ่านมากเลย
ติดตามอ่านด้วยคน

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter three ―140818)
«ตอบ #13 เมื่อ14-08-2018 14:38:37 »

อ้าว ไป๋จับได้แล้วอ่ะ แบบนี้ไป๋จะเลิกคุยกับพิวไหมอ่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter three ―140818)
«ตอบ #14 เมื่อ14-08-2018 22:44:04 »

chapter four。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔



   “ไอ้พิว มึงเล่น letter for love ด้วยเหรอวะ?”


   “อือ ก็เล่น”


   “มึงเป็นคนเขียนจดหมายนี่เองเลยปะ”


   “อือ ก็ใช่อ่ะดิ” เพราะความจริงที่ได้ยินทำให้ตอนนี้ในหัวผมเริ่มว่างเปล่าเป็นสีขาวโพลนไปหมด


   “แล้วมึงจะหลอกคนอื่นด้วยการเขียนโปรไฟล์ว่าเป็นผู้หญิงทำไม?!!!”


   
   มันมองหน้าผมแบบอึ้งๆ ส่วนทางกับผมที่ตอนนี้เริ่มไม่รับรู้อะไรรอบข้างแล้ว ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกความรู้สึกตอนนี้ว่ายังไงดี


   “เดี๋ยวไป๋ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด”


   “เข้าใจผิดเหี้ยไร! หลักฐานก็ทนโท่อยู่ว่ามึงคือกุ้งเผาอะ!!!” ยิ่งมันพยายามจะอธิบายแล้วขยับตัวเข้ามาใกล้ ผมก็ยิ่งเดินออกห่างแล้วตะโกนด้วยเสียงที่ดังขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้


   “ไป๋ มึงใจเย็นๆก่อน คนรอบๆเขามองมึงหมดแล้ว” ร่างสูงพูดด้วยโทนเสียงเรียบๆแบบเอาน้ำเย็นเข้าลูบ และเมื่อผมสังเกตดูรอบๆมันก็เป็นแบบที่ไอ้พิวว่าจริงๆ เพราะตอนนี้แทบทุกสายตากำลังมองมาที่ผมและไอ้พิวอยู่


   “ช่างแม่งเหอะ กูมันโง่เอง” ผมไม่รอให้พูดอะไรต่อ กระชากข้อมือออกมาจากการเกาะกุมของมันที่หวังให้ผมใจเย็นลง แล้วเดินออกมาจากบริเวณนั้นทันที


   “เฮ้ย ไป๋เดี๋ยวก่อนดิ!”






   

   “ไอ้เหี้ย นี่กูช็อกโลกยิ่งกว่าตอนรู้ว่าอีนังพลอยสุ่ยนั่นมากิ๊กกับไอ้เคนอีกนะเนี่ย”


   “โลกแม่งกลมชิบหายเลยว่ะ พวกมึงว่าปะ”


   “แล้วพิวไม่ได้พูดอะไรต่อเลยเหรอไป๋?”


   “มันก็ทำท่าจะพูดอะ แต่กูเดินออกมาก่อนเลยไม่ได้ฟัง”



   ตอนนี้ห้องผมได้กลายมาเป็นแหล่งชุมนุมอีกครั้งหลังจากที่ผมได้พูดแค่เพียงประโยคที่ว่า เจอกุ้งเผาตัวจริงแล้ว เท่านั้นแหละ ทุกคนแทบจะเหาะมาฟังความเป็นมาจากปากผมเลยทีเดียว


   ไอ้ตุลลี่นี่ยังพอเข้าใจได้ว่าเป็นนิสัยของมัน แต่แม้กระทั่งไอ้ก๊าซกับไอ้ครามที่ยังยอมเจียดเวลาออกกำลังกายมานั่งฟังด้วยกันนี่ น่าจะจัดให้เป็นวาระระดับชาติได้แล้วมั้ง




   “แต่กูก็ยังสงสัยอยู่ดีอ่ะ ทำไมมันต้องกรอกโปรไฟล์ว่าเป็นผู้หญิงด้วยวะ?”


   “ก็จริงของมึงอ่ะอียีนส์”


   “เราว่าอาจติ๊กผิดช่องก็ได้นะ” ไอ้ก๊าซ


   “กูก็ว่างั้นอ่ะ” และปิดท้ายด้วยไอ้คราม




   “เออ ช่างแม่งเหอะ ว่าแต่พวกมึงเถอะไม่มีผู้หญิงส่งจดหมายมาหาบ้างเหรอ?”


   “มี/มี/มี” ทั้งสามเสียงของไอ้ยีนส์ ไอ้ก๊าซและไอ้ครามดังขึ้นพร้อมกัน และยังมีเพียงคนเดียวที่นั่งเงียบอยู่ จึงทำให้พวกเราหันไปหาไอ้ตุลลี่พร้อมกัน


   “ไอ้ตุลลี่แล้วของมึงไม่มีหรือไง?”


   “กูติ๊กช่องไม่ระบุเพศไป ตอนนี้แห้งเหี่ยวมากเว่ออะกูบอกเลย”


   “ก็สมควร...”


   “อียีนส์ไหน มาพูดใกล้ๆกูอีกรอบสิ” เมื่อเมทตัวดีของผมหันไปเจอกับไอ้ตุลลี่ที่เงื้อฝ่ามืออรหันต์เตรียมฟาดมันไว้ก่อนแล้ว ด้านไอ้ยีนส์ที่เคยโดนมาก่อนจึงรู้ซึ้งเป็นอย่างดี ทำให้ในตอนนี้เกิดสงครามย่อมๆในห้องผมขึ้นก็ว่าได้


   “อียีนส์ มึ๊งหยุด!”


   “กูหยุดก็โดนฟาดให้โง่สิวะ!!!” และแล้วทั้งสองก็วิ่งไล่จับกันรอบห้อง โดยมีพวกผมสามคนที่เหลือนั่งเป็นกำลังใจให้อยู่ใกล้ๆ




   เอากับพวกมันสิ กูละปวดหัวโว้ย!!!







   ตอนนี้ก็ล่วงเลยเวลามาจนถึง 22.00 น.แล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกลับห้องไปทำธุระส่วนตัวของตัวเองกันตั้งแต่หัวค่ำ จึงเหลือผมที่นั่งอ่านแคลคูลัสแก้เซ็ง และไอ้ยีนส์ที่นั่งจิ้มโทรศัพท์เล่นเกมอะไรตามประสาของมันไป


   แต่อ่านไปไม่เท่าไหร่ แม่งก็ไม่ได้เข้าหัวผมเลยสักนิด ทนนั่งอ่านต่อไม่ไหวเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าโซเชี่ยลบรรเทาความกระวนกระวาย



   “ไป๋ มึงโกรธไอ้พิวปะวะ?” อยู่ดีๆไอ้ยีนส์ที่นั่งเงียบๆกลับโพล่งขึ้นมาทำลายความเงียบในห้อง


   “ถามทำไมวะ?”


   “กูเห็นมึงนั่งยุกยิกๆ ไม่ยอมอ่านหนังสือตั้งแต่เมื่อเย็นแล้วเนี่ย”


   “ก-ก็ต้องโกรธเป็นธรรมดาปะวะแม่ง”


   “สาเหตุจริงๆที่มึงโกรธมันเป็นเพราะอะไรวะ?”


   “…”


   “กูไม่ได้อยากก้าวก่ายเรื่องของมึงหรอกนะไอ้ไป๋ กูแค่อยากให้มึงถามตัวเองดูว่าจริงๆว่ามันใช่ความโกรธจริงเหรอวะ?”



   
   สมองเริ่มย้อนเหตุการณ์ตามคำกระตุ้นของไอ้ยีนส์ ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าคนที่ผมรู้สึกดีด้วย กลับเป็นคนใกล้ตัวผมเองมาจนเสียขนาดนี้


   ผมคาดหวังให้คนนั้นเป็นแบบไหน? นี่คือคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวเป็นลำดับถัดไป ในตอนแรกผมได้บอกตัวเองไว้แล้วแท้ๆว่าไม่ว่าตัวจริงของกุ้งเผาจะเป็นอย่างไร ขี้เหร่ ไม่ตรงสเปค หรือสกปรก แต่ผมพอใจที่จะได้คุย ผมรู้สึกได้ถึงความสบายใจ แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว...


   แต่ท้ายที่สุด เมื่อมารู้ความจริงว่าคนที่ผมรู้สึกดีด้วยเป็นเดือนภาคที่เป็นผู้ชายเช่นเดียวกันกับผม


   เพราะงั้นสิ่งที่ผมกำลังเป็นอยู่อาจเรียกว่าโกรธได้อย่างไม่เต็มปาก แต่มันคือความรู้สึกผิดหวังต่างหาก…


   
   ผมคาดหวังให้คุณกุ้งเผาเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนนึง คนที่พร้อมที่จะยอมรับและทำความรู้จักกันให้มากขึ้น


   แต่พอทุกอย่างเป็นไปอย่างนี้แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรเหมือนกัน..


   
   
      


   “ช่างแม่งเหอะ กูไม่คิดอะไรละ”



   “งั้นก็ดี เดี๋ยวกูลงไปเซเว่นแปปนึงนะ”


   “เดี๋ยวกูไปด้วย”


   “เฮ้ย ไม่เป็นไรๆ มึงอาบน้ำแล้วไม่ต้องลงไปหรอก”


   “ไม่เอา กูจะลงไปหาขนมกิน”


   “ไม่ต้องๆ มึงอยากแดกไรสั่งมาเดี๋ยวกูลงไปซื้อให้” ผมหรี่ตามองอาการผิดปกติของมัน อะไรวะ นัดสาวไว้หรือไง?


   “งั้นเอาเยลลี่ฮาริโบ กับหมากฝรั่งดับเบิ้ลมิ้นท์”


   “ได้ งั้นกูไปละ” พูดจบมันก็คว้ากระเป๋าตังและกุญแจห้องออกไปทันที มีพิรุธสัสๆเลย



   ผมที่ไม่อยากคิดอะไรมากมายก็หันมาสนใจกับกองชีทแคลคูลัสตรงหน้าต่อ จากนั้นประมาณสามนาทีให้หลังจากตอนที่ไอ้ยีนส์ออกจากห้องไป ผมก็ได้ยินเสียงปิดเปิดของประตูห้องตัวเองดังขึ้นมาอีกครั้ง


   “ไอ้ยีนส์ ทำไมไปเร็- อ้าว ไอ้พิว?” คิ้วทั้งสองเส้นของผมแทบจะมาขี่กัน เมื่อพบว่าผู้มาเยือนไม่ใช่รูมเมทของผมอย่างที่คาดการณ์ไว้


   “เออ กูเอง”


   “มึงมาได้ไง? แล้วไอ้ยีนส์ไปไหนอ่ะ?” ผมชะโงกหน้ามองด้านหลังของร่างสูงก็ไม่พบร่างก็ไอ้เมทรักแม้แต่น้อย ก็ทำให้ร้องอ๋อได้ทันที



   นี่พวกมึงเตี๊ยมกันมาใช่ไหม?!



   “ยีนส์มันฝากกุญแจมาให้กูตอนไปเซเว่นอะแหละ ไป๋ขอร้องมึงช่วยฟังกูหน่อยเถอะนะ” คำอ้อนวอนจากปากเดือนภาคที่ดูแล้วช่างขัดกับบุคลิกได้ถือพูดออกมา ซึ่งนั่นมันก็มีประสิทธิภาพอย่างดีเยี่ยมที่ทำให้ผมใจเย็นขึ้นได้อย่างเยอะมาก


   “มีอะไรก็ว่ามา ฟังอยู่” ผมสูดหายใจเข้าปอดแบบลึกๆไปทีนึง พร้อมกับไอ้พิวที่ลากเก้าอี้จากโต๊ะอ่านหนังสือของยีนส์มาเพื่อที่จะได้นั่งปรับความเข้าใจกันใกล้ๆ


   “คือเรื่องมันมีอยู่ว่า...” ตอนนี้เรานั่งใกล้กันจนชนิดที่ว่าขาของผมที่เอาขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ชนกับเข่าของมันที่นั่งในท่าปกติพอดี มิวายร่างสูงยังยกมือขึ้นมาวางบนเข่าผมอีกทีด้วย เออ! กูใจเย็นแล้ว!


   
   “อันที่จริงโปรไฟล์นั้นอะ ต้องเป็นของกุ้ง ดาววิทย์เพื่อนสมัยมอปลายกู ที่มึงก็เคยเห็นอ่ะ”


   “แล้ว?”


   “ตอนนี้เขาลาออกไปอ่านหนังสือซิ่วหมอแล้ว แต่เขาเห็นเพื่อนเภสัชโปรโมตกิจกรรมนี้ในเฟซ กุ้งเลยอยากเล่นขึ้นมาบ้าง”
   ผมเพยิดหน้าไปให้คนตรงหน้าทีนึง เป็นสัญญาณเชิงให้เขาเล่าต่อ


   “กุ้งก็เลยฝากกูให้สมัครแล้วเขียนโปรไฟล์ให้เขาด้วย แต่ต้องเป็นกูที่เขียนจดหมายตอบกลับไป”


   “มึงก็เลยเขียนตอบจดหมายตามที่กุ้งให้มึงเขียนเหรอ?”


   “ตอนแรกกุ้งก็บอกไว้ว่าอย่างที่ว่ากุ้งจะเป็นคนคิดแล้วให้กูเขียนแหละ แต่ตอนที่มีจดหมายของมึงส่งมากุ้งก็บอกว่าอ่านหนังสือหนักมากเลยให้กูเขียนตอบกลับได้เองเลย”




   ผมเอียงหน้ามองหน้าไอ้พิวอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนัก


   “ถ้ามึงไม่เชื่อ เดี๋ยวกูให้อ่านแชทเลย”


   “เฮ้ย ไม่ต้องๆ”


   “ไม่งั้นมึงก็ไม่เชื่ออยู่ดีอะ .. อะ เอาไปอ่าน”



   ไอ้พิวว่าพร้อมยื่นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดมาให้อ่านแชทจากแอพพลิเคชั่นสีเขียวยอดฮิต



   
KUNGKING : พิวเราฝากเล่นหน่อยน้าๆๆๆๆๆ
อยากรู้อ่ะว่าจะมีผู้ชายส่งมาหาเราบ้างไหม

just pew : แค่เรียนก็ยุ่งแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปสมัครให้?

KUNGKING : ถือว่าเป็นการเลี้ยงส่งเพื่อน
ให้โชคดีในการอ่านหนังสือสอบก็ได้น้าๆ

just pew :  ก็ได้ๆ แล้วต้องทำยังไงบ้างอะ

KUNGKING : ง่ายจะตาย เนี่ยเดี๋ยวพิว
ไปที่ซุ้มนะ )&(T&%%#$$&



   เมื่อเห็นว่าบทสนทนาเริ่มไม่มีอะไรน่าสนใจจึงเลื่อนลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงวันที่จดหมายของผมได้ถึงมือไอ้พิว ซึ่งจากข้อความก็แสดงให้ว่าสิ่งที่มันพูดนั้นเป็นเรื่องจริง


                     
just pew : มีคนหลงผิดส่งจดหมายมาหาแล้ว
                     
just pew : *ส่งรูป*

KUNGKING : จริงเหรอ ดีใจจังเลย
                     
just pew : เล่นตอบข้ามวันเลยแม่คุณ
just pew : แล้วจดหมายเอาไง จะให้ตอบกลับว่าอะไร?

KUNGKING : พิวอยากตอบว่าอะไร
ก็เขียนไปเลย เราอนุญาต

                     
just pew : เอางี้เลยเหรอ?

KUNGKING : เราอ่านหนังสือจนไม่มี
เวลาไปทำอะไรแล้วเนี่ย

KUNGKING : จดหมายนั่นก็ยกสิทธิ์ขาด
ให้พิวเลย

KUMGKING : เราแค่อยากรู้เฉยๆว่าถ้า
เขียนโปรไฟล์ไปแล้วจะมีใครส่งจดหมาย
มาหาบ้างไหม

                  
just pew : งั้นก็ได้
                  
just pew : ตั้งใจอ่านหนังสือแล้วกัน

KUNGKING : ขอบคุณค่า

KUNGKING : ไว้ติดหมอแล้วจะพาไป
เลี้ยงขนมนะ

KUNGKING : *ส่งสติ๊กเกอร์*
               



   เมื่อผมอ่านบทสทนาจบจึงยื่นโทรศัพท์คืนให้ไอ้พิวทันที แต่แล้วความน่าอับอายที่ได้สร้างไว้ในตอนเลิกเรียนกลับมาปรากฏชัดเจนในตอนนี้ ภาพแฟลชแบคต่างๆทั้งตะโกนใส่ไอ้พิวเอย สะบัดแขนเอย ได้ไหลย้อนเข้ามาในหัวอีกครั้ง



   “กูขอโทษนะที่เมื่อเย็นไม่ยอมฟังมึงพูด”


   “เออ ไม่เป็นไรหรอก”




   ผมเงยหน้าขึ้นมาจากการจ้องมือที่มันใช้จับหัวเข่าผมไว้ ก่อนช้อนสายตาขึ้นมาสบตากับมันตรงๆ จะว่าไปไอ้ตำแหน่งเดือนภาคที่มันได้มานี้ก็สมน้ำสมเนื้อแล้วแหละ สันจมูกโด่งรับกับคิ้ว ปากรูปกระจับบางๆสีอมชมพูธรรมชาติเหมือนใช้ลิปมันยี่ห้อดี ส่วนผิวพรรณแม้จะไม่ขาวจั๊วเป็นจูออนเหมือนผม แต่ก็ใสและเรียบเนียนเหมือนผู้ที่ดูแลผิวพรรณเป็นอย่างดี รวมทั้งการแต่งตัวหรือแม้แต่ทรงผมที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าก็มีส่วนทำให้ดูดีขึ้นเป็นเท่าตัวอีกเหมือนกัน



   แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีอะไรน่าดึงดูดไปกว่าสายตาของร่างใหญ่ตรงหน้าอีกแล้ว มันทั้งดึงดูดแต่คาดการณ์ยาก น่าจับต้องแต่ก็ดูลึกลับจนเข้าไม่ถึง กว่าผมจะรู้ตัวอีกทีว่าได้เล่นจ้องตากับมันมานานแค่ไหนก็ตอนที่รับรู้ได้ว่ามือที่เคยวางบนหัวเข่านั้นได้ค่อยๆเลื่อนขึ้นมาจวนเจียนจะถึงขาอ่อน ผมจึงได้สติกลับคืนมา



   “เออ! เคลียร์เสร็จแล้วก็กลับห้องไปดิ เดี๋ยวหอปิดแล้วจะออกไม่ได้”


   “อือ เดี๋ยวกลับแล้ว” มันขานรับ เจ้าตัวเหมือนจะรู้ตัวแล้วจึงรีบชักมือออกจากตักผมไป


   “เดี๋ยว”


   “...”


   “ก่อนมึงกลับกูถามอะไรมึงหน่อยดิ”


   “?” ไอ้พิวที่กำลังเตรียมตัวออกจากห้องไปถึงกับต้องชะงักและรอคำถามจากผมอย่างใจจดใจจ่อ




   “เมื่อไหร่มึงจะจ่ายตังค่าคณะให้กูสักทีวะ?”




   คนตัวสูงใช้มือตบไปที่หน้าผากตัวเองจนเกิดเสียงดังเพี๊ยะประหนึ่งคนเสียศูนย์แล้วต้องเรียกสติตนเองกลับมา ทางด้านร่างบางที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็แสดงสีหน้างงงวยฝ่ายตรงข้ามออกมาแบบปิดไม่มิด



   “โทษที กูลืม” มือหนาหยิบแบงค์สีแดงสองใบออกมาจากกระเป๋าเงินราคาแพงลิบลิ่วทันที แต่ยังไม่ทันให้มือของร่างบางได้ชักเงินกลับมา ร่างสูงกลับพูดประโยคคำถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำให้ตอนนี้มือของทั้งสองยังคาไว้อยู่ที่ธนบัตรแบบไม่มีใครยอมปล่อยมือ



   “ก่อนกูกลับ กูขอถามอะไรมึงหน่อยดิ”


   “อะไ-”


   เนื่องด้วยท่านั่งเดิมของร่างบางที่นั่งบนเก้าอี้ในท่าขัดสมาธิแบบหมิ่นเหม่ขอบเก้าอี้ เพียงแค่ร่างสูงออกแรงดึงธนบัตรกลับด้วยแรงที่มีโดยไม่เกรงกลัวว่าเจ้ากระดาษผสมผ้าบางๆนี่มันจะขาดหรือไม่ก็ตาม แค่เท่านี้ก็สามารถทำให้คนที่นั่งบนเก้าอี้และเป็นคนที่อยู่อีกฟากของปลายแบงค์ก็สามารถเสียการทรงตัวได้แล้ว


   ทำให้ตอนนี้ทั้งสองอยู่ในท่าที่ใบหน้าของคนตัวเล็กกว่าได้ไปซุกที่หน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของคนขี้แกล้งเป็นที่เรียบร้อย



   “มึงใช้สบู่อาบน้ำยี่ห้ออะไรวะ?”     


   “ห้ะ?”
      



   จากเดิมที่ผมเสียหลักจนหน้าผมต้องไปมุดที่อยู่พุงไอ้พิวแล้วนั้น ไม่ทันให้ผมได้ด่าว่าแม่งเล่นเหี้ยอะไรไม่รู้เรื่อง มันกลับถามประโยคที่ผมไม่คาดคิดว่าจะได้ยินออกมาจากปากมัน



   และนั่นทำให้ผมเงยหน้าแล้วต้องถามย้ำเพื่อต้องการจะฟังในสิ่งที่มันเพิ่งพูดไปอีกครั้ง แต่มันก็ทำให้ผมได้สติ เมื่อรู้สึกตัวได้ว่าตอนนี้ท่าของผมมันช่างอุบาทว์มากๆ เพราะครึ่งตัวของผมได้โถมไปทาบกับไอ้พิวที่ยืนอยู่ พร้อมแขนทั้งสองข้างได้กอดรัดเอวมันไว้ด้วยสัญชาตญาณที่กลัวตนเองจะตกเก้าอี้



   สิ่งที่พีคไปมากกว่านั้น คือ ผมได้พบว่าใบหน้าของผมที่เงยขึ้นไปหามันนั้น ห่างจากใบหน้าของไอ้พิวที่ก้มลงมาแค่ประมาณคืบเดียวเท่านั้น



   “หอมดี”


   






   เหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมามันผ่านไปเร็วมาก ส่วนพิวที่สร้างความงงงวยให้กับผมเมื่อสักครู่นี้ เมื่อเห็นว่าผมพูดไม่ออกบอกไม่ถูก และช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นั้น มันก็เอาแต่ยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ดันผมกลับไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยท่าทางเหมือนเดิม ก่อนจะยัดตังสองร้อยใส่ในมือผม แล้วเดินออกจากห้องผมไปอย่างอารมณ์ดีเสียเต็มประดา เหมือนไม่ได้อยากรู้คำตอบของคำถามมาตั้งแต่แรกแล้วอย่างไรอย่างนั้น





   “ไอ้ไป๋ไม่สบายเหรอ? นอนหน้าแดงเลยมึง” หลังจากที่ร่างควายๆของไอ้พิวออกจากห้องไปแค่แปปเดียว ไอ้ยีนส์ก็กลับมา พร้อมทำหน้าตาใสซื่อแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเดินเข้าห้องมาพร้อมถุงขนมใบใหญ่


   “นี่กูซื้อขนมมาฝากมึง ไม่ต้องจ่ายตังนะกูเลี้ยง”



   คิดจะเอาขนมมาล่อให้หายโกรธเหรอ?


   บอกเลยมึงทำสำเร็จ!



   “เออ วางไว้บนโต๊ะเลย กูจะนอนแล้ว”


   “งั้นกูปิดไฟเลยนะ” ไอ้ยีนส์มาถุงขนมไว้บนโต๊ะผมก่อนจะเดินไปปิดสวิตซ์ไฟห้องที่หน้าประตู จากนั้นก็ทิ้งสารร่างเขื่องๆล้มตัวลงนอนเช่นเดียวกับผม สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นโรคติดต่อของรูมเมท เพราะในทันทีที่เห็นอีกคนนอน เราก็อยากจะนอนตามกันไปติดๆ





   ปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปกับห้องมืดๆในแบบที่ผมชอบทำอีกครั้ง พร้อมทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมด ไอ้เรื่องผิดหวังนี่มันแน่นอนอยู่แล้ว แต่หากถ้าเพิ่มว่าแล้วผมเสียใจไหม? ก็จะตอบไปแบบตรงๆเลยว่า นิดหน่อย แต่ความเสียใจในครั้งนี้มันเป็นการเสียใจในความรู้สึก



   ความรู้สึกที่ของคนที่ไม่ต้องรอรับจดหมายฉบับถัดไปแล้ว





   แล้วถ้าถามอีกว่าความรู้สึกตอนนี้ที่มีต่อไอ้พิว? การที่มันกล้าเข้ามาเคลียร์กับผมตรงๆ ถึงแม้ว่าจะใช้ไอ้ยีนส์เป็นทางผ่านก็ตาม ก็ถือว่ามันอยากปรับความเข้าใจกับผมเป็นอย่างมาก และเรื่องทั้งหมดก็ไม่ใช่ความผิดของมันทั้งหมดเสียทีเดียว ดังนั้น ผมจะยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแล้วกัน


   อย่างไรก็ดี สิ่งที่เป็นกังวลที่สุดในตอนนี้หาใช่เรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่ แต่เป็นการเผชิญสภาวะที่เรียกว่า นอนไม่หลับ นี่เสียมากกว่า



   ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ตลอดแหละ พอจะนอนก็เสือกไม่หลับ ทีเวลาเรียนนี่หลับเก่งจั๊ง



   พลิกตัวจนเตียงจะพังก็แล้ว นับแกะจนหมดฟาร์มก็แล้ว หมดหนทางที่จะกล่อมตัวเองนอนต่อ ผมเลยเอื้อมมือไปหยิบสมาร์ทโฟนที่ชาร์ตแบตอยู่ใกล้ๆขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา เผื่อจะรู้สึกง่วงขึ้นมาบ้าง



   “ไป๋ มึงยังไม่หลับอีกเหรอวะ?”


   “อือ ยัง”


   น้ำเสียงห้าวของไอ้ยีนส์เหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่นเอ่ยถามผมขึ้นมาทันทีที่ปลดล็อกหน้าจอจนมีแสงสว่างวาบขึ้น ด้วยความที่เตียงของเราสองคนห่างกันแค่ทางเดินกั้นเท่านั้น เลยทำให้เห็นกันหมดไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร



   “เอ้อ!”


   “?” เสียงงัวเงียของรูมเมทผมดังขึ้นอีกครั้งแบบคนเพิ่งนึกอะไรออก



   “แล้วสรุปว่ามึงใช้สบู่ของยี่ห้ออะไรอ่ะ?”




   ไอ้เหี้ยยีนส์ มึง! ตาย!







ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter three ―140818)
«ตอบ #15 เมื่อ14-08-2018 22:44:26 »

❋❋❋





   “ไอ้ไป๋กูขอโทษ ก็ไอ้พิวมันไลน์มาบอกกูว่าอยากเคลียร์กับมึงอ่ะ จะให้กูทำยังไงได้วะ?” หลังจากเมื่อคืนมันลงทุนเหมาขนมเกือบหมดเซเว่นมาง้อที่รู้เห็นเป็นใจที่ให้อีกฝ่ายเข้ามาถึงในห้อง แต่เสือกกลับมาเผยไต๋ว่าแอบฟังอยู่ได้ตั้งนานสองนาน


   เพื่อนเหี้ย!


   “อะไรอีไป๋ อียีนส์ เมื่อคืนพิวขามาห้องมึงเหรอ?” ไอ้ตุลลี่ที่แม้จะนั่งห่างกันล้านปีแสงแต่พอจับคำได้ว่าคุยเรื่องที่มีสามีมโนของมันมาเป็นบุคคลที่สาม ก็รีบปรี่ที่นั่งจากหัวแถวมาประชิดตัวพวกผมทันที


   และเหตุผลที่ทำให้พวกผมต้องมานั่งจับเจ่าต่อแถวยาวแบ่งชายหญิงนี่ก็ไม่ใช่อะไร หากใครยังไม่ลืมคงจำได้ว่าเรามีค่ายรับน้องของภาคเครื่องกลกัน ในที่สุดวันนั้นก็ได้มาถึงแล้วนั่นเอง..


   ตามนัดแล้วล้อควรหมุนตั้งแต่ 7.00 ตามเวลาท้องถิ่น แต่ก็นั่นแหละ เราได้พบเจอกับเหตุการณ์ที่คนอื่นมักจะเรียกกันว่าเวลาวิศวะ หมายถึง การเลทไม่มีที่สิ้นสุด นัดรวม 6.30 แต่ตอนนี้ 7.45 แล้วตอนนี้ก็ยังนั่งอยู่ใต้ตึกคณะวิศวะ ที่ใช้เป็นจุดนัดพบอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น




   ไอ้กูเป็นปีหนึ่งใสใส ก็แหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งไปสิ




   “เออ มันขอมาเคลียร์กับไอ้ไป๋”


   “พิวขามาหอเราทั้งที ทำไมมึงไม่บอกกู!!!”


   “ไอ้ตุลลี่มึงเบาๆ ทำอย่างกับมันไม่ได้อยู่แถวนี้อ่ะ” ผมกระซิบเอ็ด พร้อมกระตุกชายเสื้อให้ไอ้ตุลลี่ที่ตะโกนโหวกเหวกจนทำเอาคนรอบๆหันมามอง


   “พิวขานั่งตั้งไกล ส่วนคนอื่นช่างแม่ง!”


   “มันจะเคลียร์กับไอ้ไป๋ แล้วมึงจะมาเพื่อ?”


   “กูไม่รู้แหละ กูจะงอนมึง” พูดจบมันก็สะบัดก้นออกเดินไปนั่งประจำที่เดิมห่างกันแค่ไอ้ก๊าซและไอ้ครามที่นั่งคั่น



   เดี๋ยวนะ คนที่งอนไอ้ยีนส์ต้องเป็นกูไม่ใช่เหรอวะ...








   “เอาหละน้องๆ เดี๋ยวตั้งแถวมารับข้าวแล้วไปรับคีย์การ์ดได้เลยน้า”


   หลังจากออกตัวจากมหาลัยตอนเวลา 8.00 น.ไม่ตรงตามที่นัดไว้แล้ว แม้ว่ารถจะติดบ้างไม่ติดบ้าง แวะเข้าห้องน้ำเพราะมีคนปวดท้องหนักบ้าง เราก็ได้มาถึงที่พักสำหรับกิจกรรมรับน้องในเวลาเที่ยงนิดๆพอดิบพอดี


   ตามตารางที่มีรุ่นพี่ปี 4 ได้ชี้แจงก็คือ จะปล่อยให้พักผ่อนตามอัธยาศัยกันถึงสี่โมงเย็น จากนั้นจะลงไปเข้าฐานกิจกรรมกันที่ริมทะเล แล้วต่อด้วยข้าวเย็น ปิดท้ายด้วยรับน้องภาคดึกที่ผมโดนสปอยมานักต่อนักแล้วว่ามันช่างเด็ดเสียเหลือเกิน


   ในตอนนี้เราได้มาพักกันที่รีสอร์ทที่ตั้งติดริมชายหาด เพื่อให้สะดวกแก่กิจกรรมต่างๆที่จะจัดขึ้น แล้วก็แน่นอนว่าภาคเราได้ทำการจองไว้หมดแล้วทุกห้อง เนื่องจากทางรีสอร์ทก็ไม่ได้มีห้องเยอะแยะมากมายอะไร อีกอย่างก็เพื่อป้องกันไม่ให้แขกคนอื่นได้รับความรำคาญจากพวกเราไปด้วย


   การแบ่งห้องนั้น ห้องนึงจะนอนได้สองคน จับคู่เรียงตามรหัส แยกชายหญิง ใครรหัสติดกันก็จะได้นอนด้วยกัน โดยผู้หญิงจะพักที่ชั้น 3 ผู้ชายจะพักที่ชั้น 2 และชั้นล่างสุดจะเป็นของพี่ปีสูงฝ่ายต่างๆที่ต้องคอยสแตนบายดูแลน้องๆ



   สิบนิ้วเรียวกางขึ้นเสมอใบหน้า ก่อนจะหักลงไปทีละสองนิ้ว ทีละสองนิ้ว ไล่ตามจำนวนคนที่มีจนถึงเจ้าตัวเอง



   “เย้! ไอ้ก๊าซกูได้อยู่กับมึง” อาการไอ้ก๊าซตอนนี้ก็คงดีใจไม่ต่างจากผมที่เราจะได้พักห้องเดียวกัน ต่อให้เป็นแค่คืนเดียวก็ตาม แต่การได้พักกับเพื่อนสนิทก็น่าจะดีกว่าเป็นไหนๆ


   “ไปเอาคียการ์ดกันเถอะไป๋” ไอ้ก๊าซกระตุกชายเสื้อให้ผมลุกขึ้นไปรับคีย์การ์ดจากรุ่นพี่ที่ยืนอยู่หัวแถว ก่อนทอดสายตาไปมองเพื่อนอีกสามคนที่เหลือที่กำลังวุ่นวายกับการนับเลขให้ถึงรหัสตัวเองที่เกือบรั้งท้ายอยู่


   “เดี๋ยว! พวกมึงสองคนลืมอะไรไปหรือเปล่า?”


   “กูลืมอะไรวะ?” ไอ้ก๊าซหันหน้าไปหาคำตอบจากไอ้ตุลลี่ด้วยสีหน้าเหรอหรา แล้วพวกกูลืมอะไรวะ?


   “พวกมึงลืมไปหรือเปล่าว่าไอ้จุ้ย รหัสก่อนหน้าพวกมึงอ่ะ ซิ่วไปแล้ว”



   ชิบหาย คือ คำเดียวเท่านั้นที่ผมสามารถคิดออกมาได้ในนาทีนี้



   “อ้าว เรากับไป๋ก็ไม่ได้นอนห้องเดียวกันแล้วอ่ะดิ”



   การประมวลผลในสมองกำลังทำงานแบบด่วนจี๋เลยตอนนี้ เดี๋ยวนะ ถ้าไอ้จุ้ยมันซิ่ว งั้นเมทก็ต้องเขยิบรหัสขึ้นหน้าไปคนนึงดิวะ และไอ้คนรหัสก่อนหน้าผมก็เป็นที่รู้ๆกันอยู่แล้ว ว่ามันคือ...



   “อ้าย พิวขาคิดถึงตุลลี่เหรอคะ ถึงได้เดินมาหากันถึงที่แบบนี้”



   ผมหันหลังกลับไปมองตามเสียงของเพื่อนตุ๊ดประจำกลุ่มแล้วก็พบกับคนที่เพิ่งบุกรุกไปหาผมถึงห้องเมื่อวานนี้ พิวหิ้วสะพายกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่มาพร้อมกับใบหน้าตึงเรียบเฉยเป็นปกติ ต่างจากเดิมที่ว่าน่าจะดูเป็นมิตรขึ้นมาจากเมื่อก่อนนิดนึง
สายตาคมนั่นจ้องตรงมายังผมที่คงนั่งเรียงแถวแบบหาทางไปไม่ได้อยู่กับพื้น ไม่ได้สนใจมองไปที่ไอ้ตุลลี่ซึ่งตอนนี้กำลังวี๊ดว๊ายแบบสุดกำลังเกิดแม้แต่น้อย


   น่าสงสารเหลือเกินพ่อตุลของไป๋ จะหวีดผู้ชายทั้งที เขาก็ไม่ได้สนใจเลย



   “ไปเอาคีย์การ์ดกันได้แล้ว”


   “อื้ม”





   ระหว่างทางตั้งแต่เดินขึ้นบันได้มาถึงหน้าห้องเราทั้งสองคนยังไม่มีใครปริปากพูดออกมาเลยแม้แต่คนเดียว ผมก็ไม่ได้อึดอัดกับการที่ต้องมาอยู่กับมันนะ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าตัวผมและไอ้พิวเพิ่งตีกันและดีกันภายในเมื่อวาน จะให้ทำตัวปกติเลยมันก็จะเขินไปสักหน่อย


   ไป่ไป๋คนเฟรนด์ลี่ก็มีช่วงที่ไปไม่เป็นเหมือนกันนะเว้ย




   เราได้ห้อง 211 ซึ่งโชคดีว่าเป็นห้องฝั่งที่ระเบียงหันหน้าหาทะเลพอดี วิวสวยงามดีมาก เมื่อพอเข้ามาในห้องเราทั้งสองไม่พูดพร่ำทำเพลง วางกระเป๋าลงพื้น แล้วโดดขึ้นเตียงทันที ด้วยความที่มันเป็นเตียงคิงไซส์สำหรับนอนสองคน ตอนนี้เลยเหมือนว่าผมกับมันกำลังเกยตื้นกันอยู่อย่างไรอย่างนั้น


   “ไอ้เหี้ย นั่งบัสนานๆแล้วเมื่อยตูดชิบหายเลย” ผมนอนคว่ำหน้าแล้วบ่นกระปอดกระแปดออกมา ให้เดาว่าตอนนี้ไอ้พิวก็คงมีสภาพไม่ต่างกันหรอก นั่งมาสามสี่ชั่วโมง ใครไม่เมื่อยก็บ้าแล้ว..


   “มึงไม่เก็บกระเป๋าเหรอ?” พิวผงกหัวจากที่นอนขึ้นมาถามผม


   “แล้วมึงไม่เก็บ?”


   “ขี้เกียจ”


   “เออ กูก็ขี้เกียจ”




   ศีลเท่ากันสัสๆเลย กูกับมึงเนี่ย





   จากนั้นผมกับไอ้พิวก็คุยกันว่าควรแดกข้าวอาบน้ำแล้วค่อยมานอนรอเพื่อไปลงฐานตอนนัดรวมเลยจะดีกว่า ดังนั้น ในตอนนี้ผมจึงกลับมานอนที่เตียงได้อย่างมีความสุข หนังท้องตึง ตัวหอมฉุย พูดแล้วก็เริ่มอยากนอนยาวๆแล้วเนี่ยกูเวลาก็เหลืออีกตั้งสองชั่วโมงกว่า น่าจะหลับได้สักตื่นนึงพอดีเลย


   ไอ้พิวที่อาบน้ำทีหลังก็เดินลงมาล้มตัวนอนบ้าง ด้วยความที่สารร่างมันใหญ่กว่าผม ทำให้ผมต้องเขยิบแบ่งเตียงให้มันอย่างช่วยไม่ได้


   “ไม่ต้องเขยิบ”


   “ทำไ-” การกระทำถัดมาของไอ้เดือนภาคทำให้ผมนอนตัวแข็ง อ้าปากพะงาบๆ เหมือนคนเป็นอัมพาต เพราะวงแขนที่มีสัดส่วนของกล้ามเนื้อชัดเจนได้พาดลงมากลางตัวผมเป็นที่เรียบร้อย


   “นอนงี้แหละ”


   “เหี้ยไรของมึงไอ้พิว เอามือออกไป”


   “ชู่วว” แล้วกูจะหุบปากตามมันทำไมวะ?


   ก่อนที่มันจะขยับตัวให้เข้ามาใกล้มาขึ้น เพื่อปรับองศาในการนอน


   “รีบนอน จะได้มีแรงไปเข้าฐาน”



   คือ ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่มีคนมานอนกอดแบบนี้ ตอนผมอยู่บ้านไอ้ปุ๋ย พี่ชายสุดที่รักของผมก็ชอบมานอนก่ายตัวผมแบบนี้ประจำ ส่วนหนึ่งเพราะบ้านผมติดการสกินชิพกันด้วยมั้ง เลยมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาภายในบ้านไป แต่ไอ้การที่เพื่อนไม่เชิงว่าสนิทดึงตัวเข้าไปก่ายแบบนี้ มันไม่มองว่าแปลกไปหน่อยเหรอวะ?



   “ไอ้พิว กูถามจริง มึงติดสกินชิพหรือไงวะเนี่ย” ผมขยับตัวเล็กน้อยให้มันรู้ว่าผมไม่พอใจไป แต่ไอ้คนหลับตาพริ้มเตรียมหลับอีกฝ่ายก็หาได้สนใจไม่


   จะสะบัดก็กลัวหาว่ารังเกียจมัน แบบที่ไอ้ตุลลี่เคยด่ากูอีกวุ้ย



   “ไม่หนิ” ลมหายใจของไอ้พิวที่สามารถรับรู้ได้จากเสียงเริ่มสม่ำเสมอ แล้วเมื่อมาลองพิจารณาตัวเองในท่านอนหงายพร้อมหลับ แม้มีแขนยักษ์ๆนี้มาพาด แต่ความนุ่มของที่นอนและเครื่องปรับอากาศที่เย็นสบาย ก็ก่อให้เกิดความง่วงจึงตกไปในห้วงนิทราในที่สุด





   ด้านร่างสูง เมื่อสังเกตเห็นร่างในอ้อมแขนเงียบเสียงลง ลำตัวไม่ผอมไม่อ้วนกระเพื่อมขึ้นลงตามลมหายใจที่เป็นจังหวะ ก็ทำให้รู้ได้ว่าอีกฝ่ายหลับสนิทไปแล้ว วงแขนหนายิ่งกระชับร่างบางให้ได้องศาแนบสนิทกันมากขึ้น ริมฝีปากขยับเอ่ยเสียงทุ้มออกมาเป็นคำพูดเพียงเบาๆข้างหูขาว รู้ทั้งรู้ว่ายังไงอีกฝ่ายก็คงไม่ได้ยิน แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาจงใจเอ่ยออกมา..



   “แค่กับมึงอะ”



▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔

รีบลงก่อนเปิดเทอมฮับ
ปล.จัดหน้าแปลกๆไปหน่อย แต่เดี๋ยวกลับมาแก้ค่า
ปล2.เอ้า กำลังใจ ม๊า!!!!!

ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy


และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter four ―140818)
«ตอบ #16 เมื่อ14-08-2018 23:35:35 »

โอ้ววว พิว ต้องกล้าๆหน่อยนะ 55

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter four ―140818)
«ตอบ #17 เมื่อ15-08-2018 00:36:23 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter four ―140818)
«ตอบ #18 เมื่อ15-08-2018 06:45:22 »

ไป๋อย่าเพิ่งช็อกนะ5555555

ออฟไลน์ kingkongkaew

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter four ―140818)
«ตอบ #19 เมื่อ15-08-2018 17:46:52 »

เข้ามาอ่านรวดเดียว สนุกมากค่ะ

พิวดูรุกไป๋แบบเงียบๆ เชื่อว่าไม่นานไป๋ก็คงเริ่มรู้สึกดีๆกับพิวขึ้นมาบ้าง

จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter four ―140818)
« ตอบ #19 เมื่อ: 15-08-2018 17:46:52 »





ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter four ―140818)
«ตอบ #20 เมื่อ16-08-2018 17:22:32 »

chapter five。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔




   ดวงอาทิตย์ที่ถูกกล่าวขานกันว่าเป็นพลังงานหล่อเลี้ยงของหลายชีวิตกำลังส่องสว่างบนท้องฟ้าในตอนสี่โมงกว่าๆแบบเต็มกำลัง แรงลมผู้ก่อให้เกิดคลื่นได้พัดกระทบชายฝั่งทะเลแบบเอื่อยเฉื่อย สองเปลือกตาปิดลงกระตุ้นให้ประสาทสัมผัสส่วนอื่นทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น ปื้นแดงบนใบหน้าขาวบ่งบอกว่าไอแดดร้อนได้กระทบผิวมาเป็นระยะเวลานึงแล้ว แม้จะมีเหงื่อไหลลงเต็มขมับ แต่ร่างบางก็ยังคงมองว่ามันคือ เสน่ห์



   เสน่ห์ของทะเล ที่แม้แต่ภูผากว้างก็เทียบกันไม่ได้ในความรู้สึก



   สองตามีเพียงความมืด แต่สองหูยังคงได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งแบบต่อเนื่อง หนึ่งจมูกได้กลิ่นที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของทะเล ทำให้ปากต้องเปิดขึ้นด้วยความอยากรู้รสของไอเค็ม เออ แม่งก็เค็มจริง...



   “ถุ้ยๆๆๆๆๆ ไอ้สัสตุล มึงแหย่นิ้วเข้ามาในปากกูทำไมเนี่ย!”

   “หน้ามึงแม่งโคตรตลกเลยสัส ฮ่าๆๆๆ”

   “กูกำลังดื่มด่ำทะเลอยู่”


   ผมบุ้ยปากขากน้ำลายเปื้อนเค็มจากมือไอ้ตุลลี่ทิ้งลงบนพื้นทราย แม่งเอ้ย กูจะทำติสท์ชมนกชมน้ำสักหน่อย หมดสุนทรีย์ เพราะพวกมึงเลย!!!

   

   “น้องเงียบครับ เดี๋ยวพี่จะให้น้องแบ่งกลุ่มคละชายหญิงกัน” ปีไมค์ปีสองที่ประจำบัสคันผมออกมายืนด้านหน้าเพื่อเกริ่นเริ่มกิจกรรมริมทะเลกัน


   ตอนนี้พวกเรากำลังนั่งเรียงแถวอยู่ริมชายหาดกันครับ หลังจากกินอิ่ม นอนหลับ ตื่นขึ้นเพราะเสียงปลุกจากไอ้พิวแล้ว ยิ่งมาเจอทะเลแสนสดใสแบบนี้บอกเลย ไป่ไป๋มีความสุขม๊ากกกกก


   “แต่เราจะแบ่งกลุ่มโดยให้นับสลับกันไปจาก 1-5 นะครับ เริ่มจากหัวแถวนี้เลยครับ เริ่ม!”



   อ้าว ชิบหาย...



   กลุ่มผมที่มีจำนวน 5 คนพอดิบพอดีหันส่งสายตาหมดหวังให้แก่กัน คงถึงเวลาที่เราได้บอกล่ำลากันอีกครั้งนะเพื่อนเอ๋ย..


   “1” เสียงนับตัวเองของเพื่อนในกลุ่มผม โดยเริ่มจากไอ้ก๊าซ

   “2” ตามมาเป็นไอ้คราม

   “3” และผม...

   จากนั้นหมายเลข 4 และ 5 จึงเป็นไอ้ตุลลี่และไอ้ยีนส์ตามลำดับ


   “แบ่งกลุ่มตามตัวเลขได้ครับ จะได้เริ่มกิจกรรมกันเลย”

   ผมยืนรั้งท้ายฝูงคนที่กำลังวุ่นวายกับการหากลุ่มให้ตรงกับตัวเลขที่ตนเองได้นับ เมื่อเห็นแถวเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ผมไม่รอช้าจึงเดินเข้าไปต่อในแถวที่สามทันที


   “มึงอีกแล้วเหรอเนี่ย?” หัวกลมหันขวับตามเสียงที่ดังขึ้นมาทางด้านหลัง แล้วก็พบว่าเป็นคนที่เพิ่งห่างกันเมื่อตอนมาถึงชายหาดนี่เอง


   “ไอ้พิว ถามจริงมึงนี่เป็นเจ้ากรรมนายเวรกูปะ” ผมเอี้ยวตัวไปหาไอ้พิวที่นั่งอยู่ข้างหลังของผม แล้วก็ถือโอกาสใช้สายตาประเมินจำนวนคนในกลุ่มไปด้วย นับๆดูแล้วก็มีประมาณเกือบๆสิบคนได้เลย

   “เจ้ากรรมนายเวรอ่ะไม่น่าใช่...” มุกเสี่ยว มุกเสี่ยวแน่ๆ คิดอย่างนั้นผมเลยจ้องหน้าพร้อมทำสีหน้าเอือมๆใส่มันด้วย อารมณ์ประมาณว่า เล่นเลย กูรอฟังอยู่


   “เรียบร้อยแล้วทุกคนหันมาข้างหน้าด้วยครับ” แต่ยังไม่ทันได้ฟังมุกกากๆจากไอ้พิว ก็ต้องกลับมาถูกขัดด้วยคำสั่งจากรุ่นพี่ที่กำลังจะอธิบายกิจกรรมให้ฟังด้วยน้ำเสียงเย็นแต่แฝงไปด้วยความโหดจัดอยู่มาก เพราะถ้าจำไม่ผิดที่คนนี้แหละแม่งตัวโหดของพี่ว้ากที่ปีหนึ่งกลัวพี่แกกันนักหนา

   “เรามีฐานทั้งหมด 5 ฐานด้วยกัน เป็นของพี่ปีสองไล่ไปจนถึงของพี่ปีสี่ บัณฑิต และสุดท้ายคือฐานพิเศษ แต่ละกลุ่มจะวนโดยเริ่มจากฐานของเลขกลุ่มตัวเองเสียก่อน หากไม่มีใครสงสัยอะไร พี่กลุ่มครับ! มารับน้องไปได้เลย!”


   ดังนั้นกลุ่มผมเลยเริ่มจากฐานที่มีพี่ปีสี่เป็นพี่ฐานเสียก่อน ฐานจัดขึ้นโดยให้พวกเราทุกคนลงไปเล่นกิจกรรมกันในน้ำที่ความลึกประมาณตาตุ่ม... จากนั้นเราแนะนำตัวเสร็จก็เป็นตาของพวกพี่ๆที่ออกมาแนะนำตัวทีละคน เสร็จแล้วก็เข้าสู่ขั้นตอนของการแจกแจงกติกาทันที

   “ฐานนี้มีชื่อว่า จะจำได้ไหม จำได้หรือเปล่า กติกามีอยู่ว่า ให้คนแรกพูดชื่ออะไรก็ได้ ในหมวดอะไรก็ได้ จากนั้นก็ให้คนถัดไปทวนของคนก่อนหน้าและพูดชื่อในหมวดเดียวกันออกมา ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เอาจากหัวแถวเลย เริ่ม!”


   “ไอ้เหี้ย เอาหมวดอะไรดีวะ?” เพื่อนผู้หญิงหัวแถวเกิดอาการลนลานขึ้นมาทันตา เมื่ออยู่ดีๆรุ่นพี่ก็โยนเรื่องมาให้แบบไม่ทันตั้งตัวซะงั้น ผมที่อยู่เกือบท้ายๆแถว นับจากหลังขึ้นมาก็น่าจะเป็นคนที่ 3 ได้ ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมมากมาย เพราะยังไงก็ไม่น่าได้เป็นคนคิดหมวดอยู่แล้ว เหลือก็แค่จำชื่อที่เพื่อนๆพูดมาได้ให้หมดก็เท่านั้นเอง


   กลุ่มของเรามีทั้งหมด 9 คนไม่ขาดไม่เกินครับ แบ่งเป็นหญิง 3 คน และชาย 6 คนด้วยกัน ไม่อยากบอกว่าจำนวนประชากรผู้หญิงในภาคเครื่องเราน้อยมากครับ หรืออาจพูดได้เลยว่าไม่มีผู้หญิงอยู่ในภาคเรา เพราะพวกเธอช่างแมนแสนแมนกันเหลือเกิน แบกโต๊ะช่วยพี่การศึกษา ยกเครื่องมอเตอร์ไปเก็บ หรือแม้แต่ตะโกนด่าเพื่อนผู้ชายข้ามห้องมาแล้วก็มี


   ห่อเหี่ยวเหลือเกินแม่จ๋า

   
   “หมวดคณะในมหาลัยเรา คณะวิศวะฯ!”

   “วิศวะ ศิลปศาสตร์”

   “วิศวะ ศิลปะศาสตร์ กายภาพบำบัด” แล้วก็ส่งต่อมาเรื่อยๆจนผ่านพ้นผมไปได้ด้วยดี แม้ว่าบางคนอาจมีทึ้งหัวเรียกความทรงจำกลับมาบ้าง แต่สุดท้ายกรรมก็ดันไปตกที่ไอ้หมูหวาน นักศึกษาวิศวะร่างใหญ่สมชื่อของมัน

   “ต่อไปนี่จะเป็นการลงโทษของคนจำไม่ได้กันนะครับ เบิ้ม! ไปเอาบทลงโทษมา!!!”

   “ครับผม!!!” ร่างของพี่นามว่าพี่เบิ้มรีบวิ่งขึ้นฝั่งไปตามคำสั่งของคนที่เป็นคล้ายเฮดของฐานนี้ทันที ก่อนที่พี่แกจะกลับมาพร้อมกับ สุรา 35 ดีกรีสีอำพันสด ที่ดูเข้ากั๊นเข้ากันสำหรับเด็กหนุ่มวัยกลัดมันอย่างพวกเรา
   


   กูว่าละ รับน้องภาคเครื่องกลแม่งจะมาเล่นกิจกรรมหน่อมแหน้มปัญญาอ่อนแบบนี้กันจริงๆเหรอ พูดยังไม่ทันขาดคำ เหล้าแม่งมาเลย เหยดแหม่



   สมองที่ถูกปลูกฝังมาแบบให้มองโลกในทางที่ดีเข้าไว้ ก็ยังคงคิดในแง่ของคิตตี้สีชมพูบานเย็นอยู่ว่า เอ๊ะ หรือเป็นกลุ่มเรากลุ่มเดียวนะที่มีการทำโทษโดยการดื่มเหล้าแบบนี้? แต่เมื่อกวาดสายตาไปมองกลุ่มที่มีพี่บัณฑิตคุมเท่านั้นแหละ แม่งเล่นกระดกกันโทงๆคนเดียวเลย หรือว่าเขาจะแบ่งฐานตามความเข้มกันนะ...


   “เอาไปเลยน้อง บทลงโทษ รักเพื่อนมึงเท่าไหร่ก็แดกไปเท่านั้นเลย”


   โอ้ย แม่มึงเปิดโลกใหม่ของการยุแดกเหล้าสัสๆ ส่วนไอ้หมูหวานแม่งก็บ้าจี้ตามเพื่อนที่กำลังโห่ร้องอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง แดกเอาแดกเอาเลย มึ๊ง ใจเย็นก๊อน นี่เพิ่งจะฐานแรก..


   “แม่งใจเด็ดสัส เอ้า น้องที่เพิ่งแดกไป คุณได้รับสิทธิ์ในการเริ่มก่อนเดี๋ยวนี้ เริ่ม!”


   “หมวดทีมฟุตบอลโลก 2014 ทีมที่เข้ารอบ 32 ทีมสุดท้าย ทีมแรก บราซิล!” โอ้โห ไอ้เหี้ย แม่งตั้งหมวดได้กะฆ่าผู้หญิงสุดๆ แต่ประเด็น คือ กูเนี่ยจะตอบได้ไหมก็ยังไม่สามารถรู้ได้เลย..


   “บราซิล ฝรั่งเศส” สังเกตจากตอนนี้ผู้หญิงสามคนหัวแถวได้ตะโกนก่นด่าไอ้หมูหวานโทษฐานเลือกหมวดไม่ปรึกษาไปแล้ว ก็ออกอาการกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด


   “บราซิล ฝรั่งเศส โปรตุเกส”


   “ผิด! ปี 2014 โปรตุเกสไม่เข้ารอบเว้ย พี่จัดการเลย”


   “ไอ้หมูหวาน ไอ้ชั่ว เดี๋ยวกูจะฟ้องเมียมึงที่เรียนไอซีทีให้ดู!” จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการทำโทษกันไป ก็ดีหน่อยตรงที่พอพี่เห็นว่าเป็นผู้หญิงก็ได้ไถ่ถามกันก่อนแล้วว่าดื่มไหม ไม่ต้องดื่มเยอะก็ได้นะ แต่มีอย่างเหรอที่ผู้หญิงภาคเครื่องกลจะยอม แม่งสู้ตายครับ บอกเลย..


   “ต่อไปเอาหมวดแบรนด์เครื่องสำอาง พวกมึงตายแน่! อันแรก อีทูดี้”



   ชิบหายแน่นอนครับ ไอ้ไป๋พูดตรงๆ ทุกวันนี้ครีมหน้ากระจกที่ใช้อยู่ก็คือครีมที่แม่ของผมฝากพี่ป้าน้าอาแกหิ้วมาจากต่างประเทศพอได้มาก็ใช้อย่างเดียว ผมไม่เคยอ่าน ไม่เคยจำ ไม่เคยรู้จักเครื่องสำอางใดใดบนโลกใบนี้ทั้งสิ้น แต่อย่างไรผมก็เชื่อมั่นมาเสมอว่าคนเราก็ต้องอยู่ด้วยความหวัง จึงชะโงกหน้านับจากพัดที่เป็นคนได้พูดคนแรกเรื่อยจนมาถึงผม ก็อีกตั้ง 4 คนเว้ยเฮ้ย กูตายแน่ๆ...


   “อีทูดี้ อินนิสฟรี”


   “ชิบหายแล้วกู อีทูดี้ อินนิสฟรี...ลังโคมๆ!” เพื่อนผู้ชายคนแรกที่นึกชื่อแบรนด์จนผมนึกว่าขาดใจตายไปแล้ว แม้แต่พวกพี่ๆก็กำลังเริ่มนับเวลาถอยหลัง และแล้วในที่สุดก็นึกชื่อเครื่องสำอางออกมาจนได้


   “อีทูดี้ อินนิสฟรี ลังโคม เมบิลีนนิวหยอก”



   บอกเลยว่าเกมส์นี้ผู้ชายคนไหนมีเมียที่ชอบลากไปช็อปปิ้งก็จะชิวมากๆ



   “อีทูดี้ อินนิสฟรี ลังโคม เมบีลีนนิวหยอก มิสทีน!!!” จนสุดท้ายเกมก็ดำเนินมาถึงตาของผมในที่สุด สมองขาวโพลนไปหมด คลังความรู้ในหัวกำลังตีกันไปมา แรงสะกิดแขนแบบเบาๆทางฝั่งขวา ไอ้พิวเอี้ยวตัวมากระซิบผมอย่างแนบเนียนที่สุดแบบรู้ๆกัน


   “ดิออร์” แต่ก็ใช่ว่าจะพ้นสายตาพี่เสมอไป


   “เด็กบอกกันว่ะมึง จัดชุดใหญ่ให้น้องมันหน่อยดิ” ไอ้เหี้ยเอ้ย เสียงเส้นชะตาขาดผึงในหัว อดสั่นขวัญผวาเป็นอย่างมากเมื่อเห็นพี่ตัวอ้วนแกย่างสามขุมเข้ามาหาผมพร้อมกับขวดเหล้าฉลากรูปหงษ์ตัวใหญ่ๆ


   “ไป๋ มึงไม่แดกก็บอกพี่เขาไป”


   “ไม่เป็นไร กูสู้ไหว” ทำปากดีตอบไอ้พิวที่ส่งสายตาเป็นห่วงเป็นใยมาให้ ใช่ว่าจะไม่เคยกินซะเมื่อไหร่ แต่หัวใจที่เต้นตึกตักๆอยู่นี่เป็นเพราะสายตาพี่แกที่เดินเข้ามาหาเหมือนจะจับเหล้ากรอกปากผมอย่างไรอย่างนั้น กลืนน้ำลายลงคอเอื้อกนึง แล้วตัดสินใจสั่งลาเมทเฉพาะกิจให้เรียบร้อย


   “ไอ้พิว ถ้ากูวาร์ปมึงแบกกูด้วยนะ”


   “อ้าว เมื่อกี๊ยังทำเก่งอยู่เลย”


   “เดี๋ยว ก่อนที่มึงจะแดกถามก่อน มึงมีเมียยัง?” มือที่กำลังกรอกเหล้าจากขวดเข้าปากก็ชะงักทันที


   “ไอ้ไป๋มันเพิ่งเลิกกับเมียมาพี่!!!” ไอ้หมูหวานผู้รั้งท้ายแถวตะโกนขึ้นมาเรียกเสียงฮือฮาจากรุ่นพี่ประจำฐานได้เป็นอย่างดี


   “เอางี้ มึงคิดถึงเมียเก่ามากแค่ไหนก็แดกไปเท่านั้นเลย”


   “งั้นผมขอไม่กินดีกว่า”

   “…”

   “เพราะเขาไม่ได้มีผลต่อความคิดถึงของผมอีกแล้วครับ ”



   เชื่อไหมว่าเสียงแซวของรุ่นพี่ที่เกิดจากไอ้หมูหวานเมื่อครู่ มันสู้เสียงโห่ร้องที่เกิดขึ้นใหม่โดยมีผมเป็นต้นเหตุไม่ได้เลยสักนิด..




❋❋❋





   “ไงไอ้ไป๋ สร้างประวัติศาสตร์ซะกระหึ่มหาดเลยนะมึง” ไอ้ยีนส์ถ่องศอกใส่ผมแบบล้อๆ หลังจากที่ทุกกลุ่มเล่นฐานกันเสร็จหมดแล้วก็ปล่อยให้ปีหนึ่งได้มีเวลาเล่นน้ำกันสักพัก หลังจากนั้นก็ไล่ให้กลับขึ้นห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมารวมอีกครั้งตอนเวลาอาหารเย็นตอนหนึ่งทุ่ม


   เหตุการณ์ช็อกหาดที่ผ่านมา ผมรู้สึกเหมือนโดนผีเจาะปากให้พูดอยู่ กว่าจะรู้ตัวอีกก็ตอนพูดจบประโยคแล้วนู่น



   กูแม่งโคตรเสี่ยวเลยไป๋เอ๊ย ดังแน่มึง..



   ผมรอดเครื่องดื่มสุราเมรัยจากพี่ปีสี่มาได้ก็จริง ก็ใช่ว่าฐานปีอื่นๆจะไม่โดนเลย กินเพราะถูกทำโทษบ้าง เพราะช่วยเพื่อนผู้หญิงบ้าง สิริรวมจากที่กินๆไปแล้วน่าจะประมาณค่อนครึ่งขวดได้ สังเกตจากอาการลิ้นที่เริ่มชา และขาที่เดินไม่ค่อยจะตรงของตัวเอง ยังดีที่ได้ไอ้พิวมาหิ้วปีกช่วยพาขึ้นห้อง ก็บอกได้เลยว่าถ้าแดกเยอะกว่านี่อีกสักอึกเดียว กูเรื้อนแน่ๆ


   “มึงม่ายต้องมาแซวกูสัสยีนส์”


   “ทำไมต้องด่ากูวะ? ก็ใช่สิผัวหิ้วปีกหน่อยนี่เกรี้ยวกราดใส่เพื่อนเลยนะมึง” ปล่อยให้หัวตกลงตามแรงโน้มถ่วงอย่างคนหมดแรง ตอนนี้ผมล้าเกินกว่าจะสู้รบต่อปากต่อคำกับเพื่อนปากหมาแล้วจริงๆ


   “ไอ้พิวฝากดูมันหน่อย อย่าลืมลากลงไปกินข้าวเย็นด้วยนะ”


   “อือ ได้”


   แม้มีสติแค่เลือนราง แต่ก็พอรู้ว่าตอนนี้มีอะไรเกิดขึ้นกับผมบ้าง เราแยกกับไอ้ยีนส์ที่หน้าห้อง จากนั้นไอ้พิวก็ลากผมให้เดินตุ้ปั๊ดตุ้เป๋ตามเข้ามาในห้อง


   “จะอาบน้ำเอง หรือจะเช็ดตัวเอา” สภาพเราทั้งสองคนตอนนี้คือเปียกน้ำทะเลกันตั้งแต่หัวยันเท้า


   “อาบเอง ได้เดินเริ่มสร่างละ” ผมดันลำตัวเสื้อลู่ไปตามเนื้อออก แล้วยืนตรงให้มันดูว่าเริ่มโอเคแล้ว


   “งั้นเข้าไปก่อนเดี๋ยวกูหยิบเสื้อผ้าให้” โซซัดโซเซเกานู่นนี่ของห้องน้ำจนมายืนที่ใต้ฝักบัวด้วยความยากลำบาก ก่อนรูดม่านพลาสติกของที่นี่กั้นส่วนเปียกออกจากส่วนแห้ง ส่วนเสื้อผ้าก็ถอดแล้วโยนๆมั่วไปหมด ตอนนี้ขออาบน้ำให้รอดก่อน ไม่มีแรงมาพิถีพิถันอะไรแล้ว



   ก๊อก ก๊อก ก๊อก


   “ไอ้ไป๋เสื้อผ้ามึงออกมาเอา”


   “เอาเข้ามาวางไว้ให้หน่อยดิ ประตูไม่ได้ล็อก” ผมตะโกนบอกไอ้พิวที่ยืนเคาะประตูหน้าห้องน้ำ สภาพกูตอนนี้คือยาสระผมฟูฟ่องบนหัวมากๆ ก่อนจะได้ยินเสียงหมุนลูกบิดเปิดประตูเข้ามา


   “ไว้นี่นะ...”


   เสียงมันเงียบไป แต่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงของประตูที่ปิดลง ก็คงเดาได้ว่ามันยังอยู่ในห้องน้ำ ไม่ได้ออกไปไหน


   “อาบไหวแน่นะ”


   “เออ โดนน้ำกูตาสว่างละ ขอบใจมากมึง”







   หลังจากอาบน้ำสระผมไปอีกรอบตั้งแต่ที่มาถึง เก็บซากอารยธรรมเปียกน้ำทะเลในห้องน้ำลงถุงพลาสติกที่เตรียมมาเสร็จก็กระโดดลงเตียงทันที นอนหงายทอดสายตามองคนตัวสูงยืนถอดเสื้อแหว่งลงถุงแยกสำหรับผ้าชื้น แต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกตัวได้ว่ามีคนแอบมองอยู่ ไอ้พิวจึงเหล่สายตามาทางผมน้อยๆ แล้วก็พบกับว่าสายตาของผมกำลังจ้องมองมันอยู่จริงๆ


   “มองอะไร อิจฉาไง๊?” หุ่นไอ้พิวไม่ใช่คนบึกอะไร ส่วนสูงมันน่าจะประมาณเกือบร้อยแปดสิบได้ ทำให้เวลามายืนข้างคนร้อยเจ็ดสิบต้นๆอย่างผม ก็จะมีแต่ยิ่งตอกย้ำความเตี้ยที่ผมมีเข้าไปใหญ่


   ดูกล้ามหน้าอกขนาดกำลังดีไม่ใหญ่แต่เน้นเห็นสัดส่วน ลอนหน้าท้องเป็นคลื่นเบาๆแบบคนสุขภาพดีที่หมั่นออกกำลังกาย ทั้งไรขนบางๆที่เหนือขอบกางเกงนั่น ด้วยความเมาหรืออะไรก็ตามทำให้ตอนนี้ผมรู้สึกว่าหุ่นแม่งดีชิบหาย ผู้ชายด้วยกันยังอยากได้เลยแม่งเอ้ย


   สายตายังไล่เรียงมองต่ำจากขอบกางเกงเรื่อยไป ได้สติอีกทีก็ตอนคนตัวสูงแกล้งกระแอมในลำคอ เนื่องด้วยผมคงจ้องนานไป


   รู้สึกถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตัวเอง เพราะเผลอมัวแต่ไปมองอะไรต่ออะไรเข้าผ่านบ็อกเซอร์ตัวบางตั้งนานสองนาน



   ลูกรักพ่อนี่หว่า ให้มาซะเยอะเชียว...



   ด้วยความอับอายจึงทนสบสายตามันต่อไม่ไหว เลยแกล้งปัดป่ายผ้าห่มนู้นนี่ขึ้นมาคลุมใบหน้า พร้อมเฉไฉเปลี่ยนหัวเรื่องคุยแทน



   “มึงก็แดกพอๆกับกู แต่ทำไมไม่เมาเลยวะ” เสียงอู้อี้ที่ดังผ่านผ้าห่มออกมา ตัดสินใจไม่ออกไปมองปฏิกิริยาอีกคนจะดีเสียกว่า


   “ก็กูไม่ได้เที่ยวไปรับขวดจากคนนู้นคนนี้มัวไปหมดแบบมึงนี่” จากนั้นเสียงของมันก็หายไป เดาว่าน่าจะเข้าไปอาบน้ำแล้วมั้ง



   “แล้วก็วันหลัง...” ผิดคาดเพราะเสียงที่เคยเงียบหายไป ยังคงดังมาจากจุดเดิม ทำให้ผมเงี่ยหูฟังภายใต้ผ้าห่มอย่างใจจดใจจ่อว่าประโยคที่มันตั้งใจจะพูดคืออะไร





   “เวลาเขินจะหาอะไรมาปิดก็อย่าปิดแค่หน้า ปิดหูด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวเขาจะรู้ว่ามึงเขินแบบตอนนี้”




   ปึง


   สิ้นเสียงประตูกระทบวงกบ ร่างบางรีบดึงผ้าห่มมาคลุมไปทั้งตัว แบบไม่กลัวตนเองหายใจไม่ออก ตาเล็กหลับปี๋เพราะความอายจากคำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยขึ้น ผิวบางขึ้นสีแดงทั่วทั้งใบหน้าและใบหูชนิดที่ว่าเจ้าตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือว่าคนร่างสูงที่เพิ่งเข้าห้องน้ำไปกันแน่



   ไอ้ไป๋มึงต้องเมาจนสมองกลับแน่ๆ เป็นบ้าอะไรมาใจเต้นกับหุ่นผู้ชายด้วยกันเองแบบนี้ กูเมา ใช่ ต้องเป็นเพราะเหล้าแน่ๆ แล้วเสือกไปหน้าแดงให้ไอ้พิวเห็นอีก ทึ้งหัวอยู่ใต้ผ้าห่มสักพัก ก็คิดได้ในใจว่าหรือจะชิ่งหลับไปก่อนดี ตอนมันออกมาจากห้องน้ำจะได้ไม่ต้องแกล้งเมินกลบเกลื่อน

   เมื่อคิดได้ดังนั้น ผสมกับความมึนเมาที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ทำให้ตกสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-08-2018 18:39:06 โดย pearyypinkyy »

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter four ―140818)
«ตอบ #21 เมื่อ16-08-2018 17:22:53 »

❋❋❋






   “ไอ้พิว ไอ้ไป๋ โต๊ะนี้ๆ”



   หลังจากที่ผมหลับไปเต็มๆอีกหนึ่งตื่น จวบจนตอนนี้ก็เป็นเวลาทุ่มกว่าๆ เลยนัดทานอาหารเย็นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะผมเพิ่งมารู้ว่าเป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ที่สามารถตักได้เรื่อยๆ กวาดสายตามองโต๊ะและคนบริเวณรอบๆก็พบว่าคนร่อยหรอลงไปพอสมควร โดยเฉพาะปีหนึ่งอย่างเรา ก็คงไม่พ้นเมาคอพับคออ่อนจนลงมากินข้าวกันไม่ไหวนั่นแหละ


   ส่วนไอ้พิวกับผมที่พยายามตีมึน ลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไป ย้อนกลับไปในตอนเมื่อครู่ที่ผมลืมตาขึ้นจากฝัน ก็พบเห็นว่าไอ้พิวกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่หัวเตียงข้างๆ ปลดล็อกดูเวลาของตนเองบ้างก็พบว่าสายมากแล้ว คิดได้ดังนั้นก็รีบลากไอ้พิวที่นั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรลงมายังห้องอาหาร เสียงของไอ้เคนเดือนคณะก็ดังขึ้นเพื่อเรียกพวกผม จนไม่ต้องเสียเวลาเดินหาโต๊ะให้เมื่อยเลย


   “ทำไมพวกมึงสองคนลงมาช้าจังวะ ข้าวจะหมดแล้วเนี่ย” ถือว่าเป็นภาพหายากมาก กับการที่กลุ่มผมและกลุ่มของไอ้พิวจะนั่งโต๊ะกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ ที่ออกนอกหน้านอกตาสุดก็คงเป็นไอ้ตุลลี่แหละครับ เห็นไอ้พิวปุ๊บก็กุลีกุจอจัดที่นั่งให้ข้างๆตัวเองให้ไอ้พิวนั่งทันที กระทบไอ้ยีนส์ที่ต้องจัดการแหวกที่เสริมเก้าอี้ให้ผม กับผัวนี่ก็ไม่ค่อยอะ...



   “เพราะไอ้พิวอ่ะ เห็นกูเผลอหลับก็ไม่ปลุกลงมากินข้าว” ผมบุ้ยปากโยนความผิดให้ไอ้หน้ามึนที่ตอนนี้โดนฉุดตัวลงนั่งข้างเมียกำมะลอของมันเรียบร้อย


   “พวกมึงสองคนรีบไปตักข้าวเถอะ เดี๋ยวข้าวมันหมด แล้วจะอดแดก” ยังไม่ทันที่จะให้ไอ้ตุลลี่อ้าปากปกป้องสุดที่รักของตัวเอง ไอ้เต้ที่เห็นว่าท่าทางเริ่มจะไม่ดีก็เอ่ยปากห้ามทัพแล้วไล่พวกผมไปตักมาข้าวกิน



   ยกนี้กูชนะโว้ย!
   






   มื้อเย็นของเราผ่านไปได้ด้วยดี บทเวทีก็มีพิธีกรดำเนินกิจกรรมที่ขึ้นมาคั่นโชว์ต่างๆที่คอยพลัดกันเล่นมุกตลกบ้างไม่ตลกบ้างให้ฟัง ส่วนโชว์ที่พูดถึงก็คือการแสดงของทุกชั้นปีที่ได้จัดเตรียมตั้งแต่ก่อนวันค่ายนั่นเอง ซึ่งก็แน่นอนว่าผมไม่มีส่วนร่วมอะไรเหมือนเดิม แต่ที่ไม่คาดคิดและที่พิเศษไปกว่านั้นคือ รุ่นพี่ได้ทำการเซอร์ไพร์สและจัดพิธีเทียนผูกข้อมือขึ้นมา ถามผมว่าซึ้งไหมก็ตอบว่ามาก แต่ถ้าถามว่าอินไหม ก็ขอตอบไปตามตรงเลยว่าก็ไม่ขนาดนั้น


   ตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยไปจนเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ทันทีที่เสร็จพิธีอะไรทั้งหลายแหล่ พวกผมก็นึกว่าก็จะได้กลับไปพักผ่อนเสียที แต่ติดตรงที่ว่า...




   “กิจกรรมของวันนี้ก็ได้เสร็จสิ้นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ แต่!”


   “แต่อะไรเหรอครับพี่ต้น”


   “เรายังมีกิจกรรมพิเศษสำหรับน้องๆหรือพี่ๆคนไหนที่ยังไม่อยากกลับห้องไปนอนกันนะครับ”


   “พูดแบบนี้ทำเอาหลายๆคนรวมถึงผมเนี่ยอยากรู้เลยนะครับ ว่ากิจกรรมที่ว่าเนี่ยมันคืออะไร”


   “มันคือ ปาร์ตี้น้ำผลไม้กระชับความสัมพันธ์นั่นเองครับ ใครที่ยังไม่รีบไปนอน เราจะมีวงน้ำผลไม้จัดขึ้นเพื่อให้น้องๆได้ทำความรู้จักกับพี่ๆ รวมถึงพี่บัณฑิตที่มาในวันนี้มากยิ่งขึ้นนะครับ เป็นการดีด้วยที่น้องๆจะได้ถามเกี่ยวกับการฝึกงาน หรือการเตรียมตัวในมหาลัยนะครับ”


   “ใครที่หนีกลับห้องไปนอนก่อนเนี่ยต้องเสียใจมากแน่ๆเลยนะครับเนี่ย”


   “ใช่ครับผม เอาล่ะ เที่ยงคืนตรงถือว่าเป็นเวลาดี สำหรับใครที่ต้องการดื่มน้ำผลไม้ให้นั่งรอที่โต๊ะก่อนนะครับ ส่วนใครที่ง่วงนอนแล้วก็สามารถกลับไปพักผ่อนได้เลยครับ”


   “แต่อย่าลืมว่าพรุ่งนี้เรามีนัดทานข้าวเช้าที่นี่เวลา 8.00 น. ตรง และเราจะเดินทางกลับกันในเวลา 11.00 นะครับ สำหรับวันนี้บ๊ายบายคร้าบ”



   สิ้นเสียงของพี่พิธีกรเจ้าขุนทองประจำภาคที่คำพูดของพวกพี่แกแทบไม่ได้เข้าหูผมเลย ไม่แน่ใจว่าเพราะฤทธิ์สุราเมื่อเย็นหรือความง่วงไม่รู้จักจบจักสิ้นของผมกันแน่ รู้แค่ว่าผมอยากกลับไปนอนอีกรอบแล้ว



   “เฮ้ย! ไอ้ไป๋เป็นไง ดังใหญ่แล้วนะมึง”


   “อ้าว เฮียป็อปหวัดดี ผมไปดังตอนไหนวะพี่?”


   “ที่หาดไง เปิดตัวกับรุ่นพี่ซะยิ่งใหญ่เลยนะมึง ”


   “อ๋อ แหะๆ” ความทรงจำอะไรต่างๆก็ไหลกลับมาทำให้ผมจำได้อีกครั้ง เอาเข้าจริงถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ก็จะยอมแดกเหล้าให้มันจบๆอะ


   “เดี๋ยวนั่งนี่ก่อนนะ วันนี้พี่บัณฑิตสายเรามาด้วย เขาอยากเจอมึง” ภาพเตียงนอนที่วาดฝันไว้ว่าจะได้ล้มตัวนอนเที่ยงคืนกว่าๆได้พังทลายลงต่อหน้า ผมนั่งซึมโบกมือลาเพื่อนๆที่ทยอยกลับห้องกันไป รวมทั้งไอ้พิวที่เป็นความหวังสุดท้ายกลับหายวับไปไหนของมันก็ไม่รู้



   ฮือ ไป๋อยากกลับไปนอน










   ความเป็นจริง...


   “นี่ พี่สาม พี่บัณฑิตสายเรา ทำงานอยู่บริษัทปูนที่ดังๆอ่ะ ไอ้ไป๋มึงรู้จักไว้”


   “หวัดดีครับพี่สาม” ผมยกมือไหว้นักศึกษาจบใหม่ไฟแรงคนล่าสุดของสายเรา เข้าใจละว่าทำไมต้องให้มานั่งคุยกับพี่บัณฑิต มันคล้ายๆกับการฝากตัวเผื่อสักวันได้ร่วมงานกับพี่เขา พี่จะได้เอ็นดูเรานั่นเอง


   “หวัดดี ไหว้พระเถอะไอ้หนู”


   “ไอ้ไป๋นี่แหละพี่ที่ไม่แดกเหล้าเพราะลืมเมียเก่าได้แล้วอ่ะ”


   “อ้าวเหรอ เห็นปีสี่มันพูดกันอยู่ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มานั่งแดกเหล้าตอนดึกเป็นเพื่อนพี่หน่อยละกัน”


   ยังไม่ทันที่จะได้ตอบรับอะไร แก้วมิกซ์ก็ถูกวางลงตรงหน้าแล้ว ผมที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็จำใจรับมาดื่ม จะว่าไปคุยกับพี่เขาก็สนุกดีนะเนี่ย แต่ยิ่งคุยคอก็ยิ่งแห้ง น้ำเปล่าแถวนี้หายไปไหนหมดวะ ไม่เป็นไร ในมิกซ์ยังมีโซดาที่เป็นน้ำอยู่ แดกแทนกันได้ ผมไม่ถือ...


   จนกระทั่งเข้าแก้วที่สอง สาม สี่ ไปเรื่อยๆ หัวข้อพูดคุยบนโต๊ะก็เริ่มเปลี่ยนไป จากเรียนยังไง ฝึกงานที่ไหน ทำงานเป็นอย่างไร จนเป็นเรื่องชีวิตรักได้อย่างไรก็ไม่รู้


   “ไอ้ไป๋ มึงฟังกูไว้นะ ว่ารีบๆหาเมียตั้งแต่ตอนมหาลัยเลย ไม่งั้นตอนทำงานมึงโสดยาวๆเหมือนกูแน่”


   “อะไรว้า ป่านนี้เฮียสามยังหาเมียไม่ได้อีกเหรอ?” ที่แม่เฮียแกตั้งชื่อว่าสามเพราะพี่แกแยกร่างได้สามคนปะวะ? เนี่ย หน้าเฮียแกตอนนี้มีสามหน้าละ


   “ทำปากดีไปเถอะมึง เป็นมึงแล้วกูจะรู้ กูนะ ตอนทำงานไปจีบสาวบัญชีแม่งก็มีผัวแล้ว จีบวิศวะด้วยกันเสือกรู้สันดานกูไปหมด แต่คนล่าสุดที่กูจีบเนี่ยเป็นสาวบุคคลที่เข้ามาใหม่”

   “แล้วติดไหมวะเฮีย?” ด้วยความอยากรู้ของไอ้พี่ป็อปจากเดิมที่ฟุบหลับไปกับโต๊ะแล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาอีกรอบ

   “ติดก็เหี้ยแล้ว แม่เรียกกูกลับบ้านไปบวช พอกูสึกกลับออกมาน้องแม่งโดนหัวหน้าการเงินคาบไปแดกละ”

   “ชีวิตเฮียแม่งโคตรน่าสงสารเลย ฮ่าๆๆๆ”

   “ฮ่าๆๆๆ”




   หลังจากหัวเราะกันอย่างครึกครื้นไม่เท่าไหร่ เวรกรรมที่แดกๆกันไปก็เริ่มออกผลมาให้ได้ลำบากกันแล้ว

   “ไอ้ไป๋มึงเดินกลับคนเดียวไหวแน่นะ” ไอ้พี่ป็อปเงยหน้าถามขึ้นมาเสียงยานคาง

   “หวายน่า เฮียสาม เฮียป็อป ผมไปนอนแล้วน้า หวัดดีค้าบ”

   “เออ หวัดดี/กลับดีๆนะมึง”

   สองขาร่วมด้วยกับสองมือประคองสติค่อยๆลากตัวเองออกมาจากห้องอาหาร ผมที่ง่วงนอนจนต้องขอตัวออกมาจากเฮียสามและพี่ป็อปที่บอกว่าอยากจะนั่งต่ออีกสักหน่อย ซึ่งตอนนี้เป็นเวลากี่โมงกี่ยามแล้วผมก็ไม่อาจทราบได้เพราะตอนนี้ไม่อยากทำอะไรนอกจากรีบๆกลับห้องไปนอนทั้งนั้น


   แต่ยังไม่ทันให้ตัวที่จะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่จะพ้นออกจากประตูห้องอาหาร ก็ต้องตกใจกับแรงกระชากเสียก่อน


   “อ้าว ไอ้พิวมึงหายไปไหนมา?” พยายามแพ่งสายตาให้โฟกัสกับคนตรงหน้า แล้วก็พบว่าเป็นบุคคลที่เพิ่งทิ้งผมไปเมื่อตอนเลิกงานนั่นเอง

   “เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ เมาเป็นหมาอีกแล้ว”

   “มึงมาก็ดีแล้ว พากูกลับห้องหน่อย”

   “เดินไหวไหม หรือจะให้อุ้ม?”

   “เดินได้ๆ” ผมพูดจบมันก็ยกแขนผมพาดกับลำคอของมัน และพากันเดินออกมาทันที



   เราเดินกลับมาที่ห้องกันแบบสภาพทุลักทุเลไม่ต่างจากตอนเย็นกันอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเลือกที่จะโยนผมลงบนเตียงแทนที่จะพาเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ


   “เละแบบนี้เช็ดตัวเอาดีกว่า มึงยืนไม่น่าไหวละ” ร่างใหญ่หายไปแล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมผ้าขนหนูชุ่มน้ำในมือ

   “อยากอาบน้าม” ร่างบางบนเตียงบ่นกระปอดกระแปดแบบคนโดนขัดใจ

   “ค่อยอาบพรุ่งนี้”

   “ก็ได้”

   “นอนลงเดี๋ยวเช็ดตัวให้”


   กายขาวยอมทิ้งตัวลงนอนนิ่งๆให้อีกฝ่ายถอดเสื้อเพื่อเช็ดตัว ทันทีที่เสื้อยืดสีเทาพ้นร่างพิวก็ต้องกลืนน้ำลายดังเอื้อกใหญ่ เพราะไม่ว่าจะตัวบางผิวสีขาวไม่ซีดตามฉบับคนไม่ขี้โรค รวมถึงหน้าท้องแบบราบ แม้ไม่มีกล้ามเนื้อให้เห็นชัดเจน แต่ก็ไม่มีไขมันส่วนเกินให้เห็น และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือติ่งไตสีชมพูทั้งสองข้างนั่น..


   มือใหญ่ค่อยๆจรดผ้าผืนหนาลงบนผิวอย่างทะนุถนอม เพราะกลัวผิวสีน้ำนมจะขึ้นให้เห็นรอยแดง เช็ดปัดไล่ตั้งแต่ใบหน้า ลงมาช่วงลำคอและแผ่นอก จนถึงหน้าท้องและต่ำกว่านั้นที่มีกางเกงขาสั้นสีดำปกปิดเอาไว้


   “ไป๋ จะให้เช็ดทั้งตัวเลยป่ะ?” ลำคอแห้งผากส่งเสียงที่แสนจะพูดยากที่สุดในชีวิตออกไป

   “ไม่อาว อยากอาบน้ำ” แต่คนที่นอนแผ่บนเตียงกลับมีท่าทีไม่ยอม พร้อมปัดป่ายมืออีกฝ่ายให้พ้นจากกางเกงตัวเอง

   “เช็ดเถอะ เดี๋ยวมึงจะเหนียวตัว”

   “ไม่อาว”

   แต่มือใหญ่ยังคงไม่ละเลิกความพยายามนั้นลง สองมือแน่วแน่ที่จะปลดกระดุมกางเกงนั้นออก แม้ว่าจะอีกคนจะพยายามหลบหลีกมากแค่ไหน แต่ก็อย่างว่าปกติแรงก็น้อยกว่าเป็นเท่าตัวอยู่แล้ว นี่ยิ่งผสมกับฤทธิ์แอลกอฮอล์อีก เป็นไปไม่ได้เลยที่จะห้ามได้ทันท่วงที

   “ฮือ”


   ทันทีที่กางเกงหลุดพ้นจากตัวอีกคน ร่างสูงถึงกับตาโตมองสิ่งตรงหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ ผงกหัวมองใบหน้าขึ้นสีแดงไปยันหูไม่ต่างจากตอนเย็น พร้อมสายตาฉ่ำเยิ้มที่เพิ่งสังเกตจากตัวอีกฝ่ายที่จ้องมองมาแบบกังวลใจ


   “…เลยอยากอาบน้ำไง”


   ด้านคนที่ยังมีแรงเหลืออยู่ ก้มมองความคับพองผ่านชั้นในสีขาวของคนนอนปวกเปียกอีกครั้ง ตอนนี้พิวก็ใช่ว่าตัวเองจะมีสติอยู่ครบถ้วนเสียเมื่อไหร่ ที่หายไปแบบไม่บอกไม่กล่าวนั้นก็เพราะโดนรุ่นพี่แยกไปดื่มอีกซีกของห้องด้วยก็เท่านั้น อย่างที่ว่าใครๆเขาบอกกันว่าเหล้าจะทำให้กล้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งตัวเขาเองก็เพิ่งจะมารู้ได้วันนี้ว่าสิ่งที่พูดกันมา มันคือเรื่องจริง ก็ตอนที่เขาได้พูดสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดออกไปโดยทันที ไม่ผ่านการกลั่นกรองจากจิตสำนึกใดใดทั้งสิ้น
 


   “ให้ช่วยไหม?”



   ร่างเล็กนอนเบิกตาอย่างตกใจ เรี่ยวแรงที่หลงเหลืออยู่ก่อนหน้านี้กลับอันตรธานหายไป สื่อสมองตีกันให้รวนเร สมองส่วนของความจำที่จวนเจียนจะวูบดับไป ต่างจากในส่วนของความนึกคิดได้หายไปจนหมดสิ้นแล้ว และคงเป็นอีกความเชื่อที่ว่าเหล้าคือน้ำเปลี่ยนนิสัย ส่งผลให้ร่างบางขยับปากส่งเสียงอื้ออึงตอบรับไปในที่สุด


   “อื้อ”

   “ขอก่อนดิ”

   
   สองสายตาประสานกันด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง คนนึงที่พยายามส่งความอ้อนวอนผ่านทางสายตาไปให้แม้ว่ามันจะไม่เป็นผล กับอีกคนที่ตอนนี้ขบกรามตนเองแน่นเพื่อข่มความรู้สึกและเรียกสติส่วนดีของตนเองกลับ แต่ว่ามันก็ไม่ทันการณ์...


   “มึงช่วยกูหน่อย”


   ก็อย่างที่ใครเขาเคยพูดไว้ ว่าเมื่อตอนที่จิตสำนึกได้หายไป จิตใต้สำนึกในส่วนลึกก็มักจะมาแทนที่เพื่อตอบสนองความต้องการเสมอ...



▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔


ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : Pearyypinkyy.9


และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter five ―160818)
«ตอบ #22 เมื่อ16-08-2018 18:06:16 »

chapter six。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔



   ติ๊ดๆๆๆๆๆ



   เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นท่ามกลางห้องที่มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศ มือบางปัดป่ายหาต้นเสียงที่มารบกวนตนเอง จากนั้นจึงจัดการปิดให้เงียบเสียงทันที พร้อมล้มตัวนอนลงอีกครั้ง แต่เมื่อนึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่การนอนที่ห้องตนเองในเช้าของวันอาทิตย์แบบที่คิดไว้ เลยรีบคว้าโทรศัพท์อันเดิมขึ้นมาดูเวลาเพิ่มเติม


   7.30


   พี่นัดกินข้าวเช้าแปดโมงนี่หว่า .. หันซ้ายขวามองหาคนข้างกายก็พบว่ายังไม่ฟื้นขึ้นจากฝัน ท่อนบนทีเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายทำให้คิดไปได้ว่าคงเป็นนิสัยของการนอนที่ไม่ชอบใส่เสื้อ ไม่รอช้าสะบัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วคว้าของใช้เสื้อผ้าอะไรต่ออะไรเข้าห้องน้ำไปด้วยความเมื่อยขบ

   ผมจัดการตัวเองเริ่มแรกด้วยการล้างหน้าแปรงฟัน เรียบร้อยเสร็จ ยังไม่ทันให้ได้ถอดเสื้อผ้าเพื่อไปชำระร่างกาย สายตาก็ได้เริ่มสังเกตตนเองในกระจก


   นี่มันไม่ใช่เสื้อกูนี่นา...


   ก้มมองไปถึงกางเกงนอนตัวบาง โอเค อันนี้ของกู แต่เสื้อนี่มาได้ไง? ผมถามตัวเองอยู่สักพักแต่สมองกลวงๆที่มีนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก เลยต้องย้อนเหตุผลการณ์ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นเมื่อคืนตั้งแต่เริ่มต้น

   ผมเมา ห่างจากพวกเฮียเสร็จก็เจอไอ้พิว เจ้าตัวเลยอาสาแบกร่างของผมกลับมาที่ห้องด้วย หลังจากนั้นมันก็หายไปในห้องน้ำ แล้วออกมาพร้อมผ้าขนหนู พิวถอดเสื้อเช็ดตัวให้ แถมยังถอดกางเกงให้อีก แล้วสุดท้ายก็...



   ‘อื้อ ไอ้เหี้ยพิว’ ผมขยับปากด่าในขณะที่มันเพิ่งใช้มือกอบกุมส่วนที่กำลังแข็งเกร็งขึ้นเรื่อยๆ

   ‘ด่ากูทำไม’ มองตามใบหน้าของมันที่ก้มลงต่ำมาเรื่อยๆจนชิดกับแผ่นออกเปลือยเปล่า

   ‘...ขยับหน่อย’

   ‘ฮึ?’ พิวเลิกคิ้ว ทำเสียงเหมือนคนไม่เข้าใจในสถานการณ์ สบตากันสักพักก่อนอีกคนจะหันไปสนใจติ่งไตสีอ่อนที่ขึ้นนูนของผมบ่งบอกความวูบวาบข้างในที่มี

   ‘อือ ขยับให้หน่อย...’ ผมครางรับสัมผัสบนยอดอกด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ทันที พิวใช้ลิ้นแตะลงอีกข้าง ส่วนข้างที่เหลือก็ไม่ปล่อยว่าง จัดการบดขยี้ด้วยมือที่เหลือ ทำเอาผมต้องปิดปากเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงที่รู้สึกว่าไม่ใช่ตัวของตัวเองเล็ดรอดออกมาอีกทันที


   กว่าร่างสูงจะละจากติ่งสีชมพูหวานตรงหน้า ก็ทำเอาคนตัวบางนอนหมดแรงเพราะความไหววูบจากช่องท้องน้อยไปแล้ว มุมปากยกขึ้นยิ้มให้ความเอ็นดูจากใบหน้าแดงเถือกน่ารักที่ถูไถไปกับหมอนใบโต พอเวลาตัวเองได้เป็นใหญ่เหนือคนปากจัดนี่ กลับทำให้รู้สึกว่าไป๋ยิ่งน่ารักกว่าตอนมีสติเสียอีก บางทีเขาอาจโรคจิตไปแล้วก็ได้

   ในตอนนี้ความกระสันกลับกลบความคิดส่วนดีไปเสียหมด ให้ความอยากอันชั่วร้ายมาเป็นใหญ่ในความคิดทั้งสอง แล้วปล่อยให้ร่างกายดำเนินไปตามสัญชาตญาณแบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังอะไร

   มือที่กอบกุมกำลังทำในสิ่งที่คนเบื้องล่างเอ่ยขอ นิ้วหัวแม่มือขยี้ในส่วนที่เป็นจุดอ่อน ทำเอาไป๋กระตุกรับแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

   สองปากประกบกันตามอารมณ์ที่พุ่งสูง ลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันเพื่อหวังจะได้ระบายความใคร่ในตอนนี้ที่มีอยู่ออกบ้าง เสียงน่าอายที่เกิดจากความเปียกชื้นดังขึ้นทั้งด้านบนและล่างเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้มือแกร่งยิ่งทวีคูณความเร็วในการขยับเข้าไปอีก ทำเอาสะโพกบางส่วนล่างยกลอยไม่ติดเตียง

   ‘อะ..อื้อ’ สวรรค์สีขาวด้วยน้ำมือของพิวกระแทกไป่ไป๋เข้าอย่างจัง แผ่นอกชุ่มน้ำลายกระหืดกระหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเพลีย


   ส่วนทางด้านของร่างสูงที่ถูกทิ้งไว้กลางทาง เมื่อเห็นร่างบางหลับปุ๋ยไปแล้ว ก็ทึ้งหัวตนเองด้วยความรู้สึกอึดอัดกลางลำตัว จากนั้นก็จัดการทำความสะอาดแล้วใส่เสื้อผ้าให้อีกฝ่ายอย่างเรียบร้อย แล้วจึงเข้าห้องน้ำไปจัดการอะไรต่อมิอะไรของตนเองบ้าง...





   เมื่อนึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจนออกทั้งหมดแล้ว ผมก็ได้แต่ยืนปล่อยน้ำให้ผ่านร่างกายอยู่ใต้ฝักบัว สายตาเหม่อมองขวดแชมพูของทางโรงแรมอยู่นานสองนาน

   แม่งเอ้ย สาบานเลยกูจะไม่แดกเหล้าอีกแล้ว ทำไมกูเป็นคนอย่างนี้วะ? เมาแล้วไปขอให้ไอ้พิวทำอะไรบ้าๆอีก คิดกันใช่ไหมครับว่าพอผมนึกออกแล้วจะต้องไปพาลโกรธมันที่ทำอย่างว่ากับผม ผิดครับ เรื่องนี้ถ้ามีคนผิดคงต้องเป็นผม เพราะกูเนี่ยแหละเสือกไปขอให้มันทำเอง อายชิบหายเลย...

   เชี่ย แล้วจะมองหน้ากันติดไหมเนี่ย
   


   ก๊อก ก๊อก ก๊อก

   “ไป๋เสร็จยัง จะได้เวลานัดกินข้าวแล้ว”

   “เออ ใกล้เสร็จแล้ว” เสียงเคาะประตูพร้อมกับเสียงไอ้พิวที่ดังขึ้นมา ทำเอาผมที่กำลังยืนใต้ฝักบัวเป็นพระเอกเอ็มวีตกใจรีบจัดการกับตัวเองจนเสร็จ แล้วเปิดประตูออกไปทันที

   “...เสร็จแล้ว” เท้าที่กำลังจะก้าวออกจากห้องน้ำต้องชะงักทันที เมื่อเปิดประตูมาแล้วก็พบว่า ร่างสูงยืนอยู่ตรงหน้าพอดี สายตาที่สบกันทำเอาผมหน้าร้อนขึ้นมาอีกรอบเพราะความทรงจำที่เพิ่งนึกถึง ก่อนจะเอี้ยวตัวหลบให้คนตัวสูงเข้าห้องน้ำได้อย่างสะดวก





   ผมในตอนนี้เห็นนั่งนิ่งๆแต่ความจริงคือกำลังเครียดเอามากๆ มือนึงใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม ส่วนอีกมือนึงก็ไถโทรศัพท์อะไรไปเรื่อย ถามว่ารู้เรื่องอะไรในโทรศัพท์นั่นไหม ก็ขอบอกอีกว่าไม่เลยสักนิด เพราะสมาธิได้แตกกระเจิงไปตั้งแต่เห็นไอ้พิวนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวออกมาจากห้องน้ำอีกแล้ว เรื่องเมื่อคืนก็ไม่กล้าพูด หรือกูจะทำมึนเมาแล้วจำไม่ได้ไปเลยดีวะ?

   “ไป๋...”

   “ไอ้พิวเรื่องเมื่อคืนกูขอโทษนะ!” ลิ้นที่รัวออกไปด้วยความไม่ตั้งใจพร้อมทั้งความตกใจของผม ทำเอาพิวถึงกับยืนหน้าเหวอ

   “ขอโทษเรื่อง?”

   “ก็เรื่องเมื่อคืนอะดิ อย่าบอกนะว่ามึงจำไม่ได้”

   “ก็จำได้...แต่ทำไมมึงต้องขอโทษด้วยอ่ะ”

   “เอ้า?...” สมองที่เหมือนยังทำงานไม่เต็มที่กำลังประมวลในคำพูดล่าสุดของมัน ตอนนี้ไอ้พิวที่ในตอนแรกยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าก็มานั่งขัดสมาธิข้างๆผมในสภาพแต่งตัวแล้วได้อย่างไรก็ไม่รู้ มือใหญ่นั่นเลยถือโอกาสจับตัวผมให้หันไปเผชิญหน้ากับมันตรงๆ

   “มึงเมาค้าง?”

   “…”

   “คนขอโทษต้องเป็นกูต่างหาก”

   “ก็กู…” ร่างสูงเอื้อมมือมาแตะเบาๆที่ริมฝีปากเป็นนัยว่าให้ผมหยุดพูดเสียก่อน

   “เมื่อคืนมึงเมา กูก็เมา แต่กูยังพอมีสติ ในขณะที่มึงไม่มี กูมีสิทธิ์หยุดแต่กูก็ยังทำต่อ” มันจ้องหน้าผมสักพัก ก่อนจะเริ่มพูดต่อ

   “ขอโทษนะไป๋ อย่าโกรธกูเลยนะ” สายตาคมกำลังสะกดผมเป็นครั้งที่สอง ไม่สิ สาม ถ้านับรวมเมื่อคืนนี้ไปด้วย...

   “กูเป็นผู้ชายแต่มาให้มึงทำแบบนั้นมันก็รู้สึกแปลกๆอยู่ดีอะ กูก็ขอโทษเหมือนกัน อย่าอึดอัดกูเลยนะพิว”

   “อือ กูเข้าใจ เรื่องแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้หรอก” อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะเอื้อมมือฝ่ายที่หัวผมที่กำลังหมาดๆน้ำ พร้อมฉุดแขนให้ผมลุกขึ้นยืนตาม

   “ป่ะ ไปกินข้าวกันดีกว่า”








   ตาเบิกกว้างมองอาหารในถาดสแตนเลสวางเรียงรายกันแบบเลือกไม่ถูกว่าจะทานอะไรดี เพราะว่ามันเยอะมากเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของข้าวสวย ข้าวผัดต่างๆ กับแกงก็มีให้เลือกมากมาย ด้วยความที่ขี้เกียจเดินเลือกอะไรก็เลยตัดสินใจเลือกกินในสิ่งที่อยู่ใกล้มือตอนนี้ที่สุดแล้วกัน

   “ไป๋แดกไรวะ?” ผมวางจานผัดซีอิ๊วในมือลงบนโต๊ะเพื่อให้ไอ้ยีนส์พร้อมกับผองเพื่อนของผมที่นั่งด้วยกันอย่างพร้อมหน้าดู

   “แดกของมันๆแต่เช้าเลยนะอีไป๋” อีตุลลี่ที่ตักสลัดเข้าปากเหล่สายตาของมาที่จานข้าวของผมก่อนจะเบ้ปากลงเล็กน้อย

   “แดกแต่ผักไปเถอะมึงน่ะ จะได้ผอมๆ”

   “แล้วพิวขามากับมึงป่ะ? ตอนนี้อยู่ไหนอะ?” เช้านี้แก๊งของไอ้พิวยังไม่มีใครลงมาสักคนคาดว่าน่าจะนอนตายยังไม่ตื่นกันหมดนั่นแหละ

   “ตักข้าวอยู่มั้ง”

   “แล้วเมื่อคืนเป็นไงบ้าง?”

   เคร้ง

   “ม-เมื่อคืนอะไร?” ผมตกใจเผลอทำช้อนในมือร่วงลงพื้น แล้วหันไปมองเจ้าของต้นเสียง แล้วพยายามบังคับเสียงที่เอ่ยถามย้ำออกไปไม่ให้สั่นมากที่สุด หรือว่าไอ้ก๊าซมันจะ...

   “เราแค่ถามว่าเมื่อคืนที่พี่บัณฑิตเรียกไปคุยอะเป็นยังไงบ้าง?”

   “อ๋อ ตกใจหมดเลย .. ก็โอเคนะ หมดไปหลายแก้วอยู่ แต่พี่เขาก็คุยสนุกดี”

   ผมพูดยิ้มๆให้ไอ้ก๊าซ ก่อนก้มเก็บช้อนที่หล่นลงใต้โต๊ะขึ้นมา...เกือบไปแล้วกู เกือบหลุดแล้วไง



   “นี่ไง พิวขามาพอดีเลย มานั่งข้างๆตุลลี่นี่มา” ตุลลี่กวักมือหยอยๆเรียกไอ้คนชอบตีหน้ามึนให้มานั่งยังที่ว่างข้างๆ แต่ไอ้พิวก็ไม่เป็นใจไปด้วย กลับหย่อนตัวนั่งลงเก้าอี้ที่ว่างข้างๆผมแทน

   “นั่งนี่ดีกว่า”

   “โถ่ว พิวขาอ่ะ” ผมละความสนใจจากไอ้ตุลลี่ที่ตอนนี้เบะปากก้มหน้าก้มตากินข้าวเป็นตุ๊ดงอนผัว แล้วหันมาดูจานข้าวที่เจ้าตัวตักมาแทน

   “ไอ้พิว ตักอะไรมาแยะเยอะวะ?” เอ่ยถามถึงจานตรงหน้าคนร่างสูงที่ดูยังไงก็ไม่ใช่อาหารสำหรับหนึ่งคนเลย

   “กูตักมาเผื่อมึงด้วย” พูดจบมือใหญ่ก็เลื่อนจานไข่ดาวมาใกล้ ผมที่พอรู้ความหมายของการกินไข่ยามเช้า ก็ได้แต่กลั้นความรู้สึกน่าอายไว้

   “จะให้กูแดกหมดสี่ฟองนี่เลยหรือยังไง?” ผมกระซิบถามข้างหูเบาๆ ป้องกันการอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนรอบข้าง
แล้วไอ้พิวก็ตักใส่จานตัวเอง และให้ผมอย่างละครึ่ง ทำเอาผมถึงกับงงงวย มองไข่ดาวสองฟองในจานของผมและของมันสลับกันไปมา



   “แล้วใครบอกว่ามึงต้องแดกคนเดียว?”




   มันพูดยิ้มๆกับจานข้าวแบบลอยๆ  ผมที่หายงงถึงกับบางอ้อ พร้อมสบถด่าตัวเองในใจเสียงดัง ไอ้เหี้ยไป๋เอ๊ย ต่อจากนี้อย่าได้เห็นมึงแตะเหล้าอีกเชียว แค่นี้ก็อายไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ไหนแล้วเนี่ย แม่งเอ้ย






❋❋❋





   หลังจากการกลับมาจากค่ายรับน้องด้วยสวัสดิภาพแล้ว ตอนนี้พวกเราก็ได้กลับเข้าสู่บ่วงเรียนไปเพื่อสอบอีกครั้ง ผมกลับมาใช้ชีวิตนักศึกษาชายที่วันๆเอาแต่นอนกับนอนเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือต้องอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นด้วย เพราะเกรดเทอมที่แล้วถึงจะไม่ติดเอฟ แต่ก็ช่างห่วยแตกเหลือเกิน

   “วันนี้เราเรียนอะไรวะ?” พูดถามไอ้ยีนส์คนติดข้าวเช้าที่กำลังยัดขนมปังเข้าปากแบบไม่รีบร้อน ตอนนี้เรากำลังเดินขึ้นตึกคณะ วันนี้ผมที่ฝันร้ายแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นตั้งแต่เช้ามืด พอจะนอนต่อก็นอนไม่หลับ ทำเอาหัวมึนตึ๊บอยู่เหมือนกัน

   “เคมีอาจารย์ศิวพรไง มึงไหวป่ะเนี่ยไอ้ไป๋”

   “อะไรวะ เหมือนเพิ่งเรียนกับแกไปเมื่อวานนี้เอง แม่ง น่าเบื่อชิบหาย” ผมบ่นปอดแปดตามประสา ก่อนก้าวเข้าห้องเรียนที่มีไอ้ตุลลี่ ไอ้ก๊าซ ไอ้คราม นักศึกษาจำนวนหนึ่ง และอาจารย์ได้ประจำที่อยู่ก่อนแล้ว




   “สวัสดีค่ะ นักศึกษา สัปดาห์ที่แล้วเราจบเรื่องของแก๊สอุดมคติไปแล้วนะคะ วันนี้เราก็จะมาต่อกันในส่วนของ...” เสียงหวานน่าฟังของอาจารย์ก็ดังเจื้อยแจ้วต่อไป สำหรับผมแล้วมันคือการกล่อมให้หลับต่อเนื่องจากการพักผ่อนไม่เพียงพอจากเมื่อคืนได้ดีมาก

แต่ยังไม่ทันให้ผมได้ฟุบหัวลงกับโต๊ะ ก็ได้เจอกับลูกตบกลางหัวของไอ้ยีนส์เข้าเสียก่อน
   “ตื่นขึ้นมาฟังอาจารย์ก่อน” มันทำหน้าบึ้งแล้วบอกให้ผมเงยหน้าขึ้นมาฟังอาจารย์
   “ครับพ่อ”

   จะนอนยังนอนไม่ได้เลยชีวิตไอ้ไป๋




   นาฬิกาเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนมาถึงเวลาแห่งการหมดทุกข์หมดโศกสำหรับผมเสียที ในระหว่างคาบที่ผ่านมาหลังจากโดนเมทรักผู้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนตบเกรียนสั่งสอนไป ถามว่าไป๋ตั้งเรียนเพิ่มขึ้นไหม ก็ส่ายหัวรัวๆเลยว่าของแค่นี้ไม่ทำให้ไป๋ผู้ที่มีสมองอันทึบสามารถตั้งใจเรียนขึ้นได้เลยแม้แต่นอน ผมก็ยังแอบงีบบ้าง เอาโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นบ้าง งัดนู่นแงะนี่เรื่อยไป เพื่อรอให้หมดคาบ แต่ผมก็ลืมคิดไปว่ามันไม่น่าจบแค่นั้น


   “วันนี้ขอพอแค่นี้ก่อนค่ะ เรามาต่อกันในส่วนของคะแนนสอบคราวที่แล้วกันนะคะ” เสียงโห่ร้องและเสียงฮือฮาดังขึ้นจากทั่วห้อง ผมที่กำลังดี๊ด๊าเพราะหมดคาบเรียน ก็ต้องรู้สึกตัวหดเล็กลงอีกรอบ เมื่ออาจารย์เล่นประกาศคะแนนโดยการเปิดไฟล์ขึ้นโปรเจคเตอร์โดยไล่รายชื่อไปทีละภาควิชาในทันที


   “เหยด ไอ้พิวแม่งท็อปภาคว่ะ ไม่เคยธรรมดาอ่ะเพื่อนกู” เสียงไอ้สมุยพูดแซวดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง แต่สายตาของผมตอนนี้กำลังไล่หารหัสและคะแนนของตัวเองอยู่
ปกติรหัสกูต้องต่อหลังรหัสไอ้พิวสิ แต่นี่ทำไมรหัสไอ้พิวปุ๊บก็รหัสไอ้ก๊าซเลยวะ?

   “มึง ไม่มีรหัสกูว่ะ”

   “มึงมองหาดียัง?” ผมที่เริ่มหน้าเสียเพราะไม่เจอคะแนนตัวเอง ยังไม่ทันยกมือถามอะไร อาจารย์ก็เปิดไปยังหน้าอื่นแล้ว แต่ก็เหมือนจะมีคนหารหัสตัวเองไม่เจอแบบผมบ้างเหมือนกัน เลยยังพออุ่นใจได้พยายามคิดในแง่ดีว่าอาจารย์อาจทำรายชื่อตกหล่นไป



   “ส่วนนักศึกษาคนไหนที่ไม่มีรายชื่อในนี้ ให้ไปพบเป็นการส่วนตัวที่ห้องพักอาจารย์ภายในกลางวันนี้ค่ะ”





❋❋❋





   “เอาน่าอีไป๋ มึงอย่าเพิ่งเครียด มึงอาจลืมเขียนชื่อในข้อสอบแล้วอาจารย์เรียกให้ไปดูก็ได้” และแล้วตอนนี้พวกเราได้มาสุมหัวกันอยู่หน้าห้องพักอาจารย์เพื่อรอส่งผมเข้าห้องดำเป็นที่เรียบร้อย


   หน่วยน้ำตาเอ่อคลออยู่บริเวณขอบตาอย่างห้ามไม่ได้ ยิ่งมีมือของไอ้ตุลลี่ลูบหลังประสงค์ดีปลอบอยู่แบบนี้มันยิ่งทวีความอยากร้องไห้ของผมออกมา เพื่อนๆของผมก็ใช่ว่าคะแนนที่ออกมาจะดีเด่นอะไร อย่างไอ้ตุลลี่นี่ก็ตกมีน แต่พวกมันก็เลือกที่จะมานั่งให้กำลังใจผมอยู่ข้างๆ ไป๋ซึ้งเลย


   “มึง กูมีลางสังหรณ์ไม่ดีเลยว่ะ”

   “เออน่า มึงเชื่อกูไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก” ผมลุกขึ้นยืน ทั้งๆที่ความต้องการมันสั่งให้ลงไปนอนร้องไห้กับพื้น เดินเอื่อยไปจับที่บานประตูที่มีชื่ออาจารย์ประจำรายวิชาเคมีที่ทำการสอนผมติดไว้ชัดเจน

   “ไป๋สู้ๆ” หันไปมองทางที่ไอ้ก๊าซยืนยิ้มโชว์เขี้ยวเสน่ห์ประจำตัว พร้อมชูสองนิ้วมาให้ ก่อนเลือกที่จะตอบรับยิ้มด้วยรอยยิ้มกลับไประหนึ่งว่าผมรู้สึกโอเคเสียเต็มประดา




   “ขอทราบชื่อ ภาควิชา และรหัสนักศึกษาหน่อยค่ะ”

   “ปพนวิช กิจจาวิช ภาควิชาเครื่องกล รหัสนักศึกษา 13001481 ครับ”

   ผมพูดตอบอาจารย์พลางยิ้มน้อยๆ หวังให้อาจารย์เอ็นดู ในขณะที่มือและเท้าผมเย็นจนชาเพราะความกลัวไปหมดแล้ว    ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาและสวดมนต์ในใจว่าขออย่าให้เป็นไปตามสิ่งที่ผมคิดเลย

   “ตอนทำข้อสอบนักศึกษามั่นใจไหมคะ?”

   “ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ครับ” มือทั้งสองถูกบีบเข้าหากันอย่างประหม่า ริมฝีปากเม้มแน่นเพื่อรอคำพูดต่อไปจากคนตรงหน้า

   “อาจารย์พูดแบบไม่อ้อมแล้วกันนะ ว่าคะแนนของเรามันค่อนข้างแย่เลยไม่ได้ประกาศในห้องให้”

   “…”

   “และที่เรียกมาคุยก็เพราะจะถามว่าไฟนอลถ้าจะสู้ต่อจะสู้ไหวไหม? จากคะแนนไม่หาร 18/120 ถือว่าห่างเพื่อนอยู่มาก”
หัวใจของผมหล่นวูบไปหลังจากจบประโยคสุดท้ายทันที เลยได้แต่พยักหน้ารับอาจารย์ไม่ได้โต้ตอบอะไร



   “ถ้าเราคิดว่าสู้ไม่ไหว อาจารย์แนะนำว่าถอนวิชานี้ไปเรียนตอนซัมเมอร์ แล้วเราเวลาที่เหลือตรงนี้ไปอ่านวิชาอื่นดีกว่านะ”







   กายหยาบที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณของผมก็ได้ใช้ชีวิตในวันนี้ผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน เหตุการณ์หลังออกมาจากห้องอาจารย์นั้นก็อย่างที่ทุกคนคิดกันแหละครับ ว่าไอ้ไป๋ร้องไห้โฮทันทีที่ก้าวขาออกมา ไม่คิดเรื่องอายเพื่อนอะไรใดใดแล้วในตอนนั้น

   ถ้าเป็นเรื่องที่ผมไม่ได้พยายามแล้วผลออกมาไม่ดี ผมก็จะไม่เสียใจเท่ากับ การที่เราได้พยายามอย่างเต็มที่ เพียงแต่เราไม่ถนัดในด้านนี้ ผลของการพยายามมันเลยดูจะสูญเปล่าไปสักเล็กน้อย


   ก็พยายามแล้วอะ ทำไมกูต้องเกิดมาโง่ด้วยวะ?


   เพื่อไม่ให้สมองฟุ้งซ่านไปกว่าเดิมอย่างที่ผมชอบเป็น เลยตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าโซเชี่ยลเผื่อจะมีอะไรเจริญตาขึ้นมาบ้าง ก่อนกดเข้าแอพสีน้ำเงินยอดฮิต แบบที่นานๆที่จะเข้าสักครั้ง
นิ้วหัวแม่มือสไลด์เลื่อนไปอย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีโพสต์ไหนบนหน้าฟีดที่ทำให้ผมรู้สึกสนใจได้เลย



จนมาเจอกับ...



Taechin T. อยู่กับ Pew Phatipol  และคนอื่นๆอีก 2 คน ---- @เบิร์นเบบี้เบิร์น บาร์
มาฉลองให้เสี่ยพิว ท็อปเคมีของภาคเป็นรองแค่ท็อปจากภาคเคมีเท่านั้น เฮียแกโสด บ้านรวย ____ใหญ่นะครับ สาวคนไหนสนใจติดต่อได้เลยคร้าบ




ก่อนจะจิ้มเข้าไปดูคอมเม้นเพิ่มเติม



Pew Phatipol พ่อง


Samui Samuisamui ล่าสุดเจ้าของโพสต์คออ่อนล้มพับไปแล้วครับโผม


KKen อ่อนสัสอ่ะเพื่อนเรา


   

   นิ้วเรียวทันทีที่กดลงไปในตัวเลือกดูคอมเม้นท์เพิ่มเติมกลับต้องชะงัก เมื่อไปเจอกับโปรไฟล์ที่ตั้งค่ารูปประจำตัวยืนข้างกับคนๆนึงที่ผมเองก็เกือบจะลืมไปแล้ว...


   ไอ้เคนที่ตั้งดิสเป็นรูปคู่กับพลอยใส


   ปากบางเม้มเข้าหากันอย่างใช้ความคิด เขาควรเข้าไปดูความเป็นไปของทั้งสอง หรือเลือกจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเลยดี ไม่ทันไรไป๋ก็แพ้ความอยากรู้อะไรบางอย่าง เลือกที่จะกดเข้าไปดูอยู่ดี ดูว่าสองคนนั้นเขารักกันมากขนาดไหน

   สายตากวาดตามความเร็วในการสไลด์เลื่อนของหน้าจอ ทั้งโพสต์นู่นนี่ที่ทั้งสองแท็กให้อีกฝ่ายรับรู้ โพสต์หวานๆ เพลงซึ้งๆ รวมทั้งสถานะที่ได้ตั้งเพื่อประกาศให้ทุกคนได้ทราบโดยทั่วกัน



KKen in a relationship with PLOY-SAI
6 days ago
[/b]



   บางสิ่งที่เขาเพิ่งได้รับรู้มันกลับทำให้รู้สึกถึงความชัดเจนในหัวใจจนเจ้าตัวหลุดยิ้มออกมาด้วยความสบายใจ ก่อนจะปัดจอเพื่อกลับสู่หน้าคอมเม้นท์เหมือนเดิม

   กับพลอยใส เขาไม่ได้รู้สึกอะไรอย่างที่ปากชอบพูดจริงๆแล้ว ไม่มีอีกแล้ว...

   แม้ว่าจะเห็นโพสต์ขึ้นคบกันรูปคู่หรืออะไรก็ตาม ตอนนี้ไป๋ก็สามารถดูมันได้อย่างไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ดีใจจัง…




   

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter five ―160818)
«ตอบ #23 เมื่อ16-08-2018 18:07:07 »


   กลับมาสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน


   ตาเรียวเล็กจะก้มมองสมาร์ทโฟนในมืออีกครั้ง พลันใช้สมอกลั่นกรองในสิ่งที่จะพิมพ์ลงไป จนได้ออกมาเป็นหนึ่งข้อความ   



   PaiPai Paponwich @Pew Phatipol มาติวให้กูหน่อยยยย



   หลังจากนั้นให้หลังไม่กี่นาที หนึ่งการแจ้งเตือนก็ปรากฏให้เห็น แต่ที่ต้องแปลกใจเพราะกลับเป็นแจ้งเตือนในแอพไลน์แทนที่จะเป็นแอพเฟซบุ๊คตามที่คาดไว้



1 เพื่อนใหม่



   ก่อนจะกดเข้าห้องแชทที่เจ้าของเพิ่งแอดเข้ามาเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วนี้



just pew : อาจารย์เรียกไปคุยเป็นไงบ้าง?

                        
Paipai : คะแนนเหี้ยชิบหายอะ

just pew : เดี๋ยวติวให้ ว่างวันไหนอ่ะ?[/i]




   “เหยด งี้สิวะเพื่อนเรา”

   ผมอุทานให้กับความเมตตากรุณาของไอ้พิวซะดัง จนไอ้ยีนส์ที่กำลังวิดพื้นฟิตหุ่นไปโชว์สาวๆถึงกับหยุดการเคลื่อนไหวแล้วถามกลับมาด้วยสีหน้าแปลกใจ

   “ร้องเหยดอะไรของมึงไอ้ไป๋”

   “ไอ้พิวบอกว่าจะติวเคมีให้อะ เป็นไงคนดีสัสๆว่ะเพื่อนเรา”

   “บอกมันว่ากูไปด้วยๆ” ยีนส์ส่งสายตาเป็นประกายอย่างมีความหวังมาให้ผม เพื่อที่จะส่งให้ข้อความไปขออนุญาตจากเจ้าตัว ผมพยักหน้าตอบรับให้ไอ้ยีนส์ ก่อนจะลงมือพิมพ์ส่งข้อความถัดไปลงในแชท



                     
paipai : เพื่อนกูไปติวด้วยได้ป่ะ?

just pew : มาดิๆ
just pew : เริ่มวันไหนอ่ะ?

                     
paipai : พรุ่งนี้เลยไหม กูร้อนวิชา

just pew : โอเค อย่าลืมเตรียมชีทมาด้วย
just pew : ส่งสติ๊กเกอร์ [/i]




   ผมหัวเราะให้กับสติ๊กเกอร์ที่ไอ้พิวส่งมา เป็นตัวการ์ตูนรูปหมาน่ารักที่ดูเผินๆแล้วช่างขัดกับมันเหลือเกิน พลางนึกได้ว่าตอนที่เล่น letter for love ที่มันเขียนเป็นกุ้งเผา เจ้าตัวเองก็เคยเขียนบอกไว้ว่าชอบหมามากที่สุด


   จะว่าไปพูดแล้วก็คิดถึงตอนนั้นขึ้นมาเลยว่ะ...


   ผมสะบัดไล่ความคิดในหัวทิ้งรัวๆทันที หลังจากตั้งสติได้ว่ากุ้งเผาที่กูรู้สึกดีด้วยก็คือไอ้พิวนี่หว่า จะไปคิดถึงตอนนั้นทำไมวะ ในเมื่อก็รู้ว่ากุ้งเผาเป็นคนใกล้ตัวเสียขนาดนี้


   เจออยู่แทบทุกวัน จะไปคิดถึงทำไม...





❋❋❋




   “ไอ้พิว มึงว่าพวกเราจะได้ติวไหมวะ?”

   “กูว่ายันสว่างอ่ะ”

   “เนื้อหาเหรอ?”

   “เหอะ นั่งดูไอ้พวกเหี้ยนี่แดกเหล้าเนี่ย!”


   หลังจากหมดการเรียนการสอนในวันนี้ ทั้งผม ไอ้ยีนส์ รวมทั้งไอ้ตุลลี่ ไอ้ก๊าซ ไอ้คราม ที่ติดสอยห้อยตามมา เมื่อรู้ว่าท็อปเคมีของภาคเครื่องกลจะเป็นคนติวให้ พวกเราบึ่งกลับห้องไปอาบน้ำ เก็บของ กินข้าวให้เรียบร้อยแล้วมุ่งหน้ามาหาคนที่เอ่ยปากอาสาทันที

   แต่เมื่อมาถึงก็เกิดความฉงนขึ้นภายในใจปากกลางถึงมากว่า เหตุใดห้องของนายปฏิพลหรือที่เราเรียกกันว่าพิวที่นัดหมายกันเป็นสถานที่ติวนั้น ถึงได้มีทั้งเหล้า เบียร์ น้ำแข็ง โซดา และกับแกล้มอีกมากมายวางกองอยู่ที่กลางห้องแบบนี้


   “ไม่ได้นะเว้ยไอ้พิว มึงสัญญากับพวกกูไว้แล้ว”

   “เมื่อวานยังไม่สะใจไง เลยมาต่อวันนี้ที่ห้องมึง”


   เต้และสมุยเอ่ยขึ้นตามลำดับ ทำเอาผมและเดอะแก๊งค์ถึงบางอ้อไปพร้อมๆกัน ถึงวันนี้ไม่เห็นหน้าไอ้เคน แต่ก็คงเดาไม่ยากว่าหายไปไหน


   “แล้วมึงจะไม่ติวเหรอ? ไปเอาชีทมาเลยจะได้มานั่งอ่านกัน เหล้านี่ก็ค่อยไว้แดกวันอื่น เก็บๆๆ”

   “ไม่ได้! กูเอาน้ำแข็งออกมาแล้ว ถือเป็นการเปิดวงเหล้าอย่างเป็นทางการ”

   “พวกมึงก็มานั่งแดกด้วยกันสิ จะยืนอึ้งอยู่ทำไม” สมุยที่น่าจะเริ่มดื่มไปบ้างแล้ว ดูได้จากผิวตามใบหน้าและลำคอที่เริ่มขึ้นสีแดงนั่น ตบปุๆลงที่พื้นข้างตัวเอง พร้อมเรียกพวกผมที่ตอนนี้กำลังรับมือกับสถานการณ์ไม่ถูกอยู่ที่หน้าประตูห้อง


   “มาๆ กูเอาด้วยค่า”

   “เอาจริง?/ไอ้ตุลลี่/อ้าว” ผม ไอ้ยีนส์และไอ้ก๊าซเอ่ยท้วงไอ้ตุลลี่ที่เดินหน้าบานผ่านประตู พร้อมเข้าไปร่วมวงกับสองสหายนั่นแล้วเรียบร้อย

   “วันรับน้องภาคกูมัวแต่ส่องผู้ชาย แทบไม่ได้แตะเหล้าเลยอะ กูขอแดกหน่อยน้า นิดเดียวๆ..”

   พวกผมได้แต่ไถ่ถอนหายใจ ก่อนเดินเข้ามายังในห้องตามคำเรียกของไอ้พิว สรุปวันนี้ติวเคมีกูเป็นหมันใช่ไหมเนี่ย...

   “ไอ้ไป๋ จะแดกเหล้าหรือเบียร์”

   “ไม่แดกอะ” ผมตอบกลับไอ้เต้ที่ยังไงก็ยืนยันจะให้ผมดื่มให้ได้

   “ไม่ไ-”

   “ไป๋ไม่กิน ก็อย่าไปบังคับสิ” ร่างข้างๆปัดแก้วแอลกอฮอล์สีเข้มคืนไปยังเจ้าของมือที่ยื่นมา

   “เออๆ เรื่องของมึง”



   อันที่จริงห้องแม้จะเป็นห้องคู่ มีเตียงขนาดคิงไซส์ตั้งตระหง่านชนิดที่ว่าสองคนก็นอนได้สบาย แต่ไอ้พิวก็เลือกที่จะอยู่คนเดียว จ่ายคนเดียว บอกได้แค่ว่าถ้าไม่รวย ไม่ชิคจริงคงทำไม่ได้ เพราะจากขนาดและราคาที่ถูกกะโดยสายตาในตอนนี้ ห้องที่กว้างเหมือนเอาห้องของหอในมาต่อกันสักสองห้อง เฟอร์นิเจอร์ครบ หอใหม่เอี่ยม มีระบบรักษาความปลอดภัยโดยใช้คีย์การ์ดเท่านั้น ไม่ต้องพกกุญแจให้วุ่นวายเหมือนหอผม ส่วนไอ้เต้กับสมุยผมก็ได้ข่าวว่าทั้งสองเป็นเมทกัน อยู่หอนี้เช่นเดียวกันแต่ต่างแค่ชั้น



   ได้ยินเสียงเฮฮาจากวงเหล้าพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระ แม้จะไม่ได้ดื่มไปด้วย แต่ก็ทำให้รู้สึกถึงความสนุกสนานตามๆกันไป มัวพูดคุยจนลืมดูเวลาไปเสียสนิท



   สายตากวาดไปมองยังนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาสามทุ่มกว่าๆแล้ว กับเพื่อนๆที่เริ่มจะมีสภาพกึ่งคนกึ่งสุนัขเข้าไปทุกที ก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ แม้ไม่ดื่มก็ไม่เลือกที่จะกลับก่อน เพราะตอนขามาไอ้ตุลลี่อาศัยซ้อนเบาะจักรยานมาด้วย ทางด้านจักรยานของไอ้ครามก็มีไอ้ก๊าซซ้อน ส่วนของไอ้ยีนส์ก็ไม่มีเบาะซ้อนเสียงั้น



   “พิวขอยืมเตียงมึงหน่อยนะ ง่วงว่ะ”

   “เออได้ นอนเลย”
   


   ผมยืนมองเจ้าเตียงขนาดใหญ่จัดชิดผนังห้อง เดาจากลักษณะการวางหมอนและผ้าห่มแล้ว ไอ้พิวมันน่าจะนอนตรงกลางระหว่างเตียงคนเดียว จึงตัดสินใจล้มตัวนอนลงขอบๆเตียงให้กินพื้นที่ให้น้อยที่สุด

   งีบรอไอ้พวกนั้นสักแปปก็น่าจะดีกว่าต้องทนนั่งสัปหงกหลังขดหลังแข็งบนพื้น เนื่องด้วยสาเหตุนอนไม่หลับเพราะคะแนนเคมีมาจากเมื่อคืนก่อน เลยทำให้เกิดอาการง่วงหนาวหาวนอนตั้งแต่หัวค่ำแบบนี้


   ว่าแล้วก็จัดแจงท่านอนของตัวเองพร้อมหลับตาลงทันที นี่สินะที่เขาว่าเอาเงินซื้อคุณภาพชีวิต เตียงนุ่ม แอร์เย็น นอนสบาย ปล่อยให้รอบข้างวุ่นวายด้วยเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจไป ก่อนจะเข้าสู่นิทราอย่างสนิท




❋❋❋





   “อื้อออ” ตาเรียวกระพริบถี่ๆไล่ความมึนงงออกไป อาการง่วงนอนที่เคยเป็นก่อนหน้านี้หายไปอย่างปลิดทิ้ง สงสัยวันหลังต้องงีบแบบนี้บ่อยๆเสียแล้ว


   ใบหน้าที่เงยมองเพดานกลับต้องแปลกใจว่าเสียงที่เคยดังก่อนหน้านี้กลับหายไป เลยทำให้ต้องลุกขึ้นนั่งบนเตียง ก่อนสำรวจไปยังก๊งเหล้าที่เขาได้แยกตัวมานอน สงสัยเมาคออ่อนล้มพับกันไปหมดแล้วมั้ง


   เมื่อยันตัวจนมานั่งหลังตรงบนที่นอนได้ก็ต้องพบว่าไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคาดไว้เลยแม้แต่น้อย บนพื้นที่เคยเต็มไปด้วยเพื่อนของเขา กลับว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ถ้วยกับแกล้มและขวดเหล้าที่เคยตั้งไว้ก่อนหน้านี้เลย


   ร่างบางเบิกตาโตเป็นไข่ห่าน นี่เพื่อนของเขาไปไหนกันหมด? ก่อนจะต้องตกใจมากกว่าเดิมเมื่อหันไปมองนาฬิกาบนผนังอันเก่ากำลังบอกเวลาเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ



   22.56



   แต่หอกูปิดห้าทุ่ม อีเชี่ย!!!


   ตั้งสติได้ก็รีบคว้าของใช้ของตนเองจับยัดใส่กระเป๋า เตรียมตัวกลับหออย่างด่วนจี๋ แต่ยังไม่ทันให้ได้เดินไปไหนไกล ก็พบกับเจ้าของห้องที่เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพนุ่งผ้าขนหนูมีหยดน้ำเกาะตามลำตัว เดินออกมาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำให้ร่างบางรู้สึกเหมือนตนเองเกิดอาการเดจาวูอย่างไรอย่างนั้น


   “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ?”

   “เออ ตื่นแล้วไอ้สัส แม่งไม่มีใครปลุกกูเลยสักคน มันน่าน้อยใจนะเนี่ย” จะไม่ให้น้อยใจได้ไง ผมอุตส่าห์นอนรอจะได้กลับพร้อมกัน แต่พวกมันเลือกที่จะทิ้งผมแล้วกลับกันไปทั้งอย่างนั้น

   “พวกมันปลุกแล้ว มึงนั่นแหละไม่ยอมตื่นเลย”

   “อ้าว...”

   “นอนนี่ก่อน ห้าทุ่มแล้วไปไม่ทันหรอก”

   ผมคิดตามเหตุผมของมันก่อนยอมใจอ่อน ทิ้งกระเป๋าลงบนพื้นเหมือนเดิม นี่ผมหลับลึกอะไรขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?

   หางตาเหลือบไปเห็นไอ้พิวเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วคุ้ยหาของสักพักนึง ก่อนจะเดินมาหาผมแล้วยื่นของใช้ที่จำเป็นให้

   “อะ เสื้อผ้า กางเกงในกูเอาตัวใหม่ให้ ในห้องน้ำกูก็เอาแปรงอันใหม่วางไว้ให้แล้ว”

   “เออ แต๊งกิ้ว” ผมมองเสื้อผ้าไซส์ไอ้พิวในมือที่ถูกพับมาอย่างเรียบร้อย ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป พร้อมเสียงทุ้มที่ดังไล่หลังตามมา


   “รีบๆอาบ เผื่อมีเวลาเหลือจะได้นั่งสอนเคมีให้”






   เข็มยาวชี้ตรงไปยังเลข 12 พร้อมกับเข็มสั้นที่ชี้ไปยังเลข 1 แต่ทั้งสองก็ยังคงนั่งอ่านหนังสือกันอย่างแทบไม่เงยหน้าขึ้นมาสนใจเวลากันเลยทีเดียว

   “ไอ้พิว ทำไมข้อนี้ สมการแม่งตัด v ออกไปเลยวะ”

   “ไหน...ข้อ 8 เหรอ?”

   “เออใช่”

   “นี่ไง โจทย์เขาบอกอยู่ว่าภาชนะมีขนาดคงที่ ปริมาตรเลยคงที่ไปด้วย ก็ตัดออกจากสมการได้เลย”

   “อ๋อ กูอ่านโจทย์ไม่ครบ”

   “...ไอ้ต๊อง” ว่าจบมันก็เอาปากกาเคาะหัวผมไปทีนึง ก่อนลุกขึ้นไปบิดขี้เกียจโชว์พุงอยู่กลางห้อง



   หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จ เมื่อออกมาก็ผมกับพิวที่กางโต๊ะญี่ปุ่นนั่งกับพื้นพร้อมกางชีทวิชาเคมีรออยู่ก่อนแล้ว แต่อย่างไรก็ต้องยอมรับเลยว่ามันสอนดีมากๆ อธิบายเนื้อหาของแต่ละบทให้ฟังได้อย่างเข้าใจ มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าไปตั้งใจเรียนในคาบอีก แถมโจทย์เพิ่มเติมที่กำลังทำอยู่นี่ก็เป็นส่วนช่วยได้อีกแรง


   ประเสริฐสุดๆเลยครับ นายปฏิพล เนี่ย




   “ตีหนึ่งกว่าละ เบรกสัก 5 นาทีแล้วค่อยมาต่อให้จบบทแล้วกัน เหลืออีกนิดเดียว”


   ผมรีบคำนวณโจทย์ข้อที่ค้างไว้ให้จนเสร็จ ก่อนจะแผ่ตัวลงนอนกับพื้นกระเบื้องเย็นด้วยความเมื่อยล้า อันที่จริงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ง่วงมากหรอก เพราะผมเผลอหลับไปตั้งหลายชั่วโมง แต่อีกคนคงจะเริ่มง่วงแล้วถึงได้เดินไปหยิบเบียร์มาดื่มอย่างนี้

   “พิว มึงง่วงแล้วเหรอ?”

   “หึ ยังอะ”

   “ถ้ามึงง่วงนอนก่อนก็ได้นะ แล้วค่อยมาต่อพรุ่งนี้”

   “ไม่เป็นไร ปกติกูอ่านดึกอยู่แล้ว อะ...เบียร์ปะ? จะได้หลับสบาย” ผมมองกระป๋องเบียร์สีเงินลายเขียวในมือร่างสูง ก่อนกระเดือกน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก


   แดกของดีซะด้วย...แต่กูสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่แดกเหล้า .. แต่นี่มันเบียร์นะ ไม่เป็นไรหรอก แดกได้


   “ขอบใจมึง”


   มือขาวเลื่อนไปรับของจากร่างใหญ่ที่ยื่นค้างไว้ ปลายนิ้วของทั้งสองสัมผัสกันเพียงเบาๆ แต่เท่านี้ก็ทำให้ร่างบางห้วนนึกถึงคืนที่รับน้องริมทะเลในคืนนั้นขึ้นมา แม้ตอนเกิดเรื่องเขาอาจไม่ได้มีสติจนจำเรื่องราวได้อย่างละเอียด อย่างไรมันก็สร้างความอับอายได้อย่างมากทุกครั้งที่หวนนึกถึง เรื่องลามกนั่นทำเอาเจ้าคนมาขออยู่อาศัยหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอีกระลอกนึง


   ‘...ขยับหน่อย’
   ‘ฮึ?
   ‘อือ ขยับให้หน่อย...’




   ทั้งห้องเงียบลง มีแค่เพียงเสียงลมเย็นที่ดังออกมาจากเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานอยู่เท่านั้น ร่างของทั้งคู่ยังคงนั่งอยู่บนพื้น ต่างคนต่างจัดการกับกระป๋องเบียร์ในมือไปเรื่อยๆ บรรยากาศรอบตัวพาให้ใจไม่อยู่สุขเอาแต่คิดไปนู่นไปนี่ คนตัวเล็กกว่าอดไม่ได้จนต้องพูดออกมา


   “กูว่าแดกเสร็จแล้วนอนเลยดีกว่า เริ่มง่วงละ” ตัดบทเสร็จสรรพพร้อมลุกขึ้นไปทิ้งกระป๋องในมือลงถังขยะทันที ทำเอาคนที่ยังนั่งมึนงงกับอาการของอีกฝ่าย

   “เออ ได้ๆ”


   ถ้ายังฝืนนั่งอ่านต่อ คนนั่งตรงข้ามต้องรู้แน่ๆว่าตอนนี้เขากำลังหน้าแดงแบบที่ตัวเองก็ยังแปลกใจ เนียนเข้าห้องน้ำมาตรวจดูสีหน้าตนเอง ก่อนจะทึ้งหัวแบบไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเอาเสียเลย ความรู้สึกในใจตอนนี้ช่างก่ำกึ่งระหว่างคำว่า อับอายและขวยเขิน จนหัวสมองเริ่มจะตีกันแล้ว



   ทำไมตอนคิดว่าไอ้พิวเคยทำให้แล้วแม่งเสือกเขินวะ? ตอนแรกกูนึกว่าตัวเองอายนะ แต่ตอนที่นึกถึงเรื่องนั้นตอนไม่ได้อยู่ตรงหน้าไอ้พิวก็เฉยๆอ่ะ แต่เมื่อกี๊มือไปโดนกันนิดเดียวเสือกหน้าแดงเฉยเลย...

   ไอ้ไป๋ มึงต้องบ้าแบบที่ไอ้ยีนส์ชอบด่าแล้วแน่ๆ




   สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปแกล้งกดชักโครกให้คนที่อยู่ข้างเชื่ออย่างสนิทใจว่า เขาเข้าห้องน้ำมาทำธุระจริงๆ เมื่อออกจากห้องน้ำไปก็พบว่า ทั้งห้องปิดไฟหมดแล้วเหลือเพียงแค่ไฟหัวเตียง ส่วนร่างสูงได้ล้มตัวนอนบนเตียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร่างบางจึงเดินอ้อมไปล้มตัวลงอีกฝากนึงของเตียงบ้าง อีกคนเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กล้มตัวและจัดแจงท่าเป็นที่เรียบร้อยจึงเอื้อมไปปิดไฟที่หัวเตียง


   ในตอนแรกที่พวกเขาตั้งใจจะนอนกันคนละฝั่งเตียงแต่ก็ไม่เป็นดั่งที่คิดเมื่อผ้าห่มในห้องนี้มีเพียงผืนเดียว จึงทำให้ทั้งสองต้องเขยิบเข้ามานอนใกล้กัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างไร



   นาฬิกายังคงทำหน้าที่ของตนเองอย่างแข็งขัน จนตอนนี้นับจากล้มตัวนอนก็ผ่านมาครึ่งชั่วโมงโดยประมาณแล้ว ทั้งห้องยังคงมืดสนิท แต่ตาของไป๋ก็ยังคงเบิกนอนมองเพดานเรื่อยมา ไม่มีท่าทีว่าเครื่องดื่มที่พิวให้มาจะช่วยทำให้หลับสบายตามที่เจ้าตัวอ้างแต่อย่างใด



   ผมที่นอนไม่หลับได้แต่พลิกตัวไปมาอย่างหงุดหงิดตัวเอง ไม่น่างีบตอนหัวค่ำเลยกู...


   “ยังไม่หลับเหรอ?” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นแทรกความคิดในหัวผม ทำเอาผมต้องหยุดการขยับตัวทั้งหมด

   “กูปลุกมึงปะ? ขอโทษๆ”

   “หึ นอนไม่หลับเหมือนกัน”

   “อ้าวเหรอ...”


   แล้วเราทั้งสองก็ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องอีกครั้ง


   “ไป๋ กูถามอะไรหน่อยดิ”

   “อือ เอาดิ”

   “มึงยังอยากรู้คำตอบของจดหมายฉบับล่าสุดนั่นอยู่ป่ะ?”


   ผมเม้มริมฝีปากก่อนประมวลผลคำพูดอย่างใช้ความคิด ก่อนจะออกมาเป็นประโยคที่ทำเอาคนถามถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ


   “ไอ้ไง่ ในโลกนี้ไม่มีจดหมายฉบับไหนที่ส่งไปแล้วไม่ต้องการคำตอบหรอก...”


   “งั้นเดี๋ยวตอบให้ฟังเลยแล้วกัน” ร่างสูงพูด แต่น้ำหนักตัวบนเตียงที่ยังเท่าเดิมทำให้รู้ว่าอีกคนก็ยังคงนอนอยู่บนเตียงไม่ได้ขยับไปไหน


   “ข้อแรก ทำไมต้องตั้งดิสเพลย์แนมว่ากุ้งเผา...อันนี้ตอบไปแล้ว”

   “เดี๋ยวๆ นี่มึงจำได้เหรอ?”

   “เออ อ่านบ่อยกว่าวิชาเคมีอีก”

   “อีเชี่-”

   “ต่อนะ ข้อสองกินข้าวที่ไหนบ่อยสุด” ปากที่กำลังจะอ้าขึ้นด่าอีกคนที่นอนข้างๆก็ต้องหุบลงทันที มึงหมายความว่ายังไง๊...

   “อืม ก็ซุ้มข้างช็อปมั้ง ขี้เกียจเดินไปแดกโรงอาหารคณะอื่น”

   
   เราต่างคนต่างนอนหงายมองเพดานกัน ผมได้แต่เงียบให้อีกคนพูดในสิ่งที่กำลังพูดให้จบ หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆตามหมายเลขข้อที่เพิ่มขึ้นอย่างหาเหตุผลไม่ได้


   “ข้อสาม เรื่องของรักแรก...น่ารัก แต่ก็ไม่บอบบาง เห็นครั้งแรกแล้วชอบเลย”

   “…”
   “ข้อสี่ เรื่องปวดใจล่าสุด...ก็คือ รักแรกที่ว่ามีแฟนแล้ว เพิ่มข้อข้อสี่จุดห้าไปด้วยว่า เรื่องที่ไม่ควรดีใจแต่ก็ดีใจล่าสุด…ก็คือเขาเลิกกับแฟนแล้ว”


   ประโยคก่อนหน้าทำเอาผมหายใจติดขัดจนมือทั้งสองข้างถูกบีบเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว


   “อ-อือ ต่อเลย”

   “ข้อห้า คนในอุดมคติเป็นยังไง ขอเปลี่ยนโจทย์เป็นคนที่ชอบตอนนี้เป็นยังไง”


   เสียงสีกันของผ้าปูที่นอนและเสื้อดังขึ้นจากทางด้านข้าง ทำใหรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังขยับตัวอยู่ ด้วยความอยากรู้จึงทำให้ผมพลิกหัวกลับไปดู แต่สิ่งที่เห็นกลับต้องทำให้ผมหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้เปิดไฟภายในห้องแล้ว แต่แสงที่เล็ดลอดเข้ามาก็ทำให้รู้ว่าพิวกำลังตะแคงตัวแล้วนอนจ้องผมอยู่

   “ขาว ตาตี่ หน้าตาดีน้อยกว่ากู แต่กูก็ยังมองว่าน่ารัก”

   “ห้ะ?”

   “ดูน่าปกป้อง แต่ก็ดูแลตัวเองได้ บางทีก็โก๊ะ แต่บางทีก็โง่”

   “ม-มึงจะมองหน้ากูทำไม?” ร่างบางถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่เข้าใจกับสิ่งที่ร่างสูงกำลังทำ

   “เป็นผู้ชาย แต่กูก็ยังชอบ”

   “!!!”

   “ข้อสุดท้าย อันนี้กูเติมเอง สิ่งที่อยากทำมากที่สุดในตอนนี้”


   ราวกับโลกทั้งใบหยุดลงหมด เหลือเพียงแต่ปากที่ผมชอบแอบมองเท่านั้นที่ยังคงเคลื่อนไหว แต่ละการขยับจะส่งเสียงออกมาทุกครั้ง ถึงแม้ว่าตาผมจะเบลอไปหมดแล้ว แต่หูและสมองมันกลับจำทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างดี


   “สิ่งที่อยากทำมากที่สุดตอนนี้คือ จีบไป่ไป๋ คนที่บ้านอยู่วงเวียนใหญ่ คนที่ถนัดซ้าย คนที่เกลียดวิชาเคมี คนที่อยู่ข้างหน้ากูตอนนี้”
   “…”
   “และเป็นคนที่มีคนเดียวบนโลกด้วย”

   





   ตู้ม!!!!!!!!!



▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔

ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9



และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter six ―160818)
«ตอบ #24 เมื่อ16-08-2018 18:33:15 »

chapter seven。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔


   ร่างบางหัวฟูเพราะฝีมือตัวเองที่กำลังทึ้งศีรษะไปมาอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่บนเตียงในตอนเช้าตรู่ทันทีที่ตื่นนอน ก่อนจะหยุดลงเพื่อนวดขมับทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนก่อนนอนเมื่อคืนนี้


   “สิ่งที่อยากทำมากที่สุดตอนนี้คือ จีบไป่ไป๋ คนที่อยู่วงเวียนใหญ่ คนที่ถนัดซ้าย คนที่เกลียดวิชาเคมี คนที่อยู่ข้างหน้ากูตอนนี้”
   “…”
   “และเป็นคนที่มีคนเดียวบนโลกด้วย”



   ทั้งคู่ผสานสายตากันท่ามกลางความมืด ด้านคนตัวสูงแสดงอาจไม่รู้ตัวว่าได้แสดงสีหน้าที่ไม่เคยแสดงให้เห็นมาก่อน ทำเอาคนตัวเล็กกว่าตกบ่วงของสายตาที่ถูกถ่ายทอดมา จนไปไหนไม่เป็น
   ดูหนักแน่น แต่ก็เว้าวอน
   ดูเหมือนประโยคบอกเล่า แต่ก็เหมือนประโยคคำสั่ง

   
   ‘ก-กูไม่ตลกนะ’
   ‘แล้วหน้ากูมันบอกไหมว่ากูล้อเล่น’

   จบคำต่างคนเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาอีก ต่างฝ่ายต่างหันหน้าหนีไปคนละทางคิดทบทวนสิ่งที่ได้ยินและได้พูดออกมา เนิ่นนานจนได้ยินถึงเสียงหายใจอย่างสม่ำเสมอของทั้งคู่ในที่สุด




   อ๊ากกก นี่มันเรื่องอะไรกัน!!!

      

   ผมสูดหายใจลงปอดลึกๆอย่างที่ชอบทำ ก่อนจะค่อยๆเหลือบสายตาไปหาเจ้าของประโยคที่ทำเอาผมแทบไปไม่เป็นนั่น ก็ปรากฏว่าเจ้าตัวยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่เหมือนเดิม เห็นดังนั้นผมจึงรีบเก็บข้าวของของผมในห้องนี้ลงกระเป๋าแล้วเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำอย่างด่วนจี๋ทันที


   เดี๋ยวค่อยกลับไปอาบน้ำที่หอก็ได้ ส่วนเสื้อผ้านี่เดี๋ยวก็ค่อยคืนแล้วกัน บอกตรงๆว่ายังไม่พร้อมเจอหน้าไอ้พิวตอนตื่นในตอนนี้แบบสุดๆ


   ออกมาจากห้องน้ำก็มองดูนาฬิกาก็ยังเป็นเวลาแค่เจ็ดโมงอยู่ วันนี้มีเรียนตั้งเก้าโมงเวลาเหลือถมเถไป แต่ก่อนที่จะได้ก้าวเท้าออกจากห้องก็เหลือบไปเจอโพสต์อิทสีเหลืองสะท้อนแสงวางอยู่บนโต๊ะ ทำก็ทำเอาฉุกคิดความคิดอะไรได้เข้าเสียก่อน


   เออ ไหนๆมันก็อุตส่าห์นอนดึกสอนเคมีกูละ เขียนบอกมันหน่อยก็ได้วะ


   ก่อนจะหยิบปากกาเคมีขึ้นมาจากกระเป๋า แล้วลงมือเขียนลงในโพสต์อิทใบเล็กนั่นแล้วจัดการแปะไว้ในส่วนที่คิดว่าเจ้าของห้องน่าจะเห็นได้ง่ายทันที



   กูกลับหอแล้วนะ ไว้เจอกัน




❋❋❋





   ในที่สุดจนแล้วจนรอดตอนนี้ก็ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว หลังจากที่กลับหอในแสนรักของผมโดยสวัสดิภาพ แม้จะมีเมทรักที่ไม่แม้แต่จะไลน์มาถามความเป็นอยู่ทั้งๆที่ทิ้งผมไว้ให้อยู่ในเงื้อมือมารคนเดียว พวกมึงไม่รู้หรอกว่าเมื่อคืนกูเจออะไรมาบ้าง...

   “เออน่า เมื่อคืนมึงไม่ยอมตื่นเองอะ”

   “กูไม่ได้กลับด้วยแล้วไอ้ตุลลี่กลับยังไงอ่ะ เดิน?”

   “หึ มันโทรให้เมทภาคโยปั่นจักรยานมารับ” ไอ้เชี่ยเอ้ย กูไม่น่ารอพวกแม่งแดกเหล้าเล้ย

   ไอ้ยีนส์คนดีของโลกแต่ไม่ใช่โลกของผม กำลังเดินเอาจานอาหารเช้าไปเก็บให้ ปล่อยให้ผมนั่งหัวเสียอยู่ที่โต๊ะเพียงคนเดียว ขณะที่กำลังลุกขึ้นยืนเพื่อยืนรอไอ้ยีนส์ที่กำลังเดินห่างไป เสียงแจ้งเตือนจากไลน์ก็ดังขึ้นขัดขวางการออกเดินเสียก่อน

   ไลน์!
   ไลน์!

   ผมหยิบโทรศัพท์คู่ใจออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อรู้ว่าเป็นการแจ้งเตือนจากกลุ่มพวกผมเอง ไลน์มาทำไมวะ อาจารย์ยกคลาส?



ก้าดเก้วกาด : ไป๋ยีนส์ขึ้นมายัง?
ก้าดเก้วกาด : อย่าลืมไปซื้อชีทใหม่ใต้คณะด้วย

   


   ผมร้องอ๋ออย่างนึกออก เพราะวันนี้คาบเช้าเป็นวิชาแคลคูลัสที่เพิ่งเรียนบทเก่าจบไป


                     
paipai : อะเคร แต๊ง
[/i]
                  
paipai : คนมาเยอะยัง? ใครจะฝากซื้ออะไรไหม?
[/i]

ก้าดเก้วกาด : ไม่เอาๆ

ตุลาครับ : คนมาน้อยเว่อ
ตุลาครับ : ภาคเรามาแค่กลุ่มเรา
ตุลาครับ : กับกลุ่มพิวขาที่พิวขายังไม่มา
ตุลาครับ : เสียใจมั่ก
ตุลาครับ : *ส่งสติ๊กเกอร์ร้องไห้*


K : ไอ้ตุล มึงหยุดพิมพ์ที กูรำคาญ



   คิ้วต้องขมวดเป็นปมเพราะข้อความที่ไอ้ตุลพิมพ์เข้ามา พิวยังไม่มา? เป็นอะไรที่ผิดปกติมาก เนื่องจากกลุ่มของพวกมันชอบที่จะมาเรียนพร้อมๆกัน จนทำให้ได้ฉายาว่า F4 ภาคเครื่องนั่นแหละ ก่อนที่ผมจะเก็บสมาร์ทโฟนลงช่องกระเป๋าที่เดิม แล้วยืนรอไอ้ยีนส์ที่กำลังเดินกลับมา

   หรือเพราะเรื่องเมื่อคืน?



   “ป่ะไอ้ไป๋ รีบซื้อชีท ไอ้ก๊าซเพิ่งไลน์มาบอกอีกว่าอาจารย์เข้าแล้ว” ผมที่กำลังยืนคิดอะไรเพลินๆ ก็ถูกไอ้ยีนส์ถูลู่ถูกังลากไปร้านถ่ายเอกสารใต้คณะแบบทั้งอย่างนั้น


   “เอาชีทแคลเรื่องใหม่ของปีหนึ่งหน่อยป้า”

   “เอากี่ชุดดีลูก?” เสียงของป้าร้านถ่ายเอกสารใจดีที่รักนักศึกษาเหมือนลูกเหมือนหลานถามเมทของผมกลับ

   “สองชุดป้า ขอด่วนๆ จารย์เข้าแล้ว”

   “สองชุดนะลูก”

   “สามครับ” ทั้งไอ้ยีนส์และป้าหันมามองผมที่จู่ๆก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าที่แฝงไปด้วยความสงสัย ปนกับสีหน้าเชิงที่ว่า มึงจะเอายังไงกันแน่...

   “งั้นเป็นสามชุดนะลูก”

   “ครับ”

   ทันที่ที่ป้าเดินห่างไปหาเครื่องถ่ายเอกสารที่กำลังก็อปปี้ชีทตามจำนวนที่ผมสั่ง ไอ้ยีนส์ที่ยืนจ้องหน้าผมมาตั้งแต่เมื่อกี๊ก็อ้าปากถามทันที

   “อีกชุดนึงเอาไปให้ใครวะ?”

   “เสือกไอ้สัส” ผมตอบกลับหน้านิ่งกลบความที่กลัวความจริงจะเปิดเผยว่าผมจะซื้อไปให้ใคร

   “ไอ้พิว?”

   “ไอ้เชี่ยยีนส์”

   “มีงจะด่ากูทำไม เห็นไอ้ตุลลี่บอกว่าไอ้พิวยังไม่มา”

   “เออ กูซื้อไปให้มันเอง มึงมีปัญหาหรือไง”

   “ซื้อไปให้ก็ซื้อไปให้สิ กูแค่ถาม ไม่เห็นต้องร้อนตัวอะไรขนาดนี้เลย” มันว่าพร้อมเอื้อมไปรับเอกสารที่ป้าส่งให้แบบยังร้อนๆอยู่ ที่เพิ่งเอาออกมาจากเครื่องแบบสดๆ ทำเอาผมได้แต่พะงาบปากจะด่ากลับก็ด่าไม่ได้อยู่คนเดียว


   จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะ ผมร้อนตัวไปจริง...


   “อะ.. สองชุด เอาไปให้มันเอง แล้วจ่ายกูมาด้วยยี่สิบบาท”







   ทันทีที่ร่างบางพร้อมรูมเมทก้าวเท้าเข้ามาในห้องก็รีบจัดแจงวางกระเป๋า และนั่งลงบนที่นั่งประจำของตนเอง แต่กลับต้องแปลกใจเมื่อร่างคุ้นตาที่เพิ่งแยกกันมาไม่กี่ชั่วโมงกลับมายืนที่เก้าอี้ข้างๆตัวเขา ที่เขามักจะใช้ไว้เป็นที่วางกระเป๋า เนื่องจากจำนวนนักศึกษาที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนเก้าอี้เลกเชอร์ที่มีมากกว่า และไม่มีใครมานั่งข้างเขา ก็ทำให้เขาสามารถวางสัมภาระของตนเองได้อย่างสบายใจ


   “...อยากนั่งตรงเนี้ย” ร่างสูงว่าพร้อมชี้นิ้วลงมายังเก้าอี้ตัวข้างๆอย่างเอาแต่ใจ

   “ไม่ไปนั่งกับเพื่อนมึงอะ”

   “เต็ม” ร่างบางเลยหันไปมองเก้าอี้แถวหลังของตนเอง ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่อีกฝ่ายบอกจริงๆ ไป๋เลยต้องจำใจยกสิ่งของของตนเองออก เพื่อให้คนตัวสูงสามารถนั่งได้

   เมื่อพิวนั่งลงและกำลังหยิบเครื่องเขียนออกมาจากกระเป๋า มือขาวได้โอกาสหยิบชีทที่เพิ่งถ่ายเอกสารมาแล้ววางไว้บนเก้าอี้อีกฝ่ายทันที ทำเอาอีกคนที่ไม่รู้เรื่องว่าวันนี้เขาเรียนเรื่องใหม่กัน ถึงกับทำหน้างง

   “?”

   “ชีทใหม่ไอ้โง่” แต่แล้วคำกระซิบด่านั่นกลับสร้างรอยยิ้มให้ผู้มาใหม่ได้เป็นอย่างมาก

   “ขอบใจนะเมีย”

   “ใครเมียมึงไอ้เหี้ยพิว” ว่าพร้อมกดแรงเหยียบที่เท้าอีกฝ่ายไปเต็มๆ


   ทำหน้ายิ้มระรื่นอยู่ได้ กูแค่ใจดีด้วยหน่อย อย่าทำเหลิงไปเลย!




   และแล้วทั้งคาบนั้นก็เต็มไปด้วยทั้งคำด่าและคำสาปแช่งของทั้งสองคน ที่จะด่าก็ด่าไม่ได้อย่างเต็มเสียงเพราะเกรงใจอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หน้าห้อง แต่ก็ไม่พ้นหูสอดรู้ของเพื่อนไปอยู่ดี...


   “พวกมึงสองคนคุยอะไรกันวะ? หงุงหงิงๆกันตั้งแต่ต้นคาบละ” ไอ้ยีนส์ที่ผมสงสัยว่ามันคงนั่งสงสัยมาตั้งแต่ต้นคาบจนทนไม่ไหวเลยเอ่ยถามขึ้นมา

   “กูให้ไอ้พิวมันอธิบายเรื่อง non-linear ให้ฟังอ่ะ แม่งยากชิบหายเลย”

   “อ๋อ โอเค” ผมยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อจากการแถสีข้างแทบถลอก ก่อนหันมาส่งสายตาคาดโทษไปยังไอ้ตัวปัญหาที่เอาแต่ชวนผมตี แต่ก็ยังไม่วายคว้ากระดาษเอกสารการเรียนผมไปขีดๆเขียนๆ ก่อนยื่นกลับมาให้ผมอ่าน


   ตอนบ่ายมีประชุมคอนคณะ อย่าลืมเข้าด้วย


   อ่านข้อความในกระดาษจบ สมองก็พลันนึกได้ว่าวันนี้พี่ปีสูงเรียกเข้าห้องประชุมกันทั้งชั้นปี ไปคุยเรื่องของคอนเสิร์ต ที่จะเป็นงานของชั้นปีที่ 1 อย่างพวกเรา ก่อนจะหยิบดินสอแล้วเขียนข้อความตอบกลับไปบ้าง



   เออ กูไม่โดดหรอกน่า แล้วนี่จะไม่เรียนกันแล้วใช่ไหม?

   กูอ่านมาล่วงหน้าแล้ว แค่นี้จิ๊บๆ

   

   
   ผมกรอกตามองบนให้ในความมั่นใจของไอ้พิว จ้า พ่อคนเก่ง  ส่วนผมที่แม้ว่าจะกากไปเสียทุกภาคส่วน แต่ขอบอกไว้ ณ ที่นี้เลยว่า แคลคูลัสของไป่ไป๋ แม้ตอนมิดเทอมคะแนนจะตกมีนกันไปเกือบทั้งคณะเพราะอาจารย์ออกข้อสอบพลิกแพลง แต่โดยรวมแล้วจัดอยู่ในเกณฑ์ดีนะครับ

   เนื้อหาที่อาจารย์กำลังสอนอยู่นี่ผมก็ได้อ่านและทำความเข้าใจมาล่วงหน้าแล้วเหมือนกัน เลยทำให้ผมมานั่งขีดเขียนข้อความไร้สาระพวกนี้กับไอ้พิวแทนการเล่นโทรศัพท์ได้อยู่นี่เอง



   จ้า

   เย็นนี้ว่างปะ?

   ทำไม?

   ไปแดกปิ้งย่างเป็นเพื่อนหน่อย

   ไปชวนเพื่อนมึงนู่น

   พวกมันไม่อยากแดก

   ไอ้ตุลลี่บ่นอยู่ว่าอยากแดก

   กูจีบมึง ไม่ได้จีบตุลลี่ ไม่งั้นกูจะชวนมึงไปทำไม

   



   ไอ้เหี้ยยยย!!!


   อ้าปากคิดใส่อารมณ์ไปในคำด่าแบบเต็มที่ แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรหางตาก็เหลือบไปเจอไอ้ตุลลี่ที่เอี้ยวตัวจากแถวหน้ากำลังจ้องเขม็งมาทางผมเสียก่อน

   “ไอ้ไป๋ มึงคุยอะไรกับพิวขา”

   “จุ๊ๆ ไอ้ตุลลี่เสียงเบาๆ เดี๋ยวอาจารย์ด่า”

   “ด่าอะไร นี่อาจารย์ปล่อยเบรกแล้ว ขอดูกระดาษแผ่นนั้นหน่อย” มันว่าพร้อมชี้ตรงมายังแผ่นที่มีลายมือขยุกขยุยเขียนอยู่เต็มไปหมด

   “ไม่มีอะไร ไอ้พิวมันแค่ทวนเรื่องเก่าให้กูเฉยๆ” ผมรีบคว่ำชีทตรงหน้าทันที

   “อ๋อ เหรอ” แต่ก็ดูเหมือนว่ามันยังไม่ได้เชื่อใจผมซะสนิท ทำท่าลุกจากเก้าอี้ตรงมาทางผม

   “เฮ้ย! ไอ้ตุลลี่ลงไปหาของแดกเป็นเพื่อนหน่อยดิ” เสียงไอ้ยีนส์ดังขึ้นขัดสารร่างของตุลลี่ที่กำลังเข้าใกล้ผมเรื่อยให้หยุดลง

   “กูไม่หิว มึงลงไปก่อนเลย”

   “เออน่า เมื่อวานป้าแกเขาบ่นคิดถึงมึง” คนตัวสูงว่าก่อนเดินมาจับแขนแล้วลากไอ้ตุลลี่ให้เดินไปด้วย

   “หยุดอียีนส์ กูเดินเองได้ ปล่อย!”

   “เดินตามกูมาตั้งแต่แรกก็จบละแม่ง” ก่อนที่เสียงจิกกัดของทั้งคู่จะค่อยๆออกห่างไป จนไกลกว่าจะได้ยิน

   ผมลอบถอนหายใจ ก่อนจะหยิบยางลบในกระเป๋าที่แทบจะไม่ได้ใช้ขึ้นมาลบร่องรอยอารยธรรมของผมแล้วคนข้างๆตอนนี้ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ ทำเอาผมหันหัวไปถามด้วยความสงสัย

   “หัวเราะอะไรของมึง?”

   “ฮ่าๆ เหมือนเด็กแอบแม่มีผัวเลย”


   แอบแม่มีผัวเหี้ยไร กูตอนนี้เหมือนเมียน้อยแอบแดกผัวเพื่อนมากกว่าอีกอีเชี่ยเอ้ย


   “เดี๋ยวนี้เอาใหญ่นะสัส พูดจาผัวๆเมียๆอยู่ได้” หยุดต่อล้อต่อเถียงแล้วก้มหน้าลงไปลบรอยดินสอก่อนที่สองคนนั้นจะกลับมา

   “ก็มีคนอนุญาตแล้ว”

   “ตอนไหนของมึง?”

   “ก็เมื่อคืนไง”

   “…” สองตากรอกไปมาอย่างใช้ความคิดพลางทบทวนคำพูดทั้งหมดของเมื่อคืน เดี๋ยวนะ กูยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ แม่งมั่วแล้วลามปามสัสๆ

   “มึงไม่ปฏิเสธสิ่งที่กูอยากทำ กูก็จะถือว่ามึงอนุญาตแล้วละกันนะ” ผมที่กำลังอ้าปากค้างในคำพูดของอีกฝ่าย ยังไม่ทันไร ชีทในมือของผมก็ถูกดึงออกไปด้วยแรงควายๆ ก่อนที่ไอ้พิวจะลงมือเขียนอะไรสักอย่างอีกครั้ง

   ไอ้เหี้ย กูเพิ่งจะลบไปเนี่ย

   เอกสารการเรียนของผมถูกส่งกลับมาพร้อมด้วยข้อความที่ทำเอาเลือดในร่างกายขึ้นไปกระจุกที่ใบหน้าด้วยความโมโห ก่อนที่เจ้าตัวจะโดนกระดาษในมือผมฟาดไปตามลำตัวแบบไม่ยั้ง เพราะข้อความที่ว่า...


   
ไป่ไป๋ <3 พิว
[/b]




   ก็ถือว่าเป็นคาบเช้าที่ต้องชดใช้เวรกรรมไปกับเจ้ากรรมนายเวรอย่างไอ้พิวก็แล้วกันครับ...





❋❋❋




    “สรุปการประชุมในวันนี้ก็คือ พี่อยากให้น้องๆสร้างโพสต์ในกรุ๊ปไลน์ชั้นปีแบ่งหน้าที่ตามที่พี่ได้ชี้แจงไป เพื่อให้น้องๆทุกคนได้ลงชื่อและมีหน้าที่ในกิจกรรมนี้ทุกคน”


   เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจถามเพื่อนรอบข้างดังขึ้นทันทีที่พี่กล่าวสรุปการประชุมในครั้งนี้เกี่ยวกับการแบ่งหน้าที่ของการจัดคอนเสิร์ตที่จะมีขึ้นภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า ก่อนจะปล่อยให้ปีหนึ่งแยกย้ายได้


   “มึง เราจะเลือกฝ่ายไหนกันดีวะ?”

   “Backstage แมะ จะได้เห็นศิลปินใกล้ๆด้วยนะ” เสียงไอ้ก๊าซดังขึ้นเสนอไอ้ตุลลี่

   “แต่เราจะไม่ได้ดูคอนเสิร์ตนะ”

   “...เออว่ะ” ไอ้ก๊าซเออออไปตามคำพูดของไอ้ยีนส์ที่แย้งขึ้นมา พวกผมไม่ได้มีเจตนาจะอู้หรือเลือกงานอะไรอย่างนี้หรอก แต่ในเมื่อรุ่นพี่อนุญาตให้เลือกฝ่ายตามใจชอบแล้ว จะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้เราไม่ต้องคิดถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละฝ่ายล่ะครับ

   “ชิบหายแล้วมึง เริ่มมีเพื่อนมาเม้นท์ฝ่ายในโพสต์ละ”

   “เอาไงดีมึง แต่ละฝ่ายแม่งจำกัดจำนวนคนด้วย” เราทั้งห้าคนเริ่มนั่งเครียดและพยายามเลือกฝ่ายลงชื่อกันอย่างเคร่งเครียด


   “ลงฝ่ายอะไรกันอะ?” เสียงทุ้มดังขึ้นขัดไอ้ตุลลี่และไอ้ก๊าซที่กำลังถกกันอยู่ ทำเอาพวกเราหันไปหาต้นเสียงแบบไม่ได้นัดหมายกันเป็นตาเดียว


   และนั่นก็เป็นใครไปไม่ได้ครับ ไอ้พิว เจ้า(กรรม)เก่าเจ้าเดิมที่ถือวิสาสะขอแหวกช่องว่างจากไอ้ยีนส์ แล้วนั่งแทรกระหว่างผมกับไอ้ยีนส์เป็นที่เรียบร้อย


   “พิวขาลงฝ่ายอะไรเหรอ? เดี๋ยวตุลลี่กับเพื่อนลงด้วยตอนนี้เลย” อ้าว...ไอ้ตุล

   “ไอ้เคนชวนลงฝ่ายสถานที่อะ เลยลงกันหมดทั้งกลุ่มเลย”

   “ได้เลยค่ะ...ไอ้คราม ในฐานะที่มึงกำลังจับโทรศัพท์อยู่ ตุลลี่ขอสั่งให้มึงพิมพ์ชื่อและรหัสพวกเราทั้งหมดลงในโพสต์ว่าอยู่ฝ่ายสถานที่เดี๋ยวนี้”

   “เออ รู้แล้ว มึงจะพูดให้มากความทำไมวะ” ไอ้ครามตอกไอ้ตุลลี่ไปทีก่อนจะก้มลงพิมพ์ตามที่บอก ส่วนทางกับผมที่อยู่ดีๆก็ได้หน้าที่ขึ้นมาโดยไม่ได้เป็นคนเลือกก็ทำเอานั่งเอ๋อในความปุบปับอยู่เหมือนกัน

   “เออดี จะได้ไม่ต้องไปนั่งหาทีหลัง ไปพวกมึงกลับหอกันดีกว่า” ไอ้ยีนส์ว่าแล้วไล่ให้พวกผมที่ยังนั่งอยู่ลุกขึ้นตาม ทำเอาผมต้องปลดล็อกโทรศัพท์แล้วดูเวลาในตอนนี้ เพิ่งจะบ่ายสองนิดๆ แถมไม่มีเรียนทั้งบ่ายแล้วด้วย จึงคิดได้ว่าจะกลับหอไปนอนสักพักแล้วค่อยออกมาหาไรแดกตอนเย็นดีกว่า

   “พิวขา เมื่อวานเรายังไม่ได้ติวเคมีกันเลยอะ วันนี้ว่างไหมรบกวนติวให้พวกเราย้อนหลังหน่อยน้า” ทันทีที่พวกเราลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินออกจากห้องประชุมเชียร์มา ไอ้ตุลลี่ที่เห็นว่ารอบข้างของไอ้พิวทางสะดวกในการเกาะแกะก็รีบปรี่เข้ามาเดินควงแขนร่างสูงทันที

   “ได้ดิ เวลาเดิมเลยปะ”

   “โอเคค่ะ พิวขาของตุลลี่น่ารักตลอดเลยอะ” ว่าแล้วเพื่อนตุ๊ดเพียงหนึ่งเดียวของพวกผมก็เอื้อมมือของมันขึ้นไปบีบแก้มของเดือนภาคจนขึ้นรอยแดง


   ค่า น่ารักตายห่าเลยไหมไอ้สัส
   

   “ไอ้ตุลลี่ มึงออกมา” ยีนส์ที่เหมือนจะทนเห็นภาพตรงหน้าด้วยความสงสารอีกฝ่ายที่ต้องมาทนรับอะไรแบบนี้ของตุลลี่ไม่ไหว เลยจัดการกระชากออกให้มายืนห่างๆ

   “อะไรของมึงเนี่ยอียีนส์ จะมาขัดเพื่อนทำไม!!!”

   “มึงดูหน้าพิวขาของมึงก่อนจะเล่นอะไรด้วย ว่าเขาอินกับมึงบ้างไหม”

   “กูก็ดูหน้าพิวขาของกูตลอดนั่นแหละ!!!”

   “แล้วเป็นไง?!”

   “พิวขาก็หล่อ จะอะไรอีก”


   พ่ามพาม!!!




   เสียงเอฟเฟกต์หนังตลกที่ดังขึ้นในหัวของผมขึ้นมาทันทีที่ตุลลี่พูดจบ หันมองสีหน้าของบุคคลที่เหลือในตอนนี้กำลังสับสนระหว่างความรู้สึกสงสารและอยากขำเอามากๆ จนไอ้ก๊าซต้องไปยืนแอบหลังไอ้ครามเพื่อกลั้นหัวเราะ

   นี่มุกหรือมึงโง่จริงวะไอ้ตุลลี่

   “มึงนี่มันเกินเยียวยาละ กูกลับหอไปนอนดีกว่า” ไอ้ยีนส์สะบัดมือที่จับแขนไอ้ตุลลี่ไว้ทิ้ง ก่อนจะหันตัวเดินไปตามทางออก เล่นเอาพวกผมที่กลั้นขำมากนานถึงกับหลุดหัวเราะออกมากันอย่างพร้อมเพรียง หรือแม้แต่คนต้นปัญหาอย่างไอ้พิวก็หัวเราะตามไปด้วย

   “อะไรของพวกมึงเนี่ย” ไอ้ตุลลี่ที่ตอนแรกยืนต่อปากต่อคำกับไอ้ยีนส์อย่างดุเดือด แต่พอเห็นรีแอคชั่นที่ไม่คาดการณ์ของเพื่อนๆแล้วก็ถึงกับยืนงงในดงคนขำอย่างไม่รู้สาเหตุไปเลย

   “ตุลลี่อย่างจี้เลย ฮ่าๆๆๆๆๆ โอ้ย ปวดท้องอะ”

   “อีก๊าซ มึงจะลงไปชักอีกนานไหม ไอ้ยีนส์เดินไปไกลแล้วรีบลุกขึ้นมา” ด้านไอ้ก๊าซที่ลงไปนั่งยองๆกุมท้องเนื่องจากการปวดเพราะเกร็งหน้าท้องจากอาการตลกเมื่อกี๊ ก็ต้องรีบลุกขึ้นแล้วเดินตามทั้งสามคนที่เดินล่วงหน้าไปก่อนแล้วไป

   “ส่วนไป๋ มึงไปกับกู”

   “ไปไหนของมึง?” แต่ยังไม่ทันให้ผมได้ก้าวเท้าเดิมตามหลังไอ้ก๊าซไป ก็เจอมารผจญที่มาขัดขวางการกลับหอไปพักผ่อนของผมอีกจนได้

   “มึงลืม?” ผมขมวดคิ้วให้อีกฝ่ายเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน

   “อ๋อ ที่ให้ไปแดกปิ้งย่างกับมึงอะนะ?”

   “เออ”

   “ไปเหี้ยไรตอนนี้มึงบ้าปะ ใครเขาแดกปิ้งย่างตอนบ่ายสามกัน”

   “ก็กูนี่แหละ...”


   “อีไป๋ ชักช้าจังโว้ย รีบเดินมาสิ กูไม่มีคนปั่นจักรยานให้!!!” เสียงไอ้ตุลลี่ดังขึ้นมาทำให้ผมคิดข้ออ้างต่อรองคนข้างหน้าเพื่อประวิงเวลาออก

   “คงไม่ได้ว่ะไอ้พิว กูต้องไปส่งไอ้ตุลลี่ที่หอก่อน เจอตอนเย็นแล้วกัน” แล้วกูก็จะโดดนัดมึง อิอิ

   “เอาจักรยานให้ตุลลี่ไป”

   “ห้ะ?”

   “เอาจักรยานให้ตุลลี่ปั่นกลับหอไปไง เดี๋ยวแดกเสร็จกูไปส่งมึงเอง”

   “ไม่เอ-”


   “ไอ้ไป๋ เร็วโว้ย!!! กูปวดขี้ อยากกลับไปขี้หอแล้ว” เสียงเร่งเร้าอย่างไม่เกรงใจคนที่กำลังเดินในคณะของไอ้ตุลลี่ดังขึ้นมาอีกรอบ

   “เอาไง จะให้กูเดินเอากุญแจไปให้หรือมึงจะเดินไปเอง” ผมจิ๊ปากอย่างขัดใจ แต่ก็ยังไม่ได้เดินหนีไปไหน

   “แต่กูไม่สัญญานะว่ากูจะบอกเรื่องคืนนั้นดีไหม?” ไอ้พิวก้มลงมากระซิบเสียงกระเซ่าใส่ใบหูของผม ..

   “ร-เรื่องคืนไหนของมึง?”


   “นั่นดิ กูจะบอกเรื่องคืนไหนดี มันมีตั้งสอง- โอ้ย!!” คราวนี้ผมแทงมือเข้าไปยังส่วนเนื้อข้างลำตัวอีกคน แล้วจับบิดอย่างเต็มแรงออย่างเหลืออด ก่อนจะเดินกระทืบเท้าเอากุญแจจักรยานไปให้คนที่กำลังรอผม พร้อมคิดหาข้ออ้างดีๆไปพูดให้เพื่อนฟัง จนเพื่อนอย่างไอ้ตุลลี่จำยอมแล้วปั่นจักรยานของผมกลับหอทันที



   “เอ้า กูว่างแล้ว ไปดิ!” จากนั้นก็เดินกลับไปหาคนที่ตอนนี้กำลังโค้งตัวกุมส่วนที่ถูกผมหยิกด้วยสีหน้าทรมาณทันที ถ้าเป็นเรื่องอื่นผมคงไม่โกรธอะไรขนาดนี้ แต่อย่าเอาเรื่องน่าอายมาขู่กันเล่น ผมไม่ชอบ!!!



   จุดๆนี้ขอบอกไว้เลย ว่า อย่ามาซ่ากับไป๋!!!!

   



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-08-2018 18:39:43 โดย pearyypinkyy »

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter six ―160818)
«ตอบ #25 เมื่อ16-08-2018 18:33:47 »

   “ไป๋ ขอโทษ กูไม่รู้อะว่ามึงไม่ชอบ” ไอ้พิวส่งเสียงอ้อนวอนจากที่นั่งข้างๆมาไม่หยุดตั้งแต่ที่ผมเดินตามร่างสูงขึ้นรถมา
   ซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายได้ขับรถยนต์ราคาหลักล้านของตนเองออกจากที่จอดรถของคณะเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับมีผมที่นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถอยู่ข้างๆกันในตอนนี้ มันขับพาผมไปเรื่อยๆและด้วยความปากแข็งปนความโกรธทำให้ผมไม่ได้เอ่ยถามสถานที่ปลายทางกับคนตัวสูงออกไป


   “เออ รู้แล้ววันหลังก็อย่าเล่น กูอาย!”

   “อื้อ...” มันขานรับพร้อมชูนิ้วก้อยข้างซ้ายไปมายังตรงหน้าผม

   “อะไร?”

   “นิ้วก้อยไง”

   “กูรู้ แล้วมึงจะชูขึ้นมาทำไม?” ละสายตาจากนิ้วเรียวตรงหน้าก่อนจะหันไปมองใบหน้าด้านข้างที่กำลังขับรถไปตามเส้นทางให้เต็มสายตา

   “หรือมึงอยากให้กูชูนิ้วนี้” พิวถามกลับพร้อมสลับนิ้วที่ถูกชูขึ้นเป็นนิ้วกลางขึ้นมาแทน

   “ไอ้สัส” ในเมื่อด่าแล้วมันไม่สะใจ ผมเลยจัดการงับเข้าที่สัญลักษณ์แห่งความหยาบคายตรงหน้าเข้าแบบหมั่นไส้

   “โอ้ย! ทำไมเดี๋ยวนี้เมียรุนแรงอะ หรืออยากงับของจริง?”

   “ไอ้-”

   “แล้วทำไมไม่บอกกันก่อน เลี้ยวกลับหอไปจัดที่ห้องให้ตอนนี้ทันไหมเนี่ย” ฝ่ามือหนักๆของผมฝาดประทับเข้าที่กลางกบาลของคนพูดมากเข้าทันที แบบไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพลาดท่าไปเฉี่ยวรถคันอื่นหรือไม่ก็ตาม

   “โอ๊ย .. อะๆ ไม่เล่นแล้ว ดีกันๆ” นิ้วก้อยข้างซ้ายถูกส่งกลับมาตรงหน้าผมอีกครั้ง

   “มึงแม่งเล่นอะไรเป็นเด็กไปได้”

   ถึงจะไม่ค่อยชินกับอีกฝ่ายที่ก่อนหน้านี้ดูแตกต่างจากตอนนี้มากโข ตั้งแต่การพูดการจาจากแต่ก่อนเอาแต่ถามคำตอบคำ แต่ตอนนี้กลายมาเป็นคนพูดมากแถมยังกำเริบหนักขึ้นเรื่อยๆ...




   ริมฝีปากบางขยับพูดคำร้ายทำเอาจิตใจคนง้อเป๋ คนตัวสูงที่กำลังชั่งใจจะดึงมือกลับ แต่ก็ต้องนิ่งงันไป เมื่อในที่สุดเขาก็ได้รับรู้ถึงสัมผัสอุ่นจากคนข้างๆที่ส่งนิ้วก้อยกลับมาเกี่ยวไว้ด้วยกันจนได้ เล่นให้หัวใจของคนที่กำลังแล่นพาหนะไปตามถนนเต้นระห่ำไปตามจังหวะต่อนาที ที่ทำเอาเขาคิดว่าอาจสูงกว่าตัวเลขบนหน้าปัดบอกความเร็วของรถตอนนี้เสียอีก


   และเมื่อหันไปหาเจ้าของนิ้วที่เพิ่งดึงกลับไป แม้เขาจะเป็นเพียงแค่เสี้ยวหน้าก็ตาม แต่สามารถเห็นได้ถึงการฝาดของเลือดที่เพิ่มขึ้นบริเวณหูขาวๆนั่น ทำเอามุมปากถูกยกยิ้มสูงขึ้นและสูงขึ้น


   พิวอดในความเอ็นดูไม่ได้จนต้องเอื้อมมือไปขยี้เรือนเส้นผมนุ่มของคนขี้เขินอย่างเบาๆ ที่ตอนนี้เอาแต่เฉไฉมองบรรยากาศนอกรถนู่นนี่แบบกลบเกลื่อน


   น่ารักสัสๆเลยแม่งเอ้ย





❋❋❋




   “ไป๋กินเสร็จแล้วไปไหนต่อดี?”

   “กินเสร็จก็กลับดิ”

   หลังจากตามใจคนที่บังคับแกมข่มขู่ผมให้มากินปิ้งย่างเจ้าดังที่ห้างใกล้มหาลัยด้วยเสร็จแล้ว ยังไม่ทันได้ไปไหนเจ้าตัวก็เอ่ยปากขึ้นมาถามเสียก่อน สำหรับผมที่หมดธุระแล้วในหัวตอนนี้ก็มีแต่อยากกลับหอไปนอนเอามากๆเลย

   “รู้ละ อยากไปเกมเซนเตอร์ว่ะ ไปกัน” มันว่าก่อนจะเดินนำหน้าผมไปทันที


   แล้วมึงจะถามเพื่อ?






   “ไป๋เล่นอันนี้กัน” สายตาที่กำลังจับจ้องไปยังตู้คีบตุ๊กตาอยู่ดีๆก็ต้องละมาสนใจร่างสูงที่กำลังชี้ไปยังเครื่องเล่นที่มีชื่อว่า แอร์ฮอกกี้ เป็นเกมที่ต้องป้องกันเจ้าแผ่นพลาสติกกลมๆนี่ไม่ให้ลงประตูของฝั่งตนเองให้ได้

   คือเล่นเกมนี้กับไอ้พี่ปุ๋ยมาตั้งแต่ยังอ้อนยังอ่อนจนเชี่ยวแล้วอ่ะนะ บอกเลยว่าอีซี่...

   “ใครแพ้เป็นเบ๊ไหมอะ?” ผมยักคิ้วให้ไอ้พิวแบบกวนๆไปทีนึง ก่อนจะได้การตอบรับเป็นที่น่าพึงพอใจ

   “พูดแบบนี้แสดงว่าไม่รู้ซะแล้ว กูนี่คือพิวออลคิลเลยนะ” พูดจบร่างสูงก็จัดการหยอดคอยน์ของเกมส์เซ็นต์เตอร์ลงทั้งสองฝั่งให้เครื่องเล่นพร้อมแก่การใช้งาน ใบหน้ายียวนหันมาพร้อมพยักเพยิดให้ผมไปประจำในฝั่งตรงข้ามทันที


   น่าสงสารที่คุณพิวขาของไอ้ตุลลี่ต้องมาเป็นเบ๊ให้กูซะแล้ว...





   “มาเลย!”


   สิ้นสุดคำประกาศิต ทั้งสองก็ฟาดฟันแผ่นกลมบางบนโต๊ะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร โดยมีการเดิมพันในการตกเป็นเบื้องล่างของอีกฝ่ายเป็นแรงฮึด ผลัดกันเป็นฝ่ายได้แต้มและเสียแต้มสลับกันไป จนกระทั่งร่างสูงที่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีเข้าเรื่อยๆ...


   “เฮ้ย ไอ้เหี้ยพิวอย่าเอามือบังโกลด์ดิ”

   ร่างบางเอ็ดอีกคนที่เล่นเกมโกง ทั้งๆที่เกมในตอนนี้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบและคะแนนกำลังนำแล้วแท้ๆ กลับต้องมาเสียคะแนนฟรีๆให้กับคนที่ไม่ยุติธรรมแบบนี้

   ทำไปทำมาคะแนนที่คนตัวขาวกำลังนำอยู่ก่อนหน้านี้กลับถูกตีตื้นขึ้นมาจนตัวเองก็เริ่มหัวร้อน

   “ไอ้พิว มึงแม่งโกงอ่ะ!!!”

   “กูไม่ได้เอามือบังแล้ว ตอนนี้แฟร์ๆแล้วโว้ย”
 


   ราวกับเวลารอบข้างได้หยุดหมุนลงเพื่อดูความสุขของทั้งสอง รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือคำสบถก่นด่า
คิดดูแล้ว เขาก็เป็นเพียงเด็กผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น…

   เด็กผู้ชายที่บังเอิญติดเข้ามาในคณะวิศวกรรมศาสตร์ เด็กผู้ชายที่เป็นลูกคนสุดท้องของแม่ เด็กผู้ชายที่กำลังเป็นไอ้เหี้ยนั่นให้แฟนใหม่ของแฟนเก่าคนไหนอยู่สักคน เด็กผู้ชายที่พยายามลืมความสำคัญของความรัก เพราะความเสียใจ

   และเป็นเด็กผู้ชายที่เลือกปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเมล็ดพันธุ์ต้นใหม่ในความรู้สึกของเขา ได้เริ่มเติบโตขึ้นแล้ว..
 


   เกร๊ง!


   “เย้! กูชนะแล้วโว้ย” ร่างบางชะงักมองคนตัวสูงฝั่งตรงข้ามในมุมที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนอย่างแปลกใจ ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเกือบหมดทั้งปาก ตาหยีเป็นสระอิของภาษาไทยทั้งสองข้าง ไหนจะเป็นวงแขนที่วาดมาคล้องไหล่เขาทันทีที่สกอร์บอร์ดขึ้นจบเกมที่คะแนน 8-7 นั่นอีก


   บอกตรงๆว่าวันนึงเขาอาจรับมันทั้งหมดไม่ไหว...



   “ป่ะ เบ๊ อยากเล่นอะไรอีกไหม?”

   “เบ๊พ่องอ่ะ มึงแม่งขี้โกง” ก้มหัวหลบมือที่กำลังวางมาบนหัวของเขาอย่างหยอกล้อ ก่อนจะลงมือตีหนักๆไปยังหลังมือตัวการ

   “แต้มสุดท้ายก็แฟร์ๆอ่ะ มึงหลุดเอง” เขาที่เบื่อต่อล้อต่อเถียงกับคนช่างชักแม่น้ำมาอ้างเลยจงใจปล่อยให้บทสนทนาเรื่องการแข่งขันจบลงแค่นั้น



   “เฮ้ย เดี๋ยวๆขอกูคีบตุ๊กตาแปป” ไป๋ร้องเบรกคนเดินนำหน้าให้หยุดลง ก่อนที่ตัวเองจะวิ่งแจ้นไปหาตู้กดตุ๊กตาที่มีเจ้าตัวกลมๆเหลืองๆอยู่เต็มตู้ไปหมด

   “อยากได้มินเนี่ยนเหรอ?” พิวเดินมาหยุดข้างๆคนตั้งใจ ที่เพิ่งไปแลกคอยน์มาเสียเต็มกำมือ

   “มาเกมเซนเตอร์มันก็ต้องเล่นคีบตุ๊กตาป่ะวะ?” ระบบไฟฟ้าทำงานทันทีหลังหย่อนเหรียญลงไป สายตามุ่งมั่นหวังจะได้ตุ๊กตากลับไปกอดสักตัวก็ต้องดับลง เมื่อมือหนีบของเครื่องนั้นมันช่างห่วยเสียเหลือเกิน

   “ไม่เป็นไร กูแลกมาเยอะ” และแล้วความมุ่งมั่นครั้งที่สองก็เริ่มขึ้น



   รวมถึงครั้งที่สาม

   ครั้งที่สี่

   ไปเรื่อยๆจนมาถึงโอกาสครั้งสุดท้าย



   “แม่ง ตัวจับแม่งห่วยแตกจังวะ” ร่างบางที่เริ่มอารมณ์คุกกรุ่นจากการชวดของรางวัลซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหรียญที่แลกมาเป็นร้อยๆตอนนี้กลับเหลืออยู่เพียงอันเดียว

   ตัดสินใจหยอดความหวังสุดท้ายลงไปในตู้ จับคันบังคับให้ตรงเป้าหมายเจ้าตัวสีเหลืองที่ต้องการ ยังไม่ทันที่มือจะได้ตบลงปุ่มหย่อนตัวจับก็ถูกขัดขวางด้วยพละกำลังจากคนที่ยืนเงียบมาตั้งแต่ต้นเสียก่อน

   “ขอกูเล่นบ้างดิ”

   “เออ เอาดิ” ร่างบางเอี้ยวตัวหลบมายืนข้างๆให้อีกคนได้เล่นอย่างถนัด


   “ทำไมไม่เอาตัวที่กูจะคีบอ่ะ?” ไป๋โวยวายขึ้นเมื่อเห็นว่าพิวกำลังบังคับเลื่อนไปเลือกตัวที่ไกลออกไป แล้วความสงสัยก็ต้องเกิดขึ้นอีกครั้งกับอาการของร่างสูงที่เมื่อกำหนดเป้าหมายได้แล้ว กับยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัวพร้อมเอ่ยประโยคที่ทำเอาคนอยากได้ตุ๊กตาถึงกับเบิกตาเล็กๆนั่นให้กว้างขึ้นในทันที


   “ขอความศักดิ์สิทธิ์ในที่นี้ จงช่วยทำนายว่าหากผมจีบไป๋ติด ก็ขอให้ผมคีบตุ๊กตาได้ด้วยเถิด”


   “ไอ้เหี้ย”


   ปึง



   เสียงตบปุ่มสีแดงตรงหน้าดังขึ้นอย่างมั่นอกมั่นใจพร้อมกอดอกดูผลลัพธ์ของตนเองไปพร้อมๆกัน ก้อนเนื้อในอกเต้นด้วยจังหวะลุ้นระทึกไปด้วยทันทีที่เห็นก้อนสีเหลืองลอยขึ้นมาจากพื้นตู้ หลังจากนั้นทุกอย่างก็เหมือนภาพสโลว์โมชั่นแบบที่ตาและสมองไม่สามารถประมวลได้ทันการณ์ไปหมด


   ตั้งแต่จังหวะของตุ๊กตาตกลงตามแรงโน้มถ่วงลงช่องตู้ด้านล่าง จนถึงภาพที่ร่างสูงเป็นคนก้มหยิบเจ้ามินเนี่ยนแล้วยื่นส่งมาตรงหน้า


   “ท่านบอกว่าจีบติดว่ะไป๋ : )”



   ส่วนเขาจะทำอะไรได้นอกจากยืนดูรอยยิ้มกวนๆแกมภูมิใจนั่นจนพอใจแล้วรับตุ๊กตากลับมา ความหวาบหวิวท่วมท้นไปเต็มช่องอกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


   ทำเอาร่างบางได้แต่คิดในใจว่า ความรู้สึกแบบนี้ มันมักจะเกิดกับความสัมพันธ์ในแบบไหนกันนะ?
   
   


▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔

อาทิตย์หลังจากนี้(20 ส.ค.) อาจจะไม่ได้อัพบ่อยๆแล้วค่ะ
ปล.ขอบคุณทุกคนที่เอ็นดูพิวและไป่ไป๋ค่า

ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy



และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา




ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter seven ―160818)
«ตอบ #26 เมื่อ16-08-2018 21:13:08 »

 :-[ :-[ ที่แท้พิวก็ชอบไป๋มานานแล้ว

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter seven ―160818)
«ตอบ #27 เมื่อ16-08-2018 23:28:56 »

  o13

ชอบความไม่งี่เง่าของไป๋
ชอบความกวนของพิว
และชอบความโนสนโนแคร์ของตุลลี่ 55

 :L2: :pig4:  รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ kingkongkaew

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter seven ―160818)
«ตอบ #28 เมื่อ17-08-2018 15:28:46 »

ไป๋ไม่รอดแน่ๆ พิวรุกแรงเหลือเกิน

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter seven ―160818)
«ตอบ #29 เมื่อ17-08-2018 18:29:24 »

chapter eight。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔


   
   
   หลังจากเหตุการณ์กินปิ้งย่างเมื่อวาน ผมที่รับตุ๊กตาตัวนั้นเข้ามาถือเรียบร้อยก็เอาแต่เดินก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาอีกคน ปล่อยให้พิวเดินนำหน้าจนถึงรถและพาไปส่งห้องโดยสวัสดิภาพ แบบที่ไม่มีใครพูดอะไรในระหว่างทางเลยแม้แต่คนเดียว จนกระทั่ง...


   ‘...ชื่อ’ ทันทีที่รถจอดลงหน้าประตูรั้วทางเข้าหอ ผมที่ยังไม่ทันได้เอ่ยขอบคุณและก้าวขาออกจากตัวรถก็ต้องชะงัก เมื่อร่างสูงที่นั่งมาด้วยกันพูดคำสั้นๆแค่คำเดียวออกมา

   ‘อ-อะไร’

   ‘ชื่อ วี่ นะ ตัวนั้นน่ะ’ พิวยื่นนิ้วมาจิ้มตัวของมินเนี่ยนบนตักผม

   ‘ทำไมอ่ะ?’

   ‘ไม่ต้องรู้หรอก ขึ้นห้องได้แล้ว เดี๋ยววันหลังขอพาไปอีกนะ’

   ‘พาวี่ไปเหรอ?’ ผมถามกลับแบบกวนๆ

   ‘จะพาไปทั้งวี่ ทั้งแม่วี่เลย’ มือหนาที่จิ้มค้างไว้ที่ตุ๊กตาในตอนแรก ก็เลื่อนขึ้นมาจิ้มที่แก้มร่างบางตรงคำที่พูดว่า แม่ของวี่ เสียพอดิบพอดี...

   ‘แม่เหี้ยไรสัส กูไปละ บาย วันหลังไม่ต้องนะ’ ปิดประตูเสียงดัง ก่อนออกมายืนชูนิ้วหยาบคายใส่คนหลังพวงมาลัยที่กำลังมองตรงมา จากนั้นก็หันหลังเข้าหอแบบไม่สนใจ แม้ว่าอีกฝ่ายจะแกล้งบีบแตรเรียกเลย


   ไอ้พิวแม่ง รู้ว่ากูเขินก็ปั่นอยู่นั่นอ่ะ






   และทั้งนี้ทั้งนั้นหลังจากผลัดการติววิชาเคมีอยู่หลายครั้งหลายหน ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ของอาจารย์พิวที่จะได้แสดงความรู้ความสามารถในการช่วยให้เพื่อนเขาใจเนื้อหามากขึ้นจนได้


   พวกเราใช้ห้องไอ้พิวในการติวเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมันไปเอากระดานไวท์บอร์ดอันใหญ่แถมมีล้อเลื่อนมาจากไหนก็ไม่รู้ ถามก็เอาแต่เบี่ยงประเด็นซะงั้น และในส่วนของไอ้ตุลลี่ที่สั่งห้ามไอ้เต้และไอ้สมุยที่ก็มานั่งอ่านหนังสือด้วยกันไม่ให้เอาเครื่องดื่มมึนเมาเข้ามากินเด็ดขาด ประหนึ่งเหมือนตนเองเป็นเจ้าของห้องเสียเอง


   หากถามผมในตอนนี้เกี่ยวกับไอ้พิวแล้วล่ะก็ ยอมรับว่าบางทีที่อยู่ใกล้ๆกับมันอาจมีความรู้สึกแปลกอยู่บ้าง โดยเฉพาะที่เพิ่งเจออีกฝ่ายรุกใส่เมื่อวานอย่างหนักหน่วงแล้วนั้น ก็ไม่ถึงกับอึดอัดจนอยู่ใกล้กันไม่ได้ด้วย และถ้าหากมีพวกเพื่อนๆอยู่ มันก็จะไม่ได้มาเจ๊าะแจ๊ะอะไรกับผมมาก


   แต่อย่างไรสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ผมต้องแบกหน้ามาขอติวด้วย ก็แน่ๆอยู่แล้วครับว่ามันคือเรื่องของคะแนนล้วนๆ เพราะถ้าหากไฟนอลผมไม่โหดจริง ก็บอกเลยว่าไอ้ไป๋ต้องกินปลาตัวสีแดงๆอย่างแน่นอน


   “อะ ต่อไปเดี๋ยวจะทวนเรื่องพันธะเคมีให้”

   “พิวขาเนี่ยนอกจากจะหล่อแล้ว ยังจะใจดีอีกเนอะ”

   “พวกมึงงานชั้นปีอยู่ฝ่ายสถานที่เหมือนกันใช่ปะ?” เสียงเต้ที่นอนแผ่บนพื้นแบบไม่แยแสการสอนเพราะเข้าใจหมดแล้วเอ่ยขึ้นมาถามทุกคน

   “เออ อยู่สถานที่กันหมดห้องนี้เลย”

   “เสาร์นี้ใครว่างบ้างวะ? กูไม่ว่างพอดีเลยว่ะ พี่เขาขอฝ่ายละสองคนไปบรีฟงานอ่ะ”

   “กูว่างนะ” ไอ้พิวเงยหน้าขึ้นจากชีทในมือแค่เสี้ยววิ ก่อนจะหันกลับไปอ่านเอกสารในมือต่อ

   “อ๊าย ทำไมไม่บอกฉันก่อน พิวขาว่างทั้งที ไม่งั้นฉันไม่นัดทำฟันไปหรอก” ไอ้ตุลลี่ก็ต้องชักดิ้นชักงอทันทีที่รู้ว่าตารางงานของมันกับผัวไม่ตรงกัน

   “กูกับไอ้ก๊าซต้องไปค่ายชมรมภาคกลางอ่ะ” ไอ้ครามเสริมขึ้นบ้าง

   “เสาร์นี้วันเกิดแม่กูว่ะ ต้องกลับบ้าน ไม่งั้นเดี๋ยวองค์เจ๊แกลง” ต่อด้วยไอ้ยีนส์

   “ไอ้เคนเรียกกูให้ไปช่วยส่วนกลางว่ะ” และไอ้สมุย

   ก่อนที่ทุกสายตาไม่เว้นแม้แต่ไอ้พิวที่ในตอนแรกกำลังนั่งทำความเข้าใจโจทย์อยู่ จะเหล่มองมาที่ผมที่พยายามนั่งเงียบๆตัวลีบๆมาตั้งแต่ตอนเริ่มเปิดประเด็น

   “ไอ้ไป๋แล้วมึงอ่ะ?”

   “…กูอยากกลับบ้านอะ” พูดเสียงอ่อยพร้อมส่งสายตาไปให้เต้อย่างเว้าวอนที่สุด

   “งั้นตามนี้นะ กูจะได้ส่งชื่อไอ้พิวกับไอ้ไป๋ไปให้พี่เลย”

   ทำไมพวกมึงไม่ฟังกูบ้าง




   “ไอ้พิว สูตรแบบจุดของตัวนี้มันวาดไงวะ?”

   “นี่ไง ตอนแรกมึงก็----”

   สารพัดคำอธิบายที่ร่างสูงพูดออกมาในแบบต่างๆซ้ำแล้วซ้ำเล่ากินเวลาไปเกือบชั่วโมงก็แล้ว แต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าร่างบางข้างหน้าจะเข้าใจได้เลย


   ต่างจากเพื่อนๆที่ได้คนหัวกะทิติวให้จนกระจ่างแจ้ง แล้วหนีไปล้อมวงตีป้อมทางอีกมุมห้องนึง ทิ้งให้ร่างบางที่นั่งทึ้งหัวให้ความโง่ของตัวเองกับคนสอนอยู่สองคน


   “ไม่เข้าใจอ่ะมึง กูโง่จนไม่เข้าใจอะไรเลยโว้ย เกลียดเคมีแม่ง” ร่างเล็กสบถอย่างหมดความอดทนให้กับตำราที่อัดแน่นไปด้วยตัวอักษรตรงหน้า


   “ไป๋ มึงใจเย็นๆ เริ่มตรงนี้ใหม่นะ...” มือหนาวางลงบนหน้าขาคนข้างๆที่นั่งด้วยท่าขัดสมาธิราวกับพยายามปลอบประโลมให้อีกฝ่ายใจเย็นขึ้น แต่มันก็เหมือนจะไม่ช่วยเยียวยาอีกคนเลยแม้แต่น้อย


   “ไอ้พิว กูว่าไอ้ไป๋แม่งสติแตกไปละ วันนี้พอแค่นี้ก่อนไหมอะ?” ไอ้ยีนส์ที่เห็นเริ่มท่าจะไม่ดีเลยชวนให้ยุติการติวในวันนี้ไว้แค่นี้ก่อน


   “ไป๋ มึงไหวไหมอะ?”


   “กูว่าวันนี้กูพอก่อนดีกว่าว่ะ ขอบใจมากไอ้พิว”


   สมองเริ่มเบลอเพราะความกดดันที่หลั่งออกมาใช้กับตนเองเยอะจนเกินไป ทำให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อยล้าแบบที่นานๆครั้งจะเป็นสักที ตัดสินใจเก็บของลงกระเป๋า พวกเราบอกลาเจ้าของห้อง ก่อนจะชักชวนให้กันห้องไปพร้อมกัน







   ทันใดที่เท้าก้าวกลับมาถึงห้อง หลังจากที่พยายามฝืนสังขารอันร่วงโรยให้พาตนเองและตุลลี่ผู้โดยสารกว่าจะมาถึงหอพักก็เล่นเอาน่วมอยู่เหมือนกัน เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยได้จัดระเบียบการใช้จักรยานใหม่โดยการตั้งเสาความสูงประมาณสามสิบเซ็นฯเรียงกันให้พอดีแค่จักรยานผ่านได้ เพื่อจำกัดความเร็วของผู้ใช้ถนน


   ผมที่สายตาเริ่มฝ้ามัวจากอ่านจ้องหนังสือมายาวยาวนานประกอบกับประสาทสัมผัสที่หันเหความสนใจไปให้บทพูดระหว่างเราสามคนแล้วเกือบครึ่ง ทำให้จักรยานที่ปั่นมาของผมชนเข้ากับตอเสานั่นเข้าเต็มๆ


   ส่วนตัวผมแล้วยังไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่กับไอ้ตุลลี่รายนั้นถึงกับร่วงจากเบาะนั่งลงไปนอนกับพื้นเลยทีเดียว อย่างไรถึงแม้จะมีความเจ็บแต่ความอายก็มีมากกว่า จึงรีบพากันกลับหอแทนที่จะอ้อยอิ่งอยู่ที่เดิม



   ทันทีที่ถึงห้องพัก ไม่รอช้าร่างบางจัดการถอดรองเท้า โยนกระเป๋าเข้าที่กระเป๋าแล้วล้มตัวนอนบนเตียงอย่างอ่อนแรงทันที


   “ไอ้ไป๋ ไปอาบน้ำก่อน อย่าเพิ่งหลับ” เสียงดักคอของรูมเมทว่าขึ้นอย่างรู้ทัน

   “อื้อ”



   ไลน์!


   มือกวาดหาโทรศัพท์ที่เพิ่งแผดเสียงแจ้งเตือนไปเมื่อครู่ ก่อนจะปรือตาน้อยๆขึ้นมามองหน้าจอที่กำลังแสดงข้อความ ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปอย่างทันที



just pew : ถึงหอยัง?

                        
paipai : เพิ่งถึงเมื่อกี๊
                        
paipai : ง่วงสัส

just pew : ง่วงก็นอนก่อน
just pew : อย่าไปหักโหม
just pew : วันนี้ไม่ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยอ่านใหม่
just pew : ไม่เป็นไร




   ผมหลุดยิ้มให้กับข้อความที่รัวส่งกลับมา ก่อนจะกลับมาทำหน้าขรึมอีกครั้ง เพราะกลัวไอ้เมทตัวดีมันจับได้แล้วจะโดนแซวเอาเปล่าๆ



                        
paipai : วันนี้ขอบคุณมากมึง
                        paipai : ไปอาบน้ำก่อนละ
                        paipai : *ส่งสติ๊กเกอร์*


   ชิบหาย!


   ผมสบถให้กับสติ๊กเกอร์ไลน์ตรงหน้าที่ในตอนแรกตั้งแต่จะส่งคำว่าบ๊ายบายไปให้ แต่ด้วยความมัวขี้ตาเลยเผลอไปกดส่งอันข้างๆส่งไปแทน ซึ่งผมจะไม่รู้สึกเสียใจเลยถ้ามันไม่ใช่สติ๊กเกอร์น้องหมาน่ารัก พร้อมกับคำว่า


   คิดถึงน้า..


                        
paipai : โทษๆส่งผิด
                        
paipai : *ส่งสติ๊กเกอร์*

just pew : อะไรๆ
just pew : แค่นี้ก็คิดถึงแล้วเหรอ?
Just pew : *ส่งสติ๊กเกอร์*




   ผมรีบแก้ตัวส่งสติ๊กเกอร์ที่ตั้งใจส่งให้ในตอนแรกไปอีกครั้ง แต่ความพยายามก็เป็นศูนย์เมื่ออีกฝ่ายไม่แม้แต่ก็สนใจในข้อความที่ผมแก้ต่าง แถมยังส่งสติ๊กเกอร์หวานๆกลับมาเสียนี่

   รักเลย...

   ไอ้เชี่ยพิวแม่ง อันตราย ผู้ชายแบบนี้แม่งอันตรายชิบหายเลย




❋❋❋





   การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าของวันและเวลาก็ทำให้ผมได้มาถึงวันที่นัดประชุมตัวแทนของแต่ละฝ่ายในกิจกรรมชั้นปีแล้ว เป็นวันเสาร์ที่ผมควรที่จะได้กลับบ้านไปหาป๊าและม๊าตั้งแต่เมื่อวาน แต่กลับต้องมาแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่แปดโมงกว่าเพราะพี่นัดที่คณะไว้ตอนเก้าโมงเนี่ย

   ไป่ไป๋อยากนอน!



   “เออๆ กูใกล้เสร็จแล้ว ไม่ต้องเร่งหรอกน่า”


   [มึงใกล้เสร็จมาตั้งแต่ตอนกูออกจากหอกู จนตอนนี้กูมาอยู่หน้าหอมึงแล้วเนี่ย] เสียงไอ้พิวดังออกมาจากโทรศัพท์ ที่เจ้าตัวขู่บังคับขอเบอร์ผมไว้แล้วอ้างว่ากลัวผมโดดประชุม


   “กูลงแล้วๆ แค่นี้แหละ” กดตัดสายอีกคนก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วจับของใช้ที่จำเป็นยัดๆลงไป เช็คความเรียบร้อยแล้ววิ่งลงบันได้ไปหาเจ้าตัวทันที



   ปริ๊นๆ

   เสียงบีบแตรรถยนต์เรียกผมให้ก้าวขึ้นไป ก่อนจะพบกับอีกคนที่มีสภาพแจ่มใสร่าเริง ต่างจากผมที่แต่งตัวพร้อมนอนทุกเมื่อเอามากๆ เมื่อผมคาดเข็มขัดเรียบร้อยก็ส่งสัญญาณให้อีกคนขับรถมุ่งตรงไปยังคณะทันที


   “แดกไรยัง?” เสียงไอ้พิวเอ่ยถามทำลายความเงียบระหว่างเราลง

   “ยังอ่ะ”

   “งั้นเดี๋ยวประชุมเสร็จค่อยไปแดกด้วยกัน”



   รถหรูคันเดิมหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าจอดบริเวณคณะ เราก็รีบจ้ำอ้าวตรงไปยังห้องที่นัดหมายทันทีเพราะเห็นว่าเลยเวลามาหลายนาทีแล้ว แต่ความเหนื่อยที่อุตส่าห์วิ่งกันมาก็ต้องสูญเปล่าอีกครั้ง เมื่อห้องประชุมที่วาดเอาไว้ว่าคนต้องเยอะมากแล้วแน่ๆ กลับรกร้างและมีเพียงพี่ที่เป็นผู้ดูแลน้องกับสมาชิกจากฝ่ายอื่นเพียงไม่กี่คนเท่านั้น


   นี่ กูต้องมารอพวกคนไม่ตรงต่อเวลามากกว่าพวกกูอีกทีใช่ไหมเนี่ย...








   สุดท้ายการประชุมที่กูอยากจะตะโกนถามเหลือเกินว่า เอากูมาทำไม?! ก็ได้สิ้นสุดลงในเวลาสิบเอ็ดนาฬิกากว่าๆพอดี รุ่นพี่กล่าวสรุปอีกครั้งซึ่งสามารถสรุปในสรุปได้ว่า ให้ฝ่ายสถานที่ไปหาสถานที่ที่ดูแล้วเหมาะแก่การจัดคอนเสิร์ตภายในมหาลัย ต้องเอื้อกับการใช้พาหนะโดยสารภายในมอ และเงื่อนไขอีกสิบกว่าประการ มาเสร็จแล้ว ก็ต้องทำการวัดสถานที่ให้รองรับเพียงพอกับจำนวนคน และวัดสถานที่ให้สามารถจัดสรรสัดส่วนของเวที จุดพักของศิลปิน และซุ้มจุดขายอาหารของวิศวะให้เหมาะสมอีกด้วย


   สรุปในสรุปในสรุปอีกทีก็คือ ให้วางแปลนสถานที่จัดคอนเสิร์ตนั่นแหละ


   เพราะกำหนดให้แต่ละฝ่ายส่งตัวแทนมาเพียงสองคน รุ่นพี่เลยยกหน้าที่เฮดและรองเฮดให้กับบุคคลที่มาประชุมไปโดยปริยาย แต่คิดเหรอครับว่าคนอย่างไป๋จะยอมเป็นเฮด


   ไม่มีทางเสียหรอกครับ...


   คนไม่มีประสบการณ์อย่างผมแค่หน้าที่รองเฮดที่ได้มาอย่างงงๆ ยังทำตัวไม่ถูกเลย




   “ไป๋ ไปไหนต่อไหม?”

   “อยากกลับหอไปนอนต่อแล้ว”

   “งั้นไปแดกข้าวก่อนแล้วกัน”

   กี่ครั้งกี่หนแล้ว ที่ต้องเสียความเชื่อใจ เพราะสิ่งที่มึงทำอยู่คือไม่ฟังความเห็นกูกันเลยเนี่ย!!!



   หลังจากโยนร่างตัวเองลงเบาะนุ่มของรถยนต์คนตัวสูงด้วยความง่วงมีที่มากเสียเหลือเกิน ก็ทำให้ผมหลับลงตั้งแต่ยังไม่ทันได้ออกจากคณะดี ร่างกายที่ล้าเพราะนอนดึกเหนื่อยเกินกว่าจะเอ่ยถามอะไรออกไป ปล่อยให้อีกคนขับรถพาตนเองไปไหนก็ได้ตามใจชอบ



   จนกระทั่ง...

   “ไป๋ตื่นๆ”

   “...อื้อ” ร่างบางลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย ยืดตัวขึ้นเพื่อบิดขี้เกียจ ก่อนจะปรับโฟกัสของสายตาให้ประมวลสถานการณ์รอบข้างในตอนนี้

   ที่ไหนวะเนี่ย?



   “ตลาดน้ำแถวมอ ลงมา ไปหาข้าวแดกกัน”


   ด้วยความที่มหาลัยของพวกเราไม่ได้อยู่ในตัวเมืองกรุงเทพ ก็ไม่คงแปลกที่จะมีตลาดน้ำตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล สองขาก้าวลงแล้วเดินไปหาร่างสูงที่กำลังยืนรอแล้วออกเดินพร้อมกันตรงไปหาร้านของกินที่ตั้งเต็มไปทั่วบริเวณ ร่างเล็กหันซ้ายหันขวามองอาหารเต็มทั้งสองข้างทางอย่างตื่นตา ด้วยหน้าตาที่น่าทานและราคาที่ไกลจากราคาพื้นฐานในกรุงเทพฯพอตัว
เดินเลยไปอีกนิดก็จะพบกับบันได้ทางลงไปยังแพริมน้ำที่จะมีแม่ค้านั่งขายของกันบนเรือแบบตามต้นฉบับของตลาดน้ำกันไปเลย เราสองคนเดินตามทางเดินจนไปหยุดที่หน้าร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่ง


   “มึงเคยบอกว่าชอบข้าว งั้นกินร้านนี้กันไหม” มันว่าพร้อมหันมาถามความสมัครใจของผม

   “มึงอยากแดกอะไรอะ”

   “กูอะไรก็ได้”

   “ไหนๆก็มาตลาดน้ำแล้ว กินก๋วยเตี๋ยวเรือสักมื้อก็ไม่เป็นไรหรอก” สิ้นคำผมก็ลากแขนมันเดินกลับไปในทางที่เดินมาก่อนจะหยุดลงที่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าเก่าร้านนึง ซึ่งดูจากจำนวนลูกค้าแล้วท่าทางจะอร่อยไม่เบา



   หลังจากที่กินก๋วยเตี๋ยว ของเครื่องเคียงและขนมหวานอย่างอิ่มหนำสำราญกันแล้ว ด้วยความที่อยากดื่มน้ำหวานๆ ผมเลยเดินเข้าไปสั่งแดงโซดาในร้านข้างๆกัน ขณะนั้นเองไอ้พิวเลยขอตัวไปซื้อของบ้าง เวลาผ่านไปสักพักมันก็กลับมาพร้อมกับ…

   ถังอาหารปลาสองถังในมือ


   “อะ ไปให้อาหารปลากันดีกว่า”

   

   “ไอ้พิว อย่าให้เยอะ ปลามันดีดน้ำกระเด็นใส่กู” หันไปเอ็ดไอ้พิวที่แทบจะเทอาหารให้ปลา ทำให้ปลาเกิดการยื้อแย่งอาหารขึ้นจนดูวุ่นวายไปหมด

   “ไม่อะ” ก่อนสิ่งที่ผมนึกนั้นจะเกิดขึ้นจริง นั่นก็คือมันจัดการคว่ำกระป๋องอาหารลงตรงพื้นน้ำหน้าผมทันที เท่านั้นแหละแม่งเอ้ย ปลานี่ดีดหน้าขึ้นหน้ากูกันใหญ่เลย


   กูเปียกไปครึ่งตัวแล้วเนี่ย มึงยังจะกวนตีนกูอีกนานไหม!




   “ไป๋! หันมาเร็ว”  ยังไม่ทันพ้นความวุ่นวายก่อนหน้าไปสักเท่าไหร่ ก็ได้ยินเสียงทุ้มข้างๆเรียกให้หันไปเสียก่อน แต่เมื่อหันไปก็พบกับไอ้พิวที่กำลังยื่นโทรศัพท์เปิดกล้องหน้าออกห่างจากตัวเพื่อเก็บภาพ เจ้าตัวจัดการกดชัตเตอร์ทั้งๆที่ยังไม่ได้ให้ผมตั้งตัวแม้แต่น้อยเลย

   “ไอ้เชี่ย เมื่อกี๊กูยังไม่ทันเก๊กเลยเอาใหม่ๆ”

   “อะๆ” คราวนี้ไม่พลาดกะองศาใบหน้าพร้อมโปรยรอยยิ้มหากินให้ได้ถ่ายภาพทันที

   “ป่ะ กลับกันเถอะ”







   ในที่สุดกิจกรรมของวันก็ได้สิ้นสุดลง เสียงเพลงหวานคลอในรถทำเอาร่างเล็กอยากจะหลับตาลงนอนอีกสักครั้ง แต่ยังไม่ทันให้ได้กล่อมตัวเองนอนดีๆ ก็ต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเคืองๆเพราะคนข้างๆแกล้งเอามือมาบีบจมูกตัวเองเสียนี่


   ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใครในศึกนี้ ทั้งสองงัดท่าไม้ตายออกมาแบบไม่เต็มที่มากนัก เพราะอีกคนกำลังขับรถอยู่ แกล้งจนคนตัวสูงกว่ายกมือซ้ายขึ้นยอมศิโรราบ คนตัวเล็กจึงยุติการแกล้งคืนทั้งหมดลง


   ก่อนจะก้มลงมองสภาพของแต่ละคนตอนนี้ เสื้อยับยู่ยี่ อีกทั้งแขนขาวๆของคนตัวสูงยังมีรอยเล็บขูดขึ้นแดงให้เห็นบางๆอีกด้วย ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมามองกันเล็กๆ ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นทั้งรถให้กับนิสัยของเด็กไม่รู้จักโตที่มักแสดงออกมาในตอนที่อยากเอาชนะ


   แต่ทั้งสองก็ยังไม่รู้ตัวหรอก ว่านิสัยเด็กๆที่ว่านั่น ตั้งแต่ขึ้นมหาลัย พวกเขาไม่เคยแสดงกับใคร หรือที่ไหนมาก่อนเลย จนตอนที่ได้มาเจอกับอีกคน...




(มีต่อ)

   

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-08-2018 18:33:47 โดย pearyypinkyy »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด