(end) ◦「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twenty one ―280918)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (end) ◦「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twenty one ―280918)  (อ่าน 76653 ครั้ง)

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
❋❋❋




   ในที่สุดวันศุกร์ที่รอคอยก็ได้มาถึง!!!


   ตอนนี้เป็นเวลาประมาณสองทุ่ม กว่าป๊าและม๊าจะเดินทางฝ่าฝูงรถติดในวันศุกร์ตอนเย็นมาได้ก็เล่นเอาหนักเหนื่อยพอการ ป๊าที่เป็นถึงหัวหน้าวิศวกรในบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ทำงานก็ว่าหนักและเหนื่อยแล้ว ยังต้องรีบไปรับแม่ที่บ้านเพื่อนมารับผมพร้อมๆกันอีก ในตอนที่อยู่หอแรกๆผมก็บอกเหมือนกันว่ากลับเองได้แต่ทั้งสองก็ยืนยันจะมารับ ด้วยสาเหตุที่ว่าอยู่บ้านแล้วเหงา...

   ความพ่อกับแม่ผมเองครับ

   ไม่รอช้าเก็บกระเป๋าสัมภาระของใช้ที่จำเป็นในแต่ละวันลงกระเป๋ากลับบ้าน รวมทั้งแล็ปท็อปที่จำเป็นสำหรับการตัดต่อชิ้นงานที่ต้องส่ง พร้อมดึงผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนข้างที่ไม่ได้ซักมานานร่วมสัปดาห์ลงตะกร้าผ้า ก่อนจะรีบกะเตงของทั้งหมดเข้ากับตัว ใส่รองเท้าให้เรียบร้อย เพื่อเตรียมตัวออกจากห้อง


   “ไอ้ยีนส์ กูไปแล้วนะ”

   “เออ อย่าลืมซื้อขนมมาฝากด้วย”

   “อยู่ห้องคนเดียว ระวังผีนะ”

   “ไอ้เชี่-”


   ปัง!


   ใครอยู่รอให้ไอ้ยีนส์ด่าจบคำก็โง่แล้ว พ้นจากประตูห้องได้ก็ทุลักทุเลหอบตะกร้าผ้าลงบันไดอย่างลำบากเอาเรื่อง เดินออกจากประตูหอมาชะเง้อมองก็พบว่ารถเก๋งคันเก๋าจอดห่างออกไปไม่ไกล

   “ป๊า หวัดดี ม๊า หวัดดี ..” เปิดประตูรถสวัสดีพ่อแม่บังเกิดเกล้าด้วยความสดใส ก้าวขาขึ้นมาแล้วปิดประตูรถเรียบร้อย ก็หันไปทางด้านขวาเพื่อที่จะเอาตะกร้าผ้าที่วางบนหน้าตักลงไปวางด้านข้างลำตัวก็ต้องตกใจ เมื่อมีมือปริศนาเอื้อมเข้ามาขว้าหมับเข้าที่ลำแขนที่พาดลงบนตะกร้าพลาสติก

   “ไอ้เหี้ย!”

   “โถ่ ไอ้น้องชาย เจอกันที่ก็ทักด้วยสัตว์โลกน่ารักเลยนะ” ใช่ครับ และนี่ก็คือพี่ปุ๋ย พี่ชายแท้ๆที่คลานตามกันมาเพียงคนเดียวของผม ปัจจุบันเจ้าตัวกำลังศึกษาอยู่ใน ชั้นปีที่สาม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ในมหาลัยแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ให้เดาจากการที่ไอ้พี่ตัวดีของผมกำลังแต่งชุดนักศึกษาชายเสื้อหลุดลุ่ยอยู่นี่ก็แสดงว่าคงเพิ่งไปรับเจ้าตัวก่อนที่จะมารับผมอย่างแน่นอน

   “ไอ้พี่ปุ๋ย เล่นไรไม่รู้เรื่องไป๋ตกใจหมด”

   “โอ๋ๆ น้องไป๋ของพี่ปุ๋ยตกใจเหรอครับ มาๆ ให้พี่จุ๊บๆ” จากเดิมที่ผมกับไอ้พี่ปุ๋ยเคยนั่งห่างกันโดยมีสัมภาระคั่น แต่ในตอนนี้เจ้าตัวกลับยกของทั้งหมดที่ว่าย้ายไปไว้อีกฝั่งแล้วเขยิบเบียดตัวเข้ามาชิดผมแทน

   “ฮ่าๆ ลูกสองคนเล่นอะไรกันเหมือนเด็กเลยเนอะป๊า” ม๊าเอี้ยวหน้ากลับมามองแล้วก็หันกลับไปถามความเห็นจากป๊า โดยไม่คิดจะห้ามลูกชายคนโตที่กำลังเอาหน้าแนบแก้มผมจนผมหน้ายู่อยู่ตรงนี้เลย

   “ก็น้องไป๋ยังไม่โตเลย เดี๋ยวกลับบ้านไปพี่ปุ๋ยจะชงนมแล้วนอนตบตูดให้น้า”

   “ไอ้พี่ปุ๋ย ถ้ายังไม่เลิก ไป๋จะไม่หารค่า Netflix ด้วยแล้วนะ”

   “คนเขาอุตส่าห์คิดถึง ไม่เล่นด้วยแล้วก็ได้” คำขู่ทำงานได้ดีเกินคาด เพราะเจ้าตัวหน้ามุ่ย รีบถอยใบหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว สาเหตุก็คือพี่ชายของผมกำลังเก็บเงินซื้อฟิกเกอร์คอลเลคชั่นใหม่อะไรสักอย่างที่กำลังชื่นชอบอยู่ ดังนั้น อะไรที่สามารถประหยัดได้เจ้าตัวก็จะทำ

   “เดี๋ยวแวะกินข้าวข้างทางไปเลยแล้วกัน ม๊าจะได้ไม่ต้องทำกับข้าว”

   “ครับ/ครับป๊า”


   ถึงจะวุ่นวายแต่ก็มีความสุขแหละนะ..




❋❋❋





   ก๊อก ก๊อก ก๊อก


   เสียงเคาะประตูในยามหัวค่ำของวันเสาร์ ดึงสมาธิของผมให้ออกจากงานตรงหน้า มันน่าแปลก เพราะปกติในเวลานี้จะไม่ค่อยมีใครมาเคาะประตูห้อง วันนี้ป๊าทำต้องทำโอที ส่วนม๊าก็ไม่น่าใช่ นั่นก็ทำให้เหลือผู้ต้องสงสัยอยู่เพียงคนเดียว..


   “ใครครับ?”

   “คนที่หล่อที่สุดในบ้านเอง”

   “มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย”


   แอ๊ด


   คนที่มีศักดิ์เป็นพี่ และเป็นผู้ที่ไม่เคยคิดจะเชื่อฟังคำสั่งของน้องชาย ถือวิสาสะเปิดประตู หอบแล็ปท็อปและหมอนใบโต เดินเข้าห้องส่งยิ้มหวานมาด้วยจิตใจอันเบิกบานของพี่แก

   “แต่ตอนนี้น้องไป๋หล่อที่สุดเลย”

   “แล้วนี่มาทำไม?” ถามพร้อมบุ้ยปากไปทางของในมือที่ดูยังไงก็เหมือนคนเตรียมตัวมานอนมากกว่าจะมาทำงานอยู่ดี

   “มาดูหนัง”

   “แล้วทำไมพี่ปุ๋ยไม่ดูที่ห้องตัวเองอะ?”

   “ห้องนี้วายฟายแรงกว่า” ไม่รีรอคำอนุญาตใดๆ เจ้าตัวก็ทิ้งสารร่างลงบนเตียงนอน วางหัวหนุนหมอนที่นำมาด้วยอย่างสบายอารมณ์ โดยไม่สนใจเจ้าของห้องที่นั่งอยู่ตรงนี้แม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังเกลือกกลิ้งไปทั่วทั้งพื้นเตียงพาลให้ผ้าปูสีน้ำเงินที่เขารู้สึกชอบใจนักหนานั่นยับยู่ยี่กันไปทั่วทั้งผืนอีก แต่อย่างไรนี่ก็ถือเป็นพฤติกรรมปกติของไอ้พี่ปุ๋ยมันนั่นแหละ ชุ่ย ขี้เกียจตัวเป็นขน แล้วยังซกมกอีก

   “มาดูหนังด้วยกันไหมไอ้น้องชาย”

   “ไม่ได้ ไป๋ต้องทำงาน”

   “โอ้โห ทำไมน้องชายกูมันขยันจังเลยวะ”

   “ใครจะไปเหมือนพี่ปุ๋ยล่ะ ปีสามแล้ว โดนไทร์ขึ้นมาจะหาว่าคนหล่อไม่เตือนนะ”

   “น้องไป๋ครับ พี่เนี่ยไม่อยากจะโม้เลย ว่าขนาดพี่ไปร้านเหล้าแทบทุกสัปดาห์เนี่ยยังไม่ติดเอฟสักตัวเลยนะจะบอกให้”

   “ที่ไปกินเหล้านั่นไม่ใช่ว่าโดนเมียทิ้งเหรอ?” หลังจากนั้นพี่ปุ๋ยทิ้งช่วงนั่งเงียบเป็นเป่าสาก ผมหลับตาลงอย่างนึกโกรธตัวเองที่เผลอพูดจาอะไรไม่นึกถึงใจคนอื่น พับหน้าจอแล็ปท็อปที่ยังเหลือการตัดต่ออยู่อีกเล็กน้อยลง ก่อนจะจับเก้าอี้พาหันหลังไปหาเพื่อขอโทษขอโพยพี่แก แต่ทันใดนั้นก็รูสึกได้ถึงแรงรัดช่วงลำคอขึ้นมากระทันหัน


   “นี่แน่ะ ถ้าไอ้น้องไป๋ปากหมามันต้องเจอแบบนี้”

   “โอ้ย! พี่ปุ๋ยพอแล้ว แค่กๆ” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อที่ไอ้พี่ปุ๋ยกระโจนจากเตียงนอนพุ่งมาหาผมที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างบีบหลวมๆเข้าที่ลำคอของผมแล้วจับมันเหวี่ยงไปซ้ายทีขวาที จนขอบตาเริ่มรื้นไปด้วยน้ำตา แต่ไม่ใช่จากการหายใจไม่ออก แต่เป็นเพราะการสำลักน้ำลายของผมเอง

   แต่นี่ก็ไม่ใช่การเล่นอะไรแผลงๆแบบนี้เป็นครั้งแรก..

   “แบร่ แน่จริงก็มาเอาคืนให้ได้สิ” และแล้วเกมแมวไล่หนูก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังจากคนพี่ได้แลบลิ้นปลิ้นตาหมายจะท้าทายผู้เป็นน้องที่กำลังหอบหายใจหน้าดำหน้าแดง

   
   ทันทีที่ปล่อยลำคอขาวนั่นให้เป็นอิสระ ฝ่ายพี่ที่สูงกว่าและมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าจึงทำให้ได้เปรียบมากกว่าเล็กน้อยได้วิ่งออกห่างแล้วกระโดดขึ้นไปยืนบนพื้นเตียงอย่างท้าทายเจ้าของห้อง ทางคนน้องไม่รอช้า หลังจากที่ได้สติกลับคืนมาก็ลุกขึ้นออกวิ่งไล่จับกันรอบทั่วทั้งห้อง


   “พี่ปุ๋ย! อย่าย่ำบนเตียงไป๋ เดี๋ยวมันสกปรก”

   “ย่ำแบบไหน แบบนี้ปะ..” เท้าไซส์ 42 ได้กระทืบเท้าถี่ๆลงบนเตียงทั้งสองข้าง ทำเอาน้องชายที่ยืนอยู่บนพื้นกระเบื้องด้านล่างถึงขั้นเบิกตาเล็กๆนั่นจนสุด ง้างปากเตรียมโวยวายใส่พี่ชายของตนเอง

   “ไอ้! พี่! ปุ๋ย!!!!!” ผมแหกปากตะโกนออกไปด้วยความโมโห


   แม่งเอ้ย! ทำไมพี่ชายกูมันถึงกวนตีนได้ถึงขนาดนี้วะ?!!!!


   “น้องไป๋จะตะโกนทำไม? เดี๋ยวม๊าว่าเอานะ”

   “ก็ลงมาก่อนเซ่ะ – เฮ้ย!” จู่ๆในขณะที่ผมกำลังชี้หน้าเอาเรื่องไอ้พี่ชายตัวดีอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในตอนนั้น เจ้าตัวก็เอื้อมมือมาดึงให้เข้าไปหา ผมที่ไม่ทันตั้งหลักก็กลายเป็นว่าสารร่างของผมและไอ้พี่ปุ๋ยได้ล้มทับกันในท่าที่หน้าของผมซุกอยู่บริเวณซิกแพ็คแน่นๆของพี่มันเต็มๆ

   “อ่าเอาอืออกอั๋วไอ๋(อย่าเอามือกดหัวไป๋)”

   “ฮ่าๆๆ กูกับมึงนี่เล่นอะไรกันเหมือนตอนเด็กชิบหายเลย” เสียงหัวเราะแหบห้าวดังขึ้นพร้อมกับการปล่อยให้หัวผมเป็นอิสระ
 
   “ใครเป็นคนเริ่มเล่า ปั๊ดโถ่” ผมพาตัวเองลุกขึ้นมาจัดการจัดทรงผมและเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย เพื่อกลับไปทำงานที่ค้างคาไว้ให้เสร็จภายในคืนนี้ แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อพี่มันดึงผมให้ล้มตัวลงไปนอนกับพี่แกอีกครั้ง แม้จะฝืนแรงพี่ปุ๋ยอยู่หลายรอบก็ไม่เป็นผล ทำให้ผมต้องจำใจนอนลงในท่าที่หัวหนุนอยู่ที่แขนของแกแล้วก็นอนมองเพดานโล่งๆภายในห้องกันทั้งคู่


   “เรียนหนักไหม?”

   “หื้อ .. ปีหนึ่งยังไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก พี่ปุ๋ยเหอะ ปีสามแล้วงานไม่เยอะเหรอ”

   “เยอะดิ โคตรเยอะเลย เยอะแบบแทบไม่ได้นอน”

   “เอ้า แล้วกลับบ้านมาทำไมอะ” ผมตะแคงศีรษะหันไปถามพี่ชายทางสายเลือด

   “เห็นไป๋บอกในไลน์ว่าจะกลับบ้าน พี่ปุ๋ยเลยโทรบอกให้แม่มารับบ้าง”


   เพราะกว่าเกิดห่างกันไม่กี่ปีจึงทำให้เราทั้งสองสนิทสนม และมีหน้าตาที่คล้ายคลึงกันมากถึงขนาดนี้ โครงหน้าทรงไข่จากม๊า ส่วนตาสองชั้นแต่ตี่เล็กจนน้อยกว่ามาตรฐานขนาดดวงตาชาวไทยปกติของเราทั้งคู่ก็ได้จากป๊าที่มีเชื้อสายมาจากทางจีน

   แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างเราทั้งสองคนนั่นก็คงเป็นสไตล์และความชื่นชอบส่วนตัว ผมที่ไม่ค่อยชอบให้ผมเผ้ารุงรังหรือมีหนวดแม้จะเป็นแค่ไรบางๆก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก ต่างจากคนพี่ที่ชอบปล่อยผมให้ยาวจนมัดได้แล้วยังไม่พอ เจ้าตัวยังชอบที่จะไว้หนวดเคราน้อยๆ โดยอ้างว่าเป็นการเสริมความติสท์ให้ตัวเองอีก


   “คิดถึงไป๋ ก็บอกคิดถึงไป๋ดิ”

   “เออ คิดถึง มีแต่มึงนั่นแหละที่ไม่เคยคิดถึงกูเลย”

   “ปกติก็ไลน์คุยกันอยู่แล้วปะพี่ โห่” คราวนี้ไม่หันไปมองอีกฝ่ายจากด้านข้าง แต่ก็รู้ได้ทันทีเลยว่าทั้งผมและพี่ปุ๋ยกำลังนอนยิ้มให้สีขาวของเพดานกันอยู่

   เราเป็นคู่พี่น้องที่สามารถคุยกันได้แทบทุกเรื่อง เหตุผลก็เพราะชีวิตในวัยเด็กของเราต่างก็ใช้เวลาคลุกคลีอยู่ด้วยกันเป็นส่วนมาก จนถึงวันนี้ผมยังจำตอนเด็กๆที่พี่ปุ๋ยร้องไห้โฮตอนที่ต้องเปลี่ยนโรงเรียนช่วงประถมหนึ่ง ทำให้ไม่ได้เรียนโรงเรียนเดียวกันกับในตอนที่ผมกำลังอยู่อนุบาลได้อยู่เลย แต่พอตอนโตก็ต้องนั่งปวดกบาลเพราะคราบของพี่ชายอันแสนดีที่ว่าก็ได้หลุดหายเหลือเพียงแต่พี่ชายโคตรจะกวนไว้เท่านั้น

   อือ ถึงกวนตีนแต่ก็รู้ว่าพี่มันยังเป็นห่วงเหมือนเดิมแหละ..


   “ยังไม่ได้ถามเลยว่าเลิกกับเมียได้ไงวะพี่ปุ๋ย?”

   “เขาบอกว่ากูชอบใส่ถุงเท้าสลับข้างกัน ..”

   “ฮะ?”

   “เวลากินก๋วยเตี๊ยวก็ไม่เลือกตะเกียบให้ถูกคู่” ปากอ้าค้างกลางอากาศทันทีหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวเพียงบางส่วนจากปากของพี่ชาย

   “ผู้หญิงนี่เข้าใจยากเนอะ มึงว่าไหม?”

   “อ๋อ พี่ปุ๋ยเลยเข้าร้านเหล้าทุกอาทิตย์ไปย้อมใจเหรอ?”

   “อือ คนมันใจบาง เลยต้องสร้างใหม่ด้วยแอลกอฮอล์”

   “พี่ มึงบ้าปะเนี่ย ฮ่าๆ แล้วไหนบอกจะประหยัดตังซื้อฟิกเกอร์ไง”

   “ฟิกเกอร์เอาไว้ก่อน รักษาแผลใจสำคัญสุด” แฟนเก่าคนล่าสุดของพี่ปุ๋ยนั้นเรียนอยู่คณะบัญชี แถมยังเป็นผู้หญิงที่จัดได้ว่าเป็นคนที่สวยมากๆคนหนึ่งเลย ทั้งสองเพิ่งมาคบกันได้ตอนไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่ดูๆแล้วก็รู้ได้เลยว่าพี่ปุ๋ยแกรักผู้หญิงคนนั้นมากแค่ไหน รักมากจนเคยพามาเปิดตัวให้ป๊ากับม๊าดูแล้วด้วย เลยไม่คิดว่าทั้งคู่จะปิดฉากรักได้เร็วถึงขนาดนี้

   “แล้วมึงกับน้องพลอยใสเป็นไงบ้างอะ?”

   “เป็นเพื่อนกันแล้ว”

   “อ้าว เลิกกันแล้วเหรอ ทำไมล่ะ?”

   “ไป๋ไม่บอกพี่ปุ๋ยหรอก”

   “เฮ้อ มึงนี่นะ” หลังจากพี่ชายตัวสูงพรั่งพรูถอดถอนลมหายใจออกมาทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ หลงเหลือเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่ทำงานตามกำลังไปพร้อมกับสมองน้อยๆไม่ประสีประสาเรื่องเรียนกำลังคิดหนัก .. เขาควรจะเล่าเรื่องที่มันชอบมากวนใจให้พี่ชายฟังดีไหม? แล้วพี่ชายจะรับได้หรือเปล่าเมื่อรู้ว่าคนที่เขาชอบเป็นใคร?

   “พี่ปุ๋ย ไป๋มีเรื่องอะไรจะบอก”

   “หื้ม?”

   “พี่ปุ๋ยสัญญากับไป๋นะว่าจะไม่โกรธ”

   “เรื่องมันหนักหนาขนาดนั้นเลยเหรอ?”

   “ไป๋ชอบผู้ชายว่ะพี่”


   เงียบสนิท ..


   “ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงระเบิดหลังหัวเราะดังขึ้นภายหลังจากที่ไม่มีเสียงตอบรับทิ้งช่วงนานหลายวินาที ทำเอาผมที่เป็นคนพูดถึงกับใจเสีย เพราะนึกว่าพี่แกคงโกรธผมไปแล้ว

   “ไอ้ลูกหมาเอ๊ย กลัวกูโกรธเพราะแค่มึงชอบผู้ชายเนี่ยนะ ฮ่าๆ” ว่าพูดเปล่าเจ้าตัวก็ตะแคงตัวหาพร้อมรั้งผมให้เข้าไปใกล้ จนกลายเป็นว่าผมโดนพี่ปุ๋ยกอดจมอกไปเสียแล้ว

   “พี่ปุ๋ยไม่โกรธเหรอ?”

   “โกรธทำไมวะ แล้วใครเป็นคนเข้ามาทำให้น้องชายกูหวั่นไหวได้วะเนี่ย?” เหมือนได้ยกภูเขาสูงเสียดฟ้าออกจากอก เพราะพี่ชายเขาดูไม่ยี่หระแถมยังยินดีเสียอีกที่เขากล้าจะเปิดเผยความลับให้ฟัง

   ดังนั้นผมก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังเรื่องที่เกิดขึ้นจากพี่ชายที่คอยเป็นห่วงเป็นใยผมแต่อย่างใด จังตัดสินใจเล่าเรื่องระหว่างผมและพิวให้พี่ชายผมฟังทั้งหมด ตั้งแต่เกิดเรื่อง เริ่มสนิทกัน มันทำให้ผมมีความสุขอย่างไร และทำให้ผมรู้สึกเป็นทุกข์อย่างไร

   อย่างน้อยการได้มีพี่ชายที่พร้อมรับฟังเรื่องราวแสนสาหัสของน้องชายด้วยความใส่ใจนั่นก็ถือเป็นกำไรของชีวิตแล้ว..



   “ไอ้คนนั้นมันชื่ออะไร?”

   “ชื่อพิว เป็นเพื่อนภาคไป๋เองไง .. พี่ปุ๋ยจะลุกไปไหนอะ?” ผมเด้งตัวจากที่นอนขึ้นมานั่งงงบนเตียงแทน หลังจากที่เล่าเรื่องให้พี่ปุ๋ยฟังจนจบแล้วเจ้าตัวก็ลุกพรวดพราดแล้วเดินไปด้อมๆมองๆที่พื้นกระเบื้องแทน

   “อะ .. เจอโทรศัพท์ละ กูขอเฟซมันหน่อย”

   “พ-พี่ปุ๋ยจะเอาไปทำอะไร ไป๋จำไม่ได้หรอก” แล้วก็ต้องร้องอ๋อขึ้นภายในใจทันทีเมื่อรู้ว่าพี่แกกำลังหาโทรศัพท์ที่เผลอปัดตกลงพื้นไว้อยู่จนเจอ

   “นี่ โทรศัพท์มึง เร็วๆอย่าชักช้า กูอยากเห็นหน้ามันเหลือเกินว่าหล่อขนาดไหนถึงทำอะไรเหี้ยๆกับน้องชายกูได้ถึงขนาดนั้น” สมาร์ทโฟนคู่ใจถูกโยนลงมาบนตัก จะให้บ่ายเบี่ยงตอนนี้ก็คงไม่ทันการณ์เสียแล้ว กลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความประหม่าพร้อมบอกชื่อโปร์ไฟล์ภาษาอังกฤษตามหน้าจอที่เปิดค้างไว้ให้อีกฝ่ายที่ยืนขมวดคิ้วอย่างดุดันไปทีละตัว ทีละตัว...

   “พี่ปุ๋ย ไป๋กับเขาเป็นเพื่อนกันแล้ว .. ใจเย็นๆนะ” ในจังหวะนี้คงต้องหวังพึ่งเอาน้ำเย็นเข้าลูบอย่างเดียวแล้ว เมื่อสีหน้าของคนเป็นพี่ดูเลวร้ายลงทุกครั้งที่สไลด์ไปตามโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือ

   “หล่อ .. แต่ไม่ใช่ประเด็น แม่งตั้งคบกับผู้หญิงอีกคน แถมซ่อนตัสมึงอีก”

   “...”

   “อะไรเนี่ย สามนาทีที่แล้ว .. ไอ้ไป๋มึงรีบเข้าไปดูเดี๋ยวนี้เลย” เสียงห้าวแผดดังขึ้นมาทำเอาผมตกใจจนต้องรีบเข้าไปดูในสิ่งที่อีกคนบอกอย่างทันที


Kanjana Thippasiri ได้แท็ก Pew Phatipol ในรูปภาพ
เดี๋ยวนี้เวลาไม่ค่อยตรงกันเยย ว่างเมื่อไหร่พาเขาไปเที่ยวอีกน้า



   ข้อความพร้อมรูปภาพของทั้งสองยืนข้างกันทำเอาคนดูปวดใจหนึบ ไม่มีความกล้าพอที่จะดูให้นานกว่านี้จึงตัดสินใจกดปิดลง แต่ไม่ทันจะได้วางลงเสียงการแจ้งเตือนอันคุ้นหูก็ดังขึ้นเรียกความสนใจของเขาขึ้นมาเสียก่อน

   แค่สองข้อความสั้นๆ แต่กลับทำให้เขาลืมวิธีการพิมพ์กลับไปเสียดื้อๆ...



   ไลน์! ไลน์!


just pew : วันจันทร์นี้ว่างไหม?
just pew : จะไฟนอลแล้ว เดี๋ยวติวให้




▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔


หากชอบอย่าลืมคอมเมนต์+บอกต่อ ให้นุด้วยนะค้า

ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9

และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา



ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
chapter fifteen。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔



just pew : วันจันทร์นี้ว่างไหม?
just pew : จะไฟนอลแล้ว เดี๋ยวติวให้



   “ใครไลน์มา?” มือขาวเอื้อมส่งโทรศัพท์ในมือไปตรงหน้าให้เป็นคำตอบแทนการเอ่ยชื่อ ข้อความล่าสุดถูกโชว์ให้อ่าน ก่อนจะถูกล็อคหน้าจอแล้วถูกวางไว้บนลิ้นชักหัวเตียงไม่สนใจจะตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ คนนอกอย่างพี่ชายคนโตทำได้แค่ไถ่ถอนหายใจนึกหนักใจแทนน้องชายตัวเอง

   “จะรักใครก็คิดดีๆแล้วกัน กูเป็นแค่พี่บอกได้แค่นี้แหละ” ฝ่ามืออุ่นวางลงบนกลุ่มผมนุ่มทั้งขยี้ไปมาด้วยความเอ็นดู ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีปุ๋ยก็ยังมองไป่ไป๋เป็นน้องชายเป็นแค่เด็กน้อยตัวเล็กๆเสมอ

   ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นห่วงไปหมดนั่นแหละ..

   “อื้อ ขอบคุณนะพี่ปุ๋ย”

   “งานเดี๋ยวไว้ค่อยทำพรุ่งนี้ก็ได้ วันนี้มานอนดูหนังกับกูก่อนดีกว่า” หนุ่มผมยาวก้มเก็บของกระจัดกระจายบนพื้นพร้อมจัดผ้าปูที่นอนให้เข้าที่เข้าแทนคนที่เอาแต่นั่งซึมบนเตียง ก็นะ .. ถ้าเป็นเขาเจออะไรแบบนี้ขึ้นมา ร้านเหล้าที่เคยเข้าอยู่ทุกอาทิตย์คงได้เปลี่ยนมาเป็นเข้ามันทุกวันแทน

   “ไหนๆก็หิ้วหมอนมาแล้ว คืนนี้พี่ปุ๋ยจะนอนห้องไป๋เลยไหม?”


   “โถ่เอ๊ย อ่อนแอว่ะ อยากให้พี่ชายอยู่ปลอบก็บอกดิ”

   “เออ แล้วได้ไหมล่ะ?”



   รอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากของทั้งคู่โดยไม่รู้สึกตัว เพราะความที่คล้ายคลึงกันไปทั้งหมด ทั้งหน้าตา นิสัยและพฤติกรรม เรียกได้ว่าแค่มองตาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร..


   “ด้วยความยินดีว่ะไอ้น้อง : )”





   หนังรักในตำนานอย่าง Love, Rosie จัดเป็นหนึ่งในเรื่องโปรดที่ไม่ว่าจะดูกี่รอบก็ไม่เบื่อสำหรับไป่ไป๋ พร้อมกับพี่ปุ๋ยที่ได้นอนจดจ้องไปที่หน้าจออย่างไม่วางสายตา เตียงห้าฟุตในตอนนี้ดูแคบลงไปถนัดตาเมื่อมีร่างของผู้ชายทั้งสองคนนอนอยู่

   หนังดำเนินไปอย่างเรื่อยๆ จากเริ่มต้น จุดพลิกผันของเรื่อง จนถึงจุดไคล์แม็กซ์และจบลงด้วยฉากแฮปปี้ เอนดิ้ง ทำเอาหัวใจคนดูพองโตไปตามๆกัน เว้นเสียแต่..

   “คนเราอะนะ ทำไมไม่ถามกันตรงๆไปเลยวะ สุดท้ายก็ใจตรงกัน เสียดายเวลาแทนเลยว่ะ” พี่ปุ๋ยที่ลุกจากเตียงเดินไปเก็บอุปกรณ์เข้าที่เข้าทางเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำนอน ก็เอาแต่บ่นอุบอิบเกี่ยวกับตัวละครทั้งสองคน

   “ถ้าเกิดใจไม่ตรงกันแล้วต้องเสียเพื่อนจะทำยังไงอะ?”

   “สรุปอยากเป็นเพื่อนหรืออยากเป็นแฟนวะ ถ้าเป็นเพื่อนแล้วต้องนั่งมองเขารักกัน กูคนนึงเนี่ยแหละที่ไม่เอา” อารมณ์คนอินหนังจัดเริ่มประทุ เก็บของไปกระฟัดกระเฟียดไปเหมือนเป็นเรื่องจริงในชีวิตตนเอง

   “แต่ถ้าต่อให้ไม่ได้เขาเป็นแฟน ไป๋ก็ยอมเป็นเพื่อนเพื่อไม่ให้เสียเขาไปเหมือนกันนะ...”

   “สมมติว่าถ้าสักวันถ้าเราทนกับสถานะนั้นไม่ไหว เราก็ต้องเป็นคนเดินออกมาอยู่ดีนั่นแหละ”

   “...งั้นเหรอ”

   “แต่ก็นะ ..”

   “…”

   “บางทีเรื่องแบบนี้มันต้องให้เวลากับมันว่ะ”

   “เหมือนที่พี่ปุ๋ยต้องใช้เวลาในการลืมเมียเก่าอะเหรอ?”

   “อ้าว ไอ้นี่ทำไมลามปามวะ?” ม้วนทิชชู่ถูกโยนมากระแทกที่ใบหน้าขาวอย่างจัง ด้วยความโกรธเคือง ไม่รอช้าเขาจึงจัดการโยนทิชชู่อันเดิมกลับคืนไป วนลูปอยู่อย่างนั้นอย่างไม่มีใครยอมใคร ภายในห้องนอนจึงกลายเป็นสมรภูมิรบของกระดาษชำระหนึ่งแกนที่ไม่มีวี่แววว่าจะจบในที่สุด


   “พอเหอะๆ กูไปอาบน้ำละ เก็บที่เหลือให้ทีเดี๋ยวมานอนด้วย”

   “ไปเลย ไอ้พี่ปุ๋ยตัวเหม็น!” ไป๋ตะโกนไล่หลังไปจนคราวนี้เกือบจะเป็นแล็ปท็อปที่ลอยมาเจิมหน้าผาก มิหนำซ้ำไอ้พี่ปุ๋ยยังโชว์สกิลหยาบคายจัดนิ้วกลางชูขึ้นมาแบบไม่ละอายต่อฟ้าดิน

   เสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับผมที่ล้มตัวลงบนหมอนต่อ สารภาพว่าหนังรักเมื่อครู่นี้แทบไม่เข้าหัวตัวเองเลยสักฉาก แต่ยังโชคดีที่เคยดูไปหลายรอบแล้ว เอี้ยวตัวหยิบสมาร์ทโฟนตัวต้นเหตุที่วางไม่ห่างจากตัวขึ้นมาเปิดข้อความที่ไม่มีคำตอบขึ้นมาอีกรอบ


just pew : วันจันทร์นี้ว่างไหม?
just pew : จะไฟนอลแล้ว เดี๋ยวติวให้




   สถานการณ์ในตอนนี้ก็เหมือนลูกตุ้มนาฬิกาที่แกว่งซ้ำไปซ้ำมาเพื่อรอเวลาให้ตัวเองหยุดนิ่ง แต่หารู้ไม่ว่าในทุกๆครั้งที่เริ่มแกว่งช้าลง จะมีแรงระลอกใหม่ๆเข้ามากระทำเสมอ แล้วลูกตุ้มแสนอาภัพนั่นจะทำอะไรได้ นอกจากรอเวลาให้ตัวเองได้หยุดลง .. อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง

   ก็คงจริงอย่างที่พี่ปุ๋ยพูด สักวัน เราก็ต้องเดินออกมา .. จะช้าหรือเร็วเท่านั้นแหละ

   นิ้วหัวแม่มือรัวแป้นพิมพ์ตามสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด ต่อจากนี้สถานะเพื่อนคงไม่มีความสำคัญไปสักระยะ เพราะเขาได้เลือกแล้วว่าตัวเองนั้นควรหันหลังกลับไปพักใจให้ทุกอย่างดีขึ้นเสียก่อน
   

   ขอโทษนะ แต่หลังจากที่ตัดใจได้แล้ว จะกลับไปเป็นเพื่อนคนเดิมให้เร็วที่สุดเลย


                     
paipai : ไม่เป็นไร
                     paipai : ขอบคุณนะ


   หลังจากพิมพ์ข้อความเหล่านั้นเสร็จ เขาวางโทรศัพท์ลงบนที่เดิมอย่างเชื่องช้า หยิบของใช้เข้าห้องน้ำไปชำระร่างกายเพื่อเข้านอนด้วยหัวใจห่อลีบอย่างไร้สาเหตุ

   ร่างบางหยุดยืนเบื้องหน้าของกระจกบานใหญ่ ไล่สายตาขึ้นไปสบกับภาพที่สะท้อนเงาของตัวเอง หยาดน้ำตาข้างแก้มและจมูกเห่อแดงนั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แม้จะยกมือปาดออกสักกี่รอบแต่ก็เหมือนว่าจะไม่มีทางแห้งเหือดไป สองขาอ่อนแรงไม่อาจต้านแรงโน้มถ่วงของโลกทรุดลงนั่งภายในพื้นห้องน้ำ ริมฝีปากห้อเลือดจากแรงเม้มกลั้นก้อนสะอื้น
 
   กำแพงของความไปเป็นไม่ได้ก่อนหน้านี้ถูกทำลายลงไม่มีชิ้นดีเมื่อเขาได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง หรือ ผู้ชายเป็นพิเศษ ในตอนที่ได้รู้ว่าเขาตกหลุมรักแค่คนๆนั้น .. คนที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แต่มีอิทธิพลต่อโลกทั้งใบของเขาเหลือเกิน
 และจวบจนมาถึงวันนี้ไป่ไป๋ก็ได้มาพบแล้วว่า สิ่งที่ยากที่สุดของทุกๆความสัมพันธ์ไม่ใช่การเกิดขึ้น หรือจบลง แต่เป็นการจบลงทั้งๆที่ยังมีความรักอยู่ต่างหาก.. ทำให้เจ็บปวด


   “ฮึก..ฮือ”


   ร่างบางยังคงนั่งนิ่งชันเข่ากอดตัวเอง ความเข้มแข็งที่แสร้งเป็นถูกปลดวางเหลือเพียงแค่เด็กหนุ่มวัยสิบเก้าที่ผิดหวังในความรักเพียงคนหนึ่ง ใครจะไปคิดว่าเด็กหนุ่มผู้ซื่อตรงในวันก่อนจะเสียศูนย์จนมีสภาพแบบนี้ได้..

   ร่างกายสั่นเทาค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นจากพื้น ใช้มือเกาะสิ่งของยึดเหนี่ยวไปตามทางจนไปหยุดยืนใต้ฝักบัว เสื้อผ้าถูกปลดเปลื้องจนเปลือยเปล่า หวังว่าความสดชื่นจะช่วยเรียกสติเขากลับมาได้อีกครั้ง การชำระร่างกายเป็นไปอย่างเชื่องช้า เปลือกตาเนียนค่อยๆปิดลงให้สายน้ำไหลผ่านได้ทั่วทั้งกรอบหน้า
   


   ถึงแม้จะเคยสัญญากับตัวเองไปแล้วว่าจะไม่ยอมกลับไปเสียใจกับเรื่องเดิมๆอีก ซึ่งในทุกครั้งที่ผมสัญญากับตัวเองเช่นนี้มักจะประสบความสำเร็จเสมอ .. แต่พอเป็นพิวแล้ว เขากลายเป็นคนแรกที่ทำให้ผมผิดคำมั่นที่เคยให้ไว้กับตนเองอย่างไม่มีชิ้นดี

   และต่อจากนี้เขาคงไม่กล้าสัญญาอะไรกันตัวเองอีกต่อไปแล้ว...
   

   

   
   
❋❋❋

    

   เวลาดำเนินมาถึงช่วงบ่ายของวันถัดมา เราตัดสินใจออกจากบ้านกันเร็วหน่อยเพื่อป้องกันปัญหารถติดในวันสุดสัปดาห์ของเมืองหลวง

   “น้องไป๋ พี่ปุ๋ยไปแล้วนะ”

   “เออ พี่ปุ๋ยรีบขึ้นห้องไปเถอะ ป๊าม๊าจะได้รีบไปส่งไป๋ที่หอบ้าง”

   “สัญญากับพี่ก่อนว่าจะไม่เป็นคนอ่อนแอ”

   “แล้วที่นั่งเถียงกับพี่ปุ๋ยฉอดๆอยู่นี่คิดว่าไป๋อ่อนแอหรือไง”

   “ดีมากน้องรักของพี่” หมอนอิงรูปแตงโมถูกยกขึ้นมาบดบังใบหน้าจากการถูกจู่โจมจุ๊บที่แก้มจากพี่ชายจอมทะเล้น ที่เลื่อนปากเข้ามาใกล้จนจะชนแก้มของน้องชายอยู่รอมร่อ

   “บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าหอมแก้มข้างนอก”

   “อะไรวะทีตอนเด็กยังให้หอมอยู่เลย”

   “จะบอกว่าสมองตัวเองยังไม่โตหรือไง ไปไป๊ ไป๋จะรำคาญแล้วนะ”

   “เออ ไปก็ได้ ป๊าหวัดดี ม๊าหวัดดี น้องไป๋ไล่แล้ว ไว้เจอกันครับ” พี่ปุ๋ยบอกลาพร้อมปิดประตูรถจนสนิท ยืนมองตัวรถที่กำลังเคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา จึงหันหลังเดินเข้าหอพักเข้ามาทีหลัง

   
   “พี่ปุ๋ยกลับมาอาทิตย์นี้ดูอารมณ์ดีจังเลยเนอะน้องไป๋”

   “ไม่ใช่หรอกม๊า พี่ปุ๋ยก็เป็นบ้าๆบอๆอย่างนี้ทุกอาทิตย์แหละ” ภาพข้างทางบ่งบอกว่าคงอีกสักพักใหญ่กว่าผมจะได้ถึงหอโดยสวัสดิภาพ เพราะด้วยความที่มหาวิทยาลัยของพี่ชายผมอยู่ในโซนของตัวเมืองกรุงเทพมหานคร แถมวันนี้ยังเป็นวันอาทิตย์ที่นักศึกษาต่างทยอยกลับหอเตรียมตัวเข้าเรียนในวันพรุ่งนี้ ขนาดตอนนี้เป็นเวลาในช่วงบ่ายรถยังเยอะได้ถึงขนาดนี้ โชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุดของป๊าเลยไม่ค่อยกังวลเรื่องเวลาเดินทางสักเท่าไหร่


   “ต่างจากน้องไป๋เลย อาทิตย์นี้กลับบ้านมาก็ดูซึมๆ เป็นอะไรหรือเปล่าลูก?” คำถามจากผู้เป็นแม่แท้ๆทำผมถึงกับสะอึก เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะแสดงความรู้สึกออกมาจนชัดเจนขนาดม๊ายังรู้สึกถึงความผิดปกติได้

   “ไป๋เครียดนิดหน่อยอะม๊า แต่ไม่เป็นไรแล้ว เมื่อวานพี่ปุ๋ยมาป่วนที่ห้องจนลืมไปแล้วว่าไป๋เครียดเรื่องอะไร”

   “ฮ่าๆ ได้ยินแบบนั้นม๊าก็ดีใจแล้ว” ผมเหลือบมองเสี้ยวหน้าทั้งของป๊าและม๊าจากเบาะหลัง รอยเหี่ยวย่นเริ่มเกิดขึ้นบนผิวตามอายุทำเอาผมอดใจหายไม่ได้ สายตาที่คอยจ้องมองดูความเป็นไป จิตใจที่นึกแต่เป็นห่วง รวมทั้งรอยยิ้มจากปากและดวงตาของทั้งสองมักสร้างพลังบวกให้ผมได้เสมอ .. ขอบคุณครับ ช่วยอยู่เป็นร่มที่แข็งแกร่งที่สุดในวันที่ฝนตกในใจผมไปนานๆเลยนะ
   


   “น้องไป๋ แล้วอาทิตย์หน้าจะกลับไหม?”

   “น่าจะได้กลับอีกทีหลังสอบไฟนอลเสร็จเลยอะป๊า”

   “จะกลับเมื่อไหร่ก็ไลน์มาบอกแล้วกัน”

   “โอเคครับ ไป๋ขึ้นหอแล้วนะ ป๊าหวัดดี ม๊าหวัดดี”


   ตะกร้าผ้าสีฟ้าถูกแบกขึ้นหอพักอีกครั้ง ต่างกันตรงที่ในตอนนี้มีเพื่อนๆเดินสวนไปมาตามทางกันให้ขวักไขว่ เดินขึ้นบันไดมาจนถึงหน้าห้องตัวเองก็จัดการล้วงกระเป๋าหากุญแจ จนควานไปเจอพวงกุญแจกระต่ายขนฟูฟ่องที่แขวนเกี่ยวกันเอาไว้ สาเหตุมาจากการหากุญแจเหล็กอันกระจิ๊ดริดไม่เจอหลายต่อหลายครั้ง จึงแก้ปัญหาด้วยพวงกุญแจอันใหญ่ๆแม่งซะเลย


   แกร๊ก


   ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้ามาก็ต้องแปลกใจห้องสี่เหลี่ยมที่คิดว่าเปิดมาต้องเจอรูมเมทกำลังอยู่ในอิริยาบถต่างๆกลับว่างเปล่าและปิดไฟจนมืดสนิท และต้องแปลกใจเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าพัดลมยังคงถูกเปิดไว้อยู่

   “แฮร่!!!!”

   พลั่ก

   “โอ๊ย! ไอ้เชี่ย” ยีนส์กระโดดออกจากมุมอับของหลังประตูที่ตั้งใจจะเซอร์ไพร์สให้อีกฝ่ายตกใจแต่ดันพลาดท่าพาให้บานประตูเหวี่ยงกลับไปโดนหัวของผู้มาใหม่เข้าเต็มๆ

   “อ้าว โดนโขกเหรอ? โง่จัง”

   “ไอ้สัสเอ้ย แม่ง เล่นเหี้ยไรฟาดเข้ากบาลกูเต็มๆเลย” คำหยาบคายจัดขบวนกันมาไม่ขาดปากตามความเจ็บปวดที่โลดแล่นอยู่บนศีรษะ จนต้องใช้มือที่ว่างเว้นจากการอุ้มตะกร้าผ้าขึ้นมาลูบป้อยๆ

   “กูขอโทษนะๆ” มือข้างซ้ายที่ตอนแรกใช้บรรเทาความเจ็บอยู่ก็เปลี่ยนไปทุบเจ้าคนต้นเหตุโทษฐานที่บังอาจทำให้ผมเจ็บตัวจนเกิดเสียงดัง แล้วเปลี่ยนจากยืนหน้าประตูเดินเข้าห้องมาเก็บสัมภาระ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างเมื่อยล้า

   “มึงมาดูให้กูเดี๋ยวนี้ ถ้าหัวกูแตกมึงจ่ายเงินค่าทำขวัญกูมาด้วย”

   “มึงแม่งเว่อร์ละ ไหนให้กูดูสิ .. เชี่ย” ถึงจะบ่นแต่ยีนส์ก็เดินตามมาดูหัวให้ตามที่สั่งอย่างว่าง่าย อีกฝ่ายใช้สองมือในการเลิกผมปรกใบหน้าของรูมเมทให้ไปทางด้านหลัง แต่ยังไม่ทันได้ไถ่ถามถึงสภาพหนังศีรษะของตัวเอง ทางนั้นก็ทำหน้าตาตกใจแล้วร้องขึ้นมาพาลเอาคนเจ็บใจเสียไปด้วย

   “สัสยีนส์ หัวกูแตกจริงอ่อ” ไป่ไป๋เริ่มกระวนกระวายจนต้องเอือมมือไปคลำๆหาบริเวณที่เจ็บปวด แต่ก็ไม่พบกับปากแผลที่คาดการณ์ไว้แต่อย่างใด


   “หึ ไม่แตก แต่เถิกโคตร”


   วินาทีนี้หนังสือหนังหาที่กองรวมกันไว้บนโต๊ะได้ถูกเขวี้ยงไปหาคนปากหมาที่เอาแต่วิ่งหนีไปรอบห้อง เพราะกลัวถูกสันหนังสือฟาดเข้าหน้าตาย แทนที่จะได้ตายเพราะสนามรบไฟนอลในไม่กี่อาทิตย์ที่จะถึง

   คนในชุดบอลหอบแฮก ยอมจำนนนอนบนเตียงนิ่งๆให้ได้ชำแหละอย่างสาแก่ใจ

   “เชี่ยไป๋ มึงหยุดได้แล้ว กูเหนื่อย”

   “ปากหมาแบบเมื่อกี๊ก็ไม่ต้องกินขนมที่ม๊ากูฝากมาแล้วมั้ง”

   “กูยอมแล้ว กูขอโต๊ด เดี๋ยวกูกวาดห้องถูห้องให้อาทิตย์นึงเลยก็ได้เอ้า”

   “..ขนมอยู่ในกระเป๋า” อาการเหนื่อยล้าเมื่อครู่เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นจริง เมื่อไอ้ยีนสืรีบกระโดดเข้าตะครุบที่กระเป๋าเป้ของผมทันทีที่รู้พิกัด พร้อมรูดซิปหยิบขนมปังสังขยาจากร้านเบเกอรี่แถวบ้านของโปรดไอ้ยีนส์ที่ผมมักจะซื้อมาฝากทุกครั้งที่ได้กลับบ้าน

   “ฝากขอบคุณม๊ามึงด้วยนะ”

   “เออ” หลังจากที่ได้เห็นมันคว้าขนมขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อยแล้วก็ถือวิสาสะล้มตัวนอนบนเตียงของไอ้ยีนส์บ้าง จะว่าไปมันก็เรียบร้อยเหมือนกันนะ ทั้งที่นอนที่ถูกพับเก็บทุกครั้ง ต่างจากผมที่บางวันที่รีบๆก็จะมีสภาพเหมือนที่นอนไอ้แฮปปี้ ไหนจะโต๊ะอ่านหนังสือที่ถูกแยกหมวดหมู่วิชาได้อย่างน่าอ่าน พอหันไปมองโต๊ะตัวเองบ้างแล้วก็อนาจใจ เพราะสงครามสาดหนังสือเมื่อกี๊ยังไม่ได้ถูกเก็บชึ้นมาจากพื้นเลยด้วยซ้ำ

   “เออ ถึงว่า .. กูสงสัยเรื่องนี้เกี่ยวกับมึงมานานละ”

   “เรื่องอะไรวะ?”

   “ที่มึงไม่เคยเก็บผมขึ้นตอนอยู่หอเป็นเพราะสาเหตุนี้ใช่ปะ?”


   มึงคงอยู่ไม่ถึงสอบไฟนอลจริงๆแล้วแหละเพื่อน..



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-09-2018 23:53:58 โดย pearyypinkyy »

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
❋❋❋

   

   “แล้วพวกมึงรู้ป่ะ เดี๋ยวนี้นะเมทกูเริ่มซกมกขึ้นทุกวั๊นทุกวัน”

   “เออ เมทกูก็ซกมก มาแรกๆนี่ถูห้องแทบจะทุกวัน ดูเดี๋ยวนี้ดิ ถ้วยมาม่าแม่งยังคาอยู่บนโต๊ะเลย”

   “อียีนส์ของมึงถือว่าเบมากเมื่อเทียบกับกู”

   “ยังมีอีกนะ เมทกูต-”

   “ไอ้เชี่ยยีนส์ มึงจะเลิกด่ากูได้ยัง?” หลังจากที่นั่งฟังไอ้ตุลลี่ที่อพยพสารร่างของตัวเองขอมานั่งอ่านหนังสือด้วยตั้งแต่ตอนเย็น พร้อมกับไอ้ยีนส์ที่ยังมีหน้ามาแซะถ้วยบะหมี่รสต้มยำที่ผมเพิ่งกินเสร็จไปเมื่อครู่

   “แฮะๆ กูก็แซวเล่นน่า รู้หรอกว่าเดี๋ยวมึงก็ไปทิ้ง”

   “ด่ากูตลอดอะ .. ไอ้ตุลลี่ เมทมึงนี่ชื่ออะไรนะ?” ผมเอี้ยวตัวหันไปหาตุลลี่นั่งอ่านหนังสือบนโต๊ะญี่ปุ่นอยู่กลางห้องด้วยความสงสัย

   “ชื่อแบงค์ ภาคโย”

   “มันเป็นสไตล์ภาคโยฯมั้ง เซอร์ๆ อินดี้ๆ ไอ้มิกซ์เพื่อนกูแม่งก็เป็น” พักการอ่านหนังสือไว้สักครู่แล้วหันเก้าอี้ไปทางคนนั่งบนพื้นให้คุยได้สะดวก

   “มึงอย่าให้กูได้พูด .. แม่ง ไอ้แบงค์เนี่ยนะ ตั้งแต่เกิดมากูยังไม่เคยเห็นใครสกปรกเท่าแม่งเลย”

   “เป็นไงวะเล่าให้ฟังดิ”

   “คืองี้..”

   “ไหนบอกว่าไม่อยากเล่าไง?”

   “กูพูดตอนไหน .. อียีนส์มึงเงียบไปเลย อีไป๋มึงฟังกูนะ” ตุลลี่ก็ยังคงเป็นตุลลี่อยู่วันยังค่ำ ไม่รอช้าหันไปตำหนิยีนส์ที่ขึ้นแทรก จากนั้นสีหน้าแต่เดิมก็เปลี่ยนไปจริงจังขึ้นแล้วเลือกที่จะหันมาสบตาคนฟังอย่างผมเหมือนกำลังจะพูดเรื่องสำคัญ

   “อ่าฮะๆ”

   “ไอ้แบงค์เนี่ยแม่งตื่นทีก็แปดโมงครึ่ง ลุกจากเตียงสะบัดผ้าห่มน้ำท่าไม่อาบฟันไม่แปรงเดินไปคว้าช็อปมาใส่แล้วแม่งก็ไปเรียนทั้งอย่างนั้นเลย”

   “มันตื่นสายแล้วรีบหรือเปล่า?”

   “ตอนแรกกูก็คิดแบบมึงอะ อยู่ไปสักพักแม่งเป็นทุกวันเลยเว้ย .. ยังไม่พอนะตอนดึกแม่งก็เล่นเกมห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ยันตีสามตีสี่ ยังมีอีกนะ บางวันแม่งลากเพื่อนมาดูบอลที่ห้องกูเสียงแม่งดังทั่วทั่วทั้งชั้น คือมึงพอเข้าใจปะว่ากูต้องนอนก่อนเที่ยงคืน แล้ว-”

   “ทำไมมึงถึงนอนเกินเที่ยงคืนไม่ได้วะ?” อันนี้เป็นความสงสัยส่วนตัวของผม ซึ่งนึกย้อนไปช่วงก่อนหน้าแล้วก็ต้องคิดได้เพราะน้อยมากที่ไอ้ตุลลี่จะนอนดึก หรือมันจะมีโรคประจำตัวอะไรเปล่าวะ?

   “ถ้ากูนอนดึกแล้วผิวกูจะไม่สวย”

   “สัสเด๊ย” คราวนี้ไม่ใช่เสียงของผม แต่เป็นเสียงของไอ้ยีนส์ที่ยังอยู่ในท่านั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจเผลอสบถขึ้นมาหลังจากไอ้ตุลลี่บอกเหตุผลเสร็จ ..


   ก็นะ กูไม่น่านึกเป็นห่วงมึงเล้ยไอ้ห่า


   “เสือกไรมึงอียีนส์ .. ต่อนะ ยังไม่พอนะมึง มีวันนึง ตอนนั้นกูปวดหัวเลยแยกกับพวกมึงไปนอนที่ห้อง ตอนแรกก็หลับอยู่ดีๆหรอก ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูหรืออะไรเลยนะเว้ย แต่กูเสือกรู้ว่าแม่งถึงห้องแล้วเพราะอะไรรู้ปะ?”

   “เพราะอะไรวะ?”

   “กลิ่นตีนแม่งไง สัส เหม็นแบบหนูแดกปลาร้าก่อนตายอะ กูเคยแง้มๆถามแม่งนะว่าไม่คิดจะซักรองเท้าบ้างเหรอ? พวกมึงรู้ปะมันตอบกูกลับมาว่ายังไง”

   “ตอบว่าอะไรวะ?”

   “ยังไม่สกปรกเลย รอให้สกปรกกว่านี้ค่อยทิ้งแล้วซื้อใหม่ทีเดียว มึงงงง ในหัวกูตอนนั้นแบบ อีเหี้ยยย มันมีคนแบบนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอวะ? กูรู้แล้วว่ามึงรวย แต่ช่วยสงสารโพรงจมูกกูด้วยยยย”

   “ไอ้ตุลลี่มึงใจเย็นก่อน ลองซื้อสเปรย์ดับกลิ่นมาใช้ก่อนไหม?”

   “กูซื้อมาหมดแล้ว ทั้งสเปรย์น้ำหอม ทั้งสเปรย์ฆ่าเชื้อ แต่แม่งก็ยังซกมกเหมือนเดิม กลิ่นก็ไม่หายสักนิด”

   “งั้นมึงลองบอกมันไปตรงๆเลยดิว่ามึงไม่โอเคแล้วอะ”

   “กูลองทำมาหมดทุกวิธีแล้วอีไป๋ กูไม่ไหวแล้วจริงๆ”

   “งั้นก็ทนๆไปก่อน เดี๋ยวก็ปิดเทอมแล้ว เทอมหน้าค่อยไปหาหอนอกอยู่กัน” ไอ้ตุลลี่น้ำตาคลอเบ้าจนผมอดนึกสงสารไม่ได้ อย่างว่าเมทหอในของมหาลัยจัดโดยการสุ่ม ดังนั้นถ้าใครดวงดีก็ได้เมทดีไป แต่ถ้าใครดวงซวยหน่อยก็จะเป็นอย่างที่เห็น..

   “เออ แปปเดียวเดี๋ยวก็ย้ายออกแล้ว ทนเอา .. ว่าแต่มึงไม่รีบกลับเหรอ นี่มันจะห้าทุ่มแล้วนะ” เสียงของยีนส์ท้วงติงขึ้นมาหลังจากที่เมื่อเย็นไอ้ตุลลี่ได้บอกกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะกลับห้องไปอาบน้ำตอนสี่ทุ่ม จนมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเจ้าตัวจะเลิกดราม่าได้เลย

   “ฮื่อ กูต้องกลับไปดมกลิ่นตีนเมทกูอีกแล้วเหรอเนี่ย อยากจะร้องไห้จริงๆ” มือป้อมรวบเก็บสัมภาระของตนเองลงกระเป๋าอย่างเชื่องช้าเหมือนไม่อยากกลับสักเท่าไหร่

   “หลังจากนี้มึงก็มาอ่านหนังสือที่ห้องพวกก็ได้ ดึกแล้วค่อยกลับ”

   “อือ ขอบใจมากมึง ไปแล้วนะ บาย”



   หลังจากที่ตุลลี่ออกจากห้องไป พวกเราก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำบ้าง จนตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่า จัดการภารกิจเสร็จก็กลับมานั่งจุมปุ๊กอยู่หน้ากองหนังสืออีกครั้ง เพราะอีกประมาณสองอาทิตย์เท่านั้นที่จะเริ่มสอบปลายภาคพร้อมกับเนื้อหาที่หนักหน่วงในทุกรายวิชา

   “ไป๋ วันนี้มึงจะนอนกี่โมง?”

   “ว่าจะอ่านเรื่องพันธะเคมีให้จบแล้วถึงจะนอนอะ”

   “โชคดีแล้วกันมึง เรื่องนั้นกูเทละ จำเยอะชิบหาย”

   “ดีว่ะ กูนี่เทไม่ได้เลยสักบท”

   “สู้ๆว่ะมึง มึงทำได้อยู่แล้ว” ไอ้ยีนส์เดินมาใช้ฝ่ามือตบลงบนบ่าผมเบาๆอย่างให้กำลังใจ ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มเล็กๆตอบรับไป ทั้งๆที่ในใจแทบไม่ได้เชื่อมั่นในตัวเองอย่างที่อีกฝ่ายบอกแม้แต่น้อย

   จากนั้นจึงกลับมาสนใจปึกความรู้ที่อยู่เบื้องหน้าอีกครั้ง สอบครั้งนี้มีทั้งหมด 7 วิชา ตอนนี้เหลือเวลาไม่มากแล้ว ซึ่งประเมินจากในส่วนที่ผมทำความเข้าใจไปหมดแล้วกับส่วนที่ยังไม่ได้แม้แต่จะอ่าน ช่างแตกต่างกันมากเกินไป

   หากไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองก็คงต้องบอกตามตรงว่า ถ้ามัวแต่ห่วงกับวิชาเคมี ก็ไม่น่าจะมีวิชาไหนได้เกรด A ผลการเรียนเฉลี่ยของผมอาจดิ่งลงจนติดวิทยาทัณฑ์ แต่ถ้าเผลอทิ้งเคมีไปแม้แต่บทเดียว หากพลาดไปแม้แต่คะแนนเดียว ก็มีสิทธิ์ทำให้ผมติด F ได้


   และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมกลับมาคิดทบทวนอีกครั้ง

   ว่าควรจะไปต่อกับวิชาเคมีดีไหม?



   ก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดว่าเราไม่ควรท้อแท้ก่อนจะได้เริ่มลงมือทำ คิดได้ดังนั้นจึงสูดหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารตรงหน้าอย่างจริงจังอีกครั้ง หลังจากที่อ่านมานานร่วมสองชั่วโมงได้แล้ว แต่ก็เหมือนว่ามันจะไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าไหร่


   เหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้แสดงเวลาเที่ยงคืนห้าสิบ หรืออีกสิบนาทีก็จะตีหนึ่งแล้วนั่นเอง ไฟในห้องถูกปิดลงหมดแล้วเหลือเพียงโคมไฟบนโต๊ะอ่านหนังสือผมเพียงดวงเดียว โจทย์เสริมประสบการณ์เริ่มยากขึ้นไปตามลำดับข้อ จนมาถึงทางตันในข้อสุดท้ายของบทเรียน ที่อาจารย์มักจะย้ำหนักหนาว่าต้องทำโจทย์ข้อสุดท้ายในแต่ละบทให้ได้ ถึงจะมีโอกาสทำข้อสอบจริงได้
ทางด้านของเมทที่กำลังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง แต่เจ้าตัวก็บอกแล้วว่าจะไม่อ่านบทนี้ ผมก็จนปัญญาที่จะหาทางออกให้ตัวเองมากขึ้น แต่จู่ๆชื่อของคนๆนึงก็ผุดขึ้นมา ทำให้ผมต้องกุลีกุจอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแอพที่คุ้นเคยขึ้นอย่างลืมตัว


just pew


   “กูเป็นบ้าอะไรวะเนี่ย?” สบถด่าตัวเองเบาๆ วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแล้วยกมือขึ้นมาขยี้หัวแรงๆด้วยความหงุดหงิดตัวเอง .. จะไปคิดถึงแม่งทำไมวะ

   หลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจกดปิดไฟดวงเล็กคว้าโทรศัพท์แล้วกระโจนลงเตียงดิ้นขลุกขลักจับทิศทางปลายผ้าห่มไปมาจนถูกทิศสักที ปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ได้ก็เลือกที่เข้าแอพฯเฟซบุ๊คหาเพจสัตว์โลกน่ารักเผื่อว่ามันจะช่วยดับความขุ่นมัวได้บ้าง ตัวเลขสีแดงขึ้นแจ้งว่ามีโพสต์ใหม่ในกลุ่มของคณะเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ด้วยความที่สงสัยว่าจะเป็นเรื่องด่วนอะไรจึงรีบกดเข้าไปดู


การศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยXXX
   สำหรับน้องๆคนไหนที่ต้องการลงทะเบียนถอนรายวิชา ขณะที่ระบบได้กลับมาใช้งานได้ตามปกติแล้วนะคะ และเนื่องด้วยเว็บไซต์ที่เข้าใช้งานไม่ได้ตั้งแต่วันก่อน จึงขยายเวลาลงทะเบียนถอนถึงวันที่ 4 พ.ค. 25xx นี้ค่ะ



   เพราะตอนนี้เป็นวันใหม่แล้ว ระยะเวลาจึงเหลือเพียงแค่อีกวันเดียวเท่านั้น เวลาที่ประชั้นชิดทำให้ผมต้องกลับมาคิดถึงความเป็นไปได้ของวิชาเคมีอีกครั้ง ทุกการคิดและตัดสินใจในตอนนี้มีผลต่อเกรดในอนาคตของผมหมด ถึงแม้จะมีบางคนบอกว่าจบวิศวะฯแล้วเกรดเฉลี่ยเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการคัดเลือกเข้าทำงานเท่านั้น แต่บอกเลยว่าถึงผมจะโง่ แต่ผมก็แคร์!

   ในวินาทีนี้ตัวพึ่งเดียวที่จะสามารถขอคำปรึกษาได้คงเหลือแค่พี่ป็อป พี่รหัสของผม ถึงจะมีความกังวลอยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกแล้ว ไม่แน่ใจว่าพี่แกจะนอนหลับไปหรือยัง จึงเลือกที่จะทิ้งข้อความเอาไว้


                     
paipai : พี่ป็อป นอนยังอะ
                     paipai : มีเรื่องอยากปรึกษา

P.O.P : ยัง มีไรวะ

                     
paipai : ทำไมนอนดึกจังเลยวะพี่?

P.O.P : ไม่พูดเยอะ กูเป็นต่อมทอนซิล
P.O.P : ไม่อยากสปอยเลย แต่ปีสองแม่งหนักสัสๆ
P.O.P : ไหนๆมึงพูดแล้วกูก็ขอระบายหน่อย
P.O.P : ไอ้ชิบหาย เหมือนกูโดนหลอกมาเรียน
P.O.P : โปรเจค 3 รายงาน 2 รอพรีเซ็นต์อีก 2
P.O.P : บ้ากันไปหมดแร้ว


                     
paipai : เทเลยผมเชียร์ ไม่ต้องทำแล้ว นอนเลย


   ในตอนแรกข้อความถูกกดขึ้นอ่านและส่งกลับมาด้วยความรวดเร็ว ทำเอาผมอดแปลกใจไม่ได้ แต่หลังจากที่ได้ฟังพี่ป็อประบายผ่านข้อความยาวเหยียดแล้วก็เลิกแปลกใจ ผมอยู่ปีหนึ่งเคยนอนดึกสุดคงเป็นตอนทำโปรเจคคอมโปรฯเทอมที่แล้ว กว่าจะนอนได้ก็เกือบตีสี่ แถมตอนเช้าต้องรีบตื่นไปพรีเซ็นต์อีก ถือได้ว่าเป็นอะไรที่โคตรนรกสุดๆสำหรับผม


P.O.P : เป็นคำแนะนำที่ดีมากไอ้น้อง
P.O.P : ถุย ถ้ากูนอนแล้วกูจะเอางานที่ไหนส่ง
P.O.P : ว่าแต่มึงมีปัญหาอะไรทักกูมาดึกดื่น


                     
paipai : จะถอนแคมีดีไหมวะพี่
                     paipai : เครียดอะ กลางภาคได้น้อย ไม่ถอนก็กลัว F

P.O.P : มึงถามถูกคนแล้วไอ้น้อง
P.O.P : กูนี่รั้นไม่ถอนมาแล้ว
P.O.P : สุดท้ายก็ F ข้อสอบไฟนอลจารย์แกแม่งโหดจริง
P.O.P : กลางภาคมึงได้เท่าไหร่อะ?


                     
paipai : 18/120 อะพี่

P.O.P : ถอนเหอะ กูพูดตรงๆ
P.O.P : กูได้ 25 สู้ก็ไม่รอด
P.O.P : F มาจะพาเกรดตกเปล่าๆ
P.O.P : ถ้าเกรดรวมมึงไม่ได้เยอะ เทอมนี้ร่วงมาที
           ติดโปรแล้วซวยเลยนะมึง


                     
paipai : ลังเลอยู่เนี่ยพี่ป็อป
                     paipai : วิชาอื่นไป๋ก็ยังอ่านไม่จบเลย

P.O.P : เชื่อกูถอนแล้วไปเรียนซัมเมอร์
P.O.P : เกรดง่ายด้วย โง่ๆอย่างกูยังกด B มา


                     
paipai : ขอบคุณมากพี่ป็อป
                     paipai : ไป๋นอนแล้วครับ ฝันดี



   มือที่จับโทรศัพท์ตกลงบนเตียงตามแรงโน้มถ่วง จากนั้นจึงลุกขึ้นมาจัดแจงชาร์ตแบตตามเคย ก่อนจะล้มตัวลงอีกรอบพร้อมเรื่องครุ่นคิดในหัวอีกล้านแปด ไม่ใช่แค่เรื่องอยากถอนแล้วก็ถอน สำหรับผมมันเป็นอะไรที่ต้องใช้การตัดสินใจมากกว่านั้น

   ถอนแล้วต้องเรียนซัมเมอร์ช่วงไหน ถึงวันไหน
   ช่วงเรียนซัมเมอร์ที่มหาลัยแล้วต้องไปอยู่ที่ไหน
   ค่าเรียนเท่าไหร่
   ป๊ากับม๊าจะว่าอะไรไหม
   และอีกเยอะแยะมากมาย

   เปลือกตาเริ่มอ่อนแรงลงเป็นสัญญาณบอกว่าถึงเวลาควรแก่การพักผ่อน จึงหยุดพักเรื่องอื่นๆไว้ แล้วรีบพาตัวเองเข้าสู่นิทราไปทันที .. หวังแค่ว่าทุกอย่างจะราบรื่นไปได้ด้วยดี

❋❋❋



   “ไป๋ มึงจะทำอย่างนี้จริงๆเหรอ?”

   “เออ กูคิดมาดีแล้ว”

   “มึงไม่ลองกลับไปคิดให้ดีๆกว่านี้ก่อนเหรอ?”

   “กลับไปคิดก็ไม่ได้ถอนแล้วสิ วันนี้ยื่นเอกสารวันสุดท้ายแล้ว ต้องวันนี้แหละ”




   ย้อนกลับไปเมื่อวันที่แล้ว


   ‘ฮัลโหลพี่ปุ๋ย’

   [ฮัลโหล ไอ้น้องไป๋ของพี่ลมอะไรพัดมาวะ มึงถึงโทรหากูได้เนี่ย]

   ‘เงียบเลย ไป๋ต้องการคำปรึกษาจากพี่ปุ๋ยแบบด่วนๆ’

   [เออ แปปๆ กูลงวินก่อน .. เท่าไหร่ครับ?] เสียงลมอุดอู้ที่ประทะเข้าลำโพงโทรศัพท์เริ่มซาลง เหลือเพียงแค่เสียงรบกวนการเครื่องยนต์ของรถภายนอกให้ได้ยินบ้างเท่านั้น

   [วินเหี้ยไรจากในมอมาหน้าหอกู คิด 40 วะอิห่า .. น้องไป๋มีอะไร?]

   ‘พี่ปุ๋ย ไป๋เครียดวะ?’

   [เครียดเรื่องอะไร ไอ้ห่าพิวอะไรนั่นอีกแล้วเหรอ?]

   ‘ไม่ใช่เรื่องนั้น .. ไป๋ว่าจะถอนวิชาเคมีว่ะพี่ปุ๋ย’ คราวนี้กลับไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่ายกลับมาในทันที เมื่อเงี่ยหูฟังดีๆกลับได้ยินเสียงกุกกักๆเหมือนเสียงตอนกำลังเปิดประตูดังขึ้นเบาๆ

   [กูขอวางกระเป๋าแปป .. ถอนทำไมวะ?]

   ‘คะแนนกลางภาคไป๋แย่มากเลยว่ะ สู้ไปก็ไม่น่ารอดอะ เลยว่าจะมาถามความเห็นพี่ปุ๋ยก่อน’

   [...]

   ‘ไป๋พยายามแล้วอะ แต่ไป๋โง่เอง..’ เมื่อถึงจุดๆหนึ่งความอัดอั้นในอกที่เก็บเอาไว้มันก็เริ่มประทุ หน่วยน้ำตาเอ่อคลอขอบล่างจนในที่สุดจึงไหลลงอาบทั้งสองแก้มอย่างห้ามไม่ได้ โชคดีที่ตอนนี้ยีนส์ยังไม่กลับมา ไม่งั้นเขาคงได้อายไปไหนต่อไหนแน่ๆ

   [ไป๋ กูรู้มึงเป็นคนพยายามมากแค่ไหน มึงไม่ถนัดแค่วิชาเดียว .. อย่าโทษตัวเองเลย] น้ำเสียงนิ่งๆที่อีกฝ่ายมักใช้มันในเวลาปลอบใจหรือให้กำลังใจแก่เขา เสียงฝ่ายผู้เป็นน้องที่ใช้พูดคุยในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นจนพูดต่อไม่ได้

   [กูรู้ว่ามึงไม่ชอบ มึงเคยพยายามแล้วแต่มึงก็ไม่รู้เรื่อง น้องกูกูเห็นมาตั้งแต่เกิดทำไมจะไม่รู้วะ ว่ามึงเป็นยังไง]

   ‘ฮื่อ .. พี่ปุ๋ย’

   [ถอนก็ถอนสิวะ อย่าไปกลัว จะเรียนซัมเมอร์หรือจะห้าปีก็ได้ เอาที่มึงเรียนแล้วมีความสุขอะ] ในวินาทีนั้นเหมือนภูเขาทาบทับบนอกได้ถูกยกออกจนโล่ง เหมือนกลับมาหายใจได้อย่างเต็มปอด กลับมานอนหลับสนิท กลับมากินข้าวอร่อยอีกครั้ง

   [พี่เข้าใจ ถอนแล้วค่อยกลับมาสู้กับมัน ตอนนี้ก็เอาเวลาไปอ่านวิชาอื่นแทนก่อน]

   ‘ฮึก .. อื้อ’

   [เดี๋ยวโทรบอกป๊ากับม๊าให้ นี่ก็เย็นแล้ว ไปหาข้าวกินได้แล้วไป]

   ‘ขอบคุณนะพี่ปุ๋ย’

   [เออ แค่นี้แหละ ไว้เจอกันที่บ้าน]







   และนั่นก็เป็นส่วนสำคัญของกระดาษแซมอักษรของหมึกสีดำทั้งสองแผ่นที่ผมถืออยู่ แผ่นแรกเป็นของที่ต้องให้อาจารย์ที่ปรึกษาเซ็น และแผ่นที่สองเป็นของฝ่ายการศึกษาของคณะ ที่จะสามารถกดปริ๊นได้หลังจากยื่นการถอนในเว็บไซต์แล้ว

   “เรียบร้อยแล้วค่ะนักศึกษา”

   “ขอบคุณครับ” สิ้นเสียงอนุมัติจากพี่ฝ่ายเอกสารก็เป็นสัญญาณว่าชีวิตผมและวิชาเคมีในเทอมนี้ได้สิ้นสุดลง และจะต้องไปเริ่มใหม่ในเทอมที่สาม หรือที่เรียกกันคุ้นปากว่าซัมเมอร์นั่นเอง

   ถึงจะสบายใจ แต่ก็รู้สึกเศร้าแปลกๆอยู่ดีนั่นแหละ..


   “อีไป๋ เป็นยังไงบ้างวะ?”

   “ก็เศร้าๆมั้งไม่รู้ดิ”

   “เศร้าๆแบบนี้กูขอแนะนำ..” จากนั้นไอ้ตุลลี่ก็หันไปมองหน้าไอ้ยีนส์ที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยสายตาเป็นที่น่าสงสัยของทั้งคู่

   “แนะนำอะไรวะ?”

   “ร้านเหล้าไหมมึง?”

   “เพิ่งจะสิบเก้ากันเอง จะเข้าได้ไง?” แม้จะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะร้อยวันพันปีที่ผ่านมาชื่อเรียกของสถานที่ที่ว่าไม่เคยหลุดออกมาจากปากใครสักคนเลย

   “เออน่า เกือบห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของคนเข้าร้านเหล้าก็เข้าก่อนยี่สิบทั้งนั้นอะ มีคนพาเข้าก็เข้าได้หมดแหละ แถมร้านนี้เป็นของสายรหัสกูเอง สบายๆมึง”

   “แล้วมึงไม่ค่อยชอบเสียงดังๆไม่ใช่เหรอไอ้ตุลลี่”

   “ก็ใช่ แต่เห็นมึงเศร้าแล้วอยากให้มึงหายไวๆไง ครั้งเดียวน่า ครบยี่สิบเดี๋ยวค่อยไปอีก” ผมหรี่ตาสอดส่องพฤติกรรมผิดปกติจากทั้งสองคน .. พอคิดๆแล้วก็อยากลองไปดูเหมือนกัน อยากรู้ว่ามันจะช่วยอย่างที่คนอื่นๆชอบพึ่งมันกันหรือเปล่า ขนาดไอ้พี่ปุ๋ยของผมมันยังชอบเข้าร้านเหล้าตอนเครียดเลยๆ

   ก็นะ ของแบบนี้ไม่ลองมันก็ไม่รู้

   “ไปกี่โมงอะ?”

   “ห้ะ ไปจริงๆใช่ปะ ประมาณสองทุ่มก็ได้ เดี๋ยวกูโทรชวนไอ้ก๊าซกับไอ้ครามเลย จะได้นั่งรถมันไปกัน”

   “ไปได้เลย ไม่ต้องจองโต๊ะเหรอ?”

   “ร้านอยู่ห่างมอไม่กี่โลฯ เพิ่งเปิดใหม่คนเลยยังไม่เยอะ”

   “เออๆ ไปก็ได้”




   และแล้วก็เป็นเวลาสองทุ่มที่จะได้พาผมมาเปิดประสบการณ์ใหม่ ณ ร้านเหล้าที่ไม่ทันได้อ่านชื่อ ที่มีพี่รหัสที่ผมไม่ค่อยคุ้นหน้าของไอ้ตุลลี่เป็นคนพาเข้ามา พวกเรามากันครบห้าคน โดยสารรถยนต์ส่วนตัวของไอ้ครามที่เอามาจอดที่เจ้าตัวนำมาจอดที่มอในบางอาทิตย์ หลังจากที่ก้าวเท้าเข้ามาในร้านก็รับรู้ถึงบรรยากาศให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปอีกแบบ

   ผมเห็นผู้คนนั่งกันไม่แน่นขนัดนัก สาเหตุหนึ่งก็คงเพราะวันนี้เป็นหนึ่งวันของกลางสัปดาห์ด้วยแหละมั้งเลยไม่ค่อยมีใครมานั่งดื่มเท่าไหร่ แถมเรื่องที่ตุลลี่พูดน่าจะเป็นจริงที่ว่าถ้ามีคนพาเข้าได้อายุก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะผมเห็นคนคุ้นหน้าเหมือนเคยเจอผ่านๆเหมือนอยู่ชั้นปีเดียวกัน นั่งให้เต็มไปหมด

   เราได้โต๊ะนั่งติดหน้าเวทีดนตรีสด เพื่อนๆที่เหลือ ยกเว้นผมกับก๊าซได้ทำการสั่งเหล้าเบียร์รวมถึงกับแกล้มต่างๆอย่างยาวเหยียด ผมที่มาครั้งแรกก็เหลือบมองนู้นนี่ของร้านไปเรื่อย จนกระทั่งบนเวทีได้เริ่มบรรเลงทำนองเพลงใหม่ ซึ่งเป็นเพลงที่ผมได้ฟังและรู้สึกชื่นชอบได้ในครั้งแรกที่เคยฟังเมื่อหลายปีที่ผ่านมมา ดนตรีเหล่านั้นจึงเรียกความสนใจของผมจากสิ่งเร้าอื่นไปได้เสียทั้งหมด



เที่ยงคืนสิบห้านาที กับวันที่ฉันนั่งเหม่อ
ที่เดิมเธอชอบนั่งตรงนี้ ยิ่งมองยิ่งเหมือนมีเธอ
ตอนนี้ มีคนคิดถึงอยู่ ตอนนี้มีคนพร่ำเพ้ออยู่
เธอจะสบายดีไหม ที่นั่นตอนนี้เป็นอย่างไร
เราขาดอะไรไป รู้สึกบ้างไหมเล่าเธอ
เธอจะสบายดีไหม คือสิ่งที่คิดไว้เสมอ
ที่นี่ไม่มีเธอ ที่นั่นก็ไม่มีฉัน..



   คงจะจริงอย่างที่ใครเขาพูดกันว่าเพลงที่ฟังในร้านเหล้าจะรู้สึกเพราะขึ้นกว่าเดิม ถึงยังจะไม่ได้แตะต้องของมึนเมาแต่ผมก็ยังรู้สึกอินไปด้วย ร้านเหล้ามักถูกใช้เป็นที่ทิ้งและลืมความรู้สึกต่างๆนานา ใช้แอลกอฮอล์ชำระล้าง และให้ดนตรีขับกล่อมจิตใจ หรือแม้กระทั่งทำให้สิ่งที่พยายามลืมกลับมาชัดเจนขึ้น


   คิดถึงมันว่ะ..
   คิดถึงไอ้คนที่เคยบอกว่ามีกูแค่คนเดียวบนโลกนั่นแหละ
   อือ.. ยิ่งพูดยิ่งคิดถึง





   “นั่นกลุ่มใช่กลุ่มพิวหรือเปล่าอะ?”



ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
chapter sixteen。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔


   “นั่นกลุ่มใช่กลุ่มพิวหรือเปล่าอะ?”


   เหมือนกับว่ามีเวทมนตร์ หลังจากที่ก๊าซเอ่ยขึ้นถามความคิดเห็นในสิ่งที่ได้เจอ ทุกคนบนโต๊ะก็พร้อมใจกันหันไปมองยังต้นทาง และจากนั้นผมก็เหมือนโดนคำสาปเข้าปะทะอย่างไม่ทันตั้งตัว อาการชาแผ่ซ่านในหัว จ้องกลุ่มคนตรงหน้าอย่างละสายตาไปไม่ได้

   เคน พลอยใส สมุย เต้ ปิดสองคนสุดท้ายด้วย พิวและกุ้ง ที่เดินข้างกันมา


   “อ้าว มารูนไฟฟ์มาแดกเหล้าด้วยเว้ยเฮ้ย” เป็นเต้ที่ใช้เสียงนำมาก่อนที่ร่างของเจ้าตัวจะถึงโต๊ะที่พวกผมนั่งอยู่เสียอีก

   “ทักแบบนี้อยากเลี้ยงพวกกูใช่ไหม?” เป็นไอ้ตุลลี่ที่ยังสามารถคงคอนเซ็ปต์ความปากไวไว้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ตะเบงตะโกนแข่งกับเสียงเพลงในร้านอย่างไม่ยอมแพ้ให้กับทั้งหกคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้

   “ไม่เลี้ยงเว้ย .. แล้วลมอะไรหอบพวกมึงมาได้วะเนี่ย ร้านเหล้าไม่เข้า เห็นเช็คอินแต่หอสมุด”

   “ก-ก็ .. ก็” สายตาล่อกแล่กเหลือบมองผมทีเหลือบมองคนนู้นที บวกกับเสียงพูดตะกุกตะกักที่เดาได้ไม่ยากว่าตุลลี่กำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่

   “ติดอ่างทำไมวะ กูไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

   “เหล้าโต๊ะกูมาแล้ว พวกมึงก็ไปหาที่นั่งได้แล้วไป” คราวนี้เป็นตาของไอ้ยีนส์ที่กันท่าให้ไอ้ตุลลี่ที่ทำอะไรไม่ถูกจนเหงื่อแตกซก


   ดูจากเหตุการณ์แล้วก็คงสันนิษฐานได้ไม่กี่อย่าง หนึ่งคือเรื่องบังเอิญ และสองคือเพื่อนผมยุให้มาร้านเหล้า เพราะรู้ว่าวันนี้ใครจะมาบ้าง..

   ถ้าเป็นอย่างที่สองตามที่คิดไว้ก็ขอบอกไว้เลยว่า มึงคิดผิดอย่างแรงเลยว่ะ ถึงจะดีใจที่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายในรอบหลายวันก็จริง สองคนที่เดินข้างๆกันกับแขนที่เฉียดกันไปมาตามความแคบของทางเดินที่เห็น พาให้ใจเริ่มปวดหนึบ ผมไม่รู้ว่าตัวเองจ้องอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าพิวได้มองผมอยู่ก่อนแล้ว สายตาเราสบกันครู่หนึ่งพาให้ผมทำตัวไม่ถูก จึงเลือกที่จะเบนสายตาหนีไปทางอื่นแทน



   “นั่งโต๊ะข้างหลังเนี่ยแหละ นั่งไกลเดี๋ยวพวกมึงนินทา”

   “จ้า พ่อคนศีลธรรมสูงส่งประจำภาคเครื่อง”

   ทั้งหมดพากันมาจับจองโต๊ะทางด้านหลังของผม นึกขอบคุณที่โต๊ะใกล้ๆโต๊ะอื่นได้เต็มไปหมดแล้ว ไม่งั้นผมคงต้องมานั่งหลีกสายตาจากภาพบาดใจให้ลำบากแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยความที่ระยะห่างระหว่างโต๊ะไม่ได้ไกลกันมากทำให้เก้าอี้ของผมและคนข้างหลังแทบจะเกยกัน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ส่งผลให้ผมได้รู้ว่าเจ้าของเก้าอี้อีกด้านเป็นใคร

   “พิว เราเบียดไปไหม?”

   “อือ ไม่เป็นไรหรอก”


   จากเดิมที่คิดว่ามาร้านเหล้าวันนี้คงได้กินแบบขำๆจิบๆ แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดแบบฉับพลัน เร็วกว่าความคิด สองมือเอื้อมไปคว้าแก้วและถังน้ำแข็ง คีบก้อนความเย็นใส่จนพอใจแล้วก็เปลี่ยนเป้าหมายสู่ขวดเหล้าเบื้องหน้า มองน้ำสีเข้มไหลลงแก้วอย่างช้าๆ

   “อีไป๋ แก้วแรกก็เข้มเลยเหรอวะ?”

   “มึงหยุดพูดไปเลย หยิบโซดามาดิ”

   “แฮะๆ .. มาพวกมึงช๊น!”


   เกร๊ง!


   เงยหน้ากระดกของเหลวในแก้วจนหมดภายในคราวเดียว ความขมกระจายไปทั่วผิวลิ้น กลิ่นแอลกอฮอล์ตีขึ้นจมูกชวนให้วิงเวียน ร่างบางยกหน้าขึ้นมองสีสันหลากตาของหลอดไฟบนเพดานไปมาอย่างเพลิดเพลิน เสียงเครื่องดนตรียังคงดังอย่างต่อเนื่องบนเพลงแล้วบนเพลงเล่า เท่ากับจำนวนแก้วที่เขาได้ดื่มไป หนึ่งเพลงต่อหนึ่งแก้ว ไปเรื่อยๆจนถึงเพลงที่สาม..



   “แฮปปี้เบิร์ทเดย์ทู้ยู แฮปปี้เบิร์ทเดย์ แฮปปี้เบิร์ทเดย์ แฮปปี้เบิร์ทเดย์ทู้ยู..” เพลงวันเกิดคุ้นหูดังขึ้นจากโต๊ะข้างหลัง คนทั้งร้านรวมถึงวงดนตรีมุ่งเป้าให้ความสนใจมายังต้นตอของการเซอร์ไพร์ส เค้กปอนด์ครีมสีขาวแต่งหน้าด้วยผลไม้ตระกูลเบอร์รี่สีสวยถูกยกมาโดยเคน จนมาหยุดลงตรงหน้าของ..


   “ไอ้เสี่ยพิวแก่อีกปีแล้ว”

   “สุขสันต์วันเกิด ขอให้มีความสุขมากๆเลยนะ”

   “เก็ทเอแล้วมาสอนกูด้วยโว้ย”

   “เป่าเทียนเลยมึง” เสียงโหวกเหวกโวยวายเงียบลงชักครู่ให้เจ้าของวันเกิดตั้งสมาธิในการอธิษฐาน ฝ่ามือถูกยกขึ้นมาพนมนิ้วโป้งจรดหัวคิ้ว ริมฝีปากขมุบขมิบไปมา ก่อนที่จะพ่นลมจนเทียบดับแสงลงในที่สุด

   “ขอพรอะไรวะนานชิบหาย” เคนที่รับหน้าที่คนถือเค้กวางมันลงบนโต๊ะแล้วบีบแขนของตัวเองไปมา รู้สึกเมื่อยล้าจากการยกของนานๆ

   “..ไม่บอก”

   “กลัวพรไม่ศักดิ์สิทธิ์หรือไงวะ?”

   “เออ กูอยากให้มันเกิดขึ้นจริง”



   หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็กลับเข้าสู่ความปกติ บทเพลงที่หกกำลังโลดแล่นไปตามโสตประสาท เปลือกตาหรี่ลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งเพราะฤทธิ์สุราที่เริ่มก่อตัว แรงกัดที่ริมฝีปากไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บดังเดิม แถมจู่ๆใบหน้าของเพื่อนๆก็ดูตลกจนน่าขันขึ้นมาเสียดื้อๆ

   “ไป๋ เมาแล้วเหรอ?”

   “ฮ่าๆ ถ้ากูเมาแล้วจะหล่อขนาดนี้ได้เหรอวะ”

   “กูว่ามันไปแล้วว่ะ” คนตัวขาวเลือกที่จะเมินเฉยต่อคำพูดของเพื่อนๆ วินาทีนี้เขาปล่อยให้เหล้าเข้ามาเป็นใหญ่เหนือตนเองอีกครั้ง เอนคอพิงพนักเก้าอี้เพราะความหนักอึ่งบนบ่า ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ พร้อมกับภาพรอยยิ้มกระทบแสงเทียนที่เขาได้เห็นโดยบังเอิญของทั้งสองคนนั้นได้ผุดขึ้นมาในห้วงอารมณ์ เล่นเอาปลิดความอยากสนุกของตัวเองลงไปได้อย่างมหาศาล


   ทำไมกูจะไม่รู้วะ ว่าวันนี้เป็นวันเกิดมัน
   นั่งก็ใกล้กันแค่เนี้ย อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะหมดวันแล้วด้วย
   ยังไม่ได้อวยพรวันเกิดให้เลยว่ะ
   บอกในใจก็ได้เหมือนกันแหละมั้ง

   สุขสันต์วันเกิดนะ ไม่รู้ว่าพรที่ว่ามันสำคัญแค่ไหน แต่ขอให้มันเป็นจริงแล้วกัน..




   “เพลงต่อไป เป็นเพลงที่มีคนรีเควสเข้ามานะครับ ไม่รู้ว่าตรงกับตอนนี้ของใครหลายๆคนหรือเปล่า เราไปฟังกันเลยดีกว่า..” เสียงนักร้องนำพูดเกริ่นขึ้นมาเป็นครั้งแรกของการแสดง ไป่ไป๋ฝืนตัวเองขึ้นมารินเหล้าเข้าปากอีกครั้ง

   “ไป๋ มึงพอแล้วมั้ง พรุ่งนี้มีเรียนนะ”

   “ไม่อาว กูอยากแดกอ้า” คนหัวรั้นเริ่มแผลงฤทธิ์งอแงใส่ยีนส์ที่เอื้อมมือมาดึงแก้วไป ยื้อแย่งกันสักพักก็ต้องตามใจคนดื้อ ให้เจ้าตัวกรอกเหล้าเข้าปากเป็นแก้วที่เจ็ดจนได้


หยดน้ำที่นอกหน้าต่าง
หมอกขาวและเส้นบางๆ ลมพัดมา
พาฝนโปรยตรงที่เธอเดินผ่าน
กลิ่นหอมของข้าวในจาน
บันทึกที่เขียนประจำวันคืน ผ่าน ล่วงไป



   หลังจากที่ได้ดื่มเหล้าตามที่ใจอยากเสร็จก็เอนตัวนั่งในท่าเดิม เริ่มเข้าใจความรู้สึกของพี่ชายขึ้นมานิดๆแล้ว ว่าทำไมถึงชอบเข้าร้านเหล้ากันนักกันหนา..



รองเท้าที่ใช้จนเก่า
เศษเหรียญที่เรายังเก็บ
เพลงของเธอบนชั้นวางเพลงที่ไม่เคยเปิด
จดหมายที่เขียนถึงเธอ
ดอกไม้ที่ให้เธอวันสุดท้าย สุดท้าย



   เพลงของวงดนตรีวงโปรดของใครบางคน ที่ไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมได้ยิน และไม่ว่าจะเป็นเพลงไหนก็ตาม สิ่งที่ผมนึกถึงเป็นอย่างแรก ไม่ใช่แนวเพลงร็อค ไม่ใช่พี่บอยนักร้องนำ และไม่ใช่สมาชิกคนใดคนหนึ่งในวง

   แต่กลายเป็นไอ้เพื่อนภาคเดียวกัน เพื่อนที่ผมเคยทำเรื่องน่าอายด้วยกัน เพื่อนคนที่บางครั้งก็ชัดเจนจนทะลุปรุโปร่ง เพื่อนคนที่บางครั้งก็ไม่ชัดเจนจนนึกหงุดหงิด เพื่อนคนที่เคยอยากก้าวข้ามเกินความเป็นเพื่อนไปด้วยกัน

   ใช่ ไอ้เหี้ยพิวนั่นแหละที่ผมนึกถึงมาก่อนอะไรทั้งสิ้น..



ฉันคิดถึงเธออยู่
ทุกช่วงเวลาที่ยัง หายใจ
ฉันคิดถึงเธออยู่
แม้รู้ว่ามันอ่อนแอ เหลือเกิน
คือสิ่งเดียวที่ฉันนั้นรู้สึก
แม้จะเนิ่นนาน เท่าไร


   “เพลงโปรดพิวนี่ เห็นเดี๋ยวนี้ฟังในรถบ๊อยบ่อย ชอบเหรอ?”

   “อือ ชอบด้วย แล้วก็คิดถึงด้วย”


   
   เดาจากน้ำเสียงและความดังแล้ว คงเป็นกุ้งที่พูดแทรกเสียงเพลงขึ้นมาถามไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ คำตอบถูกเว้นระยะจนผมเผลอคิดไปแล้วว่าไอ้พิวมันคงไม่ได้ยินที่ถูกถาม แต่จู่ๆหลังจากที่ถึงช่วงที่เพลงไม่มีเนื้อร้อง เจ้าตัวก็กลับเร่งเสียงพูดขึ้นดัง จนผมที่นั่งในท่าสบายๆตรงนี้ ได้ยินทุกคำพูดด้วยความชัดเจน

   ให้ตายเถอะ หยุดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้เลยแม่ง


   “ไอ้ตุลลี่ ปากมึงชาปะว้า?” ตัดสินใจพาร่างไร้เรี่ยวแรงลุกขึ้นมานั่งในท่าปกติอีกครั้ง หันไปหาเพื่อนที่เหลือทั้งสี่คน ต่างคนก็เริ่มมีสภาพไปในทิศทางเดียวกันกับผมเกือบจะทั้งหมดแล้ว ยกเว้นครามที่จะต้องขับรถพาพวกเรากลับ

   “ชาแบบเริ่มกัดไม่เจ็บแล้วว่ะ”


   รู้ไว้เลย ครั้งนี้ถ้ารู้สึกเจ็บขึ้นมาอีกก็เป็นเพราะความผิดของตัวเองเต็มๆ
   หรือเพราะเหล้าวะที่ทำให้กล้าได้ถึงขนาดนี้   
   เพลงเงียบไปอีกแล้วเหรอ?
   งั้นเอาเลยแล้วกัน..


   “เออ เหมือนกันเลย”
   

   
   แรงดันจากเก้าอี้ทางด้านหลัง ทำให้ต้องสะดุ้งแล้วรีบเขยิบตัวเข้าชิดโต๊ะมากขึ้น เพื่อหลีกทางให้คนในเสื้อสีขาวที่จู่ๆก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ชายหางตามองเห็นฝีเท้าที่กำลังก้าวยาวๆเดินออกห่างจากโต๊ะไป

   “ไอ้พิว มึงจะไปไหน?”

   “ไปสูบบุหรี่ เดี๋ยวมา”

   จากนั้นทุกคนก็กลับมาให้ความสนใจกับวงเหล้าดังเดิม ขวดเหล้ายี่ห้อดังและจานกับแกล้มบนโต๊ะเริ่มหรอยหรอลงจนเหลือน้อยกว่าครึ่ง บรรยากาศรอบข้างยังเป็นเหมือนเมื่อหลายชั่วโมงก่อน หลังจากที่เลิกกรอกเหล้าเข้าปากมาสักพัก แต่อาการมึนหัวก็เริ่มมากขึ้นตามอัตราการดูดซึมของร่างกาย สายตาก็เอาแต่เหลือบมองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น

   พิวหายไปสิบนาทีแล้ว..


   “ไป๋ มึงจะเข้าห้องน้ำก็รีบเข้า จะได้กลับกัน” ยีนส์เอ่ยปากไล่ให้ผมไปเข้าห้องน้ำเพราะคงเห็นท่านั่งไม่เป็นสุขแล้วคงคิดว่าผมคงปวดฉี่

   “กูไปเข้าห้องน้ำแปป” ผมใช้ฝ่ามือดันตัวเองจากที่นั่งให้ลุกขึ้นมายืนอย่างยากลำบาก กล้ามเนื้อขารู้สึกอ่อนแรงไปหมดจนเหมือนว่าจะทรุดลงกับพื้น

   “เดินไหวไหม ให้เราไปด้วยป่ะ?”

   “ไม่ต้องไปเลยอีก๊าซ ตัวมึงก็ยังจะเอาไม่รอด” ด้านก๊าซหวังดีจะช่วยพยุงผมถูกไอ้ตุลลี่ที่นั่งหน้าเห่อแดงเพราะการสูบฉีดของเลือดขัดขึ้นมาเสียก่อน

   “เอ้า..”

   “ไม่เป็นไรๆ กูเดินเองได้ๆ แค่นี้เอง” จัดการบอกปัดป้องกันความไม่เข้าใจที่สามารถเกิดได้ในคนเมา พาตัวเองเดินเลาะหน้าเวทีจนถึงห้องน้ำชายบริเวณด้านในสุดของร้าน โชคดีที่รู้สึกปวดฉี่ขึ้นมาพอดิบพอดีจึงจัดการทำธุระจนลุล่วงแล้วมายืนกวักน้ำล้างหน้าอยู่บริเวณอ่างล่างมือเพื่อให้ตัวเองรู้สึกสดชื่นขึ้น ก้าวขาออกมาจากห้องน้ำชายหันมองไปทางขวามือก็ได้เจอกับป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า พื้นที่สูบบุหรี่ ได้อย่างถนัดตา


   สองเท้าค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ประตูนั่นอย่างระมัดระวัง ด้านนอกเป็นคล้ายๆสวนหย่อมที่ถูกต่อเติมออกมา และจัดวางเก้าอี้ให้ผู้ที่ต้องการสูบบุหรี่ขึ้นมาโดยเฉพาะ

   ไม่ห่างจากทางเข้า ผมชำเลืองมองแผ่นหลังกว้าง มือขวากำลังใช้คีบบุหรี่ ส่วนมือซ้ายใช้พาดบนพนักผิง เดาว่าสายตานั่นคงกำลังจดจ้องไปบนพื้นฟ้าประดับด้วยพระจันทร์เสี้ยวอ่อนแสงในคืนข้างแรมของวันนี้อยู่

   หลังจากนั้นต้องโทษให้เป็นความผิดของรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังรูปใบไม้ทั้งสามใบ เพราะเมื่อรู้สึกตัวอีกที เจ้ารองเท้าคู่นี้ก็พาผมมายืนอยู่ข้างม้านั่งของเขาเสียแล้ว


   “..อ้าว”

   “ขอนั่งด้วยดิ” อีกฝ่ายดูตกใจไปเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นผม มวนบุหรี่ติดไฟถูกขยี้ดับรวมกับก้นกรองจำนวนหนึ่งในที่เขี่ยบุหรี่ด้านบนของถังขยะ พิวหันมาใช้ฝ่ามือปัดไล่ควันฟุ้งให้จางลงเป็นพัลวัน ทำเอาผมได้แต่นั่งมองการกระทำทั้งหมดแบบยิ้มๆ

   “สุขสันต์วันเกิดนะ”

   “อ-อื้ม ขอบคุณ”

   “สบายดีป่ะ?”

   “งั้นๆ มึงอะเป็นไงบ้าง?”
 
   “..แย่นิดหน่อยมั้ง” ละการมองเห็นจากใบหน้าที่กำลังทำให้ผมไหววูบในช่วงอก เลือกจะเงยหน้ามองดวงจันทร์ตามแบบที่เจ้าตัวเคยทำก่อนหน้านี้ กลิ่นนิโคตินเผาไหม้ผสมมิ้นท์จางๆยังคงติดที่ปลายจมูก สัญชาตญาณในตัวกำลังจะบอกผมว่ามันคืออันตราย .. ไม่ใช่เขา แต่เป็นผมที่ผิดปกติ

   ใครๆก็รู้ว่าคนอย่างไป่ไป๋ ถึงเวลาที่จริงจัง คำว่าตัดก็คือตัด แต่พอเป็นพิวทุกอย่างมันกลับไม่เป็นไปตามแผน หรือเรียกได้ว่าเป็นที่สิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดเท่าที่จะควบคุมได้ .. นั่นแหละ ผมตัดใจจากแฟนชาวบ้านเค้าไม่ได้

   “เรียนเป็นยังไงบ้าง?”

   “วิชาเคมี..”

   “…”

   “วันนี้กูไปถอนมาแล้วนะ”
ผมสูดอากาศเจือกลิ่นบุหรี่มือสองลงปอดลึกๆหลังจากพูดจบ อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาในทันทีจนผมเริ่มใจเสีย ความเจ็บบนริมฝีปากของการขบเม้มเริ่มกลับมาบ้างแล้วก็จริง แต่เหมือนว่าผมยังควบคุมในส่วนของการคิดและพูดยังไม่ได้มากนัก..


   “แล้วก็ วันนี้ .. แฟนมึงน่ารักดีนะ”

   “...”

   “ไปดีกว่า บ- เฮ้ย!” ร่างทั้งร่างถูกกระชากให้เดินตามไปอย่างแรง จากเดิมที่ขาไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเป็นต้นทุนอยู่แล้วเลยได้แต่เดินตามอีกฝ่ายไปด้วยความงุนงง

   “มึงจะพากูไปไหน..” จากนั้นพิวก็พาผมเดินออกจากร้านไปอีกทางที่สามารถทะลุถึงลานจอดรถได้ จนมาถึงรถคันสีดำของเจ้าตัว ประตูฝั่งคนนั่งถูกเปิดขึ้นพร้อมกับผมที่ถูกยัดให้เข้ามา ส่วนอีกคนก็เดินอ้อมมาทิ้งตัวลงที่หลังพวงมาลัยด้วยสีหน้าที่ยากเกินกว่าจะคาดเดา



   รถถูกสตาร์ทและขับออกด้วยความเร็ว แอลกอฮอล์ที่ยังออกฤทธิ์กับส่วนประสาททำให้ผมยังไม่สามารถประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในทันที เราอยู่บนรถกันมาพักนึงแล้วแต่ด้วยความไม่คุ้นทางผมเลยไม่รู้ว่าในตอนนี้เราอยู่ที่ไหน ผมนั่งเงียบไปพักใหญ่เผื่อจะช่วยให้อีกฝ่ายดีขึ้นบ้าง แต่มันก็ไม่เลยสักนิด จนในที่สุดความน่ากลัวของท้องถนน และความฉวัดเฉวียนของเครื่องยนต์จึงทำให้ผมต้องเลือกที่จะใช้ความใจเย็นเข้าช่วยอีกครั้ง..

   “พิว มึงขับช้ากว่านี้หน่อยได้ไหม?”

   “...”

   “เป็นอะไรหรือเปล่า กู-”

   “กูเคยบอกไปแล้วว่ากูกับกุ้งไม่ได้เป็นแฟนกัน”

   “เฮอะ” ผมหลุดเสียงหัวเราะขึ้นจมูกออกมาเบาๆ มันดูไม่สมเหตุสมผลเลยเมื่อทั้งหมดมาถึงขนาดนี้แล้ว แต่ฝ่ายชายกลับไม่แม้แต่ที่จะยอมรับ


   “แล้วไหนบอกกูมาสิว่าสเตตัสกับรูปคู่ในเฟซพวกนั้นมันคืออะไร?!”


   เอี๊ยด!!!


   เจ้าตัวบังคับพวงมาลัยให้หักจอดจนเกิดเสียงล้อรถบดไปกับพื้นซีเมนต์ ผมเงยหน้ามองไปรอบๆก็พบว่ามันคือลานจอดรถใต้หอของอีกฝ่าย

   “กูลบแอพเฟซบุ๊คทิ้งไปเป็นเดือนๆแล้ว” ผมรู้สึกแปลกใจในตอนที่ได้เห็นสีหน้าที่ผมไม่คาดคิดจากเขา เขาควรจะเลิ่กลั่กและหาเหตุผลชักแม่น้ำทั้งห้ามาแก้ตัว แต่เปล่าเลย .. เขาทำหน้าตกใจเหมือนสิ่งที่ได้ยินมันคือเรื่องใหม่ด้วยซ้ำไป

   “ขึ้นไปคุยบนห้องเหอะ” จากนั้นทั้งเขาและผมก็ได้รถจากรถ และขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพักของอีกฝ่ายแทน รู้สึกเหมือนอาการเมาของตัวเองเริ่มสร่างลงไปแล้วหลังจากที่ได้อยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายบนเส้นทางที่เป็นเหมือนสนามแข่งรถเมื่อครู่



   ในที่สุดเราก็มาหยุดยืนหน้าห้อง 403 ของอีกคน คีย์การ์ดถูกแตะลงบนเครื่องรับ ระบบล็อกถูกปลดจนเราเข้ามายังในห้องได้ ผมได้เดินตรงดิ่งไปนั่งลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้า ทางด้านของเจ้าของห้องตัวจริงไม่พูดพร่ำทำเพลงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครสักคน เปิดลำโพงให้เราได้ยินทั่วกัน พร้อมเดินตามมาหย่อนตัวนั่งข้างๆ

   [ฮัลโหลพิว ตอนนี้อยู่ไหน เพื่อนไปหาที่สูบบุหรี่แล้วไม่เห็นเจอเลย.. กุ้ง ถามไอ้พิวดิว่าไอ้ไป๋อยู่กับมันเปล่า?] ผมหรี่ตาขึ้นมาฟังเสียงโวยวายจากทางปลายสาย .. แหงล่ะ เล่นหายมาแบบนี้คงหากันให้วุ่นไปหมดแล้ว

   “อยู่ บอกให้พวกไอ้ยีนส์รีบกลับหอเถอะ จะห้าทุ่มแล้ว”

   [โอเค พวกเราก็อุตส่าห์เป็นห่วงที่ไหนได้หนีไปกับไป๋ซะงั้นอะ]

   “กุ้ง ถามไรหน่อยดิ”

   [แปปนะ .. พิวมีอะไรเหรอ?]

   “กุ้งต้องตอบความจริงนะ”

   [อื้อ พิวมีอะไรก็พูดมาเถอะ]

   “กุ้งเอาเฟซเราไปตั้งตัสเหรอ?” เสี้ยวใบหน้าหันมามองทางผมเล็กน้อย ยอมรับเลยว่าผมเองก็อยากรอฟังคำตอบที่แท้จริงอยู่อยู่เหมือนกัน

   [ใช่สิ ก็เราบอกพิวแล้วไง]

   “ห้ะ? กุ้งบอกเราตอนไหน?”

   [ก็ตอนที่นั่งอ่านหนังสือกันใต้คณะไง เราเล่าให้พิวฟังด้วยนะว่าเราถูกเพื่อนผู้ชายมาจีบแล้วเราไม่ชอบ เลยขอยืมพิวมาเป็นไม้กันหมาอะ]

   “ตอนไหนไม่เห็นจะจำได้เลย”

   [ตอนที่พิวอ่านหนังสืออยู่ไง แต่พิวเป็นคนยื่นโทรศัพท์ให้เราเองกับมือเลยนะ]

   “…”

   [โอ้ย ตายแล้ว พิวไม่เคยคิดจะฟังเรื่องที่เราเล่าเลยใช่ไหมเนี่ย]

   “คนอ่านหนังสือมันต้องใช้สมาธิ”

   [แล้วมารู้ได้ไงอะ? ไหนบอกจะลบเฟซแล้วตั้งใจอ่านหนังสือไม่ใช่หรือไง ..หรือว่า ไป๋เหรอ?] แม้จะสงสัยเล็กน้อยว่าชื่อของผมถูกเอ่ยขึ้นผ่านบทสนทนาที่คนปลายสายคงเข้าใจว่าเป็นการคุยแบบส่วนตัวอยู่สองคนได้อย่างไร? กุ้งรู้จักผมด้วย?

   “..อือ”

   [ได้ไงอะ เค้าว่าเค้าซ่อนไป๋ไปแล้วนะ..]

   “แล้วเพื่อนไป๋ล่ะกุ้ง?” กุ้งเงียบลงไปเล็กน้อยเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

   [เออ เรื่องนั้นกุ้งลืมเลยว่ะ .. อย่าบอกนะเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะกุ้งอะ ฮือ ขอเราคุยกับไป๋หน่อยสิ] คนตัวสูงเลื่อนโทรศัพท์เข้ามาใกล้ พยักเพยิดให้กรอกเสียงตอบรับลงไป

   “ฮ-ฮัลโหล”

   [ไป่ไป๋ใช่ไหม? เราขอโทษนะ เรื่องนี้เราผิดเอง ระหว่างเรากับพิวไม่ได้เป็นอะไรกันเลย ไป๋อย่าเข้าใจผิดน้า] ผมอยากตอบกลับไปเสียเหลือเกินว่ามันไม่ทันแล้ว แต่ก็ทำได้แต่พูดคำว่าไม่เป็นไรซ้ำไปซ้ำมา

   [สองคนดีกันได้แล้วน้า ไป๋รู้ไหมว่าพิวอะ มันชอบไป๋ม-]

   “หมดธุระแล้วก็วางไปได้แล้ว” ยังไม่ทันฟังประโยคล่าสุดของกุ้งได้ทันจบดี พิวก็ชักโทรศัพท์กลับไปแล้วพูดเสียงดังๆกลบเกลื่อนทันที .. ไม่ทันแล้วมั้ง

   [แหม พอเราหมดประโยชน์แล้วก็ถีบหัวส่งเลยน้า]

   “ขอบคุณมากๆ กลับบ้านกันดีๆนะ”

   [โอเคจ้า บาย]


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-09-2018 23:54:44 โดย pearyypinkyy »

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
   พอตัดสายจากกุ้ง ทั้งห้องก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง ร่างบางรวบรวมความกล้าปรับองศาการนั่ง พร้อมดึงอีกฝ่ายให้หันหน้าเข้าหากัน

   “เล่าเรื่องทั้งหมดให้กูฟังหน่อยดิ” เสียงถอนหายใจยาวเหยียดดังมาจากร่างสูง มือหนาลูบตามใบหน้าไปมาราวกับกำลังเรียกสติ พร้อมมองหน้าไป่ไป๋ เหมือนกำลังจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่กำลังเล่านี้เป็นความจริงในทุกคำพูด

   “กูคิดว่าตัวเองยังเก่งไม่พอ”

   “…”

   “หนึ่งเดือนกว่าๆที่ผ่านมา ที่มึงเห็นกูไปไหนมาไหนกับกุ้ง เพราะกุ้งเป็นคนเก่ง”

   “ห้ะ?”

   “มึงฟังกูให้จบก่อน .. กูรู้ว่ากุ้งเก่งวิชาเคมีมาก กูเลยให้กุ้งช่วยติวเคมีให้”

   “มึงก็เก่งอยู่แล้วจะไปติวอีกทำไมวะ?” ร่างบางหาข้อโต้แย้งมาลบคำครหาที่คิดว่าเจ้าตัวคงคิดไปเอง ทว่าสายตาคมนั่นมันทำให้เหมือนกำลังต้องมนตร์..

   มนตร์ที่ว่านั่นเกี่ยวกับการเชื่อใจ


   “เปล่าเลย กูไม่ได้ติวเพื่อให้ได้เนื้อหา”

   “…”

   “แต่กูไปติวเพื่อจำเทคนิคมาสอนมึงต่อ”



   นานมาแล้ว เขาว่ากันว่าดวงอาทิตย์รักดวงจันทร์มากจึงยอมตายลงทุกวันเพื่อให้พระจันทร์ได้หายใจ
   

   “แล้วก-กู”

   “แล้วมึงก็ไปถอนไง”

   “ไอ้ควายเอ๊ย.. ฮื่อ”

   

   และการหายใจของดวงอาทิตย์ ก็มีไว้เพื่อรอเพียงการกลับมาของดวงจันทร์

   ในทุกๆวัน..



   “มึงไม่บอกกูมาตรงๆวะ”

   “ทำอย่างกับว่าบอกมึงไปแล้วจะยอมให้กูไปติวมาสอนมึงอะ” บทโต้ตอบหาเหตุและผลสิ้นสุดลง เมื่อความจริงได้ประจักษ์จนแจ่มแจ้ง

   ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลำบาก

   ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซ่อนเร้น

   หากผลประโยชน์เหล่านั้นพิวตั้งใจทำขึ้นเพื่อตัวเอง



   “ฮึก .. แล้วทำไมถึงต้องพยายามขนาดนั้นด้วย”


   “..ก็เพื่อมึงไง”





   ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ลูกชายคนเล็กของบ้านกิจจาวิชกลายเป็นคนขี้แย และเป็นนักรักผู้โง่เขลาที่จะแก้ปัญหา พลาดท่าล้มเหลวในการตัดใจมานักต่อนัก แต่กลับประสบความสำเร็จในการช่วงชิงความรักกลับมาได้ในที่สุด ถึงแม้จะสาหัสเอาการก็ตาม..

   “ขี้แยจัง” ไม่ใช่คำดุว่าแต่มันคือคำแสดงความห่วงใย สองแขนหนาตะกองกอดร่างบางเข้ามาหาอ้อมอก พิวนึกตำหนิตัวเองในใจที่ไม่ทันระวังตัวและคิดให้รอบคอบ จนเกือบจะเสียคนที่แอบรักมานานเกือบปีไป

   ใบหน้าขาวเห่อแดงจากการร้องไห้ น้ำตาปนน้ำมูกถูกเจ้าของใช้กลอุบายซุกเข้าแผ่นอกและหลอกเช็ดบนพื้นเสื้อสีขาวจนเปียกชุ่ม ถึงจะมีคนรู้ทันแต่ก็ยอมให้กระทำจนกว่าคนเอาเปรียบจะเป็นฝ่ายผละออกไป .. เพราะไป่ไป๋ก็คือไป่ไป๋ล่ะนะ

   แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีแล้วที่พวกเขาทั้งสองได้กลับมาเข้าใจกันสักที : )
   


   “แล้วเหนื่อยไหมวะ?”

   “อือ เหนื่อยโคตร”

   “..กูขอโทษ”

   “ไม่เอาคำขอโทษ” ตาเล็กปรือขึ้นมองคนเบื้องหน้าด้วยความฉงนในคำพูดชวนพาให้ใจเสียอีกระลอก

   “แล้ว-”

   “อันที่จริงอยากพูดว่าอยากเอามึง แต่กลัวมึงตกใจ” ไป่ไป๋อ้าปากค้างเพราะความลามกจกเปรตของพิว เด้งตัวออกมานั่งห่างกว่าเดิม ทางด้านอีกคนหลังจากที่เป็นอิสระต่อกันก็ฉวยโทรศัพท์ขึ้นกดยิกๆอยู่นานนับร่วมหลายนาที ในระหว่างนั้นเขาก็เกิดคอแห้งขึ้นมา จึงถือวิสาสะลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นหาน้ำมาดื่มดับกระหาย


   “ขอน้ำขวดนึงนะ” ตู้เย็นขนาดประมาณห้าคิวถูกเปิดออกให้ได้พบกับน้ำเปล่าและอาหารแช่แข็งจำนวนหนึ่ง พร้อมกับเบียร์ทั้งชนิดขวดและกระป๋องวางเรียงรายกัน ซึ่งดูเหมาะสมกันดีกับการใช้ชีวิตเด็กหอของนักศึกษาชาย
 
   “อื้อ หยิบได้เลย” ตัดสินใจหยิบมาสองขวดถ้วน ขวดแรกถูกเปิดดื่มจนหมดเป็นที่เรียบร้อย ส่วนอีกขวดถูกโยนลงบนหน้าตักของคนที่เอาแต่เล่นโทรศัพท์ไม่สนใจแขก

   “แต๊ง .. อะ กูลบออกหมดแล้ว” หน้าโปรไฟล์เฟซบุ๊คถูกส่งยื่นค้างอยู่ตรงหน้า เลื่อนหน้าจอดูทั้งหมดก็พบว่าข้อมูลการคบหาและรูปที่ถูกแท็กต่างๆได้ถูกเจ้าตัวเอาออกไปแล้วทั้งหมด

   โทรศัพท์ถูกชักกลับและถูกนำไปเพิ่มเติมการแก้ไขใหม่อีกครั้ง

   “คราวนี้ก็ดูที่โทรศัพท์มึง” ถึงจะงงงวย แต่เขาก็ยอมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตามคำพูดเชิงคำสั่งของอีกคน ดูเวลาปาไปห้าทุ่มกว่าๆจึงเลิกคิดเรื่องกลับหอในไปได้ในทันที ยังไม่นับรวมมิสคอลและข้อความแชทที่ถูกส่งค้างอีกจำนวนมาก และแน่นอนว่าการแจ้งเตือนอันล่าสุดทำให้เขาก็เลิกที่จะเพิกเฉยกับสิ่งอื่นๆนอกเหนือจาก ..

   
Pew Phatipol listed that you two are in a relationship
ยืนยัน      ไม่สนใจ


   “ว่าไง?” ในความเห็นของไป่ไป๋ คนตรงหน้าไม่ว่าจะหล่อแค่ไหนแต่พอยักคิ้วหลิ่วตาทำท่าทางกวนบาทาทีไร มันก็กระตุ้นความอยากเตะให้แรงๆสักที

   “ไม่อะ” คิ้วซ้ายถูกยกขึ้นลงอย่างท้าทาย ทุกอย่างเป็นไปอย่างเหนือความคาดหมาย เพราะว่าปุ่มสีเทากลับได้รับให้เป็นตัวเลือก แทนปุ่มสีน้ำเงินขึ้นยืนยัน

   เห็นหน้าซีดเป็นไก่ต้มนั่นแล้วก็นึกขำ มั่นใจมากจากไหนพอเจอการถูกปฏิเสธก็จ้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ต่างจากไป่ไป๋กลับค่อนข้างพอใจเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาเหล่านั้น..


   “จีบกูใหม่ก่อนดิ”

   

   คำท้าทายผู้น่ารักชวนใจคนฟังเขว ความหวังลูกใหม่จุดประกายกองไฟดับมอดให้ลุกโชน รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นบนใบหน้าเจ้าเล่ห์ เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าสนามรักครั้งใหม่เพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น..


   “มึงเตรียมตัวเป็นเมียกูได้เลย”
   

   “มั่นใจได้ไงว่ามึงจะเป็นผัว?”

   “เอากันตอนนี้เลยไหม จะได้รู้กันไปเลยใครผัวใครเมีย” เสื้อยืดผ้าดีถูกเกี่ยวขึ้นถอดให้พ้นจากร่างกาย ยังไม่ทันจะได้ปลดเข็มขัดให้พ้นทาง ผู้ถูกคุกคามก็วิ่งตรงไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบยืมของใช้ที่จำเป็นในตู้เสื้อผ้าโดยอาศัยการจำจากครั้งก่อน

   “เพิ่งจะเริ่มจีบ อย่ามาลามปามไอ้สัส!”

   
   ปัง!!!


   และแล้วไป่ไป๋ก็ได้หายไปหลังบานประตูห้องน้ำ ทิ้งให้พิวยืนจับหัวเข็มขัดอย่างไปไม่เป็น ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งแผ่ลงบนโซฟาเผยกล้ามเนื้อขึ้นลอนจางๆได้รับความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ภายในหัวนึกโล่งใจที่ทุกอย่างได้ถูกคลี่คลายลงไปในทิศทางที่ดี

   แต่ในขณะที่นั่งมองเพดาน จู่ๆเขาก็หลุดหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงสีแดงบนใบหน้ารวมทั้งใบหูของคนที่เพิ่งจะเข้าไปอาบน้ำเมื่อครู่ .. ปากแข็ง แต่พอพูดผัวๆเมียๆด้วยหน่อยแม่งก็เขินชิบหาย

   นั่นแหละ รูปธรรมของคำว่า ความห่ามที่น่ารัก..


❋❋❋



   “ฝันดี”

   “อือ ฝันดี”

   สองคนกลับมาอยู่ภายใต้ห่มผืนเดียวกันอีกครั้ง ความเย็นภายนอกทำให้ร่างกายเผลอซุกเข้าหาความอุ่นโดยอัตโนมัติ ไหล่กลมมนเสียดสีหัวไหล่ของอีกฝ่ายไปมาตามการขยับตัว สายตาเริ่มปรับตัวให้ชินกับความมืดได้มากขึ้น เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืนกว่าๆแต่ก็ยังไม่มีวี่แววของความง่วงเลยสักนิด



   “ยังเก็บแปรงสีฟันอันเดิมของกูไว้อีกเหรอวะ?” บรรยากาศทั้งหมดมันทำให้ผมนึกถึงให้คืนแรกที่ได้มาค้างที่ห้องนี้

   “อือ คิดว่าเดี๋ยววันนึงมึงก็ต้องกลับมาใช้”

   “คิดถึงกูอะดิ” ในตอนแรกผมมีเจตนาที่จะแค่พูดเล่นๆ แต่สักพักก็รู้สึกถึงได้แรงรัดรอบลำตัวกระชับให้เราทั้งสองเข้าใกล้กันมาขึ้นทำให้ผมรับรู้ได้ว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง

   “โคตรคิดถึง”

   “กูก็คิดถึงมึงไอ้สัส” หมดเวลาที่จะมาเหนียมอาย จึงตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตนเองเคยรู้สึกจริงๆอกไปให้อีกฝ่ายได้รับฟัง และเหมือนว่าเจ้าตัวดูจะชอบใจไม่น้อย

   “พูดอีกทีดิ ไม่ได้ยินเลยว่ะ เมื่อกี๊นอนทับหูตัวเอง”

   “พ่องเหอะ .. มึงรู้ป่ะว่ากูโคตรโมโหเลย ตอนนี้เห็นมึงอยู่กับกุ้งอะ แถมมึงก็เอาแต่บอกว่าเป็นเพื่อนกันๆ”

   “...”

   “ขนาดตอนกูบอกให้ห่างกันมึงยังไม่เดินตามมารั้งกู แถมยังมีหน้าไปถ่ายรูปคู่ลงเฟซกับสาวอีก”

   “...ไป๋”

   “มึงต้องฟังกู เพราะต่อจากนี้กูจะได้ไม่เอาอดีตมาพูดอีก” ผมเอ่ยห้ามทัพเมื่ออีกฝ่ายพยายามพูดขัดสิ่งที่กำลังจะพูดขึ้นมา

   “อื้อ ต่อเลย”

   “ตลอดชีวิตกูทำตัวเป็นคนตรงๆมาตลอด มีปัญหาอะไรกูไม่อยากปล่อยให้มันคาราคาซัง แก้ได้กูก็จะแก้ มึงรู้ป่ะเป็นเพราะอะไร?”

   “ทำไมอะ”

   “กูไม่ชอบคนโกหกไง ความจริงแม่งจะเหี้ยแค่ไหนก็ได้ แต่ขออย่างเดียวอย่าพูดโกหกกับกู” เสียงเริ่มสั่นเครือจนพิวต้องเอื้อมมือมาลูบเบาๆที่ศีรษะ

   “กูขอโทษที่ทำให้มึงเข้าใจผิดนะ กูจะไม่โกหกมึงอีกแล้ว”

   “ตอนที่มึงไม่ได้จีบกูแล้วมึงรู้สึกยังไงบ้างวะ?” อีกฝ่ายเงียบไปสักพักเหมือนกำลังกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูด แต่มืออุ่นนั่นก็ยังคงลูบไปมาบนหัวผมไม่มีหยุด

   “พอมึงบอกว่าไม่ได้ชอบกูปุ๊บ กูก็จิตตกไปหลายวัน”

   “...”

   “คิดว่าคงไปทำอะไรให้อึดอัดเลยลองเว้นระยะห่างดู .. แต่แม่งก็ไม่เวิร์คว่ะ”

   “..ขอโทษ”

   “ตอนที่มึงขอกลับไปเป็นเพื่อนนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย ช็อกสัสๆ แต่สุดท้ายก็กลับมานอนคิดว่าถ้าไปเป็นเพื่อนมึงเหมือนเดิมก็น่าจะได้คุยกันบ้าง”

   “..ตอนนั้นมึงคิดเหมือนกูเลย”

   “แล้วตอนนี้เราคิดเหมือนกันหรือยังวะ?”

   “จีบกูให้ติดก่อนค่อยมาพูดกัน” ผมส่งมือไปตบเบาๆที่แก้มของอีกคนเชิงเรียกสติ ซึ่งมันก็เรียกเสียงหัวเราะของเขาออกมาได้เป็นอย่างดี แต่ในขณะที่ผมคิดว่าบทสนทนาคงจะจบแล้วจึงจะพลิกตัวให้กลับไปนอนในท่าเดิม แต่ก็ถูกถามขึ้นด้วยประโยคที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินขึ้นมาเสียก่อน


   “ข้อสิบ ในจดหมายของมึงคืออะไรวะ?” ภายในวันวานที่เราเขียนเล่าเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังย้อนกลับมาเตือนความจำ ซึ่งผมไม่เคยคิดจะลืม

   “ถ้ามึงเป็นคนอื่น ความลับของข้อสิบกูจะบอกไปว่า กูเกลียดการสกินชิพกับคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัว”

   “แล้วถ้าเป็นกูอะ?”

   “กูก็จะบอกมึงว่า มึงเป็นอีกคนที่กูชอบให้ลูบหัว ..”

   “...”

   “แปลกเนอะ”

   “เป็นเพราะมึงชอบกูแน่ๆ”

   “หยุดเพ้อเจ้อ .. ข้อสิบของมึงอะ?” ผมเห็นสายตาคู่นั้นที่มองมาทางนี้ได้ชัดเจนมากขึ้น สัมผัสเกลี่ยเบาๆที่หลังมือพาให้ขนแขนเกรียวกราว นึกโทษคนขี้เอาเปรียบในใจอีกครั้ง

   “ถ้ามึงเป็นคนอื่น กูจะบอกเขาไปว่ากูมีคนที่ชอบแล้ว”

   “พอเป็นกู?”

   “กูชอบมึงมานานแล้ว แต่มึงเสือกโง่ ยิ่งมึงมีแฟนเป็นผู้หญิงกูก็ยิ่งซึม พอเวลามึงเลิกกับเขากูเสือกดีใจ ตอนนู้นแค่เห็นมึงยิ้มให้กูก็เป็นใบ้แล้วไอ้เหี้ย ยิ่งที่รีสอร์ทตอนรับน้องนะ มึงแม่งแบบ-”

   “ไอ้สัส พอๆ กูไม่อยากรู้แล้ว” ตอนแรกที่ได้ยินคำพูดก็พาให้หัวใจเริ่มพองโต แต่หลังยิ่งได้ฟังยิ่งรู้ว่ามันเริ่มไม่ปลอดภัย ตัดสินใจตัดบทแล้วพลิกตัวหันหน้าหนีอีกคนด้วยความอายทันที

   “จะนอนแล้วเหรอ?”

   “เออ นอนแล้ว” ผมฉุดดึงผ้าห่มขึ้นมาให้คลุมทั้งตัวจนมิดชิด ฝืนข่มตาให้หลับลงพร้อมลับใหลไปในห้วงนิทรา แต่ดูเหมือนว่าทุกย่างไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ได้คิดเอาไว้สักเท่าไหร่

   “หันมาก่อน”

   “ไม่เอา .. กูจะนอนแล้ว”




   ทางด้านคนตัวสูงในชุดนอนสีฟ้าแม้ว่าจะสะกิดแผ่นหลังก็แล้ว แกล้งหยิกใบหูเล็กผ่านผ้าผืนหนานั่นก็แล้ว อีกฝ่ายก็ไม่มีที่ท่าจะหันมาสนใจตนเองแม้แต่น้อย แต่อย่างไรเขาก็ไม่ยอมแพ้ เมื่อไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องได้ด้วยแรง ออกกำลังฝืนฉุดดึงคนที่มีขนาดตัวเล็กกว่าเขาให้กลับท่านอนจากตะแคงข้างเปลี่ยนมาเป็นท่านอนหงายดังเดิม

   “อะไรว-”

   เขาอาศัยความเร็วของลำตัวที่มีความเหนือกว่าจัดการพลิกตัวขึ้นคร่อมสู้ด้านบน ไป่ไป๋ไม่ได้เตรียมใจไว้สำหรับเหตุการณ์อย่างนี้ก็ถึงกับหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองทั้งหมด ส่งผลให้อสูรร้ายอย่างพิวได้ก้มหน้าลงมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาได้หนำใจ แต่เหมือนริมฝีปากบางของคนใต้ล่างจะเริ่มกลับมาใช้งานได้อย่างปกติเสียแล้ว

   ต้องจัดการหยุดมัน...

   “อ-อื้ม”

   รอยสัมผัสของจุมพิตถูกประกบลงสร้างสิ่งที่เรียกว่าความหวาบหวิวภายในช่องท้อง กลิ่นมิ้นท์จากยาสีฟันแทรกซึมจากขอบปาก สู่เนื้อปาก และอวัยวะรับรสอย่างลิ้น

   เพียงแค่ลิ้นได้แตะกันเบาๆ ก็ราวกับว่าทั้งสองเท้าที่เคยอยู่บนพื้นดินกลับพากันล่องละลิ่วสู่ห้วงตัณหาแทนที่ห้วงนิทรา จังหวะเกี่ยวกระหวัดถูกชักนำโดยผู้ริเริ่มเป็นหลัก เสียงความชื้นแฉะจากการดูดดึงดังขึ้นตามการพลิกองศาของใบหน้า ความปรารถนาที่ต่างฝ่ายต่างอยากครอบครองถูกเติมเต็มได้เพียงกึ่งเดียว

   ก่อนที่ฉากอิโรติกจะปิดลงพร้อมกับแรงกดจูบหนักๆบนริมฝีปากหนึ่งครั้ง..

   จุ๊บ

   
   “ดีกันแล้วเนอะ : )”
   

   “อ-อือ นอนเหอะ พรุ่งนี้มีเรียน” ผิวขาวในตอนแรกแปรเปลี่ยนไปมีสีแดงเจืออ่อนๆ ความเย็นเกาะกินตามลำตัวทำให้รู้ว่าเสื้อยืดยี่ห้อดังที่หยิบยืมเจ้าของมา บัดนี้ถูกเลิกขึ้นไปยันเหนือแผงอกแบบที่ไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย .. ร่างบางจัดแจงทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง พร้อมกับที่คนฉวยโอกาสก็ได้ล้มตัวลงบนพื้นเตียงในที่เก่า กับสิ่งที่เพิ่มเติมคือแรงรัดรอบบั้นเอว และเสียงนุ่มหูชวนให้หลับสบาย..


   “ฝันดีนะเมีย”



   ในที่สุดบทแห่งความโศกและคำนึงหาก็ได้สิ้นสุดลง พร้อมกับบทรักที่มีตัวเอกเป็นทั้งสองได้ถือเริ่มขึ้น

   อีกครั้ง...
   

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
chapter seventeen。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔


Phatipol's Side


   “มึงรักกูป่ะ?”

   “ไป๋ มันไ-”

   “หมดเวลา”

   คำถามที่ไม่คาดคิดถูกกล่าวขึ้นโดยคนที่ผมเดินทางมาหา ลำดับเหตุการณ์จากต้นถึงปลายดูซับซ้อนจนงงงวยไปหมด ยังไม่ทันให้ผมได้เอ่ยคำพูดให้กระจ่างก็ถูกริดรอนโอกาสโดยอีกฝ่ายจนหมดเกลี้ยง

    “ .. มึงเลิกจีบกูเถอะ”

   “ท-ทำไมวะ” หัวใจกระตุกไหวหวูบอย่างแรงหลังจากที่ได้ยินประโยคที่เหมือนเป็นคำขอร้องและคำสั่งในเวลาเดียวกัน อีกทั้งหยดน้ำตาที่ไหลจนชุ่มไปทั้งสองแก้มบ่งบอกว่าอีกคนกำลังร้องไห้ พาให้ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากลำคอผมสั่นเครืออย่างห้ามไม่ได้


   “กูรู้สึกอึดอัด”

   “...ไป๋”

   “กูไม่ชอบที่มึงชอบมาจับหัวกู”

   “…”

   “มึงไม่ต้องมาเสียเวลากับกูหรอก”

   “...”

   “.. กูไม่ได้ชอบมึง”



   ปัง!



   จนสิ้นเสียงปิดประตูรถบ่งบอกว่าอีกฝ่ายได้เดินจากไปแล้ว ต่างจากผมที่ได้แต่นั่งฟังเสียงลมหายใจตัวเองบนรถที่จอดตากฝนดูที่เดิม อีกใจนึงเรียกร้องให้รีบวิ่งตามเจ้าตัวไป แต่อีกใจกลับบอกให้ยอมแพ้แล้วอยู่เฉยๆ สองขาแข็งเหมือนตัวเองได้ถูกตรึงอยู่กับที่ ความรู้สึกเบลอๆชาๆราวกับสิ่งที่ได้ยินไม่ใช่เรื่องจริง พาให้ผมเลือกจะเชื่อฟังหัวใจในส่วนที่สอง


   มันคงยากเกินไปสำหรับคนที่เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงมาทั้งชีวิตอย่างเขา อันที่จริงผมได้เคยคิดไว้เล่นๆแล้วว่าหากออกตัวจีบไปแล้วเป็นเหตุให้อีกฝ่ายอึดอัด ผมจะทำตัวอย่างไร แต่ไม่เคยคิดว่าพอเกิดขึ้นจริงๆแล้วมันจะทำให้ตัวเองรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบได้เดินจากผมไป

   ไปแล้วตั้งแต่เมื่อครู่นี้...



   ผมได้ใช้เวลาไปกับการอยู่ทบทวนเรื่องทั้งหมดเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ จนในวันถัดมาไป๋มาเรียนพร้อมกับผ้าปิดปากและอาการหวัด บ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังไม่สบายโดยสาเหตุอาจเป็นเพราะเจ้าตัวตากฝนในคืนนั้น ฉุดให้ความรู้สึกผิดตีขึ้นปะทะอกอย่างจัง หากผมมีสติและกางร่มพาเขาไปส่งสักนิด ไป๋คงไม่ต้องมานั่งทรมาณพิษไข้อย่างที่เป็น


   แต่ดูเหมือนเบื้องบนยังใจดีมอบโอกาสให้พบได้แก้ตัวอยู่บ้าง ตอนเย็นในวันเดียวกันนั้น เราได้พบกันอีก ร่มสีน้ำเงินถูกส่งต่อให้เจ้าของใบหน้าซีดเซียว ไป๋ดูมีท่าทีลังเลแต่ผมก็ยืนยันให้เขาใช้ร่มคันทีได้รับไปพาตัวเขาเองกลับหอได้อย่างสวัสดิภาพ

   อีกคนได้เดินห่างออกไป

   แล้วก็เดินกลับมา

   ร่มที่ได้หยิบยื่นให้ถูกส่งกลับมาโดยที่ผมยังไม่เข้าใจมากนัก

   แต่แล้วมันกลับทำให้ผมยิ้มออกมาได้ในรอบสองวัน..


   “...ไปส่งหน่อยดิ”


   ถึงแม้ไป่ไป๋จะติดนิสัยปากกรรไกรไปเสียหน่อย แต่ผมเชื่อมาเสมอว่าการกระทำของเขามักนึกถึงผู้อื่นเป็นสำคัญ จากที่เขาเคยบอกกับผมว่าระยะระหว่างเรามันทำให้รู้สึกอึดอัด แต่ในวันนี้กลับยอมให้ผมไปส่งทั้งๆที่ตัวเองสามารถใช้ร่มคันนั้นเดินกลับหอคนเดียวคงจะสะดวกกว่าด้วยซ้ำไป


   ความมั่นใจในแต่แรกเดิมถูกหยิบขึ้นมาใช้หล่อเลี้ยงกำลังใจอีกครั้ง ในตอนนี้ถึงอีกฝ่ายจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะคงอยู่ตลอดไป สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมจะทำได้ก็คือถอยห่างจากไป๋ออกมาสักพักนึง เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ผมค่อยเริ่มแผนการจีบอีกครั้งหนึ่งคงจะเหมาะกว่า

   และแน่นอนว่าผมไม่มีทางที่จะถอดใจให้คนที่ผมรู้สึกตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอ ต้องหลุดมือไปเด็ดขาด...
   



❋❋❋




   “พิวมีสมาธิหน่อยสิ”

   “ขอเบรคแปปนึง”

   “โอเค แล้ววันนี้เป็นอะไรปะเนี่ย?”

   แม้ทุกอย่างจะผิดแผน แต่ผมก็ยังดำเนินการติวอันเข้มข้นต่อไป สมาธิที่ใช้จดจ่อเริ่มด้อยประสิทธิภาพเมื่อมีเรื่องมากมายให้ครุ่นคิด

   “ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่”

   “ทำไม เรื่องไป๋หรอ?” ไม่แปลกใจที่เพื่อนสนิทเพศหญิงสมัยมัธยมปลายคนนี้จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา เพราะความสนิททำให้ผมไว้ใจและยกให้กุ้งเป็นที่ปรึกษาในบางครั้งที่รู้สึกหนักใจ แม้แต่ในตอนที่ผมขอร้องให้เธอช่วยกวดวิชาให้ผมได้ไปสอนคนๆนั้นต่ออีกทอด เธอก็เต็มใจจะช่วยเหลืออย่างไม่อิดออด

   “อือ นั่นแหละ”

   “ทะเลาะกันมาเหรอ?”

   “ก็ไม่เชิงอะ .. ไป๋บอกว่าอึดอัด เลยคิดว่าคงถอยออกมาพักนึงก่อน”

   “ทำถูกแล้วแหละ แต่ถ้าพิวบอกว่าจะยอมแพ้ล่ะน่าดู”

   “ไม่ได้บอกเลยสักคำว่าจะแพ้”

   “ดีมาก .. งั้นเรารีบต่อกันเถอะ กุ้งจะได้รีบกลับบ้านไปอ่านหนังสือต่อ”

   “อื้อ” เวลาล่วงเลยมาถึงเลขห้าของเข็มสั้นบนหน้าปัด การอธิบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ความรู้ในสมองถูกจัดระบบง่ายต่อการนำมาใช้มากขึ้น พื้นที่ใต้คณะยังมีคนให้เห็นอยู่บ้างแต่เริ่มบางตาลง เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจจากที่ไกลๆดูไม่ใช่ปัญหาในการพาความรู้เข้าหัว

   ทั้งๆที่มีสถานที่ที่เอื้ออำนวยแก่การกวดวิชามากกว่าที่นี้ แต่อย่างไรผมก็มองว่าที่นี่น่าจะเหมาะสมที่สุด ช้อยแรกๆอย่างหอผมนี่ตัดทิ้งไปได้ข้อแรกเลย จะให้ผมและกุ้งอยู่ในห้องด้วยกันสองต่อสองดูอย่างไรก็ไม่เหมาะ จะมีบ้างบางวันที่เราไปหอสมุด แต่ส่วนใหญ่โซนที่สามารถใช้เสียงได้มักจะเต็มอยู่เสมอ ส่งผลให้ใต้ตึกคณะวิศวะฯกลายเป็นช้อยส์ที่ดีที่สุดไป

   “วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้”

   “ได้เลย .. เอ้อ วันเสาร์นี้พิวพอว่างไหม?”

   “ก็ว่างอะ มีอะไรหรือเปล่า?” เมื่อมีผลประโยชน์ก็ต้องมีค่าตอบแทน ในตอนแรกผมเสนอให้เจ้าตัวคิดเงินตามรายชั่วโมง แต่อย่างไรกุ้งก็เอาแต่ปฏิเสธจะไม่เอาอะไรทั้งสิ้น ทำไปทำมา จนเราได้ข้อยุติโดยที่ผมอาสาเป็นสารถีคอยตามส่งกุ้งกลับบ้านแทน

   “เพื่อนกุ้งอยากเดินตลาดน้ำอะ พิวพากุ้งกับเพื่อนไปหน่อยได้เปล่าอะ?”

   “ซิ่วไปแล้วยังมีเพื่อนอีกเหรอ”

   “มีได้สิ ทำไมปากร้ายจังเลยอะ”

   “เดี๋ยวพาไปก็ได้ เจอที่ไหนกี่โมงก็บอกด้วยแล้วกัน”

   “เย้ ขอบคุณมากน้า”





   จนแล้วจนรอดวันที่นัดแนะกันก็มาถึง นักเรียนของอาจารย์กุ้งว่าที่นิสิตแพทย์มอดังในวันก่อน กลับกลายมาเป็นทาสรับใช้เดินหิ้วถุงของกินที่เจ้าตัวซื้อตามหลังต้อยๆอย่างจำยอม

   “อะ พิวฝากถืออันนี้ด้วย เดี๋ยวกุ้งขอดูที่คาดผมกับเพื่อนก่อน”

   “ใกล้กลับยังอะ เบื่อแล้ว”

   “อีกแปปนึงนะๆ”


   ว่าแล้วกุ้งก็เดินไปสมทบกับเพื่อนอีกห้าคนที่ร้านกิ๊ฟช็อปสารพัดของกุ๊กๆกิ๊กๆ ทิ้งให้ผมยืนหอบข้าวของยืนรออยู่นอกร้าน เป็นเพราะวันนี้ท้องฟ้าค่อนข้างปลอดโปร่งจึงส่งผลให้อากาศค่อนข้างร้อน ประกอบกับนักท่องเที่ยวที่ค่อนข้างหนาแน่น เลยทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดเป็นธรรมดา


   เพราะไม่เคยไปไหนมาไหนกับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงเลยไม่รู้ว่าพวกเธอมักจะมีนิสัยในการเลือกซื้อของอย่างไร จนผมได้มาพิสูจน์กับตัวเองแล้วว่า อุปนิสัยของพวกเธอมักจะเข้าไปเลือกซื้อเป็นกลุ่ม เจอร้านไหนถูกใจจะยังไม่แวะในทันที เธอเลือกที่จะเดินไปข้างหน้าต่อ เพื่อหวังว่าจะเจอของที่ถูกใจกว่า และเมื่อพบว่าร้านแรกที่เจอเป็นร้านที่ดูคุ้มค่าที่สุด พวกเธอจึงเดินกลับไปใหม่ โดยเฉลี่ยระยะเวลาการเลือกของแต่ละชนิด ไม่ว่าจะเป็นของกินหรือเสื้อผ้า จะตกอยู่ที่ร้านละสิบนาทีโดยประมาณ...

   
   ประสบการณ์ใหม่ที่ผมไม่ค่อยจะเข้าใจได้สิ้นสุดลงเมื่อทั้งห้าคนได้ก้าวขาออกจากร้านขายของริมตลาดน้ำ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกและตกลงจะกลับกันในทันที


   “กุ้งเอากุญแจไปติดเครื่องในกันในรถกันก่อนเลย เดี๋ยวเราขอเข้าห้องน้ำก่อน”

   “อื้อ ได้ๆ”


   ตัดสินใจเดินเลี้ยวเข้าห้องน้ำสาธารณะในเขตวัดก่อนที่จะขับรถกลับไปส่งกุ้งและเพื่อนๆ เสร็จสิ้นการปลดทุกข์ผมก็กลับมายืนล้างน้ำล้างตาหน้ากระจกบานใหญ่

   บรรยากาศและเวลาที่ใกล้เคียงกับการมาเที่ยวครั้งที่แล้วทำให้ผมนึกถึงคนที่มาด้วยกัน .. คิดถึงไอ้ไป๋เฉยเลยว่ะ

   ผมสะบัดน้ำออกจากมือ เตรียมตัวเดินกลับรถ แต่ในตอนนั้นเองที่ผมได้เจอใครสักคนเดินชนเข้าอย่างจัง



   “อุ้ย ขอโทษครับ”

   “ไม่เป็นไร” ใบหน้าของคนที่ผมเพิ่งจะนึกถึงเมื่อกี๊ กลับกลายเป็นใบหน้าเดียวกันกับคนที่อยู่ในอ้อมกอดตอนนี้ ผมกระพริบตาอย่างไม่เชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง เขาเดินห่างออกทำธุระจนกลับมายืนชำระล้างมือข้างกับผมแล้ว แต่ผมก็ยังละสายตาจากเขาไปไม่ได้

   หลังจากนั้นผมจับใจความได้ว่าเราคุยกันไปนิดหน่อย สติสัมปชัญญะที่มีเหมือนจะหลุดลอยหายไป จนมือของผมได้ทอดวางบนหน้าผากขาวนั่นไปอย่างลืมตัว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ค่อยชอบใจนัก ไป๋ปัดมือผมทิ้งและเดินก้าวเท้าออกไปพร้อมๆกับเสียงกุ้งที่ตะโกนเร่งอยู่ข้างนอก


   แต่แล้วเขาก็ได้หันหลังกลับมาหาผม เหมือนในเย็นของวันที่ฝนตกวันนั้น

   ผมหวังให้มันเป็นคำพูดที่ทำให้ใจฟูอย่างคราวที่แล้ว..



   “เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ใช่ไหม?”


   ทุกอย่างมันผิดแผกไปจากที่คาดคะเนเอาไว้

   และผมก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ไป๋พูดออกมาเลยสักนิด


   เจ้าตัวถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่าผมเองก็เห็นพ้องต้องกัน มือเล็กที่ยื่นมาตรงหน้าในตอนนั้นสั่นเทิ้มไปหมดจนคนดูอย่างผมสังเกตได้ ภายในใจนึกอยากฉุดรั้งเขาเข้ามากอดแรงๆให้รู้ตัว อยากถามว่าคำพูดทั้งหมดมันหมายความว่าไง?

   ถ้าคำว่าเพื่อนของเขาหมายความว่าสถานะที่ไม่มีวันพัฒนาแล้วล่ะก็ .. ผมคงไม่ยอมเด็ดขาด



   “งั้นก็ไม่เป็นไรหรอก”



   ไม่เข้าใจเลยจริงๆ...



❋❋❋




   ฟู่ววว


   ควันสีขาวลอยคลุ้งสวนทางกับนิโคตินที่ถูกอัดลงปอดอย่างต่อเนื่อง ในตอนแรกตั้งใจจะแค่มาหาของกินรอกุ้งมาสอนให้เท่านั้น แต่พอเห็นพื้นที่สูบบุหรี่ข้างๆซุ้มโค้กที่กำลังยืนอยู่ก็รู้สึกสมองตื้อขึ้นมาจนต้องหาตัวช่วยให้สมองกลับมาโปร่งโล่งพอเตรียมพร้อมรองรับเนื้อหาวิชาอันหนักหน่วง

   ผมรู้ดีว่าบุหรี่ที่อยู่ในมือมันไม่เคยส่งผลดีแต่ร่างกาย แต่ผมก็ยังเลือกที่จะใช้มันระงับความฟุ้งซ่านในสมอง เพราะมันช่วยได้แค่ครั้งคราว เลยทำให้ผมยิ่งอัดควันพิษหนักขึ้นไปเรื่อยๆ


   'เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ใช่ไหม?'


   ตั้งแต่วันที่เจอไป่ไป๋ครั้งล่าสุดจนวันนี้ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว อย่างไรถ้อยคำที่เขาได้พูดออกมาก่อนเดินจากไปมันยังคงติดและวนเวียนอยู่ในหัวผม จะสลัดยังไงก็สลัดไม่ออก ยิ่งนึกถึงมวนบุหรี่ในมือก็ยิ่งสั้นลงไปเรื่อยๆ .. จนหมดมวนในที่สุด

    ผมเลยตัดสินใจเดินกลับไปใต้คณะพร้อมขนมปังและนมหนึ่งกล่องในมือ อีกไม่นานกุ้งคงมาถึงจึงหาของกินมาไว้เพื่อรองท้องให้อิ่มเสียก่อน
   



   แต่ในตอนที่เดินกลับมาถึงโต๊ะตัวที่ได้จองไว้ ยังไม่ทันได้ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ พลันสายตาผมก็มองไปเห็นร่างของทั้งสองคนที่ดูคุ้นตา อยู่ห่างออกไปแถวๆโต๊ะหินอ่อนในมุมค่อนข้างลับตาตรงโน้น ด้วยความไม่แน่ใจจึงทำให้ผมมองภาพที่เห็นอยู่สักพัก จนผมรู้แน่ชัดแล้วว่าทั้งคู่นั่น คือ พลอยใสและไป่ไป๋

   จับมือกันด้วย?..

   ท่าทีของทั้งสองคนอยู่ในสายตาของผมตั้งแต่ต้น จนตัวผมเองเริ่มมีความผิดปกติขึ้นทีละน้อย ผมรู้สึกเหมือนเป็นเด็กที่โดนแย่งของสำคัญ อีกทั้งผมรู้สึกไม่ชอบใจที่พวกเขาจับมือกันแถมยังยืนยิ้มให้กันจนฝ่ายหญิงเดินพ้นสายตานั่นอีก
 
   หรือสามารถพูดเป็นคำคุณศัพท์ออกมาได้อย่างสั้นๆว่า หึงหวง นั่นแหละ...


   มันทำให้ผมกลับมาคิดเรื่องข้อเสนอที่ไป๋หยิบยื่นมาให้อีกครั้ง เพราะที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เราสองคนแทบไม่ต่างจากคำว่าคนแปลกหน้าเลยสักนิด แค่ผมเห็นเขาอยู่กับแฟนเก่า ในใจผมในตอนนี้ยังจะคลั่งแทบตาย หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปการกลับไปเป็นเพื่อนคงจะดีกว่าแม้จะเป็นส่วนเพียงเล็กน้อยก็ตาม


   ขอแค่ผมได้มีตัวตนอยู่ในสักสถานะใดของเขาก็ได้



   แม้จะเจ็บปวด แต่เพราะผมไม่ได้มีทางเลือกมากมายนัก มือของผมถูกยื่นหาอีกฝ่ายเหมือนคราวก่อนที่ไป๋ทำ สีหน้าเขาทั้งดูตกใจและสับสน .. ไม่ต่างจากผมในคราวก่อนเลยสักนิด


   “ ..กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมก็ได้”

   “จำตอนที่เพิ่งเข้าปีหนึ่งมาใหม่ๆได้ไหม?”

   “…”

   “กูกับมึงแทบไม่ได้คุยกันสักคำเลย..”

   “อือ จำได้”

   “กลับไปเป็นเหมือนตอนนั้นกันนะ”

   “เอาดิ ยังดีกว่าตอนนี้ตั้งเยอะเลย”
   

   และนั่นก็คือบทสรุปของผมและไป่ไป๋ ใจผมเซไปเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการให้เรากลับไปเป็นเหมือนในตอนแรกที่เข้ามหาลัย ซึ่งมันก็หมายความว่าผมไม่มีสิทธิ์ทำตัวสนิทสนมเหมือนอย่างที่แล้วมา จนอีกคนขอตัวเดินจากไปแล้วแต่ผมก็ยังยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิม .. ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับมันสินะ


   ไม่ว่าจะผ่านจากวันนั้นมากี่วันแทนที่ทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น กลายเป็นตัวผมเองที่แย่ลงในทุกๆวัน เพราะผมรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง ผมสูบบุหรี่มากขึ้น ผมเริ่มซื้อเหล้าเบียร์มาไว้กินที่ห้อง ผมอ่านหนังสือหนักขึ้นจนเหลือเวลานอนน้อยลง แต่ผมกลับคิดถึงไป่ไป๋เหมือนเดิม..




just pew : วันจันทร์นี้ว่างไหม?
just pew : จะไฟนอลแล้ว เดี๋ยวติวให้

paipai : ไม่เป็นไร
paipai : ขอบคุณนะ




   ผมก้มมองข้อความในมือถือเมื่อหลายวันก่อน มันคงเร็วไป แต่อย่างไรผมก็จะไม่ให้ทุกอย่างที่พยายามมาสูญเปล่า และจะไม่ยอมแพ้อย่างที่เคยลั่นวาจาไว้อย่างเด็ดขาด

   จึงจัดการเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง หันกลับมาสนใจมวนยาสูบราคาแพงในมือ ผมนั่งขัดสมาธิใช้หลังพิงกำแพงห้องน้ำ เงยหน้ามองควันบุหรี่ลอยเข้าตัวดูดอากาศบนเพดานไปเรื่อยๆ สารกระตุ้นประสาทส่งผลให้สมองว่างเปล่า  ไฟค่อยๆขยับเข้ามาประชิดก้นกรองผมจึงโยนมันทิ้งลงชักโครก และเริ่มจุดมวนใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง

   ใจจริงผมอยากเลิกเสพติดเจ้ามวนยานี่เสียเต็มแก่ จำได้เหมือนว่าจะเคยเลิกได้ช่วงนึงก่อนหน้านี้ แต่ก็กลับมาติดอีกเพราะเรื่องเครียดๆภายในหัว เครียดเลยสูบยิ่งสูบก็ยิ่งติด วนเวียนอย่างนี้มาร่วมอาทิตย์ได้แล้ว


ครืด ครืด


   แรงสั่นจากสมาร์ทโฟนภายในกระเป๋ากางเกงทำให้ผมกลับมาอยู่กับโลกความจริง ก้นกรองถูกโยนลงโถสุขภัณฑ์อีกหนึ่งอัน ในตอนแรกคิดว่าคงเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่จริงๆแล้วกลับเป็นข้อความไร้สาระที่ถูกส่งเข้ามาภายในกลุ่มแชทของผมแทน


Kken : มะรืนวันเกิดเสียพิวแล้วว่ะ
Kken : ที่ไหนดีวะเฮีย?

SMSMSM : อย่างเสี่ยก็ต้องร้านเหล้าเหมือนเคยๆปะวะ

T.A.E : ไปฮะ
T.A.E : ร้านเดิม เวลาเดิม

Kken : จัดไปเว้ยเพื่อน


                     
just pew : ถามกูแล้ว?

SMSMSM : ของงี้ต้องถาม?

T.A.E : ไปเหอะ หนุกๆ อยากฉลองให้มึง




   ผมเดินกลับเข้าห้องไปล้มตัวลงนอนที่เตียงด้วยความเมื่อยขบจากการนั่งบนพื้นนานๆ จริงอย่างที่เพื่อนๆผมว่าในวันมะรืนก็จะถึงวันเกิดอายุครบสิบเก้าปีของผมแล้ว ถึงจะอย่างนั้นผมก็ยังไม่ค่อยมีอารมณ์อยากจะฉลองมันสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเพื่อนว่ากันมาแบบนั้นก็คงต้องตามใจ


                     
just pew : ตามใจ

Kken : ขอเอาพลอยใสไปด้วยนะ

SMSMSM : ดีกันแล้ว?

T.A.E : อะไรวะ ดราม่ากำลังข้น

Kken : เออ ไอ้พวกเหี้ย
Kken : ตอนที่ทะเลาะกันพลอยพูดถึงไอ้ไป๋ขึ้นมา กูเลยโกรธ
Kken : แต่เมื่อวันนู้น กูเจอพลอยมาดักคุยใต้ตึก
Kken : เค้าบอกว่าไปปรึกษาไอ้ไป๋มา
Kken : แล้วมันบอกให้พลอยมาเคลียร์กับกู

T.A.E : ไอ้ไป๋แฟนเก่าพลอยหนิ

SMSMSM : หึง?

Kken : ทะเลาะกันแล้วพูดถึงแฟนเก่าของมันก็ต้องขึ้นป่ะ?
Kken : ตอนนี้สองคนนั้นเป็นเพื่อนกันแล้ว พลอยบอกมางี้เว้ย




   ข้อความจากเคนทำให้เรื่องราวต่างๆที่ผมได้เจอเริ่มประติดประต่อกัน .. ที่เจอไป๋กับพลอยใสใต้คณะวันนั้นเป็นเพราะเรื่องนี้?



T.A.E : มารูนไฟฟ์คิ้วท์บอยมันเป็นคนดีจังวะ

Kken : แฟนกูก็พูดแบบมึงอะ

T.A.E : ไอ้พิว แล้วมึงกับกุ้งเป็นไงบ้าง


                     
just pew : เป็นเพื่อนกันจะต้องมีอะไรอีกวะ
                     just pew : เลิกถามเรื่องนี้ได้แล้ว
                     just pew : กูไปอาบน้ำละ บาย

SMSMSM : เอ้า ซะงั้นอะ..



   เมื่อเห็นว่าบทสนทนาเริ่มไม่มีอะไรน่าสนใจ จึงตัดสินใจพูดตัดบทและแชทไปหาคนที่ไอ้เต้เพิ่งพูดถึง เพื่อยกเลิกนัดหมายของเราในตอนเย็นของวันมะรืน



                     
just pew : อีกสองวันงดติวได้ไหม
                     just pew : เพื่อนให้ไปฉลองวันเกิด

KUNGKING : อีกสองวันวันเกิดพิวเหรอ

                     
just pew : อื้อ ใช่

KUNGKING : แก่อะ
KUNGKING : จัดที่ไหนกันเหรอ


                     
just pew : ร้านเหล้าหลังมอ

KUNGKING : ยังไม่ยี่สิบเลย เข้าได้?

                     
just pew : เข้าออกจะบ่อย
                     just pew : ไอ้เคนมันรู้จักคนในนั้น

KUNGKING : เฮ้ยยย น่าสนใจอะ
KUNGKING : ไปด้วยได้ป่ะ


                     
just pew : เอาจริง

KUNGKING : อยากไปเปิดหูเปิดตาบ้าง
KUNGKING : เบื่ออ่านหนังสือแล้วว



   ประโยคเชิงขอร้องจากเพื่อนเก่าตั้งแต่สมัยมัธยม ประกอบกับการไปครั้งนี้มีพลอยใสที่เป็นผู้หญิงเฉกเช่นเดียวกันไปด้วย เลยทำให้ผมเอ่ยปากตกลงไปอย่างง่ายดาย



                     
just pew : ได้ๆ

KUNGKING : เย้ วันพฤหัสเจอไหน กี่โมง

                     
just pew : รออยู่หน้ามอก็ได้เดี๋ยวไปรับ
                     just pew : เวลาเดี๋ยวบอกอีกที

KUNGKING : โอเค ขอบคุณน้า

   

   จากนั้นผมได้เหลือบมองเวลาบนหน้าจอแล้วก็คิดได้ว่าควรค่าแก่การอาบน้ำได้แล้ว จึงวางโทรศัพท์ไว้บนเตียงนอนเพื่อเตรียมตัวไปหยิบผ้าขนหนูเข้าไปอาบน้ำ แต่กลายเป็นว่าผมต้องสะดุดกึกให้กับรายชื่อของคนที่ไม่เคยแม้แต่จะไลน์หาผมเลยสักครั้ง กลับไลน์มาหาผมในเวลานี้



ครืด ครืด


Jeansss : ไอ้สัสพิว อยู่ป่ะ
Jeansss : ฮัลโหลๆๆ

                     
just pew : กำลังจะไปอาบน้ำพอดี
                     just pew : มึงมีไร?

Jeansss : อีกสองวันถึงวันเกิดมึงใช่ป่ะ

                     
just pew : เออ ใช่

Jeanss : จะไปจัดที่ไหนไหม

                     
just pew : ว่าจะไปร้านเหล้าหลังมอ

Jeansss : อายุไม่ถึงเข้าไงวะ?

                     
just pew : ไอ้เคนมันรู้จักคนในนั้น
                     just pew : จะไปเหรอ?


   คิ้วผมขมวดขึ้นเล็กน้อย เพราะข้อความตรงหน้าจะอ่านออย่างไรมันก็ดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยที่อยู่ดีๆไอ้ยีนส์จะทักมาถามเรื่องพรรคนี้อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
         
            
Jeansss : ตอนแรกได้ยินว่าใกล้จะถึงวันเกิดมึงเลยคิดได้
Jeansss : กูกับตุลลี่อยากให้มึงกับไอ้ไป๋ลองคุยกันอีกรอบว่ะ
Jeansss : เผื่อโชคดีจะมีใครคนนึงหายโง่บ้าง


                     
just pew : ใครโง่?
                     just pew : แล้วไป๋เป็นไงบ้าง?

Jeansss : ดูเครียดๆ
Jeansss : เออ แต่ช่างแม่งเหอะ
Jeansss : ตอนแรกนึกว่ามึงจัดที่อื่น พวกกูจะได้ไปกัน
Jeansss : แฮปล่วงหน้าเว้ย



   ชื่อของคนที่ผมคิดถึงถูกกล่าวถึงขึ้นเป็นรอบที่สองของวัน เพียงได้เห็นคำพูดที่ทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูไม่สบายใจ นั่นก็พาให้ผมไม่สบายใจตามไปอย่างง่ายดาย แต่หลังจากที่เขาปฏิเสธคำชักชวนของผมเมื่อหลายวันที่แล้วก็ทำเอาความมั่นใจที่มีลดหายไป

   ตอนนี้ผมรู้สึกกลัวไปหมด กลัวแรกที่ถ้าผมยังฝืนหาเรื่องคุยกับอีกฝ่ายอยู่ ผมไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเจ้าตัวจะยังอึดอัดผมอยู่หรือไม่ และความกลัวที่สองคือ ถ้าผมปล่อยให้เราห่างกันเกินไป เราทั้งสองจะกลับไปเป็นคนไม่รู้จักกันอีกครั้ง .. ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไร และจะนึกขอบคุณหากมีคนมาช่วยย่นระยะระหว่างเราได้

   อย่างเช่นยีนส์และตุลลี่..


                     
just pew : ร้านเล่าซ้ำซ้ำ หลังมอ

Jeansss : ห้ะ

                     
just pew : บอกคนตรวจบัตรว่าเป็นเพื่อนไอ้เคน
                     just pew : เดี๋ยวเขาจะพามึงเข้าเอง




ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
❋❋❋



   
   “โหย พิวมาที่นี่บ่อยเลยเหรอ?”

   “ก็ไม่อะ”

   “ถึงเป็นร้านเหล้า แต่ก็ดูน่าเข้าดีนะ”


   พวกเราทั้งเจ็ดคนใช้รถทั้งสามคันได้เดินทางมาถึงสถานที่นัดหมายเวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ เสียงเจื้อยแจ้วของพวกสาวๆที่ได้เผชิญประสบการณ์มาเยือนสถานที่อโคจรเป็นครั้งแรกพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น แต่ผมกลับไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
พวกเราเดินเข้าไปภายในร้านกันอย่างคุ้นชิน ผมเมื่อนึกถึงข้อความที่ได้คุยกับยีนส์เมื่อวันก่อนนู้นก็พาเนื้อเต้นขึ้นมา สองสายตากวาดมองไปทั้งรอบร้านอย่างลุ้นๆอยู่คนเดียว แล้วผมก็เจอ...


   ไป่ไป๋ในชุดเสื้อยืดดูใส่สบาย กับทรงผมที่ปล่อยให้หน้าม้าตกลงมาปรกหน้าโดยไม่มีการเช็ตอย่างที่เจ้าตัวทำอยู่ประจำ ทุกอย่างของเขามันดูน่ามองไปหมด จนกระทั่งไป๋หันมาหน้าจนสองตาเราสอดประสานกันในความวุ่นวาย

   และหลบหลีกไปอย่างรวดเร็ว..


   “พิว เราเบียดไปไหม?”

   “อือ ไม่เป็นไรหรอก” ผมคิดขอบคุณไอ้เต้ที่เลือกนั่งโต๊ะติดกับกลุ่มไป่ไป๋ที่มาก่อนหน้า จัดการรีบพาตัวเองเข้าไปในนั่งในที่ๆตัวเองต้องการจนได้ .. ที่นั่งที่ใกล้กับไป๋มากที่สุด

   โต๊ะที่สามารถนั่งได้หกคนดูเบียดเสียดเนื่องจากจำนวนคนที่เยอะกว่าของเรา พวกเรานั่งคุยเรื่องนู่นนี่กันไปมาเพื่อของเครื่องดื่มที่สั่งมาเสิร์ฟ โดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่าการเซอร์ไพร์สที่น่าประทับใจกำลังรอผมอยู่

   “แฮปปี้เบิร์ทเดย์ทู้ยู แฮปปี้เบิร์ทเดย์ แฮปปี้เบิร์ทเดย์ แฮปปี้เบิร์ทเดย์ทู้ยู..” ในระหว่างที่กำลังนั่งดูวงดนตรีกำลังขึ้นทำการแสดงอย่างเพลิดเพลินอยู่ กลับได้ยินเสียงร้องเพลงวันเกิดขึ้นแทรกทำผมรู้สึกตกใจเพราความคาดไม่ถึง

   “ไอ้เสี่ยพิวแก่อีกปีแล้ว”

   “สุขสันต์วันเกิด ขอให้มีความสุขมากๆเลยนะ”

   “เก็ทเอแล้วมาสอนกูด้วยโว้ย”

   “เป่าเทียนเลยมึง” เสียงปรบมือและเสียงเฮฮาจากทั่วทั้งร้านดังขึ้นหลังจากที่บทเพลงที่เพื่อนผมร่วมกันประสานเสียงร้องได้จบลง

   เค้กปอนด์ก้อนสวยถูกยื่นมาหาตรงหน้า เทียนถูกปักจำนวนเก้าเล่มตามความเชื่อ ผมหันไปยิ้มเชิงขอบคุณให้พวกเพื่อนๆที่รายล้อมรอบตัวที่ต่างมีส่วนรู้เห็นในการเซอร์ไพร์สวันเกิดในปีนี้

   ผมหลับตา พนมสองมือขึ้นให้นิ้วโป้งจรดหัวคิ้วอย่างแน่วแน่และตั้งใจ


   ‘ขอให้ผมมีแฟนชื่อไป่ไป๋ คนที่บ้านอยู่วงเวียนใหญ่ คนที่ถนัดซ้าย คนที่เกลียดวิชาเคมี คนที่นั่งข้างหลังผมตอนนี้ .. จะใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ได้ครับ แต่ขอให้พรเป็นจริง สาธุ’


   ดวงไฟทั้งเก้าดับลงพร้อมกับเสียงส่งขึ้นมาแสดงยินดีดังขึ้นมาอีกระลอก ก่อนที่เค้กถูกไอ้เคนวางบนโต๊ะให้ทุกคนได้กินร่วมกัน

   “ขอพรอะไรวะนานชิบหาย”

   “..ไม่บอก”

   “กลัวพรไม่ศักดิ์สิทธิ์หรือไงวะ?”

   “เออ กูอยากให้มันเกิดขึ้นจริง”

   หลังจากนั้นพวกเราก็เข้าสู่การดื่มด่ำความสนุกของยามค่ำคืนกันอย่างจริงจัง แต่ถึงอย่างนั่นผมก็ไม่มีความอยากเครื่องดื่มสีเข้มในแก้วตรงหน้านี้เท่าที่ควร เลยเลือกที่จะจิบทีละนิด แล้วเน้นนั่งคุยและฟังเพลงเสียมากกว่า



   “เพลงต่อไป เป็นเพลงที่มีคนรีเควสเข้ามานะครับ ไม่รู้ว่าตรงกับตอนนี้ของใครหลายๆคนหรือเปล่า เราไปฟังกันเลยครับ..”


   จากนั้นบทเพลงคุ้นหูก็เริ่มบรรเลงขึ้น เป็นเพลงของวงดนตรีไทยหนึ่งในแบนด์ที่ผมชอบมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นเพลงนี้ยังเป็นเพลงที่ถือได้ว่าผมได้ฟังบ่อยที่สุดในช่วงนี้เลยก็ว่าได้

   จนเนื้อเพลงยอดฮิตเริ่มเข้าสู่ท่อนฮุคพร้อมกับเสียงร้องคลอทั่วทั้งร้าน ผมถึงได้รู้ว่าสำหรับเพลงนี้ไม่ว่าจะฟังที่ไหนผมก็ยังชอบความหมายของมันเสมอ..



ฉันคิดถึงเธออยู่
ทุกช่วงเวลาที่ยัง หายใจ
ฉันคิดถึงเธออยู่
แม้รู้ว่ามันอ่อนแอ เหลือเกิน
คือสิ่งเดียวที่ฉันนั้นรู้สึก
แม้จะเนิ่นนาน เท่าไร



   “เพลงโปรดพิวนี่ เห็นเดี๋ยวนี้ฟังในรถบ๊อยบ่อย ชอบเหรอ?” กุ้งที่นั่งข้างๆเหมือนจะนึกได้ว่าเพลงนี้จะถูกเปิดขึ้นทุกครั้งที่ผมไปส่งเธอที่บ้านหลังจากธุระเรื่องกวดวิชาในทุกเย็น

   ผมยกแอลกอลฮอล์ที่เริ่มเจือจางเพราะน้ำแข็งขึ้นมาจิบแก้กระหาย แล้วรอจังหวะที่ดี .. เพื่อให้คนที่นั่งเบื้องหลังได้ยินอย่างชัดเจนมากที่สุด


   “อือ ชอบด้วย แล้วก็คิดถึงด้วย”


   ในตอนแรกผมไม่ได้คาดหวังให้อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาโต้ตอบใดใด ผมแค่อยากให้เขาได้ยินในสิ่งที่ผมอยากจะพูดมากที่สุด…


   “ไอ้ตุลลี่ ปากมึงชาปะว้า?”

   “ชาแบบเริ่มกัดไม่เจ็บแล้วว่ะ” อันที่จริงทุกคำพูดของไป่ไป๋ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่พูดคุยกับเพื่อนหรือบ่นอยู่คนเดียว ผมจะได้ยินและสนใจอยู่ตลอดตั้งแต่ที่มาถึง


   “เออ เหมือนกันเลย”
   


   คำพูดที่เริ่มยานคางเพราะพิษสุราดังเร่งเสียงขึ้นในช่วงที่ดนตรีเริ่มเบาลง จนดูเหมือนเจ้าตัวกำลังตอบกลับประโยคเมื่อครู่ของผมไม่มีผิดเพี้ยน

   จากนั้นไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ความอยากบุหรี่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงลุกพรวดพราดขึ้นเดินออกจากร้านจนเพื่อนผมเองยังอดตกใจไม่ได้



   
   สวนย่อมของทางร้านที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่สูบบุหรี่มีแค่ผมคนเดียวที่จับจองที่นั่งอยู่ในเวลานี้ หมอกขาวจากการเผาไหม้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ถึงจะไม่ใช่คนสุนทรีย์ชอบนั่งมองดวงจันทร์แต่คงจะดีกว่านั่งมองพื้นหญ้าเป็นไหนๆ

   คำว่า เออ เหมือนกันเลย ของเขากำลังถูกชั่งความเป็นไปได้ซ้ำไปมา .. ไป๋กำลังตอบผมอยู่หรือเปล่า?

   เพราะอยากใช้เวลาอยู่คนเดียวให้มากกว่านี้อีกหน่อย เลยยังไม่ยอมกลับเข้าไปสังสรรค์ภายในร้านกับเพื่อนต่อ


   แต่ใครจะรู้ว่าการตัดสินใจเพียงเล็กๆของผม จะนำไปเจอสิ่งดีๆที่ผมไม่อาจคาดหวังได้..



   พื้นรองเท้าเสียดสีกับหินปูทางเดินจนเกิดเสียง ผมคิดว่าคงเป็นลูกค้าท่านอื่นในร้านเลยไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่แล้วจู่ๆฝีเท้าที่ว่ากลับหยุดลง ในจุดที่ผมคาดว่าไม่น่าไกลจากตัวเองไปสักเท่าไหร่

   “..อ้าว”

   “ขอนั่งด้วยดิ” บุคคลที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้นพร้อมทิ้งตัวลงบนม้านั่งตัวเดียวกัน ดูจากผิวขึ้นปื้นแดงตามลำตัวขนาดนั้น เจ้าตัวคงดื่มมาเยอะพอสมควร ผมจึงจัดการดับบุหรี่ในมือแล้วไปปัดควันพิษที่ยังหลงเหลืออยู่ให้เบาบางลง .. มันไม่มีต่อสุขภาพเลยสักนิด

   “สุขสันต์วันเกิดนะ” คำกล่าวอวยพรจากคนที่อยู่ในสายตาผมตลอดมาทำให้บรรยากาศระหว่างเราดีขึ้นมาเล็กน้อย
 
   “อ-อื้ม ขอบคุณ”

   “สบายดีป่ะ?”

   “งั้นๆ มึงอะเป็นไงบ้าง?”

   “..แย่นิดหน่อยมั้ง” ใบหน้าน่ารักเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ไม่น่ารักเท่า ไป่ไป๋ทำสีหน้าเหมือนคนที่มีเรื่องให้คิดตลอดเวลามาตั้งแต่เมื่อกี๊ที่เดินเข้ามาแล้ว ..

   “เรียนเป็นยังไงบ้าง?”

   “วิชาเคมี..”

   “…”

   “วันนี้กูไปถอนมาแล้วนะ” คำพูดเสียงแผ่วบอกเล่าเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา แต่เหมือนมีสายฟ้าลูกใหญ่ผ่าลงตรงกลางใจผมเข้าอย่างจัง


   .. แล้วสิ่งที่ทำมาตลอด ผมจะพยายามไปเพื่อใครกันนะ


   “แล้วก็ วันนี้ .. แฟนมึงน่ารักดีนะ”

   “...”

   “ไปดีกว่า บ- เฮ้ย!” ผมหมดความอดทนให้กับคนเข้าใจผิด ครั้งนี้คงจะเป็นครั้งที่สามได้แล้วที่ไป่ไป๋เรื่องทำนองนี้ออกมา ทั้งๆที่ก่อนหน้าผมก็พูดชัดเจนทุกครั้งว่าผมกับกุ้งเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น


   ทันทีที่คนตัวสมส่วนจะลุกหนีผมไปซ้ำรอยเก่า อารมณ์ชั่ววูบสั่งให้ผมรั้งเขาไว้ด้วยไม่ว่าเขาจะเต็มใจจะอยู่หรือไม่ก็ตาม .. จากนั้นรถยนต์คันเก่งจึงเป็นความคิดที่ดีในการกักขังเขาไว้ เพื่อให้อยู่ใกล้ๆกับผมได้นานที่สุด และโชคดีหน่อยที่เจ้าตัวดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปเยอะพอที่จะพาให้กำลังฝืนที่เคยมีพร่องลงไป เขาจึงถูกผมนำมาใส่ในรถได้อย่างง่ายดาย


   พฤติกรรมขับรถเร็วที่จะเป็นเฉพาะตอนโมโหได้กลับมา ฟังจากน้ำเสียงสั่นๆที่กำลังชี้ชวนให้ลดระดับความเร็วบนท้องถนนลงแล้วคาดว่าผมคงสร้างความหวาดหวั่นให้กับเขาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว


   “กูเคยบอกไปแล้วว่ากูกับกุ้งไม่ได้เป็นแฟนกัน”

   “เฮอะ” เสียงหัวเราะแดกดันทำให้ผมเริ่มไม่เข้าใจสถานการณ์ ไป่ไป๋เบี่ยงหน้าออกเข้าหากระจก ลมหายใจถูกสูดเข้าปอดลึกๆเหมือนกำลังข่มอารมณ์โกรธอยู่ ก่อนจะหันหน้ากลับมาหาพร้อมกับคำพูดที่กลายมาเป็นความรู้ใหม่ของผม..


   “แล้วไหนบอกกูมาสิว่าสเตตัสกับรูปคู่ในเฟซพวกนั้นมันคืออะไร?!”


   เอี๊ยด!


   “กูลบแอพเฟซบุ๊คทิ้งไปเป็นเดือนๆแล้ว”


   ผมเลี้ยวเข้าซองที่จอดใต้หอด้วยความชำนาญ เอ่ยความที่จริงผมได้ทำ เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่มีทางที่ผมจะเป็นคนทำ

   “ขึ้นไปคุยบนห้องเหอะ”




   โดยทันทีที่เราก้าวเท้าเข้ามาในห้องของผม โทรศัพท์ในมือก็ได้ถูกต่อสายไปยังคนที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ก่อนจะพบกับบทสรุปที่ว่ากุ้งเป็นคนทำทุกอย่างก่อนที่ผมจะลบแอพที่มักจะเอาไว้เล่นฆ่าเวลาทิ้ง ส่วนตัวผมไม่ได้ติดใจอะไรมากเพราะผิดที่ผมเองที่ไม่ได้ใส่ใจทุกอย่างให้มากกว่านี้


   เฟซบุ๊คได้ถูกโหลดกลับมาอีกครั้ง ล็อกอินเสร็จก็ได้พบกับข้อความและการแจ้งเตือนมากมายที่ดูน่าปวดหัว สเตตัสความสัมพันธ์และรูปคู่ที่กุ้งเคยแกล้งให้ผมถ่ายด้วยกันถูกโชว์เด่นหราบนโปรไฟล์ที่เมื่อก่อนนานๆทีจะได้อัพเดตอะไรสักครั้ง


   ผมลบทุกอย่างออกจนกลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยที่ไม่มีการลังเล ถึงแม้จะผิดหวังที่ไป่ไป๋ไม่ตอบรับคำเชิญชวนให้ตั้งการคบหาคู่กันในทันที แต่ผมกลับเข้าใจเขามากกว่าเดิม..


   ที่บอกว่าอึดอัดเป็นเพราะอย่างนี้สินะ


   ดวงตาที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาเมื่อครู่ ตอกย้ำให้ผมรู้สึกว่าได้เป็นคนที่ทำให้ไป่ไป๋เสียใจ และคงผิดไม่หากจะเคยมองว่าผมเป็นคนนิสัยไม่ดี ยิ่งนึกว่าอีกคนต้องอยู่กับความรู้สึกแย่ๆมาเป็นเวลานาน ผมก็ยิ่งอยากชดเชยในตอนที่เราห่างกันให้มากขึ้น..



   น่าแปลกที่แม้เราจะเพิ่งกลับมาเป็นเหมือนเก่าได้ไม่กี่ชั่วโมง แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนว่าไป๋ไม่เคยห่างไปไหนเลยด้วยซ้ำไป เขายังตาตี่เหมือนเดิม ตัวขาวๆเหมือนเดิม ปากร้ายเหมือนเดิม แถมผมยังชอบการมีเขาใกล้ๆเหมือนเดิมด้วย


   จนถึงตอนนอนที่เราได้กล่าวราตรีสวัสดิ์กันและกัน ตาเราทั้งสองยังเบิกกว้างเหมือนยังอยากให้เราได้พูดคุยกันต่อ ความน่ารักของเขาทำลายการควบคุมของผม คนตัวอุ่นข้างๆถูกพลิกแพลงให้กลายมาอยู่ข้างล่าง แม้ความต้องการผมสั่งร่างกายผมไปต่างๆนานา แต่ผมก็เลือกที่จะหยุดไว้แค่การจูบ .. จูบของเราในความมืด


   ..และปากของไป่ไป๋ก็ยังหวานเหมือนเดิม



   “ดีกันแล้วเนอะ : )”



   ไอร้อนของเราถูกถ่ายเทสู่กันและกันตามความแนบแน่นของอ้อมกอด

   ความสัมพันธ์ที่ดำเนินไปด้วยความซื่อตรง และขับเคลื่อนด้วยความสุข

   คำว่าแฟนถึงจะดูห่างไกล แต่ผมก็ยังมั่นใจว่าเราต้องได้ใช้มันด้วยกัน

   ...แหงล่ะ ก็เรารู้สึกเหมือนกันนี่นา : )





❋❋❋





paipai : พิว ให้ไอ้ตุลลี่ไปอยู่ช่วงเสาร์อาทิตย์ด้วยดิ
paipai : มันทนเมทไม่ไหวแล้วอะ
paipai : เมทมันสกปรกมากกกกก




   หลังจากที่เราคืนดีกันเมื่อวันพฤหัสบดีตอนกลางคืน ตื่นเช้ามาเราสองคนก็ได้ไปเรียนพร้อมกันตามที่ผมเคยฝันไว้ แต่ช่วงบ่ายของวันศุกร์นี้เราไม่มีการเรียนการสอน ไป๋จึงขอตัวบอกจะกลับไปนอนเล่นที่ห้อง ทิ้งให้ผมนอนเหงาหงอยอยู่ที่หอเพียงคนเดียว

   ช่วงบ่ายว่างไม่มีธุระ ส่วนช่วงเย็นก็บอกยกเลิกการกวดวิชากับกุ้ง พร้อมขอบคุณที่อุตส่าห์มาช่วยแล้วเป็นที่เรียบร้อย แต่ในขณะที่กำลังก้มๆเงยๆกับการจัดหนังสือตรงหน้า ก็พบว่าข้อความจากคนของผมถูกส่งเข้ามาเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว


                     
just pew : ให้ตุลลี่นอนห้องมึงดิ

paipai : จะนอนยังไง ห้องกูมีสองเตียง
paipai : มึงลืม?


                     
just pew : ไม่ใช่
                     just pew : ให้ตุลลี่นอนห้องมึง
                     just pew : แล้วมึงมานอนห้องกู
                     just pew : มาวันนี้เลย
                     just pew : รีบเก็บของ กำลังจะลงไปที่รถแล้ว


paipai : ไอ้เชี่ย
paipai : แปปๆ อย่าเพิ่งมา
paipai : แล้วกูจะบอกไอ้ตุลลี่กับไอ้ยีนส์ยังไงวะเนี่ย



   ผมหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ หลังจากที่เห็นความกังวลของอีกฝ่ายถ่ายทอดออกมาผ่านข้อความ ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวเห็นยีนส์กับตุลลี่เป็นเพื่อนหรือเป็นพ่อแม่กันแน่


                     
just pew : บอกไปว่าจะไปนอนกับผัว
                     just pew : รักผัวมากๆ
                     just pew : เดี๋ยวพวกมันก็เข้าใจ

paipai : พ่องงงง
paipai : ขอยี่สิบนาที มึงอย่าเพิ่งมานะ




   จัดแจงวางกองหนังสือที่ยังจัดไม่เข้าที่เข้าทางไว้คงอยู่อย่างนั้น ผมที่ไม่คิดจะรีรอยี่สิบนาทีให้หลังตามที่อีกฝ่ายบอก จึงหยิบกุญแจรถและของสำคัญออกจากห้องไปรับไป๋ตามที่อาสาทันที

   ก็นะ อยากแกล้งไอ้ตัวป่วนมัน..

   ไม่ถึงสิบนาทีรถคันเก่งของผมก็ขับมาจอดหน้าหอในฝั่งของหอชายตามที่เคยมาประจำ มือถือถูกยกขึ้นมากดเบอร์โทรหา เพียงไม่นานปลายสายก็ตอบรับขึ้นมา


   [ฮัลโหล ไอ้พิวเหรอ]

   “ไอ้ยีนส์? ไป๋ไปไหนอะ?” ผมขมวดคิ้วเล็กๆเมื่อเสียงที่ได้ยินไม่ใช่เสียงที่คาดคิดไว้

   [มันกำลังจัดของตามที่มึงสั่งอยู่เนี่ย เดี๋ยวกูเปิดโฟนให้ .. อะ ไอ้พิวถามหามึง]

   “เมียเร็วหน่อยดิ ชักช้าจังวะ”

   [เมียเหี้ยไรสัส! / โอ้ย อย่ามาประเจิดประเจ้อแถวนี้นะ ฉันรำค๊าญ] ฟังจากน้ำเสียงและบริบทที่ดังขึ้นแทรกแล้ว ก็เดาได้ในทันทีเลยว่าเป็นตุลลี่ที่ในห้องอยู่ด้วยอีกคน

   [เสร็จแล้วๆ กำลังลงไป]

   “แปปๆอย่าเพิ่งวาง..”

   [อะไรอีกอะ?]

   “ไอ้ยีนส์ ตุลลี่ .. ขอบคุณนะ” ผมกรอกคำพูดขอบคุณไปหาทั้งสองคนที่เคยช่วยให้ผมและไป่ไป๋ได้มาคืนดีกัน .. ขาดไปไม่ได้เลยจริงๆนะ

   [ตุลลี่ทำเพื่อพิวขาโดยเฉพาะเลยค่ะ ไม่เกี่ยวกับไอ้ไป๋มันเลย / เออ ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองโว้ย] เสียงหัวเราะจากเพื่อนปนคำก่นด่าจากว่าที่แฟนผม ดังซ้อนกันจนฟังไม่ได้ศัพท์

   [ขอบคุณอะไรของมึงวะ แค่นี้แหละ เดี๋ยวลงไป]

   “อื้อ”



   ไม่กี่นาทีให้หลัง คนตัวขาวสะพายกระเป๋าเป้ก็เดินลงมาพร้อมกับสัมภาระที่หอบหิ้วจนเต็มมือทั้งสองข้างไปหมด ผมเปิดกระโปรงท้ายให้เขานำของเขาไปใส่ ก่อนจะเดินวกกลับมาเปิดประตูรถทิ้งตัวลงบนเบาะข้างคนขับ

   “เมียเป็นไร หน้ามุ่ยมาเลย”

   “มึงแหละแม่ง อย่าเรียกเมียต่อหน้าคนอื่นได้ป่ะ”

   “ทำไม เขิน?”

   “เออ!”

   “เขินทำไมวะ .. มึงจะเรียกกูผัวต่อหน้าคนอื่นกูยังไม่เขินเลย”

   “กูเลิกคุยกับมึงแล้ว แม่ง” ผมเอื้อมมือไปแกล้งบีบจมูกอีกคนอย่างล้อเล่น ก่อนจะได้รับสายตาพิโรธเป็นของตอบแทนกลับมา ทำเอาผมชักฝ่ามือกลับมาแทบไม่ทัน เลยแก้เก้อด้วยการเหยียบคันเร่งออกตัวรถ ก่อนขับกลับหอของผมแทน

   “เออ เพิ่งนึกได้ว่ากูยังติดเลี้ยงข้าวมึงอยู่เลย”

   “เลี้ยงข้าวไรวะ?”

   “ตอนนี้มึงไปเป็นเอ็กซ์ตร้า Role play ให้กลุ่มกูไง” ผมร้องอ๋อขึ้นมาเพราะเพิ่งจะมานึกเอาได้ในตอนที่เจ้าตัวเพิ่งบอกเมื่อกี๊

   “มึงอยากแดกอะไรอะ?”

   “ตังพวกมึง กูแดกอะไรก็ได้”

   “ชาบูแมะ” ละสายตาจากถนนเบื้องหน้าแล้วหันไปสบกับไป่ไป๋ที่ทำหน้าทะเล้นใส่ผมอยู่ .. ตัวเองอยากกินเองล่ะสิไม่ว่า

   “ได้หมด”

   “โอเค ดีล ไปร้านชาบูกินแล้วนะ ซอยเก้าเลย เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง” ไอ้ตัวไป๋เอ้ย..




   
❋❋❋




   “มึงร้านเหล้าที่เราไปกันมาเมื่อวานตำรวจลงแล้วว่ะ”

   “ลงเมื่อไหร่”

   “เมื่อคืนหลังจากเรากลับพอดี มีคนบอกไอ้ตุลลี่มางี้ .. บุญรักษาชิบหายเลยกู”


   ตึ้ง!


   หลังจากที่เราไปกินบุฟเฟ่ต์ชาบูกลับมาถึงหอเสร็จเป็นที่เรียบร้อย โดยมีผมเป็นคนช่วยถือสัมภาระอันหนักอึ่งของไป่ไป๋ขึ้นมา เดินออกจากลิฟต์มาได้เราก็ตรงเข้าห้องรีบวางของที่ถือมาลงกับพื้นเพราะความหนักทันที

   “ถ้าอยากเข้าเดี๋ยวยี่สิบค่อยไปใหม่”

   “กูไม่ได้อยากเข้าสักหน่อย”

   “ถ้าอยากกินเหล้าก็ซื้อมานั่งกินกับกูที่ห้องเนี่ยแหละ .. มึงใช้โต๊ะตัวริมก็ได้ ตอนกลางวันอ่านหนังสือแสงจะได้ถึง”

   “อ่าฮะๆ ขอบคุณมาก”



   กลิ่นอาหารจากที่ร้านยังติดตามเสื้อผ้าผมอยู่ ผมจึงเลือกทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟากลางห้องแทนเตียง แกล้งยกสมาร์ทโฟนขึ้นมากดเล่นแต่ก็แอบดูคนกำลังจัดของอย่างขะมักเขม้นไปด้วย

   จนไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมหันเหไปสนใจคนตัวเล็กกว่า โดยไม่ต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาปิดบังจุดประสงค์

   ไป่ไป๋เดินไปมาภายในห้องสี่เหลี่ยม จากมุมนี้ไปมุมนู้น จัดเสื้อผ้าใส่ไม้แขวนเข้าตู้อย่างเรียบร้อย ก่อนจะยกของขึ้นวางชั้นด้านบนไม่ให้เกะกะทางเดินจนชายเสื้อยืดผ้าบางรั้งขึ้นให้เห็นผิวขาวใต้ร่มผ้าวับแวบๆ

   มีวูบนึงที่ผมรู้สึกอยากเห็นภาพแบบนี้ไปทุกวันๆ

   ถึงต้องแบ่งเตียงให้นอน ถึงต้องแย่งกันอาบน้ำทุกเช้าทุกดึกก็ไม่เป็นไร

   ถ้าขอให้มาอยู่ด้วยกันจะเป็นอะไรไหมนะ..



   “จัดของแปปเดียวแม่งร้อนชิบหายเลย .. กูไปอาบน้ำก่อนนะ”

   “..ไป๋”

   “หื้ม?” ร่างบางที่กำลังก้าวเท้าเข้าห้องน้ำไปชำระตัวถึงกับชะงัก เมื่อผมเอ่ยชื่อรั้งตัวเขาไว้

   “ชอบห้องกูป่ะ?”

   “อือ ชอบดิ ดีกว่าหอในเยอะเลย”

   “งั้นมาอยู่ด้วยกันเลยดีไหม” เมื่อเห็นกว่าอีกฝ่ายเงียบจนนานเกินไป พาให้ใจผมเริ่มห่อเหี่ยว เพราะกลัวการปฏิเสธ ไม่รอช้าจึงเลิกคิ้วเพื่อถามความสมัครใจอีกรอบนึง

   “..ขอถามไอ้ยีนส์กับตุลลี่ก่อนได้ป่ะ?”

   “เรื่องแค่นี้เดี๋ยวกูคุยให้เอง .. มึงอยากอยู่กับกูป่ะล่ะ?”

   “อยากดิ .. กูไปอาบน้ำแล้วนะ บาย” เสียงพูดระรัวจนเหมือนลิ้นจะพันกันของไป๋ ดังขึ้นแทบจะพร้อมกันกับเสียงปิดของประตู ทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่าเจ้าตัวกำลังเขินในสิ่งที่ได้พูดออกมา

   ไอ้ตัวไป๋ของผมมันน่ารักขึ้นทุกชั่วโมงเลยแฮะ..





   รอยยิ้มถูกวาดขึ้นอย่างชัดเจนบนใบหน้าของคนที่กำลังเดินไปที่เตียง ร่างสูงเดินเลยไปเล็กน้อย ก่อนจะหยุดลงที่ลิ้นชักขนาดเล็กของโต๊ะหัวเตียง ชั้นแรกสุดถูกเปิดออกพร้อมกับของในนั้นโชว์ให้ปรากฎแก่สายตา

   ดูเร็กซ์ เฟเธอร์ไลท์ ดูเร็กซ์ เลิฟ ดูเร็กซ์ สตอรเบอร์รี่ ปิดท้ายด้วยคลาสสิก เพลสเช่อร์ เจล ทั้งหมดนี้ที่เคยได้ไปซื้อที่ห้างสรรพสินค้ากับไป๋ในคราวก่อน แถมยังเคยขู่อีกคนไปแล้วด้วยว่าจะเอามาใช้ด้วยกัน
   

   ‘รอก่อนนะลูกพ่อ อีกไม่นาน พ่อจะให้ลูกแสดงความเป็นตัวเองได้อย่างไม่เสียชาติเกิดเลย’


   และแล้วลิ้นชักก็ได้ถูกปิดลง โดยแม้แต่เจ้าของเองไม่รู้ว่าเวลาที่ว่านั่นคืออีกนานแค่ไหนกันแน่...



   
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔


  พาเรือพิวไป่ไป๋กลับมาตามสัญญาแล้วนะฮับ

ถ้าชอบยังไงก็อย่าลืมกดให้กำลังใจ คอมเมนต์ หรือช่วยบอกต่อเพื่อให้กำลังใจนุด้วยนะฮ้าบบบบ


ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9 (เพจใหม่ค่ะ )




และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา

 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

ลงให้อ่านยาวเลย ขอบคุณมาก
เดี๋ยวเรามาเมนท์เพิ่มอีกที

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4
 :-[ :-[

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
ขอบคุณที่ทั้งสองคนได้คุยกันจนรู้ความจริงนะเออ เฮ้อ เศร้ามาซะนาน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter seventeen ―010918)
« ตอบ #69 เมื่อ: 02-09-2018 00:13:29 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AmPnie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ แต่งดีมากเลย สำนวนดีไม่มีคำผิด ชอบๆ มาต่ออีกนะคะ รักไรท์

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

เข้าใจสิ่งที่พิวทำละ
ต้องบอกว่าจุดมุ่งหมายดี แต่วิธีการไม่โอเค กลายเป็นความไม่เข้าใจ เป็นความเศร้าไปแทน
ต้องเก็บเอาเคมีไปสอนตอนลงทะเบียนเรียนใหม่นะ55


ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ทำไมร้ายยยยยยย  :hao7:

ออฟไลน์ Aeflizm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พิวก็ดูเป็นพระเอกกากๆเหมือนกันน่ะ 555555 ชอบบบบ

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
chapter eighteen。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔


   “มึง กูไม่ไหวแล้ว .. ฮื่อ”
   “อดทนหน่อย อีกนิดเดียว”
   “หยุดก่อนได้ไหม กูไม่ไหวแล้วจริงๆ”
   “ได้ งั้นเบรกสิบนาทีแล้วกัน”



   ภายในวันหยุดเสาร์อาทิตย์หนึ่งสัปดาห์ก่อนสัปดาห์สอบไฟนอล ห้องสี่เหลี่ยมไม่ชินตากับบุคคลผู้เป็นเจ้าของที่เอาแต่นั่งกำกับการอ่านหนังสือของผมให้ลุล่วง โจทย์ฟิสิกส์ตรงหน้ามันพาให้รู้สึกตามืดมัวทุกครั้งที่ได้เจอ

   สิ้นเสียงคำอนุญาตของพิวที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นติวเตอร์จำเป็น ผมก็ถลาร่างของตัวเองลงบนโซฟาห่างจากโต๊ะญี่ปุ่นที่เรานั่งอยู่เมื่อกี๊ไปไม่เท่าไหร่ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงถูกหยิบขึ้นมาเพื่อใช้พักผ่อนหย่อนใจในทันที



ตุลาครับ : อีไป๋ มึงไม่ต้องกลับมาแล้วนะ
ตุลาครับ : นังคลอวดผัว

Jeansss : มีผัวแล้วลืมพ่อกับแม่เลยว่ะ
Jeansss : น้อยใจๆ


                     
paipai : อะไรของพวกมึง?

ตุลาครับ : ผัวมึงไลน์มาขอให้มึงไปอยู่ด้วยเนี่ย



   แกร๊ก


   ร่างสูงในชุดเสื้อกล้ามกางเกงบ็อกเซอร์ที่เจ้าตัวใช้อากาศที่ร้อนอบอ้าวเป็นข้ออ้างในการเลือกแต่งตัว กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำหลังที่เจ้าตัวเข้าไปทำธุระ คิ้วได้ทรงเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ คงกำลังสงสัยที่ผมเอาแต่จ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้น

   “มองหน้าอยากโดนเหรอเมีย?”

   “มึงไปบอกอะไรไอ้ยีนส์กับไอ้ตุลลี่มา”

   “เอ้า ก็เมื่อวานมึงบอกเองว่าอยากอยู่กับกู” ทีท่าของพิวหาได้แยแส เจ้าตัวโผเข้ามายกศีรษะของผมให้ยกขึ้นพร้อมกับเขาที่ทิ้งตัวลงมานั่ง ก่อนบรรจงวางหัวผมลงบนตักตัวเองอีกที ทำให้ตอนนี้กลายเป็นว่าผมกำลังอยู่ในท่านอนหนุนตักอีกฝ่ายอยู่

   “ทำอะไรก็เรื่องของมึงเหอะ” ชายตามองเวลาบนหน้าจอก็พบว่าการพักเบรกมันกินเวลามาเกินสิบนาทีแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าพิวไม่ได้ตำหนิอะไรแถมยังนั่งเล่นโทรศัพท์อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมเลยจัดการคว้าสมาร์ทโฟนลูกรักขึ้นมากดเล่นอีกรอบ



ก้าดเก้วกาด : ใครผัวไป๋ อะไรยังไง
ก้าดเก้วกาด : นี่เราพลาดอะไรไปป่ะ

K : *ส่งสติ๊กเกอร์*

ตุลาครับ : ง่ายๆเลยคือไอ้ไป๋เป็นเมียไอ้พิว
ตุลาครับ : มันชอบเรียกกันอย่างงี้
ตุลาครับ : แต่ไม่รู้ว่ามันสองคนได้กันยัง
   



   “บอกไปดิว่าใกล้แล้ว”

   “ไอ้เชี่ย” เพราะองศาของหน้าจอที่ผมกำลังนอนถือมันง่ายต่อการแอบอ่านของคนสายตาดีอย่างไอ้พิว เลยทำให้เจ้าตัวแอบอ่านข้อความจากกรุ๊ปไลน์ที่กำลังเปิดได้อย่างสะดวก



ก้าดเก้วกาด : ช็อก

K : +1

Jeansss : อันที่จริงเรื่องระหว่างมันสองคนยาวมาก
Jeansss : แต่ถ้ามึงมาที่ห้องกูตอนนี้
Jeansss : เดี๋ยวกูจะเล่าให้ฟัง

ก้าดเก้วกาด : ได้!

K : otw

                     
         
            
   “มานี่เดี๋ยวกูตอบให้”

   “เฮ้ย ไอ้พิวมึงจะเอาโทรศัพท์กูไปทำอะไร” คนแขนยาวคว้ามือถือในมือผมไปอย่างถือวิสาสะ เจ้าตัวยืดถือของในมือจนสุดแขนแล้วแถมยังพิมพ์ยุกๆยิกๆลงไปในนั้นด้วย .. ผมพนันได้เลยว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีๆแน่

   คิดว่าหากอยู่เฉยๆคงจะไม่ได้การเลยลุกขึ้นจากท่านอนเตรียมตะครุบของสำคัญในมือไอ้พิวกลับมาให้ได้ แต่มันก็ไม่ปล่อยให้เรื่องราวเป็นไปอย่างที่ผมต้องการ เพราะสองขายาวได้ลุกขึ้นยืนตรงพร้อมยื่นโทรศัพท์ของผมขึ้นสูงจนสุดแขน

   “ไอ้ตัวไป๋แขนสั้นจังวะ”

   “เดี๋ยวมึงก็รู้” แม้จะเขย่งก็แล้ว กระโดดก็แล้ว แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าผมจะเอื้อมมือไปถือได้เลย ภายในหัวจึงเริ่มคิดแผนที่จะใช้จุดอ่อนของอีกฝ่ายมาเล่นงานกลับ


   ในขณะนั้นเองที่นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างของคนอยากจะเอาชนะถูกส่งไปวางทาบทับติ่งเนื้อนูนสีเข้ม ก่อนจะออกแรงสะกิดผ่านเนื้อผ้าสีขาวบางอย่างแผ่วเบา..


   “..อ่าห์” เสียงครางทุ้มต่ำดังออกจากลำคอพาให้ไป่ไป๋ชะงัก เพราะนอกจากร่างสูงยังคงเหยียดแขนขึ้นสูงดังเดิมแล้วยังได้ของแถมเป็นเสียงกับสีหน้าชวนให้คิดทะลึ่งนี่อีก


   ตามแผนไอ้พิวควรจะจั๊กจี้แล้วลดมือมาปิดหัวนมสิ ไม่ใช่ทำหน้าฟินแบบนี้..



   “หยุดทำไมวะ ต่อดิ กำลังได้เลย” มือหนาจัดการโยนโทรศัพท์เครื่องสีดำลงบนเตียงแล้วหันมาใช้สองฝ่ามือรวบแขนเล็กให้กลับมากระทำเรื่องสัปดนต่อ ด้านคนหัวดื้องัดเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีขึ้นมาต่อกรกับผู้ที่เหนือกว่าทางด้านร่างกาย แต่ก็ดูไม่เป็นผล เมื่อร่างบางถูกผลักลงเตียงตามสมาร์ทโฟนคู่ใจไปติดๆ


   “ถ้ามึงไม่ทำกูต่อ กูจะทำมึงแทนแล้วนะ” คำพูดเชิงคำขู่ถูกกรอกใส่ใบหูเล็ก ซึ่งภายหลังเปลี่ยนมาเป็นการขบเม้มแทน ขนเส้นอ่อนตามแขนพากันลุกเกรียวกราวเมื่อใบหน้าดูดีเลื่อนผ่านลงไปตามอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายอย่างย่ามใจเมื่อเห็นว่าคนตัวขาวไม่ได้ตอบโต้


   และจากใบหูสู่ลำคอ..


   “อ๊ะ ..” ความเจ็บตีวงแผ่เล็กๆสู่ปลายประสาทผิวเนื้ออ่อนช่วงคอ ทำให้ไป่ไป๋หลุดเสียงกระเส่าที่ดูน่าอายในความคิดออกมาอย่างห้ามไม่ได้

   สัมผัสนิ่มหยุ่นของลิ้นกับเสียงเปียกชื้นของน้ำลาย พาให้สติหนีจากตัวไปอย่างไร้ทิศทาง เขานึกว่ามันจะจบเพียงหนึ่ง .. แต่ผู้กระทำก็ยังหมกหมุ่นอยู่กับผิวขาวช่วงคออย่างไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตา จนเกิดรอยที่สอง และสามตามมาจนได้



   อา .. ถูกฝากคิสมาส์กไว้ซะแล้ว



   “อ-อื้อ พิว พอได้แล้ว” ท่อนแขนของคนเบื้องล่างออกแรงยันลำตัวคนที่กำลังข่มเหงให้เสียเชิงชายออกห่าง ก่อนที่อะไรๆจะเตลิดจนยากที่จะหยุด


   จุ๊บ


   แรงกดจูบหนักๆปิดท้ายที่ริมฝีปากส่งท้ายกิจกรรมชวนสยิว ทำให้ไป่ไป๋มองเห็นภาพเมื่อคืนซ้อนทับกันไปมา .. ก่อนจะสังเกตได้ว่าเสื้อถูกเลิกขึ้นเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน

   “..รอกูก่อน”

   “ห้ะ?”

   “ได้เป็นแฟนเมื่อไหร่ กูจะจับทำเมียแม่งตรงนั้นเลย” ถ้อยคำจากคนที่อ้างกรรมสิทธิ์เป็นผัวในตัวเขาเอ่ยทิ้งท้ายฝากไว้ ก่อนที่คนตัวสูงนั่นจะหลบหายเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง

   นิ้วเรียวเกี่ยวชายเสื้อเหนือแผ่นอกราบลงมาให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย มือขวาถูกวางลงบนอกฝั่งซ้ายแล้วเป่าลมออกจากปากเบาๆพยายามลดระดับการเต้นของหัวใจตัวเองจากเหตุการณ์เมื่อครู่


   เคยอันตรายแบบไหนก็อันตรายแบบนั้น..


   เมื่ออัตราการสูบฉีดเลือดลดน้อยลง จึงเอื้อมแขนไปหยิบมือถือเพื่อดูว่าคนตัวสูงได้ทำอะไรกับโทรศัพท์เขาลงไปบ้าง..



paipai : รักผัว

ตุลาครับ : สุดว่ะ ไอด้อนชิบหาย

ก้าดเก้วกาด : ขอให้ความรักมีแต่ความสุขใจ

Jeansss : ไม่ว่าสิ่งไหนเข้าได้หมดทุกทาง

ตุลาครับ : *ไม่ว่าสิ่งไหนเข้ากันหมดทุกอย่าง
ตุลาครับ : อีสัส

K : ร้องไม่เป็น แต่ยินดีด้วย





   เพียงคำแค่สองพยางค์ที่ได้พิมพ์ลงไปก็พาให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกเท่าตัว จะกดยกเลิกข้อความเอาตอนนี้ก็ไม่ทันการแล้ว ส่วนเพื่อนตัวดีของผมก็ไม่รู้สึกเอะใจขึ้นมากันเลยสักนิด .. กูไม่ได้พิมพ์โว้ย!


   ผมคว้าโทรศัพท์พร้อมลุกขึ้นเดินออกจากเตียง เตรียมไปคาดคั้นตัวการสร้างความวุ่นวายที่หายต๋อมเงียบอยู่ในห้องน้ำสักพักได้แล้ว


   “..อ่า อ่า .. อะ”

   “...” เสียงแผ่วที่ฟังดูไม่เป็นคำและไม่เป็นประโยคดังออกมาจากหลังประตู มือซ้ายที่กำลังกำหลักฐานเอาไว้ต้องลดระดับไว้ข้างลำตัว เพื่อแนบหูเข้ากับบานเปิดปิดข้างหน้า

   “อ่า .. ซี๊ด ไป๋” ผมเบิกตากว้างแล้วรีบเด้งตัวออกมาจากตรงนั้นทันทีที่รู้ว่าคนที่อยู่ในนั้นกำลังทำกิจกรรมแสดงถึงความกลัดมันของเพศชายอยู่.. อีกทั้งยังพูดชื่อผมออกมาด้วย

   ไม่ว่าจะยืนอยู่ตรงส่วนไหนของห้อง ก็รู้สึกเหมือนร่างกายของตัวเองเกะกะไปหมด หันซ้ายขวาไปมาราวกับคนหลงทาง จนสายตาเหลือบไปสบกับภาพตนเองในกระจกแต่งตัวข้างตู้เสื้อผ้า

   ปื้นห้อเลือดสีแดงก่ำทั้งสามจุดที่เพิ่งมีขึ้นในด้านข้างของลำคอ บวกกับเสียงทุ้มที่เริ่มหนักข้อขึ้นบ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังถึงช่วงไคลแมกซ์ของตนเอง เพียงเท่านี้ก็พาให้ใบหน้าที่ขาวซีดเพราะความตกใจเริ่มระเรื่อด้วยสีชมพูเลือดฝาดขึ้นมา จนรู้สึกเหน็บชากินไปทั้งตัว.. นึกอยากให้คนข้างในรีบเสร็จสิ้นภารกิจเร็วๆสักที


   ออกมาได้แล้ว .. กูอยากเข้าบ้าง
   





❋❋❋





   “ไป๋ กูไปสอบก่อนนะ”

   “อื้ม”

   “เดี๋ยวเที่ยงกลับมากินข้าวด้วย อย่าเพิ่งไปกินที่อื่นนะ”

   “..อื้ม กินข้าวเช้ายัง?” ผมงัวเงียฝืนลืมตาขึ้นมาถามรูมเมทคนใหม่ในชุดนักศึกษาที่กำลังยืนอยู่ข้างเตียงนอน เพราะว่าวันนี้มีสอบในวิชาเคมีที่ผมได้ถอนไปแล้ว ทำให้การสอบไฟนอลวันสุดท้ายของผมจึงกลายเป็นเมื่อวานแทน


   จะว่าไปจนถึงตอนนี้ผมได้มาอยู่ห้องไอ้พิวเป็นเวลาประมาณสองอาทิตย์กว่าๆแล้ว ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แม้ของใช้ส่วนใหญ่ของผมจะอยู่ที่ห้องเดิมที่กลายเป็นที่นอนของไอ้ตุลลี่ไปแล้วก็ตาม

   กิจวัตรประจำวันในช่วงไฟนอลของเราเรียกได้ว่าเป็นไปอย่างบ้าคลั่ง ใช้เวลาที่เหลือในแต่ละวันไปกับการนั่งจมในกองหนังสือ กว่าจะได้นอนก็ตีสองตีสาม ตื่นเช้าไปสอบ วันไหนโชคดีมีสอบบ่ายก็จะได้เวลานอนเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย และก็จะมีบ้างบางวันที่เพื่อนๆของผมมานั่งอ่านด้วย โดยทั้งหมดนี่วนลูปอยู่อย่างนี้กินเวลาเป็นสัปดาห์

   “กินแล้ว ไปนะ บาย”

   
   จุ๊บ


   ริมฝีปากของคนมีสอบทาบจูบลงบนหน้าผากคนกึ่งหลับกึ่งตื่นจนเกิดเสียง ก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้คนบนเตียงลืมตากว้างเพราะกริยาเมื่อครู่นี้


   เคยจุ๊บครั้งนึง แล้วแม่งก็จะจุ๊บตลอดไป..
   

   แต่เมื่อฝืนทนความเหนื่อยล้าสะสมจากทั้งอาทิตย์ไม่ไหวเลยทำให้ผมจมสู่ห้วงนิทราในช่วงแปดโมงเกือบเก้าโมงเช้าไปอีกครั้ง..







   “..อื้อ กลับมาแล้วเหรอ?”

   “กลับมาแล้ว”

   “กี่โมงแล้ววะ ทำไมเหมือนมึงกลับเร็ว”

   “เพิ่งสิบเอ็ดโมง แต่ทำข้อสอบเสร็จแล้ว” แรงกอดรอบเอวจากทางด้านหลังปลุกผมตื่นขึ้นจากความฝันขึ้นอีกครั้ง กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวบ่งบอกให้ผมรู้ได้ว่าเป็นไอ้พิว พอชะโงกหน้ามองนาฬิกาหัวเตียงก็พบว่าอีกเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนจะหมดเวลาทำข้อสอบ .. แต่ก็นะสำหรับไอ้พิววิชาเคมีก็เป็นอะไรที่ง่ายเหมือนปอกกล้วยแดกอยู่แล้ว


   “จะไปแดกข้าวเลยไหม กูจะได้ไปอาบน้ำ”

   “ยัง ขอกูชาร์ตแบตแปป” ความหมายของการชาร์ตแบตที่เจ้าตัวพูดไม่ได้หมายถึงการเติมไฟให้กับโทรศัพท์หรืออะไรทำนองนี้หรอก .. แต่มันหมายถึงให้ผมนอนนิ่งๆในอ้อมแขนของมันจนกว่าจะพอใจต่างหาก

   “เอ้อ ตุลลี่ฝากถามว่าเย็นนี้จะไปงานอำลาวิทยาเขตที่ศูนย์การเรียนรู้ไหม?”

   “เป็นงานอะไรวะ?”

   “ก็เลี้ยงส่งเพื่อนคณะอื่นที่เขาต้องย้ายวิทยาเขตไง”

   “..อ๋อ” พูดถึงเรื่องย้ายวิทยาเขตแล้ว ก็มีหลายคณะด้วยกัน เช่น แพทย์ วิทยาฯ ที่ตั้งแต่ปีสองขึ้นไปก็จะไม่ได้เรียนที่วิทยาเขตเดิม แต่โชคดีหน่อยที่คณะวิศวะฯได้เรียนที่นี้ทั้งสี่ปีเลยไม่ต้องย้ายไปมาให้ยุ่งยาก

   “สรุปว่าจะไปป่ะ?”

   “มันมีอะไรบ้างวะ”

   “ได้ยินตุลลี่เล่าให้ฟังว่ามีนิทรรศการกับคอนเสิร์ตมั้ง”

   “ไปๆ .. มึงจะไปแดกข้าวเที่ยงเมื่อไหร่บอกด้วยแล้วกัน กูจะได้ไปอาบน้ำ”

   “ครับเมีย”






ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
❋❋❋





   “พิว มึงอยู่กับเพื่อนกูไปก่อนนะ กูไปหาเพื่อนคณะอื่นแปป”

   “เออ รีบกลับมานะ กูเหงา”

   “อีไป๋ จะไปไหนก็ไป เดี๋ยวกูขอยืมผัวมึงไปอวดชาวบ้านแปป”



   ในที่สุดพวกเราทุกคนก็ได้มาอยู่ที่งานอำลาวิทยาเขตแล้วเป็นที่เรียบร้อย ตอนแรกผมตั้งใจแค่จะมานั่งดูคอนเสิร์ตเฉยๆ แต่พะแพงที่ไลน์ชวนเพื่อนทุกคนที่สนิทให้มาถ่ายรูปรวมด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายของปีหนึ่งทำให้ผมต้องพาตัวเองไปเจอเพื่อนๆจนได้



   “ไป๋ๆ ทางนี้ๆ” สาวแพทย์เพื่อนร่วมทุกข์สุขในเกือบทุกโปรเจค ยืนกระโดดโบกมือหยอยๆให้ผม พร้อมรอบข้างที่เป็นเพื่อนร่วมเซคกันอีกหลายชีวิต รวมทั้งเปรมและขวัญก็มาด้วย


   “เซย์ ชีส”

   “ชีสสส”

   “สาม สอง หนึ่ง .. โอเค เปลี่ยนท่า”



   ไม่ใช่แค่พะแพงที่ต้องย้ายวิทยาเขตแต่รวมถึงเปรมที่อยู่คณะวิทย์ฯ และเพื่อนคนอื่นๆก็ด้วย พวกเราเก็บรูปกันพอหอมปากหอมคอ การเรียนในแต่ละคณะถูกหยิบยกมาพูดคุย ไม่มีใครพูดอ้างว่าคณะตัวเองเรียนยากที่สุดเพื่อข่มผู้อื่น .. เพราะต่างคนต่างเข้าใจว่าคนเราถนัดไม่เหมือนกัน

   ระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เรื่องน่าประทับใจที่สุดสำหรับผม คือการได้เจอคนที่ดีมากมาย แต่ก็เสียดายที่ว่าเวลาในการใช้ร่วมกันมันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ..

   “โชคดีนะพะแพง เก็ทเอให้หมดทุกวิชาเลย”

   “โชคดีเหมือนกันนะไป๋”

   “อื้ม ขอบคุณนะ”
   “ไอ้ไป๋ แล้วกูอะ กูก็ย้ายวิทยาเขตเหมือนกันนะเว้ย”

   “สำหรับมึงกูจะอวยพรให้มึงกลับมาหากูที่นี่บ่อยๆแล้วกัน”

   “คำอวยพรอะไรของมึงวะ” สำหรับผมแล้วเปรมก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีอีกคนนึงเลยก็ว่าได้ แม้มันจะชอบกวนประสาทอยู่บ้าง แต่เจ้าตัวก็ช่วยเหลือผมในทั้งงานกลุ่มและงานดีได้อย่างดีเลยทีเดียว

   “กูต้องไปละ .. บายนะ พะแพง บายไอ้เปรม ส่วนขวัญไว้เจอกันน้า”

   “อื้อ ไว้เจอกันจ้า”



   เราต่างแยกย้ายกันไปหาเพื่อนของตัวเอง หลังเวทีเต็มไปด้วยวงดนตรีแต่ละคณะกำลังเตรียมพร้อมเพื่อขึ้นแสดงในเวลาหกโมงเย็นที่จะถึง ผมเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆจนถึงที่ที่ได้เดินแยกจากเพื่อนๆของผมมา .. แต่กลับไม่พบคนที่ผมต้องการจะเจอเลยสักคน

   จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหาบุคคลเจ้าของเบอร์ที่แสดงเป็นหมายเลขล่าสุด



   [ฮัลโหล]

   “ฮัลโหล พิวมึงอยู่ไหน?”

   [หน้าแฟมฯ เดินมาเลยกูรออยู่]

   “เออ ได้ๆ แค่นี้แหละ” หลังจากวางสายเสร็จผมก็รีบสับขาเดินไปหาอีกฝ่ายทันที ผู้คนเริ่มมากันเยอะตามเวลาที่เพิ่มขึ้น จนผมต้องอาศัยการชะโงกมองซ้ายขวาเพื่อหาตำแหน่งของอีกคน .. และแล้วผมก็หาเขาจนเจอ



   “ไอ้พิ-”

   “หวัดดี พิวจำเราได้ไหม” ฝ่าเท้าที่กำลังย่างก้าวเข้าไปประชิดตัวคนที่กำลังยืนรอก็ชะงักลง เมื่อโดนสาวในชุดนักศึกษารัดรูปกับกระโปรงทรงสอบสั้นกว่าหัวเข่าขึ้นไปที่บ่งบอกว่าเธอเป็นคงเป็นคนที่ค่อนข้างมั่นใจในตัวเอง ได้ตัดหน้าทักไอ้พิวไปเสียก่อนที่มันจะหันมาเห็นผมเป็นที่เรียบร้อย

   “..ไม่ได้อะ”

   “เราลิลลี่ เรียนศิลปศาสตร์เอกอิ๊งที่อยู่เซคเดียวกับพิวไง”

   “จำไม่ได้อยู่ดีอะ ขอโทษนะ”

   “ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวเราขอถ่ายรูปด้วยหน่อยได้ไหมอะ”

   “อ่า .. ได้” จากนั้นก็ตกเป็นหน้าที่ของเพื่อนผู้หญิงของลิลลี่รับหน้าที่ถือโทรศัพท์เจ้าตัวเพื่อถ่ายรูปให้ทั้งสอง

   “ช่วยชิดกันกว่านี้หน่อยค่า”

   “พอไหม?” สาวตัวเล็กเขยิบร่างกายให้ใกล้กับพิวมากขึ้นตามที่ตากล้องเอ่ยขอ

   “อีกนิดนึงๆ”

   “พิว เราขอยืมแขนพิวแปปนะ” เพียงเสี้ยววินาทีที่ท่ายืนถ่ายรูปแบบปกติก่อนหน้านี้จะถูกเปลี่ยนเมื่อวงแขนเล็กของเธอได้เกี่ยวเข้ากับท่อนแขนของพิวให้เก็บภาพของสองคนไว้ได้ทั้งหมด

   “โอเคจ้า ขออีกท่านึง”

   “พิวยิ้มด้วยสิ”

   “..เอ่อ”

   “อะนี่ เรียบร้อยแล้วจ้า” ตากล้องจำเป็นส่งคืนโทรศัพท์ใส่เคสสีหวานคืนเจ้าของ แขนทั้งสองที่เคยควงกันได้แยกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง มองจากตรงนี้ผมสามารถเห็นได้เลยว่าผิวของพวกเขาได้สัมผัสกันไปเล็กน้อย

   “เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเราเพิ่งเห็นว่าพิวเอาสเตตัสคบกับแฟนลงไปแล้ว..”

   “คนนั้นไม่ใช่แฟน”

   “..อ้าว แล้วงี้พิวก็โสดมานานแล้วสิ”

   “แต่เรามีคนที่อยากเป็นแฟนด้วยแล้วน่ะ”

   “...” สีหน้าของลิลลี่เปลี่ยนไปเล็กน้อยหลักจากที่ได้ยินไอ้พิวพูดไปอย่างนั้น

   “ขอโทษที่เราต้องพูดตรงๆนะ แต่เราคิดว่าถ้าเราให้ความหวังไปแล้วคงไม่ดีกับเราทั้งคู่แน่ๆเลย”

   “..งั้นเหรอ”

   “อื้ม ขอโทษด้วยจริงๆนะ”

   “ไม่เป็นไร แต่ฝากไปบอกด้วยนะ ถ้าคนนั้นปล่อยพิวหลุดมือไปเมื่อไหร่ เราจะเป็นคนแรกที่รอเสียบเลย” ใบหน้าที่ดูซีมเศร้าเมื่อกี๊ถูกเปลี่ยนมาเป็นใบหน้าที่ดูมั่นใจอีกครั้ง เพียงทั้งสองส่งยิ้มให้กันน้อยๆก็พาให้ผมรู้สึกหงุดหงิดได้อย่างที่ไม่เคยเป็น ..



   “ฮ่ะๆ เราไม่ให้เขาไปไหนหรอก .. เราติดเขาจะตาย” และไป่ไป๋ก็ได้รู้ว่ารอยยิ้มเมื่อครู่นี้ พิวไม่ได้มีไว้ใช้กับคู่สนทนาของตัวเอง .. แต่เขายิ้มให้คนที่กำลังถูกพูดถึงอยู่ต่างหาก



   “ทั้งปวดใจ ทั้งอิจฉาเลยแหะ”

   “ขอโทษจริงๆนะ”

   “ไม่เป็นไร เราเข้าใจ เจอกันอีกเมื่อไหร่ทักเราได้ตลอดเลยนะ”

   “อื้อ ขอบคุณ”

   “บ๊ายบาย”



   ผมยืนมองทุกอย่างอยู่ที่เดิม ลิลลี่ได้เดินออกไปแล้วแต่ผมก็ยังไม่กล้าขยับไปไหน จนกระทั่งคนที่ยืนรอผมหันหน้ามาเจอเข้าพอดี

   “อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่” พิวที่เพิ่งมองเห็นการมีอยู่ของผมได้หันมาถาม ทำเอาผมสะดุดไปเล็กน้อย ก่อนจะแสร้งทำเป็นว่าเพิ่งมาถึงเมื่อไม่นานมานี้ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องทั้งหมดเป็นมาอย่างไรก็ตาม

   “เพิ่งถึง แล้วผู้หญิงเมื่อกี๊ใครเหรอ”

   “ชื่อลิลลี่มั้ง เพื่อนเซคเดียวกัน มาคุยด้วยเฉยๆ ไม่มีอะไร”

   “อ่าฮะ .. ว่าแต่พวกไอ้ยีนส์หายไปไหนหมด” ในตอนแรกคิดว่าเพื่อนของผมคงอยู่แถวๆนี้ไม่ห่างไปไหน แต่ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ไม่เจอเลยแม้แต่คนเดียว

   “มันบอกไม่อยากอยู่เป็นก้าง แต่ก็ดีแล้ว กูกับมึงจะได้สวีทกันบ้าง”

   “แล้วที่ห้อ-” ใจจริงกำลังจะถามไปว่า แล้วที่ห้องนี่ไม่เรียกสวีท? แต่กลัวเจ้าตัวจะเอากลับมาล้อเลยเลือกที่จะไม่พูดออกไปให้ครบประโยคคงจะดีเสียกว่า

   “ช่างแม่งเหอะ แล้วเราไปไหนกันก่อนดี?”

   “คอนฯยังไม่เริ่ม งั้นไปดูห้องแกลเลอรีกันก่อนไหม?” ไอ้พิวชี้ไปยังห้องกระจกใสที่ใช้จัดนิทรรศการของงานวันนี้ที่มองจากภายนอกแล้วก็น่าเข้ามากเลยทีเดียว

   “อื้อ ไปกัน”





   
   ภายในห้องแกลเลอรีถูกประดับด้วยไฟสีวอร์มไวท์ช่วยสร้างบรรยากาศ รูปถ่ายจากกิจกรรมในรั้วมหาลัยถูกจัดแสดงทั่วทุกมุมของห้อง เพื่อนปีหนึ่งเดินสวนทางกันเพื่อออกไปรับชมคอนเสิร์ตที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ส่งผลให้จำนวนคนเริ่มร่อยหรอจนพวกเราชมภาพได้อย่างสะดวกขึ้น


   “ไป๋ นี่มันมึงนี่หว่า” ผมหันหัวตามเสียงเรียกของไอ้พิวที่กำลังใช้นิ้วมือชี้ไปที่รูปบนบอร์ด

   “เชี่ยแม่ง โคตรทุเรศเลยว่ะ” ผมเดินมาหยุดที่หน้ากระดานล้อเลื่อนประมวลภาพกิจกรรมภายในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นภาพของผมถูกมัดจุก ทาแป้งจนหน้าขาว จากบทลงโทษในงานรับน้องของคณะเมื่อเทอมที่ผ่านมา

   “ฮ่าๆ .. หัวเถิกว่ะ แต่ก็น่ารักดีนะ”

   “ไม่เถิกเว้ย เฮ้ย อย่าถ่าย” รีบเอ่ยห้ามเมื่อเห็นอีกคนยกโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดกล้องเตรียมจะถ่ายรูปน่าเกลียดๆของผมเอาไว้.. แต่ก็ไม่ทันจนได้

   “เก็บไว้ดูไง”

   “แม่ง เดี๋ยวกูจะหารูปมึงบ้าง” ผมค่อนข้างแน่ใจว่ายังไงก็ต้องมีรูปของคนที่ได้เป็นถึงเดือนภาคอยู่อย่างแน่นอน จึงจัดการไล่สายตาด้วยความมุ่งมั่น ตั้งแต่มุมบนสุดผ่านใบหน้าของเพื่อนที่คุ้นตาบ้างไม่คุ้นตาบ้างไปหลายคน จนในที่สุดผมก็เจอ..

   ไอ้พิวในชุดนักศึกษาแบบพิธีการกำลังถือป้ายภาควิชาในวันปฐมนิเทศ .. ในวันนั้นผมจำได้เลยว่าตอนที่ได้เจอกันครั้งนั้น หน้าของพิวมันดูสะดุดตามากจริงๆ ทรงผมที่ถูกเซ็ตขึ้นอย่างเอาฤกษ์เอาชัยในวันดีๆยิ่งขับใบหน้าให้น่ามองมากยิ่งขึ้น

   ไอ้สัส หล่อจังวะ..
   

   “ไร้สาระว่ะ ไม่เห็นหนุกเลย เลิกเล่นเหอะ” เสียงหัวเราะเบาๆไล่ตามมาหลังจากที่ผมแกล้งเดินหนี เพราะไม่อยากเป็นผู้แพ้ในเกมที่ผมเป็นคนเริ่มเอง

   คนอย่างไอ้พิวแม่งเคนมียุคมืดเหมือนอย่างคนอื่นเขาบ้างไหมวะเนี่ย...







   “เพื่อนๆ มาร่วมส่งจดหมายไปให้ตัวเองในหนึ่งปีข้างหน้ากันได้น้า” เมื่อทันทีที่เราเดินขึ้นบันไดพากันมาในส่วนชั้นสองของนิทรรศการ ก็ได้มีเป็นส่วนของกิจกรรมต่างๆที่สามารถให้คนเข้าร่วมได้ร่วมเล่น และร่วมสนุกไปด้วยกันได้ โดยที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายเลยแม้แต่บาทเดียว


   จากนั้นเราสองคนก็รับโปสการ์ดและซองจดหมายที่ดูคุ้นตาจากเพื่อนๆที่กำลังยืนต้อนรับอยู่ จากนั้นจึงเดินไปจับจองพื้นที่บนโต๊ะใช้นั่งเขียนที่ได้จัดเตรียมไว้ให้ ผมที่กำลังมองความว่างเปล่าของโปสการ์ดอยู่ก็พลันนึกถึงเรื่องที่ผ่านๆมาขึ้นได้


   “ดูคุ้นๆป่ะ?” คนตัวสูงที่นั่งตรงข้ามกันยกแผ่นกระดาษหนาขึ้นโบกไปมาตรงหน้าผม

   “อือ กูยังเก็บไว้อยู่เลย”

   “กูก็เก็บ” ไม่รู้อะไรดลใจให้เราสองคนฉีกยิ้มส่งให้พร้อมกัน อยู่ๆก็คิดถึงเมื่อตอนที่เพิ่งสนิทกันแรกๆขึ้นมา ถึงจะมีเรื่องลามกบ้าง เรื่องไม่เข้าใจกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่เขาก็ชัดเจน และถึงมีช้อยส์ให้เจ้าตัวเลือกมากมาย จนสุดท้ายหวยก็กลับมาออกที่ผม



   ขอบคุณที่เข้ามาทำให้รักเกิดขึ้นอีกครั้งนะ



   กินเวลานานเกินหน่วยวินาทีที่ผมเอาแต่จ้องมองรอยยิ้มที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆของอีกฝ่าย ปล่อยให้โปสการ์ดที่วางข้างหน้าจนเกือบเป็นหมัน

   “ถ้าไม่อยากเสียตัวตรงนี้ก็รีบเขียนซะ”
 
   “..สัส” เคราะห์ดีที่บริเวณนี้มีเรานั่งอยู่เพียงสองคน ไม่งั้นผมคงต้องหาปี๊บมาคลุมหัวเพราะอายพวกคำพูดลามกจกเปรตนี่แน่ๆ

   จากนั้นปากกาหลากสีก็ถูกหยิบขึ้นมาเขียนความรู้สึกที่อยากบอกตัวเองในปีถัดไป เพราะผมไม่รู้ว่าตัวเองในอนาคตจะเป็นเช่นไรบ้าง เลยเลือกที่จะบรรยายความคิดในช่วงเวลานี้ลงไปให้ได้มากที่สุด..



To. ไป่ไป๋ ตอนอยู่ปีสอง
From.ไป่ไป๋ ตอนอยู่ปีหนึ่ง

   หวัดดีไป่ไป๋ ตอนนู้นเป็นยังไงบ้างวะ? มึงคงไม่ขี้เกียจเหมือนเดิมแล้วใช่ไหม .. ชีวิตปีหนึ่งที่ผ่านมามึงโตขึ้นเยอะมากเลยนะ เสียใจเพราะความรัก แล้วก็กลับมามีความรัก มีเพื่อนที่ดีกับมึงมาก แถมยังเข้าร้านเหล้าตอนอายุไม่ถึงอีก

   แต่ก็มีบางอย่างที่ยังเหมือนเดิมนะ เช่น ป๊าม๊าพี่ปุ๋ย(แฮปปี้อ้วนขึ้นไม่นับ) ไม่ว่ายังไงก็อยากให้มึงรักษาคนที่รักมึงเอาไว้ให้ดีเลยนะไป๋



   “เขียนอะไรเยอะแยะวะ?” เสียงของพิวดังขึ้นขัดฟีลลิ่งของคนที่กำลังเขียนระบายลงโปสการ์ดใบเล็ก ลายมือหวัดเบียดเสียดไปหมดจนต้องย่อตัวอักษรให้เหลือเล็กลง

   “เขียนถึงตัวเองมันก็ต้องละเอียดหน่อยดิ ของมึงเสร็จแล้ว?”

   “เฮ้ยๆ ไม่ให้ดู ไอ้ตัวไป๋ อย่าแย่งๆ” คนแขนยาวยกโปสการ์ดหนีจนสุดแขน ไม่ยินยอมให้ผมได้เห็นข้อความบนนั้นได้ทั้งหมด


xx-xx-xx-xx-53



   จำนวนชุดตัวเลขทั้งห้า มีเพียงชุดสุดท้ายเท่านั้นที่ผมสามารถมองเห็นได้ หลังจากที่ไอ้พิวเห็นว่าผมถอดใจเลิกยื้อแย่งก็รีบเอากระดาษแผ่นนั่นยัดลงซองจดหมายทันที

   “ทำไมถึงเรียกกูว่าไอ้ตัวไป๋วะ?” ในขณะที่กำลังก้มหน้าเขียนย่อหน้าสำคัญอยู่ผมก็ได้เอ่ยถามในสิ่งที่ได้ค้างคาใจผมมาสักพักไปด้วย

   “ก็เหมือนคำว่าไอ้ตัวเหี้ยนั่นแหละ”


   จากโจทย์ กำหนด          ไอ้ตัวไป๋ = ไอ้ตัวเหี้ย
   ตัด ไอ้ตัว ออกทั้งสองข้าง จะได้   <s>ไอ้ตัว</s>ไป๋ = <s>ไอ้ตัว</s>เหี้ย
   ดังนั้น                            ไป๋ = เหี้ย



   “ไอ้สัส!” สิ้นสุดคำพูดจากคนปากคอเราะร้าย ปากกาสีฟ้าในมือไป่ไป๋ก็ถูกโยนเข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่มีโอกาสให้ได้หลบหลีก แท่งเรียวสีสวยจึงได้ฟาดเข้ากลางใบหน้าดูดีนั่นเข้าไปเต็มๆ

   “โอ๊ย ถ้ามึงยังรุนแรงอีก กูจะตะโกนเรียกมึงว่าเมียดังๆแล้วนะ”

   “..ไม่ต้องมายุ่งเลย” ไม่ว่าบทสรุปของข้อโต้เถียงจะเป็นอย่างไร แต่พิวก็มักจะใช้คำพูดนี้มาขู่อีกฝ่ายอยู่เสมอ และด้วยอาการเบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียง ทำให้ไป่ไป๋เลือกปากกาสีใหม่ขึ้นมาเขียนในส่วนที่ยังเหลือต่ออย่างเงียบๆ


   “โอ๋ ล้อเล่นนะ”

   “...”

   “ไอ้ตัวไป๋ไม่ได้มาจากไอ้ตัวเหี้ยหรอก” เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กกว่าไม่ตอบโต้อะไรกับมา ซึ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อีกคนได้งอนตัวเองไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย พิวจึงส่งฝ่ามือไปกุมไว้ที่มือขวาข้างที่ว่างจากการเขียนของไป่ไป๋ไว้ แต่ก็ดูเหมือนว่ายังเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่ายไม่ได้มากนัก

   

   “มันมาจากคำว่าไอ้ไป่ไป๋กับตัวเองต่างหาก”

   “...”

   “ว่าไง ไอ้ตัวไป๋ : )”



   
   ถึงจะไม่หือไม่อือ จะก้มหน้าจนแทบจะชิดอกยังไง คนอย่างปฏิพลก็เห็นอยู่หรอกว่าใบหูเล็กนั่นขึ้นเห่อสีแดงไปหมดแล้ว ..
 
   ไม่ว่าจะเป็นยังไงไอ้ตัวไป๋ก็น่ารักสำหรับเขาเสมอล่ะนะ : )





❋❋❋





มีเธอเป็นเพื่อนร่วมทาง
จับมือเคียงข้างไม่ห่าง
แค่นี้ก็พอชีวิตก็มีครบ
แล้วทุกอย่าง
ทำทุกวันที่มีให้งดงามด้วยกัน
เชื่อว่าวันดีดี
มันจะรออยู่ที่ปลายทาง



   “กูชอบเพลงนี้ว่ะ”


   เราออกมาจากห้องนิทรรศการกันทันทีที่จดหมายของพวกเราได้ถูกหย่อนลงในกล่องใบใหญ่ จ่าหน้าถูกใส่ที่อยู่และเบอร์ห้องของหอพวกเราลงไป

   อีกหนึ่งปีเจอกันนะ..


   วงดนตรีบนเวทีบรรเลงหนึ่งในเพลงโปรดของผม บริเวณด้านหน้าของจุดทำการแสดงอัดแน่นไปด้วยผู้คน เราสองคนเลยเลือกที่จะยอมมองหาที่นั่งดีๆที่อื่นแทน จนในที่สุดก็ได้เป็นในส่วนของบริเวณชั้นสองในศูนย์การเรียนรู้ที่ยังสามารถมองเห็นการแสดงได้อย่างชัดเจน แถมบรรยากาศโดยรวมยังดีกว่าข้างล่างเป็นไหนๆ

   เรานั่งบนพื้นติดรั้วซี่เหล็กกันไม่ให้ตกลงไป มีคนอื่นอยู่แถวๆเดียวกันกับพวกเราอีกจำนวนหนึ่ง พวกเขาตั้งใจดูโชว์ข้างล่างมากจนไม่ได้สังเกตการมาจับจองพื้นที่ของผมและไอ้พิวเลยแม้แต่น้อย

   “..มือหน่อย”

   “อื้อ” ท่านั่งขัดสมาธิที่ใกล้จนเข่าของพวกเราชนกัน และฝ่ามือที่ถูกอีกฝ่ายขอไปประกบเข้าหากันพร้อมวางไว้บนหน้าตัก ทั้งหมดนี้กำลังจะกลายเป็นเรื่องที่ผมชินชาในอีกไม่ช้า



แค่เธออยู่ข้างข้าง
อ๊าอาว
ก็เปลี่ยนให้ชีวิตฉันไม่เหมือนเก่า
เธอทำให้ถนนของฉันสวยงาม



   “บรรยากาศดีเนอะ” คนข้างข้างของผมเขยิบริมฝีปากเข้ามาใกล้เพื่อส่งเสียงแข่งกับเครื่องเสียงที่กำลังดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ แรงบีบส่งต่อผ่านมือของผมจนพาให้ใจเต้นแรงขึ้น .. แรงขึ้น เหมือนว่าเรื่องใหม่ๆกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน

   “อ-อื้ม”



โอ๊ะโอโอ
ในวันที่เราเริ่มเดินทาง
แค่เพียงมีเธอเดินกับฉันข้างข้าง
ก็ทำให้โลกนี้
นั้นสดใส
สวยงามไปทุกอย่าง



   “ไป๋ เราสองคน-”


   “ไอ้ไป๋! ไอ้พิว! หาตั้งนานมาอยู่นี่เอง” เสียงตะโกนจากผู้มาใหม่พาให้ผมและพิวดีดกระเด้งออกจากกันด้วยความตกใจ ผมแอบเหลือบเห็นเสี้ยวหน้าของคนตัวสูงข้างๆดูมีท่าทางหงุดหงิดเสียเต็มประดา

   “ไม่ทันแล้วค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันเห็นนะว่าพวกมึงแอบจับมือกันอยู่น่ะ”

   “ล-แล้วจะทำไม บอกว่าหาตั้งนานมีอะไรหรือเปล่า?” เพื่อนของผมทุกชีวิตได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน โดยแต่ละคนได้หอบหิ้วของกินจากซุ้มขายของข้างล่างกันขึ้นมาเหมือนกำลังจะไปปิกนิกกันที่ไหน


   “อะ ซื้อมาให้”

   “ซื้อมาให้ทำไมวะก๊าซ?”

   “ก็ค่าพนันไง ไป๋ชนะพนันแล้วนี่” แก้วน้ำสีหวานราดท็อปปิ้งหน้าตาน่ารักถูกยัดเข้ามาใส่มือผมอย่างงงๆ ก่อนจะนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เพื่อนได้พูดถึง




   “ลงขันกันดีกว่า กูว่าคนเนี้ยไอ้ไป๋ชวดแน่ๆ”

   “ทำไมไม่มีใครเชื่อใจกูเลยวะ”





   “อ๋อ .. เอ่อ ขอบคุณนะ”

   “ไม่เป็นไร ยินดีด้วยนะ”

   “ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร มีลู- ถุ้ยๆ ไอ้ตุลลี่มึงจะแหย่มือเข้ามาในปากกูทำไมเนี่ย”

   “เดี๋ยวพวกกูนั่งแถวๆนี้แหละ นั่งคุยกันต่อได้เลย”



   ความวุ่นวายของเหล่าสหายได้เดินออกห่างไปแล้วทิ้งให้เราทั้งสองคนยังนั่งมองแก้วน้ำหวานในมือให้อยู่ภายใต้สถานการณ์อันน่าสับสนนี้อยู่

   “กินป่ะ?”

   “เอามานี่กูจะแดกให้หมดเลย” เครื่องดื่มในมือผมถูกหยิบฉวยไปดื่มโดยคนที่ดูกระฟัดกระเฟียดเหมือนไม่พอใจใครมา เพราะนานๆทีผมจะได้เห็นคนตัวสูงนี่กินของหวานได้เยอะขนาดนี้ จนกระทั่งน้ำในแก้วหมดลงจนเกิดเสียงของอากาศในหลอดว่างเปล่า


   “เดี๋ยวกูซื้อให้ใหม่ ป่ะ ไอ้ตัวไป๋กลับห้อง” ข้อมือของผมถูกฉุดรั้งให้ลุกขึ้นโดยคนแรงเยอะกว่าที่ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนผมก็ได้แต่เดินตามต้อยๆ
   





   “พิว มึงโกรธกูเหรอ?” ทันทีที่ทั้งคู่เดินพ้นจากเขตเสียงดัง ไป่ไป๋ที่ทนความไม่สบายใจอยู่เต็มอกก็หลับหูหลับตากลั้นใจถามคนที่จับข้อมือเดินนำไปหลายช่วงก้าว

   “เฮ้ย กูไม่-”

   “กูเคยเอามึงตอนที่ยังเป็นกุ้งเผาไปพนัน”

   “...” ฝ่ายคนอารมณ์ไม่ดีเมื่อได้ยินว่าคนที่กำลังเดินตามกำลังเข้าใจผิด จึงยิ่งได้ใจ เปลี่ยนจากการเดินมาเป็นการยืนนิ่งๆ ปล่อยให้อีกคนพูดต่อไปเรื่อยๆ

   “ว่าถ้ากูไม่ชวดกุ้งเผากูก็จะชนะ”

   “ถ้าอยากให้กูหายโกรธ..” พิวเลือกหันหน้ามาสบตากับไป่ไป๋ตรงๆ

   “...”

   “เรียกกูไอ้ตัวพิวก่อนดิ” ตาเล็กเลิ่กลั่กไปมาคล้ายคนกำลังลังเล ทางเดินรอบมอดูเงียบเชียบ เพราะทุกคนกำลังรวมตัวกันอยู่ที่ศูนย์การเรียนรู้ เหตุการณ์ฉุกเฉินทำให้ในที่สุดไป๋ก็ได้พูดออกมา..

   “ไอ้”

   “...”

   “ตัว”

   “...”

   “เหี้ย!”


   
   สิ้นคำพูดสุดท้ายคนตัวขาวก็สะบัดมือพร้อมออกตัววิ่งหนีอีกคนไปทันที ทางด้านคนกะล่อนที่มัวแต่งงงวยกว่าจะวิ่งตามได้เจ้าตัวก็หนีเปิดเปิงไปยันไหนต่อไหนแล้ว




   รู้หรอกน่าว่ากำลังแกล้งกูอยู่ ไม่ยอมให้หลอกแดกได้ง่ายๆหรอก ไอ้อ่อนเอ๊ย..





▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔



  ขอโทษที่ห่างหายไปร่วมสองอาทิตย์ค่ะ ภารกิจรัดตัวจริงๆ ; --- ;

ถ้าชอบยังไงก็อย่าลืมกดให้กำลังใจ คอมเมนต์ หรือบอกต่อเพื่อให้กำลังใจนุด้วยนะฮ้าบบบบ


ขอกำลังใจหน่อยนะค้า<3

ติดตามการอัพเดตได้ที่

tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9
(เพจใหม่ค่ะ )


และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา

 

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
กำลังจะขอเป็นแฟนใช่ไหมพิว 5555555555555555

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
ไป๋แสบอ่ะ
 :laugh:

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
 :L2:

ออฟไลน์ Besomebody

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
chapter eighteen。 ก่อนอื่นต้องขอโทษที่เพิ่งได้มาเม้นต์หลังจากอ่านไปหลายตอนนะคะ เพิ่งอ่านในแอพนี้ได้ไม่นานยังไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ว่ามาเม้นต์อะไรยังไง หานานมากเลย ขอบคุณไรท์นะคะ ที่เขียนเรื่องสนุกๆมาให้ได้อ่านกัน ชอบตัวละครทุกตัวเลย เนื้อเรื่องก็สนุกมากค่ะ ละมุนมาก โดยรวมคือชอบมากเลย ขอบคุณนะคะ เป็นกำลังใจให้ไรท์น้าาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter seventeen ―010918)
« ตอบ #79 เมื่อ: 17-09-2018 10:09:48 »





ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
chapter nineteen。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔


   “อะนี่ ลังสุดท้ายแล้ว”

   “ขอบคุณมากพวกมึง .. แล้วปีหน้าจะอยู่หอเดียวกับพวกกูป่ะ?”

   “อยู่ๆ จองห้องมาแล้วเรียบร้อย ย้ายของเข้าสิงหาฯ”

   “รู้ยังว่าจะได้ห้องอะไร?”

   “ชั้นสี่ ชั้นเดียวกับพวกมึงเลย”

   “เห้ย เจ๋งว่ะ แล้วเจอกันเว้ย กลับบ้านดีๆ”

   “บ๊ายบาย”


   วันสุดท้ายของการอนุญาตให้ขนย้ายสิ่งของในหอพักนักศึกษา ข้าวของเครื่องใช้ของผมถูก ผม ไอ้พิว ไอ้ยีนส์และไอ้ตุลลี่ทั้งสี่คน นำลงมาใส่ท้ายรถเก๋งของรูมเมทคนล่าสุดของผม ด้วยความที่สัมภาระมีไม่เยอะมาก ภารกิจของเราจึงลุล่วงโดยใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่

   ผมและพิว บอกลาตุลลี่กับยีนส์ที่กำลังจะกลายไปเป็นรูมเมทคู่ใหม่ สองขาของเราสองคนก้าวขึ้นรถด้วยความเหนื่อยล้าจากการใช้แรง


   พาหนะสี่ล้อมุ่งตรงสู่จุดหมายโดยใช้เวลาไม่นาน เคราะห์ดีที่ยังสามารถใช้รถเข็นของหอพักใช้ขนของแทนการยกได้ จึงลดความเมื่อยขบจากที่คาดไว้ลงไปได้เป็นเท่าตัว

   “ไอ้เหี้ย เหนื่อยชิบหายเลย”

   “ร้อนว่ะ เปิดแอร์นะ”

   ผมนอนแผ่บนเตียงแบบไม่นึกสนคราบเหงื่อตามตัว ก่อนที่ร่างของคนขี้ร้อนจะทิ้งตัวตามลงมาติดๆ จนถึงในตอนนี้ก็ถือได้ว่าผมมาอยู่ห้องเดียวกันกับไอ้พิวแล้วอย่างเป็นทางการแล้ว

   “วันนี้ไม่ไปแดกเหล้าที่บ้านไอ้เคนกับกูจริงๆเหรอ?”

   “ไปเหอะ กูไม่อยากแดกเหล้าแล้ว”

   “มีซีฟู้ดด้วยนะตัวไป๋”

   “เอาของกินมาล่อกูไม่สำเร็จหรอก” เว้นเรื่องของกินไว้วันนึง เพราะผมตั้งใจอยากให้เขาได้ไปสังสรรค์กับเพื่อนสนิทให้ได้อย่างเต็มที่มากกว่า

   “อือ งั้นจะรีบกลับมาก่อนห้าทุ่มนะ”

   “ไปก็ตั้งสองทุ่มแล้วจะรีบกลับทำไม?”

   “..เดี๋ยวเมียหลับก่อน” ผมส่ายหัวน้อยๆบนที่นอนให้กับความคิดของเจ้าตัว กว่าจะถึงเวลานัดหมายก็เป็นเวลาอีกตั้งเกือบหกชั่วโมงแต่ไอ้พิวก็จัดแจงแจ้งผมเหมือนกำลังจะไปซะเดี๋ยวนี้


   ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศผสมกับความล้าจึงก่อตัวเป็นความง่วงขึ้นมาอย่างง่ายดาย ด้วยความกลัวจะเผลอหลับยาวเลยกะว่าจะเอาโทรศัพท์มาตั้งนาฬิกาปลุกเผื่อไว้ แต่จำได้ว่าเคยวางมือถือไว้บนลิ้นชักข้างหัวเตียงจึงอาศัยการสุ่มเดา ส่งมือไปคลำหาแทนการลุกขึ้นหยิบดีๆ จนผมได้ไปตะปบโดนสิ่งของลักษณะนิ่มๆเข้าแทน..


   ตุ๊กตา?

   ‘ชื่อ วี่ นะ ตัวนั้นน่ะ’


   ความจำเกี่ยวกับการเป็นมาของตุ๊กตาสีเหลืองในมือผุดออกมาจนจำได้อีกครั้ง เหตุที่เจ้าตัวนี้หายหน้าหายตาไปนานเพราะว่าเคยทำตกเตียงจนมันไปแอบอยู่ที่มุมห้องโดยที่ผมไม่คิดจะตามหาได้ตั้งนานสองนาน

   ฟังเสียงลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอของคนที่เคยให้ไอ้ตุ๊กตาชื่อวี่นี่มา ทำให้ผมไม่มั่นใจว่าเจ้าตัวยังตื่นให้ถามผมถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเจ้าก้อนในมือนี่อยู่หรือไม่..

   “พิวหลับยัง?”

   “..ยัง ทำไม?”

   “ทำไมถึงตั้งชื่อว่าวี่วะ?” เจ้าของแผนอกเปลือยเปล่าผงกหัวขึ้นมามองตามต้นเสียงที่เอ่ยถาม ก่อนจะกลับไปสู่ท่าเดิม

   “มาจากชื่อกูกับชื่อมึงไง”

   “มึงบ้าป่ะ ชื่อภาษาอังกฤษเราขึ้นด้วยตัวพีทั้งคู่เหอะ”

   “แล้วใครบอกมึงว่าเอาตัวแรกมา?”

   “...”

   “ชื่อกู พี อี ดับเบิ้ลยู ชื่อมึง พี เอ ไอ”

   “..อ๋อ” ผมนึกตามที่อีกฝ่ายสะกด ก่อนจะเข้าใจได้ว่า ชื่อวี่ที่ตั้งนั้นมาจากพยัญชนะตัวที่สามของเรารวมกัน ‘wi’

   “เป็นไง กูโรแมนติกใช่ป่ะล่ะ?”

   “ดูโรคจิตมากกว่า”

   “ไอ้ตัวไป๋ มานอนนี่มา” แขนของคนช่างคิดเหยียดออกให้ผมได้นอนหนุนพร้อมตบปุๆลงบนพื้นที่ข้างๆตนเอง ส่วนเจ้าวี่ก็ถูกเก็บเข้าที่เดิมเพราะนิสัยไม่ติดการนอนก่ายตุ๊กตาของผม

   “เริ่มเรียนซัมเมอร์เมื่อไหร่”

   “จันทร์หน้า” วงแขนข้างที่ว่างของพิวอ้อมมาก่ายผมไว้อีกที ให้ท่านอนหนุนแขนในตอนแรกกลายเป็นว่าเขาได้นอนกอดผมไปแล้วเรียบร้อย

   “แล้วจะกลับบ้านวันไหน”

   “พรุ่งนี้ ไม่ก็มะรืนมั้งดูก่อนว่าป๊าจะมารับวันไหน” พิวเพิ่มแรงกระชับมากขึ้นจนใบหน้าผมเลื่อนเข้าไปซบกับช่วงลำคอของเขา กลิ่นหอมจางๆบนผิวของเจ้าตัวและฝ่ามือที่กำลังเล่นอยู่บนกลุ่มผม ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายไปอีกหลายเท่า

   “เดี๋ยววันเสาร์ไปรับมานอนบ้านกู”

   “ไปทำไม?”

   “อยากพาไปเจอพ่อกับแม่”

   “…”

   “หลับแล้วเหรอ?”

   “..อื้อ ไปดิ”

   “เหนื่อยก็หลับเถอะ เดี๋ยวปลุก”

   “อื้อ” และแล้วเปลือกตาผมก็ค่อยๆปิดลงหลังจากที่ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเงียบ ..





❋❋❋




   “ฮ้าววว” ตัวเลขบนหน้าปัดแสดงเวลาที่กำลังคืบคลานเข้าสู่วันใหม่ ถึงแม้ตอนบ่ายผมจะสลบไปเป็นเวลาสามชั่วโมงเต็มแต่ยังไม่ทันไรผมก็กลับมาง่วงอีกแล้ว

   ทางด้านพิวที่หลังจากไปกินข้าวตามสั่งข้างหอมาด้วยกันตอนเย็น เจ้าตัวก็ออกเดินทางไปพร้อมเต้และสมุยด้วยรถส่วนตัวในเวลาทุ่มกว่าๆตามที่ได้นัดไว้

   แต่จนตอนนี้ที่ล่วงเลยห้าทุ่มมาเกือบชั่วโมงแล้ว แต่ผมก็ยังไม่เห็นแม้แต่ปลายเส้นผมหรือข้อความที่มักจะส่งมาเลยแม้แต่น้อย..

   หรือจะเกิดอุบัติเหตุ?

   ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว ตัดสินใจปิดเกมส์มือถือที่กำลังเล่นอยู่ ลุกขึ้นจากเตียงลุกไปปิดไฟเตรียมเข้านอน แต่ในขณะนั้นเอง...



   ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก

   “ไป๋! เปิดประตูให้หน่อย พวกกูหยิบคีย์การ์ดไม่ได้” เสียงเคาะประตูรัวๆดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายจากทางหน้าห้อง ทำให้ผมต้องรีบพาร่างกายของตัวเองจากกลางห้องถลาตรงไปรับหน้าผู้มาใหม่อีกด้านของประตู

   “โอ้โห .. เมาขนาดนี้เลยเหรอวะ?”

   “เออ เดี๋ยวกูไปส่งที่เตียงให้” ถึงแม้จะตกใจนิดหน่อยหลังจากที่ได้เห็นสภาพอันไม่คาดคิดของไอ้พิว .. ผมหลีกทางให้เต้และสมุยพาคนไม่มีสติไปยังที่นอน


   ต้องแดกเยอะขนาดไหนไอ้พิวถึงเมาได้วะ?


   “อะ อันนี้โทรศัพท์มัน”

   “อื้อ ขอบคุณนะ”

   “ส่วนเรื่องมึงกับไอ้พิว กูยินดีด้วยนะ”

   “ก่อนหน้านี้กูก็ว่าแล้วว่าทำไมไอ้พิวแม่งไม่สนสาวที่ไหนเลย ที่แท้แม่งมาติดมึงอยู่นี่เอง” ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าเพื่อนของพิวรู้เรื่องของเราสองคนไปจนถึงขนาดไหน

   “พวกกูไปละ ฝากเช็ดตัวให้ไอ้พิวด้วยนะ”

   “เอ่อ .. อ๋อ ได้ๆ ขอบคุณนะ”


   ปัง


    “..อื้อ” สิ้นสุดเสียงปิดประตู แม้ผมจะงุนงงกับคำพูดของทั้งสองคนเมื่อกี๊เล็กน้อย แต่ก็ต้องหันกลับมาสนใจคนที่นอนหมดสภาพบนเตียงอีกครั้ง เสียงอื้ออึงในลำคอที่ได้ยินบ่งบอกว่าพิวคงรู้สึกไม่สบายตัวสักเท่าไหร่

   “รอแปปนะ เดี๋ยวไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้”

   “ป่ายป๋าย .. ห้องน้ำ”

   “ปวดฉี่เหรอ? มาๆเดี๋ยวพาไป” ระยะทางจากเตียงถึงห้องน้ำดูเหมือนแสนไกลห่าง ผมทั้งหิ้วทั้งแบกไอ้คนสารร่างยักษ์เข้าจนถึงที่หมายด้วยความทุลักทุเล ทั้งต้องยืนเฝ้าพยุงร่างให้ในตอนปลดทุกข์ จนในที่สุดผมก็พาไอ้พิวกลับมานอนที่เตียงได้อีกครั้งโดยที่ไม่พากันล้มหัวฝาดโต๊ะกันไปทั้งคู่เสียก่อน

   “..น้ำ” เสียงทุ้มติดแหบแห้งดังขึ้นขอน้ำ หากจะให้ดื่มน้ำเย็นในตู้ก็กลัวจะเกิดผลเสียต่อร่างกาย ผมจึงเลือกน้ำเปล่าอุณหภูมิห้องในแทน หลังจากที่ประคองหัวขึ้นดื่มน้ำเสร็จ เจ้าตัวก็นอนนิ่งได้อีกครั้ง ซึ่งมันสะดวกแก่ผมที่ต้องอยู่เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้

   เสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายถูกปลดออกไปพร้อมกับกางเกงยีนส์ราคาสูง เหลือเพียงแค่บ็อกเซอร์เป็นอาภรณ์ติดตัวเป็นชิ้นสุดท้าย พิวปรือตาขึ้นมามองผมที่กำลังสาละวนกับการเช็ดตัวเป็นระยะๆ

   “แดกยังไงให้เมาได้ถึงขนาดนี้วะ?” เมื่อเห็นอาการไร้เรี่ยวแรงแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา เพราะปกติผมไม่เคยเห็นไอ้พิวเมาเลยสักครั้ง

   “..ตอนแรกกูว่าจะพามึงไปเปิดตัว”

   “…”

   “พอพวกแม่งรู้ก็ยุให้กูแดก”

   “หือ?”

   “พวกแม่งบอกรักเมียเท่าไหร่ให้แดกเท่านั้น..”

   “มึงก็เลยแดกอะนะ จะบ้าหรือเปล่า” ความจริงจากปากถูกเผยออกมาทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจอยู่นิดๆ

   “..ไม่บ้าหรอก” มือที่กำผ้าขนหนูเอาไว้ถูกหยิบยกขึ้นมาเสมอใบหน้าของคนที่กำลังถูกโกรธ สีหน้าของเขาทำให้ผืนผ้าในมือหลุดจนร่วงลงสู้พื้น

   “กูชอบมึงมากๆเลยนะ ชอบมาก ชอบตั้งแต่เจอครั้งแรกเลย”

   “...”

   “ยิ่งได้มารู้จักกับมึงกูยิ่งชอบ มึงจะเป็นยังไงกูก็ยังชอบ” ริมฝีปากแห้งผากของพิวจรดลงบนหลังมือของผม ความอุ่นร้อนที่ได้รับพาให้จิตใจคล้อยไปตามแรงอารมณ์ที่ถูกส่งทอดมาจากสายตาของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย


   แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่..


   “ถ้าไม่ติดว่ากูไม่มีแรงนี่ คืนนี้มึงได้เสียตัวแน่ๆ”
   “..”

   “อยากเอามึงว่ะ .. จากใจเลย”


   “ไอ้สัส! มึงเงียบ” ผมส่งเสียงดุไปให้คำพูดคำจาที่ฟังทะลึ่งตึงตัง หวังให้เขารู้สึกสำนึก แต่ก็ผิดคาดจากที่คาดเอาไว้

    “ไอ้ตัวไป๋เขินว่ะ”

   “ไม่คุยด้วยละแม่ง ปล่อย กูจะเอากะละมังไปเก็บ”

   “เมียกูชอบมึงนะ”

   “รู้แล้ว!”


   ทันทีที่มือถูกปล่อยจากพันธนาการ ผมก็รีบคว้าภาชนะพร้อมผ้าขนหนูตรงดิ่งเข้ามาสงบสติภายในห้องน้ำ กะละมังถูกกระแทกวางลงบนเคาน์เตอร์ห้องน้ำจนเกิดเสียง ความรู้สึกตีกันรวนเรเหมือนคนเข้าวัยทอง ทั้งหงุดหงิด ทั้งโมโห ทั้งดีใจ
 
   หงุดหงิดที่เจ้าตัวไม่ยอมดูแลตัวเองปล่อยให้เพื่อนยุกินเหล้าจนเมาแอ๋เป็นหมา ส่วนที่โมโหก็เป็นเพราะคำพูดลามกชวนคิดเมื่อกี๊

   แต่พอนึกถึงคำพูดบอกชอบซ้ำไปซ้ำมา กลับพาให้มุมปากของผมยกขึ้นสูงโดยไม่รู้ตัว

   แม่งเอ๊ย .. วันหลังอย่าได้คิดจะแดกเหล้าเลยมึง






❋❋❋

 



   หลังจากที่ร่างสูงได้นอนสลบไสลไปเพราะฤทธิ์สุรา แต่ต้องจำใจตื่นขึ้นมาในเวลาตีสี่เพราะอาการอยากเข้าห้องน้ำ ตอนนี้ทางด้านกำลังวังชาที่พาให้กล้ามเนื้อด้อยสมรรถภาพก็ค่อยๆฟื้นฟูกลับมาบ้างแล้ว

   อย่างไรก็ตามยังไม่ทันให้สองขาก้าวลุกจากเตียงไปไหน ปฏิพลก็ต้องพ่ายแพ้ให้ไป่ไป๋ที่นอนซุกตัวหนีความเย็นจากแอร์เหมือนลูกหมาตัวน้อยข้างๆ แสงร่ำไรจากภายนอกส่องเข้ามากระทบผิวขาวทำให้เห็นส่วนประกอบของใบหน้าได้จนชัดเจน .. ใบหน้าที่เคยเห็นมาเกือบปี ครั้งแรกเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น

   แม้จะอยู่ในยามนิทราแต่แก้มของคนตัวเล็กกว่าก็ยังมีสีชมพูของเลือดฝาดอยู่ตลอดเวลา ในสายตาคนมองแล้วความน่าเอ็นดูยังลุกลามไปถึงแพขนตาที่แผ่เรียงเส้นสวย รวมถึงริมฝีปากที่เผยอหอบลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะนั่นอีกด้วย..

   น่ารักไปทุกภาคส่วนเลยแม่มึงเอ๊ย

   แต่สองตาที่จ้องมองคนรักผ่านความมืดอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะสองมือได้ยื่นเข้าไปจัดแจงท่านอนของอีกคนให้ง่ายต่อการทำอะไรต่อมิอะไรเป็นที่เรียบร้อย ผ้าห่มผืนหนาถูกตวัดลงสู่พื้นกระเบื้องเย็นเชียบอย่างไม่ใยดี พอได้ยินเสียงครางแผ่วในลำคอแค่นี้ก็พาให้จิตใจคิดอกุศลของพิวหลุดลอยจนจินตนาการไปถึงไหนต่อไหน

   แก้มน่ารัก ..

   ปากก็น่ารัก .. ขอแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหน่อยแล้วกัน



   “ฮะ อื้อ .. เฮ้ย”

   “ชู่ว อย่าดิ้นดิ”

   “ม-มึงจะทำอะไร?” ภาพเบื้องหน้าของคนที่เพิ่งสะลึมสะลือฝืนลืมตาขึ้นมาในช่วงรุ่งสางทำเอาเจ้าตัวแทบสิ้นสติด้วยความตกใจ เพราะใบหน้าและท่อนบนเปลือยเปล่าของอีกคนประกอบกับท่าล่อแหลม จึงทำให้เขารับรู้ได้ในทันทีว่าตัวเองนั้นได้ตกอยู่ในอันตรายแล้วเป็นที่เรียบร้อย


   “แรงกูกลับมาแล้ว”

   “ไม่เอา ฮื่อ อ่าอัด” ร่างบางเอ็ดตะโรคนฉวยโอกาสที่กำลังขบเม้มเนื้อปากล่างด้วยความหมั่นเขี้ยว
 

   ความต้องการถูกสนองไปตามขั้นตอนของการเล้าโลม

   เสียงดูดดึงชุ่มน้ำไปตามจังหวะเกี่ยวกระหวัดของลิ้น

   ชุดนอนได้รั้งเลิกขึ้นเพื่อสัมผัสผิวใต้ร่มผ้า

   ฝ่ามือจากเดิมที่คอยประคองใบหน้ารับจูบ ได้ถูกโยกย้ายให้ไปสร้างความปั่นป่วนที่ยอดอก


   “อ๊ะ อ่า” ใบหน้าเหยเกหลุดเสียงน่าอายออกมาทันทีหลังจากที่สัมผัสอุ่นร้อนเคลื่อนทิศทางไปยังส่วนที่ต่ำกว่าอย่างแผ่นอกและร่องแอ่งบุ๋มของสะดือ

   ยิ่งดิ้นก็ยิ่งปลุกเร้า


   สถานการณ์ยิ่งดูเลวร้ายขึ้นไปอีกเมื่อกางเกงนอนลายทางของร่างขาวถูกปลดเปลื้องออกไปพร้อมชั้นในสีเข้ม ไป่ไป๋เอ่ยร้องประท้วงขึ้นมาทันทีที่ลมหนาวจากเครื่องปรับอากาศกระทบผิวส่วนบาง

   “พ-พิว ไม่ทำได้ไหม?” แต่ดูเหมือนว่าคนด้านบนไม่ได้ใส่ใจคำขอร้องเสียงตะกุกตะกักมากสักเท่าไหร่ เพราะเจ้าตัวได้เข้ามาแทรกตรงกึ่งกลางระหว่างขาเล็กทั้งสองแล้วเป็นที่เรียบร้อย

   อุ้งมืออุ่นได้โอบอุ้มจุดอ่อนไหวของร่างบางจนสังเกตได้ถนัดว่าผู้ถูกกระทำมีปฏิกิริยาตอบรับที่ดูน่าพึงพอใจไม่น้อย ไม่รอช้าเขาจึงส่งจังหวะหนักเบาทอดไปหาจุดอ่อนไหวสำคัญ


   เร่งรัดจนร้อนรุ่ม..


   “ฮะ ฮ้า ไม่เอา .. อื้อ” ฝ่ามือสั่นระริกเอื้อมมาแตะลงบนข้อแขนหนา ดูเหมือนว่าให้ค้านหัวชนฝายังไงคนตัวขาวก็คงไม่ยอมให้ล่วงเกินจนสุดทางตามที่หวังไว้

   “แค่ข้างนอก .. นะ”

   “ฮื่อ”

   “นะครับ ตัวไป๋ของพิว” ฝ่ามือข้างเดิมถูกประคองให้เข้าประกบกับสัญลักษณ์ของความเป็นชายภายใต้เครื่องนุ่งห่มที่เหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวของร่างกาย ขอบกางเกงยางยืดถูกร่นลงจนเครื่องเพศผงาดสวนกับทิศทางแรงโน้มถ่วงของโลก ก่อนที่ร่างสูงขี้แกล้งจะชักนำให้นิ้วเรียวทั้งห้ารูดรั้งไปตามความยาว

   “..อ่าห์” แรงขยับรูดรั้งขึ้นลงของสองฝ่ามือถี่ขึ้น สัดส่วนกล้ามเนื้อชุ่มเหงื่อที่กำลังต้องแสงไฟสลัว ในทุกครั้งที่เคลื่อนไหวตามแรงกระเพื่อมของความกำหนัด มันพาให้ร่างบางยิ่งหลงระเริงไปในความเย้ายวน ..

   แม้จะไม่ได้แตะตัวต้องแต่ภาพเบื้องหน้าของผู้เป็นที่รักได้ปลุกเร้าให้คนตัวขาวตื่นตัวจนเต็มวัย ทำให้รอยยิ้มของพิวถูกฉายขึ้นบนใบหน้าด้วยความรักใคร่ในตัวไป่ไป๋

   ความตึงเครียดจากหนึ่งเป็นสองถูกหลอมรวมเข้าไว้ด้วยกัน ขนาดที่แตกต่างทำให้ร่างบางขวยเขินไปเล็กน้อย ต่างจากอีกคนที่กำลังมองดูสีชมพูตรงส่วนปลายพร้อมกับคำพูดที่วนเวียนไปมาในความคิด


   “..น่ารัก” ความอายเข้าปกคลุมคนได้ยินจนยากแก่การจะมองภาพตรงหน้าได้เต็มสองตา เวลาล่วงเลยจนเกือบจะสว่าง ทำให้ผู้นำต้องรีบเร่งสู่จุดหมาย



   แนบชิด


   “อ-อื้อ ร้อน”

   “พร้อมกันนะ”



   แอบอิง


   “พิว .. ฮึก อ้า”

   “อ่า อ่า .. ไป๋”



   จนเสร็จสม..


   “ฮ้า ..”

   “อื้อ มึงแม่ง”

   “จะอาบน้ำไหมเดี๋ยวพาไป”

   “ยัง.. อยากนอนต่อ”

   “อื้อ นอนเถอะ เดี๋ยวเช็ดตัวให้” ไป่ไป๋พยักหน้ารับก่อนจะเข้าสู่การหลับอย่างที่ต้องการ ทางด้านคนก่อปัญหาก็ต้องก้มหน้ารับภาระทำความสะอาดคราบเปรอะเปื้อนบนตัวด้วยความเต็มใจ

   ..ก็นะ เมื่อกี๊ไป๋แม่งโคตรเอ็กซ์เลย งานนี้โคตรคุ้มยิ่งกว่าคุ้มอีก

   กดจูบลงบนปากแรงๆก่อนที่จะลุกขึ้นไปหยิบกระดาษชำระมาเช็ดบนลำตัวก่อนเป็นอย่างแรก .. ไว้คราวหน้าหาเรื่องทำอีกดีกว่า





ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
❋❋❋




   “ตอนแรกกูนึกว่าป๊าม๊ามึงจะดุ”

   “คนที่จะดุมึงไม่ใช่ป๊ากับม๊าหรอก”


   ช่วงบ่ายในวันเสาร์ของอาทิตย์ก่อนการเปิดเรียนซัมเมอร์ ผมได้อยู่บนรถยนต์คันที่กำลังพาเรามุ่งหน้าสู่บ้านภูมิเดชมนตรีของนายปฏิพล

   ก่อนหน้านี้ไอ้พิวได้มีการไปพบปะครอบครัวของผมเล็กน้อย ป๊าม๊ารู้และยอมรับความเป็นไปของเราแล้ว แถมยังเอ็นดูผู้ชายข้างๆผมจนเกินที่ผมคาดไว้ด้วยซ้ำ ในทันทีที่รู้ว่าผมกำลังจะไปค้างคืนที่บ้านของเจ้าตัว ขนมนมเนยและผลไม้ถูกหอบหิ้วขึ้นเบาะหลังเพื่อให้ได้นำไปฝากบุพการีของพิวอีกต่างหาก

   แต่ก็ยังมีเรื่องให้ต้องกลับมาคิด..



   “ใคร? พี่ชายมึงอะเหรอ”

   “เออ พี่ปุ๋ย .. มึงน่าจะโดนรับน้องโหดพอตัว” นึกย้อนกลับไปตอนที่เกิดความไม่เข้าใจระหว่างเรา ในตอนที่พี่ปุ๋ยเรื่องนี้เป็นครั้งแรก อารมณ์หงุดหงิดและเกลียดขี้หน้าไอ้คนหล่อของพี่แกมันยังคงตราตรึงอยู่ในหัวผม

   “น่ากลัวขนาดนั้นเลย?”

   “ถึงเวลานั้นขึ้นมาจริงๆอย่าร้องให้กูช่วยแล้วกัน” โชคดีหน่อยที่สัปดาห์นี้พี่ชายตัวดีของผมยังติดทำโปรเจคอะไรสักอย่างอยู่ที่มหาลัย ไม่งั้นวันนี้ผมคงไม่ได้ไปนอนบ้านไอ้พิวอย่างที่เจ้าตัวต้องการอย่างแน่นอน .. เดี๋ยวเป็นแฟนแล้วค่อยบอกพี่แกทีเดียวเลยดีกว่า ขี้เกียจอธิบาย

   “เปิดเพลงป่ะ?”

   “เออ เอาดิ” รายการเพลงจากหน่วยความจำถูกเปิดเล่นขึ้นมาทีละเพลงๆ ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าผ่านบานกระจก สีฟ้าบนนั้นถูกแต่งแต้มด้วยสีเทาของเมฆฝน ให้เดาว่าอีกไม่นานคงร่วงหล่นสู่พื้นของเมืองหลวงแน่ๆ


บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอน
ถ้ามองจากตรงนี้
เดี๋ยวก็มืด แล้วก็สว่าง
อาจจะมีฝนก่อเป็นพายุ
หรือลมลอยปลิวอยู่แค่นั้น
สุขที่เคยเดินทางตามหามานาน
ไม่ได้ไกลที่ไหน

อยู่แค่นี้เอง





   “นี่บ้านมึงจริงๆเหรอ..”

   “เออ เป็นไงสวยป่ะ?”

   “ไอ้เหี้ยยยย” บ้านสองชั้นหลังทรงโอ่อ่าที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าทำให้ผมรู้สึกตกใจไปเล็กน้อย ถึงแม้จะพอรู้มาว่าบ้านไอ้พิวมีฐานะแต่ก็ไม่คิดว่าจะรวยถึงขนาดนี้ สวนหย่อมขนาดไม่ย่อมถูกตกแต่งด้วยต้นไม้และไม้ประดับจนดูเพลินตา ด้านขวามือของตัวบ้านเป็นสระว่ายน้ำทอดยาว ไหนจะโรงรถที่มีพาหนะสี่ล้อและสองล้อจอดอยู่ไม่ต่ำกว่าสามคันนั่นอีก

   เออ .. รวย


   “ป่ะ รีบเข้าบ้านกัน ฝนเหมือนจะตกแล้ว” จู่ๆกระเป๋าเสื้อผ้าท้ายรถที่ผมกำลังเอื้อมมือไปคว้าก็ถูกฉกฉวยไปอยู่ในมือไอ้พิวอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ผมต้องรีบเดินตามไปเพื่อแย่งคืนมาถือเอง

   “น้องพิว มาแล้วเหรอคะ?” แต่ในขณะที่ผมส่งฝ่ามือไปแย่งคืนสัมภาระของตัวเองมาได้เป็นที่สำเร็จ ความคิดที่จะเอ่ยถามถึงผู้ให้กำเนิดทั้งสองของพิวก็ต้องสิ้นสุดลง เมื่อถูกขัดด้วยน้ำเสียงทักทายของบุคคลที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

   “แม่หวัดดีครับ” พิวตอบรับเสียงหวานของผู้ที่มีศักดิ์เป็นแม่ ใบหน้าที่ยังคงความเยาว์วัยไว้ทำให้ผมรู้สึกทึ่งไปเล็กน้อย รอยยิ้มของท่านทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่าไอ้พิวได้องค์ประกอบหน้าส่วนใหญ่มาจากใคร

   “หวัดดีครับ ผม..”

   “อ้าว นี่น้องไป๋ แฟนของน้องพิวใช่ไหมลูก” ยังไม่ทันได้ให้ผมได้พูดชื่อของตัวเองออกจากปาก คุณน้ากลับชิงพูดชื่อเล่นของผมขึ้นมา แต่คำว่าแฟนที่ถูกคุณน้าพูดตามมาติดๆกันมันพาให้ผมสับสน จนอดไม่ได้ที่จะหันไปส่งสายตาคคาดคั้นลูกชายเพียงคนเดียวของบ้าน ซึ่งก็ได้ใบหน้าตีมึนตอบแทนกลับมาอย่างเช่นทุกที..

   คือได้ข่าวว่ากูกับมึงยังไม่ได้เป็นแฟนกันนะ

   “อ่า ครับ”

   “แม่ไม่ว่าอะไรหรอก โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ถึงตอนแรกจะตกใจที่น้องพิวมาบอกบ้างก็เถอะ..”

   “พ่อกลับมาหรือยังครับ?”

   “เลื่อนวันกลับจากอังกฤษเป็นสัปดาห์หน้าแล้วจ้ะ ”

   “ส่วนอันนี้เป็นผลไม้กับขนมที่ป๊าม๊าไป๋ฝากมาครับ”

   “ต๊าย น่ารักจังเลย ไว้วันหลังน้องไป๋ชวนพ่อกับแม่มากินข้าวที่บ้านด้วยกันนะลูก”

   “ได้ครับ” ถุงของกินถูกส่งต่อไปยังคุณป้าท่าทางใจดีที่น่าจะเป็นแม่บ้าน คำชวนของคุณน้าทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

   “งั้นเดี๋ยวผมกับไป๋ขึ้นไปบนห้องก่อนนะครับ”

   “จ้า เดี๋ยวเย็นๆแม่ให้คนขึ้นไปตามมากินข้าวนะ”

   “ขอบคุณครับ”
   



   และหลังจากนั้นที่เราได้ขึ้นมาบนห้องไอ้พิว ทางด้านของผมก็ภาพตัดไปในไม่ช้า เพราะแพ้ให้กับความนุ่มของที่นอนและอากาศตอนฝนตก ทำเอาตื่นขึ้นมาอีกทีในเวลาข้าวเย็น

   บนโต๊ะอาหารมีเพียงคุณน้า พิวและผม เพียงสามคน เวลาหนึ่งชั่วโมงที่ได้นั่งสนทนาด้วยกันทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่าคุณแม่ของพิวเป็นผู้ใหญ่ที่มีทัศนคติที่ดีมากคนนึง สายตาคู่นั้นที่มองมาที่พิวบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวคิดถึงลูกชายเพียงคนเดียวของตัวเองมากแค่ไหน


   “น้องไป๋เดี๋ยวนี้น้องพิวยังนอนดึกอยู่ไหมคะลูก?” คำถามของคุณน้าดังขึ้นไถ่ถามความเป็นอยู่ล่าสุดของลูกชายสุดที่รัก แม้ในใจอยากจะตอบประจานนิสัยเล่นเกมแล้วติดลมจนดึกจนดื่นของอีกคนมากแค่ไหน ก็ทำได้เพียงยิ้มรับแล้วเอ่ยความจริงแค่เพียงกึ่งเดียวออกไป

   “มีบางวันที่อ่านหนังสือแล้วนอนดึกบ้างครับคุณน้า”

   “คุณน้าอะไรน้องไป๋ เป็นแฟนกับน้องพิวแล้วเรียกคุณแม่เถอะ” ผมเม้มปากเฉตามองผู้ร่วมโต๊ะอาหารอีกทั้งสองคนแบบชั่งใจ ความจริงข้อแรกคือผมทำตัวไม่ถูก ส่วนความจริงข้อที่สองนั้น..

   “อ่า ครับ”

   คือผมเขิน

   “..คุณแม่”
   




❋❋❋





   “ฝากตัวเป็นลูกสะใภ้เต็มตัวแล้วดิ”

   “ไม่ต้องมาล้อกูเลย .. ว่าแต่พ่อมึงรู้เรื่องเรายังวะ?”

   “เคยบอกไปแล้ว”

   “แล้วพ่อมึงดุมากป่ะ?”

   “..ก็ นิดนึง” ผมหลุดถอนหายใจให้หลังจากที่ได้ยินประโยคยืนยันจากปากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของบ้าน ถึงยังจะเป็นเวลาช่วงหัวค่ำ แต่ด้วยความเหนียวตัวที่มีจึงทำให้ผมรีบจัดแจงอาบน้ำตั้งแต่ขึ้นมาถึงห้อง พร้อมล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างปล่อยสมองให้คิดนู้นคิดนี่ไปเรื่อย

   “กูกลัวว่ะ”

   “อือ บางทีกูยังกลัวเลย” ถ้อยคำคล้อยตามที่ไม่สร้างกำลังใจแล้วยังทวีคูณความกังวลในใจให้มากขึ้นเข้าไปใหญ่ ถึงแม้ตอนแรกจะคิดไว้อยู่แล้วว่าเรื่องของเราไม่น่าจะราบรื่น เพราะด้วยความรักของเพศเดียวกันที่อาจดูใหม่เกินไปสำหรับผู้ใหญ่ก็ตาม
   “คิดอะไรเยอะแยะ ถ้าพ่อกูไม่ให้คบ กูก็จะพามึงหนีไปเลยเป็นไง”

   “มึงแม่งเว่อร์สัส .. ว่าแต่พ่อมึงทำงานเกี่ยวกับอะไรวะ ทำไมต้องไปต่างประเทศด้วย?” ผมเอ่ยปากถามคนที่เดินจัดของไปมาทั่วห้อง

   “ทำบริษัทพัฒนายา เลยต้องไปดูงานบ่อย”

   “..อ๋อ เท่ว่ะ”

   “กูอาบน้ำบ้างละ จะได้มานอนดูหนังกัน”

   “อื้อ”

   หลังจากที่พิวเข้าห้องน้ำแล้วเป็นที่เรียบร้อยผมก็กลับมาคิดถึงเรื่องของเจ้าตัวอีกครั้ง เป็นเพราะพ่อทำบริษัทยานี่เอง ไอ้พิวถึงได้ชอบเคมีนักหนา พันธุกรรมความเก่งอาจถูกส่งทอดมาทางสายเลือดก็เป็นไปได้..



   เสียงฝนตกภายนอกยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก โทรศัพท์ถูกหยิบยกขึ้นมาแก้เบื่อสลับกับการนอนกลิ้งไปมาบนเตียง แต่กลายเป็นว่าพอนอนเกลือกไปได้สักพักก็กลับอยากลุกไปปั่นหูขึ้นมาเสียดื้อๆ.. คงเป็นเพราะน้ำที่เข้าไปในหูตอนอาบน้ำเมื่อกี๊แน่ๆ

   นั่นทำให้คอตตอนบัตเป็นสิ่งแรกที่ผมทำการมองหาไปรอบห้อง ห้องตั้งกว้างถ้าจะไม่มีของที่ผมต้องการเลยสักอันก็ดูจะเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด .. หรือว่าจะอยู่ตามพวกลิ้นชัก?


   “พิว! คอตตอนบัตอยู่ไหนวะ?”

   “...” คงเป็นเพราะผนังห้องถูกออกแบบมาให้หนาเป็นพิเศษ คนในห้องน้ำจึงไม่ตอบรับในสิ่งที่ผมกำลังถามแม้แต่น้อย แต่อย่างไรด้วยความต้องการจะใช้มันในตอนนี้ให้ได้ จึงไม่ย่อท้อถึงวิสาสะสุ่มเปิดช่องเก็บของที่น่าจะเป็นไปได้ด้วยความระมัดระวัง จนผมได้มาเจอกับลิ้นชักตรงโต๊ะอ่านหนังสือที่ดูเหมือนจะน่าแปลกไปสักหน่อยเพราะพื้นที่ทั้งหมดนั้นมีของเพียงชิ้นเดียวที่ได้ถูกใส่เอาไว้..


   ลิขวิด?


   ปากกาลบคำผิดยี่ห้อยอดฮิตเพียงหนึ่งเดียวในนั้น ถูกผมหยิบขึ้นมาพิจารณาใกล้ๆ แต่แล้วมันกลับสร้างความแปลกใจให้ผมได้อย่างนึกไม่ถึง เมื่อหนึ่งในด้านหนึ่งของมันถูกสลักชื่อเอาไว้ด้วยปากกาเขียนซีดีหัวเล็กด้วยลายมือที่ดูคุ้นเคย



PAI



   “ดูหนังเรื่องอะไรกันดีวะ .. อ้าว หาไรอะ?”

   “พิว อันนี้มันของกูนี่”







Phatipol’s side



   “พิว อันนี้มันของกูนี่” ลิขวิดแท่งสีน้ำเงินอันที่ผมซุกซ่อนเก็บเอาไว้ ถูกโชว์ขึ้นให้เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตา

   “เออ ก็ใช่ไง”

   “มันมาอยู่กับมึงได้ไงอะ?”

   “นี่มึงลืม?”

   “...ก็ไม่เห็นจะจำได้เลย” ผมพ่นลมหายใจให้อีกฝ่ายยาวๆ นึกแล้วมันก็น่าโมโหหน่อยๆ ความทรงจำที่เจอกันครั้งแรกที่ไหน อย่างไรดูน่าประทับใจมากๆสำหรับผม แต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะจำไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

   “มานั่งเช็ดผมให้หน่อย .. เดี๋ยวเล่าให้ฟัง”




   ย้อนเท้าความกลับไปในช่วงมัธยมศึกษาปีที่หก ที่เพื่อนๆที่โรงเรียนของผมต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าผมมีความถนัดที่เหมาะสมจะเรียนในคณะวิศวะฯ .. ก็ไม่รู้สิ ถึงจะบอกถนัดแต่ก็ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษ แต่ถ้าไม่ได้เรียนคณะนี้ก็ไม่รู้จะไปเรียนคณะไหนแล้วเหมือนกัน

   เว็บไซต์ของมหาลัยถูกส่งจากเพื่อนสนิทให้ได้ลองสมัครดู เลือกคณะเสร็จแล้วภาควิชาทั้งเจ็ดก็ถูกแสดงขึ้นบนจอ ด้วยความที่ผมไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไหร่ จึงสุ่มเลือกขึ้นมาอันนึงตามชื่อวิชาที่ผมชอบมากที่สุด ‘วิศวกรรมเคมี’

   จนเวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงวันที่ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการสัมภาษณ์ ไฟล์ข้อมูลจั่วหัวว่าเป็นของภาควิชาที่ผมสมัครถูกเปิดขึ้นมาไล่หารายชื่อของตัวเอง แต่หากี่รอบๆก็ไม่พบ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่รู้สึกเสียใจหรือเสียดายเลยแม้แต่น้อย

 
   ‘อ้าว ไอ้พิวทำไมชื่อมึงมาอยู่ในประกาศภาคเครื่องกลวะ?’

   ‘ห้ะ ไหนเอามาดูดิ’

    ‘..อะ’

ปฏิพล ภูมิเดชมนตรี

   

   และนั่นก็ทำให้ผมต้องย้อนกลับมาดูในใบสมัครของตัวเองอย่างจริงจัง แล้วก็พบว่าสิ่งที่คณะประกาศมันคือความถูกต้อง เป็นผมเองที่สะเพร่าจนเกิดการผิดพลาด .. ผมกดเลือกผิดภาคครับ


   ทั้งหมดที่เล่ามาทำให้ผมต้องไปสัมภาษณ์ด้วยความจำใจ การตรวจสุขภาพในช่วงเช้าไปได้ด้วยดี มีนักเรียนหลายร้อยชีวิตก็กำลังเฝ้ารอเวลาในช่วงบ่ายเพื่อที่จะได้ทำการเข้าคัดเลือกในขั้นตอนถัดไปเช่นเดียวกันกับผม


   บรรยากาศของทุกๆคนดูเป็นไปอย่างตื่นเต้นและกังวล แต่สำหรับผมมันค่อนข้างน่าเบื่อที่จะต้องมารออะไรนานๆข้ามวันแบบนี้ พื้นที่ใต้คณะถูกแบ่งออกเป็นแถวตามภาควิชาที่ได้รับคัดเลือกเพื่อนั่งรอให้รุ่นพี่ได้พาน้องๆไปยังห้องที่จะได้รับการสัมภาษณ์จากอาจารย์ของคณะ



ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล



   แถวของภาคเครื่องกลแบ่งออกเป็นสองแถว ต่างจากภาคอื่นที่มีเพียงแถวสั้นๆแถวเดียว บ่งบอกว่าค่อนข้างเป็นที่นิยมสำหรับคนที่จะเข้าศึกษาต่อเอามากๆ

   และหลังจากที่นั่งรอได้ไม่นานกระดาษสองสามแผ่นก็ได้ถูกส่งมาให้เขียน หนึ่งในนั้นเป็นแบบสอบถามความพึงพอใจ และอีกหนึ่งใบในนั้นเป็นเป็นแบบทดสอบอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนจะมีความสำคัญกับผลการสัมภาษณ์ไม่มากก็น้อย

   ‘เฮ้ยๆ มึงชื่ออะไรวะ?’

   ‘กูชื่อไป่ไป๋ มึงอะ’

   ‘ชื่อคล้ายผู้หญิงเลยว่ะ กูเติ้ลนะ’ คนฟังอย่างผมนึกแปลกไม่นิดหน่อยที่คนข้างๆสามารถพูดแบบเป็นกันเองได้ตั้งแต่ในครั้งแรกที่ได้เจอกัน ปากกาในมือผมที่กำลังจรดเขียนข้อความในกระดาษโดนคนจากทางด้านขวากระตุ้นจนเกิดรอยเลอะ แต่เมื่อค้นตามกระเป๋าและร่างกายกลับไม่พบของที่ต้องการจึงหันไปของความช่วยเหลือจากคนทางด้านซ้าย

   ‘นายๆ’

   ‘หือ?’ เสียงเจื้อยแจ้วที่กำลังคุยกับบุคคลข้างหน้าหยุดชะงักลงเมื่อผมเป็นคนเข้าไปขัด เสี้ยวหน้าที่ได้มองแปรเปลี่ยนมาเป็นทั้งดวงใบหน้า

   เชี่ย .. น่ารัก

   ‘อ่า เอ่อ เราขอยืมลิขวิดหน่อยได้ไหม?’

   ‘อื้อ ได้ดิ’ คนตัวขาวรีบกุลีกุจอเปิดกระเป๋าดินสอล้วงสิ่งที่ขอก่อนส่งมาให้ผม น้ำยาสีขาวถูกป้ายลงบนกระดาษอย่างลวกๆ

   ‘ไป๋แล้วนี่ถ้าติดมึงจะเอาที่นี่เลยป่ะ?’

   ‘ก็ว่าจะเอาเลยนะ ขี้เกียจไปสมัครที่อื่นละ อยากนอน ฮ่าๆ’ หลังจากนั้นเขาก็ได้หันไปคุยกับเพื่อนคนเดิม ผมได้แต่นั่งเขียนแล้วลบคำผิดซ้ำๆ เพราะเสียงคุยที่ดังไปทั่วบริเวณทำให้ผมไม่ค่อยมีสมาธิเท่าที่ควร

   ‘เฮ้ย เลอะเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?’

   ‘..อื้อ’ ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้าของลิขวิดในมือของผมได้ชะโงกหน้าเข้ามาหาตั้งแต่เมื่อไหร่

   ‘งั้นเอาของเราไปซีร็อกซ์ใหม่ดีกว่า เรายังไม่ได้เขียนพอดีเลย’

   ‘ไม่เป็นไรหรอกมั้ง’

   ‘เป็นสิ เราว่ามันมีผลต่อคะแนนนะ’ เป็นอีกครั้งที่ผมละสายตาจากมุมอื่นแล้วหันไปสบตากับคนที่เพิ่งเห็นหน้ากันเป็นครั้งแรกด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย

   เป็นคู่แข่งกันแท้ๆ แต่ทำไมยังใจดีอยู่อีก

   ‘อ่อ ขอบคุณมากนะ’

   จากนั้นผมจึงลุกขึ้นจากแถว เดินตรงยังร้านถ่ายเอกสารของคณะพร้อมกระดาษในมืออย่างงงๆ มือข้างซ้ายถูกแบบให้เห็นลิขวิดที่ถูกหยิบติดมาด้วย โดยที่ไม่สามมารถสลัดชื่อและใบหน้าของคนน่ารักก็โดดเด้งขึ้นมาโลดแล่นบนความคิดของผมได้เลย

   อยากรู้จักให้มากขึ้นจังเลยแหะ..[/i]





   “แล้วมึงก็เลยยืนยันสิทธิ์เลือกหภาคเครื่องอะนะ”

   “อื้อ”

   “จะบ้าหรือเปล่า ถ้าเรียนไปแล้วไม่ชอบทำไง”

   “แต่เดิมก็ไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว”

   “..ไอ้บ้าเอ๊ย” ผ้าขนหนูผืนเล็กชุ่มไปด้วยหยดน้ำจากหัวที่เพิ่งสระของผม เส้นผมถูกเช็ดจนหมาดพอดีหลังจากที่เรื่องทั้งหมดถูกถ่ายทอดออกมาทั้งหมด

   “แต่กูจำได้ว่าคนที่ยืมลิขวิดกูไปใส่แว่นนะ”

   “แล้วกูเคยบอกหรือไงว่าเมื่อก่อนกูไม่ใส่แว่น..”

   “เอ้า .. ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่เห็นใส่เลย”

   “ต้องขับรถกลับบ้านเสาร์อาทิตย์ ไม่ชอบใส่แว่นตอนขับเลยไปทำเลสิก” ผมลุกขึ้นไปตากผืนผ้าที่ใช้ไว้ที่ราว ก่อนจะเดินกลับมาทิ้งตัวลงประจันหน้ากับผู้มาเยี่ยมเยียนในวันนี้

   “เป็นไงกูโรแมนติกป่ะ?”

   “ไม่เลยสักนิด” ด้วยความหมั่นเขี้ยวใบหน้ายียวนพูดปฏิเสธสิ่งที่ผมถาม จึงจัดการกดจูบลงบนปากสีชมพูชุ่มลิปมันนั่นแบบเร็วๆ


   จุ๊บ


   “ชอบนะไอ้ตัวไป๋”


   จุ๊บ


   “บอกชอบกูบ้างดิ”

   “รำคาญ!” หลังแรงกดครั้งที่สองไป่ไป๋ก็ทิ้งตัวลงนอนพร้อมสะบัดมาห่มมาคลุมจนมิดทั้งตัวไม่หลงเหลือช่องให้อากาศได้ถ่ายเท โดยไม่สนใจผมที่กำลังนั่งรอฟังคำที่ต้องการอย่างใจจดใจจ่อ

   “..แค่ครั้งเดียวก็ไม่ได้เหรอ” ผมไม่ยอมแพ้ งัดทักษะมือปลาหมึกที่สั่งสมมาใช้ซอกซอนจนสามารถเข้าไปกอดถึงตัวขาวๆในผ้าห่มผืนหนาได้จนสำเร็จ

   “นะ.. เมีย”

   “โอ๊ย!”

   “...”

   “เออ .. กูชอบมึง ชอบเหี้ยๆ ชอบชิบหายเลย” ไม่รู้ว่าเจ้าตัวพูดออกมาจากใจจริง หรือจะพูดออกมาเพราะอยากตัดรำคาญ แต่คำบอกชอบสั้นๆย้ำใจความแค่นี้ก็เป็นชนวนให้ผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเหมือนหนุ่มน้อยหัวนมเพิ่งแตกพาน ส่งแรงกอดทั้งหมดที่มีผ่านผ้าผืนหนาไปหาไป่ไป๋ด้วยความหมั่นเขี้ยว


   “อื้อ วันจันทร์นี้ก็สู้ๆนะ”

   “ไอ้เชี่ย บรรยายกาศกำลังดี มึงจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมเนี่ยยย”

   “ฮ่าๆ”

   “มึงแม่งชอบแกล้งกูจัง”


   คนในก้อนผ้าห่มลุกขึ้นมาโอดครวญเมื่อผมไปสะกิดเรื่องที่เจ้าตัวไม่ชอบขึ้นมา .. เพราะน่ารักอย่างนี้ไงถึงได้ชอบแกล้งอะ รู้ตัวได้แล้ว : )


▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔


ตอนหน้าฉากดุใหญ่จะมาแร้ว!!!
ปล.ถ้าชอบยังไงก็อย่าลืมกดให้กำลังใจ คอมเมนต์ หรือบอกต่อเพื่อให้กำลังใจนุด้วยนะฮ้าบบบบ


ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9
(เพจใหม่ค่ะ )

และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2018 17:26:34 โดย pearyypinkyy »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
นังพิวมันต้องวางแผนอะไรวั้ยแน่ !  :hao7:

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
ตอนหน้าจะมีฉากใหญ่อะไรน้อ
 :hao6:

ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1012
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4
น่ารักง่อววว

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
chapter twenty。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔

 


just pew : เกรดซัมออกวันไหน?

                     
paipai : วันศุกร์นี้แหละ
                     paipai : ทำอะไรอยู่



   หลังจากสิ้นสุดการเรียนการสอนในเทอมที่สามที่ผมต้องอยู่ชดใช้กรรมเรียนวิชาเคมีระยะเวลาเกือบสองเดือน จนตอนนี้ผมก็ได้กลับบ้านเข้าสู่การปิดเทอมอย่างสมบูรณ์แบบเสียที

   จากความรู้สึกที่ได้เรียนผมคิดว่าผลคงออกมาอย่างผ่านฉลุยเพราะได้อาจารย์ดีอย่างไอ้พิวช่วยอยู่หอเป็นเพื่อนช่วยติวจนผมแทบจะบรรลุ เวลานอนถูกลิดรอนเหลือเพียงวันละสี่ถึงห้าชั่วโมง โจทย์แบบฝึกหัดทุกข้อทุกเล่มทุกเรื่องบอกเลยว่าทั้งหมดนี้ได้ผ่านมือผมมาแล้วทั้งนั้น



just pew : ตอนแรกเล่นเกม
just pew : แต่เบื่อแล้ว
just pew : คิดถึงไอ้ตัวไป๋
just pew : คอลได้ไหม



   ตัวอักษรร้อยเรียงเป็นประโยคเชิงขอร้องที่เห็นแล้วต้องอมยิ้ม รวมถึงคำบอกคิดถึงสั้นๆทำเอาผมปฏิเสธไม่ลง


                     paipai : อื้อ


   ในตอนแรกที่ผมคิดว่าจะเป็นการคอลแบบโทรหากันธรรมดา แต่อีกฝ่ายกลับเปิดกล้องโชว์ใบหน้าของตัวเองจึงทำให้การคอลของเรากลายเป็นการวิดีโอคอลหากันไปโดยปริยาย


   [นอนอยู่เหรอ?]

   “นอนเล่นไปเรื่อย เพิ่งสิบโมงกว่าๆเอง”

   [วันนี้จะออกไปไหนไหม?]

   “ไม่อะ ขี้เกียจ มึงอะ?”

   [ตอนเย็นแม่ให้ออกไปซื้อของด้วยกัน] เส้นผมหน้าชี้ฟูไปคนละทิศละทางของอีกฝ่ายทำให้ผมเดาได้ว่าเจ้าตัวคงกำลังนอนกลิ้งไปมาบนเตียงไม่ต่างจากผม

   “เป็นลูกผู้ชายก็ต้องไปช่วยแม่ถือของช็อปปิ้งสิ จะหน้ามุ่ยทำไม”

   (ไม่ใช่หน้ามุ่ยเพราะต้องไปกับแม่ แต่หน้ามุ่ยเพราะ..)



   “น้องไป๋ทำอะไ- .. อ้าว คุยกับใครอยู่อะ?” ผมตกใจสะดุ้งตัวโยนเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูตึงตังขึ้นพร้อมเสียงทักทายของไอ้พี่ปุ๋ยที่มักจะมาป่วนที่ห้องผมเป็นประจำ แต่ไอ้การที่พี่ชายทะเล่อทะล่าเข้ามาทั้งๆที่ผมกำลังถือสายอีกคนอยู่น่าจะไม่ใช่ลางที่ดีสักเท่าไหร่

   “อ๋อ .. เอ่อ นี่”


   [พี่ปุ๋ยหวัดดี ผมพิวเองครับ]


   “ไหนขอดูหน้ามันหน่อย .. ไอ้น้องไป๋ เอาโทรศัพท์มานี่” สิ้นคำประกาศิตของคนมาใหม่ ผมก็ต้องยื่นสิ่งของในมือให้ด้วยความจำใจ แม้ในอกจะรู้สึกตุ๊มๆต่อมๆอยู่บ้างก็ตาม


   “หวัดดีไอ้หล่อ เป็นอะไรกับน้องชายกูวะมึงอะ?” โทรศัพท์ถูกยกขึ้นทำมุมให้เห็น ไอ้พิวที่ในตอนแรกกำลังนอนหัวฟูอยู่บนเตียง แต่ในขณะนี้กลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวอยู่ในท่านั่งพร้อมทรงผมที่ดูเรียบร้อยกว่าเดิมแล้ว

   [อยากเป็นแฟนครับ .. แต่ยังไม่ได้ขอ]

   “แล้วผู้หญิงคนที่มึงเอาขึ้นตัสด้วยเป็นใคร”
   
   [เรื่องมันยาวครับ พี่ปุ๋ยพอจะมีเวลาฟังไหม?]

   “เวลากูมีอยู่แล้ว เล่ามากูอยากฟังจากปากมึง” และแล้วเรื่องราวทั้งหมดก็ได้ถ่ายทอดออกมาจากคนปลายสายเป็นครั้งที่สองหลังจากที่เล่าให้ผมฟังคราวก่อนนู้น ตัวละครต้นเรื่องอย่างกุ้งถุกพูดถึงในทางที่ให้เธอมาเป็นติวเตอร์ให้เฉยๆ ส่วนข้อมูลการคบหาในเฟซบุ๊คถือว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น

   “เหยดเขร้ บนโลกคนนี้มีคนอย่างมึงเหลืออยู่ด้วยเหรอวะ .. แต่จะว่าไปน้องกูมันก็โง่เหมือนกันนะเนี่ย”

   “อ้าวๆ ไอ้พี่ปุ๋ยทำไมพูดงี้อะ?”

   “จริงไหมวะไอ้ลูกหมา ร้องห่มร้องไห้บอกอยากถอนอันนี้กูเข้าใจ แต่กลับบ้านมานอนซึมเพราะเข้าใจผิดอันนี้มึงโง่เอง”

   “ตอนนั้นพี่ปุ๋ยยังเข้าข้างไป๋อยู่เลยนะ”

   “เออ ช่างแม่ง .. ว่าแต่มึง ไอ้พิวทำไมยังไม่ขอสักทีวะ” สายตรงหน้าถูกสับเปลี่ยนให้เป็นการคุยโทรศัพท์ส่วนตัวทำให้ผมไม่ได้ยินถ้อยคำโต้ตอบจากปลายสาย แต่เดาจากสีหน้าและน้ำเสียงของพี่ปุ๋ยแล้วบทสรุปของเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอย่างที่คาดเอาไว้

   “ห้ะ ที่ไหน .. เออ ได้ๆ มึงจะบอกไป๋เองหรือจะให้กูบอก โอเค”

   “...”

   “เออ มีอะไรก็ปรึกษากูได้ ไม่กัดหรอกสัส .. เออๆ อะ มันจะคุยกับมึงต่อ” ผมรับโทรศัพท์มาอย่างไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์มากนัก ก่อนจะกรอกเสียงใส่ให้อีกคนได้รู้


   “..ฮัลโหล”

   [พรุ่งนี้ไปทะเลกัน]

   “ฮะ? พรุ่งนี้มึงบ้าป่ะเนี่ย”

   [ไม่บ้าหรอก รีแล็กซ์ก่อนเปิดเทอมไง]

   “เดี๋ยวกูต้อง..”

   [ขอพี่ปุ๋ยแล้ว ไปบ้านมึงคราวที่แล้วกูก็เคยบอกป๊าม๊าไปแล้วว่าอยากพามึงไปเที่ยว]

   “..ไปคุยกันตอนไหนวะ?”

   [เอาเป็นว่าพรุ่งนี้สิบเอ็ดโมงเดี๋ยวเข้าไปรับนะ]

   “อื้อๆ ได้”


   บทสรุปงงๆของใจความสำคัญได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ สายที่ถูกตัดไปทำให้ผมหันเหกลับมาให้ความสนใจแก่พี่ชายของตัวเองอีกครั้ง

   “เมื่อกี๊พิวคุยอะไรกับพี่ปุ๋ยบ้างอะ?”

   “ไม่มีอะไรมาก”

   “งั้นเหรอ”

   “เออน่า คิดว่าพี่จะกีดกันหรือยังไง” ป๊อกกี้รสช็อกโกแลตสมบัติของผมที่กินเหลือไว้ครึ่งค่อนกล่อง ในตอนนี้ได้ถูกพี่ปุ๋ยที่ยืนอยู่ตรงปลายเตียงนั้นได้ฉกไปกินแล้วเป็นที่เรียบร้อย

   “..ก็นิดนึง”

   “มันเป็นคนดี คนนี้กูให้ผ่าน” กล่องขนมสีแดงถูกยัดกลับเข้ามาในมือพร้อมกับแรงตบที่ไหลเบาๆสองสามที ก่อนจะสับเท้าเดินก้าวออกนอกห้องไป

   “อ่อ แล้วก็ ไปทะเลกับมันก็ระวังตัวดีๆนะ”

   “ไอ้พี่ปุ๋ย!” กล่องขนมเบาโหวงถูกโยนใส่ใบหน้ากรุ่มกริ่มเพราะหมั่นไส้ประโยคความหมายแฝงของเจ้าตัว

   “โอ๊ย! เอ้อ ไม่ยุ่งกับไอ้น้องไป๋แล้ว พี่ปุ๋ยงอน” มุมปากทั้งคู่ตกลงอย่างเง้างอด เดินคอตกออกห่างจากประตูไปทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เป็นปกติคงคิดสนใจแต่ตอนนี้ขอเซย์โนวให้ดีกว่า


   อันที่จริงแล้วผมก็เคยคิดเรื่องแบบนี้ไว้อยู่เหมือนกัน เหตุจากประสบการณ์ตรงที่ผ่านมาทำให้ได้รู้ว่าคนอย่างนายปฏิพลไม่ใช่คนแสนดีหรือคนที่อยู่ด้วยแล้วปลอดภัยสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะยิ่งเป็นทริปริมทะเลบรรยากาศชวนให้คล้อยตามง่ายๆก็ยิ่งแล้วใหญ่

   ส่วนตัวผมแล้วไม่ได้รังเกียจหรือจะปัดป้อง เนื่องจากผมก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะอยู่นิ่งๆได้โดยที่ไม่รู้สึกอะไร ในตอนที่เราทำเรื่องของผู้ชายกันสองคนผมเองก็ต้องยอมรับว่ามันสามารถทำให้ผมรู้สึกดีมากๆอีกต่างหาก..

   แต่เท่าที่ผมรู้มานั้นการตกเป็นฝ่ายที่อยู่เบื้องล่างมักจะต้องมีการเตรียมตัวเพื่อรับศึกอันหนักหน่วงก่อนเสมอ ถึงจะไม่ได้นำความรู้มาใช้ในเร็วๆนี้แต่อย่างไรผมเชื่อว่าสักวันคงต้องได้งัดมาประยุกต์ใช้ ไม่รอช้าสมาร์ทโฟนเชื่อมอินเทอร์เน็ตของผมจึงถูกนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการค้นหาข้อมูลที่ผมค้างคาใจในทันที

   คีย์เวิร์ดที่ต้องการถูกกรอกลงในช่องค้นหา ผลลัพธ์จากเว็บไซต์ขึ้นมาให้เลือกอ่านกันอย่างละลานตา ผมจึงเลือกสุ่มอันที่น่าจะเป็นประโยชน์ที่สุดขึ้นมา





ฝ่ายรับต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างครับ?
   
   ตามหัวข้อกระทู้เลย
   


   หน้าจอถูกสไลด์ลงมาเรื่อยๆอ่านคอมเมนต์ที่ดูเลอะเทอะบ้าง ไร้สาระบ้าง ตามลำดับ จนได้มาเจอกับคอมเมนต์ที่ดูเหมือนจะเป็นที่นิยมมากที่สุด..



ความคิดเห็นที่ 5
   ในครั้งแรกคุณควรจะทำความสะอาดและเตรียมสิ่งของที่จำเป็น เช่น เจล และถุงยางครับ ส่วนวิธีการที่จะทำให้รู้สึกเจ็บน้อยที่สุดคือการทำให้คุ้นชินเพราะครั้งแรกท่าเตรียมตัวไม่ดีจะเจ็บมากๆๆๆ ท่วงท่าแรกที่ผมแนะนำและเวิร์กสุดๆคือการนั่งบนตัวแฟนคุณครับ

ปล.ขอให้มีความสุขกับคนรักมากๆนะครับผม



   ไม้ยมกตอกย้ำความเจ็บปวดทำให้ผมรู้สึกใจแป้ว นึกหมดอาลัยตายอยากเมื่อเห็นสิ่งที่ผู้รู้ได้แนะนำให้ทำช่างเยอะแยะมากมายเสียเหลือเกิน


ความคิดเห็นที่ 17
   แนะนำให้ไปศึกษาดูจากของจริงฮะ


ความคิดเห็นที่ 32
   ของเราถึงกับเลือดออกเลยอ่า ใครเป็นบ้างมั้ย?



   มือข้างที่ยกโทรศัพท์ตกลงบนเตียงด้วยความหมดแรงเมื่อผมได้ไปเห็นคอมเมนต์อันสุดท้ายเข้าพอดิบพอดี นึกอยากจะระเบิดตัวตายให้จบๆไปเสียยังดีกว่ามานั่งคิดฟุ้งซ่านแบบนี้ .. เออ ช่างแม่ง คิดในแง่ดีกว่าไอ้พิวมันพาไปเที่ยว เราคงไม่ได้ทำอะไรที่ว่านี่กันหรอก


   ..มั้งนะ




❋❋❋





   ช่วงสายในวันถัดมาที่เป็นวันพฤหัสบดีของต้นเดือนสิงหาคม อากาศข้างนอกดูปลอดโปร่งแจ่มใสเหมือนรู้เห็นเป็นใจให้ผมได้ออกจากบ้าน จากเดิมที่เอาแต่คลุกตัวอยู่แต่ในห้องนอนภายหลังจากปิดเทอม

   “น้องไป๋ เอาของไปครบหรือยังลูก?”

   “ครบแล้วม๊า ขาดอะไรเดี๋ยวไป๋ค่อยไปซื้อเอาข้างหน้า”

   “งั้นก็เที่ยวให้สนุกนะ”

   “ครับม๊า ไป๋ไปแล้ว เดี๋ยวซื้อของมาฝากนะครับ บ๊ายบาย”

   รถยนต์คันเดิมเข้าจอดข้างริมรั้ว กระโปรงท้ายรถถูกเปิดออกโดยคนขับอย่างรู้งาน ประตูรถถูกเปิดออกทำให้เห็นเจ้าของรถได้อย่างชัดเจน

   “ทำไมวันนี้มึงหล่อจังวะ” พูดเองก็ตกใจเองเพราะประโยคข้างต้นเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกไป ท่าทางตกใจหลังจากพูดจบของผมนั่นทำให้ไอ้พิวยิ้มออกมาได้ในทันที

   “กูหล่อทุกวันว่ะเมีย”

   “อ่อจ้า” คิ้วข้างขวาถูกยกขึ้นสองสามทีด้วยความมั่นอกมั่นใจ แต่คำพูดที่หลุดปากออกไปของผมมันก็คือความจริงทั้งนั้น เสื้อเชิ้ตฮาวายกับกางเกงสามส่วน กับผมที่ถูกเช็ตมาในวันนี้ทำให้พิวดูดีจนแปลกตากว่าปกติ

   “สรุปเราจะไปที่ไหนกันวะ?”

   “ตอนแรกว่าจะไปเกาะช้างแต่หาที่พักดีๆไม่ได้เลยเปลี่ยนใจพามึงไปหัวหินแทน”

   “โหย ต้องที่พักดีๆด้วย?”

   “ฉลองเรียนซัมเมอร์เสร็จไง” ฝ่ามือว่างเว้นจากการเปลี่ยนเกียร์ได้วางพร้อมตบปุๆลงบนหัว แม้จะเมื่อวานจะขอหารค่าที่พักกับเจ้าตัวไปแล้วแต่เจ้าตัวก็บอกปัดสถานเดียว แถมในตอนที่ถามที่หมายก็เอาแต่บอกว่าให้มารู้วันนี้ทีเดียวอีก

   “เสี่ยพิวแม่งแน่นอนว่ะ”



   หลังจากที่คืบคลานออกจากเขตของกรุงเทพได้ เราก็ขับรถโดยใช้เส้นถนนหลวงสายทอดยาวกันมาอย่างไม่รีบร้อน เพลงในรถถูกเปิดให้ช่วยสร้างบรรยากาศภายในรถได้เป็นอย่างดี

   “เอะอะก็ว่าร้าก เออะก็คิดถึง แต่เธอไม่เคยซึ้งไม่เคยเข้าจาย”

   “ถามจริงไอ้ตัวไป๋ มึงเคยร้องเพลงแบบนี้ตอนอยู่บ้านบ้างป่ะ?”

   “เคย กูไม่อยากจะเล่าว่าไอ้พี่ปุ๋ยแม่งโยนถุงเท้าใส่กูด้วย”

   “ฮ่าๆ สมควร ถ้ามึงร้องงี้ตอนอยู่หอกูจะเขวี้ยงด้วยรองเท้าเลย”

   “แหน่ๆ ไอ้พิวมันปากดีจังเลยวะ”

   “มีเมียปากหมาก็ต้องปากหมาตามเมีย”



   ต่อมาไม่นานปั๊มน้ำมันถูกใช้เป็นจุดพักรถเพื่อทานข้าวและซื้อขนมนมเนยกักตุนไว้กินในระหว่างทาง ทั้งคู่นั่งคุยสัพเพเหระกันเหมือนไม่ได้เจอกันมาหลายปีแต่จริงๆแล้วพวกเขาไม่ได้เจอกันเพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น

   ตัวรถได้ขับผ่านเขตของพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีบ่งบอกว่าทั้งสองกำลังจะถึงจังหวัดประจวบฯอันเป็นจุดหมายในอีกไม่ช้า ด้านไป่ไป๋ที่ตื่นเต้นกับการได้นึกถึงวัยเด็กที่เคยได้มาเที่ยวเล่นกับครอบครัวก็เอาแต่จ้อเรื่องราวต่างๆพร้อมป้อนขนมให้คนข้างๆไปอย่างไม่ยอมหยุด

   “กูยังจำเรื่องตอนที่กูมาชะอำกับที่บ้านได้เลย แม่งน่าอายชิบหาย”

   “เรื่องอะไรไหนเล่ามาดิ”

   “เรื่องตั้งแต่กูอยู่ประถมได้มั้ง จำได้ว่ากูไปเล่นน้ำกับพี่ปุ๋ย แล้วพี่แม่งจังไร”

   “ทำไมวะ?”

   “ไอ้พี่ปุ๋ยแม่งผลักแย่งห่วงยางจนกูจมน้ำ แต่เรื่องมันไม่ใช่แค่นั้นนะเว้ย”

   “มีอะไรอีก”

   “ในจังหวะที่พี่แม่งแย่งไปอะ กูกำลังนอนอยู่บนห่วงยาง มึงนึกภาพออกใช่ป่ะ พอพี่แม่งกระชากไปปุ๊บตัวกูงี้ตกน้ำตีลังกาขาชี้ฟ้าเลย .. ไอ้เหี้ยเอ้ย เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยตีลังกา แต่เสือกมาทำตอนอยู่ในทะเล หมาชิบหาย”

   “ฮ่าๆ ไอ้สัส พูดซะกูเห็นภาพเลย”

   “ยังไม่หมดนะ กูนี่สำลักน้ำเค็มเข้าไปเต็มกระเพาะ แต่จุดที่พีคที่สุดของเรื่องคืออะไรรู้ป่ะ อะๆๆ กูให้ทาย?”

   “มึงกระโดดถีบพี่ปุ๋ย?”

   “ไอ้สัส ตอนนั้นกูตัวเท่าข้อตีนพี่แกเองมั้ง พูดไม่คิด ..”

   “เอ้าเมีย ก็มึงให้กูทาย”

   “ก็ได้ๆ .. มึงนึกภาพตามกูนะ ในจังหวะที่มึงกำลังสำลักน้ำจนไอโขลกๆ พอมึงมีสติฉุดตัวเองขึ้นจากน้ำได้มึงก็ลืมตามาเจอกับ..”

   “กับ?”

   “กั๊บบบ”

   “ไอ้สัสลีลา จอดรถจับปล้ำแม่งตรงนี้เลยดีไหมจะได้เล่าให้จบๆ”

   “อย่าเกรี้ยวกราดสิ .. กู เงย หน้า มา เจอ กับ ผ้าอนามัย”

   “...”

   “ไม่ขำเหรอ?”

   “ฮ่าๆๆๆๆ ไอ้เหี้ยเอ๊ย กูจอดรถพักก่อนได้ไหมวะ ขำจนปวดท้อง ฮ่าๆๆๆ” ระเบิดเสียงหัวเราะจากคนที่ชอบเก๊กขรึมดังขึ้นลั่นรถ ทำให้ขนมที่กินคาช่องปากอยู่แทบหลุดลงไปในลำคอ ส่วนทางด้านคนเล่าก็มีอาการช็อกไปเล็กน้อย เพราะเพิ่งเคยเห็นเจ้าตัวขำท้องขดท้องแข็งแบบนี้เป็นครั้งแรก

   “โอ๊ย ฮ่าๆ แล้วมึงทำไงวะ?” มือหนายกขึ้นปาดน้ำที่ปลายหางตาแต่ก็ยังไม่ละโฟกัสไปจากท้องถนนตรงหน้า

   “ก็จับมือไอ้พี่ปุ๋ยแล้วพากันวิ่งออกมาจากตรงนั้นเลย กลัว”

   “ชีวิตวัยเด็กมึงนี่จี้สัส”

   “เรื่องเล่าตอนเด็กๆของมึงอะ?”

   “อยากรู้?”

   “มีเหตุผลอะไรให้ไม่ให้อยากรู้อะ?”

   “เดี๋ยวถึงรีสอร์ตแล้วค่อยเล่าให้ฟัง”

   “อ่าฮะ”






   เวลาบ่ายสองกว่าๆทั้งคู่ก็ได้เดินทางมาถึงยังรีสอร์ตติดริมทะเลบรรยากาศร่มรื่น หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้วก็ได้พากันเข้าสู่ห้องพักหันหน้าออกสู่ทะเลทำให้สามารถเห็นภาพบรรยากาศผ่านนอกผ่านกระจกระเบียงได้อย่างชัดเจน

   “เหยดเขร้ ห้องสวยสัสอะ”

   “เป็นไงชอบป่ะ?”

   “ชอบดิ .. เชี่ย นอนมองทะเลบนเตียงก็ได้ว่ะ” ผมเอนตัวลงนอนมองวิวเบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้น หลังจากที่ไม่ได้มาพักผ่อนริมทะเลอย่างนี้เป็นเวลานานมากแล้ว คงไม่ต้องสืบว่าห้องพักดีๆอย่างนี้จะราคาแพงลิบลิ่วแค่ไหน

   “แขกคนก่อนเขาแคนเซิลตอนกูจะจองพอดี”

   “แล้วจองไว้กี่คืนวะ?”

   “สอง เช็คเอ้าท์เที่ยงวันเสาร์”

   “ยังไม่ต้องจัดกระเป๋าหรอก ขับรถมาตั้งไกล มานอนนี่ก่อนมา” น้ำหนักตัวถูกทิ้งลงบนเตียงนอนนุ่มตามคำชักชวน พร้อมกับวงแขนที่สอดแทรกเข้ามาใต้หัวอย่างที่เจ้าตัวทำเป็นประจำ

   “จะเล่นทะเลเย็นนี้เลยไหม?”

   “เอาดิ เวลาเหลือเล่นเจนก้ากันไหม?“

   “มึงเอามาอ่อ”

   “เออ”

   “จัดไป ใครแพ้ทำอะไรดี?”

   “คนแพ้ต้องนอนให้อีกคนก่อกองทรายบนตัว”

   “เออ ดีๆ มึงเตรียมตัวเป็นนางเงือกไว้ได้เลยไอ้หมาพิว” และแล้วท่อนไม้เรียงเป็นกองสูงก็ได้ตั้งตรงลงตรงบนพื้นต่อหน้าพวกเรา เกมตึกถล่มดำเนินไปอย่างไม่มีใครยอมใคร ท่อนไม้ชิ้นเล็กถูกหยิบออกครั้งละหนึ่งต่อหนึ่ง ความดุเดือนของเกมยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อจำนวนตัวต่อตรงหน้าลดลง จนในที่สุดเราก็ได้ผลผู้แพ้ออกมาอย่างเป็นทางการ ..
   
   


 

   “ไอ้เชี่ยพิว อย่าโกยใส่หน้า ทรายมันเข้าปากกู”

   “แพ้เองช่วยไม่ได้” ศิลปะบนกองทรายถูกสร้างสรรค์ขึ้นจนเป็นรูปเป็นร่าง ส่วนหางถูกต่อเติมวาดครีบจนสวยงาม แถมผมยังได้ของแถมเป็นช่วงเนินอกสุดสะบึ้มนี่อีกต่างหาก

   “อะ เอาเปลือกหอยปิดหัวนมไวด้วย เดี๋ยวโป๊”

   “กูต้องอยู่อย่างนี้นานอีกแค่ไหนเนี่ย”

   “อีกแปปนึง ขอถ่ายรูปเก็บไว้ก่อน” ทางด้านของไอ้พิวดูเหมือนจะภูมิใจผลงานของตนเองดูไม่น้อย โทรศัพท์ในซองซิปกันน้ำถูกหยิบขึ้นมาใช้ถ่ายรูปสภาพอันน่าเกลียดของผมในตอนนี้

   “สองนิ้วหน่อย หนึ่ง สอง ซั่ม..”

   “ขอดูหน่อยกูหล่อป่าว”

   “ไม่ให้ดูหรอก เสร็จแล้ว จะลงทะเลเลยไหม?”

   “กูขอไปล้างปากแปป ทรายเข้าเต็มเลย”

   “รีบไปรีบมา” พะเนินทราบบนตัวถูกพังทลายลงหลังจากที่ผมยันตัวลุกขึ้นพรวดพราด รีบเดินตรงมุ่งหน้าสู่พื้นที่ล้างตัวของทางรีสอร์ตเพื่อล้างเศษทรายในปากออกให้หมด




   “ถุยๆๆๆ”

   “ขาวจัง”

   “หื้ม” เสียงพึมพำระยะประชิดทำให้ผมที่กำลังก้มหน้าก้มตาล้างสิ่งสกปรกของออกจากใบหน้าต้องเงยหน้าขึ้นมาเพื่อมองหาเจ้าของเสียงที่ว่านั่น

   “อุ้ย ม-มีอะไรหรือเปล่าครับ” แต่แล้วก็ต้องตกใจจนผงะเมื่อแหงนหน้าขึ้นมาปะทะสายตากับชายปริศนารูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่บริเวณก๊อกน้ำอันถัดไปซึ่งไม่ห่างกันมากนัก

   “สวัสดีครับ ผมดอนครับ”

   “อ่า ไป่ไป๋ครับ” ฝ่ามือกร้านถูกยกยื่นมาเบื้องหน้า ด้วยความเกรงใจผมจึงยกมือขึ้นไปเช็คแฮนด์กับเขา แต่ดูเหมือนว่าเรื่องยังไม่จบเพียงแค่การทักทายเท่านั้น

   “น่ารักดีนะครับ ผมอยู่ห้องข้างๆคุณพอดีเลย”

   “ว่าแต่รู้ได้ไงครับว่าผมอยู่ห้องไหน”

   “ผมเห็นคุณตอนเดินออกจากห้องกับผู้ชายอีกคนพอดีน่ะครับ ว่าแต่..”

   “...”

   “คุณกับเขาเป็นอะไรกันเหรอครับ”

   “อ่อ ก็..” คำถามเรื่องส่วนตัวถูกเอ่ยออกมาจากปากผู้ชายกล้ามโตผิวคล้ำแดดบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง .. ไร้ซึ่งคำตอบให้คนถาม ไม่ใช่เพราะไม่อยากตอบ แต่ผมไม่รู้จะตอบว่าอะไร

   จะให้บอกว่าเป็นเพื่อนมันก็ไม่เชิง แต่แฟนก็ยังไม่ใช่

   “เราเป็น.. เพื่อนกันครับ”

   “ดีจังเลย งั้น..”

   “ไป๋เสร็จยัง บ้วนปากอะไรทำไมนานจังเลย” เสียงทุ้มดังขึ้นแทรกจังหวะที่เพื่อนใหม่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างต่อ ได้โอกาสให้ผมออกแรงชักมือของตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุมทันที

   “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผม..ผมไปก่อนนะ” รีบสาวเท้ายาวๆออกมาจากด้านหลังกำแพงกั้นด้วยความรู้สึกแปลกๆ ก่อนจะพบกับพิวที่เดินมาตามเข้าพอดิบพอดี

   “นานจังวะ”

   “เจอคนข้างห้องมาทักอะ เลยคุยไปนิดหน่อย”

   “งั้นเหรอ ช่างแม่ง ไปเล่นน้ำกันได้แล้วเดี๋ยวอาทิตย์ตกแล้วจะอดเล่น”

   “เออ ป่ะๆ”




   คลื่นน้ำสาดเข้าปะทะร่างของทั้งสองกลางทะเลเป็นระลอก แสงดวงอาทิตย์อัสดงเติมแต่งลงบนผิวกาย ระดับน้ำเค็มเสมอประมาณเอวที่บ่งบอกว่าตำแหน่งของพวกเขาอยู่ไม่ห่างจากผืนทราย ในขณะเดียวกันฝั่งคนบนห่วงยางกำลังปกป้องความสวัสดิภาพของตัวเองไว้อย่างสุดกำลัง

   “ไอ้เชี่ยพิว อย่าดึง อยากให้กูตกน้ำหรือยังไง”

   “ย้อนวัยหน่อยเป็นไงไอ้ตัวไป๋”

   “เฮ้ย อย่าๆ ไอ้สั-”


   ตู้ม!


   ไป่ไป๋พลัดหล่นจากห่วงยางตกน้ำในท่าทางหงายหลังจนขาชี้ฟ้า พอทรงตัวอยู่ก็ฉุดรั้งตัวเองให้โผล่พ้นน้ำ ก็หันไปส่งสายตาคาดโทษคนที่เอาแต่แกล้ง กระแอมกระไอเพราะอาการสำลักน้ำจนแสบคอไปหมด พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไปว่ามันช่างคลับคล้ายคลับคลาเรื่องเก่าๆเหลือเกิน

   ในขณะนั้นจึงส่งสายตาทอดมองบนพื้นน้ำใกล้ตัวด้วยความระมัดระวัง พร้อมภาวนาอย่าให้เดจาวูมันเกิดขึ้นให้หัวของเขามากไปกว่านี้เลย .. แต่ก็เหมือนว่าสวรรค์จะไม่เข้าข้างเขาสักเท่าไหร่

   “..ไอ้สัส ถุงยางอนามัย!” นิ้วเรียวของไป๋ที่เพิ่งดื่มน้ำทะเลเข้าไปเต็มอึกเมื่อครู่ชี้ตรงไปยังซากอารยธรรมที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทางการสืบพันธุ์กำลังลอยตุ๊บป่องห่างไปเพียงเสี้ยวเมตร

   “พิว ขึ้นเหอะ กูเหมือนจะอ้วกยังไงไม่รู้ว่ะ”

   “กูขอโทษนะไอ้ตัวไป๋”

   “มึงไม่ต้องมาพูดเลย”

   “โอ๋ๆ ป่ะ เดี๋ยวคืนนี้กูเลี้ยงเบียร์เอง”

   “..มึงแม่ง” และแล้วคนตัวสูงก็กอดคอพาคนหน้ามุ่ยเดินห่างจากจุดเกิดเหตุไปในที่สุด



❋❋❋




   และแล้วมื้อเย็นของเราก็เป็นร้านอาหารทะเลบรรยากาศน่านั่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากรีสอร์ต ซีฟู้ดที่สั่งถูกพากันมาวางเรียงรายจนเต็มโต๊ะ ด้วยความหิวโหยที่มีทำให้ของกินทั้งหมดถูกตักลงกระเพาะพวกเราทั้งสองจนหมดเกลี้ยง และแน่นอนว่าค่าอาหารมื้อนี้ไอ้พิวไม่ยอมให้ผมมีส่วนร่วมแม้แต่เศษสตางค์อีกแล้ว ..

   สิ้นสุดมื้ออาหารเราก็พากันเดินไปหาของมึนเมาและขนมขบเคี้ยวในร้านสะดวกซื้อเพื่อเอาไว้กินช่วงดึกตามที่พิวต้องการ




   “ชน/ชน” รสชาติขมนุ่มของเบียร์กระป๋องยี่ห้อยอดนิยมถูกกระดกกลืนผ่านลำคอ เก้าอี้นวมตัวยาวทั้งสองตัวในห้องถูกเคลื่อนย้ายมาไว้หน้ากระจกบานเลื่อนตรงระเบียง ภาพทะเลยามกลางคืนสะท้อนกับแสงจันทร์จนระยิบระยับน่ามอง อีกทั้งอากาศไม่ร้อนไม่เย็นพร้อมทั้งกลิ่นเกลือที่ได้พัดโชยเข้ามา ทำให้รู้สึกเหมือนได้ปลดเปลื้องเรื่องทุกอย่างเอาไว้ที่เบื้องหลัง


   “เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นมึงสูบบุหรี่เลย” ผมเอ่ยทักคนตัวสูงที่กำลังนั่งไม่ห่างกัน เมื่อนึกสังเกตได้ว่าช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นเขาถือบุหรี่ขึ้นสูบสักเท่าไหร่

   “กำลังเลิกอยู่”

   “หือ จริงจัง”

   “จริง”

   “ครั้งแรกที่สูบบุหรี่คือตอนไหนวะ?”

   “...”

   “ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่เป็น-”

   “ตอนเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ..” ผมหันหน้าไปเลิกคิ้วใส่คนข้างตัว นึกว่าไอ้พิวมันจะไม่ตอบซะแล้ว..

   “มีเรื่องนึงที่มันวนเวียนในหัวกูเต็มไปหมด กูเลยไปปรึกษาเพื่อนตอนมอปลายว่าทำยังไงมันถึงจะหายไป.. ตอนนั้นแหละที่กูเริ่มสูบครั้งแรก”

   “ร-เรื่องอะไรวะ”

   “...เรื่องมึงกับแฟนเก่าไง” รู้สึกเหมือนตัวเองจมหายไปในห้วงของเวลาในตอนที่คนเล่าหันมาสบตากันตรงๆ สายตาจริงจังทั้งสองนั่นช่วยกันตอกย้ำว่าทุกคำพูดคือความจริง

   “แล้วทำไมถึงเลิกอะ?”

   “อันนี้มีเหตุผลสองข้อคือ หนึ่งแม่กูเป็นภูมิแพ้ ส่วนสองก็คือมึง..”

   “กลัวกูเหม็น?”

   “ฮึ หนึ่งในโทษของบุหรี่คือผมร่วง”

   “...”

   “กูกลัวมึงหัวล้าน เพราะปัจจุบั- .. โอ๊ยๆๆๆ!” แรงหยิกถูกส่งจากนิ้วมือผมสู่ช่วงสะบั้นเอวของไอ้พิวทันทีที่ได้ยินคำพูดต้องห้ามออกมาจากคนปากปีจอ เพราะความเจ็บจึงส่งผลให้อีกคนทำหน้าเหยเกพร้อมร้องโอดโอยออกมาด้วยความทรมาณ

   หมดมู้ดเลยไอ้สัส..


   “ไอ้ตัวไป๋ปล่อยๆ”

   “ขอโทษกูมาเดี๋ยวนี้”

   “ก็มึงหัวเถิกจริงๆอะ”

   “แม่งเอ๊ย..”


   จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ


   หลังจากที่ปลดปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระแต่กลับเป็นผมเองที่ตลบหลัง เพราะฝ่ามือกว้างนั่นเอื้อมเข้ามาล็อกใบหน้าผมไม่หันให้หนีไปไหน จัดการเลิกผมปรกม้าแล้วระดมจูบลงแรงๆจนรู้สึกได้ว่าตัวเองหน้าบูดเบี้ยวไปหมด

   “หัวเถิกก็ชอบนะ”

   “อ-อืม”


   คงคอนเซ็ปต์ตบหัวแล้วลูบหลังเหมือนเดิมเลยนะไอ้ตัวเหี้ย..




   เวลาล่วงคล้อยไปจนเกือบจะวันใหม่ เบียร์ค่อนโหลที่ถูกซื้อมาเมื่อตอนเย็นถูกบริโภคจนเหลือเพียงสองกระป๋องสุดท้าย ไป่ไป๋รู้สึกเหมือนคอตนเองอ่อนปวกเปียกไปหมดจนต้องเอนตัวลงพิงกับพนัก ส่งเบียร์อึกแรกของกระป๋องสุดท้ายลงไปช้าๆ ความสวยงามของทะเลเวลานี้คงไม่น่าดูเท่าคนรูปหล่อที่มาด้วย

   “มองหน้าอย่างงี้อยากเป็นเมียของจริงหรือยังไง?”

   “พิว .. มึงอะ” ตาฉ่ำเยิ้มที่จ้องมองมาเป็นเหตุให้ร่างสูงรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนใบ้ขึ้นมาเสียดื้อๆ

   “...”

   “จีบกูติดแล้วนะ เมื่อไหร่จะขอกูเป็นแฟนสักที”

   “อยากเป็นแฟนกูขนาดนั้นเลย?” พิวส่งยิ้มด้วยความอารมณ์ดีให้บางๆ มองปราดเดียวก็รู้ว่าแล้วว่าไป่ไป๋ตกอยู่ภายใต้อำนาจของแอลกอฮอล์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

   “อื้อ อยากมาก”

   “แล้วอยากจูบกันไหม?”

   “จูบบ่อยไปแล้วนะมึงอะ” ร่างบางพูดถ้อยคำตำหนิดูไม่จริงจัง ในขณะที่ตัวเองได้ยื่นหน้าทำปากจู๋ใส่คนขอภายในทันที ช่างดูขัดแย้งกันจนพิวหลุดขำขึ้นมา

   ลำตัวของไป่ไป๋ถูกฉุดรั้งด้วยแรงทั้งหมดที่มี ส่งผลให้ร่างทั้งร่างของเขาได้มานั่งจุมปุ๊กทับช่วงล่างของนายปฏิพลแล้วในที่สุด

   ดวงหน้าของทั้งคู่ถูกดึงดูดเข้าหากันไปตามอารมณ์ จนเสียงเสียงหยาบโลนที่เกิดขึ้นดังจนกลบเสียงคลื่นไปเสียหมด นานนับนาทีที่พวกเขาใช้ลมหายใจใกล้ชิดกันก่อนจะผละห่าง

   “นี่ดิ เขาถึงจะเรียกว่าโรแมนติก”

   “อยากโรแมนติกบ่อยๆไหม? : )”

   “..อยาก”

   “งั้น-”

   “แต่ตอนนี้ง่วงแล้วอะ ขอนอนนะ” พูดจบหัวอันหนักอึ่งของคนที่อยู่ด้านบนก็ทิ้งลงบนบ่าของร่างหนา ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งนิ่งงันทำอะไรไม่ถูก จนในที่สุดก็ต้องช้อนนตัวคนบนตักอุ้มกระเตงพาไปที่เตียง จังหวะยุบขึ้นลงของหน้าท้องบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวเข้าสู่ความฝันไปแล้ว

   พิวจูบหนักๆบนหน้าผากอีกหนึ่งทีเป็นค่าเหนื่อยในการจัดการพาไป๋เข้านอน เสียงกระซิบของความลับดังขึ้นใส่หูคนที่กำลังหลับ เพราะรู้ว่ายังไงอีกฝ่ายก็ไม่มีทางตื่นมาได้ยิน


   “เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้..”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2018 21:02:49 โดย pearyypinkyy »

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
❋❋❋






   “ไอ้เหี้ยเอ๊ย กูไม่กล้าเปิด”

   “เปิดดิ”

   “ไม่เอา เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเปิด”

   “เอามานี่เดี๋ยวกูเปิดเอง”

   “ฮื่อ”



   โทรศัพท์ค้างหน้าเว็บไซต์ประกาศเกรดของมหาลัยถูกส่งทอดให้ไอ้พิวที่นั่งตรงข้ามกันบนโต๊ะอาหารมื้อเที่ยง

   เมื่อเช้าคงเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของเบียร์เมื่อคืนที่กว่าผมจะตื่นก็ปาไปเกือบสิบโมงเช้านู่นแล้ว และแน่นอนว่าเราไม่ทันกินเบรคฟัสต์ของทางโรงแรม จึงต้องหอบท้องพากันขับรถมากินในร้านอาหารแถวตัวเมืองแทน


   “กดเข้ายังๆๆ”

   “แล้ว..”

   “เป็นยังไงบ้างวะ ไอ้สัสอย่ายื้อกูตื่นเต้น”

   “มึงคิดว่าตัวเองจะได้อะไร?”

   “ซีบวกกูก็ร้องไห้แล้วไอ้เชี่ย”

   “ดีใจด้วยมึงได้บีบวก”

   “ฮะ? บีบวกเลยอ่อ น้ำตากูไหลแล้วแม่งเอ๊ย” สมาร์ทโฟนถูกส่งกลับคืนมาพร้อมตัวอักษรภาษาอังกฤษตัดสินอนาคตของผมตรงหน้า



วทคม113   เคมีทั่วไป      B+



   “ยินดีด้วย ไอ้ตัวไป๋”

   “ไอ้พิวกูขอบคุณมึงมากเลยนะ ฮื่อ ถ้าไม่ได้มึงป่านนี้กูคงแดกปลาแล้วแน่ๆเลย” ผมเอื้อมมือไปเกาะกุมของไอ้พิวไว้แน่นด้วยความดีใจ

   “มึงขยันขึ้นต่างหาก .. ป่ะ อิ่มยัง จะได้ไปไหว้พระกัน”  ผมส่งยิ้มให้คนที่เปรียบเสมือนผู้มีพระคุณในชีวิตคนล่าสุด คำชักชวนชี้ให้ก้าวเดินไปในเส้นทางที่เราได้เลือก

   ผมและคนที่ผมรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินกับการที่มีเขาอยู่

   “อื้ม ป่ะกัน”
   
   


   
   รถยนต์เคลื่อนที่ไปตามถนนทางหลวงหมายเลข 3218 ด้วยอัตราเร็วคงที่ จากร้านอาหารในที่สุดเราก็มาถึงวัดที่เป็นเป้าหมาย โชคดีที่วันนี้เป็นวันธรรมดาผู้คนจึงไม่คับคั่งอย่างคราวที่ผมเคยมาครั้งก่อน

   เราเข้าไปซื้อดอกไม้ธูปเทียนเพื่อสักการะรูปเหมือนของหลวงปู่ทวดองค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ดูเหมือนบันไดหลายสิบขั้นตรงหน้าจะดูเป็นปัญหาต่อคนสุขภาพเสียเพราะบุหรี่ที่เคยสูบเอาไม่น้อย

   “เหนื่อยแล้วเหรอ?”

   “เออ สงสัยกลับบ้านไปต้องเข้าฟิตเนสหน่อยละ”

   “มา” วงแขนผมได้ยื่นเข้าไปหาอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์มากสักเท่าไหร่

   “เกาะไว้ดิ เดี๋ยวพาขึ้น” เราทั้งสองยิ้มให้กันเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่ผมรู้แค่ว่าปฏิกิริยาของไอ้หมาพิวดูเหมือนจะพอใจเอามากๆเลยทีเดียว

   “ขอบคุณครับ : )”



   หลังจากเราออกจากวัด และเข้าไปในตัวเมืองของจังหวัดเพื่อเที่ยวชมจนเสร็จสิ้นแล้วก็ถึงเวลาอันเหมาะอันควรที่จะกลับที่พักกัน ในระหว่างที่รถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความนุ่มนวลผสมกับความเหนื่อยล้าจากอากาศร้อนของวันนี้ จึงพาให้ผมงีบหลับไปโดยที่ไม่รู้ตัว

   “ไป๋ตื่น .. ไป๋”

   “หื้อ อ้าว ถึงแล้วเหรอ?”

   “ถึงแล้ว มารีบลงมาบนรถมันร้อน” ก้าวขาลงจากรถเสร็จผมก็ลงมาบิดขี้เกียจพอให้หายเมื่อย เดินออกจากบริเวณที่จอดรถมาพร้อมๆกับไอ้พิว

   “ไปเดินริมทะเลกัน อยากถ่ายรูปอะ”

   “อื้อ เอาดิๆ” แม้จะรู้สึกตงิดใจอยู่บ้าง เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยได้ยินคำชักชวนไปถ่ายรูปจากอีกคนเลยสักครั้งเดียว แต่ก็ยอมตามไปในที่สุด





   ชายหาดในชั่วสี่โมงเย็นที่แสงอาทิตย์ยังคงส่องสว่างบนฟากฟ้า พาให้ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่เลือกที่จะลงเล่นน้ำทะเลกันในเวลานี้ จึงทำให้เราทอดน่องฝากรอยเท้าทั้งสี่ข้างบนพื้นทรายกันได้อย่างสบายใจ น่าแปลกที่ทางด้านคนที่ชวนมาถ่ายรูปกลับไม่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บภาพเลยสักใบ


   ครืด ครืด


   “ใครโทรมาวะ?”

ตุลลี่สุดสวย



   “ฮัลโหล ลมอะไรหอบให้มึงโทรมาหากูวะ?”

   [ลมพัดตึ้งมั้ง..ครับ ว่าแต่เกรดออกแล้วเป็นไงบ้าง] ผมนึกขำในใจหลังจากที่ได้ยินเสียงลงท้ายว่าครับเบาๆหลังปะโยค .. พูดอย่างนี้แสดงอีกฝ่ายอยู่บ้านกับพ่อแหงๆ ไม่ต้องสืบให้ยากเลย

   “ดีกว่าที่คิดมากนิดนึง มึงอะเป็นไงบ้างกลับชลบุรีไปก็หายจ๋อมเลย”

   [สบายดี ตอนนี้มึงอยู่ไหนเนี่ย เสียงลมอู้ๆแปลกๆ]

   “อยู่ทะเลแหละ”

   [ส่วนนี้เดี๋ยวพิมพ์ไปด่าทีหลัง ตอนนี้ออกอากาศไม่ได้ .. เออ แค่นี้แหละ ไปกินข้าวก่อนนะ]

   “ฮ่าๆๆ เออๆ บาย” ผมตัดสายลงทันทีที่เราคุยกันเสร็จ เตรียมหันหน้าไปคุยเรื่องมื้อเย็นกับคนที่เดินมาด้วยกัน แต่ผมกลับพบแต่ความว่างเปล่าข้างกาย..





   “ไป๋!” เสียงเรียกดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้ร่างบางรีบหันตัวกลับไปหาเดี๋ยวความเร็ว นึกกังวลว่าอีกคนจะหายไปไหน ความสว่างในตอนบ่ายทำให้สายตาที่มองเห็นกริยาทุกอย่างชัดเจน ตั้งแต่เม็ดเหงื่อตามขมับและรวมถึงรอยยิ้มร่าเริงจากคนตัวสูงที่ยืนห่างกันไปไม่ถึงสิบก้าวดี

   ฝ่ามือข้างขวาที่โบกไปมาระดับแผ่นอกค่อยลดหลั่นลง นิ้วมือที่เหลือทั้งสี่ถูกงอเข้าเหลือเพียงนิ้วชี้พร้อมกับทำท่าจิ้มลงไปมา .. เชื้อเชิญให้เขามองพื้นทรายเม็ดสีขาวที่มีข้อความบางอย่างอยู่บนนั้น


เป็นแฟนกันนะ


   กิ่งไม้สั้นข้างๆกันเป็นคำตอบให้การถามหาที่มาที่ไปภายในใจของตนเอง แม้ในขณะนี้กายละเอียดจะได้พุ่งเข้าหาคนทำเรื่องเซอร์ไพร์สตั้งแต่อ่านข้อความจบแล้ว แต่ในส่วนของกายหยาบที่ยังคงนิ่งงันเพราะไม่มีแรงที่จะขยับท่อนขาไปไหน

   “ชอบมึงมากๆเลยนะ”

   “อื้อ รู้แล้ว”

   “โรแมนติกพอป่ะ?”

   “..สุดๆเลย” จังหวะเดียวกันที่ทั้งสองเลือกก้าวเท้าเดินเข้าหาอีกฝ่ายอย่างไม่มีใครคิดหันหลังกลับ วงแขนของคนสูงกว่าถูกกางออกกว้างเพื่อรองรับคนที่เขาเลือกจะให้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างสำคัญของกันและกัน


   ไม่ต้องคิดหนัก
   ไม่ต้องหาคำสวยหรูมาเพื่อการขอร้อง


   “ตกลงเป็นแฟนกันไหม?”
   “อื้อ..”
   
   แค่ยิ้มกว้างให้ความสุขเบื้องหน้า
   แล้วโอบกอดกันเพื่อต้อนรับชื่อเรียกในความสัมพันธ์อันใหม่
   

   “เป็นแฟนกันแล้วนะ”
   “ครับ ไอ้ตัวแฟน : )”




   มีคนไม่กี่คนบนโลกในนี้ที่จะโชคดีในความรักตลอดกาล
   แต่ก็มีหลายคนบนโลกใบนี้ที่ได้เจอคนที่เข้ามาทำให้เป็นความรักที่โชคดี
   เพราะการมีเขาตลอดไป..


   
   
❋❋❋
   
   




   “อื้อ .. พิวอย่าเพิ่ง”

   “บอกแล้วไงว่าถ้าได้เป็นแฟนปุ๊บจะจับทำเมียเลยอะ”


   
   ทันทีที่ประตูห้องถูกปิดจนสนิท ร่างของทั้งสองก็เข้าคลุกคลีกันจนแนบชิด เครื่องแต่งกายถูกนำออกจากร่างกายชิ้นต่อชิ้น จากประตูไปเรื่อยๆจนถึงเตียงนอนหนานุ่ม

   ซอกคอขาวผ่องถูกจองจำไว้ด้วยใบหน้าหล่อ จงใจประทับรอยความเป็นเจ้าของไว้ในส่วนที่สามารถเห็นได้ชัด

   “อ๊ะ ยังทำไม่ได้”

   “ทำไม?”

   “ไม่มีเจลกับถุงยาง” ร่างสูงที่เหลือเพียงบ๊อกเซอร์ตัวบางพรั่งพรูลมหายใจจนสุดปอดอย่างอดกลั้น ก่อนผละออกจากคนน่ารังแกที่นอนตาปรือบนเตียง

   พิวเอื้อมมือไปกดเปิดสวิตซ์เครื่องปรับอากาศให้เริ่มทำงาน กระเป๋าขนาดย่อมๆถูกรื้อค้นออกมาจากกระเป๋าเป้ใบใหญ่กว่า ซิปที่รูดออกเผยให้เห็นตัวช่วยที่ร้องขอเรียงรายกันอยู่ภายใน

   เอามาจากลิ้นชักชั้นบนสุดตรงหัวเตียงที่หอนั่นแหละ..

   “มีครบแล้ว”

   “ฮื่อ นี่คิดมาก่อนแล้วใช่ไหมเนี่ย”
   

   เขายกยิ้มให้กับสีชมพูน่ารักทั้งใบหน้าจนลามไปถึงใบหู


   “ก็คิดมาตลอดนั่นแหละ”

   “ก-กูกลัวเจ็บ”

   “เชื่อใจกันนะ”

   “..ฮึก”


   หัวเข่าแกร่งถูกส่งเข้าไปแยกท่อนขาแนบติดทั้งสองให้แยกห่าง มือหนาตระกองใบหน้าน่าเอ็นดูให้รับรางวัลคนเก่งจากริมฝีปากสู่ริมฝีปาก ก่อนจะลงขยับตัวลงไปสร้างความหวาบหวิวในส่วนอื่นต่อเนื่องกันจนร่างบางเหมือนจะหยุดหายใจอยู่ร่อมร่อ

   ชั้นในสีขาวถูกปลดระวางจากการเป็นปราการด่านสุดท้าย ฝ่ามือขาวปัดป่ายสะเปะสะปะไปหมดเมื่อถูกความอุ่นร้อนครอบงำ .. จนสะท้านไปทั้งร่าง

   “อ่า อย่า อย่า มันสกปรก” ใบหน้าชุ่มเหงื่อเชิดขึ้นระบายวาบหวามในช่องท้อง ฝ่ามือถูกส่งไปผลักไสคนดื้อดึงไม่เชื่อฟังคำพูด แต่ในจังหวะที่นิ้วเรียวทั้งห้ากำลังเกาะกุมที่เส้นผมสีดำสวยของอีกฝ่ายพร้อมกับใบหน้าแสนดึงดูดได้ช้อนสายตาขึ้นมาสบตา .. ในขณะที่ทำสิ่งลามกกับตัวเขาไปด้วยอย่างไม่คิดละอาย

   พาให้ใจกระตุกไปทั้งตัว

   “..อ๊า” แผ่นอกหอบกระเพื่อมพร้อมหลับตาปี๋เมื่อเข้าปะทะกับความสำราญที่เจือไปด้วยความกระดากอาย เสียงเสียดสีของผิวเนื้อและผ้าปูทำให้ไป่ไป๋ต้องลืมตามาเผชิญความจริงเบื้องหน้าอีกครั้ง

   ขวดรูปทรงประหลาดถูกหยิบฉวยขึ้นมาจากกระเป๋าสีทะมึน สะโพกถือยกขึ้นทาบทับหน้าตักของอีกฝ่ายไปพร้อมๆกับเสียงวัสดุพลาสติกในมือได้ถือเปิดขึ้น

   “อ๊ะ ฮ้า มันเย็น” ของเหลวลดการเสียดสีสัมผัสลงบนผิวส่วนอ่อนไหว ความเย็นแทรกซึมสู่ภายในไปพร้อมๆกับส่วนปลายสุดของมืออย่าง..

   นิ้วกลาง
   นิ้วนาง
   และนิ้วชี้

   จนแน่ใจว่าความตึงเครียดเฉพาะจุดจะค่อยๆสลายตัวจนทุเลา .. อิสรภาพเพียงชั่วคราวจึงกลับมาหาอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ตลอดไป

   คนกุมบังเหียนเอี้ยวตัวสุ่มหยิบถุงยางอนามัยหลากชนิดขึ้นมาเพียงหนึ่งกล่อง พลางมองคนรักที่ถูกเปลี่ยนสถานะให้มาเป็นแฟนเมื่อไม่นานที่กำลังยกแขนปัดป้องใบหน้าของตนเองให้หลุดพ้นจากสายตาของเขาอยู่

   สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันชนิดบางพิเศษเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็โน้มตัวลงไปหาไป่ไป๋อีกครา

   “จูบกัน จะได้ไม่เจ็บมาก”

   “ฮื่อ..” ผู้ถูกกระทำร้องอื้ออึงในลำคอแต่ก็ยอมทำสิ่งที่อีกฝ่ายบอกอย่างง่ายดาย สัมผัสละลาบละล้วงแตะต้องลงบนพื้นที่ต้องห้ามก่อนจะกดลงด้วยแรงตัณหาที่มี

   “โอ๊ย..”

   “ชู่ว ไม่ร้อง” แพขนตาชุ่มน้ำขึ้นมาในทันทีที่เริ่มต้น แขนขาวโอบรั้งคนกระทำเข้ามาแนบอกอย่างหาที่พึ่งพิง ความเจ็บไปกระจุกตัวกันเหมือนร่างทั้งร่างกำลังแตกสลาย


   ต่างจากพิวที่ถูกความสุขสมกลืนกินเข้าไปจนยากจะหันหลังกลับ


   “อ่าห์”


   คนตัวขาวผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆเมื่อสิ่งแปลกปลอมกำลังขับเคลื่อนภายในร่างกาย พิวผละอ้อมกอดขึ้นมามองภาพตรงหน้าด้วยความพึงพอใจ

   นี่แหละ รูปธรรมของการเป็นคนๆเดียวกันในฉบับลามกจกเปรต..

   ท่าทางของเรียวขาถูกจัดขึ้นให้สะดวกต่อการรองรับตัวตนมากขึ้น แต่ในขณะที่ร่างบางใช้เวลาตรงนี้ไปกับการคิดถึงคำพูดๆนึงที่กำลังวกวนไปมาในหัว


ท่วงท่าแรกที่ผมแนะนำและเวิร์กสุดๆคือการนั่งบนตัวแฟนคุณครับ



   “พร้อมนะ .. เฮ้ย” ผู้นำถูกสลับบทบาทมาเป็นผู้ตามในชั่วพริบตา สะโพกบางทาบทับเบื้องล่างจนสนิท ใบหน้าทั้งสองถูกเลื่อนขึ้นมาเสมอกันจนห่างแค่เพียงหนึ่งนิ้วคั่น

   “ขอทำเองก่อน อื้อ..” บทรักเริ่มเร่าร้อนขึ้นตามระดับ ไป่ไป๋ใช้ฝ่ามือยันกับหน้าอกของอีกฝ่ายไว้เพื่อส่งแรงให้ตนเอง ส่วนทางด้านของพิวก็เอาแต่นั่งจ้องคนใจกล้าบนตัวอย่างนึกไม่ถึง ใบหน้าน่ารักที่เชิดขึ้นตามอารมณ์ยิ่งจุดประกายสัญชาตญาณดิบในตัวเขาเอง


   ไม่นานนักที่พิวอดกลั้นทนเป็นเบื้องล่างไม่ไหว


   “อ้า .. พิวเบาๆ” การพลิกแพลงบทบาทในขณะที่ช่วงล่างยังเชื่อมต่อกันอยู่ แผ่นหลังบางถูกกดลงบนพื้นเตียง ไม่รอช้าพิวก็ส่งความกระสันเข้าเติมเต็มไป่ไป่จนพูดไม่เป็นศัพท์

   บางช่วงที่จังหวะเป็นไปอย่างเนิบนาบและล้ำลึก

   แต่บางช่วงกลับรุนแรงจนรู้สึกสั่นคลอนไปหมด


   “เชี่ย ข้างในมึงแน่นสัสๆ”


   นึกขอบคุณเตียงระบบสปริงของทางโรมแรมที่ช่วยชูรสให้บทรักได้เป็นอย่างดี


   เสียงหยาบโลนที่ฟังแล้วพาให้ขนแขนลุกซู่ดังกึกก้องไปทั่วห้องสวีทของรีสอร์ต โหมกระหน่ำความรักเข้าหาอีกฝ่ายจนหลายครั้งที่ศีรษะโขกเข้ากับหัวเตียงด้วยความไม่ตั้งใจ ฝ่ามือทั้งสองคู่พากันประกบเข้าหากัน

   สุดเหวี่ยงเหมือนกำลังเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุก
   อบอุ่นเหมือนกำลังแช่น้ำร้อนกลางแจ้ง
   และเต็มเหนี่ยวให้สมกับการได้รักใครสักคน.. คนที่เราได้เป็นเจ้าของซึ่งกันและกัน


   “อื้อ อื้อ พิว”

   “ไป๋ .. อ๊ะ”

   “เร็วไปแล้ว .. อึก”

   “อะ อ่าห์ เสร็จแล้ว” ร่างหนากระตุกเกร็ง ก่อนทิ้งตัวลงทับลงบนตัวคนน่ารักจนจมที่นอนด้วยความอ่อนแรง

   “..มึงทำเจ็บสัสๆเลยแม่ง”

   “เดี๋ยวกูดูแลเองนะเมีย” พิวพรมจูบหยอกล้อบนใบหน้าชุ่มเหงื่อจนอีกฝ่ายต้องหันเหหน้าหนีไปมา จนสุดท้ายก็ยอมนอนนิ่งๆให้กระทำ


   “ไม่น่าติดบุหรี่เลยกู ทำรอบเดียวก็เหนื่อยแล้วแม่ง” อยากสวนกลับไปเสียเหลือเกิน ไอ้รอบเดียวว่านี่เกือบพาเขาตายอยู่ร่อมร่อแล้วแท้ๆ แต่เป็นความเพราะเหนื่อยไป่ไป๋จึงขี้เกียจต่อปากต่อคำอะไร ปล่อยให้พิวเดินวุ่นทำความสะอาดร่างกายพร้อมหาหยูกยามาให้กินดักอาการอักเสบที่น่าจะเกิดขึ้น

   มองเวลาขณะนี้เพิ่งจะหกโมงกว่าๆเท่านั้น ตัวร่างบางเองนั้นก็อยากจะนอนหลับเต็มแก่ แต่ติดที่ว่ายังไม่มีอาหารตกถึงท้องในช่วงเย็นนี้เลย และคงไม่มีแรงลงไปร้านอาหาร น่าจะต้องให้อีกฝ่ายสั่งขึ้นมากินบนห้องเสียแล้ว

   “..อะ” โทรศัพท์เครื่องสีดำของคนตัวขาวถูกหยิบยื่นมาให้ถึงหน้า แต่ก็รู้สึกงงงวยจุดประสงค์ของอีกคนเพราะเขายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มันแม้แต่น้อย

   “เปิดเฟซดิ” ไดอาล็อกที่เคยได้ยินทำให้ความสงสัยที่มีกระจ่าง เขารับโทรศัพท์มาปลดล็อกก่อนจะกดเข้าดูการแจ้งเตือน
   กับคำถามที่เคยเห็นมมาแล้วก่อนหน้านี้..

   “มีสิทธิพิเศษอะไรให้เพิ่มไหมอะ?”

   “มี”

   “...”

   “สิทธิในการใช้คำว่าผัวกับกู”

   “ถุย” ไป่ไป๋ส่ายหัวให้คำพูดคำจาอีกคนน้อยๆ เพียงแค่สัมผัสเล็กๆบนหน้าจอแต่กลับเรียกรอยยิ้มให้ผุดขึ้นบนริมฝีปากของทั้งคู่ได้ราวกับมีเวทมนตร์เกิดขึ้น

   ร่างกายกลับมากกกอดกันเป็นเหมือนคำมั่นสัญญาว่าจะทำความสัมพันธ์ต่อจากนี้ให้ดีที่สุด



Pew Phatipol In relationship with Paipai paponwit
ไม่กี่วินาทีที่แล้ว


   
   จู่ๆวันนี้ก็รู้สึกชอบสีน้ำเงินขึ้นมาเฉยๆเลยแหะ..
   


▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔

ฉากดุใหญ่ๆๆๆ มาแร้ว ไม่รู้ว่าแซ่บไหม น้องเพิ่งเคยเขียน ถ้ายังไม่แซ่บน้องก็ขอโทษด้วย . _ .
แล้วก็มีข่าวมาบอกว่าเค้าอยากทำ Q&A แหละ
ดังนั้นใครมีคำถามหรือต้องการอะไรเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ คอมเมนต์ใต้ตอนนี้หรือตามไปทิ้งคำถามในเพจ+ทวิตเตอร์น้องได้เบยน้า

ปล.ถ้าชอบยังไงก็อย่าลืมกดให้กำลังใจ คอมเมนต์ หรือบอกต่อเพื่อให้กำลังใจนุด้วยนะฮ้าบบบบ
ปล2.ตอบหน้าจบแล้วน้า ; --- ;


ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9
(เพจใหม่ค่ะ )

และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twenty ―210918)
«ตอบ #87 เมื่อ21-09-2018 22:10:45 »

ที่สุดก็ "คืบหน้า"  :mew1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twenty ―210918)
«ตอบ #88 เมื่อ21-09-2018 22:31:51 »

พิวเป็นคนพูดจริงทำจริง พี่ปุ๋ยก็สนับสนุนให้น้องมาเสียตัวเหรอคะ 55555555555

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twenty ―210918)
«ตอบ #89 เมื่อ23-09-2018 00:09:36 »

 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด