chapter twenty。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
just pew : เกรดซัมออกวันไหน? paipai : วันศุกร์นี้แหละ
paipai : ทำอะไรอยู่
หลังจากสิ้นสุดการเรียนการสอนในเทอมที่สามที่ผมต้องอยู่ชดใช้กรรมเรียนวิชาเคมีระยะเวลาเกือบสองเดือน จนตอนนี้ผมก็ได้กลับบ้านเข้าสู่การปิดเทอมอย่างสมบูรณ์แบบเสียที
จากความรู้สึกที่ได้เรียนผมคิดว่าผลคงออกมาอย่างผ่านฉลุยเพราะได้อาจารย์ดีอย่างไอ้พิวช่วยอยู่หอเป็นเพื่อนช่วยติวจนผมแทบจะบรรลุ เวลานอนถูกลิดรอนเหลือเพียงวันละสี่ถึงห้าชั่วโมง โจทย์แบบฝึกหัดทุกข้อทุกเล่มทุกเรื่องบอกเลยว่าทั้งหมดนี้ได้ผ่านมือผมมาแล้วทั้งนั้น
just pew : ตอนแรกเล่นเกม
just pew : แต่เบื่อแล้ว
just pew : คิดถึงไอ้ตัวไป๋
just pew : คอลได้ไหม
ตัวอักษรร้อยเรียงเป็นประโยคเชิงขอร้องที่เห็นแล้วต้องอมยิ้ม รวมถึงคำบอกคิดถึงสั้นๆทำเอาผมปฏิเสธไม่ลง
paipai : อื้อ
ในตอนแรกที่ผมคิดว่าจะเป็นการคอลแบบโทรหากันธรรมดา แต่อีกฝ่ายกลับเปิดกล้องโชว์ใบหน้าของตัวเองจึงทำให้การคอลของเรากลายเป็นการวิดีโอคอลหากันไปโดยปริยาย
[นอนอยู่เหรอ?]
“นอนเล่นไปเรื่อย เพิ่งสิบโมงกว่าๆเอง”
[วันนี้จะออกไปไหนไหม?]
“ไม่อะ ขี้เกียจ มึงอะ?”
[ตอนเย็นแม่ให้ออกไปซื้อของด้วยกัน] เส้นผมหน้าชี้ฟูไปคนละทิศละทางของอีกฝ่ายทำให้ผมเดาได้ว่าเจ้าตัวคงกำลังนอนกลิ้งไปมาบนเตียงไม่ต่างจากผม
“เป็นลูกผู้ชายก็ต้องไปช่วยแม่ถือของช็อปปิ้งสิ จะหน้ามุ่ยทำไม”
(ไม่ใช่หน้ามุ่ยเพราะต้องไปกับแม่ แต่หน้ามุ่ยเพราะ..)
“น้องไป๋ทำอะไ- .. อ้าว คุยกับใครอยู่อะ?” ผมตกใจสะดุ้งตัวโยนเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูตึงตังขึ้นพร้อมเสียงทักทายของไอ้พี่ปุ๋ยที่มักจะมาป่วนที่ห้องผมเป็นประจำ แต่ไอ้การที่พี่ชายทะเล่อทะล่าเข้ามาทั้งๆที่ผมกำลังถือสายอีกคนอยู่น่าจะไม่ใช่ลางที่ดีสักเท่าไหร่
“อ๋อ .. เอ่อ นี่”
[พี่ปุ๋ยหวัดดี ผมพิวเองครับ]
“ไหนขอดูหน้ามันหน่อย .. ไอ้น้องไป๋ เอาโทรศัพท์มานี่” สิ้นคำประกาศิตของคนมาใหม่ ผมก็ต้องยื่นสิ่งของในมือให้ด้วยความจำใจ แม้ในอกจะรู้สึกตุ๊มๆต่อมๆอยู่บ้างก็ตาม
“หวัดดีไอ้หล่อ เป็นอะไรกับน้องชายกูวะมึงอะ?” โทรศัพท์ถูกยกขึ้นทำมุมให้เห็น ไอ้พิวที่ในตอนแรกกำลังนอนหัวฟูอยู่บนเตียง แต่ในขณะนี้กลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวอยู่ในท่านั่งพร้อมทรงผมที่ดูเรียบร้อยกว่าเดิมแล้ว
[อยากเป็นแฟนครับ .. แต่ยังไม่ได้ขอ]
“แล้วผู้หญิงคนที่มึงเอาขึ้นตัสด้วยเป็นใคร”
[เรื่องมันยาวครับ พี่ปุ๋ยพอจะมีเวลาฟังไหม?]
“เวลากูมีอยู่แล้ว เล่ามากูอยากฟังจากปากมึง” และแล้วเรื่องราวทั้งหมดก็ได้ถ่ายทอดออกมาจากคนปลายสายเป็นครั้งที่สองหลังจากที่เล่าให้ผมฟังคราวก่อนนู้น ตัวละครต้นเรื่องอย่างกุ้งถุกพูดถึงในทางที่ให้เธอมาเป็นติวเตอร์ให้เฉยๆ ส่วนข้อมูลการคบหาในเฟซบุ๊คถือว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น
“เหยดเขร้ บนโลกคนนี้มีคนอย่างมึงเหลืออยู่ด้วยเหรอวะ .. แต่จะว่าไปน้องกูมันก็โง่เหมือนกันนะเนี่ย”
“อ้าวๆ ไอ้พี่ปุ๋ยทำไมพูดงี้อะ?”
“จริงไหมวะไอ้ลูกหมา ร้องห่มร้องไห้บอกอยากถอนอันนี้กูเข้าใจ แต่กลับบ้านมานอนซึมเพราะเข้าใจผิดอันนี้มึงโง่เอง”
“ตอนนั้นพี่ปุ๋ยยังเข้าข้างไป๋อยู่เลยนะ”
“เออ ช่างแม่ง .. ว่าแต่มึง ไอ้พิวทำไมยังไม่ขอสักทีวะ” สายตรงหน้าถูกสับเปลี่ยนให้เป็นการคุยโทรศัพท์ส่วนตัวทำให้ผมไม่ได้ยินถ้อยคำโต้ตอบจากปลายสาย แต่เดาจากสีหน้าและน้ำเสียงของพี่ปุ๋ยแล้วบทสรุปของเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอย่างที่คาดเอาไว้
“ห้ะ ที่ไหน .. เออ ได้ๆ มึงจะบอกไป๋เองหรือจะให้กูบอก โอเค”
“...”
“เออ มีอะไรก็ปรึกษากูได้ ไม่กัดหรอกสัส .. เออๆ อะ มันจะคุยกับมึงต่อ” ผมรับโทรศัพท์มาอย่างไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์มากนัก ก่อนจะกรอกเสียงใส่ให้อีกคนได้รู้
“..ฮัลโหล”
[พรุ่งนี้ไปทะเลกัน]
“ฮะ? พรุ่งนี้มึงบ้าป่ะเนี่ย”
[ไม่บ้าหรอก รีแล็กซ์ก่อนเปิดเทอมไง]
“เดี๋ยวกูต้อง..”
[ขอพี่ปุ๋ยแล้ว ไปบ้านมึงคราวที่แล้วกูก็เคยบอกป๊าม๊าไปแล้วว่าอยากพามึงไปเที่ยว]
“..ไปคุยกันตอนไหนวะ?”
[เอาเป็นว่าพรุ่งนี้สิบเอ็ดโมงเดี๋ยวเข้าไปรับนะ]
“อื้อๆ ได้”
บทสรุปงงๆของใจความสำคัญได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ สายที่ถูกตัดไปทำให้ผมหันเหกลับมาให้ความสนใจแก่พี่ชายของตัวเองอีกครั้ง
“เมื่อกี๊พิวคุยอะไรกับพี่ปุ๋ยบ้างอะ?”
“ไม่มีอะไรมาก”
“งั้นเหรอ”
“เออน่า คิดว่าพี่จะกีดกันหรือยังไง” ป๊อกกี้รสช็อกโกแลตสมบัติของผมที่กินเหลือไว้ครึ่งค่อนกล่อง ในตอนนี้ได้ถูกพี่ปุ๋ยที่ยืนอยู่ตรงปลายเตียงนั้นได้ฉกไปกินแล้วเป็นที่เรียบร้อย
“..ก็นิดนึง”
“มันเป็นคนดี คนนี้กูให้ผ่าน” กล่องขนมสีแดงถูกยัดกลับเข้ามาในมือพร้อมกับแรงตบที่ไหลเบาๆสองสามที ก่อนจะสับเท้าเดินก้าวออกนอกห้องไป
“อ่อ แล้วก็ ไปทะเลกับมันก็ระวังตัวดีๆนะ”
“ไอ้พี่ปุ๋ย!” กล่องขนมเบาโหวงถูกโยนใส่ใบหน้ากรุ่มกริ่มเพราะหมั่นไส้ประโยคความหมายแฝงของเจ้าตัว
“โอ๊ย! เอ้อ ไม่ยุ่งกับไอ้น้องไป๋แล้ว พี่ปุ๋ยงอน” มุมปากทั้งคู่ตกลงอย่างเง้างอด เดินคอตกออกห่างจากประตูไปทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เป็นปกติคงคิดสนใจแต่ตอนนี้ขอเซย์โนวให้ดีกว่า
อันที่จริงแล้วผมก็เคยคิดเรื่องแบบนี้ไว้อยู่เหมือนกัน เหตุจากประสบการณ์ตรงที่ผ่านมาทำให้ได้รู้ว่าคนอย่างนายปฏิพลไม่ใช่คนแสนดีหรือคนที่อยู่ด้วยแล้วปลอดภัยสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะยิ่งเป็นทริปริมทะเลบรรยากาศชวนให้คล้อยตามง่ายๆก็ยิ่งแล้วใหญ่
ส่วนตัวผมแล้วไม่ได้รังเกียจหรือจะปัดป้อง เนื่องจากผมก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะอยู่นิ่งๆได้โดยที่ไม่รู้สึกอะไร ในตอนที่เราทำเรื่องของผู้ชายกันสองคนผมเองก็ต้องยอมรับว่ามันสามารถทำให้ผมรู้สึกดีมากๆอีกต่างหาก..
แต่เท่าที่ผมรู้มานั้นการตกเป็นฝ่ายที่อยู่เบื้องล่างมักจะต้องมีการเตรียมตัวเพื่อรับศึกอันหนักหน่วงก่อนเสมอ ถึงจะไม่ได้นำความรู้มาใช้ในเร็วๆนี้แต่อย่างไรผมเชื่อว่าสักวันคงต้องได้งัดมาประยุกต์ใช้ ไม่รอช้าสมาร์ทโฟนเชื่อมอินเทอร์เน็ตของผมจึงถูกนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการค้นหาข้อมูลที่ผมค้างคาใจในทันที
คีย์เวิร์ดที่ต้องการถูกกรอกลงในช่องค้นหา ผลลัพธ์จากเว็บไซต์ขึ้นมาให้เลือกอ่านกันอย่างละลานตา ผมจึงเลือกสุ่มอันที่น่าจะเป็นประโยชน์ที่สุดขึ้นมา
ฝ่ายรับต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างครับ? ตามหัวข้อกระทู้เลย
หน้าจอถูกสไลด์ลงมาเรื่อยๆอ่านคอมเมนต์ที่ดูเลอะเทอะบ้าง ไร้สาระบ้าง ตามลำดับ จนได้มาเจอกับคอมเมนต์ที่ดูเหมือนจะเป็นที่นิยมมากที่สุด..
ความคิดเห็นที่ 5 ในครั้งแรกคุณควรจะทำความสะอาดและเตรียมสิ่งของที่จำเป็น เช่น เจล และถุงยางครับ ส่วนวิธีการที่จะทำให้รู้สึกเจ็บน้อยที่สุดคือการทำให้คุ้นชินเพราะครั้งแรกท่าเตรียมตัวไม่ดีจะเจ็บมากๆๆๆ ท่วงท่าแรกที่ผมแนะนำและเวิร์กสุดๆคือการนั่งบนตัวแฟนคุณครับ
ปล.ขอให้มีความสุขกับคนรักมากๆนะครับผม
ไม้ยมกตอกย้ำความเจ็บปวดทำให้ผมรู้สึกใจแป้ว นึกหมดอาลัยตายอยากเมื่อเห็นสิ่งที่ผู้รู้ได้แนะนำให้ทำช่างเยอะแยะมากมายเสียเหลือเกิน
ความคิดเห็นที่ 17 แนะนำให้ไปศึกษาดูจากของจริงฮะ
ความคิดเห็นที่ 32 ของเราถึงกับเลือดออกเลยอ่า ใครเป็นบ้างมั้ย?
มือข้างที่ยกโทรศัพท์ตกลงบนเตียงด้วยความหมดแรงเมื่อผมได้ไปเห็นคอมเมนต์อันสุดท้ายเข้าพอดิบพอดี นึกอยากจะระเบิดตัวตายให้จบๆไปเสียยังดีกว่ามานั่งคิดฟุ้งซ่านแบบนี้ .. เออ ช่างแม่ง คิดในแง่ดีกว่าไอ้พิวมันพาไปเที่ยว เราคงไม่ได้ทำอะไรที่ว่านี่กันหรอก
..มั้งนะ
❋❋❋
ช่วงสายในวันถัดมาที่เป็นวันพฤหัสบดีของต้นเดือนสิงหาคม อากาศข้างนอกดูปลอดโปร่งแจ่มใสเหมือนรู้เห็นเป็นใจให้ผมได้ออกจากบ้าน จากเดิมที่เอาแต่คลุกตัวอยู่แต่ในห้องนอนภายหลังจากปิดเทอม
“น้องไป๋ เอาของไปครบหรือยังลูก?”
“ครบแล้วม๊า ขาดอะไรเดี๋ยวไป๋ค่อยไปซื้อเอาข้างหน้า”
“งั้นก็เที่ยวให้สนุกนะ”
“ครับม๊า ไป๋ไปแล้ว เดี๋ยวซื้อของมาฝากนะครับ บ๊ายบาย”
รถยนต์คันเดิมเข้าจอดข้างริมรั้ว กระโปรงท้ายรถถูกเปิดออกโดยคนขับอย่างรู้งาน ประตูรถถูกเปิดออกทำให้เห็นเจ้าของรถได้อย่างชัดเจน
“ทำไมวันนี้มึงหล่อจังวะ” พูดเองก็ตกใจเองเพราะประโยคข้างต้นเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกไป ท่าทางตกใจหลังจากพูดจบของผมนั่นทำให้ไอ้พิวยิ้มออกมาได้ในทันที
“กูหล่อทุกวันว่ะเมีย”
“อ่อจ้า” คิ้วข้างขวาถูกยกขึ้นสองสามทีด้วยความมั่นอกมั่นใจ แต่คำพูดที่หลุดปากออกไปของผมมันก็คือความจริงทั้งนั้น เสื้อเชิ้ตฮาวายกับกางเกงสามส่วน กับผมที่ถูกเช็ตมาในวันนี้ทำให้พิวดูดีจนแปลกตากว่าปกติ
“สรุปเราจะไปที่ไหนกันวะ?”
“ตอนแรกว่าจะไปเกาะช้างแต่หาที่พักดีๆไม่ได้เลยเปลี่ยนใจพามึงไปหัวหินแทน”
“โหย ต้องที่พักดีๆด้วย?”
“ฉลองเรียนซัมเมอร์เสร็จไง” ฝ่ามือว่างเว้นจากการเปลี่ยนเกียร์ได้วางพร้อมตบปุๆลงบนหัว แม้จะเมื่อวานจะขอหารค่าที่พักกับเจ้าตัวไปแล้วแต่เจ้าตัวก็บอกปัดสถานเดียว แถมในตอนที่ถามที่หมายก็เอาแต่บอกว่าให้มารู้วันนี้ทีเดียวอีก
“เสี่ยพิวแม่งแน่นอนว่ะ”
หลังจากที่คืบคลานออกจากเขตของกรุงเทพได้ เราก็ขับรถโดยใช้เส้นถนนหลวงสายทอดยาวกันมาอย่างไม่รีบร้อน เพลงในรถถูกเปิดให้ช่วยสร้างบรรยากาศภายในรถได้เป็นอย่างดี
“เอะอะก็ว่าร้าก เออะก็คิดถึง แต่เธอไม่เคยซึ้งไม่เคยเข้าจาย”
“ถามจริงไอ้ตัวไป๋ มึงเคยร้องเพลงแบบนี้ตอนอยู่บ้านบ้างป่ะ?”
“เคย กูไม่อยากจะเล่าว่าไอ้พี่ปุ๋ยแม่งโยนถุงเท้าใส่กูด้วย”
“ฮ่าๆ สมควร ถ้ามึงร้องงี้ตอนอยู่หอกูจะเขวี้ยงด้วยรองเท้าเลย”
“แหน่ๆ ไอ้พิวมันปากดีจังเลยวะ”
“มีเมียปากหมาก็ต้องปากหมาตามเมีย”
ต่อมาไม่นานปั๊มน้ำมันถูกใช้เป็นจุดพักรถเพื่อทานข้าวและซื้อขนมนมเนยกักตุนไว้กินในระหว่างทาง ทั้งคู่นั่งคุยสัพเพเหระกันเหมือนไม่ได้เจอกันมาหลายปีแต่จริงๆแล้วพวกเขาไม่ได้เจอกันเพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น
ตัวรถได้ขับผ่านเขตของพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีบ่งบอกว่าทั้งสองกำลังจะถึงจังหวัดประจวบฯอันเป็นจุดหมายในอีกไม่ช้า ด้านไป่ไป๋ที่ตื่นเต้นกับการได้นึกถึงวัยเด็กที่เคยได้มาเที่ยวเล่นกับครอบครัวก็เอาแต่จ้อเรื่องราวต่างๆพร้อมป้อนขนมให้คนข้างๆไปอย่างไม่ยอมหยุด
“กูยังจำเรื่องตอนที่กูมาชะอำกับที่บ้านได้เลย แม่งน่าอายชิบหาย”
“เรื่องอะไรไหนเล่ามาดิ”
“เรื่องตั้งแต่กูอยู่ประถมได้มั้ง จำได้ว่ากูไปเล่นน้ำกับพี่ปุ๋ย แล้วพี่แม่งจังไร”
“ทำไมวะ?”
“ไอ้พี่ปุ๋ยแม่งผลักแย่งห่วงยางจนกูจมน้ำ แต่เรื่องมันไม่ใช่แค่นั้นนะเว้ย”
“มีอะไรอีก”
“ในจังหวะที่พี่แม่งแย่งไปอะ กูกำลังนอนอยู่บนห่วงยาง มึงนึกภาพออกใช่ป่ะ พอพี่แม่งกระชากไปปุ๊บตัวกูงี้ตกน้ำตีลังกาขาชี้ฟ้าเลย .. ไอ้เหี้ยเอ้ย เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยตีลังกา แต่เสือกมาทำตอนอยู่ในทะเล หมาชิบหาย”
“ฮ่าๆ ไอ้สัส พูดซะกูเห็นภาพเลย”
“ยังไม่หมดนะ กูนี่สำลักน้ำเค็มเข้าไปเต็มกระเพาะ แต่จุดที่พีคที่สุดของเรื่องคืออะไรรู้ป่ะ อะๆๆ กูให้ทาย?”
“มึงกระโดดถีบพี่ปุ๋ย?”
“ไอ้สัส ตอนนั้นกูตัวเท่าข้อตีนพี่แกเองมั้ง พูดไม่คิด ..”
“เอ้าเมีย ก็มึงให้กูทาย”
“ก็ได้ๆ .. มึงนึกภาพตามกูนะ ในจังหวะที่มึงกำลังสำลักน้ำจนไอโขลกๆ พอมึงมีสติฉุดตัวเองขึ้นจากน้ำได้มึงก็ลืมตามาเจอกับ..”
“กับ?”
“กั๊บบบ”
“ไอ้สัสลีลา จอดรถจับปล้ำแม่งตรงนี้เลยดีไหมจะได้เล่าให้จบๆ”
“อย่าเกรี้ยวกราดสิ .. กู เงย หน้า มา เจอ กับ ผ้าอนามัย”
“...”
“ไม่ขำเหรอ?”
“ฮ่าๆๆๆๆ ไอ้เหี้ยเอ๊ย กูจอดรถพักก่อนได้ไหมวะ ขำจนปวดท้อง ฮ่าๆๆๆ” ระเบิดเสียงหัวเราะจากคนที่ชอบเก๊กขรึมดังขึ้นลั่นรถ ทำให้ขนมที่กินคาช่องปากอยู่แทบหลุดลงไปในลำคอ ส่วนทางด้านคนเล่าก็มีอาการช็อกไปเล็กน้อย เพราะเพิ่งเคยเห็นเจ้าตัวขำท้องขดท้องแข็งแบบนี้เป็นครั้งแรก
“โอ๊ย ฮ่าๆ แล้วมึงทำไงวะ?” มือหนายกขึ้นปาดน้ำที่ปลายหางตาแต่ก็ยังไม่ละโฟกัสไปจากท้องถนนตรงหน้า
“ก็จับมือไอ้พี่ปุ๋ยแล้วพากันวิ่งออกมาจากตรงนั้นเลย กลัว”
“ชีวิตวัยเด็กมึงนี่จี้สัส”
“เรื่องเล่าตอนเด็กๆของมึงอะ?”
“อยากรู้?”
“มีเหตุผลอะไรให้ไม่ให้อยากรู้อะ?”
“เดี๋ยวถึงรีสอร์ตแล้วค่อยเล่าให้ฟัง”
“อ่าฮะ”
เวลาบ่ายสองกว่าๆทั้งคู่ก็ได้เดินทางมาถึงยังรีสอร์ตติดริมทะเลบรรยากาศร่มรื่น หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้วก็ได้พากันเข้าสู่ห้องพักหันหน้าออกสู่ทะเลทำให้สามารถเห็นภาพบรรยากาศผ่านนอกผ่านกระจกระเบียงได้อย่างชัดเจน
“เหยดเขร้ ห้องสวยสัสอะ”
“เป็นไงชอบป่ะ?”
“ชอบดิ .. เชี่ย นอนมองทะเลบนเตียงก็ได้ว่ะ” ผมเอนตัวลงนอนมองวิวเบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้น หลังจากที่ไม่ได้มาพักผ่อนริมทะเลอย่างนี้เป็นเวลานานมากแล้ว คงไม่ต้องสืบว่าห้องพักดีๆอย่างนี้จะราคาแพงลิบลิ่วแค่ไหน
“แขกคนก่อนเขาแคนเซิลตอนกูจะจองพอดี”
“แล้วจองไว้กี่คืนวะ?”
“สอง เช็คเอ้าท์เที่ยงวันเสาร์”
“ยังไม่ต้องจัดกระเป๋าหรอก ขับรถมาตั้งไกล มานอนนี่ก่อนมา” น้ำหนักตัวถูกทิ้งลงบนเตียงนอนนุ่มตามคำชักชวน พร้อมกับวงแขนที่สอดแทรกเข้ามาใต้หัวอย่างที่เจ้าตัวทำเป็นประจำ
“จะเล่นทะเลเย็นนี้เลยไหม?”
“เอาดิ เวลาเหลือเล่นเจนก้ากันไหม?“
“มึงเอามาอ่อ”
“เออ”
“จัดไป ใครแพ้ทำอะไรดี?”
“คนแพ้ต้องนอนให้อีกคนก่อกองทรายบนตัว”
“เออ ดีๆ มึงเตรียมตัวเป็นนางเงือกไว้ได้เลยไอ้หมาพิว” และแล้วท่อนไม้เรียงเป็นกองสูงก็ได้ตั้งตรงลงตรงบนพื้นต่อหน้าพวกเรา เกมตึกถล่มดำเนินไปอย่างไม่มีใครยอมใคร ท่อนไม้ชิ้นเล็กถูกหยิบออกครั้งละหนึ่งต่อหนึ่ง ความดุเดือนของเกมยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อจำนวนตัวต่อตรงหน้าลดลง จนในที่สุดเราก็ได้ผลผู้แพ้ออกมาอย่างเป็นทางการ ..
“ไอ้เชี่ยพิว อย่าโกยใส่หน้า ทรายมันเข้าปากกู”
“แพ้เองช่วยไม่ได้” ศิลปะบนกองทรายถูกสร้างสรรค์ขึ้นจนเป็นรูปเป็นร่าง ส่วนหางถูกต่อเติมวาดครีบจนสวยงาม แถมผมยังได้ของแถมเป็นช่วงเนินอกสุดสะบึ้มนี่อีกต่างหาก
“อะ เอาเปลือกหอยปิดหัวนมไวด้วย เดี๋ยวโป๊”
“กูต้องอยู่อย่างนี้นานอีกแค่ไหนเนี่ย”
“อีกแปปนึง ขอถ่ายรูปเก็บไว้ก่อน” ทางด้านของไอ้พิวดูเหมือนจะภูมิใจผลงานของตนเองดูไม่น้อย โทรศัพท์ในซองซิปกันน้ำถูกหยิบขึ้นมาใช้ถ่ายรูปสภาพอันน่าเกลียดของผมในตอนนี้
“สองนิ้วหน่อย หนึ่ง สอง ซั่ม..”
“ขอดูหน่อยกูหล่อป่าว”
“ไม่ให้ดูหรอก เสร็จแล้ว จะลงทะเลเลยไหม?”
“กูขอไปล้างปากแปป ทรายเข้าเต็มเลย”
“รีบไปรีบมา” พะเนินทราบบนตัวถูกพังทลายลงหลังจากที่ผมยันตัวลุกขึ้นพรวดพราด รีบเดินตรงมุ่งหน้าสู่พื้นที่ล้างตัวของทางรีสอร์ตเพื่อล้างเศษทรายในปากออกให้หมด
“ถุยๆๆๆ”
“ขาวจัง”
“หื้ม” เสียงพึมพำระยะประชิดทำให้ผมที่กำลังก้มหน้าก้มตาล้างสิ่งสกปรกของออกจากใบหน้าต้องเงยหน้าขึ้นมาเพื่อมองหาเจ้าของเสียงที่ว่านั่น
“อุ้ย ม-มีอะไรหรือเปล่าครับ” แต่แล้วก็ต้องตกใจจนผงะเมื่อแหงนหน้าขึ้นมาปะทะสายตากับชายปริศนารูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่บริเวณก๊อกน้ำอันถัดไปซึ่งไม่ห่างกันมากนัก
“สวัสดีครับ ผมดอนครับ”
“อ่า ไป่ไป๋ครับ” ฝ่ามือกร้านถูกยกยื่นมาเบื้องหน้า ด้วยความเกรงใจผมจึงยกมือขึ้นไปเช็คแฮนด์กับเขา แต่ดูเหมือนว่าเรื่องยังไม่จบเพียงแค่การทักทายเท่านั้น
“น่ารักดีนะครับ ผมอยู่ห้องข้างๆคุณพอดีเลย”
“ว่าแต่รู้ได้ไงครับว่าผมอยู่ห้องไหน”
“ผมเห็นคุณตอนเดินออกจากห้องกับผู้ชายอีกคนพอดีน่ะครับ ว่าแต่..”
“...”
“คุณกับเขาเป็นอะไรกันเหรอครับ”
“อ่อ ก็..” คำถามเรื่องส่วนตัวถูกเอ่ยออกมาจากปากผู้ชายกล้ามโตผิวคล้ำแดดบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง .. ไร้ซึ่งคำตอบให้คนถาม ไม่ใช่เพราะไม่อยากตอบ แต่ผมไม่รู้จะตอบว่าอะไร
จะให้บอกว่าเป็นเพื่อนมันก็ไม่เชิง แต่แฟนก็ยังไม่ใช่
“เราเป็น.. เพื่อนกันครับ”
“ดีจังเลย งั้น..”
“ไป๋เสร็จยัง บ้วนปากอะไรทำไมนานจังเลย” เสียงทุ้มดังขึ้นแทรกจังหวะที่เพื่อนใหม่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างต่อ ได้โอกาสให้ผมออกแรงชักมือของตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุมทันที
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผม..ผมไปก่อนนะ” รีบสาวเท้ายาวๆออกมาจากด้านหลังกำแพงกั้นด้วยความรู้สึกแปลกๆ ก่อนจะพบกับพิวที่เดินมาตามเข้าพอดิบพอดี
“นานจังวะ”
“เจอคนข้างห้องมาทักอะ เลยคุยไปนิดหน่อย”
“งั้นเหรอ ช่างแม่ง ไปเล่นน้ำกันได้แล้วเดี๋ยวอาทิตย์ตกแล้วจะอดเล่น”
“เออ ป่ะๆ”
คลื่นน้ำสาดเข้าปะทะร่างของทั้งสองกลางทะเลเป็นระลอก แสงดวงอาทิตย์อัสดงเติมแต่งลงบนผิวกาย ระดับน้ำเค็มเสมอประมาณเอวที่บ่งบอกว่าตำแหน่งของพวกเขาอยู่ไม่ห่างจากผืนทราย ในขณะเดียวกันฝั่งคนบนห่วงยางกำลังปกป้องความสวัสดิภาพของตัวเองไว้อย่างสุดกำลัง
“ไอ้เชี่ยพิว อย่าดึง อยากให้กูตกน้ำหรือยังไง”
“ย้อนวัยหน่อยเป็นไงไอ้ตัวไป๋”
“เฮ้ย อย่าๆ ไอ้สั-”
ตู้ม!
ไป่ไป๋พลัดหล่นจากห่วงยางตกน้ำในท่าทางหงายหลังจนขาชี้ฟ้า พอทรงตัวอยู่ก็ฉุดรั้งตัวเองให้โผล่พ้นน้ำ ก็หันไปส่งสายตาคาดโทษคนที่เอาแต่แกล้ง กระแอมกระไอเพราะอาการสำลักน้ำจนแสบคอไปหมด พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไปว่ามันช่างคลับคล้ายคลับคลาเรื่องเก่าๆเหลือเกิน
ในขณะนั้นจึงส่งสายตาทอดมองบนพื้นน้ำใกล้ตัวด้วยความระมัดระวัง พร้อมภาวนาอย่าให้เดจาวูมันเกิดขึ้นให้หัวของเขามากไปกว่านี้เลย .. แต่ก็เหมือนว่าสวรรค์จะไม่เข้าข้างเขาสักเท่าไหร่
“..ไอ้สัส
ถุงยางอนามัย!” นิ้วเรียวของไป๋ที่เพิ่งดื่มน้ำทะเลเข้าไปเต็มอึกเมื่อครู่ชี้ตรงไปยังซากอารยธรรมที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทางการสืบพันธุ์กำลังลอยตุ๊บป่องห่างไปเพียงเสี้ยวเมตร
“พิว ขึ้นเหอะ กูเหมือนจะอ้วกยังไงไม่รู้ว่ะ”
“กูขอโทษนะไอ้ตัวไป๋”
“มึงไม่ต้องมาพูดเลย”
“โอ๋ๆ ป่ะ เดี๋ยวคืนนี้กูเลี้ยงเบียร์เอง”
“..มึงแม่ง” และแล้วคนตัวสูงก็กอดคอพาคนหน้ามุ่ยเดินห่างจากจุดเกิดเหตุไปในที่สุด
❋❋❋
และแล้วมื้อเย็นของเราก็เป็นร้านอาหารทะเลบรรยากาศน่านั่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากรีสอร์ต ซีฟู้ดที่สั่งถูกพากันมาวางเรียงรายจนเต็มโต๊ะ ด้วยความหิวโหยที่มีทำให้ของกินทั้งหมดถูกตักลงกระเพาะพวกเราทั้งสองจนหมดเกลี้ยง และแน่นอนว่าค่าอาหารมื้อนี้ไอ้พิวไม่ยอมให้ผมมีส่วนร่วมแม้แต่เศษสตางค์อีกแล้ว ..
สิ้นสุดมื้ออาหารเราก็พากันเดินไปหาของมึนเมาและขนมขบเคี้ยวในร้านสะดวกซื้อเพื่อเอาไว้กินช่วงดึกตามที่พิวต้องการ
“ชน/ชน” รสชาติขมนุ่มของเบียร์กระป๋องยี่ห้อยอดนิยมถูกกระดกกลืนผ่านลำคอ เก้าอี้นวมตัวยาวทั้งสองตัวในห้องถูกเคลื่อนย้ายมาไว้หน้ากระจกบานเลื่อนตรงระเบียง ภาพทะเลยามกลางคืนสะท้อนกับแสงจันทร์จนระยิบระยับน่ามอง อีกทั้งอากาศไม่ร้อนไม่เย็นพร้อมทั้งกลิ่นเกลือที่ได้พัดโชยเข้ามา ทำให้รู้สึกเหมือนได้ปลดเปลื้องเรื่องทุกอย่างเอาไว้ที่เบื้องหลัง
“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นมึงสูบบุหรี่เลย” ผมเอ่ยทักคนตัวสูงที่กำลังนั่งไม่ห่างกัน เมื่อนึกสังเกตได้ว่าช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นเขาถือบุหรี่ขึ้นสูบสักเท่าไหร่
“กำลังเลิกอยู่”
“หือ จริงจัง”
“จริง”
“ครั้งแรกที่สูบบุหรี่คือตอนไหนวะ?”
“...”
“ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่เป็น-”
“ตอนเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ..” ผมหันหน้าไปเลิกคิ้วใส่คนข้างตัว นึกว่าไอ้พิวมันจะไม่ตอบซะแล้ว..
“มีเรื่องนึงที่มันวนเวียนในหัวกูเต็มไปหมด กูเลยไปปรึกษาเพื่อนตอนมอปลายว่าทำยังไงมันถึงจะหายไป.. ตอนนั้นแหละที่กูเริ่มสูบครั้งแรก”
“ร-เรื่องอะไรวะ”
“...เรื่องมึงกับแฟนเก่าไง” รู้สึกเหมือนตัวเองจมหายไปในห้วงของเวลาในตอนที่คนเล่าหันมาสบตากันตรงๆ สายตาจริงจังทั้งสองนั่นช่วยกันตอกย้ำว่าทุกคำพูดคือความจริง
“แล้วทำไมถึงเลิกอะ?”
“อันนี้มีเหตุผลสองข้อคือ หนึ่งแม่กูเป็นภูมิแพ้ ส่วนสองก็คือมึง..”
“กลัวกูเหม็น?”
“ฮึ หนึ่งในโทษของบุหรี่คือผมร่วง”
“...”
“กูกลัวมึงหัวล้าน เพราะปัจจุบั- .. โอ๊ยๆๆๆ!” แรงหยิกถูกส่งจากนิ้วมือผมสู่ช่วงสะบั้นเอวของไอ้พิวทันทีที่ได้ยินคำพูดต้องห้ามออกมาจากคนปากปีจอ เพราะความเจ็บจึงส่งผลให้อีกคนทำหน้าเหยเกพร้อมร้องโอดโอยออกมาด้วยความทรมาณ
หมดมู้ดเลยไอ้สัส.. “ไอ้ตัวไป๋ปล่อยๆ”
“ขอโทษกูมาเดี๋ยวนี้”
“ก็มึงหัวเถิกจริงๆอะ”
“แม่งเอ๊ย..”
จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ
หลังจากที่ปลดปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระแต่กลับเป็นผมเองที่ตลบหลัง เพราะฝ่ามือกว้างนั่นเอื้อมเข้ามาล็อกใบหน้าผมไม่หันให้หนีไปไหน จัดการเลิกผมปรกม้าแล้วระดมจูบลงแรงๆจนรู้สึกได้ว่าตัวเองหน้าบูดเบี้ยวไปหมด
“หัวเถิกก็ชอบนะ”
“อ-อืม”
คงคอนเซ็ปต์ตบหัวแล้วลูบหลังเหมือนเดิมเลยนะไอ้ตัวเหี้ย.. เวลาล่วงคล้อยไปจนเกือบจะวันใหม่ เบียร์ค่อนโหลที่ถูกซื้อมาเมื่อตอนเย็นถูกบริโภคจนเหลือเพียงสองกระป๋องสุดท้าย ไป่ไป๋รู้สึกเหมือนคอตนเองอ่อนปวกเปียกไปหมดจนต้องเอนตัวลงพิงกับพนัก ส่งเบียร์อึกแรกของกระป๋องสุดท้ายลงไปช้าๆ ความสวยงามของทะเลเวลานี้คงไม่น่าดูเท่าคนรูปหล่อที่มาด้วย
“มองหน้าอย่างงี้อยากเป็นเมียของจริงหรือยังไง?”
“พิว .. มึงอะ” ตาฉ่ำเยิ้มที่จ้องมองมาเป็นเหตุให้ร่างสูงรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนใบ้ขึ้นมาเสียดื้อๆ
“...”
“จีบกูติดแล้วนะ เมื่อไหร่จะขอกูเป็นแฟนสักที” “อยากเป็นแฟนกูขนาดนั้นเลย?” พิวส่งยิ้มด้วยความอารมณ์ดีให้บางๆ มองปราดเดียวก็รู้ว่าแล้วว่าไป่ไป๋ตกอยู่ภายใต้อำนาจของแอลกอฮอล์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“อื้อ อยากมาก”
“แล้วอยากจูบกันไหม?”
“จูบบ่อยไปแล้วนะมึงอะ” ร่างบางพูดถ้อยคำตำหนิดูไม่จริงจัง ในขณะที่ตัวเองได้ยื่นหน้าทำปากจู๋ใส่คนขอภายในทันที ช่างดูขัดแย้งกันจนพิวหลุดขำขึ้นมา
ลำตัวของไป่ไป๋ถูกฉุดรั้งด้วยแรงทั้งหมดที่มี ส่งผลให้ร่างทั้งร่างของเขาได้มานั่งจุมปุ๊กทับช่วงล่างของนายปฏิพลแล้วในที่สุด
ดวงหน้าของทั้งคู่ถูกดึงดูดเข้าหากันไปตามอารมณ์ จนเสียงเสียงหยาบโลนที่เกิดขึ้นดังจนกลบเสียงคลื่นไปเสียหมด นานนับนาทีที่พวกเขาใช้ลมหายใจใกล้ชิดกันก่อนจะผละห่าง
“นี่ดิ เขาถึงจะเรียกว่าโรแมนติก”
“อยากโรแมนติกบ่อยๆไหม? : )”
“..อยาก”
“งั้น-”
“แต่ตอนนี้ง่วงแล้วอะ ขอนอนนะ” พูดจบหัวอันหนักอึ่งของคนที่อยู่ด้านบนก็ทิ้งลงบนบ่าของร่างหนา ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งนิ่งงันทำอะไรไม่ถูก จนในที่สุดก็ต้องช้อนนตัวคนบนตักอุ้มกระเตงพาไปที่เตียง จังหวะยุบขึ้นลงของหน้าท้องบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวเข้าสู่ความฝันไปแล้ว
พิวจูบหนักๆบนหน้าผากอีกหนึ่งทีเป็นค่าเหนื่อยในการจัดการพาไป๋เข้านอน เสียงกระซิบของความลับดังขึ้นใส่หูคนที่กำลังหลับ เพราะรู้ว่ายังไงอีกฝ่ายก็ไม่มีทางตื่นมาได้ยิน
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้..”