chapter twelve。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
ร่างบางในชุดนอนวิ่งกระหืดกระหอบจากห้องตนเองลงมายันโถงโล่งชั้นหนึ่ง พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะพบเพียงความว่างเปล่า เขาไม่ละความพยายามได้พาตัวเองเดินวนดูแต่ก็ยังไม่พบคนที่ตามหา จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงคุ้นเคยเรียกชื่อของเขาดังห่างออกไปจากทางด้านหลัง
“ไป๋!” คนตัวเล็กหันไปมองตามต้นเสียงก็พบกับพิวในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ในมือมีร่มคันสีน้ำเงินชุ่มฝนอยู่หนึ่งคัน รอยยิ้มจุดขายของเจ้าตัวถูกส่งมาให้เหมือนอย่างทุกครั้งที่เคยทำ
ใจเต้นแรงเฉยเลยแฮะ... พาขาสองข้างก้าวเดินหน้าไปจนหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย ควบคุมสีหน้าไม่ให้หลุดยิ้มอย่างวางมาด
“มาทำไมอะ?” น่าแปลกที่คำถามของเขากลับเรียกรอยยิ้มจากคนร่างสูงได้กว้างขึ้นกว่าเดิม
“อยากชวนไปขับรถเล่น .. แล้วก็
คิดถึงด้วย” จังหวะการเต้นของหัวใจของไป๋ถี่ขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ในจุดนี้ต้องยอมรับอย่างจำนนเลยว่ากำแพงที่เขาเคยสร้างขึ้นปกป้องความรู้สึกตัวเองกลับสั่นคลอนพร้อมถล่มลงตรงหน้าเข้าไปทุกที
“คิดถึงบ้าอะไรของมึง เมื่อเช้าก็เจอ”
“ถ้าคนมันคิดถึง ห่างกันแค่สิบนาทีก็เรียกว่าคิดถึงได้”
“เรื่องของมึงเถอะ แล้วฝนตกขนาดนี้มึงจะยังไปขับรถเล่นอีกเหรอ?” จัดการเฉไฉเปลี่ยนประเด็นในหัวข้อที่ชวนทำเอาหน้าเห่อร้อนออกทันที ก่อนสังเกตรอบตัวดีๆอีกครั้งว่าฝนยังไม่เริ่มซาลงแม้แต่น้อยเลย
“ไม่ขับเล่นก็ได้”
“เอ้า แล้ว-”
“สั้นๆเลยว่า กูแค่อยากอยู่กับมึงอะ” จนแล้วจนรอดไป่ไป๋ก็ได้มาอยู่บนรถยนต์ของอีกคนจนได้ ร่างสูงไม่ได้ขับออกตัวไปที่อื่นตามคำชักชวน แต่กลับติดเครื่องจอดนิ่งสนิทท่ามกลางเสียงฟ้าร้องและสายฝนที่ตกกระทบตัวรถที่ทำให้แทบไม่ได้ยินเสียงอื่น
มือบางถูกดึงเข้าไปกระชับอย่างไม่ทันตั้งตัว ความอุ่นจากฝ่ามืออีกฝ่ายถูกส่งต่อมาถึงใบหูแดง เขานึกขอบคุณเหลือเกินที่แสงจากหลอดไฟข้างทางมันสลัวเกินกว่าจะมองเห็นอะไรชัดๆ
“ไป๋ มีเรื่องไม่สบายใจเหรอ?” จับมือเขาไว้ไม่พอ ยังฉวยโอกาสฉุดรั้งลำตัวของเราให้เข้าใกล้กันไปอีก ลมหายใจร้อนดูเข้ากันดีกับอากาศเย็นๆในรถกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในตอนนี้ถ้าเขาเบนหน้าไปหาอีกเพียงนิดเดียว จมูกของคงชนกับแก้มของอีกคนเป็นแน่แท้
“ก-ก็บอกไปแล้วไงว่าไม่มี” พยายามแกะมือออกจากการเกาะกุมไปพร้อมกับการเบี่ยงใบหน้าหนี แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จนัก เมื่อยิ่งผลักไสคนแรงเยอะกว่าก็ยิ่งโน้มตัวเข้ามาใกล้
“ยิ้มให้ดูหน่อยดิ”
“เอาหน้าออกไปก่อน ..” สิ้นเสียงสั่งคราวนี้อีกฝ่ายกลับยอมเถิดตัวกลบไปอย่างว่าง่าย ทำให้เขาค่อยหายใจได้ทั่วท้องขึ้นมาดังเดิม วินาทีนี้คงทำได้แค่ส่งยิ้มมุมปากเล็กๆไปให้อย่างจำยอมในสถานการณ์
“: )”
“อื้อ ค่อยเป็นไป๋ขึ้นมาหน่อย : )”
ตึกตัก ตึกตัก
ฝ่ามือใหญ่วางแหมะลงบนหัวเขาพร้อมลูบขึ้นลง ทำให้ไป่ไป๋รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นเด็กที่ถูกผู้ใหญ่เอ็นดูอย่างไรอย่างนั้น
สองคนได้สบตากันท่ามกลางบรรยากาศภายในรถ ลืมความอึดอัดในใจไปทั้งหมดเพียงแค่ได้นั่งจ้องหน้ากันนิ่งๆแบบนี้ เนิ่นนานจนกว่าจะเบื่อ แต่ยังไม่ทันให้มีใครได้เป็นฝ่ายชนะในเกมจ้องตานี้ เสียงแจ้งเตือนดังแผดขึ้นมาเรียกสติทั้งคู่ให้กลับคืนมาได้ ทำเอาร่างบางเองนั้นเผลอตกใจและลนลานจนทำอะไรไม่ถูก
ไลน์! ไลน์!
“ขอโทษๆ” ในระหว่างที่ผมกำลังล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้วยความรีบและตกใจอยู่นั้น มือที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อก็เผลอทำมันหล่นลงกับพื้นรถอย่างง่ายๆ เผลอสบถออกไปเล็กน้อย ก่อนจะก้มเก็บขึ้นมาจากช่องว่างระหว่างเบาะขึ้นมาทันที
แต่ในขณะที่หยิบเจ้าสมาร์ทโฟนขึ้นมานั้นก็พบว่ากลับมีสิ่งแปลกปลอมได้ติดมือผมขึ้นมาด้วย จากรูปทรงที่สัมผัสอยู่นี่ก็ทำให้เดาได้ไม่ยาก มันเป็นพลาสติกเส้นๆวงๆ ระหว่างที่ยกขึ้นมาวางบนหน้าตักพร้อมโทรศัพท์ผมก็แอบสังเกตลักษณะของมันอย่างไม่ให้อีกคนสงสัยไปด้วย
ยางรัดผมสีชมพู .. “อันนี้อะไรอะ?” ผมแกล้งชูสิ่งของที่เผลอหยิบติดขึ้นมาได้ขึ้นตรงหน้า ก่อนที่อีกคนจะรีบดึงกลับไปหาตัวเองด้วยความเร็ว
“อ๋อ ของเพื่อน” เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาดังนั้นมันก็เริ่มทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเสียดื้อๆ .. เพื่อนของอีกคนส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชายเสียหมดแถมก็ไม่มีใครไว้ผมยาวอีกต่างหาก ให้เด็กประถมเดาน่าจะรู้เลยว่าเป็นของใคร
ผมสูดหายใจเข้าลึก แล้วเลิกสนใจอาการลุกลี้ลุกลนของคนข้างๆก่อนกลับมาสนใจยังโทรศัพท์ที่ค้างแจ้งเตือนเมื่อครู่นี้ไว้ว่าเป็นไลน์ของกลุ่มภาคไม่รอช้ารีบกดเข้าไปอ่าน
Pyre : พรุ่งนี้ฟิสิกส์คาบเช้ายกนะ
Pyre : อาจารย์เพิ่งโพสต์บอกในเฟซส่วนตัว ผมอ่านจับแค่ข้อความที่สำคัญโดยไม่มีจิตใจสนข้อความของเพื่อนที่เหลือโดยมีทิศทางไปทางโวยวายเพราะความดีใจแม้แต่น้อย จัดการกดล็อกหน้าจอให้เรียบร้อยแล้วจึงเก็บใส่กระเป๋าเสื้อชุดนอนเหมือนเดิม
ด้านนอกตอนนี้ฝนก็ตกลงมาโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ผมนั่งมองหยดน้ำเกาะตามกระจกที่ไหลลงตามน้ำต่างหยดแล้วหยดเล่า ทอดถอนหายใจปล่อยให้ความเงียบเริ่มเกาะกินเราไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เป็นผมเองที่ทนไม่ไหว ..
“พิว กูขอถามอะไรหน่อยดิ”
“ว่าไงอ่ะ?”
“มึงกับกุ้งเป็นอะไรกันวะ?” สิ้นสุดคำถามผมก็ได้รับคำตอบเป็นความเงียบอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนที่เขาจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติ ทำเอาใจผมกระตุกเซไปเล็กน้อย
“เป็นเพื่อนไง .. กูบอกมึงสองรอบแล้วนะเนี่ย”
“งั้นคราวนี้กูเปลี่ยนคำถามแล้วกัน”
“...”
“มึงรักกูป่ะ?” คราวนี้ที่จะเลือกหันไปสบตากับอีกคนตรงๆ สายตาของเขาเต็มไปด้วยคำถามและความไม่เข้าใจปนกันอยู่ หากคำแรกที่เขาพูดออกมาเป็นคำที่ผมต้องการมากที่สุดแล้วนั้น ผมก็จะยอม .. ยอมหลับหูหลับตาแล้วลืมทุกอย่าง
แต่ผมไม่ได้ถูกสร้างมาให้ยอมรับความเจ็บปวดได้มากขนาดนั้น ... “ไป๋ มันไ-”
“หมดเวลา”
แค่คำเดียวแท้ๆ อีกแค่คำเดียวเองนะ
น้ำตารื้นเต็มดวงตาทั้งสองข้างจนมองคนข้างหน้าแทบไม่ชัด ผมกระพริบตาไล่น้ำตาถี่ๆเพื่อให้มองคนตรงหน้าได้อย่างถนัด ด้านของอารมณ์ชั่ววูบกำลังทำงาน แม้ข้างในจะรู้สึกวูบโหวงอยู่ไม่น้อย แต่สมองของผมกลับสั่งให้เดินหน้าต่อ ซึ่งตัวผมเองนั้นก็ไม่รู้ว่าการตัดสินใจของผมสุดท้ายแล้วมันจะดีหรือไม่ดี แต่สิ่งที่ผมได้เจอมาทั้งหมด มันได้บีบบังคับให้ผมได้พูดมันออกไป...
“ .. มึงเลิกจีบกูเถอะ” คำขอร้องที่ไม่มีแม้แต่การอธิบายสาเหตุใดๆ ทำเอาคนฟังถึงกับใจหล่นไปยังตาตุ่ม ยังคงนิ่งงันไปกับสิ่งที่ได้ยิน
“ท-ทำไมวะ” เสียงตะกุกตะกักดังขึ้นถามกลับมา น้ำตาผมจากตอนแรกที่เคยหายไปกลับหลั่งไหลราวกับธารน้ำตกไปตามสองแก้ม
“กูรู้สึกอึดอัด”
ที่ได้แต่รอให้มึงมาหา “...ไป๋”
“กูไม่ชอบที่มึงชอบมาจับหัวกู”
เพราะมันทำให้หัวใจเต้นแรงจนน่ากลัว “…”
“มึงไม่ต้องมาเสียเวลากับกูหรอก”
ไปหาเขาเถอะ ก่อนที่สายเกินไปจนกูตัดใจไม่ได้ “...”
“.. กูไม่ได้ชอบมึง”
จะยอมรับตรงนี้ก็ได้นะ .. ว่ากูรักมึงไปแล้ว ไม่รีรอให้คนหลังพวงมาลัยได้รั้งไว้ ก็ตัดสินใจเปิดประตูเดินฝ่าดงฝนออกมา ถึงตัวจะเปียกปอนก็ไม่เป็นไร จงใจเดินสับขาเข้าประตูหอช้าๆ แต่ก็ไร้วี่แววของสิ่งที่หวังไว้ .. เป็นคนบอกเองแท้ๆ แล้วจะหวังให้เขาเดินตามมาทำไมวะ?
ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย
แต่ทำไมพอเดินออกมาถึงไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด
จบแล้วสินะ
ไปมีความสุขได้แล้ว
รัก ..
❋❋❋
หลังจากเมื่อคืนที่เอาแต่ทำซ่า เดินตากฝนเป็นพระเอกเอ็มวี ช่วงเช้าวันนี้ไข้หวัดก็รับประทานตามไปอย่างที่คาดไว้ แต่ก็โชคดีเหลือเกินที่ภาคเช้าอาจารย์สั่งยกคลาส รวมทั้งภาคบ่ายไม่มีการเรียนการสอนนั้น ทำให้ผมได้นอนป่วยที่หอได้อย่างสบายใจ
“ไง ไอ้ลูกหมา เมื่อคืนตกน้ำไปทีเดียว วันนี้หวัดแดกเลยเหรอ?”
“ป่วยแต่ก็เตะคนไหวนะครับ” สุ้มเสียงเริ่มแหบพร่าเพราะพิษไข้ แต่ก็ยังมิวายทำเก่งยกเท้าขึ้นโชว์คนฝั่งเตียงตรงข้ามว่าหากพูดมากเพิ่มขึ้นอีกนิดเดียว เจ้านี่จะได้ลอยไปเตะปากแน่ๆ
“เจ๋งมากมั้งเนี่ย” ยีนส์พูดยิ้มๆพลางส่ายหัวให้ผมน้อยๆแล้วนั่งลงอ่านหนังสือกองโตดังเดิม
นึกถึงเมื่อคืนที่เดินกลับมาถึงห้องด้วยสภาพเนื้อตัวเปียกมะล่อกมะแล่ก เป็นไปตามคาดว่ายังไงอีกคนในห้องก็ต้องถามสาเหตุแน่นอน แต่ยังสบายใจได้ที่ว่าคิดข้ออ้างดีๆเผื่อไว้ตั้งแต่เดินขึ้นบันไดมาแล้ว เลยทำให้รอดตัวจากการจับผิดไปได้อีกครั้ง
ถึงตอนนี้จะเป็นเวลาแค่แปดโมงเช้า พวกเราก็ได้ตื่นขึ้นมาอาบน้ำ เวฟข้าวกินเรียบร้อยแล้วก็มานั่งจมกับกองหนังสือ เนื่องจากควิซและสอบย่อยหลายวิชาที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ผมทานยาและนอนพักอยู่สักครู่ก็ควรค่าแก่เวลาที่จะลุกขึ้นมาอ่านหนังสือหาความรู้เข้าสมองกลวงๆตามแบบรูมเมทบ้าง เทคนิคการอ่านหนังสือของผมมักไม่มีแบบแผนมากนัก อยากอ่านวิชาไหนก็อ่าน สลับอ่านบ้าง อ่านจนเบื่อค่อยเปลี่ยนวิชาบ้าง ทุกอย่างไม่ตายตัว
ผมพยายามหอบสังขารของตัวเองนั่งประจำที่หน้าโต๊ะอ่านหนังสือ ก่อนจัดการสุ่มหยิบชีทเรียนขึ้นมาอ่านในช่วงเช้านี้ แต่ดูเหมือนโชคยังเข้าข้างอยู่บ้างเมื่อเป็นชีทวิชาฟิสิกส์หนึ่งในวิชาที่ผมชอบ ทำให้ผมไม่ต้องเริ่มต้นวันด้วยวิชายากๆให้ชีวิตในวันนี้ของผมต้องหม่นหมองไปมากกว่าเดิม .. อย่างเช่นเคมีเป็นต้น
“ซมแบบนี้ แสดงว่าเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องดีเหรอ?” จู่ๆไอ้ยีนส์ที่นั่งเงียบไปกลับพูดขึ้นมาเหมือนลอบสังเกตอาการของผมอยู่สักพักนึงมาแล้ว ส่งผลให้ดินสอที่กำลังขีดเขียนวิธีทำของโจทย์ข้อที่สามก็ต้องชะงักทันที
“...ไม่รู้ว่าดีไหม”
“…”
“แต่ไม่มีความสุขเลยว่ะ”
“เดี๋ยวกูไปต่อยมันให้เอาป่ะ?”
“เฮ้ย! ไม่ต้อง ถ้ากูจะต่อยคงไม่รอดมาถึงมือมึงหรอก” ผมรีบเบรกห้ามไอ้ยีนส์ที่ทำหน้าจริงจังขึ้นมาเพราะกลัวว่ามันจะเอาจริงขึ้นมา
“มันไปมีแฟน แล้วก็ทิ้งให้มึงเป็นอย่างนี้เนี่ยนะ”
“กูเป็นคนบอกเอง ..”
“แม่งเอ้ย โง่กันทั้งผัวทั้งเมียเลย” เสียงงึมงำในลำคอเบาเกินกว่าที่นั่งตรงนี้จะได้ยินอย่างชัดเจน ผมจึงเอ่ยปากขอให้พูดย้ำเพื่อความมั่นใจ แต่ผิดคาดกลับได้รับสายตาเบื่อหน่ายกลับมาเพียงเท่านั้น ..
..นี่ผมทำอะไรผิดไปเหรอ?..
❋❋❋
หนึ่งวันกว่าๆกับการเจอหน้ากันครั้งล่าสุดของผมกับพิว แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดได้ถึงหูตุลลี่แล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเจ้าตัวก็สวมบทบาทเพื่อนสนิทผู้เกรี้ยวกราดต่อว่าคนที่มันเคยหลงหัวปักหัวปำแบบไม่หยุด จนต้องเป็นผมและยีนส์ที่คอยทำให้ใจตุลลี่เย็นลง และเริ่มกลับมาใช้ฟีลเตอร์แม่แอฟ ทักษอรได้อีกครั้ง
แต่สำหรับทางด้านของไอ้ก๊าซและไอ้ครามที่หายหน้าหายตากันไป ประกอบกับที่ทั้งสองคนไม่รู้เรื่องก่อนหน้านี้ ผมเลยตัดสินใจที่จะไม่บอกเรื่องทั้งหมดกับทั้งคู่เลยเสียดีกว่า
ถึงวันนี้แม้อาการไข้หวัดจะไม่หายสนิทดี ผมก็ต้องหอบสังขารเข้าเขตตึกคณะมา เนื่องจากมีสอบย่อยทั้งในวิชาฟิสิกส์ตามที่อาจารย์ได้นัดหมายไว้นั่นเอง
ทันทีที่ได้ก้าวเท้าเข้าห้องมาพร้อมกับรูมเมทที่มักจะมาพร้อมกันเฉกเช่นทุกวัน หากมีสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็ตรงที่ว่า .. ที่นั่งด้านขวาของผมมันว่างเปล่าเสียแล้ว
“อ้าว ไป๋ไม่สบายเหรอใส่แมสมาด้วย” ก๊าซที่หันมาเจอผมกับหน้ากากอนามัยสีเขียวอ่อนก็เอ่ยทักขึ้นมา
“แม่งไปเดินตากฝนช่วยป้าหอเก็บลังกระดาษมา กลับห้องมาน้ำงี้หยดตึ๋งๆ บอกให้แดกยาก็ไม่แดก พอเช้ามาเป็นไงล่ะมึง เสียงแหบเป็นศิริพรเลย” และแล้วก็เป็นยีนส์คนเดิมที่มักจะออกหน้าช่วยตอบไม่ให้ผมรู้สึกลำบากใจ เจ้าตัวเดินเบียดจากข้างหลังขึ้นมาคุยกับไอ้ก๊าซในเรื่องของผมอย่างออกรสออกชาติ
“โอ้โห อะไรวะ ไอ้ไป๋ตากฝนจนหวัดแดกเลยเหรอ?” คราวนี้กลับเป็นเสียงของไอ้ตุลลี่ที่จู่ๆก็ทวนคำพูดขึ้นเสียงดัง ทำเอาผมงุนงงเล็กน้อย เพราะเมื่อวานนี้เป็นเจ้าตัวเองที่เข้ามาถามยันในห้องว่าทำไมถึงเป็นหวัด ผมจึงได้เล่าเรื่องทั้งหมดไปให้ฟังแล้วแท้ๆ..
“เออ กลับมาตางี้แดงเลยว่ะ สงสัยวิ่งแล้วน้ำฝนกระแทกตาแรงไปหน่อย”
“โอ๋ ไป๋น้อยของกู ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย” ทั้งสองขยิบตาให้กันไปมาอย่างน่าสงสัย ก่อนที่จะถึงบางอ้อในทันทีว่าตัวต้นเหตุของการร้องไห้เมื่อวันก่อนได้นั่งอยู่ข้างหลังผมนี่เอง
บรรยากาศสำหรับผมตอนนี้เริ่มอึดอัดช่วงอกเข้าไปทุกทีทั้งไอ้ตุลลี่และไอ้ยีนส์ที่ผลัดขายผมกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ต่างจากคนที่ย้ายไปนั่งด้านหลังอย่างจงใจที่เอาแต่นั่งเงียบแบบผิดวิสัย
“พวกมึงทั้งคู่พอได้แล้ว ถ้าอยากเป็นหวัดบ้างเดี๋ยวกูก็จะจัดให้” ไม่พูดเปล่า แกล้งถอดหน้ากากอนามัยออกแล้วยื่นหน้าที่เกรอะกรังไปด้วยน้ำมูกไปหาทั้งคู่
“อี๋ สกปรก มึงเอาหน้าของมึงออกไปเดี๋ยวนี้เลย!!!” แน่นอนว่ามันได้ผลดีเกินคาด ทำเอาทั้งสองคนโดยเฉพาะไอ้ตุลลี่หันหน้าหนีเลิกให้ความสนใจผมไปได้สักที .. เหนื่อยใจกับพวกแม่งจัง..
❋❋❋
“สอบย่อยฟิสิกส์ครั้งนี้คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์วะ?”
“20% รวมการบ้านแล้วก็สอบย่อยครั้งก่อน”
“ไอ้เหี้ยเอ้ย กูอ่านแทบตายเพื่อ 5 คะแนนเองเหรอว้า” หลังจากการสอบย่อยวิชาฟิสิกส์เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็มากินข้าวอยู่ที่โรงอาหารคณะสังคมฯอีกเช่นเคย แต่ดูเหมือนว่าบะหมี่ต้มยำหมูกรอบตรงหน้ากลับไม่อร่อยเหมือนเดิม เมื่อผมได้รู้ถึงสัดส่วนของคะแนนในการสอบที่อุตส่าห์กัดฟันทนพิษไข้อ่านอยู่ทั้งวันด้วยสภาพใกล้เคียงกับคำว่าจะตายอยู่ร่อมร่อ ..
“อย่างมึงต่อให้หลับตาทำไฟนอลก็เอแล้วมั้ง”
“พูดเกินเบอร์อ่ะมึงเนี่ย กูนี่อยากแบ่งคะแนนไปให้วิชาเคมีชิบหาย” เนื่องจากการสอบมิดเทอมในวิชาฟิสิกส์ ผมได้ทำคะแนนเอาไว้ดีมากถึงจะไม่ได้เป็นที่สูงสุด แต่ก็ถือว่าเยอะมากแล้วเมื่อเทียบกับวิชาอื่นที่ร่ำเรี่ยติดดิน
“ไม่เห็นต้องเครียดเลย เดี๋ยวให้พิวติวให้ก็เข้าใจแล้ว” ก๊าซที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งหมดปนกับความมองโลกในแง่ดีของเจ้าตัว ทำให้พูดเสนอขึ้นมา ไม่รู้ถึงความผิดปกติของเพื่อนทั้งสามคนที่เหลือยกเว้นครามเลยสักนิด โดยเฉพาะคู่หูคู่ใหม่อย่างยีนส์และตุลลี่ที่เอาแต่มองหน้ากันไปมาแบบเลิ่กลั่ก
“อีก๊าซๆ มึงว่าวันนี้ข้าวร้านป้านกกลิ่นแปลกๆปะวะ?” มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าตุลลี่พยายามชวนคนกำลังจ้อให้ผมใจเสียได้เปลี่ยนเรื่องคุย พร้อมงัดทักษะแอคติ้งที่สั่งสมมาจากทางบ้านแต่ไม่เคยได้ใช้ ก้มลงดมข้าวในจานพร้อมทำจมูกฟุดฟิดไปมา
“อืม .. ไม่อะ”
“ไม่ได้กลิ่นเหรอ?”
“ไม่ได้กินร้านป้านก”
“อ้าวเหรอ เป็นงั้นไป ฮ่าๆ”
ผ่ามผาม!!!!!!❋❋❋
และแล้วคาบเรียนภาษาอังกฤษืก็ได้ย้อนกลับมาหาผมอีกครั้งในสัปดาห์..
“งานชิ้นสุดท้ายของเทอมนี้ จะเป็นวิดิโอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่นักศึกษาสนใจกันนะคะ” เป็นเสียงอาจารย์ชนันท์พรประจำคลาสอิ๊งเจ้าเดิมพูดแจกแจงโปรเจคที่กำลังจะมอบหมายให้ไปทำ กำหนดเดธไลน์เป็นก่อนการสอบไฟนอลและสถานที่ของแต่ละกลุ่มในเซคต้องไม่ซ้ำกัน เราทั้งสี่คนจึงตัดสินใจจะอยู่กลุ่มเดียวกันเหมือนเดิม เพราะเริ่มลงตัวด้านการทำงานกันได้แล้ว
สิ้นสุดคาบเรียนพวกเราเลือกที่จะนั่งประชุมเรื่องเลือกสถานที่กันต่อ ด้วยความคิดและข้อเสนอแนะที่ไม่ลงตัวทำให้การพูดคุยกินเวลาไปพอสมควร
“เราว่าสถานที่ทางประวัติศาสตร์มันมีสตอรี่ให้พูดเยอะก็จริง แต่มันไม่ค่อยมีแอคทิวิตี้ให้ทำน่ะสิ”
“แต่ถ้าเป็นพวกสวนน้ำก็จะไม่มีข้อมูลอะไรให้เราพูดเลยนะ” ด้านของพะแพงและขวัญได้นั่งปรึกษาเรื่องของสถานที่ในการถ่ายทำอย่างขะมักเขม้น ผมกับเปรมก็ได้แต่พูดเสริมขึ้นบ้างในบางจังหวะ เนื่องด้วยที่ว่าเปรมนั้นเป็นคนต่างจังหวัด ส่วนผมนั้นเป็นคนกรุงเทพก็จริง แต่ติดบ้านและไม่ค่อยสนใจสถานที่เที่ยวมากนัก รวมทั้งมหาลัยของผมอยู่ในเขตปริมณฑล ไม่ได้อยู่ในเขตของเมืองหลวง ทำให้ไม่สันทัด และไม่มีข้อมูลอะไรไปเสนอแนะมากมายนัก
“งั้นพวกตลาดน้ำเป็นไงอะ มีทั้งวัดมีทั้งตลาดเลยนะ” เป็นเปรมที่พูดแทรกขึ้นมาหลังจากที่เริ่มเห็นว่าหากยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ท่วงทัน พวกเราอาจโดนแย่งสถานที่ดีๆไปก็ได้
“เฮ้ยยยย โอเคเลยนะ”
“เราโหวตตลาดน้ำด้วย”
“โอเค เสียงเป็นเอกฉันท์” กำลังจะโห่ร้องด้วยความดีใจยังไม่ทันไรก็ต้องกลับมานั่งเครียดอีกรอบนึง ว่าจะเป็นตลาดน้ำในจังหวัดไหนดี..
“อีกไม่กี่อาทิตย์ก็ไฟนอล แล้วกว่าจะตัดต่อเสร็จอีก งั้นเราเอาเป็นตลาดน้ำที่ไม่ไกลจากมอกันดีไหม?”
“ดีเลย งั้นเดี๋ยวช่วยกันหาข้อมูลนะ” เราต่างคนต่างหยิบโทรศัพท์ประจำตัวขึ้นมาเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตพร้อมเสิร์ทหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องการ ก่อนที่เราจะค้นเจอกันคนละหนึ่งถึงสองสถานที่จนลำบากใจที่จะเลือก
“เอางี้ เปิดระยะทางขึ้นมาเลย ที่ไหนใกล้ที่สุดก็เอาที่นั่นเลย”
“ของเรา 49 กม.” พะแพงเป็นคนพูดออกมาคนแรก
“ของเรา 83 กม. สงสัยไกลสุดแล้วมั้งเนี่ย” ต่อมาด้วยขวัญที่ดูเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าแค่บอกตัวเลขแสดงระยะทางแค่นี้ แต่ทำไมต้องตื่นเต้นและลุ้นกันไปทั้งหมดด้วย
“ของเปรม 53 กม. กับ 25 กม.” และสุดท้ายก็คือผม...
“...23 กม.” ซึ่งพออ่านชื่อของตลาดน้ำที่อยู่บนหน้าจอดีๆแล้วนั้น กลับรู้สึกคุ้นหูขึ้นมาเสียอย่างนั้น แม้นั่งนึกอยู่นานแต่ก็ยังนึกไม่ออก
จนสุดท้ายผมทนไม่ไหวกดเปิดเข้าชมภาพถ่ายจากที่เคยมีคนลงรีวิวเอาไว้ในเว็บไซต์ชื่อดัง และแล้วก็ทำให้ผมนึกออกในที่สุด .. นั่นก็คือตลาดน้ำที่เคยไปมากับไอ้พิวนี่เอง
“งั้นตกลงเป็นตลาดน้ำที่ไป๋เปิดนะ เขาเมนต์จองในโน้ตแล้ว ส่วนวันที่ไปถ่ายยังไงเดี๋ยวค่อยนัดกันอีกทีเนอะ”
“เย้ รีบไปกันเถอะทุกคน ข้างนอกเริ่มมืดเหมือนฝนจะตกอีกแล้ว”
“อื้ม ไปกันดีกว่า” ทันทีที่ได้ยินคำเตือนจากขวัญเกี่ยวกับสภาพอากาศภายนอกก็ต้องรีบกระวีกระวาดสาวเท้าออกจากห้องมาอย่างด่วนจี๋ แต่เหมือนคนบนฟ้านั้นจะไม่เคยเอ็นดูผมสักนิดเลย เพราะเมื่อกำลังจะย่างก้าวออกนอกตัวตึกไปปุ๊บ เมฆสีดำทะมึนก็กลับกลายเป็นน้ำฝนตกลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว
เสือกลืมร่มไปอีกเจริญละกู.. เพื่อนๆที่เหลือรวมทั้งผมรวมเป็นสี่ชีวิตต่างมีชะตาที่ไม่ต่างกัน แม้ทั้งสามจะไม่ได้อยู่หอในแต่ระยะทางจากตึกคณะศิลปศาสตร์ที่เรายืนอยู่ต้องใช้เวลาเดินไปสักประมาณนึงกว่าจะถึงหน้ามอ ทำให้พวกเราได้แต่ยืนสุมหัวติดแหง็กเพราะไม่มีใครคิดจะพกร่มกันมาเลยสักคน เวลาก็ปาไปจะเกือบหกโมงเย็นแล้ว ผมนึกขึ้นได้เลยหยิบโทรศัพท์เปิดไลน์ขึ้นเช็คข้อความเผื่อว่าจะมีใครพอช่วยผมได้บ้าง
ตุลาครับ : อีไป๋ อียีนส์พวกมึงเลิกยังงง
ตุลาครับ : ฝนจะตกแล้ว รีบกลับเร็ว
Jeansss : แปปๆ อาจารย์เข้าเลทเลยปล่อยช้า
ตุลาครับ : อีพวกเหี้ย กูไม่มีร่มนะรีบออกมา
ตุลาครับ : งั้นกูกลับหอก่อนแล้วกันนะ
ตุลาครับ : บรัย
ก้าดเก้วกาด : อะไรว้าไม่เคยคิดถามถึงพวกกูอะ
ก้าดเก้วกาด : น้อยใจคัก
ตุลาครับ : เช้าก็มากับผัว เย็นก็ไปแดกข้าวกับผัว
ตุลาครับ : กลางคืนก็นอนกับผัว
ตุลาครับ : ไหนอีก้าดบอกสิว่าใครกันที่ทิ้งเพื่อน
ก้าดเก้วกาด : ผัวอะไรวะ ไม่คุยแล้วแม่ง
k. : *ส่งสติ๊กเกอร์* หลังจากที่เห็นข้อความว่ามีไอ้ยีนส์ที่เหมือนจะยังไม่ได้กลับเหมือนกันก็เริ่มใจชื้น เตรียมพิมพ์ข้อความส่งไปหาเผื่อได้ติดร่มกลับด้วยกัน แต่แล้วเสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังที่มีทิศทางตรงมายังทางผมและเพื่อนๆก็ฉุดความสนใจของผมที่มีต่อห้องแชททางไลน์ไปเสียหมด
“คนบ้าอะไรพกร่มมาสองคันเนี่ย”
“เป็นคนหล่อไม่ใช่คนบ้า”
“จ้า ขอบคุณที่ให้ยืมนะจ๊ะ ว่าแต่จะไม่เดินกลับพร้อมกันจริงๆเหรอ?”
“อือ จีจี้ไปก่อนเลย”
“อื้อ งั้นไปนะ บ๊ายบายพิว” เสียงเล็กๆของผู้หญิงดังขึ้นเรียกชื่อที่คุ้นเคยทำเอาผมใจไม่เป็นสุขขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าหันไปมองทางต้นเสียงที่เริ่มดังใกล้เข้าเหมือนอยู่ไม่ห่างมากนัก
“อ้าว นั่นพิวนี่” ตั้งแต่ได้รู้จักสาวคณะแพทย์คนนี้ในฐานะเพื่อนมา ผมไม่เคยแม้แต่จะนึกเกลียดการจดจำชั้นเยี่ยมของเธอเลยสักนิดเดียว จนกระทั่งเจ้าตัวโบกมือทักทายให้บุคคลด้านหลังซึ่งทำเอาผมมั่นใจอย่างเต็มร้อยแล้วว่า เป็นคนที่นึกถึงไว้จริงๆ
“หวัดดี ยังไม่กลับกันอีกเหรอ?” คนตัวสูงในชุดเสื้อช็อปและกางเกงยีนส์เช่นเดียวกับผม เดินตรงเข้ามาหยุดยืนยังที่ว่างข้างตัวผม แต่ผมก็ไม่ได้หันไปมองเขา เช่นเดียวกันกับเขาที่ไม่ได้หันมามองผม..
“ไม่ได้พกร่มมาเลยต้องรอรถรางไปหน้ามอกันอะ”
“พะแพง เปรม รถรางมาแล้วๆ”
“มาพอดีเลย ไปแล้วนะบ๊ายบายไป๋ บ๊ายบายพิว” ยังไม่ทันขาดคำรถรางสีขาวก็เข้าจอดเทียบป้ายทันที ก่อนที่ร่างของทั้งสามจะวิ่งฝ่าสายฝนตรงขึ้นไปบนรถที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คน ผมที่ไม่ได้ขึ้นไปด้วยเพราะรถรางไม่ได้ผ่านเส้นทางเดียวกับหอใน เลยได้แต่ยืนเกร็งคนข้างๆจนไม่กล้าขยับไปไหน
ความแรงของฝนที่เอาแต่ทวีคูณเพิ่มขึ้นช่างดูเหมือนในคืนก่อน ละอองฝนเริ่มสาดเข้ามากินพื้นที่ที่เคยยืน ทำให้ทั้งสองค่อยๆเขยิบห่างจากชายคาตึกจนมายืนพิงชิดกำแพง บรรยากาศโดยรอบเริ่มเงียบลงตั้งแต่ที่เพื่อนร่วมทุกข์ได้ทยอยขึ้นรถรางกันไป จนเหมือนว่าใต้คณะเหลือเพียงแค่เขากับคนข้างๆเพียงสองคนเท่านั้น
“...อะ” ร่มสีน้ำเงินคันคุ้นตาถูกยื่นเข้ามาหา ร่างบางยังคงงุนงงกับท่าทางของอีกฝ่าย เลยเลือกที่จะหันไปจ้องหน้าหาคำตอบแทนที่จะรับร่มคันนั้นไว้
“ไม่สบายไม่ใช่เหรอ รีบกลับหอเถอะ เดี๋ยวจะป่วยหนักกว่าเดิม” เพราะคนตัวเล็กทำอะไรไม่ทันใจเลยจัดการดึงมือขาวที่ตอนนี้เริ่มเย็นและซีดเพราะสภาพอากาศขึ้นมา พร้อมกับยัดร่มสีน้ำเงินใส่มือไปให้
ไป่ไป๋ที่ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกคนได้แต่ถือร่มคันนั้นไว้ในมือ เลือกที่จะไม่พูดอะไร แต่ก็ยังไม่ละสายตาไปไหน
“เดี๋ยวค่อยเอามาคืนก็ได้ ไปเหอะ”
“...แล้วมึงอะ?”
“ฝนซาเมื่อไหร่ค่อยไป หน้ามออยู่แค่นี้เอง” ร่างบางตอบรับในลำคอเสียงเบาก่อนจะเดินแยกตัวออกมาเพื่อเตรียมกลับหอ ในระหว่างที่เขากำลังจะก้าวเท้าให้พ้นจากการกำบังของอาคาร ขณะนั้นก็ได้ก้มลงมองเจ้าผ้าพลาสติกก้านเหล็กเรียวในมือด้วยความคิดอะไรหลายๆอย่าง
เขาต้องเป็นคนพูดต่างหากว่าหอในอยู่ใกล้แค่เดินห้านาทีถึง ต่างจากหอของอีกคนที่ต้องเดินร่วมยี่สิบนาทีกว่าจะถึงที่หมาย แถมฟ้ามืดขนาดนี้สองทุ่มก็น่าจะยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ
ไป่ไป๋เลือกเงยหน้ามองท้องฟ้าสีไม่สดใส .. นึกตำหนิในใจว่านอกจากไม่เอ็นดูกันแล้วยังจะทำให้ลำบากใจมากขึ้นอีก
เขาหมุนตัวเดินกลับเป็นรอบที่สองในวันนี้
หยุดยืนต่อหน้าคนที่เอาแต่ทำหน้าสงสัย
พร้อมยื่นร่มคันเดิมกลับคืนให้เจ้าของ ..
“...ไปส่งหน่อยดิ” ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย แต่รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้าหลังจากที่ฟังจนจบครบประโยคแล้ว นั่นก็ทำให้ได้รู้ว่าทางเลือกที่ไป่ไป๋ได้ตัดสินใจส่งผลให้ช่องอกของพิวกลับมาชุ่มชื้นเหมือนฝนตกตอนรุ่งสางได้อีกครั้ง
มือที่โอบมาวางบนไหล่
ร่มคันเดียวกันกับในวันนั้น
ยังเป็นพิวที่ทำให้หัวใจของไป่ไป๋เต้นแรงได้เหมือนเดิม
เพิ่มเติมคือน่าจะเป็นครั้งสุดท้าย
...
เพราะคงไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้ไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ทั้งตัว และทั้งใจ
สุดท้ายนี้ ขอบคุณที่ยังมาส่งกัน .. รักมากกว่าเมื่อวานอีก
โชคดีนะ
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
มั่ยร้องนะ แต่สัญญาเลยว่าจะทำให้ทุกคนกลับมายืนสง่าบนเรือพิวไป่ไป๋ให้จงได้..
ปล.ขอบคุณทุกเฟบ ทุกวิว ทุกกำลังใจ และทุกคอมเมนต์นะคะ แพรอ่านทุกอันเลย
ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9 (เพจใหม่ค่ะ )
และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา