(end) ◦「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twenty one ―280918)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (end) ◦「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twenty one ―280918)  (อ่าน 77753 ครั้ง)

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter seven ―160818)
«ตอบ #30 เมื่อ17-08-2018 18:29:54 »

(ต่อ)


   ล้อของเครื่องยนต์กลับมาหยุดยังหน้าหอในมหาลัยอีกครั้งของวัน ยังไม่ทันให้คนนั่งฝั่งข้างคนขับได้ขยับตัว ก็ต้องตกใจกับมือหนาที่เอื้อมมาปลดเบลท์พร้อมเก็บสายคาดให้อย่างเรียบร้อย ทำเอาจมูกและแก้มของทั้งสองฝ่ายเฉียดกันไปมาเหมือนอีกคนจงใจ


   ร่างบางนั่งนิ่งอย่างชั่งใจกับคำพูดของตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้นมาจนได้


   “พิว มึงไม่ต้องเทคแคร์กูดีมากหรอก กูเข้าใจว่ามึงกำลังจีบกูอยู่ แต่กูก็เป็นผู้ชายเหมือนมึงนะ” เมื่อพูดจนจบประโยคไป๋ก็สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อสร้างความมั่นใจให้มากขึ้น ก่อนจะค่อยหันไปหาพิวที่ตอนนี้ก็กำลังจ้องมองมาด้วยสายตาที่เขาไม่สามารถอ่านออกจริงๆ


   “งั้นกู-”


   “ทำไมต้องไม่ให้กูแคร์เพราะว่ามึงเป็นผู้ชายด้วย?” ร่างสูงว่าเสียงเข้ม ทำเอาอีกคนใจแป้วตกลงไปอยู่ตาตุ่ม


   “...ก็”


   “คนที่กูชอบก็คือมึง ที่กูดูแลมึงก็เพราะกูอยากมีมึงในชีวิต” คำที่กลายๆเหมือนเป็นคำสารภาพรัก ทำเอาจิตใจคนฟังอยู่ไม่เป็นสุข


   “แล้วมึงจะมั่นใจได้ไงว่าวันนึงกูจะชอบมึงขึ้นมาจริงๆ?”


   “กูไม่ได้มั่นใจในมึง...”


   “…”


   “แต่กูมั่นใจในตัวเองว่ะ”
ร่างสูงว่ายิ้มๆพร้อมส่งมือมาจับเรือนผมนุ่มเล่นอย่างที่ชอบทำ สายตาที่ยากแก่การอ่านได้หายไปแล้ว เหลือเพียงสายตาของทั้งคู่ที่ในแววตาสะท้อนกันและกันอยู่เท่านั้น


   เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีใบหน้าที่คาดว่าคงเจือไปด้วยสีแดงนั่นกลับโดนกดให้ลงไปซุกกับซอกคออีกคนเข้าให้แล้ว ฝ่ามือร้อนที่ยังไม่ห่างไปจากหัวกลับลูบไปมาเบาๆ เหมือนพยายามสื่อออกมาเป็นคำว่า เชื่อใจกันนะ...


   “ก-กูขึ้นห้องแล้ว ขอบคุณมากนะ” ลิ้นที่แทบจะรัวคำพูดออกมาไม่เป็นคำ หลังจากที่เด้งตัวออกจากซอกคอที่เขาซุกไปไหนต่อไหน จัดแจงเก็บสัมภาระตนเอง แล้วไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไร ก็รีบก้าวขาลงจากรถไป โดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง






   ปัง!!!


   เสียงดังของประตูที่ปิดลง พร้อมกับร่างของหนึ่งในเจ้าของห้องที่ทรุดตัวลงแนบกับบานไม้ทันที สองมือกุมทาบไว้บริเวณหน้าอก


   ดูเหมือนเดี๋ยวนี้เขาจะใช้จังหวะการสูบฉีดเลือดเยอะมากเกินไป...


   ลมหายใจหอบกระชั้น จนร่างบางต้องข่มตาลงเพื่อตั้งสติ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลยแม้แต่น้อย



   เขินทุกครั้งที่โดนหยอดคำหวาน แต่ไม่ยักจะอยากขัด

   วูบวาบทุกครั้งที่โดนตัว แต่ก็ไม่อยากให้สัมผัสจางหายไป

   รู้สึกดีทุกครั้งที่ถูกดูแล ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาต้องดูแลคนอื่นตลอดมา



   เขาไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ มันกำลังจะกลายเป็นอะไร


   
   แต่ที่ยังประวิงเวลาปฏิเสธความรู้สึกตัวเองอยู่แบบนี้ เป็นเพราะความกลัวในใจเขา
   ไม่ใช่กลัวสายตาคนอื่นที่มองมาเพราะแค่ผิดแผกไปจากค่านิยม
   แต่เขากลับกลัวใจตัวเอง...กลัวสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความอ่อนไหว
   


   ถึงแม้เขาจะลืมคนรักเก่าไปได้แล้วอย่างหมดหัวใจ...แต่เขาก็ไม่อยากให้ครั้งใหม่มันเกิดขึ้นในเวลาที่เร็วเกินไป
   เร็วจนเผลอคิดไปเองว่าครั้งเก่ามันทำเขาอ่อนไหวขึ้น เหมือนที่เขาบอกกันว่าอกหักแล้วต้องมีคนมาดามหัวใจ แต่เขาไม่กลับรู้สึกไม่อยากให้พิวเป็นคนที่ว่านั่น

   
    อยากให้แน่ใจคนตัวสูงนั่นเป็นอะไรที่มากกว่าคนดามใจ
   



   ร่างบางนั่งพิงบานประตูจนจังหวะของหัวใจเริ่มคงที่ มือขาวเอื้อมขึ้นดันกำแพงเพื่อยันตัวเองให้ลุกขึ้น สูดหายใจเรียกสติกลับมา แม้จะยอมรับความรู้สึกที่เปลี่ยนไปได้แล้ว แต่เขาก็ต้องใช้ชีวิตอย่างปกติ กับทางเส้นใหม่ที่เขาเป็นคนตัดสินใจเลือก...เขาเลือกที่จะเปิดใจให้พิว


   เพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าปลายทางนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ก็หวังว่าวันไหนที่รู้ว่าปลายทางไม่ได้สวยงาม ก็ขอให้เขากลับหลังได้อย่างทันท่วงที อย่าให้ต้องมาเจ็บปวดกับความรักอีกเลย...





❋❋❋




   “พี่ว่าซุ้มของกินน่าจะใหญ่กว่านี้นิดนึงน่าจะดีนะ”

   “โอเคครับ”


   นี่น่าจะเป็นรอบที่สามของวัน ในการที่ต้องกลับมาแก้แปลน ทำเอาผมและไอ้พิวต้องเดินเข้าออกห้องสโมฯกันเป็นว่าเล่น เพราะอีกไม่ถึงสองอาทิตย์ข้างหน้าเราก็จะจัดคอนเสิร์ตที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคอนเสิร์ตที่สนุกและมันส์ที่สุดในมหาลัยกันแล้ว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเราต้องออกแบบแปลนให้ผ่านภายในวันนี้นั่นเอง


   สถานที่จัดงานของเราเลือกเป็นสนามฟุตบอลของคณะพยาบาล เพราะสามารถเดินทางได้สะดวก และมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง เมื่อเลือกสนามเสร็จเราก็ต้องลงพื้นที่วัดขนาดจริง ที่ทำเอาผมเกือบเป็นลมเพราะอากาศร้อน หลังจากที่วิ่งรอบสนามไปมา


   และหลังจากที่รู้จุดที่ต้องแก้แล้วก็หอบแบบร่างเอามานั่งปรึกษาในทีมที่นั่งกันอย่างครบองค์ประชุมอยู่ข้างๆซุ้มโค้กของคณะที่ประจำทันที


   “มารอบที่สามแล้ว พี่แม่งให้แก้อะไรอีกอ่ะ?” ไอ้สมุยที่เห็นผมและไอ้พิวเดินกลับมาเป็นคนแรกก็พูดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เริ่มแข็ง คาดการณ์ว่าน่าจะเกิดจากอาการโมโหหิว เพราะหลังจากเลิกเรียนคาบสุดท้ายก็นัดหมายกันมาทันที ไม่มีใครได้กินอะไรรองท้องทั้งนั้น อีกทั้งที่โดนพี่สั่งแก่หลายต่อหลายรอบ จนล่วงเลยมาเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว


   “แก้พื้นที่ซุ้ม นิดเดียว” พิวว่าจบแล้วก็กางแผ่นกระดาษในมือลงบนโต๊ะทันที ก่อนที่แต่ละคนรวมถึงเพื่อนต่างภาคที่อยู่ในฝ่ายเดียวกัน ได้ช่วยกันคนละไม้คนละมือวาดและออกความคิดแบบไม่มีใครอิดออดกันเลย




   จนในที่สุดก็ได้เอากลับมาให้พี่โหดแกยลโฉมอีกรอบนึง ด้วยใจตุ๊มๆต่อมๆปนความหิวที่มี

   “...พี่ว่ามัน”

   “…”

   “ก็โอเคแล้วแหละ” ทั้งไอ้พิวและผมถอนหายใจกันอย่างคนโล่งอก เฮดสถานที่และพี่ได้คุยกันอีกนิดหน่อย จนพอสรุปได้ว่าหน้าที่ของเราได้สิ้นสุดลงแล้ว

   “ขอบคุณครับ” ยกมือไหว้เสร็จ เราก็รีบปรี่ออกจากห้องทันที แบบที่ไม่รอให้พี่แกได้รั้งตัวเอางานไปแก้อีกรอบ





   “ไป๋ๆ ไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนหน่อยดิ”

   “อือ ไปดิ”


   ผมที่เออออเดินตามร่างสูงไปแบบงงๆ ก็เอาแต่มองแผ่นหลังสวมเสื้อช็อปสีกรมจากข้างหลังไปเรื่อยๆอย่างลืมตัว จนขืนตัวหยุดเดินไม่ทันในตอนที่คนนำหน้าเบรกอย่างกะทันหัน ทำเอาใบหน้าของผมกระแทกเข้ากับช่วงต้นคอของคนนำหน้า เพราะความแตกต่างทางส่วนสูงเข้าไปเต็มๆ


   “เชี่ย หยุดไมเนี่ย”


   “ไป๋ ขอกอดหน่อย” ร่างสูงอ้าแขนเตรียมรับเข้าอ้อมกอดกว้าง


   “อะไรของมึงเนี่ย?!” จู่ๆพิวที่ชวนผมมาห้องน้ำอย่างปกติ กลับเอ่ยปากขอในสิ่งที่ก็ทำเอาผมเองตกใจ ก่อนกวาดสายตามมองไปยังรอบๆห้องสุขา คงเพราะด้วยตอนนี้เป็นเวลาที่เย็นแล้ว เลยทำให้ห้องน้ำชั้นหนึ่งที่ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตจำพวกคนได้มาถึงขนาดนี้


   นี่มึงคิดมาแล้วใช่ไหม...


   “...นะ เหนื่อยอ่ะ”  ไม่รีรอฟังคำอนุญาตจากอีกฝ่าย ร่างสูงก็จัดการรวบตัวอีกคนเข้าอ้อมแขนอย่างคนเอาแต่ใจ ในตอนแรกคนไม่ทันตั้งตัวก็มีบ้างที่จะขัดขืน แต่เมื่อเห็นพิวเอาโอบรัดแล้วซุกหน้าลงกับบ่าของตนก็เปลี่ยนจากอาการดิ้นเป็นเกี่ยวแขนกอดตอบแทน


   “ตัวหอมว่ะ” มิวายใบหน้าซุกซนก็เลื่อนองศาจากบ่ามาเป็นที่ซอกคอแทน ร่างบางรับรู้ได้ถึงสัมผัสร้อนของลมหายใจที่กำลังเป่ารด จึงได้แต่ยืนนิ่งในท่าเดิมไม่กล้าผลักไสคนตัวสูงอย่างที่หัวคิดได้แม้แต่น้อย


   “กำลังใจมาละ” พิวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้น ทำให้ทั้งคู่ผละอ้อมกอดออกจากกัน เปลี่ยนมาเป็นการจับมือกันไว้แทน


   “อื้อ”


   “วันนี้ขออยู่เตะบอลกับเพื่อนที่คณะนะ”


   “ขอกูทำไมวะ” คำสารภาพจากร่างบางดังขึ้นภายในใจที่ว่าสมาธิของเขาได้จดจ้องอยู่ที่คำพูดอีกฝ่าย แต่กลับเป็นที่หลังมือที่มีนิ้วหัวแม่มือของร่างสูงกำลังเกลี่ยไปมาเบาๆ ชวนสยิวแบบนี้


   “ฝึกเอาไว้ ต่อไปจะทำอะไร จะไปไหนก็ต้องขอ”


   “...”


   “แต่ต่อให้มึงไม่ขอ กูก็อยากบอกอยู่ดี : )”



   เกลียดการที่มาขอกอดเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง
   เกลียดการที่ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยหลังมือไปมาทั้งที่ยังยืนคุยกัน
   เกลียดการพูดเหมือนกำลังจะให้เราไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต
   สุดท้าย เกลียดเสียงทุ้มข้างหูที่ดังบอกว่าตัวเขาหอม ทั้งๆที่ตัวของร่างสูงก็หอมไม่แพ้กัน
   แม่ง โคตรไม่แฟร์กับหัวใจเลยอะ...



❋❋❋




   “ทุกคน ชื่อวงที่จะมาคอนฯออกแล้ว”

   “ไหนๆ”

   “ในเพจคอนฯเลย”


   พวกเราหลังจากกลับจากการกินข้าว ก็ได้มารวมตัวที่ห้องผมกันอีกครั้ง แขกรับเชิญได้จับจองพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นพื้นห้อง เตียงไอ้ยีนส์ หรือแม้แต่เตียงผมกันอย่างทั่วถึง ประหนึ่งว่าเป็นห้องตนเอง


   “อ๋อ มีอะตอม ชนกันต์ แล้วก็ LOMOSONIC”

   “เยดโด้ว เด็ดอ่ะ” ไอ้ยีนส์โห่ร้องขึ้นด้วยความชอบใจ ไม่ต่างจากผม

   “เขร้ บอกเลยงานนี้กูหน้าเวที”

   เราต่างพูดคุยเรื่องวงที่จะมาแสดงกันอย่างสนุกสนาน ก่อนที่แรงสั่นจากโทรศัพท์ในมือจะเรียกให้ผมกลับมาสนใจเสียก่อน




just pew : พี่อะตอม มาด้วย
just pew : ต้องหน้าเวทีแล้วแหละ




   ผมขมวดคิ้วให้กับข้อความใหม่บนหน้าจอ ก่อนจะพิมพ์ถามเพื่อไขข้อสงสัยในใจ



                        
paipai : มึงรู้ได้ไงว่ากูชอบ?

just pew : ในจดหมายไง




   ทันใดนั้นสมองก็นึกออกไปถึงจดหมายที่เราเคยเขียนแลกเพลงที่ชอบให้กัน มุมปากยิ้มน้อยๆให้ในความใส่ใจ ก่อนที่ตัวเองจะตอบกลับบทสนทนาไปอีก


                     
                        
paipai : lomosonic ก็มานะ
                        
paipai : อิอิ
   

just pew : ไปด้วยกัน

                        
paipai : ก็ไปนี่ไง

just pew : ไม่
just pew : หมายถึงไปยืนดูข้างกัน
just pew : จองตัวแล้วนะ
just pew : ห้ามเบี้ยว


                        
paipai : อือ
                        
paipai : เอาที่มึงสบายใจอะ




   ความรู้สึกเหมือนเดินชนขอบประตูแรงๆแล้วต้องแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...


   ผมในตอนนี้เลยทำได้แค่กดปุ่มล็อกหน้าจอก่อนจะคว่ำหน้ามันลงกับโต๊ะอ่านหนังสือ แล้วคว้าผ้าขนหนูกับของใช้ ไม่ลืมที่จะบอกกล่าวให้เพื่อนๆได้รับรู้ ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำรวมริมทางด้วยสายตาเหม่อลอยเหมือนคนจิตหลุด


   ใครก็ได้รบกวนตามหาไอ้ไป๋คนเก่งคนเก่ากลับมาทีครับ เพราะไอ้ไป๋คนนี้มันกำลังจะหมดแรงแล้ว


   ช่วยด้วย!!!!



▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔



รอฟีดแบ็กทุกลมหายใจเลยนะคะ ; --- ;



ติดตามการอัพเดตและเม้ามอยได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9 (เพจใหม่ค่ะ )


และตามหวีดได้ในแท็กทวิตเตอร์
#จีบเป็นคำกริยา


(◕‿◕✿)
                     
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-08-2018 18:34:32 โดย pearyypinkyy »

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter eight ―160818)
«ตอบ #31 เมื่อ17-08-2018 19:20:22 »

chapter nine。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔




   และแล้วในที่สุดวันที่เราตั้งตารอคอยกันก็มาถึง
 

   “พวกมึงเอาบัตรคอนฯมาถ่ายบูมเมอแรงกัน”


   เสียงร่าเริงของตุลลี่ดังขึ้นหลังจากที่พวกเราเข้ามาในพื้นที่ถูกล้อมด้วยผ้าใบของงาน ตำแหน่งของทั้งซุ้มของกินรวมถึงเวทีเป็นไปตามแปลนของพวกผม หลังจากที่พวกเราถ่ายรูป พร้อมหาของกินกันพอหอมปากหอมคอ ก็ตกลงกันเดินไปจับจองพื้นที่ยืนหน้าเวที


   ตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาก็เห็นเพื่อนร่วมภาคและร่วมคณะหลายคนที่ทำฝ่ายสต๊าฟในคอนเสิร์ต ต่างคนต่างดูแลคนที่มาอย่างไม่ขาดสายกันให้วุ่น ทำเอาผมรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกเหลือเกินที่เลือกอยู่ในฝ่ายสถานที่


   แต่เพราะตอนนี้เลยเวลาเปิดประตูมาเพียง 20 นาทีเท่านั้น จำนวนคนบริเวณหน้าเวทีเลยยังไม่แน่นขนัดมากนัก และด้วยความที่เป็นคอนเสิร์ตแบบเปิดเลยทำให้มีทั้งนักศึกษาของมหาลัยเรา รวมทั้งบุคลลภายนอกอยู่ด้วย มีมากันตั้งแต่แบบเดี่ยว แบบคู่ และแบบกลุ่มเลยทีเดียว


   บนเวทีกำลังมีโชว์ของวงดนตรีที่ทำการสมัครเข้ามาและโชว์จากคณะผมต่างๆมากมาย เพื่อสร้างสีสันก่อนศิลปินจะขึ้นทำการแสดง


   แต่ในระหว่างที่สายตากำลังจดจ้องไปยังโชว์เต้นโคฟเวอร์โดยสาวคณะผมอย่างเพลินๆก็ต้องชะงักลง เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงสั่นในกระเป๋ากางเกง



just pew : อยู่ตรงไหน?

                        
paipai : หน้าเวที เดินมาเลย
                        paipai : *ส่งรูป*

just pew : ไม่เห็นอ่ะ ยกมือหน่อย
                        
paipai : เห็นยังๆ



   “เห็นแล้ว” ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตผ้าบางปลดกระดุมโชว์แผงอกขาวน้อยๆกับกางเกงยีนส์สีเข้ม เดินมาสะกิดจากทางด้านหลังพร้อมรอยยิ้มที่ค่อยๆผุดขึ้นนั้น ทำเอาผมรู้สึกเหมือนตาพร่าไปชั่วขณะ

   “กรี๊ดดด พิวขาก็มาด้วยเหรอ” ร่างของไอ้ตุลลี่ที่เคยยืนห่างผมโดยมีทั้งสามคนยืนกั้น บัดนี้ได้ปรี่เข้ามาเกาะกุมผู้มาใหม่แล้วเป็นที่เรียบร้อย ไม่พอยังเอาหน้าไปถูไถกับต้นแขนขาวนั่นอีกด้วย

   “ตุลลี่นะคิดถึ๊งคิดถึง”

   “ไอ้ตุลลี่ มึงดูหน้าไอ้พิวด้วยว่าเขาขยะแขยงมึงจะตายห่าแล้ว กลับมา” ไอ้ยีนส์ตรงปรี่เดินมาลากไอ้ตุลลี่กลับไปยืนยังที่เดิม โดยไม่สนแรงดีดดิ้นใดใด เพราะเห็นว่าคนรอบๆข้างเริ่มหันมามองไอ้ตุลลี่ด้วยสายตาแปลกๆกันแล้ว



   ร่างสูงเริ่มขยับเข้ามาใกล้เพราะแรงเบียดจากทางด้านหลัง เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ศิลปินกำลังจะขึ้นทำการแสดงแล้ว เป็นเพราะพวกเรายืนกันอยู่ในบริเวณด้านหน้าเลยทำให้มองจำนวนคนโดยรวมได้อย่างถนัด แต่คาดๆดูแล้วน่าจะเยอะมากเลยทีเดียว



   “เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปพบกับพี่อะตอม ชนกันต์ กันได้เลยค่า”

   “กรี๊ดดดดด” เสียงกรีดร้องให้นักร้องที่ชื่นชอบดังขึ้นกระหึ่มจนกลบเสียงรอบข้างไปจนหมด
   

   ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยเพลงในอัลบั้มไหน ตอนนี้เป็นเพลงที่เท่าไหร่ คนรอบข้างกำลังโยกตัวไปทางไหน ก็ไม่ทำให้ผมสนใจได้มากเท่าบุคคลที่ผมชื่นชอบได้มาแสดงบนเวทีตรงหน้านี้


   เสียงร้องสดที่แทบไม่หลุดจากคีย์
   การเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติ
   ไหนจะการเล่นกีต้าร์ที่ดูธรรมดา แต่มันกลับพิเศษต่อจิตใจ
   ในชีวิตไอ้ไป๋ ไม่เคยเจอใครเท่เท่าพี่อะตอมมาก่อนเลยโว้ย!!!


   สายตาที่มองตามไปทุกๆที่ที่พี่แกเดินไปบนเวทีเหมือนโดนมนต์อะไรสะกด ปากก็ร้องตามบทเพลงที่ดังขึ้น จนในที่สุดคิวแสดงแรกก็ได้สิ้นสุดลง

   บอกเลยว่าไม่น่ามีใครอินได้เท่ากูแล้ว...


   “ชอบขนาดนั้นเลย?” ร่างสูงทางซ้ายหัวเราะยิ้มๆให้ผมที่กลับมาสนใจโลกภายนอกอีกครั้ง หลังจากที่ปล่อยให้ตนเองอินไปกับเสียงเพลงจนเหมือนสติหลุดได้ขนาดนี้

   “อื้อ” มีความสุขได้ไม่นาน ผมก็ต้องกลับมารู้สึกเศร้าอีกครั้ง เมื่อเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองกำลังทำพลาดครั้งใหญ่หลวงนั่นก็คือการลืมถ่ายรูปเก็บภาพสุดแสนจะประทับใจเอาไว้...โถ่โว้ย



   จากนั่นการแสดงบนเวทีก็ถูกคั่นด้วยเสียงของพิธีกรอีกครั้ง ผู้ชมที่เมื่อยขาจนยืนไม่ไหวก็เริ่มทยอยกันนั่งลงกับพื้นเพื่อนรอชมโชว์จากวงดนตรีวงต่อไป

   “พวกมึงกูปวดขี้ว่ะ” เสียงของบุคคลท่อสั้นแห่งปีเอ่ยขึ้นขัดเสียงพิธีกรคั่นเวลาบนเวที

   “ทนได้ไหม เดี๋ยวดูเสร็จค่อยออกไป”

   “ไม่ไหวว่ะ ไอ้ไป๋ มึงออกไปเป็นเพื่อนกูหน่อย”

   “ไอ้ตุลลี่ ไปกับกูป่ะ ว่าจะออกไปหาอะไรกินด้วย” ผมได้แต่มองตามหลังทั้งสองคนนั้นที่ขอมุดฝ่าฝูงคนหน้าเวทีที่โคตรจะแน่นออกไป โดยไม่ให้ผมได้พูดอะไรสักคำ


   “ไป๋ เดี๋ยวกูกับไอ้ก๊าซไปหาน้ำแดกก่อนนะ”

   “ให้กูไปด้วยป่ะ?”

   “ไม่ต้องอ่ะ มึงยืนเป็นเพื่อนไอ้พิวเนี่ยแหละ”

   “เออ รีบๆกลับมานะ” ผมพูดปิดท้ายก่อนจะปล่อยให้เพื่อนทั้งสองเดินออกไปอีกคู่ ทิ้งผมให้ยืนกับไอ้พิวอยู่สองคนอย่างเดียวดาย


   “เพื่อนมึงไปไหนอ่ะ?” เพราะเวลาการแสดงที่ถูกเลื่อนออกไปเหตุจากความผิดพลาดทางเทคนิค เลยทำให้ผมเลือกเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอที่กำลังส่งข้อความตามเพื่อนให้รีบๆกลับมา แล้วมาคุยกับคนข้างๆแทน

   “คนไหนอะ ถ้าเป็นไอ้เต้กับสมุยโดนไปช่วย backstage ส่วนถ้าเป็นไอ้เคน…”

   “ไม่เป็นไร กูเข้าใจ”

   “แต่ต่อให้ไอ้สองคนนั้นมา กูก็จะมาดูกับมึงอยู่ดี” ผมเบ้หน้าให้กับความเอะอะหยอดของอีกฝ่าย ก่อนจะบ่ายเบี่ยงประเด็นกลบเกลื่อนอาการ

   “ทำไมถึงชอบ LOMOSONIC วะ?”

   “ชอบเพลงไง ถามอะไรโง่ๆวะ?”

   “เอ้า ไอ้...” ปากที่กำลังจะส่งเสียงด่าแข่งกับเครื่องเสียงชุดใหญ่ก็ต้องหยุดลง เพราะสู้เสียงกรี๊ดที่จู่ๆก็ดังขึ้นมาไม่ได้



   “ตอนนี้ก็เป็นเวลาอันเหมาะอันควรแล้วนะครับ ดังนั้นเชิญไปพบกับวง LOMOSONIC กันเลย!!!!!!!”


   สิ้นเสียงประกาศและเสียงกรี๊ดที่ค่อยๆเงียบลง ผสมกับเสียงดนตรีของวงที่ค่อยๆดังขึ้น ก็ทำเอาผมอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เครื่องดนตรีชนิดต่างๆเริ่มบรรเลงขึ้นในช่วงอินโทร พร้อมกับนักร้องนำที่เดินออกมา เรียกเสียงเชียร์จากแฟนคลับและผู้คนได้อย่างล้นหลามเลยทีเดียว


   เพลงฮิตต่างๆได้ถูกนำขึ้นมาร้องบนเวที ร่างบางที่ร้องได้บ้างได้บ้าง ก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองสวนทางกับสังคมรอบข้าง โยกลำตัวและยกมือขึ้นโบกไปตามพลังของความมันและสนุกไปกับเสียงเพลง ต่างจากร่างสูงที่ปากบอกตั้งใจจะมาดูในวงดนตรีที่ชอบ กลับจ้องมองไปทางคนตัวขาวข้างๆแบบไม่ละสายตาพร้อมยกยิ้มด้วยความชอบใจ ใช้ประสาทการฟังในการรับชมการแสดงตรงหน้าเท่านั้น


   ก็แหงล่ะ เขาน่ะตามไปดูวงที่เขาชอบจนบ่อยแล้ว แต่อาการของอีกคนตอนนี้ก็ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆสักหน่อย


   เป็นตัวป่วน แต่ก็น่ารัก...



   พิวหันหน้ากลับมาสนใจเวทีอีกครั้งในตอนที่ไฟเริ่มหรี่ลงเพราะความต้องการของนักร้องนำ ผู้คนเริ่มส่งเสียงฮือฮาเพราะความสงสัย เขาเหลือบมองคนข้างๆอีกครั้งก็พบว่าฝ่ายนั้นไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา ก่อนที่เสียงบนเวทีจะหันเหความสนใจของเขาไป


   บทนิยามของความรักถูกถ่ายทอดออกมาจากปากคนที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนได้อย่างจี้หัวใจ ทำเอาหลายๆคนกลับมาฉุกคิดได้ รวมถึงคำพูดแสนเสียดแทง แต่เป็นความจริงที่ว่า..



   “..ตลอดเวลาที่ผ่านมาความรักไม่เคยเหี้ย คนต่างหากที่เหี้ย”
   


   ประโยคข้างต้นทำเอาร่างบางได้แต่ยิ้มกับตนเองเล็กๆ นั่นดิ ความรักมันไม่เคยเหี้ยหรอก อย่าไปกลัวครั้งใหม่ตราบใดที่เรายังเรียกมันว่าความรักสิวะ...


   เสียงร้องตะโกนชอบใจกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง เมื่อกลองได้เริ่มทำหน้าที่ให้การนำเข้าสู่อินโทรของเพลงที่กำลังจะแสดงในลำดับถัดไป คราวนี้แสงสีของไฟสปอร์ตไลท์ด้านบนกลับมาใช้งานแบบเต็มกำลังเหมือนเดิม และเหมือนจะทำหน้าที่ได้ดีกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ..

   “ไอ้เชี่ย ไฟแม่งส่องเข้าตาเต็มๆเลย” แสงไฟหลากสีที่กำลังสาดส่องลงมาใส่คนดูทั่วบริเวณนั้น ทำเอาร่างบางเริ่มมึนหัว

   “...มองหน้ากู”

   “ทำไม?”


   สายตาสอดประสานกันในจังหวะเดียวกับเสียงร้องช่วงต้นของเพลง เหมือนกับพยายามผลักให้พวกเขาเข้าใกล้กันไปเรื่อยๆ



เพราะอดีตที่เคยผ่านมา
เพราะน้ำตายังรินไหล
เพราะมีคนที่เดินจากไป
และหัวใจยังอ่อนล้า



   “จะได้ไม่แสบตาไง”

   น่าแปลกที่ร่างบางมักจะหัวรั้นกับร่างสูงเสมอ แต่ในตอนนี้กลับเชื่อฟังคำแนะนำนั่นอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

เพราะบางเพลงที่เคยร่ำร้อง
เพราะทำนองยังทำร้าย
เพราะว่าเธอมาเปลี่ยนความหมาย
ให้หัวใจให้กลับมาเหมือนเดิม

   
   “ไป๋ ขอจับมือได้ปะวะ?”

   “อื้อ”

   “...”

   “เอาดิ”

   ทั้งสองปล่อยให้รอบข้างเป็นไป โดยเลือกที่จะไม่สนใจ ร่างสูงกระชับมือที่เกาะกุมกันไว้ให้แน่นยิ่งขึ้น ทันทีที่ท่อนฮุคของเพลงได้เริ่มขึ้น...


เพราะความรัก ที่มันไม่เลือกเวลาเกิด
เพราะแพ้ให้เธอในทุกๆสิ่ง เพียงแค่ฉันสบตา
เพราะความรัก โอ้เธอที่ทำให้มันเกิด
เพราะรักทำลายกำแพงที่มี
ให้หัวใจของคนๆนี้ กลับมามีรัก
เพราะเธอ...



   “วันนี้กูไม่ได้มาคอนฯเพราะฟังเพลงหรอก” ร่างทั้งสองที่เริ่มขยับเข้ามาชิดขึ้นเพราะแรงเบียด เพลงซึ้งที่กำลังเล่นบนเวทีทำเอาใครหลายๆคนร้องตามและส่งเสียงเชียร์อย่างหนาหู ส่งผลให้การสื่อสารของทั้งคู่ต้องโน้มปากเข้าไปใกล้หูกันมากกว่าเดิม แน่นอนว่าในแต่ละครั้งร่างบางมักจะขนลุกให้กับลมหายใจร้อนที่เป่ารดต้นคอตนเองไปด้วย

   “เอ้า...”

   “แต่กูมาเพราะอยากให้มึงได้ฟังเพลงนี้ไปด้วยกัน”

   ผิวขาวของคนตัวเล็กกว่าต้องขึ้นสีแดงซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้กับคนตามจีบที่ทำหน้าที่ตามปฏิญาณของตนเองได้ดีและมีประสิทธิภาพเสียอย่างปฏิเสธไม่ได้ ร่างเล็กทนอายที่จะมองหน้าร่างสูงนานกว่านี้ไม่ไหว เลยตัดสินใจหันหน้าไปอีกทางทันที ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะเบาๆให้อย่างรู้ทัน


   อือ ยอมเลยอะ





❋❋❋




   “ขับรถกลับหอดีๆนะคะพิวขา บ๊ายบาย”

   “อื้อ บาย”

   หลังคอนเสิร์ตจบลง เราก็ได้กลับมาเจอหน้าทั้งสี่คนอีกครั้ง โดยพวกมันให้เหตุไว้ว่าที่ไม่เดินกลับไปที่เดิม เพราะมุดไปไม่ได้แล้ว คนเยอะมาก เลยทำให้ต้องดูคอนเสิร์ตข้างหลังกันไป

   จากนั้นพิวก็อาสาพาพวกเรามาส่งหน้าหอที่กำลังจะปิดในไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ทันทีที่เครื่องยนต์สี่ล้อมาถึงหน้าบอกเพื่อนๆเบาะหลังก็ทยอยกันลงจากรถ เหลือแต่ผมที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เบาะหน้า

   จะให้ลงไปยังไงในเมื่อมือหนานั่นวางลงบนหน้าตักเขาแบบที่ไม่กลัวเพื่อนๆสงสัยแบบนี้...


   “ขอบคุณนะ” คนตัวสูงเปิดประเด็นทันทีที่เพื่อนคนอื่นออกไปรอข้างนอกกันหมดแล้ว

   “เรื่อง?”

   “วันนี้มีความสุขมากเลย ขอบคุณนะ”

   “…”

   “เดี๋ยวถึงห้องแล้วจะไลน์หา”

   “ขอบคุณเหมือนกัน บาย”

   คนตัวเล็กกว่ารีบกุลีกุจอก้าวขาลงจากรถด้วยความกลัวเพื่อนจะสงสัยว่าทำไมเขาถึงลงจากรถมาช้า หันกลับไปมองก็พบว่าคนหลังพวงมาลัยได้โบกมือส่งมาจากภายในตัวรถ ก่อนที่จะค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป

   ด้วยความเหนื่อยและเหนียวตัวพวกเขาทั้งห้าคนจึงตัดสินใจแยกตัวกันไปพักผ่อน โดยเลือกที่จะไม่ไปนั่งเล่นห้องเพื่อนอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ
   


   หลังจากแยกย้ายกันอาบน้ำเสร็จผมก็ล้มตัวนอนพร้อมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเปิดดูการแจ้งเตือนต่างๆ หลังจากที่ไม่ได้จับมาหลายชั่วโมง ก็พบกับการแจ้งเตือนล่าสุดของคนที่บอกว่าจะไลน์มา แล้วก็ไลน์มาจริงๆ


just pew : ถึงแล้ว
just pew : อาบน้ำเหรอ ไปอาบบ้างละ


                        
paipai : เพิ่งอาบเสร็จ

just pew : เพิ่งอาบเสร็จเหมือนกัน
just pew : ง่วงยัง?


                        
paipai : ยังอะ
                        paipai : จะนอนแล้ว?

just pew : ยัง
just pew : ถ้ายังไม่นอนเหมือนกัน จะได้ชวนคุย


                        
paipai : แล้วไม่อ่านหนังสือไง

just pew : ระดับนี้แล้ว รอเก็บท็อปอย่างเดียว

                        
paipai : กูไปนอนละสัส

just pew : ไอ้เหี้ย กูล้อเล่น555
just pew : เอ้อ จะบอกว่า
just pew : ช่วงนี้ไม่น่าว่างติวให้นะ
just pew : เพื่อนชวนเตะบอลทุกวันเลย

                        
paipai : เออ ไม่เป็นไร
                        paipai : ไปออกกำลังกายบ้างเหอะ

just pew : เป็นห่วง?

                        
paipai : เหอะ มึงเริ่มอ้วนแล้ว

just pew : ปากหมาเหมือนเดิม
                        
paipai : ไอ้สัส




   ได้ยินเสียงปิดประตูและฝีเท้าของรูมเมทที่เพิ่งกลับมาจากการอาบน้ำปุ๊บ ด้วยความตกใจผมเลยเผลอกดปิดแชทแล้วทิ้งโทรศัพท์ลงบนเตียงทันที...เชี่ยเอ้ย แพนิคสัส

   “มึงมีพิรุธ” ผมค่อยๆหันไปยิ้มแหยๆให้เพื่อนร่วมห้องแบบที่ไม่มีอะไรไว้ใช้แก้ต่าง ก่อนที่อีกคนจะส่ายหัวให้แบบเอือมๆก่อนจะทิ้งตัวนั่งบนเตียง พร้อมใช้ผ้าชนหนูในมือเช็ดผมไปด้วย


   ในขณะที่ผมกำลังนั่งมองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ ไอ้ยีนส์ก็พูดขึ้นดักคออย่างรู้ทันอย่างทุกครั้งไป

   “อะ มีอะไรข้องใจก็ว่ามา” ยีนส์เลิกเช็ดผมแล้วเลือกที่จะนั่งฟังคนที่นั่งบนเตียงฝั่งตรงข้ามอย่างตั้งใจ

   “มึงเคยรู้สึกหวั่นไหวกับใครสักคนปะวะ?” ทางนั้นทำหน้าหวาดๆก่อนจะเอ่ยถามกลับเสียงดัง

   “ไอ้ไป๋ นี่มึงชอบกูเหรอ?”

   “พ่องสัสยีนส์ ตอบกูมาเร็วๆ”

   “เคยดิ วันนี้มาแปลกๆนะมึงเนี่ย”

   “กูเชื่อใจมึงในฐานะเมทสุดที่รักกูในเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมานะไอ้ยีนส์...” มือชุ่มเหงื่อทั้งสองข้างถูเข้าหากันอย่างคิดหนัก

   “ชักช้า มึงพูดเข้าเรื่องมาเลยดีกว่าไอ้ไป๋”
 
   “เออๆ ได้ แต่มึงสัญญากับกูก่อนนะว่าจะไม่บอกใคร”

   “เอ้อ เร็ว กูง่วงแล้ว” ทางนั้นเริ่มหงุดหงิดเพราะผมไม่ยอมเข้าเรื่องสักที

   “มึงก็รู้ใช่ป่ะว่ากูเพิ่งเลิกกับแฟนเก่ามาไม่กี่เดือนเอง”

   “เออ แล้ว...”

   “ก่อนหน้านี้มีคนนึงเว้ย เขาบอกจะจีบกู ละแม่งก็ทำจริงๆ คือกู...ก็ยอมรับเลยอ่ะว่ารู้สึกดี แต่...” เรานั่งมองหน้ากัน โดยเปิดช่องว่างให้ผมได้พูด และไอ้ยีนส์ก็พูดแทรกในบางครั้งทำให้ผมรู้สึกว่ายังมีมันที่มานั่งฟังผมปรับทุกข์อยู่

   “แต่อะไร?”

   “…แต่กูยังไม่มั่นใจว่ามันคือของจริงว่ะ”

   “คือมึงจะบอกว่ามึงกลัวแค่ว่ามันจะเป็นความหวั่นไหว เพราะว่ามึงเพิ่งเลิกกับแฟนมาว่างั้น”

   “อือ ใช่” ผมยกเจ้ามินเนี่ยนที่ได้มาครั้งก่อนขึ้นมากอดไว้แนบอก

   “ไป๋ มึงว่ากูหล่อป่ะ?” คำถามแปลกหลุดออกจากปากไอ้ยีนส์ทำเอาผมไม่รู้ว่าจะตอบไปอย่างไร ก่อนตัดสินใจตอบคำถามไปตามความจริง

   “...ก็หล่อนะ”

   “บ้านกูมีตัง แม่กูก็เอ็นดูมึง อันนี้มึงรู้ใช่ป่ะ?”

   “อื้อ รู้ดิ”

   “เทียบกูกับคนนั้นใครดูแลมึงดีกว่ากัน?” พอมาถึงข้อนี้สมองก็ต้องใช้ระยะเวลาในการประมวลผล และรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆออกมาเพื่อเทียบเคียง


   เมื่อก่อนตอนมาหอใหม่ๆ แล้วป่วยกระทันหัน ไอ้ยีนส์ก็เป็นคนลงไปซื้อยากับซื้อโจ๊กให้
   เมื่อก่อนรวมถึงตอนนี้ ถ้าไม่เข้าใจเนื้อหาวิชาอะไร ไอ้ยีนส์ก็เป็นคนอธิบายให้
   เมื่อก่อนสัปดาห์ไหนที่ผมต้องอยู่หอคนเดียว วันอาทิตย์ตอนเย็นมันก็มักจะหอบขนม ผลไม้จากแม่มันมาให้เสมอ
   และเมื่อก่อนตอนที่ผมอกหักก็มีมันอีกเนี่ยแหละที่ต้องปลุกสติ และลากผมให้ไปเรียน



   “ดีพอๆกันเลยว่ะ”

   “แล้วถ้าเป็นกูที่บอกว่าจะขอจีบมึงอ่ะ มึงจะรู้สึกยังไงวะ?” ถ้าเป็นไอ้ยีนส์น่ะเหรอ...

   “ก็คงรู้สึกแปลกๆมั้ง”

   “ทำไมอ่ะ?”

   “เพราะมึงเป็นเพื่อนสนิทกูไง”

   “แต่มึงกลับให้คนนั้นจีบโดยไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”

   “...” รู้สึกเหมือนกำลังจะสำลักก้อนแห่งความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในลำคอ เพราะคำถามไล่ต้อนจากคนที่กำลังให้คำปรึกษา

   ย้อนกลับไปในวันที่เราสองคนนอนอยู่ข้างกัน ในวันนี้คนๆนั้นพูดจาในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าวันนึงผมจะได้ยินออกมา ผมมีแค่ความรู้สึกตกใจ แต่ไม่รู้สึกว่ามันแปลก

   “ถ้ามึงหวั่นไหวเพราะโดนบอกเลิกมาจริงๆ…”

   “…”

   “คนที่มึงจะรู้สึกหวั่นไหวด้วยเป็นคนแรกต้องเป็นกู .. ไม่ใช่มัน” รูมเมทจากเดิมที่เคยนั่งห่างกันโดยมีทางเดินกั้น แต่ตอนนี้กลับเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้างผม สมองกำลังประมวลคำพูดล่าสุดของอีกฝ่าย แต่ก็ต้องรู้สึกเอะใจขึ้นมา เดี๋ยวนะ...

   “เมื่อกี๊มึงเรียกเขาว่ามัน...มึงรู้เหรอว่าเป็นใคร” ผมหันไปมองหน้าอีกคนแบบต้องการคำตอบ และภาวนาไม่ให้เป็นอย่างในสิ่งที่ผมคิด

   “ก็ไอ้พิวไง จะเป็นใครไปได้ล่ะ” ความรู้สึกเหมือนโดนของหนักๆกระแทกจังๆเข้าที่ท้ายทอย ก่อนจะยกมือขึ้นมากุมศีรษะอย่างคิดไม่ตก

   “แสดงออกซะชัดเจนขนาดนั้น ไม่รู้ก็เหี้ยละ” คิดตามคำพูดของอีกคนแล้วก็ต้องยอมรับว่ามันจริง ทั้งเตี๊ยมกันให้ได้ปรับความเข้าใจกับผม ไหนจะช่วงนี้จะเริ่มแยกตัวไปด้วยกันบ่อยขึ้นซึ่งต่างจากเมื่อก่อนอีก

   “นอกจากมึงมีใครรู้อีกป่ะวะ?”

   “น่าจะมีแค่กู....” ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก รู้แค่ไอ้ยีนส์...ก็ยังดีกว่าล่ะวะ



   “สุดท้ายละ กูวานอะไรมึงอย่างดิยีนส์”

   “อะ ว่ามา”

   “ลูบหัวแล้วสบตากับกูสักนาทีได้ปะวะ”

   ผมสูดหายใจเข้า เอ่ยขอร้องอีกคนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พร้อมนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายอย่างจริงจัง...ให้มันรู้ดำรู้แดงกันวันนี้ไปเลย

   ก่อนที่ยีนส์จะหันหน้าตรงเข้ามา แล้ววางมือหนานั่นบนศีรษะ พร้อมลูบตามเส้นผมไปมา ประกอบกับสองสายตาของเราที่กำลังจดจ้องซึ่งกันและกันอยู่ด้วย จนกระทั่งฝ่ายนั้นจะยกมือออกเพราะครบตามกำหนดที่ตกลงกันไว้

   “เป็นไง ต่างกันยังไงบ้างไหนบอกหมอสิ?” เผลอหลุดยิ้มให้อีกฝ่ายทันทีหลังจากที่ได้ยินประโยคนั้น ไอ้ยีนส์มันเป็นเพื่อนที่เหมือนพ่อคนนึงจริงๆนั่นแหละ...

   “ก็รู้สึกเพลิน แต่ไม่ได้เคลิ้มเหมือนเขา”

   “แล้ว...”

   “มึงลูบแล้วใจเต้นเท่าเดิม แต่เขาลูบแล้วแรงเหมือนใจจะหลุดออกมา”

   “แล้ว...”

   “ของมึงให้ลูบสามนาทีก็เฉยๆ แต่ของเขาสามวิฯก็ต้องหลบหน้าแล้ว”

   “ทำไมวะ?”

   “...ก็กูเขินอ่ะ” ก้มหน้าตอบเสียงกระอ้อมกระแอ้มแทนการสบตาตรงๆเช่นก่อนหน้านี้

   “คอนเกรตนะไป๋”

   “อะไรวะ?”


   “...มึงชอบเขาไปแล้วเต็มๆเลย” จากนั้นเจ้าของคำพูดก็ใช้ฝ่ามือตบลงมาบนบ่าผมเบาๆสองสามที ก่อนจะเดินไปปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอน ทิ้งให้ผมเผชิญกับสิ่งที่ก้องไปมาในหัวกับห้องมืดๆคนเดียว


   “เอ้อ..”

   “หือ?”

   “..มินเนี่ยนบนหัวเตียงมึงน่ารักดีนะ”






(มีต่อ)

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter eight ―160818)
«ตอบ #32 เมื่อ17-08-2018 19:20:57 »

   หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนทำให้กว่าผมจะข่มตาลงได้ก็ปาไปเกือบสว่างแล้ว ดังนั้นการเรียนในวันนี้เลยเป็นไปอย่างหลับตาบ้างลืมตาบ้างอย่างเช่นในตอนนี้

   “ไป๋ ลืมตาขึ้นมาฟังอาจารย์ก่อนเร็ว”

   “ของีบแปป” ตอบกลับเสียงในลำคอให้ไอ้พิวที่ตั้งแต่ได้ย้ายที่นั่งในวันนี้ มันก็เลยย้ายมานั่งที่ข้างผมแบบถาวรในที่สุด

   “งั้นเอาชีทมาเดี๋ยวจดให้”

   “อือ ขอบใจ” ผมส่งชีทเรียนวิชาฟิสิกส์2 ให้อีกฝ่ายแบบไม่อิดออด ก่อนจะคว่ำหน้าลงกับโต๊ะเรียนเพื่องีบได้อย่างสบายใจ



   “วันนี้พอแค่นี้ครับ”

   สิ้นเสียงอาจารย์สอนฟิสิกส์ร่างท้วมก็เดินออกจากห้องไปแทบจะทันทีในตอนที่ประกาศเลิกคลาส และเพราะวันนี้ไม่มีการเรียนการสอนของวิชาสังคมและอังกฤษในช่วงบ่าย เพราะเป็นวันสำคัญของทางมหาวิทยาลัย จึงทำให้พวกเรามีเวลาว่างกันอย่างเหลือเฟือในวันนี้


   “พวกมึง ไปตีแบตกัน” เป็นเสียงของเพื่อนครามผู้รักสุขภาพดังขึ้นเอ่ยชวนทุกคนให้ไปออกกำลังกายด้วยกัน

   “ไปดิ กูอยากออกกำลังกายด้วยพอดี บ่ายนี้เลยป่ะล่ะ ว่างๆ” ทั้งไอ้ก๊าซ ไอ้ยีนส์และไอ้ตุลลี่ ที่เออออเห็นชอบไปด้วยกัน แต่ผมตัดสินใจเซย์โนให้ในวันนี้ ถึงจะเป็นกีฬาในร่มและอากาศร้อนของเมืองไทยก็ทำให้สนามอบอ้าวพอสมควร ดังนั้นผมที่เกลียดอากาศร้อนเป็นทุนเดิมเลยเลือกที่จะกลับไปนอนที่ห้องอย่างสบายใจดีกว่า


   “ไป๋ ไปไหนป่ะ?” ในตอนแรกเราเดินออกมาพร้อมกันทั้งหมดเก้าคน โดยเจ็ดคนที่เหลือได้โดยป้ายยาเกี่ยวกับสรรพคุณของการออกกำลังกายว่ามันส่งผลดีอย่างไรต่อร่างกายบ้าง เลยตกลงปลงใจจะไปตีแบตกันทั้งหมด จึงทำให้เหลือผมและพิวอยู่สองคนที่บอกปฏิเสธ และช่วงบ่ายไม่มีแพลนจะทำอะไร

   “ว่าจะกลับหอไปนอนอะ” ผมตอบไปตามความจริงที่คิดไว้

   “งั้นไปห้างเป็นเพื่อนหน่อยดิ ว่าจะไปซื้อของเข้าหอ”

   “เออ ไปดิ”





   จากนั้นผมก็ได้กลับขึ้นมาบนรถของเจ้าตัว มุ่งหน้าสู้ห้างที่ใกล้มหาลัยที่สุดทันที บรรยากาศบนรถไม่ต่างจากวันก่อนๆมากนั้น รวมทั้งเจ้าของที่เปิดเพลงเบาๆคลอไปด้วย มันพาให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากเลยทีเดียว


ฉันเคยอยากลองเป็นพระจันทร์
ลอยขึ้นฟ้าสักวัน ได้งั้นคงดี
พบเธอจึงเข้าใจได้ทันที
บนท้องฟ้า มีแต่ฟ้า ไม่มีของดี



   “...เพลงโปรดมึง”

   “รู้ดีจังเลยนะ” คำพูดของร่างบางทำเอาพิวต้องยิ้มออกมา เขารู้นิสัยอีกคนพอสมควรจึงทำให้รู้ว่าคำที่เอ่ยออกมาเมื่อกี๊ไม่ได้มีเจตนาหรือสื่อไปในทางประชดประชัน แต่ไป๋มันชอบพูดในตอนที่ตัวเองไปไม่เป็นต่างหาก

   “อยู่บนน้าน มีแค่ดาวกับฟว้า” ทันทีที่เนื้อเพลงดำเนินมาเรื่อยมาถึงท่อนกลาง เสียงโหวกเหวกโวยวายจนเกินที่จะเรียกว่าเสียงร้องเพลงก็กระหึ่มไปทั่วทั้งรถ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูและเสียงหัวเราะจากผู้เป็นสารถีได้อีกรอบ

   “ฮ่าๆ ฝึกไว้ใช้กับตอนคลอดลูกเหรอวะไป๋”

   “พ่อง” พลันร่างบางปิดปากฉับ แต่ก็ยังมิวายหันไปสบถใส่คนที่บ่อนทำลายความมั่นใจของตนเอง





   และแล้วตอนนี้พวกเขาก็ได้มาถึงห้างที่เป็นจุดหมายปลายทางแล้วเป็นที่เรียบร้อย ทั้งสองนัดแนะไปทานข้าวกันก่อนจะไปซื้อของใช้ตามความต้องการของร่างสูงในการมาครั้งนี้


   ระหว่างทางเดินไปหาร้านอาหารมื้อเที่ยง คนตัวขาวที่เดินนำอีกคนไปหลายก้าวด้วยความหิว เพราะด้วยการจราจรที่ติดขัด ทำให้กว่าจะมาถึงก็เลยเวลาทานข้าวปกติไปเป็นชั่วโมงแล้ว สองเท้าก้าวยาวๆเพื่อจะได้ถึงร้านอาหารที่อยากกินเร็วๆ ฝ่ายคนขี้แกล้งก็รีบเร่งความถี่ในการเดินให้เท้าอีกฝ่าย แล้วก็จัดการแกล้งด้วยการส่งมือไปเกาะกุมมือของร่างบางที่มัวแต่มองทางจนไม่ทันได้สังเกตทันที


   “เชี่ย มึงแม่ง กูตกใจหมด” เป็นไปตามคาดทันทีที่อีกคนสัมผัสได้ถึงความร้อนจากฝ่ามือของพิวก็ต้องสะบัดอย่างแรง จนมือของทั่งคู่หลุดจากกันไป

   “ไหนๆก็เคยจับมือกันละ ขอจับอีกนานๆเลยไม่ได้เหรอ?” พิวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงยียวนจงใจปั่นป่วนอีกฝ่าย

   “อย่ามาลามปามไอ้สัส ถึงร้านแล้ว รีบเข้า กูหิว”




   เมื่อทั้งสองเสร็จสิ้นจากการทานอาหารมื้อกลางวัน โดยมีพิวเป็นคนออกค่าอาหารให้ทั้งหมด แม้ไป๋จะยืนยันจะออกในส่วนของตัวเองเองมากเท่าไหร่ ก็ไม่มีผลกับอีกคนเลย จึงต้องจำยอมปล่อยให้ร่างสูงจ่าย และออกปากขอเป็นคนเลี้ยงในมื้อหน้าแทน


   ทันทีที่เดินออกจากร้านมาร่างบางก็หยุดยืนหน้าร้านเดิมเพื่อไถ่ถามร่างสูงที่กำลังเดินตามมาไม่ห่าง

   “ไปไหนต่อป่ะ?”

   “อยากไปไหนอะ?” ร่างสูงตอบกลับด้วยคำถาม

   “ดูหนังแมะ เรื่องที่อยากดูเพิ่งเข้าพอดีเลย” ไป๋หันไปเลิกคิ้วถาม ก่อนที่อีกคนจะก้มลงมองนาฬิกาตนเองแล้วขมวดคิ้วเล็กๆ

   “เพื่อนนัดเตะบอลไว้ห้าโมงว่ะ กลัวกลับไม่ทัน ไว้วันอื่นดีกว่า”

   “อื้อ ไม่เป็นไร”

   “ไม่ว่างจริงๆอะ เดี๋ยววันหลังพามาใหม่” แรงบีบที่แก้มจากคนตัวสูงกว่า ทำเอาแก้มขาวๆนั่นขึ้นรอยแดงทันทีที่เจ้าตัวออกแรง ก่อนจะโดนแรงปัดจากคนตัวเล็กไปอีกรอบ

   “ไม่ได้โกรธสักหน่อย” ไป๋เอาแต่ลูบแก้มตัวเองด้วยความเจ็บป้อยๆ เป็นปกติเขาคงด่าว่าเล่นอะไรไม่รู้เรื่องไปแล้ว แต่ติดที่เพิ่งโดนเลี้ยงข้าวมาเลยให้อภัยหรอก

   “ป่ะ งั้นไปซื้อของกัน” ไม่ทันได้ให้คนตัวเล็กพูดตอบรับอะไร ก็โดนแรงลากดึงให้เดินข้างๆกันแบบที่ดิ้นไม่ออกทันที





   จนตอนนี้ทั้งคู่ได้มาถึงยังซุปเปอร์มาเก็ตที่ชั้นหนึ่งของห้างแล้ว โดยมีร่างบางอาสาเข็นรถให้อีกคนได้เลือกซื้อของอย่างถนัด พวกเขาเดินลัดเลาะไปต่างแผนกต่างๆ ตั้งแต่โซนของสด ของใช้ ขนมขบเคี้ยวและรวมไปถึงของมึนเมาต่างๆ ทำให้ของในรถเข็นก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆตามระยะทางที่เดิน


   “เหลืออะไรอีกวะ แฟ้บซื้อแล้ว น้ำเปล่าซื้อแล้ว อ๋อ เหลือยาสระผม” ว่าจบก็เดินนำตรงไปยังชั้นจุดขายทันที จัดการเลือกยี่ห้อ เลือกกลิ่นเรียบร้อยก็โยนลงรถเข็นเช่นเดิม

   “เรียบร้อยแล้ว มึงไม่ซื้ออะไรเหรอ?”

   “ไม่อะ ยังไม่หมดเลย” ปกติแล้วพวกของใช้เขามักจะซื้อจากบ้านกลับมาใช้ทีหอเสียมากกว่า เพราะได้ใช้เงินของแม่ซื้อแล้วมันทำให้ประหยัดส่วนนี้ลงไปมาก

   “ป่ะ งั้นคิดเงินเลย” คนตัวขาวพยักหน้ารับคำน้อยๆ ก่อนจะเข็นรถออกไปหาช่องคิดเงิน แต่ก็ต้องชะงักลง เมื่อคนที่เดินนำกลับหยุดแบบกะทันหัน

   “เอ้า หยุดเดินทำไมวะ?”

   “ดูนี่ก่อน” พิวว่าพร้อมหันไปสนใจชั้นวางสินค้าตรงหน้า ทำเอาอีกคนอดสงสัยจนมองตามไม่ได้



   ไอ้เหี้ย ถุงยางหลากกลิ่น หลากขนาด หลากยี่ห้อเต็มๆตากูไปหมดเลย



   “มึงว่าซื้อไอ้นี่ไปด้วยดีป่ะ?” ร่างสูงชูเจ้าขวดสีน้ำเงินทรงเรียวแปลกๆขึ้นมา หลังจากโกยถุงยางจำนวนมากลงมาเพื่อเตรียมชำระเงินแล้ว ไป๋ที่ได้แต่อึ้ง เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้กับผู้ชายมันเป็นของคู่กัน แต่การที่ซื้อเอาๆแบบนี้ มันก็สร้างคำถามในหัวได้อย่างมากมาย

   “ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าซื้อไปใช้กับใคร...”

   “…” พิวโยนเจ้าขวดนั่นลงรถเข็นตามมา ก่อนจะเดินเข้ามาประชิดตัวผมแย่งคันจับในมือไปเข็นเสียเอง จากนั้นก็ก้มลงกระซิบข้างหูให้เราได้ยินเสียงกันแค่สองคน

   “ซื้อเอาไว้รอใช้กับมึงนั่นแหละ”







   และแล้วในที่สุดภารกิจไปซื้อของกับไอ้พิวก็เสร็จสิ้นลง ลงท้ายด้วยการที่มีไอ้พิวเป็นคนขับรถมาส่งผมเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือหลังจากคิดเงินเสร็จผมก็ไม่ได้พูดด้วยอีกเลย


   แม่ง ใครอยากจะไปใช้ถุงยางกับมึงกัน บ้าป่ะ


   เดินขึ้นหอมาด้วยจิตใจอันปั่นป่วนเสร็จก็มาหยุดลงที่หน้าหอพร้อมหยิบกุญแจขึ้นมาไข ในใจคิดไว้ว่าป่านนี้ก็เกือบจะห้าโมงเย็นแล้วเมทของเขาน่าจะเล่นกีฬาเสร็จเป็นที่เรียบร้อย แต่เมื่อไขเข้าไปก็พบกับห้องที่มืดและว่างเปล่า ไม่มีคนที่คิดว่าน่ากลับมาห้องแล้วอยู่เลย จัดการเก็บกระเป๋าแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถ่ถามคนที่หายไปทันที



                        
paipai : ยังไม่กลับอีกเหรอ?

Jeansss : เพิ่งออกจากห้องมาเนี่ย
Jeansss : ตอนบ่ายคอร์ดเต็ม
Jeansss : เลยได้ตอนห้าโมง
Jeansss :มีไรป่ะ?

                        
paipai : อ่อเปล่าๆ นึกว่าเลิกแล้ว
                        paipai : จะได้ชวนไปแดกข้าวเย็น
                        paipai : นี่ไปกันหมดเลยเหรอ?

Jeansss : เออเจ็ดคนเหมือนเดิม
Jeansss : มึงมาป่ะ จะได้เป็นคู่พอดี
Jeansss : ออกกำลังกาย จะไม่อ้วน


                     
paipai : พ่อง
Jeansss : :p




   เงยหน้าขึ้นจากจอมาขึ้นมาระลึกคำพูดของร่างสูงที่เคยพูดไว้ในวันนี้ เดี๋ยวนะ ไอ้พิวมันบอกว่ามีเตะบอลตอนห้าโมงไม่ใช่เหรอ?

   หรือว่าเตะกับเพื่อนคณะอื่น?
   หรือว่าไอ้พวกนั้นไม่ได้บอกไอ้พิวว่าไม่ว่างแล้ว?
   หรือเหตุผลอะไรก็ช่างแม่งเหอะ แล้วทำไมกูต้องเป็นหาข้ออ้างนู่นนี่มาเสริมด้วยวะ มันบอกไม่ว่างก็คือไม่ว่างสิ เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว

   แต่ในระหว่างที่กำลังจะล้มตัวนอนเล่นบนเตียง ก็ต้องกลับเข้าแอพแชทอีกครั้งเมื่อเห็นข้อความจากพี่รหัสที่ส่งเข้ามา



P.O.P : ไป๋ พรุ่งนี้เย็นว่างไหม?

                        
paipai : เลิกเรียนห้าครึ่งอะ
                        paipai : พี่ป็อปมีอะไรป่าว

P.O.P : เดี๋ยวจะพาไปเลี้ยงสาย
P.O.P : มาช้าอดนะเว้ย บอกก่อน


                        
paipai : บอกเลยเรื่องกินไป๋ไม่พลาด
                        paipai : ที่ไหน กี่โมงว่ามาเลยพี่

P.O.P : ร้านซูโม่ หน้ามอ หกโมง
P.O.P : อย่าเลทนะ ไปกันหลายสาย


                        
paipai : รับทราบครับผม
                        paipai : *ส่งสติ๊กเกอร์*



   ผมก็ต้องกลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง เมื่อพอรู้ว่าพรุ่งนี้พี่รหัสจะพาไปเลี้ยงบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างแบบฟรีๆ ลืมเรื่องก่อนหน้าที่เกี่ยวกับไอ้พิวไปแล้วหมดสิ้น นอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่บนเตียงให้เรื่องกินพร้อมจิ้มหน้าจอสมาร์ทโฟนเข้าไปเช็คตามแอพนู้นนี่อย่างสบายใจ เพื่อรอเวลากินข้าว โดยที่ไม่คิดอ่านหนังสือแม้ว่าตีนจะเฉียดเอฟมากแค่ไหนก็ตาม


   เดี๋ยวรอให้ไอ้พิวสอนให้คงเข้าใจแหละมั้ง...




▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔

ตอนหน้ามีทอล์กเล็กน้อยฮะ

ปล.เรารอฟีดแบ็กอยู่ที่ท่าน้ำทุกวันเลยนะคะ ; --- ;


tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9 (เพจใหม่ค่ะ )


และตามหวีดได้ในแท็กทวิตเตอร์
#จีบเป็นคำกริยา




(◕‿◕✿)



ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter nine ―160818)
«ตอบ #33 เมื่อ17-08-2018 19:22:45 »

สนุกดีจ้า แอบอ่านเงียบๆ มาเม้นตอนนี้ให้กำลังใจนักเขียนจ้า ^^

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter nine ―160818)
«ตอบ #34 เมื่อ17-08-2018 19:37:48 »

chapter ten。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔



   “ไอ้ไป๋ แดกให้อิ่ม แดกไม่อิ่มกูไม่จ่ายเงินให้นะเว้ย”

   “โห พี่ป็อประดับนี้แล้ว บอกเลยว่าไม่เหลือ”


   เสียงเอะอะโวยวายจากนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์สิบกว่าชีวิตที่กำลังตื่นเต้นกับของกินตรงหน้า ก่อนจะเงียบลงเพราะพร้อมใจตักอาหารเข้าปากกันเสียหมด .. วันนี้เป็นการเลี้ยงสายของพี่ปีสองที่มักจะนัดกันมาเป็นกลุ่มใหญ่แล้วเลี้ยงน้องพร้อมกัน


   พวกพี่ตกลงแบ่งเตาปิ้งย่างกันตามชั้นปี เพื่อให้น้องได้นั่งคุยกันตามสบาย โดยนั่งกันสี่คน ซึ่งเป็นของน้องปีหนึ่งไปแล้วถึงสองเตา ส่วนอีกสองเตาก็เป็นของเจ้ามือปีสองที่นั่งไม่ห่างกัน


   โดยเพื่อนปีหนึ่งที่มาเลี้ยงสายในวันนี้ก็มีทั้งคนที่ผมสนิทบ้างยังไม่ค่อยสนิทบ้างคละกันไป ซึ่งสองในแปดของคนที่ผมค่อยข้างสนิทนั้นก็ประกอบไปด้วย ไอ้ยีนส์และไอ้สมุย นั่นเอง ทำให้โต๊ะของเรามีสมาชิกเป็น ผม ไอ้ยีนส์ ไอ้สมุยและมีไอ้เติ้ลนักบาสของคณะเข้ามาแจมด้วย


   ทันที่ตกลงแบ่งโต๊ะกันเรียบร้อย เราก็เดินไปตักอาหารทั้งอาหารสดและสำเร็จรูปกันมาเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา บทสนทนาบนโต๊ะเป็นไปอย่างสนุกสนาน หัวข้อเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยทั้งเรื่องเรียน เรื่องกีฬา เรื่องเกมส์ หรือแม้กระทั่งเรื่องความรักกุ๊กกิ๊กตามประสา


   “ไอ้เติ้ลได้ข่าวมึงกิ๊กกับหลีดแพทย์อ่อ?” ในระหว่างที่พวกเรากำลังปิ้งหมูลงบนเตาด้วยความหิวโหย ไอ้สมุยที่เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้ ก็ทำเอาพวกเราทุกคนต้องหันไปสนใจไอ้เติ้ลเพื่อรอคำตอบด้วยกันทั้งหมด


   “เออ ชื่อข้าว...เป็นไงน่ารักป่ะล่า?”


   “เหยดเขร้ มึงแม่งทำได้ไงวะ” ผมเผลอหลุดอุทานออกมาหลังจากรู้ว่าเรื่องที่ลือกันเป็นความจริง เพราะหลังจากที่ผมเคยเห็นตอนเดินสวนกันผ่านๆแล้วก็บอกได้เลยครับ ว่าข้าวเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก แต่ด้วยความที่เธอเรียนในคณะแพทย์ก็ทำให้บุคลิกของเธอดูเข้าถึงยากไปโดยปริยาย


   “เจอกันตอนแข่งบาสกับหมอแล้วเขามาเชียร์คณะเดียวกัน” สิ้นประโยคก็เรียกเสียงแซวจากเพื่อนปีหนึ่งด้วยกันที่แม้จะนั่งคนละโต๊ะได้เป็นอย่างดี


   “ว่าแต่พวกมึงเถอะ ยังไม่มีแฟนกันอีกเหรอวะ?” ประโยคคำถามของเติ้ลว่าขึ้นแบบไม่เจาะจงบุคคล ซึ่งทำเอาใจผมหายแวบอย่างไรสาเหตุ


   “กูยังไม่อยากมี ส่วนไอ้ไป๋ยังไม่พร้อมมีใครว่ะ” เป็นเสียงไอ้ยีนส์ที่ตอบขึ้นแทนผม นั่นก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ไล่ถามจี้ผมอย่างที่คาดไว้


   “แล้วมึงอ่ะสมุย เพื่อนมึงจะทิ้งมึงไปมีเมียหมดแล้วนะ”


   “ใครจะทิ้งไปมีเมียอีกอะ กลุ่มกูมีแค่ไอ้เคนคนเดียวเองที่มีแฟน” ตะเกียบในมือสมุยที่กำลังจะคีบเนื้อเข้าปากกลับต้องชะงักให้กับประโยคกำกวมจากเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านข้าง


   “ก็ไอ้พิวไง วันนั้นตอนเย็นๆกูเห็นมันเดินอยู่ใต้คณะกับผู้หญิงคนนึงอยู่”


   เกร้ง!


   เสียงตะเกียบในมือผมหลุดลงกระแทกกับขอบถ้วยตรงหน้าเกิดเป็นเสียงขึ้นท่ามกลางความอึ้งของทุกคน โดยเฉพาะกับตัวผมเอง...

   “เชี่ยเอ้ย นั่งหน้าเตาโคตรร้อน เหงื่อออกเต็มมือหมดแล้วเนี่ย” ได้โอกาสก็รีบเฉไฉเปลี่ยนประเด็นให้สวนทางกีบความรู้สึกในใจของตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นรับรู้ถึงความผิดปกติในใจผมตอนนี้...

   “เออ กูยังร้อนเลยเนี่ย” ต่างจากไอ้ยีนส์ที่รีบเออออไปตามคำพูดผม พร้อมเอื้อมมือจากใต้โต๊ะมาบีบที่ขาผมเบาๆ


   กูโอเคเว้ย เรื่องแค่นี้ยังเชื่อทั้งหมดไม่ได้หรอก...


   “ฮะ? ไอ้พิวอะนะ” สมุยว่าขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

   “เออจริงๆ เจอมันพร้อมผู้หญิง วันนั้นกูอยู่คณะซ้อมบาสตอนเย็นพอดี...”

   “…” ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียงเพื่อฟังเรื่องเล่าจากปากเพื่อนต่อ สวนทางกับเสียงงภายในอกของผมที่มันเริ่มจะดังขี้นไปเรื่อยๆ

   “ตอนนั้นกูกำลังเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วต้องผ่านโต๊ะนั่งใต้คณะพอดี”

   “ต่อเร็วๆสิวะ” เหมือนไอ้สมุยเริ่มรำคาญกับการเล่าเรื่องเหมือนเล่าเรื่องผีของไอ้เติ้ลอยู่แบบนี้

   “ก็ได้ๆ กูเดินผ่านไปเจอสองคนนั้นกำลังนั่งงุ้งงิ้งๆกันอยู่พอดี พอกูทักหน่อยไอ้พิวแม่งบอกปัดเว้ย แต่มึงรู้ป่ะ ว่าผู้หญิงตอบกลับว่าไงรู้ป่ะ”

   “แล้วตอบมาว่าไงอ่ะ?”

   “คนพิเศษของพิวว่ะ”

   “เหยดโด้ว เรื่องนี้ผู้หญิงเป็นคนพูดเองเลยว่ะ”

   “แล้วผู้หญิงคือใครวะ?”

   “ไม่รู้ว่ะ แต่โคตรของโคตรสวยอ่ะ”

   “เชี่ยพิวแม่งซุ่มสัส ขนาดกูเป็นเพื่อนแม่งยังไม่บอกกูเลย” บทตอบโต้ของทั้งสมุยและเติ้ลยังดำเนินต่อ โดยมีทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ให้ความสนใจกันอย่างมากมาย

   ผมกลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก วางตะเกียบแสร้งดื่มน้ำเพราะคงกินต่อได้ไม่มากแล้ว ในสมองตอนนี้มีแต่เรื่องของการชั่งน้ำหนักความเป็นไปได้ของเรื่องที่เพื่อนได้เล่ามา


   “ไป๋จะกลับเลยไหม กูจะได้บอกพี่ให้ว่ามึงปวดท้อง” ยีนส์เอียงหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบให้ได้ยินกันสองคน ใจตอนนี้แม้อยากจะกลับหอมากแค่ไหน แต่เมื่อมองนาฬิกาที่เวลาผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมงก็ต้องส่ายหัวปฏิเสธ เพราะความเกรงใจเพื่อน แม้หากเขาจะย้ำว่ากลับคนเดียวได้แค่ไหน อีกฝ่ายก็ต้องขอตามกลับด้วยแน่นอน และเขาก็ไม่ได้อยากยื้อแย่งความสุขไปจากเพื่อนรัก ดังนั้นเลยต้องจำใจนั่งพยายามฟังเรื่องต้นเหตุเพียงหูซ้ายทะลุหูขวาเท่านั้น


   เพราะเขาจะต้องไม่เป็นคนที่ตีตนไปก่อนไข้ให้เสียความรู้สึกดีๆที่เคยมีมา...






   ในที่สุดเขาก็หลุดพ้นจากร้านปิ้งย่างและได้กลับมาถึงหอในที่สุด ร่างของรูมเมทที่กำลังนั่งอ่านหนังสือสังเกตเห็นเพื่อนของตัวเองทั้งจะนั่งหรือจะนอนอย่างไรก็ไม่เป็นสุข ต้องลุกขึ้นมาสไลด์โทรศัพท์ในทุกๆนาที


   “ไม่สบายใจก็ไลน์ไปหาเขาเถอะว่ะ”เพราะเขาเองก็เริ่มทนอาการกระวนกระวายของเพื่อนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน


   “กูไลน์ไปแล้ว แต่แม่งไม่ยอมตอบอ่ะ ปกตินี่ไม่เคยเกินห้านาที” ยีนส์ยกยิ้มให้อาการของไป๋ที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้อย่างรู้ทัน แต่เหมือนว่าจะมีแต่อีกฝ่ายเท่านั้นแหละที่ไม่รู้ตัวเอาซะเลย


   “เมื่อก่อนมึงไม่เห็นเป็นแบบนี้เลยวะ?”


   “ตอนไหนของมึง?”


   “…ก็ตอน” ยังคบกับแฟนคนเก่าอยู่ไง แต่ยังไม่ทันได้ให้พูดคำในใจออกไป ร่างบางก็เหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดได้เป็นอย่างดี กลืนก้อนเหนียวลงคอก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ข้องใจ


   “แล้วเมื่อก่อนกูเป็นไงวะ?” ไป๋ถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิวราวกับจะปฏิเสธสิ่งที่ตนกำลังคาดเดาอยู่ในตอนนี้


   “จะให้กูพูดจริงๆเหรอ...”


   “…อือ มึงพูดเลย”


   “กูอยู่กับมึงแทบ 24 ชั่วโมง วันๆคนเป็นแฟนบ้าอะไรแทบไม่ไลน์หากันเลยวะ...ข้าวนานน้านทีถึงจะไปกินด้วยกัน บางวันเขาชวนมึงไปปั่นจักรยาน มึงก็บอกไม่ไปจะอยู่ห้อง เสาร์อาทิตย์ก็อย่าหวังเพราะมึงกลับบ้านแทบทุกอาทิตย์”


   “ขนาดนั้นเลยเหรอวะ...”


   “แล้วมึงรู้ป่ะว่าสายตาตอนที่มึงใช้มองแฟนเก่ากับใช้มองไอ้พิว ในความรู้สึกคนนอกอย่างกูอะนะ...”


   “…”


   “แม่ง โคตรแตกต่างกันเลยเว้ย”


   “ต่างกันยังไงวะ?” ผมถามกลับแบบไม่ได้จงใจจะกวนหรือยอกย้อนอย่างใด


   “ตอนมึงมองคนเก่า มันเป็นสายตาของความเอ็นดูอ่ะ แต่จะมีเขาหรือไม่มีก็ได้”


   “แล้วตอนนี้อ่ะ?”


   “ตอนนี้เวลามึงมองไอ้พิวก็...ทั้งสับสน ทั้งรู้สึกดี แล้วมึงก็เริ่มขาดมันไม่ได้ละ”


   “ม-มึงรู้ได้ไงวะ” ผมต้องตาโตขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้ยินในไอ้ยีนส์คิดและได้พูดออกมา


   “กูเดา”


   “โถ่ ไอ้สัส” สบถอย่างนึกเสียดาย แต่ก็โล่งอกที่ผมมักไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนขนาดนั้น


   “ถึงเรื่องไอ้พิวกูจะเดา แต่เรื่องของแฟนเก่ามึงกูคิดอย่างนั้นจริงๆนะ”


   “…”


   “เออ กูไม่ยุ่งละยังไงมึงก็ต้องเป็นคนตัดสินใจอยู่ดี” มันว่าแล้วหันกลับไปสนใจกองหนังสือสอบไฟนอลที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนข้างหน้า


   ตัดสินใจวางโทรศัพท์ลง ก่อนจะหยิบแบบฝึกหัดที่เคยทำค้างไว้ขึ้นมาคิดต่อ แต่ยังไม่ทันให้คิดเลขได้ถึงไหน สมองไม่รักเรียนเท่าที่ควรจะเป็นก็กลับมาคิดเรื่องที่ไอ้ยีนส์ได้พูดไว้เหมือนกี๊


   เมื่อก่อนกูทำกับแฟนเก่าอย่างนั้นจริงเหรอวะ?


   คิดย้อนไปยังตอนที่เพิ่งขึ้นปีหนึ่งมาใหม่ๆ ชีวิตของผมวันหนึ่งวนอยู่แต่กับการใช้ชีวิตอยู่กับพวกเพื่อนๆ เช้าตื่นก็ไปเรียนพร้อมกับไอ้ยีนส์ กลางวันกินข้าวพร้อมกันทั้งห้าคน ตกเย็นส่วนใหญ่ก็มักจะไปกินข้าวกับเพื่อนตลอด แต่ก็จะมีบางครั้งที่โดนชวนให้ไปกินข้าวด้วยกันสองต่อสอง ซึ่งผมก็ไม่เคยขัดข้องอยู่แล้ว ในบางอาทิตย์ที่เลือกจะอยู่หอ เราก็มักจะนัดหมายกันออกไปเที่ยวบ้าง ไลน์วันนึงก็แทบไม่ได้แชทหา แม้จะมีคอลหากันบ้างแต่ก็ไม่นานเป็นชั่วโมงเหมือนคู่รักคู่อื่น


   ทันทีผมก็ได้เข้าใจเหตุผลในการที่เธอตีตัวจากไป...ความไว้ใจที่มากไปของผม ถูกละเลยกลับกลายเป็นการไม่ใส่ใจ และการไม่ใส่ใจของผมนี่เองอาจเป็นต้นเหตุที่นำไปสู่ความรู้สึกที่ไม่ดีและตัดสินใจหยุดความสัมพันธ์ลง โดยที่ผมไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อนเลย...



   ครืด ครืด

   การสั่นของโทรศัพท์บนพื้นโต๊ะ พร้อมหน้าจอที่สว่างขึ้นด้วยข้อความแจ้งเตือน ทำเอาผมหันเหความสนใจจากโจทย์ตรงหน้าไปให้ข้อความที่ถูกส่งมาแทน
   


                     
paipai : ฮัลโหล ทำไร อยู่ไหน
                     paipai : มีอะไรจะถาม
                     paipai : ตอบช้าสัส

just pew : คิดถึงเหรอ555
just pew : เพิ่งถึงหอ เหนื่อยมากอะ


                     
paipai : เตะบอลมาอีกแล้วเหรอ?

just pew : อื้อ
just pew : มีอะไรจะถามเหรอ ว่ามาเลย




   คำถามที่มีในตอนแรกกลับหายแวบไปในกับตา จากมือที่เคยรัวพิมพ์ข้อความบนแป้นกลับต้องชะงักแล้วคิดไตร่ตรองอย่างหนักก่อนที่จะลงมือพิมพ์ข้อความอะไร

   แต่ก็ต้องมาเอะใจในเมื่อครั้งก่อนที่เจ้าตัวจะไปเล่นกีฬากับเพื่อน พิวกลับต้องมาบอกเขาก่อน ทั้งๆที่เขาเองก็ไม่ได้ขอแม้แต่น้อย คิดได้ดังนั้น ว่าในเมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาเป็นหนึ่งในคนสำคัญ เป็นหนึ่งในคนที่อยากจะบอกเรื่องราวที่เจอมาในวันๆนึงด้วยแล้ว เหตุไหนเขาถึงต้องไม่เชื่อใจพิว...ไม่เชื่อใจในคนที่บอกว่าตัวเองจะไปทำอะไร ทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องมาบอกให้รับรู้ก็ได้ แต่เจ้าตัวก็เลือกที่จะทำ

   ถึงในอดีตเขาเพิ่งจะคิดได้ว่าตนเองบกพร่องในการละเลยความรู้สึกของอีกฝ่าย และเขาก็จะไม่นำมันมาใช้ในปัจจุบันให้ทุกอย่างกลับกลายเป็นแย่ลงอีกแล้ว

   และถ้าหากเขาถามในสิ่งที่คาใจออกไป มันจะทำให้อีกคนรู้สึกแย่หรือไม่...แล้วทำไมเราต้องเลือกเชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูดขึ้นมาลอยๆมากกว่า เชื่อในตัวคนที่พยายามเข้ามาในโลกของเรา โดยที่ไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองอย่างไร ฉะนั้นในครั้งนี้เขาก็ขอเลือกที่จะปิดตาแล้วฟังในสิ่งที่พิวได้บอกเสียดีกว่าต้องมานั่งเสียใจในการกระทำของตนเองทีหลัง

   ถึงเหตุผลจะฟังดูแปลก แต่อย่างไรเขาก็ยังเชื่อในคำพูดที่ว่า กฎข้อแรกในการเริ่มต้นความสัมพันธ์ใดใด คือการเชื่อใจ



just pew : อ้าวหาย
just pew : เมีย หนีไปตายแล้วเหรอ?
just pew : *ส่งสติ๊กเกอร์*
just pew : *ส่งสติ๊กเกอร์*




   ตัดสินใจกดลบข้อความที่พิมพ์ค้างไว้ทิ้ง แล้วเลือกที่จะส่งข้อความที่พิมพ์ขึ้นใหม่ไปให้แทน



                     
paipai : หาโจทย์เคมีที่จะถามอยู่
                     paipai : แปปๆ
                     paipai : *ส่งรูป*
   


   จะว่าไปก็นึกขำในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่เหมือนกัน จะบอกว่าไม่มีอะไรแล้วก็กลัวอีกฝ่ายไม่เชื่อ เลยต้องแกล้งทำเป็นถ่ายโจทย์แบบฝึกหัดในวิชาที่ตนเองไม่ถนัดส่งไปแทน

   อายตัวเองชิบหายเลยแม่งเอ้ย
   


just pew : อ่อ ข้อนี้กูก็เพิ่งทำไป
just pew : เดี๋ยวส่งให้ดู
just pew : *ส่งรูป*
just pew : สงสัยตรงไหนบอกเดี๋ยวอธิบายเพิ่มให้


                     
paipai : อ๋อ เหมือนจะเข้าใจละ
                     paipai : แต๊งกิ้ว

just pew : อ่านหนังสือไปๆ
just pew : กูไปอาบน้ำแปป


                     
paipai : *ส่งสติ๊กเกอร์*



   บางทีผมอาจคิดมากไปก็ได้...




❋❋❋




   “เรียนเคมีอีกแล้วแม่ง” ผมบ่นอิดออดให้กับปึกชีทหนาเตอะด้านหน้า เนื่องจากวิชาที่สุดแสนจะไม่ชอบก็วนมาอีกจนได้

   “เมื่อวานไปกินเลี้ยงกับพี่มาเป็นไงบ้าง” เสียงทุ้มจากคนด้านข้างที่ได้ยึดที่นั่งจนกลายเป็นที่ประจำดังขึ้นถาม ในขณะที่ตอนนี้แม้จะเลยเวลาเริ่มเรียนมาหลายนาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นอาจารย์ว่าจะมีวี่แววมาสอนสักที

   “ก็ดีอะ”

   “อะไรวะ กูก็ไปไม่เห็นถามกันบ้างเลย” เป็นไอ้ยีนส์ที่นั่งอยู่อีกข้างที่ทักขึ้นมา

   “อย่างมึงแดกแล้วท้องไม่แตกตายก็บุญแล้วไอ้ยีนส์”

   “ไอ้สัส ปากดีจังวะ” ผมที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองก็ได้แต่นิ่ง มองทั้งคู่ปะทะฝีปากกันอย่างดุเดือด มันไปสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ...


   
   “เฮ้ย อาจารย์มาแล้ว!!!” ยังไม่ทันให้ได้มีสัตว์ตัวอื่นหลุดออกมาข้ามหัวเพิ่ม เสียงตะโกนของเพื่อนร่วมคลาสคนหนึ่งที่ดังขึ้นทำเอาทั้งคู่ต้องระงับการฉะกันก่อนที่จะกลับมานั่งอย่างปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   ในระหว่างที่อาจารย์สอนเนื้อหาไปได้กว่าค่อนคาบ ก็เป็นปกติของผมที่มักจะมีอาการง่วงหนาวนอนเป็นธรรมดา นั่งสัปหงกบ้าง แอบเท้าคางหลับบ้าง ก็ยังรู้สึกง่วงอยู่ดี จนมาถึงช่วงท้ายคาบที่กำลังฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะดีๆก็ได้ยินเสียงโห่ขึ้นมาจากเพื่อนรอบตัว

   “อะไรวะ?” เงยหน้าขึ้นมาถามคนรอบตัว ก่อนที่จะได้รับคำตอบที่ทำเอารู้สึกสยองปนกังวลไปพร้อมกัน

   “จารย์บอกจะควิซ/ควิซ!!!”

   “เชี่ยยยย” อดไม่ได้ที่จะโหยหวนไปพร้อมเพื่อนกว่าร้อยชีวิตในคลาส แล้วกูจะเอาอะไรในสมองไปเขียนวะเนี่ย




   “นักศึกษารบกวนนั่งห่างๆกันด้วยค่ะ” ทอดสายตามองแผ่นกระดาษอันว่างเปล่าที่กำลังรอแต่งเติมคำตอบจากโจทย์ที่อาจารย์กำลังจะฉายขึ้นให้อย่างสิ้นความหวัง

   “ไป๋ๆ” ไอ้พิวกระซิบเสียงเบา พร้อมส่งซิกมาด้วยการชี้นิ้วลงบนกระดาษอย่างรู้กัน แต่ก็ลงท้ายด้วยการส่ายหัวรัวๆกลับไปให้ แล้วหันกลับมาสนใจโจทย์บนกระดานที่อาจารย์เพิ่งฉายขึ้นให้

   ถึงผมมีโอกาส แต่ก็ไม่อยากใช้มันเอาเปรียบใคร...

   สายตาไล่อ่านอักษรบนกระดานทีละคำ แต่เมื่ออ่านจบก็ต้องมานั่งทบทวนและพิจารณาดูอีกที นี่มันโจทย์ที่เมื่อคืนส่งไปถามไอ้พิวเลยนี่หว่า...ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจส่งไปให้อีกฝ่ายตั้งแต่แรก แต่ก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาข้อนี้อยู่มาก เพียงแค่เปลี่ยนตัวเลขบางจุดเท่านั้น

   หยิบดินสอขึ้นมาเขียนคำตอบที่พอจำได้พร้อมยิ้มกริ่มอยู่คนเดียวในใจ ถือว่ายังมีความโชคดีในความโชคร้ายแล้วกัน...






   “ควิซเคมีวันนี้แม่งโคตรอีซี่อ่ะ กูพูดเลย”

   “อีซี่ให้ได้ตลอดนะอีไป๋” ผมยักไหล่ตอบกลับแบบหาได้แคร์ไม่ใส่คนนั่งเก้าอี้ร้านข้าวฝั่งตรงข้าม


   ชีวิตมหาลัยของผมก็ไม่ค่อยมีอะไรมากอย่างคนอื่นเขา วันๆเรียนเสร็จก็ออกมาหาข้าวกินกับเพื่อนก็เย็นแล้ว กลับห้องไปก็อ่านหนังสือบ้างไถโทรศัพท์บ้างเล่นเกมส์บ้าง อาจมีบางวันที่ตอนเย็นๆจะนึกคึกแล้วออกมาวิ่งรอบมอ แต่ก็นานๆที ส่วนพวกกีฬาอย่างฟุตบอลหรืออะไรที่ชอบเล่นตอนมัธยมก็ไม่ค่อยได้แตะอีกเลย


   “พวกมึงแดกอะไร กูจะได้เขียนสั่ง”

   “กูเอาข้าวหมูผัดพริกไทยดำ อีไป๋แดกไร?”

   “กูเอาข้าวผัดไก่กรอบ”

   “เคร รู้เรื่อง” ยีนส์เขียนชื่อเมนูอาหารของทุกคนเสร็จก็ลุกออกไปส่งออเดอร์ข้าวทันที สวนทางกับร่างสูงสองคนที่มองไกลๆก็รู้ว่าเป็นใครกำลังเดินเข้ามาในร้าน

   “อ้าว ไอ้เต้ ไอ้สมุย มานั่งด้วยกันไหม?” ผมเอ่ยทักทั้งสองคนนั้นก่อนชักชวนให้นั่งในโต๊ะเดียวกันตามมารยาท และสองคนนั้นก็มานั่งด้วยตามคาด ด้วยความที่โต๊ะเราเป็นโต๊ะยาวจึงสามารถรองรับคนได้เพียงพอ ทำให้อาหารในมื้อนี้ประกอบไปด้วยผม ตุลลี่ ยีนส์ เต้ และสมุย

   “ทำไมวันนี้มากันแค่สองคนวะ?” ยีนส์หลังเดินกลับมาก็เอ่ยถามสองคนมาใหม่นั่นทันที

   “เออ นั่นดิ แล้วพิวขาไปไหนอะ?” เสียงของไอ้ตุลลี่ดังเสริมขึ้นมา

   “ไอ้เคนก็เหมือนเดิมอ่ะ...ส่วนไอ้พิวพักนี้ไม่ค่อยได้มากินข้าวด้วยกันเลย” ประโยคที่ว่าทำเอาผมใจกระตุกไปเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจเอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้ออกไป

   “ไม่ได้ไปเตะบอลด้วยกันหรอกเหรอ?”

   “เตะบ้าอะไรของมึงไอ้ไป๋” กลายเป็นโดนไอ้สมุยตอกกลับมา

   “อ้าว ทำไมอ่ะ?”

   “สนามคณะเราเขาปิดปรับปรุงอยู่จะให้ไปเตะที่ไหน สนามคณะอื่นถ้าไปช้าก็เต็มหมดแล้ว”

   “อ้าวเหรอ ฮ่าๆ” ผมแสร้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนที่สายตาจะค่อยๆเลื่อนไปสบกับไอ้ยีนส์ที่เป็นฝ่ายมองมาก่อนอยู่แล้ว ผมเลยต้องทำเป็นยิ้มตอบกลับไปอีกทีเชิงว่าไม่ได้เป็นอะไร แต่สมองตอนนี้กลับใช้เหตุและผลชั่งตวงความเป็นไปได้อย่างคิดไม่ตก

   พิวบอกว่าจะอยู่คณะเตะบอลกับเพื่อน ความน่าจะเป็นข้อแรกเลยคือไม่ได้เตะกับพวกพิวและสมุยแน่นอน ส่วนข้อสองสำคัญที่สุดเพราะสนามบอลคณะตอนนี้ปิดปรับปรุงอยู่ก็ทำให้ใช้งานไม่ได้

   ต่อมาเป็นเรื่องเล่าที่ได้ฟังจากเติ้ล ในตอนแรกเลือกที่จะไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ถ้าตัดความเป็นไปไม่ได้ออกไป ทุกอย่างก็จะลงล็อคทั้งหมด...

   “มันเคยบอกมึงเหรอว่าไปเตะบอล?” คราวนี้เป็นเสียงของไอ้เต้ถามกลับขึ้นมา

   “อือ มันบอกเตะบอล เลยไม่ว่างติวให้”

   “อ้าว ทำไมพิวขาบอกมึงแต่ไม่บอกพวกกูอะ” เสียงไอ้ตุลลี่ดังแทรกขึ้นมายังไม่ทันให้ผมได้พูดจบประโยคดีด้วยซ้ำ

   “ก็...มันบอกกูตอนช่วงเสาร์อาทิตย์ที่พวกกูอยู่ประชุม แล้วพวกมึงหนีกลับบ้านกันไง”

   “อ๋อออออ” เสียงลากยาวของมันทำเอาผมต้องลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เกือบไปแล้วไหมล่ะกู...





(มีต่อ)

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter nine ―160818)
«ตอบ #35 เมื่อ17-08-2018 19:38:15 »

❋❋❋




   หลังจากทานข้าวเสร็จก็บอกลาเต้และสมุยเป็นที่เรียบร้อย เดินข้ามสะพานลอยกลับเข้ามอ ด้วยความที่เป็นช่วงหัวค่ำทำให้นักศึกษายังมีเดินให้เห็นบ้าง พวกเราเดินคุยกันมาเรื่อยๆจนมาถึงที่จอดจักรยานกัน


   “มึงกูปวดขี้ว่ะ” ในขณะที่ผมกำลังก้มปลดสายล็อคโดยมีไอ้ตุลลี่กำลังยืนรอซ้อนท้ายอยู่ไม่ห่างนั้น มันก็เอ่ยปากพร้อมลูบขนแขนตนเองไปมา ทำเอาผมรู้สึกเหมือนเกิดอาการเดจาวูขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

   “ไอ้ตุลลี่ มึงเอาอีกแล้วเหรอ?” ไอ้ยีนส์ถึงกับเงยหน้าจากสายล็อคเช่นเดียวกันผมแล้วหันหน้ามามองอย่างเอือมๆ

   “เออน่า แวะคณะให้กูหน่อยแล้วกัน ไม่ไหวแล้วจริงๆ”

   “เออ รีบขึ้นมา อย่าขี้แตกรดเบาะกูนะมึง”




   และแล้วพวกเราก็ได้มานั่งใต้ตึกคณะช่วงหัวค่ำโดยมีไอ้ตุลลี่กำลังนั่งปลดทุกข์แบบเดิมเมื่อครั้งก่อนเด๊ะๆ ผมกับไอ้ยีนส์ต่างคนก็ต่างเล่นโทรศัพท์กันไปเพื่อรอเพื่อน แต่จู่ๆความทรงจำในหัวเมื่อครั้งก่อนกลับแล่นเข้ามาในหัว ล่าสุดที่คิดถึงเรื่องนี้คงเป็นเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วมั้ง แต่พอกลับมาอยู่ที่เดิม เวลาเดิม สถานที่เดิมแบบนี้ ก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้อยู่ดี

   “มึงว่าไอ้ตุลลี่จะออกจากห้องน้ำเมื่อไหร่วะ?” ไอ้ยีนส์ถามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย แต่มือก็ยังกดเกมส์ในจอไปพร้อมกัน

   “กูว่าอีกประมาณสิบนาทีได้มั้ง” ผมว่าแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ก่อนจะเริ่มสำรวจบริเวณแถวๆนี้ โชคดีที่วันนี้ยังมีพวกนักกีฬาซ้อมอยู่ในสนามบาสอยู่บ้าง บรรยากาศวันนี้เลยยังไม่วังเวงมากเท่าไหร่

   พลางสอดส่องสายตาไปเรื่อยๆจนมาปะกับไอ้ยีนส์ที่นั่งฝั่งตรงข้ามขอองโต๊ะหินอ่อนอยู่ในตอนนี้ มันยกนิ้วชี้ขึ้นมาจ่อที่ปากส่งสัญญาณให้ตั้งใจฟังเสียงรอบข้างดีๆ ทันใดนั้นเราก็ได้ยินเสียงก้าวเท้าเข้ามาใกล้ พวกเราก็สามารถอนุมานขึ้นได้ทันทีว่าเจ้าของฝีเท้าที่ได้ยินต้องมากกว่าสอง เพราะจากเสียงที่พูดคุยกันก็แยกได้เป็นทั้งเสียงของผู้หญิงและเสียงของผู้ชาย

   คุ้นจังเลย...

   แต่ในขณะที่กำลังจะหันกลับไปมองเจ้าของต้นเสียงที่เหมือนเป็นคนรู้จักอยู่นั้น ก็ต้องชะงักลง เมื่อรับรู้ถึงแรงบีบที่ต้นแขนพยายามดึงให้ลุกจากเก้าอี้

   “ไปไหนอะ?”

   “หลบมานี่ก่อน” แม้จะงุนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยินยอมเดินตามอีกฝ่ายไปอยู่ดี แต่แล้วก็ต้องพบว่าที่ๆไอ้ยีนส์พามายืนนั้นเป็นบริเวณหลังต้นเสาใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่ได้เจอพลอยใสและไอ้เคนคราวนี้แล้วมาก จนผมคิดว่ามันเหมือนมากเกินไป

   เอ๊ะ...หรือว่า


   “นั่น ไอ้พิว”



   ผมได้แต่ยืนตัวแข็งหลบอยู่หลังเสา เพราะเสียงทุ้มนั่นทำให้ผมมั่นใจได้เหลือเกินว่าเป็นพิวตามที่ยีนส์บอกจริงๆ สิ่งที่เติ้ลเคยได้เล่าให้ฟังสนับสนุนสิ่งตรงหน้าอย่างชัดเจน ตามเนื้อตัวเริ่มชาไปทีละส่วน แม้ว่าเลือกที่จะปิดตาลงอย่างคนขี้ขลาด สวนทางสมองกลับเอาแต่จดจำคำพูดของคนทั้งสองนั่นได้เป็นอย่างดี


   “เค้าขอโทษนะพิว เดินเกือบถึงหน้ามอแล้วแท้ๆ ดันลืมสมุดต้องให้พิวกลับมาเป็นเพื่อนแบบเนี้ย”

   “อือ ไม่เป็นไร เจอยังอะ?”

   “เจอแล้วๆ เออว่าแต่ เมื่อไหร่พิวจะคืนไวท์บอร์ดเค้าสักที”

   “จบไฟนอลก่อน เดี๋ยวเอาไปคืนให้”


   ทันทีที่เสียงฝีเท้าเริ่มไกลออกไปสองขาที่ไม่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ก็ทรุดลงที่หลังเสานั่น ร่างบางอ่อนแอเกินกว่าจะหันไปรับรู้ภาพบาดตาเหล่านั้น มือขาวกุมหน้าราวกับไม่อยากให้คนอื่นเห็นสีหน้าของตนเองในเวลานี้

   ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้คิดไว้แล้วแท้ๆว่ายังไงเราสองคนก็คงเป็นเพียงเรื่องเพ้อเจ้อ แต่นานวันเข้าทั้งการดูแล การเอาใจใส่ที่เขารู้สึกว่ามันแปลกใหม่ จนคิดว่าตัวเองหวั่นไหวกับการกระทำของอีกฝ่าย สุดท้ายแล้วเขาเองนั่นแหละที่ตกหลุมรักอีกคนเข้าเต็มๆจนจุกอกไปหมดเสียแล้ว...


   เขาเลือกที่จะเป็นคนตรงๆ เพราะเขาเกลียดการโกหก
   เขาเลือกที่จะไว้ใจอีกฝ่าย เพราะเขาเองก็อยากจะได้ความเชื่อใจกลับมา
   แต่ในวันที่เขาเลือกแล้วว่าอยากจะพัฒนาความสัมพันธ์นี้ต่อ ทุกอย่างในมันกลับพังลงมาไม่เป็นท่า



   ปกติเขาก็ชอบฟังเหตุผลอีกฝ่ายก่อนตัดสินใจเสมอ แต่ในคราวนี้เขาเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยที่จะปฏิเสธความจริงข้างหน้าไปหมด แต่ก็อย่างว่าเขาคงผิดเองที่ให้ความรู้สึกกับอีกฝ่ายมากเกินไป...



   “อ้าว อีไป๋เป็นอะไรวะ?” ผมที่ไม่รู้ว่านั่งลงไปกองกับพื้นโดยมีไอ้ยีนส์คอยยืนลูบหัวปลอบใจอยู่ไม่ห่างเป็นเวลานานเท่าไหร่ จนกระทั่งตุลลี่ที่เพิ่งทำธุระเสร็จแล้วเดินออกมาเจอพวกเราในสภาพแบบนี้

   “เสร็จแล้วก็กลับหอกันก่อน เดี๋ยวค่อยเล่า ตรงนี้ยุงมันเยอะ” และแล้วเราก็ได้กลับหอในสภาพที่ผมกลายมาเป็นคนซ้อนจักรยานโดยมีไอ้ตุลลี่เป็นคนปั่นให้แทน เราต่างคนก็ต่างเงียบกันมาตลอดทั้งทาง จนในที่สุดพวกเราทั้งสามคนก็ได้มารวมกันที่ห้องของผมจนได้





   “อะ มันเกิดอะไรขึ้นเล่าให้กูฟังหน่อย” ตุลลี่พูดขึ้นทำลายความเงียบภายในห้อง หลังจากยืนมองผมที่หลังจากกลับห้องมาก็เอาแต่นั่งขัดสมาธิ ก้มหน้าบนเตียงนอนเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดเรื่องทั้งหมดไปอย่างไร

   “ไอ้ตุลลี่ ถ้ากูเล่าไปแล้วมึงอย่าโกรธกูนะ”

   “มึงก็รู้ว่ากูเป็นคนยังไง ถ้าเรื่องไม่ได้ร้ายแรงกูก็ไม่โกรธมึงหรอก” พูดแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม โดยมียีนส์ที่เลื่อนเก้าอี้จากโต๊ะตัวเองมานั่งอยู่ใกล้ๆด้วย


   “กูชอบไอ้พิวว่ะ” และแล้วทั้งห้องก็กลับเข้าสู่สภาวะไร้เสียง จนคิดว่าตนเองจะหยุดหายใจอย่างกระทันหันไปเสียแล้ว


   “เฮ้อ กูก็นึกว่าจะไม่บอกกันซะละ” เสียงทอดถอนหายใจจากคนที่นั่งข้างกันทำเอาผมกลับรู้สึกแปลกใจ

   “...มึงรู้แล้วเหรอ?” ผมเอ่ยถามเสียงเบา ก่อนจะหันไปมองทางไอ้ยีนส์อย่างมีคำถามปรากฏอยู่มากมาย แต่เหมือนทางนั้นจะรู้เลยได้แต่ส่ายหัวรัวๆกลับมา

   “ไม่รู้ก็บ้าแล้วอีไป๋ อาม่าสายตาไม่ดีมองมาจากดวงจันทร์ก็รู้ว่าพวกมึงเป็นอะไรกัน”

   “เฮ้ย พวกกูยังไม่ได้เป็นอะไรกัน”

   “แต่พวกมึงก็ชอบกันไปแล้วปะวะ”

   “...อือ ขอโทษนะ”

   “ขอโทษกูทำไม กูหวีดพิวขาเพราะเขาหล่อ แต่กูไม่ได้อยากได้เขามาเป็นผัวขนาดนั้น”

   “เอ้า...” กูก็กลัวมึงจะโกรธหาว่ากูไปแย่งผัวมึงได้ตั้งนานสองนาน

   “จบๆเรื่องกู แล้วก็เล่าเรื่องของมึงมาได้แล้ว สรุปว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นมายังไง?”



   หลังจากนั้นร่างบางก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง ตั้งแต่เรื่องจดหมาย เรื่องที่พิวขอจีบ และอีกมากมาย แต่ก็เลือกที่จะข้ามในบางช่วงที่มันน่าอายเกินกว่าจะพูดออกไปบ้าง เล่าต่อมาเรื่องๆจนกระทั่งถึงในเรื่องของวันนี้ที่เขานั้นได้ไปเจอกับเหตุการณ์ที่ตอกย้ำในสิ่งที่ตนเองเคยได้ยินมา แต่กลับเลือกที่จะไม่สนใจ จนมาเจอกับตัวเองเข้าจังจังแบบนี้ ทางด้านคนรับฟังทั้งสองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและเลือกที่จะอยู่ฝ่ายเพื่อนตนเองด้วยความเห็นใจ


   “อียีนส์ มึงเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นใช่มะ?”

   “อือ เห็น” คนตัวสูงที่กำลังนั่งบนเก้าอี้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

   “แล้วสวยป่ะ?”

   “สวยเลยแหละ” แม้หลังจากที่ได้ระบายความในใจของเขาให้เพื่อนๆฟังทั้งหมดก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา แต่พอได้ยินคำตอบจากยีนส์แบบนี้แล้ว ก็กลับกลายเสียว่าจิตใจของเขาเริ่มกลับมาห่อเหี่ยวเสียเอง

   “ไป๋ แล้วมึงจะเอายังไงต่อวะ?”

   “ปล่อยไว้สักพักแล้วกัน ยังไม่อยากคุยว่ะ”

   “ทำไมวะ? ปกติเห็นมึงทะเลาะกับใครเห็นมึงวิ่งโร่เข้าไปขอคุยด้วยทุกครั้งอะ”

   “...ไม่รู้เหมือนกันว่ะ เหนื่อยมั้ง”

   “เออๆ แต่ถ้าไม่สบายใจเมื่อไหร่มึงต้องมาบอกพวกกูทันทีเลยนะ”

   “อืม มึงก็กลับห้องไปอาบน้ำได้แล้ว” ผมแกล้งผลักหัวเจ้าคนจู้จี้ไปหนึ่งที ก่อนจะได้รับกลับมาเป็นความแรงแบบเท่าตัว เราเล่นกันอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวกัน


   แต่ในระหว่างที่ผมกำลังจะล้มตัวนอนสายตาเจ้ากรรมก็ดันไปเห็นการแจ้งเตือนที่เด้งขึ้นแสดงบนหน้าจอจากโทรศัพท์ที่กำลังชาร์ตแบตอยู่หัวเตียงเสียก่อน ผมชั่งใจอยู่นานมากว่าจะตอบข้อความนั้นดีหรือจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วนอนหลับไปเลยดี...

   และแล้วการตัดสินใจในส่วนของการหนีปัญหาของผมก็ชนะ เลือกที่จะทิ้งข้อความนั่นให้ไร้คนตอบต่อไป...ไป่ไป๋คงกลายเป็นคนนิสัยไม่ดีไปเสียแล้วแหละ


   อยากงอน
   อยากโกรธ
   และบางทีถ้ามันเจ็บปวดมากเกินไป เขาก็อยากจะหยุดทุกอย่างลงบ้าง
   ก็แค่นั้นเอง...






▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔





ทอล์กเล็กๆกับแพพิ้งก์


     สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นเลยต้องขอขอบคุณทุกคนที่คอยตามอ่านตามเมนต์นะคะ

     บอกก่อนว่านิยายเรื่องนี้แพรได้แต่งจนเสร็จสมบูรณ์แล้วถึงได้ตัดสินใจลงค่ะ ซึ่งทุกคนสามารถไว้วางใจได้ว่าจะไม่มีการเทหรือหายอย่างแน่นอน  ใบ้ให้ว่ามีทั้งหมดยี่สิบตอนนิดๆ

     ขอเล่าบ้างว่าในตอนแต่งหรือแม้กระทั่งตอนแพรเอาลงเว็บ แพรยอมรับว่ามันมีทั้งท้อ เหนื่อยหรือมีปัญหาอยู่บ้าง โดยเฉพาะจิตใจของแพรเอง เพราะเป็นเรื่องแรก แพรเลยยังไม่ค่อยมั่นใจว่าตัวเองถ่ายทอดออกมาได้ดีเท่าไหร่ แต่อย่างไรแพรก็ยังได้มีคอมเมนต์ของทุกคนทำให้แพรรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาได้ค่ะ

     พวกคุณน่ารักที่สุดเลย..

     ทั้งนี้ทั้งนั้นในตอนที่แพรห่างหายจากการอัพเดต ก็ขอฝากทุกคนหากใครมีข้อติตรงไหน หรือแพรพิมพ์คำผิดอะไร สามารถฝากไว้ได้เลยค่ะ และถ้าหากเอ็นดูเนื้อเรื่องหรือตัวละคร แพรก็ขอฝากให้ทุกคนช่วยแชร์และแนะนำต่อๆกันไปให้ด้วยนะค้า



ปล.แพรอ่านทุกคอมเมนต์โลย

ปล2.จะเป็นแพรที่พัฒนางานเขียนของตัวเองต่อไปฮับ




▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔

ตอนนี้เริ่มมีกลิ่นดราม่าแล้วอิอิ

ติดตามการอัพเดตและเม้ามอยได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9 (เพจใหม่ค่ะ )


และตามหวีดได้ในแท็กทวิตเตอร์
#จีบเป็นคำกริยา


(◕‿◕✿)
   



ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter ten ―160818)
«ตอบ #36 เมื่อ18-08-2018 00:53:47 »

 :L2: :L1: :pig4:

โกหกทำไม คนที่ถูกหลอกมีแต่เสียใจ แล้วต่อไปจะเชื่อคำพูดอะไรก็จะระแวงไปตลอด ไม่ดีเลย
เปลี่ยนมารักเพื่อนยีนส์ได้ไหม 55 ล้อเล่น

แต่พิวโดนตัดค่ะแนน เกลียดคนโกหก

รออ่านตอนถัดไป


ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1957
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter ten ―160818)
«ตอบ #37 เมื่อ18-08-2018 06:04:55 »

สนุกจ้าติดตามๆ รู้เลยว่ามอไหนร้านเจ้หม๋วย 555
สู้ๆ ทักนิดหนึ่งนะเวลาเป็นความรู้สึกของอีกคนที่ไม่ใช่ไป๋จะงงนิดหนึ่งอ่ะค่ะ เอาเป็นคนละสีหรือมีไรบอกแยกว่าเป็นใครก็ดีนะคะ
 :กอด1:

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter ten ―160818)
«ตอบ #38 เมื่อ18-08-2018 11:40:35 »

สนุกจ้าติดตามๆ รู้เลยว่ามอไหนร้านเจ้หม๋วย 555
สู้ๆ ทักนิดหนึ่งนะเวลาเป็นความรู้สึกของอีกคนที่ไม่ใช่ไป๋จะงงนิดหนึ่งอ่ะค่ะ เอาเป็นคนละสีหรือมีไรบอกแยกว่าเป็นใครก็ดีนะคะ
 :กอด1:



ขอบคุณสำหรับคำแนะนำมากๆเลยค่ะ เดี๋ยวจะกลับมาจัดหน้าเว็บใหม่ทั้งหมดเพื่อให้อ่านง่ายและเข้าใจมากขึ้นนะคะ

 :mew1:

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter ten ―160818)
«ตอบ #39 เมื่อ18-08-2018 15:59:09 »

ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!!!!

อะไรอ่ะๆ พิวคงไม่มีอะไรมั้ง ...
 :sad4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter ten ―160818)
« ตอบ #39 เมื่อ: 18-08-2018 15:59:09 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter ten ―160818)
«ตอบ #40 เมื่อ19-08-2018 22:12:33 »

 :sad4: :o8: :o8:

ออฟไลน์ 19august

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
    • https://twitter.com/19august___
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter ten ―160818)
«ตอบ #41 เมื่อ20-08-2018 02:08:21 »

คุ้นๆเหมือนจะมอเดียวกันมั้ยน้า555555

อ่านจบแล้วแบบ ต่อให้สุดท้ายผญคนนั้นกับพิวจะหักมุมไม่มีอะไรหรือจะมีจริงๆก้ตาม
แต่การโกหกก็คิอโกหกอะพิว ความเชื่อใจที่ถูกทำลายมันเรียกคืนยากนะรู้ยัง

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter ten ―160818)
«ตอบ #42 เมื่อ20-08-2018 22:34:29 »

น่ารักกกกก

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter ten ―160818)
«ตอบ #43 เมื่อ22-08-2018 22:21:37 »

คือๆ  :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter ten ―160818)
«ตอบ #44 เมื่อ23-08-2018 22:05:27 »

อาการตั้งแต่ต้นของพิว ที่จีบไป๋
มั่นใจว่า พิวมีเหตุผลแหละที่ต้องไปกับผู้หญิงคนนั้น
และยังยืมไวท์บอร์ดมาใช้ติวที่ห้องด้วย
… แต่ถึงอย่างนั้น จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
สิ่งที่พิวทำ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรปิดบังคนที่พิวบอกว่า ชอบ บอกว่ารัก

ไป๋เอาคืนละกันนะ ให้บทเรียนพิวสักพัก
แต่อย่านานนักนะ  เราไม่นิยมอ่านดราม่าค่ะ

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter ten ―160818)
«ตอบ #45 เมื่อ25-08-2018 14:54:28 »

chapter eleven。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔



   “มึงจะทำแบบนี้จริงๆเหรอวะ?”
   “อือ ให้มันเป็นแบบนี้แหละ”



   ในที่สุดเวลาก็ได้เดินทางมาถึงคลาสของวิชาดรอว์อิ้งของวันถัดมา เนื่องจากคาบก่อนๆหน้านี้ได้มีการปรับปรุงห้องปฏิบัติจึงทำให้ไม่สามารถให้นักศึกษาใช้ในการเขียนแบบได้ ทางอาจารย์จึงได้จัดสั่งให้ไปทำเป็นการบ้านกันมาแทน จนถึงวันนี้ห้องที่ว่านั่นได้ถูกปรับปรุงเสร็จและสามารถให้นักศึกษาเข้าใช้งานได้ดังเดิม


   เนื่องจากในช่วงเช้ายังเป็นส่วนของบรรยายอยู่ เราจึงนั่งกันอยู่ในห้องเลกเชอร์ซึ่งมีอาจารย์กำลังยืนทำการสอนอยู่หน้าห้อง โดยที่นั่งในวันนี้ได้มีการถูกสับเปลี่ยนกันเล็กน้อย จากในตอนแรกที่เป็น ไอ้ยีนส์ ผมและไอ้พิว แต่ในวันนี้กลับกลายเป็น ผม ไอ้ยีนส์ และไอ้พิวตามลำดับ


   เดาได้ไม่ยากเลยว่าอีกคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของยีนส์น่าจะมีอาการสงสัยไม่มากก็น้อยทั้งเรื่องแชทที่ผมไม่คิดแม้แต่จะอ่านจนถึงตอนนี้ รวมทั้งตำแหน่งการนั่งที่ถูกเปลี่ยนไปอีก


   “แล้วมึงก็ให้กูมานั่งตรงนี้เนี่ยนะ” คนกลางที่ได้แต่นั่งอึดอัดเอี้ยวตัวลงมากระซิบด้วยความเกรงใจอาจารย์ที่กำลังทำการสอนอยู่


   “นั่งๆไปเหอะ เดี๋ยวก็ลงแลปแล้ว” ผมเลิกสนใจคนข้างๆก่อนที่จะหันไปโฟกัสเนื้อหาบนกระดานอีกครั้ง โทรศัพท์ที่ถูกยกขึ้นเพื่อถ่ายสไลด์เนื้อหาตรงหน้าสั่นเป็นจังหวะ และเมื่อเอาลงขึ้นมาดูใกล้ๆแล้วก็พบว่าเป็นข้อความจากคนที่ผมไม่อยากคุยด้วยมากที่สุดในตอนนี้นั่นเอง


   โปรแกรทแชทสีเขียวทำให้ผมต้องรู้สึกลำบากใจอีกครั้ง ก่อนที่จะตัดสินใจเลื่อนสายตาไปหาเจ้าของข้อความ แล้วก็ต้องพบว่าฝ่ายนั้นเป็นคนมองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว พิวชูสมาร์ทโฟนในมือไปมาเป็นสัญญาณบอกให้ผมสนใจมันสักหน่อย


   เหอะ! ใครเขาอยากจะคุยด้วยกัน...



เมื่อวาน
just pew : นอนหรือยัง?

วันนี้
just pew : ทำไมวันนี้ไปนั่งนู่นอ่ะ
just pew : ตอบหน่อยสิ
just pew : *ส่งสติ๊กเกอร์*


                     
paipai : พอใจจะนั่ง
                     
paipai : มีอะไรป่ะ

just pew : มีดิ
just pew : ห่างแค่นี้ก็คิดถึงแล้วอะ



   ร่างบางหัวเราะพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างนึกเอือม นี่คิดว่าตัวเองเป็นพี่มาก? เป็นปกติเขาคงพิมพ์ด่ากลับไม่ให้ต้องเสียเวลาคิดแล้ว แต่ตอนนี้ความโกรธที่มีมันกลับมาค้ำคอสิ่งที่อยู่ระหว่างเขาทั้งสองคน

   
   ไม่รู้สึกอะไรจริงๆเลยเหรอ?
   ทั้งๆที่อุตส่าห์ลงทุนโกหกเพื่อที่จะไปอยู่กับคนนั้น แต่กลับมาหยอดกันหน้าตาเฉยแบบนี้เลยเนี่ยนะ
   ไม่คิดว่ามันไม่แฟร์ไปหน่อยหรือยังไง...




                     
paipai : เลิกเพ้อเจ้อเถอะ กูจะเรียน

just pew : อื้อ ตั้งใจเรียนไป
just pew : *ส่งสติ๊กเกอร์*






   “อ่านหนังสือถึงไหนแล้ว”

   “ก็ไม่ถึงไหน”


   แม้ว่าในมือของพวกเขาจะขีดๆเขียนๆชิ้นงานลงบนกระดาษหวังให้งานที่ได้รับมาให้เสร็จๆไป แต่ฝ่ายคนตัวสูงก็ยังพยายามชวนคุย แม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงสิ่งที่แปลกไปในตัวอีกคนก็ตาม


   “เดี๋ยวอาทิตย์หน้าติวเคมีให้นะ"

   “เหอะ ไม่ต้องไปเตะบอลแล้วหรือไง?”

   “อื้อ เพื่อนยังไม่ว่าง” คำตอบที่พูดออกมาด้วยเสียงทุ้มฉะฉาน ไม่มีน้ำเสียงความหวาดวิตกเจือปน ทำเอาคนตัวเล็กกวาดส่งสายตาโกรธเคืองไปให้อย่างนึกน่าโมโห ไม่คิดจะสารภาพกันหน่อยเหรอ? อ๋อ หรือว่าไม่มีค่าพอที่จะได้รู้?


   ร่างบางส่ายหัวให้กับความคิดตัวเอง ข้องใจขนาดนี้ทำไมกูไม่ถามให้มันจบๆไปวะ?...ไม่เอาอะ ปล่อยให้โกหกต่อไปดีกว่า อยากรู้นักว่าจะไปได้สักกี่น้ำกัน


   ไป่ไป๋ตั้งสมาธิแล้วจึงกลับมาจดจ่ออยู่กับงานตัวเองอีกครั้ง แม้จะมีตัวช่วยที่มาในรูปแบบตัวก่อกวนพูดแนะนำปนกับการชวนคุยให้รู้สึกน่ารำคาญอยู่บ้าง แต่เพียงไม่นานชิ้นงานก็เสร็จสิ้นในที่สุด และก็นับว่าเป็นโชคดีอีกครั้งที่งานเสร็จก่อนล่วงหน้าเกือบเป็นชั่วโมง





   “ไป๋ แดกข้าวที่ไหน?”

   “แดกข้าวในจาน”



   คำตอบของผมทำเอาคนตั้งคำถามถึงกับหน้าเหวอ แลบลิ้นใส่อีกคนแล้วรีบคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องไปหาเพื่อนๆที่กำลังรออยู่ด้านนอก เพราะมีความรู้สึกไม่อยากอยู่ใกล้อีกฝ่ายมากนัก ทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีความคิดที่มากเกินจำเป็นก็ต้องทอดถอนหายใจข่มความคิดหลายครั้ง ทำไมต้องไปสนใจด้วย ทั้งๆที่ก่อนหน้านู้นก็ไม่ได้ไปกินข้าวด้วยกันสักหน่อย เดี๋ยวมันก็ไปกับไอ้เต้ไอ้สมุยเองแหละ ไม่ต้องไปสนใจหรอก...



   
❋❋❋




   เป็นที่รู้กันว่าหลังคาบวิชาดรอว์อิ้งในช่วงเช้าแล้ว ช่วงบ่ายก็เป็นวิชาอะไรไม่ได้นอกจากวิชาสังคมที่สุดแสนจะน่าเบื่อ แม้จะเล่นโทรศัพท์ก็แล้ว แกล้งเพื่อนแก้เซ็งก็แล้ว นั่งจ้องหน้าอาจารย์ก็แล้ว รู้สึกหมดหนทางที่จะทำตัวเองให้กลายเป็นคนมีไฟในการเรียนขึ้นมาจริงๆ ผมจึงถือโอกาสตรงนี้ในการนอนงีบเก็บชั่วโมงนอนให้เวลาผ่านไปอย่างไม่ไร้ประโยชน์


   และแล้วก็ได้จมสู่ห้วงนิทราโดยที่คอพาดพิงกับพนักเก้าอี้ ปากและเปลือกตาเผยอขึ้นด้วยท่าทางน่าเกลียดเพราะความไม่ตั้งใจ กว่าผมจะมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากเพื่อนรอบข้างพร้อมแรงสั่นจากกระเป๋ากางเกง


   “ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะต้นเหตุคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้มิกซ์หัวหยอยที่นั่งกุมท้องขำอยู่กับพื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนเพื่อนรอบข้างตอนนี้ก็มีอาการไม่ต่างกันแถมยังเอาแต่หันมามองทางผมแบบยิ้มๆอีก


   “มีอะไรเหรอวะ?” สมองที่ยังไม่กลับเข้าสู่สภาวะปกติจากความง่วงเลือกที่จะถามพะแพงที่ดูเหมือนจะพึ่งพาได้มากสุดในตอนนี้


   “เราว่าไป๋ลองเปิดโทรศัพท์อะ เดี๋ยวก็รู้” สองมือรีบตะปบเข้าที่กระเป๋ากางเกงหาเจ้ามือถืออย่างรีบร้อน คาดการณ์ไว้ว่าน่าจะต้องเป็นไอ้มิกซ์ที่ทำเรื่องเหี้ยๆอะไรสักอย่างแน่ๆ เมื่อลงมือปลดล็อกหน้าจอเสร็จแล้วก็ต้องพบว่าสิ่งที่คาดเอาไว้มันตรงกับความจริงไม่มีผิดเพี้ยนเลย



   M Mix ได้แท็กคุณในรูปภาพ



   กดเข้าไปดูแล้วก็ต้องนึกโมโห เมื่อรูปภาพที่มันได้ทำการแท็กมาเป็นรูปที่เพิ่งถ่ายจากในคาบเรียนสดๆร้อนๆ โดยมีผมนอนหลับด้วยท่าทางทุเรศๆนั่น พร้อมกับแคปชั่นที่ว่า



   ไป๋ วิศวะ ปี 1 ตี๋ ขาว น่ารัก โสด ใครสนใจมาเปลี่ยนโหมดติดต่อหลังไมค์ได้เลยจ้ะ ♡
   ปล.พิเศษใครที่ทักมาภายใน 5 นาทีนี้ รุก ไซร้ ชัก ฟรีๆถึงที่ไปเลย




   “พ่อมึงสิ ไอ้สัสมิกซ์!!!!”


   “นักศึกษาวิศวะที่นั่งใส่ช็อปหลังห้อง ถ้ามีปัญหากันอนุญาตให้ออกจากห้องได้นะคะ” ยังไม่ทันได้ให้เกิดการปะทะคารม เสียงดุแกมตำหนิของอาจารย์ก็ได้ดังขึ้นขัดทำเอานักศึกษาทั่วทั้งห้องมองหาคนที่มีรูปพรรณตามที่ว่าจนทุกสายตามาหยุดที่ผมกันเป็นตาเดียว


   “ขอโทษครับ/ขอโทษครับ” ผมกับไอ้มิกซ์ได้แต่ยิ้มเจื่อนแล้วยกมือไหว้ขอโทษแกไปกันคนละที หลังจากโดนคาดโทษไปแล้วหากเสียงดังกันอีกครั้งมีหวังอาจารย์คงไล่ออกจากห้องอย่างไม่ต้องสงสัย ผมที่จะให้นอนต่อก็นอนไม่หลับ ให้เรียนก็ไม่มีจิตใจ ผมจึงได้ตัดสินใจนั่งไถฟีดเฟซบุ๊คไปเรื่อยเปื่อยรอเวลาเลิกเรียนแทน


   นิ้วหัวแม่มือทำหน้าที่สไลด์หน้าจอดูนู้นนี่ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นสเตตัสเพ้อๆของเพื่อนสมัยมัธยม แคสเกมส์ที่ถูกแชร์โดยยีนส์ หรือแม้แต่คลิปน้องหมาประจำบ้านที่มีแม่เป็นคนถ่าย ผมส่ายหัวแล้วหัวเราะเล็กๆให้กับความทาสหมาของแม่ตัวเอง ขยับนิ้วหัวแม่มือไปกดไลค์ให้ก่อนจะเลื่อนหน้าจอลงไปดูอีกมากมายหลากหลายโพสต์


   จนกระทั่งสายตาต้องมาสะดุดให้กับโพสต์ของคนๆหนึ่งที่ผมมั่นใจเป็นอย่างดีว่าคนๆนี้ไม่ได้เป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊คอย่างแน่นอน แต่ชื่อที่ถูกแท็กมาด้วยกลับทำให้โพสต์นั้นขึ้นสู่หน้าไทม์ไลน์ของผม พร้อมทั้งรูปที่แนบมามีคนคุ้นเคยร่วมอยู่ในเฟรมด้วย เพียงเท่านี้มันก็สามารถดึงดูดความสนใจของผมได้เป็นอย่างดี...



   Kanjana Thippasiri ได้แท็ก Pew Phatipol  ในรูปภาพ

   All I want, all I need, all I see is just me and you


   

   
   ประโยคภาษาอังกฤษจากเนื้อเพลงที่เคยฟังท่อนไหนสักท่อนที่แสดงความรู้สึกที่มีกับอีกฝ่ายเด่นหราขึ้นประกอบรูปภาพ ผู้ชายทางซ้ายมือที่ยื่นนิ้วมาจิ้มแก้มอีกฝ่ายเป็นใครไปได้นอกจากไอ้พิว ส่วนผู้หญิงทางขวามือนั่นทำให้ผมรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาหน้าตาจิ้มลิ้มของเธอเป็นอย่างมาก แม้ชื่อของเธอจะห่างหายจากการได้ยินข่าวของผมไปสักระยะ อย่างไรตอนนี้ผมก็มั่นใจแน่นอนว่าเธอคือคนนั้น


   ...กุ้ง?



   เรื่องราวใหม่เก่าเริ่มปะติดปะต่อกันอย่างเกือบลงตัว ตั้งแต่เรื่องจดหมายแล้วอ้างว่าเป็นคำขอของเพื่อนเก่า เรื่องกระดานไวท์บอร์ดอันใหญ่ที่ไม่มีที่มาที่ไปเพราะไม่อยากให้รู้ จนกระทั่งเรื่องที่โกหกว่าไปเตะบอลแต่กลับไปอยู่กับเธอ



   ไหนบอกว่าจะจีบกูไง...



   เหล่าคอมเม้นค่อยๆหลั่งไหลกันเข้ามาแม้รูปจะถูกลงได้เพียงไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ก็ตาม


Mew Phaninitaa : เปิดตัวเหรอ?
Gigi naka : เชี่ย ผัวหล่อสัส
Samui samuisamui : อ้าว ไอ้พิวยังไงครับๆ @Pew Phatipol



   


   การส่องโพสต์ต้นเรื่องเป็นอันจบลงพร้อมกับเสียงปล่อยเลิกของอาจารย์ที่เฝ้ารอ นักศึกษารีบกรูกันออกจากห้องอย่างใจร้อน เพื่อนๆรอบตัวผมต่างพูดบอกลาและเดินทยอยกันจากออกห้องไป เหลือแค่ผมที่ยังนั่งงงหรือไว้อาลัยให้กับเรื่องที่เพิ่งเห็นด้วยความไม่แน่ใจ นั่งอยู่นานจนกระทั่งกลับมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่แทบไม่มีคนหลงเหลือในห้องเสียแล้ว ผมจึงจัดการคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายก่อนจะรีบเดินออกจากห้องเรียนบ้าง




   “พวกมึงเห็นโพสต์ที่แท็กไอ้พิวมาเมื่อตอนบ่ายกันป่ะ?”

   “โพสต์ไหนวะ?”

   “โพสต์ของผู้หญิงคนเดียวกับวันนั้นที่มึงเห็นใต้คณะอะ เขาชื่อกุ้ง”

   ทั้งไอ้ยีนส์และไอ้ตุลลี่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนพร้อมใจกันหยิบสมาร์ทโฟนกันขึ้นมาเปิดดูหน้าเค้าน์เตอร์คิดเงินในเซเว่นใต้หอที่เรากำลังยืนอยู่นี่

   เป็นเพราะว่าวันนี้จู่ๆฝนก็ตกหนักเหมือนพายุเข้า พวกเราเลยจำใจต้องฝากท้องไว้กับร้านสะดวกซื้อสักมื้อนึง เช่นเดียวกันกับนักศึกษาคนอื่นๆที่เลือกซื้อข้าวกล่องแทนการออกไปข้างนอก ทำให้แถวคิดเงินในตอนนี้ยาวจนแทบจะอ้อมร้านได้แล้ว

   ส่วนทางด้านของทั้งสองนั้นดูเหมือนจะเปิดเจอต้นตอของเรื่องแล้วก็หันมาส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความเห็นใจมาให้ พร้อมกับแถวที่ขยับไปเรื่อยๆ


   “กุ้งเดียวกับกุ้งเผาอะเหรอ?”

   “อือ ใช่”

   “พิวได้พูดอะไรกับมึงบ้างป่ะ?”

   “หึ ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นอะ” นึกย้อนไปยังเหตุการณ์ในวันนี้แม้จะคุยกันเพียงไม่กี่คำ แต่ก็ไม่มีประโยคไหนเลยที่จะอธิบายเรื่องราวหรือปฏิเสธสิ่งที่ไม่จริงกลับทำตัวเป็นปกติเหมือนตนเองไม่ได้ทำอะไรเสียด้วยซ้ำ คิดแล้วมันก็น่าโมโห

   “ทำไมพิวขาเขาถึงทำแบบนี้นะ ตุลลี่รับไม่ได้” ตุลลี่ส่ายหัวให้สิ่งที่ตนเองเห็นน้อยๆ ก่อนจะรีบเก็บสมาร์ทโฟนลงกระเป๋าดังเดิมเพราะถึงคิวคิดเงินของตัวเองแล้ว

   พวกเราจ่ายตังและตัดสินใจจะไปใช้ไมโครเวฟรวมที่หอแทนการยืนรอในร้านที่คับคั่งไปด้วยคนนั่น แล้วก็เดินเบียดเสียดผู้คนที่แทบจะล้นออกมาจนถึงทางเชื่อมเพื่อเดินกลับหอ แต่ฝนที่ว่านั่นก็ยังไม่มีวี่แววจะซาลงเลยแม้แต่น้อย


   “ไป๋ มึงเห็นโพสต์ใหม่ยังวะ?” เป็นเสียงไอ้ยีนส์ที่ดังถามขึ้นในขณะที่เรากำลังเดินขึ้นบันได้กันอยู่

   “มีใหม่กว่านั้นอีกเหรอ?”

   “อือ มึงเปิดดู” คราวนี้เป็นตาผมที่ต้องรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นจากกระเป๋าด้วยหัวใจตุ้มๆต่อมๆ พยายามไม่คิดอะไรล่วงหน้า ก่อนจะลงมือพิมพ์ชื่อเฟซบุ๊คของเจ้าตัวที่ผมสามารถจำได้ขึ้นใจ ก่อนจะพบว่ามัน...ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

   “ไม่เห็นมีอะไรเลยไอ้ยีนส์”

   “ลองเข้าไปดูเฟซกุ้งดิ” ว่ามาผมก็รีบกดเข้าไปตามที่เพื่อนได้บอก แต่ก็ไม่พบอะไร...

   “ไม่เห็นมีอะไรเลยวะมึง”

   “ไหนเอาของมึงมาดูสิ” มันว่าแล้วคว้าโทรศัพท์ของผมไปหาอยู่สักพักนึง แล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ผมรับโทรศัพท์กลับคืนมาอย่างงงๆ ก่อนที่มันจะหันไปสั่งไอ้ตุลลี่ที่ยืนไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่ข้างๆ

   “ไอ้ตุลลี่เอาโทรศัพท์มึงเปิดเข้าเฟซไอ้พิวสิ”

   “เออ แปปๆ” ตุลลี่รวบของที่ซื้อมาไว้ในมือเดียว ปล่อยให้อีกมือใช้กดเข้าแอพตามที่ยีนส์บอก ผมหยุดยืนมองปฏิกิริยาของตุลลี่ที่เอาแต่ยืนนิ่งจ้องหน้าจอสักพักเลยตัดสินใจชิงโทรศัพท์มาดูเอง ก่อนจะพบกับสิ่งที่ทำเอาหัวใจผมปวดหนึบอย่างไร้สาเหตุ

   เสียงฝนที่กำลังตกหนักกับทางขึ้นบันไดนี่ดูเหมือนจะไม่เข้ากัน ยิ่งรวมกับข้อความภาษาอังกฤษสั้นๆแต่ได้ใจความตรงหน้านี้แล้วนั้น ก็ทำเอาผมอยากจะหายไปจากตรงนี้เสียเหลือเกิน



Kanjana Thippasiri In Relationship with Pew Phatipol



   ...อื้อ ต่อให้ชัดเจนแค่ไหน ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
   แล้วที่ผ่านมาคืออะไรวะ?
   

   วันนี้ผมกลับมารู้สึกเกลียด เกลียดคำพูดที่ไม่คิดว่าวันหนึ่งตัวเองนั้นจะต้องได้ใช้ เกลียดที่จะต้องทำเหมือนไม่รู้อะไร เกลียดที่ตัวเองซื่อสัตย์กับความคิดที่มีต่อคนอื่นได้ ยกเว้นเขา...



   “แม่ง ลงทุนปิดไอ้ไป๋เลยอ่อวะ”

   “อีไป๋ ใจเย็นๆก่อนนะ แล้วมึงจะเอายังไงต่อดีอะ?”

   “ .. ไม่รู้ดิ” ผมคืนโทรศัพท์ในมือกลับไปยังเจ้าตัว ก่อนจะรีบเดินกลับห้องตัวเองพร้อมกับทั้งสองคนที่เดินตามหลังเข้ามา ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอย่างครุ่นคิด ตามมาด้วยสารร่างของตุลลี่ที่เดินลงมานั่งข้างๆด้วยความเคยชิน

   ผมนั่งทบทวนเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดด้วยความไม่เข้าใจและสับสน เข้ามาทำดีด้วย สร้างความไว้ใจให้ ก่อนจะทิ้งให้ผมมีความหวังอยู่กับคำโกหกคำโต

   อันที่จริงหากเป็นผมเมื่อก่อนคงโกรธจนเข้าไปต่อยแล้ว .. แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้ห่อเหี่ยวจนอยากจะร้องไห้ได้มากถึงขนาดนี้วะ?



เธอมาหลอกให้รัก แล้วเธอก็ไป
คำที่บอกว่าเธอจะมีแค่ฉันพูดทำไม
วันนี้เธอกลับทำ
เหมือนกับฉันไม่มีความหมาย
ทิ้งฉันให้ตาย
แค่สุดท้ายเพราะเธอหมดใจ



   จากเดิมที่ทั้งห้องได้เงียบและมีแค่เสียงเม็ดฝนกระทบพื้นปูนให้ได้ยิน แต่อยู่ดีๆไอ้ยีนส์กลับกดเปิดเพลงทำลายความเงียบขึ้นมา ทำเอาทั้งผมและไอ้ตุลลี่หันไปมองต้นตอของเสียงเพลงกันเป็นตาเดียว


   “อียีนส์ นี่มึงไม่มีอะไรทำแล้วถูกมะ?” คนข้างๆผมไม่รอช้า เดินก้าวไปประชิดตัวก่อนจัดการล็อคคอยีนส์แบบหยอกๆให้รีบปิดเพลง ก่อนที่ผมจะได้นั่งน้ำตาไหลอย่างเสียเชิงชายเสียก่อน


   “เห็นพวกมึงนั่งเงียบกูก็นึกว่าหลับกันไปแล้ว” จากนั้นก็เกิดเสียงทะเลาะระหว่างทั้งสองตอบโต้กันไปมาแบบไม่มีใครยอมใคร จนกระทั่งเป็นผมเองที่พูดขัดขึ้นมา



   “มึงว่ากูควรทำยังไงดีวะ?”



   “ปกติมึงไม่เคยถามพวกกูนี่” ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาเจ้าของคำพูด


   “ปกติ .. กูเป็นยังไงวะ?”


   “อย่างเรื่องไอ้เคนอ่ะ เคยถามพวกกูที่ไหน เลือดบ้าคลั่งก็เดินดุ่มๆเข้าไปหาเขา พวกกูก็กลัวพวกมึงจะต่อยกันขึ้นมาชิบหาย” แล้วก็ต้องนึกย้อนไปยังเรื่องเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ก็คงจริงอย่างที่ยีนส์พูด ว่าผมแทบไม่จำเป็นต้องขอคำปรึกษาจากใครด้วยซ้ำ กลับจัดการไปตามที่ตนเองต้องการได้ดีด้วย แต่พอมาเป็นกับคนนี้แล้ว ..


   “พอเป็นไอ้พิวก็ไปไม่เป็นเลยเหรอวะ?”



   “อือ .. เสียใจจนไปไม่เป็นเลยว่ะ” จบประโยคผมก็ทิ้งใบหน้าลงบนฝ่ามือทั้งสอง ท่ามกลางความตกใจของเพื่อนที่อยู่ไม่ห่าง



   “ไอ้ไป๋ เรื่องมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่มึงเห็นก็ได้นะเว้ย”


   “ไม่ต้องเลยอียีนส์ เรื่องนี้กูจะอยู่ทีมอีไป๋”


   “อ้าว .. ตอนแรกมึงยังบอกให้ไอ้ไป๋มันใจเย็นๆอยู่เลย”


   “ไม่รู้แหละ เรื่องที่พิวขาไม่เอากู กูก็ยังดีใจที่พิวขาจีบอีไป๋แทนชะนีคนอื่น แต่ที่ไหนได้มาหลอกเพื่อนสาวกู เรื่องนี้กูยอมไม่ได้”


    “อีสัสตุล กูเป็นผู้ชาย” ร่างบางส่งเสียงอู้อี้ผ่านซอกนิ้วที่ปิดใบหน้าแดงก่ำจากการร้องไห้ของตนเอง เรียกสติจากเพื่อนที่เกือบวางมวยกันอีกรอบได้ ทำเอาทั้งสองคนต้องหันมาสนใจคนที่เอาแต่กลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองเอาไว้อย่างนึกสงสาร


   “โอ๋ อีไป๋ ไม่เป็นไรนะ ถ้าผู้ชายมันเหี้ยก็กลับไปหาเมียใหม่ก็ได้” เพื่อนร่างอวบโถมตัวเข้าหาคนที่เอาแต่นั่งร้องไห้เงียบๆอยู่คนเดียวบนเตียง ก่อนจะใช้ฝ่ามือลูบหัวทุยๆนั่นเบาๆเพื่อปลอบประโลม ไม่ทันไรร่างสูงของเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งเตียงตรงข้ามก็เดินก้าวเข้ามาวางมือลงไหล่คนขี้แงเช่นเดียวกัน




   ไป๋เองอยากจะขอโทษเพื่อนๆของเขาเหลือเกิน ขอโทษในการที่ทำให้ลำบาก ขอโทษที่ทำให้ต้องมาไม่สบายใจไปด้วย .. ขอโทษนะที่อ่อนแอบ่อยขนาดนี้


   เขาเองถึงจะไม่สามารถยอมรับเรื่องทั้งหมดจากการผ่านการร้องไห้ได้เพียงแค่ครั้งเดียว แต่อย่างไรการร้องไห้ครั้งนี้มันก็ทำให้เขาได้ตัดสินใจแล้ว


    .. รีบออกมาซะ


   เขารู้ดีว่าหากเขาปล่อยให้ความรู้สึกที่มีมันกลายเป็นความรักเมื่อไหร่ คนที่เจ็บที่สุดก็คงไม่พ้นตัวเขาเองอยู่ดี ตามที่โบราณหรือสุภาษิตอะไรก็ตามที่เขาชอบพูดกันว่า ควรตัดไฟแต่ต้นลม หากมันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วนั้น เขาก็จะทำ .. ส่วนหนึ่งเพราะเรื่องในอดีตที่มันยังคอยวนเวียนตามติดราวกับว่าจะคอยย้ำเตือนว่า เมื่อใดที่เขามีความสุข หลังจากนั้นเขาก็จะเสียมันไป


   ใช่แล้ว ความผิดหวังที่เคยเจอ ทำให้เกิดเป็นความกลัวขึ้นมา
   และไป่ไป๋เองก็ไม่อยากมีแผลอีกแล้ว




   “กูว่าจะพอแล้วว่ะ” สูดหายใจเข้าปอดลึกๆหลังจากที่ผละออกมาจากกอดอุ่นที่ในตอนแรกๆเขาเองยังรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอ้อมแขนของความเป็นเพื่อนมันทำให้รู้สึกสงบลงได้อย่างมากโข


   “มึงไหวแค่ไหนก็เอาเท่านั้นเลย”


   “อื้อ กินข้าวเถอะ” อย่างน้อยในตอนเสียใจก็ทำให้รู้แหละทำให้ไป่ไป๋ได้รู้ว่าเพื่อนของเขาไม่เคยทิ้งตัวเองไปไหนเลย ..





ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter ten ―160818)
«ตอบ #46 เมื่อ25-08-2018 14:55:01 »

❋❋❋





   หลังจากวันนั้นมาเกือบหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ไป่ไป๋ก็เลือกที่จะบ่ายเบี่ยงการพูดคุยกับพิวเท่าที่จะทำได้ ทุกครั้งหากนั่งเรียนข้างกัน คนตัวเล็กกว่าก็เลือกที่จะเงียบ อาจมีบ้างที่ถูกชวนคุยนู่นนี่ แต่ส่วนมากก็จะเป็นการถามคำตอบคำมากกว่ามานั่งคุยอะไรเกินความจำเป็นแบบเมื่อก่อน


   “วันนี้ไปอ่านหนังสือด้วยกันไหม? เดี๋ยวติวเคมีบทที่เหลือให้” พิวโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูอีกฝ่ายที่เอาแต่นั่งนิ่งตั้งใจฟังอาจารย์แบบผิดสังเกตอย่างนี้มาหลายวันแล้ว


   “ไม่เป็นไร”


   “ประมาณเดือนนึงก็ไฟนอลแล้ว-”


   “เงียบหน่อยจะฟังอาจารย์” คนโดนเอ็ดปิดปากฉับ แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม ล้วงหาเศษกระดาษในกระเป๋าแล้วเขียนข้อความที่ตั้งใจจะพูดลงไป



   ‘ช่วงนี้เครียดเหรอ ไม่ค่อยยิ้มเลย’ กระดาษแผ่นเล็กยับยู่ยี่ถูกวางลงเบื้องหน้า คนตัวเล็กเมื่อเห็นแล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจให้กับความพยายามของอีกฝ่าย แล้วเลือกที่จะเขียนตอบกลับไปเพราะคิดแค่ว่าอยากให้บทสนทนามันจบๆลงไปเสียที

   ‘เปล่านี่’


   ‘งั้นยิ้มให้ดูหน่อยสิ’


   ‘มึงบ้าป่ะเนี่ย’


   ‘ถึงจะบ้า แต่วันนี้มึงก็น่ารักเหมือนเดิมนะ’


   ‘ไอ้สัส ไปคุยกับขี้ไป’


   ‘ล้อเล่น วันนี้ไปติวกัน เพื่อนก็บอกอยากไปอ่านด้วย’


   ‘งั้นก็ไปชวนเพื่อนกูสิ กูไม่ไป’
เมื่อเขียนจนจบประโยคแล้วจึงส่งกลับคืนให้เจ้าของไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับมาสนใจที่เนื้อหาวิชาในชีทอีกครั้ง โดยที่ไม่ได้คิดใส่ใจอีกคนเลยว่าได้แสดงสีหน้าผิดหวังเจือความสงสัยในตัวอีกฝ่ายออกมาอย่างปิดไม่มิด


   เวลาและการสอนดำเนินไปอย่างเรื่อยๆเฉกเช่นทุกวัน จนในที่สุดก็ดำเนินมาถึงเวลาที่นักศึกษาทุกคนรอคอยที่จะไปกินข้าวกลางวันกันเสียที


   ด้านร่างบางที่อดทนกลั้นความอยากเข้าห้องน้ำตั้งแต่เมื่อหลายสิบนาทีที่แล้ว ที่ไม่มีโอกาสได้ไปเข้าห้องน้ำเพราะกลัวเนื้อหาไม่ต่อเนื่อง ก็รีบกระโจนออกนอกประตูมุ่งสู่ห้องน้ำด้วยความเร็วด่วนจี๋ด้วยความกลัวว่าสิ่งที่อั้นมาจะรดกางเกงเข้าเสียก่อน พร้อมทิ้งสัมภาระรวมทั้งอุปกรณ์ที่วางเต็มโต๊ะก่อนไหว้วานให้เพื่อนรับภาระช่วยเก็บให้


   ทางพิวที่ตั้งท่าเตรียมเข้าไปคุยกับไป๋อีกครั้งหลังเลิกเรียนก็ต้องผิดหวังเมื่อเห็นเจ้าตัวนั้นวิ่งปรู๊ดออกจากห้องไปแล้ว เห็นดังนั้นจึงจัดการเปลี่ยนเป้าหมายมาคุยกับยีนส์ที่นั่งไม่ห่างทันที


   “ไอ้ยีนส์ กูขอคุยอะไรด้วยหน่อยดิ”


   “อือ ได้ .. ไอ้ตุลฝากเก็บกระเป๋าให้ไอ้ไป๋มันด้วย”


   “ไอ้ก๊าซกับไอ้ครามก็นั่งอยู่นี่ทำไมไม่ใช้มันบ้างวะ?”


   “ก็กูจะใช้มึงอะ”


   “แม่งเอ้ยย” ยีนส์คว้ากระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสะพายก่อนจะพยักเพยิดให้อีกฝ่ายเดินตามออกไปนอกห้องเรียนเพื่อเป็นการสะดวกมากกว่าที่จะคุยกันด้านใน






   แล้วทั้งสองก็ได้มาหยุดยืนที่จุดสูบบุหรี่สำหรับนักศึกษาที่ในขณะนี้ยังไม่ค่อยมีใครเดินผ่านไปมามากนัก ไม่รอให้ผู้ชักชวนเป็นคนเปิดประเด็น ยีนส์ที่รับรู้เรื่องทั้งหมดอยู่ก่อนแล้ว จึงอาศัยจังหวะในการชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน


   “เรื่องไอ้ไป๋ใช่ไหม?”


   “อือ ใช่” คนตัวสูงจัดการล้วงซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อช็อป ก่อนจัดการจุดมันแล้วสูดควันพิษเข้าไปให้เต็มปอด ไม่บ่อยนักที่เขาจะเลือกสูบ ยกเว้นในตอนที่เครียดหรือกังวล ดังเช่นในตอนนี้ ..


   “ขอมวนนึง .. มีอะไรเกี่ยวกับไอ้ไป๋มันอะ” เพื่อนสนิทร่างบางที่ทำหน้าที่เป็นคนให้คำปรึกษาในตอนนี้แบมือขอบุหรี่ราคาแพงจากอีกคน .. ถึงจะไม่ค่อยได้สูบ แต่ก็ถือเสียว่าเป็นค่าน้ำลายที่ต้องมาข้องเกี่ยวเรื่องรักๆใคร่ๆของทั้งคู่ก็แล้วกัน


   “อือ ช่วงนี้ไป๋เครียดเหรอ?” ร่างสูงจัดการจุดไฟจ่อไปยังอีกด้านของก้นกรองให้อย่างเอาใจ ก่อนยืนหันหน้าเข้าหาเพื่อรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ


   “อือ เครียด เครียดมากด้วยมั้ง”


   “เรื่องเรียนเหรอ?”


   “ไม่ใช่ ..”


   “...”


   “เป็นความเครียดที่มีอาการคล้ายคนอกหัก ..” คำตอบที่ว่านั่นทำเอาคนรอถึงกับชะงัก ก่อนที่จะอัดสารพิษเข้าไปอีกระลอกให้รู้สึกตัวเองได้ผ่อนคลายมากขึ้น


   “ไป๋มีคนที่ชอบแล้วเหรอ?”


   “อือ เป็นหนักขนาดนั้นท่าทางจะชอบมาก” มวนบุหรี่ในมือทั้งสองเริ่มสั้นลงตามจำนวนครั้งที่ริมฝีปากได้สัมผัส เสียงพูดคุยเงียบลงไปสักพักให้นิโคตินได้เข้าสู่ร่างกายอย่างเต็มที่


   “...กูกำลังจีบไป๋อยู่”


   “นี่เรียกจีบแล้วเหรอ?” พิวหันหน้าไปมองอีกคนอย่างสงสัยจากคำถามที่ดูเหมือนคำประชดนั่น ทำให้เขาต้องถามความข้องใจที่มีออกไป


   “มึงรู้เหรอ?”


   “เป็นเมทกัน อยู่ด้วยกันเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงรู้ก็ไม่แปลกหรอก”


   “นั่นสิ .. แล้วคนที่ไป๋ชอบเป็นคนยังไง?”


   “หล่อ แต่เสือกโง่” ร่างสูงของพิวยิ้มมุมปากน้อยๆอย่างนึกขำ .. ผู้ชายที่เขารู้สึกอยากพ่ายแพ้ให้เป็นคนแรกในชีวิต เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ไป่ไป๋ แต่ในตอนนี้เขากลับมารู้อีกว่าเขาได้แพ้ให้ผู้ชายอีกคนนึงไปเสียแล้ว
   นี่เขามาช้าไปอีกแล้วเหรอ?


   “...เหรอ”


   “หึ เรื่องเรียนนี่ฉลาดจัง แต่ทีเรื่องนี้แล้วเสือกโง่”


   “อะไรวะ?” หันไปหาอีกคนที่จัดการดับบุหรี่ด้วยเท้าก่อนจะหยิบไปหย่อนลงถังขยะ ก่อนจะเดินกลับมาตบเบาๆที่ไหล่สองสามที


   “คิดดีๆว่าตัวเองทำอะไรไว้บ้าง .. ถ้าเสียไปจริงๆ คราวหน้ากูไม่มายืนสูบบุหรี่เป็นเพื่อนแล้วนะ” ว่าจบก่อนจะเดินกลับไปตามทางที่ได้เดินมา แล้วทิ้งให้พิวได้แต่มองตามแผ่นหลังที่ค่อยๆไกลออกไปพร้อมกับครุ่นคิดคำพูดเมื่อกี๊นี้ไปด้วย



   แล้วคิดเหรอว่าคนอย่างพิวน่ะ จะปล่อยให้ตัวเองเสียคนที่เขารักไปจริงๆ .. ไม่มีทางเสียหรอก







   และแล้วภายในอาทิตย์นั้นชีวิตของทุกคนก็เดินไปตามปกติ เข้าเรียนภาคเช้า กินข้าวกลางวันกับเพื่อน เรียนต่อในภายบ่ายหากไม่มีเรียนก็กลับหอ ไม่ก็ไปตากแอร์ที่หอสมุดบ้าง ตกเย็นมาก็ไปกินข้าวกับเพื่อนอีกครั้ง จากนั้นก็ต้องกลับหอมาอ่านวิชาไฟนอลหรือบางวันพิเศษหน่อยก็ออกมาปั่นจักรยานรอบมอแก้เครียด เช่นในวันนี้...


   “ไอ้ไป๋ มาแข่งกัน ใครปั่นถึงหอทีหลังคนนั้นกวาดห้องถูห้องเดือนนึง”


   “แข่งเหี้ยไร ไอ้ตุลลี่ซ้อนท้ายกูอยู่เนี่ย”


   “อ้าว ป๊อดก็บอกป๊อดสิ .. หรือกลัวปั่นชนตอแบบคราวที่แล้วอีก?” เสียงยียวนจากเมทรักที่เราปั่นจักรยานตีคู่กันมา ปั่นออกกำลังกายวนรอบมอให้สมองปลอดโปร่งเตรียมตัวก่อนไปอ่านหนังสือเตรียมสอบที่แสนหนักหน่วงกันล่วงหน้า


   ถึงแม้พวกเราจะไม่ใช่ผู้ชายไทป์ตกดึกเข้าร้านเหล้า วันๆพวกผมก็เอาแต่กลับหอมาอ่านหนังสือกัน แต่ก็ใช่ว่าพวกเราจะฉลาดกันเสียทีเดียว อย่างที่เขาว่ากันว่าไม่มีใครบนโลกนี่สมบูรณ์แบบ ดังนั้น เมื่อมีวิชาที่ถนัดแล้วก็ย่อมมีวิชาที่ไม่ถนัดได้เป็นเรื่องธรรมดา


   “ไอ้ยีนส์ มึงอย่ามาหลอกแดกแรงให้กูถูห้องคนเดียว กูไม่หลงกลมึงหรอก”


   “อะไรวะ คนเค้าอุตส่าห์ชวนเล่นอะไรสนุกๆ” แต่ทันใดนั้นฝนที่ไม่มีแม้ลางของการตั้งเค้าเมื่อตอนเย็น จู่ๆก็ได้โปรยปรายลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว ทำเอาผมและไอ้ยีนส์ต้องเร่งปั่นหนีฝนกลับหอไปอย่างไม่รอช้า



   แล้วเราก็ได้ถึงหอกันด้วยสภาพเปียกชุ่ม โชคดีที่เราปั่นหนีทันฝนห่าใหญ่ที่ตกตามหลังมา แต่โชคร้ายก็คือไม่ว่ายังไงก็ต้องอาบน้ำตอนนี้อยู่ดี ด้วยทิศทางลมที่พัดมวลน้ำสาดเข้าข้างหน้าเต็มๆก็ทำเอาเสื้อผ้าเปียกชนิดที่ต้องเปลี่ยนเสียแล้ว ผมเลยตัดสินใจอาบน้ำไปเลยดีกว่าที่จะต้องมานั่งเปลี่ยนชุดเพิ่มให้วุ่นวาย





   เมื่อก้าวขาเข้ามาในเขตห้องได้ไม่ทันไรก็จัดการหยิบสบู่ยาสีฟันยาสระผมอะไรต่ออะไรเข้าห้องน้ำไปขัดสีฉวีวรรณ ก่อนจะออกจากห้องน้ำกลับมาอ่านหนังสือต่อด้วยความสดชื่นทันที พร้อมหยิบชีทวิชาฟิสิกส์ที่จัดอยู่ในกลุ่มวิชาที่ชอบขึ้นมาวางบนโต๊ะอ่านหนังสือด้วยความมุ่งมั่นและแน่วแน่ ตั้งใจไว้ว่ายังไงวันนี้ก็ต้องอ่านและทำโจทย์จบอย่างน้อยสักหนึ่งบทเป็นอย่างต่ำ



   ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจ พร้อมหันไปยักคิ้วกวนๆให้กับเมทสุดที่รักที่กำลังนั่งมองท่าทางของผมด้วยความแปลกใจ .. แหงล่ะ ร้อยวันพันปี ไอ้ไป๋คนนี้ไม่เคยมีไฟในการอ่านหนังสือร้องแรงขนาดนี้มากก่อนเลย ..


   ไม่รอช้ารีบนั่งลงเปิดชีทไปยังเนื้อหาที่อ่านค้างไว้จากคราวก่อน แต่ยังไม่ทันให้ได้อ่านจับใจความอักษรตั้งแต่บรรทัดแรก เสียงแจ้งเตือนข้อความจากโทรศัพท์ที่วางไว้ไม่ห่างก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน
   ..เนี่ยแหละ พอคนจะขยันสักหน่อยมันก็มักจะมีมารผจญเข้ามาแทรกอยู่เสมอ..



   ไลน์! ไลน์!


   ผมเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิดก่อนจะพบว่าเป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากคนที่ผมไม่ได้ตอบกลับข้อความที่เขาส่งมาประมาณหนึ่งอาทิตย์ได้แล้ว เพราะเรื่องราวตั้งแต่วันนั้น .. ทำให้ผมจงใจที่จะไม่คุยกับเขา

 
   แต่ในวันนี้เขากลับแชทมาหาผมอีก หลังจากลังเลอยู่นานจึงตัดสินใจกดเข้าไปในห้องแชทอย่างทุกครั้งที่เคย


20/05

just pew :  นอนยัง?
just pew : หลับแล้วเหรอ?
just pew : ฝันดี
just pew : *ส่งสติ๊กเกอร์*

26/05

just pew : ไป๋ ออกมาหาหน่อยดิ
just pew : อยู่หน้าหอแล้วเนี่ย






   “เชี่ยยย!” ผมเผลอหลุดคำอุทานออกไปหลังจากที่อ่านข้อความอันล่าสุดด้วยความตกใจ พลอยให้ไอ้ยีนส์ที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์ในตอนแรกต้องสะดุ้งตกใจตามไปด้วย


   “มึงเป็นอะไรของมึง” คิ้วผมเริ่มขมวดกันเพราะความกังวล ยกฝ่ามือขึ้นมาจับใบหน้าอย่างตั้งสติ โดยที่ไม่ได้สนใจคำพูดไถ่ถามของเพื่อนเลยแม้แต่นิดเดียว


   จิตสำนึกกำลังชั่งตวงสถานการณ์และความต้องการของตนเองอยู่ว่าควรจะส่งข้อความไปปฏิเสธหรือจะลงไปเจอหน้าอีกฝ่ายดี ทั้งนี้ทั้งนั้นสมองส่วนที่ยากจะควบคุมที่สุดก็เริ่มคิดล่วงหน้าไปต่างๆนานา


   มาทำไม?
   บอกเรื่องตัวเองกับกุ้ง?
   จะมาบอกว่าอึดอัด?
   หรือจะมาแก้ตัว?


   สมาธิจากการอ่านหนังสือก่อนหน้าเริ่มแตกกระเจิง ในวูบนึงของความรู้สึกแปลกใจและกังวล เขากลับมีความรู้สึกดีใจเข้ามาแทรก .. เพราะลึกๆแล้วเขาก็แอบดีใจ


   ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายหรือเรื่องดี แต่ขณะที่ฝนตกหนักขนาดนี้ก็ยังอุตส่าห์มาหา ..
   เป็นคนที่น่ารักดีนะ
   แต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่เคยทำตัวเป็นคนใจร้าย





Just pew : จะรอนะ




   “ไอ้ยีนส์ กูถามอะไรมึงหน่อยดิ” ไป่ไป๋เอ่ยเสียงเรียบถามเพื่อนที่ยังงงงวยไปกับท่าทางของตนเอง เดี๋ยวตกใจลั่นห้อง เดี๋ยวนั่งยิ้ม จนล่าสุดเริ่มทำหน้าเศร้าอีกแล้ว

   “อือ .. ว่า?”

   “ถ้ามีคนๆนึงมาทำให้มึงไว้ใจ แต่อยู่ดีๆเขาก็เปลี่ยนไป” คนถามเว้นระยะการพูดเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องสมมติขึ้นมาต่อ

   “เขาโกหกมึง เขาทำลายความเชื่อใจมึง”


   “แล้ว?”



   “ถ้าเป็นมึง .. มึงยังจะให้อภัยคนโกหกอยู่ป่าววะ?”



   “ทำไมมึงถึงโกรธคนโกหกล่ะ?”

   “ถามอะไรบ้าๆ ก็เขาโกหกไง”

   “ .. แล้วทำไมเขาถึงโกหกล่ะ?”

   “...”

   “ทีนี้ก็เป็นตาของมึงแล้วแหละ ว่าจะยอมรับเหตุผลของเขาและให้อภัยได้ไหม ..”

   “อือ ขอบใจมาก” คนที่เป็นฝ่ายตอบคำถามได้แต่นั่งมองแผ่นหลังเล็กๆของอีกคนจนหายไปอยู่หลังบานประตู พร้อมกับเสียงฝีเท้าวิ่งที่ดังแข่งกับสายฝนขึ้นมา




   สำหรับยีนส์แล้วนั้นจะไม่ยุ่งเกินความจำเป็น เพราะเชื่อใจว่าไป๋จะสามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองได้
   เมื่อขึ้นชื่อว่าเพื่อน เขาเองนั้นก็มีแต่ความปรารถนาดีจะให้
   และจะยินดีเสมอหากเพื่อนนั้นจะมีความสุข ในสิ่งที่ตัวเองรักเสียที ..






▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔

ทนดราม่ากันอีกนิดนึงนะคะ ; --- ;
ปล.ขอบคุณทุกกำลังมากๆเลยค่า <3

ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9



และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา



ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter eleven ―160818)
«ตอบ #47 เมื่อ25-08-2018 15:18:03 »

chapter twelve。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔



   ร่างบางในชุดนอนวิ่งกระหืดกระหอบจากห้องตนเองลงมายันโถงโล่งชั้นหนึ่ง พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะพบเพียงความว่างเปล่า เขาไม่ละความพยายามได้พาตัวเองเดินวนดูแต่ก็ยังไม่พบคนที่ตามหา จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงคุ้นเคยเรียกชื่อของเขาดังห่างออกไปจากทางด้านหลัง


   “ไป๋!” คนตัวเล็กหันไปมองตามต้นเสียงก็พบกับพิวในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ในมือมีร่มคันสีน้ำเงินชุ่มฝนอยู่หนึ่งคัน รอยยิ้มจุดขายของเจ้าตัวถูกส่งมาให้เหมือนอย่างทุกครั้งที่เคยทำ


   ใจเต้นแรงเฉยเลยแฮะ...


   พาขาสองข้างก้าวเดินหน้าไปจนหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย ควบคุมสีหน้าไม่ให้หลุดยิ้มอย่างวางมาด


   “มาทำไมอะ?” น่าแปลกที่คำถามของเขากลับเรียกรอยยิ้มจากคนร่างสูงได้กว้างขึ้นกว่าเดิม


   “อยากชวนไปขับรถเล่น .. แล้วก็คิดถึงด้วย” จังหวะการเต้นของหัวใจของไป๋ถี่ขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ในจุดนี้ต้องยอมรับอย่างจำนนเลยว่ากำแพงที่เขาเคยสร้างขึ้นปกป้องความรู้สึกตัวเองกลับสั่นคลอนพร้อมถล่มลงตรงหน้าเข้าไปทุกที


   “คิดถึงบ้าอะไรของมึง เมื่อเช้าก็เจอ”


   “ถ้าคนมันคิดถึง ห่างกันแค่สิบนาทีก็เรียกว่าคิดถึงได้”


   “เรื่องของมึงเถอะ แล้วฝนตกขนาดนี้มึงจะยังไปขับรถเล่นอีกเหรอ?” จัดการเฉไฉเปลี่ยนประเด็นในหัวข้อที่ชวนทำเอาหน้าเห่อร้อนออกทันที ก่อนสังเกตรอบตัวดีๆอีกครั้งว่าฝนยังไม่เริ่มซาลงแม้แต่น้อยเลย

   “ไม่ขับเล่นก็ได้”

   “เอ้า แล้ว-”

   “สั้นๆเลยว่า กูแค่อยากอยู่กับมึงอะ”




   จนแล้วจนรอดไป่ไป๋ก็ได้มาอยู่บนรถยนต์ของอีกคนจนได้ ร่างสูงไม่ได้ขับออกตัวไปที่อื่นตามคำชักชวน แต่กลับติดเครื่องจอดนิ่งสนิทท่ามกลางเสียงฟ้าร้องและสายฝนที่ตกกระทบตัวรถที่ทำให้แทบไม่ได้ยินเสียงอื่น


   มือบางถูกดึงเข้าไปกระชับอย่างไม่ทันตั้งตัว ความอุ่นจากฝ่ามืออีกฝ่ายถูกส่งต่อมาถึงใบหูแดง เขานึกขอบคุณเหลือเกินที่แสงจากหลอดไฟข้างทางมันสลัวเกินกว่าจะมองเห็นอะไรชัดๆ


   “ไป๋ มีเรื่องไม่สบายใจเหรอ?” จับมือเขาไว้ไม่พอ ยังฉวยโอกาสฉุดรั้งลำตัวของเราให้เข้าใกล้กันไปอีก ลมหายใจร้อนดูเข้ากันดีกับอากาศเย็นๆในรถกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในตอนนี้ถ้าเขาเบนหน้าไปหาอีกเพียงนิดเดียว จมูกของคงชนกับแก้มของอีกคนเป็นแน่แท้


   “ก-ก็บอกไปแล้วไงว่าไม่มี” พยายามแกะมือออกจากการเกาะกุมไปพร้อมกับการเบี่ยงใบหน้าหนี แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จนัก เมื่อยิ่งผลักไสคนแรงเยอะกว่าก็ยิ่งโน้มตัวเข้ามาใกล้


   “ยิ้มให้ดูหน่อยดิ”


   “เอาหน้าออกไปก่อน ..” สิ้นเสียงสั่งคราวนี้อีกฝ่ายกลับยอมเถิดตัวกลบไปอย่างว่าง่าย ทำให้เขาค่อยหายใจได้ทั่วท้องขึ้นมาดังเดิม วินาทีนี้คงทำได้แค่ส่งยิ้มมุมปากเล็กๆไปให้อย่างจำยอมในสถานการณ์


   “: )”


   “อื้อ ค่อยเป็นไป๋ขึ้นมาหน่อย : )”

 

   ตึกตัก ตึกตัก 


   ฝ่ามือใหญ่วางแหมะลงบนหัวเขาพร้อมลูบขึ้นลง ทำให้ไป่ไป๋รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นเด็กที่ถูกผู้ใหญ่เอ็นดูอย่างไรอย่างนั้น


   สองคนได้สบตากันท่ามกลางบรรยากาศภายในรถ ลืมความอึดอัดในใจไปทั้งหมดเพียงแค่ได้นั่งจ้องหน้ากันนิ่งๆแบบนี้ เนิ่นนานจนกว่าจะเบื่อ แต่ยังไม่ทันให้มีใครได้เป็นฝ่ายชนะในเกมจ้องตานี้ เสียงแจ้งเตือนดังแผดขึ้นมาเรียกสติทั้งคู่ให้กลับคืนมาได้ ทำเอาร่างบางเองนั้นเผลอตกใจและลนลานจนทำอะไรไม่ถูก


   
   ไลน์! ไลน์!


   “ขอโทษๆ” ในระหว่างที่ผมกำลังล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้วยความรีบและตกใจอยู่นั้น มือที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อก็เผลอทำมันหล่นลงกับพื้นรถอย่างง่ายๆ เผลอสบถออกไปเล็กน้อย ก่อนจะก้มเก็บขึ้นมาจากช่องว่างระหว่างเบาะขึ้นมาทันที



   แต่ในขณะที่หยิบเจ้าสมาร์ทโฟนขึ้นมานั้นก็พบว่ากลับมีสิ่งแปลกปลอมได้ติดมือผมขึ้นมาด้วย จากรูปทรงที่สัมผัสอยู่นี่ก็ทำให้เดาได้ไม่ยาก มันเป็นพลาสติกเส้นๆวงๆ ระหว่างที่ยกขึ้นมาวางบนหน้าตักพร้อมโทรศัพท์ผมก็แอบสังเกตลักษณะของมันอย่างไม่ให้อีกคนสงสัยไปด้วย

   ยางรัดผมสีชมพู ..


   “อันนี้อะไรอะ?” ผมแกล้งชูสิ่งของที่เผลอหยิบติดขึ้นมาได้ขึ้นตรงหน้า ก่อนที่อีกคนจะรีบดึงกลับไปหาตัวเองด้วยความเร็ว


   “อ๋อ ของเพื่อน” เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาดังนั้นมันก็เริ่มทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเสียดื้อๆ .. เพื่อนของอีกคนส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชายเสียหมดแถมก็ไม่มีใครไว้ผมยาวอีกต่างหาก ให้เด็กประถมเดาน่าจะรู้เลยว่าเป็นของใคร


   ผมสูดหายใจเข้าลึก แล้วเลิกสนใจอาการลุกลี้ลุกลนของคนข้างๆก่อนกลับมาสนใจยังโทรศัพท์ที่ค้างแจ้งเตือนเมื่อครู่นี้ไว้ว่าเป็นไลน์ของกลุ่มภาคไม่รอช้ารีบกดเข้าไปอ่าน


Pyre : พรุ่งนี้ฟิสิกส์คาบเช้ายกนะ
Pyre : อาจารย์เพิ่งโพสต์บอกในเฟซส่วนตัว




   ผมอ่านจับแค่ข้อความที่สำคัญโดยไม่มีจิตใจสนข้อความของเพื่อนที่เหลือโดยมีทิศทางไปทางโวยวายเพราะความดีใจแม้แต่น้อย จัดการกดล็อกหน้าจอให้เรียบร้อยแล้วจึงเก็บใส่กระเป๋าเสื้อชุดนอนเหมือนเดิม

   ด้านนอกตอนนี้ฝนก็ตกลงมาโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ผมนั่งมองหยดน้ำเกาะตามกระจกที่ไหลลงตามน้ำต่างหยดแล้วหยดเล่า ทอดถอนหายใจปล่อยให้ความเงียบเริ่มเกาะกินเราไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เป็นผมเองที่ทนไม่ไหว ..


   “พิว กูขอถามอะไรหน่อยดิ”

   “ว่าไงอ่ะ?”

   “มึงกับกุ้งเป็นอะไรกันวะ?” สิ้นสุดคำถามผมก็ได้รับคำตอบเป็นความเงียบอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนที่เขาจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติ ทำเอาใจผมกระตุกเซไปเล็กน้อย

   “เป็นเพื่อนไง .. กูบอกมึงสองรอบแล้วนะเนี่ย”

   “งั้นคราวนี้กูเปลี่ยนคำถามแล้วกัน”

   “...”

   “มึงรักกูป่ะ?” คราวนี้ที่จะเลือกหันไปสบตากับอีกคนตรงๆ สายตาของเขาเต็มไปด้วยคำถามและความไม่เข้าใจปนกันอยู่ หากคำแรกที่เขาพูดออกมาเป็นคำที่ผมต้องการมากที่สุดแล้วนั้น ผมก็จะยอม .. ยอมหลับหูหลับตาแล้วลืมทุกอย่าง
 
   แต่ผมไม่ได้ถูกสร้างมาให้ยอมรับความเจ็บปวดได้มากขนาดนั้น ...


   “ไป๋ มันไ-”

   “หมดเวลา”


   แค่คำเดียวแท้ๆ อีกแค่คำเดียวเองนะ


   น้ำตารื้นเต็มดวงตาทั้งสองข้างจนมองคนข้างหน้าแทบไม่ชัด ผมกระพริบตาไล่น้ำตาถี่ๆเพื่อให้มองคนตรงหน้าได้อย่างถนัด ด้านของอารมณ์ชั่ววูบกำลังทำงาน แม้ข้างในจะรู้สึกวูบโหวงอยู่ไม่น้อย แต่สมองของผมกลับสั่งให้เดินหน้าต่อ ซึ่งตัวผมเองนั้นก็ไม่รู้ว่าการตัดสินใจของผมสุดท้ายแล้วมันจะดีหรือไม่ดี แต่สิ่งที่ผมได้เจอมาทั้งหมด มันได้บีบบังคับให้ผมได้พูดมันออกไป...


   “ .. มึงเลิกจีบกูเถอะ” คำขอร้องที่ไม่มีแม้แต่การอธิบายสาเหตุใดๆ ทำเอาคนฟังถึงกับใจหล่นไปยังตาตุ่ม ยังคงนิ่งงันไปกับสิ่งที่ได้ยิน

   “ท-ทำไมวะ” เสียงตะกุกตะกักดังขึ้นถามกลับมา น้ำตาผมจากตอนแรกที่เคยหายไปกลับหลั่งไหลราวกับธารน้ำตกไปตามสองแก้ม


   “กูรู้สึกอึดอัด” ที่ได้แต่รอให้มึงมาหา

   “...ไป๋”

   “กูไม่ชอบที่มึงชอบมาจับหัวกู” เพราะมันทำให้หัวใจเต้นแรงจนน่ากลัว

   “…”

   “มึงไม่ต้องมาเสียเวลากับกูหรอก” ไปหาเขาเถอะ ก่อนที่สายเกินไปจนกูตัดใจไม่ได้

   “...”

   “.. กูไม่ได้ชอบมึง” จะยอมรับตรงนี้ก็ได้นะ .. ว่ากูรักมึงไปแล้ว



   
   ไม่รีรอให้คนหลังพวงมาลัยได้รั้งไว้ ก็ตัดสินใจเปิดประตูเดินฝ่าดงฝนออกมา ถึงตัวจะเปียกปอนก็ไม่เป็นไร จงใจเดินสับขาเข้าประตูหอช้าๆ แต่ก็ไร้วี่แววของสิ่งที่หวังไว้ .. เป็นคนบอกเองแท้ๆ แล้วจะหวังให้เขาเดินตามมาทำไมวะ?
   

   ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย
   แต่ทำไมพอเดินออกมาถึงไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด
   จบแล้วสินะ
   ไปมีความสุขได้แล้ว
   รัก ..





❋❋❋





   หลังจากเมื่อคืนที่เอาแต่ทำซ่า เดินตากฝนเป็นพระเอกเอ็มวี ช่วงเช้าวันนี้ไข้หวัดก็รับประทานตามไปอย่างที่คาดไว้ แต่ก็โชคดีเหลือเกินที่ภาคเช้าอาจารย์สั่งยกคลาส รวมทั้งภาคบ่ายไม่มีการเรียนการสอนนั้น ทำให้ผมได้นอนป่วยที่หอได้อย่างสบายใจ


   “ไง ไอ้ลูกหมา เมื่อคืนตกน้ำไปทีเดียว วันนี้หวัดแดกเลยเหรอ?”


   “ป่วยแต่ก็เตะคนไหวนะครับ” สุ้มเสียงเริ่มแหบพร่าเพราะพิษไข้ แต่ก็ยังมิวายทำเก่งยกเท้าขึ้นโชว์คนฝั่งเตียงตรงข้ามว่าหากพูดมากเพิ่มขึ้นอีกนิดเดียว เจ้านี่จะได้ลอยไปเตะปากแน่ๆ


   “เจ๋งมากมั้งเนี่ย” ยีนส์พูดยิ้มๆพลางส่ายหัวให้ผมน้อยๆแล้วนั่งลงอ่านหนังสือกองโตดังเดิม


   นึกถึงเมื่อคืนที่เดินกลับมาถึงห้องด้วยสภาพเนื้อตัวเปียกมะล่อกมะแล่ก เป็นไปตามคาดว่ายังไงอีกคนในห้องก็ต้องถามสาเหตุแน่นอน แต่ยังสบายใจได้ที่ว่าคิดข้ออ้างดีๆเผื่อไว้ตั้งแต่เดินขึ้นบันไดมาแล้ว เลยทำให้รอดตัวจากการจับผิดไปได้อีกครั้ง


   ถึงตอนนี้จะเป็นเวลาแค่แปดโมงเช้า พวกเราก็ได้ตื่นขึ้นมาอาบน้ำ เวฟข้าวกินเรียบร้อยแล้วก็มานั่งจมกับกองหนังสือ เนื่องจากควิซและสอบย่อยหลายวิชาที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า


   ผมทานยาและนอนพักอยู่สักครู่ก็ควรค่าแก่เวลาที่จะลุกขึ้นมาอ่านหนังสือหาความรู้เข้าสมองกลวงๆตามแบบรูมเมทบ้าง เทคนิคการอ่านหนังสือของผมมักไม่มีแบบแผนมากนัก อยากอ่านวิชาไหนก็อ่าน สลับอ่านบ้าง อ่านจนเบื่อค่อยเปลี่ยนวิชาบ้าง ทุกอย่างไม่ตายตัว


   ผมพยายามหอบสังขารของตัวเองนั่งประจำที่หน้าโต๊ะอ่านหนังสือ ก่อนจัดการสุ่มหยิบชีทเรียนขึ้นมาอ่านในช่วงเช้านี้ แต่ดูเหมือนโชคยังเข้าข้างอยู่บ้างเมื่อเป็นชีทวิชาฟิสิกส์หนึ่งในวิชาที่ผมชอบ ทำให้ผมไม่ต้องเริ่มต้นวันด้วยวิชายากๆให้ชีวิตในวันนี้ของผมต้องหม่นหมองไปมากกว่าเดิม .. อย่างเช่นเคมีเป็นต้น



   “ซมแบบนี้ แสดงว่าเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องดีเหรอ?” จู่ๆไอ้ยีนส์ที่นั่งเงียบไปกลับพูดขึ้นมาเหมือนลอบสังเกตอาการของผมอยู่สักพักนึงมาแล้ว ส่งผลให้ดินสอที่กำลังขีดเขียนวิธีทำของโจทย์ข้อที่สามก็ต้องชะงักทันที


   “...ไม่รู้ว่าดีไหม”


   “…”


   “แต่ไม่มีความสุขเลยว่ะ”


   “เดี๋ยวกูไปต่อยมันให้เอาป่ะ?”


   “เฮ้ย! ไม่ต้อง ถ้ากูจะต่อยคงไม่รอดมาถึงมือมึงหรอก” ผมรีบเบรกห้ามไอ้ยีนส์ที่ทำหน้าจริงจังขึ้นมาเพราะกลัวว่ามันจะเอาจริงขึ้นมา


   “มันไปมีแฟน แล้วก็ทิ้งให้มึงเป็นอย่างนี้เนี่ยนะ”

 
   “กูเป็นคนบอกเอง ..”


   “แม่งเอ้ย โง่กันทั้งผัวทั้งเมียเลย” เสียงงึมงำในลำคอเบาเกินกว่าที่นั่งตรงนี้จะได้ยินอย่างชัดเจน ผมจึงเอ่ยปากขอให้พูดย้ำเพื่อความมั่นใจ แต่ผิดคาดกลับได้รับสายตาเบื่อหน่ายกลับมาเพียงเท่านั้น ..


   ..นี่ผมทำอะไรผิดไปเหรอ?..





❋❋❋





   หนึ่งวันกว่าๆกับการเจอหน้ากันครั้งล่าสุดของผมกับพิว แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดได้ถึงหูตุลลี่แล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเจ้าตัวก็สวมบทบาทเพื่อนสนิทผู้เกรี้ยวกราดต่อว่าคนที่มันเคยหลงหัวปักหัวปำแบบไม่หยุด จนต้องเป็นผมและยีนส์ที่คอยทำให้ใจตุลลี่เย็นลง และเริ่มกลับมาใช้ฟีลเตอร์แม่แอฟ ทักษอรได้อีกครั้ง


   แต่สำหรับทางด้านของไอ้ก๊าซและไอ้ครามที่หายหน้าหายตากันไป ประกอบกับที่ทั้งสองคนไม่รู้เรื่องก่อนหน้านี้ ผมเลยตัดสินใจที่จะไม่บอกเรื่องทั้งหมดกับทั้งคู่เลยเสียดีกว่า


   ถึงวันนี้แม้อาการไข้หวัดจะไม่หายสนิทดี ผมก็ต้องหอบสังขารเข้าเขตตึกคณะมา เนื่องจากมีสอบย่อยทั้งในวิชาฟิสิกส์ตามที่อาจารย์ได้นัดหมายไว้นั่นเอง


   ทันทีที่ได้ก้าวเท้าเข้าห้องมาพร้อมกับรูมเมทที่มักจะมาพร้อมกันเฉกเช่นทุกวัน หากมีสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็ตรงที่ว่า .. ที่นั่งด้านขวาของผมมันว่างเปล่าเสียแล้ว


   “อ้าว ไป๋ไม่สบายเหรอใส่แมสมาด้วย” ก๊าซที่หันมาเจอผมกับหน้ากากอนามัยสีเขียวอ่อนก็เอ่ยทักขึ้นมา


   “แม่งไปเดินตากฝนช่วยป้าหอเก็บลังกระดาษมา กลับห้องมาน้ำงี้หยดตึ๋งๆ บอกให้แดกยาก็ไม่แดก พอเช้ามาเป็นไงล่ะมึง เสียงแหบเป็นศิริพรเลย” และแล้วก็เป็นยีนส์คนเดิมที่มักจะออกหน้าช่วยตอบไม่ให้ผมรู้สึกลำบากใจ เจ้าตัวเดินเบียดจากข้างหลังขึ้นมาคุยกับไอ้ก๊าซในเรื่องของผมอย่างออกรสออกชาติ


   “โอ้โห อะไรวะ ไอ้ไป๋ตากฝนจนหวัดแดกเลยเหรอ?” คราวนี้กลับเป็นเสียงของไอ้ตุลลี่ที่จู่ๆก็ทวนคำพูดขึ้นเสียงดัง ทำเอาผมงุนงงเล็กน้อย เพราะเมื่อวานนี้เป็นเจ้าตัวเองที่เข้ามาถามยันในห้องว่าทำไมถึงเป็นหวัด ผมจึงได้เล่าเรื่องทั้งหมดไปให้ฟังแล้วแท้ๆ..


   “เออ กลับมาตางี้แดงเลยว่ะ สงสัยวิ่งแล้วน้ำฝนกระแทกตาแรงไปหน่อย”


   “โอ๋ ไป๋น้อยของกู ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย” ทั้งสองขยิบตาให้กันไปมาอย่างน่าสงสัย ก่อนที่จะถึงบางอ้อในทันทีว่าตัวต้นเหตุของการร้องไห้เมื่อวันก่อนได้นั่งอยู่ข้างหลังผมนี่เอง


   บรรยากาศสำหรับผมตอนนี้เริ่มอึดอัดช่วงอกเข้าไปทุกทีทั้งไอ้ตุลลี่และไอ้ยีนส์ที่ผลัดขายผมกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ต่างจากคนที่ย้ายไปนั่งด้านหลังอย่างจงใจที่เอาแต่นั่งเงียบแบบผิดวิสัย


   “พวกมึงทั้งคู่พอได้แล้ว ถ้าอยากเป็นหวัดบ้างเดี๋ยวกูก็จะจัดให้” ไม่พูดเปล่า แกล้งถอดหน้ากากอนามัยออกแล้วยื่นหน้าที่เกรอะกรังไปด้วยน้ำมูกไปหาทั้งคู่


   “อี๋ สกปรก มึงเอาหน้าของมึงออกไปเดี๋ยวนี้เลย!!!” แน่นอนว่ามันได้ผลดีเกินคาด ทำเอาทั้งสองคนโดยเฉพาะไอ้ตุลลี่หันหน้าหนีเลิกให้ความสนใจผมไปได้สักที .. เหนื่อยใจกับพวกแม่งจัง..

   



❋❋❋





   “สอบย่อยฟิสิกส์ครั้งนี้คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์วะ?”

   “20% รวมการบ้านแล้วก็สอบย่อยครั้งก่อน”

   “ไอ้เหี้ยเอ้ย กูอ่านแทบตายเพื่อ 5 คะแนนเองเหรอว้า” หลังจากการสอบย่อยวิชาฟิสิกส์เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็มากินข้าวอยู่ที่โรงอาหารคณะสังคมฯอีกเช่นเคย แต่ดูเหมือนว่าบะหมี่ต้มยำหมูกรอบตรงหน้ากลับไม่อร่อยเหมือนเดิม เมื่อผมได้รู้ถึงสัดส่วนของคะแนนในการสอบที่อุตส่าห์กัดฟันทนพิษไข้อ่านอยู่ทั้งวันด้วยสภาพใกล้เคียงกับคำว่าจะตายอยู่ร่อมร่อ ..


   “อย่างมึงต่อให้หลับตาทำไฟนอลก็เอแล้วมั้ง”


   “พูดเกินเบอร์อ่ะมึงเนี่ย กูนี่อยากแบ่งคะแนนไปให้วิชาเคมีชิบหาย” เนื่องจากการสอบมิดเทอมในวิชาฟิสิกส์ ผมได้ทำคะแนนเอาไว้ดีมากถึงจะไม่ได้เป็นที่สูงสุด แต่ก็ถือว่าเยอะมากแล้วเมื่อเทียบกับวิชาอื่นที่ร่ำเรี่ยติดดิน


   “ไม่เห็นต้องเครียดเลย เดี๋ยวให้พิวติวให้ก็เข้าใจแล้ว” ก๊าซที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งหมดปนกับความมองโลกในแง่ดีของเจ้าตัว ทำให้พูดเสนอขึ้นมา ไม่รู้ถึงความผิดปกติของเพื่อนทั้งสามคนที่เหลือยกเว้นครามเลยสักนิด โดยเฉพาะคู่หูคู่ใหม่อย่างยีนส์และตุลลี่ที่เอาแต่มองหน้ากันไปมาแบบเลิ่กลั่ก


   “อีก๊าซๆ มึงว่าวันนี้ข้าวร้านป้านกกลิ่นแปลกๆปะวะ?” มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าตุลลี่พยายามชวนคนกำลังจ้อให้ผมใจเสียได้เปลี่ยนเรื่องคุย พร้อมงัดทักษะแอคติ้งที่สั่งสมมาจากทางบ้านแต่ไม่เคยได้ใช้ ก้มลงดมข้าวในจานพร้อมทำจมูกฟุดฟิดไปมา


   “อืม .. ไม่อะ”

   “ไม่ได้กลิ่นเหรอ?”

   “ไม่ได้กินร้านป้านก”

   “อ้าวเหรอ เป็นงั้นไป ฮ่าๆ”


   ผ่ามผาม!!!!!!




❋❋❋

   



   และแล้วคาบเรียนภาษาอังกฤษืก็ได้ย้อนกลับมาหาผมอีกครั้งในสัปดาห์..


   “งานชิ้นสุดท้ายของเทอมนี้ จะเป็นวิดิโอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่นักศึกษาสนใจกันนะคะ” เป็นเสียงอาจารย์ชนันท์พรประจำคลาสอิ๊งเจ้าเดิมพูดแจกแจงโปรเจคที่กำลังจะมอบหมายให้ไปทำ กำหนดเดธไลน์เป็นก่อนการสอบไฟนอลและสถานที่ของแต่ละกลุ่มในเซคต้องไม่ซ้ำกัน เราทั้งสี่คนจึงตัดสินใจจะอยู่กลุ่มเดียวกันเหมือนเดิม เพราะเริ่มลงตัวด้านการทำงานกันได้แล้ว


   สิ้นสุดคาบเรียนพวกเราเลือกที่จะนั่งประชุมเรื่องเลือกสถานที่กันต่อ ด้วยความคิดและข้อเสนอแนะที่ไม่ลงตัวทำให้การพูดคุยกินเวลาไปพอสมควร


   “เราว่าสถานที่ทางประวัติศาสตร์มันมีสตอรี่ให้พูดเยอะก็จริง แต่มันไม่ค่อยมีแอคทิวิตี้ให้ทำน่ะสิ”


   “แต่ถ้าเป็นพวกสวนน้ำก็จะไม่มีข้อมูลอะไรให้เราพูดเลยนะ” ด้านของพะแพงและขวัญได้นั่งปรึกษาเรื่องของสถานที่ในการถ่ายทำอย่างขะมักเขม้น ผมกับเปรมก็ได้แต่พูดเสริมขึ้นบ้างในบางจังหวะ เนื่องด้วยที่ว่าเปรมนั้นเป็นคนต่างจังหวัด ส่วนผมนั้นเป็นคนกรุงเทพก็จริง แต่ติดบ้านและไม่ค่อยสนใจสถานที่เที่ยวมากนัก รวมทั้งมหาลัยของผมอยู่ในเขตปริมณฑล ไม่ได้อยู่ในเขตของเมืองหลวง ทำให้ไม่สันทัด และไม่มีข้อมูลอะไรไปเสนอแนะมากมายนัก

 
   “งั้นพวกตลาดน้ำเป็นไงอะ มีทั้งวัดมีทั้งตลาดเลยนะ” เป็นเปรมที่พูดแทรกขึ้นมาหลังจากที่เริ่มเห็นว่าหากยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ท่วงทัน พวกเราอาจโดนแย่งสถานที่ดีๆไปก็ได้


   “เฮ้ยยยย โอเคเลยนะ”


   “เราโหวตตลาดน้ำด้วย”


   “โอเค เสียงเป็นเอกฉันท์” กำลังจะโห่ร้องด้วยความดีใจยังไม่ทันไรก็ต้องกลับมานั่งเครียดอีกรอบนึง ว่าจะเป็นตลาดน้ำในจังหวัดไหนดี..


   “อีกไม่กี่อาทิตย์ก็ไฟนอล แล้วกว่าจะตัดต่อเสร็จอีก งั้นเราเอาเป็นตลาดน้ำที่ไม่ไกลจากมอกันดีไหม?”


   “ดีเลย งั้นเดี๋ยวช่วยกันหาข้อมูลนะ” เราต่างคนต่างหยิบโทรศัพท์ประจำตัวขึ้นมาเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตพร้อมเสิร์ทหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องการ ก่อนที่เราจะค้นเจอกันคนละหนึ่งถึงสองสถานที่จนลำบากใจที่จะเลือก


   “เอางี้ เปิดระยะทางขึ้นมาเลย ที่ไหนใกล้ที่สุดก็เอาที่นั่นเลย”


   
   “ของเรา 49 กม.” พะแพงเป็นคนพูดออกมาคนแรก

   “ของเรา 83 กม. สงสัยไกลสุดแล้วมั้งเนี่ย” ต่อมาด้วยขวัญที่ดูเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าแค่บอกตัวเลขแสดงระยะทางแค่นี้ แต่ทำไมต้องตื่นเต้นและลุ้นกันไปทั้งหมดด้วย

   “ของเปรม 53 กม. กับ 25 กม.” และสุดท้ายก็คือผม...

   “...23 กม.” ซึ่งพออ่านชื่อของตลาดน้ำที่อยู่บนหน้าจอดีๆแล้วนั้น กลับรู้สึกคุ้นหูขึ้นมาเสียอย่างนั้น แม้นั่งนึกอยู่นานแต่ก็ยังนึกไม่ออก

   จนสุดท้ายผมทนไม่ไหวกดเปิดเข้าชมภาพถ่ายจากที่เคยมีคนลงรีวิวเอาไว้ในเว็บไซต์ชื่อดัง และแล้วก็ทำให้ผมนึกออกในที่สุด .. นั่นก็คือตลาดน้ำที่เคยไปมากับไอ้พิวนี่เอง


   “งั้นตกลงเป็นตลาดน้ำที่ไป๋เปิดนะ เขาเมนต์จองในโน้ตแล้ว ส่วนวันที่ไปถ่ายยังไงเดี๋ยวค่อยนัดกันอีกทีเนอะ”

   “เย้ รีบไปกันเถอะทุกคน ข้างนอกเริ่มมืดเหมือนฝนจะตกอีกแล้ว”

   “อื้ม ไปกันดีกว่า” ทันทีที่ได้ยินคำเตือนจากขวัญเกี่ยวกับสภาพอากาศภายนอกก็ต้องรีบกระวีกระวาดสาวเท้าออกจากห้องมาอย่างด่วนจี๋ แต่เหมือนคนบนฟ้านั้นจะไม่เคยเอ็นดูผมสักนิดเลย เพราะเมื่อกำลังจะย่างก้าวออกนอกตัวตึกไปปุ๊บ เมฆสีดำทะมึนก็กลับกลายเป็นน้ำฝนตกลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว


   เสือกลืมร่มไปอีกเจริญละกู..

   เพื่อนๆที่เหลือรวมทั้งผมรวมเป็นสี่ชีวิตต่างมีชะตาที่ไม่ต่างกัน แม้ทั้งสามจะไม่ได้อยู่หอในแต่ระยะทางจากตึกคณะศิลปศาสตร์ที่เรายืนอยู่ต้องใช้เวลาเดินไปสักประมาณนึงกว่าจะถึงหน้ามอ ทำให้พวกเราได้แต่ยืนสุมหัวติดแหง็กเพราะไม่มีใครคิดจะพกร่มกันมาเลยสักคน เวลาก็ปาไปจะเกือบหกโมงเย็นแล้ว ผมนึกขึ้นได้เลยหยิบโทรศัพท์เปิดไลน์ขึ้นเช็คข้อความเผื่อว่าจะมีใครพอช่วยผมได้บ้าง



ตุลาครับ : อีไป๋ อียีนส์พวกมึงเลิกยังงง
ตุลาครับ : ฝนจะตกแล้ว รีบกลับเร็ว

Jeansss : แปปๆ อาจารย์เข้าเลทเลยปล่อยช้า

ตุลาครับ : อีพวกเหี้ย กูไม่มีร่มนะรีบออกมา
ตุลาครับ : งั้นกูกลับหอก่อนแล้วกันนะ
ตุลาครับ : บรัย

ก้าดเก้วกาด : อะไรว้าไม่เคยคิดถามถึงพวกกูอะ
ก้าดเก้วกาด : น้อยใจคัก

ตุลาครับ : เช้าก็มากับผัว เย็นก็ไปแดกข้าวกับผัว
ตุลาครับ : กลางคืนก็นอนกับผัว
ตุลาครับ : ไหนอีก้าดบอกสิว่าใครกันที่ทิ้งเพื่อน

ก้าดเก้วกาด : ผัวอะไรวะ ไม่คุยแล้วแม่ง

k. : *ส่งสติ๊กเกอร์*




   หลังจากที่เห็นข้อความว่ามีไอ้ยีนส์ที่เหมือนจะยังไม่ได้กลับเหมือนกันก็เริ่มใจชื้น เตรียมพิมพ์ข้อความส่งไปหาเผื่อได้ติดร่มกลับด้วยกัน แต่แล้วเสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังที่มีทิศทางตรงมายังทางผมและเพื่อนๆก็ฉุดความสนใจของผมที่มีต่อห้องแชททางไลน์ไปเสียหมด


   “คนบ้าอะไรพกร่มมาสองคันเนี่ย”

   “เป็นคนหล่อไม่ใช่คนบ้า”

   “จ้า ขอบคุณที่ให้ยืมนะจ๊ะ ว่าแต่จะไม่เดินกลับพร้อมกันจริงๆเหรอ?”

   “อือ จีจี้ไปก่อนเลย”

   “อื้อ งั้นไปนะ บ๊ายบายพิว” เสียงเล็กๆของผู้หญิงดังขึ้นเรียกชื่อที่คุ้นเคยทำเอาผมใจไม่เป็นสุขขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าหันไปมองทางต้นเสียงที่เริ่มดังใกล้เข้าเหมือนอยู่ไม่ห่างมากนัก



   “อ้าว นั่นพิวนี่” ตั้งแต่ได้รู้จักสาวคณะแพทย์คนนี้ในฐานะเพื่อนมา ผมไม่เคยแม้แต่จะนึกเกลียดการจดจำชั้นเยี่ยมของเธอเลยสักนิดเดียว จนกระทั่งเจ้าตัวโบกมือทักทายให้บุคคลด้านหลังซึ่งทำเอาผมมั่นใจอย่างเต็มร้อยแล้วว่า เป็นคนที่นึกถึงไว้จริงๆ

   “หวัดดี ยังไม่กลับกันอีกเหรอ?” คนตัวสูงในชุดเสื้อช็อปและกางเกงยีนส์เช่นเดียวกับผม เดินตรงเข้ามาหยุดยืนยังที่ว่างข้างตัวผม แต่ผมก็ไม่ได้หันไปมองเขา เช่นเดียวกันกับเขาที่ไม่ได้หันมามองผม..

   “ไม่ได้พกร่มมาเลยต้องรอรถรางไปหน้ามอกันอะ”

   “พะแพง เปรม รถรางมาแล้วๆ”

   “มาพอดีเลย ไปแล้วนะบ๊ายบายไป๋ บ๊ายบายพิว” ยังไม่ทันขาดคำรถรางสีขาวก็เข้าจอดเทียบป้ายทันที ก่อนที่ร่างของทั้งสามจะวิ่งฝ่าสายฝนตรงขึ้นไปบนรถที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คน ผมที่ไม่ได้ขึ้นไปด้วยเพราะรถรางไม่ได้ผ่านเส้นทางเดียวกับหอใน เลยได้แต่ยืนเกร็งคนข้างๆจนไม่กล้าขยับไปไหน


   ความแรงของฝนที่เอาแต่ทวีคูณเพิ่มขึ้นช่างดูเหมือนในคืนก่อน ละอองฝนเริ่มสาดเข้ามากินพื้นที่ที่เคยยืน ทำให้ทั้งสองค่อยๆเขยิบห่างจากชายคาตึกจนมายืนพิงชิดกำแพง บรรยากาศโดยรอบเริ่มเงียบลงตั้งแต่ที่เพื่อนร่วมทุกข์ได้ทยอยขึ้นรถรางกันไป จนเหมือนว่าใต้คณะเหลือเพียงแค่เขากับคนข้างๆเพียงสองคนเท่านั้น


   “...อะ” ร่มสีน้ำเงินคันคุ้นตาถูกยื่นเข้ามาหา ร่างบางยังคงงุนงงกับท่าทางของอีกฝ่าย เลยเลือกที่จะหันไปจ้องหน้าหาคำตอบแทนที่จะรับร่มคันนั้นไว้


   “ไม่สบายไม่ใช่เหรอ รีบกลับหอเถอะ เดี๋ยวจะป่วยหนักกว่าเดิม” เพราะคนตัวเล็กทำอะไรไม่ทันใจเลยจัดการดึงมือขาวที่ตอนนี้เริ่มเย็นและซีดเพราะสภาพอากาศขึ้นมา พร้อมกับยัดร่มสีน้ำเงินใส่มือไปให้


   ไป่ไป๋ที่ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกคนได้แต่ถือร่มคันนั้นไว้ในมือ เลือกที่จะไม่พูดอะไร แต่ก็ยังไม่ละสายตาไปไหน


   “เดี๋ยวค่อยเอามาคืนก็ได้ ไปเหอะ”

   “...แล้วมึงอะ?”

   “ฝนซาเมื่อไหร่ค่อยไป หน้ามออยู่แค่นี้เอง” ร่างบางตอบรับในลำคอเสียงเบาก่อนจะเดินแยกตัวออกมาเพื่อเตรียมกลับหอ ในระหว่างที่เขากำลังจะก้าวเท้าให้พ้นจากการกำบังของอาคาร ขณะนั้นก็ได้ก้มลงมองเจ้าผ้าพลาสติกก้านเหล็กเรียวในมือด้วยความคิดอะไรหลายๆอย่าง

   เขาต้องเป็นคนพูดต่างหากว่าหอในอยู่ใกล้แค่เดินห้านาทีถึง ต่างจากหอของอีกคนที่ต้องเดินร่วมยี่สิบนาทีกว่าจะถึงที่หมาย แถมฟ้ามืดขนาดนี้สองทุ่มก็น่าจะยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ


   ไป่ไป๋เลือกเงยหน้ามองท้องฟ้าสีไม่สดใส .. นึกตำหนิในใจว่านอกจากไม่เอ็นดูกันแล้วยังจะทำให้ลำบากใจมากขึ้นอีก
   เขาหมุนตัวเดินกลับเป็นรอบที่สองในวันนี้
   หยุดยืนต่อหน้าคนที่เอาแต่ทำหน้าสงสัย
   พร้อมยื่นร่มคันเดิมกลับคืนให้เจ้าของ ..


   “...ไปส่งหน่อยดิ”
   

   ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย แต่รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้าหลังจากที่ฟังจนจบครบประโยคแล้ว นั่นก็ทำให้ได้รู้ว่าทางเลือกที่ไป่ไป๋ได้ตัดสินใจส่งผลให้ช่องอกของพิวกลับมาชุ่มชื้นเหมือนฝนตกตอนรุ่งสางได้อีกครั้ง
   



   มือที่โอบมาวางบนไหล่
   ร่มคันเดียวกันกับในวันนั้น
   ยังเป็นพิวที่ทำให้หัวใจของไป่ไป๋เต้นแรงได้เหมือนเดิม
   เพิ่มเติมคือน่าจะเป็นครั้งสุดท้าย
   ...
   เพราะคงไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้ไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ทั้งตัว และทั้งใจ
   สุดท้ายนี้ ขอบคุณที่ยังมาส่งกัน .. รักมากกว่าเมื่อวานอีก
   โชคดีนะ




▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔

มั่ยร้องนะ แต่สัญญาเลยว่าจะทำให้ทุกคนกลับมายืนสง่าบนเรือพิวไป่ไป๋ให้จงได้..

ปล.ขอบคุณทุกเฟบ ทุกวิว ทุกกำลังใจ และทุกคอมเมนต์นะคะ แพรอ่านทุกอันเลย

ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9
(เพจใหม่ค่ะ )

และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2018 16:01:30 โดย pearyypinkyy »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twelve ―160818)
«ตอบ #48 เมื่อ25-08-2018 15:40:02 »

 :L2: :pig4:

 :sad11:

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twelve ―160818)
«ตอบ #49 เมื่อ25-08-2018 16:01:51 »

Q : ทำไมไป๋ถึงอึกอัก ไม่ยอมพูดกับพิวให้ตรงๆไปเลยจะได้จบๆ?

A : เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นพิว เป็นความรักครั้งใหม่ เป็นความรักรูปแบบใหม่ที่ไป๋ยังไม่เคยเจอ แถมไป่ไป๋ยังให้โอกาสพิวพูดเรื่องทั้งหมดออกมาแล้ว แต่พิวก็ยังไม่ชัดเจน โดยนิสัยของไป๋แล้วที่ไม่ชอบอะไรคาราคาซัง เคลียร์คือเคลียร์ จบคือจบ บวกกับอารมณ์ชั่ววูบของคนด้วยแล้ว เลยทำให้ไป่ไป๋เลือกที่จะพูดอย่างนั้นออกไปนะคะ..


และส่วนตัวแล้วแพรมองว่า ถ้ามันขึ้นชื่อว่าความรักเมื่อไหร่ มันไม่เคยที่จะสมเหตุสมผลได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก

และๆๆๆๆ ที่พิวทำไปแบบนั้นเขาก็มีเหตุผลเป็นของตัวเองนะฮับ เอาเป็นว่าถ้าใครไม่ชอบดราม่า แบบไม่อยากค้างจริงๆ แพรแนะนำให้อ่านตอนต่อๆๆๆๆไป หรือรออ่านตอนจบไปทีเดียวเลยก้ได้ค่า เรื่องนี้แพรเข้าใจ ; --- ; แต่ยังไงตัวละครก็ต้องเป็นไปเนอะ ไม่มาม่าน้า

สุดท้ายนี้ ก็ขอบคุณทุกคนๆจริงๆจากใจเลยค่ะ จะเป็นแพรที่เก็บคำแนะนำมาใช้เพื่อพัฒนางานเขียนของตัวเองต่อไปนะคะะะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twelve ―160818)
« ตอบ #49 เมื่อ: 25-08-2018 16:01:51 »





ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twelve ―160818)
«ตอบ #50 เมื่อ25-08-2018 20:49:01 »

ขอเรือพิวไป๋จงกลับมาลอยเด่นเป็นสง่าดังเดิมในเร็ววัน
 :hao5:

ออฟไลน์ Pin_12442

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twelve ―160818)
«ตอบ #51 เมื่อ25-08-2018 23:13:11 »

โอยยย ไม่น่าหลงเข้ามาอ่านเลยค่ะ รอวนไป

ออฟไลน์ yewlyz

  • MindSet The Others
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twelve ―160818)
«ตอบ #52 เมื่อ26-08-2018 04:42:46 »

สนุกมากเลย เราชอบที่มีการเริ่มจีบ มีช่วงพัฒนา ความสัมพันธ์ไปแบบเรื่อยๆแต่ดำเนินเรื่องไม่ช้า ดีมากๆเลยยย

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twelve ―160818)
«ตอบ #53 เมื่อ27-08-2018 20:15:01 »

อ่านตอนล่าสุดแล้วอยากกรี๊ดดังๆ เราอยากให้ไป๋ใจแข็งกว่านี้ค่ะ ตราบใดที่พิวยังไม่ชัดเจนในความสัมพันธ์และยังนึกไม่ออกว่าทำอะไรไว้ก็ไม่อยากให้น้องอ่อนข้อให้

ส่วนตัวเราชอบเรื่องนี้มาก ชอบหมดเลยค่ะ อ่านไปกรี๊ดไปเรียกพิวขาา แต่หลังๆมาโมโห ไฟรักลูกมันลุกฮือ เรื่องคำผิดที่มีน้อยมากค่ะ เราเห็นสองสามอันแต่พออ่านมาถึงล่าสุดก็ลืมหมดแล้ว แต่ว่ามีส่วนที่เรางงๆอยู่ค่ะ ปกติเรื่องนี้จะเล่าในมุมมองของไป๋แต่บางตอนอยู่ๆก็มีเล่าแบบสรรพนามบุรุษที่สามมาคั่นเป็นช่วงๆเราเลยงงๆ เพราะตอนแรกยังแทนตัวเองว่าผม แต่พอบรรทัดต่อมาเป็นบุคคลที่สามบรรยาย เราเลยรู้สึกงงตรงนี้ แต่รวมๆแล้วเขียนดีมากเลยค่ะ เราชอบมาก เป็นกำลังใจให้นะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ 19august

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
    • https://twitter.com/19august___
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twelve ―160818)
«ตอบ #54 เมื่อ27-08-2018 20:54:47 »

หงุดหงิดกับพิวอ่ะ ทำเป็นไม่รู้เรื่องว่าตัวเองทำไรไว้
คือถ้าเหตุผลเพราะลองใจไป๋ จะโกรธกว่าเดิมอ่ะ
ความรู้สึกคนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
อินมากกก ไม่ชอบคนโลเล *โป้งพิวไว้ก่อนถ้ากลับมาเป็นคนดีจะยอมดีด้วย*

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twelve ―160818)
«ตอบ #55 เมื่อ28-08-2018 00:35:50 »

 :angry2:



กุ้ง ช่วยมาเคลียร์ด้วย กุ้ง !!!

ออฟไลน์ adoralula

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twelve ―160818)
«ตอบ #56 เมื่อ28-08-2018 05:22:10 »

ฮรือออ หน่วงมาก

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twelve ―160818)
«ตอบ #57 เมื่อ01-09-2018 21:20:54 »

chapter thirteen。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔



   หลังจากนั้นผมก็ได้กลับมาถึงหอโดยสวัสดิภาพ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกันถึงได้เลือกให้อีกคนกางร่มพามาส่งแบบนี้ ถึงจะกลัวว่าที่พิวยื่นร่มให้แทนจะอาสาไปส่งตั้งแต่แรกเป็นเพราะว่าเจ้าตัวรู้สึกอึดอัดกับเรื่องที่เกิดขึ้นหรือเปล่า .. แต่อย่างไรผมก็รู้สึกดีใจที่บรรยากาศระหว่างเราทั้งสองไม่ได้เหมือนที่ผมคิดไว้สักเท่าไร

   ในระหว่างทางจากตึกเรียนถึงหอในพวกเราก็เลือกที่จะเดินใต้ร่มคันเดียวกันมาเงียบๆ แม้แต่ในตอนที่ถึงที่หมายผมก็ทำเพียงก้มหัวน้อยๆเป็นเชิงขอบคุณให้อีกฝ่ายไปเท่านั้น


   “อ้าว กูกำลังจะไลน์ไปถามเลยว่าอยู่ไหน” ก้าวเข้าห้องปุ๊บ ผมก็ได้ยินเสียงรูมเมทดังขึ้นทักทายเหมือนกำลังรอผมอยู่

   “วันนี้ประชุมโปรเจคเลยเลิกช้า มีอะไรเหรอ?”

   “รอลงไปเซเว่นเนี่ย ไอ้ตุลลี่มันก็ถามในกลุ่มอยู่ว่าทำไมมึงยังไม่กลับ”

   “อ้าว ถ้าหิวทำไมไม่ไปกันก่อนแลยอ่ะ ไม่ต้องรอหรอก”

   “ไม่ได้ ไอ้ตุลลี่บอกมันกลัวมึงเหงา” กูว่าน่าจะเป็นพวกมึงมากกว่าที่เหงาเนี่ย ...
   


❋❋❋



   “ไอ้ยีนส์ๆ มีคนทักมึงว่ะ”

   “ไหนๆ”

   “นี่ไง .. ฮายยยยยีนส์” หลังจากที่ผมยังไม่ทันได้นั่งพักที่ห้องให้หายเหนื่อยดี ก็ต้องถูกลากลงมาเซเว่นใต้หออีกครั้ง แต่ในขณะที่กำลังยืนเลือกของใช้อยู่นั้นก็ได้ยินประโยคคำพูดแปลกๆออกมาจากเพื่อนที่อยู่ไม่ห่าง ด้วยความสงสัยจึงละสายตาจากผงซักฟอกหันไปมองไอ้ตุลลี่ที่ยืนทำหน้าระรื่นถือซองน้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อหนึ่ง กับไอ้ยีนส์ที่ทำหน้าเหม็นเบื่อกับท่าทางของเพื่อนเสียเต็มประดา

   “พ่อง ไอ้ตุลลี่ แต่ไม่เป็นไรมีคนด่ามึงให้กูแทนละ”

   “ไหนใครวะ?”

   “นี่ไง เขาถามว่ามึงเล่นมุกฟายไลน์” ไม่ทันไรยีนส์คนเหม็นโลกก็กลับกลายมาเป็นคู่หูคู่ฮาเล่นตบมุกกับตุลลี่ไปเสียแล้ว พร้อมกับยกหยิบถุงน้ำยาปรับผ้าถุงอีกยี่ห้อที่วางไม่ห่างกันขึ้นมาให้ดูชื่อโลโก้บนถุงได้อย่างถนัดตา

   “ไอ้ยีนส์ .. มึงก็อย่าไปเชื่อมันให้มากนะ”

   “ทำไมวะ?”

   “เนี่ย .. แม่งเดานี่  รู้ไม่จริงก็อย่าพูดดีกว่า ” จากนั้นจึงเป็นตาของน้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อที่ผมใช้ประจำขึ้นมาบ้าง

   “แต่มึงก็-”

   “เอ่อ .. พวกมึงกูหิวแล้วว่ะ ไปหาของกินกันดีกว่า” หลังจากยืนเอ๋อฟังทั้งสองตบมุกกันอย่างสนุกสนานได้สักพักจนรู้สึกได้ว่าหากปล่อยไว้นานกว่านี้อาจเป็นอันตรายต่อกระเพาะอาหารที่เพิ่งเริ่มประท้วงขึ้นมาเพราะความหิว

   “เออ ไปๆ”




   พอผ่านเรื่องป่วนๆในร้านสะดวกซื้อมาได้ พวกเราก็กลับขึ้นห้องมาพร้อมกับของกินอีกจำนวนมาก ไอ้ตุลลี่ที่มานั่งเล่นห้องผมจนรู้งานก็จัดการกางโต๊ะญี่ปุ่นบนพื้นกลางห้องให้สะดวกต่อการนั่งกินข้าว ไม่รอช้ารีบทิ้งตัวลงนั่งแล้วหยิบข้าวที่ซื้อออกมากกินด้วยความหิวแบบไม่รั้งรอใครทั้งสิ้น

   “พลอยใสเลิกกับไอ้เคนแล้วเหรอวะ?” มือจับช้อนที่กำลังตักข้าวเข้าปากของผมต้องชะงักเพราะคำพูดของตุลลี่ ที่จู่ๆก็พูดลอยๆขึ้นมาแบบไม่มีที่มาที่ไป

   “มึงไปรู้เรื่องของเขาได้ไงอะ?”

   “ในเฟซไอ้เคนเหมือนมันเฮิร์ตๆ” พูดจบเจ้าตัวก็ยื่นโทรศัพท์เครื่องสีขาว ที่เปิดในเห็นโพสต์ของคนที่กำลังพูดถึงค้างเอาไว้อยู่



KKen เมื่อ 20 นาทีที่แล้ว
คิดถึงเขาก็กลับไปหาเถอะ เราไม่เป็นไรหรอก




   “กูออกมาไกลเกินกว่าจะกลับไปสนใจละ เอาเป็นว่าเรื่องนี้กูจะไม่ยุ่ง” ยักไหล่ใส่ข้อความอย่างไม่แยแส แล้วหันมาให้ความสนใจกับข้าวปลาทอดลุยสวนตรงหน้าต่อ

   “เป็นไปได้ไหมวะ .. ที่พลอยใสจะกลับมาหามึง”

   “ต่อให้กลับมากูก็ไม่มีที่ให้เค้าอยู่ด้วยแล้ว ..”

   “ถ้าสมมติ-”

   “พวกมึงบอกให้กูเป็นคนมูฟออนเองแท้ๆ .. ปล่อยให้เขาจัดการปัญหาของเขาเองเถอะ” ถึงในตอนสุดท้ายทั้งผมและพลอยใสตกลงที่จะเป็นแค่เพื่อนที่ดีต่อกันแล้วก็ตาม แต่อย่างไรปัญหาของคนรักใหม่ของคนรักเก่ามันก็ไม่ใช่ธุระของผมอยู่ดี

   “ไป๋ กูขอโทษ”

   “เออ ไม่เป็นไร กูเข้าใจว่ามึงเป็นห่วงกู” เสียงผมเริ่มอ่อนลงตามเสียงขอโทษขอพายจากเพื่อน ผมรู้ดีว่าคงไม่อยากมีเพื่อนคนไหนอยากทำให้เพื่อนลำบากใจ แต่สิ่งที่ไอ้ตุลลี่ถามมันก็เป็นแค่การถามไถ่เพื่อรับมือเท่านั้นเอง

   “แดกข้าวเสร็จแล้วดูหนังกันปะมึง?”

   “เอา!/ดีล!” เสียงตอบรับจากผมและตุลลี่ดังขึ้นพร้อมกันตอบคำชักชวนของยีนส์ และนั่นก็ทำให้บรรยากาศชวนตึงเครียดในห้องเรากลายเป็นเสียงหัวเราะกลับคืนมาสู่ภายในห้องของเราอีกครั้ง..



❋❋❋
   



   “ไป๋ เอาบทที่เราให้แปลเป็นอิ๊งมาหรือยัง?”

   “เอามาแล้วๆ” ปึกกระดาษเอสี่ถูกส่งให้ผู้ที่รับหน้าที่เป็นผู้กำกับในการถ่ายโปรเจคอีกครั้ง หลังจากที่เรานัดวันที่ทำกันเป็นวันเสาร์ให้หลังจากการสั่งชิ้นงานมาหนึ่งสัปดาห์

   ในการถ่ายทำในครั้งนี้หลักๆบทพูดก็จะเป็นเกี่ยวกับการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว และความเป็นมาของวัดและตลาดน้ำแห่งนี้ โดยที่พวกเราจะรับบทบาทเป็นไกด์นำเที่ยวในครั้งนี้ให้เหมือนกับคนดูนั้นได้มาท่องเที่ยวด้วยตัวเอง


   “จุดแรก เริ่มที่หน้าวัดนี่เลย ไป๋จำบทได้แล้วใช่ไหม?”

   “อื้อ เมื่อคืนท่องมาแล้ว”

   “โอเค แล้วกล้องพร้อมไหม?”

   “พร้อมแล้ว!”

   “สาม สอง หนึ่ง แอคชั่น!” สิ้นเสียงของพะแพงเราจึงเริ่มถ่ายทำกันไปอย่างไม่รีบร้อน จุดแรกไล่เรียงไปจุดที่สอง สามและสี่ตามลำดับ จากบริเวณหน้าวัดไล่มาที่ตลาดย่อมๆฝั่งท่าและทางด้านของการขายอาหารบนเรือเรียงกันเป็นทอดๆ ผมที่เคยมาก่อนหน้านี้จึงพอจะรู้มุมสวยๆของตลาดน้ำที่นี่มาแล้ว ทำให้ประหยัดเวลาในการเดินหาฉากลงได้อย่างมาก


   การถ่ายทำบทในส่วนของแต่ละคนเป็นไปได้อย่างราบรื่น แม้เวลาจะล่วงเลยไปเกือบบ่ายโมงแล้ว แต่พวกเราก็ตัดสินใจทำงานในส่วนที่เหลือให้เสร็จสิ้นก่อนจะพักไปทานข้าวกลางวัน



   “เย้!!!! เสร็จแล้ว” หลังจากถ่ายทำนานนับร่วมสี่ชั่วโมงผ่านพ้นไปจวบจนตอนนี้ก็ได้สิ้นสุดลงเสียที แม้เสียร่ำร้องจากความอยากอาหารดังครืดคราดมากตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่ก็ยังกลั้นใจอดทนต่อความหิวจนมาถึงตอนนี้ได้

   ในที่สุดพวกเราทั้งสี่คนก็ได้มายืนเลือกร้านอาหารบนแพริมน้ำ แต่เพราะจำนวนที่มีมากเกินไปจนยากแก่การตัดสินใจเลยทำให้เราต้องใช้วิธีเป่ายิ้งฉุบแทน และแล้วหวยก็ดันไปออกที่ร้านอาหารตามสั่งที่เปรมเป็นคนเลือก

   เราสั่งอาหารและนั่งคุยเรื่องนู่นนี่อย่างผ่อนคลาย แม้จะเป็นเวลาช่วงบ่ายแต่ไอเย็นของน้ำก็พัดเข้ามาไม่ทำให้อากาศอบอ้าวจนเกินไป ด้วยความที่ตอนนี้เลยเวลากินข้าวของคนทั่วไปแล้ว เลยทำให้อาหารที่สั่งมาเร็วกว่าปกติ ต่างคนต่างไม่รอช้า เมื่ออาหารของใครมาอยู่ตรงหน้าก็รีบจัดการแบบไม่มีใครรอใครทันที


   “คนนั้นใช่คนที่เจอเมื่อวานไหมอะ .. ชื่ออะไรนะ? เราจำไม่ค่อยได้” เสียงเรียกของข้าวที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมเอ่ยขึ้นถามด้วยความสงสัย ก่อนที่พวกเราทุกคนจะหันไปดูบุคคลตามต้นทางตามที่ขวัญบอก

   ไหล่กว้างในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์สีเข้ม
   ผมทรงอันเดอร์คัตยอดฮิต
   รองเท้าผ้าใบไนกี้ตัวท็อป
   และมากับผู้หญิงที่มากกว่าหนึ่งคน ...


   “นั่นพิวนี่ เจออีกแล้วเหรอเนี่ย” นับจากที่นั่งตรงนี้กลุ่มที่เดินอยู่ตรงนั้นคงมากันประมาณหกคนได้ ประกอบด้วยชายหนึ่งหญิงห้า หนึ่งผู้ชายคนเดียวในนั้นถือของอยู่เต็มสองมือ เดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นของกิน ส่วนผู้หญิงจากหนึ่งในห้าคนนั้นผมก็พอจะเห็นผ่านๆตามาบ้าง .. กุ้งไง

   “ไป๋ๆ ผู้หญิงใสเสื้อปาดไหล่สีแดงเดินข้างๆพิวนั่นแฟนพิวเหรอ?” ขวัญที่เห็นภาพทั้งหมดไปพร้อมกันรีบยื่นหน้าเข้ามาถามด้วยความสงสัย .. โชคดีหน่อยที่ทั้งหกคนนั่นเดินอยู่ที่ตลาดบนฝั่งท่า ทำให้ไม่ทันได้สังเกตมองมาบนแพที่พวกผมนั่งทานข้าวกันอยู่

   “ไม่รู้เหมือนกันสิ ไม่เคยเห็นพิวบอกเลย”

   “งี้แสดงว่าเราก็ยังมีหวังน่ะสิ”

   “หืม แพงชอบพิวเหรอ?” ไม่เพียงแค่ผมที่ตกใจ แต่รวมถึงชวัญและเปรมที่ไม่ได้สนใจเรื่องทั้งหมดมากยังตกใจตามไปด้วย

   “แฮ่ๆ ล้อเล่นหรอกน่า ปีหน้าเราก็ย้ายวิทยาเขตแล้ว ขืนมีแฟนต่างคณะกันคงขาดใจตายพอดี”

   “นั่นดิแพง ถ้าพิวมีแฟนอย่างไอ้ไป๋ก็ว่าไปอย่าง” เปรมพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ถึงมันจะเป็นแค่การยกตัวอย่าง แต่น้ำอัดลมที่กำลังไหลลงคอก็เกิดการกลืนอย่างผิดจังหวะจนผมสำลักหน้าดำหน้าแดงขึ้นมา

   ด้านพะแพงที่นั่งข้างๆคงหวั่นว่าผมจะขาดใจแดดิ้นตายลงเพราะสำลักน้ำเป๊ปซี่ไปก่อนที่จะได้ตัดต่อวิดีโอแต่ก็ทำอะไรได้ไม่มากนักนอกจากนั่งลูบหลังให้ผมเบาๆอย่างสมกับเป็นคุณหมอในอนาคต นานจนกระทั่งอาการไอได้หายไปหมดแล้ว แต่ก็ไอ้เปรมเพื่อนซี้ก็ไม่วายพูดจากวนตีนไม่ต่างจากเดิม

   “อะไรว้า กูแหย่เล่นนิดเดียวถึงกับสำลักเลยเหรอวะ นี่อย่าบอกนะว่าพวกมึงสองคน ..”

   “พ่อง ไอ้เปรมมึงอย่ามาเพ้อเจ้อ”

   “ก็เป็นเพื่อนสนิทกันงาย มึงนี่ร้อนตัวจัง .. ป่ะทุกคน เรารีบเดินซื้อขนม รีบกลับดีกว่า จะได้กลับหอไปอ่านหนังสือกัน” แม้ใจจริงอยากจะเขวี้ยงขวดแก้วใสใส่หัวอีกคนเพราะความกวนบาทามากเพียงไหน ก็ได้แต่เก็บอาการเอาไว้ เพราะเกรงใจเพื่อนผู้หญิงอีกสองคนที่มาด้วยกัน เลยทำได้แค่ลุกขึ้นแล้วเดินตามเพื่อนไปหาซื้อของกินเล่นได้เท่านั้น


   เดินเลือกขนมได้สักสองสามอย่างเราก็ตัดสินใจจะกลับกัน วันนี้เรามาถึงที่นี่ได้เพราะรถของเปรมที่เจ้าตัวเพิ่งถอยมาใหม่ จนขวัญอดที่จะแซ็วไม่ได้ว่าซื้อรถใหม่เพื่อพอเพื่อนมาทำงานโดยเฉพาะ .. ดีหน่อยที่ว่าเรามาถึงในตอนเช้าที่นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยเดินทางมาถึงกันเลยทำให้ได้ที่จอดใต้ต้นไม้ร่มรื่น ไม่ร้อนมากนัก ..

   ในระหว่างทางเดินกลับรถผมก็ได้เหลือบไปเห็นห้องน้ำของทางวัดที่ดูสะอาดสะอ้านดี เพราะส่วนตัวผมเป็นคนเรื่องมากเรื่องห้องน้ำมาก ตัดสินใจขอแวะเข้าใช้บริการก่อนเดินทางกลับหอสักนิด


   “ทุกคน เดี๋ยวขอเข้าห้องน้ำก่อนนะ เดินไปที่รถก่อนเลย”

   “เออ ชักช้ากูทิ้งนะบอกไว้ก่อน”

   “แปปเดียวๆ รอกูด้วย” เพราะกลัวไอ้เปรมจะขับหนีทิ้งผมไว้ที่วัดจริงๆเลยรีบก้าวเท้ายาวๆเพื่อเดินให้ถึงห้องน้ำไวๆ



   พลั่ก

   “อุ้ย ขอโทษครับ” เพราะมัวแต่เดินก้มมองพื้นห้องน้ำชื้นแฉะเพื่อหลบหลีกจุดที่มีน้ำขังจนไม่ทำให้ไม่ทันมองทางข้างหน้าที่มีคนกำลังเดินสวนมา จนพาลให้หัวของเขากระแทกเข้าที่ช่วงอกของอีกฝ่ายเต็มๆ ยกมือข้างถนัดขึ้นมาลูบหัวป้อยๆ พลางขอโทษขอโพยคนที่เขาเดินชนไปด้วย

   “ไม่เป็นไร” เมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนที่ตัวเองเดินชนและยังเป็นคนที่ใช้สองมือประคองลำตัวเขาไม่ให้ลื่นล้มอยู่ ก็รู้สึกตกใจเพราะความบังเอิญที่เกิดขึ้น
   

   ร่างกายส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบต้นๆกลับกลายเป็นตัวเล็กทุกครั้งที่อยู่กับคนตรงหน้า สายตาสอดประสานกัน ถึงใครจะชอบบอกกันว่าดวงตาคือหน้าต่างหัวใจ ต่างกับเขาที่ในตอนนี้ยิ่งมองแล้วยิ่งอ่านออกมาเป็นความหมายที่แท้จริงไม่ได้
 
   เหมือนจะนิ่งสงบ แต่ก็ไหววูบ
   เหมือนจะตกใจ แต่ก็เหมือนเห็นรอยยิ้มในตาไปด้วย
   เหมือนมีคำถามมากมาย แต่กลับไม่พูดออกมา

   ร่างบางหลบออกมาจากการเกาะกุมของอีกคน ไม่หลงลืมว่าตัวเองมาที่นี่เพื่อทำอะไร เข็มขัดราคาแพงที่พี่ชายซื้อให้เป็นของขวัญถูกปลดเปลื้องออกหน้าโถสุขภัณฑ์ข้างผนัง ในระหว่างที่คนตัวเล็กกำลังทำธุระอยู่พลันสายตาก็เหลือบไปมองพื้นที่ว่างหน้าอ่างล้างมือที่เขาเพิ่งเดินออกมาอยู่ไม่ห่าง ก็พบว่าชายในเสื้อสีขาวยังคงยืนอยู่ที่เดิมแถมยังหันหน้ามองมาหาอีก

   ไป๋เสร็จสิ้นภารกิจลงแล้วก็เดินกลับมาล้างมือ ลังเลอยู่นานว่าควรจะรีบกลับไปรถหรือจะทักทายอีกคนที่ทำท่าเหมือนยืนรออยู่ดี สุดท้ายความคิดที่สองก็เป็นสิ่งที่เขาได้เลือก

   “ ..มาเที่ยวเหรอ?” ถึงแม้จะรู้จักและคุ้นเคยกับอีกฝ่าย แต่คำพูดที่เอ่ยออกไปก็ยังแฝงถึงความกล้าๆกลัวๆของตัวเองไปอยู่ดี

   “อือ .. มากับเพื่อน”

   “อ๋อเหรอ” เรายืนหันหน้าหากันตรงส่วนของอ่างล้างมือตรงนั้นไม่ได้เดินไปไหน .. มีเรื่องตั้งมากมายที่อยากรู้จากปากของอีกฝ่าย แต่ในเวลานี้คงยังไม่เหมาะมากนัก

   “หายป่วยหรือยัง?” ตอนแรกที่คิดว่าบทสนทนาของเราคงจบลงแค่นี้เลยกำลังจะเอ่ยปากขอตัวกลับก่อน แต่ก็ต้องหยุดทุกอย่างลงให้กับประโยคเพียงสั้นๆกับมือหนาที่เอื้อมมาแปะลงบนหน้าผาก .. ในวินาทีนั้นเขารู้ได้ทันทีเลยว่าความพยายามลืมเรื่องระหว่างเขาทั้งสองที่เคยทำร่วมกันมา มันไม่เคยประสบผลสำเร็จเลยแม้แต่น้อย

   รู้สึกพ่ายแพ้ให้กับไอความร้อนจากฝ่ามือนั่นอีกแล้ว..

   “อื้อ หายแ-”

   “พิว! เสร็จหรือยังอะ เพื่อนๆเค้ารออยู่นะ” เสียงเล็กแหลมของผู้หญิงดังเรียกขึ้นมาจากหน้าห้องน้ำด้านนอกดังทะลุเข้ามายังข้างใน รวมถึงเข้ามาดึงสติที่หวั่นไหวไปกับการกระทำของอีกคน ผมกลับรู้สึกเหมือนตัวเองมายืนผิดที่ผิดทางขึ้นมาเสียดื้อๆ หลบสายตาแล้วปัดมืออุ่นที่ก่ายบนหน้าผากออก

   ขนาดนี้แล้ว ยังจะกลับไปคิดเพ้อเจ้ออะไรอยู่ก็ไม่รู้

   “ไปแล้วนะ..” สะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆออกไปแล้วกลับมาเผชิญกับเป็นจริงที่เจ็บปวดอีกครั้ง ไม่พูดพร่ำทำเพลงนานก็บอกคำร่ำลาแล้วเดินผ่านร่างสูงมุ่งสู่ทางออกของห้องน้ำ

   ทั้งๆที่รวมความกล้าที่จะเดินออกมาแล้วแท้ๆ แต่สองขานี่กลับไม่ให้ความร่วมมือเลยแม้แต่น้อย เพราะแค่ก้าวออกมาเพียงสองสามก้าว เขาก็ต้องหยุดและหมุนตัวกลับไปมองอีกคนที่เอาแต่ยืนนิ่ง ..


   “...พิว” เสียงแหบแห้งเหมือนไข้พิษจะกลับมาเล่นงานเอาเสียดื้อๆ แต่อย่างน้อยมันก็ยังเรียกร้องความสนใจให้อีกฝ่ายหันหน้ามาหา ในเวลานี้เขายอมนั่งรถเมล์กลับเองก็ได้ ขอแค่นาทีเดียวเท่านั้นเพื่อขอให้เขาได้พูดคำๆนี้ออกไป


   อย่างไรไป่ไป๋ที่ทุกคนรู้จักไม่ใช่คนเข้มแข็งหรอก


   “เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ใช่ไหม?”


   ออกจะเห็นแก่ตัวด้วยซ้ำที่เอาแต่ขอให้คนที่เคยทำร้ายจิตใจให้กลับมาเป็นเพื่อนกันแบบนี้

   แต่มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิตสักหน่อย


   “..นะ”


   ทำไมถึงทำหน้าเศร้าอย่างนั้นล่ะ

   ทำเหมือนเราเป็นคนผิด ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนโกหกก่อนแท้ๆ



   “สัญญาสิ”



   หาคำตอบไม่ได้เหมือนกันว่ามือที่ยื่นไปหาอีกฝ่าย ทำไมมันถึงได้สั่นเทิ้มขนาดนี้ ..

   ถึงอีกฝ่ายจะมองเห็นทุกกิริยาที่ผมทำแล้วแต่ก็เลือกที่จะนิ่งเฉย

   โกรธเหรอ?



   “งั้นก็ไม่เป็นไรหรอก”



   แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็ไม่หลงเหลือให้กันเลย แบบนี้ไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยใช่ไหม?

   แต่ยังไงก็ช่างมันเถอะ ..




   ฝืนยิ้มส่งท้ายให้เล็กๆ ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อเดินออกจากห้องน้ำมา โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังมีอาการอย่างไร โชคดีหน่อยที่เหตุการณ์เมื่อกี๊ไม่ได้กินเวลาไปมากเท่าไหร่ เพื่อนๆน่าจะใจดีพอที่จะยังรออยู่

   “พิวทำไมช้าจ- .. อ้าว” เมื่อก้าวขาพ้นเขตห้องน้ำไม่ทันไร ร่างเพรียวบางในชุดสีแดงที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ก็โผเข้ามาเดินประชิดเสียใกล้ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องพบว่าผมไม่ใช่คนที่เจ้าตัวกำลังรอคอยอยู่

   ตากลมโต ปากนิด จมูกอีกหน่อย ยิ่งดูน่ารักเข้าไปอีกด้วยเครื่องสำอาง
   ไหนจะรูปร่างที่ดูสมส่วน แม้ส่วนสูงจะไม่มาก
   ก็ดูเหมาะสมกันดี   


   “แฮ่ ขอโทษค่า” อีกคนรีบผละตัวถอยห่างออกไปแล้วส่งยิ้มแห้งๆแก้เขินกลับมาให้ เห็นดังนั้นผมก็เลยได้แต่ยิ้มแล้วผงกหัวน้อยๆเชิงว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็รีบมุ่งหน้าสู่ลานจอดรถด้วยความเร่งรีบ แล้วก็พบรถคันสีขาวคันเมื่อเช้ายังจอดอยู่ที่เดิมไม่ได้เคลื่อนตัวไปไหน




   “โอ้โห ไอ้ไป๋มึงไปขี้มาใช่ไหม ไหนตอบกูสิ” อย่างที่คาดว่าทันทีที่เปิดประตูที่นั่งข้างคนขับปุ๊บจะต้องเจอคำพูดก่อกวนจากเปรมเจ้าของรถแน่ๆ

   “เออ กูขี้ .. ขอโทษที่ให้รอนะทุกคน” ในช่วงแรกจงใจตอบดังๆใส่หูคนถาม และหันไปขอโทษเสียงปกติให้สาวๆทั้งสองคนในกลุ่มที่ต่างคนต่างคุยเล่นกันอยู่

   “ไม่เป็นไร เราเข้าใจ ฮ่าๆ”

   “ไม่มีใครลืมอะไรใช่ไหม งั้นไปแล้วนะ” และแล้วเจ้าสี่ล้อก็ได้เคลื่อนตัวออกสู่ท้องถนนใหญ่อีกครั้ง รถของเราขับไปอย่างเรื่อยๆไม่รีบร้อน เลือกที่จะเบนสายตาออกสู่ทิวทัศน์ข้างทางปล่อยให้สมองได้พักจากความคิดฟุ้งซ่านลงบ้าง

   “ไป๋เปิดเพลงให้หน่อยดิ” เสียงเปรมเรียกสติผมกลับมาได้อีกครั้งนึง ก่อนจะจัดการเชื่อมระบบบลูทูธโทรศัพท์เข้ากับวิทยุภายในตัวรถ เลือกเปิดเพลย์ลิสต์ที่เจ้าตัวเรียกร้องให้เสร็จเรียบร้อย



ถ้าฉันไม่ลืมเรื่องเรา
แบบนี้แล้วมันจะผิดหรือเปล่า
ดั่งรสที่เคยลิ้มลองและรักตั้งแต่แรกเจอ

รักก็คือรักจะลบยังไงก็คงไม่จาง
ดั่งเปลี่ยนไวน์ให้เป็นน้ำ
เปลี่ยนฉันให้ไม่รักเธอคงไม่ได้



   เสียงดนตรีประกอบเสียงเอกลักษณ์ของนักร้องที่ทำให้ผมนึกชื่อเพลงออกได้ตั้งแต่ขึ้นโน้ตตัวแรกมา สองสายตาทอดยาวมองทิวทัศน์รอบข้างไปเรื่อย ควบคุมสีหน้าให้ดูเรียบเฉยและปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งเพลงดำเนินไปนานเท่าไหร่ ฝ่ามือก็ยิ่งบีบตัวเข้าหากันมากขึ้น รู้ตัวดีว่าหากปล่อยให้บางสิ่งที่อัดอั้นภายในใจมีเยอะมากเกินไป .. จะเป็นเขาเสียเองที่ทนไม่ไหว

   ถึงจะนึกโกรธอีกคนที่เอาแต่ป้อนคำโกหก และไม่ยอมทำอะไรให้มันชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังนึกโกรธตัวเองไปพร้อมๆกัน ว่าทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองอ่อนไหว ไปพร้อมกับความอ่อนแอจากอาการเจ็บปวดภายในใจ



จากนี้ไปแม้เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน
และฝันอาจต้องล่มสลาย
สุดท้ายคงเข้าใจ

และฉันนั้นจะยอมยอมให้เธอไป
ยอมมีน้ำตายอมเสียใจ
แต่ความรักข้างในมันคงลบไม่ได้
เคยเป็นแบบไหนก็คงต้องเป็นแบบนั้น

   
   สุดท้ายแล้วต่างคนก็แค่แยกย้ายกลับไปใช้ชีวิต เขาก็ต้องเป็นไป่ไป๋ที่ร่าเริงเหมือนเก่า กลับไปขยันอ่านหนังสือให้มากพอจนลืมที่จะเสียใจ ส่วนเรื่องคนใจร้ายเขาก็คงต้องขอพักแบบจริงๆจังๆสักที ..




(มีต่อ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-09-2018 23:50:09 โดย pearyypinkyy »

ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: 「 จีบเป็นคำกริยา 」◦ (chapter twelve ―160818)
«ตอบ #58 เมื่อ01-09-2018 21:21:21 »

❋❋❋




   จากนี้อีกประมาณสามสัปดาห์กว่าๆ เราก็จะได้เข้าสู่ฤดูกาลไฟนอลเทอมสุดท้ายของปีหนึ่งกันอย่างเป็นทางการแล้ว ชีวิตผมทุกๆวันนี้วนเวียนกับการไปเรียน กินข้าว กลับหอมาเล่นเกมส์บ้าง อ่านหนังสือบ้าง สลับกันหมุนเวียนกันไปอย่างใจเย็น

   “ไฟนอลนี้ เราสอบกันกี่ตัววะ?”

   “กูนับแปปนะ .. 1 2 3 .. 7 ตัวว่ะ”

   “เชี่ยแม่ง โหดจังวะ” ผมบ่นกระปอดกระแปดอย่างไม่มีจิตใจที่จะอ่านกองหนังสือตรงหน้าต่อ เมื่อรู้ว่ามีสอบไฟนอลทุกวิชาที่เรียนมาในเทอมนี้ และเมื่อลองคิดคำนวณดูแล้วว่ายังไม่มีวิชาไหนเลยที่ผมอ่านจนจบ ในแต่ละวัน ถ้าเป็นวันธรรมดาผมจะมีเวลาอ่านต่อวันแค่ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น แถมยังมีรายงานอีกยิบย่อยที่ตั้งใจจะทำให้เสร็จสิ้นภายในเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้อีก แน่นอนว่าคนสมองหัวขี้เลื่อยอย่างผมต้องใช้เวลาจวนเจียนพอสมควร


   “มึงอ่านจบไปกี่วิชาแล้วอะ?”

   “จบชีวิตกูเนี่ยสิ เสาร์อาทิตย์นี้ว่าจะนั่งตัดต่อวิดิโอด้วย”

   “ของมึงยังดีที่ไปถ่ายกันแล้ว กลุ่มกูนี่ยังเถียงกันเรื่องสถานที่อยู่เลย” ผมกับยีนส์นั่งส่งสายตาปลอบใจกันไปมาในระหว่างโต๊ะอ่านหนังสือทั้งสองโต๊ะ โดยแต่ละคนนั้นต่างมีสภาพที่อิดโรยไม่ต่างกัน

   “จะตีหนึ่งแล้วเหรอวะ .. นอนกันเถอว่ะ”

   “เออๆ ปิดไฟให้ด้วย” เมื่อเหลือบนาฬิกาดูตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกมากอย่างที่ไอ้ยีนส์บอกจริงๆก็ไม่รอช้า เก็บหนังสือที่ต้องใช้ในวันพรุ่งนี้ใส่ลงกระเป๋าแล้วกระโดดขึ้นเตียงนอนอย่างไม่รอช้า มือเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ไม่ห่างเพื่อมาดูนั่นนี่ก่อนนอนสักหน่อย

   แต่แล้วก็ต้องพบว่า กลับมีแจ้งเตือนข้อความจากคนที่ผมไม่ได้ติดต่อมานานแล้วปรากฎขึ้นมา ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมประหลาดใจมากพอสมควร



PLOY-SAI : ไป๋ นอนยัง?
PLOY-SAI : เรามีเรื่องอยากปรึกษาอะ




   ผมขมวดคิ้วให้กับข้อความชวนสงสัยที่ถูกส่งมา มันน่าแปลกตรงที่ต่อให้เราเป็นเพื่อนกันก็จริง แต่ก่อนหน้าที่เราคุยกันครั้งสุดท้ายก็ทิ้งระยะห่างมาหลายเดือนจนมาถึงวันนี้ ประกอบกับสเตตัสของเคนเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ตุลลี่เป็นคนให้ผมดู มันก็ยิ่งทวีคูณความสงสัยที่มีของผมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว


   หลังจากลังเลอยู่นานว่าเขาควรจะตอบกลับไปว่าอย่างไร ด้วยความที่เราไม่ได้พูดคุยกันมาค่อนข้างนานเลยทำให้ผมมีความกังวลอยู่เล็กน้อย จนสุดท้ายจึงเลือกพิมพ์ประโยคสุดเบสิกกลับไป



                     
paipai : ยังไม่นอน มีอะไรเหรอ?

PLOY-SAI : ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจนะ
PLOY-SAI : แต่เรามีไป๋เป็นเพื่อนผู้ชายคนเดียวของเราจริงๆ




   แม้ข้อความที่ข้อความที่ผมเพิ่งส่งไปจะทิ้งห่างกับข้อความแรกที่พลอยใสส่งมานานนับร่วมชั่วโมง แต่เจ้าตัวก็ตอบกลับมาแทนจะในทันที เหมือนกำลังรอผมอยู่อย่างไรอย่างนั้น


            
paipai : อื้อ ไม่เป็นไร
paipai : เล่ามาเถอะ

PLOY-SAI : เราทะเลาะกับเคนมา
PLOY-SAI : แต่ตอนทะเลาะกัน เราหลุดปากออกมา
PLOY-SAI : ว่าตอนที่คบกับไป๋ไม่เห็นต้องมาทะเลาะกันเลย
PLOY-SAI : เรานี่นิสัยไม่ดีเลยเนอะ


                     
paipai : ไม่หรอก เล่าต่อเลย

PLOY-SAI : อื้อ
PLOY-SAI : จากนั้นมันก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
PLOY-SAI : เราไม่เคยต้องมาเจออะไรแบบนี้เลย
PLOY-SAI : ไม่รู้เป็นบ้าอะไรเหมือนกัน
PLOY-SAI : เราเลยท้าเลิกมันซะเลย

            


   ผมอ่านแชทตรงหน้าด้วยความเข้าใจ ผมรู้ดีว่าคนเราหากอยู่ในอารมณ์โกรธหรือเสียใจเมื่อไหร่มักจะมีพฤติกรรมที่ควบคุมค่อนข้างยาก อย่างที่เราเรียกกันว่าอารมณ์ชั่ววูบ ซึ่งมันไม่เคยเป็นผลดีกับใครเลย .. ไม่มี


                     
paipai : อ่า .. แล้วเป็นยังไงบ้างเหรอ?

PLOY-SAI : เคนไม่พูดอะไรแล้วเดินหนีออกไปเลย
PLOY-SAI : ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ตอบไม่รับโทรศัพท์เรา
PLOY-SAI : เราควรทำยังไงดีอะไป๋?




   ประเมินตามเรื่องเล่าเบื้องต้นแล้วก็ดูออกได้ทันทีว่าที่อีกฝ่ายเป็นแบบนี้เพราะสาเหตุอะไร .. เคนคงถอยห่างออกมาสงบสติอารมณ์ตัวเอง ประกอบกับพลอยใสได้หลุดปากเรื่องตอบคบกับผมไป แถมจุดจบของคู่เราก็ไมค่อยเป็นเรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ นั่นคงทำให้อีกฝ่ายนอยด์น่าดู ถึงขั้นต้องโพสต์ตัดพ้อถึงขนาดนั้น

   สุดท้ายก็ไม่พ้นอดีตแฟนเก่าที่ตอนนี้สามารถเป็นเพื่อนได้อย่างสนิทใจ ต้องเข้ามาช่วยจัดการชีวิตรักของทั้งสองให้จนได้



paipai : พรุ่งนี้พวกเรามีเรียนที่คณะจนถึงสี่โมงเย็น
paipai : เราแนะนำให้มานะ

PLOY-SAI : ?

                     
paipai : มาคุยกับไอ้เคนไง

PLOY-SAI : เราไม่รู้ต้องพูดอะไรบ้างอะ

paipai : พูดตามที่คิดเลย
paipai : เราว่าเดี๋ยวเคนก็เข้าใจเองแหละ

PLOY-SAI : ฮื่อ มันจะได้ผลจริงๆใช่ไหม
PLOY-SAI : เรากลัวเคนโกรธมากเลย


paipai : การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการเข้าไปพูดคุยนะ
paipai : พลอยทำได้อยู่แล้ว
paipai : สู้ๆ
paipai : *ส่งสติ๊กเกอร์*

PLOY-SAI : อื้ออ ขอบคุณมากนะไป๋
PLOY-SAI : ไป๋นอนดึกแย่เลย
PLOY-SAI : เราจะพยายามนะ
PLOY-SAI : *ส่งสติ๊กเกอร์*




   “ไอ้ไป๋ ยังไม่นอนเหรอวะ?” ยีนส์พลิกตัวสลับฝั่งการนอนจนมาเจอแสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์ผมที่ยังสว่างโร่ บ่งบอกว่าผมยังคงตื่นอยู่ ประจวบกับบทสนทนาที่เพิ่งจบไปพอดี เลยเก็บโทรศัพท์ไว้ยังที่เดิมแล้วห่มผ้าให้มิดชิดเพื่อเข้านอนบ้าง

   “นอนแล้วๆ ฝันดี”

   “ ..อือ”


❋❋❋




   “มึงว่างๆแบบนี้ไปเซนฯกัน อยากแดกพายแมคเฉยเลยว่ะ”

   “ว่างพ่อง นี่มึงจะไม่อ่านหนังสืออีกแล้วใช่ไหมไอ้ตุลลี่”

   “เออ พูดปุ๊บกูอยากแดกปั๊บเลยเนี่ย”

   “ใช่ไหมอียีนส์ .. ป่ะ อีไป๋ มึงต้องไปด้วยแล้วแหละ”

   ผมจิ๊ปากอย่างโดนขัดใจ อันที่จริงก็ไม่ได้อยากกลับหอไปอ่านหนังสือขนาดนั้นหรอก แต่จงใจแกล้งพูดให้เพื่อนคนที่ดูจะใจเย็นกับไฟนอลได้ตื่นตัวขึ้นบ้างเท่านั้นเอง เพราะสุดท้ายยังไงสำหรับทั้งตุลลี่และยีนส์ก็ต้องเห็นของกินที่แม้จะเป็นแค่พายแมคก็ยังสำคัญกว่าความคิดเห็นผมอยู่ดี .. นี่แหละนะที่เขาว่ากันว่า เรื่องกินเรื่องใหญ่

   ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็นสมควรแก่การเลิกเรียนแล้ว พวกเราคุยนู่นนี่ในระหว่างที่กำลังลงลิฟต์จากตึกชั้นสี่ไปด้วย จนกระทั่งประตูอัตโนมัติได้เปิดในชั้นที่พวกเราต้องการเรียบร้อย จึงเดินเอื่อยๆกันออกมา แต่ยังไม่ทันให้ผมได้ก้าวขาพ้นลิฟต์ดี ก็ต้องสะดุ้งเพราะความตกใจจากเสียงเล็กคุ้นหูที่ดังทักขึ้นเสียก่อน


   “ไป๋!!!” เมื่อผมหันไปก็ต้องพบกับผู้หญิงคนรู้จักในชุดนักศึกษา กำลังเดินเข้ามาหาพร้อมโบกมือส่งยิ้มร่าเริงมาให้ ผมไม่ได้แปลกใจมากนักเพราะชั้นหนึ่งของคณะเรามีลักษณะเป็นโถงโล่งไม่ว่าใครก็สามารถเข้ามานั่งเล่นได้ทั้งนั้น แต่คนที่ดูจะงงและตกใจกับการพบเจอพลอยใสมากกว่าก็คือ ไอ้ตุลลี่และไอ้ยีนส์ นั่นเอง

   “อีไป๋ๆ แม่นี่มาได้ไงอะ? ดูไม่ปลอดภัยยังไงชอบกล เดี๋ยวกูช่วยกันซีนให้เอาแมะ?”

   “ให้พวกกูยืนเฝ้าอยู่ห่างๆไหมวะ?”

   “เฮ้ย ไม่เป็นไร กูเพื่อนกัน พวกมึงไปรอหน้าตึกก่อนก็ได้” ผมดึงดันให้ทั้งสองเดินไปอีกทาง แม้จะเป็นการยากแต่ผมก็ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก

   “เดี๋ยวคุยเสร็จแล้วไปเล่าให้ฟัง”

   “เออน่า ไปได้แล้ว” สุดท้ายทั้งสองคนนั้นก็ยอมเดินล่วงหน้าไปก่อนสักที เมื่อผมหันหน้ากลับมาก็เจอพลอยใสมายืนยิ้มให้ตรงหน้าเสียแล้ว


   “เรื่องดีเหรอ?”

   “อื้อ ดีมากเลย .. พวกเราไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่าไหม?”

   “อื้ม ไปดิ” จากนั้นก็เป็นหน้าที่ผมให้หาที่นั่งใต้ตึก จนเรามาได้เป็นโต๊ะหินอ่อนที่ไม่ไกลไปจากหน้าลิฟต์มากนัก แต่ก็ยังเป็นมุมที่มีความส่วนตัว และทันทีที่เรานั่งลง พลอยใสก็เป็นคนชิงเปิดประเด็นที่จะคุยในตอนนี้ขึ้นมาทันที

   “เมื่อวานเราคุยกับเคนมาแล้วนะ”

   “จริงเหรอเป็นไงบ้าง?” เพราะหลังจากวันที่พลอยใสทักมาจนถึงวันนี้ก็ปาไปสองวันเข้าไปแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่ได้สนใจจะติดตามผลสรุปของทั้งคู่สักเท่าไหร่ ทำให้ไม่ได้ทักไลน์กลับไปเพื่อถามไถ่เลย

   “คืนดีกันแล้วแหละ ขอบคุณไป๋มากเลยนะ” ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มทั้งจากริมฝีปากและจากดวงตาของผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามกันแบบนี้


   ก็คงจริงอย่างที่เคยคิด .. ที่ผ่านมาเขารักพลอยใสแบบน้องสาวจริงๆ


   มาเข้าใจจริงๆได้ก็ตอนที่มีคนเข้ามาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป จนเขาอดจะเปรียบเทียบกับตอนที่ยังเป็นแฟนกับผู้หญิงคนนี้เสียไม่ได้ .. เขาไม่ต้องการครอบครองพลอยใส ไม่ต้องการให้พลอยใสเดินไปส่ง หรือแม้กระทั่งในตอนที่ถูกพลอยใสลูบหัว ใจเขาก็เต้นในอัตราปกติ

   ต่างกันจนชนิดที่เขาเองยังอดแปลกใจไม่ได้


   “ยินดีด้วยนะ” ผมพูดแสดงความยินดีออกมาจากใจจริง ทั้งสองคนนับเป็นเพื่อนของผม ซึ่งนั่นก็เป็นการดีแล้วถ้าหากเขาจะมีความสุข

   “ที่เรามาคุยวันนี้ คือ เราอยากจะมาขอโทษไป๋ด้วยแหละ”

   “ขอโทษเรื่องอะไรเหรอ?”

   “เรื่องที่เราเคยโกหก แล้วก็บอกเลิกไป๋ไง .. มาคิดๆดูแล้วเรานี่ใจร้ายมากเลยเนอะ” ทำได้แค่ส่งยิ้มให้บางๆในตอนที่อีกฝ่ายเอื้อมมือมากุมมือผมทั้งสองข้างไว้แน่น

   “เราไม่เป็นไรแล้ว พลอยอย่าคิดมากเลย เรื่องมันจบไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ”

   “ขอโทษจริงๆนะไป๋ ยกโทษให้เพื่อนคนนี้ด้วยนะ”

   “เพื่อนคนนี้ยกโทษให้แล้วครับผม!” จากนั้นเราต่างคนก็ต่างหลุดหัวเราะออกมา เหมือนกำแพงที่มีต่อกันได้พังทลายลงอย่างหมดสิ้น หวังเพียงว่าจากนี้ความสัมพันธ์แบบเพื่อนระหว่างเรามันจะดียิ่งขึ้นไปอีก

   เรานั่งคุยกันต่อไม่กี่คำ พลอยใสก็ขอตัวไปก่อน โดยให้เหตุผลว่าต้องไปหาเคนที่นัดกันไว้ว่าจะมาหา แต่เมื่อเจ้าตัวเดินหันหลังกลับไปไม่กี่ก้าว ก็ต้องหันมาหาผมอีกครั้ง พร้อมกับคำพูดที่ว่า..



   “จนถึงตอนนี้ไป๋ก็ยังเป็นคนที่น่ารักเหมือนเดิมเลย .. ตอนนั้นมันดีมากจริงๆนะ ไป๋ดีกับเรามากจนเราไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี..”

   “…”

   “แต่สักวันเราเชื่อนะ ว่าจะมีคนที่เป็นทุกอย่างให้ไป๋ได้ คนที่รักไป๋ คนที่ยอมให้ไป๋เข้าไปในชีวิตเขาอย่างไม่มีข้อกังขาเลย”

   “…”

   “เราขอให้ไป๋เจอรักที่ดีๆ ให้ดีกว่าเราหลายเท่าตัวมากๆเลยนะ”

   “อื้ม”

   “ถึงวันนั้นเมื่อไหร่อย่าลืมบอกให้เรารู้ด้วยล่ะ”



   แม้ร่างเพรียวระหงนั่นจะเดินจากไปแล้ว แต่เจ้าของที่แท้จริงของคำอวยพรนั่นก็ยังยืนทบทวนทุกคำพูดที่ได้ยิน สองมุมปากยกยิ้มให้กับประโยคเหล่านั้น อยากบอกเสียเหลือเกินว่า บุคคลแบบที่อีกฝ่ายว่าน่ะ เขาได้เจอมาแล้ว แถมรักไปเสียแล้วด้วย..

   แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้รักกันสักหน่อย


   คนตัวขาวส่ายหัวให้กับความคิดบ้าๆบอๆเล็กน้อย แล้วคว้ากระเป๋าเป๋บนโต๊ะขึ้นมาเพื่อจะเดินกลับไปหาเพื่อน ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะโกรธที่เขาหายไปนานแล้วหรือยัง..


   แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมามองภาพเบื้องหน้าก็ต้องได้ตกใจมากกว่าตอนเจอพลอยใสเป็นหลายเท่าตัว .. เพราะร่างสูงที่ไม่คิดว่าจะได้พบนั่นกำลังเดินมาดมั่นเข้ามาหาเขาแบบไม่มีท่าทีลังเล ก่อนจะมาหยุดยืนประชันตรงหน้าเขา พร้อมกับฝ่ามือหนาที่ยกขึ้นมาค้างกลางอากาศในระดับหน้าท้อง

   ไป่ไป๋รู้สึกคลับคล้ายคลับคล้ายกับภาพตรงหน้า สมองเริ่มตีบตื้อ สัมผัสได้ว่าการหายใจของตนเองเริ่มผิดจังหวะเข้าไปทุกที จนกระทั่งในตอนที่พิวอ้าปากเอ่ยคำพูดขึ้นมา..


   “ ..กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมก็ได้”


   
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔


อัพแบบนันสต็อป

ติดตามการอัพเดตและเม้ามอยได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9 (เพจใหม่ค่ะ )

และตามหวีดได้ในแท็กทวิตเตอร์
#จีบเป็นคำกริยา

(◕‿◕✿)


ออฟไลน์ pearyypinkyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
chapter fourteen。

▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔




   ‘ ..กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมก็ได้’

   
   ร่างบางยืนไม่ไหวติง กระชับสายสะพายในมือให้แน่นขึ้น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างใช้ความคิด .. มันควรจะเป็นเรื่องที่ควรดีใจด้วยซ้ำ แต่ทำไมไม่รู้เหมือนกันที่ทำให้ไป่ไป๋ถึงรู้สึกใจหายแบบนี้

   ‘จำตอนที่เพิ่งเข้าปีหนึ่งมาใหม่ๆได้ไหม?’

   ‘…’

   ‘กูกับมึงแทบไม่ได้คุยกันสักคำเลย..’

   ‘อือ จำได้’

   ‘กลับไปเป็นเหมือนตอนนั้นกันนะ’ พิวมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนกำลังชั่งใจอยู่กับสิ่งที่ได้ยิน ถ้าอีกฝ่ายเลือกที่จะปฏิเสธก็ไม่เป็นไร เพราะไป๋เองก็ถอดใจไปจนไม่คิดว่าคนที่เขาเคยขอร้องให้กลับมาเป็นเพื่อนกันในวันนั้น จะกลับมายืนตรงหน้าในตอนนี้


   ‘เอาดิ ยังดีกว่าตอนนี้ตั้งเยอะเลย’



   ทันใดนั้นฝ่ามือขาวก็ประกบเข้าหาฝ่ามือใหญ่ทันที

   ส่งยิ้มให้กันเหมือนอะไรหนักๆบนบ่าได้ถูกยกออกไป

   ไม่ได้เลิกรัก แต่บางทีนี่คงเป็นทางที่ทำให้เจ็บปวดได้น้อยที่สุด   

   กลับไปเป็นศูนย์ ยังไงมันก็ต้องดีกว่าสูญเสียอยู่แล้ว..



   ‘แล้วกับพลอยใส .. ดีกันแล้วเหรอ?’ คำถามจากร่างสูงทำเอาเขานั้นรู้ได้ทันทีว่าอีกคนเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่มาได้สักพักแล้ว

   ‘อื้ม ดีกันแล้ว’

   ‘..เหรอ’ พิวตอบรับเสียงอ่อย คำพูดที่สามารถตีความได้ทั้งสองแง่นั่นอาจทำให้คนฟังเข้าใจผิดได้ แต่คนตัวเล็กกว่าก็เลือกที่จะไม่อธิบายต่อให้กระจ่าง เนื่องจากไม่รู้ว่าอธิบายไปแล้วจะเกิดผลดีอย่างไร

   ‘ป่านนี้ไอ้ตุลลี่กับไอ้ยีนส์รอแย่แล้ว บ๊ายบายนะไว้เจอกัน’

   ‘บาย’




   และนั่นก็คือเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงเย็นของเมื่อวาน


   อย่าเพิ่งคิดไปไกลนะครับว่าพอพวกผมตกลงคืนดีเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมแล้วนั้น จะสามารถกลับมาไปไหนมาไหนด้วยกันสองคนอีก .. หยุดความคิดนั้นไว้ก่อนครับ เพราะผมเป็นคนบอกไปแล้วว่าความสัมพันธ์ของเราจะต้องกลับไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น เป็นเพื่อนก็เหมือนไม่ใช่อย่างไรอย่างนั้น


   “ไอ้ไป๋ มึงฟังกูอยู่ปะเนี่ย?”

   “เออ ฟังๆ แต่ที่มึงอธิบายมากูก็ไม่เข้าใจอยู่ดีอะ” จะพลิกชีทในมือตะแคงซ้ายขวา หรือจะซูมอินซูมเอ้าท์อย่างไร ผมก็ไม่เข้าใจเนื้อหาของมันอย่างแท้จริงเลย เพราะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนหัวช้าก็เลยรีบทยอยทำความเข้าใจในวิชาที่ไม่ถนัดเสียตั้งแต่ตอนเนิ่นๆ แต่ก็เหมือนว่าจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร


   “มึงลองไปทำโจทย์ดู กูก็จนปัญญาจะอธิบายละ”

   “เดี๋ยวทำ นั่งอ่านมาเป็นชั่วโมงแล้ว กูขอเบรกแปป”

   “อาทิตย์นี้กลับบ้านปะมึง?” คำถามจากไอ้ยีนส์ทำเอาผมต้องยืมนิ้วมือขึ้นมาช่วยในการนับเลขตามจำนวนสัปดาห์ที่อยู่หอติดต่อกันมา ก่อนจะพบว่าผมไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเดือนกว่าๆแล้ว เนื่องด้วยภารกิจและโปรเจคต่างๆทำให้ต้องใช้เวลาเสาร์อาทิตย์ในการทำงาน จนลืมกลับบ้านกลับช่องไปเลย

   “ตอนแรกว่าจะนั่งตัดต่องานที่หอ แต่เพิ่งนึกได้ว่าเอากลับไปทำที่บ้านก็ได้นี่หว่า”

   “โห่ ไรวะ ทิ้งกูอยู่หอคนเดียวได้ลงคอ”

   “มึงไม่ต้องมาพูด อาทิตย์ที่แล้วมึงก็ทิ้งให้กูอยู่คนเดียว”

   “เออเนอะ ฮ่าๆ” เมื่อไอ้ยีนส์เห็นว่าผมกำลังเตรียมเถียงคืนคอเป็นเอ็นก็ถอดใจถอยทัพเพราะเถียงไปยังไงก็แพ้ความจริงอยู่ดี

   ไม่รอช้าทิ้งชีทเรียนไว้บทโต๊ะอ่านหนังสือ พร้อมทุ่มตัวลงเตียงนอนตั้งใจจะพักสายตาจากเหล่าตัวหนังสือยึกยือ แต่ก็ไม่วายคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นแก้เครียด

   ทันทีที่เชื่อมต่อวายฟายของหอการแจ้งเตือนของแอพพลิเคชั่นต่างๆก็เด้งเตือนขึ้นมาประปราย แต่ก็ยังไม่สนใจที่จะเข้าไปอ่านดู เพราะต้องรีบเข้าไลน์ไปพิมพ์ข้อความส่งไปในกลุ่มครอบครัวของเขาเพื่อป้องกันการลืม จนเขาอาจจะได้อยู่หอต่ออีกอาทิตย์เสียก่อน


paipai : ป๊าม๊า ศุกร์นี้มารับไป๋ที่มอหน่อย
paipai : อยากกลับบ้านแล้ว   

MAMA ♥ : นึกว่าลูกชายคนเล็กลืมทางกลับบ้าน
MAMA ♥ : ไอ้แฮปปี้ลืมหน้าไปแล้วมั้ง



   ผมเผลอยิ้มให้หน้าจอสมาร์ทโฟนเมื่อแม่พูดถึงแฮปปี้ หมาพันธุ์ปั๊ก อายุไม่ถึงขวบดี ที่เจ้าตัวเป็นสุดที่รักของทั้งบ้านขึ้นมา โดยเฉพาะทั้งป๊าและม๊าของผมเนี่ยแหละ หลงมาจนหัวปักหัวปำกันไปสุดๆเลย


                     
paipai : คิดถึงอะ ถ่ายส่งให้ไป๋ดูหน่อย

MAMA ♥ : แปปนะ
MAMA ♥ : ม๊าทำไม่ค่อยเป็น
MAMA ♥ : *ส่งรูป*
MAMA ♥ : เดี๋ยวนี้พี่ปุ๋ยชอบซื้อขนมไร้สาระ
MAMA ♥ : มาให้แฮปปี้กิน
MAMA ♥ : อ้วนตุกตักเลย


   “ฮ่าๆๆๆ” คราวนี้ผมถึงขั้นที่ต้องหัวเราะเปล่งเสียงออกมาดังๆ หลังจากนี้ได้เปิดภาพใหญ่ของหมาที่ม๊าส่งมาให้ เพราะเจ้าแฮปปี้ที่ว่านั่นเมื่อเดือนก่อนนู้นยังเป็นหมาพันธุ์ชิสุตัวเล็กน่ารักน่าเอ็นดูอยู่เลย แต่ตอนนี้มันกลับดูอ้วนขึ้นอย่างที่ม๊าพูดไว้จริงๆ



                     
paipai : 5555555

PAPA ♥ : ให้ไปรับตอนไหน

                     
paipai : ไป๋เลิกเรียนเที่ยง

PAPA ♥ : ป๊าเลิกงานห้าโมง
PAPA ♥ : เดี๋ยวไปรับตอนเย็นนะ


                     
paipai : มาตอนไหนก็ได้ป๊า
                     paipai : ไป๋ไม่รีบ
                     paipai : วันศุกร์เจอกันครับ
                     paipai : *ส่งสติ๊กเกอร์*

MAMA ♥ : *ส่งสติ๊กเกอร์*

ป.ปุ๋ย : ม๊า ขนมที่ปุ๋ยให้ไอ้ปี้กินเป็นขนมเพื่อสุขภาพนะ
ป.ปุ๋ย : ปุ๋ยอุตส่าห์ไปซื้อถึงนนฯเลยนะม๊า
ป.ปุ๋ย : เงียบ..
ป.ปุ๋ย : ..
ป.ปุ๋ย : เอ้อ ไปก็ได้


                     
paipai : 555




   หลังจากพูดคุยและนัดหมายการกลับบ้านในวันศุกร์กับผู้ปกครองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้มานอนมองเพดานสีขาวหม่นเพราะความเก่าอยู่เงียบๆ จะลุกไปอ่านหนังสือก็ขี้เกียจ แต่จะเล่นโทรศัพท์ต่อก็รู้สึกผิด

   “แม่งอ่านไม่เข้าหัวเลยว่ะ .. ไป๋ ไปปั่นจักรยานรอบมอกัน”

   “ห้ะ ตอนนี้เนี่ยนะ”

   “เพิ่งสองทุ่มเอง ป่ะ เตรียมตัว” เมื่อผงกหัวขึ้นมามองนาฬิกาตั้งโต๊ะว่าเวลาเพิ่งเลยสองทุ่มมาเพียงไม่กี่นาที เขาเด้งตัวลุกขึ้นจากที่นอนมาเก็บของที่จำเป็นเข้ากระเป๋ากางเกงจากคำชักชวนจากรูมเมททันที

   “ต้องชวนไอ้ตุลลี่ปะวะ?”

   “กว่ามันจะเยื่องกรายลงมาก็พอดีหอปิดอะกูว่า”

   “เออ งั้นเราไปกันเลย”




   จากนั้นเราทั้งสองคนก็ได้ขี่จักรยานคู่ใจของตัวเองออกมาปั่นออกแรงเพื่อให้สมองปลอดโปร่ง ด้วยความที่ยังเป็นช่วงหัวค่ำเลยทำให้ยังมีทั้งคนที่วิ่งออกกำลังกาย และคนที่ปั่นจักรยานเช่นเดียวกับเขาอยู่ นึกอยากขอบคุณผู้บริหารมหาวิทยาลัยหรือมีที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาและผลักดันให้เป็นมอสีเขียวอย่างมาก เพราะกลิ่นดินและกลิ่นไม้ยามหลังจากฝนที่ตกไปเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว


   “ไปนั่งเล่นที่เลค(Lake) กันป่ะ?” ยีนส์ที่ชะลอความเร่งการถีบให้จักรยานของเรามาเสมอกันเพื่อง่ายต่อการพูดคุย ส่วนเลคที่ว่านั่นนับเป็นหนึ่งในสถานที่พักผ่อนหย่อนใจในมอเรา มีลักษณะเป็นบึงน้ำโดยรอบๆจะเป็นพื้นหญ้าให้นักศึกษาได้มานั่งเล่นกัน และก็ถือว่าเป็นสถานที่ถ่ายรูปซึ่งเรียกได้ว่าเป็นที่ยอดนิยมอันดับต้นๆภายในมหาลัยเลยก็ว่าได้ ยิ่งเป็นช่วงเย็นในตอนที่ดวงอาทิตย์กำลังตกแล้วจะสวยกว่าตอนอื่นเป็นหลายเท่า


   “เออ ไปๆ” และเราก็หักเลี้ยวปั่นจักรยานไปอีกทาง ถึงแม้ระยะทางมันจะไกลไปสักเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา


   เราขับมาถึงยังจุดหมาย ไฟจากริมทางช่วยส่องสว่างทำให้พื้นที่แถวนี้ไม่ดูเปลี่ยว ประกอบกับยามรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่ในแทบทุกหัวมุมเลยทำให้สถานที่นี้ดูไม่น่ากลัวแม้จะเป็นในตอนกลางคืนก็ตาม นักศึกษาก็จะนั่งกันให้เห็นบ้างประปราย ทั้งคนที่เป็นแฟนกันหรือแม้กระทั่งกลุ่มเพื่อนที่หอบเอากีตาร์มานั่งเล่น จนเลคดูครึกครื้นขึ้นมาทันตา



   จนสุดท้ายเราก็พากันมานั่งตรงพื้นหญ้ากว้างที่ไม่ห่างและไม่ใกล้วงเล่นดนตรีนั่นจนเกินไป หญ้าเปียกชื้นเพราะฝนที่ตกลงมาในตอนเย็นของวันนี้ จนเราต้องเอารองเท้ามารองนั่งแทนการนั่งลงด้วยก้นเปล่า


   “วันนี้พระจันทร์สวยจังเลยว่ะ”

   “กลมเหมือนพุงมึงเลยว่ะยีนส์”

   “เชี่ย เดี๋ยวมึงรอปิดเทอมก่อน กลับบ้านไปแล้วกูจะฟิตหุ่นให้มึงดู”

   “กูก็บอกแล้วว่าอย่าแดกเบียร์ตอนอ่านหนังสือเยอะ .. ลงพุงเป็นตาแก่เลย” พูดถึงเรื่องเบียร์ที่รูมเมทผมนั้นชอบนักชอบหนา เพราะเจ้าตัวลงทุนซื้อจากเซเว่นนอกมอแล้วแอบใส่กระเป๋าเอาเข้ามากินในหอ ซึ่งในแต่ละครั้งนั้นก็ซื้อได้แค่ทีละกระป๋องเท่านั้น เนื่องจากตู้เย็นหอเราเป็นตู้เย็นของส่วนรวม ใช้กันทั้งชั้น จะเอาไปแช่ก็กลัวคนจับได้ จะกินแบบไม่เย็นก็กลัวจะไม่อร่อย

   “ไม่แดกมันก็อ่านไม่รู้เรื่อง”

   “มึงคิดไปเองสัส”

   “เพราะมึงหัวตันหรอกแดกไปก็เลยไม่ช่วยอะไร”

   “พ่อง มึงไม่โดนกูทุบสักวันมึงจะนอนไม่หลับใช่ไหม” จากนั้นยีนส์คนปากหมาเมื่อกี๊ก็ยกแขนขึ้นกำบังกำปั้นของผมเป็นพัลวัน คงเป็นเพราะความเหนื่อยจากระยะทางที่ปั่นจักรยานมา ยีนส์จึงถอดใจแล้วนั่งนิ่งๆให้ผมทุบหนึ่งทีตามความสะใจ จากนั้นเราต่างคนต่างเลิกสนใจอีกฝ่ายแล้วหันมานั่งมองบรรยากาศเบื้องหน้า

 
   ภาพของผืนน้ำสะท้อนดวงจันทร์กลมโต ไม่มีเมฆใดใดบนผืนฟ้าหลงเหลือให้เห็น เสียงเพลงคลอไปกับสายลมเอื่อยๆ สูดหายใจเอาอากาศจากธรรมชาติเข้าปอด นานแค่ไหนมาแล้วที่เขาไม่ได้ผ่อนคลายมากถึงขนาดนี้

   ตัดสินใจหยิบกล้องโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายเก็บภาพสวยงามเบื้องหน้าเอาไว้ ปกติถึงเขาจะไม่ใช่คนสุนทรีย์ชอบภาพรูปวิวหรืออะไรขนาดนั้น แต่บรรยากาศในตอนนี้มันทำให้เขานึกเสียดายที่กล้องไม่สามารถเก็บความรู้สึกเอาไว้ด้วยได้ เมื่อหามุมที่ชอบและกดถ่ายได้แล้วก็เข้าแอพเฟซบุ๊คอัพโหลดรูปที่เพิ่งถ่ายไปเมื่อครู่ พร้อมกับแคปชั่นภาษาอังกฤษที่เคยเห็นแล้วรู้สึกนึกชอบลงไป


Paipai Paponwit

To the moon and back ☾






   “ยีนส์ มึงเคยอกหักปะวะ?” ตัวคนเล็กที่เอาแต่นั่งกอดเข้าเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าถามคนที่นั่งข้างๆเสียงแผ่ว สายตาเหม่อลอยเหมือนคนมีเรื่องให้คิดตลอดเวลา ส่วนคนถูกถามพอได้ยินดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจ แต่ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา เขาเลือกที่จะหันไปมองดวงจันทร์ และนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในวันวาน


   “..เคยดิ”

   “กูนึกว่ามึงจะตอบว่าไม่เคยซะอีก”

   “ทำไมมึงถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”

   “มึงมันมั่นหน้าเกินกว่าที่กูจะจินตนาการว่ามึงเที่ยวเอาหัวใจไปให้ใครหักอกมา” ยีนส์หลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ หลังจากที่ฟังเสียงคล้ายคนกระซิบแถมยังแฝงไปด้วยคำด่าอยู่กลายๆให้ตอกหน้าคนฟังเล่นๆ
   

   พื้นหญ้าริมบ่อน้ำเริ่มเงียบลง เนื่องจากกลุ่มของวงกีตาร์ได้เก็บของและกลับออกไปแล้ว ทำให้ที่นี่เหลือผู้ร่วมชมวิวอยู่เพียงไม่กี่ท่าน และเมื่อความวุ่นวายอันไพเราะได้ออกไป ความสงบก็ได้มาแทนที่ ทั้งเสียงกิ่งไม้เสียดสีกันจากที่ไกลๆ รวมถึงการส่งเสียงร้องของสัตว์จำพวกแมลงต่างๆ

   พวกเขาทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ได้แต่ทิ้งให้ตัวเองให้อยู่กับตะกอนอันขุ่นมัวของเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในหัว


   “กูเคยแอบชอบผู้หญิงคนเดียวกับเพื่อน..” เสียงห้าวเกริ่นเรื่องของความรักของตัวเองให้อีกฝ่ายได้ฟัง ไม่บ่อยนักที่ยีนส์จะตัดสินใจเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง ..

   “หือ”

   “กูชอบผู้หญิงคนนั้น แต่ถ้าจะให้กูเลือก ยังไงเรื่องเพื่อนกูก็มาก่อนอยู่แล้ว”

   “…”

   “กลายเป็นว่าเพื่อนกูจีบเขาติดแล้วได้เป็นแฟนกัน ส่วนกู..”


   ด้านอันขมขื่นค่อยๆฉายขึ้นสู่ใบหน้าเรียบเฉย แม้เรื่องมันจะกลายเป็นอดีต แต่อย่างน้อยครั้งนึงมันก็เคยทำให้คนเราเจ็บปวด อย่างที่ใครเคยบอกกันว่าเราจำความรู้สึกไม่ใช่บุคคล ดังนั้นไม่ว่ากี่ครั้งที่นึกถึงเรื่องเก่าๆ ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นมันก็ยังชัดเจนขึ้นมาเสมอ


   “ก็มองสองคนนั่นวนเวียนอยู่ใกล้ๆ”

   “เป็นคนดีเนอะ”

   “เปล่าเลย มันไม่ใช่การเสียสละแบบที่มึงคิดหรอก” เขารู้ว่าแต่ละคนย่อมมีทัศนคติต่อความรักแตกต่างกันไป ส่วนตัวเขาเองนั้นเชื่อว่า ความรัก เท่ากับ การเสียสละ มันเป็นแค่นิยามในอุดมคติเท่านั้น

   เอาเข้าจริงแล้วไม่ว่าใครที่ได้พบเจอกับสิ่งที่เรียกว่า รัก เมื่อไหร่ ก็ย่อมหน้ามืดตามัว ฝักใฝ่จะไขว่คว้าเอามาเป็นของตัวเองอย่างเดียว   

   เพราะฉะนั้น สำหรับยีนส์แล้ว ..


   “กูแค่ไม่อยากเสียเพื่อนไปแค่นั้นเอง”


   “ทำยังไงมึงถึงตัดใจได้อะ?”

   “ทำไมมึงพูดเหมือนคนไม่เคยอกหักเลยวะ?” คนตัวสูงที่นั่งเหยียดขาอย่างสบายใจเอ่ยถามขึ้นแบบขำๆ ก็แหงล่ะ คนที่ไม่เคยมีแฟนมาทั้งชีวิตอย่างยีนส์น่ะเหรอจะไปโชกโชนเรื่องรักๆใคร่ๆเท่าไป่ไป๋วงเวียนใหญ่ไปได้ .. ไม่มีทาง

   “มันไม่เหมือนกันนิ”

   “ไม่เหมือนกันยังไง?” ไป๋ผลุบสายตามองเงาจันทร์บนผืนน้ำแทนของจริง เพราะร่างบางใช้เวลาครุ่นคิดเรื่องนี้มาสักพักได้แล้ว ถึงได้กล้าพูดออกมาด้วยความมั่นใจ

   “ตอนพลอยใสอะ กูเสียใจมากๆ แต่ก็แยกแยะเรื่องพวกนี้กับเรื่องเรียนได้นะ..” จู่ๆเสียงก็ขาดหายเหมือนมีก้อนหนักๆขวางอยู่ช่วงลำคอขึ้นมา

   “แล้วตอนนี้อะ?”

   “วันๆเอาแต่คิดเรื่องของเขา ในหัวก็มีแต่เรื่องของเขา”

   “อ่าฮะ”

   “เข้ามาให้ความหวังกู แล้วยังมีหน้ามาโกหกกู”

   “อื้อ ต่อเลย” เป็นฝ่ายของยีนส์ที่เขยิบเข้ามาใช้วงแขนพาดโอบไหล่อีกฝ่ายเอาไว้ ดวงตาตี่เล็กเป็นเอกลักษณะประจำตัวนั่น บัดนี้กลับก้มลงมองใบหญ้าเขียวแทนท้องฟ้าและบ่อน้ำที่ดูสวย น่ามองกว่า

   “คิดว่าคนที่มีแฟนเป็นผู้หญิงมาทั้งชีวิตอย่างกูจะยอมรับอะไรแบบนี้ได้แค่เพราะแม่งบอกจะจีบเหรอ .. เฮอะ” ไป่ไป๋ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองนั้นได้พูดประโยคก่อนหน้าด้วยน้ำเสียงที่เพียงยีนส์ฟังในครั้งแรกก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือน้ำเสียงของการประชดประชัน พุดจบนั้นศีรษะทุยก็ทิ้งลงมาบนหัวไหล่ของรูมเมทตัวเองอย่างหาที่พึ่งพิง

   “แล้วอะไรทำให้มึงยอมรับได้อะ?”

   “มันทำให้กูมีความสุข ..”

   “...”

   “มันลูบหัวกูก็มีความสุข เวลามันยิ้มให้กูก็มีความสุข ไลน์หากันก็มีความสุข .. บางทีแค่ยืนข้างกันกูก็ยังเรียกมันว่าความสุขเลย”

   “เป็นเอามากนะมึงเนี่ย”

   “อือ มึงคิดเหมือนกูเลยว่ะ” ตอนนี้คงทั่วไปคงมองว่าเขาทั้งสองคนเป็นคู่รักกันอย่างแน่ๆ เพราะไม่ว่าจะด้วยเสียงคุยงุ้งงิ้งๆ ท่าทางการนั่ง อีกทั้งมือซ้ายของคนตัวสูงกว่าที่ในตอนแรกจับจองพื้นที่ของบ่าอีกคน ได้เปลี่ยนมาเกาะกุมเล่นผมนุ่มสีเข้มแล้วเป็นที่เรียบร้อย

   “กับไอ้พิว เลือกจำแค่เรื่องดีๆก็พอ”

   “อือ ขอบคุณมึง”

   “จะกลับห้องเลยไหม?” เมื่อเห็นว่าคนตัวขาวเริ่มใจเย็นลง คนที่รับบทเป็นเพื่อนที่แสนดีก่อนหน้าก็ผละตัวออกเตรียมปั่นจักรยานกลับหอทันที

   “มึงนั่งเล่นอีกแปปนึงได้ป่ะวะ ขึ้นไปกูก็อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องอยู่ดีอะ”

   “เออ ได้ๆ”





   หลังจากจบเหตุการณ์ดราม่า แม้น้ำตาไม่แตก แต่ก็แลกมาด้วยรอยยุงกัด ยิ่งเป็นหน้าฝนด้วยแล้วขอบอกได้คำเดียวว่ากลับหอไปคงต้องพึ่งด้วยแซมบัคเสียแล้ว นั่งดูดวงจันทร์ไปสักพักก็เริ่มรู้สึกเบื่อ แต่อีกใจก็ยังไม่อยากกลับห้องไปอ่านหนังสือในตอนนี้ เลยตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถเล่น แล้วผมก็ต้องตกใจให้จำนวนเลขบนปุ่มกระดิ่งนั่น

   เนื่องด้วยนานทีปีหนผมถึงจะได้อัพสเตตัสแต่ละครั้ง ยิ่งเป็นรูปและข้อความชวนเลี่ยนแบบนี้แล้ว คงไม่แปลกที่เพื่อนเขาพากันกระหน่ำเข้ามากดไลค์และคอมเม้นต์กันไปในเชิงต่างๆ


Mister Tulalala อะไรวะ ไปไหนกัน ทำไมไม่ชวนกู
Samui Samuisamui เลี่ยนสัส
Gas Krub ครามบอกไป๋เพ้อ



   หรือแม้กระทั่งคนข้างๆที่ไม่รู้ว่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นตั้งแต่เมื่อไหร่..


   “เขร้ ไอ้ไป๋อัพเฟซเหรอวะเนี่ย?”

   “เสือกไรมึ๊ง”

   “โอ้โห ทูเดอะมูนแอนด์แบ็ค..”

   “...” ผมเงียบลงเพื่อดูรีแอคชั่นของอีกฝ่ายว่าจะงัดอินเนอร์แบบไหนมาใช้

   “ ..มันแปลว่าอะไรวะ?”

   “ช่างแม่งเหอะ ไม่รู้ก็ดีแล้ว” ถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้รูปพร้อมแคปชั่นที่เพิ่งลงไปจะไม่ได้มีความหมายแฝงอะไรมากนัก แต่ก็ยังดีที่ไอ้ยีนส์ไม่รู้ความหมายของคำที่ว่านั่นไม่งั้นเดี๋ยวมันต้องหาเรื่องเชื่อมโยงแล้วได้หาเรื่องแซ็วเข้าแน่ๆ

   “เดี๋ยวกูเม้นต์แปป” พูดจบเจ้าตัวก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพิมพ์แล้วหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขอยู่คนเดียว ไม่นานโทรศัพท์ในมือผมก็สั่นขึ้น ไม่รอช้าต้องรีบเข้าไปดูว่าไอ้ยีนส์มันไปเล่นอะไรแผลงๆเข้าหรือเปล่า

   แล้วก็พบกับ...


Jeans Yossawee มาไลค์ให้ตามคำขอร้องแล้วนะ


   “ใครไปขอร้องมึ๊งงงงง”

   กวนตีนเก่งงงงงง


(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-09-2018 23:52:45 โดย pearyypinkyy »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด