กินข้าวกันต่ออีกบทนะครับ

32
อนุภาพกับคชานนท์ทานข้าวกันเงียบๆ คชานนท์ทานข้าวเยอะ เห็นตัวไม่ใหญ่แต่น้องชายอธิคมทานข้าวจานที่สองกำลังจะหมด และมีท่าทางจะต่อจานที่สาม
...เหมือนพี่ชาย ดูยังไงคชานนท์ก็เหมือนพี่ชาย ต่างกันอย่างเดียวคือดวงตาและการพูด
...ดวงตาจริงจังกับดวงตากรุ้มกริ่ม
...ฉลาดลึกซึ้งกับเจ้าเล่ห์
อนุภาพเปรียบคชานนท์กับอธิคมอยู่ในใจ พลันนึกต่อไปว่าบางทีทั้งสองคนอาจจะเหมือนกันในจุดนี้ด้วยก็ได้
คชานนท์มีลักษณะเป็นนักการฑูตที่ถนัดเรื่องการต่อรอง โน้มน้าว ชักจูงคนให้ทำตามที่ตัวเองต้องการ ส่วนอธิคมก็ไม่ค่อยต่างกัน เพียงแต่วิธีของทั้งสองไม่เหมือนกัน
คชานนท์ใช้เพียงคำพูด แต่อธิคมทำทุกอย่าง แม้แต่ติดสินบนสิงห์ รปภ. ประจำคอนโดของเขา หรือแม้แต่แม่บ้านประจำตึก สมบัติ อธิป พจนีย์ โดนอธิคม "ใช้งาน" ทั้งสิ้น และแม้กระทั่งน้องชายของธงรบก็ไม่เว้น
ในงานเลี้ยงแต่งงานของพจนีย์ เขาได้มีโอกาสคุยกับร้อยตำรวจโทชัชชัย น้องชายของธงรบ จึงได้รู้ว่า วันที่อธิคมให้ชัชชัยนำรถจากอู่ซ่อมรถมาส่งให้ที่บริษัท อธิคมสั่งให้ชัชชัยวางดอกกุหลาบไว้บนเบาะ แล้วแอบดูจนกว่าเขาเก็บดอกไม้ไว้ในรถ แล้วจึงรีบโทรไปรายงานให้อธิคมทราบ หลังจากนั้น คนเจ้าแผนการยังมีหน้ามานั่งถามเขาว่าทิ้งดอกไม้ไปหรือยัง
"คุณนุครับ คิดอะไรอยู่" คชานนท์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ "ผมเรียกตั้งนาน ไม่เห็นตอบ นั่งเหม่ออีกแล้ว"
อนุภาพยิ้มบางๆ เอื้อมมือไปตักอาหารให้คชานนท์ "ลองแกงโฮะดูสิครับ เจ้านี้อร่อย ผมซื้อบ่อยๆ"
คชานนท์กล่าวขอบคุณเบาๆ จ้องมองอาหารแปลกตรงหน้าแล้วยิ้มกว้าง "แกงอะไรไม่มีน้ำ" คชานนท์ทำท่าคิดแล้วพูดว่า "เหมือนเย็นตาโฟ ตอนแรกนึกว่าของหวาน ที่ไหนได้..."
อนุภาพหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินคชานนท์เปรียบเทียบอะไรแปลกประหลาด
"พี่คมเคยหลอกพาผมไปทานของหวานแลกกับการให้ผมเฝ้ารถให้ พอไปถึงที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยวผมก็ยังแปลกใจ ถามว่าร้านก๋วยเตี๋ยวมีของหวานด้วยหรือ พี่คมบอกว่ามีสิ เย็นตาโฟไงล่ะ เขามักจะทานหลังก๋วยเตี๋ยว พอแม่ค้าเอามาเสริฟ ผมก็ยังเชื่ออยู่เพราะเห็นเป็นสีแดงๆ พอตักเข้าปากเท่านั้นล่ะ รู้ซึ้งเลย"
อนุภาพหัวเราะ นึกภาพอธิคมแกล้งน้องแล้วก็น่าสงสารคชานนท์
"ตอนเริ่มเป็นหนุ่มพี่คมชอบล้อผมว่าเป็นคุณหนู อยู่บ้านก็มีคนทำอะไรให้ ไปโรงเรียนก็มีคนขับรถไปส่ง ตัวเองแบกกระเป๋าวิ่งขึ้นรถเมล์ มาล้อผมว่าทานอาหารข้างนอกบ้านก็ทานแต่ในร้านอาหาร แต่คุณนุรู้ไหมครับ พี่คมเองนั่นล่ะ ซักผ้าก็ไม่เป็น ทำอาหารก็ไม่ได้ อะไรๆ ก็ให้คนใช้ทำให้ แม้ตอนไปเรียนนายร้อย ยังขนเสื้อผ้าใส่กระเป๋ากลับมาให้คนที่บ้านซักรีดให้เลย แล้วแม่ก็เป็นคนจัดกระเป๋าให้ เย็นวันอาทิตย์แทนที่จะแค่หยิบกระเป๋าเดินไปขึ้นรถ ยังมีคนถือไปใส่ท้ายรถให้อีกต่างหาก"
อนุภาพพยักหน้าเห็นด้วย เพราะเขามีประสบการณ์มาแล้ว ครั้งหนึ่งเขาวานให้อธิคมหุงข้าวให้เพราะต้องรีบวิ่งออกไปซื้อมะนาวกับเห็ดฟางเพื่อมาทำต้มยำ เขาใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีออกจากบ้านไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ กลางซอย เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ตกใจที่เห็นข้าวสวยกลายเป็นข้าวต้มเละๆ ฟองอากาศเอ่อล้นออกมาจากหม้อหุงข้าวเลอะโต๊ะไปหมด อธิคมให้เหตุผลว่า "ผมอยากให้ข้าวมันนุ่มๆ จะได้กินคล่องคอ"
อนุภาพกับคชานนท์รับประทานอาหารเสร็จก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นพอดี อนุภาพเปรยว่าแบบนี้คงไม่ต้องทานอะไรไปอีกหลายมื้อ แต่คชานนท์บอกว่าตัวเองคงต้องทานอีก เพราะอีกสามสี่ชั่วโมงเขาคงหิว
"เลี้ยงไม่ไหว" อนุภาพส่ายหน้า เอื้อมมือไปหยิบผ้ามาเช็ดมือหลังจากล้างจานเสร็จ หันไปมองคชานนท์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หัวโต๊ะทานอาหาร มือถือมีดกำลังปาดแอปเปิ้ลส่งเข้าปาก
"เจริญอาหารดีจัง นี่ถ้าผมอยู่แพร่ต่ออีกซักอาทิตย์สองอาทิตย์ กางเกงคงคับหมด" คชานนท์มองอนุภาพยิ้มๆ
"เพราะเรามีเวลาทาน ไม่เร่งรีบเหมือนอยู่ที่กรุงเทพฯ นี่ครับ"
"มิน่า คุณนุถึงอยากอยู่ที่นี่" คชานนท์พูดเสียงเรียบ แต่คนฟังรู้สึกได้ว่าแอบตัดพ้อแทนพี่ชาย
"คุณนุครับ ทำไมทิ้งพี่คมมาอยู่เสียไกลทั้งๆ ที่ยังรักกันอยู่" จู่ๆ คชานนท์ก็ถามโพล่งออกมา
อนุภาพนึกไว้อยู่แล้ว หนึ่งวันเต็มๆ ที่อยู่กับคชานนท์เขาเริ่มที่จะเรียนรู้ลักษณะของน้องชายอธิคม คชานนท์เป็นคนมีสองบุคลิก ดูขี้เล่น สดใส ร่าเริง แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเคร่งขรึม จริงจังและเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุมากนัก
"อยากรู้จริงๆ หรือครับ" อนุภาพถาม วางผ้าเช็ดมือ มือสองข้างวางลงบนโต๊ะ ลูบไล้ไปมาเบาๆ ถอนหายใจช้าๆ ก่อนจะตอบคชานนท์ว่า "เพราะตอนนั้นผมเห็นว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด"
อนุภาพตอบเพียงแค่นั้น แล้วนิ่งเงียบ คชานนท์ไม่ถามต่อ หากนั่งมองอนุภาพอย่างคิดคำนึง พยายามนึกปะติดปะต่อเรื่องราวที่เขารู้อยู่บ้างเข้ากับสิ่งที่เขาได้เห็นและได้สัมผัสเมื่อมาถึงแพร่
เขารู้แน่นอนอยู่ว่าอนุภาพยังรักอธิคมอยู่ ส่วนพี่ชายเขาไม่ต้องพูดถึง รักและอาวรณ์อนุภาพจนเหลือที่จะกล่าว อนุภาพนั้นดูเป็นคนมีสองบุคลิก ดูอ่อนแอแต่ก็ดูเข้มแข็ง และก็คงใจแข็งไม่น้อย แต่ในขณะเดียวกันก็มีความสับสันอยู่ในตัว คล้ายจะตัดสินใจไม่ได้
...เขานี้ล่ะ จะช่วยให้อนุภาพตัดสินใจให้ได้ เขาสงสารพี่ชาย สงสารอนุภาพ สงสารอาวุธ
...ความรักมันควรจะทำให้คนมีความสุข ไม่ใช่ทุกข์ แม้เราจะยอมรับอยู่บ้างตามที่เคยได้ยินกันมาว่า...ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ แต่ทุกข์นั้น ไม่ควรจะกัดกร่อนใจจนแหลกสลายไป
อนุภาพจงใจตอบคำถามกำกวมเพราะรู้ดีว่าคชานนท์ฉลาดพอที่จะวิเคราะห์คำตอบนั้นได้เอง
...นี่คือวิธิที่ดีที่สุด...เขาบอกตัวเองว่าอย่างนั้น
...วิธีที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะตัดสินใจอีกเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะทำอย่างไรดีกับชีวิต...
เขายอมรับว่าวิธีนี้โหดร้ายไปหน่อยสำหรับอธิคม แต่ตอนนั้น ไม่เคยคิดเลยว่าอะไรจะออกมาแบบนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าจะทำให้อธิคมมานอนอยู่บนเตียงในห้องไอซียู ไม่เคยคิดว่าจะทำให้อธิคมต้องมาผิดใจกับอาวุธ ไม่เคยคิดว่าตัวเองกลับจะต้องมาทุรุนทุรายได้ขนาดนี้
...เย็นวันนั้นที่นายตำรวจหนุ่มบุกมาที่บ้าน ทะเลาะกับอาวุธ ต่อยเพื่อนไปหลายหมัด อ้อนวอนให้เขาเปลี่ยนใจกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง คืนนั้นเขาได้ตระหนักว่าใครคือคนที่มีค่าที่สุดของเขา
...เย็นวันนั้นที่เขาเห็นอธิคมเดินคอตกกลับไปที่รถ รู้ทั้งรู้ว่าสารวัตรมือปราบดื่มเหล้าเข้าไปไม่น้อย อาจจะขับรถประสบอุบัติเหตุ แต่เขาก็ปลอบใจตัวเองว่า อธิคมเป็นคนคอแข็ง ดื่มเหล้าเป็นถังก็ยังไม่เมา เหมือนที่อธิปเพื่อนรุ่นน้องเคยเล่าให้ฟัง คืนนั้นเขาได้ตระหนักว่าใครคือคนที่เขาห่วงใยที่สุด แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่า หลังจากอธิคมผิดหวังออกไปจากบ้านของเขาแล้ว จะนำกำลังเจ้าหน้าที่ดักซุ่มและเข้าจับกุมผู้ค้ายาเสพติดตั้งแต่กลางดึก ข้ามคืนจนถึงเกือบเที่ยงวันถัดไป
ในสภาพที่ทั้งร่างกายและจิตใจไม่มั่นคง อธิคมที่เคยเข้มแข็งกลับอ่อนแอจนเพลี่ยงพล้ำต่อโจรผู้ร้าย ถูกยิงจนบาดเจ็บแทบเอาชีวิตไม่รอด
...นี่หรือคือวิธีที่ดีที่สุด ตอนนี้อนุภาพเริ่มไม่แน่ใจว่าความคิดของตัวเองถูกต้อง
คชานนท์ขอเป็นคนขับรถไปโรงพยาบาล อนุภาพคอยบอกทางชายหนุ่มเป็นระยะ ไม่ถึงสิบห้านาทีทั้งสองก็มายืนอยู่หน้าตึกโรงพยาบาล
ขณะนี้เป็นเวลา 18.00 น. รอบข้างมืดสลัว หน้าหนาวความมืดมาเยือนเร็วกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำเภอเล็กๆ กลางหุบเขาเช่นนี้
ก่อนจะก้าวขึ้นบันได คชานนท์แตะแขนอนุภาพแล้วกล่าวว่า "คุณนุครับ ถ้าเกิดขึ้นไปแล้วพี่คมรู้สึกตัวแล้ว คุณนุจะว่ายังไง"
อนุภาพชะงัก บอกไปตามตรง "ยังไม่รู้สิครับ ก็คงถามว่าเป็นยังไง เจ็บแผลหรือเปล่า"
"จะยกโทษให้พี่คมไหมครับ" คชานนท์พูดยิ้มๆ ตรงไปตรงมาอีกแล้ว
"ยกโทษให้ตั้งนานแล้ว แต่ที่จริง ผมไม่ได้เกลียดสารวัตรนี่นา จะต้องให้ยกโทษทำไม"
"แล้วทำไมต้องเลิกกับพี่คมล่ะครับ ถ้าไม่ได้เกลียดกัน ทำไมต้องแยกกัน ผมไม่เห็นมันจะมีความสุขที่ไหนเลย หรือว่าคุณนุเลิกกับพี่ชายผมไม่ใช่เหตุผลที่เด็กเก่าพี่คมตามระรานคุณนุ หรือเรื่องเข้าใจผิดที่กระบี่" คชานนท์มองอนุภาพนิ่ง ยังไม่ยอมขยับก้าวขึ้นบันได
อนุภาพถอนหายใจเบาๆ เดินเลี่ยงไปยังใต้ต้นไม้ด้านข้างที่มีมานั่งสีขาวตั้งอยู่ ชายหนุ่มยืนมองอยู่ชั่วครู่และในที่สุดก็ตัดสินใจบอกคชานนท์
"คุณนนท์ครับ ที่ผมเลิกกับสารวัตรไม่ใช่เรื่อง...ไม่ใช่เรื่องกษิดิษฐ์ หรือเรื่องที่กระบี่ ไม่ใช่เพราะสารวัตรเจ้าชู้หรือไม่เลิกเจ้าชู้ แต่เป็นเหตุผลบางอย่างที่ผมยังตอบไม่ได้"
"ผมสงสารพี่ชายผม พี่คมทรมานมากตลอดหลายเดือนที่อยู่คนเดียว ผมแวะไปหาที่บ้าน เห็นสภาพแล้วก็รู้สึกแย่ ไม่นึกว่าพี่จะเป็นเอามากถึงขนาดนี้ เกิดมาไม่เคยพี่คมอ่อนแอแบบนั้น" คชานนท์แทรก "พี่คมไม่ได้ขอให้ผมมาพูดกับคุณนุหรอก ผมพูดเอง เพราะทนเห็นคนสองคนที่รักกัน แต่ต้องมาทุกข์ทรมานกันแบบนี้ คุณนุบอกผมได้ไหมล่ะ ว่าไม่รู้สึกเสียใจที่อยู่คนเดียวโดยไม่มีพี่คม"
อนุภาพนิ่ง คชานนท์พูดได้แทงใจเขาเป็นที่สุด เขารู้ว่าที่คชานนท์พูดนั้นเป็นความจริงทุกอย่าง แต่เขายอมรับว่าตอนที่จากอธิคมมา ตัวเองยังรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่มันยังกีดขวางเขากับอธิคมอยู่ เหมือนเส้นบางๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร รู้แต่เพียงว่า เวลานั้น เมื่อได้ก้าวออกมาแล้ว จะให้ย้อนกลับไปและเผชิญกับอะไรเหมือนๆ เดิม เขาอาจจะรับไม่ได้ เขาอ่อนแอนัก เขารู้ตัวเองดี ทุกทีที่เกิดอะไรขึ้น เขาก็อ่อนไหว เสียใจได้ง่ายๆ แต่ทำไมยังอยากจะเสี่ยงกับอธิคมอีกล่ะ อาวุธต่างหากที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีวี่แววอะไรเลยที่จะทำให้หวั่นใจว่าชีวิตรักจะไม่ราบเรียบ
...อยู่กับอธิคมต่างหาก ต้องคอยกังวล หวาดหวั่นว่าเมื่อไหร่อธิคมจะดีแตก เมื่อไหร่จะเห็นภาพบาดตาบาดใจ เมื่อไหร่จะมีคนโผล่ขึ้นมาพยายามแย่งอธิคมไป...เขาเหมาะกับอธิคมหรือ กษิดิษฐ์เคยพูดใส่หน้าเขาตรงๆ ว่า เขาไม่เหมาะกับอธิคม
..."พี่คมเหมาะกับผมต่างหาก อย่างคุณ เอาพี่คมไม่อยู่หรอก"...
...จริงหรือ จะให้เขาตามหึงหวงอธิคมเช่นนั้นหรือ เขาทำไม่ได้หรอก จะให้คอยสู้กับคนที่จ้องจะแย่งนายตำรวจเสน่ห์แรงอย่างอธิคม เขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน แต่จะให้ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่สนใจว่าใครจะมายุ่งกับสารวัตร และเผลอๆ สารวัตรรูปหล่ออาจจะเผลอตัวเผลอใจ พ่ายแพ้ต่อการยั่วยวน เขาก็ทำไม่ได้...
"คุณนุครับ ให้โอกาสพี่คมอีกครั้งได้ไหม และที่สำคัญ ให้โอกาสตัวเองด้วย พี่วุธก็อาจไม่ต้องเจ็บมากไปกว่านี้" คชานนท์ขอร้อง น้ำเสียงหนักแน่น แววตาจริงจัง ในใจมุ่งมั่นว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะทำให้ทั้งสองกลับมาอยู่ด้วยกันอีกให้ได้ วิญญาณพ่อสื่อเข้าสิงแล้วนี่ ยังไงต้องทำให้สำเร็จ
...ปัญหาที่สำคัญคือสารวัตรอาวุธ พี่ชายเขาบอกว่าหน้าที่เขาคือกันอาวุธออกไป แต่จะทำอย่างไรกันเล่า จะหลอกล่ออาวุธคงทำได้หรอก รายนั้นฉลาดจะตาย จะใช้ลูกไม้เดิมๆ ที่เขาเป็นพ่อสื่อให้เพื่อนๆ ก็ไม่น่าจะได้ผล แล้วที่สำคัญ จะหาใครที่ไหนมาเบี่ยงเบนความสนใจของอาวุธไปจากอนุภาพ ท่าทางอาวุธคงชอบอนุภาพมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่พ่ายแพ้ต่อใจตัวเองจนแทรกเข้ามาในชีวิตคู่ของพี่ชายเขา แม้จะบอกว่าเข้ามาตอนที่อนุภาพกับอธิคมแยกกันอยู่ ยังไงก็เรียกว่าแทรกแซงอยู่ดี
เขารู้จักอาวุธดี เผลอๆ จะรู้จักดีกว่าที่พี่ชายเขากับธงรบรู้จักคนที่ในสมัยเรียนนายร้อยเรียกกันเองว่าเป็นหนึ่งในสามทหารเสือ ซึ่งหากปล่อยไว้อย่างนี้ อธิคมคงเกลียดอาวุธอาวุธจนแทบไม่มองหน้าและไม่พูดถึง
อนุภาพขยับตัว หันหลังกลับกำลังจะก้าวเดินไปที่บันไดทางขึ้นตึก คชานนท์ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแล้วขยับตัวตาม
"คุณนุครับ อย่าโกรธผมนะที่ผมพูดตรงๆ นิสัยผมเป็นแบบนี้ล่ะ แก้ไม่หาย เป็นห่วงคนนั้นคนนี้ไปทั่ว อยากให้แต่ละคู่เขามีความสุข"
"ผมเข้าใจครับ คุณนนท์ก็คงอยากจะเห็นพี่ชายมีความสุข" อนุภาพก้าวขึ้นบันได้ได้สองก้าวจึงหันมาพูดกับคชานนท์ต่อว่า "ผมก็อยากให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีเหมือนกัน แต่มันต้องใช้เวลา อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้ไปเชียงใหม่เสียก่อน"
...เขาต้องไป...เขาต้องไปที่นั่น เมื่อนั้น เขาจะได้เอาชนะความอ่อนแอของตัวเอง...
พยาบาลขอให้คชานนท์กับอนุภาพรออยู่หน้าห้องไอซียูเพราะกำลังย้ายผู้ป่วยที่อยู่เตียงฝั่งตรงข้ามกับอธิคมออกไป ชายชราคนนั้นเสียชีวิตแล้ว หลังจากที่นำตัวเข้าห้องไอซียูเมื่อเช้าวันนี้
"คุณนนท์" อนุภาพพึมพำเสียงเบา มือแตะทาบอยู่บนกระจกเย็นเฉียบ ตามองชายหนุ่มตัวโตที่นอนอยู่บนเตียงในห้อง อธิคมหายใจเป็นจังหวะ ดูราวกับพักผ่อนธรรมดา ทว่า เป็นการนอนหลับที่ยาวนานเหลือเกิน
"คุณนุครับ พี่คมดูดีขึ้นมาก ไม่ต้องกังวลหรอก" คชานนท์เข้าใจความรู้สึกของอนุภาพดี แต่ก็อดดีใจไม่ได้ด้วยซ้ำที่มาเห็น "ภาพที่ไม่ควรเห็น" ในห้องไอซียู
ชายชราที่เสียชีวิตอาจทำให้อนุภาพตระหนักได้ว่า เวลาของปัจจุบันที่กำลังดำเนินไปนั้นมีค่ายิ่งนัก ทำไมจะปล่อยให้ปัจจุบันกลายเป็นอดีตที่น่าเสียดาย
...เสียดายที่ไม่ได้แก้ไขอะไรๆ ให้ถูกต้อง
คชานนท์เชื่อนักว่า อนุภาพก็คงน่าจะกำลังคิดอะไรคล้ายๆ กันกับเขา ณ เวลานี้
"น่าสงสารคุณลุงคนนั้น ไม่มีญาติซักคนมาอยู่ด้วยตอนสิ้นลม น่าเสียดายเวลาที่หายไป" คชานนท์พูดเบาๆ ตามองผ่านกระจกเข้าไปในห้อง
อนุภาพเข้าใจว่าคชานนท์ต้องการสื่ออะไร หากเป็นเวลาปกติเขาก็อยากจะย้อนชายหนุ่มว่า ช่างรู้จักใช้คำพูดกระทบกระเทียบคนเหลือเกิน แบบนี้ไม่น่าจะเป็นนักธุรกิจ น่าจะไปเป็นอาจารย์สอนปรัชญาด้วยซ้ำ
ในที่สุด อนุภาพและคชานนท์ก็ได้เข้าเยี่ยมอธิคม พยาบาลบอกว่านายตำรวจหนุ่ม "คนป่วยที่รูปหล่อที่สุด" ที่เธอเคยเห็นมา รู้สึกตัวแล้วเมื่อหัวค่ำ เอาแต่เพ้อเพราะมีไข้สูง และท่าทางคงเจ็บแผลมาก แพทย์จึงสั่งเพิ่มยาแก้ปวด
"เพ้อชื่อใครไม่รู้ค่ะ สงสัยเป็นแฟน เอาแต่พูดว่ารักๆ อย่าทิ้งผมไป ทำไมทิ้งผม ใครน๊อ ช่างใจร้ายใส้ระกำกับสารวัตรได้ หล่อเทพขนาดนี้ยังทิ้งได้ลงคอ อาภัพจริงๆ" พยาบาลส่ายหน้าแล้วเดินจากไป ทิ้งให้สองหนุ่มยืนมองคนรูปหล่อผู้อาภัพด้วยสีหน้าแตกต่างกัน อนุภาพใบหน้าเรียบนิ่ง ครุ่นคิด ในขณะที่คชานนท์อมยิ้ม ถูกใจ
"คุณนุ ผมปลุกพี่คมเลยนะ จะได้รู้ว่าคนที่เขาเพ้อถึงมายืนอยู่ข้างๆ แล้ว"
"อย่าเลยครับ" อนุภาพรีบห้าม "ให้สารวัตรพักผ่อนเถอะ"
"อ้าว ไม่อยากคุยด้วยหรือครับ เห็นคุณนุพร่ำอยากให้พี่คมฟื้น" คชานนท์ตีหน้าซื่อ
อนุภาพมองใบหน้าขาวสะอาดของคชานนท์ เงาของอธิคมทาบทับบนใบหน้าน้องชายซึ่งตอนนี้ชักทำหน้าตาเหมือนพี่ชายเข้าไปทุกที เขารู้ทันว่าคชานนท์จงใจยั่วเย้า แต่เขาไม่สนใจ แค่นี้ก็โล่งใจขึ้นเยอะที่รู้ว่าอธิคมรู้สึกตัวแล้ว หลังจากที่กังวลมานาน
"ผมอยากจะรู้เหมือนกันว่าพี่คมเพ้อชื่อใคร ใช่คุณนุหรือเปล่าน๊า ถ้าไม่ใช่จะเอาไม้เรียวฟาดเสียให้เข็ด"
"ลองเป็นชื่อคนอื่นสิ จะดึงน้ำเกลือออกเดี๋ยวนี้" อนุภาพเสียงเข้ม แต่นัยน์ตายิ้มๆ
"ร้ายเหมือนกันแฮะ เหมือนที่พี่คมเล่าให้ฟังเปี๊ยบเลย" คชานนท์เปรย อนุภาพเลิกคิ้วอย่างสงสัย คชานนท์จึงพูดต่อว่า "ตอนแรกผมก็นึกภาพไม่ออก เพราะคุณนุในความคิดของผมเป็นคนเรียบๆ นิ่งๆ ไม่ค่อยพูด"
"สารวัตรว่าผมร้ายหรือครับ" อนุภาพถาม
"เปล่าครับ แต่บอกว่าดุ" คชานนท์ยิ้มกว้าง ก้มลงมองอธิคมแล้วพูดว่า "ดุ แต่น่ารัก อ๊ะๆ อันนี้พี่คมพูดเองนะครับ" คชานนท์เงยหน้าขึ้นมาพูดกับอนุภาพ พยายามทำคะแนนให้พี่ชาย
คชานนท์กับอนุภาพใช้เวลาเยี่ยมสารวัตรผู้หลับไหลกว่าสิบนาทีแล้วจึงเดินออกจากห้องไอซียู กลับลงมาที่ชั้นล่างของโรงพยาบาล พลันได้ยินเสียงชายหนุ่มสองคนกำลังเถียงกันอยู่ อนุภาพหันไปจึงพบว่าเป็นอาทิตย์กับธงรบ
"ผู้กอง ทำตามที่ผมบอกได้ไหม กรุณาอย่าขัดคอผม ขี้เกียจพูดหลายครั้ง" อาทิตย์เสียงเข้ม ท่าทางอ่อนอกอ่อนใจ
"แหม ไอ้คมมันไม่หนีไปไหนหรอกน่า เรากินข้าวกันก่อนแล้วค่อยขึ้นไป"
"เดี๋ยวเขาหมดเวลาเยี่ยม"
"อ๊ะ ถ้างั้นก็เยี่ยมพรุ่งนี้ก็ได้" ธงรบยักไหล่ "มันคงอยู่อีกนาน"
"ก็มาแล้วจะเยี่ยมพรุ่งนี้ทำไมกันล่ะ" อาทิตย์ถอนหายใจแรงๆ ครั้นหันมาเจออนุภาพกับคชานนท์กำลังเดินตรงมาจึงรีบก้าวเข้ามาหา ทิ้งธงรบให้ยืนอยู่คนเดียว
อนุภาพสังเกตว่าธงรบกำลังแอบมองแพทย์หนุ่มคนหนึ่งที่ยืนคุยกับพยาบาลใกล้ๆ กับเคาท์เตอร์หน้าห้องตรวจ
"พี่นุ ขึ้นไปเยี่ยมสารวัตรหรือยังครับ ผมเพิ่งมาถึง กว่าจะออกจากโรงแรมได้ก็เกือบจะทิ้งผู้กองเสาธงไว้ที่โรงแรม" อาทิตย์ฟ้อง
อนุภาพพยักหน้า คชานนท์ยิ้มขันๆ เพราะรู้จักธงรบดี
"สารวัตรรู้สึกตัวแล้ว"
"จริงหรือครับ" อาทิตย์ตื่นเต้น "แล้วคุยได้หรือยังครับ"
"ยังหรอก ที่บอกรู้สึกตัวคือพยาบาลบอกว่ารู้สึกตัวแล้วตั้งแต่หัวค่ำ คงเพ้อเพราะพิษไข้ แต่พอพี่มาถึงสารวัตรก็หลับไปอีกเหมือนเคย"
"งั้นก็เป็นสัญญาณดีว่าสารวัตรไม่เป็นอะไร หายห่วงแล้ว" อาทิตย์ยิ้มให้อนุภาพ ยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์ ยิ้มที่ทำให้อนุภาพอดรู้สึกเสียใจไม่ได้
อาทิตย์...ชายหนุ่มที่มั่นคง แม้จะผิดหวังจากเขา แต่อาทิตย์ก็ยังคงรักและห่วงเขาตลอดเวลา แม้แต่รู้ว่าเขากำลังห่วงใยคนที่อาทิตย์เคยพร่ำรำพันว่าแย่งคนที่ตัวเองรักไป แต่อาทิตย์ก็ดีใจกับเขาด้วยที่ "คนที่แย่งของรักของตัวเอง" จะกลับมาทำให้เขามีความสุขอีกครั้ง
อาทิตย์เคยบอกว่า "ถ้าพี่นุมีความสุข ผมก็มีความสุข ถ้าสารวัตรทำให้พี่นุมีความสุข ผมก็อยากให้สารวัตรอยู่เคียงข้างพี่นุตลอดไป"
"ฮึ เดินมาก็ไม่บอก" ธงรบบ่น เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ อาทิตย์ที่ทำท่าไม่สนใจนายตำรวจเจ้าปัญหา "คุณนุ ทานข้าวหรือยังครับ ไปทานด้วยกันไหม" ธงรบชวน แต่ถูกอาทิตย์พูดขวางทันที
"ผู้กอง อย่ามัวแต่ห่วงกินเลย ขึ้นไปเยี่ยมสารวัตรก่อน" อาทิตย์หันมาหาอนุภาพและคชานนท์ "พี่นุ รออยู่นี่ก่อนนะครับ"
ชายหนุ่มหน้าตี๋เดินจากไป พร้อมส่งเสียงเรียกสารวัตรธงรบ
"ผู้กองตามมาสิครับ เดี๋ยวจะหาว่าไม่บอกอีก"
ธงรบถอนหายใจเบาๆ มองอนุภาพกับคชานนท์ยิ้มๆ ก่อนจะเดินทอดน่องตามอาทิตย์ไปช้าๆ พร้อมบ่นตามหลัง
"ก็มันหลับอยู่ ไม่รู้สึกตัว จะไปเยี่ยมมันทำไม๊ ไปถึงก็ได้แต่ยืนมองหน้า รอให้ฟืนก่อนค่อยมาเยี่ยมก็ไม่ได้"
ธงรบส่ายหน้า ไม่เข้าใจอาทิตย์นัก ทำเหมือนตัวเองเป็นอนุภาพก็ไม่ปาน ทั้งๆ ที่อธิคมแย่งอนุภาพไป ก็ยังอุตส่าห์เป็นห่วงเป็นใยอยู่ได้ แปลกคนจริงๆ อาทิตย์นี่...ธงรบคิดในใจแล้วรีบพยักหน้าเมื่อเห็นอาทิตย์หันกลับมาขมวดคิ้ว เหมือนจะเร่งให้เขารีบเดิน
"ร้ายขึ้นทุกวันนะอาตี๋" ธงรบบ่นต่อ แล้วก้าวเท้ายาวขึ้น เพลิดเพลินกับการมองด้านหลังของอาทิตย์ที่กำลังขึ้นบันได
เีดียะมีต่อ...