ตอนที่ 10: ท้องฟ้าสีชมพูกับหัวใจที่เต้นช้าลง
-ปลาฉลาม-“มึงมีเรื่องอะไรหรือเปล่าวะ”
ผมหันไปมองคนถาม นอร์ทจ้องหน้าผมเขม็งราวกับต้องการเค้นเอาคำตอบให้ได้ ผมไม่ตอบหันไปจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
“ว่าไงวะ”
“ไม่มี” ผมปิดล็อคเกอร์ สะพายกระเป๋ากีฬาขึ้นบ่าเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า นอร์ทเดินตามผมออกมาติดๆ
“มึงไม่ได้ทะเลาะกับลีใช่ไหม”
“ทำไมมึงถามแบบนั้นวะ” เดียวเดินรั้งท้ายกลุ่มเป็นคนถามขึ้น ผมเองก็สงสัยเช่นกัน
“มึงไม่สังเกตเหรอว่าวันนี้ไม่มีใครมาเลย”
“น้องก็มีธุระของมันบ้างหรือเปล่าวะใครจะว่างทุกวัน” เดียวส่ายหัวให้กับสันนิฐานของนอร์ท
“กูคงไม่สงสัยหรอกโว้ยถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อเช้ากูเห็นไอ้โชเมินลีกับตา มันไม่บังเอิญไปเหรอวะ”
“มึงเมินน้องเหรอ” เดียวหันมามองผม คิ้วขมวดเข้าหากัน
“เปล่า” ผมตอบด้วยความมั่นใจ “วันนี้กูยังไม่เจอลี”
“เจอ มึงเจอพร้อมกูที่หน้าตึกบัญชีไงวะ กูยังเห็นมึงมองไปทางน้องแต่เสือกทำเมินใส่ ลีแม่งยิ้มเก้อเลย”
ผมถอนใจยาวมองหน้าของนอร์ท พูดลงเสียงหนัก “กูไม่ได้เมิน”
“อย่าเถียงเพราะกูเห็นกับตา”
“มีอะไรหรือเปล่าโช หรือว่าที่บ้านปู่มีอะไรเกิดขึ้น”
“เออใช่! กูลืมไปเลยว่าเมื่อคืนมึงพาลีไปงานวันเกิดอายุทธนี่หว่า” นอร์ทยกนิ้วชี้หน้าผมเมื่อนึกขึ้นได้
“เมื่อคืนมึงไม่ได้ใจร้ายกับลีใช่ไหม” สีหน้าของเดียวจริงจัง ดูเป็นห่วงคนที่เอ่ยถึงมาก
“ไม่มีอะไร ทุกอย่างปกติดี” ผมตอบเลี่ยงถือว่าตัวเองไม่ได้โกหก ผมกับลีแม้ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบนรถ แต่ก็มั่นใจว่าเราไม่ได้ทะเลาะกัน
ในตอนนั้นผมยอมรับว่าโกรธมากเมื่อได้ยินสิ่งที่ลีพูด เหมือนถูกราดน้ำมันลงบนกองไฟที่ยังคุกรุ่นให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกโดดเดี่ยวพุ่งเข้าโจมตี เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเข้าใจจึงผิดหวังเมื่อได้ยิน
แต่เมื่อได้ฟังคำอธิบายของลี ผมใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ ค่อยๆ ซึมซับคำพูดของอีกฝ่าย ความร้ายกาจของอานรียังคงอยู่ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมจะลืมเลือนไปได้ง่ายๆ เพียงแต่คำพูดของลีทำให้ผมเริ่มมองภาพต่างออกไปจากเดิม ผมยกโทษให้อานรีอย่างที่ลีบอกไม่ได้ แต่ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมลีถึงอยากให้ผมยกโทษให้
“ถ้าไม่มีอะไรก็ดี เด็กกลุ่มนี้น่ารักกูไม่อยากให้ผิดใจกัน”
“อืม” ผมพยักหน้าส่งๆ นึกถึงเรื่องที่ไม่ได้เล่าออกไป
ตั้งแต่เด็กจนโต ผมเป็นคนเฉยชากับทุกสิ่ง ไม่แคร์ความรู้สึกคน ไม่สนใจว่าใครจะคิดหรือจะพูดอะไร มันเป็นวิธีป้องกันตัวเกิดขึ้นเองตามวันเวลา การสนใจทุกอย่างให้น้อยลงทำให้เรารู้สึกกับทุกอย่างน้อยลงด้วยเช่นกัน
แต่เมื่อคืนผมกลับลืมสีหน้าของลีไม่ได้ เหมือนมีบางอย่างติดค้างอยู่ในใจ เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกแคร์ใครสักคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท ผมตัดสินใจกลับรถมุ่งตรงไปยังบ้านของลี แต่แล้วก็ต้องจอดรถข้างทางเพราะนึกไม่ออกว่าผมควรพูดอะไร ผมไม่เคยง้อใครและง้อไม่เป็น
สุดท้ายเมื่อไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ผมจึงตัดสินใจซื้อของกินเข้าไปให้เพราะจำได้ว่าลีบ่นว่าหิว อย่างน้อยก็เป็นการแสดงออกให้รู้ว่าผมไม่ได้โกรธ เด็กฉลาดอย่างลีต้องรู้สิว่าผมไม่ได้คิดอะไรแล้ว
“ไปหาอะไรกินดีกว่ากูหิวแล้ว สงสัยกูคิดมากไปเอง ถ้ามึงไม่เห็นลี ลีก็อาจไม่เห็นมึงเหมือนกันมั้ง” ดูเหมือนนอร์ทจะเลิกสนใจเรื่องนี้แล้ว
“ไหนมึงว่าน้องยิ้มเก้อ” เดียวถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่องนิดๆ
“ก็กูพูดอยู่นี่ไงว่ากูคิดไปเอง น้องมันอาจจะยิ้มให้คนอื่น ยิ้มให้ดินฟ้าอากาศก็ได้มั้ง ก็ตอนนั้นกูคิดว่าไอ้โชเมินน้องนี่หว่า กูเลยสรุปเป็นตุเป็นตะ”
“มึนนี่น้า ทำเอากูปวดหัวไปด้วย” เดียวกอดคอนอร์ทเดินนำออกจากสระว่ายน้ำ ผมอดมองไปทางอัฒจันทร์ไม่ได้ ลีเห็นผมอย่างทีนอร์ทคิดหรือเปล่า แล้วจะคิดว่าผมเมินตัวเองไหม เจ้าเด็กนั่นออกจะคิดบวก เห็นๆ อยู่ว่าเมื่อคืนผมกลับไปง้อ คงไม่เอาเรื่องมาบวกกันหรอกมั้ง ต้องคิดได้อยู่แล้วว่าผมไม่เห็น
“ไอ้โชจะไปไหม”
“อืม” ผมออกเดินตามหลังเพื่อน ไม่มีอะไรหรอกน่า มันก็มีธุระของมัน
• • • • • • • •
“วันนี้ก็ไม่มาเหรอวะ” เดียวมองไปทางอัฒจันทร์ พวกผมเพิ่งมาถึง วันศุกร์แบบนี้กลุ่มของลีมักมาถึงก่อนพวกผม
“ให้ไอ้นอร์ทโทรหาไหมเดี๋ยวกูโทรบอกมันให้” วันนี้นอร์ทไม่ได้มากับพวกผม เห็นว่านัดสาวคนใหม่เอาไว้ เป็นเด็กคณะบัญชี คนที่แวะไปหาเมื่อวาน
“ไม่ต้อง อยากมาก็มาเอง ไม่อยากมาจะโทรตามทำไม”
“ก็เผื่อไม่สบายมึงไม่ห่วงเลยเหรอวะ”
ผมเลือกกที่จะไม่ตอบ ทำทุกอย่างตามปกติ เปลี่ยนเสื้อผ้า อบอุ่นร่างกาย ฟังโค้ช ลงซ้อม เดียวเลิกถามผมเรื่องนี้อีกเมื่อเห็นว่าผมไม่สนใจ มีเพียงเสียงบ่นที่ลอยตามลมมา “กูลืมไปว่านี่คือมึง”
“โช มีอะไรหรือเปล่าทำไมวันนี้ไม่มีสมาธิเลย” ร่างสูงรอผมอยู่ที่ขอบสระ พี่ปืนเป็นโค้ชที่เข้ามาช่วยดูทีมผมตามคำเชิญของอาจารย์ พี่ปืนเป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัย จบออกไปแล้ว ปัจจุบันเป็นนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติ
“ขอโทษครับ” ผมยกมือขึ้นลูบน้ำออกจากหน้า พี่ปืนมองผมนิ่งคล้ายกำลังประเมิน
“พี่ไม่เคยเห็นโชเสียสมาธิมาก่อน ไม่ว่ามีเรื่องอะไรกวนใจอยู่ลืมให้ได้ก่อนลงสระ วินาทีเดียวก็มีความหมาย”
“ครับ”
“ใกล้แข่งเต็มทีแล้ว ทุกแมทมีผลกับอนาคตของโช ถ้าคิดจะเป็นนักกีฬาทีมชาติต้องพยายามกว่านี้”
“เข้าใจแล้วครับ”
“ขึ้นไปพักก่อนแล้วค่อยลงใหม่”
“ครับ” ผมพาตัวเองขึ้นจากน้ำ สายตามองตรงไปยังอัฒจันทร์ ยังไม่เห็นแม้แต่เงา
“โช”
“ครับ” ผมหันกลับไปมองพี่ปืน
“พี่เชื่อมาตลอดว่าเราทำได้แน่ อย่าพลาดตอนนี้ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไรจัดการให้เรียบร้อยก่อนวันแข่ง”
“ครับ”
ผมเดินตรงไปยังเก้าอี้ข้างสระ เดียวยื่นผ้าเช็ดตัวให้ผม สายตามองเลยไปยังพี่ปืน
“มีอะไรกันวะ”
“ไม่มีอะไร” ผมรับผ้าเช็ดตัวมาเช็ดผม นั่งลงข้างเดียว
“เคี่ยวมึงอีกแล้วดิ กูว่าพี่ปืนแม่งจริงจังกว่าอาจารย์อีกมั้ง”
“พี่ปืนเป็นคนตั้งใจ ทำอะไรทำจริง” พวกผมทันพี่ปืนในปีสุดท้าย เป็นรุ่นพี่ที่เป็นแรงบันดาลใจให้รุ่นน้องทุกคน ทุ่มเท จริงจังและ
มีเป้าหมายชัดเจน
“นั่นสิวะ เวลากูยิ้มทักนับครั้งได้เลยที่ยิ้มตอบ โคตรของโคตรจริงจัง บางทีกูว่าพี่ปืนแม่งจริงจังเกินไป กูเคยสงสัยว่าตะคริวจะกินหน้าพี่แกบ้างหรือเปล่า”
“มึงก็พูดเกินไป กูก็ไม่ยิ้ม” ผมหันไปมองหน้าเดียว
“มันไม่เหมือนกัน มึงไม่ยิ้มเพราะนิสัยมึงเสียไงแต่พี่ปืนแม่งจริงจังกับชีวิตเกินไป”
“มึงอยากพูดเรื่องพี่ปืนหรือแค่จะหาเรื่องด่ากู” ผมมองหน้าเพื่อน เดียวยักคิ้ว หัวเราะเสียงดัง
“ฮ่าๆ กูไปซ้อมดีกว่า”
ผมมองตามแผ่นหลังของเดียว เราต่างมีความฝันเดียวกันคือติดทีมชาติให้ได้ แม้ความฝันนั้นจะขัดกับความต้องการของปู่ก็ตาม ‘ครอบครัวเราทำธุรกิจ เราเป็นลูกนักธุรกิจ’ ปู่มักพูดคำนี้เสมอ แต่ผมกลับคิดว่าผมเป็นลูกแม่ค้าขายอาหารมากกว่า
สายตาของผมเบือนไปมองอัฒจันทร์ จู่ๆ ก็คิดถึงรอยยิ้มของใครบางคนขึ้นมา ตกลงวันนี้ก็ไม่มาจริงๆ สินะ
• • • • • • • •
“โช แม่ทำกับข้าวไว้ให้แล้วนะ แม่จะกลับไปเปลี่ยนน้านุ่มที่ร้าน”
“ครับแม่” ผมตะโกนตอบจากในห้อง แม่ไม่เคยยอมให้ผมไปช่วยที่ร้าน ด้วยเหตุผลว่าผมซ้อมมาเหนื่อยแล้วควรได้พักผ่อน ร้านของแม่เป็นร้านอาหารเล็กๆ มีแม่กับน้านุ่มเพื่อนสนิทเป็นหุ้นส่วนกัน มีเด็กช่วยในร้านสามคน ผมดีใจที่แม่มีความสุขในร้านของตัวเอง แม้มันจะเล็กแต่ไม่เคยอึดอัด
ผมวางจอยเกมลง สายตาเลื่อนไปจับจ้องยังมือถือที่วางไว้ข้างตัว ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจึงหยิบขึ้นมา
สบายดีไหมผมกดลบข้อความที่เพิ่งพิมพ์ลงไป
ไม่สบายเหรอเป็นอีกครั้งที่ผมกดลบ
จริงสิ! ผมยกยิ้มมุมปาก พิมพ์ข้อความด้วยความรวดเร็ว
ช่วงนี้ว่างไหม พี่ธามกับธารีจะนัดกินข้าว บอกให้พาเราไปด้วยผมกดส่งข้อความแล้ววางโทรศัพท์ลงข้างตัว หยิบจอยเกมขึ้นมาเล่นต่อ แต่สายตาเจ้ากรรมเอาแต่เหลือบมองโทรศัพท์ เมื่อเสียงข้อความเข้าดังขึ้นผมเกือบโยนจอยเกมทิ้ง
ว่างครับแค่นี้! เจ้าตัวดีส่งข้อความมาแสนสั้น ไม่คิดจะบอกกันเลยเหรอว่าหายไปไหนมา
ไอ้เดียวถามหาผมพิมพ์กลับไปอีกครั้ง
เหรอครับ ดีใจจัง ฝากบอกพี่เดียวด้วยว่าผมคิดถึงงงงง!!!
ไอ้เด็กน่ารำคาญ! ผมโยนโทรศัพท์ทิ้ง รู้สึกหัวเสียขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
เสียงข้อความเข้าดังขึ้นอีกครั้ง ผมเหลือบตามอง ก่อนหยิบขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
แต่ผมคิดถึงพี่โชมากกว่า รอก่อนนะเสร็จงานกลุ่มแล้วจะรีบไปหาเลย ใครรอเรา ผมพิมพ์ข้อความตอบกลับไป ความขุ่นมัวในใจหายไปสิ้น
โห ใจร้ายยย เพิ่งรู้เหรอ ไม่เป็นไร ร้ายก็รักแหละ !!!
พี่ทั้งคน มันจะเว้นช่วงทำไมวะไอ้เด็กเปรต!!
เสร็จงานเมื่อไหร่ก็บอกมาจะได้นัดทางโน้น ครับผม ผมวางโทรศัพท์ลง เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังยิ้มริมฝีปากจึงหุบฉับ เป็นอะไรของมึงวะ ผมส่ายหัวให้กับตัวเอง
หิวชะมัด!
ผมลุกขึ้นยืน สายตามองตรงออกไปนอกหน้าต่างห้องนอน สนามเด็กเล่นที่หน้าบ้านตกอยู่ภายใต้แสงสีส้มอมชมพูของพระอาทิตย์ยามโพล้เพล้ ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ถ่ายภาพชิงช้าที่ไม่มีคนนั่ง กดส่งรูปนั้นให้กับใครบางคน
ไม่เห็นมีใครชอบเล่น ผมหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง เปิดประตูเดินลงไปชั้นล่าง ตักกับข้าวที่แม่ทำไว้ให้มานั่งกิน ในหัวปลอดโปร่งไม่มีเรื่องค้างคาใจ ไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับว่าปัญหาที่กวนใจผมทำให้ขาดสมาธิคือเจ้าเด็กอะเลิร์ทนี่เอง
ผมใช้เวลากินข้าวเกือบครึ่งชั่วโมง หิวโหยอย่างไม่น่าเชื่อ จัดการล้างจานเก็บให้เรียบร้อย เปิดตู้เย็นหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม มองกระป๋องเบียร์ที่อยู่ในตู้
ก็แค่เปลี่ยนบรรยากาศน่า
ผมเปิดประตูบ้าน เดินตรงไปยังสนามเด็กเล่น นั่งลงบนชิงช้าสีฟ้า ขยับเท้าดันให้มันเคลื่อนที่ ลมเย็นพัดเอื่อย ท้องฟ้าข้างบนเป็นสีชมพูสวย
หัวใจของผมเต้นในจังหวะที่ช้าลง เจ้าเด็กเพี้ยนคงรู้สึกแบบนี้สินะ ตอนที่นั่งมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ภาพในวันนั้นยังติดตา ผมเคยสงสัยว่าเจ้าตัวดีมองอะไรบนนั้นอยู่ได้เป็นนานสองนาน วันนี้ผมได้คำตอบแล้ว มันคือความสบายตาและสบายใจ
ผมใช้เวลาอยู่ที่นั่นนานกว่าที่คิด กว่าจะรู้ตัวท้องฟ้าก็กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม เสียงเตือนข้อความเข้าดังเบาๆ ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดู
ก็มีคนเล่นนี่ครับ ^^ ผมหันไปมองรอบๆ ทันทีที่เห็นรูปบนหน้าจอ ลุกขึ้นเดินดูอีกครั้งให้แน่ใจแต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนถ่าย ดูจากภาพแล้วท้องฟ้ายังไม่มืดเท่านี้ เจ้าตัวดีคงกลับไปนานแล้ว ผมลืมคิดว่าบ้านของอีกฝ่ายอยู่ไม่ห่างจากผมมากนัก จากถนนใหญ่ขับรถไปอีกไม่ถึงกิโลเมตร เพี้ยนจริงๆ เห็นชิงช้าไม่ได้หรือไงไหนว่ายุ่งมาก
ผมก้มลงมองรูปที่ได้รับอีกครั้ง สีหน้าของผมดูอ่อนโยน ริมฝีปากติดรอยยิ้มนิดๆ ดูสงบและมีความสุข
เจ้าเด็กแสบเอ๊ย ถ้าเอามาล้อละน่าดู!!
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin