โทรครั้งที่ห้า______________________
Call 34
หลังจากทานข้าวเสร็จ โชนพาเอิ้นไปเดินเล่นตามทางเดิน ผ่านสวนสาธารณะ โชนเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาของเขาให้เอิ้นฟัง เป็นการเล่าเรื่องต่อหน้าครั้งแรกที่ไม่ผ่านการโทรศัพท์ น้ำเสียงของโชนยามที่ไม่ถูกกรองผ่านเส้นสัญญาณช่างนุ่มทุ้มน่าฟัง เอิ้นปล่อยให้โชนเล่าส่วนตนเป็นผู้รับฟังอย่างตั้งใจ
“พอไม่มีเรื่องสาวก็ไม่รู้จะปรึกษาอะไรคุณเอิ้นเลยแฮะ”
“...อันที่จริง ผมรับปรึกษาเรื่องนี้ได้ไม่ดีหรอก”
“ดีสิ เพื่อนผมไม่มีใครให้คำแนะนำดีๆ แบบคุณเอิ้นเลยสักคน”
“พวกเขาว่าอะไรหรือ”
โชนส่ายหน้า “พวกนั้นบอกว่าคุณเอิ้นสวยไป ไม่สนใจผมหรอก ให้ตัดใจ”
“...”
“แต่คุณเอิ้นไม่ได้พูดอย่างนั้น...”
“...ผมแค่...” เอิ้นไม่รู้จะบอกยังไง เขาไม่ได้เห็นคนที่โชนชมว่าสวย ตัวเขาที่อยู่ห่างๆ จึงได้แต่ให้กำลังใจโชน เพียงเพราะไม่ได้อยู่เคียงข้าง เลยอยากสนับสนุนอะไรเล็กๆ น้อยๆ ผ่านสายโทรศัพท์เท่านั้น
แต่ถ้าเอิ้นรู้ว่าโชนหมายถึงตน เขาก็คงบอกให้โชนเลิกสนใจเหมือนกัน
“อืม...คงต้องเปลี่ยนเรื่องแล้ว” สงสัยเพราะเอิ้นเงียบไปนาน โชนจึงพูดขึ้นตัดความเงียบ หาหัวข้อใหม่
“...”
“ผมถามเรื่องคุณเอิ้นบ้างได้ไหม”
“หืม”
“ตอนนี้คุณรู้ทุกอย่างของผมแล้วนี่ ผมเป็นนักศึกษาอยู่มหาลัยไหน เรียนคณะอะไร พักอยู่ที่ไหน เมื่อก่อนเป็นยังไง คราวนี้ตาคุณเอิ้นเล่าบ้างสิ”
“...เรื่องของผม...ไม่น่าสนใจขนาดนั้นหรอกครับ”
“เล่ามาเถอะนะ ผมอยากฟัง...”
เอิ้นถอนหายใจ เหลือบมองคนข้างๆ ที่ฉีกยิ้มหน้าแป้น รอฟังเรื่องราว
เอิ้นคิดว่าคราวนี้คงหาทางปฏิเสธไม่ได้แล้ว แต่อีกใจหนึ่งเขาก็อยากให้มีใครสักคนรับรู้เรื่องราวของเขาบ้าง ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีเพื่อน จึงไม่เคยเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟัง
หัวใจเอิ้นเต้นผิดจังหวะไปสักพักด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเริ่มเอ่ย
“ผมเป็นลูกคนเล็ก...”
“พอพ่อแม่และพี่ๆ รู้ว่าผมชอบผู้ชาย ผมก็ถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว”
“ส่วนพวกเขาก็อยู่บ้านอีกหลัง ไกลออกไปอีก”
“ผมไม่เป็นที่ยอมรับ ทั้งในสังคมและครอบครัว”
“ไม่มีใครอยากรู้ว่าผมต้องการอะไร หรือทำอะไรอยู่”
“พวกเขาปล่อยผมไว้ รอวันให้ผมตายอย่างโดดเดี่ยว”
“มีแค่ป้าภากับลุงวีที่คอยดูแลผม”
“พอคุณแกล้งโทรผิดมาผมเลยดีใจที่มีคนอื่นให้คุยบ้าง”
“แค่นั้นแหละ จบแล้ว”
“เดี๋ยวสิ” โชนร้อง “แล้วเรื่องก่อนหน้านี้ล่ะ ที่โรงเรียน สมัยมัธยม วีรกรรมต่างๆ”
เอิ้นเงียบ
และโชนก็รับรู้คำตอบได้ในความเงียบ
“ผมขอโทษ ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ”
Call 35
ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว โชนจึงเปลี่ยนเรื่องไม่ให้เอิ้นหงอยไปมากกว่านี้
“บ้านคุณอยู่ไหน เดี๋ยวผมไปส่ง”
“เอ๊ะ”
“บอกที่อยู่มาซะดีๆ” โชนเอ่ยเสียงทะเล้น ส่วนเอิ้นเบะปาก
“คุณส่งผมแถวนี้ก็ได้ เดี๋ยวผมให้ลุงวีมารับ”
“แล้วคุณเอิ้นจะบอกคุณลุงยังไง แถวนี้ไม่มีตู้โทรศัพท์นะ”
“ผมมีโทรศัพท์มือถือ”
“...”
โชนจ้องมองเอิ้นตาเขม็ง เขานึกว่าทำให้อีกฝ่ายโกรธอีกแล้ว
“คุณเอิ้นไม่เห็นบอกเบอร์มือถือให้ผมเลย”
“ผม...ผมแค่คิดว่าไม่จำเป็น คุณโทรมาตอนผมอยู่บ้านอยู่แล้วนี่”
“แต่ถ้าผมโทรเข้ามือถือก็จะเป็นส่วนตัวมากกว่าใช่ไหมล่ะ”
“...”
“แถมยังเป็นเบอร์สำรองได้ด้วย ถ้าคุณเอิ้นไม่ยอมรับโทรศัพท์บ้าน”
“ผมอยู่บ้านตลอด...”
“ไม่ให้แก้ตัวแล้วครับ ผมจะไปส่งคุณเอิ้นที่บ้าน”
“แต่...”
“ห้ามปฏิเสธด้วย”
สุดท้ายเขาก็ต้องยอมบอกที่อยู่ตนให้อีกฝ่ายเพราะทนแรงรบเร้าไม่ไหว คราวนี้เขาชิ่งวางสายหนีก็ไม่ได้แล้วด้วยเพราะไม่ได้โทรคุยกัน ที่อยู่ของเอิ้นไกลจากตรงนี้ไปเล็กน้อย พวกเขาจึงโบกรถสองแถวให้มาส่งหน้าหมู่บ้านเอิ้นแทน
“ผมกลับเองได้ คุณกลับเถอะ เดี๋ยวมืดกว่านี้จะอันตราย”
“บอกแล้วไงครับ ผมอยากไปส่งคุณเอิ้นถึงหน้าบ้าน”
“แต่...”
“ผมยังอยากอยู่กับคุณนะ ไปเถอะ”
เอิ้นยอมทำตาม เดินนำไปยังบ้านของตน ระหว่างทางโชนหาเรื่องพูดคุยไปเรื่อยไม่ให้เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเขา โชนกลัวเอิ้นจะอึดอัดที่ต้องอยู่กับเขาตามลำพัง รวมไปถึงต้องการแสดงให้เอิ้นเห็นถึงความจริงใจที่ตนมี เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเอิ้น ถึงแม้ว่าเอิ้นจะแตกต่าง
ระหว่างทางเดินจากหน้าหมู่บ้านไปยังบ้านเอิ้น โชนก็ชวนคุย
“คุณเอิ้นอยากลองชิมไอศกรีมที่เปิดใหม่ใกล้ม.ผมดูไหม ไว้ผมพาไป”
“จริงๆ ไว้สักวันเราไปดูหนังด้วยกันเถอะ”
“มีอะไรหลายอย่างที่ผมอยากทำกับคุณเอิ้นเยอะแยะไปหมด”
เอิ้นไม่ได้ตอบ อันที่จริงเขาคุยแข่งกับอีกฝ่ายไม่ทันเลยปล่อยให้โชนพูดคนเดียว
ยังไม่ทันจบเรื่องพูดคุยของโชน สุดท้าย ก็มาถึงหน้าบ้านของเอิ้น
“โห บ้านคุณเอิ้นหลังใหญ่จัง”
“...”
“อยู่คนเดียวต้องเหงาแน่ๆ ใช่ไหม”
“ผมชินแล้ว...”
“ไว้ผมจะโทรมาหาบ่อยๆ นะ โทรหาคืนนี้เลย คราวนี้รับสายด้วย”
“...”
“ถ้าไม่รับ ผมมาบุกถึงบ้านคุณแน่”
“...”
“ไม่เชื่อผมเหรอ”
“เชื่อแล้ว คุณกลับไปได้แล้ว”
โชนยกยิ้ม “หลังจากนี้คุณหนีไม่ได้แล้วนะ”
“...” เอิ้นไม่ตอบ ก้มหน้าหนีสายตาทะเล้นของอีกฝ่าย
“เราถือว่ารู้จักกันมานานแล้วเนอะคุณเอิ้น
“...อืม ก็นาน...มั้ง” เอิ้นคิด...ถ้านับรวมระยะเวลาที่โชนโทรคุยมาตลอดก็ถือว่าค่อนข้างนานพอสมควร
“รู้จักชื่อแล้ว เห็นหน้ากันแล้ว รู้ความลับแล้ว ไปเที่ยวด้วยกันแล้ว แถมผมยังมาส่งที่บ้านคุณได้อีก”
“...”
“จากนี้ไปเราเป็นเพื่อนกันนะ” โชนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มดุจแสงตะวัน
เอิ้นพยักหน้ารับ เขาไม่มีทางปฏิเวธความสัมพันธ์นี้หรอก ซ้ำยังดีใจด้วยซ้ำที่มีคนยอมเป็นเพื่อนกับคนอย่างเขา ก่อนที่เอิ้นจะเปิดประตูรั้วเข้าบ้านไป เขาชะงักพลันนึกขึ้นได้ถึงเรื่องสำคัญบางอย่าง หันมาบอกกับโชน
“อันที่จริง...ผมเป็นพี่คุณนะ”
Call 36
เอิ้นกับโชนกลับมาคุยกันผ่านโทรศัพท์เช่นเดิม โชนต้องรีบเร่งเรียนให้ทันเพื่อน เหตุเพราะมัวแต่วุ่นเรื่องเอิ้นจนไม่เป็นอันตั้งใจเรียน เขาเลยไม่มีเวลาไปหาเอิ้นอย่างที่ใจนึก
หลังจากตอนนั้นที่โชนกลับไป เขาโทรมาหาเอิ้นแล้วรีบพูดใส่
“คุณแก่กว่าผมงั้นหรือ”
“ใช่ ผมเรียนป.โทแล้วน่ะ”
“แล้วผมต้องเรียกว่าพี่ไหม พี่เอิ้นๆๆ”
“พอแล้ว หยุดเลย เรียกแบบเดิมนั่นแหละ”
เอิ้นดีใจที่ได้กลับมาคุยกับโชนอีก แค่ในฐานะเพื่อนก็ดีแล้ว จะมีสักกี่คนที่ยอมรับเขาได้ขนาดนี้
“พี่เอิ้น~”
“หยุดเลยนะ!”
อันที่จริง เอิ้นอยากให้โชนเรียกตนว่าพี่นั่นแหละ เสียแต่พอโชนเรียกจริงๆ เขากลับไม่ชิน และเขินขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาคุ้นชินกับคำเรียกแบบเดิมมากกว่าและขอร้องให้อีกฝ่ายอย่าเปลี่ยนมัน
เพราะจะเป็นเขาเองที่จะเขินจนทนไม่ไหว
“คุณเอิ้น”
“หืม”
“เรียกผมว่าโชนบ้างสิ”
“ไม่เอา...”
“ทำไมล่ะ เป็นเพื่อนกันแล้วนะ”
“เป็นเพื่อนแล้วเรียกคุณไม่ได้หรือ”
“มันก็จะดูไม่สนิทสนมกันน่ะสิ”
“ก็...” เอิ้นเว้นวรรคยาว แม้จะรู้จักกันนานแต่ก็ยังไม่สนิทกันจริงๆ น่ะสิ ถึงได้ไม่กล้าเอ่ยเพียงชื่อธรรมดา เอิ้นกลัวว่ามันจะดูเสียมารยาท “เรียกแบบนี้แหละ”
“โถ่ คุณเอิ้น”
“ครับ คุณโชน”
Call 37
“คุณเอิ้น เย็นนี้ไปดูหนังกัน” หลังจากที่โชนได้เบอร์โทรศัพท์มือถือขเอิ้นมา เขาก็สามารถโทรหาอีกฝ่ายได้ทุกเวลา ไม่แค่เฉพาะตอนเย็น หรือค่ำๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“ผมไม่ว่าง”
“ทำอะไร”
“ทำวิจัย”
“พี่เอิ้น...”
“หยุดทำเสียงอย่างนั้นเลยนะ”
“คุณเอิ้นไม่อยากไปดูหนังกับผมเหรอ”
“อย่างอแงสิคุณ ผมต้องทำงานนะ คุณไม่มีงานหรือไง”
เอิ้นมายืนรออีกฝ่ายที่หน้าโรงหนัง
เขาล้มเหลวในการเถียงอีกฝ่าย อันที่จริง ในใจลึกๆ เอิ้นเองก็อยากเจอโชนเช่นกัน เขาไม่ได้เจอกันมาเกือบอาทิตย์แล้ว
โชนมาถึงหลังจากนั้นห้านาที
“เอิ้นอยากดูเรื่องอะไรไหม”
“ไม่อ่ะ คุณเลือกเถอะ”
“โอเค งั้นดูเรื่องนี้กัน”
พวกเขาใช้เวลาหลังดูหนังเสร็จไปกับการวิพากษ์วิจารณ์ตัวหนังในร้านอาหาร โชนเป็นคอหนังสุดฤทธิ์ เขาเก็บแทบจะทุกรายละเอียดของตัวหนัง ไม่ว่าจะเป็นการแสดง การจัดแสง การตัดจังหวะ รวมไปถึงเสื้อผ้าและฉากประกอบ
เอิ้นไม่ได้ชอบดูหนังเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น
แต่เขาก็ไหลตามน้ำไปกับอีกคน
เพียงเพราะอยากคุยด้วยนานๆ
Call 38
เอิ้นเริ่มไม่เข้าใจว่าโชนทำเช่นนี้ทำไม หลังจากที่โชนชวนเขาดูหนังครั้งก่อน ไม่กี่วันถัดมาโชนก็ชวนให้เอิ้นมาเจอกันในอาทิตย์นี้ แม้โชนจะเคยบอกชอบเอิ้น แต่เอิ้นไม่แน่ใจเลยสักนิดว่ามันเป็นคำว่าชอบแบบชู้สาว เอิ้นคิดว่าโชนคงชอบแบบเพื่อน หรืออารมณ์เจอของแปลกเลยชอบ ไม่ก็คงเป็นการหยอกล้อกัน ไมได้ลึกซึ้งอะไร
เพียงแต่การโทรคุยกันที่ถี่ขึ้นและนัดเจอกันบ่อยครั้งทำให้เอิ้นเริ่มไม่มั่นใจ
แต่เขาก็ตกลงทุกนัดที่โชนชวนอยู่ดี
เอิ้นมารอที่นัดหมายก่อนเวลาไม่กี่นาที และเมื่อถึงเวลา โชนก็มาถึง พร้อมกับทำหน้าแปลกใจ
“คุณ...เอิ้น?”
“ครับ?”
“ทำไมแต่งเป็นผู้หญิงมาล่ะ”
“ก็...คุณบอกว่าอาจจะพาไปทานขนม...ผู้ชายสองคนไปร้านขนมมันแปลกๆ นี่”
“ไม่เห็นต้องคิดมากเลย โถ่”
โชนทำตาหงอย ไม่ใช่ไม่ชอบที่เอิ้นแต่งตัวแบบนี้ มันน่ารัก เพียงแต่เขาอยากให้เอิ้นเลิกคิดมากเรื่องสายตาคนทั่วไปเสียที
“ผมกะจะพาเอิ้นไปเล่นเกมตู้ด้วย...” โชนเฉลย
เอิ้นมองสภาพตัวเอง ถ้าเขาแต่งตัวออกทอมบอยสักหน่อยน่าจะเข้าร้านเกมได้แบบไม่มีใครจ้องมอง ไม่สิ...ทำไมต้องแต่งตัวทอมบอย ทั้งๆ ที่เขาเองก็เป็นผู้ชาย!
เอิ้นก้มหน้างุด มองกระโปรงพลิ้วของตัวเอง...คงโดนคนเพ่งเล็งแน่ๆ ถ้าเขาเข้าร้านเกมด้วยสภาพชุดคุณหนูเช่นนี้
โฉมงามถอนหายใจ
เขาอุตสาห์เลือกชุดโปรดเลยแท้ๆ เชียว
“ไม่เป็นไรนะ ถ้างั้นเราไปทานไอศกรีมกันดีกว่า”
“ขอโทษนะ...”
“หืม”
“ที่ทำให้ลำบาก”
“คุณเอิ้นอย่าคิดอย่างนั้นสิ ผมเต็มใจ ไว้คราวหลังเราค่อยไปเล่นเกมด้วยกันก็ได้”
“อื้ม”
โชนพาเอิ้นไปทานไอศกรีม และเดินเล่นในห้างแทน พวกเขาเข้าร้านหนังสือ ร้านเทป ร้านเช่าวิดีโอหนัง ร้องคาราโอเกะ รวมถึงดูหนังด้วยกันอีกสักเรื่อง ก่อนที่โชนจะพาเอิ้นมาส่งที่รถ
จนสุดท้ายเอิ้นก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดีว่าโชนทำแบบนี้ทำไม
Call 39
“ที่จริง...คุณเอิ้นเสียงเพราะนะเนี่ย”
“อะไรของคุณ”
“ตอนที่ร้องคาราโอเกะกันไง” เอิ้นหน้าแดงอยู่หลังโทรศัพท์ เอ่ยอ้ำๆ อึ้งๆ
“คุณเองก็ร้องเพราะ...”
“จริงหรือ อย่าหลอกอำกันนา เดี๋ยวผมดีใจเก้อนะ”
“ไม่ได้หลอก” เอิ้นขำ
“ดีใจจนตัวลอยแล้ว”
“พอเลย”
เอิ้นอมยิ้มขำกับเสียงดีใจเหมือนเด็กๆ ของอีกฝ่าย คืนนี้เขาเข้านอนด้วยรอยยิ้ม และหุบยิ้มไม่ได้จนแม้กระทั่งยามหลับใหล
โชนชวนเอิ้นอีกครั้งในวันหยุดสุดสัปดาห์ ครานี้เอิ้นไม่ได้แต่งองค์ทรงเครื่องเป็นผู้หญิงแล้ว เขาปล่อยให้โชนลากไปลากมาตามใจชอบ และได้เข้าเล่นเกมเซ็นเตอร์อย่างที่โชนตั้งใจ
เอิ้นไม่รู้จักเครื่องเล่นเกมพวกนี้เท่าไหร่ แต่โชนก็พยายามสอนเขาเล่น เกมต่อสู้ที่ใช้ปุ่มกดเพียงไม่กี่ปุ่มดูไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก แต่ก็ทำให้เอิ้นคิ้วขมวด สับสนในการบังคับตัวละครในตู้เกมอยู่ดี
แน่นอน เอิ้นเป็นฝ่ายแพ้ทุกรอบ
โชนยิ้มขำให้คนหน้าหวานที่ดูไม่พอใจกับผลการแข่งขัน ก่อนที่พวกเขาจะล้มละลายไปกับเกมหยอดเหรียญ โชนก็พาเอิ้นออกมา
แม้ว่าเอิ้นจะไม่ได้มีปัญหากับการเล่นเกมรอบละสิบบาทก็ตาม
“คุณเอิ้นไม่เคยเล่นอะไรแบบนี้เลยสินะครับ”
“อืม ไม่เคยเลยสักครั้ง”
โชนพยักหน้ารับ เขาไม่คิดถามอะไรอีก
ส่วนเอิ้นก็พลันระลึกถึงความหลังที่ไม่น่าจดจำ พ่อแม่เขาไม่ยอมให้เขาไปคลุกคลีอยู่ในร้านแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร เขาจึงไม่มีเพื่อนเล่นเลยสักคน เอิ้นมีแต่เพื่อนเรียน ที่ไว้ถามไถ่เรื่องการบ้านและวิชาความรู้เท่านั้น
“ไปเดินเล่นที่สวนตรงนั้นไหมคุณ” โชนเอ่ยชวนเมื่อเอิ้นเริ่มเงียบไป แถวนี้มีสวนสาธารณะให้ผู้คนมาออกกำลังกาย ตัวสวนค่อนข้างกว้างและร่มรื่น อุดมไปด้วยต้นไม้หลายสายพันธุ์
ไม่ทันได้ตอบอะไร พวกเขาก็มาถึงที่นี่แล้ว
“คุณเอิ้น วิ่งแข่งกับผมสักตาไหม”
“หา ไม่เอา”
เอิ้นร้องปฏิเสธทันควัน นอกจากเขาจะเล่นเกมไม่เก่งแล้วยังเล่นกีฬาไม่เก่งอีกด้วย เอิ้นใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับหนังสือ นอนเล่นอยู่แต่ในบ้าน แทบไม่ได้ออกไปไหน เรื่องออกกำลังกายน่ะหรือ ลืมไปได้เลย
“วอร์มร่างกายกันก่อน เอาเป็นเดินตรงนี้หนึ่งรอบ เสร็จแล้วเปลี่ยนมาวิ่งเหยาะๆ นะ”
โชนไม่สนใจคำปฏิเสธของคนข้างตัวสักนิด ในใจโชนอยากให้เอิ้นออกกำลังกาย เพราะคิดว่าเอิ้นตัวเล็กเกินไป ซูบซีดจนน่าเป็นห่วง กลัววันข้างหน้าจะเจ็บไข้ได้ป่วยเอาง่ายๆ
เมื่อทำตามโปรแกรมของโชนเสร็จสรรพ ทั้งการเดินและวิ่งเหยาะๆ รอบสวน
พวกเขาออกตัววิ่งแข่งกันในรอบที่สาม
Call 40
เอิ้นแพ้ตามคาด เจ้าตัวมานั่งหอบฮั่กอยู่บนม้านั่ง มีโชนนั่งประกบคอยพัดให้คนตัวเล็กพร้อมหัวเราะขำ
“ผมบอกแล้วว่าไม่อยาก”
“แต่คุณเอิ้นก็ทำได้ดีนะ วิ่งได้ตั้งสองรอบ”
“พอแล้ว ไม่เอาแล้ว เหนื่อย”
“คุณเอิ้นต้องออกกำลังกายเยอะๆ นะรู้ไหม”
“ผมไม่อยากนี่”
“คุณเอิ้นตัวก็เล็กนิดเดียว ถ้าไม่แข็งแรงด้วยจะลำบากนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าป่วยก็ค่อยไปหาหมอ”
“ไม่ได้สิ เราต้องดูแลตัวเองด้วย พึ่งหมออย่างเดียวไม่ได้นะ”
“คุณ...ขี้บ่นนะ วันนี้” เอิ้นบอก หอบเอาลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอด
“ผมแค่อยากให้คุณเอิ้นแข็งแรงสุขภาพดี”
แกล้งกันล่ะสิไม่ว่า เอิ้นคิด
พวกเขานั่งพักกันที่ม้านั่งจนกระทั่งตะวันใกล้จะตกดิน เอิ้นโทรเรียกให้ลุงวีมารับ ระหว่างที่รอรถ โชนก็หาเรื่องคุยไปเรื่อยๆ
วันนี้ทั้งวันเอิ้นเดินเยอะ แถมเสียพลังงานเยอะไปกับเกมเซ็นเตอร์ ยังไม่พอต้องมาวิ่งตากแดดกับโชนอีก พลังงานตอนนี้ของเขาใกล้จะหมดลงแล้ว
เอิ้นฟังโชนพูดคุยสัพเพเหระ ดวงตาน้อยๆ คล้อยยานใกล้จะปิดลง
โชนสังเกตเห็นคนนั่งสัปหงกอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่คิดทักท้วง เขาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความขบขัน เอิ้นที่ควบคุมความง่วงไม่ได้ทำให้โงนไปเงนมา จนโชนปล่อยให้คนง่วงเอนหัวมาที่ไหล่ของเขาก่อนหลับไป
ตัวแทนหมอนอมยิ้มอยู่คนเดียว ภาวนาให้เวลาหยุดเดิน พวกเขาจะได้อยู่ในห้วงแห่งความเป็นนิรันดร์
ทว่าเวลาก็ผ่านไปจนใกล้ค่ำ โทรศัพท์มือถือของเอิ้นส่งเสียงเรียกเข้าดังลั่น ทำลายห้วงจักรวาลแสนหวาน
เอิ้นสะดุ้งตื่น และพบว่าตัวเองนอนซบโชนมาเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน เขาสบตากับที่พิงชั้นยอดอย่างไม่รู้จะพูดคำแก้ตัวอะไร
โชนยิ้มให้คนขี้เซา เพยิดหน้าให้เอิ้นรับสาย “ลุงวีคงมาถึงแล้วมั้งครับ”
เอิ้นเลิ่กลั่ก หันซ้ายหันขวา มองหน้าโชนสลับกับโทรศัพท์มือถือที่กรีดร้องเป็นเสียงริงโทน
เขาตัดสินใจรับสายลุงวี คุณลุงอยู่ไม่ไกลจากตัวสวนสาธารณะนี้ เอิ้นจึงเตรียมตัวกลับ และโชนก็ขอเดินไปส่งเขาจนถึงรถคันสวย
พอรถเคลื่อนตัวออกไป เอิ้นขบคิดกับตัวเอง
เขาซบโชนทั้งๆ ที่เขาเป็นผู้ชาย แล้วอย่างนี้คนที่เดินผ่านมาไหนไปไหนคงเห็นภาพไม่น่าชมนี้หมดแล้ว ทั้งเขาและโชนคงโดนนินทาไปแล้วเรียบร้อยแน่ๆ
เอิ้นตัดสินใจแล้วว่าเขายอมเป็นผู้หญิงตอนอยู่กับโชนคงจะดีกว่า
_____________________________
เจ้าโชนรุกหนักไม่ปล่อยให้คุณเอิ้นพักเลยย
#call123456