บทที่ 12
วาสนาพบเจอแต่ไม่อาจบรรจบ
มือเย็นที่สั่นเทิ้มควบคุมสติตนเองมิได้ครั้นสัมผัสกับฝ่ามือของจูเกิงเฉิน บัดนั้นรอยยิ้มที่จุดขึ้นตรงมุมปากของอีกฝ่ายคล้ายซ่อนเร้นเล่ห์เหลี่ยมไว้ในความคิด ก็พลันฉุดดึงท่อนแขนเล็กด้วยกำลังก่อนจะเรียกของวิเศษเป็นคันฉ่องมารให้ปรากฏขึ้น แสงสว่างวาบเปล่งออกมาดูดกลืนร่างของเซียวโม่โฉวเข้าสู่ภายใน สถานที่ที่ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปและออกมาได้หากมิใช้เจ้าของ ครั้นลุล่วงความตั้งใจผู้ที่ลอบแฝงกายเข้ามายังดินแดนลึกลับก็รีบอันตรธานหายไปในพริบตา
เพล้ง!
ตะเกียงดวงไฟที่จุดขึ้นจากพลังหยินแตกออกเป็นเสี่ยง หลี่รั่วถงที่ถอดจิตลงไปยังโลกมนุษย์กลับต้องคืนสู่ร่าง พลันลุกขึ้นสีหน้าถมึงทึงดวงตาเบิกโพลง เรียกขานบริวารรับใช้เสียงกร้าว ไม่นานก่อนใบไม่ร่วงถึงพื้นผู้ที่ถูกเรียกพลันปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าถึง 2 ตน รวมถึงเหอจี๋ที่รีบร้อนในมือยังคงถือผ้าขี้ริ้วลุกลี้ลุกลนร้อนรนแทบเป็นไฟเข้าพบตามคำสั่งของหลี่รั่วถง
“เจ้าสองคนทำงานกันเช่นไรถึงปล่อยให้มีผู้บุกรุกมาเหยียบย่ำได้!”ครั้นถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยราวกับเสียงคำรามดังกึกก้องด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดก่อนจะบันดาลโทสะแผ่รังสีสังหารจนผู้ที่พลังวิญญาณต้อยต่ำกายแทบจะเผาไหมเป็นจุณ
“กะเกิดเรื่องใดขึ้นนายท่าน!”เหอจี๋สีหน้าหวาดหวั่น เขาแทบหมอบคลานด้วยเกรงต่อความโกรธเกรี้ยวที่ราวกับพายุโหม
หากทว่ามิทันได้ฟังคำตอบใด หลี่รั่วถงก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา เหอจี๋จำต้องติดตามอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ และไปปรากฏกายยังสถานที่ที่ก่อนหน้าได้เกิดเหตุการณ์ที่มิควรเกิดขึ้น
“เอ๊ะ! ระหรือเกิดเรื่องไม่ดีกับเซียวโม่โฉว”เหอจี๋อุทานขึ้นเมื่อมายังสถานที่คุ้นตา ไม่ผิดแน่ว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น มิเช่นนั้นหลี่รั่วถงคงไม่เดือดดาลเช่นนี้ อีกทั้งเหอจี๋สัมผัสได้ว่าม่านพลังเขตแดนที่หลี่รั่วถงกางกั้นไว้โดนทำลายโดยผู้บุกรุกเป็นแน่
ร่างสูงใหญ่ที่เยื้องย่างไปเบื้องหน้าหกวาดสายตามองไปโดยรอบ ร่องรอยการมาเยือนของใครบางคนที่หายไปจากที่ตรงนี้โดยมีดวงใจของจ้าวพิภพแห่งหยินติดมือไปด้วยนั้นชวนโมโหโทสะอย่างยิ่ง
มือแข็งแรงกำแน่นด้วยความคับแค้น ใบหน้าที่บึ้งตึงชนชิดดวงตาแข็งกร้าวคมกริบจ้องมองเบื้องหน้าอย่างเหลือทน พลันดวงตาคู่คมดุดันหันมาจ้องมองบริวารที่ทำหน้าที่บกพร่องก็รับรู้ได้ถึงชะตากรรม มือหนาของหลี่รั่วถงยื่นไปเบื้องหน้าดึงเอาบริวารที่ไม่เอาไหนเข้าสู่เงื้อมมือแล้วปลิดชีพเสียสิ้นทั้งสองตนอย่างง่ายดาย ร่างกายที่สลายกลายเป็นเถ้าถ่านทันตาเห็น ไม่ต่างจากธุลีดินที่กลับสิ้นเบื้องล่าง
เหอจี๋ยืนมองด้วยแววตาสั่นสะท้าน กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ครั้นส่งสัญญาณบางอย่างให้หวางหรูอี้ที่ได้เตือนย้ำให้เหอจี๋บอกข่าวหากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับหลี่รั่วถง เพราะนั่นหมายถึงเรื่องที่มีจูเกิงเฉินร่วมด้วย
“นะนายท่าน จะ...จะทำเช่นไรดีขอรับ” ผ้าขี้ริ้วที่ติดมือถูกขยำจนยับยู่ ดวงตาหวาดกลัวทั้งตระหนกตกใจฉายแววแจ่มชัดบนใบหน้า ครั้นจะเข้าใกล้ผู้เป็นนายยามนี้ก็มิอาจคาดเดาความคิดได้ ยิ่งอยู่ในอารมณ์เกรี้ยวกราดผู้ใดก็อย่าได้เอาชีวิตไปเสี่ยง
“อย่างไรข้าก็ต้องนำตัวเซียวโม่โฉวกลับมา”
“ตะแต่ว่า เราไม่รู้ว่าเซียวโม่โฉวถูกนำตัวไปยังที่ใดนะขอรับ ไม่ทิ้งไว้แม้แต่กลิ่นอายที่สามารถตามได้เลย มันแปลกประหลาดเกินไป”
“ข้ามั่นใจว่าเป็นจูเกิงเฉินเป็นผู้ลงมือ ไม่มีใครอื่นใดที่ทำเรื่องเช่นนี้ ยามข้าลงไปยังโลกมนุษย์เจ้าปีศาจตนนั้นกำลังรวบรวมพวกเหล่าปีศาจนอกรีตจำนวนมาก ข้าจำต้องไปขัดขวางแต่ไม่นึกว่าจูเกิงเฉินจะใช้วิธีการนี้เพื่อหาช่องโหว่เข้ามา!”น้ำเสียงที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟังบ่งบอกได้ว่าหลี่รั่วถงเจ็บแค้นเพียงใด เข้าพ่ายแพ้ให้แก่เล่ห์เหลี่ยมของจูเกิงเฉินถึงสองครั้งสองคราแล้วหากนับรวมครั้งนี้
เจ้ามันก่อความวุ่นวายไม่สิ้นสุด อีกทั้งยังคอยแต่จะดิ้นรนหาเรื่องใส่ตน ครั้งนี้ข้ากับเจ้าคงได้แค้นกันไปสิบภพสิบชาติ!
พลันเอ่ยสิ่งที่คับแค้นออกไปจึงหันไปออกคำสั่งแก่เหอจี๋
“เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะขึ้นไปเข้าเฝ้าอวี้หวงต้าตี้”
“แต่นายท่าน! แล้วเซียวโม่โฉวจะไม่เป็นไรเช่นนั้นหรือ”เหอจี๋ทักท้วงขึ้นในอกร้อนรน
“ข้ารู้ดีว่าจูเกิงเฉินอุปนิสัยเป็นเช่นไร เป้าหมายของคนผู้นั้นมิได้มีเพียงหนึ่งข้าจึงผลีผลามทำอะไรตามใจมิได้” น้ำเสียงที่อึดอัดหาได้ต้องการทำให้เป็นลำดับขั้นตอนใดๆ ไม่ หากแต่อย่างไรตนก็ไม่อาจมุทะลุทำเรื่องโง่เขลาให้ผู้ใดหัวเราะเยาะเอาได้
“ขอรับนายท่าน” สิ้นเสียงขานรับร่างของหลี่รั่วถงก็หายวับไปกับตา เหอจี๋จึงมุ่งหน้ากลับไปยังดินแดนพิภพแห่งหยินในทันที
ปึก!
เสียงร่างของผู้คนที่ราวกับร่วงหล่นจากฟ้ากระทบกับพื้น หากแต่พื้นที่สัมผัสอยู่นั้นเรียบใสสะท้อนเงาคล้ายดั่งคันฉ่อง มองไปยังทิศทางใดก็ไม่สามารถหาทางออกไปได้ ไกลสุดตามีเพียงความว่างเปล่าไร้พรมแดน
เซียวโม่โฉวที่ตื่นจากภวังค์สะกดจิตก็รีบพยุงตัวขึ้นยืนตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นนัยน์ตาตระหนก มองซ้ายแลขวาก็หาพบเจอสิ่งใดทุกอย่างล้วนว่างเปล่ามีเพียงเงาของตนเองที่สะท้อนไหวอยู่บนพื้น และแม้แต่ผืนฟ้าก็ยังถูกปิดกั้นไว้
ความหวาดกลัวที่หวามไหวอยู่ในอก หาได้รับรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวแต่อย่างใด สัญชาตญาณเพียงหนึ่งคือการพาตนเองหนีเอาตัวรอดมองหาทางออกที่ไม่มี แม้วิ่งไปไกลจนเหนื่อยล้าก็หาได้สิ้นสุดระยะทางจนรู้สึกถดท้อ
เกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้ข้าจำได้ว่าข้ายังอยู่ที่ดินแดนลึกลับ แต่หลังจากคนผู้นั้นปรากฏข้าก็จำความใดแทบไม่ได้แถมข้ายังต้องมาอยู่ที่นี่เสียอีก!
ใช่! ข้าเจอคนผู้นั้นที่แปลงกายเป็นเจี้ยนหลินมาหลอกลวงข้า!
พลันนึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เซียวโม่โฉวก็ตระหนักถึงภัยแล้วว่าตนกำลังถูกผู้ที่มิเคยรู้จักจับตัวมา ยามนั้นหัวใจของบุรุษหนุ่มถึงกับเต้นถี่ความรู้สึกหวาดกลัวในสิ่งที่ไม่รู้พานทำให้ใบหน้าซีดขาวมือเย็นเยียบเกร็งสั่นไหวไปทั้งสรรพางค์กาย ความฉงนใจคล้ายก่อตัวขึ้นในหัวผุดพรายเต็มไปด้วยคำถาม ครั้นความคิดสับสนที่รุมเร้ากลับถูกแทรกด้วยน้ำเสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้นในห้วงความคิด
ดวงตาคู่สวยที่สั่นระริกขบริมฝีปากบางที่เม้มสนิทจนแทบกลัดโลหิตรินไหล เหลียวมองไปยังต้นเสียงพยายามตั้งสติของตน
“เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงต้องจับตัวข้ามาขังไว้ที่นี่”น้ำเสียงแข็งเล็ดลอดออกมาจากปากของเซียวโม่โฉว สายตากร้าวแข็งที่มองไปยังจูเกิงเฉินหวาดระแวงระคนสงสัย การปรากฏกายมาในที่แห่งนี้ย่อมมีเจตนาไม่ดีแอบแฝง
“แม้ข้าจะเคยเอ่ยนามต่อเจ้าไปแล้ว น่าเสียดายที่เจ้ากลับลืมเลือนมัน”ยิ้มฝืนคล้ายเจ็บปวดในถ้อยคำตนเองบอกต่อผู้คนตรงหน้าที่มีแต่ถอยหนีจากตนไป “จูเกิงเฉิน.....นั่นคือชื่อของข้า อย่าได้กลัวเกรงไปเลยข้ามิได้คิดจะทำร้ายเจ้าอย่างที่ลั่นวาจาเอาไว้”
“หากเจ้ากล่าวเช่นนั้น เหตุใดจึงต้องจับตัวข้ามา”
“นั่นเกี่ยวโยงกับอดีตชาติของเจ้า ข้าเพียงต้องการปกป้องเจ้ามิให้ถูกหลอกลวง”พลันเอ่ยถ้อยคำไปหนึ่งประโยค จูเกิงเฉินคล้ายยิ้มขึ้นนัยน์ตาซ่อนเร้นไปด้วยแผนการ
“หมายความว่าเช่นไร? สิ่งใดเกี่ยวกับตัวข้า แล้วเจ้าเป็นผู้ใดถึงได้กล่าวว่ารู้จักตัวข้าในอดีตชาติก่อน”ดวงตาที่จ้องมองไปยังจูเกิงเฉินหาได้เชื่อใจ
“เจ้าช่างน่าสงสารนัก หากจะกล่าวว่าสิ่งนี้มีข้าข้องเกี่ยวเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าจะบอกแก่เจ้าว่าเมื่อพันปีก่อนครั้งเจ้าสิ้นวาสนานั้นเป็นเพราะความผิดของข้าเอง ข้าไม่อาจยั้งมือตนเองนั่นคือความผิดของข้า และหลี่รั่วถงคือผู้ที่ทำให้เจ้าต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายเช่นนั้น”
“จะเจ้า.....เจ้าพูดเรื่องอะไร!”ครั้งได้ยินสิ่งที่จูเกิงเฉินเล่า สีหน้าหวาดหวั่นพลันทรุดกายลงกับพื้นไร้กำลังขา ก้อนเนื้อในอกของเซียวโม่โฉวพลันบีบรัดรุนแรงจนฉายชัดบนใบหน้า ทั้งมือไม้ที่สั่นเทาราวกับพบเจอคมดาบที่รอบั่นศีรษะตนให้ตายตกไปอีกครา ดวงตากลมเบิกกว้างมองจูเกิงเฉินที่ก้าวมาหาอย่างแช่มช้านัยน์ตาเจ็บปวด นั่นเป็นสิ่งเดียวที่มิได้เสแสร้งแกล้งแกล้งทำ
“ข้าและเจ้า รวมทั้งหลี่รั่วถงคงไม่อาจหลุดพ้นไปจากวาสนาเลวร้ายเหล่านี้ได้ หากเจ้าปรารถนาจะล่วงรู้ทุกอย่าง ก็จงเลือกที่จะอยู่กับข้า แล้วข้าผู้นี้จะมอบอำนาจและความยิ่งใหญ่.....ที่เจ้ามิเคยคาดฝัน ทุกอย่างจะง่ายดายโดยที่เจ้ามิต้องดิ้นรนให้ลำบากแม้แต่น้อย เจ้าคงไม่พึงใจหลี่รั่วถงมากนักใช่หรือไม่ คนผู้นั้นหลอกใช้เจ้าให้บำเพ็ญเพียรเพื่อดวงจิตที่กล้าแข็ง สุดท้ายคนผู้นั้นก็หมายจะได้พลังวิญญาณจากเจ้า สู้เจ้ามาอยู่ข้างกายข้าที่เห็นคุณค่าของเจ้าไม่ดีกว่าหรือ”
ยิ้มแสยะซ่อนไว้สุดมุมปาก ดวงตาอาวรณ์จ้องมองเซียวโม่โฉวที่กำลังสั่นกลัว หมายมาดให้บุรุษหนุ่มตกลงปลงใจในถ้อยคำของตน ครานั้นตนจะได้จัดการหลี่รั่วถงโดยใช้เซียวโม่โฉวเป็นเหยื่อล่อ หากแผนการนี้สำเร็จทุกอย่างจะง่ายดาย ขาดเสาค้ำจุนอำนาจไปหนึ่ง ชั้นฟ้าไยจะไม่สั่นไหวได้
ทั้งอำนาจและผู้ที่ข้าปรารถนาจะเป็นของข้าในเร็ววัน!
“ว่าอย่างไรเล่า ชีวิตเจ้า.....เจ้าตัดสินได้ด้วยตนเองจะมากับข้าหรือไม่ ไม่มีสิ่งใดที่ข้าจะมอบให้แก่เจ้ามิได้”
คล้ายถ้อยคำที่สะท้อนก้องอยู่ในหัวของเซียวโม่โฉว คำพูดเหล่านั้นราวกับกลืนกินจิตใจของบุรุษหนุ่ม ทว่าบางอย่างในห้วงความคิดกลับมิได้คล้อยตามเช่นนั้น
“ไม่! ข้าไม่อยากจะอยู่ที่นี่ เจ้าควรจะปล่อยข้าไป”น้ำเสียงที่แย้งออกมาราวกับทำลายความหวังของจูเกินเฉินเสียย่อยยับ ครั้นมีสติรู้คิดจึงฝืนต่อวาจาหลอกลวงได้
“ให้ข้าปล่อยเจ้าไปเช่นนั้นหรือ?”น้ำเสียงเย็นเยียบถามย้ำสีหน้าถมึงทึงคล้ายความอดทนกำลังจะขาดผึ่ง
“ข้ากล่าวเช่นนั้น! หากแท้แล้วข้าถูกหลี่รั่วถงหลอกใช้อย่างที่เจ้าพูด แต่นั่นเป็นความปรารถนาของข้า ข้าย่อมต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ข้าต้องการแลกมา ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่เสียสิ่งใดไปข้อนั้นข้ารู้ดี ต่อให้เจ้าเป็นผู้ที่ดีต่อข้าถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องมีสิ่งที่ปรารถนาในตัวข้าใช่หรือไม่”
แววตาคู่สวยฉายชัดถึงความคิดของตนเองอย่างแน่วแน่ ความกล้าแข็งของแววตาวูบหนึ่งสำรวจตรวจมองไปที่กายของจูเกิงเฉินอย่างหาหนทาง ในหัวครุ่นคิดสิ่งที่ตนพอจะทำได้ ฝีเท้าที่ย่างสามขุนเข้ามาใกล้แสดงสีหน้าไม่พึงใจในสิ่งที่เซียวโม่โฉวกล่าว
แม้ท่าทีที่คุกคามเหยียบใกล้ เซียวโม่โฉวก็มิได้คิดจะถอยหนี หากแต่กลับยันกายขึ้นยืนสลัดทิ้งซึ่งความหวาดกลัวให้สิ้น
หากข้ามัวขลาดกลัวอยู่เช่นนี้ผู้ใดจะช่วยข้าได้!
“เจ้าเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าการที่เจ้าอยู่กับคนผู้นั้นแล้วความปรารถนาของเจ้าจะเป็นจริง”น้ำเสียงที่กล่าวเต็มไปด้วยความคับแค้น “เจ้าอยากรู้มิใช่หรือว่าเหตุใดเจ้าต้องพบเจอกับวิบากกรรมครั้งเป็นมนุษย์เช่นนั้น เจ้าจะได้รับรู้มัน มาเถิด ข้าจะช่วยเจ้าเองอย่าได้กลัวไปไย ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”น้ำเสียงและแววตาคล้ายวิงวอนผู้เป็นที่มอบดวงใจให้หวนคืน หากแต่สิ่งที่กลับคืนนั้นเป็นความเจ็บช้ำน้ำใจเสียแทนไม่เปลี่ยนแปลง
อดีตความรู้สึกหวานอมขมกลืนนั้นเป็นเช่นไรยามนี้ก็มิได้ต่างกัน แม้จูเกิงเฉินจะกล่าวเช่นไร ใช้วาจาหว่านล้อมเพียงใดเสี้ยวหนึ่งของใจบุรุษก็มิได้คิดหันหา ผู้ที่ปรารถนาในรักก็มิอาจพานพบรักแท้ นั่นเป็นชะตากรรมที่โหดร้ายและทรมานจิตใจจูเกิงเฉินยิ่งนัก
เพียงเพราะตนเป็นปีศาจชั้นต่ำเช่นนั้นหรือจึงยากที่จะไขว่คว้ารักได้อย่างบริสุทธิ์ใจ นั่นจึงเป็นเหตุให้คิดการณ์ใหญ่และเปลี่ยนแปลงจูเกิงเฉินไปตลอดกาล แม้ผ่านมานับพันปีก็ไม่อาจหวนคืนสู่วันวานได้
วันวานที่จูเกิงเฉินเป็นเพียงปีศาจตนหนึ่งที่ไร้จิตคิดแค้นอาฆาต จูเกิงเฉินที่สามารถได้รับความเมตตาจาก ‘เหยว่ถิง’ ช่วงเวลานั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว
“ถอยไปจากข้า” น้ำเสียงเย็นของเซียวโม่โฉวหาใช่หวาดกลัวอีกต่อไป
“ถอยเช่นนั้นหรือ? เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปอย่างง่ายดายให้กับหลี่รั่วถง?” เสียงหัวเราะกึกก้องราวกับเสียสติดังลั่น พลันนัยน์ตาคมกลับวาวไปด้วยหยาดน้ำบางๆ ที่ซ่อนเอาไว้ “เจ้าคิดผิดแล้ว แม้ชาติภพใหม่เจ้าจักลืมเลือนมันไปแต่ข้าไม่เคยลืมเลย ความรู้สึกของข้าที่มอบให้แก่เจ้า แม้ผ่านไปนับพันๆ ปีมันยังคงตรึงอยู่ในใจของข้าราวกับคำสาป เจ้าจะให้ข้าปล่อยเจ้าไปเช่นนั้นหรือ!”
เสียงตะคอกที่กล่าวขึ้นปราดเข้าคว้าขับท่อนแขนของเซียวโม่โฉวที่รับฟังทุกอย่างจากคนตรงหน้าไม่ถอยหนี
“ตัวตนของข้าในตอนนี้มิใช่ผู้ที่เจ้ารู้จักอีกต่อไป ข้ามิรู้หรอกว่าเจ้าปักใจเรื่องใดกับอดีตชาติของข้า แต่ในตอนนี้ข้าก็คือตัวของข้า ‘เซียวโม่โฉว’ มิใช่ผู้ใดอื่น!”น้ำคำที่โต้ตอบกลับไปคล้ายบีบหัวใจบุรุษหนุ่มอยู่ลึกๆ
เหตุใดข้าจึงต้องมารับรู้ในสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย แล้วไยข้าจึงต้องรู้สึกเศร้าเสียใจกับเรื่องราวอดีตชาติที่มิใช่ตัวตนของข้าในยามนี้ด้วย ข้าคือเซียวโม่โฉว! อย่างไรก็มิใช้คนที่จูเกิงเฉินกล่าวถึงแม้แต่น้อย!
“ปล่อยแขนของข้าเถิด อย่างไรข้าจะไม่รับปากสิ่งใดต่อเจ้าทั้งสิ้น ข้าพึงใจที่เลือกต่อสู้กับวิบากกรรมของตัวเอง ต่อให้ข้าต้องกลายเป็นพลังวิญญาณให้ผู้ใด ในท้ายที่สุดข้าก็ย่อมยินดีเสียกว่าในสิ่งที่ข้าเลือก!”
ถ้อยคำเด็ดเดี่ยวจากปากเซียวโม่โฉว ทำเอาจูเกิงเฉินแทบคลุ้มคลั่ง ดวงตาคมกริบราวกับแดงฉานขึ้นเกรี้ยวกราดในอารมณ์ร้ายที่ขาดผึ่ง มือใหญ่ที่กุมคว้าท่อนแขนของผู้คนตรงหน้าแทบบีบให้แหลกคามือ
“เจ้าเลือกเองที่จะให้ข้าบังคับขู่เข็ญต่อเจ้า! เช่นนั้นข้าก็จะกักขังเจ้ามิให้ได้พานพบผู้ใดหรือทำในสิ่งที่เจ้าปรารถนาอีกต่อไป!”
“เช่นนั้น เจ้าคิดว่าข้าไม่มีทางหนีรอดหรืออย่างไร”มือขาวข้างหนึ่งที่สั่นเทิ้มและเย็นเยียบยกขึ้นเหนือศีรษะตนเองพร้อมดวงตาแข็งกร้าว ใบหน้าราวกับทิ้งสิ้นไปแล้วซึ่งความรู้สึก ก่อนดึงปิ่นปักผมที่หลี่รั่วถงมอบให้เข้ากุมไว้ในมือแน่นก่อนจะเลื่อนลงไปในระดับลำคอแล้วกดปลายโลหะแหลมสีเงินวาวจ่อไปที่จุดปลิดชีพจรของตนเอง
อย่างน้อยข้าก็จะปลดปล่อยวิญญาณของตนเองไปจากที่แห่งนี้ให้จงได้
“เจ้าจะทำสิ่งใด!”
“ไปจากที่แห่งนี้!”
“นึกหรือว่าข้าจะให้เจ้าทำตามสิ่งที่เจ้าคิด”พลันมือที่จับลำแขนของเซียวโม่โฉวแน่นปล่อยออกแล้วเข้าคว้าข้อมือขาวที่กำปิ่นปักผมไว้แน่นให้ผละออก ก่อนจะแทนที่ด้วยมืออีกข้างที่เข้าบีบลำคอของเซียวโม่โฉวไว้เสียแทนอย่างแค้นใจ
“ฮึก!”
“ชีวิตของเจ้าข้าจะเป็นผู้กำหนด เจ้ามีสิทธิ์อันใดทำเช่นนั้น!”แววตาวาวโรจน์และท่วมท้นไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ถึงเช่นไรมือคู่นั้นก็ไม่สามารถปลิดชีวิตเซียวโม่โฉวได้ “ข้าจะทำลายสัญลักษณ์ของคนผู้นั้นให้เสียสิ้น”
สิ้นคำกล่าวจากปากของจูเกิงเฉินแรงเหวี่ยงผลักร่างของเซียวโม่โฉวจนลมกระแทกลงกับพื้น ของสำคัญที่อยู่ในมือเมื่อครู่กระเด็นกระดอนหล่นไป ครั้นจะตะเกียกตะกายไปหยิบคืนกลับโดนฝ่าเท้าของจูเกิงเฉินเตะทิ้ง มิหนำซ้ำยังถูกยื้อยุดมิให้ลุกหนี พลันร่างของบุรุษหนุ่มกลับถูกกดไว้แนบพื้นเย็นเยียบด้วยสองแขนแข็งแกร่ง ที่มิอาจทัดทานกำลังได้
“เจ้าจะทำอะไรข้า!”นัยน์ตาสั่นสะท้านจ้องมองจูเกิงเฉินที่เข้ามาคร่อมทับ แผ่นหลังของเซียวโม่โฉวถูกกดลงให้ขนานแนบกับพื้นจนไม่อาจลุกได้
“สิ่งนั้นเมื่ออยู่กับข้าก็หาได้สำคัญอีกต่อไป เหตุใดจึงต้องคงไว้ให้เสียดแทงใจข้า!”ดวงตาดุดันปราดมองไปที่ต้นคอขาวซึ่งปรากฏสัญลักษณ์ดอกโบตั๋นที่เด่นชัดขึ้น
“ปล่อยข้า!!!”ผู้ที่ขัดขืนดิ้นรนแทบมองหาช่องทางหนีมิได้ หวาดหวั่นในสายตาของจูเกิงเฉินยามนี้เหลือเกิน ในใจของเซียวโม่โฉวพลันภาวนาถึงใครบางคน
“เจ้าจะไม่มีวันกลับไปได้อีก หึ!”สิ้นเสียงอุ้งมือแข็งแรงกลับเข้ากระชากอาภรณ์ที่ปกปิดผิวกายให้พ้นสายตา เสียงฉีกขาดของเนื้อผ้าราวกับขาดแล้วซึ่งความยั้งคิดของจูเกิงเฉิน ครานั้นเซียวโม่โฉวถึงกับสั่นผวานึกอยากร้องเรียกหาใครช่วยเหลือทว่ากลับเปล่งเสียงไม่ออก
“อึก! ฮืออออ!”ร่างกายได้แต่ดิ้นพล่านไม่อาจบดบังผิวเนื้อที่ประจักต่อหน้าจูเกิงเฉินไว้ได้ แม้จะเคยหวาดกลัวจากความตายแต่เซียวโม่โฉวก็ไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใดเท่านี้มาก่อนเช่นกัน
“เจ้าต้องเป็นของข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น!” ปลายนิ้วที่กดลงไปบนลำคอขาวลากผ่านสัญลักษณ์ดอกโบตั๋นหยุดนิ้วร้อนนั้นให้อยู่กับที่ พลันรอยยิ้มแสยะผุดขึ้นก่อนจะเลื่อนใบหน้าลงต่ำ หมายจะย่ำยีสิ่งที่ปรารถนาแต่กลับไม่ได้มาครองอย่างเผลอตัว
“ฮืออออ!” เสียงร้องในลำคอมิอาจหยุดการกระทำของจูเกิงเฉินได้
ทว่าสิ่งที่หยุดได้นั้นกลับเป็นเสียงแตกร้าวลั่นกรอบ ที่ปรากฏรอยแยกไปโดยรอบ จูเกิงเฉินเร่งกวาดสายตาไปทั่วกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ไม่ทันไรรอยร้าวที่เพิ่งเกิดกลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกลับผู้ที่บุกรุกเข้ามานั้นพุ่งปราดเข้ามา ก่อนจะกระชากจูเกิงเฉินจากทางด้านหลังผลักออกให้พ้นจากเซียวโม่โฉว
“แค่กๆ”เสียงไอโขลกอย่างหนักคล้ายมีสิ่งใดปิดทางเดินลมหายใจไว้ชั่วครู่ ราวกับดึงให้เซียวโม่โฉวหลุดพ้นจากเรื่องเลวร้าย บุรุษหนุ่มมองดูหลี่รั่วถงที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดฝันนัยน์ตาฉายชัดถึงความตื่นตระหนก ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามมองหาหลี่รั่วถงที่พุ่งเข้าหาจูเกิงเฉินเข้าต่อสู้ไม่ยั้งมือราวกับสงครามขนาดย่อม
ช่วงเวลานั้นเซียวโม่โฉวจึงถือโอกาสวิ่งเข้าเก็บปิ่นปักผมที่ถูกเตะทิ้งกลับคืนสู่มือตนอีกครา ยกท่อนแขนขึ้นปาดน้ำตาที่เอ่อคลอกับเหตุการณ์เลวร้ายมือครู่ทิ้ง กลั่นใจพาขาสองข้างที่แทบสิ้นเรี่ยวแรงออกวิ่ง สายตาที่ราวคนขลาดกลัวครู่หนึ่งจำต้องเข้มแข็ง เห็นแล้วซึ่งช่องโหว่ที่จะยุติเรื่องราวทั้งหมดได้
ครั้งก่อนหน้าที่ลอบสำรวจกายของจูเกิงเฉิน ในหัวของเซียวโม่โฉวครุ่นคิดหาทางรอดมาตลอดและไม่มีทางยอมให้ตนเองถูกจูเกิงเฉินกังขังเขาไปตลอดเป็นแน่
“คันฉ่องนั่น คว้ามันและเอามาให้ข้า!”จูเกิงเฉินเหลือบมองเซียวโม่โฉว รู้ดีว่าเสียงเรียกกนั้นบอกกล่าวแก่ผู้ใด นึกไม่ถึงว่าเซียวโม่โฉวจักไหวพริบดีเช่นนั้น
คันฉ่องบานเล็กที่จูเกิงเฉินพกติดตัวไว้ เป็นสิ่งเดียวที่กังขังผู้คนไว้มิให้หลุดออกไปได้ แม้รอยแตกราวที่หลี่รั่วถงบุกรุกเข้ามาจะแตกออก หากยามนี้กลับผสานกลับดังเดิมจนหาช่องโหว่หนีออกไปไม่ได้ ทางเดียวที่จะออกไปนั่นคือทำลายคันฉ่องมารนั้นให้สิ้นซากเสีย
สิ่งที่เซียวโม่โฉวมั่นใจนักว่าต้นเหตุคือคันฉ่องบานนั้น เพราะจูเกิงเฉินพกสิ่งนั้นติดตัว คนผู้นั้นซ่อนมันไว้ในผ้าคาดเอว และก่อนหน้านี้เซียวโม่โฉวมองเห็นเสี้ยวหนึ่งของเงาตนเองที่สะท้อนโผล่ให้เห็น มิใช่ภาพสะท้อนเพียงส่วนที่เป็นเงาอย่างเดียว หากแต่สิ่งนั้นสะท้อนภาพของตนและจูเกิงเฉินมาจากด้านบนราวกับจับจ้องไปทุกการเคลื่อนไหว
“หึ! อย่าคิดว่าจะง่ายนัก ไม่มีวัน!”เสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอดจากจูเกิงเฉินลอดผ่านไรฟันในขณะที่ประมือกับหลี่รั่วถง
“เจ้าก็อย่าได้หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เจ้าคิด! ไม่มีทาง!”ดวงตาคมกริบครั้นบันดาลโทสะพาลเอานัยน์ตาดุดันสะท้อนวาวเป็นสีเหลืองอำพันราวสัตว์อสูร ก่อนจะฟาดเท้าไปเบื้องหน้าฉิวเฉียดใบหน้าของอีกฝ่ายที่หลบทันอย่างรวดเร็ว หลี่รั่วถงไม่อาจยื้อการต่อสู้ได้ช้านาน เพราะรู้ดีว่าตนเองไม่อาจทัดเทียมจูเกิงเฉินในยามนี้ จึงใช้ฝ่ามือปล่อยพลังปราณเข้ายับยั้งรุนแรงและไม่พลาดเป้า เป่าจูเกิงเฉินพัดลอยกระเด็นไปไกล
นั่นมิใช่เพียงจุดจบ หลี่รั่วถงกลับตามไปและเข้าอัดพลังใส่อีกคราทว่าอีกฝ่านั้นไหวตัวทัน ช่วงจังหวะเคลื่อนไหว หลี่รั่วถงไม่ย่ามใจหรือปล่อยให้เวลาสูบเปล่า สิ่งที่หมายตายังคงต้องช่วงชิงมาให้ได้ ครั้นจึงเข้าไปประชิดตัวจูเกิงเฉินยอมเอาชีวิตไปเสี่ยง ประมือโดยไม่มีผู้ใดยอมถอย ครั้นจูเกิงฉินพลิกกายหมุนตัวขึ้นกลางอากาศ หลี่รั่วถงรีบไล่ตามใช้ความเร็วคว้าคันฉ่องมารจากกายของจูเกิงเฉินได้ทันท่วงที
สายตาคมเหลือบมองเซียวโม่โฉวที่อยู่เบื้องล่าง บุรุษหนุ่มจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของหลี่รั่วถงไม่คลาดสายตา ครั้นโอกาสมาจึงพยักหน้าให้ วัตถุแผ่นบางแวววาวถูกโยนให้ถึงมือเซียวโม่โฉว
“ข้าไม่มีทางให้ไปหรอก!”เสียงกร้าวดังขึ้นประกาศชัด พลันหลบหลีกจากการต่อสู้หมายจะแย่งชิงคันฉ่องของวิเศษกลับคืน ทว่าหลี่รั่วถงหาได้ปล่อยให้อีกฝ่ายสมดังใจหมาย จึงเข้าขัดขวางซัดฝ่ามืออัดแน่นไปด้วยไอเย็นเข้าหาจูเกิงเฉิน หากแต่พลาดเป้าไปโดนเพียงช่วงไหล่ แต่อย่างน้อยคันฉ่องมารก็ถึงมือเซียวโม่โฉว
“เจ้ารู้วิธีทำลายมันใช่หรือไม่!”
“หากสิ่งที่ท่านมอบให้ข้ามีประโยชน์อย่างที่ข้าคิดก็คงรอด!”
ฉึก!
เพล้ง!!!
มือขาวที่กำปิ่นปักผมดอกโบตั๋นไว้แน่นง้างขึ้นสุดแขนก่อนจะใช้ส่วนปลายแหลมแทงทะลุคันฉ่องจนแตกกระจายออกเป็นเสียงๆ เกิดแสงประกายวาวโรจน์สาดส่องออกมาจากคันฉ่องมาร ราวกับพลังร้ายทะลักออกมา และในตอนนั้นทุกอย่างก็ราวถูกปลดปล่อย การกังขังไว้เป็นอันสิ้นสุด หากแต่ทุกอย่างมิได้จบเพียงนั้น เมื่อจูเกิงเฉินเหาะเหินเข้าเซียวโม่โฉวหมายจะคว้าชิงไปอีกครา หลี่รั่วถงมิได้รอช้าเข้าขวางกั้น จูเกิงเฉินเห็นดังนั้นจึงซัดฝ่ามือมารเข้ากระแทกร่างจนอีกฝ่ายกระอักโลหิตออกมาแดงฉาน
ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเซียวโม่โฉวคล้ายวาบเข้ามาในหัวของบุรุษหนุ่ม เสมือนเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทว่าคนที่เป็นฝ่ายปกป้องมิใช่หลี่รั่วถง หากแต่ภาพเลือนรางเสียจนไม่อาจมองชัดเจนได้ว่าเป็นผู้ใดในความคิด
นะนี่มันอะไรกัน สิ่งใดที่ปรากฏขึ้นในหัวของข้ากันแน่!
ความตื่นตระหนกที่พาเอาบุรุษหนุ่มตัวแข็งทื่อ ครั้นไม่ทันรู้ตัวก็ถูกโฉบดึงไปจากทางด้านหลังแล้ว ทว่าผู้ที่คว้าเซียวโม่โฉวไปนั่นเป็นติงเจิ้งหวา เจ้าของเส้นผมสีแดงเพลิงที่เข้ามาช่วยเหลือ หากแต่ความไม่คุ้นเคยและมิได้พบพานกลับทำเอาเซียวโม่โฉวผวา ครั้นได้ยินเสียงของหลี่รั่วถงแว่วมาจึงลดความกังวล
“นำตัวเซียวโม่โฉวไป ข้าจะจัดการทางนี้!”
“ภาพที่ค่อยๆ ห่างไกลนั่นคือโลหิตสีแดงของหลี่รั่วถงที่กระอักออกมาไม่น้อย กระเซ็นลงบนพื้นหิมะขาวโพลน เป็นสีสดที่ตัดกันมองแล้วชวนพรั่นพรึงยิ่งนัก”
ในขณะเดียวกันที่จูเกิงเฉินคำรามดังลั่น พายุหิมะที่ก่อตัวขึ้นฉับพลันบดบังทุกอย่างไปจากสายตา ยามนี้เซียวโม่โฉวทำได้เพียงมองเหตุการณ์เบื้องล่างที่เกิดขึ้นที่ค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตา พลันน้ำตาแห่งความห่วงใยคล้ายเอ่อรื้นอย่างไม่รู้ตัว
“ข้าจะรีบนำเจ้ากลับไปในที่ปลอดภัย”
“ตะแต่ท่านควรจะไปช่วยหลี่รั่วถง!”
“หวางหรูอี้อยู่ที่นั่น เจ้ามิต้องเป็นห่วง ยามนี้ห่วงตัวเจ้าเองเถิด”
“ตัวข้า?” ความเจ็บปวดที่ลืมสิ้นถึงความรู้สึกรู้สาพลันมองฝ่ามือของตนเองที่มีบาดแผลเหวอะหวะ ลามไปถึงท้องแขนที่ราวกับโดนสะเก็ดของแหลมคนบาดลึก คงหนีไม่พ้นเศษเสี้ยวของคันฉ่องมารที่บุรุษหนุ่มเป็นผู้ทำลายให้แหลกละเอียด ทั้งนี้โลหิตที่มิเคยได้หลั่งไหลเมื่อครั้งเป็นวิญญาณบัดนี้กลับมองเห็นดูไม่น่าภิรมย์ใจแม้แต่น้อย
แม้ฝ่ามือจะอาบย้อมไปด้วยโลหิตแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ละทิ้งนั้นคือปิ่นปักผมชิ้นสำคัญในมือ ครั้นมองแล้วกลับนึกกังวลจนแทบร้อนรุ่ม
“ท่านแน่ใจหรือไม่ว่าหลี่รั่วถงจักไม่เป็นอันตราย”
“ข้าส่งเจ้าเพียงเท่านี้”ติงเจิ้งหวาปล่อยมือจากเซียวโม่โฉวลงสู่พื้นพิภพแห่งหยิน ก่อนจะเหาะเหินถอยห่าง ตระเตรียมจะกลับไป หากแต่กลับพูดทิ้งท้ายไว้เพียงหนึ่งประโยค “หลี่รั่วถงมิมีวันตาย เขาไม่มีชื่อในบัญชีวิญญาณ ทว่ามีเพียงการสิ้นสลายของกายทิพย์ที่จักไม่สามารถคาดเดาได้ เช่นนั้นข้าจึงตอบเจ้าได้เพียงเท่านี้” เส้นผมสีเพลิงที่สยายพลันเหาะเหินหายลับไปในอึดใจ
ภาพที่หลี่รั่วถงช่วยเหลือตนไว้ยังคงฉายชัดในความทรงจำ ทั้งโลหิตที่กระอักออกมายอมหิมะเป็นสีแดงฉานจะเชื่อมั่นได้หรือไม่ว่าหลี่รั่วถงจะกลับมา
พลันครุ่นคิดในหัวแล้วเข่าทั้งสองข้างของเซียวโม่โฉวถึงกับทรุดฮวบ
“คงไม่เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นใช่หรือไม่ ข้าไม่อาจช่วยเหลืออันใดท่านได้เลย”เสียงสั่นพึมพำต่อตนเองอย่างหดหู่ ดวงตากลมใสเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เป็นอีกครั้งที่เซียวโม่โฉวรู้สึกขลาดกลัวกับการจากลา
ติดตามตอนต่อไป >>>
ขอบคุณนักอ่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านค่ะ
โดย หลานฮวา