۞จอมใจ จ้าวมนตรา۞[วายจีนโบราณ] บทส่งท้าย(จบ) update 27/12/2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ۞จอมใจ จ้าวมนตรา۞[วายจีนโบราณ] บทส่งท้าย(จบ) update 27/12/2561  (อ่าน 37723 ครั้ง)

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4

บทที่ 15
การสู้เพื่อพ่ายแพ้...ไร้ค่า

50%





   “เหอจี๋เจ้าว่ายามนี้ท้องฟ้าแปลกประหลาดหรือไม่ ไยจึงดูปั่นป่วนราวกับพายุจะโหมกระหน่ำเช่นนั้น”

   หากมองให้กระจ่างยามนี้เป็นจริงอย่างที่เซียวโม่โฉวกล่าวขึ้น ราวกับเรื่องเลวร้ายที่หลับใหลมานานกำลังแผลงฤทธิ์

   “ข้าว่ายามนี้ท่านเข้าไปด้านในเถิดขอรับ กระแสลมแรงอาจทำให้ท่านอ่อนแอลงได้”

   “ไม่เป็นไร ยามนี้ข้ารู้สึกว่าตนเองมิได้อ่อนแอเช่นก่อนเก่านัก ตั้งแต่ที่ข้าเพียรพยายามมาก็เห็นว่าครานี้ข้าจะได้ทำตามที่ข้าต้องการในเร็ววัน”

   “ข้ายินดีด้วยที่ท่านสามารถทำให้พลังวิญญาณของตนเองแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่อย่างไรก็เข้าด้านในก่อนเถิดขอรับ ข้าเตรียมชาไว้ให้ท่านแล้ว สรรพคุณชาตัวนี้ฟื้นฟูกำลังได้ดีนัก มักใช้ในงานพิธีสำคัญ ข้าเห็นควรว่าท่านควรจะดื่มแต่ร้อนๆ นะขอรับ”

   “ขอบใจเจ้ามากเหอจี๋ เจ้าเป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือข้ามาตลอด นับเป็นบุญคุณนัก”

   “มิได้ขอรับ เป็นหน้าที่ของข้า”

   “เช่นนั้นก็เข้าไปด้านในเถิด”สายตาของเซียวโม่โฉวยังคงเหลือบมองท้องฟ้าอย่างสงสัยก่อนจะเดินเข้าไปด้านในของเรือนเสี้ยวจันทรา

   หลายวันนี้เซียวโม่โฉวมิได้ออกไปพบปะผู้ใดแม้กระทั่งหลี่รั่วถง ช่วงเวลาส่วนใหญ่อยู่กับการบำเพ็ญเพียรที่ใช้ระยะเวลาหลายราตรีติดต่อกัน แม้จะไม่ยืดยาวเท่าเทพเซียนที่ไม่ตื่นขึ้นกระทั่งสำเร็จมรรคผลหากแต่วิญญาณที่อ่อนแอเช่นเขากลับทำได้เพียงในระยะสั้น หากแต่หมั่นสะสมตามกำลังของตนก็ว่าได้

   ในระยะหลังมานี้ระหว่างที่เซียวโม่โฉวเข้าสมาธิมักฝันเห็นสิ่งประหลาดราวกับมารผจญจิตใจอยู่บ่อยครั้งนัก เรื่องราวที่ไม่ปะติดปะต่อนับว่าจับใจความยังมิได้ หากแต่ก็ทำให้สงสัยใคร่รู้มิใช่น้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้น

   สตรีในฝันที่สวยดุจนางฟ้านางสวรรค์ที่อยู่ในความฝันของข้าเป็นใคร?

   และยังมีเหตุการณ์น่าสะพรึงที่วนซ้ำในความฝัน สิ่งเหล่านั้นดูเลวร้ายจนต้องสะดุ้งตื่น หากแต่ทุกอย่างช่างมืดมนราวกับกลุ่มเมฆหมอกที่บดบังทุกอย่างไว้ไม่ชัดเจน ทว่าความรู้สึกในความฝันนั้นราวกับตนอยู่ในเหตุการณ์ เหมือนจริงจนรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่าง ราวกับโดนฉีกเป็นชิ้นๆ
 
   ไม่ต่างจากความรู้สึกที่โดนคมดาบปลิดชีพเมื่อครั้งยังมีชีวิต

   “เหอจี๋.....”เสียงเรียบที่เรียกขานในมือประคองถ้วยน้ำชาอุ่นร้อนส่งกลิ่นหอมกำจายเข้าจมูก ก่อนวางลงเบามือแล้วหันไปมองเหอจี๋ที่เดินรี่เข้ามา

   “มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือขอรับ?”

   “ข้าเพียงอยากถามไถ่เจ้าสักสองสามประโยค”สายตาคู่สวยกวาดมองไปรอบห้อง มองเห็นทู่จึที่เพิ่งกินหมั่นโถวไปเต็มท้องนอนหลับเหยียดตัวยาวในร่างจำแลงเป็นเด็กวัย 5 ขวบส่งเสียงกรนเบาๆ ในลำคอ แล้วหันไปมองเหอจี๋ที่รอตอบคำถาม

   “ว่ามาเถิดขอรับ หรือให้ข้าไล่เจ้าปีศาจตนนั้นออกไปก่อนดีหรือไม่”

   “ไม่ต้อง มิใช่เรื่องลับลมคมในอะไรนัก”เซียวโม่โฉวโบกมือปฏิเสธ

   “แล้วมีเรื่องอะไรหรือขอรับ?”

   “ข้าเห็นว่าเรือนทางโน้นช่างดูเงียบเชียบนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่ายามนี้มีผู้ใดอยู่หรือไม่”สายตาวอกแวกมองมือขาวสลับกับเหอจี๋ก็พอดูรู้ว่ามีความกังวล

   “ท่านคิดถึงนายท่านขอข้าหรือขอรับ?”คำถามที่ย้อนกลับมาเถรตรงทำเอาคนเซียวโม่โฉวนั่งไม่ติดเก้าอี้ ลุกขึ้นเดินเหินไปหยิบจับข้าวของดูวุ่นวาย

   “ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น เจ้าเอาสิ่งใดมาพูด เพียงแต่ข้าไม่ได้ข่าวคราวจึงถามไถ่ขึ้น ผู้อาศัยย่อมต้องรู้ไว้เสียบ้างว่าเจ้าของบ้านเหตุใดจึงหายไปเช่นนั้น”

   “ท่านอย่าได้เป็นกังวลใจเลยขอรับ นายท่านเพียงมีภาระที่ยุ่งเหยิง จึงมาพบเจอท่านมิได้ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ขอรับ ท่านให้ข้าส่งจดหมายให้ได้นะขอรับ”

   เพียงพริบตาพู่กันและกระดาษก็วางอยู่ในมือของเหอจี๋แล้ว

“ข้าไม่มีสิ่งใดอยากเขียน”

“อย่างน้อยก็บอกกล่าวสิ่งที่ท่านต้องการพูดคุยกับนายท่านก็ได้ขอรับ ข้าเชื่อว่านายท่านต้องดีใจมากแน่ๆ”

“ข้าจะไม่เขียนสิ่งใด”สายตาที่ทอดมองไปยังเบื้องหน้ากล่าวขึ้นหนักแน่น มือข้างหนึ่งยกขึ้นสัมผัสกับลำคอขาวลูบเรียวนิ้วผ่านสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนลำคอคะนึงถึงเสียอย่างนั้น ยามที่นึกถึงหลี่รั่วถงคำพูดครั้งที่ตนพบเจอกับจูเกิงเฉินยังคงสะท้อนก้องในหู

คนผู้นั้นไม่พึงใจสัญลักษณ์ประหลาดที่ติดกายข้า ข้าเองก็ไม่รู้ว่าบนตัวข้าได้สิ่งนี้มาอย่างไร หากแต่เหอจี๋เคยกล่าวว่า ข้าสำคัญต่อหลี่รั่วถง ใช่เรื่องแปลกที่จะประทับตราไว้ซึ่งความเป็นเจ้าของ

ครั้งฟังก็ประหลาดอยู่ในใจ หากแต่ลึกแล้วหัวใจของเซียวโม่โฉวกลับพองโตอิ่มเอมในคำพูดเช่นนั้น
 
“ข้าจะไปหาด้วยตนเอง กระดาษเพียงแผ่นเดียวจะดีกว่าคำพูดสิบประโยคได้เช่นไร”

ตัดสินใจได้เช่นนั้นบุรุษหนุ่มก็ไม่รอรี รีบร้อนดินออกจากเรือน ผ่านธรณีประตูไปเพียงไม่กี่ก้าวกลับต้องชะงักเท้าเพราะการปรากฏตัวของผู้ที่คะนึงถึงอย่างไม่ทันตั้งตัว

“เจ้ากำลังจะไปที่ใด?”

ดวงตากลมใสเบิกโพลงมองร่างสูงสง่าตรงหน้าอย่างตกใจ มิคาดคิดว่าจะพบเจอได้เร็วไวราวกับหลี่รั่วถงล่วงรู้ความคิด หากเป็นเช่นนั้นคงจะน่ากลัวเกินไปแล้ว

“นายท่าน? เหตุใดจึง.....”เหอจี๋ที่เดินตามมามีท่าทีแปลกใจ หากแต่สบตากับหลี่รั่วถงจึงได้สงบปากสงบคำ ถอยห่างให้อย่างไม่ต้องกล่าวอะไรมาก

“เจ้าพอจะมีเวลาไปเดินเล่นกับข้าได้หรือไม่”ใบหน้าที่ราวกับต้นไม่ได้น้ำชุ่มชื่นขึ้นครั้นอีกฝ่ายเอ่ยคำชวน กลีบปากบางที่ยกยิ้มขึ้นดูหวานหอมราวกับผลสาลีสุกงอม

“แปลกนัก ข้าเพียงคิดหากแต่ท่านก็มาอยู่ตรงหน้าของข้าได้ ข้ามีหลายสิ่งที่อยากพูดคุยกับท่านเช่นกัน”

“เช่นนั้นข้าก็มาถูกเวลาสินะ”

“.....”ใบหน้าขาวพยักให้ไร้คำพูด หากแต่แววตานั้นได้สื่อความรู้สึกออกมาสิ้นแล้ว




ท่ามกลางสายลมห่มหมอก ยามเจ้าพิภพแห่งหยินเหยียบย่างไป ณ หนใดกลับแหวกออกมองเห็นศิลาที่ทอดเป็นทางเดินยาวไปไกลสุดตา ผู้ที่เดินเคียงกายแม้เป็นบุรุษหากแต่สูงใหญ่ไม่เทียบเท่า ยามสนทนาพูดคุยกลับต้องเงยหน้าเสียหลายส่วน มองดูเพียรพยายามจนน่าขบขัน

“ยามนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง เหอจี๋บอกแก่ข้าว่าท่านมีภาระหนักหนาที่ต้องแบกรับ อีกทั้งร่างกายของท่านยัง.....”

“ข้าดีใจที่เจ้าเป็นห่วงข้า แต่ข้าไม่เป็นไร”

“ท่านพูดเช่นนั้นข้าก็จะเชื่อ แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่เห็นดีเห็นงามด้วยที่ท่านจะหักโหม อย่างไรหากท่านเป็นอะไรไปข้าก็เกรงว่า.....”ครู่หนึ่งที่แววตาเป็นประกายดูสลดไป

“เกรงว่าอย่างไร? ”หลี่รั่วถงหยุดเดินแล้วหันมาพูดคุยกับเซียวโม่โฉว แววตาแข็งกร้าวที่มองเหล่าข้าทาสบริวารยามนี้กลับอ่อนลงราวกับมองสิ่งสวยงามดั่งสมบัติล้ำค่า

“เกรงว่าข้าจะเป็นอิสระเสียเร็ววัน”พูดแล้วก็แสร้งเดินหนีไปซ่อนพวงแก้มขาวที่ร้อนผ่าวและแดงเรื่อเอาไว้ ผู้รู้ทันก้าวเดินตามไม่ลดละก่อนจะจับคว้ามือเซียวโม่โฉวไว้เพียงเบา

สัมผัสอ่อนโยนที่ไม่หาญกล้าที่จะกระทำให้บุรุษตรงหน้านั้นบอบช้ำสัมผัสอย่างทะนุถนอมทำเอาบุรุษหนุ่มปั้นหน้าไม่ถูกนัก จะเหนียมอายก็ดูกระไรอยู่ หากแต่ท่าทีที่หลี่รั่วถงปฏิบัติต่อตนนั่นช่างสั่นคลอนดวงใจนัก

ปฏิกิริยาเก้อเขินของเซียวโม่โฉวก็ช่างชวนมองยิ่ง หลี่รั่วถงแทบจะข่มใจตนเองไม่ไหวหากแต่เช่นไรก็ต้องหักห้าม

ข้าต้องอดทนถึงเพียงใดรู้หรือไม่ ที่จะไม่แตะต้องเจ้าให้เจ้าต้องหวาดกลัว

“ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระไปจากข้าง่ายดายอย่างแน่นอน”แววตาคล้ายเว้าวอนมองเซียวโม่โฉวที่สบตาหลี่รั่วถงไร้สิ้นคำกล่าว“เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าวิญญาณของเจ้าถูกข้าพันธนาการไว้เสียสิ้นแล้ว”

มือหนาเข้าโอบกรอบหน้าที่ยังคงตื่นตะลึงในคำพูดของหลี่รั่วถง ปลายนิ้วอุ่นเกลี่ยไปบนพวงแก้มแผ่วเบา ก่อนเลื่อนลงต่ำสัมผัสกับสัญลักษณ์ดอกโบตั๋นที่ลำคอระหงกดสายตาลงมองพึงใจในความงดงาม

ดวงตาคู่สวยที่จับจ้องกรอบหน้าของหลี่รั่วถงเพียงใกล้ หาใช่ด้วยเวทมนตร์ที่ตรึงความรู้สึกของตนไว้ เสมือนเบื้องลึกภายในจิตใจที่โหยหาบุรุษตรงหน้ามากกว่าอื่นใดนั่นคือคำตอบ

แม้ข้าจะไม่รู้ว่าความรักเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไปมีนั้นรู้สึกเช่นไร แต่หากให้ข้าอธิบายคงจะอบอุ่นหัวใจเฉกเช่นสิ่งที่ข้ารู้สึกตอนนี้เป็นแน่

“ข้าอยากจะกอดเจ้า ข้าทำเช่นนั้นได้หรือไม่”

“ทุกคราท่านถามข้าเช่นนั้นหรือ ยังไม่นับที่ท่านช่วงชิงพลังวิญญาณไปจากข้าอีก”หน้าซื่อตาใส่กล่าวความหลังอันแสนเจ็บใจออกมา สีหน้าคาดโทษค้อนตาใส่หลี่รั่วถงน่าดู แต่ใครเล่าจะกลัวเกรงมีแต่ต้องอยากทำผิดพลาดซ้ำๆ ต่อบุรุษตรงหน้า

“ข้าทำให้เจ้าลำบากแล้ว”แม้เอ่ยอย่างรู้ตัวหากแต่ผู้ที่บริวารเกรงกลัวกลับดึงบุรุษหนุ่มตรงหน้าเข้ากอด มือใหญ่ประคองแผ่นหลังเล็กเข้ากระชับแน่นราวกับจะให้เซียวโม่โฉวจมหายเข้าไปในแผงอกกว้างเสียอย่างนั้น ความรู้สึกรักและหวงแหนล้นเอ่อออกมาเสียจนไม่รู้จะทำเช่นไร

ผู้ที่ถูกรวบกายเข้ากอดตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเพียงครู่ หากแต่ไออุ่นจากลำแขนกว้างกลับทำให้เซียวโม่โฉวสงบใจได้ อีกทั้งยังเอื้อมลำแขนที่เล็กกว่าแม้จะลังเลอยู่บ้างแต่ก็ตัดสินใจโอบบุรุษตรงหน้าตอบด้วยหัวใจที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าแม้สลายกลายเป็นเพียงพลังวิญญาณ อย่างไรก็ได้เป็นของคนผู้นี้ไม่มีสิ่งใดต้องห่วงแล้ว

“นับจากยามนี้ ข้าจะไม่อยู่ที่นี่อีกหลายวัน ข้าไม่อาจนิ่งนอนใจปล่อยเจ้าให้อยู่ที่โล่งแจ้งได้”

“มีอะไรเกิดขึ้น ท่านจะไปที่ใดหรือ?”

“อาจมีบางอย่างที่เจ้าคาดไม่ถึง และเพื่อความปลอดภัยต่อตัวเจ้าข้าจึงห่วงใยนัก คงยังจำได้ถึงความน่ากลัวเกรงของผู้ที่มิได้หวังดีนัก นั่นคือสิ่งที่ข้ากังวลใจ โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่เจ้ายังไม่รู้อีกมากมายนัก”

“เกี่ยวโยงถึงท้องฟ้าที่แปรปรวนอย่างที่ข้าเห็นหรือไม่ แม้ข้าจะมิได้มีญาณวิเศษใดก็รู้สึกได้ว่าทุกอย่างหาได้ปกติเช่นเคย”สีหน้าตระหนกแหงนมองท้องฟ้าในยามนี้ราวกับกำลังอาบย้อมไปด้วยโลหิต

“ข้าไม่อาจตอบคำถามเจ้าทั้งหมดได้ เจ้าเพียงรู้ไว้ว่า.....ข้าไม่อาจปล่อยให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นครั้งที่สอง ไม่ว่าด้วยฝีมือของผู้ใด ข้าจำเป็นต้องขอให้เจ้าอยู่ในที่แห่งนี้เพื่อความสบายใจของข้าได้หรือไม่”

เพียงฝ่ามือโบกหมอกเมฆริมทางที่ลอยต่ำพลันกระจายหายไปส่วนหนึ่ง เบื้องล่างเมฆหมอกปรากฏบึงบัวทองที่ราวถูกปิดกั้นมิให้ผู้ใดพบพาน บัวสีทองดอกหนึ่งคล้ายโผล่ขึ้นจากใต้ผิวน้ำ กลีบดอกที่หุบตูมคลี่ออกราวกับบานสะพรั่งรับแสงสว่างทันตา

“สิ่งนั้นคือ? ”สีหน้ากังวลมองหลี่รั่วถงสลับกับดอกบัวไม่เข้าใจนัก

“ข้ามิได้อยากกักขังเจ้า แต่อยากให้เจ้าเข้าใจข้า”ดอกบัวงามจากบึงลอยขึ้นมาอยู่เหนือฝ่ามือของหลี่รั่วถง แสงสีทองที่เปล่งประกายระยับส่องสว่างอยู่เบื้องหน้าเซียวโม่โฉว

“หมายความว่าอย่างไร”

“เจ้าจงบำเพ็ญเพียรเพื่อตัวเจ้าเองอยู่ในบัวทองยังที่แห่งนี้ รอข้ากลับมาได้หรือไม่”

เซียวโม่โฉวแม้มิได้ฉลาดปราดเปรื่องนัก แต่ก็คาดเดาเรื่องราวได้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นในอีกไม่ช้า หากแต่ดูจากสิ่งที่หลี่รั่วถงสื่อออกมานั้นคงไม่ต้องการให้ล่วงรู้เรื่องราวไปมากกว่านี้

“ท่านสัญญาต่อข้าได้หรือไม่ว่าท่านจะกลับมารับข้ากลับไป”น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองหลี่รั่วถงพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่จุดขึ้นตรงมุมปาก การกล่าวเช่นนั้นเท่ากับเซียวโม่โฉวเชื่อใจผู้คนตรงหน้าไปแล้ว

ข้าไม่รู้หรอกว่ากำลังเกิดเรื่องใดขึ้น หากแต่สีหน้าและแววตาของหลี่รั่วถงกำลังร้อนใจเช่นนั้นข้าก็ไม่อาจดื้อแพ่งมุทะลุเอาแต่ใจให้มากความ เช่นไรชีวิตของข้าก็เป็นของเขากระทั่งวิญญาณแล้ว

“ข้าจะกลับมารับเจ้าให้เร็วที่สุด”

มือหนาเอื้อมลูบเส้นผมนุ่มละเอียดพลันร่างของเซียวโม่โฉวก็เปล่งประกายวูบหายเข้าไปในดอกบัวทอง กลีบดอกที่บานสะพรั่งหุบตูมดังเดิมก่อนหลี่รั่วถงจะซ่อนดอกบัวนั้นไว้ในบึงบัวแห่งนี้ เนรมิตมัจฉาวารีเวียนว่ายดูแลอยู่ไม่ห่าง หมอกขาวที่กระจายอยู่บางเบาค่อยๆ ปกคลุมก่อตัวหนาขึ้น สายตาคมกวาดมองไปทั่วราวกับสำรวจทุกอย่าง ก่อนจะออกไปจากสถานที่แห่งนั้น และซ่อนเร้นไว้ราวกับบึงบัวแห่งนี้มิได้มีอยู่จริง






ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4
ตอนต่อ




วาบ!

สายฟ้าที่พาดเส้นเป็นสายบนท้องฟ้าส่องสว่างวาบไปถึงโลกมนุษย์ ยามนี้พายุที่พัดโหมแรงกล้าก็ไม่เทียบเท่าความคุกรุ่นในยามนี้ คงเป็นเรื่องที่ต้องลงบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อีกครา ไม่พ้นนามที่มิมีผู้ใดลืมเลือนได้ว่าจูเกิงเฉินปีศาจที่หาญกล้าก่อสงครามสร้างความปั่นป่วนให้แก่พิภพทั้ง 4 ปรากฏตัวอย่างไม่เร้นหลบอีกต่อไป

บัดนี้เบื้องหลังของจูเกิงเฉินคลาคล่ำไปด้วยบริวารเหล่าปีศาจนอกรีต บ้างก็มาในรูปอสุรกาย บ้างก็มารูปของมนุษย์ที่หาได้มีใบหน้าครบถ้วน ช่างเป็นกองทัพปีศาจแท้ถึงแก่นเสียจริงเชียว

หากนับแล้วครานี้จูเกิงเฉินมิได้มาโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ทว่าครั้งนี้ตระเตรียมการณ์มาอย่างดี กองทัพนับพันตนช่างเป็นสีมืดทะมึนของท้องฟ้าไม่ชวนมองยิ่งนัก กลิ่นอายของความกระหายอำนาจเคล้าอากาศเสียจนอึดอัดนัก

ผู้นำทัพที่ยืนตระหง่านลอยตัวเหนือเมฆแสดงแววตาดุดันไม่ยอมแพ้ เป็นจูเกิงเฉินที่แสยะยิ้มอย่างพอใจครั้งเห็นอีกฝ่ายที่ประจันหน้ารอให้ปลิดชีพ

“พวกเจ้าคงเตรียมใจเพื่อมาพ่ายแพ้ต่อข้าแล้วใช่หรือไม่ นึกไม่ถึงว่าทหารกล้าของพวกเจ้าจะมีเพียงหยิบมือ ช่างน่าหัวเราะนักที่สิ้นผู้กล้า คงกลัวต่อข้าจนมุดหัวมุดหางอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่หรือไม่”

คำเย้ยหยันกล่าวขึ้นเสียงก้องกัมปนาท ยามนี้จูเกิงเฉินไม่อาจถอยหลังหรือยอมแพ้ให้แม้สิ้นชีวาวายก็ให้รู้แพ้ชนะ

“เหตุใดจึงต้องสิ้นเลือดเปลืองแรงให้กับกองทัพปีศาจของเจ้าด้วยเล่า คิดหรือว่ากองทัพของเจ้าจะเอาชนะพวกข้าได้ ตื่นจากฝันเสียทีเถอะ!”หวางหรูอี้ที่สวมชุดเกราะดูเข้มแข็งซ่อนรูปโฉมงดงามเกินบุรุษไว้ภายใต้หน้ากากเหล็ก

“หนทางที่เจ้าเลือกนับว่าไร้ซึ่งความสำเร็จ ข้าละอายใจแทนเจ้านักที่ใฝ่สูงเช่นนี้ เจ้ากับข้านับว่ามีความแค้นพันชาติที่อาจล้างให้สิ้นไปได้ แต่ความทะนงตนของเจ้านั้นหนักหนาเสียกว่าที่ไม่อาจสิ้นสลายไปจากตัวเจ้าได้เลย ถอยตอนนี้พวกข้าจะยังปรานีโทษให้ หากเจ้าก้าวล้ำเส้นไปแล้วทุกอย่างไม่อาจหวนคืน”

หลี่รั่วถงกดสายตาคมกริบมองไปยังนัยน์ตาจูเกิงเฉินที่ไม่อาจปกปิดความฮึกเหิมได้ แววตาที่พานแต่จะนำหายนะมาสู่ตน

ช่างน่าเวทนายิ่งนัก

สิ้นประโยคของหลี่รั่วถง เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นไม่กลัวเกรง

“แล้วอย่างไรเล่า ข้ามาก็เพื่อการณ์นี้ กองทัพของข้าจงมองดูให้ดีเถิด ความทะนงศักดิ์ที่พวกเจ้าเห็นอยู่ตรงหน้าจะเป็นภาพสุดท้ายที่จะได้เห็น เพราะนับจากนี้ ผู้ที่พวกเจ้าจะต้องก้มหัวให้คือข้า!”

ข้าจะยึดทุกอย่างจากพวกเจ้า แม้กระทั่งสิ่งที่หลี่รั่วถงยื้อแย่งไปจากข้า!

สิ้นคำโอหังของจูเกิงเฉิน ดวงตาเฉี่ยวคมพร้อมร่างสูงใหญ่ก็ทะยานเข้าหากองทัพสวรรค์เบื้องหน้าอย่างไม่ยำเกรง ความชุลมุนก่อตัวขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย เสียงฟาดฟันของโลหะและคมอาวุธที่เชือดเฉือนร่างกายพร้อมทั้งเสียงโอดครวญของความเจ็บปวดดังระงมไปทั่ว

ประกายวาบจากโลหะที่กระทบราวกับสายฟ้าฟาดลงไปยังเบื้องล่าง การต่อสู้ที่ไม่อาจยับยั้งกำลังห้ำหั่นกันอย่างไม่ปรานี

ทั้งติงเจิ้งหวาและหวางหรูอี้ต่างเข้าประมือกับเหล่าปีศาจที่เข้ารุมล้อมหวังโค่นล้มจ้าวพิภพเพื่อรับรางวัลเป็นค่าเหนื่อยจากจูเกิงเฉิน คงไม่ง่ายนักที่จะกระทำเช่นนั้น เพียงฝ่ามือเดียวก็ปราบศัตรูสิ้นไปนับสิบตนด้านหลังยังมีผู้ระวังให้เป็นถึงจ้าวนรกภูมิ แม้ไม่เจนจัดในการสงคราม หากแต่ฝีมือก็ไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด โดยเฉพาะดวงตาสีแดงฉานที่ยามปีศาจสบตาก็ขลาดกลัวบั่นทอนความฮึกเหิมไปได้หลายส่วน อีกทั้งยังมีเทพเอ้อหลางที่กระหายหายสงครามเข้าร่วม คำว่าพ่ายแพ้เห็นทีจะยาก

อีกฟากฝั่งเป็นจูเกิงเฉินที่หมายมาดเด็ดหัวหลี่รั่วถงให้ได้ในครานี้ เห็นทีจะมิใช่เรื่องง่ายเมื่ออีกฝ่ายแข็งแกร่งไม่สามารถล้มลงได้ง่ายนัก การต่อสู้ที่ขับเขี้ยวผลัดกันเป็นรองไม่มีผู้ใดยอมปล่อยให้มีช่องว่างเพื่อให้ศัตรูโจมตีได้

“เจ้าควรจะยอมแพ้ไปซะ ประมาณตนเสียบ้างเถิดว่ายามนี้เจ้ามิได้แข็งแกร่งดั่งก่อนเก่า รู้สึกอย่างไรบ้างเล่ากับการเสียไปซึ่งเสี้ยววิญญาณ ความเสียสละของเจ้าน่านับถืออยู่หรอก แต่มันน่าหัวเราะกับความโง่เขลาของเจ้าเสียมากกว่า!”

“ข้าไม่ต้องการความเห็นจากปีศาจจอมโอหังอย่างเจ้า คิดทำการใหญ่เช่นนั้นหรือ! ผู้ใดกันที่ต้องประมาณตน!”น้ำเสียงเค้นเขี้ยวเคี้ยวฟังดังขึ้นพร้อมกับดาบที่กวัดแกว่งไปเบื้องหน้า หลี่รั่วถงถีบตนขึ้นสูงก่อนจะพุ่งตรงไปยังจูเกิงเฉินพร้อมกับปลายดาบที่อาบย้อมไปด้วยอาคม

ทว่าอีกฝ่ายกลับไหวตัวเบี่ยงกายหลบโต้ตอบอย่างรวดเร็วซัดพลังเข้าใส่หลี่รั่วถงหมายให้ร่วงหมดโอกาสโบยบิน

“ข้าไม่มีทางหลงกลเด็กเล่นของเจ้าได้หรอก!”คิ้วได้รูปขมวดมุ่นใช้สายตากร้าวจ้องมองจูเกิงเฉินที่ถอยหลบพัลวัน

“หนอยยย!”เสียงสบถอย่างไม่พอใจครั้นโดนคลื่นดาบของหลี่รั่วถงปะทะเข้าบริเวณขาซ้าย

“เจ้าจะรอดไปได้กี่น้ำกันเชียว”

“หึ! ก็ลองดูเถิด”

ความฮึกเหิมฉายแววผ่านดวงตาของจูเกิงเฉิน กระหายซึ่งชัยชนะในศึกครั้งนี้ เดิมพันที่มีนั้นคือชีวิตของตนจึงไม่อาจพลาดพลั้งได้

“ผู้ใดกันที่โง่เขลา เจ้าคงได้กระจ่างในเร็วนี้เป็นแน่!”

หลี่รั่วถงกล่าวเสียงกร้าวแววตาแทบลุกเป็นไฟ เขาไม่อาจพ่ายแพ้ให้แก่จูเกิงเฉินในครั้งนี้ได้ มิใช่เพียงอำนาจที่จูเกิงเฉินปรารถนา หลี่รั่วถงรู้ดีว่าแท้แล้วความละโมบโลภมากในอำนาจนั้นสาเหตุเกิดจากสิ่งใด

“ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าเจ้าจะต้านทานข้าได้สักเท่าไหร่กันเชียว!”

“ข้าไม่แปลกใจว่าเหตุใดปีศาจเช่นเจ้าถึงไม่อาจสมหวังสิ่งใดได้ ความดำมืดในจิตใจของเจ้ามันหนาเสียจนปิดกั้นเสียทุกอย่าง สมควรแล้ว! ”

“หุบปาก! เจ้าจะเย้ยหยันว่าข้าไม่ควรได้รับความรู้สึกรักจากผู้ใดเช่นนั้นหรือ!”

“เจ้าก็ตรึกตรองให้ดีเถิดว่าเป็นดั่งคำที่ข้ากล่าวจริงหรือไม่”

“เจ้า!”

!!!

หลี่รั่วถงอาศัยจังหวะที่จูเกิงเฉินถูกป่วนจิตใจจนเผยช่องโหว่ของความอ่อนแอ ครานั้นจริงอัดพลังปราณเข้าใส่จูเกิงเฉินอย่างรวดเร็วเพียงตากะพริบ ส่งร่างที่เหาะเหินอยู่ในอากาศร่วงลงสู่เบื้องล่างพลัดตกลงกลางป่าสนบนหุบเขาพันอักษร ต้นไม่ที่อยู่โดยรอบโค่นล้มตามแรงตกของจูเกิงเฉินไปหลายสิบต้น

“อั๊ก!”โลหิตสีแดงกระอักออกจากปาก ก่อนจะไม่ย่อมพ่ายยันกายขึ้นเรียกอาวุธมาอยู่ในมือ
หลี่รั่วถงมิปล่อยให้โอกาสหลุดลอย แม้จะกล่าวว่าเขาไร้ซึ่งปรานีก็หาคณนาคำพูดผู้ใด

“ต่อให้เจ้าดิ้นรนสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจเป็นดั่งที่เจ้าหวัง รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้ากระทำนั้นเดือดร้อนถึงผู้ใดบ้าง ความเคียดแค้นและโกรธเคืองของเจ้ามันลุกลามราวกับพิษร้าย แม้ข้าจะมิได้ดีไปกว่าเจ้าแต่ข้าก็ไม่ปรารถนาอำนาจใหญ่โตเช่นนี้!”

“หึ! เจ้ามิใช่ตัวข้าอย่าเอาคำพูดไร้ความคิดมาตัดสินข้า!!!”ลมหายใจฟึดฟัดกำดาบในมือแน่น อากาศรอบกายของจูเกิงเฉินคล้ายลมพายุหมุนที่โอบล้อมไว้ ดวงตาดำมืดเต็มไปด้วยความค่อนแค้น เล็บคมที่ซ่อนเร้นโผล่ออกมาแยกเขี้ยวคมที่กัดฟันแน่น

ยามนี้ราวกับสิ้นแล้วซึ่งสติยั้งคิด สิ่งเดียวที่สะท้อนเงาในดวงตาคู่นั้นมีเพียงหลี่รั่วถง!

“อย่างไรเจ้าก็ไม่ลืมสิ้นอุปนิสัยชาติเดิมของเจ้า!”

“ข้าจะฆ่าเจ้า! เจ้าแย่งทุกอย่างไปจากข้าแม้กระทั่งความรัก!”

   สิ้นเสียงกร้าวร่างของจูเกิงเฉินก็ปราดเข้าหาหลี่รั่วถงในทันที อีกฝ่ายได้แต่หลบหลีกกับความรวดเร็วที่ทะยานเข้าหา

   “ชิ!”เสียงสบถไม่พอในที่คมเล็บของจูเกิงเฉินที่ตวัดเข้าโดนใบหน้าโลหิตกระเซ็น เพียงพริบตาเดียวเดียวที่หลี่รั่วถงเบี่ยงกายหลบแต่ทว่า

   ฉึก!

จูเกิงเฉินกลับเคลื่อนตัวมาอยู่เบื้องหลังก่อนใช้ดาบเสียบแทงเข้าที่ด้านหลังของหลี่รั่วถงไม่พลาด ปลายดาบทะลุงถึงช่องท้องด้านหน้าน่าสะพรึงโลหิตรินไหลเป็นสายน้ำ อีกฝ่ายถึงกับยิ้มย่องพึงใจหากแต่มิได้หยุดเพียงแค่นั้น หลี่รั่วถงหน้านิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดผละตัวเองให้หลุดจากปลายดาบ มือหนึ่งกุมดาบค้ำยันลงพื้นประคองตนไว้ สายตาจับจ้องไปยังจูเกิงเฉินที่กำลังหัวเราะร่าอย่างได้ใจ

“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ ข้าคิดถึงตัวเองในช่วงเวลาที่ใกล้ตายนัก รู้หรือไม่ว่าข้าก็เคยมาที่แห่งนี้ด้วยความสิ้นหวัง!”

“นั่นเป็นเจ้ามิใช่ข้า!”หลี่รั่วถงยิ้มย่องให้กับความอวดดีของอีกฝ่าย พลันจูเกิงเฉินถอยหลังก็ถูกกับดังเวทของหลี่รั่วถงเล่นงานเข้าอย่างจัง ตาข่ายที่ราวกับใยแมงมุมถูกโยงไว้ตามการเคลื่อนไหวของหลี่รั่วถงตั้งแต่แรก ยามนี้ดูเหมือนจะเป็นผล ครั้งจูเกิงเฉินเข้าสู่กับดักก็พลันดิ้นพล่านราวกับถูกสายฟ้าฟาด ส่งเสียงโอดครวญดังลั่นก้องป่า

“อ๊ากกกกกก!”

   “ยอมจำนนเสียเถิดยามนี้กำลังคนของเจ้าก็เหลือน้อยเต็มที มองเห็นหรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำให้ปีศาจเหล่านั้นต้องพบจุดจบเช่นไร”จุดสีดำบนท้องฟ้าที่หล่นร่วงเป็นสายไม่ต่างจากหยดน้ำฟ้าที่พร่างพรมลงมาทว่าสิ่งที่เห็นเป็นกองทัพที่กำลังย่อยยับด้วยความฮึกเหิมลองดี

   “ฮึก!  ข้า! ข้าไม่มีทางพ่ายแพ้เป็นอันขาด!”ครั้นกัดฟันสู้จูเกิงเฉินมิได้ยอมสยบแต่โดยง่าย จึงทลายผนึกที่ถูกเหนี่ยวรั้งไว้ออกสิ้น ความพ่ายแพ้มิได้อยู่ในหัวของจูเกิงเฉินเพราะครานี้อย่างไรก็ต้องชนะ เดิมพันครั้งนี้ผูกไว้ด้วยชีวิต

   ทว่าสิ่งที่วาดฝันกลับถูกสยบด้วยกำลังของหลี่รั่วถง แม้จะเพลี้ยงพล้ำให้แก้จูเกิงเฉินและได้รับบาดเจ็บสาหัส หากแต่ครานี้หลี่รั่วถงก็คงไม่ยอมให้อีกฝ่ายทำตามใจแต่โดยง่ายเช่นกัน

ก่อนที่จูเกิงเฉินจะถึงตัว ฝ่ามือข้างหนึ่งของหลี่รั่วถงได้รวบรวมปราณก้อนใหญ่สีดำทะมึนก่อนซัดเข้าใส่อีกฝ่ายจนกระเด็นอัดเข้ากับโขดหินดังสนั่น ยามนี้ร่างของจูเกิงเฉินแน่นิ่งหากแต่ไม่สิ้นสติเสียทีเดียว หลี่รั่วถงย่างสามขุมไปยังผู้คนตรงหน้าโลกหิตสีแดงฉานกระอักออกมาราวกับอาเจียน ความบอบช้ำไม่ต่างกันมากเพียงอีกร่างหยัดยืน อีกร่างไม่สามารถขยับได้

   “ครั้งนี้ข้าจะไม่ปรานีต่อเจ้า รู้ใช่หรือไม่ว่าโทษของเจ้านั้นมิใช่ปรานีกันเพียงง่ายดาย!”ดาบในมือที่กำแน่นดวงตาคมจ้องมองผู้ที่ระโหยโรยกำลัง

   แม้หลี่รั่วถงจะคิดแค้นแต่มิได้อาฆาตแค้นจนหมายจะบุกไปเข่นฆ่า แต่ทว่าเป็นจูเกิงเฉินที่ดิ้นรนหาเรื่องใส่ตนเอง

   “หึ! ลงมือเสีย เพราะหากข้ารอดไปได้ไม่มีสิ่งใดยืนยันได้ว่าข้าจะไม่กลับมาอีก”ดวงตาที่ราวกับค่อยๆ พร่าเลือนขยับปากพูด ในใจของจูเกิงเฉินยามนี้ไม่ปรารถนามีชีวิตหากมิได้รับสิ่งที่ตนต้องการ

   “ข้าลงมือเป็นแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าอยากจะพูดกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายนั้นเจ้าจงฟังให้ดี มิใช่เพราะเจ้าไม่ดีพอหรือไร้อำนาจ ผู้คนล้วนมีความคิดต่างเป็นของตนเอง ไม่ต่างแม้เจ้าหรือข้าก็ล้วนไม่อาจคิดสิ่งเดียวกันได้ ข้ารู้ว่าเจ้าปรารถนาแรงกล้าสิ่งใด แต่เจ้าเคยรับรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำนั้นคร่าสิ่งใดไปจากใจเจ้าบ้าง ไม่ผิดที่เจ้ามีจิตใจ แต่ผิดที่เจ้ากำลังทำร้ายจิตใจของตัวเอง”

   “ผู้ที่เหยียบอยู่บนชัยชนะเช่นเจ้าจะกล่าวเช่นไรก็ได้สินะ ฮึก!”ยิ้มหยันไม่สิ้นความทะนงตนยังคงขยับปากของตนเอง ทว่าแววตาและความสิ้นหวังล้วนสะท้อนอยู่ในแววตาที่ชอกช้ำน้ำตาแทบไหลริน ทว่ากลับต้องข่มไว้

   “ข้ามิเคยโกรธเคืองที่เจ้าชอบพอเหยว่ถิง หรือแม้ติดตามถึงชาติภพนี้ หากแต่ข้าไม่พึงใจที่เจ้าหลงผิดคิดทำเรื่องร้ายแรงเช่นนี้กระทั่งช่วงชิงด้วยเล่ห์อุบายอย่างเลือดเย็น! อีกทั้งยังระดมกองทัพหมายช่วงชิงอำนาจเช่นนี้!”

   “แล้วอย่างไรเล่า สุดท้ายเจ้าก็ชนะ! ชักช้าอยู่ไยดาบอยู่ในมือของเจ้าแล้ว”คำยุยงให้ปลิดชีพของตนประกาศกร้าว

   “เจ้ามิต้องเรียกร้อง! ข้าไม่ไว้ชีวิตเจ้าไว้แน่”ปลายดาบของหลี่รั่วถงง้างขึ้นสูงสายตาทอดมองจูเกิงเฉินเบื้องหน้า ความคมสะท้อนเงาในแววตาของจูเกิงเฉิน วูบหนึ่งที่ความโศกเศร้าเสียใจฉายชัดออกมาเป็นครั้งสุดท้าย
 
   เดิมพันของข้าสุดท้ายแล้วก็ไม่เป็นผล คงเป็นบทลงโทษของข้าแล้ว เหยว่ถิง.....ข้าขอโทษที่ความรักของข้าทำให้เจ้าต้องพบเจอกับชะตากรรมเช่นนี้ สิ่งเดียวที่ข้าชดใช้ให้ได้คงเป็นชีวิตของข้าเอง

   ความคิดที่ละทิ้งไว้ไม่แพร่งพรายออกมา น้ำตาของจูเกิงเฉินที่เอ่อไหลออกจากดวงตาค่อยๆ ปิดลงรับชะตากรรมเบื้องหน้าในวินาทีนั้น

   “เจ้ากับข้าขอให้สิ้นแค้นกันเพียงเท่านี้!”

   ปลายดาบที่ง้างไว้เต็มไปด้วยปราณตัดวิญญาณพร้อมตวัดฟันลงมาเต็มกำลัง ทว่าวินาทีนั้นกลับทำให้หลี่รั่วถงจำต้องหันเหคมดาบไปยังทิศทางอื่น คลื่นดาบที่สะท้อนเบี่ยงไปรุนแรงจนฝ่าหินภูเขาก้อนใหญ่ให้แตกออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย แต่สิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้นกลับเป็นผู้ที่ปรากฏตัวและเข้ามาบดบังร่างของจูเกิงเฉินอย่างไม่กลัวตาย!

   !!!

   “ไม่! ได้โปรด!ไว้ชีวิตนายท่านของข้าด้วยเถิด ได้โปรด...ไว้ชีวิตด้วย ฮือๆ” ร่างเล็กที่โถมเข้ามาเปล่งเสียงร้องไห้ราวกับกรีดร้อง ร่างเล็กที่สั่นเทิ้มทำให้จูเกิงเฉินตกใจยิ่งนัก

   “จะเจ้า.....เจ้ามาที่นี่.....ได้อย่างไร!”






ติดตามตอนต่อไป >>>



เป็นสาววายธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้นิยมดูหนังจีนสงครามกำลังภายใน :z3:
หากบางฉากบางตอนขาดอรรถรสไปก็ขออภัยด้วยค่ะ
:hao5:

ขอบคุณค่ะ
หลานฮวา

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เจ้าตัวเล็กก :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ควรเห้นสักทีในความรักเนาะ

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4



บทที่ 16
โลหิตบนคมดาบ





   ร่างของบุรุษหนุ่มที่กำลังสั่นเท่าร้องไห้ฟูมฟาย เสื้อผ้าเก่าขาดเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสกปรกระหกระเหินเดินทางมาไกล บัดนี้กลับเข้าสวมกอดร่างของจูเกิงเฉินซุกใบหน้ากางแขนเล็กบอบบางเข้าปกป้องไม่กลัวเกรงว่ากำลังเผชิญอยู่ต่อหน้าผู้ใด

   เสียงร้องไห้ระงมหอบโยนแทบสิ้นใจส่ายหน้าปกป้องนายของตนสุดชีวิต

   “อย่าทำอะไรนายท่านของข้าเลยขอรับ หากจะเอาชีวิตก็ได้โปรดรับข้าไปแทนเถอะ ฮือๆ ”

   “ลี่ถิง เจ้ามาได้อย่างไร!”กายที่ไม่สามารถขยับได้หากแต่กลับมองบุรุษหนุ่มร่างเล็กที่เข้าปกป้องตนเองอย่างไม่กลัวตาย แม้ร่างกายจะพยายามขยับหากแต่กลับขยับได้เพียงปลายนิ้ว

   “นะนายท่าน เป็นอะไรมากหรือไม่ขอรับ กินข้าเถิดท่านจะได้หายดี”น้ำตาที่ไหลเป็นสายยื่นท่อนแขนของตนให้จูเกิงเฉินกัดกิน หากแต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงหน้าหนี้

   “เจ้ากลับไปเดี๋ยวนี้!”

   “ไม่ ข้าไม่ไป นายท่านได้โปรดอย่าขับไล่ไสส่งข้าอีกเลย หากไม่มีท่านข้าจะอยู่ได้อย่างไร”

   “หลี่รั่วถง หากจะเอาชีวิตข้าก็ตามแต่ใจเจ้า แต่มิใช่ลี่ถิง”ใบหน้ากังวลฉายชัด กัดฟันกรอดอดทนข่มความเจ็บ   

“ข้าจะไม่สังหารผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”หลี่รั่วถงใช้พลังของตนโยนลี่ถิงออกไป ไม่ลดละหน้าที่แม้จะกล่าวว่าเหี้ยมโหดก็หาได้แยแส

   “อย่าทำอะไรนายท่าน! ข้าขอร้อง! ให้ข้าตายแทนเถิด ชีวิตลี่ถิงไร้ค่านักเอาชีวิตข้าไปแทน ฮือๆ ”

ม่านพลังที่กางกั้นไว้ลี่ถิงไม่อาจก้าวข้ามผ่านมาได้ มือเล็กทุบตีม่านพลังราวกับแก้วบางที่ครอบของรักของหวงเอาไว้มิให้แตะต้อง น้ำตาที่ไหลออกมามากมายจนแทบกลายเป็นสายเลือด

   ปลายดาบง้างขึ้นโดยเร็วพลันอีกครา กระชากดวงใจดวงน้อยของลี่ถิงยิ่งนัก

   “อย่างน้อยเจ้าก็จงดูสิ่งที่เจ้ามองข้าม แท้แล้วสิ่งที่เจ้าตามหาตัวเจ้าต่างหากที่มิเคยเหลียวแล ความดึงดันของเจ้าจึงนำมาซึ่งจุดจบเช่นนี้”

   “แฮ่กๆ!”โลหิตสีแดงฉานเป็นจูเกิงเฉินที่กระอักออกมาอีกครา ดวงตาดุดันพลันอ่อนลงและมองไปยังผู้ที่ดิ้นรนร้องขอชีวิตให้

   ทั้งที่ข้ามิเคยดีต่อเจ้า แต่เจ้ากลับยอมยกชีวิตให้กับข้า เจ้ามันช่างโง่เขลายิ่งนักลี่ถิง ยามนี้ข้ารู้สิ้นแล้วว่าอย่างน้อยข้าก็มีเจ้าที่ดีต่อข้าไม่แปรเปลี่ยน

   “ลี่ถิง.....ข้าขอโทษ”สิ้นคำกล่าวหลี่รั่วถงจึงตวัดดาบลงมาอีกคราคมดาบที่ฟันลงไปบนร่างอย่างรุนแรงเฉือนเอาแขนขวาข้างหนึ่งของจูเกิงเฉินขาดสะบั้นกระเด็นหลุดออกไป โลหิตสีแดงกระเซ็นสาดกระจายไปทั่วนองพื้นแดงฉาน ลี่ถิงที่มองเห็นเหตุการณ์กรีดร้องราวกับจะขาดใจ มือเล็กที่ตะกุยม่านพลังปลายนิ้วยุ่ยขาดหากแต่มิได้สนใจ ภาพบาดตาที่เห็นนายท่านขอตนแน่นิ่งไปต่อหน้าโลกของลี่ถิงก็ถึงกับทลายลงครืน

   หลี่รั่วถงกดสายตาลงมองปลายดาบซ่อนเร้นแววตาเวทนาไว้ไม่เผยให้เห็น กลิ่นคาวคลุ้งที่อาบย้อมไปทั่วไม่น่ามองนัก ครู่หนึ่งพลังที่เสียไปก็แทบทำให้หลี่รั่วถงล้มทั้งยืน บาดแผลที่ช่องท้องไม่อาจสมานได้ในพริบตา ดาบมารที่จูเกิงเฉินจ้วงแทงนั้นทำลายกระแสลมปราณของหลี่รั่วถงไม่น้อย

   ครั้นสิ้นหน้าที่จึงได้หันหลังให้ ม่านพลังที่ครอบไว้มลายหายไป ลี่ถิงที่คลานเข่าเข้าไปกอดกายจูเกิงเฉินเป็นภาพที่สะเทือนใจยิ่งนัก

   “จากนี้.....ก็แล้วแต่วาสนาของเจ้า”

   ครั้นเอ่ยกล่าวเช่นนั้นหลี่รัวถงก็ทะยานตนเหาะเหินจากไป ทิ้งความเวทนาไว้เบื้องหลังและเสียงร้องไห้คร่ำครวญเสมือนดวงใจสิ้นสลาย

   เสียงร้องไห้ที่แทบไร้เรี่ยวแรงระงมไปทั่วผืนป่า มือเล็กที่สั่นเท่าเย็นเยียบหวาดกลัวค่อยๆ วางทาบไปบนใบหน้าที่เปื้อนอาบไปด้วยเลือด ดวงตาที่หนักอึ้งของจูเกิงเฉินยังคงขยับเล็กน้อยแววตาของความสิ้นหวังมองไปยังลี่ถิงที่ร้องไห้แทบขาดใจสวมกอดแม้กายจะอาบย้อมไปด้วยโลหิต
 
   “นายท่านได้โปรดอย่าจากข้าไป ลี่ถิงไม่มีท่านแล้วจะอยู่ได้อย่างไร ลี่ถิงรักนายท่านนะขอรับ ฮือๆ” น้ำตาเป็นสายร่วงลงอาบร่างที่ไม่ขยับของจูเกิงเฉินราวกับเม็ดฝนที่พร่างพรมไม่ขาดสาย

   .....ยากเหลือเกินที่จะเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้ หากแต่กำลังสุดท้ายกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบายิ่งกว่าขนนก

   “.....อยู่”ดั่งคำสั่งเสียที่บอกกล่าวให้ลี่ถิงมีชีวิต พลันสิ้นเสียงแผ่วลมหายใจของจูเกิงเฉินจึงขาดห้วง น้ำตาหยดสุดท้ายหยดลงบนหลังมือเล็กที่โอบประคองใบหน้าเย็นเยียบเอาไว้ แม้นกายนั้นแสนเจ็บปวดทรมาน หากแต่กลับฝืนยิ้มทิ้งไว้ให้ร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้าเป็นสิ่งตอบแทนสุดท้าย

   “มะไม่ นายท่านนนน ตื่นขึ้นมาเถิดขอรับ ฮือๆ อย่าทิ้งข้าไป ได้โปรด ฮือๆ ”เสียงวิงวอนสุดขั้วหัวใจเขย่าร่างไร้ซึ่งการขยับรุนแรง แต่ก็ไม่อาจทำให้จูเกิงเฉินตื่นฟื้นขึ้นมาได้ บัดนี้กลับมีเพียงหิมะที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าราวกับอาลัยให้กับโชคชะตาที่น่าสงสารยิ่ง ความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมราวกับต้องการแช่แข็งความรู้สึกผิดหวัง เสียใจ เศร้าโศกให้ตราตรึงไปกับดวงใจน้อยๆ ตลอดกาล   




   เฮือก!

   ราวกับรอบกายโอบล้อมไปด้วยน้ำ ผู้ที่จมอยู่กลับหายใจเฮือกขึ้นลมหายใจไม่สม่ำเสมอ

   ความรู้สึกโศกเศร้าบางอย่างราวกับประเดประดังมาอย่างไร้เหตุผล

   พลันน้ำตาเอ่อรื้นขึ้นราวกับเจ็บปวดในอก

   เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้าเป็นอะไรไป

   มือขาวกำชายเสื้อแน่นกะพริบตาไล่หยาดน้ำตาบางๆ อย่างไม่เข้าใจตนเอง การอยู่ในที่แห่งนี้ไม่อาจรู้วันรู้คืนได้รอคอยเพียงเวลานั้นเป็นความทุกข์ระทมได้เช่นกัน ถึงเป็นเช่นนั้นเซียวโม่โฉวก็ไม่คิดหนีออกไป หากแต่ใช่เวลาบำเพ็ญเพียรตามที่หลี่รั่วถงกล่าวไว้ และการตื่นขึ้นนั้นราวกับมีเรื่องสะกิดใจ ความรู้สึกนั้นไม่เบิกบานนัก อีกทั้งยังกังวลเรื่องของหลี่รั่วถงไม่ขาด

   บุรุษหนุ่มเยื้องย่างอยู่ภายในดอกบัวทองไปมา มองออกไปด้านนอกไม่เห็นสิ่งใดนอกจากผืนน้ำที่โอบล้อมไว้อยู่ภายนอก ช่างเงียบเหงาและหนาวเหน็บเข้าขั้วหัวใจ

   “หากข้าอยู่ที่ดินแดนลึกลับป่านนี้คงมีเจี้ยนหลินอยู่เคียงข้างกายข้า ยานนี้เจ้าจะเป็นเช่นไรบ้าง”เซียวโม่โฉวพึมพำกับตนเองทรุดกายลงนั่ง ดวงตาคู่สวยหลับตานิ่งเพียงครู่ให้จิตใจสงบ ยามจิตนิ่งกายทิพย์กลับเบาหวิวราวกับล่องลอยได้ก็ไม่ปาน

   ครั้นคิดถึงสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า วันที่บ่วงหนักที่คล้องจิตใจบุรุษหนุ่มจะสลายหายไปก็เหยียบใกล้มาถึง เซียวโม่โฉวมิทันได้สังเกตปิ่นปักผมที่อยู่บนศีรษะยามนี้เปล่งประกายงดงามยิ่งนัก กลีบโบตั๋นที่ค่อยๆ เบ่งบานเป็นสัญญาณอันดีว่าอีกไม่นานความเพียรพยายามของเซียวโม่โฉวก็จะสำเร็จผล

   ทันใดนั้นการรอคอยเพื่อออกจากที่แห่งนี้อย่างใจจดใจจ่อของเซียวโม่โฉวเป็นอันสิ้นสุด เมื่อรับรู้ได้ว่าราวกับมีผู้ใดเรียกหาพลันดอกบัวที่ตนซ่อนตัวเริ่มเคลื่อนไหว กระทั่งกลีบตูมบานออกสะพรั่งเหนือหมอกเมฆปล่อยผู้ที่อยู่ด้านในให้เยื้องย่างออกมา ทว่าสิ่งที่พบกลับเป็นเพียงความว่างเปล่า หาได้มีผู้ใดมารอรับตนไม่

หากแต่สิ่งที่มองเห็นกลับเป็นเพียงตุ๊กตากระดาษที่กระโดดโลดเต้นอยู่เบื้องหน้า คล้ายเรียกให้เซียวโม่โฉวติดตาม บุรุษหนุ่มยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆ พิศมองอย่างถี่ถ้วนมิได้คล้อยตามเดินไปเสียทีเดียว หากแต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เซียวโม่โฉวเชื่อว่าเป็นฝีมือหลี่รั่วถงไม่พ้นกลิ่นอายบางอย่างที่สัมผัสได้ กำยานที่กำจายคล้ายลมหอบพัดมาสิ่งนั้นทำให้มั่นใจว่ามิมีผู้ใดอีก

เซียวโม่โฉวเดินตามตุ๊กตากระดาษออกไปจึงสามารถออกจากสถานที่ซ่อนเร้นแห่งนั้นได้ เมื่อครั้งเข้ามากับหลี่รั่วถงก็มิได้ทันสังเกตว่าเป็นที่ได้ หากก้าวย่างเข้าสู่สถานที่คุ้นตาราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เรียบร้อยเช่นก่อนเก่า ดูราวเหี่ยวเฉาไม่ต่างจากป่าแล้ง ข้าวของต้นไม้ที่ดูระเนระนาดเกลื่อนกลาดไปทั่วราวกับมีสิ่งใดเข้าทำลาย

คนตื่นตะลึงทำได้เพียงยืนนิ่งงันมองภาพเบื้องหน้าแววตาประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในใจ นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่หลี่รั่วถงกล่าวเป็นนัยจะเกิดขึ้น

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

   “ทะท่านปลอดภัยดีใช่หรือไม่ขอรับ”ผู้ที่ลนลานวิ่งมาเป็นเหอจี๋ ตามด้วยทู่จึที่ติดสอยห้อยตามไม่ห่างราวกับลูกติด

   “เกิดอะไรขึ้นเหอจี๋ เหตุใดสถานที่แห่งนี้จึงดู.....”

   “นะนั่น.....คือว่า เกิดพายุโหมกระหน่ำขึ้นน่ะขอรับ ข้ากับทู่จึถึงกับต้องไปหลบอยู่ที่ภูเขาอีกลูก ตัวท่านไม่เป็นไรแน่นะขอรับ”

   “ข้าไม่เป็นไร แล้วนายท่านของเจ้า?”

   “นายท่าน? ยังไม่กลับมาขอรับ ไม่นานก็คงจะกลับมาท่านวางใจเถิด ไม่กี่ชั่วยามก่อนข้าได้รับจดหมาย นายท่านสั่งให้ข้าดูแลท่าน ข้าว่าตอนนี้กลับเรือนกันก่อนเถิดขอรับ คงไม่เหมาะที่จะยืนคุยที่ตรงนี้นัก ประเดี๋ยวข้าจะให้ผู้คนมาทำความสะอาด”

   “นั่นสิกลับเถอะโม่โฉว ข้าขวัญเสียจะแย่แล้ว คิดถึงเตียงอุ่นๆ ชะมัด”ทู่จึเดินรี่เข้ามาเกี่ยวเอวโม่โฉวเข้ากอดซุกปลายจมูกแดงเข้ากับหน้าท้องราบ หากสังเกตให้ถี่ถ้วนนับว่ายามนี้ทู่จึเจริญวัยไม่น้อย เผลอเดี๋ยวเดียวก็สูงถึงเอวเซียวโม่โฉวก็ว่าได้

   “อืม ไปเถิด”

   “เจ้าก็ถอย ขวางทางเช่นนี้จะเดินได้อย่างไร”มือยาวเข้าดึงทู่จึออกจากการเกาะแกะ ก่อนลากเหวี่ยงให้ไปรั้งท้ายอยู่เบื้องหลัง ผู้ถูกขัดใจแบะปากค้อนตาคว่ำ ทว่ายังคงเดินตามทั้งสอง พลันพ้นสายตาเหอจี๋เจ้ากระต่ายน้อยที่อยู่ในร่างมนุษย์วัยซุกซนก็ขยับปลายจมูกดมกลิ่นอายที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ ดวงตากลมใส่กวาดมองดูโดยรอบอย่างตริตรอง

   “เป็นฝีมือกองทัพปีศาจของจูเกิงเฉินเป็นแน่....”น้ำเสียงเรียบเอ่ยขึ้นพร้อมดวงตาที่หรี่เล็กลง ทว่าก็มิได้สนใจไยดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากนักสีหน้าที่ไม่เข้ากับรูปลักษณ์วัยเยาว์ ขัดกับแววตามากรู้อย่างที่ไม่ควรเป็น

   ช่างเถอะ จะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ไม่สำคัญเท่าข้าปลอดภัย หึ!

   “โม่โฉววววว! รอข้าด้วยจิ ข้ากลัวน๊า”ก้าวสั้นสลับเป็นวิ่งเร็วเข้าเกาะที่พึ่งแห่งใหม่อย่างไร้เดียงสา มือเล็กเข้าขยุ้มชายเสื้อเดินตามติดต้อยๆ เรียกร้องความน่าสงสาร ก่อนเอี้ยวหน้าหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เหอจี๋อย่างได้ใจ ราวกับสนุกนักที่ได้ยั่วโมโหผู้อื่น

   “หนอยยยย! เจ้าปีศาจชั้นต่ำ!”

   “ช่วยข้าด้วยโม่โฉว เหอจี๋เค้าชังข้า จะทำร้ายข้าอีกแล้วง่า”

   “นึกว่าข้าไม่รู้หรือไรที่เจ้าชอบยั่วยุโทสะของเหอจี๋อยู่บ่อยครั้ง”บุรุษหนุ่มมิได้ใส่ใส่ ทั้งตำหนิหากแต่กลับคว้ามือเล็กกุมไว้ เสมือนเชือกจูงที่กระตุกรั้งเตือนมิให้เจ้าตัวยุ่งต้องตายด้วยน้ำมือเหอจี๋เพราะความป่วน

   “โม่โฉว นี่เจ้าจะจูงข้าไปที่ใดกัน เรือนเสี้ยวจันทราอยู่ทางนี้มิใช่เหรอ”

   “เอ๊ะ! นั่นสิ ข้าลืมไป”ระหว่างเดินหากทู่จึไม่กระตุกมือถามเห็นทีว่าความใจลอยของโม่โฉวจะยังไม่กลับคืน ในใจที่พะว้าพะวังห่วงบางอย่างเรียกสติของบุรุษหนุ่มให้หลุดลอยออกไป ความผิดแปลกในสถานการณ์เช่นนี้ไยจะนิ่งเฉยไม่คิดมากได้

   แม้กลับมายังที่คุ้นเคยหากแต่ท่าทีขอเหอจี๋ก็ดูแปลกไปจากเก่า ไม่กล้าสบตาเซียวโม่โฉวตรงๆ คอยแต่หลบคล้ายดูวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาก็ว่าได้ เสมือนรู้ว่าหากสบตาเข้ากับผู้ที่จ้องมองตนไม่คลาดสายตาต้องถูกถามไถ่เรื่องราวบางอย่างเป็นแน่

   ดูแววตาที่เคลือบแคลงก็รู้ได้ และไม่ผิดไปจากนั้น ครั้นเหอจี๋เหลือบตาขึ้นมองขณะทำหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถูผู้ที่เดินตามเป็นเงาตามตัวกลับเอื้อนเอ่ยขึ้น

   “แน่ใจหรือว่าเจ้าไม่มีสิ่งใดจะบอกข้าเหอจี๋”

   “เอ๊ะ? บอกสิ่งใดหรือขอรับ”

   “ถึงเจ้าจะแสร้งทำสีหน้าไม่รู้เรื่องราว แต่เป็นเจ้าที่รู้เรื่องราวมากกว่าผู้ใด บอกข้าได้หรือไม่ว่าแท้แล้วตอนที่ข้าไม่อยู่เกิดเรื่องใดกันแน่ เจ้าบอกว่าพายุโหมกระหน่ำเป็นไปได้หรือที่หลี่รั่วถงจักควบคุมฟ้าดินในพิภพตนเองมิได้”หน้านิ่วคิ้วขมวดเค้นถามเอาจากข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่ไม่แม้แต่จะยอมปริปากพูดอะไร

   “มะมัน มันเกิดขึ้นได้ขอรับ ท่านก็เห็นว่าท้องฟ้ายามนั้นแปรปรวนเพียงใด”

   “เจ้าโกหกข้าไปหนึ่งคำก็เท่ากับเจ้าทำให้ข้าหมดความเชื่อใจ เอาเถิดหากเจ้าลำบากที่จะพูดข้าก็ไม่ต้องการเซ้าซี้เจ้าให้รำคาญ”บุรุษหนุ่มพรูลมหายใจออกสีหน้ายังคงคิดวุ่นวาย

   อีกทั้งยามนี้บรรยากาศก็ช่างอึมครึม บางอย่างในตัวเซียวโม่โฉวบอกให้รับรู้ได้ว่าหลี่รั่วถงกลับมายังพิภพแห่งหยินแล้ว หากแต่กลับไม่เปิดเผยตนให้บริวารรับรู้ เช่นนี้หมายความว่าเช่นไรกันแน่

   เป็นไปได้หรือไม่ที่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

   “ท่านกำลังจะออกไปที่ใดขอรับ!”

   “ข้าอยากจะไปสำรวจดูเสียหน่อยว่าพายุพัดทำลายสิ่งใดไปบ้าง ข้าอาจจะพอช่วยเหลือด้วยแรงเท่าที่ข้าพอจะมี”   

“อย่าออกไปเลยนะขอรับ”

   “พายุพัดผ่านไปแล้ว มีสิ่งใดที่เจ้าไม่อยากให้ข้ารู้อีกหรือ?”

   “คือว่า.....”สีหน้าลำบากใจครั้นแววตานิ่งเรียบมองมายังเหอจี๋ราวกับจะล้วงเอาความลับ

   ข้าจะบอกได้เช่นไรกันว่าความพังพินาศในยามนี้เกิดจากที่กองทัพปีศาจกลุ่มหนึ่งบุกมาเพื่อตามล่าหาตัวท่าน หากข้าพูดออกไปนายท่านคงเดือดร้อนเป็นแน่ ความลับเหล่านี้แม้รู้ก็มิควรแพร่งพรายจนกว่าทุกอย่างจะถึงเวลาของมัน

   “หากเจ้าไม่มีสิ่งใดจะพูดก็อย่ารั้งข้าให้เสียเวลา”

   “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”ทู่จึกระโดดลุกจากเก้าอี้เดินตามเซียวโม่โฉวออกไป ภายนอกที่ดูไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยบัดนี้ราวกับถูกเวทมนตร์ร่ายให้กลับคืนดังเดิม

   แววตาโดดเดี่ยวทอดมองไปไปโดยรอบ ผู้ที่เดินตามคล้ายในหัวมีแต่ความสนุกสนานกลับเอ่ยขึ้น

   “เจ้าเป็นอะไรไป เหตุใดจึงดูไม่สดชื่น กำลังคิดสิ่งใดอยู่เช่นนั้นหรือ แม้ข้าจะตัวเล็กแต่อย่างไรข้าก็อายุมากกว่าเจ้าเป็นร้อยปี สิ่งใดกลัดกลุ้มระบายแก่ข้าได้”ผู้ที่เงยหน้ามองรีบเดินเข้าไปขวางหน้าเอาไว้ แขนเล็กกอดอกพิจารณาเสียยกใหญ่วางท่าทีใหญ่โตเกินตัว
   
“น้ำใจเจ้าช่างกว้างขวางนัก คงจะดีหากเจ้าเพียงอยู่นิ่งเฉยมิต้องทำสิ่งใด และเลิกกวนใจเหอจี๋เสียบ้างเถิด นั่นแหละคือสิ่งที่เจ้าควรจะทำ”

“ข้าก็ไม่อยากกวนใจคนผู้นั้นนักหรอก ข้าเพียงเบื่อหน่ายที่จะใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่สนุกกว่าหรือไรที่ได้เห็นเจ้าปลาตัวนั้นหน้าแดงก่ำโกรธข้าจนควันออกหูน่ะ”พูดแล้วทู่จึก็หัวเราะคิกคัก กระโดดขึ้นไปยืนบนโขดหินแขย่งเท้าหักยิ่งไม้แห้งโบกเล่นในมือ เซียวโม่โฉวทำได้เพียงส่ายหน้าเหนื่อยใจ

“สักวันเจ้าจะถูกเหอจี๋บีบคามือ ข้าอยู่ช่วยเจ้าตลอดไปไม่ได้หรอก”

“ห่วงตัวเจ้าเถิดจะห่วงข้าไปไย ข้าเอาตัวรอดเก่งอยู่แล้ว”

“นั่นสินะ ข้าอ่อนแอเช่นนี้จะไปช่วยผู้ใดได้มากนัก มันออกจะเจ็บไปบ้างที่ต้องยอมรับสิ่งนั้น”

“เห้อ.....แท้แล้วชีวิตหลังความตายของมนุษย์ก็มิได้ต่างไปจากกิ่งไม้แห้งนัก ยามเขียวชอุ่มมีใบประดับ ทั้งผลิดอกออกผลช่างดูสวยงาม ทว่าพอเหี่ยวเฉากลับผุพังหักง่ายเหลือเกิน”กิ่งไม้แห้งในมือทู่จึถูกโยนทิ้ง พลันกระโดดลงจากโขดหินคล้ายดังเด็กซุกซน ทว่าถ้อยคำวาจาหาใช่ธรรมดานัก

“เจ้ากำลังหมายถึงสิ่งใด?”

“ข้าพูดไปเพ้อเจ้อเจ้าจะใส่ใจไปไย จริงสิ! ข้าถามเจ้าหน่อยเถิดหากเจ้าล่วงรู้ความจริงทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวของเจ้า เจ้าจะยอมกลายเป็นพลังวิญญาณให้แก่หลี่รั่วถงจริงๆ เช่นนั้นหรือ”

“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”เซียวโม่โฉวมองเจ้ากระต่ายที่แสดงสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนอย่างตกใจ

“ช่างเถิดนา เช่นไรข้าก็มิใช่ปีศาจปากสว่าง ข้ารู้และเพียงพูดกับเจ้า”

คนถูกถามชั่งใจเพียงครู่ว่าจะพูดดีหรือไม่ ก่อนตัดสินใจกล่าวมันออกมา“ข้าสัญญาต่อหลี่รั่วถงไว้ เหตุใดข้าต้องคืนคำ เช่นไรข้าก็เป็นเพียงวิญญาณธรรมดาจะอยู่ค้ำฟ้าค้ำสวรรค์ได้อย่างไร”

“แม้ว่าเจ้าจะรักคนผู้นั้นเจ้าก็ยินดีจะจากไปเช่นนั้นหรือ”ท่าทางไม่ไร้เดียงสาเช่นก่อนเก่าฉายแววจริงจังบนใบหน้าของทู่จึ บุรุษหนุ่มตระหนักดีว่าแม้ปีศาจตรงหน้าจะอยู่ในร่างที่น่าทะนุถนอมก็มิได้หมายถึงอย่างที่ตาเห็น

สิ่งนั้นเป็นคำถามที่แล่นริ้วเข้ากลางอกของเซียวโม่โฉว สิ่งที่เคยตอบต่อตนเองว่าจะไม่แปรเปลี่ยนความคิดเหตุใดบัดนี้จึงสั่นคลอนไปได้

ต่อให้สลายหายไปเช่นไรก็กลายเป็นของหลี่รั่วถง ฟังดูสวยงามทว่าแท้แล้วเจ็บปวดยิ่งนัก
หายไปไม่พบเจอกันอีกเช่นนั้นหรือ? เหตุใดยามนี้จึงกลายเป็นความรู้สึกที่น่าหวาดกลัวเช่นนั้นได้
เจ้าของผิวขาวละเอียดก้มมองมือของตนที่คล้ายสั่นกลัวในสิ่งที่คิดขึ้น

เมื่อใดกันที่ข้ากลายเป็นวิญญาณที่ยึดติดได้เช่นนี้

“ว่าอย่างไรเล่า.....คำตอบที่แท้จริงจากใจของเจ้าเซียวโม่โฉว”

“ข้า ข้า.....”

ไม่ทันที่เซียวโม่โฉวจะตอบ ทู่จึก็พลันถอนหายใจเสียเฮือกใหญ่ขัดขึ้น“เห้อ ข้าไม่อยากได้ยินคำตอบจากเจ้าแล้ว”

มิใช่ว่าไม่อยากได้ยิน แต่สีหน้าที่แสดงออกมาเช่นนั้นผู้ใดเล่าจะไม่ล่วงรู้

“นี่โม่โฉว”

“วะว่าอย่างไร? ”

“เจ้าคิดว่าจะมีโอกาสสักกี่คราที่จะได้รักใครคนหนึ่งคนเดิม”

“เหตุใดเจ้าจึงถามเรื่องเช่นนั้น”

“ข้าอยากรู้ แต่ตอนนี้ข้าก็ชักไม่อยากรู้แล้วเหมือนกัน”

“เจ้ากำลังทำข้าปวดหัว”ผู้ที่เริ่มกล่าวทีเล่นทีจริงเดินเหินไปเรื่อย

“ช่างเถิด ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน แต่ว่าตอนนี้.....”จู่ๆ ท่าทีจริงจังกลับเปลี่ยนไป

โครกกก!

เสียงท้องที่ลั่นพานให้เจ้าของเสียงท้องร้องหัวเราะแหะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“.....ข้าหิวแล้ว กลับเรือนกันเถอะโม่โฉว ข้าเดาว่าเหอจี๋ต้องวางขนมไว้ให้ข้าแล้วเป็นแน่”สีหน้าร่าเริงดั่งสั่งได้ช่างชวนสับสนนัก อุปนิสัยหลายบุคลิกเช่นนั้นบางคราก็น่ากลัวนัก

“เจ้ารู้ได้เช่นไร บางทีเหอจี๋ที่ไม่พึงใจเจ้าอาจจะไม่อยากหาสิ่งใดให้เจ้ากินแล้วก็เป็นได้”

“ถึงเหอจี๋จะมีท่าทีอยากจะฆ่าข้าให้ตายวันละหลายร้อยรอบ แต่ก็มิเคยปล่อยให้ท้องข้าหิว”

“เจ้าช่างมั่นใจเสียเหลือเกิน”

“ก็เจ้านั่นปากร้าย แต่ถึงอย่างไรก็ใจดีต่อข้า”

“แต่เจ้าก็ยังชอบทำให้เหอจี๋โมโห”

“สนุกจะตายมิใช่หรือ”สีหน้าแป้นแล้นโลดแล่นตามเส้นทางกลัวเรือน บุรุษหนุ่มได้ยืนมองทู่จึที่เถรตรงในความรู้สึกจนน่าอิจฉา ชีวิตนั้นช่างอิสรเสรีไร้สิ่งใดให้กังวล บางคราข้าก็ปรารถนาชีวิตเช่นนั้นแต่มันก็คงจะไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน





ติดตามตอนต่อไป >>>



ขอบคุณที่ติดตามค่ะ :กอด1: :กอด1:
ฝากตอนต่อไปด้วยนะคะ
 :impress:

โดย หลานฮวา

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ความจริงกำลังจะเปิดเผยแล้ววว :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4

บทที่ 17
สิ่งที่มิได้คาดฝัน





หิมะที่ร่วงโรยเป็นเกล็ดสีขาวบัดนี้กลับปกคลุมไปทั่วทุกหัวระแหง ต้นไม้ใบหญ้าต่างขาวโพลนไปด้วยหิมะที่เกาะพราวจับกันเป็นน้ำแข็งเสมือนหยุดยั้งกาลเวลาเจริญเติบโตของเหล่าสิ่งมีชีวิตก็ไม่ปาน ตลอดจนสระน้ำที่เคยใส่เห็นมัจฉาก็กลายเป็นน้ำแข็ง

นับแต่เซียวโม่โฉวอยู่ที่พิภพแห่งหยิน มิเคยเห็นว่าฤดูกาลที่แปรเปลี่ยนเฉกเช่นโลกมนุษย์จะบันดานให้ทุกอย่างถูกแช่แข็งได้ในชั่วพริบตา แลดูคล้ายความอ้างว้างและเจ็บปวดที่ไม่มีวันสิ้นสุด

หากนับราตรีที่เซียวโม่โฉวรอคอยข่าวคราวจากหลี่รั่วถงก็เลยผ่านมาถึงสามราตรีแล้ว การรอคอยที่มิได้ยาวนานหากแต่จิตใจที่ร้อนรุ่มกลัดกลุ้มก็พิจารณาว่านานเสียเหลือเกิน การรอคอยที่ไม่อาจถามไถ่ผู้ใดได้ช่างไร้ซึ่งความหวังจนถดท้อ ครั้นมิอาจทานทนความฟุ้งซ่านของตนเองได้จึงตัดสินใจปลีกสันโดษไปบำเพ็ญภาวนาตัดความคิดกังวลเข้าสู่สภาวะจิตว่างเปล่าอยู่กับตนเองเพื่อฟื้นพลังวิญญาณ หาหนทางจากลาความรู้สึกวุ่นวายใจกับสิ่งเหล่านี้ให้เร็วจะดีเสียกว่า

เพราะเวลามิเคยรั้งรอผู้ใด กฎข้อนี้แม้สวรรค์ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้

นับว่าเพลานี้ย่างเข้าราตรีที่สี่แล้ว แม้การปลีกตัวมาอยู่อย่างสันโดษยังดินแดนลึกลับส่วนหนึ่งหวังเจอสหายอย่างเจี้ยนหลินเพื่อคลายความทุกข์ใจก็ไม่เห็นวี่แวว อสูรเสือดำที่มักป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่ใกล้ให้อยู่ในสายตาคล้ายเป็นความเคยชิน ทว่ายามนี้กลับอันตรธานหายไปอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเสียแล้ว เสียงฝีเท้าหรือแม้แต่เสียงลมหายใจฟึดฟัดดั่งสัตว์ร้ายก็มิได้เฉียดใกล้ให้ได้ยินอีกเลย

ทุกคราที่เซียวโม่โฉวลืมตาขึ้น มักพบเจอร่างของอสูรเสือดำที่นอนขดตัวอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แววตาสีเหลืองอำพันมองบุรุษหนุ่มอยู่ห่างๆ แม้จะเป็นแววตากร้าวและดุดันที่น่ากลัว หากแต่แท้แล้วสำหรับเซียวโม่โฉวดวงตาคู่นั้นกลับเปรียบเสมือนแสงอาทิตย์ที่ประโลมใจให้อุ่นขึ้นยามรู้สึกว้าเหว่หนาวเหน็บดวงใจ

“ยามที่ข้าปรารถนาจะเจอเจ้า ไยเจ้าจึงหลบหลีกหนีหายไปเช่นนี้เล่า.....หากมีเจ้าอยู่ใกล้ข้าคงจะมิต้องรู้สึกโดดเดี่ยวเช่นนี้”

ถ้อยคำพี่พึมพำกล่าวขึ้นนำพาร่างบางไปยังลำธาร ย่อตัวลงวักน้ำเย็นจับจิตเข้าล้างใบหน้า ครู่หนึ่งพานให้นึกถึงเจี้ยนหลินขึ้นอีกครา หากแต่ทำได้เพียงยิ้มบางส่ายหน้าให้กับความหวังลมๆ แล้งๆ ที่จะได้พบเจอกันอีกครั้ง

วาสนาข้ากับเจ้าสั้นนัก ยังมิได้กล่าวลาอันใดกันก็มีอันมิได้พบพานกันเสียแล้ว

ใบหน้าเหม่อลอยแหงนขึ้นเล็กน้อยหลับตาพริ้มเพียงครู่ปล่อยให้ลมหนาวพัดกระทบผ่านหยาดน้ำที่เกาะพราวอยู่ทั่วใบหน้า ดวงตาคู่สวยๆ ค่อยๆ เปิดออกพลางก้มมองตนเองผ่านเงาจากผิวน้ำอย่างปลงตก หากแต่บางอย่างที่กำลังส่องประกายบนศีรษะถึงกับทำให้เซียวโม่โฉวเบิกตาโพลงตกใจไม่น้อย ครั้นรู้สติจึงใช้มือค่อยๆ ดึงสิ่งที่ส่องประกายอยู่เหนือศีรษะตนออกมาจากมวยผม เส้นผมนุ่มละเอียดพลันคลายออกสยายคลอเคลียไปทั่วแผ่นหลังราวกับม่านน้ำตก

ในมือของเซียวโม่โฉวหาใช่สิ่งใด เป็นปิ่นปักผมดอกโบตั๋นที่หลี่รั่วถงมอบให้ บัดนี้ความหวังของเซียวโม่โฉวกำลังเบ่งบานเฉกเช่นกลีบดอกโบตั๋นในมือ ความตระหนกแปรเปลี่ยนเป็นสุขล้นเสียจนต้องรีบพาตนเองออกจากดินแดนลึกลับและกลับไปเพื่อบอกเรื่องนี้ให้ใครบางคนได้ล่วงรู้ให้ได้

ข้าทำสำเร็จแล้ว! ดอกโบตั๋นบานตอบรับความเพียรพยายามของข้า นั่นหมายความว่า.....ข้ากำลังจะหลุดพ้นจากความทุกข์ที่ผูกมัดจิตใจของข้าแล้วสินะ

ความดีใจเร่งฝีเท้ากลับไปนำพาน้ำตาแห่งความปีติมาสู่เซียวโม่โฉว ทว่าน้ำตาเหล่านั้นไยเสียดแทงใจของบุรุษหนุ่มอยู่ลึกๆ ได้ ความดีใจจนสุขล้นมันหายไปไหนกัน

   กระทั่งยามนี้สองขาเล็กกำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปตามเส้นทางที่ขาวโพลนทอดยาวไปสู่เรือนหลักของหลี่รั่วถง ในมือซีดขาวที่กุมแน่นเป็นปิ่นปักผมชิ้นสำคัญ เหอจี๋ที่สัมผัสได้ถึงการมาถึงของเซียวโม่โฉวก็พลันปรากฏกายตรงหน้าของบุรุษหนุ่ม ร่างบางในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ราวกับจะกลืนหายไปกับสีของหิมะที่ตกโปรยปรายชะงักเท้าฉับพลัน เสียงหอบหายใจถี่พ่นเอาลมหายใจร้อนระอุกระทบกับอากาศเกินควันบางๆ ตามจังหวะลมหายใจ

   “เจ้ามาขวางขาไว้ทำไมเหอจี๋”ดวงตาคู่สวยมองไปยังข้ารับใช้ของหลี่รั่วถงที่ดูแลตนเองอย่างไม่เข้าใจ

   “ท่านต้องการจะไปพบนายท่านหรือขอรับ”เหอจี๋ค้อมกายเล็กน้อยเอ่ยถามสีหน้าตื่นหากแต่เก็บซ่อนเอาไว้

   “ใช่ รู้แล้วเจ้าก็หลีกเถิดข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกให้นายท่านของเจ้ารับรู้”

   “ยามนี้นายท่านไม่อยู่ ท่านไปก็เห็นที่จะเสียเปล่านะขอรับ”

   “อยู่หรือไม่ข้าจะไปดูด้วยตาของข้าเอง”เจ้าของผิวขาวผุดผาดและใบหน้าสวยเกินบุรุษยามนี้แลดูเปล่งปลั่งหากแต่แววตากลับเจือไปด้วยความกังวลกำลังแสดงท่าทีดื้อแพ่งต่อคำทักท้วงของเหอจี๋ ที่ครานี้เซียวโม่โฉวไม่ขอฟังคำกล่าวท้วงใดๆ อยากจะไปดูให้แน่ใจว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมาหลี่รั่วถงแอบซ่อนไม่เผยตัวหรือไม่อยู่จริงๆ กันแน่

   เรื่องสำคัญเช่นนี้จะให้ข้าที่รอวันนี้มาอย่างยาวนานเก็บเรื่องเอาไว้ได้อย่างไรเล่า ข้าต้องบอกให้หลี่รั่วถงรู้ตอนนี้ เพราะข้ากลัวเหลือเกินว่า วันถัดไปมันอาจจะไม่เป็นไปตามที่ตาข้าเห็นน่ะสิ

   “ดะเดี๋ยวขอรับ นายท่านไม่อยู่จริงๆ นอขอรับ”เสียงเดินทักท้วงตามหลังก็ไม่ได้ทำให้เซียวโม่โฉวลดความตั้งใจของตนเองได้ ครั้นมาถึงบานประตูใหญ่บริวารท่าทางน่าเกรงขามร่างสูงทะมึนสองตนกลับขวางเอาไว้ไร้ซึ่งคำกล่าว

   “ข้าต้องการพบหลี่รั่วถง เขาอยู่ข้างในหรือไม่”สองมือที่กุมสิ่งสำคัญไว้แนบอกเอ่ยถามขึ้น หากแต่กลับมิได้คำตอบใดๆ

   “กลับเถิดขอรับ ข้าบอกแล้วว่านายท่านไม่อยู่ ท่านมาก็เสียเปล่า”เหอจี๋สีหน้ามิสู้ดีมากนัก ราวกับเก็บกักความลับเอาไว้มิเผยให้ผู้ใดรู้ ว่าแท้แล้วหลี่รั่วถงมิได้กลับมายังที่เรือนแห่งนี้จริง หากแต่หลบพักรักษากายอยู่ที่เรือนแยกอีกแห่งหนึ่ง เพราะมิต้องการให้ผู้ใดรบกวนวุ่นวายจึงมิได้บอกกล่าวถึงการกลับมาให้รู้ทั่ว

   การเก็บตัวและฟื้นกำลังจำเป็นนักต่อหลี่รั่วถงในยามนี้ เขาไม่ปรารถนาให้ผู้ใดเห็นด้านที่อ่อนแอน่าสมเพชเช่นนั้น แม้กระทั่งเซียวโม่โฉวก็ไม่ต้องการให้รับรู้ใดๆ

   “ข้าจะเชื่อได้เช่นไร ข้าอยากจะเห็นด้วยตาตนเอง”กล่าวไม่พอเซียวโม่โฉวกลับพยายามดันกายให้ผ่านประตูเข้าไปให้ได้ หากแต่กลับถูกสองอมนุษย์ซึ่งเป็นบริวารเฝ้าประตูขัดขวางไว้มิให้ผู้ใดเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า อีกทั้งหอบหิ้วโยนผู้บุกรุกออกไปอย่างไร้ปรานี ซึ่งทำหน้าที่มิขาดตกบกพร่อง

   “ปะเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”เหอจี๋ตาโตด้วยตกใจ รีบโผเข้าประคองเจ้าของใบหน้าหวานที่หงายหลังล้มจากแรงเหวี่ยงที่ประนีประนอมอยู่มาก หากแต่ครานี้กลับได้เห็นแววตาที่คล้ายไม่ยอมแพ้ ฮึดสู้ขึ้นเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับที่เคยรู้จัก

   “หากข้าไม่มีธุระสำคัญจริงข้าจะไม่รั้นที่จะพบนายท่านของพวกเจ้า หากแต่ยามนี้ข้ามีเรื่องสำคัญจริงๆ ”

   เหอจี๋เห็นว่าความวุ่นวายอาจไม่จบเพียงแค่นี้ จึงเหลือบสายตาที่บ่งบอกถึงอำนาจพึงมีพยักหน้าเพียงน้อยให้กับบริวารที่เฝ้าประตูให้ปล่อยไป

   “ข้าให้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป”เสียงใหญ่และดูดุดันเอ่ยขึ้น พลันบริวารสองตนกลับอันตรธานหายไป แท้จริงแล้วเพียงเลือนหายไปจากสายตาบุรุษหนุ่ม แต่มิได้ละเลยหรือจากไปที่ใด

   ทันทีประตูก็ค่อยๆ เปิดออก เซียวโม่โฉวใจร้อนผ่านประตูเข้าไปสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทว่าเมื่อเข้าไปด้านในกลับพบเพียงความว่างเปล่า แม้ถือวิสาสะเดินค้นหาจนทั่วเรือนก็ไม่พบแม้เพียงเงา

   “ข้าบอกท่านแล้วว่าไม่มีผู้ใดอยู่ เหตุใดท่านจึงร้อนใจเช่นนี้มีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือขอรับ”

   “สิ่งนี้”ใบหน้าที่หมดกำลังยื่นปิ่นปักผมที่กำอยู่ในมือคลายออกให้เหอจี๋ได้เห็น
 
   “มะเมื่อไหร่กันขอรับ? ” ท่าทีตระหนกเบิกตาโพลงมองของที่อยู่ในมือของเซียวโม่โฉวอย่าง
ประหลาดใจ ในอกใจหล่นวูบราวกับเวลาของการพบคนตรงหน้าเหลือเพียงน้อยนิด

   “เหอจี๋.....กลับไปก่อนได้หรือไม่ ข้าขอรอหลี่รั่วถงอยู่ที่นี่สักพัก หากเขาไม่กลับมาข้าจะกลับเอง”ใบหน้าที่สลดลงไปเล็กน้อยไม่ตอบคำถามใด เหอจี๋เข้าใจความรู้สึกในยามนี้ของเซียวโม่โฉวดี

   “ขอรับ ข้าจะรอท่านอยู่ที่เรือน”ลมหายใจอุ่นๆ ทอดถอนออกมาครั้นมองร่างของบุรุษหนุ่มที่มีสีหน้าผิดหวัง ดวงตาคู่สวยที่ส่องประกายราวอัญมณีบัดนี้กลับหม่นลงจนดูน่าเป็นห่วงนัก

   ข้าไม่เข้าใจความรู้สึกตนเองยามนี้เหลือเกินว่าเหตุใดจึงได้ว้าวุ่นสับสนเช่นนี้ สงบใจมิได้เช่นก่อนเก่า ทั้งที่เรื่องนี้ข้าควรจะดีใจมิใช่หรือแต่เหตุใดกลับรู้สึกสลดใจเสียได้

สายตาที่ทอดมองสิ่งของในมือด้วยความรู้สึกตีรวน ราวผูกพันจนท่วมท้นใจมิอยากไกลจากเป็นสิ่งที่เหนี่ยวรั้งดวงใจไว้ได้อย่างน่ากลัวนัก นับเป็นความลังเลที่มิควรเกิดขึ้นเลย



   หลังพายุฝนฟ้าย่อมสดใสก็คงจะจริงอยู่หลายส่วน หลังเกิดสงครามของกองทัพปีศาจเหล่าทหารกล้าได้ทำหน้าที่ ประกาศตัวตนถึงความแข็งแกร่งของกองทัพสวรรค์ก็นับเป็นการข่มขวัญปีศาจที่อาจหาญเหิมเกริม เห็นทีชัยชนะจะถูกกล่าวขานไปทั่วฟ้าดิน ความสงบสุขบังเกิดผู้กล้ามากด้วยความดีย่อมต้องตกรางวัลเป็นขวัญกำลังใจให้แก่เหล่าทหารสวรรค์ที่ทำหน้าที่อย่างขันแข็ง อวี้หวงต้าตี้จึงประทานสุราและงานเลี้ยงให้แก่ผู้ที่นำชัยนะกลับมาเสียใหญ่โต มีนางฟ้านางสวรรค์ร่ายรำอ่อนช้อยคลอเสียงดนตรีบรรเลงชวนมองยิ่งนัก

   เสียงหัวเราะครื้นเครงไม่ต่างจากผู้คนในโลกมนุษย์ สุรารสดีมีเหล่าเทพธิดามากด้วยรูปโฉมงดงามกลิ่นกายคอมฟุ้งคอยเติมสุราให้มิให้ขาด ใบหน้าที่แดงปลั่งปากที่ฉีกกว้างกล่าวความหาญกล้าของตนกันเสียยกใหญ่ทั้งอวดอ้างฝีมือยามนี้คงมีให้เห็นได้เกลื่อน หากจะมีแต่สองบุรุษที่ปลีกตัวออกไปไม่สำราญใจเท่าไหร่นัก

   บนสะพานสีขาวที่เชื่อมต่อไปยังสวรรค์ชั้นต่างๆ ผู้ที่กระดกน้ำเต้าสุราพาตนเองขึ้นไปนั่งบนขอบราวสะพานพาดขาไปตามความยาวของราวไม่แยแสผู้ใด นำพาตนเองออกมาหาความสันโดษดูช่างเป็นคุณชายผู้เรื่องมากกระทั่งอาหารการกิน ซ้ำยังแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

   “เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปร่วมสนุกกับผู้คนเล่า ปลีกวิเวกออกมาเช่นนี้หามีผู้ใดคบค้าหรืออย่างไร”เป็นติงเจิ้งหวาที่เดินมาเข้าทักถามถึงความผิดแปลกของหวางหรูอี้

   “ข้าชมชอบที่จะดื่มผู้เดียวเสียมากกว่า สุราจะรสชาติดีต่อเมื่อไร้เสียงรบกวนจิตใจ เอะอะโวยวายจะมีสมาธิสัมผัสความหอมหวนได้เช่นไร”

   “เห็นทีว่าสุราจะรสชาติแย่ เจ้าถึงได้มีสีหน้าบึ้งตึงเช่นนั้น”

   “ข้าก็เป็นเช่นนี้ของข้า เจ้าจะมาจับผิดข้าไย”หวางหรูอี้ย่นคิ้วแสร้งมองปุยเมฆที่ลอยตัวอยู่เบื้องล่างสะพานเสียแทน

   “เหตุใดมองความหวังดีของข้าไปในทางมิชอบเช่นนั้นได้เล่า”ติงเจิ้งหวาส่ายหน้า หากแต่มิได้ถือสาเพราะคาดเดาได้ว่าหวางหรูอี้กำลังไม่พึงใจสิ่งใด เห็นทีจะเรื่องของสหายอย่างหลี่รั่วถงที่ต้องการยาวิเศษจากหวางหรูอี้ ทั่วทั้งพิภพต่างรู้ว่ายาวิเศษที่หวางหรูอี้มีนั้นใช้เพื่อการใด อนึ่ง มอบให้ติงเจิ้งหวาอย่างเคร่งครัดไม่ขาดไม่เกินเพื่อใช้กับเหล่าวิญญาณที่ต้องลงไปชดใช้กรรมยังโลกมนุษย์ สิ่งนั้นเป็น ‘ยาลืมชาติ’ คุณสมบัติของมันคือ เมื่อผู้ใดได้ดื่มกินก็จักลืมสิ้นถึงอดีตของตนเองทั้งหมด นับเป็นยาวิเศษที่ผ่านการปรุงโดยหวางหรูอี้

   บนโลกมนุษย์ก็ต่างมีตำนานเล่าขานกันถึงยาลืมชาติว่า ผู้ที่ปรุงยานี้ขึ้นนั้นเป็นเซียนเฒ่าผมหงอกขาวที่อาศัยอยู่ในสวนท้อ ถึงแม้ความจริงจะผิดเพี้ยนไปเพราะหวางหรูอี้กลับมิใช่เฒ่าหงอกขาว เดิมที่เส้นผมและขนทุกเส้นล้วนเป็นสีดำขลับ ทวาผลข้างเคียงจากการปรุงยานานวันเขากลับทำให้ไอพิษที่กำจายออกมาส่งผลให้เป็นเช่นนั้น

   “.....”

   “สิ่งใดที่ให้ไปแล้ว ไยเจ้าต้องมากังวลภายหลัง เช่นไรก็นำกลับคืนมามิได้ และเจ้าเองมิใช่หรือที่หยิบยื่นให้ด้วยมืองของเจ้า”

   “นั่นเพราะข้าไม่มีทางเลือก แต่อย่างไรเจ้าก็เห็นดีเห็นงามกับหลี่รั่วถงด้วยมิใช่หรือ”

   “ใช่ว่าข้าจะพอใจการกระทำของหลี่รั่วถงนัก หากแต่ข้ากลับเชื่อว่าเขาย่อมมีเหตุผลที่แม้แต่ข้าหรือเจ้าอาจจะไม่เข้าใจ ในฐานะที่เจ้าเป็นสหายที่สนิทสนมเจ้ามิเชื่อใจสหายของเจ้าหรอกหรือ?”

   เส้นผมขาวพิสุทธิ์ที่สะบัดพลิ้วยามหวางหรูอี้กระโดดลงจากขอบสะพานดูสะกดสายตาผู้ที่จ้องมองได้ดียิ่งนัก

   “มิใช่เรื่องที่เชื่อใจหรือไม่เชื่อใจ ข้าเพียงไม่พึงใจต่อผู้ที่จะได้ดื่มกินยาของข้าก็เท่านั้น เหตุใดจึงต้องเป็น.....”

ครั้นจะเอ่ยออกมากลับไม่เอ่ย ได้แต่เพียงพรูลมหายใจอย่างหงุดหงิดงุ่นงานเสียเต็มทน ครั้นอยากจะเขวี้ยงปาขวดน้ำเต้าสุราลงพื้นก็หวงแหนเสียยิ่งกว่า ทำได้เพียงเดินไปยังประจันหน้ากับหวางหรูอี้แล้วแล้วเอ่ยขึ้น

   “เจ้าในฐานะผู้ที่มารบกวนเวลาสงบจิตใจของข้า เจ้าต้องไปเป็นเพื่อนดวนสุรากับข้า”

   คนถูกลากดึงให้ร่วมลงไหขมวดคิ้วเฉี่ยวมองเจ้าของใบหน้าขาวที่มีพวงแก้มแดงกร่ำด้วยฤทธิ์สุรา หากแต่นัยน์ตากลับยังคงกร้าวแข็ง    

“เหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้น”ติงเจิ้งหวาปัดแขนที่ขยุ้มอาภรณ์ของตนอยู่แล้วปัดแต่งให้เข้าที่เข้าทางอย่างไม่เข้าใจ

   “หากไม่อยากให้ข้าเอาเรื่องที่อัดอั้นตันใจไปประกาศกร้าวกลางงานเลี้ยง เจ้าก็ควรช่วยข้าคลายทุกข์เสียหน่อยจะเป็นไรไป”ฝ่ามือขาวตบลงที่อกกว้างของติงเจิ้งหวาอย่างหนักแน่นไปสองสามที พลางหรี่ตากระตุกยิ้มย่องราวกับเล่นเล่ห์ “รู้ใช่หรือไม่ว่าหากเรื่องนี้แดงขึ้นมาไม่ว่าข้า หลี่รั่วถง หรือแม้แต่เจ้าที่มีส่วนรู้เห็นก็จักพลอยเดือดร้อนไปหมด”

   “เจ้ากำลังขู่ตนเองหรืออย่างไร”ท่าทีไม่สะทกสะท้านก้าวเข้าชิดใกล้หวางหรูอี้อย่างไม่เกรงกลัว

   “ก็ดี! ข้าอยากจะจบสิ้นภาระอันหนักหนาเสียทีโดนลงโทษไปเกิดเป็นหมู หมา กา ไก่ใช้กรรมเสียให้รู้แล้วรู้รอด”คิ้วสวยได้รูปขมวดมุ่นดูฟึดฟัดกับอารมณ์แปรปรวนของตนเอง ติเจิ้งหวาเพียงพิจารณาก็นึกขบขันอยู่ในใจ

   “ไยเจ้าใจน้อยเป็นสตรีไปได้เล่า”ติงเจิ้งหวาส่ายหน้าก่อนจะคว้าข้อมือของหวางหรูอี้ที่ชมชอบการเมามายและมีอุปนิสัยอารมณ์ร้อนไปดับทุกข์อย่างที่ต้องการ“หากเจ้าทำเช่นนั้น ไม่รู้หรืออย่างไรว่าแม้แต่เกิดใหม่เจ้าก็อาจทำไม่ได้ เพราะคงจะถูกหลี่รั่วถงดับวิญญาณของเจ้าเสียก่อนจะไปเกิดกระมัง” ไม่เพียงลากดึงปากก็พร่ำพูดเตือนหวางหรูอี้ไปด้วย

   “เจ็บใจนัก! นี่คงเป็นบทลงโทษจากสวรรค์ของข้าที่มีสหายใจคอโหดเหี้ยมเช่นนั้น”หน้านิ่วคิ้วขมวดสะบัดข้อมือตนเองจากติงเจิ้งหวาออกอย่างรำคาญใจ และหยิบคว้าขวดน้ำเต้าสุราที่ห้อยไว้แนบเอวเข้ากระดกดับความร้อนรนในใจ

   “นึกโทษโพยไปไย.....อย่างไรเจ้าก็มีข้า”

   “หึ! นี่สวรรค์ก็ลงโทษข้าอยู่สินะ”

   “ฝีปากของเจ้าช่างร้ายกาจ”ติงเจิ้งหวาหันไปมองหวางหรูอี้ก็พลันส่ายหน้าถอนหายใจขึ้น หาใช่ความคุ้นชินกับคารมคมคายของอีกฝ่าย ทว่าเป็นการปลงตกยอมรับสิ่งที่หวางหรูอี้เป็นเสียมากกว่า

   หากผู้ใดไม่รู้จักเจ้าคงเทิดทูนรูปโฉมของเจ้าปานชายงามล่มสวรรค์ หากแต่ครั้นได้รับรู้อุปนิสัยปากกล้าเช่นนี้ ก็คงผิดหวังไปตามๆ กัน

   “มองเข้าเช่นนั้นทำไม”

   “ข้ามองเพราะอดสงสัยมิได้ว่า ตั้งแต่ข้าเจอะเจอเจ้าอุปนิสัยของเจ้าก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เสมอต้นเสมอปลายอย่างน่านับถือนัก”

   “เจ้าก็มิได้ดีไปกว่าข้านักหรอก ชิ!”ท่าทีหงุดหงิดเดินทิ้งห่างจากติงเจิ้งหวา ผู้ที่ตามหลังทำได้เพียงส่ายหน้ายิ้มกริ่มให้กับท่าทีเช่นนั้น



พิภพแห่งหยิน

   สวบ สวบ!

   ฝีเท้าที่ลุยปุยหิมะที่ลึกเกินกว่าคืบทิ้งรอยเท้าไว้เบื้องหลังเป็นทาง เป็นเซียวโม่โฉวที่เดินเลี่ยงไปจากเส้นทางเดิมเพื่อไปยังสระบัวทองที่ตนเคยซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ทว่าเดินหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอะเจอเส้นทางที่คุ้นเคยเสียที

   ในความคิดของเซียวโม่โฉวเพียงหวังว่าตนเองอาจเจอะเจอกับหลี่รั่วถงที่นั่นก็เป็นไปได้ หากแต่อุปสรรคมิใช่อากาศที่หนาวเหน็บหรือปุยหิมะที่ปกคลุมพื้นจนหน้า หากทว่าเป็นทางเข้าที่บุรุษหนุ่มไม่สามารถพบเจอ

   ฟู่ว!

   ลมหายใจที่เกิดเป็นไอขาวพรูออมาจากปาก มือขาวยกขึ้นขยี้ปลายจมูกรั้นที่แดงเรื่อราวกับผลท้อใกล้สุก ดวงตาคู่สวยกะพริบไล่เกล็ดหิมะบางๆ ที่เกาะพราวอยู่ที่ขนตา กลีบปากบางเม้มชิดติดกันสนิทคิ้วสวยขมวดมุ่นหันหน้าไปมองโดยรอบอย่างใช้ความคิด

   เหตุใดจึงหาทางเข้าได้ยากเย็นเช่นนี้ หรือหลี่รั่วหลงอำพรางไว้ข้าจึงหาไม่เจอ

   ครั้นเอ่ยขึ้นอย่างคาดเดาแต่ก็มิได้ละทิ้งความพยายาม สองเท้าที่ก้าวเดินไปข้างหน้ายังคงมีความหวัง จมูกเล็กๆ สูดอากาศเย็นเยือกเข้าร่างกาย เวลานี้บุรุษหนุ่มกลับนึกถึงยามเมื่อตนเป็นมนุษย์ ครั้งอากาศหนาวเหน็บกองไฟเล็กๆ ได้ถูกก่อขึ้นขับไล่ความหนาว เซียวโม่โฉวจำได้ดีว่ายามนั้นความหิวโหยโหดร้ายเพียงใด มันหัวเล็กๆ สองสามหัวที่ถูกโยนเข้ากองไฟทันที่ที่สุกหอมยามนั้นช่างมีค่าดั่งเงินทอง เขาได้ส่วนแบ่งเพียงเล็กน้อยจากมารดาที่บิออกเป็นชิ้นให้

แน่นอนว่าเขาในฐานะพี่ชายจักต้องสละให้กับจือซานผู้เป็นน้องชายได้กินอิ่มมากกว่า บิดาพร่ำสอนเช่นนั้นเช้าค่ำไยเซียวโม่โฉวจะไม่จดจำ แม้มองว่ามันไม่ยุติธรรมต่อคนเองสักเท่าไหร่ แต่จะทำเช่นไรได้นอกเสียจากพอใจกับส่วนแบ่งที่ได้มา คำแรกที่กัดความหอมของฟืนและความหวานของมันเผาเขาจดจำมิรู้ลืมแม้จะมิได้อิ่มท้องนักก็ถือว่ารอดชีวิตในช่วงที่ลำบากมาได้
 
   เท่าที่เซียวโม่โฉวจำได้นับแต่เขามีน้องชาย คำว่าเสียสละนั้นราวกับคมมีดกรีดแทงอยู่ในใจของเขาตลอดมา

   “หึ! ป่านนี้แล้วข้ายังจะมาหลั่งน้ำตาให้กับเรื่องเช่นนี้อีกหรือ”หยาดน้ำตาบางๆ อาบดวงตาคู่สวย ทว่าเพียงเล็กน้อยมือขาวก็ปาดทิ้งแล้วตรึงรอยยิ้มให้กับอดีตช่างดูขมขื่น

ความคิดและอดีตที่ลากดึงให้รู้สึกโศกเศร้านาทีนั้นกลับถูกดึงดูดให้ลืมเลือนไป ครั้นหางตาครู่หนึ่งที่มิได้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดกลับมองเห็นดวงไฟประหลาดที่จุติขึ้นถึงสองดวง สีทองสว่างวาบมิได้เลือนหายไปเมื่อบุรุษหนุ่มหันไปมอง กลับยังคงลอยวนคลอเคลียกันไปมาอยู่กลางอากาศในระดับสายตาของเซียวโม่โฉว ภาพหนึ่งที่เขาจำได้ครั้งพบเจอก่อนหน้าและตอนที่ยังมีชีวิตฉายซ้ำขึ้นในหัว พลันดวงตาวาวเบิกกว้างอย่างพิศวง

เหตุใดมันจึงปรากฏอยู่ในที่แห่งนี้ได้!

   ความฉงนไม่เพียงสงสัย หากแต่อยากรู้เสียเหลือเกินจนเผลอก้าวเท้าตามดวงไฟที่ลอยออกไปราวกับรั้งรอ

   “พะพวกเจ้าจะไปไหนกัน?”

   คิก คิก

   ไม่ผิดไปจากที่คิด เซียวโม่โฉวจดจำเสียงหัวเราะแหลมเล็กที่ดังอยู่ในหัวของตนได้ คล้ายน้ำเสียงของการหยอกเย้าและหลอกล่อให้ติดตาม หากแต่เซียวโม่โฉวก็ติดกับเจ้าดวงไฟที่เปล่งรัศมีสีทองสองดวงนั้นอีกครา บุรุษหนุ่มย้ำเท้าฝ่าปุยหิมะไม่เกรงต่อความลำบากติดตามไปราวกับลืมเลือนไปเสียแล้วว่าตนเองกำลังตามหาผู้ใด

   กระทั่งรู้ตัวอีกคราเบื้องหน้ากลับเป็นทางเข้าของถ้ำแห่งหนึ่งที่มิเคยพบเจอเสียแล้ว บัดนั้นคบเพลิงที่อยู่เบื้องหน้าพลันจุดสว่างขึ้นด้วยตนเองทอดยาวนำทางเข้าไปยังด้านในของถ้ำ ความอยากรู้อยากเห็นพลันชักนำให้เซียวโม่โฉวเดินเท้าเข้าไปยังด้านในตลอดจนสิ้นสุดแสงสว่าง

   ดวงไฟที่ลอยนำทางเมื่อครู่กลับอันตรธานหายไปในพริบตา  เสียงลมที่หวีดหวิวดังขึ้นเบาๆ ราวกับเสียงกรีดร้องไร้ที่มา สุดทางภายในถ้ำเบื้องหน้าของเซียวโม่โฉวกลับกลายเป็นกำแพงน้ำแข็งที่ขวางกั้นไว้ราวกับเขตหวงห้ามเสียอย่างนั้น พลันมือของบุรุษหนุ่มวางทาบทับไปบนน้ำแข็งที่ราวกับประตูศิลาความอัศจรรย์ใจจึงบังเกิดขึ้นในทันที

   ครืนนนน!

   น้ำแข็งแผ่นหน้าเสมือประตูที่ขวางกั้นและปกป้องบางอย่างกลับขยับเลื่อนเคลื่อนออกเผยช่องทางที่เข้าสู่ด้านใน ร่างบางผงะไปครึ่งก้าวใบหน้าชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อด้วยความหวาดหวั่น หากแต่แสงที่ส่องสว่างอยู่ด้านในกลับดึงดูดให้ผู้มาเยือนเข้าเยี่ยมเยียน และทันทีที่บุรุษหนุ่มก้าวผ่านประตูน้ำแข็งด้วยสองเท้าที่ไม่มั่นคงนักบางสิ่งบางอย่างเบื้องหน้าก็พาให้เซียวโม่โฉวเบิกตาโพลงขาอ่อนแรงทรุดนั่งลงกับพื้น ร่างทั้งร่างสั่นไหวแทบหยุดหายใจกับสิ่งที่ได้เห็น

   “นะนี่มัน.....อะไรกัน!”เสียงสั่นแทบแหบแห้งมองไปยังเบื้องหน้าหมดเรี่ยวแรง

   บนแท่นศิลาสีเขียวมรกต ร่างกายที่นอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจใบหน้าซีดขาวประกอบไปด้วยผิวเนื้อเฉกเช่นมนุษย์ที่มิใช่กายทิพย์หรือวิญญาณเรียกความตระหนกตกใจให้แก่เซียวโม่โฉวมิใช่น้อย มิหน้ำซ้ำผู้ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนศิลากลับมีใบหน้าเฉกเช่นเซียวโม่โฉวราวกับเงาสะท้อน ทั้งดวงตา จมูก ปาก ทุกอย่างล้วนประกอบขึ้นไม่มีผิดเพี้ยนไปแม้แต่น้อย

   “คนผู้นี้เป็น......”








ติดตามตอนต่อไป >>>



ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ  :impress:
ผิดพลาดอย่างไร ติชม คอมเมนต์ แนะนำกันได้ค่ะ
ขอยคุณค่ะ  :กอด1:


โดย หลานฮวา

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อ้าวเห้ยยยย

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :hao5: :hao5:หรืออิพี่คิดจะย้ายวิญญาณ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4




บทที่ 18
ประจักษ์แก่สายตา




   
   เสียงหอบถี่ที่ราวกับวิ่งหนีเรื่องน่าหวาดกลัวล้มลงกับพื้นที่บัดนี้ที่แปรเปลี่ยนเป็นสถานที่ขาวโพลนอันคุ้นตา

   ใบหน้าและดวงตาที่เพิ่งผ่านเรื่องน่าตกใจยังคงมีให้เห็นไม่เลือนหาย อีกทั้งมือซีดขาวที่ค้ำยันพยุงตัวไม่ให้คะมำลงกับพื้นเย็นเยียบหาได้รู้สึกใดๆ ต่ออุณหภูมิที่สัมผัส ทว่าร่างกายกลับสั่นไหวไม่สามารถควบคุมตนเองได้ พลันนึกถึงสิ่งที่เจอะเจอเมื่อครู่น้ำตาก็เอ่อไหลออกมาไร้เสียงสะอื้นหยดลงบนพื้นหิมะขาวบริสุทธิ์ไม่อาจหักห้ามความรู้สึกได้

   ความรู้สึกหวาดกลัวระคนโศกเศร้าประเดประดังเข้ามาอย่างไม่เข้าใจ

   “เหตุใด.....เหตุใดร่างกายของข้าจึงถูกเก็บไว้เช่นนั้น”

   ไม่ผิดแน่ คงไม่มีผู้ใดจดจำร่างกายของตนเองไม่ได้ หากแต่ร่างกายที่ตายไปแล้วไยจึงมาอยู่ในที่แห่งนี้นั้นคือสิ่งที่เซียวโม่โฉวไม่เข้าใจนัก บุรุษหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เจอะเจอร่างตนเองที่ไร้ลมหายใจเช่นนี้ สิ่งที่เห็นยากนักที่จะทำใจ ถึงแม้จะตระเตรียมใจก็คงยากจะยอมรับเช่นกัน

   ความตระหนกตกใจยังคงวิ่งวุ่นอยู่ในใจของเซียวโม่โฉว ยิ่งคิดก็ยิ่งพานให้รู้สึกตีรวนจนอยากจะอาเจียนออกมา

   “ขะข้า ข้าจะต้องถามเรื่องนี้กับหลี่รั่วถง....ฮึก!”ครั้นพึมพำลมหายใจที่ยังคงหอบถี่พาสติให้สั่นคลอน บัดนี้ความตึงเครียดเล่นงานทำให้เซียวโม่โฉวเจ็บวูบไปถึงแก่นของวิญญาณ

   “ท่านอยู่ที่ใดกันแน่ เหตุใดจึงไม่ยอมพบข้า!”เสียงสั่นตะโกนขึ้นฟ้าน้ำตานอง ความรู้สึกเคว้งคว้างบัดนี้ปรารถนาเพียงที่พึ่งพิง

กระทั่งไม่นานเสียงเรียกหากลับดังขึ้นแว่วมาแต่ไกล ท่าทีร้อนรนของใครบางคนกำลังเดินมาสีหน้าตาตื่น

“ข้าตามหาท่านเสียทั่ว เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ล่ะขอรับเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปหมด แล้วนี่เกิดอันใดขึ้น เหตุใดท่านจึงร้องไห้? ”เหอจี๋เข้าประคับประคองมองสีหน้าแววตาที่ไม่สู้ดีอย่างตกใจ ตามด้วยทู่จึที่ตามหลังมาไม่กี่ก้าว

“นั่นเจ้าร้องไห้จริงด้วย! บอกข้าเถิดว่ามีผู้ใดรังแกเจ้าข้าจะไปจัดการให้!”

“อย่ามาพูดเพ้อเจ้อ หลีกไปเจ้ากำลังเกะกะขวางทาง” เหอจี๋หันไปตำหนิทู่จึที่เข้ามาวุ่นวาย “กลับเรือนกันเถิดขอรับ ท่าทางท่านดูไม่ดีเอาเสียเลย”เหอจี๋นิ่วหน้ากังวลใจเข้าประคองพาเซียวโม่โฉวให้เดินกลับเรือนทว่าอีกฝ่ายกลับขืนตัวไม่ต้องการขยับไปไหนทั้งสิ้น

“เหอจี๋ ได้โปรดพาข้าไปเจอหลี่รั่วถงได้หรือไม่ ขอร้องล่ะข้าต้องการเจอนายท่านของเจ้าตอนนี้”เสียงที่เอ่ยวิงวอนร้องขอ

“ตะแต่ว่านายท่านไม่ได้อยู่ที่เรือน ท่านก็เห็นแล้วนี่ขอรับ.....”

“ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ทุกการเคลื่อนไหวของนายเจ้า ข้าขอร้องครั้งนี้เพียงครั้งเดียว จะให้ข้าคุกเข่าให้เจ้าข้าก็ย่อมทำได้!”ท่าทีร้อนรนทรุดเข่าลงอย่างไม่รอรี

“ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้เลยนะขอรับ! ข้าต่ำต้อยเกินกว่าจะรับการคุกเข่าจากท่านไหว”ผู้ที่ลำบากใจไม่แพ้กันรีบทรุดตัวลงกองแทบพื้นก้มหัวงุด

“เซียวโม่โฉวอยากรู้เหตุใดเจ้าถึงต้องอมพะนำ แม้หลี่รั่วถงจะมิได้อยู่เรือนหลักหากแต่ที่อื่นเล่าเจ้าบอกมาเถิด เช่นไรเซียวโม่โฉวก็มิได้คิดปองร้ายแก่นายท่านของเจ้าเป็นแน่จะกลัวไปไย”

“หุบปากของเจ้าเสียเจ้าปีศาจชั้นต่ำ! ข้าจะบอกที่หลบซ่อนของนายท่านได้อย่างไร.....”

“เจ้าพูดว่าที่หลบซ่อน? เหตุใดต้องซ่อนมีเรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้เกิดขึ้นเช่นนั้นหรือ!”ครั้นอีกฝ่ายพลั้งปากพูดออกมาเซียวโม่โฉวจึงรีบเข้าเขย่าแขนราวกับจะให้คายทุกอย่างออกมา “ช่วยบอกข้าทีเถิด ได้โปรดเหอจี๋ ช่วยข้าสักครั้ง”สองมือพนมวิงวอนสีหน้าร้อนรน มองตาเหอจี๋ที่เบี่ยงหน้าหลบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับเรื่องที่จะต้องพูด

“ทะที่จริงแล้วนายท่านกำลัง เอ่อ นายท่านกำลังบาดเจ็บ และยามนี้ก็พักรักษาตัวอยู่ที่เรือนด้านหลังป่าท้อไปขอรับ”

ครั้งนี้เห็นทีว่าเหอจี๋ต้องถูกสั่งลงโทษเป็นแน่ เรื่องที่มิให้แพร่งพรายกลับพูดออกไปเสียจนหมดเปลือก หากแต่ไม่ทันไรคนที่ทราบว่าหลี่รั่วถงอยู่ที่ใดก็ผลีผลามออกไปเสียแล้ว

“สวรรค์! ข้าต้องถูกนายท่านลงโทษเป็นแน่!”ความสยดสยองก่อตัวขึ้นในห้วงความคิดของเหอจี๋ ผู้ที่เผลอใจอ่อนหลุดปากพูดออกไปได้แต่นั่งกลุ้มให้ร่างจมกองหิมะอยู่เช่นนั้น

   “หาใช่เรื่องที่เจ้าจะมากลุ้มใจ ช่วยเหลือไปแล้วไยต้องมานั่งโอดครวญด้วยเล่า คิดเสียว่าเจ้ากำลังประสบวิบากกรรม เพียงทนรอให้มันผ่านพ้นไปไม่ดีกว่าหรือ”

   “เจ้าพูดเช่นนั้นก็เพราะไม่รู้อุปนิสัยของนายท่านดีพอ เพราะฉะนั้นเลิกสอดปากมายุ่งได้แล้ว!”ร่างสูงโปร่งสะบัดหน้าเดินหนีหน้าตาดำคล้ำเพราะความตึงเครียด ทิ้งให้เจ้ากระต่ายปีศาจที่อยู่ในร่างจำแลงยืนทื่ออยู่เพียงลำพังท่ามกลางหิมะ




   บัดนี้ผู้ที่ตรากตรำเดินผ่านป่าท้อและไม้หนามกลับมายืนหอบอยู่หน้าเรือนร้างแห่งหนึ่ง เซียวโม่โฉวมิแน่ใจนักว่าสิ่งที่เหอจี๋บอกจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ดูจากเรือนไม้ตรงหน้าแล้วแม้แต่ภูตผีก็หนีหน้าหน่ายที่จะสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้ หากแต่เดินทางมาถึงแล้วไยจะต้องถอยกลับหากไม่ได้พิสูจน์ให้รู้ดำรู้แดง

   คิดได้เช่นนั้นเซียวโม่โฉวก็เป็นอันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ดึงเอาความกล้าย้ำเท้าไปยังเรือนร้างตรงหน้าฝีเท้าเบาเงียบ สองมือลูบตามท่อนแขนที่ถูกหนามแหลมคมขูดเกี่ยวจนเกิดบาดแผลราวกับปลอบประโลมจิตใจ ครั้นก้าวเท้าไปอยู่ตรงประตูไม่ตรงหน้าบางอย่างราวกับกระซิบว่าให้ตนยื่นมือเข้าผลักประตูบานนั้น

   หัวใจของเซียวโม่โฉวเต้นเร็วรัว อีกหนึ่งก็ร้อนใจ อีกหนึ่งก็หวาดหวั่น จึงลังเลอยู่นานก่อนตัดสินใจเอื้อมมือขาวที่เย็นเยือกราวก้อนน้ำแข็งดันประตูตรงหน้าให้ค่อยๆ เปิดออกเพียงเบา หากแต่มีเสียงบางอย่างที่เล็ดลอดออกมาจึงทำให้เซียวโม่โฉวชะงักมือนิ่ง มีเพียงช่องว่างเล็กๆ ระหว่างประตูที่กำลังเปิดออกอยู่ตรงหน้าเท่านั้น

   ด้วยความใคร่สงสัยในอกบีบคั้นบุรุษหนุ่มจึงค้อมตัวลงแนบดวงตาข้างหนึ่งผ่านร่องประตูมองไปด้านในด้วยหัวใจระทึก เสียงฟึดฟัดคล้ายลมหายใจของสัตว์ดุร้ายดึงความสนใจให้แก่เซียวโม่โฉวไม่น้อย ความสว่างจากเทียนไม่กี่เล่มกระทบให้เห็นเงามืดที่วูบไหวอยู่ตรงผนังด้านหลังแลดูใหญ่โต บุรุษหนุ่มกวาดสายตามองไปยังที่มาของเงาก็พลันตะลึงพรึงเพริดกับสิ่งที่ตาเห็นจนเกือบร้องออกมา

   “นั่น! เจี้ยนหลินมิใช่หรือ?”เสียงแผ่วพึมพำขึ้นอย่างประหลาดใจ ไม่ผิดแน่เพราะเซียวโม่โฉวจำเส้นขนสีดำขลับและเงาวาวซึ่งเรียบลู่ไปกับตัวเช่นนั้นได้ หากแต่ความฉงนสงสัยกลับมิได้หยุดเพียงเท่านี้ พิจารณาดีๆ เหตุใดอสูรเสือดำตรงหน้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ทั้งที่ผู้ที่เซียวโม่โฉวจักต้องพบเจอควรจะเป็นหลี่รั่วถงมิใช่หรือ

   ครั้นความสงสัยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็พลันตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป ทว่าการขยับตัวคล้ายตื่นขึ้นของอสูรเสือดำทำให้เซียวโม่โฉวลังเลใจที่จะเข้าไปหา จังหวะที่ชะงักค้างสองตาของเซียวโม่โฉวที่มองผ่านรอยแยกของบานประตูตรงหน้ากลับเห็นว่ากำลังเกิดสิ่งใดขึ้น

   สองเท้าที่ประจันหน้าอยู่กับบานประตูไม้ที่เก่าคร่ำครึถึงกับผวาตาเบิกโพลงตัวแข็งทื่อทันทีที่เห็นว่า เจี้ยนหลินที่ตนรู้จักกำลังแปลงกายต่อหน้า ทั้งเท้าใหญ่และใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยขนสีดำแปรเปลี่ยนเป็นคนผู้หนึ่งที่เซียวโม่โฉวรู้จักเป็นอย่างดีเสมอมานั่นคือหลี่รั่วถง จ้าวพิภพแห่งหยินผู้ที่ปกครองสถานที่ที่ตนเยียบยืนอยู่ขณะนี้

   !!!

   “ปะเป็นไปได้อย่างไร”แววตาสั่นเทาคล้ายตระหนกขวัญหนีแทบลืมหายใจหากแต่สองมือกลับผลักบานประตูเปิดออกไปให้ความจริงตรงหน้าตอกย้ำ

   หลี่รั่วถงที่ไม่สามารถขยับร่างกายได้อิสระมากนักด้วยฤทธิ์บาดแผลซึ่งยังไม่สมานหายดีครั้นลืมตามองผู้บุกรุกก็พลันดันกายลุกขึ้นสีหน้าไม่สู้ดี มิคาดฝันกับเรื่องที่เกิดขึ้น

   “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร!”

   “เป็นข้ามากกว่าที่ต้องถามท่าน”น้ำเสียงสั่นเครือเค้นพูดออกมาทั้งแขนและขานั้นแทบอ่อนแรงทว่าแข็งใจไว้มากมิให้ต้องหวาดกลัวจนขาดสติ“เหตุใดท่านจึงเป็นเจี้ยนหลิน แล้วเจี้ยนหลินเหตุใดจึงเป็นท่าน”ดวงตาที่พกพาความสิ้นหวังสาดมองไปที่หลี่รั่วถงที่พยุงตนเองให้เดินมาหาเซียวโม่โฉวแววตาตำหนิตนเอง มือหนึ่งประคับประคองบาดแผลใหญ่ที่ท้อง อีกมือไต่กำแพงพยุงตน

   “ข้าอธิบายได้ แท้แล้วข้ามิได้ตั้งใจจะปกปิดเรื่องนี้แก่เจ้าแต่ข้าจำเป็น”

   “ท่านหลอกลวงข้าสิ่งนั้นเรียกว่าจำเป็นเช่นนั้นหรือ ข้านึกอุตส่าห์คิดว่าท่านเป็นผู้ที่ซื่อตรง แต่มาวันนี้ข้ากระจ่างแล้วว่าท่านมิได้เป็นอย่างที่ข้าคิดเลยแม้แต่น้อย สนุกหรืออย่างไรที่แสร้งทำดีกับข้าเช่นนั้น ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่!”น้ำเสียงที่กล่าวขึ้นผิดหวังอย่างยิ่ง อีกทั้งแววตาที่มองหลี่รั่วถงหาได้เชื่อใจไม่

   “ข้ามิได้มีเจตนาอื่นนอกเสียจากห่วงใยเจ้า หากแต่การที่ข้ามีร่างอสูรเช่นนั้นแล้วกลับทำให้เจ้ายอมที่จะเข้าใกล้ข้าและให้ข้าปกป้องเจ้าในยามนั้นข้าจึงไม่อาจเผยความจริงออกไปได้”

   แม้พูดเช่นไรหากแต่หัวใจยามนี้ของเซียวโม่โฉวนั้นยากเกินจะรับ ครั้นเปิดใจต่อหลี่รั่วถงแล้วหากแต่กลับต้องมารับรู้ว่าคนที่ตนหลงเชื่อใจกลับหลอกลวงนั้นช่างเจ็บทรมานบีบคั้นอยู่ในหัวใจไม่น้อย

   ครั้งยังเป็นมนุษย์บิดามารดาก็หลอกให้ตนไปตาย แม้ตายไปแล้วข้ากลับยังต้องถูกหลอกซ้ำ ไม่ว่าอยู่ในภพใดข้าไม่สามารถหนีพ้นจากเรื่องเหล่านี้ไปได้เลยหรือ แม้แต่จะหาผู้ที่ข้าจะเชื่อใจก็กลับไม่มี ชีวิตนี้ช่างน่าสมเพชเวทนานัก!

“ถึงอย่างไร ท่านก็ได้ทำลายความเชื่อใจจากข้าเสียสิ้นแล้ว”แววตาที่เย็นเยือกมองหลี่รั่วถงด้วยใจที่อ่อนล้า สิ้นแรงแล้วที่จะขวนขวายหาสิ่งปลอบประโลมใจ ครั้นเอ่ยจบก็ก้าวเดินออกห่าง ร่างสูงที่มองผู้เป็นดั่งดวงใจตรงหน้าหมองเศร้าก็สุดแสนจะทรมานไม่ต่างกัน

“ข้ามิได้อยากให้เป็นเช่นนี้”สีหน้าเจ็บปวดแม้ส่วนหนึ่งจะเกิดจากบาดแผล ทว่ายามนี้แผลนั้นกลับเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่ดวงใจของหลี่รั่วถง

“ท่านมิต้องขอโทษอันใดต่อข้า วิญญาณต่ำต้อยที่ท่านปรานียื้อเวลาให้.....ยามนี้คงถึงเวลาที่จะต้องไปเสียที มิต้องอยู่ให้ท่านลำบากใจแล้ว”คล้ายรอยยิ้มประดับใบหน้าที่ช่างเย็นเยียบและกรีดแทงจิตใจผู้ที่จ้องมองนัก

ไม่ต่างกันที่เซียวโม่โฉวจักต้องข่มความรู้สึกชอกช้ำนั้นให้ลึกสุดใจ ยิ่งผูกพันมากเท่าไหร่ใจก็ยิ่งเจ็บเท่านั้น

“เจ้าหมายความเช่นไร” น้ำเสียงที่เค้นออกมายากเย็นราวกับจะกระอักออกมาเป็นโลหิตเอ่ยถามร้อนรน

“ข้าคืนสิ่งนี้ให้แก่ท่าน”มือขาวซีดของเซียวโม่โฉวยื่นปิ่นปักผมดอกโบตั๋นที่ยามนี้บานสะพรั่งซ้ำยังส่งกลิ่นหอมกำจายไปให้แก่หลี่รั่วถง หากแต่มือเล็กที่ดูหาญกล้ากลับสะกดกลั้นความสั่นไหวไว้สุดกำลัง หลี่รั่วถงมองสิ่งนั้นก็รู้ความหมายในทันที

“.....”

“ช่วยส่งข้าไปยังผาพลิกชะตาด้วย ท่านคงมิหลอกข้าซ้ำเรื่องนี้อีกใช่หรือไม่”

แววตาที่กล้าแกร่งยามนี้กลับสั่นไหวยิ่งนัก มือหนาที่รับเอาปิ่นดอกโบตั๋นกลับคืนกำสิ่งนั้นแน่นราวกับจะให้แหลกคามือ

“เจ้าตัดสินใจแล้วเช่นนั้นหรือ”

“ข้ามิเคยแปรเปลี่ยนความปรารถนาในใจของข้าตั้งแต่เริ่มต้น เป็นท่านที่หยิบยื่นความหวังนั้นให้แก่ข้า”

“ข้า.....จะไม่ขัดเจ้า”

“คงจะไม่รบกวนท่านหากข้ามีสิ่งหนึ่งที่ต้องการคำตอบ”แววตาที่ทอประกายผ่านหยาดน้ำตาบางๆ ในแววตาที่สุกใสจ้องมองหลี่รั่วถงไม่หลบสายตา

“พูดเรื่องของเจ้ามาเถอะ”ดวงตาคมหลับตาคล้ายสะกดกั้นความเจ็บเพียงครู่

“เหตุใดท่านจึงเก็บร่างกายของข้าที่เป็นมนุษย์ไว้ในถ้ำแห่งนั้น”ดูเหมือนความลับที่หลี่รั่วถงปกปิดไม่อาจซ่อนเร้นได้อีกต่อไป

“เจ้าไปเจอได้อย่างไร”

นับว่าเป็นเรื่องที่หลี่รั่วถงตกใจไม่น้อย ร่างมนุษย์ที่ตนรักษาไว้ในถ้ำแห่งนั้นถูกเปิดเผยได้เช่นไร ม่านพลังที่ถูกกางกันเป็นเขตแดนไยจึงถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดายนัก ไม่ผิดเพี้ยนไปจากตอนที่เซียวโม่โฉวพบกับหลี่รั่วถงในร่างอสูรเสือดำเมื่อครั้งยังมีชีวิตแม้แต่น้อย

ผู้ใดกล้าเล่นตลกเช่นนี้!

“ท่านตอบคำถามข้ามาเถิด”

“เวลานี้ข้าไม่สามารถบอกอะไรเจ้าได้”

“ท่านจะปิดบังข้าไปถึงเมื่อไหร่!”หลี่รั่วถงทำได้เพียงหันหลังให้ซ่อนสีหน้าที่อ่อนล้าไว้มิให้บุรุษหนุ่มได้เห็น สภาพที่ไม่น่ามองเช่นนี้ก็น่าสมเพชเวทนามากพอแล้ว

“หลังจากที่เจ้ากลับมาจากผาพลิกชะตาแล้ว ข้าจะบอกเรื่องราวทั้งหมดที่เจ้าอยากรู้ให้ฟัง แต่ตอนนี้....”คำพูดที่หยุดนิ่งไปกับร่างสูงที่ไหวโอนเอนอย่างกะทันหันก็ทำให้เซียวโม่โฉวตกใจไม่น้อย หากมองแล้วแผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของหลี่รั่วถงนั้นมีบาดแผลฉกรรจ์ไม่น้อย ทั้งร่องรอยที่กำลังเลือนหายและรอยที่ไม่อาจจะหายในเพียงคืนเดียว ครั้นหลี่รั่วถงขยับตัวโลหิตสีแดงฉานกลับซึมไหลออกมาจากบาดแผลที่ถูกปิดไว้ไม่น่ามองนัก

เซียวโม่โฉวที่มองเห็นอยู่เช่นนั้นกลับแข็งใจไม่เอ่ยถามความเป็นมาของแผล

“ข้า.....จะกลับไปรอท่าน”

เพียงบุรุษหนุ่มหันหลังให้เดินออกไปไม่กี่ก้าวเสียงร่วงตุบที่ดังอยู่ด้านหลังพลันเรียกความสนใจของเซียวโม่โฉวให้หันมอง เป็นหลี่รั่วถงที่บัดนี้โซเซทรุดล้มลงกับพื้นไปเสียแล้ว คล้ายดั่งภาพเสาใหญ่ที่ค้ำจุนล้มครืนลงต่อหน้า

หัวใจที่แสร้งเข้มแข็งไม่อ่อนให้บัดนี้กลับลืมสิ้น ถลาเข้าไปประคับประคองสีหน้าตระหนกจนแทบร่ำไห้ อย่างไรความห่วงใยก็มิได้หมดสิ้นไปจากใจทีเดียว ก็เหมือนก้านบัวที่หักท่อน ถึงอย่างไรก็ยังเหลือใยอยู่ดี


ในระยะที่มิได้ห่างไปจากสายตา เซียวโม่โฉวยืนชะเง้อมองผู้ที่นอนนิ่งสนิทบนเตียงอย่างพะวงใจ มองดูหวางหรูอี้ผู้ที่เป็นทั้งสหายแหละหมอมือดีในยามวิกฤติให้แก่หลี่รั่วถง เมื่อครู่หวางหรูอี้เพิ่งจะเดินลมปราณและให้หลี่รั่วถงกินยาเข้าไป ท่าทีไม่ขยับตัวนั้นคงจะเป็นฤทธิ์ของยา

ครั้นดูอาการและรักษาเสร็จแล้วเจ้าของเส้นผมขาวพิสุทธิ์ก็เดินออกมาและมาหยุดตรงหน้าของเซียวโม่โฉวพร้อมทั้งยื่นตลับยาเล็กๆ ให้

“ดูเหมือนเจ้าจะมีบาดแผลขีดข่วน เอาสิ่งนี้ไปใช้เถิด แม้จะมิใช่มนุษย์หากป่วยก็ต้องรักษาเช่นกัน”

“ขอบคุณท่านมาก”เสียงแผ่วเอ่ยตอบรับของสิ่งนั้นมาทว่าสายตากลับชะเง้อมองหลี่รั่วถงอยู่ไม่ห่างมากนัก

หวางหรูอี้ที่สังเกตได้จึงแสร้งเอ่ยขึ้น

“ข้าเดินลมปราณปรับธาตุให้ อีกทั้งให้กินยาฟื้นกำลังอีกไม่นานก็คงจะรู้สึกตัว เห้อ.....แม้ข้าจะรู้ดีว่าสหายของข้าผู้นี้เข้าใจยากแต่นึกไม่ถึงว่าจะทนข่มความเจ็บมิยอมบอกผู้ใดจนอาการแย่เช่นนี้ ข้าคงต้องฝากเจ้าเฝ้าดูอาการของหลี่รั่วถงต่อก็แล้วกัน”

“ท่านอย่าเพิ่งไปจะได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องสงสัย”

“เรื่องใดหรือ?”

“บาดแผลเหล่านั้น ได้มาอย่างไรหรือ”

“ถึงอย่างไรวันหน้าเจ้าก็ต้องรู้ ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังสักเล็กน้อยก็แล้วกัน”

เมื่อหวางหรูอี้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เซียวโม่โฉวได้ฟังแล้ว ก็ขอตัวลากลับไป ปล่อยให้บุรุษหนุ่มถูกโอบล้อมไปด้วยความรู้สึกหลากหลายในความคิด แม้กระทั่งสิ่งที่ตกใจไม่น้อยนั่นคือการที่เกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้น ทว่าตนกลับหลบอยู่ในดอกบัวไม่รู้เรื่องราวแม้แต่น้อย และการต่อสู้ที่นำพาซึ่งการนองเลือดและการสูญเสียนั้นราวกับฝันร้าย อีกทั้งหวางหรูอี้ยังบอกข่าวที่ชวนสะเทือนใจว่า จูเกิงเฉินถูกสังหารในสงครามเสียแล้ว

นับว่าไม่มีสิงใดอนิจจัง มีเกิดย่อมมีดับ ต่ำเตี้ยเพียงใดก็ต่างมีชะตากรรมเป็นของตัวเอง



“ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือขอรับ ดูสีหน้าไม่สู้ดีเสียเลย”

“วันนี้ชั่งยาวนานเหลือเกินเจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่ ข้าไม่เคยรู้สึกว่าแต่ละชั่วยามที่ผ่านไปทำให้ข้าเลิกฟุ้งซ่านได้เลย ทุกเรื่องราวนั้นหนักหนาต่อข้านัก เจ้าบอกข้าหน่อยเถิดว่าข้าควรจะทำเช่นไร”

“หากเป็นเรื่องระหว่างท่านกับนายท่าน ข้าคงเข้าไปวุ่นวายอันใดมิได้ แต่ยามนี้ข้าขอพูดบางอย่างได้หรือไม่ขอรับ”

“พูดมาเถิด เจ้าพูดดีกว่าปล่อยให้ข้ากลายเป็นวิญญาณที่โง่งมไม่รู้อะไรเอาเสียเลย”น้ำเสียงเรือประชดประชันเลื่อนสายตาเหม่อมองไปยังหลี่รั่วถงที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงด้านใน

“ความทุกข์ในอกของท่านนั้นหนักหนาข้อนั้นข้ารู้ดี หากข้าจะฟังคำขอร้องจากข้าสักหนึ่งอย่างจะได้หรือไม่ขอรับ”

   “เจ้าจะพูดสิ่งใด?”

   “โปรดอย่าได้ขุ่นเคืองนายท่านของข้าเลยจะได้หรือไม่ขอรับ ข้ารู้ว่ายากนัก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่นายท่านทำไปล้วนมิได้มีเจตนาร้ายแอบแฝงแม้แต่น้อย ท่านโปรดไตร่ตรองถึงสิ่งที่ข้าพูดได้หรือไม่ขอรับ”เหอจี๋ย่อกายลงคุกเข่าต่อหน้าเซียวโม่โฉว ความกังวลใจระคนโศกเศร้าระบายบนใบหน้าให้เห็น

   “เช่นนั้นเจ้าบอกข้าหน่อยเถิดว่าสิ่งที่ข้าถูกกระทำเหล่านี้ ความน้อยเนื้อต่ำใจที่เกิดขึ้นข้าควรจะนำมันไปวางไว้ที่ใดได้ หากมิใช่ในใจของข้า”

   คนฟังก้มหน้านิ่งทราบดีว่าคงไม่มีผู้ใดทำใจได้เพียงง่ายหากปมเก่าคือถูกหลอกลวงจากผู้ที่เชื่อใจ และกลับต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนั้นไม่มีสิ้นสุด

   “ข้ารู้ว่าแท้แล้วท่านมิได้ขุ่นเคืองนายท่านจนเคียดแค้น หากจะกล่าวให้ละเอียดนายท่านกระทำเพราะหวังดีต่อท่าน ผิดกับสิ่งที่ท่านพบเจอเมื่อครั้งมีชีวิตนะขอรับ.....เอาหัวของข้าไปได้เลยหากข้าพูดผิดไปจากความจริง ท่านก็น่าจะรู้อุปนิสัยของนายท่านบ้างแล้วว่ามิใช่ผู้ที่ใจคดหรือรังแกผู้คนไปทั่วไม่เลือก หากแต่อุปนิสัยแท้จริงนั้นมักจะร้ายกาจด้วยหน้าที่และภาระที่หนักหนา หากแต่การตัดสินใจนั้นสุขุมและนุ่มลึก มิเคยทำไปด้วยไร้เหตุผล สิ่งที่ข้าพูดท่านเก็บไปคิดสักเล็กน้อยเถิดนะขอรับ”

   มิใช่ไม่เปิดใจรับฟังสิ่งใด หากแต่ทั้งหมดที่เหอจี๋กล่าวล้วนอยู่ในใจของเซียวโม่โฉวทุกคำพูด แม้จะไม่บอกก็พอทราบแล้วบ้าง หากแต่สถานการณ์และอารมณ์ความรู้สึกที่ถูกกระทบกระเทือนนั้นย่อมขาดแหว่งไปเป็นธรรมดา ไม่ต่างจากน้ำที่ปริ่มถ้วย หากมีสิ่งใดกระทบเพียงน้อยก็พลันกระฉ่อนออกมาไม่มากก็น้อย

   “สิ่งที่เจ้าพูดไยข้าจะไม่รู้”ใบหน้าที่กลัดกลุ้มก้มงุดครุ่นคิดไม่มีตก เหอจี๋ที่เห็นเช่นนั้นก็พลันเบาใจลงไปบ้าง

   เดิมทีเซียวโม่โฉวก็มิใช่เด็กหัวรั้น ออกจะว่านอนสอนง่ายเสียมากกว่า ความเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นก็มีอยู่ในตัวมิได้สิ้นสลายตายจากไปกับลมหายใจ เป็นธรรมดาที่หัวใจที่ยังหลงเหลือความเป็นมนุษย์จักรู้สึกผิดหวังและเสียใจได้

   “นายท่านมิเคยดีต่อผู้ใดมากมายเหมือนกับท่านมาก่อน เช่นนั้นท่านโปรดดีต่อนายท่านของข้า.....แม้แต่เสี้ยวหนึ่งก็ยังดี ได้หรือไม่ขอรับ”เหอจี๋เอื้อมมือวางบนแขนของเซียวโม่โฉววิงวอนด้วยจริงใจ อย่างไรผู้ที่น่าสงสารในสายตาเหอจี๋อีกผู้หนึ่งจะเป็นผู้ใดมิได้นอกเสียจากหลี่รั่วถง 

   แม้ตนจะมิใช่บริวารรับใช่ที่ดีไปเสียทุกระเบียบนิ้ว หากแต่ความเมตตาที่หลี่รั่วถงมีให้ก็ไม่เคยทำให้เหอจี๋หลงลืมบุญคุณ

   แม้ทั้งหมดที่เหอจี๋กล่าวถาม เซียวโม่โฉวมิได้ตกปากรับคำไปทันที หากแต่ก็มิได้โพล่งปฏิเสธไปเสียทันที

   ข้าเองมิได้อยากขุ่นเคืองใจไปมากกว่าเรื่องที่แบกรับอยู่ในตอนนี้มากหรอก หากหลี่รั่วถงมิใช่ผู้ที่ข้ามีใจปฏิพัทธ์ด้วยในยามนี้.....ความรู้สึกของข้ามันคงไม่อ่อนแอเช่นนี้เป็นแน่






ติดตามตอนต่อไป >>>



ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านและติดตามค่ะ
ฝากตอนต่อไปด้วยนะคะ :impress:

โดย หลานฮวา



ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อย่าใจร้ายเลยน้าาา

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ลองฟังเหตุผลดูก่อนนะะะะ :hao5:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
โม่โฉวกับรั่วถงควรจะจับเข่าคุยกันให้รู้เรื่องรู้ราวกันจริงๆเสียที
รั่วถงก็นะอมพะนำอยู่นั่นคำที่สมควรกล่าวก็ไม่กล่าวอ้อมโลกอ้อมจักรวาลอยู่นั่นล่ะ หงุดหงิด!

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4




บทที่ 19
คำสัญญา






   กึก!
   ถาดไม้ใบเล็กวางลงกับโต๊ะไม้ตัวกลมที่อยู่ใกล้ๆ สองมือที่ประคองถ้วยที่ภายในบรรจุของเหลวใสอุ่นร้อน ไอขาวลอยขึ้นเหนืออากาศยื่นไปให้แก่หลี่รั่วถงไม่แสดงสีหน้ายินดีใดๆ ในใจยังคงขุ่นเคืองอยู่หลายส่วน มือใหญ่รับถ้วยยาจากมือของเซียวโม่โฉวเข้าดื่มจนหมดถ้วยไม่อิดออดและส่งคืน บุรุษหนุ่มทำหน้าที่เก็บถ้วยยาให้อย่างที่ผ่านมา ทำหน้าที่แทนเหอจี๋ที่มีงานกะทันหันดูยุ่งวุ่นวายนักเรื่องใดก็มิได้บอกเหตุผล นับเวลาก็ห้าวันมาแล้ว อีกฝ่ายไยจึงไม่กลับมาไปเสียนานจนนึกสงสัย

   บัดนี้อาการของหลี่รั่วถงฟื้นตัวขึ้นมาก เดินเหินไปไหนมาไหนได้ด้วยตนเอง หากแต่ก็ยังไม่ปกติเสียทั้งหมดนักด้วยกำลังที่ฟื้นขึ้นช้าเพราะบาดแผลใหญ่ แต่หากจะให้เป็นปกติมีกำลังล้นเหลือเฉกเช่นพันปีก่อนก็คงจะไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้

   นับตั้งแต่เรื่องราวอาการบาดเจ็บมิใช่ความลับ ผู้ที่คอยปรนนิบัติช่วยดูแลหน้าที่นั้นควรเป็นเหอจี๋ หากแต่หลายวันมานี้กลับไม่เห็นหน้า มีเพียงเซียวโม่โฉวที่มาทำหน้าที่ปรนนิบัติดูแลเสียแทน หลี่รั่วถงก็นึกแปลกใจไม่น้อย ครั้งรู้ตัวว่าอาจถูกเกลียดชัง หากแต่มาวันนี้ก็ยิ่งสงสัยนัก แม้สีหน้าจะมิได้ชื่นบานหากแต่ยอมเข้าใกล้นั้นก็ย่อมดีกว่าหลบหน้า

   แลดูท่าว่าโอกาสจะมาถึงจึงเอ่ยรังผู้ที่เตรียมจะออกไป

   “เจ้าช่วยอยู่คุยกับข้าเพียงครู่ได้หรือไม่”

   “ท่านอยากพูดอะไรก็กล่าวมาเถิด”คนพูดแทบจะไม่สบตาอีกฝ่าย มองได้ชัดเจนว่ายังมีสิ่งใดอยู่ในใจ ข้อนั้นหลี่รั่วถงทราบดี

   “ทั้งเรื่องที่ข้าปิดบังความจริงต่อเจ้าข้าจะไม่แก้ตัวใดๆ เพียงอยากกล่าวขอโทษ”ดวงตาคู่คมไล่มองจมูกปากและดวงตาที่ว่างเปล่าด้วยความรู้สึกผิด เช่นไรก็มิได้ชอบใจที่จะมองผู้ที่จนรักตีตัวออกห่างเช่นนี้ มันทรมานมากกว่าการรอคอยเสียอีก

   ข้าอยากจะบอกเจ้าทุกอย่างเสียด้วยซ้ำ ไม่ปรารถนาสักนิดที่จะปล่อยให้เจ้าต้องต่อสู้กับวิบากกรรมอย่างทุกข์ทรมานอยู่เช่นนี้ แต่ข้ามาไกลเกินกว่าจะทำลายความหวังของตนเองเสียตอนนี้ หากข้าพูดไปสิ่งที่ข้าหมายมั่นสัญญาต่ออวี้หวงต้าตี้ก็จักไม่บรรลุผล เจ้าจะต้องถูกพรากไปจากข้าอีกคราข้าคงไม่ยอมเป็นแน่

เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะต้องพบเจออดีตชาติที่เจ็บปวดด้วยตนเอง พยายามฝ่าชะตาอันโหดร้ายที่ผ่านเข้ามา ราวกับบทลงโทษที่เคยฝ่าฝืนกฎของสวรรค์ครั้งยังเป็นเทพธิดาชั้นฟ้าด้วยเพราะข้าและเจ้ารักกัน ความเจ็บช้ำที่เกิดขึ้นทั้งตัวข้าและเจ้า ล้วนเป็นบทลงโทษที่มิอาจหลีกหนีไปได้ อดทนอีกหน่อยเถิดอีกไม่นานสวรรค์จะต้องยุติเรื่องราวเหล่านี้ในไม่ช้า

   “ท่านอย่าได้พูดถึงเรื่องนั้นอีก ข้าไม่อยากกลายเป็นคนโง่ในสายตาของท่าน”คิ้วได้รูปย่นเข้าหากันสีหน้าหมองเศร้าอย่างเห็นได้ชัด ในใจของเซียวโม่โฉวยังคงมีบาดแผลจากการกระทำไม่คิดหน้าคิดหลังของตน

   “ข้าไม่อยากให้เจ้าคิดเช่นนั้น สู้เจ้าต่อว่าข้าเสียยังดีกว่าต่อว่าตัวเองเช่นนั้น”นัยน์ตาคู่คมบ่งบอกว่าเจ็บปวดเพียงใดที่เห็นเซียวโม่โฉวปวดร้าว

   “จะทำได้อย่างไรเล่า ท่านเป็นผู้ใดกันข้าจึงมีสิทธิ์กล่าวล่วงเกินท่านได้ ก่อนหน้านี้เพราะความใจร้อนและไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองจึงเผลอล่วงเกินท่านด้วยวาจาข้าขออภัยด้วย หากไม่มีธุระอันใดแล้วข้าขอตัวลา” ร่างบางค้อมศีรษะเพียงน้อย หลบใบหน้าซ่อนดวงตาที่วูบไหว เบี่ยงตัวหนีไปหลังคำกล่าวลา หากแต่หลี่รั่วถงไม่อาจปล่อยให้เซียวโม่โฉวไปทั้งเช่นนี้ได้ จึงตัดสินใจเข้าคว้าแขนดึงรั้งเอาไว้ ไม่อาจรั้งรอให้พายุอารมณ์สงบได้นานกว่านี้อีกแล้ว

   ยิ่งมองเห็นเจ้าเข้าใกล้ข้าด้วยความรู้สึกอึดอัดเช่นนี้ ข้ายิ่งปวดใจสาหัสกว่าบาดแผลภายนอกเสียอีก

   “มิใช่ความผิดของเจ้า แต่เพราะข้าผิดเองที่คิดว่าสิ่งที่ข้าทำนั้นถูกแล้ว มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าทำไปด้วยเป็นห่วงเจ้า มิใช่เพราะเจตนาหลอกลวงด้วยคิดทำร้าย ข้าไม่มีทางรังแกผู้ที่ข้ารักได้”

   สีหน้าแววตาที่เคร่งขรึมไม่มีแววตาของความเย้าหยอก ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยออกมาราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงกลางใจของเซียวโม่โฉวอย่างกะทันหัน ผู้ที่รับฟังพลันเงยหน้าขึ้นสบตาดวงตาคู่คมที่ฉายชัดแล้วซึ่งความรู้สึกส่วนลึกอย่างไม่ปิดบัง

   แม้เซียวโม่โฉวจะรู้สึกถึงใจตนเองที่ผูกพันต่อหลี่รั่วถงอยู่ลึกๆ ทว่าการที่ได้ยินเช่นนั้นราวกับถูกตอบรับและย้ำชัดความรู้สึกเข้าไปอีกจนยากถอนตัว

   “ทะท่านหมายความเช่นไร?”น้ำเสียงสั่นเอ่ยถามย้ำราวกับหูแว่ว

   หลี่รั่วถงมิได้ลังเลที่จะพูดตอบ หากแต่ครานี้กลับใช้ภาษากายยืนยันถ้อยคำด้วยร่างสูงสง่าที่ก้าวมาเบื้องหน้าเซียวโม่โฉว พลันสวมกอดรับเอาเจ้าของกายขาวที่สั่นเทิ้มเข้าแนบอก“ข้ารักเจ้า มิใช่ถ้อยคำหลอกลวงแต่อย่างใด”

คำว่ารักจากปากของหลี่รั่วถงถึงกับทำให้เซียวโม่โฉวที่มิได้คิดฝันถึงกับนิ่งค้าง หากแต่หัวใจกลับสั่นระรัวยินดีไปแล้วอย่างน่าอาย

กายอุ่นที่เข้าสวมกอด ทั้งลำแขนแข็งแรงที่โอบประคองกายถึงกับทำให้ความรู้สึกลึกๆ ที่โหยหากลั่นเอาน้ำตาเอ่อรื้นจนห้ามไม่ได้

เหตุใดข้าถึงได้พ่ายแพ้ให้กับคนผู้นี้ทั้งที่ความขุ่นเคืองยังมิได้สิ้นไปจากใจของข้า เวทมนตร์ใดกันที่หลี่รั่วถงสาปให้ข้าตกในภวังค์ความอิ่มเอมใจได้เช่นนี้ ความรู้สึกมันย้อนแย้งไปเสียหมดยากเกินเข้าใจนัก

   “ปะปล่อยข้าเถิด”พลันตั้งสติได้เซียวโม่โฉวก็ดันตัวเองออกห่างสีหน้าสับสนวุ่นวายใจ ใบหน้าขาวกลับแดงเรื่องตรงแก้มสองข้างกระทั่งใบหู แสดงออกมาไม่ปิดบังถึงสิ่งที่อยู่ในใจ หลี่รั่วถงทราบดีว่าเซียวโม่โฉวกำลังสับสน สิ่งที่ตนทำได้สุดกำลังไม่เกินขอบเขตก็มีเพียงสิ่งนี้

ในสายตาเซียวโม่โฉวข้าอาจเป็นเหมือนกับผู้มากรักที่ตกหลุมรักผู้คนในเพียงพริบตา ทว่าความเป็นจริง...ข้ารักเซียวโม่โฉวมายาวนานนับพันปีนั่นคือความรักที่ข้ามีให้คนผู้นี้มาตลอดไม่เปลี่ยนแปลง

   “ข้าไม่อาจขอให้เจ้ายกโทษให้ หากแต่ข้าก็คงไม่ให้อภัยตนเองที่ทำเจ้าเจ็บช้ำ”

   “พอเถิด ท่านกำลังทำให้ข้าราวกับเป็นคนเสียสติ”เซียวโม่โฉวไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น หากแต่มืออุ่นที่เข้ามาประคองจับมือและบีบแน่นแทนความรู้สึกที่หนักแน่นคล้ายย้ำเตือนให้มั่นใจ ทำให้ใจที่อ่อนยวบอยู่แล้วราวกับจะเหลวกลายเป็นน้ำต่อหน้าหลี่รั่วถง ความรู้สึกข้างในมิได้ต่อต้านหากแต่ตอบรับเสียจนน่าโมโหตนเอง

   “เจ้ามิเชื่อคำพูดข้า”

   “คือว่าข้า.....ถึงอย่างไรก็ไม่อยากเปลี่ยนความตั้งใจ ต่อให้ท่านพูดอย่างไรทุกอย่างก็ไม่เปลี่ยน”

   “ข้ารู้ว่าไม่อาจขัดต่อเจ้าในสิ่งที่ลั่นวาจาออกไปได้”

   “และเรื่องสำคัญที่ท่านปิดบังข้า ร่างกายของข้าครั้งเป็นมนุษย์ที่ถูกเก็บไว้ท่านจะอธิบาย
อย่างไร? ”แม้ประโยคที่เอ่ยจะเต็มไปด้วยความประหม่าฟังแล้วสับสนอยู่มากแต่หลี่รั่วถงก็เข้าใจบุรุษ
ตรงหน้าดี “ท่านยังไม่ตอบข้าว่าเพราะเหตุใดท่านจึงเก็บร่างกายข้าไว้เช่นนั้น”

   “ข้าสัญญาต่อเจ้าแล้วว่าจะบอกเรื่องนี้หลังจากที่เจ้ากลับมาจากผาพลิกชะตาอย่างปลอดภัย”

   “หลังจากที่ข้ากลับมา.....ท่านต้องบอกข้าทุกเรื่องที่ข้าอยากรู้”

   “ข้าสัญญา เจ้าก็ต้องสัญญาต่อข้าเช่นกันว่าจะกลับมาเพื่อฟังคำตอบจากปากของข้า”ยามนี้สีหน้าของหลี่รั่วถงครั้นไม่สบายใจนักต่อให้อีกฝ่ายจักเคืองใจต่อตนก็ไม่อาจตัดความห่วงใยไปได้ เพราะผาพลิกชะตาเสมือนอาวุธที่เลือกทำร้ายจิตใจ หากไม่หนักแน่นพอที่จะเผชิญเรื่องเจ็บปวดและปล่อยให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นกลืนกินก็ไม่อาจกลับมาได้ ซ้ำร้ายวิญญาณกลับต้องถูกจองจำอยู่กับสิ่งนั้นไปตราบนานเท่านาน

   “.....”ไม่พูดตอบมิใช่ว่าไม่ได้ยินหากแต่เซียวโม่โฉวกำลังครุ่นคิดเสียมากกว่า ใบหน้าที่ก้มงุดจึงถูกสองมืออุ่นโอบประคองเงยขึ้นให้สบตา ใบหน้าหวานเกินบุรุษขมวดมุ่นจนดูยุ่งเหยิง แววตาพราวระยับคู่งามเหลือบมองไปมา ไม่กล้าสบตาของหลี่รั่วถงตรงๆ กลัวนักที่จะเผลอใจยินดีไปกับท่าทีอ่อนโยนเช่นนั้น

   “ว่าอย่างไรเล่า”เสียงทุ้มที่ฟังดูอบอุ่นหัวใจไถ่ถามเอาคำตอบ มิได้คาดคั้นหากแต่รั้งรอด้วยสายตาวิงวอน

   “ข้าสัญญา มิใช่เพราะสิ่งอื่นเพียงเพราะข้าตั้งใจจะมาฟังคำอธิบายจากปากของท่าน”

   ทันทีที่คำตอบออกจากปากของเซียวโม่โฉว รอยยิ้มบางที่มิได้เห็นได้บ่อยนักจากจ้าวพิภพแห่งหยินกลับปรากฏบางๆ ตรงมุมปาก ครั้นผู้ที่สบตามองเห็นก็แทบเก็บแววตาเก้อเขินไว้ไม่อยู่

   ข้ายังขุ่นเคืองใจไยต้องรู้สึกไปกับท่าทีของหลี่รั่วถง ข้าคงจะเป็นบ้าในเร็ววันกระมัง!

   “ข้าจะรอเจ้า”หลี่รั่วถงตอบรับพร้อมกับโน้มใบหน้าชิดใกล้บรรจงมอบจุมพิตวางไว้บนกลีบปากบางที่อ่อนนุ่มอย่างทะนุถนอมราวสมบัติล้ำค่า นำพาดวงใจบุรุษหนุ่มที่สั่นไหวให้คล้อยตามความรู้สึกอย่างไม่รู้ตัว




   “ร่างกายของท่านฟื้นกำลังมากแล้ว นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี และขออภัยอย่างยิ่งที่ข้ามิได้แวะเวียนมาก่อนหน้า”

   “หากมา ข้าก็ไม่สามารถสู้หน้าเจ้าได้เสียทีเดียว เรื่องที่ข้าอ่อนแอลงมิได้ปรารถนาให้ผู้ใดมาเยี่ยม”สุราการ้อนถูกยกขึ้นรินให้แก่ติงเจิ้งหวา ที่ประคองจอกรับก่อนกระดกเข้าปากหมดจอก

   “นับเป็นเรื่องยากลำบากของท่านมากนัก ความสงบก็กลับมาเยือนยังพิภพทั้ง 4 แล้ว ประมุขชั้นฟ้ากล่าวว่าจักนำความดีความชอบในครั้งนี้ไปพิจารณา”

   “ข้าไม่สนว่าผู้ใดจะได้ความดีความชอบ เพียงทุกอย่างยุติลงข้าก็เบาใจ”

   “เจ้ากล่าวว่าเบาใจ เหตุใดไม่หันมามองดูข้าที่กลุ้มใจเสียบ้างเล่า” อีกผู้หนึ่งที่อยู่ร่วมในวงสนทนาเท้าคางมองหน้าสหายราวกับอยากมีเรื่อง

   “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าจะรับผิดชอบในสิ่งที่ข้าขอต่อเจ้า”แผ่นหลังที่นั่งตรงอย่างสง่าหลับตาเพียงครู่ดื่มด่ำกับกลิ่นสุราดอกท้อก่อนจะลืมตาขึ้นจ้องมองไปยังหวางหรูอี้

   “เอามาให้ข้า สิ่งที่จะยืนยันว่าข้าจะไม่เดือดร้อนไปด้วย”หวางหรูอี้แบมือไปข้างหน้าเร่งเร้าให้หลี่รั่วถงหยิบยื่นมาให้ หากแต่อีกฝ่ายกลับมิได้สนใจจนหวางหรูอี้ต้องดึงมือกลับชักสีหน้าบึ้งตึง เข้าหยิบคว้าจอกสุราดื่มลงคอไปหลายจอก

   “ยาลืมชาติของเจ้าข้าจะใช้มันเป็นอย่างดี อย่าได้ห่วง”

   “จิ๊! ข้าไม่น่าให้มันกับเจ้า”

   “ข้าขอถามท่านหน่อยเถิดหากมิใช่เป็นการละลาบละล้วงมากเกินไป”เป็นเจ้าของเส้นผมสีแดงเพลิงที่กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าใคร่รู้ความจริง

“ว่ามาเถิด หากข้าตอบเจ้าได้”หลี่รั่วถงพยักหน้า

“ท่านให้ยากับคนผู้นั้นแน่ใจแล้วหรือ”

หลี่รั่วถงเงียบไปเพียงครู่ มันมิใช่คำถามที่ติงเจิ้งหวาไม่รู้คำตอบ หากแต่เป็นการยืนยันความจริงเสียมากกว่า

“เจ้ารู้ดีใช่หรือไม่ว่าสรรพคุณยาของข้ามิใช่ออกฤทธิ์เพียงชั่วครั้งชั่วคราว หากแต่ตลอดไปไม่มียาใดแก้ได้”

“ข้าตัดสินใจดีแล้วอย่าได้ถามย้ำอีก อย่างไรข้าเพียงอยากให้ชีวิตใหม่แก่คนผู้นั้นสักครั้ง”น้ำเสียงมั่นคงที่มิได้ลังเลเอ่ยขึ้นมองดูหิมะขาวโพลนที่ตกอยู่รอบนอกของม่านพลังที่กางกั้นราวกับร่มคันใหญ่ มิให้เกล็ดหิมะสีขาวเข้ารบกวนการสนทนาในครั้งนี้

“ในเมื่อเจ้ามั่นใจเสียเช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องการจะขัดอีก แต่ถึงอย่างไรปัญหาในภายภาคหน้าเจ้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ มิเกี่ยวข้องต่อข้าและติงเจิ้งหวา”

“นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่เจ้าปกป้องข้า”ติงเจิ้งหวากล่าวขึ้นยินดีในคำพูดของอีกฝ่าย

“อย่าได้ใจมากนัก ข้ามิได้ปกป้องเจ้า”สายตาคมเฉี่ยวตวัดมองให้อีกฝ่ายสงบคำ

“ข้าขอรับปาก”

“เอาเถอะ ข้าจะไม่พูดเรื่องน่าหงุดหงิดขึ้นมาอีก แต่มีอีกเรื่องที่เจ้าเชิญพวกข้ามาวันนี้”หวางหรูอี้กล่าวขึ้น หลี่รั่วถงจึงพยักหน้าวางจองสุราในมือลงกับโต๊ะ สีหน้าตึงเครียดขึ้นจึงพานให้รอบโต๊ะก่อเกิดบรรยากาศกดดันด้วยรังสีที่แผ่ออกมาจากกายของหลี่รั่วถง แม้จะบางเบาหากแต่ก็ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้รับรู้ถึงความอึดอัดได้

“ข้าจะทำตามคำขอของเซียวโม่โฉวที่ปรารถนาจะรับรู้อดีตชาติและจิตใจที่โหดร้ายของครอบครัว ข้าจะส่งเซียวโม่โฉวไปยังผาพลิกชะตาในคืนนี้”

ติงเจิ้งหวาที่นั่งฟังไม่แสดงความคิดเห็นใดกลับต้องเอ่ยขึ้น

“ข้ารู้มาว่าผาพลิกชะตาไม่ใช่ที่ที่จะกลับคืนมาเสียง่ายดายนัก ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าจะทำเช่นนั้น”

“ชิ! เหตุใดชะตาชีวิตของเจ้ามันช่างยุ่งเหยิงจนข้าปวดหัวนัก”คล้ายคำบ่นพึมพำหากแต่เสียงดังพอที่ใครๆ จะได้ยิน

“ข้ารู้ถึงสิ่งที่จะตามมาจึงได้เรียกพวกเจ้ามาในวันนี้”

“รีบพูดเรื่องของเจ้ามาก่อนที่ข้าจะปวดหัวไปมากกว่านี้”

“หากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเซียวโม่โฉวขณะที่ลงไปในผาพลิกชะตา ข้าจะตามลงไปในทันที เช่นนั้นข้าจึงขอให้พวกเจ้าช่วยเหลือข้าหากมีสิ่งใดผิดพลาด”

“ผิดพลาดตั้งแต่ความคิดขอเจ้าแล้ว! เจ้าก็รู้ว่านั่นเป็นเรื่องต้องห้ามที่มิให้ผู้ที่อยู่เหนือวัฏสงสารเข้าไปสัมผัสมัน ทกอย่างจะเกิดเรื่องยุ่งตามมาต่อตัวเจ้า”

“ข้ามิได้กล่าวว่าจะลงไปหากทุกอย่างเรียบร้อย”หวางหรูอี้เลือกที่จะไม่ตอบโต้แต่กลับยกกาสุรารินใส่ปากตนเองเสียแทน หากแต่ติงเจิ้งหวาหักห้ามไว้

“หมดกานี่เจ้าก็ได้เมามายหรอก”

“ฮึ๊ย! ข้าโม่โหหลี่รั่วถงนักที่ยังนั่งนิ่งไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่กระทำได้เยือกเย็นเช่นนี้เจ้าสละทุกอย่างกระทั่งตอนนี้ชีวิตเจ้าก็หาเว้นไม่! ”หวางหรูอี้โวยวายจ้องมองหลี่รั่วถงที่เป็นอย่างที่กล่าว

เพราะหลี่รั่วถงรู้อุปนิสัยจอมโวยวายของหวางหรูอี้ดีจึงไม่นึกถือสา ถึงเช่นไรไม่กี่ชั่วยามก็จะสงบลง อีกทั้งบางอย่างที่หวางหรูอี้กล่าวก็หาใช่สิ่งที่จะปฏิเสธได้

“เช่นนั้นแล้วในยามนี้เซียวโม่โฉวอยู่ที่ใดเล่า? ”



เรือนเสี้ยวจันทรา

   “เหตุใดเจ้าถึงได้เกะกะข้านัก ไปนั่งที่อื่นมิได้หรืออย่างไร!”

   “ก็ข้าไม่อยากนั่งอยู่ลำพัง อีกไม่กี่ชั่วยามโม่โฉวก็ต้องไปแล้ว”ผู้ที่อิดออดกอดแข้งกอดขาเซียวโม่โฉวทำสีหน้าฟึดฟัดเป็นทู่จึ

   “ปากเจ้าช่างไม่เป็นมงคลนัก”เหอจี๋แตะเท้าไปที่ปีศาจกระต่ายหากแต่ไม่ใส่แรงมากนัก

   “พวกเจ้าจะทะเลาะกันให้ได้อะไร พอเถิด”เซียวโม่โฉวส่ายหน้า หากแต่ทั้งสมาธิกลับจดจ่ออยู่กับเข็มที่บรรจงปักลวดลายเล็กๆ ตรงมุมผ้าสีขาวตรงหน้า

“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ข้าเห็นเจ้ามิยอมหลับยอมนอนหลังขดหลังแข็งกับสิ่งนั้นมาหลายชั่วยามแล้ว”ทู่จึชะเง้อคอมองดูด้ายเส้นสีแดงที่ปักลงบนผ้าวนซ้ำไปมาคล้ายดอกไม้ที่มองอย่างไรก็ดูไม่ออกนักว่าเป็นดอกอะไร

“ข้ากำลังปักดอกโบตั๋น หากแต่ข้ามิใช่สตรีที่ถนัดเรื่องเย็บปักถักร้อยจึงได้ใช้เวลานานนัก ซ้ำยังดูน่าเกลียดเสียอีก”กล่าวแล้วก็แอบถอนหายใจให้กับผลงานของตน

“จริงด้วย ข้าถึงมองไม่ออกว่าเจ้ากำลังปักเป็นรูปอะไร”ผู้ที่พูดอย่างเถรตรงขมวดคิ้วมุ่นเห็นด้วย

“หน็อย! เจ้าจะพูดมากไปแล้ว”เหอจี๋ลากเจ้าปากมากออกห่าง “ท่านอย่าได้นำคำพูดของเจ้าปีศาจชั้นต่ำมาใส่ใจเลยนะขอรับ”

“ก็ข้ากล่าวความจริงนี่!”เสียงเล็กยังอุตส่าห์ตะโกนมาตอกย้ำ เซียวโม่โฉวมิได้คิดมากแต่ก็แอบผิดหวังในฝีมือตนเองไม่น้อย

“ข้ามิคิดว่าเรื่องพวกนี้จะยากเย็นนัก”ด้ายเส้นสีแดงถูกกัดขาดเป็นอันเสร็จสิ้น ครั้นขึงผ้าออกมองดูสิ่งที่กล่าวว่าดอกโบตั๋นก็ถึงกับถอนหายใจ

“สวยแล้วขอรับ นั่นเป็นความพยายามของท่านเหตุใดจะไม่งดงาม”เหอจี๋ยังคงให้กำลังใจเข้าเก็บสิ่งที่เซียวโม่โฉวใช้แล้วอย่างเรียบร้อย

“จะให้ข้าบอกหรือไม่ ด้านหลังข้าเห็นก้อนด้ายขะยุกเป็นปมก้อนใหญ่ นั่นเจ้าตั้งใจปั่นด้ายหรือ”นิ้วเล็กชี้สิ่งที่มองเห็น ครั้นไม่ทันเอ่ยปากอะไรต่อก็ถูกฝ่ามืออรหันต์ของเหอจี๋ฟาดเข้าไปที่ศีรษะ

“หากปากเจ้าว่างนักก็หาอะไรมาอุดไว้”แล้วก็ตามด้วยหมั่นโถวลูกสีเหลืองทองยัดเข้าปากทู่จึไม่ถามความจุของปากอีกฝ่ายสักคำ
 
เซียวโม่โฉวขบขันกับเสียงทะเลาะที่ดูวุ่นวายนั่นก็นึกสุขใจขึ้น

เพราะข้ามีพวกเขาข้าถึงได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง

“แค่กๆ ปากข้าแทบฉีกเพราะเจ้าผู้เดียว”

“หากเจ้ารู้จักระวังคำพูดก็มิต้องเดือดร้อน”

“เจ้ามันใจร้าย ข้าบอกไว้เลยว่าหาได้มีผู้ใดอยากจะเป็นสหายกับเจ้าไม่ ชิ!”เจ้าปีศาจกระต่ายแลบลิ้นปลิ้นตาก่อนจะโผเข้าไปหลบหลังเซียวโม่โฉว

“ฝากไว้ก่อนเถิด แค้นย่อมต้องชำระให้สิ้น!”สายตาเขียวคว่ำมองไปยังเจ้าตัวกวนใจอย่างคาดโทษ หากแต่ยอมฟึดฟัดตัดอารมณ์ไม่สนใจออกไปเสียก่อน

   “นี่โม่โฉวววววว”เสียงเรียกยาวกระตุกแขนเสื้อสีขาวสะอาดให้สนใจ

   “เจ้ามีอะไร หรือตำหนิฝีมือข้ายังไม่พอ”อีกฝ่ายส่ายหน้า จึงได้โล่งใจ

   “เจ้าจะเอามันไปให้ผู้ใด? ”

   “ไยเจ้าจึงซอกแซกอยากรู้ ทั้งที่มิใช่อุปนิสัยของเจ้า”

   “ข้าก็แค่ถามเพราะสงสัย แต่ก็พอรู้ล่ะนะว่าเจ้าคงไม่ใช่มันเอง”คิ้วเจ้าเล่ห์เลิกขึ้นเหลือบตามองของที่อยู่ในมือเซียวโม่โฉว เพียงกล่าวไปเช่นนั้นใบหน้าที่ไม่เคยปกปิดความรู้สึกตนเองได้มิดชิดก็เผยให้รับรู้เสียหมดแล้ว

   “ใช่เรื่องของเจ้าเสียเมื่อไหร่เล่า”

   “น่านนนนสินะ เห้อ....”

   “จู่ๆ ก็ถอนหายใจเป็นอะไรของเจ้า”ร่างบางลุกขึ้นพับผ้าที่อยู่ในมือใส่กล่องไม้ราวกับเก็บรักษาเป็นอย่างดี

   “ข้ารู้สึกเหงาเหมือนกัน ที่จู่ๆ เจ้าจะไม่อยู่ เลิกล้มความตั้งใจของเจ้ามิได้หรือ ทั้งเรื่องไปยังผาพลิกชะตาและเรื่องหลังจากนี้ก็ด้วย”

   เซียวโม่โฉวได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปมองทู่จึที่ขมวดคิ้วยุ่ง รอคำตอบจากตน “เจ้าก็ทำตัวน่ารักได้เช่นกัน” ยิ้มบางวาดขึ้นบนใบหน้า พลางเข้าไปตบไหล่ทู่จึเบาๆ

   “ว่าอย่างไรเล่า เฉไฉเมื่อไหร่ข้าจะได้คำตอบ”

   “จะว่าข้ารั้นก็ย่อมด่าทอได้”

   “หมายความว่าเจ้าจะไม่เปลี่ยนความคิด”ดวงตาเป็นประกายดับวูบลงระคนผิดหวัง

   “เจ้าและข้าต่างมีเส้นทางโชคชะตาที่ต่างกัน หากแต่การได้พบพานก็เป็นวาสนาที่ข้าและเจ้าอาจได้เคยพบเจอ”

   “ที่เจ้ากล่าวอาจจะถูก”

   “หรือแท้แล้วเจ้ากับข้าเคยมีชะตาร่วมกัน”

   “ผู้ใดจะไปรู้”ผู้ที่กล่าวตอบเสียงกระเง้ากระงอดหน้ามุ่ยคล้ายเอียงงอนกระโดดลุกออกไป

   เซียวโม่โฉวเพียงยืนมองแผ่นหลังเล็กที่ราวกับเด็กน้อยหายไปจากสายตา พลันถอนหายใจกวาดตามองไปโดยรอบแยกยิ้มบางๆ

   “ข้าก็คงคิดถึงที่นี่เช่นกัน”





ติดตามตอนต่อไป >>>



ขอบคุณมากค่ะ :impress:

โดย หลานฮวา

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
จะไปละสินะ รอน้า

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4
บทที่ 20
ผาพลิกชะตา…คืนชาติ




    ยามราตรีเคลื่อนคล้อยร่างระหงที่อยู่ในอาภรณ์สีขาวสะอาดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่มีสิ่งประดับสวยงามใดๆ หากแต่มีเพียงใบหน้าที่งดงามกำลังทอดสายตามองไปยังร่างสูงตรงหน้าที่มองตนมาท่าทีกังวลอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากที่หยัดยิ้มให้ดูเข้มแข็งของเซียวโม่โฉวแท้แล้วภายในกลับหวาดหวั่นอดไม่ได้ที่จะประหม่ากับสิ่งที่ต้องเผชิญ

   หากมองไปรอบๆ บรรยากาศนั้นมืดสลัวหากแต่มีแสงระยิบระยับทอประกายมาจากผิวน้ำที่อยู่ลึกลงไปด้านล่างของผาสูงชันที่รอกลืนกินผู้ที่กระโดดลงไป มายาที่มองเห็นนั้นสวยงามทว่าลึกลงไปในก้นบึ้งของที่แห้งนั้นไม่มีผู้ใดบอกได้ว่าจะมีสิ่งใดรออยู่

จะกล่าวว่ามันช่างดูโหดร้ายก็เห็นจะไม่เกินคำกล่าวอ้างนัก กระแสลมที่พัดโหมหนักเบาแสดงถึงความแปรปรวนของสถานที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี หากมองแล้วก็ไม่ได้ต่างไปจากขอบผาที่ร้องเรียกผู้ที่สิ้นหวังในโชคชะตาก้าวกระโดดลงไป

“จำคำที่ข้ากล่าวได้หรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะพบเจออะไรเบื้องล่างอย่าได้สงสัยเพียงรับรู้และยอมรับมัน เป็นเช่นนั้นเจ้าจึงจะกลับขึ้นมาได้”

“ข้าจำทุกคำพูดของท่านได้ดี”ใบหน้าที่คลี่ยิ้มหากแต่แววตายังคงมีความหวาดกลัวอยู่ลึกๆ มือขาวที่ประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันเย็นเยียบไม่ต่างจากน้ำแข็ง

“สิ่งที่เจ้ากำลังเผชิญทั้งเรื่องดีร้าย แต่จงตระหนักไว้ว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนผ่านพ้นไปแล้ว เรื่องของบิดามารดาของเจ้าก็เช่นกัน อย่าได้อาวรณ์ต่อสิ่งที่ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไข”

“ข้าตระเตรียมใจมาไม่น้อยกับเรื่องนี้”

“ข้าไม่อาจไปกับเจ้าได้ หากแต่ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”มือใหญ่เอื้อมไปสัมผัสเบาๆ กับไหล่ของเซียวโม่โฉวที่มีท่าทีสั่นเทิ้มอยู่ไม่น้อย ความอุ่นจากฝ่ามือที่แผ่ซ่านราวกับทำให้บุรุษหนุ่มสงบใจได้อย่างน่าแปลกประหลาด

“ขอบใจท่านมาก ข้ามิรู้จะตอบแทนเรื่องนี้แก่ท่านด้วยเหตุใด หากแต่ข้ามีเพียงสิ่งนี้มอบให้”ผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวที่เซียวโม่โฉวบรรจงประณีตสุดกำลังทำขึ้นถูกหยิบยื่นให้แก่หลี่รั่วถง ครั้นเห็นของสำคัญที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้หลี่รั่วถงจึงมิได้ปฏิเสธหากแต่รับไว้ด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง

“อาจไม่สวยงามอย่างที่คิดนักแต่ข้าก็มิสามารถซื้อหาสิ่งใดตอบแทนเหมือนดั่งโลกมนุษย์ได้ ข้าไม่รู้ว่าท่านจะพอใจกับมันหรือไม่”

“สิ่งที่เจ้ามอบมันให้ข้านั้นมีค่ายิ่งกว่าใช้เงินทองซื้อหา ข้าจะรับสิ่งนี้ไว้และเก็บรักษาเป็นอย่างดี”หลี่รั่วถงยกผ้าผืนสีขาวเนื้อดีขึ้นจรดปลายจมูก อีกทั้งสายตาคมเหลือบมองผู้เป็นเจ้าของสิ่งนี้อย่างพึงใจอย่างยิ่ง “ต่อให้สิ่งที่เจ้ามอบให้เป็นเพียงหินก้อนเล็กข้าก็จักกล่าวว่ามันสำคัญ”

ครั้นอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้นเซียวโม่โฉวยิ่งหัวใจพองโต กำลังใจในครานี้ก็เห็นทีว่าจะไม่หวาดกลัวสิ่งใดแล้ว

“ข้าคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว”

หลี่รั่วถงพยักหน้าพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้ร่างของบุรุษตรงหน้าห่างเพียงแค่ช่องฝ่ามือลอดก็ว่าได้ ร่างสูงสง่าเข้าประคองใบหน้าได้รูปเอาไว้ โน้มศีรษะเข้าแนบชิดกับหน้าผากของบุรุษตรงหน้าแล้วจรดริมฝีปากมอบจุมพิตอ่อนโยนราวกับล่ำลานำพาเซียวโม่โฉวยืนปริ่มขอบหน้าผาอย่างมิรู้ตัว

ครู่หนึ่งราวกับมีไอพลังที่เปล่งออกจากร่างของหลี่รั่วถง ริมฝีปากหยักพึมพำเสียงแผ่วก่อนจะปล่อยให้เซียวโม่โฉวเอนกายหล่นหายลงไปเมื่อปล่อยมือ

เซียวโม่โฉวที่รับรู้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดครั้นทิ้งตัวจากไปกลับเผยรอยยิ้มให้แก่หลี่รั่วถง และพึมพำในสิ่งที่ให้สัญญาเอาไว้

“.....ข้าจะกลับมา”

ร่างของเซียวโม่โฉวที่จมหายลงไปปรากฏอยู่ในสายตาของหลี่รั่วถงอยู่ตลอด ครั้นถึงเวลาจ้าวพิภพแห่งหยินจึงต้องร่ายมนตร์คาถาปิดทางเข้าผาพลิกชะตาแห่งนี้มิให้มีสิ่งใดติดตามลงไปได้ ฉับพลันภูผาที่แบ่งแยกออกจากกันกลับเคลื่อนตัวส่งเสียงฮึมครึมกัปนาทดังราวฟ้าถล่ม เสียงของภูเขาสองลูกที่เคยแยกออกเป็นผาลึกกลับเคลื่อนเข้าชนกันสนิท ผาลึกที่เซียวโม่โฉวลงไปเบื้องหน้าบัดนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว
   

   บุ๋ม!

   ฟองอากาศลูกใหญ่ที่ห่อหุ้มกายของเซียวโม่โฉวไว้แตกออก ครั้นลืมตาตื่นจากภวังค์ราวกับหลับใหลก็พลันแปลกใจกับภาพที่ฉายชัดอยู่เบื้องหน้า

   เสียงตีรันฟันแทงราวกับเป็นสงครามที่ร้อนระอุเบื้องหน้าละลานตาจนกายก้าวถอยตกใจ คมมีดที่เฉียดหน้าไปคล้ายดั่งไม่มีผู้ใดมองเห็นบุรุษหนุ่มได้

“นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น!”

เปรี้ยง!

อีกครั้งที่เสียงดังสนั่นท้องฟ้าเรียกความสนใจให้เซียวโม่โฉวเงยหน้าขึ้นไปมอง เพียงวูบเดียวราวกับโดนดึงดูเข้ากลับเข้าสู่ร่างของใครบางคนที่เป็นสตรีงามเครื่องผ้าอาภรณ์สีสวยหากทว่ากลับเหาะเหินอยู่ในอากาศ บัดนี้ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับร่างของนาง เซียวโม่โฉวไม่อาจควบคุมวิญญาณของตนเองได้หากแต่เพียงมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเบื้องหน้า สองบุรุษที่รบรากลางอากาศฟาดฟันพลังใส่กันนั่นช่างน่าหวาดกลัวนัก

สิ่งที่เซียวโม่โฉวตระหนกด้วยตาที่มองผ่านร่างสตรีนางหนึ่งนั่นเป็นหลี่รั่วถง และผู้หนึ่งเป็นจูเกิงเฉินที่ยังดูหนุ่มแน่นท่าทางเหี้ยมหาญแววตากร้าวแกร่ง ทั้งสองประมือกันสุดกำลังและผู้ที่กำลังพลาดท่าเห็นทีจะเป็นหลี่รั่วถง พลันเซียวโม่โฉวที่อยู่ในร่างของสตรีนางหนึ่งกลับพุ่งเข้าหาหลี่รั่วถงปกป้องผู้อันเป็นที่รักไม่ลังเลต่ออันตราย

กายที่เข้าขวางห้ามกลับถูกฝ่ามือคลื่นมารซักเข้าอย่างจัง บัดนี้เซียวโม่โฉวรับรู้ความรู้สึกจวนเจียนจะขาดใจได้ผ่านกายของสตรีนางนี้ เสียงเรียกที่ดังก้องอยู่ในความคิด ‘เหยว่ถิง’ นั่นคือชื่อที่หลี่รั่วถงเรียกขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตกใจเปี่ยมไปด้วยความรักที่ไม่อยากพรากจากกัน

หากแต่ชื่อนั้นราวกับเสี้ยนหนามตำใจไม่อยากให้เอ่ยชื่อนั้นด้วยสีหน้ารักใคร่สุดหัวใจเสียเลย แม้ยามนี้เซียวโม่โฉวจะตระหนักดีว่านั่นคือตนเองในชาติภพที่แล้ว แต่ลึกแล้วก็ไม่ชอบใจที่ตนนั้นมิใช่เหยว่ถิงที่หลี่รั่วถงรัก

นั่นเพราะยามนี้ข้ามิได้มีร่างกายที่พรั่งพร้อมไปด้วยรูปโฉมงดงามเฉกเช่นสตรี แต่เป็นเพียงเซียวโม่โฉวที่มีกายเป็นบุรุษ ร่างกายมิได้อ่อนช้อย น้ำเสียงมิได้หวานระรื่นหู มือมิได้นิ่มนวล ช่างหาความเหมือนมิได้แม้แต่น้อย

ความตระหนกตกใจในชาติอดีตยังไม่สิ้น ภาพตรงหน้าก็เลือนหายคล้ายวิญญาณถูกดึงกระชากไป ความวูบไหวที่ตั้งรับแทบไม่สิ้นก็ถูกพาไปยังอีกสถานที่หนึ่ง

ร้อน?

ร้อนราวกับไฟที่แผดเผานั่นคือความรู้สึกที่เซียวโม่โฉวสัมผัสได้ ครั้นลืมตามองไปเบื้องหน้าก็พบกับกองเพลิงที่ท่วมร่างของตนครั้นยังเป็นเหยว่ถิงในร่างเทพธิดา ครานั้นความรู้สึกของเซียวโม่โฉวที่มองดูหลี่รั่วถงทุกข์ระทมจิตใจถึงกับหลั่งน้ำตาให้ต่อหน้าเปลวเพลิงสีฟ้ามองดูกายทิพย์ที่กำจายเป็นดวงไฟเล็กๆ ราวกับหิ่งห้อยนับพันตัวลอยหายไปในอากาศช่างเป็นความรู้สึกที่อยากจะเข้าไปกอดปลอบประโลมหากแต่ร่างกายกลับขยับมิได้

ภาพของหลี่รั่วถงที่ทรุดกายเข่ากระแทกลงกับพื้นช่างบีบคั้นหัวใจของเซียวโม่โฉวเหลือเกิน หากแต่ครั้นภาพเบื้องหน้าแปรเปลี่ยนไปความน่าหวาดหวั่นจิตใจก็ปรากฏขึ้น กาลเวลาที่ล่วงเลยมานับพันปีต่อมาปรากฏภาพของหลี่รั่วถงที่กรีดท่อนแขนของตนเองปล่อยให้โลหิตหยดลงบนกองเถ้าถ่านแววตาที่หาญกล้ายามนี้ช่างดูดุดันยิ่งนัก

เพียงครู่วงแหวนเวทก็ค่อยๆ สว่างจ้า ถ้อยคำที่บริกรรมคาถาค่อยๆ ก่อเกิดสิ่งอัศจรรย์ใจบางอย่างขึ้นกลางกองเถ้าเพียงหยิบมือ อีกคราที่เซียวโม่โฉวรู้สึกราวกับว่าเสียงร้องนั้นเปล่งออกมาจากปากของตนเอง เพียงชั่วพริบตาความอ้างว้างโดดเดี่ยวกลับเกิดขึ้น เด็กน้อยที่เกิดจากการบริกรรมคาถาของหลี่รั่วถงถูกนำมาวางทิ้งใส่ตะกร้าไว้ใต้ต้นหลิวตรงชายป่าแห่งหนึ่ง ครั้นสองสามีภรรยาเดินผ่านมาเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กจึงรีบเข้ามาดู

ความเชื่อที่เพิ่งได้รับคำทำนายว่าหากชุบเลี้ยงเด็กผู้หนึ่งไว้จักนำพาความสุขสบายมาให้แก่ครอบครัว ราวกับคำทำนายที่ได้ฟังมาเป็นจริงสองสามีภรรยาจึงไม่รอช้ารับเด็กผู้นั้นเข้าอุปการะเลี้ยงดูและตั้งชื่อให้ว่า ‘เซียวโม่โฉว’

แท้แล้วข้ามิใช่บุตรแท้ของท่านพ่อกับท่านแม่เช่นนั้นหรือ!

ความจริงที่กระจ่างใจถึงกับทำให้เซียวโม่โฉวสะอึกในความเจ็บปวด มองเห็นไปถึงเหตุผลต่างๆ นานาว่าเหตุใดตนจึงเป็นที่สองรองจากน้องชายของตนมาตลอด และครั้งหมดสิ้นความรักใคร่ราวกับของใช้ไม่ได้ประโยชน์ก็ถูกขายทิ้งออกไป ครานี้บุรุษหนุ่มจึงกระจ่างใจแล้วว่าเหตุใดความผูกพันที่บิดาและมารดามอบให้นั้นจึงเปราะบางเสียเหลือเกิน

ครั้นน้ำตาที่หยดลงอาบแก้ม หัวใจของผู้ที่ต้องมารับรู้ความจริงก็ยิ่งจวนเจียนจะสลาย ครั้นภาพอดีตที่โหดร้ายนั้นได้มาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง

ไม่! ไม่! อย่าได้ทำต่อข้าเช่นนั้น!

แม้เสียงที่ตะโกนร้องจะดังขึ้นเพียงใดทว่าเหตุการณ์ที่ตนกำลังจะถูกสังเวยลงสู่ก้นบึ้งของทะเลสาบก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง คมดาบที่สะท้อนวาวกรีดแทงดวงใจของเซียวโฉวตั้งแต่สิ่งนั้นถูกดึงออกจากฝักแล้ว กระทั่งปลายดาบที่แหลมคมเสียบแทงเข้าสู่ร่างกาย ความรู้สึกเจ็บจวนเจียนจะขาดใจก็แล่นปราดเข้าสู่ร่างกายอีกครา

น้ำตาที่ไหลพรากไร้เสียงสะอื้นไม่ได้ช่วยเหลือสิ่งใดได้ ซ้ำถูกผลักให้จมลงไปในทะเลสาบสถานที่ที่เย็นยะเยือกอีกครั้งอย่างไม่ปรานี ครานั้นความเจ็บค่อยๆ เลือนหายกระทั่งลมหายใจห้วงสุดท้ายได้ขาดสิ้นลง

ความเจ็บปวดเหล่านี้กำลังดึงรั้งเซียวโม่โฉวไว้ บุรุษหนุ่มค่อยๆ จมดิ่งลงไปกับความจริงที่ไม่มีวันหลีกเลี่ยงได้

ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน.....

 เสียงสะท้อนที่ไม่อาจส่งไปถึงยังผู้ใดครั้นความมหัศจรรย์ใจก็ทำให้เซียวโม่โฉวตื่นขึ้นอีกครั้ง เมื่อร่างที่ไร้ซึ่งลมหายใจบัดนี้กลับถูกรับไปด้วยใครคนหนึ่ง ครั้นภาพใต้ทะเลสาบค่อยๆ สว่างขึ้น เซียวโม่โฉวก็ถึงกับเบิกตาโพลงจดจำทั้งใบหน้าและดวงตาคู่คมที่ยามนี้ส่องประกายเป็นสีเหลืองอำพันโอบอุ้มร่างของตนไปและหายวับไปต่อหน้าต่อตา

คงมิต้องถามไถ่แล้วว่าร่างของข้าไปอยู่ที่พิภพแห่งหยินได้อย่างไร หากแต่เพื่อการใดจึงขโมยร่างของข้าไปมิให้เน่าเปื่อยเป็นอาหารปลาอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้

ท่านกำลังคิดจะทำสิ่งใดกันแน่หลี่รั่วถง!

ความสงสัยที่ผุดพรายขึ้นค่อยๆ วูบดับราวกับเปลวเทียนที่ต้องลม แม้จะพยายามฝืนสติตนเองเพียงใดก็ไม่สามารถฝืนทนความมืดที่กลืนกินได้ในยามนี้

ข้า.....ข้าอยากกลับไป




ท่ามกลางความมืดแสงสว่างจากเทียนไขและคบเพลิงที่จุดขึ้นสองจุด ณ กลางป่าสนเป็นร่องรอยของการอาศัยอยู่ ระหว่างต้นไม้ที่สูงชะลูดกระท่อมหลังเล็กถูกสร้างขึ้นจากไม้ขนาดกะทัดรัดตั้งอยู่ลึกเข้าไปบนเทือกเขา ควันไฟและกลิ่นอายของอาหารลอยขึ้นไปในอากาศลอดผ่านซี่ไม้ที่ตีกั้นเป็นห้องครัวด้านนอก ธัญพืชที่หุงต้มทดแทนข้าวที่หายากก็พอประทังความหิวได้

เจ้าของร่างเล็กที่เดินขวักไขว่ไปมาหอบไม้ฟื้นด้วยมือข้างเดียวดูทุลักทุกเล มือข้างซ้ายที่ทำทุกอย่างไม่ต่างจากผู้ที่มีสองมือเร่งไฟที่ใกล้มอดด้วยฟืนที่หาเก็บสะสมได้ หยาดเหงื่อเล็กๆ ที่ผุดพรายบนใบหน้าเยาว์วัยคล้ายว่าเหน็ดเหนื่อยสุดใจก็หาได้ปริปากบ่น มิหนำซ้ำกลับทำด้วยความยินดีเสียยิ่งกว่าสิ่งใด

ระหว่างที่เติมไฟร่างเล็กจึงได้มีเวลาหย่อนตัวลงนั่งพัก ดวงตาสุกสว่างจ้องมองไฟที่กำลังเผาไหม้ไม้แห้งด้วยสติที่เผลอเลื่อนลอย ครั้นเสียงเดือดของน้ำที่ต้มธัญพืชไว้พวยพุ่งเจ้าของร่างเล็กจึงหุนหันกระวีกระวาดลดไฟ เกรงว่าของที่มีอยู่น้อยจะพานหกเสียหมดจึงเร่งยกลงจากเตา

“หกจนได้ ข้านี่แย่จริงๆ”ปากเล็กขยับพึมพำยกมือที่ร้อนฉ่าขึ้นจับติ่งหูสลายความร้อน ก่อนจะพยายามหยิบถ้วยที่คว่ำอยู่สูงเกินไปร่างเล็กจึงต้องส่งแรงเขย่งจนสุดปลายเท้าเอื้อมแขนข้างที่มีสุดปลายนิ้ว หากแต่เพียงแตะได้เพียงผิวเผิน พยายามอยู่ช้านานกระทั่งเงาสูงใหญ่ที่ซ่อนทาบเข้ามาเบื้องหลังจัดการหยิบให้โดยมิต้องพยายามอันใดส่งให้ในทันที

“หากหยิบไม่ถึงไยเจ้าไม่เรียกข้าให้ช่วยเหลือ”เจ้าของร่างสูงสวมเสื้อผ้าธรรมดาที่ถักทอจากฝ้ายย้อมด้วยสีจากธรรมชาติติเตียนผู้ที่ไม่ย่อมพึ่งพา

“หรงฮุย!”

“ก็เป็นข้าน่ะสิ เหตุใดจึงทำท่าทีตกใจเช่นนั้นเล่า”

“ก็ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากลับมาจากล่าสัตว์แล้ว”เสียงแผ่วเอ่ยขึ้นยกมือเกาแก้มขาวที่ดำเปื้อนไปด้วยควันไฟด้วยความเก้อเขิน หากปลายจมูกเล็กๆ นั่นไม่ถูกควันไฟสีดำแต้มไว้คงได้เห็นจมูกแดงๆ เป็นแน่

“ใบหน้าเจ้าเลอะเทอะอีกแล้ว”

“ยะอย่างนั้นหรือ? ”

“มาเถอะข้าจะเช็ดให้ เจ้าเช็ดเองเห็นทีจะเปื้อนเหลือแต่ดวงตา”รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าคมคายเอื้อมมือเข้าถูเช็ดใบหน้าให้ ท่าทีอ่อนโยนที่แสดงออกมาราวกับเป็นภาพฝันที่ปรากฏขึ้นซ้ำๆ ในแต่ละวันของลี่ถิง

“หรงฮุย เจ้าหิวแล้วหรือไม่ข้าเตรียมอาหารเสร็จแล้ว”

“กินสิ แต่กินด้วยกันเถอะ”

“อื้ม”

“เช่นนั้นเจ้าไปรอที่แคร่ไม้ด้านนอก ประเดี๋ยวข้าจะช่วยยกออกไปให้” มือใหญ่ที่จับมือของลี่ถิงลากดึงให้ไปรออยู่ด้านนอก พร้อมกับกดไหล่ให้ร่างเล็กที่รั้นอยากช่วยให้นั่งลงนิ่งๆ

“เจ้ารออยู่ตรงนี้นิ่งๆ สักประเดี๋ยวเถอะ ข้าจะจัดการเอง”

“แต่ว่าเจ้ากลับมาเหน็ดเหนื่อย เรื่องหุงอาหารเป็นหน้าที่ของข้า”

“ข้าแย่งหน้าที่เจ้านิดหน่อยจะเป็นไรไป”มืออุ่นข้างที่ขยับได้ไม่ดีนักวางลงบนศีรษะทุยของลี่ถิงขยุ้มเส้นผมเล็กเบาๆ ท่าทีเอ็นดู

ลี่ถิงได้แต่ชะเง้อมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินหายเข้าไปในครัวด้วยแววตาอบอุ่น แล้วก้มมองร่างกายของตนที่ไม่สบประกอบ จะกล่าวว่าเสียใจหรือไม่ที่เป็นเช่นนี้ในใจของลี่ถิงนั้นมีคำตอบอยู่แล้วว่าไม่ ต่อให้ต้องเสียแขนอีกข้างก็ย่อมสละให้ได้เพื่อผู้ที่ตนรักและเทิดทูน

ชีวิตนี้เกิดขึ้นเพราะท่าน ข้าจะเสียดายสิ่งใดอีก หากข้ามิได้ทำในสิ่งที่ข้าควรทำนั่นคือความทุกข์ใจของข้า

“โชคดีที่วันนี้ข้าได้ไก่ฟ้ามา พรุ่งนี้ข้าจะต้มน้ำแกงให้เจ้ากิน”ธัญพืชร้อนๆ เพียงสองถ้วยที่ยกมาวาง มีเครื่องเคียงสองสามอย่างที่ตระเตรียมไว้ แม้มิใช่อาหารที่เลิศรสหากแต่การได้กินกับผู้ที่อยู่ตรงหน้าก็นับว่าดีที่สุดแล้ว

“เจ้าไม่ต้องลำบากเช่นนั้น”

“ได้อย่างไร เจ้าตัวเล็กเช่นนี้มิใช่ว่ากินน้อยหรือ”พูดไปตะเกียบของหรงฮุยก็คีบเครื่องเคียงที่เป็นผักใส่ถ้วยให้ลี่ถิงคะยั้นคะยอให้กินเยอะๆ

“แม้ข้าจะตัวเล็กแต่ข้าก็มิใช่เด็กๆ แล้ว”

“ข้ารู้ เพราะเจ้าตัวเล็กแรงน้อยเช่นนี้ข้าจึงเป็นห่วง”แม้ถ้อยคำจะธรรมดาเสียจนเป็นเรื่องปกติในบทสนทนา แต่ก็ทำให้ลี่ถิงถึงกับน้ำตาคลอเอาเสียดื้อๆ ทำเอาธัญพืชต้มสุกที่เคี้ยวอยู่ในปากรสชาติเค็มขึ้นโดยมิต้องพึ่งเกลือ

“เจ้าเป็นอะไรไป”ผู้ที่อยู่ตรงหน้าสังเกตเห็นจึงวางตะเกียบลงแล้วถามไถ่อย่างเป็นห่วง

“ข้าเปล่า”เสียงสั่นเครือที่พยายามทำให้ดูปกติคีบเคี้ยวผักชิ้นเล็กๆ เข้าปาก

“เจ้าตอบเช่นนี้ทุกคราที่ข้าเอ่ยถาม มีอะไรเจ้าก็บอกข้าได้เจ็บป่วยด้วยเรื่องใดเจ้าก็ต้องบอก เจ้ากับข้าก็มิใช่คนอื่นไกล”หรงฮุยผุดลุกขึ้นจากฝั่งของตนมานั่งข้างๆ ผู้ที่ขี้แย แขนกว้างที่โอบกายลี่ถิงเข้าสู่อ้อมกอดปลอบประโลมตบแผ่นหลังเบาๆ ให้อย่างอ่อนโยนมิได้รังเกียจความผิดแปลกที่ไม่มีเหมือนผู้อื่น

ซืดดดด

“ข้าเพียงคิดเรื่องฟุ้งซ่านเจ้าอย่าได้กังวลเลย”เสียงสูดน้ำมูกผละออกจากหรงฮุยคลี่ยิ้มให้

“หรือเจ้ากำลังคิดว่าตนเองไม่เหมือนผู้ใด น้อยเนื้อต่ำใจเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกหรือ”

“ข้าไม่เคยคิดเรื่องเช่นนั้นเจ้าก็รู้”

“เช่นนั้นเจ้ากำลังคิดสิ่งใดบอกข้าให้รู้บ้างเถิด เจ้ายิ่งปิดบังอดีตข้ายิ่งไม่ชอบใจเจ้ารู้ใช่หรือไม่ลี่ถิง”ใบหน้านิ่งขรึมมองแววตาที่หลุบลงต่ำกำลังพยักหน้าให้ว่ารับรู้

“ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เจ้ารู้สึกไม่ดี ต่อแต่นี้ข้าจะระวังไม่ร้องไห้ต่อหน้าเจ้าอีก”

แขนเล็กยกขึ้นปากน้ำตาเสียยกใหญ่

“ข้ามิได้ดุเจ้า อย่าพูดว่าจะไม่ร้องไห้ต่อหน้าข้าอีก นั่นมันยิ่งทำให้ข้าเป็นห่วงเจ้าเข้าใจหรือไม่ ข้าไม่รู้หรอกว่าครอบครัวของข้าเป็นใคร แต่เวลานี้ข้ามีเจ้าเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของข้า ต่อให้เจ้าจะบอกว่าข้าเก็บเจ้ามาและข้าก็สูญเสียความทรงจำเพราะพลัดตกหน้าผาตอนไปล่าสัตว์ข้าย่อมเชื่อในสิ่งที่เจ้าพูด เจ้ามิได้มีเพียงตัวคนเดียวหากแต่เจ้ายังมีข้าอยู่เคียงข้าง เช่นนั้นแล้วห้ามมีเรื่องปิดบังต่อข้าอีก”

“.....”ลี่ถิงพยักหน้าให้หากแต่กลับห้ามมิให้น้ำตาไหลพรากออกมาไม่ได้

ยามนี้ลี่ถิงนั้นสุขใจเสียจนกลัวว่าสักวันทุกอย่างจะหายไปและกลับไปเป็นก่อนเก่าอีก

“เจ้าคนขี้แย ร้องไห้เช่นนี้ข้าจะปลอบเจ้าอย่างไรไหว”

“เจ้ามิต้องปลอบใจข้าหรอก ซืดดดด....ประเดี๋ยวข้าก็หายเอง”คำพูดที่กล่าวออกมาทำให้หรงฮุยขบขันไม่น้อย ผิดจากก่อนเก่าที่ใบหน้าเช่นนั้นมิเคยยิ้มหรือหัวเราะ

“กินข้าวเถิดเดี๋ยวจะเย็นชืดไปเสียหมด”กล่าวเสร็จหรงฮุยมิได้ลุกไปนั่งยังที่เดิมหากแต่เพียงเอื้อมมือไปหยิบถ้วยของตนเองมาถือไว้

“เจ้าไม่กลับไปนั่งที่ของเจ้าหรือ”ตาแดงๆ เงยขึ้นมองผู้ที่เปลี่ยนใจ

“ข้านั่งข้างเจ้าดีแล้ว กินเถอะหรือจะให้ข้าป้อน”

“ข้ากินเองได้”เสียงตอบแผ่วแต่ในอกเต้นระรัว ความอบอุ่นแผ่ซ่านจนใบหน้าขาวนวลเนียนแดงเรื่อ โชคดีที่เวลานี้พลบค่ำความมืดจึงได้ช่วยซ่อนสีหน้าผิดปกติไว้ได้ ความรู้สึกที่มีผู้ที่มาใส่ใจนั้นช่างดียิ่งนัก

เพียงได้รับความเห็นใจจากนายท่านข้าก็สุขใจแม้จะลำบากเพียงใดข้าก็จะทน ข้าจะเป็นครอบครัวของท่าน ตราบใดที่ท่านยังต้องการข้าอยู่ แม้ความทรงจำของท่านเมื่อครั้งเก่าจะสิ้นสูญด้วยยาลืมชาติ ไม่รู้กระทั่งตนเป็นผู้ใด ข้าสาบานว่าจากนี้ไปข้าจะสร้างความทรงจำใหม่ให้ท่านได้มีความสุขให้จงได้

‘ลี่ถิงในยามนี้ไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณท่านอย่างไร ที่ปรานีและให้โอกาสนายท่านของข้าได้ใช้ชีวิตอย่างมิต้องมีความคิดแค้น หากมีวาสนาข้าจักตอบแทนท่านเป็นแน่ท่านหลี่รั่วถง’






ติดตามตอนต่อไป >>>

ขอบคุณที่มาอ่านค่ะ  :m5:

โดย หลานฮวา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2018 23:44:00 โดย ทามากิบ๊อง »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
แระคู่ตัวเองจะเปงไงน้ออออ

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4



บทที่ 21
สำคัญที่การกระทำ




กึก กึกๆ

เสียงเท้าที่เดินวกไปวนมารอบที่เท่าไหร่ไม่มีผู้ใดนับนั้นดูกระวนกระวายเป็นที่หนึ่ง เจ้าของเสียงฝีเท่าที่น่ารำคาญหาใช่ผู้ใดหากแต่เป็นเหอจี๋ข้ารับใช้ที่กังวลทุกรายละเอียดยิบย่อยไปหมด

“ข้ามองเจ้าเดินเหินไปมาจนปวดหัวมัวตาปรานีข้าบ้างเถิด ดูท่าพื้นเรือนจะเป็นรอยทางเพราะการเดินของเจ้า”ผู้ที่เท้าคางมองความวิตกกังวลของเหอจี๋เป็นทู่จึที่กัดแผ่นแป้งเคี้ยวอย่างไม่แยแสสถานการณ์

“จะไม่ให้ข้ากังวลได้อย่างไร เซียวโม่โฉวกลับมาจากผาพลิกชะตาแล้ว”

“แล้วไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรืออย่างไร เจ้าถึงกระวนกระวายใจเช่นนั้น”

“เจ้าไม่รู้อะไรก็อย่าทำเป็นพูดดี”

“ข้าไม่รู้เจ้าก็อธิบาย ยากเย็นตรงไหน”

“ข้าไม่มีทางพูด”เหอจี๋เม้มปากแน่นสนิทยอมหยุดเดินไปมาในเรือนเสี้ยวจันทราและหย่อนตัวลงนั่งเสียที หากแต่สายตากลับยังชะเง้อมองออกนอกประตูเรือนในหัวครุ่นคิด

ผิดกับเหอจี๋ที่ก้มมองแผ่นแป้งครู่หนึ่งแววตาซุกซนแปรเปลี่ยนเป็นกังวลใจ ราวกับรับรู้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นแต่แสร้งไม่รู้ พยายามปกปิดความรู้สึกผ่านท่าทีสนุกสนานไม่สนต่อความรู้สึกผู้ใด หากแต่ในใจลึกแล้วกลับผูกพันต่อผู้ที่ติดตามมาอยู่มาก

การที่เซียวโม่โฉวกลับมาได้นั้นเป็นเรื่องน่ายินดีก็จริง หากแต่ก็เกือบจะทำให้หลี่รั่วถงต้องกระโดดลงไปเพราะอีกฝ่ายใช้เวลานานราวกับไม่หวนกลับ หากแต่โชคดีที่เซียวโม่โฉวผุดขึ้นจากแม่น้ำในผาพลิกชะตาเสียก่อน และตอนนี้ก็กำลังพักฟื้น ครั้นตื่นขึ้นมาแล้วนั่นคือสิ่งที่น่าเป็นห่วง ทั้งเรื่องราวต่างๆ ที่รับรู้จนกระจ่างแจ้ง ความรู้สึกของเซียวโม่โฉวจะเป็นอย่างไรนั้นคือสิ่งที่ชวนกังวล

สวรรค์ท่านคงลงโทษพวกเขามามากพอแล้ว ได้โปรดเมตตาพวกเขาทั้งสองด้วยเถิด

คำกล่าวภาวนาดังขึ้นในใจของเหอจี๋ หวังให้ต่อแต่นี้มีแต่เรื่องน่ายินดีมากกว่าต้องมากล่าวลากันอีกครั้ง



เรือนหลัก

“สีหน้าเจ้าไม่สู้ดี เจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกข้าได้”

“ไม่ต้อง ขอบใจท่านมากที่เมตตาต่อข้า”คำพูดคำจาที่ดูห่างเหินราวกับมิใช่เซียวโม่โฉวคนก่อนหน้า
หลี่รั่วถงรู้ดีว่าด้วยเหตุอันใด สังเกตได้จากมือขาวที่จับกุมกันเหนียวแน่น ความกังวลที่ฉายชัดทางสีหน้า สายตาที่มองมายังหลี่รั่วถงมีบางอย่างเคลือบแคลงอยู่ในใจ สิ่งนั้นหลี่รั่วถงเข้าใจดีว่าต้องใช้เวลาที่จะปรับตัวกับความรู้สึกที่ราวกับอัดแน่นเข้าไปในความทรงจำราวกับมิใช่ตัวตนของตนเอง

“เจ้าดูเปลี่ยนไปราวกับคนละคนครั้งกลับมาจากที่แห่งนั้น”

ชะตากรรมช่างโหดร้ายต่อทั้งสองยิ่งนัก เมื่อเวลานี้มาถึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าจะต้องเงยหน้ารับเรื่องราวที่ถูกลิขิตไว้จากเบื้องบน แม้ยามนี้เซียวโม่โฉวจะรับรู้ทุกอย่างหากแต่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าหัวใจของเซียวโม่โฉวกำลังคิดสิ่งใดอยู่ การเผชิญเรื่องจริงที่เจ็บปวดนำความสะเทือนใจมาให้บุรุษหนุ่มไม่น้อย รับเรื่องราวได้มากมายแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของเซียวโม่โฉว

“ข้านึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะน่าตกใจถึงเพียงนี้ ท่านมอบชีวิตใหม่ให้ข้า บิดามารดาแท้แล้วมิใช่ผู้ให้กำเนิด ความโหดร้ายที่พวกเขาไม่เคยมองเห็นข้าเป็นลูกในไส้ หมดประโยชน์ก็ไม่เหลียวแล.....ชะตากรรมเช่นนี้ช่างน่าตลกสิ้นดี”รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าทว่าดวงตาเคลือบคลอไปด้วยความโศกเศร้า ยามหวนคิดถึงอดีตหัวใจก็ราวบีบคั้นเสียจนแทบแหลก

หลี่รั่วถงทราบดีว่าความเจ็บปวดที่เซียวโม่โฉวต้องเผชิญเพราะตนเป็นผู้ยึดติด เห็นแก่ตัว หากไม่คิดต้องการให้เหยว่ถิงกลับมา คงไม่ทำให้ผู้ที่ผจญกับโชคชะตาอย่างเซียวโม่โฉวต้องเจ็บช้ำ

“ข้าจะไม่โทษโพยผู้ใด เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพราะข้าที่ยึดติดต่อเจ้า ความรักของข้าที่มีต่อเจ้ากำลังทำร้ายคนที่ข้ารักอย่างไม่รู้ตัว เซียวโม่โฉว เจ้าจะโกรธข้าก็ไม่เป็นไรนั่นคือสิ่งที่เจ้าพึงกระทำด้วยเพราะคนผิดคือข้า เจ้าต้องการคำตอบใช่หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงเก็บร่างมนุษย์ของเจ้าไว้.....”

“เพราะเหตุใด? ”

“นั่นก็เพราะ...”หลี่รั่วถงสบตาเซียวโม่โฉว หวั่นใจอยู่ลึกๆ ชั่งใจอยู่นานก่อนจะพูดออกมา “ข้าต้องการจะคืนชีพของเจ้าอีกครั้ง”

เมื่อได้ฟังเซียวโม่โฉวก็ถึงกับนิ่งค้าง ความคิดของคนผู้นี้ซับซ้อนเกินกว่าที่บุรุษหนุ่มจะคิดได้นัก

“เซียวโม่โฉว ในเมื่อเจ้ารับรู้ทุกเรื่องราวแล้ว ได้โปรดกลับมาอยู่กับข้าเถิด”

ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยร้องขอออกมาอย่างวิงวอนด้วยหัวใจของผู้ที่เฝ้ารอมานานแสนนาน สีหน้าที่ไม่ลดละความตั้งใจไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายความหวังที่มีเพียงหนึ่งลงได้

“แม้อดีตชาติข้าเคยเป็นอิสตรีที่ท่านรัก แต่ทว่าข้าในตอนนี้มิใช่เหยว่ถิงอีกต่อไปแล้ว ตริตรองหัวใจของท่านให้ดีเถิด ผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าท่านในยามนี้เป็นเพียงเซียวโม่โฉวบุรุษที่หาได้มีสิ่งใดโดดเด่นไม่ หาได้เทียบเคียงใดๆ กับนางที่ท่านรักอย่างหมดหัวใจได้.....ได้โปรดเลิกใช้สายตาของท่านที่มองมายังข้าคล้ายว่าข้าเป็นนางด้วยเถิด”

น้ำเสียงที่สั่นเครือทนข่มความเจ็บปวดเอ่ยในสิ่งที่อยู่ในใจออกมาราวกับผิดหวังนัก

“.....”

“ยามที่ข้ามีใจปฏิพัทธ์ต่อท่านข้ามิได้รู้สิ้นถึงชาติกำเนิดใด ไม่รู้แม้กระทั่งว่าข้าเป็นใครมาก่อน หากแต่เพราะรักด้วยหัวใจด้วยความรู้สึกของข้าที่เป็นเซียวโม่โฉวท่านั้น แต่ท่านมิใช่...ท่านมองข้าเพราะเห็นข้าเป็นเหยว่ถิง มิได้ยอมรับในตัวข้าที่เป็นเซียวโม่โฉวไม่ เช่นนั้นจะมีสิ่งใดสำคัญอีก”

น้ำตาอุ่นๆ ไหลรินเป็นสาย ความน้อยเนื้อต่ำใจในอกเอ่อล้นออกมาเกินจะเก็บไว้

“เจ้ากำลังเข้าใจข้าผิด ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นอย่างที่เจ้ากล่าวมา ตลอดระยะเวลาที่ข้ารอคอยเจ้า ข้าตัดสินใจอย่างรอบคอบ เพียรพยายามบริกรรมคาถาด้วยดวงจิตที่มั่นคงเพื่อให้เจ้าคืนกลับมาแม้ต้องยอมแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม และต่อให้ข้าต้องไปคุกเข่าวิงวอนเพื่อขอโอกาสนี้ต่ออวี้หวงต้าตี้ข้าก็ย่อมทำได้ ฉะนั้น...ข้าไม่เคยยึดติดว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด เซียวโม่โฉวเจ้าอย่าได้เข้าใจข้าผิดและตีตนออกห่างจากข้าอีกเลย”

แววตาที่เคยกร้าวแกร่งบัดนี้อาบย้อมไปด้วยความเศร้าหมอง ยามหลี่รั่วถงทอดสายตามองดวงใจที่คล้ายหนีห่างความร้าวร้านก็พลันเกาะกุมหัวใจของหลี่รั่วถงให้เจ็บปวดนัก มืออุ่นที่เคยเข้มแข็งบัดนี้กลับคล้ายอ่อนแรงเข้าโอบประคองมือเล็กของบุรุษตรงหน้าให้เห็นใจ ถนอมสัมผัสที่จับกุมมาราวกับมันจะแตกสลายคามือ

“มิใช่เพราะข้ามองเจ้าเป็นเหยว่ถิงข้าจึงรัก แต่เพราะเจ้าเป็นดวงใจ เป็นทุกอย่างของข้าในชีวิต ไม่ว่าจะชาติภพใดที่พานพบและเจอะเจอ ใจของข้าก็ยังคงปรารถนาเคียงคู่กับเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง”

“พอเถิด ข้าเหนื่อยเต็มทีแล้วกับทุกสิ่งที่ผ่านมา มันหนักหนาสำหรับข้าจนหัวใจของข้าทานทนแทบไม่ไหวแล้ว”มือขาวที่เย็นยะเยือกระคนสั่นเทาแกะมือตนเองออกจากฝ่ามือของหลี่รั่วถง สายตาไม่อาจมองร่างสูงสง่าตรงหน้าได้เต็มตา ด้วยแผลแห่งความเจ็บปวดที่เช่นไรก็ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ในประโยคเดียว

พูดตอนนี้ก็ราวกับแก้ตัวไปเสียทุกถ้อยคำ

“ท่านยังจำคำสัญญาของข้าที่เอ่ยไว้ต่อท่านได้หรือไม่? ”

“เจ้ากำลังหมายถึงเรื่องใด”

“ช่วยทำตามที่ข้าเคยให้คำมั่นต่อท่านด้วยเถิด”แววตาที่ทอดมองมายังหลี่รั่วถงช่างดูทุกข์ระทมเกินทน

“เจ้าต้องการจะหลอมวิญญาณ”

“นั่นคือสิ่งที่ข้าควรจะทำ ข้ารักษาคำพูดที่เคยให้ไว้ต่อท่าน”

“ข้าไม่อาจทำได้”หลี่รั่วถงรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นครั้นได้ยินประโยคที่เซียวโม่โฉวกล่าวสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกรู้อะไร

“ท่านจะทำเป็นลืมได้อย่างไร หากท่านไม่ทำเช่นนั้นท่านก็เหมือนทำร้ายจิตใจข้าอีกครั้ง”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการหลอมวิญญาณหมายถึงอะไร”ความคุกรุ่นของอารมณ์ไม่อาจทนเห็นความเย็นยะเยือกของจิตใจเซียวโม่โฉวได้อีก หลี่รั่วถงจึงประชิดตัวเข้าไปรั้งแขนถามเตือนสติแววตาถมึงทึง

“เหตุใดข้าจะไม่รู้”

“รู้แล้วเจ้ายังต้องการให้ข้าทำเช่นนั้นอีกหรือเซียวโม่โฉว ข้าจะทานทนมองเห็นเจ้าสลายหายไปได้อย่างไรกัน”

“...ข้าขอยืนยันคำเดิม หากท่านต้องการจะทำร้ายข้าด้วยการพยายามเปลี่ยนความคิดข้าก็ขัดขวางเสียเถิด แต่อย่างไรหัวใจข้าก็คงจะไม่เหมือนเดิมต่อไป”น้ำเสียงเรียบเอ่ยอย่างด้านชาเสียจนหลี่รั่วถงหวาดกลัวในคำพูดนั้น ต่อให้ร่างกายและพละกำลังจะเข้มแข็งเพียงใดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาชนะจิตใจผู้คนได้

แม้กระทั่งผู้ที่รักสุดดวงใจเช่นกัน

“หากเจ้าเลือกที่จะลงโทษข้าเช่นนั้น.....ข้าก็จะไม่ขัดขวางเจ้า”มือแกร่งที่บีบแขนเล็กไว้แน่นครั้นปล่อยออกให้อีกฝ่ายเป็นอิสระอย่างจำยอมน้ำตาเอ่อนองเต็มดวงใจ



พิภพแห่งหยาง

“ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์ ช่างเป็นคำกล่าวที่คู่ควรกับเจ้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ”หวางหรูอี้เป่านิ้วก้อยที่เพิ่งแคะใบหูตัวเองเบาๆ แล้วเหลือบตามองสหายที่แบกหน้าอมทุกข์มาเยี่ยมเยือนตนถึงบ้านเช่นนี้

“.....”

“เจ้าช่างเลือกร้านสุราได้ดี ที่แห่งนี้มิสุราให้เจ้าแช่ได้ทั้งตัวยามที่เจ้าหาซึ่งความสบายใจมิได้ ข้าก็เห็นใจเจ้าอยู่หรอกแต่จะแก้ไขสิ่งใดได้เมื่อทุกอย่างมันกลับกลายเป็นเช่นนี้ ลำบากเจ้าแล้วสหายข้า”
หลี่รั่วถงมิได้สนใจคำพูดของหวางหรูอี้ มุ่งมั่นแต่กระดกสุราเข้าปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งที่จะเห็นจ้าวพิภพแห่งหยินเป็นเช่นนี้

“เจ้าเอาแต่ดื่มเช่นนี้หาได้เป็นหนทางแก้ปัญหา พูดความกลัดกลุ้มของเจ้าออกมาเถิดดีกว่าเก็บไว้ในใจทุกอย่าง”

“ข้าจะหลอมวิญญาณของเซียวโม่โฉว”เพียงประโยคสั่น ถึงกับทำให้หวางหรูอี้สำลักสุราที่เพิ่งกระดกเข้าปาก

“แค่กๆ จะเจ้าพูดเรื่องเพ้อเจ้ออะไร ไหนเจ้าเคยบอกกับข้าว่าจะนำดวงจิตของเซียวโม่โฉวกลับคืนร่างหลังจากที่คนผู้นั้นกลับมาจากผาพลิกชะตามิใช่หรือ แล้วไยเจ้าถึงพูดเรื่องน่ากลัวเช่นนี้ออกมาจากปากได้”

หวางหรูอี้คิดเพียงว่าหลี่รั่วถงทะเลาะเล็กๆ น้อยๆ กับเซียวโม่โฉวเรื่องอดีต แต่ไม่คิดว่าจะหนักหนาถึงขั้นนี้

“ข้าผิดเองที่คิดว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย หากแต่แท้แล้วไม่มีสิ่งใดบังคับจิตใจของเซียวโม่โฉวได้ เพราะข้าโหดร้ายให้เขาผจญกับโชคชะตาที่แสนเจ็บปวดเพียงเพราะความต้องการของตนเอง ไม่คิดถึงจิตใจของเซียวโม่โฉวในภายภาคหน้า จะถูกเกลียดถูกชังน้ำหน้าก็คงไม่แปลก”

“ข้ายอมรับว่าเจ้ามันโหดร้าย แต่อย่างไรเรื่องหลอมวิญญาณก็มิควรเกิดขึ้น”

“ข้ารับปากเซียวโม่โฉวไว้แล้ว”

“เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร!”หวางหรูอี้ตาวาวขึ้นส่งเสียงดัง มิคิดว่าความใจเหี้ยมของหลี่รั่วถงจะเกินขีดจำกัดเช่นนี้

“นั่นเป็นความต้องการของเซียวโม่โฉว”

“แล้วเจ้าก็รับปากส่งๆ ไปเช่นนั้นหรือ”

“ข้าไม่มีทางเลือก”แววตาขุ่นเคืองตนเองมองจอกสุราในมือราวกับจะบีบให้แหลกละเอียด

“มิใช่ว่าเจ้าไม่มีทางเลือก เรื่องอื่นเจ้าฉลาดปราดเปรื่องนัก ไยเรื่องนี้ถึงได้ว่าง่ายเป็นแมวเชื่องไปได้ ตื่นเสียทีสหาย! เจ้ามีร่างอสูรเสือดำไยใจเล็กจ้อยเป็นแมวเสียแล้วเล่า”คนที่อารมณ์ขึ้นพุ่งพรวดด้วยความขัดใจแทบจะนั่งนิ่งไม่ติดเก้าอี้ หากแต่คนฟังก็ไม่ระรื่นหูในคำพูดของหวางหรูอี้ที่กล่าวเช่นนั้น สายตาดุดันจึงตวัดมองนัยน์ตาเขม้น

“เจ้าไม่รู้ความรู้สึกของข้าก็อย่าพูดพล่อยๆ ”

“เช่นนั้นเจ้าก็เชิญเสพสมความทุกข์ไปตราบชั่วชีวาวายของเจ้าก็แล้วกัน เจ้าสหายผู้โง่เขลา!”
ความเดือดดาลนำพาเจ้าของบ้านลุกพรวดขึ้นอย่างขัดใจ นึกไม่ถึงว่าหลี่รั่วถงจะไม่ฉลาดในเรื่องนี้เอาเสียเลย



พิภพแห่งหยิน

“เจ้าจะร้องไห้ไปไยเหอจี๋ ทั้งผมและไหล่ของข้าไม่มีที่จะซับน้ำตาของเจ้าแล้ว”น้ำตาที่หยดเผาะลงบนไหล่ของเซียวโม่โฉวขณะที่ยืนหวีผมให้ มือที่สั่นไม่อาจทำให้ผมเรียงเส้นได้แม้จะกล่าวว่ามีหวีอยู่ในมือก็ตามที

“ท่านตัดสินใจดีแล้วหรือขอรับที่จะทำเช่นนี้ แม้แต่ข้ายังรู้สึกเศร้าเสียใจ นายท่านคงจะเสียใจยิ่งกว่าข้าเป็นร้อยเท่าพันเท่า”

“ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าอย่าได้พูดอะไรอีกเลย มาเถิดข้าจะสางผมเอง”

เซียวโม่โฉวมิใช่ว่าไร้หัวใจ หากแต่การที่ต้องทนอยู่เพื่อเป็นเหยว่ถิงนั้นช่างเจ็บปวดเสียยิ่งกว่า ยอมตัดชะตาต่อกันและเริ่มต้นชีวิตใหม่ไม่จมอยู่กับเรื่องราวเก่าๆ คงดีกว่านี้



เหนือแท่นศิลาฟ้าจรดโลหิต บรรยากาศที่มืดฟ้ามัวดินแลดูปั่นป่วนราวกับจิตใจของหลี่รั่วถงนัก สีหน้าและแววตาดูตรมทุกข์ทุกช่วงขณะหายใจ ไม่เคยมีคราใดที่ขึ้นมายังที่แห่งนี้แล้วรู้สึกเศร้าโศกมากมายเช่นนี้ ครั้นเห็นเซียวโม่โฉวที่เดินมาอย่างไม่ลังเลมิให้ตนต้องรอนานเช่นไรยังคงดูงดงามมิเปลี่ยนแปลง แต่ช่างน่าเศร้าที่จะมิได้เห็นดวงตาคู่สวยเช่นนี้อีกแล้ว

เจ้าของร่างโปร่งที่ก้าวเดินขึ้นมาด้วยความมั่นคงสีหน้าเรียบทว่านัยน์ตาวูบไหวข่มจิตใจอันแสนชอกช้ำไว้เบื้องหลัง ยามนี้ผู้ที่เดินนำทางมายังแท่นศิลาซึ่งใจกลางศิลามีหลุมดำขนาดใหญ่ภายในมีเงามืดดำเคลื่อนไหวปั่นป่วนดั่งมหาสมุทรคลั่งช่างน่ากลัว สถานที่แห่งนี้เรียกขานว่าบ่อหลอมวิญญาณ

ผู้มาส่งเซียวโม่โฉวคือเหอจี๋ ความรู้สึกนั้นทรมานจิตใจไม่ต่างจากส่งเซียวโม่โฉวเข้าสู่ลานประหาร ดังนั้นจึงไม่อาจหักห้ามน้ำตาที่เอ่อคลอให้หยุดไหลได้ ผู้รับใช้ที่ซื้อสัตย์ค้อมกายลงต่ำให้แก่หลี่รั่วถง และหันไปค้อมตัวอีกครั้งให้แก่เซียวโม่โฉวอย่างยากลำบากราวกับการอำลาที่ยากเกินทำใจ

น้ำตาที่ดูไร้ความหมายไม่อาจทำสิ่งใดได้เสียดแทงใจเหอจี๋ผู้นี้นัก

“เจ้ามาแล้วสินะ”ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีดำนิลยื่นฝ่ามือให้กับเซียวโม่โฉว ยามนี้ปฏิเสธมิได้ว่าตรงหน้าเป็นภาพที่สะเทือนใจยิ่งนัก

พบพานกันน้อยนิด จากกันเนิ่นนาน ราวแสงอัสดงที่ทิ้งไว้ให้ยลเพียงพริบตา ก่อนราตรีกาลจะมาเยือนและเลือนแสงตระการตาเหล่านั้นไป

“.....”อีกฝ่ายไม่พูดจาใดหากแต่ยอมวางมือลงบนฝ่ามือของหลี่รั่วถงได้อย่างเยือกเย็น แม้จะเป็นก้าวที่เชื่องช้าและยากยิ่งของหลี่รั่วถง หากแต่เป็นความตั้งใจที่จะได้ยื้อเวลาให้นานที่สุด

“ข้าอยากให้เจ้าลองคิดดูอีกครา ได้โปรดเถิด”น้ำเสียงที่วิงวอนกุมมือขาวที่เย็นเยียบราวกับจะหลั่งน้ำตา

หากแต่ประโยคนั้นกลับถูกก่อกวนขึ้นด้วยเสียงตะโกนโหวกแหวกมาจากด้านล่างแทนศิลาที่ไม่อนุญาตให้ใครขึ้นมารบกวน ขณะนี้ด้านล่างจึงดูวุ่นวายไม่น้อย

“โม่โฉวววว! เจ้าไปข้าจะอยู่ที่นี่โดยที่ถูกเจ้าทิ้งไว้ได้อย่างไร แม้ข้าจะไม่เชื่อฟังเจ้า ดื้อรั้นไปบ้างแต่ข้าก็คงไม่มีความสุขหากเจ้าจะหนีข้าไป เช่นนั้นก็พาข้าไปด้วยเถิด!”เสียงเล็กที่โวยวายพยายามฝ่านายทวารที่เฝ้าคุ้มกันทางเข้าอย่างแน่นหนา หากทว่าเป็นคำสั่งของหลี่รั่วถงที่มิให้มีใครเข้ามาวุ่นวายทู่จึจึงไม่มีโอกาสที่จะเข้ามาได้ ไม่นานก็ถูกจับโยนออกไปแต่มิได้ทำร้ายให้บาดเจ็บ

เสียงร้องขอให้พาไปด้วยดังไปถึงเซียวโม่โฉว แต่จะทำเช่นไรนอกเสียจากทำเป็นไม่ได้ยิน หากแต่ครานี้เป็นเหอจี๋เองที่ทนข่มเรื่องราวไม่ไหวจึงได้โพล่งออกมาเสียแทน

“ข้าอาจจะกลายเป็นผู้ที่ปากมากปากสว่างเสียซึ่งความเชื่อใจ แต่ถึงอย่างไรนายท่านคงไม่มีทางเอ่ยออกมา.....ข้ายอมถูกลงโทษหากสิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้จะช่วยท่านทั้งสองให้เข้าใจกันได้”ใบหน้าก้มงุดมือกำแน่นราวกับรวบรวมความกล้าก่อนเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของร่างขาวที่สวมใส่อาภรณ์สีเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง

สีขาวที่หมายถึงความบริสุทธิ์ สงบ หากแต่ก็เป็นสีที่นำพาความโศกศัลย์อาดูรให้กับความรู้สึกของผู้ที่มองเช่นกัน

“เจ้ากำลังจะพูดสิ่งใด”กายขาวผุดผาดที่พร้อมแล้วกับการจากลาหันมาหาเหอจี๋อีกทั้งเดินไปหา ทุกก้าวย่างเต็มไปด้วยความลังเลใจ ลึกแล้วหวาดกลัวเหลือเกินว่าจะมีสิ่งใดที่ตนต้องรับรู้ให้เจ็บปวดอีก

“ท่านอาจไม่รู้ว่า เหตุใดนายท่านจึงดูอ่อนแอ ผิดกับเมื่อก่อนที่ไม่ว่าจะต่อสู้กับผู้ใดก็ไม่เคยต้องบาดเจ็บ แต่เพราะความรักที่มีให้แก่ท่าน นายท่านยอมสละแม้กระทั่งไอพลังวิญญาณเพื่อเสริมส่งให้ท่านแข็งแรงขึ้น ข้ารู้ว่านายท่านมิได้บอกกล่าวเรื่องนี้แก่ผู้ใด แต่ข้าที่มองเห็นทุกอย่างเสมอมาไม่อาจทนได้ วิญญาณที่อ่อนแอเช่นท่านแม้แต่เหยียบใกล้ผาพลิกชะตาก็ไม่อาจทานทนต่อแรงอาฆาตที่อยู่เบื้องล่าง หากแต่ในกายของท่านครึ่งหนึ่งมีไอ้พลังวิญญาณของนายท่านอยู่จึงต้านทานได้ ท่านลองไตร่ตรองดูเถิดว่ายามที่ท่านอ่อนแอมีผู้ใดที่หยิบยื่นความเข้มแข็งนั้นให้”

“พอได้แล้วเหอจี๋!”เสียงกร้าวของหลี่รั่วถงกำราบ

“นายท่านพูดอะไรบ้างเถิดขอรับ อย่าทำร้ายจิตใจของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้เลย ฮึกๆ ข้าเพียงคนนอก แต่ไม่อาจมองพวกท่านก็แทบทนเจ็บปวดได้ไหว อย่าให้ความทิฐิเพียงน้อยนิดทำลายความรักที่งดงามเลยนะขอรับ”ผู้ที่เอ่ยออกมาหมดใจทรุดกาลลงโขกศีรษะลงกับพื้น

เซียวโม่โฉวได้ฟังเช่นนั้นถึงกับนิ่งค้างร่างกายราวกับแข็งทื่อไปเสียหมด นึกไปตามที่เหอจี๋กล่าวก็คล้ายว่าปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่น้อย อุบายที่ใช้ความเจ้าเล่ห์มอบจุมพิตให้ไม่รู้กี่ครั้งกี่คราความผ่าวร้อนภายหลังกลับเกิดกำลังเห็นทีจะเป็นไปในทางเช่นนั้น หากนึกย้อนไปก็ไม่มีคราใดที่หลี่รั่วถงปฏิบัติต่อตนราวกับสตรี หากแต่ยอมรับในอุปนิสัยที่ติดตัวข้ามาแต่กำเนิด โง่เขลาบ้าง ดื้อรั้นไปบ้าง เอาแต่ใจไปบ้าง ผิดพลาดบ้างก็มิเคยใส่ใจในเนื้อแท้ที่เป็นเพียงมนุษย์เดินดิน หาใช่เทพเซียนผู้ปราดเปรื่องบรรลุแก่นแท้ในชีวิต ยิ้ม หัวเราะ โกรธแค้น ขุ่นเคือง ริษยา ย่อมติดตัวเป็นธรรมดา

ไม่น่าให้อภัยที่สุดที่ตัวข้ากลับมองหลี่รั่วถงในมุมที่ข้าปรารถนาจะมองเพียงเท่านั้น นึกแต่เพียงว่าเขาทำร้ายจิตใจของข้าด้วยการหลอกลวง มิเคยมองย้อนกลับไปด้วยเหตุผลที่หนักแน่นว่าผู้ที่เจ็บปวดมิได้มีเพียงตัวข้าลำพัง

ความไม่เห็นใจของข้าริษยาตนเองในอดีตนั่นช่างน่าละอายใจนัก ต้องมานอนนับวันจากลาด้วยความคิดโง่เขลาด้วยน้อยเนื้อต่ำใจเอง ทั้งที่รู้แต่แสร้งปิดหูปิดตาไม่ยอมรับความรักของหลี่รั่วถง

ข้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่!


“ที่เหอจี๋กล่าวมา.....ท่านทำเช่นนั้นเพื่อข้าจริงหรือ”เซียวโม่โฉวก้าวไปหยุดต่อหน้าร่างสูงที่มิเคยกล่าวสิ่งใดออกจากปากถึงความจริงข้อนั้น เสียงแผ่วเอ่ยขึ้นปรารถนาคำตอบ

“ข้าไม่เคยต้องการนำเรื่องเหล่านั้นมาเป็นข้อต่อรองให้เจ้าเห็นใจข้า ด้วยข้ารักเจ้าและอยากให้เจ้ามองข้าในฐานะคนผู้หนึ่งที่จะแสดงออกต่อเจ้าด้วยการกระทำซึ่งหน้าก็เท่านั้น”

ครั้นได้ฟังคำตอบจากปากของหลี่รั่วถง ร่างโปร่งก็ถึงกับทรุดกายลงแทบพื้นสองมือกำแน่นสั่นเทิ้มร่ำไห้กับเรื่องราวตรงหน้า หากไม่มีผู้ใดเอ่ยปากบุรุษหนุ่มคงขาดสติดึงดันทำเรื่องโง่เขลาเช่นนั้นไปแล้ว

“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเสียใจ”ร่างสูงย่อตัวลงพร้อมกับโอบกอดร่างกายที่สะอื้นไห้ตรงหน้า สองมือหนากอดแผ่นหลังที่สั่นไหว ราวกับประคับประคองดวงใจกลับคืนสู่อ้อมอก

เหอจี๋เห็นเช่นนั้นถึงกับต้องปาดน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยยินดี พาตนเองออกมาไม่กีดขวางยกช่วงเวลาสำคัญให้นายทั้งสองได้ปรับความเข้าใจกันเสียด้วยดี

“ข้าเช่นกันที่ต้องขอโทษที่ดูถูกความรักของท่านโดยหารู้ไม่ว่าท่านเสียสละเพื่อคนโง่เช่นข้าเพียงใด”

“ไม่มีสิ่งใดที่ต้องขอโทษข้า เพียงเจ้ายอมอยู่กับข้าก็ไม่มีสิ่งใดที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว”

อีกผู้หนึ่งที่กระวีกระวาดเหาะเหินเดินทางมาเมื่อได้ข่าวจากเหอจี๋ว่าวันนี้หลี่รั่วถงจะหลอมวิญญาณเซียวโม่โฉวก็รีบร้อนมาเสียทันที หากแต่ดูเหมือนเหตุการณ์ทุกอย่างมิต้องกังวลแล้ว

“ท่านมาช้านะขอรับ”

“ข้ารีบแล้ว แต่ดูเหมือนคงมิต้องถึงมือข้า”

“แน่สิขอรับหากรอท่านป่านนี้นายท่านคงกระโดดตามลงไปในบ่อหลอมวิญญาณเสียแล้ว”

“แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ยินดีหน่อยเล่า สีหน้าถึงได้ไม่แช่มชื่นเอาเสียเลย”

“อย่าลืมสิขอรับว่านายท่านยังมิได้คำตอบเลยว่าท่านเซียวโม่โฉวจะยอมให้นายท่านย้ายจิตวิญญาณกลับสู่ร่างหรือไม่ ข้าไม่อยากเดาใจผู้ใดอีก แค่นี้ใจข้าก็บางจนแทบขาดรอนๆ อยู่แล้ว”เหอจี๋ลูบอกตนเองคิ้วตกตาเศร้า

“เห้อ! อย่างน้อยนายท่านของเจ้าก็คงพอหายใจทางจมูกได้ข้างหนึ่งแล้ว โอ๊ะ! นี่ข้ารีบร้อนจนลืมสิ่งสำคัญไปหรือ”จู่ๆ มือที่ควานหาของบางอย่างข้างเอวก็ตาเบิกโพลง

“ข้าจะยกสุรามาให้ท่านเป็นการขอบคุณที่รีบร้อนมาให้ก็แล้วกันขอรับ”เหอจี๋มองหวางหรูอี้ที่แม้แต่แต่งกายก็ยังไม่เรียบร้อย ดูท่าคงจะรีบร้อนอย่างที่ปากว่าไม่มีโป้ปด

“เจ้านั้นช่างรู้ใจข้า ควรจะไปอยู่ที่พิภพแห่งหยางกับข้าดีกว่าทนเรื่องปวดหัวของหลี่รั่วถงอยู่ที่นี่ ว่าอย่างไรเล่า”หวางหรูอี้แสร้งชวนอย่างหยอกล้อ

“ไม่ขอรับ”

“หัวดื้อทั้งนายและบ่าวเสียจริง”ผู้ที่ขัดใจจิ๊ปากส่ายหน้าหน่าย ตระเตรียมจะออกเดินไปหากแต่ประหนึ่งถูกตัดหน้าด้วยบางอย่างที่พุ่งมาด้วยความเร็วผ่านหน้าไป

“เหอจี๋! เซียวโม่โฉวไม่เป็นไรใช่หรือไม่!”

“เจ้ากลับไปรอที่เรือนได้แล้ว หายห่วงแล้วล่ะ”

 หวางหรูอี้เหลือบตามองทั้งสองที่พูดคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว อีกหนึ่งเป็นหนุ่มน้อยอายุอานามคงจะ 13 ปีในโลกมนุษย์ ส่วนสูงที่เสมออกของเหอจี๋วัดด้วยสายตา เพราะเห็นพุ่งเข้าไปกอดหน้าตาเหลอหลาก็คาดเดาไปว่า

“ผู้ใดกัน? บุตรชายของเจ้าหรือ”คำถามที่ถามออกไปถึงกับทำให้ทั้งสองเป็นอันผละออกจากกันเสียจนลืมตัว หากเป็นสหายฐานะเสมอกันคงกล่าวใส่หน้าไปแล้วว่า

‘บิดาท่านเถอะ!’

“มะมิใช่ขอรับ! ท่านได้โปรดอย่าเข้าใจผิด”เหอจี๋แก้ตัวปากสั่น หวางหรูอี้ขมวดคิ้ว

“เช่นนั้นแล้ว? ”

“ไม่ได้เป็นอะไรกันขอรับ ข้าขอตัว”กล่าวเสร็จคนถูกถามก็จ้ำอ้าวออกไปเสียอย่างนั้นเหลือเพียงปีศาจกระต่ายที่ยังคงอยู่

“เจ้าเป็นใครเล่า เหตุใดข้าจึงไม่คุ้นหน้า.....”หวางหรูอี้กล่าวขึ้นทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะพูดต่อ “เจ้าเป็นปีศาจหรอกหรือ”

“ข้าอยู่กับโม่โฉว มิใช่ลูกของเหอจี๋ อีกหน่อยข้าก็จะโตกว่าเจ้าปลานั่น อย่างไรคงจะให้ข้าเป็นลูกเสียมิได้”

“ดี ดี ข้าชอบคนตรงเช่นเจ้า เอาเถิดไปพูดคุยกับข้าแก้เบื่อหน่ายเสียหน่อยเถิด”ว่าแล้วทู่จึก็หลงกลหวางหรูอี้ไปอีกผู้หนึ่ง มิรู้ว่าจะถูกล้วงความลับหรือกลั่นแกล้งตามอุปนิสัยก็หามีผู้ใดคาดเดาได้





ติดตามตอนต่อไป >>>



ขอบคุณที่ติดตามค่ะ  :impress:

โดย หลานฮวา


ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
มาอีกกกกกก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด