-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*************************************************************************
แนะนำเรื่อง
‘เซียวโม่โฉว’ บุรุษที่เกิดมาพร้อมกับดวงชะตาที่มิอาจลิขิตได้ด้วยตนเอง
ความผิดหวัง น้อยเนื้อต่ำใจอย่างหาที่สุดมิได้
ครั้งอัดอั้นมานาน ก็ถึงคราพังทลายลงครืนจนสิ้น
เมื่อบิดามารดาไร้ซึ่งความห่วงหาอาทรบุตร คิดจะขายบุตรชายกิน
ไยดวงใจของบุตรจะไม่แตกสลาย สู้ตายไปเสียจะได้ไม่ต้องรับรู้ความเจ็บช้ำในครานี้
และแล้วคืนแห่งโชคชะตาก็นำพาเซียวโม่โฉว ให้ได้พบพานกับร่างจำแลงของ‘หลี่รัวถง’
จ้าวพิภพแห่งหยิน พ่อมดเวทมนตร์ดำอันเลื่องชื่อถึงความน่าสะพรึงกลัว หาได้มีผู้ใดถวิลหาปรารถนาพบเจอ
ทว่าเซียวโม่โฉวกลับหารู้ไม่ว่า ร่างจำแลงสัตว์อสูตรอันดุร้ายที่พานพบนั้นเป็น ‘หลี่รั่วถง’
ซ้ำยังยินดีปรารถนาจะหยิบยื่นจิตวิญญาณให้แก่สัตว์อสูรตนนั้นอย่างไม่เสียดายชีวิต
‘หลี่รั่วถง’ ไยเล่าจะไม่ปรารถนาครอบครองดวงชะตาของบุรุษหนุ่มผู้ที่เฝ้ารอมานับพันปี
และนับต่อแต่นี้.....ชีวิตและดวงชะตาของเซียวโม่โฉวจะเป็นเช่นไร?
ฉลากนิยาย
1. เรื่องนี้เป็นนิยายวายแนวจีนโบราณ(BL)แต่ผสมความแฟนตาซีลงไปในเนื้อเรื่องเพื่อความบันเทิงลั่นทุ่งค่ะ
2. นิยายเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่ง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องจริงแต่อย่างใด หรือการเอาประวัติศาสตร์ยุคใดมาอิง(มโนเอาโดยแท้)
3. นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงและอรรถรส อาจมีดราม่าบ้างบางตอน(เล็กน้อย)เพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่อง ใครใจบางอ่านได้ค่ะ คอนเฟิร์ม
4. คนแต่งยังคงเป็นพวกสุขนิยม ใครร่วมอุดมการณ์นี้ควรค่าอย่างยิ่งค่ะ(ฮ่าๆๆ)
5. ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน (มิตรภาพของสุภาพบุรุษย่อมเป็นที่พึงปรารถนาของสาวกวาย 18++)
6. หากเห็นพ้องต้องใจ ก็โปรดรับเรื่องนี้ไว้พิจารณาด้วยนะคะ (ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ)
โดย : หลานฮวา
-
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
-
:mc4:
:pig4:
-
:pig2: :pig2: :pig2:
-
บทนำ
ราตรีย่ำค่ำแสงเดือนเด่นฟ้า
กลีบบุปผาโรยร่วงจนรุ่งสาง
น้ำตาอุ่นรินไหลไร้หนทาง
เจ็บมิจางอกตรมแทบสิ้นใจ
กึก!
สองเท้าที่วิ่งมาไกลหลายลี้หยุดนิ่งชะงักท่ามกลางผืนป่าในยามราตรีอันมืดมิด ก่อนทรุดเข่าอย่างหมดเรี่ยวแรงทิ้งตัวลงกับผืนหญ้าที่อาบชุ่มไปด้วยหยาดน้ำค้างพราว สองมือหยาบกร้านที่ตรากตรำทำงานหนักมาชั่วชีวิตยกขึ้นโอบใบหน้าเล็กที่ซีดเซียวและกำลังสะอื้นไห้น้ำตาร่วงไหลเป็นสายราวกับจะขาดใจรอนๆ บาดแผลที่ลึกเสียยิ่งกว่าคมหินที่บาดฝ่าเท้าระหว่างที่วิ่งมาจนโลหิตซึมไหลกลับเป็นดวงใจของ‘เซียวโม่โฉว’
ที่บัดนี้...ราวกับจะแตกสลายจนยากประกอบกลับเป็นดังเดิม
ความเจ็บปวดหาใดเปรียบเท่าถ้อยคำที่แอบได้ยินมาจากปากของผู้เป็นบิดามารดาของตน
“ข้าผิดด้วยเรื่องอันใด ไฉนพวกท่านจึงคิดอยากขับไล่ไสส่งตัวข้าถึงเพียงนี้.....ที่แล้วมาข้าหาได้มีประโยชน์อันใดต่อพวกท่านเลยเช่นนั้นหรือ.....”
ถ้อยคำที่เอ่อล้นออกมาจากริมฝีปากที่สั่นระริกตัดพ้อในความรักที่บิดามารดามิได้มอบมันให้แก่บุตรเช่นเขามานานตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ไม่มีวันใดที่เซียวโม่โฉวจักไม่ดิ้นรนเพื่อครอบครัวเลยแม้แต่น้อย ปากกัดตีนถีบรับจ้างสารพัดงานทุกอย่างเพื่อจุนเจือครอบครัวที่ก้าวเข้าสู่ความยากแค้นในอาชีพชาวนา ภัยแล้งจากธรรมชาติเขามิสามารถควบคุมได้ ความยากลำบากก็เช่นกัน เพียงกำลังที่มีเท่านั้นที่จะนำพาครอบครัวรอดพ้นไปจากความแร้นแค้นได้
แต่แล้วราวกับความพยายามของเซียวโม่โฉวไร้คุณค่า สายตาของผู้เป็นบิดามารดาราวกับแสร้งมองไม่เห็น ความเจ็บปวดนั้นเพิ่มพูนในจิตใจของเซียวโม่โฉวทุกลมหายใจครั้นได้ยินเรื่องราวซึ่งผู้เป็นบิดามารดาพูดคุยกันอย่างลับๆ
“ครอบครัวของเราตอนนี้กำลังขัดสน แต่ละปีต้องจ่ายภาษีให้แก่พวกขุนนางนั่นไปเท่าไหร่เจ้าก็รู้แก่ใจน้องหญิง”จือหยางผู้เป็นบิดากล่าวต่อเฉินซีผู้เป็นภรรยาใบหน้าถมึงทึง
“นั่นเพราะเจ้านำเงินที่ได้ไปลงบ่อนเสียตั้งมากมาย จะมาบ่นให้ได้อะไร!”
“แล้วจะทำเช่นไรกับหนี้ก่อนโตที่ไปหยิบยืมบ้านท่านเสนาบดีฉีเหยียนดีเล่า พรุ่งนี้ก็จะครบกำหนดจ่ายทั้งต้นและดอกหากผัดวันประกันพรุ่งอีกคราเห็นทีว่าข้ากับเจ้ารวมทั้งจือซานคงจะไร้ที่ซุกหัวนอน หาไม่ก็ไม่เห็นเงาหัว”ผู้เป็นสามีจนตรอกครุ่นคิดหาวิธีการอย่างหนักจนเส้นผมที่เหลือไม่มากร่วงหลุดไปทุกขณะจิต
เพี๊ยะ!
“นี่แน่ะ! เพราะใครกันเล่าที่เอาเงินนั่นไปถลุงจนหมดในบ่อน”ฝ่ายผู้เป็นภรรยาชันเข่าง้างฝ่ามือทุบตีไปที่สามีอย่างค่อนแค้นไปหลายที หากแต่ก็ยังมิสามารถระงับอารมณ์ฉุนเฉียวเพราะไร้ซึ่งหนทางแก้ปัญหาได้จือหยางทำเพียงนั่งนิ่งให้ภรรยาทุบตีจนสมใจ
“เจ้าจะทำสิ่งใดก็ทำซะ อย่าให้ข้ากับลูกต้องมาตกระกำลำบากไปมากกว่านี้เจ้าสามีเลว!”เสียงด่าทอหันหน้าเข้าหาผนังห้องด้วยเบื่อหน่ายผู้เป็นสามีอย่างยิ่ง หากแต่ความเป็นห่วงเป็นใยมิได้กล่าวถึงเซียวโม่โฉวแม้แต่น้อย กลับกันที่ลมหายใจเข้าออกมักเป็นบุตรชายคนสุดท้องนามว่าเซียวจือซาน ที่บัดนี้เอาแต่สำมะเลเทเมาหัวราน้ำกลับย่ำเช้าไม่เป็นผู้เป็นคน
“เช่นนั้น เอาอย่างนี้ดีหรือไม่”จือหยางตบขาดังฉาดคว้าไหล่ภรรยาให้หันหน้ามาฟังความเห็นอย่างกระตือรือร้นยิ่ง
“อะไรของเจ้า!”
“ข้าว่าถึงเวลาแล้วที่เซียวโม่โฉวจักต้องตอบแทนคุณบิดาและผู้เป็นมารดา เจ้าว่าดีหรือไม่น้องหญิง”แววตาไม่สดใสระคนไปด้วยอุบายหรี่ตาพารอยยับย่นใต้ขอบยกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าพูดสิ่งใดก็ให้รู้ความ มีอะไรก็รีบพูดออกมาเสียให้หมดตาแก่โง่!”
“บ้านท่านเสนาบดีฉีเหยียนกำลังตามหาผู้มีคุณสมบัติบางประการเข้าเป็นคนของบ้านตระกูเซี่ย หากบ้านใดมีบุตรชายลักขณาราศีดั่งที่ประกาศลับแจ้งไว้จักมีรางวัลอย่างงามให้แก่ผู้ที่มอบบุตรชายให้ เซียวโม่โฉวหากนำไปจับล้างเสียหน่อยก็นับว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน เจ้ามิเห็นหรือไรว่าเด็กคนนี้เกิดมาเพื่อให้ข้าและเจ้าสุขสบาย จากนี้ข้าและเจ้าจะมีกินมีใช้ไปอีกนาน เจ้าคิดเห็นเป็นเช่นไรน้องหญิง”
“ท่านว่าเช่นไร! รางวัลอย่างงามเช่นนั้นหรือ”ตาหรี่ที่เบิกกว้างออกวาดภาพฝันปลายทางชีวิตที่สุขสบายไว้เบื้องหน้าท่าทีตื่นเต้นเสียเต็มประดา
“ไข่มุกเม็ดงาม เครื่องประดับและของมีค่า เจ้าปรารถนาอยากจะมีมันมิใช่หรือ.....ว่าอย่างไรเล่า?”
“แต่อย่างไรเซียวโม่โฉวก็.....”ครูหนึ่งที่ฉุกคิดบางอย่าง ความลังเลยังคงคั่งค้างอยู่ในจิตใจอยู่บ้างแต่ทว่ากลับมีผู้ชักจูงจึงไม่แคล้วโอนอ่อนผ่อนตาม
“ถือเสียว่าแทนคุณบิดามารดาจะเป็นไรไปเล่า เจ้ามิคิดเช่นข้าอย่างนั้นหรือ”
“แน่ใจหรือว่ามิใช่เรื่องโป้ปด”
“ข้าจะโกหกเจ้าไปไย พรุ่งนี้ข้าจะไปบอกเรื่องนี้แก่ท่านเสนาบดีฉีเหยียน ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย”
ขณะนั้นรอยยิ้มของจือหยางผู้เป็นบิดาฉายชัดอยู่ในแววตาของเซียวโม่โฉวอย่างไม่อาจลืมเลือน ประโยคสนทนาที่ราวเป็นคมมีดกรีดแทงหัวใจได้ปักลงไปกลางอกของผู้บังเอิญได้ยินอย่างแม่นยำไม่ผิดเป้า
เช่นนั้นยามนี้ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวที่เจ็บจวนเจียนจะขาดใจตายก็หาได้เกินจริงไม่ เจ็บใดไม่เท่ารักของบิดาและมารดาที่อาบไปด้วยยาพิษรอป้อนใส่ปากให้เขากระอักเลือดจนตายอย่างไร้ปรานี
ความรักที่ข้ามีต่อพวกท่านมิสามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจของพวกท่านได้เลยหรือ
อีกคราที่น้ำตาหยดหล่นลงกับพื้น กายเนื้อไร้สิ้นแล้วซึ่งความปรารถนาที่อยากจะหายใจในชาติภพนี้
แม้สองเท้าจะวิ่งหนีหากแต่มิสามารถหนีความจริงที่ประจักษ์แก่ใจได้
หากไร้ซึ่งความอาลัยอาวรณ์ ในตัวบุตรเช่นข้าแล้ว ข้าก็ไม่อยากหายใจให้รู้สึกเจ็บปวดอีก
คำระทมทนทุกข์กอดกายขาวที่หนาวเหน็บท่ามกลางผืนป่าที่โอบล้อม ไร้กำลังใจและกายที่ยากจะหยัดยืน ใบหน้าซีดเซียวและดวงตาอ่อนล้าปิดแน่นสนิทอยู่เนิ่นนานราวกับไม่อยากลืมตาขึ้นมองสิ่งใด
ชั่วขณะนั้นความคิดวูบหนึ่งที่แล่นเข้ามาในหัวของเซียวโม่โฉวก็ผุดพรายขึ้นอย่างมิทันนึกตรอง
หากคำเล่าขานที่ผู้คนในใต้หล้าหวาดกลัวหนักหนานั้นมีอยู่จริง ข้าก็อยากจะเจอเพียงสักครั้งและให้เขาผู้นั้นมอบความตายให้แก่ข้าเสียบัดเดี๋ยวนี้
นามที่เอ่ยคราใดจักนำพาซึ่งความขลาดกลัวให้แก่ผู้คนแห่งแคว้นฉิน‘หลี่รั่วถง’ผู้ปกครองพิภพแห่งหยินที่มีเวทมนตร์ดำอันน่าสะพรึง มีพลังอำนาจเหนือโอรสสวรรค์ที่อยู่ในดินแดนมนุษย์ แม้แต่ธรรมชาติยังสามารถควบคุมได้ดั่งพลิกฝ่ามือ ดั่งเช่นความแห้งแล้งที่ต่างกล่าวว่าเป็นคำสาปร้ายที่หลี่รั่วถงบันดาลโทสะต่อโอรสสวรรค์ ดูดกลืนซึ่งสรรพสิ่งให้ล้มตายด้วยเพียงประโยคเดียว
เซียวโม่โฉวยังคงจำได้เลือนราง ภาพวาดเก่าคร่ำครึที่ติดอยู่ในผนังวัดร้างบนยอดเขาที่เคยไปหลบฝนครั้นยังเด็กยังคงติดตรึงในดวงตา ความน่าเกรงกลัวที่ทั่วทั้งร่างห่มห่ออาภรณ์ด้วยขนสัตว์อสูรสีดำขลับ ใบหน้าที่ดุดันไม่ชวนมองดวงตากลมเป็นสีแดงราวจันทราอาบโลหิตเด่นชัดจนผู้จ้องมองต้องหลบสายตาแม้เพียงรูปก็น่าสะพรึง นั่นเป็นคราแรกที่ชื่อของหลี่รั่วถงตอกตรึงอยู่ในใจบุรุษ
แปะ!
ครั้นตัดรอนในอกน้ำตาร่วงหล่นเผาะลงบนผืนหญ้าอีกครา เซียวโม่โฉวยันกายที่ซวนเซเดินย่ำไปบนทางรถชัฏเบื้องหน้าราวกับร่างที่ไร้ดวงจิตวิญญาณ เมื่อเหยียบย่างไปได้เพียงสองก้าวหมู่เมฆที่ลอยเป็นหมอกจางบนท้องฟ้ายามราตรีกลับเคลื่อนคล้อยลอยเข้าบดบังแสงจันทร์ในพริบตา ห่มฟ้าไว้ด้วยความมืดมิดมิเห็นเดือนดาว
ความผิดแปลกไปจากบรรยากาศเดิมดึงสติของเซียวโม่โฉวให้เงยหน้าขึ้นมองเบื้องบนแววตาเลื่อนลอย ร่างบุรุษครู่หนึ่งรู้สึกเย็นเยียบกำซาบไปถึงทรวงในราวกับถูกน้ำแข็งชโลมกาย ซ้ำยิ่งประหลาดใจเมื่อมีดวงไฟสว่างวาบส่องแสงรัศมีเป็นสีทองขนาดเท่ากำมือปรากฏขึ้นตรงเบื้องหน้าในความมืด กำลังล่องลอยวนเวียนอยู่ในอากาศชวนฉงนระคนตื่นกลัว เพียงอึดใจดวงไฟจากหนึ่งแยกออกเป็นสองราวกับผีสางหลอกตา
คิก คิก!
เสียงหัวเราะเล็กแหลมฟังดูประหลาดดังขึ้นในหัวของเซียวโม่โฉวจนเจ้าของร่างที่สั่นเทาผงะถอยก้าวไปด้านหลัง ไม่ผิดแน่ว่าเสียงปริศนานั้นมาจากดวงไฟสีทอง
“นะนั่นอะไรกัน!”แม้ในใจจะมีความหวาดกลัวอยู่หลายส่วน หากแต่อีกใจหนึ่งกลับไม่ละสายตาไปจากความประหลาดตรงหน้า
คิก คิก!
เสียงหัวเราะแหลมเล็กดังขึ้นอีกครา ทว่าครานี้ราวกับดวงไฟคู่นั้นขบขันเซียวโม่โฉวเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะลอยเข้าหาบุรุษหนุ่มอย่างเว้าวอนวนเวียนรอบกายส่องแสงวูบวาบดึงดูดสายตา พลันลอยห่างไปยังเบื้องหน้ารั้งรอให้เซียวโม่โฉวตามไป ราวกับหมู่แมกไม้พร้อมใจแหวกออกเป็นทางให้แก่เซียวโม่โฉวในครานี้
แม้จิตใจนั้นกำลังตื่นกลัว ความหวาดหวั่นในอกยังมิจาง เท้าสองข้างกลับยอมก้าวเดินตามดวงไฟประหลาดเข้าไปยังผืนป่าที่หามีผู้ใดหาญกล้าย่างกรายเข้าไปในยามวิกาลเช่นนี้
เหตุใดข้าจึงเดินตามสิ่งนั้นไปราวกับสู่รู้อย่างไรความคิดได้เช่นนี้ แต่เอาเถิด ข้ามิสนสิ่งใดแล้วแม้ชีวิตก็มิได้คิดเสียดายไฉนวาระสุดท้ายถึงจะทำตามใจตนเองมิได้
ใจตื่นกลัว ทว่ากลับมีบางสิ่งบางอย่างฉุดดึง
จิตใจไม่หาญกล้า ทว่าสวรรค์ลิขิตไว้แล้ว
วาสนาส่งเสริม จึงต้องพบพาน
คล้อยหลังที่เซียวโม่โฉวก้าวเท้าเดินตามดวงไฟประหลาดคู่นั้นเข้าไปในป่าลึก แมกไม้ที่เคยแหวกออกเป็นเส้นทางกลับสั่นไหวงอกงามห่มปิดทางเดินเสียสิ้นราวกับบังตามิให้ผู้ใดพบเจอเส้นทางนี้ได้อีก ทั้งความมืดที่ปกคลุมทุกหย่อมหญ้า แสงจันทร์กลับส่องสว่างขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ราวกับมิเคยมืดมัวเฉกเช่นก่อนหน้าแม้แต่น้อย
บัดนี้เซียวโม่โฉวกลับต้องหยุดเดินอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ จากดวงไฟที่เคยนำพาตนมากลับหายวับไปกับตา ไม่ต่างกับฝันประหลาดที่เพิ่งจะลืมตาตื่น
“หายไป หายไปแล้ว นี่มันเรื่องหลอกตาหรือข้ากำลังฝันร้ายกันแน่”บุรุษหนุ่มหมุนกายมองซ้ายขวากลับพบเพียงความมืดมิดรอบกาย หาได้มีแสงจากที่ใดส่องให้เห็นนำทาง บัดนี้จิตใจของเซียวโม่โฉวเริ่มกระสับกระส่ายพยายามตั้งสติเดินไปยังทิศที่มิแน่ใจนักว่าใช่บูรพาหรือไม่ เสียงเหยียบกรอบของใบไม้แห้งเป็นจังหวะประกอบกับลมหายใจของเซียวโม่โฉวประสานกันในความมืด
กรอบ!
กิ่งไม้ที่หักเผาะดังขึ้นท่ามกลางความเงียบนั้นมิใช่เพราะเซียวโม่โฉว ทว่ามีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวมาจากทางด้านหลังของบุรุษหนุ่ม ดวงตาหรี่เล็กที่พยายามเพ่งมองทางเบิกโพลงหันขวับไปยังทิศทางซึ่งเป็นที่มาของเสียงอย่างตกใจ ก้อนเนื้อที่อยู่ในอกบีบคลายหนักหน่วงรุนแรงจนใบหน้าขาวซีดมีเหงื่อผุดพรายขึ้นทั่วไปหน้า
ความรู้สึกถึงอันตรายกำลังคืบคลานเข้าใกล้อย่างรู้สึกได้ พร้อมกับรังสีอำมหิตที่บีบจิตใจมนุษย์ธรรมดาอย่างเซียวโม่โฉวแทบหยุดหายใจ ความรู้สึกร้อนหนาวตีรวนอยู่ในอกราวทะเลคลั่ง
“คะใคร ข้าถามว่าใครอยู่ตรงนั้น!”น้ำเสียงสั่นยังคงมีความหาญกล้าอยู่ไม่น้อย
อีกคราที่ความมืดขยับเคลื่อนไหวอย่างไร้ตัวตน เซียวโม่โฉวถอยเพียงหนึ่งก้าวครั้นได้ยินเสียงลมหายใจฟึดฟัดเฉกเช่นสัตว์ใหญ่อยู่เบื้องหน้าก็ถึงกับตัวแข็งทื่อ พลันดวงสีเหลืองอำพันคู่หนึ่งได้ปรากฏตรงหน้า เงาสีดำทะมึนกำลังเผยกายออกมาตรงหน้าเซียวโม่โฉว พร้อมเข่นเขี้ยวแยกฟันแหลมคมคำรามเสียงกังวานอย่างน่ากลัวเกรง
นั่นมิใช่เพียงเสือดำตัวใหญ่ในป่าอย่างที่ตาเห็น หากแต่เป็นสัตว์อสูรที่มีดวงตาสีเหลืองอำพันส่องสว่างในความมืด เขาแหลมที่งอกออกมาจากศีรษะใหญ่ข้างหนึ่งแหลมคมยิ่งกว่าปลายกระบี่ ทว่าอีกข้างหักท่อนราวกับกิ่งไม้แห้งเฉา ขนหนาสีดำมันขลับเรียบลู่ไปตลอดทั่วทั้งตัว หางที่กวัดแกว่งไปมาโบกขยับบ่งบอกถึงอารมณ์คุกรุ่นของสัตว์อสูรตัวตรงหน้า
คล้ายว่าแววตาสีเหลืองอำพันที่จับจ้องมองเซียวโม่โฉวกำลังอ่านลึกไปถึงจิตใจผู้คน ทั้งเต็มไปด้วยความแปลกใจที่เซียวโม่โฉวสามารถเข้ามายังป่าต้องห้ามแห่งนี้ผ่านม่านเวทที่ปกคลุมไปทั่วได้ถึงสิบชั้น ทั้งที่ไม่เคยมีผู้ใดสามารถย่างกรายเข้ามา แม้ว่าบุรุษที่อยู่เบื้องหน้าจะเป็นสิ่งเดียวที่เขย่าดวงใจของ‘หลี่รั่วถง’พ่อมดผู้ครองพิภพแห่งหยินในครานี้ได้อย่างที่ควรเป็น
เขาเฝ้ารอเซียวโม่โฉวมานับพันปีอย่างอดทน แต่เวลานี้ยังมิใช่เวลาที่จะพบพาน สวรรค์เบื้องบนกำลังเล่นตลกหรืออย่างไร รึคิดจะลองใจหลี่รั่วถงผู้นี้กันแน่
กรร!!!!
เสียงคำรามกึกก้องไปถึงชั้นสวรรค์ไม่อวี้หวงต้าตี้ผู้เป็นประมุขชั้นฟ้า ก็คงจะเป็นเทพเอ้อหลางแม่ทัพใหญ่แห่งสวรรค์ที่ต้องสะเทือนเป็นแน่
“ออกไป จงออกไปจากที่นี่ซะ มิเช่นนั้นข้าจะไม่ปรานีเจ้า!”เสียงกังวานราวกับเป็นเสียงที่ถูกส่งผ่านจิตดังขึ้นในหัวของเซียวโม่โฉว บุรุษหนุ่มถึงกับกระอักลมหายใจตนเองเพราะถูกความน่าเกรงขามของสัตว์อสูรตรงหน้าเข้าแทรกลมปราณ ทว่าความรู้สึกราวกับจะโดนกลืนกินวิญญาณนั้นหาได้ผลักไสให้เซียวโม่โฉวล่าถอยไปแต่อย่างใด กลับกันที่จิตใจบุรุษหนุ่มนั้นมีแต่อยากจะหยิบยื่นชีวิตให้
“ข้ามิรู้ว่าท่านเป็นใคร หากแต่ให้โอกาสข้าได้มีชีวิตนั้นนับเป็นบุญคุณยิ่ง.....ฮึก!”เฮือกหนึ่งของลมหายใจที่ความแปรปรวนจากรังสีอำมหิตเข้าแทรกแซงทำให้เซียวโม่โฉวต้องชะงัก ครั้นรวบรวมสติได้อีกคราจึงเอ่ยต่ออย่างไม่เกรงกลัว“ข้าไม่คิดจะถอยหนี เชิญเถิดหากท่านจะนำข้าไปภพภูมิหน้าเสียแต่ตอนนี้ข้าจะมิคิดขัดขืนแม้แต่อึดใจเดียว”
“เจ้าอยากจะตายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ใช่ ข้าไม่อยากจะหายใจรับรู้สิ่งใดแล้ว”
“หึ! เซียวโม่โฉวเจ้าช่างจิตใจกล้าหาญนัก ความตายเจ้าคงมิเกรงกลัวสินะ”หลี่รั่วถงในร่างจำแลงที่แปลงกายเป็นอสูรค่อยๆ วางอุ้งเท้าใหญ่ที่พร้อมพรั่งไปด้วยคมเล็บก้าวมาข้างหน้า
“.....”เซียวโม่โฉวเพียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่มองอสูรตรงหน้านิ่งงัน
ความกลัวก็เพียงชั่ววูบ เดี๋ยวข้าก็จะไม่รับรู้สิ่งใดแล้วอดทนอีกหน่อยเถิดเซียวโม่โฉว
ความคิดปลงทุกข์ที่พูดปลอบประโลมตนเองรับรู้ไปถึงหลี่รั่วถง
“เช่นนั้น ข้าจะทำความปรารถนาของเจ้าให้เป็นจริง.....”
ครั้นสิ้นคำพูดอุ้งมือหนาที่เต็มไปด้วยกรงเล็บแหลมคมจึงตะปบร่างเซียวโม่โฉวจนล้มลงกระแทกกับพื้น ครู่หนึ่งแววตาที่เบิกโพลงสั่นไหวคล้ายฝืนใจที่จำต้องตาย หลี่รั่วถงมองออกอย่างกระจ่างก่อนจะอ้าปากฝังเขี้ยวลงไปบนลำคอขาวจุดปลิดชีพจรของเซียวโม่โฉวอย่างจงใจ
“อ๊ากกกก!”
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขยับดิ้นอยู่ภายใต้ร่างอสูรของหลี่รั่วถง โลหิตสีแดงซึมผ่านรอยเขี้ยวที่กดลงไปกลิ่นหอมยวนใจจนแทบกลืนกินบุรุษตรงหน้า ทว่านี่มิใช่ความตั้งใจที่จะปลิดชีวิตเซียวโม่โฉว มือหยาบขยุ้มขนสีดำของสัตว์อสูรอย่างสุดทน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลออกจากหางตาเป็นสาย
ความเจ็บปวดนั้นมิใช่สิ่งหลอกลวง ครั้นสัตว์อสูรล่าถอยถอนเขี้ยวออกจากลำคอขาวที่หอมหวนอย่างอ้อยอิ่ง จนแทบจะหักห้ามความปรารถนาเบื้องลึกของจิตใจไม่ไหว หากแต่ต้องหักห้าม
ข้าจะไม่ผลีผลามในตอนนี้ ท่านดูไว้เถิดอวี้หวงต้าตี้ความลองดีของท่านทำอันใดข้ามิได้! เวลาที่ข้ารอคอยจะไม่สูญเปล่าเพียงเพราะท่านอยากจะลองใจข้า!!!
“น่าเสียดายที่ยังมิถึงเวลาของเจ้าเซียวโม่โฉว”เสียงคำรามขู่เขี้ยวแหลมคมแววตาดุดัน
“แค่กๆ”
เสียงหายใจไอสำลักอากาศพลิกกายไปมาอย่างเจ็บปวด อีกมือเข้ากดบาดแผลที่บริเวณลำคอขาว ซึ่งบัดนี้บาดแผลฉกรรจ์จากคมเขี้ยวสัตว์อสูรค่อยๆ สมานหายไปในชั่วพริบตาไม่ทันที่ผู้ถูกฝังเขี้ยวจะรับรู้เสียด้วยซ้ำ
“กลับไปในที่ที่เจ้าจากมาและเผชิญโชคชะตาเสียเถิดเซียวโม่โฉว”เสียงกล่าวจากหลี่รั่วถงที่อยู่ในร่างสัตว์อสูรตรงหน้าแววตาดุดันจนน่าเกรงขาม ภาพของสัตว์อสูรที่มองผ่านม่านน้ำตาเบื้องหน้ากำลังเลือนรางหายไปในความมืด
“ยะอย่าเพิ่งไป ได้โปรด”เซียวโม่โฉวพยายามยามยันกายที่สั่นเทาจากความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นอย่างยากลำบาก มิรู้ว่าเหตุใดเมื่อเห็นอสูรร้ายตนนั้นจากไปหัวใจของเซียวโม่โฉวแทบขาดรอนๆ อาวรณ์อย่างที่ยากจะเข้าใจนัก
แม้แต่อสูรร้ายก็ยังมิอยากได้ชีวิตข้าเลยหรือ
หลังถ้อยคำตัดพ้อสติที่ยุ่งเหยิงคล้ายดั่งโดนเวทมนตร์ร่ายใส่ให้หลับใหล หยุดนิ่งทุกความคิดกดร่างบุรุษให้สลบแน่นิ่งลงกับผืนพงไพรในขณะที่ลำคอขาวซึ่งเคยเปื้อนโลหิตกำลังปรากฏสัญลักษณ์ของผู้เป็นเจ้าของทั้งร่างกายและจิตวิญญาณขึ้นแทนรอยคมเขี้ยวก่อนจะจางหายไปในที่สุด
------------------------------------------------------------------
ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้พิจารณาด้วยนะคะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านมากๆ ค่ะที่เข้ามาอ่าน
สามารถคอมเม้น ติชม เป็นกำลังใจที่สำคัญให้ได้นะคะ
แล้วเจอกันตอนหน้าค่าาา :bye2:
ด้วยรัก
หลานฮวา
-
บทที่ 1
ตอบแทนบุญคุณ
แสงแดดอุ่นๆ ที่สาดส่องลงมาอาบผิวของผู้ที่นอนหลับใหล น้ำค้างยามค่ำคืนที่ประพรมเสื้อผ้ากำลังเหือดแห้งหายไปในอากาศ ทิ้งไว้เพียงคราบโคลนดินที่เปรอะเปื้อนอยู่บนเนื้อผ้าย้ำเตือนว่าฝันร้ายนั้นมีอยู่จริง ดวงตาที่หลับพริ้มประดับด้วยแพขนตาและคราบน้ำตากำลังขยับตัวตื่น ดวงตาที่กระทบกับแสงแดดอ่อนให้ความรู้สึกอบอุ่นทว่าเศร้าหมองให้กับผู้ที่พบเห็น
บัดนี้รอบกายของเซียวโม่โฉวมิได้โอบล้อมไปด้วยผืนป่า ทว่ากลับเป็นผู้คนที่ยื่นมือเข้ามาเขย่าร่างกายที่นอนแน่นิ่งให้ตื่นขึ้น
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่!”
เสียงถามไถ่หลังจากที่เซียวโม่โฉวยันกายลุกขึ้นนั่ง กวาดสายตาพร่าเลือนไปโดยรอบก็พบว่าที่นี่เป็นเส้นทางเข้าเมืองต้าหลี่อีกทั้งบุรุษหนุ่มกลบลับนั่งสะลึมสะลืออยู่บริเวณทางผ่าน หากเดินผ่านซุ้มประตูใหญ่ที่เก่าแก่เบื้องหน้านี้ไปไม่กี่ลี้ ก็จะเป็นตลาดที่อยู่ชานเมืองต้าหลี่แล้ว
“ได้ยินข้าหรือไม่เจ้าหนุ่ม?”ชายวัยชราที่สะพายเข่งไม้สานบรรจุของไว้เต็มหลังย้ำถามเซียวโม่โฉวอีกครา
“ขะข้า ข้าไม่เป็นไรท่านลุง ขอบคุณที่ช่วยปลุกข้า”
“เจ้าเลือดออก บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”หญิงสาวผู้หนึ่งตกใจชี้ไปยังเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนเป็นคราบสีหน้าผวา
“เลือด?”
คิดได้เช่นนั้นมือขาวก็รีบสัมผัสบริเวณลำคอของตนเองราวกับระลึกขึ้นได้ สำรวจตรวจมองร่างกายราวกับมิใช่ร่างของตน เมื่อจำได้ว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นเซียวโม่โฉวถึงกับเบิกตาโพลงลุกขึ้นเหลือบมองซ้ายขวาเสมือนมองหาบางอย่าง
เหตุใดข้าจึงมานอนอยู่ที่นี่กัน ข้ามิได้ฟั่นเฟือนที่จะจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนข้าวิ่งไปไกลแค่ไหน แต่มิใช่ที่นี่เป็นแน่ ร่องรอยบาดแผลก็หายไป เกิดสิ่งใดขึ้นกับข้ากัน!
ครั้นตั้งสตินึกได้เซียวโม่โฉวก็รีบหุนหันวิ่งกลับบ้านของตนเองราวกับต้องการพิสูจน์บางอย่าง นำพาความงุนงงให้กับชายชราและบุตรสาวของเขา
“เดี๋ยวเจ้าหนุ่ม! ข้าจะบอกว่า.....”ไม่ทันที่จะกล่าวบอกบางอย่างถึงสิ่งที่ชายชราผู้นั้นมองเห็นเซียวโม่โฉวก็วิ่งเตลิดหนีไปเสียแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านจะบอกสิ่งใดกับคนผู้นั้นหรือ?”
“อ่า.....ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถิดเดี๋ยวแม่ของเจ้าจะคอยนาน”ชายชราจำต้องหักใจ เมื่อสวรรค์ไม่เป็นใจให้เขาได้บอกกล่าว สิ่งที่มองเห็นเป็นเพียง‘ทู่จึ’ปีศาจกระต่ายที่หาได้เป็นภัยใดต่อมนุษย์ หากแต่ที่ชายชราแปลกใจนั้นไยทู่จึตนนั้นจึงได้ติดตามบุรุษหนุ่มผู้นั้นกัน หากมิใช่ว่าเวลาที่เหลือบนโลกมนุษย์....
คิดแล้วชายชราก็ถึงกับต้องสลัดความคิดอันน่ากลัวเช่นนั้นออกไป
คนชราเช่นข้าคงจะตาฝ้าฟางเป็นแน่
ทันทีที่เซียวโม่โฉวมาถึงบ้านของตน ไม่ทันจะเหยียบย่างเข้าไปก็เจอเข้ากับสองสามีภรรยาผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาและมารดาของตน ทั้งสองราวกับนั่งรอการกลับมาของใครคนหนึ่ง ดูเหมือนจะมิใช่รั้งรอผู้ใดอื่นทว่าเป็นเซียวโม่โฉว
“เจ้ากลับมาแล้ว เหตุใดจึงกลับมาช้าเช่นนี้ เมื่อคืนเจ้าไปที่ไหนมาข้าเป็นห่วงแทบแย่”ผู้เป็นมารดาลุกพรวดจากแคร่ไม้หน้าบ้านเข้ามาถามไถ่เซียวมาโฉว พร้อมด้วยจือหยางผู้เป็นบิดา คำว่าห่วงใยเสียดแทงใจบุรุษหนุ่มเป็นอย่างยิ่ง
“เอ๊ะ! แล้วนี่เกิดเรื่องใดขึ้นกับเจ้า เหตุใดถึงได้มีสภาพเช่นนี้กัน”แววตาตกตื่นครั้นผู้เป็นบิดามองเห็นเสื้อผ้าอาภรณ์ของบุตรชายตรงหน้าที่ไม่เหลือเค้าความสะอาดอยู่เลย ซ้ำยังมีคราบเลือดสะดุดตาจนน่าหวาดกลัวนัก
“จะจริงด้วย เกิดอะไรขึ้น มานี่มานั่งก่อน”ผู้เป็นมารดาตาลุกวาวรีบลากเซียวโม่โฉวเข้านั่ง ก่อนลุกไปหยิบเอาผ้าชุบน้ำสะอาดหยิบยื่นให้เช็ดหน้าเช็ดตา
เซียวโม่โฉวเพียงมองสองสามีภรรยาที่ปฏิบัติกับตนด้วยท่าทีที่แปลกไปอย่างเข้าใจ ดวงตาเศร้าสร้อยฝืนยิ้มให้แก่ทั้งสองอย่างไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดสิ่งใด เพียงไม่ลืมที่จะหยิบถุงเงินที่ทำงานมาได้หยิบยื่นให้มารดาอย่างเช่นปกติ ทว่ามือที่ยื่นออกไปทั้งซีดขาวและสั่นระริก
ในอกของเซียวโม่โฉวยามนี้นั้นว่างเปล่า ไม่แพ้ความรู้สึกที่เคว้งคว้างราวกับถูกปล่อยให้อยู่เพียงผู้เดียวท่ามกลางหิมะ
“เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเกิดเรื่องใดขึ้น”
“ไม่มีอะไรหรอกท่านแม่ ข้าเพียงช่วยเถ้าแก่แล่เนื้อเสื้อผ้าข้าจึงเปรอะเปื้อนสกปรกเช่นนี้ ที่โรงเตี๊ยมกำลังมีงานเลี้ยงใหญ่ข้าจึงมิได้กลับบ้านตรงเวลาเพราะด้วยในครัวนั้นขาดกำลังคนช่วยเหลือ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้วข้าก็โล่งใจไป นึกว่าเจ้าจะบาดเจ็บตรงไหนให้เสียราคา.....”
เพี๊ยะ!
ถ้อยคำที่พลั้งเผลอเล็ดลอดออกมาจากปากของจือหยางผู้เป็นบิดา เฉินซีผู้เป็นภรรยาจึงรีบตีสามีของตนเองแสดงสีหน้าตำหนิที่ปากสว่างพาลจะเสียเรื่อง
“เอ่อ....ข้าหมายถึงเสียราศี ใครต่างรู้ว่าข้ามีบุตรชายที่มีรูปโฉมสง่างามถึงสองคน หากเจ้าจะบาดเจ็บมีแผลข้าก็ต้องเป็นห่วงธรรมดา ฮ่าๆ”เสียงหัวเราะกลบเกลื่อนไม่ได้ทำให้เซียวโม่โฉวใจชื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าแท้จริงแล้วบิดาคิดเช่นไรในยามนี้ สีหน้าที่คล้ายคาใจอยากจะพูดบางอย่างมันเด่นชัดผ่านแววตากังวลคู่นั้น
“ท่านนนนนพ่อ! ข้ากลาบมาแล้วววว เอิ๊ก!”
“จือซาน นี่เจ้าเมามายกลับมาอีกแล้วเหรอเนี้ยเจ้าลูกคนนี้!”เมื่อเสียงโหวกเหวกดังขึ้นทั้งสองสามีภรรยาก็รีบกุลีกุจอเข้าไปช่วยพยุงจือซานแทบจะทันที แสดงสีหน้าและแววตาห่วงใยอย่างแท้จริงจนเซียวโม่โฉวไม่อาจข่มความน้อยเนื้อต่ำใจได้
กับข้าไยพวกท่านถึงได้เสแสร้งห่วงใย มิจริงใจต่อข้าเช่นจือซานบ้าง
“โม่โฉว เจ้าไปเอาน้ำอุ่นๆ มาให้น้องชายของเจ้าหน่อยเร็วเข้า”มารดายื่นมือมาตบไหล่เบาๆ เพื่อเร่งเร้า
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ท่านแม่”ที่นั่งเมื่อครู่เคยเป็นของเซียวโม่โฉว แต่บัดนี้กลับต้องสละให้จือซานได้แผ่กายนอนเมามายอย่างไม่น่ามอง คนถูกสั่งทำได้เพียงเข้าครัวไปหยิบน้ำต้มอุ่นตักใส่ถ้วยตามที่มารดาสั่งก็เท่านั้น
เพียงครู่ที่เซียวโม่โฉว หายลับเข้าไปในห้องครัวประจวบเหมาะกับที่ยามนี้กำลังเกิดความวุ่นวายขึ้นบริเวณชานเรือนของบ้าน เสียงเอะอะโวยวายของผู้คนรวมทั้งข้าวของที่ตกหล่นราวถูกทำลายดังขึ้นเรียกให้เซียวโม่โฉวต้องวิ่งออกมาดู ภาพที่เห็นนั้นเป็นกลุ่มคนฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งการแต่งกายบ่งบอกได้ว่ามาจากบ้านของขุนนางผู้หนึ่ง บุรุษผู้มีอำนาจมากกว่าผู้ใดในบรรดาหกคนตีหน้าถมึงทึงสั่งคนติดตามให้ลากตัวจือหยางออกมาจากเบื้องหลังของภรรยาอย่างไม่ปรานี ส่วนจือซานนั้นก็ถูกจับกดลงคุกเข่ากับพื้นหาได้มีสติช่วยเหลืออะไรใครได้ ทันใดนั้นผู้มีอำนาจได้ตวัดชักดาบสีเงินมันวาวจรดไปที่ลำคอของจือหยาง ความเย็นวาบจากโลหะราวกับฝันร้ายยามตื่น ผู้ถูกข่มขู่หวาดกลัวจนต้องยกมือขึ้นกราบไหว้วิงวอน ช่างเป็นภาพที่น่าอดสูและบาดใจเซียวโม่โฉวยิ่งนัก แม้จะรู้ดีว่าความผิดนั้นใครเป็นผู้ก่อแต่เช่นไรคนตรงหน้าก็ยังคงเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด
“เซียวจือหยาง ไยเจ้าถึงกลืนน้ำลายตนเองไม่รักษาสัญญาดังที่เจ้าลั่นวาจาไว้! ข้าให้โอกาสเจ้ามามากพอแล้วมีอะไรจะสั่งเสียก่อนตายหรือไม่!”
“ดะได้โปรดเถิด ข้าจะจ่ายให้ ข้าจะจ่ายให้มากกว่าที่ข้าหยิบยืมไปสิบเท่า เพียงแต่ตอนนี้ข้าต้องการพูดคุยกับบุตรของข้าก่อนได้โปรดไว้ชีวิตของข้าด้วยเถิด”มือไม้ที่สั่นระริกขอชีวิตจากคนเบื้องหน้า
“ข้าขอร้องท่านอีกคน ได้โปรดเห็นใจพวกข้าด้วยนายท่าน ฮือๆ”ผู้เป็นภรรยาคุกเข่ากอดขาผู้มีอำนาจตรงหน้าอย่างละทิ้งศักดิ์ศรีร้องไห้ฟูมฟายแทบแดดิ้น
“ข้าจะเชื่อคำพูดของคนสับปลับเช่นเจ้าได้อย่างไร สิบเท่าที่เจ้าเอ่ยมาแม้แต่เศษเสี้ยวหนึ่งของเงินทั้งหมดเจ้าก็ยังไม่มีชดใช้ แล้วไหนสิ่งที่เจ้าจะหยิบยื่นมาแลกเงินก็หาได้มีวี่แววอย่างปากว่า เหตุใดข้าถึงต้องโง่งมหลงเชื่อเจ้าอีกคราด้วย! รู้หรือไม่ว่าเจ้าทำให้ท่านผู้นั้นวุ่นวายใจเพียงใด!”น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตวาดดังลั่นไม่เอ่ยถึงผู้อยู่เบื้องหลัง โชคดีที่บ้านมิได้ตั้งอยู่ในตลาดหากแต่เป็นท้ายตลาดที่ห่างจากบ้านเรือนผู้คน มิเช่นนั้นคงมีผู้คนไม่น้อยเรียงหน้ามาเป็นสักขีพยานแห่งความอัปยศครั้งนี้เป็นแน่
“ดะได้โปรด! ข้าจะนำมาให้ท่านให้เวลาข้าหน่อยเถิด”เสียงร้องไห้วิงวอนกราบไหว้สิ้นทุกผู้คน ช่างเป็นภาพที่เซียวโม่โฉวไม่อาจทนมองอยู่ได้เป็นที่สุด
แม้ตลอดมาพวกท่านจะมิได้เห็นประโยชน์อันใดในตัวข้า แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะตอบแทนบุญคุณพวกท่าน
“ช้าก่อน!”เสียงตะโกนหักห้ามมิให้ดาบตวัดง้างปลิวชีพบิดาดังขึ้น เซียวโม่โฉวปรากฏกายเดินออกมาอย่างมิได้กลัวเกรง ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างหันมองเจ้าของเสียงในทันที
“โม่โฉว.....ช่วยบิดาของเจ้าด้วย ฮือๆ”
“ข้าจะไปกับพวกเจ้า แต่ได้โปรดปล่อยครอบครัวของข้าด้วยเถิด”
ทั้งสองสามีภรรยาต่างตาเบิกโพลงราวกับได้ยินเรื่องปาฏิหาริย์จากเบื้องบน ผู้เป็นบิดาหัวเราะทั้งน้ำตาเข้ากอดภรรยาที่นิ่งค้างน้ำตานองด้วยตกใจ
“ทะท่านได้ยินแล้วใช่หรือไม่ บุตรชายผู้นี้ของข้าจะไปกับท่าน บอกท่านผู้นั้นด้วยเถิดว่าข้าเซียวจือหยางจะมอบบุตรชายนามว่าเซียวโม่โฉวให้ ขะข้าทำตามที่สัญญาแล้ว เลิกจ่อกระบี่มาที่คอของข้า ดะได้แล้วหรือยัง”คำพูดที่เปล่งออกมาราวกับคนเสียสติเสมือนคมมีดกรีดดวงใจของเซียวโม่โฉวอย่างโหดเหี้ยม
ไร้ซึ่งความอาวรณ์
ไร้ซึ่งความห่วงใย
แม้น้ำตาแห่งความร่ำไห้ที่ต้องเสียตนไปก็ไม่มี
“ก็ได้ นำตัวเซียวโม่โฉวกลับไป”
“ขอรับ!”
พิภพแห่งหยิน
กลุ่มควันราวหมอกเมฆดำที่ปกคลุมไปทั่วทุกเขตแดนพิภพแห่งหยินกำลังสลายหายไปครั้นประมุขของดินแดนก้าวผ่านประตูสู่พิภพที่เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์ปรากฏกายขึ้น ดินแดนแห่งนี้ไม่ต่างจากโลกมนุษย์ที่มีสิ่งปลูกสร้างบ้านเรือน ทว่าที่นี่มิต้องใช้แรงงานหากแต่ด้วยพลังเวทมนตร์ของหลี่รั่วถง บันดาลได้ทุกสรรพสิ่งเว้นเสียแต่กำหนดชะตาของมนุษย์ แม้จะมิสามารถกำหนดได้แต่คนผู้นี้สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้ หากไม่นอกเหนือกฎเกณฑ์สวรรค์
ในบรรดาชั้นฟ้านั้นแบ่งแยกออกเป็นสี่ส่วน นั่นคือพิภพแห่งหยิน พิภพแห่งหยาง พิภพนรกภูมิ และผู้ที่ควบคุมกฎเกณฑ์เหนือสุดในบรรดาชั้นต่างๆ ก็คือสวรรค์ทิพย์วิมาน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเหล่าปีศาจนอกรีตที่ตั้งตนเป็นปรปักษ์ต่อชั้นทั้งสี่ หาได้ฝักใฝ่เรื่องใดนอกเหนือจากปรารถนาอำนาจความเป็นใหญ่ หมายตั้งตนเป็นปรปักษ์ต่อสวรรค์ และชั้นทั้งปวง แต่ด้วยกำลังเพียงน้อยนิดจึงมิสามารถก่อการใหญ่โต หมายแต่แทรกแซงสร้างความวุ่นวายให้ต้องเดือดร้อนสะเทือนไปทั่ว หากแต่ครั้งหนึ่งที่เผ่าปีศาจฮึกเหิมเข้าโจมตีพิภพแห่งหยิน ความโกลาหลครั้งยิ่งใหญ่สร้างความสูญเสียให้ประมุขพิภพแห่งหยินจดจำมิเลือนรางแม้ผ่านมาถึงพันปีแล้ว ดังนั้นหากเอ่ยถึงจูเกิงเฉินแห่งเผ่าปีศาจนอกรีตแล้ว หลี่รั่วถงก็ถึงกับเกรี้ยวโกรธขึ้นราวกับไฟนรกภูมิที่ปะทุขึ้นก็ว่าได้
“นายท่าน ท่านกลับมาแล้วหรือขอรับ”ผู้รับใช้ที่นอนเฝ้าทางเข้าประตูสู่พิภพดีดตัวขึ้นฝืนเกร็งครั้นเห็นหลี่รั่วถงเบื้องหน้า ผู้เป็นเจ้าพิภพแห่งหยินที่รูปงามสง่าดุจเทพเซียนในสวรรค์ชั้นฟ้าก็หาเทียบได้ เหอจี๋ที่มีชาติกำเนิดจากปลาทว่าบัดนี้มีกายเป็นร่างเสมือนมนุษย์ หลายพันปีมานั้นคอยรับใช้หลี่รั่วถงในดินแดนพิภพแห่งหยินด้วยความซื่อสัตย์
“ข้าไม่อยู่ที่นี่เป็นเช่นไรบ้างเหอจี๋”เสียงกังวานที่ราวกับกึกก้องไปทั่วเอ่ยน้ำเสียงเรียบใบหน้าที่ดูน่าเกรงขามกวาดสายตาคมกริบดุจดวงตาอสูรร้ายไปโดยรอบ พลันพลิกฝ่ามือเพียงหนึ่งครั้งนำความสว่างโรจน์ไปทั่วทุกสารทิศ จากมืดครึ้มกลายเป็นสว่างราวกับยามเช้าเฉกเช่นโลกมนุษย์ ร่างสูงใหญ่เหยียบย่างไปเบื้องหน้า ทุกฝีก้าวปรากฏเมฆดำรองรับทุกการย่างเดิน แผ่นหลังกว้างที่มองจากเบื้องหลังดูมั่นคงและแข็งแรงทว่ากลับแฝงไปด้วยความน่ายำเกรง
“เรียบร้อยดีขอครับนายท่าน ข้าดูแลทุกอย่างตามที่ท่านสั่ง”เสียงขานตอบรับแข็งขันใบหน้าแทบมุดธรณีด้วยหวาดกลัวอำนาจ
“เช่นนั้นดีแล้ว”
“เอ่อคือว่า.....มีสารจากท่านหวางหรูอี้ ให้ข้ารายงานเมื่อนายท่านกลับมาว่าต้องการพูดคุยเรื่องสำคัญขอรับ และให้ข้าย้ำว่าสำคัญมาก”คิ้วหนาขมวดชิดนึกไตร่ตรองอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะโบกมือสั่งเหอจี๋ประโยคเพียงสั้น“เจ้าไปได้แล้ว”
“ละแล้วเรื่องของท่านหวางหรูอี้จะให้ข้าตอบรับไปเช่นไรดีขอรับ?”
“ข้าบอกให้เจ้าไปก็ไป!”ดวงตาคมหันไปมองข้ารับใช้ที่ถามย้ำอย่างไม่รู้ความ หลี่รั่วถงรู้ดีว่าหวางหรูอี้ผู้เป็นเจ้าพิภพแห่งหยางมีเรื่องสำคัญใด นอกเสียจากลากตนไปร่ำสุราเล่าความถึงปัญหาระหว่างตนกับติงเจิ้งหวาเจ้าแห่งนรกภูมิ หากแต่เวลานี้หลี่รั่วถงหาได้มีอารมณ์สุนทรีย์ที่จะกระทำเช่นนั้น ความหงุดหงิดโกรธเกรี้ยวยังคงตีรวนอยู่ในอกบุรุษ
“ขะขอรับนายท่าน”
!!!
สิ้นเสียงตอบรับอย่างกลัวเกรงร่างตรงหน้าก็อันตรธานหายไปจากสายตาของหลี่รั่วถงอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนเกล็ดสีขาวตกเกลื่อนอยู่บนพื้น ทว่านั่นก็หาได้เรียกความสนใจใดไปจากหลี่รั่วถง ใบหน้าขมุกขมัวขึงขังเปลี่ยนสายตาไปจับจ้องยังทิศเบื้องหน้า ก่อนจะสาวเท้าเพียงหนึ่งก้าวเคลื่อนไหวถึงประตูเรือนซึ่งเป็นที่พำนักของหลี่รั่วถง
ทันทีที่ถึงยังห้องหับ ภายในห้องมิได้มีสิ่งใดแปลกตาไปจากโลกมนุษย์ ร่างสูงใหญ่องอาจสง่าผ่าเผยเดินผ่านม่านไข่มุกสีดำทิ้งกายลงนั่งบนเก้าอี้ที่ปูรองด้วยขนจิ้งจอก ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นจ้องมองหวนคิดถึงสัมผัสที่ทาบทับไปบนร่างกายขาวบางที่สั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ดวงตาคู่สวยที่ฉ่ำวาวไปด้วยหยาดน้ำตาไม่สามารถสลัดออกไปจากความคิดของหลี่รั่วถงได้ แม้หลี่รั่วถงจะไม่มีหัวใจหากแต่กลับรู้สึกเจ็บปวดเพราะนัยน์ตาคู่นั้น
หากแต่สวรรค์ก็ช่างกลั่นแกล้งเหตุใดจึงส่งเซียวโม่โฉวให้พานพบในขณะที่หลี่รั่วถงบำเพ็ญตบะในร่างอสูร หากเขาพลาดพลั้งไปเพียงเงื้อมมือเดียวคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้
ข้าอดทนมาตลอดพันปีเพื่อรอวันที่เหมาะสม หากจะลองใจข้าเช่นนี้ก็เห็นทีคงจะต้องผิดหวัง ข้าจะไม่ฝืนลิขิตโดยเด็ดขาด
“เจ้าทั้งสอง ออกมาบัดเดี๋ยวนี้”เพียงกำปั้นเดียวที่ทุบลงกับโต๊ะสามารถเรียกข้ารับใช้ให้ปรากฏเบื้องหน้าได้
“ยินดีรับใช้นายท่าน โปรดบัญชามาเถิด”กลุ่มควันที่เกาะกลุ่มหนาแน่นปรากฏร่างของผู้เป็นข้ารับใช้ทั้งสอง
“เฝ้าประตูทางเข้าอย่าให้ผู้ใดย่างกรายเข้ามาในระหว่างที่ข้าอยู่ที่นี่ แม้กระทั่งเหอจี๋ก็ไม่ละเว้น”
“ขอรับนายท่าน”กลุ่มควันเคลื่อนย้ายสลายหายวับไปกับตา เจ้าของเรือนอย่างหลี่รั่วถงเริ่มขยับตัวออกเดิน พร้อมก้าวไปยังจุดกึ่งกลางของห้อง ขยับมือสองข้างคล้ายพึมพำบริกรรมคาถาเรียกแหวนวงเวทขนาดใหญ่สะท้อนขึ้นจากพื้นครอบคลุมกาย ประตูสู่สวรรค์เปิดออกนั่นคือจุดมุ่งหมายของเจ้าพิภพแห่งหยินที่มิได้กลัวเกรงประมุขชั้นฟ้า แม้ว่าจะเปิดประตูสวรรค์เชื้อเชิญตนเองไปเยี่ยมเยือนก็หาได้ยำเกรงกฎเกณฑ์อันใด เพราะครั้งนี้ผู้ใดเล่าที่ริเริ่มขึ้นก่อน สิ่งใดไม่กระจ่างหลี่รั่วถงมิอาจอยู่นิ่งเฉยได้ วันนี้คงต้องฝืนกฎสวรรค์เข้าพบอวี้หวงต้าตี้พูดคุยให้แน่ชัด อย่าได้ยื่นมือเข้าทำลายความตั้งใจของตนเสียให้ยาก
โลกมนุษย์
จากบ้านหลังเล็กหาได้กว้างขวาง มีอาณาบริเวณบ้านเพียงไม่กี่ก้าวบัดนี้เซียวโม่โฉวกลับต้องก้าวขาเข้ามาอยู่ในที่ที่ตนมิได้รู้จัก เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเช้ารวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ เซียวโม่โฉวจากที่นั่นมามิได้มีสิ่งใดติดตัวเป็นสมบัติของตนแม้แต่น้อย กระทั่งเวลาอำลาครอบครัวก็หาได้มีช่องว่างให้กระทำเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไรก็คงจะไม่สำคัญเท่าบุรุษหนุ่มจากมาพร้อมกับทิ้งความสุขสบายไว้ให้แก่ผู้เป็นบิดาและมารดาไว้เบื้องหลัง
ความเสียใจเหล่านั้นเริ่มเจ็บปวดจนด้านชา หาได้มีน้ำตาอาวรณ์กับสิ่งเหล่านั้นอีก
ทว่าเช่นไร แม้น้ำตาจะมิได้รินไหลหากแต่ในหัวใจบุรุษหนุ่มกลับปวดร้าวเป็นแก้วที่แตกแล้วโดยละเอียด
“เจ้าชื่อแซ่อะไร?”ชั่วครู่ที่ราวกับสติเลื่อนลอย ครั้นได้ยินคนผู้หนึ่งเอ่ยถามตนก็รีบเงยหน้าขึ้นสบตามองแล้วตอบออกไป
“ข้าเซียวโม่โฉวขอรับ”
“อืม เจ้าเป็นบุตรชายของเซียวจือหยางใช่หรือไม่?”
“ขอรับ ข้าเป็นบุตรชายคนโตนามเซียวโม่โฉว”ผู้ได้ฟังเพียงพยักหน้าสำรวจตรวจมองราวกับพึงพอใจต่อบุรุษนัก ยามนี้ก็ย่างเข้ายามอิ่วแล้วที่เซียวโม่โฉวถูกนำตัวมานั่งรอใครคนหนึ่งถึงหนึ่งชั่วยาม มีเพียงบ่าวรับใช้ที่วนเวียนเข้าออกเปลี่ยนชาที่เย็นชืดให้อุ่นร้อนอยู่เสมอ เพราะบุรุษหนุ่มมิใช่ผู้ที่ชอบซักไซ้ไล่ความนักจึงยอมเก็บปากพูดคำตอบคำอยู่เงียบๆ เห็นทีคนที่คอยถามไถ่จะเป็นพ่อบ้านประจำจวนแห่งนี้ ครั้นดูสุภาพชนต่างจากผู้คนที่คุมตัวเซียวโม่โฉวมาอย่างสิ้นเชิง
“พ่อบ้านเสินขอรับ”ไม่ผิดไปจากที่เซียวโม่โฉวคิดคนผู้นั้นเป็นพ่อบ้านของจวนแห่งนี้ และดูเหมือนท่าทางเร่งรีบของบ่าวคนหนึ่งกำลังกระซิบกระซาบบางอย่างกับพ่อบ้านเสินราวกับเป็นความลับ คนรับรายงานพยักหน้าเข้าใจ เลิกคิ้วเป็นเชิงออกคำสั่งให้บ่าวรับใช้ผู้นั้นออกไปได้
“เจ้าตามข้ามาทางนี้”
“จะให้ข้าไปไหนหรือขอรับ”
“ข้าจะพาเจ้าไปพบกับนายท่าน”
“นายท่าน?”
“อย่าเพิ่งสงสัย เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง”
“ขอรับ”เซียวโม่โฉวยอมเดินตามพ่อบ้านเสินออกไปแต่โดยดีครั้นก้าวออกจากห้องก็มีคนคล้ายเป็นดั่งผู้คุมเดินตามหลังเซียวโม่โฉวอีกที สายตาบุรุษสำรวจมองรอบๆ บริเวณชานเรือนที่เดินผ่านตลอดออกมายังด้านนอกบริเวณของเรือนหลังเล็ก ผ่านสวนดอกไม้ก่อนจะข้ามสะพานไปยังเรือนอีกหลังที่ใหญ่โตสะดุดตา เป็นครั้งแรกที่เซียวโม่โฉวได้เห็นสถานที่งดงามเช่นนี้ ครั้นยังมีบ่าวไพร่เดินสวนกันไปมาราวกับรีบร้อน ทว่าสายตากลับเหลือบมองบุรุษหนุ่มแทบทุกผู้ทุกคน
กระทั่งผ่านเข้าไปภายในเรือนหลังหลักเดินตามโถงทางเดินยาวเข้าสู่ด้านในอีกครั้ง ประตูห้องด้านในสุดค่อยๆ เปิดเลื่อนออกครั้นพ่อบ้านเอ่ยบอกมีเสียงตอบรับเชื้อเชิญเข้าด้านใน ครานั้นเซียวโม่โฉวจึงรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวอยู่ลึกๆ บรรยากาศที่อึดอัดพาลเอาหายใจไม่คล่องจมูก
มองไปยังเบื้องหน้าเมื่อย่างเข้าไปด้านใน ม่านที่กางกั้นด้วยผ้าปักลายนกกระเรียนอย่างสวยงามเบื้องหลังนั้นกลับมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ จะเป็นผู้ใดได้หากมิใช่เสนาบดีใหญ่นามว่าฉีเหยียน ผู้รั้งตำแหน่งลี่ปู้กรมธรรมการ ทำเอาเซียวโม่โฉวขนลุกชันไปทั้งตัวด้วยเกรงบารมีอำนาจ
“ข้าพาคนผู้นี้มาแล้วขอรับนายท่าน”พ่อบ้านเสินค้อมกายเอ่ยรายงาน
“ดี เจ้าใช่หรือไม่ที่ชื่อเซียวโม่โฉว”น้ำเสียงทุ้มฟังดูเป็นผู้มีอำนาจเอ่ยถาม มือข้างหนึ่งลูบเครายาวขาวสะอาดเพ่งพินิจมองผ่านม่านกั้นเพียงบางอย่างสนใจใบหน้ายิ้มย่อง
“ขอรับ เป็นข้า”แม้จะตอบรับการถามชื่อไปหลายครั้งหากแต่สิ่งที่เซียวโม่โฉวไม่อาจรู้นั่นคือตนถูกขายให้กับบ้านขุนนางด้วยนำมาใช้ประโยชน์อันใด และเหตุใดจึงต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนมากมายถึงเพียงนี้ หากเพียงต้องการคนชั้นต่ำเป็นแรงงานก็เพียงโยนเข้าโรงซักล้าง หรือไม่ก็หลังจวนที่จำเป็นต้องจับงานที่ใช้แรง เหตุผลนี้ก็ยังไม่กระจ่างใจแก่เซียวโม่โฉวนัก
“ข้าได้ตรวจดูดวงชะตาแล้วนับว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้มีลักษณะดีตรงตามที่นายท่านปรารถนาอย่างครบถ้วนขอรับ”
“.....”เซียวโม่โฉวที่ยืนก้มหน้าเหลือบมองพ่อบ้านเสินที่กล่าวเช่นนั้นออกไปอย่างไม่เข้าใจความหมาย
“ครบถ้วนเช่นนั้นหรือ ฮึๆ”เสียงหัวเราะกังวานดังขึ้นราวกับชอบใจ
“ขอรับนายท่าน หากเทียบกับคนก่อนหน้าเซียวโม่โฉวผู้นี้นับว่าเป็นพลอยเม็ดงามที่หายากยิ่งขอรับนายท่าน”
“ข้ามิเคยได้ยินเจ้าเอ่ยชื่นชมผู้ใดเท่านี้มาก่อน เซียวโม่โฉว...ไหนเจ้าลองเข้ามาใกล้ข้าอีกหน่อย”
“คะคือข้า.....”บุรุษหนุ่มละล่ำละลักหากแต่ก็มิอาจขัดคำสั่งได้ จึงเดินก้าวไปข้างหน้าถึงสองก้าว
“เงยหน้าขึ้นให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้า”
“ขอรับ”ในใจเซียวโม่โฉวนึกหวาดหวั่นหากแต่ก็ยอมเงยหน้าเชิดขึ้น ทว่าสายตายังคงเกรงจึงหลุบลงต่ำ กระนั้นก็หาได้เป็นสิ่งผิดพลาดใดตามที่พ่อบ้านเสินเอ่ยออกมาแม้แต่น้อย ทั้งดวงหน้าที่ได้รูป จมูกและปากที่ราวประดับกรอบหน้าได้อย่างลงตัว ผิวพรรณที่หากชำระล้างขัดถูเสียหน่อยก็คงมิเกินไปหากจะกล่าวว่าเป็นบุรุษรูปงามที่ซ่อนรูปโดยแท้แต่กำเนิด
“ฮึๆ ข้าถูกใจคนผู้นี้ ที่เหลือเจ้าจงจัดการแทนข้าก่อนวันพิธีจะเริ่มเข้าใจหรือไม่”
“ขอรับนายท่าน”
“ข้าจะกลับไปพักผ่อน”ประโยคทิ้งท้ายเอ่ยขึ้นม่านไม่ไผ่อีกชั้นคลี่ลงบดบังด้านหลังม่านผ้าอย่างไม่เหลือช่องว่างใดๆ เซียวโม่โฉวกวาดสายตามอง ครั้นถึงเวลาพูดได้จึงรีบเอ่ยขึ้น
“พ่อบ้านเสิน ที่ท่านผู้นั้นกล่าวเมื่อครู่หมายถึงสิ่งใด ข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องใดกันแน่”แววตาร้อนรนไม่เข้าใจสิ่งใด ทำให้เซียวโม่โฉวกระวนกระวาย
“หน้าที่ของเจ้านั้นหรือ ก็คือผู้ที่ถูกเลือกแล้วว่าสะอาดบริสุทธิ์เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งในพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์เช่นไรเล่า จงภาคภูมิใจเสียเถิด”
“พิธี? ท่านหมายถึงเรื่องใด?”
“เดี๋ยวเจ้าก็จักรู้เอง”
ติดตามตอนต่อไป
ฝากบทที่ 1 ด้วยนะคะช่วงแรกๆ ก็จะเป็นการปูเนื้อหาไปสู่เรื่องราวสำคัญต่างๆ
ความสนุกก็จะไต่ขึ้นไปตามลำดับ หากผิดพลาดอย่างไรสามารถแนะนำ ติชม ได้นะคะ
ตอนต่อไปก็ขอฝากไว้ด้วยค่าาาา :impress2:
ด้วยรัก
หลานฮวา
-
....สำนวนเยี่ยมมากครับ....ขอชื่นชม.
o13
:L2: :pig4: :L2:
....................................
ราตรีย่ำค่ำแสงเดือนเด่นฟ้า
กลีบบุปผาโรยร่วงจนรุ่งสาง
น้ำตาอุ่นรินไหลไร้หนทาง
เจ็บมิจางอด(((อก)))ตรมแทบสิ้นใจ
....................................
เจ็บมิจางอด(((อก)))ตรมแทบสิ้นใจ ตรงนี้น่าจะเป็น อก มากกว่านะครับ...
........
-
ตามๆๆๆ ดู
-
บทที่ 2
เหยื่อในกรงทอง
ภายในเรือนหลังใหญ่กว้างขวางพรั่งพร้อมไปด้วยข้าวของเครื่องใช้มากมายรายล้อม หยิบจับสิ่งใดล้วนเป็นของมีค่าราคาแพง มองไปทางใดก็เจริญหูเจริญตาด้วยการประดับตกแต่งเรือนหลังนี้ให้เป็นที่เชิดหน้าชูตาของเจ้าของบ้านได้หากมีผู้ใดเข้าพัก นับเป็นวาสนาของเซียวโม่โฉวนักที่ครั้งหนึ่งได้อยู่อาศัยภายในเรือนใหญ่โตถึงเพียงนี้ ซ้ำยังมีข้ารับใช้คอยปรนนิบัติดูแลใกล้มือ เพียงเอ่ยปากสั่งสิ่งใดก็จักได้ตามปากว่า
แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้มิได้ทำให้เซียวโม่โฉวรู้สึกมีความสุขแม้แต่น้อย มองทะลุถึงความจริงอันถ่องแท้ว่าสิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงสิ่งลวงตาลวงใจ มิใช่ของของตนอย่างแท้จริงยึดติดไปก็หาได้มีความสุข แม้เจ้าของบ้านจะจัดให้อยู่ราวกับแขกคนสำคัญจนยากที่จะปฏิเสธเพราะความโอ่อ่าเกินฐานะตน เซียวโม่โฉวก็หาได้กินอิ่มนอนหลับในเรือนหลังใหญ่แห่งนี้
ครั้นหลับตาก็ยังคงคะนึงหาพื้นไม้แข็งๆ ผ้าห่มผืนบางที่หาได้อุ่นกายเทียบเท่าผ้าห่มผืนหนาราคาแพงที่นี่ไม่ หากแต่ความอุ่นใจนั้นสู้ผืนขาดและเก่าเป็นรูไม่ได้ นึกถึงบ้านทีไรหัวใจของเซียวโม่โฉวกลับเจ็บปวดรวดร้าวขึ้นมาแทบทุกคราพาลน้ำตาจะรินไหล อย่างไรสุดหัวใจของบุรุษหนุ่มก็ยังหลงเหลือเยื่อใยต่อบิดามารดาของตนอยู่ไม่น้อย
บุตรเช่นไรก็มิอาจตัดขาดความรักที่มีต่อบิดามารดาได้สิ้น
ก๊อก ก๊อก!
ขณะนั่งเหม่อลอยอยู่ภายในเรือนแห่งนี้ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเรียกสติให้เซียวโม่โฉวตอบรับ
“เข้ามาเถิด”เป็นสาวรับใช้ที่เข้ามาพร้อมอ่างล้างหน้ามาวางไว้ นางทำเช่นนั้นทุกเช้าและนี่ก็ย่างเข้าวันที่สามแล้ว
“ท่านตื่นเร็วเหตุใดจึงไม่เรียกใช้ข้าล่ะเจ้าคะ ข้าจะได้ยกน้ำให้ท่านได้ล้างหน้าล้างตา”
“ข้าไม่อยากรบกวนเจ้า ข้ารอได้”ดวงตากลมใสกะพริบถี่ขับไล่หยาดน้ำตาบางๆ ก่อนจะก้าวเดินมายังอ่างน้ำ วักน้ำเข้าชำระล้างใบหน้ารับผ้าสะอาดจากสาวรับใช้เข้าซับและยื่นกลับให้ ทว่าผู้ที่ต้องรับผ้าคืนกลับยืนนิ่งจดจ้องใบหน้าของเซียวโม่โฉวจนลืมตัว
“.....”
“เจ้าจ้องหน้าข้าเช่นนี้อีกแล้ว มีอะไรก็บอกข้ามาเถิด”หากแต่มิใช่วันนี้เพียงวันเดียวที่นางเป็นเช่นนี้ ถามไปก็หาได้คำตอบ เพราะนางกล่าวเพียงไม่มีอะไรเซียวโม่โฉวก็มิได้อยากคาดคั้นเอาคำตอบจากนางนัก
“ข้าคงเสียมารยาทแก่ท่าน หากแต่ข้าเพียงสังเกตว่าใบหน้าของท่านช่างงดงามเหนือบุรุษที่ข้าเคยพบเห็น แม้แต่คุณชายของบ้านก็มิได้มีหน้าตารูปโฉมงดงามเช่นท่าน”หากแต่วันนี้แปลกนัก ที่นางกลับตอบออกมาอย่างมิได้คาดคั้น
ผู้ที่ถูกกล่าวถึงหัวเราะน้อยๆ ยื่นผ้าขาวสะอาดที่ซับใบหน้าแล้วคืนให้นาง ส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวขึ้น“เจ้าไม่กลัวหรือว่าใครจะมาได้ยินเข้า อย่าได้พูดเพ้อเจ้อไปเลย เจ้ามีงานอะไรก็ไปทำเถิด ขอบใจเจ้ามา”
“ข้าไม่รู้หรอกว่าเหตุใดท่านเสนาบดีจึงมีคำสั่งมิให้ท่านออกไปยังที่ใดนอกเรือนแห่งนี้ แต่ข้าก็หวังให้ท่านเป็นอิสระในเร็ววัน”
เซียวโม่โฉวเพียงยิ้ม มองนางที่เดินออกไปพร้อมกล่าวคำอวยพรให้แก่เขา ใช่แล้วนับแต่วันที่ได้เจอกับเจ้าของบ้านแห่งนี้อิสระของเซียวโม่โฉวก็ถูกลิดรอนไป เป็นดั่งนกน้อยในกรงทองที่มิรู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นในภายภาคหน้า เพียงมีคำสั่งให้รอเขาก็จะต้องรออยู่ในที่กว้างขวางงดงามแห่งนี้ทว่าช่างเงียบงันเสียเหลือเกิน
ข้ามิได้ต่างไปจากนักโทษที่ถูกจองจำเลยแม้แต่น้อย พวกเขากล่าวเพียงว่าข้าเป็นผู้ที่ถูกเลือกให้เข้าร่วมพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ข้าก็มิได้รับรู้สิ่งใดเลย
มีเพียงดวงตาเศร้าสร้อยที่สามารถจ้องมองไปยังนอกหน้าต่างได้อย่างเป็นอิสระ มองไปยังหมู่เมฆที่เคลื่อนคล้อย อีกทั้งกิ่งหลิวที่พลิ้วไหวไปตามแรงลม ช่างเป็นภาพที่งดงามระคนหดหู่ใจในคราเดียว พลันบรรยากาศที่เงียบเหงาก็ทำให้นึกไปถึงเรื่องราวเมื่อหลายวันที่ผ่านมา ราตรีที่พานพบกับสัตว์อสูรที่ฝากความเจ็บปวดทว่าหาได้ทิ้งร่องรอยใดราวกับเพียงภาพฝัน รูปร่างหน้าตาที่แสนดุดันน่าเกรงกลัวของอสูรตนนั้นยังคงติดตรึงในแววตาของเซียวโม่โฉวมิได้เลือนรางแม้จะอยู่ในความมืดก็ตาม
ดวงตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นราวกับดึงดูดใจของบุรุษหนุ่มยิ่งนัก แม้จะสั่นกลัวด้วยรังสีอำมหิตและจิตสังหารที่รุนแรงทว่ากลับมีบางอย่างราวกับสายใยบางๆ ที่ตรึงใจมิให้ลืมเลือนได้
น่าแปลกนัก เหตุใดข้าจึงต้องครุ่นคิดถึงเรื่องอสูรตนนั้นให้ว้าวุ่นใจด้วย เซียวโม่โฉวยามนี้เจ้าควรจะจดจ่ออยู่กับความเป็นจริงตรงหน้าต่างหากคือสิ่งที่เจ้าพึงกระทำ ทดแทนบุญคุณท่านพ่อท่านแม่อย่างไรเล่า
ขณะนั่งนิ่งปล่อยให้จิตใจลอยล่องอยู่นั้น เสียงๆ หนึ่งที่ดังราวกับมีใครขยับฝากาน้ำชาก็ดังขึ้น ใบหน้าที่เหม่อลอยเบิกตาโพลงหันขวับไปตามเสียงพลันเห็นกระต่ายสีขาวตัวหนึ่งกำลังพยายามใช้อุ้งมือปุกปุยตะกุยเขี่ยฝากาน้ำชาให้เปิดออก เซียวโม่โฉวเห็นเช่นนั้นจึงนึกแปลกใจไม่น้อยที่จู่ๆ ก็มีกระต่ายมาโผล่กลางเรือนได้อย่างน่าประหลาดเช่นนี้ จะทำเช่นไรได้นอกเสียจากเดินย่องไปอย่างช้าๆ มองดูว่าใช่ตาฝาดไปเองหรือไม่
“เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกันเจ้ากระต่ายน้อย...”เซียวโม่โฉวพึมพำก้มตัวลงจ้องมองเจ้ากระต่ายขาวตัวนั้นอย่างฉงน ทว่าจู่ๆ กระต่ายตัวสีขาวตรงหน้าขนาดเท่ากำมือก็หันหน้ามา ดวงตากลมโตนั้นจ้องมองเซียวโม่โฉวนิ่งค้างราวกับแข็งทื่อไปแล้ว
“ข้าทำให้เจ้าตกใจตายหรือเปล่า”ผู้ใดก็กล่าวว่ากระต่ายมักจะตกใจง่ายนั่นอาจเป็นสาเหตุให้เจ้ากระต่ายตรงหน้าของบุรุษหนุ่มหยุดหายใจในทันทีที่เห็นตนก็เป็นไปได้
“เจ้ามองเห็นข้าเช่นนั้นหรือ?”
!!!
“จะเจ้าพูดได้!”ใบหน้าที่หาได้มีสีสันใดๆ อยู่แล้วกลับซีดเซียวขึ้นทันที ดวงตาที่เบิกโพลงสั่นไหวตื่นตกใจกับสิ่งที่ได้เห็นได้ยิน
“แน่นอนว่าข้าพูดได้ ข้าหิวน้ำเปิดมันให้หน่อย”เซียวโม่โฉวคงยังไม่ชินกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่ สิ่งที่กระต่ายตรงหน้าร้องขอจึงไม่อาจปฏิบัติให้ได้
“นะนี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดข้าถึงเจอเรื่องประหลาดเช่นนี้บ่อยนัก”ดวงตากลมใสใบหน้าซีดเซียวยังคงไม่เชื่อในสติของตนเองพลางหยิกแขนตนเองไปหลายคราก็หาได้ฝัน มีแต่ก้าวเดินถอยหลังออกจากปัญหาตรงหน้าเพราะไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร กระนั้นเจ้าทู่จึตรงหน้าก็หาได้สนใจว่าผู้ใดจะกลัวจนหรือไม่จึงได้กระโจนเข้าหาเซียวโม่โฉวพลันร่างปุกปุยที่ห่อหุ้มด้วยขนนุ่มสีขาวพลันแปลงกายงอกแขนงอกขาออกเป็นเด็กชายวัย 3 ขวบที่หล่นตุ๊บใส่เซียวโม่โฉวจนล้มหงายหลังตึงลงกับพื้น
“หากเจ้าไม่ให้ความร่วมมือ ข้าจัดการเองก็ได้”
“ข้าคงเป็นบ้าไปแล้ว”เซียวโม่โฉวส่ายหน้าให้กับตัวเองและภาพเบื้องหน้า ร่างเด็กน้อยที่ปีนป่ายอยู่บนตัวของตนเองกำลังตะเกียกตะกายปีนขึ้นไปบนโต๊ะ มือเล็กจับคว้ากาน้ำชาร้อนฉ่าขึ้นหมายจะกรอกลงปาก เซียวโม่โฉวมิได้คำนึงว่าสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าหาใช่มนุษย์ หากแต่คิดเพียงการกระทำนั้นโง่เขลาจะเอาน้ำร้อนเช่นนั้นกรอกลงปากได้อย่างไร ร่างกายจึงขยับไปอย่างรวดเร็วคว้าแย่งกาน้ำชาร้อนออกจากมือทู่จึตนนั้นจนพลาดตกลงพื้นแตกกระจาย มิหนำซ้ำน้ำร้อนยังลวกมือของเซียวโม่โฉวไปด้วย
เพล้ง!
“โอ๊ย!”
“โอ๊ะโอ ข้ามิได้ทำอันใดเลยนะ”เจ้าปีศาจทู่จึน้อยยืนนิ่งค้างมองดูสีหน้าปวดแสบปวดร้อนของเซียวโม่โฉวดวงตากลมใสแก้มขาวป่องฮุบอากาศเข้าเต็มแก้มแววตาไร้เดียงสาอย่างแสแสร้งจนน่าจับมาเฆี่ยนให้ก้นลาย ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูเข้ามาอย่างกะทันหันทำเอาหนึ่งบุรุษกับอีกหนึ่งปีศาจหันไปมองยังบานประตูกันเป็นตาเดียว
“เกิดอะไรขึ้นกับท่านหรือไม่ ข้าได้ยินเสียง.....เอ๊ะ! ท่านโดนน้ำร้อนลวก?”
เซียวโม่โฉวไม่รู้จะแสดงสีหน้าอย่างไรดี ตกใจก็ตกใจปวดแสบปวดร้อนก็ร่วมด้วย ไม่รู้ว่าผู้คนตรงหน้ามองเห็นทู่จึตัวปัญหาที่ยืนอล่างฉ่างไม่ใส่เสื้อผ่าอยู่บนโต๊ะตัวกลมกลางเรือนหรือไม่
“จะเจ้า เจ้าเห็นอะไรหรือไม่”ใบหน้าสวยที่ซีดเซียวเหงื่อตกถามไถ่อย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง
“ข้าก็เห็นน่ะสิ เห็นว่ามือท่านโดนน้ำร้อนลวก ท่านอยู่ตรงนี้อย่าไปไหนข้าจะเอายามาให้”เซียวโม่โฉวมองหญิงสาวรับใช้ที่วิ่งออกไปสลับกับเจ้าเด็กล่อนจ้อนที่กำลังกระโดดลงมาจากโต๊ะสาวเท้าเข้ามาหาเขาอย่างฉงน ในหัวครุ่นคิดเรื่องราวเสียจนยุ่งเหยิงจนแทบระเบิด
“ยะอย่าเข้ามานะ จะเจ้าเป็นใครออกไปให้พ้น!”นัยน์ตาที่สั่นเครือขยับดันตัวหนีถอยกรูดไปตามพื้นอย่างผวา ไม่รู้ว่าจะเรียกสิ่งที่ตนมองเห็นตรงหน้าซึ่งผู้อื่นมองไม่เห็นว่าอย่างไร
“ข้าเหรอ? ทู่จึน่ะ นั่นชื่อข้าเอง อ้อจริงสิ แผลนั้นอย่าไปบอกใครเชียวว่าข้าเป็นคนทำ อา....แต่เจ้าเองต่างหากไม่รู้จักระวังน่ะ”ทู่จึที่แปลงกลายเป็นเด็กหากแต่เก็บหูไม่หมดยืนบิดไปมาเหมือนจะรู้สึกผิด ใบหูยาวเล็กๆ ลู่ไปด้านหลังก่อนจะกลับมาตั้งตรงอีกครั้งเมื่อหันไปมองเห็นผลองุ่นสุกหวานที่วางอยู่ตรงริมหน้าต่าง
“ข้ากินมันได้ใช่มั้ย?”
“ยะหยุดเดี๋ยวนี้นะ เหตุใดผู้อื่นถึงมองไม่เห็นเจ้า แล้วทำไมข้าถึงมองเห็นเจ้ากัน”
“นั่นนะเหรอ.....ก็เพราะว่าเวลาของเจ้า.....”
“ข้ามาแล้ว!”ไม่ทันที่ทู่จึตัวป่วนที่จู่ๆ ก็ปรากฏกายมาต่อหน้าเขาจะกล่าวสิ่งใด ประตูก็เปิดเข้ามาอีกครานำพาหญิงสาวที่รับใช้อยู่เรือนแห่งนี้เข้ามาพร้อมกับขวดยาในมือท่าทีรีบร้อน เซียวโม่โฉวก็มิทันได้จับใจความว่าทู่จึพูดเรื่องใด เป็นอันต้องหยุดชะงัก ก่อนที่เจ้าตัวปัญหาที่หายวับไปกับตา
“เจ้าจะไปไหน!”เสียงที่เปล่งออกมาจากปากของเซียวโม่โฉวดังขึ้น
“เอ๊ะ ท่านหมายถึงข้าหรือ?”หญิงสาวตรงหน้าเงยหน้าขึ้นใคร่สงสัยว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้าสนทนากับนางหรือว่าอย่างไร เพราะเห็นกันอยู่ว่านางมิได้ไปที่แห่งใด ซ้ำยังอยู่เบื้องหน้าเสียด้วยซ้ำ
“ปะเปล่า ไม่มีอะไร”
“ท่านดูหน้าซีด ให้ข้ารายงานพ่อบ้านเสินหรือไม่ว่าท่านกำลังป่วย”
“อย่าเดือดร้อนเลย ข้ามิได้ป่วยอะไรแผลเล็กน้อยข้าจัดการเองเจ้าออกไปก่อนเถิด”ร่างเล็กกระวีกระวาดลุกขึ้นพร้อมกับเชิญผู้คนออกจากเรือนพลันปิดประตูหอบหายใจถี่หัวใจเต้นแรงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ข้าเสียสติไปแล้ว หรือหัวของข้ากำลังมีปัญหากันแน่ ความคิดราวกับผู้ที่มีจิตวิปริตกล่าวต่อตนเอง
ใบหน้าสวยได้รูปยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อทว่ากลับสะดุ้งโหยงเพราะความปวดแสบปวดร้อนบนหลังมือยังมิทันจาง ลมเย็นๆ ถูกเป่าผ่านริมฝีปากไปยังหลังมือที่แดงขึ้นราวกับจะบรรเทาความเจ็บด้วยตนเอง แก้มป่องๆ ฮุ๊บลมเข้าปากเป่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ครู่ใหญ่ แล้วเขยิบอย่างผวาไปคว้าขวดยาที่วางไว้ตรงพื้นขึ้นมาแล้วเข้าชิดมุมดูแลตนเองอย่างระมัดระวังดังเดิม
“ตอนนี้เจ้าได้ยินข้าหรือไม่ หากเจ้าและข้าไม่มีอันใดพันผูกต่อกันก็จงอย่าได้มารบกวนข้าอีก หากไม่เช่นนั้นล่ะก็ข้าจะนำเรื่องนี้ไปบอกแก่เจ้าของบ้านให้จัดการเจ้าซะ”
ฟึบ!
“จัดการข้าเหยอ? ไม่เอานา...ข้าออกจาน่าล๊าก”
“เจ้า!!!”เสียงเรียกขานแทบจะกลายเป็นเสียงหวีดร้อง เมื่อทู่จึปรากฏกายขึ้นตรงหน้าของเซียวโม่โฉว มิหนำซ้ำยังเคี้ยวองุ่นอยู่เต็มปากเล็กๆ นั่นด้วยแววตาไร้เดียงสาเสียจนทุบตีไม่ลง ถึงอย่างไรก็มิได้ทำให้ความตกใจกลัวของผู้ที่ตั้งรับเรื่องแปลกประหลาดเหล่านี้ทานทนได้เสียทีเดียว
“ทู่จึ ทู่จึ ทู่จึ! เรียกชื่อข้าซะทีสิเจ้ามนุษย์ผู้โง่เขลา!”
“…..”
“ชิ ข้าจะยอมเล่นด้วยกับเจ้าเพราะเห็นว่าเจ้าน่าสงสารก็ได้”แขนป้อมเล็กๆ นั้นกอดอกทำท่าทีฟึดฟัดใส่เซียวโม่โฉวเสียใหญ่โต
“…..”
“เหตุใดยังไม่เรียกชื่อข้าอีกเจ้ามนุษย์หน้าโง่!”
“เจ้า! เจ้าไม่ได้น่ารักเลยสักนิด!”น้ำเสียงกัดฟันกรอดด้วยความอดทนต่อเจ้าปีศาจตรงหน้า บัดนี้ดูท่าความหวาดกลัวหาใช่เรื่องที่เซียวโม่โฉวผู้นี้จะต้องมารู้สึกกับเจ้าปีศาจทู่จึตนนี้อีกต่อไปแล้ว ควรค่าที่จะรู้สึกเกรี้ยวกราดใส่เสียมากกว่าถึงจะเหมาะ
ครั้นถึงยามอิ่วทิวาเคลื่อนลาลับขอบฟ้าหมูวิหคคืนรัง ความมืดมิดเริ่มปรากฏ เงาไม้ไหวที่อิงแอบเอาผนังเรือนที่เงียบเหงาไหวเอนเป็นเงาไปตามแรงลมที่พักโบก บุรุษหนุ่มผู้ห่มกายตนเองด้วยแขนสองข้างพิงหลังเข้ากับมุมมุมหนึ่งของเรือนที่กว้างขวาง ศีรษะที่พับเอนซบกับท่อนแขนเล็กซึ่งกอดเข่าเอาไว้คล้ายเผลอหลับไป รอยแดงที่เคยปรากฏจากร่องรอยของน้ำร้อนลวกเลือนหายราวกับอันตรธานอย่างน่าแปลกใจ
แสงที่เลือนหายแทนที่ด้วยความมืดที่คืบคลานหาได้มีดวงตะเกียงนำแสงสว่างให้กระจ่างภายในเรือน อีกฟากหนึ่งของจวนกลับส่องสว่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือนหลักของผู้เป็นเจ้าของบ้าน ยามนี้ภายในห้องหับเข้าไปลึกด้านในสุดของเรือนหลักกลับมีผู้คนนั่งล้อมโต๊ะปรึกษาหารือราวกับเป็นราชการลับโดยมีสุราอาหารวางอยู่มากมายเป็นกับแกล้มชั้นดี เจ้าของเรือนผู้เป็นเสนาบดีชั้นสูงนามว่าฉีเหยียนกระดกสุราหนึ่งจอกวางแนบกับโต๊ะด้วยท่าทีผ่อนคลาย ก่อนกล่าวต่อเหล่าขุนนางผู้ต่ำชั้นกว่าที่อาศัยอำนาจตนเป็นใบบุญ
“พิธีการอันศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า ข้าทูลเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้ให้ทรงทราบแล้วทั้งยังให้ข้าเร่งจัดการในเรื่องต่างๆ ด้วยตนเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนข้าจึงได้เรียกพวกท่านมาเพื่อการนี้”
“แน่นอนว่าเรื่องนี้พวกข้าจะให้ความร่วมมือเป็นการสำคัญ ยิ่งชักช้าเท่าไหร่ก็ยิ่งรังแต่จะสั่นคลอนต่อราชบัลลังก์มากเท่านั้น นับตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ซีหมิงตระกูลฉีก็นับเป็นที่ไว้วางใจต่อราชสำนักมาตลอดเรื่องเหล่านี้จึงถูกต้องแล้วที่ท่านเสนาบดีจะเป็นผู้จัดการ”หนึ่งในขุนนางทั้งสามเอ่ยกล่าวชื่นชมผู้มีอำนาจ
“ภัยแล้งนับเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก ข้านึกไม่ถึงว่าการจัดพิธีขอฝนจะมิได้ผลอย่างที่ควรจะเป็น เหล่าราษฎรต่างรอคอยก็ยังมิได้เห็นประจักษ์ถึงอำนาจของโอรสสวรรค์ หากจะให้นิ่งนอนใจก็คงไม่ส่งผลดีเป็นแน่ วันใดกลุ่มคนที่มิพอใจตั้งตนเป็นกบฏสร้างรอยร้าวให้กับราชวงศ์ต่อราษฎร อีกทั้งอาจยกอ้างเอาเรื่องอัปมงคลให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียเกียรติ ความสั่นคลอนคงทำให้ฮ่องเต้จิ้นหวางมีภัยเป็นแน่”ฉีเหยียนกล่าวขึ้นกลางวงสนทนานึกกังวล
เพราะนับตั้งแต่พิธีการขอฝนของจิ้นหวางฮ่องเต้ก็ล่วงเลยมาถึงหนึ่งเดือนแล้ว ภัยแล้งที่ยังคงคุกคามก็หาได้มีทีท่าว่าจะยุติลงแต่อย่างใด ครั้นนานไปผู้คนคนจึงเริ่มตั้งข้อครหาตั้งแง่สงสัยในอำนาจบารมีของโอรสสวรรค์อันก่อให้เกิดความไม่วางใจต่อราษฎร ส่งผลถึงความมั่นคงในราชบัลลังก์ ทั้งนี้เมื่อมิได้ด้วยกลก็จักต้องเอาด้วยเล่ห์ ต่อให้สิ้นเสียไปสักเท่าไหร่ก็ย่อมขอแลกเพื่อการครั้งนี้
ทั้งประโยชน์ที่ได้มาซึ่งอำนาจและความไว้เนื้อเชื่อใจต่อราชสำนักเส้นทางที่จะก้าวไปสู่การอวยยศศักดิ์ในวันข้างหน้า ทั้งความหวังที่จะให้บุตรสาวได้ก้าวขึ้นเคียงคู่มังกรก็คงอยู่ไม่ไกล นั่นคือความปรารถนาส่วนลึกของฉีเหยียน
“หลังจากทำพิธีข้ามิรู้ว่าผลจะเป็นเช่นไร ทั้งข้าและพวกท่านก็ต่างทราบดีว่า พิธีการสำคัญครั้งนี้ขึ้นอยู่กับชีวิตของฮ่องเต้ คงมิลืมใช่หรือไม่ว่าหากเกิดเรื่องผิดพลาด เวทมนตร์ดำเหล่านั้นจักไม่ปรานีต่อผู้ใด แม้ราชสำนักได้ชื่อว่าเป็นชนชั้นที่มีอำนาจมากล้น ทว่ามิใช่กับหลี่รั่วถง”จินเหอผู้เป็นหนึ่งในผู้ที่เข้าพูดคุยในครั้งนี้กล่าวขึ้นสีหน้าเคร่งขรึม เตือนสติด้วยความจริงที่มิอาจแสร้งลืมเลือนได้
ความเงียบงันปรากฏอยู่ครู่หนึ่งคล้ายให้ผู้ที่รับฟังครุ่นคิด
“เป็นอย่างที่ท่านจินเหอกล่าว เวทมนตร์ดำเป็นสิ่งต้องห้ามของราชวงศ์ หากมีผู้ใดนำมาใช้จักต้องโทษประหารเจ็ดชั่วโคตร และหากมีสิ่งผิดพลาดเวทมนตร์ดำเหล่านั้นก็จักกลืนกินผู้วอนขอความปรารถนาจนสิ้นลมหายใจ”ฉีเหยียนกล่าวเรื่องน่ากลัวเหล่านั้นด้วยแววตานิ่งเรียบ สุราถูกยกขึ้นดับกระหายอีกหนึ่งจอก มิได้แตะต้องกับคาวหวานตรงหน้าแม้แต่น้อย
“ดั่งเรื่องของอดีตวู่เจิงฮ่องเต้”จินเหอหลับตารำลึกถึงประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ที่มิได้จารึก วู่เหอฮ่องเต้ที่สิ้นพระชนม์อย่างประหลาดหลังจากเข้าไปพัวพันกับมนตร์ดำด้วยเรื่องชิงอำนาจราชบัลลังก์
“ตอนนั้นกับตอนนี้ต่างกัน ข้ามั่นใจว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด อย่าได้กลัวเกรงในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง”ฉีเหยียนเปล่งเสียงกร้าวเพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนต่อเหล่าผู้ร่วมล่มหัวจมท้ายไปด้วยกันในครานี้
“พวกข้าไว้ใจท่าน และไว้ใจผู้คนที่ท่านคัดเลือกมาดีแล้ว”
“อย่าได้ห่วงเรื่องนั้น ข้ามิเคยทำสิ่งใดพลาด”
“เช่นนั้นพวกข้าก็ยิ่งวางใจ”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูจากด้านนอก ปลุกให้เซียวโม่โฉวที่คุดคู้อยู่ในมุมห้องลืมตาตื่นขึ้น ทว่าสิ่งแรกที่กระทำมิใช่การลุกขึ้นไปเปิดประตู แต่เป็นการกวาดสายตามองไปโดยรอบแววตาหวาดหวั่นต่อสิ่งที่พบพาน เสียงย้ำเคาะประตูดังขึ้นอีกระลอกจึงทำให้ร่างของบุรุษหนุ่มขยับลุกขึ้นไปเปิดประตูออก
“ข้าจะเข้ามาจุดตะเกียงให้ ท่านไม่เป็นอะไรแล้วใช่หรือไม่”
“ข้า.....ไม่เป็นอะไรแล้ว”ดวงตาคู่สวยหลุบลงตำลอบมองหลังมือตนเองอย่างประหลาดใจเพียงครู่
ไม่เจ็บ.....นั่นคือความรู้สึกของเซียวโม่โฉว อีกทั้งรอยแดงนั่นหายไป
“ไม่ก็ดีแล้ว อีกสักครู่พ่อบ้านเสินจะมาพาท่านออกไป ท่านเตรียมตัวเถิด”เซียวโม่โฉวมองตามแผ่นหลังของสาวรับใช้ประจำเรือนแห่งนี้คิ้วขมวด
“พาข้าไปที่ใด?”
“ข้าไม่รู้”นั่นคือคำตอบที่ได้ นางพยายามยิ้มหากแต่เป็นเพียงยิ้มที่ฝืดนัก คล้ายมองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตาสงสาร
“ขอบใจเจ้ามาก”หลังจากประตูปิดลง ผู้ที่ยืนมองบานประตูนิ่งค้างไม่ขยับเขยื้อนร่างกายใดๆ ราวกับอยากจะก้าวตามเดินออกไปแต่กลับทำไม่ได้ เส้นบางที่ขัดกันอยู่ในจิตใจว่าหากเหยียบย่างออกไปนั้นก็ราวกับอกตัญญู
เพียงไม่นานบานประตูก็เปิดออกอีกครั้ง ทว่าหาได้มีเสียงเคาะนำเรียกขานใดๆ ไม่ ผู้ที่เดินเข้ามาเป็นพ่อบ้านเสินและบ่าวรับใช้อีกสองที่เดินตามมาด้านหลัง คนผู้หนึ่งในมือถือถาดไม่สลักลวดลายสวยงามบรรจุเสื้อผ้าสีขาวสะอาดพับไว้เรียบร้อยอย่างประณีต อีกหนึ่งคนถือกล่องไม้สีดำขนาดไม่ใหญ่มากก้มหน้าก้มตานิ่งสงบ
“ข้ามารับท่านไปชำระร่างกาย”เซียวโม่โฉวผุดลุกขึ้นกะทันหันร่างกายไหวเอนเซไปเล็กน้อย มองผู้มาเยือนแวตาฉงน
“ชำระร่างกาย?”
“รับสิ่งนั้นแล้วเปลี่ยนชุดตามข้ามาเถิด”พ่อบ้านเสินให้บ่าวรับใช้ยกเสื้อผ้าสีขาวสะอาดสะอ้านไปให้ เซียวโม่โฉวเอื้อมมือไปรับ มองดูสิ่งของที่ได้รับครั้นยกมือขึ้นลูบเนื้อผ้าที่นุ่มสะอาดราวกับมิเคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิต
“ให้ข้าใส่ชุดนี้เช่นนั้นหรือ”
“ข้าจะรอท่านอยู่ตรงนี้”ชัดเจนว่าผู้คนตรงหน้าต้องการให้เซียวโม่โฉวปฏิบัติตามแต่โดยดี บุรุษหนุ่มจึงหลบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ด้านหลังอย่างไม่ปริปากแย้ง เนื้อผ้าสีขาวสะอาดดูสว่างตาประดับบนเรือนกายของบุรุษหนุ่มแล้วช่างเป็นความเรียบง่ายที่ดูสง่าผ่าเผย เนื้อผ้าสีขาวช่างเหมาะสมกับร่างกายที่ได้สัดส่วนไม่ค่อนไปทางบุรุษมากนัก เสื้อป้ายด้านในที่แยกออกเล็กน้อยดูน่าหลงใหล ช่วงเอวถูกคาดทับด้วยสายคาดเอวที่เย็บขึ้นจากผ้าสีดำประณีตผูกแน่นด้วยความคุ้นชิน ครั้นแต่งกายเสร็จจึงเดินออกมาสร้างความพึงพอใจต่อผู้พบเห็น ผมยาวที่สยายอยู่เบื้องหลังแม้จะมิได้เป็นระเบียบก็หาได้ดูยุ่งเหยิงทว่ากับชวนมองดึงดูดสายตายิ่งนัก
“ข้าพร้อมแล้ว”น้ำเสียงเรียบเอ่ยขึ้นท่ามกลางแสงสว่างที่สะท้อนออกมาจากตะเกียงหลายดวงที่ถูกจุดขึ้นภายในห้อง พ่อบ้านเสินพยักหน้ารับยิ้มให้
“เช่นนั้นเชิญท่านตามข้ามาเถิด”
ระหว่างที่เดินตามไกลออกไปจากเรือนที่ตนอยู่ในใจของบุรุษหนุ่มกลับยิ่งรู้สึกประหวั่น มือขาวที่เย็นเยียบกำแน่นจนสั่นไหว ดวงตาคู่สวยหรี่ลงลงพื้นคิ้วขมวดมุ่นคิดเรื่องต่างๆ นานาไม่รู้โชคชะตาของตนเองแม้แต่น้อย
ครั้นไม่นานเมื่อเดินผ่านเรือนต่างๆ เลียบสวนดอกไม้ข้ามสะพานสระบัวไปไม่กี่อึกใจเบื้องหน้ากลิ่นหอมอ่อนๆ ของบุปผาที่กำจายอยู่โดยรอบก็ดึงความสนใจให้แก่เซียวโม่โฉวไม่น้อย บุรุษหนุ่มถูกนำไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งไกลลับผู้คนออกมา บริเวณโดยรอบปลูกต้นท้อไว้ซึ่งบัดนี้กำลังออกดอกบานสะพรั่งจนมิสามารถละสายตาไปจากความงามนั้นได้ ท่ามกลางดอกท้อที่เบ่งบานโดยรอบกลับมีสระน้ำขนาดย่อม
ไอสีขาวที่ลอยกรุ่นขึ้นเหนือผิวน้ำด้านบนดึงดูดความสงสัยให้ไม่ต่างจากวิสัยทัศน์โดยรอบ เซียวโม่โฉวก้าวเดินไปสำรวจสถานที่เบื้องหน้าอย่างไม่ทันรู้ตัว พลางก้มลงเก็บกลีบดอกท้อสีชมพูที่แสนจะบอบบางขึ้นสัมผัสแววตาพราวระยับไม่ต่างจากเงาจันทร์เต็มดวงที่สะท้อนไหวที่บนผิวน้ำ
หากเป็นความฝันคงจะมิได้เหมือนจริงเช่นนี้นัก ความคิดขบขันเล็กน้อยเผยรอยยิ้มที่กระตุกขึ้นตรงมุมปากเล็กเพียงเล็กน้อย
“ที่นี่คือสถานที่ที่ชำระล้างร่างกายของท่าน ข้าให้คนตระเตรียมไว้หมดแล้วเชิญท่านลงสระเถิด”
“เอ๊ะ! ให้ข้าลงสระน้ำที่นี่เวลานี้น่ะเหรอ?”
“ใช่แล้ว นับจากวันนี้ท่านจะต้องมาชำระล้างร่างกายที่นี่ทุกค่ำคืน ทั้ง 3 วันวันละครึ่งชั่วยามอย่าได้ขาดเหลือก่อนพิธีกรรมจะเริ่มขึ้น”ครั้นพ่อบ้านเสินพูดกล่าวก็พยักพเยิดใบหน้าให้บ่าวรับใช้ที่ถือกล่องไม้นำของบางอย่างที่อยู่ด้านในเปิดออก เป็นขวดแก้วสีขาวใสที่บรรจุของเหลวบางอย่างกำลังถูกเทราดลงไปในสระน้ำขนาดย่อมส่งกลิ่นหอมคล้ายดั่งสมุนไพรอบอวลไปทั่ว
“แต่ว่า.....”
“ข้าจะให้ผู้คนรออยู่ด้านนอก เชิญ”แม้ใบหน้าที่มิได้ขู่เข็ญหากแต่สายตาที่กร้าวขึ้นก็ไม่สามารถปฏิเสธคำเชิญเหล่านั้นได้ เท้าข้างหนึ่งของเซียวโม่โฉวจำต้องค่อยๆ เหยียบลงบนผืนน้ำที่หาได้เย็นเยียบทว่ากลับอุ่นขึ้นอย่างประหลาด ก่อนจะค่อยๆ ก้าวขาลงช้าๆ อีกข้างจมท่อนหนึ่งของร่างกายลงไปในน้ำอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ เมื่อพ่อบ้านเสินเห็นว่าผู้ถูกควบคุมอยู่ในโอวาทก็เพียงพยักหน้าเล็กน้อยส่งผู้คนออกไปก่อนจะหันหลังเดินออกไปเช่นกัน
ร่างบางทว่ายังพอมีกล้ามเนื้ออยู่บ้างค่อยๆ กดตัวจมลงในน้ำอุ่นให้อยู่ในระดับอกพลางสูดเอากลิ่นหอมที่ราวกับกำซาบไปถึงจิตใจหลับตานิ่งสงบเพียงครู่ พลันพรูลมหายใจออกมาแทนความรู้สึกทั้งหมดในยามนี้
พวกเขาเอาแต่พร่ำพูดถึงเรื่องพิธีกรรมหากแต่มิเคยบอกกล่าวต่อข้าว่าด้วยเรื่องใด ข้าต้องเป็นผู้ที่หลับหูหลับตาไม่รู้เรื่องราวเช่นนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน
ใบหน้าขาวที่แดงระเรื่อด้วยความอุ่นของน้ำก้มหน้ามองเงาตนเองที่กระเพื่อมไหวอยู่บนผิวน้ำ ก่อนจะเงยหน้าพร้อมดวงตาคู่สวยเชิดปลายจมูกรั้นสัมผัสกับอากาศที่มิได้อุ่นเฉกเช่นน้ำในสระ ก็พาลทำให้อยากจะจมศีรษะลงไปในก้นสระเสียให้รู้แล้วรู้รอด หากไม่ติดว่ามีห่วงที่จับมาคล้องคอด้วยตนเองถึงสามชีวิตก็คงไม่ไยดีคิดมากอยู่เช่นนี้ไม่
วูบบบบ!
ครู่หนึ่งขณะที่เซียวโม่โฉวกำลังนิ่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ลมที่เย็นยะเยือกก็พัดหอบเอากลีบดอกท้อปลิ้วว่อนไปในอากาศภาพเบื้องหน้างดงามทว่าหากไม่เกิดความผิดปกติบางอย่างกับร่างกายคงได้ชื่นชม หากแต่ยามนี้จู่ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดบริเวณลำคอขาวที่หวนให้นึกถึงค่ำคืนที่ได้พบพานสัวต์อสูรก็ฉายชัดให้ระลึกขึ้น
“ฮึก! คอของข้า”ความเจ็บปวดพลันพาเอาน้ำตาไหลริน ประจวบเหมาะกับเสียงการเคลื่อนไหวบางอย่างที่ดังขึ้นราวกับมีผู้คนลอบเข้ามาทำให้เซียวโม่โฉวผุดลุกขึ้นยืนไปยังขอบตื่นบริเวณสระกวาดดวงตามองโดยรอบอย่างระแวดระวัง
อาภรณ์ที่เปียกปอนเรียบลู่ไปกับผิวเนื้อหากมิใช่เพราะความสลัวที่บดบังทุกอย่างให้พร่าเลือนก็คงจะมองเห็นผิวขาวที่เปียกชื้นและสัดส่วนเว้าโค้งที่กำลังสั่นไหวเสียจนหมดสิ้น
“นั่นใครอยู่ตรงนั้น!”
เสียงเรียกมุ่งมองไปยังทิศทางที่ไร้การตอบรับแววตาขลาดกลัว ทว่าไม่ผิดไปจากที่คิดบุรุษหนุ่มคิด เพราะมีบางสิ่งบางอย่างกำลังจ้องมองมายังร่างกายที่เปียกปอนหากแต่เร้นกายไม่เปิดเผยตัวตน
ตอนติดตามตอนต่อไป >>>
ขอบคุณนักอ่านที่เป็นหูเป็นตาให้ค่ะ คำผิดเพราะสะเพร่าเองโดยแท้ :z3:
ยังไงก็ฝากตอนต่อไปด้วยนะคะ
เม้น ติชม เป็นกำลังใจ ยินดีรับเสมอค่ะ เพราะขาดแคลน :hao5:
ด้วยรัก
หลานฮวา
-
:3123: :pig4: :3123:
-
รีบมาน้าาา
-
สนุกเกินคาด รอต่อไปค่ะ
-
:hao7: :hao7:
-
เพิ่งเจ้าอ่าน :hao4: สนุกมากและจะรอติดตามตอนต่อ ๆ ไปนะ o13 :bye2:
-
น่าสนุก
-
บทที่ 3
บุรุษผู้ถูกลิขิตชะตา
[50%]
แม้เสียงเรียกจะดังขึ้นชัดเจนถึงสามครั้งสามครา ทว่าร่างสูงสง่าที่ยืนนิ่งบนกิ่งท้อใช้ลำต้นพิงไหล่ก็หาได้สนใจที่จะปรากฏกายออกไปไม่ รอยยิ้มหยักกระตุกขึ้นคิ้วเรียวราวกับกระบี่ตวัดเฉียงรับกับใบหน้าคมคายแววตาดุดันและเจ้าเล่ห์ได้อย่างไร้ที่ติ ลำแขนที่ยกขึ้นกอดอกคลายออก ดวงตาคู่สีดำนิลก็ยังคงจดจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างละสายตาไปไม่ได้
พริบตาเดียวจากร่างกายสูงใหญ่ที่ยืนอยู่บนกิ่งท้อกลับกระโดดลงมาเพียงครู่วางเท้าเบาหวิวลงกับพื้นแล้วก้าวไปเบื้องหน้าสองก้าวพ้นอาณาบริเวณที่เป็นมุมลับสายตาทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สามารถมองเห็นได้
“ในที่สุดข้าก็เจอเจ้า แม้ผ่านไปกี่พันปีก็ยังงดงามไม่เปลี่ยน หึ!”ยิ้มร้ายปรากฏทว่ากลับเพียงเอ่ยขึ้นเช่นนั้นมิได้ลงมือกระทำเรื่องใดบุ่มบ่าม เพียงจ้องมองร่างขาวที่ส่งสายตาหวาดหวั่นกวาดสายตามองไปเรื่อย
ครู่หนึ่งที่ผู้บุกรุกลอบสังเกตเห็นทำเอาไม่พอใจก็เห็นทีจะเป็นร่องรอยสัญลักษณ์ที่หลี่รั่วถงได้ทิ้งเอาไว้บนกายบุรุษตรงหน้า ใบหน้าที่ยิ้มย่องกลับต้องถมึงทึงแววตาแสดงความฉุนเฉียวออกมาเสียแทน
“หลี่รั่วถง ข้าจูเกิงเฉินผู้นี้ไม่มีทางจะเป็นรองเจ้าอีกแน่ เตรียมตัวเตรียมใจไว้เถิด!”น้ำเสียงกร้าวเอ่ยลอดผ่านไรฟันอย่างเข่นเขี้ยวก่อนจะหายตัวไปในชั่วพริบตาหอบเอาลมแห่งความคุกรุ่นติดกายไปด้วย
ลมวูบใหญ่พัดหอบเอากลีบดอกท้อปลิวว่อนไปในอากาศ เซียวโม่โฉวได้แต่เพียงพินิจพิศมองในความมืดสลัว ครั้นไม่เห็นสิ่งใดแปลกไปจึงจุ่มกายลงน้ำอีกคราหลีกหนีความหนาวเหน็บที่เกาะกินผิวเนื้อ พลันสูดลมหายใจเข้าออกวักน้ำเข้าล้างหน้าสองสามครั้งก่อนจะพิงหลังเข้ากับหินก้อนใหญ่เงยหน้าหน้ามองดูดวงจันทราที่เด่นสง่าชวนมอง มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบสัมผัสลำคอขาวที่หาได้มองเห็นว่ามีสิ่งใดปรากฏขึ้นในขณะนั้นด้วยจิตใจที่เหม่อลอย
“ข้ามาทำสิ่งใดที่นี่กัน....หึ”ถอยคำที่พึมพำออกจากปากตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะให้กับตัวเองหาใช่ความขบขันแต่อย่างใด
วันนี้หากจะกล่าวว่าไม่สงบเท่ากับสองวันก่อนก็คงจะว่าได้ เป็นอีกครั้งที่เซียวโม่โฉวได้เยื้องย่างออกจากเรือนที่ตนอยู่นอกเสียจากไปยังสระชำระร่างกายมาสองราตรีแล้ว คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายก่อนพิธีการจะเริ่มขึ้น ทว่าวันนี้กลับมีคำสั่งจากฉีเหยียนให้นำเซียวโม่โฉวไปยังห้องตัดเย็บ ศีรษะที่ผงกให้กับผู้คนตลอดทางด้วยความนอบน้อมแทบทำเอาบุรุษหนุ่มวิงเวียนไม่น้อย หากแต่ไม่มีอะไรที่แปลกใจได้เท่ากับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่หยิบยื่นให้ลองสวมใส่ซึ่งถูกเย็บขึ้นอย่างประณีตด้วยช่างฝีมือดีแห่งบ้านฉี พ่อบ้านเสินพยักหน้าให้บุรุษหนุ่มรับไว้ แน่นอนว่าเซียวโม่โฉวไม่อาจปฏิเสธน้ำใจฝืนบังคับได้
เขาให้ทำอย่างไรตนก็จะต้องทำเช่นนั้นไฉนเลยจะมีปากเสียงไปคัดค้านสิ่งใดได้
“งดงามนักเจ้าค่ะ”หญิงสาวนางหนึ่งที่ทำงานอยู่ในห้องตัดเย็บจัดแจงสวมทับเสื้อคลุมยาวขาวดุจไข่มุกชิ้นสุดท้ายให้แก่เซียวโม่โฉว สีขาวบริสุทธิ์ขับให้ผิวพรรณของบุรุษที่ผ่านการดูแลมาไม่น้อยในช่วงสามสี่วันนี้ดูผ่องใสขึ้น กล่าวเสร็จนางจึงค้อมตัวเอ่ยขึ้นกับพ่อบ้านเสินที่ทำหน้าที่ของตนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง“เหมาะกับคุณชายผู้นี้นัก”
“ทำงานได้ดี ไม่ผิดที่นายท่านไว้ใจเจ้า”
“ขอบคุณพ่อบ้านเสิน หากมิใช่คุณชายผู้นี้ที่สวมใส่ก็หาได้งดงามถึงเพียงนี้ เสื้อผ้าอาภรณ์ทุกชิ้นล้วนตัดเย็บขึ้นตามลักษณะบุคคล ข้าเพียงทำหน้าที่ของข้าเท่านั้น”
“เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าชอบมันหรือไม่”พ่อบ้านเสินเห็นว่าผู้ที่ถูกจับสวมเสื้อผ้าแข็งทื่อราวกับหุ่นไม้จึงเอ่ยถามไถ่ขึ้นพลางลอบสังเกตสีหน้าไปด้วย
“ข้ามิเคยได้สวมใส่เสื้อผ้าตัดเย็บที่งดงามเช่นนี้ หากผู้มองดูพึงพอใจข้าก็มิได้คิดแย้ง หากแต่.....ข้าต้องรับสิ่งนี้ด้วยเหตุผลใดหรือพ่อบ้านเสิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่”ดวงตาคู่สวยก้มมองสิ่งที่ตนเองสวมใส่อย่างไม่เข้าใจนัก จึงถามไถ่ออกไป
“หลังจากที่เจ้าชำระร่างกายแล้วในราตรีนี้ ก็จงสวมใส่เสื้อผ้าชุดนี้ที่ตัดเย็บขึ้นมาเพื่อเจ้าเสีย ข้าจะให้ถิงเย่เป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยให้แก่เจ้า หลังจากนั้นจะมีผู้คนไปรับเจ้ายังเรือนเพื่อไปร่วมพิธีศักดิ์สิทธิ์ เวลานั้นเจ้าก็เตรียมตัวเสียให้พร้อมเข้าใจหรือ
ไม่”แม้น้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มหู ครั้นได้ยินเซียวโม่โฉวได้รับฟังกลับรู้สึกอื้ออึงอยู่ในอก มิรู้ว่าเพราะเหตุใดจึงรู้สึกเคว้งคว้างเช่นนั้น
“ข้าต้องไปที่ใด? ท่านพ่อกับท่านแม่เล่า จะไปกับข้าด้วยหรือไม่”แววตาใสจ้องมองผู้คนตรงหน้าคะนึงหาผู้เป็นบิดามารดาอยู่เนืองๆ ที่มิได้พบเจอกันเลยแม้แต่น้อย เช่นไรเห็นทีผู้ที่จะคร่ำครวญหาก็คงมีเพียงแต่เซียวโม่โฉวฝ่ายเดียว โดยหารู้ไหมว่านับแต่บุรุษหนุ่มก้าวเท้าออกจากบ้านไปไม่ถึงหนึ่งวัน สถานที่แห่งนั้นก็กลายเป็นร้างผู้คนอาศัย ที่ที่บุรุษหนุ่มยังคงปรารถนาจะไปเหยียบย่างและเรียกขานว่าบ้านก็หาได้เป็นเช่นนั้นแล้ว
ในเมื่อได้รับเงินทองมาเสียมากมายบ้านคับแคบเฉกเช่นรูหนู ก็หาใช่ที่อยู่ของคนที่มีอันจะกินอีกต่อไป ดังนั้นแล้วครอบครัวของเซียวโม่โฉวจึงพากันย้ายออกไปยังที่ที่เหมาะสมกว่า
จากคำถามที่มิได้อยากตอบให้ผู้คนตรงหน้าไม่สบายใจ พ่อบ้านเสินจึงเพียงส่ายหน้าซ่อนสายตาเวทนาต่อบุรุษตรงหน้าไว้“ไม่มีผู้ใดไปด้วยเจ้า เอาเถิดกลับไปพักผ่อน แล้วข้าจะให้คนดูแลเรื่องเวลาและลำดับขั้นตอนต่างๆ ในวันนี้ให้”
“คือว่า.....”
“เจ้ามีสิ่งใดก็พูดมาเถิด”
“ก่อนกลับเข้าเรือน ข้าอยากเดินเล่นด้านนอกสักประเดี๋ยวจะได้หรือไม่”สิ่งที่เอ่ยร้องขอแม้จะมิได้มากมายทว่ากลับเป็นสิ่งที่พ่อบ้านเสินต้องครวญคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าให้
“ข้าจะให้เวลาเจ้าเพียงครึ่งชั่วยาม”
“ขอบคุณพ่อบ้านเสิน”
อิสระเล็กๆ ที่เซียวโม่โฉวถวิลหา กลับทำให้ใบหน้าที่ราวกับหดหู่ชื่นมื่นขึ้นอีกครา แม้แต่เพียงก้าวเดียวที่ได้สัมผัสกับพื้นดินด้านนอก กระทั่งแสงแดดอ่อนๆ ที่กระทบกับผิวกายที่ขาวนวลผุดผาดก็นับว่าเป็นวาสนาของเซียวโม่โฉวในยามนี้นัก
พิภพแห่งหยิน
ณ ลานหินขนาดย่อมอันเป็นสถานที่พักผ่อนชนจอกร่ำสุราตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศราวกับห้อมล้อมด้วยทะเลสาบสีเพลิง น้ำในทะเลสาบที่แดงฉานเฉกเช่นโลหิตราวกับโรยด้วยกลีบบุปผา ทว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่มองเห็นนั้นกลับเป็นบ่อกลืนวิญญาณที่หากมิใช่ผู้เก่งกล้าในวิชาแล้วก็หาได้กลับขึ้นมาหากพลาดท่าตกลงไป
สองบุรุษที่นั่งสนทนาด้วยอิริยาบถผ่อนคลาย ผู้หนึ่งเป็นถึงจ้าวพิภพแห่งหยิน และอีกผู้หนึ่งเป็นถึงจ้าวพิภพแห่งหยางเจ้าของเส้นผมสีขาวผ่องสะท้อนวาวกับแสงสว่างชวนจ้องมองยิ่งนัก ทั้งนี้ยังเป็นถึงผู้ช่ำชองในเรื่องสุรารสเลิศหากจะกล่าวแล้วไม่มีสุราชนิดใดที่ไม่เคยผ่านลำคอของหวางหรูอี้ หากแต่กระนั้นเขาก็มิเคยเมามายจนหาทางกลับดินแดนของตนเองไม่ได้
ครั้งนี้สหายรู้ใจอย่างหวางหรูอี้มิได้มาพิภพแห่งหยินเพียงเพื่อพบปะหลี่รั่วถง หากแต่มาสืบส่องความเป็นอยู่ของหลี่รั่วถงเสียมากกว่า จะว่าไปก็นับครั้งไม่ถ้วนแล้วที่หวางหรูอี้นำพาตนเองมายังพิภพแห่งหยินด้วยตนเอง เพราะหลี่รั่วถงยากนักที่จะเชื้อเชิญผู้ใด ราวกับจะปิดสถานที่แห่งนี้ให้มืดมิดเฉกเช่นอุปนิสัยเคร่งขรึมนั้นไปก็ว่าได้
“เห้อ.....ข้าบอกเจ้าตั้งหลายครั้งหลายคราแล้วมิใช่หรือว่า เช่นไรเบื้องบนก็มิได้เป็นมิตรนัก อย่างเจ้าสามตาเอ้อหลางก็มิได้ต้องชะตากับเจ้าสักเท่าไหร่ หึ! ข้านึกภาพออกเลยทีเดียวว่าคนผู้นั้นร้อนรนดังไฟโลกันตร์เพียงใดที่ถูกเรียกให้ส่งเจ้ากลับมาโดยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่ามีผู้บุกรุกเป็นถึงจ้าวพิภพแห่งหยินเข้าพบอวี้หวงต้าตี้โดยพลการเช่นนั้น”เส้นผมสีขาวที่คลอเคลียอยู่ชิดกรอบหน้าได้รูปพลิ้วไหวไปมา เมื่อเจ้าของไหสุราเงยหน้าหัวเราะขบขันหยักยิ้มให้กับสหายผู้ที่นั่งเคร่งขรึมมิยอมคลายใบหน้าบึ้งตึงอยู่เบื้องหน้า
ครั้นนึกถึงวันที่ฟ้าสะเทือนเมื่อหลี่รั่วถงบุกรุกไปถึงชั้นฟ้ามิได้ผ่านขั้นตอนตรวจสอบใดไปพบเจอกับอวี้หวงต้าตี้ถึงท้องพระโรงด้วยความกล้าแกร่งมิใช่เพียงพลังอำนาจหากแต่หยั่งรากไปถึงจิตใจบุรุษ ลึกแล้วก็ทำให้หวางหรูอี้หนาวสั่นในความใจกล้าที่มิได้มีเฉกเช่นหลี่รั่วถงไม่น้อย
ใครเล่าจะรู้ แม้ว่าหลี่รั่วถงจะมีฐานะด้อยกว่าผู้ปกครองชั้นฟ้าที่ควบคุมกฎเกณฑ์ทุกสรรพสิ่ง หากแต่ในเรื่องสติปัญญาไหวพริบและความห้าวหาญหาได้มีผู้ใดเทียบเทียมได้
“หากเจ้ามาเพียงเพื่อหัวเราะเยาะข้าก็กลับไปยังที่ของเจ้าได้แล้ว สิ้นเปลืองสุราของข้านัก”
“ดูเอาเถิดว่าจ้าวพิภพแห่งหยินแล้งน้ำใจต่อสหายเช่นข้าเพียงใด ผู้คนที่หวาดกลัวเจ้าในใต้หล้ารู้เข้าคงจะขลาดกลัวในความตระหนี่เสียมากกว่าอำนาจเวทมนตร์ของเจ้าเป็นแน่”
“ข้ามิเคยประกาศกร้าวให้ผู้ใดเกรงกลัวข้า หากแต่ผู้คนเหล่านั้นมิใช่หรือที่เรียกร้องให้ข้าเหี้ยมเกรียมใส่ได้เก่งกาจนัก”แววตาคมกริบแม้ทอดมองไปยังหมอกกลางทะเลสาบกลืนวิญญาณทว่าแววตาน่ากลัวเกรงนั้นกลับทำเอาบรรยากาศเย็นเยียบไม่ต่างจากวังน้ำแข็ง
“ก็จริงของเจ้า มนุษย์ที่โง่เขลามักไขว่คว้าเอาเรื่องอัปมงคลใส่ตัว เจ้าทำถูกแล้วที่สั่งสอนคนอวดดีเหล่านั้น”
“การแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมข้าไม่ปฏิเสธ ชีวิตและความปรารถนาย่อมแลกได้”หลี่รั่วถงเอ่ยมาประโยคหนึ่ง หวางหรูอี้หยุดกระดกสุราสีหน้าที่เคยสำราญแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งเรียบ
“เหมือนที่เจ้าใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้กับเรื่องบางอย่างเช่นนั้นหรือ”
“ข้ามิได้ทำลายกฎเกณฑ์ใด เจ้าย่อมรู้ดีแก่ใจว่าเช่นไรข้าก็มีคุณธรรมพอ”
“เฮอะ! ให้พ่อมดใจเหี้ยมเช่นเจ้ากล่าวเรื่องคุณธรรม ข้าต้องแสดงความยินดีหรือร่ำไห้ตอบข้าทีเถอะ”หวางหรูอี้ส่ายหน้ากระดกไหสุราในมือต่ออีกอึก ก่อนปาดมุมปากด้วยลำแขนท่าทีขวัญเสียกับเรื่องคุณธรรมที่ได้ยินจากปากหลี่รั่วถง
ผู้ใดจะยอมรับได้กับผู้ที่กลืนกินวิญญาณผู้คนแลกด้วยความปรารถนาอย่างใจเหี้ยมได้เช่นเจ้ากันเล่า
“ก่อนจะมากลุ้มใจเรื่องของข้า เจ้ากลับไปสะสางปัญหาของตนเองเสียก่อนเถอะ”
“ข้าผู้รักความสงบหาได้มีปัญหามากมายเช่นเจ้า”หวางหรูอี้ลอยหน้าลอยตากล่าวขึ้น
“ติงเจิ้งหวา.....นั่นมิใช่ตัวปัญหาของเจ้าหรืออย่างไรกัน หึ!”ยิ้มเยาะที่กระตุกขึ้นราวกับตอบโต้ผู้คนตรงหน้าได้อย่างแยบยล หากจะกล่าวถึงแล้วติงเจิ้งหวานั้นเป็นถึงจ้าวแห่งนรกภูมิ กิตติศัพท์ทุกภพต่างรู้ดีว่าคนผู้นั้นอุปนิสัยเป็นเช่นไร จะว่าดีก็มิใช่จะว่าร้ายก็ไม่เชิง หากแต่ความเด็ดขาดและซื่อตรงก็คงจะปฏิเสธไปเสียมิได้ เช่นนั้นจะลงโทษดวงวิญญาณที่กระทำผิดตัดสินชี้ขาดได้อย่างไร
“เหตุใดต้องยกคนผู้นั้นขึ้นพูดให้ข้าต้องเสียอารมณ์ ชังกันมากหรือไรถึงได้เย้ยข้าเช่นนั้น”หวางหรูอี้นึกฉุนเฉียวครั้งที่ทั้ง 4 ชั้นฟ้าพบปะพูดคุยกันครั้งใหญ่ หากมิใช่ติงเจิ้งหวาที่หักหน้าหวางหรูอี้ต่อหน้าผู้คน กล่าววาจาสบประมาทถึงจ้าวพิภพแห่งหยางที่เมามายเช้าค่ำไม่วางตนให้ผู้คนเกรงขาม เห็นทีจะเลื่อมใสได้ยากนัก ประโยคเพียงสั้นหากแต่ฝังใจเจ็บตราบนานเท่านาน หวางหรูอี้จึงได้แค้นเคืองจ้าวแห่งนรกภูมิไม่หาย
ถึงข้าจะเมามายเช้าค่ำ ก็มิได้ไปสำรอกใส่ศีรษะผู้ใด หน้าที่ข้ามิเคยต้องให้ผู้ใดสอดมือเข้ามายุ่มย่ามก็สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีมานับพันๆ ปีแล้ว ชิชะเจ้าคนอวดดี!
“จะจงเกลียดจงชังเช่นไร เจ้าก็มิอาจปฏิเสธได้ หารหรงฮุยนั้นอย่างไรเจ้าก็ต้องพบเจอกันอีกนานนักหากไม่สิ้นวาสนากันไปเสียก่อน หากยอมอ่อนข้อให้เสียบ้างเจ้าก็จะมิต้องฉุนเฉียวอยู่ไม่วายเช่นนี้”
“หึ! ให้ข้าญาติดีกับคนผู้นั้นยังเร็วไปพันชาติเถอะ”
“ก็แล้วแต่เจ้าเถิด ใครเล่าจะกล้าตัดสินใจแทนจ้าวพิภพแห่งหยางได้ อย่างไรเจ้ากับข้ายังต้องพึ่งพากันอีกนับครั้งไม่ถ้วนจะตัดสัมพันธ์ความเป็นสหายด้วยเรื่องหมองใจผู้อื่นตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลา”หลี่รั่วถงกล่าวสีหน้านิ่งยกกาสุรารินใส่จอกท่าทีสงบหากแต่เปี่ยมไปด้วยความน่าสะพรึงผ่านแววตาคม
“นั่นหมายถึงเจ้าจ้องจะหาโอกาสตัดความเป็นสหายต่อข้าอยู่เช่นนั้นหรือ”
“เจ้าได้คำตอบแล้วนี่ ไยข้าต้องกล่าวให้มากความ”กลิ่นหอมของสุราถูกจรดขึ้นตรงปลายจมูก หลี่รั่วถงสูดกลิ่นหอมของสุราดอกท้อหนึ่งช่วงลมหายใจอย่างไม่ไยดีต่อคำพูดของตน หวางหรูอี้ที่ได้ฟังเช่นนั้นก็หาได้สะท้านแต่อย่างได้ ครั้นเคยได้ฟังคำเสียดแทงที่หาไร้ความปรานีจากหลี่รั่วถงมาบ่อยครั้งแล้ว ครั้งที่ร้อยก็คงจะสบถในใจได้เพียง...
บัดซบ! ข้ามีสหายเช่นเจ้ามานับพันปีได้เช่นไร!
ถึงอย่างไรผู้ทำหน้าที่เป็นจ้าวพิภพแห่งหยินและหยาง ก็ไม่อาจฝืนชะตาที่หมุนวนเป็นกงเกวียนได้ หยินเปรียบเสมือนพายุฝนที่โหมกระหน่ำดำมืด หยางเปรียบเสมือนไม้แล้งที่ผลิใบหลังชุ่มฉ่ำจากเม็ดฝนพากันแตกกิ่งก้านในยามเช้า สิ่งใดเล่าจะมาทลายความสัมพันธ์นี้ได้ แม้จะเป็นวาจากล่าวร้ายจากจ้าวพิภพแห่งหยินก็มิอาจตัดขาด
“แล้วนั่นเจ้าจะไปที่ใด ข้าเป็นแขกยังมิได้ส่งกลับ เจ้าบ้านที่นี่มารยาทแย่นัก”หวางหรูอี้บ่นอุบว่าร้ายไม่ปิดบังเหลือบตามองร่างสูงสง่าที่ยืนขึ้นเต็มความสูงหันหลังให้ไร้คำกล่าวใดๆ
“นรกภูมิ.....เจ้าจะไปกับข้าด้วยหรือไม่เล่า”หลี่รั่วถงเพียงเอียงใบหน้าเสี้ยวหนึ่งเข้าตอบคำถาม หวางหรูอี้เพียงกระอักสุราแทนเลือดไปหลายอึก
“ชิ! เจ้าอสูรใจหยาบ”เพียงพริบตาร่างสูงก็ที่อันตรธานหายไป เจ้าของพิภพแห่งหยินกลับทิ้งสหายผู้มาเยือนไว้ท่ามกลางไหสุราอย่างไม่แยแส หวางหรูอี้เพียงพ่นลมหายใจกระดกสุราในมือต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน พลันแย้มยิ้มออกมาครู่หนึ่ง ราวรับรู้ว่าแท้จริงแล้วหลี่รั่วถงไปยังนรกภูมิด้วยเหตุผลใด
ต่อรองกับติงเจิ้งหวาเรื่องดวงวิญญาณ ครานี้เจ้าจะเอาสิ่งใดไปแลกเพื่อคนผู้นั้นกัน ข้าชักอยากรู้นัก
เนื่องจากตอนยาวไป จะต่ออีกครึ่งด้านล่างนะคะ :hao5:
-
บทที่ 3 (ต่อ)
โลกมนุษย์
“มีผู้ใดเคยบอกท่านหรือไม่ว่าเส้นผมของท่านช่างนุ่มสลวยและละเอียดยิ่งนัก”
“จะมีใครสนใจเพียงเพราะเส้นผมของข้ากัน.....พอเถิดข้าเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้ว”
“ได้เช่นไรเจ้าคะ ข้าถูกท่านพ่อบ้านเสินกำชับให้ดูแลความเรียบร้อยของท่านในคืนนี้”
“เจ้ายังดูแลข้าไม่พออีกหรือถิงเย่”เซียวโม่โฉวมองเงาตนเองผ่านคันฉ่องเบื้องหน้าก่อนจะลุกขึ้นหลีกนี้จากผู้ที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิดเสียจนไม่ปล่อยให้บุรุษหนุ่มได้ทำสิ่งใดด้วยตนเองเลย
“ก็ข้าเต็มใจ”
“ขอบใจเจ้ามาก อีกเดี๋ยวคงจะมีคนมารับข้าไปร่วมพิธีศักดิ์สิทธิ์แล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถิด”เซียวโม่โฉวเพียงขยับกาย กลิ่นหอมจากตัวบุรุษก็กำจายไปทั่วชวนหลงใหล ราตรีนี้การชำระร่างกายเป็นไปอย่างละเมียดละไม จากบุรุษหนุ่มที่ผิวพรรณมิได้สดใสผ่านมาหลายราตรีนับแต่ย่างกรายเข้ามายังจวนใหญ่โตแห่งนี้ก็นับว่าผุดผาดขึ้นผิดหูผิดตา หากเดินทอดน่องอยู่ในตลาดสายตาผู้คนก็คงจะมองเป็นคุณชายของบ้านใหญ่ที่ไหนสักแห่งก็ว่าได้
“ข้าจะนั่งรอที่นี่ เจ้ามิต้องกังวลหรอกเรื่องหนีหายมิได้อยู่ในความคิดข้าอย่างแน่นอน”ยิ้มบางคลี่ออกพลางยกมือขึ้นทัดเส้นผมละเอียดที่ปรกหน้าไว้หลังใบหูเล็กอิริยาบถนิ่มนวนชวนมองยิ่งนัก ทว่าความนิ่งสงบยิ่งกว่าวันไหนๆ ทำเอาจิตใจของถิงเย่ที่ปรนนิบัติดูแลแม้จะเพียงชั่วคราวก็ราวผูกพันนับปีถึงกับน้ำตารื้นด้วยความรู้สึกบางอย่างที่มิอาจกล่าวได้
ความรู้สึกที่ราวกับจะต้องจากกันไปนั้นผุดขึ้นกลางใจของนางอย่างไม่รู้ตัว...
ถิงเย่มองดูเซียวโม่โฉวที่นั่งสงบนิ่งพิงกายอยู่ริมของหน้าต่างดวงตาคู่สวยที่ทอประกายเหม่อมองออกไปด้านนอกราวกับเฝ้ารอบางอย่างเป็นภาพที่ชวนหดหู่ใจยิ่งนัก แม้จะมิได้เข้าไปยืนอยู่ในความคิดของบุรุษหนุ่ม นางก็พอจะรับรู้ว่าจิตใจของผู้คนตรงหน้านั้นกำลังคะนึงหาสิ่งใดถ้ามิใช่สิ่งเดียวคือครอบครัว
“อยู่ด้านในหรือไม่ข้ามารับตัวเซียวโม่โฉว!”
ทันทีที่มีเสียงกู่เรียกอยู่ที่ด้านนอก แสงไฟจากโคมไฟที่ส่องสว่างอยู่ฉายเงาผู้ที่มาเยือนพาดพิงไปกับบานประตูถึงสี่คนด้วยกัน
“ข้าจะออกไปเปิดประตู ท่านรออยู่ตรงนี้ก่อนเถิด”ถิงเย่เอ่ยขึ้นก่อนจะรีบตรงรี่ไปที่ประตู
คนที่นั่งชะเง้อเพียงลุกขึ้นเต็มความสูงร่างระหงปราดเปรียวก้าวเดินออกจากจุดที่นั่งเมื่อครู่ด้วยความรู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความทรมานจิตใจอยู่ลึกๆ กระทั่งต้องสะดุดสายตาที่กำลังว่างเปล่าไปกับสิ่งคุ้นตาที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอย่างกะทันหัน หากแต่เพียงพริบตาเดียวกลับหายไปเสียแล้ว
“ทู่จึ?”คิ้วเรียวขมวดมุ่นกวาดสายตามองหาอีกครามิได้รู้สึกตกใจกลัว หากแต่ฉงนใจเสียมากกว่าที่ปกติมักจะปรากฏให้เห็นซ้ำยังพูดเจื้อยแจ้วให้ตนสนทนาด้วยราวกับผู้มีจิตวิปริตที่พูดคุยกับลมธาตุอากาศเพียงลำพัง
“ท่านกำลังมองหาสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ?”ถิงเย่ที่เข้ามามองเห็นท่าทีประหลาดจึงถามขึ้น
“ไม่มีอะไร”
“เช่นนั้นไปเถิดเจ้าค่ะ พวกเขามารับท่านแล้วจริงๆ ข้าคงส่งท่านได้เพียงตรงหน้าประตูเรือนเท่านั้น”แววตาเศร้าสร้อยไหล่ตกมองเซียวโม่โฉวที่ก้าวเดินออกไป
“เท่านี้ก็มากเกินพอแล้ว ขอบใจเจ้ามากถิงเย่”ร่างระหงที่ดูปราดเปรียวอยู่ในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์อย่างไร้ที่ติเอี้ยวใบหน้าเซี่ยวหนึ่งหันมากล่าวขอบคุณพร้อมส่งรอยยิ้มบางๆ ให้แก่นาง ก่อนจะเดินติดตามไปกับคนของเสนาบดีฉีเหยียนอย่างไม่ปริปากเอ่ยสิ่งใด
แผ่นหลังที่ค่อยๆ ลับตาไปสะท้อนความอ่อนแอในแววตาของถิงเย่
เซียวโม่โฉวถูกนำพามายังสถานที่แห่งหนึ่งด้วยเกี้ยวที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้มีถึง 4 คนหาบ นำหน้าด้วยพ่อบ้านเสินที่เป็นผู้นำทาง คราแรกที่ทราบว่าตนต้องนั่งเกี้ยวเพื่อเดินทางออกจากจวนของเสนาบดีฉีเหยียนเซียวโม่โฉวก็เอ่ยค้านอยู่หลายคำนัก คนต่ำต้อยเช่นตนจะมีสิทธิ์ใดขึ้นเกี้ยวอย่างชนชั้นสูงได้ หากแต่กระนั้นก็เป็นความประสงค์ของฉีเหยียนที่กำชับไว้ พ่อบ้านเสินจึงเพียงกล่าวต่อเซียวโม่โฉวให้ปฏิบัติตามอย่าได้กังวล
ครั้นการเดินทางมาถึงความสะเทือนของตัวเกี้ยวที่วางลงพื้นบ่งบอกให้เซียวโม่โฉวที่จิตใจว้าวุ่นรับรู้ได้ว่าตนได้เดินทางมายังปลายทางแล้ว ประตูเกี้ยวตรงหน้าของบุรุษหนุ่มเปิดออกเพียงก้าวเท้าออกไปคราแรกก็สัมผัสได้ถึงลมหนาวที่หอบเอาความเย็นยะเยียบซึมซาบทะลุถึงอาภรณ์เข้าสัมผัสกับผิวในทันที หลังก้าวออกจากเกี้ยวมายืนอยู่ภายนอกเรื่องความเหน็บหนาวของอากาศยามค่ำคืนกลับถูกกลืนหายไปกับภาพบรรยากาศตรงหน้า ทั้งเวิ้งว้างและกว้างไกลนัก
คงไม่มีผู้ใดไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้ หากแต่รู้จักก็มิสามารถเข้ามายังบริเวณนี้ได้ด้วยเป็นเขตพระราชฐานที่ไม่อนุญาตให้ผู้คนเข้ามาเพ่นพ่านได้สุ่มสี่สุ่มห้า สถานที่แห่งนี้รู้จักกันดีว่าเป็นทะเลสาบไร้เงา ที่มานั้นคงเกิดจากหมอกบางที่ปกคลุมไปทั่วผืนน้ำในยามค่ำคืนและช่วงสายของวันแม้จะพายเรือออกไปหากแต่มิสามารถมองเห็นเงาหรือผิวน้ำที่กระเพื่อมด้วยเพราะหมอกบางบดบัง ความน่ากลัวนั้นมิได้อยู่ที่ไร้เงาสะท้อนต่อสิ่งใด หากแต่ใต้ผืนน้ำที่ไม่สะท้อนเงาต่างหากที่น่าหวั่นเกรง เพราะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ใต้ก้นทะเลสาบแห่งนี้บ้าง บ้างกล่าวขานว่าใต้ผืนน้ำนั้นเชื่อมไกลไปสู่พิภพต่างๆ ที่มนุษย์ไม่อาจหวนกลับคืนมาได้
“ตามข้ามาทางนี้”
“…..”
“อย่าได้ชักช้า ตามข้ามาทางนี้!”ความนิ่งงันและปฏิกิริยาของเซียวโม่โฉวทำให้พ่อบ้านเสินต้องเรียกขึ้นถึงสองคราจึงจะดึงสติของบุรุษหนุ่มกลับคืนมาได้
“ขอรับ”
อีกครั้งที่ดวงใจของเซียวโม่โฉวรู้สึกหวาดกลัวราวกับมองไม่เห็นความสว่างไสวตรงหน้า ทุกก้าวย่างหนักอึ้งไม่ต่างจากถ่วงก้อนหิน ร่างกายแทบไม่อยากจะขยับตาม
เหตุใดข้าจึงรู้สึกหดหู่เช่นนี้.....เอาเถิดเซียวโม่โฉวเสร็จงานจากราตรีนี้เจ้าจะได้เป็นอิสระจากความไม่รู้เรื่องราวเสียที อดทนอีกหน่อยเถิด
มือเล็กที่กำแน่นก้าวเดินลัดเลาะไปตามพุ่มไม้และโขดหินกระทั่งถึงยังท่าเรือเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งมีเรือบรรทุกสินค้าลำหนึ่งที่สามารถบรรจุคนได้ประมาณสิบคนจอดเทียบท่ารออยู่ และดูเหมือนมีคนรอท่าอยู่แล้ว จิตใจบุรุษย่อมตื่นเต้นในคราแรกที่มองเห็น และตนจำต้องขึ้นเรือไปกับผู้ใดก็ไม่อาจทราบชื่อได้ พ่อบ้านเสินมิได้ตามมาด้วย เพียงส่งเซียวโม่โฉวขึ้นเรือเป็นอันเสร็จหน้าที่ ทว่าสายตาที่ทอดมองนั้นกลับปิดเปลือกตาลงในทันทีที่เรือถูกผลักออกจากท่า
ข้าส่งเจ้าได้เพียงเท่านี้.....ประโยคที่เอื้อนเอ่ยภายในใจของพ่อบ้านเสินไม่อาจเปล่งเสียงออกไปให้ผู้ใดได้ยิน เป็นเพียงบ่าวรับใช้ผู้ซื้อสัตย์จักทำสิ่งใดได้นอกเสียจากรับใช้ผู้เป็นนายถวายหัว
ในเรือลำนั้นที่เซียวโม่โฉวลงไปประกอบไปด้วยคนพายฝีมือดีถึงสองคนผู้ที่คุมตัวเซียวโม่โฉวอีกสี่ และคนสำคัญที่ครานี้ทำเอาเซียวโม่โฉวประหลาดใจนักซึ่งคนผู้นั้นยอมเปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจนให้เห็นในวันนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเสนาบดีฉีเหยียนผู้อยู่เบื้องหลังจัดการทุกสิ่งอย่างตามบัญชาโอรสสวรรค์
“หลายวันมาแล้วสินะที่เจ้ากับข้ามิได้พบเจอกัน ดูเหมือนคราแรกที่ข้าได้พบเจ้ากับในตอนนี้นั้นต่างกันลิบลับนัก”ฉีเหยียนเอ่ยชื่นชมความงามบุรุษตรงหน้า ทว่าเสียดายก็เห็นจะกลับลำมิได้แล้วในยามนี้
“ขออภัยข้าไม่ทราบว่าท่านอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยจึงมิได้คารวะ”
“ไม่ต้องมากพิธี”มือป้อมหน้ายกขึ้นห้ามพยักหน้ารับรู้ถึงความตั้งใจของบุรุษตรงหน้า
“ขอบคุณท่านเสนาบดี”แม้จะเอ่ยขอบคุณแต่หากคำพูดเหล่านั้นล้วนเสียดแทงใจเซียวโม่โฉวไม่น้อย ครั้นทำให้นึกถึงบิดาของตนที่ป่านนี้ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไรแล้วบ้าง ขาดการติดต่อกันไปนับแต่วันนั้น
“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ข้าเสียมากกว่าที่ต้องขอบคุณเจ้า เอาเถิดอย่าได้เสียเวลา ข้าจะแนะนำคนผู้หนึ่งที่จะเป็นผู้ทำพิธีในครั้งนี้ร่วมกับเจ้า”เพียงฉีเหยียนเอ่ยขึ้นมา พลันสายตาของเซียวโม่โฉวก็เหลือบไปมองทางด้านหลังของฉีเหยียน คราแรกมิได้เห็นผู้ใดหากแต่ยามนี้กลับมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าราวกับเป็นนักพรต หากทว่าชุดที่สวมใส่นั้นกลับผสมผสานสีดำเข้ากับสีขาวอย่างเรียบง่ายดูน่าเกรงขามในท่าที หากมองแล้วอายุคงนับได้ห้าสิบปีเศษ
“นี่คือผู้ที่จะมาทำพิธีในครั้งนี้ เจ้าเรียกเขาว่าอาจารย์ฟู่ไห”
“คารวะท่านอาจารย์ฟู่ไห”อีกฝ่ายเพียงพยักหน้าวางสีหน้าเคร่งขรึมมิได้พูดจาสิ่งใดในมือเพียงถือม้วนคัมภีร์ไม้ไผ่ที่ดูเก่าคร่ำครึไว้ในมือแน่นนัก อีกทั้งข้างกายยังพกกระบี่ที่เสียบเก็บอยู่ในฝักสีเงินวาวไว้
“สิ่งที่เจ้าทำในวันนี้ถือว่ามีคุณต่อบ้านเมือง ข้าอยากจะบอกให้เจ้าได้รับรู้ไว้ว่าพิธีการสำคัญในครั้งนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในใต้หล้าเป็นเจ้าเพียงผู้เดียวที่ถูกเลือกมาในค่ำคืนแห่งนี้ จงภูมิใจในสิ่งที่เจ้าได้เสียสละเพื่อผู้คนจำนวนมากเถิดเซียวโม่โฉว”ฉีเหยียนกล่าวขึ้นพลางเอื้อมมือเขาบีบไหล่เล็กตรงหน้าหยักยิ้ม เซียวโม่โฉวมองมือหนาไล่ตามไปจนถึงใบหน้าและแววตาที่ลึกแล้วราวกับหลุมดำมืดไม่มีผิด ความระแวงจุดประกายขึ้นในความคิดของบุรุษหนุ่ม
“ข้าไม่เข้าใจความหมายที่ท่านเสนาบดีพูดมากนัก ข้ามันคนโง่เขลามิได้ร่ำเรียนใดๆ ท่านต้องการบอกสิ่งใดก็โปรดกล่าวให้ชัดเจนเถิด”เซียวโม่โฉวถอยออกห่างเสียหนึ่งก้าวแววตานิ่งสงบและอ่อนน้อมเมื่อคู่เริ่มแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเห็นผู้ติดตามสี่คนที่ยืนอยู่ขนาบข้างเริ่มขยับตัวท่าทีผิดแปลก อีกทั้งนักพรตที่ดูท่าทางไม่เป็นมิตรผู้นั้นเริ่มขยับตัว
“อย่าได้กลัวไปเลย จุดประสงค์ไยข้าจะไม่บอกกล่าวต่อเจ้า ยามนี้แคว้นฉินต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้าย ผู้คนล้มตายการเกษตรย่ำแย่ เพราะอะไรเจ้าคงรู้อยู่แก่ใจแล้วเหตุใดตัวเจ้าที่สามารถทำประโยชน์ให้กับแคว้นฉินได้จึงแสดงสีหน้ากลัวเกรงเช่นนี้เล่า มาเถิดเช่นไรบิดาของเจ้าก็ขายเจ้าให้เป็นสมบัติของข้าแล้วสู้ให้ความร่วมมือเพียงอึดใจเดียวเท่านั้น”
ครั้นได้ยินสิ่งที่ฉีเหยียนกล่าวออกมาหัวใจของเซียวโม่โฉวแทบจะหยุดเต้นในคราเดียว ถ้อยคำที่จะเอ่ยออกมาจุกแน่นในลำคอเสียดแทงอยู่ในอกบุรุษหนักหน่วงจนน้ำตาคลอ
“.....”
“เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่เซียวโม่โฉว บิดาของเจ้ามิใช่ขายเพียงร่างกายเจ้าให้แก่ข้า หากแต่หมายถึงวิญญาณของเจ้าด้วยเช่นกัน”น้ำเสียงที่เย็นเยียบเอ่ยออกมานัยน์ตาเยือกเย็น พลันส่งสัญญาณให้แก่ผู้ติดตามทั้งสี่ลงมืออย่าได้รอช้าเพื่อมิให้เสียฤกษ์งามยามดีเอาได้
“ทะท่านพูดเรื่องเหลวไหลอะไรกัน ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่มีทางโหดร้ายกับข้าเช่นนั้นอย่างแน่นอน!”น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากปากของเซียวโม่โฉวสั่นพร่าน้ำตาไหลไม่ยอมรับความจริง พร้อมกับร่างที่ถูกกดให้คุกเข่าลงต่ำไม่สามารถขัดขืนได้ด้วยกำลังอันน้อยนิด
“เจ้ายังคิดอยู่อีกหรือว่าจะได้กลับไปเจอกับครอบครัวของเจ้าที่ไม่ต้องการเจ้า ผิดแล้ว.....พวกเขาไม่เพียงขายวิญญาณของเจ้าอีกทั้งยังหอบเอาเงินทองมากมายไปใช้อย่างมีความสุข.....เจ้าต้องภูมิใจในตนเองมิใช่หรือที่เสียสละตนเองถึงเพียงนี้”
“ไม่มีทาง.....ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น ท่านโกหกข้า ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ข้าต้องการพบท่านพ่อท่านแม่ของข้า!!!”เสียงตวาดลั่นพร้อมร่างกายที่ขัดขืนพยายามให้ตนเองเป็นอิสระจากการเกาะกุมดิ้นรนสุดชีวิต ใบหน้าที่เคยสะอาดสะอ้านบัดนี้แทบเคล้าไปด้วยน้ำตาที่รินไหลราวกับสายโลหิต
ข้าเพียงหวังว่าจะได้พบเจอพวกเขาบ้างในบางครา แม้ตัวข้าจะต้องใช้แรงงานหนักเป็นทาสไปชั่วชีวิต แต่สำหรับเรื่องเหล่านี้ข้ายอมรับมันมิได้!
“เชิญท่านอาจารย์ฟู่ไห”
“ไม่! พวกท่านจะทำอะไรข้า ปล่อยข้า!”ครั้นนักพรตผู้นั้นพึมพำบริกรรมคาถาบางอย่างมือหนึ่งที่ถือคัมภีร์กางออกสะบัดสิ่งที่ดูหนักเกินกว่าจะลอยได้กลับลอยขึ้นกลางอากาศก่อเกิดแสงจ้าสีทองที่แผ่กระจายออกมาราวกับธารน้ำที่ไหลออกมาจากคัมภีร์เล่มนั้น
เปรี้ยงปร้าง!
ราวกับพายุฝนที่มิเคยตั้งเค้าลางกลับมืดฟ้ามัวดินท้องฟ้าวิปริตไปในบัดดล ลมพายุที่พัดอยู่โดยรอบเรือลำนี้ราวกับจะหอบเอาเรือทั้งลำลอยขึ้นกลางอากาศ
ครานั้นจิตใจของเซียวโม่โฉวก็แทบจะขาดรอนๆ ด้วยความรู้สึกผิดหวังในตัวบิดามารดาอย่างหาที่สุดมิได้ น้ำตาที่รินไหลทั้งสิ้นแล้วหนทางที่จะหลีกหนีซ้ำยังต้องแบกรับชะตากรรมตรงหน้าอย่างไร้ซึ่งทางเลือก ความเจ็บช้ำในอกแทบกระอักออกมาเป็นเลือด เจ็บปวดร่างกายก็มิเท่าดวงใจที่บัดนี้ราวกับจะแหลกสลายเป็นผุยผง
ร่างที่บอบช้ำทางจิตใจหมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้วที่จะดิ้นหนีชะตากรรม และในช่วงลมหายใจเพียงเฮือกเดียว กระบี่สีเงินวาวที่เคยเก็บอยู่ในฝักซ่อนคมของฟู่ไหก็ถูกดึงออกมาวาดไปในอากาศท่ามกลางแสงเจิดจรัสที่มีเสียงฟ้าคำรามราวกับจะถล่มทลายลงมา และชั่วพริบตาเดียวปลายแหลมคมที่ร่ายรำอยู่ท่ามกลางอากาศได้พุ่งพรวดเข้ามาทิ่มแทงกลางอกของเซียวโม่โฉวทะลุงถึงด้านหลังอย่างมิทันตั้งตัว โลหิตสีแดงฉานสาดกระเซ็นอาบย้อมอาภรณ์ที่ข่าวผ่องให้แปดเปื้อนกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ทั้งความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปตามสรรพางค์กายราวฉีกร่างให้แยกขาดออกจากกันอย่างไร้ความปรานี
“เฮือก!”
ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตานิ่งค้างสะท้อนเงาจันทราที่โผล่พ้นออกมาจากหมอกเมฆราวกับเป็นสีเลือด
เจ็บ.....ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน
เหตุใดพวกท่านถึงได้ใจร้ายต่อข้าเพียงนี้ ทำไมกัน?
ข้าผิดต่อพวกท่านเรื่องใด ท่านถึงลงโทษข้าได้เจ็บปวดถึงเพียงนี้
นัยน์ตาที่ค่อยๆ พร่าเลือนและลมหายใจที่ใกล้ดับสูญปริ่มไปด้วยความชอกช้ำใจอย่างที่สุดแม้ในห้วงความคิดสุดท้ายก็ไม่อาจตัดสิ่งเหล่านั้นออกไป
ตูม!
ผืนนี้ที่แตกกระจายกลืนร่างที่ถูกสังเวยลงสู่ก้นบึ้งทะเลสาบไร้เงา มีเพียงความมืดที่โอบอุ้มรับเอาร่างกายนั้นให้จมหายไปในความมืดมิด มืดเสียจนไม่อาจหวนกลับไปยังโลกที่จากมาได้อีก
ติดตามตอนต่อไป >>>
-----------------------------------------------------------
ฝากคอมเม้นติชม เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ :m5:
โดย หลานฮวา
-
บทที่ 4
หนทางที่จำต้องเลือก
แปะ!
หยดน้ำหยดเล็กที่กลิ้งไหลจากใบไม้หล่นลงกระทบกับเปลือกตาที่ปิดสนิท พลันความเย็นของน้ำเรียกให้เจ้าของร่างที่นอนไม่ได้สติตื่นขึ้น เปลือกตาบางจึงค่อยๆ เปิดออกขยับนัยน์ตาพร่าเลือนให้ชัดเจน ส่วนเดียวที่ยังคงไม่ขยับเขยื้อนเห็นทีจะเป็นร่างกายที่นิ่งสนิท
ดวงตาที่กวาดมองไปยังด้านบนพบเพียงท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยหมอกขาวยังคงว่างเปล่าราวกับเพิ่งตื่นจากฝันร้าย ทว่าภาพฝันที่ชัดเจนก็ฉุดดึงให้ร่างที่นอนนิ่งไม่เคลื่อนไหวดีดตัวขึ้นนั่งตาเบิกโพลง ขยับกายเบาหวิวคลานขึ้นจากริมบึงบัวที่ครึ่งท่อนแช่อยู่ในน้ำราวกับโดนพัดพามาเกยฝั่ง เมื่อได้สติเซียวโม่โฉวจึงสำรวจร่างกายตนเองอย่างถี่ถ้วน
รอยคมดาบที่เคยแทงทะลุผ่านร่างกายนี้กลับไม่มีแม้แต่ความเจ็บปวด ทว่าโลหิตที่เปื้อนอาภรณ์แดงฉานยังคงเด่นชัดย้ำเตือนว่าทุกอย่างที่ประสบพบเจอหาใช่ฝันร้าย
“ตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหน ข้าตายแล้วเช่นนั้นหรือ.....”เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างสั่นเครือมือไม้อ่อนแรงทิ้งลงแนบกับร่างบางอย่างสิ้นหวัง ในใจเคว้งคว้างราวกับหลงทางอยู่ในมหาสมุทร มองซ้ายขวาไม่รู้ว่าต้องไปยังทิศทางใด ความเปล่าเปลี่ยวเกาะกุมดวงใจผู้ที่หลงอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นชิน
สถานที่ที่ราวกับโลกมนุษย์ หากแต่จะดีใจได้เช่นไรในเมื่อต้องมารับรู้ว่าตนนั้นสิ้นลมหายใจไปแล้ว
ช่างน่าหัวเราะนัก!
สวรรค์หรือนรกใครเล่าจะรู้ว่าเป็นสถานที่เช่นไรในเมื่อข้าเพิ่งจะเคยตาย ช่างเป็นการตายที่ไม่ยุติธรรมต่อข้าเลย
เซียวโม่โฉวรำพึงรำพันให้กับตนเองอย่างเจ็บช้ำน้ำใจ ก่อนจะพาร่างกายที่คล้ายเบาหวิวลากเท่าเดินไปเรื่อยเปื่อยด้วยเท้าเปล่า หญ้าสีเขียวขจีที่เดินผ่านมากระทั่งแมกไม้ที่ออกดอกผลิใบอย่างน่าอัศจรรย์ใจทว่าบัดนี้กลับค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำราวกับถูกกลืนกินไปอย่างช้าๆ ด้วยเงามืด จากกลางวันแปรเปลี่ยนเป็นยามราตรีต่อหน้าต่อตา ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เซียวโม่โฉวรู้สึกตกใจทว่ากลับไม่สามารถหนีไปไหนในโลกที่ตนไม่รู้จักได้เลย
“กะเกิดอะไรขึ้น?”ดวงตาสวยเบิกตาโพลงมองไปยังเบื้องหน้าสีหน้าหวาดกลัวพลันถอยหลังกระทั่งชิดชนเข้าให้กับบางอย่างที่สูงใหญ่ราวกำแพงหินตัวสั่นผวา
ปึก!
ทันทีที่เอี้ยวตัวหันไปมอง ร่างสูงที่ราวกับดำทะมึนไปทั้งร่างก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าถึงสองร่าง พร้อมดวงตาดุดันที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้ใด
“พวกเจ้าเป็นใคร!”
“พวกข้ามิได้มีหน้าที่มาตอบคำถามของดวงวิญญาณเช่นเจ้า เพียงเจ้าตามพวกข้าไปอย่างว่าง่ายก็จะได้ไม่เจ็บปวดทรมาน”เสียงที่สะท้อนก้องกล่าวขึ้นพร้อมกับร่างใหญ่สองร่างที่เข้ามาจับตัวเซียวโม่โฉวไว้ไม่ทันจะได้หาช่องทางหนี
รวดเร็วและว่องไวจนน่ากลัว...
“จะพาข้าไปที่ไหน ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น!”เซียวโม่โฉวแม้พยายามดินขัดขืนด้วยความตกใจกลัวหากแต่ไม่สามารถสู้กับพละกำลังที่อมนุษย์ตรงหน้าได้เลย
“ดิ้นรนไปก็หาได้มีประโยชน์อันใด เจ้าเป็นเพียงดวงวิญญาณที่ถูกส่งมาเพื่อประมุขของพวกเรา ข้าเพียงทำตามหน้าที่”
“พวกเจ้าจะพาข้าไปที่ใดกัน ข้าไม่ไป!”ดวงตาสวยวาวกล้าขึ้นพร้อมกัดฟันกรอดทั้งน้ำตา ครั้นได้ยินคำว่าไร้ประโยชน์ก็เจ็บลึกไปถึงทรวงใน แม้จะตายแล้วหากแต่ยังกลับมีบ่วงคล้องคอที่เรียกว่ามิอาจจากไปได้อย่างหมดห่วง
“อยู่นิ่งเฉยเสียเถิด เช่นไรเจ้าก็จะต้องถูกหลอมวิญญาณ ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงชะตานี้ได้!”
“หลอมวิญญาณ มะหมายความเช่นไร?”
“หึ! ก็หมายถึงการทำให้เจ้าหายไปตลอดกาลอย่างไรเล่า”เสียงหัวเราะเย้ยหยันราวกับขบขันในความโง่เขลาดังขึ้น และเพียงครู่เดียวราวกับลมพัดแรงหอบคว้าเอาเซียวโมโฉวไปยังสถานที่ใหม่ในพริบตาพร้อมร่างที่ราวกับหล่นร่วงมาจากท้องฟ้าตกสู่พื้น
ผลัก!
ตรงหน้าของเซียวโม่โฉวเป็นบ่อหลอมวิญญาณขนาดใหญ่ที่ภายในดำมืดราวกับหุบเหวที่ลึกลงไป เพียงนำร่างของวิญญาณที่ถูกส่งมาโยนลงไปภายใน ทุกสิ่งอย่างก็จะจบสิ้นลงกลั่นออกมาเพียงจิตว่างเปล่าบริสุทธิ์ที่บริวารผู้ทำหน้าที่จำต้องเก็บสิ่งนั้นไว้ส่งให้แก่จ้าวพิภพแห่งหยินเพื่อเพิ่มพลังอำนาจ
“เจ้ากลัวเช่นนั้นหรือ ตายแล้วไยจักต้องกลัวตายอีก”
“ในเมื่อข้ายังคิดยังพูดได้ เหตุใดข้าจำต้องไร้ความรู้สึกไม่รู้จักความขลาดกลัว”เซียวโม่โฉวตอบโต้ออกไปสีหน้าซีดขาวมองบ่อหลอมวิญญาณตรงหน้าที่มีกลิ่นอายของความสิ้นหวังกำจายอยู่โดยรอบ
“แม้เจ้าจะหวาดกลัวเพียงใดก็ไม่อาจหลีกหนีได้ พวกข้าทำหน้าที่นี้มาหลายพันปีย่อมเห็นมานักต่อนัก ต่อให้เจ้าวิงวอนร้องขอสิ่งใดก็หาได้รอดพ้น ดวงวิญญาณที่ถูกส่งมายังที่นี่จำต้องจบวัฏสงสารภายในบ่อแห่งนี้ หากจะหาเหตุผล.....”ถ้อยคำที่กล่าวขึ้นหาได้เล่นหลอกเพียงเว้นช่วงประโยคลอบมองสีหน้าเซียวโม่โฉว พลันแซ่สีดำยาวลากพื้นก็ปรากฏอยู่ในมือของอมนุษย์ผู้นั้น แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือกต่อเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย“.....นั่นก็เพราะเจ้าคือดวงวิญญาณที่ถูกสังเวยเพื่อนายท่านของพวกเราเช่นไรเล่า! เจ้าคงจะรู้นามของจ้าวพิภพแห่งหยินมาบ้างแล้ว”
หลี่รั่วถงเช่นนั้นหรือ!
“ไม่! ข้ายังไม่อยากจบลงเช่นนี้ ข้าไม่อยากลงไปในบ่อนั่น มีสิ่งที่ค้างคาใจอยู่มากนักที่ข้าต้องการรู้ พวกเจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้!”ใบหน้าขาวซีดส่ายหน้าปฏิเสธเร็วรี่จะถอยหนีก็ไม่อาจทำได้แม้แต่ก้าวเดียว
“เพียงลงไปยังที่แห่งนั้น เจ้าก็มิต้องคิดสิ่งใดอีก ลงไปซะ! หรือต้องให้พวกข้าลงมือ?”สายตาดุดันถึงสองคู่จับจ้องไปยังเซียวโม่โฉวที่ถูกต้อนให้จนมุม ทั้งตวัดแซ่ฟาดลงกับพื้นเสียงกัมปนาทราวฟ้าผ่า
!!!
เซียวโม่โฉวไม่อยากที่จะจบเรื่องราวชีวิตอันน่าเศร้าของตนเองเพียงตรงนี้ อย่างไรก็ขอเพียงรับรู้เรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับเหตุผลที่บิดาและมารดารังแกตนถึงเพียงนี้เท่านั้น มิได้อยากอาฆาตแค้นผู้ใด แต่เพียงในใจบุรุษไม่อาจทิ้งวางความรู้สึกเหล่านั้นไปทั้งที่ยังค้างคาอยู่เช่นนี้
สถานการณ์ที่บีบคั้นทำให้ผู้ที่จนมุมจำต้องหาหนทางหนี ปฏิเสธชะตากรรมที่ไร้ความยุติธรรมซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นอย่างสุดชีวิต
ข้าจะต้องหนี หนีไปให้ได้!
ทว่าสองอมนุษย์เบื้องหน้ากลับย่างสามขุมเข้ามาใกล้ทุกทีอย่างไม่ลดละ หมายจะบีบให้เซียวโม่โฉวจำต้องกระโดดลงไปยังเบื้องล่างที่มืดมิดด้วยตนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ถะถอยออกไป อย่าเข้ามาใกล้ข้าเด็ดขาด!”เสียงที่ขาดห้วงแววตาหวาดกลัวฉายแววแจ่มชัดสะท้อนนัยน์ตาสิ้นหวังผ่านหยาดน้ำตาที่เอ่อนองหน้า เนื้อตัวที่สั่นเท่าแทบจะหล่นร่วงไปยังบ่อด้านหลังรอมร่อ เท้าที่สั่นเกร็งขยับเพียงน้อยส่ายศีรษะให้กับจิตสังหารที่ถูกส่งผ่านให้ตนรับรู้ ว่าหากไม่ปฏิบัติตามอาจต้องพบเจอเรื่องน่าสะพรึงกลัว
“เช่นไรเจ้าไม่อาจตัดสินชีวิตตนเองได้อีก จะช้าอยู่ไยรีบจบเรื่องนี้เสียเถิด”
อมนุษย์ทั้งสองที่ก้าวเข้ามาหมายจะใช้กำลังผลักส่งผู้ที่จนมุมอย่างเซียวโม่โฉวให้จบสิ้นภารกิจหากแต่ครู่หนึ่งนั้นรางปาฏิหาริย์บังเกิด ได้มีบางสิ่งเกิดขึ้นกะทันหัน ร่างเด็กที่หาได้เป็นเช่นตาเห็นปรากฏขึ้น เซียวโม่โฉวไม่มีทางจำผิดอย่างแน่นอนว่านั่นเป็นทู่จึปีศาจกระต่ายที่รบกวนตนตลอดเวลาครั้งอยู่ที่จวนเสนาบดีฉีเหยียนขณะยังมีชีวิต ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสิ่งที่สร้างความวุ่นวายโผล่มาขัดขวางจากทิศทางใด ทั้งยังอาจหาญกระโจนเข้าใส่อมนุษย์ทั้งสองตนจนเสียหลัก วินาทีนั้นเซียวโม่โฉวจึงใช้โอกาสนี้วิ่งหนีไปตามทู่จึอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังหรือต้องไตร่ตรองสิ่งใด ความหวังเพียงหลุดรอดไปจากที่นี่เท่านั้น
“จะเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร!”
“เจ้ามนุษย์หน้าโง่ จะตายรอบสองแล้วยังจะถามมากความอยู่ได้”
“แต่ว่าเจ้า...”
“หยุดถามเถอะนา!”เสียงเล็กดุขึ้นในขณะที่พากันวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
กระทั่งวิ่งหนีมาได้ไม่ไกลนักกลับต้องพบว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นไม่ฉลาดเอาเสียเลย
!!!
“หนอย! เจ้าคิดจะหนีพวกข้าเช่นนั้นหรือคิดตื้นเขินเกินไปหรือไม่ ส่วนเจ้าบังอาจนักที่ลอบเข้ามายังที่แห่งนี้เจ้าปีศาจชั้นต่ำ รู้หรือไม่ว่าที่แห่งนี้คือที่ใด หาใช่ที่วิ่งเล่นสำหรับเจ้า!”
เสียงคำรามดังขึ้นราวกับฟ้าจะถล่มดินจะทลายพร้อมกับขวางทางหนีของเซียวโม่โฉวอย่างหมดสิ้น ทั้งบุรุษหนุ่มและทู่จึต่างตกอยู่ในวงล้อมของผู้ที่ไม่อาจรับมือได้ ในขณะที่ทู่จึพยายามกำแหงใส่อมนุษย์ทั้งสอง เพียงพริบตาก็ถูกแซ่ยาวตวัดใส่ราวสายฟ้าฟาดโจมตีจนกระเด็นกระดอน จากร่างเล็กที่จำแลงเป็นเด็กกลับต้องกลายเป็นร่างกระต่ายดังเดิม ด้วยความรุนแรงของพลังจึงทำให้ปีศาจชั้นต่ำมิอาจป้องกันหรือต้านทานได้
“ทู่จึ! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง!”บุรุษหนุ่มวิ่งถลาอย่างตื่นตระหนกเข้าโอบอุ้มกระต่ายตัวสีขาวที่กระอักเอาบางอย่างสีเขียวคล้ำคล้ายเป็นโลหิตออกทางปาก ครานั้นยิ่งทำให้เซียวโม่โฉวตัวแข็งทื่อมือไม้สั่นจนแทบหมดเรี่ยวแรง
“จะเจ้า.....เจ้าอย่าทำให้ข้ากลัวสิ ได้ยินข้าหรือไม่!”ดวงตาคู่สวยบัดนี้ราวกับชอกช้ำเบิกตาโพลงมองภาพสะเทือนใจเบื้องหน้าสลับกับอันตรายที่เคลื่อนเข้าหาอย่างสิ้งหนทาง
“ในเมื่อเจ้าขัดขืนนั่นก็หมายถึงพวกข้ามิต้องออมแรงใดๆ ข้าเตือนเจ้าแล้วใช่หรือไม่!”
“ขอร้องปล่อยข้ากับทู่จึไปเถอะ!”คำวิงวอนทั้งน้ำตากอดร่างกระต่ายกลมแน่นดวงตาใสปิดลงอย่างหวาดกลัวพร้อมกับหลั่งน้ำตารินไหลให้กับชีวิตหลังความตายที่แสนโหดร้ายเช่นนี้
“หมดเวลาดิ้นรนของเจ้าแล้ว!”
สิ้นคำพูดของอมนุษย์ผู้หนึ่ง ขณะที่กำลังจะลงมือส่งเซียวโม่โฉวที่สิ้นทางหนีลงสู่บ่อหลอมวิญญาณทันใดนั้นสัญลักษณ์บนลำคอขาวกลับสะท้อนวาวเป็นแสงสีแดงสว่างวาบปรากฏรูปดอกโบตั๋นขึ้นมาบนผิวเนื้อบริเวณลำคอขาวอย่างเด่นชัดสะท้อนม่านพลังลบจิตสังหารของอมนุษย์ราวกับเตือนให้รู้ว่าร่างกายของบุรุษตรงหน้ามิใช่ผู้ใดสามารถแตะต้องได้
สิ่งที่อมนุษย์ทั้งสองได้มองเห็นนั้นถึงกับทำให้ล่าถอยใบหน้าถอดสี มองหน้าสลับกันไปมาอย่างตื่นตระหนกราวกับสวรรค์จะถล่มลงมาก็ไม่ปาน ในขณะเดียวกันนั้นเจ้าของสัญลักษณ์ก็ปรากฏกายขึ้นอยู่เบื้องหลังอมนุษย์ผู้เป็นบริวารของจ้าวพิภพแห่งหยาง
ครั้นได้สัมผัสจิตสังหารที่รุนแรงก็ต่างพากันทรุดกายโขกศีรษะเบาปัญญาจรดแนบพื้นดวงตาเบิกโพลงแทบถลนออกมาด้วยความกลัวทันที เพียงหลี่รั่วถงเดินผ่านสำแดงพลังเพียงเศษเสี้ยวก็แผดเผาอมนุษย์ผู้โง่เขลาจนสลายกลายเป็นจุณไปในพริบตา
คงถึงคราผลัดเปลี่ยนบริวารใหม่อีกครั้ง
ไม่ทันที่เซียวโม่โฉวจะรู้ว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นต่อนั้นพลันสติกลับดับวูบ ภาพสุดท้ายที่สะท้อนในแววตาคือเงาเลือนรางของร่างสูงใหญ่ที่สาวเท้าเข้ามาใกล้ส่งกลิ่นไอวิญญาณที่รุนแรงกำจายไปทั่ว หากเป็นดวงวิญญาณที่อ่อนแอแท้แล้วไม่สามารถทานทนต่อไอวิญญาณรุนแรงนี้ได้ ทว่ากับเซียวโม่โฉวมิได้เป็นเช่นนั้น ลึกลงไปในความรู้สึกราวกับมีบางอย่างผิดแปลกไป สายใยเบาบางราวกับเส้นไหมโยงใยทั้งสองด้วยเหตุผลบางประการ
หากแต่.....ยากเกินกว่าจะเข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับความรู้สึกเพียงชั่ววูบนั้นได้
คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่.....
ภายในเรือนโอ่โถงกว้างขวางกลิ่นกำยานดุจกลิ่นบุปผากำจายไปทั่ว ของประดับตกแต่งที่มิได้ต่างไปจากเรือนของมนุษย์ ถึงจะเป็นเรือนของผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ก็เห็นทีจะเทียบไม่ได้ แม้ของประดับตกแต่งจะสวยสะดุดตาทว่าล้วนประกอบขึ้นด้วยเวทมนตร์ของผู้เป็นจ้าวพิภพแห่งหยินทั้งสิ้น กระทั่งสิ่งเล็กน้อยอย่างเปลวเทียนที่มิได้จำเป็นก็จุดให้สว่างไสวโดยรอบ
แต่น่าเสียดายที่ผู้อาศัยอยู่ในเรือนแห่งนี้กลับยังไม่ลืมตาตื่นขึ้นสัมผัสความงดงามที่แปลกตา
ร่างบางที่ยังคงนอนนิ่งราวกับผู้ที่ไร้ลมหายใจ แม้ลมหายใจอาจไม่จำเป็นในโลกนี้ทว่าทุกอย่างกลับประกอบขึ้นเป็นร่างมนุษย์ไม่ต่างจากมีชีวิต แตกต่างเพียงจุดเดียวนั่นคือเป็นผู้ที่ผ่านความตายหาใช่มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อแต่ยังคงซึ่งความเจ็บปวดราวกับมนุษย์ได้เช่นกัน
และการหลับใหลไปถึงเจ็ดราตรีในดินแดนแห่งนี้นับว่าเนิ่นนาน กระทั่งฝันร้ายที่คอยตอกย้ำจิตใจเซียวโม่โฉวปลุกให้บุรุษหนุ่มตื่นขึ้น เสียงลมหายใจหอบถี่ราวกับวิ่งหนีสิ่งที่หวาดกลัว ดวงตาใสกลอกไปมาระลึกได้ว่าก่อนหน้าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นจึงพลันลุกขึ้นมองไปโดยรอบสีหน้าตกใจ ยกมือซีดขาวขึ้นจับเนื้อตัวตนเอง
“เจ้าฟื้นแล้วสินะ”เสียงทุ้มกังวานที่สะท้อนอยู่ภายในเรือนแห่งนี้ดึงความสนใจให้เซียวโม่โฉวหันไปมองในทันที พลันสบตากับผู้คนที่มิได้รู้จักทว่าครู่หนึ่งจิตใจของเซียวโม่โฉวกลับสั่นคลอนราวกับโดนร่ายเวทมนตร์บางอย่าง แม้เพียงอึดใจก็ไม่อาจละสายตาไปจากร่างสูงสง่าตรงหน้าได้เลย ทั้งกรอบหน้าคมคายที่เรียกได้ว่ารูปงาม โดยเฉพาะแววตากร้าวแกร่งทรงพลังที่รู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยสบตาคู่นั้นมาก่อนก็กล่าวได้
เสียงอึกทึกในอกตีรวนราวกับยังมีชีวิตนับว่าทำให้เซียวโม่โฉวประหลาดใจไม่น้อย ไยตนจักต้องรู้สึกผิดแปลกบางอย่างกับบุรุษตรงหน้าที่หาได้คุ้นเคยด้วยเช่นนี้
“ท่านเป็นใคร เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“ข้าเป็นใครจะสำคัญอันใด เจ้าฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว”ท่าทีเคร่งขรึมไม่อ่อนหวานเป็นอุปนิสัยจึงยากนักที่จะอ่านความคิดซับซ้อนออกได้
“ท่านยังมิได้ตอบคำถามขอข้า!”เซียวโม่โฉวมองเข้าไปในแววตาดุดันคู่นั้น ก่อนจะประคองตนเพื่อลุกขึ้น ไม่ทันจะได้คำตอบใดๆ จากผู้คนตรงหน้า จู่ๆ เหอจี๋ข้ารับใช้ของหลี่รั่วถงกลับปรากฏกายขึ้นคลานเข่าเข้ามาอย่างรู้ดีว่าตนนั้นเสียมารยาทที่ผลีผลามเข้ามาโดยมิได้รับอนุญาต ทว่าเรื่องที่มารายงานนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนไม่สามารถรั้งรอได้
“ขออภัยนายท่านที่ข้าเข้ามารบกวนท่าน หากแต่ข้ามีเรื่องสำคัญ คะคือข้างนอก....มะมีเทพจากชั้นฟ้ามาขอพบจ้าวพิภพแห่งหยินขอรับ ข้าได้ยินไม่ผิดแน่พวกเขากล่าวเช่นนั้น”
“ข้ารู้แล้วเจ้าออกไปได้!”เพียงสบตาเหอจี๋ก็แทบมุดแผ่นดินหนีออกไปลนลาน แต่ผู้ที่ยืนฟังเรื่องราวกับตกตะลึงกับคำเรียกขานที่ผู้คนเรียกบุรุษตรงหน้า
“ท่านคือหลี่รั่วถงเช่นนั้นหรือ”เซียวโม่โฉวมิได้ฉลาดมากนัก ทว่าก็มีไหวพริบพอที่จะคาดเดาและปะติดปะต่อเหตุการณ์ได้ ทั้งคนที่ตนเคยเห็นเพียงเงาเลือนรางก่อนหน้านี้ และท่าทีหวาดกลัวจนหัวหดของคนที่เข้าพบคงไม่ต้องให้คิดไปไกลเกินเอื้อม
“เจ้ากล่าวถูกแล้ว นั่นเป็นชื่อของข้า”ครั้นได้ฟังคำตอบรับ เซียวโม่โฉวถึงกับถอยหลังกรูดจนแทบหกล้ม แข้งขาอ่อนยวบขึ้นมาจนต้องจับยึดผนังค้ำยัน
“ทะท่านคือพ่อมดที่ผู้คนกล่าวขาน”
“มนุษย์กล่าวขานถึงข้าเช่นไร สีหน้าของเจ้าถึงได้หวาดกลัวข้าถึงเพียงนั้น?”
“อย่าเข้ามา! ท่านกำลังจะกินข้าใช่หรือไม่?”คำถามที่เถรตรงเอ่ยเสียงสั่น แววตาหวาดหวั่นทุกย่างก้าวที่หลี่รั่วถงเข้ามาใกล้ สะท้อนให้หลี่รั่วถงผู้ซึ่งถูกมองด้วยแววตาหวาดกลัวรู้สึกราวกับถูกบีบจิตใจอยู่ลึกๆ
เจ้าคงมองเห็นข้าอย่างที่มนุษย์มองข้าว่าเป็นผู้ที่โหดเหี้ยมเช่นนั้นสินะ
“กิน? หึ! หากหมายถึงดวงวิญญาณที่ถูกส่งมาสังเวยข้าถึงที่นี่ละก็ อาจจะใช่อย่างที่เจ้าคิด”
“หากเป็นเช่นนั้น.....ข้ามีเรื่องร้องขอท่านเพียงข้อเดียวได้โปรดเถิด”ราวกับสิ้นหนทาง เซียวโม่โฉวกล่าวด้วยน้ำเสียงวิงวอนพร้อมกับทรุดเข่าพนมมือร้องขอ หลี่รั่วถงเบิกตากว้างมองบุรุษตรงหน้านิ่งงัน“ข้าเพียงอยากวิงวอนต่อท่าน ขอความเมตตาเพียงครั้งเดียว ให้ข้าได้รับรู้ความจริงด้วยเถิดว่าเหตุใดชะตากรรมของข้าจึงเป็นเช่นนี้ ไยท่านพ่อท่านแม่ของข้าถึงได้ปฏิบัติต่อข้าอย่างไร้เยื่อใย ข้าอยากรู้ว่าตัวข้านั้นผิดต่อพวกเขาเช่นไร หลังจากนั้นแล้วข้าสาบานว่าข้าจะยอมกระโดดลงบ่อหลอมวิญญาณอย่างที่ท่านต้องการอย่างไม่มีข้อแม้ ได้โปรด”น้ำตาหยดใส่ไหลรินอีกครา
ทว่าน้ำตาเหล่านั้นกลับนำความไม่พึงใจให้แก่หลี่รั่วถงเป็นอย่างมาก ความอ่อนแอของผู้คนตรงหน้าที่หลั่งน้ำตาให้กับมนุษย์จิตใจต่ำช้านั้นถือว่าไร้ค่านัก
“เจ้ารู้แล้วจะทำเช่นไร! หากคนเหล่านั้นทำกับเจ้าเฉกเช่นสิ่งของไร้ความรู้สึกและไร้หัวใจ”
“.....”คำตอบนั้นเซียวโม่โฉวเพียงส่ายหน้า ยิ่งนำพาความกรุ่นโกรธมาให้หลี่รั่วถงไม่น้อย บางอย่างที่อยากจะเอ่ยขึ้นหากแต่เป็นกฎของสวรรค์ที่มิควรแพร่งพรายจึงนำความอึดอัดใจให้แก่หลี่รั่วถงเป็นอย่างยิ่ง
เจ้ายังไม่อยากยอมรับอีกเช่นนั้นหรือว่าคนเหล่านั้นหาได้จริงใจต่อเจ้า!
“หากเจ้าอยากจะรับรู้นักว่าความจริงเป็นเช่นไร ข้ามีทางเลือกให้”ครั้นถ้อยคำให้ความหวังเอ่ยออกมาจากปากของหลี่รั่วถง ผู้ที่คุกเข่าถึงกับเบิกตาโพลงจ้องมองมายังผู้คนเบื้องหน้าทั้งน้ำตา หลี่รั่วถงจึงก้าวเข้าไปยืนใกล้เอ่ยข้อต่อรองที่คิดการณ์มาดีแล้วออกไปแววตาขึงขัง
“สิ่งใดท่านกล่าวมาเถิด ข้าจะยอมทำตามทุกอย่าง”
“สถานที่แห่งนี้มีผาพลิกชะตา ซึ่งผู้ใดที่อาจหาญกระโดดลงไปจะสามารถรับรู้อดีตชาติและไขข้อสงสัยที่เจ้าต้องการรู้ได้ทว่า.....ผู้ที่จะลงไปนั้นสำหรับวิญญาณที่อ่อนแอเช่นเจ้าคงเป็นไปไม่ได้ เพราะหากลงไปแล้วก็ไม่อาจกลับขึ้นมาได้อีก ทั้งยั้งต้องจมอยู่กับบ่วงทุกข์ทรมานไปชั่วกัปชั่วกัลป์ สิ่งนั้นโหดร้ายเสียยิ่งกว่าการหลอมวิญญาณ”
ครั้นได้ยินคำกล่าวนั้นเซียวโม่โฉวก็แทบหมดหวัง ทว่าสิ่งที่หลี่รั่วถงกล่าวต่อไปนั้นก็จุดประกายความหวังให้บุรุษหนุ่มขึ้นมาอีกครั้ง
“.....”
“แต่ก็ยังมีหนทาง”
“อย่างไร?”แววตาใสที่มองมายังหลี่รั่วถง หารู้ไหมว่ากำลังแสดงสีหน้าเช่นไรอยู่
“นอกเสียจากเจ้าจะต้องมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งพอ”
“ข้าต้องทำอย่างไร! แลกด้วยสิ่งใดข้ายอมทั้งนั้น”สีหน้าใคร่รู้เสียเต็มประดาหาได้ขลาดกลัวอีกต่อไป
“ข้าจะบอกแก่เจ้าต่อเมื่อเจ้ารับปากที่จะทำตามข้อตกลงของข้าเสียก่อน หากไม่.....”
“ข้าจะทำ!”เสียงตอบรับที่ไร้การไตร่ตรองพยุงร่างกายตนเองให้ยืนขึ้นประจันหน้าต่อหลี่รั่วถงอย่างไม่กลัวเกรง แม่บุรุษตรงหน้าจะมีร่างกายที่สูงใหญ่เต็มไปด้วยรังสีอำมหิตและจิตสังหารรอบกาย ทว่ากลับหาได้รู้สึกหวาดกลัวใดๆ อีกต่อไป
ข้าไม่มีสิ่งใดที่จะเสียอีกแล้ว แม้กระทั่งลมหายใจของการมีชีวิต!
“เจ้าจะไม่คิดเสียหน่อยหรือ”อีกนัยหนึ่งหลี่รั่วถงกลับรู้สึกพึงใจแต่อีกนัยกลับรู้สึกไม่พอใจที่เซียวโม่โฉวไม่คิดถึงตนเอง
“มีสิ่งใดที่ข้าจะต้องกลัวอีก ข้ามาถึงยังสถานที่นี้แล้วนั่นมิใช่ข้ามผ่านความหวาดกลัวที่สุดมาแล้วหรือ”ชั่วครู่นัยน์ตาที่สั่นไหวกลับแปรเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นเสียจนเอ่อล้นออกมาทางแววตา
“หึ! เช่นนั้นเจ้าก็คงยินยอมที่จะมอบพลังวิญญาณของเจ้าเพื่อตอบแทนข้าจากนี้จวบจนถึงวันที่เจ้าสามารถทำความปรารถนาของเจ้าสำเร็จอย่างไม่มีข้อแม้สินะ”คราแรกที่ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มขึ้นตรงมุมปาก ดวงตาดุดันฉายแววบางอย่างขณะที่เคลื่อนตัวเข้าหาบุรุษที่อาจหาญเกินตัวนัก
“พลังวิญญาณ?”เซียวโม่โฉวยังคงตกตะลึง หากแต่สิ่งเหล่านี้เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่เช่นไรก็ไม่อาจคืนคำ
“ถูกแล้ว พลังวิญญาณของเจ้า”อีกก้าวที่เซียวโม่โฉวต้องถอยห่าง ครั้นรับรู้ได้ถึงความน่าเกรงขามขึ้นมาผ่านดวงตาคู่คมที่จ้องมองมายังตนราวกับจะกลืนกิน
“ข้าจะให้สิ่งนั้นกับท่านได้อย่างไร”
“เจ้ามิต้องทำสิ่งใด ข้าจะเป็นผู้ดึงสิ่งนั้นออกมาจากตัวเจ้าเอง”
“ท่านว่าอย่างไร.....!!!”กล่าวหนึ่งประโยคได้เพียงไม่กี่คำ ก็ไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้อีก ครั้นฝ่ามือใหญ่ของหลีรั่วถงยื่นเข้ามาคว้าจับกรอบหน้ามิให้ถอยห่าง พลางเลื่อนลงมาประคองลำคอระหงเกลี่ยก้านนิ้วสัมผัสสัญลักษณ์รูปดอกโบตั๋นที่เปล่งแสงเบาบางตอบรับราวกับพบพานเจ้าของ ก่อนคว้าเข้ามาใกล้พร้อมกดริมฝีปากหยักลงบนเรียวปากบางอย่างกะทันหัน แนบแน่นไร้ซึ่งช่องว่างใดให้เห็นถึงระยะห่าง จนดวงตาคู่สวยพลันสั่นระริกและแข็งทื่อไปทั้งร่างตกตะลึงมิได้คาดคิดมาก่อนเช่นนี้
ระยะเวลามิใช่เพียงชั่วครู่ แต่นิ่งค้างจนริมฝีปากบางที่เย็นเยียบถึงกับอุ่นชื้น ความรู้สึกตีรวนจู่โจมเซียวโม่โฉวให้กายร้อนผะผ่าวราวกับจะเผาไหม ก่อนร่างสูงจะผละออกมองบุรุษตรงหน้าแววตานิ่งเรียบ ครั้นเอ่ยขึ้นอีกคราราวกับย้ำเตือนให้จดจำ
“เจ้ารับปากสิ่งใดไว้ก็จงทำให้ได้ แล้วข้าจะบอกถึงสิ่งที่เจ้าอยากรู้ภายหลัง”
พลันร่างสูงเดินออกไปเข่าของบุรุษหนุ่มจึงได้ทรุดนั่งแทบพื้น ความร้อนรุ่มราวกับร่างกายจะเผาไหม้แทบทำให้ลำคอแห้งผาก ความรู้สึกเหล่านั้นมิใช่เป็นเพียงสิ่งที่กล่าวเกินจริง ทว่าเกิดขึ้นกับร่างกายของเซียวโม่โฉวราวกับกลืนกินสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อร่างกาย ลมปราณจึงได้แปรปรวนตีรวนแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กายเช่นนี้
“แค่กๆ ”
นั่นเป็นวิธีการ.....หรือจงใจรังแกข้ากันแน่ ข้าไม่แปลกใจเลยเหตุใดผู้คนจึงกล่าวขานถึงความโหดเหี้ยมของท่าน!
ติดตามตอนต่อไป >>>
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
โดย : หลานฮวา
-
:pig4:
-
:L2: :3123: :pig4: :3123: :L2:
-
คือต้องให้กำลังใจนายเองเราเนาะ ตามอ่านต่อ
-
บทที่ 5
ความปรารถนา
คล้อยหลังเจ้าของพิภพแห่งนี้ อาการผะผ่าวในกายจึงได้ทุเลาเบาบางลงไปบ้าง เมื่อรวบรวมสติได้ความคิดที่ราวหลงลืมแล่นเข้ามาในหัว ภาพของปีศาจกระต่ายที่เคยช่วยชีวิตตนเอาไว้วาบขึ้นในหัวความกังวลใจเกิดขึ้นอีกครา ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไร เพราะหลังจากหมดสติเรื่องราวหลังจากนั้นก็ไม่ได้อยู่ในความทรงจำของเซียวโม่โฉวอีก
คิดได้เช่นนั้นความห่วงใยจึงนำพาบุรุษให้อาจหาญผลักประตูตรงหน้าให้เปิดออก
“จะไปไหนหรือขอรับ? ”
เฮือก!
ทันทีที่จมูกของเซียวโม่โฉวสัมผัสกับลมด้านนอก จู่ๆ ก็มีเสียงถามไถ่ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏกายของคนผู้หนึ่ง แม้ร่างกายจะเป็นมนุษย์แต่กลิ่นอายของความเป็นมนุษย์จริงๆ นั้นหามีไม่
แน่ล่ะจะมีได้อย่างไร ในเมื่อที่นี่ไม่ใช่โลกมนุษย์ และตัวข้าเองก็มิใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว มีอะไรที่ข้าต้องกลัวอีก
“เจ้าเป็นใคร!”
“ข้าน้อยมีนามว่าเหอจี๋ขอรับ นายท่านสั่งให้ข้ามาคอยดูแลท่านชั่วคราว”ร่างสูงแปดเซี๊ยะประสานมือค้อมหลังลงเล็กน้อยให้ความเคารพผู้คนตรงหน้า ไม่ว่าด้วยเหตุอันใดหากผู้ที่ถูกเลือกให้อยู่เรือนเสี้ยวจันทรานั่นหมายความว่าหาใช่ผู้ที่จะสามารถล่วงเกินด้วยการกระทำหรือคำพูดได้ เหอจี๋รู้ดีเพราะเดิมทีที่นี้นั้นปิดตายมานับพันปีราวกับเฝ้ารอเจ้าของ ทว่าฟ้าใหม่เปลี่ยนสีบุรุษหนุ่มผู้นี้กลับถูกเจ้าพิภพแห่งหยินเลือกแล้ว ฉะนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเหิมเกริมต่อคนผู้นี้ได้
“มาจับตามองข้าเสียไม่ว่า แต่ข้าไม่สนหรอกว่านายของเจ้าจะให้เจ้ามาควบคุมข้าหรือมาด้วยเรื่องใด ถึงข้าจะหวาดกลัวไปก็หาใช่ว่าจะหลีกหนีเรื่องเหล่านี้ได้”คิ้วได้รูปขมวดมุ่นครั้นทราบความ นึกถึงสัมผัสเมื่อครู่แล้วยังแค้นเคืองอยู่ในอกไม่หาย น้ำเสียงที่เปล่งออกไปราวเย็นเยียบจนเหอจี๋สัมผัสได้ นั่นมิใช่ไอพลังของดวงวิญญาณผู้อ่อนแอ แต่สิ่งที่เหอจี๋สัมผัสได้นั้นปะปนไปด้วยกลิ่นอายของหลี่รั่วถงอยู่ด้วย แม้จะเล็กน้อยแต่ผู้รับใช้ที่อยู่ชิดใกล้จ้าวพิภพแห่งหยินมานับพันปีเหตุใดจะไม่รับรู้
น่าแปลกนัก...
“เอ่อคือ...ตกลงท่านจะไปที่ใดขอรับ”
“เจ้าอยู่ก็ดีแล้ว ข้าต้องการสหายของข้าคืนตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
“สหาย?”
“ข้าหมายถึงปีศาจกระต่ายที่มาพร้อมกับข้า”เหอจี๋ก้มหน้าเหลือบดวงตาขึ้นมองเซียวโม่โฉวราวกับพูดไมได้
“เอ่อคือ.....”
“สิ่งใดเล่า รีบพูดมาหรือนายของเจ้าจะ.....!”เมื่อนึกขึ้นได้ดวงตากลมใสพลันเบิกโพลงขึ้น
“มิได้เป็นเช่นนั้นขอรับ นายท่านมิได้ทำเช่นนั้น”
“แล้วทู่จึอยู่ที่ไหน?”
“ขะข้าไม่ทราบ ข้ามิสามารถเข้าไปยุ่มย่ามเรื่องนั้นได้”
“แล้วตอนนี้หลี่รั่วถงนายท่านของเจ้าเขาอยู่ที่ไหน ข้าจะไปถามด้วยตัวเอง?”
“ข้าบอกไม่ได้ขอรับ”
“ดี ในเมื่อเจ้าแสร้งไม่รู้ไปซะทุกเรื่องก็ตามใจ เช่นนั้นข้าจะออกไปหาเขาเอง”พูดจบเซียวโม่โฉวก็เดินไปตามทางที่มิได้รู้จักหรือคุ้นเคยแต่อย่างใด แม้สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปราวกับแดนดินของมนุษย์ แต่ก็ไม่อาจมีสิ่งใดบ่งบอกได้ว่าเดินไปยังเส้นทางเบื้องหน้าแล้วจะเกิดอันตรายใดขึ้นหรือไม่
“หยุดก่อนเถิดขอรับ หากท่านเดินไปสุ่มสี่สุ่มห้าอาจเกิดอันตรายได้นะขอรับ ที่นี่มีม่านเวทลวงตาศัตรูอยู่ทุกที่หากเดินไปไม่รู้ทิศอาจหลงทางได้”
“เช่นนั้นเจ้าก็นำทางข้า”เซียวโม่โฉวหยุดเดินมองไปยังเหอจี๋ที่เดินเร็วรี่เข้ามาขวาง จะไม่ให้ขวางได้อย่างไรหากเกิดเรื่องอันตรายขึ้นมากับบุรุษตรงหน้าผู้ที่จะเดือดร้อนก็เป็นเหอจี๋ผู้นี้ไม่พ้นแน่
“มะไม่ได้ขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ออกไปให้ห่างจากข้า”แววตาถมึงทึงมองไปยังเหอจี๋ ไม่รู้ว่าเหตุใดหลังจากผ่านความตายมาแล้วความรู้สึกกลัวเกรงหรือหวาดกลัวกลับด้านช้าไปเสียหมด สำหรับเซียวโม่โฉวนับได้ว่าแทบจะเปลี่ยนอุปนิสัยก่อนเก่าที่เคยยอมคน สงบปากสงบคำมากกว่าต่อต้านไปเสียสิ้น
“อย่างไรก็ไม่ได้ขอรับ”
“เจ้ายังยืนยันคำเดิม?”
“ขอรับ!”
“ก็แล้วแต่เจ้าเถอะ!”เซียวโม่โฉวไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้จึงตัดสินใจเดินไปยังเส้นทางเบื้องหน้าไม่สนฟ้าดิน เหอจี๋มองเซียวโม่โฉวที่หาได้เกรงกลัวอันตรายก่อนจะเข้าไปดึงจับเสื้อคลุมตัวนอกเท่าที่คว้าได้มิให้เดินไป พยายามใช้วิธีที่มิให้ถึงเนื้อถึงตัวให้มากที่สุด
“ปล่อยข้า!”หากแต่ด้วยความรำคาญเป็นที่สุดเซียวโม่โฉวจึงตัดสินใจถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกเสีย“หากเจ้าอยากได้นักก็เอาไป”แล้วขว้างใส่เหอจี๋ที่ตาแทบถลนออกมาอย่างตกตะลึง ท่าทีลุกลี้ลุกลนไม่รู้จะควบคุมบุรุษตรงหน้าอย่างไรดี
“อย่าทำอย่างนี้เลยนะขอรับ ไม่เช่นนั้นข้าเดือดร้อนเป็นแน่”
“เจ้าอยากได้สิ่งนี้ด้วยหรือไม่”ร่างบางที่สวมใส่เพียงเสื้อผ้าเนื้อบาง สาบเสื้อหมิ่นเหม่จะแยกออกจากกันเผยให้เห็นผิวพรรณขาวผุดผาดอยู่เนืองๆ ก้มลงเก็บกิ่งไม้ที่หล่นแห้งตามทางเข้าขว้างปาอย่างเหลืออด เสมือนความก้าวราวที่สะสมอยู่ในส่วนลึกของจิตใจที่อยากจะระบายมันออกมาเสียให้หมดสิ้น
แต่ถึงขว้างปาอย่างไรก็ไม่สามารถโดนตัวเหอจี๋ได้อยู่ดี
ข้าคงลืมไปสินะว่าผู้คนที่นี่มิใช่มนุษย์ จะเจ็บได้อย่างไรกับแค่กิ่งไม้เล็กๆ ที่เมื่อโดนปัดก็หักกลางอากาศแล้ว และมิหนำซ้ำ ข้าก็ไม่ควรไปโทษโพยผู้ที่ต้องรับคำสั่งผู้อื่นมา เช่นไรเหอจี๋ก็ทำตามหน้าที่
ครั้นนึกได้ก็เก็บสิ้นความเกรี้ยวกราด มือบางที่กำแน่นสั่นไปทั้งแขนด้วยความอดทนในสิ่งที่ตนต้องเผชิญ
“ข้า.....ขอโทษ”
“เอ๊ะ? เหตุใดจึงต้องขอโทษข้าด้วย ทะท่านมิได้บาดเจ็บอะไรตรงไหนใช่หรือไม่”เหอจี๋มีท่าทีละล่ำละลักเมื่อเห็นว่าเซียวโม่โฉวมีท่าทีผิดแปลกไป จากที่เกรี้ยวกราดอยู่เมื่อครู่กลับหดหู่ราวกับจะหลั่งน้ำตา
“เกิดอะไรขึ้น?”
“นะนายท่าน!”น้ำเสียงกังวานและท่าทีกลัวเกรงของเหอจี๋ก็บอกให้รู้แล้วว่าผู้ใดที่มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหลังของเซียวโม่โฉว บุรุษหนุ่มเพียงเอี้ยวเสี้ยวหน้าหนึ่งหันไปมอง เป็นหลี่รั่วถงที่ตวัดสายตามองไปยังเหอจี๋ซึ่งยืนตัวลีบแบนหอบถืออาภรณ์ชิ้นหนึ่งที่ถูกเซียวโม่โฉวสลัดออกไปอย่างไม่ไยดี
“ทู่จึอยู่ที่ไหน?”
“เจ้าหมายถึงปีศาจชั้นต่ำตัวนั้นน่ะหรือ”ร่างสูงสง่าก้าวมาเบื้องหน้ามองดูเซียวโม่โฉวแววตาเย็นเยียบ กระทั่งบรรยากาศรอบตัวของหลี่รั่วถงก็มิได้ต่างกัน
“ใช่ ข้าต้องการรู้ว่าตอนนี้ทู่จึอยู่ที่ไหน”
“เพียงแค่เหยียบเข้ามาในที่ที่ไม่ควรปีศาจตนนั้นก็สมควรได้รับโทษแล้ว เจ้าจะยังถามถึงไปทำไม”กล่าวเสร็จหลี่รั่วถงก็ปลีกตัวเดินออกไป เซียวโม่โฉวที่ต้องการคำตอบจึงเร่งเท้าเดินตาม
“แต่ทู่จึช่วยข้า! มิใช่ว่าท่านฆ่าเขาไปแล้วใช่หรือไม่”มือบางเข้าคว้าแขนแข็งแรงของหลี่รั่วถงบีบแน่นให้หยุดเดิน ก่อนใช้ร่างกายเข้าขวางอย่างไม่กลัวเกรง ในแววตาสั่นระริกแม้จะกลบเกลื่อนด้วยใบหน้าฉุนเฉียว
หากแต่ไม่ทันไร หลี่รั่วถงเพียงหงายฝ่ามือข้างหนึ่ง ม่านพลังเบาบางที่ปรากฏขึ้นในอากาศโอบอุ้มเจ้าปีศาจกระต่ายที่สลบไสลอยู่ด้านในก็พลันแตกออกราวกับฟองอากาศ ร่างเล็กร่วงลงมาหลี่รั่วถงหยิบคว้าส่วนหูที่ยื่นยาวเอาไว้ ใช้สายตาคมกริบเหลือบมองสิ่งที่อยู่ในมือราวกับเป็นสิ่งของ
“เจ้าปีศาจตนนี้ที่เจ้าอยากได้คืนนักหนาเช่นนั้นหรือ”
“ส่งมาให้ข้า!”แววตาเป็นประกายเข้าคว้าสิ่งที่อยู่ในมือหลี่รั่วถงอย่างยินดี เผยรอยยิ้มบางราวกับความสุขเกิดขึ้นตรงหน้า จนเผลอสะกดสายตาให้หลี่รั่วถงจ้องมองร่างบางอยู่นาน
คล้ายหวนคิดถึงภาพในที่รอยยิ้มสดใสนั้นตนเคยได้รับมาก่อน
“เจ้าตามข้ามา ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับเจ้า”เซียวโม่โฉวพยักหน้าและตั้งท่าจะเดินตาม“แต่มิต้องนำสหายชั้นต่ำของเจ้าไป”ดวงตาคมตวัดมองไปยังทู่จึปีศาจกระต่ายที่เริ่มขยับตัวเข้าซุกใบหน้าเข้ากับอกของเซียวโม่โฉวหางตาขยับ หลี่รั่วถงรู้ดีว่าเจ้ากระต่ายปีศาจตนนั้นสามารถฟื้นฟูร่างกายตนเองได้อย่างรวดเร็ว มิได้สาหัสมากนักเพียงไม่กี่ชั่วยามก็สามารถกระโดดวิ่งเต้นได้แล้วหรือรวดเร็วกว่านั้น
เพราะเห็นแก่บุรุษตรงหน้า เจ้าปีศาจตนนั้นจึงยังมีชีวิตรอด
“ข้าฝากเจ้าไว้ หวังว่าเจ้าจะไม่รังแกมัน”
“ขอรับ”เหอจี๋รับทู่จึจากเซียวโม่โฉวอย่างจำยอม มองนายทั้งสองที่เดินลับหายไป ก่อนจะหยิบคว้าขาข้างหนึ่งของทู่จึหิ้วขึ้นกลางอาการ สีหน้าที่เคยนอบน้อมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้น ซ้ำกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขวัญต่อปีศาจเจ้าเล่ห์ตรงหน้าอย่างรู้แกว
“ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นอยู่ ลืมตาขึ้นมาคุยกับข้าเดี๋ยวนี้!”หัวที่ห้องต่องแต่งขยับเปลือกตาเปิดออกพลันร่างที่เคยเป็นกระต่ายก็จำแลงกายเป็นเด็กน้อยที่เหอจี๋ปล่อยให้ร่วงลงกับพื้นหากแต่สามารถตีลังกาลงพื้นได้อย่างสวยงาม
“หว้า รู้ซะแล้ว”แก้มย้วยๆ ที่สูบอากาศเข้าเต็มจนป่องเล่นหูเล่นตาราวกับกำลังกวนใจเหอจี๋
“ต่อจากนี้หากเจ้าก่อเรื่องขึ้นล่ะก็ รับรองได้เลยว่าไม่ต้องให้ถึงมือนายท่าน แต่ข้านี่แหละที่จะจับโยนลงไปในบ่อหลอม
วิญญาณ!”ดวงตาราวกับไฟท่วมเท้าเอวมองเจ้าปีศาจจอมซนที่ยืนจิ้มนิ้วชนกันทำสีหน้าตาละห้อย
“ขะข้าไม่ก่อเรื่องอยู่แล้ว ข้าก็แค่อยากจะอยู่ที่นี่ด้วยก็เท่านั้นเหตุใดท่านถึงต้องดุข้าด้วยเล่า”
“ไม่ต้องมาตีหน้าเศร้า โชคดีเท่าไหร่แล้วที่นายท่านยังเห็นแก่เซียวโม่โฉวไม่เผาเจ้าให้เป็นจุณไปในวันนั้น”
“ข้ารู้แล้วนา ข้าจะยอมเป็นเด็กดีข้าสัญญา”
“รู้ก็ดีแล้ว ตามข้ามานี่”
“ไปไหน?”ดวงตากลมใสเงยหน้าขึ้นมองเหอจี๋ด้วยความฉงน
“ก็หาเสื้อผ้าให้เจ้าใส่ เหตุใดจึงชอบเดินล่อนจ้อนอยู่เช่นนั้น หรืออยากโดนอสูรไก่ฟ้าตาเดียวจิกไอ้นั่นของเจ้าจนกุดก็เลือกเอาเถิด”
“มะไม่น๊าอันนี้อันเดียวของข้า แง่ๆ!”
“หยุดร้องไห้! ข้าเกลียดเสียงเด็กเป็นที่สุด!”
“กะก็ข้ากลัวนิ”ตาใสๆ แสร้งบีบน้ำตาเรียกความสงสาร หากแต่เหอจี๋กลับรู้เท่าทัน
“อย่ามาเสแสร้งต่อหน้าข้า รีบตามมาอย่าโอ้เอ้!”
“ขะขอรับ!”มือเล็กจิ๋วปกปิดของลับอย่างว่องไวแอบลอบถอนหายใจที่คนตรงหน้าหาได้อ่อนโยนต่อตนไม่ ก่อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งด้วยขาคู่สั่นตามเหอจี๋ไปอย่างรวดเร็ว ซ้ำแอบชำเลืองมองซ้ายขวา ในอกเกรงว่าจะเจอเข้าให้กับอสูรไก่ฟ้าตาเดียวเข้าจริงๆ
“ท่านจะพูดเรื่องใดต่อข้า”แผ่นหลังกว้างที่ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวหันหลังให้เซียวโม่โฉวอยู่ช้านาน คนที่ไม่อาจอดทนรอจึงได้ถามไถ่ขึ้น หลี่รั่วถงจึงได้ขยับหมุนกายพร้อมด้วยสีหน้านิ่งเรียบราวกับผืนทะเลสาบเย็นเยือกจ้องมองเซียวโม่โฉวด้วยแววตาผูกพันทว่ากลับซ่อนเร้นไว้จนไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็น หากแต่กระนั้นครู่หนึ่งที่สายตาทั้งสองบุรุษประสานกัน เซียวโม่โฉวมิได้หลบตาจึงคล้ายเห็นนัยน์ตาอ่อนโยนผ่านดวงตากร้าวคู่นั้น
แต่ผู้ใดเล่าจะคิดเป็นเช่นนั้น พ่อมดปีศาจอย่างหลี่รั่วถงจะมีแววตาอ่อนโยนให้เห็นได้อย่างไรกัน รอบกายมีแต่ความเหน็บหนาวและมืดมน เช่นไรจันทราก็ไม่อาจกลายเป็นดวงตะวันที่อบอุ่นไปได้
“เซียวโม่โฉว นั่นเป็นชื่อของเจ้าใช่หรือไม่?”
“นั่นเป็นชื่อของข้า”
“ผู้ใดเป็นคนตั้งให้”
“แน่นอนว่าเป็นท่านพ่อและท่านแม่ของข้า พวกเข้าบอกว่าข้าเหมาะสมกับชื่อนั้น”ครั้นกล่าวทั้งดวงตาและสีหน้าคล้ายยิ้มอย่างเจ็บปวด“แล้วท่านถามเรื่องนี้กับข้าไปทำไมกัน”
“ข้าเพียงต้องการรู้ อย่างไรเจ้าก็ต้องอยู่ที่นี่อีกนาน ในเมื่อข้าเป็นเจ้าบ้านมิใช่ต้องควรรู้ไว้เช่นนั้นหรือ”
“ถูกอย่างที่ท่านกล่าว”บุรุษหนุ่มกล่าวเสียงแผ่ว ตระหนักได้ว่าตนยังคงอยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วยสถานะใด หากมิใช่แหล่งพลังวิญญาณเคลื่อนที่ได้ของหลี่รั่วถง หากแต่สิ่งนั้นเป็นความยินยอมที่โง่เขลาของเขาเองจะไปโทษผู้ใดได้ การแลกเปลี่ยนนั่นเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว
“สีหน้าของเจ้าดูไม่สู้ดีนัก กลัวที่จะอยู่ที่นี่แล้วหรืออย่างไร”ในขณะที่ความคิดเซียวโม่โฉวกำลังเหม่อลอย นิ้วเรียวที่เย็นเยือกของหลี่รั่วถงก็เลื่อนเข้าช้อนใบหน้าได้รูปของเซียวโม่โฉวขึ้นสำรวจ เผยลำคอระหงที่ขาวนวลเนียนไปตลอดจนลาดไหล่ที่เผยออกราวกับเย้ายวนสายตาผู้คน
“ข้ามิได้คิดที่จะเลิกล้มความตั้งใจเพียงเพราะความขลาดกลัว ท่านมิต้องกลัวไปหรอกว่าข้าจะผิดสัญญา”เซียวโม่โฉวเบี่ยงหน้าหนีเล็กน้อย น้ำเสียงที่เปล่งออกไปมิได้แสดงถึงความกระด้างกระเดื่องแต่อย่างใด
“อย่างนั้นก็ดี หากเจ้ามีความพยายามเช่นนี้วิธีที่จะสามารถไปยังผาพลิกชะตาคงไม่ยากเกินเอื้อมสำหรับเจ้านัก”
“อย่างไร บอกข้าเร็วเถิด”ความไร้ชีวิตชีวากลับคืนมาเมื่อได้ยินเรื่องที่หลี่รั่วถงกล่าว แววตาเป็นประกายมองร่างสูงสง่าตรงหน้าตาไม่กะพริบ
“.....”
หลี่รั่วถงไม่เพียงนิ่งเงียบหากแต่กำลังเอื้อมมือหนาเข้าช้อนเรือนผมนุ่มละเอียดของอีกฝ่ายอย่างอ้อยอิ่งก่อนทิ้งเส้นผมละเอียดให้ไหลผ่านฝ่ามือราวสายน้ำ หลงเหลือเพียงผมที่หลุดออกมาไม่กี่เส้นก่อนจะหลับตาเพียงครู่ราวกับร่ายเวทมนตร์ให้เซียวโม่โฉวได้ประหลาดใจ เมื่อจู่ๆ เส้นผมของตนกำลังสลายลอยฟุ้งขึ้นคล้ายดวงไฟเล็กๆ นับพันดวงจากฝ่ามือบุรุษตรงหน้าก่อนรวมตัวกันเปล่งแสงเรืองรองสว่างจ้า
จากเส้นผมเพียงไม่กี่เส้นแปรเปลี่ยนเป็นดอกโบตั๋นสีทองที่ลอยอยู่เหนือฝ่ามือของหลี่รั่วถงขนาดเท่ากำมือ หากแต่มิได้หยุดเพียงเท่านั้น จากดอกโบตั๋นสีทองที่เป็นดอกตูมกำลังหดเล็กลงกระทั่งเหลือเพียงขนาดเท่าแหวนหนึ่งวง กลับกลายเป็นเครื่องประดับชิ้นงามในพริบตา
“สิ่งที่เจ้าต้องทำนั่นคือการบำเพ็ญตนเองให้แข็งแกร่ง วันใดที่ดวงจิตของเจ้าแข็งแกร่งพอแล้วเมื่อนั้นดอกโบตั๋นที่ประดับอยู่บนปิ่นปักผมเล่มนี้จะบานสะพรั่งบอกเตือนแก่เจ้า”เสียงทุ้มและนุ่มกังวานบอกสิ่งที่เซียวโม่โฉวต้องการรู้ และท่วงท่าทีนิ่มนวลกำลังเคลื่อนกายสูงใหญ่เข้าหาบุรุษหนุ่มก่อนจะปักปิ่นเล่มนั้นให้แก่เซียวโม่โฉวด้วยมือแข็งแรงอย่างอ่อนโยน
เวลานี้คล้ายหัวใจบุรุษหนุ่มที่ราวไม่เคยรู้สึกถึงการมีชีวิตหลังความตายกำลังขยับเต้น เซียวโม่โฉวมองการกระทำของหลี่รั่วถงที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่ละสายตา วูบหนึ่งในความรู้สึกราวกับมีบางสิ่งพันผูกหัวใจของตนต่อบุรุษตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
“เจ้าจงเก็บรักษาไว้ให้ดี”
“ขะข้าจะเก็บไว้เป็นอย่างดี”สติที่ล่องลอยขานรับหลี่รั่วถงลนลาน แล้วยมือขึ้นลูบสัมผัสปิ่นปักผมและเส้นผมตนเองราวกับมิคุ้นเคย ส่วนที่ถูกสัมผัสร้อนผ่าวลามไต่มาจนถึงใบหูเล็ก
“นับแต่พรุ่งนี้ ข้าจะให้เหอจี๋เป็นผู้นำทางเจ้าไปยังที่บำเพ็ญตน อาจไม่ง่ายนักหากเจ้ามีความมุ่งมั่นพอก็ไม่มีสิ่งใดเป็นอุปสรรค และเมื่อใดที่เจ้าต้องการพบข้าให้เหอจี๋นำทางไป”
“ขอบคุณท่านมาก”
“ไม่จำเป็น เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าข้ากับเจ้าต่างมีสิ่งแลกเปลี่ยนต่อกัน”
“ข้าจะไปลืมได้อย่างไร”ครั้นนึกก็อดแสดงสีหน้ากังวลไปไม่ได้ หลี่รั่วถงที่ลอบสังเกตก็พอทราบว่าในแววตาเข้มแข็งเช่นนั้นกำลังหวาดหวั่นเพียงใด หากแต่ตนไม่ทำเช่นนี้ก็ไม่มีทางทำสิ่งที่เฝ้ารอมานับพันปีให้สำเร็จลุล่วงได้ เรื่องระหว่างหลี่รั่วถงและเซียวโม่โฉวหาได้มีผู้ใดรับรู้เรื่องราว ยกเว้นเสียแต่ผู้ปกครองชั้นฟ้าทั้ง 4 ที่กุมความลับไว้เท่านั้น
“เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป ข้ามีเรื่องๆ หนึ่งที่ต้องการจะถามท่าน?”
“มีเรื่องใดว่ามา”
“ข้าอยากรู้ว่า ท่านเมตตาดวงวิญญาณทุกดวงที่ถูกสังเวยเช่นข้าหรือไม่ ทุกครั้งที่พวกเขาร่ำร้องและขอให้ท่านช่วยละเว้น ท่านให้โอกาสพวกเขาเฉกเช่นที่ข้าได้รับหรือไม่”
ข้าไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่หลี่รั่วถงผู้นี้กระทำอยู่ใช่ความเมตตาหรือไม่ หากแต่ข้านั้นได้ไตร่ตรองถึงการกระทำของเขาและสิ่งที่ข้าเคยได้ยินมาจากโลกมนุษย์ก็นับว่าย้อนแย้งกันมากนัก หรือข้าอาจถูกหลี่รั่วถงหลอกให้ตายใจก็อาจเป็นไปได้
“เจ้าจะอยากรู้ไปทำไม”สองเท้าก้าวเข้ามายืนเคียงใกล้อีกครา มองเซียวโม่โฉวไม่หลบสายตา ทว่าผู้ที่ถูกจ้องมองแทบจะสำลักความตื่นกลัว
“เป็นเพียงความอยากรู้ที่ไร้เหตุผลของข้า หากท่านไม่ต้องการตอบเช่นไรก็เป็นสิทธิ์ของท่าน”
“เหตุใดข้าจะไม่ตอบหากเจ้าปรารถนาอยากจะรู้”
“แล้วแต่ท่านจะพิจารณาเถิด”เซียวโม่โฉวรับรู้ได้ถึงอันตรายบางอย่างก่อนจะก้าวถอยทีละก้าว หลี่รั่วถงก้าวเดินตามเพียงหนึ่งก้าวก็สามารถประชิดตัวเซียวโม่โฉวได้แล้ว พลันสายตาคมก้มลงมองเซียวโม่โฉว พร้อมโน้มใบหน้ากระซิบชิดใบหูเล็กน้ำเสียงทุ้ม
“หาใช่ความเมตตาที่ข้ามอบให้แก่เจ้า หากแต่เป็นความปรารถนาของข้าที่ต้องการให้เจ้าได้อยู่ข้างกายข้าเสียมากกว่า”
ครั้นเอ่ยเสร็จมือหนายกขึ้นวางเพียงเบาบนไหล่เล็กก่อนจะกระชับสาบเสื้อของเซียวโม่โฉวให้เข้าที่ แล้วหัวเราะหงึกเพียงแผ่วเบาก่อนผละออกไป สายตาของเซียวโม่โฉวขณะนิ่งค้างกับคำพุดเหล่านั้นเมื่อรู้สึกตัวอีกคราหลี่รั่วถงกลับหายตัวไปเสียแล้ว ทิ้งไว้เพียงลมหายใจอุ่นร้อนและความรู้สึกวูบไหวในแววตาของเซียวโม่โฉวที่ไม่อาจปิดบังได้
ตึกตัก ตึกตัก!
!!!
เกิดสิ่งใดกับร่างกายและความรู้สึกของข้ากัน หรือข้าจะถูกหลี่รั่วถงเล่นเล่ห์ร่ายมนตร์ป่วนความคิดข้าเสียแล้ว
ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ
ขอบคุณนักอ่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านค่ะ
นายเอกอาจจะน่าสงสารไปบ้างแต่เวลาจะเยียวยาและทำให้เข้มแข็งขึ้นค่ะ :hao5:
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเชื่อเถอะค่ะ ฮ่าๆๆ o18
โดย หลานฮวา
-
:3123: :pig4: :3123:
-
อร้ายยยย >< ออกตัวแรง
-
ติดตาม เป็นกำลังใจให้เซียวโม่โฉวค่ะ
:pig4:
-
เซียวโม่โฉวสู้ๆ
-
บทที่ 6
เผชิญและพบพาน
“การประชุมช่างน่าเบื่อหน่าย มีสิ่งใดต้องพูดกันอีกในเมื่อต่างฝ่ายต่างมิยอมฟังความผู้ใด โดยเฉพาะชั้นฟ้าที่อย่างไรก็มีเทพเซียนที่เก่าแก่คร่ำครึ ความคิดหาได้เปลี่ยนไปแม้จะผ่านมานับหมื่นๆ ปี ข้าล่ะอยากจะสาดสุราต่อหน้าเทพเซียนเหล่านั้นนัก หากไม่ติดตรงที่ข้านึกเสียดายสุราเลิศรสของข้ามากกว่า”
“พวกเขาต่างยึดกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัด หากเจ้าต้องการทำลายสิ่งน่ารำคาญใจเหล่านั้นก็ร่วมมือกับข้าดีหรือไม่”ถ้อยคำที่กล่าวขึ้นด้วยแววตาคมกริบ มิได้กล่าวประชดประชันหากแต่ราวกับพร้อมจะทำลายได้ทุกเมื่อ
“จะเจ้าก็รู้.....ข้าเพียงบ่นออกไปเช่นนั้น”หวางหรูอี้หน้าซีดไปหลายส่วนครั้นเห็นแววตาขึงขังของสหายอย่างหลี่รั่วถง ผู้ที่มิเคยกล่าวหยอกล้อหรือเพ้อพก หากแต่กล่าวจริงทุกประการ
“หากเจ้าเปลี่ยนใจก็บอกแก่ข้าได้ทุกเมื่อ”
หวางหรูอี้หันซ้ายมองขวาก่อนจะเอ่ยขึ้นแผ่วเบาต่อหลี่รั่วถงใบหน้ากังวล“เจ้ากล่าวเช่นนั้นหากมีผู้ใดมาได้ยินเข้าประเดี๋ยวก็เดือดร้อนกันพอดี”
“ข้ามีสิ่งใดจะต้องเกรงกลัว เช่นไรข้าก็มิต้องชะตากับสถานที่แห่งนี้อยู่แล้ว”หลี่รั่วถงนึกย้อนไปเมื่อพันปีก่อน ตนต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไปเพียงเพราะความผิดพลาดของชั้นฟ้า นำมาซึ่งพันธสัญญาบางอย่างที่ตนต้องปฏิบัติเพื่อให้บางสิ่งบางอย่างกลับคืนดังเดิม ครานั้นหัวใจของจ้าวพิภพแห่งหยินแทบแหลกสลาย
“ใช่ว่าเจ้าจะเป็นเพียงผู้เดียวข้าก็เช่นกัน แต่อย่างไรข้าและเจ้าก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้ มาร่วมมือทำใจกันเสียเถิดสหายข้า”หวางหรูอี้ยอมโยนขวดน้ำเต้าแล้วหันไปตบไหล่เพียงเบาปลอบใจหลี่รั่วถง ที่มิได้ต้องการคำปลอบใจจากผู้ใด ซ้ำยังเบี่ยงตัวเดินหนีหวางหรูอี้อย่างแยบยล จนอีกฝ่ายออกอาการชะงักค้าง
“จิ๊! เจ้าช่างไร้หัวใจยิ่งนักทำเช่นนี้ต่อข้าเสมอต้นเสมอปลาย ข้าล่ะนับถือเจ้าจริงๆ ”อารมณ์ตัดพ้อขมุบขมิบปากพึมพำมองตามแผ่นหลังของหลี่รั่วถงแต่มิได้เดินตามไป
“ข้าเก็บสิ่งนี้ได้ และเดาไม่ผิดว่าเจ้าของคือเจ้า หวางหรูอี้จ้าวพิภพแห่งหยาง”น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นอยู่เบื้องหลัง พร้อมกับขวดน้ำเต้าสุราที่อยู่ในมือของติงเจิ้งหวา จ้าวแห่งนรกภูมิที่กำลังเดินมาสีหน้าหยักยิ้มราวกับเย้ยหยันแอบแฝง ทั้งดวงตาสีแดงและเส้นผมราวกับเปลวเพลิงหาได้ต้องตาหวางหรูอี้เท่าไหร่นัก เพราะความชิงชังนั้นล้นปรี่อยู่ในใจบุรุษ ทว่าในสายตาผู้อื่นนั้น คำว่ารูปงามก็เห็นว่าเหมาะสมที่จะกล่าวชื่นชมต่อติงเจิ้งหวานัก
“เจ้าอีกแล้ว”หวางหรูอี้ขมวดคิ้วมุ่นคว้าขวดน้ำเต้าคืนกลับ
“เจ้าจะไม่กล่าวขอบคุณข้าหน่อยหรืออย่างไร”
“ไยข้าต้องกล่าวเช่นนั้นต่อเจ้าด้วย ในเมื่อข้าโยนมันทิ้งหากแต่เจ้ากลับเก็บมันมาด้วยตนเอง ข้ามิได้เอ่ยปากร้องขอเสียด้วยซ้ำ”
“พบกันกี่ครา เจ้าก็ช่างยั่วโมโหข้าได้ดียิ่งนัก”
“ใครว่าข้ายั่วโมโหเจ้า เจ้าต่างหากยั่วโม่โหข้า!”
“พูดผิดพูดใหม่ได้ ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง”นัยน์ตาสีแดงเพลิงราวกับไฟลุกจ้องมองหวางหรูอี้ไม่พอใจนัก
“โอกาส? ข้าไม่ต้องการ”กล่าวจบหวางหรูอี้จึงหมุนกายเดินหนีไปอย่างไม่ไยดีต่อผู้ที่พูดคุยด้วย ยิ่งสร้างความหงุดหงิดงุ่นง่านให้กับจ้าวแห่งนรกภูมิขึ้นเป็นทวีคูณ เช่นไรในสายตาติงเจิ้งหวา หวางหรูอี้ก็มิควรอยู่ในตำแหน่งจ้าวพิภพแห่งหยาง
ประพฤติตนเช่นนี้ผู้ใดเล่าจะเคารพนับถือเจ้ากัน เอาแต่สำมะเลเทเมาไปวันๆ ช่างน่ารังเกียจนัก!
พิภพแห่งหยิน
“เดินระวังนะขอรับ”
“อืม”น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงลำคอครั้นทอดสายตามองลงไปยังไหล่เหวเบื้องล่างก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้าที่เป็นเส้นทางแคบๆ ไต่สันเขาทอดยาวไปเบื้องหน้า สีหน้าหวาดหวั่นกำลังรวบรวมกำลังใจเพื่อไปถึงยังที่หมายนั่นคือที่สำหรับบำเพ็ญตนเพื่อให้ดวงวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น อย่างไรเซียวโม่โฉวก็ไม่อาจละทิ้งความตั้งใจของตนเองได้
“รีบเดินเร็วๆ ไม่ได้หรืออย่างไรกันข้าเหนื่อยแล้วเนี้ย”
“หุบปากของเจ้า! ไม่เช่นนั้นข้าโยนเจ้าลงตรงนี้แน่”น้ำเสียงดุปรามเจ้าปีศาจกระต่ายที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย มิหนำซ้ำยังมาเป็นภาระแก่เซียวโม่โฉวอย่างไม่น่าให้อภัย เพราะนอกจากจะไม่เดินด้วยตนเองแล้วยังจะมาเกาะหลังผู้อื่นอีกด้วย
หากบุรุษหนุ่มไม่หลงกลลูกอ้อนของทู่จึยามนี้คงไม่ต้องมาทนแบกเจ้าทู่จึตนนี้ราวกับลูกในไส้
“อีกไม่ไกลก็จะถึงแล้ว ผ่านป่าตรงหน้าก็จะเป็นสถานที่บำเพ็ญของท่านแล้วขอรับ”เหอจี๋ชี้นิ้วไปยังเบื้องหน้าที่ดูเช่นไรก็ช่างมืดมิดราวกับปิดตา
“เหตุใดจึงไม่หายตัวมา เหาะมา หรือทำอย่างไรก็ได้เพื่อจะมายังที่นี่กันเล่า”เซียวโม่โฉวฉงนใจ
ในนิทานเด็กที่ผู้ใหญ่เคยเล่าให้ฟัง เหล่าภูตผีปีศาจ หรือเทพเซียนที่อยู่เหนือความตายย่อมมีอิทธิฤทธิ์สูงส่งมิใช่หรือ แล้วเหตุใดไยจึงมาลำบากเช่นนี้ ทั้งที่ข้าก็เป็นดวงวิญญาณเหตุใดจึงเหาะเหินเดินอากาศมิได้กัน หรือข้าถูกหลอกมาตลอดเช่นนั้นหรือ?
“ขออภัยด้วยขอรับ เขตแดนที่แห่งนี้ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ใดๆ ได้ มีแต่ต้องพยายามด้วยเรี่ยวแรงเท่าที่มีเพื่อมายังที่นี่เท่านั้น สิ่งนี้ก็เพื่อพิสูจน์ตนเองได้เช่นกันนะขอรับว่ามีความพยายามและอดทนมากเพียงใด แต่ข้าขอบอกว่านี่ยังมิได้เริ่มต้นเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ท่านต้องเผชิญคือต่อแต่นี้ต่างหากขอรับ”
“มีแต่ต้องพยายามสินะ”
“ข้าจะมาเป็นเพื่อนเจ้าทุกวันเองอย่าได้กังวลไปเลยนา”
“ข้าจะไม่ยอมแบกเจ้าขึ้นหลังเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด”
“ใจร้ายที่สุด!”
ท่ามกลางความมืดครึ้มด้วยร่มไม้รายล้อมไปด้วยผืนป่า เซียวโม่โฉวจำต้องโบกมือลาเห๋อจี๋และทู่จึที่ถูกลากกลับไปอย่างไม่จำยอม สิ่งที่เซียวโม่โฉวต้องทำนั้นคือการรวบรวมพลังลมปราณค่อยๆ หลอมรวมจิตวิญญาณของตนให้เป็นหนึ่งเดียว ไม่ไขว้เขวต่อสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาทายทัก
“สิ่งที่ท่านต้องทำหาได้มีลำดับขึ้นตอนใดที่ยุ่งยากเลยขอรับ เพียงท่านตั้งใจอยู่กับตนเองในที่แห่งนี้ครบ 5 ชั่วยามต่อวันและไม่ปล่อยให้ความมืดครอบงำจิตใจจนทำให้พลังปราณแตกซ่านก็เป็นพอขอรับ เอ่อ.....ประการสำคัญ”เหอจี๋แอบกระซิบราวกับเป็นความลับ“อย่าพยายามอยากรู้อยากเห็นสิ่งใดเป็นพอขอรับ”
“อื้อ”เซียวโม่โฉวพยักหน้า
“เข้าใจที่ข้าพูดสินะขอรับ”
“ไม่เลยสักนิด!”
คำบอกเล่าที่ผู้รับใช้บอกฟังดูเหมือนไม่ยากนัก ทว่าผู้ใดเล่าจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงการบำเพ็ญ การกระทำใดที่เรียกว่าบำเพ็ญเพื่อรวบรวมพลังวิญญาณ สิ่งเหล่านี้เซียวโม่โฉวฉงนใจนัก
ยามนี้เซียวโม่โฉวทำได้เพียงเดินดูโดยรอบคลับคล้ายคลับคลาราวกับเคยย่างกรายมาในที่แห่งนี้มาก่อน โดยรอบเป็นป่ารกทึบทว่ามีต้นไม่ใหญ่นานับชนิดที่ดูแปลกตานัก บางตนใบใหญ่เท่ากระด้ง มีสีสันแปลกตาจนดึงดูดสายตามอง อีกทั้งหมอกขาวที่ลอยต่ำเรี่ยพื้นก็กำจายไปทำแทบมองไม่เห็นหลังเท้าตนเอง ตากลมใสที่นึกประหลาดใจกับบุปผาเบื้องหน้าที่ขยับกลีบบางราวกับมีชีวิตส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ครั้นสำรวจโดยรอบจนพอใจจึงมองหาที่นั่งเป็นหินก้อนใหญ่ที่สูงขึ้นเหนือหมอกขาวก่อนจะปัดเศษกิ่งไม่นั่งลง
ข้าเคยได้ฟังนิทานในตลาดเล่าถึงเทพเซียนที่อยู่บนฟ้า พวกเขาล้วนต้องบำเพ็ญนับพันปีด้วยวิธีการนั่งสมาธิ หรือข้าต้องใช้วิธีเช่นนั้น หากข้าไม่ลองก็คงไม่รู้ว่าได้ผลหรือไม่สินะ
คิดได้เช่นนั้นเซียวโม่โฉวตัดสินใจหลับตาลง ตั้งมั่นในสติของตนอย่างมีความหวังเริ่มปิดกั้นประสาทสัมผัสอื่นๆ ราวกับจะตัดให้สิ้น ครั้งลุ่มลึกลงไปในความสงบเงียบ ปิ่นปักผมดอกโบตั๋นคล้ายส่องแสงเรืองรอง หากแต่น้อยนิดหลบอยู่ในเรือนผมนุ่มละเอียดที่เกล้ามัดเพียงครึ่งศีรษะส่วนเหลือปล่อยทิ้งสยายคลอเคลียบนแผ่นหลังพลิ้วไหวเมื่อสายลมโชยดั่งม่านน้ำตกสวรรค์
ความสงบที่เกิดขึ้นกลางดวงจิตกำลังดึงเอาความรู้สึกภายใต้จิตสำนึกเข้าแสดงให้เซียวโม่โฉวได้ระลึก ภาพอดีตวันวานครั้นตนยังมีชีวิตนั้นหวนคืน มิตรสหายร่วมงานที่เคยให้ความช่วยเหลือเคลื่อนไหวในห้วงความคะนึง ใบหน้าของบิดามารดาลอยเด่นชัดในมโนภาพ เสียงเรียกขานชื่อของตนที่ดังขึ้นซ้ำๆ ด้วยน้ำเสียงคุ้นเคยหวนให้คิดถึง รอยยิ้มและเสียงขบขันครั้งวัยเด็กสะท้อนก้องราวกับย้อนกลับไป กระทั่งความสุขที่เคยหลั่งไหลกลับแทนที่ด้วยน้ำคำไม่สบอารมณ์ เมื่อเซียวโม่โฉวเจริญวัยขึ้น ภาพน้องชายที่ยิ้มร่าวิ่งโถมเข้าสู่อ้อมอกบิดามารดาหน้าตาเปรมปรีดิ์ และตนที่แอบมองด้วยแววตาเพรียกหาความอบอุ่นนั่นช่างเจ็บปวดนัก มิหนำซ้ำความรักความห่วงใยนั้นได้ขาดสิ้นด้วยปลายกระบี่และผืนทะเลสาบอันหนาวเหน็บ ผู้ซึ่งเป็นบิดาและมารดามอบให้นำความเจ็บปวดรวดร้าวติดตัวมากระทั่งชีวิตหลังความตาย
“ฮึก!”
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไหลเวียนอยู่ในใจของบุรุษนำพาเอาน้ำตาหลั่งรินขึ้นอีกครา มิสามารถทนต่อเรื่องราวเจ็บปวดจวนจะขาดใจดั่งฝันร้าย จึงปลุกตนเองออกจากสมาธิที่ราวกับเป็นมารผจญให้จิตใจของเซียวโม่โฉวไม่อาจนิ่งสงบลงได้
เช่นนี้ข้าจะรวบรวมพลังวิญญาณได้สำเร็จอย่างไรกัน
คำตัดพ้อครวญคร่ำอยู่ในความรู้สึกของบุรุษหนุ่ม กระทั่งสายตาที่อาบคลอไปด้วยหยาดน้ำตาบางๆ กวาดมองไปโดยรอบอย่างเคว้งคว้าง บางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่หลั่งพุ่มไม้ดึงความสนใจไปชั่วขณะ ชั่วครู่ที่เซียวโฉวปาดน้ำตาด้วยท่อนแขนเพ่งมองไปยังสิ่งผิดปกติเบื้องหน้า หูจึงได้ยินเสียงกระดิ่งกังวานจึงได้ลุกขึ้นและเดินตามเสียงนั้นไป แหวกพุ่มไม้ที่เคยสั่นไหว ก้าวย่างไปยังเส้นทางที่ไม่อาจคาดเดาได้
ลึกเข้ามาเท่าไหร่ไม่อาจวัดได้ เส้นทางคล้ายเขาวงกตวกวนชวนสับสน หากจะเดินกลับออกไปก็เห็นทีว่ายากนัก เซียวโม่โฉวรู้ตัวช้าไปเสียแล้วครั้นประสบพบกับพยางูสีดำนิลซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าตนถึงสามเท่า ดวงตาสีดำขลับมีเซียวโม่โฉวอยู่ในเงาสะท้อน
ฟู่!
เสียงขู่ฟ่อและลิ้นสามแฉกสีแดงแลบยาวออกมาน่ากลัวนัก ทั้งเขี้ยวที่แหลมคมคู่ใหญ่อ้าปากออกพร้อมจัดการเหยื่อตรงหน้า ราวกับครั้งนี้ตนหลงลืมคำตักเตือนของเหอจี๋ไปเสียสิ้น
ข้าไม่ควรอยากรู้อยากเห็น!
“ขะข้าไม่ได้ตั้งใจมารบกวนเจ้า”เสียงสั่นเครือเอ่ยขึ้นพร้อมกับก้าวถอยอย่างประหม่า มือสองคว้าจับกิ่งไม้รายทางสั่นเทิ้ม
ทว่ายิ่งถอยสัตว์ร้ายตรงหน้าก็กลับขยับเขยื้อนเลื้อยตามมาราวกับจ้องจะกลืนบุรุษหนุ่มเมื่อพลาดท่าเสียที
และแล้วจังหวะนั้นก็มาถึง เมื่อเซียวโม่โฉวสะดุดรากไม้ที่คดเคี้ยวเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิตล้มลงหงายหลัง ภาพเขี้ยวคู่ใหญ่และปากงูยักษ์ก็พุ่งเข้ามาหาบุรุษหนุ่มอย่างรวดเร็ว
“ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย!”เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจเปล่งออกมา และทันใดนั้นราวกับว่าโชคชะตายังไม่ดับสูญ พลันร่างใหญ่ถมึงทึงของอสูรเสือดำตนหนึ่งที่กระโจนผ่านหน้าของเซียวโม่โฉวเข้ากัดกระชากที่ลำคอของงูยักษ์จนขาดสิ้น ก่อนลำตัวยาวจะสลายคล้ายฝุ่นผงไปในอากาศชั่วพริบตา
เซียวโม่โฉวมองเหตุการณ์ตรงหน้าแววตาเบิกโพลง มือที่คำยันร่างกายไว้กับพื้นสั่นระริกและเย็นเยียบ กระทั่งอสูรเสือดำที่โผล่มาหันเหความสนใจไปยังบุรุษหนุ่มที่ใช้เท้าถีบพยายามพาตนเองหนี ครั้นแววตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นสบประสานเข้ากับเซียวโม่โฉว ทำให้เจ้าของกายที่สั่นกลัวระลึกขึ้นมาได้อย่างกะทันหันว่า ตนเคยพานพบกับอสูรเสือดำตนนี้มาก่อนแล้วคราหนึ่ง ครั้นความเจ็บที่ถูกขบกัดนั่นยังฝังอยู่ในความรู้สึกไม่จาง
!!!
“จะเจ้า เป็นเจ้าที่ข้าพบเจอเมื่อครั้งก่อน เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้! ”เซียวโม่โฉวไม่อาจรู้ได้ว่าสถานที่ลึกลับครั้งมีชีวิตที่ตนพลัดหลงตามดวงไฟประหลาดเข้าไปนั้นมิได้มีอยู่ในโลกมนุษย์ ทว่าประตู่ข้ามภพถูกเปิดออกด้วยความจงใจของผู้หนึ่งอันเชื่อมถึงสถานที่แห่งนี้
พูดออกไปราวกับไม่ได้ยิน อสูรเสือดำขนดำเงามันขลับตรงหน้าก็หาได้ตอบกลับ ซ้ำยังย่างเดินด้วยอุ้งเท้าขนาดใหญ่เข้าประชิดตัวเซียวโม่โฉวฉายแววตาคมกริบจนน่าผวา
“เจ้าจะทำอะไรข้า ถะถอยไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าสู้จริงๆ ด้วย”มือสั่นคว้าเอากิ่งไม้ก้านบอบบางเข้าฟาดฟันป้องกันกายสีหน้าหวาดกลัว“ข้าบอกว่าอย่าเข้ามาไงเล่า!”เสียงร้องลั่นใช้มือปัดป้องราวกับสามารถทำสิ่งใดได้ก่อนจะถูกเสือดำตรงหน้าแยกเขี้ยวคมกริบง้างปากงับเอาส่วนที่เป็นเสื้อผ้าก่อนจะพาร่างของเซียวโม่โฉวกระโจนไปยังทิศตะวันออก
ตุบ!
อสูรเสือดำโยนเซียวโม่โฉวลงก่อนจะนั่งลงและใช้ลิ้นสากลากเลียไปบนหลังอุ้งมือสองสามครา ปล่อยให้บุรุษตรงหน้ารวบรวมสติที่กระเจิงเข้าด้วยกัน
“ขะข้ายังไม่ตาย”
“หึ! ผิดแล้ว เจ้าหาใช่มนุษย์ไยจึงกล่าวว่าไม่ตาย”
“พูดได้! จะเจ้าพูดได้จริงๆ ด้วย ข้าจำเจ้าได้ต้องเป็นเจ้าแน่ๆ”มือไม้ที่สั่นระริกชี้กราดไปที่ร่างใหญ่โตของอสูรเสือดำตรงหน้า แววตาตื่นกลัวอยู่ในสภาพเสื้อผ้าอาภรณ์ย่นยู่สกปรกไม่เป็นท่า
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องการกล่าวสิ่งใด”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ถะถึงอย่างไร ข้าก็ขอบใจที่เจ้าช่วยเหลือข้า แม้จะไม่รู้จุดประสงค์ของเจ้าก็ตามที”
สัตว์อสูรตรงหน้าไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดใดๆ ของเซียวโม่โฉว ครั้นลุกขึ้นยืนอย่างสง่าผ่าเผยราวกับกำลังจะจากไป ทว่าอีกฝ่ายกลับเอ่ยขึ้น
“วันหน้าข้าจะตอบแทนเจ้า”
“พาชีวิตเจ้าให้รอดก่อนเถิดจึงจะมาคิดตอบแทนคุณผู้อื่น”น้ำเสียงก้องกังวานราวกับคำรามตำหนิเซียวโม่โฉว ทำเอาบุรุษหนุ่มถึงกับอ้าปากเหวอสีหน้าสลดคอตกไปตามๆ กัน
นะนั่นก็จริง ข้าจะมีปัญญาไปตอบแทนคุณผู้ใดอีก
ระหว่างที่เซียวโม่โฉวกำลังไตร่ตรองสิ่งที่อสูรเสือดำตนนั้นกล่าวขึ้น ไม่ทันไรผู้มีบุญคุณก็หายไปจากสายตาเสียแล้ว ทิ้งไว้เพียงรอยขีดข่วนของเขี้ยวคมบางๆ บนแผ่นหลังที่ยังคงให้ความรู้สึกราวกับตนยังมีชีวิต
“ท่านกลับมาแล้วหรือขอรับ หะเหตุใดจึงมีสภาพเช่นนี้ได้”
“ข้ารอดมาได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว”น้ำเสียงระโหยโรยแรงเดินย่ำไปข้างหน้าราวกับร่างกายที่ไร้แก่นสาร เหอจี๋ที่รอรับหน้าเรือนอ้อมหน้าอ้อมหลังสังเกตบุรุษตรงหน้า ใบหูที่คลายดั่งคลีบปลาโบกพัดคาดคะเนเหตุการณ์
“ได้แค่สองชั่วยามก็นับว่าดีแล้ว อย่าเพิ่งท้อเลยนะขอรับ”
“ใครว่าข้าท้อกัน ข้าเพียงเหนื่อยก็เท่านั้น”
“เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมน้ำให้อาบนะขอรับ”
“เดี๋ยวก่อน เจ้าไม่จำเป็นต้องดูแลรับใช้ข้าหรอก ข้าทำเองได้ข้ารู้ว่าข้าอยู่ในฐานะใด เหนือกว่าเจ้าก็ใช่ซะที่ไหน”ครั้งยังมีชีวิตผู้ที่ยกน้ำร้อนผสมน้ำอุ่น ทำงานในโรงเตี๊ยมที่ต้องหอบหิ้วน้ำไปให้แขกแต่ละห้องก็เคยทำมาแล้ว เพียงต้มน้ำผสมให้ตนเองอาบไยจะทำเองมิได้ เซียวโม่โฉวคิดเช่นนั้น อีกทั้งการมองเห็นผู้อื่นมาคอยปรนนิบัติก็หาใช่วิสัยของบุรุษหนุ่ม
“ได้อย่างไร หากท่านปฏิเสธมีหวังข้าต้องโดนทำโทษเป็นแน่ ให้ข้าช่วยเหลือท่านเถอะขอรับ”
“จ้าวพิภพแห่งหยินผู้เป็นนายของเจ้ารังแกเจ้าทุกคราที่เจ้าทำผิดเช่นนั้นหรือ”ครั้นเซียวโม่โฉวถามออกไปสีหน้าของเห๋อจี๋ก็หดเล็กทันทีไม่กล้าตอบ
“มะไม่หรอกขอรับ เอาเป็นว่าข้าไปเตรียมน้ำให้ท่านดีกว่า”
เหอจี๋เดินเร็วรี่จากไป พลันเซียวโม่โฉวเปิดประตูเรือนเข้าไปด้านในวัตถุบางอย่างที่พุ่งมาด้วยความเร็วก็เข้าจู่โจมร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงแทบจะหงายล้มตึง
ปุก!
“เจ้ากลับมาแล้ว!”
“ทะทู่จึ จะเจ้าทำข้าเจ็บ”สีหน้าตาซีดพยายามแงะเจ้าปีศาจกระต่ายที่หลังจากพุงตัวใส่ท้องของเซียวโม่โฉวและเกาะหนึบไม่ปล่อย ซึ่งนับวันจะจำแลงกายไม่ยอมกลับไปเป็นกระต่ายผู้น่ารักอีกเลยตั้งแต่มาเหยียบที่แห่งนี้
ฟุดฟิด ฟุดฟิด!
“ข้าได้กลิ่นบางอย่างมาจากตัวเจ้า”จมูกที่ดมฟุดฟิดครั้นได้กลิ่นแปลกๆ ก็รีบผละออกมาจากตัวบุรุษหนุ่มแทบทันที ซ้ำยังทำตาขวางราวกับไม่พอใจนักหนา
“จะอะไรก็ช่างเถอะ”เซียวโม่โฉวปัดความรำคาญโดยไม่สนใจเจ้าปีศาจกระต่ายที่มากวนใจ จึงเดินเลยทู่จึไปหากแต่บางอย่างกลับทำให้ต้องเหลียวหลังหันมามอง
ดูเช่นไรก็ไม่เหมือนดังเดิม
“อะไรของเจ้า? ”
“หากข้ามองไม่ผิด เจ้าตัวสูงขึ้นหรือไม่? ”
“เป็นอย่างที่เจ้ากล่าวก็ดีสิ โอ๊ะ ข้าต้องไปแล้ว เจ้ากระเรียนขาวสหายใหม่ของข้าบอกว่าจะพาข้าไปหาอะไรสนุกๆ เล่น อย่าเผลอร้องไห้เรียกหาข้าก็แล้วกัน”
“ข้าขอให้เจ้าไปแล้วไม่กลับ”ใบหน้านิ่งขรึมหรี่ตามองเจ้าปีศาจกระต่ายอย่างเหนื่อยหน่าย
“ข้า จะ กลับ มา”เสียงเล็กเน้นย้ำสีหน้าร่าเริงโลดแล่นออกไป สิ้นจากความวุ่นวายร่างเล็กก็หย่อนกายลงนั่ง พิงหลังเข้ากับพนักเก้าอี้ทอดถอนหายใจยืดยาว
เดินทางด้วยเท้าเปล่านับพ้นลี้คงไม่ยากเย็นเท่าเรื่องนี้เป็นแน่ แต่เช่นไรข้าหมายมั่นจะทำแล้วก็ไม่อาจละทิ้งเดิมพันด้วยดวงวิญญาณของข้าได้ เซียวโม่โฉวเจ้าจะต้องทำได้!
“ขอบใจเจ้ามากเห๋อจี๋”
“เชิญท่านตามสบายขอรับ”อีกฝ่ายค้อมกายให้พร้อมกับทิ้งบุรุษหนุ่มไว้ลำพังกับสระน้ำขนาดย่อมซึ่งมีไอขาวลอยเหนือผิวน้ำอบอวลไปทั่วอีกทั้งกลีบดอกฉูฉู่สีขาวนวลลอยอยู่ดาษดื่นราวกับผืนแพรไหมก็กล่าวได้ เซียวโม่โฉวตกละลึงอยู่เพียงครู่เมื่อเห็นด้วยตาตนเองว่าแท้แล้วเป็นสระอาบน้ำมิใช่อ่างอาบน้ำเล็กๆ อย่างที่เข้าใจ
วาสนาหลังความตายนับว่าดีอยู่มาก มนุษย์มักนำเรื่องเล่าความเป็นอยู่ของราชวงศ์ชั้นสูงในวังมาให้ผู้คนได้อิจฉาบ้างก็ทำเป็นละครล้อเลียนการใช้ชีวิตของผู้คนในเขตรั้วสูงเทียมฟ้า ทว่ายามนี้เซียวโฉวกลับนึกไม่ถึงว่าตนจะยังมีวาสนาได้ใช้ชีวิตเช่นนี้ ก่อนตายก็ได้ใช้ช่วงสุดท้ายของชีวิตภายในจวนกว้างขวางหลังสิ้นใจก็ได้มาใช้ชีวิตเช่นนั้นอีก อย่างไรคงว่ายวนกลับไปราวกับกงล้อ โดยท้ายที่สุดแล้วตนก็ต้องดับสูญครั้นความปรารถนาลุล่วงดั่งคำสัญญาที่ให้ไว้ต่อหลี่รั่วถง
บุ๋ม!
กายขาวที่เหนื่อยล้าสลัดทิ้งไว้ซึ่งอาภรณ์ห่มกาย ผิวขาวเนียนละเอียดต้องกับแสงตะเกียงนับสิบดวงที่รายล้อม สัญลักษณ์ดอกโบตั๋นยังคงเด่นสง่ามิได้เลือนราง ทว่าเจ้าของร่างบางกลับมิได้เอะใจ
บัดนี้สองขากำลังเยื้องย่างลงสู่สระน้ำ เพ่งพินิจเงาสะท้อนที่กระเพื่อมไหวของตนบนผิวน้ำเพียงครู่ พลันค่อยๆ หย่อนกายที่เย็นเยียบลงในน้ำอุ่นอย่างเชื่องช้า ผ่อนคลายความรู้สึกที่อ่อนล้าหลับตาพริ้มพิงแผ่นหลังเข้ากับขอบสระทอดถอนลมหายใจ แล้วจมใบหน้าส่วนหนึ่งให้ปริ่มน้ำอยู่ในระดับใต้จมูก สูดกลิ่นกำยานที่กำจายไปทั่วราวกลิ่นสมุนไพรช่วยผ่อนคลาย กระทั่งความคิดที่ว่างเปล่าทำให้เผลอไผลหลับตาลงนิ่งสนิทปล่อยร่างให้ไถลลงสู่ก้นสระอย่างมิรู้เนื้อรู้ตัว
“ตื่นเถิด เซียวโม่โฉว”
“.....”
“ลืมตาของเจ้าแล้วมองให้เห็นถึงตัวตนของข้า”คล้ายเสียงกังวานที่ดังขึ้นปลุกให้เซียวโม่โฉวตกใจตื่น สองมือจึงค้ำยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งหรี่ตามองไปยังภาพเบื้องหน้าที่เวิ้งว้างและกว้างไกลไร้เขตแดน นั่นจึงทำให้เซียวโม่โฉวผุดลุกขึ้นและต้องถอยหลังกรูดครั้นมองเห็นพื้นน้ำเบื้องล่างที่เหยียบย้ำราวแผ่นดิน
“ที่นี่ที่ใดกัน!”ดวงตาใสเบิกกว้างเอ่ยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“หาใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องกังวล มองมาที่ข้าเถิดเซียวโม่โฉว”เสียงที่ก้องดังอยู่ในที่แห่งนี้เรียกชื่อบุรุษหนุ่มอีกครา ทว่าครานี้เบื้องหน้ากลับปรากฏร่างของบุรุษที่สูงใหญ่ถึงแปดเซี๊ยะ ดวงตาคมดุจอีกาดำทั้งคิ้วตวัดเฉียงราวกับคมกระบี่กำลังจ้องมองมายังเซียวโม่โฉวไม่กะพริบ ริมฝีปากที่ขยับเรียกชื่อราวสนิทสนมขยับยิ้มกระตุกขึ้นมุมหนึ่งของปากแสดงความพึงพอใจต่อบุรุษหนุ่มตรงหน้าเป็นอย่างยิ่ง มือแข็งแรงค่อยๆ ยื่นออกมาเข้าช้อนกรอบหน้าหวานที่หวาดผวาจนบิดเบี้ยวอย่างย่ามใจ
ร่างกายของข้าไม่สามารถขยับได้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วคนผู้นี้เป็นใคร!
“ข้ากับเจ้าได้พบพานกันอีกครั้งนับว่าวาสนายังมิได้สิ้นสุด พันผูกต่อกันแม้ผ่านมากี่ภพชาติมิอาจหลีกหนี ช่างน่าเสียดายที่เจ้ามิอาจจดจำผู้ใดได้ในภพนี้ แต่นับว่าเป็นสิ่งดีจากนี้เจ้าจะได้จารึกตัวข้าไว้ที่ศิลาในกายของเจ้านับพันปีต่อแต่นี้ไป”
“ปะปล่อยข้า เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงนำข้ามายังที่แห่งนี้”
“อย่าได้หวาดกลัวข้าไปเลย ตัวข้ามิได้ชิงชังอยากพรากชีวิตเจ้า อา.....ข้าคงทำให้เจ้ากลัวสินะ”มือหนาค่อยๆปล่อยใบหน้าของเซียวโม่โฉวราวกับพลั้งมือบีบแรงไป เช่นไรผู้คนตรงหน้าก็ยังไม่สามารถขยับตัวตามใจตนเองได้
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร!”
“นามที่แท้จริงของข้าเช่นนั้นหรือ.....”อุปนิสัยหลอกล่อและเจ้าเล่ห์หาผู้ใดเทียบเคียงอย่างจูเกิงเฉินผู้นำเผ่าปีศาจที่เป็นปฏิปักษ์ต่อชั้นฟ้าทั้ง 4 กำลังพยายามเย้าหยอกบุรุษตรงหน้าที่ตนหมายมาดช่วงชิงมาจากมือหลี่รั่วถง หากแต่น่าหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่งที่เช่นไรหลี่รั่วถงยังคงนำไปหนึ่งก้าวเสมอแม้จะผ่านมานับพันๆ ปีแล้วก็ตาม
ความค่อนแค้นที่ตราตรึงอยู่ในอกของจูเกิงเฉิน ไม่มีทุเลาเบาบางลงหากแต่ยิ่งโหมกระพือราวไฟโลกันตร์ ศัตรูแห่งความเคียดแค้น แม้นทีหรือขุนเขาที่คดเคี้ยวยังคงมีเลี้ยวมาบรรจบ หากแต่จูเกิงเฉินและหลี่รั่วถงมิอาจมาบรรจบกันได้
พันปีก่อนหน้านั้นตนไม่สามารถเป็นเจ้าของดวงใจของคนผู้นี้ได้ ทว่าชาติภพนี้จะไม่ปล่อยให้พลาดพลั้งเป็นครั้งที่สองแน่
หลี่รั่วถง ต่อให้เจ้าเอาโซ่ตรวนมาล่ามพันธนาการดวงจิตนี้ด้วยพลังทั้งหมด ข้าก็จะใช้พลังทั้งหมดที่มีฟาดฟันมันให้ขาดรอนเช่นกัน
“จดจำชื่อของข้าไว้ จูเกิงเฉิน ข้าผู้นี้จักมารับตัวเจ้ากลับไปให้จงได้.....”ดวงตาเฉี่ยวคมสะท้อนเงาความเจ็บปวดจ้องมองเซียวโม่โฉวที่มองตนราวอสุรกาย ทั้งที่บุรุษผู้ถูกตราหน้าว่าปีศาจร้ายทว่าก็มีหัวใจเช่นกัน
พลันจูเกิงเฉินเอ่ยนาม พริบตาราวแผ่นฟ้าคำรามสายฟ้าจากเบื้องบนฟาดลงกลางนที ร่างของเซียวโม่โฉวถูกผืนน้ำเบื้องล่างดึงดิ่งลงไปให้จมหาย ภาพทุกอย่างบนผืนน้ำมลายหายกลับกลายเป็นเพียงภาพฝันอันเลือนราง
!!!
เสียงผิวน้ำที่แตกกระจายเป็นวงกว้างกระเพื่อมไหวแตะขอบสระที่โปรยด้วยกลีบดอกฉูฉู่ เป็นร่างสูงสง่าที่นำพาตนเองเข้าช้อนอุ้มกายขาวโพลนที่หลับใหลไม่ปรารถนาจะตื่นฟื้น ดวงตาคมจดจ้องมองกายขาวคิ้วขมวด ผ้าผืนหนึ่งลอยขึ้นจากพื้นเข้าคลุมกายเซียวโม่โฉว เป็นหลี่รั่วถงที่หอบเอาร่างที่ไร้สติกลับกลับคืนจากภวังค์มารของจูเกิงเฉิน
“เจ้าบังอาจนัก!”เสียงเอ่ยแม้มีได้กังวานหากแต่สะท้อนก้องไปถึงผู้ที่ลอบชักจูงดวงจิตของเซียวโม่โฉวไปอย่างไม่เกรงกลัวความผิด แววตาดุดันฉายแววความเกรี้ยวโกรธทว่าไม่อาจลงมือทำสิ่งใดได้ในยามนี้ จิตสังหารที่แผ่กระจายออกไปอย่างรุนแรง ทำให้เหอจี๋พลันสะดุ้งหวามมาปรากฏตัวต่อหน้าหลี่รั่วถง
“นะนายท่านเกิดเหตุใดขึ้นหรือขอรับ”จิตสังหารที่ดำมืดลอยคละคลุ้งทำให้เหอจี๋แทบหายใจไม่ทั่วท้อง สายตาแตกตื่นจ้องมองไปยังร่างบางที่สลบไสลภายในอ้อมแขนแข็งแรงอย่างตื่นตกใจ
ทว่ามิได้มีเสียงตอบคำถามใดๆ ออกมาจากปากหลี่รั่วถง สถานการณ์เช่นนี้เหอจี๋ทราบดีว่าไม่ควรถามไถ่ให้มากความ พลันสายที่กวาดมองสำรวจเห็นไอปีศาจเบาบางคลายดวงไฟที่ลอยขึ้นจากผิวน้ำโอบล้อมด้วยปราณสายฟ้าของหลี่รั่วถงคลายบีบรัดพลันวูบหายไปในพริบตาเดียว ครานั้นเหอจี๋ถึงกับกระจ่างแล้วซึ่งในคำตอบ
“จะจู จูเกิงเฉิน”ครันเอ่ยเสียงแผ่วขนแขนกลับลุกชันเกรียวกราวสยองไปถึงสองภพ
ภาพของสงครามที่ปั่นป่วนถึง 4 ชั้นฟ้ายังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเหอจี๋ แน่นอนว่ามิได้มีเพียงหลี่รั่วถงและจูเกินเฉินที่เปิดศึกร่วมด้วย ครานั้นราวกับสงครามขนาดย่อมที่ฟาดฟันแก่งแย่งอำนาจจากความฮึกเหิมของเผ่าปีศาจและการช่วงชิงยอดดวงใจของจ้าวพิภพแห่งหยินในครานั้น
มิมีผู้ใดไม่รู้ว่าความสูญเสียในครานั้นคราเอาชีวิตผู้ใดไปบ้าง โดยเฉพาะจอมใจเคียงกายของจ้าวพิภพแห่งหยิน
ติดตามตอนต่อไป >>>
------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านมากๆ ค่ะ :กอด1:
ฝากคอมเม้นติชม เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ผิดพลาดอย่างไรจะนำไปปรับปรุงแก้ไขค่ะ
แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ :man1:
โดย หลานฮวา
-
:L2: :pig4: :L2:
-
น่าเศร้า แต่ต้องสู้ รีบมาต่อน้าอย่าทิ้งกัน เราชอบบ
-
บทที่ 7
ชะตาผูกพัน
บัดนี้ความมืดถูกขับไล่ด้วยแสงสว่างที่ราวกับบันดาลขึ้น ร่างที่นอนนิ่งสงบหลับตาพริ้มภายใต้ปราณพลังบางเบาราวแก้วครอบ เจ้าของม่านพลังยืนนิ่งสงบพยายามรวบรวมดวงจิตที่ฟุ้งซ่านกลับคืนดังเดิม หลี่รั่วถงเห็นควรว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วจึงปลดม่านพลังออก เยื้องย่างเข้าไปใกล้กายบุรุษหนุ่มที่ใบหน้าราวมีชีวิตขึ้นอีกครา มือหนาเข้าโอบประคองวางศีรษะที่เอียงงอให้ตั้งตรงอย่างเบามือ ทั้งเกลี่ยปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าทัดใบหูเล็กอย่างทะนุถนอม ดวงตาคมนัยน์ตาดุดันพลันอ่อนโยนลงครั้งสัมผัสแก้มขาวที่อุ่นขึ้น ไล่เรียวนิ้วที่แข็งกระด้างไปตามเปลือกตาบางสันจมูกและริมฝีปากตลอดจนปลายคางมลอย่างห่วงใย จ้องมองไปที่มือขาวเข้าประคองจับเกลี่ยนิ้วไปบนหลังมือเพียงเบา
มือขาวยังคงนิ่งมิได้ขยับหากแต่อุณหภูมิความเย็นที่ลดลงบ่งบอกได้ว่าบุรุษตรงหน้าเพียงหลับไปเท่านั้น
“ขออภัยขอรับนายท่าน”
“เข้ามา”เสียงเรียบเอ่ยขึ้นหากแต่สายตายังคงจับจ้องไปยังร่างที่นอนแน่นิ่ง เหอจี๋ก้มหน้างุดเดินถือถาดไม้ที่นำยาตามที่หลี่รั่วถงสั่งนำมาให้
“นี่ขอรับนายท่าน”มือหนาเข้าหยิบขวดแก้วใสที่ภายในบรรจุเม็ดยาที่ได้ชื่อว่ามีสรรพคุณอย่างน่ามหัศจรรย์ บนโลกมนุษย์เรียกสิ่งนี้ว่ายาวิเศษมีความเชื่อว่าหากผู้ใดได้กินจักเรียกคืนพละกำลังปรับธาตุในร่างกายราวกับได้ชีวิตใหม่พลังเทียบเท่าเทพเซียน สิ่งกล่าวอ้างในโลกมนุษย์ล้วนสร้างขึ้นเพื่อเป็นกิเลศ ความโลภ ให้หน้ามืดตามัวเพื่อสรรหาและหลอกลวงกันทั้งสิ้น เพราะแท้จริงแล้วยาเม็ดนี้กลั่นออกมาจากเสี้ยวพลังปราณที่ใส่ดุจเม็ดแก้วของหลี่รั่วถงจึงมีเพียงสองเม็ดเท่านั้น
“ข้าเห็นไอปีศาจของจูเกิงเฉิน แม้จะเบาบางหากแต่นั่นเป็นอย่างที่ข้าเห็นหรือไม่ขอรับ”เหอจี๋ตัดสินใจถามออกไป แม้ในใจจะมิกล้า พันปีมานี้ที่นี่สงบ ไม่มีแม้แต่สิ่งแปลกปลอมที่เป็นส่วนหนึ่งของพวกปีศาจพยายามลักลอบเข้ามาและทำเรื่องที่ต้องให้หลี่รั่วลงกังวลเช่นนี้
“เป็นจูเกิงเฉินที่ลอบใช้วิธีการแทรกแซงดวงจิตของเซียวโม่โฉวขณะอ่อนแอควบคุม แม้อีกฝ่ายจะไม่สามารถทำอะไรได้มากนักทว่าการทำเช่นนี้ต่อดวงจิตวิญญาณที่อ่อนแอเช่นไรก็ไม่เป็นผลดี”
“ข้าทราบว่าเซียวโม่โฉวมิใช่ดวงจิตธรรมดาตั้งแต่ต้น นายท่านนำพาคนผู้นี้มายังเรือนเสี้ยวจันทราก็นับว่าประหลาดใจข้านัก ข้าในฐานะข้ารับใช้ที่ต่ำต้อยผู้โง่เขลาของท่าน อยากถามไถ่ท่านให้แน่ใจได้หรือไม่ขอรับ”
ความคับข้องใจของเหอจี๋ต้องการคลี่คลายความสับสนในใจอยู่รอมร่อ แม้ตลอดมาหลี่รั่วถงมิเคยเผยความนัยหรือแย้มความคิดส่วนลึกให้ผู้ใดคาดเดาได้ มีแต่บริวารรอบกายที่ต้องเรียนรู้ดูเอาจากท่าทีและการกระทำนั้นก็นับว่าต้องใช้ทักษะขั้นสูงประดุจยอดขั้นวิชากลอ่านใจ ครานี้เหอจี๋จึงขอใช้ทางลัดเคาะเอาคำตอบจากปากของหลี่รั่วถงเสียแทน มิเช่นนั้นคงอึดอัดใจตายเป็นแน่แท้
“ว่ามา”สายตาคมหันมองยังเซียวโม่โฉวร่ายเวทบางอย่างปิดกันทุกการรับรู้
“คนผู้นี้”ราวกับกลืนบางอย่างก้อนใหญ่ลงคอ เหอจี๋ถึงกับหน้าซีดคอตีบขึ้นมาก่อนจะเค้นเอ่ยนามของคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้ ทั้งยังเกรงสายตาดุดันที่จ้องมองมายังตน“เป็น.....เป็นแม่นางเหว่ยถิงหรือไม่ขอรับ”
ชื่อที่เรียกขานออกมาจากปากของเหอจี๋อันไม่มีผู้ใดเปล่งชื่อนั้นออกมานับพันปีแล้ว บัดนี้กลับก้องกังวานอยู่ภายในเรือนเสี้ยวจันทราอีกครา สตรีงามเทพธิดาน้อยที่ถูกลิขิตให้เป็นคู่ครองของจ้าวพิภพแห่งหยินผู้ซึ่งไร้หัวใจ ทว่าความรักกลับโอบอุ้มให้ศิลาไร้ใจมีชีวิตขึ้นอีกครา แต่แล้วเหตุการณ์บางอย่างก็ทำให้ทุกอย่างจบสิ้น ครั้นความงดงามรูปโฉมสะคราญตามิได้ต้องตาแต่เพียงหลี่รั่วถง ทว่าอีกหนึ่งผู้หมายมาดจะช่วงชิงมาเคียงกายอย่างจูเกิงเฉินก็ปรารถนาในตัวเหว่ยถิงเช่นกัน แพ้ชนะอยู่ที่ใจนาง หากแต่ผู้แพ้มิยอมแพ้จึงกลับก่อเหตุให้สะเทือนถึงชั้นฟ้าทั้ง 4
หากปรารถนาตัวนางเขาจักต้องได้พลังอำนาจที่เข้มแข็ง
ความคิดเหิมเกริมไม่รู้จักสูงต่ำของจูเกิงเฉินนำมาซึ่งลางร้ายอันดำมืด เมฆลมปั่นป่วนภพทั้ง 4 ลุกเป็นไฟ ความคิดชั่วร้ายตั้งมั่นยึดเอาชั้นฟ้าเป็นบัลลังก์ นรกภูมิเป็นอาภรณ์ พิภพแห่งหยางเป็นกระดานหมาก และปรารถนาพิภพแห่งหยินเป็นรังนอน คิดการณ์ใหญ่โตปลุกปั่นกำลังบรรดาปีศาจนอกรีตสร้างกองทัพเปิดศึก นำพาความโกลาหลวุ่นวายความสูญเสียมากมายจึงบังเกิด
หากแต่ครั้งนั้นความพลาดพลั้งบางอย่างจึงทำให้เหว่ยถิง สตรีผู้เป็นดวงใจของจ้าวพิภพแห่งหยินเป็นอันต้องพบจุดจบอย่างไม่คาดคิด สิ้นสายโลหิตความฮึกเหิมของจูเกิงเฉินจึงสะเทือนถึงขั้วหัวใจ ชั่วพริบตาได้พลาดท่าเสียที กลับต้องหนีหายหัวซุกหัวซุนถอนทัพที่พ่ายแพ้ไปในทันที
“ขะขออภัยนายท่านที่ข้าบังอาจถามไปเช่นนั้น”เมื่อหลี่รั่วถงเงียบอยู่ช้านานเหอจี๋จึงลุกลี้ลุกลน
“.....”บุรุษร่างสูงสง่ามิได้ตอบกลับอันใด เพียงแววตาที่ดุดันพลันอ่อนยวบลงก่อนกล่าวต่อเหอจี๋“เก็บความสงสัยของเจ้าไว้ อย่าได้แพร่งพรายต่อผู้ใดอีก”แม้น้ำเสียงจะราบเรียบทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยคำสั่งที่เฉียบขาดถึงขั้นต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันเมื่อต้องรับปาก
เพราะเรื่องนี้ เขายังต้องทำหน้าที่ของตนเองบางอย่างให้เสร็จสิ้น มิเช่นนี้อะไรที่ได้กลับมาอยู่ในมือแล้วก็คงต้องมีอันหลุดลอยไปอย่างแน่แท้
ข้าจะไม่ยอมให้เฒ่าแห่งจันทราตัดวาสนาของข้าอีกคราเป็นแน่!
“เข้าใจแล้วขอรับ ขะข้าจะออกไปดูแลความเรียบร้อยด้านนอกให้ขอรับ”ข้ารับใช้พยักหน้าหงึก ลนลานรีบร้อนออกไปราวกับได้ฟังเรื่องสะเทือนใจ ครั้นเดินออกมาน้ำตาพานจะไหลเสียมิรู้เนื้อรู้ตัว แววตาที่เคยกร้าวแกร่งแข็งกระด้างประดุจศิลาของหลี่รั่วถง บัดนี้กลับส่องประกายความอ่อนโยนให้เห็นข้ารับใช้ผู้นี้ได้มีวาสนาเห็นอีกคราก็นับว่าปลาบปลื้มใจ
ซูดดด!
“ฮึกๆ นายท่านของข้า”บ่าวผู้ต่ำต้อยถึงกับต้องสูดน้ำหูน้ำตาที่ปริ่มเปรมใจอย่างล้นพ้น
นรกภูมิ
สถานที่ซึ่งไม่มีประตูทางเข้าออก หากผู้ที่จะเข้าไปนั้นมีเพียงดวงวิญญาณที่กระทำผิดจึงได้รับโอกาส และแน่นอนว่ามิได้มีผู้ใดถวิลหา เข้ามาแล้วล้วนต้องติดอยู่กับความทุกข์ทรมานกับผลกรรมที่กระทำครั้งยังมีชีวิต ผู้ปกครองแห่งนี้นั้นเป็นติงเจิ้งหวาที่ทั่วทั้งชั้นฟ้าต่างทราบกันดี หน้าที่นี้ไม่มีผู้ใดทำได้ดีไปกว่าเขาแล้ว จ้าวแห่งนรกภูมิผู้ควบคุมเหล่าดวงวิญญาณให้บทเรียนอันกำซาบไปถึงผลกรรม
บัดนี้ครั้นได้รับจดหมายจากหลี่รั่วถง ที่ประสงค์ต้องการมาพูดคุยเรื่องสำคัญบางประการ ทางห้องโถงที่กว้างขวางจึงมีติงเจิ้งหวารอท่าอยู่แล้ว แม้สถานที่นี้จะเรียกขานเป็นนรกภูมิหากแต่ก็ยังมีเทพเซียนแวะเวียนมาไม่ขาด ไม่ว่าเนื่องด้วยกิจสำคัญใดๆ เขาก็จักเป็นเจ้าบ้านต้อนรับได้อย่างดี เว้นเสียแต่ ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
เพียงรอผู้มาเยือนไม่นาน บานประตูที่ทำจากผลึกแก้วสีดำนิลแวววาวบานใหญ่สูงเสียดฟ้าพลันเปิดออก บริวารรับใช้ของติงเจิ้งหวาเป็นผู้นำทางมา ครานี้ดูท่าว่าจะมิได้มาเพียงหลี่รั่วถง อีกหนึ่งสหายผู้นับเป็นปฏิปักษ์มักไม่ชอบพอกันอย่างหวางหรูอี้ก็มาเยือนด้วย เพียงเส้นผมสีเงินวาวพลิ้วไหวอยู่เบื้องหลังร่างสูงสง่าของหลี่รั่วถง ติงเจิ้งหวาก็มิต้องคาดเดาว่าเป็นของผู้ใด อีกทั้งกลิ่นอายสุราที่เป็นเอกลักษณ์กลับกลิ่นกายดั่งดอกท้อก็หามีผู้ใดมีกลิ่นเช่นนั้น
โต๊ะศิลากลางห้องโถงใหญ่วางตระหง่านไว้เพื่อใช้ต้อนรับขับสู้ผู้มาเยือน ครั้นผู้คนมาถึงติงเจิ้งหวาจึงต้องเชื้อเชิญให้นั่งตามมารยาทเจ้าบ้าน ผู้ที่เหยียบย่างเข้ามาด้วยเรื่องราวมากมาย ต่างกล่าวว่านรกภูมิต้อนรับดุจสวรรค์ชั้นฟ้า ทว่าคงมิมีผู้ใดอยากรั้งรออยู่นาน เช่นเดียวกับหวางหรูอี้
“ท่านส่งข่าวด่วนมาถึงข้าเพื่อพูดคุยไม่ทราบว่ามีเรื่องสำคัญอันใด”เจ้าของเส้นผมสีแดงเพลิงกระดิกนิ้ว ข้ารับใช้นับสิบที่รายล้อมผงกศีรษะเรียงหน้าเดินออกไป พลางลอบมองหวางหรูอี้ที่นั่งนิ่งเงียบเก็บวาจาดูท่าทีผิดแปลก หากแต่มิได้ใส่ใจเท่าเรื่องราวจากหลี่รั่วถง
“เมื่อสองวันก่อน ข้าได้พบเจอกับเศษเสี้ยวไอปีศาจของจูเกิงเฉินจึงอยากมาขอเตือนเจ้าว่า อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ขอให้เจ้าระแวดระวังกล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์เอาไว้”จากสิ่งที่หลี่รั่วถงกล่าว นำความประหลาดใจมาให้ติงเจิ้งหวาไม่น้อย ปีศาจที่หนีหัวซุกหัวซุนในครานั้นบาดเจ็บสาหัส ผู้ที่ดึงเสี้ยววิญญาณของจูเกิงเฉินมาครึ่งหนึ่งเก็บไว้เป็นหลี่รั่วถง ติงเจิ้งหวาเห็นกับตาตนเอง ทว่าครานี้กลับเผยตัวด้วยเรื่องบางประการ ก็คงเป็นภัยในเบื้องหน้าไม่น้อย
“จูเกิงเฉินเช่นนั้นหรือ ปีศาจตนนั้นมีจุดประสงค์ใดกันแน่”มือแข็งแรงกำแน่นนึกกังวล ใบหน้าได้รูปขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิด
“เมื่อกาลก่อนยังมีเรื่องติดค้างคาใจ อุปนิสัยจูเกิงเฉินหาได้ยอมล่าถอยแต่โดยดี หากแต่เหตุการณ์พลิกผันจึงจำเป็นต้องแพ้ แม้เสี้ยววิญญาณครึ่งหนึ่งจะถูกเก็บไว้ในกล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์ ก็ใช่ว่าจะไม่หาญกล้าแย่งชิงกลับไป ความเจ็บแค้นย่อมมีมากหลายส่วนไยจะไม่ปรารถนาตื่นฟื้นคืนอำนาจดังเดิม”อย่างที่หวางหรูอี้กล่าวนั้นถูกต้องนัก ติงเจิ้งหวาจึงมิมีสิ่งใดต้องโต้แย้ง
ท่าทีเป็นงานเป็นการไม่กอดขวดน้ำเต้าสุราก็นับว่าน่าเชื่อถืออยู่หลายส่วน
“สิ่งสำคัญที่ข้าต้องการให้เจ้าทำตอนนี้ นั่นคือเพิ่มการป้องกันกล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์ให้ถี่ถ้วน”
“เช่นนั้นข้าคงต้องขึ้นรายงานต่อเบื้องบน ตรวนสายฟ้าที่มีอยู่นั้นคงไม่เพียงพอ”ติงเจิ้งหวากล่าวถึงตรวนสายฟ้าที่เกิดจากธาตุทั้งสิบและปราณพลังของเหล่าเทพเซียนชั้นสูงที่หลอมรวมเป็นของวิเศษใช้สำหรับล่ามสัตว์อสูรร้ายหรือเทพเซียนที่คลุ้มคลั่งและทำผิดกฎสวรรค์
“เรื่องนี้ข้าจะให้หวางหรูอี้เป็นธุระให้แก่เจ้า”
“ช้าก่อนสหาย! ข้าไปรับปากเจ้าเมื่อใดว่าจะออกแรงช่วยคนผู้นี้”ใบหน้าสวยเกินบุรุษยามนี้หันไปมองยังหลี่รั่วถงทันควัน ดวงตากร้าวกว้างออกมองสหายทรยศราวแค้นเคือง
“หรือเจ้าหาได้มีความสามารถพอกันแน่จึงปฏิเสธ”นั่นเป็นสิ่งที่ติงเจิ้งหวากล่าว สายตาเย้ยหยันมองมายังหวางหรูอี้ไม่ปิดบัง ผู้ถูกสบประมาทไฉนเลยจะนิ่งนอนใจอยู่ได้
“ข้ามิได้ไร้ความสามารถ”สองแขนดันโต๊ะส่งให้ร่างสมส่วนลุกขึ้น ดวงตาราวไฟโลกันตร์ลุกโชนในดวงตาคู่สวย
“เช่นนั้นก็ถือว่าเจ้ารับปาก”หลี่รั่วถงกล่าวขึ้นตัดบทพลางยกจอกสุราขึ้นกระดกมิได้สนใจสงครามกลางโต๊ะแม้แต่น้อย“ข้าพาเจ้ามาด้วยก็ด้วยเรื่องนี้ มีเพียงเจ้าที่จะทำงานนี้ได้”น้ำเสียงจริงจังเอ่ยขึ้นหวางหรูอี้จึงยอมทิ้งตัวนั่งลงอีกครา
“ข้าจะยอมช่วยเพราะเห็นแก่ความสงบสุขที่จะตามมา”
“การขอตรวนสายฟ้านั้นเป็นเรื่องยุ่งยาก เจ้าทำงานรอบคอบกว่าข้านั่นจึงเหมาะสมแก่ความสามารถของเจ้าแล้ว อีกทั้งพลังของเจ้านั้นก็มิได้ด้อยไปกว่าข้านัก”
“ข้ารับปากแล้วไม่ต้องกลัวว่าข้าผู้นี้จะคืนคำกลืนน้ำลายตนเอง”
“หากเป็นเช่นนั้นข้าก็วางใจ”
“ข้าหวังเช่นกันว่าจ้าวพิภพแห่งหยางจักทำหน้าทีนี้ให้ข้าประจักษ์เห็นความสามารถได้”
“หึ! คิดหรือว่าข้ารู้ไม่ว่าเจ้ากำลังพูดประชดประชันข้า”
“รับนี้ไว้ สิ่งนี้จะช่วยให้เจ้าเข้าออกที่นี่ได้เท่าที่เจ้าต้องการ”แผ่นไม้แกะสลักอักษรเป็นสัญลักษณ์ผ่านทางส่งให้หวางหรูอี้“ข้ากับเจ้ายังต้องร่วมมือกันอีกหลายครา ปรองดองกันไว้ไม่ดีกว่าหรือ?”ติงเจิ้งหวากระตุกยิ้มให้ อีกฝ่ายกลับแยกเขี้ยวให้ตอบรับเสียมากกว่ายิ้ม
“หมดธุระของข้าแล้ว รบกวนเวลาของเจ้ามามากคงต้องลากันตรงนี้”
“ว่างๆ หากไม่รังเกียจที่นี่ ข้ายินดีพาเดินเที่ยวชมได้”
“เหอะ! น่าภิรมย์ใจเสียที่ไหน”เจ้าของใบหน้างดงามกับเส้นผมสีเงินกล่าวอย่างล้อเลียนอีกมือก็เอื้อมไปหยิบป้ายผ่านทางที่ตนควรจะได้เตรียมเก็บ ทว่ากลับถูกติงเจิ้งหวาตะปบมือข้างนั้นไว้เสียก่อน ซ้ำพูดทิ้งท้ายด้วยแววตาท้าทาย
“โดยเฉพาะเจ้า ข้าจะพาไปเดินดูให้ทั่วเลย”
“ปล่อยมือข้า”
“ขออภัยที่เสียมารยาท เชิญท่านทั้งสอง”ยิ้มอย่างเจ้าบ้านที่ดีเอ่ยน้ำเสียงไพเราะส่งแขกด้วยตนเอง
ข้าหลุดพ้นจากวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดแล้วเหตุใดจำต้องมาลงนรกหมกไหม้และเจอกับคนผู้นี้ วาสนาของข้ายังไม่สิ้นกรรมหรืออย่างไร!
เห้อ....คิดถึงขวดน้ำเต้ากลมๆ ผิวเกลี้ยงเกลากลิ่นหอมสุราของข้ายิ่งนัก
พิภพแห่งหยิน
“เจ้าเลิกวอแวข้าสักประเดี๋ยวหนึ่งจะได้หรือไม่ ถอยไปห่างๆ ก่อนที่ข้าจะเหยียบเจ้าติดเท่าของข้า”
“ก็โม่โฉวจะกลับมาเมื่อไหร่เล่า ข้ารอ รอ รอ รอจนเหนื่อยแล้ว”แก้มย้วยตีหน้าบึ้งตึงทิ้งกายลงบนพื้นหญ้าแดดิ้นเป็นหนอนถูกสับ
“เป็นปีศาจชั้นต่ำอย่าริอ่านเป็นมารผจญ เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าการไปบำเพ็ญเพียรนั้นเหน็ดเหนื่อยเพียงใด อย่าได้คิดไปกวนใจท่านเซียวโม่โฉวเป็นอันขาดเข้าใจข้าพูดหรือไม่”
“ชิ! เช่นนั้นข้าจะไปตาม....โอ๊ยๆ ข้าเจ็บนะ”มือยาวรีบคว้าเข้าที่จุกผมข้างหนึ่งของทู่จึอย่าไร้ปรานี ก่อนจะหิ้วโยนกลับไปนั่งยังพื้นหญ้าตามเดิม
“อยากลองดีกับข้าหรืออย่างไร!”
“แง่ๆ ไม่อยากข้าขอโทษ”ทู่จึเปล่งเสียงร้องไห้สะอื้นบีบน้ำตาให้ไหลพรากดั่งใจ
“หยุด!”ส่วนเหอจี๋มิได้หลงกนตวาดเสียงลั่นส่งสายตากร้าว
“มะไม่ร้องไห้ก็ได้”น้ำตาเมื่อครู่หยุดไหลราวกับสั่งได้ สีหน้าปกติเข้าแทนที่แล้วถอนหายใจอย่างขัดใจลับหลังเหอจี๋ ก่อนเจ้าปีศาจกระต่ายจอมวุ่นจะคืบคลานเข้าเกาะขาเหอจี๋ส่งสายตาออดอ้อน
“อะไรของเจ้าอีกล่ะห๊ะ!”
“เช่นนั้น คืนนี้ให้ข้าไปนอนกับท่านได้หรือไม่ ข้างนอกนั้นหน๊าวหนาว มืดก็มืด แถมยังมีแต่สิ่งน่ากลัวรอบตัวข้าเต็มไปหมด”แม้ทู่จึจะถูกเซียวโม่โฉวเรียกว่าเป็นสหายหากแต่เช่นไรก็ไม่ได้รับอนุญาตจากหลี่รั่วถงให้ชิดใกล้กระทั่งเรือนนอน ภายนอกจึงเป็นที่หลับที่นอนตามแต่ใจจะหาที่ซุกหัวนอนด้วยตนเอง
“ไม่เด็ดขาด! แล้วก็เลิกเกาะขาข้าเสียทีเจ้าตัวน่ารำคาญ!”แม้เหอจี๋จะสะบัดแข้งขาอย่างไรทู่จึจอมน่ารำคาญก็ยังคงเกาะไม่ปล่อย ช่างเป็นภาพที่ชวนวุ่นวายนักหากมีใครเข้ามาพบเห็นยามนี้
“ข้ากลับมาแล้ว”เสียงใสที่ดังขึ้นหยุดความวุ่นวายได้ในพริบตา
“กะกลับมาแล้วหรือขอรับ เป็นอย่างไรบ้างทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่”
“เห้อ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าข้าทำได้ดีหรือไม่”ใบหน้าสลดคอตกห่อไหลหน้ามุ่ยเดินไปตามทางเดินมุ่งหน้าสู่เรือนเสี้ยวจันทรา หากนับแล้ววันคืนที่ล่วงเลยก็ย่างเข้าวันที่สิบ ตั้งแต่ที่เซียวโม่โฉวบากบั่น มานะเดินทางไปเพียงลำพังเพื่อบำเพ็ญเพียร ณ เขตแดนลึกลับแห่งนั้น และทุกวันก็มีเหอจี๋และทู่จึที่เฝ้ารอด้วยใบหน้าเบิกบานครั้นมองเห็นตนกลับมา
“ความพยายามของท่านจะไม่สูญเปล่าแน่นอนขอรับ ดื่มชาหน่อยเถิด”เหอจี๋ยกถ้วยน้ำชากลิ่นหอมยื่นให้ ปรนนิบัติเช่นนี้ไม่ขาดตกบกพร่อง
“เจ้าทำเช่นนี้ซ้ำๆ ทุกวันไม่เบื่อหน่ายบ้างหรืออย่างไรกัน”คนร่างเล็กรับถ้วยน้ำชาเข้าถือไว้ในมือ โบกกลิ่นหอมสูดดมเข้าจมูกก่อนจิบลงคอ
“ไม่ขอรับ เป็นหน้าที่ของข้าและข้ายินดีทำขอรับ นายท่านเช่นกันที่เป็นห่วงท่านเน้นย้ำและกำชับให้ข้าดูแลท่านอย่าได้ขาดตกบกพร่องแม้แต่เรื่องเดียว”
“เดี๋ยวก่อน ข้าคิดว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง เหตุใดนายท่านของเจ้าจึงต้องให้เจ้าดูแลข้าดีเกินไปเช่นนี้ ตอบมาตามตรงเถิดว่าเป็นเพียงเรื่องโป้ปดข้าจะยอมรับความจริง แท้แล้วคงเพียงให้เจ้ามาจับตามองข้า จะเป็นไปได้อย่างไรที่หลี่รั่วถงผู้ที่ข้าต้องมอบดวงจิตนี้แก่เขาในวันข้างหน้าจำต้องมาดูแลข้าถึงเพียงนี้ อย่างไรสุดท้ายข้าก็ต้องตกเป็นของคนผู้นั้นไม่เปลี่ยนแปลง.....ขะข้าหมายถึง วิญญาณของข้า”
โง่เขลาเสียจริง เหตุใดข้าจำต้องแก่ต่างคำพูดตนเองด้วย
“ท่านจะคิดต่างไปเรื่องใดก็สุดแล้วแต่ใจของท่านเถิด แต่นายท่านของข้าแม้จะหยาบกระด้าง คำพูดไม่ระรื่นใบหูท่านในบางครา อุปนิสัยเย็นยะเยือกประดุจน้ำแข็งหิมาลัย ก็แต่ก็มิเคยโป้ปดหรอกนะขอรับ”
“นั่นเจ้าชื่นชมนายท่านของเจ้าด้วยใจใช่หรือไม่”
“แน่นอนสิขอรับ”เหอจี๋ยิ้มรื่น ก่อนจะนึกเรื่องบางอย่างได้กะทันหัน“จริงสิขอรับ ข้านำสิ่งนี้มาเปลี่ยนให้ท่าน”กล่าวเสร็จเหอจี๋จึงนำบางอย่างออกมา ก่อนย่อกายลงต่ำยื่นมือเขาปลดรองเท้าคู่เก่าของเซียวโม่โฉวออก และสวมคู่ใหม่ให้ในทันที
“อะไรกัน เจ้านำมันจากที่ใด”
คนถูกถามยิ้มแป้น“เป็นน้ำใจจากนายท่านขอรับ นายท่านเห็นว่าคู่เก่าเริ่มขาดแล้ว อีกทั้งคู่เก่านั้นบอบบางจึงให้ข้านำมาเปลี่ยนให้”
“เจ้านำเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ไปบอก?”เซียวโม่โฉวขมวดคิ้วสงสัย
“เปล่านี่ขอรับ”เหอจี๋ตอบทันควัน
“แล้วนายท่านของเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ารองเท้าของข้าขาด”
“เอ๊ะ?”ผู้ที่เคยยิ้มหน้าระรื่นหน้าหดเล็กลงอีกครา ทว่าได้ทู่จึที่วิ่งปราดมาขอของกินเพิ่มช่วยไว้พอดี
“เหอจี๋ ข้ายังไม่อิ่มเอาซาลาเปาเพิ่มได้มั้ย?”แก้มขาวตึงอันแน่นไปด้วยของกินที่ยังคงเคี้ยวไม่เสร็จ พร้อมยื่นจานเปล่าส่งให้เหอจี๋เร่งเร้า
“ดะได้ เจ้าจะกินเท่าไหร่ข้าจะเอามาให้เท่าที่เจ้าต้องการเลย”
“เอ๋? เจ้าใจดีแปลกๆ แอ๊ะ?”
“พูดมากนา จะกินหรือไม่”เสียงลอดไรฟันยิ้มให้เจ้ากระต่ายปีศาจ ก่อนจะลากจูงกันออกไปไม่รอรี ผู้ที่นั่งมองรองเท้าคู่ใหม่อย่างพิจารณาครั้นสงสัยหากแต่ก็เผลอใจคลี่ยิ้มออกมา สำรวจลวดลายที่ปักไว้อย่างละเมียดละไมด้วยแววตาพราวระยับ
สองเท้ากับรองเท้าคู่ใหม่เดินย่ำไปในสวนท้อ ครั้นเดินไปก็มองรองเท้าของตนเองไปอย่างมีความสุขที่แม้จะมิได้มากมายนัก บุรุษหนุ่มชื่นชอบมันแม้เป็นเพียงของธรรมดาหาได้มีราคาก็นับว่าใช้งานได้ ครั้งหนึ่งเขาเคยยืนจ้องมองแผงขายรองเท้าและนับเงินในมือ ซึ่งน้อยนิดเกินกว่าจะสามารถซื้อรองเท้าดีๆ สักคู่ได้ ครั้นมีก็ต้องอดออมหักห้ามใจยอมทนใส่รองเท้าฟางสานที่ทำขึ้นด้วยตนเอง
น่าแปลกก็คือรองเท้าที่เขาได้รับกลับเหมือนดังรองเท้าในวันนั้นที่เซียวโม่โฉวจำต้องหักห้ามใจไม่ซื้อด้วยเพราะเขาคิดว่าไม่ควรผลาญเงินด้วยเรื่องนั้น นั่นจึงทำให้เซียวโม่โฉวรู้สึกถูกชะตากับรองเท้าคู่นี้นัก
“ดูเหมือนเจ้าจะใส่มันได้”ครั้นไม่ทันตั้งตัวเสียงกังวานหากแต่ทุ้มนุ่มหูก็พลันดังขึ้นดึงความสนใจของเซียวโม่โฉวให้หันไปยังที่มาของเสียง บุรุษหนุ่มมิได้ตระหนกตกใจแค่เพียงสะดุ้งไหวเพราะไม่ทันตั้งตัว
หลายคราที่ได้พบเจอกับหลี่รั่วถงหากแต่ประโยคที่สนทนากันนั้นสั้นเพียงอึดใจ กระนั้นก็ทำให้เซียวโม่โฉวรู้สึกคุ้นชินกับการพบกันอย่างไม่ทันตั้งตัว ราวกับหลี่รั่วถงพยายามทำให้อีกฝ่ายคุ้นชินที่จะเจอหน้าตนราวเป็นเรื่องปกติ
“อืม”คำตอบเพียงสั้นและการพยักหน้าน้อยๆ ของอีกฝ่ายก็นับว่าดีมากแล้ว ดีกว่าก่อนหน้าที่แสดงท่าทีตีตัวออกห่าง
“เจ้าควรจะพักผ่อน เหตุใดจึงออกมาเดินเพียงลำพัง”
“ข้าแค่ออกมาลองเดินพร้อมกับรองเท้าคู่ใหม่ ให้แน่ใจว่าข้าใส่มันเดินทางไกลได้”โม่โฉวตอบด้วยแววตากลมใส เขาไม่ต้องการปฏิเสธน้ำใจ เช่นไรก็เป็นสิ่งที่เขาต้องใช้มันอยู่ดี
“ผลเป็นเช่นไรบ้าง”
“ไม่เลวนัก ขอบใจท่านมาก หากข้าไม่นับเป็นบุญคุณจะได้หรือไม่”ครั้นฟังเช่นนั้นก็ทำให้หลี่รั่วถงถึงกับเลิกคิ้วสูง
“ข้ามิเคยได้ยินผู้ใดกล่าวเช่นนั้น”เสียงทุ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย
“มีผู้ที่กล่าวต่อข้าว่า ก่อนที่ข้าจะตอบแทนบุญคุณผู้ใดข้าควรจะดูตนเองเสียก่อน แน่นอนว่าข้าไม่มีโอกาสจะได้ทำสิ่งนั้น”ครั้นแววตาใส่ครู่หนึ่งคล้ายมีความเศร้าเข้าปะปน หากแต่ยิ้มเบาบางยังคงตรึงอยู่บนใบหน้า หลี่รั่วถงลอบสำรวจมองมิสามารถเอ่ยสิ่งใดปลอบประโลมใจแก่บุรุษตรงหน้าได้
บางอย่างมิสามารถแพร่งพราย เบื้องบนลิขิตไว้เช่นไรเขาจักต้องปฏิบัติตาม
“เจ้ากล่าวเช่นนั้นคงจะโทษโพยข้าอยู่ในใจใช่หรือไม่”สีหน้าแววตานิ่งเรียบดุจผืนทะเลสาบกล่าวต่อผู้คนตรงหน้า ร่างสูงสง่าท่าทีสุขุมขยับกายเดินเข้าใกล้ อาภรณ์พลิ้วไหวยามต้องลม
“เป็นความผิดท่านอยู่ส่วนหนึ่งแต่มิใช่ทั้งหมด ท่านมิต้องกังวลข้าจะเป็นดวงวิญญาณที่ซื่อตรงต่อคำพูดตนเอง รับปากท่านไว้เช่นไรข้าจะทำเช่นนั้น”
“เอาเถิด วันเวลายังพอมีอยู่มาก ข้าจะรอ”แววตาของจ้าวพิภพแห่งหยินที่เอ่ยกล่าวคำว่ารอดั่งภูผาที่สั่นไหว แววตานิ่งเรียบจ้องมองไปยังบุรุษตรงหน้าที่มิได้ละสายตาไปแต่อย่างใด เซียวโม่โฉวมิได้ไร้จิตใจกระทั่งมองไม่เห็นว่าวูบหนึ่งนัยน์ตาคมกริมเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร
พลันความรู้สึกบางอย่างคล้ายแล่นจู่โจมความรู้สึกของเซียวโม่โฉว เพียงยืนมองบุรุษตรงหน้านิ่งค้างพาลน้ำตาก็เอ่อรื้นขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ บางอย่างที่ไม่ควรมีอยู่หลังไร้ลมหายใจกลับสั่นไหวราวกับมีชีวิต ทว่าบีบคั้นรุนแรงเสมือนบทลงโทษ
แปะ!
น้ำตาที่พลันไหลอย่างไร้ที่มาที่ไปนำพาความประหลาดใจให้ตนเองเป็นอย่างมาก
“ขะข้า คือ....ข้า”ลำแขนเล็กยกแขนขึ้นเตรียมจะปาดน้ำตาอย่างตกใจมิรู้ว่าเหตุใดอารมณ์จึงสั่นไหวเช่นนี้ พยายามทำตนให้เสมือนว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หากแต่การกระทำเช่นนั้นอยู่ในสายตาของหลี่รั่วถงทุกประการ
ฟิ้ว!
สายลมที่โบกโชยพัดเอากิ่งท้อสั่นไหว กลีบท้อเบาบางร่วงโรยปลิวลอยละลิ่วไปในอากาศส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทุกหนแห่ง
ร่างสูงสง่าก้าวเข้าเคียงใกล้จ้องมองความสับสนใจของผู้คนตรงหน้าด้วยความรู้สึกทรมานและโหยหาอย่างสุดจะกล้ำกลืน ยิ่งบุรุษตรงหน้าหลั่งน้ำตารินไหลหัวใจกร้าวแกร่งของหลี่รั่วถงกลับถูกสั่นคลอน หอมเอาร่างสูงสง่าคว้ากายบุรุษโอบรั้งเข้าสู่อ้อมกอดแข็งแรงอย่างสุดจะหักห้าม ลำแขนแข็งแรงที่โอบตระกองกอดแผ่นหลังเล็กแนบชิดราวกับมิอยากปล่อยวาง ปลอบประโลมด้วยร่างกายสูงสง่าที่หาได้มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ย
ความรู้สึกที่อยู่ใกล้หากแต่ไกลเกินเอื้อมนั้นทรมานนัก
เซียวโม่โฉวแม้จะประหลาดใจตนที่มิได้นึกต่อต้าน หากแต่กลับไม่สามารถข่มฝืนน้ำตาไม่ให้รินไหลด้วยความสับสน นึกจะผลักไสหากแต่ความรู้สึกที่อยู่ภายในกลับเพรียกหา
เหตุใดอ้อมกอดของผู้ที่เยือกเย็นกลับอบอุ่นได้เพียงนี้
เพล้ง!
ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายและความมืดที่นำความหนาวเหน็บ ภายในถ้ำน้ำแข็งผู้ที่ปัดเอาแผ่นน้ำแข็งที่สะท้อนเงาของผู้ที่จับตามองหล่นหลงแหลกละเอียด อีกทั้งมือหนาที่กำแน่นจนสั่นเกร็งทุบลงไปบนโต๊ะอย่างเจ็บปวดดวงใจจนเกิดรอยแยก ครั้นสบถเสียงกร้าวจนผู้ที่คอยรับใช้สั่นไหวไปตามๆ กัน
“หลี่รั่วถง!!!”
--------------------------------------------------------
ติอตามตอนต่อไป
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ ^^
เพจfb ::หลานฮวา (https://www.facebook.com/Butterfu-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AE%E0%B8%A7%E0%B8%B2-128034667945845/)
-
:L2: :pig4: :L2:
-
:pig4: :pig4:
-
หูยยย!! สงครามหนักๆ
-
สนุกค่าาา
-
บทที่ 8
ผู้มีใจปฏิพัทธ์
นับได้ก็ย่างเข้าสองราตรีแล้วที่เซียวโม่โฉวตัดใจไม่เหยียบย่างออกจากดินแดนลึกลับแห่งนี้ สถานที่ซึ่งคราแรกก็สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้อคติเสียแล้ว หากแต่เป็นหนทางเดียวที่เซียวโม่โฉวจะทำได้ ความปรารถนาที่จะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับตนว่าเหตุใดจึงได้ถูกบิดามารดาหักสิ้นความรักความห่วงหาเช่นนี้ ยามระลึกถึงคราใดก็ราวเป็นเสี้ยนตำลึกอยู่ในใจบุรุษหนุ่มไม่เลือนหาย พาลน้ำตาอุ่นๆ ก็รินไหลเป็นทาง
ฟู่วววว
เสียงผ่อนลมหายใจยาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นจากการฝึกจิตให้กล้าแข็งมองยังสถานที่ที่ไม่น่าภิรมย์ใจแห่งนี้อย่างเงียบเหงา ดวงตาคู่สวยกะพริบไล่น้ำค้างพราวที่เกาะอยู่บนแพขนตายาว อีกทั้งปัดเศษใบไม้ที่ปลิวร่วงหล่นบนตัวออก ตามด้วยการเริ่มขยับแขนและขาก่อนจะลุกขึ้นสวมรองเท้าที่มองเห็นคราใดก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องน่าอายเช่นนั้น
หากแต่ความอุ่นกายยามวงแขนแข็งแรงโอบกอดกลับตราตรึงในความรู้สึกมิเลือนรางจนน่าแปลก
แปะ แปะ!
“จะฟุ้งซ่านไปกันใหญ่แล้ว”มือเล็กเข้าตบหน้าตนเองราวกับเรียกสติ คิ้วได้รูปยู่ย่นไม่พึงใจต่อความคิดประหลาดของตนเองแม้แต่น้อย
ซ้ำคืนก่อนยามหลับตายิ่งกลับฝันประหลาด มองเห็นคลับคล้ายคลับคลาในความรู้สึกว่าถูกฝ่ามือใหญ่โอบตระกองใบหน้าอีกทั้งยังสัมผัสมือของตนอย่างอ่อนโยน ยิ่งครุ่นคิดก็ยิ่งสับสนในใจนัก
วูบ
ครั้นส่ายศีรษะสลัดความคิดอาการวูบหน้ามืดจึงเกิดขึ้น หากดีที่ยังสามารถใช้ฝ่ามือค้ำยันต้นไม้ไว้ได้ ทันทีที่กลับเป็นปกติจึงเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางที่เดินไปมาอยู่เป็นประจำ ปลายทางเป็นธารน้ำไหลเล็กๆ ที่เรียกความชุ่มชื่นให้แก่ใบหน้าที่ซีดเซียวได้ไม่น้อย
เซียวโม่โฉวย่อกายวักน้ำเข้าลูบล้างใบหน้าอยู่หลายครา อีกทั้งดื่มกินแม้มิได้รู้สึกกระหาย หากแต่เคยชินที่จะทำเช่นนี้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เสร็จกิจวัตรเล็กๆ แล้วสายตาที่จับจ้องไปยังธารน้ำใสกลับต้องผวาตกใจเมื่อผิวน้ำสะท้อนเงาบางอย่างดำมืดอยู่เบื้องหลัง พลันความแตกตื่นจึงหันไปมองสะดุ้งหงายหลังเสียท่าตกลงไปผิวน้ำแตกกระจาย หากทว่าธารน้ำไหลมิได้ลึกกว้างเจ้าของร่างเล็กจึงเพียงดีดตัวลุกขึ้นสีหน้าเหลอหลา
“มามิให้สุ้มให้เสียงเช่นนี้เจ้าทำข้าตกใจยิ่งนัก!”สายตาสั่นสะท้านจากน้ำที่เย็นเยียบและเหตุการณ์เมื่อครู่จ้องมองอสูรเสือดำร่างใหญ่ที่หาได้ตอบอันใดเพียงหมุนกายเดินออกออกไป เดือดร้อนเซียวโม่โฉวที่ต้องเดินตามมาในสภาพเปียกชุ่ม
ถึงแม้จะไม่บ่อยครั้งนักที่เซียวโม่โฉวได้พบพานกับสัตว์อสูรจำแลงกาย ทว่าภายใต้ร่างกายราวสัตว์ดุร้ายนั้น บุรุษหนุ่มมิสามารถล่วงรู้ได้ว่าเป็นผู้ใด
“ระรอข้าด้วยเจี้ยนหลิน”นามที่เซียวโม่โฉวตั้งให้เอ่ยเรียกผู้ที่อยู่ในร่างจำแลงจนต้องเหลียวหลัง แววตากลมใสเอียงศีรษะมองอสูรเสือดำตรงหน้า
“.....”
“เจ้าไม่ชอบชื่อที่ข้าเรียกอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นก็บอกนามของเจ้าให้ข้ารู้สิ ข้าจะได้เอ่ยเรียกเจ้าถูกต้อง”
“.....”เจ้าของดวงตาสีเหลืองอำพันมิได้กล่าวสิ่งใดเพียงหยุดย่ำเดินเมื่อสังเกตโดยรอบแล้วว่าควรส่งเซียวโม่โฉวที่นี่
“หากเจ้าไม่กล่าวอันใดข้าจะเรียกเจ้าว่าเจี้ยนหลิน ข้าว่าเป็นชื่อที่น่ารักดีเจ้าว่าหรือไม่”รอยยิ้มบางปรากฏมือหนึ่งบีบไล่น้ำที่เปียกชุ่มบนเสื้อผ้าอาภรณ์หน้าซื่อตาใส หากแต่ลืมมองหน้าเจี้ยนหลินที่ถูกกล่าวว่าน่ารักแม้แต่น้อย
รู้ไปถึงไหนคงได้อับอายไปถึงนั้น ‘จ้าวพิภพแห่งหยิน’ มีนามไพเราะที่กล่าวได้ว่าน่ารัก คงสิ้นแล้วซึ่งความน่าเกรงขาม สัตว์อสูรที่ว่าดุร้ายในร่างจำแลงหาได้คณนาในความน่าเกรงขามต่อบุรุษผู้นั้นแล้วเช่นนั้นหรือ ต่อไปไม่นานคงมองอสูรเสือดำเป็นแมวเชื่องแสนรู้เสียกระมัง
“เจ้าจะเรียกอย่างไรก็สุดแล้วแต่ใจเจ้า”ทว่าความคิดกับการกระทำนั้นย้อนแย้งนัก สีหน้าเคร่งขรึมหนวดยาวกระตุกหากแต่เลยตามเลยเพราะเจ้าของดวงตาพราวระยับที่กำลังถอดเคาะรองเท้าคู่โปรดขึ้นแขวนบนกิ่งไม่ตากให้แห้ง
“ฮัดชิ่ว!”
ครู่หนึ่งที่เซียวโม่โฉวนิ่งค้างก่อนเอ่ยออกมาราวกับแปลกใจ“น่าประหลาด ข้ามิรู้มาก่อนว่าดวงวิญญาณเช่นข้าจะสามารถป่วยไข้ได้”
“เช่นไรส่วนหนึ่งยังภพที่จากมา เจ้าก็เป็นเพียงมนุษย์ดวงจิตที่อ่อนแอไยจะป่วยไข้มิได้”เสียงกังวานเอ่ยขึ้นขนสีดำมันวาวขยับไหวครั้นร่างใหญ่ย่างเดินท่วงท่าสง่า
คราแรกพบกันนั้นเป็นความบังเอิญที่ถูกบงการโดยผู้หนึ่งเมื่อครั้งเซียวโม่โฉวยังมีชีวิต คราที่สองเป็นความตั้งใจเพื่อปกป้องบุรุษตรงหน้า ทว่าคราที่สาม สี นั้นเพียงแค่เฉียดใกล้เพื่อเฝ้ามอง แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เซียวโม่โฉววางใจเรียกสัตว์อสูรซึ่งเป็นร่างจำแลงของหลี่รั่วถงว่าสหาย ครั้นจะเบาใจก็เห็นทีว่าควรจะไตร่ตรองใหม่เสียแล้ว
ไว้ใจผู้อื่นได้อย่างง่ายดายนั่นคือขอเสียของคนผู้นี้
หลี่รั่วถงคิดแล้วยิ่งคุกรุ่นในใจ คนผู้นี้ราวกับผ้าขาวที่ถูกดึงทึ้งเสียจนขาดแหว่ง ทว่าเนื้อแท้ยังคงบริสุทธิ์ลึกไปถึงดวงจิต
“ข้าอ่อนแอสินะ”เซียวโม่โฉวพยักหน้าราวเห็นด้วยถึงความอ่อนแอของตน พลันลมโชยขณะยืนพูดคุยก็ทำให้กายบุรุษที่เปียกชื้นจำต้องกอดกายด้วยความหนาวสั่น
“คงจะจริงดั่งที่เจ้าว่า ข้าจึงได้รู้สึกหนาวเช่นนี้”
เป็นดวงวิญญาณมิใช่เรื่องง่ายเช่นกันสินะ
ครั้นนึกอย่างหดหู่บุรุษหนุ่มจึงได้ย่อกายนั่งลงกับพื้นหญ้า กอดเข่านั่งมองหยดน้ำที่ไหลออกจากรองเท้าแววตากลมใส ในใจภาวนาให้แห้งโดยเร็วพลัน เช่นไรวันนี้คงต้องกลับไปให้เหอจี๋เห็นหน้า
ในภวังค์ที่ครุ่นคิด หลี่รั่วถงซึ่งอยู่ในร่างจำแลงพลันย่างเท่าไปทางเบื้องหลังเซียวโม่โฉวไม่พูดจา ร่างกายสง่าในร่างเสือดำปกคลุมไปด้วยขนสีดำมันขลับยอมย่อกายนอนราบไปกับพื้น อีกทั้งขยับเข้าชิดร่างกายที่สั่นหนาว ลมหายใจฟึดฟัดดั่งสัตว์ร้ายทว่าใบหน้าที่เต็มไปด้วยขนสีดำกลับเมินมองไปยังทิศทางอื่นแสร้งไม่สนใจสิ่งใด
เซียวโม่โฉวนึกแปลกใจอยู่หลายส่วนที่เห็นเจี้ยนหลินเข้าล้มตัวลงนอนชิดใกล้ไม่มีท่าทีขยับถอยหนี อุ้งมือหนาเหยียดยาวยื่นไปเบื้องหน้า จงใจมอบไออุ่นจากร่างกายและบดบังลมหนาวให้แก่เซียวโม่โฉว
“ขะขอบใจเจ้ามาก.....”น้ำเสียงใสเอ่ยขึ้นแผ่วหากแต่กลับขยับกายชิดอิงศีรษะเข้าแนบเพียงเบาอย่างระแวดระวังท่าทีเข้ากับสีข้างที่มีขนนุ่มดำราวกำมะหยี่ หลี่รั่วถงที่อยู่ในร่างจำแลงมิได้กล่าวอะไร เพียงใช้สายตาคมกริบเหลือบมองและหลับตาลงนิ่งสงบในท่าที
ร่างเล็กที่เริ่มขดตัวเพราะความหนาวเริ่มรู้สึกบางอย่าง ความอบอุ่นที่ได้รับจากเจี้ยนหลินทำให้บุรุษหนุ่มนึกถึงคนผู้หนึ่ง ให้ความรู้สึกคลายมากเสียจนแก้มขาวผ่าวร้อนด้วยความคิดน่าขบขัน
จะเหมือนกันได้อย่างไร สติข้าไยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกันนะ!
วังหิมะ
ท่ามกลางความหนาวเหน็บห่างไกลซ่อนเร้นจากสายตาเหล่าเทพเซียน ผู้ที่อาศัยอยู่ที่แห่งนั้นเป็นใครเสียไม่ได้หากมิใช่จูเกิงเฉิน สถานที่ฟื้นพลังเพื่อให้กลับไปสู่อำนาจที่แข็งแกร่งเฉกเช่นเมื่อพันปีก่อน บาดแผลลึกตรงอกข้างซ้ายสร้างรอยแผลเป็นฉกรรจ์ไม่อาจลบเลือนให้หายแม้พยายามฟื้นกำลังเพียงใด บัดนี้พละกำลังที่ฟื้นกลับนั้นเกือบสมบูรณ์แล้วหากแต่สิ่งที่ขาดหายไปนั้นคือเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ จูเกิงเฉินจำได้ดีว่าผู้ใดที่กระชากออกไปจากร่างของตน ความเจ็บปวดนั้นแสนสาหัสและทุกข์ทรมาน เทียบเท่าความผิดพลาดครั้งพลั้งมือทำลายสิ่งที่ตนปรารถนา หากแต่บัดนี้เขาก็พร้อมช่วงชิงมาด้วยกำลังที่มี
“นายท่านเฉิน แผลนั่นทำให้ท่านเจ็บปวดอีกแล้วเช่นนั้นหรือ มีสิ่งใดที่ลี่ถิงพอจะช่วยท่านได้บ้างหรือไม่”
“เจ้าไม่มีวันช่วยข้าได้ลี่ถิง”
“ให้ข้าดูหน่อยเถิด ลี่ถิงเป็นยาวิเศษของท่านข้าอาจช่วยท่านได้”ดวงตากลมใสฉายแววความจงรักภักดี ร่างปราดเปรียวผิวพรรณขาวผุดผ่องอย่างบุรุษวัยแรกแย้มเยื้องย่างมาเบื้องหน้าจูเกิงเฉินยื่นแขนข้างหนึ่งที่มีร่องรอยคมมีดที่นับไม่ถ้วนให้ไม่กลัวเกรง
“ถอยไปลี่ถิง เจ้าไม่จำเป็นต่อข้าในเวลานี้”ดวงตาคมเฉี่ยวตวัดสายตามองผู้ที่น่ารำคาญในสายตา ก่อนใช้ลำแขนแข็งแรงดันลี่ถิงให้พ้นทางอย่างไม่แยแส ดวงตากลมใสฉายแววหม่นหมองหากแต่ไม่ยอมทำตามคำสั่ง กลับเดินจ้ำอ้าวตามผู้ที่หาได้มีใครปรารถนาเคียงกายต้อยๆ
“นายท่านเฉิน ท่านจะไปที่ใดหรือขอรับให้ลี่ถิงตามท่านไปด้วยได้หรือไม่”
“เจ้าเป็นแค่รากบัวที่ข้าให้โอกาสเจ้าได้มีชีวิต หากเจ้าไม่ต้องการก็ลองทำให้ข้ารำคาญเจ้าอีกคราสิ!”น้ำเสียงขู่เข็มพร้อมดวงตาที่เกรี้ยวกราดปราดเข้าคว้าลำคอของลี่ถิงดันจนร่างกายที่หาได้มีพละกำลังใดชิดเข้ากับกำแพงหิมะสั่นสะเทือน ก่อนจะปล่อยมือแล้วเหวี่ยงลี่ถิงให้พ้นทาง
“แค่ก แค่ก!”
ดวงตากลมใสคลอด้วยหยาดน้ำตา มองดูร่างกายที่หาได้มีประโยชน์อันใดในยามนี้อย่างรู้สึกผิด เดิมลี่ถิงเป็นเพียงรากบัวในบึงหมื่นฟ้าบนยอดเขาพันอักษร จูเกิงเฉินครั้นซมซานหนีตายไปที่นั่นจึงได้เก็บลี่ถิงมาเพื่อเป็นยารักษาตน ด้วยพลังเพียงน้อยนิดเขาถ่ายเทให้แก่ลี่ถิงก่อเกิดเป็นหนุ่มน้อยที่มีเนื้อกายเป็นยาชั้นดี นับแต่นั้นลี่ถิงจึงมองจูเกิงเฉินเป็นทุกๆ อย่างในชีวิตที่สามารถมอบกายถวายหัวให้ได้ ไม่ต่างจากสุนัขที่จงรักภักดีต่อเจ้าของ
“ยามนี้หากข้ามีประโยชน์ต่อท่านเพียงสักเล็กน้อย ท่านคงไม่รู้สึกเจ็บปวดเช่นนั้น”
ซู่!
ยามนี้เบื้องหน้าจูเกิงเฉิน ด้วยพลังที่ฟื้นคืนหลายส่วนจึงเป็นเรื่องไม่ยากที่จะรวบรวมเหล่าปีศาจนอกรีตที่ต้อยต่ำกว่าและปรารถนาจะพึ่งพาอำนาจของจูเกิงเฉิน บัดนี้ผืนน้ำที่ดำมืดกำลังก่อตัวเป็นร่างกายอมนุษย์รูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ทุกตัวต่างศิโรราบอย่างนอบน้อมให้แก่นายเหนือหัวของพวกมัน
“พวกเจ้ามาก็ดีแล้ว อีกไม่นานข้าอาจต้องหยิบยืมพละกำลังของพวกเจ้าเพื่อทำการใหญ่บางอย่าง เมื่อสำเร็จ คงรู้ใช่หรือไม่ว่าพวกเจ้าจะไม่ต้องหลบซ่อนตัวอีกต่อไป”
“พวกข้ายินดีรับบัญชา เพียงท่านเอ่ยมาพวกข้าก็พร้อมเสมอ”
“พวกเจ้าช่างดีต่อข้านัก ข้าจักไม่ลืมบุญคุณของพวกเจ้า”ยิ้มร้ายใช้สายตาวาวมองไปเบื้องหน้าด้วยความเปรมปรีดิ์ก่อนจะหัวเราะด้วยน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังคล้ายพึงใจต่อบริวารตรงหน้าไม่น้อย
ครานี้ข้าไม่อาจแพ้ให้แก่เจ้าได้อีก ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม เตรียมตัวเตรียมใจของเจ้าไว้ให้มั่นเถิดหลี่รั่วถง!
พิภพแห่งหยิน
ภายในสวนท้อหนึ่งบุรุษกำลังก้มมองกลีบบางที่ร่วงลงสู่พื้นก่อนจะค่อยๆ สลายหายไปต่อหน้าต่อตา ทุกกลีบของดอกท้อแห่งสวนแห่งนี้เป็นเช่นนั้น เซียวโม่โฉวนั่งมองความประหลาดราวกับจะเข้าถึงวัฏจักรของชีวิตให้ถ่องแท้
เมื่อผลิบาน ก็ต้องร่วงโรยและสลายหายไป เป็นเช่นนั้นซ้ำๆ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
“โถ่! ท่านมานั่งอยู่ที่นี่ข้าตามหาท่านเสียให้วุ่นวาย”
“โม่โฉวววว! เจ้าทิ้งข้า”ผู้ที่วิ่งเร็วจี๋เตรียมจะโถมใส่เซียวโม่โฉวมาแต่ไกล แต่กลับถูกเหอจี๋คว้าคอเสื้อเอาไว้ได้อย่างฉิวเฉียด
“ไร้มารยาท เจ้าจะทำเช่นนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน!”เสียงดุว่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ สำรวจตรวจมองร่างกายของเจ้าทู่จึที่นับวันจักสูงใหญ่เติบโตราวกับเด็กมนุษย์อายุสี่ขวบ
“ก็ข้าคิดถึงโม่โฉว”อีกฝ่ายงอแงแบะปากจวนจะร้องไห้
“อย่ามาเสแสร้ง คิดถึงอะไรนักหนาของเจ้า มิได้ล้มหายตายจากกันไปเสียเมื่อไหร่ น้ำตาของเจ้าหาใช้กับข้าสำเร็จไม่”สายตาเขม้นจ้องมองทู่จึอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันไปใส่ใจกับผู้คนตรงหน้าต่อ
“พวกเจ้ารีบร้อนหาข้ามีเรื่องใดกัน?”เซียวโม่โฉวดันตัวลุกใช่มือปัดฝุ่นตามอาภรณ์ขาวสะอาดก่อนจะหยิบเอากลีบดอกท้อที่ตกอยู่บนหัวของทู่จึออกให้ ผู้ที่ได้รับการเอ็นดูยิ้มจนปากจะฉีกเสียให้ได้
“คราแรกข้าเพียงตามหาเพราะเป็นห่วงท่าน ช่วงนี้ร่างกายของท่านนั้นอ่อนแอลงมากข้าจึงเป็นห่วง แต่ระหว่างทางข้าได้รับคำสั่งให้นำท่านไปพบกับนายท่านขอรับ”
“อา.....เช่นนั้นหรือ”
เซียวโม่โฉวพยักหน้ายกนิ้วเรียวขึ้นเกาแก้มที่แดงขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อครั้นได้ยินชื่อของจ้าวพิภพแห่งหยิน ดวงตาคู่สวยหลุบลงต่ำเล็กน้อยราวกับชั่งใจ ก่อนจะขยับปากบางที่ซีดเซียวลงมาถามเหอจี๋“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่านายท่านของเจ้าเรียกหาข้าด้วยเหตุใด?”
“ข้าไม่ทราบขอรับ”
“ไม่เป็นไร.....ข้าจะไป”
สองสามวันมานี้เซียวโม่โฉวไม่สามารถเดินทางไปยังป่าลึกลับเพื่อบำเพ็ญเพียรได้ บ่อยครั้งที่ราวกับดวงวิญญาณนั้นอ่อนแอลง หลี่รั่วถงจึงสั่งกำชับเหอจี๋มิให้โม่โฉวเดินทาง ครั้นพักฟื้นตนเองอยู่ที่เรือนเสี้ยวจันทรา ราวกับว่าเจ้าของบ้านแห่งนี้มิได้แห้งแล้งน้ำใจนัก มักแวะเวียนมาพูดคุยเสมอ ไม่มากประโยคหากแต่บ่อยครั้ง แม้เหอจี๋จะกล่าวว่าหลี่รั่วถงยุ่งอยู่เสมอ อีกทั้งยังต้องลงไปยังโลกมนุษย์อยู่บ่อยนัก ครั้นเคยถามไถ่ก็ไม่อาจเอาคำตอบได้
เซียวโม่โฉวยังเคยได้รับของฝากเป็นพุทราเชื่อมรสหวานลูกโตจากหลี่รั่วถง เขาจำใบหน้าของผู้ที่หยิบยื่นของฝากให้ได้เป็นอย่างดี แสดงออกด้วยท่าที่อ่อนโยนภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยระคนแววตาดุดัน ช่างย้อนแย้งเสียจนไม่อาจลืมเลือน
เซียวโม่โฉวเคยขบคิด ว่าแท้แล้วอุปนิสัยใจคอของหลี่รัวถงเป็นเช่นไรกันแน่ บางคราดุดันและโหดเหี้ยม แต่บางครั้งก็อ่อนโยนเสียจนน่าแปลกใจ ครั้นถามเหอจี๋ไปกลับมีแต่สีหน้าเกรงกลัวต่อคนผู้นั้น รวมทั้งบริวารที่เคร่งครัดในที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน
บุรุษหนุ่มไม่สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดตนจึงไว้ใจผู้ที่จะต้องมอบดวงวิญญาณให้เช่นนั้น หรือตนจะปลงเสียแล้ว ดั่งกลีบดอกท้อที่เบ่งบานอวดความงดงามอย่างมิเกรงกลัวเวลาร่วงโรย หากมีวาสนาคงได้ผลิบานในอีกไม่ช้า
ยามนี้เหอจี๋รับหน้าที่มาส่งเซียวโม่โฉวยังสะพานที่ทอดยาวข้ามบึงบัวทองอย่างที่ไม่มีให้เห็นในโลกมนุษย์ ปลายทางสิ้นสุดที่ใดไม่อาจมองเห็น มีเพียงหมองบางที่ลอยอบอวลอยู่ไกลๆ คล้ายปลายทางลึกหายไปในกลีบเมฆ
“พวกเราจะไม่ตามไปด้วยเช่นนั้นหรือ”
“เจ้าโง่หรือแสร้งโง่กันแน่ จะตามไปด้วยเหตุใดกันเล่า”
“แต่โม่โฉวดูไม่ค่อยดี เขาอาจไม่สบายกะทันหันได้”
“จะกลัวไปไย ผู้ใดรั้งรออยู่เจ้าก็รู้มิใช่หรือ ไม่มีทางที่นายท่านของข้าจะปล่อยให้คนสำคัญต้องเป็นอันตราย”สายตาเหอจี๋ทอดมองแผ่นหลังบางของเซียวโม่โฉวที่เดินไปตามสะพานเบื้องหน้าแววตาเชื่อมั่น
“สำคัญ? เจ้ากล่าวสิ่งใดว่าสำคัญ ข้าไม่เห็นจะเข้าใจ”
“เหตุใดข้าต้องบอกแก่เจ้าด้วยเล่าเจ้าปีศาจชั้นต่ำ”เหอจี๋ขึงตาใส่ก่อนเชิดปลายจมูกรั้นเดินหนีเจ้าตัวน่ารำคาญไป
“ให้ข้าโตอีกหน่อยเถอะเจ้าคงไม่ดูถูกข้าเช่นนั้น หึ!”ทู่จึ่ไล่ตามหลังเหอจี๋แล้วประกาศกร้าวจนหูโผล่ออกมาสั่นระริก
“เจ้าจะทำเช่นไรข้าได้ เก็บหูน่าเกลียดของเจ้าให้มิดชิดได้ก่อนเถิดแล้วถึงจะมาท้าต่อยตีกับข้า”
“คอยดูเถิด ข้าจะถอดเกล็ดเจ้ามิให้เหลือเลยคอยดู!”
“หน็อย เจ้าปีศาจไม่สำนึกคุณ!”
“แบร่!”อีกฝ่ายหันไปแลบลิ้นปลิ้นตา เหอจี๋ทำได้เพียงชี้นิ้วสั่นระริกกับท่าทียั่วโทสะเช่นนั้น
“นับวันชักจะเหิมเกริมเอาแต่ใจนัก ผู้ใดกันที่หาข้าวหาอาหารมาให้เจ้าทุกคราไป คิดจะถอดเกล็ดข้าหรือรอไปอีกหมื่นปีเถอะ! ข้านี่แหละที่จะเฉือนไอ้จ้อนของเจ้าที่ชอบเดินล่อนจ้อน ไปทั่วเลยคอยดู!”
เพราะได้ยินถึงเสียงต่อล้อต่อเถียงกันอยู่ห่างๆ เซียวโม่โฉวจึงได้เหลียวหลังไปมอง แม้จะเป็นเรื่องไร้สาระที่ทะเลาะกันทั้งเหอจี๋และทู่จึก็ไม่เคยลดหย่อนคารมต่อกันเลย แม้จะมีปากเสียงกันเช่นนั้นบ่อยครั้งก็กลับมาคืนดีกันเร็วอย่างกับสายฟ้าแลบ
ครั้นเสียงสงบลงเซียวโม่โฉวก็ส่ายหน้ายิ้มๆ พลันตั้งใจจะเดินไปยังเบื้องหน้าทว่ากับต้องกระแทกเข้ากับใครบางคนเข้าอย่างจัง ร่างบางเงยหน้าขึ้นมอง พลางเอ่ยขอโทษเพราะไม่ได้ตั้งใจ ทว่าอีกฝ่ายก็ปรากฏกายมาไม่ให้สุ้มให้เสียงเช่นกัน
“ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
“ข้าไม่เป็นไร”ใบหน้าขาวซีดพยักหน้าหงึก คลี่ยิ้มบางๆ ประดับใบหน้า“แล้วท่านมีเรื่องสำคัญอันใดต่อข้าหรือไม่”
“จะกล่าวว่าเรื่องสำคัญหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่ช่างเถิดข้าเพียงอยากจะพาเจ้าไปยังที่แห่งหนึ่ง”ร่างสูงสง่าก้าวเดินไปข้างหน้าจากก้าวที่กว้างและรวดเร็วก็ยอมช้าลงเพื่อให้ผู้ที่เดินมาเบื้องหลังตามได้ทันอย่างแนบเนียนเสมือนมิได้รั้งรอ
“น่าแปลกใจนักท่านยอมให้ข้าออกจากที่แห่งนี้ด้วยหรือ”
“หาใช่ที่ไหนไกล ข้าเพียงเห็นเจ้าเบื่อหน่ายจึงอยากให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตาเสียบ้าง”
“ไยท่านต้องเอาใจใส่ข้า วิญญาณเช่นข้าควรแล้วหรือที่ท่านต้องใส่ใจนัก อาจเสียเวลาของท่านไปเปล่าๆ ”
“เวลาของข้าหยุดลงนับตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนแล้ว”
“เฮ๊ะ?”
“อย่าใส่ใจที่ข้าพูด มาเถิดเจ้าต้องให้ข้าช่วยในตอนนี้”ก้าวไปเพียงไม่กี่ก้าว หลี่รั่วถงหยุดนิ่งหมุนกายสูงสง่าเข้าหาเซียวโม่โฉวแล้วยื่นฝ่ามือใหญ่มาเบื้องหน้า นัยน์ตาคมจับจ้องไปยังใบหน้าเซียวโม่โฉวที่ก้มลงมองฝ่ามือของตน ท่าทีลังเลราวกับไม่เข้าใจความหมาย เสียงอึกอักไม่รู้ว่าต้องการกล่าวสิ่งใดมิได้ทำให้หลี่รั่วถงไม่อาจรั้งรอ
“เอ่อ.....คือ.....”
“มาเถิด”เสียงทุ้มหากแต่กังวานเข้าดึงมือเล็กให้เข้าหาประชิดตัว พลันอีกมืออ้อมเกี่ยวผ่านเอวคอดประคองแผ่นหลังเล็กให้กระชับในวงแขนก่อนจะใช้เท้าข้างหนึ่งดันพื้นเพียงเบาหอบเอาสองร่างทะยานขึ้นสูงไปในอากาศ เซียวโม่โฉวตกใจเบิกตาโพลงมองหลี่รั่วถงอย่างตระหนก ครั้นเผลอเหลือบมองเบื้องล่างที่ห่างไกลยิ่งทำให้บุรุษหนุ่มหวาดกลัว จึงใช้ลำแขนเล็กเกาะเกี่ยวผู้คนตรงหน้าเป็นที่พึ่งด้วยแขนทั้งสองแน่น
“เจ้ากลัวเช่นนั้นหรือ?”น้ำเสียงทุ้มระคนขบขันก้มลงมองศีรษะที่ซุกอยู่ในอ้อมอก
“ขะข้า ข้ากลัวตก กะกลัวความสูง”เสียงสั่นและดวงตาที่ปิดลงสนิทพยักหน้าบอกกล่าว ไม้แม้แต่กล้าลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าร่วงลงไป เชื่อข้าเถิด”รอยยิ้มบางจากหลี่รั่วถงมองดูเซียวโม่โฉวที่เกาะเกี่ยวตนไว้แน่น
“แต่ข้าก็อดหวาดกลัวเสียไม่ได้ ตั้งแต่ตายมาข้าไม่เคยต้องเหาะเหินเช่นนี้นิ”
“ลืมตาขึ้นมาเถิด เจ้าจะได้รู้ว่าเบื้องล่างนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด”หลี่รั่วถงพยายามกล่อม อีกทั้งขยับลำแขนแกร่งโอบตัวเซียวโม่โฉวกระชับแน่นอีกคราสัมผัสได้ถึงเรือนกายที่เล็กจ้อยหากเทียบกับตน“ข้าสัญญาว่าจะไม่ปล่อยเจ้า.....ลืมตาขึ้นเถิด”เสียงกระซิบชิดใบหน้าที่เอาแต่ซุกสายตาหนี
“ข้าจะเป็นลมอยู่แล้ว”บุรุษหนุ่มเอ่ยเสียงสั่น รู้สึกมีอาการคลายจะไม่รู้ว่าไหนฟ้าไหนดิน
“เบื้องล่างนั้นงดงามเจ้าไม่อยากมองเห็นเช่นนั้นหรือ กลิ่นหอมจากกายของเจ้ามาจากสถานที่แห่งนั้นใช่หรือไม่”แม้จะกล่าวถามหลอกล่อให้ลืมตาตื่นก็หาได้เป็นผล
“ข้าบอกท่านแล้วว่าข้ากลัว”
“เช่นนั้นให้ข้าสลายความกลัวให้เจ้าดีหรือไม่”
“มีวิธีเช่นนั้นด้วยหรือ”
“เงยหน้าของเจ้าขึ้นครู่หนึ่งเถิด”เซียวโม่โฉวยอมว่าง่าย ดึงใบหน้าออกจากอกของหลี่รั่วถงที่หยักยิ้มราวกับกำลังมองดูผลท้อที่สุกใกล้หล่น แก้มของเซียวโม่โฉวก็ไม่ได้ต่างไปจากผลท้อแม้แต่น้อย
“งะเงยแล้ว ให้ข้าทำเช่นไรต่อ”แก้มแดงขึ้นสีเล็กน้อย ในอกรู้สึกหวาดหวั่น ทว่ากลับเชื่อมั่นในคำพูดของบุรุษตรงหน้า อาจกล่าวได้ว่าวิญญาณที่แสนอ่อนแอนี้กำลังตกบ่วงเสน่ห์หาที่พันผูกกันมาเข้าเสียแล้วอย่างไม่รู้ตัว
“ไม่ต้องทำสิ่งใด ข้าจะเป็นผู้ทำเอง”สิ้นน้ำเสียงกล่าวต่อเซียวโม่โฉว ใบหน้าที่ร้าวสูงส่งเกินเอื้อมกลับโน้มลงมาพร้อมแนบริมฝีปากหยักเข้าครอบครองริมฝีปากบางที่อวดความอ่อนนุ่มอยู่เบื้องหน้าในทันที ผู้ที่เคยหลับตาสนิทกลับเบิกตาโพลงขึ้น ดวงตาคู่สวยนิ่งค้างราวกับตกตะลึงไม่ต่างจากร่างกายที่แข็งทื่อเสมือนโดนสาป
ความอุ่นร้อนที่ราวกับดวงไฟกำลังก่อเกิด ซ้ำวิ่งพล่านไปทั่วสรรพางค์กายบุรุษหนุ่มอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ หากแต่กลับอ่อนไหวไหลไปตามความปรารถนาส่วนลึกของตนที่ปริ่มออกมาจากภายในใจ ครั้นอีกฝ่ายขยับริมฝีปากเพียงน้อยราวกับละเลียดชิมรสแห่งความหอมหวาน จิตใจของเซียวโม่โฉวแทบแตกซ่านด้วยความคะนึงหา
ร่างกายและดวงจิตของข้าเหตุใดจึงไขว้เขวเข้าหาหลี่รัวถงได้ถึงเพียงนี้กัน หรือเพียงเพราะเขาดีต่อข้าเช่นนั้นหรือ?
ติดตามตอนต่อไป >>>
ฝากคอมเม้นติชม เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ :impress:
ผิดพลาดตรงไหนแนะนำได้เลยค่ะ :m23:
FB : หลานฮวา (https://www.facebook.com/Butterfu-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AE%E0%B8%A7%E0%B8%B2-128034667945845/)
-
บทที่ 9
หน้าชื่นอกตรม
“สีหน้าของเจ้าดีขึ้น เห็นทีข้ามิต้องเป็นห่วงแล้ว”น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นราวกับเรียกสติที่กระเจิงหนีไปให้กลับมา เซียวโม่โฉวแทบจะลืมไปเสียสิ้นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นเมื่อครู่
หากแต่ความอบอุ่นกลับหลงเหลือย้ำเตือนว่าหาใช่เรื่องละเมอเพ้อพก มิหนำซ้ำแก้มขาวกลับแดงเรื่อขึ้นสี ความร้อนผะผ่าวอยู่บริเวณใบหน้าตลอดจนใบหู
“เมื่อครู่ท่าน.....”เซียวโม่โฉวจำได้ คราแรกที่เผชิญกับริมฝีปากนั้น ตนไม่ต่างจากเตาอัคคีที่มีไฟสุมอยู่ในร่างกาย ทว่าครานี้ไฟที่ร้อนรุ่มนั้นกลับเบาบางลงกลายเป็นเพียงความอบอุ่นและกำซาบไปถึงจิตใจจนไม่อาจเรียกได้ว่ารังเกียจ สิ่งนั้นทำให้เซียวโม่โฉวรู้สึกสับสนอยู่มาก
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งที่ตนควรผลักไสและแสดงท่าทีชิงชัง หากแต่กลับนิ่งค้างไร้การตอบโต้ใดๆ ราวกับจิตใจไหลไปตามการกระทำของเขา
“ถึงแล้ว”
“เอ๊ะ?”
“ตามข้ามาเถิด”หลี่รั่วถงไม่แสดงท่าทีใดๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้เห็นถึงความหวามไหว เพียงนำเซียวโม่โฉววางลงบนปุยเมฆสีขาวปลดลำแขนแข็งแรงแล้วเปลี่ยนมากุมมือผู้ที่ยืนทื่อราวหินผาเสียแทน สีหน้าสับสนที่ยังคงจับจ้องสายตาไปยังหลี่รั่วถงก็หาได้ลดน้อยลงไป
“เอ่อ.....ท่านต้องการให้ข้าไปที่แห่งใด”หลี่รั่วถงไม่กล่าว หากแต่กุมมือเล็กกระชับแน่นขึ้น แล้วหยุดลงตรงอ่างศิลาบนเมฆที่มีน้ำใสไหลวนอยู่ภายในอย่างน่าอัศจรรย์
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลสิ่งใด มานี่เถิดข้าจะให้เจ้าดูบางอย่าง”ใบหน้าอ่อนโยนเมื่อครู่คล้ายเลือนหายไป ความเคร่งขรึมเข้ามาแทนที่ พลันดันเซียวโม่โฉวให้มายืนอยู่เบื้องหน้า ชี้ชวนให้มองลงไปยังน้ำใสๆ ในอ่างศิลาเมฆา พลันราวกับสายฟ้าที่ไหลวนอยู่ภายในน้ำเกิดตื่นขึ้นจากหลับใหลส่องแสงสว่างวาบและวูบหายไปปรากฏภาพของผู้คนที่อยู่อีกโลก
“นั่น?”สายตาที่จับจ้องไปยังผู้คนในอ่างศิลาสั่นระริก รวมทั้งมือเล็กที่สั่นเทาร่างกายชะงักการเคลื่อนไหว เอ่อล้นออกมาเพียงหยาดน้ำตาบางๆ ก่อนจะรินไหลอย่างไม่รู้ตัว มีหยดหนึ่งที่หล่นเผาะลงไปภาพในอ่างศิลาราวกับดวงใจของบุรุษหนุ่มที่หล่นแตก ภาพเบื้องหน้าจึงเลือนหายไปในพริบตา
“เห็นแล้วใช่หรือไม่ว่าคนเหล่านั้นหาได้ระลึกถึงเจ้า พวกเขาใช้ชีวิตเฉกเช่นผู้ที่สุขสบาย”
“ท่านพ่อ ท่านแม่.....”
“ข้าพาเจ้ามายังที่แห่งนี้เพื่อให้รู้ว่า พวกคนเหล่านั้นใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีเจ้าอย่างไร หาได้เป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องใด ไยเจ้าต้องทุกข์ใจคะนึงถึงพวกเขาอีก”หลี่รั่วถงเอ่ยขึ้นใบหน้าดุดันครั้นมองเห็นไม่ต่างจากเซียวโม่โฉว ภาพที่คนเหล่านั้นทั้งยิ้มและหัวเราะ ในขณะที่บุรุษผู้นี้มีแต่หลั่งน้ำตา
“ข้ารู้ ข้ารู้แล้ว.....แต่พวกเขาก็เป็นครอบครัวของข้า เป็นท่านพ่อและท่านแม่ของข้าหาได้มีใครอื่นอีก”ดวงตาเศร้าสร้อยพยักหน้ารับรู้ในสิ่งที่หลี่รั่วถงกล่าว แต่เช่นไรก็ไม่อาจตัดใจตัดบ่วงเหล่านี้ไปได้ มันพันธนาการเซียวโม่โฉวยิ่งกว่าตรวนสวรรค์
ทางเดียวที่ข้าจะหลุดจากสิ่งเหล่านี้ได้ คือการรู้ทุกอย่างเพื่อตัดความคับข้องใจให้สิ้น นั่นคือสิ่งที่ข้าเลือกแล้ว
“ข้าผิดเอง ที่ตัดสินใจพาเจ้ามาที่นี่”
“ท่านมิได้ผิดอันใด ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณท่าน อย่างน้อยข้าก็ได้รับรู้ว่าพวกเขายังมีชีวิตแม้จะแก่ตัวลงไปบ้างแล้ว”น้ำคำที่เอ่ยพร่ำพูดทั้งน้ำตา พยายามปาดมันออกราวกับต้องการจะหยุด แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
หลี่รั่วถงไม่อาจมองบุรุษตรงหน้าเสียน้ำตาได้อีก จึงเข้าไปหมายจะปาดน้ำตาให้ทว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้ากลับซบดวงตาคู่นั้นลงกับอกของเขา พึมพำไม่รู้ความอยู่พักใหญ่เหมือนเด็กน้อย หลี่รั่วถงทำได้เพียงเอื้อมมือเข้าลูบศีรษะแทนคำพูดที่อยากกล่าวปลอบประโลม ทว่าสายตาดุดันหลายส่วนกลับจ้องมองไปยังอ่างศิลานัยน์ตาแทบเป็นประกายเพลิง
นี่จะเป็นความสุขครั้งสุดท้ายที่เซียวโม่โฉวจะได้เห็นพวกเจ้า นับแต่บัดนี้ก็อย่าหวังได้สัมผัสมันอีกเลย!ข้าให้โอกาสพวกเจ้ามามากพอแล้ว จะโทษผู้ใดได้หากมิใช่ตัวพวกเจ้าเอง!
หลังจากกลับมาเส้นทางที่คุ้นเคยและทอดยาวไปข้างหน้ายังคงเป็นภาพเดิมๆ หากแต่ที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยนั้นกลับเป็นผู้ที่เดินเคียงข้างกายของเซียวโม่โฉว
“ท่านไม่จำเป็นต้องไปส่ง ข้าเดินกลับเองได้ เหอจี๋กับทู่จึคงรอข้าอยู่ไม่ไกล”
“ข้าเต็มใจจะเดินไปส่งเจ้า”ร่างสูงที่ก้าวเดินไปเบื้องหน้าแม้สายตาจะมิได้มองบุรุษข้างกาย แต่ก็ไม่คิดเดินย้อนกลับจนกว่าจะถึงเรือนเสี้ยวจันทรา
“ยิ่งท่านเมตตาข้าเท่าไหร่ข้ายิ่งจะรู้สึกผิดต่อท่านมากเท่านั้น ดวงวิญญาณที่หาได้ทำประโยชน์อันใดให้แก่ท่านควรหรือที่จะใส่ใจให้มากความเช่นนี้”
“ข้าและเจ้าต่างมีสัญญาพันผูก หาได้มีผู้ใดเสียเปรียบได้เปรียบแต่อย่างใด ข้าเคยกล่าวต่อเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าสิ่งใดที่เป็นข้อแลกเปลี่ยนนั้น เช่นนี้แล้วเจ้ายังจะคิดว่าข้าเมตตาจนเจ้าต้องรู้สึกผิดด้วยเช่นนั้นหรือ”ถ้อยคำที่ฟังราวกับไร้เยื่อใยทว่ากลับเป็นความจริงแท้ดังที่กล่าว เซียวโม่โฉวเพียงพยักหน้านัยน์ตาเศร้าหากแต่พยายามคลี่ยิ้มรับเรื่องเหล่านั้นอย่างไม่โต้แย้ง
ลึกแล้วในใจของบุรุษนั้นกำลังสับสน ยามนี้คงหายคับข้องใจไปหลายส่วน เรื่องราวระหว่างตนกับหลี่รั่วถงไยจะแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นได้ ช่างโง่เขลานักที่คิดฟุ้งซ่านเสียมากมาย
“ข้าเข้าใจในสิ่งที่ท่านกล่าวดีแล้ว”
ดวงตาพราวระยับที่ระคนความเศร้าหมองฉายชัดออกมามิได้ปิดบัง หลี่รั่วถงที่ทอดสายตามองไม่อาจยื่นมือเข้าไปปลอบประโลมใจบุรุษตรงหน้าได้ มีแต่ต้องหักห้ามความคิด บางสิ่งตนไม่อาจเผยความจริงให้กระจ่างได้ในยามนี้ จำต้องทนมองผู้ที่ตนห่วงใยและใช้ถ้อยคำไม่ระรื่นหูเช่นนั้นด้วยวิบากกรรมที่จักต้องเผชิญ
จริงแท้แล้ว.....หาได้ปรารถนาพูดสิ่งนั้นให้เจ็บช้ำน้ำใจ
หากไม่เกรงต่อกฎเกณฑ์ที่สวรรค์ลิขิต ซึ่งอาจพรากคนผู้นี้ไปจากเขาอีกครา คงไม่มีทางที่หลี่รั่วถงจักฝืนทำใจเย็นดุจน้ำแข็งได้เช่นนี้
“ไปเถิด ข้าจะเดินไปส่งเจ้า”
เซียวโม่โฉวเดินตามร่างสูงอยู่เบื้องหลังอย่างนิ่งเงียบ ความรู้สึกที่ราวกับเหินห่างนั่นช่างน่าหวาดกลัวอยู่ลึกๆ ครู่หนึ่งที่เดินไปอย่างว่าง่ายมิได้กล่าวสิ่งใดต่อจากนั้น พลันสายตาเหลือบมองเห็นสระน้ำริมทางจึงนึกได้ถึงบางอย่างเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อน ความสงสัยจึงอยากถามไถ่ผู้คนตรงหน้าให้แน่ชัด
“เอ่อคือ จริงๆ แล้วข้ามีอีกเรื่องหนึ่งที่สงสัยและอยากถาม อาจเป็นเรื่องไร้สาระแต่ข้าก็อยากจะรู้ให้แน่ใจ”ก้าวเล็กๆ หยุดชะงัก หลี่รั่วถงเช่นกันที่หยุดเดินพร้อมหมุนกายกลับมาให้ความสนใจต่อบุรุษตรงหน้า ที่หลุบตาลงต่ำขมวดคิ้วได้รูปราวกับตรึกตรองในความคิด
หลี่รั่วถงไม่พูดจาอันใด เพียงยืนนิ่งสงบปล่อยให้สายลมพัดผ่านรอเวลาที่เซียวโม่โฉวจักเอ่ยปากออกมาเอง ไม่บีบคั้นหรือแสดงท่าทีเร่งเร้าแต่อย่างใด
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคิดอยู่นาน เสียงฮึดฮัดในลำคอคล้ายโต้เถียงอยู่กับตนเอง มือเล็กขยุกขยิกเริ่มยกขึ้นแกะเกาแก้มขาวทั้งลากปลายนิ้วไปยังลำคอระหง เกี่ยวนิ้วเข้ากับเส้นผมดำสลวยแล้วขึ้นทัดใบหูเล็ก กรอบหน้าได้รูปชวนมองกระจ่างสายตา ผิวพรรณขาวผุดผาดต้องตาผู้มองไม่จาง
“จริงๆ แล้วเหอจี๋ได้เล่าให้ข้าฟังว่า หลายคืนก่อนท่านได้ช่วยข้าขึ้นจากสระอาบน้ำ เป็นความจริงหรือไม่”
“เป็นข้า เจ้าไม่พอใจสิ่งใดหรือไม่”
“ข้าจะไม่พอใจเรื่องใด เพียงติดตรงที่ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่าน”ดวงตาคู่สวยเงยหน้าขึ้นสบตากับหลี่รั่วถง พรูลมหายใจเบาๆ ออกทางริมฝีปากบางที่ราวกับสุขภาพดีขึ้นกว่าก่อนหน้า
“หนี้บุญคุณ? ข้าไม่เคยต้องการสิ่งนั้นจากผู้ใด”
เซียวโม่โฉวกะพริบตาถี่ๆ ดวงตากลมใสมองร่างสูงสง่าที่ตอบออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว หาได้ยินดีต่อบุญคุณในครั้งนั้นแต่อย่างใด
ข้าควรจะขอบใจเจ้าเสียมากกว่าที่ยอมกลับมาหาข้าในครานั้น
“การที่ท่านช่วยเหลือข้าเพราะกลัวข้าผิดคำมั่นสัญญาต่อท่านสินะ”ครู่หนึ่งดวงตาคู่สวยกลับสลด
“ข้าช่วยเจ้าเพราะเจ้าสำคัญต่อข้า นั่นคือคำตอบ”มือหนาเอื้อมไปข้างหน้าวางฝ่ามือลงบนเรือนผมของเซียวโม่โฉวก่อนไล่ปลายนิ้วไปตามเส้นผมนุ่มละเอียดอย่างเชื่องช้าจรดปลายผมที่ทิ้งตัวแนบแผ่นหลัง ทั้งดวงตาคู่คมที่จ้องมองเซียวโม่โฉวหาได้หลบหลีก ทว่าอีกฝ่ายที่ถูกจ้องมองกลับรู้สึกวูบวาบไปทั่วสรรพางค์กาย
“เอ่อ.....ข้า”
“เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง ข้าตามหาเสียตั้งนาน”ไม่ทันที่เซียวโม่โฉวจะได้เอ่ยสิ่งใดต่อ น้ำเสียงสดชื่นระรื่นหูก็ตะโกนดังโหวกเหวกขึ้นมาราวกับจงใจขัดจังหวะ
ผู้ที่ปรากฏกายขึ้นพร้อมเส้นผมสีขาวพิสุทธิ์เดินยิ้มร่าเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยนั้นเป็นผู้ใดเสียไม่ได้นอกจากหวางหรูอี้
“เจ้าตามข้ามาที่แห่งมีธุระสำคัญอันใด”น้ำเสียงทุ้มกล่าวขึ้นหาได้มีความนุ่มหูแสดงถึงความไม่พอใจนัก ทั้งเดินก้าวมาเบื้องหน้าราวกับบังกายให้ของหวงพ้นสายตาหวางหรูอี้ หลี่รั่วถงมิได้อยากปิดเป็นความลับถึงตัวตนของคนสำคัญ หากแต่ไม่อยากได้ยินคำถามมากมายจากผู้ใด
“นั่นใช่.....เซียวโม่โฉว?”สีหน้าทะเล้นแสร้งชะโงกหน้าไปดูผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังหลี่รั่วถงอย่างหยอกล้อ แท้แล้วหวางหรูอี้ทราบมาก่อนแล้วว่ายามนี้พิภพแห่งหยินไม่เหมือนแต่ก่อน เรือนเสี้ยวจันทราหาได้ร้างผู้คนอาศัย เพียงยังไม่มีโอกาสประสบพบหน้าก็เท่านั้น
“เอ่อ ข้าเซียวโม่โฉวขอรับ”อีกฝ่ายขานตอบท่าทีเก้ๆ กังๆ หากดูจากบรรยากาศแล้วเซียวโม่โฉวก็คาดเดาได้ว่าหวางหรูอี้หาใช้ผู้คนธรรมดาเฉกเช่นหลี่รั่วถง
“ไม่ต้องมากพิธี ข้าสงสัยอยู่นาน วันนี้มีโอกาสพบเจอกับเจ้าวาสนาของข้ากับเจ้านั้นยังมีอยู่มากนัก ข้าหวางหรูอี้ เป็นสหายของหลี่รั่วถง”
“เหตุใดเจ้าจึงกล่าวมากความ ไปรอข้าที่เดิมข้าจะตามไปทีหลัง”
“ได้อย่างไรเล่า ข้าก็อยากพูดคุยทักทายคนของเจ้าเช่นกัน หากไม่ว่าอันใดเจ้ายินดีจะไปร่วมร่ำสุรากับข้าเพื่อเป็นเกียรติได้หรือไม่?”
“เอ่อ.....”เซียวโม่โฉวตาตื่นอยู่ครู่หนึ่งเมื่อถูกชักชวนอย่างสนิทสนม หากแต่สายตากลับเหลือบมองหลี่รั่วถงที่หน้าตาบึ้งตึงราวกับไม่พอใจอยู่หลายส่วน ครานั้นเซียวโม่โฉวจึงคิดได้ว่าตนควรปฏิเสธคำเชิญนั้นแล้วกลับเรือนของตนเสีย
“มาเถิด เจ้าจะกลัวไปไย ข้าชวนเจ้าต้องขออนุญาตใครอีกหรือ”หวางหรูอี้รู้ดีกว่าหลี่รั่วถงอุปนิสัยเป็นเช่นไร จะให้ของหวงต้องมือผู้อื่นนั้นยากนัก ทว่าหวางหรูอี้คิดถึงใบหน้ายามขัดใจของสหายผู้นี้เหลือเกิน จึงไม่รั้งรอคำตอบเข้าคว้าแขนเซียวโม่โฉวเดินจ้ำอ้าวกึ่งลากกึ่งจูงไปต่อหน้าต่อตาหลี่รัวถงในทันที
จะเอ่ยปากห้ามหวางหรูอี้ก็เห็นทีคงยากนัก หลี่รั่วถงทำได้เพียงจำยอมตามสหายจอมโอหังไปก็เท่านั้น
ยามนี้บรรยากาศรอบโต๊ะสุราช่างอึมครึมยิ่งนัก โดยเฉพาะรอบกายหลี่รั่วถงคล้ายมีเมฆดำปรากฏอยู่เบื้องหลังอบอวลไปตามอิริยาบถที่เคลื่อนไหว เป็นภาพที่ชวนมองในสายตาของหวางหรูอี้ยิ่งนัก
“ข้านำสุรารสดีที่บ่มเองมาถึงสองไห ไยเจ้าจะแล้งน้ำใจดื่มกินเพียงลำพังเล่าสหายข้า เอ้า...เจ้าก็ดื่มด้วยสิ”หวางหรูอี้เทสุราในไหใส่จอกให้เซียวโม่โฉวจนล้นปริ่ม บุรุษหนุ่มมองตาเบิกโพลง ใช่ว่าจะไม่เคยดื่มกินสุราหากแต่ประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในใจที่จะเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาเสียมากกว่า
“หากเจ้าไม่ต้องการก็มิต้องฝืนใจดื่ม”หลี่รั่วถงเอ่ยขึ้นพลางกระดกสุราในจอกตนเองท่วงท่าสง่าและนิ่งขรึม หากแต่ดวงตาคมกริบกลับเหลือบมองเซียวโม่โฉวที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ข้างกาย จดจ้องดวงตาไปที่จอกสุราตาเป็นประกาย
“สวรรค์ชั้นฟ้าก็ไม่อาจเทียบรสสุราของข้าได้ หากเจ้าอยากจะพลาดโอกาสนี้ไปก็ตามใจ แต่ข้าคงเสียน้ำใจเป็นแน่ น้อยคนนักที่ข้าจะรินสุราให้กับมือเช่นนี้”ความกดดันราวกับโถมทับอยู่บนศีรษะของเซียวโม่โฉว
หากข้าดื่มสักนิดก็คงจะไม่เป็นไรกระมัง
ความคิดนั้นทำให้เซียวโม่โฉวถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ดวงตาจ้องมองไปที่จอกสุราขาวผ่องช่างเย้ายวนใจเหลือเกิน นานเท่าไหร่แล้วที่บุรุษหนุ่มห่างหายจากสิ่งนี้ ครั้งยังมีชีวิตก็มีโอกาสได้ร่ำสุรากับผู้คนในโรงเตี๊ยมที่ทำงานอยู่บ้าง หากแต่เป็นสุรารสชาติจืดชืด เพราะส่วนหนึ่งเป็นของเหลือจากผู้คนที่สั่งดื่มกินจนเหลือเฟือ
“ดื่มเถิด หาได้ต้องเกรงใจข้าหรือผู้ใด”ดวงตาแพรวพราวยิ้มจนตาหยี่เท้าคางมองเซียวโม่โฉวซึ่งกำลังเอื้อมมือเข้าคว้าจอกสุรา พลางหันไปสบตาหลี่รั่วถงที่นั่งดื่มในส่วนของตนเองไปไม่หักห้าม เพราะเห็นทีไม่ต้องการขู่เข็ญเซียวโม่โฉว จะกล่าวว่าตามใจก็อาจเป็นไปได้หลายส่วน เช่นนี้หวางหรูอี้จึงสนุกนัก
“เป็นเช่นไร?”
เมื่อมองเห็นเซียวโม่โฉวประคองจอกสุราด้วยความพยายามมิให้หกแม้แต่หยดเดียวก็นับว่าเพลินตาแล้ว ครั้นยกขึ้นกระดกรับรสปฏิกิริยาที่นิ่งงันดวงตาคู่สวยเบิกกว้างนั่งนิ่งไม่กะพริบตายิ่งชวนมองนัก ทั้งริมฝีปากที่ปิดแน่นสนิทขยับยกยิ้มก็ทำเอาผู้ที่แอบเหลือบมองก็คล้ายสงสัยในท่าทีด้วยเช่นกัน
“รสชาติ.....ดียิ่ง ข้ามิเคยรู้เลยว่ามันอร่อยเช่นนี้ได้ หวานราวกับน้ำผึง”
“ฮ่าๆ ”หวางหรูอี้หัวเราะร่าอย่างชอบใจ“เช่นนั้นก็ดื่มอีกเถิด มิต้องเกรงใจ”คนยกไหสุราเทใส่จอกให้เซียวโม่โฉวรู้สึกสนุกมากขึ้น ยิ่งได้รับถ้อยคำชื่นชมก็แทบยกให้ทั้งไห หากไม่ติดตรงจ้าวพิภพแห่งหยินที่นั่งหน้าถมึงทึงเสียจนน่ากลัว
“เจ้าคิดจะทำเช่นไรกันแน่”หลี่รั่วถงเข้าคว้าจับมือหวางหรูอี้บีบแน่น อีกฝ่ายเพียงปัดออก
“เจ้าไม่เห็นหรือว่าเซียวโม่โฉวชื่นชอบมัน ข้าเพียงรินให้อีกหนึ่งจอกเจ้าจะหวงไปไย”ครั้นประโยคหนึ่งหลุดออกมา ผู้ที่นั่งเคียงไหล่หลี่รั่วถงอย่างเซียวโม่โฉวก็แทบสำลักอากาศ
ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศที่เปลี่ยนไปหรือด้วยเหตุใด นั่นทำให้เซียวโม่โฉวดื่มสุราเข้าไปหลายจอก ขณะที่หลี่รั่วถงและหวางหรูอี้พูดคุยกัน ผู้ที่ไม่มีกิจธุระต้องร่วมสนทนาด้วยจึงว่างเว้น จะทำสิ่งใดอื่นได้นอกเสียจากนำสุรารสเลิศของหวางหรูอี้เข้าปากไปเรื่อย กระทั่งแก้มขาวแทบจะกลายเป็นผลพลับใกล้สุกเต็มที
ช้าไปหลายก้าวที่หลี่รั่วถงจะทันห้ามได้ นึกแล้วเสมือนเป็นแผนการของหวางหรูอี้ที่เล่นสนุก
“เซียวโม่โฉวเจ้าควรจะกลับได้แล้ว”
“แต่ว่า.....”จอกสุราในมือบุรุษหนุ่มชะงักค้างกลางอากาศ หลี่รั่วถงจึงจัดการคว้ามาแล้วกระดกดื่มเสียแทน พลันลุกขึ้นเต็มความสูงและดึงร่างที่นั่งไม่เคลื่อนไหวให้ยืนขึ้นไปด้วย
“จะไปแล้วเช่นนั้นหรือ?”หวางหรูอี้ทวงถาม ลอบยิ้มสีหน้าภิรมย์ใจ
“ข้าจะมาสะสางกับเจ้าภายหลัง”คิ้วเข้มได้รูปขมวดมุ่นดวงตาคมกริบตวัดหางตามองหวางหรูอี้อย่างไม่พึงใจนัก อีกฝ่ายหาได้สะทกสะท้านนึกชอบใจต่อท่าทีร้อนรนของหลี่รั่วถงอยู่มาก
แค่นี้ยังน้อยไป ครั้งเจ้าต้อนข้าให้ต้องจนมุมจำต้องรับปากทำงานร่วมกับติงเจิ้งหวาที่ข้าไม่ชอบหน้า ก็นับว่าปรานีมากนัก ข้าแค่แหย่เจ้าเล่นเล็กๆ น้อยๆ แล้วรอดูความสนุกก็เท่านั้น
“อา.....เช่นไรสุราของข้าก็มีประโยชน์อยู่วันยังค่ำ”กล่าวเสร็จหวางหรูอี้ก็คว้าขวดน้ำเต้าสุราที่ติดกายขึ้นกอดหัวเราะหงึกชอบใจเพียงลำพัง มองดูหลี่รั่วถงร้อนรนลากดึงเซียวโม่โฉวที่เดินแทบไม่ตรงทางกลับไปท่าทางใจร้อน
อีกฤทธิ์สุราของจ้าวพิภพแห่งหยางแม้จะเป็นสุรารสเลิศที่ไม่มีที่ใดเทียบเคียง ผู้ที่ดื่มกินสม่ำเสมอก็ไม่ต่างจากน้ำผึ้งชุ่มคอ หากแต่ผู้ที่หาได้เคยลิ้มลองก็อาจต้องทำใจหลังจากนี้ก็เท่านั้น
“ข้าทั้งให้บทเรียน และโอกาสต่อเจ้าแล้วสหาย ที่เหลือก็สุดแล้วแต่ใจเจ้าเถิด หึๆ”
“ท่านกล่าวว่าอย่างไรหรือขอรับ?”
พรูดดดด!!!
“แค่กๆ เหอจี๋!!!”สุราที่กระดกเข้าปากพุ่งพรวดออกมา หวางหรูอี้หันไปมองข้ารับใช้ของหลี่รั่วถงที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหลัง“เจ้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียงทำข้าตกใจแทบแย่!”หวางหรูอี้ตำหนิใช้แขนเสื้อปาดริมฝีปากที่เปียกชื้น
“ข้าเพียงนำกับแกล้มมาให้ แล้วนายท่านหายไปไหนเสียแล้วขอรับ?”เหอจี๋กวาดสายตามองอย่างฉงนรวมทั้งเซียวโม่โฉวก็ด้วย
“กลับไปแล้ว ส่วนเจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้าก่อน”หวางหรูอี้กระดิกนิ้วเรียกให้เข้ามา
“ไม่ดีกว่าขอรับ”อีกฝ่ายปฏิเสธอย่างสุภาพไม่มีการครวญคิด หาได้ต้องถามว่าอุปนิสัยเช่นนี้เป็นข้ารับใช้ผู้ใด
“เจ้าต้องอยู่ นี่เป็นคำสั่ง ข้าอยากได้คนช่วยแกะเปลือกถั่ว”หวางหรูอี้กล่าวเช่นนั้นเหอจี๋ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ในเมื่อหลี่รั่วถงมิได้เรียกรับใช้ก็พอมีเวลาดูแลหวางหรูอี้อยู่บ้าง นึกเห็นใจสหายของนายเหนือหัวเช่นกัน ที่ทุกคราจักต้องถูกทิ้งไม่ไว้หน้าเช่นนี้อยู่เสมอ จะเรียกได้ว่าน่าสงสารหรืออย่างไรดีก็ไม่แน่ใจ
คิดแล้วก็สงสัยนักว่าภายใต้ใบหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนนั้นมีสิ่งใดซ่อนอยู่หรือไม่
“โม่โฉวเจ้ากลับมาแล้ว!”ทันทีที่บานประตูเรือนเปิดออก ผู้ที่กระตือรือร้นเรียกหาอยู่ภายในเป็นทู่จึ ครั้นปรากฏร่างของหลี่รั่วถงที่เหยียบย่างเข้ามาพร้อมเซียวโม่โฉวปีศาจกระต่ายน้อยถึงกับต้องวิ่งแอบเข้าหลังเก้าอี้ ทว่าไม่ทันเสียแล้ว ผู้ใดเล่าจะมองไม่เห็น
ทว่าสภาพที่กลับมานั้นหาได้เป็นปกตินัก ทั้งๆ ที่เดินได้แต่กลับถอยหน้าถอยหลังจนชวนฉงน ใบหน้าที่เคยซีดขาวบัดนี้กลับแดงปลั่งไปถึงใบหู ผู้ประคองเข้ามายิ่งน่าตกใจกว่าที่เป็นหลี่รั่วถงมิใช่เหอจี๋
“ถึงเรือนของเจ้าแล้ว”
“ขอบคุณท่านมาก เหอจี๋ล่ะอยู่ไหน”มือเล็กไขว่คว้าราวกับหาคนประคองต่อ
“ข้าช่วยเจ้าเอง”เป็นหลี่รั่วถงที่คว้ามือเล็กนั่นกลับมาแล้วจัดการช้อนอุ้มร่างเล็กขึ้นคว้างกลางอาการแนบเข้าสู่อ้อมอก
ดวงตาคู่เล็กและกลมใสมองดูเหตุการณ์ผ่านหลังเก้าอี้ไม้ ก่อนจะค่อยๆ ย่องออกมาไม่ปิดบังตนเองราวกับอยากรู้อยากเห็น
“ออกไป มิใช่หน้าที่ที่เจ้าต้องสู่รู้”น้ำเสียงทรงพลังกล่าวไม่สบตาทู่จึ หากแต่ประตูเรือนกลับเปิดออกในทันที
“ขะขอรับ!”ปีศาจกระต่ายตัวสั่นเทิ้ม จนเผลอจำแลงกายกลับไปเป็นกระต่ายตัวจ้อยดังเดิมแล้วกระโดดออกไปผ่านประตูที่เปิดอ้าอย่างไม่คิดชีวิต
เสียงโครมใหญ่ของบานประตูปิดลงอีกครา ร่างของเซียวโม่โฉวถูกวางลงบนเตียงตั่งเบามือด้วยความช่วยเหลือของหลี่รั่วถง อีกฝ่ายมิได้ขาดสติจึงแสดงสีหน้ากังวลใจออกมาหาได้ซ่อนเร้น อีกทั้งรู้สึกขัดเขินเสียจนหน้าร้อนผะผ่าว ไม่รู้เพราะฤทธิ์สุราหรือผู้คนตรงหน้ากันแน่
“ท่านมิต้องทำถึงเพียงนี้ ข้าเดินเองได้”
“ถอยหน้าถอยหลังเช่นนั้นจะให้ข้าวางใจได้เช่นนั้นหรือ ข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้าดื่มเสียมากมาย”
“ขะข้าขอโทษ”
จะโทษผู้ใดก็มิได้ ครั้นหลี่รั่วถงมองเห็นแววตาที่มีความสุขยามมือถือจอกสุราไว้ จะหักหาญน้ำใจยามนั้นก็ไม่กล้า
“ช่างเถิด”
“เป็นคราแรกที่ลิ้นของข้ารับรสความอร่อยเช่นนั้นได้ มันน่าแปลกใจนักที่ข้าคิดถึงรสชาติของอาหาร แม้ว่าข้าจะไม่หิว หรือรู้สึกใดๆ แต่สุราของหวางหรูอี้ทำให้ข้าคิดถึงยามเมื่อข้ามีชีวิต”เซียวโม่โฉวเอ่ยขึ้นเล่าความรู้สึกของตนเองอย่างเปิดเผย ครั้นเอียงกายขดตัวอยู่บนเตียงตั่งใบหน้าคล้ายมีความสุขระคนเจ็บปวดโดยมีหลี่รั่วถงเคียงใกล้
“เจ้าพักผ่อนเถิด ข้าจะเรียกให้เหอจี๋มาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”บุรุษหนุ่มพยักหน้ารับ
“แต่ก่อนท่านจะไป ข้ามีคำถามอยากจะถามท่านสักเล็กน้อยได้หรือไม่”
“ว่ามาเถิด”
“ท่านจะทำตามคำขอของข้าที่เคยให้ไว้ใช่หรือไม่”
“ไยเจ้าต้องห่วงเรื่องนั้นอีก”
“หากข้ามีพลังวิญญาณแข็งแกร่งพอแล้ว ข้าจะได้รู้ความจริงทั้งหมดตามที่ท่านบอกข้าสินะ หากวันนั้นมาถึง.....”ครู่หนึ่งที่บุรุษหนุ่มหยุดพูด ราวกับตระเตรียมดวงใจ“ข้าก็จะหายไป ข้าขอให้ท่านเป็นผู้ไปส่งข้าด้วยตนเองได้หรือไม่”
ประโยคที่สะเทือนจิตใจไม่น้อยเอ่ยออกมาเสียงสั่นเครือ อาจเพราะฤทธิ์สุราที่ทำให้เซียวโม่โฉวอ่อนไหวเช่นนั้น อีกทั้งมือเย็นเยียบที่เอื้อมจับชายเสื้อคล้ายหวาดกลัวแม้จะทำตนเข้มแข็ง
หลี่รั่วถงเพียงพยักหน้าแต่หาได้รับปากอันใด อีกทั้งจ้องมองร่างเล็กที่ราวกับเปราะบางด้วยแววตาเจ็บปวด
เมื่อใดวิบากกรรมเหล่านี้จักจบสิ้นเสียที!
“ท่านสัญญา.....”ไม่ทันจะจบประโยคดวงตาคู่สวยที่พยายามจ้องมองหลี่รั่วถงด้วยสติทั้งหมดที่มีก็ไม่อาจต้านทานฤทธิ์สุราที่ครอบงำได้ พลันเปลือกตาบางจึงปิดทับลง มือข้างหนึ่งที่กำชายเสื้อเสียยับยู่ก็คลายออก ความเงียบสงบจึงเข้าแทนที่แสงที่สว่างโดยรอบจึงแปรเปลี่ยนเป็นสลัวลงราวกับส่งผู้เหนื่อยล้าเข้านอน
“แท้แล้ว ข้าไม่อาจให้สัญญาใดๆ ต่อเจ้าได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าจะไม่เปลี่ยนแปลงนั่นคือความรักที่ข้ามีต่อเจ้าตลอดมา ต่อให้สวรรค์ปรารถนาจะได้แขนขาของข้าไป แต่เพื่อแลกกับการกลับมาของเจ้าแล้วข้าย่อมแลกได้”
ความปรารถนาอันแรงกล้าสะท้อนผ่านดวงตาคู่คมอย่างแน่วแน่ มือหนาที่ว่างเปล่าเข้าโอบแก้มบุรุษหนุ่มราวสิ่งล้ำค่า พลันก้มใบหน้าเข้าชิดใกล้ วางริมฝีปากหยักทาบทับเพียงเบาบนริมฝีปากบางของเซียวโม่โฉวอ่อนโยน พริบตาแสงสว่างราวลูกแก้วมังกรขนาดเล็กทอประกายเคลื่อนออกจากปากของหลี่รั่วถงก่อนจะถูกมอบให้แก่ผู้ที่นอนนิ่งสงบไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ ร่างสูงสง่าผละออกในเวลาต่อมาและผุดลุกขึ้นเดินห่างออกไป
ดอกบัวทองที่ราวผลึกแก้วสีทองซึ่งเป็นปิ่นปักผมที่หลี่รั่วถงมอบให้คล้ายมีชีวิต กลีบแข็งที่หุบตูมคลี่ออกเพียงน้อยราวกับได้รับน้ำชโลมความชุ่มชื่นมอบพลังชีวิตให้ ทว่าหากไม่สังเกตก็หาได้รับรู้ว่านั่นคือการเปลี่ยนแปลง
เพียงไม่กี่ก้าวที่เคยมั่นคง ยามนี้กลับซวนเซจนมองเห็นได้ อีกทั้งสิ่งที่กระอักออกมาจากปากนั้นราวกับโลหิตสีแดง ภายในพริบตากลับถูกเช็ดออกอย่างไม่แยแส ดวงตาคมยังคงทอประกายหาได้ลดล่ะความดุดันลงแม้แต่น้อย
ไม่แม้แต่สักคราที่จะแสดงความอ่อนแอให้ผู้ใดได้เห็น ว่าร่างกายที่แข็งแกร่งแท้แล้วบอบช้ำเพียงใด
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ :กอด1:
โดย หลานฮวา
-
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
-
:pig4: :pig4:
-
:pig4:
-
มันจะต้องดีขึ้นดิเนาะ
-
:man1:
:L1: :pig4: :L1:
o13
-
บทที่ 10
ทวงคืน
นรกภูมิ
เบื้องหน้าของจ้าวแห่งพิภพทั้งสามนั่นเป็นทะเลเพลิง สถานที่ซึ่งเก็บรักษากล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์อันมีตรวนสวรรค์พันธนาการเอาไว้อย่างหนาแน่น ภายในกล่องอัคคีบรรจุเสี้ยววิญญาณของจูเกิงเฉินเอาไว้ ผู้ปกป้องเบื้องล่างเป็นเหล่าบริวารของติงเจิ้งหวาที่ทำหน้าที่อย่างเคร่งครัดหาได้เว้นช่องโหว่ใดๆ ให้คลาดสายตา ยามนี้ตรวนสายฟ้าเส้นที่สี่ซึ่งหวางหรูอี้เป็นผู้ทูลขอต่ออวี้หวงต้าตี้บัดนี้นำมายังนรกภูมิแล้ว หากแต่ปัญหาสำคัญนั้นย่อมเกิดขึ้น เพราะเมื่อใดที่ต้องเพิ่มตรวนสายฟ้าเข้าตรึงกล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์จำต้องถอดตรวนทั้งหมดออกและรวบรวมพลังสู่ขั้นตอนพิธีการเชื่อมต่อตรวนทั้งสี่เส้นเป็นหนึ่งเดียวกัน
สิ่งนั้นเป็นงานหนักและควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง หน้าที่นี้นับว่าสุ่มเสียงอันตรายอยู่ไม่น้อย หากไม่พลาดก็นับว่าโชคดี หากเกิดผิดพลาดขึ้นนั่นหมายถึงอันตรายถึงสองทาง
หนึ่งคือสิ่งที่อยู่ภายในอาจถูกช่วงชิงไปได้
สอง.....ผู้ที่ควบคุมตรวนสายฟ้าอาจถูกพลังสะท้อนกลับ
บัดนี้ดูท่าผู้ที่กลุ้มหนักคงเป็นหวางหรูอี้เสียแล้ว
“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าเจ้าทำได้”
“เจ้าจะดูถูกข้าไปถึงเมื่อใดกัน”
“ข้าหาได้ดูถูกเจ้า นำมานี่เถิดข้าจะเป็นผู้ทำพิธีถอนตรวนสายฟ้าและทำการตรึงกล่องอัคคีเอง”มือข้างหนึ่งของติงเจิ้งหวายื่นไปเบื้องหน้าขอรับสิ่งที่พันธนาการอยู่รอบแขนของหวางหรูอี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ติงเจิ้งหวารู้ดีว่าตรวนสายฟ้าที่พันอยู่รอบแขนของผู้ที่รับมานั้นมีพลังมากเพียงใด ยิ่งเป็นสิ่งที่ทรงพลังก็หาได้มีภาชนะใดบรรจุสิ่งนั้นได้นอกเสียจากใช้ร่างกายของผู้ที่ร้องขอเป็นภาชนะ สายสีฟ้าที่พันอยู่รอบแขนหาไม่แล้วนั้นอาจพันยาวขดไปตามร่างกาย ผู้ที่ต้องแบกรับนั้นแน่นอนว่าหลีกเลี้ยงความเจ็บปวดไม่ได้
“ไม่จำเป็น ข้าจะเป็นผู้ทำทุกอย่างเอง สิ่งที่เจ้าต้องทำยามนี้คือดูให้แน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งใดย่างกรายมายังที่แห่งนี้ได้ มิเช่นนั้นเจ้ากับข้าคงแบกรับความผิดพลาดไม่ไหวแน่”หวางหรูอี้กล่าวต่อติงเจิ้งหวา ที่ขมวดคิ้วเข้มสีเดียวเฉกเช่นกันเส้นผมสีเพลิงด้วยความกังวลใจ
ครั้งมองดูสีหน้าหวานเกินบุรุษหาความเชื่อใจมิได้ยามนี้กลับดูเงียบขรึมสงบนิ่งผิดกับก่อนหน้า
“ทำตามที่หวางหรูอี้กล่าวเถิด ข้ากับเจ้าต่างมีหน้าที่สำคัญที่ไม่สามารถให้ผู้ใดทำแทนได้”หลี่รั่วถงกล่าวขึ้นเหลือบสายตาคนขึ้นมองกล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยเด่นอยู่เหนือทะเลเพลิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ในระหว่างที่หวางหรูอี้ปลดตรวนสายฟ้า ตนจำต้องรักษากล่องอัคคีเพลิงมีให้เปิดออกและปล่อยให้เสี้ยววิญญาณหลุดออกไปได้ นับว่าต้องใช้พลังทั้งหมดเท่าที่มีก็กล่าวได้
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“อย่าได้ชักช้า หากพร้อมแล้วก็เริ่มเถิด”
“ที่เหลือฝากพวกเจ้าด้วย”ครั้นเอ่ยสิ้นคำพูดเส้นผมขาวพิสุทธิ์ปลิวสยายและเปล่งแสงสีขาวสว่างรวมไปถึงร่างกายที่ค่อยๆ ทะยานขึ้นไปในอากาศ ทั้งดวงตาคู่สวยที่ดูเฉียบคมปิดลงนิ่งสนิท เพียงไม่นานราวกับพายุหมุนที่ห้อมล้อมเหนือทะเลเพลิงหมุนอยู่รอบกายของหวางหรูอี้ อีกฟากฝั่งที่เหาะเหินอยู่เหนือทะเลเพลิงนั้นเป็นหลี่รั่วถงที่ส่งพลังปราณเข้าครอบคลุมกล่องอัคคีเพลิง ด้วยกระแสพลังที่แข็งแกร่งปะทะเข้ากับตรวนสวรรค์จึงเกิดเสียงเปรี้ยงปร้างกึกก้องกัมปนาทดั่งสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั่ง 4 ชั้นฟ้า รวมไปถึงโลกมนุษย์ที่ก่อเกิดพายุฝนโหมกระหน่ำ
ติงเจิ้งหวาที่อยู่เบื้องล่างจ้องมองหวางหรูอี้มิคลาดสายตา อีกทั้งยังส่งพลังส่วนหนึ่งเข้าปิดกั้นกางเขตแดนโดยรอบมิให้พิธีกรรมครั้งนี้ถูกรบกวนจากสิ่งอื่นใด โดยเฉพาะพวกปีศาจนอกรีด
นับว่าทั้งสามทำงานได้ดี หากแต่ตอนนี้ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ผู้ที่เหนื่อยหนักเห็นจะเป็นหวางหรูอี้และหลี่รั่วถง หากพลั้งเผลอใช้พลังมากไปก็อาจเป็นอันตรายได้
แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าเจ้าของเสี้ยววิญญาณรอคอยช่วงเวลานี้มานานเพียงใดเพื่อที่จะหาโอกาสช่วงชิงสิ่งที่เป็นของตนกลับมา
พลังกั้นเขตแดนของติงเจิ้งหวาเพียงผู้เดียวหรือจะสู้ปีศาจนอกรีตที่ร่วมมือกันทำลายม่านพลังให้แตกซ่านได้ ในเมื่อมีรอยร้าว เหตุใดจะไม่มีโอกาสเข้ามาแทรกแซง
หวืด!
ด้วยสัมผัสบางอย่างติงเจิ้งหวารับรู้ได้ถึงความผิดปกตินั้นแล้ว หากแต่ยังคงใช้พลังที่มีของตนต้านทานบางอย่างที่กำลังจะเข้ามาอย่างไม่ย่อท้อ พลันดวงตาคมกลับแดงกร้าวขึ้นราวกับเปลวเพลิงส่งต้านพลังบางอย่าง มุ่งมองไปยังหวางหรูอี้ที่กำลังคลายผนึกตรวนสายฟ้า เมื่อเห็นท่าว่าไม่ดีติงเจิ้งหวาจึงส่งเสียงเตือน
“มีบางอย่างกำลังแทรกแซงเข้ามาที่นี่ ต้องรีบแล้ว! ”
หวางหรูอี้ได้ยินทุกคำพูดหากแต่ไม่สามารถตอบโต้กลับไปได้ จิตใจยังคงจดจ่อกับสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ ร่างกายส่วนหนึ่งกำลังแบกรับความเจ็บปวดจากการเป็นภาชนะของตรวนสายฟ้าอย่างสุดกำลัง
หลี่รั่วถงครั้นมิอาจละเลยต่อหน้าที่ยามนี้ได้ หากเขาปล่อยมืออันตรายก็มาเยือนได้เช่นกัน
“ทำหน้าที่ของเจ้า อย่าได้วอกแวก”น้ำเสียงกร้าวเตือนหวางหรูอี้ที่มีท่าทีวอกแวกไป
“ข้ารู้ล่ะนา!”
หากแต่สถานการณ์ตอนนี้คับขันยิ่งนักติงเจิ้งหวารู้ดีว่าไม่อาจต้านได้ทั้งหมด นึกเป็นห่วงหวางหรูอี้ที่อาจได้รับอันตรายในครั้งนี้จากพลังสะท้อนของตรวนสายฟ้าหากทุกอย่างล่มกลางทางขึ้นมา
“เจ้าฟังข้า! ยามนี้เราต้องเร่งแล้ว ข้าจะผนึกพลังเป็นครั้งสุดท้ายเอาไว้และไปช่วยเจ้าตรึงตรวนสายฟ้าอีกแรง”
“ไม่ได้! เจ้าปล่อยให้ปีศาจนอกรีตพวกนั้นเข้ามาไม่ได้เป็นอันขาด ขอเวลาข้าอีกหน่อย!”ใบหน้าทะมึนถึงคิ้วขมวดมุ่น ใบหน้าที่ขาราวหิมะเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ งัดเอาพลังที่ตนมีเร่งทำหน้าที่
“เจ้าใช้เวลามากเกินไปแล้ว ฝีมือตกไปเยอะหรืออย่างไรกัน”คำตำหนิจากหลี่รั่วถงกล่าวยั่วยุโทสะของหวางหรูอี้ไม่ถนอมน้ำใจ หากแต่เช่นนั้นกลับได้ผลตรงข้าม หวางหรูอี้ทำหน้าที่ได้ดีขึ้นหากแต่เช่นนั้นก็ยังไม่เพียงพอ
หลี่รั่วถงรู้ดีว่าตรวนสายฟ้าสี่เส้นนั้นหนักหนาเพียงใดที่จะควบคุมให้เข้าผนึกกล่องอัคคีได้ ไม่ได้ต่างจากม้าป่าพยศที่ต้องทุ่มสุดตัวเพื่อควบคุมมัน
เปรี้ยง!
ราวกับเสียงฟ้าฟาดที่ทลายหุบเขาให้ถล่ม แรงต้านมหาศาลจากภายนอกกำลังทำให้ติงเจิ้งหวาต้านทานแทบไม่ไหว ประกายวาบราวกับเส้นสายฟ้าแตกระแหงไปตามเขตม่านพลังที่กางไว้
“ท่าไม่ดีแล้ว!”
“หน็อย! เจ้าพวกชั้นต่ำมันบังอาจนัก!”เสียงกดเขี้ยวเคี้ยวฟันดังจากปากของหวางหรูอี้
“พวกมันกำลังพยายามทำลายเขตม่านพลังของข้าเพื่อเข้ามา!”
“ต้านเอาไว้ ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง”เป็นหลี่รั่วถงที่ถ่ายพลังส่วนหนึ่งเข้าช่วยติงเจิ้งหวา จนเกินขีดจำกัดของร่างกายแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ไม่อาจอ่อนแอได้ ต่อให้กระอักจนเป็นเลือดก็หาได้ยอมแพ้
ทางฝั่งหวางหรูอี้กำลังจะทำการใหญ่สำเร็จทว่าเหตุการณ์มิคาดฝันกลับเกิดขึ้น เมื่อเขตแดนท่านพลังถูกทำลายลงครืน บัดนั้นพลันอมนุษย์ตัวดำทะมึนรูปร่างสูงใหญ่หาได้มีใบหน้าสามารถเล็ดลอกเข้ามาได้ พวกมันพุ่งทะยานเข้ามามีเป้าหมายที่ชัดเจนนั้นเป็นการขัดขวางหวางหรูอี้มิให้ทำการสำเร็จ โดยซัดคลื่นพลังยับยั้งปราณเข้าใส่หวางหรูอี้ที่หาได้มีผู้ใดปกป้องอยู่เบื้องหลัง ติงเจิ้งหวามองเห็นอยู่เบื้องล่างแต่ก็ไม่อาจเข้าขวางไว้ได้ทัน พลังในมือหวางหรูอี้ในการควบคุมตรวนสายฟ้าขาดห้วง จนถูกพลังจากตรวนสายฟ้าสะท้อนเข้าใส่เข้าเต็มๆ หลี่รั่วถงก็ไม่อาจต้านไว้ให้ได้
หวางหรูอี้พลาดท่าพลัดตกลงมาทว่าติงเจิ้งหวาสามารถเข้าช่วยรับไว้ได้
“กล่องอัคคี!”แม้ตนจะบาดเจ็บไม่น้อยก็ยังห่วงถึงภารกิจเบื้องหน้าที่บัดนี้หลี่รั่วถงต้องเป็นผู้รับหน้าที่เหล่านั้นเพียงผู้เดียว
“ห่วงตัวเจ้าเองก่อนเถิด เจ้าอยู่ตรงนี้ข้าจะไปจัดการพวกปีศาจชั้นต่ำพวกนั้น”กล่าวเสร็จติงเจิ้งหวาก็ทะยานเข้าฟาดฟันกับอมนุษย์ที่กล้ำกรายเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราด จนสลายหายไปมากกว่าครึ่งแววตาโหดเหี้ยม
หากแต่หายนะมิได้จบเพียงเท่านี้พลันตัวปัญหาที่แท้จริงกลับปรากฏขึ้น เป็นจูเกิงเฉินที่ยอมเหยียบย่ำศพปีศาจที่หลอกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อมาถึงยังจุดจุดนี้
“ข้ากับเจ้ามิได้พบพานกันนานนับพันปี นับว่าวาสนามาบรรจบ”แววตากร้าวและใบหน้าเหยียดยิ้มมอบให้แก่หลี่รั่วถงอย่างเย้ยหยัน
“ข้าคิดไม่ผิดว่าต้องเป็นเจ้าที่รนหาที่ตายมาถึงที่นี่”น้ำเสียงเกรี้ยวโกรธกล่าวขึ้นแววตาดุดัน อยากจะปราดเข้าไปฉีกร่างของจูเกิงเฉินออกเป็นชิ้นๆ เสียเดี๋ยวนี้
“เจ้ากล่าวผิดแล้ว ข้ามารับของๆ ข้าคืน! ”ดวงตาหมายมาดจ้องมองไปยังกล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือของหลี่รั่วถง
“เจ้าจะไม่มีวันได้กลับคืน”
“ก็ให้รู้ไปว่าพันปีที่ผ่านมาข้าจะเอาชนะเจ้าไม่ได้ หึ! ”
“หากแต่น่าเสียดายเวลาที่ผ่านมาของเจ้านัก ที่ไม่ได้ทำให้ความหยิ่งยโสโอหังของเจ้าลดน้อยลงไปได้”
“โอหังเช่นนั้นหรือ? แล้วเช่นไรเล่าหากจะทำให้เจ้าต้องพ่ายแพ้ให้แก่ข้าได้! ”
ทันทีที่จบประโยคจูเกิงเฉินมิได้ปล่อยเวลาให้ล่วงเลย พละกำลังที่สั่งสมมาช้านานเพื่อการนี้เหตุใดจึงต้องออมแรงไว้ให้พลาดท่า ด้วยพลังทั้งหมดที่มีของหลี่รั่วถงในตอนนี้นับว่าด้อยกว่าจูเกิงเฉินหลายส่วน พลังส่วนหนึ่งถูกใช้ไปกับการควบคุมตรวนสายฟ้าและผนึกกล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังต้องเสียไปไม่ฟื้นคืนครั้งที่ตนยอมมอบเสี้ยววิญญาณที่ไม่อาจช่วงชิงกลับคืนมาได้ให้กับติงเจิ้งหวาไป เพื่อแลกกับการตัดชื่อของเซียวโม่โฉวออกจากบัญชีคนตาย
นับว่าเสี้ยววิญญาณที่หลี่รั่วถงเสียไปนั้นบัดนี้ได้หลอมรวมกับไฟนรกโลกันตร์ให้แข็งแกร่งขึ้น และไม่มีทางเรียกคืนได้อีก
ต่อให้ข้าสิ้นแขนสิ้นข้าก็จะไม่มีทางยอมให้เจ้าหยิบคว้าชัยชนะไปได้โดยง่ายดายเป็นแน่! แม้ข้าต้องพ่ายแพ้ก็จะสู้ยิบตาเพื่อหยุดเจ้าไว้!
และในเสี้ยววินาทีนั้นจูเกิงเฉินเคลื่อนไหวรวดเร็วปานสายฟ้า เข้าปะทะต่อสู้กับหลี่รั่วถงกลางอากาศ ผู้ที่อยู่เบื้องล่างไม่อาจแทรกแซงการต่อสู้ที่ไม่อาจเทียบชั้นนี้ได้ อาวุธที่ถูกเรียกมาเป็นดาบสีเงินวาวราวกับกับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ของวิเศษคู่กายที่ไม่บ่อยครั้งนักจะเรียกออกมาใช้ เพราะคราใดที่ใช้ฟาดฟันเสียงสนั่นกึกก้องอาจก่อให้เกิดแผ่นดินไหวสั่นสะเทือน หากแต่ครานี้จำต้องนำมาใช้ประมือกับจูเกิงเฉินอีกครา
แสงสะท้อนวาบจากอาวุธที่เข้าฟาดฟันกันราวกับสายฟ้าฟาดในอากาศ หลี่รั่วถงไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายเหิมเกริมแม้พลังจะน้อยนิดในยามนี้ก็หาได้เป็นรองจูเกิงเฉินแต่อย่างใด แรงเหวี่ยงสะท้อนคมดาบเฉือนโดนใบหูของจูเกิงเฉิน อีกฝ่ายร้อนรนแทบลุกเป็นไฟต้านพลังกลับไปยังหลี่รั่วถงสุดกำลัง กระทั่งรอยยิ้มร้ายฉายชัดขึ้นที่มุมปาก จูเกิงเฉินใช้วิชาฝ่ามือมารที่ฝึกฝนเข้าอัดไปที่อกของหลี่รั่วถงอย่างเต็มกำลัง
ความรุนแรงทำให้หลี่รั่วถงกระเด็นไกลร่างเข้ากระแทกกับผาหินที่อยู่ด้านข้างจนหินแตกร้าว ความบอบช้ำขับเอาเลือดกระอักออกมา หากแต่มิใช่จุดจบที่จักยอมแพ้แต่โดยง่าย ครั้นตั้งตัวได้ก็รีบส่งตัวเองเข้าปะทะกับจูเกิงเฉินอีกครา ทว่าครั้งนี้หาได้ออมแรงไม่ พลันบันดาลโทสะความเกรี้ยวกราดให้เหนือทะเลเพลิงราวกับทะเลคลั่ง เมฆดำเคลื่อนที่รวมกันส่งสายฟ้าฟาดไปยังร่างของจูเกิงเฉินจนเสียท่า บัดนั้นหลี่รั่วถงจึงจัดการง้างดาบเตรียมปลิดวิญญาณ ทว่ากลับมีเงามืดเคลื่อนเข้ามาเบื้องหลังราวกับเล่ห์กลของจูเกิงเฉินรวบกายของหลี่รั่วถงเอาไว้แน่น ช่องโหว่เพียงเสี้ยววินาทีจึงทำให้จูเกิงเฉินสามารถเข้าแย่งชิงกล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ
หลี่รั่วถงเห็นว่าตนเองพลาดท่าจึงรีบใช้พลังจัดการกับเงามืดที่พันธนาการตนไว้อย่างรวดเร็ว ทว่าสิ่งสำคัญกลับไปอยู่ในมือจูเกิงเฉินเสียแล้ว
“ในที่สุดข้าก็ได้ของของข้าคืนมา”เสียงหัวเราะร่าดังขึ้นอย่างสะใจกึกก้องไปทั่ว
“เจ้า!”
“ครั้งนี้จะถือว่าเป็นการซ้อมประมือ ครั้งหน้าข้าไม่ยอมให้จบลงครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้แน่ หึ! ”ครั้นมีสิ่งที่ต้องการอยู่ในกำมือ จูเกิงเฉินจึงได้ล่าถอยออกไปเตรียมจะหนีหาย หลี่รั่วถงหาได้นิ่งนอนใจจึงรีบพุ่งทะยานเข้าไปหมายจะช่วงชิงคืน จูเกิงเฉินไม่ยอมเอาตนเองเข้าเสี่ยงจึงใช้อมนุษย์เข้ากำบังให้เป็นด่านหน้าก่อนจะลอบหนีหายไปในพริบตา คลื่นสังหารจากคมดาบที่ฟาดฟันไปเบื้องหน้าทำลายได้เพียงอมนุษย์ปีศาจ หากแต่ผู้ที่ต้องการชีวิตกลับอันตรธานหายไปเสียแล้ว
ครานี้สร้างความแค้นเคืองให้หลี่รั่วถงไม่น้อยจึงบันดาลโทสะส่งเสียงดังออกมาอย่างสุดจะทานทน
“คราหน้าข้าจะไม่ให้เจ้าหนีรอดไปเป็นแน่!!!”
ความโกรธเกรี้ยวที่แสดงออกมาต่างประจักษ์ให้เห็นแล้วว่าหลี่รั่วถงเดือดดาลเพียงใด ในแววตากร้าวแกร่งราวกับลุกเป็นไฟ แม้แต่หวางหรูอี้ที่บาดเจ็บหนักและติงเจิ้งหวาก็ไม่กล้าแม้แต่ออกความเห็นใด
พิภพแห่งหยิน
ครั้นยามนี้ฟ้าครึ้มเปลี่ยนสีช่างแปรปรวนราวกับเข้าสู่ช่วงมรสุม หากแต่มรสุมนั้นกลับเกิดแต่จ้าวพิภพแห่งหยินที่เก็บตัวเงียบอยู่ภายในเรือนของตนมาสามราตรีแล้ว บริวารทั้งหลายก็ต่างพากันหดหัวหายไม่กล้าพานพบผู้เป็นประมุขในยามนี้
ในเรือนของจ้าวพิภพแห่งหยินนับว่าหาได้มีผู้ใดปรารถนาจะเหยียบย่างเข้ามามากมายนัก ราวกับถ้ำเสือที่หากหลุดหลงเข้าไปอาจไม่เหลือรอดออกมาแม้กระดูก ความน่ากลัวเกรงนั้นกลับมิได้ทำให้วิญญาณที่อ่อนแอเช่นเซียวโม่โฉวหวาดกลัวแม้แต่น้อย ทั้งยังอาจหาญเคาะประตูอยู่เบื้องหน้าไม่ล่าถอยไปแต่อย่างใด นับว่าหอบเอาความกล้ามาเต็มเปี่ยม
แม้หลี่รั่วถงจะหลับหูหลับตาตัดการรับรู้จากภายนอกเพื่อฟื้นร่างกาย ครั้นมีผู้ใดเหยียบย่างเข้ามายังอาณาเขตแห่งนี้หลี่รั่วถงก็สามารถรู้ได้
“ข้าเซียวโม่โฉวต้องการพบท่านเพียงครู่ได้หรือไม่”
ไร้การตอบกลับแต่อย่างใด หากแต่บานประตูเปิดออกโดยง่าย เซียวโม่โฉวตัดสินใจก้าวเข้าไปยังด้านใน เหอจี๋ที่อยู่เบื้องหลังมิได้รับเชิญจึงเพียงค้อมตัวส่งเซียวโม่โฉวเข้าไปยังด้านในสีหน้าเป็นกังวล
“ข้าจะกลับไปรอท่านที่เรือนนะขอรับ”
“อือ”เซียวโม่โฉวพยักหน้ารับพร้อมกับบานประตูที่ปิดลง สายตาคู่สวยกวาดมองไปโดยรอบอย่างสังเกตแม้ภายในจะเงียบงันหากแต่กลิ่นกำยานที่ลอยหอมอบอวลนั้นชวนผ่อนคลายยิ่งนัก ระหว่างที่กวาดสายตาสังเกตไปโดยรอบแล้วก็หาได้พบเจอผู้ที่ตนต้องการพบแต่อย่างใด กลับปรากฏตุ๊กตากระดาษรูปร่างคนแผ่นบางที่เข้ามากระตุกรั้งชายเสื้อของเซียวโม่โฉวให้เดินตามไป สุดปลายทางบุรุษหนุ่มจึงได้พบกับเจ้าของเรือนแห่งนี้ ซึ่งนั่งทอดกายอยู่บนเก้าอี้ไม้ในมือข้างหนึ่งถือม้วนไม้ไผ่เอาไว้ และอีกนับสิบม้วนที่วางอยู่ข้างกาย
ครั้นเซียวโม่โฉวมาถึงหลี่รั่วถงจึงได้ละสายตาไปจ้องมองผู้มาเยือนเสียแทน นับว่าประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นเซี่ยวโมโฉวยอมเหยียบน่างมาหาเขาด้วยตนเอง
เซียวโม่โฉวเพียงหยุดนิ่งอยู่ห่างๆ มองตุ๊กตากระดาษที่เผาตนเองสลายไป บัดนี้ภายในห้องหับกว้างขวางซึ่งไม่ต่างจากห้องหนังสือมีเพียงสองบุรุษที่กำลังเผชิญหน้ากัน
“เอ่อคือว่าข้า.....”ร่างเล็กที่ยืนไม่เคลื่อนไหวเลื่อนสายตาที่หลุบลงต่ำเงยหน้าขึ้นมองหลี่รั่วถงที่ดันตัวลุกเดินมา ในใจมีเรื่องราวตั้งมากมายต้องการถามไถ่ เมื่อถึงเวลากลับพูดไม่ออก
“เจ้ามีเรื่องอันใดสำคัญต่อข้าเช่นนั้นหรือ เหตุใดวันนี้เจ้าจึงไม่ไปบำเพ็ญเพียร”
“ไป แต่ข้ากลับมาแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ”
“ข้ามาที่นี่โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าต้องขออภัย เหอจี๋เตือนต่อข้าแล้วว่าข้าไม่ควรมารบกวนท่านในช่วงนี้ หากแต่.....”ดวงตากลมใสจ้องมองหลี่รั่วถงที่ยืนสง่าอยู่เบื้องหน้า คล้ายคำพูดบางอย่างติดขัดอยู่ในลำคอ
“หากแต่เช่นไร?”
“หลายวันมานี้ข้ามิได้พบเจอท่านจึงใคร่สงสัยว่าท่านเป็นเช่นไรบ้างก็เท่านั้น ไม่มีผู้ใดยอมตอบคำถามแก่ข้า พวกเขาล้วนหนีหน้าจนข้าสงสัย เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนั้น”คำพูดที่มีความจริงใจไม่โป้ปดบอกเล่าแก่หลี่รั่วถงอย่างตรงไปตรงมา
“เป็นจริงอย่างที่เจ้ากล่าวมาเช่นนั้นหรือ”หลี่รั่วถงจงใจถามย้ำ ลอบมองท่าทีของเซียวโม่โฉวที่พยักหน้าหงึกน้อยๆ ความกังวลใจของเซียวโม่โฉวที่มีต่อเขาราวกับยาวิเศษ
“ข้าจะโกหกท่านไปไย”
“เช่นนั้นเจ้าคงจะเป็นห่วงข้า”
“เป็นห่วง?”
“หากไม่แล้วเจ้าจะร้อนใจมาหาข้าถึงที่นี่เชียวหรือ”
“ข้าเพียงสงสัยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นต่อท่าน จะกล่าวว่าข้าเป็นห่วงเป็นใยท่านได้อย่างไร.....”ประโยคหลังค่อยๆ เลือนหายไปราวกับไม่แน่ใจในคำโต้แย้งของตน หลี่รั่วถงเห็นความลังเลของเซียวโม่โฉวก็แสร้งปั้นหน้านิ่งไม่แสดงท่าทีใดๆ ทั้งที่ในอกอุ่นวาบกำซาบถึงจิตใจในประโยคที่เต็มไปด้วยความห่วงใยเหล่านั้น
หากจะกล่าวว่าหลี่รั่วถงผู้นี้สรุปความเอาเองเขาก็หาใส่ใจไม่
“หากเจ้าอยากรู้ ข้าจะกล่าวไปตามตรง ยามนี้ร่างกายและพลังของข้าอ่อนแอไม่แม้แต่จะสามารถไปในที่อื่นใดได้ ข้าจำต้องพักฟื้นมิให้ร่างกายนี้ต้องย่ำแย่ไปกว่าเก่า”หลี่รั่วถงกล่าว แม้จะจริงอยู่หลายส่วนแต่เกินจริงอยู่บ้างก็มีอยู่เช่นกัน มิได้มีกฎข้อใดที่ห้ามมิให้เขาเรียกร้องความสนใจจากบุรุษตรงหน้า
เซียวโม่โฉวได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย อ่อนแอนั้นควรแล้วหรือที่จะใช้กับจ้าวพิภพแห่งหยินได้ ในโลกมนุษย์หลี่รั่วถงเป็นดั่งพ่อมดมนตร์ดำที่กล้าแกร่งด้วยพลัง ผู้คนพร้อมจะมอบสิ่งที่เขาต้องการหากความปรารถนาของพวกมนุษย์เป็นจริง แม้จะเกิดเรื่องร้ายตามมาก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องลังเล แล้วเหตุใดยามนี้ถึงได้เป็นเช่นนั้น
“มีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเหลือท่านได้บ้างหรือไม่”
“มี หากแต่เจ้าจะยินดีเช่นนั้นหรือ”นัยน์ตาคมจ้องมองเซียวโม่โฉวไม่วางทั้งลอบสำรวจใบหน้าบุรุษหนุ่มอย่างพินิจพิจารณา มองดูเช่นไรก็ไม่อาจเบื่อหน่ายไปได้ทั้งดวงตาคู่สวยที่มองสรรพสิ่งด้วยความใสซื่อหาได้มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ
“ว่าอย่างไรเล่า คำตอบของเจ้า”หลี่รั่วถงทวนย้ำเอาคำตอบทำเอาบุรุษหนุ่มนิ่งค้าง ใคร่ครวญคำพูดของตนเมื่อครู่ที่หลุดออกจากปากไป
ไยข้าต้องหยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่หลี่รั่วถงด้วยเล่า แม้เขาจะดูป่วยไข้หากแต่มิใช่กงการที่คนอ่อนแอเช่นข้าจะช่วยเหลือเขาได้
“ช้าก่อน.....”เซียวโม่โฉวกล่าวขึ้นใบหน้ายุ่งเหยิงเริ่มไม่มั่นใจ“ข้าขอคืนคำได้หรือไม่ คงหาได้มีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเหลือท่านได้”คำพูดที่หลุดออกมาหาได้เจือปนด้วยเล่ห์อุบายใดๆ ทำสิ่งใดไม่ได้ก็เพียงรีบปฏิเสธเท่านั้น
หลี่รั่วถงได้ฟังเช่นนั้นกลับนึกขบขันในใจ มองดูเซียวโม่โฉวที่ขมวดคิ้วมุ่น ดวงตากลมใสกะพริบถี่จ้องมองร่างสูงสง่าเบื้องหน้าไม่หลบสายตา เพราะหาได้มีสิ่งใดที่เขาจักต้องกลัว
“หากข้ากล่าวว่าไม่ เจ้าจะว่าอย่างไร”
“ไม่ว่าอย่างไร.....ในเมื่อข้าปฏิเสธไปแล้ว ข้าหาได้มีกำลังใดทำเพื่อใครได้ ท่านรู้ดีเป็นที่สุด”มือเล็กกำแน่นตระหนักในความหมายที่กล่าวออกไป ทั้งมองไม่เห็นคุณค่าของตนแม้แต่น้อย
“เมื่อเจ้ากล่าวว่าข้ารู้ดีเกี่ยวกับตัวเจ้า แล้วเหตุใดข้าจะไม่รู้ว่าจะหาประโยชน์จากตัวเจ้าด้วยวิธีการใดจริงหรือไม่”
“ท่านหมายความเช่นไร?”เซียวโม่โฉวฉงนหาได้เข้าใจความหมาย
“เจ้ามิต้องรู้ทุกเรื่องในยามนี้ เพียงทำในสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้เพื่อตนเองก็เท่านั้น”
สิ้นสายคำในขณะที่ความงุนงงยังคงสถิตอยู่บนใบหน้าของเซียวโม่โฉว ความอุ่นวาบที่คว้าร่างของเขาไปตระกองกอดสู่อ้อมอกกว้างแทบจมหายยิ่งสร้างความประหลาดใจเป็นที่สุด ริมฝีปากที่อ้ากว้างงับอากาศไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา มิรู้ว่าเหตุใดหลี่รั่วถงถึงทำเช่นนี้
เขากอดข้าด้วยเหตุใด หรือความป่วยไข้จะทำให้เขาหนาวสั่น? หากมิใช่สาเหตุนี้แล้วเพราะอะไรกัน
“ข้าไม่ปรารถนาสิ่งใดไปมากกว่าการได้กอดเจ้าและมีเจ้าอยู่เคียงกาย แม้เวลาที่ผ่านมาจะมากกว่านั้นเป็นร้อยเท่าพันเท่าข้าก็หาได้หวาดหวั่น”
“ทะท่านหมายความเช่นไร ข้าไม่เข้าใจที่ท่านกล่าว”น้ำเสียงตะกุกตะกักอยู่ในอกกว้างคล้ายสับสนไปหมดจับต้นชนปลายไม่ได้ อีกทั้งร่างกายใหญ่โตที่กอดแน่นไม่ขยับราวกับโดนหินทับร่างยิ่งทำให้เซียวโม่โฉวไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ หากแต่บุรุษหนุ่มก็มิได้รังเกียจที่ถูกกระทำอย่างอ่อนโยนเช่นนี้
“ข้าไม่ปรารถนาเสียสิ่งสำคัญไปอีกแล้ว สิ่งที่เจ้าจะช่วยข้าได้นั้นหาใช่กำลังของเจ้า หากแต่เป็นหัวใจของเจ้าที่จะมิมอบให้แก่ผู้ใดนับจากนี้”
ครั้นได้ยินคำพูดที่หลี่รั่วถงเอื้อนเอ่ย แม้จะมิได้เข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้ หากแต่ความรู้สึกของเซียวโม่โฉวกลับตอบรับจนไม่อาจปฏิเสธได้ ความตื้นตันที่เอ่อล้นออกมาพานเอาน้ำตาอุ่นๆ รินไหล แม้มิรู้ว่าตนเองเจ็บปวดและเศร้าหมองด้วยเรื่องอันใด รู้เพียงสิ่งเดียวว่ายามนี้อ้อมกอดของร่างสูงตรงหน้าช่างอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน
ติดตามตอนต่อไป >>
---------------------------------------------
ถือว่าบทนี้มีฉากต่อสู้ที่ไม่ค่อยถนัดนัก ปั่นไปน้ำตาไหลไป อยากตะโกนใส่โอ่งว่ายาวโว้ยยย :katai1:
หากผิดพลาดประการใด อ่านไม่ลื่นไหลก็ขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณทุกคอมเม้นเช่นกันค่ะ :pig4: ซึ้งจริงจัง :m15:
แล้วเจอกันตอนหน้าน๊าาา
#หลานฮวา
-
นี่คือการสารภาพรักถูกมะ
-
ซาบซึ้งกับความรักของหลี่รั่วถงมากๆเลย
ยอมสละวิญญาณเลยอ่ะ
-
บทที่ 11
มธุรสลวงใจ
ณ ป่าท้อดินแดนพิภพแห่งหยิน กลีบดอกท้อที่ร่วงโรยไปตามแรงลมหอบเอากลิ่นหอมที่คุ้นเคยเข้าจมูก ร่างบุรุษหนุ่มที่ทิ้งกายลงนอนราบกับพื้นมองดูกิ่งก้านต้นท้อที่สั่นไหวไม่ขยับเขยื้อน อาภรณ์สีขาวที่ตัดกับสีชมพูอ่อนราวกับพรมกลีบดอกท้อช่างงดงามราวดั่งภาพวาด
แม้ทุกอย่างจะดูนิ่งสงบหากแต่ในหัวของเซียวโม่โฉวกลับกำลังนึกถึงเรื่องบางอย่างอยู่ทุกขณะจิต สังเกตได้จากแววตาที่กำลังฉายชัดความรู้สึกออกมาผ่านดวงตา
เนื่องด้วยระยะหลังมานี้ครั้งเซียวโม่โฉวไปยังดินแดนลึกลับเพื่อบำเพ็ญเพียร บ่อยครั้งที่ได้พบเจอกับสัตว์อสูรเสือดำอันมีนามไพเราะที่ตนตั้งให้ว่าเจี้ยนหลิน หากแต่ระยะหลังมานี้เซียวโม่โฉวมิได้พบเจอ ราวกับขาดสหายเคียงกายให้อุ่นใจยามต้องโดดเดี่ยว จึงอดที่จะกังวลไปเสียมิได้ว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นต่อเจี้ยนหลินหรือไม่ สิ่งเหล่านั้นนำพาความว้าวุ่นจิตใจมาให้เซียวโม่โฉวไม่น้อย
คงไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เจี้ยนหลินเก่งกล้าเช่นนั้นเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว
คิ้วได้รูปขมวดมุ่นคุยกับตนเองในความคิด กระทั่งเหอจี๋ที่คอยนิ่งอยู่ห่างๆ อย่างสงบท่าทีปล่อยให้ผู้ที่ต้องการสันโดษได้ผ่อนคลายก็อดเอ่ยขึ้นถามไถ่มิได้ถึงสีหน้าพิลึกที่ปรากฏ
“สีหน้าของท่านดูแปลกไป กำลังคิดเรื่องใดอยู่หรือขอรับ”
“ข้ากำลังนึกถึงสหายผู้หนึ่ง ข้ามิได้พบเจอมาสักระยะแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง”
“สหาย? ท่านไปรู้จักผู้ใดมาหรือขอรับ”
“ความลับน่ะ”รอยยิ้มจุดขึ้นที่มุมปากของเซียวโม่โฉว ดวงตาเหลือบมองเหอจี๋ที่อ้าปากจะพูด“เจ้ามิต้องรู้หรอกนา”
“พูดเช่นนั้นข้ายิ่งอยากรู้ ท่านคงจะไม่ได้ไปเจอสิ่งที่ไม่น่าไว้ใจมาหรอกนะขอรับ”
“คิดมากไปได้ ข้าไม่ใช่ผู้ที่ชอบหาเรื่องใส่ตนเองหรอก”กล่าวเสร็จเซียวโม่โฉวก็ดันตัวลุกขึ้นนั่งในท่าสบายเหยียดแขนขึ้นไปบนอากาศคล้ายบิดตัวก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง
“เช่นนั้นก็เบาใจขอรับ”
“นี่เหอจี๋”
“มีอะไรหรือขอรับ?”ผู้ที่ยืนอยู่ขานรับ
“เจ้าบอกข้าหน่อยเถิดว่าข้าตายไปแล้วจริงหรือไม่”
“เอ๊ะ? เหตุใดจึงถามเช่นนั้นล่ะขอรับ มนุษย์ไม่มีทางมายังพิภพแห่งนี้ได้”
“แล้วเช่นนั้น ดวงวิญญาณเช่นข้า.....”ครู่หนึ่งที่เซียวโม่โฉวยกแขนตนเองข้างหนึ่งขึ้นสัมผัสกับอกซ้ายหลับตาลงราวกับรับสัมผัส
“ท่านเจ็บป่วยตรงไหนหรือขอรับ!”
เซียวโม่โฉวส่ายหน้าพร้อมกล่าวว่า“ข้ามิได้เจ็บตรงไหน เพียงสงสัยว่าเหตุใดข้าถึงรู้สึกราวกับตนเองมีชีวิต เหมือนมากเสียจนบางอย่างข้างในนี้มันเต้น”
“เช่นนั้นหรือขอรับ!”เหอจี๋ดวงตาเบิกโพลงคลายยินดีกับสิ่งที่ได้ยิน“มิใช่เรื่องที่ท่านต้องกังวล สิ่งนั้นบ่งบอกให้รู้ว่าพลังวิญญาณของท่านกำลังกล้าแข็งขึ้น สิ่งต่างๆ นั้นจะยิ่งคล้ายคลึงเมื่อครั้งยังมีชีวิตรวมไปถึงสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าหัวใจ ข้ายินดีเป็นที่สุดจริงๆ ขอรับ”
“หากเป็นเช่นนั้น อีกไม่นานข้าคงจะได้ทำในสิ่งที่ปรารถนาแล้วสินะ”แม้ใบหน้าจะคลี่ยิ้มหากแต่ดวงตากลับเศร้าสร้อย ก่อนจะหยิบบางอย่างที่เก็บยู่ภายในสาบเสื้อที่รักษาไว้อย่างดีขึ้นมอง
ปิ่นปักผมที่เป็นรูปดอกโบตั๋น งดงามหากแต่ดูโดดเดี่ยวนัก ยามนี้คล้ายมีบางอย่างเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดอกตูมกลับบานออกหากแต่ยังไม่มากนัก นั่นหมายถึงสิ่งใดเซียวโม่โฉวทราบดี
“ข้าควรจะยินดีต่อท่านสินะขอรับ”
“อย่าได้กล่าวถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นเลย”
“เอ่อ.....ท่านจะกลับเรือนเลยหรือไม่ขอรับ”
“อืม กลับก็กลับ”
“ข้าจะเตรียมน้ำให้ท่านได้อาบเพื่อผ่อนคลาย ข้าได้กำยานกลิ่นหอมจากเป่าเหยียนสหายต่างแดนของข้า ท่านต้องชอบกลิ่นหอมของมันอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นหรือ เจ้ากับทู่จึก็มาอาบด้วยกันดีหรือไม่ข้าจะได้มีเพื่อนคุย”
“มะไม่ได้หรอกขอรับ”เหอจี๋ส่ายหน้าคอแทบหลุด
“เช่นไรเล่า สระน้ำนั้นกว้างขวางนัก ข้าเพียงลำพังยังมีพื้นที่ว่างเสียตั้งมากมาย”
“หากท่านยังปรานีต่อข้าก็โปรดอย่าได้ชักชวนเลยนะขอรับ”
“ไม่ได้เช่นนั้นหรือ”
“ไม่ได้ขอรับ”
“แล้วทู่จึเล่า”
“เจ้าปีศาจชั้นต่ำยิ่งไม่ได้ใหญ่ขอรับ”
“แต่ข้าก็มิได้ต่างไปจากทู่จึ”
“ต่างขอรับ อย่าได้ถามข้าเลยว่าทำไม คำตอบนี้ข้าอธิบายต่อท่านมิได้”
“ข้าเป็นโรคร้ายแรงสินะ”เซียวโม่โฉวคล้ายมีสีหน้าสลด คนฟังก็แทบเซถลาศีรษะชนต้นท้อ
“อย่าได้ทึกทักเอาเองเช่นนั้นเลยขอรับ เอาเป็นว่ากลับเรือนกันเถิด หลายวันมานี้ท่านคงเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางไปยังดินแดนลึกลับหากได้พักเพียงเล็กน้อยก็จะยิ่งดีต่อตัวท่าน นะขอรับ”เพราะสายตาวิงวอนของเหอจี๋เซียวโม่โฉวจึงยอมที่จะไม่ถามสิ่งใดอีก จึงได้เดินตามกลับเรือนเสี้ยวจันทรา ทว่าหางตาวูบหนึ่งนั้นคลายเห็นดวงไฟบางอย่าง ราวกับเคยมองเห็นที่ไหนมาก่อน หากแต่หันไปมองอีกครากลับไม่มีสิ่งใดให้เห็น
หรือข้าตาฝาดไปเองกันแน่ คงจะเป็นเช่นนั้น
พิภพแห่งหยาง
สถานที่ที่ดูกว้างขวาง เวิ้งว้าง เงียบงันเช่นนี้หากผู้ที่ไม่รู้จักกับจ้าวพิภพแห่งหยางคงจะทายทักอุปนิสัยว่าเป็นผู้รักสงบก็เป็นไปได้ บรรยากาศแท้จริงแล้วเงียบเหงานั้นก็หาได้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อลวงตาผู้มาเยือนไม่ หากแต่เป็นความจริงเสียหลายส่วนที่ดินแดนแห่งนี้เงียบงันราวกับอุปนิสัยเบื้องลึกของหวางหรูอี้ ฉากหน้าที่คารมไม่เป็นรองผู้ใด อุปนิสัยโผงผางก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของเขา หากแต่ยามอยู่ในสถานที่แห่งนี้เพียงลำพังก็หาได้แกว่งน้ำเต้าสุราสำราญไปทั่ว
แน่นอนว่าย่อมเป็นที่แปลกตาของผู้มาเยือนอย่างติงเจิ้งหวาเป็นแน่ การมาเยือนครั้งนี้นับว่ามิได้นัดหมาย หากแต่เพียงผ่านมาจึงคิดที่จะแวะเวียน ครั้งบาดเจ็บคราก่อนก็มิได้พบเจอกันอยู่หลายวัน หากจะมาเยี่ยมเยียนกันก็หาใช่เรื่องแปลก แม้หวางหรูอี้จักมิชอบน้ำหน้าของติงเจิ้งหวานัก เขาก็เพียงจะมาเพื่อมองดูแล้วจากไปก็ย่อมทำได้ อย่าให้กล่าวได้ว่า 4 ชั้นฟ้าแตกหักกันก็เพียงพอ
ทว่าเดินย่างเท้าลึกเขามาด้านใน เดินเหินผ่านหมอกขาวที่บังตา เพียงไม่นานก็พบกับเจ้าของดินแดนแห่งนี้ นับว่าเป็นที่น่าแปลกตาแปลกใจยิ่งนัก ครั้นใบหน้าที่นิ่งสงบกำลังหลับตาพริ้มสูดเอากลิ่นควันสีขาวที่ลอยขึ้นมาจากการ้อนๆ ตรงหน้า พลันเปลือกตาขยับเปิดออกรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าก็
ปรากฏขึ้น ก่อนจะคว้าเอาการ้อนฉ่าทีอุ่นด้วยเพลิงร้อนที่บันดาลขึ้นสีหน้ามีความสุขไม่น้อย
ทันทีที่หวางหรูอี้หันมา สายตาจึงไปกระทบเข้ากับติงเจิ้งหวาที่ไม่ได้หลบซ่อนแต่อย่างใด คนผู้นี้มาอย่างเปิดเผยทว่าเจ้าของบ้านกลับไม่สนใจเสียเอง
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน”
“มีวิธีการมากมายที่ข้าสามารถมาได้ ดูท่าอาการบาดเจ็บของเจ้าคงจะหายดีแล้วถึงได้ดูมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ในมือของเจ้าได้ขนาดนั้น”
“หากเจ้าจะค่อนแคะข้าก็กลับไปเสียเถิด”หวางหรูอี้หาได้สนใจกลับหมุนตัวไปยังหินก้อนใหญ่ที่เคยนั่งเป็นประจำก่อนจะรินสุราร้อนใส่จอก ยกขึ้นในระดับจมูกสูดกลิ่นหอมแล้วกระดกเข้าปากถอนหายใจไม่แยแสต่อผู้ใด
เป็นติงเจิ้งหวาเองที่ยอมเดินไปยังที่ที่หวางหรูอี้นั่งอยู่
“เจ้ายังคงดื่มอยู่เช่นนี้ร่างกายของเจ้าจะไม่เป็นไรหรือ”นั่นหาใช่ถามไถ่เพราะเป็นห่วงติงเจิ้งหวาเพียงสงสัยก็เท่านั้น ซ้ำยังยกกาสุราที่หวางหรูอี้หวงนักหนาขึ้นพินิจพิศมอง ดมกลิ่นพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นดีเลิศเพียงใด
“สุราดีจะเยียวยาทุกสิ่ง เจ้ามิเข้าใจหรอก”อีกฝ่ายกล่าวพร้อมกับคว้าคืนกลับมาเติมอีกจอกดื่มด่ำกับสิ่งที่ถวิลหาตรงหน้า
แม้มิได้ถูกเชื้อเชิญเจ้าของผมสีแดงเพลิงก็ย่อมหาที่นั่งของตนเองได้
“เจ้าจะจ้องหน้าข้าให้ได้อะไร”
“เจ้าหายจากการบาดเจ็บดีแล้วจริงเช่นนั้นหรือ? ”พลันดวงตาเข้มจ้องมองหวางหรูอี้ที่ชะงักค้างชั่วอึดใจ ทำทีไม่ใส่ใจกับคำพูดของผู้คนตรงหน้า หากจะกล่าวว่าเป็นปกติก็คงจะไม่จริงนัก เช่นไรพลังสะท้อนที่ได้รับจากตรวนสายฟ้าก็หนักหนามิใช่น้อย จะหายดีในเร็ววันก็แปลก เพียงพักฟื้นร่างกายเดินเหินได้ในอาณาเขตของตนได้ก็นับว่าดีแล้ว แต่หากไปให้ประมือหนักๆ กับผู้ใด ก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายวันจึงจะฟื้นกำลังได้เต็มที่
“อย่างที่เจ้าเห็น ข้ามิได้อาการหนักหนา หากคิดจะมาประลองฝีมือกับข้าเพื่อพิสูจน์ก็ลองดูได้”สายตาไม่ยอมผู้ใดก็ยังนับได้ว่าเป็นอาวุธด่านหน้าได้ดี
หมับ!
“ต่อให้เจ้าพูดหลอกลวงได้ดีเพียงใด แต่ร่องรอยเหล่านี้เป็นคำตอบได้”ติงเจิ้งหวาคว้าท่อนแขนของหวางหรูอี้เข้าพิจารณา เส้นเลือดสีดำที่แตกระแหงไปตามท่อนแขนบ่งบอกได้ดี “ข้าคงไม่ต้องจับเจ้าเปลื้องผ้าเสียทั้งหมดเพื่อบังคับให้เจ้าคายความจริงออกมาหรอกนะ”
“ปล่อยข้าเจ้าคนสู่รู้!”หวางหรูอี้แพ้แล้วให้กับสายตาช่างจับผิดเป็นสิ่งที่น่าโมโหนักเพราะไม่อาจโต้เถียงได้ หากจะเผยให้ดูแล้วตามร่างกายของหวางหรูอี้นั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของความไม่สม่ำเสมอของปราณพลัง ที่ยังต้องรักษาตัวอีกมาก
“ข้าย่อมต้องสู่รู้ไปทุกเรื่องเป็นธรรมดาของข้า อย่างไรก็เถิดดูแลตัวเจ้าให้ดี เร็ววันนี้อาจมีเรื่องราวเกิดขึ้นได้ทุกขณะ ถึงอย่างไรจูเกิงเฉินยังคงเป็นตัวปัญหา ครั้งนี้เจ้าปีศาจนอกรีตผู้นั้นคงไม่คิดชมจันทร์ร่ำสุราฉลองเสี้ยววิญญาณที่ได้กลับคืนเป็นแน่”
“เหตุใดข้าจะไม่รู้”เมื่อคิดถึงตัวปัญหาสีหน้าของหวางหรูอี้เปลี่ยนไปเป็นถมึงทึง เหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนยังคงวนเวียนอยู่ในใจ
“เช่นนั้นก็ดี หากจะดียิ่งกว่านี้ก็ควรจะระมัดระวังตัวเจ้าเสียให้มาก ครั้งนี้ดีแค่ไหนที่เป็นข้ามาเยือน”
“เจ้าจะห่วงใยอะไรข้าหนักหนา”หวางหรูอี้สบถแทบไม่แยแสต่อคำพูดที่กล่าวไป
“ตามใจเจ้าเถอะ”ติงเจิ้งหวาส่ายหน้าให้กับผู้ที่ดื้อแพ่งเช่นหวางหรูอี้ ลุกขึ้นเตรียมตัวกลับ
“ข้าไม่ไปส่ง”
“เช่นนั้นก็อยู่กับสุราของเจ้าไปเถิด”
“ช้าก่อน!”
“.....”ติงเจิ้งหวาไม่กล่าวอันใดเพียงเอี้ยวตัวไปตามเสียงเรียก
คลายน้ำเสียงที่อึกอักได้กล่าวขึ้น“เมื่อคราก่อน ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยข้า”ในที่สุดหวางหรูอี้ก็กล่าวออกมา หากแต่ยังหลบสายตาไม่เหลือบมอง
“ข้าจะรับคำขอบคุณของเจ้าไว้ หากแต่ครั้งหน้าข้าจะมาทวงบุญคุณ”ติงเจิ้งหวาเพียงกระตุกยิ้มก่อนจะทะยานออกไปรวดเร็วดั่งสายฟ้า ทิ้งไว้เพียงเกลียวพายุหมุนที่เกิดแต่ลมค่อยๆ สงบลง
“ชิ! ช้าไม่ควรกล่าวขอบคุณเจ้าตั้งแต่แรกเลยจริงๆ ”เสียงพึมพำกนด่าตามหลัง แต่จะมีประโยชน์อันใดในเมื่อผู้ถูกต่อว่าหาได้อยู่ฟังแล้ว
สามราตรีผ่านไปรวดเร็วดั่งกาลเวลาไหลรินเป็นน้ำ
สามราตรีที่ผ่านไปผู้ซึ่งตั้งอกตั้งใจไม่คลายจากสมาธิเป็นเซียวโม่โฉว
แม้ลมจะโหมกระหน่ำ สายฝนจะพร่างพรม หิมะจะบันดาล ราวกับมารผจญก็หาได้เป็นอุปสรรคต่อบุรุษหนุ่มได้ ครานี้เซียวโม่โฉวแน่วแน่กว่าครั้งไหน ไม่ยอมให้เวลาที่ผ่านไปสูญเปล่า
ครั้นลืมตาตื่นจากสมาธิ รอบกายของบุรุษหนุ่มคล้ายแสงสลัวและมืดครึ้ม ลมเย็นที่พัดโชยหอบเอากลิ่นกรุ่นของไอดินคล้ายกลิ่นฝนหยดลงบนดินแห้งผาดก็ไม่ปาน ครู่หนึ่งราวกับรอบกายเป็นภาพมายาต้นไม่ที่เคยงอกงามกลับแห้งเฉาลงไปในพริบตา ความไม่ปกติบางอย่างเริ่มสั่นคลอนความรู้สึกเซียวโม่โฉว ครั้นขยับกายบางลองเดินไปสำรวจโดยรอบก็ต้องพลันสะดุ้งไหว เมื่อกิ่งไม่ที่แห้งไหวสั่นอย่างรุนแรงอยู่ตรงหน้า
บุรุษหนุ่มถึงกับกลั้นหายใจด้วยใจระทึก ก้าวถอยหลังอย่างผู้คนหวาดระแวง ทันใดนั้นกลับมีบางอย่างโผล่ออกมาพร้อมกับดวงตาคมกริบสีเหลืองอำพัน นั่นจึงทำให้เซียวโม่โฉวที่มีสีหน้าแตกตื่นพลันเปลี่ยนเป็นยินดี อีกทั้งยังแย้มยิ้มออกมาราวกับโล่งอกโล่งใจ จึงเดินไปข้างหน้าอย่างหมดกังวล
“เป็นเจ้า ข้าคิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นเสียอีก”ท่าทางดีอกดีใจเข้าไปประจันหน้ากับอสูรเสือดำ
“ข้าทำให้เจ้าตกใจกลัวเช่นนั้นหรือ?” เสียงคล้ายคำรามพูดคุยกับเซียวโม่โฉว ดวงตาเหลืองอำพันกวาดมองร่างโปร่งที่ก้าวมาเบื้องหน้า ผิวขาวที่หาได้ต้องแสงสว่างอันใดยังคงขาวผุดผาดแม้อยู่ในความมืดสลัว กลิ่นหอมจากกายขาวราวกับบุปผาช่วงยั่วยวนความกระหายของเหล่าปีศาจได้ดียิ่งนัก นับวันความหอมหวานรัญจวนนั้นยิ่งจักกำจายขึ้นมากเป็นทวีคูณโดยที่บุรุษหนุ่มหาได้รู้ตัวไม่ อาจเพราะพลังวิญญาณที่กล้าแข็งขึ้น อีกทั้งเสี้ยวพลังของจ้าวพิภพแห่งหยินที่ไหลเวียนปะปนอยู่ในกายบุรุษ
“ข้าตกใจเล็กน้อย เจ้าอย่าได้ใส่ใจ เอาเป็นว่าข้าดีใจที่เจอเจ้าอีกครา”
“ดีใจเช่นนั้นหรือ? น่าแปลกนักที่หาได้มีผู้ใดปรารถนาจะพบเจอข้า หากแต่เจ้ากลับเฝ้ารอเจอข้า”
“เพราะมีเจ้าข้าถึงได้ไม่เงียบเหงาในดินแดนแห่งนี้ น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ไยข้าจะพึ่งเจ้ามิได้”
“อย่างไรก็เถอะ ข้ามาครั้งนี้เพื่อมาเตือนเจ้า ให้หลบหลีกสิ่งชั่วร้ายที่กำลังย่างกรายมายังที่แห่งนี้ ทางที่ดีข้าจะนำทางให้เจ้าไปหลบให้ที่ปลอดภัย ตามข้ามาเถิด” อุ้งเท้าใหญ่เยื้องย่างไปยังเบื้องหน้าของเซียวโม่โฉว ก่อนเดินเลยห่างไปเอี้ยวศีรษะใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยเส้นขนมันเงาสีดำปราด จ้องมองเซียวโม่โฉวที่ยืนนิ่ง คิ้วได้รูปขมวดมุ่นครุ่นคิดบางอย่าง นึกแปลกใจในถ้อยคำที่เจี้ยนหลินกล่าว หากจะว่าประหลาดก็อาจไม่ใช่
เหตุใดครานี้เจี้ยนหลินจึงมีท่าทีแปลกนัก คล้ายจะพูดมากกว่าครั้งไหนๆ ความสุขุมนั้นเสื่อมคลายไปแล้วเช่นนั้นหรือ?
“สิ่งชั่วร้าย จะมีอันใดเกิดขึ้น?”
“เห็นหรือไม่ว่ามีสิ่งใดเกินขึ้นรอบกายเจ้า”
เซียวโม่โฉวกวาดสายตาไปยังรอบๆ ต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา กิ่งก้านที่หักแห้งจะมีสิ่งใดเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว
“ตามข้ามาเถิด ไปหลบในที่ที่ปลอดภัย เจ้าควรจะเชื่อใจข้า”ร่างสีดำทะมึนในรูปกายของอสูรเสือดำเดินย่ำนำทาง หากทว่าสิ่งที่แปลกคงเป็นรอยยิ้มซ่อนร้ายบางอย่างบนใบหน้า คล้ายนัยน์ตาเหลืองอำพันแปรเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ ผู้ที่เดินตามอย่างเชื่อใจมิได้สังเกตเห็น
เจ้าช่างหลอกได้อย่างง่ายดายเสียจริง ข้าจึงไม่แปลกใจว่าเหตุใดหลี่รั่วถงจึงกางเขตแดนทางเข้าที่แห่งนี้ได้แน่นหนานัก ทว่าคิดหรือจะหยุดข้าผู้นี้ได้!ยามนี้ข้าหาใช่ปีศาจชั้นต่ำต้อยที่เจ้าจะกล่าวหาได้อย่างก่อนเก่า เป็นเจ้าที่ไม่เอาไหนเสียมากกว่า ดูเอาเถิดว่าครานี้ดวงใจของเจ้าตกไปอยู่ในเงื้อมมือของข้าแล้วจะเป็นเช่นไร
ครั้นการหลอกล่อเหยื่อออกจากถ้ำช่างง่ายดาย รอยยิ้มร้ายฉายชัดอย่างเปิดเผย ครั้นนำพาเซียวโม่โฉวมาไกลแล้ว รอบริมทางผ่านนั้นเต็มไปด้วยดวงตาปริศนาที่จับจ้องมายังบุรุษหนุ่มไม่วาง คล้ายครู่หนึ่งความรู้สึกบางอย่างของเซียวโม่โฉวคล้ายเตือน สัญลักษณ์ที่บุรุษหนุ่มหาได้สังเกตมาตลอดกำลังบอกเตือน ความเจ็บวาบบนสัญลักษณ์ดอกโบตั๋นคล้ายหยุดร่างกายไม่ให้ก้าวเดินต่อ
“ฮึก!”ใบหน้าขาวยับยู่คิ้วขมวด มือข้างหนึ่งยกขึ้นตะปบรอยสัญลักษณ์ที่ค่อยๆ ร้อนขึ้นราวกับจะเผาไหมผิวกาย จนเซียวโม่โฉวไม่อาจประคองร่างให้ยืนได้มั่นคง พลันเซถลาทรุดกายลงกับพื้น ประจวบเหมาะกับเบื้องหน้านั้นมีแอ่งน้ำใสในความสลัว หากแต่เงาบุรุษหนุ่มที่สะท้อนอยู่เบื้องหน้านั่นกลับปรากฏให้เห็นสิ่งผิดปกติบนร่างกาย แสงสว่างวาบบนลำคอขาวกระจ่างแก่สายตาตน ทั้งตกตะลึงและตื่นกลัวไปในคราเดียว
อสูรเสือดำที่เดินอยู่เบื้องหน้ารับรู้ถึงความผิดปกติ จึงเหลียวหลังมองและเห็นความไม่ชอบมาพากลที่กำลังเกิดขึ้น ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังเซียวโม่โฉวที่รอบกายคล้ายเปล่งแสงสว่าง
หน๊อย! เจ้ายังฉลาดไม่เปลี่ยนแปลงสมคำร่ำลือเสียงจริงเชียว!
คล้ายเสียงคำรามอยู่ในมโนจิต ร่างอสูรเสือดำที่วกกลับมาหาเซียวโม่โฉวมีสีหน้าหงุดหงิดไม่น้อย
เซียวโม่โฉวที่กำลังต่อต้านความเปลี่ยนแปลงในร่างกายตนเองหันเสี้ยวหน้าไปมองเจี้ยนหลิน ทว่าครู่หนึ่งภาพซ้อนที่ปรากฏอยู่นั่นมีบางอย่างผิดแปลกไป
นั่นมิใช่เจี้ยนหลิน!
ดวงตาคู่สวยที่สะท้อนเงาของอสูรเสือดำที่เยื้องย่างมาตรงหน้าตนบัดนี้ร่างใหญ่น่ากลัวเกรงกำลังแปรเปลี่ยนเป็นคนผู้หนึ่งที่เซียวโม่โฉวมิเคยเห็นหน้ามาก่อน ทว่ารอยยิ้มเหยียดที่ปรากฏบนใบหน้านั้นราวกับทำให้เซียวโม่โฉวระลึกได้ถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เลือนรางราวความฝันขึ้นมา หากแต่มิแน่ใจนักว่าใช่หรือไม่!
คนผู้นี้ข้าเคยเห็นหน้ามาก่อนเช่นนั้นหรือ!
“จะเจ้า! เจ้าเป็นใครเจ้ามิใช่เจี้ยนหลิน”ดวงตาที่เบิกโพลงถีบกายถอยหนีกระเสือกกระสน ลมหายใจหอบถี่พาร่างบุรุษสั่นเทิ้มด้วยความกลัว
“เหตุใดเจ้าจึงจำผู้ที่พบพานกันถึงสองครั้งสองครามิได้ ช่างเสียมารยาทยิ่งนัก”ยิ้มเหยียดย่างสามขุมมาใกล้ ความคึกคะนองใจในพลังที่แกร่งกล้าหาเป็นผู้ใดได้นอกเสียจากจูเกิงเฉิน
“ข้าไม่เคยพบเจอกับเจ้า!”
“นั่นสินะ เพราะหลี่รั่วถงช่วยเจ้าไว้ในครั้งก่อนที่สระอาบน้ำ และยังลบความทรงจำของเจ้าไปอีก ช่างน่าเสียดายที่ข้ามิได้เป็นที่จดจำของเจ้า แต่ครั้งนี้เห็นทีจะไม่เป็นไปตามลิขิตของคนผู้นั้นอีกแล้ว ที่บังคับให้เจ้าเดินในเส้นทางโชคชะตาที่น่าหัวร่อเช่นนั้น”
“เจ้ากำลังพูดเรื่องใด”
“มากับข้าเถิดเซียวโม่โฉว ครั้งกาลเก่าเจ้ากับข้ายังมีวาสนาผูกกัน ชาติภพนี้แม้จะไร้ซึ่งกายทิพย์ที่กล้าแข็ง แต่ข้าจักทำให้เจ้าได้ในสิ่งที่ปรารถนาโดยที่มิต้องแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งใด เฉกเช่นหลี่รั่วถงที่กระทำต่อเจ้า”ยิ้มเล่ห์กระตุกขึ้นตรงมุมปาก ดวงตาสีดำคมกริบราวกับอีกา มือหนาที่เอื้อมมาตรงหน้าปรารถนาให้เซียวโฉวเอื้อมมาหา “อย่าได้ลังเล ข้าไม่ต้องการจะทำร้ายเจ้าโปรดเชื่อใจข้าเถิด หากมากับข้าเจ้าจะรู้ว่าเหตุใดชีวิตของเจ้าจึงเป็นเช่นนี้.....มาเถิด” ถ้อยคำล่อลวงที่หว่านล้อมให้เซียวโม่โฉวตายใจ น้ำเสียงที่นุ่มนวลเกินกว่าผู้ใดจูงใจด้วยมนต์คาถา
ครานั้นราวกับถ้อยคำผูกใจ มือขาวบางที่สั่นไหวเอื้อมไปยังเบื้องหน้า จูเกิงเฉินมองบุรุษตรงหน้าพึงพอใจ ดวงตาหรี่มองไปยังสัญลักษณ์บนลำคอขาว
ข้าจะลบสิ่งที่ตรึงเจ้าไว้กับหลี่รั่วถงให้หมดสิ้น!
“ข้าจะได้รู้ทุกอย่างที่ข้าต้องการจริงหรือไม?”น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากจิตใต้สำนึกฟังดูเลื่อนลอย นัยน์ตาไร้แววของสติที่พึ่งมี ครั้นถูกผนึกด้วยถ้อยที่ผูกขึ้นเป็นมนต์
“ทุกอย่าง.....ที่เจ้าปรารถนา ข้าสัญญา”
ดวงจิตที่กำลังเลื่อนลอยคล้อยไปกับมธุรสร้ายกาจ ค่อยๆ วางมือที่เย็นเยียบลงบนฝ่ามือของจูเกิงเฉิน ที่ยิ้มพึงพอใจในแผนการครั้งนี้เป็นที่สุด
ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ ^^
:bye2: :bye2: :กอด1:
โดย หลานฮวา
-
รีบมาน้า เปิดสงครามเร้วเกิ้น
-
บทที่ 12
วาสนาพบเจอแต่ไม่อาจบรรจบ
มือเย็นที่สั่นเทิ้มควบคุมสติตนเองมิได้ครั้นสัมผัสกับฝ่ามือของจูเกิงเฉิน บัดนั้นรอยยิ้มที่จุดขึ้นตรงมุมปากของอีกฝ่ายคล้ายซ่อนเร้นเล่ห์เหลี่ยมไว้ในความคิด ก็พลันฉุดดึงท่อนแขนเล็กด้วยกำลังก่อนจะเรียกของวิเศษเป็นคันฉ่องมารให้ปรากฏขึ้น แสงสว่างวาบเปล่งออกมาดูดกลืนร่างของเซียวโม่โฉวเข้าสู่ภายใน สถานที่ที่ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปและออกมาได้หากมิใช้เจ้าของ ครั้นลุล่วงความตั้งใจผู้ที่ลอบแฝงกายเข้ามายังดินแดนลึกลับก็รีบอันตรธานหายไปในพริบตา
เพล้ง!
ตะเกียงดวงไฟที่จุดขึ้นจากพลังหยินแตกออกเป็นเสี่ยง หลี่รั่วถงที่ถอดจิตลงไปยังโลกมนุษย์กลับต้องคืนสู่ร่าง พลันลุกขึ้นสีหน้าถมึงทึงดวงตาเบิกโพลง เรียกขานบริวารรับใช้เสียงกร้าว ไม่นานก่อนใบไม่ร่วงถึงพื้นผู้ที่ถูกเรียกพลันปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าถึง 2 ตน รวมถึงเหอจี๋ที่รีบร้อนในมือยังคงถือผ้าขี้ริ้วลุกลี้ลุกลนร้อนรนแทบเป็นไฟเข้าพบตามคำสั่งของหลี่รั่วถง
“เจ้าสองคนทำงานกันเช่นไรถึงปล่อยให้มีผู้บุกรุกมาเหยียบย่ำได้!”ครั้นถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยราวกับเสียงคำรามดังกึกก้องด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดก่อนจะบันดาลโทสะแผ่รังสีสังหารจนผู้ที่พลังวิญญาณต้อยต่ำกายแทบจะเผาไหมเป็นจุณ
“กะเกิดเรื่องใดขึ้นนายท่าน!”เหอจี๋สีหน้าหวาดหวั่น เขาแทบหมอบคลานด้วยเกรงต่อความโกรธเกรี้ยวที่ราวกับพายุโหม
หากทว่ามิทันได้ฟังคำตอบใด หลี่รั่วถงก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา เหอจี๋จำต้องติดตามอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ และไปปรากฏกายยังสถานที่ที่ก่อนหน้าได้เกิดเหตุการณ์ที่มิควรเกิดขึ้น
“เอ๊ะ! ระหรือเกิดเรื่องไม่ดีกับเซียวโม่โฉว”เหอจี๋อุทานขึ้นเมื่อมายังสถานที่คุ้นตา ไม่ผิดแน่ว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น มิเช่นนั้นหลี่รั่วถงคงไม่เดือดดาลเช่นนี้ อีกทั้งเหอจี๋สัมผัสได้ว่าม่านพลังเขตแดนที่หลี่รั่วถงกางกั้นไว้โดนทำลายโดยผู้บุกรุกเป็นแน่
ร่างสูงใหญ่ที่เยื้องย่างไปเบื้องหน้าหกวาดสายตามองไปโดยรอบ ร่องรอยการมาเยือนของใครบางคนที่หายไปจากที่ตรงนี้โดยมีดวงใจของจ้าวพิภพแห่งหยินติดมือไปด้วยนั้นชวนโมโหโทสะอย่างยิ่ง
มือแข็งแรงกำแน่นด้วยความคับแค้น ใบหน้าที่บึ้งตึงชนชิดดวงตาแข็งกร้าวคมกริบจ้องมองเบื้องหน้าอย่างเหลือทน พลันดวงตาคู่คมดุดันหันมาจ้องมองบริวารที่ทำหน้าที่บกพร่องก็รับรู้ได้ถึงชะตากรรม มือหนาของหลี่รั่วถงยื่นไปเบื้องหน้าดึงเอาบริวารที่ไม่เอาไหนเข้าสู่เงื้อมมือแล้วปลิดชีพเสียสิ้นทั้งสองตนอย่างง่ายดาย ร่างกายที่สลายกลายเป็นเถ้าถ่านทันตาเห็น ไม่ต่างจากธุลีดินที่กลับสิ้นเบื้องล่าง
เหอจี๋ยืนมองด้วยแววตาสั่นสะท้าน กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ครั้นส่งสัญญาณบางอย่างให้หวางหรูอี้ที่ได้เตือนย้ำให้เหอจี๋บอกข่าวหากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับหลี่รั่วถง เพราะนั่นหมายถึงเรื่องที่มีจูเกิงเฉินร่วมด้วย
“นะนายท่าน จะ...จะทำเช่นไรดีขอรับ” ผ้าขี้ริ้วที่ติดมือถูกขยำจนยับยู่ ดวงตาหวาดกลัวทั้งตระหนกตกใจฉายแววแจ่มชัดบนใบหน้า ครั้นจะเข้าใกล้ผู้เป็นนายยามนี้ก็มิอาจคาดเดาความคิดได้ ยิ่งอยู่ในอารมณ์เกรี้ยวกราดผู้ใดก็อย่าได้เอาชีวิตไปเสี่ยง
“อย่างไรข้าก็ต้องนำตัวเซียวโม่โฉวกลับมา”
“ตะแต่ว่า เราไม่รู้ว่าเซียวโม่โฉวถูกนำตัวไปยังที่ใดนะขอรับ ไม่ทิ้งไว้แม้แต่กลิ่นอายที่สามารถตามได้เลย มันแปลกประหลาดเกินไป”
“ข้ามั่นใจว่าเป็นจูเกิงเฉินเป็นผู้ลงมือ ไม่มีใครอื่นใดที่ทำเรื่องเช่นนี้ ยามข้าลงไปยังโลกมนุษย์เจ้าปีศาจตนนั้นกำลังรวบรวมพวกเหล่าปีศาจนอกรีตจำนวนมาก ข้าจำต้องไปขัดขวางแต่ไม่นึกว่าจูเกิงเฉินจะใช้วิธีการนี้เพื่อหาช่องโหว่เข้ามา!”น้ำเสียงที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟังบ่งบอกได้ว่าหลี่รั่วถงเจ็บแค้นเพียงใด เข้าพ่ายแพ้ให้แก่เล่ห์เหลี่ยมของจูเกิงเฉินถึงสองครั้งสองคราแล้วหากนับรวมครั้งนี้
เจ้ามันก่อความวุ่นวายไม่สิ้นสุด อีกทั้งยังคอยแต่จะดิ้นรนหาเรื่องใส่ตน ครั้งนี้ข้ากับเจ้าคงได้แค้นกันไปสิบภพสิบชาติ!
พลันเอ่ยสิ่งที่คับแค้นออกไปจึงหันไปออกคำสั่งแก่เหอจี๋
“เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะขึ้นไปเข้าเฝ้าอวี้หวงต้าตี้”
“แต่นายท่าน! แล้วเซียวโม่โฉวจะไม่เป็นไรเช่นนั้นหรือ”เหอจี๋ทักท้วงขึ้นในอกร้อนรน
“ข้ารู้ดีว่าจูเกิงเฉินอุปนิสัยเป็นเช่นไร เป้าหมายของคนผู้นั้นมิได้มีเพียงหนึ่งข้าจึงผลีผลามทำอะไรตามใจมิได้” น้ำเสียงที่อึดอัดหาได้ต้องการทำให้เป็นลำดับขั้นตอนใดๆ ไม่ หากแต่อย่างไรตนก็ไม่อาจมุทะลุทำเรื่องโง่เขลาให้ผู้ใดหัวเราะเยาะเอาได้
“ขอรับนายท่าน” สิ้นเสียงขานรับร่างของหลี่รั่วถงก็หายวับไปกับตา เหอจี๋จึงมุ่งหน้ากลับไปยังดินแดนพิภพแห่งหยินในทันที
ปึก!
เสียงร่างของผู้คนที่ราวกับร่วงหล่นจากฟ้ากระทบกับพื้น หากแต่พื้นที่สัมผัสอยู่นั้นเรียบใสสะท้อนเงาคล้ายดั่งคันฉ่อง มองไปยังทิศทางใดก็ไม่สามารถหาทางออกไปได้ ไกลสุดตามีเพียงความว่างเปล่าไร้พรมแดน
เซียวโม่โฉวที่ตื่นจากภวังค์สะกดจิตก็รีบพยุงตัวขึ้นยืนตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นนัยน์ตาตระหนก มองซ้ายแลขวาก็หาพบเจอสิ่งใดทุกอย่างล้วนว่างเปล่ามีเพียงเงาของตนเองที่สะท้อนไหวอยู่บนพื้น และแม้แต่ผืนฟ้าก็ยังถูกปิดกั้นไว้
ความหวาดกลัวที่หวามไหวอยู่ในอก หาได้รับรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวแต่อย่างใด สัญชาตญาณเพียงหนึ่งคือการพาตนเองหนีเอาตัวรอดมองหาทางออกที่ไม่มี แม้วิ่งไปไกลจนเหนื่อยล้าก็หาได้สิ้นสุดระยะทางจนรู้สึกถดท้อ
เกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้ข้าจำได้ว่าข้ายังอยู่ที่ดินแดนลึกลับ แต่หลังจากคนผู้นั้นปรากฏข้าก็จำความใดแทบไม่ได้แถมข้ายังต้องมาอยู่ที่นี่เสียอีก!
ใช่! ข้าเจอคนผู้นั้นที่แปลงกายเป็นเจี้ยนหลินมาหลอกลวงข้า!
พลันนึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เซียวโม่โฉวก็ตระหนักถึงภัยแล้วว่าตนกำลังถูกผู้ที่มิเคยรู้จักจับตัวมา ยามนั้นหัวใจของบุรุษหนุ่มถึงกับเต้นถี่ความรู้สึกหวาดกลัวในสิ่งที่ไม่รู้พานทำให้ใบหน้าซีดขาวมือเย็นเยียบเกร็งสั่นไหวไปทั้งสรรพางค์กาย ความฉงนใจคล้ายก่อตัวขึ้นในหัวผุดพรายเต็มไปด้วยคำถาม ครั้นความคิดสับสนที่รุมเร้ากลับถูกแทรกด้วยน้ำเสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้นในห้วงความคิด
ดวงตาคู่สวยที่สั่นระริกขบริมฝีปากบางที่เม้มสนิทจนแทบกลัดโลหิตรินไหล เหลียวมองไปยังต้นเสียงพยายามตั้งสติของตน
“เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงต้องจับตัวข้ามาขังไว้ที่นี่”น้ำเสียงแข็งเล็ดลอดออกมาจากปากของเซียวโม่โฉว สายตากร้าวแข็งที่มองไปยังจูเกิงเฉินหวาดระแวงระคนสงสัย การปรากฏกายมาในที่แห่งนี้ย่อมมีเจตนาไม่ดีแอบแฝง
“แม้ข้าจะเคยเอ่ยนามต่อเจ้าไปแล้ว น่าเสียดายที่เจ้ากลับลืมเลือนมัน”ยิ้มฝืนคล้ายเจ็บปวดในถ้อยคำตนเองบอกต่อผู้คนตรงหน้าที่มีแต่ถอยหนีจากตนไป “จูเกิงเฉิน.....นั่นคือชื่อของข้า อย่าได้กลัวเกรงไปเลยข้ามิได้คิดจะทำร้ายเจ้าอย่างที่ลั่นวาจาเอาไว้”
“หากเจ้ากล่าวเช่นนั้น เหตุใดจึงต้องจับตัวข้ามา”
“นั่นเกี่ยวโยงกับอดีตชาติของเจ้า ข้าเพียงต้องการปกป้องเจ้ามิให้ถูกหลอกลวง”พลันเอ่ยถ้อยคำไปหนึ่งประโยค จูเกิงเฉินคล้ายยิ้มขึ้นนัยน์ตาซ่อนเร้นไปด้วยแผนการ
“หมายความว่าเช่นไร? สิ่งใดเกี่ยวกับตัวข้า แล้วเจ้าเป็นผู้ใดถึงได้กล่าวว่ารู้จักตัวข้าในอดีตชาติก่อน”ดวงตาที่จ้องมองไปยังจูเกิงเฉินหาได้เชื่อใจ
“เจ้าช่างน่าสงสารนัก หากจะกล่าวว่าสิ่งนี้มีข้าข้องเกี่ยวเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าจะบอกแก่เจ้าว่าเมื่อพันปีก่อนครั้งเจ้าสิ้นวาสนานั้นเป็นเพราะความผิดของข้าเอง ข้าไม่อาจยั้งมือตนเองนั่นคือความผิดของข้า และหลี่รั่วถงคือผู้ที่ทำให้เจ้าต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายเช่นนั้น”
“จะเจ้า.....เจ้าพูดเรื่องอะไร!”ครั้งได้ยินสิ่งที่จูเกิงเฉินเล่า สีหน้าหวาดหวั่นพลันทรุดกายลงกับพื้นไร้กำลังขา ก้อนเนื้อในอกของเซียวโม่โฉวพลันบีบรัดรุนแรงจนฉายชัดบนใบหน้า ทั้งมือไม้ที่สั่นเทาราวกับพบเจอคมดาบที่รอบั่นศีรษะตนให้ตายตกไปอีกครา ดวงตากลมเบิกกว้างมองจูเกิงเฉินที่ก้าวมาหาอย่างแช่มช้านัยน์ตาเจ็บปวด นั่นเป็นสิ่งเดียวที่มิได้เสแสร้งแกล้งแกล้งทำ
“ข้าและเจ้า รวมทั้งหลี่รั่วถงคงไม่อาจหลุดพ้นไปจากวาสนาเลวร้ายเหล่านี้ได้ หากเจ้าปรารถนาจะล่วงรู้ทุกอย่าง ก็จงเลือกที่จะอยู่กับข้า แล้วข้าผู้นี้จะมอบอำนาจและความยิ่งใหญ่.....ที่เจ้ามิเคยคาดฝัน ทุกอย่างจะง่ายดายโดยที่เจ้ามิต้องดิ้นรนให้ลำบากแม้แต่น้อย เจ้าคงไม่พึงใจหลี่รั่วถงมากนักใช่หรือไม่ คนผู้นั้นหลอกใช้เจ้าให้บำเพ็ญเพียรเพื่อดวงจิตที่กล้าแข็ง สุดท้ายคนผู้นั้นก็หมายจะได้พลังวิญญาณจากเจ้า สู้เจ้ามาอยู่ข้างกายข้าที่เห็นคุณค่าของเจ้าไม่ดีกว่าหรือ”
ยิ้มแสยะซ่อนไว้สุดมุมปาก ดวงตาอาวรณ์จ้องมองเซียวโม่โฉวที่กำลังสั่นกลัว หมายมาดให้บุรุษหนุ่มตกลงปลงใจในถ้อยคำของตน ครานั้นตนจะได้จัดการหลี่รั่วถงโดยใช้เซียวโม่โฉวเป็นเหยื่อล่อ หากแผนการนี้สำเร็จทุกอย่างจะง่ายดาย ขาดเสาค้ำจุนอำนาจไปหนึ่ง ชั้นฟ้าไยจะไม่สั่นไหวได้
ทั้งอำนาจและผู้ที่ข้าปรารถนาจะเป็นของข้าในเร็ววัน!
“ว่าอย่างไรเล่า ชีวิตเจ้า.....เจ้าตัดสินได้ด้วยตนเองจะมากับข้าหรือไม่ ไม่มีสิ่งใดที่ข้าจะมอบให้แก่เจ้ามิได้”
คล้ายถ้อยคำที่สะท้อนก้องอยู่ในหัวของเซียวโม่โฉว คำพูดเหล่านั้นราวกับกลืนกินจิตใจของบุรุษหนุ่ม ทว่าบางอย่างในห้วงความคิดกลับมิได้คล้อยตามเช่นนั้น
“ไม่! ข้าไม่อยากจะอยู่ที่นี่ เจ้าควรจะปล่อยข้าไป”น้ำเสียงที่แย้งออกมาราวกับทำลายความหวังของจูเกินเฉินเสียย่อยยับ ครั้นมีสติรู้คิดจึงฝืนต่อวาจาหลอกลวงได้
“ให้ข้าปล่อยเจ้าไปเช่นนั้นหรือ?”น้ำเสียงเย็นเยียบถามย้ำสีหน้าถมึงทึงคล้ายความอดทนกำลังจะขาดผึ่ง
“ข้ากล่าวเช่นนั้น! หากแท้แล้วข้าถูกหลี่รั่วถงหลอกใช้อย่างที่เจ้าพูด แต่นั่นเป็นความปรารถนาของข้า ข้าย่อมต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ข้าต้องการแลกมา ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่เสียสิ่งใดไปข้อนั้นข้ารู้ดี ต่อให้เจ้าเป็นผู้ที่ดีต่อข้าถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องมีสิ่งที่ปรารถนาในตัวข้าใช่หรือไม่”
แววตาคู่สวยฉายชัดถึงความคิดของตนเองอย่างแน่วแน่ ความกล้าแข็งของแววตาวูบหนึ่งสำรวจตรวจมองไปที่กายของจูเกิงเฉินอย่างหาหนทาง ในหัวครุ่นคิดสิ่งที่ตนพอจะทำได้ ฝีเท้าที่ย่างสามขุนเข้ามาใกล้แสดงสีหน้าไม่พึงใจในสิ่งที่เซียวโม่โฉวกล่าว
แม้ท่าทีที่คุกคามเหยียบใกล้ เซียวโม่โฉวก็มิได้คิดจะถอยหนี หากแต่กลับยันกายขึ้นยืนสลัดทิ้งซึ่งความหวาดกลัวให้สิ้น
หากข้ามัวขลาดกลัวอยู่เช่นนี้ผู้ใดจะช่วยข้าได้!
“เจ้าเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าการที่เจ้าอยู่กับคนผู้นั้นแล้วความปรารถนาของเจ้าจะเป็นจริง”น้ำเสียงที่กล่าวเต็มไปด้วยความคับแค้น “เจ้าอยากรู้มิใช่หรือว่าเหตุใดเจ้าต้องพบเจอกับวิบากกรรมครั้งเป็นมนุษย์เช่นนั้น เจ้าจะได้รับรู้มัน มาเถิด ข้าจะช่วยเจ้าเองอย่าได้กลัวไปไย ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”น้ำเสียงและแววตาคล้ายวิงวอนผู้เป็นที่มอบดวงใจให้หวนคืน หากแต่สิ่งที่กลับคืนนั้นเป็นความเจ็บช้ำน้ำใจเสียแทนไม่เปลี่ยนแปลง
อดีตความรู้สึกหวานอมขมกลืนนั้นเป็นเช่นไรยามนี้ก็มิได้ต่างกัน แม้จูเกิงเฉินจะกล่าวเช่นไร ใช้วาจาหว่านล้อมเพียงใดเสี้ยวหนึ่งของใจบุรุษก็มิได้คิดหันหา ผู้ที่ปรารถนาในรักก็มิอาจพานพบรักแท้ นั่นเป็นชะตากรรมที่โหดร้ายและทรมานจิตใจจูเกิงเฉินยิ่งนัก
เพียงเพราะตนเป็นปีศาจชั้นต่ำเช่นนั้นหรือจึงยากที่จะไขว่คว้ารักได้อย่างบริสุทธิ์ใจ นั่นจึงเป็นเหตุให้คิดการณ์ใหญ่และเปลี่ยนแปลงจูเกิงเฉินไปตลอดกาล แม้ผ่านมานับพันปีก็ไม่อาจหวนคืนสู่วันวานได้
วันวานที่จูเกิงเฉินเป็นเพียงปีศาจตนหนึ่งที่ไร้จิตคิดแค้นอาฆาต จูเกิงเฉินที่สามารถได้รับความเมตตาจาก ‘เหยว่ถิง’ ช่วงเวลานั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว
“ถอยไปจากข้า” น้ำเสียงเย็นของเซียวโม่โฉวหาใช่หวาดกลัวอีกต่อไป
“ถอยเช่นนั้นหรือ? เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปอย่างง่ายดายให้กับหลี่รั่วถง?” เสียงหัวเราะกึกก้องราวกับเสียสติดังลั่น พลันนัยน์ตาคมกลับวาวไปด้วยหยาดน้ำบางๆ ที่ซ่อนเอาไว้ “เจ้าคิดผิดแล้ว แม้ชาติภพใหม่เจ้าจักลืมเลือนมันไปแต่ข้าไม่เคยลืมเลย ความรู้สึกของข้าที่มอบให้แก่เจ้า แม้ผ่านไปนับพันๆ ปีมันยังคงตรึงอยู่ในใจของข้าราวกับคำสาป เจ้าจะให้ข้าปล่อยเจ้าไปเช่นนั้นหรือ!”
เสียงตะคอกที่กล่าวขึ้นปราดเข้าคว้าขับท่อนแขนของเซียวโม่โฉวที่รับฟังทุกอย่างจากคนตรงหน้าไม่ถอยหนี
“ตัวตนของข้าในตอนนี้มิใช่ผู้ที่เจ้ารู้จักอีกต่อไป ข้ามิรู้หรอกว่าเจ้าปักใจเรื่องใดกับอดีตชาติของข้า แต่ในตอนนี้ข้าก็คือตัวของข้า ‘เซียวโม่โฉว’ มิใช่ผู้ใดอื่น!”น้ำคำที่โต้ตอบกลับไปคล้ายบีบหัวใจบุรุษหนุ่มอยู่ลึกๆ
เหตุใดข้าจึงต้องมารับรู้ในสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย แล้วไยข้าจึงต้องรู้สึกเศร้าเสียใจกับเรื่องราวอดีตชาติที่มิใช่ตัวตนของข้าในยามนี้ด้วย ข้าคือเซียวโม่โฉว! อย่างไรก็มิใช้คนที่จูเกิงเฉินกล่าวถึงแม้แต่น้อย!
“ปล่อยแขนของข้าเถิด อย่างไรข้าจะไม่รับปากสิ่งใดต่อเจ้าทั้งสิ้น ข้าพึงใจที่เลือกต่อสู้กับวิบากกรรมของตัวเอง ต่อให้ข้าต้องกลายเป็นพลังวิญญาณให้ผู้ใด ในท้ายที่สุดข้าก็ย่อมยินดีเสียกว่าในสิ่งที่ข้าเลือก!”
ถ้อยคำเด็ดเดี่ยวจากปากเซียวโม่โฉว ทำเอาจูเกิงเฉินแทบคลุ้มคลั่ง ดวงตาคมกริบราวกับแดงฉานขึ้นเกรี้ยวกราดในอารมณ์ร้ายที่ขาดผึ่ง มือใหญ่ที่กุมคว้าท่อนแขนของผู้คนตรงหน้าแทบบีบให้แหลกคามือ
“เจ้าเลือกเองที่จะให้ข้าบังคับขู่เข็ญต่อเจ้า! เช่นนั้นข้าก็จะกักขังเจ้ามิให้ได้พานพบผู้ใดหรือทำในสิ่งที่เจ้าปรารถนาอีกต่อไป!”
“เช่นนั้น เจ้าคิดว่าข้าไม่มีทางหนีรอดหรืออย่างไร”มือขาวข้างหนึ่งที่สั่นเทิ้มและเย็นเยียบยกขึ้นเหนือศีรษะตนเองพร้อมดวงตาแข็งกร้าว ใบหน้าราวกับทิ้งสิ้นไปแล้วซึ่งความรู้สึก ก่อนดึงปิ่นปักผมที่หลี่รั่วถงมอบให้เข้ากุมไว้ในมือแน่นก่อนจะเลื่อนลงไปในระดับลำคอแล้วกดปลายโลหะแหลมสีเงินวาวจ่อไปที่จุดปลิดชีพจรของตนเอง
อย่างน้อยข้าก็จะปลดปล่อยวิญญาณของตนเองไปจากที่แห่งนี้ให้จงได้
“เจ้าจะทำสิ่งใด!”
“ไปจากที่แห่งนี้!”
“นึกหรือว่าข้าจะให้เจ้าทำตามสิ่งที่เจ้าคิด”พลันมือที่จับลำแขนของเซียวโม่โฉวแน่นปล่อยออกแล้วเข้าคว้าข้อมือขาวที่กำปิ่นปักผมไว้แน่นให้ผละออก ก่อนจะแทนที่ด้วยมืออีกข้างที่เข้าบีบลำคอของเซียวโม่โฉวไว้เสียแทนอย่างแค้นใจ
“ฮึก!”
“ชีวิตของเจ้าข้าจะเป็นผู้กำหนด เจ้ามีสิทธิ์อันใดทำเช่นนั้น!”แววตาวาวโรจน์และท่วมท้นไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ถึงเช่นไรมือคู่นั้นก็ไม่สามารถปลิดชีวิตเซียวโม่โฉวได้ “ข้าจะทำลายสัญลักษณ์ของคนผู้นั้นให้เสียสิ้น”
สิ้นคำกล่าวจากปากของจูเกิงเฉินแรงเหวี่ยงผลักร่างของเซียวโม่โฉวจนลมกระแทกลงกับพื้น ของสำคัญที่อยู่ในมือเมื่อครู่กระเด็นกระดอนหล่นไป ครั้นจะตะเกียกตะกายไปหยิบคืนกลับโดนฝ่าเท้าของจูเกิงเฉินเตะทิ้ง มิหนำซ้ำยังถูกยื้อยุดมิให้ลุกหนี พลันร่างของบุรุษหนุ่มกลับถูกกดไว้แนบพื้นเย็นเยียบด้วยสองแขนแข็งแกร่ง ที่มิอาจทัดทานกำลังได้
“เจ้าจะทำอะไรข้า!”นัยน์ตาสั่นสะท้านจ้องมองจูเกิงเฉินที่เข้ามาคร่อมทับ แผ่นหลังของเซียวโม่โฉวถูกกดลงให้ขนานแนบกับพื้นจนไม่อาจลุกได้
“สิ่งนั้นเมื่ออยู่กับข้าก็หาได้สำคัญอีกต่อไป เหตุใดจึงต้องคงไว้ให้เสียดแทงใจข้า!”ดวงตาดุดันปราดมองไปที่ต้นคอขาวซึ่งปรากฏสัญลักษณ์ดอกโบตั๋นที่เด่นชัดขึ้น
“ปล่อยข้า!!!”ผู้ที่ขัดขืนดิ้นรนแทบมองหาช่องทางหนีมิได้ หวาดหวั่นในสายตาของจูเกิงเฉินยามนี้เหลือเกิน ในใจของเซียวโม่โฉวพลันภาวนาถึงใครบางคน
“เจ้าจะไม่มีวันกลับไปได้อีก หึ!”สิ้นเสียงอุ้งมือแข็งแรงกลับเข้ากระชากอาภรณ์ที่ปกปิดผิวกายให้พ้นสายตา เสียงฉีกขาดของเนื้อผ้าราวกับขาดแล้วซึ่งความยั้งคิดของจูเกิงเฉิน ครานั้นเซียวโม่โฉวถึงกับสั่นผวานึกอยากร้องเรียกหาใครช่วยเหลือทว่ากลับเปล่งเสียงไม่ออก
“อึก! ฮืออออ!”ร่างกายได้แต่ดิ้นพล่านไม่อาจบดบังผิวเนื้อที่ประจักต่อหน้าจูเกิงเฉินไว้ได้ แม้จะเคยหวาดกลัวจากความตายแต่เซียวโม่โฉวก็ไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใดเท่านี้มาก่อนเช่นกัน
“เจ้าต้องเป็นของข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น!” ปลายนิ้วที่กดลงไปบนลำคอขาวลากผ่านสัญลักษณ์ดอกโบตั๋นหยุดนิ้วร้อนนั้นให้อยู่กับที่ พลันรอยยิ้มแสยะผุดขึ้นก่อนจะเลื่อนใบหน้าลงต่ำ หมายจะย่ำยีสิ่งที่ปรารถนาแต่กลับไม่ได้มาครองอย่างเผลอตัว
“ฮืออออ!” เสียงร้องในลำคอมิอาจหยุดการกระทำของจูเกิงเฉินได้
ทว่าสิ่งที่หยุดได้นั้นกลับเป็นเสียงแตกร้าวลั่นกรอบ ที่ปรากฏรอยแยกไปโดยรอบ จูเกิงเฉินเร่งกวาดสายตาไปทั่วกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ไม่ทันไรรอยร้าวที่เพิ่งเกิดกลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกลับผู้ที่บุกรุกเข้ามานั้นพุ่งปราดเข้ามา ก่อนจะกระชากจูเกิงเฉินจากทางด้านหลังผลักออกให้พ้นจากเซียวโม่โฉว
“แค่กๆ”เสียงไอโขลกอย่างหนักคล้ายมีสิ่งใดปิดทางเดินลมหายใจไว้ชั่วครู่ ราวกับดึงให้เซียวโม่โฉวหลุดพ้นจากเรื่องเลวร้าย บุรุษหนุ่มมองดูหลี่รั่วถงที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดฝันนัยน์ตาฉายชัดถึงความตื่นตระหนก ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามมองหาหลี่รั่วถงที่พุ่งเข้าหาจูเกิงเฉินเข้าต่อสู้ไม่ยั้งมือราวกับสงครามขนาดย่อม
ช่วงเวลานั้นเซียวโม่โฉวจึงถือโอกาสวิ่งเข้าเก็บปิ่นปักผมที่ถูกเตะทิ้งกลับคืนสู่มือตนอีกครา ยกท่อนแขนขึ้นปาดน้ำตาที่เอ่อคลอกับเหตุการณ์เลวร้ายมือครู่ทิ้ง กลั่นใจพาขาสองข้างที่แทบสิ้นเรี่ยวแรงออกวิ่ง สายตาที่ราวคนขลาดกลัวครู่หนึ่งจำต้องเข้มแข็ง เห็นแล้วซึ่งช่องโหว่ที่จะยุติเรื่องราวทั้งหมดได้
ครั้งก่อนหน้าที่ลอบสำรวจกายของจูเกิงเฉิน ในหัวของเซียวโม่โฉวครุ่นคิดหาทางรอดมาตลอดและไม่มีทางยอมให้ตนเองถูกจูเกิงเฉินกังขังเขาไปตลอดเป็นแน่
“คันฉ่องนั่น คว้ามันและเอามาให้ข้า!”จูเกิงเฉินเหลือบมองเซียวโม่โฉว รู้ดีว่าเสียงเรียกกนั้นบอกกล่าวแก่ผู้ใด นึกไม่ถึงว่าเซียวโม่โฉวจักไหวพริบดีเช่นนั้น
คันฉ่องบานเล็กที่จูเกิงเฉินพกติดตัวไว้ เป็นสิ่งเดียวที่กังขังผู้คนไว้มิให้หลุดออกไปได้ แม้รอยแตกราวที่หลี่รั่วถงบุกรุกเข้ามาจะแตกออก หากยามนี้กลับผสานกลับดังเดิมจนหาช่องโหว่หนีออกไปไม่ได้ ทางเดียวที่จะออกไปนั่นคือทำลายคันฉ่องมารนั้นให้สิ้นซากเสีย
สิ่งที่เซียวโม่โฉวมั่นใจนักว่าต้นเหตุคือคันฉ่องบานนั้น เพราะจูเกิงเฉินพกสิ่งนั้นติดตัว คนผู้นั้นซ่อนมันไว้ในผ้าคาดเอว และก่อนหน้านี้เซียวโม่โฉวมองเห็นเสี้ยวหนึ่งของเงาตนเองที่สะท้อนโผล่ให้เห็น มิใช่ภาพสะท้อนเพียงส่วนที่เป็นเงาอย่างเดียว หากแต่สิ่งนั้นสะท้อนภาพของตนและจูเกิงเฉินมาจากด้านบนราวกับจับจ้องไปทุกการเคลื่อนไหว
“หึ! อย่าคิดว่าจะง่ายนัก ไม่มีวัน!”เสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอดจากจูเกิงเฉินลอดผ่านไรฟันในขณะที่ประมือกับหลี่รั่วถง
“เจ้าก็อย่าได้หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เจ้าคิด! ไม่มีทาง!”ดวงตาคมกริบครั้นบันดาลโทสะพาลเอานัยน์ตาดุดันสะท้อนวาวเป็นสีเหลืองอำพันราวสัตว์อสูร ก่อนจะฟาดเท้าไปเบื้องหน้าฉิวเฉียดใบหน้าของอีกฝ่ายที่หลบทันอย่างรวดเร็ว หลี่รั่วถงไม่อาจยื้อการต่อสู้ได้ช้านาน เพราะรู้ดีว่าตนเองไม่อาจทัดเทียมจูเกิงเฉินในยามนี้ จึงใช้ฝ่ามือปล่อยพลังปราณเข้ายับยั้งรุนแรงและไม่พลาดเป้า เป่าจูเกิงเฉินพัดลอยกระเด็นไปไกล
นั่นมิใช่เพียงจุดจบ หลี่รั่วถงกลับตามไปและเข้าอัดพลังใส่อีกคราทว่าอีกฝ่านั้นไหวตัวทัน ช่วงจังหวะเคลื่อนไหว หลี่รั่วถงไม่ย่ามใจหรือปล่อยให้เวลาสูบเปล่า สิ่งที่หมายตายังคงต้องช่วงชิงมาให้ได้ ครั้นจึงเข้าไปประชิดตัวจูเกิงเฉินยอมเอาชีวิตไปเสี่ยง ประมือโดยไม่มีผู้ใดยอมถอย ครั้นจูเกิงฉินพลิกกายหมุนตัวขึ้นกลางอากาศ หลี่รั่วถงรีบไล่ตามใช้ความเร็วคว้าคันฉ่องมารจากกายของจูเกิงเฉินได้ทันท่วงที
สายตาคมเหลือบมองเซียวโม่โฉวที่อยู่เบื้องล่าง บุรุษหนุ่มจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของหลี่รั่วถงไม่คลาดสายตา ครั้นโอกาสมาจึงพยักหน้าให้ วัตถุแผ่นบางแวววาวถูกโยนให้ถึงมือเซียวโม่โฉว
“ข้าไม่มีทางให้ไปหรอก!”เสียงกร้าวดังขึ้นประกาศชัด พลันหลบหลีกจากการต่อสู้หมายจะแย่งชิงคันฉ่องของวิเศษกลับคืน ทว่าหลี่รั่วถงหาได้ปล่อยให้อีกฝ่ายสมดังใจหมาย จึงเข้าขัดขวางซัดฝ่ามืออัดแน่นไปด้วยไอเย็นเข้าหาจูเกิงเฉิน หากแต่พลาดเป้าไปโดนเพียงช่วงไหล่ แต่อย่างน้อยคันฉ่องมารก็ถึงมือเซียวโม่โฉว
“เจ้ารู้วิธีทำลายมันใช่หรือไม่!”
“หากสิ่งที่ท่านมอบให้ข้ามีประโยชน์อย่างที่ข้าคิดก็คงรอด!”
ฉึก!
เพล้ง!!!
มือขาวที่กำปิ่นปักผมดอกโบตั๋นไว้แน่นง้างขึ้นสุดแขนก่อนจะใช้ส่วนปลายแหลมแทงทะลุคันฉ่องจนแตกกระจายออกเป็นเสียงๆ เกิดแสงประกายวาวโรจน์สาดส่องออกมาจากคันฉ่องมาร ราวกับพลังร้ายทะลักออกมา และในตอนนั้นทุกอย่างก็ราวถูกปลดปล่อย การกังขังไว้เป็นอันสิ้นสุด หากแต่ทุกอย่างมิได้จบเพียงนั้น เมื่อจูเกิงเฉินเหาะเหินเข้าเซียวโม่โฉวหมายจะคว้าชิงไปอีกครา หลี่รั่วถงมิได้รอช้าเข้าขวางกั้น จูเกิงเฉินเห็นดังนั้นจึงซัดฝ่ามือมารเข้ากระแทกร่างจนอีกฝ่ายกระอักโลหิตออกมาแดงฉาน
ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเซียวโม่โฉวคล้ายวาบเข้ามาในหัวของบุรุษหนุ่ม เสมือนเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทว่าคนที่เป็นฝ่ายปกป้องมิใช่หลี่รั่วถง หากแต่ภาพเลือนรางเสียจนไม่อาจมองชัดเจนได้ว่าเป็นผู้ใดในความคิด
นะนี่มันอะไรกัน สิ่งใดที่ปรากฏขึ้นในหัวของข้ากันแน่!
ความตื่นตระหนกที่พาเอาบุรุษหนุ่มตัวแข็งทื่อ ครั้นไม่ทันรู้ตัวก็ถูกโฉบดึงไปจากทางด้านหลังแล้ว ทว่าผู้ที่คว้าเซียวโม่โฉวไปนั่นเป็นติงเจิ้งหวา เจ้าของเส้นผมสีแดงเพลิงที่เข้ามาช่วยเหลือ หากแต่ความไม่คุ้นเคยและมิได้พบพานกลับทำเอาเซียวโม่โฉวผวา ครั้นได้ยินเสียงของหลี่รั่วถงแว่วมาจึงลดความกังวล
“นำตัวเซียวโม่โฉวไป ข้าจะจัดการทางนี้!”
“ภาพที่ค่อยๆ ห่างไกลนั่นคือโลหิตสีแดงของหลี่รั่วถงที่กระอักออกมาไม่น้อย กระเซ็นลงบนพื้นหิมะขาวโพลน เป็นสีสดที่ตัดกันมองแล้วชวนพรั่นพรึงยิ่งนัก”
ในขณะเดียวกันที่จูเกิงเฉินคำรามดังลั่น พายุหิมะที่ก่อตัวขึ้นฉับพลันบดบังทุกอย่างไปจากสายตา ยามนี้เซียวโม่โฉวทำได้เพียงมองเหตุการณ์เบื้องล่างที่เกิดขึ้นที่ค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตา พลันน้ำตาแห่งความห่วงใยคล้ายเอ่อรื้นอย่างไม่รู้ตัว
“ข้าจะรีบนำเจ้ากลับไปในที่ปลอดภัย”
“ตะแต่ท่านควรจะไปช่วยหลี่รั่วถง!”
“หวางหรูอี้อยู่ที่นั่น เจ้ามิต้องเป็นห่วง ยามนี้ห่วงตัวเจ้าเองเถิด”
“ตัวข้า?” ความเจ็บปวดที่ลืมสิ้นถึงความรู้สึกรู้สาพลันมองฝ่ามือของตนเองที่มีบาดแผลเหวอะหวะ ลามไปถึงท้องแขนที่ราวกับโดนสะเก็ดของแหลมคนบาดลึก คงหนีไม่พ้นเศษเสี้ยวของคันฉ่องมารที่บุรุษหนุ่มเป็นผู้ทำลายให้แหลกละเอียด ทั้งนี้โลหิตที่มิเคยได้หลั่งไหลเมื่อครั้งเป็นวิญญาณบัดนี้กลับมองเห็นดูไม่น่าภิรมย์ใจแม้แต่น้อย
แม้ฝ่ามือจะอาบย้อมไปด้วยโลหิตแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ละทิ้งนั้นคือปิ่นปักผมชิ้นสำคัญในมือ ครั้นมองแล้วกลับนึกกังวลจนแทบร้อนรุ่ม
“ท่านแน่ใจหรือไม่ว่าหลี่รั่วถงจักไม่เป็นอันตราย”
“ข้าส่งเจ้าเพียงเท่านี้”ติงเจิ้งหวาปล่อยมือจากเซียวโม่โฉวลงสู่พื้นพิภพแห่งหยิน ก่อนจะเหาะเหินถอยห่าง ตระเตรียมจะกลับไป หากแต่กลับพูดทิ้งท้ายไว้เพียงหนึ่งประโยค “หลี่รั่วถงมิมีวันตาย เขาไม่มีชื่อในบัญชีวิญญาณ ทว่ามีเพียงการสิ้นสลายของกายทิพย์ที่จักไม่สามารถคาดเดาได้ เช่นนั้นข้าจึงตอบเจ้าได้เพียงเท่านี้” เส้นผมสีเพลิงที่สยายพลันเหาะเหินหายลับไปในอึดใจ
ภาพที่หลี่รั่วถงช่วยเหลือตนไว้ยังคงฉายชัดในความทรงจำ ทั้งโลหิตที่กระอักออกมายอมหิมะเป็นสีแดงฉานจะเชื่อมั่นได้หรือไม่ว่าหลี่รั่วถงจะกลับมา
พลันครุ่นคิดในหัวแล้วเข่าทั้งสองข้างของเซียวโม่โฉวถึงกับทรุดฮวบ
“คงไม่เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นใช่หรือไม่ ข้าไม่อาจช่วยเหลืออันใดท่านได้เลย”เสียงสั่นพึมพำต่อตนเองอย่างหดหู่ ดวงตากลมใสเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เป็นอีกครั้งที่เซียวโม่โฉวรู้สึกขลาดกลัวกับการจากลา
ติดตามตอนต่อไป >>>
ขอบคุณนักอ่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านค่ะ :กอด1:
โดย หลานฮวา
-
:pig4: :pig4:
-
ไม่เอาแบบเน่
-
:sad4:บีบ❤️ลุ้นตลอดว่าเมื่อไหร่ที่จะรู้อดีต :hao5:
-
:pig4:
-
บทที่ 13
ห่วงใย
ความกระวนกระวายใจนำพาผู้ที่รอเดินวกไปวนมาภายในเรือนเสี้ยวจันทรามิได้ว่างเว้น แววตาหวาดหวั่นชะเง้อมองดูประตูอยู่ทุกชั่วขณะจิต ทั้งเหอจี๋และทู่จึได้แต่ยืนมองเจ้าของเรือนกระสับกระส่ายมิได้นั่งมาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว
“ท่านนั่งรอก่อนดีหรือไม่ขอรับ เดินเสียมากมายเดี๋ยวแผลที่มือของท่านจะหายช้านะขอรับ”
“เจ้าจะให้ข้านั่งรออย่างใจเย็นได้เช่นไร ในเมื่อนายท่านของเจ้าป่านนี้ยังมิกลับมา ผ่านมาถึงสามชั่วยามแล้วจะให้ข้านิ่งดูดายได้อย่างไร”
“ข้ามิได้ใจเย็นหรอกของรับ แต่ข้าเพียงมั่นใจว่านายท่านของข้านั้นเก่งกล้าสามารถ และต้องกลับมาปลอดภัย”เหอจี๋กล่าวพร้อมรอยยิ้มที่พอทำให้คนใจร้อนอุ่นใจได้บ้าง
“ดูเจ้าจะเป็นห่วงเป็นใยหลี่รั่วถงมากนัก หากคนผู้นั้นมีอันเป็นไปเจ้าก็จะสบายแล้วมิใช่หรือ ไม่ต้องสิ้นสลายกลายเป็นพลังวิญญาณไร้ค่า และสามารถทำตามแต่ใจเจ้าปรารถนาได้อีก”
“ระวังปากของเจ้าหน่อยเถิด พูดเรื่องไม่เป็นมงคลเช่นนี้เห็นทีจะมิต้องถึงมือนายท่านเป็นแน่!”ความปากไวไม่เท่ามือไวของเหอจี๋ที่เข้ารวบลำคอของทู่จึจอมปากมากเข้าบีบแน่น ยามสีหน้าคุกรุ่นและแววตาดุดันนั้นช่างหน้าหวั่นเกรงได้เช่นกัน
“แค่กๆ ขะข้าหายใจไม่ออก!”
“ยังจำเป็นต้องหายใจอยู่อีกเช่นนั้นหรือ!”
“พอเถิด พวกเจ้าจะทะเลาะกันให้ได้อะไร ส่วนเจ้าทู่จึ! ยามนี้เจ้ายังสามารถโลดแล่นเป็นอิสระในที่แห่งนี้เพราะผู้ใดเมตตา เจ้าก็ควรนึกคิดให้ถี่ถ้วน หลังจากนี้ข้าคงจะไม่ได้ยินเจ้าพูดเรื่องไม่ดีเช่นนั้นออกจากปากของเจ้าอีก”แววตาขึงขังมิชอบใจในตำกล่าวที่สามหาวของปีศาจกระต่ายนัก หากยามนี้จิตใจของเซียวโม่โฉวหยาบช้าคงนั่งหัวเราะร่าสมใจในสิ่งที่เกิดขึ้นไปนายแล้ว มิต้องดิ้นหนีจากจูเกิงเฉิน ยื่นมือรับข้อเสนอที่อีกฝ่ายมอบให้ ไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจอยู่เช่นนี้
หากแต่ใดๆ ล้วนไปเป็นเช่นนั้น ในใจที่ร้อนรุ่มกลับเป็นห่วงจ้าวชีวิตของตนเสียเหลือเกินในยามนี้
“ขะข้า.....ข้าขอโทษ”
“ครานี้ข้าจะทำเป็นไม่ได้ยิน ครั้งหน้าเจ้าจงไตร่ตรองคำพูดเสียให้ดีก่อนที่เจ้าจะพูกออกมาเข้าใจหรือไม่”น้ำเสียงที่ลดความขุ่นเคืองถอนหายใจใบหน้ายังคงไม่สดใส
“นั่นท่านจะไปที่ใดหรือขอรับ!”
“ข้าจะไปรอหลี่รั่วถงข้างนอก”ความกังวลไม่อาจขังบุรุษหนุ่มไว้ได้อีกต่อไป พลันเอื้อมมือเข้าผลักบ้านประตูให้เปิดออก ทว่าจังหวะนั้น เหอจี๋กลับเรียกรั้งเอาไว้
“ดะเดี๋ยวขอรับ! ข้าทราบได้ ยามนี้มีผู้คนผ่านประตูดินแดนพิภพแห่งหยินมาแล้วขอรับ ข้าว่ารีบไปยังที่นั่นเถิด”
ครั้นเหอจี๋กล่าวเช่นนั้นเซียวโม่โฉวก็รีบทะยานออกไปตามคำบอกอย่างรวดเร็วโดยมิได้พูดจาอันใดให้เสียเวลา
ใจของเซียวโม่โฉวยามนี้ร้อนรนดังไฟ ความห่วงใยมากล้นจนไม่อาจเก็บกลั้นไว้
ทันทีที่เซียวโม่โฉวมาถึงยังประตูเข้าสู่พิภพแห่งหยิน ผู้ที่เดินผ่านเข้ามาแล้วนั้นมีด้วยกันสามคน หนึ่งเป็นหวางหรูอี้สองเป็นติงเจิ้งหวา และอีกหนึ่งเป็นใครไม่ได้นอกเสียจากเจ้าพิภพแห่งหยิน ทว่าจากสีหน้าและท่าทางแล้วดูไม่สู้ดีนัก ก็พอรู้แล้วว่าเหตุการณ์เป็นเช่นไร
“พวกท่าน.....เป็นเช่นไรบ้าง”
“เรื่องนั้นค่อยถามไถ่เถิด พวกข้ามาส่งหลี่รั่วถง”หวางหรูอี้กล่าวมองไปยังผู้ที่เดินมาสีหน้าไม่สู้ดี หากแต่ยังเดินเหินได้ด้วยตนเองเพียงบรรยากาศรอบกายดูน่าอึดอัดไม่น้อย
“นะนายท่านขอรับ”เหอจี๋รีบเข้าไปประคอง หากแต่กลับถูกปฏิเสธ
“ข้าไม่เป็นอะไรมาก พวกเจ้าทั้งสองกลับไปพักผ่อนกันได้แล้ว ขอบใจพวกเจ้ามาก”
“เช่นนั้นข้าลา รับรองว่าเรื่องนี้คงรู้ไปถึงสวรรค์ ท่านเร่งรักษาตัวให้ดีอีกไม่นานคงต้องเข้ารายงานเรื่องที่เกิดต่ออวี้หวงต้าตี้ในไม่ช้า”เป็นติงเจิ้งหวาที่กล่าวขึ้นสบตากับหลี่รั่วถง ที่เพียงพยักหน้าตอบรับ
“ไว้ข้าจะแวะมาใหม่”เจ้าของเส้นผมขาวพิสุทธิ์ไร้แววตาของการหยอกเย้าอย่างวันวาน เซียวโม่โฉวที่ยืนมองนิ่งมิได้พูดจาอันใด เพียงค้อมกายส่งเจ้าพิภพทั้งสอง
ครั้นส่งผู้มาเยือนเสร็จแล้ว เซียวโม่โฉวจึงได้มีโอกาสถามไถ่ร่างสูงที่อยู่เบื้องหน้า
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บหนักตรงไหนหรือไม่”
“มิต้องเป็นห่วงข้า ตัวเจ้าเถิดเป็นเช่นไรบ้าง?”
ผู้ถูกถามเพียงส่ายหน้า หากแต่สายตากลับจับจ้องไปยังคราบโลหิตบนอาภรณ์สีดำที่ยังหลงเหลือให้มองเห็น ยามนั้นดวงตาคู่สวยจึงระคนไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจได้
“ว่าเช่นไร การส่ายหน้าของเจ้าข้าหาได้เข้าใจความหมาย”
“ข้าไม่เป็นไร”มือที่บาดเจ็บเลื่อนซุกไว้เบื้องหลัง คลี่ยิ้มบางให้แก่หลี่รั่วถงแววตาเศร้าหมอง หากแต่เป็นความเศร้าเพราะผู้ที่แสร้งเข้มแข็งเบื้องหน้าเสียมากกว่า
“มาใกล้ข้าอีกหน่อยเถิด”เสียงทุ้มที่หาได้แข็งกร้าวกล่าวขึ้น เหอจี๋ที่ยืนอยู่ใกล้พยักหน้าให้เซียวโม่โฉวปฏิบัติตาม ก่อนค้อมกายถอยออกไปราวกับรับรู้ได้ว่ายามนี้สถานการณ์ตนควรจะวางตัวเช่นไร
เซียวโม่โฉวย่ำเท้าเข้าใกล้หากแต่มิใกล้พอดังใจต้องการของหลี่รั่วถง ผู้เรียกหาจึงยอมก้าวไปเบื้องหน้าด้วยตนเอง ลดระยะห่างให้เหลือเพียงหนึ่งก้าวสั้นๆ
“หากเจ้ายืนอยู่ไกล ข้าจะมองเห็นได้ชัดเจนอย่างไรว่าเจ้าปลอดภัยดี”ดวงตาคมกวาดมองสำรวจกายของเซียวโม่โฉวอย่างถี่ถ้วน คิ้วเข้มขมวดมุ่นมือข้างหนึ่งเอื้อมคว้าลำแขนที่แอบซ่อนไว้เบื้องหลังเลื่อนประคองมือบาดเจ็บของบุรุษหนุ่มนัยน์ตาเจ็บปวดราวกับอยากเจ็บแทนเสียเอง
แม้อีกฝ่ายจะพยายามดึงมือที่ไม่ได้น่ามองกลับ ทว่าอีกฝ่ายมิได้ปล่อยให้ทำเช่นนั้น
“ข้ามิได้เจ็บปวดอันใด เหอจี๋บอกข้าว่าอีกไม่กี่ชั่วยามมันก็จะหายเป็นปกติ”เสียงใส่กล่าวตอบ ดึงสายตาที่จดจ้องมองไปยังมือที่บาดเจ็บของตนให้เงยหน้าขึ้น
“มาเถิด ข้าจะใส่ยาให้เจ้า”
“ข้าใส่ยาแล้วท่านมิต้องทำเช่นนั้นให้ข้าหรอก ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเพียงวิญญาณรักษาไปก็หาได้มีประโยชน์”
“วิญญาณแล้วอย่างไร เจ้าก็มีความรู้สึกนึกคิดเฉกเช่นผู้คนทั่วไป ข้ามิอยากให้เจ้าเอาเรื่องเหล่านี้มาตัดสินคุณค่าของตัวเจ้าเอง”
“ข้า....คือข้า.....”
“มาเถิด”หลี่รั่วถงวางมือจากลำแขนของเซียวโม่โฉว หันหลังให้และก้าวเดินไปยังทิศทางของเรือนตนเอง ทว่าก้าวไปเบื้องหน้าเพียงไม่กี่ก้าว ความอดทนอดกลั้นก็พลันตีรวนจนเกินควบคุม กายสูงสง่าหยุดชะงักสำลักเอาโลหิตที่เคยเป็นสีแดงกลับกลายเป็นสีดำน่าขลาดกลัว อันเกิดจากพิษของฝ่ามือมารของจูเกิงเฉิน เซียวโม่โฉวถึงกับตาเบิกโพลงรีบถลาเขาประคับประคองแววตาตระหนก คล้ายหยาดน้ำตาบางๆ ที่สั่นไหวในแววตาปริ่มของตาที่ร้อนผ่าวขึ้น
“เหอจี๋มาช่วยข้าที”เซียวโม่โฉวร้องเรียกอย่างตระหนก ก่อนจะช่วยกันประคับประคองหลี่รั่วถงไปกับเรือนหลักอย่างรีบร้อน แม้จะถูกสั่งห้ามมิให้วุ่นวายแต่ผู้ที่ห่วงใยย่อมเย็นมิได้แม้แต่น้อย
“ขอบใจเจ้ามาก ยามนี้เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”
“แต่ท่านอาการไม่สู้ดี ให้ข้าอยู่ตรงนี้ บางทีข้าอาจช่วยเหลืออะไรท่านได้บ้าง.....ท่านช่วยเหลือข้าไว้ ขอให้ข้าได้ทำสิ่งใดตอบแทนท่านบ้างเพียงเล็กน้อย อย่าได้ปฏิเสธน้ำใจข้าเลย”
“กลับกับข้าเถิดขอรับ อย่ารบกวนนายท่านจะดีกว่าขอรับ.....”อีกฝ่ายเป็นเหอจี๋ที่เกรงต่อสายตาและคำสั่งเช่นนั้น จึงพยายามยื้อยุดเซียวโม่โฉวให้เดินตามตนออกไป แต่ยามนี้บุรุษหนุ่มจะดื้อแพ่งเสียแล้ว
หลี่รั่วถงเห็นเช่นนั้น จึงโบกมือเพียงน้อยให้เหอจี๋ปล่อยคนหัวรั้น
“เจ้าออกไปก่อน”
“ขะขอรับนายท่าน หากมีเรื่องอันใดเรียกข้าได้ทุกเมื่อ”หลี่รั่วถงพยักหน้ารับ ใบหน้าที่ดูซีดขาวหลับตาเพียงครู่ ผ่อนลมหายใจให้สม่ำเสมอก่อนลืมตาขึ้นสบตากับบุรุษหนุ่มที่ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว จับจ้องแววตาที่มองมายังตนไม่ไขว้เขว แม้จะเป็นสายตาไม่แข็งกร้าวทว่ากลับซ่อนเร้นไปด้วยความรั้นอยู่ไม่น้อย
“ข้ามิได้ไร้ประโยชน์ ท่านกล่าวแก่ข้าเอง เช่นนั้นก็ให้ข้าทำประโยชน์เพื่อท่านบ้างก็ยังดี”
“หึ! เจ้าดีต่อข้า ไม่กลัวหรืออย่างไรว่าสิ่งที่เจ้าทำไปท้ายที่สุดแล้วอาจสูญเปล่า”
“ข้าอาจเสียใจ แต่ข้าตัดสินใจไปแล้วนั่นคือเรื่องจริง เช่นไรข้าก็มีจุดจบที่รู้ได้ล่วงหน้าถือว่าโชคดีนัก ก่อนถึงเวลานั้นข้าอยากจะทำในสิ่งที่ข้าต้องการ เช่นนั้นมิได้หรือ”
“ข้ามิยักรู้ว่าเจ้าก็รั้นเป็นเช่นกัน”ยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของหลี่รั่วถงเพียงน้อย
“มิได้ สิ่งนั้นข้าเรียกมันว่าความตั้งใจ”
คนเจ็บหัวเราะหงึกเพียงน้อย“เจ้ารู้หรืออย่างไรว่าจะดูแลข้าเช่นไร”หลี่รั่วถงลองถามไถ่ คนถูกถามสีหน้าครุ่นคิด คิ้วได้รูปขมวดมุ่นเสียจริงจัง นึกย้อนไปยังยามผู้คนปกติป่วยไข้
“ข้าพอจะช่วยท่านหยิบยา หยิบสิ่งของที่ท่านต้องการได้ หรือให้ข้าช่วยป่นยาสมุนไพรข้าก็พอทำได้”คนเสนอช่วยเหลือนับนิ้วประโยชน์ของตนเองเสียจริงจัง ไม่รู้เพราะประโยชน์ที่นึกได้น้อยนิดหรืออย่างไรถึงได้ทำสีหน้าฟึดฟัดเล็กน้อย
“ข้ามิต้องการการดูแลเช่นนั้นหรอก”
“แล้วข้าต้องทำเช่นไร ท่านแนะนำข้าเถิด”
“เพียงเจ้าอยู่นิ่งๆ เป็นเพื่อนข้าเท่านั้นก็เพียงพอ”
“แต่ว่า....”
“ตามที่ข้าพูด”
คนอาสาสีหน้าสลดไปเล็กน้อย ราวกับยามนี้ก็หาได้ทำสิ่งใดตอบแทนหลี่รั่วถงได้ หากแต่เช่นนั้นก็ยอมพยักหน้ารับ แล้วพาตนเองไปหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ห่างจากหลี่รั่วถงไปไม่มาก ผู้ที่เห็นใบหน้าหงิกงอเล็กน้อยของบุรุษหนุ่มเพียงซ่อนยิ้มพึงใจไว้ แม้ยามนี้ร่างกายจะอ่อนแอ แต่มีกำลังใจเช่นนี้ใยจะไม่ฟื้นกำลังได้
ครั้นเซียวโม่โฉวยอมนั่งมองอยู่เงียบๆ แต่สายตากลับจดจ้องไปยังหลี่รั่วถงทุกอิริยาบถไม่ว่าอีกฝ่ายจะขยับเคลื่อนกายไปทางใดก็เสมองทุกท่วงท่า พานภาพการต่อสู้ประมือกับจูเกิงเฉินก็ผุดขึ้นในหัว เซียวโม่โฉวยังจำได้ดีที่หลี่รั่วถงปกป้องตนเองจากจูเกิงเฉินอย่างไม่ลังเล ยามนั้นบางอย่างที่คล้ายภาพฝันซ้อนทับขึ้นมาเบื้องหน้า ชวนให้สงสัยไม่ลืมเลือน ทุกอย่างมันแทรกซึมอยู่ในหัวใจแม้กระทั่งความรู้สึกเจ็บปวด ราวกับตนเองเป็นผู้ที่อยู่ในภาพเหตุการณ์นั้น
ตัวข้า.....เกี่ยวข้องกับจูเกิงเฉินและหลี่รั่วถงเมื่อชาติภพที่แล้วมาจริงเช่นนั้นหรือ?
ความสงสัยยังคงวกวนอยู่ในห้วงความคิดยังคงคลางแคลงใจในคำพูดของจูเกิงเฉิน
“ท่านกำลังทำอะไร ให้ข้าช่วยหรือไม่?”เซียวโม่โฉวลุกขึ้นกระฉับกระเฉง ครั้งเห็นหลี่รั่วถงขยับตัวยืนขึ้นเหมือนต้องการทำบางอย่าง
“เห็นทีข้าต้องรบกวนเจ้า”ครั้นหลี่รั่วถงเอ่ยขึ้น อีกฝ่ายจึงรีบถลาเดินเข้าไป
“ให้ข้าช่วยสิ่งใดว่ามาเถิด”
“ช่วยข้าเปลี่ยนชุด”
เซียวโม่โฉวพยักหน้า เห็นด้วยที่จะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ที่อาบเปื้อนไปด้วยโลหิตออกเสีย จึงเร่งรุดขยับถอดเสื้อคลุมตัวยาวด้านนอกออกให้ เซียวโม่โฉวถึงกับต้องแปลกใจกับน้ำหนักของเสื้อคลุมที่ปลดออกมาจากหลี่รั่วถงนั่นหนักกว่าผ้าทั่วไปเป็นสิบเท่า
“ข้ามิเคยรู้มาก่อนว่ามันหนักได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“วางลงเถิด หากหนักเจ้ามิควรถือไว”
“มาเถิดข้าจะช่วยท่านอีกแรง”คนกระตือรือร้นจับเสื้อคลุมยาวตัวหนักไปแขวนไว้แล้วกับมายืนอยู่เบื้องหน้าของหลี่รั่วถง เอื้อมมือทั้งสองข้างเข้ากระตุกรั้งเสื้อทับด้านในให้อย่างไม่รังเกียจ ทว่าจังหวะนั้นมือข้างหนึ่งของเซียวโม่โฉวกลับถูกคว้ากุมเอาไว้เสียแน่น พร้อมกับนัยน์ตาคมที่ก้มลงมองบุรุษหนุ่มไม่ละสายตา
“มือของเจ้า.....ยังเจ็บอยู่อีกหรือไม่”น้ำเสียงถามไถ่อีกคราคล้ายยังกังวลใจถึงบาดแผลที่ปิดเอาไว้
เซียวโม่โฉวจึงส่ายหน้าและยิ้มบางให้แก่หลี่รั่วถง“เล็กน้อยนัก ท่านมิต้องกังวลกับข้ามากนักหรอก”
“จะไม่ให้ข้ากังวลได้อย่างไร ยามเจ้าบาดเจ็บข้าย่อมเจ็บกว่าเจ้าหลายเท่านัก”นัยน์ตาคมคล้ายอ่อนแรง เมื่อแกะผ้าพันแผลของเซียวออกและมองดูร่องรอยบาดเจ็บที่สร้างแผลให้ไม่น้อยบนฝ่ามือซีดขาว
แม้เซียวโม่โฉวจักไม่เข้าใจความหมายที่หลี่รั่วถงกล่าวมากนัก หากแต่ถ้อยคำหวานหูกลับก้องกังวานอยู่ไม่จาง อีกทั้งดวงใจกลับพองโตเสียอย่างนั้น พานเอาแก้มขาวนวลเนียนแต่งแต้มไปด้วยสีแดงระเรื่อและร้อนผะผ่าวตรงพวงแก้มขึ้นมาเสียได้
“ขอบคุณที่ท่านห่วงใยข้า มิได้หนักหนาประเดี๋ยวก็หาย”
“แผลที่เกิดแต่ของวิเศษข้าไม่อาจรักษาเจ้าให้หายได้ในพริบตา แต่ถึงอย่างไรข้าก็เพียงหวังว่าเจ้าจะหายในเร็ววัน”มือหนาประคองมือข้างที่บาดเจ็บของเซียวโม่โฉวขึ้นอย่างทะนุถนอม ก่อนจะก้มใบหน้าลงต่ำมอบจุมพิตไปบนฝ่ามือของเซียวโม่โฉวอย่างไม่รังเกียจ บุรุษหนุ่มเบิกตาโพลงมองการกระทำของหลี่รั่วถงอย่างตกใจ
ครั้นอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นสบตา เซียวโม่โฉวกลับรู้สึกว่านี่มิใช่ครั้งแรกที่ตนได้รับความเอาใจใส่ ทว่าตนกลับรู้สึกราวกับเป็นใครอีกคนที่มิใช่เซียวโม่โฉวผู้นี้ ทั้งความรู้สึกคิดถึง โหยหา และโศกเศร้า ช่างบีบคั้นจิตใจของตนจนต้องหลั่งน้ำตา
แปะ!
น้ำตาที่หลั่งรินไหลผ่านแก้มขาวและหล่นลงบนพื้น อีกหยดที่กำลังไหลอาบแก้มขาวกลับถูกเกลี่ยออกด้วยนิ้วร้อนของหลี่รั่วถง
“น้ำตาของเจ้าข้าไม่อาจรับไหว อย่าได้หลั่งน้ำตาด้วยสีหน้าเจ็บปวดเช่นนั้นอีก เจ้ากำลังทำให้ข้าไม่อาจสู้หน้าบริวารด้วยท่าทีอ่อนแอเช่นนี้ได้”
“ข้า.....ข้าขอโทษ.....”หากไม่ทันเอ่ยจบประโยค ดวงตาคู่สวยไม่ทันกะพริบไล่หยาดน้ำตา หากแต่กลับต้องมาชะงักค้างทุกอิริยาบถเคลื่อนไหวของร่างกาย ทันทีที่ร่างสูงสง่าโน้มใบหน้าจรดริมฝีปากลงบนหางตาราวกับเข้าซับน้ำตาที่เอ่อรื้นแล้วผละออกเพียงเบาพร้อมเอ่ยบางอย่างเสียงแผ่ว
“เจ้ารออีกหน่อยเถิด ข้า.....หลี่รั่วถงผู้นี้จักทำให้เจ้ากลับมาเคียงข้างกับข้าในเร็ววัน และจะไม่ย่อมให้ผู้ใดมาพรากเจ้าไปจากข้าอีกเป็นแน่ ข้าให้สัญญา”
ถ้อยคำที่กล่าวขึ้นอย่างหนักแน่น บอกต่อเซียวโม่โฉวที่บัดนี้สายตาคล้ายว่างเปล่าก่อนจะค่อยๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้าพร้อมกับร่างกายซวนเซราวกับเคลิ้มหลับเอนซบมาเบื้องหน้า หลี่รั่วถงโอบประคองเซียวโม่โฉวเข้าสู้อ้อมกอดอย่างนุ่มนวล ลำแขนที่แข็งแกร่งประคองแผ่นหลังเล็ก บรรจงว่างผู้ที่ไม่ได้สติซึ่งถูกหลี่รั่วถงร่ายมนตร์คาถาให้หลับใหลนอนลงบนเก้าอี้ตัวยาวอย่างเบามือ และจัดการพันแผลให้เซียวโม่โฉวจนเสร็จเรียบร้อย
จากนั้นหลี่รั่วถงจึงได้นำพาตนเองที่อาการไม่สู้ดีมากนักไปยังห้องลับด้านหลังเพื่อฟื้นพลังให้กลับคืน หากแต่ก่อนจะไปสายตาของหลี่รั่วถงยังคงเหลือบมองบุรุษหนุ่มที่นอนหลับตาพริ้มราวกับอาวรณ์
“เจ้าควรจะพักผ่อน เจ้าหายดีข้าถึงจะเบาใจได้”น้ำเสียงพึมพำเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินลับหายไปทางด้านหลังเรือนของเอง
รุ่งขึ้นผู้ที่ตื่นขึ้นคล้ายมีอาการสะลึมสะลือเป็นเซียวโม่โฉวที่ลุกขึ้นพลันกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องอย่างใคร่ครวญคิดอยู่ช้านาน นึกถึงเหตุการณ์สุดท้ายที่ตนเผลอหลั่งน้ำตาต่อหน้าหลี่รั่วถงและจุมพิตที่พลันนึกได้จนรู้สึกอุ่นร้อนตรงที่ถูกสัมผัสขึ้นมา แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นตนกลับลืมสิ้นช่างน่าแปลกนัก ทั้งยังมานอนหลับอยู่ในที่แห่งนี้อีก
“ข้ามาหลับอยู่ตรงนี่ได้อย่างไร”คิ้วที่ขมวดชนชิดส่ายหน้าให้กับตนเองอย่างไม่พึงใจสักเท่าไหร่
“เจ้าตื่นแล้ว”น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นเรียกความสนใจให้แก่เซียวโม่โฉวเป็นอย่างดี ผู้ที่อ่านตำราอยู่มุมหนึ่งของห้องจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลี่รั่วถง
ผู้ที่ถูกเอ่ยทักจะทำอย่างไรได้นอกเสียจากรีบกุลีกุจอลุกขึ้นสีหน้าตาตื่น อีกทั้งยกยกมือขึ้นตบแก้มตนเองเรียกสติพร้อมกับสะบัดศีรษะไปมาสองสามคราเห็นจะได้
หลี่รั่วถงที่จ้องมองอยู่ก็พลันนึกขบขันในใจกับท่าทางประหลาดเช่นนั้น
“ขะข้าขออภัย ข้าไม่รู้ตัวว่าตนเองมานอนในที่ของท่านตั้งแต่เมื่อไหร่”บุรุษหนุ่มค้อมกายก้มศีรษะลงอย่างรู้สึกผิด เพราะระลึกได้ถึงคำพูดตนที่หวังจะมาแทนคุณโดยการช่วยเหลือดูแลหลี่รั่วถง หากแต่กลับมานอนเหยียดยาวอย่างคนเกียจคร้านช่างเป็นภาพที่น่าอายนัก
“ช่างเถิด หากเจ้าตื่นแล้วไปเดินเล่นด้านนอกเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้หรือไม่?”คนเอ่ยถามยืนคอยอยู่ตรงประตูทางออก ไยจะปฏิเสธได้ในยามนี้
“หากเป็นความต้องการของท่าน ข้าก็ยินดี”มือข้างที่เป็นแผลยกขึ้นลูบแก้มเย็นของตนเองอย่างแก้เก้อ จึงทำให้เซียวโม่โฉวสังเกตได้ว่า มือของตนนั้นคลายความเจ็บ และเบาบางลงอีกทั้งยังถูกเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ใหม่ สายตาที่จับจ้องไปยังมือของตนจึงมองเลยไปยังหลี่รั่วถงที่เปิดประตูรอท่า
ร่างสูงที่ไม่รีบร้อนยังคงคอยอยู่ไม่เอ่ยเร่งเร้า เซียวโม่แวมองไปร่างสูงสง่าที่ทุกท่วงท่าดูสงบเยือกเย็น ดวงใจที่สั่นไหวพลันทำให้นึกถึงจุมพิตบนฝ่ามือที่ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ความฟุ้งซ่านในใจทำเอาบุรุษหนุ่มถึงกับต้องหลบสายตาหลี่รั่วถงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินไปหาผู้ที่คอยท่าอยู่ไม่พูดจาใดๆ
ท่ามกลางลมหนาวที่โชยมาสองบุรุษเดินเคียงกายไปท่ามกลางกลีบดอกท้อที่โปรยปรายดั่งสายฝน ผู้ชำนาญเส้นทางเดินนำลัดเลาะไปกระทั่งถึงสวนบุปผาพันปีที่ไม่เคยโรยรา กระทั่งหลี่รั่วถงหยุดก้าวเดิน มีเพียงเซียวโม่โฉวที่ก้าวเท้าไปข้างหน้ากวาดสายตามองดูบุปผชาติเบื้องหน้าราวกับอัศจรรย์ใจ
“เจ้าชอบมันหรือไม่”
“ข้าชอบ นึกไม่ถึงว่าจะมีที่เช่นนี้อยู่ด้วย ข้าไม่เคยรู้เลยว่าลึกเข้าไปในป่าท้อจะมีสิ่งสวยงามีกมายมาย”
“หากเจ้าชอบข้าจะอนุญาตให้เจ้าเข้ามายังที่แห่งนี้ได้ ทว่าเพียงตัวเจ้าเท่านั้น ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์เหยียบย่างเข้ามา”
“หากเป็นที่ที่ท่านหวงแหนเช่นนี้.....ไม่จำเป็นต้องใจดีกับข้าก็ได้”ผู้ที่ยิ้มรื่นเปลี่ยนเป็นหุบยิ้มเสียทันทีก่อนจะหยุดเท้าตนเองที่กำลังก้าวไปเบื้องหน้าให้ถอยกรูดกลับมาสงบเสงี่ยมเช่นเคย
“ที่ข้ากล่าวเช่นนั้น เพียงเพราะอยากให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่ข้าอยากให้เจ้าได้เห็นมันแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น”
“ท่านกลัวหรืออย่างไรว่าผู้อื่นจักรู้ความลับว่าแท้แล้วจ้าวพิภพแห่งหยินที่น่าเกรงข้ามชื่นชอบสิ่งสวยงาม”มิใช่ว่าไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย หากแต่เซียวโม่โฉวเพียงแสร้งโง่เขลา นึกอยากเห็นสีหน้าของผู้ที่เอาแต่ปั้นหน้านิ่งแม้กล่าวสิ่งที่ราวกับเกี้ยวพาราสีผู้อื่นเช่นนั้น
“ความลับของข้าให้เจ้ารู้เพียงผู้เดียวก็เกินพอ”
“เห้อ.....ข้าโชคดีหรือร้ายกันแน่ ที่ได้รู้ความลับของท่านเช่นนี้”เซียวโม่โฉวแสร้งถอนหายใจแล้วหมุนกายชะเง้อมองสวนบุปผา แม้ในใจนึกไปว่าอีกไม่นานเขาก็ต้องสลายหายไปพร้อมกับความลับนี้ในไม่ช้า ทว่าจังหวะที่ครุ่นคิดกลับถูกรั้งด้วยมือหนาให้หันมาประจันหน้ากับร่างสูงกะทันหัน
“แล้วเจ้าอยากรู้คำตอบหรือไม่ดี? ร้าย? ข้าจะบอกให้”สายตาคมก้มลงมองเซียวโม่โฉว ยามนี้คล้ายกำลังหลบดวงตาของหลี่รั่วถง น้ำเสียงอึกอักที่ตอบอยู่ในลำคอและท่าทางงุ่มง่ามก็มิต้องถามสิ่งใดอื่นแล้ว
“คือ...เอ่อ....ข้า ข้า”
“เสียงของเจ้าไยจึงหายไปเช่นนั้น” ใบหน้าที่คล้ายหลบซ่อนดวงตาถูกเชยขึ้นมาให้ตอบข้อข้องใจ
“เอ่อ....ขอไปดูทางโน้นได้หรือไม่ เมื่อครู่ข้าเห็นว่ามีนกหน้าตาประหลาดเกาะอยู่แถวนั้น”มือไม้ที่ชี้ออกไปหาเหตุผลเพื่อถอยห่างจากมือหนาที่สัมผัสกรอบหน้าอย่างว้าวุ่นในอก
“ตามใจเจ้าเถิด”ขณะที่เซียวโม่โฉวจะผละออกไป ทว่าผู้ที่ขานรับคำขอกลับรั้งไว้ เอ่ยบางอย่างสีหน้าห่วงใยต่อเซีวโม่โฉว“แม้ตัวเจ้าจะอยู่ในสายตาของข้า หากแต่เมื่อยามห่างกายข้าเจ้าก็จะต้องระวังและดูแลตนเองเข้าใจหรือไม่”
“ข้าจะระวัง”
“คำตอบของเจ้าข้าพอจะเบาใจได้หรือไม่”
“ท่านอย่าได้กังวล ข้ารู้ว่าต่อแต่นี้ข้าควรจะระวังตนเองเช่นไรเชื่อใจข้าเถิด”จากหลบหลีก ยามนี้เซียวโม่โฉวกลับกล้าสบตากับหลี่รั่วถงอย่างเปิดเผย อีกทั้งแสดงสีหน้าที่เข้าใจความหมายในสิ่งที่หลี่รั่วถงกล่าวอย่างดี “ทางข้างหน้าสูงต่ำใช่หรือไม่ ข้าจะระวังมิให้ลื่นล้มทับต้นไม่ของท่านก็แล้วกัน”ยิ้มบางจุดขึ้นบนใบหน้าของบุรุษหนุ่ม สองเท้าที่ก้าวเดินไปเบื้องหน้าซ่อนรอยยิ้มที่กว้างขึ้นไว้มิให้ผู้ใดมองเห็น
ยามนี้ข้ามีความสุขจะกล่าวได้หรือไม่ว่าข้าเสียสติไปเสียแล้ว หัวใจของข้ากำลังสั่นไหวให้กับหลี่รั่วถงจนยากควบคุม ข้าเป็นเพียงวิญญาณต่ำต้อยหากแต่ใจใฝ่สูงคิดเลยเถิดเช่นนี้ได้อย่างไร
แม้จะรับรู้ว่าอนาคตเบื้องหน้าจะเดินไปยังทิศทางใดข้าก็ยังยิ้มได้หน้าชื่นตาบานเช่นนี้น่าหัวเราะจริงเชียว แต่หากไม่ผิดอันใดข้าก็อยากจะหายไปพร้อมกับความรู้สึกอุ่นใจเช่นนี้ ความรู้สึกที่มีใครสักคนให้ความสำคัญแก่ข้าไม่เสื่อมคลาย
ติดตามตอนต่อไป >>>
ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่านค่ะ
โดย หลานฮวา
:กอด1: :กอด1:
-
o13
:L1: :pig4: :L1:
-
:pig4:
-
บทที่ 14
เดิมพัน
วังหิมะ
ท่ามกลางความหนาวเหน็บสิ่งที่เยือกเย็นกว่าอากาศนั้นกลับเป็นผู้ที่นั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆ มาร่วม 3 ราตรีแล้ว ดวงตาที่ปิดสนิทบ่งบอกได้ว่ายามนี้ต้องการพักรักษาตนเอง ห้ามมีผู้ใดเข้ามาวุ่นวาย หากแต่ข้างกายนั้นกลับมีลี่ถิงบุรุษหนุ่มวัยแรกแย้มที่เกิดแต่รากบัววิเศษคอยเฝ้าจูเกิงเฉินอยู่ไม่ห่าง ดวงตากลมใสจับจ้องคอยมองปฏิกิริยาของผู้เป็นนายไม่วางตา เนิ่นนานเท่าระยะเวลาที่จูเกิงเฉินกลับมาด้วยสภาพสะบักสะบอม
การต่อสู้ครั้งนี้ระหว่างจูเกิงเฉินและหลี่รั่วถง นับว่าไม่รุนแรงเท่าครั้งก่อนเก่า แต่ก็ทำให้จูเกิงเฉินได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย ความประมาทในพลังของตนเองนั้นกลายเป็นเรื่องโง่เขลา ถึงอย่างไรแม้อีกฝ่ายจะอยู่ในช่วงอ่อนแอก็มิได้มีผลใดๆ ต่อการประมือ
การทำให้จูเกิงเฉินและพวกพ้องจำต้องถอยหนี อาจกล่าวได้ว่าแม้จะสิ้นกำลังแต่ไม่สิ้นหนทาง ความปราดเปรื่องของหลี่รั่วถงในครั้งนี้ทำจูเกิงเฉินพลาดท่าไม่น้อย แม้จะเรียกเหล่าบริวารมาช่วยแต่ก็ยังเพลี่ยงพล้ำให้กับหลี่รั่วถงจนได้
ขณะหนึ่งร่างที่ไม่เคลื่อนไหวใดๆ พลันขยับตัว ลี่ถิงที่คอยเฝ้าถึงกับเบิกตาโพลงดีดตัวลุกขึ้นแทบเซล้ม ก่อนจะปราดเข้าไปคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าจูเกิงเฉินในทันทีไม่รีรอ กระทั่งดวงตาคู่เฉี่ยวคมขยับเปิดออก รอยยิ้มของลี่ถิงก็ปรากฏเบื้องหน้าจูเกิงเฉินราวกับยิ้มต้อนรับผู้ที่มิได้พบเจอกันเนิ่นนาน ยามนี้ดวงใจของลี่ถิงเต้นเร็วรัวอย่างยินดีก็ว่าได้
“นายท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”เสียงเล็กเอ่ยถาม หากแต่ดวงตาคมดุดันกลับเหม่อมองไปยังเบื้องหน้าไม่เอ่ยตอบ สะท้อนแววตาของความเศร้าหมองระคนเจ็บปวดอยู่ลึกๆ
“.....”
“อยากได้อะไรบอกลี่ถิงได้นะขอรับ ลี่ถิงจะหามาให้นายท่านเอง”เสียงใสเอ่ยขึ้นกระตือรือร้น
“หัวใจของข้า เจ้าเอามันกลับคืนมาให้ข้าได้หรือไม่”
“เอ๊ะ?”
“ช่างเถิด ตอนนี้ข้าอยากจะออกไปสูดอากาศข้างนอก”
“ไหวหรือไม่ขอรับ ให้ลี่ถิงช่วยประคอง.....”เด็กหนุ่มเข้าประคองแขน หากแต่กลับถูกสะบัดออกแววตาเย็นเยือกราวกับหิมะรอบกาย ไม่แยแสต่อความช่วยเหลือใดๆ
“เจ้ากำลังคิดว่าข้าอ่อนแอจนไม่มีปัญญาจะเดินได้ด้วยตนเองเช่นนั้นหรือ!”
“มิได้ขอรับ ลี่ถิงมิได้คิดเช่นนั้น”ดวงตากลมใส่หลุบลงต่ำเพียงครู่ หากแต่กลับรีบวิ่งวุ่นเข้าคว้าเสื้อคลุมตัวหนาแขย่งปลายเท้าสุดกำลังเข้าสวมเสื้อคลุมให้จูเกิงเฉินเพราะเกรงต่ออากาศที่เย็นจนสะท้าน
ภายนอกอาจทำให้ร่างกายที่เพิ่งฟื้นแปรปรวนได้ หากแต่ตนเองกลับเพียงสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อบางตัวเก่าที่จูเกิงเฉินเคยมอบให้อยู่เป็นประจำ แม้จะเสื้อผ้าอื่นมากมายก็หาได้อุ่นใจเท่าตัวที่สวมใส่นี้
ก้าวสั้นๆ ที่ย่ำรัวเร็วเดินตามรางสูงให้ทันพยายามรักษาระยะห่างอย่างที่เคยทำ ลี่ถิงได้เพียงมองแผ่นหลังกว้างที่เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวเดียวดาย คล้ายโลกอีกใบที่จูเกิงเฉินสร้างไว้โอบรอบกายตนเองและจมอยู่กับสิ่งนั้นมาตั้งแต่ต้น ยากนักที่จะมีผู้ใดเหยียบย่างเข้าไปได้
“ในสายตาของเจ้าข้าไม่ควรได้รับความรักจากผู้ใดเลยเช่นนั้นหรือ”น้ำเสียงราบเรียบและสายตาที่ทอดมองไปยังปุยหิมะขาวโพลนไกลสุดตาเอ่ยถามลี่ถิงขึ้น
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ”
อย่างน้อยข้าลี่ถิงผู้นี้ก็รักท่านสุดหัวใจ นับตั้งแต่วินาทีที่ข้ามีชีวิตแล้ว ท่านมองไม่เห็นความรักของข้าเลยหรือขอรับ
เสียงรำพึงรำพันไม่อาจสะท้อนออกมาจากจิตใจของลี่ถิงได้
“ตัวข้ารู้ดีว่าเป็นเช่นไร สิ่งที่ข้าถามออกไปคงน่าหัวเราะเยาะสินะ หึ!”
“นายท่าน.....”มือเล็กสัมผัสเพียงเบาตรงชายเสื้อคลุมตัวยาวแต่ไม่อาจหาญกล้ากุมมือใหญ่นั้นเพื่อปลอบประโลมได้
“หรือยามนี้ ข้าไม่มีอำนาจมากพอ ผู้ที่ข้าปักใจรักสุดหัวใจไม่เปลี่ยนแปลงจึงไม่คิดเหลียวมองข้าแม้แต่น้อย แม้ผ่านภพชาติที่ยาวนานก็ไม่อาจเปลี่ยนใจคนผู้นั้นได้ สายตาที่ดูแคลนและรังเกียจเดียดฉันท์นั้นราวกับคันศรปักลงกลางใจของข้านับพันเล่ม เจ้าบอกข้าหน่อยเถิดว่าข้าควรจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ข้าปรารถนามาครอง”
“ลี่ถิงเบาปัญญานัก นายท่านโปรดให้อภัย”
“หรือข้า ไม่ควรพบเจอกับคนผู้นั้นตั้งแต่แรกสินะ”
พลันเอ่ยขึ้นแววตากร้าวก็เห็นภาพวันวานที่ไม่อาจลบออกไปจากความทรงจำที่หยั่งรากฝังลึกลงในจิตใจได้ วันที่หิมะโปรยปรายและหนาวเหน็บเฉกเช่นวันนี้
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินเสียงของข้าหรือไม่!”
มือเล็กเข้าขยับร่างกายที่นอนฟุบลงกับพื้นน้ำแข็งซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะหนาวเหน็บอย่างร้อนใจ
เจ้าของร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลหนีหัวซุกหัวซุนมาจากโลกมนุษย์เพราะถูกมนุษย์ทำร้ายกำลังสลบไสลไม่ได้สติ หากแต่ราวกับสวรรค์เมตตาขีดเส้นให้ ‘เหยว่ถิง’ หญิงงามซึ่งเป็นถึงเทพธิดาผู้เฝ้าสวนบุปผาพันภพของอวี้หวงต้าตี้ ระหว่างที่นางเหาะเหินผ่านมากลับมองเห็นจูเกิงเฉินบาดเจ็บจึงเข้าช่วยเหลือด้วยจิตเมตตา
และด้วยเสียงเรียกที่ราวกับดึงให้ผู้ที่คล้ายจะสลายหายไปด้วยพิษบาดแผลก็พลันได้ฟื้นสติขึ้นมา จากนั้นนางได้มอบกลีบดอกเหลียนฮวาที่เป็นเสมือนยารักษาให้แก่จูเกิงเฉิน
หากแต่ไม่ทันได้กล่าวขอบคุณ ผู้มีบุญคุณกลับหายลับไปในปุยเมฆเสียแล้ว นับแต่วันนั้นจูเกิงเฉินจึงได้ติดตามหา ผู้ที่ช่วยชีวิตของตนกระทั่งได้พบพาน โอกาสมาเยือนหลายคราให้ทั้งสองได้ผูกพันฉันสหาย ปีศาจที่ไร้หัวนอนปลายเท้ากับเทพธิดารูปโฉมงดงามช่างห่างไกลเกินเอื้อมเหลือเกิน
หากแม้ตนในยามนั้นจะไร้ซึ่งพลังแกร่งกล้าสามารถ เหยว่ถิงก็ยังนับเป็นสหายมิได้รังเกียจแม้ด้วยกฎเกณฑ์ของสวรรค์ก็มิอาจขวางกันไมตรีของนางได้ หากแต่สิ่งที่สหายเช่นจูเกิงเฉินมิชอบใจนั้นคือการที่เหยว่ถิงมีบุรุษในดวงใจของนางอยู่แล้ว จะเป็นผู้ใดไปได้หากมิใช่จ้าวพิภพแห่งหยินนามว่าหลี่รั่วถง
การมองดูความรักของพวกเข้าที่งอกงามนั้นช่างเจ็บปวดหัวใจนัก ครั้นจูเกิงเฉินหักห้ามใจตนเองไม่ไหวจึงได้เผยความในใจไปในครานั้น คำตอบที่ได้.....แม้จะตระเตรียมใจมาแล้วก็ไม่อาจแบกรับความรู้สึกผิดหวังนั้นได้ นับวันเหยว่ถิงที่ตนสามารถเคียงใกล้ ก็กลับถอยห่างออกไปไกลสุดแสนเอื้อมถึง
ความรู้สึกเจ็บปวดยามนั้นจูเกิงเฉินไม่อาจลบเลือน และเป็นจุดเริ่มต้นของการไขว่คว้าอำนาจ
“นายท่าน.....นายท่านขอรับ”เสียงเล็กที่เอ่ยขึ้นราวกับดึงความคิดฟุ้งซ่านของจูเกิงเฉินกลับคืน
“เจ้าเรียกข้าด้วยเหตุใด”ครู่หนึ่งที่ดวงตาคมกดลงต่ำมองไปยังรากบัวที่แสนต่ำต้อย แทบหลงลืมไปแล้วว่าผู้ที่ไม่เคยห่างหายในยามยากของตนนั้นเป็นผู้ใด
“ได้โปรด.....”น้ำเสียงสั่นเครือเล็ดลอดออกมาจากปากเล็ก ดวงตากลมใสคิ้วตกจ้องมองไปที่มือของจูเกิงเฉินสีหน้ากังวลใจ “ได้โปรดคลายมือของท่านก่อนเถิดขอรับ”
ลี่ถิงยื่นมือเล็กๆ ของตนเองเข้าประคองฝ่ามือที่กำแน่นจนคมเล็บกดฝ่ามือโลหิตซึมไหลด้วยความทะนุถนอม จูเกิงเฉินที่ละเลยรอบแผลเล็กน้อยมิได้รู้สึกรู้สาใดๆ หากแต่กลับชะงักสายตาไปกับท่าที่ที่ปฏิบัติต่อตนอย่างอ่อนโยนสม่ำเสมอมา ซื่อสัตย์ และไม่เคยหนีหน่ายอย่างลี่ถิง ครู่หนึ่งนัยน์ตาดุดันครวญคิดและตัดสินใจบางอย่างได้
ก่อนจะกล่าวต่อลี่ถิงออกไปว่า
“เจ้าอยู่กับข้ามีแต่ต้องทนทุกข์ และนับจากนี้เจ้าอาจต้องเดือดร้อนเพราะข้า ลี่ถิง.....เจ้าอยากจะเป็นอิสระจากข้าหรือไม่”
ถ้อยคำที่จูเกิงเฉินกล่าวออกมาราวกับอิสรภาพที่ยิ่งใหญ่ ทว่ากลับทำให้หัวใจลี่ถิงแทบสลาย พลันสายน้ำตาที่เอ่อรื้นขึ้นหล่นเผาะอย่างมิรู้เนื้อรู้ตัว
“แม้ท่านจะมิได้ใส่ใจ หากแต่ลี่ถิงก็ไม่ปรารถนาจะไปจากท่าน ชีวิตของลี่ถิงจะมีประโยชน์อันใดเล่าหากท่านมิต้องการแล้ว ฉะนั้นได้โปรดอย่าบอกให้ข้าไปจากท่านเลยนะขอรับ ต่อให้ข้าต้องกลายเป็นเพียงรากบัวเช่นก่อนเก่าแต่ข้าก็มีเพียงนายท่านเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
“เจ้าช่างโง่เขลานัก”แม้ถ้อยคำจะตำหนิหากแต่เป็นครั้งแรกที่มือหนาที่มิเคยเอื้อมหาผู้ใดวางลงบนศีรษะของลี่ถิง แม้จะเพียงแค่อึดใจก็นำความปลาบปลื้มใจให้อยู่ได้นับร้อยปีแกลี่ถิงแล้ว
“ข้ายอมโง่เขลา เพราะข้ามีท่านเพียงผู้เดียว”
“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่า หลังจากนี้จะเกิดสิ่งใดขึ้น”พลันดวงตาคมจ้องมองไปยังเบื้องหน้านัยน์ตาดุดัน “ครั้งนี้จะมิใช่เพียงการใช้กลหลอก ข้าจะเดิมพันทุกอย่างที่ข้ามีเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่แข็งแกร่ง นับแต่นี้จะไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธหรือดูหมิ่นข้าอีกต่อไป”
ลี่ถงรู้ดีว่าในใจของจูเกิงเฉินเต็มไปด้วยไฟแค้นที่มิอาจดับมอดลงได้ ถ้อยคำหักห้ามแม้ลี่ถิงปรารถนาจะกล่าวออกไป แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถหยุดยั้งความคิดนั้นได้ มีแต่จะผลักไสให้จูเกิงเฉินเดือดดาลยิ่งกว่าเก่า แม้ไม่ปรารถนาสงคราม แต่ในเมื่อลงเรือลำเดียวแล้วไยจะต้องหวาดกลัว
“เจ้าจำคำข้าไว้ให้ดีเถิดลี่ถิง จากนี้จะไม่มีผู้ใดกล้าเหิมเกริมต่อข้าอีก”ร่างสูงที่หมุนกายกลับเข้าด้านกล่าวออกไปด้วยใจเด็ดเดี่ยว
ตอนนี้ข้าไม่มีสิ่งใดที่ต้องเสียอีกแล้ว หากไม่แม้แต่จะก้าวออกจากหลุมดำมืด ข้าก็จะไม่มีวันได้รับชัยชนะ!
“นะนายท่าน รอลี่ถิงด้วยขอรับ”ขาเล็กยังคงก้าวตามหลังจูเกิงเฉินไม่ลดละ ตราบใดที่ยังไม่สลายหายไปก็จักจงรักภักดีไม่เปลี่ยนแปลง
สวรรค์
ท่ามกลางเทพเซียนและเหล่าบรรดานางฟ้านางสวรรค์ รวมถึงผู้ปกครองชั้นสวรรค์อย่างอวี้หวงต้าตี้ที่ขึ้นนั่งบัลลังก์หยกขาวพิสุทธิ์บ่งบอกถึงอำนาจบารมีล้นฟ้าเหนือเทพเทวาทั้งปวงในที่แห่งนี้ เสียงแตรสวรรค์สิ้นเสียงลงบรรดาทวยเทพต่างค้อมกายให้ความเคารพผู้เป็นใหญ่กันพร้อมเพรียง บัดนี้ท้องพระโรงแห่งสวรรค์คลาคล่ำไปด้วยเทพเซียนหลากหลายชนชั้น
การยืนเรียงแถวจึงจัดตามขั้นที่สำเร็จและตรงตามตำแหน่งในภพต่างๆ อย่างเคร่งครัด แน่นอนว่า 3 ใน 4 ที่รองลงมาจากชั้นฟ้าที่แยกเป็นพิภพแห่งหยิน พิภพแห่งหยาง และนรกภูมิ ผู้ครองพิภพเหล่านั้นอำนาจเสมอเหมือนเทพเซียนหากแต่สูงขึ้นด้วยตำแหน่งสำคัญจึงอยู่ลำดับแถวหน้าได้
ครั้งนี้นับเป็นการประชุมเรื่องใหญ่ที่ไม่อาจรั้งรอเวลาให้เกิดเรื่องแล้วจึงร่วมแก้ ความมั่นคงของพิภพทั้ง 4 อาจเกิดการสั่นคลอนด้วยปีศาจที่หมายมาดเป็นมาร ที่ริอ่านสร้างความไม่สงบให้ในยามนี้ ผู้ที่จะกล่าวถึงคงไม่พ้นจูเกิงเฉิน หากจะทำเป็นเมินเฉยเพียงเพราะปีศาจชั้นต่ำที่สร้างความวุ่นวายนั้นก็นับคิดผิดมหันต์แล้ว
ยามนี้โลกมนุษย์นั้นแสนปั่นป่วน การเรียกปีศาจนอกรีตที่ซ่อนเร้นกายอยู่ในโลกมนุษย์ให้รวมกันเป็นพรรคนั้นสร้างความตระหนกหวาดกลัวให้แก่ผู้คนนัก ปีศาจบางตนฮึกเหิมเข้าทำร้ายหวังดูดกลืนพลังของมนุษย์ให้ตนเองแข็งแกร่งก็มีมาก เดือดร้อนสะเทือนไปถึงนรกภูมิที่อายุวิญญาณไม่ถึงฆาตจำต้องเร่ร่อนเป็นจำนวนมาก ไม่อาจจับมาได้ตามกฎที่บัญญัติไว้นับหมื่นปี ปัญหาต่างๆ มากมายยิ่งตามมา หากวิญญาณเหล่านั้นแข็งกล้าก็อาจกลายเป็นเครื่องมือของพวกปีศาจได้อีกทาง
แม้หลี่รั่วถงจักเข้าไปจัดการหากแต่ก็ไม่อาจถี่ถ้วนทั้งหมดได้ในคราเดียว อีกทั้งผู้คนยังกล่าวขานว่า ผู้คนที่ล้มตายเป็นฝีมือของพ่อมดร้ายที่ไม่พอใจในตัวฮ่องเต้จิ้นหวางองค์ปัจจุบันที่ไร้วาสนาในอำนาจบารมี หากทว่าจริงแท้แล้วต้นเหตุปัญหาอยู่ที่จิ้นหวางเอง หาได้เกี่ยวข้องกับผู้ใดไม่ เรื่องเลวร้ายมักเกิดขึ้นด้วยกลเกมทางการเมือง หยิบยกเรื่องราวต่างๆ เข้าผูกด้วยกันจนยุ่งเหยิง
“ยามนี้นับว่าถึงคราที่ต้องกล่าวต่อพวกท่านอีกครั้งถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น พวกเจ้าทั้งสามคงรู้ดีใช่หรือไม่ หลี่รั่วถง ติงเจิ้งหวา หวางหรูอี้”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
“เป็นความไม่เอาไหนของข้า ที่ไม่อาจยับยั้งความโอหังของจูเกิงเฉิน และปล่อยให้ช่วงชิงเสี้ยววิญญาณไปได้”ติงเจิ้งหวากล่าวเสียงหนักแน่น คุกเข่าต่อหน้าเทพเซียนทั้งปวงอย่างมิต้องให้ผู้ใดชี้เล็งโทษ
“กระหม่อมก็ด้วย แม้จะมีตรวนสวรรค์อยู่ในมือก็ยังทำให้เกิดเรื่องเช่นนั้นได้”
“หากจะโทษก็โทษข้าเถิด ที่ปล่อยให้จูเกิงเฉินหนีรอดไปได้ ข้าไร้ความสามารถจึงไม่อาจยังยั้งเรื่องเลวร้าย และปล่อยให้บานปลายเช่นนี้”
“ใช่ว่าข้าจะไม่เห็นความผิดของพวกเจ้า อย่างไรก็ไม่พ้นต้องถูกลงโทษ หากแต่ยามนี้มิใช่เวลามารับผิด หนทางแก้ไขต่างหากที่พวกเจ้าควรจะร่วมคิด”สุรเสียงที่ก้องกังวานกล่าวต่อเจ้าพิภพทั้งสาม รวมไปถึงผู้ที่อยู่ร่วมรับฟังในท้องพระโรงแห่งนี้
“เดิมทีจูเกิงเฉินเป็นเพียงปีศาจจิ้งจอกแต่เพราะอุตสาหะบำเพ็ญตนจนกล้าแกร่งในขั้นหนึ่ง อีกทั้งได้ดื่มกินไอปีศาจที่อ่อนแอกว่าจึงมีพลังมากมายได้ ครั้งก่อความวุ่นวายเมื่อพันปีก่อนก็ถูกกำราบไปคราหนึ่งแล้ว ทว่าครั้งนี้กลับฮึกเหิมปรารถนาอำนาจขึ้นมาอีกครา ทางเดียวที่จะตัดให้สิ้นปัญหานั่นคือการปลิดชีพเสียให้สิ้น”
เทพแห่งนักรบที่ดูแลทวารของสวรรค์กล่าวขึ้น เหล่าผู้ที่เห็นด้วยต่างพยักหน้าพึงใจ บ้างก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างกันไป
“กาลนี้เพื่อชดใช้ซึ่งความผิด ข้าจะเป็นผู้จัดการเรื่องทั้งหมดเสียเอง พวกท่านอย่าได้ร้อนใจ”
“เจ้ากล่าวขึ้นมาเช่นนั้นรับผิดชอบไหวหรืออย่างไรหลี่รั่วถง”
“ข้าจะร่วมด้วย อย่างไรเรื่องเหล่านี้ก็เป็นความรับผิดชอบของข้าเช่นกัน”ติงเจิ้งหวากล่าวขึ้นสบตามองอวี้หวงตาตี้อย่างไม่ขลาดกลัวในหน้าที่
“ถึงอย่างไร ครั้งนี้ข้าก็ขอร่วมด้วย”เป็นหวางหรูอี้ที่ก้าวมาข้างหน้า เหลือบมองหลี่รั่วถงที่ไม่แสดงสีหน้าใดๆ หวางหรูอี้ทราบดีว่าสหายของตนมีอุปนิสัยเช่นไร หากเป็นครั้งก่อนเก่าเขาจะอาสานั่งนับศพผู้กล้าก็ยังคงทำได้ แต่ยามนี้หลี่รั่วถงแม้ภายนอกจักไม่สะทกสะท้านแม้แรงคชสารลากดึก แท้แล้วภายในนั้นกลับบอบช้ำเสียมากมาย สหายเช่นเขาจะดูดายได้อย่างไร
“ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่ลำพังพวกเจ้าแน่ใจหรือว่าจะจัดการได้”ชายผู้มีเครายาวสีขาวมือหนึ่งยกขึ้นลูบเคราแสดงสีหน้าสงสัยเคลือบแคลงไปด้วยความไม่เชื่อใจ
“มิใช่ลำพัง ข้าก็จะร่วมด้วย”เทพเอ้อหลางเดินมาเบื้องหน้าวางทวนคู่กายแล้วคุกเข่าคำนับต่อหน้าอวี้หวงต้าตี้ “เรื่องความสงบมิใช่ต้องผลักภาระให้ผู้ใดคนใดคนหนึ่ง หากแต่ก็เป็นหน้าที่ที่ข้าเองก็มิอาจนิ่งนอนใจได้เช่นกัน พระองค์โปรดเห็นชอบด้วย”
“ในเมื่อตัดสินใจกันเช่นนี้ ความหวังของข้าก็อยู่ที่พวกเจ้าแล้ว”
ภายหลังจากการประชุมใหญ่ผู้คนต่างทยอยกลับออกไปบัดนี้ท้องพระโรงจึงเหลือเพียงอวี้หวงต้าตีและหลี่รั่วถงที่ยังคงอยู่ สิ้นหูตาเทพเซียนทั้งหลายเวลาอันเป็นส่วนตัวบรรยากาศไม่ชวนพิสมัยนัก
“เจ้ามีสิ่งใดจะกล่าวต่อข้า”สายตาผู้ทรงอำนาจมองมายังผู้ที่รั้งท้าย อีกทั้งยังก้าวเดินลงจากบัลลังก์หยกมาหยุดยืนต่อหน้าหลี่รั่วถง กายทิพย์ที่เปล่งประกายเจิดจ้าคล้ายรัศมีผู้มีบุญบารมีหาผู้ใดเทียบ
“พระองค์ทราบดีไยจึงถามข้าเช่นนั้น”
“ข้าจะรู้ดีไปกว่าจิตใจของเจ้าได้อย่างไรกัน แม้ข้าจะเป็นใหญ่ในที่แห่งนี้ ก็มิได้หมายถึงข้าจะล่วงรู้ไปถึงจิตใจของทุกผู้ทุกคนได้”โอษฐ์ที่แย้มยิ้มดูอิ่มเอิบ ดวงตาที่มองไปยังหลี่รั่วถงยังคงมีเมตตาอยู่มาก
“ข้าเพียงต้องการกล่าวไม่กี่ประโยค จำได้หรือไม่ที่พระองค์เคยให้สัญญาไว้กับข้า”
“ไยข้าจะลืมเลือน หากแต่เจ้าเพียงอดรนทนรอ ทุกอย่างล้วนเป็นวิบากกรรมของเจ้าและชะตาสวรรค์ เจ้าไม่อาจหลบหนีพ้นได้ ทั้งสองขับเคลื่อนคู่ขนานไปเบื้องหน้าหาได้ลิขิตตามแต่ใจได้ ทั้งข้าและเจ้าก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง”
“แม้พระองค์จะกล่าวเช่นนั้นแต่ผู้ใดเล่าที่ชักนำให้เซียวโม่โฉวต้องพบชะตากรรมที่โหดร้ายในโลกมนุษย์เช่นนั้น ข้าปรารถนาเพียงคนผู้นั้นสิ้นอายุขัยด้วยแก่ชรา คงดีกว่าพบพานเรื่องร้ายเช่นนั้น” น้ำเสียงทุ้มข่มโทสะกล่าวอย่างเป็นธรรม
“เจ้าเป็นหนึ่งในจ้าวพิภพที่มีคุณงามความดีไม่น้อยต่อพิภพทั้ง 4 ไยข้าจะใจไม้ไส้ระกำเช่นนั้นได้”ผู้เป็นถึงประมุขสวรรค์เอื้อมพระหัตถ์เข้าแตะบ่าของหลี่รั่วหลงแย้มยิ้ม ตบเบาๆ ถึงสองครั้งก่อนจะเคลื่อนตัวออกไป ปล่อยให้จ้าวพิภพแห่งหยินยืนใคร่ครวญความคิดตนเองเพียงลำพัง
แม้สวรรค์จะมีความลับมากมายมานับหมื่นๆ ปี ก็ยังไม่เท่าอวี้หวงต้าตี้ผู้นี้ หลี่รั่วถงเชื่อเช่นนั้น
พิภพแห่งหยิน
สามบุรุษที่กลับมายังชั้นฟ้าข้ามผ่านประตูพิภพแห่งหยินก็พลันมีผู้ที่ยืนคอยต้อนรับทำเอาทั้งสามแปลกใจไม่น้อย อีกทั้งแววตากลมใสที่กะพริบมองผู้คนคล้ายระคนสงสัยประกอบกับใบหน้าหวานเกินบุรุษแล้วนับว่าชวนมองอยู่มากโข
“เจ้ามายืนทำอะไรอยู่ที่นี่ ข้ามิได้บอกหรืออย่างไรว่าให้เจ้าเข้าบำเพ็ญตนในระหว่างที่ข้าไม่อยู่”
“ข้าเพียงมารอรับท่าน เกรงว่าจะกลับมาในสภาพไม่สู้ดี”
“เจ้าจะดุไปไย มีผู้ที่คอยห่วงใยไฉนเลยถึงต้องหน้าหงิก จริงหรือไม่”หวางหรูอี้หันไปสบตากับเซียวโม่โฉวที่ก้มศีรษะให้อย่างเห็นด้วย พร้อมกลอกดวงตากลมใสมองไปยังผู้ไม่คุ้นเคย
“ท่านคงเป็นติงเจิ้งหวา ที่ช่วยเหลือไว้ครั้งก่อนต้องขอบคุณท่านมาก ให้ข้าได้คำนับของคุณท่าน.....”
เซียวโม่โฉวเตรียมประสานมือ“ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต”ติงเจิ้งหวายกมือขึ้นห้าม
“ไม่ใหญ่โตได้อย่างไร ท่านช่วยชีวิตข้า”
“หากเช่นนั้น เพื่อเป็นการของคุณ เจ้าก็ช่วยไปรินสุราเตรียมหากับแกล้มให้พวกข้าได้หรือไม่”คล้ายปากพูดแต่ยังคงระแวดระวังสายตาคมที่มองมาให้ร้อนๆ หนาวๆ อยู่ดี
“คนของข้าเป็นเด็กรินสุราให้เจ้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่” ไม่แคล้วคนเดือดร้อนแทนก็เข้าปกป้อง ซ้ำยังเข้ากุมท่อนแขนหักห้ามมิให้เจ้าของดวงตาคู่สวยเป็นเบี้ยล่างของสหายผู้มากเล่ห์อย่างหวางหรูอี้
“ข้ายินดี ให้ข้าทำเถิดอย่างไรหลังจากนี้ข้าอาจไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ต้องการอีกแล้วก็เป็นได้”
“ออดอ้อนเช่นนั้นเจ้าทำดีมาก”เสียงลอยจากปากหวางหรูอี้กล่าวชมเซียวโม่โฉว
“ขะข้ามิได้ออดอ้อน ท่านเข้าใจผิดแล้ว”
“จะว่าอย่างไรหากให้หน้าที่นั้นเป็นของผู้อื่นเสีย เจ้าก็ไปผ่อนคลายกับพวกข้าเป็นไร”เจ้าของเส้นผมสีแดงเพลิงเสนอทางเลือกก่อนเดินนำไปราวกับหลับตามองเห็นที่หมาย
“ขะข้าจะนำทางให้”คนที่ถูกกุมแขนไว้บิดออกก่อนจะก้าวฉับตามติงเจิ้งหวาไป ทิ้งให้หลี่รั่วถงและสหายจอมทรยศยืนสบตากันนิ่ง มองดูท่าทางกระฉับกระเฉงที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งน่าเอ็นดูตามติงเจิ้งหวาไป ขาสั้นๆ พยายามก้าวให้เร็วไว แต่ก็สู้ช่วงก้าวของติงเจิ้งหวามิได้
“มีสิ่งเจริญหูเจริญตาอยู่ในที่แห่งนี้ราวกับน้ำค้างชโลมใจจริงๆ ”หวางหรูอี้ทอดสายตามองยิ้มกริ่มก่อนหันไปหาสหายหน้านิ่งที่แอบมองของรักของหวงวิ่งตามชายอื่นไปนัยน์ตาขุ่นเคืองหากแต่แสร้งนิ่งสงบ
“.....”
“เห็นทีว่าการเลี้ยงดูที่เอาอกเอาใจของเจ้า จะเสริมส่งให้เซียวโม่โฉวดื่อแพ่งต่อเจ้าได้แล้ว ช่างน่ายินดีนัก”คนกล่าวกลั้วหัวเราะอย่างชอบใจ มองร่างบางที่เดินหายไปอย่างนึกขบขัน
“ลิ้นของเจ้ายังจะเอาไว้ลิ้มรสสุราอีกหรือไม่”
จู่ๆ กระบี่สีเงินวาวที่เหน็บไว้ภายในเสื้อคลุมสีดำตัวยาวก็ถูกดึงออกมาต้องแสงเสียส่วนหนึ่ง ความเงาวาวช่างเป็นประกายต้องตาหวางหรูอี้นัก
“เจ้ามันเหี้ยมโหด ไยจะฆ่าฟันสหายของเจ้าได้ลงคอเพียงเพราะข้าพูดแทงใจดำเจ้าได้”หวางหรูอี้กลืนน้ำลายเสียอึกใหญ่หากแต่ปากก็ไม่ลดละ
เขาชินเสียแล้วกลับความน่าหวาดกลัวในระยะประชิดเช่นนี้
“จะลองหรือไม่!”สายตาคมตวัดมองสหายไร้ปรานี
“พวกเจ้า! รอข้าด้วย!”คนถูกข่มขู่เบี่ยงความสนใจไปทางอื่นอยางกะล่อน หลี่รั่วถงได้เพียงแต่มองตามด้วยใบหน้าที่แม้ขุ่นเคืองอยู่ข้างใน แต่กลับแสดงออกมาราวกับว่าไร้ความรู้สึก
ข้าหรือตามใจเซียวโม่โฉว? เพียงข้าไม่ตั้งกฎเกณฑ์ใดๆ ต่อเขาจะกล่าวว่าข้าหละหลวมไดอย่างไร ไม่ดื้อดึงไยต้องควบคุม
ติดตามตอนต่อไป >>>
ขอบคุณค่า :กอด1: :pig4:
โดย หลานฮวา
-
หล่อจิงๆ ใจนี่หล่อม้วกกก
-
รอ
-
:pig4:
-
สายสปอยยยยยยเก่งงงงง55555555 :hao7:
-
:L2: :pig4: :L2:
-
บทที่ 15
การสู้เพื่อพ่ายแพ้...ไร้ค่า
50%
“เหอจี๋เจ้าว่ายามนี้ท้องฟ้าแปลกประหลาดหรือไม่ ไยจึงดูปั่นป่วนราวกับพายุจะโหมกระหน่ำเช่นนั้น”
หากมองให้กระจ่างยามนี้เป็นจริงอย่างที่เซียวโม่โฉวกล่าวขึ้น ราวกับเรื่องเลวร้ายที่หลับใหลมานานกำลังแผลงฤทธิ์
“ข้าว่ายามนี้ท่านเข้าไปด้านในเถิดขอรับ กระแสลมแรงอาจทำให้ท่านอ่อนแอลงได้”
“ไม่เป็นไร ยามนี้ข้ารู้สึกว่าตนเองมิได้อ่อนแอเช่นก่อนเก่านัก ตั้งแต่ที่ข้าเพียรพยายามมาก็เห็นว่าครานี้ข้าจะได้ทำตามที่ข้าต้องการในเร็ววัน”
“ข้ายินดีด้วยที่ท่านสามารถทำให้พลังวิญญาณของตนเองแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่อย่างไรก็เข้าด้านในก่อนเถิดขอรับ ข้าเตรียมชาไว้ให้ท่านแล้ว สรรพคุณชาตัวนี้ฟื้นฟูกำลังได้ดีนัก มักใช้ในงานพิธีสำคัญ ข้าเห็นควรว่าท่านควรจะดื่มแต่ร้อนๆ นะขอรับ”
“ขอบใจเจ้ามากเหอจี๋ เจ้าเป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือข้ามาตลอด นับเป็นบุญคุณนัก”
“มิได้ขอรับ เป็นหน้าที่ของข้า”
“เช่นนั้นก็เข้าไปด้านในเถิด”สายตาของเซียวโม่โฉวยังคงเหลือบมองท้องฟ้าอย่างสงสัยก่อนจะเดินเข้าไปด้านในของเรือนเสี้ยวจันทรา
หลายวันนี้เซียวโม่โฉวมิได้ออกไปพบปะผู้ใดแม้กระทั่งหลี่รั่วถง ช่วงเวลาส่วนใหญ่อยู่กับการบำเพ็ญเพียรที่ใช้ระยะเวลาหลายราตรีติดต่อกัน แม้จะไม่ยืดยาวเท่าเทพเซียนที่ไม่ตื่นขึ้นกระทั่งสำเร็จมรรคผลหากแต่วิญญาณที่อ่อนแอเช่นเขากลับทำได้เพียงในระยะสั้น หากแต่หมั่นสะสมตามกำลังของตนก็ว่าได้
ในระยะหลังมานี้ระหว่างที่เซียวโม่โฉวเข้าสมาธิมักฝันเห็นสิ่งประหลาดราวกับมารผจญจิตใจอยู่บ่อยครั้งนัก เรื่องราวที่ไม่ปะติดปะต่อนับว่าจับใจความยังมิได้ หากแต่ก็ทำให้สงสัยใคร่รู้มิใช่น้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้น
สตรีในฝันที่สวยดุจนางฟ้านางสวรรค์ที่อยู่ในความฝันของข้าเป็นใคร?
และยังมีเหตุการณ์น่าสะพรึงที่วนซ้ำในความฝัน สิ่งเหล่านั้นดูเลวร้ายจนต้องสะดุ้งตื่น หากแต่ทุกอย่างช่างมืดมนราวกับกลุ่มเมฆหมอกที่บดบังทุกอย่างไว้ไม่ชัดเจน ทว่าความรู้สึกในความฝันนั้นราวกับตนอยู่ในเหตุการณ์ เหมือนจริงจนรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่าง ราวกับโดนฉีกเป็นชิ้นๆ
ไม่ต่างจากความรู้สึกที่โดนคมดาบปลิดชีพเมื่อครั้งยังมีชีวิต
“เหอจี๋.....”เสียงเรียบที่เรียกขานในมือประคองถ้วยน้ำชาอุ่นร้อนส่งกลิ่นหอมกำจายเข้าจมูก ก่อนวางลงเบามือแล้วหันไปมองเหอจี๋ที่เดินรี่เข้ามา
“มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือขอรับ?”
“ข้าเพียงอยากถามไถ่เจ้าสักสองสามประโยค”สายตาคู่สวยกวาดมองไปรอบห้อง มองเห็นทู่จึที่เพิ่งกินหมั่นโถวไปเต็มท้องนอนหลับเหยียดตัวยาวในร่างจำแลงเป็นเด็กวัย 5 ขวบส่งเสียงกรนเบาๆ ในลำคอ แล้วหันไปมองเหอจี๋ที่รอตอบคำถาม
“ว่ามาเถิดขอรับ หรือให้ข้าไล่เจ้าปีศาจตนนั้นออกไปก่อนดีหรือไม่”
“ไม่ต้อง มิใช่เรื่องลับลมคมในอะไรนัก”เซียวโม่โฉวโบกมือปฏิเสธ
“แล้วมีเรื่องอะไรหรือขอรับ?”
“ข้าเห็นว่าเรือนทางโน้นช่างดูเงียบเชียบนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่ายามนี้มีผู้ใดอยู่หรือไม่”สายตาวอกแวกมองมือขาวสลับกับเหอจี๋ก็พอดูรู้ว่ามีความกังวล
“ท่านคิดถึงนายท่านขอข้าหรือขอรับ?”คำถามที่ย้อนกลับมาเถรตรงทำเอาคนเซียวโม่โฉวนั่งไม่ติดเก้าอี้ ลุกขึ้นเดินเหินไปหยิบจับข้าวของดูวุ่นวาย
“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น เจ้าเอาสิ่งใดมาพูด เพียงแต่ข้าไม่ได้ข่าวคราวจึงถามไถ่ขึ้น ผู้อาศัยย่อมต้องรู้ไว้เสียบ้างว่าเจ้าของบ้านเหตุใดจึงหายไปเช่นนั้น”
“ท่านอย่าได้เป็นกังวลใจเลยขอรับ นายท่านเพียงมีภาระที่ยุ่งเหยิง จึงมาพบเจอท่านมิได้ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ขอรับ ท่านให้ข้าส่งจดหมายให้ได้นะขอรับ”
เพียงพริบตาพู่กันและกระดาษก็วางอยู่ในมือของเหอจี๋แล้ว
“ข้าไม่มีสิ่งใดอยากเขียน”
“อย่างน้อยก็บอกกล่าวสิ่งที่ท่านต้องการพูดคุยกับนายท่านก็ได้ขอรับ ข้าเชื่อว่านายท่านต้องดีใจมากแน่ๆ”
“ข้าจะไม่เขียนสิ่งใด”สายตาที่ทอดมองไปยังเบื้องหน้ากล่าวขึ้นหนักแน่น มือข้างหนึ่งยกขึ้นสัมผัสกับลำคอขาวลูบเรียวนิ้วผ่านสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนลำคอคะนึงถึงเสียอย่างนั้น ยามที่นึกถึงหลี่รั่วถงคำพูดครั้งที่ตนพบเจอกับจูเกิงเฉินยังคงสะท้อนก้องในหู
คนผู้นั้นไม่พึงใจสัญลักษณ์ประหลาดที่ติดกายข้า ข้าเองก็ไม่รู้ว่าบนตัวข้าได้สิ่งนี้มาอย่างไร หากแต่เหอจี๋เคยกล่าวว่า ข้าสำคัญต่อหลี่รั่วถง ใช่เรื่องแปลกที่จะประทับตราไว้ซึ่งความเป็นเจ้าของ
ครั้งฟังก็ประหลาดอยู่ในใจ หากแต่ลึกแล้วหัวใจของเซียวโม่โฉวกลับพองโตอิ่มเอมในคำพูดเช่นนั้น
“ข้าจะไปหาด้วยตนเอง กระดาษเพียงแผ่นเดียวจะดีกว่าคำพูดสิบประโยคได้เช่นไร”
ตัดสินใจได้เช่นนั้นบุรุษหนุ่มก็ไม่รอรี รีบร้อนดินออกจากเรือน ผ่านธรณีประตูไปเพียงไม่กี่ก้าวกลับต้องชะงักเท้าเพราะการปรากฏตัวของผู้ที่คะนึงถึงอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เจ้ากำลังจะไปที่ใด?”
ดวงตากลมใสเบิกโพลงมองร่างสูงสง่าตรงหน้าอย่างตกใจ มิคาดคิดว่าจะพบเจอได้เร็วไวราวกับหลี่รั่วถงล่วงรู้ความคิด หากเป็นเช่นนั้นคงจะน่ากลัวเกินไปแล้ว
“นายท่าน? เหตุใดจึง.....”เหอจี๋ที่เดินตามมามีท่าทีแปลกใจ หากแต่สบตากับหลี่รั่วถงจึงได้สงบปากสงบคำ ถอยห่างให้อย่างไม่ต้องกล่าวอะไรมาก
“เจ้าพอจะมีเวลาไปเดินเล่นกับข้าได้หรือไม่”ใบหน้าที่ราวกับต้นไม่ได้น้ำชุ่มชื่นขึ้นครั้นอีกฝ่ายเอ่ยคำชวน กลีบปากบางที่ยกยิ้มขึ้นดูหวานหอมราวกับผลสาลีสุกงอม
“แปลกนัก ข้าเพียงคิดหากแต่ท่านก็มาอยู่ตรงหน้าของข้าได้ ข้ามีหลายสิ่งที่อยากพูดคุยกับท่านเช่นกัน”
“เช่นนั้นข้าก็มาถูกเวลาสินะ”
“.....”ใบหน้าขาวพยักให้ไร้คำพูด หากแต่แววตานั้นได้สื่อความรู้สึกออกมาสิ้นแล้ว
ท่ามกลางสายลมห่มหมอก ยามเจ้าพิภพแห่งหยินเหยียบย่างไป ณ หนใดกลับแหวกออกมองเห็นศิลาที่ทอดเป็นทางเดินยาวไปไกลสุดตา ผู้ที่เดินเคียงกายแม้เป็นบุรุษหากแต่สูงใหญ่ไม่เทียบเท่า ยามสนทนาพูดคุยกลับต้องเงยหน้าเสียหลายส่วน มองดูเพียรพยายามจนน่าขบขัน
“ยามนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง เหอจี๋บอกแก่ข้าว่าท่านมีภาระหนักหนาที่ต้องแบกรับ อีกทั้งร่างกายของท่านยัง.....”
“ข้าดีใจที่เจ้าเป็นห่วงข้า แต่ข้าไม่เป็นไร”
“ท่านพูดเช่นนั้นข้าก็จะเชื่อ แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่เห็นดีเห็นงามด้วยที่ท่านจะหักโหม อย่างไรหากท่านเป็นอะไรไปข้าก็เกรงว่า.....”ครู่หนึ่งที่แววตาเป็นประกายดูสลดไป
“เกรงว่าอย่างไร? ”หลี่รั่วถงหยุดเดินแล้วหันมาพูดคุยกับเซียวโม่โฉว แววตาแข็งกร้าวที่มองเหล่าข้าทาสบริวารยามนี้กลับอ่อนลงราวกับมองสิ่งสวยงามดั่งสมบัติล้ำค่า
“เกรงว่าข้าจะเป็นอิสระเสียเร็ววัน”พูดแล้วก็แสร้งเดินหนีไปซ่อนพวงแก้มขาวที่ร้อนผ่าวและแดงเรื่อเอาไว้ ผู้รู้ทันก้าวเดินตามไม่ลดละก่อนจะจับคว้ามือเซียวโม่โฉวไว้เพียงเบา
สัมผัสอ่อนโยนที่ไม่หาญกล้าที่จะกระทำให้บุรุษตรงหน้านั้นบอบช้ำสัมผัสอย่างทะนุถนอมทำเอาบุรุษหนุ่มปั้นหน้าไม่ถูกนัก จะเหนียมอายก็ดูกระไรอยู่ หากแต่ท่าทีที่หลี่รั่วถงปฏิบัติต่อตนนั่นช่างสั่นคลอนดวงใจนัก
ปฏิกิริยาเก้อเขินของเซียวโม่โฉวก็ช่างชวนมองยิ่ง หลี่รั่วถงแทบจะข่มใจตนเองไม่ไหวหากแต่เช่นไรก็ต้องหักห้าม
ข้าต้องอดทนถึงเพียงใดรู้หรือไม่ ที่จะไม่แตะต้องเจ้าให้เจ้าต้องหวาดกลัว
“ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระไปจากข้าง่ายดายอย่างแน่นอน”แววตาคล้ายเว้าวอนมองเซียวโม่โฉวที่สบตาหลี่รั่วถงไร้สิ้นคำกล่าว“เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าวิญญาณของเจ้าถูกข้าพันธนาการไว้เสียสิ้นแล้ว”
มือหนาเข้าโอบกรอบหน้าที่ยังคงตื่นตะลึงในคำพูดของหลี่รั่วถง ปลายนิ้วอุ่นเกลี่ยไปบนพวงแก้มแผ่วเบา ก่อนเลื่อนลงต่ำสัมผัสกับสัญลักษณ์ดอกโบตั๋นที่ลำคอระหงกดสายตาลงมองพึงใจในความงดงาม
ดวงตาคู่สวยที่จับจ้องกรอบหน้าของหลี่รั่วถงเพียงใกล้ หาใช่ด้วยเวทมนตร์ที่ตรึงความรู้สึกของตนไว้ เสมือนเบื้องลึกภายในจิตใจที่โหยหาบุรุษตรงหน้ามากกว่าอื่นใดนั่นคือคำตอบ
แม้ข้าจะไม่รู้ว่าความรักเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไปมีนั้นรู้สึกเช่นไร แต่หากให้ข้าอธิบายคงจะอบอุ่นหัวใจเฉกเช่นสิ่งที่ข้ารู้สึกตอนนี้เป็นแน่
“ข้าอยากจะกอดเจ้า ข้าทำเช่นนั้นได้หรือไม่”
“ทุกคราท่านถามข้าเช่นนั้นหรือ ยังไม่นับที่ท่านช่วงชิงพลังวิญญาณไปจากข้าอีก”หน้าซื่อตาใส่กล่าวความหลังอันแสนเจ็บใจออกมา สีหน้าคาดโทษค้อนตาใส่หลี่รั่วถงน่าดู แต่ใครเล่าจะกลัวเกรงมีแต่ต้องอยากทำผิดพลาดซ้ำๆ ต่อบุรุษตรงหน้า
“ข้าทำให้เจ้าลำบากแล้ว”แม้เอ่ยอย่างรู้ตัวหากแต่ผู้ที่บริวารเกรงกลัวกลับดึงบุรุษหนุ่มตรงหน้าเข้ากอด มือใหญ่ประคองแผ่นหลังเล็กเข้ากระชับแน่นราวกับจะให้เซียวโม่โฉวจมหายเข้าไปในแผงอกกว้างเสียอย่างนั้น ความรู้สึกรักและหวงแหนล้นเอ่อออกมาเสียจนไม่รู้จะทำเช่นไร
ผู้ที่ถูกรวบกายเข้ากอดตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเพียงครู่ หากแต่ไออุ่นจากลำแขนกว้างกลับทำให้เซียวโม่โฉวสงบใจได้ อีกทั้งยังเอื้อมลำแขนที่เล็กกว่าแม้จะลังเลอยู่บ้างแต่ก็ตัดสินใจโอบบุรุษตรงหน้าตอบด้วยหัวใจที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าแม้สลายกลายเป็นเพียงพลังวิญญาณ อย่างไรก็ได้เป็นของคนผู้นี้ไม่มีสิ่งใดต้องห่วงแล้ว
“นับจากยามนี้ ข้าจะไม่อยู่ที่นี่อีกหลายวัน ข้าไม่อาจนิ่งนอนใจปล่อยเจ้าให้อยู่ที่โล่งแจ้งได้”
“มีอะไรเกิดขึ้น ท่านจะไปที่ใดหรือ?”
“อาจมีบางอย่างที่เจ้าคาดไม่ถึง และเพื่อความปลอดภัยต่อตัวเจ้าข้าจึงห่วงใยนัก คงยังจำได้ถึงความน่ากลัวเกรงของผู้ที่มิได้หวังดีนัก นั่นคือสิ่งที่ข้ากังวลใจ โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่เจ้ายังไม่รู้อีกมากมายนัก”
“เกี่ยวโยงถึงท้องฟ้าที่แปรปรวนอย่างที่ข้าเห็นหรือไม่ แม้ข้าจะมิได้มีญาณวิเศษใดก็รู้สึกได้ว่าทุกอย่างหาได้ปกติเช่นเคย”สีหน้าตระหนกแหงนมองท้องฟ้าในยามนี้ราวกับกำลังอาบย้อมไปด้วยโลหิต
“ข้าไม่อาจตอบคำถามเจ้าทั้งหมดได้ เจ้าเพียงรู้ไว้ว่า.....ข้าไม่อาจปล่อยให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นครั้งที่สอง ไม่ว่าด้วยฝีมือของผู้ใด ข้าจำเป็นต้องขอให้เจ้าอยู่ในที่แห่งนี้เพื่อความสบายใจของข้าได้หรือไม่”
เพียงฝ่ามือโบกหมอกเมฆริมทางที่ลอยต่ำพลันกระจายหายไปส่วนหนึ่ง เบื้องล่างเมฆหมอกปรากฏบึงบัวทองที่ราวถูกปิดกั้นมิให้ผู้ใดพบพาน บัวสีทองดอกหนึ่งคล้ายโผล่ขึ้นจากใต้ผิวน้ำ กลีบดอกที่หุบตูมคลี่ออกราวกับบานสะพรั่งรับแสงสว่างทันตา
“สิ่งนั้นคือ? ”สีหน้ากังวลมองหลี่รั่วถงสลับกับดอกบัวไม่เข้าใจนัก
“ข้ามิได้อยากกักขังเจ้า แต่อยากให้เจ้าเข้าใจข้า”ดอกบัวงามจากบึงลอยขึ้นมาอยู่เหนือฝ่ามือของหลี่รั่วถง แสงสีทองที่เปล่งประกายระยับส่องสว่างอยู่เบื้องหน้าเซียวโม่โฉว
“หมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าจงบำเพ็ญเพียรเพื่อตัวเจ้าเองอยู่ในบัวทองยังที่แห่งนี้ รอข้ากลับมาได้หรือไม่”
เซียวโม่โฉวแม้มิได้ฉลาดปราดเปรื่องนัก แต่ก็คาดเดาเรื่องราวได้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นในอีกไม่ช้า หากแต่ดูจากสิ่งที่หลี่รั่วถงสื่อออกมานั้นคงไม่ต้องการให้ล่วงรู้เรื่องราวไปมากกว่านี้
“ท่านสัญญาต่อข้าได้หรือไม่ว่าท่านจะกลับมารับข้ากลับไป”น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองหลี่รั่วถงพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่จุดขึ้นตรงมุมปาก การกล่าวเช่นนั้นเท่ากับเซียวโม่โฉวเชื่อใจผู้คนตรงหน้าไปแล้ว
ข้าไม่รู้หรอกว่ากำลังเกิดเรื่องใดขึ้น หากแต่สีหน้าและแววตาของหลี่รั่วถงกำลังร้อนใจเช่นนั้นข้าก็ไม่อาจดื้อแพ่งมุทะลุเอาแต่ใจให้มากความ เช่นไรชีวิตของข้าก็เป็นของเขากระทั่งวิญญาณแล้ว
“ข้าจะกลับมารับเจ้าให้เร็วที่สุด”
มือหนาเอื้อมลูบเส้นผมนุ่มละเอียดพลันร่างของเซียวโม่โฉวก็เปล่งประกายวูบหายเข้าไปในดอกบัวทอง กลีบดอกที่บานสะพรั่งหุบตูมดังเดิมก่อนหลี่รั่วถงจะซ่อนดอกบัวนั้นไว้ในบึงบัวแห่งนี้ เนรมิตมัจฉาวารีเวียนว่ายดูแลอยู่ไม่ห่าง หมอกขาวที่กระจายอยู่บางเบาค่อยๆ ปกคลุมก่อตัวหนาขึ้น สายตาคมกวาดมองไปทั่วราวกับสำรวจทุกอย่าง ก่อนจะออกไปจากสถานที่แห่งนั้น และซ่อนเร้นไว้ราวกับบึงบัวแห่งนี้มิได้มีอยู่จริง
-
ตอนต่อ
วาบ!
สายฟ้าที่พาดเส้นเป็นสายบนท้องฟ้าส่องสว่างวาบไปถึงโลกมนุษย์ ยามนี้พายุที่พัดโหมแรงกล้าก็ไม่เทียบเท่าความคุกรุ่นในยามนี้ คงเป็นเรื่องที่ต้องลงบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อีกครา ไม่พ้นนามที่มิมีผู้ใดลืมเลือนได้ว่าจูเกิงเฉินปีศาจที่หาญกล้าก่อสงครามสร้างความปั่นป่วนให้แก่พิภพทั้ง 4 ปรากฏตัวอย่างไม่เร้นหลบอีกต่อไป
บัดนี้เบื้องหลังของจูเกิงเฉินคลาคล่ำไปด้วยบริวารเหล่าปีศาจนอกรีต บ้างก็มาในรูปอสุรกาย บ้างก็มารูปของมนุษย์ที่หาได้มีใบหน้าครบถ้วน ช่างเป็นกองทัพปีศาจแท้ถึงแก่นเสียจริงเชียว
หากนับแล้วครานี้จูเกิงเฉินมิได้มาโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ทว่าครั้งนี้ตระเตรียมการณ์มาอย่างดี กองทัพนับพันตนช่างเป็นสีมืดทะมึนของท้องฟ้าไม่ชวนมองยิ่งนัก กลิ่นอายของความกระหายอำนาจเคล้าอากาศเสียจนอึดอัดนัก
ผู้นำทัพที่ยืนตระหง่านลอยตัวเหนือเมฆแสดงแววตาดุดันไม่ยอมแพ้ เป็นจูเกิงเฉินที่แสยะยิ้มอย่างพอใจครั้งเห็นอีกฝ่ายที่ประจันหน้ารอให้ปลิดชีพ
“พวกเจ้าคงเตรียมใจเพื่อมาพ่ายแพ้ต่อข้าแล้วใช่หรือไม่ นึกไม่ถึงว่าทหารกล้าของพวกเจ้าจะมีเพียงหยิบมือ ช่างน่าหัวเราะนักที่สิ้นผู้กล้า คงกลัวต่อข้าจนมุดหัวมุดหางอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่หรือไม่”
คำเย้ยหยันกล่าวขึ้นเสียงก้องกัมปนาท ยามนี้จูเกิงเฉินไม่อาจถอยหลังหรือยอมแพ้ให้แม้สิ้นชีวาวายก็ให้รู้แพ้ชนะ
“เหตุใดจึงต้องสิ้นเลือดเปลืองแรงให้กับกองทัพปีศาจของเจ้าด้วยเล่า คิดหรือว่ากองทัพของเจ้าจะเอาชนะพวกข้าได้ ตื่นจากฝันเสียทีเถอะ!”หวางหรูอี้ที่สวมชุดเกราะดูเข้มแข็งซ่อนรูปโฉมงดงามเกินบุรุษไว้ภายใต้หน้ากากเหล็ก
“หนทางที่เจ้าเลือกนับว่าไร้ซึ่งความสำเร็จ ข้าละอายใจแทนเจ้านักที่ใฝ่สูงเช่นนี้ เจ้ากับข้านับว่ามีความแค้นพันชาติที่อาจล้างให้สิ้นไปได้ แต่ความทะนงตนของเจ้านั้นหนักหนาเสียกว่าที่ไม่อาจสิ้นสลายไปจากตัวเจ้าได้เลย ถอยตอนนี้พวกข้าจะยังปรานีโทษให้ หากเจ้าก้าวล้ำเส้นไปแล้วทุกอย่างไม่อาจหวนคืน”
หลี่รั่วถงกดสายตาคมกริบมองไปยังนัยน์ตาจูเกิงเฉินที่ไม่อาจปกปิดความฮึกเหิมได้ แววตาที่พานแต่จะนำหายนะมาสู่ตน
ช่างน่าเวทนายิ่งนัก
สิ้นประโยคของหลี่รั่วถง เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นไม่กลัวเกรง
“แล้วอย่างไรเล่า ข้ามาก็เพื่อการณ์นี้ กองทัพของข้าจงมองดูให้ดีเถิด ความทะนงศักดิ์ที่พวกเจ้าเห็นอยู่ตรงหน้าจะเป็นภาพสุดท้ายที่จะได้เห็น เพราะนับจากนี้ ผู้ที่พวกเจ้าจะต้องก้มหัวให้คือข้า!”
ข้าจะยึดทุกอย่างจากพวกเจ้า แม้กระทั่งสิ่งที่หลี่รั่วถงยื้อแย่งไปจากข้า!
สิ้นคำโอหังของจูเกิงเฉิน ดวงตาเฉี่ยวคมพร้อมร่างสูงใหญ่ก็ทะยานเข้าหากองทัพสวรรค์เบื้องหน้าอย่างไม่ยำเกรง ความชุลมุนก่อตัวขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย เสียงฟาดฟันของโลหะและคมอาวุธที่เชือดเฉือนร่างกายพร้อมทั้งเสียงโอดครวญของความเจ็บปวดดังระงมไปทั่ว
ประกายวาบจากโลหะที่กระทบราวกับสายฟ้าฟาดลงไปยังเบื้องล่าง การต่อสู้ที่ไม่อาจยับยั้งกำลังห้ำหั่นกันอย่างไม่ปรานี
ทั้งติงเจิ้งหวาและหวางหรูอี้ต่างเข้าประมือกับเหล่าปีศาจที่เข้ารุมล้อมหวังโค่นล้มจ้าวพิภพเพื่อรับรางวัลเป็นค่าเหนื่อยจากจูเกิงเฉิน คงไม่ง่ายนักที่จะกระทำเช่นนั้น เพียงฝ่ามือเดียวก็ปราบศัตรูสิ้นไปนับสิบตนด้านหลังยังมีผู้ระวังให้เป็นถึงจ้าวนรกภูมิ แม้ไม่เจนจัดในการสงคราม หากแต่ฝีมือก็ไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด โดยเฉพาะดวงตาสีแดงฉานที่ยามปีศาจสบตาก็ขลาดกลัวบั่นทอนความฮึกเหิมไปได้หลายส่วน อีกทั้งยังมีเทพเอ้อหลางที่กระหายหายสงครามเข้าร่วม คำว่าพ่ายแพ้เห็นทีจะยาก
อีกฟากฝั่งเป็นจูเกิงเฉินที่หมายมาดเด็ดหัวหลี่รั่วถงให้ได้ในครานี้ เห็นทีจะมิใช่เรื่องง่ายเมื่ออีกฝ่ายแข็งแกร่งไม่สามารถล้มลงได้ง่ายนัก การต่อสู้ที่ขับเขี้ยวผลัดกันเป็นรองไม่มีผู้ใดยอมปล่อยให้มีช่องว่างเพื่อให้ศัตรูโจมตีได้
“เจ้าควรจะยอมแพ้ไปซะ ประมาณตนเสียบ้างเถิดว่ายามนี้เจ้ามิได้แข็งแกร่งดั่งก่อนเก่า รู้สึกอย่างไรบ้างเล่ากับการเสียไปซึ่งเสี้ยววิญญาณ ความเสียสละของเจ้าน่านับถืออยู่หรอก แต่มันน่าหัวเราะกับความโง่เขลาของเจ้าเสียมากกว่า!”
“ข้าไม่ต้องการความเห็นจากปีศาจจอมโอหังอย่างเจ้า คิดทำการใหญ่เช่นนั้นหรือ! ผู้ใดกันที่ต้องประมาณตน!”น้ำเสียงเค้นเขี้ยวเคี้ยวฟังดังขึ้นพร้อมกับดาบที่กวัดแกว่งไปเบื้องหน้า หลี่รั่วถงถีบตนขึ้นสูงก่อนจะพุ่งตรงไปยังจูเกิงเฉินพร้อมกับปลายดาบที่อาบย้อมไปด้วยอาคม
ทว่าอีกฝ่ายกลับไหวตัวเบี่ยงกายหลบโต้ตอบอย่างรวดเร็วซัดพลังเข้าใส่หลี่รั่วถงหมายให้ร่วงหมดโอกาสโบยบิน
“ข้าไม่มีทางหลงกลเด็กเล่นของเจ้าได้หรอก!”คิ้วได้รูปขมวดมุ่นใช้สายตากร้าวจ้องมองจูเกิงเฉินที่ถอยหลบพัลวัน
“หนอยยย!”เสียงสบถอย่างไม่พอใจครั้นโดนคลื่นดาบของหลี่รั่วถงปะทะเข้าบริเวณขาซ้าย
“เจ้าจะรอดไปได้กี่น้ำกันเชียว”
“หึ! ก็ลองดูเถิด”
ความฮึกเหิมฉายแววผ่านดวงตาของจูเกิงเฉิน กระหายซึ่งชัยชนะในศึกครั้งนี้ เดิมพันที่มีนั้นคือชีวิตของตนจึงไม่อาจพลาดพลั้งได้
“ผู้ใดกันที่โง่เขลา เจ้าคงได้กระจ่างในเร็วนี้เป็นแน่!”
หลี่รั่วถงกล่าวเสียงกร้าวแววตาแทบลุกเป็นไฟ เขาไม่อาจพ่ายแพ้ให้แก่จูเกิงเฉินในครั้งนี้ได้ มิใช่เพียงอำนาจที่จูเกิงเฉินปรารถนา หลี่รั่วถงรู้ดีว่าแท้แล้วความละโมบโลภมากในอำนาจนั้นสาเหตุเกิดจากสิ่งใด
“ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าเจ้าจะต้านทานข้าได้สักเท่าไหร่กันเชียว!”
“ข้าไม่แปลกใจว่าเหตุใดปีศาจเช่นเจ้าถึงไม่อาจสมหวังสิ่งใดได้ ความดำมืดในจิตใจของเจ้ามันหนาเสียจนปิดกั้นเสียทุกอย่าง สมควรแล้ว! ”
“หุบปาก! เจ้าจะเย้ยหยันว่าข้าไม่ควรได้รับความรู้สึกรักจากผู้ใดเช่นนั้นหรือ!”
“เจ้าก็ตรึกตรองให้ดีเถิดว่าเป็นดั่งคำที่ข้ากล่าวจริงหรือไม่”
“เจ้า!”
!!!
หลี่รั่วถงอาศัยจังหวะที่จูเกิงเฉินถูกป่วนจิตใจจนเผยช่องโหว่ของความอ่อนแอ ครานั้นจริงอัดพลังปราณเข้าใส่จูเกิงเฉินอย่างรวดเร็วเพียงตากะพริบ ส่งร่างที่เหาะเหินอยู่ในอากาศร่วงลงสู่เบื้องล่างพลัดตกลงกลางป่าสนบนหุบเขาพันอักษร ต้นไม่ที่อยู่โดยรอบโค่นล้มตามแรงตกของจูเกิงเฉินไปหลายสิบต้น
“อั๊ก!”โลหิตสีแดงกระอักออกจากปาก ก่อนจะไม่ย่อมพ่ายยันกายขึ้นเรียกอาวุธมาอยู่ในมือ
หลี่รั่วถงมิปล่อยให้โอกาสหลุดลอย แม้จะกล่าวว่าเขาไร้ซึ่งปรานีก็หาคณนาคำพูดผู้ใด
“ต่อให้เจ้าดิ้นรนสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจเป็นดั่งที่เจ้าหวัง รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้ากระทำนั้นเดือดร้อนถึงผู้ใดบ้าง ความเคียดแค้นและโกรธเคืองของเจ้ามันลุกลามราวกับพิษร้าย แม้ข้าจะมิได้ดีไปกว่าเจ้าแต่ข้าก็ไม่ปรารถนาอำนาจใหญ่โตเช่นนี้!”
“หึ! เจ้ามิใช่ตัวข้าอย่าเอาคำพูดไร้ความคิดมาตัดสินข้า!!!”ลมหายใจฟึดฟัดกำดาบในมือแน่น อากาศรอบกายของจูเกิงเฉินคล้ายลมพายุหมุนที่โอบล้อมไว้ ดวงตาดำมืดเต็มไปด้วยความค่อนแค้น เล็บคมที่ซ่อนเร้นโผล่ออกมาแยกเขี้ยวคมที่กัดฟันแน่น
ยามนี้ราวกับสิ้นแล้วซึ่งสติยั้งคิด สิ่งเดียวที่สะท้อนเงาในดวงตาคู่นั้นมีเพียงหลี่รั่วถง!
“อย่างไรเจ้าก็ไม่ลืมสิ้นอุปนิสัยชาติเดิมของเจ้า!”
“ข้าจะฆ่าเจ้า! เจ้าแย่งทุกอย่างไปจากข้าแม้กระทั่งความรัก!”
สิ้นเสียงกร้าวร่างของจูเกิงเฉินก็ปราดเข้าหาหลี่รั่วถงในทันที อีกฝ่ายได้แต่หลบหลีกกับความรวดเร็วที่ทะยานเข้าหา
“ชิ!”เสียงสบถไม่พอในที่คมเล็บของจูเกิงเฉินที่ตวัดเข้าโดนใบหน้าโลหิตกระเซ็น เพียงพริบตาเดียวเดียวที่หลี่รั่วถงเบี่ยงกายหลบแต่ทว่า
ฉึก!
จูเกิงเฉินกลับเคลื่อนตัวมาอยู่เบื้องหลังก่อนใช้ดาบเสียบแทงเข้าที่ด้านหลังของหลี่รั่วถงไม่พลาด ปลายดาบทะลุงถึงช่องท้องด้านหน้าน่าสะพรึงโลหิตรินไหลเป็นสายน้ำ อีกฝ่ายถึงกับยิ้มย่องพึงใจหากแต่มิได้หยุดเพียงแค่นั้น หลี่รั่วถงหน้านิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดผละตัวเองให้หลุดจากปลายดาบ มือหนึ่งกุมดาบค้ำยันลงพื้นประคองตนไว้ สายตาจับจ้องไปยังจูเกิงเฉินที่กำลังหัวเราะร่าอย่างได้ใจ
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ ข้าคิดถึงตัวเองในช่วงเวลาที่ใกล้ตายนัก รู้หรือไม่ว่าข้าก็เคยมาที่แห่งนี้ด้วยความสิ้นหวัง!”
“นั่นเป็นเจ้ามิใช่ข้า!”หลี่รั่วถงยิ้มย่องให้กับความอวดดีของอีกฝ่าย พลันจูเกิงเฉินถอยหลังก็ถูกกับดังเวทของหลี่รั่วถงเล่นงานเข้าอย่างจัง ตาข่ายที่ราวกับใยแมงมุมถูกโยงไว้ตามการเคลื่อนไหวของหลี่รั่วถงตั้งแต่แรก ยามนี้ดูเหมือนจะเป็นผล ครั้งจูเกิงเฉินเข้าสู่กับดักก็พลันดิ้นพล่านราวกับถูกสายฟ้าฟาด ส่งเสียงโอดครวญดังลั่นก้องป่า
“อ๊ากกกกกก!”
“ยอมจำนนเสียเถิดยามนี้กำลังคนของเจ้าก็เหลือน้อยเต็มที มองเห็นหรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำให้ปีศาจเหล่านั้นต้องพบจุดจบเช่นไร”จุดสีดำบนท้องฟ้าที่หล่นร่วงเป็นสายไม่ต่างจากหยดน้ำฟ้าที่พร่างพรมลงมาทว่าสิ่งที่เห็นเป็นกองทัพที่กำลังย่อยยับด้วยความฮึกเหิมลองดี
“ฮึก! ข้า! ข้าไม่มีทางพ่ายแพ้เป็นอันขาด!”ครั้นกัดฟันสู้จูเกิงเฉินมิได้ยอมสยบแต่โดยง่าย จึงทลายผนึกที่ถูกเหนี่ยวรั้งไว้ออกสิ้น ความพ่ายแพ้มิได้อยู่ในหัวของจูเกิงเฉินเพราะครานี้อย่างไรก็ต้องชนะ เดิมพันครั้งนี้ผูกไว้ด้วยชีวิต
ทว่าสิ่งที่วาดฝันกลับถูกสยบด้วยกำลังของหลี่รั่วถง แม้จะเพลี้ยงพล้ำให้แก้จูเกิงเฉินและได้รับบาดเจ็บสาหัส หากแต่ครานี้หลี่รั่วถงก็คงไม่ยอมให้อีกฝ่ายทำตามใจแต่โดยง่ายเช่นกัน
ก่อนที่จูเกิงเฉินจะถึงตัว ฝ่ามือข้างหนึ่งของหลี่รั่วถงได้รวบรวมปราณก้อนใหญ่สีดำทะมึนก่อนซัดเข้าใส่อีกฝ่ายจนกระเด็นอัดเข้ากับโขดหินดังสนั่น ยามนี้ร่างของจูเกิงเฉินแน่นิ่งหากแต่ไม่สิ้นสติเสียทีเดียว หลี่รั่วถงย่างสามขุมไปยังผู้คนตรงหน้าโลกหิตสีแดงฉานกระอักออกมาราวกับอาเจียน ความบอบช้ำไม่ต่างกันมากเพียงอีกร่างหยัดยืน อีกร่างไม่สามารถขยับได้
“ครั้งนี้ข้าจะไม่ปรานีต่อเจ้า รู้ใช่หรือไม่ว่าโทษของเจ้านั้นมิใช่ปรานีกันเพียงง่ายดาย!”ดาบในมือที่กำแน่นดวงตาคมจ้องมองผู้ที่ระโหยโรยกำลัง
แม้หลี่รั่วถงจะคิดแค้นแต่มิได้อาฆาตแค้นจนหมายจะบุกไปเข่นฆ่า แต่ทว่าเป็นจูเกิงเฉินที่ดิ้นรนหาเรื่องใส่ตนเอง
“หึ! ลงมือเสีย เพราะหากข้ารอดไปได้ไม่มีสิ่งใดยืนยันได้ว่าข้าจะไม่กลับมาอีก”ดวงตาที่ราวกับค่อยๆ พร่าเลือนขยับปากพูด ในใจของจูเกิงเฉินยามนี้ไม่ปรารถนามีชีวิตหากมิได้รับสิ่งที่ตนต้องการ
“ข้าลงมือเป็นแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าอยากจะพูดกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายนั้นเจ้าจงฟังให้ดี มิใช่เพราะเจ้าไม่ดีพอหรือไร้อำนาจ ผู้คนล้วนมีความคิดต่างเป็นของตนเอง ไม่ต่างแม้เจ้าหรือข้าก็ล้วนไม่อาจคิดสิ่งเดียวกันได้ ข้ารู้ว่าเจ้าปรารถนาแรงกล้าสิ่งใด แต่เจ้าเคยรับรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำนั้นคร่าสิ่งใดไปจากใจเจ้าบ้าง ไม่ผิดที่เจ้ามีจิตใจ แต่ผิดที่เจ้ากำลังทำร้ายจิตใจของตัวเอง”
“ผู้ที่เหยียบอยู่บนชัยชนะเช่นเจ้าจะกล่าวเช่นไรก็ได้สินะ ฮึก!”ยิ้มหยันไม่สิ้นความทะนงตนยังคงขยับปากของตนเอง ทว่าแววตาและความสิ้นหวังล้วนสะท้อนอยู่ในแววตาที่ชอกช้ำน้ำตาแทบไหลริน ทว่ากลับต้องข่มไว้
“ข้ามิเคยโกรธเคืองที่เจ้าชอบพอเหยว่ถิง หรือแม้ติดตามถึงชาติภพนี้ หากแต่ข้าไม่พึงใจที่เจ้าหลงผิดคิดทำเรื่องร้ายแรงเช่นนี้กระทั่งช่วงชิงด้วยเล่ห์อุบายอย่างเลือดเย็น! อีกทั้งยังระดมกองทัพหมายช่วงชิงอำนาจเช่นนี้!”
“แล้วอย่างไรเล่า สุดท้ายเจ้าก็ชนะ! ชักช้าอยู่ไยดาบอยู่ในมือของเจ้าแล้ว”คำยุยงให้ปลิดชีพของตนประกาศกร้าว
“เจ้ามิต้องเรียกร้อง! ข้าไม่ไว้ชีวิตเจ้าไว้แน่”ปลายดาบของหลี่รั่วถงง้างขึ้นสูงสายตาทอดมองจูเกิงเฉินเบื้องหน้า ความคมสะท้อนเงาในแววตาของจูเกิงเฉิน วูบหนึ่งที่ความโศกเศร้าเสียใจฉายชัดออกมาเป็นครั้งสุดท้าย
เดิมพันของข้าสุดท้ายแล้วก็ไม่เป็นผล คงเป็นบทลงโทษของข้าแล้ว เหยว่ถิง.....ข้าขอโทษที่ความรักของข้าทำให้เจ้าต้องพบเจอกับชะตากรรมเช่นนี้ สิ่งเดียวที่ข้าชดใช้ให้ได้คงเป็นชีวิตของข้าเอง
ความคิดที่ละทิ้งไว้ไม่แพร่งพรายออกมา น้ำตาของจูเกิงเฉินที่เอ่อไหลออกจากดวงตาค่อยๆ ปิดลงรับชะตากรรมเบื้องหน้าในวินาทีนั้น
“เจ้ากับข้าขอให้สิ้นแค้นกันเพียงเท่านี้!”
ปลายดาบที่ง้างไว้เต็มไปด้วยปราณตัดวิญญาณพร้อมตวัดฟันลงมาเต็มกำลัง ทว่าวินาทีนั้นกลับทำให้หลี่รั่วถงจำต้องหันเหคมดาบไปยังทิศทางอื่น คลื่นดาบที่สะท้อนเบี่ยงไปรุนแรงจนฝ่าหินภูเขาก้อนใหญ่ให้แตกออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย แต่สิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้นกลับเป็นผู้ที่ปรากฏตัวและเข้ามาบดบังร่างของจูเกิงเฉินอย่างไม่กลัวตาย!
!!!
“ไม่! ได้โปรด!ไว้ชีวิตนายท่านของข้าด้วยเถิด ได้โปรด...ไว้ชีวิตด้วย ฮือๆ” ร่างเล็กที่โถมเข้ามาเปล่งเสียงร้องไห้ราวกับกรีดร้อง ร่างเล็กที่สั่นเทิ้มทำให้จูเกิงเฉินตกใจยิ่งนัก
“จะเจ้า.....เจ้ามาที่นี่.....ได้อย่างไร!”
ติดตามตอนต่อไป >>>
เป็นสาววายธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้นิยมดูหนังจีนสงครามกำลังภายใน :z3:
หากบางฉากบางตอนขาดอรรถรสไปก็ขออภัยด้วยค่ะ
:hao5:
ขอบคุณค่ะ
หลานฮวา
-
o13
:L1: :pig4: :L1:
-
เจ้าตัวเล็กก :hao5: :hao5:
-
:pig4:
-
ควรเห้นสักทีในความรักเนาะ
-
บทที่ 16
โลหิตบนคมดาบ
ร่างของบุรุษหนุ่มที่กำลังสั่นเท่าร้องไห้ฟูมฟาย เสื้อผ้าเก่าขาดเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสกปรกระหกระเหินเดินทางมาไกล บัดนี้กลับเข้าสวมกอดร่างของจูเกิงเฉินซุกใบหน้ากางแขนเล็กบอบบางเข้าปกป้องไม่กลัวเกรงว่ากำลังเผชิญอยู่ต่อหน้าผู้ใด
เสียงร้องไห้ระงมหอบโยนแทบสิ้นใจส่ายหน้าปกป้องนายของตนสุดชีวิต
“อย่าทำอะไรนายท่านของข้าเลยขอรับ หากจะเอาชีวิตก็ได้โปรดรับข้าไปแทนเถอะ ฮือๆ ”
“ลี่ถิง เจ้ามาได้อย่างไร!”กายที่ไม่สามารถขยับได้หากแต่กลับมองบุรุษหนุ่มร่างเล็กที่เข้าปกป้องตนเองอย่างไม่กลัวตาย แม้ร่างกายจะพยายามขยับหากแต่กลับขยับได้เพียงปลายนิ้ว
“นะนายท่าน เป็นอะไรมากหรือไม่ขอรับ กินข้าเถิดท่านจะได้หายดี”น้ำตาที่ไหลเป็นสายยื่นท่อนแขนของตนให้จูเกิงเฉินกัดกิน หากแต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงหน้าหนี้
“เจ้ากลับไปเดี๋ยวนี้!”
“ไม่ ข้าไม่ไป นายท่านได้โปรดอย่าขับไล่ไสส่งข้าอีกเลย หากไม่มีท่านข้าจะอยู่ได้อย่างไร”
“หลี่รั่วถง หากจะเอาชีวิตข้าก็ตามแต่ใจเจ้า แต่มิใช่ลี่ถิง”ใบหน้ากังวลฉายชัด กัดฟันกรอดอดทนข่มความเจ็บ
“ข้าจะไม่สังหารผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”หลี่รั่วถงใช้พลังของตนโยนลี่ถิงออกไป ไม่ลดละหน้าที่แม้จะกล่าวว่าเหี้ยมโหดก็หาได้แยแส
“อย่าทำอะไรนายท่าน! ข้าขอร้อง! ให้ข้าตายแทนเถิด ชีวิตลี่ถิงไร้ค่านักเอาชีวิตข้าไปแทน ฮือๆ ”
ม่านพลังที่กางกั้นไว้ลี่ถิงไม่อาจก้าวข้ามผ่านมาได้ มือเล็กทุบตีม่านพลังราวกับแก้วบางที่ครอบของรักของหวงเอาไว้มิให้แตะต้อง น้ำตาที่ไหลออกมามากมายจนแทบกลายเป็นสายเลือด
ปลายดาบง้างขึ้นโดยเร็วพลันอีกครา กระชากดวงใจดวงน้อยของลี่ถิงยิ่งนัก
“อย่างน้อยเจ้าก็จงดูสิ่งที่เจ้ามองข้าม แท้แล้วสิ่งที่เจ้าตามหาตัวเจ้าต่างหากที่มิเคยเหลียวแล ความดึงดันของเจ้าจึงนำมาซึ่งจุดจบเช่นนี้”
“แฮ่กๆ!”โลหิตสีแดงฉานเป็นจูเกิงเฉินที่กระอักออกมาอีกครา ดวงตาดุดันพลันอ่อนลงและมองไปยังผู้ที่ดิ้นรนร้องขอชีวิตให้
ทั้งที่ข้ามิเคยดีต่อเจ้า แต่เจ้ากลับยอมยกชีวิตให้กับข้า เจ้ามันช่างโง่เขลายิ่งนักลี่ถิง ยามนี้ข้ารู้สิ้นแล้วว่าอย่างน้อยข้าก็มีเจ้าที่ดีต่อข้าไม่แปรเปลี่ยน
“ลี่ถิง.....ข้าขอโทษ”สิ้นคำกล่าวหลี่รั่วถงจึงตวัดดาบลงมาอีกคราคมดาบที่ฟันลงไปบนร่างอย่างรุนแรงเฉือนเอาแขนขวาข้างหนึ่งของจูเกิงเฉินขาดสะบั้นกระเด็นหลุดออกไป โลหิตสีแดงกระเซ็นสาดกระจายไปทั่วนองพื้นแดงฉาน ลี่ถิงที่มองเห็นเหตุการณ์กรีดร้องราวกับจะขาดใจ มือเล็กที่ตะกุยม่านพลังปลายนิ้วยุ่ยขาดหากแต่มิได้สนใจ ภาพบาดตาที่เห็นนายท่านขอตนแน่นิ่งไปต่อหน้าโลกของลี่ถิงก็ถึงกับทลายลงครืน
หลี่รั่วถงกดสายตาลงมองปลายดาบซ่อนเร้นแววตาเวทนาไว้ไม่เผยให้เห็น กลิ่นคาวคลุ้งที่อาบย้อมไปทั่วไม่น่ามองนัก ครู่หนึ่งพลังที่เสียไปก็แทบทำให้หลี่รั่วถงล้มทั้งยืน บาดแผลที่ช่องท้องไม่อาจสมานได้ในพริบตา ดาบมารที่จูเกิงเฉินจ้วงแทงนั้นทำลายกระแสลมปราณของหลี่รั่วถงไม่น้อย
ครั้นสิ้นหน้าที่จึงได้หันหลังให้ ม่านพลังที่ครอบไว้มลายหายไป ลี่ถิงที่คลานเข่าเข้าไปกอดกายจูเกิงเฉินเป็นภาพที่สะเทือนใจยิ่งนัก
“จากนี้.....ก็แล้วแต่วาสนาของเจ้า”
ครั้นเอ่ยกล่าวเช่นนั้นหลี่รัวถงก็ทะยานตนเหาะเหินจากไป ทิ้งความเวทนาไว้เบื้องหลังและเสียงร้องไห้คร่ำครวญเสมือนดวงใจสิ้นสลาย
เสียงร้องไห้ที่แทบไร้เรี่ยวแรงระงมไปทั่วผืนป่า มือเล็กที่สั่นเท่าเย็นเยียบหวาดกลัวค่อยๆ วางทาบไปบนใบหน้าที่เปื้อนอาบไปด้วยเลือด ดวงตาที่หนักอึ้งของจูเกิงเฉินยังคงขยับเล็กน้อยแววตาของความสิ้นหวังมองไปยังลี่ถิงที่ร้องไห้แทบขาดใจสวมกอดแม้กายจะอาบย้อมไปด้วยโลหิต
“นายท่านได้โปรดอย่าจากข้าไป ลี่ถิงไม่มีท่านแล้วจะอยู่ได้อย่างไร ลี่ถิงรักนายท่านนะขอรับ ฮือๆ” น้ำตาเป็นสายร่วงลงอาบร่างที่ไม่ขยับของจูเกิงเฉินราวกับเม็ดฝนที่พร่างพรมไม่ขาดสาย
.....ยากเหลือเกินที่จะเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้ หากแต่กำลังสุดท้ายกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบายิ่งกว่าขนนก
“.....อยู่”ดั่งคำสั่งเสียที่บอกกล่าวให้ลี่ถิงมีชีวิต พลันสิ้นเสียงแผ่วลมหายใจของจูเกิงเฉินจึงขาดห้วง น้ำตาหยดสุดท้ายหยดลงบนหลังมือเล็กที่โอบประคองใบหน้าเย็นเยียบเอาไว้ แม้นกายนั้นแสนเจ็บปวดทรมาน หากแต่กลับฝืนยิ้มทิ้งไว้ให้ร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้าเป็นสิ่งตอบแทนสุดท้าย
“มะไม่ นายท่านนนน ตื่นขึ้นมาเถิดขอรับ ฮือๆ อย่าทิ้งข้าไป ได้โปรด ฮือๆ ”เสียงวิงวอนสุดขั้วหัวใจเขย่าร่างไร้ซึ่งการขยับรุนแรง แต่ก็ไม่อาจทำให้จูเกิงเฉินตื่นฟื้นขึ้นมาได้ บัดนี้กลับมีเพียงหิมะที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าราวกับอาลัยให้กับโชคชะตาที่น่าสงสารยิ่ง ความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมราวกับต้องการแช่แข็งความรู้สึกผิดหวัง เสียใจ เศร้าโศกให้ตราตรึงไปกับดวงใจน้อยๆ ตลอดกาล
เฮือก!
ราวกับรอบกายโอบล้อมไปด้วยน้ำ ผู้ที่จมอยู่กลับหายใจเฮือกขึ้นลมหายใจไม่สม่ำเสมอ
ความรู้สึกโศกเศร้าบางอย่างราวกับประเดประดังมาอย่างไร้เหตุผล
พลันน้ำตาเอ่อรื้นขึ้นราวกับเจ็บปวดในอก
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้าเป็นอะไรไป
มือขาวกำชายเสื้อแน่นกะพริบตาไล่หยาดน้ำตาบางๆ อย่างไม่เข้าใจตนเอง การอยู่ในที่แห่งนี้ไม่อาจรู้วันรู้คืนได้รอคอยเพียงเวลานั้นเป็นความทุกข์ระทมได้เช่นกัน ถึงเป็นเช่นนั้นเซียวโม่โฉวก็ไม่คิดหนีออกไป หากแต่ใช่เวลาบำเพ็ญเพียรตามที่หลี่รั่วถงกล่าวไว้ และการตื่นขึ้นนั้นราวกับมีเรื่องสะกิดใจ ความรู้สึกนั้นไม่เบิกบานนัก อีกทั้งยังกังวลเรื่องของหลี่รั่วถงไม่ขาด
บุรุษหนุ่มเยื้องย่างอยู่ภายในดอกบัวทองไปมา มองออกไปด้านนอกไม่เห็นสิ่งใดนอกจากผืนน้ำที่โอบล้อมไว้อยู่ภายนอก ช่างเงียบเหงาและหนาวเหน็บเข้าขั้วหัวใจ
“หากข้าอยู่ที่ดินแดนลึกลับป่านนี้คงมีเจี้ยนหลินอยู่เคียงข้างกายข้า ยานนี้เจ้าจะเป็นเช่นไรบ้าง”เซียวโม่โฉวพึมพำกับตนเองทรุดกายลงนั่ง ดวงตาคู่สวยหลับตานิ่งเพียงครู่ให้จิตใจสงบ ยามจิตนิ่งกายทิพย์กลับเบาหวิวราวกับล่องลอยได้ก็ไม่ปาน
ครั้นคิดถึงสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า วันที่บ่วงหนักที่คล้องจิตใจบุรุษหนุ่มจะสลายหายไปก็เหยียบใกล้มาถึง เซียวโม่โฉวมิทันได้สังเกตปิ่นปักผมที่อยู่บนศีรษะยามนี้เปล่งประกายงดงามยิ่งนัก กลีบโบตั๋นที่ค่อยๆ เบ่งบานเป็นสัญญาณอันดีว่าอีกไม่นานความเพียรพยายามของเซียวโม่โฉวก็จะสำเร็จผล
ทันใดนั้นการรอคอยเพื่อออกจากที่แห่งนี้อย่างใจจดใจจ่อของเซียวโม่โฉวเป็นอันสิ้นสุด เมื่อรับรู้ได้ว่าราวกับมีผู้ใดเรียกหาพลันดอกบัวที่ตนซ่อนตัวเริ่มเคลื่อนไหว กระทั่งกลีบตูมบานออกสะพรั่งเหนือหมอกเมฆปล่อยผู้ที่อยู่ด้านในให้เยื้องย่างออกมา ทว่าสิ่งที่พบกลับเป็นเพียงความว่างเปล่า หาได้มีผู้ใดมารอรับตนไม่
หากแต่สิ่งที่มองเห็นกลับเป็นเพียงตุ๊กตากระดาษที่กระโดดโลดเต้นอยู่เบื้องหน้า คล้ายเรียกให้เซียวโม่โฉวติดตาม บุรุษหนุ่มยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆ พิศมองอย่างถี่ถ้วนมิได้คล้อยตามเดินไปเสียทีเดียว หากแต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เซียวโม่โฉวเชื่อว่าเป็นฝีมือหลี่รั่วถงไม่พ้นกลิ่นอายบางอย่างที่สัมผัสได้ กำยานที่กำจายคล้ายลมหอบพัดมาสิ่งนั้นทำให้มั่นใจว่ามิมีผู้ใดอีก
เซียวโม่โฉวเดินตามตุ๊กตากระดาษออกไปจึงสามารถออกจากสถานที่ซ่อนเร้นแห่งนั้นได้ เมื่อครั้งเข้ามากับหลี่รั่วถงก็มิได้ทันสังเกตว่าเป็นที่ได้ หากก้าวย่างเข้าสู่สถานที่คุ้นตาราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เรียบร้อยเช่นก่อนเก่า ดูราวเหี่ยวเฉาไม่ต่างจากป่าแล้ง ข้าวของต้นไม้ที่ดูระเนระนาดเกลื่อนกลาดไปทั่วราวกับมีสิ่งใดเข้าทำลาย
คนตื่นตะลึงทำได้เพียงยืนนิ่งงันมองภาพเบื้องหน้าแววตาประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในใจ นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่หลี่รั่วถงกล่าวเป็นนัยจะเกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ทะท่านปลอดภัยดีใช่หรือไม่ขอรับ”ผู้ที่ลนลานวิ่งมาเป็นเหอจี๋ ตามด้วยทู่จึที่ติดสอยห้อยตามไม่ห่างราวกับลูกติด
“เกิดอะไรขึ้นเหอจี๋ เหตุใดสถานที่แห่งนี้จึงดู.....”
“นะนั่น.....คือว่า เกิดพายุโหมกระหน่ำขึ้นน่ะขอรับ ข้ากับทู่จึถึงกับต้องไปหลบอยู่ที่ภูเขาอีกลูก ตัวท่านไม่เป็นไรแน่นะขอรับ”
“ข้าไม่เป็นไร แล้วนายท่านของเจ้า?”
“นายท่าน? ยังไม่กลับมาขอรับ ไม่นานก็คงจะกลับมาท่านวางใจเถิด ไม่กี่ชั่วยามก่อนข้าได้รับจดหมาย นายท่านสั่งให้ข้าดูแลท่าน ข้าว่าตอนนี้กลับเรือนกันก่อนเถิดขอรับ คงไม่เหมาะที่จะยืนคุยที่ตรงนี้นัก ประเดี๋ยวข้าจะให้ผู้คนมาทำความสะอาด”
“นั่นสิกลับเถอะโม่โฉว ข้าขวัญเสียจะแย่แล้ว คิดถึงเตียงอุ่นๆ ชะมัด”ทู่จึเดินรี่เข้ามาเกี่ยวเอวโม่โฉวเข้ากอดซุกปลายจมูกแดงเข้ากับหน้าท้องราบ หากสังเกตให้ถี่ถ้วนนับว่ายามนี้ทู่จึเจริญวัยไม่น้อย เผลอเดี๋ยวเดียวก็สูงถึงเอวเซียวโม่โฉวก็ว่าได้
“อืม ไปเถิด”
“เจ้าก็ถอย ขวางทางเช่นนี้จะเดินได้อย่างไร”มือยาวเข้าดึงทู่จึออกจากการเกาะแกะ ก่อนลากเหวี่ยงให้ไปรั้งท้ายอยู่เบื้องหลัง ผู้ถูกขัดใจแบะปากค้อนตาคว่ำ ทว่ายังคงเดินตามทั้งสอง พลันพ้นสายตาเหอจี๋เจ้ากระต่ายน้อยที่อยู่ในร่างมนุษย์วัยซุกซนก็ขยับปลายจมูกดมกลิ่นอายที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ ดวงตากลมใส่กวาดมองดูโดยรอบอย่างตริตรอง
“เป็นฝีมือกองทัพปีศาจของจูเกิงเฉินเป็นแน่....”น้ำเสียงเรียบเอ่ยขึ้นพร้อมดวงตาที่หรี่เล็กลง ทว่าก็มิได้สนใจไยดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากนักสีหน้าที่ไม่เข้ากับรูปลักษณ์วัยเยาว์ ขัดกับแววตามากรู้อย่างที่ไม่ควรเป็น
ช่างเถอะ จะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ไม่สำคัญเท่าข้าปลอดภัย หึ!
“โม่โฉววววว! รอข้าด้วยจิ ข้ากลัวน๊า”ก้าวสั้นสลับเป็นวิ่งเร็วเข้าเกาะที่พึ่งแห่งใหม่อย่างไร้เดียงสา มือเล็กเข้าขยุ้มชายเสื้อเดินตามติดต้อยๆ เรียกร้องความน่าสงสาร ก่อนเอี้ยวหน้าหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เหอจี๋อย่างได้ใจ ราวกับสนุกนักที่ได้ยั่วโมโหผู้อื่น
“หนอยยยย! เจ้าปีศาจชั้นต่ำ!”
“ช่วยข้าด้วยโม่โฉว เหอจี๋เค้าชังข้า จะทำร้ายข้าอีกแล้วง่า”
“นึกว่าข้าไม่รู้หรือไรที่เจ้าชอบยั่วยุโทสะของเหอจี๋อยู่บ่อยครั้ง”บุรุษหนุ่มมิได้ใส่ใส่ ทั้งตำหนิหากแต่กลับคว้ามือเล็กกุมไว้ เสมือนเชือกจูงที่กระตุกรั้งเตือนมิให้เจ้าตัวยุ่งต้องตายด้วยน้ำมือเหอจี๋เพราะความป่วน
“โม่โฉว นี่เจ้าจะจูงข้าไปที่ใดกัน เรือนเสี้ยวจันทราอยู่ทางนี้มิใช่เหรอ”
“เอ๊ะ! นั่นสิ ข้าลืมไป”ระหว่างเดินหากทู่จึไม่กระตุกมือถามเห็นทีว่าความใจลอยของโม่โฉวจะยังไม่กลับคืน ในใจที่พะว้าพะวังห่วงบางอย่างเรียกสติของบุรุษหนุ่มให้หลุดลอยออกไป ความผิดแปลกในสถานการณ์เช่นนี้ไยจะนิ่งเฉยไม่คิดมากได้
แม้กลับมายังที่คุ้นเคยหากแต่ท่าทีขอเหอจี๋ก็ดูแปลกไปจากเก่า ไม่กล้าสบตาเซียวโม่โฉวตรงๆ คอยแต่หลบคล้ายดูวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาก็ว่าได้ เสมือนรู้ว่าหากสบตาเข้ากับผู้ที่จ้องมองตนไม่คลาดสายตาต้องถูกถามไถ่เรื่องราวบางอย่างเป็นแน่
ดูแววตาที่เคลือบแคลงก็รู้ได้ และไม่ผิดไปจากนั้น ครั้นเหอจี๋เหลือบตาขึ้นมองขณะทำหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถูผู้ที่เดินตามเป็นเงาตามตัวกลับเอื้อนเอ่ยขึ้น
“แน่ใจหรือว่าเจ้าไม่มีสิ่งใดจะบอกข้าเหอจี๋”
“เอ๊ะ? บอกสิ่งใดหรือขอรับ”
“ถึงเจ้าจะแสร้งทำสีหน้าไม่รู้เรื่องราว แต่เป็นเจ้าที่รู้เรื่องราวมากกว่าผู้ใด บอกข้าได้หรือไม่ว่าแท้แล้วตอนที่ข้าไม่อยู่เกิดเรื่องใดกันแน่ เจ้าบอกว่าพายุโหมกระหน่ำเป็นไปได้หรือที่หลี่รั่วถงจักควบคุมฟ้าดินในพิภพตนเองมิได้”หน้านิ่วคิ้วขมวดเค้นถามเอาจากข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่ไม่แม้แต่จะยอมปริปากพูดอะไร
“มะมัน มันเกิดขึ้นได้ขอรับ ท่านก็เห็นว่าท้องฟ้ายามนั้นแปรปรวนเพียงใด”
“เจ้าโกหกข้าไปหนึ่งคำก็เท่ากับเจ้าทำให้ข้าหมดความเชื่อใจ เอาเถิดหากเจ้าลำบากที่จะพูดข้าก็ไม่ต้องการเซ้าซี้เจ้าให้รำคาญ”บุรุษหนุ่มพรูลมหายใจออกสีหน้ายังคงคิดวุ่นวาย
อีกทั้งยามนี้บรรยากาศก็ช่างอึมครึม บางอย่างในตัวเซียวโม่โฉวบอกให้รับรู้ได้ว่าหลี่รั่วถงกลับมายังพิภพแห่งหยินแล้ว หากแต่กลับไม่เปิดเผยตนให้บริวารรับรู้ เช่นนี้หมายความว่าเช่นไรกันแน่
เป็นไปได้หรือไม่ที่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
“ท่านกำลังจะออกไปที่ใดขอรับ!”
“ข้าอยากจะไปสำรวจดูเสียหน่อยว่าพายุพัดทำลายสิ่งใดไปบ้าง ข้าอาจจะพอช่วยเหลือด้วยแรงเท่าที่ข้าพอจะมี”
“อย่าออกไปเลยนะขอรับ”
“พายุพัดผ่านไปแล้ว มีสิ่งใดที่เจ้าไม่อยากให้ข้ารู้อีกหรือ?”
“คือว่า.....”สีหน้าลำบากใจครั้นแววตานิ่งเรียบมองมายังเหอจี๋ราวกับจะล้วงเอาความลับ
ข้าจะบอกได้เช่นไรกันว่าความพังพินาศในยามนี้เกิดจากที่กองทัพปีศาจกลุ่มหนึ่งบุกมาเพื่อตามล่าหาตัวท่าน หากข้าพูดออกไปนายท่านคงเดือดร้อนเป็นแน่ ความลับเหล่านี้แม้รู้ก็มิควรแพร่งพรายจนกว่าทุกอย่างจะถึงเวลาของมัน
“หากเจ้าไม่มีสิ่งใดจะพูดก็อย่ารั้งข้าให้เสียเวลา”
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”ทู่จึกระโดดลุกจากเก้าอี้เดินตามเซียวโม่โฉวออกไป ภายนอกที่ดูไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยบัดนี้ราวกับถูกเวทมนตร์ร่ายให้กลับคืนดังเดิม
แววตาโดดเดี่ยวทอดมองไปไปโดยรอบ ผู้ที่เดินตามคล้ายในหัวมีแต่ความสนุกสนานกลับเอ่ยขึ้น
“เจ้าเป็นอะไรไป เหตุใดจึงดูไม่สดชื่น กำลังคิดสิ่งใดอยู่เช่นนั้นหรือ แม้ข้าจะตัวเล็กแต่อย่างไรข้าก็อายุมากกว่าเจ้าเป็นร้อยปี สิ่งใดกลัดกลุ้มระบายแก่ข้าได้”ผู้ที่เงยหน้ามองรีบเดินเข้าไปขวางหน้าเอาไว้ แขนเล็กกอดอกพิจารณาเสียยกใหญ่วางท่าทีใหญ่โตเกินตัว
“น้ำใจเจ้าช่างกว้างขวางนัก คงจะดีหากเจ้าเพียงอยู่นิ่งเฉยมิต้องทำสิ่งใด และเลิกกวนใจเหอจี๋เสียบ้างเถิด นั่นแหละคือสิ่งที่เจ้าควรจะทำ”
“ข้าก็ไม่อยากกวนใจคนผู้นั้นนักหรอก ข้าเพียงเบื่อหน่ายที่จะใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่สนุกกว่าหรือไรที่ได้เห็นเจ้าปลาตัวนั้นหน้าแดงก่ำโกรธข้าจนควันออกหูน่ะ”พูดแล้วทู่จึก็หัวเราะคิกคัก กระโดดขึ้นไปยืนบนโขดหินแขย่งเท้าหักยิ่งไม้แห้งโบกเล่นในมือ เซียวโม่โฉวทำได้เพียงส่ายหน้าเหนื่อยใจ
“สักวันเจ้าจะถูกเหอจี๋บีบคามือ ข้าอยู่ช่วยเจ้าตลอดไปไม่ได้หรอก”
“ห่วงตัวเจ้าเถิดจะห่วงข้าไปไย ข้าเอาตัวรอดเก่งอยู่แล้ว”
“นั่นสินะ ข้าอ่อนแอเช่นนี้จะไปช่วยผู้ใดได้มากนัก มันออกจะเจ็บไปบ้างที่ต้องยอมรับสิ่งนั้น”
“เห้อ.....แท้แล้วชีวิตหลังความตายของมนุษย์ก็มิได้ต่างไปจากกิ่งไม้แห้งนัก ยามเขียวชอุ่มมีใบประดับ ทั้งผลิดอกออกผลช่างดูสวยงาม ทว่าพอเหี่ยวเฉากลับผุพังหักง่ายเหลือเกิน”กิ่งไม้แห้งในมือทู่จึถูกโยนทิ้ง พลันกระโดดลงจากโขดหินคล้ายดังเด็กซุกซน ทว่าถ้อยคำวาจาหาใช่ธรรมดานัก
“เจ้ากำลังหมายถึงสิ่งใด?”
“ข้าพูดไปเพ้อเจ้อเจ้าจะใส่ใจไปไย จริงสิ! ข้าถามเจ้าหน่อยเถิดหากเจ้าล่วงรู้ความจริงทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวของเจ้า เจ้าจะยอมกลายเป็นพลังวิญญาณให้แก่หลี่รั่วถงจริงๆ เช่นนั้นหรือ”
“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”เซียวโม่โฉวมองเจ้ากระต่ายที่แสดงสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนอย่างตกใจ
“ช่างเถิดนา เช่นไรข้าก็มิใช่ปีศาจปากสว่าง ข้ารู้และเพียงพูดกับเจ้า”
คนถูกถามชั่งใจเพียงครู่ว่าจะพูดดีหรือไม่ ก่อนตัดสินใจกล่าวมันออกมา“ข้าสัญญาต่อหลี่รั่วถงไว้ เหตุใดข้าต้องคืนคำ เช่นไรข้าก็เป็นเพียงวิญญาณธรรมดาจะอยู่ค้ำฟ้าค้ำสวรรค์ได้อย่างไร”
“แม้ว่าเจ้าจะรักคนผู้นั้นเจ้าก็ยินดีจะจากไปเช่นนั้นหรือ”ท่าทางไม่ไร้เดียงสาเช่นก่อนเก่าฉายแววจริงจังบนใบหน้าของทู่จึ บุรุษหนุ่มตระหนักดีว่าแม้ปีศาจตรงหน้าจะอยู่ในร่างที่น่าทะนุถนอมก็มิได้หมายถึงอย่างที่ตาเห็น
สิ่งนั้นเป็นคำถามที่แล่นริ้วเข้ากลางอกของเซียวโม่โฉว สิ่งที่เคยตอบต่อตนเองว่าจะไม่แปรเปลี่ยนความคิดเหตุใดบัดนี้จึงสั่นคลอนไปได้
ต่อให้สลายหายไปเช่นไรก็กลายเป็นของหลี่รั่วถง ฟังดูสวยงามทว่าแท้แล้วเจ็บปวดยิ่งนัก
หายไปไม่พบเจอกันอีกเช่นนั้นหรือ? เหตุใดยามนี้จึงกลายเป็นความรู้สึกที่น่าหวาดกลัวเช่นนั้นได้
เจ้าของผิวขาวละเอียดก้มมองมือของตนที่คล้ายสั่นกลัวในสิ่งที่คิดขึ้น
เมื่อใดกันที่ข้ากลายเป็นวิญญาณที่ยึดติดได้เช่นนี้
“ว่าอย่างไรเล่า.....คำตอบที่แท้จริงจากใจของเจ้าเซียวโม่โฉว”
“ข้า ข้า.....”
ไม่ทันที่เซียวโม่โฉวจะตอบ ทู่จึก็พลันถอนหายใจเสียเฮือกใหญ่ขัดขึ้น“เห้อ ข้าไม่อยากได้ยินคำตอบจากเจ้าแล้ว”
มิใช่ว่าไม่อยากได้ยิน แต่สีหน้าที่แสดงออกมาเช่นนั้นผู้ใดเล่าจะไม่ล่วงรู้
“นี่โม่โฉว”
“วะว่าอย่างไร? ”
“เจ้าคิดว่าจะมีโอกาสสักกี่คราที่จะได้รักใครคนหนึ่งคนเดิม”
“เหตุใดเจ้าจึงถามเรื่องเช่นนั้น”
“ข้าอยากรู้ แต่ตอนนี้ข้าก็ชักไม่อยากรู้แล้วเหมือนกัน”
“เจ้ากำลังทำข้าปวดหัว”ผู้ที่เริ่มกล่าวทีเล่นทีจริงเดินเหินไปเรื่อย
“ช่างเถิด ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน แต่ว่าตอนนี้.....”จู่ๆ ท่าทีจริงจังกลับเปลี่ยนไป
โครกกก!
เสียงท้องที่ลั่นพานให้เจ้าของเสียงท้องร้องหัวเราะแหะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“.....ข้าหิวแล้ว กลับเรือนกันเถอะโม่โฉว ข้าเดาว่าเหอจี๋ต้องวางขนมไว้ให้ข้าแล้วเป็นแน่”สีหน้าร่าเริงดั่งสั่งได้ช่างชวนสับสนนัก อุปนิสัยหลายบุคลิกเช่นนั้นบางคราก็น่ากลัวนัก
“เจ้ารู้ได้เช่นไร บางทีเหอจี๋ที่ไม่พึงใจเจ้าอาจจะไม่อยากหาสิ่งใดให้เจ้ากินแล้วก็เป็นได้”
“ถึงเหอจี๋จะมีท่าทีอยากจะฆ่าข้าให้ตายวันละหลายร้อยรอบ แต่ก็มิเคยปล่อยให้ท้องข้าหิว”
“เจ้าช่างมั่นใจเสียเหลือเกิน”
“ก็เจ้านั่นปากร้าย แต่ถึงอย่างไรก็ใจดีต่อข้า”
“แต่เจ้าก็ยังชอบทำให้เหอจี๋โมโห”
“สนุกจะตายมิใช่หรือ”สีหน้าแป้นแล้นโลดแล่นตามเส้นทางกลัวเรือน บุรุษหนุ่มได้ยืนมองทู่จึที่เถรตรงในความรู้สึกจนน่าอิจฉา ชีวิตนั้นช่างอิสรเสรีไร้สิ่งใดให้กังวล บางคราข้าก็ปรารถนาชีวิตเช่นนั้นแต่มันก็คงจะไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
ติดตามตอนต่อไป >>>
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ :กอด1: :กอด1:
ฝากตอนต่อไปด้วยนะคะ
:impress:
โดย หลานฮวา
-
ความจริงกำลังจะเปิดเผยแล้ววว :hao5: :hao5:
-
สู้ๆน้า
-
:L2: :pig4: :L2:
-
บทที่ 17
สิ่งที่มิได้คาดฝัน
หิมะที่ร่วงโรยเป็นเกล็ดสีขาวบัดนี้กลับปกคลุมไปทั่วทุกหัวระแหง ต้นไม้ใบหญ้าต่างขาวโพลนไปด้วยหิมะที่เกาะพราวจับกันเป็นน้ำแข็งเสมือนหยุดยั้งกาลเวลาเจริญเติบโตของเหล่าสิ่งมีชีวิตก็ไม่ปาน ตลอดจนสระน้ำที่เคยใส่เห็นมัจฉาก็กลายเป็นน้ำแข็ง
นับแต่เซียวโม่โฉวอยู่ที่พิภพแห่งหยิน มิเคยเห็นว่าฤดูกาลที่แปรเปลี่ยนเฉกเช่นโลกมนุษย์จะบันดานให้ทุกอย่างถูกแช่แข็งได้ในชั่วพริบตา แลดูคล้ายความอ้างว้างและเจ็บปวดที่ไม่มีวันสิ้นสุด
หากนับราตรีที่เซียวโม่โฉวรอคอยข่าวคราวจากหลี่รั่วถงก็เลยผ่านมาถึงสามราตรีแล้ว การรอคอยที่มิได้ยาวนานหากแต่จิตใจที่ร้อนรุ่มกลัดกลุ้มก็พิจารณาว่านานเสียเหลือเกิน การรอคอยที่ไม่อาจถามไถ่ผู้ใดได้ช่างไร้ซึ่งความหวังจนถดท้อ ครั้นมิอาจทานทนความฟุ้งซ่านของตนเองได้จึงตัดสินใจปลีกสันโดษไปบำเพ็ญภาวนาตัดความคิดกังวลเข้าสู่สภาวะจิตว่างเปล่าอยู่กับตนเองเพื่อฟื้นพลังวิญญาณ หาหนทางจากลาความรู้สึกวุ่นวายใจกับสิ่งเหล่านี้ให้เร็วจะดีเสียกว่า
เพราะเวลามิเคยรั้งรอผู้ใด กฎข้อนี้แม้สวรรค์ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้
นับว่าเพลานี้ย่างเข้าราตรีที่สี่แล้ว แม้การปลีกตัวมาอยู่อย่างสันโดษยังดินแดนลึกลับส่วนหนึ่งหวังเจอสหายอย่างเจี้ยนหลินเพื่อคลายความทุกข์ใจก็ไม่เห็นวี่แวว อสูรเสือดำที่มักป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่ใกล้ให้อยู่ในสายตาคล้ายเป็นความเคยชิน ทว่ายามนี้กลับอันตรธานหายไปอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเสียแล้ว เสียงฝีเท้าหรือแม้แต่เสียงลมหายใจฟึดฟัดดั่งสัตว์ร้ายก็มิได้เฉียดใกล้ให้ได้ยินอีกเลย
ทุกคราที่เซียวโม่โฉวลืมตาขึ้น มักพบเจอร่างของอสูรเสือดำที่นอนขดตัวอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แววตาสีเหลืองอำพันมองบุรุษหนุ่มอยู่ห่างๆ แม้จะเป็นแววตากร้าวและดุดันที่น่ากลัว หากแต่แท้แล้วสำหรับเซียวโม่โฉวดวงตาคู่นั้นกลับเปรียบเสมือนแสงอาทิตย์ที่ประโลมใจให้อุ่นขึ้นยามรู้สึกว้าเหว่หนาวเหน็บดวงใจ
“ยามที่ข้าปรารถนาจะเจอเจ้า ไยเจ้าจึงหลบหลีกหนีหายไปเช่นนี้เล่า.....หากมีเจ้าอยู่ใกล้ข้าคงจะมิต้องรู้สึกโดดเดี่ยวเช่นนี้”
ถ้อยคำพี่พึมพำกล่าวขึ้นนำพาร่างบางไปยังลำธาร ย่อตัวลงวักน้ำเย็นจับจิตเข้าล้างใบหน้า ครู่หนึ่งพานให้นึกถึงเจี้ยนหลินขึ้นอีกครา หากแต่ทำได้เพียงยิ้มบางส่ายหน้าให้กับความหวังลมๆ แล้งๆ ที่จะได้พบเจอกันอีกครั้ง
วาสนาข้ากับเจ้าสั้นนัก ยังมิได้กล่าวลาอันใดกันก็มีอันมิได้พบพานกันเสียแล้ว
ใบหน้าเหม่อลอยแหงนขึ้นเล็กน้อยหลับตาพริ้มเพียงครู่ปล่อยให้ลมหนาวพัดกระทบผ่านหยาดน้ำที่เกาะพราวอยู่ทั่วใบหน้า ดวงตาคู่สวยๆ ค่อยๆ เปิดออกพลางก้มมองตนเองผ่านเงาจากผิวน้ำอย่างปลงตก หากแต่บางอย่างที่กำลังส่องประกายบนศีรษะถึงกับทำให้เซียวโม่โฉวเบิกตาโพลงตกใจไม่น้อย ครั้นรู้สติจึงใช้มือค่อยๆ ดึงสิ่งที่ส่องประกายอยู่เหนือศีรษะตนออกมาจากมวยผม เส้นผมนุ่มละเอียดพลันคลายออกสยายคลอเคลียไปทั่วแผ่นหลังราวกับม่านน้ำตก
ในมือของเซียวโม่โฉวหาใช่สิ่งใด เป็นปิ่นปักผมดอกโบตั๋นที่หลี่รั่วถงมอบให้ บัดนี้ความหวังของเซียวโม่โฉวกำลังเบ่งบานเฉกเช่นกลีบดอกโบตั๋นในมือ ความตระหนกแปรเปลี่ยนเป็นสุขล้นเสียจนต้องรีบพาตนเองออกจากดินแดนลึกลับและกลับไปเพื่อบอกเรื่องนี้ให้ใครบางคนได้ล่วงรู้ให้ได้
ข้าทำสำเร็จแล้ว! ดอกโบตั๋นบานตอบรับความเพียรพยายามของข้า นั่นหมายความว่า.....ข้ากำลังจะหลุดพ้นจากความทุกข์ที่ผูกมัดจิตใจของข้าแล้วสินะ
ความดีใจเร่งฝีเท้ากลับไปนำพาน้ำตาแห่งความปีติมาสู่เซียวโม่โฉว ทว่าน้ำตาเหล่านั้นไยเสียดแทงใจของบุรุษหนุ่มอยู่ลึกๆ ได้ ความดีใจจนสุขล้นมันหายไปไหนกัน
กระทั่งยามนี้สองขาเล็กกำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปตามเส้นทางที่ขาวโพลนทอดยาวไปสู่เรือนหลักของหลี่รั่วถง ในมือซีดขาวที่กุมแน่นเป็นปิ่นปักผมชิ้นสำคัญ เหอจี๋ที่สัมผัสได้ถึงการมาถึงของเซียวโม่โฉวก็พลันปรากฏกายตรงหน้าของบุรุษหนุ่ม ร่างบางในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ราวกับจะกลืนหายไปกับสีของหิมะที่ตกโปรยปรายชะงักเท้าฉับพลัน เสียงหอบหายใจถี่พ่นเอาลมหายใจร้อนระอุกระทบกับอากาศเกินควันบางๆ ตามจังหวะลมหายใจ
“เจ้ามาขวางขาไว้ทำไมเหอจี๋”ดวงตาคู่สวยมองไปยังข้ารับใช้ของหลี่รั่วถงที่ดูแลตนเองอย่างไม่เข้าใจ
“ท่านต้องการจะไปพบนายท่านหรือขอรับ”เหอจี๋ค้อมกายเล็กน้อยเอ่ยถามสีหน้าตื่นหากแต่เก็บซ่อนเอาไว้
“ใช่ รู้แล้วเจ้าก็หลีกเถิดข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกให้นายท่านของเจ้ารับรู้”
“ยามนี้นายท่านไม่อยู่ ท่านไปก็เห็นที่จะเสียเปล่านะขอรับ”
“อยู่หรือไม่ข้าจะไปดูด้วยตาของข้าเอง”เจ้าของผิวขาวผุดผาดและใบหน้าสวยเกินบุรุษยามนี้แลดูเปล่งปลั่งหากแต่แววตากลับเจือไปด้วยความกังวลกำลังแสดงท่าทีดื้อแพ่งต่อคำทักท้วงของเหอจี๋ ที่ครานี้เซียวโม่โฉวไม่ขอฟังคำกล่าวท้วงใดๆ อยากจะไปดูให้แน่ใจว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมาหลี่รั่วถงแอบซ่อนไม่เผยตัวหรือไม่อยู่จริงๆ กันแน่
เรื่องสำคัญเช่นนี้จะให้ข้าที่รอวันนี้มาอย่างยาวนานเก็บเรื่องเอาไว้ได้อย่างไรเล่า ข้าต้องบอกให้หลี่รั่วถงรู้ตอนนี้ เพราะข้ากลัวเหลือเกินว่า วันถัดไปมันอาจจะไม่เป็นไปตามที่ตาข้าเห็นน่ะสิ
“ดะเดี๋ยวขอรับ นายท่านไม่อยู่จริงๆ นอขอรับ”เสียงเดินทักท้วงตามหลังก็ไม่ได้ทำให้เซียวโม่โฉวลดความตั้งใจของตนเองได้ ครั้นมาถึงบานประตูใหญ่บริวารท่าทางน่าเกรงขามร่างสูงทะมึนสองตนกลับขวางเอาไว้ไร้ซึ่งคำกล่าว
“ข้าต้องการพบหลี่รั่วถง เขาอยู่ข้างในหรือไม่”สองมือที่กุมสิ่งสำคัญไว้แนบอกเอ่ยถามขึ้น หากแต่กลับมิได้คำตอบใดๆ
“กลับเถิดขอรับ ข้าบอกแล้วว่านายท่านไม่อยู่ ท่านมาก็เสียเปล่า”เหอจี๋สีหน้ามิสู้ดีมากนัก ราวกับเก็บกักความลับเอาไว้มิเผยให้ผู้ใดรู้ ว่าแท้แล้วหลี่รั่วถงมิได้กลับมายังที่เรือนแห่งนี้จริง หากแต่หลบพักรักษากายอยู่ที่เรือนแยกอีกแห่งหนึ่ง เพราะมิต้องการให้ผู้ใดรบกวนวุ่นวายจึงมิได้บอกกล่าวถึงการกลับมาให้รู้ทั่ว
การเก็บตัวและฟื้นกำลังจำเป็นนักต่อหลี่รั่วถงในยามนี้ เขาไม่ปรารถนาให้ผู้ใดเห็นด้านที่อ่อนแอน่าสมเพชเช่นนั้น แม้กระทั่งเซียวโม่โฉวก็ไม่ต้องการให้รับรู้ใดๆ
“ข้าจะเชื่อได้เช่นไร ข้าอยากจะเห็นด้วยตาตนเอง”กล่าวไม่พอเซียวโม่โฉวกลับพยายามดันกายให้ผ่านประตูเข้าไปให้ได้ หากแต่กลับถูกสองอมนุษย์ซึ่งเป็นบริวารเฝ้าประตูขัดขวางไว้มิให้ผู้ใดเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า อีกทั้งหอบหิ้วโยนผู้บุกรุกออกไปอย่างไร้ปรานี ซึ่งทำหน้าที่มิขาดตกบกพร่อง
“ปะเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”เหอจี๋ตาโตด้วยตกใจ รีบโผเข้าประคองเจ้าของใบหน้าหวานที่หงายหลังล้มจากแรงเหวี่ยงที่ประนีประนอมอยู่มาก หากแต่ครานี้กลับได้เห็นแววตาที่คล้ายไม่ยอมแพ้ ฮึดสู้ขึ้นเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับที่เคยรู้จัก
“หากข้าไม่มีธุระสำคัญจริงข้าจะไม่รั้นที่จะพบนายท่านของพวกเจ้า หากแต่ยามนี้ข้ามีเรื่องสำคัญจริงๆ ”
เหอจี๋เห็นว่าความวุ่นวายอาจไม่จบเพียงแค่นี้ จึงเหลือบสายตาที่บ่งบอกถึงอำนาจพึงมีพยักหน้าเพียงน้อยให้กับบริวารที่เฝ้าประตูให้ปล่อยไป
“ข้าให้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป”เสียงใหญ่และดูดุดันเอ่ยขึ้น พลันบริวารสองตนกลับอันตรธานหายไป แท้จริงแล้วเพียงเลือนหายไปจากสายตาบุรุษหนุ่ม แต่มิได้ละเลยหรือจากไปที่ใด
ทันทีประตูก็ค่อยๆ เปิดออก เซียวโม่โฉวใจร้อนผ่านประตูเข้าไปสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทว่าเมื่อเข้าไปด้านในกลับพบเพียงความว่างเปล่า แม้ถือวิสาสะเดินค้นหาจนทั่วเรือนก็ไม่พบแม้เพียงเงา
“ข้าบอกท่านแล้วว่าไม่มีผู้ใดอยู่ เหตุใดท่านจึงร้อนใจเช่นนี้มีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือขอรับ”
“สิ่งนี้”ใบหน้าที่หมดกำลังยื่นปิ่นปักผมที่กำอยู่ในมือคลายออกให้เหอจี๋ได้เห็น
“มะเมื่อไหร่กันขอรับ? ” ท่าทีตระหนกเบิกตาโพลงมองของที่อยู่ในมือของเซียวโม่โฉวอย่าง
ประหลาดใจ ในอกใจหล่นวูบราวกับเวลาของการพบคนตรงหน้าเหลือเพียงน้อยนิด
“เหอจี๋.....กลับไปก่อนได้หรือไม่ ข้าขอรอหลี่รั่วถงอยู่ที่นี่สักพัก หากเขาไม่กลับมาข้าจะกลับเอง”ใบหน้าที่สลดลงไปเล็กน้อยไม่ตอบคำถามใด เหอจี๋เข้าใจความรู้สึกในยามนี้ของเซียวโม่โฉวดี
“ขอรับ ข้าจะรอท่านอยู่ที่เรือน”ลมหายใจอุ่นๆ ทอดถอนออกมาครั้นมองร่างของบุรุษหนุ่มที่มีสีหน้าผิดหวัง ดวงตาคู่สวยที่ส่องประกายราวอัญมณีบัดนี้กลับหม่นลงจนดูน่าเป็นห่วงนัก
ข้าไม่เข้าใจความรู้สึกตนเองยามนี้เหลือเกินว่าเหตุใดจึงได้ว้าวุ่นสับสนเช่นนี้ สงบใจมิได้เช่นก่อนเก่า ทั้งที่เรื่องนี้ข้าควรจะดีใจมิใช่หรือแต่เหตุใดกลับรู้สึกสลดใจเสียได้
สายตาที่ทอดมองสิ่งของในมือด้วยความรู้สึกตีรวน ราวผูกพันจนท่วมท้นใจมิอยากไกลจากเป็นสิ่งที่เหนี่ยวรั้งดวงใจไว้ได้อย่างน่ากลัวนัก นับเป็นความลังเลที่มิควรเกิดขึ้นเลย
หลังพายุฝนฟ้าย่อมสดใสก็คงจะจริงอยู่หลายส่วน หลังเกิดสงครามของกองทัพปีศาจเหล่าทหารกล้าได้ทำหน้าที่ ประกาศตัวตนถึงความแข็งแกร่งของกองทัพสวรรค์ก็นับเป็นการข่มขวัญปีศาจที่อาจหาญเหิมเกริม เห็นทีชัยชนะจะถูกกล่าวขานไปทั่วฟ้าดิน ความสงบสุขบังเกิดผู้กล้ามากด้วยความดีย่อมต้องตกรางวัลเป็นขวัญกำลังใจให้แก่เหล่าทหารสวรรค์ที่ทำหน้าที่อย่างขันแข็ง อวี้หวงต้าตี้จึงประทานสุราและงานเลี้ยงให้แก่ผู้ที่นำชัยนะกลับมาเสียใหญ่โต มีนางฟ้านางสวรรค์ร่ายรำอ่อนช้อยคลอเสียงดนตรีบรรเลงชวนมองยิ่งนัก
เสียงหัวเราะครื้นเครงไม่ต่างจากผู้คนในโลกมนุษย์ สุรารสดีมีเหล่าเทพธิดามากด้วยรูปโฉมงดงามกลิ่นกายคอมฟุ้งคอยเติมสุราให้มิให้ขาด ใบหน้าที่แดงปลั่งปากที่ฉีกกว้างกล่าวความหาญกล้าของตนกันเสียยกใหญ่ทั้งอวดอ้างฝีมือยามนี้คงมีให้เห็นได้เกลื่อน หากจะมีแต่สองบุรุษที่ปลีกตัวออกไปไม่สำราญใจเท่าไหร่นัก
บนสะพานสีขาวที่เชื่อมต่อไปยังสวรรค์ชั้นต่างๆ ผู้ที่กระดกน้ำเต้าสุราพาตนเองขึ้นไปนั่งบนขอบราวสะพานพาดขาไปตามความยาวของราวไม่แยแสผู้ใด นำพาตนเองออกมาหาความสันโดษดูช่างเป็นคุณชายผู้เรื่องมากกระทั่งอาหารการกิน ซ้ำยังแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปร่วมสนุกกับผู้คนเล่า ปลีกวิเวกออกมาเช่นนี้หามีผู้ใดคบค้าหรืออย่างไร”เป็นติงเจิ้งหวาที่เดินมาเข้าทักถามถึงความผิดแปลกของหวางหรูอี้
“ข้าชมชอบที่จะดื่มผู้เดียวเสียมากกว่า สุราจะรสชาติดีต่อเมื่อไร้เสียงรบกวนจิตใจ เอะอะโวยวายจะมีสมาธิสัมผัสความหอมหวนได้เช่นไร”
“เห็นทีว่าสุราจะรสชาติแย่ เจ้าถึงได้มีสีหน้าบึ้งตึงเช่นนั้น”
“ข้าก็เป็นเช่นนี้ของข้า เจ้าจะมาจับผิดข้าไย”หวางหรูอี้ย่นคิ้วแสร้งมองปุยเมฆที่ลอยตัวอยู่เบื้องล่างสะพานเสียแทน
“เหตุใดมองความหวังดีของข้าไปในทางมิชอบเช่นนั้นได้เล่า”ติงเจิ้งหวาส่ายหน้า หากแต่มิได้ถือสาเพราะคาดเดาได้ว่าหวางหรูอี้กำลังไม่พึงใจสิ่งใด เห็นทีจะเรื่องของสหายอย่างหลี่รั่วถงที่ต้องการยาวิเศษจากหวางหรูอี้ ทั่วทั้งพิภพต่างรู้ว่ายาวิเศษที่หวางหรูอี้มีนั้นใช้เพื่อการใด อนึ่ง มอบให้ติงเจิ้งหวาอย่างเคร่งครัดไม่ขาดไม่เกินเพื่อใช้กับเหล่าวิญญาณที่ต้องลงไปชดใช้กรรมยังโลกมนุษย์ สิ่งนั้นเป็น ‘ยาลืมชาติ’ คุณสมบัติของมันคือ เมื่อผู้ใดได้ดื่มกินก็จักลืมสิ้นถึงอดีตของตนเองทั้งหมด นับเป็นยาวิเศษที่ผ่านการปรุงโดยหวางหรูอี้
บนโลกมนุษย์ก็ต่างมีตำนานเล่าขานกันถึงยาลืมชาติว่า ผู้ที่ปรุงยานี้ขึ้นนั้นเป็นเซียนเฒ่าผมหงอกขาวที่อาศัยอยู่ในสวนท้อ ถึงแม้ความจริงจะผิดเพี้ยนไปเพราะหวางหรูอี้กลับมิใช่เฒ่าหงอกขาว เดิมที่เส้นผมและขนทุกเส้นล้วนเป็นสีดำขลับ ทวาผลข้างเคียงจากการปรุงยานานวันเขากลับทำให้ไอพิษที่กำจายออกมาส่งผลให้เป็นเช่นนั้น
“.....”
“สิ่งใดที่ให้ไปแล้ว ไยเจ้าต้องมากังวลภายหลัง เช่นไรก็นำกลับคืนมามิได้ และเจ้าเองมิใช่หรือที่หยิบยื่นให้ด้วยมืองของเจ้า”
“นั่นเพราะข้าไม่มีทางเลือก แต่อย่างไรเจ้าก็เห็นดีเห็นงามกับหลี่รั่วถงด้วยมิใช่หรือ”
“ใช่ว่าข้าจะพอใจการกระทำของหลี่รั่วถงนัก หากแต่ข้ากลับเชื่อว่าเขาย่อมมีเหตุผลที่แม้แต่ข้าหรือเจ้าอาจจะไม่เข้าใจ ในฐานะที่เจ้าเป็นสหายที่สนิทสนมเจ้ามิเชื่อใจสหายของเจ้าหรอกหรือ?”
เส้นผมขาวพิสุทธิ์ที่สะบัดพลิ้วยามหวางหรูอี้กระโดดลงจากขอบสะพานดูสะกดสายตาผู้ที่จ้องมองได้ดียิ่งนัก
“มิใช่เรื่องที่เชื่อใจหรือไม่เชื่อใจ ข้าเพียงไม่พึงใจต่อผู้ที่จะได้ดื่มกินยาของข้าก็เท่านั้น เหตุใดจึงต้องเป็น.....”
ครั้นจะเอ่ยออกมากลับไม่เอ่ย ได้แต่เพียงพรูลมหายใจอย่างหงุดหงิดงุ่นงานเสียเต็มทน ครั้นอยากจะเขวี้ยงปาขวดน้ำเต้าสุราลงพื้นก็หวงแหนเสียยิ่งกว่า ทำได้เพียงเดินไปยังประจันหน้ากับหวางหรูอี้แล้วแล้วเอ่ยขึ้น
“เจ้าในฐานะผู้ที่มารบกวนเวลาสงบจิตใจของข้า เจ้าต้องไปเป็นเพื่อนดวนสุรากับข้า”
คนถูกลากดึงให้ร่วมลงไหขมวดคิ้วเฉี่ยวมองเจ้าของใบหน้าขาวที่มีพวงแก้มแดงกร่ำด้วยฤทธิ์สุรา หากแต่นัยน์ตากลับยังคงกร้าวแข็ง
“เหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้น”ติงเจิ้งหวาปัดแขนที่ขยุ้มอาภรณ์ของตนอยู่แล้วปัดแต่งให้เข้าที่เข้าทางอย่างไม่เข้าใจ
“หากไม่อยากให้ข้าเอาเรื่องที่อัดอั้นตันใจไปประกาศกร้าวกลางงานเลี้ยง เจ้าก็ควรช่วยข้าคลายทุกข์เสียหน่อยจะเป็นไรไป”ฝ่ามือขาวตบลงที่อกกว้างของติงเจิ้งหวาอย่างหนักแน่นไปสองสามที พลางหรี่ตากระตุกยิ้มย่องราวกับเล่นเล่ห์ “รู้ใช่หรือไม่ว่าหากเรื่องนี้แดงขึ้นมาไม่ว่าข้า หลี่รั่วถง หรือแม้แต่เจ้าที่มีส่วนรู้เห็นก็จักพลอยเดือดร้อนไปหมด”
“เจ้ากำลังขู่ตนเองหรืออย่างไร”ท่าทีไม่สะทกสะท้านก้าวเข้าชิดใกล้หวางหรูอี้อย่างไม่เกรงกลัว
“ก็ดี! ข้าอยากจะจบสิ้นภาระอันหนักหนาเสียทีโดนลงโทษไปเกิดเป็นหมู หมา กา ไก่ใช้กรรมเสียให้รู้แล้วรู้รอด”คิ้วสวยได้รูปขมวดมุ่นดูฟึดฟัดกับอารมณ์แปรปรวนของตนเอง ติเจิ้งหวาเพียงพิจารณาก็นึกขบขันอยู่ในใจ
“ไยเจ้าใจน้อยเป็นสตรีไปได้เล่า”ติงเจิ้งหวาส่ายหน้าก่อนจะคว้าข้อมือของหวางหรูอี้ที่ชมชอบการเมามายและมีอุปนิสัยอารมณ์ร้อนไปดับทุกข์อย่างที่ต้องการ“หากเจ้าทำเช่นนั้น ไม่รู้หรืออย่างไรว่าแม้แต่เกิดใหม่เจ้าก็อาจทำไม่ได้ เพราะคงจะถูกหลี่รั่วถงดับวิญญาณของเจ้าเสียก่อนจะไปเกิดกระมัง” ไม่เพียงลากดึงปากก็พร่ำพูดเตือนหวางหรูอี้ไปด้วย
“เจ็บใจนัก! นี่คงเป็นบทลงโทษจากสวรรค์ของข้าที่มีสหายใจคอโหดเหี้ยมเช่นนั้น”หน้านิ่วคิ้วขมวดสะบัดข้อมือตนเองจากติงเจิ้งหวาออกอย่างรำคาญใจ และหยิบคว้าขวดน้ำเต้าสุราที่ห้อยไว้แนบเอวเข้ากระดกดับความร้อนรนในใจ
“นึกโทษโพยไปไย.....อย่างไรเจ้าก็มีข้า”
“หึ! นี่สวรรค์ก็ลงโทษข้าอยู่สินะ”
“ฝีปากของเจ้าช่างร้ายกาจ”ติงเจิ้งหวาหันไปมองหวางหรูอี้ก็พลันส่ายหน้าถอนหายใจขึ้น หาใช่ความคุ้นชินกับคารมคมคายของอีกฝ่าย ทว่าเป็นการปลงตกยอมรับสิ่งที่หวางหรูอี้เป็นเสียมากกว่า
หากผู้ใดไม่รู้จักเจ้าคงเทิดทูนรูปโฉมของเจ้าปานชายงามล่มสวรรค์ หากแต่ครั้นได้รับรู้อุปนิสัยปากกล้าเช่นนี้ ก็คงผิดหวังไปตามๆ กัน
“มองเข้าเช่นนั้นทำไม”
“ข้ามองเพราะอดสงสัยมิได้ว่า ตั้งแต่ข้าเจอะเจอเจ้าอุปนิสัยของเจ้าก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เสมอต้นเสมอปลายอย่างน่านับถือนัก”
“เจ้าก็มิได้ดีไปกว่าข้านักหรอก ชิ!”ท่าทีหงุดหงิดเดินทิ้งห่างจากติงเจิ้งหวา ผู้ที่ตามหลังทำได้เพียงส่ายหน้ายิ้มกริ่มให้กับท่าทีเช่นนั้น
พิภพแห่งหยิน
สวบ สวบ!
ฝีเท้าที่ลุยปุยหิมะที่ลึกเกินกว่าคืบทิ้งรอยเท้าไว้เบื้องหลังเป็นทาง เป็นเซียวโม่โฉวที่เดินเลี่ยงไปจากเส้นทางเดิมเพื่อไปยังสระบัวทองที่ตนเคยซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ทว่าเดินหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอะเจอเส้นทางที่คุ้นเคยเสียที
ในความคิดของเซียวโม่โฉวเพียงหวังว่าตนเองอาจเจอะเจอกับหลี่รั่วถงที่นั่นก็เป็นไปได้ หากแต่อุปสรรคมิใช่อากาศที่หนาวเหน็บหรือปุยหิมะที่ปกคลุมพื้นจนหน้า หากทว่าเป็นทางเข้าที่บุรุษหนุ่มไม่สามารถพบเจอ
ฟู่ว!
ลมหายใจที่เกิดเป็นไอขาวพรูออมาจากปาก มือขาวยกขึ้นขยี้ปลายจมูกรั้นที่แดงเรื่อราวกับผลท้อใกล้สุก ดวงตาคู่สวยกะพริบไล่เกล็ดหิมะบางๆ ที่เกาะพราวอยู่ที่ขนตา กลีบปากบางเม้มชิดติดกันสนิทคิ้วสวยขมวดมุ่นหันหน้าไปมองโดยรอบอย่างใช้ความคิด
เหตุใดจึงหาทางเข้าได้ยากเย็นเช่นนี้ หรือหลี่รั่วหลงอำพรางไว้ข้าจึงหาไม่เจอ
ครั้นเอ่ยขึ้นอย่างคาดเดาแต่ก็มิได้ละทิ้งความพยายาม สองเท้าที่ก้าวเดินไปข้างหน้ายังคงมีความหวัง จมูกเล็กๆ สูดอากาศเย็นเยือกเข้าร่างกาย เวลานี้บุรุษหนุ่มกลับนึกถึงยามเมื่อตนเป็นมนุษย์ ครั้งอากาศหนาวเหน็บกองไฟเล็กๆ ได้ถูกก่อขึ้นขับไล่ความหนาว เซียวโม่โฉวจำได้ดีว่ายามนั้นความหิวโหยโหดร้ายเพียงใด มันหัวเล็กๆ สองสามหัวที่ถูกโยนเข้ากองไฟทันที่ที่สุกหอมยามนั้นช่างมีค่าดั่งเงินทอง เขาได้ส่วนแบ่งเพียงเล็กน้อยจากมารดาที่บิออกเป็นชิ้นให้
แน่นอนว่าเขาในฐานะพี่ชายจักต้องสละให้กับจือซานผู้เป็นน้องชายได้กินอิ่มมากกว่า บิดาพร่ำสอนเช่นนั้นเช้าค่ำไยเซียวโม่โฉวจะไม่จดจำ แม้มองว่ามันไม่ยุติธรรมต่อคนเองสักเท่าไหร่ แต่จะทำเช่นไรได้นอกเสียจากพอใจกับส่วนแบ่งที่ได้มา คำแรกที่กัดความหอมของฟืนและความหวานของมันเผาเขาจดจำมิรู้ลืมแม้จะมิได้อิ่มท้องนักก็ถือว่ารอดชีวิตในช่วงที่ลำบากมาได้
เท่าที่เซียวโม่โฉวจำได้นับแต่เขามีน้องชาย คำว่าเสียสละนั้นราวกับคมมีดกรีดแทงอยู่ในใจของเขาตลอดมา
“หึ! ป่านนี้แล้วข้ายังจะมาหลั่งน้ำตาให้กับเรื่องเช่นนี้อีกหรือ”หยาดน้ำตาบางๆ อาบดวงตาคู่สวย ทว่าเพียงเล็กน้อยมือขาวก็ปาดทิ้งแล้วตรึงรอยยิ้มให้กับอดีตช่างดูขมขื่น
ความคิดและอดีตที่ลากดึงให้รู้สึกโศกเศร้านาทีนั้นกลับถูกดึงดูดให้ลืมเลือนไป ครั้นหางตาครู่หนึ่งที่มิได้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดกลับมองเห็นดวงไฟประหลาดที่จุติขึ้นถึงสองดวง สีทองสว่างวาบมิได้เลือนหายไปเมื่อบุรุษหนุ่มหันไปมอง กลับยังคงลอยวนคลอเคลียกันไปมาอยู่กลางอากาศในระดับสายตาของเซียวโม่โฉว ภาพหนึ่งที่เขาจำได้ครั้งพบเจอก่อนหน้าและตอนที่ยังมีชีวิตฉายซ้ำขึ้นในหัว พลันดวงตาวาวเบิกกว้างอย่างพิศวง
เหตุใดมันจึงปรากฏอยู่ในที่แห่งนี้ได้!
ความฉงนไม่เพียงสงสัย หากแต่อยากรู้เสียเหลือเกินจนเผลอก้าวเท้าตามดวงไฟที่ลอยออกไปราวกับรั้งรอ
“พะพวกเจ้าจะไปไหนกัน?”
คิก คิก
ไม่ผิดไปจากที่คิด เซียวโม่โฉวจดจำเสียงหัวเราะแหลมเล็กที่ดังอยู่ในหัวของตนได้ คล้ายน้ำเสียงของการหยอกเย้าและหลอกล่อให้ติดตาม หากแต่เซียวโม่โฉวก็ติดกับเจ้าดวงไฟที่เปล่งรัศมีสีทองสองดวงนั้นอีกครา บุรุษหนุ่มย้ำเท้าฝ่าปุยหิมะไม่เกรงต่อความลำบากติดตามไปราวกับลืมเลือนไปเสียแล้วว่าตนเองกำลังตามหาผู้ใด
กระทั่งรู้ตัวอีกคราเบื้องหน้ากลับเป็นทางเข้าของถ้ำแห่งหนึ่งที่มิเคยพบเจอเสียแล้ว บัดนั้นคบเพลิงที่อยู่เบื้องหน้าพลันจุดสว่างขึ้นด้วยตนเองทอดยาวนำทางเข้าไปยังด้านในของถ้ำ ความอยากรู้อยากเห็นพลันชักนำให้เซียวโม่โฉวเดินเท้าเข้าไปยังด้านในตลอดจนสิ้นสุดแสงสว่าง
ดวงไฟที่ลอยนำทางเมื่อครู่กลับอันตรธานหายไปในพริบตา เสียงลมที่หวีดหวิวดังขึ้นเบาๆ ราวกับเสียงกรีดร้องไร้ที่มา สุดทางภายในถ้ำเบื้องหน้าของเซียวโม่โฉวกลับกลายเป็นกำแพงน้ำแข็งที่ขวางกั้นไว้ราวกับเขตหวงห้ามเสียอย่างนั้น พลันมือของบุรุษหนุ่มวางทาบทับไปบนน้ำแข็งที่ราวกับประตูศิลาความอัศจรรย์ใจจึงบังเกิดขึ้นในทันที
ครืนนนน!
น้ำแข็งแผ่นหน้าเสมือประตูที่ขวางกั้นและปกป้องบางอย่างกลับขยับเลื่อนเคลื่อนออกเผยช่องทางที่เข้าสู่ด้านใน ร่างบางผงะไปครึ่งก้าวใบหน้าชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อด้วยความหวาดหวั่น หากแต่แสงที่ส่องสว่างอยู่ด้านในกลับดึงดูดให้ผู้มาเยือนเข้าเยี่ยมเยียน และทันทีที่บุรุษหนุ่มก้าวผ่านประตูน้ำแข็งด้วยสองเท้าที่ไม่มั่นคงนักบางสิ่งบางอย่างเบื้องหน้าก็พาให้เซียวโม่โฉวเบิกตาโพลงขาอ่อนแรงทรุดนั่งลงกับพื้น ร่างทั้งร่างสั่นไหวแทบหยุดหายใจกับสิ่งที่ได้เห็น
“นะนี่มัน.....อะไรกัน!”เสียงสั่นแทบแหบแห้งมองไปยังเบื้องหน้าหมดเรี่ยวแรง
บนแท่นศิลาสีเขียวมรกต ร่างกายที่นอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจใบหน้าซีดขาวประกอบไปด้วยผิวเนื้อเฉกเช่นมนุษย์ที่มิใช่กายทิพย์หรือวิญญาณเรียกความตระหนกตกใจให้แก่เซียวโม่โฉวมิใช่น้อย มิหน้ำซ้ำผู้ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนศิลากลับมีใบหน้าเฉกเช่นเซียวโม่โฉวราวกับเงาสะท้อน ทั้งดวงตา จมูก ปาก ทุกอย่างล้วนประกอบขึ้นไม่มีผิดเพี้ยนไปแม้แต่น้อย
“คนผู้นี้เป็น......”
ติดตามตอนต่อไป >>>
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ :impress:
ผิดพลาดอย่างไร ติชม คอมเมนต์ แนะนำกันได้ค่ะ
ขอยคุณค่ะ :กอด1:
โดย หลานฮวา
-
อ้าวเห้ยยยย
-
:hao5: :hao5:หรืออิพี่คิดจะย้ายวิญญาณ
-
:pig4:
-
:hao7:
:L2: :pig4: :L2:
-
บทที่ 18
ประจักษ์แก่สายตา
เสียงหอบถี่ที่ราวกับวิ่งหนีเรื่องน่าหวาดกลัวล้มลงกับพื้นที่บัดนี้ที่แปรเปลี่ยนเป็นสถานที่ขาวโพลนอันคุ้นตา
ใบหน้าและดวงตาที่เพิ่งผ่านเรื่องน่าตกใจยังคงมีให้เห็นไม่เลือนหาย อีกทั้งมือซีดขาวที่ค้ำยันพยุงตัวไม่ให้คะมำลงกับพื้นเย็นเยียบหาได้รู้สึกใดๆ ต่ออุณหภูมิที่สัมผัส ทว่าร่างกายกลับสั่นไหวไม่สามารถควบคุมตนเองได้ พลันนึกถึงสิ่งที่เจอะเจอเมื่อครู่น้ำตาก็เอ่อไหลออกมาไร้เสียงสะอื้นหยดลงบนพื้นหิมะขาวบริสุทธิ์ไม่อาจหักห้ามความรู้สึกได้
ความรู้สึกหวาดกลัวระคนโศกเศร้าประเดประดังเข้ามาอย่างไม่เข้าใจ
“เหตุใด.....เหตุใดร่างกายของข้าจึงถูกเก็บไว้เช่นนั้น”
ไม่ผิดแน่ คงไม่มีผู้ใดจดจำร่างกายของตนเองไม่ได้ หากแต่ร่างกายที่ตายไปแล้วไยจึงมาอยู่ในที่แห่งนี้นั้นคือสิ่งที่เซียวโม่โฉวไม่เข้าใจนัก บุรุษหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เจอะเจอร่างตนเองที่ไร้ลมหายใจเช่นนี้ สิ่งที่เห็นยากนักที่จะทำใจ ถึงแม้จะตระเตรียมใจก็คงยากจะยอมรับเช่นกัน
ความตระหนกตกใจยังคงวิ่งวุ่นอยู่ในใจของเซียวโม่โฉว ยิ่งคิดก็ยิ่งพานให้รู้สึกตีรวนจนอยากจะอาเจียนออกมา
“ขะข้า ข้าจะต้องถามเรื่องนี้กับหลี่รั่วถง....ฮึก!”ครั้นพึมพำลมหายใจที่ยังคงหอบถี่พาสติให้สั่นคลอน บัดนี้ความตึงเครียดเล่นงานทำให้เซียวโม่โฉวเจ็บวูบไปถึงแก่นของวิญญาณ
“ท่านอยู่ที่ใดกันแน่ เหตุใดจึงไม่ยอมพบข้า!”เสียงสั่นตะโกนขึ้นฟ้าน้ำตานอง ความรู้สึกเคว้งคว้างบัดนี้ปรารถนาเพียงที่พึ่งพิง
กระทั่งไม่นานเสียงเรียกหากลับดังขึ้นแว่วมาแต่ไกล ท่าทีร้อนรนของใครบางคนกำลังเดินมาสีหน้าตาตื่น
“ข้าตามหาท่านเสียทั่ว เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ล่ะขอรับเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปหมด แล้วนี่เกิดอันใดขึ้น เหตุใดท่านจึงร้องไห้? ”เหอจี๋เข้าประคับประคองมองสีหน้าแววตาที่ไม่สู้ดีอย่างตกใจ ตามด้วยทู่จึที่ตามหลังมาไม่กี่ก้าว
“นั่นเจ้าร้องไห้จริงด้วย! บอกข้าเถิดว่ามีผู้ใดรังแกเจ้าข้าจะไปจัดการให้!”
“อย่ามาพูดเพ้อเจ้อ หลีกไปเจ้ากำลังเกะกะขวางทาง” เหอจี๋หันไปตำหนิทู่จึที่เข้ามาวุ่นวาย “กลับเรือนกันเถิดขอรับ ท่าทางท่านดูไม่ดีเอาเสียเลย”เหอจี๋นิ่วหน้ากังวลใจเข้าประคองพาเซียวโม่โฉวให้เดินกลับเรือนทว่าอีกฝ่ายกลับขืนตัวไม่ต้องการขยับไปไหนทั้งสิ้น
“เหอจี๋ ได้โปรดพาข้าไปเจอหลี่รั่วถงได้หรือไม่ ขอร้องล่ะข้าต้องการเจอนายท่านของเจ้าตอนนี้”เสียงที่เอ่ยวิงวอนร้องขอ
“ตะแต่ว่านายท่านไม่ได้อยู่ที่เรือน ท่านก็เห็นแล้วนี่ขอรับ.....”
“ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ทุกการเคลื่อนไหวของนายเจ้า ข้าขอร้องครั้งนี้เพียงครั้งเดียว จะให้ข้าคุกเข่าให้เจ้าข้าก็ย่อมทำได้!”ท่าทีร้อนรนทรุดเข่าลงอย่างไม่รอรี
“ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้เลยนะขอรับ! ข้าต่ำต้อยเกินกว่าจะรับการคุกเข่าจากท่านไหว”ผู้ที่ลำบากใจไม่แพ้กันรีบทรุดตัวลงกองแทบพื้นก้มหัวงุด
“เซียวโม่โฉวอยากรู้เหตุใดเจ้าถึงต้องอมพะนำ แม้หลี่รั่วถงจะมิได้อยู่เรือนหลักหากแต่ที่อื่นเล่าเจ้าบอกมาเถิด เช่นไรเซียวโม่โฉวก็มิได้คิดปองร้ายแก่นายท่านของเจ้าเป็นแน่จะกลัวไปไย”
“หุบปากของเจ้าเสียเจ้าปีศาจชั้นต่ำ! ข้าจะบอกที่หลบซ่อนของนายท่านได้อย่างไร.....”
“เจ้าพูดว่าที่หลบซ่อน? เหตุใดต้องซ่อนมีเรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้เกิดขึ้นเช่นนั้นหรือ!”ครั้นอีกฝ่ายพลั้งปากพูดออกมาเซียวโม่โฉวจึงรีบเข้าเขย่าแขนราวกับจะให้คายทุกอย่างออกมา “ช่วยบอกข้าทีเถิด ได้โปรดเหอจี๋ ช่วยข้าสักครั้ง”สองมือพนมวิงวอนสีหน้าร้อนรน มองตาเหอจี๋ที่เบี่ยงหน้าหลบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับเรื่องที่จะต้องพูด
“ทะที่จริงแล้วนายท่านกำลัง เอ่อ นายท่านกำลังบาดเจ็บ และยามนี้ก็พักรักษาตัวอยู่ที่เรือนด้านหลังป่าท้อไปขอรับ”
ครั้งนี้เห็นทีว่าเหอจี๋ต้องถูกสั่งลงโทษเป็นแน่ เรื่องที่มิให้แพร่งพรายกลับพูดออกไปเสียจนหมดเปลือก หากแต่ไม่ทันไรคนที่ทราบว่าหลี่รั่วถงอยู่ที่ใดก็ผลีผลามออกไปเสียแล้ว
“สวรรค์! ข้าต้องถูกนายท่านลงโทษเป็นแน่!”ความสยดสยองก่อตัวขึ้นในห้วงความคิดของเหอจี๋ ผู้ที่เผลอใจอ่อนหลุดปากพูดออกไปได้แต่นั่งกลุ้มให้ร่างจมกองหิมะอยู่เช่นนั้น
“หาใช่เรื่องที่เจ้าจะมากลุ้มใจ ช่วยเหลือไปแล้วไยต้องมานั่งโอดครวญด้วยเล่า คิดเสียว่าเจ้ากำลังประสบวิบากกรรม เพียงทนรอให้มันผ่านพ้นไปไม่ดีกว่าหรือ”
“เจ้าพูดเช่นนั้นก็เพราะไม่รู้อุปนิสัยของนายท่านดีพอ เพราะฉะนั้นเลิกสอดปากมายุ่งได้แล้ว!”ร่างสูงโปร่งสะบัดหน้าเดินหนีหน้าตาดำคล้ำเพราะความตึงเครียด ทิ้งให้เจ้ากระต่ายปีศาจที่อยู่ในร่างจำแลงยืนทื่ออยู่เพียงลำพังท่ามกลางหิมะ
บัดนี้ผู้ที่ตรากตรำเดินผ่านป่าท้อและไม้หนามกลับมายืนหอบอยู่หน้าเรือนร้างแห่งหนึ่ง เซียวโม่โฉวมิแน่ใจนักว่าสิ่งที่เหอจี๋บอกจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ดูจากเรือนไม้ตรงหน้าแล้วแม้แต่ภูตผีก็หนีหน้าหน่ายที่จะสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้ หากแต่เดินทางมาถึงแล้วไยจะต้องถอยกลับหากไม่ได้พิสูจน์ให้รู้ดำรู้แดง
คิดได้เช่นนั้นเซียวโม่โฉวก็เป็นอันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ดึงเอาความกล้าย้ำเท้าไปยังเรือนร้างตรงหน้าฝีเท้าเบาเงียบ สองมือลูบตามท่อนแขนที่ถูกหนามแหลมคมขูดเกี่ยวจนเกิดบาดแผลราวกับปลอบประโลมจิตใจ ครั้นก้าวเท้าไปอยู่ตรงประตูไม่ตรงหน้าบางอย่างราวกับกระซิบว่าให้ตนยื่นมือเข้าผลักประตูบานนั้น
หัวใจของเซียวโม่โฉวเต้นเร็วรัว อีกหนึ่งก็ร้อนใจ อีกหนึ่งก็หวาดหวั่น จึงลังเลอยู่นานก่อนตัดสินใจเอื้อมมือขาวที่เย็นเยือกราวก้อนน้ำแข็งดันประตูตรงหน้าให้ค่อยๆ เปิดออกเพียงเบา หากแต่มีเสียงบางอย่างที่เล็ดลอดออกมาจึงทำให้เซียวโม่โฉวชะงักมือนิ่ง มีเพียงช่องว่างเล็กๆ ระหว่างประตูที่กำลังเปิดออกอยู่ตรงหน้าเท่านั้น
ด้วยความใคร่สงสัยในอกบีบคั้นบุรุษหนุ่มจึงค้อมตัวลงแนบดวงตาข้างหนึ่งผ่านร่องประตูมองไปด้านในด้วยหัวใจระทึก เสียงฟึดฟัดคล้ายลมหายใจของสัตว์ดุร้ายดึงความสนใจให้แก่เซียวโม่โฉวไม่น้อย ความสว่างจากเทียนไม่กี่เล่มกระทบให้เห็นเงามืดที่วูบไหวอยู่ตรงผนังด้านหลังแลดูใหญ่โต บุรุษหนุ่มกวาดสายตามองไปยังที่มาของเงาก็พลันตะลึงพรึงเพริดกับสิ่งที่ตาเห็นจนเกือบร้องออกมา
“นั่น! เจี้ยนหลินมิใช่หรือ?”เสียงแผ่วพึมพำขึ้นอย่างประหลาดใจ ไม่ผิดแน่เพราะเซียวโม่โฉวจำเส้นขนสีดำขลับและเงาวาวซึ่งเรียบลู่ไปกับตัวเช่นนั้นได้ หากแต่ความฉงนสงสัยกลับมิได้หยุดเพียงเท่านี้ พิจารณาดีๆ เหตุใดอสูรเสือดำตรงหน้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ทั้งที่ผู้ที่เซียวโม่โฉวจักต้องพบเจอควรจะเป็นหลี่รั่วถงมิใช่หรือ
ครั้นความสงสัยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็พลันตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป ทว่าการขยับตัวคล้ายตื่นขึ้นของอสูรเสือดำทำให้เซียวโม่โฉวลังเลใจที่จะเข้าไปหา จังหวะที่ชะงักค้างสองตาของเซียวโม่โฉวที่มองผ่านรอยแยกของบานประตูตรงหน้ากลับเห็นว่ากำลังเกิดสิ่งใดขึ้น
สองเท้าที่ประจันหน้าอยู่กับบานประตูไม้ที่เก่าคร่ำครึถึงกับผวาตาเบิกโพลงตัวแข็งทื่อทันทีที่เห็นว่า เจี้ยนหลินที่ตนรู้จักกำลังแปลงกายต่อหน้า ทั้งเท้าใหญ่และใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยขนสีดำแปรเปลี่ยนเป็นคนผู้หนึ่งที่เซียวโม่โฉวรู้จักเป็นอย่างดีเสมอมานั่นคือหลี่รั่วถง จ้าวพิภพแห่งหยินผู้ที่ปกครองสถานที่ที่ตนเยียบยืนอยู่ขณะนี้
!!!
“ปะเป็นไปได้อย่างไร”แววตาสั่นเทาคล้ายตระหนกขวัญหนีแทบลืมหายใจหากแต่สองมือกลับผลักบานประตูเปิดออกไปให้ความจริงตรงหน้าตอกย้ำ
หลี่รั่วถงที่ไม่สามารถขยับร่างกายได้อิสระมากนักด้วยฤทธิ์บาดแผลซึ่งยังไม่สมานหายดีครั้นลืมตามองผู้บุกรุกก็พลันดันกายลุกขึ้นสีหน้าไม่สู้ดี มิคาดฝันกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร!”
“เป็นข้ามากกว่าที่ต้องถามท่าน”น้ำเสียงสั่นเครือเค้นพูดออกมาทั้งแขนและขานั้นแทบอ่อนแรงทว่าแข็งใจไว้มากมิให้ต้องหวาดกลัวจนขาดสติ“เหตุใดท่านจึงเป็นเจี้ยนหลิน แล้วเจี้ยนหลินเหตุใดจึงเป็นท่าน”ดวงตาที่พกพาความสิ้นหวังสาดมองไปที่หลี่รั่วถงที่พยุงตนเองให้เดินมาหาเซียวโม่โฉวแววตาตำหนิตนเอง มือหนึ่งประคับประคองบาดแผลใหญ่ที่ท้อง อีกมือไต่กำแพงพยุงตน
“ข้าอธิบายได้ แท้แล้วข้ามิได้ตั้งใจจะปกปิดเรื่องนี้แก่เจ้าแต่ข้าจำเป็น”
“ท่านหลอกลวงข้าสิ่งนั้นเรียกว่าจำเป็นเช่นนั้นหรือ ข้านึกอุตส่าห์คิดว่าท่านเป็นผู้ที่ซื่อตรง แต่มาวันนี้ข้ากระจ่างแล้วว่าท่านมิได้เป็นอย่างที่ข้าคิดเลยแม้แต่น้อย สนุกหรืออย่างไรที่แสร้งทำดีกับข้าเช่นนั้น ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่!”น้ำเสียงที่กล่าวขึ้นผิดหวังอย่างยิ่ง อีกทั้งแววตาที่มองหลี่รั่วถงหาได้เชื่อใจไม่
“ข้ามิได้มีเจตนาอื่นนอกเสียจากห่วงใยเจ้า หากแต่การที่ข้ามีร่างอสูรเช่นนั้นแล้วกลับทำให้เจ้ายอมที่จะเข้าใกล้ข้าและให้ข้าปกป้องเจ้าในยามนั้นข้าจึงไม่อาจเผยความจริงออกไปได้”
แม้พูดเช่นไรหากแต่หัวใจยามนี้ของเซียวโม่โฉวนั้นยากเกินจะรับ ครั้นเปิดใจต่อหลี่รั่วถงแล้วหากแต่กลับต้องมารับรู้ว่าคนที่ตนหลงเชื่อใจกลับหลอกลวงนั้นช่างเจ็บทรมานบีบคั้นอยู่ในหัวใจไม่น้อย
ครั้งยังเป็นมนุษย์บิดามารดาก็หลอกให้ตนไปตาย แม้ตายไปแล้วข้ากลับยังต้องถูกหลอกซ้ำ ไม่ว่าอยู่ในภพใดข้าไม่สามารถหนีพ้นจากเรื่องเหล่านี้ไปได้เลยหรือ แม้แต่จะหาผู้ที่ข้าจะเชื่อใจก็กลับไม่มี ชีวิตนี้ช่างน่าสมเพชเวทนานัก!
“ถึงอย่างไร ท่านก็ได้ทำลายความเชื่อใจจากข้าเสียสิ้นแล้ว”แววตาที่เย็นเยือกมองหลี่รั่วถงด้วยใจที่อ่อนล้า สิ้นแรงแล้วที่จะขวนขวายหาสิ่งปลอบประโลมใจ ครั้นเอ่ยจบก็ก้าวเดินออกห่าง ร่างสูงที่มองผู้เป็นดั่งดวงใจตรงหน้าหมองเศร้าก็สุดแสนจะทรมานไม่ต่างกัน
“ข้ามิได้อยากให้เป็นเช่นนี้”สีหน้าเจ็บปวดแม้ส่วนหนึ่งจะเกิดจากบาดแผล ทว่ายามนี้แผลนั้นกลับเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่ดวงใจของหลี่รั่วถง
“ท่านมิต้องขอโทษอันใดต่อข้า วิญญาณต่ำต้อยที่ท่านปรานียื้อเวลาให้.....ยามนี้คงถึงเวลาที่จะต้องไปเสียที มิต้องอยู่ให้ท่านลำบากใจแล้ว”คล้ายรอยยิ้มประดับใบหน้าที่ช่างเย็นเยียบและกรีดแทงจิตใจผู้ที่จ้องมองนัก
ไม่ต่างกันที่เซียวโม่โฉวจักต้องข่มความรู้สึกชอกช้ำนั้นให้ลึกสุดใจ ยิ่งผูกพันมากเท่าไหร่ใจก็ยิ่งเจ็บเท่านั้น
“เจ้าหมายความเช่นไร” น้ำเสียงที่เค้นออกมายากเย็นราวกับจะกระอักออกมาเป็นโลหิตเอ่ยถามร้อนรน
“ข้าคืนสิ่งนี้ให้แก่ท่าน”มือขาวซีดของเซียวโม่โฉวยื่นปิ่นปักผมดอกโบตั๋นที่ยามนี้บานสะพรั่งซ้ำยังส่งกลิ่นหอมกำจายไปให้แก่หลี่รั่วถง หากแต่มือเล็กที่ดูหาญกล้ากลับสะกดกลั้นความสั่นไหวไว้สุดกำลัง หลี่รั่วถงมองสิ่งนั้นก็รู้ความหมายในทันที
“.....”
“ช่วยส่งข้าไปยังผาพลิกชะตาด้วย ท่านคงมิหลอกข้าซ้ำเรื่องนี้อีกใช่หรือไม่”
แววตาที่กล้าแกร่งยามนี้กลับสั่นไหวยิ่งนัก มือหนาที่รับเอาปิ่นดอกโบตั๋นกลับคืนกำสิ่งนั้นแน่นราวกับจะให้แหลกคามือ
“เจ้าตัดสินใจแล้วเช่นนั้นหรือ”
“ข้ามิเคยแปรเปลี่ยนความปรารถนาในใจของข้าตั้งแต่เริ่มต้น เป็นท่านที่หยิบยื่นความหวังนั้นให้แก่ข้า”
“ข้า.....จะไม่ขัดเจ้า”
“คงจะไม่รบกวนท่านหากข้ามีสิ่งหนึ่งที่ต้องการคำตอบ”แววตาที่ทอประกายผ่านหยาดน้ำตาบางๆ ในแววตาที่สุกใสจ้องมองหลี่รั่วถงไม่หลบสายตา
“พูดเรื่องของเจ้ามาเถอะ”ดวงตาคมหลับตาคล้ายสะกดกั้นความเจ็บเพียงครู่
“เหตุใดท่านจึงเก็บร่างกายของข้าที่เป็นมนุษย์ไว้ในถ้ำแห่งนั้น”ดูเหมือนความลับที่หลี่รั่วถงปกปิดไม่อาจซ่อนเร้นได้อีกต่อไป
“เจ้าไปเจอได้อย่างไร”
นับว่าเป็นเรื่องที่หลี่รั่วถงตกใจไม่น้อย ร่างมนุษย์ที่ตนรักษาไว้ในถ้ำแห่งนั้นถูกเปิดเผยได้เช่นไร ม่านพลังที่ถูกกางกันเป็นเขตแดนไยจึงถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดายนัก ไม่ผิดเพี้ยนไปจากตอนที่เซียวโม่โฉวพบกับหลี่รั่วถงในร่างอสูรเสือดำเมื่อครั้งยังมีชีวิตแม้แต่น้อย
ผู้ใดกล้าเล่นตลกเช่นนี้!
“ท่านตอบคำถามข้ามาเถิด”
“เวลานี้ข้าไม่สามารถบอกอะไรเจ้าได้”
“ท่านจะปิดบังข้าไปถึงเมื่อไหร่!”หลี่รั่วถงทำได้เพียงหันหลังให้ซ่อนสีหน้าที่อ่อนล้าไว้มิให้บุรุษหนุ่มได้เห็น สภาพที่ไม่น่ามองเช่นนี้ก็น่าสมเพชเวทนามากพอแล้ว
“หลังจากที่เจ้ากลับมาจากผาพลิกชะตาแล้ว ข้าจะบอกเรื่องราวทั้งหมดที่เจ้าอยากรู้ให้ฟัง แต่ตอนนี้....”คำพูดที่หยุดนิ่งไปกับร่างสูงที่ไหวโอนเอนอย่างกะทันหันก็ทำให้เซียวโม่โฉวตกใจไม่น้อย หากมองแล้วแผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของหลี่รั่วถงนั้นมีบาดแผลฉกรรจ์ไม่น้อย ทั้งร่องรอยที่กำลังเลือนหายและรอยที่ไม่อาจจะหายในเพียงคืนเดียว ครั้นหลี่รั่วถงขยับตัวโลหิตสีแดงฉานกลับซึมไหลออกมาจากบาดแผลที่ถูกปิดไว้ไม่น่ามองนัก
เซียวโม่โฉวที่มองเห็นอยู่เช่นนั้นกลับแข็งใจไม่เอ่ยถามความเป็นมาของแผล
“ข้า.....จะกลับไปรอท่าน”
เพียงบุรุษหนุ่มหันหลังให้เดินออกไปไม่กี่ก้าวเสียงร่วงตุบที่ดังอยู่ด้านหลังพลันเรียกความสนใจของเซียวโม่โฉวให้หันมอง เป็นหลี่รั่วถงที่บัดนี้โซเซทรุดล้มลงกับพื้นไปเสียแล้ว คล้ายดั่งภาพเสาใหญ่ที่ค้ำจุนล้มครืนลงต่อหน้า
หัวใจที่แสร้งเข้มแข็งไม่อ่อนให้บัดนี้กลับลืมสิ้น ถลาเข้าไปประคับประคองสีหน้าตระหนกจนแทบร่ำไห้ อย่างไรความห่วงใยก็มิได้หมดสิ้นไปจากใจทีเดียว ก็เหมือนก้านบัวที่หักท่อน ถึงอย่างไรก็ยังเหลือใยอยู่ดี
ในระยะที่มิได้ห่างไปจากสายตา เซียวโม่โฉวยืนชะเง้อมองผู้ที่นอนนิ่งสนิทบนเตียงอย่างพะวงใจ มองดูหวางหรูอี้ผู้ที่เป็นทั้งสหายแหละหมอมือดีในยามวิกฤติให้แก่หลี่รั่วถง เมื่อครู่หวางหรูอี้เพิ่งจะเดินลมปราณและให้หลี่รั่วถงกินยาเข้าไป ท่าทีไม่ขยับตัวนั้นคงจะเป็นฤทธิ์ของยา
ครั้นดูอาการและรักษาเสร็จแล้วเจ้าของเส้นผมขาวพิสุทธิ์ก็เดินออกมาและมาหยุดตรงหน้าของเซียวโม่โฉวพร้อมทั้งยื่นตลับยาเล็กๆ ให้
“ดูเหมือนเจ้าจะมีบาดแผลขีดข่วน เอาสิ่งนี้ไปใช้เถิด แม้จะมิใช่มนุษย์หากป่วยก็ต้องรักษาเช่นกัน”
“ขอบคุณท่านมาก”เสียงแผ่วเอ่ยตอบรับของสิ่งนั้นมาทว่าสายตากลับชะเง้อมองหลี่รั่วถงอยู่ไม่ห่างมากนัก
หวางหรูอี้ที่สังเกตได้จึงแสร้งเอ่ยขึ้น
“ข้าเดินลมปราณปรับธาตุให้ อีกทั้งให้กินยาฟื้นกำลังอีกไม่นานก็คงจะรู้สึกตัว เห้อ.....แม้ข้าจะรู้ดีว่าสหายของข้าผู้นี้เข้าใจยากแต่นึกไม่ถึงว่าจะทนข่มความเจ็บมิยอมบอกผู้ใดจนอาการแย่เช่นนี้ ข้าคงต้องฝากเจ้าเฝ้าดูอาการของหลี่รั่วถงต่อก็แล้วกัน”
“ท่านอย่าเพิ่งไปจะได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องสงสัย”
“เรื่องใดหรือ?”
“บาดแผลเหล่านั้น ได้มาอย่างไรหรือ”
“ถึงอย่างไรวันหน้าเจ้าก็ต้องรู้ ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังสักเล็กน้อยก็แล้วกัน”
เมื่อหวางหรูอี้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เซียวโม่โฉวได้ฟังแล้ว ก็ขอตัวลากลับไป ปล่อยให้บุรุษหนุ่มถูกโอบล้อมไปด้วยความรู้สึกหลากหลายในความคิด แม้กระทั่งสิ่งที่ตกใจไม่น้อยนั่นคือการที่เกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้น ทว่าตนกลับหลบอยู่ในดอกบัวไม่รู้เรื่องราวแม้แต่น้อย และการต่อสู้ที่นำพาซึ่งการนองเลือดและการสูญเสียนั้นราวกับฝันร้าย อีกทั้งหวางหรูอี้ยังบอกข่าวที่ชวนสะเทือนใจว่า จูเกิงเฉินถูกสังหารในสงครามเสียแล้ว
นับว่าไม่มีสิงใดอนิจจัง มีเกิดย่อมมีดับ ต่ำเตี้ยเพียงใดก็ต่างมีชะตากรรมเป็นของตัวเอง
“ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือขอรับ ดูสีหน้าไม่สู้ดีเสียเลย”
“วันนี้ชั่งยาวนานเหลือเกินเจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่ ข้าไม่เคยรู้สึกว่าแต่ละชั่วยามที่ผ่านไปทำให้ข้าเลิกฟุ้งซ่านได้เลย ทุกเรื่องราวนั้นหนักหนาต่อข้านัก เจ้าบอกข้าหน่อยเถิดว่าข้าควรจะทำเช่นไร”
“หากเป็นเรื่องระหว่างท่านกับนายท่าน ข้าคงเข้าไปวุ่นวายอันใดมิได้ แต่ยามนี้ข้าขอพูดบางอย่างได้หรือไม่ขอรับ”
“พูดมาเถิด เจ้าพูดดีกว่าปล่อยให้ข้ากลายเป็นวิญญาณที่โง่งมไม่รู้อะไรเอาเสียเลย”น้ำเสียงเรือประชดประชันเลื่อนสายตาเหม่อมองไปยังหลี่รั่วถงที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงด้านใน
“ความทุกข์ในอกของท่านนั้นหนักหนาข้อนั้นข้ารู้ดี หากข้าจะฟังคำขอร้องจากข้าสักหนึ่งอย่างจะได้หรือไม่ขอรับ”
“เจ้าจะพูดสิ่งใด?”
“โปรดอย่าได้ขุ่นเคืองนายท่านของข้าเลยจะได้หรือไม่ขอรับ ข้ารู้ว่ายากนัก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่นายท่านทำไปล้วนมิได้มีเจตนาร้ายแอบแฝงแม้แต่น้อย ท่านโปรดไตร่ตรองถึงสิ่งที่ข้าพูดได้หรือไม่ขอรับ”เหอจี๋ย่อกายลงคุกเข่าต่อหน้าเซียวโม่โฉว ความกังวลใจระคนโศกเศร้าระบายบนใบหน้าให้เห็น
“เช่นนั้นเจ้าบอกข้าหน่อยเถิดว่าสิ่งที่ข้าถูกกระทำเหล่านี้ ความน้อยเนื้อต่ำใจที่เกิดขึ้นข้าควรจะนำมันไปวางไว้ที่ใดได้ หากมิใช่ในใจของข้า”
คนฟังก้มหน้านิ่งทราบดีว่าคงไม่มีผู้ใดทำใจได้เพียงง่ายหากปมเก่าคือถูกหลอกลวงจากผู้ที่เชื่อใจ และกลับต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนั้นไม่มีสิ้นสุด
“ข้ารู้ว่าแท้แล้วท่านมิได้ขุ่นเคืองนายท่านจนเคียดแค้น หากจะกล่าวให้ละเอียดนายท่านกระทำเพราะหวังดีต่อท่าน ผิดกับสิ่งที่ท่านพบเจอเมื่อครั้งมีชีวิตนะขอรับ.....เอาหัวของข้าไปได้เลยหากข้าพูดผิดไปจากความจริง ท่านก็น่าจะรู้อุปนิสัยของนายท่านบ้างแล้วว่ามิใช่ผู้ที่ใจคดหรือรังแกผู้คนไปทั่วไม่เลือก หากแต่อุปนิสัยแท้จริงนั้นมักจะร้ายกาจด้วยหน้าที่และภาระที่หนักหนา หากแต่การตัดสินใจนั้นสุขุมและนุ่มลึก มิเคยทำไปด้วยไร้เหตุผล สิ่งที่ข้าพูดท่านเก็บไปคิดสักเล็กน้อยเถิดนะขอรับ”
มิใช่ไม่เปิดใจรับฟังสิ่งใด หากแต่ทั้งหมดที่เหอจี๋กล่าวล้วนอยู่ในใจของเซียวโม่โฉวทุกคำพูด แม้จะไม่บอกก็พอทราบแล้วบ้าง หากแต่สถานการณ์และอารมณ์ความรู้สึกที่ถูกกระทบกระเทือนนั้นย่อมขาดแหว่งไปเป็นธรรมดา ไม่ต่างจากน้ำที่ปริ่มถ้วย หากมีสิ่งใดกระทบเพียงน้อยก็พลันกระฉ่อนออกมาไม่มากก็น้อย
“สิ่งที่เจ้าพูดไยข้าจะไม่รู้”ใบหน้าที่กลัดกลุ้มก้มงุดครุ่นคิดไม่มีตก เหอจี๋ที่เห็นเช่นนั้นก็พลันเบาใจลงไปบ้าง
เดิมทีเซียวโม่โฉวก็มิใช่เด็กหัวรั้น ออกจะว่านอนสอนง่ายเสียมากกว่า ความเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นก็มีอยู่ในตัวมิได้สิ้นสลายตายจากไปกับลมหายใจ เป็นธรรมดาที่หัวใจที่ยังหลงเหลือความเป็นมนุษย์จักรู้สึกผิดหวังและเสียใจได้
“นายท่านมิเคยดีต่อผู้ใดมากมายเหมือนกับท่านมาก่อน เช่นนั้นท่านโปรดดีต่อนายท่านของข้า.....แม้แต่เสี้ยวหนึ่งก็ยังดี ได้หรือไม่ขอรับ”เหอจี๋เอื้อมมือวางบนแขนของเซียวโม่โฉววิงวอนด้วยจริงใจ อย่างไรผู้ที่น่าสงสารในสายตาเหอจี๋อีกผู้หนึ่งจะเป็นผู้ใดมิได้นอกเสียจากหลี่รั่วถง
แม้ตนจะมิใช่บริวารรับใช่ที่ดีไปเสียทุกระเบียบนิ้ว หากแต่ความเมตตาที่หลี่รั่วถงมีให้ก็ไม่เคยทำให้เหอจี๋หลงลืมบุญคุณ
แม้ทั้งหมดที่เหอจี๋กล่าวถาม เซียวโม่โฉวมิได้ตกปากรับคำไปทันที หากแต่ก็มิได้โพล่งปฏิเสธไปเสียทันที
ข้าเองมิได้อยากขุ่นเคืองใจไปมากกว่าเรื่องที่แบกรับอยู่ในตอนนี้มากหรอก หากหลี่รั่วถงมิใช่ผู้ที่ข้ามีใจปฏิพัทธ์ด้วยในยามนี้.....ความรู้สึกของข้ามันคงไม่อ่อนแอเช่นนี้เป็นแน่
ติดตามตอนต่อไป >>>
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านและติดตามค่ะ
ฝากตอนต่อไปด้วยนะคะ :impress:
โดย หลานฮวา
-
อย่าใจร้ายเลยน้าาา
-
ลองฟังเหตุผลดูก่อนนะะะะ :hao5:
-
:mew2:
:L1: :pig4: :L1:
-
:pig4:
-
โม่โฉวกับรั่วถงควรจะจับเข่าคุยกันให้รู้เรื่องรู้ราวกันจริงๆเสียที
รั่วถงก็นะอมพะนำอยู่นั่นคำที่สมควรกล่าวก็ไม่กล่าวอ้อมโลกอ้อมจักรวาลอยู่นั่นล่ะ หงุดหงิด!
-
บทที่ 19
คำสัญญา
กึก!
ถาดไม้ใบเล็กวางลงกับโต๊ะไม้ตัวกลมที่อยู่ใกล้ๆ สองมือที่ประคองถ้วยที่ภายในบรรจุของเหลวใสอุ่นร้อน ไอขาวลอยขึ้นเหนืออากาศยื่นไปให้แก่หลี่รั่วถงไม่แสดงสีหน้ายินดีใดๆ ในใจยังคงขุ่นเคืองอยู่หลายส่วน มือใหญ่รับถ้วยยาจากมือของเซียวโม่โฉวเข้าดื่มจนหมดถ้วยไม่อิดออดและส่งคืน บุรุษหนุ่มทำหน้าที่เก็บถ้วยยาให้อย่างที่ผ่านมา ทำหน้าที่แทนเหอจี๋ที่มีงานกะทันหันดูยุ่งวุ่นวายนักเรื่องใดก็มิได้บอกเหตุผล นับเวลาก็ห้าวันมาแล้ว อีกฝ่ายไยจึงไม่กลับมาไปเสียนานจนนึกสงสัย
บัดนี้อาการของหลี่รั่วถงฟื้นตัวขึ้นมาก เดินเหินไปไหนมาไหนได้ด้วยตนเอง หากแต่ก็ยังไม่ปกติเสียทั้งหมดนักด้วยกำลังที่ฟื้นขึ้นช้าเพราะบาดแผลใหญ่ แต่หากจะให้เป็นปกติมีกำลังล้นเหลือเฉกเช่นพันปีก่อนก็คงจะไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้
นับตั้งแต่เรื่องราวอาการบาดเจ็บมิใช่ความลับ ผู้ที่คอยปรนนิบัติช่วยดูแลหน้าที่นั้นควรเป็นเหอจี๋ หากแต่หลายวันมานี้กลับไม่เห็นหน้า มีเพียงเซียวโม่โฉวที่มาทำหน้าที่ปรนนิบัติดูแลเสียแทน หลี่รั่วถงก็นึกแปลกใจไม่น้อย ครั้งรู้ตัวว่าอาจถูกเกลียดชัง หากแต่มาวันนี้ก็ยิ่งสงสัยนัก แม้สีหน้าจะมิได้ชื่นบานหากแต่ยอมเข้าใกล้นั้นก็ย่อมดีกว่าหลบหน้า
แลดูท่าว่าโอกาสจะมาถึงจึงเอ่ยรังผู้ที่เตรียมจะออกไป
“เจ้าช่วยอยู่คุยกับข้าเพียงครู่ได้หรือไม่”
“ท่านอยากพูดอะไรก็กล่าวมาเถิด”คนพูดแทบจะไม่สบตาอีกฝ่าย มองได้ชัดเจนว่ายังมีสิ่งใดอยู่ในใจ ข้อนั้นหลี่รั่วถงทราบดี
“ทั้งเรื่องที่ข้าปิดบังความจริงต่อเจ้าข้าจะไม่แก้ตัวใดๆ เพียงอยากกล่าวขอโทษ”ดวงตาคู่คมไล่มองจมูกปากและดวงตาที่ว่างเปล่าด้วยความรู้สึกผิด เช่นไรก็มิได้ชอบใจที่จะมองผู้ที่จนรักตีตัวออกห่างเช่นนี้ มันทรมานมากกว่าการรอคอยเสียอีก
ข้าอยากจะบอกเจ้าทุกอย่างเสียด้วยซ้ำ ไม่ปรารถนาสักนิดที่จะปล่อยให้เจ้าต้องต่อสู้กับวิบากกรรมอย่างทุกข์ทรมานอยู่เช่นนี้ แต่ข้ามาไกลเกินกว่าจะทำลายความหวังของตนเองเสียตอนนี้ หากข้าพูดไปสิ่งที่ข้าหมายมั่นสัญญาต่ออวี้หวงต้าตี้ก็จักไม่บรรลุผล เจ้าจะต้องถูกพรากไปจากข้าอีกคราข้าคงไม่ยอมเป็นแน่
เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะต้องพบเจออดีตชาติที่เจ็บปวดด้วยตนเอง พยายามฝ่าชะตาอันโหดร้ายที่ผ่านเข้ามา ราวกับบทลงโทษที่เคยฝ่าฝืนกฎของสวรรค์ครั้งยังเป็นเทพธิดาชั้นฟ้าด้วยเพราะข้าและเจ้ารักกัน ความเจ็บช้ำที่เกิดขึ้นทั้งตัวข้าและเจ้า ล้วนเป็นบทลงโทษที่มิอาจหลีกหนีไปได้ อดทนอีกหน่อยเถิดอีกไม่นานสวรรค์จะต้องยุติเรื่องราวเหล่านี้ในไม่ช้า
“ท่านอย่าได้พูดถึงเรื่องนั้นอีก ข้าไม่อยากกลายเป็นคนโง่ในสายตาของท่าน”คิ้วได้รูปย่นเข้าหากันสีหน้าหมองเศร้าอย่างเห็นได้ชัด ในใจของเซียวโม่โฉวยังคงมีบาดแผลจากการกระทำไม่คิดหน้าคิดหลังของตน
“ข้าไม่อยากให้เจ้าคิดเช่นนั้น สู้เจ้าต่อว่าข้าเสียยังดีกว่าต่อว่าตัวเองเช่นนั้น”นัยน์ตาคู่คมบ่งบอกว่าเจ็บปวดเพียงใดที่เห็นเซียวโม่โฉวปวดร้าว
“จะทำได้อย่างไรเล่า ท่านเป็นผู้ใดกันข้าจึงมีสิทธิ์กล่าวล่วงเกินท่านได้ ก่อนหน้านี้เพราะความใจร้อนและไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองจึงเผลอล่วงเกินท่านด้วยวาจาข้าขออภัยด้วย หากไม่มีธุระอันใดแล้วข้าขอตัวลา” ร่างบางค้อมศีรษะเพียงน้อย หลบใบหน้าซ่อนดวงตาที่วูบไหว เบี่ยงตัวหนีไปหลังคำกล่าวลา หากแต่หลี่รั่วถงไม่อาจปล่อยให้เซียวโม่โฉวไปทั้งเช่นนี้ได้ จึงตัดสินใจเข้าคว้าแขนดึงรั้งเอาไว้ ไม่อาจรั้งรอให้พายุอารมณ์สงบได้นานกว่านี้อีกแล้ว
ยิ่งมองเห็นเจ้าเข้าใกล้ข้าด้วยความรู้สึกอึดอัดเช่นนี้ ข้ายิ่งปวดใจสาหัสกว่าบาดแผลภายนอกเสียอีก
“มิใช่ความผิดของเจ้า แต่เพราะข้าผิดเองที่คิดว่าสิ่งที่ข้าทำนั้นถูกแล้ว มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าทำไปด้วยเป็นห่วงเจ้า มิใช่เพราะเจตนาหลอกลวงด้วยคิดทำร้าย ข้าไม่มีทางรังแกผู้ที่ข้ารักได้”
สีหน้าแววตาที่เคร่งขรึมไม่มีแววตาของความเย้าหยอก ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยออกมาราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงกลางใจของเซียวโม่โฉวอย่างกะทันหัน ผู้ที่รับฟังพลันเงยหน้าขึ้นสบตาดวงตาคู่คมที่ฉายชัดแล้วซึ่งความรู้สึกส่วนลึกอย่างไม่ปิดบัง
แม้เซียวโม่โฉวจะรู้สึกถึงใจตนเองที่ผูกพันต่อหลี่รั่วถงอยู่ลึกๆ ทว่าการที่ได้ยินเช่นนั้นราวกับถูกตอบรับและย้ำชัดความรู้สึกเข้าไปอีกจนยากถอนตัว
“ทะท่านหมายความเช่นไร?”น้ำเสียงสั่นเอ่ยถามย้ำราวกับหูแว่ว
หลี่รั่วถงมิได้ลังเลที่จะพูดตอบ หากแต่ครานี้กลับใช้ภาษากายยืนยันถ้อยคำด้วยร่างสูงสง่าที่ก้าวมาเบื้องหน้าเซียวโม่โฉว พลันสวมกอดรับเอาเจ้าของกายขาวที่สั่นเทิ้มเข้าแนบอก“ข้ารักเจ้า มิใช่ถ้อยคำหลอกลวงแต่อย่างใด”
คำว่ารักจากปากของหลี่รั่วถงถึงกับทำให้เซียวโม่โฉวที่มิได้คิดฝันถึงกับนิ่งค้าง หากแต่หัวใจกลับสั่นระรัวยินดีไปแล้วอย่างน่าอาย
กายอุ่นที่เข้าสวมกอด ทั้งลำแขนแข็งแรงที่โอบประคองกายถึงกับทำให้ความรู้สึกลึกๆ ที่โหยหากลั่นเอาน้ำตาเอ่อรื้นจนห้ามไม่ได้
เหตุใดข้าถึงได้พ่ายแพ้ให้กับคนผู้นี้ทั้งที่ความขุ่นเคืองยังมิได้สิ้นไปจากใจของข้า เวทมนตร์ใดกันที่หลี่รั่วถงสาปให้ข้าตกในภวังค์ความอิ่มเอมใจได้เช่นนี้ ความรู้สึกมันย้อนแย้งไปเสียหมดยากเกินเข้าใจนัก
“ปะปล่อยข้าเถิด”พลันตั้งสติได้เซียวโม่โฉวก็ดันตัวเองออกห่างสีหน้าสับสนวุ่นวายใจ ใบหน้าขาวกลับแดงเรื่องตรงแก้มสองข้างกระทั่งใบหู แสดงออกมาไม่ปิดบังถึงสิ่งที่อยู่ในใจ หลี่รั่วถงทราบดีว่าเซียวโม่โฉวกำลังสับสน สิ่งที่ตนทำได้สุดกำลังไม่เกินขอบเขตก็มีเพียงสิ่งนี้
ในสายตาเซียวโม่โฉวข้าอาจเป็นเหมือนกับผู้มากรักที่ตกหลุมรักผู้คนในเพียงพริบตา ทว่าความเป็นจริง...ข้ารักเซียวโม่โฉวมายาวนานนับพันปีนั่นคือความรักที่ข้ามีให้คนผู้นี้มาตลอดไม่เปลี่ยนแปลง
“ข้าไม่อาจขอให้เจ้ายกโทษให้ หากแต่ข้าก็คงไม่ให้อภัยตนเองที่ทำเจ้าเจ็บช้ำ”
“พอเถิด ท่านกำลังทำให้ข้าราวกับเป็นคนเสียสติ”เซียวโม่โฉวไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น หากแต่มืออุ่นที่เข้ามาประคองจับมือและบีบแน่นแทนความรู้สึกที่หนักแน่นคล้ายย้ำเตือนให้มั่นใจ ทำให้ใจที่อ่อนยวบอยู่แล้วราวกับจะเหลวกลายเป็นน้ำต่อหน้าหลี่รั่วถง ความรู้สึกข้างในมิได้ต่อต้านหากแต่ตอบรับเสียจนน่าโมโหตนเอง
“เจ้ามิเชื่อคำพูดข้า”
“คือว่าข้า.....ถึงอย่างไรก็ไม่อยากเปลี่ยนความตั้งใจ ต่อให้ท่านพูดอย่างไรทุกอย่างก็ไม่เปลี่ยน”
“ข้ารู้ว่าไม่อาจขัดต่อเจ้าในสิ่งที่ลั่นวาจาออกไปได้”
“และเรื่องสำคัญที่ท่านปิดบังข้า ร่างกายของข้าครั้งเป็นมนุษย์ที่ถูกเก็บไว้ท่านจะอธิบาย
อย่างไร? ”แม้ประโยคที่เอ่ยจะเต็มไปด้วยความประหม่าฟังแล้วสับสนอยู่มากแต่หลี่รั่วถงก็เข้าใจบุรุษ
ตรงหน้าดี “ท่านยังไม่ตอบข้าว่าเพราะเหตุใดท่านจึงเก็บร่างกายข้าไว้เช่นนั้น”
“ข้าสัญญาต่อเจ้าแล้วว่าจะบอกเรื่องนี้หลังจากที่เจ้ากลับมาจากผาพลิกชะตาอย่างปลอดภัย”
“หลังจากที่ข้ากลับมา.....ท่านต้องบอกข้าทุกเรื่องที่ข้าอยากรู้”
“ข้าสัญญา เจ้าก็ต้องสัญญาต่อข้าเช่นกันว่าจะกลับมาเพื่อฟังคำตอบจากปากของข้า”ยามนี้สีหน้าของหลี่รั่วถงครั้นไม่สบายใจนักต่อให้อีกฝ่ายจักเคืองใจต่อตนก็ไม่อาจตัดความห่วงใยไปได้ เพราะผาพลิกชะตาเสมือนอาวุธที่เลือกทำร้ายจิตใจ หากไม่หนักแน่นพอที่จะเผชิญเรื่องเจ็บปวดและปล่อยให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นกลืนกินก็ไม่อาจกลับมาได้ ซ้ำร้ายวิญญาณกลับต้องถูกจองจำอยู่กับสิ่งนั้นไปตราบนานเท่านาน
“.....”ไม่พูดตอบมิใช่ว่าไม่ได้ยินหากแต่เซียวโม่โฉวกำลังครุ่นคิดเสียมากกว่า ใบหน้าที่ก้มงุดจึงถูกสองมืออุ่นโอบประคองเงยขึ้นให้สบตา ใบหน้าหวานเกินบุรุษขมวดมุ่นจนดูยุ่งเหยิง แววตาพราวระยับคู่งามเหลือบมองไปมา ไม่กล้าสบตาของหลี่รั่วถงตรงๆ กลัวนักที่จะเผลอใจยินดีไปกับท่าทีอ่อนโยนเช่นนั้น
“ว่าอย่างไรเล่า”เสียงทุ้มที่ฟังดูอบอุ่นหัวใจไถ่ถามเอาคำตอบ มิได้คาดคั้นหากแต่รั้งรอด้วยสายตาวิงวอน
“ข้าสัญญา มิใช่เพราะสิ่งอื่นเพียงเพราะข้าตั้งใจจะมาฟังคำอธิบายจากปากของท่าน”
ทันทีที่คำตอบออกจากปากของเซียวโม่โฉว รอยยิ้มบางที่มิได้เห็นได้บ่อยนักจากจ้าวพิภพแห่งหยินกลับปรากฏบางๆ ตรงมุมปาก ครั้นผู้ที่สบตามองเห็นก็แทบเก็บแววตาเก้อเขินไว้ไม่อยู่
ข้ายังขุ่นเคืองใจไยต้องรู้สึกไปกับท่าทีของหลี่รั่วถง ข้าคงจะเป็นบ้าในเร็ววันกระมัง!
“ข้าจะรอเจ้า”หลี่รั่วถงตอบรับพร้อมกับโน้มใบหน้าชิดใกล้บรรจงมอบจุมพิตวางไว้บนกลีบปากบางที่อ่อนนุ่มอย่างทะนุถนอมราวสมบัติล้ำค่า นำพาดวงใจบุรุษหนุ่มที่สั่นไหวให้คล้อยตามความรู้สึกอย่างไม่รู้ตัว
“ร่างกายของท่านฟื้นกำลังมากแล้ว นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี และขออภัยอย่างยิ่งที่ข้ามิได้แวะเวียนมาก่อนหน้า”
“หากมา ข้าก็ไม่สามารถสู้หน้าเจ้าได้เสียทีเดียว เรื่องที่ข้าอ่อนแอลงมิได้ปรารถนาให้ผู้ใดมาเยี่ยม”สุราการ้อนถูกยกขึ้นรินให้แก่ติงเจิ้งหวา ที่ประคองจอกรับก่อนกระดกเข้าปากหมดจอก
“นับเป็นเรื่องยากลำบากของท่านมากนัก ความสงบก็กลับมาเยือนยังพิภพทั้ง 4 แล้ว ประมุขชั้นฟ้ากล่าวว่าจักนำความดีความชอบในครั้งนี้ไปพิจารณา”
“ข้าไม่สนว่าผู้ใดจะได้ความดีความชอบ เพียงทุกอย่างยุติลงข้าก็เบาใจ”
“เจ้ากล่าวว่าเบาใจ เหตุใดไม่หันมามองดูข้าที่กลุ้มใจเสียบ้างเล่า” อีกผู้หนึ่งที่อยู่ร่วมในวงสนทนาเท้าคางมองหน้าสหายราวกับอยากมีเรื่อง
“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าจะรับผิดชอบในสิ่งที่ข้าขอต่อเจ้า”แผ่นหลังที่นั่งตรงอย่างสง่าหลับตาเพียงครู่ดื่มด่ำกับกลิ่นสุราดอกท้อก่อนจะลืมตาขึ้นจ้องมองไปยังหวางหรูอี้
“เอามาให้ข้า สิ่งที่จะยืนยันว่าข้าจะไม่เดือดร้อนไปด้วย”หวางหรูอี้แบมือไปข้างหน้าเร่งเร้าให้หลี่รั่วถงหยิบยื่นมาให้ หากแต่อีกฝ่ายกลับมิได้สนใจจนหวางหรูอี้ต้องดึงมือกลับชักสีหน้าบึ้งตึง เข้าหยิบคว้าจอกสุราดื่มลงคอไปหลายจอก
“ยาลืมชาติของเจ้าข้าจะใช้มันเป็นอย่างดี อย่าได้ห่วง”
“จิ๊! ข้าไม่น่าให้มันกับเจ้า”
“ข้าขอถามท่านหน่อยเถิดหากมิใช่เป็นการละลาบละล้วงมากเกินไป”เป็นเจ้าของเส้นผมสีแดงเพลิงที่กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าใคร่รู้ความจริง
“ว่ามาเถิด หากข้าตอบเจ้าได้”หลี่รั่วถงพยักหน้า
“ท่านให้ยากับคนผู้นั้นแน่ใจแล้วหรือ”
หลี่รั่วถงเงียบไปเพียงครู่ มันมิใช่คำถามที่ติงเจิ้งหวาไม่รู้คำตอบ หากแต่เป็นการยืนยันความจริงเสียมากกว่า
“เจ้ารู้ดีใช่หรือไม่ว่าสรรพคุณยาของข้ามิใช่ออกฤทธิ์เพียงชั่วครั้งชั่วคราว หากแต่ตลอดไปไม่มียาใดแก้ได้”
“ข้าตัดสินใจดีแล้วอย่าได้ถามย้ำอีก อย่างไรข้าเพียงอยากให้ชีวิตใหม่แก่คนผู้นั้นสักครั้ง”น้ำเสียงมั่นคงที่มิได้ลังเลเอ่ยขึ้นมองดูหิมะขาวโพลนที่ตกอยู่รอบนอกของม่านพลังที่กางกั้นราวกับร่มคันใหญ่ มิให้เกล็ดหิมะสีขาวเข้ารบกวนการสนทนาในครั้งนี้
“ในเมื่อเจ้ามั่นใจเสียเช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องการจะขัดอีก แต่ถึงอย่างไรปัญหาในภายภาคหน้าเจ้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ มิเกี่ยวข้องต่อข้าและติงเจิ้งหวา”
“นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่เจ้าปกป้องข้า”ติงเจิ้งหวากล่าวขึ้นยินดีในคำพูดของอีกฝ่าย
“อย่าได้ใจมากนัก ข้ามิได้ปกป้องเจ้า”สายตาคมเฉี่ยวตวัดมองให้อีกฝ่ายสงบคำ
“ข้าขอรับปาก”
“เอาเถอะ ข้าจะไม่พูดเรื่องน่าหงุดหงิดขึ้นมาอีก แต่มีอีกเรื่องที่เจ้าเชิญพวกข้ามาวันนี้”หวางหรูอี้กล่าวขึ้น หลี่รั่วถงจึงพยักหน้าวางจองสุราในมือลงกับโต๊ะ สีหน้าตึงเครียดขึ้นจึงพานให้รอบโต๊ะก่อเกิดบรรยากาศกดดันด้วยรังสีที่แผ่ออกมาจากกายของหลี่รั่วถง แม้จะบางเบาหากแต่ก็ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้รับรู้ถึงความอึดอัดได้
“ข้าจะทำตามคำขอของเซียวโม่โฉวที่ปรารถนาจะรับรู้อดีตชาติและจิตใจที่โหดร้ายของครอบครัว ข้าจะส่งเซียวโม่โฉวไปยังผาพลิกชะตาในคืนนี้”
ติงเจิ้งหวาที่นั่งฟังไม่แสดงความคิดเห็นใดกลับต้องเอ่ยขึ้น
“ข้ารู้มาว่าผาพลิกชะตาไม่ใช่ที่ที่จะกลับคืนมาเสียง่ายดายนัก ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าจะทำเช่นนั้น”
“ชิ! เหตุใดชะตาชีวิตของเจ้ามันช่างยุ่งเหยิงจนข้าปวดหัวนัก”คล้ายคำบ่นพึมพำหากแต่เสียงดังพอที่ใครๆ จะได้ยิน
“ข้ารู้ถึงสิ่งที่จะตามมาจึงได้เรียกพวกเจ้ามาในวันนี้”
“รีบพูดเรื่องของเจ้ามาก่อนที่ข้าจะปวดหัวไปมากกว่านี้”
“หากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเซียวโม่โฉวขณะที่ลงไปในผาพลิกชะตา ข้าจะตามลงไปในทันที เช่นนั้นข้าจึงขอให้พวกเจ้าช่วยเหลือข้าหากมีสิ่งใดผิดพลาด”
“ผิดพลาดตั้งแต่ความคิดขอเจ้าแล้ว! เจ้าก็รู้ว่านั่นเป็นเรื่องต้องห้ามที่มิให้ผู้ที่อยู่เหนือวัฏสงสารเข้าไปสัมผัสมัน ทกอย่างจะเกิดเรื่องยุ่งตามมาต่อตัวเจ้า”
“ข้ามิได้กล่าวว่าจะลงไปหากทุกอย่างเรียบร้อย”หวางหรูอี้เลือกที่จะไม่ตอบโต้แต่กลับยกกาสุรารินใส่ปากตนเองเสียแทน หากแต่ติงเจิ้งหวาหักห้ามไว้
“หมดกานี่เจ้าก็ได้เมามายหรอก”
“ฮึ๊ย! ข้าโม่โหหลี่รั่วถงนักที่ยังนั่งนิ่งไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่กระทำได้เยือกเย็นเช่นนี้เจ้าสละทุกอย่างกระทั่งตอนนี้ชีวิตเจ้าก็หาเว้นไม่! ”หวางหรูอี้โวยวายจ้องมองหลี่รั่วถงที่เป็นอย่างที่กล่าว
เพราะหลี่รั่วถงรู้อุปนิสัยจอมโวยวายของหวางหรูอี้ดีจึงไม่นึกถือสา ถึงเช่นไรไม่กี่ชั่วยามก็จะสงบลง อีกทั้งบางอย่างที่หวางหรูอี้กล่าวก็หาใช่สิ่งที่จะปฏิเสธได้
“เช่นนั้นแล้วในยามนี้เซียวโม่โฉวอยู่ที่ใดเล่า? ”
เรือนเสี้ยวจันทรา
“เหตุใดเจ้าถึงได้เกะกะข้านัก ไปนั่งที่อื่นมิได้หรืออย่างไร!”
“ก็ข้าไม่อยากนั่งอยู่ลำพัง อีกไม่กี่ชั่วยามโม่โฉวก็ต้องไปแล้ว”ผู้ที่อิดออดกอดแข้งกอดขาเซียวโม่โฉวทำสีหน้าฟึดฟัดเป็นทู่จึ
“ปากเจ้าช่างไม่เป็นมงคลนัก”เหอจี๋แตะเท้าไปที่ปีศาจกระต่ายหากแต่ไม่ใส่แรงมากนัก
“พวกเจ้าจะทะเลาะกันให้ได้อะไร พอเถิด”เซียวโม่โฉวส่ายหน้า หากแต่ทั้งสมาธิกลับจดจ่ออยู่กับเข็มที่บรรจงปักลวดลายเล็กๆ ตรงมุมผ้าสีขาวตรงหน้า
“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ข้าเห็นเจ้ามิยอมหลับยอมนอนหลังขดหลังแข็งกับสิ่งนั้นมาหลายชั่วยามแล้ว”ทู่จึชะเง้อคอมองดูด้ายเส้นสีแดงที่ปักลงบนผ้าวนซ้ำไปมาคล้ายดอกไม้ที่มองอย่างไรก็ดูไม่ออกนักว่าเป็นดอกอะไร
“ข้ากำลังปักดอกโบตั๋น หากแต่ข้ามิใช่สตรีที่ถนัดเรื่องเย็บปักถักร้อยจึงได้ใช้เวลานานนัก ซ้ำยังดูน่าเกลียดเสียอีก”กล่าวแล้วก็แอบถอนหายใจให้กับผลงานของตน
“จริงด้วย ข้าถึงมองไม่ออกว่าเจ้ากำลังปักเป็นรูปอะไร”ผู้ที่พูดอย่างเถรตรงขมวดคิ้วมุ่นเห็นด้วย
“หน็อย! เจ้าจะพูดมากไปแล้ว”เหอจี๋ลากเจ้าปากมากออกห่าง “ท่านอย่าได้นำคำพูดของเจ้าปีศาจชั้นต่ำมาใส่ใจเลยนะขอรับ”
“ก็ข้ากล่าวความจริงนี่!”เสียงเล็กยังอุตส่าห์ตะโกนมาตอกย้ำ เซียวโม่โฉวมิได้คิดมากแต่ก็แอบผิดหวังในฝีมือตนเองไม่น้อย
“ข้ามิคิดว่าเรื่องพวกนี้จะยากเย็นนัก”ด้ายเส้นสีแดงถูกกัดขาดเป็นอันเสร็จสิ้น ครั้นขึงผ้าออกมองดูสิ่งที่กล่าวว่าดอกโบตั๋นก็ถึงกับถอนหายใจ
“สวยแล้วขอรับ นั่นเป็นความพยายามของท่านเหตุใดจะไม่งดงาม”เหอจี๋ยังคงให้กำลังใจเข้าเก็บสิ่งที่เซียวโม่โฉวใช้แล้วอย่างเรียบร้อย
“จะให้ข้าบอกหรือไม่ ด้านหลังข้าเห็นก้อนด้ายขะยุกเป็นปมก้อนใหญ่ นั่นเจ้าตั้งใจปั่นด้ายหรือ”นิ้วเล็กชี้สิ่งที่มองเห็น ครั้นไม่ทันเอ่ยปากอะไรต่อก็ถูกฝ่ามืออรหันต์ของเหอจี๋ฟาดเข้าไปที่ศีรษะ
“หากปากเจ้าว่างนักก็หาอะไรมาอุดไว้”แล้วก็ตามด้วยหมั่นโถวลูกสีเหลืองทองยัดเข้าปากทู่จึไม่ถามความจุของปากอีกฝ่ายสักคำ
เซียวโม่โฉวขบขันกับเสียงทะเลาะที่ดูวุ่นวายนั่นก็นึกสุขใจขึ้น
เพราะข้ามีพวกเขาข้าถึงได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง
“แค่กๆ ปากข้าแทบฉีกเพราะเจ้าผู้เดียว”
“หากเจ้ารู้จักระวังคำพูดก็มิต้องเดือดร้อน”
“เจ้ามันใจร้าย ข้าบอกไว้เลยว่าหาได้มีผู้ใดอยากจะเป็นสหายกับเจ้าไม่ ชิ!”เจ้าปีศาจกระต่ายแลบลิ้นปลิ้นตาก่อนจะโผเข้าไปหลบหลังเซียวโม่โฉว
“ฝากไว้ก่อนเถิด แค้นย่อมต้องชำระให้สิ้น!”สายตาเขียวคว่ำมองไปยังเจ้าตัวกวนใจอย่างคาดโทษ หากแต่ยอมฟึดฟัดตัดอารมณ์ไม่สนใจออกไปเสียก่อน
“นี่โม่โฉวววววว”เสียงเรียกยาวกระตุกแขนเสื้อสีขาวสะอาดให้สนใจ
“เจ้ามีอะไร หรือตำหนิฝีมือข้ายังไม่พอ”อีกฝ่ายส่ายหน้า จึงได้โล่งใจ
“เจ้าจะเอามันไปให้ผู้ใด? ”
“ไยเจ้าจึงซอกแซกอยากรู้ ทั้งที่มิใช่อุปนิสัยของเจ้า”
“ข้าก็แค่ถามเพราะสงสัย แต่ก็พอรู้ล่ะนะว่าเจ้าคงไม่ใช่มันเอง”คิ้วเจ้าเล่ห์เลิกขึ้นเหลือบตามองของที่อยู่ในมือเซียวโม่โฉว เพียงกล่าวไปเช่นนั้นใบหน้าที่ไม่เคยปกปิดความรู้สึกตนเองได้มิดชิดก็เผยให้รับรู้เสียหมดแล้ว
“ใช่เรื่องของเจ้าเสียเมื่อไหร่เล่า”
“น่านนนนสินะ เห้อ....”
“จู่ๆ ก็ถอนหายใจเป็นอะไรของเจ้า”ร่างบางลุกขึ้นพับผ้าที่อยู่ในมือใส่กล่องไม้ราวกับเก็บรักษาเป็นอย่างดี
“ข้ารู้สึกเหงาเหมือนกัน ที่จู่ๆ เจ้าจะไม่อยู่ เลิกล้มความตั้งใจของเจ้ามิได้หรือ ทั้งเรื่องไปยังผาพลิกชะตาและเรื่องหลังจากนี้ก็ด้วย”
เซียวโม่โฉวได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปมองทู่จึที่ขมวดคิ้วยุ่ง รอคำตอบจากตน “เจ้าก็ทำตัวน่ารักได้เช่นกัน” ยิ้มบางวาดขึ้นบนใบหน้า พลางเข้าไปตบไหล่ทู่จึเบาๆ
“ว่าอย่างไรเล่า เฉไฉเมื่อไหร่ข้าจะได้คำตอบ”
“จะว่าข้ารั้นก็ย่อมด่าทอได้”
“หมายความว่าเจ้าจะไม่เปลี่ยนความคิด”ดวงตาเป็นประกายดับวูบลงระคนผิดหวัง
“เจ้าและข้าต่างมีเส้นทางโชคชะตาที่ต่างกัน หากแต่การได้พบพานก็เป็นวาสนาที่ข้าและเจ้าอาจได้เคยพบเจอ”
“ที่เจ้ากล่าวอาจจะถูก”
“หรือแท้แล้วเจ้ากับข้าเคยมีชะตาร่วมกัน”
“ผู้ใดจะไปรู้”ผู้ที่กล่าวตอบเสียงกระเง้ากระงอดหน้ามุ่ยคล้ายเอียงงอนกระโดดลุกออกไป
เซียวโม่โฉวเพียงยืนมองแผ่นหลังเล็กที่ราวกับเด็กน้อยหายไปจากสายตา พลันถอนหายใจกวาดตามองไปโดยรอบแยกยิ้มบางๆ
“ข้าก็คงคิดถึงที่นี่เช่นกัน”
ติดตามตอนต่อไป >>>
ขอบคุณมากค่ะ :impress:
โดย หลานฮวา
-
จะไปละสินะ รอน้า
-
:L1: :pig4: :L1:
-
บทที่ 20
ผาพลิกชะตา…คืนชาติ
ยามราตรีเคลื่อนคล้อยร่างระหงที่อยู่ในอาภรณ์สีขาวสะอาดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่มีสิ่งประดับสวยงามใดๆ หากแต่มีเพียงใบหน้าที่งดงามกำลังทอดสายตามองไปยังร่างสูงตรงหน้าที่มองตนมาท่าทีกังวลอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากที่หยัดยิ้มให้ดูเข้มแข็งของเซียวโม่โฉวแท้แล้วภายในกลับหวาดหวั่นอดไม่ได้ที่จะประหม่ากับสิ่งที่ต้องเผชิญ
หากมองไปรอบๆ บรรยากาศนั้นมืดสลัวหากแต่มีแสงระยิบระยับทอประกายมาจากผิวน้ำที่อยู่ลึกลงไปด้านล่างของผาสูงชันที่รอกลืนกินผู้ที่กระโดดลงไป มายาที่มองเห็นนั้นสวยงามทว่าลึกลงไปในก้นบึ้งของที่แห้งนั้นไม่มีผู้ใดบอกได้ว่าจะมีสิ่งใดรออยู่
จะกล่าวว่ามันช่างดูโหดร้ายก็เห็นจะไม่เกินคำกล่าวอ้างนัก กระแสลมที่พัดโหมหนักเบาแสดงถึงความแปรปรวนของสถานที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี หากมองแล้วก็ไม่ได้ต่างไปจากขอบผาที่ร้องเรียกผู้ที่สิ้นหวังในโชคชะตาก้าวกระโดดลงไป
“จำคำที่ข้ากล่าวได้หรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะพบเจออะไรเบื้องล่างอย่าได้สงสัยเพียงรับรู้และยอมรับมัน เป็นเช่นนั้นเจ้าจึงจะกลับขึ้นมาได้”
“ข้าจำทุกคำพูดของท่านได้ดี”ใบหน้าที่คลี่ยิ้มหากแต่แววตายังคงมีความหวาดกลัวอยู่ลึกๆ มือขาวที่ประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันเย็นเยียบไม่ต่างจากน้ำแข็ง
“สิ่งที่เจ้ากำลังเผชิญทั้งเรื่องดีร้าย แต่จงตระหนักไว้ว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนผ่านพ้นไปแล้ว เรื่องของบิดามารดาของเจ้าก็เช่นกัน อย่าได้อาวรณ์ต่อสิ่งที่ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไข”
“ข้าตระเตรียมใจมาไม่น้อยกับเรื่องนี้”
“ข้าไม่อาจไปกับเจ้าได้ หากแต่ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”มือใหญ่เอื้อมไปสัมผัสเบาๆ กับไหล่ของเซียวโม่โฉวที่มีท่าทีสั่นเทิ้มอยู่ไม่น้อย ความอุ่นจากฝ่ามือที่แผ่ซ่านราวกับทำให้บุรุษหนุ่มสงบใจได้อย่างน่าแปลกประหลาด
“ขอบใจท่านมาก ข้ามิรู้จะตอบแทนเรื่องนี้แก่ท่านด้วยเหตุใด หากแต่ข้ามีเพียงสิ่งนี้มอบให้”ผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวที่เซียวโม่โฉวบรรจงประณีตสุดกำลังทำขึ้นถูกหยิบยื่นให้แก่หลี่รั่วถง ครั้นเห็นของสำคัญที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้หลี่รั่วถงจึงมิได้ปฏิเสธหากแต่รับไว้ด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง
“อาจไม่สวยงามอย่างที่คิดนักแต่ข้าก็มิสามารถซื้อหาสิ่งใดตอบแทนเหมือนดั่งโลกมนุษย์ได้ ข้าไม่รู้ว่าท่านจะพอใจกับมันหรือไม่”
“สิ่งที่เจ้ามอบมันให้ข้านั้นมีค่ายิ่งกว่าใช้เงินทองซื้อหา ข้าจะรับสิ่งนี้ไว้และเก็บรักษาเป็นอย่างดี”หลี่รั่วถงยกผ้าผืนสีขาวเนื้อดีขึ้นจรดปลายจมูก อีกทั้งสายตาคมเหลือบมองผู้เป็นเจ้าของสิ่งนี้อย่างพึงใจอย่างยิ่ง “ต่อให้สิ่งที่เจ้ามอบให้เป็นเพียงหินก้อนเล็กข้าก็จักกล่าวว่ามันสำคัญ”
ครั้นอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้นเซียวโม่โฉวยิ่งหัวใจพองโต กำลังใจในครานี้ก็เห็นทีว่าจะไม่หวาดกลัวสิ่งใดแล้ว
“ข้าคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว”
หลี่รั่วถงพยักหน้าพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้ร่างของบุรุษตรงหน้าห่างเพียงแค่ช่องฝ่ามือลอดก็ว่าได้ ร่างสูงสง่าเข้าประคองใบหน้าได้รูปเอาไว้ โน้มศีรษะเข้าแนบชิดกับหน้าผากของบุรุษตรงหน้าแล้วจรดริมฝีปากมอบจุมพิตอ่อนโยนราวกับล่ำลานำพาเซียวโม่โฉวยืนปริ่มขอบหน้าผาอย่างมิรู้ตัว
ครู่หนึ่งราวกับมีไอพลังที่เปล่งออกจากร่างของหลี่รั่วถง ริมฝีปากหยักพึมพำเสียงแผ่วก่อนจะปล่อยให้เซียวโม่โฉวเอนกายหล่นหายลงไปเมื่อปล่อยมือ
เซียวโม่โฉวที่รับรู้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดครั้นทิ้งตัวจากไปกลับเผยรอยยิ้มให้แก่หลี่รั่วถง และพึมพำในสิ่งที่ให้สัญญาเอาไว้
“.....ข้าจะกลับมา”
ร่างของเซียวโม่โฉวที่จมหายลงไปปรากฏอยู่ในสายตาของหลี่รั่วถงอยู่ตลอด ครั้นถึงเวลาจ้าวพิภพแห่งหยินจึงต้องร่ายมนตร์คาถาปิดทางเข้าผาพลิกชะตาแห่งนี้มิให้มีสิ่งใดติดตามลงไปได้ ฉับพลันภูผาที่แบ่งแยกออกจากกันกลับเคลื่อนตัวส่งเสียงฮึมครึมกัปนาทดังราวฟ้าถล่ม เสียงของภูเขาสองลูกที่เคยแยกออกเป็นผาลึกกลับเคลื่อนเข้าชนกันสนิท ผาลึกที่เซียวโม่โฉวลงไปเบื้องหน้าบัดนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว
บุ๋ม!
ฟองอากาศลูกใหญ่ที่ห่อหุ้มกายของเซียวโม่โฉวไว้แตกออก ครั้นลืมตาตื่นจากภวังค์ราวกับหลับใหลก็พลันแปลกใจกับภาพที่ฉายชัดอยู่เบื้องหน้า
เสียงตีรันฟันแทงราวกับเป็นสงครามที่ร้อนระอุเบื้องหน้าละลานตาจนกายก้าวถอยตกใจ คมมีดที่เฉียดหน้าไปคล้ายดั่งไม่มีผู้ใดมองเห็นบุรุษหนุ่มได้
“นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น!”
เปรี้ยง!
อีกครั้งที่เสียงดังสนั่นท้องฟ้าเรียกความสนใจให้เซียวโม่โฉวเงยหน้าขึ้นไปมอง เพียงวูบเดียวราวกับโดนดึงดูเข้ากลับเข้าสู่ร่างของใครบางคนที่เป็นสตรีงามเครื่องผ้าอาภรณ์สีสวยหากทว่ากลับเหาะเหินอยู่ในอากาศ บัดนี้ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับร่างของนาง เซียวโม่โฉวไม่อาจควบคุมวิญญาณของตนเองได้หากแต่เพียงมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเบื้องหน้า สองบุรุษที่รบรากลางอากาศฟาดฟันพลังใส่กันนั่นช่างน่าหวาดกลัวนัก
สิ่งที่เซียวโม่โฉวตระหนกด้วยตาที่มองผ่านร่างสตรีนางหนึ่งนั่นเป็นหลี่รั่วถง และผู้หนึ่งเป็นจูเกิงเฉินที่ยังดูหนุ่มแน่นท่าทางเหี้ยมหาญแววตากร้าวแกร่ง ทั้งสองประมือกันสุดกำลังและผู้ที่กำลังพลาดท่าเห็นทีจะเป็นหลี่รั่วถง พลันเซียวโม่โฉวที่อยู่ในร่างของสตรีนางหนึ่งกลับพุ่งเข้าหาหลี่รั่วถงปกป้องผู้อันเป็นที่รักไม่ลังเลต่ออันตราย
กายที่เข้าขวางห้ามกลับถูกฝ่ามือคลื่นมารซักเข้าอย่างจัง บัดนี้เซียวโม่โฉวรับรู้ความรู้สึกจวนเจียนจะขาดใจได้ผ่านกายของสตรีนางนี้ เสียงเรียกที่ดังก้องอยู่ในความคิด ‘เหยว่ถิง’ นั่นคือชื่อที่หลี่รั่วถงเรียกขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตกใจเปี่ยมไปด้วยความรักที่ไม่อยากพรากจากกัน
หากแต่ชื่อนั้นราวกับเสี้ยนหนามตำใจไม่อยากให้เอ่ยชื่อนั้นด้วยสีหน้ารักใคร่สุดหัวใจเสียเลย แม้ยามนี้เซียวโม่โฉวจะตระหนักดีว่านั่นคือตนเองในชาติภพที่แล้ว แต่ลึกแล้วก็ไม่ชอบใจที่ตนนั้นมิใช่เหยว่ถิงที่หลี่รั่วถงรัก
นั่นเพราะยามนี้ข้ามิได้มีร่างกายที่พรั่งพร้อมไปด้วยรูปโฉมงดงามเฉกเช่นสตรี แต่เป็นเพียงเซียวโม่โฉวที่มีกายเป็นบุรุษ ร่างกายมิได้อ่อนช้อย น้ำเสียงมิได้หวานระรื่นหู มือมิได้นิ่มนวล ช่างหาความเหมือนมิได้แม้แต่น้อย
ความตระหนกตกใจในชาติอดีตยังไม่สิ้น ภาพตรงหน้าก็เลือนหายคล้ายวิญญาณถูกดึงกระชากไป ความวูบไหวที่ตั้งรับแทบไม่สิ้นก็ถูกพาไปยังอีกสถานที่หนึ่ง
ร้อน?
ร้อนราวกับไฟที่แผดเผานั่นคือความรู้สึกที่เซียวโม่โฉวสัมผัสได้ ครั้นลืมตามองไปเบื้องหน้าก็พบกับกองเพลิงที่ท่วมร่างของตนครั้นยังเป็นเหยว่ถิงในร่างเทพธิดา ครานั้นความรู้สึกของเซียวโม่โฉวที่มองดูหลี่รั่วถงทุกข์ระทมจิตใจถึงกับหลั่งน้ำตาให้ต่อหน้าเปลวเพลิงสีฟ้ามองดูกายทิพย์ที่กำจายเป็นดวงไฟเล็กๆ ราวกับหิ่งห้อยนับพันตัวลอยหายไปในอากาศช่างเป็นความรู้สึกที่อยากจะเข้าไปกอดปลอบประโลมหากแต่ร่างกายกลับขยับมิได้
ภาพของหลี่รั่วถงที่ทรุดกายเข่ากระแทกลงกับพื้นช่างบีบคั้นหัวใจของเซียวโม่โฉวเหลือเกิน หากแต่ครั้นภาพเบื้องหน้าแปรเปลี่ยนไปความน่าหวาดหวั่นจิตใจก็ปรากฏขึ้น กาลเวลาที่ล่วงเลยมานับพันปีต่อมาปรากฏภาพของหลี่รั่วถงที่กรีดท่อนแขนของตนเองปล่อยให้โลหิตหยดลงบนกองเถ้าถ่านแววตาที่หาญกล้ายามนี้ช่างดูดุดันยิ่งนัก
เพียงครู่วงแหวนเวทก็ค่อยๆ สว่างจ้า ถ้อยคำที่บริกรรมคาถาค่อยๆ ก่อเกิดสิ่งอัศจรรย์ใจบางอย่างขึ้นกลางกองเถ้าเพียงหยิบมือ อีกคราที่เซียวโม่โฉวรู้สึกราวกับว่าเสียงร้องนั้นเปล่งออกมาจากปากของตนเอง เพียงชั่วพริบตาความอ้างว้างโดดเดี่ยวกลับเกิดขึ้น เด็กน้อยที่เกิดจากการบริกรรมคาถาของหลี่รั่วถงถูกนำมาวางทิ้งใส่ตะกร้าไว้ใต้ต้นหลิวตรงชายป่าแห่งหนึ่ง ครั้นสองสามีภรรยาเดินผ่านมาเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กจึงรีบเข้ามาดู
ความเชื่อที่เพิ่งได้รับคำทำนายว่าหากชุบเลี้ยงเด็กผู้หนึ่งไว้จักนำพาความสุขสบายมาให้แก่ครอบครัว ราวกับคำทำนายที่ได้ฟังมาเป็นจริงสองสามีภรรยาจึงไม่รอช้ารับเด็กผู้นั้นเข้าอุปการะเลี้ยงดูและตั้งชื่อให้ว่า ‘เซียวโม่โฉว’
แท้แล้วข้ามิใช่บุตรแท้ของท่านพ่อกับท่านแม่เช่นนั้นหรือ!
ความจริงที่กระจ่างใจถึงกับทำให้เซียวโม่โฉวสะอึกในความเจ็บปวด มองเห็นไปถึงเหตุผลต่างๆ นานาว่าเหตุใดตนจึงเป็นที่สองรองจากน้องชายของตนมาตลอด และครั้งหมดสิ้นความรักใคร่ราวกับของใช้ไม่ได้ประโยชน์ก็ถูกขายทิ้งออกไป ครานี้บุรุษหนุ่มจึงกระจ่างใจแล้วว่าเหตุใดความผูกพันที่บิดาและมารดามอบให้นั้นจึงเปราะบางเสียเหลือเกิน
ครั้นน้ำตาที่หยดลงอาบแก้ม หัวใจของผู้ที่ต้องมารับรู้ความจริงก็ยิ่งจวนเจียนจะสลาย ครั้นภาพอดีตที่โหดร้ายนั้นได้มาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง
ไม่! ไม่! อย่าได้ทำต่อข้าเช่นนั้น!
แม้เสียงที่ตะโกนร้องจะดังขึ้นเพียงใดทว่าเหตุการณ์ที่ตนกำลังจะถูกสังเวยลงสู่ก้นบึ้งของทะเลสาบก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง คมดาบที่สะท้อนวาวกรีดแทงดวงใจของเซียวโฉวตั้งแต่สิ่งนั้นถูกดึงออกจากฝักแล้ว กระทั่งปลายดาบที่แหลมคมเสียบแทงเข้าสู่ร่างกาย ความรู้สึกเจ็บจวนเจียนจะขาดใจก็แล่นปราดเข้าสู่ร่างกายอีกครา
น้ำตาที่ไหลพรากไร้เสียงสะอื้นไม่ได้ช่วยเหลือสิ่งใดได้ ซ้ำถูกผลักให้จมลงไปในทะเลสาบสถานที่ที่เย็นยะเยือกอีกครั้งอย่างไม่ปรานี ครานั้นความเจ็บค่อยๆ เลือนหายกระทั่งลมหายใจห้วงสุดท้ายได้ขาดสิ้นลง
ความเจ็บปวดเหล่านี้กำลังดึงรั้งเซียวโม่โฉวไว้ บุรุษหนุ่มค่อยๆ จมดิ่งลงไปกับความจริงที่ไม่มีวันหลีกเลี่ยงได้
ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน.....
เสียงสะท้อนที่ไม่อาจส่งไปถึงยังผู้ใดครั้นความมหัศจรรย์ใจก็ทำให้เซียวโม่โฉวตื่นขึ้นอีกครั้ง เมื่อร่างที่ไร้ซึ่งลมหายใจบัดนี้กลับถูกรับไปด้วยใครคนหนึ่ง ครั้นภาพใต้ทะเลสาบค่อยๆ สว่างขึ้น เซียวโม่โฉวก็ถึงกับเบิกตาโพลงจดจำทั้งใบหน้าและดวงตาคู่คมที่ยามนี้ส่องประกายเป็นสีเหลืองอำพันโอบอุ้มร่างของตนไปและหายวับไปต่อหน้าต่อตา
คงมิต้องถามไถ่แล้วว่าร่างของข้าไปอยู่ที่พิภพแห่งหยินได้อย่างไร หากแต่เพื่อการใดจึงขโมยร่างของข้าไปมิให้เน่าเปื่อยเป็นอาหารปลาอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้
ท่านกำลังคิดจะทำสิ่งใดกันแน่หลี่รั่วถง!
ความสงสัยที่ผุดพรายขึ้นค่อยๆ วูบดับราวกับเปลวเทียนที่ต้องลม แม้จะพยายามฝืนสติตนเองเพียงใดก็ไม่สามารถฝืนทนความมืดที่กลืนกินได้ในยามนี้
ข้า.....ข้าอยากกลับไป
ท่ามกลางความมืดแสงสว่างจากเทียนไขและคบเพลิงที่จุดขึ้นสองจุด ณ กลางป่าสนเป็นร่องรอยของการอาศัยอยู่ ระหว่างต้นไม้ที่สูงชะลูดกระท่อมหลังเล็กถูกสร้างขึ้นจากไม้ขนาดกะทัดรัดตั้งอยู่ลึกเข้าไปบนเทือกเขา ควันไฟและกลิ่นอายของอาหารลอยขึ้นไปในอากาศลอดผ่านซี่ไม้ที่ตีกั้นเป็นห้องครัวด้านนอก ธัญพืชที่หุงต้มทดแทนข้าวที่หายากก็พอประทังความหิวได้
เจ้าของร่างเล็กที่เดินขวักไขว่ไปมาหอบไม้ฟื้นด้วยมือข้างเดียวดูทุลักทุกเล มือข้างซ้ายที่ทำทุกอย่างไม่ต่างจากผู้ที่มีสองมือเร่งไฟที่ใกล้มอดด้วยฟืนที่หาเก็บสะสมได้ หยาดเหงื่อเล็กๆ ที่ผุดพรายบนใบหน้าเยาว์วัยคล้ายว่าเหน็ดเหนื่อยสุดใจก็หาได้ปริปากบ่น มิหนำซ้ำกลับทำด้วยความยินดีเสียยิ่งกว่าสิ่งใด
ระหว่างที่เติมไฟร่างเล็กจึงได้มีเวลาหย่อนตัวลงนั่งพัก ดวงตาสุกสว่างจ้องมองไฟที่กำลังเผาไหม้ไม้แห้งด้วยสติที่เผลอเลื่อนลอย ครั้นเสียงเดือดของน้ำที่ต้มธัญพืชไว้พวยพุ่งเจ้าของร่างเล็กจึงหุนหันกระวีกระวาดลดไฟ เกรงว่าของที่มีอยู่น้อยจะพานหกเสียหมดจึงเร่งยกลงจากเตา
“หกจนได้ ข้านี่แย่จริงๆ”ปากเล็กขยับพึมพำยกมือที่ร้อนฉ่าขึ้นจับติ่งหูสลายความร้อน ก่อนจะพยายามหยิบถ้วยที่คว่ำอยู่สูงเกินไปร่างเล็กจึงต้องส่งแรงเขย่งจนสุดปลายเท้าเอื้อมแขนข้างที่มีสุดปลายนิ้ว หากแต่เพียงแตะได้เพียงผิวเผิน พยายามอยู่ช้านานกระทั่งเงาสูงใหญ่ที่ซ่อนทาบเข้ามาเบื้องหลังจัดการหยิบให้โดยมิต้องพยายามอันใดส่งให้ในทันที
“หากหยิบไม่ถึงไยเจ้าไม่เรียกข้าให้ช่วยเหลือ”เจ้าของร่างสูงสวมเสื้อผ้าธรรมดาที่ถักทอจากฝ้ายย้อมด้วยสีจากธรรมชาติติเตียนผู้ที่ไม่ย่อมพึ่งพา
“หรงฮุย!”
“ก็เป็นข้าน่ะสิ เหตุใดจึงทำท่าทีตกใจเช่นนั้นเล่า”
“ก็ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากลับมาจากล่าสัตว์แล้ว”เสียงแผ่วเอ่ยขึ้นยกมือเกาแก้มขาวที่ดำเปื้อนไปด้วยควันไฟด้วยความเก้อเขิน หากปลายจมูกเล็กๆ นั่นไม่ถูกควันไฟสีดำแต้มไว้คงได้เห็นจมูกแดงๆ เป็นแน่
“ใบหน้าเจ้าเลอะเทอะอีกแล้ว”
“ยะอย่างนั้นหรือ? ”
“มาเถอะข้าจะเช็ดให้ เจ้าเช็ดเองเห็นทีจะเปื้อนเหลือแต่ดวงตา”รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าคมคายเอื้อมมือเข้าถูเช็ดใบหน้าให้ ท่าทีอ่อนโยนที่แสดงออกมาราวกับเป็นภาพฝันที่ปรากฏขึ้นซ้ำๆ ในแต่ละวันของลี่ถิง
“หรงฮุย เจ้าหิวแล้วหรือไม่ข้าเตรียมอาหารเสร็จแล้ว”
“กินสิ แต่กินด้วยกันเถอะ”
“อื้ม”
“เช่นนั้นเจ้าไปรอที่แคร่ไม้ด้านนอก ประเดี๋ยวข้าจะช่วยยกออกไปให้” มือใหญ่ที่จับมือของลี่ถิงลากดึงให้ไปรออยู่ด้านนอก พร้อมกับกดไหล่ให้ร่างเล็กที่รั้นอยากช่วยให้นั่งลงนิ่งๆ
“เจ้ารออยู่ตรงนี้นิ่งๆ สักประเดี๋ยวเถอะ ข้าจะจัดการเอง”
“แต่ว่าเจ้ากลับมาเหน็ดเหนื่อย เรื่องหุงอาหารเป็นหน้าที่ของข้า”
“ข้าแย่งหน้าที่เจ้านิดหน่อยจะเป็นไรไป”มืออุ่นข้างที่ขยับได้ไม่ดีนักวางลงบนศีรษะทุยของลี่ถิงขยุ้มเส้นผมเล็กเบาๆ ท่าทีเอ็นดู
ลี่ถิงได้แต่ชะเง้อมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินหายเข้าไปในครัวด้วยแววตาอบอุ่น แล้วก้มมองร่างกายของตนที่ไม่สบประกอบ จะกล่าวว่าเสียใจหรือไม่ที่เป็นเช่นนี้ในใจของลี่ถิงนั้นมีคำตอบอยู่แล้วว่าไม่ ต่อให้ต้องเสียแขนอีกข้างก็ย่อมสละให้ได้เพื่อผู้ที่ตนรักและเทิดทูน
ชีวิตนี้เกิดขึ้นเพราะท่าน ข้าจะเสียดายสิ่งใดอีก หากข้ามิได้ทำในสิ่งที่ข้าควรทำนั่นคือความทุกข์ใจของข้า
“โชคดีที่วันนี้ข้าได้ไก่ฟ้ามา พรุ่งนี้ข้าจะต้มน้ำแกงให้เจ้ากิน”ธัญพืชร้อนๆ เพียงสองถ้วยที่ยกมาวาง มีเครื่องเคียงสองสามอย่างที่ตระเตรียมไว้ แม้มิใช่อาหารที่เลิศรสหากแต่การได้กินกับผู้ที่อยู่ตรงหน้าก็นับว่าดีที่สุดแล้ว
“เจ้าไม่ต้องลำบากเช่นนั้น”
“ได้อย่างไร เจ้าตัวเล็กเช่นนี้มิใช่ว่ากินน้อยหรือ”พูดไปตะเกียบของหรงฮุยก็คีบเครื่องเคียงที่เป็นผักใส่ถ้วยให้ลี่ถิงคะยั้นคะยอให้กินเยอะๆ
“แม้ข้าจะตัวเล็กแต่ข้าก็มิใช่เด็กๆ แล้ว”
“ข้ารู้ เพราะเจ้าตัวเล็กแรงน้อยเช่นนี้ข้าจึงเป็นห่วง”แม้ถ้อยคำจะธรรมดาเสียจนเป็นเรื่องปกติในบทสนทนา แต่ก็ทำให้ลี่ถิงถึงกับน้ำตาคลอเอาเสียดื้อๆ ทำเอาธัญพืชต้มสุกที่เคี้ยวอยู่ในปากรสชาติเค็มขึ้นโดยมิต้องพึ่งเกลือ
“เจ้าเป็นอะไรไป”ผู้ที่อยู่ตรงหน้าสังเกตเห็นจึงวางตะเกียบลงแล้วถามไถ่อย่างเป็นห่วง
“ข้าเปล่า”เสียงสั่นเครือที่พยายามทำให้ดูปกติคีบเคี้ยวผักชิ้นเล็กๆ เข้าปาก
“เจ้าตอบเช่นนี้ทุกคราที่ข้าเอ่ยถาม มีอะไรเจ้าก็บอกข้าได้เจ็บป่วยด้วยเรื่องใดเจ้าก็ต้องบอก เจ้ากับข้าก็มิใช่คนอื่นไกล”หรงฮุยผุดลุกขึ้นจากฝั่งของตนมานั่งข้างๆ ผู้ที่ขี้แย แขนกว้างที่โอบกายลี่ถิงเข้าสู่อ้อมกอดปลอบประโลมตบแผ่นหลังเบาๆ ให้อย่างอ่อนโยนมิได้รังเกียจความผิดแปลกที่ไม่มีเหมือนผู้อื่น
ซืดดดด
“ข้าเพียงคิดเรื่องฟุ้งซ่านเจ้าอย่าได้กังวลเลย”เสียงสูดน้ำมูกผละออกจากหรงฮุยคลี่ยิ้มให้
“หรือเจ้ากำลังคิดว่าตนเองไม่เหมือนผู้ใด น้อยเนื้อต่ำใจเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกหรือ”
“ข้าไม่เคยคิดเรื่องเช่นนั้นเจ้าก็รู้”
“เช่นนั้นเจ้ากำลังคิดสิ่งใดบอกข้าให้รู้บ้างเถิด เจ้ายิ่งปิดบังอดีตข้ายิ่งไม่ชอบใจเจ้ารู้ใช่หรือไม่ลี่ถิง”ใบหน้านิ่งขรึมมองแววตาที่หลุบลงต่ำกำลังพยักหน้าให้ว่ารับรู้
“ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เจ้ารู้สึกไม่ดี ต่อแต่นี้ข้าจะระวังไม่ร้องไห้ต่อหน้าเจ้าอีก”
แขนเล็กยกขึ้นปากน้ำตาเสียยกใหญ่
“ข้ามิได้ดุเจ้า อย่าพูดว่าจะไม่ร้องไห้ต่อหน้าข้าอีก นั่นมันยิ่งทำให้ข้าเป็นห่วงเจ้าเข้าใจหรือไม่ ข้าไม่รู้หรอกว่าครอบครัวของข้าเป็นใคร แต่เวลานี้ข้ามีเจ้าเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของข้า ต่อให้เจ้าจะบอกว่าข้าเก็บเจ้ามาและข้าก็สูญเสียความทรงจำเพราะพลัดตกหน้าผาตอนไปล่าสัตว์ข้าย่อมเชื่อในสิ่งที่เจ้าพูด เจ้ามิได้มีเพียงตัวคนเดียวหากแต่เจ้ายังมีข้าอยู่เคียงข้าง เช่นนั้นแล้วห้ามมีเรื่องปิดบังต่อข้าอีก”
“.....”ลี่ถิงพยักหน้าให้หากแต่กลับห้ามมิให้น้ำตาไหลพรากออกมาไม่ได้
ยามนี้ลี่ถิงนั้นสุขใจเสียจนกลัวว่าสักวันทุกอย่างจะหายไปและกลับไปเป็นก่อนเก่าอีก
“เจ้าคนขี้แย ร้องไห้เช่นนี้ข้าจะปลอบเจ้าอย่างไรไหว”
“เจ้ามิต้องปลอบใจข้าหรอก ซืดดดด....ประเดี๋ยวข้าก็หายเอง”คำพูดที่กล่าวออกมาทำให้หรงฮุยขบขันไม่น้อย ผิดจากก่อนเก่าที่ใบหน้าเช่นนั้นมิเคยยิ้มหรือหัวเราะ
“กินข้าวเถิดเดี๋ยวจะเย็นชืดไปเสียหมด”กล่าวเสร็จหรงฮุยมิได้ลุกไปนั่งยังที่เดิมหากแต่เพียงเอื้อมมือไปหยิบถ้วยของตนเองมาถือไว้
“เจ้าไม่กลับไปนั่งที่ของเจ้าหรือ”ตาแดงๆ เงยขึ้นมองผู้ที่เปลี่ยนใจ
“ข้านั่งข้างเจ้าดีแล้ว กินเถอะหรือจะให้ข้าป้อน”
“ข้ากินเองได้”เสียงตอบแผ่วแต่ในอกเต้นระรัว ความอบอุ่นแผ่ซ่านจนใบหน้าขาวนวลเนียนแดงเรื่อ โชคดีที่เวลานี้พลบค่ำความมืดจึงได้ช่วยซ่อนสีหน้าผิดปกติไว้ได้ ความรู้สึกที่มีผู้ที่มาใส่ใจนั้นช่างดียิ่งนัก
เพียงได้รับความเห็นใจจากนายท่านข้าก็สุขใจแม้จะลำบากเพียงใดข้าก็จะทน ข้าจะเป็นครอบครัวของท่าน ตราบใดที่ท่านยังต้องการข้าอยู่ แม้ความทรงจำของท่านเมื่อครั้งเก่าจะสิ้นสูญด้วยยาลืมชาติ ไม่รู้กระทั่งตนเป็นผู้ใด ข้าสาบานว่าจากนี้ไปข้าจะสร้างความทรงจำใหม่ให้ท่านได้มีความสุขให้จงได้
‘ลี่ถิงในยามนี้ไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณท่านอย่างไร ที่ปรานีและให้โอกาสนายท่านของข้าได้ใช้ชีวิตอย่างมิต้องมีความคิดแค้น หากมีวาสนาข้าจักตอบแทนท่านเป็นแน่ท่านหลี่รั่วถง’
ติดตามตอนต่อไป >>>
ขอบคุณที่มาอ่านค่ะ :m5:
โดย หลานฮวา
-
:L2: :pig4: :L2:
-
:pig4:
-
แระคู่ตัวเองจะเปงไงน้ออออ
-
บทที่ 21
สำคัญที่การกระทำ
กึก กึกๆ
เสียงเท้าที่เดินวกไปวนมารอบที่เท่าไหร่ไม่มีผู้ใดนับนั้นดูกระวนกระวายเป็นที่หนึ่ง เจ้าของเสียงฝีเท่าที่น่ารำคาญหาใช่ผู้ใดหากแต่เป็นเหอจี๋ข้ารับใช้ที่กังวลทุกรายละเอียดยิบย่อยไปหมด
“ข้ามองเจ้าเดินเหินไปมาจนปวดหัวมัวตาปรานีข้าบ้างเถิด ดูท่าพื้นเรือนจะเป็นรอยทางเพราะการเดินของเจ้า”ผู้ที่เท้าคางมองความวิตกกังวลของเหอจี๋เป็นทู่จึที่กัดแผ่นแป้งเคี้ยวอย่างไม่แยแสสถานการณ์
“จะไม่ให้ข้ากังวลได้อย่างไร เซียวโม่โฉวกลับมาจากผาพลิกชะตาแล้ว”
“แล้วไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรืออย่างไร เจ้าถึงกระวนกระวายใจเช่นนั้น”
“เจ้าไม่รู้อะไรก็อย่าทำเป็นพูดดี”
“ข้าไม่รู้เจ้าก็อธิบาย ยากเย็นตรงไหน”
“ข้าไม่มีทางพูด”เหอจี๋เม้มปากแน่นสนิทยอมหยุดเดินไปมาในเรือนเสี้ยวจันทราและหย่อนตัวลงนั่งเสียที หากแต่สายตากลับยังชะเง้อมองออกนอกประตูเรือนในหัวครุ่นคิด
ผิดกับเหอจี๋ที่ก้มมองแผ่นแป้งครู่หนึ่งแววตาซุกซนแปรเปลี่ยนเป็นกังวลใจ ราวกับรับรู้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นแต่แสร้งไม่รู้ พยายามปกปิดความรู้สึกผ่านท่าทีสนุกสนานไม่สนต่อความรู้สึกผู้ใด หากแต่ในใจลึกแล้วกลับผูกพันต่อผู้ที่ติดตามมาอยู่มาก
การที่เซียวโม่โฉวกลับมาได้นั้นเป็นเรื่องน่ายินดีก็จริง หากแต่ก็เกือบจะทำให้หลี่รั่วถงต้องกระโดดลงไปเพราะอีกฝ่ายใช้เวลานานราวกับไม่หวนกลับ หากแต่โชคดีที่เซียวโม่โฉวผุดขึ้นจากแม่น้ำในผาพลิกชะตาเสียก่อน และตอนนี้ก็กำลังพักฟื้น ครั้นตื่นขึ้นมาแล้วนั่นคือสิ่งที่น่าเป็นห่วง ทั้งเรื่องราวต่างๆ ที่รับรู้จนกระจ่างแจ้ง ความรู้สึกของเซียวโม่โฉวจะเป็นอย่างไรนั้นคือสิ่งที่ชวนกังวล
สวรรค์ท่านคงลงโทษพวกเขามามากพอแล้ว ได้โปรดเมตตาพวกเขาทั้งสองด้วยเถิด
คำกล่าวภาวนาดังขึ้นในใจของเหอจี๋ หวังให้ต่อแต่นี้มีแต่เรื่องน่ายินดีมากกว่าต้องมากล่าวลากันอีกครั้ง
เรือนหลัก
“สีหน้าเจ้าไม่สู้ดี เจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกข้าได้”
“ไม่ต้อง ขอบใจท่านมากที่เมตตาต่อข้า”คำพูดคำจาที่ดูห่างเหินราวกับมิใช่เซียวโม่โฉวคนก่อนหน้า
หลี่รั่วถงรู้ดีว่าด้วยเหตุอันใด สังเกตได้จากมือขาวที่จับกุมกันเหนียวแน่น ความกังวลที่ฉายชัดทางสีหน้า สายตาที่มองมายังหลี่รั่วถงมีบางอย่างเคลือบแคลงอยู่ในใจ สิ่งนั้นหลี่รั่วถงเข้าใจดีว่าต้องใช้เวลาที่จะปรับตัวกับความรู้สึกที่ราวกับอัดแน่นเข้าไปในความทรงจำราวกับมิใช่ตัวตนของตนเอง
“เจ้าดูเปลี่ยนไปราวกับคนละคนครั้งกลับมาจากที่แห่งนั้น”
ชะตากรรมช่างโหดร้ายต่อทั้งสองยิ่งนัก เมื่อเวลานี้มาถึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าจะต้องเงยหน้ารับเรื่องราวที่ถูกลิขิตไว้จากเบื้องบน แม้ยามนี้เซียวโม่โฉวจะรับรู้ทุกอย่างหากแต่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าหัวใจของเซียวโม่โฉวกำลังคิดสิ่งใดอยู่ การเผชิญเรื่องจริงที่เจ็บปวดนำความสะเทือนใจมาให้บุรุษหนุ่มไม่น้อย รับเรื่องราวได้มากมายแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของเซียวโม่โฉว
“ข้านึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะน่าตกใจถึงเพียงนี้ ท่านมอบชีวิตใหม่ให้ข้า บิดามารดาแท้แล้วมิใช่ผู้ให้กำเนิด ความโหดร้ายที่พวกเขาไม่เคยมองเห็นข้าเป็นลูกในไส้ หมดประโยชน์ก็ไม่เหลียวแล.....ชะตากรรมเช่นนี้ช่างน่าตลกสิ้นดี”รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าทว่าดวงตาเคลือบคลอไปด้วยความโศกเศร้า ยามหวนคิดถึงอดีตหัวใจก็ราวบีบคั้นเสียจนแทบแหลก
หลี่รั่วถงทราบดีว่าความเจ็บปวดที่เซียวโม่โฉวต้องเผชิญเพราะตนเป็นผู้ยึดติด เห็นแก่ตัว หากไม่คิดต้องการให้เหยว่ถิงกลับมา คงไม่ทำให้ผู้ที่ผจญกับโชคชะตาอย่างเซียวโม่โฉวต้องเจ็บช้ำ
“ข้าจะไม่โทษโพยผู้ใด เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพราะข้าที่ยึดติดต่อเจ้า ความรักของข้าที่มีต่อเจ้ากำลังทำร้ายคนที่ข้ารักอย่างไม่รู้ตัว เซียวโม่โฉว เจ้าจะโกรธข้าก็ไม่เป็นไรนั่นคือสิ่งที่เจ้าพึงกระทำด้วยเพราะคนผิดคือข้า เจ้าต้องการคำตอบใช่หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงเก็บร่างมนุษย์ของเจ้าไว้.....”
“เพราะเหตุใด? ”
“นั่นก็เพราะ...”หลี่รั่วถงสบตาเซียวโม่โฉว หวั่นใจอยู่ลึกๆ ชั่งใจอยู่นานก่อนจะพูดออกมา “ข้าต้องการจะคืนชีพของเจ้าอีกครั้ง”
เมื่อได้ฟังเซียวโม่โฉวก็ถึงกับนิ่งค้าง ความคิดของคนผู้นี้ซับซ้อนเกินกว่าที่บุรุษหนุ่มจะคิดได้นัก
“เซียวโม่โฉว ในเมื่อเจ้ารับรู้ทุกเรื่องราวแล้ว ได้โปรดกลับมาอยู่กับข้าเถิด”
ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยร้องขอออกมาอย่างวิงวอนด้วยหัวใจของผู้ที่เฝ้ารอมานานแสนนาน สีหน้าที่ไม่ลดละความตั้งใจไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายความหวังที่มีเพียงหนึ่งลงได้
“แม้อดีตชาติข้าเคยเป็นอิสตรีที่ท่านรัก แต่ทว่าข้าในตอนนี้มิใช่เหยว่ถิงอีกต่อไปแล้ว ตริตรองหัวใจของท่านให้ดีเถิด ผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าท่านในยามนี้เป็นเพียงเซียวโม่โฉวบุรุษที่หาได้มีสิ่งใดโดดเด่นไม่ หาได้เทียบเคียงใดๆ กับนางที่ท่านรักอย่างหมดหัวใจได้.....ได้โปรดเลิกใช้สายตาของท่านที่มองมายังข้าคล้ายว่าข้าเป็นนางด้วยเถิด”
น้ำเสียงที่สั่นเครือทนข่มความเจ็บปวดเอ่ยในสิ่งที่อยู่ในใจออกมาราวกับผิดหวังนัก
“.....”
“ยามที่ข้ามีใจปฏิพัทธ์ต่อท่านข้ามิได้รู้สิ้นถึงชาติกำเนิดใด ไม่รู้แม้กระทั่งว่าข้าเป็นใครมาก่อน หากแต่เพราะรักด้วยหัวใจด้วยความรู้สึกของข้าที่เป็นเซียวโม่โฉวท่านั้น แต่ท่านมิใช่...ท่านมองข้าเพราะเห็นข้าเป็นเหยว่ถิง มิได้ยอมรับในตัวข้าที่เป็นเซียวโม่โฉวไม่ เช่นนั้นจะมีสิ่งใดสำคัญอีก”
น้ำตาอุ่นๆ ไหลรินเป็นสาย ความน้อยเนื้อต่ำใจในอกเอ่อล้นออกมาเกินจะเก็บไว้
“เจ้ากำลังเข้าใจข้าผิด ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นอย่างที่เจ้ากล่าวมา ตลอดระยะเวลาที่ข้ารอคอยเจ้า ข้าตัดสินใจอย่างรอบคอบ เพียรพยายามบริกรรมคาถาด้วยดวงจิตที่มั่นคงเพื่อให้เจ้าคืนกลับมาแม้ต้องยอมแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม และต่อให้ข้าต้องไปคุกเข่าวิงวอนเพื่อขอโอกาสนี้ต่ออวี้หวงต้าตี้ข้าก็ย่อมทำได้ ฉะนั้น...ข้าไม่เคยยึดติดว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด เซียวโม่โฉวเจ้าอย่าได้เข้าใจข้าผิดและตีตนออกห่างจากข้าอีกเลย”
แววตาที่เคยกร้าวแกร่งบัดนี้อาบย้อมไปด้วยความเศร้าหมอง ยามหลี่รั่วถงทอดสายตามองดวงใจที่คล้ายหนีห่างความร้าวร้านก็พลันเกาะกุมหัวใจของหลี่รั่วถงให้เจ็บปวดนัก มืออุ่นที่เคยเข้มแข็งบัดนี้กลับคล้ายอ่อนแรงเข้าโอบประคองมือเล็กของบุรุษตรงหน้าให้เห็นใจ ถนอมสัมผัสที่จับกุมมาราวกับมันจะแตกสลายคามือ
“มิใช่เพราะข้ามองเจ้าเป็นเหยว่ถิงข้าจึงรัก แต่เพราะเจ้าเป็นดวงใจ เป็นทุกอย่างของข้าในชีวิต ไม่ว่าจะชาติภพใดที่พานพบและเจอะเจอ ใจของข้าก็ยังคงปรารถนาเคียงคู่กับเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง”
“พอเถิด ข้าเหนื่อยเต็มทีแล้วกับทุกสิ่งที่ผ่านมา มันหนักหนาสำหรับข้าจนหัวใจของข้าทานทนแทบไม่ไหวแล้ว”มือขาวที่เย็นยะเยือกระคนสั่นเทาแกะมือตนเองออกจากฝ่ามือของหลี่รั่วถง สายตาไม่อาจมองร่างสูงสง่าตรงหน้าได้เต็มตา ด้วยแผลแห่งความเจ็บปวดที่เช่นไรก็ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ในประโยคเดียว
พูดตอนนี้ก็ราวกับแก้ตัวไปเสียทุกถ้อยคำ
“ท่านยังจำคำสัญญาของข้าที่เอ่ยไว้ต่อท่านได้หรือไม่? ”
“เจ้ากำลังหมายถึงเรื่องใด”
“ช่วยทำตามที่ข้าเคยให้คำมั่นต่อท่านด้วยเถิด”แววตาที่ทอดมองมายังหลี่รั่วถงช่างดูทุกข์ระทมเกินทน
“เจ้าต้องการจะหลอมวิญญาณ”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าควรจะทำ ข้ารักษาคำพูดที่เคยให้ไว้ต่อท่าน”
“ข้าไม่อาจทำได้”หลี่รั่วถงรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นครั้นได้ยินประโยคที่เซียวโม่โฉวกล่าวสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกรู้อะไร
“ท่านจะทำเป็นลืมได้อย่างไร หากท่านไม่ทำเช่นนั้นท่านก็เหมือนทำร้ายจิตใจข้าอีกครั้ง”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการหลอมวิญญาณหมายถึงอะไร”ความคุกรุ่นของอารมณ์ไม่อาจทนเห็นความเย็นยะเยือกของจิตใจเซียวโม่โฉวได้อีก หลี่รั่วถงจึงประชิดตัวเข้าไปรั้งแขนถามเตือนสติแววตาถมึงทึง
“เหตุใดข้าจะไม่รู้”
“รู้แล้วเจ้ายังต้องการให้ข้าทำเช่นนั้นอีกหรือเซียวโม่โฉว ข้าจะทานทนมองเห็นเจ้าสลายหายไปได้อย่างไรกัน”
“...ข้าขอยืนยันคำเดิม หากท่านต้องการจะทำร้ายข้าด้วยการพยายามเปลี่ยนความคิดข้าก็ขัดขวางเสียเถิด แต่อย่างไรหัวใจข้าก็คงจะไม่เหมือนเดิมต่อไป”น้ำเสียงเรียบเอ่ยอย่างด้านชาเสียจนหลี่รั่วถงหวาดกลัวในคำพูดนั้น ต่อให้ร่างกายและพละกำลังจะเข้มแข็งเพียงใดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาชนะจิตใจผู้คนได้
แม้กระทั่งผู้ที่รักสุดดวงใจเช่นกัน
“หากเจ้าเลือกที่จะลงโทษข้าเช่นนั้น.....ข้าก็จะไม่ขัดขวางเจ้า”มือแกร่งที่บีบแขนเล็กไว้แน่นครั้นปล่อยออกให้อีกฝ่ายเป็นอิสระอย่างจำยอมน้ำตาเอ่อนองเต็มดวงใจ
พิภพแห่งหยาง
“ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์ ช่างเป็นคำกล่าวที่คู่ควรกับเจ้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ”หวางหรูอี้เป่านิ้วก้อยที่เพิ่งแคะใบหูตัวเองเบาๆ แล้วเหลือบตามองสหายที่แบกหน้าอมทุกข์มาเยี่ยมเยือนตนถึงบ้านเช่นนี้
“.....”
“เจ้าช่างเลือกร้านสุราได้ดี ที่แห่งนี้มิสุราให้เจ้าแช่ได้ทั้งตัวยามที่เจ้าหาซึ่งความสบายใจมิได้ ข้าก็เห็นใจเจ้าอยู่หรอกแต่จะแก้ไขสิ่งใดได้เมื่อทุกอย่างมันกลับกลายเป็นเช่นนี้ ลำบากเจ้าแล้วสหายข้า”
หลี่รั่วถงมิได้สนใจคำพูดของหวางหรูอี้ มุ่งมั่นแต่กระดกสุราเข้าปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งที่จะเห็นจ้าวพิภพแห่งหยินเป็นเช่นนี้
“เจ้าเอาแต่ดื่มเช่นนี้หาได้เป็นหนทางแก้ปัญหา พูดความกลัดกลุ้มของเจ้าออกมาเถิดดีกว่าเก็บไว้ในใจทุกอย่าง”
“ข้าจะหลอมวิญญาณของเซียวโม่โฉว”เพียงประโยคสั่น ถึงกับทำให้หวางหรูอี้สำลักสุราที่เพิ่งกระดกเข้าปาก
“แค่กๆ จะเจ้าพูดเรื่องเพ้อเจ้ออะไร ไหนเจ้าเคยบอกกับข้าว่าจะนำดวงจิตของเซียวโม่โฉวกลับคืนร่างหลังจากที่คนผู้นั้นกลับมาจากผาพลิกชะตามิใช่หรือ แล้วไยเจ้าถึงพูดเรื่องน่ากลัวเช่นนี้ออกมาจากปากได้”
หวางหรูอี้คิดเพียงว่าหลี่รั่วถงทะเลาะเล็กๆ น้อยๆ กับเซียวโม่โฉวเรื่องอดีต แต่ไม่คิดว่าจะหนักหนาถึงขั้นนี้
“ข้าผิดเองที่คิดว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย หากแต่แท้แล้วไม่มีสิ่งใดบังคับจิตใจของเซียวโม่โฉวได้ เพราะข้าโหดร้ายให้เขาผจญกับโชคชะตาที่แสนเจ็บปวดเพียงเพราะความต้องการของตนเอง ไม่คิดถึงจิตใจของเซียวโม่โฉวในภายภาคหน้า จะถูกเกลียดถูกชังน้ำหน้าก็คงไม่แปลก”
“ข้ายอมรับว่าเจ้ามันโหดร้าย แต่อย่างไรเรื่องหลอมวิญญาณก็มิควรเกิดขึ้น”
“ข้ารับปากเซียวโม่โฉวไว้แล้ว”
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร!”หวางหรูอี้ตาวาวขึ้นส่งเสียงดัง มิคิดว่าความใจเหี้ยมของหลี่รั่วถงจะเกินขีดจำกัดเช่นนี้
“นั่นเป็นความต้องการของเซียวโม่โฉว”
“แล้วเจ้าก็รับปากส่งๆ ไปเช่นนั้นหรือ”
“ข้าไม่มีทางเลือก”แววตาขุ่นเคืองตนเองมองจอกสุราในมือราวกับจะบีบให้แหลกละเอียด
“มิใช่ว่าเจ้าไม่มีทางเลือก เรื่องอื่นเจ้าฉลาดปราดเปรื่องนัก ไยเรื่องนี้ถึงได้ว่าง่ายเป็นแมวเชื่องไปได้ ตื่นเสียทีสหาย! เจ้ามีร่างอสูรเสือดำไยใจเล็กจ้อยเป็นแมวเสียแล้วเล่า”คนที่อารมณ์ขึ้นพุ่งพรวดด้วยความขัดใจแทบจะนั่งนิ่งไม่ติดเก้าอี้ หากแต่คนฟังก็ไม่ระรื่นหูในคำพูดของหวางหรูอี้ที่กล่าวเช่นนั้น สายตาดุดันจึงตวัดมองนัยน์ตาเขม้น
“เจ้าไม่รู้ความรู้สึกของข้าก็อย่าพูดพล่อยๆ ”
“เช่นนั้นเจ้าก็เชิญเสพสมความทุกข์ไปตราบชั่วชีวาวายของเจ้าก็แล้วกัน เจ้าสหายผู้โง่เขลา!”
ความเดือดดาลนำพาเจ้าของบ้านลุกพรวดขึ้นอย่างขัดใจ นึกไม่ถึงว่าหลี่รั่วถงจะไม่ฉลาดในเรื่องนี้เอาเสียเลย
พิภพแห่งหยิน
“เจ้าจะร้องไห้ไปไยเหอจี๋ ทั้งผมและไหล่ของข้าไม่มีที่จะซับน้ำตาของเจ้าแล้ว”น้ำตาที่หยดเผาะลงบนไหล่ของเซียวโม่โฉวขณะที่ยืนหวีผมให้ มือที่สั่นไม่อาจทำให้ผมเรียงเส้นได้แม้จะกล่าวว่ามีหวีอยู่ในมือก็ตามที
“ท่านตัดสินใจดีแล้วหรือขอรับที่จะทำเช่นนี้ แม้แต่ข้ายังรู้สึกเศร้าเสียใจ นายท่านคงจะเสียใจยิ่งกว่าข้าเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
“ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าอย่าได้พูดอะไรอีกเลย มาเถิดข้าจะสางผมเอง”
เซียวโม่โฉวมิใช่ว่าไร้หัวใจ หากแต่การที่ต้องทนอยู่เพื่อเป็นเหยว่ถิงนั้นช่างเจ็บปวดเสียยิ่งกว่า ยอมตัดชะตาต่อกันและเริ่มต้นชีวิตใหม่ไม่จมอยู่กับเรื่องราวเก่าๆ คงดีกว่านี้
เหนือแท่นศิลาฟ้าจรดโลหิต บรรยากาศที่มืดฟ้ามัวดินแลดูปั่นป่วนราวกับจิตใจของหลี่รั่วถงนัก สีหน้าและแววตาดูตรมทุกข์ทุกช่วงขณะหายใจ ไม่เคยมีคราใดที่ขึ้นมายังที่แห่งนี้แล้วรู้สึกเศร้าโศกมากมายเช่นนี้ ครั้นเห็นเซียวโม่โฉวที่เดินมาอย่างไม่ลังเลมิให้ตนต้องรอนานเช่นไรยังคงดูงดงามมิเปลี่ยนแปลง แต่ช่างน่าเศร้าที่จะมิได้เห็นดวงตาคู่สวยเช่นนี้อีกแล้ว
เจ้าของร่างโปร่งที่ก้าวเดินขึ้นมาด้วยความมั่นคงสีหน้าเรียบทว่านัยน์ตาวูบไหวข่มจิตใจอันแสนชอกช้ำไว้เบื้องหลัง ยามนี้ผู้ที่เดินนำทางมายังแท่นศิลาซึ่งใจกลางศิลามีหลุมดำขนาดใหญ่ภายในมีเงามืดดำเคลื่อนไหวปั่นป่วนดั่งมหาสมุทรคลั่งช่างน่ากลัว สถานที่แห่งนี้เรียกขานว่าบ่อหลอมวิญญาณ
ผู้มาส่งเซียวโม่โฉวคือเหอจี๋ ความรู้สึกนั้นทรมานจิตใจไม่ต่างจากส่งเซียวโม่โฉวเข้าสู่ลานประหาร ดังนั้นจึงไม่อาจหักห้ามน้ำตาที่เอ่อคลอให้หยุดไหลได้ ผู้รับใช้ที่ซื้อสัตย์ค้อมกายลงต่ำให้แก่หลี่รั่วถง และหันไปค้อมตัวอีกครั้งให้แก่เซียวโม่โฉวอย่างยากลำบากราวกับการอำลาที่ยากเกินทำใจ
น้ำตาที่ดูไร้ความหมายไม่อาจทำสิ่งใดได้เสียดแทงใจเหอจี๋ผู้นี้นัก
“เจ้ามาแล้วสินะ”ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีดำนิลยื่นฝ่ามือให้กับเซียวโม่โฉว ยามนี้ปฏิเสธมิได้ว่าตรงหน้าเป็นภาพที่สะเทือนใจยิ่งนัก
พบพานกันน้อยนิด จากกันเนิ่นนาน ราวแสงอัสดงที่ทิ้งไว้ให้ยลเพียงพริบตา ก่อนราตรีกาลจะมาเยือนและเลือนแสงตระการตาเหล่านั้นไป
“.....”อีกฝ่ายไม่พูดจาใดหากแต่ยอมวางมือลงบนฝ่ามือของหลี่รั่วถงได้อย่างเยือกเย็น แม้จะเป็นก้าวที่เชื่องช้าและยากยิ่งของหลี่รั่วถง หากแต่เป็นความตั้งใจที่จะได้ยื้อเวลาให้นานที่สุด
“ข้าอยากให้เจ้าลองคิดดูอีกครา ได้โปรดเถิด”น้ำเสียงที่วิงวอนกุมมือขาวที่เย็นเยียบราวกับจะหลั่งน้ำตา
หากแต่ประโยคนั้นกลับถูกก่อกวนขึ้นด้วยเสียงตะโกนโหวกแหวกมาจากด้านล่างแทนศิลาที่ไม่อนุญาตให้ใครขึ้นมารบกวน ขณะนี้ด้านล่างจึงดูวุ่นวายไม่น้อย
“โม่โฉวววว! เจ้าไปข้าจะอยู่ที่นี่โดยที่ถูกเจ้าทิ้งไว้ได้อย่างไร แม้ข้าจะไม่เชื่อฟังเจ้า ดื้อรั้นไปบ้างแต่ข้าก็คงไม่มีความสุขหากเจ้าจะหนีข้าไป เช่นนั้นก็พาข้าไปด้วยเถิด!”เสียงเล็กที่โวยวายพยายามฝ่านายทวารที่เฝ้าคุ้มกันทางเข้าอย่างแน่นหนา หากทว่าเป็นคำสั่งของหลี่รั่วถงที่มิให้มีใครเข้ามาวุ่นวายทู่จึจึงไม่มีโอกาสที่จะเข้ามาได้ ไม่นานก็ถูกจับโยนออกไปแต่มิได้ทำร้ายให้บาดเจ็บ
เสียงร้องขอให้พาไปด้วยดังไปถึงเซียวโม่โฉว แต่จะทำเช่นไรนอกเสียจากทำเป็นไม่ได้ยิน หากแต่ครานี้เป็นเหอจี๋เองที่ทนข่มเรื่องราวไม่ไหวจึงได้โพล่งออกมาเสียแทน
“ข้าอาจจะกลายเป็นผู้ที่ปากมากปากสว่างเสียซึ่งความเชื่อใจ แต่ถึงอย่างไรนายท่านคงไม่มีทางเอ่ยออกมา.....ข้ายอมถูกลงโทษหากสิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้จะช่วยท่านทั้งสองให้เข้าใจกันได้”ใบหน้าก้มงุดมือกำแน่นราวกับรวบรวมความกล้าก่อนเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของร่างขาวที่สวมใส่อาภรณ์สีเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง
สีขาวที่หมายถึงความบริสุทธิ์ สงบ หากแต่ก็เป็นสีที่นำพาความโศกศัลย์อาดูรให้กับความรู้สึกของผู้ที่มองเช่นกัน
“เจ้ากำลังจะพูดสิ่งใด”กายขาวผุดผาดที่พร้อมแล้วกับการจากลาหันมาหาเหอจี๋อีกทั้งเดินไปหา ทุกก้าวย่างเต็มไปด้วยความลังเลใจ ลึกแล้วหวาดกลัวเหลือเกินว่าจะมีสิ่งใดที่ตนต้องรับรู้ให้เจ็บปวดอีก
“ท่านอาจไม่รู้ว่า เหตุใดนายท่านจึงดูอ่อนแอ ผิดกับเมื่อก่อนที่ไม่ว่าจะต่อสู้กับผู้ใดก็ไม่เคยต้องบาดเจ็บ แต่เพราะความรักที่มีให้แก่ท่าน นายท่านยอมสละแม้กระทั่งไอพลังวิญญาณเพื่อเสริมส่งให้ท่านแข็งแรงขึ้น ข้ารู้ว่านายท่านมิได้บอกกล่าวเรื่องนี้แก่ผู้ใด แต่ข้าที่มองเห็นทุกอย่างเสมอมาไม่อาจทนได้ วิญญาณที่อ่อนแอเช่นท่านแม้แต่เหยียบใกล้ผาพลิกชะตาก็ไม่อาจทานทนต่อแรงอาฆาตที่อยู่เบื้องล่าง หากแต่ในกายของท่านครึ่งหนึ่งมีไอ้พลังวิญญาณของนายท่านอยู่จึงต้านทานได้ ท่านลองไตร่ตรองดูเถิดว่ายามที่ท่านอ่อนแอมีผู้ใดที่หยิบยื่นความเข้มแข็งนั้นให้”
“พอได้แล้วเหอจี๋!”เสียงกร้าวของหลี่รั่วถงกำราบ
“นายท่านพูดอะไรบ้างเถิดขอรับ อย่าทำร้ายจิตใจของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้เลย ฮึกๆ ข้าเพียงคนนอก แต่ไม่อาจมองพวกท่านก็แทบทนเจ็บปวดได้ไหว อย่าให้ความทิฐิเพียงน้อยนิดทำลายความรักที่งดงามเลยนะขอรับ”ผู้ที่เอ่ยออกมาหมดใจทรุดกาลลงโขกศีรษะลงกับพื้น
เซียวโม่โฉวได้ฟังเช่นนั้นถึงกับนิ่งค้างร่างกายราวกับแข็งทื่อไปเสียหมด นึกไปตามที่เหอจี๋กล่าวก็คล้ายว่าปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่น้อย อุบายที่ใช้ความเจ้าเล่ห์มอบจุมพิตให้ไม่รู้กี่ครั้งกี่คราความผ่าวร้อนภายหลังกลับเกิดกำลังเห็นทีจะเป็นไปในทางเช่นนั้น หากนึกย้อนไปก็ไม่มีคราใดที่หลี่รั่วถงปฏิบัติต่อตนราวกับสตรี หากแต่ยอมรับในอุปนิสัยที่ติดตัวข้ามาแต่กำเนิด โง่เขลาบ้าง ดื้อรั้นไปบ้าง เอาแต่ใจไปบ้าง ผิดพลาดบ้างก็มิเคยใส่ใจในเนื้อแท้ที่เป็นเพียงมนุษย์เดินดิน หาใช่เทพเซียนผู้ปราดเปรื่องบรรลุแก่นแท้ในชีวิต ยิ้ม หัวเราะ โกรธแค้น ขุ่นเคือง ริษยา ย่อมติดตัวเป็นธรรมดา
ไม่น่าให้อภัยที่สุดที่ตัวข้ากลับมองหลี่รั่วถงในมุมที่ข้าปรารถนาจะมองเพียงเท่านั้น นึกแต่เพียงว่าเขาทำร้ายจิตใจของข้าด้วยการหลอกลวง มิเคยมองย้อนกลับไปด้วยเหตุผลที่หนักแน่นว่าผู้ที่เจ็บปวดมิได้มีเพียงตัวข้าลำพัง
ความไม่เห็นใจของข้าริษยาตนเองในอดีตนั่นช่างน่าละอายใจนัก ต้องมานอนนับวันจากลาด้วยความคิดโง่เขลาด้วยน้อยเนื้อต่ำใจเอง ทั้งที่รู้แต่แสร้งปิดหูปิดตาไม่ยอมรับความรักของหลี่รั่วถง
ข้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่!
“ที่เหอจี๋กล่าวมา.....ท่านทำเช่นนั้นเพื่อข้าจริงหรือ”เซียวโม่โฉวก้าวไปหยุดต่อหน้าร่างสูงที่มิเคยกล่าวสิ่งใดออกจากปากถึงความจริงข้อนั้น เสียงแผ่วเอ่ยขึ้นปรารถนาคำตอบ
“ข้าไม่เคยต้องการนำเรื่องเหล่านั้นมาเป็นข้อต่อรองให้เจ้าเห็นใจข้า ด้วยข้ารักเจ้าและอยากให้เจ้ามองข้าในฐานะคนผู้หนึ่งที่จะแสดงออกต่อเจ้าด้วยการกระทำซึ่งหน้าก็เท่านั้น”
ครั้นได้ฟังคำตอบจากปากของหลี่รั่วถง ร่างโปร่งก็ถึงกับทรุดกายลงแทบพื้นสองมือกำแน่นสั่นเทิ้มร่ำไห้กับเรื่องราวตรงหน้า หากไม่มีผู้ใดเอ่ยปากบุรุษหนุ่มคงขาดสติดึงดันทำเรื่องโง่เขลาเช่นนั้นไปแล้ว
“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเสียใจ”ร่างสูงย่อตัวลงพร้อมกับโอบกอดร่างกายที่สะอื้นไห้ตรงหน้า สองมือหนากอดแผ่นหลังที่สั่นไหว ราวกับประคับประคองดวงใจกลับคืนสู่อ้อมอก
เหอจี๋เห็นเช่นนั้นถึงกับต้องปาดน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยยินดี พาตนเองออกมาไม่กีดขวางยกช่วงเวลาสำคัญให้นายทั้งสองได้ปรับความเข้าใจกันเสียด้วยดี
“ข้าเช่นกันที่ต้องขอโทษที่ดูถูกความรักของท่านโดยหารู้ไม่ว่าท่านเสียสละเพื่อคนโง่เช่นข้าเพียงใด”
“ไม่มีสิ่งใดที่ต้องขอโทษข้า เพียงเจ้ายอมอยู่กับข้าก็ไม่มีสิ่งใดที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
อีกผู้หนึ่งที่กระวีกระวาดเหาะเหินเดินทางมาเมื่อได้ข่าวจากเหอจี๋ว่าวันนี้หลี่รั่วถงจะหลอมวิญญาณเซียวโม่โฉวก็รีบร้อนมาเสียทันที หากแต่ดูเหมือนเหตุการณ์ทุกอย่างมิต้องกังวลแล้ว
“ท่านมาช้านะขอรับ”
“ข้ารีบแล้ว แต่ดูเหมือนคงมิต้องถึงมือข้า”
“แน่สิขอรับหากรอท่านป่านนี้นายท่านคงกระโดดตามลงไปในบ่อหลอมวิญญาณเสียแล้ว”
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ยินดีหน่อยเล่า สีหน้าถึงได้ไม่แช่มชื่นเอาเสียเลย”
“อย่าลืมสิขอรับว่านายท่านยังมิได้คำตอบเลยว่าท่านเซียวโม่โฉวจะยอมให้นายท่านย้ายจิตวิญญาณกลับสู่ร่างหรือไม่ ข้าไม่อยากเดาใจผู้ใดอีก แค่นี้ใจข้าก็บางจนแทบขาดรอนๆ อยู่แล้ว”เหอจี๋ลูบอกตนเองคิ้วตกตาเศร้า
“เห้อ! อย่างน้อยนายท่านของเจ้าก็คงพอหายใจทางจมูกได้ข้างหนึ่งแล้ว โอ๊ะ! นี่ข้ารีบร้อนจนลืมสิ่งสำคัญไปหรือ”จู่ๆ มือที่ควานหาของบางอย่างข้างเอวก็ตาเบิกโพลง
“ข้าจะยกสุรามาให้ท่านเป็นการขอบคุณที่รีบร้อนมาให้ก็แล้วกันขอรับ”เหอจี๋มองหวางหรูอี้ที่แม้แต่แต่งกายก็ยังไม่เรียบร้อย ดูท่าคงจะรีบร้อนอย่างที่ปากว่าไม่มีโป้ปด
“เจ้านั้นช่างรู้ใจข้า ควรจะไปอยู่ที่พิภพแห่งหยางกับข้าดีกว่าทนเรื่องปวดหัวของหลี่รั่วถงอยู่ที่นี่ ว่าอย่างไรเล่า”หวางหรูอี้แสร้งชวนอย่างหยอกล้อ
“ไม่ขอรับ”
“หัวดื้อทั้งนายและบ่าวเสียจริง”ผู้ที่ขัดใจจิ๊ปากส่ายหน้าหน่าย ตระเตรียมจะออกเดินไปหากแต่ประหนึ่งถูกตัดหน้าด้วยบางอย่างที่พุ่งมาด้วยความเร็วผ่านหน้าไป
“เหอจี๋! เซียวโม่โฉวไม่เป็นไรใช่หรือไม่!”
“เจ้ากลับไปรอที่เรือนได้แล้ว หายห่วงแล้วล่ะ”
หวางหรูอี้เหลือบตามองทั้งสองที่พูดคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว อีกหนึ่งเป็นหนุ่มน้อยอายุอานามคงจะ 13 ปีในโลกมนุษย์ ส่วนสูงที่เสมออกของเหอจี๋วัดด้วยสายตา เพราะเห็นพุ่งเข้าไปกอดหน้าตาเหลอหลาก็คาดเดาไปว่า
“ผู้ใดกัน? บุตรชายของเจ้าหรือ”คำถามที่ถามออกไปถึงกับทำให้ทั้งสองเป็นอันผละออกจากกันเสียจนลืมตัว หากเป็นสหายฐานะเสมอกันคงกล่าวใส่หน้าไปแล้วว่า
‘บิดาท่านเถอะ!’
“มะมิใช่ขอรับ! ท่านได้โปรดอย่าเข้าใจผิด”เหอจี๋แก้ตัวปากสั่น หวางหรูอี้ขมวดคิ้ว
“เช่นนั้นแล้ว? ”
“ไม่ได้เป็นอะไรกันขอรับ ข้าขอตัว”กล่าวเสร็จคนถูกถามก็จ้ำอ้าวออกไปเสียอย่างนั้นเหลือเพียงปีศาจกระต่ายที่ยังคงอยู่
“เจ้าเป็นใครเล่า เหตุใดข้าจึงไม่คุ้นหน้า.....”หวางหรูอี้กล่าวขึ้นทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะพูดต่อ “เจ้าเป็นปีศาจหรอกหรือ”
“ข้าอยู่กับโม่โฉว มิใช่ลูกของเหอจี๋ อีกหน่อยข้าก็จะโตกว่าเจ้าปลานั่น อย่างไรคงจะให้ข้าเป็นลูกเสียมิได้”
“ดี ดี ข้าชอบคนตรงเช่นเจ้า เอาเถิดไปพูดคุยกับข้าแก้เบื่อหน่ายเสียหน่อยเถิด”ว่าแล้วทู่จึก็หลงกลหวางหรูอี้ไปอีกผู้หนึ่ง มิรู้ว่าจะถูกล้วงความลับหรือกลั่นแกล้งตามอุปนิสัยก็หามีผู้ใดคาดเดาได้
ติดตามตอนต่อไป >>>
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ :impress:
โดย หลานฮวา
-
มาอีกกกกกก
-
บทที่ 22
กลับคืนสู่บ้านหลังเดิม
“เจ้าคงไม่เคยออกจากพิภพแห่งหยินมาไกลเช่นนี้ใช่หรือไม่ ข้าในฐานะเจ้าบ้านยินดีอย่างยิ่งที่สหายของข้ายอมให้เจ้ามาได้”
“ขอบคุณท่านหวางหรูอี้ที่เมตตา แต่ข้ารินเองได้มิต้องลำบากท่าน”
“เถิดนา ไม่ต้องเกรงใจ”
“แต่มันล้น.....”เซียวโม่โฉวมองสุราที่ปริ่มจอกไหลหกเป็นวงกว้างนึกเสียดาย
“กินของเจ้าไปเถอะ ยุ่มยามวุ่นวายนัก”มือของหวางหรูอี้ถูกปัดออกอย่างไม่ไว้หน้า พร้อมดวงตาที่จ้องมองอย่างตำหนิ
“เจ้าเมามายเช่นนี้ไยจะเป็นเจ้าบ้านที่ดีได้ ช่างน่าหัวเราะยิ่งนัก”ติงเจิ้งหวาส่ายหน้าให้กับผู้ที่เชื้อเชิญให้มาร่วมดื่มสุราในค่ำคืนนี้
“เจ้ากล่าวว่ามีเรื่องยินดี เรื่องใดที่เจ้าต้องการพูด”หลี่รั่วถงถามขึ้นไม่อ้อมค้อม หากแต่สายตากลับจ้องมองผู้ที่นั่งเคียงราวกับกลัวจะสูญหาย ครั้นใบไม้ร่วงใส่ก็ปัดทิ้งให้ดูแลทุกรายละเอียด
“แน่นอนว่ามีเรื่องดี”เจ้าของประโยคยืนขึ้นโงนเงน เดินไปหยิบไหสีขาวราวไข่มุกมาถึงสองไหด้วยกันวางไว้บนโต๊ะ
“อะไรของเจ้า”ติงเจิ้งหวาคว้าเข้าสำรวจ เขย่าภายในก็มีเสียงกระฉ่อนของน้ำดังขึ้น
“เบามือเจ้าหน่อย นี่มันของดีของข้าเชียว”ไหทั้งสองใบต่างผนึกด้วยผ้าตรงปากไหต่างสี “ข้าจะบอกให้รู้ไว้นี่เป็นยาที่ข้าอุตส่าห์คิดค้นหมักขึ้น ข้าจะมอบให้พวกเจ้าเป็นของขวัญถือเสียว่าเป็นน้ำใจจากข้าที่มิได้มีให้ผู้ใดบ่อยนัก”
ไหทั้งสองใบถูกแจกจ่ายให้แก่หลี่รั่วถงและเซียวโม่โฉวอย่างระมัดระวัง ขาดแต่ของติงเจิ้งหวา
“ให้ข้าด้วยเช่นนั้นหรือ”เซียวโม่โฉวชี้นิ้วไปที่ตนเอง มองไหที่อยู่ตรงหน้าแล้วยกขึ้นดมกลิ่น คล้ายกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกท้อที่ตนชมชอบก็ไม่ปาน
“ใช่ ของเจ้า”หวางหรูอี้ยิ้มกว้างหัวเราะชอบใจ ผิดกับหลี่รั่วถงที่นั่งเป็นหินผาพันชาติ มิได้ยินดีกับของตรงหน้ามากเท่าไหร่นักไม่นึกอยากจะได้เป็นเจ้าของเสียด้วยซ้ำ
“แล้วเหตุใดข้าจึงมิได้ด้วยเล่า”
“ของเจ้าอย่างนั้นหรือ.....”หวางหรูอี้มองติงเจิ้งหวาอยู่ครู่ก่อนเอ่ยตอบขึ้น “มี ข้างคงลืมหยิบมา เพราะมันใหญ่มากกว่าสองใบนี้ถึงสามเท่า เช่นนั้นเจ้าไปช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่”
“เป็นข้า? ”
“ใช่ ไปกับข้าหน่อย”ผู้ที่หวางหรูอี้ชี้ชวนนั้นเป็นเซียวโม่โฉว บุรุษหนุ่มมิได้ขัดหากแต่แปลกใจเล็กน้อย ซ้ำยังเหลือบตามองหลี่รั่วถงราวกับไม่มั่นใจนัก
“หากไม่อยากไปเจ้าก็มิต้องลุก”มือของหลี่รั่วถงจับท่อนบ่าของเซียวโม่โฉวไว้ หากแต่หวางหรูอี้เอ่ยชวนแล้วปฏิเสธก็เห็นทีจะเสียน้ำใจ ไปช่วยเหลือเล็กน้อยก็มิได้เหลือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่นัก
“ไม่เป็นไรข้าเต็มใจ ประเดี๋ยวข้ากลับมา”
“เจ้าจะห่วงไปไย ข้ามิได้จ้องจะกินคนรักของเจ้าเสียหน่อย”ครั้นถูกหวางหรูอี้กล่าวเช่นนั้น หลี่รั่วถงมิได้แสดงท่าทีเก้อเขินใดให้ผิดวิสัยคนด้านชา หากแต่กลับสวนกลับไปว่า
“ลองเจ้าทำอะไรที่มันพิเรนทร์ดูเถิด ข้าจะตัดลิ้นของเจ้ามิให้รับรสใดๆ ได้เลย”
คนที่นิ่งฟังอย่างติงเจิ้งหวาถึงกับสำลักสุราในปาก หากแต่ไม่รุนแรงนักเพราะแค่จิบไปเล็กน้อย นึกร้อนๆ หนาวๆ ต่อคำพูดคำจาที่มิเคยปรานีกันของจ้าวพิภพทั้งสอง อีกคนผู้หนึ่งก็เจ้าเล่ห์ปากร้าย อีกผู้หนึ่งก็หินผาดีๆ นี่เอง หากแต่การพูดได้อย่างหน้านิ่งเป็นวิทยายุทธ์ขั้นไหนถึงจะทำได้กัน
“ท่านอย่าถือสา ไปกันเถิด”เซียวโม่โฉวดึงประเด็นเข้าเรื่องมิให้หวางหรูอี้ลืมไปว่ากำลังจะทำสิ่งใด หากปล่อยไว้คงถกเถียงไม่สิ้นเป็นแน่
สถานที่ที่หวางหรูอี้เดินนำมานั้นคล้ายดั่งหอหนังสือ หากแต่เปิดเข้าไปด้านในกลับมีไหใบใหญ่เล็กจำนวนมากเรียงไว้เต็มชั้นวาง มิใช่ชั้นเดียวหากแต่สูงขึ้นไปนับสิบชั้นก็ว่าได้ นำพาความประหลาดใจมาให้เซียวโม่โฉวไม่น้อย มองแล้วเป็นภาพประหลาดตาที่หาดูได้ยากยิ่ง ความสูงของชั้นวางครั้นชะเง้อมองคอแทบเคล็ดไปตามๆ กัน
“ไหเหล่านี้? ”
“เป็นสุราที่ข้าหมักไว้ มีนับร้อยรสชาตินับร้อยกลิ่น เป็นสมบัติล้ำค่าของข้าทั้งนั้น เขาว่าพวกบัณฑิตเห็นหนังสือเป็นของมีค่า หากแต่ตัวข้าเห็นสุรามีค่าดั่งทองคำ”เจ้าของหอสุราลากนิ้วไปตามชั้นวางผ่านไหสุราราวเลือกสรรไปทีละใบ
“ท่านหมักขึ้นเองทั้งหมด? ”
“เป็นฝีมือข้า หากเจ้าถูกชะตาไหใบไหนก็เลือกเอาได้”
“ที่ท่านให้มาข้าก็ไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรหมด”
“นี่.....ยามนี้เจ้ากับหลี่รั่วถงพูดคุยกันไว้อย่างไร”คนที่ไล่สายตาหาไหสุราที่เป็นของติงเจิ้งหวาแสร้งถามขึ้นหาเรื่องพูดคุย เซียวโม่โฉวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแปลกใจที่หวางหรูอี้ถามขึ้น แต่ท่าทีผิดแปลกจึงทำให้บุรุษหนุ่มเอ่ยถามขึ้น
“ท่านหมายถึงเรื่องใด? ”
“ก็เรื่องที่หลี่รั่วถงต้องการให้เจ้ากลับคืนสู่ร่าง”ผู้ที่ถูกถามก้มหน้าลงมองพื้นสีหน้าคล้ายยังลังเลใจ เป็นเรื่องนี้ที่เซียวโม่โฉวคิดไม่ตกอยู่หลายวัน
“เรื่องนั้น ข้ายังไม่ตัดสินใจ.....แต่อาจจะดีกว่าหากข้าคงสภาพอยู่เช่นนี้”ความขลาดกลัวลึกๆ สะท้อนอยู่ภายในแววตาพราวระยับ หวางหรูอี้จึงเลิกคิ้วขึ้นถามหันมากอดอกจ้องมองท่าทีของเซียวโม่โฉว
“เจ้าไม่รู้กฎของวิญญาณหรอกหรือว่า หากถึงกาลหนึ่งเจ้าอาจต้องจะสิ้นสลายหายไป นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลี่รั่วถงจึงรอบคอบเก็บร่างของเจ้าเอาไว้ ทะนุถนอมเสียดิบดี”หวางหรูอี้พูดไปเรื่อยเปื่อยราวกับมิคิดสิ่งใด หากแต่แท้แล้วล้วนปูทางไว้ให้สหายของตน
“ข้ามิรู้มาก่อน”เสียงแผ่วตอบไปไม่คาดคิดถึงเหตุผลข้อนั้น
“เช่นนั้นเจ้าก็เร่งตัดสินใจเถิด ข้าคิดว่าหลี่รั่วถงคงไม่อยากบังคับขู่เข็ญเอาคำตอบจากเจ้า เจ้าก็รู้อุปนิสัยคนผู้นั้นอยู่บ้างว่าเอาใจใส่ความรู้สึกเจ้าเพียงใด ข้ายังเคยด่าว่าโง่เขลาเพราะมีรัก ทุ่มเทเสียจนไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาประคับประคองชีวิต”หวางหรูอี้ขบขันกับคำพูดตนเอง แอบเหลือบมองเซียวโม่โฉวที่นำเอาคำพูดของตนไปคิด “หากเจ้าเห็นใจสหายของข้าที่อดทนรอเจ้ามานับพันปีอย่างเพียรพยายาม ก็รีบตัดสินใจเถิด ข้ารู้มันอาจจะยากก็ตริตรองให้ดีเถิด”
“ข้าต้องตัดสินใจหรือ? ”เซียวโม่โฉวพึมพำกับความคิดของตนเอง แม้ยามนี้ความสัมพันธ์ระหว่างตนและหลี่รั่วถงจะราบรื่นในสายตาผู้อื่น หากแต่ภายในใจของเซียวโม่โฉวก็ยังตะขิดตะขวงใจในหลายๆ อย่าง
จริงอยู่ที่หลี่รั่วถงนั้นแสดงออกว่ารักตนมากเพียงใด ท่าทีห่วงใยหากแต่ไม่กระโตกกระตากก็นับว่ามิได้ขาดหรือบกพร่องในความรู้สึก หากแต่บางครายังมีคำถามที่คล้ายรอเติมเต็มคำตอบและยืนยันความรู้สึกที่ตกตะกอนอยู่ในใจ คล้ายปรารถนาสิ่งเหล่านั้นให้ชัดเจนขึ้นมาอีกครา
“หัวใจของหลี่รั่วถงอยู่ในกำมือเจ้า อย่างไรก็ลองไตร่ตรองเอาเถิดว่าควรกระทำเช่นไร”
“ข้า.....”
“โอ้! ข้าเจอสิ่งที่หาแล้ว”หวางหรูอี้มิได้ต้องการฟังคำพูดใดต่อจากนั้น จึ้งพลันร้องเสียงหลงรีบทะยานตัวขึ้นกลางอากาศคว้าไหใบใหญ่ลงมาท่าทีกระฉับกระเฉง ผิดกับก่อนหน้าที่คล้ายดูเมามายเสียจนเดินซวนเซ เมื่อสมดั่งใจในหลายเรื่องที่ต้องการพูดคุยแล้ว หวางหรูอี้จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนาชักชวนเซียวโม่โฉวกลับไปไม่เอ่ยเข้าเรื่องก่อนหน้านี้อีก
ภายหลังจากที่หวางหรูอี้เริ่มบังคับให้คนโน้นคนนี้ชิมรสสุราที่ตนเองหมัก มิใช่เพียงไหสองไหตามประสา หากแต่หอบมาไม่หวาดไม่ไหวจนน่ากลัว เจ้าบ้านต้อนรับเสียดีชวนมอมเมาตั้งแต่เช้ายันค่ำ พูดไม่ขาดปากว่า ‘ไม่เมามายไม่เลิกรา’ ดูท่าจะสุขเสียจนล้นเผื่อแผ่ไปอีกร้อนปีข้างหน้าก็ว่าได้
เซียวโม่โฉวนับว่าคอแข็งอยู่ไม่น้อย ที่ตอบรับดวนสุรากับหวางหรูอี้ไปถึงห้าจอก แต่ไม่ทันจะกระดกจอกที่ห้า ก็ถูกห้ามปรามจากหลี่รั่วถงจนได้ ตาเขียวค่อนคว่ำเส้นตรงขมับเต้นตุบลุกพรวดไม่กล่าวลาอันใด ดูจะมิพึงใจสหายที่ริอาจมอมเมาซึ่งๆ หน้าตนเช่นนี้ แต่หวางหรูอี้ก็มิได้ใส่ใจนึกขบขันเสียมากกว่ากับท่าทีหงุดหงิดงุ่นง่านเช่นนั้น ราวกับมิใช่หลี่รั่วถงที่นิ่งสงบ สยบความเคลื่อนไหวอีกต่อไป
หลี่รั่วถงเมื่อลุกแล้วก็พลันยื่นมือเข้าไปดึงเซียวโม่โฉวให้ลุกกลับ อีกฝ่ายผงกหัวล่ำลาใบหน้าแดงก่ำก็สู้อุตส่าห์ไม่ลืมหอบเอาของขวัญที่หวางหรูอี้มอบให้เต็มหอบ ครั้นได้แอบชิมรสไปบ้างก็นับว่ามิรู้ลืมจึงไม่คิดจะทิ้งไว้ให้เสียของได้
เช่นไรบุรุษย่อมคู่กับสุรา
ยามนี้พิภพแห่งหยินราวกับฤดูกาลผันเปลี่ยนไปตามจิตใจผู้ปกครอง เผลอพริบตาเดียวเกล็ดหิมะและปุยขาวของความหนาวเหน็บก็อันตรธานหายไปราวกับใช้เวทมนตร์ หากสังเกตกิ่งไม่แห้งที่เคยถูกแช่แข็งด้วยเกล็ดน้ำแข็ง บัดนี้ได้ละลายหายไปแล้ว หน่อแห่งชีวิตจึงได้บังเกิด แตกใบและกิ่งก้านสาขามองดูแปลกตากับยอดไม้ที่ผลิใบราวกับมีชีวิต
ความงอกงามของพลังชีวิตที่อบอวลอยู่โดยรอบ ทำให้เซียวโม่โฉวอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองความอัศจรรย์นี้ จึงทำให้ฝีเท้าที่ก้าวช้าของเซียวโม่โฉวทิ้งระยะห่างจากผู้ที่เดินน้ำเบื้องหน้าอยู่มาก กระทั่งหลี่รั่วถงรับรู้ว่าเสียงเดินตามนั่นราวห่างไกลก็พลันหยุดชะงักหมุนกายสูงใหญ่หันไปมอง แม้ใบหน้าจะมิได้แสดงท่าทีอันใดแต่การย้อนกลับมาและคว้ามือของบุรุษหนุ่มขึ้นมากุมแล้วเดินไปด้วยกันนั้นก็พลันทำเซียวโม่โฉวใจเต้นระรัวไม่น้อย มองดูมือหนาที่กุมมือตนไว้ไม่วางตา
“ข้าเดินชักช้าเห็นทีว่าท่านคงไม่พอใจ สีหน้าของท่านจึงบูดบึ้งเช่นนั้นได้”
“ต่อให้เจ้าหยุดที่จะเดินข้าก็มิได้โกรธเคือง เพียงแต่วันนี้หวางหรูอี้ทำเรื่องไว้เสียมากมายจนข้านึกขุ่นใจอยู่ไม่น้อย ข้าห่วงใยว่าเจ้าจะแพ้ฤทธิ์สุราที่มิได้ธรรมดาเฉกเช่นของมนุษย์ทั่วไป”
เซียวโม่โฉวมิอาจรู้ว่าสีหน้าที่พูดจาเช่นนั้นกำลังทำหน้าอย่างไร แต่ที่รู้แน่คือความอุ่นจากฝ่ามือที่ไต่ขึ้นใบหน้าจนยากจะกล่าวว่ามิได้รู้สึกอันใดก็เห็นทีจะมิได้
แผ่นหลังกว้างที่เดินนำอยู่เบื้องหน้ายอมก้าวช้าอย่างที่มิใช่อุปนิสัย แม้จะเป็นเพียงครึ่งก้าวที่ดูขัดใจก็ยอมรั้งรอ
“คราก่อนท่านถามข้าว่าข้ายินยอมให้ท่านนำดวงจิตของข้ากลับคืนสู่ร่างหรือไม่ ดูเหมือนเวลานี้ข้ามีคำตอบให้แก่ท่านแล้ว”
“เจ้าว่าเช่นไร! ”ดูเหมือนครั้งนี้จะเห็นได้ว่าสีหน้าเคร่งขรึมนั้นรู้จักที่จะตกอกตกใจก็ครานี้
หากแต่เซียวโม่โฉวก็เล่นเล่ห์นักที่แกะมือหลี่รั่วถงให้หลุดออก แสดงสีหน้าจริงจังจนอีกฝ่ายแทบหยุดหายใจ
“คำตอบของข้า.....”ไม่มีสิ่งใดเปล่งออกมาเป็นคำตอบ หากแต่เซียวโม่โฉวกลับยืดตัวแขย่งปลายเท้าใจกล้าจุมพิตเบาๆ ไปที่แก้มของหลี่รั่วถงด้วยรอยยิ้ม “นั่นเป็นคำตอบของข้า ท่านจะแปลความว่าอย่างไรก็สุดแล้วแต่ใจท่านเถิด”
ร่างสูงสง่าที่นิ่งค้างราวกับโดนเวทมนตร์สะกดเสียเองมองบุรุษเบื้องหน้าแววตานิ่งค้าง หากแต่เมื่อได้สติก็พลันรวบร่างของเซียวโม่โฉวเข้ากอดจนไหสุราในอ้อมแขนที่บุรุษหนุ่มประคับประคองไว้เกือบตกลงพื้น
“ขอบใจที่เจ้ายอมทำความปรารถนาของข้าให้เป็นจริง”
“ถึงอย่างไรข้าก็ไม่อยากทำร้ายหัวใจของข้าเองเช่นกัน”ยิ้มชื่นซุกใบหน้าเข้ากับอกกว้างอย่างสุขใจหากแต่นัยน์ตาของเซียวโม่โฉวนั้นราวกับกำลังคิดทำสิ่งก็ไม่มีผู้ใดทราบ
ให้ข้าได้ดูหน่อยเถิดว่าจิตใจของท่านยามถึงที่สุดของความพยายามแท้แล้วเป็นเช่นไร
ทั่วอาณาบริเวณของการทำพิธีถูกกางกั้นด้วยพลังของหลี่รั่วถงมิให้ผู้ใดเหยียบใกล้พิธีการอันสำคัญนี้ หลี่รั่วถงใช้ความเพียรพยายายามอย่างยิ่ง จดจ่อกับการนำดวงจิตของเซียวโม่โฉวกลับสู่ร่างมนุษย์ที่รักษาและถนอมมาเป็นอย่างดี ทั้งนี้รวมระยะเวลาที่หลี่รั่วถงอยู่ในเรือนเพื่อทำพิธีก็นับว่ากินระยะเวลานานถึงสิบชั่วยาม ไม่ออกไปจากเขตแดนที่กางกั้นไว้ รวบรวมปราณเย็นทั้งหมดของร่างกายเข้ารักษาผสานร่างกับดวงจิตด้วยการบริกรรมคาถาที่เป็นเรื่องที่ยากนักจะมีผู้ใดกระทำได้สำเร็จ
ผู้ที่เฝ้ารออยู่ด้านนอกอย่างใจจดใจจ่อกับพิธีสำคัญเช่นนี้นอกจากเหอจี๋และทู่จึแล้วก็ยังมีหวางหรูอี้และติงเจิ้งหวาที่เฝ้าระวังสถานการณ์อยู่ด้านนอกให้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ถือเป็นเรื่องสำคัญหากเกิดสิ่งมิคาดฝันทำลายพิธีให้ไม่บรรลุอาจจะเกิดเรื่องยุ่งตามมาก็เป็นได้ ป้องกันเสียดีกว่าชะล่าใจแล้วเพลี่ยงพล้ำเป็นดีที่สุด
“ข้าขอให้นายท่านทำสำเร็จด้วยเถิด”เหอจี๋กระวนกระวายด้วยอุปนิสัยเดิม
“หากนายท่านของเจ้าเก่งกาจ เหตุใดจึงมิเชื่อมั่นแล้วรออย่างสงบใจเล่า”ผู้ที่สอดปากพูดขึ้นเป็นทู่จึ
“ข้ามิได้ไม่เชื่อมั่นในตัวนายท่าน หากแต่ข้าเพียงวิงวอนร้องขอเมตตาจากสวรรค์ก็เท่านั้น”
“เจ้ายังจะพึ่งสวรรค์อีกหรือ”หวางหรูอี้กอดอกส่ายหน้าให้กับสิ่งที่เหอจี๋กล่าว อย่างไรความอลหม่านส่วนหนึ่งก็มิใช่เพราะเบื้องบนหรอกหรือ
“อย่างไรหากมีเมตตาสักเล็กน้อยปาฏิหาริย์ก็บังเกิดมิใช่หรือขอรับ”เหอจี๋ตอบกลับหวางหรูอี้ทันควัน
“เอาเถอะ เจ้าจะคิดอย่างไรก็ตามแต่ใจเจ้า”
“เอ๊ะ! นั่นม่านพลังกำลังสลายหาไปแล้วมิใช่หรือ” สายตาว่องไวและนิ้วเล็กชี้ไปยังทิศทางที่จับความรู้สึกได้
“เจ้ากล่าวว่าอย่างไรทู่จึ! ”เหอจี๋หันมองและรับรู้ได้ว่าเป็นไปอย่างที่ทู่จึกล่าว
“เห็นทีว่าพิธีการจะเสร็จสิ้นแล้ว”ติงเจิ้งหวาที่เหาะลงมาคล้ายรับรู้ถึงสัมผัสนั้นได้เช่นกัน จึงเข้ามาสมทบร่วมด้วย
“เช่นนั้นจะรอสิ่งใดอยู่เล่า”หวางหรูอี้เคาะพัดในมือตัดสินใจได้ ก็พลันวิสาสะเดินพรวดพราดเข้าไปด้านใน เห็นหลี่รั่วถงที่นั่งเคียงร่างของเซียวโม่โฉวสีหน้าเคร่งขรึม หากแต่ท่าทีเหนื่อยล้าก็ไม่อาจเดาได้ว่าสำเร็จหรือไม่
“เป็นอย่างไรบ้าง? ”ติงเจิ้งหวาเอ่ยถามขึ้น หากแต่บรรยากาศรอบกายช่างอุดอู้และมืดสลัว ตนจึงดึงเส้นผมสีแดงเพลิงเพียงหนึ่งเส้นเสกให้กลายเป็นวิหคเพลิงตัวจ้อยโผบินไปรอบห้องจุดตะเกียงไฟเสร็จก็พลันสลายหายไป
“ทุกอย่างราบรื่น หากแต่เพียงรอให้เซียวโม่โฉวลืมตาตื่นขึ้นมาเท่านั้น แต่นี่ก็เกินเวลาที่จักต้องตื่นแล้วข้ายังไม่เห็นการขยับ.....”สายตาหวั่นๆ ของหลี่รั่วถงระคนเหนื่อยล้าจ้องมองไปยังใบหน้าซีดขาวที่บัดนี้ยังมิได้ขยับใดๆ ให้เห็นอย่างห่วงใย
นับเป็นคราแรกที่หวางหรูอี้มองเห็นความอ่อนแอของหลี่รั่วถงผ่านแววตากร้าว
“ให้ข้าลองตรวจพลังปราณหน่อยเถิด”เช่นไรหวางหรูอี้ก็มิได้นิ่งนอนใจต่อเรื่องตรงหน้า ครั้นก้าวไปเบื้องหน้าไม่ทันประชิดตัวเซียวโม่โฉว ครู่หนึ่งปลายนิ้วของร่างที่เคยแน่นิ่งกลับขยับขึ้น พานเอาผู้ที่เฝ้ารอต่างมีสีหน้าตาตื่นระคนดีใจ ทู่จึแทบปราดเข้าไปหาก็ถูกเหอจี๋ห้ามไว้เพราะมิใช่เวลาที่ควร
“เป็นเรื่องดียิ่งนัก”หวางหรูอี้กล่าวขึ้นยิ้มชื่น ดีใจกับความสำเร็จของหลี่รั่วถง
ยามนี้ร่างกายที่ค่อยๆ ขยับไปทีละสัดส่วน จากปลายมือเป็นแขนทั้งสองข้าง กระทั่งเป็นเปลือกตาที่ขยับเปิดออก แม้จะเชื่องช้าหากแต่สร้างความปีติให้กับหลี่รั่วถงเป็นอย่างยิ่ง พลันสองมือแกร่งจึงเข้าโอบกุมมือขาวที่อุ่นขึ้นอย่างใจร้อน ความเหนื่อยที่ผ่านมาราวกับปลิดทิ้งเสียอย่างนั้น ใบหน้าก็แช่มชื่นขึ้นมาจนจุดยิ้มมุมปากนัยน์ตายินดียิ่ง
“ให้ข้าลุกขึ้นหน่อยเถิด”เสียงที่เปล่งออกมายังคงเป็นน้ำเสียงหวานชวนฟังหากแต่แผ่วเบาราวกับต้องปรับร่างกาย หลี่รั่วถงพยุงให้เซียวโม่โฉวนั่ง มือหนาสัมผัสกายอุ่นที่มิได้เย็นเยียบเช่นก่อนเก่าอย่างทะนุถนอมระมัดระวัง
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง.....เหอจี๋นำชามาให้ข้า”
“ขะขอรับ! ”เพียงไม่นานน้ำชาอุ่นๆ ก็มาถึงมือหลี่รั่วถง
“ช่างน่ายินดีเหลือเกิน ในที่สุดทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี”หวางหรูอี้หัวเราะร่วนเปรมใจกับเรื่องที่เกิด ยินดีกับหลี่รั่วถงเฉกเช่นสหายร่วมทุกข์ร่วมสุข
ทว่าความยินดีนั้นกลับชะงักไปทุกผู้ทุกคนราวกับฟองอากาศที่ลอยขึ้นเหนือเวหาแตกออก ทันทีเซียวโม่โฉวกล่าวขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือราวกับหวาดหวั่น
“ทำไม.....ข้าถึงมองไม่เห็นสิ่งใดเลย หรือเพราะไม่มีแสงสว่างจากตะเกียงเช่นนั้นหรือ”
เพล้ง!
ถ้วยชาในมือของหลี่รั่วถงพลันหลุดร่วงจากมือกระทบลงกับพื้นแตกกระจาย ครั้นได้ยินสิ่งที่เซียวโม่โฉวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงใคร่สงสัยในตนเอง ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเบิกตาโพลงตัวแข็งทื่อสีหน้าตระหนกซีดเซียวกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่หลี่รั่วถงที่นิ่งค้างมือไร้เรี่ยวแรงดวงตาดุดันพลันสลดจนสังเกตได้
ข้าทำสิ่งใดลงไป!
ติดตามตอนต่อไป >>>
โดย หลานฮวา
-
น้องมองไม่เห็นจริงๆหรอ หรือเพราะจะพิสูจน์อะไร :hao5:
-
บทที่ 23
ระยะทางพิสูจน์มา กาลเวลาพิสูจน์ใจ
ความเงียบที่เข้าปกคลุม ได้ตรึงร่างของหลี่รั่วถงและเซียวโม่โฉวไว้ภายในเรือนกว้าง สองบุรุษที่เผชิญหน้ากันแม้อีกฝ่ายจะจ้องมองมายังตนเพียงใดก็แสร้งมองไม่ให้เสียอย่างนั้น มองผ่านราวกับอากาศธาตุที่มิได้มีตัวตน
เป็นความจริงที่หลี่รั่วถงได้นำจิตวิญญาณของเซียวโม่โฉวกลับคืนร่างได้สำเร็จ หากแต่เมื่อบุรุษหนุ่มฟื้นขึ้นมากลับกลายเป็นว่าดวงตามืดบอด แท้แล้วนั่นมิใช่ความผิดพลาดของหลี่รั่วถง สิ่งนั้นเป็นเพียงการแสดงฉากหนึ่งเท่านั้น
เซียวโม่โฉวมิได้ดวงตามืดบอด บุรุษหนุ่มเพียงต้องการพิสูจน์เรื่องบางอย่างที่คลางแคลงใจในความรู้สึกของหลี่รั่วถงก็เท่านั้น เพราะหากไม่ใช้โอกาสนี้และวิธีนี้เซียวโม่โฉวก็คงจะทำลายความรู้สึกคั่งค้างในใจที่ว่า แท้แล้วหากตนไม่ได้สมประกอบหรือเป็นไปตามที่อีกฝ่ายคาดคิด หลี่รั่วถงจะยังคงมั่นคงในรักเช่นเดิมหรือไม่
ข้าไม่ตะขิดตะขวงใจในความรักความรู้สึกที่ข้ามอบให้แก่ท่านไม่ว่าชาติภพใด หากแต่ข้าอยากพิสูจน์จิตใจของท่านอีกสักคราว่าจะหนักแน่นเพียงใดก็เท่านั้น
“เจ้ามองไม่เห็นข้าเลยหรือ”
“.....”คนฟังส่ายหน้าเชื่องช้าแม้จะปฏิเสธทว่ากลับมองเห็นชัดเจน สีหน้าของหลี่รั่วถงราวกับพิภพรังนอนของตนพังครืนลงต่อหน้าต่อตา
“เป็นความผิดของข้า”น้ำเสียงที่ลั่นออกมาแทบแหบแห้ง ประกอบกับดวงตาที่เคยกร้าวแกร่งบัดนี้สิ้นแล้วความเข้มแข็งในยามนี้ “ข้าขอโทษที่ต้องทำให้เจ้ากลายเป็นเช่นนี้”
มองเห็นแต่แสร้งไม่เห็นนั้นยากเย็นกว่าที่คิด เพราะหากไม่ซ่อนแววตาวูบไหวต่อบุรุษตรงหน้าเห็นทีแผนจะพังไม่เป็นท่า
“ท่านอย่าได้โทษตนเอง สิ่งเหล่านี้อาจเป็นกรรมที่ข้าเคยติดค้างผู้ใดไว้และต้องชดใช้ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ข้ามองเห็นมาทั้งชีวิต.....ต่อแต่นี้แม้จะมืดบอดก็ช่างปะไร”ท่าทีของเซียวโม่โฉวที่ยิ้มเศร้าทิ่มแทงดวงใจของหลี่รั่วถงอย่างมาก
“ข้าจะหาวิธีรักษาเจ้าให้หายขาดเจ้ามิต้องห่วง”มือหนาเข้ากุมมือที่อุ่นขึ้นของเซียวโม่โฉวบีบเบาๆ คล้ายปลอบประโลมอย่างห่วงใย ใบหน้าที่แบกความทุกข์ผูกคิ้วชนกันครุ่นคิดวิธีการไปต่างๆ นานามิได้ยอมแพ้
“หากมันไม่มีวิธี.....”
“ข้าก็จะเป็นดวงตาของเจ้าไปตราบชั่วชีวิต”ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาหนักแน่นด้วยแววตาขึงขัง มองไปยังใบหน้าที่คล้ายไม่เห็นสิ่งใด
ถึงจะแสร้งตาบอดหากแต่จิตใจของเซียวโม่โฉวก็มิได้แสร้งบอดมืดไปด้วย ในคำพูดเหล่านั้นช่างอบอุ่นและแผ่ซ่านความหมายลึกซึ้งที่ตรึงใจอย่างยิ่ง
“ข้าเกรงว่าจะเป็นภาระให้ท่านเสียมากกว่า การต้องทนอยู่กับคนพิการเช่นข้าท่านจะมีความสุขได้อย่างไร”
น้ำตาเอ่อรื้นของเซียวโม่โฉวมิได้เสแสร้งแกล้งทำ ทว่าเกิดแต่หลี่รั่วถงที่แสดงท่าทีเป็นห่วงตนจากใจเสียมากกว่า
“เจ้าอย่าได้คิดเช่นนี้อีก เพราะข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ตามที ข้าจะไม่มีวันทำเรื่องเช่นนั้น....เจ้าเชื่อใจข้าเถิด”หลี่รั่วถงไม่รู้วิธีการว่าจะทำอย่างไรเซียวโม่โฉวจะเชื่อมั่นตนได้ หากยามนี้เขาทำได้เพียงกอดกายบุรุษตรงหน้ามอบความเชื่อมั่นว่าตนจะไม่ผิดสัญญาเป็นอันขาด
เซียวโม่โฉวรู้ดีว่าตนอาจทำเกินไป แต่เช่นไรการได้เห็นหัวใจของหลี่รั่วถงอย่างแท้จริงก็นับว่าคุ้มค่านัก
ต่อแต่นี้คือโอกาสที่ท่านจะพิสูจน์ให้ข้าได้เห็นแล้ว
หากถามถึงระยะเวลาที่ล่วงเลยบนโลกมนุษย์เห็นทีจะผ่านไปถึง 25 หนาว แม้เวลาบนพิภพจะรวดเร็วกว่าถึง 10 เท่า หากเทียบกับการปฏิบัติตนของหลี่รั่วถงต่อเซียวโม่โฉวนั้นก็สามารถวัดความอดทนให้เห็นได้เช่นกัน ช่างเป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มใจอยู่มากนัก ครั้นหลี่รั่วถงยังคงเสมอต้นเสมอปลายต่อบุรุษผู้เป็นที่รักไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ทุกวันมิได้ขาดที่จะใช้เวลาดูแลและคอยเป็นดวงตาให้แก่เซียวโม่โฉวไม่ผิดไปจากคำสัญญาที่ลั่นวาจาไว้ ทุกวันหลี่รั่วถงจะพาเซียวโม่โฉวไปรับลมเดินเล่นยังสวนท้อที่ชื่นชอบ เดินเคียงไม่ห่างกันแลดูเป็นภาพที่ชินตาไปเสียแล้ว อีกทั้งท่าทีที่ปฏิบัติต่อบุรุษหนุ่มอย่างนุ่มนวลและใส่ใจอยู่เสมอก็มิได้บกพร่องไปแต่อย่างใด
“พอเถิดเหอจี๋ข้าทำเองได้”
“ได้อย่างไรขอรับ เท้าอุ่นยังดีกว่าเย็นเยียบนะขอรับ.....เสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ”เซียวโม่โฉวพ่นพรูลมหายใจออกมาทางปากเบาๆ แอบเหลือบมองเหอจี๋ที่ปรนนิบัติช่วยเหลือตนเช่นนี้ ไม่ยอมเลยที่จะทิ้งช่องโหว่ไปละสายตาไปจากเซียวโม่โฉวเสียบ้าง คนไม่ป่วยแสร้งป่วยก็ถึงกับลำบากใจไม่น้อย ครั้นถูกล้างเท้าให้แม้จะบ่อยครั้ง แต่ก็ยังเกรงใจอยู่ดี
“ที่เหลือข้าจัดการเอง”
“แต่ว่า.....”
“ข้า จัด การ เอง เจ้าอย่าทำให้ข้ารู้สึกเหมือนทำสิ่งใดไม่ได้ไปหมดเสียทุกอย่างจะได้หรือไม่”อดไม่ได้ที่จะตำหนิความเอาใจใส่นั้นเสียบ้าง สักวันตนคงจะได้เป็นง่อยเสียมากกว่าตาบอดเพราะแสร้งทำ
“ก็ได้ขอรับ เช่นนั้นข้าเอาอ่างน้ำไปเก็บนะขอรับ”เหอจี๋หน้าสลด แอบเคาะศีรษะตนเองที่เผลอทำให้เซียวโม่โฉวรู้สึกราวกับมีปมด้อย เป็นภาพที่หาดูได้หากมิใช่ยามนี้ เซียวโม่โฉวอยากจะหัวเราะขบขันทว่าหากทำเช่นนั้นอาจถูกสงสัยเป็นแน่
คนหน้าหงิกยอมล่าถอยออกไป ก่อนมอบผ้าสะอาดส่งถึงมือให้แก่เซียวโม่โฉว บุรุษหนุ่มจึงก้มลงซับเท้าตนเองที่รู้สึกผ่อนคลายขึ้น ทำท่าคว้าคลำถุงเท้ารองเท้าที่ถูกตระเตรียมไว้ให้ราวกับมองไม่เห็น เพราะเช่นไรยามนี้ก็ยังอยู่ในสายตาของเหอจี๋ที่ยืนมองอย่างเป็นห่วง ทั้งที่ปากบอกจะออกไปแล้ว
ขอโทษเจ้าด้วยเหอจี๋ที่ต้องพลอยมาเดือดร้อนเพราะข้าไปด้วย
ยามนี้หากปกติมิได้แสร้งตาบอดกับแค่ถุงเท้าและรองเท้าคงสวมใส่ได้ในอึดใจเดียว หากแต่ต้องระมัดระวังหลับหูหลับตาใส่ยิ่งยากกว่าเก่า ทว่าระหว่างนั้นเซียวโม่โฉวเห็นแล้วว่าผู้ใดที่เดินสวนทางกับเหอจี๋เข้ามา แต่ต้องแสร้งไม่รับรู้และมองไม่เห็นด้วยกลัวว่าความลับจะเปิดเผย
หากแต่การมาที่มิได้ส่งเสียงบอกกล่าวให้รู้ มาราวกับไม่มีตัวตนก็นึกทำให้เซียวโม่โฉวสงสัยไม่น้อย แต่ต้องเก็บใบหน้าใคร่รู้ไว้ให้มิดชิด แสร้งว่าไม่เห็นเก็บซ่อนแววตาจนน่าขัน
“ผู้ใดกัน? ”แม้รู้แต่ต้องแสร้งถาม เมื่อหลี่รั่วถงย่อกายลงตรงหน้าคว้าจับรองเท้าเข้าสวมใส่ให้ ท่าทีชะงักค้างอย่างตระหนกและเผลอเหลือบมองตาตื่นเกือบทำให้หลี่รั่วถงสงสัยเข้าแล้ว หากแต่พลันหลบสายตาได้ทันท่วงที
“เป็นข้า มาเถิดข้าจะช่วยเจ้า”เซียวโม่โฉวยอมปล่อยมือจากรองเท้ามิได้ยื้อ แอบก้มลงมองหลี่รั่วถงตรงหน้าที่กำลังคุกเข่าลงประคองเท้าของตนขึ้นแล้วบรรจงสวมใส่ให้อย่างมิได้รังเกียจ
“เรียบร้อยแล้ว”ทันทีที่หลี่รั่วถงหยัดกายยืนขึ้น เซียวโม่โฉวที่เผลอมองเพลินแทบหันหน้าพาสายตาซ่อนไม่ทัน “ข้ามารับเจ้าไปเดินเล่น ไปกันเถิด”แม้ตนจะบอกว่ามองไม่เห็น ทว่าหลี่รั่วถงก็กลับแย้มยิ้มออกมาเสียบ่อยครั้งที่เจอหน้ากัน
ใบหน้าข้าประหลาดเข้าทุกวันเช่นนั้นหรือถึงได้มองแล้วยิ้มเช่นนั้นทุกครา
“วันนี้ท่านมีหน้าที่มากมาย เหตุใดจึงต้องปลีกเวลามาเพื่อข้าทุกวันด้วยเล่า เว้นว่างให้เหอจี๋พาข้าออกไปก็ย่อมทำได้”
“ข้าจะวางใจให้เจ้าไปโดยไม่มีข้าอยู่ด้วยได้อย่างไร”คนตรงหน้าประคองเซียวโม่โฉวให้ยืนขึ้น สองแขนตรงหน้าที่ประคองเต็มเปี่ยมไปด้วยความใส่ใจ “รอข้าประเดี๋ยว ข้างนอกลมหนาวข้าจะไปหยิบผ้าคลุมไหล่มาให้”
“มันวางอยู่....”เกือบลืมไปเสียว่าตนเองแสร้งตาบอด จนเผลอพลั้งปากบอกกล่าวไปเสียแล้ว
“เจ้าจะกล่าวสิ่งใด? ”
“ปะเปล่า ข้าเพียงจะบอกท่านว่ามันวางอยู่ที่ใดข้าไม่รู้”
“มิต้องห่วงข้าเจอแล้ว”ผู้ที่คุ้นชินข้าวของที่วางอยู่ในเรือนเสี้ยวจันทราเดินเข้าไปด้านหลังม่านกั้นพร้อมกับคว้าผ้าคลุมติดมือมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเข้าสวมทับให้ ผูกเชือกรั้งไว้กระทั่งดูความเรียบร้อยและไม่ลืมกระทั่งยื่นแขนและจับมือของบุรุษหนุ่มให้วางไว้ที่ท่อนแขนของตน พลันหยักยิ้มส่งสายตามองด้วยแววตาอ่อนโยนยิ่งนัก
เส้นทางที่ไปแม้จะเป็นเส้นทางเดิม ทว่าหลี่รั่วถงก็ไม่เคยลืมที่จะบอกเล่าบรรยากาศเหล่านั้นให้เซียวโม่โฉวฟังแม้แต่ครั้งเดียว กระทั่งนกน้อยที่บันดาลขึ้นที่โผบินไปในท้องฟ้า หลี่รั่วถงก็มิเคยกล่าวว่ามันเกิดแต่ฝีมือของเขา แม้อีกฝ่ายจะมองไม่เห็น แต่การใส่ใจและรับรู้ว่าเสียงเท่านั้นที่เป็นดั่งโลกทั้งใบของเซียวโม่โฉว
“ประหลาดนัก เสียงนกน้อยขับขานราวกับประสานเสียง ไพเราะยิ่งนัก”
“เจ้าชอบหรือไม่”
“ข้าชอบ แต่วันนี้เหมือนข้าจะได้กลิ่นผิดแปลกไป”เซียวโม่โฉวขมวดคิ้วถาม แม้สายตาจะมองเห็นแล้วว่าหลี่รั่วถงพาตนมายังที่ใด สวนบุปผาพันปีที่เคยได้มาเยือนยังคงงดงามไม่เปลี่ยนแปลง
“ข้าพาเจ้ามายังสวนบุปผาพันปี กลิ่นหอมที่เจ้าได้กลิ่นมาจากเหล่าดอกไม้พวกนั้น”
“ข้าได้กลิ่นหอมแล้วผ่อนคลายยิ่งนัก คงจะดีหากได้มองเห็น”เซียวโม่โฉวกล่าวขึ้น หลี่รั่วถงชะงักพลางหมุนกายเข้าหาเซียวโม่โฉวยกสองมือเข้ากุมไหล่ทั้งสองข้างแววตาเปลี่ยนไป คล้ายเศร้าสร้อยถึงสิ่งที่บุรุษหนุ่มกล่าวขึ้น
ยามนี้การที่หลี่รั่วถงมองเซียวโม่โฉวก็ไม่ต่างจากเข็มพิษที่ตำใจเขาไปทุกวัน
“ข้ายังไม่เคยลืมว่าข้าสัญญาต่อเจ้าเรื่องใดไว้ เจ้ารอข้าอีกหน่อยได้หรือไม่ข้าสัญญาว่าเจ้าจะกลับมามองเห็นอีกครั้ง และตอนนี้ข้าก็พอจะมีวิธีแล้ว ขอเพียงเจ้าอดทนรออีกหน่อยเท่านั้น”
“วิธี? ท่านจะทำอย่างไรหรือ”เซียวโม่โฉวแสดงสีหน้าตื่นตกใจ แท้จริงก็สงสัยว่าหลี่รั่วถงต้องการจะทำเช่นไรต่อไปกันแน่
“ไว้ข้ามั่นใจว่ามันได้ผลอย่างแน่นอนข้าจะบอกเจ้า หากแต่ตอนนี้ให้ข้าได้เป็นดวงตาของเจ้าได้หรือไม่”
“แต่ว่า.....หากข้าไม่สามารถมองเห็นได้ตลอดไป ท่านจะรังเกียจข้าหรือไม่”
“เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนั้น ข้าไม่มีทางที่จะทอดทิ้งเจ้าอย่างแน่นอน ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเจ้าเสมือนดวงใจของข้า ยามขาดเจ้าข้าก็คงสิ้นใจ ต่อให้เจ้าหน้าตาอัปลักษณ์หรือเป็นใบ้หูไม่ได้ยิน ข้าก็ยังรักอยู่เช่นนี้มิเปลี่ยนแปลง”
“ข้าเชื่อใจท่านได้ใช่หรือไม่”
“ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าจะต้องกลัว”มือขาวถูกยกขึ้นทาบแผงอกกว้างอีกทั้งกุมแน่นให้รับสัมผัสที่มั่นคงไม่โลเล จึงพลันทำให้เซียวโม่โฉวยิ้มออก เอื้อมมือไปเบื้องหน้าสัมผัสใบหน้าที่ยามนี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม
“ลำบากท่านแล้ว”รอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าที่มีความสุขของเซียวโม่โฉวก็พลันทำให้หัวใจของจ้าวพิภพแห่งหยินชุ่มชื่นไปด้วย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่มีวันใดที่หลี่รั่วถงไม่พยายามค้นหาวิธีที่จะทำให้เซียวโม่โฉวกลับมามองเห็น กระทั่งไปยังหุบเขาเจ็บชั้นที่มีสัตว์เทวะดูแลอยู่ก็ไปเยือนมาแล้ว เพื่อให้ได้สมุนไพรที่กล่าวว่าสามารถรักษาให้หายได้ ทว่ากินไปอย่างไรก็ไม่มีผล หรือแม้แต่ยอมคุกเข่าที่มิเคยงอลงกับพื้นให้ผู้ใดก็ยินยอมเพื่อที่จะได้สิ่งที่รักษาเซียวโม่โฉวได้
นับว่าหลี่รั่วถงยอมทำทุกวิถีทางอย่างไม่ย่อท้อตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ข้อนั่นเซียวโม่โฉวรู้ดีแก่ใจและเห็นทุกอย่างด้วยตาที่มิได้มืดบอด
หลังจากลับมาจากด้านนอก เซียวโม่โฉวมักจะเห็นหลี่รั่วถงยืนพูดคุยกับเหอจี๋ราวกับกำชับเรื่องบางอย่างเสียทุกวี่ทุกวันก่อนกลับ และไม่ลืมที่จะมากล่าวลาพร้อมจุมพิตตรงหน้าฝากไม่ก็แก้มขาวเสียทุกวันราวกับเป็นกิจวัตร เช่นไรความเก้อเขินก็มิได้ลดน้อยลงไป ความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมิได้อันตรธานหายไปในอากาศทว่ากลับซึมซาบเข้าสู่ก้นบึ้งหัวใจของบุรุษหนุ่มทีละน้อย
“น้ำชาขอรับ”
“ขอบใจเจ้ามาก แล้วทู่จึไปไหนเสียเล่าเหตุใดข้าจึงมิได้ยินเสียง”
“ข้าสั่งให้ไปเก็บโสมขอรับ”
“แล้วยอมหรือ? ”
“ขอรับ”
“ได้อย่างไรกัน ทุกทีก็บ่ายเบี่ยงขี้เกียจจะให้เจ้าใช้งาน ร้อยวันพันปีก็มิเคยว่าง่ายเช่นนั้น”
“จะมิให้ว่าง่ายได้อย่างไรขอรับ สิ่งนั้นนำมาก็เพื่อต้มเป็นยาให้ท่าน จะกล้าบ่ายเบี่ยงได้อย่างไร”
“ข้าทำให้ใครต่อใครลำบากหรือ? ”
“อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลยขอรับ ทุกอย่างล้วนทำด้วยความเต็มใจหามีผู้ใดบังคับ”
“ขอบใจพวกเจ้ามาก”คนฟังยิ้มชื่นอย่างอิ่มเอมใจ “พวกเจ้าดีต่อข้ามิใช่เฉกเช่นสหาย หากแต่พวกเจ้าราวกับเป็นครอบครัวใหม่ของข้า ที่ปฏิบัติต่อข้าอย่างจริงใจ ข้าซาบซึ้งใจในน้ำใจของพวกเจ้ายิ่งนัก”
“มิใช่เรื่องใหญ่โต พวกข้าทำเพราะรักท่านนะขอรับ”เหอจี๋แอบปาดน้ำตานอง เข้าใจว่าเซียวโม่โฉวนั้นมองไม่เห็น
ยามบ่ายคล้อยความเงียบสงัดคล้ายดังทุกอย่างหยุดนิ่ง เซียวโม่โฉวนั่งสงบอยู่บนโขดหิน เบื้องหน้าเป็นบ่อมัจฉาน่าอัศจรรย์ที่สามารถขึ้นมาแหวกว่ายในอากาศได้ หากแต่ก็มิได้ว่ายไปไกลจากวารีที่อาศัย บุรุษหนุ่มนั่งมองดูอิสระที่อยู่ในขอบเขตของสัตว์เหล่านี้เสียเพลิน พลันจะให้เก็บตัวอยู่แต่ในเรือนก็เบื่อหน่ายเสียแล้ว จึงมีบ้างบางคราที่แอบย่องออกมาและกลับไปเงียบๆ ลำพัง
หากแต่ยามนี้เป็นเวลาที่เหมาะควรจะกลับเข้าเรือนเสี้ยวจันทรา ยามมาก็มิได้บอกกล่าวผู้ใด แม้บ่อมัจฉามิได้อยู่ไกลจากเรือนแต่การย่องหายไปก็ทำให้เหอจี๋ที่มองหาตระหนกตกใจไม่น้อย ถึงกับตาลีตาเหลือกวิ่งหาจนวุ่น ส่งเสียงร้องเรียกเอ็ดตะโรไปทั่วจนผู้ที่แอบออกมาสะดุ้งไหวครั้นลืมเวลากลับไปเสียสนิท
“ท่านเซียวโม่โฉว ท่านอยู่ไหนขอรับ! ”
“ข้าอยู่นี่! ”บุรุษหนุ่มขานรับ เวลานี้เขาคงต้องเตรียมคำแก้ตัวไว้ให้ดีเชียว เพราะทั้งทู่จึและเหอจี๋ต่างก็วิ่งลนลานมาหา
“เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง พวกข้าตามหากันให้ทั่ว”ทู่จึกล่าวขึ้นพลางทิ้งตัวแผ่หลาลงบนพื้นหอบหายใจถี่ จะกล่าวว่าเจ้าปีศาจกระต่ายนั้นโตวันโตคืนก็ว่าได้ ร่างกายจึงได้สูงขึ้นหากเทียบกับหลายคืนก่อนหน้า
“ท่านออกมาได้อย่างไรขอรับ มาโดยที่ไม่มีข้า”
“ขะข้า ข้าจำทางได้น่ะ เลยลองเดินมาเรื่อยๆ ไม่ใช่เรื่องยากเสียหน่อย ความมืดทำให้ข้าคุ้นชินเสียแล้ว เพียงแค่ใช้จินตนาการข้าก็มาเองได้”คนโป้ปดแอบกำมือแน่นรวบรวมสมาธิแก้ไขสถานการณ์คว้าจับกิ่งไม่ยาวใกล้ๆ ให้เหอจี๋ทึกทักเอาว่าเป็นไม้นำทาง
“หากเกิดอันตรายข้าต้องตายแน่ๆ คราวหลังท่านอย่าออกมาโดยที่ไม่ได้บอกข้าอีกนะขอรับ ถือว่าข้าขอร้อง”
“ข้าจะจำใส่ใจ”
“แล้วอีกอย่างข้ามีข่าวมาบอกท่านขอรับ รีบกลับไปเรือนดีกว่าประเดี๋ยวนายท่านจักมาบอกข่าวแก่ท่าน”
“ข่าวดี? เรื่องใด? ”สีหน้าดีใจออกนอกหน้าครั้นเซียวโม่โฉวมองเห็นก็อดสงสัยไม่ได้
“ประเดี๋ยวก็ทราบขอรับ”
ถามเท่าไหร่เหอจี๋ก็ไม่ยอมเล็ดลอดคำตอบออกมา บอกเพียงให้รอฟังด้วยตนเอง บุรุษหนุ่มจึงอดสงสัยไม่ได้ เมื่อมาถึงเรือนก็ประจวบเหมาะกับที่หลี่รั่วถงมาถึง เหอจี๋ส่งหน้าที่ประคับประคองเซียวโม่โฉวให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่มาด้วยเรื่องสำคัญ กายสูงนำพาเซียวโม่โฉวไปนั่งที่เก้าอี้ ส่วนตนเองมิได้นั่งลงด้วยหากแต่ยืนอยู่ตรงหน้าอยู่ครู่ใหญ่ ใช้สายตาคมกวาดมองบุรุษตรงหน้าถี่ถ้วน สำรวจทุกรายละเอียดบนร่างกาย แม้กระทั่งแววตา ใบหน้า และริมฝีปาก
“ท่านยังอยู่หรือไม่”เซียวโม่โฉวแสร้งทักขึ้น ทั้งที่แท้จริงกำลังประหม่ากับแววตาที่จ้องมองตนอย่างล้ำลึกเสียมากกว่า
“ข้าอยู่ตรงหน้าเจ้า”หลี่รั่วถงมิได้มองหาเก้าอี้ หากแต่ย่อกายลงตรงหน้าเซียวโม่โฉว จับมืออุ่นขึ้นแล้วให้สัมผัสกับใบหน้าของตนเอง ราวกับยืนยันว่าตนมิได้หายไปไหน
อีกทั้งยังบรรจงจูบฝ่ามือของเซียวโม่โฉวอย่างทะนุถนอม ลมหายใจอุ่นรินรดให้สัมผัสที่ชวนให้ดวงใจสั่นระรัวได้ดียิ่งนัก
“ทะท่านมีสิ่งใดจะกล่าวกับข้าเช่นนั้นหรือ”คนเขินอายพลันเอ่ยขึ้น หลี่รั่วถงมองราวกับอยากเข้าไปดึงมากอดให้จมร่าง หากแต่ยังมีเรื่องสำคัญที่เขาจะต้องบอกข่าวแก่เซียวโม่โฉวเสียก่อน
“ข้ารู้วิธีที่จะรักษาดวงตาของเจ้าให้หายสนิทแล้ว”มือแข็งแรงกุมบีบเบาๆ เอ่ยด้วยใบหน้ายินดี
“.....”
“เจ้าไม่ดีใจหรือ? ”สีหน้าสงสัยที่เห็นเซียวโม่โฉวไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
“ดีใจ.....ข้าต้องดีใจสิ เหตุใดจะไม่ดีใจเล่าท่านถามข้าประหลาดเสียจริง เพียงแต่ข้าตกใจก็เท่านั้น หากแต่วิธีใดที่ท่านคิดว่าจะรักษาข้าให้หาย”แม้เป็นเรื่องน่ายินดีหากแต่ยามนี้เซียวโม่โฉวกลับแสดงสีหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้หลี่รั่วถงเห็นว่าตนดีใจอย่างมาก
“ข้าเพียงต้องรักษาดวงตาของเจ้าโดยการเปลี่ยนเสียใหม่ ฟังแล้วเจ้าคงจะหวาดกลัว หากแต่เชื่อมือข้าเถิดว่าเจ้าจะปลอดภัยและไม่เป็นอะไร” ได้ฟังดังนั้นเซียวโม่โฉวถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“ปะเปลี่ยนดวงตาเชียวหรือ? เอาสิ่งใดมาเปลี่ยนเล่า? ”วิธีที่ฟังคล้ายน่ากลัวและเป็นไปมิได้
“ข้าเพียง.....”ใบหน้าของหลี่รั่วถงแม้จะเปี่ยมไปด้วยความยินดีทว่ากลับซ่อนเร้นบางอย่างไว้ภายในราวกับมีความลับที่ไม่เปิดเผย “ข้าเพียงต้องหาสิ่งที่คล้ายคลึงกันเพื่อมาทดแทน ข้ารู้ว่าข้าต้องหามาจากที่ใด เจ้าอย่าได้กังวล”
“เมื่อไหร่ที่ท่านจะรักษาข้า? ”
“ข้าอยากให้เร็วที่สุด แต่คงมิใช่วันนี้ประเดี๋ยวนี้ ข้ายังอยากกุมมือเจ้า เดินเคียงข้างเจ้าและพาเจ้าเดินเล่นสักเล็กน้อย รู้หรือไม่ยามเจ้าต้องพึ่งพาข้ามันทำให้ข้ามีความสุขราวกับข้าเป็นโลกทั้งใบของเจ้า”
“ท่านชอบที่ข้าตาบอดหรืออย่างไร”
“มันเป็นเรื่องลำบากต่อเจ้า ข้าจะเอาแต่ใจได้อย่างไรว่าข้าชื่นชอบเช่นนั้น”คนกล่าวหัวเราะน้อยๆ ให้รู้ว่านั่นเป็นเพียงคำพูดหยอกล้อ ทว่าเซียวโม่โฉวกลับเห็นแววตาว่าหลี่รั่วถงใส่ความจริงลงไปหลายส่วนในถ้อยคำนั้น
แต่ถึงอย่างไรเซียวโม่โฉว ก็อดสงสัยไม่ได้ถึงวิธีการที่หลี่รั่วถงจะรักษาตน ท่าทีมั่นอกมั่นใจเช่นนั้นแลดูมีลับลมคมในนัก
ติดตามตอนต่อไป >>>
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ :impress:
โดย หลานฮวา
-
คงไม่ได้คิดที่จะเปลี่ยนดวงตากันใช่ม้ายยยยยยยย :katai1: :katai1:
โม่โฉวรีบบอกความจริงได้แล้วววว
-
:L1: :pig4: :L1:
-
บทที่ 24
ความจริงกระจ่าง
“วันนี้ข้าเลือกเสื้อผ้าให้ท่านเป็นสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสีฟ้าอ่อนนะขอรับ อาภรณ์ที่สดใสย่อมจะทำให้ท่านดูงดงามและสง่านัก”
“ถึงเจ้าจะหลอกให้ข้าใส่เสื้อผ้าสกปรกมีรูขาดอีกทั้งสีดำเปรอะเปื้อน แล้วกล่าวว่างดงามข้าก็เชื่อ”คนกล่าวยิ้มพูดหยอกล้อ
“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ”
“ข้าเพียงล้อเจ้าเล่น ว่าแต่ทู่จึไปไหนเสียแล้ว เมื่อครู่ข้ายังได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วอยู่เลย”
“เจ้าปีศาจนั่นบอกว่าจะออกไปเดินเล่นขอรับ”
“คงอึดอัดที่ต้องอยู่แต่ในเรือน”
“คงจะเป็นเช่นนั้นขอรับ อีกไม่นานแล้วที่ท่านจะกลับมามองเห็นท่านดีใจหรือไม่ขอรับ”เซียวโม่โฉวนิ่งไปเพียงครู่ ราวกับกลืนอากาศลงท้องไปจนจุกแน่น ถึงเช่นนั้นก็ตอบออกไปแม้น้ำเสียงจะตะกุกตะกักเล็กน้อยอย่างประหม่า
“กะก็ ก็ต้องดีใจสิ ข้าจะได้มองเห็นพวกเจ้าได้ถนัดตาอีกครั้ง”
“แล้วนายท่านล่ะขอรับ? ”คนถามเลิกคิ้วรอฟังคำตอบสีหน้าอมยิ้ม
“ข้า.....”
“ไม่ต้องอายหรอกขอรับ นายท่านของข้าเช่นไรก็ยังคงสง่าผ่าเผยไม่มีเปลี่ยน หากท่านได้เห็นท่าทีที่อ่อนโยนขึ้น สีหน้าที่เผยยิ้มมากกว่าสีหน้าเคร่งขรึม ท่านต้องประหลาดใจแน่ขอรับ ขนาดข้าแอบเหลือบตามองอย่างหลบๆ ก็ยังเผลออ้าปากค้างเลยเชียว”ผู้ยกยอกล่าวด้วยแววตาชื่มชมดูเป็นประกาย
“ข้าเห็น.....”
“เอ๊ะ? ท่านว่าอย่างไรนะขอรับ”
เซียวโม่โฉวที่ฟังเหอจี๋กล่าวมาเสียยืดยาวกลับเห็นด้วยอย่างมิได้โต้แย้ง หากแต่ก็ไม่ควรกล่าวว่าเห็นออกไป
“ข้าพูดว่าข้าหิว....หิวน้ำน่ะ”
“ขะขออภัยด้วยขอรับ ตั้งแต่ท่านอาบน้ำเสร็จก็มิได้ดื่มสิ่งใดเลย ข้าละเลยโปรดอภัย”
“ไม่เป็นไร ข้าแค่กระหายเล็กน้อยเท่านั้นจริงๆ ”คนแสร้งมองไม่เห็นยื่นมือคลำทางเดินไปเพื่อจะหาที่นั่ง เหอจี๋เข้าช่วยประคอง
“เดี๋ยวข้าจะไปนำชาร้อนๆ มาให้นะขอรับ รอข้าประเดี๋ยว”ครั้นเห็นเหอจี๋ลนลานเดินออกไปหน้าตาตื่น ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ เซียวโม่โฉวลอบถอนหายใจมองอาภรณ์ที่ถูกเลือกสรรให้ยิ้มบาง ทั้งยกมือข้างหนึ่งลูบไปตามเนื้อผ้า ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงความละเอียดของเส้นใยที่ถักทอ เหมาะสมนักที่จะสวมใส่เพื่อเรื่องสำคัญในวันนี้
ถึงเวลาแล้วสินะที่ข้าจะต้องบอกความจริงเรื่องดวงตาของข้าต่อหลี่รั่วถงเสียที ข้าทำคนผู้นั้นลำบากมามากพอแล้ว และข้าได้เห็นถึงความดีงามของจิตใจหลี่รั่วถงจนมั่นใจแล้วว่า ต่อแต่นี้ข้าจะไม่แปรเปลี่ยนเป็นอื่น แม้กายจะสลายเป็นผุยผงอีกคราก็จะไม่ขอปันใจเพื่อผู้ใดได้อีก
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่มีครั้งไหนที่เซียวโม่โฉวผิดหวังในตัวของหลี่รั่วถง ยอมรับและทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาตนมาตลอด ไม่ได้รังเกียจบุรุษพิการเช่นเขา หากแต่กลับปฏิบัติดูแลอย่างใส่ใจไม่ละเลย อีกทั้งท่าทีต่อหน้าก็หาได้แสดงความรังเกียจ หรือท้อถอยที่จะจับมือคู่ที่อ่อนแอสักครั้ง
“วันนี้นายท่านมีแขกเป็นท่านหวางหรูอี้ ดูท่าคงจะมาตระเตรียมช่วยเหลือในการรักษาท่าน ครั้งนี้นายท่านออกปากขอช่วยจ้าวพิภพแห่งหยาง ดูท่าคงจะต้องถูกทวงบุญคุณภายหลังเป็นแน่”
“เจ้าก็พูดจาน่ากลัวนัก ท่านหวางหรูอี้ก็มิใช่ผู้ที่เลวร้าย ไยเจ้าตั้งแง่เช่นนั้นไปได้”
“ผู้ใดจะล่วงรู้ล่ะขอรับก็ท่านหวางหรูอี้เจ้าเล่ห์เพทุบายนัก ข้าก็กลัวไปล่วงหน้าเสียก่อนเตรียมใจเอาไว้”
“เจ้าชอบกังวลไม่เป็นเรื่อง”เซียวโม่โฉวส่ายหน้ารับน้ำชาจากมือของเหอจี๋เข้าจิบ
และขณะที่เซียวโม่โฉวและเหอจี๋พูดคุยกันอยู่ภายในเรือน เจ้าของฝีเท้าเร็วรี่ก็วิ่งเปิดประตูเข้ามาโครมครามใบหน้าตระหนกตกตื่นเสียอย่างนั้น อีกทั้งการหอบเหนื่อยยังทำให้พูดจากฟังไม่รู้เรื่องเสียอย่างนั้น
ดูท่าข้าจะต้องรอให้หลี่รั่วถงส่งหวางหรูอี้กลับเสียก่อน เช่นไรก็ดีข้าจะได้มีเวลาเตรียมใจมิรู้ว่าจะได้รับผลเช่นไรต่อแต่นี้ ถึงจะโกรธเคืองข้าก็จะยอมก้มหน้ารับผลการกระทำของข้าไม่หนีหน่ายบ่ายเบี่ยง
ท่ามกลางบรรยากาศภายในเรือนเสี้ยวจันทราแลดูสงบนัก ทว่าจู่ๆ บ้านประตูเรือนก็เปิดโครมเข้ามาอย่างไม่ออมกำลัง ผู้ที่หน้าตาตื่นกระหืดกระหอบเข้ามานั้นราวกับมีเรื่องใหญ่โตเป็นเหอจี๋
ผาง!
“เมื่อครู่หลี่รั่วถง...กับจ้าวพิภพแห่งหยาง มะเมื่อกี้ คะคือว่า! ”
“พูดอันใดไม่รู้ความ ข้าจะฟังเจ้าออกได้อย่างไรเล่า ค่อยๆ พูด”สีหน้าเคร่งครัดเหลือบหันไปมองทู่จึที่พรวดพราดเข้ามาอย่างเสียมารยาท
“เกิดอะไรขึ้น เจ้าถึงกระวนกระวายเช่นนั้นทู่จึ”
ใบหน้าซีดเหงื่อแตกพลั่กลูบหน้าราวกับรวบรวมสมาธิครั้งยิ่งใหญ่ ก่อนจะเดินรี่เข้าไปคว้าน้ำชาในถ้วยที่เหอจี๋รินไว้ให้เซียวโม่โฉวกระดกเข้าปากลงคออึกใหญ่จึงได้ขยับปากพูดออกมา
“เมื่อครู่ข้าไปเดินเล่น ระหว่างทางข้าแค่อยากแวะเวียนไปที่เรือนหลักว่าตระเตรียมการอะไรเพื่อรักษาเจ้าบ้าง แต่ข้าบังเอิญเจอกับหลี่รั่วถงและหวางหรูอี้ที่เดินพูดคุยกันมา ถกเถียงเรื่องบางอย่างดูเคร่งขรึมนัก ข้าก็เลยซ่อนตัว”คนพูดลิ้นแทบพันพักหายใจก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าเลยได้ยินเต็มสองหูในเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันทั้งหมด! ”
“แล้วเจ้าได้ยินอะไรถึงได้ตกใจเช่นนี้เล่า”เซียวโม่โฉวเอ่ยถามคิ้วได้รูปขมวดมุ่นอย่างสงสัยในท่าทีตระหนกจนดูวุ่นวายของทู่จึ อีกทั้งหน้าซีดเหงื่อตกคงมิใช่เรื่องเล็ก
“ข้าได้ยินว่า.....หลี่รั่วถงจะใช้ดวงตาของตนเองเพื่อรักษาเจ้า”
!!!
“เจ้าว่าอย่างไร! ”
“ข้าสาบาน ข้าได้ยินไม่ผิดแน่ๆ ดูเหมือนหวางหรูอี้จะไม่เห็นด้วยจึงมีปากเสียงกัน หากแต่ก็ยอมจำนนด้วยความต้องการของหลี่รั่วถง พวกเขาพูดกันว่าจะลงมือ.....แต่ต่อจากนั้นข้าไม่ได้ยินอะไรแล้ว”
“นายท่านน่ะหรือจะใช้ดวงตาตนเอง! ”เหอจี๋ตาเบิกโพลงใบหน้าขาวซีดแทบเข่าทรุดกาน้ำชาในมือร่วงแตกลงกับพื้น
แต่ผู้ที่ตกใจเหนือกว่านั้นคงเป็นเซียวโม่โฉวที่ยามนี้ตัวแข็งทื่อราวกับหินสลักไปเสียแล้ว แทบหยุดหายใจหลังจากได้ยินเรื่องเหล่านั้น ใบหน้าและแขนขาถึงกับชาวาบ นึกไม่ถึงว่าหลี่รั่วถงจะใช้วิธีการเช่นนี้โดยมิได้ถามความเห็นหรือบอกกล่าวสิ่งใดกับตน
“แล้วตอนนี้หลี่รั่วถงอยู่ที่ใด”เซียวโม่โฉวไม่อาจทนปกปิดความลับที่ตนมิได้ตามืดบอดได้อีกต่อไป ครั้นสีหน้าและแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความกังวลและตกใจฉายแววออกมาจนสิ้น ทั้งยังลุกพรวดไปหาทู่จึที่ตกใจในท่าทีของเซียวโม่โฉวยิ่งกว่าจนตาเบิกโพลงอ้าปากค้าง
“ยะอยู่ อยู่เรือนหลักที่ห้องโอสถด้านหลัง ข้าเห็นพวกเขาเดินไปทางนั้น แต่มิแน่ใจนัก”
ได้ฟังเช่นนั้นเซียวโม่โฉวจึงรีบวิ่งพรวดออกไป เหอจี๋ที่ยืนนิ่งมองตามร่างบางที่ปราดเปรียวด้วยความงุนงงระคนสับสนไปหมด
“นะนั่นหมายความว่ายังไง ที่วิ่งออกไปเช่นนั้น? ”
“ขะข้าก็ไม่รู้ ตะแต่เมื่อครู่....”นิ้วของทู่จึพึ่งจะชี้ไปทางประตูที่เปิดออกและว่างเปล่า “ข้าเห็นสองตาว่าเซียวโม่โฉววิ่งออกไป แล้วตาที่บอดเล่าหายแล้วหรือ เอ๊ะ! แต่ยังมิได้รักษามิใช่หรือ”
เหตุใดข้าจึงไม่เฉลียวใจในเรื่องนี้แม้แต่นิด ทั้งที่ก่อนหน้านี้หลี่รั่วถงกลับแสดงท่าทีออกมาให้ข้าเห็นว่าเขากำลังทำเรื่องบางอย่างที่ปกปิดข้าอยู่เป็นแน่ หากแต่คาดไม่ถึงว่าในท่าทีและแววตาที่ซ่อนเร้นเขาคิดการจะสละดวงตาของตนเองเพื่อข้าเช่นนั้น
ท่านกำลังคิดอะไรของท่านอยู่กันแน่!
คงเพราะถูกดูแลมามาก ความแข็งแรงของร่างที่ได้มาแม้จะไม่สลายเน่าเปื่อยไปหากแต่ความหนักหน่วงที่มิเคยใช้เรี่ยวแรงต้องวิ่งจนกระหืดกระหอบเช่นนี้
หากแต่จะมัวชักช้าอยู่ได้อย่างไร หากหลี่รั่วถงเร่งลงมือข้าคงจะต้องรู้สึกเสียใจไปตลอดชาติเป็นแน่
เมื่อถึงเรือนหลักตามที่ทู่จึบอกกล่าว หากเป็นเมื่อก่อนตนพยายามเท่าไหร่ก็มิสามารถฝ่าผู้เฝ้าประตูไปได้ ทว่าครั้งนี้สามารถผ่านเข้าไปได้ด้วยเป็นคำสั่งที่หลี่รั่วถงบอกกล่าวไว้ ทันทีที่เข้ามาภายในเรือนเซียวโม่โฉวก็เร่งเดินหาแต่ละห้องอย่างลนลาน เกรงว่าเวลาจะไม่ทันการจึงเข้าออกเสียทุกห้องหวาดหวั่นไปถึงเรื่องที่ไม่ควรเกิดจนแทบเสียสติ
กระทั่งเสียงพูดคุยเบาๆ ที่ลอยตามลมมา มั่นใจว่าสุดปลายทางเดินตรงประตูไม้ฉลุลายดอกเหลียนฮวาที่กำลังชูก้านบ้านสะพรั่งเหนือใบกลมที่อ่อนช้อย มีผู้ที่อยู่ด้านในเป็นแน่ อีกทั้งคล้ายมีกลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ อบอวลหลากหลายชนิดมิได้ต่างไปจากโรงหมอที่โลกมนุษย์ ตามสิ่งที่ทู่จึบอกมาพวกเขาน่าจะอยู่ด้านใน
ผาง!
และทันทีทันใดเซียวโม่โฉวก็ผลักบานประตูให้เปิดออกไม่รอช้า ร่างกายที่หอบโยนกวาดสายตามองเข้าไปด้านในของห้อง พลันพบเจอผู้ที่ตามหานั่งสนทนากันอยู่กลางห้องสีหน้าเคร่งเครียด
หวางหรูอี้และหลี่รั่วถงหันมองมายังผู้มาเยือนพร้อมเพรียงกัน หลี่รั่วถงนั้นลุกขึ้นจากเก้าอี้มองไปยังเซียวโม่โฉวที่สีหน้าตระหนกที่พรวดพราดเข้ามาอย่างแปลกใจ หากแต่คราแรกเข้าใจเพียงว่ามาด้วยเหอจี๋ แต่เมื่อบุรุษหนุ่มสาวเท้าก้าวเข้ามาสายตามองตรงมายังตนก็นึกประหลาดใจอีกครา หลี่รั่วถงมองหาเหอจี๋แต่กลับไร้ซึ่งเงา
“เจ้ามาด้วยตนเองเหตุใดจึงทำเช่นนั้น”หลี่รั่วถงยังคงทำอย่างเช่นเคยคือเข้าไปหมายจะประคองนำทาง ทว่ามือที่เอื้อมออกไปกลับถูกจับไว้อย่างแม่นยำยึดไว้แน่น นั่นจึงทำให้หลี่รั่วถงชะงักไปเพียงครู่มองดูมือที่เอื้อมมารับแขนของตนอย่างไม่แน่ใจนัก
“นี่หมายความเช่นไรเซียวโม่โฉว”เสียงทุ้มเอ่ยถามสีหน้าตกใจ
“ข้ามาที่นี่เพียงลำพัง มิต้องมีผู้ใดนำพามาเพราะข้าได้ยินเรื่องบางอย่างที่ท่านกำลังตัดสินใจกระทำเพื่อข้าโดยมิได้ถามไถ่ข้าสักคำ”เมื่อมาถึงและเห็นว่าหลี่รั่วถงยังคงมีดวงตาที่งดงามเช่นเคยเซียวโม่โฉวก็โล่งใจขาแข้งแทบทรุดฮวบด้วยโล่งในอก
“ตอนนี้ดวงตาของเจ้า? ”หลี่รั่วถงสงสัยจึงถามออกไป
“ตาของข้า.....”คำตอบที่อยากสารภาพคล้ายติดอยู่ที่ริมฝีปาก กระทั่งตัดสินใจพูดมันออกมาเพราะเช่นไรก็ต้องพูดวันนี้อยู่ดี “ตั้งแต่ต้น แท้จริงแล้วข้ามิได้ตามืดบอด” แม้จะหวั่นถึงสิ่งที่โพล่งออกจนหัวใจแทบหยุดเต้นหากแต่ได้กล่าวออกไปแล้ว
ความจริงที่ปรากฏต่างพาให้ผู้ที่รับรู้ถึงกับนิ่งงัน หวางหรูอี้ที่คล้ายไม่เชื่อหูขมวดคิ้วได้รูปถามขึ้นอีกครา
“เจ้าหมายความว่า เจ้ามิได้ตาบอดตั้งแต่ที่ฟื้นขึ้นมาเช่นนั้นหรือ? ”
“…..”ผู้ที่โป้ปดหลุบตาลงตำพยักหน้าเม้มปากแน่นรู้ว่าผิดอยู่หลายส่วน หลี่รั่วถงได้ยินเช่นนั้นน่าแปลกที่มิได้พูดจาอันใด นิ่งเงียบราวกับกาลเวลาหยุดนิ่ง หากแต่แววตาที่สะท้อนเงาของเซียวโม่โฉวที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นกลับชัดเจน
“มันเป็นเรื่องที่ข้าสะเทือนใจในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมาจริงๆ เห็นที....ข้าคงต้องกลับไปปลอบประโลมจิตใจตัวเองเสียหน่อยแล้ว”หวางหรูอี้พ่นลมหายใจพรูทางปากเอามือทาบอกตนเองคล้ายจะเป็นลม
กล่าวเสร็จก็เดินออกมาจากด้านในห้อง หากแต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็ราวกับหลงทิศ กว่าจะจับทิศจับทางได้ว่าประตูอยู่ทางไหนก็หันไปมาอยู่หลายรอบ ครั้นหวางหรูอี้เดินผ่านเซียวโม่โฉวไม่รู้จะกล่าวขอโทษอย่างไร ทำได้เพียงค้อมศีรษะส่งผู้มาเยือนด้วยความอ่อนน้อมเท่านั้น
“มิต้องสนใจความรู้สึกข้า.....ข้าลา”หวางหรูอี้ตบไหล่สหายตนเองสองสามคราก่อนจะจากไป
ยามนี้กลับทิ้งให้ห้องโอสถเงียบงันเสียจนผู้ที่สารภาพความจริงตัวแข็งทื่อ มือที่กุมท่อนแขนของหลี่รั่วถงเมื่อครู่ก็มิได้อยากปล่อย หากแต่กลับขยุ้มแขนเสื้อไว้เสียแน่นกลัวหนีหาย ศีรษะพลันก้มงอมองพื้นเสียอย่างนั้น ไม่รู้ว่าควรประดิดประดอยคำพูดใดให้สวยงามระรื่นหูอย่างไรเพื่อให้ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเข้าใจได้ แต่หากไม่เข้าใจก็จะไม่โทษโพย
“ข้าผิดเองที่โกหกท่านไปเช่นนั้น แต่ข้าไม่เสียใจที่กระทำเรื่องเช่นนี้ลงไป เพราะอย่างไรท่านก็ทำให้ข้ามองเห็นแล้วว่ายามที่ข้ามิใช่ผู้ที่สมประกอบหรือเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างท่านก็ยังไม่ทอดทิ้งข้า มิได้ลุ่มหลงกายหยาบเพราะรูปลักษณ์ภายนอกของข้า ท่านดูแลและปฏิบัติต่อข้ามิได้รังเกียจให้ความสำคัญต่อข้าเสมอมาตั้งแต่ต้น นั่นคือสิ่งที่ข้าใช้หัวใจและดวงตาที่แสร้งมืดบอดมองมัน”
“.....”
“ท่านโกรธข้ามากหรือไม่ หากจะโกรธเคืองข้าก็จะไม่โต้แย้งอันใด”เพราะไม่รู้จะคาดเดาตำตอบได้อย่างไรจากสีหน้าที่นิ่งเฉยของหลี่รั่วถง ทางเดียวนั้นคือถามไถ่ออกไปตามตรง เสียงเล็กที่พึมพำในลำคอหาใช่เสียงดังมากมายนัก แม้จะฟังดูไม่เป็นภาษาแต่ก็จับใจความได้ว่าเซียวโม่โฉวต้องการจะกล่าวสิ่งใด
“โกรธ.....”นั่นเป็นคำพูดเพียงคำเดียวที่หลุดออกมาจากปากหลี่รั่วถง เซียวโม่โฉวถึงกับเก็บสีหน้าหวาดหวั่นในใจไม่ไหว ตาใส่แม้จะพยายามเหยียดยิ้มหากแต่แบ่งรับแบ่งสู้ผลที่ตามมาน้ำตารื้นพยายามข่มกลั้น
“ข้าขอโทษ”
“พูดอีกครั้ง”
“ข้าขอโทษที่.....”
ประโยคสุดท้ายที่ตั้งใจจะกล่าวออกมาอธิบายความนัย กลับถูกกลืนหายไปด้วยจุมพิตจากหลี่รั่วถง เซียวโม่โฉวมิได้ตั้งตัวดวงตาคู่สวยก็พลันเบิกโพลงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น กระทั่งความอบอุ่นที่แผ่ซ่านผ่านปลายนิ้วที่ประคับประคองกรอบหน้าขาวที่แดงเรื่อด้วยความอุ่นร้อนจากภายในร่างกาย รสจูบที่หลี่รั่วถงมอบให้ละมุนเสียจนลืมสิ้นไปชั่วขณะ
“ถึงข้าจะโกรธเคืองเจ้าก็หาได้ประโยชน์อันใดไม่ แต่ยามนี้เหนือสิ่งอื่นใดข้ากลับดีใจเสียมากกว่าที่ดวงตาของเจ้ามิได้มืดบอด”ปลายนิ้วสัมผัสกับดวงตาคู่สวยน้ำเสียงที่เอ่ยมาบีบรัดจิตใจเซียวโม่โฉวนัก การทำเกินกว่าเหตุครั้งนี้บทลงโทษเห็นทีจะเป็นความรู้สึกผิดที่ตราตรึงในใจไปตราบนานเท่านาน
“มีผู้ใดเคยบอกท่านหรือไม่ว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่มีใช่อำนาจและความแข็งแกร่งของท่าน หากแต่เป็นสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของท่านเสียมากกว่า ข้าไม่อาจดูแคลนความรักของท่านได้เลย เรื่องราวต่างๆ นั้นพิสูจน์ให้ข้าประจักษ์แล้ว”
“มิใช่ ข้าไม่เคยพยายามตนเองเพื่อพิสูจน์สิ่งใด แต่ข้าเพียงทำในสิ่งที่ข้าปรารถนาจะทำเท่านั้น และเจ้าคือผู้ที่ข้าเลือกแล้วไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม”เซียวโม่โฉวกะพริบตาไล่หยาดน้ำตาบางๆ คลี่ยิ้มให้กับร่างสูงตรงหน้า เอ่ยเรื่องที่ใคร่สงสัยออกไปอีกครา
“แท้แล้วท่านคิดจะสละดวงตาให้ข้าจริงเช่นนั้นหรือ”
“.....”หลี่รั่วถงมิได้ตอบเพียงยิ้มบางคว้าเอาบุรุษตรงหน้าเข้ากอดแนบอกเป็นคำตอบ
“ท่านอย่าทำเรื่องที่ข้าไม่รับรู้เช่นนี้ได้อีกหรือไม่”
“เพราะเหตุใด”
“ยังจะให้ข้าต้องอธิบายอีกหรือว่าข้ารักและเป็นห่วงท่าน”
ผู้ที่ฟังไยจะไม่ดีใจถึงขนาดทำให้หลี่รั่วถงผู้นี้อ่อนไหวไปกับคำพูดของบุรุษหนุ่มตรงหน้าได้ด้วยประโยคเพียงสั้น
“ได้ฟังความในใจของเจ้าข้าอายุยืนไปอีกพันๆ ปี”
“เหตุใดจึงกล่าวเรื่องที่ชวนให้ฟังดูท่านเป็นผู้เฒ่าเช่นนั้นเล่า”
“แล้วเจ้าอยากจะแก่เฒ่าไปกับข้าหรือไม่”
ครู่หนึ่งที่เซียวโม่โฉวถึงกับต้องขบคิด “หากถึงวันนั้นผู้ใดจะดูแลท่านกับข้า เหอจี๋ก็คงจะแก่ตัวไปตามกันไม่แน่อาจจะออกเรือนไปกับผู้ที่ถูกใจไปก็เป็นไปได้ ทู่จึก็มิรู้ว่าจะเอาแน่เอานอนได้เพียงใด หากเดินเหินไม่ไหวผู้ใดจะช่วยประคอง”
หลี่รั่วถงขบขันกับความคิดเช่นนั้น หากแต่มิได้บอกกล่าวอธิบายไปว่า ถึงแก่เฒ่าเช่นไรพละกำลังก็มิได้เหือดหายเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไปสังขารก็มิได้ชราตามอายุ หากแต่ยอมเก็บความลับนี้ไว้เห็นทีว่าจะน่าภิรมย์ใจเสียกว่า
“เช่นนั้น ไยเจ้ากับข้าไม่ร่วมแรงร่วมใจมีแก้วตาดวงใจไว้ใช่งานยามแก่เฒ่าเสียเล่า”
“ทะท่านหมายถึงลูกเช่นนั้นหรือ? ”ผู้ได้ฟังผงะไปกับคำพูดที่ราวกับธรรมดาสามัญจนตาเบิกค้าง
“ใช่”
“เอ๊ะ! จะไปมีได้อย่างไรเล่า ท่านและข้าล้วนเป็นบุรุษ”ดูเหมือนอีกฝ่ายจะช้าไปกว่าหลี่รั่วถงถึงสองก้าวถึงได้เพิ่งตระหนักได้ถึงเรื่องน่าอายเช่นนั้น
“ข้ามีวิธี.....จะให้ข้าบอกแก่เจ้าเลยดีหรือไม่ แต่คงต้องพึ่งเจ้าอีกแรงเสียแล้ว”อีกฝ่ายแสร้งเขยิบเข้าใกล้แอบกระซิบใกล้ใบหูเล็กราวกับเป็นความลับท่าทีไม่หยอกเย้า ทำเอาใบหน้าที่เคยขาวนวลเนียนแดงระเรื่อขึ้นมาอีกคราจนต้องล่าถอยออกไปเสียแทบทันควัน ในอกลั่นรัวราวกับกลองศึก
“ว่าอย่างไรเล่าคำตอบของเจ้า”
“ข้า.....”เสียงอึกอักทำเอาเซียวโม่โฉวอยากจะตีปากตนเอง เหตุใดจึงได้สั่นเท่าเช่นนั้น “ข้าเพิ่งจะคิดได้ว่าต้องกลับเรือน ตอนที่ข้าวิ่งออกมา...เหอจี๋และทู่จึงคงกำลังรอข้ากลับไปอธิบายเรื่องราวอยู่เป็นแน่”
ขืนอยู่ก็มีแต่ตั้งหน้าไม่ถูก เซียวโม่โฉวจึงแสร้งเอ่ยถึงเหอจี๋และทู่จึขึ้นมาหาเรื่องปลีกตัวออกไป เพียงก้าวหนีไปไม่ถึงสองก้าวกลับถูกรั้งไว้
“จะปล่อยให้เจ้าเดินกลับไปเพียงลำพังได้อย่างไร ข้าจะไปส่ง”มืออุ่นกุมมืออีกฝ่ายอย่างไม่ลังเลก่อนจะกระชับแน่นไม่ยอมปล่อยเป็นแน่
“ตามใจท่านเถิด ข้าจะขัดได้อย่างไร”ยิ้มซ่อนที่ซ่อนเช่นไรก็ไม่มิดเผยออกมาอย่างชัดเจนผ่านสีหน้าและแววตาของบุรุษหนุ่ม ความเก้อเขินเช่นนั้นอดไม่ได้ที่จะทำให้ร่างสูงสง่าสัมผัสกับความสุขที่เฝ้ารอมาเนิ่นนานอย่างไม่ผิดหวัง
ทว่าก่อนที่หลี่รั่วถงจะนำให้ก้าวเดินออกไปเซียวโม่โฉวกลับไม่ขยับก้าวตาม
“มีอะไรเช่นนั้นหรือ? ”
“ข้ามีอย่างหนึ่งที่อยากจะทำ...ให้ข้าได้ทำมันตอนนี้เถิด”ดวงตาคู่สวยที่หลุบลงต่ำมองไปยังพื้นเบื้องหน้าเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ก่อนจะแกะมือของหลี่รั่วถงที่กุมมือตนเองออก เปลี่ยนเป็นมือของเซียวโม่โฉวที่เป็นฝ่ายเข้าไปกุมมือหลี่รั่วถงเสียแทน ก่อนจะกระชับแน่นจุดยิ้มบนใบหน้ามองหลี่รั่วถงอย่างมีความหมาย เสร็จแล้วจึงออกตัวเดินนำหลี่รั่วถงไปเบื้องหน้าอย่างไม่ลังเล
ติดตามตอนต่อไป >>>
สำหรับตอนหน้าจะเป็นบทส่งท้าย ซึ่งจบจริงๆ แล้วค่ะ ฝากติดตามตอนหน้าด้วยนะคะ
ขอบคุณมากค่า
โดย หลานฮวา
:hao5:
-
จะมีแก้วตาดวงใจนี่ต้องทำอย่างไรคะะะะ :hao7:
-
จะจบแล้ว ใจหายเหมือนกันนะ
-
:pig4:
-
บทส่งท้าย
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเซียวโม่โฉวและหลี่รั่วถงหาใช่ผู้ใด เป็นอวี้หวงต้าตี้ประมุขชั้นฟ้าที่กุมอำนาจสวรรค์และมีอำนาจเหนือกว่าอย่างมิต้องกล่าวถึง บัดนี้ถึงเวลาที่ทุกอย่างจะเป็นไปตามดั่งสวรรค์ลิขิต จะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ หลี่รั่วถงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าและเซียวโม่โฉวที่คุกเข่าก้มหน้าไม่บังอาจสบตาต่อผู้มีรัศมีแห่งผู้ปกครองได้ อีกทั้งชนชั้นที่หาใช่ผู้ที่อยู่ในเทพเซียนชั้นใดได้มาพบพานเช่นนี้ก็เป็นวาสนามากนัก
หากแต่วันนี้การที่หลี่รั่วถงนำเซียวโม่โฉวมาด้วยนั้นเพราะยังคงมีเรื่องบางอย่างที่จะต้องทำให้กระจ่างและชัดเจน ยามนี้เซียวโม่โฉวรู้สิ้นถึงชาติภพของตนเองจึงควรแล้วที่จะกล่าวเรื่องระหว่างตนและเซียวโม่โฉวต่ออวี้หวงต้าตี้เสียที
แม้เซียวโม่โฉวจะรู้ดีว่ากาลก่อนตนเป็นใคร อาศัยอยู่ ณ ที่ใดในช่วงเวลานั้น และทำสิ่งใดลงไปบ้างจึงไม่อาจกล่าวมากความได้ในยามนี้ ความรู้สึกผิดต่อสวรรค์นั้นตราตรึงอยู่ในอก ทราบความผิดดีว่าฝืนกฎสวรรค์ข้อใดเพื่อทำตามใจตนเองเมื่อครั้งก่อน ยอมทิ้งซึ่งภาระหน้าที่ของตน แหกกฎต้องห้ามของเทพธิดาที่มิให้มีใจรักผูกพันต่อผู้ใด แต่ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจหักห้ามจึงยอมถูกลงโทษด้วยโชคชะตาที่โหดร้ายนั้นย่อมถูกต้องแล้ว
ทั้งการถูกจูเกิงเฉินพลั้งมือสังหาร ไปผจญเคราะห์กรรมบนโลกมนุษย์ และต้องเจ็บปวดกับความรักก่อนที่จะรู้ความจริงทั้งหมด
“ข้าทำตามที่สัญญาต่อท่านแล้ว ต่อจากนี้พระองค์โปรดยินดีกับความรักของข้าด้วย”หลี่รั่วถงกล่าวขึ้นเสียงหนักแน่นมิได้อ้อมค้อม ทำให้อวี้หวงต้าตี้หัวเราะขึ้นเสียงก้องกังวานราวระฆังสวรรค์
“ในเมื่อเจ้ารักษาคำสัตย์ไม่บิดพลิ้ว ทำตามคำพูดที่เคยให้ไว้กับข้าได้ ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวต่อวิบากกรรมของเซียวโม่โฉวจนกว่าจะบรรลุถึงแก่นแท้ของวัฏสงสารชีวิต และดูเหมือนพวกเจ้าต่างก็เผชิญกับอุบัติกรรมที่เกิดขึ้นมาอย่างนับไม่ถ้วนมากพอแล้ว ข้าจะกลืนน้ำลายตนเองได้อย่างไร ข้าเมตตามิได้ส่งเสริมให้พวกเจ้ากระทำผิด หากแต่เพราะด้วยความอดทนที่พวกเจ้าพิสูจน์ให้ข้าเห็น”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”เซียวโม่โฉวก้มศีรษะคำนับจรดพื้น คงไม่สามารถลืมเลือนเหตุการณ์ในตอนนี้ได้ไปตราบชั่วชีวิต
“เจ้าลุกขึ้นเถิด เงยหน้าให้ข้าได้ดูเจ้าชัดๆ ”
“กระหม่อมต่ำต้อยนักจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“แม้เจ้าจะไม่มีชนชั้นใดในพิภพทั้ง 4 แห่งนี้ หรือแม้สูญเสียไปแล้วซึ่งพันธะพันผูกต่อสวรรค์ เช่นไรหากเจ้าบำเพ็ญภาวนาอีกพันปีข้างหน้าข้าและเจ้าคงได้พบพานกันอีกครา”
ผู้ที่เอ่ยเช่นนั้นหยักยิ้มเพียงบางชี้ทางเดินเบื้องหน้าให้เห็น พริบตาราวกับมนต์ลวงตา ผู้ปกครองชั้นฟ้าก็บันดาลดวงไฟสีทองสว่างดึงสายตาของเซียวโม่โฉวให้เงยหน้าขึ้นโดยมิได้ฝืนบังคับแต่อย่างใด น่าแปลกที่หลี่รั่วถงไม่อาจมองเห็นดวงไฟสีทองได้อย่างที่เซียวโม่โฉวเห็น
คล้ายคลึงจนเรียกว่าเหมือนกับที่บุรุษหนุ่มพบพานบนโลกมนุษย์และครั้งอยู่พิภพแห่งหยินนัก
เอ๊ะ! หรือแท้แล้วผู้ที่บันดาลดวงไฟเหล่านี้ให้ข้าพิศวงจะเป็น.....
เซียวโม่โฉวคาดเดาในความรู้สึก ครั้นดวงตาคู่สวยก็เบิกโพลงขึ้นกับคำตอบ สบกับนัยน์ตาทรงอำนาจที่ครู่หนึ่งราวกับบอกเล่าเรื่องราวให้กระจ่าง ทว่าคำพูดใดก็ไม่อาจหลุดออกมาจากปากเซียวโม่โฉวได้เสมือนถูกปิดเอาไว้
“เอาเถิด อย่างไรบทลงโทษที่เกิดขึ้นต่อตัวเจ้าทั้งสองเพราะการกระทำในอดีตได้จบสิ้นลงแล้ว ชาติให้พบพาน วาสนาใหม่ถักทอ ต่อจากนี้ก็อยู่ที่ตัวของพวกเจ้า อย่างไรก็หนีไม่พ้นกฎเกณฑ์ที่จักต้องปฏิบัติ”เสียงทุ้มและก้องกังวานราวกับระฆังยักษ์สะท้อนอยู่ในหัวของหลี่รั่วถงและเซียวโม่โฉว
“หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ข้าไม่อาจให้โอกาสผู้ที่ผิดพลาดได้เป็นครั้งที่สองเข้าใจหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ/พ่ะย่ะค่ะ! ”สองเสียงขานรับประสานกัน พร้อมค้อมกายส่งประมุขแห่งชั้นฟ้าที่มีขบวนนำและตามเดินออกไปจากท้องพระโรงอย่างงดงาม
เซียวโม่โฉวแทบทรุดกายลงนั่งกับพื้นอีกครา เมื่อความอึดอัดในใจนั้นได้คลายสิ้นแล้ว
“เจ้าไหวหรือไม่”ไม่มีผู้ใดไม่หวั่นเกรงต่ออวี้หวงต้าตี แต่สำหรับหลี่รั่วถงแล้วเขาย่อมเกรงขามหากแต่ไม่หวาดกลัว ครั้นเห็นว่าโม่โฉวประหม่าจนหน้าถอดสีจึงพาออกมาผ่อนคลายด้านนอก ยังสะพานที่เส้นทางเบื้องหน้าไกลสุดสายตาจมหายไปในม่านหมอกสมแล้วที่เป็นสวรรค์ชั้นฟ้า
“ข้านึกว่าตนเองจะตายอีกคราเสียแล้ว”มือขาวทาบอกตนเองพิงหลังกับราวสะพานพ่นลมหายใจพรูไปหลายรอบ
“เจ้ากลัวหรือ? ”
“สิ่งที่ข้ากลัวคือการที่ต้องถูกพรากจากท่านอีกครั้งเสียมากกว่า”
“ข้าอยู่ตรงนี้เจ้าจะหวาดกลัวสิ่งใด ข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดรังแกเจ้าเป็นอันขาด แม้กระทั่งผู้ที่เจ้ากำลังหวาดกลัว”
“ข้าไม่ปรารถนาให้ท่านต่อกรกับผู้ใดเพื่อข้าอีก”เซียวโม่โฉวยื่นมือของตนไปกุมแขนของหลี่รั่วถง สบนัยน์ตาคู่คมที่มองมาแววตาอ่อนโยน “ท่านลืมสิ้นไปแล้วหรืออย่างไรเล่าว่ายามนี้ข้าเป็นบุรุษหาได้อ่อนแอจนท่านต้องกังวล”
“ถึงอย่างไร ข้าก็ไม่อาจเมินเฉยต่อความทุกข์ใจของเจ้า อย่างไรก็ตามเจ้ายังคงเป็นผู้ที่ข้ารักและอยากปกป้องดูแลต่อให้เจ้าอยู่ในสถานะใดก็ตาม”มือแข็งแรงที่เข้ามากุมประสานถ่ายทอดความรู้สึกถ่องแท้ไปยังฝ่ามือของเซียวโม่โฉว ถ้อยคำและแววตาช่างเขย่าดวงใจของผู้ที่ถูกจ้องมองได้สั่นคลอนนัก
“ท่านกล่าวเช่นนั้นมิปล่อยให้ข้าได้เว้นช่วงจังหวะชีพจรบ้างหรือ”ยิ้มบางคลี่ออกหัวเราะน้อยๆ กับมธุรสของร่างสูงตรงหน้า
“อย่างไรเล่าที่เจ้ากล่าวถึง ข้ามิเข้าใจ”
“ท่านไม่เข้าใจหรือแสร้งหลอกข้ากันแน่ ในอกของข้ามันเต้นระรัวเสียจนข้าควบคุมไม่ได้ทันรู้หรือไม่เล่า”
“เช่นนั้นให้ข้ารับผิดชอบเสียเถิด”
“รับผิดชอบ? ท่านจะรับผิดชอบเช่นไร? ”คนแสร้งถามส่ายหน้าเพราะตนเพียงกล่าวหยอกล้อ ทว่าระหว่างที่กำลังจะหมุนกายเดินไปข้างหน้า แขนข้างหนึ่งของเซียวโม่โฉวถูกหลี่รั่วถงดึงรั้งเอาไว้จนแทบจะเรียกว่ากระชากมาก็ว่าได้ ผู้ที่มิทันตั้งตัวเผลอเปิดช่องโหว่ให้หลี่รั่วถงดึงรั้งเข้ามาแนบชิดเสียแล้ว
“ปะปล่อยข้าเถิด ประเดี๋ยวมีใครผ่านมาเห็นจะนำท่านไปกล่าวเสียๆ หายๆ ได้”เซียวโม่โฉวตาวาวกล่าวขึ้น มองซ้ายขวาเลิกลัก แม้จะไม่มีผู้ใดก็อดเขินอายไม่ได้
“ให้กล่าวไปเถิด ข้าดีใจเสียอีกที่จะได้บอกให้ผู้อื่นได้รู้” หลี่รั่วถงกระตุกยิ้มขยับวงแขนเข้ากระชับแน่นรอบตัวบุรุษหนุ่มขึ้นอีกเท่าตัว “เพราะเช่นไรข้าก็หมายมั่นตั้งใจว่าให้เจ้าเป็นจอมใจของข้าแต่เพียงผู้เดียว”
เรียกได้ว่าประโยคเดียวหยุดชะงักทุกอิริยาบถไปในทันที มีเพียงดวงตากลมใสที่กะพริบถี่สบกับนัยน์ตาคู่คมของหลี่รั่วถงราวกับจะหาความหมายในประโยค ก่อนแก้มขาวนวลเนียนจะค่อยๆ แดงเรื่อขึ้นประหนึ่งปาดสีชาดเอาไว้ “ทะท่าน....”
“แต่งงานกับข้าเถิดเซียวโม่โฉว มิรู้ว่าโลกมนุษย์ที่เจ้าคุ้นชินจะพูดกันเช่นนี้หรือไม่ แต่คงมิได้ต่างไปจากความหมายที่ข้าปรารถนามั่นในรักต่อเจ้าเป็นแน่”ตาซื่อตาใส่นิ่งงันราวกับสติเลื่อนลอยหายไปครู่หนึ่ง ยามนี้เห็นทีจะตะลึงพรึงเพริดเสียจนหลงลืมชื่อตนเองไปแล้ว
ตะแต่งงาน? ข้าถูกขอแต่งงานเช่นนั้นหรือ?
พลันคิดใบหน้าและท่าทางก็แสดงออกมาเสียหมดแล้ว ทั้งแก้มขาวที่แดงเรื่อ ความสุขที่ผ่านดวงตาคู่สวย รอยยิ้มที่พยายามเก็บกลั้นไว้แค่ไหนก็โผล่ให้เห็นอยู่ดี
“ว่าอย่างไรเล่า หรือเจ้ารังเกียจข้า”
“มะไม่ใช่เช่นนั้น คือข้า....”ท่าทีกระอักกระอ่วนมิใช่เพราะอยากจะปฏิเสธหากแต่กลั่นออกมาเป็นคำพูดยากนัก ยามนี้จะมีสิ่งใดต้องคิดเสียให้วุ่นวายเล่า “ข้าจะแต่งกับท่าน! ”
“คำตอบของเจ้าฉะฉานยิ่งนัก”เป็นคำชมที่ทำเซียวโม่โฉวถึงกับเก้อเขินจนใบหูร้อนไปเสียหมด อีกทั้งหลี่รั่วถงก็ขยันยิ้มให้เขาบ่อยนักจะไม่ให้หลงบุรุษตรงหน้าอีกคราได้อย่างไร
ท่ามกลางจันทราที่ลอยเด่น รัศมีแผ่กว้าง ท้องฟ้าปลอดโปร่งงดงามดั่งวาดไว้ ยามนี้หากเทียบกับตำแหน่งจ้าวพิภพแห่งหยิน งานพิธีการใดๆ ย่อมยิ่งใหญ่เล่าลือกันไปทั่วทั้ง 4 ชั้นฟ้า แขกมาร่วมงามย่อมแออัดขนัดตาท้องฟ้าคงคลาคล่ำแลดูมืดฟ้ามัวดินด้วยเหล่าเทพเซียนทั้งหลายเป็นแน่
ทว่าค่ำคืนสำคัญอันเป็นพิธีการงานมงคลกลับมิได้ต้อนรับผู้ใดให้วุ่นวาย ไม่ต้องการคำกล่าวยินดีของผู้ใดเท่าความเปรมใจของคู่ชีวิต จะมีสิ่งใดยิ่งใหญ่ไปกว่าคำมั่นสัญญาที่ปรารถนามานับพันปี ไม่มีพิธีการใดจะเรียบง่ายเท่าการตัดสินใจครองคู่ของทั้งสองอีกแล้ว มีเพียงสักขีพยานร่วมยินดีเป็นสหายพันชาติอย่างหวางหรูอี้ ติงเจิ้งหวา บริวารข้ารับใช้อย่างเหอจี๋และทู่จึเท่านั้น ทุกอย่างเสร็จสิ้นไม่หวือหวาจบพิธีด้วยการแลกจอกสุรามงคลก็นับว่าเพียงพอแล้ว
สิ่งใดจะยิ่งใหญ่เท่าความรักของเขาทั้งสองอีกก็หามีไม่
อย่างไรสีมงคลก็ย่อมต้องเป็นสีแดง ยามนี้จึงได้เห็นหลี่รั่วถงสวมใส่อาภรณ์สีแดงเข้มดูแปลกตาหากแต่ไม่อาจลดทอนความสง่าผ่าเผยไปได้ เซียวโม่โฉวที่ยืนอยู่ข้างกายก็สวมอาภรณ์สีแดงมงคลเช่นกัน แม้ธรรมเนียมเจ้าสาวจักต้องปิดบังใบหน้าหากแต่บุรุษหนุ่มมิได้นับธรรมเนียมเช่นนั้น การแต่งกายยังคงเป็นบุรุษอย่างที่ตนเป็น หากแต่ความงามด้วยรูปกายก็มากล้นเกินบุรุษแล้ว
หน้าผากที่ขาวนวลเนียนบัดนี้ถูกแต้มด้วยสีชาดเป็นจุดเล็กๆ ตรงกลางระหว่างคิ้วด้วยมือของหลี่รั่วถง เป็นการแสดงให้รู้ว่าผู้ใดมีสิทธิ์ในตัวบุรุษหนุ่มตรงหน้าที่เป็นดวงใจของจ้าวพิภพแห่งหยินหากมิใช่ตน ถึงจะไม่ทำเช่นนั้นหากแต่หลี่รั่วถงกลับตีตราจองไว้เนิ่นนานก่อนหน้านั้นแล้ว ด้วยสัญลักษณ์ดอกโบตั๋นคล้ายปานแดงบนลำคอขาวผุดผาด
“เมื่อแลกจอกสุรามงคลเสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปก็ถึงฤกษ์เข้าส่งตัวเข้าห้องหอแล้วขอรับ”ผู้พูดแม้จะเก้อเขิน หากแต่อดที่จะยิ้มจนแก้มปริให้แก่ทั้งสองมิได้ ทำนบน้ำตาของเหอจี๋แทบจะไหลอยู่เนืองๆ
“ข้ายินดีกับพวกเจ้าด้วย เห็นทีข้าจะมาแวะเวียนเสียบ่อยๆ มิได้แล้วเกรงว่าจะรบกวนพวกเจ้าหวานชื่น”หวางหรูอี้ยิ้มหยอกเย้า ก่อนจะล้วงบางอย่างยืนให้เซียวโม่โฉว เหอจี๋มองดูเลิกลักมิไว้ใจเช่นกันแต่สอดปากตอนนี้มิได้ “ถือเสียว่าเป็นของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ จากข้า” เซียวโม่โฉวตระเตรียมเอื้อมมือไปรับแต่ทว่า
“ห้ามรับเด็ดขาด! ”หลี่รั่วถงปัดมือหวางหรูอี้ออกกล่าวพร้อมกับข่มขวัญสหายด้วยสีหน้าถมึงทึง
“เหตุใดท่านถึงปฏิเสธน้ำใจท่านหวางหรูอี้เช่นนั้นเล่า? ”
“เพราะข้ารู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร”สีหน้าของเซียวโม่โฉวงุนงงมองหลี่รั่วถงคิ้วขมวด หวางหรูอี้กลับหัวเราะขบขันโยนขวดยาใบเล็กขึ้นลงไปในอากาศแล้วซุกเก็บเข้าที่เดิม
“นี่เซียวโม่โฉว...เอาไว้คราวหลังข้าจะให้กับเจ้าในยามที่ไม่มีเจ้าเสือดุผู้นี้อยู่เข้าใจหรือไม่”คนแสร้งกระซิบกระซาบสีหน้าสนุกนักแววตาเล่ห์เหลี่ยมนัก
“ข้าคงต้องรบกวนเจ้าเสียแล้วติงเจิ้งหวา พาสหายผู้นี้ของข้าไปให้พ้นสายตาข้าได้หรือไม่ ข้าขอส่งตรงนี้”
วาจาร้ายกาจเอ่ยขึ้นร้องขอต่อติงเจิ้งหวา ที่มิได้กล่าวมากความอันใดนักเพียงหอบหิ้วเจ้าของเส้นผมขาวพิสุทธิ์ลากตัวออกไปแต่โดยง่าย
“ตกลงเจ้าจะเข้าข้างผู้ใด! ไหนบอกว่าจะสวามิภักดิ์ต่อข้าเช่นไรเล่าติงเจิ้งหวา”คนถูกลากโวยวายลั่น
“ข้าเคยกล่าวต่อเจ้าเมื่อไหร่กัน เลิกรบกวนพวกเขาแล้วกลับกันได้แล้วนา”เสียงโหวกแหวกโวยวายค่อยๆ ลับหายไปจนโล่งหู เซียวโม่โฉวยืนมองพวกเขาจนลับสายตา
ทั้งเหอจี๋และทู่จึก็ต่างผ่อนลมหายใจเมื่อสถานการณ์เงียบสงบกลับมาอีกครา บทสนทนาระหว่างสองคนก็เกิดขึ้น
“ในเมื่อสหายของข้าตบแต่งแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะมีฐานะสูงกว่าเจ้าสินะ”ทู่จึกล่าวขึ้นยืดอกเท้าสะเอวกระหยิ่มยิ้มย่องในความคิด
เพี๊ยะ! ฝ่ามืออรหันต์ปะทะเข้าที่ศีรษะของทู่จึอย่างจัง
“ข้าบอกให้เจ้าเลิกฝันลมๆ แล้งๆ อย่างไรเล่า อย่างไรเสียเจ้าก็คือปีศาจชั้นต่ำสำหรับข้าอยู่วันยังค่ำ ชิ! ”
“หน็อย คอยดูเถอะ! ”ใบหน้าฟึดฟัดลูบศีรษะตนเองปอยๆ
“นายท่านขอรับ.....ข้าว่าประเดี๋ยวจะเลยฤกษ์งามยามดีเชิญพวกท่านด้านในดีกว่าขอรับ ข้าและทู่จึจะส่งพวกท่านเพียงประตูเท่านี้นะขอรับ”เหอจี๋หันไปกล่าวพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญ
“ข้าไปด้วยโม่โฉว! ”
“เจ้าจะเข้าไปทำไมเจ้าโง่นี่ กลับกับข้าประเดี๋ยวนี้เลย อยากตายหรืออย่างไร! ”เหอจี๋พูดเสียงลอดไรฟันถลึงตาสุดฤทธิ์ก่อนจะลากดึงทู่จึออกไป ปล่อยให้บ่าวสาวได้ประคองกันเข้าไปยังเรือนใหญ่อย่างราบรื่น
เซียวโม่โฉวส่ายหน้ายิ้มให้กับทั้งสองที่อย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลงท่าทีที่ราวกับเข้ากันไม่ได้ หากแต่ก็ไม่เคยมีวันไหนที่เห็นทู่จึและเหอจี๋ไม่พูดคุยกัน
“เจ้ายิ้มอะไรกัน? ”
“ข้าเพียงนึกสงสัยว่าเหตุใดทั้งสองจึงตั้งแง่แต่จะทะเลาะกัน หากแต่พอผ่านไปไม่ทันจะข้ามวันก็กลับมาดีกันเป็นๆ หายๆ เช่นนี้อยู่ร่ำไป”
“ปล่อยเรื่องหยุมหยิมเหล่านั้นไปเถิด สิ่งที่เจ้าควรจะสนใจมิใช่ข้าหรอกหรือ”
ครั้นถึงบานประตูไม้ที่แขวนคำมงคลตัวอักษรสีทองไว้เหนือบานประตูหลี่รั่วถงเป็นผู้ดึงให้เปิดออก เซียวโม่โฉวเป็นผู้เดินนำเข้าไปใจเต้นลุ่มๆ ดอนๆ เสียอย่างนั้น ครั้นหันไปมองการประดับตกแต่งห้องหอให้งดงามจนต้องตาก็ยิ่งเก้อเขินเสียจนนึกต่อว่าผู้ที่เป็นแม่งานอย่างเหอจี๋เสียจริงๆ ยิ่งกวาดสายตามองพู่ผ้าที่ห้อยระย้าสีแดงมงคล ก็ราวกับย้ำเตือนว่าค่ำคืนนี้มิใช่เพียงวันคืนที่ผ่านพ้นไปไม่น่าจดจำ หากแต่เป็นคืนสำคัญของทั้งสอง
เช่นไรเซียวโม่โฉวก็อดประหม่าขึ้นมาเสียมิได้ จึงแก้เก้อด้วยการไปนั่งยังโต๊ะที่จัดสำรับและขนมมงคลไว้ อีกทั้งสุราที่ตระเตรียมให้พร้อมพรั่งอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“ท่านจะดื่มต่ออีกหน่อยหรือไม่ มาเถิดข้าจะรินให้”ผู้ประหม่ารวบแขนเสื้อที่ยาวเกะกะหมายจะปรนนิบัติรินสุราให้ท่าทีจริงจังจนชวนมอง
“เหตุใดข้าต้องสนใจที่จะดื่มมากกว่าตัวเจ้าในยามนี้ด้วยหรือ? สุราเมื่อใดข้าก็ดื่มได้ จักเมามายก็มิควรเป็นคืนมงคลนี้” ท่อนแขนแข็งแรงที่เอื้อมมาจากด้านหลังพยุงผู้ที่ซ่อนใบหน้าแดงก่ำให้ลุกขึ้นหันมาประจัน รอยยิ้มที่ราวขบขันกับท่าทีของบุรุษหนุ่มตรงหน้าพานให้เซียวโม่โฉวขมวดคิ้วมุ่นขึ้นเสียอย่างนั้น
“ท่านขบขันเรื่องใด หน้าข้ามีสิ่งใดผิดแปลกหรือ”
“.....”หลี่รั่วถงเพียงส่ายหน้า ก่อนกอดกายบุรุษหนุ่มเข้าสู่อกกว้าง มือหนาลูบแผ่นหลังที่ประหม่าอย่างอ่อนโยนและกล่าวขึ้น “ข้านึกไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ วันที่ข้าได้กอดเจ้าอย่างมีความสุขอีกครา”
เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้น เซียวโม่โฉวได้ยินทุกถ้อยคำที่กล่าวมา รับรู้ด้วยหัวใจว่าผู้ที่กอดตนนั้นหาได้โป้ปด มือขาวที่เคยเย็นเยียบและสั่นเท่าด้วยความประหม่า ทว่าบัดนี้กลับผ่อนคลายด้วยอ้อมกอดอุ่นๆ เสียจนกำซาบถึงจิตใจ
“ข้าอยู่ตรงนี้ได้เพราะท่านปรารถนาที่จะพบเจอข้าอีกครั้ง ข้าดีใจที่หัวใจของข้ายังคงจดจำท่านได้ไม่ลืมเลือน”
“ข้ารักเจ้าเซียวโม่โฉว”
“ท่านกล่าวเช่นนี้ จะให้ข้าตอบอย่างไรได้นอกเสียจาก.....”สองแขนผละตนเองออกจากอกที่แทบไม่ยอมให้ห่าง ก่อนจะเขย่งปลายเท้าเล็กน้อยจุมพิตไปที่ริมฝีปากของผู้ที่อยู่เบื้องหน้าแล้วตอบไปว่า “ข้าก็รักท่านเช่นกัน”
เซียวโม่โฉวยิ้มบางยกมือขึ้นขยี้ปลายจมูกตนเองเก้อเขิน โดยหารู้ไหมว่าอีกฝ่ายอยากกางกรงเล็บเข้าไปขย้ำท่าทีเช่นนั้นด้วยแรงปรารถนาเพียงใด
“เจ้าเริ่มก่อน อย่าได้โทษข้าทีหลังเลย”ที่สุดแล้วหลี่รั่วถงก็ทนข่มความปรารถนาที่จะสัมผัสบุรุษตรงหน้าไม่ไหวอีกจึงได้ดึงเซียวโม่โฉวเข้าสู่อ้อมกอดอีกครา ครั้งนี้กลับเชยคางให้เชิดรั้งขึ้น บรรจงมอบจุมพิตที่หอมหวานระคนร้อนรุ่มจนยากจะถอนถอย
สองกายที่ตระกองกอดทิ้งกายลงบนเตียงตั่ง กลีบบุปผาที่ถูกโปรยไว้กระจายออกไปทั่ว กลิ่นหอมเย้ายวนหรือจะสู้กลิ่นหอมของผิวกายที่กำจายรัญจวนใจนัก หากจะให้ยับยั้งชั่งใจในครานี้คงยอมแลกชีวิตเสียแล้วกระมัง
ทั้งหวั่นอยู่ในใจว่าเซียวโม่โฉวจะหนีหายจึงใช้กายแกร่งคร่อมร่างบุรุษหนุ่มไว้มิให้กระถดร่นหนีไปได้ ยอมผละจากจุมพิตอย่างอ้อยอิ่ง ใช้สายตาคมกวาดมองเจ้าของเรือนกายขาวผุดผาดที่หอบหายใจแรง แผ่นอกขาวที่เผยแก่สายตาผ่านสาบเสื้อที่แยกออกตัดกับสีแดงฉูดฉาดยากนักที่จะเมินสายตาไม่จ้องมอง
อีกทั้งสัญลักษณ์ที่เผยให้เห็นเป็นรูปดอกโบตั๋นนั้นชัดเจนขึ้นบนผิวเนื้อบริเวณลำคอยิ่งทำให้หลี่รั่วถงพึงใจในสิ่งนั้นยิ่งนัก ทว่าส่วนหนึ่งกลับกำลังพยายามทนข่มแรงปรารถนาตนเอาไว้ เช่นไรก็มิได้อยากกระทำให้เนื้อขาวต้องบอบช้ำตั้งแต่คืนแรกเสียก่อน
“เจ้าจะปฏิเสธข้าก็ได้หากเจ้ารู้สึกไม่ดี เพราะต่อจากนี้ข้ามิรู้ว่าตนเองจะหยุดรักเจ้าได้หรือไม่”
“ข้ายอมแลกจอกสุรามงคลแก่ท่านแล้ว ไยข้าจะต้องกลัวสิ่งใดอีกในเมื่อคนที่ข้าจะมอบชีวิตกระทั่งวิญญาณให้ก็มีแต่ท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
สุขใดเล่าจะเท่าคำปวารณามอบแล้วสิ้นซึ่งจิตวิญญาณให้แก่ตน หลี่รั่วถงยิ้มรับกดริมฝีปากจุมพิตไปที่ดวงตาคู่สวย จรดจมูกเป็นสันลากผ่านแก้มขาวเนียนที่แดงเรื่อไปถึงใบหูเล็กอย่างพึงใจ จูบต่อมากดริมฝีปากหยักไปที่ซอกคอขาวอยู่เนิ่นนาน บัดนั้นก็พลันบันดาลลมหมุนดับแสงเทียนและตะเกียงไฟภายในห้องหับ แล้วบรรจงละเลียดชิมบุรุษตรงหน้าอย่างละเมียดละไมเสียจนเจ้าของกายโปร่งวูบไหวราวกับเปลวเทียนต้องลม
เป็นคราแรกที่ถูกสัมผัสเช่นนั้น เซียวโม่โฉวมิเคยเสียพรหมจรรย์ให้แก่ตรีหรือบุรุษผู้ใด ถือว่าเกิดเป็นมนุษย์จะเสียชาติเกิดก็คงต้องปล่อยให้กนด่ากันไป หากแต่เช่นไรมิต้องมัวหมองเพราะมืออื่นก็นับว่าโชคดีนัก
ข้าไม่ประสีประสาในเรื่องรักใคร่ แต่การให้ความร่วมมือข้าคงพอทำได้
เซียวโม่โฉวคร่ำครวญอยู่ในใจก็พลันสะดุ้งไหวกับฝ่ามือที่สอดผ่านสาบเสื้อ มือหนาเข้าสัมผัสกับเนินอกที่แบนราบจนร่างที่ไร้กล้ามเนื้อแน่นหนาสะดุ้งไหวขนลุกชั้นไปทั่วสรรพางค์กาย อีกทั้งริมฝีปากร้อนก็บดเบียดริมฝีปากอ่อนนุ่มจนแทบเห่อร้อนบวกกับสัมผัสที่ปัดป่ายก็แทบดิ้นทุรนทุรายด้วยความรู้สึกซาบซ่าน
“เจ้ากลัวหรือไม่”เสียงทุ้มกังวานกระซิบชิดใบหูเล็กของเซียวโม่โฉวอีกครา ลมหายใจที่อุ่นร้อนคลอเคลียบนแก้มแดงราวผลท้อหล่นสุก
“ขะข้า หาได้กลัวสิ่งใด”
“เช่นนั้นหรือ”
สิ้นประโยคถามไถ่ หลี่รั่วถงก็สนองให้ผู้ที่มิได้เกรงกลัวอย่างไม่เกรงใจ มือหนาที่ปัดป่ายไปเลื่อนต่ำลูบไล้ไปจนถึงหน้าท้องแบนราบ ก็พลันสะกิดเชือกที่ผูกรั้งเอาไว้ปมแน่นคลายออกได้ดั่งใจคิด จึงค่อยๆ เลื่อนมือลงต่ำสอดลูบไปตามขอบกางเกงหลวมหลุดเข้าโอบสะโพกกลมกลึงของบุรุษหนุ่มตรงหน้า ที่ขบเม้มริมฝีปากบางเสียแทบเห่อช้ำด้วยสะกดกลั้นอารมณ์ ผิวเนียนละเอียดบัดนี้กลับร้อนรุ่มไปตามส่วนที่ถูกสัมผัสไม่มีท่าทีจะเย็นลงได้อีก
ใบหน้าที่แดงเรื่อ มือหนึ่งเกาะกุมไหล่แข็งแรงอีกมือขยุ้มผ้าที่พื้นเตียงเสียจนกลีบบุปผาที่อยู่ในฝ่ามือช้ำตามไปด้วย เซียวโม่โฉวกำลังฝืนทนความร้อนรุ่มที่หลี่รั่วถงมอบให้ จนใบหน้าเริ่มผุดพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อเม็ดเล็ก ทั้งนี้ความวูบไหวที่พาร่างสั่นไหวครั้นมือใหญ่เข้ากอบกุมส่วนล่าง ทุกการเคลื่อนไหวในฝ่ามือหนานำพาความหฤหรรษ์ระคนเสียวซ่านมาให้เซียวโม่โฉวไม่มีเว้นว่าง พาเอาดวงตาคู่สวยฉ่ำปรือลมหายใจติดขัดราวกับจะขาดใจเสียให้ได้
ลิ้นอุ่นชื้นที่ลากไล้จุมพิตไปบนเนินท้องที่หอบโยนขึ้นลงด้วยลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมอ นำพาความรู้สึกวูบไหวสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย
ยามนี้หลี่รั่วถงจัดการปลอดเปลื้องอาภรณ์ที่ห่มกายตนเองออก เผยร่างกายที่เปลือยเปล่าแข็งแรง ดึงดูดสายตาผู้ที่เหลือบมองผ่านแสงสลัวกลับยิ่งเก้อเขินแม้จะเป็นร่างกายบุรุษที่ไม่ต่างไปจากตน สิ่งใดหลี่รั่วถงมีตนก็มีทว่าคงเห็นความแตกต่างก็ครานี้กระมัง
“ข้าสัญญาว่าจะถนอมเจ้า จอมใจของข้า”คำกล่าวที่ราวเสียงกระซิบมาพร้อมกับสัมผัสแตกต่างจากทางด้านหลัง บางอย่างกำลังก่อกวนความรู้สึกของเซียวโม่โฉวให้ปั่นป่วนยิ่ง ความไม่คุ้นชินที่รุกล้ำกำลังสัมผัสกับช่องทางรักที่อ่อนนุ่ม ความรู้สึกทรมานส่งผ่านฝ่ามือขยุ้มผืนเตียงยับยู่สีหน้าเว้าวอนจนหลี่รั่วถงมิอาจยับยั้งตนเองได้อีก ความปรารถนาที่แรงกล้านำพาเสียงครางต่ำในลำคอครวญคร่ำราวกับไม่อาจข่มความรู้สึกทั้งหมดได้ แม้จะขบเม้มริมฝีปากตนเองจนกลัดเลือดเพียงใดก็ไม่อาจทัดทานความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาได้
หลี่รั่วถงคงรับรู้อยู่แก่ใจจึงมิได้ใจร้ายนักก็พลันผ่อนหนักเบาให้เสียก็หลายครั้งหลายครา
อีกทั้งด้านหน้าที่ปรนเปรอให้ก็มิได้ละห่างยังคงขยับรูดรั้งหนักเบาให้อีกฝ่ายอย่างยินดีและพึงใจ ความหวามไหวที่ก่อเกิดขึ้นบนร่างกายของเซียวโม่โฉวไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหฤหรรษ์เพียงใด
“ข้าทำเจ้าเจ็บหรือ? ”
“มะไม่ ใช่ เพียงแต่ร่างกายข้า...! ”มิทันได้เอ่ยให้รู้ นิ้วหนาที่สาละวนผ่อนหนักเบาคอยชำแรกช่องทางรักอ่อนนุ่มอยู่ด้านหลังก็พลันรุกเร้าจนเซียวโม่โฉวสะดุ้งตัวโยน แอ่นกายที่ไร้อาภรณ์ปิดกั้นด้วยสีหน้าหวามไหวจนหลี่รั่วถงไม่อาจอดใจเข้าไปจูบซับเนื้อเนียนขาวที่ร้อนผะผ่าวอีกครา ครั้งนี้เห็นที่ความแข็งขืนที่อดทนมิอาจรั้งรอได้อีกต่อไป เพียงกระซิบแผ่วเบาให้อีกฝ่ายตระเตรียมใจก็นับว่าถนอมมากแล้ว
เรียวขาขาวที่ถูกแยกออกจากันถูกแทรกกลางด้วยกายแกร่งเข้าบดเบียดจนแนบชิดมิห่างร้างรา ลูบฝ่ามือหนาไปตามโคนขาอ่อนนุ่มรั้งเรียงขาขึ้นจูบซับทิ้งร่องรอยตีตราทุกซอกมุม แรงหอบโยนที่มาพร้อมกับแรงกระแทกกระทั้นอีกทั้งกระโจนจ้วงหนักเบาทำเอาร่างบุรุษหนุ่มบิดเร้าด้วยความซาบซ่านไม่รู้สิ้น มือขาวที่กอดตระกองแผ่นหลังกว้างแทบจะฝังรอยเล็บด้วยความเจ็บปวดราวกับถูกฉีกร่างอยู่หลายครา เสียงสั่นเครือที่หอบกระเส่าสอดประสานไปตามห้วงอารมณ์ที่ส่งผ่านถึงกัน กระทั่งความหฤหรรษ์ที่จับจูงกันมาก็นำพาความสุขสมให้แก่กันและกันมิรู้ว่าเวลานั้นผ่านไปกี่ชั่วยาม
แต่ที่รู้แน่นั้นเซียวโม่โฉววิญญาณแทบหลุดหายไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่คราเพราะความร้อนรุ่มของหลี่รั่วถงผู้นี้ เห็นทีว่าผู้ที่สลบซบแนบอยู่กับไหล่กว้างจึงต้องแสร้งหลับไปเสียให้พ้นค่ำคืนนี้เสียแล้ว มิเช่นนั้นคงมิรู้ว่าจะถูกสายตาแกร่งคู่นั้นเว้าวอนจนอ่อนทั้งใจและกาย ไหลไปตามห้วงอารมณ์ไปไม่รู้จักจบสิ้นหรือไม่
ถึงอย่างไร.....ข้าจะดิ้นไปไหนรอดได้ หากเอ่ยคำเดียวว่าปรารถนาข้าจักไม่หยิบยื่นให้เชียวหรือ เพราะถึงอย่างไรต่อแต่นี้ดวงใจของข้าก็จะปรารถนาเพียงแต่คนผู้นี้เสมอไปไม่เปลี่ยนแปลงชั่วฟ้าดินสลายเป็นแน่
มีต่อด้านล่างจ้า
v
v
v
v
-
ณ สะพานข้ามบึงบัว
“เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ ข้าตามหาเจ้าเสียตั้งนาน”เสียงที่เอ่ยขึ้นดึงความสนใจจากเซียวโม่โฉวให้หันไปมองพร้อมกับร่างสูงสง่าที่เดินเข้ามาใกล้สวมกอดเสียดื้อๆ จนเซียวโม่โฉวสะดุ้งโหยง
“ประเดี๋ยวใครมาเห็น ท่านมิกลัวหรือว่าจะถูกเอาไปนินทาเสียได้”
“ผู้ใดจะหาญกล้านินทาได้”
คนถูกสวมกอดค้อนมองส่ายหน้ายิ้มๆ “ถึงอย่างไรก็โปรดปล่อยข้าก่อนเถิด”กว่าเซียวโม่โฉวจะผละออกจากวงแขนของหลี่รั่วถงได้ก็เล่นเอายากเช่นกัน
“ตกลงเจ้าแอบมาทำอะไรที่นี่คนเดียว”
“คือว่า...ข้าอยากจะพายเรือ”เซียวโม่โฉวทอดสายตามองไปยังสระบัวที่กว้างขวางแสร้งตาละห้อยให้หลี่รั่วถงเห็นใจ ครั้นมีความคิดบางอย่างอยู่ในใจจึงยอมร้องขอด้วยสีหน้าตาใสไปเช่นนั้น
“เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงอยากจะพายเรือเล่นเสียอย่างนั้น”
“แล้วข้าจะบอกเหตุผล แต่ตอนนี้ท่านช่วยข้าหน่อยเถิด แล้วข้าจะแสดงฝีมือพายเรือให้ท่านนั่งตอบแทน ”หลี่รั่วถงเงียบไปเพียงครู่ จึงมิได้คิดขัดความต้องการของเซียวโม่โฉว พลันบันดาลเรือไม้สองคนนั่งให้ปรากฏอยู่ตรงหน้า อีกทั้งหอบเอาผู้ที่ปรารถนาจะเป็นคนพายเรือให้เขานั่งลงเรือไปในคราเดียว
ผู้ที่ได้ดั่งใจจึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หยิบจับไม้พายกำแน่นนัยน์ตาสุขยิ่ง
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าพายเรือเป็น”หลี่รั่วถงที่นั่งอีกฟากฝั่งของเรือหันหน้าเข้าหาเซียวโม่โฉวที่สีมีหน้ามีความสุขนักก็พลันมีความสุขไปด้วย
“แน่นอน ข้าเคยพายเรือจ้างส่งของเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ท่านเชื่อฝีมือข้าได้”เซียวโม่โฉวแสดงฝีมือที่ไม่ได้เกินคำกล่าวอ้างงัดเรือพายไปตามน้ำเรื่อยๆ บ้างก็หยุดหักฝักบัวที่สุกเต็มแก่ ประเดี๋ยวเดียวก็มิใช่เรื่องน่ารื่นรมย์ของหลี่รั่วถงอีกต่อไปเมื่อเซียวโม่โฉวดูจะจริงกับการเก็บฝักบัวเสียจนตอนนี้แทบจะท่วมเรือจนจะไม่มีช่องว่างให้ได้มองหน้าอีกฝ่ายอยู่แล้ว
“เดี๋ยว นี่เจ้าจะเก็บฝักบัวไปทำอะไรเสียมากมายถึงเพียงนี้”เสียงที่ตะโกนข้ามกองฝักบัวดังมาจากหลี่รั่วถง ปัดบางส่วนให้พ้นสายตา
“จริงๆ แล้ว....ข้าจะนำไปเป็นยา”เสียงตอบพึมพำคล้ายลังเลว่าจะกล่าวออกไปดีหรือไม่ เหตุที่อยากลงไปในสระบัวก็มีเพียงเท่านี้
“ยา? ยาอะไรหรือเจ้าป่วยไม่สบายตรงไหน! ”
“ปะเปล่า ข้าสบายดี เพียงแต่ข้ารู้มาว่าเม็ดบัวมีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย ข้าเลยจะนำมันไปแกะไว้ให้ท่านทานเล่น หวางหรูอี้บอกว่าท่านชอบท่านด้วยข้าก็เลย...แต่ดูเหมือนข้าคงเก็บเพลินไปหน่อย”เซียวโม่โฉวหารู้ไหมว่าคำพูดเหล่านั้นนำความแปลกใจมาให้หลี่รั่วถงจนถึงกับอดกลั้นไม่ไหวกวาดฝักบัวออกไปเสียครึ่งหนึ่งเพื่อจะกระโจนไปหาเจ้าของความคิดเช่นนั้น แม้หวางหรูอี้จะมีส่วนสร้างเรื่องหากแต่ก็พึงใจเสียอย่างนั้น
“เจ้ามัน.....”
“ข้า ข้าพูดสิ่งใดผิดหรือ”คนที่ถูกจ้องเขม้นตาเบิกโพลงตกใจคิดไปว่าพูดสิ่งใดไม่ระรื่นหูอีกฝ่ายเสียแล้ว หากแต่ไม่ทันไรก็ถูกอีกฝ่ายโน้มตัวลงมาจูบเสียอย่างนั้น ยิ่งสร้างความตกตะลึงให้แก่เซียวโม่โฉวจนนึกคิดสิ่งใดไม่ออก
“ข้าอยากจะกอดเจ้าเสียในเรือตอนนี้จริงเชียว ”
“เอ๊ะ? ”
ท่าทางเหลอหลาตกใจกับท่าทีของหลี่รั่วถงที่จู่โจมเข้ามาจนเรือแกว่งจวนจะคว่ำทำเอาเซียวโม่โฉวแทบตั้งสติไม่ทัน รู้ตัวอีกทีก็ถูกคนผู้นี้ครอบครองสติและความคิดของตนไปเสียแล้ว
“ข้าจะบอกให้เรารู้ ข้ามิได้ชอบกินของเหล่านี้”
“แต่หวางหรูอี้บอกข้า.....”
“ข้าจะบอกให้ว่าจริงๆ แล้วข้าชอบกินสิ่งใด”
“สิ่งใดที่ท่านชอบ? ”ผู้ที่ตั้งใจฟังมองหลี่รั่วถงตาไม่กะพริบ ไม่กล้าแม้แต่ขยับตัวกลัวเสียเหลือเกินว่าจะพลาดทำเรือคว่ำ แต่ทว่าคำพูดคำจาที่หลี่รั่วถงกล่าวออกมาเถรตรงอย่างคนซื่อด้วยท่าทีขึงขังชั่งเขย่าดวงใจบุรุษหนุ่มให้เต้นโครมครามเสียยกใหญ่นัก
“สิ่งที่ข้าชอบจะเป็นสิ่งไหนไปได้ถ้ามิใช่เจ้า จะให้ข้ายืนยันเพื่อพิสูจน์ดีหรือไม่”
คืนหวานชื่นก็ผ่านไปแรมเดือนแล้ว ไยข้าถึงยังขวยเขินกับเรื่องเหล่านี้ไม่ว่างเว้นกันนะ
“มะไม่ต้อง ข้าเชื่อท่านหากแต่ตอนนี้กลับขึ้นฝั่งก่อนดีหรือไม่ ข้าใจไม่ดีว่าท่านจะทำเรือคว่ำ ข้าไม่อยากเปียก”
เซียวโม่โฉวยิ้มคิ้วยู่ เอื้อมมือตบเบาๆ ไปที่ไหล่ให้หลี่รั่วถงคุมสติ อีกฝ่ายอดมิได้ที่จะจุดยิ้มขึ้นตรงมุกปาก ส่ายหน้าไปมาแววตาขบขัน ไม่พูดพร่ำใดๆ จึงช้อนอุ้มร่างโปร่งไว้ในอ้อมอก ทะยานตัวมายืนอยู่ริมตลิ่งวางเซียวโม่โฉวลง
“เจ้ามิต้องเอาใจข้าด้วยเรื่องเหล่านั้นหรอก ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเพียงเจ้าอยู่เคียงข้างข้า ข้าก็ไม่ปรารถนาสิ่งใดอีก.....เม็ดบัวก็มิต้องเข้าใจหรือไม่”
“ขะข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าหวางหรูอี้หลอกข้าอีกแล้ว แต่ในเมื่อข้าเก็บมันมาแล้ว ท่านก็รับมันไว้หน่อยเถิด”ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่บุรุษหนุ่มหยิบคว้าฝักบัวสีเขียวแก่มาแล้วยื่นให้หลี่รั่วถงราวกับบุปผชาติ แก้มขาวนวลเนียนแอบเก้อเขินกระแอมกระไอยื่นฝักบัวไปแนบออกอีกฝ่ายย้ำถาม“ท่านไม่รับหรือ? ”
“ข้าจะไม่รับได้อย่างไร”
เห็นทีว่าต่อแต่นี้แม้อีกฝ่ายจะหยิบยื่นสิ่งใดให้ ในสายตาของหลี่รั่วถงคงเห็นเป็นสิ่งมีค่าไปเสียหมด มิวายแม้กระทั่งฝักบัวแก่จัดที่คล้ายจะเริ่มเหี่ยวเฉาฝักนี้ก็ตาม
-จบ-
ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบแล้วจริงๆ ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ
ผิดพลาดบ้าง ช้าบ้าง อย่างไรก็ขออภัยไว้ด้วยนะคะ
เรื่องทั้งหมดล่วนเกิดแต่จินตนาการของผู้แต่ง ไม่ถูกใจใดๆ ก็ยกโทษให้กันนะคะ ฮ่าๆ
เรื่องหน้าฟ้าใหม่มา ก็ขอฝากเนื้อฝากด้วยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
โดย หลานฮวา :กอด1:
-
เขินนนนแป๊ปปปหวานไม่เกรงใจฟ้าดินเลยจ้าาาคิ้กค้ากกกก :hao7: :hao7:
-
:katai2-1: o13 :katai2-1:
:กอด1: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :กอด1:
-
:mew1: :mew1:
-
.
Sent from my iPhone using Tapatalk
-
ขอบคุณน้าที่ต่อจนจบ
-
เรื่องนี้โครงเรื่องน่าสนุกมากเลยค่ะ
Sent from my iPhone using Tapatalk
-
o18 o18
-
:pig4:
-
ขอบคุณเรื่องราวดีๆ
-
สนุกมากๆ o13
-
สนุกมาก ชอบแนวนี้สุดๆ
แต่หาอ่านยากมาก
ขอบคุณนิยายดีๆค่ะ
-
:pig4: :L2:
-
เป็นอีกเรื่องที่ชอบ
รักหลี่รั่วถงมากๆๆๆ มีความรักที่มั่นคงในสามโลก...
ขอบคุณนักเขียนมากกก... ชอบแบบหวานๆๆๆๆ
จะรออ่านผลงานต่อไป และ ส่งกำลังใจให้ด้วยน้าาาาา
:pig4: :pig4: :pig4:
:-[ :bye2:
-
:กอด1: :กอด1: :-[ :-[
ขอบคุณนักอ่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านมากๆค่ะ //เก็บทุกคอมเมนต์และกำลังใจใส่กระเป๋าเลย :o8:
และอยากจะแจ้งให้ทราบว่าเรื่องนี้ผ่านพิจารณากับทาง สนพ.วายซิกบุ๊คส์ แล้วค่า :hao5:
อยู่ในขั้นตอนการแก้ไขประสานงานต่างๆ นานา
ทั้งเนื้อเรื่องก็จะมีการเพิ่มเติมให้สมบูรณ์กว่าเดิม ซึ่งทางผู้แต่งเองก็ได้ปรับปรุงเนื้อหาไปแล้ว
เพิ่มเติมในส่วนที่คิดว่าต้องได้มากกว่านี้อีกและอีกส่วนยิบย่อยเพื่อให้เรื่องราวสมเหตุสมผล
และเสริมทัพด้วยตอนพิเศษในแบบที่ในเรื่องหาโมเมนท์นั้นไม่ได้อีก 5 ตอน
แพลนว่างานหนังสือ62 นี้คงจะได้ออกมาเป็นรูปร่างรูปเล่ม
(หากไม่มีอะไรผิดพลาดหรือล่าช้าก็จะมีให้เปย์ในช่วงงานหนังสือค่ะ ฮ่าๆ ) ชื่อเรื่องก็คงเดิม
แต่เพิ่มเติมคือความอินในอิน :impress2:
ใครผ่านหูผ่านตาหนังสือนามปากกา หลานฮวา ก็ฝากไว้ด้วยนะคะ ขอค่าขนมโหน่ยยยย งืดดด :m1:
หรือแวะไปโฉบได้ที่ fb หลานฮวา ได้น๊า
ไว้พบกับพี่หลี่ได้ในเล่มนะคะ :a1: ขอบคุณอีกครั้งค่ะสำหรับพื้นที่แจ้งข่าวเล็กๆ น้อยๆ ^^
-
ทั้งเรื่องนี้สิ่งเราโดนตกคือกระต่ายน้อย 555555 อยากเห็นหนูน้อยเติบโตจริงๆ
-
โชคดีที่จบแฮปปี้เอนดิ้ง ในความเป็นจริงถ้าจะทดสอบกันขนาดนี้ นายเอกดูเป็นคนไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นเลย อย่างไรก็ตาม ภาษาสวยมากค่ะ อ่านลื่นดี
-
สนุกก ไม่คิดว่าคนๆนึงจะรักและรอใครได้นานขนาดนี้ พล็อตเรื่องดีด้วย เรื่องไม่ยืดเยื้อ ชอบๆๆๆ ขอบคุณมากนะคะ :o8:
-
น่ารักมากเลย
-
สำนวนการแต่งของคนเขียนเหมือนนิยายช-ญเลย
ดำเนินเรื่องช่วงนายเอกแรกๆ เหมือนผญเลย
แต่พอท้ายๆเรื่องเริ่มมีความสมเหตุสมผลเข้ามา
ทำให้ดีขึ้นมากกว่าเดิมเยอะ แต่เนื้อเรื่องยังมีความเอื่อยๆ
อ่านๆไปก็เริ่มอยากวาง แต่ก็อ่านจนจบนะ
หวังว่าจะมีผลงานให้ติดตามต่อนะคะ
-
สนุกสนานกันไปกับนิยายเรื่องนี้ ขอบคุณผู้เขียนที่สร้างสรรค์นิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ :pig4:
-
:pig4: