۞จอมใจ จ้าวมนตรา۞[วายจีนโบราณ] บทส่งท้าย(จบ) update 27/12/2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ۞จอมใจ จ้าวมนตรา۞[วายจีนโบราณ] บทส่งท้าย(จบ) update 27/12/2561  (อ่าน 37747 ครั้ง)

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



*************************************************************************



 
แนะนำเรื่อง

‘เซียวโม่โฉว’ บุรุษที่เกิดมาพร้อมกับดวงชะตาที่มิอาจลิขิตได้ด้วยตนเอง

ความผิดหวัง น้อยเนื้อต่ำใจอย่างหาที่สุดมิได้

ครั้งอัดอั้นมานาน ก็ถึงคราพังทลายลงครืนจนสิ้น

เมื่อบิดามารดาไร้ซึ่งความห่วงหาอาทรบุตร คิดจะขายบุตรชายกิน

ไยดวงใจของบุตรจะไม่แตกสลาย สู้ตายไปเสียจะได้ไม่ต้องรับรู้ความเจ็บช้ำในครานี้

และแล้วคืนแห่งโชคชะตาก็นำพาเซียวโม่โฉว ให้ได้พบพานกับร่างจำแลงของ‘หลี่รัวถง’

จ้าวพิภพแห่งหยิน พ่อมดเวทมนตร์ดำอันเลื่องชื่อถึงความน่าสะพรึงกลัว หาได้มีผู้ใดถวิลหาปรารถนาพบเจอ

ทว่าเซียวโม่โฉวกลับหารู้ไม่ว่า ร่างจำแลงสัตว์อสูตรอันดุร้ายที่พานพบนั้นเป็น ‘หลี่รั่วถง’

ซ้ำยังยินดีปรารถนาจะหยิบยื่นจิตวิญญาณให้แก่สัตว์อสูรตนนั้นอย่างไม่เสียดายชีวิต

‘หลี่รั่วถง’ ไยเล่าจะไม่ปรารถนาครอบครองดวงชะตาของบุรุษหนุ่มผู้ที่เฝ้ารอมานับพันปี

และนับต่อแต่นี้.....ชีวิตและดวงชะตาของเซียวโม่โฉวจะเป็นเช่นไร?




ฉลากนิยาย

1. เรื่องนี้เป็นนิยายวายแนวจีนโบราณ(BL)แต่ผสมความแฟนตาซีลงไปในเนื้อเรื่องเพื่อความบันเทิงลั่นทุ่งค่ะ

2. นิยายเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่ง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องจริงแต่อย่างใด หรือการเอาประวัติศาสตร์ยุคใดมาอิง(มโนเอาโดยแท้)

3. นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงและอรรถรส อาจมีดราม่าบ้างบางตอน(เล็กน้อย)เพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่อง ใครใจบางอ่านได้ค่ะ คอนเฟิร์ม

4. คนแต่งยังคงเป็นพวกสุขนิยม ใครร่วมอุดมการณ์นี้ควรค่าอย่างยิ่งค่ะ(ฮ่าๆๆ)

5. ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน (มิตรภาพของสุภาพบุรุษย่อมเป็นที่พึงปรารถนาของสาวกวาย 18++)

6. หากเห็นพ้องต้องใจ ก็โปรดรับเรื่องนี้ไว้พิจารณาด้วยนะคะ (ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ)



โดย : หลานฮวา




Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2018 19:43:54 โดย ทามากิบ๊อง »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4
บทนำ



ราตรีย่ำค่ำแสงเดือนเด่นฟ้า

กลีบบุปผาโรยร่วงจนรุ่งสาง

น้ำตาอุ่นรินไหลไร้หนทาง

เจ็บมิจางอกตรมแทบสิ้นใจ


กึก!
สองเท้าที่วิ่งมาไกลหลายลี้หยุดนิ่งชะงักท่ามกลางผืนป่าในยามราตรีอันมืดมิด ก่อนทรุดเข่าอย่างหมดเรี่ยวแรงทิ้งตัวลงกับผืนหญ้าที่อาบชุ่มไปด้วยหยาดน้ำค้างพราว สองมือหยาบกร้านที่ตรากตรำทำงานหนักมาชั่วชีวิตยกขึ้นโอบใบหน้าเล็กที่ซีดเซียวและกำลังสะอื้นไห้น้ำตาร่วงไหลเป็นสายราวกับจะขาดใจรอนๆ บาดแผลที่ลึกเสียยิ่งกว่าคมหินที่บาดฝ่าเท้าระหว่างที่วิ่งมาจนโลหิตซึมไหลกลับเป็นดวงใจของ‘เซียวโม่โฉว’

ที่บัดนี้...ราวกับจะแตกสลายจนยากประกอบกลับเป็นดังเดิม

ความเจ็บปวดหาใดเปรียบเท่าถ้อยคำที่แอบได้ยินมาจากปากของผู้เป็นบิดามารดาของตน

“ข้าผิดด้วยเรื่องอันใด ไฉนพวกท่านจึงคิดอยากขับไล่ไสส่งตัวข้าถึงเพียงนี้.....ที่แล้วมาข้าหาได้มีประโยชน์อันใดต่อพวกท่านเลยเช่นนั้นหรือ.....”

ถ้อยคำที่เอ่อล้นออกมาจากริมฝีปากที่สั่นระริกตัดพ้อในความรักที่บิดามารดามิได้มอบมันให้แก่บุตรเช่นเขามานานตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ไม่มีวันใดที่เซียวโม่โฉวจักไม่ดิ้นรนเพื่อครอบครัวเลยแม้แต่น้อย ปากกัดตีนถีบรับจ้างสารพัดงานทุกอย่างเพื่อจุนเจือครอบครัวที่ก้าวเข้าสู่ความยากแค้นในอาชีพชาวนา ภัยแล้งจากธรรมชาติเขามิสามารถควบคุมได้ ความยากลำบากก็เช่นกัน เพียงกำลังที่มีเท่านั้นที่จะนำพาครอบครัวรอดพ้นไปจากความแร้นแค้นได้

แต่แล้วราวกับความพยายามของเซียวโม่โฉวไร้คุณค่า สายตาของผู้เป็นบิดามารดาราวกับแสร้งมองไม่เห็น ความเจ็บปวดนั้นเพิ่มพูนในจิตใจของเซียวโม่โฉวทุกลมหายใจครั้นได้ยินเรื่องราวซึ่งผู้เป็นบิดามารดาพูดคุยกันอย่างลับๆ

“ครอบครัวของเราตอนนี้กำลังขัดสน แต่ละปีต้องจ่ายภาษีให้แก่พวกขุนนางนั่นไปเท่าไหร่เจ้าก็รู้แก่ใจน้องหญิง”จือหยางผู้เป็นบิดากล่าวต่อเฉินซีผู้เป็นภรรยาใบหน้าถมึงทึง

“นั่นเพราะเจ้านำเงินที่ได้ไปลงบ่อนเสียตั้งมากมาย จะมาบ่นให้ได้อะไร!”

“แล้วจะทำเช่นไรกับหนี้ก่อนโตที่ไปหยิบยืมบ้านท่านเสนาบดีฉีเหยียนดีเล่า พรุ่งนี้ก็จะครบกำหนดจ่ายทั้งต้นและดอกหากผัดวันประกันพรุ่งอีกคราเห็นทีว่าข้ากับเจ้ารวมทั้งจือซานคงจะไร้ที่ซุกหัวนอน หาไม่ก็ไม่เห็นเงาหัว”ผู้เป็นสามีจนตรอกครุ่นคิดหาวิธีการอย่างหนักจนเส้นผมที่เหลือไม่มากร่วงหลุดไปทุกขณะจิต

เพี๊ยะ!

“นี่แน่ะ! เพราะใครกันเล่าที่เอาเงินนั่นไปถลุงจนหมดในบ่อน”ฝ่ายผู้เป็นภรรยาชันเข่าง้างฝ่ามือทุบตีไปที่สามีอย่างค่อนแค้นไปหลายที หากแต่ก็ยังมิสามารถระงับอารมณ์ฉุนเฉียวเพราะไร้ซึ่งหนทางแก้ปัญหาได้จือหยางทำเพียงนั่งนิ่งให้ภรรยาทุบตีจนสมใจ

“เจ้าจะทำสิ่งใดก็ทำซะ อย่าให้ข้ากับลูกต้องมาตกระกำลำบากไปมากกว่านี้เจ้าสามีเลว!”เสียงด่าทอหันหน้าเข้าหาผนังห้องด้วยเบื่อหน่ายผู้เป็นสามีอย่างยิ่ง หากแต่ความเป็นห่วงเป็นใยมิได้กล่าวถึงเซียวโม่โฉวแม้แต่น้อย กลับกันที่ลมหายใจเข้าออกมักเป็นบุตรชายคนสุดท้องนามว่าเซียวจือซาน ที่บัดนี้เอาแต่สำมะเลเทเมาหัวราน้ำกลับย่ำเช้าไม่เป็นผู้เป็นคน

“เช่นนั้น เอาอย่างนี้ดีหรือไม่”จือหยางตบขาดังฉาดคว้าไหล่ภรรยาให้หันหน้ามาฟังความเห็นอย่างกระตือรือร้นยิ่ง

“อะไรของเจ้า!”

“ข้าว่าถึงเวลาแล้วที่เซียวโม่โฉวจักต้องตอบแทนคุณบิดาและผู้เป็นมารดา เจ้าว่าดีหรือไม่น้องหญิง”แววตาไม่สดใสระคนไปด้วยอุบายหรี่ตาพารอยยับย่นใต้ขอบยกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 “เจ้าพูดสิ่งใดก็ให้รู้ความ มีอะไรก็รีบพูดออกมาเสียให้หมดตาแก่โง่!”

“บ้านท่านเสนาบดีฉีเหยียนกำลังตามหาผู้มีคุณสมบัติบางประการเข้าเป็นคนของบ้านตระกูเซี่ย หากบ้านใดมีบุตรชายลักขณาราศีดั่งที่ประกาศลับแจ้งไว้จักมีรางวัลอย่างงามให้แก่ผู้ที่มอบบุตรชายให้ เซียวโม่โฉวหากนำไปจับล้างเสียหน่อยก็นับว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน เจ้ามิเห็นหรือไรว่าเด็กคนนี้เกิดมาเพื่อให้ข้าและเจ้าสุขสบาย จากนี้ข้าและเจ้าจะมีกินมีใช้ไปอีกนาน เจ้าคิดเห็นเป็นเช่นไรน้องหญิง”

“ท่านว่าเช่นไร! รางวัลอย่างงามเช่นนั้นหรือ”ตาหรี่ที่เบิกกว้างออกวาดภาพฝันปลายทางชีวิตที่สุขสบายไว้เบื้องหน้าท่าทีตื่นเต้นเสียเต็มประดา

“ไข่มุกเม็ดงาม เครื่องประดับและของมีค่า เจ้าปรารถนาอยากจะมีมันมิใช่หรือ.....ว่าอย่างไรเล่า?”

“แต่อย่างไรเซียวโม่โฉวก็.....”ครูหนึ่งที่ฉุกคิดบางอย่าง ความลังเลยังคงคั่งค้างอยู่ในจิตใจอยู่บ้างแต่ทว่ากลับมีผู้ชักจูงจึงไม่แคล้วโอนอ่อนผ่อนตาม

“ถือเสียว่าแทนคุณบิดามารดาจะเป็นไรไปเล่า เจ้ามิคิดเช่นข้าอย่างนั้นหรือ”

“แน่ใจหรือว่ามิใช่เรื่องโป้ปด”

“ข้าจะโกหกเจ้าไปไย พรุ่งนี้ข้าจะไปบอกเรื่องนี้แก่ท่านเสนาบดีฉีเหยียน ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย”

ขณะนั้นรอยยิ้มของจือหยางผู้เป็นบิดาฉายชัดอยู่ในแววตาของเซียวโม่โฉวอย่างไม่อาจลืมเลือน ประโยคสนทนาที่ราวเป็นคมมีดกรีดแทงหัวใจได้ปักลงไปกลางอกของผู้บังเอิญได้ยินอย่างแม่นยำไม่ผิดเป้า

เช่นนั้นยามนี้ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวที่เจ็บจวนเจียนจะขาดใจตายก็หาได้เกินจริงไม่ เจ็บใดไม่เท่ารักของบิดาและมารดาที่อาบไปด้วยยาพิษรอป้อนใส่ปากให้เขากระอักเลือดจนตายอย่างไร้ปรานี

ความรักที่ข้ามีต่อพวกท่านมิสามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจของพวกท่านได้เลยหรือ

อีกคราที่น้ำตาหยดหล่นลงกับพื้น กายเนื้อไร้สิ้นแล้วซึ่งความปรารถนาที่อยากจะหายใจในชาติภพนี้

แม้สองเท้าจะวิ่งหนีหากแต่มิสามารถหนีความจริงที่ประจักษ์แก่ใจได้

หากไร้ซึ่งความอาลัยอาวรณ์ ในตัวบุตรเช่นข้าแล้ว ข้าก็ไม่อยากหายใจให้รู้สึกเจ็บปวดอีก

คำระทมทนทุกข์กอดกายขาวที่หนาวเหน็บท่ามกลางผืนป่าที่โอบล้อม ไร้กำลังใจและกายที่ยากจะหยัดยืน ใบหน้าซีดเซียวและดวงตาอ่อนล้าปิดแน่นสนิทอยู่เนิ่นนานราวกับไม่อยากลืมตาขึ้นมองสิ่งใด

ชั่วขณะนั้นความคิดวูบหนึ่งที่แล่นเข้ามาในหัวของเซียวโม่โฉวก็ผุดพรายขึ้นอย่างมิทันนึกตรอง

หากคำเล่าขานที่ผู้คนในใต้หล้าหวาดกลัวหนักหนานั้นมีอยู่จริง ข้าก็อยากจะเจอเพียงสักครั้งและให้เขาผู้นั้นมอบความตายให้แก่ข้าเสียบัดเดี๋ยวนี้

นามที่เอ่ยคราใดจักนำพาซึ่งความขลาดกลัวให้แก่ผู้คนแห่งแคว้นฉิน‘หลี่รั่วถง’ผู้ปกครองพิภพแห่งหยินที่มีเวทมนตร์ดำอันน่าสะพรึง มีพลังอำนาจเหนือโอรสสวรรค์ที่อยู่ในดินแดนมนุษย์ แม้แต่ธรรมชาติยังสามารถควบคุมได้ดั่งพลิกฝ่ามือ ดั่งเช่นความแห้งแล้งที่ต่างกล่าวว่าเป็นคำสาปร้ายที่หลี่รั่วถงบันดาลโทสะต่อโอรสสวรรค์ ดูดกลืนซึ่งสรรพสิ่งให้ล้มตายด้วยเพียงประโยคเดียว
เซียวโม่โฉวยังคงจำได้เลือนราง ภาพวาดเก่าคร่ำครึที่ติดอยู่ในผนังวัดร้างบนยอดเขาที่เคยไปหลบฝนครั้นยังเด็กยังคงติดตรึงในดวงตา ความน่าเกรงกลัวที่ทั่วทั้งร่างห่มห่ออาภรณ์ด้วยขนสัตว์อสูรสีดำขลับ ใบหน้าที่ดุดันไม่ชวนมองดวงตากลมเป็นสีแดงราวจันทราอาบโลหิตเด่นชัดจนผู้จ้องมองต้องหลบสายตาแม้เพียงรูปก็น่าสะพรึง นั่นเป็นคราแรกที่ชื่อของหลี่รั่วถงตอกตรึงอยู่ในใจบุรุษ

แปะ!

ครั้นตัดรอนในอกน้ำตาร่วงหล่นเผาะลงบนผืนหญ้าอีกครา เซียวโม่โฉวยันกายที่ซวนเซเดินย่ำไปบนทางรถชัฏเบื้องหน้าราวกับร่างที่ไร้ดวงจิตวิญญาณ เมื่อเหยียบย่างไปได้เพียงสองก้าวหมู่เมฆที่ลอยเป็นหมอกจางบนท้องฟ้ายามราตรีกลับเคลื่อนคล้อยลอยเข้าบดบังแสงจันทร์ในพริบตา ห่มฟ้าไว้ด้วยความมืดมิดมิเห็นเดือนดาว

ความผิดแปลกไปจากบรรยากาศเดิมดึงสติของเซียวโม่โฉวให้เงยหน้าขึ้นมองเบื้องบนแววตาเลื่อนลอย ร่างบุรุษครู่หนึ่งรู้สึกเย็นเยียบกำซาบไปถึงทรวงในราวกับถูกน้ำแข็งชโลมกาย ซ้ำยิ่งประหลาดใจเมื่อมีดวงไฟสว่างวาบส่องแสงรัศมีเป็นสีทองขนาดเท่ากำมือปรากฏขึ้นตรงเบื้องหน้าในความมืด กำลังล่องลอยวนเวียนอยู่ในอากาศชวนฉงนระคนตื่นกลัว เพียงอึดใจดวงไฟจากหนึ่งแยกออกเป็นสองราวกับผีสางหลอกตา

คิก คิก!

เสียงหัวเราะเล็กแหลมฟังดูประหลาดดังขึ้นในหัวของเซียวโม่โฉวจนเจ้าของร่างที่สั่นเทาผงะถอยก้าวไปด้านหลัง ไม่ผิดแน่ว่าเสียงปริศนานั้นมาจากดวงไฟสีทอง

“นะนั่นอะไรกัน!”แม้ในใจจะมีความหวาดกลัวอยู่หลายส่วน หากแต่อีกใจหนึ่งกลับไม่ละสายตาไปจากความประหลาดตรงหน้า

คิก คิก!

เสียงหัวเราะแหลมเล็กดังขึ้นอีกครา ทว่าครานี้ราวกับดวงไฟคู่นั้นขบขันเซียวโม่โฉวเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะลอยเข้าหาบุรุษหนุ่มอย่างเว้าวอนวนเวียนรอบกายส่องแสงวูบวาบดึงดูดสายตา พลันลอยห่างไปยังเบื้องหน้ารั้งรอให้เซียวโม่โฉวตามไป ราวกับหมู่แมกไม้พร้อมใจแหวกออกเป็นทางให้แก่เซียวโม่โฉวในครานี้

แม้จิตใจนั้นกำลังตื่นกลัว ความหวาดหวั่นในอกยังมิจาง เท้าสองข้างกลับยอมก้าวเดินตามดวงไฟประหลาดเข้าไปยังผืนป่าที่หามีผู้ใดหาญกล้าย่างกรายเข้าไปในยามวิกาลเช่นนี้

เหตุใดข้าจึงเดินตามสิ่งนั้นไปราวกับสู่รู้อย่างไรความคิดได้เช่นนี้ แต่เอาเถิด ข้ามิสนสิ่งใดแล้วแม้ชีวิตก็มิได้คิดเสียดายไฉนวาระสุดท้ายถึงจะทำตามใจตนเองมิได้



ใจตื่นกลัว ทว่ากลับมีบางสิ่งบางอย่างฉุดดึง
จิตใจไม่หาญกล้า ทว่าสวรรค์ลิขิตไว้แล้ว
วาสนาส่งเสริม จึงต้องพบพาน



คล้อยหลังที่เซียวโม่โฉวก้าวเท้าเดินตามดวงไฟประหลาดคู่นั้นเข้าไปในป่าลึก แมกไม้ที่เคยแหวกออกเป็นเส้นทางกลับสั่นไหวงอกงามห่มปิดทางเดินเสียสิ้นราวกับบังตามิให้ผู้ใดพบเจอเส้นทางนี้ได้อีก ทั้งความมืดที่ปกคลุมทุกหย่อมหญ้า แสงจันทร์กลับส่องสว่างขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ราวกับมิเคยมืดมัวเฉกเช่นก่อนหน้าแม้แต่น้อย

บัดนี้เซียวโม่โฉวกลับต้องหยุดเดินอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ จากดวงไฟที่เคยนำพาตนมากลับหายวับไปกับตา ไม่ต่างกับฝันประหลาดที่เพิ่งจะลืมตาตื่น

“หายไป หายไปแล้ว นี่มันเรื่องหลอกตาหรือข้ากำลังฝันร้ายกันแน่”บุรุษหนุ่มหมุนกายมองซ้ายขวากลับพบเพียงความมืดมิดรอบกาย หาได้มีแสงจากที่ใดส่องให้เห็นนำทาง บัดนี้จิตใจของเซียวโม่โฉวเริ่มกระสับกระส่ายพยายามตั้งสติเดินไปยังทิศที่มิแน่ใจนักว่าใช่บูรพาหรือไม่ เสียงเหยียบกรอบของใบไม้แห้งเป็นจังหวะประกอบกับลมหายใจของเซียวโม่โฉวประสานกันในความมืด
กรอบ!

กิ่งไม้ที่หักเผาะดังขึ้นท่ามกลางความเงียบนั้นมิใช่เพราะเซียวโม่โฉว ทว่ามีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวมาจากทางด้านหลังของบุรุษหนุ่ม ดวงตาหรี่เล็กที่พยายามเพ่งมองทางเบิกโพลงหันขวับไปยังทิศทางซึ่งเป็นที่มาของเสียงอย่างตกใจ ก้อนเนื้อที่อยู่ในอกบีบคลายหนักหน่วงรุนแรงจนใบหน้าขาวซีดมีเหงื่อผุดพรายขึ้นทั่วไปหน้า

ความรู้สึกถึงอันตรายกำลังคืบคลานเข้าใกล้อย่างรู้สึกได้ พร้อมกับรังสีอำมหิตที่บีบจิตใจมนุษย์ธรรมดาอย่างเซียวโม่โฉวแทบหยุดหายใจ ความรู้สึกร้อนหนาวตีรวนอยู่ในอกราวทะเลคลั่ง

“คะใคร ข้าถามว่าใครอยู่ตรงนั้น!”น้ำเสียงสั่นยังคงมีความหาญกล้าอยู่ไม่น้อย

อีกคราที่ความมืดขยับเคลื่อนไหวอย่างไร้ตัวตน เซียวโม่โฉวถอยเพียงหนึ่งก้าวครั้นได้ยินเสียงลมหายใจฟึดฟัดเฉกเช่นสัตว์ใหญ่อยู่เบื้องหน้าก็ถึงกับตัวแข็งทื่อ พลันดวงสีเหลืองอำพันคู่หนึ่งได้ปรากฏตรงหน้า เงาสีดำทะมึนกำลังเผยกายออกมาตรงหน้าเซียวโม่โฉว พร้อมเข่นเขี้ยวแยกฟันแหลมคมคำรามเสียงกังวานอย่างน่ากลัวเกรง

นั่นมิใช่เพียงเสือดำตัวใหญ่ในป่าอย่างที่ตาเห็น หากแต่เป็นสัตว์อสูรที่มีดวงตาสีเหลืองอำพันส่องสว่างในความมืด เขาแหลมที่งอกออกมาจากศีรษะใหญ่ข้างหนึ่งแหลมคมยิ่งกว่าปลายกระบี่ ทว่าอีกข้างหักท่อนราวกับกิ่งไม้แห้งเฉา ขนหนาสีดำมันขลับเรียบลู่ไปตลอดทั่วทั้งตัว หางที่กวัดแกว่งไปมาโบกขยับบ่งบอกถึงอารมณ์คุกรุ่นของสัตว์อสูรตัวตรงหน้า

คล้ายว่าแววตาสีเหลืองอำพันที่จับจ้องมองเซียวโม่โฉวกำลังอ่านลึกไปถึงจิตใจผู้คน ทั้งเต็มไปด้วยความแปลกใจที่เซียวโม่โฉวสามารถเข้ามายังป่าต้องห้ามแห่งนี้ผ่านม่านเวทที่ปกคลุมไปทั่วได้ถึงสิบชั้น ทั้งที่ไม่เคยมีผู้ใดสามารถย่างกรายเข้ามา แม้ว่าบุรุษที่อยู่เบื้องหน้าจะเป็นสิ่งเดียวที่เขย่าดวงใจของ‘หลี่รั่วถง’พ่อมดผู้ครองพิภพแห่งหยินในครานี้ได้อย่างที่ควรเป็น

เขาเฝ้ารอเซียวโม่โฉวมานับพันปีอย่างอดทน แต่เวลานี้ยังมิใช่เวลาที่จะพบพาน สวรรค์เบื้องบนกำลังเล่นตลกหรืออย่างไร รึคิดจะลองใจหลี่รั่วถงผู้นี้กันแน่

กรร!!!!

เสียงคำรามกึกก้องไปถึงชั้นสวรรค์ไม่อวี้หวงต้าตี้ผู้เป็นประมุขชั้นฟ้า ก็คงจะเป็นเทพเอ้อหลางแม่ทัพใหญ่แห่งสวรรค์ที่ต้องสะเทือนเป็นแน่

“ออกไป จงออกไปจากที่นี่ซะ มิเช่นนั้นข้าจะไม่ปรานีเจ้า!”เสียงกังวานราวกับเป็นเสียงที่ถูกส่งผ่านจิตดังขึ้นในหัวของเซียวโม่โฉว บุรุษหนุ่มถึงกับกระอักลมหายใจตนเองเพราะถูกความน่าเกรงขามของสัตว์อสูรตรงหน้าเข้าแทรกลมปราณ ทว่าความรู้สึกราวกับจะโดนกลืนกินวิญญาณนั้นหาได้ผลักไสให้เซียวโม่โฉวล่าถอยไปแต่อย่างใด กลับกันที่จิตใจบุรุษหนุ่มนั้นมีแต่อยากจะหยิบยื่นชีวิตให้

“ข้ามิรู้ว่าท่านเป็นใคร หากแต่ให้โอกาสข้าได้มีชีวิตนั้นนับเป็นบุญคุณยิ่ง.....ฮึก!”เฮือกหนึ่งของลมหายใจที่ความแปรปรวนจากรังสีอำมหิตเข้าแทรกแซงทำให้เซียวโม่โฉวต้องชะงัก ครั้นรวบรวมสติได้อีกคราจึงเอ่ยต่ออย่างไม่เกรงกลัว“ข้าไม่คิดจะถอยหนี เชิญเถิดหากท่านจะนำข้าไปภพภูมิหน้าเสียแต่ตอนนี้ข้าจะมิคิดขัดขืนแม้แต่อึดใจเดียว”

“เจ้าอยากจะตายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

“ใช่ ข้าไม่อยากจะหายใจรับรู้สิ่งใดแล้ว”

“หึ! เซียวโม่โฉวเจ้าช่างจิตใจกล้าหาญนัก ความตายเจ้าคงมิเกรงกลัวสินะ”หลี่รั่วถงในร่างจำแลงที่แปลงกายเป็นอสูรค่อยๆ วางอุ้งเท้าใหญ่ที่พร้อมพรั่งไปด้วยคมเล็บก้าวมาข้างหน้า

“.....”เซียวโม่โฉวเพียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่มองอสูรตรงหน้านิ่งงัน

ความกลัวก็เพียงชั่ววูบ เดี๋ยวข้าก็จะไม่รับรู้สิ่งใดแล้วอดทนอีกหน่อยเถิดเซียวโม่โฉว

ความคิดปลงทุกข์ที่พูดปลอบประโลมตนเองรับรู้ไปถึงหลี่รั่วถง

“เช่นนั้น ข้าจะทำความปรารถนาของเจ้าให้เป็นจริง.....”

ครั้นสิ้นคำพูดอุ้งมือหนาที่เต็มไปด้วยกรงเล็บแหลมคมจึงตะปบร่างเซียวโม่โฉวจนล้มลงกระแทกกับพื้น ครู่หนึ่งแววตาที่เบิกโพลงสั่นไหวคล้ายฝืนใจที่จำต้องตาย หลี่รั่วถงมองออกอย่างกระจ่างก่อนจะอ้าปากฝังเขี้ยวลงไปบนลำคอขาวจุดปลิดชีพจรของเซียวโม่โฉวอย่างจงใจ

“อ๊ากกกก!”

เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขยับดิ้นอยู่ภายใต้ร่างอสูรของหลี่รั่วถง โลหิตสีแดงซึมผ่านรอยเขี้ยวที่กดลงไปกลิ่นหอมยวนใจจนแทบกลืนกินบุรุษตรงหน้า ทว่านี่มิใช่ความตั้งใจที่จะปลิดชีวิตเซียวโม่โฉว มือหยาบขยุ้มขนสีดำของสัตว์อสูรอย่างสุดทน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลออกจากหางตาเป็นสาย

ความเจ็บปวดนั้นมิใช่สิ่งหลอกลวง ครั้นสัตว์อสูรล่าถอยถอนเขี้ยวออกจากลำคอขาวที่หอมหวนอย่างอ้อยอิ่ง จนแทบจะหักห้ามความปรารถนาเบื้องลึกของจิตใจไม่ไหว หากแต่ต้องหักห้าม

ข้าจะไม่ผลีผลามในตอนนี้ ท่านดูไว้เถิดอวี้หวงต้าตี้ความลองดีของท่านทำอันใดข้ามิได้! เวลาที่ข้ารอคอยจะไม่สูญเปล่าเพียงเพราะท่านอยากจะลองใจข้า!!!

“น่าเสียดายที่ยังมิถึงเวลาของเจ้าเซียวโม่โฉว”เสียงคำรามขู่เขี้ยวแหลมคมแววตาดุดัน

“แค่กๆ”

เสียงหายใจไอสำลักอากาศพลิกกายไปมาอย่างเจ็บปวด อีกมือเข้ากดบาดแผลที่บริเวณลำคอขาว ซึ่งบัดนี้บาดแผลฉกรรจ์จากคมเขี้ยวสัตว์อสูรค่อยๆ สมานหายไปในชั่วพริบตาไม่ทันที่ผู้ถูกฝังเขี้ยวจะรับรู้เสียด้วยซ้ำ

“กลับไปในที่ที่เจ้าจากมาและเผชิญโชคชะตาเสียเถิดเซียวโม่โฉว”เสียงกล่าวจากหลี่รั่วถงที่อยู่ในร่างสัตว์อสูรตรงหน้าแววตาดุดันจนน่าเกรงขาม ภาพของสัตว์อสูรที่มองผ่านม่านน้ำตาเบื้องหน้ากำลังเลือนรางหายไปในความมืด

“ยะอย่าเพิ่งไป ได้โปรด”เซียวโม่โฉวพยายามยามยันกายที่สั่นเทาจากความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นอย่างยากลำบาก มิรู้ว่าเหตุใดเมื่อเห็นอสูรร้ายตนนั้นจากไปหัวใจของเซียวโม่โฉวแทบขาดรอนๆ อาวรณ์อย่างที่ยากจะเข้าใจนัก

แม้แต่อสูรร้ายก็ยังมิอยากได้ชีวิตข้าเลยหรือ

หลังถ้อยคำตัดพ้อสติที่ยุ่งเหยิงคล้ายดั่งโดนเวทมนตร์ร่ายใส่ให้หลับใหล หยุดนิ่งทุกความคิดกดร่างบุรุษให้สลบแน่นิ่งลงกับผืนพงไพรในขณะที่ลำคอขาวซึ่งเคยเปื้อนโลหิตกำลังปรากฏสัญลักษณ์ของผู้เป็นเจ้าของทั้งร่างกายและจิตวิญญาณขึ้นแทนรอยคมเขี้ยวก่อนจะจางหายไปในที่สุด







------------------------------------------------------------------

ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้พิจารณาด้วยนะคะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านมากๆ ค่ะที่เข้ามาอ่าน
สามารถคอมเม้น ติชม เป็นกำลังใจที่สำคัญให้ได้นะคะ
แล้วเจอกันตอนหน้าค่าาา :bye2:


ด้วยรัก
หลานฮวา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2018 22:38:52 โดย ทามากิบ๊อง »

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4
บทที่ 1
ตอบแทนบุญคุณ



แสงแดดอุ่นๆ ที่สาดส่องลงมาอาบผิวของผู้ที่นอนหลับใหล น้ำค้างยามค่ำคืนที่ประพรมเสื้อผ้ากำลังเหือดแห้งหายไปในอากาศ ทิ้งไว้เพียงคราบโคลนดินที่เปรอะเปื้อนอยู่บนเนื้อผ้าย้ำเตือนว่าฝันร้ายนั้นมีอยู่จริง ดวงตาที่หลับพริ้มประดับด้วยแพขนตาและคราบน้ำตากำลังขยับตัวตื่น ดวงตาที่กระทบกับแสงแดดอ่อนให้ความรู้สึกอบอุ่นทว่าเศร้าหมองให้กับผู้ที่พบเห็น

บัดนี้รอบกายของเซียวโม่โฉวมิได้โอบล้อมไปด้วยผืนป่า ทว่ากลับเป็นผู้คนที่ยื่นมือเข้ามาเขย่าร่างกายที่นอนแน่นิ่งให้ตื่นขึ้น

“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่!”

เสียงถามไถ่หลังจากที่เซียวโม่โฉวยันกายลุกขึ้นนั่ง กวาดสายตาพร่าเลือนไปโดยรอบก็พบว่าที่นี่เป็นเส้นทางเข้าเมืองต้าหลี่อีกทั้งบุรุษหนุ่มกลบลับนั่งสะลึมสะลืออยู่บริเวณทางผ่าน หากเดินผ่านซุ้มประตูใหญ่ที่เก่าแก่เบื้องหน้านี้ไปไม่กี่ลี้ ก็จะเป็นตลาดที่อยู่ชานเมืองต้าหลี่แล้ว

“ได้ยินข้าหรือไม่เจ้าหนุ่ม?”ชายวัยชราที่สะพายเข่งไม้สานบรรจุของไว้เต็มหลังย้ำถามเซียวโม่โฉวอีกครา

“ขะข้า ข้าไม่เป็นไรท่านลุง ขอบคุณที่ช่วยปลุกข้า”

“เจ้าเลือดออก บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”หญิงสาวผู้หนึ่งตกใจชี้ไปยังเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนเป็นคราบสีหน้าผวา

“เลือด?”

คิดได้เช่นนั้นมือขาวก็รีบสัมผัสบริเวณลำคอของตนเองราวกับระลึกขึ้นได้ สำรวจตรวจมองร่างกายราวกับมิใช่ร่างของตน เมื่อจำได้ว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นเซียวโม่โฉวถึงกับเบิกตาโพลงลุกขึ้นเหลือบมองซ้ายขวาเสมือนมองหาบางอย่าง

เหตุใดข้าจึงมานอนอยู่ที่นี่กัน ข้ามิได้ฟั่นเฟือนที่จะจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนข้าวิ่งไปไกลแค่ไหน แต่มิใช่ที่นี่เป็นแน่ ร่องรอยบาดแผลก็หายไป เกิดสิ่งใดขึ้นกับข้ากัน!

ครั้นตั้งสตินึกได้เซียวโม่โฉวก็รีบหุนหันวิ่งกลับบ้านของตนเองราวกับต้องการพิสูจน์บางอย่าง นำพาความงุนงงให้กับชายชราและบุตรสาวของเขา

“เดี๋ยวเจ้าหนุ่ม! ข้าจะบอกว่า.....”ไม่ทันที่จะกล่าวบอกบางอย่างถึงสิ่งที่ชายชราผู้นั้นมองเห็นเซียวโม่โฉวก็วิ่งเตลิดหนีไปเสียแล้ว

“ท่านพ่อ ท่านจะบอกสิ่งใดกับคนผู้นั้นหรือ?”

“อ่า.....ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถิดเดี๋ยวแม่ของเจ้าจะคอยนาน”ชายชราจำต้องหักใจ เมื่อสวรรค์ไม่เป็นใจให้เขาได้บอกกล่าว สิ่งที่มองเห็นเป็นเพียง‘ทู่จึ’ปีศาจกระต่ายที่หาได้เป็นภัยใดต่อมนุษย์ หากแต่ที่ชายชราแปลกใจนั้นไยทู่จึตนนั้นจึงได้ติดตามบุรุษหนุ่มผู้นั้นกัน หากมิใช่ว่าเวลาที่เหลือบนโลกมนุษย์....

คิดแล้วชายชราก็ถึงกับต้องสลัดความคิดอันน่ากลัวเช่นนั้นออกไป

คนชราเช่นข้าคงจะตาฝ้าฟางเป็นแน่





ทันทีที่เซียวโม่โฉวมาถึงบ้านของตน ไม่ทันจะเหยียบย่างเข้าไปก็เจอเข้ากับสองสามีภรรยาผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาและมารดาของตน ทั้งสองราวกับนั่งรอการกลับมาของใครคนหนึ่ง ดูเหมือนจะมิใช่รั้งรอผู้ใดอื่นทว่าเป็นเซียวโม่โฉว

“เจ้ากลับมาแล้ว เหตุใดจึงกลับมาช้าเช่นนี้ เมื่อคืนเจ้าไปที่ไหนมาข้าเป็นห่วงแทบแย่”ผู้เป็นมารดาลุกพรวดจากแคร่ไม้หน้าบ้านเข้ามาถามไถ่เซียวมาโฉว พร้อมด้วยจือหยางผู้เป็นบิดา คำว่าห่วงใยเสียดแทงใจบุรุษหนุ่มเป็นอย่างยิ่ง

“เอ๊ะ! แล้วนี่เกิดเรื่องใดขึ้นกับเจ้า เหตุใดถึงได้มีสภาพเช่นนี้กัน”แววตาตกตื่นครั้นผู้เป็นบิดามองเห็นเสื้อผ้าอาภรณ์ของบุตรชายตรงหน้าที่ไม่เหลือเค้าความสะอาดอยู่เลย ซ้ำยังมีคราบเลือดสะดุดตาจนน่าหวาดกลัวนัก

“จะจริงด้วย เกิดอะไรขึ้น มานี่มานั่งก่อน”ผู้เป็นมารดาตาลุกวาวรีบลากเซียวโม่โฉวเข้านั่ง ก่อนลุกไปหยิบเอาผ้าชุบน้ำสะอาดหยิบยื่นให้เช็ดหน้าเช็ดตา

เซียวโม่โฉวเพียงมองสองสามีภรรยาที่ปฏิบัติกับตนด้วยท่าทีที่แปลกไปอย่างเข้าใจ ดวงตาเศร้าสร้อยฝืนยิ้มให้แก่ทั้งสองอย่างไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดสิ่งใด เพียงไม่ลืมที่จะหยิบถุงเงินที่ทำงานมาได้หยิบยื่นให้มารดาอย่างเช่นปกติ ทว่ามือที่ยื่นออกไปทั้งซีดขาวและสั่นระริก

ในอกของเซียวโม่โฉวยามนี้นั้นว่างเปล่า ไม่แพ้ความรู้สึกที่เคว้งคว้างราวกับถูกปล่อยให้อยู่เพียงผู้เดียวท่ามกลางหิมะ

“เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเกิดเรื่องใดขึ้น”

“ไม่มีอะไรหรอกท่านแม่ ข้าเพียงช่วยเถ้าแก่แล่เนื้อเสื้อผ้าข้าจึงเปรอะเปื้อนสกปรกเช่นนี้ ที่โรงเตี๊ยมกำลังมีงานเลี้ยงใหญ่ข้าจึงมิได้กลับบ้านตรงเวลาเพราะด้วยในครัวนั้นขาดกำลังคนช่วยเหลือ”

“เช่นนั้นก็ดีแล้วข้าก็โล่งใจไป นึกว่าเจ้าจะบาดเจ็บตรงไหนให้เสียราคา.....”

เพี๊ยะ!

ถ้อยคำที่พลั้งเผลอเล็ดลอดออกมาจากปากของจือหยางผู้เป็นบิดา เฉินซีผู้เป็นภรรยาจึงรีบตีสามีของตนเองแสดงสีหน้าตำหนิที่ปากสว่างพาลจะเสียเรื่อง

“เอ่อ....ข้าหมายถึงเสียราศี ใครต่างรู้ว่าข้ามีบุตรชายที่มีรูปโฉมสง่างามถึงสองคน หากเจ้าจะบาดเจ็บมีแผลข้าก็ต้องเป็นห่วงธรรมดา ฮ่าๆ”เสียงหัวเราะกลบเกลื่อนไม่ได้ทำให้เซียวโม่โฉวใจชื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าแท้จริงแล้วบิดาคิดเช่นไรในยามนี้ สีหน้าที่คล้ายคาใจอยากจะพูดบางอย่างมันเด่นชัดผ่านแววตากังวลคู่นั้น

“ท่านนนนนพ่อ! ข้ากลาบมาแล้วววว เอิ๊ก!”

“จือซาน นี่เจ้าเมามายกลับมาอีกแล้วเหรอเนี้ยเจ้าลูกคนนี้!”เมื่อเสียงโหวกเหวกดังขึ้นทั้งสองสามีภรรยาก็รีบกุลีกุจอเข้าไปช่วยพยุงจือซานแทบจะทันที แสดงสีหน้าและแววตาห่วงใยอย่างแท้จริงจนเซียวโม่โฉวไม่อาจข่มความน้อยเนื้อต่ำใจได้

กับข้าไยพวกท่านถึงได้เสแสร้งห่วงใย มิจริงใจต่อข้าเช่นจือซานบ้าง

“โม่โฉว เจ้าไปเอาน้ำอุ่นๆ มาให้น้องชายของเจ้าหน่อยเร็วเข้า”มารดายื่นมือมาตบไหล่เบาๆ เพื่อเร่งเร้า

“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ท่านแม่”ที่นั่งเมื่อครู่เคยเป็นของเซียวโม่โฉว แต่บัดนี้กลับต้องสละให้จือซานได้แผ่กายนอนเมามายอย่างไม่น่ามอง คนถูกสั่งทำได้เพียงเข้าครัวไปหยิบน้ำต้มอุ่นตักใส่ถ้วยตามที่มารดาสั่งก็เท่านั้น

เพียงครู่ที่เซียวโม่โฉว หายลับเข้าไปในห้องครัวประจวบเหมาะกับที่ยามนี้กำลังเกิดความวุ่นวายขึ้นบริเวณชานเรือนของบ้าน เสียงเอะอะโวยวายของผู้คนรวมทั้งข้าวของที่ตกหล่นราวถูกทำลายดังขึ้นเรียกให้เซียวโม่โฉวต้องวิ่งออกมาดู ภาพที่เห็นนั้นเป็นกลุ่มคนฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งการแต่งกายบ่งบอกได้ว่ามาจากบ้านของขุนนางผู้หนึ่ง บุรุษผู้มีอำนาจมากกว่าผู้ใดในบรรดาหกคนตีหน้าถมึงทึงสั่งคนติดตามให้ลากตัวจือหยางออกมาจากเบื้องหลังของภรรยาอย่างไม่ปรานี ส่วนจือซานนั้นก็ถูกจับกดลงคุกเข่ากับพื้นหาได้มีสติช่วยเหลืออะไรใครได้ ทันใดนั้นผู้มีอำนาจได้ตวัดชักดาบสีเงินมันวาวจรดไปที่ลำคอของจือหยาง ความเย็นวาบจากโลหะราวกับฝันร้ายยามตื่น ผู้ถูกข่มขู่หวาดกลัวจนต้องยกมือขึ้นกราบไหว้วิงวอน ช่างเป็นภาพที่น่าอดสูและบาดใจเซียวโม่โฉวยิ่งนัก แม้จะรู้ดีว่าความผิดนั้นใครเป็นผู้ก่อแต่เช่นไรคนตรงหน้าก็ยังคงเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด

“เซียวจือหยาง ไยเจ้าถึงกลืนน้ำลายตนเองไม่รักษาสัญญาดังที่เจ้าลั่นวาจาไว้! ข้าให้โอกาสเจ้ามามากพอแล้วมีอะไรจะสั่งเสียก่อนตายหรือไม่!”

“ดะได้โปรดเถิด ข้าจะจ่ายให้ ข้าจะจ่ายให้มากกว่าที่ข้าหยิบยืมไปสิบเท่า เพียงแต่ตอนนี้ข้าต้องการพูดคุยกับบุตรของข้าก่อนได้โปรดไว้ชีวิตของข้าด้วยเถิด”มือไม้ที่สั่นระริกขอชีวิตจากคนเบื้องหน้า

“ข้าขอร้องท่านอีกคน ได้โปรดเห็นใจพวกข้าด้วยนายท่าน ฮือๆ”ผู้เป็นภรรยาคุกเข่ากอดขาผู้มีอำนาจตรงหน้าอย่างละทิ้งศักดิ์ศรีร้องไห้ฟูมฟายแทบแดดิ้น

“ข้าจะเชื่อคำพูดของคนสับปลับเช่นเจ้าได้อย่างไร สิบเท่าที่เจ้าเอ่ยมาแม้แต่เศษเสี้ยวหนึ่งของเงินทั้งหมดเจ้าก็ยังไม่มีชดใช้ แล้วไหนสิ่งที่เจ้าจะหยิบยื่นมาแลกเงินก็หาได้มีวี่แววอย่างปากว่า เหตุใดข้าถึงต้องโง่งมหลงเชื่อเจ้าอีกคราด้วย! รู้หรือไม่ว่าเจ้าทำให้ท่านผู้นั้นวุ่นวายใจเพียงใด!”น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตวาดดังลั่นไม่เอ่ยถึงผู้อยู่เบื้องหลัง โชคดีที่บ้านมิได้ตั้งอยู่ในตลาดหากแต่เป็นท้ายตลาดที่ห่างจากบ้านเรือนผู้คน มิเช่นนั้นคงมีผู้คนไม่น้อยเรียงหน้ามาเป็นสักขีพยานแห่งความอัปยศครั้งนี้เป็นแน่

“ดะได้โปรด! ข้าจะนำมาให้ท่านให้เวลาข้าหน่อยเถิด”เสียงร้องไห้วิงวอนกราบไหว้สิ้นทุกผู้คน ช่างเป็นภาพที่เซียวโม่โฉวไม่อาจทนมองอยู่ได้เป็นที่สุด

แม้ตลอดมาพวกท่านจะมิได้เห็นประโยชน์อันใดในตัวข้า แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะตอบแทนบุญคุณพวกท่าน

“ช้าก่อน!”เสียงตะโกนหักห้ามมิให้ดาบตวัดง้างปลิวชีพบิดาดังขึ้น เซียวโม่โฉวปรากฏกายเดินออกมาอย่างมิได้กลัวเกรง ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างหันมองเจ้าของเสียงในทันที

“โม่โฉว.....ช่วยบิดาของเจ้าด้วย ฮือๆ”

“ข้าจะไปกับพวกเจ้า แต่ได้โปรดปล่อยครอบครัวของข้าด้วยเถิด”

ทั้งสองสามีภรรยาต่างตาเบิกโพลงราวกับได้ยินเรื่องปาฏิหาริย์จากเบื้องบน ผู้เป็นบิดาหัวเราะทั้งน้ำตาเข้ากอดภรรยาที่นิ่งค้างน้ำตานองด้วยตกใจ

“ทะท่านได้ยินแล้วใช่หรือไม่ บุตรชายผู้นี้ของข้าจะไปกับท่าน บอกท่านผู้นั้นด้วยเถิดว่าข้าเซียวจือหยางจะมอบบุตรชายนามว่าเซียวโม่โฉวให้ ขะข้าทำตามที่สัญญาแล้ว เลิกจ่อกระบี่มาที่คอของข้า ดะได้แล้วหรือยัง”คำพูดที่เปล่งออกมาราวกับคนเสียสติเสมือนคมมีดกรีดดวงใจของเซียวโม่โฉวอย่างโหดเหี้ยม

ไร้ซึ่งความอาวรณ์

ไร้ซึ่งความห่วงใย

แม้น้ำตาแห่งความร่ำไห้ที่ต้องเสียตนไปก็ไม่มี

“ก็ได้ นำตัวเซียวโม่โฉวกลับไป”

“ขอรับ!”





พิภพแห่งหยิน

   กลุ่มควันราวหมอกเมฆดำที่ปกคลุมไปทั่วทุกเขตแดนพิภพแห่งหยินกำลังสลายหายไปครั้นประมุขของดินแดนก้าวผ่านประตูสู่พิภพที่เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์ปรากฏกายขึ้น ดินแดนแห่งนี้ไม่ต่างจากโลกมนุษย์ที่มีสิ่งปลูกสร้างบ้านเรือน ทว่าที่นี่มิต้องใช้แรงงานหากแต่ด้วยพลังเวทมนตร์ของหลี่รั่วถง บันดาลได้ทุกสรรพสิ่งเว้นเสียแต่กำหนดชะตาของมนุษย์ แม้จะมิสามารถกำหนดได้แต่คนผู้นี้สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้ หากไม่นอกเหนือกฎเกณฑ์สวรรค์

ในบรรดาชั้นฟ้านั้นแบ่งแยกออกเป็นสี่ส่วน นั่นคือพิภพแห่งหยิน พิภพแห่งหยาง พิภพนรกภูมิ และผู้ที่ควบคุมกฎเกณฑ์เหนือสุดในบรรดาชั้นต่างๆ ก็คือสวรรค์ทิพย์วิมาน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเหล่าปีศาจนอกรีตที่ตั้งตนเป็นปรปักษ์ต่อชั้นทั้งสี่ หาได้ฝักใฝ่เรื่องใดนอกเหนือจากปรารถนาอำนาจความเป็นใหญ่ หมายตั้งตนเป็นปรปักษ์ต่อสวรรค์ และชั้นทั้งปวง แต่ด้วยกำลังเพียงน้อยนิดจึงมิสามารถก่อการใหญ่โต หมายแต่แทรกแซงสร้างความวุ่นวายให้ต้องเดือดร้อนสะเทือนไปทั่ว หากแต่ครั้งหนึ่งที่เผ่าปีศาจฮึกเหิมเข้าโจมตีพิภพแห่งหยิน ความโกลาหลครั้งยิ่งใหญ่สร้างความสูญเสียให้ประมุขพิภพแห่งหยินจดจำมิเลือนรางแม้ผ่านมาถึงพันปีแล้ว ดังนั้นหากเอ่ยถึงจูเกิงเฉินแห่งเผ่าปีศาจนอกรีตแล้ว หลี่รั่วถงก็ถึงกับเกรี้ยวโกรธขึ้นราวกับไฟนรกภูมิที่ปะทุขึ้นก็ว่าได้

   “นายท่าน ท่านกลับมาแล้วหรือขอรับ”ผู้รับใช้ที่นอนเฝ้าทางเข้าประตูสู่พิภพดีดตัวขึ้นฝืนเกร็งครั้นเห็นหลี่รั่วถงเบื้องหน้า ผู้เป็นเจ้าพิภพแห่งหยินที่รูปงามสง่าดุจเทพเซียนในสวรรค์ชั้นฟ้าก็หาเทียบได้ เหอจี๋ที่มีชาติกำเนิดจากปลาทว่าบัดนี้มีกายเป็นร่างเสมือนมนุษย์ หลายพันปีมานั้นคอยรับใช้หลี่รั่วถงในดินแดนพิภพแห่งหยินด้วยความซื่อสัตย์

“ข้าไม่อยู่ที่นี่เป็นเช่นไรบ้างเหอจี๋”เสียงกังวานที่ราวกับกึกก้องไปทั่วเอ่ยน้ำเสียงเรียบใบหน้าที่ดูน่าเกรงขามกวาดสายตาคมกริบดุจดวงตาอสูรร้ายไปโดยรอบ พลันพลิกฝ่ามือเพียงหนึ่งครั้งนำความสว่างโรจน์ไปทั่วทุกสารทิศ จากมืดครึ้มกลายเป็นสว่างราวกับยามเช้าเฉกเช่นโลกมนุษย์ ร่างสูงใหญ่เหยียบย่างไปเบื้องหน้า ทุกฝีก้าวปรากฏเมฆดำรองรับทุกการย่างเดิน แผ่นหลังกว้างที่มองจากเบื้องหลังดูมั่นคงและแข็งแรงทว่ากลับแฝงไปด้วยความน่ายำเกรง

“เรียบร้อยดีขอครับนายท่าน ข้าดูแลทุกอย่างตามที่ท่านสั่ง”เสียงขานตอบรับแข็งขันใบหน้าแทบมุดธรณีด้วยหวาดกลัวอำนาจ

“เช่นนั้นดีแล้ว”

“เอ่อคือว่า.....มีสารจากท่านหวางหรูอี้ ให้ข้ารายงานเมื่อนายท่านกลับมาว่าต้องการพูดคุยเรื่องสำคัญขอรับ และให้ข้าย้ำว่าสำคัญมาก”คิ้วหนาขมวดชิดนึกไตร่ตรองอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะโบกมือสั่งเหอจี๋ประโยคเพียงสั้น“เจ้าไปได้แล้ว”

“ละแล้วเรื่องของท่านหวางหรูอี้จะให้ข้าตอบรับไปเช่นไรดีขอรับ?”

“ข้าบอกให้เจ้าไปก็ไป!”ดวงตาคมหันไปมองข้ารับใช้ที่ถามย้ำอย่างไม่รู้ความ หลี่รั่วถงรู้ดีว่าหวางหรูอี้ผู้เป็นเจ้าพิภพแห่งหยางมีเรื่องสำคัญใด นอกเสียจากลากตนไปร่ำสุราเล่าความถึงปัญหาระหว่างตนกับติงเจิ้งหวาเจ้าแห่งนรกภูมิ หากแต่เวลานี้หลี่รั่วถงหาได้มีอารมณ์สุนทรีย์ที่จะกระทำเช่นนั้น ความหงุดหงิดโกรธเกรี้ยวยังคงตีรวนอยู่ในอกบุรุษ

“ขะขอรับนายท่าน”

!!!

สิ้นเสียงตอบรับอย่างกลัวเกรงร่างตรงหน้าก็อันตรธานหายไปจากสายตาของหลี่รั่วถงอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนเกล็ดสีขาวตกเกลื่อนอยู่บนพื้น ทว่านั่นก็หาได้เรียกความสนใจใดไปจากหลี่รั่วถง ใบหน้าขมุกขมัวขึงขังเปลี่ยนสายตาไปจับจ้องยังทิศเบื้องหน้า ก่อนจะสาวเท้าเพียงหนึ่งก้าวเคลื่อนไหวถึงประตูเรือนซึ่งเป็นที่พำนักของหลี่รั่วถง

ทันทีที่ถึงยังห้องหับ ภายในห้องมิได้มีสิ่งใดแปลกตาไปจากโลกมนุษย์ ร่างสูงใหญ่องอาจสง่าผ่าเผยเดินผ่านม่านไข่มุกสีดำทิ้งกายลงนั่งบนเก้าอี้ที่ปูรองด้วยขนจิ้งจอก ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นจ้องมองหวนคิดถึงสัมผัสที่ทาบทับไปบนร่างกายขาวบางที่สั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ดวงตาคู่สวยที่ฉ่ำวาวไปด้วยหยาดน้ำตาไม่สามารถสลัดออกไปจากความคิดของหลี่รั่วถงได้ แม้หลี่รั่วถงจะไม่มีหัวใจหากแต่กลับรู้สึกเจ็บปวดเพราะนัยน์ตาคู่นั้น

หากแต่สวรรค์ก็ช่างกลั่นแกล้งเหตุใดจึงส่งเซียวโม่โฉวให้พานพบในขณะที่หลี่รั่วถงบำเพ็ญตบะในร่างอสูร หากเขาพลาดพลั้งไปเพียงเงื้อมมือเดียวคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้

ข้าอดทนมาตลอดพันปีเพื่อรอวันที่เหมาะสม หากจะลองใจข้าเช่นนี้ก็เห็นทีคงจะต้องผิดหวัง ข้าจะไม่ฝืนลิขิตโดยเด็ดขาด
“เจ้าทั้งสอง ออกมาบัดเดี๋ยวนี้”เพียงกำปั้นเดียวที่ทุบลงกับโต๊ะสามารถเรียกข้ารับใช้ให้ปรากฏเบื้องหน้าได้

“ยินดีรับใช้นายท่าน โปรดบัญชามาเถิด”กลุ่มควันที่เกาะกลุ่มหนาแน่นปรากฏร่างของผู้เป็นข้ารับใช้ทั้งสอง

“เฝ้าประตูทางเข้าอย่าให้ผู้ใดย่างกรายเข้ามาในระหว่างที่ข้าอยู่ที่นี่ แม้กระทั่งเหอจี๋ก็ไม่ละเว้น”

“ขอรับนายท่าน”กลุ่มควันเคลื่อนย้ายสลายหายวับไปกับตา เจ้าของเรือนอย่างหลี่รั่วถงเริ่มขยับตัวออกเดิน พร้อมก้าวไปยังจุดกึ่งกลางของห้อง ขยับมือสองข้างคล้ายพึมพำบริกรรมคาถาเรียกแหวนวงเวทขนาดใหญ่สะท้อนขึ้นจากพื้นครอบคลุมกาย ประตูสู่สวรรค์เปิดออกนั่นคือจุดมุ่งหมายของเจ้าพิภพแห่งหยินที่มิได้กลัวเกรงประมุขชั้นฟ้า แม้ว่าจะเปิดประตูสวรรค์เชื้อเชิญตนเองไปเยี่ยมเยือนก็หาได้ยำเกรงกฎเกณฑ์อันใด เพราะครั้งนี้ผู้ใดเล่าที่ริเริ่มขึ้นก่อน สิ่งใดไม่กระจ่างหลี่รั่วถงมิอาจอยู่นิ่งเฉยได้ วันนี้คงต้องฝืนกฎสวรรค์เข้าพบอวี้หวงต้าตี้พูดคุยให้แน่ชัด อย่าได้ยื่นมือเข้าทำลายความตั้งใจของตนเสียให้ยาก





โลกมนุษย์

จากบ้านหลังเล็กหาได้กว้างขวาง มีอาณาบริเวณบ้านเพียงไม่กี่ก้าวบัดนี้เซียวโม่โฉวกลับต้องก้าวขาเข้ามาอยู่ในที่ที่ตนมิได้รู้จัก เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเช้ารวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ เซียวโม่โฉวจากที่นั่นมามิได้มีสิ่งใดติดตัวเป็นสมบัติของตนแม้แต่น้อย กระทั่งเวลาอำลาครอบครัวก็หาได้มีช่องว่างให้กระทำเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไรก็คงจะไม่สำคัญเท่าบุรุษหนุ่มจากมาพร้อมกับทิ้งความสุขสบายไว้ให้แก่ผู้เป็นบิดาและมารดาไว้เบื้องหลัง

ความเสียใจเหล่านั้นเริ่มเจ็บปวดจนด้านชา หาได้มีน้ำตาอาวรณ์กับสิ่งเหล่านั้นอีก

ทว่าเช่นไร แม้น้ำตาจะมิได้รินไหลหากแต่ในหัวใจบุรุษหนุ่มกลับปวดร้าวเป็นแก้วที่แตกแล้วโดยละเอียด

“เจ้าชื่อแซ่อะไร?”ชั่วครู่ที่ราวกับสติเลื่อนลอย ครั้นได้ยินคนผู้หนึ่งเอ่ยถามตนก็รีบเงยหน้าขึ้นสบตามองแล้วตอบออกไป

“ข้าเซียวโม่โฉวขอรับ”

“อืม เจ้าเป็นบุตรชายของเซียวจือหยางใช่หรือไม่?”

“ขอรับ ข้าเป็นบุตรชายคนโตนามเซียวโม่โฉว”ผู้ได้ฟังเพียงพยักหน้าสำรวจตรวจมองราวกับพึงพอใจต่อบุรุษนัก ยามนี้ก็ย่างเข้ายามอิ่วแล้วที่เซียวโม่โฉวถูกนำตัวมานั่งรอใครคนหนึ่งถึงหนึ่งชั่วยาม มีเพียงบ่าวรับใช้ที่วนเวียนเข้าออกเปลี่ยนชาที่เย็นชืดให้อุ่นร้อนอยู่เสมอ เพราะบุรุษหนุ่มมิใช่ผู้ที่ชอบซักไซ้ไล่ความนักจึงยอมเก็บปากพูดคำตอบคำอยู่เงียบๆ เห็นทีคนที่คอยถามไถ่จะเป็นพ่อบ้านประจำจวนแห่งนี้ ครั้นดูสุภาพชนต่างจากผู้คนที่คุมตัวเซียวโม่โฉวมาอย่างสิ้นเชิง

“พ่อบ้านเสินขอรับ”ไม่ผิดไปจากที่เซียวโม่โฉวคิดคนผู้นั้นเป็นพ่อบ้านของจวนแห่งนี้ และดูเหมือนท่าทางเร่งรีบของบ่าวคนหนึ่งกำลังกระซิบกระซาบบางอย่างกับพ่อบ้านเสินราวกับเป็นความลับ คนรับรายงานพยักหน้าเข้าใจ เลิกคิ้วเป็นเชิงออกคำสั่งให้บ่าวรับใช้ผู้นั้นออกไปได้

“เจ้าตามข้ามาทางนี้”

“จะให้ข้าไปไหนหรือขอรับ”

“ข้าจะพาเจ้าไปพบกับนายท่าน”

“นายท่าน?”

“อย่าเพิ่งสงสัย เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง”

“ขอรับ”เซียวโม่โฉวยอมเดินตามพ่อบ้านเสินออกไปแต่โดยดีครั้นก้าวออกจากห้องก็มีคนคล้ายเป็นดั่งผู้คุมเดินตามหลังเซียวโม่โฉวอีกที สายตาบุรุษสำรวจมองรอบๆ บริเวณชานเรือนที่เดินผ่านตลอดออกมายังด้านนอกบริเวณของเรือนหลังเล็ก ผ่านสวนดอกไม้ก่อนจะข้ามสะพานไปยังเรือนอีกหลังที่ใหญ่โตสะดุดตา เป็นครั้งแรกที่เซียวโม่โฉวได้เห็นสถานที่งดงามเช่นนี้ ครั้นยังมีบ่าวไพร่เดินสวนกันไปมาราวกับรีบร้อน ทว่าสายตากลับเหลือบมองบุรุษหนุ่มแทบทุกผู้ทุกคน

กระทั่งผ่านเข้าไปภายในเรือนหลังหลักเดินตามโถงทางเดินยาวเข้าสู่ด้านในอีกครั้ง ประตูห้องด้านในสุดค่อยๆ เปิดเลื่อนออกครั้นพ่อบ้านเอ่ยบอกมีเสียงตอบรับเชื้อเชิญเข้าด้านใน ครานั้นเซียวโม่โฉวจึงรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวอยู่ลึกๆ บรรยากาศที่อึดอัดพาลเอาหายใจไม่คล่องจมูก

มองไปยังเบื้องหน้าเมื่อย่างเข้าไปด้านใน ม่านที่กางกั้นด้วยผ้าปักลายนกกระเรียนอย่างสวยงามเบื้องหลังนั้นกลับมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ จะเป็นผู้ใดได้หากมิใช่เสนาบดีใหญ่นามว่าฉีเหยียน ผู้รั้งตำแหน่งลี่ปู้กรมธรรมการ ทำเอาเซียวโม่โฉวขนลุกชันไปทั้งตัวด้วยเกรงบารมีอำนาจ

“ข้าพาคนผู้นี้มาแล้วขอรับนายท่าน”พ่อบ้านเสินค้อมกายเอ่ยรายงาน

“ดี เจ้าใช่หรือไม่ที่ชื่อเซียวโม่โฉว”น้ำเสียงทุ้มฟังดูเป็นผู้มีอำนาจเอ่ยถาม มือข้างหนึ่งลูบเครายาวขาวสะอาดเพ่งพินิจมองผ่านม่านกั้นเพียงบางอย่างสนใจใบหน้ายิ้มย่อง

“ขอรับ เป็นข้า”แม้จะตอบรับการถามชื่อไปหลายครั้งหากแต่สิ่งที่เซียวโม่โฉวไม่อาจรู้นั่นคือตนถูกขายให้กับบ้านขุนนางด้วยนำมาใช้ประโยชน์อันใด และเหตุใดจึงต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนมากมายถึงเพียงนี้ หากเพียงต้องการคนชั้นต่ำเป็นแรงงานก็เพียงโยนเข้าโรงซักล้าง หรือไม่ก็หลังจวนที่จำเป็นต้องจับงานที่ใช้แรง เหตุผลนี้ก็ยังไม่กระจ่างใจแก่เซียวโม่โฉวนัก

“ข้าได้ตรวจดูดวงชะตาแล้วนับว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้มีลักษณะดีตรงตามที่นายท่านปรารถนาอย่างครบถ้วนขอรับ”

“.....”เซียวโม่โฉวที่ยืนก้มหน้าเหลือบมองพ่อบ้านเสินที่กล่าวเช่นนั้นออกไปอย่างไม่เข้าใจความหมาย

“ครบถ้วนเช่นนั้นหรือ ฮึๆ”เสียงหัวเราะกังวานดังขึ้นราวกับชอบใจ

“ขอรับนายท่าน หากเทียบกับคนก่อนหน้าเซียวโม่โฉวผู้นี้นับว่าเป็นพลอยเม็ดงามที่หายากยิ่งขอรับนายท่าน”

“ข้ามิเคยได้ยินเจ้าเอ่ยชื่นชมผู้ใดเท่านี้มาก่อน เซียวโม่โฉว...ไหนเจ้าลองเข้ามาใกล้ข้าอีกหน่อย”

“คะคือข้า.....”บุรุษหนุ่มละล่ำละลักหากแต่ก็มิอาจขัดคำสั่งได้ จึงเดินก้าวไปข้างหน้าถึงสองก้าว

“เงยหน้าขึ้นให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้า”

“ขอรับ”ในใจเซียวโม่โฉวนึกหวาดหวั่นหากแต่ก็ยอมเงยหน้าเชิดขึ้น ทว่าสายตายังคงเกรงจึงหลุบลงต่ำ กระนั้นก็หาได้เป็นสิ่งผิดพลาดใดตามที่พ่อบ้านเสินเอ่ยออกมาแม้แต่น้อย ทั้งดวงหน้าที่ได้รูป จมูกและปากที่ราวประดับกรอบหน้าได้อย่างลงตัว ผิวพรรณที่หากชำระล้างขัดถูเสียหน่อยก็คงมิเกินไปหากจะกล่าวว่าเป็นบุรุษรูปงามที่ซ่อนรูปโดยแท้แต่กำเนิด

“ฮึๆ ข้าถูกใจคนผู้นี้ ที่เหลือเจ้าจงจัดการแทนข้าก่อนวันพิธีจะเริ่มเข้าใจหรือไม่”

“ขอรับนายท่าน”

“ข้าจะกลับไปพักผ่อน”ประโยคทิ้งท้ายเอ่ยขึ้นม่านไม่ไผ่อีกชั้นคลี่ลงบดบังด้านหลังม่านผ้าอย่างไม่เหลือช่องว่างใดๆ เซียวโม่โฉวกวาดสายตามอง ครั้นถึงเวลาพูดได้จึงรีบเอ่ยขึ้น

“พ่อบ้านเสิน ที่ท่านผู้นั้นกล่าวเมื่อครู่หมายถึงสิ่งใด ข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องใดกันแน่”แววตาร้อนรนไม่เข้าใจสิ่งใด ทำให้เซียวโม่โฉวกระวนกระวาย

“หน้าที่ของเจ้านั้นหรือ ก็คือผู้ที่ถูกเลือกแล้วว่าสะอาดบริสุทธิ์เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งในพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์เช่นไรเล่า จงภาคภูมิใจเสียเถิด”

“พิธี? ท่านหมายถึงเรื่องใด?”

“เดี๋ยวเจ้าก็จักรู้เอง”












ติดตามตอนต่อไป




ฝากบทที่ 1 ด้วยนะคะช่วงแรกๆ ก็จะเป็นการปูเนื้อหาไปสู่เรื่องราวสำคัญต่างๆ
ความสนุกก็จะไต่ขึ้นไปตามลำดับ หากผิดพลาดอย่างไรสามารถแนะนำ ติชม ได้นะคะ
ตอนต่อไปก็ขอฝากไว้ด้วยค่าาาา  :impress2:


ด้วยรัก
หลานฮวา

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
....สำนวนเยี่ยมมากครับ....ขอชื่นชม.

  o13

 :L2: :pig4: :L2:

....................................
ราตรีย่ำค่ำแสงเดือนเด่นฟ้า

กลีบบุปผาโรยร่วงจนรุ่งสาง

น้ำตาอุ่นรินไหลไร้หนทาง

เจ็บมิจางอด(((อก)))ตรมแทบสิ้นใจ
....................................
เจ็บมิจางอด(((อก)))ตรมแทบสิ้นใจ  ตรงนี้น่าจะเป็น   อก มากกว่านะครับ...
........
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2018 23:23:31 โดย ommanymontra »

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4


บทที่ 2
เหยื่อในกรงทอง






ภายในเรือนหลังใหญ่กว้างขวางพรั่งพร้อมไปด้วยข้าวของเครื่องใช้มากมายรายล้อม หยิบจับสิ่งใดล้วนเป็นของมีค่าราคาแพง มองไปทางใดก็เจริญหูเจริญตาด้วยการประดับตกแต่งเรือนหลังนี้ให้เป็นที่เชิดหน้าชูตาของเจ้าของบ้านได้หากมีผู้ใดเข้าพัก นับเป็นวาสนาของเซียวโม่โฉวนักที่ครั้งหนึ่งได้อยู่อาศัยภายในเรือนใหญ่โตถึงเพียงนี้ ซ้ำยังมีข้ารับใช้คอยปรนนิบัติดูแลใกล้มือ เพียงเอ่ยปากสั่งสิ่งใดก็จักได้ตามปากว่า

แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้มิได้ทำให้เซียวโม่โฉวรู้สึกมีความสุขแม้แต่น้อย มองทะลุถึงความจริงอันถ่องแท้ว่าสิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงสิ่งลวงตาลวงใจ มิใช่ของของตนอย่างแท้จริงยึดติดไปก็หาได้มีความสุข แม้เจ้าของบ้านจะจัดให้อยู่ราวกับแขกคนสำคัญจนยากที่จะปฏิเสธเพราะความโอ่อ่าเกินฐานะตน เซียวโม่โฉวก็หาได้กินอิ่มนอนหลับในเรือนหลังใหญ่แห่งนี้

ครั้นหลับตาก็ยังคงคะนึงหาพื้นไม้แข็งๆ ผ้าห่มผืนบางที่หาได้อุ่นกายเทียบเท่าผ้าห่มผืนหนาราคาแพงที่นี่ไม่ หากแต่ความอุ่นใจนั้นสู้ผืนขาดและเก่าเป็นรูไม่ได้ นึกถึงบ้านทีไรหัวใจของเซียวโม่โฉวกลับเจ็บปวดรวดร้าวขึ้นมาแทบทุกคราพาลน้ำตาจะรินไหล อย่างไรสุดหัวใจของบุรุษหนุ่มก็ยังหลงเหลือเยื่อใยต่อบิดามารดาของตนอยู่ไม่น้อย

บุตรเช่นไรก็มิอาจตัดขาดความรักที่มีต่อบิดามารดาได้สิ้น

ก๊อก ก๊อก!

ขณะนั่งเหม่อลอยอยู่ภายในเรือนแห่งนี้ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเรียกสติให้เซียวโม่โฉวตอบรับ

“เข้ามาเถิด”เป็นสาวรับใช้ที่เข้ามาพร้อมอ่างล้างหน้ามาวางไว้ นางทำเช่นนั้นทุกเช้าและนี่ก็ย่างเข้าวันที่สามแล้ว

“ท่านตื่นเร็วเหตุใดจึงไม่เรียกใช้ข้าล่ะเจ้าคะ ข้าจะได้ยกน้ำให้ท่านได้ล้างหน้าล้างตา”

“ข้าไม่อยากรบกวนเจ้า ข้ารอได้”ดวงตากลมใสกะพริบถี่ขับไล่หยาดน้ำตาบางๆ ก่อนจะก้าวเดินมายังอ่างน้ำ วักน้ำเข้าชำระล้างใบหน้ารับผ้าสะอาดจากสาวรับใช้เข้าซับและยื่นกลับให้ ทว่าผู้ที่ต้องรับผ้าคืนกลับยืนนิ่งจดจ้องใบหน้าของเซียวโม่โฉวจนลืมตัว

“.....”

“เจ้าจ้องหน้าข้าเช่นนี้อีกแล้ว มีอะไรก็บอกข้ามาเถิด”หากแต่มิใช่วันนี้เพียงวันเดียวที่นางเป็นเช่นนี้ ถามไปก็หาได้คำตอบ เพราะนางกล่าวเพียงไม่มีอะไรเซียวโม่โฉวก็มิได้อยากคาดคั้นเอาคำตอบจากนางนัก

“ข้าคงเสียมารยาทแก่ท่าน หากแต่ข้าเพียงสังเกตว่าใบหน้าของท่านช่างงดงามเหนือบุรุษที่ข้าเคยพบเห็น แม้แต่คุณชายของบ้านก็มิได้มีหน้าตารูปโฉมงดงามเช่นท่าน”หากแต่วันนี้แปลกนัก ที่นางกลับตอบออกมาอย่างมิได้คาดคั้น

ผู้ที่ถูกกล่าวถึงหัวเราะน้อยๆ ยื่นผ้าขาวสะอาดที่ซับใบหน้าแล้วคืนให้นาง ส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวขึ้น“เจ้าไม่กลัวหรือว่าใครจะมาได้ยินเข้า อย่าได้พูดเพ้อเจ้อไปเลย เจ้ามีงานอะไรก็ไปทำเถิด ขอบใจเจ้ามา”

“ข้าไม่รู้หรอกว่าเหตุใดท่านเสนาบดีจึงมีคำสั่งมิให้ท่านออกไปยังที่ใดนอกเรือนแห่งนี้ แต่ข้าก็หวังให้ท่านเป็นอิสระในเร็ววัน”
เซียวโม่โฉวเพียงยิ้ม มองนางที่เดินออกไปพร้อมกล่าวคำอวยพรให้แก่เขา ใช่แล้วนับแต่วันที่ได้เจอกับเจ้าของบ้านแห่งนี้อิสระของเซียวโม่โฉวก็ถูกลิดรอนไป เป็นดั่งนกน้อยในกรงทองที่มิรู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นในภายภาคหน้า เพียงมีคำสั่งให้รอเขาก็จะต้องรออยู่ในที่กว้างขวางงดงามแห่งนี้ทว่าช่างเงียบงันเสียเหลือเกิน

ข้ามิได้ต่างไปจากนักโทษที่ถูกจองจำเลยแม้แต่น้อย พวกเขากล่าวเพียงว่าข้าเป็นผู้ที่ถูกเลือกให้เข้าร่วมพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ข้าก็มิได้รับรู้สิ่งใดเลย

มีเพียงดวงตาเศร้าสร้อยที่สามารถจ้องมองไปยังนอกหน้าต่างได้อย่างเป็นอิสระ มองไปยังหมู่เมฆที่เคลื่อนคล้อย อีกทั้งกิ่งหลิวที่พลิ้วไหวไปตามแรงลม ช่างเป็นภาพที่งดงามระคนหดหู่ใจในคราเดียว พลันบรรยากาศที่เงียบเหงาก็ทำให้นึกไปถึงเรื่องราวเมื่อหลายวันที่ผ่านมา ราตรีที่พานพบกับสัตว์อสูรที่ฝากความเจ็บปวดทว่าหาได้ทิ้งร่องรอยใดราวกับเพียงภาพฝัน รูปร่างหน้าตาที่แสนดุดันน่าเกรงกลัวของอสูรตนนั้นยังคงติดตรึงในแววตาของเซียวโม่โฉวมิได้เลือนรางแม้จะอยู่ในความมืดก็ตาม

ดวงตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นราวกับดึงดูดใจของบุรุษหนุ่มยิ่งนัก แม้จะสั่นกลัวด้วยรังสีอำมหิตและจิตสังหารที่รุนแรงทว่ากลับมีบางอย่างราวกับสายใยบางๆ ที่ตรึงใจมิให้ลืมเลือนได้

น่าแปลกนัก เหตุใดข้าจึงต้องครุ่นคิดถึงเรื่องอสูรตนนั้นให้ว้าวุ่นใจด้วย เซียวโม่โฉวยามนี้เจ้าควรจะจดจ่ออยู่กับความเป็นจริงตรงหน้าต่างหากคือสิ่งที่เจ้าพึงกระทำ ทดแทนบุญคุณท่านพ่อท่านแม่อย่างไรเล่า

ขณะนั่งนิ่งปล่อยให้จิตใจลอยล่องอยู่นั้น เสียงๆ หนึ่งที่ดังราวกับมีใครขยับฝากาน้ำชาก็ดังขึ้น ใบหน้าที่เหม่อลอยเบิกตาโพลงหันขวับไปตามเสียงพลันเห็นกระต่ายสีขาวตัวหนึ่งกำลังพยายามใช้อุ้งมือปุกปุยตะกุยเขี่ยฝากาน้ำชาให้เปิดออก เซียวโม่โฉวเห็นเช่นนั้นจึงนึกแปลกใจไม่น้อยที่จู่ๆ ก็มีกระต่ายมาโผล่กลางเรือนได้อย่างน่าประหลาดเช่นนี้ จะทำเช่นไรได้นอกเสียจากเดินย่องไปอย่างช้าๆ มองดูว่าใช่ตาฝาดไปเองหรือไม่

“เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกันเจ้ากระต่ายน้อย...”เซียวโม่โฉวพึมพำก้มตัวลงจ้องมองเจ้ากระต่ายขาวตัวนั้นอย่างฉงน ทว่าจู่ๆ กระต่ายตัวสีขาวตรงหน้าขนาดเท่ากำมือก็หันหน้ามา ดวงตากลมโตนั้นจ้องมองเซียวโม่โฉวนิ่งค้างราวกับแข็งทื่อไปแล้ว

“ข้าทำให้เจ้าตกใจตายหรือเปล่า”ผู้ใดก็กล่าวว่ากระต่ายมักจะตกใจง่ายนั่นอาจเป็นสาเหตุให้เจ้ากระต่ายตรงหน้าของบุรุษหนุ่มหยุดหายใจในทันทีที่เห็นตนก็เป็นไปได้

“เจ้ามองเห็นข้าเช่นนั้นหรือ?”

!!!

“จะเจ้าพูดได้!”ใบหน้าที่หาได้มีสีสันใดๆ อยู่แล้วกลับซีดเซียวขึ้นทันที ดวงตาที่เบิกโพลงสั่นไหวตื่นตกใจกับสิ่งที่ได้เห็นได้ยิน

“แน่นอนว่าข้าพูดได้ ข้าหิวน้ำเปิดมันให้หน่อย”เซียวโม่โฉวคงยังไม่ชินกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่ สิ่งที่กระต่ายตรงหน้าร้องขอจึงไม่อาจปฏิบัติให้ได้

“นะนี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดข้าถึงเจอเรื่องประหลาดเช่นนี้บ่อยนัก”ดวงตากลมใสใบหน้าซีดเซียวยังคงไม่เชื่อในสติของตนเองพลางหยิกแขนตนเองไปหลายคราก็หาได้ฝัน มีแต่ก้าวเดินถอยหลังออกจากปัญหาตรงหน้าเพราะไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร กระนั้นเจ้าทู่จึตรงหน้าก็หาได้สนใจว่าผู้ใดจะกลัวจนหรือไม่จึงได้กระโจนเข้าหาเซียวโม่โฉวพลันร่างปุกปุยที่ห่อหุ้มด้วยขนนุ่มสีขาวพลันแปลงกายงอกแขนงอกขาออกเป็นเด็กชายวัย 3 ขวบที่หล่นตุ๊บใส่เซียวโม่โฉวจนล้มหงายหลังตึงลงกับพื้น

“หากเจ้าไม่ให้ความร่วมมือ ข้าจัดการเองก็ได้”

“ข้าคงเป็นบ้าไปแล้ว”เซียวโม่โฉวส่ายหน้าให้กับตัวเองและภาพเบื้องหน้า ร่างเด็กน้อยที่ปีนป่ายอยู่บนตัวของตนเองกำลังตะเกียกตะกายปีนขึ้นไปบนโต๊ะ มือเล็กจับคว้ากาน้ำชาร้อนฉ่าขึ้นหมายจะกรอกลงปาก เซียวโม่โฉวมิได้คำนึงว่าสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าหาใช่มนุษย์ หากแต่คิดเพียงการกระทำนั้นโง่เขลาจะเอาน้ำร้อนเช่นนั้นกรอกลงปากได้อย่างไร ร่างกายจึงขยับไปอย่างรวดเร็วคว้าแย่งกาน้ำชาร้อนออกจากมือทู่จึตนนั้นจนพลาดตกลงพื้นแตกกระจาย มิหนำซ้ำน้ำร้อนยังลวกมือของเซียวโม่โฉวไปด้วย

เพล้ง!

“โอ๊ย!”

“โอ๊ะโอ ข้ามิได้ทำอันใดเลยนะ”เจ้าปีศาจทู่จึน้อยยืนนิ่งค้างมองดูสีหน้าปวดแสบปวดร้อนของเซียวโม่โฉวดวงตากลมใสแก้มขาวป่องฮุบอากาศเข้าเต็มแก้มแววตาไร้เดียงสาอย่างแสแสร้งจนน่าจับมาเฆี่ยนให้ก้นลาย ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูเข้ามาอย่างกะทันหันทำเอาหนึ่งบุรุษกับอีกหนึ่งปีศาจหันไปมองยังบานประตูกันเป็นตาเดียว

“เกิดอะไรขึ้นกับท่านหรือไม่ ข้าได้ยินเสียง.....เอ๊ะ! ท่านโดนน้ำร้อนลวก?”

เซียวโม่โฉวไม่รู้จะแสดงสีหน้าอย่างไรดี ตกใจก็ตกใจปวดแสบปวดร้อนก็ร่วมด้วย ไม่รู้ว่าผู้คนตรงหน้ามองเห็นทู่จึตัวปัญหาที่ยืนอล่างฉ่างไม่ใส่เสื้อผ่าอยู่บนโต๊ะตัวกลมกลางเรือนหรือไม่

“จะเจ้า เจ้าเห็นอะไรหรือไม่”ใบหน้าสวยที่ซีดเซียวเหงื่อตกถามไถ่อย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง

“ข้าก็เห็นน่ะสิ เห็นว่ามือท่านโดนน้ำร้อนลวก ท่านอยู่ตรงนี้อย่าไปไหนข้าจะเอายามาให้”เซียวโม่โฉวมองหญิงสาวรับใช้ที่วิ่งออกไปสลับกับเจ้าเด็กล่อนจ้อนที่กำลังกระโดดลงมาจากโต๊ะสาวเท้าเข้ามาหาเขาอย่างฉงน ในหัวครุ่นคิดเรื่องราวเสียจนยุ่งเหยิงจนแทบระเบิด

“ยะอย่าเข้ามานะ จะเจ้าเป็นใครออกไปให้พ้น!”นัยน์ตาที่สั่นเครือขยับดันตัวหนีถอยกรูดไปตามพื้นอย่างผวา ไม่รู้ว่าจะเรียกสิ่งที่ตนมองเห็นตรงหน้าซึ่งผู้อื่นมองไม่เห็นว่าอย่างไร

“ข้าเหรอ? ทู่จึน่ะ นั่นชื่อข้าเอง อ้อจริงสิ แผลนั้นอย่าไปบอกใครเชียวว่าข้าเป็นคนทำ อา....แต่เจ้าเองต่างหากไม่รู้จักระวังน่ะ”ทู่จึที่แปลงกลายเป็นเด็กหากแต่เก็บหูไม่หมดยืนบิดไปมาเหมือนจะรู้สึกผิด ใบหูยาวเล็กๆ ลู่ไปด้านหลังก่อนจะกลับมาตั้งตรงอีกครั้งเมื่อหันไปมองเห็นผลองุ่นสุกหวานที่วางอยู่ตรงริมหน้าต่าง

“ข้ากินมันได้ใช่มั้ย?”

“ยะหยุดเดี๋ยวนี้นะ เหตุใดผู้อื่นถึงมองไม่เห็นเจ้า แล้วทำไมข้าถึงมองเห็นเจ้ากัน”

“นั่นนะเหรอ.....ก็เพราะว่าเวลาของเจ้า.....”

“ข้ามาแล้ว!”ไม่ทันที่ทู่จึตัวป่วนที่จู่ๆ ก็ปรากฏกายมาต่อหน้าเขาจะกล่าวสิ่งใด ประตูก็เปิดเข้ามาอีกครานำพาหญิงสาวที่รับใช้อยู่เรือนแห่งนี้เข้ามาพร้อมกับขวดยาในมือท่าทีรีบร้อน เซียวโม่โฉวก็มิทันได้จับใจความว่าทู่จึพูดเรื่องใด เป็นอันต้องหยุดชะงัก ก่อนที่เจ้าตัวปัญหาที่หายวับไปกับตา

“เจ้าจะไปไหน!”เสียงที่เปล่งออกมาจากปากของเซียวโม่โฉวดังขึ้น

“เอ๊ะ ท่านหมายถึงข้าหรือ?”หญิงสาวตรงหน้าเงยหน้าขึ้นใคร่สงสัยว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้าสนทนากับนางหรือว่าอย่างไร เพราะเห็นกันอยู่ว่านางมิได้ไปที่แห่งใด ซ้ำยังอยู่เบื้องหน้าเสียด้วยซ้ำ

“ปะเปล่า ไม่มีอะไร”

“ท่านดูหน้าซีด ให้ข้ารายงานพ่อบ้านเสินหรือไม่ว่าท่านกำลังป่วย”

“อย่าเดือดร้อนเลย ข้ามิได้ป่วยอะไรแผลเล็กน้อยข้าจัดการเองเจ้าออกไปก่อนเถิด”ร่างเล็กกระวีกระวาดลุกขึ้นพร้อมกับเชิญผู้คนออกจากเรือนพลันปิดประตูหอบหายใจถี่หัวใจเต้นแรงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

ข้าเสียสติไปแล้ว หรือหัวของข้ากำลังมีปัญหากันแน่ ความคิดราวกับผู้ที่มีจิตวิปริตกล่าวต่อตนเอง

ใบหน้าสวยได้รูปยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อทว่ากลับสะดุ้งโหยงเพราะความปวดแสบปวดร้อนบนหลังมือยังมิทันจาง ลมเย็นๆ ถูกเป่าผ่านริมฝีปากไปยังหลังมือที่แดงขึ้นราวกับจะบรรเทาความเจ็บด้วยตนเอง แก้มป่องๆ ฮุ๊บลมเข้าปากเป่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ครู่ใหญ่ แล้วเขยิบอย่างผวาไปคว้าขวดยาที่วางไว้ตรงพื้นขึ้นมาแล้วเข้าชิดมุมดูแลตนเองอย่างระมัดระวังดังเดิม

“ตอนนี้เจ้าได้ยินข้าหรือไม่ หากเจ้าและข้าไม่มีอันใดพันผูกต่อกันก็จงอย่าได้มารบกวนข้าอีก หากไม่เช่นนั้นล่ะก็ข้าจะนำเรื่องนี้ไปบอกแก่เจ้าของบ้านให้จัดการเจ้าซะ”

ฟึบ!

“จัดการข้าเหยอ? ไม่เอานา...ข้าออกจาน่าล๊าก”

“เจ้า!!!”เสียงเรียกขานแทบจะกลายเป็นเสียงหวีดร้อง เมื่อทู่จึปรากฏกายขึ้นตรงหน้าของเซียวโม่โฉว มิหนำซ้ำยังเคี้ยวองุ่นอยู่เต็มปากเล็กๆ นั่นด้วยแววตาไร้เดียงสาเสียจนทุบตีไม่ลง ถึงอย่างไรก็มิได้ทำให้ความตกใจกลัวของผู้ที่ตั้งรับเรื่องแปลกประหลาดเหล่านี้ทานทนได้เสียทีเดียว

“ทู่จึ ทู่จึ ทู่จึ! เรียกชื่อข้าซะทีสิเจ้ามนุษย์ผู้โง่เขลา!”

“…..”

“ชิ ข้าจะยอมเล่นด้วยกับเจ้าเพราะเห็นว่าเจ้าน่าสงสารก็ได้”แขนป้อมเล็กๆ นั้นกอดอกทำท่าทีฟึดฟัดใส่เซียวโม่โฉวเสียใหญ่โต

“…..”

“เหตุใดยังไม่เรียกชื่อข้าอีกเจ้ามนุษย์หน้าโง่!”

“เจ้า! เจ้าไม่ได้น่ารักเลยสักนิด!”น้ำเสียงกัดฟันกรอดด้วยความอดทนต่อเจ้าปีศาจตรงหน้า บัดนี้ดูท่าความหวาดกลัวหาใช่เรื่องที่เซียวโม่โฉวผู้นี้จะต้องมารู้สึกกับเจ้าปีศาจทู่จึตนนี้อีกต่อไปแล้ว ควรค่าที่จะรู้สึกเกรี้ยวกราดใส่เสียมากกว่าถึงจะเหมาะ




   ครั้นถึงยามอิ่วทิวาเคลื่อนลาลับขอบฟ้าหมูวิหคคืนรัง ความมืดมิดเริ่มปรากฏ เงาไม้ไหวที่อิงแอบเอาผนังเรือนที่เงียบเหงาไหวเอนเป็นเงาไปตามแรงลมที่พักโบก บุรุษหนุ่มผู้ห่มกายตนเองด้วยแขนสองข้างพิงหลังเข้ากับมุมมุมหนึ่งของเรือนที่กว้างขวาง ศีรษะที่พับเอนซบกับท่อนแขนเล็กซึ่งกอดเข่าเอาไว้คล้ายเผลอหลับไป รอยแดงที่เคยปรากฏจากร่องรอยของน้ำร้อนลวกเลือนหายราวกับอันตรธานอย่างน่าแปลกใจ

   แสงที่เลือนหายแทนที่ด้วยความมืดที่คืบคลานหาได้มีดวงตะเกียงนำแสงสว่างให้กระจ่างภายในเรือน อีกฟากหนึ่งของจวนกลับส่องสว่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือนหลักของผู้เป็นเจ้าของบ้าน ยามนี้ภายในห้องหับเข้าไปลึกด้านในสุดของเรือนหลักกลับมีผู้คนนั่งล้อมโต๊ะปรึกษาหารือราวกับเป็นราชการลับโดยมีสุราอาหารวางอยู่มากมายเป็นกับแกล้มชั้นดี เจ้าของเรือนผู้เป็นเสนาบดีชั้นสูงนามว่าฉีเหยียนกระดกสุราหนึ่งจอกวางแนบกับโต๊ะด้วยท่าทีผ่อนคลาย ก่อนกล่าวต่อเหล่าขุนนางผู้ต่ำชั้นกว่าที่อาศัยอำนาจตนเป็นใบบุญ

“พิธีการอันศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า ข้าทูลเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้ให้ทรงทราบแล้วทั้งยังให้ข้าเร่งจัดการในเรื่องต่างๆ ด้วยตนเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนข้าจึงได้เรียกพวกท่านมาเพื่อการนี้”

“แน่นอนว่าเรื่องนี้พวกข้าจะให้ความร่วมมือเป็นการสำคัญ ยิ่งชักช้าเท่าไหร่ก็ยิ่งรังแต่จะสั่นคลอนต่อราชบัลลังก์มากเท่านั้น นับตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ซีหมิงตระกูลฉีก็นับเป็นที่ไว้วางใจต่อราชสำนักมาตลอดเรื่องเหล่านี้จึงถูกต้องแล้วที่ท่านเสนาบดีจะเป็นผู้จัดการ”หนึ่งในขุนนางทั้งสามเอ่ยกล่าวชื่นชมผู้มีอำนาจ

“ภัยแล้งนับเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก ข้านึกไม่ถึงว่าการจัดพิธีขอฝนจะมิได้ผลอย่างที่ควรจะเป็น เหล่าราษฎรต่างรอคอยก็ยังมิได้เห็นประจักษ์ถึงอำนาจของโอรสสวรรค์ หากจะให้นิ่งนอนใจก็คงไม่ส่งผลดีเป็นแน่ วันใดกลุ่มคนที่มิพอใจตั้งตนเป็นกบฏสร้างรอยร้าวให้กับราชวงศ์ต่อราษฎร อีกทั้งอาจยกอ้างเอาเรื่องอัปมงคลให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียเกียรติ ความสั่นคลอนคงทำให้ฮ่องเต้จิ้นหวางมีภัยเป็นแน่”ฉีเหยียนกล่าวขึ้นกลางวงสนทนานึกกังวล

เพราะนับตั้งแต่พิธีการขอฝนของจิ้นหวางฮ่องเต้ก็ล่วงเลยมาถึงหนึ่งเดือนแล้ว ภัยแล้งที่ยังคงคุกคามก็หาได้มีทีท่าว่าจะยุติลงแต่อย่างใด ครั้นนานไปผู้คนคนจึงเริ่มตั้งข้อครหาตั้งแง่สงสัยในอำนาจบารมีของโอรสสวรรค์อันก่อให้เกิดความไม่วางใจต่อราษฎร ส่งผลถึงความมั่นคงในราชบัลลังก์ ทั้งนี้เมื่อมิได้ด้วยกลก็จักต้องเอาด้วยเล่ห์ ต่อให้สิ้นเสียไปสักเท่าไหร่ก็ย่อมขอแลกเพื่อการครั้งนี้

ทั้งประโยชน์ที่ได้มาซึ่งอำนาจและความไว้เนื้อเชื่อใจต่อราชสำนักเส้นทางที่จะก้าวไปสู่การอวยยศศักดิ์ในวันข้างหน้า ทั้งความหวังที่จะให้บุตรสาวได้ก้าวขึ้นเคียงคู่มังกรก็คงอยู่ไม่ไกล นั่นคือความปรารถนาส่วนลึกของฉีเหยียน

“หลังจากทำพิธีข้ามิรู้ว่าผลจะเป็นเช่นไร ทั้งข้าและพวกท่านก็ต่างทราบดีว่า พิธีการสำคัญครั้งนี้ขึ้นอยู่กับชีวิตของฮ่องเต้ คงมิลืมใช่หรือไม่ว่าหากเกิดเรื่องผิดพลาด เวทมนตร์ดำเหล่านั้นจักไม่ปรานีต่อผู้ใด แม้ราชสำนักได้ชื่อว่าเป็นชนชั้นที่มีอำนาจมากล้น ทว่ามิใช่กับหลี่รั่วถง”จินเหอผู้เป็นหนึ่งในผู้ที่เข้าพูดคุยในครั้งนี้กล่าวขึ้นสีหน้าเคร่งขรึม เตือนสติด้วยความจริงที่มิอาจแสร้งลืมเลือนได้

ความเงียบงันปรากฏอยู่ครู่หนึ่งคล้ายให้ผู้ที่รับฟังครุ่นคิด

“เป็นอย่างที่ท่านจินเหอกล่าว เวทมนตร์ดำเป็นสิ่งต้องห้ามของราชวงศ์ หากมีผู้ใดนำมาใช้จักต้องโทษประหารเจ็ดชั่วโคตร และหากมีสิ่งผิดพลาดเวทมนตร์ดำเหล่านั้นก็จักกลืนกินผู้วอนขอความปรารถนาจนสิ้นลมหายใจ”ฉีเหยียนกล่าวเรื่องน่ากลัวเหล่านั้นด้วยแววตานิ่งเรียบ สุราถูกยกขึ้นดับกระหายอีกหนึ่งจอก มิได้แตะต้องกับคาวหวานตรงหน้าแม้แต่น้อย

“ดั่งเรื่องของอดีตวู่เจิงฮ่องเต้”จินเหอหลับตารำลึกถึงประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ที่มิได้จารึก วู่เหอฮ่องเต้ที่สิ้นพระชนม์อย่างประหลาดหลังจากเข้าไปพัวพันกับมนตร์ดำด้วยเรื่องชิงอำนาจราชบัลลังก์

“ตอนนั้นกับตอนนี้ต่างกัน ข้ามั่นใจว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด อย่าได้กลัวเกรงในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง”ฉีเหยียนเปล่งเสียงกร้าวเพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนต่อเหล่าผู้ร่วมล่มหัวจมท้ายไปด้วยกันในครานี้

“พวกข้าไว้ใจท่าน และไว้ใจผู้คนที่ท่านคัดเลือกมาดีแล้ว”

“อย่าได้ห่วงเรื่องนั้น ข้ามิเคยทำสิ่งใดพลาด”

“เช่นนั้นพวกข้าก็ยิ่งวางใจ”





ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

เสียงเคาะประตูจากด้านนอก ปลุกให้เซียวโม่โฉวที่คุดคู้อยู่ในมุมห้องลืมตาตื่นขึ้น ทว่าสิ่งแรกที่กระทำมิใช่การลุกขึ้นไปเปิดประตู แต่เป็นการกวาดสายตามองไปโดยรอบแววตาหวาดหวั่นต่อสิ่งที่พบพาน เสียงย้ำเคาะประตูดังขึ้นอีกระลอกจึงทำให้ร่างของบุรุษหนุ่มขยับลุกขึ้นไปเปิดประตูออก

“ข้าจะเข้ามาจุดตะเกียงให้ ท่านไม่เป็นอะไรแล้วใช่หรือไม่”

“ข้า.....ไม่เป็นอะไรแล้ว”ดวงตาคู่สวยหลุบลงตำลอบมองหลังมือตนเองอย่างประหลาดใจเพียงครู่

ไม่เจ็บ.....นั่นคือความรู้สึกของเซียวโม่โฉว อีกทั้งรอยแดงนั่นหายไป

“ไม่ก็ดีแล้ว อีกสักครู่พ่อบ้านเสินจะมาพาท่านออกไป ท่านเตรียมตัวเถิด”เซียวโม่โฉวมองตามแผ่นหลังของสาวรับใช้ประจำเรือนแห่งนี้คิ้วขมวด

“พาข้าไปที่ใด?”

“ข้าไม่รู้”นั่นคือคำตอบที่ได้ นางพยายามยิ้มหากแต่เป็นเพียงยิ้มที่ฝืดนัก คล้ายมองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตาสงสาร

“ขอบใจเจ้ามาก”หลังจากประตูปิดลง ผู้ที่ยืนมองบานประตูนิ่งค้างไม่ขยับเขยื้อนร่างกายใดๆ ราวกับอยากจะก้าวตามเดินออกไปแต่กลับทำไม่ได้ เส้นบางที่ขัดกันอยู่ในจิตใจว่าหากเหยียบย่างออกไปนั้นก็ราวกับอกตัญญู

เพียงไม่นานบานประตูก็เปิดออกอีกครั้ง ทว่าหาได้มีเสียงเคาะนำเรียกขานใดๆ ไม่ ผู้ที่เดินเข้ามาเป็นพ่อบ้านเสินและบ่าวรับใช้อีกสองที่เดินตามมาด้านหลัง คนผู้หนึ่งในมือถือถาดไม่สลักลวดลายสวยงามบรรจุเสื้อผ้าสีขาวสะอาดพับไว้เรียบร้อยอย่างประณีต อีกหนึ่งคนถือกล่องไม้สีดำขนาดไม่ใหญ่มากก้มหน้าก้มตานิ่งสงบ

“ข้ามารับท่านไปชำระร่างกาย”เซียวโม่โฉวผุดลุกขึ้นกะทันหันร่างกายไหวเอนเซไปเล็กน้อย มองผู้มาเยือนแวตาฉงน

“ชำระร่างกาย?”

“รับสิ่งนั้นแล้วเปลี่ยนชุดตามข้ามาเถิด”พ่อบ้านเสินให้บ่าวรับใช้ยกเสื้อผ้าสีขาวสะอาดสะอ้านไปให้ เซียวโม่โฉวเอื้อมมือไปรับ มองดูสิ่งของที่ได้รับครั้นยกมือขึ้นลูบเนื้อผ้าที่นุ่มสะอาดราวกับมิเคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิต
“ให้ข้าใส่ชุดนี้เช่นนั้นหรือ”

“ข้าจะรอท่านอยู่ตรงนี้”ชัดเจนว่าผู้คนตรงหน้าต้องการให้เซียวโม่โฉวปฏิบัติตามแต่โดยดี บุรุษหนุ่มจึงหลบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ด้านหลังอย่างไม่ปริปากแย้ง เนื้อผ้าสีขาวสะอาดดูสว่างตาประดับบนเรือนกายของบุรุษหนุ่มแล้วช่างเป็นความเรียบง่ายที่ดูสง่าผ่าเผย เนื้อผ้าสีขาวช่างเหมาะสมกับร่างกายที่ได้สัดส่วนไม่ค่อนไปทางบุรุษมากนัก เสื้อป้ายด้านในที่แยกออกเล็กน้อยดูน่าหลงใหล ช่วงเอวถูกคาดทับด้วยสายคาดเอวที่เย็บขึ้นจากผ้าสีดำประณีตผูกแน่นด้วยความคุ้นชิน ครั้นแต่งกายเสร็จจึงเดินออกมาสร้างความพึงพอใจต่อผู้พบเห็น ผมยาวที่สยายอยู่เบื้องหลังแม้จะมิได้เป็นระเบียบก็หาได้ดูยุ่งเหยิงทว่ากับชวนมองดึงดูดสายตายิ่งนัก

“ข้าพร้อมแล้ว”น้ำเสียงเรียบเอ่ยขึ้นท่ามกลางแสงสว่างที่สะท้อนออกมาจากตะเกียงหลายดวงที่ถูกจุดขึ้นภายในห้อง พ่อบ้านเสินพยักหน้ารับยิ้มให้

“เช่นนั้นเชิญท่านตามข้ามาเถิด”

ระหว่างที่เดินตามไกลออกไปจากเรือนที่ตนอยู่ในใจของบุรุษหนุ่มกลับยิ่งรู้สึกประหวั่น มือขาวที่เย็นเยียบกำแน่นจนสั่นไหว ดวงตาคู่สวยหรี่ลงลงพื้นคิ้วขมวดมุ่นคิดเรื่องต่างๆ นานาไม่รู้โชคชะตาของตนเองแม้แต่น้อย

ครั้นไม่นานเมื่อเดินผ่านเรือนต่างๆ เลียบสวนดอกไม้ข้ามสะพานสระบัวไปไม่กี่อึกใจเบื้องหน้ากลิ่นหอมอ่อนๆ ของบุปผาที่กำจายอยู่โดยรอบก็ดึงความสนใจให้แก่เซียวโม่โฉวไม่น้อย บุรุษหนุ่มถูกนำไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งไกลลับผู้คนออกมา บริเวณโดยรอบปลูกต้นท้อไว้ซึ่งบัดนี้กำลังออกดอกบานสะพรั่งจนมิสามารถละสายตาไปจากความงามนั้นได้ ท่ามกลางดอกท้อที่เบ่งบานโดยรอบกลับมีสระน้ำขนาดย่อม

ไอสีขาวที่ลอยกรุ่นขึ้นเหนือผิวน้ำด้านบนดึงดูดความสงสัยให้ไม่ต่างจากวิสัยทัศน์โดยรอบ เซียวโม่โฉวก้าวเดินไปสำรวจสถานที่เบื้องหน้าอย่างไม่ทันรู้ตัว พลางก้มลงเก็บกลีบดอกท้อสีชมพูที่แสนจะบอบบางขึ้นสัมผัสแววตาพราวระยับไม่ต่างจากเงาจันทร์เต็มดวงที่สะท้อนไหวที่บนผิวน้ำ

หากเป็นความฝันคงจะมิได้เหมือนจริงเช่นนี้นัก ความคิดขบขันเล็กน้อยเผยรอยยิ้มที่กระตุกขึ้นตรงมุมปากเล็กเพียงเล็กน้อย

“ที่นี่คือสถานที่ที่ชำระล้างร่างกายของท่าน ข้าให้คนตระเตรียมไว้หมดแล้วเชิญท่านลงสระเถิด”

“เอ๊ะ! ให้ข้าลงสระน้ำที่นี่เวลานี้น่ะเหรอ?”

“ใช่แล้ว นับจากวันนี้ท่านจะต้องมาชำระล้างร่างกายที่นี่ทุกค่ำคืน ทั้ง 3 วันวันละครึ่งชั่วยามอย่าได้ขาดเหลือก่อนพิธีกรรมจะเริ่มขึ้น”ครั้นพ่อบ้านเสินพูดกล่าวก็พยักพเยิดใบหน้าให้บ่าวรับใช้ที่ถือกล่องไม้นำของบางอย่างที่อยู่ด้านในเปิดออก เป็นขวดแก้วสีขาวใสที่บรรจุของเหลวบางอย่างกำลังถูกเทราดลงไปในสระน้ำขนาดย่อมส่งกลิ่นหอมคล้ายดั่งสมุนไพรอบอวลไปทั่ว

“แต่ว่า.....”

“ข้าจะให้ผู้คนรออยู่ด้านนอก เชิญ”แม้ใบหน้าที่มิได้ขู่เข็ญหากแต่สายตาที่กร้าวขึ้นก็ไม่สามารถปฏิเสธคำเชิญเหล่านั้นได้ เท้าข้างหนึ่งของเซียวโม่โฉวจำต้องค่อยๆ เหยียบลงบนผืนน้ำที่หาได้เย็นเยียบทว่ากลับอุ่นขึ้นอย่างประหลาด ก่อนจะค่อยๆ ก้าวขาลงช้าๆ อีกข้างจมท่อนหนึ่งของร่างกายลงไปในน้ำอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ เมื่อพ่อบ้านเสินเห็นว่าผู้ถูกควบคุมอยู่ในโอวาทก็เพียงพยักหน้าเล็กน้อยส่งผู้คนออกไปก่อนจะหันหลังเดินออกไปเช่นกัน

ร่างบางทว่ายังพอมีกล้ามเนื้ออยู่บ้างค่อยๆ กดตัวจมลงในน้ำอุ่นให้อยู่ในระดับอกพลางสูดเอากลิ่นหอมที่ราวกับกำซาบไปถึงจิตใจหลับตานิ่งสงบเพียงครู่ พลันพรูลมหายใจออกมาแทนความรู้สึกทั้งหมดในยามนี้

พวกเขาเอาแต่พร่ำพูดถึงเรื่องพิธีกรรมหากแต่มิเคยบอกกล่าวต่อข้าว่าด้วยเรื่องใด ข้าต้องเป็นผู้ที่หลับหูหลับตาไม่รู้เรื่องราวเช่นนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน

ใบหน้าขาวที่แดงระเรื่อด้วยความอุ่นของน้ำก้มหน้ามองเงาตนเองที่กระเพื่อมไหวอยู่บนผิวน้ำ ก่อนจะเงยหน้าพร้อมดวงตาคู่สวยเชิดปลายจมูกรั้นสัมผัสกับอากาศที่มิได้อุ่นเฉกเช่นน้ำในสระ ก็พาลทำให้อยากจะจมศีรษะลงไปในก้นสระเสียให้รู้แล้วรู้รอด หากไม่ติดว่ามีห่วงที่จับมาคล้องคอด้วยตนเองถึงสามชีวิตก็คงไม่ไยดีคิดมากอยู่เช่นนี้ไม่

วูบบบบ!

ครู่หนึ่งขณะที่เซียวโม่โฉวกำลังนิ่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ลมที่เย็นยะเยือกก็พัดหอบเอากลีบดอกท้อปลิ้วว่อนไปในอากาศภาพเบื้องหน้างดงามทว่าหากไม่เกิดความผิดปกติบางอย่างกับร่างกายคงได้ชื่นชม หากแต่ยามนี้จู่ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดบริเวณลำคอขาวที่หวนให้นึกถึงค่ำคืนที่ได้พบพานสัวต์อสูรก็ฉายชัดให้ระลึกขึ้น

“ฮึก! คอของข้า”ความเจ็บปวดพลันพาเอาน้ำตาไหลริน ประจวบเหมาะกับเสียงการเคลื่อนไหวบางอย่างที่ดังขึ้นราวกับมีผู้คนลอบเข้ามาทำให้เซียวโม่โฉวผุดลุกขึ้นยืนไปยังขอบตื่นบริเวณสระกวาดดวงตามองโดยรอบอย่างระแวดระวัง
อาภรณ์ที่เปียกปอนเรียบลู่ไปกับผิวเนื้อหากมิใช่เพราะความสลัวที่บดบังทุกอย่างให้พร่าเลือนก็คงจะมองเห็นผิวขาวที่เปียกชื้นและสัดส่วนเว้าโค้งที่กำลังสั่นไหวเสียจนหมดสิ้น
 
“นั่นใครอยู่ตรงนั้น!”

เสียงเรียกมุ่งมองไปยังทิศทางที่ไร้การตอบรับแววตาขลาดกลัว ทว่าไม่ผิดไปจากที่คิดบุรุษหนุ่มคิด เพราะมีบางสิ่งบางอย่างกำลังจ้องมองมายังร่างกายที่เปียกปอนหากแต่เร้นกายไม่เปิดเผยตัวตน








ตอนติดตามตอนต่อไป >>>




ขอบคุณนักอ่านที่เป็นหูเป็นตาให้ค่ะ คำผิดเพราะสะเพร่าเองโดยแท้ :z3:
ยังไงก็ฝากตอนต่อไปด้วยนะคะ
เม้น ติชม เป็นกำลังใจ ยินดีรับเสมอค่ะ เพราะขาดแคลน :hao5:



ด้วยรัก
หลานฮวา

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ kakilover

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เพิ่งเจ้าอ่าน  :hao4: สนุกมากและจะรอติดตามตอนต่อ ๆ ไปนะ o13 :bye2:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4

บทที่ 3
บุรุษผู้ถูกลิขิตชะตา
[50%]


แม้เสียงเรียกจะดังขึ้นชัดเจนถึงสามครั้งสามครา ทว่าร่างสูงสง่าที่ยืนนิ่งบนกิ่งท้อใช้ลำต้นพิงไหล่ก็หาได้สนใจที่จะปรากฏกายออกไปไม่ รอยยิ้มหยักกระตุกขึ้นคิ้วเรียวราวกับกระบี่ตวัดเฉียงรับกับใบหน้าคมคายแววตาดุดันและเจ้าเล่ห์ได้อย่างไร้ที่ติ ลำแขนที่ยกขึ้นกอดอกคลายออก ดวงตาคู่สีดำนิลก็ยังคงจดจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างละสายตาไปไม่ได้

พริบตาเดียวจากร่างกายสูงใหญ่ที่ยืนอยู่บนกิ่งท้อกลับกระโดดลงมาเพียงครู่วางเท้าเบาหวิวลงกับพื้นแล้วก้าวไปเบื้องหน้าสองก้าวพ้นอาณาบริเวณที่เป็นมุมลับสายตาทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สามารถมองเห็นได้

“ในที่สุดข้าก็เจอเจ้า แม้ผ่านไปกี่พันปีก็ยังงดงามไม่เปลี่ยน หึ!”ยิ้มร้ายปรากฏทว่ากลับเพียงเอ่ยขึ้นเช่นนั้นมิได้ลงมือกระทำเรื่องใดบุ่มบ่าม เพียงจ้องมองร่างขาวที่ส่งสายตาหวาดหวั่นกวาดสายตามองไปเรื่อย

ครู่หนึ่งที่ผู้บุกรุกลอบสังเกตเห็นทำเอาไม่พอใจก็เห็นทีจะเป็นร่องรอยสัญลักษณ์ที่หลี่รั่วถงได้ทิ้งเอาไว้บนกายบุรุษตรงหน้า ใบหน้าที่ยิ้มย่องกลับต้องถมึงทึงแววตาแสดงความฉุนเฉียวออกมาเสียแทน

“หลี่รั่วถง ข้าจูเกิงเฉินผู้นี้ไม่มีทางจะเป็นรองเจ้าอีกแน่ เตรียมตัวเตรียมใจไว้เถิด!”น้ำเสียงกร้าวเอ่ยลอดผ่านไรฟันอย่างเข่นเขี้ยวก่อนจะหายตัวไปในชั่วพริบตาหอบเอาลมแห่งความคุกรุ่นติดกายไปด้วย

ลมวูบใหญ่พัดหอบเอากลีบดอกท้อปลิวว่อนไปในอากาศ เซียวโม่โฉวได้แต่เพียงพินิจพิศมองในความมืดสลัว ครั้นไม่เห็นสิ่งใดแปลกไปจึงจุ่มกายลงน้ำอีกคราหลีกหนีความหนาวเหน็บที่เกาะกินผิวเนื้อ พลันสูดลมหายใจเข้าออกวักน้ำเข้าล้างหน้าสองสามครั้งก่อนจะพิงหลังเข้ากับหินก้อนใหญ่เงยหน้าหน้ามองดูดวงจันทราที่เด่นสง่าชวนมอง มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบสัมผัสลำคอขาวที่หาได้มองเห็นว่ามีสิ่งใดปรากฏขึ้นในขณะนั้นด้วยจิตใจที่เหม่อลอย

“ข้ามาทำสิ่งใดที่นี่กัน....หึ”ถอยคำที่พึมพำออกจากปากตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะให้กับตัวเองหาใช่ความขบขันแต่อย่างใด



   วันนี้หากจะกล่าวว่าไม่สงบเท่ากับสองวันก่อนก็คงจะว่าได้ เป็นอีกครั้งที่เซียวโม่โฉวได้เยื้องย่างออกจากเรือนที่ตนอยู่นอกเสียจากไปยังสระชำระร่างกายมาสองราตรีแล้ว คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายก่อนพิธีการจะเริ่มขึ้น ทว่าวันนี้กลับมีคำสั่งจากฉีเหยียนให้นำเซียวโม่โฉวไปยังห้องตัดเย็บ ศีรษะที่ผงกให้กับผู้คนตลอดทางด้วยความนอบน้อมแทบทำเอาบุรุษหนุ่มวิงเวียนไม่น้อย หากแต่ไม่มีอะไรที่แปลกใจได้เท่ากับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่หยิบยื่นให้ลองสวมใส่ซึ่งถูกเย็บขึ้นอย่างประณีตด้วยช่างฝีมือดีแห่งบ้านฉี พ่อบ้านเสินพยักหน้าให้บุรุษหนุ่มรับไว้ แน่นอนว่าเซียวโม่โฉวไม่อาจปฏิเสธน้ำใจฝืนบังคับได้

เขาให้ทำอย่างไรตนก็จะต้องทำเช่นนั้นไฉนเลยจะมีปากเสียงไปคัดค้านสิ่งใดได้

“งดงามนักเจ้าค่ะ”หญิงสาวนางหนึ่งที่ทำงานอยู่ในห้องตัดเย็บจัดแจงสวมทับเสื้อคลุมยาวขาวดุจไข่มุกชิ้นสุดท้ายให้แก่เซียวโม่โฉว สีขาวบริสุทธิ์ขับให้ผิวพรรณของบุรุษที่ผ่านการดูแลมาไม่น้อยในช่วงสามสี่วันนี้ดูผ่องใสขึ้น กล่าวเสร็จนางจึงค้อมตัวเอ่ยขึ้นกับพ่อบ้านเสินที่ทำหน้าที่ของตนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง“เหมาะกับคุณชายผู้นี้นัก”

“ทำงานได้ดี ไม่ผิดที่นายท่านไว้ใจเจ้า”

“ขอบคุณพ่อบ้านเสิน หากมิใช่คุณชายผู้นี้ที่สวมใส่ก็หาได้งดงามถึงเพียงนี้ เสื้อผ้าอาภรณ์ทุกชิ้นล้วนตัดเย็บขึ้นตามลักษณะบุคคล ข้าเพียงทำหน้าที่ของข้าเท่านั้น”

“เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าชอบมันหรือไม่”พ่อบ้านเสินเห็นว่าผู้ที่ถูกจับสวมเสื้อผ้าแข็งทื่อราวกับหุ่นไม้จึงเอ่ยถามไถ่ขึ้นพลางลอบสังเกตสีหน้าไปด้วย

“ข้ามิเคยได้สวมใส่เสื้อผ้าตัดเย็บที่งดงามเช่นนี้ หากผู้มองดูพึงพอใจข้าก็มิได้คิดแย้ง หากแต่.....ข้าต้องรับสิ่งนี้ด้วยเหตุผลใดหรือพ่อบ้านเสิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่”ดวงตาคู่สวยก้มมองสิ่งที่ตนเองสวมใส่อย่างไม่เข้าใจนัก จึงถามไถ่ออกไป

“หลังจากที่เจ้าชำระร่างกายแล้วในราตรีนี้ ก็จงสวมใส่เสื้อผ้าชุดนี้ที่ตัดเย็บขึ้นมาเพื่อเจ้าเสีย ข้าจะให้ถิงเย่เป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยให้แก่เจ้า หลังจากนั้นจะมีผู้คนไปรับเจ้ายังเรือนเพื่อไปร่วมพิธีศักดิ์สิทธิ์ เวลานั้นเจ้าก็เตรียมตัวเสียให้พร้อมเข้าใจหรือ
ไม่”แม้น้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มหู ครั้นได้ยินเซียวโม่โฉวได้รับฟังกลับรู้สึกอื้ออึงอยู่ในอก มิรู้ว่าเพราะเหตุใดจึงรู้สึกเคว้งคว้างเช่นนั้น

“ข้าต้องไปที่ใด? ท่านพ่อกับท่านแม่เล่า จะไปกับข้าด้วยหรือไม่”แววตาใสจ้องมองผู้คนตรงหน้าคะนึงหาผู้เป็นบิดามารดาอยู่เนืองๆ ที่มิได้พบเจอกันเลยแม้แต่น้อย เช่นไรเห็นทีผู้ที่จะคร่ำครวญหาก็คงมีเพียงแต่เซียวโม่โฉวฝ่ายเดียว โดยหารู้ไหมว่านับแต่บุรุษหนุ่มก้าวเท้าออกจากบ้านไปไม่ถึงหนึ่งวัน สถานที่แห่งนั้นก็กลายเป็นร้างผู้คนอาศัย ที่ที่บุรุษหนุ่มยังคงปรารถนาจะไปเหยียบย่างและเรียกขานว่าบ้านก็หาได้เป็นเช่นนั้นแล้ว

ในเมื่อได้รับเงินทองมาเสียมากมายบ้านคับแคบเฉกเช่นรูหนู ก็หาใช่ที่อยู่ของคนที่มีอันจะกินอีกต่อไป ดังนั้นแล้วครอบครัวของเซียวโม่โฉวจึงพากันย้ายออกไปยังที่ที่เหมาะสมกว่า
 
จากคำถามที่มิได้อยากตอบให้ผู้คนตรงหน้าไม่สบายใจ พ่อบ้านเสินจึงเพียงส่ายหน้าซ่อนสายตาเวทนาต่อบุรุษตรงหน้าไว้“ไม่มีผู้ใดไปด้วยเจ้า เอาเถิดกลับไปพักผ่อน แล้วข้าจะให้คนดูแลเรื่องเวลาและลำดับขั้นตอนต่างๆ ในวันนี้ให้”

“คือว่า.....”

“เจ้ามีสิ่งใดก็พูดมาเถิด”

“ก่อนกลับเข้าเรือน ข้าอยากเดินเล่นด้านนอกสักประเดี๋ยวจะได้หรือไม่”สิ่งที่เอ่ยร้องขอแม้จะมิได้มากมายทว่ากลับเป็นสิ่งที่พ่อบ้านเสินต้องครวญคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าให้

“ข้าจะให้เวลาเจ้าเพียงครึ่งชั่วยาม”

“ขอบคุณพ่อบ้านเสิน”

อิสระเล็กๆ ที่เซียวโม่โฉวถวิลหา กลับทำให้ใบหน้าที่ราวกับหดหู่ชื่นมื่นขึ้นอีกครา แม้แต่เพียงก้าวเดียวที่ได้สัมผัสกับพื้นดินด้านนอก กระทั่งแสงแดดอ่อนๆ ที่กระทบกับผิวกายที่ขาวนวลผุดผาดก็นับว่าเป็นวาสนาของเซียวโม่โฉวในยามนี้นัก




พิภพแห่งหยิน

   ณ ลานหินขนาดย่อมอันเป็นสถานที่พักผ่อนชนจอกร่ำสุราตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศราวกับห้อมล้อมด้วยทะเลสาบสีเพลิง น้ำในทะเลสาบที่แดงฉานเฉกเช่นโลหิตราวกับโรยด้วยกลีบบุปผา ทว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่มองเห็นนั้นกลับเป็นบ่อกลืนวิญญาณที่หากมิใช่ผู้เก่งกล้าในวิชาแล้วก็หาได้กลับขึ้นมาหากพลาดท่าตกลงไป

   สองบุรุษที่นั่งสนทนาด้วยอิริยาบถผ่อนคลาย ผู้หนึ่งเป็นถึงจ้าวพิภพแห่งหยิน และอีกผู้หนึ่งเป็นถึงจ้าวพิภพแห่งหยางเจ้าของเส้นผมสีขาวผ่องสะท้อนวาวกับแสงสว่างชวนจ้องมองยิ่งนัก ทั้งนี้ยังเป็นถึงผู้ช่ำชองในเรื่องสุรารสเลิศหากจะกล่าวแล้วไม่มีสุราชนิดใดที่ไม่เคยผ่านลำคอของหวางหรูอี้ หากแต่กระนั้นเขาก็มิเคยเมามายจนหาทางกลับดินแดนของตนเองไม่ได้
ครั้งนี้สหายรู้ใจอย่างหวางหรูอี้มิได้มาพิภพแห่งหยินเพียงเพื่อพบปะหลี่รั่วถง หากแต่มาสืบส่องความเป็นอยู่ของหลี่รั่วถงเสียมากกว่า จะว่าไปก็นับครั้งไม่ถ้วนแล้วที่หวางหรูอี้นำพาตนเองมายังพิภพแห่งหยินด้วยตนเอง เพราะหลี่รั่วถงยากนักที่จะเชื้อเชิญผู้ใด ราวกับจะปิดสถานที่แห่งนี้ให้มืดมิดเฉกเช่นอุปนิสัยเคร่งขรึมนั้นไปก็ว่าได้

   “เห้อ.....ข้าบอกเจ้าตั้งหลายครั้งหลายคราแล้วมิใช่หรือว่า เช่นไรเบื้องบนก็มิได้เป็นมิตรนัก อย่างเจ้าสามตาเอ้อหลางก็มิได้ต้องชะตากับเจ้าสักเท่าไหร่ หึ! ข้านึกภาพออกเลยทีเดียวว่าคนผู้นั้นร้อนรนดังไฟโลกันตร์เพียงใดที่ถูกเรียกให้ส่งเจ้ากลับมาโดยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่ามีผู้บุกรุกเป็นถึงจ้าวพิภพแห่งหยินเข้าพบอวี้หวงต้าตี้โดยพลการเช่นนั้น”เส้นผมสีขาวที่คลอเคลียอยู่ชิดกรอบหน้าได้รูปพลิ้วไหวไปมา เมื่อเจ้าของไหสุราเงยหน้าหัวเราะขบขันหยักยิ้มให้กับสหายผู้ที่นั่งเคร่งขรึมมิยอมคลายใบหน้าบึ้งตึงอยู่เบื้องหน้า

   ครั้นนึกถึงวันที่ฟ้าสะเทือนเมื่อหลี่รั่วถงบุกรุกไปถึงชั้นฟ้ามิได้ผ่านขั้นตอนตรวจสอบใดไปพบเจอกับอวี้หวงต้าตี้ถึงท้องพระโรงด้วยความกล้าแกร่งมิใช่เพียงพลังอำนาจหากแต่หยั่งรากไปถึงจิตใจบุรุษ ลึกแล้วก็ทำให้หวางหรูอี้หนาวสั่นในความใจกล้าที่มิได้มีเฉกเช่นหลี่รั่วถงไม่น้อย

   ใครเล่าจะรู้ แม้ว่าหลี่รั่วถงจะมีฐานะด้อยกว่าผู้ปกครองชั้นฟ้าที่ควบคุมกฎเกณฑ์ทุกสรรพสิ่ง หากแต่ในเรื่องสติปัญญาไหวพริบและความห้าวหาญหาได้มีผู้ใดเทียบเทียมได้

   “หากเจ้ามาเพียงเพื่อหัวเราะเยาะข้าก็กลับไปยังที่ของเจ้าได้แล้ว สิ้นเปลืองสุราของข้านัก”

   “ดูเอาเถิดว่าจ้าวพิภพแห่งหยินแล้งน้ำใจต่อสหายเช่นข้าเพียงใด ผู้คนที่หวาดกลัวเจ้าในใต้หล้ารู้เข้าคงจะขลาดกลัวในความตระหนี่เสียมากกว่าอำนาจเวทมนตร์ของเจ้าเป็นแน่”

   “ข้ามิเคยประกาศกร้าวให้ผู้ใดเกรงกลัวข้า หากแต่ผู้คนเหล่านั้นมิใช่หรือที่เรียกร้องให้ข้าเหี้ยมเกรียมใส่ได้เก่งกาจนัก”แววตาคมกริบแม้ทอดมองไปยังหมอกกลางทะเลสาบกลืนวิญญาณทว่าแววตาน่ากลัวเกรงนั้นกลับทำเอาบรรยากาศเย็นเยียบไม่ต่างจากวังน้ำแข็ง

   “ก็จริงของเจ้า มนุษย์ที่โง่เขลามักไขว่คว้าเอาเรื่องอัปมงคลใส่ตัว เจ้าทำถูกแล้วที่สั่งสอนคนอวดดีเหล่านั้น”

   “การแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมข้าไม่ปฏิเสธ ชีวิตและความปรารถนาย่อมแลกได้”หลี่รั่วถงเอ่ยมาประโยคหนึ่ง หวางหรูอี้หยุดกระดกสุราสีหน้าที่เคยสำราญแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งเรียบ

“เหมือนที่เจ้าใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้กับเรื่องบางอย่างเช่นนั้นหรือ”

“ข้ามิได้ทำลายกฎเกณฑ์ใด เจ้าย่อมรู้ดีแก่ใจว่าเช่นไรข้าก็มีคุณธรรมพอ”

“เฮอะ! ให้พ่อมดใจเหี้ยมเช่นเจ้ากล่าวเรื่องคุณธรรม ข้าต้องแสดงความยินดีหรือร่ำไห้ตอบข้าทีเถอะ”หวางหรูอี้ส่ายหน้ากระดกไหสุราในมือต่ออีกอึก ก่อนปาดมุมปากด้วยลำแขนท่าทีขวัญเสียกับเรื่องคุณธรรมที่ได้ยินจากปากหลี่รั่วถง

ผู้ใดจะยอมรับได้กับผู้ที่กลืนกินวิญญาณผู้คนแลกด้วยความปรารถนาอย่างใจเหี้ยมได้เช่นเจ้ากันเล่า

“ก่อนจะมากลุ้มใจเรื่องของข้า เจ้ากลับไปสะสางปัญหาของตนเองเสียก่อนเถอะ”

“ข้าผู้รักความสงบหาได้มีปัญหามากมายเช่นเจ้า”หวางหรูอี้ลอยหน้าลอยตากล่าวขึ้น

“ติงเจิ้งหวา.....นั่นมิใช่ตัวปัญหาของเจ้าหรืออย่างไรกัน หึ!”ยิ้มเยาะที่กระตุกขึ้นราวกับตอบโต้ผู้คนตรงหน้าได้อย่างแยบยล หากจะกล่าวถึงแล้วติงเจิ้งหวานั้นเป็นถึงจ้าวแห่งนรกภูมิ กิตติศัพท์ทุกภพต่างรู้ดีว่าคนผู้นั้นอุปนิสัยเป็นเช่นไร จะว่าดีก็มิใช่จะว่าร้ายก็ไม่เชิง หากแต่ความเด็ดขาดและซื่อตรงก็คงจะปฏิเสธไปเสียมิได้ เช่นนั้นจะลงโทษดวงวิญญาณที่กระทำผิดตัดสินชี้ขาดได้อย่างไร

“เหตุใดต้องยกคนผู้นั้นขึ้นพูดให้ข้าต้องเสียอารมณ์ ชังกันมากหรือไรถึงได้เย้ยข้าเช่นนั้น”หวางหรูอี้นึกฉุนเฉียวครั้งที่ทั้ง 4 ชั้นฟ้าพบปะพูดคุยกันครั้งใหญ่ หากมิใช่ติงเจิ้งหวาที่หักหน้าหวางหรูอี้ต่อหน้าผู้คน กล่าววาจาสบประมาทถึงจ้าวพิภพแห่งหยางที่เมามายเช้าค่ำไม่วางตนให้ผู้คนเกรงขาม เห็นทีจะเลื่อมใสได้ยากนัก ประโยคเพียงสั้นหากแต่ฝังใจเจ็บตราบนานเท่านาน หวางหรูอี้จึงได้แค้นเคืองจ้าวแห่งนรกภูมิไม่หาย

ถึงข้าจะเมามายเช้าค่ำ ก็มิได้ไปสำรอกใส่ศีรษะผู้ใด หน้าที่ข้ามิเคยต้องให้ผู้ใดสอดมือเข้ามายุ่มย่ามก็สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีมานับพันๆ ปีแล้ว ชิชะเจ้าคนอวดดี!

“จะจงเกลียดจงชังเช่นไร เจ้าก็มิอาจปฏิเสธได้ หารหรงฮุยนั้นอย่างไรเจ้าก็ต้องพบเจอกันอีกนานนักหากไม่สิ้นวาสนากันไปเสียก่อน หากยอมอ่อนข้อให้เสียบ้างเจ้าก็จะมิต้องฉุนเฉียวอยู่ไม่วายเช่นนี้”

   “หึ! ให้ข้าญาติดีกับคนผู้นั้นยังเร็วไปพันชาติเถอะ”

   “ก็แล้วแต่เจ้าเถิด ใครเล่าจะกล้าตัดสินใจแทนจ้าวพิภพแห่งหยางได้ อย่างไรเจ้ากับข้ายังต้องพึ่งพากันอีกนับครั้งไม่ถ้วนจะตัดสัมพันธ์ความเป็นสหายด้วยเรื่องหมองใจผู้อื่นตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลา”หลี่รั่วถงกล่าวสีหน้านิ่งยกกาสุรารินใส่จอกท่าทีสงบหากแต่เปี่ยมไปด้วยความน่าสะพรึงผ่านแววตาคม

“นั่นหมายถึงเจ้าจ้องจะหาโอกาสตัดความเป็นสหายต่อข้าอยู่เช่นนั้นหรือ”

“เจ้าได้คำตอบแล้วนี่ ไยข้าต้องกล่าวให้มากความ”กลิ่นหอมของสุราถูกจรดขึ้นตรงปลายจมูก หลี่รั่วถงสูดกลิ่นหอมของสุราดอกท้อหนึ่งช่วงลมหายใจอย่างไม่ไยดีต่อคำพูดของตน หวางหรูอี้ที่ได้ฟังเช่นนั้นก็หาได้สะท้านแต่อย่างได้ ครั้นเคยได้ฟังคำเสียดแทงที่หาไร้ความปรานีจากหลี่รั่วถงมาบ่อยครั้งแล้ว ครั้งที่ร้อยก็คงจะสบถในใจได้เพียง...

บัดซบ! ข้ามีสหายเช่นเจ้ามานับพันปีได้เช่นไร!

ถึงอย่างไรผู้ทำหน้าที่เป็นจ้าวพิภพแห่งหยินและหยาง ก็ไม่อาจฝืนชะตาที่หมุนวนเป็นกงเกวียนได้ หยินเปรียบเสมือนพายุฝนที่โหมกระหน่ำดำมืด หยางเปรียบเสมือนไม้แล้งที่ผลิใบหลังชุ่มฉ่ำจากเม็ดฝนพากันแตกกิ่งก้านในยามเช้า สิ่งใดเล่าจะมาทลายความสัมพันธ์นี้ได้ แม้จะเป็นวาจากล่าวร้ายจากจ้าวพิภพแห่งหยินก็มิอาจตัดขาด

   “แล้วนั่นเจ้าจะไปที่ใด ข้าเป็นแขกยังมิได้ส่งกลับ เจ้าบ้านที่นี่มารยาทแย่นัก”หวางหรูอี้บ่นอุบว่าร้ายไม่ปิดบังเหลือบตามองร่างสูงสง่าที่ยืนขึ้นเต็มความสูงหันหลังให้ไร้คำกล่าวใดๆ

   “นรกภูมิ.....เจ้าจะไปกับข้าด้วยหรือไม่เล่า”หลี่รั่วถงเพียงเอียงใบหน้าเสี้ยวหนึ่งเข้าตอบคำถาม หวางหรูอี้เพียงกระอักสุราแทนเลือดไปหลายอึก

   “ชิ! เจ้าอสูรใจหยาบ”เพียงพริบตาร่างสูงก็ที่อันตรธานหายไป เจ้าของพิภพแห่งหยินกลับทิ้งสหายผู้มาเยือนไว้ท่ามกลางไหสุราอย่างไม่แยแส หวางหรูอี้เพียงพ่นลมหายใจกระดกสุราในมือต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน พลันแย้มยิ้มออกมาครู่หนึ่ง ราวรับรู้ว่าแท้จริงแล้วหลี่รั่วถงไปยังนรกภูมิด้วยเหตุผลใด

   ต่อรองกับติงเจิ้งหวาเรื่องดวงวิญญาณ ครานี้เจ้าจะเอาสิ่งใดไปแลกเพื่อคนผู้นั้นกัน ข้าชักอยากรู้นัก








 เนื่องจากตอนยาวไป จะต่ออีกครึ่งด้านล่างนะคะ :hao5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-09-2018 21:08:25 โดย ทามากิบ๊อง »

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4
บทที่ 3 (ต่อ)




โลกมนุษย์

   “มีผู้ใดเคยบอกท่านหรือไม่ว่าเส้นผมของท่านช่างนุ่มสลวยและละเอียดยิ่งนัก”

   “จะมีใครสนใจเพียงเพราะเส้นผมของข้ากัน.....พอเถิดข้าเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้ว”

   “ได้เช่นไรเจ้าคะ ข้าถูกท่านพ่อบ้านเสินกำชับให้ดูแลความเรียบร้อยของท่านในคืนนี้”

“เจ้ายังดูแลข้าไม่พออีกหรือถิงเย่”เซียวโม่โฉวมองเงาตนเองผ่านคันฉ่องเบื้องหน้าก่อนจะลุกขึ้นหลีกนี้จากผู้ที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิดเสียจนไม่ปล่อยให้บุรุษหนุ่มได้ทำสิ่งใดด้วยตนเองเลย

“ก็ข้าเต็มใจ”

“ขอบใจเจ้ามาก อีกเดี๋ยวคงจะมีคนมารับข้าไปร่วมพิธีศักดิ์สิทธิ์แล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถิด”เซียวโม่โฉวเพียงขยับกาย กลิ่นหอมจากตัวบุรุษก็กำจายไปทั่วชวนหลงใหล ราตรีนี้การชำระร่างกายเป็นไปอย่างละเมียดละไม จากบุรุษหนุ่มที่ผิวพรรณมิได้สดใสผ่านมาหลายราตรีนับแต่ย่างกรายเข้ามายังจวนใหญ่โตแห่งนี้ก็นับว่าผุดผาดขึ้นผิดหูผิดตา หากเดินทอดน่องอยู่ในตลาดสายตาผู้คนก็คงจะมองเป็นคุณชายของบ้านใหญ่ที่ไหนสักแห่งก็ว่าได้

“ข้าจะนั่งรอที่นี่ เจ้ามิต้องกังวลหรอกเรื่องหนีหายมิได้อยู่ในความคิดข้าอย่างแน่นอน”ยิ้มบางคลี่ออกพลางยกมือขึ้นทัดเส้นผมละเอียดที่ปรกหน้าไว้หลังใบหูเล็กอิริยาบถนิ่มนวนชวนมองยิ่งนัก ทว่าความนิ่งสงบยิ่งกว่าวันไหนๆ ทำเอาจิตใจของถิงเย่ที่ปรนนิบัติดูแลแม้จะเพียงชั่วคราวก็ราวผูกพันนับปีถึงกับน้ำตารื้นด้วยความรู้สึกบางอย่างที่มิอาจกล่าวได้

ความรู้สึกที่ราวกับจะต้องจากกันไปนั้นผุดขึ้นกลางใจของนางอย่างไม่รู้ตัว...

ถิงเย่มองดูเซียวโม่โฉวที่นั่งสงบนิ่งพิงกายอยู่ริมของหน้าต่างดวงตาคู่สวยที่ทอประกายเหม่อมองออกไปด้านนอกราวกับเฝ้ารอบางอย่างเป็นภาพที่ชวนหดหู่ใจยิ่งนัก แม้จะมิได้เข้าไปยืนอยู่ในความคิดของบุรุษหนุ่ม นางก็พอจะรับรู้ว่าจิตใจของผู้คนตรงหน้านั้นกำลังคะนึงหาสิ่งใดถ้ามิใช่สิ่งเดียวคือครอบครัว

“อยู่ด้านในหรือไม่ข้ามารับตัวเซียวโม่โฉว!”

ทันทีที่มีเสียงกู่เรียกอยู่ที่ด้านนอก แสงไฟจากโคมไฟที่ส่องสว่างอยู่ฉายเงาผู้ที่มาเยือนพาดพิงไปกับบานประตูถึงสี่คนด้วยกัน

“ข้าจะออกไปเปิดประตู ท่านรออยู่ตรงนี้ก่อนเถิด”ถิงเย่เอ่ยขึ้นก่อนจะรีบตรงรี่ไปที่ประตู

คนที่นั่งชะเง้อเพียงลุกขึ้นเต็มความสูงร่างระหงปราดเปรียวก้าวเดินออกจากจุดที่นั่งเมื่อครู่ด้วยความรู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความทรมานจิตใจอยู่ลึกๆ กระทั่งต้องสะดุดสายตาที่กำลังว่างเปล่าไปกับสิ่งคุ้นตาที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอย่างกะทันหัน หากแต่เพียงพริบตาเดียวกลับหายไปเสียแล้ว

“ทู่จึ?”คิ้วเรียวขมวดมุ่นกวาดสายตามองหาอีกครามิได้รู้สึกตกใจกลัว หากแต่ฉงนใจเสียมากกว่าที่ปกติมักจะปรากฏให้เห็นซ้ำยังพูดเจื้อยแจ้วให้ตนสนทนาด้วยราวกับผู้มีจิตวิปริตที่พูดคุยกับลมธาตุอากาศเพียงลำพัง

“ท่านกำลังมองหาสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ?”ถิงเย่ที่เข้ามามองเห็นท่าทีประหลาดจึงถามขึ้น

“ไม่มีอะไร”

“เช่นนั้นไปเถิดเจ้าค่ะ พวกเขามารับท่านแล้วจริงๆ ข้าคงส่งท่านได้เพียงตรงหน้าประตูเรือนเท่านั้น”แววตาเศร้าสร้อยไหล่ตกมองเซียวโม่โฉวที่ก้าวเดินออกไป

“เท่านี้ก็มากเกินพอแล้ว ขอบใจเจ้ามากถิงเย่”ร่างระหงที่ดูปราดเปรียวอยู่ในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์อย่างไร้ที่ติเอี้ยวใบหน้าเซี่ยวหนึ่งหันมากล่าวขอบคุณพร้อมส่งรอยยิ้มบางๆ ให้แก่นาง ก่อนจะเดินติดตามไปกับคนของเสนาบดีฉีเหยียนอย่างไม่ปริปากเอ่ยสิ่งใด

แผ่นหลังที่ค่อยๆ ลับตาไปสะท้อนความอ่อนแอในแววตาของถิงเย่



เซียวโม่โฉวถูกนำพามายังสถานที่แห่งหนึ่งด้วยเกี้ยวที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้มีถึง 4 คนหาบ นำหน้าด้วยพ่อบ้านเสินที่เป็นผู้นำทาง คราแรกที่ทราบว่าตนต้องนั่งเกี้ยวเพื่อเดินทางออกจากจวนของเสนาบดีฉีเหยียนเซียวโม่โฉวก็เอ่ยค้านอยู่หลายคำนัก คนต่ำต้อยเช่นตนจะมีสิทธิ์ใดขึ้นเกี้ยวอย่างชนชั้นสูงได้ หากแต่กระนั้นก็เป็นความประสงค์ของฉีเหยียนที่กำชับไว้ พ่อบ้านเสินจึงเพียงกล่าวต่อเซียวโม่โฉวให้ปฏิบัติตามอย่าได้กังวล
 
ครั้นการเดินทางมาถึงความสะเทือนของตัวเกี้ยวที่วางลงพื้นบ่งบอกให้เซียวโม่โฉวที่จิตใจว้าวุ่นรับรู้ได้ว่าตนได้เดินทางมายังปลายทางแล้ว ประตูเกี้ยวตรงหน้าของบุรุษหนุ่มเปิดออกเพียงก้าวเท้าออกไปคราแรกก็สัมผัสได้ถึงลมหนาวที่หอบเอาความเย็นยะเยียบซึมซาบทะลุถึงอาภรณ์เข้าสัมผัสกับผิวในทันที หลังก้าวออกจากเกี้ยวมายืนอยู่ภายนอกเรื่องความเหน็บหนาวของอากาศยามค่ำคืนกลับถูกกลืนหายไปกับภาพบรรยากาศตรงหน้า ทั้งเวิ้งว้างและกว้างไกลนัก

   คงไม่มีผู้ใดไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้ หากแต่รู้จักก็มิสามารถเข้ามายังบริเวณนี้ได้ด้วยเป็นเขตพระราชฐานที่ไม่อนุญาตให้ผู้คนเข้ามาเพ่นพ่านได้สุ่มสี่สุ่มห้า สถานที่แห่งนี้รู้จักกันดีว่าเป็นทะเลสาบไร้เงา ที่มานั้นคงเกิดจากหมอกบางที่ปกคลุมไปทั่วผืนน้ำในยามค่ำคืนและช่วงสายของวันแม้จะพายเรือออกไปหากแต่มิสามารถมองเห็นเงาหรือผิวน้ำที่กระเพื่อมด้วยเพราะหมอกบางบดบัง ความน่ากลัวนั้นมิได้อยู่ที่ไร้เงาสะท้อนต่อสิ่งใด หากแต่ใต้ผืนน้ำที่ไม่สะท้อนเงาต่างหากที่น่าหวั่นเกรง เพราะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ใต้ก้นทะเลสาบแห่งนี้บ้าง บ้างกล่าวขานว่าใต้ผืนน้ำนั้นเชื่อมไกลไปสู่พิภพต่างๆ ที่มนุษย์ไม่อาจหวนกลับคืนมาได้

   “ตามข้ามาทางนี้”

“…..”

   “อย่าได้ชักช้า ตามข้ามาทางนี้!”ความนิ่งงันและปฏิกิริยาของเซียวโม่โฉวทำให้พ่อบ้านเสินต้องเรียกขึ้นถึงสองคราจึงจะดึงสติของบุรุษหนุ่มกลับคืนมาได้

“ขอรับ”

อีกครั้งที่ดวงใจของเซียวโม่โฉวรู้สึกหวาดกลัวราวกับมองไม่เห็นความสว่างไสวตรงหน้า ทุกก้าวย่างหนักอึ้งไม่ต่างจากถ่วงก้อนหิน ร่างกายแทบไม่อยากจะขยับตาม

เหตุใดข้าจึงรู้สึกหดหู่เช่นนี้.....เอาเถิดเซียวโม่โฉวเสร็จงานจากราตรีนี้เจ้าจะได้เป็นอิสระจากความไม่รู้เรื่องราวเสียที อดทนอีกหน่อยเถิด

มือเล็กที่กำแน่นก้าวเดินลัดเลาะไปตามพุ่มไม้และโขดหินกระทั่งถึงยังท่าเรือเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งมีเรือบรรทุกสินค้าลำหนึ่งที่สามารถบรรจุคนได้ประมาณสิบคนจอดเทียบท่ารออยู่ และดูเหมือนมีคนรอท่าอยู่แล้ว จิตใจบุรุษย่อมตื่นเต้นในคราแรกที่มองเห็น และตนจำต้องขึ้นเรือไปกับผู้ใดก็ไม่อาจทราบชื่อได้ พ่อบ้านเสินมิได้ตามมาด้วย เพียงส่งเซียวโม่โฉวขึ้นเรือเป็นอันเสร็จหน้าที่ ทว่าสายตาที่ทอดมองนั้นกลับปิดเปลือกตาลงในทันทีที่เรือถูกผลักออกจากท่า

ข้าส่งเจ้าได้เพียงเท่านี้.....ประโยคที่เอื้อนเอ่ยภายในใจของพ่อบ้านเสินไม่อาจเปล่งเสียงออกไปให้ผู้ใดได้ยิน เป็นเพียงบ่าวรับใช้ผู้ซื้อสัตย์จักทำสิ่งใดได้นอกเสียจากรับใช้ผู้เป็นนายถวายหัว

ในเรือลำนั้นที่เซียวโม่โฉวลงไปประกอบไปด้วยคนพายฝีมือดีถึงสองคนผู้ที่คุมตัวเซียวโม่โฉวอีกสี่ และคนสำคัญที่ครานี้ทำเอาเซียวโม่โฉวประหลาดใจนักซึ่งคนผู้นั้นยอมเปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจนให้เห็นในวันนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเสนาบดีฉีเหยียนผู้อยู่เบื้องหลังจัดการทุกสิ่งอย่างตามบัญชาโอรสสวรรค์   

“หลายวันมาแล้วสินะที่เจ้ากับข้ามิได้พบเจอกัน ดูเหมือนคราแรกที่ข้าได้พบเจ้ากับในตอนนี้นั้นต่างกันลิบลับนัก”ฉีเหยียนเอ่ยชื่นชมความงามบุรุษตรงหน้า ทว่าเสียดายก็เห็นจะกลับลำมิได้แล้วในยามนี้

“ขออภัยข้าไม่ทราบว่าท่านอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยจึงมิได้คารวะ”

“ไม่ต้องมากพิธี”มือป้อมหน้ายกขึ้นห้ามพยักหน้ารับรู้ถึงความตั้งใจของบุรุษตรงหน้า

“ขอบคุณท่านเสนาบดี”แม้จะเอ่ยขอบคุณแต่หากคำพูดเหล่านั้นล้วนเสียดแทงใจเซียวโม่โฉวไม่น้อย ครั้นทำให้นึกถึงบิดาของตนที่ป่านนี้ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไรแล้วบ้าง ขาดการติดต่อกันไปนับแต่วันนั้น

“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ข้าเสียมากกว่าที่ต้องขอบคุณเจ้า เอาเถิดอย่าได้เสียเวลา ข้าจะแนะนำคนผู้หนึ่งที่จะเป็นผู้ทำพิธีในครั้งนี้ร่วมกับเจ้า”เพียงฉีเหยียนเอ่ยขึ้นมา พลันสายตาของเซียวโม่โฉวก็เหลือบไปมองทางด้านหลังของฉีเหยียน คราแรกมิได้เห็นผู้ใดหากแต่ยามนี้กลับมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าราวกับเป็นนักพรต หากทว่าชุดที่สวมใส่นั้นกลับผสมผสานสีดำเข้ากับสีขาวอย่างเรียบง่ายดูน่าเกรงขามในท่าที หากมองแล้วอายุคงนับได้ห้าสิบปีเศษ

“นี่คือผู้ที่จะมาทำพิธีในครั้งนี้ เจ้าเรียกเขาว่าอาจารย์ฟู่ไห”

“คารวะท่านอาจารย์ฟู่ไห”อีกฝ่ายเพียงพยักหน้าวางสีหน้าเคร่งขรึมมิได้พูดจาสิ่งใดในมือเพียงถือม้วนคัมภีร์ไม้ไผ่ที่ดูเก่าคร่ำครึไว้ในมือแน่นนัก อีกทั้งข้างกายยังพกกระบี่ที่เสียบเก็บอยู่ในฝักสีเงินวาวไว้

“สิ่งที่เจ้าทำในวันนี้ถือว่ามีคุณต่อบ้านเมือง ข้าอยากจะบอกให้เจ้าได้รับรู้ไว้ว่าพิธีการสำคัญในครั้งนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในใต้หล้าเป็นเจ้าเพียงผู้เดียวที่ถูกเลือกมาในค่ำคืนแห่งนี้ จงภูมิใจในสิ่งที่เจ้าได้เสียสละเพื่อผู้คนจำนวนมากเถิดเซียวโม่โฉว”ฉีเหยียนกล่าวขึ้นพลางเอื้อมมือเขาบีบไหล่เล็กตรงหน้าหยักยิ้ม เซียวโม่โฉวมองมือหนาไล่ตามไปจนถึงใบหน้าและแววตาที่ลึกแล้วราวกับหลุมดำมืดไม่มีผิด ความระแวงจุดประกายขึ้นในความคิดของบุรุษหนุ่ม

“ข้าไม่เข้าใจความหมายที่ท่านเสนาบดีพูดมากนัก ข้ามันคนโง่เขลามิได้ร่ำเรียนใดๆ ท่านต้องการบอกสิ่งใดก็โปรดกล่าวให้ชัดเจนเถิด”เซียวโม่โฉวถอยออกห่างเสียหนึ่งก้าวแววตานิ่งสงบและอ่อนน้อมเมื่อคู่เริ่มแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเห็นผู้ติดตามสี่คนที่ยืนอยู่ขนาบข้างเริ่มขยับตัวท่าทีผิดแปลก อีกทั้งนักพรตที่ดูท่าทางไม่เป็นมิตรผู้นั้นเริ่มขยับตัว

“อย่าได้กลัวไปเลย จุดประสงค์ไยข้าจะไม่บอกกล่าวต่อเจ้า ยามนี้แคว้นฉินต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้าย ผู้คนล้มตายการเกษตรย่ำแย่ เพราะอะไรเจ้าคงรู้อยู่แก่ใจแล้วเหตุใดตัวเจ้าที่สามารถทำประโยชน์ให้กับแคว้นฉินได้จึงแสดงสีหน้ากลัวเกรงเช่นนี้เล่า มาเถิดเช่นไรบิดาของเจ้าก็ขายเจ้าให้เป็นสมบัติของข้าแล้วสู้ให้ความร่วมมือเพียงอึดใจเดียวเท่านั้น”

ครั้นได้ยินสิ่งที่ฉีเหยียนกล่าวออกมาหัวใจของเซียวโม่โฉวแทบจะหยุดเต้นในคราเดียว ถ้อยคำที่จะเอ่ยออกมาจุกแน่นในลำคอเสียดแทงอยู่ในอกบุรุษหนักหน่วงจนน้ำตาคลอ

“.....”

“เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่เซียวโม่โฉว บิดาของเจ้ามิใช่ขายเพียงร่างกายเจ้าให้แก่ข้า หากแต่หมายถึงวิญญาณของเจ้าด้วยเช่นกัน”น้ำเสียงที่เย็นเยียบเอ่ยออกมานัยน์ตาเยือกเย็น พลันส่งสัญญาณให้แก่ผู้ติดตามทั้งสี่ลงมืออย่าได้รอช้าเพื่อมิให้เสียฤกษ์งามยามดีเอาได้

“ทะท่านพูดเรื่องเหลวไหลอะไรกัน ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่มีทางโหดร้ายกับข้าเช่นนั้นอย่างแน่นอน!”น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากปากของเซียวโม่โฉวสั่นพร่าน้ำตาไหลไม่ยอมรับความจริง พร้อมกับร่างที่ถูกกดให้คุกเข่าลงต่ำไม่สามารถขัดขืนได้ด้วยกำลังอันน้อยนิด

“เจ้ายังคิดอยู่อีกหรือว่าจะได้กลับไปเจอกับครอบครัวของเจ้าที่ไม่ต้องการเจ้า ผิดแล้ว.....พวกเขาไม่เพียงขายวิญญาณของเจ้าอีกทั้งยังหอบเอาเงินทองมากมายไปใช้อย่างมีความสุข.....เจ้าต้องภูมิใจในตนเองมิใช่หรือที่เสียสละตนเองถึงเพียงนี้”

“ไม่มีทาง.....ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น ท่านโกหกข้า ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ข้าต้องการพบท่านพ่อท่านแม่ของข้า!!!”เสียงตวาดลั่นพร้อมร่างกายที่ขัดขืนพยายามให้ตนเองเป็นอิสระจากการเกาะกุมดิ้นรนสุดชีวิต ใบหน้าที่เคยสะอาดสะอ้านบัดนี้แทบเคล้าไปด้วยน้ำตาที่รินไหลราวกับสายโลหิต

ข้าเพียงหวังว่าจะได้พบเจอพวกเขาบ้างในบางครา แม้ตัวข้าจะต้องใช้แรงงานหนักเป็นทาสไปชั่วชีวิต แต่สำหรับเรื่องเหล่านี้ข้ายอมรับมันมิได้!

“เชิญท่านอาจารย์ฟู่ไห”

“ไม่! พวกท่านจะทำอะไรข้า ปล่อยข้า!”ครั้นนักพรตผู้นั้นพึมพำบริกรรมคาถาบางอย่างมือหนึ่งที่ถือคัมภีร์กางออกสะบัดสิ่งที่ดูหนักเกินกว่าจะลอยได้กลับลอยขึ้นกลางอากาศก่อเกิดแสงจ้าสีทองที่แผ่กระจายออกมาราวกับธารน้ำที่ไหลออกมาจากคัมภีร์เล่มนั้น

เปรี้ยงปร้าง!

ราวกับพายุฝนที่มิเคยตั้งเค้าลางกลับมืดฟ้ามัวดินท้องฟ้าวิปริตไปในบัดดล ลมพายุที่พัดอยู่โดยรอบเรือลำนี้ราวกับจะหอบเอาเรือทั้งลำลอยขึ้นกลางอากาศ
 
ครานั้นจิตใจของเซียวโม่โฉวก็แทบจะขาดรอนๆ ด้วยความรู้สึกผิดหวังในตัวบิดามารดาอย่างหาที่สุดมิได้ น้ำตาที่รินไหลทั้งสิ้นแล้วหนทางที่จะหลีกหนีซ้ำยังต้องแบกรับชะตากรรมตรงหน้าอย่างไร้ซึ่งทางเลือก ความเจ็บช้ำในอกแทบกระอักออกมาเป็นเลือด เจ็บปวดร่างกายก็มิเท่าดวงใจที่บัดนี้ราวกับจะแหลกสลายเป็นผุยผง

ร่างที่บอบช้ำทางจิตใจหมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้วที่จะดิ้นหนีชะตากรรม และในช่วงลมหายใจเพียงเฮือกเดียว กระบี่สีเงินวาวที่เคยเก็บอยู่ในฝักซ่อนคมของฟู่ไหก็ถูกดึงออกมาวาดไปในอากาศท่ามกลางแสงเจิดจรัสที่มีเสียงฟ้าคำรามราวกับจะถล่มทลายลงมา และชั่วพริบตาเดียวปลายแหลมคมที่ร่ายรำอยู่ท่ามกลางอากาศได้พุ่งพรวดเข้ามาทิ่มแทงกลางอกของเซียวโม่โฉวทะลุงถึงด้านหลังอย่างมิทันตั้งตัว โลหิตสีแดงฉานสาดกระเซ็นอาบย้อมอาภรณ์ที่ข่าวผ่องให้แปดเปื้อนกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ทั้งความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปตามสรรพางค์กายราวฉีกร่างให้แยกขาดออกจากกันอย่างไร้ความปรานี

“เฮือก!”

ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตานิ่งค้างสะท้อนเงาจันทราที่โผล่พ้นออกมาจากหมอกเมฆราวกับเป็นสีเลือด

เจ็บ.....ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน

เหตุใดพวกท่านถึงได้ใจร้ายต่อข้าเพียงนี้ ทำไมกัน?

ข้าผิดต่อพวกท่านเรื่องใด ท่านถึงลงโทษข้าได้เจ็บปวดถึงเพียงนี้

นัยน์ตาที่ค่อยๆ พร่าเลือนและลมหายใจที่ใกล้ดับสูญปริ่มไปด้วยความชอกช้ำใจอย่างที่สุดแม้ในห้วงความคิดสุดท้ายก็ไม่อาจตัดสิ่งเหล่านั้นออกไป

ตูม!

ผืนนี้ที่แตกกระจายกลืนร่างที่ถูกสังเวยลงสู่ก้นบึ้งทะเลสาบไร้เงา มีเพียงความมืดที่โอบอุ้มรับเอาร่างกายนั้นให้จมหายไปในความมืดมิด มืดเสียจนไม่อาจหวนกลับไปยังโลกที่จากมาได้อีก







ติดตามตอนต่อไป >>>

-----------------------------------------------------------

ฝากคอมเม้นติชม เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ  :m5:

โดย หลานฮวา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-09-2018 21:10:14 โดย ทามากิบ๊อง »

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4

บทที่ 4
หนทางที่จำต้องเลือก




แปะ!

หยดน้ำหยดเล็กที่กลิ้งไหลจากใบไม้หล่นลงกระทบกับเปลือกตาที่ปิดสนิท พลันความเย็นของน้ำเรียกให้เจ้าของร่างที่นอนไม่ได้สติตื่นขึ้น เปลือกตาบางจึงค่อยๆ เปิดออกขยับนัยน์ตาพร่าเลือนให้ชัดเจน ส่วนเดียวที่ยังคงไม่ขยับเขยื้อนเห็นทีจะเป็นร่างกายที่นิ่งสนิท

ดวงตาที่กวาดมองไปยังด้านบนพบเพียงท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยหมอกขาวยังคงว่างเปล่าราวกับเพิ่งตื่นจากฝันร้าย ทว่าภาพฝันที่ชัดเจนก็ฉุดดึงให้ร่างที่นอนนิ่งไม่เคลื่อนไหวดีดตัวขึ้นนั่งตาเบิกโพลง ขยับกายเบาหวิวคลานขึ้นจากริมบึงบัวที่ครึ่งท่อนแช่อยู่ในน้ำราวกับโดนพัดพามาเกยฝั่ง เมื่อได้สติเซียวโม่โฉวจึงสำรวจร่างกายตนเองอย่างถี่ถ้วน

รอยคมดาบที่เคยแทงทะลุผ่านร่างกายนี้กลับไม่มีแม้แต่ความเจ็บปวด ทว่าโลหิตที่เปื้อนอาภรณ์แดงฉานยังคงเด่นชัดย้ำเตือนว่าทุกอย่างที่ประสบพบเจอหาใช่ฝันร้าย
“ตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหน ข้าตายแล้วเช่นนั้นหรือ.....”เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างสั่นเครือมือไม้อ่อนแรงทิ้งลงแนบกับร่างบางอย่างสิ้นหวัง ในใจเคว้งคว้างราวกับหลงทางอยู่ในมหาสมุทร มองซ้ายขวาไม่รู้ว่าต้องไปยังทิศทางใด ความเปล่าเปลี่ยวเกาะกุมดวงใจผู้ที่หลงอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นชิน

สถานที่ที่ราวกับโลกมนุษย์ หากแต่จะดีใจได้เช่นไรในเมื่อต้องมารับรู้ว่าตนนั้นสิ้นลมหายใจไปแล้ว
ช่างน่าหัวเราะนัก!

สวรรค์หรือนรกใครเล่าจะรู้ว่าเป็นสถานที่เช่นไรในเมื่อข้าเพิ่งจะเคยตาย ช่างเป็นการตายที่ไม่ยุติธรรมต่อข้าเลย

เซียวโม่โฉวรำพึงรำพันให้กับตนเองอย่างเจ็บช้ำน้ำใจ ก่อนจะพาร่างกายที่คล้ายเบาหวิวลากเท่าเดินไปเรื่อยเปื่อยด้วยเท้าเปล่า หญ้าสีเขียวขจีที่เดินผ่านมากระทั่งแมกไม้ที่ออกดอกผลิใบอย่างน่าอัศจรรย์ใจทว่าบัดนี้กลับค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำราวกับถูกกลืนกินไปอย่างช้าๆ ด้วยเงามืด จากกลางวันแปรเปลี่ยนเป็นยามราตรีต่อหน้าต่อตา ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เซียวโม่โฉวรู้สึกตกใจทว่ากลับไม่สามารถหนีไปไหนในโลกที่ตนไม่รู้จักได้เลย

“กะเกิดอะไรขึ้น?”ดวงตาสวยเบิกตาโพลงมองไปยังเบื้องหน้าสีหน้าหวาดกลัวพลันถอยหลังกระทั่งชิดชนเข้าให้กับบางอย่างที่สูงใหญ่ราวกำแพงหินตัวสั่นผวา

ปึก!

ทันทีที่เอี้ยวตัวหันไปมอง ร่างสูงที่ราวกับดำทะมึนไปทั้งร่างก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าถึงสองร่าง พร้อมดวงตาดุดันที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้ใด

“พวกเจ้าเป็นใคร!”

“พวกข้ามิได้มีหน้าที่มาตอบคำถามของดวงวิญญาณเช่นเจ้า เพียงเจ้าตามพวกข้าไปอย่างว่าง่ายก็จะได้ไม่เจ็บปวดทรมาน”เสียงที่สะท้อนก้องกล่าวขึ้นพร้อมกับร่างใหญ่สองร่างที่เข้ามาจับตัวเซียวโม่โฉวไว้ไม่ทันจะได้หาช่องทางหนี

รวดเร็วและว่องไวจนน่ากลัว...

“จะพาข้าไปที่ไหน ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น!”เซียวโม่โฉวแม้พยายามดินขัดขืนด้วยความตกใจกลัวหากแต่ไม่สามารถสู้กับพละกำลังที่อมนุษย์ตรงหน้าได้เลย

“ดิ้นรนไปก็หาได้มีประโยชน์อันใด เจ้าเป็นเพียงดวงวิญญาณที่ถูกส่งมาเพื่อประมุขของพวกเรา ข้าเพียงทำตามหน้าที่”

“พวกเจ้าจะพาข้าไปที่ใดกัน ข้าไม่ไป!”ดวงตาสวยวาวกล้าขึ้นพร้อมกัดฟันกรอดทั้งน้ำตา ครั้นได้ยินคำว่าไร้ประโยชน์ก็เจ็บลึกไปถึงทรวงใน แม้จะตายแล้วหากแต่ยังกลับมีบ่วงคล้องคอที่เรียกว่ามิอาจจากไปได้อย่างหมดห่วง

“อยู่นิ่งเฉยเสียเถิด เช่นไรเจ้าก็จะต้องถูกหลอมวิญญาณ ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงชะตานี้ได้!”

“หลอมวิญญาณ มะหมายความเช่นไร?”

“หึ! ก็หมายถึงการทำให้เจ้าหายไปตลอดกาลอย่างไรเล่า”เสียงหัวเราะเย้ยหยันราวกับขบขันในความโง่เขลาดังขึ้น และเพียงครู่เดียวราวกับลมพัดแรงหอบคว้าเอาเซียวโมโฉวไปยังสถานที่ใหม่ในพริบตาพร้อมร่างที่ราวกับหล่นร่วงมาจากท้องฟ้าตกสู่พื้น
ผลัก!

ตรงหน้าของเซียวโม่โฉวเป็นบ่อหลอมวิญญาณขนาดใหญ่ที่ภายในดำมืดราวกับหุบเหวที่ลึกลงไป เพียงนำร่างของวิญญาณที่ถูกส่งมาโยนลงไปภายใน ทุกสิ่งอย่างก็จะจบสิ้นลงกลั่นออกมาเพียงจิตว่างเปล่าบริสุทธิ์ที่บริวารผู้ทำหน้าที่จำต้องเก็บสิ่งนั้นไว้ส่งให้แก่จ้าวพิภพแห่งหยินเพื่อเพิ่มพลังอำนาจ

“เจ้ากลัวเช่นนั้นหรือ ตายแล้วไยจักต้องกลัวตายอีก”

“ในเมื่อข้ายังคิดยังพูดได้ เหตุใดข้าจำต้องไร้ความรู้สึกไม่รู้จักความขลาดกลัว”เซียวโม่โฉวตอบโต้ออกไปสีหน้าซีดขาวมองบ่อหลอมวิญญาณตรงหน้าที่มีกลิ่นอายของความสิ้นหวังกำจายอยู่โดยรอบ

“แม้เจ้าจะหวาดกลัวเพียงใดก็ไม่อาจหลีกหนีได้ พวกข้าทำหน้าที่นี้มาหลายพันปีย่อมเห็นมานักต่อนัก ต่อให้เจ้าวิงวอนร้องขอสิ่งใดก็หาได้รอดพ้น ดวงวิญญาณที่ถูกส่งมายังที่นี่จำต้องจบวัฏสงสารภายในบ่อแห่งนี้ หากจะหาเหตุผล.....”ถ้อยคำที่กล่าวขึ้นหาได้เล่นหลอกเพียงเว้นช่วงประโยคลอบมองสีหน้าเซียวโม่โฉว พลันแซ่สีดำยาวลากพื้นก็ปรากฏอยู่ในมือของอมนุษย์ผู้นั้น แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือกต่อเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย“.....นั่นก็เพราะเจ้าคือดวงวิญญาณที่ถูกสังเวยเพื่อนายท่านของพวกเราเช่นไรเล่า! เจ้าคงจะรู้นามของจ้าวพิภพแห่งหยินมาบ้างแล้ว”

หลี่รั่วถงเช่นนั้นหรือ!

“ไม่! ข้ายังไม่อยากจบลงเช่นนี้ ข้าไม่อยากลงไปในบ่อนั่น มีสิ่งที่ค้างคาใจอยู่มากนักที่ข้าต้องการรู้ พวกเจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้!”ใบหน้าขาวซีดส่ายหน้าปฏิเสธเร็วรี่จะถอยหนีก็ไม่อาจทำได้แม้แต่ก้าวเดียว

“เพียงลงไปยังที่แห่งนั้น เจ้าก็มิต้องคิดสิ่งใดอีก ลงไปซะ! หรือต้องให้พวกข้าลงมือ?”สายตาดุดันถึงสองคู่จับจ้องไปยังเซียวโม่โฉวที่ถูกต้อนให้จนมุม ทั้งตวัดแซ่ฟาดลงกับพื้นเสียงกัมปนาทราวฟ้าผ่า

!!!

เซียวโม่โฉวไม่อยากที่จะจบเรื่องราวชีวิตอันน่าเศร้าของตนเองเพียงตรงนี้ อย่างไรก็ขอเพียงรับรู้เรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับเหตุผลที่บิดาและมารดารังแกตนถึงเพียงนี้เท่านั้น มิได้อยากอาฆาตแค้นผู้ใด แต่เพียงในใจบุรุษไม่อาจทิ้งวางความรู้สึกเหล่านั้นไปทั้งที่ยังค้างคาอยู่เช่นนี้

สถานการณ์ที่บีบคั้นทำให้ผู้ที่จนมุมจำต้องหาหนทางหนี ปฏิเสธชะตากรรมที่ไร้ความยุติธรรมซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นอย่างสุดชีวิต
ข้าจะต้องหนี หนีไปให้ได้!

ทว่าสองอมนุษย์เบื้องหน้ากลับย่างสามขุมเข้ามาใกล้ทุกทีอย่างไม่ลดละ หมายจะบีบให้เซียวโม่โฉวจำต้องกระโดดลงไปยังเบื้องล่างที่มืดมิดด้วยตนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ถะถอยออกไป อย่าเข้ามาใกล้ข้าเด็ดขาด!”เสียงที่ขาดห้วงแววตาหวาดกลัวฉายแววแจ่มชัดสะท้อนนัยน์ตาสิ้นหวังผ่านหยาดน้ำตาที่เอ่อนองหน้า เนื้อตัวที่สั่นเท่าแทบจะหล่นร่วงไปยังบ่อด้านหลังรอมร่อ เท้าที่สั่นเกร็งขยับเพียงน้อยส่ายศีรษะให้กับจิตสังหารที่ถูกส่งผ่านให้ตนรับรู้ ว่าหากไม่ปฏิบัติตามอาจต้องพบเจอเรื่องน่าสะพรึงกลัว

“เช่นไรเจ้าไม่อาจตัดสินชีวิตตนเองได้อีก จะช้าอยู่ไยรีบจบเรื่องนี้เสียเถิด”

อมนุษย์ทั้งสองที่ก้าวเข้ามาหมายจะใช้กำลังผลักส่งผู้ที่จนมุมอย่างเซียวโม่โฉวให้จบสิ้นภารกิจหากแต่ครู่หนึ่งนั้นรางปาฏิหาริย์บังเกิด ได้มีบางสิ่งเกิดขึ้นกะทันหัน ร่างเด็กที่หาได้เป็นเช่นตาเห็นปรากฏขึ้น เซียวโม่โฉวไม่มีทางจำผิดอย่างแน่นอนว่านั่นเป็นทู่จึปีศาจกระต่ายที่รบกวนตนตลอดเวลาครั้งอยู่ที่จวนเสนาบดีฉีเหยียนขณะยังมีชีวิต ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสิ่งที่สร้างความวุ่นวายโผล่มาขัดขวางจากทิศทางใด ทั้งยังอาจหาญกระโจนเข้าใส่อมนุษย์ทั้งสองตนจนเสียหลัก วินาทีนั้นเซียวโม่โฉวจึงใช้โอกาสนี้วิ่งหนีไปตามทู่จึอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังหรือต้องไตร่ตรองสิ่งใด ความหวังเพียงหลุดรอดไปจากที่นี่เท่านั้น

“จะเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร!”

“เจ้ามนุษย์หน้าโง่ จะตายรอบสองแล้วยังจะถามมากความอยู่ได้”

“แต่ว่าเจ้า...”

“หยุดถามเถอะนา!”เสียงเล็กดุขึ้นในขณะที่พากันวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน

กระทั่งวิ่งหนีมาได้ไม่ไกลนักกลับต้องพบว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นไม่ฉลาดเอาเสียเลย

!!!

“หนอย! เจ้าคิดจะหนีพวกข้าเช่นนั้นหรือคิดตื้นเขินเกินไปหรือไม่ ส่วนเจ้าบังอาจนักที่ลอบเข้ามายังที่แห่งนี้เจ้าปีศาจชั้นต่ำ รู้หรือไม่ว่าที่แห่งนี้คือที่ใด หาใช่ที่วิ่งเล่นสำหรับเจ้า!”

เสียงคำรามดังขึ้นราวกับฟ้าจะถล่มดินจะทลายพร้อมกับขวางทางหนีของเซียวโม่โฉวอย่างหมดสิ้น ทั้งบุรุษหนุ่มและทู่จึต่างตกอยู่ในวงล้อมของผู้ที่ไม่อาจรับมือได้ ในขณะที่ทู่จึพยายามกำแหงใส่อมนุษย์ทั้งสอง เพียงพริบตาก็ถูกแซ่ยาวตวัดใส่ราวสายฟ้าฟาดโจมตีจนกระเด็นกระดอน จากร่างเล็กที่จำแลงเป็นเด็กกลับต้องกลายเป็นร่างกระต่ายดังเดิม ด้วยความรุนแรงของพลังจึงทำให้ปีศาจชั้นต่ำมิอาจป้องกันหรือต้านทานได้

“ทู่จึ! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง!”บุรุษหนุ่มวิ่งถลาอย่างตื่นตระหนกเข้าโอบอุ้มกระต่ายตัวสีขาวที่กระอักเอาบางอย่างสีเขียวคล้ำคล้ายเป็นโลหิตออกทางปาก ครานั้นยิ่งทำให้เซียวโม่โฉวตัวแข็งทื่อมือไม้สั่นจนแทบหมดเรี่ยวแรง

“จะเจ้า.....เจ้าอย่าทำให้ข้ากลัวสิ ได้ยินข้าหรือไม่!”ดวงตาคู่สวยบัดนี้ราวกับชอกช้ำเบิกตาโพลงมองภาพสะเทือนใจเบื้องหน้าสลับกับอันตรายที่เคลื่อนเข้าหาอย่างสิ้งหนทาง

“ในเมื่อเจ้าขัดขืนนั่นก็หมายถึงพวกข้ามิต้องออมแรงใดๆ ข้าเตือนเจ้าแล้วใช่หรือไม่!”

“ขอร้องปล่อยข้ากับทู่จึไปเถอะ!”คำวิงวอนทั้งน้ำตากอดร่างกระต่ายกลมแน่นดวงตาใสปิดลงอย่างหวาดกลัวพร้อมกับหลั่งน้ำตารินไหลให้กับชีวิตหลังความตายที่แสนโหดร้ายเช่นนี้

“หมดเวลาดิ้นรนของเจ้าแล้ว!”

สิ้นคำพูดของอมนุษย์ผู้หนึ่ง ขณะที่กำลังจะลงมือส่งเซียวโม่โฉวที่สิ้นทางหนีลงสู่บ่อหลอมวิญญาณทันใดนั้นสัญลักษณ์บนลำคอขาวกลับสะท้อนวาวเป็นแสงสีแดงสว่างวาบปรากฏรูปดอกโบตั๋นขึ้นมาบนผิวเนื้อบริเวณลำคอขาวอย่างเด่นชัดสะท้อนม่านพลังลบจิตสังหารของอมนุษย์ราวกับเตือนให้รู้ว่าร่างกายของบุรุษตรงหน้ามิใช่ผู้ใดสามารถแตะต้องได้

สิ่งที่อมนุษย์ทั้งสองได้มองเห็นนั้นถึงกับทำให้ล่าถอยใบหน้าถอดสี มองหน้าสลับกันไปมาอย่างตื่นตระหนกราวกับสวรรค์จะถล่มลงมาก็ไม่ปาน ในขณะเดียวกันนั้นเจ้าของสัญลักษณ์ก็ปรากฏกายขึ้นอยู่เบื้องหลังอมนุษย์ผู้เป็นบริวารของจ้าวพิภพแห่งหยาง

ครั้นได้สัมผัสจิตสังหารที่รุนแรงก็ต่างพากันทรุดกายโขกศีรษะเบาปัญญาจรดแนบพื้นดวงตาเบิกโพลงแทบถลนออกมาด้วยความกลัวทันที เพียงหลี่รั่วถงเดินผ่านสำแดงพลังเพียงเศษเสี้ยวก็แผดเผาอมนุษย์ผู้โง่เขลาจนสลายกลายเป็นจุณไปในพริบตา
คงถึงคราผลัดเปลี่ยนบริวารใหม่อีกครั้ง

ไม่ทันที่เซียวโม่โฉวจะรู้ว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นต่อนั้นพลันสติกลับดับวูบ ภาพสุดท้ายที่สะท้อนในแววตาคือเงาเลือนรางของร่างสูงใหญ่ที่สาวเท้าเข้ามาใกล้ส่งกลิ่นไอวิญญาณที่รุนแรงกำจายไปทั่ว หากเป็นดวงวิญญาณที่อ่อนแอแท้แล้วไม่สามารถทานทนต่อไอวิญญาณรุนแรงนี้ได้ ทว่ากับเซียวโม่โฉวมิได้เป็นเช่นนั้น ลึกลงไปในความรู้สึกราวกับมีบางอย่างผิดแปลกไป สายใยเบาบางราวกับเส้นไหมโยงใยทั้งสองด้วยเหตุผลบางประการ

หากแต่.....ยากเกินกว่าจะเข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับความรู้สึกเพียงชั่ววูบนั้นได้

คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่.....




ภายในเรือนโอ่โถงกว้างขวางกลิ่นกำยานดุจกลิ่นบุปผากำจายไปทั่ว ของประดับตกแต่งที่มิได้ต่างไปจากเรือนของมนุษย์ ถึงจะเป็นเรือนของผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ก็เห็นทีจะเทียบไม่ได้ แม้ของประดับตกแต่งจะสวยสะดุดตาทว่าล้วนประกอบขึ้นด้วยเวทมนตร์ของผู้เป็นจ้าวพิภพแห่งหยินทั้งสิ้น กระทั่งสิ่งเล็กน้อยอย่างเปลวเทียนที่มิได้จำเป็นก็จุดให้สว่างไสวโดยรอบ

แต่น่าเสียดายที่ผู้อาศัยอยู่ในเรือนแห่งนี้กลับยังไม่ลืมตาตื่นขึ้นสัมผัสความงดงามที่แปลกตา

ร่างบางที่ยังคงนอนนิ่งราวกับผู้ที่ไร้ลมหายใจ แม้ลมหายใจอาจไม่จำเป็นในโลกนี้ทว่าทุกอย่างกลับประกอบขึ้นเป็นร่างมนุษย์ไม่ต่างจากมีชีวิต แตกต่างเพียงจุดเดียวนั่นคือเป็นผู้ที่ผ่านความตายหาใช่มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อแต่ยังคงซึ่งความเจ็บปวดราวกับมนุษย์ได้เช่นกัน

และการหลับใหลไปถึงเจ็ดราตรีในดินแดนแห่งนี้นับว่าเนิ่นนาน กระทั่งฝันร้ายที่คอยตอกย้ำจิตใจเซียวโม่โฉวปลุกให้บุรุษหนุ่มตื่นขึ้น เสียงลมหายใจหอบถี่ราวกับวิ่งหนีสิ่งที่หวาดกลัว ดวงตาใสกลอกไปมาระลึกได้ว่าก่อนหน้าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นจึงพลันลุกขึ้นมองไปโดยรอบสีหน้าตกใจ ยกมือซีดขาวขึ้นจับเนื้อตัวตนเอง

“เจ้าฟื้นแล้วสินะ”เสียงทุ้มกังวานที่สะท้อนอยู่ภายในเรือนแห่งนี้ดึงความสนใจให้เซียวโม่โฉวหันไปมองในทันที พลันสบตากับผู้คนที่มิได้รู้จักทว่าครู่หนึ่งจิตใจของเซียวโม่โฉวกลับสั่นคลอนราวกับโดนร่ายเวทมนตร์บางอย่าง แม้เพียงอึดใจก็ไม่อาจละสายตาไปจากร่างสูงสง่าตรงหน้าได้เลย ทั้งกรอบหน้าคมคายที่เรียกได้ว่ารูปงาม โดยเฉพาะแววตากร้าวแกร่งทรงพลังที่รู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยสบตาคู่นั้นมาก่อนก็กล่าวได้

เสียงอึกทึกในอกตีรวนราวกับยังมีชีวิตนับว่าทำให้เซียวโม่โฉวประหลาดใจไม่น้อย ไยตนจักต้องรู้สึกผิดแปลกบางอย่างกับบุรุษตรงหน้าที่หาได้คุ้นเคยด้วยเช่นนี้

“ท่านเป็นใคร เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้”

“ข้าเป็นใครจะสำคัญอันใด เจ้าฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว”ท่าทีเคร่งขรึมไม่อ่อนหวานเป็นอุปนิสัยจึงยากนักที่จะอ่านความคิดซับซ้อนออกได้

“ท่านยังมิได้ตอบคำถามขอข้า!”เซียวโม่โฉวมองเข้าไปในแววตาดุดันคู่นั้น ก่อนจะประคองตนเพื่อลุกขึ้น ไม่ทันจะได้คำตอบใดๆ จากผู้คนตรงหน้า จู่ๆ เหอจี๋ข้ารับใช้ของหลี่รั่วถงกลับปรากฏกายขึ้นคลานเข่าเข้ามาอย่างรู้ดีว่าตนนั้นเสียมารยาทที่ผลีผลามเข้ามาโดยมิได้รับอนุญาต ทว่าเรื่องที่มารายงานนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนไม่สามารถรั้งรอได้

“ขออภัยนายท่านที่ข้าเข้ามารบกวนท่าน หากแต่ข้ามีเรื่องสำคัญ คะคือข้างนอก....มะมีเทพจากชั้นฟ้ามาขอพบจ้าวพิภพแห่งหยินขอรับ ข้าได้ยินไม่ผิดแน่พวกเขากล่าวเช่นนั้น”

“ข้ารู้แล้วเจ้าออกไปได้!”เพียงสบตาเหอจี๋ก็แทบมุดแผ่นดินหนีออกไปลนลาน แต่ผู้ที่ยืนฟังเรื่องราวกับตกตะลึงกับคำเรียกขานที่ผู้คนเรียกบุรุษตรงหน้า

“ท่านคือหลี่รั่วถงเช่นนั้นหรือ”เซียวโม่โฉวมิได้ฉลาดมากนัก ทว่าก็มีไหวพริบพอที่จะคาดเดาและปะติดปะต่อเหตุการณ์ได้ ทั้งคนที่ตนเคยเห็นเพียงเงาเลือนรางก่อนหน้านี้ และท่าทีหวาดกลัวจนหัวหดของคนที่เข้าพบคงไม่ต้องให้คิดไปไกลเกินเอื้อม

“เจ้ากล่าวถูกแล้ว นั่นเป็นชื่อของข้า”ครั้นได้ฟังคำตอบรับ เซียวโม่โฉวถึงกับถอยหลังกรูดจนแทบหกล้ม แข้งขาอ่อนยวบขึ้นมาจนต้องจับยึดผนังค้ำยัน

“ทะท่านคือพ่อมดที่ผู้คนกล่าวขาน”

“มนุษย์กล่าวขานถึงข้าเช่นไร สีหน้าของเจ้าถึงได้หวาดกลัวข้าถึงเพียงนั้น?”

“อย่าเข้ามา! ท่านกำลังจะกินข้าใช่หรือไม่?”คำถามที่เถรตรงเอ่ยเสียงสั่น แววตาหวาดหวั่นทุกย่างก้าวที่หลี่รั่วถงเข้ามาใกล้ สะท้อนให้หลี่รั่วถงผู้ซึ่งถูกมองด้วยแววตาหวาดกลัวรู้สึกราวกับถูกบีบจิตใจอยู่ลึกๆ

เจ้าคงมองเห็นข้าอย่างที่มนุษย์มองข้าว่าเป็นผู้ที่โหดเหี้ยมเช่นนั้นสินะ

“กิน? หึ! หากหมายถึงดวงวิญญาณที่ถูกส่งมาสังเวยข้าถึงที่นี่ละก็ อาจจะใช่อย่างที่เจ้าคิด”

“หากเป็นเช่นนั้น.....ข้ามีเรื่องร้องขอท่านเพียงข้อเดียวได้โปรดเถิด”ราวกับสิ้นหนทาง เซียวโม่โฉวกล่าวด้วยน้ำเสียงวิงวอนพร้อมกับทรุดเข่าพนมมือร้องขอ หลี่รั่วถงเบิกตากว้างมองบุรุษตรงหน้านิ่งงัน“ข้าเพียงอยากวิงวอนต่อท่าน ขอความเมตตาเพียงครั้งเดียว ให้ข้าได้รับรู้ความจริงด้วยเถิดว่าเหตุใดชะตากรรมของข้าจึงเป็นเช่นนี้ ไยท่านพ่อท่านแม่ของข้าถึงได้ปฏิบัติต่อข้าอย่างไร้เยื่อใย ข้าอยากรู้ว่าตัวข้านั้นผิดต่อพวกเขาเช่นไร หลังจากนั้นแล้วข้าสาบานว่าข้าจะยอมกระโดดลงบ่อหลอมวิญญาณอย่างที่ท่านต้องการอย่างไม่มีข้อแม้ ได้โปรด”น้ำตาหยดใส่ไหลรินอีกครา

ทว่าน้ำตาเหล่านั้นกลับนำความไม่พึงใจให้แก่หลี่รั่วถงเป็นอย่างมาก ความอ่อนแอของผู้คนตรงหน้าที่หลั่งน้ำตาให้กับมนุษย์จิตใจต่ำช้านั้นถือว่าไร้ค่านัก

“เจ้ารู้แล้วจะทำเช่นไร! หากคนเหล่านั้นทำกับเจ้าเฉกเช่นสิ่งของไร้ความรู้สึกและไร้หัวใจ”

“.....”คำตอบนั้นเซียวโม่โฉวเพียงส่ายหน้า ยิ่งนำพาความกรุ่นโกรธมาให้หลี่รั่วถงไม่น้อย บางอย่างที่อยากจะเอ่ยขึ้นหากแต่เป็นกฎของสวรรค์ที่มิควรแพร่งพรายจึงนำความอึดอัดใจให้แก่หลี่รั่วถงเป็นอย่างยิ่ง

เจ้ายังไม่อยากยอมรับอีกเช่นนั้นหรือว่าคนเหล่านั้นหาได้จริงใจต่อเจ้า!

“หากเจ้าอยากจะรับรู้นักว่าความจริงเป็นเช่นไร ข้ามีทางเลือกให้”ครั้นถ้อยคำให้ความหวังเอ่ยออกมาจากปากของหลี่รั่วถง ผู้ที่คุกเข่าถึงกับเบิกตาโพลงจ้องมองมายังผู้คนเบื้องหน้าทั้งน้ำตา หลี่รั่วถงจึงก้าวเข้าไปยืนใกล้เอ่ยข้อต่อรองที่คิดการณ์มาดีแล้วออกไปแววตาขึงขัง

“สิ่งใดท่านกล่าวมาเถิด ข้าจะยอมทำตามทุกอย่าง”

“สถานที่แห่งนี้มีผาพลิกชะตา ซึ่งผู้ใดที่อาจหาญกระโดดลงไปจะสามารถรับรู้อดีตชาติและไขข้อสงสัยที่เจ้าต้องการรู้ได้ทว่า.....ผู้ที่จะลงไปนั้นสำหรับวิญญาณที่อ่อนแอเช่นเจ้าคงเป็นไปไม่ได้ เพราะหากลงไปแล้วก็ไม่อาจกลับขึ้นมาได้อีก ทั้งยั้งต้องจมอยู่กับบ่วงทุกข์ทรมานไปชั่วกัปชั่วกัลป์ สิ่งนั้นโหดร้ายเสียยิ่งกว่าการหลอมวิญญาณ”

ครั้นได้ยินคำกล่าวนั้นเซียวโม่โฉวก็แทบหมดหวัง ทว่าสิ่งที่หลี่รั่วถงกล่าวต่อไปนั้นก็จุดประกายความหวังให้บุรุษหนุ่มขึ้นมาอีกครั้ง

“.....”

“แต่ก็ยังมีหนทาง”

“อย่างไร?”แววตาใสที่มองมายังหลี่รั่วถง หารู้ไหมว่ากำลังแสดงสีหน้าเช่นไรอยู่

“นอกเสียจากเจ้าจะต้องมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งพอ”

“ข้าต้องทำอย่างไร! แลกด้วยสิ่งใดข้ายอมทั้งนั้น”สีหน้าใคร่รู้เสียเต็มประดาหาได้ขลาดกลัวอีกต่อไป

“ข้าจะบอกแก่เจ้าต่อเมื่อเจ้ารับปากที่จะทำตามข้อตกลงของข้าเสียก่อน หากไม่.....”

“ข้าจะทำ!”เสียงตอบรับที่ไร้การไตร่ตรองพยุงร่างกายตนเองให้ยืนขึ้นประจันหน้าต่อหลี่รั่วถงอย่างไม่กลัวเกรง แม่บุรุษตรงหน้าจะมีร่างกายที่สูงใหญ่เต็มไปด้วยรังสีอำมหิตและจิตสังหารรอบกาย ทว่ากลับหาได้รู้สึกหวาดกลัวใดๆ อีกต่อไป
ข้าไม่มีสิ่งใดที่จะเสียอีกแล้ว แม้กระทั่งลมหายใจของการมีชีวิต!

“เจ้าจะไม่คิดเสียหน่อยหรือ”อีกนัยหนึ่งหลี่รั่วถงกลับรู้สึกพึงใจแต่อีกนัยกลับรู้สึกไม่พอใจที่เซียวโม่โฉวไม่คิดถึงตนเอง

“มีสิ่งใดที่ข้าจะต้องกลัวอีก ข้ามาถึงยังสถานที่นี้แล้วนั่นมิใช่ข้ามผ่านความหวาดกลัวที่สุดมาแล้วหรือ”ชั่วครู่นัยน์ตาที่สั่นไหวกลับแปรเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นเสียจนเอ่อล้นออกมาทางแววตา

“หึ! เช่นนั้นเจ้าก็คงยินยอมที่จะมอบพลังวิญญาณของเจ้าเพื่อตอบแทนข้าจากนี้จวบจนถึงวันที่เจ้าสามารถทำความปรารถนาของเจ้าสำเร็จอย่างไม่มีข้อแม้สินะ”คราแรกที่ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มขึ้นตรงมุมปาก ดวงตาดุดันฉายแววบางอย่างขณะที่เคลื่อนตัวเข้าหาบุรุษที่อาจหาญเกินตัวนัก

“พลังวิญญาณ?”เซียวโม่โฉวยังคงตกตะลึง หากแต่สิ่งเหล่านี้เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่เช่นไรก็ไม่อาจคืนคำ

“ถูกแล้ว พลังวิญญาณของเจ้า”อีกก้าวที่เซียวโม่โฉวต้องถอยห่าง ครั้นรับรู้ได้ถึงความน่าเกรงขามขึ้นมาผ่านดวงตาคู่คมที่จ้องมองมายังตนราวกับจะกลืนกิน

“ข้าจะให้สิ่งนั้นกับท่านได้อย่างไร”

“เจ้ามิต้องทำสิ่งใด ข้าจะเป็นผู้ดึงสิ่งนั้นออกมาจากตัวเจ้าเอง”

“ท่านว่าอย่างไร.....!!!”กล่าวหนึ่งประโยคได้เพียงไม่กี่คำ ก็ไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้อีก ครั้นฝ่ามือใหญ่ของหลีรั่วถงยื่นเข้ามาคว้าจับกรอบหน้ามิให้ถอยห่าง พลางเลื่อนลงมาประคองลำคอระหงเกลี่ยก้านนิ้วสัมผัสสัญลักษณ์รูปดอกโบตั๋นที่เปล่งแสงเบาบางตอบรับราวกับพบพานเจ้าของ ก่อนคว้าเข้ามาใกล้พร้อมกดริมฝีปากหยักลงบนเรียวปากบางอย่างกะทันหัน แนบแน่นไร้ซึ่งช่องว่างใดให้เห็นถึงระยะห่าง จนดวงตาคู่สวยพลันสั่นระริกและแข็งทื่อไปทั้งร่างตกตะลึงมิได้คาดคิดมาก่อนเช่นนี้

ระยะเวลามิใช่เพียงชั่วครู่ แต่นิ่งค้างจนริมฝีปากบางที่เย็นเยียบถึงกับอุ่นชื้น ความรู้สึกตีรวนจู่โจมเซียวโม่โฉวให้กายร้อนผะผ่าวราวกับจะเผาไหม ก่อนร่างสูงจะผละออกมองบุรุษตรงหน้าแววตานิ่งเรียบ ครั้นเอ่ยขึ้นอีกคราราวกับย้ำเตือนให้จดจำ

“เจ้ารับปากสิ่งใดไว้ก็จงทำให้ได้ แล้วข้าจะบอกถึงสิ่งที่เจ้าอยากรู้ภายหลัง”

พลันร่างสูงเดินออกไปเข่าของบุรุษหนุ่มจึงได้ทรุดนั่งแทบพื้น ความร้อนรุ่มราวกับร่างกายจะเผาไหม้แทบทำให้ลำคอแห้งผาก ความรู้สึกเหล่านั้นมิใช่เป็นเพียงสิ่งที่กล่าวเกินจริง ทว่าเกิดขึ้นกับร่างกายของเซียวโม่โฉวราวกับกลืนกินสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อร่างกาย ลมปราณจึงได้แปรปรวนตีรวนแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กายเช่นนี้

“แค่กๆ ”

นั่นเป็นวิธีการ.....หรือจงใจรังแกข้ากันแน่ ข้าไม่แปลกใจเลยเหตุใดผู้คนจึงกล่าวขานถึงความโหดเหี้ยมของท่าน!





ติดตามตอนต่อไป >>>





ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
โดย : หลานฮวา


ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
คือต้องให้กำลังใจนายเองเราเนาะ ตามอ่านต่อ

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4


บทที่ 5
ความปรารถนา







คล้อยหลังเจ้าของพิภพแห่งนี้ อาการผะผ่าวในกายจึงได้ทุเลาเบาบางลงไปบ้าง เมื่อรวบรวมสติได้ความคิดที่ราวหลงลืมแล่นเข้ามาในหัว ภาพของปีศาจกระต่ายที่เคยช่วยชีวิตตนเอาไว้วาบขึ้นในหัวความกังวลใจเกิดขึ้นอีกครา ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไร เพราะหลังจากหมดสติเรื่องราวหลังจากนั้นก็ไม่ได้อยู่ในความทรงจำของเซียวโม่โฉวอีก

คิดได้เช่นนั้นความห่วงใยจึงนำพาบุรุษให้อาจหาญผลักประตูตรงหน้าให้เปิดออก

“จะไปไหนหรือขอรับ? ”

เฮือก!

ทันทีที่จมูกของเซียวโม่โฉวสัมผัสกับลมด้านนอก จู่ๆ ก็มีเสียงถามไถ่ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏกายของคนผู้หนึ่ง แม้ร่างกายจะเป็นมนุษย์แต่กลิ่นอายของความเป็นมนุษย์จริงๆ นั้นหามีไม่

แน่ล่ะจะมีได้อย่างไร ในเมื่อที่นี่ไม่ใช่โลกมนุษย์ และตัวข้าเองก็มิใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว มีอะไรที่ข้าต้องกลัวอีก

“เจ้าเป็นใคร!”

“ข้าน้อยมีนามว่าเหอจี๋ขอรับ นายท่านสั่งให้ข้ามาคอยดูแลท่านชั่วคราว”ร่างสูงแปดเซี๊ยะประสานมือค้อมหลังลงเล็กน้อยให้ความเคารพผู้คนตรงหน้า ไม่ว่าด้วยเหตุอันใดหากผู้ที่ถูกเลือกให้อยู่เรือนเสี้ยวจันทรานั่นหมายความว่าหาใช่ผู้ที่จะสามารถล่วงเกินด้วยการกระทำหรือคำพูดได้ เหอจี๋รู้ดีเพราะเดิมทีที่นี้นั้นปิดตายมานับพันปีราวกับเฝ้ารอเจ้าของ ทว่าฟ้าใหม่เปลี่ยนสีบุรุษหนุ่มผู้นี้กลับถูกเจ้าพิภพแห่งหยินเลือกแล้ว ฉะนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเหิมเกริมต่อคนผู้นี้ได้

“มาจับตามองข้าเสียไม่ว่า แต่ข้าไม่สนหรอกว่านายของเจ้าจะให้เจ้ามาควบคุมข้าหรือมาด้วยเรื่องใด ถึงข้าจะหวาดกลัวไปก็หาใช่ว่าจะหลีกหนีเรื่องเหล่านี้ได้”คิ้วได้รูปขมวดมุ่นครั้นทราบความ นึกถึงสัมผัสเมื่อครู่แล้วยังแค้นเคืองอยู่ในอกไม่หาย น้ำเสียงที่เปล่งออกไปราวเย็นเยียบจนเหอจี๋สัมผัสได้ นั่นมิใช่ไอพลังของดวงวิญญาณผู้อ่อนแอ แต่สิ่งที่เหอจี๋สัมผัสได้นั้นปะปนไปด้วยกลิ่นอายของหลี่รั่วถงอยู่ด้วย แม้จะเล็กน้อยแต่ผู้รับใช้ที่อยู่ชิดใกล้จ้าวพิภพแห่งหยินมานับพันปีเหตุใดจะไม่รับรู้

น่าแปลกนัก...

“เอ่อคือ...ตกลงท่านจะไปที่ใดขอรับ”

“เจ้าอยู่ก็ดีแล้ว ข้าต้องการสหายของข้าคืนตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”

“สหาย?”

“ข้าหมายถึงปีศาจกระต่ายที่มาพร้อมกับข้า”เหอจี๋ก้มหน้าเหลือบดวงตาขึ้นมองเซียวโม่โฉวราวกับพูดไมได้

“เอ่อคือ.....”

“สิ่งใดเล่า รีบพูดมาหรือนายของเจ้าจะ.....!”เมื่อนึกขึ้นได้ดวงตากลมใสพลันเบิกโพลงขึ้น

“มิได้เป็นเช่นนั้นขอรับ นายท่านมิได้ทำเช่นนั้น”

“แล้วทู่จึอยู่ที่ไหน?”

“ขะข้าไม่ทราบ ข้ามิสามารถเข้าไปยุ่มย่ามเรื่องนั้นได้”

“แล้วตอนนี้หลี่รั่วถงนายท่านของเจ้าเขาอยู่ที่ไหน ข้าจะไปถามด้วยตัวเอง?”

“ข้าบอกไม่ได้ขอรับ”

“ดี ในเมื่อเจ้าแสร้งไม่รู้ไปซะทุกเรื่องก็ตามใจ เช่นนั้นข้าจะออกไปหาเขาเอง”พูดจบเซียวโม่โฉวก็เดินไปตามทางที่มิได้รู้จักหรือคุ้นเคยแต่อย่างใด แม้สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปราวกับแดนดินของมนุษย์ แต่ก็ไม่อาจมีสิ่งใดบ่งบอกได้ว่าเดินไปยังเส้นทางเบื้องหน้าแล้วจะเกิดอันตรายใดขึ้นหรือไม่

“หยุดก่อนเถิดขอรับ หากท่านเดินไปสุ่มสี่สุ่มห้าอาจเกิดอันตรายได้นะขอรับ ที่นี่มีม่านเวทลวงตาศัตรูอยู่ทุกที่หากเดินไปไม่รู้ทิศอาจหลงทางได้”

“เช่นนั้นเจ้าก็นำทางข้า”เซียวโม่โฉวหยุดเดินมองไปยังเหอจี๋ที่เดินเร็วรี่เข้ามาขวาง จะไม่ให้ขวางได้อย่างไรหากเกิดเรื่องอันตรายขึ้นมากับบุรุษตรงหน้าผู้ที่จะเดือดร้อนก็เป็นเหอจี๋ผู้นี้ไม่พ้นแน่

“มะไม่ได้ขอรับ”

“เช่นนั้นเจ้าก็ออกไปให้ห่างจากข้า”แววตาถมึงทึงมองไปยังเหอจี๋ ไม่รู้ว่าเหตุใดหลังจากผ่านความตายมาแล้วความรู้สึกกลัวเกรงหรือหวาดกลัวกลับด้านช้าไปเสียหมด สำหรับเซียวโม่โฉวนับได้ว่าแทบจะเปลี่ยนอุปนิสัยก่อนเก่าที่เคยยอมคน สงบปากสงบคำมากกว่าต่อต้านไปเสียสิ้น

“อย่างไรก็ไม่ได้ขอรับ”

“เจ้ายังยืนยันคำเดิม?”

“ขอรับ!”

“ก็แล้วแต่เจ้าเถอะ!”เซียวโม่โฉวไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้จึงตัดสินใจเดินไปยังเส้นทางเบื้องหน้าไม่สนฟ้าดิน เหอจี๋มองเซียวโม่โฉวที่หาได้เกรงกลัวอันตรายก่อนจะเข้าไปดึงจับเสื้อคลุมตัวนอกเท่าที่คว้าได้มิให้เดินไป พยายามใช้วิธีที่มิให้ถึงเนื้อถึงตัวให้มากที่สุด

“ปล่อยข้า!”หากแต่ด้วยความรำคาญเป็นที่สุดเซียวโม่โฉวจึงตัดสินใจถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกเสีย“หากเจ้าอยากได้นักก็เอาไป”แล้วขว้างใส่เหอจี๋ที่ตาแทบถลนออกมาอย่างตกตะลึง ท่าทีลุกลี้ลุกลนไม่รู้จะควบคุมบุรุษตรงหน้าอย่างไรดี

“อย่าทำอย่างนี้เลยนะขอรับ ไม่เช่นนั้นข้าเดือดร้อนเป็นแน่”

“เจ้าอยากได้สิ่งนี้ด้วยหรือไม่”ร่างบางที่สวมใส่เพียงเสื้อผ้าเนื้อบาง สาบเสื้อหมิ่นเหม่จะแยกออกจากกันเผยให้เห็นผิวพรรณขาวผุดผาดอยู่เนืองๆ ก้มลงเก็บกิ่งไม้ที่หล่นแห้งตามทางเข้าขว้างปาอย่างเหลืออด เสมือนความก้าวราวที่สะสมอยู่ในส่วนลึกของจิตใจที่อยากจะระบายมันออกมาเสียให้หมดสิ้น

แต่ถึงขว้างปาอย่างไรก็ไม่สามารถโดนตัวเหอจี๋ได้อยู่ดี

ข้าคงลืมไปสินะว่าผู้คนที่นี่มิใช่มนุษย์ จะเจ็บได้อย่างไรกับแค่กิ่งไม้เล็กๆ ที่เมื่อโดนปัดก็หักกลางอากาศแล้ว และมิหนำซ้ำ ข้าก็ไม่ควรไปโทษโพยผู้ที่ต้องรับคำสั่งผู้อื่นมา เช่นไรเหอจี๋ก็ทำตามหน้าที่

ครั้นนึกได้ก็เก็บสิ้นความเกรี้ยวกราด มือบางที่กำแน่นสั่นไปทั้งแขนด้วยความอดทนในสิ่งที่ตนต้องเผชิญ

“ข้า.....ขอโทษ”

“เอ๊ะ? เหตุใดจึงต้องขอโทษข้าด้วย ทะท่านมิได้บาดเจ็บอะไรตรงไหนใช่หรือไม่”เหอจี๋มีท่าทีละล่ำละลักเมื่อเห็นว่าเซียวโม่โฉวมีท่าทีผิดแปลกไป จากที่เกรี้ยวกราดอยู่เมื่อครู่กลับหดหู่ราวกับจะหลั่งน้ำตา

“เกิดอะไรขึ้น?”

“นะนายท่าน!”น้ำเสียงกังวานและท่าทีกลัวเกรงของเหอจี๋ก็บอกให้รู้แล้วว่าผู้ใดที่มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหลังของเซียวโม่โฉว บุรุษหนุ่มเพียงเอี้ยวเสี้ยวหน้าหนึ่งหันไปมอง เป็นหลี่รั่วถงที่ตวัดสายตามองไปยังเหอจี๋ซึ่งยืนตัวลีบแบนหอบถืออาภรณ์ชิ้นหนึ่งที่ถูกเซียวโม่โฉวสลัดออกไปอย่างไม่ไยดี

“ทู่จึอยู่ที่ไหน?”

“เจ้าหมายถึงปีศาจชั้นต่ำตัวนั้นน่ะหรือ”ร่างสูงสง่าก้าวมาเบื้องหน้ามองดูเซียวโม่โฉวแววตาเย็นเยียบ กระทั่งบรรยากาศรอบตัวของหลี่รั่วถงก็มิได้ต่างกัน

“ใช่ ข้าต้องการรู้ว่าตอนนี้ทู่จึอยู่ที่ไหน”

“เพียงแค่เหยียบเข้ามาในที่ที่ไม่ควรปีศาจตนนั้นก็สมควรได้รับโทษแล้ว เจ้าจะยังถามถึงไปทำไม”กล่าวเสร็จหลี่รั่วถงก็ปลีกตัวเดินออกไป เซียวโม่โฉวที่ต้องการคำตอบจึงเร่งเท้าเดินตาม

“แต่ทู่จึช่วยข้า! มิใช่ว่าท่านฆ่าเขาไปแล้วใช่หรือไม่”มือบางเข้าคว้าแขนแข็งแรงของหลี่รั่วถงบีบแน่นให้หยุดเดิน ก่อนใช้ร่างกายเข้าขวางอย่างไม่กลัวเกรง ในแววตาสั่นระริกแม้จะกลบเกลื่อนด้วยใบหน้าฉุนเฉียว

หากแต่ไม่ทันไร หลี่รั่วถงเพียงหงายฝ่ามือข้างหนึ่ง ม่านพลังเบาบางที่ปรากฏขึ้นในอากาศโอบอุ้มเจ้าปีศาจกระต่ายที่สลบไสลอยู่ด้านในก็พลันแตกออกราวกับฟองอากาศ ร่างเล็กร่วงลงมาหลี่รั่วถงหยิบคว้าส่วนหูที่ยื่นยาวเอาไว้ ใช้สายตาคมกริบเหลือบมองสิ่งที่อยู่ในมือราวกับเป็นสิ่งของ

“เจ้าปีศาจตนนี้ที่เจ้าอยากได้คืนนักหนาเช่นนั้นหรือ”

“ส่งมาให้ข้า!”แววตาเป็นประกายเข้าคว้าสิ่งที่อยู่ในมือหลี่รั่วถงอย่างยินดี เผยรอยยิ้มบางราวกับความสุขเกิดขึ้นตรงหน้า จนเผลอสะกดสายตาให้หลี่รั่วถงจ้องมองร่างบางอยู่นาน

คล้ายหวนคิดถึงภาพในที่รอยยิ้มสดใสนั้นตนเคยได้รับมาก่อน

“เจ้าตามข้ามา ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับเจ้า”เซียวโม่โฉวพยักหน้าและตั้งท่าจะเดินตาม“แต่มิต้องนำสหายชั้นต่ำของเจ้าไป”ดวงตาคมตวัดมองไปยังทู่จึปีศาจกระต่ายที่เริ่มขยับตัวเข้าซุกใบหน้าเข้ากับอกของเซียวโม่โฉวหางตาขยับ หลี่รั่วถงรู้ดีว่าเจ้ากระต่ายปีศาจตนนั้นสามารถฟื้นฟูร่างกายตนเองได้อย่างรวดเร็ว มิได้สาหัสมากนักเพียงไม่กี่ชั่วยามก็สามารถกระโดดวิ่งเต้นได้แล้วหรือรวดเร็วกว่านั้น

เพราะเห็นแก่บุรุษตรงหน้า เจ้าปีศาจตนนั้นจึงยังมีชีวิตรอด

“ข้าฝากเจ้าไว้ หวังว่าเจ้าจะไม่รังแกมัน”

“ขอรับ”เหอจี๋รับทู่จึจากเซียวโม่โฉวอย่างจำยอม มองนายทั้งสองที่เดินลับหายไป ก่อนจะหยิบคว้าขาข้างหนึ่งของทู่จึหิ้วขึ้นกลางอาการ สีหน้าที่เคยนอบน้อมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้น ซ้ำกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขวัญต่อปีศาจเจ้าเล่ห์ตรงหน้าอย่างรู้แกว

“ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นอยู่ ลืมตาขึ้นมาคุยกับข้าเดี๋ยวนี้!”หัวที่ห้องต่องแต่งขยับเปลือกตาเปิดออกพลันร่างที่เคยเป็นกระต่ายก็จำแลงกายเป็นเด็กน้อยที่เหอจี๋ปล่อยให้ร่วงลงกับพื้นหากแต่สามารถตีลังกาลงพื้นได้อย่างสวยงาม

“หว้า รู้ซะแล้ว”แก้มย้วยๆ ที่สูบอากาศเข้าเต็มจนป่องเล่นหูเล่นตาราวกับกำลังกวนใจเหอจี๋

“ต่อจากนี้หากเจ้าก่อเรื่องขึ้นล่ะก็ รับรองได้เลยว่าไม่ต้องให้ถึงมือนายท่าน แต่ข้านี่แหละที่จะจับโยนลงไปในบ่อหลอม
วิญญาณ!”ดวงตาราวกับไฟท่วมเท้าเอวมองเจ้าปีศาจจอมซนที่ยืนจิ้มนิ้วชนกันทำสีหน้าตาละห้อย

“ขะข้าไม่ก่อเรื่องอยู่แล้ว ข้าก็แค่อยากจะอยู่ที่นี่ด้วยก็เท่านั้นเหตุใดท่านถึงต้องดุข้าด้วยเล่า”

“ไม่ต้องมาตีหน้าเศร้า โชคดีเท่าไหร่แล้วที่นายท่านยังเห็นแก่เซียวโม่โฉวไม่เผาเจ้าให้เป็นจุณไปในวันนั้น”

“ข้ารู้แล้วนา ข้าจะยอมเป็นเด็กดีข้าสัญญา”

“รู้ก็ดีแล้ว ตามข้ามานี่”

“ไปไหน?”ดวงตากลมใสเงยหน้าขึ้นมองเหอจี๋ด้วยความฉงน

“ก็หาเสื้อผ้าให้เจ้าใส่ เหตุใดจึงชอบเดินล่อนจ้อนอยู่เช่นนั้น หรืออยากโดนอสูรไก่ฟ้าตาเดียวจิกไอ้นั่นของเจ้าจนกุดก็เลือกเอาเถิด”

“มะไม่น๊าอันนี้อันเดียวของข้า แง่ๆ!”

“หยุดร้องไห้! ข้าเกลียดเสียงเด็กเป็นที่สุด!”

“กะก็ข้ากลัวนิ”ตาใสๆ แสร้งบีบน้ำตาเรียกความสงสาร หากแต่เหอจี๋กลับรู้เท่าทัน

“อย่ามาเสแสร้งต่อหน้าข้า รีบตามมาอย่าโอ้เอ้!”

“ขะขอรับ!”มือเล็กจิ๋วปกปิดของลับอย่างว่องไวแอบลอบถอนหายใจที่คนตรงหน้าหาได้อ่อนโยนต่อตนไม่ ก่อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งด้วยขาคู่สั่นตามเหอจี๋ไปอย่างรวดเร็ว ซ้ำแอบชำเลืองมองซ้ายขวา ในอกเกรงว่าจะเจอเข้าให้กับอสูรไก่ฟ้าตาเดียวเข้าจริงๆ




“ท่านจะพูดเรื่องใดต่อข้า”แผ่นหลังกว้างที่ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวหันหลังให้เซียวโม่โฉวอยู่ช้านาน คนที่ไม่อาจอดทนรอจึงได้ถามไถ่ขึ้น หลี่รั่วถงจึงได้ขยับหมุนกายพร้อมด้วยสีหน้านิ่งเรียบราวกับผืนทะเลสาบเย็นเยือกจ้องมองเซียวโม่โฉวด้วยแววตาผูกพันทว่ากลับซ่อนเร้นไว้จนไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็น หากแต่กระนั้นครู่หนึ่งที่สายตาทั้งสองบุรุษประสานกัน เซียวโม่โฉวมิได้หลบตาจึงคล้ายเห็นนัยน์ตาอ่อนโยนผ่านดวงตากร้าวคู่นั้น

แต่ผู้ใดเล่าจะคิดเป็นเช่นนั้น พ่อมดปีศาจอย่างหลี่รั่วถงจะมีแววตาอ่อนโยนให้เห็นได้อย่างไรกัน รอบกายมีแต่ความเหน็บหนาวและมืดมน เช่นไรจันทราก็ไม่อาจกลายเป็นดวงตะวันที่อบอุ่นไปได้ 

“เซียวโม่โฉว นั่นเป็นชื่อของเจ้าใช่หรือไม่?”

“นั่นเป็นชื่อของข้า”

“ผู้ใดเป็นคนตั้งให้”

“แน่นอนว่าเป็นท่านพ่อและท่านแม่ของข้า พวกเข้าบอกว่าข้าเหมาะสมกับชื่อนั้น”ครั้นกล่าวทั้งดวงตาและสีหน้าคล้ายยิ้มอย่างเจ็บปวด“แล้วท่านถามเรื่องนี้กับข้าไปทำไมกัน”

“ข้าเพียงต้องการรู้ อย่างไรเจ้าก็ต้องอยู่ที่นี่อีกนาน ในเมื่อข้าเป็นเจ้าบ้านมิใช่ต้องควรรู้ไว้เช่นนั้นหรือ”

“ถูกอย่างที่ท่านกล่าว”บุรุษหนุ่มกล่าวเสียงแผ่ว ตระหนักได้ว่าตนยังคงอยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วยสถานะใด หากมิใช่แหล่งพลังวิญญาณเคลื่อนที่ได้ของหลี่รั่วถง หากแต่สิ่งนั้นเป็นความยินยอมที่โง่เขลาของเขาเองจะไปโทษผู้ใดได้ การแลกเปลี่ยนนั่นเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว

“สีหน้าของเจ้าดูไม่สู้ดีนัก กลัวที่จะอยู่ที่นี่แล้วหรืออย่างไร”ในขณะที่ความคิดเซียวโม่โฉวกำลังเหม่อลอย นิ้วเรียวที่เย็นเยือกของหลี่รั่วถงก็เลื่อนเข้าช้อนใบหน้าได้รูปของเซียวโม่โฉวขึ้นสำรวจ เผยลำคอระหงที่ขาวนวลเนียนไปตลอดจนลาดไหล่ที่เผยออกราวกับเย้ายวนสายตาผู้คน

“ข้ามิได้คิดที่จะเลิกล้มความตั้งใจเพียงเพราะความขลาดกลัว ท่านมิต้องกลัวไปหรอกว่าข้าจะผิดสัญญา”เซียวโม่โฉวเบี่ยงหน้าหนีเล็กน้อย น้ำเสียงที่เปล่งออกไปมิได้แสดงถึงความกระด้างกระเดื่องแต่อย่างใด

“อย่างนั้นก็ดี หากเจ้ามีความพยายามเช่นนี้วิธีที่จะสามารถไปยังผาพลิกชะตาคงไม่ยากเกินเอื้อมสำหรับเจ้านัก”

“อย่างไร บอกข้าเร็วเถิด”ความไร้ชีวิตชีวากลับคืนมาเมื่อได้ยินเรื่องที่หลี่รั่วถงกล่าว แววตาเป็นประกายมองร่างสูงสง่าตรงหน้าตาไม่กะพริบ

“.....”

หลี่รั่วถงไม่เพียงนิ่งเงียบหากแต่กำลังเอื้อมมือหนาเข้าช้อนเรือนผมนุ่มละเอียดของอีกฝ่ายอย่างอ้อยอิ่งก่อนทิ้งเส้นผมละเอียดให้ไหลผ่านฝ่ามือราวสายน้ำ หลงเหลือเพียงผมที่หลุดออกมาไม่กี่เส้นก่อนจะหลับตาเพียงครู่ราวกับร่ายเวทมนตร์ให้เซียวโม่โฉวได้ประหลาดใจ เมื่อจู่ๆ เส้นผมของตนกำลังสลายลอยฟุ้งขึ้นคล้ายดวงไฟเล็กๆ นับพันดวงจากฝ่ามือบุรุษตรงหน้าก่อนรวมตัวกันเปล่งแสงเรืองรองสว่างจ้า

จากเส้นผมเพียงไม่กี่เส้นแปรเปลี่ยนเป็นดอกโบตั๋นสีทองที่ลอยอยู่เหนือฝ่ามือของหลี่รั่วถงขนาดเท่ากำมือ หากแต่มิได้หยุดเพียงเท่านั้น จากดอกโบตั๋นสีทองที่เป็นดอกตูมกำลังหดเล็กลงกระทั่งเหลือเพียงขนาดเท่าแหวนหนึ่งวง กลับกลายเป็นเครื่องประดับชิ้นงามในพริบตา

“สิ่งที่เจ้าต้องทำนั่นคือการบำเพ็ญตนเองให้แข็งแกร่ง วันใดที่ดวงจิตของเจ้าแข็งแกร่งพอแล้วเมื่อนั้นดอกโบตั๋นที่ประดับอยู่บนปิ่นปักผมเล่มนี้จะบานสะพรั่งบอกเตือนแก่เจ้า”เสียงทุ้มและนุ่มกังวานบอกสิ่งที่เซียวโม่โฉวต้องการรู้ และท่วงท่าทีนิ่มนวลกำลังเคลื่อนกายสูงใหญ่เข้าหาบุรุษหนุ่มก่อนจะปักปิ่นเล่มนั้นให้แก่เซียวโม่โฉวด้วยมือแข็งแรงอย่างอ่อนโยน

เวลานี้คล้ายหัวใจบุรุษหนุ่มที่ราวไม่เคยรู้สึกถึงการมีชีวิตหลังความตายกำลังขยับเต้น เซียวโม่โฉวมองการกระทำของหลี่รั่วถงที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่ละสายตา วูบหนึ่งในความรู้สึกราวกับมีบางสิ่งพันผูกหัวใจของตนต่อบุรุษตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด

“เจ้าจงเก็บรักษาไว้ให้ดี”

“ขะข้าจะเก็บไว้เป็นอย่างดี”สติที่ล่องลอยขานรับหลี่รั่วถงลนลาน แล้วยมือขึ้นลูบสัมผัสปิ่นปักผมและเส้นผมตนเองราวกับมิคุ้นเคย ส่วนที่ถูกสัมผัสร้อนผ่าวลามไต่มาจนถึงใบหูเล็ก

“นับแต่พรุ่งนี้ ข้าจะให้เหอจี๋เป็นผู้นำทางเจ้าไปยังที่บำเพ็ญตน อาจไม่ง่ายนักหากเจ้ามีความมุ่งมั่นพอก็ไม่มีสิ่งใดเป็นอุปสรรค และเมื่อใดที่เจ้าต้องการพบข้าให้เหอจี๋นำทางไป”

“ขอบคุณท่านมาก”

“ไม่จำเป็น เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าข้ากับเจ้าต่างมีสิ่งแลกเปลี่ยนต่อกัน”

“ข้าจะไปลืมได้อย่างไร”ครั้นนึกก็อดแสดงสีหน้ากังวลไปไม่ได้ หลี่รั่วถงที่ลอบสังเกตก็พอทราบว่าในแววตาเข้มแข็งเช่นนั้นกำลังหวาดหวั่นเพียงใด หากแต่ตนไม่ทำเช่นนี้ก็ไม่มีทางทำสิ่งที่เฝ้ารอมานับพันปีให้สำเร็จลุล่วงได้ เรื่องระหว่างหลี่รั่วถงและเซียวโม่โฉวหาได้มีผู้ใดรับรู้เรื่องราว ยกเว้นเสียแต่ผู้ปกครองชั้นฟ้าทั้ง 4 ที่กุมความลับไว้เท่านั้น

“เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป ข้ามีเรื่องๆ หนึ่งที่ต้องการจะถามท่าน?”

“มีเรื่องใดว่ามา”

“ข้าอยากรู้ว่า ท่านเมตตาดวงวิญญาณทุกดวงที่ถูกสังเวยเช่นข้าหรือไม่ ทุกครั้งที่พวกเขาร่ำร้องและขอให้ท่านช่วยละเว้น ท่านให้โอกาสพวกเขาเฉกเช่นที่ข้าได้รับหรือไม่”

ข้าไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่หลี่รั่วถงผู้นี้กระทำอยู่ใช่ความเมตตาหรือไม่ หากแต่ข้านั้นได้ไตร่ตรองถึงการกระทำของเขาและสิ่งที่ข้าเคยได้ยินมาจากโลกมนุษย์ก็นับว่าย้อนแย้งกันมากนัก หรือข้าอาจถูกหลี่รั่วถงหลอกให้ตายใจก็อาจเป็นไปได้

“เจ้าจะอยากรู้ไปทำไม”สองเท้าก้าวเข้ามายืนเคียงใกล้อีกครา มองเซียวโม่โฉวไม่หลบสายตา ทว่าผู้ที่ถูกจ้องมองแทบจะสำลักความตื่นกลัว

“เป็นเพียงความอยากรู้ที่ไร้เหตุผลของข้า หากท่านไม่ต้องการตอบเช่นไรก็เป็นสิทธิ์ของท่าน”

“เหตุใดข้าจะไม่ตอบหากเจ้าปรารถนาอยากจะรู้”

“แล้วแต่ท่านจะพิจารณาเถิด”เซียวโม่โฉวรับรู้ได้ถึงอันตรายบางอย่างก่อนจะก้าวถอยทีละก้าว หลี่รั่วถงก้าวเดินตามเพียงหนึ่งก้าวก็สามารถประชิดตัวเซียวโม่โฉวได้แล้ว พลันสายตาคมก้มลงมองเซียวโม่โฉว พร้อมโน้มใบหน้ากระซิบชิดใบหูเล็กน้ำเสียงทุ้ม

“หาใช่ความเมตตาที่ข้ามอบให้แก่เจ้า หากแต่เป็นความปรารถนาของข้าที่ต้องการให้เจ้าได้อยู่ข้างกายข้าเสียมากกว่า”
ครั้นเอ่ยเสร็จมือหนายกขึ้นวางเพียงเบาบนไหล่เล็กก่อนจะกระชับสาบเสื้อของเซียวโม่โฉวให้เข้าที่ แล้วหัวเราะหงึกเพียงแผ่วเบาก่อนผละออกไป สายตาของเซียวโม่โฉวขณะนิ่งค้างกับคำพุดเหล่านั้นเมื่อรู้สึกตัวอีกคราหลี่รั่วถงกลับหายตัวไปเสียแล้ว ทิ้งไว้เพียงลมหายใจอุ่นร้อนและความรู้สึกวูบไหวในแววตาของเซียวโม่โฉวที่ไม่อาจปิดบังได้

ตึกตัก ตึกตัก!

!!!

เกิดสิ่งใดกับร่างกายและความรู้สึกของข้ากัน หรือข้าจะถูกหลี่รั่วถงเล่นเล่ห์ร่ายมนตร์ป่วนความคิดข้าเสียแล้ว







ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ

ขอบคุณนักอ่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านค่ะ

นายเอกอาจจะน่าสงสารไปบ้างแต่เวลาจะเยียวยาและทำให้เข้มแข็งขึ้นค่ะ :hao5:

ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเชื่อเถอะค่ะ ฮ่าๆๆ o18

โดย หลานฮวา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-08-2018 22:09:06 โดย ทามากิบ๊อง »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อร้ายยยย >< ออกตัวแรง

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ติดตาม เป็นกำลังใจให้เซียวโม่โฉวค่ะ
 :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-08-2018 20:14:44 โดย tasteurr »

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4
บทที่ 6
เผชิญและพบพาน



“การประชุมช่างน่าเบื่อหน่าย มีสิ่งใดต้องพูดกันอีกในเมื่อต่างฝ่ายต่างมิยอมฟังความผู้ใด โดยเฉพาะชั้นฟ้าที่อย่างไรก็มีเทพเซียนที่เก่าแก่คร่ำครึ ความคิดหาได้เปลี่ยนไปแม้จะผ่านมานับหมื่นๆ ปี ข้าล่ะอยากจะสาดสุราต่อหน้าเทพเซียนเหล่านั้นนัก หากไม่ติดตรงที่ข้านึกเสียดายสุราเลิศรสของข้ามากกว่า”

“พวกเขาต่างยึดกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัด หากเจ้าต้องการทำลายสิ่งน่ารำคาญใจเหล่านั้นก็ร่วมมือกับข้าดีหรือไม่”ถ้อยคำที่กล่าวขึ้นด้วยแววตาคมกริบ มิได้กล่าวประชดประชันหากแต่ราวกับพร้อมจะทำลายได้ทุกเมื่อ

“จะเจ้าก็รู้.....ข้าเพียงบ่นออกไปเช่นนั้น”หวางหรูอี้หน้าซีดไปหลายส่วนครั้นเห็นแววตาขึงขังของสหายอย่างหลี่รั่วถง ผู้ที่มิเคยกล่าวหยอกล้อหรือเพ้อพก หากแต่กล่าวจริงทุกประการ

“หากเจ้าเปลี่ยนใจก็บอกแก่ข้าได้ทุกเมื่อ”

หวางหรูอี้หันซ้ายมองขวาก่อนจะเอ่ยขึ้นแผ่วเบาต่อหลี่รั่วถงใบหน้ากังวล“เจ้ากล่าวเช่นนั้นหากมีผู้ใดมาได้ยินเข้าประเดี๋ยวก็เดือดร้อนกันพอดี”

“ข้ามีสิ่งใดจะต้องเกรงกลัว เช่นไรข้าก็มิต้องชะตากับสถานที่แห่งนี้อยู่แล้ว”หลี่รั่วถงนึกย้อนไปเมื่อพันปีก่อน ตนต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไปเพียงเพราะความผิดพลาดของชั้นฟ้า นำมาซึ่งพันธสัญญาบางอย่างที่ตนต้องปฏิบัติเพื่อให้บางสิ่งบางอย่างกลับคืนดังเดิม ครานั้นหัวใจของจ้าวพิภพแห่งหยินแทบแหลกสลาย

“ใช่ว่าเจ้าจะเป็นเพียงผู้เดียวข้าก็เช่นกัน แต่อย่างไรข้าและเจ้าก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้ มาร่วมมือทำใจกันเสียเถิดสหายข้า”หวางหรูอี้ยอมโยนขวดน้ำเต้าแล้วหันไปตบไหล่เพียงเบาปลอบใจหลี่รั่วถง ที่มิได้ต้องการคำปลอบใจจากผู้ใด ซ้ำยังเบี่ยงตัวเดินหนีหวางหรูอี้อย่างแยบยล จนอีกฝ่ายออกอาการชะงักค้าง

“จิ๊! เจ้าช่างไร้หัวใจยิ่งนักทำเช่นนี้ต่อข้าเสมอต้นเสมอปลาย ข้าล่ะนับถือเจ้าจริงๆ ”อารมณ์ตัดพ้อขมุบขมิบปากพึมพำมองตามแผ่นหลังของหลี่รั่วถงแต่มิได้เดินตามไป

“ข้าเก็บสิ่งนี้ได้ และเดาไม่ผิดว่าเจ้าของคือเจ้า หวางหรูอี้จ้าวพิภพแห่งหยาง”น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นอยู่เบื้องหลัง พร้อมกับขวดน้ำเต้าสุราที่อยู่ในมือของติงเจิ้งหวา จ้าวแห่งนรกภูมิที่กำลังเดินมาสีหน้าหยักยิ้มราวกับเย้ยหยันแอบแฝง ทั้งดวงตาสีแดงและเส้นผมราวกับเปลวเพลิงหาได้ต้องตาหวางหรูอี้เท่าไหร่นัก เพราะความชิงชังนั้นล้นปรี่อยู่ในใจบุรุษ ทว่าในสายตาผู้อื่นนั้น คำว่ารูปงามก็เห็นว่าเหมาะสมที่จะกล่าวชื่นชมต่อติงเจิ้งหวานัก

“เจ้าอีกแล้ว”หวางหรูอี้ขมวดคิ้วมุ่นคว้าขวดน้ำเต้าคืนกลับ

“เจ้าจะไม่กล่าวขอบคุณข้าหน่อยหรืออย่างไร”

“ไยข้าต้องกล่าวเช่นนั้นต่อเจ้าด้วย ในเมื่อข้าโยนมันทิ้งหากแต่เจ้ากลับเก็บมันมาด้วยตนเอง ข้ามิได้เอ่ยปากร้องขอเสียด้วยซ้ำ”

“พบกันกี่ครา เจ้าก็ช่างยั่วโมโหข้าได้ดียิ่งนัก”

“ใครว่าข้ายั่วโมโหเจ้า เจ้าต่างหากยั่วโม่โหข้า!”

“พูดผิดพูดใหม่ได้ ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง”นัยน์ตาสีแดงเพลิงราวกับไฟลุกจ้องมองหวางหรูอี้ไม่พอใจนัก

“โอกาส? ข้าไม่ต้องการ”กล่าวจบหวางหรูอี้จึงหมุนกายเดินหนีไปอย่างไม่ไยดีต่อผู้ที่พูดคุยด้วย ยิ่งสร้างความหงุดหงิดงุ่นง่านให้กับจ้าวแห่งนรกภูมิขึ้นเป็นทวีคูณ เช่นไรในสายตาติงเจิ้งหวา หวางหรูอี้ก็มิควรอยู่ในตำแหน่งจ้าวพิภพแห่งหยาง
ประพฤติตนเช่นนี้ผู้ใดเล่าจะเคารพนับถือเจ้ากัน เอาแต่สำมะเลเทเมาไปวันๆ ช่างน่ารังเกียจนัก!



พิภพแห่งหยิน

   “เดินระวังนะขอรับ”

   “อืม”น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงลำคอครั้นทอดสายตามองลงไปยังไหล่เหวเบื้องล่างก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้าที่เป็นเส้นทางแคบๆ ไต่สันเขาทอดยาวไปเบื้องหน้า สีหน้าหวาดหวั่นกำลังรวบรวมกำลังใจเพื่อไปถึงยังที่หมายนั่นคือที่สำหรับบำเพ็ญตนเพื่อให้ดวงวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น อย่างไรเซียวโม่โฉวก็ไม่อาจละทิ้งความตั้งใจของตนเองได้

   “รีบเดินเร็วๆ ไม่ได้หรืออย่างไรกันข้าเหนื่อยแล้วเนี้ย”

   “หุบปากของเจ้า! ไม่เช่นนั้นข้าโยนเจ้าลงตรงนี้แน่”น้ำเสียงดุปรามเจ้าปีศาจกระต่ายที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย มิหนำซ้ำยังมาเป็นภาระแก่เซียวโม่โฉวอย่างไม่น่าให้อภัย เพราะนอกจากจะไม่เดินด้วยตนเองแล้วยังจะมาเกาะหลังผู้อื่นอีกด้วย

   หากบุรุษหนุ่มไม่หลงกลลูกอ้อนของทู่จึยามนี้คงไม่ต้องมาทนแบกเจ้าทู่จึตนนี้ราวกับลูกในไส้

   “อีกไม่ไกลก็จะถึงแล้ว ผ่านป่าตรงหน้าก็จะเป็นสถานที่บำเพ็ญของท่านแล้วขอรับ”เหอจี๋ชี้นิ้วไปยังเบื้องหน้าที่ดูเช่นไรก็ช่างมืดมิดราวกับปิดตา

   “เหตุใดจึงไม่หายตัวมา เหาะมา หรือทำอย่างไรก็ได้เพื่อจะมายังที่นี่กันเล่า”เซียวโม่โฉวฉงนใจ

ในนิทานเด็กที่ผู้ใหญ่เคยเล่าให้ฟัง เหล่าภูตผีปีศาจ หรือเทพเซียนที่อยู่เหนือความตายย่อมมีอิทธิฤทธิ์สูงส่งมิใช่หรือ แล้วเหตุใดไยจึงมาลำบากเช่นนี้ ทั้งที่ข้าก็เป็นดวงวิญญาณเหตุใดจึงเหาะเหินเดินอากาศมิได้กัน หรือข้าถูกหลอกมาตลอดเช่นนั้นหรือ?

“ขออภัยด้วยขอรับ เขตแดนที่แห่งนี้ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ใดๆ ได้ มีแต่ต้องพยายามด้วยเรี่ยวแรงเท่าที่มีเพื่อมายังที่นี่เท่านั้น สิ่งนี้ก็เพื่อพิสูจน์ตนเองได้เช่นกันนะขอรับว่ามีความพยายามและอดทนมากเพียงใด แต่ข้าขอบอกว่านี่ยังมิได้เริ่มต้นเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ท่านต้องเผชิญคือต่อแต่นี้ต่างหากขอรับ”

“มีแต่ต้องพยายามสินะ”

“ข้าจะมาเป็นเพื่อนเจ้าทุกวันเองอย่าได้กังวลไปเลยนา”

“ข้าจะไม่ยอมแบกเจ้าขึ้นหลังเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด”

“ใจร้ายที่สุด!”


ท่ามกลางความมืดครึ้มด้วยร่มไม้รายล้อมไปด้วยผืนป่า เซียวโม่โฉวจำต้องโบกมือลาเห๋อจี๋และทู่จึที่ถูกลากกลับไปอย่างไม่จำยอม สิ่งที่เซียวโม่โฉวต้องทำนั้นคือการรวบรวมพลังลมปราณค่อยๆ หลอมรวมจิตวิญญาณของตนให้เป็นหนึ่งเดียว ไม่ไขว้เขวต่อสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาทายทัก

“สิ่งที่ท่านต้องทำหาได้มีลำดับขึ้นตอนใดที่ยุ่งยากเลยขอรับ เพียงท่านตั้งใจอยู่กับตนเองในที่แห่งนี้ครบ 5 ชั่วยามต่อวันและไม่ปล่อยให้ความมืดครอบงำจิตใจจนทำให้พลังปราณแตกซ่านก็เป็นพอขอรับ เอ่อ.....ประการสำคัญ”เหอจี๋แอบกระซิบราวกับเป็นความลับ“อย่าพยายามอยากรู้อยากเห็นสิ่งใดเป็นพอขอรับ”

“อื้อ”เซียวโม่โฉวพยักหน้า

“เข้าใจที่ข้าพูดสินะขอรับ”

“ไม่เลยสักนิด!”

คำบอกเล่าที่ผู้รับใช้บอกฟังดูเหมือนไม่ยากนัก ทว่าผู้ใดเล่าจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงการบำเพ็ญ การกระทำใดที่เรียกว่าบำเพ็ญเพื่อรวบรวมพลังวิญญาณ สิ่งเหล่านี้เซียวโม่โฉวฉงนใจนัก

ยามนี้เซียวโม่โฉวทำได้เพียงเดินดูโดยรอบคลับคล้ายคลับคลาราวกับเคยย่างกรายมาในที่แห่งนี้มาก่อน โดยรอบเป็นป่ารกทึบทว่ามีต้นไม่ใหญ่นานับชนิดที่ดูแปลกตานัก บางตนใบใหญ่เท่ากระด้ง มีสีสันแปลกตาจนดึงดูดสายตามอง อีกทั้งหมอกขาวที่ลอยต่ำเรี่ยพื้นก็กำจายไปทำแทบมองไม่เห็นหลังเท้าตนเอง ตากลมใสที่นึกประหลาดใจกับบุปผาเบื้องหน้าที่ขยับกลีบบางราวกับมีชีวิตส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ครั้นสำรวจโดยรอบจนพอใจจึงมองหาที่นั่งเป็นหินก้อนใหญ่ที่สูงขึ้นเหนือหมอกขาวก่อนจะปัดเศษกิ่งไม่นั่งลง

ข้าเคยได้ฟังนิทานในตลาดเล่าถึงเทพเซียนที่อยู่บนฟ้า พวกเขาล้วนต้องบำเพ็ญนับพันปีด้วยวิธีการนั่งสมาธิ หรือข้าต้องใช้วิธีเช่นนั้น หากข้าไม่ลองก็คงไม่รู้ว่าได้ผลหรือไม่สินะ

คิดได้เช่นนั้นเซียวโม่โฉวตัดสินใจหลับตาลง ตั้งมั่นในสติของตนอย่างมีความหวังเริ่มปิดกั้นประสาทสัมผัสอื่นๆ ราวกับจะตัดให้สิ้น ครั้งลุ่มลึกลงไปในความสงบเงียบ ปิ่นปักผมดอกโบตั๋นคล้ายส่องแสงเรืองรอง หากแต่น้อยนิดหลบอยู่ในเรือนผมนุ่มละเอียดที่เกล้ามัดเพียงครึ่งศีรษะส่วนเหลือปล่อยทิ้งสยายคลอเคลียบนแผ่นหลังพลิ้วไหวเมื่อสายลมโชยดั่งม่านน้ำตกสวรรค์

ความสงบที่เกิดขึ้นกลางดวงจิตกำลังดึงเอาความรู้สึกภายใต้จิตสำนึกเข้าแสดงให้เซียวโม่โฉวได้ระลึก ภาพอดีตวันวานครั้นตนยังมีชีวิตนั้นหวนคืน มิตรสหายร่วมงานที่เคยให้ความช่วยเหลือเคลื่อนไหวในห้วงความคะนึง ใบหน้าของบิดามารดาลอยเด่นชัดในมโนภาพ เสียงเรียกขานชื่อของตนที่ดังขึ้นซ้ำๆ ด้วยน้ำเสียงคุ้นเคยหวนให้คิดถึง รอยยิ้มและเสียงขบขันครั้งวัยเด็กสะท้อนก้องราวกับย้อนกลับไป กระทั่งความสุขที่เคยหลั่งไหลกลับแทนที่ด้วยน้ำคำไม่สบอารมณ์ เมื่อเซียวโม่โฉวเจริญวัยขึ้น ภาพน้องชายที่ยิ้มร่าวิ่งโถมเข้าสู่อ้อมอกบิดามารดาหน้าตาเปรมปรีดิ์ และตนที่แอบมองด้วยแววตาเพรียกหาความอบอุ่นนั่นช่างเจ็บปวดนัก มิหนำซ้ำความรักความห่วงใยนั้นได้ขาดสิ้นด้วยปลายกระบี่และผืนทะเลสาบอันหนาวเหน็บ ผู้ซึ่งเป็นบิดาและมารดามอบให้นำความเจ็บปวดรวดร้าวติดตัวมากระทั่งชีวิตหลังความตาย

“ฮึก!”

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไหลเวียนอยู่ในใจของบุรุษนำพาเอาน้ำตาหลั่งรินขึ้นอีกครา มิสามารถทนต่อเรื่องราวเจ็บปวดจวนจะขาดใจดั่งฝันร้าย จึงปลุกตนเองออกจากสมาธิที่ราวกับเป็นมารผจญให้จิตใจของเซียวโม่โฉวไม่อาจนิ่งสงบลงได้

เช่นนี้ข้าจะรวบรวมพลังวิญญาณได้สำเร็จอย่างไรกัน

คำตัดพ้อครวญคร่ำอยู่ในความรู้สึกของบุรุษหนุ่ม กระทั่งสายตาที่อาบคลอไปด้วยหยาดน้ำตาบางๆ กวาดมองไปโดยรอบอย่างเคว้งคว้าง บางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่หลั่งพุ่มไม้ดึงความสนใจไปชั่วขณะ ชั่วครู่ที่เซียวโฉวปาดน้ำตาด้วยท่อนแขนเพ่งมองไปยังสิ่งผิดปกติเบื้องหน้า หูจึงได้ยินเสียงกระดิ่งกังวานจึงได้ลุกขึ้นและเดินตามเสียงนั้นไป แหวกพุ่มไม้ที่เคยสั่นไหว ก้าวย่างไปยังเส้นทางที่ไม่อาจคาดเดาได้

ลึกเข้ามาเท่าไหร่ไม่อาจวัดได้ เส้นทางคล้ายเขาวงกตวกวนชวนสับสน หากจะเดินกลับออกไปก็เห็นทีว่ายากนัก เซียวโม่โฉวรู้ตัวช้าไปเสียแล้วครั้นประสบพบกับพยางูสีดำนิลซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าตนถึงสามเท่า ดวงตาสีดำขลับมีเซียวโม่โฉวอยู่ในเงาสะท้อน

ฟู่!

เสียงขู่ฟ่อและลิ้นสามแฉกสีแดงแลบยาวออกมาน่ากลัวนัก ทั้งเขี้ยวที่แหลมคมคู่ใหญ่อ้าปากออกพร้อมจัดการเหยื่อตรงหน้า ราวกับครั้งนี้ตนหลงลืมคำตักเตือนของเหอจี๋ไปเสียสิ้น

ข้าไม่ควรอยากรู้อยากเห็น!

“ขะข้าไม่ได้ตั้งใจมารบกวนเจ้า”เสียงสั่นเครือเอ่ยขึ้นพร้อมกับก้าวถอยอย่างประหม่า มือสองคว้าจับกิ่งไม้รายทางสั่นเทิ้ม
ทว่ายิ่งถอยสัตว์ร้ายตรงหน้าก็กลับขยับเขยื้อนเลื้อยตามมาราวกับจ้องจะกลืนบุรุษหนุ่มเมื่อพลาดท่าเสียที

และแล้วจังหวะนั้นก็มาถึง เมื่อเซียวโม่โฉวสะดุดรากไม้ที่คดเคี้ยวเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิตล้มลงหงายหลัง ภาพเขี้ยวคู่ใหญ่และปากงูยักษ์ก็พุ่งเข้ามาหาบุรุษหนุ่มอย่างรวดเร็ว

“ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย!”เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจเปล่งออกมา และทันใดนั้นราวกับว่าโชคชะตายังไม่ดับสูญ พลันร่างใหญ่ถมึงทึงของอสูรเสือดำตนหนึ่งที่กระโจนผ่านหน้าของเซียวโม่โฉวเข้ากัดกระชากที่ลำคอของงูยักษ์จนขาดสิ้น ก่อนลำตัวยาวจะสลายคล้ายฝุ่นผงไปในอากาศชั่วพริบตา

เซียวโม่โฉวมองเหตุการณ์ตรงหน้าแววตาเบิกโพลง มือที่คำยันร่างกายไว้กับพื้นสั่นระริกและเย็นเยียบ กระทั่งอสูรเสือดำที่โผล่มาหันเหความสนใจไปยังบุรุษหนุ่มที่ใช้เท้าถีบพยายามพาตนเองหนี ครั้นแววตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นสบประสานเข้ากับเซียวโม่โฉว ทำให้เจ้าของกายที่สั่นกลัวระลึกขึ้นมาได้อย่างกะทันหันว่า ตนเคยพานพบกับอสูรเสือดำตนนี้มาก่อนแล้วคราหนึ่ง ครั้นความเจ็บที่ถูกขบกัดนั่นยังฝังอยู่ในความรู้สึกไม่จาง

!!!

“จะเจ้า เป็นเจ้าที่ข้าพบเจอเมื่อครั้งก่อน เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้! ”เซียวโม่โฉวไม่อาจรู้ได้ว่าสถานที่ลึกลับครั้งมีชีวิตที่ตนพลัดหลงตามดวงไฟประหลาดเข้าไปนั้นมิได้มีอยู่ในโลกมนุษย์ ทว่าประตู่ข้ามภพถูกเปิดออกด้วยความจงใจของผู้หนึ่งอันเชื่อมถึงสถานที่แห่งนี้

พูดออกไปราวกับไม่ได้ยิน อสูรเสือดำขนดำเงามันขลับตรงหน้าก็หาได้ตอบกลับ ซ้ำยังย่างเดินด้วยอุ้งเท้าขนาดใหญ่เข้าประชิดตัวเซียวโม่โฉวฉายแววตาคมกริบจนน่าผวา

“เจ้าจะทำอะไรข้า ถะถอยไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าสู้จริงๆ ด้วย”มือสั่นคว้าเอากิ่งไม้ก้านบอบบางเข้าฟาดฟันป้องกันกายสีหน้าหวาดกลัว“ข้าบอกว่าอย่าเข้ามาไงเล่า!”เสียงร้องลั่นใช้มือปัดป้องราวกับสามารถทำสิ่งใดได้ก่อนจะถูกเสือดำตรงหน้าแยกเขี้ยวคมกริบง้างปากงับเอาส่วนที่เป็นเสื้อผ้าก่อนจะพาร่างของเซียวโม่โฉวกระโจนไปยังทิศตะวันออก

ตุบ!

อสูรเสือดำโยนเซียวโม่โฉวลงก่อนจะนั่งลงและใช้ลิ้นสากลากเลียไปบนหลังอุ้งมือสองสามครา ปล่อยให้บุรุษตรงหน้ารวบรวมสติที่กระเจิงเข้าด้วยกัน

“ขะข้ายังไม่ตาย”

“หึ! ผิดแล้ว เจ้าหาใช่มนุษย์ไยจึงกล่าวว่าไม่ตาย”

“พูดได้! จะเจ้าพูดได้จริงๆ ด้วย ข้าจำเจ้าได้ต้องเป็นเจ้าแน่ๆ”มือไม้ที่สั่นระริกชี้กราดไปที่ร่างใหญ่โตของอสูรเสือดำตรงหน้า แววตาตื่นกลัวอยู่ในสภาพเสื้อผ้าอาภรณ์ย่นยู่สกปรกไม่เป็นท่า

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องการกล่าวสิ่งใด”

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ถะถึงอย่างไร ข้าก็ขอบใจที่เจ้าช่วยเหลือข้า แม้จะไม่รู้จุดประสงค์ของเจ้าก็ตามที”

สัตว์อสูรตรงหน้าไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดใดๆ ของเซียวโม่โฉว ครั้นลุกขึ้นยืนอย่างสง่าผ่าเผยราวกับกำลังจะจากไป ทว่าอีกฝ่ายกลับเอ่ยขึ้น

“วันหน้าข้าจะตอบแทนเจ้า”

“พาชีวิตเจ้าให้รอดก่อนเถิดจึงจะมาคิดตอบแทนคุณผู้อื่น”น้ำเสียงก้องกังวานราวกับคำรามตำหนิเซียวโม่โฉว ทำเอาบุรุษหนุ่มถึงกับอ้าปากเหวอสีหน้าสลดคอตกไปตามๆ กัน

นะนั่นก็จริง ข้าจะมีปัญญาไปตอบแทนคุณผู้ใดอีก

ระหว่างที่เซียวโม่โฉวกำลังไตร่ตรองสิ่งที่อสูรเสือดำตนนั้นกล่าวขึ้น ไม่ทันไรผู้มีบุญคุณก็หายไปจากสายตาเสียแล้ว ทิ้งไว้เพียงรอยขีดข่วนของเขี้ยวคมบางๆ บนแผ่นหลังที่ยังคงให้ความรู้สึกราวกับตนยังมีชีวิต



“ท่านกลับมาแล้วหรือขอรับ หะเหตุใดจึงมีสภาพเช่นนี้ได้”

“ข้ารอดมาได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว”น้ำเสียงระโหยโรยแรงเดินย่ำไปข้างหน้าราวกับร่างกายที่ไร้แก่นสาร เหอจี๋ที่รอรับหน้าเรือนอ้อมหน้าอ้อมหลังสังเกตบุรุษตรงหน้า ใบหูที่คลายดั่งคลีบปลาโบกพัดคาดคะเนเหตุการณ์

“ได้แค่สองชั่วยามก็นับว่าดีแล้ว อย่าเพิ่งท้อเลยนะขอรับ”

“ใครว่าข้าท้อกัน ข้าเพียงเหนื่อยก็เท่านั้น”

“เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมน้ำให้อาบนะขอรับ”

“เดี๋ยวก่อน เจ้าไม่จำเป็นต้องดูแลรับใช้ข้าหรอก ข้าทำเองได้ข้ารู้ว่าข้าอยู่ในฐานะใด เหนือกว่าเจ้าก็ใช่ซะที่ไหน”ครั้งยังมีชีวิตผู้ที่ยกน้ำร้อนผสมน้ำอุ่น ทำงานในโรงเตี๊ยมที่ต้องหอบหิ้วน้ำไปให้แขกแต่ละห้องก็เคยทำมาแล้ว เพียงต้มน้ำผสมให้ตนเองอาบไยจะทำเองมิได้ เซียวโม่โฉวคิดเช่นนั้น อีกทั้งการมองเห็นผู้อื่นมาคอยปรนนิบัติก็หาใช่วิสัยของบุรุษหนุ่ม

“ได้อย่างไร หากท่านปฏิเสธมีหวังข้าต้องโดนทำโทษเป็นแน่ ให้ข้าช่วยเหลือท่านเถอะขอรับ”

“จ้าวพิภพแห่งหยินผู้เป็นนายของเจ้ารังแกเจ้าทุกคราที่เจ้าทำผิดเช่นนั้นหรือ”ครั้นเซียวโม่โฉวถามออกไปสีหน้าของเห๋อจี๋ก็หดเล็กทันทีไม่กล้าตอบ

“มะไม่หรอกขอรับ เอาเป็นว่าข้าไปเตรียมน้ำให้ท่านดีกว่า”

เหอจี๋เดินเร็วรี่จากไป พลันเซียวโม่โฉวเปิดประตูเรือนเข้าไปด้านในวัตถุบางอย่างที่พุ่งมาด้วยความเร็วก็เข้าจู่โจมร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงแทบจะหงายล้มตึง

ปุก!

“เจ้ากลับมาแล้ว!”

“ทะทู่จึ จะเจ้าทำข้าเจ็บ”สีหน้าตาซีดพยายามแงะเจ้าปีศาจกระต่ายที่หลังจากพุงตัวใส่ท้องของเซียวโม่โฉวและเกาะหนึบไม่ปล่อย ซึ่งนับวันจะจำแลงกายไม่ยอมกลับไปเป็นกระต่ายผู้น่ารักอีกเลยตั้งแต่มาเหยียบที่แห่งนี้

ฟุดฟิด ฟุดฟิด!

“ข้าได้กลิ่นบางอย่างมาจากตัวเจ้า”จมูกที่ดมฟุดฟิดครั้นได้กลิ่นแปลกๆ ก็รีบผละออกมาจากตัวบุรุษหนุ่มแทบทันที ซ้ำยังทำตาขวางราวกับไม่พอใจนักหนา

“จะอะไรก็ช่างเถอะ”เซียวโม่โฉวปัดความรำคาญโดยไม่สนใจเจ้าปีศาจกระต่ายที่มากวนใจ จึงเดินเลยทู่จึไปหากแต่บางอย่างกลับทำให้ต้องเหลียวหลังหันมามอง

ดูเช่นไรก็ไม่เหมือนดังเดิม

“อะไรของเจ้า? ”

“หากข้ามองไม่ผิด เจ้าตัวสูงขึ้นหรือไม่? ”

“เป็นอย่างที่เจ้ากล่าวก็ดีสิ โอ๊ะ ข้าต้องไปแล้ว เจ้ากระเรียนขาวสหายใหม่ของข้าบอกว่าจะพาข้าไปหาอะไรสนุกๆ เล่น อย่าเผลอร้องไห้เรียกหาข้าก็แล้วกัน”

“ข้าขอให้เจ้าไปแล้วไม่กลับ”ใบหน้านิ่งขรึมหรี่ตามองเจ้าปีศาจกระต่ายอย่างเหนื่อยหน่าย

“ข้า จะ กลับ มา”เสียงเล็กเน้นย้ำสีหน้าร่าเริงโลดแล่นออกไป สิ้นจากความวุ่นวายร่างเล็กก็หย่อนกายลงนั่ง พิงหลังเข้ากับพนักเก้าอี้ทอดถอนหายใจยืดยาว

เดินทางด้วยเท้าเปล่านับพ้นลี้คงไม่ยากเย็นเท่าเรื่องนี้เป็นแน่ แต่เช่นไรข้าหมายมั่นจะทำแล้วก็ไม่อาจละทิ้งเดิมพันด้วยดวงวิญญาณของข้าได้ เซียวโม่โฉวเจ้าจะต้องทำได้!



“ขอบใจเจ้ามากเห๋อจี๋”

“เชิญท่านตามสบายขอรับ”อีกฝ่ายค้อมกายให้พร้อมกับทิ้งบุรุษหนุ่มไว้ลำพังกับสระน้ำขนาดย่อมซึ่งมีไอขาวลอยเหนือผิวน้ำอบอวลไปทั่วอีกทั้งกลีบดอกฉูฉู่สีขาวนวลลอยอยู่ดาษดื่นราวกับผืนแพรไหมก็กล่าวได้ เซียวโม่โฉวตกละลึงอยู่เพียงครู่เมื่อเห็นด้วยตาตนเองว่าแท้แล้วเป็นสระอาบน้ำมิใช่อ่างอาบน้ำเล็กๆ อย่างที่เข้าใจ

วาสนาหลังความตายนับว่าดีอยู่มาก มนุษย์มักนำเรื่องเล่าความเป็นอยู่ของราชวงศ์ชั้นสูงในวังมาให้ผู้คนได้อิจฉาบ้างก็ทำเป็นละครล้อเลียนการใช้ชีวิตของผู้คนในเขตรั้วสูงเทียมฟ้า ทว่ายามนี้เซียวโฉวกลับนึกไม่ถึงว่าตนจะยังมีวาสนาได้ใช้ชีวิตเช่นนี้ ก่อนตายก็ได้ใช้ช่วงสุดท้ายของชีวิตภายในจวนกว้างขวางหลังสิ้นใจก็ได้มาใช้ชีวิตเช่นนั้นอีก อย่างไรคงว่ายวนกลับไปราวกับกงล้อ โดยท้ายที่สุดแล้วตนก็ต้องดับสูญครั้นความปรารถนาลุล่วงดั่งคำสัญญาที่ให้ไว้ต่อหลี่รั่วถง

บุ๋ม!

กายขาวที่เหนื่อยล้าสลัดทิ้งไว้ซึ่งอาภรณ์ห่มกาย ผิวขาวเนียนละเอียดต้องกับแสงตะเกียงนับสิบดวงที่รายล้อม สัญลักษณ์ดอกโบตั๋นยังคงเด่นสง่ามิได้เลือนราง ทว่าเจ้าของร่างบางกลับมิได้เอะใจ

บัดนี้สองขากำลังเยื้องย่างลงสู่สระน้ำ เพ่งพินิจเงาสะท้อนที่กระเพื่อมไหวของตนบนผิวน้ำเพียงครู่ พลันค่อยๆ หย่อนกายที่เย็นเยียบลงในน้ำอุ่นอย่างเชื่องช้า ผ่อนคลายความรู้สึกที่อ่อนล้าหลับตาพริ้มพิงแผ่นหลังเข้ากับขอบสระทอดถอนลมหายใจ แล้วจมใบหน้าส่วนหนึ่งให้ปริ่มน้ำอยู่ในระดับใต้จมูก สูดกลิ่นกำยานที่กำจายไปทั่วราวกลิ่นสมุนไพรช่วยผ่อนคลาย กระทั่งความคิดที่ว่างเปล่าทำให้เผลอไผลหลับตาลงนิ่งสนิทปล่อยร่างให้ไถลลงสู่ก้นสระอย่างมิรู้เนื้อรู้ตัว

“ตื่นเถิด เซียวโม่โฉว”

“.....”

“ลืมตาของเจ้าแล้วมองให้เห็นถึงตัวตนของข้า”คล้ายเสียงกังวานที่ดังขึ้นปลุกให้เซียวโม่โฉวตกใจตื่น สองมือจึงค้ำยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งหรี่ตามองไปยังภาพเบื้องหน้าที่เวิ้งว้างและกว้างไกลไร้เขตแดน นั่นจึงทำให้เซียวโม่โฉวผุดลุกขึ้นและต้องถอยหลังกรูดครั้นมองเห็นพื้นน้ำเบื้องล่างที่เหยียบย้ำราวแผ่นดิน

“ที่นี่ที่ใดกัน!”ดวงตาใสเบิกกว้างเอ่ยน้ำเสียงตื่นตระหนก

“หาใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องกังวล มองมาที่ข้าเถิดเซียวโม่โฉว”เสียงที่ก้องดังอยู่ในที่แห่งนี้เรียกชื่อบุรุษหนุ่มอีกครา ทว่าครานี้เบื้องหน้ากลับปรากฏร่างของบุรุษที่สูงใหญ่ถึงแปดเซี๊ยะ ดวงตาคมดุจอีกาดำทั้งคิ้วตวัดเฉียงราวกับคมกระบี่กำลังจ้องมองมายังเซียวโม่โฉวไม่กะพริบ ริมฝีปากที่ขยับเรียกชื่อราวสนิทสนมขยับยิ้มกระตุกขึ้นมุมหนึ่งของปากแสดงความพึงพอใจต่อบุรุษหนุ่มตรงหน้าเป็นอย่างยิ่ง มือแข็งแรงค่อยๆ ยื่นออกมาเข้าช้อนกรอบหน้าหวานที่หวาดผวาจนบิดเบี้ยวอย่างย่ามใจ

ร่างกายของข้าไม่สามารถขยับได้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วคนผู้นี้เป็นใคร!

“ข้ากับเจ้าได้พบพานกันอีกครั้งนับว่าวาสนายังมิได้สิ้นสุด พันผูกต่อกันแม้ผ่านมากี่ภพชาติมิอาจหลีกหนี ช่างน่าเสียดายที่เจ้ามิอาจจดจำผู้ใดได้ในภพนี้ แต่นับว่าเป็นสิ่งดีจากนี้เจ้าจะได้จารึกตัวข้าไว้ที่ศิลาในกายของเจ้านับพันปีต่อแต่นี้ไป”

“ปะปล่อยข้า เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงนำข้ามายังที่แห่งนี้”

“อย่าได้หวาดกลัวข้าไปเลย ตัวข้ามิได้ชิงชังอยากพรากชีวิตเจ้า อา.....ข้าคงทำให้เจ้ากลัวสินะ”มือหนาค่อยๆปล่อยใบหน้าของเซียวโม่โฉวราวกับพลั้งมือบีบแรงไป เช่นไรผู้คนตรงหน้าก็ยังไม่สามารถขยับตัวตามใจตนเองได้

“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร!”

“นามที่แท้จริงของข้าเช่นนั้นหรือ.....”อุปนิสัยหลอกล่อและเจ้าเล่ห์หาผู้ใดเทียบเคียงอย่างจูเกิงเฉินผู้นำเผ่าปีศาจที่เป็นปฏิปักษ์ต่อชั้นฟ้าทั้ง 4 กำลังพยายามเย้าหยอกบุรุษตรงหน้าที่ตนหมายมาดช่วงชิงมาจากมือหลี่รั่วถง หากแต่น่าหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่งที่เช่นไรหลี่รั่วถงยังคงนำไปหนึ่งก้าวเสมอแม้จะผ่านมานับพันๆ ปีแล้วก็ตาม

ความค่อนแค้นที่ตราตรึงอยู่ในอกของจูเกิงเฉิน ไม่มีทุเลาเบาบางลงหากแต่ยิ่งโหมกระพือราวไฟโลกันตร์ ศัตรูแห่งความเคียดแค้น แม้นทีหรือขุนเขาที่คดเคี้ยวยังคงมีเลี้ยวมาบรรจบ หากแต่จูเกิงเฉินและหลี่รั่วถงมิอาจมาบรรจบกันได้
พันปีก่อนหน้านั้นตนไม่สามารถเป็นเจ้าของดวงใจของคนผู้นี้ได้ ทว่าชาติภพนี้จะไม่ปล่อยให้พลาดพลั้งเป็นครั้งที่สองแน่

หลี่รั่วถง ต่อให้เจ้าเอาโซ่ตรวนมาล่ามพันธนาการดวงจิตนี้ด้วยพลังทั้งหมด ข้าก็จะใช้พลังทั้งหมดที่มีฟาดฟันมันให้ขาดรอนเช่นกัน

“จดจำชื่อของข้าไว้ จูเกิงเฉิน ข้าผู้นี้จักมารับตัวเจ้ากลับไปให้จงได้.....”ดวงตาเฉี่ยวคมสะท้อนเงาความเจ็บปวดจ้องมองเซียวโม่โฉวที่มองตนราวอสุรกาย ทั้งที่บุรุษผู้ถูกตราหน้าว่าปีศาจร้ายทว่าก็มีหัวใจเช่นกัน

พลันจูเกิงเฉินเอ่ยนาม พริบตาราวแผ่นฟ้าคำรามสายฟ้าจากเบื้องบนฟาดลงกลางนที ร่างของเซียวโม่โฉวถูกผืนน้ำเบื้องล่างดึงดิ่งลงไปให้จมหาย ภาพทุกอย่างบนผืนน้ำมลายหายกลับกลายเป็นเพียงภาพฝันอันเลือนราง

!!!

เสียงผิวน้ำที่แตกกระจายเป็นวงกว้างกระเพื่อมไหวแตะขอบสระที่โปรยด้วยกลีบดอกฉูฉู่ เป็นร่างสูงสง่าที่นำพาตนเองเข้าช้อนอุ้มกายขาวโพลนที่หลับใหลไม่ปรารถนาจะตื่นฟื้น ดวงตาคมจดจ้องมองกายขาวคิ้วขมวด ผ้าผืนหนึ่งลอยขึ้นจากพื้นเข้าคลุมกายเซียวโม่โฉว เป็นหลี่รั่วถงที่หอบเอาร่างที่ไร้สติกลับกลับคืนจากภวังค์มารของจูเกิงเฉิน

“เจ้าบังอาจนัก!”เสียงเอ่ยแม้มีได้กังวานหากแต่สะท้อนก้องไปถึงผู้ที่ลอบชักจูงดวงจิตของเซียวโม่โฉวไปอย่างไม่เกรงกลัวความผิด แววตาดุดันฉายแววความเกรี้ยวโกรธทว่าไม่อาจลงมือทำสิ่งใดได้ในยามนี้ จิตสังหารที่แผ่กระจายออกไปอย่างรุนแรง ทำให้เหอจี๋พลันสะดุ้งหวามมาปรากฏตัวต่อหน้าหลี่รั่วถง

“นะนายท่านเกิดเหตุใดขึ้นหรือขอรับ”จิตสังหารที่ดำมืดลอยคละคลุ้งทำให้เหอจี๋แทบหายใจไม่ทั่วท้อง สายตาแตกตื่นจ้องมองไปยังร่างบางที่สลบไสลภายในอ้อมแขนแข็งแรงอย่างตื่นตกใจ

ทว่ามิได้มีเสียงตอบคำถามใดๆ ออกมาจากปากหลี่รั่วถง สถานการณ์เช่นนี้เหอจี๋ทราบดีว่าไม่ควรถามไถ่ให้มากความ พลันสายที่กวาดมองสำรวจเห็นไอปีศาจเบาบางคลายดวงไฟที่ลอยขึ้นจากผิวน้ำโอบล้อมด้วยปราณสายฟ้าของหลี่รั่วถงคลายบีบรัดพลันวูบหายไปในพริบตาเดียว ครานั้นเหอจี๋ถึงกับกระจ่างแล้วซึ่งในคำตอบ

“จะจู จูเกิงเฉิน”ครันเอ่ยเสียงแผ่วขนแขนกลับลุกชันเกรียวกราวสยองไปถึงสองภพ

ภาพของสงครามที่ปั่นป่วนถึง 4 ชั้นฟ้ายังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเหอจี๋ แน่นอนว่ามิได้มีเพียงหลี่รั่วถงและจูเกินเฉินที่เปิดศึกร่วมด้วย ครานั้นราวกับสงครามขนาดย่อมที่ฟาดฟันแก่งแย่งอำนาจจากความฮึกเหิมของเผ่าปีศาจและการช่วงชิงยอดดวงใจของจ้าวพิภพแห่งหยินในครานั้น

มิมีผู้ใดไม่รู้ว่าความสูญเสียในครานั้นคราเอาชีวิตผู้ใดไปบ้าง โดยเฉพาะจอมใจเคียงกายของจ้าวพิภพแห่งหยิน




ติดตามตอนต่อไป >>>


------------------------------------------------------------------------------


ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านมากๆ ค่ะ  :กอด1:

ฝากคอมเม้นติชม เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ผิดพลาดอย่างไรจะนำไปปรับปรุงแก้ไขค่ะ

แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ  :man1:

โดย หลานฮวา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-08-2018 19:44:54 โดย ทามากิบ๊อง »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
น่าเศร้า แต่ต้องสู้ รีบมาต่อน้าอย่าทิ้งกัน เราชอบบ

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4
บทที่ 7
ชะตาผูกพัน




   บัดนี้ความมืดถูกขับไล่ด้วยแสงสว่างที่ราวกับบันดาลขึ้น ร่างที่นอนนิ่งสงบหลับตาพริ้มภายใต้ปราณพลังบางเบาราวแก้วครอบ เจ้าของม่านพลังยืนนิ่งสงบพยายามรวบรวมดวงจิตที่ฟุ้งซ่านกลับคืนดังเดิม หลี่รั่วถงเห็นควรว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วจึงปลดม่านพลังออก เยื้องย่างเข้าไปใกล้กายบุรุษหนุ่มที่ใบหน้าราวมีชีวิตขึ้นอีกครา มือหนาเข้าโอบประคองวางศีรษะที่เอียงงอให้ตั้งตรงอย่างเบามือ ทั้งเกลี่ยปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าทัดใบหูเล็กอย่างทะนุถนอม ดวงตาคมนัยน์ตาดุดันพลันอ่อนโยนลงครั้งสัมผัสแก้มขาวที่อุ่นขึ้น ไล่เรียวนิ้วที่แข็งกระด้างไปตามเปลือกตาบางสันจมูกและริมฝีปากตลอดจนปลายคางมลอย่างห่วงใย จ้องมองไปที่มือขาวเข้าประคองจับเกลี่ยนิ้วไปบนหลังมือเพียงเบา

   มือขาวยังคงนิ่งมิได้ขยับหากแต่อุณหภูมิความเย็นที่ลดลงบ่งบอกได้ว่าบุรุษตรงหน้าเพียงหลับไปเท่านั้น

   “ขออภัยขอรับนายท่าน”

   “เข้ามา”เสียงเรียบเอ่ยขึ้นหากแต่สายตายังคงจับจ้องไปยังร่างที่นอนแน่นิ่ง เหอจี๋ก้มหน้างุดเดินถือถาดไม้ที่นำยาตามที่หลี่รั่วถงสั่งนำมาให้

   “นี่ขอรับนายท่าน”มือหนาเข้าหยิบขวดแก้วใสที่ภายในบรรจุเม็ดยาที่ได้ชื่อว่ามีสรรพคุณอย่างน่ามหัศจรรย์ บนโลกมนุษย์เรียกสิ่งนี้ว่ายาวิเศษมีความเชื่อว่าหากผู้ใดได้กินจักเรียกคืนพละกำลังปรับธาตุในร่างกายราวกับได้ชีวิตใหม่พลังเทียบเท่าเทพเซียน สิ่งกล่าวอ้างในโลกมนุษย์ล้วนสร้างขึ้นเพื่อเป็นกิเลศ ความโลภ ให้หน้ามืดตามัวเพื่อสรรหาและหลอกลวงกันทั้งสิ้น  เพราะแท้จริงแล้วยาเม็ดนี้กลั่นออกมาจากเสี้ยวพลังปราณที่ใส่ดุจเม็ดแก้วของหลี่รั่วถงจึงมีเพียงสองเม็ดเท่านั้น

   “ข้าเห็นไอปีศาจของจูเกิงเฉิน แม้จะเบาบางหากแต่นั่นเป็นอย่างที่ข้าเห็นหรือไม่ขอรับ”เหอจี๋ตัดสินใจถามออกไป แม้ในใจจะมิกล้า พันปีมานี้ที่นี่สงบ ไม่มีแม้แต่สิ่งแปลกปลอมที่เป็นส่วนหนึ่งของพวกปีศาจพยายามลักลอบเข้ามาและทำเรื่องที่ต้องให้หลี่รั่วลงกังวลเช่นนี้

   “เป็นจูเกิงเฉินที่ลอบใช้วิธีการแทรกแซงดวงจิตของเซียวโม่โฉวขณะอ่อนแอควบคุม แม้อีกฝ่ายจะไม่สามารถทำอะไรได้มากนักทว่าการทำเช่นนี้ต่อดวงจิตวิญญาณที่อ่อนแอเช่นไรก็ไม่เป็นผลดี”

   “ข้าทราบว่าเซียวโม่โฉวมิใช่ดวงจิตธรรมดาตั้งแต่ต้น นายท่านนำพาคนผู้นี้มายังเรือนเสี้ยวจันทราก็นับว่าประหลาดใจข้านัก ข้าในฐานะข้ารับใช้ที่ต่ำต้อยผู้โง่เขลาของท่าน อยากถามไถ่ท่านให้แน่ใจได้หรือไม่ขอรับ”

   ความคับข้องใจของเหอจี๋ต้องการคลี่คลายความสับสนในใจอยู่รอมร่อ แม้ตลอดมาหลี่รั่วถงมิเคยเผยความนัยหรือแย้มความคิดส่วนลึกให้ผู้ใดคาดเดาได้ มีแต่บริวารรอบกายที่ต้องเรียนรู้ดูเอาจากท่าทีและการกระทำนั้นก็นับว่าต้องใช้ทักษะขั้นสูงประดุจยอดขั้นวิชากลอ่านใจ ครานี้เหอจี๋จึงขอใช้ทางลัดเคาะเอาคำตอบจากปากของหลี่รั่วถงเสียแทน มิเช่นนั้นคงอึดอัดใจตายเป็นแน่แท้

   “ว่ามา”สายตาคมหันมองยังเซียวโม่โฉวร่ายเวทบางอย่างปิดกันทุกการรับรู้

   “คนผู้นี้”ราวกับกลืนบางอย่างก้อนใหญ่ลงคอ เหอจี๋ถึงกับหน้าซีดคอตีบขึ้นมาก่อนจะเค้นเอ่ยนามของคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้ ทั้งยังเกรงสายตาดุดันที่จ้องมองมายังตน“เป็น.....เป็นแม่นางเหว่ยถิงหรือไม่ขอรับ”

   ชื่อที่เรียกขานออกมาจากปากของเหอจี๋อันไม่มีผู้ใดเปล่งชื่อนั้นออกมานับพันปีแล้ว บัดนี้กลับก้องกังวานอยู่ภายในเรือนเสี้ยวจันทราอีกครา สตรีงามเทพธิดาน้อยที่ถูกลิขิตให้เป็นคู่ครองของจ้าวพิภพแห่งหยินผู้ซึ่งไร้หัวใจ ทว่าความรักกลับโอบอุ้มให้ศิลาไร้ใจมีชีวิตขึ้นอีกครา แต่แล้วเหตุการณ์บางอย่างก็ทำให้ทุกอย่างจบสิ้น ครั้นความงดงามรูปโฉมสะคราญตามิได้ต้องตาแต่เพียงหลี่รั่วถง ทว่าอีกหนึ่งผู้หมายมาดจะช่วงชิงมาเคียงกายอย่างจูเกิงเฉินก็ปรารถนาในตัวเหว่ยถิงเช่นกัน แพ้ชนะอยู่ที่ใจนาง หากแต่ผู้แพ้มิยอมแพ้จึงกลับก่อเหตุให้สะเทือนถึงชั้นฟ้าทั้ง 4

   หากปรารถนาตัวนางเขาจักต้องได้พลังอำนาจที่เข้มแข็ง

ความคิดเหิมเกริมไม่รู้จักสูงต่ำของจูเกิงเฉินนำมาซึ่งลางร้ายอันดำมืด เมฆลมปั่นป่วนภพทั้ง 4 ลุกเป็นไฟ ความคิดชั่วร้ายตั้งมั่นยึดเอาชั้นฟ้าเป็นบัลลังก์ นรกภูมิเป็นอาภรณ์ พิภพแห่งหยางเป็นกระดานหมาก และปรารถนาพิภพแห่งหยินเป็นรังนอน คิดการณ์ใหญ่โตปลุกปั่นกำลังบรรดาปีศาจนอกรีตสร้างกองทัพเปิดศึก นำพาความโกลาหลวุ่นวายความสูญเสียมากมายจึงบังเกิด

   หากแต่ครั้งนั้นความพลาดพลั้งบางอย่างจึงทำให้เหว่ยถิง สตรีผู้เป็นดวงใจของจ้าวพิภพแห่งหยินเป็นอันต้องพบจุดจบอย่างไม่คาดคิด สิ้นสายโลหิตความฮึกเหิมของจูเกิงเฉินจึงสะเทือนถึงขั้วหัวใจ ชั่วพริบตาได้พลาดท่าเสียที กลับต้องหนีหายหัวซุกหัวซุนถอนทัพที่พ่ายแพ้ไปในทันที
   “ขะขออภัยนายท่านที่ข้าบังอาจถามไปเช่นนั้น”เมื่อหลี่รั่วถงเงียบอยู่ช้านานเหอจี๋จึงลุกลี้ลุกลน

   “.....”บุรุษร่างสูงสง่ามิได้ตอบกลับอันใด เพียงแววตาที่ดุดันพลันอ่อนยวบลงก่อนกล่าวต่อเหอจี๋“เก็บความสงสัยของเจ้าไว้ อย่าได้แพร่งพรายต่อผู้ใดอีก”แม้น้ำเสียงจะราบเรียบทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยคำสั่งที่เฉียบขาดถึงขั้นต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันเมื่อต้องรับปาก
   เพราะเรื่องนี้ เขายังต้องทำหน้าที่ของตนเองบางอย่างให้เสร็จสิ้น มิเช่นนี้อะไรที่ได้กลับมาอยู่ในมือแล้วก็คงต้องมีอันหลุดลอยไปอย่างแน่แท้

ข้าจะไม่ยอมให้เฒ่าแห่งจันทราตัดวาสนาของข้าอีกคราเป็นแน่!
   “เข้าใจแล้วขอรับ ขะข้าจะออกไปดูแลความเรียบร้อยด้านนอกให้ขอรับ”ข้ารับใช้พยักหน้าหงึก ลนลานรีบร้อนออกไปราวกับได้ฟังเรื่องสะเทือนใจ ครั้นเดินออกมาน้ำตาพานจะไหลเสียมิรู้เนื้อรู้ตัว แววตาที่เคยกร้าวแกร่งแข็งกระด้างประดุจศิลาของหลี่รั่วถง บัดนี้กลับส่องประกายความอ่อนโยนให้เห็นข้ารับใช้ผู้นี้ได้มีวาสนาเห็นอีกคราก็นับว่าปลาบปลื้มใจ

   ซูดดด!

   “ฮึกๆ นายท่านของข้า”บ่าวผู้ต่ำต้อยถึงกับต้องสูดน้ำหูน้ำตาที่ปริ่มเปรมใจอย่างล้นพ้น



นรกภูมิ

   สถานที่ซึ่งไม่มีประตูทางเข้าออก หากผู้ที่จะเข้าไปนั้นมีเพียงดวงวิญญาณที่กระทำผิดจึงได้รับโอกาส และแน่นอนว่ามิได้มีผู้ใดถวิลหา เข้ามาแล้วล้วนต้องติดอยู่กับความทุกข์ทรมานกับผลกรรมที่กระทำครั้งยังมีชีวิต ผู้ปกครองแห่งนี้นั้นเป็นติงเจิ้งหวาที่ทั่วทั้งชั้นฟ้าต่างทราบกันดี หน้าที่นี้ไม่มีผู้ใดทำได้ดีไปกว่าเขาแล้ว จ้าวแห่งนรกภูมิผู้ควบคุมเหล่าดวงวิญญาณให้บทเรียนอันกำซาบไปถึงผลกรรม

   บัดนี้ครั้นได้รับจดหมายจากหลี่รั่วถง ที่ประสงค์ต้องการมาพูดคุยเรื่องสำคัญบางประการ ทางห้องโถงที่กว้างขวางจึงมีติงเจิ้งหวารอท่าอยู่แล้ว แม้สถานที่นี้จะเรียกขานเป็นนรกภูมิหากแต่ก็ยังมีเทพเซียนแวะเวียนมาไม่ขาด ไม่ว่าเนื่องด้วยกิจสำคัญใดๆ เขาก็จักเป็นเจ้าบ้านต้อนรับได้อย่างดี เว้นเสียแต่ ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

   เพียงรอผู้มาเยือนไม่นาน บานประตูที่ทำจากผลึกแก้วสีดำนิลแวววาวบานใหญ่สูงเสียดฟ้าพลันเปิดออก บริวารรับใช้ของติงเจิ้งหวาเป็นผู้นำทางมา ครานี้ดูท่าว่าจะมิได้มาเพียงหลี่รั่วถง อีกหนึ่งสหายผู้นับเป็นปฏิปักษ์มักไม่ชอบพอกันอย่างหวางหรูอี้ก็มาเยือนด้วย เพียงเส้นผมสีเงินวาวพลิ้วไหวอยู่เบื้องหลังร่างสูงสง่าของหลี่รั่วถง ติงเจิ้งหวาก็มิต้องคาดเดาว่าเป็นของผู้ใด อีกทั้งกลิ่นอายสุราที่เป็นเอกลักษณ์กลับกลิ่นกายดั่งดอกท้อก็หามีผู้ใดมีกลิ่นเช่นนั้น

   โต๊ะศิลากลางห้องโถงใหญ่วางตระหง่านไว้เพื่อใช้ต้อนรับขับสู้ผู้มาเยือน ครั้นผู้คนมาถึงติงเจิ้งหวาจึงต้องเชื้อเชิญให้นั่งตามมารยาทเจ้าบ้าน ผู้ที่เหยียบย่างเข้ามาด้วยเรื่องราวมากมาย ต่างกล่าวว่านรกภูมิต้อนรับดุจสวรรค์ชั้นฟ้า ทว่าคงมิมีผู้ใดอยากรั้งรออยู่นาน เช่นเดียวกับหวางหรูอี้

   “ท่านส่งข่าวด่วนมาถึงข้าเพื่อพูดคุยไม่ทราบว่ามีเรื่องสำคัญอันใด”เจ้าของเส้นผมสีแดงเพลิงกระดิกนิ้ว ข้ารับใช้นับสิบที่รายล้อมผงกศีรษะเรียงหน้าเดินออกไป พลางลอบมองหวางหรูอี้ที่นั่งนิ่งเงียบเก็บวาจาดูท่าทีผิดแปลก หากแต่มิได้ใส่ใจเท่าเรื่องราวจากหลี่รั่วถง

   “เมื่อสองวันก่อน ข้าได้พบเจอกับเศษเสี้ยวไอปีศาจของจูเกิงเฉินจึงอยากมาขอเตือนเจ้าว่า อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ขอให้เจ้าระแวดระวังกล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์เอาไว้”จากสิ่งที่หลี่รั่วถงกล่าว นำความประหลาดใจมาให้ติงเจิ้งหวาไม่น้อย ปีศาจที่หนีหัวซุกหัวซุนในครานั้นบาดเจ็บสาหัส ผู้ที่ดึงเสี้ยววิญญาณของจูเกิงเฉินมาครึ่งหนึ่งเก็บไว้เป็นหลี่รั่วถง ติงเจิ้งหวาเห็นกับตาตนเอง ทว่าครานี้กลับเผยตัวด้วยเรื่องบางประการ ก็คงเป็นภัยในเบื้องหน้าไม่น้อย

   “จูเกิงเฉินเช่นนั้นหรือ ปีศาจตนนั้นมีจุดประสงค์ใดกันแน่”มือแข็งแรงกำแน่นนึกกังวล ใบหน้าได้รูปขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิด

   “เมื่อกาลก่อนยังมีเรื่องติดค้างคาใจ อุปนิสัยจูเกิงเฉินหาได้ยอมล่าถอยแต่โดยดี หากแต่เหตุการณ์พลิกผันจึงจำเป็นต้องแพ้ แม้เสี้ยววิญญาณครึ่งหนึ่งจะถูกเก็บไว้ในกล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์ ก็ใช่ว่าจะไม่หาญกล้าแย่งชิงกลับไป ความเจ็บแค้นย่อมมีมากหลายส่วนไยจะไม่ปรารถนาตื่นฟื้นคืนอำนาจดังเดิม”อย่างที่หวางหรูอี้กล่าวนั้นถูกต้องนัก ติงเจิ้งหวาจึงมิมีสิ่งใดต้องโต้แย้ง

   ท่าทีเป็นงานเป็นการไม่กอดขวดน้ำเต้าสุราก็นับว่าน่าเชื่อถืออยู่หลายส่วน

   “สิ่งสำคัญที่ข้าต้องการให้เจ้าทำตอนนี้ นั่นคือเพิ่มการป้องกันกล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์ให้ถี่ถ้วน”

   “เช่นนั้นข้าคงต้องขึ้นรายงานต่อเบื้องบน ตรวนสายฟ้าที่มีอยู่นั้นคงไม่เพียงพอ”ติงเจิ้งหวากล่าวถึงตรวนสายฟ้าที่เกิดจากธาตุทั้งสิบและปราณพลังของเหล่าเทพเซียนชั้นสูงที่หลอมรวมเป็นของวิเศษใช้สำหรับล่ามสัตว์อสูรร้ายหรือเทพเซียนที่คลุ้มคลั่งและทำผิดกฎสวรรค์

   “เรื่องนี้ข้าจะให้หวางหรูอี้เป็นธุระให้แก่เจ้า”

   “ช้าก่อนสหาย! ข้าไปรับปากเจ้าเมื่อใดว่าจะออกแรงช่วยคนผู้นี้”ใบหน้าสวยเกินบุรุษยามนี้หันไปมองยังหลี่รั่วถงทันควัน ดวงตากร้าวกว้างออกมองสหายทรยศราวแค้นเคือง

   “หรือเจ้าหาได้มีความสามารถพอกันแน่จึงปฏิเสธ”นั่นเป็นสิ่งที่ติงเจิ้งหวากล่าว สายตาเย้ยหยันมองมายังหวางหรูอี้ไม่ปิดบัง ผู้ถูกสบประมาทไฉนเลยจะนิ่งนอนใจอยู่ได้

   “ข้ามิได้ไร้ความสามารถ”สองแขนดันโต๊ะส่งให้ร่างสมส่วนลุกขึ้น ดวงตาราวไฟโลกันตร์ลุกโชนในดวงตาคู่สวย

   “เช่นนั้นก็ถือว่าเจ้ารับปาก”หลี่รั่วถงกล่าวขึ้นตัดบทพลางยกจอกสุราขึ้นกระดกมิได้สนใจสงครามกลางโต๊ะแม้แต่น้อย“ข้าพาเจ้ามาด้วยก็ด้วยเรื่องนี้ มีเพียงเจ้าที่จะทำงานนี้ได้”น้ำเสียงจริงจังเอ่ยขึ้นหวางหรูอี้จึงยอมทิ้งตัวนั่งลงอีกครา

“ข้าจะยอมช่วยเพราะเห็นแก่ความสงบสุขที่จะตามมา”

“การขอตรวนสายฟ้านั้นเป็นเรื่องยุ่งยาก เจ้าทำงานรอบคอบกว่าข้านั่นจึงเหมาะสมแก่ความสามารถของเจ้าแล้ว อีกทั้งพลังของเจ้านั้นก็มิได้ด้อยไปกว่าข้านัก”

“ข้ารับปากแล้วไม่ต้องกลัวว่าข้าผู้นี้จะคืนคำกลืนน้ำลายตนเอง”

“หากเป็นเช่นนั้นข้าก็วางใจ”

“ข้าหวังเช่นกันว่าจ้าวพิภพแห่งหยางจักทำหน้าทีนี้ให้ข้าประจักษ์เห็นความสามารถได้”

“หึ! คิดหรือว่าข้ารู้ไม่ว่าเจ้ากำลังพูดประชดประชันข้า”

“รับนี้ไว้ สิ่งนี้จะช่วยให้เจ้าเข้าออกที่นี่ได้เท่าที่เจ้าต้องการ”แผ่นไม้แกะสลักอักษรเป็นสัญลักษณ์ผ่านทางส่งให้หวางหรูอี้“ข้ากับเจ้ายังต้องร่วมมือกันอีกหลายครา ปรองดองกันไว้ไม่ดีกว่าหรือ?”ติงเจิ้งหวากระตุกยิ้มให้ อีกฝ่ายกลับแยกเขี้ยวให้ตอบรับเสียมากกว่ายิ้ม

“หมดธุระของข้าแล้ว รบกวนเวลาของเจ้ามามากคงต้องลากันตรงนี้”

“ว่างๆ หากไม่รังเกียจที่นี่ ข้ายินดีพาเดินเที่ยวชมได้”

“เหอะ! น่าภิรมย์ใจเสียที่ไหน”เจ้าของใบหน้างดงามกับเส้นผมสีเงินกล่าวอย่างล้อเลียนอีกมือก็เอื้อมไปหยิบป้ายผ่านทางที่ตนควรจะได้เตรียมเก็บ ทว่ากลับถูกติงเจิ้งหวาตะปบมือข้างนั้นไว้เสียก่อน ซ้ำพูดทิ้งท้ายด้วยแววตาท้าทาย

“โดยเฉพาะเจ้า ข้าจะพาไปเดินดูให้ทั่วเลย”

“ปล่อยมือข้า”

“ขออภัยที่เสียมารยาท เชิญท่านทั้งสอง”ยิ้มอย่างเจ้าบ้านที่ดีเอ่ยน้ำเสียงไพเราะส่งแขกด้วยตนเอง

ข้าหลุดพ้นจากวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดแล้วเหตุใดจำต้องมาลงนรกหมกไหม้และเจอกับคนผู้นี้ วาสนาของข้ายังไม่สิ้นกรรมหรืออย่างไร!

เห้อ....คิดถึงขวดน้ำเต้ากลมๆ ผิวเกลี้ยงเกลากลิ่นหอมสุราของข้ายิ่งนัก



พิภพแห่งหยิน

   “เจ้าเลิกวอแวข้าสักประเดี๋ยวหนึ่งจะได้หรือไม่ ถอยไปห่างๆ ก่อนที่ข้าจะเหยียบเจ้าติดเท่าของข้า”

   “ก็โม่โฉวจะกลับมาเมื่อไหร่เล่า ข้ารอ รอ รอ รอจนเหนื่อยแล้ว”แก้มย้วยตีหน้าบึ้งตึงทิ้งกายลงบนพื้นหญ้าแดดิ้นเป็นหนอนถูกสับ

   “เป็นปีศาจชั้นต่ำอย่าริอ่านเป็นมารผจญ เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าการไปบำเพ็ญเพียรนั้นเหน็ดเหนื่อยเพียงใด อย่าได้คิดไปกวนใจท่านเซียวโม่โฉวเป็นอันขาดเข้าใจข้าพูดหรือไม่”

   “ชิ! เช่นนั้นข้าจะไปตาม....โอ๊ยๆ ข้าเจ็บนะ”มือยาวรีบคว้าเข้าที่จุกผมข้างหนึ่งของทู่จึอย่าไร้ปรานี ก่อนจะหิ้วโยนกลับไปนั่งยังพื้นหญ้าตามเดิม

   “อยากลองดีกับข้าหรืออย่างไร!”

   “แง่ๆ ไม่อยากข้าขอโทษ”ทู่จึเปล่งเสียงร้องไห้สะอื้นบีบน้ำตาให้ไหลพรากดั่งใจ

   “หยุด!”ส่วนเหอจี๋มิได้หลงกนตวาดเสียงลั่นส่งสายตากร้าว

   “มะไม่ร้องไห้ก็ได้”น้ำตาเมื่อครู่หยุดไหลราวกับสั่งได้ สีหน้าปกติเข้าแทนที่แล้วถอนหายใจอย่างขัดใจลับหลังเหอจี๋ ก่อนเจ้าปีศาจกระต่ายจอมวุ่นจะคืบคลานเข้าเกาะขาเหอจี๋ส่งสายตาออดอ้อน

   “อะไรของเจ้าอีกล่ะห๊ะ!”

   “เช่นนั้น คืนนี้ให้ข้าไปนอนกับท่านได้หรือไม่ ข้างนอกนั้นหน๊าวหนาว มืดก็มืด แถมยังมีแต่สิ่งน่ากลัวรอบตัวข้าเต็มไปหมด”แม้ทู่จึจะถูกเซียวโม่โฉวเรียกว่าเป็นสหายหากแต่เช่นไรก็ไม่ได้รับอนุญาตจากหลี่รั่วถงให้ชิดใกล้กระทั่งเรือนนอน ภายนอกจึงเป็นที่หลับที่นอนตามแต่ใจจะหาที่ซุกหัวนอนด้วยตนเอง

   “ไม่เด็ดขาด! แล้วก็เลิกเกาะขาข้าเสียทีเจ้าตัวน่ารำคาญ!”แม้เหอจี๋จะสะบัดแข้งขาอย่างไรทู่จึจอมน่ารำคาญก็ยังคงเกาะไม่ปล่อย ช่างเป็นภาพที่ชวนวุ่นวายนักหากมีใครเข้ามาพบเห็นยามนี้

   “ข้ากลับมาแล้ว”เสียงใสที่ดังขึ้นหยุดความวุ่นวายได้ในพริบตา

   “กะกลับมาแล้วหรือขอรับ เป็นอย่างไรบ้างทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่”

   “เห้อ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าข้าทำได้ดีหรือไม่”ใบหน้าสลดคอตกห่อไหลหน้ามุ่ยเดินไปตามทางเดินมุ่งหน้าสู่เรือนเสี้ยวจันทรา หากนับแล้ววันคืนที่ล่วงเลยก็ย่างเข้าวันที่สิบ ตั้งแต่ที่เซียวโม่โฉวบากบั่น มานะเดินทางไปเพียงลำพังเพื่อบำเพ็ญเพียร ณ เขตแดนลึกลับแห่งนั้น และทุกวันก็มีเหอจี๋และทู่จึที่เฝ้ารอด้วยใบหน้าเบิกบานครั้นมองเห็นตนกลับมา

   “ความพยายามของท่านจะไม่สูญเปล่าแน่นอนขอรับ ดื่มชาหน่อยเถิด”เหอจี๋ยกถ้วยน้ำชากลิ่นหอมยื่นให้ ปรนนิบัติเช่นนี้ไม่ขาดตกบกพร่อง

   “เจ้าทำเช่นนี้ซ้ำๆ ทุกวันไม่เบื่อหน่ายบ้างหรืออย่างไรกัน”คนร่างเล็กรับถ้วยน้ำชาเข้าถือไว้ในมือ โบกกลิ่นหอมสูดดมเข้าจมูกก่อนจิบลงคอ

   “ไม่ขอรับ เป็นหน้าที่ของข้าและข้ายินดีทำขอรับ นายท่านเช่นกันที่เป็นห่วงท่านเน้นย้ำและกำชับให้ข้าดูแลท่านอย่าได้ขาดตกบกพร่องแม้แต่เรื่องเดียว”

   “เดี๋ยวก่อน ข้าคิดว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง เหตุใดนายท่านของเจ้าจึงต้องให้เจ้าดูแลข้าดีเกินไปเช่นนี้ ตอบมาตามตรงเถิดว่าเป็นเพียงเรื่องโป้ปดข้าจะยอมรับความจริง แท้แล้วคงเพียงให้เจ้ามาจับตามองข้า จะเป็นไปได้อย่างไรที่หลี่รั่วถงผู้ที่ข้าต้องมอบดวงจิตนี้แก่เขาในวันข้างหน้าจำต้องมาดูแลข้าถึงเพียงนี้ อย่างไรสุดท้ายข้าก็ต้องตกเป็นของคนผู้นั้นไม่เปลี่ยนแปลง.....ขะข้าหมายถึง วิญญาณของข้า”

   โง่เขลาเสียจริง เหตุใดข้าจำต้องแก่ต่างคำพูดตนเองด้วย

   “ท่านจะคิดต่างไปเรื่องใดก็สุดแล้วแต่ใจของท่านเถิด แต่นายท่านของข้าแม้จะหยาบกระด้าง คำพูดไม่ระรื่นใบหูท่านในบางครา อุปนิสัยเย็นยะเยือกประดุจน้ำแข็งหิมาลัย ก็แต่ก็มิเคยโป้ปดหรอกนะขอรับ”

   “นั่นเจ้าชื่นชมนายท่านของเจ้าด้วยใจใช่หรือไม่”

   “แน่นอนสิขอรับ”เหอจี๋ยิ้มรื่น ก่อนจะนึกเรื่องบางอย่างได้กะทันหัน“จริงสิขอรับ ข้านำสิ่งนี้มาเปลี่ยนให้ท่าน”กล่าวเสร็จเหอจี๋จึงนำบางอย่างออกมา ก่อนย่อกายลงต่ำยื่นมือเขาปลดรองเท้าคู่เก่าของเซียวโม่โฉวออก และสวมคู่ใหม่ให้ในทันที

   “อะไรกัน เจ้านำมันจากที่ใด”

   คนถูกถามยิ้มแป้น“เป็นน้ำใจจากนายท่านขอรับ นายท่านเห็นว่าคู่เก่าเริ่มขาดแล้ว อีกทั้งคู่เก่านั้นบอบบางจึงให้ข้านำมาเปลี่ยนให้”

   “เจ้านำเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ไปบอก?”เซียวโม่โฉวขมวดคิ้วสงสัย

   “เปล่านี่ขอรับ”เหอจี๋ตอบทันควัน

   “แล้วนายท่านของเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ารองเท้าของข้าขาด”

   “เอ๊ะ?”ผู้ที่เคยยิ้มหน้าระรื่นหน้าหดเล็กลงอีกครา ทว่าได้ทู่จึที่วิ่งปราดมาขอของกินเพิ่มช่วยไว้พอดี

   “เหอจี๋ ข้ายังไม่อิ่มเอาซาลาเปาเพิ่มได้มั้ย?”แก้มขาวตึงอันแน่นไปด้วยของกินที่ยังคงเคี้ยวไม่เสร็จ พร้อมยื่นจานเปล่าส่งให้เหอจี๋เร่งเร้า

   “ดะได้ เจ้าจะกินเท่าไหร่ข้าจะเอามาให้เท่าที่เจ้าต้องการเลย”

   “เอ๋? เจ้าใจดีแปลกๆ แอ๊ะ?”

   “พูดมากนา จะกินหรือไม่”เสียงลอดไรฟันยิ้มให้เจ้ากระต่ายปีศาจ ก่อนจะลากจูงกันออกไปไม่รอรี ผู้ที่นั่งมองรองเท้าคู่ใหม่อย่างพิจารณาครั้นสงสัยหากแต่ก็เผลอใจคลี่ยิ้มออกมา สำรวจลวดลายที่ปักไว้อย่างละเมียดละไมด้วยแววตาพราวระยับ



   สองเท้ากับรองเท้าคู่ใหม่เดินย่ำไปในสวนท้อ ครั้นเดินไปก็มองรองเท้าของตนเองไปอย่างมีความสุขที่แม้จะมิได้มากมายนัก บุรุษหนุ่มชื่นชอบมันแม้เป็นเพียงของธรรมดาหาได้มีราคาก็นับว่าใช้งานได้ ครั้งหนึ่งเขาเคยยืนจ้องมองแผงขายรองเท้าและนับเงินในมือ ซึ่งน้อยนิดเกินกว่าจะสามารถซื้อรองเท้าดีๆ สักคู่ได้ ครั้นมีก็ต้องอดออมหักห้ามใจยอมทนใส่รองเท้าฟางสานที่ทำขึ้นด้วยตนเอง

   น่าแปลกก็คือรองเท้าที่เขาได้รับกลับเหมือนดังรองเท้าในวันนั้นที่เซียวโม่โฉวจำต้องหักห้ามใจไม่ซื้อด้วยเพราะเขาคิดว่าไม่ควรผลาญเงินด้วยเรื่องนั้น นั่นจึงทำให้เซียวโม่โฉวรู้สึกถูกชะตากับรองเท้าคู่นี้นัก

   “ดูเหมือนเจ้าจะใส่มันได้”ครั้นไม่ทันตั้งตัวเสียงกังวานหากแต่ทุ้มนุ่มหูก็พลันดังขึ้นดึงความสนใจของเซียวโม่โฉวให้หันไปยังที่มาของเสียง บุรุษหนุ่มมิได้ตระหนกตกใจแค่เพียงสะดุ้งไหวเพราะไม่ทันตั้งตัว

   หลายคราที่ได้พบเจอกับหลี่รั่วถงหากแต่ประโยคที่สนทนากันนั้นสั้นเพียงอึดใจ กระนั้นก็ทำให้เซียวโม่โฉวรู้สึกคุ้นชินกับการพบกันอย่างไม่ทันตั้งตัว ราวกับหลี่รั่วถงพยายามทำให้อีกฝ่ายคุ้นชินที่จะเจอหน้าตนราวเป็นเรื่องปกติ

   “อืม”คำตอบเพียงสั้นและการพยักหน้าน้อยๆ ของอีกฝ่ายก็นับว่าดีมากแล้ว ดีกว่าก่อนหน้าที่แสดงท่าทีตีตัวออกห่าง

   “เจ้าควรจะพักผ่อน เหตุใดจึงออกมาเดินเพียงลำพัง”

   “ข้าแค่ออกมาลองเดินพร้อมกับรองเท้าคู่ใหม่ ให้แน่ใจว่าข้าใส่มันเดินทางไกลได้”โม่โฉวตอบด้วยแววตากลมใส เขาไม่ต้องการปฏิเสธน้ำใจ เช่นไรก็เป็นสิ่งที่เขาต้องใช้มันอยู่ดี

   “ผลเป็นเช่นไรบ้าง”

   “ไม่เลวนัก ขอบใจท่านมาก หากข้าไม่นับเป็นบุญคุณจะได้หรือไม่”ครั้นฟังเช่นนั้นก็ทำให้หลี่รั่วถงถึงกับเลิกคิ้วสูง

   “ข้ามิเคยได้ยินผู้ใดกล่าวเช่นนั้น”เสียงทุ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย

   “มีผู้ที่กล่าวต่อข้าว่า ก่อนที่ข้าจะตอบแทนบุญคุณผู้ใดข้าควรจะดูตนเองเสียก่อน แน่นอนว่าข้าไม่มีโอกาสจะได้ทำสิ่งนั้น”ครั้นแววตาใส่ครู่หนึ่งคล้ายมีความเศร้าเข้าปะปน หากแต่ยิ้มเบาบางยังคงตรึงอยู่บนใบหน้า หลี่รั่วถงลอบสำรวจมองมิสามารถเอ่ยสิ่งใดปลอบประโลมใจแก่บุรุษตรงหน้าได้

   บางอย่างมิสามารถแพร่งพราย เบื้องบนลิขิตไว้เช่นไรเขาจักต้องปฏิบัติตาม

   “เจ้ากล่าวเช่นนั้นคงจะโทษโพยข้าอยู่ในใจใช่หรือไม่”สีหน้าแววตานิ่งเรียบดุจผืนทะเลสาบกล่าวต่อผู้คนตรงหน้า ร่างสูงสง่าท่าทีสุขุมขยับกายเดินเข้าใกล้ อาภรณ์พลิ้วไหวยามต้องลม

   “เป็นความผิดท่านอยู่ส่วนหนึ่งแต่มิใช่ทั้งหมด ท่านมิต้องกังวลข้าจะเป็นดวงวิญญาณที่ซื่อตรงต่อคำพูดตนเอง รับปากท่านไว้เช่นไรข้าจะทำเช่นนั้น”

   “เอาเถิด วันเวลายังพอมีอยู่มาก ข้าจะรอ”แววตาของจ้าวพิภพแห่งหยินที่เอ่ยกล่าวคำว่ารอดั่งภูผาที่สั่นไหว แววตานิ่งเรียบจ้องมองไปยังบุรุษตรงหน้าที่มิได้ละสายตาไปแต่อย่างใด เซียวโม่โฉวมิได้ไร้จิตใจกระทั่งมองไม่เห็นว่าวูบหนึ่งนัยน์ตาคมกริมเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร

   พลันความรู้สึกบางอย่างคล้ายแล่นจู่โจมความรู้สึกของเซียวโม่โฉว เพียงยืนมองบุรุษตรงหน้านิ่งค้างพาลน้ำตาก็เอ่อรื้นขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ บางอย่างที่ไม่ควรมีอยู่หลังไร้ลมหายใจกลับสั่นไหวราวกับมีชีวิต ทว่าบีบคั้นรุนแรงเสมือนบทลงโทษ
แปะ!

น้ำตาที่พลันไหลอย่างไร้ที่มาที่ไปนำพาความประหลาดใจให้ตนเองเป็นอย่างมาก

   “ขะข้า คือ....ข้า”ลำแขนเล็กยกแขนขึ้นเตรียมจะปาดน้ำตาอย่างตกใจมิรู้ว่าเหตุใดอารมณ์จึงสั่นไหวเช่นนี้ พยายามทำตนให้เสมือนว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หากแต่การกระทำเช่นนั้นอยู่ในสายตาของหลี่รั่วถงทุกประการ

   ฟิ้ว!

   สายลมที่โบกโชยพัดเอากิ่งท้อสั่นไหว กลีบท้อเบาบางร่วงโรยปลิวลอยละลิ่วไปในอากาศส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทุกหนแห่ง

   ร่างสูงสง่าก้าวเข้าเคียงใกล้จ้องมองความสับสนใจของผู้คนตรงหน้าด้วยความรู้สึกทรมานและโหยหาอย่างสุดจะกล้ำกลืน ยิ่งบุรุษตรงหน้าหลั่งน้ำตารินไหลหัวใจกร้าวแกร่งของหลี่รั่วถงกลับถูกสั่นคลอน หอมเอาร่างสูงสง่าคว้ากายบุรุษโอบรั้งเข้าสู่อ้อมกอดแข็งแรงอย่างสุดจะหักห้าม ลำแขนแข็งแรงที่โอบตระกองกอดแผ่นหลังเล็กแนบชิดราวกับมิอยากปล่อยวาง ปลอบประโลมด้วยร่างกายสูงสง่าที่หาได้มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ย

   ความรู้สึกที่อยู่ใกล้หากแต่ไกลเกินเอื้อมนั้นทรมานนัก

   เซียวโม่โฉวแม้จะประหลาดใจตนที่มิได้นึกต่อต้าน หากแต่กลับไม่สามารถข่มฝืนน้ำตาไม่ให้รินไหลด้วยความสับสน นึกจะผลักไสหากแต่ความรู้สึกที่อยู่ภายในกลับเพรียกหา

   เหตุใดอ้อมกอดของผู้ที่เยือกเย็นกลับอบอุ่นได้เพียงนี้



   เพล้ง!
   ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายและความมืดที่นำความหนาวเหน็บ ภายในถ้ำน้ำแข็งผู้ที่ปัดเอาแผ่นน้ำแข็งที่สะท้อนเงาของผู้ที่จับตามองหล่นหลงแหลกละเอียด อีกทั้งมือหนาที่กำแน่นจนสั่นเกร็งทุบลงไปบนโต๊ะอย่างเจ็บปวดดวงใจจนเกิดรอยแยก ครั้นสบถเสียงกร้าวจนผู้ที่คอยรับใช้สั่นไหวไปตามๆ กัน
   “หลี่รั่วถง!!!”





--------------------------------------------------------
ติอตามตอนต่อไป

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ ^^

เพจfb ::หลานฮวา


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด