บทที่ 6
เผชิญและพบพาน
“การประชุมช่างน่าเบื่อหน่าย มีสิ่งใดต้องพูดกันอีกในเมื่อต่างฝ่ายต่างมิยอมฟังความผู้ใด โดยเฉพาะชั้นฟ้าที่อย่างไรก็มีเทพเซียนที่เก่าแก่คร่ำครึ ความคิดหาได้เปลี่ยนไปแม้จะผ่านมานับหมื่นๆ ปี ข้าล่ะอยากจะสาดสุราต่อหน้าเทพเซียนเหล่านั้นนัก หากไม่ติดตรงที่ข้านึกเสียดายสุราเลิศรสของข้ามากกว่า”
“พวกเขาต่างยึดกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัด หากเจ้าต้องการทำลายสิ่งน่ารำคาญใจเหล่านั้นก็ร่วมมือกับข้าดีหรือไม่”ถ้อยคำที่กล่าวขึ้นด้วยแววตาคมกริบ มิได้กล่าวประชดประชันหากแต่ราวกับพร้อมจะทำลายได้ทุกเมื่อ
“จะเจ้าก็รู้.....ข้าเพียงบ่นออกไปเช่นนั้น”หวางหรูอี้หน้าซีดไปหลายส่วนครั้นเห็นแววตาขึงขังของสหายอย่างหลี่รั่วถง ผู้ที่มิเคยกล่าวหยอกล้อหรือเพ้อพก หากแต่กล่าวจริงทุกประการ
“หากเจ้าเปลี่ยนใจก็บอกแก่ข้าได้ทุกเมื่อ”
หวางหรูอี้หันซ้ายมองขวาก่อนจะเอ่ยขึ้นแผ่วเบาต่อหลี่รั่วถงใบหน้ากังวล“เจ้ากล่าวเช่นนั้นหากมีผู้ใดมาได้ยินเข้าประเดี๋ยวก็เดือดร้อนกันพอดี”
“ข้ามีสิ่งใดจะต้องเกรงกลัว เช่นไรข้าก็มิต้องชะตากับสถานที่แห่งนี้อยู่แล้ว”หลี่รั่วถงนึกย้อนไปเมื่อพันปีก่อน ตนต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไปเพียงเพราะความผิดพลาดของชั้นฟ้า นำมาซึ่งพันธสัญญาบางอย่างที่ตนต้องปฏิบัติเพื่อให้บางสิ่งบางอย่างกลับคืนดังเดิม ครานั้นหัวใจของจ้าวพิภพแห่งหยินแทบแหลกสลาย
“ใช่ว่าเจ้าจะเป็นเพียงผู้เดียวข้าก็เช่นกัน แต่อย่างไรข้าและเจ้าก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้ มาร่วมมือทำใจกันเสียเถิดสหายข้า”หวางหรูอี้ยอมโยนขวดน้ำเต้าแล้วหันไปตบไหล่เพียงเบาปลอบใจหลี่รั่วถง ที่มิได้ต้องการคำปลอบใจจากผู้ใด ซ้ำยังเบี่ยงตัวเดินหนีหวางหรูอี้อย่างแยบยล จนอีกฝ่ายออกอาการชะงักค้าง
“จิ๊! เจ้าช่างไร้หัวใจยิ่งนักทำเช่นนี้ต่อข้าเสมอต้นเสมอปลาย ข้าล่ะนับถือเจ้าจริงๆ ”อารมณ์ตัดพ้อขมุบขมิบปากพึมพำมองตามแผ่นหลังของหลี่รั่วถงแต่มิได้เดินตามไป
“ข้าเก็บสิ่งนี้ได้ และเดาไม่ผิดว่าเจ้าของคือเจ้า หวางหรูอี้จ้าวพิภพแห่งหยาง”น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นอยู่เบื้องหลัง พร้อมกับขวดน้ำเต้าสุราที่อยู่ในมือของติงเจิ้งหวา จ้าวแห่งนรกภูมิที่กำลังเดินมาสีหน้าหยักยิ้มราวกับเย้ยหยันแอบแฝง ทั้งดวงตาสีแดงและเส้นผมราวกับเปลวเพลิงหาได้ต้องตาหวางหรูอี้เท่าไหร่นัก เพราะความชิงชังนั้นล้นปรี่อยู่ในใจบุรุษ ทว่าในสายตาผู้อื่นนั้น คำว่ารูปงามก็เห็นว่าเหมาะสมที่จะกล่าวชื่นชมต่อติงเจิ้งหวานัก
“เจ้าอีกแล้ว”หวางหรูอี้ขมวดคิ้วมุ่นคว้าขวดน้ำเต้าคืนกลับ
“เจ้าจะไม่กล่าวขอบคุณข้าหน่อยหรืออย่างไร”
“ไยข้าต้องกล่าวเช่นนั้นต่อเจ้าด้วย ในเมื่อข้าโยนมันทิ้งหากแต่เจ้ากลับเก็บมันมาด้วยตนเอง ข้ามิได้เอ่ยปากร้องขอเสียด้วยซ้ำ”
“พบกันกี่ครา เจ้าก็ช่างยั่วโมโหข้าได้ดียิ่งนัก”
“ใครว่าข้ายั่วโมโหเจ้า เจ้าต่างหากยั่วโม่โหข้า!”
“พูดผิดพูดใหม่ได้ ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง”นัยน์ตาสีแดงเพลิงราวกับไฟลุกจ้องมองหวางหรูอี้ไม่พอใจนัก
“โอกาส? ข้าไม่ต้องการ”กล่าวจบหวางหรูอี้จึงหมุนกายเดินหนีไปอย่างไม่ไยดีต่อผู้ที่พูดคุยด้วย ยิ่งสร้างความหงุดหงิดงุ่นง่านให้กับจ้าวแห่งนรกภูมิขึ้นเป็นทวีคูณ เช่นไรในสายตาติงเจิ้งหวา หวางหรูอี้ก็มิควรอยู่ในตำแหน่งจ้าวพิภพแห่งหยาง
ประพฤติตนเช่นนี้ผู้ใดเล่าจะเคารพนับถือเจ้ากัน เอาแต่สำมะเลเทเมาไปวันๆ ช่างน่ารังเกียจนัก!
พิภพแห่งหยิน
“เดินระวังนะขอรับ”
“อืม”น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงลำคอครั้นทอดสายตามองลงไปยังไหล่เหวเบื้องล่างก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้าที่เป็นเส้นทางแคบๆ ไต่สันเขาทอดยาวไปเบื้องหน้า สีหน้าหวาดหวั่นกำลังรวบรวมกำลังใจเพื่อไปถึงยังที่หมายนั่นคือที่สำหรับบำเพ็ญตนเพื่อให้ดวงวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น อย่างไรเซียวโม่โฉวก็ไม่อาจละทิ้งความตั้งใจของตนเองได้
“รีบเดินเร็วๆ ไม่ได้หรืออย่างไรกันข้าเหนื่อยแล้วเนี้ย”
“หุบปากของเจ้า! ไม่เช่นนั้นข้าโยนเจ้าลงตรงนี้แน่”น้ำเสียงดุปรามเจ้าปีศาจกระต่ายที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย มิหนำซ้ำยังมาเป็นภาระแก่เซียวโม่โฉวอย่างไม่น่าให้อภัย เพราะนอกจากจะไม่เดินด้วยตนเองแล้วยังจะมาเกาะหลังผู้อื่นอีกด้วย
หากบุรุษหนุ่มไม่หลงกลลูกอ้อนของทู่จึยามนี้คงไม่ต้องมาทนแบกเจ้าทู่จึตนนี้ราวกับลูกในไส้
“อีกไม่ไกลก็จะถึงแล้ว ผ่านป่าตรงหน้าก็จะเป็นสถานที่บำเพ็ญของท่านแล้วขอรับ”เหอจี๋ชี้นิ้วไปยังเบื้องหน้าที่ดูเช่นไรก็ช่างมืดมิดราวกับปิดตา
“เหตุใดจึงไม่หายตัวมา เหาะมา หรือทำอย่างไรก็ได้เพื่อจะมายังที่นี่กันเล่า”เซียวโม่โฉวฉงนใจ
ในนิทานเด็กที่ผู้ใหญ่เคยเล่าให้ฟัง เหล่าภูตผีปีศาจ หรือเทพเซียนที่อยู่เหนือความตายย่อมมีอิทธิฤทธิ์สูงส่งมิใช่หรือ แล้วเหตุใดไยจึงมาลำบากเช่นนี้ ทั้งที่ข้าก็เป็นดวงวิญญาณเหตุใดจึงเหาะเหินเดินอากาศมิได้กัน หรือข้าถูกหลอกมาตลอดเช่นนั้นหรือ?
“ขออภัยด้วยขอรับ เขตแดนที่แห่งนี้ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ใดๆ ได้ มีแต่ต้องพยายามด้วยเรี่ยวแรงเท่าที่มีเพื่อมายังที่นี่เท่านั้น สิ่งนี้ก็เพื่อพิสูจน์ตนเองได้เช่นกันนะขอรับว่ามีความพยายามและอดทนมากเพียงใด แต่ข้าขอบอกว่านี่ยังมิได้เริ่มต้นเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ท่านต้องเผชิญคือต่อแต่นี้ต่างหากขอรับ”
“มีแต่ต้องพยายามสินะ”
“ข้าจะมาเป็นเพื่อนเจ้าทุกวันเองอย่าได้กังวลไปเลยนา”
“ข้าจะไม่ยอมแบกเจ้าขึ้นหลังเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด”
“ใจร้ายที่สุด!”
ท่ามกลางความมืดครึ้มด้วยร่มไม้รายล้อมไปด้วยผืนป่า เซียวโม่โฉวจำต้องโบกมือลาเห๋อจี๋และทู่จึที่ถูกลากกลับไปอย่างไม่จำยอม สิ่งที่เซียวโม่โฉวต้องทำนั้นคือการรวบรวมพลังลมปราณค่อยๆ หลอมรวมจิตวิญญาณของตนให้เป็นหนึ่งเดียว ไม่ไขว้เขวต่อสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาทายทัก
“สิ่งที่ท่านต้องทำหาได้มีลำดับขึ้นตอนใดที่ยุ่งยากเลยขอรับ เพียงท่านตั้งใจอยู่กับตนเองในที่แห่งนี้ครบ 5 ชั่วยามต่อวันและไม่ปล่อยให้ความมืดครอบงำจิตใจจนทำให้พลังปราณแตกซ่านก็เป็นพอขอรับ เอ่อ.....ประการสำคัญ”เหอจี๋แอบกระซิบราวกับเป็นความลับ“อย่าพยายามอยากรู้อยากเห็นสิ่งใดเป็นพอขอรับ”
“อื้อ”เซียวโม่โฉวพยักหน้า
“เข้าใจที่ข้าพูดสินะขอรับ”
“ไม่เลยสักนิด!”
คำบอกเล่าที่ผู้รับใช้บอกฟังดูเหมือนไม่ยากนัก ทว่าผู้ใดเล่าจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงการบำเพ็ญ การกระทำใดที่เรียกว่าบำเพ็ญเพื่อรวบรวมพลังวิญญาณ สิ่งเหล่านี้เซียวโม่โฉวฉงนใจนัก
ยามนี้เซียวโม่โฉวทำได้เพียงเดินดูโดยรอบคลับคล้ายคลับคลาราวกับเคยย่างกรายมาในที่แห่งนี้มาก่อน โดยรอบเป็นป่ารกทึบทว่ามีต้นไม่ใหญ่นานับชนิดที่ดูแปลกตานัก บางตนใบใหญ่เท่ากระด้ง มีสีสันแปลกตาจนดึงดูดสายตามอง อีกทั้งหมอกขาวที่ลอยต่ำเรี่ยพื้นก็กำจายไปทำแทบมองไม่เห็นหลังเท้าตนเอง ตากลมใสที่นึกประหลาดใจกับบุปผาเบื้องหน้าที่ขยับกลีบบางราวกับมีชีวิตส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ครั้นสำรวจโดยรอบจนพอใจจึงมองหาที่นั่งเป็นหินก้อนใหญ่ที่สูงขึ้นเหนือหมอกขาวก่อนจะปัดเศษกิ่งไม่นั่งลง
ข้าเคยได้ฟังนิทานในตลาดเล่าถึงเทพเซียนที่อยู่บนฟ้า พวกเขาล้วนต้องบำเพ็ญนับพันปีด้วยวิธีการนั่งสมาธิ หรือข้าต้องใช้วิธีเช่นนั้น หากข้าไม่ลองก็คงไม่รู้ว่าได้ผลหรือไม่สินะ
คิดได้เช่นนั้นเซียวโม่โฉวตัดสินใจหลับตาลง ตั้งมั่นในสติของตนอย่างมีความหวังเริ่มปิดกั้นประสาทสัมผัสอื่นๆ ราวกับจะตัดให้สิ้น ครั้งลุ่มลึกลงไปในความสงบเงียบ ปิ่นปักผมดอกโบตั๋นคล้ายส่องแสงเรืองรอง หากแต่น้อยนิดหลบอยู่ในเรือนผมนุ่มละเอียดที่เกล้ามัดเพียงครึ่งศีรษะส่วนเหลือปล่อยทิ้งสยายคลอเคลียบนแผ่นหลังพลิ้วไหวเมื่อสายลมโชยดั่งม่านน้ำตกสวรรค์
ความสงบที่เกิดขึ้นกลางดวงจิตกำลังดึงเอาความรู้สึกภายใต้จิตสำนึกเข้าแสดงให้เซียวโม่โฉวได้ระลึก ภาพอดีตวันวานครั้นตนยังมีชีวิตนั้นหวนคืน มิตรสหายร่วมงานที่เคยให้ความช่วยเหลือเคลื่อนไหวในห้วงความคะนึง ใบหน้าของบิดามารดาลอยเด่นชัดในมโนภาพ เสียงเรียกขานชื่อของตนที่ดังขึ้นซ้ำๆ ด้วยน้ำเสียงคุ้นเคยหวนให้คิดถึง รอยยิ้มและเสียงขบขันครั้งวัยเด็กสะท้อนก้องราวกับย้อนกลับไป กระทั่งความสุขที่เคยหลั่งไหลกลับแทนที่ด้วยน้ำคำไม่สบอารมณ์ เมื่อเซียวโม่โฉวเจริญวัยขึ้น ภาพน้องชายที่ยิ้มร่าวิ่งโถมเข้าสู่อ้อมอกบิดามารดาหน้าตาเปรมปรีดิ์ และตนที่แอบมองด้วยแววตาเพรียกหาความอบอุ่นนั่นช่างเจ็บปวดนัก มิหนำซ้ำความรักความห่วงใยนั้นได้ขาดสิ้นด้วยปลายกระบี่และผืนทะเลสาบอันหนาวเหน็บ ผู้ซึ่งเป็นบิดาและมารดามอบให้นำความเจ็บปวดรวดร้าวติดตัวมากระทั่งชีวิตหลังความตาย
“ฮึก!”
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไหลเวียนอยู่ในใจของบุรุษนำพาเอาน้ำตาหลั่งรินขึ้นอีกครา มิสามารถทนต่อเรื่องราวเจ็บปวดจวนจะขาดใจดั่งฝันร้าย จึงปลุกตนเองออกจากสมาธิที่ราวกับเป็นมารผจญให้จิตใจของเซียวโม่โฉวไม่อาจนิ่งสงบลงได้
เช่นนี้ข้าจะรวบรวมพลังวิญญาณได้สำเร็จอย่างไรกัน
คำตัดพ้อครวญคร่ำอยู่ในความรู้สึกของบุรุษหนุ่ม กระทั่งสายตาที่อาบคลอไปด้วยหยาดน้ำตาบางๆ กวาดมองไปโดยรอบอย่างเคว้งคว้าง บางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่หลั่งพุ่มไม้ดึงความสนใจไปชั่วขณะ ชั่วครู่ที่เซียวโฉวปาดน้ำตาด้วยท่อนแขนเพ่งมองไปยังสิ่งผิดปกติเบื้องหน้า หูจึงได้ยินเสียงกระดิ่งกังวานจึงได้ลุกขึ้นและเดินตามเสียงนั้นไป แหวกพุ่มไม้ที่เคยสั่นไหว ก้าวย่างไปยังเส้นทางที่ไม่อาจคาดเดาได้
ลึกเข้ามาเท่าไหร่ไม่อาจวัดได้ เส้นทางคล้ายเขาวงกตวกวนชวนสับสน หากจะเดินกลับออกไปก็เห็นทีว่ายากนัก เซียวโม่โฉวรู้ตัวช้าไปเสียแล้วครั้นประสบพบกับพยางูสีดำนิลซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าตนถึงสามเท่า ดวงตาสีดำขลับมีเซียวโม่โฉวอยู่ในเงาสะท้อน
ฟู่!
เสียงขู่ฟ่อและลิ้นสามแฉกสีแดงแลบยาวออกมาน่ากลัวนัก ทั้งเขี้ยวที่แหลมคมคู่ใหญ่อ้าปากออกพร้อมจัดการเหยื่อตรงหน้า ราวกับครั้งนี้ตนหลงลืมคำตักเตือนของเหอจี๋ไปเสียสิ้น
ข้าไม่ควรอยากรู้อยากเห็น!
“ขะข้าไม่ได้ตั้งใจมารบกวนเจ้า”เสียงสั่นเครือเอ่ยขึ้นพร้อมกับก้าวถอยอย่างประหม่า มือสองคว้าจับกิ่งไม้รายทางสั่นเทิ้ม
ทว่ายิ่งถอยสัตว์ร้ายตรงหน้าก็กลับขยับเขยื้อนเลื้อยตามมาราวกับจ้องจะกลืนบุรุษหนุ่มเมื่อพลาดท่าเสียที
และแล้วจังหวะนั้นก็มาถึง เมื่อเซียวโม่โฉวสะดุดรากไม้ที่คดเคี้ยวเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิตล้มลงหงายหลัง ภาพเขี้ยวคู่ใหญ่และปากงูยักษ์ก็พุ่งเข้ามาหาบุรุษหนุ่มอย่างรวดเร็ว
“ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย!”เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจเปล่งออกมา และทันใดนั้นราวกับว่าโชคชะตายังไม่ดับสูญ พลันร่างใหญ่ถมึงทึงของอสูรเสือดำตนหนึ่งที่กระโจนผ่านหน้าของเซียวโม่โฉวเข้ากัดกระชากที่ลำคอของงูยักษ์จนขาดสิ้น ก่อนลำตัวยาวจะสลายคล้ายฝุ่นผงไปในอากาศชั่วพริบตา
เซียวโม่โฉวมองเหตุการณ์ตรงหน้าแววตาเบิกโพลง มือที่คำยันร่างกายไว้กับพื้นสั่นระริกและเย็นเยียบ กระทั่งอสูรเสือดำที่โผล่มาหันเหความสนใจไปยังบุรุษหนุ่มที่ใช้เท้าถีบพยายามพาตนเองหนี ครั้นแววตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นสบประสานเข้ากับเซียวโม่โฉว ทำให้เจ้าของกายที่สั่นกลัวระลึกขึ้นมาได้อย่างกะทันหันว่า ตนเคยพานพบกับอสูรเสือดำตนนี้มาก่อนแล้วคราหนึ่ง ครั้นความเจ็บที่ถูกขบกัดนั่นยังฝังอยู่ในความรู้สึกไม่จาง
!!!
“จะเจ้า เป็นเจ้าที่ข้าพบเจอเมื่อครั้งก่อน เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้! ”เซียวโม่โฉวไม่อาจรู้ได้ว่าสถานที่ลึกลับครั้งมีชีวิตที่ตนพลัดหลงตามดวงไฟประหลาดเข้าไปนั้นมิได้มีอยู่ในโลกมนุษย์ ทว่าประตู่ข้ามภพถูกเปิดออกด้วยความจงใจของผู้หนึ่งอันเชื่อมถึงสถานที่แห่งนี้
พูดออกไปราวกับไม่ได้ยิน อสูรเสือดำขนดำเงามันขลับตรงหน้าก็หาได้ตอบกลับ ซ้ำยังย่างเดินด้วยอุ้งเท้าขนาดใหญ่เข้าประชิดตัวเซียวโม่โฉวฉายแววตาคมกริบจนน่าผวา
“เจ้าจะทำอะไรข้า ถะถอยไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าสู้จริงๆ ด้วย”มือสั่นคว้าเอากิ่งไม้ก้านบอบบางเข้าฟาดฟันป้องกันกายสีหน้าหวาดกลัว“ข้าบอกว่าอย่าเข้ามาไงเล่า!”เสียงร้องลั่นใช้มือปัดป้องราวกับสามารถทำสิ่งใดได้ก่อนจะถูกเสือดำตรงหน้าแยกเขี้ยวคมกริบง้างปากงับเอาส่วนที่เป็นเสื้อผ้าก่อนจะพาร่างของเซียวโม่โฉวกระโจนไปยังทิศตะวันออก
ตุบ!
อสูรเสือดำโยนเซียวโม่โฉวลงก่อนจะนั่งลงและใช้ลิ้นสากลากเลียไปบนหลังอุ้งมือสองสามครา ปล่อยให้บุรุษตรงหน้ารวบรวมสติที่กระเจิงเข้าด้วยกัน
“ขะข้ายังไม่ตาย”
“หึ! ผิดแล้ว เจ้าหาใช่มนุษย์ไยจึงกล่าวว่าไม่ตาย”
“พูดได้! จะเจ้าพูดได้จริงๆ ด้วย ข้าจำเจ้าได้ต้องเป็นเจ้าแน่ๆ”มือไม้ที่สั่นระริกชี้กราดไปที่ร่างใหญ่โตของอสูรเสือดำตรงหน้า แววตาตื่นกลัวอยู่ในสภาพเสื้อผ้าอาภรณ์ย่นยู่สกปรกไม่เป็นท่า
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องการกล่าวสิ่งใด”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ถะถึงอย่างไร ข้าก็ขอบใจที่เจ้าช่วยเหลือข้า แม้จะไม่รู้จุดประสงค์ของเจ้าก็ตามที”
สัตว์อสูรตรงหน้าไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดใดๆ ของเซียวโม่โฉว ครั้นลุกขึ้นยืนอย่างสง่าผ่าเผยราวกับกำลังจะจากไป ทว่าอีกฝ่ายกลับเอ่ยขึ้น
“วันหน้าข้าจะตอบแทนเจ้า”
“พาชีวิตเจ้าให้รอดก่อนเถิดจึงจะมาคิดตอบแทนคุณผู้อื่น”น้ำเสียงก้องกังวานราวกับคำรามตำหนิเซียวโม่โฉว ทำเอาบุรุษหนุ่มถึงกับอ้าปากเหวอสีหน้าสลดคอตกไปตามๆ กัน
นะนั่นก็จริง ข้าจะมีปัญญาไปตอบแทนคุณผู้ใดอีก
ระหว่างที่เซียวโม่โฉวกำลังไตร่ตรองสิ่งที่อสูรเสือดำตนนั้นกล่าวขึ้น ไม่ทันไรผู้มีบุญคุณก็หายไปจากสายตาเสียแล้ว ทิ้งไว้เพียงรอยขีดข่วนของเขี้ยวคมบางๆ บนแผ่นหลังที่ยังคงให้ความรู้สึกราวกับตนยังมีชีวิต
“ท่านกลับมาแล้วหรือขอรับ หะเหตุใดจึงมีสภาพเช่นนี้ได้”
“ข้ารอดมาได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว”น้ำเสียงระโหยโรยแรงเดินย่ำไปข้างหน้าราวกับร่างกายที่ไร้แก่นสาร เหอจี๋ที่รอรับหน้าเรือนอ้อมหน้าอ้อมหลังสังเกตบุรุษตรงหน้า ใบหูที่คลายดั่งคลีบปลาโบกพัดคาดคะเนเหตุการณ์
“ได้แค่สองชั่วยามก็นับว่าดีแล้ว อย่าเพิ่งท้อเลยนะขอรับ”
“ใครว่าข้าท้อกัน ข้าเพียงเหนื่อยก็เท่านั้น”
“เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมน้ำให้อาบนะขอรับ”
“เดี๋ยวก่อน เจ้าไม่จำเป็นต้องดูแลรับใช้ข้าหรอก ข้าทำเองได้ข้ารู้ว่าข้าอยู่ในฐานะใด เหนือกว่าเจ้าก็ใช่ซะที่ไหน”ครั้งยังมีชีวิตผู้ที่ยกน้ำร้อนผสมน้ำอุ่น ทำงานในโรงเตี๊ยมที่ต้องหอบหิ้วน้ำไปให้แขกแต่ละห้องก็เคยทำมาแล้ว เพียงต้มน้ำผสมให้ตนเองอาบไยจะทำเองมิได้ เซียวโม่โฉวคิดเช่นนั้น อีกทั้งการมองเห็นผู้อื่นมาคอยปรนนิบัติก็หาใช่วิสัยของบุรุษหนุ่ม
“ได้อย่างไร หากท่านปฏิเสธมีหวังข้าต้องโดนทำโทษเป็นแน่ ให้ข้าช่วยเหลือท่านเถอะขอรับ”
“จ้าวพิภพแห่งหยินผู้เป็นนายของเจ้ารังแกเจ้าทุกคราที่เจ้าทำผิดเช่นนั้นหรือ”ครั้นเซียวโม่โฉวถามออกไปสีหน้าของเห๋อจี๋ก็หดเล็กทันทีไม่กล้าตอบ
“มะไม่หรอกขอรับ เอาเป็นว่าข้าไปเตรียมน้ำให้ท่านดีกว่า”
เหอจี๋เดินเร็วรี่จากไป พลันเซียวโม่โฉวเปิดประตูเรือนเข้าไปด้านในวัตถุบางอย่างที่พุ่งมาด้วยความเร็วก็เข้าจู่โจมร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงแทบจะหงายล้มตึง
ปุก!
“เจ้ากลับมาแล้ว!”
“ทะทู่จึ จะเจ้าทำข้าเจ็บ”สีหน้าตาซีดพยายามแงะเจ้าปีศาจกระต่ายที่หลังจากพุงตัวใส่ท้องของเซียวโม่โฉวและเกาะหนึบไม่ปล่อย ซึ่งนับวันจะจำแลงกายไม่ยอมกลับไปเป็นกระต่ายผู้น่ารักอีกเลยตั้งแต่มาเหยียบที่แห่งนี้
ฟุดฟิด ฟุดฟิด!
“ข้าได้กลิ่นบางอย่างมาจากตัวเจ้า”จมูกที่ดมฟุดฟิดครั้นได้กลิ่นแปลกๆ ก็รีบผละออกมาจากตัวบุรุษหนุ่มแทบทันที ซ้ำยังทำตาขวางราวกับไม่พอใจนักหนา
“จะอะไรก็ช่างเถอะ”เซียวโม่โฉวปัดความรำคาญโดยไม่สนใจเจ้าปีศาจกระต่ายที่มากวนใจ จึงเดินเลยทู่จึไปหากแต่บางอย่างกลับทำให้ต้องเหลียวหลังหันมามอง
ดูเช่นไรก็ไม่เหมือนดังเดิม
“อะไรของเจ้า? ”
“หากข้ามองไม่ผิด เจ้าตัวสูงขึ้นหรือไม่? ”
“เป็นอย่างที่เจ้ากล่าวก็ดีสิ โอ๊ะ ข้าต้องไปแล้ว เจ้ากระเรียนขาวสหายใหม่ของข้าบอกว่าจะพาข้าไปหาอะไรสนุกๆ เล่น อย่าเผลอร้องไห้เรียกหาข้าก็แล้วกัน”
“ข้าขอให้เจ้าไปแล้วไม่กลับ”ใบหน้านิ่งขรึมหรี่ตามองเจ้าปีศาจกระต่ายอย่างเหนื่อยหน่าย
“ข้า จะ กลับ มา”เสียงเล็กเน้นย้ำสีหน้าร่าเริงโลดแล่นออกไป สิ้นจากความวุ่นวายร่างเล็กก็หย่อนกายลงนั่ง พิงหลังเข้ากับพนักเก้าอี้ทอดถอนหายใจยืดยาว
เดินทางด้วยเท้าเปล่านับพ้นลี้คงไม่ยากเย็นเท่าเรื่องนี้เป็นแน่ แต่เช่นไรข้าหมายมั่นจะทำแล้วก็ไม่อาจละทิ้งเดิมพันด้วยดวงวิญญาณของข้าได้ เซียวโม่โฉวเจ้าจะต้องทำได้!
“ขอบใจเจ้ามากเห๋อจี๋”
“เชิญท่านตามสบายขอรับ”อีกฝ่ายค้อมกายให้พร้อมกับทิ้งบุรุษหนุ่มไว้ลำพังกับสระน้ำขนาดย่อมซึ่งมีไอขาวลอยเหนือผิวน้ำอบอวลไปทั่วอีกทั้งกลีบดอกฉูฉู่สีขาวนวลลอยอยู่ดาษดื่นราวกับผืนแพรไหมก็กล่าวได้ เซียวโม่โฉวตกละลึงอยู่เพียงครู่เมื่อเห็นด้วยตาตนเองว่าแท้แล้วเป็นสระอาบน้ำมิใช่อ่างอาบน้ำเล็กๆ อย่างที่เข้าใจ
วาสนาหลังความตายนับว่าดีอยู่มาก มนุษย์มักนำเรื่องเล่าความเป็นอยู่ของราชวงศ์ชั้นสูงในวังมาให้ผู้คนได้อิจฉาบ้างก็ทำเป็นละครล้อเลียนการใช้ชีวิตของผู้คนในเขตรั้วสูงเทียมฟ้า ทว่ายามนี้เซียวโฉวกลับนึกไม่ถึงว่าตนจะยังมีวาสนาได้ใช้ชีวิตเช่นนี้ ก่อนตายก็ได้ใช้ช่วงสุดท้ายของชีวิตภายในจวนกว้างขวางหลังสิ้นใจก็ได้มาใช้ชีวิตเช่นนั้นอีก อย่างไรคงว่ายวนกลับไปราวกับกงล้อ โดยท้ายที่สุดแล้วตนก็ต้องดับสูญครั้นความปรารถนาลุล่วงดั่งคำสัญญาที่ให้ไว้ต่อหลี่รั่วถง
บุ๋ม!
กายขาวที่เหนื่อยล้าสลัดทิ้งไว้ซึ่งอาภรณ์ห่มกาย ผิวขาวเนียนละเอียดต้องกับแสงตะเกียงนับสิบดวงที่รายล้อม สัญลักษณ์ดอกโบตั๋นยังคงเด่นสง่ามิได้เลือนราง ทว่าเจ้าของร่างบางกลับมิได้เอะใจ
บัดนี้สองขากำลังเยื้องย่างลงสู่สระน้ำ เพ่งพินิจเงาสะท้อนที่กระเพื่อมไหวของตนบนผิวน้ำเพียงครู่ พลันค่อยๆ หย่อนกายที่เย็นเยียบลงในน้ำอุ่นอย่างเชื่องช้า ผ่อนคลายความรู้สึกที่อ่อนล้าหลับตาพริ้มพิงแผ่นหลังเข้ากับขอบสระทอดถอนลมหายใจ แล้วจมใบหน้าส่วนหนึ่งให้ปริ่มน้ำอยู่ในระดับใต้จมูก สูดกลิ่นกำยานที่กำจายไปทั่วราวกลิ่นสมุนไพรช่วยผ่อนคลาย กระทั่งความคิดที่ว่างเปล่าทำให้เผลอไผลหลับตาลงนิ่งสนิทปล่อยร่างให้ไถลลงสู่ก้นสระอย่างมิรู้เนื้อรู้ตัว
“ตื่นเถิด เซียวโม่โฉว”
“.....”
“ลืมตาของเจ้าแล้วมองให้เห็นถึงตัวตนของข้า”คล้ายเสียงกังวานที่ดังขึ้นปลุกให้เซียวโม่โฉวตกใจตื่น สองมือจึงค้ำยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งหรี่ตามองไปยังภาพเบื้องหน้าที่เวิ้งว้างและกว้างไกลไร้เขตแดน นั่นจึงทำให้เซียวโม่โฉวผุดลุกขึ้นและต้องถอยหลังกรูดครั้นมองเห็นพื้นน้ำเบื้องล่างที่เหยียบย้ำราวแผ่นดิน
“ที่นี่ที่ใดกัน!”ดวงตาใสเบิกกว้างเอ่ยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“หาใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องกังวล มองมาที่ข้าเถิดเซียวโม่โฉว”เสียงที่ก้องดังอยู่ในที่แห่งนี้เรียกชื่อบุรุษหนุ่มอีกครา ทว่าครานี้เบื้องหน้ากลับปรากฏร่างของบุรุษที่สูงใหญ่ถึงแปดเซี๊ยะ ดวงตาคมดุจอีกาดำทั้งคิ้วตวัดเฉียงราวกับคมกระบี่กำลังจ้องมองมายังเซียวโม่โฉวไม่กะพริบ ริมฝีปากที่ขยับเรียกชื่อราวสนิทสนมขยับยิ้มกระตุกขึ้นมุมหนึ่งของปากแสดงความพึงพอใจต่อบุรุษหนุ่มตรงหน้าเป็นอย่างยิ่ง มือแข็งแรงค่อยๆ ยื่นออกมาเข้าช้อนกรอบหน้าหวานที่หวาดผวาจนบิดเบี้ยวอย่างย่ามใจ
ร่างกายของข้าไม่สามารถขยับได้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วคนผู้นี้เป็นใคร!
“ข้ากับเจ้าได้พบพานกันอีกครั้งนับว่าวาสนายังมิได้สิ้นสุด พันผูกต่อกันแม้ผ่านมากี่ภพชาติมิอาจหลีกหนี ช่างน่าเสียดายที่เจ้ามิอาจจดจำผู้ใดได้ในภพนี้ แต่นับว่าเป็นสิ่งดีจากนี้เจ้าจะได้จารึกตัวข้าไว้ที่ศิลาในกายของเจ้านับพันปีต่อแต่นี้ไป”
“ปะปล่อยข้า เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงนำข้ามายังที่แห่งนี้”
“อย่าได้หวาดกลัวข้าไปเลย ตัวข้ามิได้ชิงชังอยากพรากชีวิตเจ้า อา.....ข้าคงทำให้เจ้ากลัวสินะ”มือหนาค่อยๆปล่อยใบหน้าของเซียวโม่โฉวราวกับพลั้งมือบีบแรงไป เช่นไรผู้คนตรงหน้าก็ยังไม่สามารถขยับตัวตามใจตนเองได้
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร!”
“นามที่แท้จริงของข้าเช่นนั้นหรือ.....”อุปนิสัยหลอกล่อและเจ้าเล่ห์หาผู้ใดเทียบเคียงอย่างจูเกิงเฉินผู้นำเผ่าปีศาจที่เป็นปฏิปักษ์ต่อชั้นฟ้าทั้ง 4 กำลังพยายามเย้าหยอกบุรุษตรงหน้าที่ตนหมายมาดช่วงชิงมาจากมือหลี่รั่วถง หากแต่น่าหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่งที่เช่นไรหลี่รั่วถงยังคงนำไปหนึ่งก้าวเสมอแม้จะผ่านมานับพันๆ ปีแล้วก็ตาม
ความค่อนแค้นที่ตราตรึงอยู่ในอกของจูเกิงเฉิน ไม่มีทุเลาเบาบางลงหากแต่ยิ่งโหมกระพือราวไฟโลกันตร์ ศัตรูแห่งความเคียดแค้น แม้นทีหรือขุนเขาที่คดเคี้ยวยังคงมีเลี้ยวมาบรรจบ หากแต่จูเกิงเฉินและหลี่รั่วถงมิอาจมาบรรจบกันได้
พันปีก่อนหน้านั้นตนไม่สามารถเป็นเจ้าของดวงใจของคนผู้นี้ได้ ทว่าชาติภพนี้จะไม่ปล่อยให้พลาดพลั้งเป็นครั้งที่สองแน่
หลี่รั่วถง ต่อให้เจ้าเอาโซ่ตรวนมาล่ามพันธนาการดวงจิตนี้ด้วยพลังทั้งหมด ข้าก็จะใช้พลังทั้งหมดที่มีฟาดฟันมันให้ขาดรอนเช่นกัน
“จดจำชื่อของข้าไว้ จูเกิงเฉิน ข้าผู้นี้จักมารับตัวเจ้ากลับไปให้จงได้.....”ดวงตาเฉี่ยวคมสะท้อนเงาความเจ็บปวดจ้องมองเซียวโม่โฉวที่มองตนราวอสุรกาย ทั้งที่บุรุษผู้ถูกตราหน้าว่าปีศาจร้ายทว่าก็มีหัวใจเช่นกัน
พลันจูเกิงเฉินเอ่ยนาม พริบตาราวแผ่นฟ้าคำรามสายฟ้าจากเบื้องบนฟาดลงกลางนที ร่างของเซียวโม่โฉวถูกผืนน้ำเบื้องล่างดึงดิ่งลงไปให้จมหาย ภาพทุกอย่างบนผืนน้ำมลายหายกลับกลายเป็นเพียงภาพฝันอันเลือนราง
!!!
เสียงผิวน้ำที่แตกกระจายเป็นวงกว้างกระเพื่อมไหวแตะขอบสระที่โปรยด้วยกลีบดอกฉูฉู่ เป็นร่างสูงสง่าที่นำพาตนเองเข้าช้อนอุ้มกายขาวโพลนที่หลับใหลไม่ปรารถนาจะตื่นฟื้น ดวงตาคมจดจ้องมองกายขาวคิ้วขมวด ผ้าผืนหนึ่งลอยขึ้นจากพื้นเข้าคลุมกายเซียวโม่โฉว เป็นหลี่รั่วถงที่หอบเอาร่างที่ไร้สติกลับกลับคืนจากภวังค์มารของจูเกิงเฉิน
“เจ้าบังอาจนัก!”เสียงเอ่ยแม้มีได้กังวานหากแต่สะท้อนก้องไปถึงผู้ที่ลอบชักจูงดวงจิตของเซียวโม่โฉวไปอย่างไม่เกรงกลัวความผิด แววตาดุดันฉายแววความเกรี้ยวโกรธทว่าไม่อาจลงมือทำสิ่งใดได้ในยามนี้ จิตสังหารที่แผ่กระจายออกไปอย่างรุนแรง ทำให้เหอจี๋พลันสะดุ้งหวามมาปรากฏตัวต่อหน้าหลี่รั่วถง
“นะนายท่านเกิดเหตุใดขึ้นหรือขอรับ”จิตสังหารที่ดำมืดลอยคละคลุ้งทำให้เหอจี๋แทบหายใจไม่ทั่วท้อง สายตาแตกตื่นจ้องมองไปยังร่างบางที่สลบไสลภายในอ้อมแขนแข็งแรงอย่างตื่นตกใจ
ทว่ามิได้มีเสียงตอบคำถามใดๆ ออกมาจากปากหลี่รั่วถง สถานการณ์เช่นนี้เหอจี๋ทราบดีว่าไม่ควรถามไถ่ให้มากความ พลันสายที่กวาดมองสำรวจเห็นไอปีศาจเบาบางคลายดวงไฟที่ลอยขึ้นจากผิวน้ำโอบล้อมด้วยปราณสายฟ้าของหลี่รั่วถงคลายบีบรัดพลันวูบหายไปในพริบตาเดียว ครานั้นเหอจี๋ถึงกับกระจ่างแล้วซึ่งในคำตอบ
“จะจู จูเกิงเฉิน”ครันเอ่ยเสียงแผ่วขนแขนกลับลุกชันเกรียวกราวสยองไปถึงสองภพ
ภาพของสงครามที่ปั่นป่วนถึง 4 ชั้นฟ้ายังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเหอจี๋ แน่นอนว่ามิได้มีเพียงหลี่รั่วถงและจูเกินเฉินที่เปิดศึกร่วมด้วย ครานั้นราวกับสงครามขนาดย่อมที่ฟาดฟันแก่งแย่งอำนาจจากความฮึกเหิมของเผ่าปีศาจและการช่วงชิงยอดดวงใจของจ้าวพิภพแห่งหยินในครานั้น
มิมีผู้ใดไม่รู้ว่าความสูญเสียในครานั้นคราเอาชีวิตผู้ใดไปบ้าง โดยเฉพาะจอมใจเคียงกายของจ้าวพิภพแห่งหยิน
ติดตามตอนต่อไป >>>
------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านมากๆ ค่ะ
ฝากคอมเม้นติชม เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ผิดพลาดอย่างไรจะนำไปปรับปรุงแก้ไขค่ะ
แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ
โดย หลานฮวา