บทส่งท้าย
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเซียวโม่โฉวและหลี่รั่วถงหาใช่ผู้ใด เป็นอวี้หวงต้าตี้ประมุขชั้นฟ้าที่กุมอำนาจสวรรค์และมีอำนาจเหนือกว่าอย่างมิต้องกล่าวถึง บัดนี้ถึงเวลาที่ทุกอย่างจะเป็นไปตามดั่งสวรรค์ลิขิต จะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ หลี่รั่วถงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าและเซียวโม่โฉวที่คุกเข่าก้มหน้าไม่บังอาจสบตาต่อผู้มีรัศมีแห่งผู้ปกครองได้ อีกทั้งชนชั้นที่หาใช่ผู้ที่อยู่ในเทพเซียนชั้นใดได้มาพบพานเช่นนี้ก็เป็นวาสนามากนัก
หากแต่วันนี้การที่หลี่รั่วถงนำเซียวโม่โฉวมาด้วยนั้นเพราะยังคงมีเรื่องบางอย่างที่จะต้องทำให้กระจ่างและชัดเจน ยามนี้เซียวโม่โฉวรู้สิ้นถึงชาติภพของตนเองจึงควรแล้วที่จะกล่าวเรื่องระหว่างตนและเซียวโม่โฉวต่ออวี้หวงต้าตี้เสียที
แม้เซียวโม่โฉวจะรู้ดีว่ากาลก่อนตนเป็นใคร อาศัยอยู่ ณ ที่ใดในช่วงเวลานั้น และทำสิ่งใดลงไปบ้างจึงไม่อาจกล่าวมากความได้ในยามนี้ ความรู้สึกผิดต่อสวรรค์นั้นตราตรึงอยู่ในอก ทราบความผิดดีว่าฝืนกฎสวรรค์ข้อใดเพื่อทำตามใจตนเองเมื่อครั้งก่อน ยอมทิ้งซึ่งภาระหน้าที่ของตน แหกกฎต้องห้ามของเทพธิดาที่มิให้มีใจรักผูกพันต่อผู้ใด แต่ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจหักห้ามจึงยอมถูกลงโทษด้วยโชคชะตาที่โหดร้ายนั้นย่อมถูกต้องแล้ว
ทั้งการถูกจูเกิงเฉินพลั้งมือสังหาร ไปผจญเคราะห์กรรมบนโลกมนุษย์ และต้องเจ็บปวดกับความรักก่อนที่จะรู้ความจริงทั้งหมด
“ข้าทำตามที่สัญญาต่อท่านแล้ว ต่อจากนี้พระองค์โปรดยินดีกับความรักของข้าด้วย”หลี่รั่วถงกล่าวขึ้นเสียงหนักแน่นมิได้อ้อมค้อม ทำให้อวี้หวงต้าตี้หัวเราะขึ้นเสียงก้องกังวานราวระฆังสวรรค์
“ในเมื่อเจ้ารักษาคำสัตย์ไม่บิดพลิ้ว ทำตามคำพูดที่เคยให้ไว้กับข้าได้ ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวต่อวิบากกรรมของเซียวโม่โฉวจนกว่าจะบรรลุถึงแก่นแท้ของวัฏสงสารชีวิต และดูเหมือนพวกเจ้าต่างก็เผชิญกับอุบัติกรรมที่เกิดขึ้นมาอย่างนับไม่ถ้วนมากพอแล้ว ข้าจะกลืนน้ำลายตนเองได้อย่างไร ข้าเมตตามิได้ส่งเสริมให้พวกเจ้ากระทำผิด หากแต่เพราะด้วยความอดทนที่พวกเจ้าพิสูจน์ให้ข้าเห็น”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”เซียวโม่โฉวก้มศีรษะคำนับจรดพื้น คงไม่สามารถลืมเลือนเหตุการณ์ในตอนนี้ได้ไปตราบชั่วชีวิต
“เจ้าลุกขึ้นเถิด เงยหน้าให้ข้าได้ดูเจ้าชัดๆ ”
“กระหม่อมต่ำต้อยนักจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“แม้เจ้าจะไม่มีชนชั้นใดในพิภพทั้ง 4 แห่งนี้ หรือแม้สูญเสียไปแล้วซึ่งพันธะพันผูกต่อสวรรค์ เช่นไรหากเจ้าบำเพ็ญภาวนาอีกพันปีข้างหน้าข้าและเจ้าคงได้พบพานกันอีกครา”
ผู้ที่เอ่ยเช่นนั้นหยักยิ้มเพียงบางชี้ทางเดินเบื้องหน้าให้เห็น พริบตาราวกับมนต์ลวงตา ผู้ปกครองชั้นฟ้าก็บันดาลดวงไฟสีทองสว่างดึงสายตาของเซียวโม่โฉวให้เงยหน้าขึ้นโดยมิได้ฝืนบังคับแต่อย่างใด น่าแปลกที่หลี่รั่วถงไม่อาจมองเห็นดวงไฟสีทองได้อย่างที่เซียวโม่โฉวเห็น
คล้ายคลึงจนเรียกว่าเหมือนกับที่บุรุษหนุ่มพบพานบนโลกมนุษย์และครั้งอยู่พิภพแห่งหยินนัก
เอ๊ะ! หรือแท้แล้วผู้ที่บันดาลดวงไฟเหล่านี้ให้ข้าพิศวงจะเป็น.....
เซียวโม่โฉวคาดเดาในความรู้สึก ครั้นดวงตาคู่สวยก็เบิกโพลงขึ้นกับคำตอบ สบกับนัยน์ตาทรงอำนาจที่ครู่หนึ่งราวกับบอกเล่าเรื่องราวให้กระจ่าง ทว่าคำพูดใดก็ไม่อาจหลุดออกมาจากปากเซียวโม่โฉวได้เสมือนถูกปิดเอาไว้
“เอาเถิด อย่างไรบทลงโทษที่เกิดขึ้นต่อตัวเจ้าทั้งสองเพราะการกระทำในอดีตได้จบสิ้นลงแล้ว ชาติให้พบพาน วาสนาใหม่ถักทอ ต่อจากนี้ก็อยู่ที่ตัวของพวกเจ้า อย่างไรก็หนีไม่พ้นกฎเกณฑ์ที่จักต้องปฏิบัติ”เสียงทุ้มและก้องกังวานราวกับระฆังยักษ์สะท้อนอยู่ในหัวของหลี่รั่วถงและเซียวโม่โฉว
“หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ข้าไม่อาจให้โอกาสผู้ที่ผิดพลาดได้เป็นครั้งที่สองเข้าใจหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ/พ่ะย่ะค่ะ! ”สองเสียงขานรับประสานกัน พร้อมค้อมกายส่งประมุขแห่งชั้นฟ้าที่มีขบวนนำและตามเดินออกไปจากท้องพระโรงอย่างงดงาม
เซียวโม่โฉวแทบทรุดกายลงนั่งกับพื้นอีกครา เมื่อความอึดอัดในใจนั้นได้คลายสิ้นแล้ว
“เจ้าไหวหรือไม่”ไม่มีผู้ใดไม่หวั่นเกรงต่ออวี้หวงต้าตี แต่สำหรับหลี่รั่วถงแล้วเขาย่อมเกรงขามหากแต่ไม่หวาดกลัว ครั้นเห็นว่าโม่โฉวประหม่าจนหน้าถอดสีจึงพาออกมาผ่อนคลายด้านนอก ยังสะพานที่เส้นทางเบื้องหน้าไกลสุดสายตาจมหายไปในม่านหมอกสมแล้วที่เป็นสวรรค์ชั้นฟ้า
“ข้านึกว่าตนเองจะตายอีกคราเสียแล้ว”มือขาวทาบอกตนเองพิงหลังกับราวสะพานพ่นลมหายใจพรูไปหลายรอบ
“เจ้ากลัวหรือ? ”
“สิ่งที่ข้ากลัวคือการที่ต้องถูกพรากจากท่านอีกครั้งเสียมากกว่า”
“ข้าอยู่ตรงนี้เจ้าจะหวาดกลัวสิ่งใด ข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดรังแกเจ้าเป็นอันขาด แม้กระทั่งผู้ที่เจ้ากำลังหวาดกลัว”
“ข้าไม่ปรารถนาให้ท่านต่อกรกับผู้ใดเพื่อข้าอีก”เซียวโม่โฉวยื่นมือของตนไปกุมแขนของหลี่รั่วถง สบนัยน์ตาคู่คมที่มองมาแววตาอ่อนโยน “ท่านลืมสิ้นไปแล้วหรืออย่างไรเล่าว่ายามนี้ข้าเป็นบุรุษหาได้อ่อนแอจนท่านต้องกังวล”
“ถึงอย่างไร ข้าก็ไม่อาจเมินเฉยต่อความทุกข์ใจของเจ้า อย่างไรก็ตามเจ้ายังคงเป็นผู้ที่ข้ารักและอยากปกป้องดูแลต่อให้เจ้าอยู่ในสถานะใดก็ตาม”มือแข็งแรงที่เข้ามากุมประสานถ่ายทอดความรู้สึกถ่องแท้ไปยังฝ่ามือของเซียวโม่โฉว ถ้อยคำและแววตาช่างเขย่าดวงใจของผู้ที่ถูกจ้องมองได้สั่นคลอนนัก
“ท่านกล่าวเช่นนั้นมิปล่อยให้ข้าได้เว้นช่วงจังหวะชีพจรบ้างหรือ”ยิ้มบางคลี่ออกหัวเราะน้อยๆ กับมธุรสของร่างสูงตรงหน้า
“อย่างไรเล่าที่เจ้ากล่าวถึง ข้ามิเข้าใจ”
“ท่านไม่เข้าใจหรือแสร้งหลอกข้ากันแน่ ในอกของข้ามันเต้นระรัวเสียจนข้าควบคุมไม่ได้ทันรู้หรือไม่เล่า”
“เช่นนั้นให้ข้ารับผิดชอบเสียเถิด”
“รับผิดชอบ? ท่านจะรับผิดชอบเช่นไร? ”คนแสร้งถามส่ายหน้าเพราะตนเพียงกล่าวหยอกล้อ ทว่าระหว่างที่กำลังจะหมุนกายเดินไปข้างหน้า แขนข้างหนึ่งของเซียวโม่โฉวถูกหลี่รั่วถงดึงรั้งเอาไว้จนแทบจะเรียกว่ากระชากมาก็ว่าได้ ผู้ที่มิทันตั้งตัวเผลอเปิดช่องโหว่ให้หลี่รั่วถงดึงรั้งเข้ามาแนบชิดเสียแล้ว
“ปะปล่อยข้าเถิด ประเดี๋ยวมีใครผ่านมาเห็นจะนำท่านไปกล่าวเสียๆ หายๆ ได้”เซียวโม่โฉวตาวาวกล่าวขึ้น มองซ้ายขวาเลิกลัก แม้จะไม่มีผู้ใดก็อดเขินอายไม่ได้
“ให้กล่าวไปเถิด ข้าดีใจเสียอีกที่จะได้บอกให้ผู้อื่นได้รู้” หลี่รั่วถงกระตุกยิ้มขยับวงแขนเข้ากระชับแน่นรอบตัวบุรุษหนุ่มขึ้นอีกเท่าตัว “เพราะเช่นไรข้าก็หมายมั่นตั้งใจว่าให้เจ้าเป็นจอมใจของข้าแต่เพียงผู้เดียว”
เรียกได้ว่าประโยคเดียวหยุดชะงักทุกอิริยาบถไปในทันที มีเพียงดวงตากลมใสที่กะพริบถี่สบกับนัยน์ตาคู่คมของหลี่รั่วถงราวกับจะหาความหมายในประโยค ก่อนแก้มขาวนวลเนียนจะค่อยๆ แดงเรื่อขึ้นประหนึ่งปาดสีชาดเอาไว้ “ทะท่าน....”
“แต่งงานกับข้าเถิดเซียวโม่โฉว มิรู้ว่าโลกมนุษย์ที่เจ้าคุ้นชินจะพูดกันเช่นนี้หรือไม่ แต่คงมิได้ต่างไปจากความหมายที่ข้าปรารถนามั่นในรักต่อเจ้าเป็นแน่”ตาซื่อตาใส่นิ่งงันราวกับสติเลื่อนลอยหายไปครู่หนึ่ง ยามนี้เห็นทีจะตะลึงพรึงเพริดเสียจนหลงลืมชื่อตนเองไปแล้ว
ตะแต่งงาน? ข้าถูกขอแต่งงานเช่นนั้นหรือ?
พลันคิดใบหน้าและท่าทางก็แสดงออกมาเสียหมดแล้ว ทั้งแก้มขาวที่แดงเรื่อ ความสุขที่ผ่านดวงตาคู่สวย รอยยิ้มที่พยายามเก็บกลั้นไว้แค่ไหนก็โผล่ให้เห็นอยู่ดี
“ว่าอย่างไรเล่า หรือเจ้ารังเกียจข้า”
“มะไม่ใช่เช่นนั้น คือข้า....”ท่าทีกระอักกระอ่วนมิใช่เพราะอยากจะปฏิเสธหากแต่กลั่นออกมาเป็นคำพูดยากนัก ยามนี้จะมีสิ่งใดต้องคิดเสียให้วุ่นวายเล่า “ข้าจะแต่งกับท่าน! ”
“คำตอบของเจ้าฉะฉานยิ่งนัก”เป็นคำชมที่ทำเซียวโม่โฉวถึงกับเก้อเขินจนใบหูร้อนไปเสียหมด อีกทั้งหลี่รั่วถงก็ขยันยิ้มให้เขาบ่อยนักจะไม่ให้หลงบุรุษตรงหน้าอีกคราได้อย่างไร
ท่ามกลางจันทราที่ลอยเด่น รัศมีแผ่กว้าง ท้องฟ้าปลอดโปร่งงดงามดั่งวาดไว้ ยามนี้หากเทียบกับตำแหน่งจ้าวพิภพแห่งหยิน งานพิธีการใดๆ ย่อมยิ่งใหญ่เล่าลือกันไปทั่วทั้ง 4 ชั้นฟ้า แขกมาร่วมงามย่อมแออัดขนัดตาท้องฟ้าคงคลาคล่ำแลดูมืดฟ้ามัวดินด้วยเหล่าเทพเซียนทั้งหลายเป็นแน่
ทว่าค่ำคืนสำคัญอันเป็นพิธีการงานมงคลกลับมิได้ต้อนรับผู้ใดให้วุ่นวาย ไม่ต้องการคำกล่าวยินดีของผู้ใดเท่าความเปรมใจของคู่ชีวิต จะมีสิ่งใดยิ่งใหญ่ไปกว่าคำมั่นสัญญาที่ปรารถนามานับพันปี ไม่มีพิธีการใดจะเรียบง่ายเท่าการตัดสินใจครองคู่ของทั้งสองอีกแล้ว มีเพียงสักขีพยานร่วมยินดีเป็นสหายพันชาติอย่างหวางหรูอี้ ติงเจิ้งหวา บริวารข้ารับใช้อย่างเหอจี๋และทู่จึเท่านั้น ทุกอย่างเสร็จสิ้นไม่หวือหวาจบพิธีด้วยการแลกจอกสุรามงคลก็นับว่าเพียงพอแล้ว
สิ่งใดจะยิ่งใหญ่เท่าความรักของเขาทั้งสองอีกก็หามีไม่
อย่างไรสีมงคลก็ย่อมต้องเป็นสีแดง ยามนี้จึงได้เห็นหลี่รั่วถงสวมใส่อาภรณ์สีแดงเข้มดูแปลกตาหากแต่ไม่อาจลดทอนความสง่าผ่าเผยไปได้ เซียวโม่โฉวที่ยืนอยู่ข้างกายก็สวมอาภรณ์สีแดงมงคลเช่นกัน แม้ธรรมเนียมเจ้าสาวจักต้องปิดบังใบหน้าหากแต่บุรุษหนุ่มมิได้นับธรรมเนียมเช่นนั้น การแต่งกายยังคงเป็นบุรุษอย่างที่ตนเป็น หากแต่ความงามด้วยรูปกายก็มากล้นเกินบุรุษแล้ว
หน้าผากที่ขาวนวลเนียนบัดนี้ถูกแต้มด้วยสีชาดเป็นจุดเล็กๆ ตรงกลางระหว่างคิ้วด้วยมือของหลี่รั่วถง เป็นการแสดงให้รู้ว่าผู้ใดมีสิทธิ์ในตัวบุรุษหนุ่มตรงหน้าที่เป็นดวงใจของจ้าวพิภพแห่งหยินหากมิใช่ตน ถึงจะไม่ทำเช่นนั้นหากแต่หลี่รั่วถงกลับตีตราจองไว้เนิ่นนานก่อนหน้านั้นแล้ว ด้วยสัญลักษณ์ดอกโบตั๋นคล้ายปานแดงบนลำคอขาวผุดผาด
“เมื่อแลกจอกสุรามงคลเสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปก็ถึงฤกษ์เข้าส่งตัวเข้าห้องหอแล้วขอรับ”ผู้พูดแม้จะเก้อเขิน หากแต่อดที่จะยิ้มจนแก้มปริให้แก่ทั้งสองมิได้ ทำนบน้ำตาของเหอจี๋แทบจะไหลอยู่เนืองๆ
“ข้ายินดีกับพวกเจ้าด้วย เห็นทีข้าจะมาแวะเวียนเสียบ่อยๆ มิได้แล้วเกรงว่าจะรบกวนพวกเจ้าหวานชื่น”หวางหรูอี้ยิ้มหยอกเย้า ก่อนจะล้วงบางอย่างยืนให้เซียวโม่โฉว เหอจี๋มองดูเลิกลักมิไว้ใจเช่นกันแต่สอดปากตอนนี้มิได้ “ถือเสียว่าเป็นของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ จากข้า” เซียวโม่โฉวตระเตรียมเอื้อมมือไปรับแต่ทว่า
“ห้ามรับเด็ดขาด! ”หลี่รั่วถงปัดมือหวางหรูอี้ออกกล่าวพร้อมกับข่มขวัญสหายด้วยสีหน้าถมึงทึง
“เหตุใดท่านถึงปฏิเสธน้ำใจท่านหวางหรูอี้เช่นนั้นเล่า? ”
“เพราะข้ารู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร”สีหน้าของเซียวโม่โฉวงุนงงมองหลี่รั่วถงคิ้วขมวด หวางหรูอี้กลับหัวเราะขบขันโยนขวดยาใบเล็กขึ้นลงไปในอากาศแล้วซุกเก็บเข้าที่เดิม
“นี่เซียวโม่โฉว...เอาไว้คราวหลังข้าจะให้กับเจ้าในยามที่ไม่มีเจ้าเสือดุผู้นี้อยู่เข้าใจหรือไม่”คนแสร้งกระซิบกระซาบสีหน้าสนุกนักแววตาเล่ห์เหลี่ยมนัก
“ข้าคงต้องรบกวนเจ้าเสียแล้วติงเจิ้งหวา พาสหายผู้นี้ของข้าไปให้พ้นสายตาข้าได้หรือไม่ ข้าขอส่งตรงนี้”
วาจาร้ายกาจเอ่ยขึ้นร้องขอต่อติงเจิ้งหวา ที่มิได้กล่าวมากความอันใดนักเพียงหอบหิ้วเจ้าของเส้นผมขาวพิสุทธิ์ลากตัวออกไปแต่โดยง่าย
“ตกลงเจ้าจะเข้าข้างผู้ใด! ไหนบอกว่าจะสวามิภักดิ์ต่อข้าเช่นไรเล่าติงเจิ้งหวา”คนถูกลากโวยวายลั่น
“ข้าเคยกล่าวต่อเจ้าเมื่อไหร่กัน เลิกรบกวนพวกเขาแล้วกลับกันได้แล้วนา”เสียงโหวกแหวกโวยวายค่อยๆ ลับหายไปจนโล่งหู เซียวโม่โฉวยืนมองพวกเขาจนลับสายตา
ทั้งเหอจี๋และทู่จึก็ต่างผ่อนลมหายใจเมื่อสถานการณ์เงียบสงบกลับมาอีกครา บทสนทนาระหว่างสองคนก็เกิดขึ้น
“ในเมื่อสหายของข้าตบแต่งแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะมีฐานะสูงกว่าเจ้าสินะ”ทู่จึกล่าวขึ้นยืดอกเท้าสะเอวกระหยิ่มยิ้มย่องในความคิด
เพี๊ยะ! ฝ่ามืออรหันต์ปะทะเข้าที่ศีรษะของทู่จึอย่างจัง
“ข้าบอกให้เจ้าเลิกฝันลมๆ แล้งๆ อย่างไรเล่า อย่างไรเสียเจ้าก็คือปีศาจชั้นต่ำสำหรับข้าอยู่วันยังค่ำ ชิ! ”
“หน็อย คอยดูเถอะ! ”ใบหน้าฟึดฟัดลูบศีรษะตนเองปอยๆ
“นายท่านขอรับ.....ข้าว่าประเดี๋ยวจะเลยฤกษ์งามยามดีเชิญพวกท่านด้านในดีกว่าขอรับ ข้าและทู่จึจะส่งพวกท่านเพียงประตูเท่านี้นะขอรับ”เหอจี๋หันไปกล่าวพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญ
“ข้าไปด้วยโม่โฉว! ”
“เจ้าจะเข้าไปทำไมเจ้าโง่นี่ กลับกับข้าประเดี๋ยวนี้เลย อยากตายหรืออย่างไร! ”เหอจี๋พูดเสียงลอดไรฟันถลึงตาสุดฤทธิ์ก่อนจะลากดึงทู่จึออกไป ปล่อยให้บ่าวสาวได้ประคองกันเข้าไปยังเรือนใหญ่อย่างราบรื่น
เซียวโม่โฉวส่ายหน้ายิ้มให้กับทั้งสองที่อย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลงท่าทีที่ราวกับเข้ากันไม่ได้ หากแต่ก็ไม่เคยมีวันไหนที่เห็นทู่จึและเหอจี๋ไม่พูดคุยกัน
“เจ้ายิ้มอะไรกัน? ”
“ข้าเพียงนึกสงสัยว่าเหตุใดทั้งสองจึงตั้งแง่แต่จะทะเลาะกัน หากแต่พอผ่านไปไม่ทันจะข้ามวันก็กลับมาดีกันเป็นๆ หายๆ เช่นนี้อยู่ร่ำไป”
“ปล่อยเรื่องหยุมหยิมเหล่านั้นไปเถิด สิ่งที่เจ้าควรจะสนใจมิใช่ข้าหรอกหรือ”
ครั้นถึงบานประตูไม้ที่แขวนคำมงคลตัวอักษรสีทองไว้เหนือบานประตูหลี่รั่วถงเป็นผู้ดึงให้เปิดออก เซียวโม่โฉวเป็นผู้เดินนำเข้าไปใจเต้นลุ่มๆ ดอนๆ เสียอย่างนั้น ครั้นหันไปมองการประดับตกแต่งห้องหอให้งดงามจนต้องตาก็ยิ่งเก้อเขินเสียจนนึกต่อว่าผู้ที่เป็นแม่งานอย่างเหอจี๋เสียจริงๆ ยิ่งกวาดสายตามองพู่ผ้าที่ห้อยระย้าสีแดงมงคล ก็ราวกับย้ำเตือนว่าค่ำคืนนี้มิใช่เพียงวันคืนที่ผ่านพ้นไปไม่น่าจดจำ หากแต่เป็นคืนสำคัญของทั้งสอง
เช่นไรเซียวโม่โฉวก็อดประหม่าขึ้นมาเสียมิได้ จึงแก้เก้อด้วยการไปนั่งยังโต๊ะที่จัดสำรับและขนมมงคลไว้ อีกทั้งสุราที่ตระเตรียมให้พร้อมพรั่งอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“ท่านจะดื่มต่ออีกหน่อยหรือไม่ มาเถิดข้าจะรินให้”ผู้ประหม่ารวบแขนเสื้อที่ยาวเกะกะหมายจะปรนนิบัติรินสุราให้ท่าทีจริงจังจนชวนมอง
“เหตุใดข้าต้องสนใจที่จะดื่มมากกว่าตัวเจ้าในยามนี้ด้วยหรือ? สุราเมื่อใดข้าก็ดื่มได้ จักเมามายก็มิควรเป็นคืนมงคลนี้” ท่อนแขนแข็งแรงที่เอื้อมมาจากด้านหลังพยุงผู้ที่ซ่อนใบหน้าแดงก่ำให้ลุกขึ้นหันมาประจัน รอยยิ้มที่ราวขบขันกับท่าทีของบุรุษหนุ่มตรงหน้าพานให้เซียวโม่โฉวขมวดคิ้วมุ่นขึ้นเสียอย่างนั้น
“ท่านขบขันเรื่องใด หน้าข้ามีสิ่งใดผิดแปลกหรือ”
“.....”หลี่รั่วถงเพียงส่ายหน้า ก่อนกอดกายบุรุษหนุ่มเข้าสู่อกกว้าง มือหนาลูบแผ่นหลังที่ประหม่าอย่างอ่อนโยนและกล่าวขึ้น “ข้านึกไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ วันที่ข้าได้กอดเจ้าอย่างมีความสุขอีกครา”
เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้น เซียวโม่โฉวได้ยินทุกถ้อยคำที่กล่าวมา รับรู้ด้วยหัวใจว่าผู้ที่กอดตนนั้นหาได้โป้ปด มือขาวที่เคยเย็นเยียบและสั่นเท่าด้วยความประหม่า ทว่าบัดนี้กลับผ่อนคลายด้วยอ้อมกอดอุ่นๆ เสียจนกำซาบถึงจิตใจ
“ข้าอยู่ตรงนี้ได้เพราะท่านปรารถนาที่จะพบเจอข้าอีกครั้ง ข้าดีใจที่หัวใจของข้ายังคงจดจำท่านได้ไม่ลืมเลือน”
“ข้ารักเจ้าเซียวโม่โฉว”
“ท่านกล่าวเช่นนี้ จะให้ข้าตอบอย่างไรได้นอกเสียจาก.....”สองแขนผละตนเองออกจากอกที่แทบไม่ยอมให้ห่าง ก่อนจะเขย่งปลายเท้าเล็กน้อยจุมพิตไปที่ริมฝีปากของผู้ที่อยู่เบื้องหน้าแล้วตอบไปว่า “ข้าก็รักท่านเช่นกัน”
เซียวโม่โฉวยิ้มบางยกมือขึ้นขยี้ปลายจมูกตนเองเก้อเขิน โดยหารู้ไหมว่าอีกฝ่ายอยากกางกรงเล็บเข้าไปขย้ำท่าทีเช่นนั้นด้วยแรงปรารถนาเพียงใด
“เจ้าเริ่มก่อน อย่าได้โทษข้าทีหลังเลย”ที่สุดแล้วหลี่รั่วถงก็ทนข่มความปรารถนาที่จะสัมผัสบุรุษตรงหน้าไม่ไหวอีกจึงได้ดึงเซียวโม่โฉวเข้าสู่อ้อมกอดอีกครา ครั้งนี้กลับเชยคางให้เชิดรั้งขึ้น บรรจงมอบจุมพิตที่หอมหวานระคนร้อนรุ่มจนยากจะถอนถอย
สองกายที่ตระกองกอดทิ้งกายลงบนเตียงตั่ง กลีบบุปผาที่ถูกโปรยไว้กระจายออกไปทั่ว กลิ่นหอมเย้ายวนหรือจะสู้กลิ่นหอมของผิวกายที่กำจายรัญจวนใจนัก หากจะให้ยับยั้งชั่งใจในครานี้คงยอมแลกชีวิตเสียแล้วกระมัง
ทั้งหวั่นอยู่ในใจว่าเซียวโม่โฉวจะหนีหายจึงใช้กายแกร่งคร่อมร่างบุรุษหนุ่มไว้มิให้กระถดร่นหนีไปได้ ยอมผละจากจุมพิตอย่างอ้อยอิ่ง ใช้สายตาคมกวาดมองเจ้าของเรือนกายขาวผุดผาดที่หอบหายใจแรง แผ่นอกขาวที่เผยแก่สายตาผ่านสาบเสื้อที่แยกออกตัดกับสีแดงฉูดฉาดยากนักที่จะเมินสายตาไม่จ้องมอง
อีกทั้งสัญลักษณ์ที่เผยให้เห็นเป็นรูปดอกโบตั๋นนั้นชัดเจนขึ้นบนผิวเนื้อบริเวณลำคอยิ่งทำให้หลี่รั่วถงพึงใจในสิ่งนั้นยิ่งนัก ทว่าส่วนหนึ่งกลับกำลังพยายามทนข่มแรงปรารถนาตนเอาไว้ เช่นไรก็มิได้อยากกระทำให้เนื้อขาวต้องบอบช้ำตั้งแต่คืนแรกเสียก่อน
“เจ้าจะปฏิเสธข้าก็ได้หากเจ้ารู้สึกไม่ดี เพราะต่อจากนี้ข้ามิรู้ว่าตนเองจะหยุดรักเจ้าได้หรือไม่”
“ข้ายอมแลกจอกสุรามงคลแก่ท่านแล้ว ไยข้าจะต้องกลัวสิ่งใดอีกในเมื่อคนที่ข้าจะมอบชีวิตกระทั่งวิญญาณให้ก็มีแต่ท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
สุขใดเล่าจะเท่าคำปวารณามอบแล้วสิ้นซึ่งจิตวิญญาณให้แก่ตน หลี่รั่วถงยิ้มรับกดริมฝีปากจุมพิตไปที่ดวงตาคู่สวย จรดจมูกเป็นสันลากผ่านแก้มขาวเนียนที่แดงเรื่อไปถึงใบหูเล็กอย่างพึงใจ จูบต่อมากดริมฝีปากหยักไปที่ซอกคอขาวอยู่เนิ่นนาน บัดนั้นก็พลันบันดาลลมหมุนดับแสงเทียนและตะเกียงไฟภายในห้องหับ แล้วบรรจงละเลียดชิมบุรุษตรงหน้าอย่างละเมียดละไมเสียจนเจ้าของกายโปร่งวูบไหวราวกับเปลวเทียนต้องลม
เป็นคราแรกที่ถูกสัมผัสเช่นนั้น เซียวโม่โฉวมิเคยเสียพรหมจรรย์ให้แก่ตรีหรือบุรุษผู้ใด ถือว่าเกิดเป็นมนุษย์จะเสียชาติเกิดก็คงต้องปล่อยให้กนด่ากันไป หากแต่เช่นไรมิต้องมัวหมองเพราะมืออื่นก็นับว่าโชคดีนัก
ข้าไม่ประสีประสาในเรื่องรักใคร่ แต่การให้ความร่วมมือข้าคงพอทำได้
เซียวโม่โฉวคร่ำครวญอยู่ในใจก็พลันสะดุ้งไหวกับฝ่ามือที่สอดผ่านสาบเสื้อ มือหนาเข้าสัมผัสกับเนินอกที่แบนราบจนร่างที่ไร้กล้ามเนื้อแน่นหนาสะดุ้งไหวขนลุกชั้นไปทั่วสรรพางค์กาย อีกทั้งริมฝีปากร้อนก็บดเบียดริมฝีปากอ่อนนุ่มจนแทบเห่อร้อนบวกกับสัมผัสที่ปัดป่ายก็แทบดิ้นทุรนทุรายด้วยความรู้สึกซาบซ่าน
“เจ้ากลัวหรือไม่”เสียงทุ้มกังวานกระซิบชิดใบหูเล็กของเซียวโม่โฉวอีกครา ลมหายใจที่อุ่นร้อนคลอเคลียบนแก้มแดงราวผลท้อหล่นสุก
“ขะข้า หาได้กลัวสิ่งใด”
“เช่นนั้นหรือ”
สิ้นประโยคถามไถ่ หลี่รั่วถงก็สนองให้ผู้ที่มิได้เกรงกลัวอย่างไม่เกรงใจ มือหนาที่ปัดป่ายไปเลื่อนต่ำลูบไล้ไปจนถึงหน้าท้องแบนราบ ก็พลันสะกิดเชือกที่ผูกรั้งเอาไว้ปมแน่นคลายออกได้ดั่งใจคิด จึงค่อยๆ เลื่อนมือลงต่ำสอดลูบไปตามขอบกางเกงหลวมหลุดเข้าโอบสะโพกกลมกลึงของบุรุษหนุ่มตรงหน้า ที่ขบเม้มริมฝีปากบางเสียแทบเห่อช้ำด้วยสะกดกลั้นอารมณ์ ผิวเนียนละเอียดบัดนี้กลับร้อนรุ่มไปตามส่วนที่ถูกสัมผัสไม่มีท่าทีจะเย็นลงได้อีก
ใบหน้าที่แดงเรื่อ มือหนึ่งเกาะกุมไหล่แข็งแรงอีกมือขยุ้มผ้าที่พื้นเตียงเสียจนกลีบบุปผาที่อยู่ในฝ่ามือช้ำตามไปด้วย เซียวโม่โฉวกำลังฝืนทนความร้อนรุ่มที่หลี่รั่วถงมอบให้ จนใบหน้าเริ่มผุดพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อเม็ดเล็ก ทั้งนี้ความวูบไหวที่พาร่างสั่นไหวครั้นมือใหญ่เข้ากอบกุมส่วนล่าง ทุกการเคลื่อนไหวในฝ่ามือหนานำพาความหฤหรรษ์ระคนเสียวซ่านมาให้เซียวโม่โฉวไม่มีเว้นว่าง พาเอาดวงตาคู่สวยฉ่ำปรือลมหายใจติดขัดราวกับจะขาดใจเสียให้ได้
ลิ้นอุ่นชื้นที่ลากไล้จุมพิตไปบนเนินท้องที่หอบโยนขึ้นลงด้วยลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมอ นำพาความรู้สึกวูบไหวสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย
ยามนี้หลี่รั่วถงจัดการปลอดเปลื้องอาภรณ์ที่ห่มกายตนเองออก เผยร่างกายที่เปลือยเปล่าแข็งแรง ดึงดูดสายตาผู้ที่เหลือบมองผ่านแสงสลัวกลับยิ่งเก้อเขินแม้จะเป็นร่างกายบุรุษที่ไม่ต่างไปจากตน สิ่งใดหลี่รั่วถงมีตนก็มีทว่าคงเห็นความแตกต่างก็ครานี้กระมัง
“ข้าสัญญาว่าจะถนอมเจ้า จอมใจของข้า”คำกล่าวที่ราวเสียงกระซิบมาพร้อมกับสัมผัสแตกต่างจากทางด้านหลัง บางอย่างกำลังก่อกวนความรู้สึกของเซียวโม่โฉวให้ปั่นป่วนยิ่ง ความไม่คุ้นชินที่รุกล้ำกำลังสัมผัสกับช่องทางรักที่อ่อนนุ่ม ความรู้สึกทรมานส่งผ่านฝ่ามือขยุ้มผืนเตียงยับยู่สีหน้าเว้าวอนจนหลี่รั่วถงมิอาจยับยั้งตนเองได้อีก ความปรารถนาที่แรงกล้านำพาเสียงครางต่ำในลำคอครวญคร่ำราวกับไม่อาจข่มความรู้สึกทั้งหมดได้ แม้จะขบเม้มริมฝีปากตนเองจนกลัดเลือดเพียงใดก็ไม่อาจทัดทานความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาได้
หลี่รั่วถงคงรับรู้อยู่แก่ใจจึงมิได้ใจร้ายนักก็พลันผ่อนหนักเบาให้เสียก็หลายครั้งหลายครา
อีกทั้งด้านหน้าที่ปรนเปรอให้ก็มิได้ละห่างยังคงขยับรูดรั้งหนักเบาให้อีกฝ่ายอย่างยินดีและพึงใจ ความหวามไหวที่ก่อเกิดขึ้นบนร่างกายของเซียวโม่โฉวไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหฤหรรษ์เพียงใด
“ข้าทำเจ้าเจ็บหรือ? ”
“มะไม่ ใช่ เพียงแต่ร่างกายข้า...! ”มิทันได้เอ่ยให้รู้ นิ้วหนาที่สาละวนผ่อนหนักเบาคอยชำแรกช่องทางรักอ่อนนุ่มอยู่ด้านหลังก็พลันรุกเร้าจนเซียวโม่โฉวสะดุ้งตัวโยน แอ่นกายที่ไร้อาภรณ์ปิดกั้นด้วยสีหน้าหวามไหวจนหลี่รั่วถงไม่อาจอดใจเข้าไปจูบซับเนื้อเนียนขาวที่ร้อนผะผ่าวอีกครา ครั้งนี้เห็นที่ความแข็งขืนที่อดทนมิอาจรั้งรอได้อีกต่อไป เพียงกระซิบแผ่วเบาให้อีกฝ่ายตระเตรียมใจก็นับว่าถนอมมากแล้ว
เรียวขาขาวที่ถูกแยกออกจากันถูกแทรกกลางด้วยกายแกร่งเข้าบดเบียดจนแนบชิดมิห่างร้างรา ลูบฝ่ามือหนาไปตามโคนขาอ่อนนุ่มรั้งเรียงขาขึ้นจูบซับทิ้งร่องรอยตีตราทุกซอกมุม แรงหอบโยนที่มาพร้อมกับแรงกระแทกกระทั้นอีกทั้งกระโจนจ้วงหนักเบาทำเอาร่างบุรุษหนุ่มบิดเร้าด้วยความซาบซ่านไม่รู้สิ้น มือขาวที่กอดตระกองแผ่นหลังกว้างแทบจะฝังรอยเล็บด้วยความเจ็บปวดราวกับถูกฉีกร่างอยู่หลายครา เสียงสั่นเครือที่หอบกระเส่าสอดประสานไปตามห้วงอารมณ์ที่ส่งผ่านถึงกัน กระทั่งความหฤหรรษ์ที่จับจูงกันมาก็นำพาความสุขสมให้แก่กันและกันมิรู้ว่าเวลานั้นผ่านไปกี่ชั่วยาม
แต่ที่รู้แน่นั้นเซียวโม่โฉววิญญาณแทบหลุดหายไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่คราเพราะความร้อนรุ่มของหลี่รั่วถงผู้นี้ เห็นทีว่าผู้ที่สลบซบแนบอยู่กับไหล่กว้างจึงต้องแสร้งหลับไปเสียให้พ้นค่ำคืนนี้เสียแล้ว มิเช่นนั้นคงมิรู้ว่าจะถูกสายตาแกร่งคู่นั้นเว้าวอนจนอ่อนทั้งใจและกาย ไหลไปตามห้วงอารมณ์ไปไม่รู้จักจบสิ้นหรือไม่
ถึงอย่างไร.....ข้าจะดิ้นไปไหนรอดได้ หากเอ่ยคำเดียวว่าปรารถนาข้าจักไม่หยิบยื่นให้เชียวหรือ เพราะถึงอย่างไรต่อแต่นี้ดวงใจของข้าก็จะปรารถนาเพียงแต่คนผู้นี้เสมอไปไม่เปลี่ยนแปลงชั่วฟ้าดินสลายเป็นแน่
มีต่อด้านล่างจ้า
v
v
v
v