۞จอมใจ จ้าวมนตรา۞[วายจีนโบราณ] บทส่งท้าย(จบ) update 27/12/2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ۞จอมใจ จ้าวมนตรา۞[วายจีนโบราณ] บทส่งท้าย(จบ) update 27/12/2561  (อ่าน 37759 ครั้ง)

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4



บทที่ 22
กลับคืนสู่บ้านหลังเดิม





“เจ้าคงไม่เคยออกจากพิภพแห่งหยินมาไกลเช่นนี้ใช่หรือไม่ ข้าในฐานะเจ้าบ้านยินดีอย่างยิ่งที่สหายของข้ายอมให้เจ้ามาได้”

“ขอบคุณท่านหวางหรูอี้ที่เมตตา แต่ข้ารินเองได้มิต้องลำบากท่าน”

“เถิดนา ไม่ต้องเกรงใจ”

“แต่มันล้น.....”เซียวโม่โฉวมองสุราที่ปริ่มจอกไหลหกเป็นวงกว้างนึกเสียดาย

“กินของเจ้าไปเถอะ ยุ่มยามวุ่นวายนัก”มือของหวางหรูอี้ถูกปัดออกอย่างไม่ไว้หน้า พร้อมดวงตาที่จ้องมองอย่างตำหนิ

“เจ้าเมามายเช่นนี้ไยจะเป็นเจ้าบ้านที่ดีได้ ช่างน่าหัวเราะยิ่งนัก”ติงเจิ้งหวาส่ายหน้าให้กับผู้ที่เชื้อเชิญให้มาร่วมดื่มสุราในค่ำคืนนี้
 
“เจ้ากล่าวว่ามีเรื่องยินดี เรื่องใดที่เจ้าต้องการพูด”หลี่รั่วถงถามขึ้นไม่อ้อมค้อม หากแต่สายตากลับจ้องมองผู้ที่นั่งเคียงราวกับกลัวจะสูญหาย ครั้นใบไม้ร่วงใส่ก็ปัดทิ้งให้ดูแลทุกรายละเอียด

“แน่นอนว่ามีเรื่องดี”เจ้าของประโยคยืนขึ้นโงนเงน เดินไปหยิบไหสีขาวราวไข่มุกมาถึงสองไหด้วยกันวางไว้บนโต๊ะ

“อะไรของเจ้า”ติงเจิ้งหวาคว้าเข้าสำรวจ เขย่าภายในก็มีเสียงกระฉ่อนของน้ำดังขึ้น

“เบามือเจ้าหน่อย นี่มันของดีของข้าเชียว”ไหทั้งสองใบต่างผนึกด้วยผ้าตรงปากไหต่างสี “ข้าจะบอกให้รู้ไว้นี่เป็นยาที่ข้าอุตส่าห์คิดค้นหมักขึ้น ข้าจะมอบให้พวกเจ้าเป็นของขวัญถือเสียว่าเป็นน้ำใจจากข้าที่มิได้มีให้ผู้ใดบ่อยนัก”

ไหทั้งสองใบถูกแจกจ่ายให้แก่หลี่รั่วถงและเซียวโม่โฉวอย่างระมัดระวัง ขาดแต่ของติงเจิ้งหวา

“ให้ข้าด้วยเช่นนั้นหรือ”เซียวโม่โฉวชี้นิ้วไปที่ตนเอง มองไหที่อยู่ตรงหน้าแล้วยกขึ้นดมกลิ่น คล้ายกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกท้อที่ตนชมชอบก็ไม่ปาน

“ใช่ ของเจ้า”หวางหรูอี้ยิ้มกว้างหัวเราะชอบใจ ผิดกับหลี่รั่วถงที่นั่งเป็นหินผาพันชาติ มิได้ยินดีกับของตรงหน้ามากเท่าไหร่นักไม่นึกอยากจะได้เป็นเจ้าของเสียด้วยซ้ำ

“แล้วเหตุใดข้าจึงมิได้ด้วยเล่า”

“ของเจ้าอย่างนั้นหรือ.....”หวางหรูอี้มองติงเจิ้งหวาอยู่ครู่ก่อนเอ่ยตอบขึ้น “มี ข้างคงลืมหยิบมา เพราะมันใหญ่มากกว่าสองใบนี้ถึงสามเท่า เช่นนั้นเจ้าไปช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่”

“เป็นข้า? ”

“ใช่ ไปกับข้าหน่อย”ผู้ที่หวางหรูอี้ชี้ชวนนั้นเป็นเซียวโม่โฉว บุรุษหนุ่มมิได้ขัดหากแต่แปลกใจเล็กน้อย ซ้ำยังเหลือบตามองหลี่รั่วถงราวกับไม่มั่นใจนัก

“หากไม่อยากไปเจ้าก็มิต้องลุก”มือของหลี่รั่วถงจับท่อนบ่าของเซียวโม่โฉวไว้ หากแต่หวางหรูอี้เอ่ยชวนแล้วปฏิเสธก็เห็นทีจะเสียน้ำใจ ไปช่วยเหลือเล็กน้อยก็มิได้เหลือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่นัก

“ไม่เป็นไรข้าเต็มใจ ประเดี๋ยวข้ากลับมา”

“เจ้าจะห่วงไปไย ข้ามิได้จ้องจะกินคนรักของเจ้าเสียหน่อย”ครั้นถูกหวางหรูอี้กล่าวเช่นนั้น หลี่รั่วถงมิได้แสดงท่าทีเก้อเขินใดให้ผิดวิสัยคนด้านชา หากแต่กลับสวนกลับไปว่า

“ลองเจ้าทำอะไรที่มันพิเรนทร์ดูเถิด ข้าจะตัดลิ้นของเจ้ามิให้รับรสใดๆ ได้เลย”

คนที่นิ่งฟังอย่างติงเจิ้งหวาถึงกับสำลักสุราในปาก หากแต่ไม่รุนแรงนักเพราะแค่จิบไปเล็กน้อย นึกร้อนๆ หนาวๆ ต่อคำพูดคำจาที่มิเคยปรานีกันของจ้าวพิภพทั้งสอง อีกคนผู้หนึ่งก็เจ้าเล่ห์ปากร้าย อีกผู้หนึ่งก็หินผาดีๆ นี่เอง หากแต่การพูดได้อย่างหน้านิ่งเป็นวิทยายุทธ์ขั้นไหนถึงจะทำได้กัน

“ท่านอย่าถือสา ไปกันเถิด”เซียวโม่โฉวดึงประเด็นเข้าเรื่องมิให้หวางหรูอี้ลืมไปว่ากำลังจะทำสิ่งใด หากปล่อยไว้คงถกเถียงไม่สิ้นเป็นแน่

สถานที่ที่หวางหรูอี้เดินนำมานั้นคล้ายดั่งหอหนังสือ หากแต่เปิดเข้าไปด้านในกลับมีไหใบใหญ่เล็กจำนวนมากเรียงไว้เต็มชั้นวาง มิใช่ชั้นเดียวหากแต่สูงขึ้นไปนับสิบชั้นก็ว่าได้ นำพาความประหลาดใจมาให้เซียวโม่โฉวไม่น้อย มองแล้วเป็นภาพประหลาดตาที่หาดูได้ยากยิ่ง ความสูงของชั้นวางครั้นชะเง้อมองคอแทบเคล็ดไปตามๆ กัน

“ไหเหล่านี้? ”

“เป็นสุราที่ข้าหมักไว้ มีนับร้อยรสชาตินับร้อยกลิ่น เป็นสมบัติล้ำค่าของข้าทั้งนั้น เขาว่าพวกบัณฑิตเห็นหนังสือเป็นของมีค่า หากแต่ตัวข้าเห็นสุรามีค่าดั่งทองคำ”เจ้าของหอสุราลากนิ้วไปตามชั้นวางผ่านไหสุราราวเลือกสรรไปทีละใบ

“ท่านหมักขึ้นเองทั้งหมด? ”

“เป็นฝีมือข้า หากเจ้าถูกชะตาไหใบไหนก็เลือกเอาได้”

“ที่ท่านให้มาข้าก็ไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรหมด”

“นี่.....ยามนี้เจ้ากับหลี่รั่วถงพูดคุยกันไว้อย่างไร”คนที่ไล่สายตาหาไหสุราที่เป็นของติงเจิ้งหวาแสร้งถามขึ้นหาเรื่องพูดคุย เซียวโม่โฉวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแปลกใจที่หวางหรูอี้ถามขึ้น แต่ท่าทีผิดแปลกจึงทำให้บุรุษหนุ่มเอ่ยถามขึ้น

“ท่านหมายถึงเรื่องใด? ”

“ก็เรื่องที่หลี่รั่วถงต้องการให้เจ้ากลับคืนสู่ร่าง”ผู้ที่ถูกถามก้มหน้าลงมองพื้นสีหน้าคล้ายยังลังเลใจ เป็นเรื่องนี้ที่เซียวโม่โฉวคิดไม่ตกอยู่หลายวัน

“เรื่องนั้น ข้ายังไม่ตัดสินใจ.....แต่อาจจะดีกว่าหากข้าคงสภาพอยู่เช่นนี้”ความขลาดกลัวลึกๆ สะท้อนอยู่ภายในแววตาพราวระยับ หวางหรูอี้จึงเลิกคิ้วขึ้นถามหันมากอดอกจ้องมองท่าทีของเซียวโม่โฉว

“เจ้าไม่รู้กฎของวิญญาณหรอกหรือว่า หากถึงกาลหนึ่งเจ้าอาจต้องจะสิ้นสลายหายไป นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลี่รั่วถงจึงรอบคอบเก็บร่างของเจ้าเอาไว้ ทะนุถนอมเสียดิบดี”หวางหรูอี้พูดไปเรื่อยเปื่อยราวกับมิคิดสิ่งใด หากแต่แท้แล้วล้วนปูทางไว้ให้สหายของตน

“ข้ามิรู้มาก่อน”เสียงแผ่วตอบไปไม่คาดคิดถึงเหตุผลข้อนั้น

“เช่นนั้นเจ้าก็เร่งตัดสินใจเถิด ข้าคิดว่าหลี่รั่วถงคงไม่อยากบังคับขู่เข็ญเอาคำตอบจากเจ้า เจ้าก็รู้อุปนิสัยคนผู้นั้นอยู่บ้างว่าเอาใจใส่ความรู้สึกเจ้าเพียงใด ข้ายังเคยด่าว่าโง่เขลาเพราะมีรัก ทุ่มเทเสียจนไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาประคับประคองชีวิต”หวางหรูอี้ขบขันกับคำพูดตนเอง แอบเหลือบมองเซียวโม่โฉวที่นำเอาคำพูดของตนไปคิด “หากเจ้าเห็นใจสหายของข้าที่อดทนรอเจ้ามานับพันปีอย่างเพียรพยายาม ก็รีบตัดสินใจเถิด ข้ารู้มันอาจจะยากก็ตริตรองให้ดีเถิด”



“ข้าต้องตัดสินใจหรือ? ”เซียวโม่โฉวพึมพำกับความคิดของตนเอง แม้ยามนี้ความสัมพันธ์ระหว่างตนและหลี่รั่วถงจะราบรื่นในสายตาผู้อื่น หากแต่ภายในใจของเซียวโม่โฉวก็ยังตะขิดตะขวงใจในหลายๆ อย่าง

จริงอยู่ที่หลี่รั่วถงนั้นแสดงออกว่ารักตนมากเพียงใด ท่าทีห่วงใยหากแต่ไม่กระโตกกระตากก็นับว่ามิได้ขาดหรือบกพร่องในความรู้สึก หากแต่บางครายังมีคำถามที่คล้ายรอเติมเต็มคำตอบและยืนยันความรู้สึกที่ตกตะกอนอยู่ในใจ คล้ายปรารถนาสิ่งเหล่านั้นให้ชัดเจนขึ้นมาอีกครา

“หัวใจของหลี่รั่วถงอยู่ในกำมือเจ้า อย่างไรก็ลองไตร่ตรองเอาเถิดว่าควรกระทำเช่นไร”

“ข้า.....”

“โอ้! ข้าเจอสิ่งที่หาแล้ว”หวางหรูอี้มิได้ต้องการฟังคำพูดใดต่อจากนั้น จึ้งพลันร้องเสียงหลงรีบทะยานตัวขึ้นกลางอากาศคว้าไหใบใหญ่ลงมาท่าทีกระฉับกระเฉง ผิดกับก่อนหน้าที่คล้ายดูเมามายเสียจนเดินซวนเซ เมื่อสมดั่งใจในหลายเรื่องที่ต้องการพูดคุยแล้ว หวางหรูอี้จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนาชักชวนเซียวโม่โฉวกลับไปไม่เอ่ยเข้าเรื่องก่อนหน้านี้อีก

ภายหลังจากที่หวางหรูอี้เริ่มบังคับให้คนโน้นคนนี้ชิมรสสุราที่ตนเองหมัก มิใช่เพียงไหสองไหตามประสา หากแต่หอบมาไม่หวาดไม่ไหวจนน่ากลัว เจ้าบ้านต้อนรับเสียดีชวนมอมเมาตั้งแต่เช้ายันค่ำ พูดไม่ขาดปากว่า ‘ไม่เมามายไม่เลิกรา’ ดูท่าจะสุขเสียจนล้นเผื่อแผ่ไปอีกร้อนปีข้างหน้าก็ว่าได้


เซียวโม่โฉวนับว่าคอแข็งอยู่ไม่น้อย ที่ตอบรับดวนสุรากับหวางหรูอี้ไปถึงห้าจอก แต่ไม่ทันจะกระดกจอกที่ห้า ก็ถูกห้ามปรามจากหลี่รั่วถงจนได้ ตาเขียวค่อนคว่ำเส้นตรงขมับเต้นตุบลุกพรวดไม่กล่าวลาอันใด ดูจะมิพึงใจสหายที่ริอาจมอมเมาซึ่งๆ หน้าตนเช่นนี้ แต่หวางหรูอี้ก็มิได้ใส่ใจนึกขบขันเสียมากกว่ากับท่าทีหงุดหงิดงุ่นง่านเช่นนั้น ราวกับมิใช่หลี่รั่วถงที่นิ่งสงบ สยบความเคลื่อนไหวอีกต่อไป

หลี่รั่วถงเมื่อลุกแล้วก็พลันยื่นมือเข้าไปดึงเซียวโม่โฉวให้ลุกกลับ อีกฝ่ายผงกหัวล่ำลาใบหน้าแดงก่ำก็สู้อุตส่าห์ไม่ลืมหอบเอาของขวัญที่หวางหรูอี้มอบให้เต็มหอบ ครั้นได้แอบชิมรสไปบ้างก็นับว่ามิรู้ลืมจึงไม่คิดจะทิ้งไว้ให้เสียของได้

เช่นไรบุรุษย่อมคู่กับสุรา



ยามนี้พิภพแห่งหยินราวกับฤดูกาลผันเปลี่ยนไปตามจิตใจผู้ปกครอง เผลอพริบตาเดียวเกล็ดหิมะและปุยขาวของความหนาวเหน็บก็อันตรธานหายไปราวกับใช้เวทมนตร์ หากสังเกตกิ่งไม่แห้งที่เคยถูกแช่แข็งด้วยเกล็ดน้ำแข็ง บัดนี้ได้ละลายหายไปแล้ว หน่อแห่งชีวิตจึงได้บังเกิด แตกใบและกิ่งก้านสาขามองดูแปลกตากับยอดไม้ที่ผลิใบราวกับมีชีวิต

ความงอกงามของพลังชีวิตที่อบอวลอยู่โดยรอบ ทำให้เซียวโม่โฉวอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองความอัศจรรย์นี้ จึงทำให้ฝีเท้าที่ก้าวช้าของเซียวโม่โฉวทิ้งระยะห่างจากผู้ที่เดินน้ำเบื้องหน้าอยู่มาก กระทั่งหลี่รั่วถงรับรู้ว่าเสียงเดินตามนั่นราวห่างไกลก็พลันหยุดชะงักหมุนกายสูงใหญ่หันไปมอง แม้ใบหน้าจะมิได้แสดงท่าทีอันใดแต่การย้อนกลับมาและคว้ามือของบุรุษหนุ่มขึ้นมากุมแล้วเดินไปด้วยกันนั้นก็พลันทำเซียวโม่โฉวใจเต้นระรัวไม่น้อย มองดูมือหนาที่กุมมือตนไว้ไม่วางตา

“ข้าเดินชักช้าเห็นทีว่าท่านคงไม่พอใจ สีหน้าของท่านจึงบูดบึ้งเช่นนั้นได้”

“ต่อให้เจ้าหยุดที่จะเดินข้าก็มิได้โกรธเคือง เพียงแต่วันนี้หวางหรูอี้ทำเรื่องไว้เสียมากมายจนข้านึกขุ่นใจอยู่ไม่น้อย ข้าห่วงใยว่าเจ้าจะแพ้ฤทธิ์สุราที่มิได้ธรรมดาเฉกเช่นของมนุษย์ทั่วไป”

เซียวโม่โฉวมิอาจรู้ว่าสีหน้าที่พูดจาเช่นนั้นกำลังทำหน้าอย่างไร แต่ที่รู้แน่คือความอุ่นจากฝ่ามือที่ไต่ขึ้นใบหน้าจนยากจะกล่าวว่ามิได้รู้สึกอันใดก็เห็นทีจะมิได้

แผ่นหลังกว้างที่เดินนำอยู่เบื้องหน้ายอมก้าวช้าอย่างที่มิใช่อุปนิสัย แม้จะเป็นเพียงครึ่งก้าวที่ดูขัดใจก็ยอมรั้งรอ

“คราก่อนท่านถามข้าว่าข้ายินยอมให้ท่านนำดวงจิตของข้ากลับคืนสู่ร่างหรือไม่ ดูเหมือนเวลานี้ข้ามีคำตอบให้แก่ท่านแล้ว”

“เจ้าว่าเช่นไร! ”ดูเหมือนครั้งนี้จะเห็นได้ว่าสีหน้าเคร่งขรึมนั้นรู้จักที่จะตกอกตกใจก็ครานี้
หากแต่เซียวโม่โฉวก็เล่นเล่ห์นักที่แกะมือหลี่รั่วถงให้หลุดออก แสดงสีหน้าจริงจังจนอีกฝ่ายแทบหยุดหายใจ

“คำตอบของข้า.....”ไม่มีสิ่งใดเปล่งออกมาเป็นคำตอบ หากแต่เซียวโม่โฉวกลับยืดตัวแขย่งปลายเท้าใจกล้าจุมพิตเบาๆ ไปที่แก้มของหลี่รั่วถงด้วยรอยยิ้ม “นั่นเป็นคำตอบของข้า ท่านจะแปลความว่าอย่างไรก็สุดแล้วแต่ใจท่านเถิด”

ร่างสูงสง่าที่นิ่งค้างราวกับโดนเวทมนตร์สะกดเสียเองมองบุรุษเบื้องหน้าแววตานิ่งค้าง หากแต่เมื่อได้สติก็พลันรวบร่างของเซียวโม่โฉวเข้ากอดจนไหสุราในอ้อมแขนที่บุรุษหนุ่มประคับประคองไว้เกือบตกลงพื้น

“ขอบใจที่เจ้ายอมทำความปรารถนาของข้าให้เป็นจริง”

“ถึงอย่างไรข้าก็ไม่อยากทำร้ายหัวใจของข้าเองเช่นกัน”ยิ้มชื่นซุกใบหน้าเข้ากับอกกว้างอย่างสุขใจหากแต่นัยน์ตาของเซียวโม่โฉวนั้นราวกับกำลังคิดทำสิ่งก็ไม่มีผู้ใดทราบ

ให้ข้าได้ดูหน่อยเถิดว่าจิตใจของท่านยามถึงที่สุดของความพยายามแท้แล้วเป็นเช่นไร



ทั่วอาณาบริเวณของการทำพิธีถูกกางกั้นด้วยพลังของหลี่รั่วถงมิให้ผู้ใดเหยียบใกล้พิธีการอันสำคัญนี้ หลี่รั่วถงใช้ความเพียรพยายายามอย่างยิ่ง จดจ่อกับการนำดวงจิตของเซียวโม่โฉวกลับสู่ร่างมนุษย์ที่รักษาและถนอมมาเป็นอย่างดี ทั้งนี้รวมระยะเวลาที่หลี่รั่วถงอยู่ในเรือนเพื่อทำพิธีก็นับว่ากินระยะเวลานานถึงสิบชั่วยาม ไม่ออกไปจากเขตแดนที่กางกั้นไว้ รวบรวมปราณเย็นทั้งหมดของร่างกายเข้ารักษาผสานร่างกับดวงจิตด้วยการบริกรรมคาถาที่เป็นเรื่องที่ยากนักจะมีผู้ใดกระทำได้สำเร็จ

ผู้ที่เฝ้ารออยู่ด้านนอกอย่างใจจดใจจ่อกับพิธีสำคัญเช่นนี้นอกจากเหอจี๋และทู่จึแล้วก็ยังมีหวางหรูอี้และติงเจิ้งหวาที่เฝ้าระวังสถานการณ์อยู่ด้านนอกให้ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ถือเป็นเรื่องสำคัญหากเกิดสิ่งมิคาดฝันทำลายพิธีให้ไม่บรรลุอาจจะเกิดเรื่องยุ่งตามมาก็เป็นได้ ป้องกันเสียดีกว่าชะล่าใจแล้วเพลี่ยงพล้ำเป็นดีที่สุด

“ข้าขอให้นายท่านทำสำเร็จด้วยเถิด”เหอจี๋กระวนกระวายด้วยอุปนิสัยเดิม

“หากนายท่านของเจ้าเก่งกาจ เหตุใดจึงมิเชื่อมั่นแล้วรออย่างสงบใจเล่า”ผู้ที่สอดปากพูดขึ้นเป็นทู่จึ

“ข้ามิได้ไม่เชื่อมั่นในตัวนายท่าน หากแต่ข้าเพียงวิงวอนร้องขอเมตตาจากสวรรค์ก็เท่านั้น”

“เจ้ายังจะพึ่งสวรรค์อีกหรือ”หวางหรูอี้กอดอกส่ายหน้าให้กับสิ่งที่เหอจี๋กล่าว อย่างไรความอลหม่านส่วนหนึ่งก็มิใช่เพราะเบื้องบนหรอกหรือ

“อย่างไรหากมีเมตตาสักเล็กน้อยปาฏิหาริย์ก็บังเกิดมิใช่หรือขอรับ”เหอจี๋ตอบกลับหวางหรูอี้ทันควัน

“เอาเถอะ เจ้าจะคิดอย่างไรก็ตามแต่ใจเจ้า”

“เอ๊ะ! นั่นม่านพลังกำลังสลายหาไปแล้วมิใช่หรือ” สายตาว่องไวและนิ้วเล็กชี้ไปยังทิศทางที่จับความรู้สึกได้

“เจ้ากล่าวว่าอย่างไรทู่จึ! ”เหอจี๋หันมองและรับรู้ได้ว่าเป็นไปอย่างที่ทู่จึกล่าว

“เห็นทีว่าพิธีการจะเสร็จสิ้นแล้ว”ติงเจิ้งหวาที่เหาะลงมาคล้ายรับรู้ถึงสัมผัสนั้นได้เช่นกัน จึงเข้ามาสมทบร่วมด้วย

“เช่นนั้นจะรอสิ่งใดอยู่เล่า”หวางหรูอี้เคาะพัดในมือตัดสินใจได้ ก็พลันวิสาสะเดินพรวดพราดเข้าไปด้านใน เห็นหลี่รั่วถงที่นั่งเคียงร่างของเซียวโม่โฉวสีหน้าเคร่งขรึม หากแต่ท่าทีเหนื่อยล้าก็ไม่อาจเดาได้ว่าสำเร็จหรือไม่

“เป็นอย่างไรบ้าง? ”ติงเจิ้งหวาเอ่ยถามขึ้น หากแต่บรรยากาศรอบกายช่างอุดอู้และมืดสลัว ตนจึงดึงเส้นผมสีแดงเพลิงเพียงหนึ่งเส้นเสกให้กลายเป็นวิหคเพลิงตัวจ้อยโผบินไปรอบห้องจุดตะเกียงไฟเสร็จก็พลันสลายหายไป

“ทุกอย่างราบรื่น หากแต่เพียงรอให้เซียวโม่โฉวลืมตาตื่นขึ้นมาเท่านั้น แต่นี่ก็เกินเวลาที่จักต้องตื่นแล้วข้ายังไม่เห็นการขยับ.....”สายตาหวั่นๆ ของหลี่รั่วถงระคนเหนื่อยล้าจ้องมองไปยังใบหน้าซีดขาวที่บัดนี้ยังมิได้ขยับใดๆ ให้เห็นอย่างห่วงใย

นับเป็นคราแรกที่หวางหรูอี้มองเห็นความอ่อนแอของหลี่รั่วถงผ่านแววตากร้าว

“ให้ข้าลองตรวจพลังปราณหน่อยเถิด”เช่นไรหวางหรูอี้ก็มิได้นิ่งนอนใจต่อเรื่องตรงหน้า ครั้นก้าวไปเบื้องหน้าไม่ทันประชิดตัวเซียวโม่โฉว ครู่หนึ่งปลายนิ้วของร่างที่เคยแน่นิ่งกลับขยับขึ้น พานเอาผู้ที่เฝ้ารอต่างมีสีหน้าตาตื่นระคนดีใจ ทู่จึแทบปราดเข้าไปหาก็ถูกเหอจี๋ห้ามไว้เพราะมิใช่เวลาที่ควร

   “เป็นเรื่องดียิ่งนัก”หวางหรูอี้กล่าวขึ้นยิ้มชื่น ดีใจกับความสำเร็จของหลี่รั่วถง

ยามนี้ร่างกายที่ค่อยๆ ขยับไปทีละสัดส่วน จากปลายมือเป็นแขนทั้งสองข้าง กระทั่งเป็นเปลือกตาที่ขยับเปิดออก แม้จะเชื่องช้าหากแต่สร้างความปีติให้กับหลี่รั่วถงเป็นอย่างยิ่ง พลันสองมือแกร่งจึงเข้าโอบกุมมือขาวที่อุ่นขึ้นอย่างใจร้อน ความเหนื่อยที่ผ่านมาราวกับปลิดทิ้งเสียอย่างนั้น ใบหน้าก็แช่มชื่นขึ้นมาจนจุดยิ้มมุมปากนัยน์ตายินดียิ่ง

“ให้ข้าลุกขึ้นหน่อยเถิด”เสียงที่เปล่งออกมายังคงเป็นน้ำเสียงหวานชวนฟังหากแต่แผ่วเบาราวกับต้องปรับร่างกาย หลี่รั่วถงพยุงให้เซียวโม่โฉวนั่ง มือหนาสัมผัสกายอุ่นที่มิได้เย็นเยียบเช่นก่อนเก่าอย่างทะนุถนอมระมัดระวัง

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง.....เหอจี๋นำชามาให้ข้า”

“ขะขอรับ! ”เพียงไม่นานน้ำชาอุ่นๆ ก็มาถึงมือหลี่รั่วถง

“ช่างน่ายินดีเหลือเกิน ในที่สุดทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี”หวางหรูอี้หัวเราะร่วนเปรมใจกับเรื่องที่เกิด ยินดีกับหลี่รั่วถงเฉกเช่นสหายร่วมทุกข์ร่วมสุข

ทว่าความยินดีนั้นกลับชะงักไปทุกผู้ทุกคนราวกับฟองอากาศที่ลอยขึ้นเหนือเวหาแตกออก ทันทีเซียวโม่โฉวกล่าวขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือราวกับหวาดหวั่น

“ทำไม.....ข้าถึงมองไม่เห็นสิ่งใดเลย หรือเพราะไม่มีแสงสว่างจากตะเกียงเช่นนั้นหรือ”
เพล้ง!

ถ้วยชาในมือของหลี่รั่วถงพลันหลุดร่วงจากมือกระทบลงกับพื้นแตกกระจาย ครั้นได้ยินสิ่งที่เซียวโม่โฉวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงใคร่สงสัยในตนเอง ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเบิกตาโพลงตัวแข็งทื่อสีหน้าตระหนกซีดเซียวกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่หลี่รั่วถงที่นิ่งค้างมือไร้เรี่ยวแรงดวงตาดุดันพลันสลดจนสังเกตได้

ข้าทำสิ่งใดลงไป!






ติดตามตอนต่อไป >>>



โดย หลานฮวา


ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น้องมองไม่เห็นจริงๆหรอ หรือเพราะจะพิสูจน์อะไร :hao5:

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4



บทที่ 23
ระยะทางพิสูจน์มา กาลเวลาพิสูจน์ใจ




ความเงียบที่เข้าปกคลุม ได้ตรึงร่างของหลี่รั่วถงและเซียวโม่โฉวไว้ภายในเรือนกว้าง สองบุรุษที่เผชิญหน้ากันแม้อีกฝ่ายจะจ้องมองมายังตนเพียงใดก็แสร้งมองไม่ให้เสียอย่างนั้น มองผ่านราวกับอากาศธาตุที่มิได้มีตัวตน

เป็นความจริงที่หลี่รั่วถงได้นำจิตวิญญาณของเซียวโม่โฉวกลับคืนร่างได้สำเร็จ หากแต่เมื่อบุรุษหนุ่มฟื้นขึ้นมากลับกลายเป็นว่าดวงตามืดบอด แท้แล้วนั่นมิใช่ความผิดพลาดของหลี่รั่วถง สิ่งนั้นเป็นเพียงการแสดงฉากหนึ่งเท่านั้น
 
เซียวโม่โฉวมิได้ดวงตามืดบอด บุรุษหนุ่มเพียงต้องการพิสูจน์เรื่องบางอย่างที่คลางแคลงใจในความรู้สึกของหลี่รั่วถงก็เท่านั้น เพราะหากไม่ใช้โอกาสนี้และวิธีนี้เซียวโม่โฉวก็คงจะทำลายความรู้สึกคั่งค้างในใจที่ว่า แท้แล้วหากตนไม่ได้สมประกอบหรือเป็นไปตามที่อีกฝ่ายคาดคิด หลี่รั่วถงจะยังคงมั่นคงในรักเช่นเดิมหรือไม่

ข้าไม่ตะขิดตะขวงใจในความรักความรู้สึกที่ข้ามอบให้แก่ท่านไม่ว่าชาติภพใด หากแต่ข้าอยากพิสูจน์จิตใจของท่านอีกสักคราว่าจะหนักแน่นเพียงใดก็เท่านั้น

   “เจ้ามองไม่เห็นข้าเลยหรือ”

“.....”คนฟังส่ายหน้าเชื่องช้าแม้จะปฏิเสธทว่ากลับมองเห็นชัดเจน สีหน้าของหลี่รั่วถงราวกับพิภพรังนอนของตนพังครืนลงต่อหน้าต่อตา

“เป็นความผิดของข้า”น้ำเสียงที่ลั่นออกมาแทบแหบแห้ง ประกอบกับดวงตาที่เคยกร้าวแกร่งบัดนี้สิ้นแล้วความเข้มแข็งในยามนี้ “ข้าขอโทษที่ต้องทำให้เจ้ากลายเป็นเช่นนี้”

มองเห็นแต่แสร้งไม่เห็นนั้นยากเย็นกว่าที่คิด เพราะหากไม่ซ่อนแววตาวูบไหวต่อบุรุษตรงหน้าเห็นทีแผนจะพังไม่เป็นท่า

“ท่านอย่าได้โทษตนเอง สิ่งเหล่านี้อาจเป็นกรรมที่ข้าเคยติดค้างผู้ใดไว้และต้องชดใช้ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ข้ามองเห็นมาทั้งชีวิต.....ต่อแต่นี้แม้จะมืดบอดก็ช่างปะไร”ท่าทีของเซียวโม่โฉวที่ยิ้มเศร้าทิ่มแทงดวงใจของหลี่รั่วถงอย่างมาก

“ข้าจะหาวิธีรักษาเจ้าให้หายขาดเจ้ามิต้องห่วง”มือหนาเข้ากุมมือที่อุ่นขึ้นของเซียวโม่โฉวบีบเบาๆ คล้ายปลอบประโลมอย่างห่วงใย ใบหน้าที่แบกความทุกข์ผูกคิ้วชนกันครุ่นคิดวิธีการไปต่างๆ นานามิได้ยอมแพ้

“หากมันไม่มีวิธี.....”

“ข้าก็จะเป็นดวงตาของเจ้าไปตราบชั่วชีวิต”ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาหนักแน่นด้วยแววตาขึงขัง มองไปยังใบหน้าที่คล้ายไม่เห็นสิ่งใด

ถึงจะแสร้งตาบอดหากแต่จิตใจของเซียวโม่โฉวก็มิได้แสร้งบอดมืดไปด้วย ในคำพูดเหล่านั้นช่างอบอุ่นและแผ่ซ่านความหมายลึกซึ้งที่ตรึงใจอย่างยิ่ง

“ข้าเกรงว่าจะเป็นภาระให้ท่านเสียมากกว่า การต้องทนอยู่กับคนพิการเช่นข้าท่านจะมีความสุขได้อย่างไร”

น้ำตาเอ่อรื้นของเซียวโม่โฉวมิได้เสแสร้งแกล้งทำ ทว่าเกิดแต่หลี่รั่วถงที่แสดงท่าทีเป็นห่วงตนจากใจเสียมากกว่า

“เจ้าอย่าได้คิดเช่นนี้อีก เพราะข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ตามที ข้าจะไม่มีวันทำเรื่องเช่นนั้น....เจ้าเชื่อใจข้าเถิด”หลี่รั่วถงไม่รู้วิธีการว่าจะทำอย่างไรเซียวโม่โฉวจะเชื่อมั่นตนได้ หากยามนี้เขาทำได้เพียงกอดกายบุรุษตรงหน้ามอบความเชื่อมั่นว่าตนจะไม่ผิดสัญญาเป็นอันขาด

เซียวโม่โฉวรู้ดีว่าตนอาจทำเกินไป แต่เช่นไรการได้เห็นหัวใจของหลี่รั่วถงอย่างแท้จริงก็นับว่าคุ้มค่านัก
ต่อแต่นี้คือโอกาสที่ท่านจะพิสูจน์ให้ข้าได้เห็นแล้ว


หากถามถึงระยะเวลาที่ล่วงเลยบนโลกมนุษย์เห็นทีจะผ่านไปถึง 25 หนาว แม้เวลาบนพิภพจะรวดเร็วกว่าถึง 10 เท่า หากเทียบกับการปฏิบัติตนของหลี่รั่วถงต่อเซียวโม่โฉวนั้นก็สามารถวัดความอดทนให้เห็นได้เช่นกัน ช่างเป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มใจอยู่มากนัก ครั้นหลี่รั่วถงยังคงเสมอต้นเสมอปลายต่อบุรุษผู้เป็นที่รักไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ทุกวันมิได้ขาดที่จะใช้เวลาดูแลและคอยเป็นดวงตาให้แก่เซียวโม่โฉวไม่ผิดไปจากคำสัญญาที่ลั่นวาจาไว้ ทุกวันหลี่รั่วถงจะพาเซียวโม่โฉวไปรับลมเดินเล่นยังสวนท้อที่ชื่นชอบ เดินเคียงไม่ห่างกันแลดูเป็นภาพที่ชินตาไปเสียแล้ว อีกทั้งท่าทีที่ปฏิบัติต่อบุรุษหนุ่มอย่างนุ่มนวลและใส่ใจอยู่เสมอก็มิได้บกพร่องไปแต่อย่างใด

“พอเถิดเหอจี๋ข้าทำเองได้”

“ได้อย่างไรขอรับ เท้าอุ่นยังดีกว่าเย็นเยียบนะขอรับ.....เสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ”เซียวโม่โฉวพ่นพรูลมหายใจออกมาทางปากเบาๆ แอบเหลือบมองเหอจี๋ที่ปรนนิบัติช่วยเหลือตนเช่นนี้ ไม่ยอมเลยที่จะทิ้งช่องโหว่ไปละสายตาไปจากเซียวโม่โฉวเสียบ้าง คนไม่ป่วยแสร้งป่วยก็ถึงกับลำบากใจไม่น้อย ครั้นถูกล้างเท้าให้แม้จะบ่อยครั้ง แต่ก็ยังเกรงใจอยู่ดี

“ที่เหลือข้าจัดการเอง”

“แต่ว่า.....”

“ข้า จัด การ เอง เจ้าอย่าทำให้ข้ารู้สึกเหมือนทำสิ่งใดไม่ได้ไปหมดเสียทุกอย่างจะได้หรือไม่”อดไม่ได้ที่จะตำหนิความเอาใจใส่นั้นเสียบ้าง สักวันตนคงจะได้เป็นง่อยเสียมากกว่าตาบอดเพราะแสร้งทำ
“ก็ได้ขอรับ เช่นนั้นข้าเอาอ่างน้ำไปเก็บนะขอรับ”เหอจี๋หน้าสลด แอบเคาะศีรษะตนเองที่เผลอทำให้เซียวโม่โฉวรู้สึกราวกับมีปมด้อย เป็นภาพที่หาดูได้หากมิใช่ยามนี้ เซียวโม่โฉวอยากจะหัวเราะขบขันทว่าหากทำเช่นนั้นอาจถูกสงสัยเป็นแน่

คนหน้าหงิกยอมล่าถอยออกไป ก่อนมอบผ้าสะอาดส่งถึงมือให้แก่เซียวโม่โฉว บุรุษหนุ่มจึงก้มลงซับเท้าตนเองที่รู้สึกผ่อนคลายขึ้น ทำท่าคว้าคลำถุงเท้ารองเท้าที่ถูกตระเตรียมไว้ให้ราวกับมองไม่เห็น เพราะเช่นไรยามนี้ก็ยังอยู่ในสายตาของเหอจี๋ที่ยืนมองอย่างเป็นห่วง ทั้งที่ปากบอกจะออกไปแล้ว
ขอโทษเจ้าด้วยเหอจี๋ที่ต้องพลอยมาเดือดร้อนเพราะข้าไปด้วย

ยามนี้หากปกติมิได้แสร้งตาบอดกับแค่ถุงเท้าและรองเท้าคงสวมใส่ได้ในอึดใจเดียว หากแต่ต้องระมัดระวังหลับหูหลับตาใส่ยิ่งยากกว่าเก่า ทว่าระหว่างนั้นเซียวโม่โฉวเห็นแล้วว่าผู้ใดที่เดินสวนทางกับเหอจี๋เข้ามา แต่ต้องแสร้งไม่รับรู้และมองไม่เห็นด้วยกลัวว่าความลับจะเปิดเผย

หากแต่การมาที่มิได้ส่งเสียงบอกกล่าวให้รู้ มาราวกับไม่มีตัวตนก็นึกทำให้เซียวโม่โฉวสงสัยไม่น้อย แต่ต้องเก็บใบหน้าใคร่รู้ไว้ให้มิดชิด แสร้งว่าไม่เห็นเก็บซ่อนแววตาจนน่าขัน

“ผู้ใดกัน? ”แม้รู้แต่ต้องแสร้งถาม เมื่อหลี่รั่วถงย่อกายลงตรงหน้าคว้าจับรองเท้าเข้าสวมใส่ให้ ท่าทีชะงักค้างอย่างตระหนกและเผลอเหลือบมองตาตื่นเกือบทำให้หลี่รั่วถงสงสัยเข้าแล้ว หากแต่พลันหลบสายตาได้ทันท่วงที

“เป็นข้า มาเถิดข้าจะช่วยเจ้า”เซียวโม่โฉวยอมปล่อยมือจากรองเท้ามิได้ยื้อ แอบก้มลงมองหลี่รั่วถงตรงหน้าที่กำลังคุกเข่าลงประคองเท้าของตนขึ้นแล้วบรรจงสวมใส่ให้อย่างมิได้รังเกียจ

“เรียบร้อยแล้ว”ทันทีที่หลี่รั่วถงหยัดกายยืนขึ้น เซียวโม่โฉวที่เผลอมองเพลินแทบหันหน้าพาสายตาซ่อนไม่ทัน “ข้ามารับเจ้าไปเดินเล่น ไปกันเถิด”แม้ตนจะบอกว่ามองไม่เห็น ทว่าหลี่รั่วถงก็กลับแย้มยิ้มออกมาเสียบ่อยครั้งที่เจอหน้ากัน

ใบหน้าข้าประหลาดเข้าทุกวันเช่นนั้นหรือถึงได้มองแล้วยิ้มเช่นนั้นทุกครา

“วันนี้ท่านมีหน้าที่มากมาย เหตุใดจึงต้องปลีกเวลามาเพื่อข้าทุกวันด้วยเล่า เว้นว่างให้เหอจี๋พาข้าออกไปก็ย่อมทำได้”

“ข้าจะวางใจให้เจ้าไปโดยไม่มีข้าอยู่ด้วยได้อย่างไร”คนตรงหน้าประคองเซียวโม่โฉวให้ยืนขึ้น สองแขนตรงหน้าที่ประคองเต็มเปี่ยมไปด้วยความใส่ใจ “รอข้าประเดี๋ยว ข้างนอกลมหนาวข้าจะไปหยิบผ้าคลุมไหล่มาให้”

“มันวางอยู่....”เกือบลืมไปเสียว่าตนเองแสร้งตาบอด จนเผลอพลั้งปากบอกกล่าวไปเสียแล้ว
“เจ้าจะกล่าวสิ่งใด? ”

“ปะเปล่า ข้าเพียงจะบอกท่านว่ามันวางอยู่ที่ใดข้าไม่รู้”

“มิต้องห่วงข้าเจอแล้ว”ผู้ที่คุ้นชินข้าวของที่วางอยู่ในเรือนเสี้ยวจันทราเดินเข้าไปด้านหลังม่านกั้นพร้อมกับคว้าผ้าคลุมติดมือมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเข้าสวมทับให้ ผูกเชือกรั้งไว้กระทั่งดูความเรียบร้อยและไม่ลืมกระทั่งยื่นแขนและจับมือของบุรุษหนุ่มให้วางไว้ที่ท่อนแขนของตน พลันหยักยิ้มส่งสายตามองด้วยแววตาอ่อนโยนยิ่งนัก

เส้นทางที่ไปแม้จะเป็นเส้นทางเดิม ทว่าหลี่รั่วถงก็ไม่เคยลืมที่จะบอกเล่าบรรยากาศเหล่านั้นให้เซียวโม่โฉวฟังแม้แต่ครั้งเดียว กระทั่งนกน้อยที่บันดาลขึ้นที่โผบินไปในท้องฟ้า หลี่รั่วถงก็มิเคยกล่าวว่ามันเกิดแต่ฝีมือของเขา แม้อีกฝ่ายจะมองไม่เห็น แต่การใส่ใจและรับรู้ว่าเสียงเท่านั้นที่เป็นดั่งโลกทั้งใบของเซียวโม่โฉว

“ประหลาดนัก เสียงนกน้อยขับขานราวกับประสานเสียง ไพเราะยิ่งนัก”

“เจ้าชอบหรือไม่”

“ข้าชอบ แต่วันนี้เหมือนข้าจะได้กลิ่นผิดแปลกไป”เซียวโม่โฉวขมวดคิ้วถาม แม้สายตาจะมองเห็นแล้วว่าหลี่รั่วถงพาตนมายังที่ใด สวนบุปผาพันปีที่เคยได้มาเยือนยังคงงดงามไม่เปลี่ยนแปลง

“ข้าพาเจ้ามายังสวนบุปผาพันปี กลิ่นหอมที่เจ้าได้กลิ่นมาจากเหล่าดอกไม้พวกนั้น”

“ข้าได้กลิ่นหอมแล้วผ่อนคลายยิ่งนัก คงจะดีหากได้มองเห็น”เซียวโม่โฉวกล่าวขึ้น หลี่รั่วถงชะงักพลางหมุนกายเข้าหาเซียวโม่โฉวยกสองมือเข้ากุมไหล่ทั้งสองข้างแววตาเปลี่ยนไป คล้ายเศร้าสร้อยถึงสิ่งที่บุรุษหนุ่มกล่าวขึ้น

ยามนี้การที่หลี่รั่วถงมองเซียวโม่โฉวก็ไม่ต่างจากเข็มพิษที่ตำใจเขาไปทุกวัน

“ข้ายังไม่เคยลืมว่าข้าสัญญาต่อเจ้าเรื่องใดไว้ เจ้ารอข้าอีกหน่อยได้หรือไม่ข้าสัญญาว่าเจ้าจะกลับมามองเห็นอีกครั้ง และตอนนี้ข้าก็พอจะมีวิธีแล้ว ขอเพียงเจ้าอดทนรออีกหน่อยเท่านั้น”

“วิธี? ท่านจะทำอย่างไรหรือ”เซียวโม่โฉวแสดงสีหน้าตื่นตกใจ แท้จริงก็สงสัยว่าหลี่รั่วถงต้องการจะทำเช่นไรต่อไปกันแน่

“ไว้ข้ามั่นใจว่ามันได้ผลอย่างแน่นอนข้าจะบอกเจ้า หากแต่ตอนนี้ให้ข้าได้เป็นดวงตาของเจ้าได้หรือไม่”

“แต่ว่า.....หากข้าไม่สามารถมองเห็นได้ตลอดไป ท่านจะรังเกียจข้าหรือไม่”

“เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนั้น ข้าไม่มีทางที่จะทอดทิ้งเจ้าอย่างแน่นอน ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเจ้าเสมือนดวงใจของข้า ยามขาดเจ้าข้าก็คงสิ้นใจ ต่อให้เจ้าหน้าตาอัปลักษณ์หรือเป็นใบ้หูไม่ได้ยิน ข้าก็ยังรักอยู่เช่นนี้มิเปลี่ยนแปลง”

“ข้าเชื่อใจท่านได้ใช่หรือไม่”

“ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าจะต้องกลัว”มือขาวถูกยกขึ้นทาบแผงอกกว้างอีกทั้งกุมแน่นให้รับสัมผัสที่มั่นคงไม่โลเล จึงพลันทำให้เซียวโม่โฉวยิ้มออก เอื้อมมือไปเบื้องหน้าสัมผัสใบหน้าที่ยามนี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม

“ลำบากท่านแล้ว”รอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าที่มีความสุขของเซียวโม่โฉวก็พลันทำให้หัวใจของจ้าวพิภพแห่งหยินชุ่มชื่นไปด้วย

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่มีวันใดที่หลี่รั่วถงไม่พยายามค้นหาวิธีที่จะทำให้เซียวโม่โฉวกลับมามองเห็น กระทั่งไปยังหุบเขาเจ็บชั้นที่มีสัตว์เทวะดูแลอยู่ก็ไปเยือนมาแล้ว เพื่อให้ได้สมุนไพรที่กล่าวว่าสามารถรักษาให้หายได้ ทว่ากินไปอย่างไรก็ไม่มีผล หรือแม้แต่ยอมคุกเข่าที่มิเคยงอลงกับพื้นให้ผู้ใดก็ยินยอมเพื่อที่จะได้สิ่งที่รักษาเซียวโม่โฉวได้

นับว่าหลี่รั่วถงยอมทำทุกวิถีทางอย่างไม่ย่อท้อตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ข้อนั่นเซียวโม่โฉวรู้ดีแก่ใจและเห็นทุกอย่างด้วยตาที่มิได้มืดบอด



   หลังจากลับมาจากด้านนอก เซียวโม่โฉวมักจะเห็นหลี่รั่วถงยืนพูดคุยกับเหอจี๋ราวกับกำชับเรื่องบางอย่างเสียทุกวี่ทุกวันก่อนกลับ และไม่ลืมที่จะมากล่าวลาพร้อมจุมพิตตรงหน้าฝากไม่ก็แก้มขาวเสียทุกวันราวกับเป็นกิจวัตร เช่นไรความเก้อเขินก็มิได้ลดน้อยลงไป ความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมิได้อันตรธานหายไปในอากาศทว่ากลับซึมซาบเข้าสู่ก้นบึ้งหัวใจของบุรุษหนุ่มทีละน้อย

   “น้ำชาขอรับ”

“ขอบใจเจ้ามาก แล้วทู่จึไปไหนเสียเล่าเหตุใดข้าจึงมิได้ยินเสียง”

“ข้าสั่งให้ไปเก็บโสมขอรับ”

“แล้วยอมหรือ? ”

“ขอรับ”

“ได้อย่างไรกัน ทุกทีก็บ่ายเบี่ยงขี้เกียจจะให้เจ้าใช้งาน ร้อยวันพันปีก็มิเคยว่าง่ายเช่นนั้น”

“จะมิให้ว่าง่ายได้อย่างไรขอรับ สิ่งนั้นนำมาก็เพื่อต้มเป็นยาให้ท่าน จะกล้าบ่ายเบี่ยงได้อย่างไร”

“ข้าทำให้ใครต่อใครลำบากหรือ? ”

“อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลยขอรับ ทุกอย่างล้วนทำด้วยความเต็มใจหามีผู้ใดบังคับ”

“ขอบใจพวกเจ้ามาก”คนฟังยิ้มชื่นอย่างอิ่มเอมใจ “พวกเจ้าดีต่อข้ามิใช่เฉกเช่นสหาย หากแต่พวกเจ้าราวกับเป็นครอบครัวใหม่ของข้า ที่ปฏิบัติต่อข้าอย่างจริงใจ ข้าซาบซึ้งใจในน้ำใจของพวกเจ้ายิ่งนัก”

“มิใช่เรื่องใหญ่โต พวกข้าทำเพราะรักท่านนะขอรับ”เหอจี๋แอบปาดน้ำตานอง เข้าใจว่าเซียวโม่โฉวนั้นมองไม่เห็น



   ยามบ่ายคล้อยความเงียบสงัดคล้ายดังทุกอย่างหยุดนิ่ง เซียวโม่โฉวนั่งสงบอยู่บนโขดหิน เบื้องหน้าเป็นบ่อมัจฉาน่าอัศจรรย์ที่สามารถขึ้นมาแหวกว่ายในอากาศได้ หากแต่ก็มิได้ว่ายไปไกลจากวารีที่อาศัย บุรุษหนุ่มนั่งมองดูอิสระที่อยู่ในขอบเขตของสัตว์เหล่านี้เสียเพลิน พลันจะให้เก็บตัวอยู่แต่ในเรือนก็เบื่อหน่ายเสียแล้ว จึงมีบ้างบางคราที่แอบย่องออกมาและกลับไปเงียบๆ ลำพัง

หากแต่ยามนี้เป็นเวลาที่เหมาะควรจะกลับเข้าเรือนเสี้ยวจันทรา ยามมาก็มิได้บอกกล่าวผู้ใด แม้บ่อมัจฉามิได้อยู่ไกลจากเรือนแต่การย่องหายไปก็ทำให้เหอจี๋ที่มองหาตระหนกตกใจไม่น้อย ถึงกับตาลีตาเหลือกวิ่งหาจนวุ่น ส่งเสียงร้องเรียกเอ็ดตะโรไปทั่วจนผู้ที่แอบออกมาสะดุ้งไหวครั้นลืมเวลากลับไปเสียสนิท

“ท่านเซียวโม่โฉว ท่านอยู่ไหนขอรับ! ”

“ข้าอยู่นี่! ”บุรุษหนุ่มขานรับ เวลานี้เขาคงต้องเตรียมคำแก้ตัวไว้ให้ดีเชียว เพราะทั้งทู่จึและเหอจี๋ต่างก็วิ่งลนลานมาหา

“เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง พวกข้าตามหากันให้ทั่ว”ทู่จึกล่าวขึ้นพลางทิ้งตัวแผ่หลาลงบนพื้นหอบหายใจถี่ จะกล่าวว่าเจ้าปีศาจกระต่ายนั้นโตวันโตคืนก็ว่าได้ ร่างกายจึงได้สูงขึ้นหากเทียบกับหลายคืนก่อนหน้า
“ท่านออกมาได้อย่างไรขอรับ มาโดยที่ไม่มีข้า”

“ขะข้า ข้าจำทางได้น่ะ เลยลองเดินมาเรื่อยๆ ไม่ใช่เรื่องยากเสียหน่อย ความมืดทำให้ข้าคุ้นชินเสียแล้ว เพียงแค่ใช้จินตนาการข้าก็มาเองได้”คนโป้ปดแอบกำมือแน่นรวบรวมสมาธิแก้ไขสถานการณ์คว้าจับกิ่งไม่ยาวใกล้ๆ ให้เหอจี๋ทึกทักเอาว่าเป็นไม้นำทาง

“หากเกิดอันตรายข้าต้องตายแน่ๆ คราวหลังท่านอย่าออกมาโดยที่ไม่ได้บอกข้าอีกนะขอรับ ถือว่าข้าขอร้อง”

“ข้าจะจำใส่ใจ”

“แล้วอีกอย่างข้ามีข่าวมาบอกท่านขอรับ รีบกลับไปเรือนดีกว่าประเดี๋ยวนายท่านจักมาบอกข่าวแก่ท่าน”

“ข่าวดี? เรื่องใด? ”สีหน้าดีใจออกนอกหน้าครั้นเซียวโม่โฉวมองเห็นก็อดสงสัยไม่ได้

“ประเดี๋ยวก็ทราบขอรับ”

ถามเท่าไหร่เหอจี๋ก็ไม่ยอมเล็ดลอดคำตอบออกมา บอกเพียงให้รอฟังด้วยตนเอง บุรุษหนุ่มจึงอดสงสัยไม่ได้ เมื่อมาถึงเรือนก็ประจวบเหมาะกับที่หลี่รั่วถงมาถึง เหอจี๋ส่งหน้าที่ประคับประคองเซียวโม่โฉวให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่มาด้วยเรื่องสำคัญ กายสูงนำพาเซียวโม่โฉวไปนั่งที่เก้าอี้ ส่วนตนเองมิได้นั่งลงด้วยหากแต่ยืนอยู่ตรงหน้าอยู่ครู่ใหญ่ ใช้สายตาคมกวาดมองบุรุษตรงหน้าถี่ถ้วน สำรวจทุกรายละเอียดบนร่างกาย แม้กระทั่งแววตา ใบหน้า และริมฝีปาก

“ท่านยังอยู่หรือไม่”เซียวโม่โฉวแสร้งทักขึ้น ทั้งที่แท้จริงกำลังประหม่ากับแววตาที่จ้องมองตนอย่างล้ำลึกเสียมากกว่า
 
“ข้าอยู่ตรงหน้าเจ้า”หลี่รั่วถงมิได้มองหาเก้าอี้ หากแต่ย่อกายลงตรงหน้าเซียวโม่โฉว จับมืออุ่นขึ้นแล้วให้สัมผัสกับใบหน้าของตนเอง ราวกับยืนยันว่าตนมิได้หายไปไหน

   อีกทั้งยังบรรจงจูบฝ่ามือของเซียวโม่โฉวอย่างทะนุถนอม ลมหายใจอุ่นรินรดให้สัมผัสที่ชวนให้ดวงใจสั่นระรัวได้ดียิ่งนัก

“ทะท่านมีสิ่งใดจะกล่าวกับข้าเช่นนั้นหรือ”คนเขินอายพลันเอ่ยขึ้น หลี่รั่วถงมองราวกับอยากเข้าไปดึงมากอดให้จมร่าง หากแต่ยังมีเรื่องสำคัญที่เขาจะต้องบอกข่าวแก่เซียวโม่โฉวเสียก่อน
 
“ข้ารู้วิธีที่จะรักษาดวงตาของเจ้าให้หายสนิทแล้ว”มือแข็งแรงกุมบีบเบาๆ เอ่ยด้วยใบหน้ายินดี

“.....”

“เจ้าไม่ดีใจหรือ? ”สีหน้าสงสัยที่เห็นเซียวโม่โฉวไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

“ดีใจ.....ข้าต้องดีใจสิ เหตุใดจะไม่ดีใจเล่าท่านถามข้าประหลาดเสียจริง เพียงแต่ข้าตกใจก็เท่านั้น หากแต่วิธีใดที่ท่านคิดว่าจะรักษาข้าให้หาย”แม้เป็นเรื่องน่ายินดีหากแต่ยามนี้เซียวโม่โฉวกลับแสดงสีหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้หลี่รั่วถงเห็นว่าตนดีใจอย่างมาก

“ข้าเพียงต้องรักษาดวงตาของเจ้าโดยการเปลี่ยนเสียใหม่ ฟังแล้วเจ้าคงจะหวาดกลัว หากแต่เชื่อมือข้าเถิดว่าเจ้าจะปลอดภัยและไม่เป็นอะไร” ได้ฟังดังนั้นเซียวโม่โฉวถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่

“ปะเปลี่ยนดวงตาเชียวหรือ? เอาสิ่งใดมาเปลี่ยนเล่า? ”วิธีที่ฟังคล้ายน่ากลัวและเป็นไปมิได้

“ข้าเพียง.....”ใบหน้าของหลี่รั่วถงแม้จะเปี่ยมไปด้วยความยินดีทว่ากลับซ่อนเร้นบางอย่างไว้ภายในราวกับมีความลับที่ไม่เปิดเผย “ข้าเพียงต้องหาสิ่งที่คล้ายคลึงกันเพื่อมาทดแทน ข้ารู้ว่าข้าต้องหามาจากที่ใด เจ้าอย่าได้กังวล”

“เมื่อไหร่ที่ท่านจะรักษาข้า? ”

“ข้าอยากให้เร็วที่สุด แต่คงมิใช่วันนี้ประเดี๋ยวนี้ ข้ายังอยากกุมมือเจ้า เดินเคียงข้างเจ้าและพาเจ้าเดินเล่นสักเล็กน้อย รู้หรือไม่ยามเจ้าต้องพึ่งพาข้ามันทำให้ข้ามีความสุขราวกับข้าเป็นโลกทั้งใบของเจ้า”

“ท่านชอบที่ข้าตาบอดหรืออย่างไร”

“มันเป็นเรื่องลำบากต่อเจ้า ข้าจะเอาแต่ใจได้อย่างไรว่าข้าชื่นชอบเช่นนั้น”คนกล่าวหัวเราะน้อยๆ ให้รู้ว่านั่นเป็นเพียงคำพูดหยอกล้อ ทว่าเซียวโม่โฉวกลับเห็นแววตาว่าหลี่รั่วถงใส่ความจริงลงไปหลายส่วนในถ้อยคำนั้น

แต่ถึงอย่างไรเซียวโม่โฉว ก็อดสงสัยไม่ได้ถึงวิธีการที่หลี่รั่วถงจะรักษาตน ท่าทีมั่นอกมั่นใจเช่นนั้นแลดูมีลับลมคมในนัก




ติดตามตอนต่อไป >>>


ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ :impress:

โดย หลานฮวา


ออฟไลน์ Dark_Sky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คงไม่ได้คิดที่จะเปลี่ยนดวงตากันใช่ม้ายยยยยยยย :katai1: :katai1:
โม่โฉวรีบบอกความจริงได้แล้วววว

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4
บทที่ 24
ความจริงกระจ่าง




“วันนี้ข้าเลือกเสื้อผ้าให้ท่านเป็นสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสีฟ้าอ่อนนะขอรับ อาภรณ์ที่สดใสย่อมจะทำให้ท่านดูงดงามและสง่านัก”

“ถึงเจ้าจะหลอกให้ข้าใส่เสื้อผ้าสกปรกมีรูขาดอีกทั้งสีดำเปรอะเปื้อน แล้วกล่าวว่างดงามข้าก็เชื่อ”คนกล่าวยิ้มพูดหยอกล้อ

“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ”

“ข้าเพียงล้อเจ้าเล่น ว่าแต่ทู่จึไปไหนเสียแล้ว เมื่อครู่ข้ายังได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วอยู่เลย”

“เจ้าปีศาจนั่นบอกว่าจะออกไปเดินเล่นขอรับ”

“คงอึดอัดที่ต้องอยู่แต่ในเรือน”

“คงจะเป็นเช่นนั้นขอรับ อีกไม่นานแล้วที่ท่านจะกลับมามองเห็นท่านดีใจหรือไม่ขอรับ”เซียวโม่โฉวนิ่งไปเพียงครู่ ราวกับกลืนอากาศลงท้องไปจนจุกแน่น ถึงเช่นนั้นก็ตอบออกไปแม้น้ำเสียงจะตะกุกตะกักเล็กน้อยอย่างประหม่า

“กะก็ ก็ต้องดีใจสิ ข้าจะได้มองเห็นพวกเจ้าได้ถนัดตาอีกครั้ง”

“แล้วนายท่านล่ะขอรับ? ”คนถามเลิกคิ้วรอฟังคำตอบสีหน้าอมยิ้ม

“ข้า.....”

“ไม่ต้องอายหรอกขอรับ นายท่านของข้าเช่นไรก็ยังคงสง่าผ่าเผยไม่มีเปลี่ยน หากท่านได้เห็นท่าทีที่อ่อนโยนขึ้น สีหน้าที่เผยยิ้มมากกว่าสีหน้าเคร่งขรึม ท่านต้องประหลาดใจแน่ขอรับ ขนาดข้าแอบเหลือบตามองอย่างหลบๆ ก็ยังเผลออ้าปากค้างเลยเชียว”ผู้ยกยอกล่าวด้วยแววตาชื่มชมดูเป็นประกาย

“ข้าเห็น.....”

“เอ๊ะ? ท่านว่าอย่างไรนะขอรับ”

เซียวโม่โฉวที่ฟังเหอจี๋กล่าวมาเสียยืดยาวกลับเห็นด้วยอย่างมิได้โต้แย้ง หากแต่ก็ไม่ควรกล่าวว่าเห็นออกไป

“ข้าพูดว่าข้าหิว....หิวน้ำน่ะ”

“ขะขออภัยด้วยขอรับ ตั้งแต่ท่านอาบน้ำเสร็จก็มิได้ดื่มสิ่งใดเลย ข้าละเลยโปรดอภัย”

“ไม่เป็นไร ข้าแค่กระหายเล็กน้อยเท่านั้นจริงๆ ”คนแสร้งมองไม่เห็นยื่นมือคลำทางเดินไปเพื่อจะหาที่นั่ง เหอจี๋เข้าช่วยประคอง

“เดี๋ยวข้าจะไปนำชาร้อนๆ มาให้นะขอรับ รอข้าประเดี๋ยว”ครั้นเห็นเหอจี๋ลนลานเดินออกไปหน้าตาตื่น ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ เซียวโม่โฉวลอบถอนหายใจมองอาภรณ์ที่ถูกเลือกสรรให้ยิ้มบาง ทั้งยกมือข้างหนึ่งลูบไปตามเนื้อผ้า ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงความละเอียดของเส้นใยที่ถักทอ เหมาะสมนักที่จะสวมใส่เพื่อเรื่องสำคัญในวันนี้

ถึงเวลาแล้วสินะที่ข้าจะต้องบอกความจริงเรื่องดวงตาของข้าต่อหลี่รั่วถงเสียที ข้าทำคนผู้นั้นลำบากมามากพอแล้ว และข้าได้เห็นถึงความดีงามของจิตใจหลี่รั่วถงจนมั่นใจแล้วว่า ต่อแต่นี้ข้าจะไม่แปรเปลี่ยนเป็นอื่น แม้กายจะสลายเป็นผุยผงอีกคราก็จะไม่ขอปันใจเพื่อผู้ใดได้อีก

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่มีครั้งไหนที่เซียวโม่โฉวผิดหวังในตัวของหลี่รั่วถง ยอมรับและทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาตนมาตลอด ไม่ได้รังเกียจบุรุษพิการเช่นเขา หากแต่กลับปฏิบัติดูแลอย่างใส่ใจไม่ละเลย อีกทั้งท่าทีต่อหน้าก็หาได้แสดงความรังเกียจ หรือท้อถอยที่จะจับมือคู่ที่อ่อนแอสักครั้ง

“วันนี้นายท่านมีแขกเป็นท่านหวางหรูอี้ ดูท่าคงจะมาตระเตรียมช่วยเหลือในการรักษาท่าน ครั้งนี้นายท่านออกปากขอช่วยจ้าวพิภพแห่งหยาง ดูท่าคงจะต้องถูกทวงบุญคุณภายหลังเป็นแน่”

“เจ้าก็พูดจาน่ากลัวนัก ท่านหวางหรูอี้ก็มิใช่ผู้ที่เลวร้าย ไยเจ้าตั้งแง่เช่นนั้นไปได้”

“ผู้ใดจะล่วงรู้ล่ะขอรับก็ท่านหวางหรูอี้เจ้าเล่ห์เพทุบายนัก ข้าก็กลัวไปล่วงหน้าเสียก่อนเตรียมใจเอาไว้”

“เจ้าชอบกังวลไม่เป็นเรื่อง”เซียวโม่โฉวส่ายหน้ารับน้ำชาจากมือของเหอจี๋เข้าจิบ

และขณะที่เซียวโม่โฉวและเหอจี๋พูดคุยกันอยู่ภายในเรือน เจ้าของฝีเท้าเร็วรี่ก็วิ่งเปิดประตูเข้ามาโครมครามใบหน้าตระหนกตกตื่นเสียอย่างนั้น อีกทั้งการหอบเหนื่อยยังทำให้พูดจากฟังไม่รู้เรื่องเสียอย่างนั้น

ดูท่าข้าจะต้องรอให้หลี่รั่วถงส่งหวางหรูอี้กลับเสียก่อน เช่นไรก็ดีข้าจะได้มีเวลาเตรียมใจมิรู้ว่าจะได้รับผลเช่นไรต่อแต่นี้ ถึงจะโกรธเคืองข้าก็จะยอมก้มหน้ารับผลการกระทำของข้าไม่หนีหน่ายบ่ายเบี่ยง

ท่ามกลางบรรยากาศภายในเรือนเสี้ยวจันทราแลดูสงบนัก ทว่าจู่ๆ บ้านประตูเรือนก็เปิดโครมเข้ามาอย่างไม่ออมกำลัง ผู้ที่หน้าตาตื่นกระหืดกระหอบเข้ามานั้นราวกับมีเรื่องใหญ่โตเป็นเหอจี๋

ผาง!

“เมื่อครู่หลี่รั่วถง...กับจ้าวพิภพแห่งหยาง มะเมื่อกี้ คะคือว่า! ”

“พูดอันใดไม่รู้ความ ข้าจะฟังเจ้าออกได้อย่างไรเล่า ค่อยๆ พูด”สีหน้าเคร่งครัดเหลือบหันไปมองทู่จึที่พรวดพราดเข้ามาอย่างเสียมารยาท

“เกิดอะไรขึ้น เจ้าถึงกระวนกระวายเช่นนั้นทู่จึ”

ใบหน้าซีดเหงื่อแตกพลั่กลูบหน้าราวกับรวบรวมสมาธิครั้งยิ่งใหญ่ ก่อนจะเดินรี่เข้าไปคว้าน้ำชาในถ้วยที่เหอจี๋รินไว้ให้เซียวโม่โฉวกระดกเข้าปากลงคออึกใหญ่จึงได้ขยับปากพูดออกมา

“เมื่อครู่ข้าไปเดินเล่น ระหว่างทางข้าแค่อยากแวะเวียนไปที่เรือนหลักว่าตระเตรียมการอะไรเพื่อรักษาเจ้าบ้าง แต่ข้าบังเอิญเจอกับหลี่รั่วถงและหวางหรูอี้ที่เดินพูดคุยกันมา ถกเถียงเรื่องบางอย่างดูเคร่งขรึมนัก ข้าก็เลยซ่อนตัว”คนพูดลิ้นแทบพันพักหายใจก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าเลยได้ยินเต็มสองหูในเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันทั้งหมด! ”

“แล้วเจ้าได้ยินอะไรถึงได้ตกใจเช่นนี้เล่า”เซียวโม่โฉวเอ่ยถามคิ้วได้รูปขมวดมุ่นอย่างสงสัยในท่าทีตระหนกจนดูวุ่นวายของทู่จึ อีกทั้งหน้าซีดเหงื่อตกคงมิใช่เรื่องเล็ก

“ข้าได้ยินว่า.....หลี่รั่วถงจะใช้ดวงตาของตนเองเพื่อรักษาเจ้า”

!!!

“เจ้าว่าอย่างไร! ”

“ข้าสาบาน ข้าได้ยินไม่ผิดแน่ๆ ดูเหมือนหวางหรูอี้จะไม่เห็นด้วยจึงมีปากเสียงกัน หากแต่ก็ยอมจำนนด้วยความต้องการของหลี่รั่วถง พวกเขาพูดกันว่าจะลงมือ.....แต่ต่อจากนั้นข้าไม่ได้ยินอะไรแล้ว”

“นายท่านน่ะหรือจะใช้ดวงตาตนเอง! ”เหอจี๋ตาเบิกโพลงใบหน้าขาวซีดแทบเข่าทรุดกาน้ำชาในมือร่วงแตกลงกับพื้น

แต่ผู้ที่ตกใจเหนือกว่านั้นคงเป็นเซียวโม่โฉวที่ยามนี้ตัวแข็งทื่อราวกับหินสลักไปเสียแล้ว แทบหยุดหายใจหลังจากได้ยินเรื่องเหล่านั้น ใบหน้าและแขนขาถึงกับชาวาบ นึกไม่ถึงว่าหลี่รั่วถงจะใช้วิธีการเช่นนี้โดยมิได้ถามความเห็นหรือบอกกล่าวสิ่งใดกับตน
 
“แล้วตอนนี้หลี่รั่วถงอยู่ที่ใด”เซียวโม่โฉวไม่อาจทนปกปิดความลับที่ตนมิได้ตามืดบอดได้อีกต่อไป ครั้นสีหน้าและแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความกังวลและตกใจฉายแววออกมาจนสิ้น ทั้งยังลุกพรวดไปหาทู่จึที่ตกใจในท่าทีของเซียวโม่โฉวยิ่งกว่าจนตาเบิกโพลงอ้าปากค้าง

“ยะอยู่ อยู่เรือนหลักที่ห้องโอสถด้านหลัง ข้าเห็นพวกเขาเดินไปทางนั้น แต่มิแน่ใจนัก”
ได้ฟังเช่นนั้นเซียวโม่โฉวจึงรีบวิ่งพรวดออกไป เหอจี๋ที่ยืนนิ่งมองตามร่างบางที่ปราดเปรียวด้วยความงุนงงระคนสับสนไปหมด

“นะนั่นหมายความว่ายังไง ที่วิ่งออกไปเช่นนั้น? ”

“ขะข้าก็ไม่รู้ ตะแต่เมื่อครู่....”นิ้วของทู่จึพึ่งจะชี้ไปทางประตูที่เปิดออกและว่างเปล่า “ข้าเห็นสองตาว่าเซียวโม่โฉววิ่งออกไป แล้วตาที่บอดเล่าหายแล้วหรือ เอ๊ะ! แต่ยังมิได้รักษามิใช่หรือ”



เหตุใดข้าจึงไม่เฉลียวใจในเรื่องนี้แม้แต่นิด ทั้งที่ก่อนหน้านี้หลี่รั่วถงกลับแสดงท่าทีออกมาให้ข้าเห็นว่าเขากำลังทำเรื่องบางอย่างที่ปกปิดข้าอยู่เป็นแน่ หากแต่คาดไม่ถึงว่าในท่าทีและแววตาที่ซ่อนเร้นเขาคิดการจะสละดวงตาของตนเองเพื่อข้าเช่นนั้น

ท่านกำลังคิดอะไรของท่านอยู่กันแน่!

   คงเพราะถูกดูแลมามาก ความแข็งแรงของร่างที่ได้มาแม้จะไม่สลายเน่าเปื่อยไปหากแต่ความหนักหน่วงที่มิเคยใช้เรี่ยวแรงต้องวิ่งจนกระหืดกระหอบเช่นนี้

หากแต่จะมัวชักช้าอยู่ได้อย่างไร หากหลี่รั่วถงเร่งลงมือข้าคงจะต้องรู้สึกเสียใจไปตลอดชาติเป็นแน่

เมื่อถึงเรือนหลักตามที่ทู่จึบอกกล่าว หากเป็นเมื่อก่อนตนพยายามเท่าไหร่ก็มิสามารถฝ่าผู้เฝ้าประตูไปได้ ทว่าครั้งนี้สามารถผ่านเข้าไปได้ด้วยเป็นคำสั่งที่หลี่รั่วถงบอกกล่าวไว้ ทันทีที่เข้ามาภายในเรือนเซียวโม่โฉวก็เร่งเดินหาแต่ละห้องอย่างลนลาน เกรงว่าเวลาจะไม่ทันการจึงเข้าออกเสียทุกห้องหวาดหวั่นไปถึงเรื่องที่ไม่ควรเกิดจนแทบเสียสติ

กระทั่งเสียงพูดคุยเบาๆ ที่ลอยตามลมมา มั่นใจว่าสุดปลายทางเดินตรงประตูไม้ฉลุลายดอกเหลียนฮวาที่กำลังชูก้านบ้านสะพรั่งเหนือใบกลมที่อ่อนช้อย มีผู้ที่อยู่ด้านในเป็นแน่ อีกทั้งคล้ายมีกลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ อบอวลหลากหลายชนิดมิได้ต่างไปจากโรงหมอที่โลกมนุษย์ ตามสิ่งที่ทู่จึบอกมาพวกเขาน่าจะอยู่ด้านใน

ผาง!

และทันทีทันใดเซียวโม่โฉวก็ผลักบานประตูให้เปิดออกไม่รอช้า ร่างกายที่หอบโยนกวาดสายตามองเข้าไปด้านในของห้อง พลันพบเจอผู้ที่ตามหานั่งสนทนากันอยู่กลางห้องสีหน้าเคร่งเครียด
 
หวางหรูอี้และหลี่รั่วถงหันมองมายังผู้มาเยือนพร้อมเพรียงกัน หลี่รั่วถงนั้นลุกขึ้นจากเก้าอี้มองไปยังเซียวโม่โฉวที่สีหน้าตระหนกที่พรวดพราดเข้ามาอย่างแปลกใจ หากแต่คราแรกเข้าใจเพียงว่ามาด้วยเหอจี๋ แต่เมื่อบุรุษหนุ่มสาวเท้าก้าวเข้ามาสายตามองตรงมายังตนก็นึกประหลาดใจอีกครา หลี่รั่วถงมองหาเหอจี๋แต่กลับไร้ซึ่งเงา
 
“เจ้ามาด้วยตนเองเหตุใดจึงทำเช่นนั้น”หลี่รั่วถงยังคงทำอย่างเช่นเคยคือเข้าไปหมายจะประคองนำทาง ทว่ามือที่เอื้อมออกไปกลับถูกจับไว้อย่างแม่นยำยึดไว้แน่น นั่นจึงทำให้หลี่รั่วถงชะงักไปเพียงครู่มองดูมือที่เอื้อมมารับแขนของตนอย่างไม่แน่ใจนัก

“นี่หมายความเช่นไรเซียวโม่โฉว”เสียงทุ้มเอ่ยถามสีหน้าตกใจ

“ข้ามาที่นี่เพียงลำพัง มิต้องมีผู้ใดนำพามาเพราะข้าได้ยินเรื่องบางอย่างที่ท่านกำลังตัดสินใจกระทำเพื่อข้าโดยมิได้ถามไถ่ข้าสักคำ”เมื่อมาถึงและเห็นว่าหลี่รั่วถงยังคงมีดวงตาที่งดงามเช่นเคยเซียวโม่โฉวก็โล่งใจขาแข้งแทบทรุดฮวบด้วยโล่งในอก

“ตอนนี้ดวงตาของเจ้า? ”หลี่รั่วถงสงสัยจึงถามออกไป

“ตาของข้า.....”คำตอบที่อยากสารภาพคล้ายติดอยู่ที่ริมฝีปาก กระทั่งตัดสินใจพูดมันออกมาเพราะเช่นไรก็ต้องพูดวันนี้อยู่ดี “ตั้งแต่ต้น แท้จริงแล้วข้ามิได้ตามืดบอด” แม้จะหวั่นถึงสิ่งที่โพล่งออกจนหัวใจแทบหยุดเต้นหากแต่ได้กล่าวออกไปแล้ว

ความจริงที่ปรากฏต่างพาให้ผู้ที่รับรู้ถึงกับนิ่งงัน หวางหรูอี้ที่คล้ายไม่เชื่อหูขมวดคิ้วได้รูปถามขึ้นอีกครา
“เจ้าหมายความว่า เจ้ามิได้ตาบอดตั้งแต่ที่ฟื้นขึ้นมาเช่นนั้นหรือ? ”

“…..”ผู้ที่โป้ปดหลุบตาลงตำพยักหน้าเม้มปากแน่นรู้ว่าผิดอยู่หลายส่วน หลี่รั่วถงได้ยินเช่นนั้นน่าแปลกที่มิได้พูดจาอันใด นิ่งเงียบราวกับกาลเวลาหยุดนิ่ง หากแต่แววตาที่สะท้อนเงาของเซียวโม่โฉวที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นกลับชัดเจน

“มันเป็นเรื่องที่ข้าสะเทือนใจในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมาจริงๆ เห็นที....ข้าคงต้องกลับไปปลอบประโลมจิตใจตัวเองเสียหน่อยแล้ว”หวางหรูอี้พ่นลมหายใจพรูทางปากเอามือทาบอกตนเองคล้ายจะเป็นลม

กล่าวเสร็จก็เดินออกมาจากด้านในห้อง หากแต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็ราวกับหลงทิศ กว่าจะจับทิศจับทางได้ว่าประตูอยู่ทางไหนก็หันไปมาอยู่หลายรอบ ครั้นหวางหรูอี้เดินผ่านเซียวโม่โฉวไม่รู้จะกล่าวขอโทษอย่างไร ทำได้เพียงค้อมศีรษะส่งผู้มาเยือนด้วยความอ่อนน้อมเท่านั้น

“มิต้องสนใจความรู้สึกข้า.....ข้าลา”หวางหรูอี้ตบไหล่สหายตนเองสองสามคราก่อนจะจากไป

ยามนี้กลับทิ้งให้ห้องโอสถเงียบงันเสียจนผู้ที่สารภาพความจริงตัวแข็งทื่อ มือที่กุมท่อนแขนของหลี่รั่วถงเมื่อครู่ก็มิได้อยากปล่อย หากแต่กลับขยุ้มแขนเสื้อไว้เสียแน่นกลัวหนีหาย ศีรษะพลันก้มงอมองพื้นเสียอย่างนั้น ไม่รู้ว่าควรประดิดประดอยคำพูดใดให้สวยงามระรื่นหูอย่างไรเพื่อให้ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเข้าใจได้ แต่หากไม่เข้าใจก็จะไม่โทษโพย

“ข้าผิดเองที่โกหกท่านไปเช่นนั้น แต่ข้าไม่เสียใจที่กระทำเรื่องเช่นนี้ลงไป เพราะอย่างไรท่านก็ทำให้ข้ามองเห็นแล้วว่ายามที่ข้ามิใช่ผู้ที่สมประกอบหรือเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างท่านก็ยังไม่ทอดทิ้งข้า มิได้ลุ่มหลงกายหยาบเพราะรูปลักษณ์ภายนอกของข้า ท่านดูแลและปฏิบัติต่อข้ามิได้รังเกียจให้ความสำคัญต่อข้าเสมอมาตั้งแต่ต้น นั่นคือสิ่งที่ข้าใช้หัวใจและดวงตาที่แสร้งมืดบอดมองมัน”

“.....”

“ท่านโกรธข้ามากหรือไม่ หากจะโกรธเคืองข้าก็จะไม่โต้แย้งอันใด”เพราะไม่รู้จะคาดเดาตำตอบได้อย่างไรจากสีหน้าที่นิ่งเฉยของหลี่รั่วถง ทางเดียวนั้นคือถามไถ่ออกไปตามตรง เสียงเล็กที่พึมพำในลำคอหาใช่เสียงดังมากมายนัก แม้จะฟังดูไม่เป็นภาษาแต่ก็จับใจความได้ว่าเซียวโม่โฉวต้องการจะกล่าวสิ่งใด

“โกรธ.....”นั่นเป็นคำพูดเพียงคำเดียวที่หลุดออกมาจากปากหลี่รั่วถง เซียวโม่โฉวถึงกับเก็บสีหน้าหวาดหวั่นในใจไม่ไหว ตาใส่แม้จะพยายามเหยียดยิ้มหากแต่แบ่งรับแบ่งสู้ผลที่ตามมาน้ำตารื้นพยายามข่มกลั้น

“ข้าขอโทษ”

“พูดอีกครั้ง”

“ข้าขอโทษที่.....”

ประโยคสุดท้ายที่ตั้งใจจะกล่าวออกมาอธิบายความนัย กลับถูกกลืนหายไปด้วยจุมพิตจากหลี่รั่วถง เซียวโม่โฉวมิได้ตั้งตัวดวงตาคู่สวยก็พลันเบิกโพลงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น กระทั่งความอบอุ่นที่แผ่ซ่านผ่านปลายนิ้วที่ประคับประคองกรอบหน้าขาวที่แดงเรื่อด้วยความอุ่นร้อนจากภายในร่างกาย รสจูบที่หลี่รั่วถงมอบให้ละมุนเสียจนลืมสิ้นไปชั่วขณะ

“ถึงข้าจะโกรธเคืองเจ้าก็หาได้ประโยชน์อันใดไม่ แต่ยามนี้เหนือสิ่งอื่นใดข้ากลับดีใจเสียมากกว่าที่ดวงตาของเจ้ามิได้มืดบอด”ปลายนิ้วสัมผัสกับดวงตาคู่สวยน้ำเสียงที่เอ่ยมาบีบรัดจิตใจเซียวโม่โฉวนัก การทำเกินกว่าเหตุครั้งนี้บทลงโทษเห็นทีจะเป็นความรู้สึกผิดที่ตราตรึงในใจไปตราบนานเท่านาน

“มีผู้ใดเคยบอกท่านหรือไม่ว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่มีใช่อำนาจและความแข็งแกร่งของท่าน หากแต่เป็นสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของท่านเสียมากกว่า ข้าไม่อาจดูแคลนความรักของท่านได้เลย เรื่องราวต่างๆ นั้นพิสูจน์ให้ข้าประจักษ์แล้ว”

“มิใช่ ข้าไม่เคยพยายามตนเองเพื่อพิสูจน์สิ่งใด แต่ข้าเพียงทำในสิ่งที่ข้าปรารถนาจะทำเท่านั้น และเจ้าคือผู้ที่ข้าเลือกแล้วไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม”เซียวโม่โฉวกะพริบตาไล่หยาดน้ำตาบางๆ คลี่ยิ้มให้กับร่างสูงตรงหน้า เอ่ยเรื่องที่ใคร่สงสัยออกไปอีกครา

“แท้แล้วท่านคิดจะสละดวงตาให้ข้าจริงเช่นนั้นหรือ”

“.....”หลี่รั่วถงมิได้ตอบเพียงยิ้มบางคว้าเอาบุรุษตรงหน้าเข้ากอดแนบอกเป็นคำตอบ

“ท่านอย่าทำเรื่องที่ข้าไม่รับรู้เช่นนี้ได้อีกหรือไม่”

“เพราะเหตุใด”

“ยังจะให้ข้าต้องอธิบายอีกหรือว่าข้ารักและเป็นห่วงท่าน”

ผู้ที่ฟังไยจะไม่ดีใจถึงขนาดทำให้หลี่รั่วถงผู้นี้อ่อนไหวไปกับคำพูดของบุรุษหนุ่มตรงหน้าได้ด้วยประโยคเพียงสั้น

“ได้ฟังความในใจของเจ้าข้าอายุยืนไปอีกพันๆ ปี”

“เหตุใดจึงกล่าวเรื่องที่ชวนให้ฟังดูท่านเป็นผู้เฒ่าเช่นนั้นเล่า”

“แล้วเจ้าอยากจะแก่เฒ่าไปกับข้าหรือไม่”

ครู่หนึ่งที่เซียวโม่โฉวถึงกับต้องขบคิด “หากถึงวันนั้นผู้ใดจะดูแลท่านกับข้า เหอจี๋ก็คงจะแก่ตัวไปตามกันไม่แน่อาจจะออกเรือนไปกับผู้ที่ถูกใจไปก็เป็นไปได้ ทู่จึก็มิรู้ว่าจะเอาแน่เอานอนได้เพียงใด หากเดินเหินไม่ไหวผู้ใดจะช่วยประคอง”

หลี่รั่วถงขบขันกับความคิดเช่นนั้น หากแต่มิได้บอกกล่าวอธิบายไปว่า ถึงแก่เฒ่าเช่นไรพละกำลังก็มิได้เหือดหายเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไปสังขารก็มิได้ชราตามอายุ หากแต่ยอมเก็บความลับนี้ไว้เห็นทีว่าจะน่าภิรมย์ใจเสียกว่า

“เช่นนั้น ไยเจ้ากับข้าไม่ร่วมแรงร่วมใจมีแก้วตาดวงใจไว้ใช่งานยามแก่เฒ่าเสียเล่า”

“ทะท่านหมายถึงลูกเช่นนั้นหรือ? ”ผู้ได้ฟังผงะไปกับคำพูดที่ราวกับธรรมดาสามัญจนตาเบิกค้าง

“ใช่”

“เอ๊ะ! จะไปมีได้อย่างไรเล่า ท่านและข้าล้วนเป็นบุรุษ”ดูเหมือนอีกฝ่ายจะช้าไปกว่าหลี่รั่วถงถึงสองก้าวถึงได้เพิ่งตระหนักได้ถึงเรื่องน่าอายเช่นนั้น

“ข้ามีวิธี.....จะให้ข้าบอกแก่เจ้าเลยดีหรือไม่ แต่คงต้องพึ่งเจ้าอีกแรงเสียแล้ว”อีกฝ่ายแสร้งเขยิบเข้าใกล้แอบกระซิบใกล้ใบหูเล็กราวกับเป็นความลับท่าทีไม่หยอกเย้า ทำเอาใบหน้าที่เคยขาวนวลเนียนแดงระเรื่อขึ้นมาอีกคราจนต้องล่าถอยออกไปเสียแทบทันควัน ในอกลั่นรัวราวกับกลองศึก

“ว่าอย่างไรเล่าคำตอบของเจ้า”

“ข้า.....”เสียงอึกอักทำเอาเซียวโม่โฉวอยากจะตีปากตนเอง เหตุใดจึงได้สั่นเท่าเช่นนั้น “ข้าเพิ่งจะคิดได้ว่าต้องกลับเรือน ตอนที่ข้าวิ่งออกมา...เหอจี๋และทู่จึงคงกำลังรอข้ากลับไปอธิบายเรื่องราวอยู่เป็นแน่”

ขืนอยู่ก็มีแต่ตั้งหน้าไม่ถูก เซียวโม่โฉวจึงแสร้งเอ่ยถึงเหอจี๋และทู่จึขึ้นมาหาเรื่องปลีกตัวออกไป เพียงก้าวหนีไปไม่ถึงสองก้าวกลับถูกรั้งไว้

“จะปล่อยให้เจ้าเดินกลับไปเพียงลำพังได้อย่างไร ข้าจะไปส่ง”มืออุ่นกุมมืออีกฝ่ายอย่างไม่ลังเลก่อนจะกระชับแน่นไม่ยอมปล่อยเป็นแน่

“ตามใจท่านเถิด ข้าจะขัดได้อย่างไร”ยิ้มซ่อนที่ซ่อนเช่นไรก็ไม่มิดเผยออกมาอย่างชัดเจนผ่านสีหน้าและแววตาของบุรุษหนุ่ม ความเก้อเขินเช่นนั้นอดไม่ได้ที่จะทำให้ร่างสูงสง่าสัมผัสกับความสุขที่เฝ้ารอมาเนิ่นนานอย่างไม่ผิดหวัง

ทว่าก่อนที่หลี่รั่วถงจะนำให้ก้าวเดินออกไปเซียวโม่โฉวกลับไม่ขยับก้าวตาม

“มีอะไรเช่นนั้นหรือ? ”

“ข้ามีอย่างหนึ่งที่อยากจะทำ...ให้ข้าได้ทำมันตอนนี้เถิด”ดวงตาคู่สวยที่หลุบลงต่ำมองไปยังพื้นเบื้องหน้าเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ก่อนจะแกะมือของหลี่รั่วถงที่กุมมือตนเองออก เปลี่ยนเป็นมือของเซียวโม่โฉวที่เป็นฝ่ายเข้าไปกุมมือหลี่รั่วถงเสียแทน ก่อนจะกระชับแน่นจุดยิ้มบนใบหน้ามองหลี่รั่วถงอย่างมีความหมาย เสร็จแล้วจึงออกตัวเดินนำหลี่รั่วถงไปเบื้องหน้าอย่างไม่ลังเล





ติดตามตอนต่อไป >>>

สำหรับตอนหน้าจะเป็นบทส่งท้าย ซึ่งจบจริงๆ แล้วค่ะ ฝากติดตามตอนหน้าด้วยนะคะ
ขอบคุณมากค่า


โดย หลานฮวา
 :hao5:


ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จะมีแก้วตาดวงใจนี่ต้องทำอย่างไรคะะะะ :hao7:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
จะจบแล้ว ใจหายเหมือนกันนะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4

บทส่งท้าย



   ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเซียวโม่โฉวและหลี่รั่วถงหาใช่ผู้ใด เป็นอวี้หวงต้าตี้ประมุขชั้นฟ้าที่กุมอำนาจสวรรค์และมีอำนาจเหนือกว่าอย่างมิต้องกล่าวถึง บัดนี้ถึงเวลาที่ทุกอย่างจะเป็นไปตามดั่งสวรรค์ลิขิต จะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ หลี่รั่วถงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าและเซียวโม่โฉวที่คุกเข่าก้มหน้าไม่บังอาจสบตาต่อผู้มีรัศมีแห่งผู้ปกครองได้ อีกทั้งชนชั้นที่หาใช่ผู้ที่อยู่ในเทพเซียนชั้นใดได้มาพบพานเช่นนี้ก็เป็นวาสนามากนัก

   หากแต่วันนี้การที่หลี่รั่วถงนำเซียวโม่โฉวมาด้วยนั้นเพราะยังคงมีเรื่องบางอย่างที่จะต้องทำให้กระจ่างและชัดเจน ยามนี้เซียวโม่โฉวรู้สิ้นถึงชาติภพของตนเองจึงควรแล้วที่จะกล่าวเรื่องระหว่างตนและเซียวโม่โฉวต่ออวี้หวงต้าตี้เสียที

   แม้เซียวโม่โฉวจะรู้ดีว่ากาลก่อนตนเป็นใคร อาศัยอยู่ ณ ที่ใดในช่วงเวลานั้น และทำสิ่งใดลงไปบ้างจึงไม่อาจกล่าวมากความได้ในยามนี้ ความรู้สึกผิดต่อสวรรค์นั้นตราตรึงอยู่ในอก ทราบความผิดดีว่าฝืนกฎสวรรค์ข้อใดเพื่อทำตามใจตนเองเมื่อครั้งก่อน ยอมทิ้งซึ่งภาระหน้าที่ของตน แหกกฎต้องห้ามของเทพธิดาที่มิให้มีใจรักผูกพันต่อผู้ใด แต่ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจหักห้ามจึงยอมถูกลงโทษด้วยโชคชะตาที่โหดร้ายนั้นย่อมถูกต้องแล้ว

   ทั้งการถูกจูเกิงเฉินพลั้งมือสังหาร ไปผจญเคราะห์กรรมบนโลกมนุษย์ และต้องเจ็บปวดกับความรักก่อนที่จะรู้ความจริงทั้งหมด

   “ข้าทำตามที่สัญญาต่อท่านแล้ว ต่อจากนี้พระองค์โปรดยินดีกับความรักของข้าด้วย”หลี่รั่วถงกล่าวขึ้นเสียงหนักแน่นมิได้อ้อมค้อม ทำให้อวี้หวงต้าตี้หัวเราะขึ้นเสียงก้องกังวานราวระฆังสวรรค์

   “ในเมื่อเจ้ารักษาคำสัตย์ไม่บิดพลิ้ว ทำตามคำพูดที่เคยให้ไว้กับข้าได้ ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวต่อวิบากกรรมของเซียวโม่โฉวจนกว่าจะบรรลุถึงแก่นแท้ของวัฏสงสารชีวิต  และดูเหมือนพวกเจ้าต่างก็เผชิญกับอุบัติกรรมที่เกิดขึ้นมาอย่างนับไม่ถ้วนมากพอแล้ว ข้าจะกลืนน้ำลายตนเองได้อย่างไร ข้าเมตตามิได้ส่งเสริมให้พวกเจ้ากระทำผิด หากแต่เพราะด้วยความอดทนที่พวกเจ้าพิสูจน์ให้ข้าเห็น”

   “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”เซียวโม่โฉวก้มศีรษะคำนับจรดพื้น คงไม่สามารถลืมเลือนเหตุการณ์ในตอนนี้ได้ไปตราบชั่วชีวิต

   “เจ้าลุกขึ้นเถิด เงยหน้าให้ข้าได้ดูเจ้าชัดๆ ”

   “กระหม่อมต่ำต้อยนักจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

   “แม้เจ้าจะไม่มีชนชั้นใดในพิภพทั้ง 4 แห่งนี้ หรือแม้สูญเสียไปแล้วซึ่งพันธะพันผูกต่อสวรรค์ เช่นไรหากเจ้าบำเพ็ญภาวนาอีกพันปีข้างหน้าข้าและเจ้าคงได้พบพานกันอีกครา”

   ผู้ที่เอ่ยเช่นนั้นหยักยิ้มเพียงบางชี้ทางเดินเบื้องหน้าให้เห็น พริบตาราวกับมนต์ลวงตา ผู้ปกครองชั้นฟ้าก็บันดาลดวงไฟสีทองสว่างดึงสายตาของเซียวโม่โฉวให้เงยหน้าขึ้นโดยมิได้ฝืนบังคับแต่อย่างใด น่าแปลกที่หลี่รั่วถงไม่อาจมองเห็นดวงไฟสีทองได้อย่างที่เซียวโม่โฉวเห็น

   คล้ายคลึงจนเรียกว่าเหมือนกับที่บุรุษหนุ่มพบพานบนโลกมนุษย์และครั้งอยู่พิภพแห่งหยินนัก
 
   เอ๊ะ! หรือแท้แล้วผู้ที่บันดาลดวงไฟเหล่านี้ให้ข้าพิศวงจะเป็น.....

   เซียวโม่โฉวคาดเดาในความรู้สึก ครั้นดวงตาคู่สวยก็เบิกโพลงขึ้นกับคำตอบ สบกับนัยน์ตาทรงอำนาจที่ครู่หนึ่งราวกับบอกเล่าเรื่องราวให้กระจ่าง ทว่าคำพูดใดก็ไม่อาจหลุดออกมาจากปากเซียวโม่โฉวได้เสมือนถูกปิดเอาไว้

   “เอาเถิด อย่างไรบทลงโทษที่เกิดขึ้นต่อตัวเจ้าทั้งสองเพราะการกระทำในอดีตได้จบสิ้นลงแล้ว ชาติให้พบพาน วาสนาใหม่ถักทอ ต่อจากนี้ก็อยู่ที่ตัวของพวกเจ้า อย่างไรก็หนีไม่พ้นกฎเกณฑ์ที่จักต้องปฏิบัติ”เสียงทุ้มและก้องกังวานราวกับระฆังยักษ์สะท้อนอยู่ในหัวของหลี่รั่วถงและเซียวโม่โฉว

   “หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ข้าไม่อาจให้โอกาสผู้ที่ผิดพลาดได้เป็นครั้งที่สองเข้าใจหรือไม่”

   “พ่ะย่ะค่ะ/พ่ะย่ะค่ะ! ”สองเสียงขานรับประสานกัน พร้อมค้อมกายส่งประมุขแห่งชั้นฟ้าที่มีขบวนนำและตามเดินออกไปจากท้องพระโรงอย่างงดงาม

   เซียวโม่โฉวแทบทรุดกายลงนั่งกับพื้นอีกครา เมื่อความอึดอัดในใจนั้นได้คลายสิ้นแล้ว



   “เจ้าไหวหรือไม่”ไม่มีผู้ใดไม่หวั่นเกรงต่ออวี้หวงต้าตี แต่สำหรับหลี่รั่วถงแล้วเขาย่อมเกรงขามหากแต่ไม่หวาดกลัว ครั้นเห็นว่าโม่โฉวประหม่าจนหน้าถอดสีจึงพาออกมาผ่อนคลายด้านนอก ยังสะพานที่เส้นทางเบื้องหน้าไกลสุดสายตาจมหายไปในม่านหมอกสมแล้วที่เป็นสวรรค์ชั้นฟ้า

   “ข้านึกว่าตนเองจะตายอีกคราเสียแล้ว”มือขาวทาบอกตนเองพิงหลังกับราวสะพานพ่นลมหายใจพรูไปหลายรอบ

   “เจ้ากลัวหรือ? ”

   “สิ่งที่ข้ากลัวคือการที่ต้องถูกพรากจากท่านอีกครั้งเสียมากกว่า”

   “ข้าอยู่ตรงนี้เจ้าจะหวาดกลัวสิ่งใด ข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดรังแกเจ้าเป็นอันขาด แม้กระทั่งผู้ที่เจ้ากำลังหวาดกลัว”

   “ข้าไม่ปรารถนาให้ท่านต่อกรกับผู้ใดเพื่อข้าอีก”เซียวโม่โฉวยื่นมือของตนไปกุมแขนของหลี่รั่วถง สบนัยน์ตาคู่คมที่มองมาแววตาอ่อนโยน “ท่านลืมสิ้นไปแล้วหรืออย่างไรเล่าว่ายามนี้ข้าเป็นบุรุษหาได้อ่อนแอจนท่านต้องกังวล”

   “ถึงอย่างไร ข้าก็ไม่อาจเมินเฉยต่อความทุกข์ใจของเจ้า อย่างไรก็ตามเจ้ายังคงเป็นผู้ที่ข้ารักและอยากปกป้องดูแลต่อให้เจ้าอยู่ในสถานะใดก็ตาม”มือแข็งแรงที่เข้ามากุมประสานถ่ายทอดความรู้สึกถ่องแท้ไปยังฝ่ามือของเซียวโม่โฉว ถ้อยคำและแววตาช่างเขย่าดวงใจของผู้ที่ถูกจ้องมองได้สั่นคลอนนัก

   “ท่านกล่าวเช่นนั้นมิปล่อยให้ข้าได้เว้นช่วงจังหวะชีพจรบ้างหรือ”ยิ้มบางคลี่ออกหัวเราะน้อยๆ กับมธุรสของร่างสูงตรงหน้า

   “อย่างไรเล่าที่เจ้ากล่าวถึง ข้ามิเข้าใจ”

   “ท่านไม่เข้าใจหรือแสร้งหลอกข้ากันแน่ ในอกของข้ามันเต้นระรัวเสียจนข้าควบคุมไม่ได้ทันรู้หรือไม่เล่า”

   “เช่นนั้นให้ข้ารับผิดชอบเสียเถิด”

   “รับผิดชอบ? ท่านจะรับผิดชอบเช่นไร? ”คนแสร้งถามส่ายหน้าเพราะตนเพียงกล่าวหยอกล้อ ทว่าระหว่างที่กำลังจะหมุนกายเดินไปข้างหน้า แขนข้างหนึ่งของเซียวโม่โฉวถูกหลี่รั่วถงดึงรั้งเอาไว้จนแทบจะเรียกว่ากระชากมาก็ว่าได้ ผู้ที่มิทันตั้งตัวเผลอเปิดช่องโหว่ให้หลี่รั่วถงดึงรั้งเข้ามาแนบชิดเสียแล้ว

   “ปะปล่อยข้าเถิด ประเดี๋ยวมีใครผ่านมาเห็นจะนำท่านไปกล่าวเสียๆ หายๆ ได้”เซียวโม่โฉวตาวาวกล่าวขึ้น มองซ้ายขวาเลิกลัก แม้จะไม่มีผู้ใดก็อดเขินอายไม่ได้

   “ให้กล่าวไปเถิด ข้าดีใจเสียอีกที่จะได้บอกให้ผู้อื่นได้รู้” หลี่รั่วถงกระตุกยิ้มขยับวงแขนเข้ากระชับแน่นรอบตัวบุรุษหนุ่มขึ้นอีกเท่าตัว “เพราะเช่นไรข้าก็หมายมั่นตั้งใจว่าให้เจ้าเป็นจอมใจของข้าแต่เพียงผู้เดียว”

   เรียกได้ว่าประโยคเดียวหยุดชะงักทุกอิริยาบถไปในทันที มีเพียงดวงตากลมใสที่กะพริบถี่สบกับนัยน์ตาคู่คมของหลี่รั่วถงราวกับจะหาความหมายในประโยค ก่อนแก้มขาวนวลเนียนจะค่อยๆ แดงเรื่อขึ้นประหนึ่งปาดสีชาดเอาไว้ “ทะท่าน....”

   “แต่งงานกับข้าเถิดเซียวโม่โฉว มิรู้ว่าโลกมนุษย์ที่เจ้าคุ้นชินจะพูดกันเช่นนี้หรือไม่ แต่คงมิได้ต่างไปจากความหมายที่ข้าปรารถนามั่นในรักต่อเจ้าเป็นแน่”ตาซื่อตาใส่นิ่งงันราวกับสติเลื่อนลอยหายไปครู่หนึ่ง ยามนี้เห็นทีจะตะลึงพรึงเพริดเสียจนหลงลืมชื่อตนเองไปแล้ว

ตะแต่งงาน? ข้าถูกขอแต่งงานเช่นนั้นหรือ?

พลันคิดใบหน้าและท่าทางก็แสดงออกมาเสียหมดแล้ว ทั้งแก้มขาวที่แดงเรื่อ ความสุขที่ผ่านดวงตาคู่สวย รอยยิ้มที่พยายามเก็บกลั้นไว้แค่ไหนก็โผล่ให้เห็นอยู่ดี

“ว่าอย่างไรเล่า หรือเจ้ารังเกียจข้า”

“มะไม่ใช่เช่นนั้น คือข้า....”ท่าทีกระอักกระอ่วนมิใช่เพราะอยากจะปฏิเสธหากแต่กลั่นออกมาเป็นคำพูดยากนัก ยามนี้จะมีสิ่งใดต้องคิดเสียให้วุ่นวายเล่า “ข้าจะแต่งกับท่าน! ”

“คำตอบของเจ้าฉะฉานยิ่งนัก”เป็นคำชมที่ทำเซียวโม่โฉวถึงกับเก้อเขินจนใบหูร้อนไปเสียหมด อีกทั้งหลี่รั่วถงก็ขยันยิ้มให้เขาบ่อยนักจะไม่ให้หลงบุรุษตรงหน้าอีกคราได้อย่างไร



ท่ามกลางจันทราที่ลอยเด่น รัศมีแผ่กว้าง ท้องฟ้าปลอดโปร่งงดงามดั่งวาดไว้ ยามนี้หากเทียบกับตำแหน่งจ้าวพิภพแห่งหยิน งานพิธีการใดๆ ย่อมยิ่งใหญ่เล่าลือกันไปทั่วทั้ง 4 ชั้นฟ้า แขกมาร่วมงามย่อมแออัดขนัดตาท้องฟ้าคงคลาคล่ำแลดูมืดฟ้ามัวดินด้วยเหล่าเทพเซียนทั้งหลายเป็นแน่

ทว่าค่ำคืนสำคัญอันเป็นพิธีการงานมงคลกลับมิได้ต้อนรับผู้ใดให้วุ่นวาย ไม่ต้องการคำกล่าวยินดีของผู้ใดเท่าความเปรมใจของคู่ชีวิต จะมีสิ่งใดยิ่งใหญ่ไปกว่าคำมั่นสัญญาที่ปรารถนามานับพันปี ไม่มีพิธีการใดจะเรียบง่ายเท่าการตัดสินใจครองคู่ของทั้งสองอีกแล้ว มีเพียงสักขีพยานร่วมยินดีเป็นสหายพันชาติอย่างหวางหรูอี้ ติงเจิ้งหวา บริวารข้ารับใช้อย่างเหอจี๋และทู่จึเท่านั้น ทุกอย่างเสร็จสิ้นไม่หวือหวาจบพิธีด้วยการแลกจอกสุรามงคลก็นับว่าเพียงพอแล้ว

สิ่งใดจะยิ่งใหญ่เท่าความรักของเขาทั้งสองอีกก็หามีไม่

อย่างไรสีมงคลก็ย่อมต้องเป็นสีแดง ยามนี้จึงได้เห็นหลี่รั่วถงสวมใส่อาภรณ์สีแดงเข้มดูแปลกตาหากแต่ไม่อาจลดทอนความสง่าผ่าเผยไปได้ เซียวโม่โฉวที่ยืนอยู่ข้างกายก็สวมอาภรณ์สีแดงมงคลเช่นกัน แม้ธรรมเนียมเจ้าสาวจักต้องปิดบังใบหน้าหากแต่บุรุษหนุ่มมิได้นับธรรมเนียมเช่นนั้น การแต่งกายยังคงเป็นบุรุษอย่างที่ตนเป็น หากแต่ความงามด้วยรูปกายก็มากล้นเกินบุรุษแล้ว

หน้าผากที่ขาวนวลเนียนบัดนี้ถูกแต้มด้วยสีชาดเป็นจุดเล็กๆ ตรงกลางระหว่างคิ้วด้วยมือของหลี่รั่วถง เป็นการแสดงให้รู้ว่าผู้ใดมีสิทธิ์ในตัวบุรุษหนุ่มตรงหน้าที่เป็นดวงใจของจ้าวพิภพแห่งหยินหากมิใช่ตน ถึงจะไม่ทำเช่นนั้นหากแต่หลี่รั่วถงกลับตีตราจองไว้เนิ่นนานก่อนหน้านั้นแล้ว ด้วยสัญลักษณ์ดอกโบตั๋นคล้ายปานแดงบนลำคอขาวผุดผาด

“เมื่อแลกจอกสุรามงคลเสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปก็ถึงฤกษ์เข้าส่งตัวเข้าห้องหอแล้วขอรับ”ผู้พูดแม้จะเก้อเขิน หากแต่อดที่จะยิ้มจนแก้มปริให้แก่ทั้งสองมิได้ ทำนบน้ำตาของเหอจี๋แทบจะไหลอยู่เนืองๆ

“ข้ายินดีกับพวกเจ้าด้วย เห็นทีข้าจะมาแวะเวียนเสียบ่อยๆ มิได้แล้วเกรงว่าจะรบกวนพวกเจ้าหวานชื่น”หวางหรูอี้ยิ้มหยอกเย้า ก่อนจะล้วงบางอย่างยืนให้เซียวโม่โฉว เหอจี๋มองดูเลิกลักมิไว้ใจเช่นกันแต่สอดปากตอนนี้มิได้ “ถือเสียว่าเป็นของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ จากข้า” เซียวโม่โฉวตระเตรียมเอื้อมมือไปรับแต่ทว่า

“ห้ามรับเด็ดขาด! ”หลี่รั่วถงปัดมือหวางหรูอี้ออกกล่าวพร้อมกับข่มขวัญสหายด้วยสีหน้าถมึงทึง

“เหตุใดท่านถึงปฏิเสธน้ำใจท่านหวางหรูอี้เช่นนั้นเล่า? ”

“เพราะข้ารู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร”สีหน้าของเซียวโม่โฉวงุนงงมองหลี่รั่วถงคิ้วขมวด หวางหรูอี้กลับหัวเราะขบขันโยนขวดยาใบเล็กขึ้นลงไปในอากาศแล้วซุกเก็บเข้าที่เดิม

“นี่เซียวโม่โฉว...เอาไว้คราวหลังข้าจะให้กับเจ้าในยามที่ไม่มีเจ้าเสือดุผู้นี้อยู่เข้าใจหรือไม่”คนแสร้งกระซิบกระซาบสีหน้าสนุกนักแววตาเล่ห์เหลี่ยมนัก

“ข้าคงต้องรบกวนเจ้าเสียแล้วติงเจิ้งหวา พาสหายผู้นี้ของข้าไปให้พ้นสายตาข้าได้หรือไม่ ข้าขอส่งตรงนี้”

วาจาร้ายกาจเอ่ยขึ้นร้องขอต่อติงเจิ้งหวา ที่มิได้กล่าวมากความอันใดนักเพียงหอบหิ้วเจ้าของเส้นผมขาวพิสุทธิ์ลากตัวออกไปแต่โดยง่าย

“ตกลงเจ้าจะเข้าข้างผู้ใด! ไหนบอกว่าจะสวามิภักดิ์ต่อข้าเช่นไรเล่าติงเจิ้งหวา”คนถูกลากโวยวายลั่น
“ข้าเคยกล่าวต่อเจ้าเมื่อไหร่กัน เลิกรบกวนพวกเขาแล้วกลับกันได้แล้วนา”เสียงโหวกแหวกโวยวายค่อยๆ ลับหายไปจนโล่งหู เซียวโม่โฉวยืนมองพวกเขาจนลับสายตา

ทั้งเหอจี๋และทู่จึก็ต่างผ่อนลมหายใจเมื่อสถานการณ์เงียบสงบกลับมาอีกครา บทสนทนาระหว่างสองคนก็เกิดขึ้น

“ในเมื่อสหายของข้าตบแต่งแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะมีฐานะสูงกว่าเจ้าสินะ”ทู่จึกล่าวขึ้นยืดอกเท้าสะเอวกระหยิ่มยิ้มย่องในความคิด

เพี๊ยะ! ฝ่ามืออรหันต์ปะทะเข้าที่ศีรษะของทู่จึอย่างจัง

“ข้าบอกให้เจ้าเลิกฝันลมๆ แล้งๆ อย่างไรเล่า อย่างไรเสียเจ้าก็คือปีศาจชั้นต่ำสำหรับข้าอยู่วันยังค่ำ ชิ! ”

“หน็อย คอยดูเถอะ! ”ใบหน้าฟึดฟัดลูบศีรษะตนเองปอยๆ

“นายท่านขอรับ.....ข้าว่าประเดี๋ยวจะเลยฤกษ์งามยามดีเชิญพวกท่านด้านในดีกว่าขอรับ ข้าและทู่จึจะส่งพวกท่านเพียงประตูเท่านี้นะขอรับ”เหอจี๋หันไปกล่าวพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญ

“ข้าไปด้วยโม่โฉว! ”

“เจ้าจะเข้าไปทำไมเจ้าโง่นี่ กลับกับข้าประเดี๋ยวนี้เลย อยากตายหรืออย่างไร! ”เหอจี๋พูดเสียงลอดไรฟันถลึงตาสุดฤทธิ์ก่อนจะลากดึงทู่จึออกไป ปล่อยให้บ่าวสาวได้ประคองกันเข้าไปยังเรือนใหญ่อย่างราบรื่น

เซียวโม่โฉวส่ายหน้ายิ้มให้กับทั้งสองที่อย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลงท่าทีที่ราวกับเข้ากันไม่ได้ หากแต่ก็ไม่เคยมีวันไหนที่เห็นทู่จึและเหอจี๋ไม่พูดคุยกัน

“เจ้ายิ้มอะไรกัน? ”

“ข้าเพียงนึกสงสัยว่าเหตุใดทั้งสองจึงตั้งแง่แต่จะทะเลาะกัน หากแต่พอผ่านไปไม่ทันจะข้ามวันก็กลับมาดีกันเป็นๆ หายๆ เช่นนี้อยู่ร่ำไป”

“ปล่อยเรื่องหยุมหยิมเหล่านั้นไปเถิด สิ่งที่เจ้าควรจะสนใจมิใช่ข้าหรอกหรือ”

ครั้นถึงบานประตูไม้ที่แขวนคำมงคลตัวอักษรสีทองไว้เหนือบานประตูหลี่รั่วถงเป็นผู้ดึงให้เปิดออก เซียวโม่โฉวเป็นผู้เดินนำเข้าไปใจเต้นลุ่มๆ ดอนๆ เสียอย่างนั้น ครั้นหันไปมองการประดับตกแต่งห้องหอให้งดงามจนต้องตาก็ยิ่งเก้อเขินเสียจนนึกต่อว่าผู้ที่เป็นแม่งานอย่างเหอจี๋เสียจริงๆ ยิ่งกวาดสายตามองพู่ผ้าที่ห้อยระย้าสีแดงมงคล ก็ราวกับย้ำเตือนว่าค่ำคืนนี้มิใช่เพียงวันคืนที่ผ่านพ้นไปไม่น่าจดจำ หากแต่เป็นคืนสำคัญของทั้งสอง

เช่นไรเซียวโม่โฉวก็อดประหม่าขึ้นมาเสียมิได้ จึงแก้เก้อด้วยการไปนั่งยังโต๊ะที่จัดสำรับและขนมมงคลไว้ อีกทั้งสุราที่ตระเตรียมให้พร้อมพรั่งอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

“ท่านจะดื่มต่ออีกหน่อยหรือไม่ มาเถิดข้าจะรินให้”ผู้ประหม่ารวบแขนเสื้อที่ยาวเกะกะหมายจะปรนนิบัติรินสุราให้ท่าทีจริงจังจนชวนมอง

“เหตุใดข้าต้องสนใจที่จะดื่มมากกว่าตัวเจ้าในยามนี้ด้วยหรือ? สุราเมื่อใดข้าก็ดื่มได้ จักเมามายก็มิควรเป็นคืนมงคลนี้” ท่อนแขนแข็งแรงที่เอื้อมมาจากด้านหลังพยุงผู้ที่ซ่อนใบหน้าแดงก่ำให้ลุกขึ้นหันมาประจัน รอยยิ้มที่ราวขบขันกับท่าทีของบุรุษหนุ่มตรงหน้าพานให้เซียวโม่โฉวขมวดคิ้วมุ่นขึ้นเสียอย่างนั้น

    “ท่านขบขันเรื่องใด หน้าข้ามีสิ่งใดผิดแปลกหรือ”

   “.....”หลี่รั่วถงเพียงส่ายหน้า ก่อนกอดกายบุรุษหนุ่มเข้าสู่อกกว้าง มือหนาลูบแผ่นหลังที่ประหม่าอย่างอ่อนโยนและกล่าวขึ้น “ข้านึกไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ วันที่ข้าได้กอดเจ้าอย่างมีความสุขอีกครา”

   เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้น เซียวโม่โฉวได้ยินทุกถ้อยคำที่กล่าวมา รับรู้ด้วยหัวใจว่าผู้ที่กอดตนนั้นหาได้โป้ปด มือขาวที่เคยเย็นเยียบและสั่นเท่าด้วยความประหม่า ทว่าบัดนี้กลับผ่อนคลายด้วยอ้อมกอดอุ่นๆ เสียจนกำซาบถึงจิตใจ

   “ข้าอยู่ตรงนี้ได้เพราะท่านปรารถนาที่จะพบเจอข้าอีกครั้ง ข้าดีใจที่หัวใจของข้ายังคงจดจำท่านได้ไม่ลืมเลือน”

   “ข้ารักเจ้าเซียวโม่โฉว”

   “ท่านกล่าวเช่นนี้ จะให้ข้าตอบอย่างไรได้นอกเสียจาก.....”สองแขนผละตนเองออกจากอกที่แทบไม่ยอมให้ห่าง ก่อนจะเขย่งปลายเท้าเล็กน้อยจุมพิตไปที่ริมฝีปากของผู้ที่อยู่เบื้องหน้าแล้วตอบไปว่า “ข้าก็รักท่านเช่นกัน”

   เซียวโม่โฉวยิ้มบางยกมือขึ้นขยี้ปลายจมูกตนเองเก้อเขิน โดยหารู้ไหมว่าอีกฝ่ายอยากกางกรงเล็บเข้าไปขย้ำท่าทีเช่นนั้นด้วยแรงปรารถนาเพียงใด

“เจ้าเริ่มก่อน อย่าได้โทษข้าทีหลังเลย”ที่สุดแล้วหลี่รั่วถงก็ทนข่มความปรารถนาที่จะสัมผัสบุรุษตรงหน้าไม่ไหวอีกจึงได้ดึงเซียวโม่โฉวเข้าสู่อ้อมกอดอีกครา ครั้งนี้กลับเชยคางให้เชิดรั้งขึ้น บรรจงมอบจุมพิตที่หอมหวานระคนร้อนรุ่มจนยากจะถอนถอย

สองกายที่ตระกองกอดทิ้งกายลงบนเตียงตั่ง กลีบบุปผาที่ถูกโปรยไว้กระจายออกไปทั่ว กลิ่นหอมเย้ายวนหรือจะสู้กลิ่นหอมของผิวกายที่กำจายรัญจวนใจนัก หากจะให้ยับยั้งชั่งใจในครานี้คงยอมแลกชีวิตเสียแล้วกระมัง

ทั้งหวั่นอยู่ในใจว่าเซียวโม่โฉวจะหนีหายจึงใช้กายแกร่งคร่อมร่างบุรุษหนุ่มไว้มิให้กระถดร่นหนีไปได้ ยอมผละจากจุมพิตอย่างอ้อยอิ่ง ใช้สายตาคมกวาดมองเจ้าของเรือนกายขาวผุดผาดที่หอบหายใจแรง แผ่นอกขาวที่เผยแก่สายตาผ่านสาบเสื้อที่แยกออกตัดกับสีแดงฉูดฉาดยากนักที่จะเมินสายตาไม่จ้องมอง

อีกทั้งสัญลักษณ์ที่เผยให้เห็นเป็นรูปดอกโบตั๋นนั้นชัดเจนขึ้นบนผิวเนื้อบริเวณลำคอยิ่งทำให้หลี่รั่วถงพึงใจในสิ่งนั้นยิ่งนัก ทว่าส่วนหนึ่งกลับกำลังพยายามทนข่มแรงปรารถนาตนเอาไว้ เช่นไรก็มิได้อยากกระทำให้เนื้อขาวต้องบอบช้ำตั้งแต่คืนแรกเสียก่อน

“เจ้าจะปฏิเสธข้าก็ได้หากเจ้ารู้สึกไม่ดี เพราะต่อจากนี้ข้ามิรู้ว่าตนเองจะหยุดรักเจ้าได้หรือไม่”

“ข้ายอมแลกจอกสุรามงคลแก่ท่านแล้ว ไยข้าจะต้องกลัวสิ่งใดอีกในเมื่อคนที่ข้าจะมอบชีวิตกระทั่งวิญญาณให้ก็มีแต่ท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้น”

สุขใดเล่าจะเท่าคำปวารณามอบแล้วสิ้นซึ่งจิตวิญญาณให้แก่ตน หลี่รั่วถงยิ้มรับกดริมฝีปากจุมพิตไปที่ดวงตาคู่สวย จรดจมูกเป็นสันลากผ่านแก้มขาวเนียนที่แดงเรื่อไปถึงใบหูเล็กอย่างพึงใจ จูบต่อมากดริมฝีปากหยักไปที่ซอกคอขาวอยู่เนิ่นนาน บัดนั้นก็พลันบันดาลลมหมุนดับแสงเทียนและตะเกียงไฟภายในห้องหับ แล้วบรรจงละเลียดชิมบุรุษตรงหน้าอย่างละเมียดละไมเสียจนเจ้าของกายโปร่งวูบไหวราวกับเปลวเทียนต้องลม

เป็นคราแรกที่ถูกสัมผัสเช่นนั้น เซียวโม่โฉวมิเคยเสียพรหมจรรย์ให้แก่ตรีหรือบุรุษผู้ใด ถือว่าเกิดเป็นมนุษย์จะเสียชาติเกิดก็คงต้องปล่อยให้กนด่ากันไป หากแต่เช่นไรมิต้องมัวหมองเพราะมืออื่นก็นับว่าโชคดีนัก

ข้าไม่ประสีประสาในเรื่องรักใคร่ แต่การให้ความร่วมมือข้าคงพอทำได้

เซียวโม่โฉวคร่ำครวญอยู่ในใจก็พลันสะดุ้งไหวกับฝ่ามือที่สอดผ่านสาบเสื้อ มือหนาเข้าสัมผัสกับเนินอกที่แบนราบจนร่างที่ไร้กล้ามเนื้อแน่นหนาสะดุ้งไหวขนลุกชั้นไปทั่วสรรพางค์กาย อีกทั้งริมฝีปากร้อนก็บดเบียดริมฝีปากอ่อนนุ่มจนแทบเห่อร้อนบวกกับสัมผัสที่ปัดป่ายก็แทบดิ้นทุรนทุรายด้วยความรู้สึกซาบซ่าน

“เจ้ากลัวหรือไม่”เสียงทุ้มกังวานกระซิบชิดใบหูเล็กของเซียวโม่โฉวอีกครา ลมหายใจที่อุ่นร้อนคลอเคลียบนแก้มแดงราวผลท้อหล่นสุก

“ขะข้า หาได้กลัวสิ่งใด”

“เช่นนั้นหรือ”
 
สิ้นประโยคถามไถ่ หลี่รั่วถงก็สนองให้ผู้ที่มิได้เกรงกลัวอย่างไม่เกรงใจ มือหนาที่ปัดป่ายไปเลื่อนต่ำลูบไล้ไปจนถึงหน้าท้องแบนราบ ก็พลันสะกิดเชือกที่ผูกรั้งเอาไว้ปมแน่นคลายออกได้ดั่งใจคิด จึงค่อยๆ เลื่อนมือลงต่ำสอดลูบไปตามขอบกางเกงหลวมหลุดเข้าโอบสะโพกกลมกลึงของบุรุษหนุ่มตรงหน้า ที่ขบเม้มริมฝีปากบางเสียแทบเห่อช้ำด้วยสะกดกลั้นอารมณ์ ผิวเนียนละเอียดบัดนี้กลับร้อนรุ่มไปตามส่วนที่ถูกสัมผัสไม่มีท่าทีจะเย็นลงได้อีก

ใบหน้าที่แดงเรื่อ มือหนึ่งเกาะกุมไหล่แข็งแรงอีกมือขยุ้มผ้าที่พื้นเตียงเสียจนกลีบบุปผาที่อยู่ในฝ่ามือช้ำตามไปด้วย เซียวโม่โฉวกำลังฝืนทนความร้อนรุ่มที่หลี่รั่วถงมอบให้ จนใบหน้าเริ่มผุดพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อเม็ดเล็ก ทั้งนี้ความวูบไหวที่พาร่างสั่นไหวครั้นมือใหญ่เข้ากอบกุมส่วนล่าง ทุกการเคลื่อนไหวในฝ่ามือหนานำพาความหฤหรรษ์ระคนเสียวซ่านมาให้เซียวโม่โฉวไม่มีเว้นว่าง พาเอาดวงตาคู่สวยฉ่ำปรือลมหายใจติดขัดราวกับจะขาดใจเสียให้ได้

ลิ้นอุ่นชื้นที่ลากไล้จุมพิตไปบนเนินท้องที่หอบโยนขึ้นลงด้วยลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมอ นำพาความรู้สึกวูบไหวสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย

ยามนี้หลี่รั่วถงจัดการปลอดเปลื้องอาภรณ์ที่ห่มกายตนเองออก เผยร่างกายที่เปลือยเปล่าแข็งแรง ดึงดูดสายตาผู้ที่เหลือบมองผ่านแสงสลัวกลับยิ่งเก้อเขินแม้จะเป็นร่างกายบุรุษที่ไม่ต่างไปจากตน สิ่งใดหลี่รั่วถงมีตนก็มีทว่าคงเห็นความแตกต่างก็ครานี้กระมัง

“ข้าสัญญาว่าจะถนอมเจ้า จอมใจของข้า”คำกล่าวที่ราวเสียงกระซิบมาพร้อมกับสัมผัสแตกต่างจากทางด้านหลัง บางอย่างกำลังก่อกวนความรู้สึกของเซียวโม่โฉวให้ปั่นป่วนยิ่ง ความไม่คุ้นชินที่รุกล้ำกำลังสัมผัสกับช่องทางรักที่อ่อนนุ่ม ความรู้สึกทรมานส่งผ่านฝ่ามือขยุ้มผืนเตียงยับยู่สีหน้าเว้าวอนจนหลี่รั่วถงมิอาจยับยั้งตนเองได้อีก ความปรารถนาที่แรงกล้านำพาเสียงครางต่ำในลำคอครวญคร่ำราวกับไม่อาจข่มความรู้สึกทั้งหมดได้ แม้จะขบเม้มริมฝีปากตนเองจนกลัดเลือดเพียงใดก็ไม่อาจทัดทานความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาได้

หลี่รั่วถงคงรับรู้อยู่แก่ใจจึงมิได้ใจร้ายนักก็พลันผ่อนหนักเบาให้เสียก็หลายครั้งหลายครา

อีกทั้งด้านหน้าที่ปรนเปรอให้ก็มิได้ละห่างยังคงขยับรูดรั้งหนักเบาให้อีกฝ่ายอย่างยินดีและพึงใจ ความหวามไหวที่ก่อเกิดขึ้นบนร่างกายของเซียวโม่โฉวไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหฤหรรษ์เพียงใด

“ข้าทำเจ้าเจ็บหรือ? ”

“มะไม่ ใช่ เพียงแต่ร่างกายข้า...! ”มิทันได้เอ่ยให้รู้ นิ้วหนาที่สาละวนผ่อนหนักเบาคอยชำแรกช่องทางรักอ่อนนุ่มอยู่ด้านหลังก็พลันรุกเร้าจนเซียวโม่โฉวสะดุ้งตัวโยน แอ่นกายที่ไร้อาภรณ์ปิดกั้นด้วยสีหน้าหวามไหวจนหลี่รั่วถงไม่อาจอดใจเข้าไปจูบซับเนื้อเนียนขาวที่ร้อนผะผ่าวอีกครา ครั้งนี้เห็นที่ความแข็งขืนที่อดทนมิอาจรั้งรอได้อีกต่อไป เพียงกระซิบแผ่วเบาให้อีกฝ่ายตระเตรียมใจก็นับว่าถนอมมากแล้ว
เรียวขาขาวที่ถูกแยกออกจากันถูกแทรกกลางด้วยกายแกร่งเข้าบดเบียดจนแนบชิดมิห่างร้างรา ลูบฝ่ามือหนาไปตามโคนขาอ่อนนุ่มรั้งเรียงขาขึ้นจูบซับทิ้งร่องรอยตีตราทุกซอกมุม แรงหอบโยนที่มาพร้อมกับแรงกระแทกกระทั้นอีกทั้งกระโจนจ้วงหนักเบาทำเอาร่างบุรุษหนุ่มบิดเร้าด้วยความซาบซ่านไม่รู้สิ้น มือขาวที่กอดตระกองแผ่นหลังกว้างแทบจะฝังรอยเล็บด้วยความเจ็บปวดราวกับถูกฉีกร่างอยู่หลายครา เสียงสั่นเครือที่หอบกระเส่าสอดประสานไปตามห้วงอารมณ์ที่ส่งผ่านถึงกัน กระทั่งความหฤหรรษ์ที่จับจูงกันมาก็นำพาความสุขสมให้แก่กันและกันมิรู้ว่าเวลานั้นผ่านไปกี่ชั่วยาม

แต่ที่รู้แน่นั้นเซียวโม่โฉววิญญาณแทบหลุดหายไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่คราเพราะความร้อนรุ่มของหลี่รั่วถงผู้นี้ เห็นทีว่าผู้ที่สลบซบแนบอยู่กับไหล่กว้างจึงต้องแสร้งหลับไปเสียให้พ้นค่ำคืนนี้เสียแล้ว มิเช่นนั้นคงมิรู้ว่าจะถูกสายตาแกร่งคู่นั้นเว้าวอนจนอ่อนทั้งใจและกาย ไหลไปตามห้วงอารมณ์ไปไม่รู้จักจบสิ้นหรือไม่

ถึงอย่างไร.....ข้าจะดิ้นไปไหนรอดได้ หากเอ่ยคำเดียวว่าปรารถนาข้าจักไม่หยิบยื่นให้เชียวหรือ เพราะถึงอย่างไรต่อแต่นี้ดวงใจของข้าก็จะปรารถนาเพียงแต่คนผู้นี้เสมอไปไม่เปลี่ยนแปลงชั่วฟ้าดินสลายเป็นแน่





มีต่อด้านล่างจ้า
v
v
v
v


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4
ณ สะพานข้ามบึงบัว

   “เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ ข้าตามหาเจ้าเสียตั้งนาน”เสียงที่เอ่ยขึ้นดึงความสนใจจากเซียวโม่โฉวให้หันไปมองพร้อมกับร่างสูงสง่าที่เดินเข้ามาใกล้สวมกอดเสียดื้อๆ จนเซียวโม่โฉวสะดุ้งโหยง

   “ประเดี๋ยวใครมาเห็น ท่านมิกลัวหรือว่าจะถูกเอาไปนินทาเสียได้”

   “ผู้ใดจะหาญกล้านินทาได้”

   คนถูกสวมกอดค้อนมองส่ายหน้ายิ้มๆ “ถึงอย่างไรก็โปรดปล่อยข้าก่อนเถิด”กว่าเซียวโม่โฉวจะผละออกจากวงแขนของหลี่รั่วถงได้ก็เล่นเอายากเช่นกัน

   “ตกลงเจ้าแอบมาทำอะไรที่นี่คนเดียว”

   “คือว่า...ข้าอยากจะพายเรือ”เซียวโม่โฉวทอดสายตามองไปยังสระบัวที่กว้างขวางแสร้งตาละห้อยให้หลี่รั่วถงเห็นใจ ครั้นมีความคิดบางอย่างอยู่ในใจจึงยอมร้องขอด้วยสีหน้าตาใสไปเช่นนั้น
   “เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงอยากจะพายเรือเล่นเสียอย่างนั้น”

   “แล้วข้าจะบอกเหตุผล แต่ตอนนี้ท่านช่วยข้าหน่อยเถิด แล้วข้าจะแสดงฝีมือพายเรือให้ท่านนั่งตอบแทน ”หลี่รั่วถงเงียบไปเพียงครู่ จึงมิได้คิดขัดความต้องการของเซียวโม่โฉว พลันบันดาลเรือไม้สองคนนั่งให้ปรากฏอยู่ตรงหน้า อีกทั้งหอบเอาผู้ที่ปรารถนาจะเป็นคนพายเรือให้เขานั่งลงเรือไปในคราเดียว

   ผู้ที่ได้ดั่งใจจึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หยิบจับไม้พายกำแน่นนัยน์ตาสุขยิ่ง

   “เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าพายเรือเป็น”หลี่รั่วถงที่นั่งอีกฟากฝั่งของเรือหันหน้าเข้าหาเซียวโม่โฉวที่สีมีหน้ามีความสุขนักก็พลันมีความสุขไปด้วย

   “แน่นอน ข้าเคยพายเรือจ้างส่งของเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ท่านเชื่อฝีมือข้าได้”เซียวโม่โฉวแสดงฝีมือที่ไม่ได้เกินคำกล่าวอ้างงัดเรือพายไปตามน้ำเรื่อยๆ บ้างก็หยุดหักฝักบัวที่สุกเต็มแก่ ประเดี๋ยวเดียวก็มิใช่เรื่องน่ารื่นรมย์ของหลี่รั่วถงอีกต่อไปเมื่อเซียวโม่โฉวดูจะจริงกับการเก็บฝักบัวเสียจนตอนนี้แทบจะท่วมเรือจนจะไม่มีช่องว่างให้ได้มองหน้าอีกฝ่ายอยู่แล้ว

   “เดี๋ยว นี่เจ้าจะเก็บฝักบัวไปทำอะไรเสียมากมายถึงเพียงนี้”เสียงที่ตะโกนข้ามกองฝักบัวดังมาจากหลี่รั่วถง ปัดบางส่วนให้พ้นสายตา

   “จริงๆ แล้ว....ข้าจะนำไปเป็นยา”เสียงตอบพึมพำคล้ายลังเลว่าจะกล่าวออกไปดีหรือไม่ เหตุที่อยากลงไปในสระบัวก็มีเพียงเท่านี้

   “ยา? ยาอะไรหรือเจ้าป่วยไม่สบายตรงไหน! ”

   “ปะเปล่า ข้าสบายดี เพียงแต่ข้ารู้มาว่าเม็ดบัวมีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย ข้าเลยจะนำมันไปแกะไว้ให้ท่านทานเล่น หวางหรูอี้บอกว่าท่านชอบท่านด้วยข้าก็เลย...แต่ดูเหมือนข้าคงเก็บเพลินไปหน่อย”เซียวโม่โฉวหารู้ไหมว่าคำพูดเหล่านั้นนำความแปลกใจมาให้หลี่รั่วถงจนถึงกับอดกลั้นไม่ไหวกวาดฝักบัวออกไปเสียครึ่งหนึ่งเพื่อจะกระโจนไปหาเจ้าของความคิดเช่นนั้น แม้หวางหรูอี้จะมีส่วนสร้างเรื่องหากแต่ก็พึงใจเสียอย่างนั้น

   “เจ้ามัน.....”

   “ข้า ข้าพูดสิ่งใดผิดหรือ”คนที่ถูกจ้องเขม้นตาเบิกโพลงตกใจคิดไปว่าพูดสิ่งใดไม่ระรื่นหูอีกฝ่ายเสียแล้ว หากแต่ไม่ทันไรก็ถูกอีกฝ่ายโน้มตัวลงมาจูบเสียอย่างนั้น ยิ่งสร้างความตกตะลึงให้แก่เซียวโม่โฉวจนนึกคิดสิ่งใดไม่ออก

   “ข้าอยากจะกอดเจ้าเสียในเรือตอนนี้จริงเชียว ”

   “เอ๊ะ? ”

   ท่าทางเหลอหลาตกใจกับท่าทีของหลี่รั่วถงที่จู่โจมเข้ามาจนเรือแกว่งจวนจะคว่ำทำเอาเซียวโม่โฉวแทบตั้งสติไม่ทัน รู้ตัวอีกทีก็ถูกคนผู้นี้ครอบครองสติและความคิดของตนไปเสียแล้ว

   “ข้าจะบอกให้เรารู้ ข้ามิได้ชอบกินของเหล่านี้”

   “แต่หวางหรูอี้บอกข้า.....”

   “ข้าจะบอกให้ว่าจริงๆ แล้วข้าชอบกินสิ่งใด”

   “สิ่งใดที่ท่านชอบ? ”ผู้ที่ตั้งใจฟังมองหลี่รั่วถงตาไม่กะพริบ ไม่กล้าแม้แต่ขยับตัวกลัวเสียเหลือเกินว่าจะพลาดทำเรือคว่ำ แต่ทว่าคำพูดคำจาที่หลี่รั่วถงกล่าวออกมาเถรตรงอย่างคนซื่อด้วยท่าทีขึงขังชั่งเขย่าดวงใจบุรุษหนุ่มให้เต้นโครมครามเสียยกใหญ่นัก
 
   “สิ่งที่ข้าชอบจะเป็นสิ่งไหนไปได้ถ้ามิใช่เจ้า จะให้ข้ายืนยันเพื่อพิสูจน์ดีหรือไม่”

   คืนหวานชื่นก็ผ่านไปแรมเดือนแล้ว ไยข้าถึงยังขวยเขินกับเรื่องเหล่านี้ไม่ว่างเว้นกันนะ

   “มะไม่ต้อง ข้าเชื่อท่านหากแต่ตอนนี้กลับขึ้นฝั่งก่อนดีหรือไม่ ข้าใจไม่ดีว่าท่านจะทำเรือคว่ำ ข้าไม่อยากเปียก”

   เซียวโม่โฉวยิ้มคิ้วยู่ เอื้อมมือตบเบาๆ ไปที่ไหล่ให้หลี่รั่วถงคุมสติ อีกฝ่ายอดมิได้ที่จะจุดยิ้มขึ้นตรงมุกปาก ส่ายหน้าไปมาแววตาขบขัน ไม่พูดพร่ำใดๆ จึงช้อนอุ้มร่างโปร่งไว้ในอ้อมอก ทะยานตัวมายืนอยู่ริมตลิ่งวางเซียวโม่โฉวลง

   “เจ้ามิต้องเอาใจข้าด้วยเรื่องเหล่านั้นหรอก ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเพียงเจ้าอยู่เคียงข้างข้า ข้าก็ไม่ปรารถนาสิ่งใดอีก.....เม็ดบัวก็มิต้องเข้าใจหรือไม่”

   “ขะข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าหวางหรูอี้หลอกข้าอีกแล้ว แต่ในเมื่อข้าเก็บมันมาแล้ว ท่านก็รับมันไว้หน่อยเถิด”ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่บุรุษหนุ่มหยิบคว้าฝักบัวสีเขียวแก่มาแล้วยื่นให้หลี่รั่วถงราวกับบุปผชาติ แก้มขาวนวลเนียนแอบเก้อเขินกระแอมกระไอยื่นฝักบัวไปแนบออกอีกฝ่ายย้ำถาม“ท่านไม่รับหรือ? ”

   “ข้าจะไม่รับได้อย่างไร”

   เห็นทีว่าต่อแต่นี้แม้อีกฝ่ายจะหยิบยื่นสิ่งใดให้ ในสายตาของหลี่รั่วถงคงเห็นเป็นสิ่งมีค่าไปเสียหมด มิวายแม้กระทั่งฝักบัวแก่จัดที่คล้ายจะเริ่มเหี่ยวเฉาฝักนี้ก็ตาม






-จบ-






ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบแล้วจริงๆ ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ

ผิดพลาดบ้าง ช้าบ้าง อย่างไรก็ขออภัยไว้ด้วยนะคะ

เรื่องทั้งหมดล่วนเกิดแต่จินตนาการของผู้แต่ง ไม่ถูกใจใดๆ ก็ยกโทษให้กันนะคะ ฮ่าๆ

เรื่องหน้าฟ้าใหม่มา ก็ขอฝากเนื้อฝากด้วยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ

โดย หลานฮวา  :กอด1:




ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เขินนนนแป๊ปปปหวานไม่เกรงใจฟ้าดินเลยจ้าาาคิ้กค้ากกกก :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ nanaexo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ขอบคุณน้าที่ต่อจนจบ

ออฟไลน์ Rhapsodies21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เรื่องนี้โครงเรื่องน่าสนุกมากเลยค่ะ


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ Pathom

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
ขอบคุณเรื่องราวดีๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mentholss

  • "เหตุผล" หรือ "ข้ออ้าง"
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1

ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 856
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สนุกมาก ชอบแนวนี้สุดๆ
แต่หาอ่านยากมาก
ขอบคุณนิยายดีๆค่ะ

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ cutelady

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เป็นอีกเรื่องที่ชอบ
รักหลี่รั่วถงมากๆๆๆ  มีความรักที่มั่นคงในสามโลก...
ขอบคุณนักเขียนมากกก... ชอบแบบหวานๆๆๆๆ 
จะรออ่านผลงานต่อไป  และ ส่งกำลังใจให้ด้วยน้าาาาา
 :pig4: :pig4: :pig4:
 :-[ :bye2:

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4
 :กอด1: :กอด1: :-[ :-[

ขอบคุณนักอ่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านมากๆค่ะ //เก็บทุกคอมเมนต์และกำลังใจใส่กระเป๋าเลย :o8:

และอยากจะแจ้งให้ทราบว่าเรื่องนี้ผ่านพิจารณากับทาง สนพ.วายซิกบุ๊คส์ แล้วค่า :hao5:

อยู่ในขั้นตอนการแก้ไขประสานงานต่างๆ นานา

ทั้งเนื้อเรื่องก็จะมีการเพิ่มเติมให้สมบูรณ์กว่าเดิม ซึ่งทางผู้แต่งเองก็ได้ปรับปรุงเนื้อหาไปแล้ว

เพิ่มเติมในส่วนที่คิดว่าต้องได้มากกว่านี้อีกและอีกส่วนยิบย่อยเพื่อให้เรื่องราวสมเหตุสมผล

และเสริมทัพด้วยตอนพิเศษในแบบที่ในเรื่องหาโมเมนท์นั้นไม่ได้อีก 5 ตอน

แพลนว่างานหนังสือ62 นี้คงจะได้ออกมาเป็นรูปร่างรูปเล่ม

(หากไม่มีอะไรผิดพลาดหรือล่าช้าก็จะมีให้เปย์ในช่วงงานหนังสือค่ะ ฮ่าๆ ) ชื่อเรื่องก็คงเดิม

แต่เพิ่มเติมคือความอินในอิน  :impress2:

ใครผ่านหูผ่านตาหนังสือนามปากกา หลานฮวา ก็ฝากไว้ด้วยนะคะ ขอค่าขนมโหน่ยยยย งืดดด :m1:

หรือแวะไปโฉบได้ที่ fb หลานฮวา ได้น๊า

ไว้พบกับพี่หลี่ได้ในเล่มนะคะ  :a1: ขอบคุณอีกครั้งค่ะสำหรับพื้นที่แจ้งข่าวเล็กๆ น้อยๆ ^^

ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 407
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
ทั้งเรื่องนี้สิ่งเราโดนตกคือกระต่ายน้อย 555555 อยากเห็นหนูน้อยเติบโตจริงๆ

ออฟไลน์ AilyrZ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โชคดีที่จบแฮปปี้เอนดิ้ง  ในความเป็นจริงถ้าจะทดสอบกันขนาดนี้ นายเอกดูเป็นคนไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นเลย อย่างไรก็ตาม ภาษาสวยมากค่ะ อ่านลื่นดี

ออฟไลน์ Piiiimsen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกก ไม่คิดว่าคนๆนึงจะรักและรอใครได้นานขนาดนี้ พล็อตเรื่องดีด้วย เรื่องไม่ยืดเยื้อ ชอบๆๆๆ ขอบคุณมากนะคะ  :o8:

ออฟไลน์ yin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
น่ารักมากเลย

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
สำนวนการแต่งของคนเขียนเหมือนนิยายช-ญเลย
ดำเนินเรื่องช่วงนายเอกแรกๆ เหมือนผญเลย
แต่พอท้ายๆเรื่องเริ่มมีความสมเหตุสมผลเข้ามา
ทำให้ดีขึ้นมากกว่าเดิมเยอะ แต่เนื้อเรื่องยังมีความเอื่อยๆ
อ่านๆไปก็เริ่มอยากวาง แต่ก็อ่านจนจบนะ
หวังว่าจะมีผลงานให้ติดตามต่อนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด