۞จอมใจ จ้าวมนตรา۞[วายจีนโบราณ] บทส่งท้าย(จบ) update 27/12/2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ۞จอมใจ จ้าวมนตรา۞[วายจีนโบราณ] บทส่งท้าย(จบ) update 27/12/2561  (อ่าน 37760 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4
บทที่ 8
ผู้มีใจปฏิพัทธ์



   นับได้ก็ย่างเข้าสองราตรีแล้วที่เซียวโม่โฉวตัดใจไม่เหยียบย่างออกจากดินแดนลึกลับแห่งนี้ สถานที่ซึ่งคราแรกก็สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้อคติเสียแล้ว หากแต่เป็นหนทางเดียวที่เซียวโม่โฉวจะทำได้ ความปรารถนาที่จะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับตนว่าเหตุใดจึงได้ถูกบิดามารดาหักสิ้นความรักความห่วงหาเช่นนี้ ยามระลึกถึงคราใดก็ราวเป็นเสี้ยนตำลึกอยู่ในใจบุรุษหนุ่มไม่เลือนหาย พาลน้ำตาอุ่นๆ ก็รินไหลเป็นทาง

   ฟู่วววว

   เสียงผ่อนลมหายใจยาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นจากการฝึกจิตให้กล้าแข็งมองยังสถานที่ที่ไม่น่าภิรมย์ใจแห่งนี้อย่างเงียบเหงา ดวงตาคู่สวยกะพริบไล่น้ำค้างพราวที่เกาะอยู่บนแพขนตายาว อีกทั้งปัดเศษใบไม้ที่ปลิวร่วงหล่นบนตัวออก ตามด้วยการเริ่มขยับแขนและขาก่อนจะลุกขึ้นสวมรองเท้าที่มองเห็นคราใดก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องน่าอายเช่นนั้น

   หากแต่ความอุ่นกายยามวงแขนแข็งแรงโอบกอดกลับตราตรึงในความรู้สึกมิเลือนรางจนน่าแปลก

   แปะ แปะ!

   “จะฟุ้งซ่านไปกันใหญ่แล้ว”มือเล็กเข้าตบหน้าตนเองราวกับเรียกสติ คิ้วได้รูปยู่ย่นไม่พึงใจต่อความคิดประหลาดของตนเองแม้แต่น้อย

   ซ้ำคืนก่อนยามหลับตายิ่งกลับฝันประหลาด มองเห็นคลับคล้ายคลับคลาในความรู้สึกว่าถูกฝ่ามือใหญ่โอบตระกองใบหน้าอีกทั้งยังสัมผัสมือของตนอย่างอ่อนโยน ยิ่งครุ่นคิดก็ยิ่งสับสนในใจนัก

   วูบ

   ครั้นส่ายศีรษะสลัดความคิดอาการวูบหน้ามืดจึงเกิดขึ้น หากดีที่ยังสามารถใช้ฝ่ามือค้ำยันต้นไม้ไว้ได้ ทันทีที่กลับเป็นปกติจึงเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางที่เดินไปมาอยู่เป็นประจำ ปลายทางเป็นธารน้ำไหลเล็กๆ ที่เรียกความชุ่มชื่นให้แก่ใบหน้าที่ซีดเซียวได้ไม่น้อย

   เซียวโม่โฉวย่อกายวักน้ำเข้าลูบล้างใบหน้าอยู่หลายครา อีกทั้งดื่มกินแม้มิได้รู้สึกกระหาย หากแต่เคยชินที่จะทำเช่นนี้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เสร็จกิจวัตรเล็กๆ แล้วสายตาที่จับจ้องไปยังธารน้ำใสกลับต้องผวาตกใจเมื่อผิวน้ำสะท้อนเงาบางอย่างดำมืดอยู่เบื้องหลัง พลันความแตกตื่นจึงหันไปมองสะดุ้งหงายหลังเสียท่าตกลงไปผิวน้ำแตกกระจาย หากทว่าธารน้ำไหลมิได้ลึกกว้างเจ้าของร่างเล็กจึงเพียงดีดตัวลุกขึ้นสีหน้าเหลอหลา

   “มามิให้สุ้มให้เสียงเช่นนี้เจ้าทำข้าตกใจยิ่งนัก!”สายตาสั่นสะท้านจากน้ำที่เย็นเยียบและเหตุการณ์เมื่อครู่จ้องมองอสูรเสือดำร่างใหญ่ที่หาได้ตอบอันใดเพียงหมุนกายเดินออกออกไป เดือดร้อนเซียวโม่โฉวที่ต้องเดินตามมาในสภาพเปียกชุ่ม

   ถึงแม้จะไม่บ่อยครั้งนักที่เซียวโม่โฉวได้พบพานกับสัตว์อสูรจำแลงกาย ทว่าภายใต้ร่างกายราวสัตว์ดุร้ายนั้น บุรุษหนุ่มมิสามารถล่วงรู้ได้ว่าเป็นผู้ใด

   “ระรอข้าด้วยเจี้ยนหลิน”นามที่เซียวโม่โฉวตั้งให้เอ่ยเรียกผู้ที่อยู่ในร่างจำแลงจนต้องเหลียวหลัง แววตากลมใสเอียงศีรษะมองอสูรเสือดำตรงหน้า

   “.....”

   “เจ้าไม่ชอบชื่อที่ข้าเรียกอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นก็บอกนามของเจ้าให้ข้ารู้สิ ข้าจะได้เอ่ยเรียกเจ้าถูกต้อง”

   “.....”เจ้าของดวงตาสีเหลืองอำพันมิได้กล่าวสิ่งใดเพียงหยุดย่ำเดินเมื่อสังเกตโดยรอบแล้วว่าควรส่งเซียวโม่โฉวที่นี่

   “หากเจ้าไม่กล่าวอันใดข้าจะเรียกเจ้าว่าเจี้ยนหลิน ข้าว่าเป็นชื่อที่น่ารักดีเจ้าว่าหรือไม่”รอยยิ้มบางปรากฏมือหนึ่งบีบไล่น้ำที่เปียกชุ่มบนเสื้อผ้าอาภรณ์หน้าซื่อตาใส หากแต่ลืมมองหน้าเจี้ยนหลินที่ถูกกล่าวว่าน่ารักแม้แต่น้อย

   รู้ไปถึงไหนคงได้อับอายไปถึงนั้น ‘จ้าวพิภพแห่งหยิน’ มีนามไพเราะที่กล่าวได้ว่าน่ารัก คงสิ้นแล้วซึ่งความน่าเกรงขาม สัตว์อสูรที่ว่าดุร้ายในร่างจำแลงหาได้คณนาในความน่าเกรงขามต่อบุรุษผู้นั้นแล้วเช่นนั้นหรือ ต่อไปไม่นานคงมองอสูรเสือดำเป็นแมวเชื่องแสนรู้เสียกระมัง

   “เจ้าจะเรียกอย่างไรก็สุดแล้วแต่ใจเจ้า”ทว่าความคิดกับการกระทำนั้นย้อนแย้งนัก สีหน้าเคร่งขรึมหนวดยาวกระตุกหากแต่เลยตามเลยเพราะเจ้าของดวงตาพราวระยับที่กำลังถอดเคาะรองเท้าคู่โปรดขึ้นแขวนบนกิ่งไม่ตากให้แห้ง

   “ฮัดชิ่ว!”

ครู่หนึ่งที่เซียวโม่โฉวนิ่งค้างก่อนเอ่ยออกมาราวกับแปลกใจ“น่าประหลาด ข้ามิรู้มาก่อนว่าดวงวิญญาณเช่นข้าจะสามารถป่วยไข้ได้”

   “เช่นไรส่วนหนึ่งยังภพที่จากมา เจ้าก็เป็นเพียงมนุษย์ดวงจิตที่อ่อนแอไยจะป่วยไข้มิได้”เสียงกังวานเอ่ยขึ้นขนสีดำมันวาวขยับไหวครั้นร่างใหญ่ย่างเดินท่วงท่าสง่า

   คราแรกพบกันนั้นเป็นความบังเอิญที่ถูกบงการโดยผู้หนึ่งเมื่อครั้งเซียวโม่โฉวยังมีชีวิต คราที่สองเป็นความตั้งใจเพื่อปกป้องบุรุษตรงหน้า ทว่าคราที่สาม สี นั้นเพียงแค่เฉียดใกล้เพื่อเฝ้ามอง แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เซียวโม่โฉววางใจเรียกสัตว์อสูรซึ่งเป็นร่างจำแลงของหลี่รั่วถงว่าสหาย ครั้นจะเบาใจก็เห็นทีว่าควรจะไตร่ตรองใหม่เสียแล้ว

   ไว้ใจผู้อื่นได้อย่างง่ายดายนั่นคือขอเสียของคนผู้นี้

   หลี่รั่วถงคิดแล้วยิ่งคุกรุ่นในใจ คนผู้นี้ราวกับผ้าขาวที่ถูกดึงทึ้งเสียจนขาดแหว่ง ทว่าเนื้อแท้ยังคงบริสุทธิ์ลึกไปถึงดวงจิต
   “ข้าอ่อนแอสินะ”เซียวโม่โฉวพยักหน้าราวเห็นด้วยถึงความอ่อนแอของตน พลันลมโชยขณะยืนพูดคุยก็ทำให้กายบุรุษที่เปียกชื้นจำต้องกอดกายด้วยความหนาวสั่น

“คงจะจริงดั่งที่เจ้าว่า ข้าจึงได้รู้สึกหนาวเช่นนี้”

   เป็นดวงวิญญาณมิใช่เรื่องง่ายเช่นกันสินะ

   ครั้นนึกอย่างหดหู่บุรุษหนุ่มจึงได้ย่อกายนั่งลงกับพื้นหญ้า กอดเข่านั่งมองหยดน้ำที่ไหลออกจากรองเท้าแววตากลมใส ในใจภาวนาให้แห้งโดยเร็วพลัน เช่นไรวันนี้คงต้องกลับไปให้เหอจี๋เห็นหน้า

   ในภวังค์ที่ครุ่นคิด หลี่รั่วถงซึ่งอยู่ในร่างจำแลงพลันย่างเท่าไปทางเบื้องหลังเซียวโม่โฉวไม่พูดจา ร่างกายสง่าในร่างเสือดำปกคลุมไปด้วยขนสีดำมันขลับยอมย่อกายนอนราบไปกับพื้น อีกทั้งขยับเข้าชิดร่างกายที่สั่นหนาว ลมหายใจฟึดฟัดดั่งสัตว์ร้ายทว่าใบหน้าที่เต็มไปด้วยขนสีดำกลับเมินมองไปยังทิศทางอื่นแสร้งไม่สนใจสิ่งใด

   เซียวโม่โฉวนึกแปลกใจอยู่หลายส่วนที่เห็นเจี้ยนหลินเข้าล้มตัวลงนอนชิดใกล้ไม่มีท่าทีขยับถอยหนี อุ้งมือหนาเหยียดยาวยื่นไปเบื้องหน้า จงใจมอบไออุ่นจากร่างกายและบดบังลมหนาวให้แก่เซียวโม่โฉว

   “ขะขอบใจเจ้ามาก.....”น้ำเสียงใสเอ่ยขึ้นแผ่วหากแต่กลับขยับกายชิดอิงศีรษะเข้าแนบเพียงเบาอย่างระแวดระวังท่าทีเข้ากับสีข้างที่มีขนนุ่มดำราวกำมะหยี่ หลี่รั่วถงที่อยู่ในร่างจำแลงมิได้กล่าวอะไร เพียงใช้สายตาคมกริบเหลือบมองและหลับตาลงนิ่งสงบในท่าที

   ร่างเล็กที่เริ่มขดตัวเพราะความหนาวเริ่มรู้สึกบางอย่าง ความอบอุ่นที่ได้รับจากเจี้ยนหลินทำให้บุรุษหนุ่มนึกถึงคนผู้หนึ่ง ให้ความรู้สึกคลายมากเสียจนแก้มขาวผ่าวร้อนด้วยความคิดน่าขบขัน

   จะเหมือนกันได้อย่างไร สติข้าไยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกันนะ!




 วังหิมะ

   ท่ามกลางความหนาวเหน็บห่างไกลซ่อนเร้นจากสายตาเหล่าเทพเซียน ผู้ที่อาศัยอยู่ที่แห่งนั้นเป็นใครเสียไม่ได้หากมิใช่จูเกิงเฉิน สถานที่ฟื้นพลังเพื่อให้กลับไปสู่อำนาจที่แข็งแกร่งเฉกเช่นเมื่อพันปีก่อน บาดแผลลึกตรงอกข้างซ้ายสร้างรอยแผลเป็นฉกรรจ์ไม่อาจลบเลือนให้หายแม้พยายามฟื้นกำลังเพียงใด บัดนี้พละกำลังที่ฟื้นกลับนั้นเกือบสมบูรณ์แล้วหากแต่สิ่งที่ขาดหายไปนั้นคือเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ จูเกิงเฉินจำได้ดีว่าผู้ใดที่กระชากออกไปจากร่างของตน ความเจ็บปวดนั้นแสนสาหัสและทุกข์ทรมาน เทียบเท่าความผิดพลาดครั้งพลั้งมือทำลายสิ่งที่ตนปรารถนา หากแต่บัดนี้เขาก็พร้อมช่วงชิงมาด้วยกำลังที่มี

   “นายท่านเฉิน แผลนั่นทำให้ท่านเจ็บปวดอีกแล้วเช่นนั้นหรือ มีสิ่งใดที่ลี่ถิงพอจะช่วยท่านได้บ้างหรือไม่”

   “เจ้าไม่มีวันช่วยข้าได้ลี่ถิง”

   “ให้ข้าดูหน่อยเถิด ลี่ถิงเป็นยาวิเศษของท่านข้าอาจช่วยท่านได้”ดวงตากลมใสฉายแววความจงรักภักดี ร่างปราดเปรียวผิวพรรณขาวผุดผ่องอย่างบุรุษวัยแรกแย้มเยื้องย่างมาเบื้องหน้าจูเกิงเฉินยื่นแขนข้างหนึ่งที่มีร่องรอยคมมีดที่นับไม่ถ้วนให้ไม่กลัวเกรง

   “ถอยไปลี่ถิง เจ้าไม่จำเป็นต่อข้าในเวลานี้”ดวงตาคมเฉี่ยวตวัดสายตามองผู้ที่น่ารำคาญในสายตา ก่อนใช้ลำแขนแข็งแรงดันลี่ถิงให้พ้นทางอย่างไม่แยแส ดวงตากลมใสฉายแววหม่นหมองหากแต่ไม่ยอมทำตามคำสั่ง กลับเดินจ้ำอ้าวตามผู้ที่หาได้มีใครปรารถนาเคียงกายต้อยๆ

   “นายท่านเฉิน ท่านจะไปที่ใดหรือขอรับให้ลี่ถิงตามท่านไปด้วยได้หรือไม่”

   “เจ้าเป็นแค่รากบัวที่ข้าให้โอกาสเจ้าได้มีชีวิต หากเจ้าไม่ต้องการก็ลองทำให้ข้ารำคาญเจ้าอีกคราสิ!”น้ำเสียงขู่เข็มพร้อมดวงตาที่เกรี้ยวกราดปราดเข้าคว้าลำคอของลี่ถิงดันจนร่างกายที่หาได้มีพละกำลังใดชิดเข้ากับกำแพงหิมะสั่นสะเทือน ก่อนจะปล่อยมือแล้วเหวี่ยงลี่ถิงให้พ้นทาง

   “แค่ก แค่ก!”

ดวงตากลมใสคลอด้วยหยาดน้ำตา มองดูร่างกายที่หาได้มีประโยชน์อันใดในยามนี้อย่างรู้สึกผิด เดิมลี่ถิงเป็นเพียงรากบัวในบึงหมื่นฟ้าบนยอดเขาพันอักษร จูเกิงเฉินครั้นซมซานหนีตายไปที่นั่นจึงได้เก็บลี่ถิงมาเพื่อเป็นยารักษาตน ด้วยพลังเพียงน้อยนิดเขาถ่ายเทให้แก่ลี่ถิงก่อเกิดเป็นหนุ่มน้อยที่มีเนื้อกายเป็นยาชั้นดี นับแต่นั้นลี่ถิงจึงมองจูเกิงเฉินเป็นทุกๆ อย่างในชีวิตที่สามารถมอบกายถวายหัวให้ได้ ไม่ต่างจากสุนัขที่จงรักภักดีต่อเจ้าของ

   “ยามนี้หากข้ามีประโยชน์ต่อท่านเพียงสักเล็กน้อย ท่านคงไม่รู้สึกเจ็บปวดเช่นนั้น”

   ซู่!

   ยามนี้เบื้องหน้าจูเกิงเฉิน ด้วยพลังที่ฟื้นคืนหลายส่วนจึงเป็นเรื่องไม่ยากที่จะรวบรวมเหล่าปีศาจนอกรีตที่ต้อยต่ำกว่าและปรารถนาจะพึ่งพาอำนาจของจูเกิงเฉิน บัดนี้ผืนน้ำที่ดำมืดกำลังก่อตัวเป็นร่างกายอมนุษย์รูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ทุกตัวต่างศิโรราบอย่างนอบน้อมให้แก่นายเหนือหัวของพวกมัน

   “พวกเจ้ามาก็ดีแล้ว อีกไม่นานข้าอาจต้องหยิบยืมพละกำลังของพวกเจ้าเพื่อทำการใหญ่บางอย่าง เมื่อสำเร็จ คงรู้ใช่หรือไม่ว่าพวกเจ้าจะไม่ต้องหลบซ่อนตัวอีกต่อไป”

   “พวกข้ายินดีรับบัญชา เพียงท่านเอ่ยมาพวกข้าก็พร้อมเสมอ”

   “พวกเจ้าช่างดีต่อข้านัก ข้าจักไม่ลืมบุญคุณของพวกเจ้า”ยิ้มร้ายใช้สายตาวาวมองไปเบื้องหน้าด้วยความเปรมปรีดิ์ก่อนจะหัวเราะด้วยน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังคล้ายพึงใจต่อบริวารตรงหน้าไม่น้อย

   ครานี้ข้าไม่อาจแพ้ให้แก่เจ้าได้อีก ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม เตรียมตัวเตรียมใจของเจ้าไว้ให้มั่นเถิดหลี่รั่วถง!


   
พิภพแห่งหยิน

   ภายในสวนท้อหนึ่งบุรุษกำลังก้มมองกลีบบางที่ร่วงลงสู่พื้นก่อนจะค่อยๆ สลายหายไปต่อหน้าต่อตา ทุกกลีบของดอกท้อแห่งสวนแห่งนี้เป็นเช่นนั้น เซียวโม่โฉวนั่งมองความประหลาดราวกับจะเข้าถึงวัฏจักรของชีวิตให้ถ่องแท้

   เมื่อผลิบาน ก็ต้องร่วงโรยและสลายหายไป เป็นเช่นนั้นซ้ำๆ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

   “โถ่! ท่านมานั่งอยู่ที่นี่ข้าตามหาท่านเสียให้วุ่นวาย”

   “โม่โฉวววว! เจ้าทิ้งข้า”ผู้ที่วิ่งเร็วจี๋เตรียมจะโถมใส่เซียวโม่โฉวมาแต่ไกล แต่กลับถูกเหอจี๋คว้าคอเสื้อเอาไว้ได้อย่างฉิวเฉียด

   “ไร้มารยาท เจ้าจะทำเช่นนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน!”เสียงดุว่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ สำรวจตรวจมองร่างกายของเจ้าทู่จึที่นับวันจักสูงใหญ่เติบโตราวกับเด็กมนุษย์อายุสี่ขวบ

   “ก็ข้าคิดถึงโม่โฉว”อีกฝ่ายงอแงแบะปากจวนจะร้องไห้

   “อย่ามาเสแสร้ง คิดถึงอะไรนักหนาของเจ้า มิได้ล้มหายตายจากกันไปเสียเมื่อไหร่ น้ำตาของเจ้าหาใช้กับข้าสำเร็จไม่”สายตาเขม้นจ้องมองทู่จึอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันไปใส่ใจกับผู้คนตรงหน้าต่อ

   “พวกเจ้ารีบร้อนหาข้ามีเรื่องใดกัน?”เซียวโม่โฉวดันตัวลุกใช่มือปัดฝุ่นตามอาภรณ์ขาวสะอาดก่อนจะหยิบเอากลีบดอกท้อที่ตกอยู่บนหัวของทู่จึออกให้ ผู้ที่ได้รับการเอ็นดูยิ้มจนปากจะฉีกเสียให้ได้

   “คราแรกข้าเพียงตามหาเพราะเป็นห่วงท่าน ช่วงนี้ร่างกายของท่านนั้นอ่อนแอลงมากข้าจึงเป็นห่วง แต่ระหว่างทางข้าได้รับคำสั่งให้นำท่านไปพบกับนายท่านขอรับ”

   “อา.....เช่นนั้นหรือ”

   เซียวโม่โฉวพยักหน้ายกนิ้วเรียวขึ้นเกาแก้มที่แดงขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อครั้นได้ยินชื่อของจ้าวพิภพแห่งหยิน ดวงตาคู่สวยหลุบลงต่ำเล็กน้อยราวกับชั่งใจ ก่อนจะขยับปากบางที่ซีดเซียวลงมาถามเหอจี๋“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่านายท่านของเจ้าเรียกหาข้าด้วยเหตุใด?”

   “ข้าไม่ทราบขอรับ”

   “ไม่เป็นไร.....ข้าจะไป”

   สองสามวันมานี้เซียวโม่โฉวไม่สามารถเดินทางไปยังป่าลึกลับเพื่อบำเพ็ญเพียรได้ บ่อยครั้งที่ราวกับดวงวิญญาณนั้นอ่อนแอลง หลี่รั่วถงจึงสั่งกำชับเหอจี๋มิให้โม่โฉวเดินทาง ครั้นพักฟื้นตนเองอยู่ที่เรือนเสี้ยวจันทรา ราวกับว่าเจ้าของบ้านแห่งนี้มิได้แห้งแล้งน้ำใจนัก มักแวะเวียนมาพูดคุยเสมอ ไม่มากประโยคหากแต่บ่อยครั้ง แม้เหอจี๋จะกล่าวว่าหลี่รั่วถงยุ่งอยู่เสมอ อีกทั้งยังต้องลงไปยังโลกมนุษย์อยู่บ่อยนัก ครั้นเคยถามไถ่ก็ไม่อาจเอาคำตอบได้

   เซียวโม่โฉวยังเคยได้รับของฝากเป็นพุทราเชื่อมรสหวานลูกโตจากหลี่รั่วถง เขาจำใบหน้าของผู้ที่หยิบยื่นของฝากให้ได้เป็นอย่างดี แสดงออกด้วยท่าที่อ่อนโยนภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยระคนแววตาดุดัน ช่างย้อนแย้งเสียจนไม่อาจลืมเลือน
เซียวโม่โฉวเคยขบคิด ว่าแท้แล้วอุปนิสัยใจคอของหลี่รัวถงเป็นเช่นไรกันแน่ บางคราดุดันและโหดเหี้ยม แต่บางครั้งก็อ่อนโยนเสียจนน่าแปลกใจ ครั้นถามเหอจี๋ไปกลับมีแต่สีหน้าเกรงกลัวต่อคนผู้นั้น รวมทั้งบริวารที่เคร่งครัดในที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน

   บุรุษหนุ่มไม่สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดตนจึงไว้ใจผู้ที่จะต้องมอบดวงวิญญาณให้เช่นนั้น หรือตนจะปลงเสียแล้ว ดั่งกลีบดอกท้อที่เบ่งบานอวดความงดงามอย่างมิเกรงกลัวเวลาร่วงโรย หากมีวาสนาคงได้ผลิบานในอีกไม่ช้า

   ยามนี้เหอจี๋รับหน้าที่มาส่งเซียวโม่โฉวยังสะพานที่ทอดยาวข้ามบึงบัวทองอย่างที่ไม่มีให้เห็นในโลกมนุษย์ ปลายทางสิ้นสุดที่ใดไม่อาจมองเห็น มีเพียงหมองบางที่ลอยอบอวลอยู่ไกลๆ คล้ายปลายทางลึกหายไปในกลีบเมฆ

   “พวกเราจะไม่ตามไปด้วยเช่นนั้นหรือ”

   “เจ้าโง่หรือแสร้งโง่กันแน่ จะตามไปด้วยเหตุใดกันเล่า”

   “แต่โม่โฉวดูไม่ค่อยดี เขาอาจไม่สบายกะทันหันได้”

   “จะกลัวไปไย ผู้ใดรั้งรออยู่เจ้าก็รู้มิใช่หรือ ไม่มีทางที่นายท่านของข้าจะปล่อยให้คนสำคัญต้องเป็นอันตราย”สายตาเหอจี๋ทอดมองแผ่นหลังบางของเซียวโม่โฉวที่เดินไปตามสะพานเบื้องหน้าแววตาเชื่อมั่น

   “สำคัญ? เจ้ากล่าวสิ่งใดว่าสำคัญ ข้าไม่เห็นจะเข้าใจ”

   “เหตุใดข้าต้องบอกแก่เจ้าด้วยเล่าเจ้าปีศาจชั้นต่ำ”เหอจี๋ขึงตาใส่ก่อนเชิดปลายจมูกรั้นเดินหนีเจ้าตัวน่ารำคาญไป

   “ให้ข้าโตอีกหน่อยเถอะเจ้าคงไม่ดูถูกข้าเช่นนั้น หึ!”ทู่จึ่ไล่ตามหลังเหอจี๋แล้วประกาศกร้าวจนหูโผล่ออกมาสั่นระริก

   “เจ้าจะทำเช่นไรข้าได้ เก็บหูน่าเกลียดของเจ้าให้มิดชิดได้ก่อนเถิดแล้วถึงจะมาท้าต่อยตีกับข้า”

   “คอยดูเถิด ข้าจะถอดเกล็ดเจ้ามิให้เหลือเลยคอยดู!”

   “หน็อย เจ้าปีศาจไม่สำนึกคุณ!”

   “แบร่!”อีกฝ่ายหันไปแลบลิ้นปลิ้นตา เหอจี๋ทำได้เพียงชี้นิ้วสั่นระริกกับท่าทียั่วโทสะเช่นนั้น

   “นับวันชักจะเหิมเกริมเอาแต่ใจนัก ผู้ใดกันที่หาข้าวหาอาหารมาให้เจ้าทุกคราไป คิดจะถอดเกล็ดข้าหรือรอไปอีกหมื่นปีเถอะ! ข้านี่แหละที่จะเฉือนไอ้จ้อนของเจ้าที่ชอบเดินล่อนจ้อน ไปทั่วเลยคอยดู!”

   เพราะได้ยินถึงเสียงต่อล้อต่อเถียงกันอยู่ห่างๆ เซียวโม่โฉวจึงได้เหลียวหลังไปมอง แม้จะเป็นเรื่องไร้สาระที่ทะเลาะกันทั้งเหอจี๋และทู่จึก็ไม่เคยลดหย่อนคารมต่อกันเลย แม้จะมีปากเสียงกันเช่นนั้นบ่อยครั้งก็กลับมาคืนดีกันเร็วอย่างกับสายฟ้าแลบ

   ครั้นเสียงสงบลงเซียวโม่โฉวก็ส่ายหน้ายิ้มๆ พลันตั้งใจจะเดินไปยังเบื้องหน้าทว่ากับต้องกระแทกเข้ากับใครบางคนเข้าอย่างจัง ร่างบางเงยหน้าขึ้นมอง พลางเอ่ยขอโทษเพราะไม่ได้ตั้งใจ ทว่าอีกฝ่ายก็ปรากฏกายมาไม่ให้สุ้มให้เสียงเช่นกัน

   “ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

“ข้าไม่เป็นไร”ใบหน้าขาวซีดพยักหน้าหงึก คลี่ยิ้มบางๆ ประดับใบหน้า“แล้วท่านมีเรื่องสำคัญอันใดต่อข้าหรือไม่”

“จะกล่าวว่าเรื่องสำคัญหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่ช่างเถิดข้าเพียงอยากจะพาเจ้าไปยังที่แห่งหนึ่ง”ร่างสูงสง่าก้าวเดินไปข้างหน้าจากก้าวที่กว้างและรวดเร็วก็ยอมช้าลงเพื่อให้ผู้ที่เดินมาเบื้องหลังตามได้ทันอย่างแนบเนียนเสมือนมิได้รั้งรอ

“น่าแปลกใจนักท่านยอมให้ข้าออกจากที่แห่งนี้ด้วยหรือ”

“หาใช่ที่ไหนไกล ข้าเพียงเห็นเจ้าเบื่อหน่ายจึงอยากให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตาเสียบ้าง”

“ไยท่านต้องเอาใจใส่ข้า วิญญาณเช่นข้าควรแล้วหรือที่ท่านต้องใส่ใจนัก อาจเสียเวลาของท่านไปเปล่าๆ ”

“เวลาของข้าหยุดลงนับตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนแล้ว”

“เฮ๊ะ?”

“อย่าใส่ใจที่ข้าพูด มาเถิดเจ้าต้องให้ข้าช่วยในตอนนี้”ก้าวไปเพียงไม่กี่ก้าว หลี่รั่วถงหยุดนิ่งหมุนกายสูงสง่าเข้าหาเซียวโม่โฉวแล้วยื่นฝ่ามือใหญ่มาเบื้องหน้า นัยน์ตาคมจับจ้องไปยังใบหน้าเซียวโม่โฉวที่ก้มลงมองฝ่ามือของตน ท่าทีลังเลราวกับไม่เข้าใจความหมาย เสียงอึกอักไม่รู้ว่าต้องการกล่าวสิ่งใดมิได้ทำให้หลี่รั่วถงไม่อาจรั้งรอ

“เอ่อ.....คือ.....”

“มาเถิด”เสียงทุ้มหากแต่กังวานเข้าดึงมือเล็กให้เข้าหาประชิดตัว พลันอีกมืออ้อมเกี่ยวผ่านเอวคอดประคองแผ่นหลังเล็กให้กระชับในวงแขนก่อนจะใช้เท้าข้างหนึ่งดันพื้นเพียงเบาหอบเอาสองร่างทะยานขึ้นสูงไปในอากาศ เซียวโม่โฉวตกใจเบิกตาโพลงมองหลี่รั่วถงอย่างตระหนก ครั้นเผลอเหลือบมองเบื้องล่างที่ห่างไกลยิ่งทำให้บุรุษหนุ่มหวาดกลัว จึงใช้ลำแขนเล็กเกาะเกี่ยวผู้คนตรงหน้าเป็นที่พึ่งด้วยแขนทั้งสองแน่น

“เจ้ากลัวเช่นนั้นหรือ?”น้ำเสียงทุ้มระคนขบขันก้มลงมองศีรษะที่ซุกอยู่ในอ้อมอก

“ขะข้า ข้ากลัวตก กะกลัวความสูง”เสียงสั่นและดวงตาที่ปิดลงสนิทพยักหน้าบอกกล่าว ไม้แม้แต่กล้าลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

“ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าร่วงลงไป เชื่อข้าเถิด”รอยยิ้มบางจากหลี่รั่วถงมองดูเซียวโม่โฉวที่เกาะเกี่ยวตนไว้แน่น

“แต่ข้าก็อดหวาดกลัวเสียไม่ได้ ตั้งแต่ตายมาข้าไม่เคยต้องเหาะเหินเช่นนี้นิ”

“ลืมตาขึ้นมาเถิด เจ้าจะได้รู้ว่าเบื้องล่างนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด”หลี่รั่วถงพยายามกล่อม อีกทั้งขยับลำแขนแกร่งโอบตัวเซียวโม่โฉวกระชับแน่นอีกคราสัมผัสได้ถึงเรือนกายที่เล็กจ้อยหากเทียบกับตน“ข้าสัญญาว่าจะไม่ปล่อยเจ้า.....ลืมตาขึ้นเถิด”เสียงกระซิบชิดใบหน้าที่เอาแต่ซุกสายตาหนี

“ข้าจะเป็นลมอยู่แล้ว”บุรุษหนุ่มเอ่ยเสียงสั่น รู้สึกมีอาการคลายจะไม่รู้ว่าไหนฟ้าไหนดิน

“เบื้องล่างนั้นงดงามเจ้าไม่อยากมองเห็นเช่นนั้นหรือ กลิ่นหอมจากกายของเจ้ามาจากสถานที่แห่งนั้นใช่หรือไม่”แม้จะกล่าวถามหลอกล่อให้ลืมตาตื่นก็หาได้เป็นผล

“ข้าบอกท่านแล้วว่าข้ากลัว”

“เช่นนั้นให้ข้าสลายความกลัวให้เจ้าดีหรือไม่”

“มีวิธีเช่นนั้นด้วยหรือ”

“เงยหน้าของเจ้าขึ้นครู่หนึ่งเถิด”เซียวโม่โฉวยอมว่าง่าย ดึงใบหน้าออกจากอกของหลี่รั่วถงที่หยักยิ้มราวกับกำลังมองดูผลท้อที่สุกใกล้หล่น แก้มของเซียวโม่โฉวก็ไม่ได้ต่างไปจากผลท้อแม้แต่น้อย

“งะเงยแล้ว ให้ข้าทำเช่นไรต่อ”แก้มแดงขึ้นสีเล็กน้อย ในอกรู้สึกหวาดหวั่น ทว่ากลับเชื่อมั่นในคำพูดของบุรุษตรงหน้า อาจกล่าวได้ว่าวิญญาณที่แสนอ่อนแอนี้กำลังตกบ่วงเสน่ห์หาที่พันผูกกันมาเข้าเสียแล้วอย่างไม่รู้ตัว

“ไม่ต้องทำสิ่งใด ข้าจะเป็นผู้ทำเอง”สิ้นน้ำเสียงกล่าวต่อเซียวโม่โฉว ใบหน้าที่ร้าวสูงส่งเกินเอื้อมกลับโน้มลงมาพร้อมแนบริมฝีปากหยักเข้าครอบครองริมฝีปากบางที่อวดความอ่อนนุ่มอยู่เบื้องหน้าในทันที ผู้ที่เคยหลับตาสนิทกลับเบิกตาโพลงขึ้น ดวงตาคู่สวยนิ่งค้างราวกับตกตะลึงไม่ต่างจากร่างกายที่แข็งทื่อเสมือนโดนสาป

ความอุ่นร้อนที่ราวกับดวงไฟกำลังก่อเกิด ซ้ำวิ่งพล่านไปทั่วสรรพางค์กายบุรุษหนุ่มอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ หากแต่กลับอ่อนไหวไหลไปตามความปรารถนาส่วนลึกของตนที่ปริ่มออกมาจากภายในใจ ครั้นอีกฝ่ายขยับริมฝีปากเพียงน้อยราวกับละเลียดชิมรสแห่งความหอมหวาน จิตใจของเซียวโม่โฉวแทบแตกซ่านด้วยความคะนึงหา

ร่างกายและดวงจิตของข้าเหตุใดจึงไขว้เขวเข้าหาหลี่รัวถงได้ถึงเพียงนี้กัน หรือเพียงเพราะเขาดีต่อข้าเช่นนั้นหรือ?




ติดตามตอนต่อไป >>>


ฝากคอมเม้นติชม เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ  :impress:
ผิดพลาดตรงไหนแนะนำได้เลยค่ะ  :m23:

FB : หลานฮวา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-09-2018 19:24:54 โดย ทามากิบ๊อง »

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4



บทที่ 9
หน้าชื่นอกตรม





“สีหน้าของเจ้าดีขึ้น เห็นทีข้ามิต้องเป็นห่วงแล้ว”น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นราวกับเรียกสติที่กระเจิงหนีไปให้กลับมา เซียวโม่โฉวแทบจะลืมไปเสียสิ้นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นเมื่อครู่
 
หากแต่ความอบอุ่นกลับหลงเหลือย้ำเตือนว่าหาใช่เรื่องละเมอเพ้อพก มิหนำซ้ำแก้มขาวกลับแดงเรื่อขึ้นสี ความร้อนผะผ่าวอยู่บริเวณใบหน้าตลอดจนใบหู

“เมื่อครู่ท่าน.....”เซียวโม่โฉวจำได้ คราแรกที่เผชิญกับริมฝีปากนั้น ตนไม่ต่างจากเตาอัคคีที่มีไฟสุมอยู่ในร่างกาย ทว่าครานี้ไฟที่ร้อนรุ่มนั้นกลับเบาบางลงกลายเป็นเพียงความอบอุ่นและกำซาบไปถึงจิตใจจนไม่อาจเรียกได้ว่ารังเกียจ สิ่งนั้นทำให้เซียวโม่โฉวรู้สึกสับสนอยู่มาก

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งที่ตนควรผลักไสและแสดงท่าทีชิงชัง หากแต่กลับนิ่งค้างไร้การตอบโต้ใดๆ ราวกับจิตใจไหลไปตามการกระทำของเขา

“ถึงแล้ว”

“เอ๊ะ?”

“ตามข้ามาเถิด”หลี่รั่วถงไม่แสดงท่าทีใดๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้เห็นถึงความหวามไหว เพียงนำเซียวโม่โฉววางลงบนปุยเมฆสีขาวปลดลำแขนแข็งแรงแล้วเปลี่ยนมากุมมือผู้ที่ยืนทื่อราวหินผาเสียแทน สีหน้าสับสนที่ยังคงจับจ้องสายตาไปยังหลี่รั่วถงก็หาได้ลดน้อยลงไป

“เอ่อ.....ท่านต้องการให้ข้าไปที่แห่งใด”หลี่รั่วถงไม่กล่าว หากแต่กุมมือเล็กกระชับแน่นขึ้น แล้วหยุดลงตรงอ่างศิลาบนเมฆที่มีน้ำใสไหลวนอยู่ภายในอย่างน่าอัศจรรย์

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลสิ่งใด มานี่เถิดข้าจะให้เจ้าดูบางอย่าง”ใบหน้าอ่อนโยนเมื่อครู่คล้ายเลือนหายไป ความเคร่งขรึมเข้ามาแทนที่ พลันดันเซียวโม่โฉวให้มายืนอยู่เบื้องหน้า ชี้ชวนให้มองลงไปยังน้ำใสๆ ในอ่างศิลาเมฆา พลันราวกับสายฟ้าที่ไหลวนอยู่ภายในน้ำเกิดตื่นขึ้นจากหลับใหลส่องแสงสว่างวาบและวูบหายไปปรากฏภาพของผู้คนที่อยู่อีกโลก

“นั่น?”สายตาที่จับจ้องไปยังผู้คนในอ่างศิลาสั่นระริก รวมทั้งมือเล็กที่สั่นเทาร่างกายชะงักการเคลื่อนไหว เอ่อล้นออกมาเพียงหยาดน้ำตาบางๆ ก่อนจะรินไหลอย่างไม่รู้ตัว มีหยดหนึ่งที่หล่นเผาะลงไปภาพในอ่างศิลาราวกับดวงใจของบุรุษหนุ่มที่หล่นแตก ภาพเบื้องหน้าจึงเลือนหายไปในพริบตา

“เห็นแล้วใช่หรือไม่ว่าคนเหล่านั้นหาได้ระลึกถึงเจ้า พวกเขาใช้ชีวิตเฉกเช่นผู้ที่สุขสบาย”

“ท่านพ่อ ท่านแม่.....”

“ข้าพาเจ้ามายังที่แห่งนี้เพื่อให้รู้ว่า พวกคนเหล่านั้นใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีเจ้าอย่างไร หาได้เป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องใด ไยเจ้าต้องทุกข์ใจคะนึงถึงพวกเขาอีก”หลี่รั่วถงเอ่ยขึ้นใบหน้าดุดันครั้นมองเห็นไม่ต่างจากเซียวโม่โฉว ภาพที่คนเหล่านั้นทั้งยิ้มและหัวเราะ ในขณะที่บุรุษผู้นี้มีแต่หลั่งน้ำตา

“ข้ารู้ ข้ารู้แล้ว.....แต่พวกเขาก็เป็นครอบครัวของข้า เป็นท่านพ่อและท่านแม่ของข้าหาได้มีใครอื่นอีก”ดวงตาเศร้าสร้อยพยักหน้ารับรู้ในสิ่งที่หลี่รั่วถงกล่าว แต่เช่นไรก็ไม่อาจตัดใจตัดบ่วงเหล่านี้ไปได้ มันพันธนาการเซียวโม่โฉวยิ่งกว่าตรวนสวรรค์

ทางเดียวที่ข้าจะหลุดจากสิ่งเหล่านี้ได้ คือการรู้ทุกอย่างเพื่อตัดความคับข้องใจให้สิ้น นั่นคือสิ่งที่ข้าเลือกแล้ว

“ข้าผิดเอง ที่ตัดสินใจพาเจ้ามาที่นี่”

“ท่านมิได้ผิดอันใด ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณท่าน อย่างน้อยข้าก็ได้รับรู้ว่าพวกเขายังมีชีวิตแม้จะแก่ตัวลงไปบ้างแล้ว”น้ำคำที่เอ่ยพร่ำพูดทั้งน้ำตา พยายามปาดมันออกราวกับต้องการจะหยุด แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น

หลี่รั่วถงไม่อาจมองบุรุษตรงหน้าเสียน้ำตาได้อีก จึงเข้าไปหมายจะปาดน้ำตาให้ทว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้ากลับซบดวงตาคู่นั้นลงกับอกของเขา พึมพำไม่รู้ความอยู่พักใหญ่เหมือนเด็กน้อย หลี่รั่วถงทำได้เพียงเอื้อมมือเข้าลูบศีรษะแทนคำพูดที่อยากกล่าวปลอบประโลม ทว่าสายตาดุดันหลายส่วนกลับจ้องมองไปยังอ่างศิลานัยน์ตาแทบเป็นประกายเพลิง

นี่จะเป็นความสุขครั้งสุดท้ายที่เซียวโม่โฉวจะได้เห็นพวกเจ้า นับแต่บัดนี้ก็อย่าหวังได้สัมผัสมันอีกเลย!ข้าให้โอกาสพวกเจ้ามามากพอแล้ว จะโทษผู้ใดได้หากมิใช่ตัวพวกเจ้าเอง!

หลังจากกลับมาเส้นทางที่คุ้นเคยและทอดยาวไปข้างหน้ายังคงเป็นภาพเดิมๆ หากแต่ที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยนั้นกลับเป็นผู้ที่เดินเคียงข้างกายของเซียวโม่โฉว

“ท่านไม่จำเป็นต้องไปส่ง ข้าเดินกลับเองได้ เหอจี๋กับทู่จึคงรอข้าอยู่ไม่ไกล”

“ข้าเต็มใจจะเดินไปส่งเจ้า”ร่างสูงที่ก้าวเดินไปเบื้องหน้าแม้สายตาจะมิได้มองบุรุษข้างกาย แต่ก็ไม่คิดเดินย้อนกลับจนกว่าจะถึงเรือนเสี้ยวจันทรา

“ยิ่งท่านเมตตาข้าเท่าไหร่ข้ายิ่งจะรู้สึกผิดต่อท่านมากเท่านั้น ดวงวิญญาณที่หาได้ทำประโยชน์อันใดให้แก่ท่านควรหรือที่จะใส่ใจให้มากความเช่นนี้”

“ข้าและเจ้าต่างมีสัญญาพันผูก หาได้มีผู้ใดเสียเปรียบได้เปรียบแต่อย่างใด ข้าเคยกล่าวต่อเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าสิ่งใดที่เป็นข้อแลกเปลี่ยนนั้น เช่นนี้แล้วเจ้ายังจะคิดว่าข้าเมตตาจนเจ้าต้องรู้สึกผิดด้วยเช่นนั้นหรือ”ถ้อยคำที่ฟังราวกับไร้เยื่อใยทว่ากลับเป็นความจริงแท้ดังที่กล่าว เซียวโม่โฉวเพียงพยักหน้านัยน์ตาเศร้าหากแต่พยายามคลี่ยิ้มรับเรื่องเหล่านั้นอย่างไม่โต้แย้ง

ลึกแล้วในใจของบุรุษนั้นกำลังสับสน ยามนี้คงหายคับข้องใจไปหลายส่วน เรื่องราวระหว่างตนกับหลี่รั่วถงไยจะแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นได้ ช่างโง่เขลานักที่คิดฟุ้งซ่านเสียมากมาย

“ข้าเข้าใจในสิ่งที่ท่านกล่าวดีแล้ว”

ดวงตาพราวระยับที่ระคนความเศร้าหมองฉายชัดออกมามิได้ปิดบัง หลี่รั่วถงที่ทอดสายตามองไม่อาจยื่นมือเข้าไปปลอบประโลมใจบุรุษตรงหน้าได้ มีแต่ต้องหักห้ามความคิด บางสิ่งตนไม่อาจเผยความจริงให้กระจ่างได้ในยามนี้ จำต้องทนมองผู้ที่ตนห่วงใยและใช้ถ้อยคำไม่ระรื่นหูเช่นนั้นด้วยวิบากกรรมที่จักต้องเผชิญ

จริงแท้แล้ว.....หาได้ปรารถนาพูดสิ่งนั้นให้เจ็บช้ำน้ำใจ

หากไม่เกรงต่อกฎเกณฑ์ที่สวรรค์ลิขิต ซึ่งอาจพรากคนผู้นี้ไปจากเขาอีกครา คงไม่มีทางที่หลี่รั่วถงจักฝืนทำใจเย็นดุจน้ำแข็งได้เช่นนี้

“ไปเถิด ข้าจะเดินไปส่งเจ้า”

เซียวโม่โฉวเดินตามร่างสูงอยู่เบื้องหลังอย่างนิ่งเงียบ ความรู้สึกที่ราวกับเหินห่างนั่นช่างน่าหวาดกลัวอยู่ลึกๆ ครู่หนึ่งที่เดินไปอย่างว่าง่ายมิได้กล่าวสิ่งใดต่อจากนั้น พลันสายตาเหลือบมองเห็นสระน้ำริมทางจึงนึกได้ถึงบางอย่างเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อน ความสงสัยจึงอยากถามไถ่ผู้คนตรงหน้าให้แน่ชัด

“เอ่อคือ จริงๆ แล้วข้ามีอีกเรื่องหนึ่งที่สงสัยและอยากถาม อาจเป็นเรื่องไร้สาระแต่ข้าก็อยากจะรู้ให้แน่ใจ”ก้าวเล็กๆ หยุดชะงัก หลี่รั่วถงเช่นกันที่หยุดเดินพร้อมหมุนกายกลับมาให้ความสนใจต่อบุรุษตรงหน้า ที่หลุบตาลงต่ำขมวดคิ้วได้รูปราวกับตรึกตรองในความคิด

หลี่รั่วถงไม่พูดจาอันใด เพียงยืนนิ่งสงบปล่อยให้สายลมพัดผ่านรอเวลาที่เซียวโม่โฉวจักเอ่ยปากออกมาเอง ไม่บีบคั้นหรือแสดงท่าทีเร่งเร้าแต่อย่างใด

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคิดอยู่นาน เสียงฮึดฮัดในลำคอคล้ายโต้เถียงอยู่กับตนเอง มือเล็กขยุกขยิกเริ่มยกขึ้นแกะเกาแก้มขาวทั้งลากปลายนิ้วไปยังลำคอระหง เกี่ยวนิ้วเข้ากับเส้นผมดำสลวยแล้วขึ้นทัดใบหูเล็ก กรอบหน้าได้รูปชวนมองกระจ่างสายตา ผิวพรรณขาวผุดผาดต้องตาผู้มองไม่จาง

“จริงๆ แล้วเหอจี๋ได้เล่าให้ข้าฟังว่า หลายคืนก่อนท่านได้ช่วยข้าขึ้นจากสระอาบน้ำ เป็นความจริงหรือไม่”

“เป็นข้า เจ้าไม่พอใจสิ่งใดหรือไม่”

“ข้าจะไม่พอใจเรื่องใด เพียงติดตรงที่ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่าน”ดวงตาคู่สวยเงยหน้าขึ้นสบตากับหลี่รั่วถง พรูลมหายใจเบาๆ ออกทางริมฝีปากบางที่ราวกับสุขภาพดีขึ้นกว่าก่อนหน้า

“หนี้บุญคุณ? ข้าไม่เคยต้องการสิ่งนั้นจากผู้ใด”

เซียวโม่โฉวกะพริบตาถี่ๆ ดวงตากลมใสมองร่างสูงสง่าที่ตอบออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว หาได้ยินดีต่อบุญคุณในครั้งนั้นแต่อย่างใด
ข้าควรจะขอบใจเจ้าเสียมากกว่าที่ยอมกลับมาหาข้าในครานั้น

“การที่ท่านช่วยเหลือข้าเพราะกลัวข้าผิดคำมั่นสัญญาต่อท่านสินะ”ครู่หนึ่งดวงตาคู่สวยกลับสลด

“ข้าช่วยเจ้าเพราะเจ้าสำคัญต่อข้า นั่นคือคำตอบ”มือหนาเอื้อมไปข้างหน้าวางฝ่ามือลงบนเรือนผมของเซียวโม่โฉวก่อนไล่ปลายนิ้วไปตามเส้นผมนุ่มละเอียดอย่างเชื่องช้าจรดปลายผมที่ทิ้งตัวแนบแผ่นหลัง ทั้งดวงตาคู่คมที่จ้องมองเซียวโม่โฉวหาได้หลบหลีก ทว่าอีกฝ่ายที่ถูกจ้องมองกลับรู้สึกวูบวาบไปทั่วสรรพางค์กาย

“เอ่อ.....ข้า”

“เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง ข้าตามหาเสียตั้งนาน”ไม่ทันที่เซียวโม่โฉวจะได้เอ่ยสิ่งใดต่อ น้ำเสียงสดชื่นระรื่นหูก็ตะโกนดังโหวกเหวกขึ้นมาราวกับจงใจขัดจังหวะ

ผู้ที่ปรากฏกายขึ้นพร้อมเส้นผมสีขาวพิสุทธิ์เดินยิ้มร่าเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยนั้นเป็นผู้ใดเสียไม่ได้นอกจากหวางหรูอี้

“เจ้าตามข้ามาที่แห่งมีธุระสำคัญอันใด”น้ำเสียงทุ้มกล่าวขึ้นหาได้มีความนุ่มหูแสดงถึงความไม่พอใจนัก ทั้งเดินก้าวมาเบื้องหน้าราวกับบังกายให้ของหวงพ้นสายตาหวางหรูอี้ หลี่รั่วถงมิได้อยากปิดเป็นความลับถึงตัวตนของคนสำคัญ หากแต่ไม่อยากได้ยินคำถามมากมายจากผู้ใด

“นั่นใช่.....เซียวโม่โฉว?”สีหน้าทะเล้นแสร้งชะโงกหน้าไปดูผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังหลี่รั่วถงอย่างหยอกล้อ แท้แล้วหวางหรูอี้ทราบมาก่อนแล้วว่ายามนี้พิภพแห่งหยินไม่เหมือนแต่ก่อน เรือนเสี้ยวจันทราหาได้ร้างผู้คนอาศัย เพียงยังไม่มีโอกาสประสบพบหน้าก็เท่านั้น

“เอ่อ ข้าเซียวโม่โฉวขอรับ”อีกฝ่ายขานตอบท่าทีเก้ๆ กังๆ หากดูจากบรรยากาศแล้วเซียวโม่โฉวก็คาดเดาได้ว่าหวางหรูอี้หาใช้ผู้คนธรรมดาเฉกเช่นหลี่รั่วถง

“ไม่ต้องมากพิธี ข้าสงสัยอยู่นาน วันนี้มีโอกาสพบเจอกับเจ้าวาสนาของข้ากับเจ้านั้นยังมีอยู่มากนัก ข้าหวางหรูอี้ เป็นสหายของหลี่รั่วถง”

“เหตุใดเจ้าจึงกล่าวมากความ ไปรอข้าที่เดิมข้าจะตามไปทีหลัง”

“ได้อย่างไรเล่า ข้าก็อยากพูดคุยทักทายคนของเจ้าเช่นกัน หากไม่ว่าอันใดเจ้ายินดีจะไปร่วมร่ำสุรากับข้าเพื่อเป็นเกียรติได้หรือไม่?”

“เอ่อ.....”เซียวโม่โฉวตาตื่นอยู่ครู่หนึ่งเมื่อถูกชักชวนอย่างสนิทสนม หากแต่สายตากลับเหลือบมองหลี่รั่วถงที่หน้าตาบึ้งตึงราวกับไม่พอใจอยู่หลายส่วน ครานั้นเซียวโม่โฉวจึงคิดได้ว่าตนควรปฏิเสธคำเชิญนั้นแล้วกลับเรือนของตนเสีย

“มาเถิด เจ้าจะกลัวไปไย ข้าชวนเจ้าต้องขออนุญาตใครอีกหรือ”หวางหรูอี้รู้ดีกว่าหลี่รั่วถงอุปนิสัยเป็นเช่นไร จะให้ของหวงต้องมือผู้อื่นนั้นยากนัก ทว่าหวางหรูอี้คิดถึงใบหน้ายามขัดใจของสหายผู้นี้เหลือเกิน จึงไม่รั้งรอคำตอบเข้าคว้าแขนเซียวโม่โฉวเดินจ้ำอ้าวกึ่งลากกึ่งจูงไปต่อหน้าต่อตาหลี่รัวถงในทันที

จะเอ่ยปากห้ามหวางหรูอี้ก็เห็นทีคงยากนัก หลี่รั่วถงทำได้เพียงจำยอมตามสหายจอมโอหังไปก็เท่านั้น

ยามนี้บรรยากาศรอบโต๊ะสุราช่างอึมครึมยิ่งนัก โดยเฉพาะรอบกายหลี่รั่วถงคล้ายมีเมฆดำปรากฏอยู่เบื้องหลังอบอวลไปตามอิริยาบถที่เคลื่อนไหว เป็นภาพที่ชวนมองในสายตาของหวางหรูอี้ยิ่งนัก

“ข้านำสุรารสดีที่บ่มเองมาถึงสองไห ไยเจ้าจะแล้งน้ำใจดื่มกินเพียงลำพังเล่าสหายข้า เอ้า...เจ้าก็ดื่มด้วยสิ”หวางหรูอี้เทสุราในไหใส่จอกให้เซียวโม่โฉวจนล้นปริ่ม บุรุษหนุ่มมองตาเบิกโพลง ใช่ว่าจะไม่เคยดื่มกินสุราหากแต่ประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในใจที่จะเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาเสียมากกว่า

“หากเจ้าไม่ต้องการก็มิต้องฝืนใจดื่ม”หลี่รั่วถงเอ่ยขึ้นพลางกระดกสุราในจอกตนเองท่วงท่าสง่าและนิ่งขรึม หากแต่ดวงตาคมกริบกลับเหลือบมองเซียวโม่โฉวที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ข้างกาย จดจ้องดวงตาไปที่จอกสุราตาเป็นประกาย

“สวรรค์ชั้นฟ้าก็ไม่อาจเทียบรสสุราของข้าได้ หากเจ้าอยากจะพลาดโอกาสนี้ไปก็ตามใจ แต่ข้าคงเสียน้ำใจเป็นแน่ น้อยคนนักที่ข้าจะรินสุราให้กับมือเช่นนี้”ความกดดันราวกับโถมทับอยู่บนศีรษะของเซียวโม่โฉว

หากข้าดื่มสักนิดก็คงจะไม่เป็นไรกระมัง

ความคิดนั้นทำให้เซียวโม่โฉวถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ดวงตาจ้องมองไปที่จอกสุราขาวผ่องช่างเย้ายวนใจเหลือเกิน นานเท่าไหร่แล้วที่บุรุษหนุ่มห่างหายจากสิ่งนี้ ครั้งยังมีชีวิตก็มีโอกาสได้ร่ำสุรากับผู้คนในโรงเตี๊ยมที่ทำงานอยู่บ้าง หากแต่เป็นสุรารสชาติจืดชืด เพราะส่วนหนึ่งเป็นของเหลือจากผู้คนที่สั่งดื่มกินจนเหลือเฟือ

“ดื่มเถิด หาได้ต้องเกรงใจข้าหรือผู้ใด”ดวงตาแพรวพราวยิ้มจนตาหยี่เท้าคางมองเซียวโม่โฉวซึ่งกำลังเอื้อมมือเข้าคว้าจอกสุรา พลางหันไปสบตาหลี่รั่วถงที่นั่งดื่มในส่วนของตนเองไปไม่หักห้าม เพราะเห็นทีไม่ต้องการขู่เข็ญเซียวโม่โฉว จะกล่าวว่าตามใจก็อาจเป็นไปได้หลายส่วน เช่นนี้หวางหรูอี้จึงสนุกนัก

“เป็นเช่นไร?”

เมื่อมองเห็นเซียวโม่โฉวประคองจอกสุราด้วยความพยายามมิให้หกแม้แต่หยดเดียวก็นับว่าเพลินตาแล้ว ครั้นยกขึ้นกระดกรับรสปฏิกิริยาที่นิ่งงันดวงตาคู่สวยเบิกกว้างนั่งนิ่งไม่กะพริบตายิ่งชวนมองนัก ทั้งริมฝีปากที่ปิดแน่นสนิทขยับยกยิ้มก็ทำเอาผู้ที่แอบเหลือบมองก็คล้ายสงสัยในท่าทีด้วยเช่นกัน

“รสชาติ.....ดียิ่ง ข้ามิเคยรู้เลยว่ามันอร่อยเช่นนี้ได้ หวานราวกับน้ำผึง”

“ฮ่าๆ ”หวางหรูอี้หัวเราะร่าอย่างชอบใจ“เช่นนั้นก็ดื่มอีกเถิด มิต้องเกรงใจ”คนยกไหสุราเทใส่จอกให้เซียวโม่โฉวรู้สึกสนุกมากขึ้น ยิ่งได้รับถ้อยคำชื่นชมก็แทบยกให้ทั้งไห หากไม่ติดตรงจ้าวพิภพแห่งหยินที่นั่งหน้าถมึงทึงเสียจนน่ากลัว

“เจ้าคิดจะทำเช่นไรกันแน่”หลี่รั่วถงเข้าคว้าจับมือหวางหรูอี้บีบแน่น อีกฝ่ายเพียงปัดออก

“เจ้าไม่เห็นหรือว่าเซียวโม่โฉวชื่นชอบมัน ข้าเพียงรินให้อีกหนึ่งจอกเจ้าจะหวงไปไย”ครั้นประโยคหนึ่งหลุดออกมา ผู้ที่นั่งเคียงไหล่หลี่รั่วถงอย่างเซียวโม่โฉวก็แทบสำลักอากาศ

ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศที่เปลี่ยนไปหรือด้วยเหตุใด นั่นทำให้เซียวโม่โฉวดื่มสุราเข้าไปหลายจอก ขณะที่หลี่รั่วถงและหวางหรูอี้พูดคุยกัน ผู้ที่ไม่มีกิจธุระต้องร่วมสนทนาด้วยจึงว่างเว้น จะทำสิ่งใดอื่นได้นอกเสียจากนำสุรารสเลิศของหวางหรูอี้เข้าปากไปเรื่อย กระทั่งแก้มขาวแทบจะกลายเป็นผลพลับใกล้สุกเต็มที

ช้าไปหลายก้าวที่หลี่รั่วถงจะทันห้ามได้ นึกแล้วเสมือนเป็นแผนการของหวางหรูอี้ที่เล่นสนุก

“เซียวโม่โฉวเจ้าควรจะกลับได้แล้ว”

“แต่ว่า.....”จอกสุราในมือบุรุษหนุ่มชะงักค้างกลางอากาศ หลี่รั่วถงจึงจัดการคว้ามาแล้วกระดกดื่มเสียแทน พลันลุกขึ้นเต็มความสูงและดึงร่างที่นั่งไม่เคลื่อนไหวให้ยืนขึ้นไปด้วย

“จะไปแล้วเช่นนั้นหรือ?”หวางหรูอี้ทวงถาม ลอบยิ้มสีหน้าภิรมย์ใจ

“ข้าจะมาสะสางกับเจ้าภายหลัง”คิ้วเข้มได้รูปขมวดมุ่นดวงตาคมกริบตวัดหางตามองหวางหรูอี้อย่างไม่พึงใจนัก อีกฝ่ายหาได้สะทกสะท้านนึกชอบใจต่อท่าทีร้อนรนของหลี่รั่วถงอยู่มาก

แค่นี้ยังน้อยไป ครั้งเจ้าต้อนข้าให้ต้องจนมุมจำต้องรับปากทำงานร่วมกับติงเจิ้งหวาที่ข้าไม่ชอบหน้า ก็นับว่าปรานีมากนัก ข้าแค่แหย่เจ้าเล่นเล็กๆ น้อยๆ แล้วรอดูความสนุกก็เท่านั้น

“อา.....เช่นไรสุราของข้าก็มีประโยชน์อยู่วันยังค่ำ”กล่าวเสร็จหวางหรูอี้ก็คว้าขวดน้ำเต้าสุราที่ติดกายขึ้นกอดหัวเราะหงึกชอบใจเพียงลำพัง มองดูหลี่รั่วถงร้อนรนลากดึงเซียวโม่โฉวที่เดินแทบไม่ตรงทางกลับไปท่าทางใจร้อน

อีกฤทธิ์สุราของจ้าวพิภพแห่งหยางแม้จะเป็นสุรารสเลิศที่ไม่มีที่ใดเทียบเคียง ผู้ที่ดื่มกินสม่ำเสมอก็ไม่ต่างจากน้ำผึ้งชุ่มคอ หากแต่ผู้ที่หาได้เคยลิ้มลองก็อาจต้องทำใจหลังจากนี้ก็เท่านั้น

   “ข้าทั้งให้บทเรียน และโอกาสต่อเจ้าแล้วสหาย ที่เหลือก็สุดแล้วแต่ใจเจ้าเถิด หึๆ”

   “ท่านกล่าวว่าอย่างไรหรือขอรับ?”

   พรูดดดด!!!

   “แค่กๆ เหอจี๋!!!”สุราที่กระดกเข้าปากพุ่งพรวดออกมา หวางหรูอี้หันไปมองข้ารับใช้ของหลี่รั่วถงที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหลัง“เจ้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียงทำข้าตกใจแทบแย่!”หวางหรูอี้ตำหนิใช้แขนเสื้อปาดริมฝีปากที่เปียกชื้น

   “ข้าเพียงนำกับแกล้มมาให้ แล้วนายท่านหายไปไหนเสียแล้วขอรับ?”เหอจี๋กวาดสายตามองอย่างฉงนรวมทั้งเซียวโม่โฉวก็ด้วย

   “กลับไปแล้ว ส่วนเจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้าก่อน”หวางหรูอี้กระดิกนิ้วเรียกให้เข้ามา

   “ไม่ดีกว่าขอรับ”อีกฝ่ายปฏิเสธอย่างสุภาพไม่มีการครวญคิด หาได้ต้องถามว่าอุปนิสัยเช่นนี้เป็นข้ารับใช้ผู้ใด

   “เจ้าต้องอยู่ นี่เป็นคำสั่ง ข้าอยากได้คนช่วยแกะเปลือกถั่ว”หวางหรูอี้กล่าวเช่นนั้นเหอจี๋ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ในเมื่อหลี่รั่วถงมิได้เรียกรับใช้ก็พอมีเวลาดูแลหวางหรูอี้อยู่บ้าง นึกเห็นใจสหายของนายเหนือหัวเช่นกัน ที่ทุกคราจักต้องถูกทิ้งไม่ไว้หน้าเช่นนี้อยู่เสมอ จะเรียกได้ว่าน่าสงสารหรืออย่างไรดีก็ไม่แน่ใจ

   คิดแล้วก็สงสัยนักว่าภายใต้ใบหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนนั้นมีสิ่งใดซ่อนอยู่หรือไม่




   “โม่โฉวเจ้ากลับมาแล้ว!”ทันทีที่บานประตูเรือนเปิดออก ผู้ที่กระตือรือร้นเรียกหาอยู่ภายในเป็นทู่จึ ครั้นปรากฏร่างของหลี่รั่วถงที่เหยียบย่างเข้ามาพร้อมเซียวโม่โฉวปีศาจกระต่ายน้อยถึงกับต้องวิ่งแอบเข้าหลังเก้าอี้ ทว่าไม่ทันเสียแล้ว ผู้ใดเล่าจะมองไม่เห็น

   ทว่าสภาพที่กลับมานั้นหาได้เป็นปกตินัก ทั้งๆ ที่เดินได้แต่กลับถอยหน้าถอยหลังจนชวนฉงน ใบหน้าที่เคยซีดขาวบัดนี้กลับแดงปลั่งไปถึงใบหู ผู้ประคองเข้ามายิ่งน่าตกใจกว่าที่เป็นหลี่รั่วถงมิใช่เหอจี๋

   “ถึงเรือนของเจ้าแล้ว”

   “ขอบคุณท่านมาก เหอจี๋ล่ะอยู่ไหน”มือเล็กไขว่คว้าราวกับหาคนประคองต่อ

   “ข้าช่วยเจ้าเอง”เป็นหลี่รั่วถงที่คว้ามือเล็กนั่นกลับมาแล้วจัดการช้อนอุ้มร่างเล็กขึ้นคว้างกลางอาการแนบเข้าสู่อ้อมอก
 ดวงตาคู่เล็กและกลมใสมองดูเหตุการณ์ผ่านหลังเก้าอี้ไม้ ก่อนจะค่อยๆ ย่องออกมาไม่ปิดบังตนเองราวกับอยากรู้อยากเห็น

   “ออกไป มิใช่หน้าที่ที่เจ้าต้องสู่รู้”น้ำเสียงทรงพลังกล่าวไม่สบตาทู่จึ หากแต่ประตูเรือนกลับเปิดออกในทันที

   “ขะขอรับ!”ปีศาจกระต่ายตัวสั่นเทิ้ม จนเผลอจำแลงกายกลับไปเป็นกระต่ายตัวจ้อยดังเดิมแล้วกระโดดออกไปผ่านประตูที่เปิดอ้าอย่างไม่คิดชีวิต

   เสียงโครมใหญ่ของบานประตูปิดลงอีกครา ร่างของเซียวโม่โฉวถูกวางลงบนเตียงตั่งเบามือด้วยความช่วยเหลือของหลี่รั่วถง อีกฝ่ายมิได้ขาดสติจึงแสดงสีหน้ากังวลใจออกมาหาได้ซ่อนเร้น อีกทั้งรู้สึกขัดเขินเสียจนหน้าร้อนผะผ่าว ไม่รู้เพราะฤทธิ์สุราหรือผู้คนตรงหน้ากันแน่

   “ท่านมิต้องทำถึงเพียงนี้ ข้าเดินเองได้”

   “ถอยหน้าถอยหลังเช่นนั้นจะให้ข้าวางใจได้เช่นนั้นหรือ ข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้าดื่มเสียมากมาย”

   “ขะข้าขอโทษ”

   จะโทษผู้ใดก็มิได้ ครั้นหลี่รั่วถงมองเห็นแววตาที่มีความสุขยามมือถือจอกสุราไว้ จะหักหาญน้ำใจยามนั้นก็ไม่กล้า

   “ช่างเถิด”

   “เป็นคราแรกที่ลิ้นของข้ารับรสความอร่อยเช่นนั้นได้ มันน่าแปลกใจนักที่ข้าคิดถึงรสชาติของอาหาร แม้ว่าข้าจะไม่หิว หรือรู้สึกใดๆ แต่สุราของหวางหรูอี้ทำให้ข้าคิดถึงยามเมื่อข้ามีชีวิต”เซียวโม่โฉวเอ่ยขึ้นเล่าความรู้สึกของตนเองอย่างเปิดเผย ครั้นเอียงกายขดตัวอยู่บนเตียงตั่งใบหน้าคล้ายมีความสุขระคนเจ็บปวดโดยมีหลี่รั่วถงเคียงใกล้

   “เจ้าพักผ่อนเถิด ข้าจะเรียกให้เหอจี๋มาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”บุรุษหนุ่มพยักหน้ารับ

   “แต่ก่อนท่านจะไป ข้ามีคำถามอยากจะถามท่านสักเล็กน้อยได้หรือไม่”

   “ว่ามาเถิด”

   “ท่านจะทำตามคำขอของข้าที่เคยให้ไว้ใช่หรือไม่”

   “ไยเจ้าต้องห่วงเรื่องนั้นอีก”

   “หากข้ามีพลังวิญญาณแข็งแกร่งพอแล้ว ข้าจะได้รู้ความจริงทั้งหมดตามที่ท่านบอกข้าสินะ หากวันนั้นมาถึง.....”ครู่หนึ่งที่บุรุษหนุ่มหยุดพูด ราวกับตระเตรียมดวงใจ“ข้าก็จะหายไป ข้าขอให้ท่านเป็นผู้ไปส่งข้าด้วยตนเองได้หรือไม่”

   ประโยคที่สะเทือนจิตใจไม่น้อยเอ่ยออกมาเสียงสั่นเครือ อาจเพราะฤทธิ์สุราที่ทำให้เซียวโม่โฉวอ่อนไหวเช่นนั้น อีกทั้งมือเย็นเยียบที่เอื้อมจับชายเสื้อคล้ายหวาดกลัวแม้จะทำตนเข้มแข็ง
   
หลี่รั่วถงเพียงพยักหน้าแต่หาได้รับปากอันใด อีกทั้งจ้องมองร่างเล็กที่ราวกับเปราะบางด้วยแววตาเจ็บปวด

   เมื่อใดวิบากกรรมเหล่านี้จักจบสิ้นเสียที!

   “ท่านสัญญา.....”ไม่ทันจะจบประโยคดวงตาคู่สวยที่พยายามจ้องมองหลี่รั่วถงด้วยสติทั้งหมดที่มีก็ไม่อาจต้านทานฤทธิ์สุราที่ครอบงำได้ พลันเปลือกตาบางจึงปิดทับลง มือข้างหนึ่งที่กำชายเสื้อเสียยับยู่ก็คลายออก ความเงียบสงบจึงเข้าแทนที่แสงที่สว่างโดยรอบจึงแปรเปลี่ยนเป็นสลัวลงราวกับส่งผู้เหนื่อยล้าเข้านอน

   “แท้แล้ว ข้าไม่อาจให้สัญญาใดๆ ต่อเจ้าได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าจะไม่เปลี่ยนแปลงนั่นคือความรักที่ข้ามีต่อเจ้าตลอดมา ต่อให้สวรรค์ปรารถนาจะได้แขนขาของข้าไป แต่เพื่อแลกกับการกลับมาของเจ้าแล้วข้าย่อมแลกได้”

   ความปรารถนาอันแรงกล้าสะท้อนผ่านดวงตาคู่คมอย่างแน่วแน่ มือหนาที่ว่างเปล่าเข้าโอบแก้มบุรุษหนุ่มราวสิ่งล้ำค่า พลันก้มใบหน้าเข้าชิดใกล้ วางริมฝีปากหยักทาบทับเพียงเบาบนริมฝีปากบางของเซียวโม่โฉวอ่อนโยน พริบตาแสงสว่างราวลูกแก้วมังกรขนาดเล็กทอประกายเคลื่อนออกจากปากของหลี่รั่วถงก่อนจะถูกมอบให้แก่ผู้ที่นอนนิ่งสงบไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ ร่างสูงสง่าผละออกในเวลาต่อมาและผุดลุกขึ้นเดินห่างออกไป

   ดอกบัวทองที่ราวผลึกแก้วสีทองซึ่งเป็นปิ่นปักผมที่หลี่รั่วถงมอบให้คล้ายมีชีวิต กลีบแข็งที่หุบตูมคลี่ออกเพียงน้อยราวกับได้รับน้ำชโลมความชุ่มชื่นมอบพลังชีวิตให้ ทว่าหากไม่สังเกตก็หาได้รับรู้ว่านั่นคือการเปลี่ยนแปลง

   เพียงไม่กี่ก้าวที่เคยมั่นคง ยามนี้กลับซวนเซจนมองเห็นได้ อีกทั้งสิ่งที่กระอักออกมาจากปากนั้นราวกับโลหิตสีแดง ภายในพริบตากลับถูกเช็ดออกอย่างไม่แยแส ดวงตาคมยังคงทอประกายหาได้ลดล่ะความดุดันลงแม้แต่น้อย

   ไม่แม้แต่สักคราที่จะแสดงความอ่อนแอให้ผู้ใดได้เห็น ว่าร่างกายที่แข็งแกร่งแท้แล้วบอบช้ำเพียงใด
   





ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ :กอด1:
โดย หลานฮวา


ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
มันจะต้องดีขึ้นดิเนาะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4



บทที่ 10
ทวงคืน






นรกภูมิ

   เบื้องหน้าของจ้าวแห่งพิภพทั้งสามนั่นเป็นทะเลเพลิง สถานที่ซึ่งเก็บรักษากล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์อันมีตรวนสวรรค์พันธนาการเอาไว้อย่างหนาแน่น ภายในกล่องอัคคีบรรจุเสี้ยววิญญาณของจูเกิงเฉินเอาไว้ ผู้ปกป้องเบื้องล่างเป็นเหล่าบริวารของติงเจิ้งหวาที่ทำหน้าที่อย่างเคร่งครัดหาได้เว้นช่องโหว่ใดๆ ให้คลาดสายตา ยามนี้ตรวนสายฟ้าเส้นที่สี่ซึ่งหวางหรูอี้เป็นผู้ทูลขอต่ออวี้หวงต้าตี้บัดนี้นำมายังนรกภูมิแล้ว หากแต่ปัญหาสำคัญนั้นย่อมเกิดขึ้น เพราะเมื่อใดที่ต้องเพิ่มตรวนสายฟ้าเข้าตรึงกล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์จำต้องถอดตรวนทั้งหมดออกและรวบรวมพลังสู่ขั้นตอนพิธีการเชื่อมต่อตรวนทั้งสี่เส้นเป็นหนึ่งเดียวกัน

   สิ่งนั้นเป็นงานหนักและควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง หน้าที่นี้นับว่าสุ่มเสียงอันตรายอยู่ไม่น้อย หากไม่พลาดก็นับว่าโชคดี หากเกิดผิดพลาดขึ้นนั่นหมายถึงอันตรายถึงสองทาง

หนึ่งคือสิ่งที่อยู่ภายในอาจถูกช่วงชิงไปได้

สอง.....ผู้ที่ควบคุมตรวนสายฟ้าอาจถูกพลังสะท้อนกลับ

บัดนี้ดูท่าผู้ที่กลุ้มหนักคงเป็นหวางหรูอี้เสียแล้ว

“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าเจ้าทำได้”

“เจ้าจะดูถูกข้าไปถึงเมื่อใดกัน”

“ข้าหาได้ดูถูกเจ้า นำมานี่เถิดข้าจะเป็นผู้ทำพิธีถอนตรวนสายฟ้าและทำการตรึงกล่องอัคคีเอง”มือข้างหนึ่งของติงเจิ้งหวายื่นไปเบื้องหน้าขอรับสิ่งที่พันธนาการอยู่รอบแขนของหวางหรูอี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ติงเจิ้งหวารู้ดีว่าตรวนสายฟ้าที่พันอยู่รอบแขนของผู้ที่รับมานั้นมีพลังมากเพียงใด ยิ่งเป็นสิ่งที่ทรงพลังก็หาได้มีภาชนะใดบรรจุสิ่งนั้นได้นอกเสียจากใช้ร่างกายของผู้ที่ร้องขอเป็นภาชนะ สายสีฟ้าที่พันอยู่รอบแขนหาไม่แล้วนั้นอาจพันยาวขดไปตามร่างกาย ผู้ที่ต้องแบกรับนั้นแน่นอนว่าหลีกเลี้ยงความเจ็บปวดไม่ได้

“ไม่จำเป็น ข้าจะเป็นผู้ทำทุกอย่างเอง สิ่งที่เจ้าต้องทำยามนี้คือดูให้แน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งใดย่างกรายมายังที่แห่งนี้ได้ มิเช่นนั้นเจ้ากับข้าคงแบกรับความผิดพลาดไม่ไหวแน่”หวางหรูอี้กล่าวต่อติงเจิ้งหวา ที่ขมวดคิ้วเข้มสีเดียวเฉกเช่นกันเส้นผมสีเพลิงด้วยความกังวลใจ

ครั้งมองดูสีหน้าหวานเกินบุรุษหาความเชื่อใจมิได้ยามนี้กลับดูเงียบขรึมสงบนิ่งผิดกับก่อนหน้า

“ทำตามที่หวางหรูอี้กล่าวเถิด ข้ากับเจ้าต่างมีหน้าที่สำคัญที่ไม่สามารถให้ผู้ใดทำแทนได้”หลี่รั่วถงกล่าวขึ้นเหลือบสายตาคนขึ้นมองกล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยเด่นอยู่เหนือทะเลเพลิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ในระหว่างที่หวางหรูอี้ปลดตรวนสายฟ้า ตนจำต้องรักษากล่องอัคคีเพลิงมีให้เปิดออกและปล่อยให้เสี้ยววิญญาณหลุดออกไปได้ นับว่าต้องใช้พลังทั้งหมดเท่าที่มีก็กล่าวได้

“ข้าเข้าใจแล้ว”

“อย่าได้ชักช้า หากพร้อมแล้วก็เริ่มเถิด”

“ที่เหลือฝากพวกเจ้าด้วย”ครั้นเอ่ยสิ้นคำพูดเส้นผมขาวพิสุทธิ์ปลิวสยายและเปล่งแสงสีขาวสว่างรวมไปถึงร่างกายที่ค่อยๆ ทะยานขึ้นไปในอากาศ ทั้งดวงตาคู่สวยที่ดูเฉียบคมปิดลงนิ่งสนิท เพียงไม่นานราวกับพายุหมุนที่ห้อมล้อมเหนือทะเลเพลิงหมุนอยู่รอบกายของหวางหรูอี้ อีกฟากฝั่งที่เหาะเหินอยู่เหนือทะเลเพลิงนั้นเป็นหลี่รั่วถงที่ส่งพลังปราณเข้าครอบคลุมกล่องอัคคีเพลิง ด้วยกระแสพลังที่แข็งแกร่งปะทะเข้ากับตรวนสวรรค์จึงเกิดเสียงเปรี้ยงปร้างกึกก้องกัมปนาทดั่งสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั่ง 4 ชั้นฟ้า รวมไปถึงโลกมนุษย์ที่ก่อเกิดพายุฝนโหมกระหน่ำ

ติงเจิ้งหวาที่อยู่เบื้องล่างจ้องมองหวางหรูอี้มิคลาดสายตา อีกทั้งยังส่งพลังส่วนหนึ่งเข้าปิดกั้นกางเขตแดนโดยรอบมิให้พิธีกรรมครั้งนี้ถูกรบกวนจากสิ่งอื่นใด โดยเฉพาะพวกปีศาจนอกรีด

นับว่าทั้งสามทำงานได้ดี หากแต่ตอนนี้ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ผู้ที่เหนื่อยหนักเห็นจะเป็นหวางหรูอี้และหลี่รั่วถง หากพลั้งเผลอใช้พลังมากไปก็อาจเป็นอันตรายได้

แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าเจ้าของเสี้ยววิญญาณรอคอยช่วงเวลานี้มานานเพียงใดเพื่อที่จะหาโอกาสช่วงชิงสิ่งที่เป็นของตนกลับมา
พลังกั้นเขตแดนของติงเจิ้งหวาเพียงผู้เดียวหรือจะสู้ปีศาจนอกรีตที่ร่วมมือกันทำลายม่านพลังให้แตกซ่านได้ ในเมื่อมีรอยร้าว เหตุใดจะไม่มีโอกาสเข้ามาแทรกแซง

หวืด!

ด้วยสัมผัสบางอย่างติงเจิ้งหวารับรู้ได้ถึงความผิดปกตินั้นแล้ว หากแต่ยังคงใช้พลังที่มีของตนต้านทานบางอย่างที่กำลังจะเข้ามาอย่างไม่ย่อท้อ พลันดวงตาคมกลับแดงกร้าวขึ้นราวกับเปลวเพลิงส่งต้านพลังบางอย่าง มุ่งมองไปยังหวางหรูอี้ที่กำลังคลายผนึกตรวนสายฟ้า เมื่อเห็นท่าว่าไม่ดีติงเจิ้งหวาจึงส่งเสียงเตือน

“มีบางอย่างกำลังแทรกแซงเข้ามาที่นี่ ต้องรีบแล้ว! ”

หวางหรูอี้ได้ยินทุกคำพูดหากแต่ไม่สามารถตอบโต้กลับไปได้ จิตใจยังคงจดจ่อกับสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ ร่างกายส่วนหนึ่งกำลังแบกรับความเจ็บปวดจากการเป็นภาชนะของตรวนสายฟ้าอย่างสุดกำลัง

หลี่รั่วถงครั้นมิอาจละเลยต่อหน้าที่ยามนี้ได้ หากเขาปล่อยมืออันตรายก็มาเยือนได้เช่นกัน

“ทำหน้าที่ของเจ้า อย่าได้วอกแวก”น้ำเสียงกร้าวเตือนหวางหรูอี้ที่มีท่าทีวอกแวกไป

“ข้ารู้ล่ะนา!”

หากแต่สถานการณ์ตอนนี้คับขันยิ่งนักติงเจิ้งหวารู้ดีว่าไม่อาจต้านได้ทั้งหมด นึกเป็นห่วงหวางหรูอี้ที่อาจได้รับอันตรายในครั้งนี้จากพลังสะท้อนของตรวนสายฟ้าหากทุกอย่างล่มกลางทางขึ้นมา

“เจ้าฟังข้า! ยามนี้เราต้องเร่งแล้ว ข้าจะผนึกพลังเป็นครั้งสุดท้ายเอาไว้และไปช่วยเจ้าตรึงตรวนสายฟ้าอีกแรง”

“ไม่ได้! เจ้าปล่อยให้ปีศาจนอกรีตพวกนั้นเข้ามาไม่ได้เป็นอันขาด ขอเวลาข้าอีกหน่อย!”ใบหน้าทะมึนถึงคิ้วขมวดมุ่น ใบหน้าที่ขาราวหิมะเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ งัดเอาพลังที่ตนมีเร่งทำหน้าที่

“เจ้าใช้เวลามากเกินไปแล้ว ฝีมือตกไปเยอะหรืออย่างไรกัน”คำตำหนิจากหลี่รั่วถงกล่าวยั่วยุโทสะของหวางหรูอี้ไม่ถนอมน้ำใจ หากแต่เช่นนั้นกลับได้ผลตรงข้าม หวางหรูอี้ทำหน้าที่ได้ดีขึ้นหากแต่เช่นนั้นก็ยังไม่เพียงพอ
 
หลี่รั่วถงรู้ดีว่าตรวนสายฟ้าสี่เส้นนั้นหนักหนาเพียงใดที่จะควบคุมให้เข้าผนึกกล่องอัคคีได้ ไม่ได้ต่างจากม้าป่าพยศที่ต้องทุ่มสุดตัวเพื่อควบคุมมัน

เปรี้ยง!

ราวกับเสียงฟ้าฟาดที่ทลายหุบเขาให้ถล่ม แรงต้านมหาศาลจากภายนอกกำลังทำให้ติงเจิ้งหวาต้านทานแทบไม่ไหว ประกายวาบราวกับเส้นสายฟ้าแตกระแหงไปตามเขตม่านพลังที่กางไว้

“ท่าไม่ดีแล้ว!”

“หน็อย! เจ้าพวกชั้นต่ำมันบังอาจนัก!”เสียงกดเขี้ยวเคี้ยวฟันดังจากปากของหวางหรูอี้

“พวกมันกำลังพยายามทำลายเขตม่านพลังของข้าเพื่อเข้ามา!”

“ต้านเอาไว้ ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง”เป็นหลี่รั่วถงที่ถ่ายพลังส่วนหนึ่งเข้าช่วยติงเจิ้งหวา จนเกินขีดจำกัดของร่างกายแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ไม่อาจอ่อนแอได้ ต่อให้กระอักจนเป็นเลือดก็หาได้ยอมแพ้

ทางฝั่งหวางหรูอี้กำลังจะทำการใหญ่สำเร็จทว่าเหตุการณ์มิคาดฝันกลับเกิดขึ้น เมื่อเขตแดนท่านพลังถูกทำลายลงครืน บัดนั้นพลันอมนุษย์ตัวดำทะมึนรูปร่างสูงใหญ่หาได้มีใบหน้าสามารถเล็ดลอกเข้ามาได้ พวกมันพุ่งทะยานเข้ามามีเป้าหมายที่ชัดเจนนั้นเป็นการขัดขวางหวางหรูอี้มิให้ทำการสำเร็จ โดยซัดคลื่นพลังยับยั้งปราณเข้าใส่หวางหรูอี้ที่หาได้มีผู้ใดปกป้องอยู่เบื้องหลัง ติงเจิ้งหวามองเห็นอยู่เบื้องล่างแต่ก็ไม่อาจเข้าขวางไว้ได้ทัน พลังในมือหวางหรูอี้ในการควบคุมตรวนสายฟ้าขาดห้วง จนถูกพลังจากตรวนสายฟ้าสะท้อนเข้าใส่เข้าเต็มๆ หลี่รั่วถงก็ไม่อาจต้านไว้ให้ได้
 
หวางหรูอี้พลาดท่าพลัดตกลงมาทว่าติงเจิ้งหวาสามารถเข้าช่วยรับไว้ได้

“กล่องอัคคี!”แม้ตนจะบาดเจ็บไม่น้อยก็ยังห่วงถึงภารกิจเบื้องหน้าที่บัดนี้หลี่รั่วถงต้องเป็นผู้รับหน้าที่เหล่านั้นเพียงผู้เดียว

“ห่วงตัวเจ้าเองก่อนเถิด เจ้าอยู่ตรงนี้ข้าจะไปจัดการพวกปีศาจชั้นต่ำพวกนั้น”กล่าวเสร็จติงเจิ้งหวาก็ทะยานเข้าฟาดฟันกับอมนุษย์ที่กล้ำกรายเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราด จนสลายหายไปมากกว่าครึ่งแววตาโหดเหี้ยม

หากแต่หายนะมิได้จบเพียงเท่านี้พลันตัวปัญหาที่แท้จริงกลับปรากฏขึ้น เป็นจูเกิงเฉินที่ยอมเหยียบย่ำศพปีศาจที่หลอกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อมาถึงยังจุดจุดนี้

“ข้ากับเจ้ามิได้พบพานกันนานนับพันปี นับว่าวาสนามาบรรจบ”แววตากร้าวและใบหน้าเหยียดยิ้มมอบให้แก่หลี่รั่วถงอย่างเย้ยหยัน

“ข้าคิดไม่ผิดว่าต้องเป็นเจ้าที่รนหาที่ตายมาถึงที่นี่”น้ำเสียงเกรี้ยวโกรธกล่าวขึ้นแววตาดุดัน อยากจะปราดเข้าไปฉีกร่างของจูเกิงเฉินออกเป็นชิ้นๆ เสียเดี๋ยวนี้

“เจ้ากล่าวผิดแล้ว ข้ามารับของๆ ข้าคืน! ”ดวงตาหมายมาดจ้องมองไปยังกล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือของหลี่รั่วถง

“เจ้าจะไม่มีวันได้กลับคืน”

“ก็ให้รู้ไปว่าพันปีที่ผ่านมาข้าจะเอาชนะเจ้าไม่ได้ หึ! ”

“หากแต่น่าเสียดายเวลาที่ผ่านมาของเจ้านัก ที่ไม่ได้ทำให้ความหยิ่งยโสโอหังของเจ้าลดน้อยลงไปได้”

“โอหังเช่นนั้นหรือ? แล้วเช่นไรเล่าหากจะทำให้เจ้าต้องพ่ายแพ้ให้แก่ข้าได้! ”

ทันทีที่จบประโยคจูเกิงเฉินมิได้ปล่อยเวลาให้ล่วงเลย พละกำลังที่สั่งสมมาช้านานเพื่อการนี้เหตุใดจึงต้องออมแรงไว้ให้พลาดท่า ด้วยพลังทั้งหมดที่มีของหลี่รั่วถงในตอนนี้นับว่าด้อยกว่าจูเกิงเฉินหลายส่วน พลังส่วนหนึ่งถูกใช้ไปกับการควบคุมตรวนสายฟ้าและผนึกกล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังต้องเสียไปไม่ฟื้นคืนครั้งที่ตนยอมมอบเสี้ยววิญญาณที่ไม่อาจช่วงชิงกลับคืนมาได้ให้กับติงเจิ้งหวาไป เพื่อแลกกับการตัดชื่อของเซียวโม่โฉวออกจากบัญชีคนตาย

นับว่าเสี้ยววิญญาณที่หลี่รั่วถงเสียไปนั้นบัดนี้ได้หลอมรวมกับไฟนรกโลกันตร์ให้แข็งแกร่งขึ้น และไม่มีทางเรียกคืนได้อีก
ต่อให้ข้าสิ้นแขนสิ้นข้าก็จะไม่มีทางยอมให้เจ้าหยิบคว้าชัยชนะไปได้โดยง่ายดายเป็นแน่! แม้ข้าต้องพ่ายแพ้ก็จะสู้ยิบตาเพื่อหยุดเจ้าไว้!

และในเสี้ยววินาทีนั้นจูเกิงเฉินเคลื่อนไหวรวดเร็วปานสายฟ้า เข้าปะทะต่อสู้กับหลี่รั่วถงกลางอากาศ ผู้ที่อยู่เบื้องล่างไม่อาจแทรกแซงการต่อสู้ที่ไม่อาจเทียบชั้นนี้ได้ อาวุธที่ถูกเรียกมาเป็นดาบสีเงินวาวราวกับกับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ของวิเศษคู่กายที่ไม่บ่อยครั้งนักจะเรียกออกมาใช้ เพราะคราใดที่ใช้ฟาดฟันเสียงสนั่นกึกก้องอาจก่อให้เกิดแผ่นดินไหวสั่นสะเทือน หากแต่ครานี้จำต้องนำมาใช้ประมือกับจูเกิงเฉินอีกครา

แสงสะท้อนวาบจากอาวุธที่เข้าฟาดฟันกันราวกับสายฟ้าฟาดในอากาศ หลี่รั่วถงไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายเหิมเกริมแม้พลังจะน้อยนิดในยามนี้ก็หาได้เป็นรองจูเกิงเฉินแต่อย่างใด แรงเหวี่ยงสะท้อนคมดาบเฉือนโดนใบหูของจูเกิงเฉิน อีกฝ่ายร้อนรนแทบลุกเป็นไฟต้านพลังกลับไปยังหลี่รั่วถงสุดกำลัง กระทั่งรอยยิ้มร้ายฉายชัดขึ้นที่มุมปาก จูเกิงเฉินใช้วิชาฝ่ามือมารที่ฝึกฝนเข้าอัดไปที่อกของหลี่รั่วถงอย่างเต็มกำลัง

ความรุนแรงทำให้หลี่รั่วถงกระเด็นไกลร่างเข้ากระแทกกับผาหินที่อยู่ด้านข้างจนหินแตกร้าว ความบอบช้ำขับเอาเลือดกระอักออกมา หากแต่มิใช่จุดจบที่จักยอมแพ้แต่โดยง่าย ครั้นตั้งตัวได้ก็รีบส่งตัวเองเข้าปะทะกับจูเกิงเฉินอีกครา ทว่าครั้งนี้หาได้ออมแรงไม่ พลันบันดาลโทสะความเกรี้ยวกราดให้เหนือทะเลเพลิงราวกับทะเลคลั่ง เมฆดำเคลื่อนที่รวมกันส่งสายฟ้าฟาดไปยังร่างของจูเกิงเฉินจนเสียท่า บัดนั้นหลี่รั่วถงจึงจัดการง้างดาบเตรียมปลิดวิญญาณ ทว่ากลับมีเงามืดเคลื่อนเข้ามาเบื้องหลังราวกับเล่ห์กลของจูเกิงเฉินรวบกายของหลี่รั่วถงเอาไว้แน่น ช่องโหว่เพียงเสี้ยววินาทีจึงทำให้จูเกิงเฉินสามารถเข้าแย่งชิงกล่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ

หลี่รั่วถงเห็นว่าตนเองพลาดท่าจึงรีบใช้พลังจัดการกับเงามืดที่พันธนาการตนไว้อย่างรวดเร็ว ทว่าสิ่งสำคัญกลับไปอยู่ในมือจูเกิงเฉินเสียแล้ว

“ในที่สุดข้าก็ได้ของของข้าคืนมา”เสียงหัวเราะร่าดังขึ้นอย่างสะใจกึกก้องไปทั่ว

“เจ้า!”

“ครั้งนี้จะถือว่าเป็นการซ้อมประมือ ครั้งหน้าข้าไม่ยอมให้จบลงครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้แน่ หึ! ”ครั้นมีสิ่งที่ต้องการอยู่ในกำมือ จูเกิงเฉินจึงได้ล่าถอยออกไปเตรียมจะหนีหาย หลี่รั่วถงหาได้นิ่งนอนใจจึงรีบพุ่งทะยานเข้าไปหมายจะช่วงชิงคืน จูเกิงเฉินไม่ยอมเอาตนเองเข้าเสี่ยงจึงใช้อมนุษย์เข้ากำบังให้เป็นด่านหน้าก่อนจะลอบหนีหายไปในพริบตา คลื่นสังหารจากคมดาบที่ฟาดฟันไปเบื้องหน้าทำลายได้เพียงอมนุษย์ปีศาจ หากแต่ผู้ที่ต้องการชีวิตกลับอันตรธานหายไปเสียแล้ว

ครานี้สร้างความแค้นเคืองให้หลี่รั่วถงไม่น้อยจึงบันดาลโทสะส่งเสียงดังออกมาอย่างสุดจะทานทน

“คราหน้าข้าจะไม่ให้เจ้าหนีรอดไปเป็นแน่!!!”

ความโกรธเกรี้ยวที่แสดงออกมาต่างประจักษ์ให้เห็นแล้วว่าหลี่รั่วถงเดือดดาลเพียงใด ในแววตากร้าวแกร่งราวกับลุกเป็นไฟ แม้แต่หวางหรูอี้ที่บาดเจ็บหนักและติงเจิ้งหวาก็ไม่กล้าแม้แต่ออกความเห็นใด




พิภพแห่งหยิน

   ครั้นยามนี้ฟ้าครึ้มเปลี่ยนสีช่างแปรปรวนราวกับเข้าสู่ช่วงมรสุม หากแต่มรสุมนั้นกลับเกิดแต่จ้าวพิภพแห่งหยินที่เก็บตัวเงียบอยู่ภายในเรือนของตนมาสามราตรีแล้ว บริวารทั้งหลายก็ต่างพากันหดหัวหายไม่กล้าพานพบผู้เป็นประมุขในยามนี้

   ในเรือนของจ้าวพิภพแห่งหยินนับว่าหาได้มีผู้ใดปรารถนาจะเหยียบย่างเข้ามามากมายนัก ราวกับถ้ำเสือที่หากหลุดหลงเข้าไปอาจไม่เหลือรอดออกมาแม้กระดูก ความน่ากลัวเกรงนั้นกลับมิได้ทำให้วิญญาณที่อ่อนแอเช่นเซียวโม่โฉวหวาดกลัวแม้แต่น้อย ทั้งยังอาจหาญเคาะประตูอยู่เบื้องหน้าไม่ล่าถอยไปแต่อย่างใด นับว่าหอบเอาความกล้ามาเต็มเปี่ยม

   แม้หลี่รั่วถงจะหลับหูหลับตาตัดการรับรู้จากภายนอกเพื่อฟื้นร่างกาย ครั้นมีผู้ใดเหยียบย่างเข้ามายังอาณาเขตแห่งนี้หลี่รั่วถงก็สามารถรู้ได้

   “ข้าเซียวโม่โฉวต้องการพบท่านเพียงครู่ได้หรือไม่”

   ไร้การตอบกลับแต่อย่างใด หากแต่บานประตูเปิดออกโดยง่าย เซียวโม่โฉวตัดสินใจก้าวเข้าไปยังด้านใน เหอจี๋ที่อยู่เบื้องหลังมิได้รับเชิญจึงเพียงค้อมตัวส่งเซียวโม่โฉวเข้าไปยังด้านในสีหน้าเป็นกังวล

   “ข้าจะกลับไปรอท่านที่เรือนนะขอรับ”

   “อือ”เซียวโม่โฉวพยักหน้ารับพร้อมกับบานประตูที่ปิดลง สายตาคู่สวยกวาดมองไปโดยรอบอย่างสังเกตแม้ภายในจะเงียบงันหากแต่กลิ่นกำยานที่ลอยหอมอบอวลนั้นชวนผ่อนคลายยิ่งนัก ระหว่างที่กวาดสายตาสังเกตไปโดยรอบแล้วก็หาได้พบเจอผู้ที่ตนต้องการพบแต่อย่างใด กลับปรากฏตุ๊กตากระดาษรูปร่างคนแผ่นบางที่เข้ามากระตุกรั้งชายเสื้อของเซียวโม่โฉวให้เดินตามไป สุดปลายทางบุรุษหนุ่มจึงได้พบกับเจ้าของเรือนแห่งนี้ ซึ่งนั่งทอดกายอยู่บนเก้าอี้ไม้ในมือข้างหนึ่งถือม้วนไม้ไผ่เอาไว้ และอีกนับสิบม้วนที่วางอยู่ข้างกาย

   ครั้นเซียวโม่โฉวมาถึงหลี่รั่วถงจึงได้ละสายตาไปจ้องมองผู้มาเยือนเสียแทน นับว่าประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นเซี่ยวโมโฉวยอมเหยียบน่างมาหาเขาด้วยตนเอง
 
เซียวโม่โฉวเพียงหยุดนิ่งอยู่ห่างๆ มองตุ๊กตากระดาษที่เผาตนเองสลายไป บัดนี้ภายในห้องหับกว้างขวางซึ่งไม่ต่างจากห้องหนังสือมีเพียงสองบุรุษที่กำลังเผชิญหน้ากัน

   “เอ่อคือว่าข้า.....”ร่างเล็กที่ยืนไม่เคลื่อนไหวเลื่อนสายตาที่หลุบลงต่ำเงยหน้าขึ้นมองหลี่รั่วถงที่ดันตัวลุกเดินมา ในใจมีเรื่องราวตั้งมากมายต้องการถามไถ่ เมื่อถึงเวลากลับพูดไม่ออก

   “เจ้ามีเรื่องอันใดสำคัญต่อข้าเช่นนั้นหรือ เหตุใดวันนี้เจ้าจึงไม่ไปบำเพ็ญเพียร”

   “ไป แต่ข้ากลับมาแล้ว”

   “เช่นนั้นหรือ”

   “ข้ามาที่นี่โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าต้องขออภัย เหอจี๋เตือนต่อข้าแล้วว่าข้าไม่ควรมารบกวนท่านในช่วงนี้ หากแต่.....”ดวงตากลมใสจ้องมองหลี่รั่วถงที่ยืนสง่าอยู่เบื้องหน้า คล้ายคำพูดบางอย่างติดขัดอยู่ในลำคอ

   “หากแต่เช่นไร?”

   “หลายวันมานี้ข้ามิได้พบเจอท่านจึงใคร่สงสัยว่าท่านเป็นเช่นไรบ้างก็เท่านั้น ไม่มีผู้ใดยอมตอบคำถามแก่ข้า พวกเขาล้วนหนีหน้าจนข้าสงสัย เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนั้น”คำพูดที่มีความจริงใจไม่โป้ปดบอกเล่าแก่หลี่รั่วถงอย่างตรงไปตรงมา

   “เป็นจริงอย่างที่เจ้ากล่าวมาเช่นนั้นหรือ”หลี่รั่วถงจงใจถามย้ำ ลอบมองท่าทีของเซียวโม่โฉวที่พยักหน้าหงึกน้อยๆ ความกังวลใจของเซียวโม่โฉวที่มีต่อเขาราวกับยาวิเศษ

   “ข้าจะโกหกท่านไปไย”

   “เช่นนั้นเจ้าคงจะเป็นห่วงข้า”

   “เป็นห่วง?”

“หากไม่แล้วเจ้าจะร้อนใจมาหาข้าถึงที่นี่เชียวหรือ”

“ข้าเพียงสงสัยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นต่อท่าน จะกล่าวว่าข้าเป็นห่วงเป็นใยท่านได้อย่างไร.....”ประโยคหลังค่อยๆ เลือนหายไปราวกับไม่แน่ใจในคำโต้แย้งของตน หลี่รั่วถงเห็นความลังเลของเซียวโม่โฉวก็แสร้งปั้นหน้านิ่งไม่แสดงท่าทีใดๆ ทั้งที่ในอกอุ่นวาบกำซาบถึงจิตใจในประโยคที่เต็มไปด้วยความห่วงใยเหล่านั้น

หากจะกล่าวว่าหลี่รั่วถงผู้นี้สรุปความเอาเองเขาก็หาใส่ใจไม่

“หากเจ้าอยากรู้ ข้าจะกล่าวไปตามตรง ยามนี้ร่างกายและพลังของข้าอ่อนแอไม่แม้แต่จะสามารถไปในที่อื่นใดได้ ข้าจำต้องพักฟื้นมิให้ร่างกายนี้ต้องย่ำแย่ไปกว่าเก่า”หลี่รั่วถงกล่าว แม้จะจริงอยู่หลายส่วนแต่เกินจริงอยู่บ้างก็มีอยู่เช่นกัน มิได้มีกฎข้อใดที่ห้ามมิให้เขาเรียกร้องความสนใจจากบุรุษตรงหน้า

เซียวโม่โฉวได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย อ่อนแอนั้นควรแล้วหรือที่จะใช้กับจ้าวพิภพแห่งหยินได้ ในโลกมนุษย์หลี่รั่วถงเป็นดั่งพ่อมดมนตร์ดำที่กล้าแกร่งด้วยพลัง ผู้คนพร้อมจะมอบสิ่งที่เขาต้องการหากความปรารถนาของพวกมนุษย์เป็นจริง แม้จะเกิดเรื่องร้ายตามมาก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องลังเล แล้วเหตุใดยามนี้ถึงได้เป็นเช่นนั้น
 
“มีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเหลือท่านได้บ้างหรือไม่”

“มี หากแต่เจ้าจะยินดีเช่นนั้นหรือ”นัยน์ตาคมจ้องมองเซียวโม่โฉวไม่วางทั้งลอบสำรวจใบหน้าบุรุษหนุ่มอย่างพินิจพิจารณา มองดูเช่นไรก็ไม่อาจเบื่อหน่ายไปได้ทั้งดวงตาคู่สวยที่มองสรรพสิ่งด้วยความใสซื่อหาได้มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ

“ว่าอย่างไรเล่า คำตอบของเจ้า”หลี่รั่วถงทวนย้ำเอาคำตอบทำเอาบุรุษหนุ่มนิ่งค้าง ใคร่ครวญคำพูดของตนเมื่อครู่ที่หลุดออกจากปากไป

ไยข้าต้องหยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่หลี่รั่วถงด้วยเล่า แม้เขาจะดูป่วยไข้หากแต่มิใช่กงการที่คนอ่อนแอเช่นข้าจะช่วยเหลือเขาได้

“ช้าก่อน.....”เซียวโม่โฉวกล่าวขึ้นใบหน้ายุ่งเหยิงเริ่มไม่มั่นใจ“ข้าขอคืนคำได้หรือไม่ คงหาได้มีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเหลือท่านได้”คำพูดที่หลุดออกมาหาได้เจือปนด้วยเล่ห์อุบายใดๆ ทำสิ่งใดไม่ได้ก็เพียงรีบปฏิเสธเท่านั้น

หลี่รั่วถงได้ฟังเช่นนั้นกลับนึกขบขันในใจ มองดูเซียวโม่โฉวที่ขมวดคิ้วมุ่น ดวงตากลมใสกะพริบถี่จ้องมองร่างสูงสง่าเบื้องหน้าไม่หลบสายตา เพราะหาได้มีสิ่งใดที่เขาจักต้องกลัว

“หากข้ากล่าวว่าไม่ เจ้าจะว่าอย่างไร”

“ไม่ว่าอย่างไร.....ในเมื่อข้าปฏิเสธไปแล้ว ข้าหาได้มีกำลังใดทำเพื่อใครได้ ท่านรู้ดีเป็นที่สุด”มือเล็กกำแน่นตระหนักในความหมายที่กล่าวออกไป ทั้งมองไม่เห็นคุณค่าของตนแม้แต่น้อย

“เมื่อเจ้ากล่าวว่าข้ารู้ดีเกี่ยวกับตัวเจ้า แล้วเหตุใดข้าจะไม่รู้ว่าจะหาประโยชน์จากตัวเจ้าด้วยวิธีการใดจริงหรือไม่”

“ท่านหมายความเช่นไร?”เซียวโม่โฉวฉงนหาได้เข้าใจความหมาย

“เจ้ามิต้องรู้ทุกเรื่องในยามนี้ เพียงทำในสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้เพื่อตนเองก็เท่านั้น”

สิ้นสายคำในขณะที่ความงุนงงยังคงสถิตอยู่บนใบหน้าของเซียวโม่โฉว ความอุ่นวาบที่คว้าร่างของเขาไปตระกองกอดสู่อ้อมอกกว้างแทบจมหายยิ่งสร้างความประหลาดใจเป็นที่สุด ริมฝีปากที่อ้ากว้างงับอากาศไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา มิรู้ว่าเหตุใดหลี่รั่วถงถึงทำเช่นนี้

เขากอดข้าด้วยเหตุใด หรือความป่วยไข้จะทำให้เขาหนาวสั่น? หากมิใช่สาเหตุนี้แล้วเพราะอะไรกัน
“ข้าไม่ปรารถนาสิ่งใดไปมากกว่าการได้กอดเจ้าและมีเจ้าอยู่เคียงกาย แม้เวลาที่ผ่านมาจะมากกว่านั้นเป็นร้อยเท่าพันเท่าข้าก็หาได้หวาดหวั่น”

   “ทะท่านหมายความเช่นไร ข้าไม่เข้าใจที่ท่านกล่าว”น้ำเสียงตะกุกตะกักอยู่ในอกกว้างคล้ายสับสนไปหมดจับต้นชนปลายไม่ได้ อีกทั้งร่างกายใหญ่โตที่กอดแน่นไม่ขยับราวกับโดนหินทับร่างยิ่งทำให้เซียวโม่โฉวไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ หากแต่บุรุษหนุ่มก็มิได้รังเกียจที่ถูกกระทำอย่างอ่อนโยนเช่นนี้

   “ข้าไม่ปรารถนาเสียสิ่งสำคัญไปอีกแล้ว สิ่งที่เจ้าจะช่วยข้าได้นั้นหาใช่กำลังของเจ้า หากแต่เป็นหัวใจของเจ้าที่จะมิมอบให้แก่ผู้ใดนับจากนี้”

   ครั้นได้ยินคำพูดที่หลี่รั่วถงเอื้อนเอ่ย แม้จะมิได้เข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้ หากแต่ความรู้สึกของเซียวโม่โฉวกลับตอบรับจนไม่อาจปฏิเสธได้ ความตื้นตันที่เอ่อล้นออกมาพานเอาน้ำตาอุ่นๆ รินไหล แม้มิรู้ว่าตนเองเจ็บปวดและเศร้าหมองด้วยเรื่องอันใด รู้เพียงสิ่งเดียวว่ายามนี้อ้อมกอดของร่างสูงตรงหน้าช่างอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน
   





ติดตามตอนต่อไป >>

---------------------------------------------

ถือว่าบทนี้มีฉากต่อสู้ที่ไม่ค่อยถนัดนัก ปั่นไปน้ำตาไหลไป อยากตะโกนใส่โอ่งว่ายาวโว้ยยย :katai1:

หากผิดพลาดประการใด อ่านไม่ลื่นไหลก็ขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน :กอด1: :กอด1:

ขอบคุณทุกคอมเม้นเช่นกันค่ะ :pig4: ซึ้งจริงจัง :m15:

แล้วเจอกันตอนหน้าน๊าาา


#หลานฮวา

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
นี่คือการสารภาพรักถูกมะ

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ซาบซึ้งกับความรักของหลี่รั่วถงมากๆเลย
ยอมสละวิญญาณเลยอ่ะ

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4


บทที่ 11
มธุรสลวงใจ





ณ ป่าท้อดินแดนพิภพแห่งหยิน กลีบดอกท้อที่ร่วงโรยไปตามแรงลมหอบเอากลิ่นหอมที่คุ้นเคยเข้าจมูก ร่างบุรุษหนุ่มที่ทิ้งกายลงนอนราบกับพื้นมองดูกิ่งก้านต้นท้อที่สั่นไหวไม่ขยับเขยื้อน อาภรณ์สีขาวที่ตัดกับสีชมพูอ่อนราวกับพรมกลีบดอกท้อช่างงดงามราวดั่งภาพวาด

แม้ทุกอย่างจะดูนิ่งสงบหากแต่ในหัวของเซียวโม่โฉวกลับกำลังนึกถึงเรื่องบางอย่างอยู่ทุกขณะจิต สังเกตได้จากแววตาที่กำลังฉายชัดความรู้สึกออกมาผ่านดวงตา

   เนื่องด้วยระยะหลังมานี้ครั้งเซียวโม่โฉวไปยังดินแดนลึกลับเพื่อบำเพ็ญเพียร บ่อยครั้งที่ได้พบเจอกับสัตว์อสูรเสือดำอันมีนามไพเราะที่ตนตั้งให้ว่าเจี้ยนหลิน หากแต่ระยะหลังมานี้เซียวโม่โฉวมิได้พบเจอ ราวกับขาดสหายเคียงกายให้อุ่นใจยามต้องโดดเดี่ยว จึงอดที่จะกังวลไปเสียมิได้ว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นต่อเจี้ยนหลินหรือไม่ สิ่งเหล่านั้นนำพาความว้าวุ่นจิตใจมาให้เซียวโม่โฉวไม่น้อย

   คงไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เจี้ยนหลินเก่งกล้าเช่นนั้นเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว

   คิ้วได้รูปขมวดมุ่นคุยกับตนเองในความคิด กระทั่งเหอจี๋ที่คอยนิ่งอยู่ห่างๆ อย่างสงบท่าทีปล่อยให้ผู้ที่ต้องการสันโดษได้ผ่อนคลายก็อดเอ่ยขึ้นถามไถ่มิได้ถึงสีหน้าพิลึกที่ปรากฏ

   “สีหน้าของท่านดูแปลกไป กำลังคิดเรื่องใดอยู่หรือขอรับ”

   “ข้ากำลังนึกถึงสหายผู้หนึ่ง ข้ามิได้พบเจอมาสักระยะแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง”

   “สหาย? ท่านไปรู้จักผู้ใดมาหรือขอรับ”

   “ความลับน่ะ”รอยยิ้มจุดขึ้นที่มุมปากของเซียวโม่โฉว ดวงตาเหลือบมองเหอจี๋ที่อ้าปากจะพูด“เจ้ามิต้องรู้หรอกนา”

   “พูดเช่นนั้นข้ายิ่งอยากรู้ ท่านคงจะไม่ได้ไปเจอสิ่งที่ไม่น่าไว้ใจมาหรอกนะขอรับ”

   “คิดมากไปได้ ข้าไม่ใช่ผู้ที่ชอบหาเรื่องใส่ตนเองหรอก”กล่าวเสร็จเซียวโม่โฉวก็ดันตัวลุกขึ้นนั่งในท่าสบายเหยียดแขนขึ้นไปบนอากาศคล้ายบิดตัวก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง

   “เช่นนั้นก็เบาใจขอรับ”

   “นี่เหอจี๋”

   “มีอะไรหรือขอรับ?”ผู้ที่ยืนอยู่ขานรับ

   “เจ้าบอกข้าหน่อยเถิดว่าข้าตายไปแล้วจริงหรือไม่”

   “เอ๊ะ? เหตุใดจึงถามเช่นนั้นล่ะขอรับ มนุษย์ไม่มีทางมายังพิภพแห่งนี้ได้”

   “แล้วเช่นนั้น ดวงวิญญาณเช่นข้า.....”ครู่หนึ่งที่เซียวโม่โฉวยกแขนตนเองข้างหนึ่งขึ้นสัมผัสกับอกซ้ายหลับตาลงราวกับรับสัมผัส

“ท่านเจ็บป่วยตรงไหนหรือขอรับ!”

เซียวโม่โฉวส่ายหน้าพร้อมกล่าวว่า“ข้ามิได้เจ็บตรงไหน เพียงสงสัยว่าเหตุใดข้าถึงรู้สึกราวกับตนเองมีชีวิต เหมือนมากเสียจนบางอย่างข้างในนี้มันเต้น”

“เช่นนั้นหรือขอรับ!”เหอจี๋ดวงตาเบิกโพลงคลายยินดีกับสิ่งที่ได้ยิน“มิใช่เรื่องที่ท่านต้องกังวล สิ่งนั้นบ่งบอกให้รู้ว่าพลังวิญญาณของท่านกำลังกล้าแข็งขึ้น สิ่งต่างๆ นั้นจะยิ่งคล้ายคลึงเมื่อครั้งยังมีชีวิตรวมไปถึงสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าหัวใจ ข้ายินดีเป็นที่สุดจริงๆ ขอรับ”

“หากเป็นเช่นนั้น อีกไม่นานข้าคงจะได้ทำในสิ่งที่ปรารถนาแล้วสินะ”แม้ใบหน้าจะคลี่ยิ้มหากแต่ดวงตากลับเศร้าสร้อย ก่อนจะหยิบบางอย่างที่เก็บยู่ภายในสาบเสื้อที่รักษาไว้อย่างดีขึ้นมอง

ปิ่นปักผมที่เป็นรูปดอกโบตั๋น งดงามหากแต่ดูโดดเดี่ยวนัก ยามนี้คล้ายมีบางอย่างเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดอกตูมกลับบานออกหากแต่ยังไม่มากนัก นั่นหมายถึงสิ่งใดเซียวโม่โฉวทราบดี

“ข้าควรจะยินดีต่อท่านสินะขอรับ”

“อย่าได้กล่าวถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นเลย”

“เอ่อ.....ท่านจะกลับเรือนเลยหรือไม่ขอรับ”

“อืม กลับก็กลับ”

“ข้าจะเตรียมน้ำให้ท่านได้อาบเพื่อผ่อนคลาย ข้าได้กำยานกลิ่นหอมจากเป่าเหยียนสหายต่างแดนของข้า ท่านต้องชอบกลิ่นหอมของมันอย่างแน่นอน”

“เช่นนั้นหรือ เจ้ากับทู่จึก็มาอาบด้วยกันดีหรือไม่ข้าจะได้มีเพื่อนคุย”

“มะไม่ได้หรอกขอรับ”เหอจี๋ส่ายหน้าคอแทบหลุด

“เช่นไรเล่า สระน้ำนั้นกว้างขวางนัก ข้าเพียงลำพังยังมีพื้นที่ว่างเสียตั้งมากมาย”

“หากท่านยังปรานีต่อข้าก็โปรดอย่าได้ชักชวนเลยนะขอรับ”

“ไม่ได้เช่นนั้นหรือ”

“ไม่ได้ขอรับ”

“แล้วทู่จึเล่า”

“เจ้าปีศาจชั้นต่ำยิ่งไม่ได้ใหญ่ขอรับ”

“แต่ข้าก็มิได้ต่างไปจากทู่จึ”

“ต่างขอรับ อย่าได้ถามข้าเลยว่าทำไม คำตอบนี้ข้าอธิบายต่อท่านมิได้”

“ข้าเป็นโรคร้ายแรงสินะ”เซียวโม่โฉวคล้ายมีสีหน้าสลด คนฟังก็แทบเซถลาศีรษะชนต้นท้อ

“อย่าได้ทึกทักเอาเองเช่นนั้นเลยขอรับ เอาเป็นว่ากลับเรือนกันเถิด หลายวันมานี้ท่านคงเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางไปยังดินแดนลึกลับหากได้พักเพียงเล็กน้อยก็จะยิ่งดีต่อตัวท่าน นะขอรับ”เพราะสายตาวิงวอนของเหอจี๋เซียวโม่โฉวจึงยอมที่จะไม่ถามสิ่งใดอีก จึงได้เดินตามกลับเรือนเสี้ยวจันทรา ทว่าหางตาวูบหนึ่งนั้นคลายเห็นดวงไฟบางอย่าง ราวกับเคยมองเห็นที่ไหนมาก่อน หากแต่หันไปมองอีกครากลับไม่มีสิ่งใดให้เห็น

หรือข้าตาฝาดไปเองกันแน่ คงจะเป็นเช่นนั้น




พิภพแห่งหยาง

   สถานที่ที่ดูกว้างขวาง เวิ้งว้าง เงียบงันเช่นนี้หากผู้ที่ไม่รู้จักกับจ้าวพิภพแห่งหยางคงจะทายทักอุปนิสัยว่าเป็นผู้รักสงบก็เป็นไปได้ บรรยากาศแท้จริงแล้วเงียบเหงานั้นก็หาได้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อลวงตาผู้มาเยือนไม่ หากแต่เป็นความจริงเสียหลายส่วนที่ดินแดนแห่งนี้เงียบงันราวกับอุปนิสัยเบื้องลึกของหวางหรูอี้ ฉากหน้าที่คารมไม่เป็นรองผู้ใด อุปนิสัยโผงผางก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของเขา หากแต่ยามอยู่ในสถานที่แห่งนี้เพียงลำพังก็หาได้แกว่งน้ำเต้าสุราสำราญไปทั่ว
 
   แน่นอนว่าย่อมเป็นที่แปลกตาของผู้มาเยือนอย่างติงเจิ้งหวาเป็นแน่ การมาเยือนครั้งนี้นับว่ามิได้นัดหมาย หากแต่เพียงผ่านมาจึงคิดที่จะแวะเวียน ครั้งบาดเจ็บคราก่อนก็มิได้พบเจอกันอยู่หลายวัน หากจะมาเยี่ยมเยียนกันก็หาใช่เรื่องแปลก แม้หวางหรูอี้จักมิชอบน้ำหน้าของติงเจิ้งหวานัก เขาก็เพียงจะมาเพื่อมองดูแล้วจากไปก็ย่อมทำได้ อย่าให้กล่าวได้ว่า 4 ชั้นฟ้าแตกหักกันก็เพียงพอ

   ทว่าเดินย่างเท้าลึกเขามาด้านใน เดินเหินผ่านหมอกขาวที่บังตา เพียงไม่นานก็พบกับเจ้าของดินแดนแห่งนี้ นับว่าเป็นที่น่าแปลกตาแปลกใจยิ่งนัก ครั้นใบหน้าที่นิ่งสงบกำลังหลับตาพริ้มสูดเอากลิ่นควันสีขาวที่ลอยขึ้นมาจากการ้อนๆ ตรงหน้า พลันเปลือกตาขยับเปิดออกรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าก็
ปรากฏขึ้น ก่อนจะคว้าเอาการ้อนฉ่าทีอุ่นด้วยเพลิงร้อนที่บันดาลขึ้นสีหน้ามีความสุขไม่น้อย

   ทันทีที่หวางหรูอี้หันมา สายตาจึงไปกระทบเข้ากับติงเจิ้งหวาที่ไม่ได้หลบซ่อนแต่อย่างใด คนผู้นี้มาอย่างเปิดเผยทว่าเจ้าของบ้านกลับไม่สนใจเสียเอง

“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน”

“มีวิธีการมากมายที่ข้าสามารถมาได้ ดูท่าอาการบาดเจ็บของเจ้าคงจะหายดีแล้วถึงได้ดูมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ในมือของเจ้าได้ขนาดนั้น”

“หากเจ้าจะค่อนแคะข้าก็กลับไปเสียเถิด”หวางหรูอี้หาได้สนใจกลับหมุนตัวไปยังหินก้อนใหญ่ที่เคยนั่งเป็นประจำก่อนจะรินสุราร้อนใส่จอก ยกขึ้นในระดับจมูกสูดกลิ่นหอมแล้วกระดกเข้าปากถอนหายใจไม่แยแสต่อผู้ใด

เป็นติงเจิ้งหวาเองที่ยอมเดินไปยังที่ที่หวางหรูอี้นั่งอยู่

“เจ้ายังคงดื่มอยู่เช่นนี้ร่างกายของเจ้าจะไม่เป็นไรหรือ”นั่นหาใช่ถามไถ่เพราะเป็นห่วงติงเจิ้งหวาเพียงสงสัยก็เท่านั้น ซ้ำยังยกกาสุราที่หวางหรูอี้หวงนักหนาขึ้นพินิจพิศมอง ดมกลิ่นพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นดีเลิศเพียงใด

“สุราดีจะเยียวยาทุกสิ่ง เจ้ามิเข้าใจหรอก”อีกฝ่ายกล่าวพร้อมกับคว้าคืนกลับมาเติมอีกจอกดื่มด่ำกับสิ่งที่ถวิลหาตรงหน้า

แม้มิได้ถูกเชื้อเชิญเจ้าของผมสีแดงเพลิงก็ย่อมหาที่นั่งของตนเองได้

“เจ้าจะจ้องหน้าข้าให้ได้อะไร”

“เจ้าหายจากการบาดเจ็บดีแล้วจริงเช่นนั้นหรือ? ”พลันดวงตาเข้มจ้องมองหวางหรูอี้ที่ชะงักค้างชั่วอึดใจ ทำทีไม่ใส่ใจกับคำพูดของผู้คนตรงหน้า หากจะกล่าวว่าเป็นปกติก็คงจะไม่จริงนัก เช่นไรพลังสะท้อนที่ได้รับจากตรวนสายฟ้าก็หนักหนามิใช่น้อย จะหายดีในเร็ววันก็แปลก เพียงพักฟื้นร่างกายเดินเหินได้ในอาณาเขตของตนได้ก็นับว่าดีแล้ว แต่หากไปให้ประมือหนักๆ กับผู้ใด ก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายวันจึงจะฟื้นกำลังได้เต็มที่

“อย่างที่เจ้าเห็น ข้ามิได้อาการหนักหนา หากคิดจะมาประลองฝีมือกับข้าเพื่อพิสูจน์ก็ลองดูได้”สายตาไม่ยอมผู้ใดก็ยังนับได้ว่าเป็นอาวุธด่านหน้าได้ดี

หมับ!

“ต่อให้เจ้าพูดหลอกลวงได้ดีเพียงใด แต่ร่องรอยเหล่านี้เป็นคำตอบได้”ติงเจิ้งหวาคว้าท่อนแขนของหวางหรูอี้เข้าพิจารณา เส้นเลือดสีดำที่แตกระแหงไปตามท่อนแขนบ่งบอกได้ดี “ข้าคงไม่ต้องจับเจ้าเปลื้องผ้าเสียทั้งหมดเพื่อบังคับให้เจ้าคายความจริงออกมาหรอกนะ”

“ปล่อยข้าเจ้าคนสู่รู้!”หวางหรูอี้แพ้แล้วให้กับสายตาช่างจับผิดเป็นสิ่งที่น่าโมโหนักเพราะไม่อาจโต้เถียงได้ หากจะเผยให้ดูแล้วตามร่างกายของหวางหรูอี้นั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของความไม่สม่ำเสมอของปราณพลัง ที่ยังต้องรักษาตัวอีกมาก

“ข้าย่อมต้องสู่รู้ไปทุกเรื่องเป็นธรรมดาของข้า อย่างไรก็เถิดดูแลตัวเจ้าให้ดี เร็ววันนี้อาจมีเรื่องราวเกิดขึ้นได้ทุกขณะ ถึงอย่างไรจูเกิงเฉินยังคงเป็นตัวปัญหา ครั้งนี้เจ้าปีศาจนอกรีตผู้นั้นคงไม่คิดชมจันทร์ร่ำสุราฉลองเสี้ยววิญญาณที่ได้กลับคืนเป็นแน่”

“เหตุใดข้าจะไม่รู้”เมื่อคิดถึงตัวปัญหาสีหน้าของหวางหรูอี้เปลี่ยนไปเป็นถมึงทึง เหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนยังคงวนเวียนอยู่ในใจ

“เช่นนั้นก็ดี หากจะดียิ่งกว่านี้ก็ควรจะระมัดระวังตัวเจ้าเสียให้มาก ครั้งนี้ดีแค่ไหนที่เป็นข้ามาเยือน”

“เจ้าจะห่วงใยอะไรข้าหนักหนา”หวางหรูอี้สบถแทบไม่แยแสต่อคำพูดที่กล่าวไป

“ตามใจเจ้าเถอะ”ติงเจิ้งหวาส่ายหน้าให้กับผู้ที่ดื้อแพ่งเช่นหวางหรูอี้ ลุกขึ้นเตรียมตัวกลับ

“ข้าไม่ไปส่ง”

“เช่นนั้นก็อยู่กับสุราของเจ้าไปเถิด”

“ช้าก่อน!”

“.....”ติงเจิ้งหวาไม่กล่าวอันใดเพียงเอี้ยวตัวไปตามเสียงเรียก

คลายน้ำเสียงที่อึกอักได้กล่าวขึ้น“เมื่อคราก่อน ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยข้า”ในที่สุดหวางหรูอี้ก็กล่าวออกมา หากแต่ยังหลบสายตาไม่เหลือบมอง

“ข้าจะรับคำขอบคุณของเจ้าไว้ หากแต่ครั้งหน้าข้าจะมาทวงบุญคุณ”ติงเจิ้งหวาเพียงกระตุกยิ้มก่อนจะทะยานออกไปรวดเร็วดั่งสายฟ้า ทิ้งไว้เพียงเกลียวพายุหมุนที่เกิดแต่ลมค่อยๆ สงบลง

“ชิ! ช้าไม่ควรกล่าวขอบคุณเจ้าตั้งแต่แรกเลยจริงๆ ”เสียงพึมพำกนด่าตามหลัง แต่จะมีประโยชน์อันใดในเมื่อผู้ถูกต่อว่าหาได้อยู่ฟังแล้ว




สามราตรีผ่านไปรวดเร็วดั่งกาลเวลาไหลรินเป็นน้ำ

สามราตรีที่ผ่านไปผู้ซึ่งตั้งอกตั้งใจไม่คลายจากสมาธิเป็นเซียวโม่โฉว

แม้ลมจะโหมกระหน่ำ สายฝนจะพร่างพรม หิมะจะบันดาล ราวกับมารผจญก็หาได้เป็นอุปสรรคต่อบุรุษหนุ่มได้ ครานี้เซียวโม่โฉวแน่วแน่กว่าครั้งไหน ไม่ยอมให้เวลาที่ผ่านไปสูญเปล่า

ครั้นลืมตาตื่นจากสมาธิ รอบกายของบุรุษหนุ่มคล้ายแสงสลัวและมืดครึ้ม ลมเย็นที่พัดโชยหอบเอากลิ่นกรุ่นของไอดินคล้ายกลิ่นฝนหยดลงบนดินแห้งผาดก็ไม่ปาน ครู่หนึ่งราวกับรอบกายเป็นภาพมายาต้นไม่ที่เคยงอกงามกลับแห้งเฉาลงไปในพริบตา ความไม่ปกติบางอย่างเริ่มสั่นคลอนความรู้สึกเซียวโม่โฉว ครั้นขยับกายบางลองเดินไปสำรวจโดยรอบก็ต้องพลันสะดุ้งไหว เมื่อกิ่งไม่ที่แห้งไหวสั่นอย่างรุนแรงอยู่ตรงหน้า

บุรุษหนุ่มถึงกับกลั้นหายใจด้วยใจระทึก ก้าวถอยหลังอย่างผู้คนหวาดระแวง ทันใดนั้นกลับมีบางอย่างโผล่ออกมาพร้อมกับดวงตาคมกริบสีเหลืองอำพัน นั่นจึงทำให้เซียวโม่โฉวที่มีสีหน้าแตกตื่นพลันเปลี่ยนเป็นยินดี อีกทั้งยังแย้มยิ้มออกมาราวกับโล่งอกโล่งใจ จึงเดินไปข้างหน้าอย่างหมดกังวล

“เป็นเจ้า ข้าคิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นเสียอีก”ท่าทางดีอกดีใจเข้าไปประจันหน้ากับอสูรเสือดำ

“ข้าทำให้เจ้าตกใจกลัวเช่นนั้นหรือ?” เสียงคล้ายคำรามพูดคุยกับเซียวโม่โฉว ดวงตาเหลืองอำพันกวาดมองร่างโปร่งที่ก้าวมาเบื้องหน้า ผิวขาวที่หาได้ต้องแสงสว่างอันใดยังคงขาวผุดผาดแม้อยู่ในความมืดสลัว กลิ่นหอมจากกายขาวราวกับบุปผาช่วงยั่วยวนความกระหายของเหล่าปีศาจได้ดียิ่งนัก นับวันความหอมหวานรัญจวนนั้นยิ่งจักกำจายขึ้นมากเป็นทวีคูณโดยที่บุรุษหนุ่มหาได้รู้ตัวไม่ อาจเพราะพลังวิญญาณที่กล้าแข็งขึ้น อีกทั้งเสี้ยวพลังของจ้าวพิภพแห่งหยินที่ไหลเวียนปะปนอยู่ในกายบุรุษ

“ข้าตกใจเล็กน้อย เจ้าอย่าได้ใส่ใจ เอาเป็นว่าข้าดีใจที่เจอเจ้าอีกครา”

“ดีใจเช่นนั้นหรือ? น่าแปลกนักที่หาได้มีผู้ใดปรารถนาจะพบเจอข้า หากแต่เจ้ากลับเฝ้ารอเจอข้า”

“เพราะมีเจ้าข้าถึงได้ไม่เงียบเหงาในดินแดนแห่งนี้ น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ไยข้าจะพึ่งเจ้ามิได้”

“อย่างไรก็เถอะ ข้ามาครั้งนี้เพื่อมาเตือนเจ้า ให้หลบหลีกสิ่งชั่วร้ายที่กำลังย่างกรายมายังที่แห่งนี้ ทางที่ดีข้าจะนำทางให้เจ้าไปหลบให้ที่ปลอดภัย ตามข้ามาเถิด” อุ้งเท้าใหญ่เยื้องย่างไปยังเบื้องหน้าของเซียวโม่โฉว ก่อนเดินเลยห่างไปเอี้ยวศีรษะใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยเส้นขนมันเงาสีดำปราด จ้องมองเซียวโม่โฉวที่ยืนนิ่ง คิ้วได้รูปขมวดมุ่นครุ่นคิดบางอย่าง นึกแปลกใจในถ้อยคำที่เจี้ยนหลินกล่าว หากจะว่าประหลาดก็อาจไม่ใช่

เหตุใดครานี้เจี้ยนหลินจึงมีท่าทีแปลกนัก คล้ายจะพูดมากกว่าครั้งไหนๆ ความสุขุมนั้นเสื่อมคลายไปแล้วเช่นนั้นหรือ?

“สิ่งชั่วร้าย จะมีอันใดเกิดขึ้น?”

“เห็นหรือไม่ว่ามีสิ่งใดเกินขึ้นรอบกายเจ้า”

เซียวโม่โฉวกวาดสายตาไปยังรอบๆ ต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา กิ่งก้านที่หักแห้งจะมีสิ่งใดเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว

“ตามข้ามาเถิด ไปหลบในที่ที่ปลอดภัย เจ้าควรจะเชื่อใจข้า”ร่างสีดำทะมึนในรูปกายของอสูรเสือดำเดินย่ำนำทาง หากทว่าสิ่งที่แปลกคงเป็นรอยยิ้มซ่อนร้ายบางอย่างบนใบหน้า คล้ายนัยน์ตาเหลืองอำพันแปรเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ ผู้ที่เดินตามอย่างเชื่อใจมิได้สังเกตเห็น

เจ้าช่างหลอกได้อย่างง่ายดายเสียจริง ข้าจึงไม่แปลกใจว่าเหตุใดหลี่รั่วถงจึงกางเขตแดนทางเข้าที่แห่งนี้ได้แน่นหนานัก ทว่าคิดหรือจะหยุดข้าผู้นี้ได้!ยามนี้ข้าหาใช่ปีศาจชั้นต่ำต้อยที่เจ้าจะกล่าวหาได้อย่างก่อนเก่า เป็นเจ้าที่ไม่เอาไหนเสียมากกว่า ดูเอาเถิดว่าครานี้ดวงใจของเจ้าตกไปอยู่ในเงื้อมมือของข้าแล้วจะเป็นเช่นไร

ครั้นการหลอกล่อเหยื่อออกจากถ้ำช่างง่ายดาย รอยยิ้มร้ายฉายชัดอย่างเปิดเผย ครั้นนำพาเซียวโม่โฉวมาไกลแล้ว รอบริมทางผ่านนั้นเต็มไปด้วยดวงตาปริศนาที่จับจ้องมายังบุรุษหนุ่มไม่วาง คล้ายครู่หนึ่งความรู้สึกบางอย่างของเซียวโม่โฉวคล้ายเตือน สัญลักษณ์ที่บุรุษหนุ่มหาได้สังเกตมาตลอดกำลังบอกเตือน ความเจ็บวาบบนสัญลักษณ์ดอกโบตั๋นคล้ายหยุดร่างกายไม่ให้ก้าวเดินต่อ

“ฮึก!”ใบหน้าขาวยับยู่คิ้วขมวด  มือข้างหนึ่งยกขึ้นตะปบรอยสัญลักษณ์ที่ค่อยๆ ร้อนขึ้นราวกับจะเผาไหมผิวกาย จนเซียวโม่โฉวไม่อาจประคองร่างให้ยืนได้มั่นคง พลันเซถลาทรุดกายลงกับพื้น ประจวบเหมาะกับเบื้องหน้านั้นมีแอ่งน้ำใสในความสลัว หากแต่เงาบุรุษหนุ่มที่สะท้อนอยู่เบื้องหน้านั่นกลับปรากฏให้เห็นสิ่งผิดปกติบนร่างกาย แสงสว่างวาบบนลำคอขาวกระจ่างแก่สายตาตน ทั้งตกตะลึงและตื่นกลัวไปในคราเดียว

อสูรเสือดำที่เดินอยู่เบื้องหน้ารับรู้ถึงความผิดปกติ จึงเหลียวหลังมองและเห็นความไม่ชอบมาพากลที่กำลังเกิดขึ้น ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังเซียวโม่โฉวที่รอบกายคล้ายเปล่งแสงสว่าง
หน๊อย! เจ้ายังฉลาดไม่เปลี่ยนแปลงสมคำร่ำลือเสียงจริงเชียว!

คล้ายเสียงคำรามอยู่ในมโนจิต ร่างอสูรเสือดำที่วกกลับมาหาเซียวโม่โฉวมีสีหน้าหงุดหงิดไม่น้อย
เซียวโม่โฉวที่กำลังต่อต้านความเปลี่ยนแปลงในร่างกายตนเองหันเสี้ยวหน้าไปมองเจี้ยนหลิน ทว่าครู่หนึ่งภาพซ้อนที่ปรากฏอยู่นั่นมีบางอย่างผิดแปลกไป

นั่นมิใช่เจี้ยนหลิน!

ดวงตาคู่สวยที่สะท้อนเงาของอสูรเสือดำที่เยื้องย่างมาตรงหน้าตนบัดนี้ร่างใหญ่น่ากลัวเกรงกำลังแปรเปลี่ยนเป็นคนผู้หนึ่งที่เซียวโม่โฉวมิเคยเห็นหน้ามาก่อน ทว่ารอยยิ้มเหยียดที่ปรากฏบนใบหน้านั้นราวกับทำให้เซียวโม่โฉวระลึกได้ถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เลือนรางราวความฝันขึ้นมา หากแต่มิแน่ใจนักว่าใช่หรือไม่!

คนผู้นี้ข้าเคยเห็นหน้ามาก่อนเช่นนั้นหรือ!

   “จะเจ้า! เจ้าเป็นใครเจ้ามิใช่เจี้ยนหลิน”ดวงตาที่เบิกโพลงถีบกายถอยหนีกระเสือกกระสน ลมหายใจหอบถี่พาร่างบุรุษสั่นเทิ้มด้วยความกลัว

“เหตุใดเจ้าจึงจำผู้ที่พบพานกันถึงสองครั้งสองครามิได้ ช่างเสียมารยาทยิ่งนัก”ยิ้มเหยียดย่างสามขุมมาใกล้ ความคึกคะนองใจในพลังที่แกร่งกล้าหาเป็นผู้ใดได้นอกเสียจากจูเกิงเฉิน

“ข้าไม่เคยพบเจอกับเจ้า!”

“นั่นสินะ เพราะหลี่รั่วถงช่วยเจ้าไว้ในครั้งก่อนที่สระอาบน้ำ และยังลบความทรงจำของเจ้าไปอีก ช่างน่าเสียดายที่ข้ามิได้เป็นที่จดจำของเจ้า แต่ครั้งนี้เห็นทีจะไม่เป็นไปตามลิขิตของคนผู้นั้นอีกแล้ว ที่บังคับให้เจ้าเดินในเส้นทางโชคชะตาที่น่าหัวร่อเช่นนั้น”

“เจ้ากำลังพูดเรื่องใด”

“มากับข้าเถิดเซียวโม่โฉว ครั้งกาลเก่าเจ้ากับข้ายังมีวาสนาผูกกัน ชาติภพนี้แม้จะไร้ซึ่งกายทิพย์ที่กล้าแข็ง แต่ข้าจักทำให้เจ้าได้ในสิ่งที่ปรารถนาโดยที่มิต้องแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งใด เฉกเช่นหลี่รั่วถงที่กระทำต่อเจ้า”ยิ้มเล่ห์กระตุกขึ้นตรงมุมปาก ดวงตาสีดำคมกริบราวกับอีกา มือหนาที่เอื้อมมาตรงหน้าปรารถนาให้เซียวโฉวเอื้อมมาหา “อย่าได้ลังเล ข้าไม่ต้องการจะทำร้ายเจ้าโปรดเชื่อใจข้าเถิด หากมากับข้าเจ้าจะรู้ว่าเหตุใดชีวิตของเจ้าจึงเป็นเช่นนี้.....มาเถิด” ถ้อยคำล่อลวงที่หว่านล้อมให้เซียวโม่โฉวตายใจ น้ำเสียงที่นุ่มนวลเกินกว่าผู้ใดจูงใจด้วยมนต์คาถา

ครานั้นราวกับถ้อยคำผูกใจ มือขาวบางที่สั่นไหวเอื้อมไปยังเบื้องหน้า จูเกิงเฉินมองบุรุษตรงหน้าพึงพอใจ ดวงตาหรี่มองไปยังสัญลักษณ์บนลำคอขาว

ข้าจะลบสิ่งที่ตรึงเจ้าไว้กับหลี่รั่วถงให้หมดสิ้น!

“ข้าจะได้รู้ทุกอย่างที่ข้าต้องการจริงหรือไม?”น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากจิตใต้สำนึกฟังดูเลื่อนลอย นัยน์ตาไร้แววของสติที่พึ่งมี ครั้นถูกผนึกด้วยถ้อยที่ผูกขึ้นเป็นมนต์

“ทุกอย่าง.....ที่เจ้าปรารถนา ข้าสัญญา”

ดวงจิตที่กำลังเลื่อนลอยคล้อยไปกับมธุรสร้ายกาจ ค่อยๆ วางมือที่เย็นเยียบลงบนฝ่ามือของจูเกิงเฉิน ที่ยิ้มพึงพอใจในแผนการครั้งนี้เป็นที่สุด






ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ ^^
 :bye2: :bye2: :กอด1:


โดย หลานฮวา


ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
รีบมาน้า เปิดสงครามเร้วเกิ้น

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4


บทที่ 12
วาสนาพบเจอแต่ไม่อาจบรรจบ





   มือเย็นที่สั่นเทิ้มควบคุมสติตนเองมิได้ครั้นสัมผัสกับฝ่ามือของจูเกิงเฉิน บัดนั้นรอยยิ้มที่จุดขึ้นตรงมุมปากของอีกฝ่ายคล้ายซ่อนเร้นเล่ห์เหลี่ยมไว้ในความคิด ก็พลันฉุดดึงท่อนแขนเล็กด้วยกำลังก่อนจะเรียกของวิเศษเป็นคันฉ่องมารให้ปรากฏขึ้น แสงสว่างวาบเปล่งออกมาดูดกลืนร่างของเซียวโม่โฉวเข้าสู่ภายใน สถานที่ที่ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปและออกมาได้หากมิใช้เจ้าของ ครั้นลุล่วงความตั้งใจผู้ที่ลอบแฝงกายเข้ามายังดินแดนลึกลับก็รีบอันตรธานหายไปในพริบตา

   
   เพล้ง!
   ตะเกียงดวงไฟที่จุดขึ้นจากพลังหยินแตกออกเป็นเสี่ยง หลี่รั่วถงที่ถอดจิตลงไปยังโลกมนุษย์กลับต้องคืนสู่ร่าง พลันลุกขึ้นสีหน้าถมึงทึงดวงตาเบิกโพลง เรียกขานบริวารรับใช้เสียงกร้าว ไม่นานก่อนใบไม่ร่วงถึงพื้นผู้ที่ถูกเรียกพลันปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าถึง 2 ตน รวมถึงเหอจี๋ที่รีบร้อนในมือยังคงถือผ้าขี้ริ้วลุกลี้ลุกลนร้อนรนแทบเป็นไฟเข้าพบตามคำสั่งของหลี่รั่วถง

“เจ้าสองคนทำงานกันเช่นไรถึงปล่อยให้มีผู้บุกรุกมาเหยียบย่ำได้!”ครั้นถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยราวกับเสียงคำรามดังกึกก้องด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดก่อนจะบันดาลโทสะแผ่รังสีสังหารจนผู้ที่พลังวิญญาณต้อยต่ำกายแทบจะเผาไหมเป็นจุณ

“กะเกิดเรื่องใดขึ้นนายท่าน!”เหอจี๋สีหน้าหวาดหวั่น เขาแทบหมอบคลานด้วยเกรงต่อความโกรธเกรี้ยวที่ราวกับพายุโหม

หากทว่ามิทันได้ฟังคำตอบใด หลี่รั่วถงก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา เหอจี๋จำต้องติดตามอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ และไปปรากฏกายยังสถานที่ที่ก่อนหน้าได้เกิดเหตุการณ์ที่มิควรเกิดขึ้น

“เอ๊ะ! ระหรือเกิดเรื่องไม่ดีกับเซียวโม่โฉว”เหอจี๋อุทานขึ้นเมื่อมายังสถานที่คุ้นตา ไม่ผิดแน่ว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น มิเช่นนั้นหลี่รั่วถงคงไม่เดือดดาลเช่นนี้ อีกทั้งเหอจี๋สัมผัสได้ว่าม่านพลังเขตแดนที่หลี่รั่วถงกางกั้นไว้โดนทำลายโดยผู้บุกรุกเป็นแน่

ร่างสูงใหญ่ที่เยื้องย่างไปเบื้องหน้าหกวาดสายตามองไปโดยรอบ ร่องรอยการมาเยือนของใครบางคนที่หายไปจากที่ตรงนี้โดยมีดวงใจของจ้าวพิภพแห่งหยินติดมือไปด้วยนั้นชวนโมโหโทสะอย่างยิ่ง
 
มือแข็งแรงกำแน่นด้วยความคับแค้น ใบหน้าที่บึ้งตึงชนชิดดวงตาแข็งกร้าวคมกริบจ้องมองเบื้องหน้าอย่างเหลือทน พลันดวงตาคู่คมดุดันหันมาจ้องมองบริวารที่ทำหน้าที่บกพร่องก็รับรู้ได้ถึงชะตากรรม มือหนาของหลี่รั่วถงยื่นไปเบื้องหน้าดึงเอาบริวารที่ไม่เอาไหนเข้าสู่เงื้อมมือแล้วปลิดชีพเสียสิ้นทั้งสองตนอย่างง่ายดาย ร่างกายที่สลายกลายเป็นเถ้าถ่านทันตาเห็น ไม่ต่างจากธุลีดินที่กลับสิ้นเบื้องล่าง

เหอจี๋ยืนมองด้วยแววตาสั่นสะท้าน กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ครั้นส่งสัญญาณบางอย่างให้หวางหรูอี้ที่ได้เตือนย้ำให้เหอจี๋บอกข่าวหากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับหลี่รั่วถง เพราะนั่นหมายถึงเรื่องที่มีจูเกิงเฉินร่วมด้วย

“นะนายท่าน จะ...จะทำเช่นไรดีขอรับ” ผ้าขี้ริ้วที่ติดมือถูกขยำจนยับยู่ ดวงตาหวาดกลัวทั้งตระหนกตกใจฉายแววแจ่มชัดบนใบหน้า ครั้นจะเข้าใกล้ผู้เป็นนายยามนี้ก็มิอาจคาดเดาความคิดได้ ยิ่งอยู่ในอารมณ์เกรี้ยวกราดผู้ใดก็อย่าได้เอาชีวิตไปเสี่ยง

“อย่างไรข้าก็ต้องนำตัวเซียวโม่โฉวกลับมา”

“ตะแต่ว่า เราไม่รู้ว่าเซียวโม่โฉวถูกนำตัวไปยังที่ใดนะขอรับ ไม่ทิ้งไว้แม้แต่กลิ่นอายที่สามารถตามได้เลย มันแปลกประหลาดเกินไป”

“ข้ามั่นใจว่าเป็นจูเกิงเฉินเป็นผู้ลงมือ ไม่มีใครอื่นใดที่ทำเรื่องเช่นนี้ ยามข้าลงไปยังโลกมนุษย์เจ้าปีศาจตนนั้นกำลังรวบรวมพวกเหล่าปีศาจนอกรีตจำนวนมาก ข้าจำต้องไปขัดขวางแต่ไม่นึกว่าจูเกิงเฉินจะใช้วิธีการนี้เพื่อหาช่องโหว่เข้ามา!”น้ำเสียงที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟังบ่งบอกได้ว่าหลี่รั่วถงเจ็บแค้นเพียงใด เข้าพ่ายแพ้ให้แก่เล่ห์เหลี่ยมของจูเกิงเฉินถึงสองครั้งสองคราแล้วหากนับรวมครั้งนี้

เจ้ามันก่อความวุ่นวายไม่สิ้นสุด อีกทั้งยังคอยแต่จะดิ้นรนหาเรื่องใส่ตน ครั้งนี้ข้ากับเจ้าคงได้แค้นกันไปสิบภพสิบชาติ!

พลันเอ่ยสิ่งที่คับแค้นออกไปจึงหันไปออกคำสั่งแก่เหอจี๋

“เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะขึ้นไปเข้าเฝ้าอวี้หวงต้าตี้”

“แต่นายท่าน! แล้วเซียวโม่โฉวจะไม่เป็นไรเช่นนั้นหรือ”เหอจี๋ทักท้วงขึ้นในอกร้อนรน

“ข้ารู้ดีว่าจูเกิงเฉินอุปนิสัยเป็นเช่นไร เป้าหมายของคนผู้นั้นมิได้มีเพียงหนึ่งข้าจึงผลีผลามทำอะไรตามใจมิได้” น้ำเสียงที่อึดอัดหาได้ต้องการทำให้เป็นลำดับขั้นตอนใดๆ ไม่ หากแต่อย่างไรตนก็ไม่อาจมุทะลุทำเรื่องโง่เขลาให้ผู้ใดหัวเราะเยาะเอาได้

“ขอรับนายท่าน” สิ้นเสียงขานรับร่างของหลี่รั่วถงก็หายวับไปกับตา เหอจี๋จึงมุ่งหน้ากลับไปยังดินแดนพิภพแห่งหยินในทันที




ปึก!

เสียงร่างของผู้คนที่ราวกับร่วงหล่นจากฟ้ากระทบกับพื้น หากแต่พื้นที่สัมผัสอยู่นั้นเรียบใสสะท้อนเงาคล้ายดั่งคันฉ่อง มองไปยังทิศทางใดก็ไม่สามารถหาทางออกไปได้ ไกลสุดตามีเพียงความว่างเปล่าไร้พรมแดน

เซียวโม่โฉวที่ตื่นจากภวังค์สะกดจิตก็รีบพยุงตัวขึ้นยืนตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นนัยน์ตาตระหนก มองซ้ายแลขวาก็หาพบเจอสิ่งใดทุกอย่างล้วนว่างเปล่ามีเพียงเงาของตนเองที่สะท้อนไหวอยู่บนพื้น และแม้แต่ผืนฟ้าก็ยังถูกปิดกั้นไว้

ความหวาดกลัวที่หวามไหวอยู่ในอก หาได้รับรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวแต่อย่างใด สัญชาตญาณเพียงหนึ่งคือการพาตนเองหนีเอาตัวรอดมองหาทางออกที่ไม่มี แม้วิ่งไปไกลจนเหนื่อยล้าก็หาได้สิ้นสุดระยะทางจนรู้สึกถดท้อ

เกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้ข้าจำได้ว่าข้ายังอยู่ที่ดินแดนลึกลับ แต่หลังจากคนผู้นั้นปรากฏข้าก็จำความใดแทบไม่ได้แถมข้ายังต้องมาอยู่ที่นี่เสียอีก!

ใช่! ข้าเจอคนผู้นั้นที่แปลงกายเป็นเจี้ยนหลินมาหลอกลวงข้า!

พลันนึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เซียวโม่โฉวก็ตระหนักถึงภัยแล้วว่าตนกำลังถูกผู้ที่มิเคยรู้จักจับตัวมา ยามนั้นหัวใจของบุรุษหนุ่มถึงกับเต้นถี่ความรู้สึกหวาดกลัวในสิ่งที่ไม่รู้พานทำให้ใบหน้าซีดขาวมือเย็นเยียบเกร็งสั่นไหวไปทั้งสรรพางค์กาย ความฉงนใจคล้ายก่อตัวขึ้นในหัวผุดพรายเต็มไปด้วยคำถาม ครั้นความคิดสับสนที่รุมเร้ากลับถูกแทรกด้วยน้ำเสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้นในห้วงความคิด

ดวงตาคู่สวยที่สั่นระริกขบริมฝีปากบางที่เม้มสนิทจนแทบกลัดโลหิตรินไหล เหลียวมองไปยังต้นเสียงพยายามตั้งสติของตน

“เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงต้องจับตัวข้ามาขังไว้ที่นี่”น้ำเสียงแข็งเล็ดลอดออกมาจากปากของเซียวโม่โฉว สายตากร้าวแข็งที่มองไปยังจูเกิงเฉินหวาดระแวงระคนสงสัย การปรากฏกายมาในที่แห่งนี้ย่อมมีเจตนาไม่ดีแอบแฝง

“แม้ข้าจะเคยเอ่ยนามต่อเจ้าไปแล้ว น่าเสียดายที่เจ้ากลับลืมเลือนมัน”ยิ้มฝืนคล้ายเจ็บปวดในถ้อยคำตนเองบอกต่อผู้คนตรงหน้าที่มีแต่ถอยหนีจากตนไป “จูเกิงเฉิน.....นั่นคือชื่อของข้า อย่าได้กลัวเกรงไปเลยข้ามิได้คิดจะทำร้ายเจ้าอย่างที่ลั่นวาจาเอาไว้”

“หากเจ้ากล่าวเช่นนั้น เหตุใดจึงต้องจับตัวข้ามา”

“นั่นเกี่ยวโยงกับอดีตชาติของเจ้า ข้าเพียงต้องการปกป้องเจ้ามิให้ถูกหลอกลวง”พลันเอ่ยถ้อยคำไปหนึ่งประโยค จูเกิงเฉินคล้ายยิ้มขึ้นนัยน์ตาซ่อนเร้นไปด้วยแผนการ

“หมายความว่าเช่นไร? สิ่งใดเกี่ยวกับตัวข้า แล้วเจ้าเป็นผู้ใดถึงได้กล่าวว่ารู้จักตัวข้าในอดีตชาติก่อน”ดวงตาที่จ้องมองไปยังจูเกิงเฉินหาได้เชื่อใจ

“เจ้าช่างน่าสงสารนัก หากจะกล่าวว่าสิ่งนี้มีข้าข้องเกี่ยวเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าจะบอกแก่เจ้าว่าเมื่อพันปีก่อนครั้งเจ้าสิ้นวาสนานั้นเป็นเพราะความผิดของข้าเอง ข้าไม่อาจยั้งมือตนเองนั่นคือความผิดของข้า และหลี่รั่วถงคือผู้ที่ทำให้เจ้าต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายเช่นนั้น”

“จะเจ้า.....เจ้าพูดเรื่องอะไร!”ครั้งได้ยินสิ่งที่จูเกิงเฉินเล่า สีหน้าหวาดหวั่นพลันทรุดกายลงกับพื้นไร้กำลังขา ก้อนเนื้อในอกของเซียวโม่โฉวพลันบีบรัดรุนแรงจนฉายชัดบนใบหน้า ทั้งมือไม้ที่สั่นเทาราวกับพบเจอคมดาบที่รอบั่นศีรษะตนให้ตายตกไปอีกครา ดวงตากลมเบิกกว้างมองจูเกิงเฉินที่ก้าวมาหาอย่างแช่มช้านัยน์ตาเจ็บปวด นั่นเป็นสิ่งเดียวที่มิได้เสแสร้งแกล้งแกล้งทำ

“ข้าและเจ้า รวมทั้งหลี่รั่วถงคงไม่อาจหลุดพ้นไปจากวาสนาเลวร้ายเหล่านี้ได้ หากเจ้าปรารถนาจะล่วงรู้ทุกอย่าง ก็จงเลือกที่จะอยู่กับข้า แล้วข้าผู้นี้จะมอบอำนาจและความยิ่งใหญ่.....ที่เจ้ามิเคยคาดฝัน ทุกอย่างจะง่ายดายโดยที่เจ้ามิต้องดิ้นรนให้ลำบากแม้แต่น้อย เจ้าคงไม่พึงใจหลี่รั่วถงมากนักใช่หรือไม่ คนผู้นั้นหลอกใช้เจ้าให้บำเพ็ญเพียรเพื่อดวงจิตที่กล้าแข็ง สุดท้ายคนผู้นั้นก็หมายจะได้พลังวิญญาณจากเจ้า สู้เจ้ามาอยู่ข้างกายข้าที่เห็นคุณค่าของเจ้าไม่ดีกว่าหรือ”

ยิ้มแสยะซ่อนไว้สุดมุมปาก ดวงตาอาวรณ์จ้องมองเซียวโม่โฉวที่กำลังสั่นกลัว หมายมาดให้บุรุษหนุ่มตกลงปลงใจในถ้อยคำของตน ครานั้นตนจะได้จัดการหลี่รั่วถงโดยใช้เซียวโม่โฉวเป็นเหยื่อล่อ หากแผนการนี้สำเร็จทุกอย่างจะง่ายดาย ขาดเสาค้ำจุนอำนาจไปหนึ่ง ชั้นฟ้าไยจะไม่สั่นไหวได้
ทั้งอำนาจและผู้ที่ข้าปรารถนาจะเป็นของข้าในเร็ววัน!

“ว่าอย่างไรเล่า ชีวิตเจ้า.....เจ้าตัดสินได้ด้วยตนเองจะมากับข้าหรือไม่ ไม่มีสิ่งใดที่ข้าจะมอบให้แก่เจ้ามิได้”

คล้ายถ้อยคำที่สะท้อนก้องอยู่ในหัวของเซียวโม่โฉว คำพูดเหล่านั้นราวกับกลืนกินจิตใจของบุรุษหนุ่ม ทว่าบางอย่างในห้วงความคิดกลับมิได้คล้อยตามเช่นนั้น

“ไม่! ข้าไม่อยากจะอยู่ที่นี่ เจ้าควรจะปล่อยข้าไป”น้ำเสียงที่แย้งออกมาราวกับทำลายความหวังของจูเกินเฉินเสียย่อยยับ ครั้นมีสติรู้คิดจึงฝืนต่อวาจาหลอกลวงได้

“ให้ข้าปล่อยเจ้าไปเช่นนั้นหรือ?”น้ำเสียงเย็นเยียบถามย้ำสีหน้าถมึงทึงคล้ายความอดทนกำลังจะขาดผึ่ง

“ข้ากล่าวเช่นนั้น! หากแท้แล้วข้าถูกหลี่รั่วถงหลอกใช้อย่างที่เจ้าพูด แต่นั่นเป็นความปรารถนาของข้า ข้าย่อมต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ข้าต้องการแลกมา ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่เสียสิ่งใดไปข้อนั้นข้ารู้ดี ต่อให้เจ้าเป็นผู้ที่ดีต่อข้าถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องมีสิ่งที่ปรารถนาในตัวข้าใช่หรือไม่”

แววตาคู่สวยฉายชัดถึงความคิดของตนเองอย่างแน่วแน่ ความกล้าแข็งของแววตาวูบหนึ่งสำรวจตรวจมองไปที่กายของจูเกิงเฉินอย่างหาหนทาง ในหัวครุ่นคิดสิ่งที่ตนพอจะทำได้ ฝีเท้าที่ย่างสามขุนเข้ามาใกล้แสดงสีหน้าไม่พึงใจในสิ่งที่เซียวโม่โฉวกล่าว

แม้ท่าทีที่คุกคามเหยียบใกล้ เซียวโม่โฉวก็มิได้คิดจะถอยหนี หากแต่กลับยันกายขึ้นยืนสลัดทิ้งซึ่งความหวาดกลัวให้สิ้น

หากข้ามัวขลาดกลัวอยู่เช่นนี้ผู้ใดจะช่วยข้าได้!

“เจ้าเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าการที่เจ้าอยู่กับคนผู้นั้นแล้วความปรารถนาของเจ้าจะเป็นจริง”น้ำเสียงที่กล่าวเต็มไปด้วยความคับแค้น “เจ้าอยากรู้มิใช่หรือว่าเหตุใดเจ้าต้องพบเจอกับวิบากกรรมครั้งเป็นมนุษย์เช่นนั้น เจ้าจะได้รับรู้มัน มาเถิด ข้าจะช่วยเจ้าเองอย่าได้กลัวไปไย ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”น้ำเสียงและแววตาคล้ายวิงวอนผู้เป็นที่มอบดวงใจให้หวนคืน หากแต่สิ่งที่กลับคืนนั้นเป็นความเจ็บช้ำน้ำใจเสียแทนไม่เปลี่ยนแปลง

อดีตความรู้สึกหวานอมขมกลืนนั้นเป็นเช่นไรยามนี้ก็มิได้ต่างกัน แม้จูเกิงเฉินจะกล่าวเช่นไร ใช้วาจาหว่านล้อมเพียงใดเสี้ยวหนึ่งของใจบุรุษก็มิได้คิดหันหา ผู้ที่ปรารถนาในรักก็มิอาจพานพบรักแท้ นั่นเป็นชะตากรรมที่โหดร้ายและทรมานจิตใจจูเกิงเฉินยิ่งนัก

เพียงเพราะตนเป็นปีศาจชั้นต่ำเช่นนั้นหรือจึงยากที่จะไขว่คว้ารักได้อย่างบริสุทธิ์ใจ นั่นจึงเป็นเหตุให้คิดการณ์ใหญ่และเปลี่ยนแปลงจูเกิงเฉินไปตลอดกาล แม้ผ่านมานับพันปีก็ไม่อาจหวนคืนสู่วันวานได้

วันวานที่จูเกิงเฉินเป็นเพียงปีศาจตนหนึ่งที่ไร้จิตคิดแค้นอาฆาต จูเกิงเฉินที่สามารถได้รับความเมตตาจาก ‘เหยว่ถิง’ ช่วงเวลานั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว

“ถอยไปจากข้า” น้ำเสียงเย็นของเซียวโม่โฉวหาใช่หวาดกลัวอีกต่อไป

“ถอยเช่นนั้นหรือ? เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปอย่างง่ายดายให้กับหลี่รั่วถง?” เสียงหัวเราะกึกก้องราวกับเสียสติดังลั่น พลันนัยน์ตาคมกลับวาวไปด้วยหยาดน้ำบางๆ ที่ซ่อนเอาไว้ “เจ้าคิดผิดแล้ว แม้ชาติภพใหม่เจ้าจักลืมเลือนมันไปแต่ข้าไม่เคยลืมเลย ความรู้สึกของข้าที่มอบให้แก่เจ้า แม้ผ่านไปนับพันๆ ปีมันยังคงตรึงอยู่ในใจของข้าราวกับคำสาป เจ้าจะให้ข้าปล่อยเจ้าไปเช่นนั้นหรือ!”

เสียงตะคอกที่กล่าวขึ้นปราดเข้าคว้าขับท่อนแขนของเซียวโม่โฉวที่รับฟังทุกอย่างจากคนตรงหน้าไม่ถอยหนี

“ตัวตนของข้าในตอนนี้มิใช่ผู้ที่เจ้ารู้จักอีกต่อไป ข้ามิรู้หรอกว่าเจ้าปักใจเรื่องใดกับอดีตชาติของข้า แต่ในตอนนี้ข้าก็คือตัวของข้า ‘เซียวโม่โฉว’ มิใช่ผู้ใดอื่น!”น้ำคำที่โต้ตอบกลับไปคล้ายบีบหัวใจบุรุษหนุ่มอยู่ลึกๆ

เหตุใดข้าจึงต้องมารับรู้ในสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย แล้วไยข้าจึงต้องรู้สึกเศร้าเสียใจกับเรื่องราวอดีตชาติที่มิใช่ตัวตนของข้าในยามนี้ด้วย ข้าคือเซียวโม่โฉว! อย่างไรก็มิใช้คนที่จูเกิงเฉินกล่าวถึงแม้แต่น้อย!

“ปล่อยแขนของข้าเถิด อย่างไรข้าจะไม่รับปากสิ่งใดต่อเจ้าทั้งสิ้น ข้าพึงใจที่เลือกต่อสู้กับวิบากกรรมของตัวเอง ต่อให้ข้าต้องกลายเป็นพลังวิญญาณให้ผู้ใด ในท้ายที่สุดข้าก็ย่อมยินดีเสียกว่าในสิ่งที่ข้าเลือก!”

ถ้อยคำเด็ดเดี่ยวจากปากเซียวโม่โฉว ทำเอาจูเกิงเฉินแทบคลุ้มคลั่ง ดวงตาคมกริบราวกับแดงฉานขึ้นเกรี้ยวกราดในอารมณ์ร้ายที่ขาดผึ่ง มือใหญ่ที่กุมคว้าท่อนแขนของผู้คนตรงหน้าแทบบีบให้แหลกคามือ
“เจ้าเลือกเองที่จะให้ข้าบังคับขู่เข็ญต่อเจ้า! เช่นนั้นข้าก็จะกักขังเจ้ามิให้ได้พานพบผู้ใดหรือทำในสิ่งที่เจ้าปรารถนาอีกต่อไป!”

“เช่นนั้น เจ้าคิดว่าข้าไม่มีทางหนีรอดหรืออย่างไร”มือขาวข้างหนึ่งที่สั่นเทิ้มและเย็นเยียบยกขึ้นเหนือศีรษะตนเองพร้อมดวงตาแข็งกร้าว ใบหน้าราวกับทิ้งสิ้นไปแล้วซึ่งความรู้สึก ก่อนดึงปิ่นปักผมที่หลี่รั่วถงมอบให้เข้ากุมไว้ในมือแน่นก่อนจะเลื่อนลงไปในระดับลำคอแล้วกดปลายโลหะแหลมสีเงินวาวจ่อไปที่จุดปลิดชีพจรของตนเอง

อย่างน้อยข้าก็จะปลดปล่อยวิญญาณของตนเองไปจากที่แห่งนี้ให้จงได้

“เจ้าจะทำสิ่งใด!”

“ไปจากที่แห่งนี้!”

“นึกหรือว่าข้าจะให้เจ้าทำตามสิ่งที่เจ้าคิด”พลันมือที่จับลำแขนของเซียวโม่โฉวแน่นปล่อยออกแล้วเข้าคว้าข้อมือขาวที่กำปิ่นปักผมไว้แน่นให้ผละออก ก่อนจะแทนที่ด้วยมืออีกข้างที่เข้าบีบลำคอของเซียวโม่โฉวไว้เสียแทนอย่างแค้นใจ

“ฮึก!”

“ชีวิตของเจ้าข้าจะเป็นผู้กำหนด เจ้ามีสิทธิ์อันใดทำเช่นนั้น!”แววตาวาวโรจน์และท่วมท้นไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ถึงเช่นไรมือคู่นั้นก็ไม่สามารถปลิดชีวิตเซียวโม่โฉวได้ “ข้าจะทำลายสัญลักษณ์ของคนผู้นั้นให้เสียสิ้น”

สิ้นคำกล่าวจากปากของจูเกิงเฉินแรงเหวี่ยงผลักร่างของเซียวโม่โฉวจนลมกระแทกลงกับพื้น ของสำคัญที่อยู่ในมือเมื่อครู่กระเด็นกระดอนหล่นไป ครั้นจะตะเกียกตะกายไปหยิบคืนกลับโดนฝ่าเท้าของจูเกิงเฉินเตะทิ้ง มิหนำซ้ำยังถูกยื้อยุดมิให้ลุกหนี พลันร่างของบุรุษหนุ่มกลับถูกกดไว้แนบพื้นเย็นเยียบด้วยสองแขนแข็งแกร่ง ที่มิอาจทัดทานกำลังได้

“เจ้าจะทำอะไรข้า!”นัยน์ตาสั่นสะท้านจ้องมองจูเกิงเฉินที่เข้ามาคร่อมทับ แผ่นหลังของเซียวโม่โฉวถูกกดลงให้ขนานแนบกับพื้นจนไม่อาจลุกได้

“สิ่งนั้นเมื่ออยู่กับข้าก็หาได้สำคัญอีกต่อไป เหตุใดจึงต้องคงไว้ให้เสียดแทงใจข้า!”ดวงตาดุดันปราดมองไปที่ต้นคอขาวซึ่งปรากฏสัญลักษณ์ดอกโบตั๋นที่เด่นชัดขึ้น

“ปล่อยข้า!!!”ผู้ที่ขัดขืนดิ้นรนแทบมองหาช่องทางหนีมิได้ หวาดหวั่นในสายตาของจูเกิงเฉินยามนี้เหลือเกิน ในใจของเซียวโม่โฉวพลันภาวนาถึงใครบางคน

   “เจ้าจะไม่มีวันกลับไปได้อีก หึ!”สิ้นเสียงอุ้งมือแข็งแรงกลับเข้ากระชากอาภรณ์ที่ปกปิดผิวกายให้พ้นสายตา เสียงฉีกขาดของเนื้อผ้าราวกับขาดแล้วซึ่งความยั้งคิดของจูเกิงเฉิน ครานั้นเซียวโม่โฉวถึงกับสั่นผวานึกอยากร้องเรียกหาใครช่วยเหลือทว่ากลับเปล่งเสียงไม่ออก

   “อึก! ฮืออออ!”ร่างกายได้แต่ดิ้นพล่านไม่อาจบดบังผิวเนื้อที่ประจักต่อหน้าจูเกิงเฉินไว้ได้ แม้จะเคยหวาดกลัวจากความตายแต่เซียวโม่โฉวก็ไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใดเท่านี้มาก่อนเช่นกัน

   “เจ้าต้องเป็นของข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น!” ปลายนิ้วที่กดลงไปบนลำคอขาวลากผ่านสัญลักษณ์ดอกโบตั๋นหยุดนิ้วร้อนนั้นให้อยู่กับที่ พลันรอยยิ้มแสยะผุดขึ้นก่อนจะเลื่อนใบหน้าลงต่ำ หมายจะย่ำยีสิ่งที่ปรารถนาแต่กลับไม่ได้มาครองอย่างเผลอตัว

   “ฮืออออ!” เสียงร้องในลำคอมิอาจหยุดการกระทำของจูเกิงเฉินได้

ทว่าสิ่งที่หยุดได้นั้นกลับเป็นเสียงแตกร้าวลั่นกรอบ ที่ปรากฏรอยแยกไปโดยรอบ จูเกิงเฉินเร่งกวาดสายตาไปทั่วกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ไม่ทันไรรอยร้าวที่เพิ่งเกิดกลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกลับผู้ที่บุกรุกเข้ามานั้นพุ่งปราดเข้ามา ก่อนจะกระชากจูเกิงเฉินจากทางด้านหลังผลักออกให้พ้นจากเซียวโม่โฉว

   “แค่กๆ”เสียงไอโขลกอย่างหนักคล้ายมีสิ่งใดปิดทางเดินลมหายใจไว้ชั่วครู่ ราวกับดึงให้เซียวโม่โฉวหลุดพ้นจากเรื่องเลวร้าย บุรุษหนุ่มมองดูหลี่รั่วถงที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดฝันนัยน์ตาฉายชัดถึงความตื่นตระหนก ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามมองหาหลี่รั่วถงที่พุ่งเข้าหาจูเกิงเฉินเข้าต่อสู้ไม่ยั้งมือราวกับสงครามขนาดย่อม

   ช่วงเวลานั้นเซียวโม่โฉวจึงถือโอกาสวิ่งเข้าเก็บปิ่นปักผมที่ถูกเตะทิ้งกลับคืนสู่มือตนอีกครา ยกท่อนแขนขึ้นปาดน้ำตาที่เอ่อคลอกับเหตุการณ์เลวร้ายมือครู่ทิ้ง กลั่นใจพาขาสองข้างที่แทบสิ้นเรี่ยวแรงออกวิ่ง สายตาที่ราวคนขลาดกลัวครู่หนึ่งจำต้องเข้มแข็ง เห็นแล้วซึ่งช่องโหว่ที่จะยุติเรื่องราวทั้งหมดได้

   ครั้งก่อนหน้าที่ลอบสำรวจกายของจูเกิงเฉิน ในหัวของเซียวโม่โฉวครุ่นคิดหาทางรอดมาตลอดและไม่มีทางยอมให้ตนเองถูกจูเกิงเฉินกังขังเขาไปตลอดเป็นแน่

   “คันฉ่องนั่น คว้ามันและเอามาให้ข้า!”จูเกิงเฉินเหลือบมองเซียวโม่โฉว รู้ดีว่าเสียงเรียกกนั้นบอกกล่าวแก่ผู้ใด นึกไม่ถึงว่าเซียวโม่โฉวจักไหวพริบดีเช่นนั้น

   คันฉ่องบานเล็กที่จูเกิงเฉินพกติดตัวไว้ เป็นสิ่งเดียวที่กังขังผู้คนไว้มิให้หลุดออกไปได้ แม้รอยแตกราวที่หลี่รั่วถงบุกรุกเข้ามาจะแตกออก หากยามนี้กลับผสานกลับดังเดิมจนหาช่องโหว่หนีออกไปไม่ได้ ทางเดียวที่จะออกไปนั่นคือทำลายคันฉ่องมารนั้นให้สิ้นซากเสีย

   สิ่งที่เซียวโม่โฉวมั่นใจนักว่าต้นเหตุคือคันฉ่องบานนั้น เพราะจูเกิงเฉินพกสิ่งนั้นติดตัว คนผู้นั้นซ่อนมันไว้ในผ้าคาดเอว และก่อนหน้านี้เซียวโม่โฉวมองเห็นเสี้ยวหนึ่งของเงาตนเองที่สะท้อนโผล่ให้เห็น มิใช่ภาพสะท้อนเพียงส่วนที่เป็นเงาอย่างเดียว หากแต่สิ่งนั้นสะท้อนภาพของตนและจูเกิงเฉินมาจากด้านบนราวกับจับจ้องไปทุกการเคลื่อนไหว

   “หึ! อย่าคิดว่าจะง่ายนัก ไม่มีวัน!”เสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอดจากจูเกิงเฉินลอดผ่านไรฟันในขณะที่ประมือกับหลี่รั่วถง

   “เจ้าก็อย่าได้หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เจ้าคิด! ไม่มีทาง!”ดวงตาคมกริบครั้นบันดาลโทสะพาลเอานัยน์ตาดุดันสะท้อนวาวเป็นสีเหลืองอำพันราวสัตว์อสูร ก่อนจะฟาดเท้าไปเบื้องหน้าฉิวเฉียดใบหน้าของอีกฝ่ายที่หลบทันอย่างรวดเร็ว หลี่รั่วถงไม่อาจยื้อการต่อสู้ได้ช้านาน เพราะรู้ดีว่าตนเองไม่อาจทัดเทียมจูเกิงเฉินในยามนี้ จึงใช้ฝ่ามือปล่อยพลังปราณเข้ายับยั้งรุนแรงและไม่พลาดเป้า เป่าจูเกิงเฉินพัดลอยกระเด็นไปไกล

   นั่นมิใช่เพียงจุดจบ หลี่รั่วถงกลับตามไปและเข้าอัดพลังใส่อีกคราทว่าอีกฝ่านั้นไหวตัวทัน ช่วงจังหวะเคลื่อนไหว หลี่รั่วถงไม่ย่ามใจหรือปล่อยให้เวลาสูบเปล่า สิ่งที่หมายตายังคงต้องช่วงชิงมาให้ได้ ครั้นจึงเข้าไปประชิดตัวจูเกิงเฉินยอมเอาชีวิตไปเสี่ยง ประมือโดยไม่มีผู้ใดยอมถอย ครั้นจูเกิงฉินพลิกกายหมุนตัวขึ้นกลางอากาศ หลี่รั่วถงรีบไล่ตามใช้ความเร็วคว้าคันฉ่องมารจากกายของจูเกิงเฉินได้ทันท่วงที

   สายตาคมเหลือบมองเซียวโม่โฉวที่อยู่เบื้องล่าง บุรุษหนุ่มจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของหลี่รั่วถงไม่คลาดสายตา ครั้นโอกาสมาจึงพยักหน้าให้ วัตถุแผ่นบางแวววาวถูกโยนให้ถึงมือเซียวโม่โฉว
 
   “ข้าไม่มีทางให้ไปหรอก!”เสียงกร้าวดังขึ้นประกาศชัด พลันหลบหลีกจากการต่อสู้หมายจะแย่งชิงคันฉ่องของวิเศษกลับคืน ทว่าหลี่รั่วถงหาได้ปล่อยให้อีกฝ่ายสมดังใจหมาย จึงเข้าขัดขวางซัดฝ่ามืออัดแน่นไปด้วยไอเย็นเข้าหาจูเกิงเฉิน หากแต่พลาดเป้าไปโดนเพียงช่วงไหล่ แต่อย่างน้อยคันฉ่องมารก็ถึงมือเซียวโม่โฉว

   “เจ้ารู้วิธีทำลายมันใช่หรือไม่!”

“หากสิ่งที่ท่านมอบให้ข้ามีประโยชน์อย่างที่ข้าคิดก็คงรอด!”

ฉึก!

เพล้ง!!!

มือขาวที่กำปิ่นปักผมดอกโบตั๋นไว้แน่นง้างขึ้นสุดแขนก่อนจะใช้ส่วนปลายแหลมแทงทะลุคันฉ่องจนแตกกระจายออกเป็นเสียงๆ เกิดแสงประกายวาวโรจน์สาดส่องออกมาจากคันฉ่องมาร ราวกับพลังร้ายทะลักออกมา และในตอนนั้นทุกอย่างก็ราวถูกปลดปล่อย การกังขังไว้เป็นอันสิ้นสุด หากแต่ทุกอย่างมิได้จบเพียงนั้น เมื่อจูเกิงเฉินเหาะเหินเข้าเซียวโม่โฉวหมายจะคว้าชิงไปอีกครา หลี่รั่วถงมิได้รอช้าเข้าขวางกั้น จูเกิงเฉินเห็นดังนั้นจึงซัดฝ่ามือมารเข้ากระแทกร่างจนอีกฝ่ายกระอักโลหิตออกมาแดงฉาน

ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเซียวโม่โฉวคล้ายวาบเข้ามาในหัวของบุรุษหนุ่ม เสมือนเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทว่าคนที่เป็นฝ่ายปกป้องมิใช่หลี่รั่วถง หากแต่ภาพเลือนรางเสียจนไม่อาจมองชัดเจนได้ว่าเป็นผู้ใดในความคิด

นะนี่มันอะไรกัน สิ่งใดที่ปรากฏขึ้นในหัวของข้ากันแน่!

ความตื่นตระหนกที่พาเอาบุรุษหนุ่มตัวแข็งทื่อ ครั้นไม่ทันรู้ตัวก็ถูกโฉบดึงไปจากทางด้านหลังแล้ว ทว่าผู้ที่คว้าเซียวโม่โฉวไปนั่นเป็นติงเจิ้งหวา เจ้าของเส้นผมสีแดงเพลิงที่เข้ามาช่วยเหลือ หากแต่ความไม่คุ้นเคยและมิได้พบพานกลับทำเอาเซียวโม่โฉวผวา ครั้นได้ยินเสียงของหลี่รั่วถงแว่วมาจึงลดความกังวล

“นำตัวเซียวโม่โฉวไป ข้าจะจัดการทางนี้!”

“ภาพที่ค่อยๆ ห่างไกลนั่นคือโลหิตสีแดงของหลี่รั่วถงที่กระอักออกมาไม่น้อย กระเซ็นลงบนพื้นหิมะขาวโพลน เป็นสีสดที่ตัดกันมองแล้วชวนพรั่นพรึงยิ่งนัก”

ในขณะเดียวกันที่จูเกิงเฉินคำรามดังลั่น พายุหิมะที่ก่อตัวขึ้นฉับพลันบดบังทุกอย่างไปจากสายตา ยามนี้เซียวโม่โฉวทำได้เพียงมองเหตุการณ์เบื้องล่างที่เกิดขึ้นที่ค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตา พลันน้ำตาแห่งความห่วงใยคล้ายเอ่อรื้นอย่างไม่รู้ตัว

“ข้าจะรีบนำเจ้ากลับไปในที่ปลอดภัย”

“ตะแต่ท่านควรจะไปช่วยหลี่รั่วถง!”

“หวางหรูอี้อยู่ที่นั่น เจ้ามิต้องเป็นห่วง ยามนี้ห่วงตัวเจ้าเองเถิด”

“ตัวข้า?” ความเจ็บปวดที่ลืมสิ้นถึงความรู้สึกรู้สาพลันมองฝ่ามือของตนเองที่มีบาดแผลเหวอะหวะ ลามไปถึงท้องแขนที่ราวกับโดนสะเก็ดของแหลมคนบาดลึก คงหนีไม่พ้นเศษเสี้ยวของคันฉ่องมารที่บุรุษหนุ่มเป็นผู้ทำลายให้แหลกละเอียด ทั้งนี้โลหิตที่มิเคยได้หลั่งไหลเมื่อครั้งเป็นวิญญาณบัดนี้กลับมองเห็นดูไม่น่าภิรมย์ใจแม้แต่น้อย

แม้ฝ่ามือจะอาบย้อมไปด้วยโลหิตแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ละทิ้งนั้นคือปิ่นปักผมชิ้นสำคัญในมือ ครั้นมองแล้วกลับนึกกังวลจนแทบร้อนรุ่ม

“ท่านแน่ใจหรือไม่ว่าหลี่รั่วถงจักไม่เป็นอันตราย”

“ข้าส่งเจ้าเพียงเท่านี้”ติงเจิ้งหวาปล่อยมือจากเซียวโม่โฉวลงสู่พื้นพิภพแห่งหยิน ก่อนจะเหาะเหินถอยห่าง ตระเตรียมจะกลับไป หากแต่กลับพูดทิ้งท้ายไว้เพียงหนึ่งประโยค “หลี่รั่วถงมิมีวันตาย เขาไม่มีชื่อในบัญชีวิญญาณ ทว่ามีเพียงการสิ้นสลายของกายทิพย์ที่จักไม่สามารถคาดเดาได้ เช่นนั้นข้าจึงตอบเจ้าได้เพียงเท่านี้” เส้นผมสีเพลิงที่สยายพลันเหาะเหินหายลับไปในอึดใจ

ภาพที่หลี่รั่วถงช่วยเหลือตนไว้ยังคงฉายชัดในความทรงจำ ทั้งโลหิตที่กระอักออกมายอมหิมะเป็นสีแดงฉานจะเชื่อมั่นได้หรือไม่ว่าหลี่รั่วถงจะกลับมา

พลันครุ่นคิดในหัวแล้วเข่าทั้งสองข้างของเซียวโม่โฉวถึงกับทรุดฮวบ

“คงไม่เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นใช่หรือไม่ ข้าไม่อาจช่วยเหลืออันใดท่านได้เลย”เสียงสั่นพึมพำต่อตนเองอย่างหดหู่ ดวงตากลมใสเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เป็นอีกครั้งที่เซียวโม่โฉวรู้สึกขลาดกลัวกับการจากลา





ติดตามตอนต่อไป >>>


ขอบคุณนักอ่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านค่ะ  :กอด1:

โดย หลานฮวา


ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :sad4:บีบ❤️ลุ้นตลอดว่าเมื่อไหร่ที่จะรู้อดีต :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4


บทที่ 13
ห่วงใย





ความกระวนกระวายใจนำพาผู้ที่รอเดินวกไปวนมาภายในเรือนเสี้ยวจันทรามิได้ว่างเว้น แววตาหวาดหวั่นชะเง้อมองดูประตูอยู่ทุกชั่วขณะจิต ทั้งเหอจี๋และทู่จึได้แต่ยืนมองเจ้าของเรือนกระสับกระส่ายมิได้นั่งมาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว

“ท่านนั่งรอก่อนดีหรือไม่ขอรับ เดินเสียมากมายเดี๋ยวแผลที่มือของท่านจะหายช้านะขอรับ”

“เจ้าจะให้ข้านั่งรออย่างใจเย็นได้เช่นไร ในเมื่อนายท่านของเจ้าป่านนี้ยังมิกลับมา ผ่านมาถึงสามชั่วยามแล้วจะให้ข้านิ่งดูดายได้อย่างไร”

“ข้ามิได้ใจเย็นหรอกของรับ แต่ข้าเพียงมั่นใจว่านายท่านของข้านั้นเก่งกล้าสามารถ และต้องกลับมาปลอดภัย”เหอจี๋กล่าวพร้อมรอยยิ้มที่พอทำให้คนใจร้อนอุ่นใจได้บ้าง

“ดูเจ้าจะเป็นห่วงเป็นใยหลี่รั่วถงมากนัก หากคนผู้นั้นมีอันเป็นไปเจ้าก็จะสบายแล้วมิใช่หรือ ไม่ต้องสิ้นสลายกลายเป็นพลังวิญญาณไร้ค่า และสามารถทำตามแต่ใจเจ้าปรารถนาได้อีก”

“ระวังปากของเจ้าหน่อยเถิด พูดเรื่องไม่เป็นมงคลเช่นนี้เห็นทีจะมิต้องถึงมือนายท่านเป็นแน่!”ความปากไวไม่เท่ามือไวของเหอจี๋ที่เข้ารวบลำคอของทู่จึจอมปากมากเข้าบีบแน่น ยามสีหน้าคุกรุ่นและแววตาดุดันนั้นช่างหน้าหวั่นเกรงได้เช่นกัน

“แค่กๆ ขะข้าหายใจไม่ออก!”

“ยังจำเป็นต้องหายใจอยู่อีกเช่นนั้นหรือ!”

“พอเถิด พวกเจ้าจะทะเลาะกันให้ได้อะไร ส่วนเจ้าทู่จึ! ยามนี้เจ้ายังสามารถโลดแล่นเป็นอิสระในที่แห่งนี้เพราะผู้ใดเมตตา เจ้าก็ควรนึกคิดให้ถี่ถ้วน หลังจากนี้ข้าคงจะไม่ได้ยินเจ้าพูดเรื่องไม่ดีเช่นนั้นออกจากปากของเจ้าอีก”แววตาขึงขังมิชอบใจในตำกล่าวที่สามหาวของปีศาจกระต่ายนัก หากยามนี้จิตใจของเซียวโม่โฉวหยาบช้าคงนั่งหัวเราะร่าสมใจในสิ่งที่เกิดขึ้นไปนายแล้ว มิต้องดิ้นหนีจากจูเกิงเฉิน ยื่นมือรับข้อเสนอที่อีกฝ่ายมอบให้ ไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจอยู่เช่นนี้

หากแต่ใดๆ ล้วนไปเป็นเช่นนั้น ในใจที่ร้อนรุ่มกลับเป็นห่วงจ้าวชีวิตของตนเสียเหลือเกินในยามนี้

“ขะข้า.....ข้าขอโทษ”

“ครานี้ข้าจะทำเป็นไม่ได้ยิน ครั้งหน้าเจ้าจงไตร่ตรองคำพูดเสียให้ดีก่อนที่เจ้าจะพูกออกมาเข้าใจหรือไม่”น้ำเสียงที่ลดความขุ่นเคืองถอนหายใจใบหน้ายังคงไม่สดใส

“นั่นท่านจะไปที่ใดหรือขอรับ!”

“ข้าจะไปรอหลี่รั่วถงข้างนอก”ความกังวลไม่อาจขังบุรุษหนุ่มไว้ได้อีกต่อไป พลันเอื้อมมือเข้าผลักบ้านประตูให้เปิดออก ทว่าจังหวะนั้น เหอจี๋กลับเรียกรั้งเอาไว้

“ดะเดี๋ยวขอรับ! ข้าทราบได้ ยามนี้มีผู้คนผ่านประตูดินแดนพิภพแห่งหยินมาแล้วขอรับ ข้าว่ารีบไปยังที่นั่นเถิด”

ครั้นเหอจี๋กล่าวเช่นนั้นเซียวโม่โฉวก็รีบทะยานออกไปตามคำบอกอย่างรวดเร็วโดยมิได้พูดจาอันใดให้เสียเวลา

ใจของเซียวโม่โฉวยามนี้ร้อนรนดังไฟ ความห่วงใยมากล้นจนไม่อาจเก็บกลั้นไว้

ทันทีที่เซียวโม่โฉวมาถึงยังประตูเข้าสู่พิภพแห่งหยิน ผู้ที่เดินผ่านเข้ามาแล้วนั้นมีด้วยกันสามคน หนึ่งเป็นหวางหรูอี้สองเป็นติงเจิ้งหวา และอีกหนึ่งเป็นใครไม่ได้นอกเสียจากเจ้าพิภพแห่งหยิน ทว่าจากสีหน้าและท่าทางแล้วดูไม่สู้ดีนัก ก็พอรู้แล้วว่าเหตุการณ์เป็นเช่นไร

“พวกท่าน.....เป็นเช่นไรบ้าง”

“เรื่องนั้นค่อยถามไถ่เถิด พวกข้ามาส่งหลี่รั่วถง”หวางหรูอี้กล่าวมองไปยังผู้ที่เดินมาสีหน้าไม่สู้ดี หากแต่ยังเดินเหินได้ด้วยตนเองเพียงบรรยากาศรอบกายดูน่าอึดอัดไม่น้อย

“นะนายท่านขอรับ”เหอจี๋รีบเข้าไปประคอง หากแต่กลับถูกปฏิเสธ

“ข้าไม่เป็นอะไรมาก พวกเจ้าทั้งสองกลับไปพักผ่อนกันได้แล้ว ขอบใจพวกเจ้ามาก”

“เช่นนั้นข้าลา รับรองว่าเรื่องนี้คงรู้ไปถึงสวรรค์ ท่านเร่งรักษาตัวให้ดีอีกไม่นานคงต้องเข้ารายงานเรื่องที่เกิดต่ออวี้หวงต้าตี้ในไม่ช้า”เป็นติงเจิ้งหวาที่กล่าวขึ้นสบตากับหลี่รั่วถง ที่เพียงพยักหน้าตอบรับ

“ไว้ข้าจะแวะมาใหม่”เจ้าของเส้นผมขาวพิสุทธิ์ไร้แววตาของการหยอกเย้าอย่างวันวาน เซียวโม่โฉวที่ยืนมองนิ่งมิได้พูดจาอันใด เพียงค้อมกายส่งเจ้าพิภพทั้งสอง

ครั้นส่งผู้มาเยือนเสร็จแล้ว เซียวโม่โฉวจึงได้มีโอกาสถามไถ่ร่างสูงที่อยู่เบื้องหน้า

“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บหนักตรงไหนหรือไม่”

“มิต้องเป็นห่วงข้า ตัวเจ้าเถิดเป็นเช่นไรบ้าง?”

ผู้ถูกถามเพียงส่ายหน้า หากแต่สายตากลับจับจ้องไปยังคราบโลหิตบนอาภรณ์สีดำที่ยังหลงเหลือให้มองเห็น ยามนั้นดวงตาคู่สวยจึงระคนไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจได้

“ว่าเช่นไร การส่ายหน้าของเจ้าข้าหาได้เข้าใจความหมาย”

“ข้าไม่เป็นไร”มือที่บาดเจ็บเลื่อนซุกไว้เบื้องหลัง คลี่ยิ้มบางให้แก่หลี่รั่วถงแววตาเศร้าหมอง หากแต่เป็นความเศร้าเพราะผู้ที่แสร้งเข้มแข็งเบื้องหน้าเสียมากกว่า

“มาใกล้ข้าอีกหน่อยเถิด”เสียงทุ้มที่หาได้แข็งกร้าวกล่าวขึ้น เหอจี๋ที่ยืนอยู่ใกล้พยักหน้าให้เซียวโม่โฉวปฏิบัติตาม ก่อนค้อมกายถอยออกไปราวกับรับรู้ได้ว่ายามนี้สถานการณ์ตนควรจะวางตัวเช่นไร

เซียวโม่โฉวย่ำเท้าเข้าใกล้หากแต่มิใกล้พอดังใจต้องการของหลี่รั่วถง ผู้เรียกหาจึงยอมก้าวไปเบื้องหน้าด้วยตนเอง ลดระยะห่างให้เหลือเพียงหนึ่งก้าวสั้นๆ

“หากเจ้ายืนอยู่ไกล ข้าจะมองเห็นได้ชัดเจนอย่างไรว่าเจ้าปลอดภัยดี”ดวงตาคมกวาดมองสำรวจกายของเซียวโม่โฉวอย่างถี่ถ้วน คิ้วเข้มขมวดมุ่นมือข้างหนึ่งเอื้อมคว้าลำแขนที่แอบซ่อนไว้เบื้องหลังเลื่อนประคองมือบาดเจ็บของบุรุษหนุ่มนัยน์ตาเจ็บปวดราวกับอยากเจ็บแทนเสียเอง

แม้อีกฝ่ายจะพยายามดึงมือที่ไม่ได้น่ามองกลับ ทว่าอีกฝ่ายมิได้ปล่อยให้ทำเช่นนั้น

“ข้ามิได้เจ็บปวดอันใด เหอจี๋บอกข้าว่าอีกไม่กี่ชั่วยามมันก็จะหายเป็นปกติ”เสียงใส่กล่าวตอบ ดึงสายตาที่จดจ้องมองไปยังมือที่บาดเจ็บของตนให้เงยหน้าขึ้น

“มาเถิด ข้าจะใส่ยาให้เจ้า”

“ข้าใส่ยาแล้วท่านมิต้องทำเช่นนั้นให้ข้าหรอก ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเพียงวิญญาณรักษาไปก็หาได้มีประโยชน์”

“วิญญาณแล้วอย่างไร เจ้าก็มีความรู้สึกนึกคิดเฉกเช่นผู้คนทั่วไป ข้ามิอยากให้เจ้าเอาเรื่องเหล่านี้มาตัดสินคุณค่าของตัวเจ้าเอง”

“ข้า....คือข้า.....”

“มาเถิด”หลี่รั่วถงวางมือจากลำแขนของเซียวโม่โฉว หันหลังให้และก้าวเดินไปยังทิศทางของเรือนตนเอง ทว่าก้าวไปเบื้องหน้าเพียงไม่กี่ก้าว ความอดทนอดกลั้นก็พลันตีรวนจนเกินควบคุม กายสูงสง่าหยุดชะงักสำลักเอาโลหิตที่เคยเป็นสีแดงกลับกลายเป็นสีดำน่าขลาดกลัว อันเกิดจากพิษของฝ่ามือมารของจูเกิงเฉิน เซียวโม่โฉวถึงกับตาเบิกโพลงรีบถลาเขาประคับประคองแววตาตระหนก คล้ายหยาดน้ำตาบางๆ ที่สั่นไหวในแววตาปริ่มของตาที่ร้อนผ่าวขึ้น

“เหอจี๋มาช่วยข้าที”เซียวโม่โฉวร้องเรียกอย่างตระหนก ก่อนจะช่วยกันประคับประคองหลี่รั่วถงไปกับเรือนหลักอย่างรีบร้อน แม้จะถูกสั่งห้ามมิให้วุ่นวายแต่ผู้ที่ห่วงใยย่อมเย็นมิได้แม้แต่น้อย

“ขอบใจเจ้ามาก ยามนี้เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”

“แต่ท่านอาการไม่สู้ดี ให้ข้าอยู่ตรงนี้ บางทีข้าอาจช่วยเหลืออะไรท่านได้บ้าง.....ท่านช่วยเหลือข้าไว้ ขอให้ข้าได้ทำสิ่งใดตอบแทนท่านบ้างเพียงเล็กน้อย อย่าได้ปฏิเสธน้ำใจข้าเลย”

“กลับกับข้าเถิดขอรับ อย่ารบกวนนายท่านจะดีกว่าขอรับ.....”อีกฝ่ายเป็นเหอจี๋ที่เกรงต่อสายตาและคำสั่งเช่นนั้น จึงพยายามยื้อยุดเซียวโม่โฉวให้เดินตามตนออกไป แต่ยามนี้บุรุษหนุ่มจะดื้อแพ่งเสียแล้ว
หลี่รั่วถงเห็นเช่นนั้น จึงโบกมือเพียงน้อยให้เหอจี๋ปล่อยคนหัวรั้น

“เจ้าออกไปก่อน”

“ขะขอรับนายท่าน หากมีเรื่องอันใดเรียกข้าได้ทุกเมื่อ”หลี่รั่วถงพยักหน้ารับ ใบหน้าที่ดูซีดขาวหลับตาเพียงครู่ ผ่อนลมหายใจให้สม่ำเสมอก่อนลืมตาขึ้นสบตากับบุรุษหนุ่มที่ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว จับจ้องแววตาที่มองมายังตนไม่ไขว้เขว แม้จะเป็นสายตาไม่แข็งกร้าวทว่ากลับซ่อนเร้นไปด้วยความรั้นอยู่ไม่น้อย

“ข้ามิได้ไร้ประโยชน์ ท่านกล่าวแก่ข้าเอง เช่นนั้นก็ให้ข้าทำประโยชน์เพื่อท่านบ้างก็ยังดี”

“หึ! เจ้าดีต่อข้า ไม่กลัวหรืออย่างไรว่าสิ่งที่เจ้าทำไปท้ายที่สุดแล้วอาจสูญเปล่า”

“ข้าอาจเสียใจ แต่ข้าตัดสินใจไปแล้วนั่นคือเรื่องจริง เช่นไรข้าก็มีจุดจบที่รู้ได้ล่วงหน้าถือว่าโชคดีนัก ก่อนถึงเวลานั้นข้าอยากจะทำในสิ่งที่ข้าต้องการ เช่นนั้นมิได้หรือ”

“ข้ามิยักรู้ว่าเจ้าก็รั้นเป็นเช่นกัน”ยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของหลี่รั่วถงเพียงน้อย

“มิได้ สิ่งนั้นข้าเรียกมันว่าความตั้งใจ”

คนเจ็บหัวเราะหงึกเพียงน้อย“เจ้ารู้หรืออย่างไรว่าจะดูแลข้าเช่นไร”หลี่รั่วถงลองถามไถ่ คนถูกถามสีหน้าครุ่นคิด คิ้วได้รูปขมวดมุ่นเสียจริงจัง นึกย้อนไปยังยามผู้คนปกติป่วยไข้

“ข้าพอจะช่วยท่านหยิบยา หยิบสิ่งของที่ท่านต้องการได้ หรือให้ข้าช่วยป่นยาสมุนไพรข้าก็พอทำได้”คนเสนอช่วยเหลือนับนิ้วประโยชน์ของตนเองเสียจริงจัง ไม่รู้เพราะประโยชน์ที่นึกได้น้อยนิดหรืออย่างไรถึงได้ทำสีหน้าฟึดฟัดเล็กน้อย

“ข้ามิต้องการการดูแลเช่นนั้นหรอก”

“แล้วข้าต้องทำเช่นไร ท่านแนะนำข้าเถิด”

“เพียงเจ้าอยู่นิ่งๆ เป็นเพื่อนข้าเท่านั้นก็เพียงพอ”

“แต่ว่า....”

“ตามที่ข้าพูด”

คนอาสาสีหน้าสลดไปเล็กน้อย ราวกับยามนี้ก็หาได้ทำสิ่งใดตอบแทนหลี่รั่วถงได้ หากแต่เช่นนั้นก็ยอมพยักหน้ารับ แล้วพาตนเองไปหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ห่างจากหลี่รั่วถงไปไม่มาก ผู้ที่เห็นใบหน้าหงิกงอเล็กน้อยของบุรุษหนุ่มเพียงซ่อนยิ้มพึงใจไว้ แม้ยามนี้ร่างกายจะอ่อนแอ แต่มีกำลังใจเช่นนี้ใยจะไม่ฟื้นกำลังได้

ครั้นเซียวโม่โฉวยอมนั่งมองอยู่เงียบๆ แต่สายตากลับจดจ้องไปยังหลี่รั่วถงทุกอิริยาบถไม่ว่าอีกฝ่ายจะขยับเคลื่อนกายไปทางใดก็เสมองทุกท่วงท่า พานภาพการต่อสู้ประมือกับจูเกิงเฉินก็ผุดขึ้นในหัว เซียวโม่โฉวยังจำได้ดีที่หลี่รั่วถงปกป้องตนเองจากจูเกิงเฉินอย่างไม่ลังเล ยามนั้นบางอย่างที่คล้ายภาพฝันซ้อนทับขึ้นมาเบื้องหน้า ชวนให้สงสัยไม่ลืมเลือน ทุกอย่างมันแทรกซึมอยู่ในหัวใจแม้กระทั่งความรู้สึกเจ็บปวด ราวกับตนเองเป็นผู้ที่อยู่ในภาพเหตุการณ์นั้น

ตัวข้า.....เกี่ยวข้องกับจูเกิงเฉินและหลี่รั่วถงเมื่อชาติภพที่แล้วมาจริงเช่นนั้นหรือ?

ความสงสัยยังคงวกวนอยู่ในห้วงความคิดยังคงคลางแคลงใจในคำพูดของจูเกิงเฉิน

“ท่านกำลังทำอะไร ให้ข้าช่วยหรือไม่?”เซียวโม่โฉวลุกขึ้นกระฉับกระเฉง ครั้งเห็นหลี่รั่วถงขยับตัวยืนขึ้นเหมือนต้องการทำบางอย่าง

“เห็นทีข้าต้องรบกวนเจ้า”ครั้นหลี่รั่วถงเอ่ยขึ้น อีกฝ่ายจึงรีบถลาเดินเข้าไป

“ให้ข้าช่วยสิ่งใดว่ามาเถิด”

“ช่วยข้าเปลี่ยนชุด”

เซียวโม่โฉวพยักหน้า เห็นด้วยที่จะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ที่อาบเปื้อนไปด้วยโลหิตออกเสีย จึงเร่งรุดขยับถอดเสื้อคลุมตัวยาวด้านนอกออกให้ เซียวโม่โฉวถึงกับต้องแปลกใจกับน้ำหนักของเสื้อคลุมที่ปลดออกมาจากหลี่รั่วถงนั่นหนักกว่าผ้าทั่วไปเป็นสิบเท่า

“ข้ามิเคยรู้มาก่อนว่ามันหนักได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

“วางลงเถิด หากหนักเจ้ามิควรถือไว”

“มาเถิดข้าจะช่วยท่านอีกแรง”คนกระตือรือร้นจับเสื้อคลุมยาวตัวหนักไปแขวนไว้แล้วกับมายืนอยู่เบื้องหน้าของหลี่รั่วถง เอื้อมมือทั้งสองข้างเข้ากระตุกรั้งเสื้อทับด้านในให้อย่างไม่รังเกียจ ทว่าจังหวะนั้นมือข้างหนึ่งของเซียวโม่โฉวกลับถูกคว้ากุมเอาไว้เสียแน่น พร้อมกับนัยน์ตาคมที่ก้มลงมองบุรุษหนุ่มไม่ละสายตา

“มือของเจ้า.....ยังเจ็บอยู่อีกหรือไม่”น้ำเสียงถามไถ่อีกคราคล้ายยังกังวลใจถึงบาดแผลที่ปิดเอาไว้
เซียวโม่โฉวจึงส่ายหน้าและยิ้มบางให้แก่หลี่รั่วถง“เล็กน้อยนัก ท่านมิต้องกังวลกับข้ามากนักหรอก”

“จะไม่ให้ข้ากังวลได้อย่างไร ยามเจ้าบาดเจ็บข้าย่อมเจ็บกว่าเจ้าหลายเท่านัก”นัยน์ตาคมคล้ายอ่อนแรง เมื่อแกะผ้าพันแผลของเซียวออกและมองดูร่องรอยบาดเจ็บที่สร้างแผลให้ไม่น้อยบนฝ่ามือซีดขาว

แม้เซียวโม่โฉวจักไม่เข้าใจความหมายที่หลี่รั่วถงกล่าวมากนัก หากแต่ถ้อยคำหวานหูกลับก้องกังวานอยู่ไม่จาง อีกทั้งดวงใจกลับพองโตเสียอย่างนั้น พานเอาแก้มขาวนวลเนียนแต่งแต้มไปด้วยสีแดงระเรื่อและร้อนผะผ่าวตรงพวงแก้มขึ้นมาเสียได้
 
“ขอบคุณที่ท่านห่วงใยข้า มิได้หนักหนาประเดี๋ยวก็หาย”

“แผลที่เกิดแต่ของวิเศษข้าไม่อาจรักษาเจ้าให้หายได้ในพริบตา แต่ถึงอย่างไรข้าก็เพียงหวังว่าเจ้าจะหายในเร็ววัน”มือหนาประคองมือข้างที่บาดเจ็บของเซียวโม่โฉวขึ้นอย่างทะนุถนอม ก่อนจะก้มใบหน้าลงต่ำมอบจุมพิตไปบนฝ่ามือของเซียวโม่โฉวอย่างไม่รังเกียจ บุรุษหนุ่มเบิกตาโพลงมองการกระทำของหลี่รั่วถงอย่างตกใจ

ครั้นอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นสบตา เซียวโม่โฉวกลับรู้สึกว่านี่มิใช่ครั้งแรกที่ตนได้รับความเอาใจใส่ ทว่าตนกลับรู้สึกราวกับเป็นใครอีกคนที่มิใช่เซียวโม่โฉวผู้นี้ ทั้งความรู้สึกคิดถึง โหยหา และโศกเศร้า ช่างบีบคั้นจิตใจของตนจนต้องหลั่งน้ำตา

แปะ!

น้ำตาที่หลั่งรินไหลผ่านแก้มขาวและหล่นลงบนพื้น อีกหยดที่กำลังไหลอาบแก้มขาวกลับถูกเกลี่ยออกด้วยนิ้วร้อนของหลี่รั่วถง

“น้ำตาของเจ้าข้าไม่อาจรับไหว อย่าได้หลั่งน้ำตาด้วยสีหน้าเจ็บปวดเช่นนั้นอีก เจ้ากำลังทำให้ข้าไม่อาจสู้หน้าบริวารด้วยท่าทีอ่อนแอเช่นนี้ได้”

“ข้า.....ข้าขอโทษ.....”หากไม่ทันเอ่ยจบประโยค ดวงตาคู่สวยไม่ทันกะพริบไล่หยาดน้ำตา หากแต่กลับต้องมาชะงักค้างทุกอิริยาบถเคลื่อนไหวของร่างกาย ทันทีที่ร่างสูงสง่าโน้มใบหน้าจรดริมฝีปากลงบนหางตาราวกับเข้าซับน้ำตาที่เอ่อรื้นแล้วผละออกเพียงเบาพร้อมเอ่ยบางอย่างเสียงแผ่ว

“เจ้ารออีกหน่อยเถิด ข้า.....หลี่รั่วถงผู้นี้จักทำให้เจ้ากลับมาเคียงข้างกับข้าในเร็ววัน และจะไม่ย่อมให้ผู้ใดมาพรากเจ้าไปจากข้าอีกเป็นแน่ ข้าให้สัญญา”

ถ้อยคำที่กล่าวขึ้นอย่างหนักแน่น บอกต่อเซียวโม่โฉวที่บัดนี้สายตาคล้ายว่างเปล่าก่อนจะค่อยๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้าพร้อมกับร่างกายซวนเซราวกับเคลิ้มหลับเอนซบมาเบื้องหน้า หลี่รั่วถงโอบประคองเซียวโม่โฉวเข้าสู้อ้อมกอดอย่างนุ่มนวล ลำแขนที่แข็งแกร่งประคองแผ่นหลังเล็ก บรรจงว่างผู้ที่ไม่ได้สติซึ่งถูกหลี่รั่วถงร่ายมนตร์คาถาให้หลับใหลนอนลงบนเก้าอี้ตัวยาวอย่างเบามือ และจัดการพันแผลให้เซียวโม่โฉวจนเสร็จเรียบร้อย

จากนั้นหลี่รั่วถงจึงได้นำพาตนเองที่อาการไม่สู้ดีมากนักไปยังห้องลับด้านหลังเพื่อฟื้นพลังให้กลับคืน หากแต่ก่อนจะไปสายตาของหลี่รั่วถงยังคงเหลือบมองบุรุษหนุ่มที่นอนหลับตาพริ้มราวกับอาวรณ์
“เจ้าควรจะพักผ่อน เจ้าหายดีข้าถึงจะเบาใจได้”น้ำเสียงพึมพำเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินลับหายไปทางด้านหลังเรือนของเอง



รุ่งขึ้นผู้ที่ตื่นขึ้นคล้ายมีอาการสะลึมสะลือเป็นเซียวโม่โฉวที่ลุกขึ้นพลันกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องอย่างใคร่ครวญคิดอยู่ช้านาน นึกถึงเหตุการณ์สุดท้ายที่ตนเผลอหลั่งน้ำตาต่อหน้าหลี่รั่วถงและจุมพิตที่พลันนึกได้จนรู้สึกอุ่นร้อนตรงที่ถูกสัมผัสขึ้นมา แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นตนกลับลืมสิ้นช่างน่าแปลกนัก ทั้งยังมานอนหลับอยู่ในที่แห่งนี้อีก

   “ข้ามาหลับอยู่ตรงนี่ได้อย่างไร”คิ้วที่ขมวดชนชิดส่ายหน้าให้กับตนเองอย่างไม่พึงใจสักเท่าไหร่

   “เจ้าตื่นแล้ว”น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นเรียกความสนใจให้แก่เซียวโม่โฉวเป็นอย่างดี ผู้ที่อ่านตำราอยู่มุมหนึ่งของห้องจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลี่รั่วถง

   ผู้ที่ถูกเอ่ยทักจะทำอย่างไรได้นอกเสียจากรีบกุลีกุจอลุกขึ้นสีหน้าตาตื่น อีกทั้งยกยกมือขึ้นตบแก้มตนเองเรียกสติพร้อมกับสะบัดศีรษะไปมาสองสามคราเห็นจะได้

   หลี่รั่วถงที่จ้องมองอยู่ก็พลันนึกขบขันในใจกับท่าทางประหลาดเช่นนั้น

   “ขะข้าขออภัย ข้าไม่รู้ตัวว่าตนเองมานอนในที่ของท่านตั้งแต่เมื่อไหร่”บุรุษหนุ่มค้อมกายก้มศีรษะลงอย่างรู้สึกผิด เพราะระลึกได้ถึงคำพูดตนที่หวังจะมาแทนคุณโดยการช่วยเหลือดูแลหลี่รั่วถง หากแต่กลับมานอนเหยียดยาวอย่างคนเกียจคร้านช่างเป็นภาพที่น่าอายนัก

   “ช่างเถิด หากเจ้าตื่นแล้วไปเดินเล่นด้านนอกเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้หรือไม่?”คนเอ่ยถามยืนคอยอยู่ตรงประตูทางออก ไยจะปฏิเสธได้ในยามนี้

   “หากเป็นความต้องการของท่าน ข้าก็ยินดี”มือข้างที่เป็นแผลยกขึ้นลูบแก้มเย็นของตนเองอย่างแก้เก้อ จึงทำให้เซียวโม่โฉวสังเกตได้ว่า มือของตนนั้นคลายความเจ็บ และเบาบางลงอีกทั้งยังถูกเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ใหม่ สายตาที่จับจ้องไปยังมือของตนจึงมองเลยไปยังหลี่รั่วถงที่เปิดประตูรอท่า

   ร่างสูงที่ไม่รีบร้อนยังคงคอยอยู่ไม่เอ่ยเร่งเร้า เซียวโม่แวมองไปร่างสูงสง่าที่ทุกท่วงท่าดูสงบเยือกเย็น ดวงใจที่สั่นไหวพลันทำให้นึกถึงจุมพิตบนฝ่ามือที่ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ความฟุ้งซ่านในใจทำเอาบุรุษหนุ่มถึงกับต้องหลบสายตาหลี่รั่วถงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินไปหาผู้ที่คอยท่าอยู่ไม่พูดจาใดๆ

   ท่ามกลางลมหนาวที่โชยมาสองบุรุษเดินเคียงกายไปท่ามกลางกลีบดอกท้อที่โปรยปรายดั่งสายฝน ผู้ชำนาญเส้นทางเดินนำลัดเลาะไปกระทั่งถึงสวนบุปผาพันปีที่ไม่เคยโรยรา กระทั่งหลี่รั่วถงหยุดก้าวเดิน มีเพียงเซียวโม่โฉวที่ก้าวเท้าไปข้างหน้ากวาดสายตามองดูบุปผชาติเบื้องหน้าราวกับอัศจรรย์ใจ

   “เจ้าชอบมันหรือไม่”

   “ข้าชอบ นึกไม่ถึงว่าจะมีที่เช่นนี้อยู่ด้วย ข้าไม่เคยรู้เลยว่าลึกเข้าไปในป่าท้อจะมีสิ่งสวยงามีกมายมาย”

   “หากเจ้าชอบข้าจะอนุญาตให้เจ้าเข้ามายังที่แห่งนี้ได้ ทว่าเพียงตัวเจ้าเท่านั้น ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์เหยียบย่างเข้ามา”

   “หากเป็นที่ที่ท่านหวงแหนเช่นนี้.....ไม่จำเป็นต้องใจดีกับข้าก็ได้”ผู้ที่ยิ้มรื่นเปลี่ยนเป็นหุบยิ้มเสียทันทีก่อนจะหยุดเท้าตนเองที่กำลังก้าวไปเบื้องหน้าให้ถอยกรูดกลับมาสงบเสงี่ยมเช่นเคย

   “ที่ข้ากล่าวเช่นนั้น เพียงเพราะอยากให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่ข้าอยากให้เจ้าได้เห็นมันแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น”

   “ท่านกลัวหรืออย่างไรว่าผู้อื่นจักรู้ความลับว่าแท้แล้วจ้าวพิภพแห่งหยินที่น่าเกรงข้ามชื่นชอบสิ่งสวยงาม”มิใช่ว่าไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย หากแต่เซียวโม่โฉวเพียงแสร้งโง่เขลา นึกอยากเห็นสีหน้าของผู้ที่เอาแต่ปั้นหน้านิ่งแม้กล่าวสิ่งที่ราวกับเกี้ยวพาราสีผู้อื่นเช่นนั้น

   “ความลับของข้าให้เจ้ารู้เพียงผู้เดียวก็เกินพอ”

   “เห้อ.....ข้าโชคดีหรือร้ายกันแน่ ที่ได้รู้ความลับของท่านเช่นนี้”เซียวโม่โฉวแสร้งถอนหายใจแล้วหมุนกายชะเง้อมองสวนบุปผา แม้ในใจนึกไปว่าอีกไม่นานเขาก็ต้องสลายหายไปพร้อมกับความลับนี้ในไม่ช้า ทว่าจังหวะที่ครุ่นคิดกลับถูกรั้งด้วยมือหนาให้หันมาประจันหน้ากับร่างสูงกะทันหัน

   “แล้วเจ้าอยากรู้คำตอบหรือไม่ดี? ร้าย? ข้าจะบอกให้”สายตาคมก้มลงมองเซียวโม่โฉว ยามนี้คล้ายกำลังหลบดวงตาของหลี่รั่วถง น้ำเสียงอึกอักที่ตอบอยู่ในลำคอและท่าทางงุ่มง่ามก็มิต้องถามสิ่งใดอื่นแล้ว

   “คือ...เอ่อ....ข้า ข้า”

   “เสียงของเจ้าไยจึงหายไปเช่นนั้น” ใบหน้าที่คล้ายหลบซ่อนดวงตาถูกเชยขึ้นมาให้ตอบข้อข้องใจ

   “เอ่อ....ขอไปดูทางโน้นได้หรือไม่ เมื่อครู่ข้าเห็นว่ามีนกหน้าตาประหลาดเกาะอยู่แถวนั้น”มือไม้ที่ชี้ออกไปหาเหตุผลเพื่อถอยห่างจากมือหนาที่สัมผัสกรอบหน้าอย่างว้าวุ่นในอก

   “ตามใจเจ้าเถิด”ขณะที่เซียวโม่โฉวจะผละออกไป ทว่าผู้ที่ขานรับคำขอกลับรั้งไว้ เอ่ยบางอย่างสีหน้าห่วงใยต่อเซีวโม่โฉว“แม้ตัวเจ้าจะอยู่ในสายตาของข้า หากแต่เมื่อยามห่างกายข้าเจ้าก็จะต้องระวังและดูแลตนเองเข้าใจหรือไม่”

   “ข้าจะระวัง”

   “คำตอบของเจ้าข้าพอจะเบาใจได้หรือไม่”

   “ท่านอย่าได้กังวล ข้ารู้ว่าต่อแต่นี้ข้าควรจะระวังตนเองเช่นไรเชื่อใจข้าเถิด”จากหลบหลีก ยามนี้เซียวโม่โฉวกลับกล้าสบตากับหลี่รั่วถงอย่างเปิดเผย อีกทั้งแสดงสีหน้าที่เข้าใจความหมายในสิ่งที่หลี่รั่วถงกล่าวอย่างดี “ทางข้างหน้าสูงต่ำใช่หรือไม่ ข้าจะระวังมิให้ลื่นล้มทับต้นไม่ของท่านก็แล้วกัน”ยิ้มบางจุดขึ้นบนใบหน้าของบุรุษหนุ่ม สองเท้าที่ก้าวเดินไปเบื้องหน้าซ่อนรอยยิ้มที่กว้างขึ้นไว้มิให้ผู้ใดมองเห็น

   ยามนี้ข้ามีความสุขจะกล่าวได้หรือไม่ว่าข้าเสียสติไปเสียแล้ว หัวใจของข้ากำลังสั่นไหวให้กับหลี่รั่วถงจนยากควบคุม ข้าเป็นเพียงวิญญาณต่ำต้อยหากแต่ใจใฝ่สูงคิดเลยเถิดเช่นนี้ได้อย่างไร
แม้จะรับรู้ว่าอนาคตเบื้องหน้าจะเดินไปยังทิศทางใดข้าก็ยังยิ้มได้หน้าชื่นตาบานเช่นนี้น่าหัวเราะจริงเชียว แต่หากไม่ผิดอันใดข้าก็อยากจะหายไปพร้อมกับความรู้สึกอุ่นใจเช่นนี้ ความรู้สึกที่มีใครสักคนให้ความสำคัญแก่ข้าไม่เสื่อมคลาย





ติดตามตอนต่อไป >>>



ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่านค่ะ

โดย หลานฮวา   

 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4


บทที่ 14
เดิมพัน
   





วังหิมะ

   ท่ามกลางความหนาวเหน็บสิ่งที่เยือกเย็นกว่าอากาศนั้นกลับเป็นผู้ที่นั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆ มาร่วม 3 ราตรีแล้ว ดวงตาที่ปิดสนิทบ่งบอกได้ว่ายามนี้ต้องการพักรักษาตนเอง ห้ามมีผู้ใดเข้ามาวุ่นวาย หากแต่ข้างกายนั้นกลับมีลี่ถิงบุรุษหนุ่มวัยแรกแย้มที่เกิดแต่รากบัววิเศษคอยเฝ้าจูเกิงเฉินอยู่ไม่ห่าง ดวงตากลมใสจับจ้องคอยมองปฏิกิริยาของผู้เป็นนายไม่วางตา เนิ่นนานเท่าระยะเวลาที่จูเกิงเฉินกลับมาด้วยสภาพสะบักสะบอม

   การต่อสู้ครั้งนี้ระหว่างจูเกิงเฉินและหลี่รั่วถง นับว่าไม่รุนแรงเท่าครั้งก่อนเก่า แต่ก็ทำให้จูเกิงเฉินได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย ความประมาทในพลังของตนเองนั้นกลายเป็นเรื่องโง่เขลา ถึงอย่างไรแม้อีกฝ่ายจะอยู่ในช่วงอ่อนแอก็มิได้มีผลใดๆ ต่อการประมือ
 
   การทำให้จูเกิงเฉินและพวกพ้องจำต้องถอยหนี อาจกล่าวได้ว่าแม้จะสิ้นกำลังแต่ไม่สิ้นหนทาง ความปราดเปรื่องของหลี่รั่วถงในครั้งนี้ทำจูเกิงเฉินพลาดท่าไม่น้อย แม้จะเรียกเหล่าบริวารมาช่วยแต่ก็ยังเพลี่ยงพล้ำให้กับหลี่รั่วถงจนได้

   ขณะหนึ่งร่างที่ไม่เคลื่อนไหวใดๆ พลันขยับตัว ลี่ถิงที่คอยเฝ้าถึงกับเบิกตาโพลงดีดตัวลุกขึ้นแทบเซล้ม ก่อนจะปราดเข้าไปคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าจูเกิงเฉินในทันทีไม่รีรอ กระทั่งดวงตาคู่เฉี่ยวคมขยับเปิดออก รอยยิ้มของลี่ถิงก็ปรากฏเบื้องหน้าจูเกิงเฉินราวกับยิ้มต้อนรับผู้ที่มิได้พบเจอกันเนิ่นนาน ยามนี้ดวงใจของลี่ถิงเต้นเร็วรัวอย่างยินดีก็ว่าได้

   “นายท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”เสียงเล็กเอ่ยถาม หากแต่ดวงตาคมดุดันกลับเหม่อมองไปยังเบื้องหน้าไม่เอ่ยตอบ สะท้อนแววตาของความเศร้าหมองระคนเจ็บปวดอยู่ลึกๆ

“.....”

“อยากได้อะไรบอกลี่ถิงได้นะขอรับ ลี่ถิงจะหามาให้นายท่านเอง”เสียงใสเอ่ยขึ้นกระตือรือร้น

“หัวใจของข้า เจ้าเอามันกลับคืนมาให้ข้าได้หรือไม่”

“เอ๊ะ?”

“ช่างเถิด ตอนนี้ข้าอยากจะออกไปสูดอากาศข้างนอก”

“ไหวหรือไม่ขอรับ ให้ลี่ถิงช่วยประคอง.....”เด็กหนุ่มเข้าประคองแขน หากแต่กลับถูกสะบัดออกแววตาเย็นเยือกราวกับหิมะรอบกาย ไม่แยแสต่อความช่วยเหลือใดๆ

“เจ้ากำลังคิดว่าข้าอ่อนแอจนไม่มีปัญญาจะเดินได้ด้วยตนเองเช่นนั้นหรือ!”

“มิได้ขอรับ ลี่ถิงมิได้คิดเช่นนั้น”ดวงตากลมใส่หลุบลงต่ำเพียงครู่ หากแต่กลับรีบวิ่งวุ่นเข้าคว้าเสื้อคลุมตัวหนาแขย่งปลายเท้าสุดกำลังเข้าสวมเสื้อคลุมให้จูเกิงเฉินเพราะเกรงต่ออากาศที่เย็นจนสะท้าน
ภายนอกอาจทำให้ร่างกายที่เพิ่งฟื้นแปรปรวนได้ หากแต่ตนเองกลับเพียงสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อบางตัวเก่าที่จูเกิงเฉินเคยมอบให้อยู่เป็นประจำ แม้จะเสื้อผ้าอื่นมากมายก็หาได้อุ่นใจเท่าตัวที่สวมใส่นี้

ก้าวสั้นๆ ที่ย่ำรัวเร็วเดินตามรางสูงให้ทันพยายามรักษาระยะห่างอย่างที่เคยทำ ลี่ถิงได้เพียงมองแผ่นหลังกว้างที่เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวเดียวดาย คล้ายโลกอีกใบที่จูเกิงเฉินสร้างไว้โอบรอบกายตนเองและจมอยู่กับสิ่งนั้นมาตั้งแต่ต้น ยากนักที่จะมีผู้ใดเหยียบย่างเข้าไปได้

“ในสายตาของเจ้าข้าไม่ควรได้รับความรักจากผู้ใดเลยเช่นนั้นหรือ”น้ำเสียงราบเรียบและสายตาที่ทอดมองไปยังปุยหิมะขาวโพลนไกลสุดตาเอ่ยถามลี่ถิงขึ้น

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ”

อย่างน้อยข้าลี่ถิงผู้นี้ก็รักท่านสุดหัวใจ นับตั้งแต่วินาทีที่ข้ามีชีวิตแล้ว ท่านมองไม่เห็นความรักของข้าเลยหรือขอรับ

เสียงรำพึงรำพันไม่อาจสะท้อนออกมาจากจิตใจของลี่ถิงได้

“ตัวข้ารู้ดีว่าเป็นเช่นไร สิ่งที่ข้าถามออกไปคงน่าหัวเราะเยาะสินะ หึ!”

“นายท่าน.....”มือเล็กสัมผัสเพียงเบาตรงชายเสื้อคลุมตัวยาวแต่ไม่อาจหาญกล้ากุมมือใหญ่นั้นเพื่อปลอบประโลมได้

“หรือยามนี้ ข้าไม่มีอำนาจมากพอ ผู้ที่ข้าปักใจรักสุดหัวใจไม่เปลี่ยนแปลงจึงไม่คิดเหลียวมองข้าแม้แต่น้อย แม้ผ่านภพชาติที่ยาวนานก็ไม่อาจเปลี่ยนใจคนผู้นั้นได้ สายตาที่ดูแคลนและรังเกียจเดียดฉันท์นั้นราวกับคันศรปักลงกลางใจของข้านับพันเล่ม เจ้าบอกข้าหน่อยเถิดว่าข้าควรจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ข้าปรารถนามาครอง”

“ลี่ถิงเบาปัญญานัก นายท่านโปรดให้อภัย”

“หรือข้า ไม่ควรพบเจอกับคนผู้นั้นตั้งแต่แรกสินะ”

พลันเอ่ยขึ้นแววตากร้าวก็เห็นภาพวันวานที่ไม่อาจลบออกไปจากความทรงจำที่หยั่งรากฝังลึกลงในจิตใจได้ วันที่หิมะโปรยปรายและหนาวเหน็บเฉกเช่นวันนี้



“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินเสียงของข้าหรือไม่!”

มือเล็กเข้าขยับร่างกายที่นอนฟุบลงกับพื้นน้ำแข็งซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะหนาวเหน็บอย่างร้อนใจ

เจ้าของร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลหนีหัวซุกหัวซุนมาจากโลกมนุษย์เพราะถูกมนุษย์ทำร้ายกำลังสลบไสลไม่ได้สติ หากแต่ราวกับสวรรค์เมตตาขีดเส้นให้ ‘เหยว่ถิง’ หญิงงามซึ่งเป็นถึงเทพธิดาผู้เฝ้าสวนบุปผาพันภพของอวี้หวงต้าตี้ ระหว่างที่นางเหาะเหินผ่านมากลับมองเห็นจูเกิงเฉินบาดเจ็บจึงเข้าช่วยเหลือด้วยจิตเมตตา

และด้วยเสียงเรียกที่ราวกับดึงให้ผู้ที่คล้ายจะสลายหายไปด้วยพิษบาดแผลก็พลันได้ฟื้นสติขึ้นมา จากนั้นนางได้มอบกลีบดอกเหลียนฮวาที่เป็นเสมือนยารักษาให้แก่จูเกิงเฉิน

หากแต่ไม่ทันได้กล่าวขอบคุณ ผู้มีบุญคุณกลับหายลับไปในปุยเมฆเสียแล้ว นับแต่วันนั้นจูเกิงเฉินจึงได้ติดตามหา ผู้ที่ช่วยชีวิตของตนกระทั่งได้พบพาน โอกาสมาเยือนหลายคราให้ทั้งสองได้ผูกพันฉันสหาย ปีศาจที่ไร้หัวนอนปลายเท้ากับเทพธิดารูปโฉมงดงามช่างห่างไกลเกินเอื้อมเหลือเกิน

หากแม้ตนในยามนั้นจะไร้ซึ่งพลังแกร่งกล้าสามารถ เหยว่ถิงก็ยังนับเป็นสหายมิได้รังเกียจแม้ด้วยกฎเกณฑ์ของสวรรค์ก็มิอาจขวางกันไมตรีของนางได้ หากแต่สิ่งที่สหายเช่นจูเกิงเฉินมิชอบใจนั้นคือการที่เหยว่ถิงมีบุรุษในดวงใจของนางอยู่แล้ว จะเป็นผู้ใดไปได้หากมิใช่จ้าวพิภพแห่งหยินนามว่าหลี่รั่วถง
 
การมองดูความรักของพวกเข้าที่งอกงามนั้นช่างเจ็บปวดหัวใจนัก ครั้นจูเกิงเฉินหักห้ามใจตนเองไม่ไหวจึงได้เผยความในใจไปในครานั้น คำตอบที่ได้.....แม้จะตระเตรียมใจมาแล้วก็ไม่อาจแบกรับความรู้สึกผิดหวังนั้นได้ นับวันเหยว่ถิงที่ตนสามารถเคียงใกล้ ก็กลับถอยห่างออกไปไกลสุดแสนเอื้อมถึง

ความรู้สึกเจ็บปวดยามนั้นจูเกิงเฉินไม่อาจลบเลือน และเป็นจุดเริ่มต้นของการไขว่คว้าอำนาจ

“นายท่าน.....นายท่านขอรับ”เสียงเล็กที่เอ่ยขึ้นราวกับดึงความคิดฟุ้งซ่านของจูเกิงเฉินกลับคืน

“เจ้าเรียกข้าด้วยเหตุใด”ครู่หนึ่งที่ดวงตาคมกดลงต่ำมองไปยังรากบัวที่แสนต่ำต้อย แทบหลงลืมไปแล้วว่าผู้ที่ไม่เคยห่างหายในยามยากของตนนั้นเป็นผู้ใด

“ได้โปรด.....”น้ำเสียงสั่นเครือเล็ดลอดออกมาจากปากเล็ก ดวงตากลมใสคิ้วตกจ้องมองไปที่มือของจูเกิงเฉินสีหน้ากังวลใจ “ได้โปรดคลายมือของท่านก่อนเถิดขอรับ”

ลี่ถิงยื่นมือเล็กๆ ของตนเองเข้าประคองฝ่ามือที่กำแน่นจนคมเล็บกดฝ่ามือโลหิตซึมไหลด้วยความทะนุถนอม จูเกิงเฉินที่ละเลยรอบแผลเล็กน้อยมิได้รู้สึกรู้สาใดๆ หากแต่กลับชะงักสายตาไปกับท่าที่ที่ปฏิบัติต่อตนอย่างอ่อนโยนสม่ำเสมอมา ซื่อสัตย์ และไม่เคยหนีหน่ายอย่างลี่ถิง ครู่หนึ่งนัยน์ตาดุดันครวญคิดและตัดสินใจบางอย่างได้

ก่อนจะกล่าวต่อลี่ถิงออกไปว่า

“เจ้าอยู่กับข้ามีแต่ต้องทนทุกข์ และนับจากนี้เจ้าอาจต้องเดือดร้อนเพราะข้า ลี่ถิง.....เจ้าอยากจะเป็นอิสระจากข้าหรือไม่”

ถ้อยคำที่จูเกิงเฉินกล่าวออกมาราวกับอิสรภาพที่ยิ่งใหญ่ ทว่ากลับทำให้หัวใจลี่ถิงแทบสลาย พลันสายน้ำตาที่เอ่อรื้นขึ้นหล่นเผาะอย่างมิรู้เนื้อรู้ตัว

“แม้ท่านจะมิได้ใส่ใจ หากแต่ลี่ถิงก็ไม่ปรารถนาจะไปจากท่าน ชีวิตของลี่ถิงจะมีประโยชน์อันใดเล่าหากท่านมิต้องการแล้ว ฉะนั้นได้โปรดอย่าบอกให้ข้าไปจากท่านเลยนะขอรับ ต่อให้ข้าต้องกลายเป็นเพียงรากบัวเช่นก่อนเก่าแต่ข้าก็มีเพียงนายท่านเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียวเท่านั้น”

“เจ้าช่างโง่เขลานัก”แม้ถ้อยคำจะตำหนิหากแต่เป็นครั้งแรกที่มือหนาที่มิเคยเอื้อมหาผู้ใดวางลงบนศีรษะของลี่ถิง แม้จะเพียงแค่อึดใจก็นำความปลาบปลื้มใจให้อยู่ได้นับร้อยปีแกลี่ถิงแล้ว
“ข้ายอมโง่เขลา เพราะข้ามีท่านเพียงผู้เดียว”

“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่า หลังจากนี้จะเกิดสิ่งใดขึ้น”พลันดวงตาคมจ้องมองไปยังเบื้องหน้านัยน์ตาดุดัน “ครั้งนี้จะมิใช่เพียงการใช้กลหลอก ข้าจะเดิมพันทุกอย่างที่ข้ามีเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่แข็งแกร่ง นับแต่นี้จะไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธหรือดูหมิ่นข้าอีกต่อไป”

ลี่ถงรู้ดีว่าในใจของจูเกิงเฉินเต็มไปด้วยไฟแค้นที่มิอาจดับมอดลงได้ ถ้อยคำหักห้ามแม้ลี่ถิงปรารถนาจะกล่าวออกไป แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถหยุดยั้งความคิดนั้นได้ มีแต่จะผลักไสให้จูเกิงเฉินเดือดดาลยิ่งกว่าเก่า แม้ไม่ปรารถนาสงคราม แต่ในเมื่อลงเรือลำเดียวแล้วไยจะต้องหวาดกลัว

“เจ้าจำคำข้าไว้ให้ดีเถิดลี่ถิง จากนี้จะไม่มีผู้ใดกล้าเหิมเกริมต่อข้าอีก”ร่างสูงที่หมุนกายกลับเข้าด้านกล่าวออกไปด้วยใจเด็ดเดี่ยว

ตอนนี้ข้าไม่มีสิ่งใดที่ต้องเสียอีกแล้ว หากไม่แม้แต่จะก้าวออกจากหลุมดำมืด ข้าก็จะไม่มีวันได้รับชัยชนะ!

“นะนายท่าน รอลี่ถิงด้วยขอรับ”ขาเล็กยังคงก้าวตามหลังจูเกิงเฉินไม่ลดละ ตราบใดที่ยังไม่สลายหายไปก็จักจงรักภักดีไม่เปลี่ยนแปลง




สวรรค์

   ท่ามกลางเทพเซียนและเหล่าบรรดานางฟ้านางสวรรค์ รวมถึงผู้ปกครองชั้นสวรรค์อย่างอวี้หวงต้าตี้ที่ขึ้นนั่งบัลลังก์หยกขาวพิสุทธิ์บ่งบอกถึงอำนาจบารมีล้นฟ้าเหนือเทพเทวาทั้งปวงในที่แห่งนี้ เสียงแตรสวรรค์สิ้นเสียงลงบรรดาทวยเทพต่างค้อมกายให้ความเคารพผู้เป็นใหญ่กันพร้อมเพรียง บัดนี้ท้องพระโรงแห่งสวรรค์คลาคล่ำไปด้วยเทพเซียนหลากหลายชนชั้น

   การยืนเรียงแถวจึงจัดตามขั้นที่สำเร็จและตรงตามตำแหน่งในภพต่างๆ อย่างเคร่งครัด แน่นอนว่า 3 ใน 4 ที่รองลงมาจากชั้นฟ้าที่แยกเป็นพิภพแห่งหยิน พิภพแห่งหยาง และนรกภูมิ ผู้ครองพิภพเหล่านั้นอำนาจเสมอเหมือนเทพเซียนหากแต่สูงขึ้นด้วยตำแหน่งสำคัญจึงอยู่ลำดับแถวหน้าได้

   ครั้งนี้นับเป็นการประชุมเรื่องใหญ่ที่ไม่อาจรั้งรอเวลาให้เกิดเรื่องแล้วจึงร่วมแก้ ความมั่นคงของพิภพทั้ง 4 อาจเกิดการสั่นคลอนด้วยปีศาจที่หมายมาดเป็นมาร ที่ริอ่านสร้างความไม่สงบให้ในยามนี้ ผู้ที่จะกล่าวถึงคงไม่พ้นจูเกิงเฉิน หากจะทำเป็นเมินเฉยเพียงเพราะปีศาจชั้นต่ำที่สร้างความวุ่นวายนั้นก็นับคิดผิดมหันต์แล้ว

    ยามนี้โลกมนุษย์นั้นแสนปั่นป่วน การเรียกปีศาจนอกรีตที่ซ่อนเร้นกายอยู่ในโลกมนุษย์ให้รวมกันเป็นพรรคนั้นสร้างความตระหนกหวาดกลัวให้แก่ผู้คนนัก ปีศาจบางตนฮึกเหิมเข้าทำร้ายหวังดูดกลืนพลังของมนุษย์ให้ตนเองแข็งแกร่งก็มีมาก เดือดร้อนสะเทือนไปถึงนรกภูมิที่อายุวิญญาณไม่ถึงฆาตจำต้องเร่ร่อนเป็นจำนวนมาก ไม่อาจจับมาได้ตามกฎที่บัญญัติไว้นับหมื่นปี ปัญหาต่างๆ มากมายยิ่งตามมา หากวิญญาณเหล่านั้นแข็งกล้าก็อาจกลายเป็นเครื่องมือของพวกปีศาจได้อีกทาง

   แม้หลี่รั่วถงจักเข้าไปจัดการหากแต่ก็ไม่อาจถี่ถ้วนทั้งหมดได้ในคราเดียว อีกทั้งผู้คนยังกล่าวขานว่า ผู้คนที่ล้มตายเป็นฝีมือของพ่อมดร้ายที่ไม่พอใจในตัวฮ่องเต้จิ้นหวางองค์ปัจจุบันที่ไร้วาสนาในอำนาจบารมี หากทว่าจริงแท้แล้วต้นเหตุปัญหาอยู่ที่จิ้นหวางเอง หาได้เกี่ยวข้องกับผู้ใดไม่ เรื่องเลวร้ายมักเกิดขึ้นด้วยกลเกมทางการเมือง หยิบยกเรื่องราวต่างๆ เข้าผูกด้วยกันจนยุ่งเหยิง

   “ยามนี้นับว่าถึงคราที่ต้องกล่าวต่อพวกท่านอีกครั้งถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น พวกเจ้าทั้งสามคงรู้ดีใช่หรือไม่ หลี่รั่วถง ติงเจิ้งหวา หวางหรูอี้”

   “พ่ะย่ะค่ะ!”

   “เป็นความไม่เอาไหนของข้า ที่ไม่อาจยับยั้งความโอหังของจูเกิงเฉิน และปล่อยให้ช่วงชิงเสี้ยววิญญาณไปได้”ติงเจิ้งหวากล่าวเสียงหนักแน่น คุกเข่าต่อหน้าเทพเซียนทั้งปวงอย่างมิต้องให้ผู้ใดชี้เล็งโทษ

   “กระหม่อมก็ด้วย แม้จะมีตรวนสวรรค์อยู่ในมือก็ยังทำให้เกิดเรื่องเช่นนั้นได้”

   “หากจะโทษก็โทษข้าเถิด ที่ปล่อยให้จูเกิงเฉินหนีรอดไปได้ ข้าไร้ความสามารถจึงไม่อาจยังยั้งเรื่องเลวร้าย และปล่อยให้บานปลายเช่นนี้”

   “ใช่ว่าข้าจะไม่เห็นความผิดของพวกเจ้า อย่างไรก็ไม่พ้นต้องถูกลงโทษ หากแต่ยามนี้มิใช่เวลามารับผิด หนทางแก้ไขต่างหากที่พวกเจ้าควรจะร่วมคิด”สุรเสียงที่ก้องกังวานกล่าวต่อเจ้าพิภพทั้งสาม รวมไปถึงผู้ที่อยู่ร่วมรับฟังในท้องพระโรงแห่งนี้

   “เดิมทีจูเกิงเฉินเป็นเพียงปีศาจจิ้งจอกแต่เพราะอุตสาหะบำเพ็ญตนจนกล้าแกร่งในขั้นหนึ่ง อีกทั้งได้ดื่มกินไอปีศาจที่อ่อนแอกว่าจึงมีพลังมากมายได้ ครั้งก่อความวุ่นวายเมื่อพันปีก่อนก็ถูกกำราบไปคราหนึ่งแล้ว ทว่าครั้งนี้กลับฮึกเหิมปรารถนาอำนาจขึ้นมาอีกครา ทางเดียวที่จะตัดให้สิ้นปัญหานั่นคือการปลิดชีพเสียให้สิ้น”

   เทพแห่งนักรบที่ดูแลทวารของสวรรค์กล่าวขึ้น เหล่าผู้ที่เห็นด้วยต่างพยักหน้าพึงใจ บ้างก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างกันไป

   “กาลนี้เพื่อชดใช้ซึ่งความผิด ข้าจะเป็นผู้จัดการเรื่องทั้งหมดเสียเอง พวกท่านอย่าได้ร้อนใจ”

   “เจ้ากล่าวขึ้นมาเช่นนั้นรับผิดชอบไหวหรืออย่างไรหลี่รั่วถง”

   “ข้าจะร่วมด้วย อย่างไรเรื่องเหล่านี้ก็เป็นความรับผิดชอบของข้าเช่นกัน”ติงเจิ้งหวากล่าวขึ้นสบตามองอวี้หวงตาตี้อย่างไม่ขลาดกลัวในหน้าที่

   “ถึงอย่างไร ครั้งนี้ข้าก็ขอร่วมด้วย”เป็นหวางหรูอี้ที่ก้าวมาข้างหน้า เหลือบมองหลี่รั่วถงที่ไม่แสดงสีหน้าใดๆ หวางหรูอี้ทราบดีว่าสหายของตนมีอุปนิสัยเช่นไร หากเป็นครั้งก่อนเก่าเขาจะอาสานั่งนับศพผู้กล้าก็ยังคงทำได้ แต่ยามนี้หลี่รั่วถงแม้ภายนอกจักไม่สะทกสะท้านแม้แรงคชสารลากดึก แท้แล้วภายในนั้นกลับบอบช้ำเสียมากมาย สหายเช่นเขาจะดูดายได้อย่างไร

   “ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่ลำพังพวกเจ้าแน่ใจหรือว่าจะจัดการได้”ชายผู้มีเครายาวสีขาวมือหนึ่งยกขึ้นลูบเคราแสดงสีหน้าสงสัยเคลือบแคลงไปด้วยความไม่เชื่อใจ

“มิใช่ลำพัง ข้าก็จะร่วมด้วย”เทพเอ้อหลางเดินมาเบื้องหน้าวางทวนคู่กายแล้วคุกเข่าคำนับต่อหน้าอวี้หวงต้าตี้ “เรื่องความสงบมิใช่ต้องผลักภาระให้ผู้ใดคนใดคนหนึ่ง หากแต่ก็เป็นหน้าที่ที่ข้าเองก็มิอาจนิ่งนอนใจได้เช่นกัน พระองค์โปรดเห็นชอบด้วย”

   “ในเมื่อตัดสินใจกันเช่นนี้ ความหวังของข้าก็อยู่ที่พวกเจ้าแล้ว”

   ภายหลังจากการประชุมใหญ่ผู้คนต่างทยอยกลับออกไปบัดนี้ท้องพระโรงจึงเหลือเพียงอวี้หวงต้าตีและหลี่รั่วถงที่ยังคงอยู่ สิ้นหูตาเทพเซียนทั้งหลายเวลาอันเป็นส่วนตัวบรรยากาศไม่ชวนพิสมัยนัก
 
   “เจ้ามีสิ่งใดจะกล่าวต่อข้า”สายตาผู้ทรงอำนาจมองมายังผู้ที่รั้งท้าย อีกทั้งยังก้าวเดินลงจากบัลลังก์หยกมาหยุดยืนต่อหน้าหลี่รั่วถง กายทิพย์ที่เปล่งประกายเจิดจ้าคล้ายรัศมีผู้มีบุญบารมีหาผู้ใดเทียบ

   “พระองค์ทราบดีไยจึงถามข้าเช่นนั้น”

“ข้าจะรู้ดีไปกว่าจิตใจของเจ้าได้อย่างไรกัน แม้ข้าจะเป็นใหญ่ในที่แห่งนี้ ก็มิได้หมายถึงข้าจะล่วงรู้ไปถึงจิตใจของทุกผู้ทุกคนได้”โอษฐ์ที่แย้มยิ้มดูอิ่มเอิบ ดวงตาที่มองไปยังหลี่รั่วถงยังคงมีเมตตาอยู่มาก

“ข้าเพียงต้องการกล่าวไม่กี่ประโยค จำได้หรือไม่ที่พระองค์เคยให้สัญญาไว้กับข้า”

“ไยข้าจะลืมเลือน หากแต่เจ้าเพียงอดรนทนรอ ทุกอย่างล้วนเป็นวิบากกรรมของเจ้าและชะตาสวรรค์ เจ้าไม่อาจหลบหนีพ้นได้ ทั้งสองขับเคลื่อนคู่ขนานไปเบื้องหน้าหาได้ลิขิตตามแต่ใจได้ ทั้งข้าและเจ้าก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง”

“แม้พระองค์จะกล่าวเช่นนั้นแต่ผู้ใดเล่าที่ชักนำให้เซียวโม่โฉวต้องพบชะตากรรมที่โหดร้ายในโลกมนุษย์เช่นนั้น ข้าปรารถนาเพียงคนผู้นั้นสิ้นอายุขัยด้วยแก่ชรา คงดีกว่าพบพานเรื่องร้ายเช่นนั้น” น้ำเสียงทุ้มข่มโทสะกล่าวอย่างเป็นธรรม

   “เจ้าเป็นหนึ่งในจ้าวพิภพที่มีคุณงามความดีไม่น้อยต่อพิภพทั้ง 4 ไยข้าจะใจไม้ไส้ระกำเช่นนั้นได้”ผู้เป็นถึงประมุขสวรรค์เอื้อมพระหัตถ์เข้าแตะบ่าของหลี่รั่วหลงแย้มยิ้ม ตบเบาๆ ถึงสองครั้งก่อนจะเคลื่อนตัวออกไป ปล่อยให้จ้าวพิภพแห่งหยินยืนใคร่ครวญความคิดตนเองเพียงลำพัง

   แม้สวรรค์จะมีความลับมากมายมานับหมื่นๆ ปี ก็ยังไม่เท่าอวี้หวงต้าตี้ผู้นี้ หลี่รั่วถงเชื่อเช่นนั้น
   




พิภพแห่งหยิน

   สามบุรุษที่กลับมายังชั้นฟ้าข้ามผ่านประตูพิภพแห่งหยินก็พลันมีผู้ที่ยืนคอยต้อนรับทำเอาทั้งสามแปลกใจไม่น้อย อีกทั้งแววตากลมใสที่กะพริบมองผู้คนคล้ายระคนสงสัยประกอบกับใบหน้าหวานเกินบุรุษแล้วนับว่าชวนมองอยู่มากโข

   “เจ้ามายืนทำอะไรอยู่ที่นี่ ข้ามิได้บอกหรืออย่างไรว่าให้เจ้าเข้าบำเพ็ญตนในระหว่างที่ข้าไม่อยู่”

   “ข้าเพียงมารอรับท่าน เกรงว่าจะกลับมาในสภาพไม่สู้ดี”

   “เจ้าจะดุไปไย มีผู้ที่คอยห่วงใยไฉนเลยถึงต้องหน้าหงิก จริงหรือไม่”หวางหรูอี้หันไปสบตากับเซียวโม่โฉวที่ก้มศีรษะให้อย่างเห็นด้วย พร้อมกลอกดวงตากลมใสมองไปยังผู้ไม่คุ้นเคย

   “ท่านคงเป็นติงเจิ้งหวา ที่ช่วยเหลือไว้ครั้งก่อนต้องขอบคุณท่านมาก ให้ข้าได้คำนับของคุณท่าน.....”

   เซียวโม่โฉวเตรียมประสานมือ“ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต”ติงเจิ้งหวายกมือขึ้นห้าม

   “ไม่ใหญ่โตได้อย่างไร ท่านช่วยชีวิตข้า”

   “หากเช่นนั้น เพื่อเป็นการของคุณ เจ้าก็ช่วยไปรินสุราเตรียมหากับแกล้มให้พวกข้าได้หรือไม่”คล้ายปากพูดแต่ยังคงระแวดระวังสายตาคมที่มองมาให้ร้อนๆ หนาวๆ อยู่ดี

   “คนของข้าเป็นเด็กรินสุราให้เจ้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่” ไม่แคล้วคนเดือดร้อนแทนก็เข้าปกป้อง ซ้ำยังเข้ากุมท่อนแขนหักห้ามมิให้เจ้าของดวงตาคู่สวยเป็นเบี้ยล่างของสหายผู้มากเล่ห์อย่างหวางหรูอี้

   “ข้ายินดี ให้ข้าทำเถิดอย่างไรหลังจากนี้ข้าอาจไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ต้องการอีกแล้วก็เป็นได้”

   “ออดอ้อนเช่นนั้นเจ้าทำดีมาก”เสียงลอยจากปากหวางหรูอี้กล่าวชมเซียวโม่โฉว

   “ขะข้ามิได้ออดอ้อน ท่านเข้าใจผิดแล้ว”

   “จะว่าอย่างไรหากให้หน้าที่นั้นเป็นของผู้อื่นเสีย เจ้าก็ไปผ่อนคลายกับพวกข้าเป็นไร”เจ้าของเส้นผมสีแดงเพลิงเสนอทางเลือกก่อนเดินนำไปราวกับหลับตามองเห็นที่หมาย

   “ขะข้าจะนำทางให้”คนที่ถูกกุมแขนไว้บิดออกก่อนจะก้าวฉับตามติงเจิ้งหวาไป ทิ้งให้หลี่รั่วถงและสหายจอมทรยศยืนสบตากันนิ่ง มองดูท่าทางกระฉับกระเฉงที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งน่าเอ็นดูตามติงเจิ้งหวาไป ขาสั้นๆ พยายามก้าวให้เร็วไว แต่ก็สู้ช่วงก้าวของติงเจิ้งหวามิได้

   “มีสิ่งเจริญหูเจริญตาอยู่ในที่แห่งนี้ราวกับน้ำค้างชโลมใจจริงๆ ”หวางหรูอี้ทอดสายตามองยิ้มกริ่มก่อนหันไปหาสหายหน้านิ่งที่แอบมองของรักของหวงวิ่งตามชายอื่นไปนัยน์ตาขุ่นเคืองหากแต่แสร้งนิ่งสงบ

   “.....”

   “เห็นทีว่าการเลี้ยงดูที่เอาอกเอาใจของเจ้า จะเสริมส่งให้เซียวโม่โฉวดื่อแพ่งต่อเจ้าได้แล้ว ช่างน่ายินดีนัก”คนกล่าวกลั้วหัวเราะอย่างชอบใจ มองร่างบางที่เดินหายไปอย่างนึกขบขัน

   “ลิ้นของเจ้ายังจะเอาไว้ลิ้มรสสุราอีกหรือไม่”

   จู่ๆ กระบี่สีเงินวาวที่เหน็บไว้ภายในเสื้อคลุมสีดำตัวยาวก็ถูกดึงออกมาต้องแสงเสียส่วนหนึ่ง ความเงาวาวช่างเป็นประกายต้องตาหวางหรูอี้นัก

   “เจ้ามันเหี้ยมโหด ไยจะฆ่าฟันสหายของเจ้าได้ลงคอเพียงเพราะข้าพูดแทงใจดำเจ้าได้”หวางหรูอี้กลืนน้ำลายเสียอึกใหญ่หากแต่ปากก็ไม่ลดละ

   เขาชินเสียแล้วกลับความน่าหวาดกลัวในระยะประชิดเช่นนี้

   “จะลองหรือไม่!”สายตาคมตวัดมองสหายไร้ปรานี

   “พวกเจ้า! รอข้าด้วย!”คนถูกข่มขู่เบี่ยงความสนใจไปทางอื่นอยางกะล่อน หลี่รั่วถงได้เพียงแต่มองตามด้วยใบหน้าที่แม้ขุ่นเคืองอยู่ข้างใน แต่กลับแสดงออกมาราวกับว่าไร้ความรู้สึก

   ข้าหรือตามใจเซียวโม่โฉว? เพียงข้าไม่ตั้งกฎเกณฑ์ใดๆ ต่อเขาจะกล่าวว่าข้าหละหลวมไดอย่างไร ไม่ดื้อดึงไยต้องควบคุม







ติดตามตอนต่อไป >>>


ขอบคุณค่า  :กอด1: :pig4:

โดย หลานฮวา

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
หล่อจิงๆ ใจนี่หล่อม้วกกก

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สายสปอยยยยยยเก่งงงงง55555555 :hao7:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด