ผมโดนโกรธ(งอน)เรียบร้อยแล้วจากคนที่แม้แต่แขนยังไม่เคยได้จับ
น้องปลาวาฬเนื้อ(ท่าจะ)นุ่ม เมินไลน์ เมินเมสเซนเจอร์ เมินเมสเซจไอจี เมินแม้กระทั่งนัดตอนสี่โมงครึ่งหน้าป้ายรอรถสาธิตของเราในทุกเย็นวันจันทร์ถึงศุกร์ เลยเป็นอีกวันที่ผมต้องสตาร์ทเวฟร้อยออกจากป้ายเดิมด้วยเบาะท้ายว่างโล่ง ขาดสก๊อยเกงน้ำเงินซ้อนท้ายอย่างทุกที ขี่ผ่านไปก็มองตามรั้วโรงเรียนน้องไปจนสุดทางแต่ก็ไร้วี่แววคนงามผิวหยวกกางเกงคืบครึ่ง
ถ้าหากถามถึงสาเหตุ ผมเองก็ไม่ค่อยอยากเล่าสักเท่าไหร่ ใครจะอยากโชว์ความโง่และสันดานเสีย ๆ ของตัวเองบ้างล่ะครับ โธ่
ครืดด~
แรงสั่นสะเทือนจากในกระเป๋ากางเกงยืนเข้ารูปที่รู้สึกได้ภายในเสี้ยววิเพราะมันสั่นขึ้นมายันไข่ ผมกดไฟเลี้ยวซ้ายหักคอรถเพื่อจอดแล้วคว้าเอาโทรศัพท์มาเช็คทันที
จะใช่ตุ๊กตาหลังรถที่ยอมใจอ่อนตอบแชทแล้วรึเปล่าน้า
คริ~ คริ~แต่ทันทีที่หยิบออกมากดดูแล้วเห็นว่าเป็นแชทรัว ๆ จากพวกแก๊งมดแดงแฝงพวงมะม่วง(ไอ้เดือนคณะเป็นคนตั้ง) ผมแทบจะปาโทรศัพท์รุ่นห้าเอสที่ตกยุคไปนานแล้วลงพื้นคอนกรีต
ก็ไอ้พวกนี้แหละที่เป็นต้นตอการงอนมาราธอนของละอ่อนน้อยของผม (ละอ่อน=เด็ก)
เริ่มต้นจากวันเปิดเทอมปีสองวันแรก ผมเป็นคนจองที่นั่งที่ทำเลดีที่สุด(สำหรับการพักสายตา)ให้เดอะแก๊ง โดยปกติแล้วจะเป็นน้ำตาลที่มาเช้าที่สุด จริง ๆ คือมาก่อนเวลาสิบห้านาทีตามอารยะของปัญญาชน แต่วันนั้นกลายเป็นว่าทุกคนช็อคมากที่เห็นผมโผล่หน้ามาเซย์ไฮตั้งแต่แอร์ยังไม่เปิด
แน่นอนว่าผมโดนซักและขยี้จนพรุนยิ่งกว่าผ้าเปื้อนฝันเปียก ซึ่งผมก็ตอบไปตามความจริงว่าช่วงนี้มีหน้าที่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง นอกจากเวลาราชการจะเป็นนักศึกษาแล้ว เวลานอกราชการก็ยังเป็นแกร็บวาฬอีกด้วย
ผมเทียวรับเทียวส่งน้องหน้ามลคนกางเกงน้ำเงินจนเพื่อนเริ่มตะหงิดแล้วว่าไม่ใช่กิจธุระธรรมดา สายเสือกอย่างพวกมันไม่พลาดงานแบบนี้อยู่แล้ว(ยกเว้นน้ำตาล) หลังจากจับสังเกตได้เกือบอาทิตย์พวกมันก็พยายามจะขอดูโทรศัพท์ผม พอบ่ายเบี่ยงไปมาภายในเวลาสองนาทีเศษพวกมันก็บิดเอาห้าเอสจากมือผมไปจนได้ หลังจากทาบปุ่มแสกนลายนิ้วมือผมเรียบร้อยเสร็จสรรพพวกมันก็กดเข้าแอพยอดฮิตสีเขียวอย่างไม่รีรอ
‘ไอ้เหี้ยยยย เด็กไปมั้ยวะ’ ไอ้แคนที่จับนิ้วโป้งผมไปแสกนตาเหลือกปากค้างใส่หน้าจอคนเป็นคนแรก
‘ไหนเอามาดูดิ๊— เหยดเหม็ม คุกคุกคุก เพื่อนก้อง’ ส่วนไอ้เดือนคณะก็หลุดภาษาถิ่นตามมา
ผมชะโงกตามไปดูนิดหน่อยก็เห็นว่าพวกมันกดเข้าไปดูโปรไฟล์ในไลน์น้อง รูปก็ช่างล่อเสือล่อตะเข้ แต่ยังไงก็ยังมองออกว่ายังดูเด็กมากอยู่ดี
ตอนผมเห็นรูปดิสไลน์น้อง(ที่ขอผ่านเฟซซึ่งขอมาจากAsk.fmอีกที) ผมเองก็ตกใจอยู่เหมือนกัน ถึงเจ้าตัวจะเคยบอกว่าไลน์ของเครื่องนี้ไม่ได้แอดป๊ากับมี้ไว้ก็เถอะ แต่ผมว่าจะใช้คุยกับใครก็ยังดูล่อแหลมไปอยู่ดีอะ
หรือน้องจะสมัครมาเพื่อการนี้?
เอาเป็นว่าประโยคท้ายสุดนี่อย่าไปบอกน้องเลยนะครับ ผมแก้ไขปัญหาได้ทีละอย่าง ยังไม่อยากหาบ่วงมาคล้องคอเพิ่ม ช่วย ๆ กันหน่อยเหอะ
เดอะแก๊งต่างสาปแช่งปนขู่ผมด้วยกฎหมายมั่ว ๆ ที่พวกมันพอจะนึกออกใส่ผมอย่างไม่ยั้งปาก แน่นอนว่ายกเว้นน้ำตาลที่กำลังนั่งอ่านเนื้อหาซึ่งอาจารย์จะมาสอนในคาบที่จะถึง ส่วนผมก็พยายามบ่ายเบี่ยงไปว่าเอ็นดูน้องมันเฉย ๆ ไม่ได้คิดชั่วร้ายอะไร พวกมันไม่เชื่อและไม่มีทางเชื่อเพราะก็รู้กันอยู่แล้วว่าผมชอบผู้ชาย โดยที่เรื่องนี้ก็ยังคงมีแค่น้ำตาลที่ไม่รู้อะไรเลยเหมือนเดิม(เลิกเจ็บกับมันแล้วครับ อยู่ดี ๆ ก็หายเฉยเลยแต่ยังเอ็นดูน้ำตาลว่าน่ารักน่ามันเขี้ยวไม่เปลี่ยนนะ)
ความจริงแล้วประเด็นนี้มันน่าจะจบไปตั้งแต่วันนั้น ชั่วโมงนั้น และโมเมนต์นั้นแล้วใช่ไหมครับ ถ้าเป็นอย่างที่ว่าปัญหาคงจะไม่เกิดแน่ แต่ไอ้พวกชอบแหย่มันดันลามไปคุยขุดคุ้ยประเด็นชีวิตแกร็บวาฬของผมในไลน์กลุ่มกันอีกไม่หยุดหย่อน ผมก็คอยพิมพ์ปฏิเสธไปบ้าง บางทีก็ปล่อย ๆ ไปเพราะรำคาญประโยคล้อเดิม ๆ ไม่สร้างสรรค์
XXX:
กินเด็กเป็นอมตะ แต่อาจได้ไปใช้ชีวิตอมตะในคุก แคนไม่บวย:
สัด555555555555555555แคนไม่บวย:
อันนี้เหี้ยจริงKINGkong:
*อิโมจินิ้วกลาง*--- read by ตาล ---
บางทีก็เป็นประโยคคำถามโลกแตกไม่แพ้ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน
แคนไม่บวย:
มีเมียเด็กมึงคุยกันรู้เรื่องเหรอวะแคนไม่บวย:
กูคุยรุ่นเดียวกันบางทียังไม่รู้เรื่องเลยXXX:
ก็มึงนั่งคุยอะ แคนไม่บวย:
ห๊ะ?XXX:
เป็นแฟนกันใครเขานั่งคุยล่ะเว้ย เขานอนคุยกันเดะะะะKINGkong:
คxย55555555555555KINGkong:
เด็กน้อยมั้ยล่ะ กูไม่เอาหรอกKINGkong:
เอ็นดูน้องมันเฉย ๆ--- read by ตาล ---
อ่านแชทจบแล้วหัวร้อนไหมครับ? อาจจะมีคนที่ทั้งโกรธแล้วก็เฉย ๆ แต่ตอนน้องปลาวาฬเห็นแชทนี้เป็นตอนที่ผมกำลังแชทกับเพื่อนค้างไว้แล้วดันมีรถมาเฉี่ยวป้ายทะเบียนเวฟร้อยร่วงลงพื้นดังแป๊ง~ ผมรีบไปดูรถเลยวางโทรศัพท์ไว้ทั้งที่ไม่กดล็อค น้องคงจะเห็นในแชทเพราะพวกมันยังรัวข้อความมาเรื่อย ๆ ตอนผมกลับไปหาน้องทั้งไม่โกรธโวยวายแล้วก็ไม่เฉยเมยอะไร น้องนั่งกินข้าวที่แม่ค้าเอามาเสิร์ฟจนหมด เสร็จจากนั้นผมก็ไปส่งน้องที่หอปกติ แต่หลังจากนาทีที่น้องลงรถไปน้องก็ไม่หันกลับมาอีกเลย
ไม่ตอบแชท ไม่รับสาย ไม่รอให้ไปรับที่โรงเรียน
หายแบบ หาย
ให้อารมณ์เหมือนผมโคตรไม่มีตัวตน ถ้าน้องโกรธอย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าน้องยังแคร์เราที่ทำอะไรแย่ ๆ แบบนั้นลงไปและโกรธสามารถเยียวยาด้วยการทำให้หายโกรธคือง้อกับขอโทษ ถ้าน้องเฉยก็อาจจะแปลบที่ใจนิด ๆ เพราะหมายความว่าน้องก็ไม่ได้อยากได้ผมเหมือนกันแต่ก็อยู่ในสถานะที่พัฒนากันต่อไปได้อยู่ แต่น้องดันไม่เป็นทั้งสองชอยส์นี้น่ะสิ…
คิดว่าปัญหานี้ไม่ใช่ผมคนเดียวที่มองเห็น พวกเพื่อนในแก๊งก็เริ่มเยบ ๆ ถามบ้างว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่าเพราะผมคิดดูเครียดมาก ผมกังวลเรื่องน้องจริง ๆ คิดตลอดเวลา ไม่อยากให้เรามาพังกันแบบนี้ ถึงครั้งแรกที่เจอกันจะแค่ประทับใจมุมหนึ่งของน้องที่เห็นในวันนั้น แต่นานวันเข้าก็เริ่มจะไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้นจนกลายเป็นทุกวัน กลายเป็นมือว่างไม่ได้จะต้องกดเข้าไลน์ พอมาหายไปแบบนี้มันก็แย่น่ะสิครับ
พอทรมานตัวเองจนเรียนรู้อะไรบางอย่างได้แล้วผมก็เลือกที่จะก้าวเข้าหาโลกความรักแบบเต็มตัวจริง ๆ สักที
เริ่มต้นจากกลับเข้าไปอยู่ในวงจรของน้องให้ได้ก่อน แผนแรกคือบุกเข้าไปในโรงเรียนแต่ทำไม่ได้เพราะอาจโดนจับตั้งแต่ยังไม่ทันได้ล่อลวงเยาวชน แผนที่สองคือบุกเข้าไปในหอน้องแต่คิดว่าน่าจะโดนข้อหารุนแรงกว่าแผนแรก เพราะฉะนั้นตัดทิ้งไป จนมาถึงแผนที่คิดว่าเจ๋งที่สุดในตอนนี้คือบุกเข้าไปหาน้องในร้านกาแฟที่น้องมาติวหนังสือกับเด็กในมอ อันนี้ไม่น่าโดนจับ อาจจะโดนกาแฟสาดหน้ามั้งแต่ยอมรับได้ถ้าไม่ร้อน
‘...จากค่าที่โจทย์ให้มา เราลองมองดี ๆ นะ มันจะเข้ากับสูตรของ--’ ผมเดินเข้าไปหาน้องที่นั่งหันหลังให้และกำลังฟังที่ติวเตอร์กำลังอธิบายโจทย์เลขอยู่
‘ปลาวาฬครับ พี่--’
‘ใช้สูตรอะไรนะครับพี่’ โดนเมินแบบที่มองจากร้อยเมตรยังรู้อะครับ
แต่อย่างน้อยน้องก็ไม่ได้ลุกหนีหรือสาดน้ำอะไรสักอย่างที่อยู่บนโต๊ะใส่หน้าผมก็เลยนั่งโต๊ะข้าง ๆ รอน้องเรียนไปนั่งสัปหงกไป จนพนักงานมาจี้ให้ซื้อน้ำก็สั่งชาเขียวมาผลาญเงินเล่น ๆ หนึ่งแก้ว จะสั่งกาแฟก็กินไม่ได้น่ะครับ มือสั่น ยังคิดอยู่เลยว่าช่วงโหมงานกับไฟนอลหนัก ๆ จะทำไงให้รอด
ผมรอน้องมาเรื่อยจนวันนี้เข้าอาทิตย์ที่สามแล้ว กลายเป็นคนขยันเรียนเพิ่มในแก๊งขึ้นมาเพราะหอบเอางานและหนังสือมาอ่านร้านกาแฟแทบทุกเย็นโดยเฉพาะเสาร์อาทิตย์ พนักงานหน้าเดิมไม่เดินเข้ามาบังคับสั่งเมนูอย่างทุกทีเพราะวันนี้ผมเดินไปสั่งเองแถมยังลองซื้อกาแฟมากินเป็นวันแรกในรอบหลายปีอีกด้วย
เริ่มเบื่อชาเขียวแล้วครับ กลับไปเข้าห้องน้ำคืออึเขียวไปหมด กลัวตัวเองแล้ว
เจ้าปลาวาฬมานั่งเรียนอย่างปกติ นั่งที่เดิมหันหลังให้ผมแต่ผมก็สามารถนั่งเยื้อง ๆ ตัวแอบมองด้านข้างน้องจนได้นั่นแหละ
อย่าเรียกว่าสตอล์กเกอร์เลยครับ เรียกว่ามาง้อว่าที่แฟน(อีกสองปีข้างหน้า)จะดีกว่า
วันนี้ปลาวาฬขยับตัวยุกยิกมากกว่าทุกวันไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน อาจจะเพราะเรียนมาจากที่โรงเรียนจนล้าแล้วก็เป็นได้ ผมยังรู้สึกเหนื่อย ๆ เลยเรียนแค่ไม่กี่ตัวเองแถมวันนี้ยังเลิกเรียนเร็วกว่าน้องอีกต่างหาก
ปัง!เจ้าปลาวาฬทุบโต๊ะตรงหน้าตัวเองไม่เบาไปแต่ก็ไม่ดังลั่นร้าน น้องลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหมุนตัวเดินมาทาง-- โต๊ะผมด้วยสีหน้าบึ้งตึงปนโมโห ดูไปก็คล้ายปลาโลมาด้วยเหมือนกัน เจ้าตัวดีมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผมทั้งยังย่นคิ้วปากก็ยู่น้อย ๆ
‘ใครให้กินกาแฟ ทิ้งไปเลย!’ น้องดุด้วยระดับเสียงปกติ โต๊ะรอบ ๆ อาจได้ยินบ้างถ้าไม่ใส่หูฟัง
‘พี่กินแค่แก้ว--’
‘อยากช็อคตายเหรอ! เอามานี่เลย’ ว่าที่แฟนฉวยแก้วกาแฟพลาสติกไปโยนใส่ถังขยะอย่างไม่ใยดี
เจ้าเด็กเดินไปคุยอะไรก็ไม่รู้กับติวเตอร์ตัวเองก่อนจะเก็บข้าวของใส่กระเป๋าแล้วเดินกลับมาหยุดที่โต๊ะผมอีกรอบ คนดื้อที่ยืนเขาหัวผมอยู่ไม่พูดจาอะไรอีกนอกจากทำท่าทางเป็นสัญญาณให้เก็บของออกไปจากร้าน
ยังไงก็ตามนะ… ขอบคุณอเมริกาโน่เย็นแก้วนั้นจริง ๆ เสี่ยงหัวใจวายหน่อยแต่ก็โอเคเพราะผมแอคติ้งเก่งมาก ดูดแล้วคายใส่แก้วน้ำเปล่าเท่านั้นคือคำตอบ
เย็นวันนั้นผมไปส่งน้องที่หออย่างที่เคยส่งก่อนหน้าปกติ แต่เพราะว่าเราต่างรู้ดีว่าความสัมพันธ์มันร่อแร่เต็มทนเจ้าของห้องเลยตัดสินใจชวนผมเข้าไปคุยกันให้รู้เรื่องข้างบน
ปลาวาฬโยนข้าวของลงบนเตียงแบบขอไปที ดึงชายเสื้อออก ถอดเข็มขัดแต่ไม่ถอดถุงเท้าทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงเดี่ยวของตัวเองพร้อมกับกดดันให้แขกพูดธุระให้จบ ๆ ไปเสียที
‘ปลาวาฬ...เห็นไลน์กลุ่มเพื่อนพี่ใช่มั้ยครับ’ น้องพยักหน้าทั้งยังกอดอกอยู่
‘พี่ขอโทษที่พิมพ์ไปแบบนั้น แต่ตอนนี้พี่รู้แล้วว่าพี่อยากเป็นมากกว่าพี่น้องกับปลาวาฬจริง ๆ ’
‘…’
‘แล้วที่พี่พิมพ์ไปแบบนั้นส่วนหนึ่งก็เพราะพี่รู้สึกผิดถ้าจะคบกับเรา ปลาวาฬยังเป็นเยาวชนอยู่รู้ตัวใช่เปล่า’
‘...’
เมื่อเห็นว่าน้องไม่ได้มีท่าทีห่างเหินเหมือนก่อนหน้าแล้วผมจึงเดินเข้าไปนั่งข้างเจ้าเด็ก น้องไม่ได้มองหน้าผมแต่เหมือนกำลังล่องลอยอยู่กับความคิดของตัวเอง
‘ขอบคุณที่ขอโทษ’สุดท้ายน้องก็เปล่งเสียงเครือออกมาพร้อมกับตาแดงเคล้าน้ำสีใสอยู่เต็มหน่วย ผมเผลอปลอบน้องด้วยการถึงเนื้อถึงตัวจนได้ แม้จะรู้สึกผิดแต่ก็ยังกอดปลอบเจ้าเด็กอยู่อย่างนั้นจนน้องหลุดพูดออกมาอีกประโยค
‘ไม่ชอบที่พวกพี่ทำเหมือนน้องปลาวาฬเป็นตัวน่ารังเกียจ’โธ่….
น้องคงคิดไปว่าการที่ไอ้พวกนั้นมันแซวล้อเลียนแนวสิบแปดบวกเป็นการดูถูกตัวน้องสินะ ..หรือจริง ๆ แล้วมันก็แสดงให้เห็นถึงสิ่งนั้นด้วยเหมือนกัน
‘จะไม่ทำอีก’ ผมกระซิบชิดใบหูคนที่กำลังร้องไห้พร้อมกับลูบปลอบ
เป็นไปไม่ได้ที่จะกลับไปแก้ไขอดีต แต่วันนั้นผมได้เรียนรู้เพิ่มอีกหลายอย่างเกี่ยวกับโลกความรักที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ไม่ตรงตามความรู้สึกข้างในทั้งหมด มันซับซ้อน ไม่ได้มีแต่ความสุขแต่ก็ไม่ได้เต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความทุกข์
ง่าย ๆ ก็คือผมตกหลุมรักอีกครั้งแล้ว..สินะ
หน้าฝนวนมาอีกรอบแล้ว ผมอยู่ในช่วงปิดเทอมใหญ่และกลับมาหาพ่อกับแม่ที่กรุงเทพแต่ก็ยังคิดถึงคนเหนืออยู่เสมอ
ปลาวาฬเพิ่งเปิดเทอมม.ห้าไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ตอนผมกำลังสอบไฟนอลน้องก็กลับน่านไปหาป๊ากับมี้บ้างเหมือนกันซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อชีวิตเกรดของผม ถ้าน้องยังอยู่ผมคงไม่มีสมาธิพอจะจดจ่อกับหนังสือ
หนึ่งปีที่ผ่านมามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง ที่สำคัญที่สุดอย่างแรกก็คือสถานะของพวกเรา ผมไม่ใช่แกร็บวาฬอย่างเดียวแล้วแต่ยังเป็นว่าที่แฟนอีกด้วย เจ้าเด็กอายุสิบแปดเมื่อไหร่ผมคิดว่าคงได้ใช้สิทธิ์ขอเลื่อนขั้นทันที!
เหล็กดัดฟันในปากของปลาวาฬก็กำลังจะเปลี่ยนไปเป็นรีเทนเนอร์เช่นเดียวกัน ตอนเพิ่งรู้จักกันใหม่ ๆ ผมเคยถามเรื่องนี้และได้คำตอบเชิงว่าดัดเพราะจะได้น่ารักขึ้นเหมือนเพื่อนคนนู้นคนนี้ที่ดัด ได้ยินอย่างนั้นผมก็อยากตีเจ้าเด็กสักทีแต่ติดที่ไม่ใช่ธุรกงการของผมแถมยังไม่ใช่ตังค์ผมอีก
พูดถึงเรื่องความน่ารัก เมื่อตอนปลายเทอมม.สี่ของปลาวาฬผมมีโอกาสได้ขึ้นไปบนห้องน้องบ่อยขึ้นก็เลยบังเอิญเห็นเครื่องสำอางของเจ้าเด็กหลายอย่างอยู่เหมือนกัน
เท่าที่หยิบมาดูก็...
แป้งฝุ่นตลับ
ลิปสติก
รองพื้น
ดินสอเขียนคิ้ว
บลัชออน...ที่ทึ่งที่สุดคงจะเป็น
ครีมกำจัดขนเครื่องสำอางพวกนั้นผมยืนอ่านฉลากไล่ทีละอย่างได้สบาย ๆ เวลาน้องอาบน้ำเพราะนานมาก สำหรับผมก่อนแต่งกับหลังแต่งปลาวาฬก็เหมือนเดิมนะไม่ได้เปลี่ยนไปอะไร แต่ก็ตกใจที่น้องต้องใช้ของเยอะขนาดนี้เหมือนกัน ส่วนเรื่องกำจัดขนนั่น..
ทำมาแล้วเนียนลูบลื่นมือดี ไม่ว่ากัน วิน-วินทั้งคู่
ผมคิดว่าปลาวาฬไม่รู้เรื่องที่ผมซอกแซกกับเครื่องสำอางเขาเท่าไหร่จนวันหนึ่งน้องบังเอิญเจอเพื่อนผู้ชายแต่งกายสาวตอนที่เราไปถนนคนเดินกัน น้องแนะนำเพื่อนให้ผมรู้จักอย่างปกติ เพื่อน ๆ วี้ดว้ายเสียงดังหน่อยแต่ก็น่ารักตามประสาเด็กไม่มีอะไรน่าห่วง แต่หลังจากวันนั้นมาน้องกลับเริ่มซ่อนเครื่องสำอางที่ผมเคยเห็นตามลิ้นชักจนผมไม่เห็นพวกมันอีก
ปลาวาฬเปลี่ยนจากเดิมที่น้องจะไปนั่งคุยกับเพื่อนรอผมมารับที่โรงเรียนเป็นมานั่งรอผมที่ป้ายหน้าถนนแทน
ผมก็คิดจะลองพูดกับน้องเรื่องนี้แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดสักทีเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรจนวันหนึ่งที่น้องมีงานเลี้ยงหลังสอบเสร็จตามประสาเด็กมัธยม วันนั้นน้องใส่เสื้อแขนยาวพื้น ๆ กับกางเกงไม่สั้นไม่ยาวให้ผมไปส่งที่หน้าบ้านเพื่อนไม่ไกลจากโรงเรียนนัก ผมก็เตือนให้น้องดูแลตัวเองปกติไม่ได้เข้มงวดอะไรเพราะรู้ว่าคงมีนอกลู่นอกทางบ้างแต่อย่างน้อยก็เป็นในบ้านแถมยังมีผู้ใหญ่อยู่ ผมส่งเจ้าเด็กเสร็จก็กะว่าจะกลับไปปั่นงานต่อเพราะเป็นช่วงใกล้จะไฟนอล งานมันสุมเยอะไปหมด แต่ผมดันลืมโทรศัพท์ไว้กับน้องก็เลยต้องขี่เวฟร้อยกลับไปเอาอีกรอบ
ผมกดกริ่งแล้วยืนรออยู่ไม่นานนักก็มีแก๊งเด็กผู้หญิงออกมาเปิดประตูให้
‘มาสายนะพวกมึงงง--’ น้องผู้หญิงที่ว่าเสียงทุ้มไปหน่อยแต่แต่งหน้าสวยสุดเปิดประตูให้ผมพร้อมกับทักทายเพราะน่าจะคิดว่าเป็นเพื่อนที่จะมาแจมด้วย
‘พี่...’
‘เวรแล้วอีปลา’ น้องอีกคนพูดเสียงค่อยหน่อยเพราะดนตรีในบ้านกลบไปเกือบหมดแต่ผมก็พอได้ยิน
ส่วนน้องผู้หญิงตัวเล็กผิวขาวที่ยืนอยู่หลังสุดไม่ยอมพูดอะไร ไม่สิ นั่นปลาวาฬนี่ ผมยิ้มให้เจ้าเด็กที่หน้าซีดไปถนัดตาทั้งที่แต่งหน้าสวยกว่าทุกวัน ผมลอนโค้งหวานๆ แบบนี้เหมาะกับจอมดื้ออย่างน่าประหลาด
‘น-น้องปลาวาฬแค่..’
‘พี่มาเอาโทรศัพท์ ไม่ได้มาพากลับ เดี๋ยวตามเวลาจะมารับไง’ ผมชิงพูดทันทีที่เห็นว่าน้องทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมา
ปลาวาฬยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นจนผมเดินเข้าไปแบมือรอรับโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าคนที่ใส่ส้นสูงแล้วก็ยังสูงไม่เท่าผมอยู่ดี
น้องเดินกลับเข้าไปเอาโทรศัพท์มาให้ผม ส่วนเพื่อนสาวคนอื่น ๆ หน้าเจื่อนกันไปหมดแล้ว ผมพูดเชิงให้ทุกคนกลับเข้าไปสนุกกันต่อ น้อง ๆ เลยโบกมือลาอย่างเหนียมอายแต่ก็ยอมเข้าไปแต่โดยดี
ปลาวาฬกลับมาพร้อมโทรศัพท์ในมือ น้องยื่นให้ผมแล้วค่อยพูดอย่างตะกุกตะกักต่อหน้าผม
‘นี่ ค-คือว่า.. ปลาวาฬแค่..’ ‘เข้าไปสนุกกับเพื่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน’ ผมวางมือบนหัวคนสวยพลางโยกไปด้วย หวังว่าน้องจะเข้าใจได้ว่าผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีแค่ไม่อยากอยู่ทำลายบรรยากาศเด็ก ๆ เท่านั้น
หลังจากที่ผมไปรับน้องกลับมาส่งที่ห้องเราก็นั่งอยู่บนเตียงเดียวกันท่ามกลางความเงียบมาได้สักพักแล้ว ผมไม่รู้ว่าควรจะเริ่มยังไงดี
จนในที่สุดน้องก็เป็นคนเปิดปากก่อน
‘ฟังนะ ปลาวาฬแค่แต่งเล่น ๆ กับเพื่อน มันเป็นเอ่อ-- ธีมงานอะ’ พูดจบน้องก็ยังนั่งกุมมืออยู่อย่างนั้น
‘งั้นฟังพี่บ้าง’ ผมสูดหายใจเข้าแล้วผ่อนออก จับตัวน้องหันหน้าเข้าหาผมก่อนจะเริ่มพูด
‘พี่รู้ทั้งหมดเรื่องที่ปลาวาฬชอบใช้เครื่องสำอาง ชอบแต่งหน้า แล้วก็ใช้ครีมกำจัดขน’ น้องหลบสายตาต่ำลงกว่าเดิมเมื่อพูดถึงครีมกำจัดขน
‘พี่รู้มาตั้งนานแล้ว’ น้องเหมือนจะมุดลงไปใต้เตียงให้รู้แล้วรู้รอด ผมเอ็นดูท่าทางนั้นมากจนต้องช้อนแก้มน้องขึ้นมามองกันชัด ๆ
‘ต่อไปนี้ไม่ต้องซ่อนเครื่องสำอางแล้วเข้าใจมั้ยครับ’ เจ้าเด็กหลบตาไปมาแต่สุดท้ายก็พยักหน้า
‘ต-แต่ว่า ปกติน้องปลาวาฬก็ไม่แต่งหน้าเยอะแบบนี้ไง’ น้องพยายามจะซุกใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางชัดเจนหนีจากมือผม
‘ปกติไม่ใส่วิก ไม่ส้นสูงนะ นี่แค่ธีม!’‘แล้วถ้าโตขึ้นกว่านี้จะแต่งแบบนี้ตลอดมั้ย จะมี…’ ผมเคลื่อนมือลงไปที่ยอดอกสองข้างของน้องที่มีเสื้อบาง ๆ สไตล์ผู้หญิงคลุมอยู่
‘..มีตรงนี้ด้วยมั้ย’
‘ไม่!’ เจ้าเด็กส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรุนแรง
‘ไม่ได้อยากเป็นผู้หญิงนะ น้องปลาวาฬแค่แต่งเล่น!’ผมพยักหน้าเข้าใจ นิ้วโป้งสองข้างปาดเขี่ยที่ยอดอกพร้อมกันพลางบอก
‘รองพื้นมันเลอะตรงนี้น่ะ’เจ้าเด็กตัวกระตุกหน้าแดงก่ำ ก้มหน้าจนจะชิดอกได้
ไม่นานหลังจากสติเริ่มกลับมาผมก็ไล่น้องไปเปลี่ยนชุดอาบน้ำนอนอต่น้องก็เห็นว่าดึกมากแล้วเลยชวนนอนที่นี่ คืนนั้นก็เลยกลายเป็นคืนที่ผมนอนไม่หลับอีกคืน..
กลับมาที่ปลาวาฬเวอร์ชั่นม.ห้าท่ามกลางสายฝนอีกครั้ง เจ้าเด็กไม่อายเวลาประทินโฉมตัวเองอีกแล้ว แถมยังละเลงครีมบำรุงบนหน้าผมบ่อย ๆ ยามไม่มีอะไรทำ
ผมกลับมาเริ่มต้นเทอมหนึ่งปีสามด้วยหน้าฝนอย่างทุกปี วันแรกที่เปิดเทอมก็ประเดิมด้วยฝนห่าใหญ่ตั้งแต่เช้าที่ไปส่งเจ้าเด็ก ปลาวาฬต้องกลับไปตั้งหลักที่หอใหม่อีกรอบแล้วออกมาด้วยชุดพร้อมรบก็คือสวมเสื้อคลุมกันฝนแน่นหนา อีกมือก็ถือร่มคันใหญ่ ส่วนผมยังอยู่ในชุดนอนเปื่อย ๆ เพราะมีเรียนเก้าโมงครึ่งโน่น
อาทิตย์แรกผ่านไปได้อย่างทุลักทุเลพอควร อาทิตย์ต่อมาเริ่มมีภูมิคุ้มกันจากวันแรกแล้วก็ผ่านไปด้วยดีไม่ลำบากมาก จนมาวันที่ฝนไม่ตกแต่เมื่อวานตกหนักจนน้ำขังเต็มถนน สก๊อยกางเกงน้ำเงินโดนรถยนต์ปาดน้ำขังใส่จนเปียกไปทั้งตัว ตอนแรกก็ขำอยู่หรอกแต่ก็ทั้งหงุดหงิดปนโกรธแถมยังสงสารน้องอีก กลายเป็นว่าวันนั้นน้องต้องหยุดเรียนเพราะชุดที่มีเป็นตัวสุดท้ายแล้ว ตัวอื่นตากแดดไม่แห้งเพราะมันไม่มีแดด
ผมเลิกเรียนกลับมาถึงห้องประมาณบ่ายสามก็เห็นน้องนั่งซักเสื้อผ้าที่แช่ไว้แต่เช้าอยู่ในห้องน้ำ(ให้น้องมาอยู่ที่ห้องวันนี้เพราะที่ห้องน้องไม่มีที่ตากผ้าแล้ว ราวเต็ม) เจ้าเด็กยังดูซึม ๆ อยู่ในที คาดว่าคงจะหงุดหงิดหลาย ๆ อย่างรวมกัน
วันต่อมาเหมือนเป็นวันเหี้ย ๆ อีกวันที่ผมคงจะลืมไม่ลง เริ่มจากการที่ผมกับน้องเตรียมตัวอย่างดีในตอนเช้ากลัวว่าฝนจะตกแต่มันไม่ตก ก็โล่งใจไปช่วงเช้าไม่มีการผจญภัยอะไรขึ้นแม้จะเหนื่อยเตรียมการแต่เช้าก็เถอะ พอตอนเย็นที่ไปรับน้องกลับบ้าน เห็นว่าแดดแรงขนาดนั้นฝนคงไม่ตกแน่ พอสก๊อยเกงน้ำเงินขึ้นคร่อมได้สักพักฝนเม็ดใหญ่สาดลงมาไม่ยั้งจนแสบหน้าไปหมด ที่เหี้ยไปกว่านั้นก็คือเวฟร้อยดันมาส่งเสียงแค่ก ๆ ท่ามกลางสายฝน ผมพยายามประคองมันไปจอดข้างทางแล้วเช็คดูทั้งที่ฝนยังตกอยู่อย่างนั้น แต่ไล่ให้เจ้าเด็กไปหลบใต้ป้ายรอรถใกล้ ๆ ตั้งแต่จอดแล้ว เจ้าเด็กกลับดื้อด้านไม่ยอมไป
‘ปลาวาฬ ไปหลบฝน!’
‘ตัวเองก็ไปด้วยสิ’
‘ไป! หลบ! ฝน!’
‘ซ่อมไปมันก็ไม่ติดหรอก’
‘ปลาวาฬ!’
‘แล้วตัวเองตากฝนจะไม่เป็นไข้บ้างหรือไงล่ะ!!!’
‘อย่ามาขึ้นเสียงใส่พี่นะ!’ หลังจากประโยคนั้นเจ้าเด็กก็หันหลังแล้ววิ่งเข้าไปหลบฝนตรงป้ายด้วยน้ำตานองหน้าที่อาจจะแยกออกยากหน่อยเพราะน้ำฝน
คนที่อยู่ใต้ชายคานั้นมองเราทั้งคู่กันเป็นตาเดียว
สุดท้ายแล้วไอ้เวฟร้อยเพื่อนยากของผมมันก็ไม่ติด ผมจูงมันไปใกล้ ๆ กับป้ายรถ เดินไปหลบฝนข้างปลาวาฬที่ยังคงสอื้นอยู่ ไม่กล้าปลอบเพราะน้องเมินผมอีกแล้ว ทำเหมือนไม่เห็นกันเลยด้วยซ้ำ
จนขึ้นมาบนห้องของน้อง เจ้าเด็กก็ยังไม่หายโกรธ เดินไปทิ้งตัวลงบนเตียงทั้งที่ยังตัวเปียกโชก
‘ปลาวาฬ ลุกไปอาบน้ำก่อน’
‘…’
‘ปลาวาฬ โกรธพี่ได้นะ แต่อย่าไม่รักตัวเองแบบนี้ ไปอาบน้ำครับ’
เจ้าเด็กลุกขึ้นยืนพรวดพราดแล้วเดินตึงตังเข้าห้องน้ำไป คาดว่าห้องข้างล่างก็น่าจะได้ยินเสียงเท้าเจ้าเด็กดื้อ
ผมเร่งถอดเสื้อออกมาบิดแล้วเอาไปตากไว้ข้างนอก กางเกงยีนส์หนักสุด ๆ ตอนนี้ มองเห็นผ้าขนหนูน้องพาดอยู่แถวตู้เลยหยิบมาพันเอวถอดกางเกงไปบิดตากไว้ก่อนตัวเองจะเป็นปอดบวม
เจ้าเด็กออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่ผมตัวเริ่มแห้งแล้ว ตาน้องยังแดงอยู่บ้างจมูกก็แดงปากก็แดงไปหมด เวลาร้องไห้ปลาวาฬจะชอบกัดปากตัวเองไปด้วยไม่รู้ทำไม
จนผมอาบน้ำเสร็แล้วผมน้องก็ยังไม่แห้ง ปลาวาฬนั่งหันหลังให้ห้องน้ำก้มหน้ากดโทรศัพท์อยู่อย่างนั้นจนผมที่แต่งแตัวด้วยชุดที่เอาทิ้งไว้ที่นี่บ้างหยิบไดร์มาเป่าให้
ดีที่ไม่ขยับหนี
‘พี่ขอโทษที่พูดแบบนั้นนะ’ ผมก้มลงจูบหลังคอน้องหลังจากเป่าผมให้จนแห้ง
ผมรู้สึกได้ว่าตัวน้องสั่นน้อย ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงสอื้นตามมา
‘น-น้อง ฮึก ปลาวาฬ ก็ขอโทษ ฮืออออ ม-ไม่อยากให้พี่ อึก- ก้องป่วย น้องปลาวาฬกลัว ฮึก-’ ผมนั่งลงบนเตียงซ้อนแผ่นหลังคนงอนแล้วเงียบ คอยกอดปลอบให้เจ้าเด็กหายสะอึก ให้เลิกร้อง แถมยังต้องคอยดูไม่ให้ขบปากตัวเองอีก
แต่ปลาวาฬเวลาเปียกน้ำแบบนี้ดูดีจริง ๆ นะ ถึงจะเป็นน้ำตาไม่ใช่น้ำทะเลก็ยังดูดี
คืนนั้นปลาวาฬนอนกลิ้งมาซุกที่สีข้างใกล้รักแร้ผมเล็กน้อย ตอนนั้นในหัวผมยังขบคิดเรื่องหนึ่งวนไปวนมาอยู่เลยไม่ได้กระทำการอนาจารอะไร ผมหยิบโทรศัพท์มากด ๆ วาง ๆ อยู่อย่างนั้น เข้าแอพธนาคาร ออกแอพเครื่องคิดเลข ไปแอพซาฟารี จนตีสามกว่าถึงตัดสินใจได้หลังจากที่ติดค้างในใจมาเป็นอาทิตย์
‘งานหนักเหรอวันนี้’ ปลาวาฬทักขึ้นหลังจากผมขับรถออกจากหน้าโรงเรียนได้ไม่นาน ความหมายของประโยคนี้คือ ไปทำไรมา ทำไมมารับช้าจัง
‘เปล่า พี่ไปทำธุระมาครับ’ เจ้าเด็กพยักหน้าหงึกหงัก เคาะนิ้วลงบนกระเป๋าแบรนด์ดังไปมาอย่างชินมือพลางสอดส่องสายตาไปทั่วรถ
‘วันนี้ยืมรถพี่แคนมาเหรอ’ น้องพูดขึ้นอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
‘หรือรถของคนนั้น’ คนนั้นที่น้องว่าก็คือน้ำตาล คิดว่าน้องคงปะติดปะต่อเรื่องได้เองจากที่เห็นล็อคสกรีนผมตอนนั้น แถมพักหลังมาปลาวาฬเริ่มสนิทกับในแก๊งมากขึ้นด้วย คงมีการเล่าสู่กันฟังบ้าง
ว่าที่สกิลเมียขี้หึงเลเวลเก้าเก้า เหมือนแค่รออายุสิบแปดเท่านั้น
‘แคนมันขี่เบนซ์’ ผมตอบ
‘น้ำตาลนั่งรถแฟน’ ‘...’
‘รถคันนี้ของพี่’ ผมว่าด้วยท่าทางสบาย ๆ ถอยรถเข้าจอดในที่จอดรถหอแล้วหันไปยีหัวเจ้าเด็กด้วยความมันเขี้ยว
‘แล้วคันนั้นอะ’ น้องคงหมายถึงเวฟร้อย
‘นั่นก็ใช่’ ผมยิ้มแล้วเกี่ยวตัวน้องมาชิดกับอกไว้ขณะเดินขึ้นหอ
‘รถที่ซื้อมามันอาจจะธรรมดาไปหน่อย ถูกไปหน่อย--’ ‘หยุดพูดแบบนี้’ เจ้าเด็กเอามือน้อย ๆ เรียว ๆ มาปิดปากผมไว้ น้องขยับไปไขกุญแจเข้าห้องแล้วก็ดึงประตูปิด
‘ปลาวาฬชอบมากครับ ขอบคุณครับ พี่ก้อง’ จุ๊บขอบคุณฟีลลิ่งพี่น้องธรรมดาไม่มีอนาจารอะไรทั้งนั้น