มินิบัสที่ว่านะคะ บางคนก็เรียกรถไฟฟ้า ._. แต่ถ้าเสิร์ชดูแล้วมันเจอแต่บีทีเอสง่ะ 5555 ขอเรียกเจ้านี่ว่ามินิบัสแล้วกันนะงับ
**P.S มินิบัสคันนี้ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจ้า
เย็นวันนี้เปรียบเสมือนสวรรค์ของเด็กมหาลัยเกือบทุกคนเพราะเป็นวันสุดท้ายของการสอบไฟนอลเทอมสอง บางคนอาจจะมีสอบต่อ ๆ ไปอีก หรือบางคนเรียนสามเทอมก็ต่างกันออกไป แต่นิลพัตร์นักศึกษาชายปีหนึ่งคนนี้ไม่อาจยินดียินร้ายกับการสอบที่สิ้นสุดลง
เพราะทำข้อสอบได้แย่มากหรือ?
......เปล่าหรอก
เพราะมีเรียนภาคฤดูร้อนหรือ?
...ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ
สาเหตุที่นิลพัตร์หน้าตาหม่นหมองคิ้วขมวดเป็นปมขณะเดินเอื่อย ๆ ออกมาจากคณะของตนนั้นเป็นเพราะ.. พรุ่งนี้ต้องย้ายหอแล้วต่างหาก
เป็นเรื่องปกติของเด็กที่มาเรียนไกลบ้านที่ต้องเช่าหอขณะเรียนในระดับมหาวิทยาลัย และบังเอิญว่านิลพัตร์เลือกจะอยู่หอในเพราะไปเรียนสะดวกและอีกเรื่องก็คือเขาไม่รู้เส้นทางในจังหวัดที่ตนสอบได้มาในรอบแอดมิชชันนี้เลย เพราะฉะนั้นนิลพัตร์จึงเลือกอยู่หอในชายที่สภาพของมันจะเป็นอย่างที่ทุกคนพอจะคาดเดาได้ แต่คิดในแง่ดีก็คือราคามันถูกแสนถูกแถมยังใกล้กับตึกเรียนมากกว่าหอข้างนอก
ส่วนใหญ่แล้วเด็กปีหนึ่งที่กำลังจะขึ้นปีสองก็ต่างดีอกดีใจที่ได้ออกไปอยู่หอนอกเสียทีเพราะความอิสระ และนิลพัตร์ก็คงจะเป็นอย่างคนอื่น ๆ ถ้าหากวันนั้นเขาไม่เจอใครคนหนึ่งเสียก่อน...
ย้อนไปเมื่อตอนค่อนปีที่แล้วที่นายนิลพัตร์ยังเป็นเฟรชชีหน้าใหม่ต่างบ้านต่างถิ่น เย็นวันนั้นเขาเพิ่งเลิกจากการรับน้องของคณะ จำได้ว่าใส่เสื้อยืดสีเลือดหมูกับกางเกงวอร์มและกระเป๋าเป้ใบหนึ่งพร้อมป้ายคล้องคอสีฉูดฉาดที่ปรากฏชื่อเล่นเขาตัวใหญ่ว่า ‘นิล’ ในตอนนั้นนิลกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ที่จมดิ่งและหดหู่เต็มที เพราะเพิ่งมาอยู่ในมหาลัยก็ต้องมาเข้ากิจกรรมแถมยังต้องเตรียมเอกสารการเรียนเยอะแยะไปหมด แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่เป็นปัญหาเลยหากนิลเลือกเรียนในมหาลัยใกล้บ้านที่ตนคุ้นเคยเป็นอย่างดีแถมยังมีเพื่อนสมัยมัธยมเรียนกันอยู่หลายคน
นิลพัตร์เดินกำสายสะพายตรงดิ่งไปยืนรอมินิบัสสีสันสดใสของทางมหาลัยด้วยเหงื่อที่ผุดขึ้นตามขมับ เขาไม่เคยมาอยู่จังหวัดนี้ อาจจะเคยมาเที่ยวแต่ก็ไม่ใช่ในมหาลัยนี้แน่ ๆ นิลพัตร์ไม่รู้ว่ามินิบัสที่มีเบอร์ติดต่าง ๆ กันนี้มันไปลงจอดที่ไหนบ้าง ไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้าจะให้เดินไปตึกทะเบียนแล้วต่อด้วยหอพักกับสภาพอิดโรยจากการรับน้องอันหนักหน่วงมาก็ไม่ไหวเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อเห็นมินิบัสหยุดลงตรงหน้าจึงรีบดิ่งเข้าไป แต่ทว่ารถกลับเต็ม...
กว่านิลพัตร์จะได้ขึ้นมินิบัสคันใหม่และอาศัยการลงตามคนที่อยู่บนรถด้วยกันจนสุดท้ายเขาก็ไปจัดการกับเอกสารการเรียนที่ตึกทะเบียนจนสำเร็จ เฟรชชีหน้าใสปาดเหงื่อแถวข้างแก้มออกแล้วยื่นหน้ารับลมและนั่งชมวิวไปพลาง จนเมื่อมินิบัสจอดที่ป้ายหนึ่งซึ่งเขาจำไม่ได้แล้วว่าตรงไหน ที่นั่งข้าง ๆ ของนิลพัตร์ยังคงว่างอยู่จนกระทั่งมีผู้ชายตัวใหญ่สามคนเดินขึ้นมาบนรถ สองคนหิ้วกระดาษมวนใหญ่กับถุงพลาสติกใส่สีจำนวนมากและอีกคนเขาไม่ทันได้สังเกต สองในสามคนนั้นนั่งลงที่ว่างข้าง ๆ เขา นิลพัตร์มองเห็นเสื้อนักศึกษาสีขาวที่พับขึ้นมาจนถึงข้อศอกกับผิวสีแทนและตัวใหญ่โตที่เบียดจนคนมาก่อนชิดไปกับขอบรถ
‘เขาบอกว่าอยากได้งานแบบมีจินตนาการหน่อยว่ะมึง ประมาณว่าเป็นเด็กวิจิตรศิลป์งี้ก็ต้องมีอะไรที่ดูแตกต่างจากคนอื่น’
‘อ่าวห่า แล้วที่มึงทำไปอ่ะ’
เสียงคุยดังมาจากผู้ชายที่นั่งริมสุดเบาะเดียวกับเขากำลังถกเถียงอย่างเมามันส์กับผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่เบาะข้างหน้า แต่คนที่นั่งตัวติดกันกับเขานี่กลับไม่ปริปากออกมาเลย นอกจากนั่งนิ่ง ๆ กับ... ลำตัวที่แนบไปกับแขนข้างหนึ่งของนิลพัตร์
เขาเป็นไบเซ็กส์ชวลและนั่นหมายถึงว่าเขาเคยมีแฟนทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่แฟนคนล่าสุดที่เลิกกันไปเมื่อสองปีก่อนก็เป็นผู้หญิง นิลพัตร์พยายามไม่สนใจคนข้าง ๆ ที่ยังคงนั่งเงียบแต่แขนบ้างหัวไหล่บ้างมักจะเบียดมาโดนอยู่เป็นพัก ๆ อาจจะเพราะที่มันแคบหรือเพราะตัวโต ๆ ของรุ่นพี่วิจิตรศิลป์คนนี้ และแม้จะไม่อยากยอมรับว่าตัวเองตัวไม่โตนัก แต่พอมานั่งเทียบกันแบบนี้แล้วนิลพัตร์แทบจะกลืนไปกับขอบรถเลยทีเดียว
เขาเงยหน้าขึ้นและเบนไปทางรุ่นพี่คนนั้นเพื่อตั้งใจจะบอกให้ขยับออกไปหน่อยแต่พอเห็นเสี้ยวหน้านั่นแล้วนิลพัตร์ก็ต้องก้มหน้าลงแล้วหันกลับมามองวิวทิวทัศน์ตามเดิม แม้จะเพียงชั่วครู่ที่ได้มองใบหน้านั้นแต่เขามั่นใจมากทีเดียวว่ารุ่นพี่วิจิตรศิลป์คนนี้.. หล่อมาก เขาเห็นสันกรามเป็นรูปชัดและถูกเน้นขึ้นไปอีกด้วยไรหนวดสีดำที่ดูได้อารมณ์ติสท์แบบเด็กศิลป์ จมูกตั้งได้รูปรับกับใบหน้านั้นเป็นอย่างดี แต่เสียดายที่ไม่ทันมองว่าดวงตาของพี่เขาเป็นแบบไหน ไม่ดีกว่า.. ถ้ามองเขาก็รู้น่ะสิว่าเราสังเกตเขาขนาดนั้นแถมยังเป็นเด็กปีหนึ่งตัวกระเปี๊ยกไปมองหน้ารุ่นพี่ได้งานงอกแน่ ๆ
RRRRrrrrrrrr
เสียงสั่นของโทรศัพท์จากโปรแกรมแชทของเพื่อนสนิททำให้นิลพัตร์ก้มหน้าก้มตาลงพิมพ์เสียจนมันส์มือ ทีแรกเขาตั้งใจว่าจะนั่งดูนั่งจำทางในมหาลัยให้คุ้นตาไว้ แต่ตอนนี้ไม่อยากทำแบบนั้นแล้วล่ะ ก็เพราะรุ่นพี่ข้าง ๆ เขาก็มองวิวเหมือนกันน่ะสิ และนิลพัตร์ไม่อยากเข้าข้างตัวเองว่าพี่เขามองตนเพราะฉะนั้นขอก้มหน้ากดมือถือดีกว่า!
มินิบัสผ่านคณะแล้วคณะเล่าก็ไม่ถึงหอพักของนิลพัตร์สักที เฟรชชีหน้าใสอยู่ในสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อ ต้นแขนใหญ่ของพี่เขายังโดนตัวนิลพัตร์อยู่เนือง ๆ ยิ่งยามที่รถเลี้ยวโค้ง ตัวพี่เขาก็ยิงแนบเข้ามาอีก สายตาซุกซนของนิลพัตร์เหลือบไปมองใบหน้าคมเข้มนั่นอีกครั้งแล้วก็ต้องมานั่งกดโทรศัพท์แก้เขินอยู่นั่นเอง
จนเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองข้างทางอีกที เอ๊ะ! นี่มันเลยหอมาแล้วนี่หว่า นั่นไง! เซเว่นนั่นเขาจำมันได้!! นิลพัตร์ลุกลี้ลุกลนอยู่บนเบาะมองหน้ามองหลังจะกดกริ่งอย่างรถเมล์ก็ไม่ใช่ว่าจะมีให้กด จะตะโกนบอกลุงให้หยุดรถก็อายอีก จนมินิบัสจอดลงหน้าตึกคณะวิจิตรศิลป์นิลพัตร์จึงได้ร้องไชโยในใจเพราะมันเลยมาไม่ไกลนัก
แต่รุ่นพี่คนหล่อกลับนั่งนิ่งทั้งที่ถึงคณะของตนแล้ว นิลพัตร์จับกระเป๋าเป้ตัวเองขึ้นมาขยับ ๆ เป็นเชิงว่าจะลงรถ พี่เขามองหน้ากันนิ่ง ๆ อย่างเคยสักพักจึงดันให้เพื่อนข้าง ๆ ตัวเองลุกออกไปแล้วให้เฟรชชีได้ลงจากมินิบัส
นิลพัตร์ก้มหน้าก้มตาเดินลงจากรถแล้วแทบจะเดินเร็วกลับไปยังทิศทางที่ตนนั่งรถเลยมาทันที อายก็อายอยู่แต่คงไม่มีใครรู้หรอกหน่า! แต่ที่แน่ ๆ กลับไปถึงหอวันนั้นเขาไปนั่งกดหาดูในเพจของคณะวิจิตรศิลป์แทบทั้งคืนแต่ก็ไม่เจอพี่คนหล่อนั่นเลย
แล้วหลังจากวันนั้นมา นิลพัตร์จะนั่งมินิบัสสายนั้นทุกเย็นหลังเลิกคลาส น่าแปลกแต่ก็เป็นเรื่องจริงที่เขาจะเห็นรุ่นพี่คนนั้นบนรถเกือบทุกวัน บางวันก็มาสองคน บางวันก็เป็นกลุ่ม ๆ เปลี่ยนหน้าตาไปบ้าง และเกือบจะทุกครั้งเช่นกันที่พี่เขาจะมานั่งข้าง ๆ นิลพัตร์ ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าแต่มันเหมือนเป็นโค้ดลับระหว่างเขากับรุ่นพี่คนนี้ที่เขาไม่รู้จักชื่อรู้แค่อยู่คณะวิจิตรศิลป์ แต่มันก็เหมือนทุกครั้ง พี่เขามานั่งนิ่ง ๆ มองออกไปนอกรถและ... ตัวโต ๆ ที่ชอบมาโดนเขาตลอดทางที่นั่งไปด้วยกัน
มีหลายครั้งที่นิลพัตร์หันไปมองคนข้างกายเมื่อรู้สึกว่าถูกมองตรง ๆ พอหันไปก็เห็นตาคม ๆ นั่นจ้องอยู่จริง ๆ แต่แทนที่คนจ้องจะหันหนีกลับกลายเป็นนิลพัตร์ที่ต้องพึ่งโทรศัพท์แก้เก้อเขินบ่อยครั้ง
มีหลายครั้งที่เขาตั้งใจจะ ’รุก’ ให้เป็นเรื่องเป็นราวแต่พอมาคิดดูอีกที ถ้าพี่เขาไม่ได้ชอบผู้ชาย นิลพัตร์อาจจะได้แผลกลับไปนอนซมที่หอก็เป็นได้
พอหลายเดือนผ่านไป เพื่อน ๆ ในคณะที่เริ่มจะสนิทกันมากขึ้นก็ชักชวนให้เขากลับไปหอพร้อมกัน รถยนต์คันโก้ไม่สามารถดึงดูดใจนิลพัตร์ได้เท่ามินิบัสของมหาลัยเลย จนเพื่อนเริ่มแซวว่าเขาไปแอบชอบป้าคนขับรถหรือเปล่า เหอะ.. ใครบอกว่าคนขับรถล่ะ ชอบคนที่นั่งรถข้างกันต่างหาก!
จนในที่สุด งานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกรา นิลพัตร์ก้าวขาขึ้นมินิบัสเบอร์เดิมที่ต้องใช้บริการทุกเย็นมาตลอดหนึ่งปีเต็ม เขาวางแผนเล็ก ๆ ไว้ในใจ ถึงแม้ว่าจะต้องออกไปอยู่ข้างนอกแต่มานั่งรถเล่นตอนเย็นจะเป็นไรไป ยังไงก็รถฟรีอยู่แล้ว เลิกเศร้า!
หืม??
น่าแปลกที่วันนี้รุ่นพี่คนติสท์ของนิลพัตร์นั่งอยู่บนรถแทนที่เขาแล้ว ทั้งที่ปกติจะเป็นเขานั่งก่อนแล้วป้านถัดไปพี่เขาถึงจะขึ้นมา นิลพัตร์ข่มความเขินอายแล้วเดินขึ้นไปทิ้งตัวลงนั่งข้างพี่เขาอย่างอุกอาจ โชคดีที่วันนี้พี่มาคนเดียวไม่อย่างนั้นนิลพัตร์คงไม่อาจหาญขนาดนี้แน่ ๆ
นั่งไปสักพักอาการเดิมของคนติสท์ก็ปรากฏ ตัวโต ๆ นั่งเบียดมาอีกแล้ว เอนมาชิดทั้งที่ฝั่งตัวเองติดกับขอบกั้นรถ! นิลพัตร์นิ่งเฉยไม่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อย่างทุกทีเพราะไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมานั่งแบบนี้กับพี่เขาอีกหรือเปล่า
น่าแปลกที่เวลาในตอนนี้ของนิลพัตร์ผ่านไปเร็วเสียยิ่งกว่าแสง เพราะวันนี้ตนนั่งอยู่ริมเบาะจึงไม่ต้องทำทีเป็นจับกระเป๋าแล้วให้พี่เขาลุกออกให้ นิลพัตร์เดินก้มหน้าก้มตาลงรถอย่างเศร้าสร้อยจนเมื่อมีคนมาสะกิดที่หลังจึงหันกลับไป
แล้วถึงเห็นว่าเป็นพี่เขา! รุ่นพี่วิจิตรศิลป์คนนั้น!!
เย็นวันนั้นมันคงจะน่าเบื่อเหมือนวันอื่น ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะนายธีรดนธ์ได้เจอกับเด็กปีหนึ่งตัวเล็ก ๆ ขาว ๆ นั่งเหม่ออยู่บนรถมินิบัส ทั้งที่มีคนขึ้นมาบนรถแต่น้องเขาไม่สนใจหันมามองด้วยซ้ำ เขาปล่อยให้เพื่อนสองคนนั่งแยกกันอยู่อย่างนั้นแล้วตนมานั่งติดกับรุ่นน้องแทน เอาตรง ๆ แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้น้องคนนี้ดูมีเสน่ห์ ตัวเล็ก? ขาวเนียน? ปากเล็กจมูกก็เล็กแต่ตากลม ๆ แก้มตุ่ย เขาคิดว่าทั้งหมดนั้นไม่ได้โดดเด่นเท่าไหร่หรอก ที่นี่มีคนหน้าตาดีดีเยอะ เป็นดาราก็แยะ แต่ที่ดึงดูดความสนใจเขาก็คงเป็น.. แววตาล่ะมั้ง น้องเขาดูหงอย ๆ เหมือนหมาตัวเล็ก ๆ คิดถึงเจ้าของ แต่ก็ดูหยิ่ง ๆ เหมือนเป็นหมาพันธุ์ดุด้วยในคราวเดียวกัน ไม่รู้สิ รู้แค่ว่ามองไปมองมาก็เผลอแต๊ะอั๋งเด็กมันไปแล้ว
ธีรดนธ์เป็นนักศึกษาปีสองแล้ว และแน่นอนว่าเขาอยู่หอนอก ที่สำคัญคือมีรถส่วนตัวใช้ไม่ลำบากแต่เขาก็มีเหตุผลที่ต้องฉุดกระชากเพื่อนไปนั่งรถของมหาลัยเล่นทุกเย็น แต่บางวันก็ติดงานบ้าง ถึงจะเสียดายแต่วันต่อ ๆ ไปก็ยังมี ทุกครั้งเขาเห็นว่าน้องจิ้มลิ้มคนนี้ชอบปรายตามามองกันบ่อย ๆ แต่ก็น่าอยู่หรอกเพราะเขาเล่นนั่งมองขนาดนั้น แต่เด็กมันกลับทำเป็นมองนกมองไม้ข้างทางเสียได้ แถมเวลาเขินมาก ๆ ก็ชอบหยิบมือถือมาเล่น เขาแอบหัวเราะปนเอ็นดูในใจเกือบทุกครั้งที่เห็นวอลเปเปอร์เป็นตัวการ์ตูนตัวหนึ่งที่ดังพอสมควรแต่เขาจำชื่อไม่ได้ แต่เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่าตัวเองน่ารักขนาดไหนเพราะชอบทำหน้าบึ้ง ๆ โหด ๆ
เขารู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งน้องจิ้มลิ้มต้องไปอยู่หอนอก ไปมีชีวิตอิสระ มีรถส่วนตัว นี่ก็พยายามมาให้น้องอ่อยแทบทุกวันแต่น้องก็ไม่อ่อยกันสักทีจนวันสุดท้ายของเด็กปีหนึ่งคนนี้มาถึงนั่นล่ะ ธีรดนธ์เลยต้องรุกสักที!
“พ..พี่..” ตากลม ๆ มองเขาอย่างตื่น ๆ “พี่มีอะไรครับ..”
“จะย้ายหอแล้วหรอ นี่หาหอได้ยัง?” เขาแกล้งพูดเรียบ ๆ ออกไปอย่างทุกที ลอบมองท่าทางขัดเขินของน้องจิ้มลิ้มที่ขยับแขนขาเกร็งไปหมด
“อ..เอ่อ ..หา..อยู่ครับ” น้องล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง นี่อย่าบอกว่าจะหยิบมือถือมาเล่นแก้เขินอีกนะ
“ไปอยู่หอพี่มั้ย ดีนะ ราคาก็โออยู่” น้องยิ่งเบิกตากว้าง กระพริบปริบ ๆ อย่างมึน ๆ
“อ่อ..คือว่า คือ..” มัวลังเลอะไรครับ ถ้าไปนี่ไว้เป็นแฟนกันเมื่อไหร่แล้วย้ายไปอยู่กับพี่เลยก็ได้ ไม่คิดเงิน “ลอง..ไปดูก็ได้ครับ”
“โอเค” ธีรดนธ์ยิ้มหวานจนเด็กมันเขินหน้าแดงคอแดง “งั้นเดี๋ยวไปช่วยขนของ”
เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ น้องจิ้มลิ้มที่ธีรดนธ์เพิ่งจะมารู้ว่าชื่อน้องนิล พาเขาขึ้นไปขนของ แน่นอนว่ารถสปอร์ตคันงามของเขาถูกมองเพ่งโดยน้องนิลจนแทบสีถลอก
“พี่..มีรถ?” น้องถามซื่อ ๆ ขณะกำลังขนของขึ้นมาบนคอนโดที่เขาเคยอวดอ้างสรรพคุณไว้
“ครับ” ธีรดนธ์ตอบยิ้ม ๆ
“แล้ว...วันนี้พี่ไม่ไปคณะหรอครับ?” น้องคงเห็นว่าเขาขึ้นรถมาก่อนไม่เหมือนทุกวันที่จะขึ้นใกล้ ๆ คณะวิจิตรศิลป์ที่เพื่อนสนิทเขาเรียนอยู่
“ไปสิครับ พี่เรียนวิทยาศาสตร์การกีฬา พี่ไปทุกวันนะ” ธีรดนธ์เห็นหน้าน้องนิลเหวอไปเลยพักนึงก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดง “แต่ต้องไปรอขึ้นรถที่คณะวิจิตรศิลป์ทุกเย็นอ่ะ มีคนให้ไปหา”
“แต่หลังจากนี้คงไม่ได้ไปคณะวิจิตรศิลป์ละ.. เดี๋ยวพี่ไปหาเขาที่ห้องข้าง ๆ นี่ก็ได้”
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า

หลัง ๆ มันเริ่มออกนอกเรื่องไปไกล 555555555555555555555