บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Special I ก่อนดอกท้อจะผลิบาน. up.21/07/62 [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Special I ก่อนดอกท้อจะผลิบาน. up.21/07/62 [จบ]  (อ่าน 14049 ครั้ง)

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



 

      หยางเถา จิตวิญญาณเก่าแก่แห่งต้นท้อที่ดูดซับพลังจากแสงจันทร์ ร้องขอต่อองค์เง็กเซียนเพียงเพื่อให้ได้ร่างมนุษย์เพราะต้องการอยู่กับ ลู่เฟยหลง ชายหนุ่มผู้รับรู้ความรู้สึกของเขาได้ตั้งแต่อยู่ในต้นท้อ ความรักระหว่างมนุษย์และบางสิ่งนั้นจะเป็นเช่นไร จะจบลงอย่างไร ทั้งคู่จะสมหวังหรือไม่...โปรดติดตาม
     

     
เพียงหนึ่งร้อยราตรีกาล
       บุปผาบานรับแสงจันทร์
       หากถึงคราดวงตะวัน
       ฤทัยพลันมลายไป
       พี่หวังยึดจันทรา
       ส่องแสงมาให้ไสว
       เพียงต่อเวลาใจ
       เพื่อชิดใกล้ตลอดกาล


                ลู่เฟยหลง
คุณชายตระกูลลู่ที่หลงใหลกลิ่นหอมของเจ้าดอกท้อน้อยๆ ใบหน้าหล่อเหลารูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาสีดำเรียวคมที่มักจะอ่านแต่ตำรา ริมฝีปากมักจะยิ้มแย้มเสมอยามเมื่อได้คิดถึงเจ้าดอกท้อน้อยๆของเขา
 
                หยางเถา
จิตวิญญาณแห่งต้นท้อพันปี ผู้ยอมแลกรูปลักษณ์ของมนุษย์เพื่อให้ได้อยู่กับชายผู้ที่เขามอบให้ทั้งหัวใจ ชายผู้อ่อนโยนอย่างที่มิเคยได้พบพาน มีเส้นผมสีเงินสลวย ดวงตากลมสีอำพัน แก้มแดงปลั่งเมื่อยามอยู่ชิดใกล้กับเฟยหลง รูปร่างบอบบางสวมเพียงชุดสีขาวสะอาดตาทุกครั้งไป

                  เฉินลี่ฟู่
คุณชายตระกูลเฉินเย่อหยิงและอารมณ์ฉุนเฉียว หากแต่ถูกตาต้องใจเจ้าเด็กน้อยที่เป็นบ่าวรับใช้ผู้นั้นจนอยากจะได้มาเป็นของตน ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย เส้นผมสีนิล ดวงตาสีดำดุดันและร้อนแรงมักทำให้ใครๆหลงไหล รูปร่างสูงโปร่งแต่กลับแข็งแรงมาก
   
                  ถังเหวินฉาย
บ่าวรับใช้ประจำตัวของลู่เฟยหลงที่บอบบางและซุกซน หากแต่กลับอ่อรแอและดื้อรั้นในคราเดียวกัน มีเส้นผมสีน้ำตาล ดวงตาสีเดียวกับเส้นผมกลมโต แลดูไร้เดียงสา ไม่ชอบลี่ฟู่เพราะเคยถูกอีกคนแกล้งในวัยเด็ก



** หมายเหตุ **
    นิยายเรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์ใดๆทั้งสิ้น ทุกตัวละครและสถานที่ล้วนมาจากจินตนาการของผู้แต่งล้วนๆ ทั้งนี้...โปรดทราบว่า ตัวละครและสถานที่ไม่มีอยู่จริงนะคะ ภาษาอาจจะไม่สละสลวย อาจจะไม่มีกลิ่นไอของความเป็นจีนฌบราณมากนัก แมวก็ต้องขออภัยไว้ก่อนเลยนะคะ เพราะแมวเพิ่งจะเคยแต่งแนวนี้จริงๆ

 

ป.ล.

          แมวไม่สามารถหารูปมาลงให้ได้เนื่องจากแมวพยายามหาแล้วแต่ไม่เขอที่ตรงใจเลย เพราะงั้น...จินตนาการกันเอาเนอะ ฮ่าๆ แมวมาเปิดเรื่องใหม่ไว้ก่อน แต่จะมาลงแน่นอน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่แต่งจนจบแล้ว แต่จะมาลงเรื่อยๆและแต่งไปเรื่อยๆพร้อมๆกันเหมือนกับคลินิกนะคะ แมวไม่ดองงาน ไม่เลทมากเกินไปแน่นอนค่ะ :กอด1: :n1:


ฝากเพจและทวิสเตอร์ไว้ด้วยนะคะ

Facebook : https://m.facebook.com/PassionateFiction
Twitter : https://mobile.twitter.com/little_kittensY


นิยายที่ผ่านมา

- เรื่องสั้นสุดวาย(Y)ฉบับนิทานสุดฟิน
-คลินิกรัก(ษ์) บำบัด(ไข้)ใคร่ 18+
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2019 16:36:15 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ)
«ตอบ #1 เมื่อ22-07-2018 23:49:13 »

 :pig2: :pig2: :pig2:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ)
«ตอบ #2 เมื่อ23-07-2018 12:57:27 »

รออ่านนะจ๊ะ

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ)
«ตอบ #3 เมื่อ23-07-2018 20:15:55 »

น่าสนใจจจจจจจจ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีวายจีโบราณเท่าไหร่ ว้อนท์มาก55555

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ)
«ตอบ #4 เมื่อ23-07-2018 21:09:37 »

รอติดตามครับ

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
     ตลาดยังคงความวุ่นวาย เสียงเจื้อยแจ้วของชาวบ้านที่ยังคงทำมาหากินเพื่อเลี้ยงตนเองยังคงดังขึ้นแทบไม่ได้หยุดพัก ช่างเป็นความครึกครื้นที่ชวนให้ยิ้มเสียจริง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดสีน้ำเงินที่เพียงใช้ตามองก็รู้แล้วว่าชั้นดีแค่ไหนเดินผ่านร้านต่างๆอย่างสุขใจ วันนี้แล้วที่เขาได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง บ้านที่ครั้งเมื่อตอนยังเด็กพ่อและแม่มักจะพาเขามาหาท่านปู่ที่นี่เสมอ เมื่อท่านปู่เสียไปก็ได้ยกมันให้กับเขาเป็นมรดกตกทอด วันนี้จึงเป็นวันที่เขาจะย้ายเข้าไปอยู่

“ท่านปู่ขอรับบบบบบบบบบ” เด็กชายวัย10ขวบวิ่งเข้าไปหาร่างของชายวัยชราที่กำลังจิบชาอยู่อย่างสบายใจ

“เฟยหลง!! หลานปู่ ฮ่าๆ”

     ลู่ฮุ่ยเจิงผู้เป็นปู่วางถ้วยชาลงอ้าแขนรวบร่างผู้เป็นหลานมากอดจนจมอกด้วยความคิดถึงอย่างสุดใจ นานนับปีกว่าจะได้เจอหลานชายผู้นี้สักครั้งด้วยว่าลูกชายของเขาที่เป็นแม่ทัพใหญ่ในเมืองหลวง จึงทำให้ต้องพาลูกเมียไปด้วยนานนับปีที่เขาตั้งตาคอยวันที่จะได้พบหน้าหลานชายสักครั้ง

“คาราวะท่านพ่อ สุขภาพร่างกายของท่านเป็นเช่นไรบ้างขอรับ”

“เหม่ยหลินคาราวะท่านพ่อ”

“ข้าก็ป่วยไปตามอายุนั่นล่ะ แต่เจ้ากับเหม่ยหลินเถอะ กลับมาเหนื่อยๆพากันไปพักก่อนเถอะ”

“ท่านปู่ ข้าคิดถึงท่านปู่มากเลยขอรับ”

“ปู่ก็คิดถึงเจ้ามากเช่นกันเฟยหลง”

    ฮุ่ยเจิงมองผู้เป็นหลานด้วยสายตารักใคร่เอ็นดู หลานชายคนนี้มักทำให้ตาแก่อย่างเขารู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ให้นานกว่านี้เพื่อมองดูหลานรักเติบโต ฝ่ามือใหญ่ที่เหี่ยวย่นตามอายุขัยที่มากขึ้นลูบหัวเล็กๆอย่าเอ็นดู เหม่ยหลินจับแขนสามีตนส่งรอยยิ้มให้กันกับภาพตรงหน้า ก่อนที่จะพากันเดินออกไปปล่อยให้ปู่หลานได้คุยกันตามประสา เหล่าคนรับใช้ต่างพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นานนับปีที่พวกเขาไม่ได้เห็นใบหน้าอันอ่อนโยนของผู้เป็นนายใหญ่ของบ้าน ปกติท่านฮุ่ยเจิงจะมีสีหน้าดุขรึมไร้อารมณ์ตั้งแต่ฮูหยินได้จากไป แต่เมื่อนายน้อยเฟยหลงกลับมา ท่านฮุ่ยเจิงก็ยิ้มและหัวเราะเสียงดังไปทั่วทั้งเรือนจนพวกคนใช้ในเรือนนั้นอดยิ้มตามกันไม่ได้

“ตามมาสิ ปู่จะพาไปดูอะไร”

“อะไรหรือขอรับ?” ลู่เฟยหลงมองใบหน้าที่แสนใจดีของฮุ่ยเจิงด้วยความสงสัย

“มาเถอะ.....เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้”

    แม้จะมีความสงสัยอยู่มาก แต่เมื่อท่านปู่บอกเขาเช่นนั้นเขาก็ยินดีจะเดินตามไปโดยไม่ลังเล ฮุ่ยเจิงจูงมือหลานชายตัวน้อยกระชับฝ่ามือแน่นราวกับกลัวว่าหลานชายตนจะพลัดหลงไปที่อื่น

     สองร่างปู่หลานก้าวเข้ามายังสวนด้านหลังที่เต็มไปด้วยความงามของเหล่ามวลดอกไม้ ผีเสื้อหลากสีต่างพากันมาชื่นชมความหอมหวานของสีสันอันยวนตา ไม่แปลกใจเลยที่มันจะอดใจไม่ไหว ในเมื่อทั้งความหอมที่ล่องลอยตามสายลมมาแตะจมูกและสีสันสดใสที่สามารถมองเห็นได้นั้น ทุกอย่างช่างเป็นความงดงามที่ลงตัวจนแทบจะถลาตัวเข้าไปใกล้ๆ

“สวยใช่รึไม่ เฟยหลง” ฮุ่ยเจิงเอ่ยถามหลานชายที่ยังคงเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา

“ขอรับท่านปู่ งดงามมากเลยขอรับ”

    พลันสายตาที่จดจ่อกับความงดงามตรงหน้ากลับถูกบางสิ่งดึงดูดไป นั่นคือสิ่งใดกัน? ไยจึงมีความเศร้าแผ่กระจายออกมาเช่นนี้ คิ้วเล็กแทบจะชนกันด้วยความสงสัย ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางซ้ายคืออะไรกัน ไยไม่มีแม้แต่ดอกไม้ให้ได้ชื่นชม ไยจึงมีเพียงความขจีที่ไร้อารมณ์เช่นนี้เล่า

“ท่านปู่ขอรับ”

“ว่าอย่างไร หลานรัก” สายตาฮุ่ยเจิงยังคงชื่นชมกับมวลดอกไม้ จนมิได้สังเกตความผิดปกติของหลานชายแม้แต่น้อย

“นั่นคือต้นอะไรหรือขอรับ” นิ้วมือเล็กชี้ไปทางลำต้นสูงที่มีใบเขียวปกคลุมกระจายร่มเงา ฮุ่ยเจิงมองตามนิ้วเล็กไปจนถึงปลายเหตุแห่งคำถาม จริงสินะ เจ้านั่นเองก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน เขาลืมไปเสียสนิท ฮุ่ยเจิงลอบถอนหายใจก่อนจะหันมาตอบคำถาม

“นั่นนะ เขาเรียกกันว่าต้นท้อ”

“ต้นท้อ?” ยิ่งได้ฟังยิ่งสงสัย ต้นท้อที่เขาเคยได้พบพานมาจากเมืองหลวงนั้นล้วนแต่ผลิดอกออกผล ไม่เคยมีสักต้นที่จะโล้นจนเหลือเพียงใบเช่นต้นนี้

“ใช่แล้วหลานรัก ต้นท้อ”

“เหตุใดจึงมิมีดอกหรือผลเลยล่ะขอรับ ที่เมืองหลวงข้าเห็นมีดอกและผลมากมาย แล้วไยต้นนี้......จึงไร้สีสัน” ฮุ่ยเจิงได้ฟังคำพูดของหลานชายก็ทอดสายตาออกไปด้วยความเหม่อลอย ความจริงแล้ว ผู้ที่สังเกตเห็นความแปลกของต้นท้อต้นนี้ มีเพียงแค่เฟยหลงเท่านั้น ส่วนผู้อื่นแม้จะได้เข้ามายลสวนของเขาก็ต่างหลงไหลไปกับกลิ่นและสีของเหล่ามวลดอกไม้ทั้งสิ้น หามีใครไต่ถามถึงเหตุของต้นท้อไม่แม้แต่จะเห็นอยู่ในสายตา

“เพราะต้นท้อต้นนี้ ถูกเรียกว่า...ท้อโศกศัลย์”

“ท้อโศกศัลย์คืออะไรหรือขอรับท่านปู่”

“ท้อโศกศัลย์...ถูกเรียกด้วยชื่อนั้นเพราะมันไม่เคยผลิดอกเลยสักครั้ง นานนับพันปีแล้ว”

“นายท่าน มีแขกมาขอพบขอรับ”

“เดี๋ยวข้าตามไป” ฮุ่ยเจิงพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะหันกลับมาหาเฟยหลง

“เฟยหลง.....เจ้าไปเล่นในสวนนี้ก่อนเถอะ ปู่ขอไปพบแขกก่อน”

“ขอรับท่านปู่”

    เฟยหลงวิ่งออกไปยังดอกไม้ที่เรียงรายอยู่มากมายหลากหลายพันธุ์ เขาวิ่งเล่นไล่จับกับพวกแมลงและผีเสื้ออย่างสนุกสนาน นั่นคือสิ่งที่เขาจำได้ดีกับความรู้สึกสนุกจนลืมเวลา จำได้ว่าเขาเล่นอยู่นานจนท่านปู่ต้องมาเรียกเขาถึงยอมหยุ


    เฟยหลงหยุดยืนมองประตูใหญ่ด้วยแววตาคิดถึง เขามองเห็นเงาในอดีตของตนเองที่วิ่งซนเข้าออกจากจวนด้วยรอยยิ้มโดยมีฮุ่ยเจิงผู้เป็นปู่มองดูด้วยความเอ็นดู

    คิดถึงเหลือเกินความรู้สึกนี้

    เฟยหลงยืดกายเดินสาวเท้าก้าวเข้าไปช้าๆ การมาของเฟยหลงนั้นล้วนพกพาความตื่นเต้นให้แก่เหล่าสาวใช้ ด้วยใบหน้าอันหล่อเหลาที่แลดูสะอาดสะอ้านหมดจรดน่ามอง ดวงตาคมที่จับจ้องไปด้านหน้านั้นหากใช้มองผู้ใดย่อมสะกดผู้นั้นไว้อย่างไม่อาจต่อต้าน สันจมูกโด่งรับกับริมฝีปากบาง คิ้วเข้มช่วยเน้นให้ใบหน้าของเฟยหลงน่ามองยิ่งขึ้น สาวใช้ต่างพากันลอบมองเฟยหลงด้วยความเสน่หา ใบหน้าแดงซ่านยามถูกตาคมคู่นั้นจับจ้อง ยามลับตาไปต่างก็กรีดร้องเสียงดัง สาวใช้ต่างพากันจับกลุ่มพูดคุยถึงความงามจากรูปโฉมของนายคนใหม่แห่งจวนตระกูลลู่

    ลู่เฟยหลงเดินเข้าไปในจวน ของทุกชิ้นยังอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยน จะผ่านมากี่ปีเขาก็ยังคงจำได้ดี เก้าอี้ตัวนั้นคือตัวที่ท่านปู่ชอบนั่ง เป็นจุดที่ท่านปู่มักจะใช้เวลาดื่มชาอย่างสบายๆยามไร้แขกมาเยือน ถังลี่หยาง พ่อบ้านเก่าแก่ที่มักจะคอยดูแลฮุ่ยเจิงเมื่อครั้งยังอยู่เดินเข้ามาหาเฟยหลงช้าๆ

“นายน้อยเฟยหลง ขอต้อนรับกลับจวนสกุลลู่ขอรับ”

“ท่านลุงถัง ท่านสบายดีใช่รึไม่” ถังลี่หยางยิ้มให้นายน้อยของตนอย่างอ่อนโยน เจ้านายใครเล่าจะเป็นห่วงเป็นใยเช่นนายของเขา

“ขอรับนายน้อย เดินทางมาเหนื่อยหรือไม่ขอรับ” พอถูกทักร่างกายของเฟยหลงก็ถูกความเหนื่อยล้าเข้าเล่นงานจนปวดไปตามตัว กำปั้นจากมือของเฟยหลงทุบไปตามท่อนแขนด้วยความปวดเมื่อย น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้เขาไม่มีความรู้สึกสักนิด หากเพียงแต่ท่านลุงถังทักกลับมีความรู้สึกขึ้นมาเสียง่ายๆ

“ถ้ายังไง นายน้อยเชิญพักที่ห้องก่อนเถิด ข้าน้อยได้ให้สาวใช้ตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ”

“เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน”

   เฟยหลงเดินตามสาวใช้ที่ถูกถังลี่หยางเรียกให้มาขนสัมภาระและนำทางเขาไปยังห้องนอน แต่ก่อนนั้นเขาจำได้ว่าทุกครั้งที่เขาได้มาเยี่ยมเยือนท่านปู่ ห้องทางด้านซ้ายจะเป็นของเขา หากตอนนี้ ทิศทางที่เขากำลังไปนั้น หาใช่ทางเดิมไม่ ความแคลงใจเกิดขึ้นมาหากแต่เฟยหลงกลับไม่ได้ถามอะไรออกไป

   สาวใช้นามหลิวเซียนคอยลอบมองหน้าเฟยหลงเป็นพักๆ แก้มแดงปลั่งจนแทบไหม้ ได้เห็นคุณชายน้อยแห่งตระกูลลู่อย่างใกล้ชิดเช่นข้า ใครๆก็ต้องอิจฉาข้าทั้งนั้น รูปงามราวเทพเทวาที่ลงมาจุติจากสวรรค์ ดวงตาคู่นั้นก็กระไร เพียงสบไม่กี่คราหัวใจก็เต้นระรัวเสียนี่ หลิวเซียนนำเฟยหลงมายังห้องที่ถูกนายท่านฮุ่ยเจินสั่งเอาไว้ก่อนจะสิ้นใจว่า อย่างไรเสีย ห้องที่อยู่ตรงสวนท้อ ก็ต้องเป็นห้องของนายน้อยเฟยหลงเท่านั้น ถึงแม้พวกข้ารับใช้จะมีคำถามที่คาใจว่า ทำไมจะต้องเป็นห้องนี้ก็ตาม

“ถึงแล้วเจ้าค่ะ นายน้อย” หลิวเซียนนอบน้อมด้วยความเหนียมอาย หวังอยู่ลึกๆว่าความงามของตนจะต้องใจผู้เป็นนายคนใหม่บ้าง

“ขอบใจเจ้ามาก เจ้ากลับไปพักเถอะ”

“เจ้าค่ะ นายน้อย”

    แม้จะไม่เต็มใจ แต่คำสั่งคือคำสั่ง หลิวเซียนมีสีหน้าเสียดายเมื่อเฟยหลงไม่สนใจแม้แต่จะมองนางด้วยซ้ำ ปิดประตูหนีตั้งแต่ได้ก้าวเท้าเข้าไปในห้องราวกับมีอะไรสำคัญ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด นางเป็นสาวใช้ที่มีใบหน้างดงาม เดินไปตลาดคราใดก็ถูกชายหนุ่มมากมายมาเกี้ยวพาราสี แต่นี่กระไร นายน้อยของนางมิเพียงไม่แลแม้แต่หางตา ซ้ำยังทำราวกับว่า นางไร้ตัวตน

“ฮึ่ย!! ข้าออกจะงามขนาดนี้ ไยนายน้อยมิต้องใจกัน!!”

หรือว่า.........นายน้อยจะหมายปองผู้ใดอยู่ก่อนแล้ว



                                        ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




มีต่อนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2018 10:02:56 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
เสียงจิ้งหรีดกรีดร้องกับความมืดที่เริ่มปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง เฟยหลงยืนมองจันทราที่สว่างไสวด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง สายลมเอื่อยพัดผ่านร่างสูงอย่าแผ่วเบา กลิ่นหอมอ่อนๆ จากที่อันแสนไกลลอยมาตามสายลมจนเฟยหลงเผลอสูดดมเข้าไป กลิ่นหอมเช่นนี้ลอยมาจากที่ใดกัน??

ยิ่งสงสัยเท้าใหญ่ก็ค่อยก้าวไปยังต้นทางของกลิ่นอันน่าอภิรมย์ ช่างหอมหวนยิ่งนัก กลิ่นหอมเช่นนี้ราวกับมันคือกลิ่นกายที่แสนจะคุ้นเคย หัวใจภายในอกแกร่งเต้นแรงจนเจ้าของร่างสั่นไหว ความคิดคนึงหาแทบจะพาเขาเหาะไปให้เร็วที่สุด กลิ่นใดกันหนอ ไยจึงทำใจข้าเต้นรัวได้ถึงเพียงนี้

ร่างสูงใหญ่หยุดยืนอยู่เบื้องหน้า เมื่อกลิ่นหอมที่เฟยหลงหลงไหลนั่นดูเหมือนจะสิ้นสุดอยู่นี้ น่าแปลก ไม่มีผู้ใดสักคนแท้ๆ ไยกลิ่นที่เขารับรู้ถึงมิคลายไป กลับยิ่งหอมรัญจวนใจมากขึ้น สิ่งใดกันหนอคือเจ้าของความหอมหวานที่เขาพึงใจ เมื่อเบื้องหน้าเขานั้น มีเพียง.....ท้อโศกศัลย์ แต่เจ้าต้นไม้นี่ มิเคยผลิดอก จะส่งกลิ่นได้อย่างไร

เฟยหลงยกมือขึ้นเอื้อมออกไปหวังแตะต้นไม้ต้นใหญ่ตรงหน้า ความรู้สึกเศร้าสร้อยถูกท่ายเทมาจนรู้สึกได้ สายลมพัดมาวูบใหญ่จนเขาเผลอลูบลำต้นใหญ่ด้วยความสงสาร

“เหตุใดจึงเศร้านักเล่า เจ้าต้นท้อ”

เฟยหลงรู้ มิมีผู้ใดตอบกลับมาเพราะเขากำลังพูดคุยกับต้นไม้ใหญ่ ใบเขียวสะบัดไปมาตามแรงลม เสียงใบไม้เสียดสีราวกับเสียงร่ำไห้ของต้นท้อ ยิ่งทำให้บรรยากาศรอบกายเศร้าเสียจนอยากโอบกอดเอาไว้ ปลอบประโลมให้หายแม้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดก็ตาม

“หากอ้อมกอดข้าจะช่วยบรรเทาความเศร้าของเจ้าลงได้ ข้ายินดีโอบกอดเจ้าทุกวัน”

เฟยหลงทำอย่างที่กล่าวจริงๆ อ้อมแขนโอบรัดรอบลำต้นใหญ่ แม้จะไม่อาจโอบได้จนรอบ แต่เฟยหลงพร้อมจะถ่ายเทความอบอุ่นที่เขามีให้ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ ได้รู้สึกดีแม้เพียงน้อยนิดก็ตาม ท้อโศกศัลย์เป็นต้นเดียวที่เป็นต้นไม้ใหญ่ รอบๆ มีเพียงดอกไม้แม่ต้นหญ้าเรียงราย

เหงามากใช่รึไม่

อยู่มานับพันปีด้วยความโดดเดี่ยว มองดูเหล่าดอกไม้รอบๆ ค่อยๆ แห้งเหี่ยวและโรยราทั้งที่ตนยังคงยืนอยู่ตรงนี้มาตลอด ทำได้เพียงแค่มองดูเพื่อนๆ ค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา ช่างน่าสงสารเสียจริง เพราะเช่นนี้ ถึงมิยอมผลิดอกออกผลสินะ

น้ำใสๆ ไหลจากใบหน้าเฟยหลง อาจเพราะใบหน้าเฟยหลงแนบอยู่กับลำต้นใหญ่นั้น จึงทำให้หยาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาถูกเปลือกสีเข้มดูดซับไปจนหมด

“เจ้าเช็ดน้ำตาให้ข้าหรือ อ่อนโยนเหลือเกิน ทั้งที่ข้าต้องเป็นฝ่ายประโลมเจ้าแท้ๆ”

เหตุใดกันนะเขาจึงได้รู้สึกผูกพันธ์ลึกซึ้งจนมิอาจให้ต้นท้อตรงหน้าโศกเศร้าได้ ปวดหัวใจเหลือเกินที่ต้องคิดถึงความรู้สึกของเจ้านี่ที่ต้องค่อยๆ มองดูเพื่อนๆ ของตัวเองตายไป อย่าเศร้านักเลยเจ้าท้อ หัวใจข้าจะขาดอยู่แล้ว

แขนแกร่งค่อยๆ คลายอ้อมกอดออก สายลมพัดเข้ามาวูบใหญ่จนร่างสูงรู้สึกดีขึ้นอย่างน่าประหลาด หากความรู้สึกดีของเขาจะส่งให้เจ้าต้นไม้ต้นนี้ได้บ้างคงดี ยิ่งเงียบสงบ เฟยหลงยิ่งมิอาจจะละสายตาจากต้นท้อผู้ไร้ดอกและผลได้ ใบไม้สีเขียวยามต้องแสงจันทร์ก็ดูเข้ากันอย่างน่าชม มองๆ ไปก็เพลิดเพลินตาได้ดี หากเขาเอาแต่หมกตัวอ่านตำรา มีหวังได้บ้าเสียก่อนเป็นแน่

อากาศรอบๆ ที่โอบกอดเจ้าต้นท้อช่างบริสุทธิ์ กลิ่นหอมที่ต้องใจยังคงลอยมามิขาดหาย กลิ่นที่ทำให้เขารู้สึกพึงใจและผ่อนคลาย หากเขารู้ว่ามันคือสิ่งใด เขาคงไม่วายเก็บมันไปไว้ข้างกายเป็นแน่ ราตรีที่แสนจะเหน็บหนาวสำหรับใครๆ เหตุใดตัวเขาจึงพึงใจและชื่นชอบกันนะ คงเป็นเรื่องแปลกแน่ ถ้าหากมีใครมารู้เข้า คงไม่วายว่าเขาเสียสติจากการอ่านตำรา

เฟยหลงตัดสินใจจะเดินกลับเข้าไปในห้องของตนเอง ทันทีที่หันหลัง กลิ่นหอมหวานก็รุนแรงขึ้นราวกับว่าต้นตอของกลิ่นนั้นได้มาอยู่ใกล้ๆ เฟยหลงชะงักเท้าที่กำลังก้าวรีบหันกลับมาด้วยความอยากรู้ ตาเรียวคมเบิกกว้างมองสิ่งที่สะท้อนอยู่ในแววตาตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง

ดอกท้อสีชมพู มันกำลังบานอยู่ตรงหน้าข้าจริงหรือนี่!!!

จะว่าไม่แน่ใจก็ใช่ เมื่อเขาเองได้ยินมาจากปู่ว่ามันคือท้อโศกศัลย์ แล้วเช่นนี้ มันจะมีดอกมีผลได้อย่างไรกัน ความสงสัยที่ตีรวนขึ้นมานั้น ทำให้เฟยหลงถึงกับต้องยกมือขึ้นขยี้ตาเพราะคิดว่าตนเองล้าจากการอ่านตำราจนตาเฝื่อน แต่เมื่อเฟยหลงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดอกท้อสีชมพูสดใสที่ต้องแสงจันทร์ยังคงบานสะพรั่งอยู่เช่นเดิม

เป็นไปไม่ได้ นี่มันไม่จริง

ยิ่งคิดก็ยิ่งงุนงงเข้าไปอีก หรือนี่จะมิใช่ต้นเดียวกับเมื่อคราวนั้นกันนะ หากแต่ลำต้นใหญ่ที่ดูแข็งแรง ใบหนาปกคลุมไปทั่วกับจุดเดิมที่เมื่อครั้นยังเยาว์เขาได้มาพบมาเจอนั้น ไม่น่าจะผิดต้นไปได้เลย

สองมือเอื้อมไปด้านหน้าหวังจะเชยชมดอกท้อที่เบ่งบานอยู่บนกิ่งนั้น สีสดสวยงามจนเฟยหลงเผลอยิ้มออกมา กลิ่นหอมที่เขาชื่ชอบลอยมาแตะจมูกจนเฟยหลงเองต้องสูดดมเข้าไปจนสุดปอด หอมนัก หอมจนเขาหลงใหลกับกลิ่นนี้เสียเหลือเกิน

สวบ



“ใคร!!!” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบเมื่ออารมณ์สุทรีย์ถูกขัดขึ้นด้วยเสียงเหยียบย้ำบนใบไม้ของใครบางคน ซึ่งเขาแน่ใจว่า พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขาแน่ๆ และคงไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาหาเขามิอนุญาต!

“ออกมา!! ข้าบอกให้เจ้าออกมาจากตรงนั้น!!” สุ่มเสียงวางอำนาจดังขึ้นจนร่างเล็กๆ หลังต้นไม้สะดุ้งด้วยความตกใจ อะไรกัน นี่เขาต้องมาเจออารมณ์ของคนผู้นี้แบบนี้หรือ สายลมพัดเอาผมสีเงินแปลกตาให้ปลิวจนเฟยหลงมองเห็น ยิ่งยามถูกแสงจันทราสาดส่องความเงางามยิ่งเด่นชัดจนเขาอดชื่นชมไม่ได้

“หากเจ้าไม่ยอมออกมา ข้าจัก...”

“ขะ ข้ายอมแล้ว!!”

ใบหน้าหวานกับผมสีเงินทำให้เฟยหลงชะงัก ดวงตากลมโตยามจับจ้องมาที่เขาช่างดูหวาดหวั่น ปลายจมูกเชิดขึ้นกับริมฝีปากบางสีพีชดึงดูดใจจนอยากเข้าไปใกล้ๆ ยามดวงตากลมสีอำพันนั้นกะพริบลงแพรขนตางอนยาวยิ่งเด่นชัดจนน่าอิจฉา ยิ่งรูปลักษณ์ของคนตรงหน้ายิ่งแล้วใหญ่ ผ้าแพรสีขาวที่คนตัวเล็กสวมใส่มิได้ทำให้คนๆ นี้ดูสมชายขึ้นเลยแม้แต่น้อย กลับดูบอบบางน่าถนุถนอมเอาไว้ มิให้แหลกคามือดังบุปผา เฟยหลงตะลึงงันไปกับความงดงามของคนตรงหน้าจนแทบจะลืมหายใจ หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หยางเถาที่ถูกเฟยหลงจับจ้องอยู่ถึงกับทำตัวไม่ถูก ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าสบสายตา แม้จะรู้ดีว่าตนกำลังถูกเพ่งพินิจจากบุคคลตรงหน้าก็ตาม สายตาคู่หวานเองก็มิวายแอบลอบมองใบหน้าของคนที่โอบกอดครั้นเมื่อตอนเขาอยู่ในต้นท้อ คนที่หลั่งน้ำตาให้เขาราวกับเจ็บปวดแทนเขาเสียเหลือเกิน ยิ่งคิดถึงปากบางๆ ก็ขบเม้มจนแน่น สับสนจนเริ่มอะไรไม่ถูก

“เจ้าคือผู้ใดกัน?” ไร้ซึ่งคำตอบ หยางเถาก้มหน้าลงมองพื้นดิน ด้วยมิรู้ว่าจะเอ่ยตอบคนตรงหน้าไปเช่นไรดี ฝ่ายเฟยหลงที่เห็นว่าอีกคนมิยอมตอบ จึงได้เลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับคำถามที่เปลี่ยนไป

“เจ้ามาจากที่ใดหรือ?” เฟยหลงเอ่ยถามเสียงติดนุ่มนวลเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเองดูจะมิคุ้นเคบกับการใส่อารมณ์มากนัก จะว่าใจอ่อนเพราะใบหน้าหวานๆ นั่นก็มิผิดไปหรอก

“ข้ามาจาก...ที่นั่น” นิ้วเรียวเล็กชี้ไปที่ต้นท้อต้นใหญ่ ลู่เฟยหลงยกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ จะบอกว่ามาจากต้นท้อหรือไร คงมิใช่หรอกระมัง

“จากต้นท้อหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? เจ้าจะบอกข้าว่าเจ้าออกมาจากต้นท้อได้เช่นนั้นหรือ” คำถามที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจถูกถามออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ สำหรับเฟยหลงเขาไม่เข้าใจมันเลย คำตอบแบบนี้มิเท่ากับการยั่วโทสะของเขาหรอกหรือ แต่หยางเถาหาได้คิดเช่นนั้นไม่ กลับพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม

“ถูกแล้ว ข้าออกมาจากต้นท้อจริงๆ” เป็นเฟยหลงเสียเองที่อ้าปากค้าง มองคนตรงหน้าอย่างตกตะลึงในใจ สายตาคู่คมกวาดมองหยางเถาทั้งร่างราวกับกำลังวิเคราะห์อะไรสักอย่างอยู่ หยางเถาเกิดความหวาดกลัวในจิตใจ ด้วยตนเพิ่งจะเคยพบมนุษย์จึงมิคุ้นชินกับการถูกจับจ้องเช่นนี้ หรือคนผู้นี้จะรังเกียจ? สายตาของร่างบางพลันเศร้าหมองจนน่าใจหาย

“เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้น" หัวใจของหยางเถาบีบรัดเสียจนแน่นไปหมด

"..."

"หรือเพราะเจ้ารังเกียจที่ข้ามิใช่มนุษย์ เจ้าจึงได้มองข้าเช่นนั้นใช่หรือไม่"

"ข้าหรือรังเกียจ? เห็นข้าเป็นเช่นคนใจแคบเช่นนั้นหรือ? " หยางเถาหลบสายตาคู่สวยลงมองพื้นดิน มิกล้าสบตาของเฟยหลง ด้วยดวงตาคู่นั้นช่างชวนให้หัวใจของเขาสั่นไหวเสียเหลือเกิน ครั้งเมื่ออีกฝ่ายบอกเป็นนัยว่ามิใช่ความรังเกียจ หัวใจของหยางเถาก็เต้นระรัวจนมิอาจจะควบคุมได้

"ข้าเพียงแปลกใจก็เท่านั้น มิได้รังเกียจใดๆ ในตัวเจ้าเลย บอกช้าหน่อย เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ? "

“ข้าชื่อหยางเถา…” เสียงนุ่มหู กลิ่นหอมหวานและรอยยิ้มแสนน่ารักของหยางเถา ช่างเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจของเขาเหลือเกิน

“มีใครเคยเห็นเจ้า เช่นที่ข้าเห็นหรือไม่” ผมสีเงินสะบัดพลิ้วเมื่อเจ้าของส่ายหน้าปฏิเสธ

“ท่านปู่ของข้าก็ด้วยหรือ??”

หยางเถาหันไปมองต้นท้อที่ตนอาศัยอยู่ภายในมานานแสนนาน มือบางยกขึ้นลูบลำต้นใหญ่ด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวและแสนเศร้า ความทรงจำต่างๆ ฉายซ้ำไม่หยุดราวกับเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกหนีได้ ความผิดข้าหรือที่มิอาจล้มตายตามเพื่อนๆ รอบๆ กายได้ ความผิดข้าหรือ ที่จักต้องวนเวียนอยู่กับความรู้สึกสูญเสียเพื่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ข้าเป็นเพียงแค่ต้นท้อ ที่มิเคยออกดอกและผลเท่านั้น มิใช่ภูตผีปีศาจเหมือนผู้อื่น” ดวงตากลมสะท้านไปกับความเจ็บปวด ริมฝีปากบางเม้มลงจนเจ็บแต่มันก็ไม่เท่ากับความเจ็บที่ใจแม้แต่น้อย เฟยหลงอับจนด้วยคำพูด การปลอบผู้อื่นเขาไม่เคยถนัดสักนิด ยิ่งเห็นหยางเถาเสียใจ ไหล่เล็กๆ ที่สั่นไหวเขายิ่งทรมานและปวดร้าว

“เช่นนั้น ไยข้าจึงเห็นเจ้ากัน”

“เพราะข้า.....” เฟยหลงมองแผ่นหลังที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีเงินอย่างรอคอยในคำตอบ หยางเถากลืนก้อนบางอย่างที่จุกอยู่บริเวณลำคอให้มันหายไป เขาเลือกแล้ว เมื่อเลือกแล้ว เขาก็ยินยอมรับความเป็นจริง

ใบหน้าหยางเถาหันกลับมาจ้องเฟยหลงด้วยสายตาจริงจัง ความลับ มิมีอยู่ในโลก หากวันนี้ไม่พูด อย่างไรเสียเขาก็จักต้องพูดออกไปสักวัน ช้าหรือเร็ววันนั้นก็ต้องมาถึง หยางเถาถอนหายใจออกมาเสียงดัง พยายามเรียบเรียงคำพูดเพื่อบอกเล่าแก่เฟยหลง

“เพราะข้าอ้อนวอนต่อองค์เง็กเซียน ข้าอยากอยู่กับเจ้าแม้จะต้องแลก...”

“แลกด้วยสิ่งใดหรือ?” เฟยหลงขมวดคิ้วอย่างสงสัย การที่อีกฝ่ายปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเขาได้เช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีข้อแลกเปลี่ยน

“องค์เง็กเซียนบอกข้า.......หากข้าต้องการอยู่กับเจ้า ข้าจะต้องมีร่างกายของมนุษย์ และเพื่อมีร่างกายของมนุษย์นั้น......ข้าจะต้องยอมสละดวงวิญญาณของข้าที่ได้รับพลังจากแสงจันทราในช่วงพันปีมานี้”

“จริงหรือ......” เฟยหลงถามด้วยความดีใจ ต่อไปนี้ เขาก็จะพบเจอใบหน้าหวานของหยางเถาทุกวี่วันที่เขาต้องการแล้ว ช่างน่ายินดีเสียงจริง

“100ราตรี เพื่อแลกกับหนึ่งร้อยราตรีจากนี้ไป ข้างจะต้องใช้วิญญาณทั้งหมดของข้าเพื่อทำให้ดอกท้อบานอยู่เช่นนั้นจนครบ100ราตรี”

“แล้วเมื่อครบเล่า จะเกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถาม รู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งที่หยางเถาไม่ได้บอกเขา บางอย่างที่มัน....สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ศีรษะเล็กส่ายไปมา จับมือใหญ่ขึ้นมากุมเอาไว้ด้วยความผูกพันธ์ที่ยากจะอธิบาย

“เมื่อครบตามกำหนดเวลา ข้าก็จะสลายไปดั่งเช่นวัฏจักรของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ หรือต้นไม้ ข้า...จะกลับกลายเป็นเพียงธุลีดิน ไม่สามารถอยู่กับเจ้าได้อีก”

“เจ้าจะตายเช่นนั้นหรือ”

หยางเถาก้มหน้าลงซ่อนดวงตาร้าวรานเอาไว้ พยายามฝืนยิ้มทั้งที่เมื่อคิดถึงวันสุดท้ายที่เขาจะต้องไป มันกลับรู้สึกว่าหัวใจคล้ายจะแตกสลาย จะตายหรือ คงใช่ เมื่อถึงวันนั้นคงเรียกว่าตายได้นั่นล่ะ

“ไม่เป็นไรหรอก อย่าลืมสิ ข้ามีเวลาอยู่กับเจ้าอีกร้อยราตรีนะ” รอยยิ้มหวานถูกหยางเถาส่งให้กับร่างสูงเพื่อปลอบประโลม เช่นไรเสีย เขาเพียงอยากใช้ช่วงเวลาสุดท้ายที่เขาแลกมา เพื่อทำให้คนคนนี้มีความสุข เพื่อเก็บความทรงจำดีๆ กับเฟยหลงเอาไว้ แม้ว่ามันจะต้องแลกกับชีวิตของเขาก็ตาม หยางเถาเอื้อมมือออกไปจับกุมมือหนาเอาไว้จนแน่น ส่งยิ้มบางเบาให้ร่างสูงเพื่อนให้เฟยหลงอารมณ์ดีขึ้น

“ยิ้มหน่อยสิ” ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพียงแค่เฟยหลงได้ยินคำนั้นที่ออกมาจากร่างบาง เฟยหลงก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้ เมื่อหยางเถายอมสละชีวิตเพียงเพื่อให้ได้อยู่กับเขาแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ เขาก็จะทำให้หยางเถามีแต่รอยยิ้ม จะไม่มีทางให้ใครมาทำร้ายดอกท้อดอกนี้ของเขาเป็นแน่ ไม่มีทาง!!

“นามของข้าคือลู่เฟยหลง เจ้าเรียกข้าว่าเฟยหลงก็ได้ แล้วเจ้าอยากจะทำอะไร”

“ไม่รู้สิ ปกติเจ้าทำอะไรบ้างล่ะเฟยหลง” เสียงหวานที่เอื้อนเอ่ยชื่อเขาออกมา ทำให้หัวใจของเฟยหลงพองโตจนคับแน่นไปทั้งอก ณ ตอนนี้ ไม่ว่าสิ่งใด ก็ไม่สำคัญเท่ากับหยางเถาอีกแล้ว

“เจ้าอ่านหนังสือออกหรือไม่” ใบหน้างามส่ายหน้าปฏิเสธ เขาเป็นต้นไม้นะ จะเคยอ่านหนังสือได้อย่างไร คิดได้แบบนั้นหยางเถาก็หัวเราะออกมา นั่นยิ่งทำให้เฟยหลงเผลอมองนิ่งด้วยความตะลึง รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของหยางเถาที่มีแสงจันทร์สาดส่องมันช่างงดงามยิ่งกว่าเทพธิดาองค์ใด

“เฟยหลง ข้าเป็นต้นท้อมาหลายพันปี เจ้าคิดว่าจะมีผู้ใดมาสอนหนังสือให้ต้นไม้เล่า”

เฟยหลงที่คิดขึ้นได้ถึงกับหน้าขึ้นสี ร่ำเรียนมาก็มา หากแค่พยายามจะหาเรื่องราวมาชวนคุย เขายังทำพลาดเลย น่าอายเสียจริง หากใครมารู้มาได้ยินเข้า เขาคงไม่รู้จักเอาหน้าไปไว้ที่ใด

“ข้าก็ลืมไปเสียสนิทเลย” ยิ่งเฟยหลงทำท่าราวกับเคอะเขินมากเท่าไหร่ ยิ่งเรียกเสียงหัวเราะจากหยางเถามากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้ว่ามันจะน่าฟังก็ตามที

“ไปเถิด ไปด้านในกับข้า ข้าจะสอนเจ้าอ่านตำราเอง” เฟยหลงกุมมือเล็กๆ เอาไว้ แม้จะไม่อุ่นเช่นดังมนุษย์ควรจะเป็นแต่เฟยหลงก็พร้อมจะกุมเอาไว้ตลอดไป ต่อให้มันจะเย็นเท่าไหร่ เขาก็พร้อมจะถ่ายเทความอบอุ่นจากตัวเขาไปให้จนกว่ามือคู่นั้นจะเต็มไปด้วยไออุ่นจากเขา

เฟยหลงและหยางเถาต่างพากันเข้าไปภายในห้องของร่างสูง ทุกอย่างมันดูแปลกไปหมดสำหรับหยางเถา ไม่ว่าสิ่งใดในห้องต่างก็ทำให้หยางเถาตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด ยิ่งหยางเถาให้ความสนใจมากเท่าไหร่ เฟยหลงก็อดยิ้มตามไปไม่ได้ ตำราสองเล่มถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ เฟยหลงกวักมือเรียกให้หยางเถาเดินเข้าไปและนั่งลงใกล้ๆ กับตน ก่อนจะเริ่มสอนหนังสือให้หยางเถาได้ค่อยๆ อ่านอย่างไม่รีบร้อน ภายใต้จันทราและหมู่ดาวสองร่างยังคงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ตำราเล่มแล้วเล่มเล่าถูกนำมาวางไว้จนข้างๆ นั้นซ้อนกันจนสูง

ดาวและเดือนเริ่มเลือนลับฟ้า ท้องนภาเริ่มแปรเปลี่ยนสี บ่งบอกว่าใกล้จะถึงเวลาสว่างแล้ว บางอย่างในกายของหยางเถาส่งสัญญาณเตือนถึงเวลาที่กำลังจะหมดลง อยากอยู่ใกล้เฟยหลงอีกนิด อยากหยุดเวลาเพิ่มอีกสักหน่อย หยางเถามีความสุขเหลือเกินในค่ำคืนแรกนี้ มีความสุขจนลืมเลือนสัญญาที่องค์เง็กเซียนได้กล่าวเอาไว้

“แม้เจ้าจะมีเวลาถึง100ราตรี แต่เป็นเพียงเวลายามราตรีเท่านั้น หากเมื่อใดทิวาย่างกลายมาแทนที่ เจ้าจะต้องกลับเข้าไปยังต้นท้อเช่นเดิม และเมื่อราตรีเวียนมาจบ เจ้าก็จะสามารถออกมาได้อีก จำไว้ให้ดี เจ้ามีเพียงแค่ไอของจันทรา มิอาจดูดกลืนพลังแห่งทิวาได้ จงอย่าลืม”

หยางเถาหันไปมองเฟยหลงที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาอ่านตำราอย่างขะมักเขม้น ต้องลากันแล้วสินะ หยางเถาได้แต่กล้ำกลืนฝืนยิ้มเอาไว้ จะอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด เพียงแค่ราตรีเวียนมา เราก็จะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง แค่อดทน แค่อดทนเท่านั้น

“เฟยหลง ออกไปกับข้าได้หรือไม่” ใบหน้าหล่อเหลาละสายตาจากตำราที่อ่านขึ้นมามองหน้าของหยางเถาอย่างสงสัย แต่กระนั้นเขาก็ยังคงยิ้มให้

“เอาสิ ไปที่ใดหรือ”

หากแต่หยางเถานั้นกลับมิได้ตอบสิ่งใด เพียงแค่กุมมือหนาเอาไว้และพาเดินออกไปด้วยกัน จันทราเลือนรางจนใกล้จะลับหาย ตะวันคงใกล้จะมาแทนที่เสียแล้ว หยางเถาเร่งฝีเท้าเดินไปยังต้นไม้ที่อยู่เบื้องหน้าจนมาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นท้อที่ดอกท้อยังคงบานสะพรั่งอยู่บนต้น แม้จะไร้แสงจันทร์แต่ความงดงามมิได้ลดลงตามแสง หยางเถาบีบมือของเฟยหลงจนแน่น ความโลภที่อยากจะอยู่กับเฟยหลงต่อมันถูกกระตุ้นขึ้นมา แต่เขาทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ก้มหน้ายอมรับความเมตตาขององค์เง็กเซียนเท่านั้น

“เฟยหลง.....”

“มีสิ่งใด เจ้าก็พูดมาเถิด” เฟยหลงยิ้มด้วยความเอ็นดู เมื่อหยางเถาของเขาเรียกขานชื่อเขาแล้วมิยอมเอ่ยสิ่งใด สีหน้าลังเลของหยางเถาและกิริยาที่ดูเศร้าหมองลงอยู่ในสายตาของเฟยหลงทั้งสิ้น เขาไม่รู้ว่าสิ่งใดคือสิ่งที่หยางเถากังวล จึงทำได้เพียงรอรับฟังอยู่เงียบๆ

“เฟยหลงข้า......ข้าต้องไปแล้ว” คำบอกเล่าที่ออกมาจากปากของหยางเถาทำให้เฟยหลงชะงัก

“ไปไหน เจ้าจะไปไหนกันหยางเถา”

“ข้าอยู่ได้เพียงยามราตรีเท่านั้น มิใช่ยามทิวา” เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยความเศร้าหมอง หากแสงอาทิตย์สาดส่องมา คงไม่ทันการเป็นแน่

“แล้วข้า จะได้เจอเจ้าอีกหรือไหม หยางเถา” หยางเถายิ้มบางๆ ให้ บีบกระชับมือใหญ่จนแน่น

“แน่นอน ข้าจะมาพบเจ้าอีกครั้งที่นี่ เมื่อจันทราขึ้นสู่ฟากฟ้า”

“ข้าจะรอ.....”

หยางเถาปล่อยมือออกจากเฟยหลง หันหลังเดินกลับไปยังลำต้นใหญ่ของต้นท้อ เพียงครู่เดียวร่างของหยางเถาก็หายไป หลงเหลือเพียงแสงสีเขียวราวหิ่งห้อยที่ตกค้างอยู่ เฟยหลงเดินเข้าไปหาต้นท้อใหญ่ที่ภายในมีหัวใจของตนซุกซ่อนอยู่ ร่างสูงจรดริมฝีปากลงบนลำต้นอย่างแผ่วเบาด้วยความอาลัย

“ข้าจะรอเจ้าหยางเถา จะตั้งตารอเจ้าเสมอ”



 TBC







สวัสดีค่าทุกคน แมวเอาน้องเถามาลงให้อ่านกันแล้วนะคะ ขอบอกเลยว่าแมวเพิ่งจะเคยแต่งเรื่องเกี่ยวกับจีนโบราณครั้งแรก! ปกติแมวจะเคยลงผลงานเรื่องสั้นมามากกว่า แต่ด้วยความชอบส่วนตัวล้วนๆ ถึงทำให้แต่งเรื่องนี้ออกมา ฝากน้องเถากับพี่เฟยไว้ด้วยนะคะ กราบขอบพระคุณมากๆ ค่า




Facebook : https://m.facebook.com/PassionateFiction

Twitter : https://mobile.twitter.com/little_kittensY

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2019 10:26:36 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
                วันนี้คือวันที่สองของการมีนายคนใหม่ เหล่าสาวใช้ต่างพากันแต่งตัวให้ตนเองดูสวย แม้จะไม่มีโอกาสให้นายน้อยของพวกเธอเห็นก็ตาม ซูหนิงกวาดใบไม้ที่ล่วงหล่นตามพื้นอย่างอารมณ์ดี แสงตะวันสาดส่องไปตามต้นหญ้า เหล่าดอกไม้พร้อมใจกับเบ่งบานราวกับว่าถึงเวลาตื่นจากการหลับไหลและส่งกลิ่นหอมยั่วเย้าเหล่าภมรให้มาดอมดมสวนพฤกษาแห่งนี้ ราวกับว่านางกำลังเพลิดเพลินอยู่บนสรวงสวรรค์กับเหล่าผีเสื้อแสนสวยที่บินมาเล่นกับตัวนาง 
  หยางเถาที่กำลังพักผ่อนอยู่ในต้นท้ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แต่ไม่นึกเลยว่าเพียงแค่เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ตั้งใจของหยางเถานั้น จะทำให้สาวใช้ผู้นั้นมองหันซ้ายแลขวาด้วยความระแวง

“ใครหัวเราะข้า!!”

แม้ไม่มีเสียงตอบกลับ แต่นางมั่นใจว่านางได้ยินมิผิดแน่ กล้าดีอย่างไรกันถึงมาหัวเราะเทพธิดาเช่นนางได้ จะต้องเป็นถิงถิงแน่ๆ ที่อิจฉาความงามของตัวนางที่ช่างเข้ากันกับเหล่าดอกไม้งามเหล่านี้ หากแต่ว่า......

  เสียงเมื่อครู่ มาจากทางต้นท้อมิใช่รึ!!

  ซูหนิงหันไปมองทางด้านหลังช้าๆราวกับกำลังหวาดกลัวบางอย่าง สายตาตื่นตระหนกเบิกกว้างจนแทบถลน นางไม่อยากจะเชื่อ!! นี่มันวันวิปลาสใดกัน เหตุใดต้นท้อที่มิเคยผลิดอกออกผลมาหลายร้อยปี ถึงได้มีดอกไม้สีชมพูอันเป็นสีของดอกท้อประดับอยู่บนกิ่งได้เล่า 

  ไม่จริง!! ต้องมีคนมาเล่นพิเรนท์เป็นแน่

“ข้าจะเอาออกให้หมดเลย อย่าให้ข้าจับได้นะว่าใครมาแกล้งข้าเช่นนี้!!!” 

  อารมณ์หงุดหงิดมีมาก ด้วยในใจนางนั้นคิดแต่เพียงว่ามีผู้ปองร้ายหมายจะแกล้งให้นางกลัว นางจึงเอื้อมมือขึ้นไปจนสัมผัสดอกท้อได้ แต่ไม่ว่าจะดึงเช่นไร ดอกท้อก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดตามแรงของนางเลยแม้แต่น้อย ซูหนิงยิ่งโมโห ใช้ด้ามไม้กวาดที่หล่นอยู่ตรงพื้น ครูดไปตามกิ่งหวังเพียงให้เจ้าดอกท้อปลอมได้หล่นล่วงลงมา!!

“โอ้ย!”

“เอ๊ะ??” 

  เมื่อครู่ ข้าว่าข้าได้ยิน ไม่ได้ ข้าจะต้องลองอีกรอบ!!!

  ความดื้อดึงของซูหนิงทำให้ร่างของหยางเถาบาดเจ็บ ต้นไม้คือตัวของเขา หากถูกทำร้ายจากต้นเขาก็ย่อมได้รับความเจ็บปวดมิต่างกัน หยางเถาไม่มีทางเลือก หากปล่อยเอาไว้เขาคงต้องเจ็บตัวหนักกว่านี้เป็นแน่ 

  ฝ่ามือบางยกขึ้นมาตวัดออกไปด้านหน้า สายลมถูกใช้แทนคลื่นพลังดันร่างของซูหนิงเสียกระเด็น ซูหนิงที่ล้มลงมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง เมื่อครู่คือสิ่งใด ทำไมข้าถึงกระเด็นกระดอนออกห่างจากต้นท้อนั่นเล่า 

  ระ ระ หรือ หรือว่า!!!!!

“ปะ ปะ ปีศาจ!!!!! กรี๊ดดด!!!!!”

  ซูหนิงกรีดร้องลั่นพร้อมกับวิ่งหนีไป หยางเถาลอบถอนหายใจอย่างกังวล เขาทำเรื่องอีกแล้วสินะ แบบนี้มีหวังนางคงเอาไปพูดกับคนอื่นๆเป็นแน่ เห็นที......หนึ่งร้อยราตรีของข้าที่คิดเอาไว้ว่าจะใช้เวลาอยู่เฟยหลงคงไม่ง่าย จากนี้ไปข้าคงมีเรื่องวุ่นวายเป็นพันเป็นหมื่นเรื่องเข้ามาเป็นแน่

  หยางเถาเลิกแขนเสื้อสีขาวขึ้นสูง แขนเล็กปรากฏร่องรอยสีแดงช้ำที่เริ่มจะกลายเป็นสีม่วงให้ได้เห็น ใบหน้ามีรอยขีดข่วนเล็กๆแม้ไม่เจ็บแต่หยางเถาก็ไม่ชอบใจอยู่ดี หากปล่อยไว้เช่นนี้ คืนนี้เฟยหลงคงสังเกตเห็นและจะต้องเป็นห่วงเขาแน่นอน

  สองนิ้วค่อยๆไล่ลงตรงบริเวณรอยช้ำ แสงสีเขียวปรากฏขึ้นมาบดบังร่องรอยเมื่อครู่ เพียงพริบตาที่แสงนั้นหายไปร่อยรอยที่เคยเด่นชัดก็พลันหายไปเช่นกัน พลังจากแสงจันทราที่เคยดูดซับมาก็เอาไปแลกเปลี่ยนเป็นดอกท้อเกือบหมด ในตัวหยางเถามีพลังเหลือเพียงเศษเสี้ยวเดียวเท่านั้น โชคดีที่เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้พลังมากมาย แม้เมื่อครู่จะถูกนำมาใช้ไปบ้าง แต่เขาก็ยังมีพลังเหลือเก็บไว้อยู่ คงต้องพักเสียหน่อย มิเช่นนั้นร่างกายที่ได้รับมาจะทนไม่ไหวเอา

 

              ซูหนิงที่วิ่งหนีมาจากสวนด้านหลังกระหืดกระหอบอยู่ที่หน้าพ่อบ้านถัง ใบหน้านางเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว ดวงตาเบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมา ทุกคนดูตกใจกับปฏิกิริยาของซูหนิงมาก ใครถามไถ่สิ่งใดก็มิอาจตอบให้ได้เข้าใจ

“เกิดอะไรขึ้น!! เจ้าวิ่งหนีสิ่งใดมา!” 

“มะ มะ ปะ ปะ” ด้วยความอาวุโส พ่อบ้านถังจึงได้พูดถามไถ่ถึงสิ่งที่ซูหนิงได้ไปพบเจอ แต่นางกลับพูดตะกุกตะกักจับใจความไม่ได้เสียจนคนแก่อย่างถังลี่หยางเกิดอาการหงุดหงิด

เคร้ง!!!!!

“โว้ย!!! เกิดอะไรขึ้น เจ้าก็รีบเล่าสิ!! อ้ำๆอึ้งๆอยู่นั่นละ ใครมันจะไปฟังเจ้าเข้าใจกัน!!!!” 

  ทุกคนที่กำลังรอฟังต่างสะดุ้งสุดตัวกับเสียงโยนของลงกระทบกันจนเสียงดัง ซูหนิงที่ตกใจจากเหตุการณ์ก่อนหน้าเริ่มได้สติ ความหวาดกลัวต่อปีศาจมิอาจเทียบกับความน่ากลัวของตาเฒ่าถังได้เลย ใครๆก็รู้กันทั้งเมืองว่า ถังลี่หยางคนนี้ ขึ้นชื่อเรื่องดุขนาดไหน นายท่านคนเก่าหรือปู่ของนายน้อยเฟยหลงเองก็ถูกบ่นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าถังลี่หยางจะถูกไล่ออกหรือถูกคาดโทษใดๆ จะมีก็เพียงเสียงหัวเราะที่ดังออกมายามถูกบ่นก็เท่านั้น ซูหนิงกลืนน้ำลายลงคอสูดหายใจอยู่สองสามครั้งก่อนจะเล่าออกมา

“ขะ ข้า ข้าไปเจอ ปะ ปะ ปีศาจ!!”

“ปีศาจ!!!!!” ทุกคนต่างพูดขึ้นพร้อมกัน สาวใช้หลายๆคนมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง มันจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ หากแต่ท่าทางของซูหนิงเองก็ดูหวาดกลัวกับสิ่งที่ได้พบมา

“เป็นไปไม่ได้ เจ้าเห็นปีศาจจริงๆรึ!!!” 

  ถังลี่หยางหรี่ตาจับผิด ใช่ว่าเขาจะตั้งข้อสงสัยกับสาวใช้ตัวเล็กๆ แต่หากเกิดการเล่าลือออกไปผิดๆ มันจะเป็นเรื่องใหญ่ที่จะทำให้จวนตระกูลลู่เสียชื่อเสียง ซูหนิงชะงัก พยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่อีกครั้ง

“ข้าไม่เห็นตัว ตะ แต่ข้าถูกมันใช้พลังซัดข้าจนล้มเลยนะ!!!”

“แล้วเจ้าทำสิ่งใดอยู่ตอนที่ปีศาจของเจ้าซัดเจ้าล้มลงกับพื้น” ซูหนิงก้มหน้าลง ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงอ้อยอิ่ง

“ข้ากำลัง พยายามเอาไม้กวาดเขี่ยดอกท้อปลอมบนต้นของท้อโศกศัลย์ออกเจ้าค่ะท่านพ่อบ้านถัง”

“นั่นปะไร!!!” ถังลี่หยางตบเข่าดังฉาดใหญ่ คิดเอาไว้แล้วเชียวว่าพวกนี้มันตื่นตูมไปเอง

“ข้าคิดแล้วเชียว ไม่มีปีศาจที่ไหนหรอกนะ เจ้าแค่สะดุดชุดตนเองหรือไม่ก็สะดุดก้อนหินจนล้มลงเสียมากกว่า”

  หลังจากพ่อบ้านถังสรุปเหตุการณ์ที่ซูหนิงพบเจอมา เหล่าคนที่มารอฟังก็ถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคดีแล้วที่ไม่ใช่ปีศาจ ไม่เช่นนั้นคงได้ลาออกกลับไปบ้านเป็นแน่ สาวใช้คนอื่นๆมองซูหนิงด้วยแววตาสงสาร ถึงแม้ใจพวกนางจะอยากสมน้ำหน้า แต่เห็นสภาพตอนนางวิ่งมาแล้วคงจะกลัวมาก 

“เอาล่ะ แยกย้ายกันไปทำงานของพวกเจ้า แล้วใครที่พิเรนท์เอาดอกท้อปลอมไปติดไว้ก็ไปเอาออกเสียด้วย!! เดี๋ยวนายน้อยมาเห็นจะไม่พอใจเอา!!”

  หลังจากถูกสั่ง ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง ซูหนิงเองก็ได้แต่เกาหัวกับเหตุการณ์นั้น นี่สรุปแล้วนางสะดุดก้อนหินจริงๆหรือ ตัวนางเองก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วสิ ซูหนิงเดินงงๆกลับไปทำหน้าที่ตนเอง ในขณะที่ทุกๆคนต่างเกิดคำถามในใจว่า ใครหนอช่างเล่นพิเรนท์เอาดอกท้อปลอมไปติดไว้ มันน่าตียิ่งนัก!!!

 

          พ่อบ้านถังเดินตรงมายังห้องพักผ่อนของเฟยหลงพร้อมกับสาวใช้อีกสองคน ในมือของพวกนางเต็มไปด้วยอาหารที่ส่งกลิ่นหอม เขารู้ว่านายน้อยต้องอ่านตำราเพื่อเตรียมตัวเข้าสอบ หากแต่ก็น่าจะมีเวลาพักและออกไปสูดอากาศข้างนอกเสียบ้าง นี่อะไร นายน้อยเฟยหลงกลับเอาแต่ขังตัวเองไว้ในห้องกับตำรามากมายก่ายกองที่แค่เห็นเขาก็ปวดหัวแทนแล้ว 

“นายน้อยขอรับ ข้านำอาหารมาให้ขอรับ” ไร้เสียงใดๆตอบรับกลับมา ยิ่งทำให้พ่อบ้านถังกังวล หรือนายน้อยเฟยหลงจะไม่อยู่ เป็นไปไม่ได้ 

“นายน้อยเฟยหลงขอรับ ข้าขอเข้าไปนะขอรับ”

  ถังลี่หยางไม่รอคำอนุญาตใดๆ ด้วยความร้อนใจมือของเขาจึงผลักประดูเข้าไปด้านใน สายตาสอดส่องมองหน้าร่างของผู้เป็นนาย และก็ต้องตกใจเมื่อนายน้อยของตนนั้นกำลังหลับอยู่ที่โต๊ะกับกองหนังสือ ถังลี่หยางได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ช่างเหมือนกันทั้งปู่ทั้งหลาน เห็นหนังสือดีกว่าสิ่งใดจริงๆ สมแล้วที่เป็นหลานของนายท่าน

“นายน้อยขอรับ นายน้อย! ตื่นเถอะขอรับ ตะวันขึ้นแล้วนะขอรับ”

“อื้อ~ หยางเถา ข้าเพิ่งจะได้นอนเองนะ” หยางเถา ใครกัน หรือจะเป็นสหายของนายน้อย

“นายน้อย นี่ข้าเองครขอบ ถังลี่หยาง ไม่ใช่หยางเถา ตื่นเถอะขอรับนายน้อย”

  เฟยหลงขยับตัวตื่นจากการหลับเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่ช่างรบกวนการนอนของตน ดวงตาคมค่อยๆเพ่งมองไปยังคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า มุมปากของเฟยหลงยกยิ้มเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังรบกวนการหลับอย่างมีความสุขของเขานั้น มิใช่ใครอื่นใด แต่เป็นพ่อบ้านถังลี่หยางนี่เอง สองสาวที่มาพร้อมพ่อบ้านถังก้มหน้ามองอาหารที่ตนได้ถือมา ไม่กล้ามองใบหน้าตื่นนอนของเฟยหลงเพราะเกรงว่าจะเก็บอาการระริกระลี้ไว้ไม่อยู่แล้วเผลอแสดงกิริยาอันไม่เหมาะสมออกไปจนถูกพ่อบ้านถังเอ็ดเอา

“นายน้อยท่านไม่สบายหรือเปล่าขอรับ ให้ข้าน้อยตามหมอดีไหมขอรับ” ถังลี่หยางเอ่ยถามด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นใบหน้าของผู้เป็นนายดูอิดโรยราวกับคนไม่ได้นอน

“ไม่ต้องหรอกๆ ข้าแค่พักผ่อนน้อยไปเท่านั้น แล้วนี่.....ท่านมีอะไรหรือเปล่า” 

  พ่อบ้านถังพยักหน้าให้สองสาวใช้จัดการวางอาหารลงบนโต๊ะให้เรียบร้อย พวกนางลอบมองใบหน้าของเฟยหลงไม่ให้เจ้าของใบหน้าได้รู้ตัว ความหล่อเหลาที่แม้จะอยู่ในอาการเพิ่งตื่นก็ทำให้สองสาวลอบยิ้มแก้มสองข้างแดงปลั่งด้วยความเขินอาย แต่ทั้งคู่ก็ต้องสะดุ้งอย่างตกใจ เมื่อเสียงกระแอมเตือนและสายตาคาดโทษของพ่อบ้านถังดังขึ้นมา

“ข้าให้สาวใช้นำอาหารเช้ามาให้นายน้อยขอรับ เชิญนายน้อยล้างหน้าล้างตาแล้วทานเถอะขอรับ แล้วอีกสักพักข้าน้อยจะให้คนมาเก็บ” เฟยหลงมองอาหารตรงหน้าแล้วหาววอด อาการอยากนอนยังคงตกค้างอยู่ในกาย ดูท่าทางแล้วเขาคงต้องเปลี่ยนเวลานอนเสียแล้วสิ แต่จะทำอย่างไรดี หากเป็นเช่นนี้ คงไม่ง่ายเลยที่เขาจะเปลี่ยนเวลา

“ข้าเข้าใจแล้ว” 

  พ่อบ้านถังยิ้มบางๆให้เฟยหลง ค้อมศีรษะลงเป็นการกล่าวลาก่อนจะค่อยๆถอยหลังออกไป ทันทีที่ประตูปิดลง ใบหน้าของพ่อบ้านถังก็ทะมึงทึงขึ้นทันตา ร่างชายชราของถังลี่หยางหันมาหาสองสาวที่อยู่ด้านหลังแทบจะทันที

“พวกเจ้า!!!! กิริยาเมื่อครู่มันอะไร!! ข้าเคยบอกแล้วใช่หรือไม่ ว่าห้ามเล่นหูเล่นตากับนายน้อย!!!” 

  สองสาวก้มหน้าหงุด ตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวต่อสุ้มเสียงที่กำลังด่าทอพวกนาง ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่ามิควร แต่เห็นใบหน้าของนายน้อยทีไร พวกนางก็ทนไม่ไหวเสียทุกที ใครใช้ให้นายน้อยโตมาหล่อเหลาจนพวกนางหักห้ามใจไม่ได้กัน

“กลับไปทำงานของเจ้าเสีย! อย่าให้ข้าเห็นกิริยาอย่างเช่นเมื่อครู่อีก!!” 

“เจ้าค่ะ!” 

  สองสาวรีบวิ่งหนีไปทันที แค่โดนบ่นก็ถือว่าดีแล้ว หากโดนลงโทษขึ้นมา พวกนางคงมิวายถูกไล่ออกเป็นแน่ ถังลี่หยางได้แต่ส่ายหน้ากับความซุกซนของเหล่าสาวใช้ในบ้าน แม้นายน้อยของเขาจะรูปงามกว่าผู้ใด แต่ก็ควรจะรู้ว่าผู้ใดคือผู้ใดสิ มิเช่นนั้น......คงเสียระเบียบเป็นแน่

  พลันสายตาของชายชราก็เหลือไปเห็น บนกิ่งของต้นท้อที่มิเคยอยู่ในสายตา หากตอนนี้กลับมีสิ่งแปลกปลอมอยู่บนนั้นเสียจนสะดุดตา สีชมพูบนกิ่งไม่มีทางเป็นสิ่งอื่นใดแน่!! 

 นั่นมัน...ดอกท้อ!! หรือจะเป็นดอกท้อที่ซูหนิงบอกเมื่อเช้ากัน

  สองเท้าก้าวเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็วด้วยความสงสัย จนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าต้นท้อนั้น หากจำไม่ผิด ท้อต้นนี้ นายท่านเรียกมันว่า ท้อโศกศัลย์ มิใช่หรือ แล้วเหตุใดท้อโศกศัลย์จึงได้ออกดอกกัน หรือจะมีใครเล่นพิเรนท์อย่างที่ซูหนิงว่า

  ทันทีที่เกิดความสงสัย มือของถังลี่หยางก็ยื่อออกไปหวังแตะต้องและจับพิสูจน์ ว่ามันคือสิ่งใดกันแน่ หากเมื่อมือของถังลี่หยางได้สัมผัสกลับต้องตกใจยิ่งกว่า ใบหน้าของลี่หยางเต็มไปด้วยความสับสน สิ่งที่สัมผัสกับมือของเขา มิใช่สิ่งแปลกปลอมแต่อย่างใด มันเป็นของจริง!!!

“นะ นี่มัน! นี่มันดอกท้อ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!! เป็นไปได้อย่างไร!” 

  ความสับสนงุนงงทำให้ถังลี่หยางพึมพำออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ตั้งแต่เข้ามาทำงานที่นี่เขาไม่เคยเห็นต้นท้อต้นนี้ จะมีทีท่าว่าจะผลิดอกสักครั้ง แล้วเหตุใดกัน เหตุใดวันนี้มันจึงออกดอกได้ 

   แต่แม้ว่าจะเกิดความสงสัยเท่าไร ความสงสัยก็หาได้รับคำตอบที่ชัดเจนไม่ กลับเป็นถังลี่หยางเสียเอง ที่ถอนหายใจและถอดใจยอมปล่อยให้มันยังคงเป็นปริศนาต่อไป บางที มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ อาจเป็นเพียงสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นตามธรรมชาติเท่านั้น 

  ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด อย่าได้มีเรื่องเลวร้ายใดๆเกิดขึ้นเลย





                                    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





>>>>>>>>>มีต่อค่ะ<<<<<<<<<<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2018 20:58:18 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
>>>>>>>>>ต่อค่ะ<<<<<<<<<<


                ท้องฟ้าเริ่มมืดลงจนแทบจะไร้แสงตะวัน ร่างของเฟยหลงยืนรอคอยบางอย่างอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ที่ตอนนี้มีดอกไม้เล็กๆสีชมพูประดับอยู่ตามกิ่งก้าน ใบหน้าหล่อแหงนขึ้นขึ้นเฝ้ารอการปรากฏของดวงจันทรา เพียงเพื่อให้ได้พบหน้าของคนทราติดตรึงอยู่ในใจ 

  สายลมเอื่อยพัดผ่านร่างกายกำยำ ความเย็นสัมผัสผิวกายที่ถูกปกคลุมด้วยเสื้อผ้าไปจนรู้สึกได้ กลิ่นไอหอมหวานที่เฟยหลงมักได้กลิ่นจากตัวของหยางเถา มันเป็นกลิ่นเดียวที่ออกมาจากต้นท้อต้นนี้ 

เมื่อใดหนอ จันทราจะขึ้นสู่ฟากฟ้า ฉายแสงให้ตัวข้าได้พานพบกับคนที่ใจคะนึงหา

  เมฆดำเคลื่อนตัวมาบดบังทุกสิ่งบนท้องฟ้า จนไม่หลงเหลือแสงใดๆให้ได้มองเห็น ร่างของเฟยหลงยังคงเหม่อมองขึ้นไป เฝ้ารอเพียงจัทราเพียงดวงเดียวเท่านั้น ยามใดกันหนอที่จันทราจะเห็นใจยอมปรากฏขึ้นให้ได้เห็น

  ในที่สุดจันทราที่เฟยหลงรอคอยก็ส่องสว่างอยู่บนฟ้ากว้าง หมู่ดาวรวมตัวอยู่เคียงข้างราวกับหลงไหล ในจวนตอนนี้เต็มไปด้วยแสงไฟจากเทียนที่ถูกจุดขึ้น แม้แต่ในห้องของเฟยหลงเองก็เช่นกัน มือหนาลูบลำต้นใหญ่ของต้นท้อด้วยความคิดถึง
 

เลื่อนลอยยืนคล้อยชมจันทรา

ดวงดาราส่องแสงสว่างไสว

เคียงคู่สาดส่องงามอำไพ

ตราตรึงจับใจยามจ้องมอง

สายลมเอื้อนเอ่ยเป็นคำหวาน

ประหนึ่งดั่งต้องการเป็นเจ้าของ

เสียงหรีดหริ่งเรไรคล้ายทำนอง

ดั่งอุราพี่ปองใจเจ้าจันทร์
[/i]


“เมื่อใดเจ้าจะออกมา หยางเถา ข้ามารอเจ้านานแล้วนะ”

  กลิ่นหอมไม่ได้ลดน้อยลงแต่ก็ไร้วี่แววการปรากฏกายของหยางเถาแม้แต่น้อย เฟยหลงได้แต่เฝ้ารอเท่านั้น มือก็ยังคงลูบไปตามเปลือกไม้ ดอกท้อที่รอรับแสงจันทร์ยังไม่ยอมผลิบาน อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย เขาต้องอดทน ไม่ว่านานแค่ไหน เฟยหลงก็ยินยอมจะยืนปักหลักรอพบหยางเถาอยู่ตรงนี้เสมอ ไม่นานแสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ร่างบอบบางในชุดสีขาวกับเส้นผมสีเงินอันเป็นดังเอกลักษณ์นั้นก็ออกมาจากต้นท้อ

“อ๊ะ!!”

  เฟยหลงตกใจแต่ก็ช้าเกินไปที่จะก้าวถอยหลังเพื่อหลบให้ร่างตรงหน้าได้ออกมาสะดวก แรงส่งจากภายในลำต้นคล้ายแรงผลักที่ดันให้หยางเถาออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทันทีที่ได้ออกมาถึงหยางเถาคิดไว้ว่าคงได้หกล้มหน้าคะมำลงพื้นดินเป็นแน่ เฟยหลงคงได้หัวเราะและคงว่าตนนั้นไม่รู้จักระวังตัว

  หยางเถาหลับตาปี๋กลัวความเจ็บที่จะเกิดขึ้น หน้ากระแทกพื้นคงเจ็บไม่น้อย แต่รออยู่นานกลับสัมผัสได้เพียงความหอมอ่อนๆของบางอย่างและความอบอุ่นจากอ้อมแขนของใครบางคน 

  อ้อมแขน?? อ้อมแขนของผู้ใดกัน

“อ๊ะ ขะ ข้า ข้าขอโทษ”

  กลิ่นหอมหวานของหยางเถาลอยแตะจมูกจนเฟยหลงเผลอโน้มใบหน้าลงมาสูดดมจากกลุ่มเส้นผมสีเงิน เสียงหัวใจของหยางเถาเต้นระส่ำ ยิ่งสัมผัสจากปลายจมูกโด่งยิ่งทำให้แก้มบางเห่อร้อน เฟยหลงรู้สึกตัวเมื่อรู้สึกได้ว่าคนในอ้อมแขนหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว ไหนจะอาการเกร็งตัวที่เกิดขึ้นนี้อีก คงเป็นเพราะเขาทำอะไรลงไปโดยไม่ทันได้ยั้งคิด 

  อ้อมแขนของเฟยหลงค่อยๆคลายออกจนหยางเถาขยับออกห่างออกไปได้ ใบหน้าหวานแดงซ่านไม่ต่างจากสีของดอกท้อที่กำลังเบ่งบานสักนิด เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆจากเฟยหลงนั้น ทำให้หยางเถาทำตัวไม่ถูก อาการเขินอายที่มีอยู่ส่งผลให้หยางเถาได้แต่ยกมือขึ้นมาลูบผมสีเงินของตนเล่น เฟยหลงมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาหลงไหล ใบหน้าหวานราวกับหญิงสาวที่กำลังเห่อร้อนจนขึ้นสีระเรื่อ ผมสีเงินสลวยยามต้องแสงจันทร์ช่างดึงดูดสายตาให้เมียงมองช่างดูเข้ากันดีเสียเหลือเกิน ยิ่งยามใดที่หยางเถาเม้มริมฝีปากแดงฉ่ำเอาไว้ ยิ่งน่าดูชมจนเฟยหลงอยากจะเด็ดผลท้อนี้ไปกลืนกินเพียงผู้เดียว จะหอมหวานแค่ไหนกันนะ เฟยหลงได้แต่คิด

“เจ้ามาช้า.....” สุ่มเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นราวกับตำหนิ หากแต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจเสียมากกว่า หยางเถานึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ยามเมื่อตนยังอยู่ในต้นท้อ ที่ออกมาช้า ไม่ใช่เพราะไม่อยากจะเจอเฟยหลง แต่เพียงเพราะเขาอยากจะดูดซับแสงจันทร์อีกสักเล็กน้อย การเสียงพลังไปกับการไล่คนของเฟยหลงและรักษาแผลตนนั้น อาจจะไม่ได้ใช้ไปมากมายก็จริง แต่ก็ทำให้พลังลดลงไปเหมือนกัน จากที่เหลือน้อยก็ยิ่งน้อยลงไปอีก หยางเถาจึงหวังจะดูดซับแสงจันทราให้ได้เพิ่มสักหน่อย แต่ช่างเถอะ ตอนนี้หยางเถาต้องใช้ดอกท้อดูดซับแทนเสียแล้ว มิเช่นนั้น เฟยหลงเจ้าคนโง่เง่าคนนี้ ก็มิหยุดลูบไล้ร่ากายของเขาผ่านลำต้นเป็นแน่ 

“เจ้ารอข้านานแล้วหรือ” หยางเถาช้อนสายตากลมขึ้นถามด้วยความรู้สึกผิด หัวใจคนถูกมองเต้นตึกตักจนดังราวกับมีใครมาตีกลองอยู่ภายใน ความงดงามจากใบหน้าหยางเถาที่เต็มไปด้วยอารมณ์หวาดหวั่นว่าจะถูกโกรธเคืองนั้นช่างน่ารักน่าใคร่เสียเต็มประดา ใจหมายมั่นอยากจะคว้ามากอดให้เต็มรัก แต่สุดท้ายเฟยหลงก็ได้แต่หักห้ามใจเอาไว้ เกิดเป็นบุรุษบุตรชายแม่ทัพใหญ่ ไม่ควรจะหักหาญน้ำใจของผู้ใดทั้งสิ้น

“นานแค่ไหน ข้าก็รอเจ้าได้ทั้งนั้น” ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มนุ่มทอดสายตามองด้วยแววตาหวานฉ่ำเสียจนคนถูกมองสั่นไปทั้งใจ

“ปากหวาน” หยางเถาได้แต่พึมพำเบาๆ หมดสิ้นคำพูดใดๆจะพูดกับเฟยหลง ใครจะไปรู้ว่าบัณฑิตอย่างเฟยหลงจะช่างสรรหาคำมาพูดให้เขาได้เขินอายเช่นนี้

“แล้ว...วันนี้เจ้าอยากจะทำอะไรหรือ”

“อะไรก็ได้ หากเจ้าให้ข้าทำ ข้าก็อยากทำทั้งนั้น” ดวงตาคมฉายแววเจ้าเล่ห์ หยางเถาจะรู้ตัวไหมหนอ ว่ากำลังทำให้เขานั้น......มีความคิดอกุศลกับตนเอง 

“เช่นนั้นหรือ..”

“อื้อ!!” เสียงหวานเอ่นรับในลำคอพร้อมกับรอยยิ้มกว้างตากลมหยีลงจนแทบจะปิด เฟยหลงได้แต่วางมือไว้บนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีเงินอย่างเอ็นดู

“อยากไปเที่ยวไหมหยางเถา” ดวงตากลมวาววับด้วยความสนใจ จนเฟยหลงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ 

“หากเจ้ายินดี.....” 

“หึหึ.....มาสิ ข้าจะพาเจ้าไป”

  ทั้งที่เฟยหลงเองก็เพิ่งจะมาถึงเมืองนี้ได้ไม่นานนัก แต่จากตอนที่ได้เดินเข้าเมืองมา หลายๆอย่างก็มิได้เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ ความคุ้นเคยเมื่อครั้นเป็นเด็กยังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเฟยหลงจนแน่น เขามั่นใจว่า เขาจะสามารถพาหยางเถากินลมชมเมืองได้อย่างแน่นอน เฟยหลงกระชับมือบางเข้าสู่ฝ่ามือของตนจนแน่น ส่งยิ้มอ่อนหวานเพื่อให้หยางเถามั่นใจ

“ไปกันเถอะ”

“อื้อ.....” 

  หยางเถาได้แต่ก้มหน้าหงุดแก้มสองข้างแดงปลั่งเมื่อมือเล็กๆถูกความร้อนจากฝ่ามือของอีกคนส่งผ่านมา อุ่นซ่านไปทั้งหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เฟยหลงจับจูงร่างเล็กให้เดินผ่านเหล่าสายตาทั้งหลายของคนในจวนที่กำลังทำหน้าที่ของตนเองอยู่ ความสงสัยแคลงใจเกิดขึ้นเป็นประโยคเดียวกันกับผู้พบเห็น 

   สหายของนายน้อยผู้นี้ มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

“นายน้อยจะออกไปไหนขอรับ” ถังลี่หยางเอ่ยถามขึ้นเมื่อพบว่านายแห่งจวนกำลังจะก้าวออกไปด้านนอก เฟยหลงหันกลับมามองใบหน้าของผู้เป็นพ่บ้านด้วยรอยยิ้ม 

“ข้าจะพา.....สหายของข้า ไปเที่ยวชมเมืองเสียหน่อย” ถังลี่หยางเหลือบมองคนข้างกายของนายน้อยด้วยความสงสัย ผมสีเงินเช่นนั้นหรือ แปลกตาเสียจริงเชียว แต่กระนั้นถังลี่หยางก็เอ่ยออกมาอย่างนอบน้อมอยู่ดี

“ให้เหวินฉายไปกับท่านดีไหมขอรับนายน้อย”

“ไม่ต้องหรอก ข้าอยากไปกับหยางเถาแค่สองคน” หากเหวินฉายไปด้วยเดี๋ยวก็กลายเป็นเขาต้องคอยเฝ้าเหวินฉายนะสิ เจ้านั่นก็ไม่ค่อย ยู่กับที่เสียด้วย ช่วงเวลาที่เขาพึงจะมีกับหยางเถาก็มีหวังล่มกันหมดพอดี

“เช่นนั้น โปรดระวังตัวด้วยนะขอรับนายน้อย คุณชาย” 

  แม้จะเป็นห่วงแค่ไหนแต่เมื่อนายน้อยของเขายืนยันว่าจะไปลำพังเขาก็ไม่สามารถขัดได้ ถังลี่หยางได้แต่ยืนส่งสองร่างที่เดินเคียงคู่กันไปจนลับตาด้วยแววตาห่วงใยปนสงสัย หยางเถาหรือ ลูกเต้าเหล่าใครกันหนอ เข้ามาตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดเขาไม่เห็น หรือจะสนิทสนมกับนายน้อยจนสามารถเข้านอกออกในได้โดยง่าย ยิ่งคิดก็ยิ่งพาลให้สงสัย ถังลี่หยางจึงได้แต่เดินกลับไปสนใจงานของตนแทน ยุ่งเรื่องเจ้านาย ขี้กลากจะขึ้นหัวหงอกๆเอาเสียเปล่าๆ ได้แต่หวังว่านายน้อยของเขาคงไม่หลงทางหรอกนะ เอาเถอะ หากคืนนี้นายน้อยไม่กลับ พรุ่งนี้ค่อยสั่งเหวินฉายให้ออกไปตามหา ถังลี่หยางได้แต่ถอนหายใจและเลิกสนใจในที่สุด



                             
                 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



 

                      โคมไฟถูกจุดไว้ตามรายทางเพื่อเป็นดังแสงสว่างแก่ผู้คนในเมื่องนี้ หยางเถาที่ไม่เคยเห็นดูตื่นตาตื่นใจกับความแปลกใหม่ที่ได้พบ มือบางกระชับมือของเฟยหลงแน่นอย่างลืมตัว เมืองนี้ยังไม่หลับไหล ยังคงไหลลื่นเพราะผู้คนที่เดินไปเดินมาอยู่ในที ร้านค้าต่างๆแม้จะถูกปิดไปเสียส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีบ้างบางร้านที่ยังคงเปิดให้ได้เข้าไปดื่มกิน กลิ่นหอมของหลายๆสิ่งลอยคละคลุ้งปะปนกันมา ทั้งสุรา กลิ่นหอมของอาหาร หรือแม้แต่สตรีก็เช่นกัน

  กลิ่นหอมของบางอย่างดึงดูดให้หยางเถาปล่อยมือออกจากฝ่ามือใหญ่ ขยับกายเข้าไปยืนอยู่ตรงเบื้องหน้า มองควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากสิ่งนั้นด้วยความสนใจ น้ำลายถูกกลืนลงคอจนหมด ความรู้สึกกระหายและหิวโหยกำลังเข้าจู่โจมจนท้องน้อยๆร้องประท้วงเสียดังจนเจ้าของต้องเอามือลูบปอยๆ เกิดมาหลายร้อยปี ไม่เคยสักครั้งที่จะรู้สึกเช่นนี้เลย

“ซาลาเปาร้อนไหมๆขอรับ นายท่าน” 

  ด้วยความไร้เดียงสาเมื่อถูกไถ่ถามจึงพยักหน้าตามสัญชาตญาณความหิว ท้องยิ่งร้องประท้วงอย่างรุนแรงขึ้นเมื่อพ่อค้าที่ส่งยิ้มให้และไถ่ถามเขาเมื่อครู่เปิดฝาสิ่งนั้นออก กลิ่นหอมที่มาจากก้อนกลมๆสีขาวๆที่พ่อค้าเรียกมันว่าซาลาเปาถูกหยางเถาสูดดมเข้าจมูก น้ำลายแทบจะไหลด้วยความต้องการจะกัดกิน 

“นายท่านรับกี่ลูกดีขอรับ”

“ขะ ข้าเอาสามลูก!!” มือบางยื่นออกไปรับลูกขาวๆกลมๆสามลูกมาไว้ในมือ มันช่างนุ่มและอุ่นมือเสียเหลือเกิน

“ทั้งหมดหกอีแปะขอรับนายท่าน”

“เอ๊ะ???”

“หกอีแปะขอรับ” 

  หกอีแปะหรือ หกอีแปะคือสิ่งใด หยางเถาได้แต่เอียงคอมองด้วยความไม่เข้าใจจนพ่อค้าเริ่มมีสีหน้าไม่พอใจ รับซาลาเปาของเขาไปแล้ว เหตุใดมิจ่ายค่าซาลาเปาเล่า แต่งตัวก็ดี รูปหรือก็งามแท้ๆ กลับเป็นขอทานหรอกหรือ สายตาดูแคลนถูกส่งมาจนหยางเถาสัมผัสได้ บรรยากาศรอบกายฉายความไม่เป็นมิตรชัดเสียจนหยางเถาหวาดกลัว

“นี่เจ้าเป็นขอทานหรือ!! เอาซาลาเปาข้าคืนมาเดี๋ยวนี้!! ไม่จ่ายก็ไม่ต้องกิน!!” หยางเถามีสีหน้าราวกับจะร้องไห้เสียเต็มประดา เหตุใดคนๆนี้จะต้องดุเขาด้วย ก็ไหนไถ่ถามเขาเองมิใช่หรือว่าจะรับกี่ลูก แล้วเขาผิดอะไรกัน 

  เฟยหลงที่ถูกปล่อยมือเมื่อหันมาอีกครั้งก็หาร่างเล็กๆของหยางเถาไม่เจอเสียแล้ว คนตัวโตร้อนรุ่มไปทั้งใจด้วยความเป็นห่วง หยางเถาอยู่แต่ในต้นท้อ มีหรือจะรู้จักเส้นทางในเมืองที่วุ่นวายเช่นนี้ ไม่ได้ หากหยางเถามีอันตราย เขาจะไม่ยอมให้อภัยตัวเองเป็นแน่ สายตากวาดมองหาร่างบอบบางผมสีเงินจนทั่ว จนมาสะดุดพบคนที่ตามหากำลังยืนก้มหน้าตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวที่ถูกพ่อค้าวัยกลางคนต่อว่าต่อขานจนเสียงดัง เฟยหลงสาวเทาเข้าไปหยุดอยู่เบื้องหลังร่างงามด้วยท่าทางคุกคาม สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างชัดเจนจนพ่อค้าตัวโตหยุดพูด

“มีเรื่องอะไรหรือ....” น้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์หรือเอ่ยชื่อว่ากำลังถามผู้ใด พ่อค้าที่มองเห็นเฟยหลงที่แต่งกายด้วยผ้าชั้นดีที่เอวหนามีหยกที่ถูกแกะสลักคำว่าลู่เอาไว้ ทำให้พอจะเดาได้ว่าคนๆนี้คือนายน้อยลู่เฟยหลงแน่นอน

“ก็เจ้าขอทานนี้สิขอรับคุณชายลู่! ไม่มีเงินจ่ายค่าซาลาเปาข้า แต่กลับกล้าคว้าไปกิน!!” หยางเถาจับแขนของเฟยหลงแน่น ใบหน้าเศร้าสร้อยส่ายสะบัดจนผมสีเงินกระจาย ดวงตากลมฉ่ำคลอไปด้วยหยาดน้ำตา

“ขะ เขาถามข้าว่าจะรับกี่ลูก ข้าบอกไปว่าสาม แต่ข้าไม่รู้ว่าอะไรคือหกอีแปะ” ตากลมหลุบลงมองพื้นอย่างรู้สึกผิด ใบหน้างามบิดเบี้ยวจนแทบจะร้องไห้ออกมา ความกดดันจากทุกๆอย่างทำให้หยางเถาที่ไม่เคยพบเจอเรื่องแบบนี้ได้แต่ทำอะไรไม่ถูก พ่อค้าซาลาเปายกยิ้มกระหยิ่มเมื่อเห็นว่าตนไม่ใช่คนผิด

“เจ้าอยากกินซาลาเปาหรือหยางเถา หื้ม” สุ่มเสียงทุ้มเอ่ยถามคนข้างกายอย่างอ่อนโยนเสียจนพ่อค้าซาลาเปาที่เพิ่งมั่นใจว่าตนเหนือกว่านั้นถึงกับหน้าซีดเผือด

     เจ้าขอทานนี้เป็นสหายของคุณชายลู่ ไม่จริงน่า!!!

“ท้องข้า มันโอดครวญเสียงดังมาก เหมือนวันที่ฝนตกฟ้าร้องเลย” คำบอกเล่าที่แสนลริสุทธิ์ทำให้ลู่เฟยหลงอมยิ้มกลั้นขำเอาไว้ ท้องร้องนี่เอง คงเพราะกลิ่นหอมพวกนี้สินะ สายตาคมกริบตวัดมองพ่อค้าซาลาเปาจนสะดุ้ง ราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าแม้แต่น้อย

คนของข้า ได้กัดกินซาลาเปาของเจ้าหรือไม่?” เฟยหลงจงใจเน้นคำให้พ่อค้าหน้าเลือดที่ด่าทอหยางเถาได้รู้จักว่าคนที่มันเรียกว่าขอทานนั้นแท้จริงแล้ว เป็นคนสำคัญ ของเขาต่างหาก

“เอ่อ ไม่ขอรับคุณชายผู้นี้ยังมิทันได้กินขอรับ” อับจนหนทางเกินกว่าจะบากหน้าด่าไหว คนที่เขาเข้าใจผิดว่าเป็นขอทาน ด่าทอเสียๆหายๆจนสร้างความอับอายให้แก่สหายของคุณชายลู่ ตาช่างไร้แววเสียจริง

“ถ้าเช่นนั้น คนของข้า ยังต้องจ่ายค่าซาลาเปาแก่เจ้าหรือไม่?” พ่อค้าซาลาเปาได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ความกดตันตีรวนจนเขาแทบจะคุกเข่าลงอ้อนวอนเสียตรงนี้ เพราะเงินแค่หกอีแปะที่ทำให้เขาโมโหจนขาดสติ ด่าว่าสหายของคุณชายลู่เสียยกใหญ่ หากเขาใจเย็นกว่านี้ คงไม่ต้องมายืนอยู่ในจุดที่อับอายด้วยสายตาของผู้คนที่มองมา เหมือนเช่นตอนที่เขาว่าสหายของคุณชายลู่ไป

“ขะ ขอรับ ขออภัยด้วยขอรับ คุณชายลู่ คุณชาย”

“มะ ไม่ๆ ไม่เป็นไร ข้าผิดเอง ข้าอยากกินแต่ไม่รู้ว่าอะไรคือหกอีแปะ ข้าขอโทษด้วย” ยิ่งร่างดงามราวเทพธิดาตรงหน้าแก้ต่างให้เขาก็ยิ่งอับอาย รอยยิ้มพิมพ์ใจที่แสนซื่อช่างดูไร้เดียงสาเกินกว่าจะโป้ปดด้วยคำว่าไม่รู้จักเงินหกอีแปะ พ่อค้าซาลาเปาได้แต่ก้มหน้าลง จมไปกับความคิดตนเงียบๆ

“ไปเถอะหยางเถา ข้าจะพาเจ้าไปที่อื่น” 

“ที่ไหนกัน??”

“หึหึ ก็เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่า ท้องเจ้ามันโอดครวญเสียดังลั่น เช่นนั้น เราจึงต้องพามันไปรักษา” 

  หยางเถาเบิกตากว้างอย่างตกใจ นี่เขาป่วยหรอกหรือ มิน่าเล่ามันถึงได้ส่งเสียงเสียดังลั่นราวกับจะป่าวประกาศ เฟยหลงได้แต่ขบขันกับอาการของหยางเถา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนข้างๆเขาเชื่อเสียสนิทว่ามันกำลังป่วยอยู่ ใครจะไปคิดว่า หยางเถาของเขาจะซื่อขนาดนี้ มือหนากระชับจับจูงให้แน่นขึ้นกว่าเก่า ไม่อยากให้มือเล็กๆนี้หลุดหายไปที่ไหนอีก ภาพเมื่อครู่ยังคงตรึงใจเขาไม่คลาย หากเขาไปช้ากว่านี้เล่า หากเจ้านั่นไม่หยุดเพียงการด่าทอ หยางเถาจะเป็นเช่นไร

“อย่าปล่อยมือจากข้าอีกนะหยางเถา หากอยากไปไหนเพียงบอกข้ามา ช้าจะพาเจ้าไปทุกที่” หยางเถายิ้มกว้างพร้อมกับบีบมือหนาแน่นขึ้น

“อื้อ ข้ารู้แล้ว!”

  รอยยิ้มของทั้งสองมีไปตลอดทางที่ได้เดินผ่านไป ความสุขแผ่ซ่านไปจนทั่วแม้แต่รอบๆตัวของคนทั้งสอง บรรยากาศราวกับคู่รักคืออะไรกัน แต่ก็มิมีใครกล้าถาม แววตาเอ็นดูจากคุณชายลู่เฟยหลง ทำให้เหล่าผู้คนต่างคิดว่าอาจจะรักใคร่เช่นดั่งน้องชายคนหนึ่ง ด้วยเพราะลู่เฟยหลงนั้นเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านแม่ทัพลู่ คงเหงาที่เป็นลูกโทน จึงได้เอ็นดูหนุ่มน้อยผมเงินเช่นดั่งน้องชายเป็นแน่ 

  จันทรายังคงลอยเด่นเฉิดฉายแสงดั่งเช่นทุกราตรี หากทว่าแสงจันทรา มิเคยงดงามกับเขาเลยสักครั้ง มิมีครั้งคราใดที่เขาจะจับจ้องมันด้วยความรู้สึกสิเน่หา แต่เมื่อแสงจัทรานำหยางเถามาให้เขา เขากลับมองว่างดงามราวกับว่าไม่เคยเห็นมาก่อน เพียงแค่ข้างๆกายของเฟยหลงถูกเคียงข้างด้วยหยางเถา สิ่งใดในโลกใบนี้ ก็ดูงดงามไปเสียหมด 

     เพราะมีเจ้า ดวงตาของข้าจึงมองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดขึ้น

    เพราะมีเจ้า ข้าจึงอยากไปในทุกๆที่ไม่ว่าจะไกลสักกี่พันลี้

    และเพราะมีเจ้า หยางเถา เพียงมีเจ้า ไม่ว่าสิ่งอื่นใดก็ไม่สำคัญ






TBC



    หลงรักน้องเถากันหรือยังคะ ตอนแรกๆอาจจะไม่ถูกใจแต่แมวบอกได้เลยว่าเรื่องราวมันจะยิ่ง...หนักขึ้นๆ เรื่อยๆค่ะ นิยายเรื่องนี้แมวจะเรียกมันว่า นิยายวันละหน้า 555555 คือต่อให้เกิดความขี้เกียจแค่ไหนก็จะสั่งการตัวเองไว้ว่า หน้านึงนะ ต้องให้ได้หน้าหนึ่ง ฝากน้องหยางเถาไว้ด้วยนะคะ ส่วนเหวินฉายกับลี่ฟู่ ยังไม่ถึงคิวเนอะ ยังไม่มีเงินจ้าง 55555 ค่าตัวพวกนางแพ๊งแพง กราบขอบพระคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านผลงานของแมวนะคะ

**โค้ดลับฉบับหน้า หอคณิการ์ / หอนางโลม **


 

 

Facebook : https://m.facebook.com/PassionateFiction

Twitter : https://twitter.com/little_kittensY
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2018 21:00:12 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
            เฟยหลงพาร่างของหยางเถามายังร้านใหญ่ที่ดูครึกครื้น ผู้คนต่างมานั่งดื่มด่ำสุราและพูดคุยกันอย่างออกรส ยิ่งมากโต๊ะ ก็ยิ่งมากอารมณ์ หยางเถาพินิจถึงอารมณ์ของมนุษย์ที่ตนไม่เข้าใจด้วยท่าทางสงสัย เหตุใดผู้ที่ร่ำไห้จะต้องดื่มน้ำในไหกัน รสชาติมันอร่อยอย่างนั้นหรือ สายตาของหยางเถาเต็มไปด้วยความสงสัย กลิ่นอาหารที่ลอยตลบอบอวลอยู่ในนี้ยิ่งทำให้เสียงท้องของหยางเถาดังยิ่งกว่าเดิม เฟยหลงได้แต่ยกยิ้มขำๆให้กับคนข้างๆที่ตอนนี้แทบไม่มีเขาอยู่ในสายตา เพราะดวงตากลมโตสีอำพันเอาแต่มองอาหารในจานของโต๊ะอื่นพร้อมกับมือเล็กๆที่ลูบท้องตัวเองปอยๆ 

 ใครจะน่ารักได้เท่านี้อีกไหมหนอ 

“คุณชายทั้งสอง เชิญทางนี้เลยขอรับ เชิญๆ” เสี่ยวเอ้อของร้านเข้ามาต้อนรับและนำเฟยหลงกับหยางเถาไปยังโต๊ะที่ว่างอยู่ หยางเถายังคงหันซ้ายหันขวาไม่หยุด เมียงมองเหล่าคนแปลกหน้าที่เอาแต่กินและดื่มกันอย่างไม่หยุดปาก ลิ้นเล็กๆเลียไปทั่วริมฝีปากอิ่มสีแดงสดจนฉ่ำวาว ซึ่งตอนนี้เฟยหลงกลับคิดว่ามันน่ากินกว่าอาหารทั้งหมดในร้านนี้เสียอีก

“รับอะไรดีขอรับนายท่าน”

“เจ้าอยากกินอะไรล่ะหยางเถา” คนถูกถามหันมามองสบตากับเฟยหลงด้วยความงุนงง เหตุใดจึงมาถามเขากัน ปกติเขาก็กินแต่ซากสัตว์ซากพืชทั้งหลายที่ย่อยสลายอยู่ใต้พื้นดินกับดูดซับพลังจากแสงจันทรา หากเขาขอสั่งแสงจันทราสามจานได้หรือ ยิ่งคิดก็ยิ่งตลก จนหยางเถาเผลอยกมือขึ้นป้องปากหัวเราะด้วยความขบขัน เฟยหลงได้แต่เลิกคิ้วมุมปากยกยิ้ม แม้จะไม่รู้ว่าหยางเถากำลังขบขันสิ่งใด แต่เขาชอบที่จะเห็นมันเหลือเกิน

“ข้าอยากกินสิ่งนั้น.....” เสี่ยวเอ้อหันมองตามมือบางที่ชี้ไปยังโต๊ะใกล้เคียง

“ซาลาเปาเนื้อหรือขอรับ” เสี่ยวเอ้อถามเพื่อความแน่ใจ นี่เข้ามานั่งในร้านแล้วสั่งซาลาเปาเนื้อ? สีหน้างุนงงของเสี่ยวเอ้อประจำร้านเร่งให้เฟยหลงต้องเป็นฝ่ายสั่งอาหารเสียเอง

“มีอะไรอร่อยเจ้าก็เอามาเถอะ อ้อ! อย่าลืมซาลาเปาเนื้อด้วยล่ะ”

“คุณชายจะรับสุราหรือไม่ขอรับ ทางร้านเพิ่งจะได้สุราชั้นดีมา นุ่มลิ้นเชียวนะขอรับ” ใจจริงเฟยหลงเองก็อยากจะดื่มอยู่หรอก หากแต่เขาต้องดูแลเจ้าของเส้นผมสีเงินมากกว่า รอยยิ้มถูกจุดขึ้นมุมปาก และปฏิเสธเสียงดังอย่างชัดเจน

“ไม่ต้อง......ขอแค่น้ำชาให้ข้ากับสหายเป็นพอ”

“สักครู่ขอรับคุณชาย”

  เสี่ยวเอ้อเดินกลับไปแต่หยางเถาของเขากลับยังไม่เลิกสนใจในสิ่งที่อยู่รอบๆกาย แววตาใคร่รู้ใคร่เห็นฉายชัดเสียงยิ่งกว่าสิ่งใด ท้องน้อยๆเร่งรัดส่งเสียงประท้วงออกมาจนหยางเถาต้องตะครุบเอาไว้ หันมองไปรอบๆราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดมาได้ยิน สร้างความขบขันแก่เฟยหลงได้อย่าดี เฟยหลงได้แต่นั่งมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาอย่างหลงใหล จะว่าไป เขาก็เพิ่งสังเกตเหมือนกันนะว่าดวงตากลมโตของหยางเถายเป็นสีน้ำตาลทองอ่อนๆที่ดูมีชีวิตชีวา ยิ่งเมื่อได้พบกับสิ่งใหม่ๆที่ไม่เคยได้พบเห็น ดวงตาคู่นั้นยิ่งพราวระยับงดงามกว่าอัญมณีล้ำค่าใดๆ ความสุกสกาวของพวกมันยังมิอาจเท่ากับแววตาของคนตางหน้าเขานี้

“เฟยหลง...”

“หื้ม..”

“สิ่งใดอยู่ในไหนั่นหรือ” ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัยจนต้องเอ่ยถามออกไปให้ได้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในไหสีเข้มนั่น เหตุใดผู้ที่ยกมันขึ่นมาดื่มจึงได้ตัวอ่อนเปรี้ยเพลียแรงเช่นนี้ ดวงตากลมของหยางเถาจับจ้องใบหน้าหล่ออย่างรอคอยในคำตอบ

“หึหึ...สิ่งที่อยู่ในนั่นคือ...เหล้า”

“เหล้าหรือ?” หยางเถาก็ยังคงสงสัยจนเฟยหลงต้องอธิบายต่อ

“ถูกต้อง สิ่งนั้นคือเหล้า”

“เหล้าคืออะไรหรือ ข้าเห็นมันก็ใสเช่นน้ำธรรมดา” เฟยหลงหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูในความน่ารักของหยางเถาที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาถามคำถามต่อเขา เขาไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อเลยสักนิด กลับชอบใจเสียอีกเพราะมันยิ่งทำให้เขาและหยางเถาได้พูดคุยกันมากขึ้น 

“เหล้าคือน้ำที่หากดื่มเข้าไปแล้วก็จะมึนเมาเช่นคนที่เจ้าเอ่ยถามจากข้านั่นล่ะ” 

“หากดื่มเข้าไปแล้วเป็นเช่นนั้น เหตุใดพวกเขาถึงยังคงดื่มมันเข้าไปด้วยล่ะ” 

  ความสงสัยมีมาไม่รู้จบสิ้น พอได้คำตอบหนึ่งความสงสัยอีกหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวจนหยางเถาต้องย่นคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมมนุษย์ถึงทำทั้งๆที่รู้ในผลลัพธ์ของสิ่งที่กระทำ เหตุใดมิหยุดยั้งตัวหากรู้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ต้นไม้เช่นเขาไม่มีเรื่องเช่นนี้ดั่งมนุษย์ เพราะส่วนใหญ่ก็ได้แต่ยืนมองอยู่ที่เดิม เฝ้ารับแสงและช่วยส่งสายลมให้พัดไหวก็เท่านั้น 

“นั่นสินะ...คงเพราะ อารมณ์ ก็อาจจะเป็นได้”

“ข้า...ไม่เข้าใจ” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นราวกับมันเป็นสิ่งที่บีบคั้น เขาพยายามทำการเรียนรู้อารมณ์ที่เฟยหลงบอก แม้ว่าในหลายรอยปีมานี้ ตัวหยางเถาจะยืนดูเหล่าเพื่อนๆรอบกายค่อยๆล้มตายไปตามกาลเวลา แต่ก็มีเพียงความรู้สึกโดดเดี่ยวและเหว่ว้าเท่านั้น 

“อารมณ์ก็คือความรู้สึก ความรู้สึกเช่นที่ข้า...รู้สึกอยากอยู่กับเจ้าตลอดไป หรือเช่นเวลาที่ข้าไม่พบเจ้า ข้าก็จะคิดถึงเพียงเจ้าตลอดเวลา” 

  แก้มใสขึ้นสีระเรื่อยามได้ฟังก้มใบหน้าหงุดลงมองมือที่อยู่บนตักของตนแทนการสบตากรุ้มกริ่ม เฟยหลงเอื้อมมือมาลูบไล้แก้มแดงเบาๆ ปลายนิ้วค่อยๆเกลี่ยเล่นกับความนุ่มนั้นอย่างพอใจ อยากจะดมดอมหอมแก้มสีระเรื่อนี่ดูสักครั้งให้ได้ชื่นใจ แต่ก็ทำได้แค่เพียงลูบไล้เล่น ยิ่งความร้อนของปลายนิ้วถูกส่งผ่านผิวแก้มมากเท่าไหร่ แก้มใสก็ยิ่งแดงขึ้นอีก 

“เช่นตอนนี้ ที่มนุษย์เราเรียกว่า......เขินอาย”

“อาหารมาแล้วครับ คุณชาย!” เฟยหลงรีบชักมือตัวเองออกจากแก้มนุ่ม แม้จะเสียดาย แต่คงไม่ดีนักหากมีคนเอาไปติฉินนินทา อาหารต่างๆถูกจัดวางไว้บนโต๊ะ ไอความร้อนพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศ กลิ่นหอมน่าทานจนหยางเถาได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ แต่ไม่กล้าหยิบจับสิ่งใด 

“กินเสียสิหยางเถา เหตุใดเจ้าไม่กิน หื้ม”

“ขะ ข้าไม่มีอีแปะนะเฟยหลง” หยางเถาอ้อมแอ้มตอบกลับไปเสียงเบา แม้จะไม่รู้ว่าอีแปะคืออะไร แต่เขาไม่มีจริงๆ เฟยหลงหัวเราะลั่นกับหน้าตาใสซื่อที่บ่งบอกว่าอยากจะกินเสียเต็มประดา แต่ก็ทำไม่ได้

“ฮ่าๆๆ ใครบอกว่าจะให้เจ้าจ่าย” 

“เอ๊ะ??”

“หึหึ ต่อให้เจ้าไม่มีสักอีแปะก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าสิ่งใดที่เจ้าปราถนา แม้จะแพงแสนแพงแค่ไหน ข้าก็จะหามากองให้เจ้าตรงหน้าเอง” 

  หยางเถาก้มหน้าหงุดกับคำหวานที่อีกฝ่ายหมายมั่นและเอ่ยลั่นวาจาด้วยน้ำเสียงจริงจัง มือไม้ระเกะระกะจนต้องเอื้อมไปหยิบจับอาหารตรงหน้ามากินเสีย ในขณะที่คนพูดอย่างเฟยหลงกลับนั่งเมียงมองเจ้าของผมสีเงินพร้อมยกชาขึ้นจิบด้วยท่าทางสบายๆ แก้มใสนั่นขยันขึ้นสีเสียเหลือเกินนะ แบบนี้นี่เล่าเขาจึงไม่สามารถจะปล่อยให้หยางเถาคลาดสายตาไปได้ เฟยหลงหัวเราะในลำคอเบาๆกับปากแดงๆที่เอาแต่พึมพำทั้งๆที่ยังไม่หยุดกัดกินเจ้าก้อนสีขาวกลมๆด้วยซ้ำ ถึงแม้จะไม่ได้ยิน แต่เขาก็พอจะเดาได้ 

หึหึ หยางเถา ข้าพร้อมจะนำทุกสิ่งมากองให้เจ้าตรงหน้า แค่เจ้าร้องขอกับข้า เพียงเป็นสิ่งที่เจ้าปรารถนา มิว่าสิ่งใด ข้ายินดีจะนำมาให้กับเจ้าเอง 



                                 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





               หยางเถาที่กินเสียจนพุงของตนเริ่มอึดอัดและจุกแน่นนั้นรู้สึกราวกับว่าจะเดินไม่ไหว ส่วนเฟยหลงไม่แตะอาหารใดๆเลยสักอย่าง ปล่อยให้เขาจัดการมันจนหมด กว่าจะหมดได้เล่นเอากินพื้นที่ในท้องเขาไปเสียมากมาย เฟยหลงเดินออกมาจากร้านด้วยความสบายใจ เห็นหยางเถากินได้แบบนี้เสียเงินสักเท่าไหร่เขาก็ไม่เสียดาย แต่เหตุใดกันหนอ ถึงได้ทำหน้ายู่จนทุกอย่างจะไหลมารวมกันอยู่จุดเดียวอยู่แล้ว

“ไม่ถูกปากหรือ หยางเถา”

“ไม่ๆ อาหารพวกนั่นอร่อยมากๆเลยนะ ข้าไม่เคยกินอะไรอร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย เจ้าก้อนขาวๆนั่นด้วย ทั้งนุ่มทั้งหวาน ข้าชอบ!!” หยางเถารีบอธิบายออกไปกลัวเหลือเกินว่าเฟยหลงจะเข้าใจผิด ทุกอย่างมันดี เกินไปเสียด้วยซ้ำ

“แล้วเหตุใด เจ้าจึงได้ทำสีหน้าเช่นนั้นล่ะ หื้มม” 

“ขะ ข้า เอ่อ ข้า คือว่า ตอนนี้พุงของข้า ใกล้จะแตกแล้วล่ะเฟยหลง ข้ารู้สึกเหมือนไม่อยากเดินหรือขยับไปไหนเลย” มือขาวๆลูบอยู่ที่ช่วงท้องบนชุดขาวๆให้เฟยหลงได้เห็นว่า มันจุกจริงๆ

“หึหึ......แต่เจ้าก็ชอบ”

“อื้ม.....ข้าชอบมาเลย ขอบใจเจ้ามากนะ” รอยยิ้มหวานที่ประดับอยู่บนใบหน้าของหยางเถานั้น ช่างเหมาะกับเจ้าตัวเสียเหลือเกิน จนเฟยหลงเผลอคิดไปว่า จะทำเช่นไรให้รอยยิ้มติดตรึงอยู่บนในหน้างามตลอดไปดี 

  มือหนากระชับฝ่ามือเล็กเข้ามาจับแน่น ส่งยิ้มให้กันด้วยความรู้สึกที่อิ่มเอมใจ หยางเถาของเขาช่างดูดีเหลือเกิน คืนนี้เป็นคืนที่พิเศษกับเขามาก การได้ออกมาเที่ยวชมเมืองกับหยางเถานั้น มันช่างสนุกเสียจนเฟยหลงไม่ปรารถนาให้ค่ำคืนนี้จบไปเลย สายลมเอื่อยพัดผ่านสองร่างที่เดินเคียงคู่กันให้ได้แนบชิด แม้แต่จัทรายังส่องแสงให้เฟยหลงได้มองใบหน้างามภายใต้ผมสีเงินสลวยได้อย่างชัดเจน เฟยหลงไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดอีกแล้ว หากได้มีหยางเถาอยู่เคียงข้างกาย เขาจะไม่วิงวอนขอสิ่งใดอีก 

      โอ้สวรรค์ โปรดอย่าพรากหัวใจดวงนี้ไปจากข้าเลย

  เฟยหลงพาร่างเล็กเดินมาสักพัก สายตาของคนข้างๆก็จับจ้องมองภาพเบื้อหน้าไม่ยอมละสายตา หยางเถาเฝ้ายืนนิ่งมองภาพตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ เฟยหลงไม่คิดจะดึงดันเดินต่อ หากคนข้างกายเขาใคร่จะมองเขาก็จะหยุดให้คนๆนี้มองอย่างที่ต้องการ

  ภาพตรงหน้าคือสิ่งใดกัน เหตุใดคนที่เข้าไปด้านในนั้นถึงได้ออกมาในสภาพที่แต่งกายไม่เรียบร้อย เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไปหมด เหล่าหญิงงามพวกนั้นก็กระไร มิยอมแต่งกายให้มิดชิดดั่งเช่นหญิงสาวพึงกระทำ หยางเถาคิดแต่ก็มิได้มองด้วยสายตาตำหนิ หากแต่เต็มไปด้วยความไคร่อยากจะรู้ สิ่งที่อยู่ภายในน่าสนใจเหลือเกิน นั่นทำให้มือบางบีบฝ่ามือของเฟยหลงแน่นขึ้น 

  เหยหลงเลิกคิ้ว มองตามสายตาสีน้ำตาลทองไปอย่างสนใจ มุมปากยกยิ้มกับอาการของหยางเถาผู้เดียงสา อย่างนี้เอง คงอยากจะรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรสินะ เฟยหลงบีบกระชับมือเล็กๆเอาไว้จนหยางเถาหันมามองด้วยรอยยิ้ม จะบอกให้เขาไปสินะ แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แค่เอาเถอะ เขาเองก็ไม่อยากให้เฟยหลงโกรธ 

 หมับ!!

ทว่า...เมื่อสองร่างขยับเดินหวังจะไปจากตรงนั้น หญิงสาวที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าชิ้นบางก็เข้ามาจับแขนหยางเถาและเฟยหลงเสียจนแน่น 

“คุณชายทั้งสอง เชิญข้างในก่อนสิเจ้าคะ” น้ำเสียงออดอ้อนกับใบหน้าจิ้มลิ้มช้อนสายตาขึ้นยั่วเย้าหวังอ่อยเหยื่อให้คนทั้งคู่ได้เข้าไป นานครั้งเหลือเกินที่พวกนางจะได้เจอหนุ่มหล่อ แม้อีกคนจะหน้าหวานกว่า แต่ก็ยังคงเป็นบุรุษ การแต่งกายก็ดูสะอาดสะอ้าน คงมาจากตระกูลร่ำรวยเป็นแน่

“เอ๊ะ?? เข้าไปทำไมหรือ” หยางเถาถามออกไปเวยสีหน้างุนงง จนสาวๆทั้งหลายหัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ ใสซื่อเสียจนน่าลิ้มลอง

“คิกๆ ถ้ายอมเข้ามา ข้าจะบอกนะเจ้าคะ” มือนุ่มเรียวของอิสตรีลูบไล้แขนเรียวเล็กของหยางเถาแผ่วเบาจนเจ้าตัวขนลุกซุ่ แต่ความใคร่จะรู้มีมากกว่า เฟยหลงที่ยืนนิ่งมองภาพที่ขัดตาตรงหน้าด้วยความไม่ชอบใจ แต่ครั้นจะแสดงออกหรือกระทำใดๆไป อีกฝ่ายก็คือสตรี ย่อมมิควร แม้พวกนางจะเป็น นางคณิการ์ก็ตาม

“คุณชายท่านนี้......ข้าอยากให้ท่านกับสหารได้เข้าไปพักผ่อนข้างในนะเจ้าคะ”

“ใช่เจ้าค่ะ พวกข้าจะดูแลคุณชายทั้งสองอย่างดีเลย เข้าไปด้วยกันเถอะนะเจ้าคะคุณชาย” เสียงช่างออดอ้อนเหลือเกิน แต่จะยอมเข้าไปให้หยางเถาถูกแทะโลมจากพวกนางหรือ เขาคงยอมมิได้

“เฟยหลง.......เข้าไปได้ไหม” แววตากลมโตนั่นสิที่ทำให้เขาปฏิเสธออกไปไม่ได้ เสียงหวานของใครจะออดอ้อนสักเท่าใดก็ไม่อาจเท่าน้ำเสียงของเจ้าของผมสีเงินสักนิด ใจของเฟยหลงอ่อนยวบ เผลอพยักหน้ารับคำไปอย่างลืมตัวจนสาวๆเยื้องแย่งกันเกาะแขนของหยางเถา เฟยหลงชะงักเมื่อได้สติ นี่เขาเผลอตกลงไปแล้วหรือ อยากจะตีหัวตัวเองแรงๆเหลือเกิน เช่นนี้เขาก็เท่ากับยอมปล่อยให้เหล่าแมลงน่ารำคาญดอมดมบุปผางามของเขาน่ะสิ ไม่ได้เด็ดขาด!!





                                 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


>>>>>>>>>มีต่อนะคะ<<<<<<<<<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2018 21:42:44 โดย llมว_น้oe »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
 >>>>>>>>>>>ต่อค่ะ<<<<<<<<<

            นางคณิการ์ทั่งหลายต่างคิดจะให้หนุ่มรูปงามทั้งสองผู้นี้แยกออกจากกันแต่น้ำเสียงทรงอำนาจของเฟยหลงดั่งคำประกาศิต ประกาศกร้าวไม่ยินยอมจะแยกห้องหรือแยกโต๊ะเด็ดขาด นางคณิการ์จึงได้แต่หน้าซีดตัวสั่นรีบนำสองหนุ่มรูปงามไปยังโต๊ะใหญ่ที่ถูกเตรียมไว้ บนโต๊ะมีเพียงสุราไหใหญ่และกับแกล้มสองสามอย่าง เฟยหลงและหยางเถาถูกเหล่านางคณิการ์ดึงให้นั่งลงฝั่งตรงข้ามกันและกันโดยมีพวกนางขนาบข้าง หยางเถาตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ได้เข้ามาเห็น ทุกอย่างดูแตกต่างจากร้านที่ไปมาก่อนหน้านี้ลิบลับ หลายโต๊ะที่เป็นเช่นเดียวกับโต๊ะของเขา มีเหล่าสาวงามนั่งดื่มด่ำสำราญเป็นเพื่อน แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือ ทำไมพวกคนเหล่านั้นจึงต้องจับเนื้อต้องตัวพวกนางจนเกินงาม แล้วเหตุใดพวกนางถึงได้ดูมีความสุขเช่นนั้นกัน ความคลางแคลงใจยังไม่ได้รับคำตอบ มืออ่อนนุ่มของอิสตรีข้างๆกายก็คอบลูบไล้ไปตามสาบเสื้อ

“อะแฮ่ม!!!” 

  หยางเถาสะดุ้งหลุดออกจากความคิดในทันที น้ำเสียงกระแอมไอดังมาเรียกสติอีกทั้งยังมีสายตาคมกริบที่กำลังวาวโรจน์มองมายังตนด้วยความไม่พอใจ หยางเถาหวาดหวั่นอย่างไม่รู้สาเหตุจนมือไม้สั่นไปหมด ยกจับอะไรก็หลุดมือไปโดยง่ายจนเหล่านางคณิการ์ได้แต่หัวเราะคิกคักด้วยความขบขัน ช่างไม่รู้เสียเลยนะว่า เสือจะขย้ำจนสิ้นชีพอยู่แล้ว

“คุณชาย ดื่มนี่สิเจ้าคะ รสดีเชียวเจ้าค่ะ”

  หยางเถายอมดื่มน้ำสีใสในถ้วยอย่างไม่ได้ใส่ใจว่าคือสิ่งใด รสหวานประหลาดที่แตะสัมผัสปลายลิ้นนั้นช่างละมุนและหอมเสียจนหยางเถาติดใจ ตากลมวาววับจับจ้องน้ำในไหประหลาดอย่างสนใจ จนเหล่านางคณิการ์เติมให้ไม่หยุดหย่น จอกแล้วจอกเล่าที่ถูกเติมจนเต็มและถูกหยางเถาดื่มไปจนพร่อง 

  เฟยฟลงนั่งมองคนตรงข้ามเงียบๆ ไม่เอ่ยห้ามปราบแต่อย่างใด เหตุผลเพราะเขาชอบเหลือเกินที่ใบหน้าหวานมีสีแดงระเรื่อ ดวงตาสีน้ำตาลทองหยาดเยิ้มไปด้วยฤทธิ์สุรา ริมฝีปากอิ่มสีสดยกยิ้มไม่หยุดแถมยังหัวเราะกับพวกนางคณิการ์เสียงใสเสียอีก คราแรกเฟยหลงหงุดหงิดและไม่พอใจอย่างมากที่เหล่าคนพวกนี้แตะเนื้อต้องตัวหยางเถาของเขา หากแต่คิดอีกที ใช่ว่าจะทำอะไรคนของเขาได้ง่ายๆเสียเมื่อไหร่ ยิ่งถูกเหล่าพวกนางคณิการ์จับปลดเปลื้องผ้าออกอย่างหมิ่นเหม่ ดวงตาของเฟยหลงก็ยิ่งแพรวพราว ผิวกายที่เขาได้ลอบมองยามปกติว่าขาวงามตาแล้ว ยิ่งอยู่ใต้ร่มผ้ายิ่งขาวเสียจนร่างกายของเขาร้อนไปหมด 

  มือหนาได้แต่ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มดับความกระหายที่เกิดขึ้น หากเป็นปกติเขาคงใช้พวกนางข้างๆกายช่วยปลดเปลื้องความกระหายอยากไปแล้ว แต่หากเขาทำเช่นนั้น อีกคนคงไม่วายถูกเหล่านางคณิการ์ข้างๆแทะโลมจนไม่หลงเหลืออะไร ความหอมหวานนั้นควรจะเป็นของเขาเท่านั้น เพราะแบบนั้น เขาจึงต้องอดทนเอาไว้ ใช้เหล้าข่มอารมณ์ดิบให้มลายหายไปให้หมด

“หยางเถา ข้าว่าเราควรกลับได้แล้ว” 

“อึก! อร่อยจาง หว๊านหวานนนน”

“หยางเถา กลับกันได้แล้ว!” น้ำเสียงของเฟยหลงเข้มขึ้นเมื่อร่างของหยางเถายังคงดื่มด่ำกับน้ำสีใสในจอก

“เฟยหลงงงง ข้าอยากกินอีกกกกก~” ตากลมฉ่ำ ปรือมองพร้อมส่งยิ้มหวานออดอ้อนขอดื่มต่อ เฟยหลงใจอ่อนยวบหากแต่ถ้าหนักกว่านี้ เห็นทีหยางเถาคงไม่แคล้วถูกเหล่าสาวงามแห่งหอคณิการ์จับเปลื้องผ้าจนหมดสิ้นเป็นแน่

  ไม่ได้! ยังไงข้าก็ต้องพาหยางเถากลับ

“ว๊าย!!!!!” เฟยหลงเดินเข้าไปหาหยางเถาทันที มือหนาคว้าเอาแขนเล็กดึงให้ร่างบางลุกขึ้นทันที ความมึนจากฤทธิ์น้ำเมาทำให้หยางเถาไม่อาจจะทรงตัวอยู่ได้เซถลาเข้าหาอกแกร่งด้วยท่าทางล่อแหลมจนเหล่าสาวคณิการ์หวีดร้อง ใบหน้าของเหล่าผู้มองดูเหตุการณ์แดงซ่านด้วยความเขินอาย ยิ่งได้จับจ้องใบหน้าของเจ้าของผมสีเงินยิ่งรู้สึกแปลกๆ เหล่าชายหนุ่มที่อยู่ในหอคณิการ์ต่างมองหยางเถาอย่างหลงไหล ใบหน้าหวานราวเทพธิดา ผมสีเงินสลวยช่างดึงดูดใจ รูปร่างอรชรที่มีชุดสีขาวปิดไว้หมิ่นเหม่ยิ่งทำให้อยากจะเข้าไปช่วยถอดออกเสียเหลือเกิน 

  เฟยหลงตวัดสายตาคมกริบใส่ทุกคนที่บังอาจใช้สายตามองคนในอ้อมแขนของเขาแบบโลมเลียจนทุกคนต้องหลบสายตาไม่กล้ามองร่างขาวนวลอีก ฝ่ามือของเฟยหลงจัดเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยให้เข้าที่ปกปิดร่างกายขาวที่ดึงดูดสายตาหลากหลายคู่ มือหนากระชับประคองเอวบางเอาไว้แน่น พยายามให้หยางเถาเดินไปให้ได้ แต่ก็ไม่สำเร็จ เงินถุงเล็กที่มีจำนวนไม่น้อยถูกวางไว้บนโต๊ะโดยที่เจ้าของไม่สนใจจะนับว่าเกินไปเท่าไร 

“หยางเถา...เจ้าไหวไหม”

“เฟยหลงงง ข้ามึนหัวจางเลยยยย” คิ้วเรียวขมวดจนแทบจะผูกกันเป็นปม

“เฮ้อ...ข้าบอกเจ้าแล้วว่าให้กลับ เจ้าดอกท้อขี้เมาเอ้ย!!” แม้จะบ่นแต่ก็ปนไปด้วยความเอ็นดูไม่หยอก สองมือดึงข้อมือเล็กให้ขึ้นมาบนหลังกว้าง แต่ด้วยความเบาของตัวหยางเถาและรูปร่างที่ไม่ได้ใหญ่โตมากมายอย่างเช่นบุรุษทั่วๆไปนั้น ทำให้เฟยหลงสามารถพาร่างของหยางเถาขึ้นมาบนแผ่นหลังตนเองได้โดยง่าย เฟยหลงกระชับขาเล็กๆเข้าหาเอวของตนจนมั่นใจได้ว่าคนบนหลังของเขาจะไม่ร่วงหล่นลงไปกลางทาง 

  ในครั้งเมื่อเขาอยู่ที่เมืองหลวงบิดามารดาต่างบอกเขาว่า เหล้าหากคิดจะดื่มอย่าให้มึนเมา เพราะเรามิอาจรู้ได้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นบ้าง เขาจึงถูกสั่งให้ดื่มอยู่เพียงในจวนจนกว่าจะมั่นใจว่าเหล้าไม่สามารถทำให้ขาดสติ จึงได้ปล่อยให้เขาออกไปดื่มกับเพื่อนๆบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนใหญ่เฟยหลงเองเสียมากกว่าที่เอาแต่หมกตัวท่องตำราอยู่ภายในจวนจนเพื่อนๆเอือมระอา เมื่อครั้งนั้นเขาไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมเขาจะต้องฝึกฝนตนเองเรื่องการดื่มเหล้าด้วย หลีกเลี่ยงเสียก็จบ แต่วันนี้เองที่เขารู้สึกดีใจ หากไม่เพราะถูกสั่งมาตั้งแต่ครั้งนั้น ป่านนี้ เจ้าดอกท้อแสนงดงามของเขา มิแคล้วถูกแทะโลมเสียจนหมดสิ้น

  ดวงจันทร์ลอยล่องอยู่ที่เดิม และมีเขากับหยางเถาเช่นเดิม เพียงแต่ตอนนี้ จากคนที่เดินจับมือกันมา ต้องมีการแบกกันกลับไป เฟยหลงได้แต่หัวเราะในคำลอตนอย่างแผ่วเบา ใครจะไปรู้ว่า หยางเถาของเขาจะขี้เมาขนาดนี้ แต่จะโทษหยางเถาก็คงไม่ได้ สุราไหนั้นรสดีเสียจริง ทั้งหวานทั้งนุ่มลิ้นราวกับเชื้อเชิญให้ลิ้มลองเพิ่มขึ้นจนเขาเองก็หลงดื่มเข้าไปหลายจอก 

“เฟยหลงงง ข้าอยากดื่มอีกกกกกก” เฟยหลงได้แต่ส่ายหัวกับเสียงหวานที่พึมพำอยู่ใกล้ๆหูของเขา เมาเสียขนาดนี้ยังคิดจะดื่มอีกหรือไรกัน

“ข้าจะไม่เรียกเจ้าว่าหยางเถาแล้วนะ เจ้าดอกท้อขี้เมา! หึหึ” 

แม้ระยะทางจะไม่ใกล้แต่เฟยหลงกลับไม่รู้สึกเหนื่อยสักนิด กลิ่นหอมหวานที่เขาชอบลอยมาจากตัวหยางเถาตลอดทาง เขาชอบช่วงเวลานี้เหลือเกิน ช่วงเวลาที่เขามีหยางเถาอยู่ เฟยหลงรู้สึกสุขใจ หัวใจเขาอิ่มเอมไปด้วยความปิติ ใบหน้าหล่อเหลาถูกประดับด้วยรอยยิ้มตลอดทางจนหากใครผ่านไปผ่านมาเห็นเข้า คงได้ถูกหาว่าบ้าเป็นแน่ 



                                 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





              ถังลี่หยางถลาร่างเข้ามาหาเฟยหลงอย่างรีบร้อนเมื่อเห็นว่านายน้อยของตนกลับมาพร้อมกับแบกร่างของสหายเมื่อตอนพลบค่ำบนหลับมาด้วย จากที่ร้อนใจว่านายน้อยจะหลงทาง ตอนนี้กลับต้องร้อนใจว่าระยะทางขนาดไหนกันที่นายน้อยของเขาแบกร่างของคนๆนึงกลับมา แต่แปลกเหลือเกิน เหตุใดใบหน้าของนายน้อยถึงได้เปี่ยมสุขจนยิ้มกริ่มมาเช่นนั้น 

“นายน้อยขอรับ วางคุณชายผู้นี้ลงก่อนเถอะขอรับ ข้าน้อยจะให้คนมาช่วย..”

“ไม่ต้อง!! อา...เดี๋ยวข้าพาเขาไปพักที่ห้องข้าเอง ขอผ้ากับน้ำให้ข้าด้วย” ถังลี่หยางชงักกับเสียงเด็ดขาดจนเฟยหลงต้องรีบเปลี่ยนน้ำเสียงทันที

“ขอรับนายน้อย” 

  เฟยหลงเดินผ่านถังลี่หยางไปทั้งที่บนหลังยังมีหยางเถาอยู่ เฟยหลงแค่เพียงไม่อยากให้ใครแตะต้องหยางเถาเท่านั้น แค่ไม่อยากให้ใครสัมผัสร่างอ่อนนุ่มที่ยังคงหลับอยู่บนแผ่นหลังกว้างของเขา สองเท้ายังคงก้าวไปด้วยความมั่นคง กลิ่นอายที่คุ้นเคยที่ช่างคล้ายกับกลิ่นของหยางเถาลอยมากับสายลม ดอกท้อสีชมพูยังคงเบ่งบานรับแสงจันทราอยู่บนกิ่งก้าน สายลมพัดหวิวจนใบและดอกโบกสะบัดไปตามแรง แสงจันทร์ส่องตรงลงมาราวกับว่าจะฉายแสงให้เพียงต้นท้อที่เต็มไปด้วยดอกสีชมพูต้นนี้เท่านั้น รอบๆข้าช่างมืดมิดจนน่ากลัว เฟยหลงยืนมองต้นท้อที่ดูโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้นอย่างไม่อาจจะละสายตาไปได้ 

      นับพันปีเลยหรือ ที่เจ้าต้องอยู่ตรงนั้นเพียงผู้เดียว

ความรู้สึกหดหู่กัดกินจิตใจของเฟยหลงจนหมองเศร้า ใบหน้างามที่กำลังหลับพริ้มอยู่บนไหล่ของเขาช่างอ่อนเดียงสาต่อโลกภายนอกเหลือเกิน แล้วคนอย่างหยางเถาของเขานี่หรือที่ต้องกักเก็บเอาความเงียบเหงาและความเหว่ว้ามาไว้ในหัวใจได้นานขนาดนั้น หากเป็นเขาเล่า จะทนมันได้หรือ

  คำตอบคือไม่เลย เขาคงอดทนต่อมันไม่ได้แน่ คืนที่ลมหนาวพัดมา หิมะถาโถม หยางเถาอยู่ได้อย่างไรกัน หรือจะโอบกอดตัวเองเอาไว้ ใจของเฟยหลงสั่นไหวจนเจ็บปวดไปหมด ยิ่งยามนึกถึงความรู้สึกของหยางเถา เขายิ่งทนไม่ได้

  เฟยหลงวางร่างของหยางเถาลงบนเตียงอย่างเบามือ ปัดเส้นผมสีเงินออกจากใบหน้างามด้วยความอ่อโยน ผิวแก้มแดงด้วยฤทธิ์เหล้าหวานที่เจ้าดอกท้อดอกนี้ริอาจดื่มกินทั้งที่ไม่เคยดื่มสักครั้ง มันชวนให้เอ็นดูจนดุด่าไม่ลง ภายใต้ชุดสีขาวนี้มีไหล่เล็กสีน้ำนมที่เขาจำได้มิอาจลืมเลือนไปจากความคิด หากได้ฝากประทับรอยไว้คงดี เพียงแค่กดริมฝีปากลงไป ดูดดึงผิวเนื้อขาวจนมันแดงเท่านั้น

“ผ้ากับน้ำมาแล้วเจ้าค่ะนายน้อย” เฟยหลงหลุดออกจากความคิดทันทีที่สาวใช้เข้ามาพร้อมกับอ่างไม้ใบเล็กที่มีน้ำอยู่ 

“ขอบใจมาก” เฟยหลงนำผ้าชุบน้ำจนเปียกชุ่มบิดออกจนเหลือเพียงผ้าที่เปียกหมาดๆก่อนจะนำมาเช็ดไปตามใบหน้าและลำคอของหยางเถา หยางเถาย่นคิ้วเมื่อถูกความเย็นสัมผัสที่ใบหน้า ความรำคาญทำให้มือบางได้แต่ปัดป่ายไล่เอาสิ่งที่รบกวนการนอนออกไปจนเฟยหลงต้องจับข้อมือเล็กๆเอาไว้

“รูปงามนะเจ้าคะนายน้อย สหายของนายน้อยเป็นคุณชายตระกูลไหนหรือเจ้าคะ” ความใคร่รู้ของนางเป็นดั่งคำแสลงสำหรับเขา เฟยหลงจึงได้แต่ปรายตามองด้วยความไม่พอใจ จนนางได้แต่ละล่ำละลักขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

“ขอโทษเจ้าค่ะ นายน้อย ข้าจะไม่ทำอีกแล้วค่ะ” 

“ช่างเถอะ เจ้าจะไปทำอะไรก็ไปทำ ตรงนี้ข้าจะดูแลเอง” 

“เจ้าค่ะ นายน้อย” 

  นางได้แต่ทำหน้าหงอยแล้วเดินออกไป เฟยหลงถอนหายใจจนรู้สึกได้ว่าเมื่อครู่คงจะแสดงอารมณ์มากไปเพราะนางเองเพียงแค่ถามเท่านั้น เขาคงจะหวงร่างเล็กมากไปถึงได้เป็นเช่นนั้น มือใหญ่ยังคงซับผ้าไปตามใบหน้าหวาน เส้นผมสีเงินแผ่กระจายไปกับเตียงยิ่งส่งให้คนที่นอนอยู่น่ามองยิ่งขึ้น เฟยหลงได้แต่นอนลงข้างๆหยางเถา มองใบหน้าที่ด่ำดิ่งอยู่ในห้วงนิทราอย่างเป็นสุข แก้มที่แดงจากฤทธิ์เหล้าเริ่มกลับเป็นปกติ แผ่นอกเล็กขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจ

“หลับสบายจังนะเถาเถา นอกจากจะขี้เมาแล้วยังขี้เซาอีกเหรอ หื้ม” 

  เฟยหลงได้แต่ลูบไล้เส้นผมนุ่มด้วยความรักใคร่ รอยยิ้มอ่อนโยนถูกจุดขึ้นลนใบหน้ายิ่งเวลาที่อีกคนขยับตัวหันใบหน้างามมาทางเขาด้วยแล้ว ยิ่งแทบจะห้ามใจไม่ให้มองริมฝีปากแดงนั่นได้ยาก ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยบนปากอิ่มอย่างหลงไหล ยิ่งได้อยู่ใกล้กลิ่นหอมจากร่างบางก็ยิ่งชัดเจน มนต์ใดหนอที่เถาเถาน้อยร่ายใส่เขา ดวงใจถึงได้เต้นระรัวยามอยู่ใกล้ ยามได้มองใบหน้างามนี้ อยากจะใช้เวลากับคนข้างกายไปเสียทุกวันทุกคืน คิดแม้กระทั่งว่า......หากได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เขาคงมีความสุขไม่น้อย จมูกโด่งกดลงบนแก้มใสสูดดมเอาความหอมหวานจากเนื้อกายของหยางเถาจนสุดปอด หัวใจของเฟยหลงเต้นแรงจนอกแกร่งสะท้าน มือหนายกขึ้นทาบทับกดบริเวณตำแหน่งหัวใจเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าคนข้างๆที่หลับไหลอยู่นั่นจะตื่นขึ้นมาได้ยิน

    เจ้าจะรู้ไหมหนอ ว่ากำลังทำให้ข้า...ขาดเจ้าไปไม่ได้ หยางเถา





                                 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



           นานจนเวลาล่วงเลยไปเท่าไรไม่รู้ เสียงสัตว์ที่ป่าวร้องในช่วงเวลากลางดึกก็กลับเงียบสงบ แสงจันทร์ค่อยๆน้อยลงจนเกือบจะหมดไป บ่งบอกว่าถึงเวลาที่แสงตะวันจะมาผลัดเปลี่ยนทำหน้าที่ของช่วงทิวา เฟยหลงอยากจะขอให้เวลาช่วยผ่านไปช้ากว่านี้อีกหน่อย เขาอยากจะนอนมองใบหน้างามตานี้ให้นานอีกสักหน่อย แต่เขาก็ไม่อาจจะหยุดเวลาไม่ให้เดินต่อไปได้ ที่ทำได้ก็เพียงปลุกหยางเถาให้ตื่นขึ้นมาเท่านั้น

“เถาเถา เจ้าดอกท้อขี้เมา ตื่นเถอะ” เสียงทุ่มเอ่ยกระซิบข้างหูเล็กเพื่อเรียกอีกคนจากการนิทรา 

“อื้อ...ข้ายังง่วงอยู่เลย”

“หึหึ.....แต่ตอนนี้ใกล้จะเช้าแล้วนะ เจ้าต้องกลับแล้วมิใช่หรือ”

  ทันทีที่ได้ยิน ดวงตากลมก็พลันลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ร่างกายเล็กเด้งขึ้นจากที่นอนด้วยความเร็วจนอาการตกค้างจากการดื่มเหล้าเข้าจู่โจม โลกทั้งใบเอียงไปหมด สายตาพร่ามัวมองไม่ชัดสักอย่าง อาการปวดหัวตุบๆเล่นงานจนต้องยกมือขึ้นมากุมขมับเอา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ทุกอย่างตีกันยุ่งเหยิงไปหมด แม้แต่อาหารที่ได้กินไปเมื่อคืนก็เช่นกัน

“อุบ!!”

“เถาเถา!! เจ้าเป็นอะไร!!!” เฟยหลงเอ่ยถามอย่างร้อนรนเมื่อหยางเถายกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับวิ่งตัวปลิวออกไปนอกห้อง

“อ้วก!!! อ้วก!!!!”

รสเปรี้ยวในปากคืออะไรกัน ทำไมร่างกายของเขาถึงได้ปล่อยของเหลวออกมาทางปาก มือหนาของเฟยหลงลูบหลังบางเบาๆเพื่อช่วยบรรเทาอาการพะอืดพะอมที่กำลังเล่นงานร่างเล็กๆอยู่ในตอนนี้ หยางเถาอาเจียนจนหมดท้อง เรี่ยวแรงจากร่างกายหดหายไปจนหมด ไหนจะอาการวิงเวียนที่เกิดขึ้นมานี่อีกละ หยางเถาทรุดตัวลงอย่างอ่อนแรงโชคดีที่มีวงแขนแกร่งรวบเอวเข้ามาใกล้รองรับร่างกายเล็กเอาไว้ก่อนจะล้มไป

“ระวังหน่อยสิ! เจ้าไหวไหม หื้ม เถาเถาน้อย”

“จะ เจ้า เจ้าเรียกข้าว่าอะไร” แม้จะยังตกอยู่ในอาการมึนหัว มึนศีรษะจนสิ่งรอบกายเบลอ แต่หูเขาไม่มีทางเพี้ยนแน่

“หึหึ เถาเถาน้อย ทำไมล่ะ หรือจะให้ข้าเรียกเจ้าว่า เจ้าดอกท้อขี้เมา?” ใบหน้าสวยแดงก่ำด้วยความอับอาย นี่เขาเมาหรือ แล้วเขาทำอะไรแย่ๆลงไปบ้างไหมหนอ หยางเถาได้แต่กัดริมฝีปากล่างตัวเองเอาไว้แน่นอย่างขบคิด หากแต่ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างกลับมืดลงตั้งแต่เขากำลังดื่มน้ำสีใสรสชาติหวานปนเผื่อนลิ้นที่ให้ความรู้สึกร้อนฉ่าจนต้องยินยอมให้เหล่านางที่นั่งขนาบข้างช่วยปลดอาภรณ์บนร่างกายออกบ้าง จากนั้น...จากนั้นเขาก็ลืมมันไปหมดแล้ว ยิ่งคิด ทุกอย่างก็ยิ่งมืดราวกับราตรีที่ไร้ซึ่งแสงแห่งจันทราและหมู่ดาว หรือแม้แต่แสงไฟสักดวงก็ไม่มี 

“ขะ ข้า....”

“ว่าอย่างไร” จะให้ตอบอย่างไรกัน ไม่ว่าจะเถาเถาน้อย หรือเจ้าดอกท้อขี้เมาก็ไม่ใช่ชื่อเขาทั้งสิ้นนี่ ดวงตากลมเหลือบมองในหน้าของเฟยหลงที่มีรอยยิ้มกรุ้มกริ่มประดับอยู่ ก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลทองจะหลุบลงเพราะเขินอาย

“ถ้าหาก.....”

“หืม....”

“ถ้าหากเจ้าอยากเรียกข้าว่าอย่าไร กะ ก็แล้วแต่เจ้าเถอะ” ดวงหน้าหวานหลบลงกับอกแกร่ง ทั้งที่เป็นแค่เพียงบทสนทนาธรรมดาๆแท้ๆ แต่เขากลับรู้สึกแปลกๆจนไม่สามารถสบตาคู่นั้นได้เลย เฟยหลงได้แต่หัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูกับปฏิกิริยาของร่างในอ้อมแขน 

“หึหึ......เจ้าหน้าแดงบ่อยเหลือเกิน ไม่สบายหรือ” เฟยหลงเย้าแหย่ด้วยน้ำเสียงล้อเลียนติดหัวเราะในลำคออย่างแผ่วเบา หยางเถาได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้นมามอง ยิ่งได้ยินคำกล่าวล้อเลียนยิ่งกระดากจนแก้มใสแดงปลั่งลามไปถึงลำคอ

“ข้า......สบายดี”

“หึหึ เช่นนั้น.....คงได้เวลาแล้วล่ะ ข้าจะเดินไปส่งเจ้านะ เถาเถา”

  มือใหญ่ค่อยๆพยุงร่างบางในอ้อมแขนให้ค่อยๆก้าวเดินไปยังต้นท้อต้นใหญ่ที่ยังคงมีดอกสีชมพูเบ่งบานอยู่บนกิ่ง เฟยหลงไม่อยากให้ถึงเวลานี้เลย อยากจะใช้เวลาให้มากกว่านี้ อยากจะคอยดูแลหยางเถาให้หายดี อาการตกค้างจากเหล้าที่ได้ดื่มเข้าไปเมื่อคืนจนมึนเมานั้นยังคงมีผลจนทำให้หยางเถาไม่มีแรงแม้แต่จะเดิน ไหนจะต้องขย้อนเอาทุกอย่างออกจากกระเพาะจนหมดอีก เรี่ยวแรงจึงได้ถดถอยลงเช่นนี้ 

  เฟยหลงและหยางเถาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าต้นไม้ต้นใหญ่เพียงต้นเดียว อาการปวดหนึบบีบคั้นหัวใจแน่นเสียจนปวดร้าวไปหมด เวลาที่จะต้องจากกันในช่วงเวลาที่ตะวันขึ้นมาถึงอีกแล้ว เฟยหลงไม่อยากให้ช่วงเวลานี้มาถึงสักนิด การต้องมองใบหน้าหวานภายใต้เส้นผมสีเงินหายตัวไปต่อหน้าต่อตานั้นช่างทรมานใจเสียเหลือเกิน

“ข้า......ต้องไปแล้ว” หยางเถาพูดด้วยเสียงแผ่วจนแทบจะไม่ได้ยิน เฟยหลงได้แต่ยืนมองใบหน้าของคนตรงหน้านิ่งๆ 

“ข้าจะรอพบเจ้า ทุกคำคืน” น้ำเสียงมั่นคงและมุ่งมั่นตอกย้ำให้หยางเถารู้ว่า เขาจะเฝ้ารออยู่ไม่มีวันห่างหายไปไหน หยางเถาส่งยิ้มบางๆให้ร่างกายของคนตัวเล็กเลือนลางจนเกือบจะหายไป มือหนาเอื้อมไปจับเส้นผมนุ่มนั้นไว้ อย่างน้อย.....ก็ขอให้ได้สัมผัสจนนาทีสุดท้าย ความเลือนลางกลายเป็นความว่างเปล่าหลงเหลือเพียงแค่แสงสีเขียวคล้ายหิ่งห้องเท่านั้น เฟยหลงเหม่อมองแสงที่ลอยละล่องอยู่ในอากาศด้วยความเหว่ว้า มือหนาหมายจะคว้าแสงนั่นมาไว้ในกำมือ หากแต่สิ่งที่คว้าได้มีเพียงอากาศเท่านั้น เพียงอากาศ........ที่อยู่ในมือ ไม่ต่างกับความมืดมิดที่กำลังกัดกินหัวใจของเขา เพียงเพื่อรอแสงจันทร์สาดส่องกลับมาอีกครั้ง   



TBC



เฟยหลงงงงง ทำไมชอบแกล้งน้องงงงง ขอโทษที่มาต่อช้า เนื่องจากสองอาทิตย์มานี้แมวต้องคอยดูแลคุณแม่เลยไม่ค่อยจะมีเวลา แต่ยังไงแมวจะไม่หายไปนานหรอกนะคะ ยังไงก็ต้องมาต่อแน่นอน

Facebook : https://m.facebook.com/PassionateFiction

Twitter : https://mobile.twitter.com/little_kittensY
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2018 21:38:01 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4

เสียงภายนอกที่ช่างดูวุ่นวายปลุกให้คนที่เพิ่งได้พักผ่อนนั้นต้องลืมตาตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทราโดยไม่เต็มใจนัก คิ้วเข้มขมวดจนแทบจะเป็นปม เฟยหลงค่อยๆ กะพริบตาเพื่อปรับความเคยชินของแสง หูยังคงได้ยินเสียงรอบข้างอย่างชัดเจน ร่างสูงของเฟยหลงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงของตนก่อนจะเดินไปเปิดประตูเพื่อดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เหล่าสาวใช้ดูวุ่นวายกับการจัดแจงอะไรบางอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด จึงได้ตัดสินใจเดอนออกไปเพื่อหวังจะไถ่ถามถังลี่หยางให้ได้รู้เรื่องราว ถังลี่หยางที่กำลังคอยชี้นิ้วสั่งเหล่าคนงานในจวนตระกูลลู่ด้วยน้ำเสียงดุ เฟยหลงมองภาพแห่งความวุ่นวายด้วยความสงสัย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่นะ

“อ้าว!! นายน้อย.....ตื่นแล้วหรือขอรับ” เฟยหลงพยักหน้ามองไปรอบๆ ตัวอย่างใคร่รู้

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า.....ทำไมทุกคนในจวนดูวุ่นวายขนาดนี้”

“อา....นายน้อยลืมแล้วหรือขอรับ วันนี้นายท่านกับฮูหยินจะมาเยี่ยมอย่างไรล่ะขอรับนายน้อย”

เฟยหลงชะงัก หลงลืมไปเสียสนิทว่าท่านพ่อท่านแม่จะมาหาในวันนี้ เพราะมัวแต่คิดถึงร่างนวลตาเจ้าของผมสีเงินที่จับจองครอบครองหัวใจเขาจนหมดสิ้น ลืมเลือนไปเสียหมดทุกอย่างที่สำคัญ ก่อนเขาจะมาที่นี่เพียงคนเดียวนั้น ท่านพ่อและท่านแม่ได้บอกเอาไว้แล้วว่าจะตามมา เป็นเฟยหลงเสียเองที่ลืมมัน หากท่านพ่อท่านแม่มาก็จะต้องพบหยางเถาน่ะสิ ไม่ได้ เขาต้องหาทางแก้ไขเสียก่อน อย่างน้อยก็ไม่ให้ทั้งสองได้สงสัยในตัวหยางเถา โดยเฉพาะเส้นผมสีเงินที่แปลกตานั่น

“ข้า.....ลืมไปเสียสนิท แล้วท่านพ่อท่านแม่จะมาถึงเมื่อไหร่”

“สักครู่ก็น่าจะมาถึงแล้วขอรับนายน้อย ข้ากำลังเร่งคนในจวนให้เตรียมจัดห้องหับไว้ให้นายท่านกับฮูหยินอยู่เลยขอรับ” อย่างนี้เอง เพราะท่านพ่อท่านแม่ของเขาจะมานี่เล่า เหล่าผู้คนในจวนจึงได้อึกกระทึกครึกโครมเสียตั้งแต่เช้า เฟยหลงป้องปากหาววอดด้วยความง่วงงุน ด้วยเพราะเมื่อคืนกว่าเขาจะได้เข้านอนก็เกือบจะเช้า แต่เมื่อตื่นขึ้นมาเช่นนี้แล้ว เขาเองก็คงนอนไม่หลับแล้วล่ะ เช่นนั้นคงต้องไปอ่านตำราในห้อง รอเวลาท่านพ่อท่านแม่มาจะดีกว่า

“หากท่านพ่อท่านแม่มาถึง ฝากท่านช่วยให้เหวินฉายไปตามข้าที่ห้องด้วยนะ ข้าว่าจะไปอ่านตำราเสียหน่อย”

“ขอรับนายน้อย นายน้อยจะรับอาหารเช้าเลยไหมขอรับ ข้าจะได้...”

“ไม่เป็นไร.....ข้าว่าจะรอท่านพ่อท่านแม่มาเสียก่อน ขอเพียงน้ำชาให้ข้าที่ห้องก็พอ”

“ขอรับนายน้อย”

เฟยหลงเดินกลับไปยังห้องของตน หยิบคว้าเอาตำรามาอ่านเพื่อให้เวลาได้ผ่านไป ครั้นจะกลับไปล้มตัวลงนอนในตอนนี้เขาก็คงนอนไม่หลับเสียแล้ว ความเบื่อหน่ายกับบรรยากาศในห้องทำให้เฟยหลงได้แต่บิดตัวไปมา ตัดสินใจจับตำราขึ้นมาถือเอาไว้และเดินออกไปที่สวนสวรรค์ทางด้านนอก ที่ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของดอกไม้งามที่เบ่งบานรับแสงตะวัน

เหล่านกตัวน้อยและแมลงสีสันสดใสต่างพากันมาเย้าหยอกล้ออยู่กับบุปผาอันเย้ายวนใจที่เรียงรายอยู่มากมาย ความงดงามของเหล่าบุปผามิได้ติดตรึงหัวใจของเฟยหลงแม้แต่น้อย สิ่งที่เพียรอยู่ในสายตาคมกลับเป็นเจ้าดอกสีชมพูเล็กๆ ที่อยู่บนกิ่งของต้นไม้ใหญ่นั่นต่างหาก ฝีเท้าเร่งเดินก้าวเข้าไปหาอย่างฉับไว ความหอมลอยละล่องมาให้ได้ดอมดมจนคนได้กลิ่นหัวใจเต้นรัวราวกับเจ้าของกลิ่นหอมนี้.....มายืนอยู่ตรงหน้า มุมปากของเฟยหลงยกยิ้มอย่างเผลอไผล เพียงแค่ได้มายืนอยู่ตรงนี้เขาก็มีความสุขล้นเหลือเกินแล้ว ร่างสูงค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งใต้ต้นท้อใหญ่ด้วยท่าทีผ่อนคลาย ศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีนิลพักพิงอยู่กับลำต้นสีน้ำตาลพร้อมกับยกตำราขึ้นมาอ่านไล่ไปตามตัวอักษรในกระดาษ ปากก็พึมพำพยายามท่องและจดจำเนื้อหาในตำรา ลมพัดใบของต้นท้อให้ปลิวไสว สายลมเอื่อยถูกส่งมาราวกับต้องการจะคลายร้อนให้แก่เฟยหลงที่ใช้ต้นท้อเป็นที่พักพิงในการอ่านตำรา







.




.

.

.

.

.

.

.

.

.



เฟยหลง ตื่นเถอะ เฟยหลง เจ้าตื่นได้แล้ว

เสียงหวานอันคุ้นเคยดังเข้ามากระทบประสาทหูจนคิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ดวงตาเรียวค่อยๆ ลืมขึ้น แสงตะวันส่องเข้ากระทบม่านตาจนต้องกะพริบอยู่หลายครั้ง แขนยาวเหยียดออกบิดกายด้วยความเมื่อยขบ นี่เขาหลับไปนานขนาดไหนกันหนอ แดดแรงขึ้นกว่าช่วงที่ออกมาอ่านตำราแรกๆ นี่ก็คงจะใกล้เวลาที่ท่านพ่อท่านแม่เขาจะมาแล้วสินะ

“นายน้อยขอรับ นายน้อยอยู่ที่ไหนขอรับนายน้อย” เฟยหลงหันไปมองตามเสียงเรียกก่อนจะผุดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“ข้าอยู่ตรงนี้ เหวินฉาย”

ถังเหวินฉายเป็นหลานชายของถังลี่หยางพ่อบ้านคนสนิทที่ท่านปู่ของเขาไว้วางใจ เหวินฉายเป็นชายหนุ่มรูปร่างเล็ก ใบหน้ามักจะเปรอะเปื้อนมอมแมมอยู่เสมอด้วยความที่เป็นดังเด็กซนจึงมักจะโดนดุด่าจากถังลี่หยางเสมอๆ แต่ก็ไม่อาจจะหยุดยั้งความซุกซนนั้นได้ ถังลี่หยางมักจะให้เหวินฉายติดตามเขา เพราะหวังให้เป็นผู้เป็นคนมากขึ้น หวังให้เหวินฉายได้เป็นดั่งคนในจวนคนอื่นๆ แต่ด้วยเพราะเขาเองด้วยที่เอ็นดูเหวินฉายมาก เอ็นดูเหมือนน้องชายคนหนึ่งจึงไม่ค่อยใช้งานหรือสั่งการใดๆ ปล่อยให้แอบไปเล่นตรงนั้นตรงนี้ตามประสา

“นายน้อยขอรับ นายท่านกับฮูหยินมาถึงแล้วขอรับ”

“มาถึงแล้วหรือนี่! ดีๆ นำข้าไปหาพวกท่านเร็ว”

“ขอรับนายน้อย ทางนี้เลยขอรับ”

เฟยหลงเดินตามเหวินฉายด้วยใจที่ลิงโลด ในที่สุดท่านพ่อท่านแม่ก็มาถึงเสียที เขาหรือเป็นห่วงเหลือเกินว่าจะเดินทางลำบากหรือไม่ แต่มาถึงแบบนี้เขาก็เบาใจหน่อย เฟยหลงก้าวเท้าเดินตามหลังอย่างมั่นคง มือหนายังคงถือตำราเอาไว้แน่นไม่ยอมวาง

ร่างของชายและหญิงวัยกลางคนสวมใส่เนื้อผ้าชั้นดี ฮูหยินอี้เหม่ยหลินมองใบหน้าบุตรชายด้วยแววตาคิดถึง สองแขนโผเข้ากอดคนเป็นลูกไว้ทั้งตัวอย่างรักใคร่ ใบหน้าสมวัยยิ้มออกมาด้วยความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นหน้าบุตรชายของนางอีกครั้ง ฝ่ามือของผู้เป็นมารดาลูบไล้ใบหน้าของลูกด้วยความรักใคร่เอ็นดูจนเฟยหลงต้องกุมมือบางของมารดาตนเอาไว้

“แม่คิดถึงลูกเหลือเกินเฟยหลง ลูกเป็นอย่างไรบ้าง”

“ข้าสบายดีขอรับท่านแม่ มิมีอะไรให้ต้องห่วงแต่อย่างใด” เหม่ยหลินยิ้มออกมาบางๆ แววตานางเต็มไปด้วยความคิดถึงอย่างสุดแสน นางใช้สายตากวาดมองบุตรชายอย่างตรวจตราว่าการเป็นอยู่เป็นเช่นไร

“ทำไมเจ้าเนื้อตัวเปรอะเปื้อนอย่างนี้” เฟยหลงก้มลงมองตัวเองก่อนจะยิ้มออกมาราวกับเด็กที่กระทำผิด

“ข้าเผลอหลับใต้ต้นท้อน่ะขอรับท่านแม่ เศษดินเศษหญ้าคงติดมาจากตอนนั้น” อี้เหม่ยหลินได้แต่ส่ายหัวกับคำตอบของบุตรชายคนเดียว มีที่ไหนไปนอนใต้ต้นไม้เสียจนมอมแมมเช่นนี้

“ได้อย่างไรกัน! นี่ลูกไม่มีห้องพักหรือไร” เฟยหลงยิ้มขำพลางส่ายหน้าปฏิเสธคำพูดของมารดาตน แม่ทัพลู่จิ้นเหอที่กำลังจิบชาอยู่ตรงเกาอี้นั้น เกิดความขบขันต่อความคิดของฮูหยินตน

“เหม่ยหลิน.......เจ้าเห็นตำราในมือของลูกรึไม่”

“ตำรา? อ้อ ข้าย่อมเห็นแน่นอนท่านพี่”

“แล้วเจ้าเดาไม่ออกหรือว่า.....ลูกชายคนเดียวของเรา อ่านตำราอยู่ใต้ต้นไม้นั่นจนเผลอหลับไป” เหม่ยหลินมองค้อนสามีเสียยกใหญ่ มีหรือนางจะไม่รู้ข้อนี้ นางเพียงแต่สอบถามเอาไว้ก่อนเท่านั้น หากไม่ใช่ที่นางคิดก็แล้วไป

“ท่านพ่อท่านแม่หิวหรือยังขอรับ”

“นั่นสินะ ป่านนี้แล้วแม่กับพ่อเจ้าก็ยังไม่ได้กินอะไรกันเลย” เฟยหลงยิ้มออกมาก่อนจะพยักหน้าให้เหวินฉายได้ไปบอกกล่าวให้พ่อบ้านถังจัดโต๊ะตั้งเตรียมอาหารให้เขาและท่านพ่อท่านแม่

เหวินฉายค้อมศีรษะรับคำสั่งก่อนจะค่อยๆ ถอยออกไป ร่างสูงของเฟยหลงยังคงถูกเหม่ยหลินกอดรัดเอาไว้อยู่นาน จนเรียกสีหน้าละอาจากผู้เป็นสามีอย่างดี จิ้นเหอจิบชาราวกับไม่สนใจสิ่งใดๆ หากแต่ความจริงแล้วทุกอย่างล้วนแต่อยู่ในสายตาของเขาทั้งสิ้น บ้านหลังนี้คือที่ๆ เขาเติบโตขึ้นมา ทั้งการตกแต่ง ทั้งกลิ่นอายหรือแม้แต่สวนดอกไม้ทางด้านในก็ล้วนเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยทั้งสิ้น ชีวิตของจิ้นเหอผ่านช่วงเวลาต่างๆ มามากมาย ทั้งต้องฝึกความอดทน ต้องท่องตำราและใช้เวลาฝึกฝีมือดาบกับฮุ่ยเจิงผู้เป็นพ่ออย่างหนักจนแทบจะหาเวลาออกไปเที่ยวเล่นเหมือนอย่างเด็กคนอื่นๆ ไม่ได้ แต่ทุกอย่างก็ต้องขอบคุณท่านพ่อ เพราะชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันก็เป็นเพราะการผลักดันของท่านพ่อทั้งสิ้น เขาถึงได้มาเป็นแม่ทัพใหญ่ในเวลาไม่นาน

“ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”

“ช่วงนี้ไม่ค่อยมีสงคราม พวกที่รุกรานก็ดูจะเกรงต่ออำนาจของเรา พ่อจึงมีเวลาว่างอยู่มากเลยล่ะ” เฟยหลงยิ้มขำกับคำพูดนั้น อาจจะฟังดูแล้วไม่มีสิ่งใดแฝง หากแต่ด้วยนิสัยของท่านพ่อเขาเป็นลูกย่อมรู้ดี

“เบื่อสินะขอรับ ท่านพ่ออยากจะออกรบใช่หรือไม่ขอรับ” จิ้งเหอยกยิ้มมุมปากปรายตามองใบหน้าของลูกชายที่มีสีหน้ารู้ทันเขาไปเสียหมด

เหม่ยหลินมองการสนทนาระหว่างสามีและลูกชายด้วยความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก หัวใจคนเป็นแม่พองโตการได้กลับมาเห็นหน้าลูกชายใกล้ๆ เช่นนี้ มันช่างดีเหลือเกิน ร่างเล็กของเหวินฉายเดินเข้ามาใกล้ๆ ด้วยท่าทีนอบน้อม แม้ใบหน้าจะเปรอะเปื้อนแต่ก็ดูน่าเอ็นดูไม่น้อยเชียว

“นายท่าน ฮูหยิน นายน้อย อาหารพร้อมแล้วขอรับ”

“เจ้านี่นะ ข้าก็บอกไปแล้วใช่หรือไม่ว่าอย่าซุกซนนัก ใบหน้าเปื้อนไปหมดแล้ว” เหม่ยหลินเอ่ยขึ้นด้วยความเอ็นดู เธอเห็นเหวินฉายมาตั้งแต่เด็ก ติดตามลูกชายเธอมาตั้งแต่ตัวน้อยๆ แต่ด้วยนิสัยซุกซนเหลือเกิน จึงบ่อยครั้งนักที่ทั้งสองจะพากันกลับเข้ามาในบ้านด้วยความมอมแมมและทุกครั้งก็มักจะถูกเธอดุเสมอ

เฟยหลงนำร่างของท่านพ่อท่านแม่ของเขาให้เดินไปยังห้องที่ถูกจัดเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว เขาผายมือให้ท่านพ่อได้นั่งก่อนจะพยุงร่างของท่านแม่ให้นั่งลงข้างๆ ผู้เป็นสามี อาหารมากมายถูกจัดเตรียมไว้จนเต็มโต๊ะ ทั้งไก่ ผัก และปลา ถูกนำมาทำอาหารหลากหลายเพื่อต้อนรับนายท่านใหญ่ซึ่งเป็นพ่อของเฟยหลง จิ้นเหอแม้จะเป็นดั่งนายท่านใหญ่แต่ทุกคนย่อมรู้ดีว่า จวนสกุลลู่แห่งนี้ นายท่านฮุ่ยเจิงมอบให้นายน้อยเฟยหลงแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าจริงๆ ควรจะมอบให้นายท่านจิ้นเหอก่อนก็ตาม แต่อย่างไรมันก็ไม่ต่างกัน เพราะเมื่อสิ้นนายท่านจิ้นเหอทรัพย์สินทุกอย่างย่อมต้องเป็นของนายน้อยเฟยหลงอยู่ดี

ถังลี่หยางได้แต่มองภาพตรงหน้าเงียบๆ คอยดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เจ้านายของตนขาดสิ่งใด ลี่หยางอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงวันวานเก่าๆ ภาพของนายท่านของเขาฮุ่ยเจิงกับฮูหยินที่แม้มิได้สมัครรักใครกันดั่งคู่อื่น แต่นายท่านก็มิเคยมีอนุให้ฮูหยินได้หมองเศร้าใจ นายท่านมุ่งตรงกับงานอย่างหนัก เพียรพยายามสร้างตนขึ้นมาเพื่อมิให้ครอบครัวของท่านได้อดอยากปากแห้ง แม้ในช่วงที่สงครามรุกรานเข้ามา ข้าวและสินค้าขึ้นราคาตามเหตุการณ์ หากแต่พวกเขาและเหล่าบริวารในจวนสกุลลู่ ไม่มีสักครั้งที่จะขาดเหลือเรื่องอาหารการกินอยู่

นายท่านฮุ่ยเจิงใส่ใจทุกๆ อย่าง แม้จะมีบ้างที่ตัวเขาเองอดรนทนไม่ไหวบ่นว่าไปกับตัวนายท่านอยู่หลายหน แต่นายท่านเองก็มิเคยกล่าวต่อว่า กลับเห็นเป็นเรื่องสนุกจนติดเป็นนิสัย ชอบหาเรื่องมาให้เขาบ่นเสียจนปวดหัว ฮูหยินเคยบอกว่า

“เจ้าเป็นดั่งสายธารใหญ่ สามารถรับสิ่งใดได้ก็รับเสียเถิด” และก่อนที่ฮูหยินจะสิ้นใจ ก็ได้กล่าวกับข้าไว้เช่นกันว่า...

“สิ้นไร้วาสนาใดเล่า จะเท่าลงมือทำ อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยเสียจนเจ้า มานึกเสียใจในวันที่สาย”

เขาไม่เข้าใจมันสักนิด แม้จะผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด เขาก็ยังไม่เข้าใจมันอยู่ดี ครั้นเอ่ยปากถามไถ่ออกไป ก็ได้กลับมาเพียงรอยยิ้มเอ็นดู เขาเข้ามาในจวนนี้ครั้งแรกเมื่อตอนอายุยังน้อยตัวเล็กเหมือนเด็กๆ ทั่วไปที่ยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราวใดๆ ดีนัก ท่านพ่อของนายท่านฮุ่ยเจิงรับเขาซึ่งเป็นเด็กน้อยเข้ามาอยู่ในจวน มีหน้าที่รับใช้และคอยดูแลนายท่านที่ตอนนั้นยังคงเป็นนายน้อย

เขานั้นอายุน้อยกว่ามาก เพียงพบเจอนายท่านฮุ่ยเจิงครั้งแรกเขายอมรับเลยว่า ชื่นชม นายท่านอยู่ในใจ รูปโฉมของนายท่านฮุ่ยเจิงเป็นที่เลื่องลือ ความหล่อเหลาของใบหน้ามิได้แตกต่างจากใบหน้าของนายน้อยเฟยหลงแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าถอดแบบกันมาเสียจะดีกว่า บรรดาสาวงามแห่งเมืองซิ่นจือนี้ มิมีบ้านใดไม่ส่งแม่สื่อมาไถ่ถาม

ยามนายท่านเคร่งขรึมก็ดูน่าเกรงขาม ยามนายท่านหัวเราะก็ดูดึงดูดสายตาผู้คน ส่วนใหญ่เวลาเดินไปตลาดกับนายท่าน เขาจึงมักจะเห็นเหล่าสาวน้อยทั้งหลายทั้งบุตรสาวของจวนผู้ว่า หรือแม้แต่สาวชาวบ้านต่างก็ตกหลุมรักใบหน้าหล่อเหลาของนายท่านฮุ่ยเจิงทั้งสิ้น แต่ฮูหยินมิใช่เลย.....

ฮูหยินอี้หลินคือบุตรสาวชาวบ้านมิได้ใหญ่โตแต่อย่างใด หากแต่กิริยาวาจาการวางตัวกลับงดงามยิ่งกว่าบุตรสาวผู้มีชาติตระกูลดีเสียอีก ท่านแม่ของนายท่านฮุ่ยเจิงทาบทามฮูหยินอี้หลินให้ตบแต่งกับนายท่าน แม้ทั้งคู่จะมิได้มีใจเสน่หาต่อกัน แต่ก็มิมีใครเอ่ยปากขอหย่าหรือโวยวายแต่อย่างใด เขาให้คำสัตย์สาบานเอาไว้ ไม่ว่าจะนานเท่าใดก็ตามเขาจะใช้ทั้งชีวิตอุทิศให้กับตระกูลลู่ ไม่ว่าเรื่องราวจะหนักหนาหรือเบาบางถังลี่หยางผู้นี้จะยินดีเป็นดาบเป็นหอกเป็นโล่ให้แก่นายท่านตระกูลลู่จนกว่าชีวิตอันต้อยต่ำของเขาจะหาไม่!

“ท่านแม่ ทานเยอะๆ นะขอรับ” เฟยหลงคีบอาหารที่เป็นของโปรดของเหม่ยหลินให้ คนเป็นแม่ยิ้มพริ้มพรายด้วยความเอ็นดูที่บุตรชายคนเดียวเอาใจใส่ขนาดนี้ มือของเหม่ยหลินคีบเอาอาหารของบุตรชายสุดที่รักเข้าปาก มองใบหน้าหล่อเหลาที่ได้เห็นมาแต่อ้อนแต่ออกอย่างไม่ละสายตา ไม่รู้เพราะเหตุใด นางจึงรู้สึกราวกับว่าบุตรชายของนางเปลี่ยนไป รอยยิ้มที่นางเคยเห็นมาตั้งแต่ก่อนนี้ กับรอยยิ้มบนใบหน้าของบุตรชายนางในตอนนี้มันช่างให้ความรู้สึกต่างกัน

เฟยหลงในตอนนี้ ดูราวกับว่าอิ่มเอมใจเสียเหลือเกิน มีความสุขเสียจนไม่สามารถกักเก็บมันเอาไว้ในหัวใจได้ จนต้องระบายความรู้สึกอันเปี่ยมล้น ออกมาทางใบหน้า เหม่ยหลินได้ตาลอบมองบุตรชาย แม้จะเกิดคำถามมากมายแต่นางก็ไม่สามารถจะเอ่ยถามสิ่งใดได้ เมื่อด้วย....มันเป็นเพียงความรู้สึกจากส่วนลึกของจิตใจเท่านั้นที่กู่ร้อง หาใช่สิ่งที่สามารถนำมาไถ่ถามได้สะดวกไม่

“ท่านแม่ขอรับ มีสิ่งใดไม่สบายใจหรือขอรับ” เหม่ยหลินชงัก กะพริบตาก่อนจะส่งยิ้มและส่ายศีรษะเบาๆ

“เปล่าเลย เจ้าอย่ากังวลไป แม่สบายดี”

“เช่นนั้น ท่านแม่ต้องทานเยอะๆ นะขอรับ”

“ได้...แม่จะทานให้หมด”

เสียงการสนทนาระหว่างเฟยหลงและเหม่ยหลินยังคงดังตลอดการทานอาหารโดยมีสายตาของจิ้นเหอผู้เป็นพ่อและสามีมองด้วยแววตาเปี่ยมสุข ครอบครัวของเขาจะเป็นเช่นนี้ตลอด ช่างเป็นภาพที่คิดถึงเสียเหลือเกิน หากท่านพ่อของเขาอยู่.....คงจะสุขกว่านี้แน่ เพราะท่านพ่อรักและเอ็นดูเฟยหลงมากกว่าผู้ใด จวนตระกูลลู่หลังนี้ท่านพ่อของเขาก็ยกให้เป็นของเฟยหลงแต่เพียงผู้เดียว อีกทั้งยังกำชับเขาให้จัดการปัญหาต่างๆ อย่าให้เฟยหลงต้องลำบาก นึกขึ้นมาก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา มีหรือที่ยกจวนให้หลานก่อนลูก ทั้งยังให้ลูกชายอย่างเขาทำหน้าที่ดูแลปกป้องต่อไปอีก

หึหึ ท่านพ่อนะท่านพ่อ หลานชายของท่าน เฟยหลง โตขึ้นมากแล้วนะขอรับ

เขาหรืออยากจะตะโกนป่าวร้องให้ท่านพ่อได้ยินเสียเหลือเกิน อย่างเฟยหลงต่อให้เขาไม่ต้องดูแลอะไร เฟยหลงก็ไม่มีทางลำบากเป็นแน่ เพราะลูกชายของเขานั้น เข้มแข็งและฉลาดหลักแหลมพร้อมต่อปัญหาทุกอย่างที่จะเข้ามา คนเป็นพ่อ ย่อมรู้ถึงสิ่งนี้ดี!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2019 11:42:12 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
>>>>>>>>>ต่อค่ะ<<<<<<<<<
ตะเกียงในจวนถูกจุดขึ้นเพื่อความสว่างสายลมพัดผ่านไปอย่างแผ่วเบา ความมืดมิดปกคลุมไปเสียจนทั่วแม้แต่ต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุยาวนานกว่าพันปีก็เช่นกัน กลีบดอกสีชมพูค่อยๆ บานออกเพื่อรับแสงจากจันทราที่สาดส่องลงมา ดูดซับมันเพื่อฟื้นกำลังให้เจ้าของร่างบอบบางภายในต้นไม้นั้น

หยางเถารับเอาแสงเข้าสู่เรือนร่าง นั่งลงประสานมือเพื่อเพิ่มพลังแก่ต้นเองเงียบๆ ร่องรอยจากการถูกไม้กวาดทำร้ายเอาเมื่อวันก่อนหายไปจนหมด พลังของหยางเถาเริ่มกลับมาทีละเล็กทีละน้อยจนเจ้าตัวเองรู้สึกได้ ไอเย็นที่ลอยคละคลุ้งผสมกลิ่นหอมแผ่กระจายไปรอบต้นราวกับดึงดูดให้ทุกสายตาได้มาเมียงมองความงามอันน่าตะลึงของต้นท้อในตอนนี้

เฟยหลงเดินออกมาด้วยท่าทางองอาจ อกแกร่งใต้เสื้อผายออกอย่าสง่างาม ท่วงท่าและการเดินชวนให้หลงใหล มือทั้งสองของเฟยหลงประสานกันอยู่ที่ด้านหลัง สายตามองตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าด้วยความคิดถึงอย่างเหลือแสน หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงเพียงแค่ได้กลิ่นหอมอันคุ้นเคยจากต้นไม้ตรงหน้า ริมฝีปากก็ยกยิ้มอย่างเฝ้ารอ

“หยางเถา เจ้าดอกท้อขี้เมา...เมื่อไหร่เจ้าจะออกมาพบข้า หืม”

เสียงเย้าหยอกดังขึ้น รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังรับแสงจันทร์ที่กำลังสาดส่อง หากแต่ใจเขาคงอดทนรอต่อไปไม่ไหวแล้วเช่นกัน สิ้นเสียงเรียกจากร่างสูงใหญ่ หยางเถาก็ปรากฏกายออกมาจากต้นท้อแทบจะทันที ใบหน้าหวานของหยางเถาแดงซ่านด้วยคำเรียกที่เฟยหลงใช้เรียกเขา เพียงพลาดพลั้งดื่มมันเข้าไปแค่ครั้งเดียว คนๆ นี้จะล้อเขาไปอีกนานเท่าไรหนอ หัวใจดวงน้อยเต้นแรงยามช้อนสายตาขึ้นมองสบกับคนตรงหน้าที่ฉายชัดแววหวานอย่างต้องการจะหยอกเย้า ริมฝีปากหนายกยิ้มพิมพ์ใจเมื่อคนที่อยากจะพบยอมออกมาพบหน้า

สายลมอ่อนๆ พัดผ่านไปให้เส้นไหมสีเงินปลิวไสว กลิ่นกายหอมเย้ายวนลอยมาแตะจมูกจนเฟยหลงต้องสูดดมมันเข้าปอด ยามใดก็ตามที่เขาได้กลิ่นนี้ หัวใจของเขาก็จะชุ่มฉ่ำและอิ่มเอม ความหลงใหลในตัวของหยางเถานั่นเกินกว่าวันแรกไปมากแล้ว ยามนี้หากจะต้องเสียหยางเถาไป ใจของเฟยหลงคงแหลกลาญ

ฝ่ามือหนายกขึ้นสัมผัสเส้นไหมสีเงิน จับยกขึ้นมาเล่นด้วยความเสน่หาในตัวเจ้าของ หากแม้ไม่สามารถแตะต้องเจ้าของได้ดั่งใจนึก ก็ขอเพียงได้สัมผัสกับเส้นผมนุ่มนี้เล็กน้อยก็เพียงพอ

“เจ้ามาช้านัก เจ้าดอกท้อ” ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วทั้งแก้มใส จนผิวแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อน่ามอง ยิ่งดวงตากลมที่สั่นระริกยามหลบเลี่ยงสายตาเขานั่น ยิ่งทำให้เฟยหลงรู้สึกต้องมนต์เหลือเกิน

ความงดงามของหยางเถาเปรียบดั่งดอกท้อสีชมพูที่กำลังเบ่งบานอยู่ใต้แสงจันทรา มันงามเสียจนไม่อาจจะละสายตาไปจากร่างบางได้ ทุกท่วงท่าทุกกิริยาที่หยางเถาแสดงมันต้องใจเขาเสียเหลือเกิน หากว่าวันเวลาที่ผ่านมาที่ได้พานพบเหล่าผู้คนมากหน้าหลายตา เฟยหลงกล้าพูดเลยว่ามิมีผู้ใดทำให้เขาสนใจได้เท่ากับร่างตรงหน้านี้

“ข้า...กำลังเพิ่มพลังให้ตัวเองอยู่ ขอโทษเจ้าด้วยที่ทำให้ต้องรอ” เสียงหวานเอ่ยแผ่วๆ ราวกับเกรงกลัวว่าอีกคนจะโกรธเคือง หลบสายตาลงมองที่มือตนเองอย่างไม่มั่นใจ

บรรยากาศเย็นๆ ของช่วงเวลาค่ำคืนกับแสงจันทร์ฉายที่ช่างดูราวกับต้องการจะเฉิดฉายให้หยางเถาเด่นขึ้นเสียอย่างนั้น ใจของเฟยหลงกระตุก มือที่สัมผัสเส้นผมสีเงินชะงักไปตามๆ กัน คิ้วหนาขมวดเข้าหากันจนแทบจะเป็นปมด้วยความสงสัย

“เจ้ายังไม่หายดี?” หยางเถาได้แต่พยักหน้ารับ มือบางลูบแขนตัวเองเบาๆ ด้วยความประหม่าที่ต้องตอบคำถามราวกับตนเองป่วย เฟยหลงยิ้มอ่อนส่งให้คนตรงหน้าที่กำลังเขินอายอยู่ท่ามกลางความมืด ใบหน้าและกิริยาของหยางเถาเช่นไรก็ยังคงน่ารักน่าใคร่เสียเหลือเกินจนเรียกความเอ็นดูจากเขาได้เสมอ

“เจ้าคงหิวแล้วใช่หรือ? ข้าให้คนเตรียมซาลาเปาร้อนๆ ไว้รอเจ้าที่ห้องของข้าเรียบร้อยแล้วนะ” เพียงแค่ได้ยินเรื่องเจ้าก้อนกลมๆ สีขาวๆ ที่นุ่มฟู ดวงตากลมสีน้ำตาลทองก็วาววับยกริมฝีปากขึ้นยิ้มอย่างลืมตัว

โครกกกกก

ท้องเล็กๆ ส่งเสียงโอดครวญเรียกร้องให้เจ้าของรีบตรงไปหาเจ้าเนื้อเนียนนุ่มนั่นโดยไวจนหยางเถาต้องยกมือขึ้นมากุมเจ้าท้องไม่รักดีที่นำความขายหน้ามาให้เขาเอาไว้ แก้มใสแดงปลั่งเมื่อคนตรงหน้าหัวเราะด้วยความเอ็นดู บรรยากาศหวานชวนให้หลงเคลิบเคลิ้มเหลือเกินแต่กลับถูกขัดขึ้นด้วยเสียงร้องของท้องเขาเช่นนี้ มันช่างน่าอายยิ่งนัก หยางเถาจึงได้แต่ยืนก้มหน้าหลบสายตาคมคู่นั้น

“หึหึ.....ถึงจะหิว แต่วันนี้ท่านพ่อท่านแม่มาเยี่ยมข้าที่นี่ ข้าอยากให้เจ้าไปพบกันพวกท่านก่อน ได้รึไม่?” หยางเถาชะงักใบหน้าหวานเกือบหงอกับคำถามที่ออกมาจากปากของเฟยหลง หากแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นสบสายตาเว้าวอนนั่นเขาก็โกรธไม่ลง

นี่คิดว่าข้าเห็นเจ้าก้อนนุ่มนั่นสำคัญกว่าหรือไรกันนะ เฟยหลง เจ้าคนบ้า

“ขะ ข้าไม่ได้เห็นแก่กินขนาดนั้นเสียหน่อย” แม้น้ำเสียงจะติดขุ่นแต่ใบหน้างามก็แดงระเรื่อจนคนมองต้องยิ้มกว้างกับคำตอบ น่ารัก เจ้าน่ารักเกินไปแล้วนะหยางเถา! หัวใจเฟยหลงเต้นระรัวราวกับเสียงกลอง กลีบดอกไม้ที่ลอยตามสายลมมาติดอยู่บนศีรษะของหยางเถา เส้นผมสีเงินกับสีแดงสดของเจ้ากลีบดอกไม้ช่างดูเข้ากันเหลือเกินในสายตาของเฟยหลง

มือหนาเอื้อมไปหยิบมันออกช้าๆ สัมผัสกลีบดอกและเส้นผมสีเงินนุ่มมืออย่างหลงใหล เฟยหลงไม่อยากเอามือออกเลยสักนิด เขาปล่อยให้กลีบสีแดงร่วงหล่นจากศีรษะของหยางเถาหากแต่มือของเขายังคงลูบไล้เส้นไหมเงินนั่นเล่น กลิ่นหอมของหยางเถาลอยมาจากกายบาง เขาชื่นชอบที่จะได้กลิ่นหอมนี้ มันช่างทำให้เขาได้รู้สึกผ่อนคลายเหลือเกิน

“ข้านึกภาพวันนั้นไม่ออกจริงๆ วันที่ข้า...จะไม่ได้เจอเจ้าอีก”

น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาจากใจ ความเจ็บปวดข้างในแทบจะเอ่อล้นออกมาเพียงแค่คิดว่า จะไม่มีโอกาสได้มองใบหน้างามเจ้าของเส้นผมสีเงิน ไม่มีโอกาสได้ยินเสียงใสที่ไร้ซึ่งความมั่นใจยามพูดคุยกับเขา เขาคงทนไม่ได้ หัวใจของเฟยหลงคงแหลกสลาย ความผูกพันที่เฟยหลงมีต่อหยางเถา แม้มันจะเกิดขึ้นมาได้ไม่นาน แต่มันก็แน่นแฟ้นเสียจนเฟยหลงคิดว่า ไม่อาจจะมีลมหายใจต่อไปได้ หากไร้ซึ่งหยางเถา

“ข้า...ก็ไม่อยากจะจากเจ้าไปสักนิด ข้าอยากจะอยู่กับเจ้าเช่นนี้ทุกราตรี ทุกทิวาไป” หยางเถาสบตาคมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเศร้า ซึ่งหยางเถารู้ดีว่าตนเองไม่สามารถทำอะไรได้

“หากเช่นนั้น...”

“แต่เจ้าคงไม่ลืมใช่หรือไม่...ว่าข้ามีเวลาเพียงแค่หนึ่งร้อยราตรี” ใบหน้าหวานแหงนหน้าขึ้นทอดสายตามองไปยังดวงจันทราที่มีเพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น หัวใจคนฟังบีบรัดจนเจ็บปวด แค่เพียงคิดว่านี่ได้ผ่านพ้นไปกี่ราตรี ลมหายใจของเฟยหลงก็แทบจะสะดุด

“เวลาของข้า......มีเพียงแค่นั้น ข้าสามารถมาหาเจ้าได้เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น” หยาดน้ำใสฉ่ำวาวทั้งดวงตาสีน้ำตาลทองทั้งสองข้าง สะท้อนความเจ็บปวดที่ทรมานออกมาจนหมดสิ้นหัวใจ

“หากจะให้ข้าพูดจริงๆ ...คงบอกได้แค่ว่า ให้คิดเสียว่ามันเป็นเพียงฝัน ที่ในเวลายามตะวันขึ้นข้าก็จะหายไป เจ้าก็จะลืมตาตื่นขึ้นมาจากฝันนั้น” เฟยหลงแทบจะลืมหายใจเพียงแค่ได้ยินคำที่ร่างเล็กกล่าวออกมา ฝันเช่นนั้นหรือ หากมันเป็นฝันเขามิปรารถนาจะลืมตาเลยสักนิด

“เช่นนั้น ข้ายินดีจะนิทราไปตลอด หากได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้าต่อ ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็ยินดี”

มือหนาเอื้อมมากุมสองมือของหยางเถาเอาไว้ กระชับมันจนแน่นราวกับต้องการจะบอกว่ายินดีจะทำเช่นดั่งที่ลั่นวาจาออกมาจริงๆ หัวใจของหยางเถาพองโต ตื้นตันที่สุดเมื่อได้ยินคำนั้น แต่ในความเป็นจริงมันไม่มีวันเป็นไปได้เลย เขาไม่สามารถมีชีวิตได้ตลอดไปเมื่อตกลงขอแลกร่างกายมนุษย์แล้วก็ต้องยอมรับว่าหลังจากสิ้นสุดเวลาในร้อยราตรีตามกำหนดเงื่อนไข ตัวของเขาและจิตวิญญาณจะแตกสลายไปดั่งเช่นสิ้นไร้ซึ่งวาสนาอีก

มันเป็นเรื่องเศร้าแต่หยางเถาก็ต้องยอมรับ เพราะนี่คือสิ่งที่เลือกเองทั้งหมด ตัดสินใจไปแล้วย่อมไม่สามารถจะคืนคำใดๆ ได้ แม้จะคืนคำได้ เขาก็ไม่ทำ การได้ใช้เวลาอยู่กับเฟยหลง ไม่มีสักครั้งที่จะทำให้เขาคิดว่ามันเสียเปล่า เขามีความสุขจนไม่รู้จะสุขอย่างไร สุขเสียจนล้นใจด้วยซ้ำ แค่จิตวิญญาณหายไป....เขาไม่เสียใจสักนิด

“ไปพบท่านพ่อท่านแม่ข้ากันดีกว่า”

“อืม..”

แม้ว่าคืนนี้จันทราจะมีเพียงเสี้ยวเดียวที่ปรากฏให้เห็น แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความงดงามของจันทร์เลยแม้แต่น้อย ค่ำคืนก็ยังเป็นค่ำคืน รอบกายจันทร์ก็พร่างพรายรายล้อมไปด้วยหมู่ดาวที่ยังเปล่งประกายแสง ความเงียบจากรอบด้านมิได้ทำให้เฟยหลงและหยางเถารู้สึกเหงาเลยแม้แต่น้อย

สีหน้าของทั้งสองกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจที่มีกันและกัน ฝ่ามือกระชับแน่นราวกับว่าจะไม่มีวันปล่อยให้อีกคนหลุดหาย สองร่างที่เดินเคียงข้างกันช่างเหมาะสมเสียยิ่งกว่าดวงจันทราและดาวดวงไหน หากใครสักคนมาเห็นแผ่นหลังของทั้งคู่ คงบอกได้แค่ว่า สวรรค์สร้างเขาทั้งสองให้มาคู่กัน เป็นแน่

เฟยหลงและหยางเถาเดินเข้าไปหาร่างของเหม่ยหลินที่กำลังรินน้ำชาให้กับจิ้นเหอผู้เป็นสามี สายตาของทั้งสองมองมายังผู้มาใหม่ด้วยความสงสัยจนเฟยหลงต้องยิ้มและขยับให้หยางเถาขึ้นมาอยู่ข้างตนเพื่อจะได้แนะนำให้ท่านพ่อและท่านแม่เขารู้จัก

“ท่านพ่อท่านแม่ นี่หยางเถาสหายของข้าขอรับ”

“ทะท่านแม่ทัพ ฮะฮูหยินลู่” มือบางยกขึ้นเคารพคนตรงหน้าที่เป็นบิดามารดาของเฟยหลงอย่าฃนอบน้อม หยางเถาไม่กล้าสบตาของพวกท่านโดยตรงได้แต่ลอบมองเป็นครั้งคราวและก้มหน้าลงเท่านั้น

เหม่ยหลินและจิ้นเหอหันมามองหน้ากันก่อนจะยิ้มขำขัน ช่างน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน ความประหม่าที่คนข้างกายบุตรชายนางได้แสดงออกมามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง แต่เป็นสิ่งที่ออกมาจากตัวตนของหยางเถาจริงๆ มันจึงได้ดูเข้ากันกับใบหน้าและแววตาที่ไม่มั่นใจนั่น ความรู้สึกเอ็นดูเข้ามาเกาะกุมหัวใจนางและสามีแทบจะทันทีที่ได้เห็นใบหน้านั้น ไม่รู้เพราะสิ่งใดกัน นางจึงได้รู้สึกผูกพันกับเด็กคนนี้เสียเหลือเกิน

“หยางเถาหรือ?” ชื่อของเด็กคนนี้ช่างน่าฟัง

“ขอรับ หยางเถาเป็นสหายของข้าที่นี่ขอรับ”

“เมื่อเป็นสหายของเฟยหลง ก็เรียกป้าเถอะมิใช่คนอื่นไกลเสียหน่อย” รอยยิ้มใจดีถูกส่งมาชโลมหัวใจดวงน้อยที่เต็มไปด้วยความกังวล เพียงได้เห็นรอยยิ้มนั่นหยางเถาก็รู้สึกผ่อนคลายราวกับได้อยู่บ้านของตนเอง

“ถูกของเจ้าฮูหยิน เมื่อเป็นสหายลูกชายข้าก็มิใช่อื่นไกล ไยจะต้องเรียกห่างเหินเช่นนั้น” แม้ว่าจิ้นเหอจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ทุกคำล้วนแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนอย่างไม่คิดปิดบัง ไม่มากนักที่บุตรชายของตนจะพาสหายมาแนะนำเช่นนี้

“แล้วบ้านเจ้าอยู่ที่ไหนเล่า เถาเถา”

เฟยหลงและหยางเถาที่ได้ยินคำเรียกจากปากเหม่ยหลินถึงกับชะงักกึก หยางเถาต้องฝืนยิ้มให้กับแม่ของเฟยหลงด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่เพียงเฉพาะชื่อเรียกที่แปลกไปหากแต่คำถามต่างหากที่ทำให้หยางเถาต้องเคร่งเครียด จะให้ตอบไปได้อย่างไรว่าอาศัยอยู่ในต้นท้อ ขืนเขาพูดไปเช่นนั้น ฮูหยิ-ไม่สิ ท่านป้าคงตกใจจนหมดสติเป็นแน่

ร่างสูงมองรอยยิ้มเจือนๆ บนใบหน้างามอย่างเข้าใจ จึงหันไปเพื่อตอบคำถามนั้นเสียเอง อย่างไรท่านแม่ก็เอ็นดูถึงขนาดเรียกอีกคนเสียสนิทสนม จะให้ท่านแม่รู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าหยางเถามิใช่มนุษย์ เฟยหลงยิ้มให้กับเหม่ยหลินด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะเป็นคนตอบคำถามนั้นเสียเอง

“อยู่ไม่ไกลจากจวนเราแม้แต่น้อยขอรับ แต่ไม่กว้างขวางใหญ่โตเท่ากับจวนของเรา” เฟยหลงเองแกล้งสีหน้าเศร้าเรียกคะแนนสงสารจากคนเป็นแม่ในเรื่องฐานะความเป็นอยู่ เขาไม่ได้โกหกเสียหน่อย ในต้นไม้หรือจะกว้างเท่าจวนของตระกูลลู่ ส่วนเรื่องที่ว่าไม่ไกลจากตระกูลเขาก็พูดจริง แต่จะให้จริงที่สุดต้องบอกว่า อยู่ในจวนเสียมากกว่า

เหม่ยหลินที่ได้ฟังยกมือขึ้นทาบอกสีหน้าบ่งบอกถึงความเห็นใจอย่างปิดไม่มิด แม้แต่จิ้นเหอที่เป็นแม่ทัพใหญ่เองก็หัวใจวูบไหว มิน่าเล่า.....ถึงได้ตัวเล็กนัก ทั้งที่เป็นบุรุษเพศแท้ๆ ไฉนจึงมีรูปร่างโปร่งบางราวกับจะต้านแรงลมไม่อยู่ เป็นเพราะยากจนนี่เองหรือ จิ้นเหอยกน้ำชาขึ้นมาจิบปกปิดความวูบไหวจากความสงสารเอาไว้ไม่ให้ใครได้เห็น

“โธ่......เจ้าคงลำบากมาสินะ” ศีรษะเล็กๆ ส่ายสะบัดจนผมสีเงินกระจาย ยิ้มแย้มอย่างเป็นสุขออกมาจากหัวใจ

“ไม่เลยขอรับ ข้ามีความสุขม๊ากมาก”

น้ำเสียงที่กล่าวออกมามิได้ฝืนกล้ำกลืนแต่อย่างใด จนทุกคนต้องยิ้มตามกับรอยยิ้มอันสว่างไสวนั่น หัวใจของหยางเถาพองโตคับอกไปหมด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับความห่วงใย เป็นครั้งแรกที่มีใครมาใส่ใจเรื่องราวของเขา (แม้ว่าเฟยหลงจะแต่งมันขึ้นมาก็ตาม)

เฟยหลงวางฝ่ามือใหญ่ลงบนกลุ่มผมนุ่มขยับลูบเบาๆ อย่างเอ็นดู ใบหน้าหล่อเหลายิ้มทั้งสายตาและริมฝีปากด้วยความเอ็นดู จนคนถูกปลอบโยนต้องแหงนเงยใบหน้าขึ้นไปยิ้มตอบ เหม่ยหลินยกมือขึ้นมาปิดปาก ความกังวลบางอย่างฉายชัดบนใบหน้า ปฏิกิริยาจากทั้งสองคนตรงหน้านางมันเกินกว่าความห่วงใยในระดับมิตรสหาย สายตาเช่นนี้มิต่างจากที่จิ้นเหอมองนางเมื่อครั้งเยาว์วัยเลยสักนิด เป็นไปไม่ได้ แม้อีกคนจะน่าเอ็นดูเพียงใด แต่นั่นก็บุรุษนะ!!

“เช่นนั้น ท่านแม่ขอรับ”

“วะ ว่าอย่างไรลูก” เหม่ยหลินถูกเสียงทุ้มของลูกชายดึงสติออกมาจากการจดจ่อกับความวิตกกังวลของตน

“ข้าขอพาหยางเถาไปทานซาลาเปาที่ห้องของข้าก่อนนะขอรับท่านพ่อท่านแม่” เหม่ยหลินที่ได้ฟังอ้าปากค้าง พูดตะกุกตะกักแทบจะไม่เป็นคำ

“พะ พา ปะ ไป ทะที่ห้อง ขะของลูก”

“ขอรับ ข้าก็พาไปที่ห้องของข้าทุกคืนนะขอรับ แปลกหรือ?”

“ไม่ ไม่เลย” นางแทบจะลมจับได้ทันทีที่ได้ฟัง ร่างของเหม่ยหลินทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างกายสามีอย่างหมดแรง จนเฟยหลงที่มองอยู่ถึงกับงุนงง

“เช่นนั้น ลูกขอตัวนะขอรับ ท่านพ่อ ท่านแม่ ไปเถอะเถาเถา หึหึ”

ยิ่งลูกชายของนางหยอกล้อจนใบหน้าหวานของหยางเถาแดงซ่าน ตวัดมองค้อนนางยิ่งใจไม่ดี เหม่ยหลินกังวลเหลือเกินว่าสิ่งที่นางกำลังคิดอยู่มันจะเป็นจริง สายตาสั่นไหวของเหม่ยหลินมองภาพลูกชายและบุรุษที่นางเอ็นดูพากันเดินออกไป นางยกมือขึ้นมากุมเอาไว้ในตำแหน่งหัวใจราวกับว่าเรื่องที่คิดมันกำลังจะเกิดขึ้น

จิ้นเหอมองใบหน้าของภรรยาด้วยความไม่เข้าใจ ยิ่งมันฉาดชัดถึงความกังวลเขายิ่งสงสัยเข้าไปอีก เรื่องใดกันที่ทำให้นางกังวล เมื่อครู่ยังเอ็นดูอยู่เลย เหตุใดตอนนี้จึงมีแต่ความเครียดกันเล่า เขาเอื้อมไปจับมือของภรรยาตนเองเอาไว้แน่นจนเหม่ยหลินต้องหันมาสบตา

“เจ้ากังวลสิ่งใดหรือ ฮูหยิน?”

“ท่านพี่.....ขะ ข้ากลัว กลัวเหลือเกินว่าลูกเราจะ.....” นางกัดปากตัวเองแน่น ระงับอาการสั่นเอาไว้ สายตาหลุบลงไม่กล้าสบสายตาสามีตรงๆ

“จะอะไร หืม”

“จะรักชอบบุรุษด้วยกัน..”







TBC









Talk : โอ้ยยย กลัวใจแม่เฟยหลงจังเลย แต่คงไม่มีอะไรหรอกเนอะ





Facebook > https://m.facebook.com/PassionateFiction

Twitter > https://mobile.twitter.com/little_kittensY





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2019 11:48:10 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4

         หยางเถาเหลือบมองใบหน้าของเฟยหลงที่ยังคงยิ้มไม่หยุดตั้งแต่ออกมาจากห้องของท่านลุงและท่านป้า จนแม้แต่ตอนนี้ที่เขากำลังนั่งกินก้อนกลมขาวๆ ที่เรียกว่าซาลาเปาในห้องแล้วก็ยังคงมีรอยยิ้มประดับใบหน้าอยู่ การถูกจ้องเวลาทานของแบบนี้มันเขิน ไม่เคยมีใครบอกหรือไงกันนะ! แบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ
เฟยหลงมองใบหน้าเนียนที่บัดนี้แก้มใสๆ นั่นนูนออกมาจากการที่เจ้าขอกัดเอาซาลาเปาร้อนๆ เข้าไปในปาก ความร้อนทำให้ปากแดงๆ ของหยางเถาแดงเข้าไปอีก ผิวแก้มขึ้นสีเลือดฝาดชวนมองยิ่งนัก เขาใช้เวลามองนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ตัวเขาไม่เคยเบื่อเลยสักครั้งที่ได้เพ่งพินิจใบหน้าขาว
สายตาไล่ขึ้นไปจนถึงถึงดวงตาสีน้ำตาลทองที่ลอบมองเขาอยู่แล้ว เมื่อสบตากับเขาดวงตากลมคู่นั้นก็หลุบมองจานที่เต็มไปด้วยซาลาเปาขาวๆ ที่กรุ่นร้อนแทน ปฏิกิริยาเช่นนั้นเรียกรอยยิ้มจากคนตรงหน้าได้อย่างดี แบบนี้ไงเล่า เขาถึงไม่สามารถละสายตาออกจากหยางเถาได้
มือบางเลื่อนจานที่มีซาลาเปาอยู่ไปตรงกน้าของเฟยหลง จนอีกคนต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัยกับการกระทำนั้น ร่างบางยังคงก้มหน้าก้มตากัดซาลาเปาร้อนๆ เข้าปากไม่ยอมหยุด ก้มหน้างุดไม่มองสิ่งใดทั้งที่แก้มใสแดงระเรื่อ เฟยหลงยิ้มกว้างเมื่อเข้าใจในการกระทำ ชวนเขากินสินะ เห็นเขาจ้องคิดว่าเขาหิวสินะ ช่างไร้เดียงสาอะไรเช่นนี้
“เจ้ากินเถอะ ข้าให้คนเตรียมมันเพื่อเจ้า” เฟยหลงเลื่อนจานนั้นกลับมาตรงหน้าหยางเถา ปฏิเสธกลิ่นหอมของมันด้วยรอยยิ้ม หากจะให้เขาเลือกกิน เขาอยากกินลูกท้อสีแดงตรงหน้ามากกว่า
“ข้า....เห็นเจ้ามอง” ความน่ารักของหยางเถากระเด็นเข้าตาคมอย่างจังจนหัวใจของเฟยหลงรู้สึกเหมือนมีใครยิงลูกศรเข้าใส่ ใครจะคิดว่าหยางเถาของเขาจะน่ารักได้มากขึ้นทุกวันๆ จนหัวใจของเขาต้องทำงานหนักแบบนี้
“ใครบอกว่าข้ามองเจ้าซาลาเปาพวกนี้กัน ไม่เห็นจะน่ามองตรงไหน” มือบางยกซาลาเปาขึ้นกัด ช้อนสายตาขึ้นสบกับเฟยหลงก่อนจะตอบด้วยเสียงอ้อมแอ้ม
“ก็ข้าเห็นว่าเจ้ามองนี่”
“ข้ามองเจ้า.......ไม่รู้เลยหรือเถาเถา”
มือหนาเลื่อนเข้าไปใกล้ใบหน้าหวาน หยิบเอาเศษซาลาเปาสีขาวที่ติดอยู่มุมปากออกก่อนจะนำเข้าปากตนเอง ดวงตากลมยิ่งหลบเลี่ยงการสบตากับเฟยหลง ความเขินอายจู่โจมจนใบหน้าหวานแทบจะระเบิด เสียงหัวใจกระหน่ำเต้นจนเจ้าของได้ยินอย่างชัดเจน ชัดจนกลัวว่าใครอีกคนจะได้ยินมันเช่นกัน
ริมฝีปากบางยังคงกัดกินแป้งขาวๆ ที่เริ่มมองเห็นไส้จนแก้มตุ่ยทั้งที่กำลังยิ้ม บรรยากาศรอบกายของคนทั้งสองเต็มไปด้วยความหวาน กลิ่นอายของความรักลอยละล่องเต็มอากาศไปหมด นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่คืนนี้ของเฟยหลงไร้แม้แต่ยุงและแมลงมาไต่ตอมให้กวนใจ มีแต่เจ้าลูกท้อลูกนี้แหละ ที่คอยทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ
“บ้า....”
เสียงต่อว่าช่างแผ่วเบาราวกับไม่ปรารถนาให้ได้ยิน แต่มันกลับเป็นสิ่งที่ทำให้เฟยหลงต้องหัวเราะออกมา บ้าหรือ ก็คงใช่ หาไม่บ้าจะมานั่งมองหน้าใครได้นานขนาดนี้หรือ หยางเถาคงไม่รู้สินะ นอกจากการได้ใช้เวลาร่วมกัน สิ่งที่เขาชอบทำมากที่สุดคือการได้มองใบหน้างามแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะสิบวัน หรือตลอดไป เขาก็ไม่มีทางเบื่อแน่
“เจ้าพูดกับท่านลุงท่านป้าเช่นนั้น จะไม่เป็นไรแน่หรือ”
“เรื่องอะไร?” คิ้วเข้มขมวดจนเป็นปมเมื่อหยางเถาเอ่ยถามในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ
“ก็.......เรื่องที่อยู่ของข้า” ใบหน้าของหยางเถาปรากฏร่องรอยความกังวลออกมา เขาไม่ชอบเลยสักนิดการต้องโกหกคนอื่น หยางเถาไม่คุ้นเคยกับสิ่งนี้แม้แต่น้อย ตลอดมานั้นเขาเคยชินแต่กับการอยู่ตัวคนเดียว มีบ้างที่ใช้จิตเพ่งมองรอบๆ กาย หากแต่ก็ไม้คยรู้จักกับการโป้ปดออกมาทั้งที่มิใช่ความจริง
เฟยหลงร้องอ๋อออกมา มือหนาประสานกันอยู่ใต้คางของเฟยหลงเพื่อใช้เป็นฐานรองรับการทิ้งน้ำหนักของใบหน้าหล่อเหลา สายตาคมจับจ้องแต่ริมฝีปากแดงที่ขยับเคี้ยวอย่างไม่ลดละ แต่คนถูกมองกลับไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยเพราะมัวแต่ให้ความสนใจในคำตอบที่อีกฝ่ายกำลังจะตอบกลับมาเสียมากกว่า
มือขยับป้อนเจ้าก้อนขาวๆ เข้าปากไม่หยุด รอคอยคำตอบที่ไม่รู้ว่าอีกคนจะตอบหรือไม่อย่างใจจดใจจ่อ ท้องน้อยๆ ก็ยังคงร้องประท้วงออกมาตลอดทั้งๆ ที่เจ้าของมันก็กัดกินซาลาเปาไปไม่น้อย เฟยหลงได้ยินเสียงเข้าก็หลบใบหน้าลงด้านข้างเพื่อขำ กลัวว่าอีกคนจะเห็นแล้วเคืองตนเอาทั้งๆ ที่ไหล่หนาสั่นตามแรงหัวเราะแท้ๆ หยางเถามองด้วยแววตาขุ่นเคือง จนเมื่อเฟยหลงหันมาเห็นต้องรีบกระแอมไอแก้ตัวว่าสำลักไปแทน
“หึหึ เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงไป แถวนี้ข้าวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็ก อีกอย่างท่านพ่อท่านแม่ไม่ใช่คนที่จะเซ้าซี้หาความใดๆ มากมายหรอก”
“หากเป็นเช่นนั้นก็ดีไม่น้อย ข้าเอง......ไม่อยากโกหกท่านทั้งสองเลย”
หยางเถาได้แต่ลอบถอนหายใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด กระทำเช่นนี้คงมิใช่ว่าเขาจะมีบาปติดตัวหรอกนะ หากเป็นเช่นนั้น แม้ว่าวิญญาณจะแตกสลายแต่บาปก็ใช่ว่าจะหายไปเสียหน่อย ขึ้นชื่อว่าโกหก จะแก้ตัวสักเท่าใดมันก็คือโกหก เหตุผลนับร้อยพันก็แค่คำแก้ตัวเท่านั้น เรื่องนี้หยางเถารู้ดี แต่ดูเหมือนเฟยหลงจะไม่ได้คิดเช่นเดียวกับเขาเลย เพราะเจ้าตัวยังคงยิ้มแย้มมองเขาด้วยแววตาพราวระยับอยู่เช่นเดิม
ค่ำคืนนี้เขาไม่ได้คิดจะออกไปไหน เขาเพียงแต่ใช้เวลาอ่านตำราเป็นเพื่อนเฟยหลงเท่านั้น หยางเถาชอบนักยามได้เห็นสีหน้าจริงจังและแววตามุ่งมั่น มันทำให้หยางเถาไม่รู้ตัวเลยว่าใช้เวลามองใบหน้าของอีกคนไปนานเท่าไหร่ เพราะเขาเพียงแค่พยายามจดจำทุกส่วนของใบหน้านี้ ทุกๆ องค์ประกอบที่ทำให้เฟยหลงยังคงเป็นเฟยหลง หากวันใดที่เขาต้องแตกสลายไป ใบหน้านี้จะคงอยู่ในความทรงจำชั่วกาลนาน
ร่องรอยความเศร้าสะท้อนทางแววตาคู่หวาน หากแต่อีกฝ่ายมิได้มองมาเท่านั้น เพียงครู่เดียวมันก็กลับเป็นแววตาที่ไร้สิ่งใดเจือปนเช่นเดิม ความทรมานที่หยางเถารู้สึก ไม่สามารถจะบอกเล่าหรือกล่าวให้ผู้ใดล่วงรู้ได้ ทำได้เพียงแค่เก็บงำมันเอาไว้ลำพังและแสดงออกด้วยท่าทางที่ไร้ซึ่งความกังวล


                        ++++++++++++++++++++++++++++++++


ยามเมื่อตะวันขึ้นสู่ขอบฟ้าแสงรำไรของดวงตะวันก็พลันขับไล่ความมืดมิดไปจนหมด ชาวบ้านพากันออกมาทำหน้าที่ของตนเอง สองข้างทางเต็มไปด้วยแผงลอยและหาบเร่ ทั้งผัก ปลา หมูและไก่มาวางขายกันมากมายจนเลือกซื้อกันไม่ไหว ปากท้องของคนเราต่างต้องการซึ่งอาหารที่พาให้อิ่มท้อง หากแต่ก็มีอีกหลายชีวิตที่ไร้ซึ่งข้าวปลาอาหารในการดำรงชีพจนต้องยอมทิ้งศักดิ์ศรีออกเร่ขอทานไปตามทางเดิน
ถังเหวินฉายหรือหลายชายคนเดียวของพ่อบ้านสกุลลู่ผู้มีนามว่าลี่หยางเดินวนอยู่แถวตลาดด้วยความสนุก หลายครั้งที่เหวินฉายมักจะแอบลอบออกมาจากในจวน ด้วยรู้ดีว่านายน้อยเฟยหลงไม่ปรารถนาจะออกไปที่ไหน เพราะนายน้อยต้องท่องตำราเสียส่วนใหญ่ จะมีก็ช่วงพักหลังๆ มานี้ ที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับคุณชายหยาง ถึงขนาดที่พากันออกไปดื่มสุราเมามายกลับมาก็มี เหวินฉายผู้ซึ่งคอยรับใช้นายน้อย เคยเป็นเหมือนดั่งเพื่อนในตอนนี้นายน้อยไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งน้อยอกน้อยใจ สองมือปาดไล่น้ำตาที่ปริ่มๆ จะไหลออกจากใบหน้า หากเมื่อนายน้อยมิสนใจไยดีเหวินฉายแล้ว เช่นนั้นเหวินฉายก็จะไปเที่ยว เปิดหูเปิดตาเสียคนเดียวก็ได้ เหมือนเช่นที่นายน้อยไปดื่มสุรากับคุณชายหยางเพียงสองคน มันน่าน้อยใจ น่าน้อยใจนัก อึดอัดเสียจนต้องยกมือขึ้นมาทุบอก รู้สึกราวกับถูกทิ้งขว้าง หัวใจของเหวินฉายนายน้อยมิมองเลยหรือไรกัน
ผลัก
“อ๊ะ เจ็บ....” เพราะมัวแต่น้อยอกน้อยใจจึงมิได้ใส่ใจจะมองขเงหน้าจนชนเข้ากับร่างใหญ่โตของบุรุษที่สวมใส่เสื้อผ้าราคาสูงเนื้อผ้าชั้นดีที่ไม่ต่างจากนายน้อยของเขาเลยสักนิด สายตาแสนเศร้าของเหวินฉายนิ่งอึ้งไปกับภาพตรงหน้า แม้จะผ่านมานานสักเท่าใด แต่ใบหน้าเช่นนี้ เขาไม่มีวันลืม!!!!
“เจ้า! เฉินลี่ฟู่!”
“หืม.....คนรู้จักของเจ้าหรือลี่ฟู่?” เจ้าของชื่อผู้มีดวงตาสีดำมืดกับใบหน้าเย็นชากระตุกยิ้มมุมปาก กวาดตาลงมามองเหวินฉายที่ล้มอยู่กับพื้นทั้งตัวก่อนจะยกพัดขึ้นมาจับเอาไว้
“ข้าไม่รู้จัก” เหวินฉายได้แต่กัดฟันกรอดเมื่อสิ้นคำตอบนั้นเขาก็ได้รับสายตาดูแคลนจากบุคคลที่เดินเกี่ยวแขนมากับเฉินลี่ฟู่ จะบอกว่าเขาจำคนผิดหรือ จะบอกว่าลืมแล้วเช่นนั้นหรือ หึ...มันก็ดีนี่ อย่างไรเสียก็แค่โดนแกล้งเมื่อครั้งเป็นเด็ก เขาก็ไม่ควรผูกใจเจ็บให้มากความใดๆ
เหวินฉายหยัดกายขึ้นยืนตรงๆ มือบางปัดฝุ่นออกจากชุดของตนเองจนหมด ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับสองผู้นี้อีกครั้ง ร่างเล็กค้อมศีรษะลงช้าๆ สองมือยกขึ้นมาอย่างขออภัยตามที่ได้ร่ำเรียนมาจากถังลี่หยาง เขาไม่เคยคิดจะทำให้ใครดูแคลนต่อสกุลถัง และไม่คิดจะให้ใครดูแคลนนายน้อยเฟยหลงเช่นกันว่าอบรมคนไม่ดีพอ
“อภัยด้วยคุณชายเฉิน ข้าน้อยมิได้ตั้งใจ” น้ำเสียงใสกล่าวออกมาอย่างจริงใจ ท่าทางแม้จะดูอ่อนน้อมแต่คนข้างๆ ซึ่งไม่ใช่ผู้ที่ถูกเขาชนเสียด้วยซ้ำกลับเดือดร้อนเสียเต็มประดา
“ไม่ตั้งใจแน่หรือ......มิใช่ว่าตั้งใจมายั่วยวนลี่ฟู่รึ?”
คำพูดดูแคลนจนร่างเล็กต้องกัดฟันกรอด คำเหยียดหยามสะท้อนก้องอยู่ในหูไม่หยุด เส้นอารมณ์แห่งความโกรธเกรี้ยวแทบจะขาดผึง แต่เมื่อนึกถึงหน้าตาของตระกูลลู่ที่ชุบเลี้ยงและดูแลเขามา เขาคงไม่สามารถจะจัดการสิ่งใดได้ตามใจชอบ แต่ที่สงสัยคือ เฉินลี่ฟู่ไม่คิดจะปริปากพูดสิ่งใดเลยหรือ ต้องให้คนข้างๆ พูดแทนเช่นนี้หรืออย่างไร โง่เขลาเสียจริง เหวินฉายใช้มือซ้ายกุมมือขวาที่กำแน่น ค้อมศีรษะลงต่ำอย่างขออภัยแม้ในใจจะเดือดดาลเท่าไหร่ก็ต้องอดทนไว้
“ขออภัย ข้ามิได้มีเจตนาเช่นนั้นจริงๆ ข้าขอตัว!”
เหวินฉายกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับไร้ความรู้สึกโดยไม่รู้เลยว่าเฉินลี่ฟู่จดจ้องมองรายละเอียดของตนจนหมดด้วยใบหน้าเช่นไร นัยน์ตาสีนิลวาววับมุมปากกระตุกยิ้มอันตรายแค่เพียงชั่วพริบตามันก็หายไป เหวินฉายไม่รีรอฟังคำตอบหรือคำด่าทอจากบุคคลอื่นใด เขาเลือกจะเดินออกมาแม้ว่าการหันหลังจะหมายถึงความพ่ายแพ้ก็ตาม หากแต่การที่ต้องมายืนให้ใครก็ไม่ทราบด่าทอก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องทำเช่นกัน
ร่างบางได้แต่หัวเสีย หงุดหงิดเสียจนต้องระบายออกด้วยการแตะเท้าไปในอากาศ หลงคิดว่าออกมาเดินให้สนุกกลับพบคนที่ไม่พึงใจจะพบเช่นนี้ เห็นทีวันนี้เขาคงจะซวยทั้งวันเป็นแน่ เขาเกลียดเฉินลี่ฟู่! ตอนเด็กเกลียดเช่นไร บัดนี้ก็เกลียดเช่นนั้น ยิ่งเมื่อได้พบกับเหตุการณ์นี้ เขาก็ยิ่งเกลียด!!!
“โอ๊ย!! ปล่อยข้านะเจ้าบ้า!” เหวินฉายวัยห้าขวบปีดิ้นรนหนีเมื่อเด็กชายผู้เป็นถึงคุณชายตระกูลเฉินผู้มีอายุมากกว่าตนถึง5ปีนั้นกระชากแขนเขาอย่างแรง เพียงหวังให้เดินตามเขาไป
“จวนของข้าใหญ่โต เด็กตัวเล็กๆ แบบเจ้าข้าจะเลี้ยงไว้เอง” เฉินลี่ฟู่ไม่สนใจอาการดิ้นรนกับใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาสักนิด นิสัยเอาแต่ใจจากการถูกคนอื่นๆ ตามใจมันยิ่งทำให้อะไรก็ตามที่เขาอยากได้ เขาก็จะต้องได้มา
“ต่อไป เจ้าคือลูกหมาในจวนของข้า ฮ่าๆ ๆ”
“ฮึก ไม่ไป เหวินฉายไม่ใช่หมา ปล่อยนะ! นายน้อยยยยย”
สุดท้ายเขาก็จำได้ว่าถูกลากไปขังไว้ในห้องของเฉินลี่ฟู่อยู่สองวัน สองวันที่ต้องถูกจับหันซ้ายหันขวา ถูกสั่งทำนั่นทำนี่ไม่หยุดหย่อน แม้จะมีอาหารดีๆ มาให้แต่อารมณ์ของเชาในตอนนั้นก็ใช่ว่าจะกินลง สองวันที่แสนจะทรมานจากการโดนกลั่นแกล้งให้แต่งชุดบ้าๆ ราวกับเป็นเด็กผู้หญิง ต้องถูกอีกคนจับอาบน้ำล้างตัวทั้งที่เขาไม่เคยให้ใครมาทำเช่นนี้ หากไม่เรียกว่าแกล้ง แล้วจะเรียกว่าอะไร สุดท้ายนายน้อยก็ไปพาเขาออกมา แล้วเขากับนายน้อยก็ต้องกลับไปเมืองหลวง เขาเคยคิดสาบานว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก แต่เขาก็ทำไม่ได้ ต้องกลับมาอยู่ดีเมื่อนายท่านฮุ่ยเจิงยกจวนหลังนี้ให้แก่นายน้อยของเขา ความคับแค้นใจและฝังใจตั้งแต่เด็กยังคงวนเวียนอยู่ไม่จบสิ้น หลับตาคราใดก็เห็นภาพนั้น ดีหน่อยที่ช่วงหลังมานี้เขาพอจะลืมมันไปได้บ้างแล้ว ไม่คิดเลยว่า เฉินลี่ฟู่จะยังอยู่ที่เมืองนี้ เจ็บใจนัก เจ็บใจจริงๆ


++++++++++++++++++++++++++++++++ 

>>>>>>>>>>>มีต่อค่ะ<<<<<<<<<<<

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
>>>>>>>>>ต่อค่ะ<<<<<<<<<

            มือหนาของเฉินลี่ฟู่ขยับจัดเสื้อผ้าเข้าที่จากศึกรักที่เพิ่งจบไป ใจจริงเขาไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับใครด้วยซ้ำเพียงแค่ออกมาเดินเล่นชมเมืองก็เท่านั้น ใครจะคิดว่าจะได้เจอกับคนที่เฝ้ารอมาตลอด เขายังจำได้ดีเมื่อตอนเยาว์วัย ใบหน้าจิ้มลิ้มที่เปรอะเปื้อนคราบดินและเศษหญ้าเพราะความซนในแบบของเด็ก
เข้าต้องตาต้องใจจนอยากจะเอามาเลี้ยงไว้ให้เชื่องที่จวน ยอมกระทั่งลักพาตัวมาโดยที่เด็กนั่นไม่เต็มใจ แม้จะร้องห่มร้องไห้ แม้จะเรียกร้องจะออกไปเขาก็ทำเฉย สองวันเต็มๆ ที่ได้ครอบครองเจ้าลูกหมาตัวนั้น ทั้งจับอาบน้ำ จับขัดถูก จับแต่งเนื้อแต่ตัวให้สะอาดเขาจึงได้รู้ว่า ภายใต้ความมอมแมมของเด็กคนนั้น.....มันคือผิวขาวนวลที่ชวนให้มอง
ลี่ฟู่เผลอคิดมาตลอดทางที่เดินที่มีคนข้างๆ เกาะแกะมา เขาจดจำได้ใบหน้าไม่พอใจที่แม้จะพยายามสะกดกลั้นเอาความเกลียดชังและความรู้สึกขุ่นเคืองเอาไว้ช่างตรึงตาตรึงใจเขาเหลือเกิน เพราะมัวแต่จดจำรายละเอียดของคนตรงหน้านานเกินไป เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งคนที่ชนเขาก็หายไปเสียแล้ว เหลือเพียงเสียงต่อว่าอย่างไม่พอใจจากคนข้างกายที่ทำให้เขารู้สึกรำคาญไม่น้อย
ซุนเหว่ยลูบไล้แขนผ่านผิวผ้าอย่างไม่ให้ดูน่าเกลียดนัก ช้อนสายตาชวนเสน่หาให้อย่างยั่วยวนจนเขาได้แต่ยิ้มเยาะอยู่ในใจ เมื่อครู่มิใช่ว่าพูดจาว่าร้ายเจ้าหมาน้อยของเขาว่าหวังยั่วยวนเขาหรือ พอตอนนี้กลับทำเสียเอง ฮึ! แม้จะคิดอยู่ในใจเช่นนั้น แต่ความร้อนรุ่มในกายจากการได้พบหน้าเหวินฉายจำเป็นต้องหาที่ระบาย และซุนเหว่ยก็อยู่ถูกจังหวะเสียด้วย
เขาเป็นคนที่สามารถมีสัมพันธ์กับใครก็ได้ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย เพราะมันก็แค่สัมพันธ์นอกกายเท่านั้น ใช่ว่าบุรุษอย่าเขาจะไม่เคยเข้าหอคณิการ์เสียเมื่อไหร่ เพียบพร้อมไปดูรูปและทรัพย์เขาก็ย่อมต้องหาทางนำความสุขเข้าตัวอยู่แล้ว เพียงแต่หลังๆ มานี้เขาไม่จำเป็นจะต้องเข้าสถานที่เช่นนั้นก็มีมากมายที่ยอมพลีกายให้เขาง่ายๆ และซุนเหว่ยก็คือหนึ่งในนั้น เมื่อยินดีให้เขาใช้เรือนร่างนั้น เขาจะปฏิเสธไปไย
“เจ้าจะไปแล้วหรือลี่ฟู่”
“ใช่...ข้าจะกลับแล้ว” ซุนเหว่ยลุกขึ้นจากเตียงหยิบชุดคลุมสีขาวมาสวมไว้หมิ่นเหม่ราวกับต้องการยั่วยวนให้อีกคนอยู่ต่อ สองแขนกอดรัดร่างของลี่ฟู่จากทางด้านหลังอย่างออดอ้อน ทะนงตัวและใจว่าตนคือคนรักของคนผู้นี้ไปแล้ว
“อยู่กับข้าต่ออีกหน่อยไม่ได้หรือ?”
“หึ ข้าว่าเจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหน่อยนะ” ลี่ฟู่หันกลับมาเผชิญหน้ากับซุนเหว่ย มือหนาจับปลายคางของคนที่ทำตาเชื่อมหวานใส่อย่างรุนแรงจนเจ้าของปลายคางต้องนิ่งหน้า
“เจ็บ ลี่ฟู่.....ข้าเจ็บ”
“ข้าไม่ใช่คนรักของเจ้า แค่นอนกับข้าก็อย่าทนงตัวว่าเป็นเจ้าของ!” ลี่ฟู่กล่าวเสียงแข็ง หรี่ตาจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาดูถูกก่อนจะปล่อยปลายคางออกจากมือราวกับว่ารังเกียจเหลือเกิน
ซุนเหว่ยเจ็บปวดทิ้งกายลงบนพื้นห้องของตนอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง โหดร้าย จิตใจของคนๆ นี้ทำด้วยอะไรกัน มือเรียวกำเข้าหากันแน่น ปลายเล็บจิกเข้าเนื้อตนเองจนมีเลือดไหล หากแต่มันกลับไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดที่ใจได้เลยแม้แต่น้อย หัวใจดวงนี้ของเขาถูกคนที่ตนเองหลงใหลเหยียบย้ำจนมันสะบักสะบอมเกินจะเยียวยา ได้แต่มองใบหน้าหล่อด้วยสายตาแค้นเคืองเท่านั้น
“เฉินลี่ฟู่!!! มันจะมากไปแล้วนะ!! ข้ามิใช่พวกหอคณิการ์ที่เจ้าจะมาทิ้งๆ ขว้างๆ ได้!!! ข้าคือบุตรชายคนที่สามของตระกูลซุนผู้ร่ำรวย กล้าดียังไงถึงมาพูดกับข้าราวกับข้าเป็นเพียงเศษดินริมทาง!!” คนฟังกลับยิ้มเยาะ ดวงตาสีนิลราวกับเหยี่ยวจ้องมองไปที่ซุนเหว่ยอย่างเหยียดยาม
“เจ้าพูดเองนะ ข้ามิได้กล่าวสิ่งใด แค่บอกว่าเจ้ามิใช่คนรัก ไม่สิ ไม่ใช่เจ้าของกายข้า แค่สัมพันธ์ทางกายมีหรือข้าจะยอมเป็นของเจ้า?” ซุนเหว่ยสะอึกกับคำพูดนั้น เมื่อคิดได้ว่าเขาพูดดูถูกตนเองเสียทั้งสิ้น ใบหน้าของซุนเหว่ยบิดเบี้ยว เม้มริมฝีปากเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ เหตุใด เหตุใดเขาคนนี้จึงแพ้พ่าย เป็นถึงบุตรชายของพ่อค้ารายใหญ่ แต่กลับไม่สามารถมัดใจคนที่พึงใจได้เชียวหรือ
“ข้าไปล่ะ” สติของซุนเหว่ยกลับมาทันทีที่ร่างสูงของคนตรงหน้ากำลังจะก้าวขาออกไป ซุนเหว่ยหยัดกายขึ้นยืนความโกรธเกรี้ยวในใจเขามีมากเสียจนแทบจะฆ่าคนๆ นี้ให้ตายไปเลยก็ยังได้ หากแต่เขากลับทำได้เพียงตะโกนกลับไปเท่านั้น
“เฉินลี่ฟู่!!! แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ!! เจ้าจะต้องเสียใจที่ไม่เลือกข้า!!!!!”
ลี่ฟู่ทำเพียงเดินต่อไม่สนใจเสียงก่นด่าที่กล่าวสาปแช่งเขาอยู่ด้านในอีก เสียงขว้างปาข้าวของดังขึ้นตามหลังมาติดๆ จนเหล่าคนใช้ในจวนใหญ่ต้องวิ่งไปดูคุณชายของตน มันไม่ใช่เรื่องของเขานี่ อย่างไรเสียอีกฝ่ายเองก็ทอดสะพานให้เขาอย่างโต้งๆ จะกล่าวหาว่าเขาผิดฝ่ายเดียวคงไม่ได้ ใช่ว่าเขาตกลงจะต่อสัมพันธ์หลังจากเสร็จกิจเสียเมื่อไหร่ ซุนเหว่ยคิดไปเองทั้งนั้น แต่กับคนๆ นั้นสิ คนที่เขาเฝ้ารอมาตลอด คนที่จู่ๆ ก็หายไปทิ้งให้เขาจมอยู่กับความรู้สึกสิ้นหวัง ท้อแท้ที่จะหาอีกคนพบ ก็ดี...เมื่อกลับมาแล้ว ก็อย่าหวังว่าจะได้ไปอีกเป็นครั้งที่สองเลย เหวินฉาย!
 



++++++++++++++++++++++++++++++++




10ปีก่อน........
เฉินลี่ฟู่ชินชากับคำเรียกที่ใครๆ ต่างพากันเรียกเขา เฉินลี่ฟู่หรือ มิใช่เลย นายน้อยเฉิน คุณชายเฉินต่างหากที่เป็นดั่งคำยกย่องเขา เพราะเป็นถึงบุตรชายคนโตของนายอำเภอเมืองซิ่นจือจึงได้รับการเคารพจากผู้คนทั้งหลาย ไม่ว่าจะปรารถนาสิ่งใด ทุกคนก็แทบจะเอามากองไว้ให้เขาทั้งสิ้น เหล่าพวกลูกน้อง (เพื่อน) ที่มาคอยเล่นกับเขาก็ไม่มีใครกล้าขัดใจเขาสักคน มีแต่ตอบขอรับๆ กันทั้งนั้น หึ.....เป็นลูกนายอำเภอก็ดีเช่นนี้ล่ะ
“ข้าจะเล่นขี่ม้า!!” ลี่ฟู่วัย10ขวบยืนกอดอกพูดด้วยความเอาแต่ใจใช้สายตาคมกริบมองไปยังพวกลิ่วล้อเรียงตัวจนเด็กคนอื่นได้แต่ยืนก้มหน้า
“ตะ แต่เราเพิ่งจะเล่นกันไปเมื่อวานเอง โอ้ย!!”
กล้าเถียงเขาหรือ กล้าดีอย่างไรกัน!! กว่าจะทันได้คิดสิ่งใดมือของลี่ฟู่ก็ผลักร่างป้อมๆ ของเด็กคนนั้นที่กล้าเถียงและออกความเห็นต่างจากเขาลงไปกองที่พื้น เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังจ้าละหวั่นจนผู้คนที่อยู่ในจวนต้องออกมาดู
พ่อบ้านประจำจวนของเฉินลี่ฟู่ปลอบโยนและให้สาวใช้พาเด็กนั่นไปส่งที่บ้านของเจ้าเด็กตัวกลมนั่น ลี่ฟู่เชิดหน้าขึ้นไม่รู้สึกผิดสักนิดที่ทำลงไป อย่างไรเสียพ่อบ้านก็มิกล้าต่อว่าเขาหรอก ทุกคนจะต้องยอมให้เขาเท่านั้น เพราะเขาคือคุณชายเฉินลี่ฟู่ บุตรชายคนโตของนายอำเภอเมืองซิ่นจือ
“นายน้อยขอรับ.....”
“ข้าไม่ผิด!! เจ้านั่นต่างหากที่ผิด มันกล้าเถียงข้า!!!”
ลี่ฟู่เดินหนีโดยไม่สนใจเสียงเรียกของพ่อบ้านอีก ร่างเล็กๆ ของเด็กวัยสิบขวบเดินใบหน้าดุดันด้วยความไม่พอใจในตัวเจ้าเด็กอ้วนนั่นและพวกที่อยู่ในจวนของเขาเช่นกัน ก็แค่เด็กชาวบ้านคนเดียว แค่เขาผลักเด็กชาวบ้านล้มคนเดียว ใช่ว่าเขาจะผลักแรงเสียหน่อย เจ้าอ้วนนั่นมันสำออยเองต่างหาก แค่นิดหน่อยก็ร้องไห้เป็นเด็กขี้แย เหอะ!!
เฉินลี่ฟู่เดินห่างออกมาจากจวนยิ่งขึ้น ไม่รู้ตัวว่าเดินมาในตลาดตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ช่างเถิดเมื่อมาแล้วก็ถือโอกาสเดินเล่นเสียหน่อยก็แล้วกัน เผื่ออารมณ์จะดีขึ้นมาบ้าง สายตาของลี่ฟู่มองไปรอบกาย ทุกอย่างก็ยังเป็นเช่นทุกวันไม่มีสิ่งใดมาใหม่เลยหรือไรกันนะ น่าเบื่อจริงๆ แค่เพียงเดินพ้นออกจากจุดนั้น เสียงหวานของเด็กคนหนึ่งก็ทำให้เขาชะงักฝีเท้า
“นายน้อย จะไปไหนหรือขอรับ”
“ข้าจะไปหาท่านปู่ เจ้าก็เดินเล่นไปก่อนเถอะ!”
“อ๊ะ นายน้อยๆ” ใบหน้าจิ้มลิ้มที่มีแก้มสีระเรื่อเพราะความร้อนจากแสงตะวัน รูปร่างโปร่งขนาดครึ่งเดียวของความสูงเขามันช่างตรึงตา ทั้งๆ ที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนคราบอะไรต่อมิอะไรไม่รู้ เสื้อผ้าเก่าๆ ที่เห็นก็ต้องรู้ว่าเป็นเด็กจนๆ แต่มันกลับทำให้เขาละสายตาไปไม่ได้ บางอย่างของเด็กนั่นทำให้ลี่ฟู่ต้องยกมือขึ้นมากุมอกด้านซ้ายเอาไว้
ข้าป่วยหรือไรกัน เหตุใดหัวใจจึงได้เต้นแรงนัก
ยิ่งมองใบหน้าเศร้าสร้อยของเด็กนั่นเขายิ่งถูกใจ อยากจะเข้าไปปลอบโยน อยากจะลองกอดเด็กนั่นดูสักครั้ง ยิ่งเห็นสายตาอาลัยอาวรณ์ต่อร่างของอีกคนที่อายุคงไม่ห่างจากเขา ลี่ฟู่ยิ่งหงุดหงิด สาวเท้าเข้าไปใกล้ลูกหมาน้อยที่เขาหมายตาไว้ด้วยใบหน้าไม่ชอบใจเท่าไหร่
“เจ้า!! เกะกะข้า” สายตาเศร้าสร้อยสบเข้ากับดวงตาคมของลี่ฟู่ ตัวก็สั่นด้วยความเกรงกลัว เคยถูกสอนมาว่าอย่าไปยุ่งหรือมีเรื่องกับคนที่แต่งกายด้วยเนื้อผ้าดีๆ
“ขะ ขออภัยขอรับ” ร่างที่สั่นด้วยความกลัวค่อยถอยหลบทางอย่างขลาดเขลา สายตากลมก้มลงมองพื้นเพราะไม่กล้าจะมองใบหน้าของคนที่มีฐานะสูงกว่าตน แม่จะเป็นเพียงเด็กแต่เขาก็ถูกสลักมันจนฝังหัวแล้วว่าการแยกชนชั้นจำเป็นกับคนแบบเขาขนาดไหน ใครไม่ควรล่วงล้ำ ใครที่ควรหลีกเลี่ยง เขาจำได้ดี
“เจ้าน่ะ เป็นลูกหมาถูกทิ้งสินะ” ใบหน้าที่หวาดกลัวแหงนเงยขึ้นมามองสบสายตาคมด้วยความสงสัย เขาเป็นลูกหมาหรือ ไม่ใช่เสียหน่อย
“ข้าไม่ใช่ลูกหมา ไม่ใช่ เอ๊ะ?”
“เป็นลูกหมา เจ้าเป็นลูกหมา!!”
เฉินลี่ฟู่หงุดหงิดกับความดื้อดึงของอีกคนจนต้องกระชากคอเล็กๆ นั่นขึ้นมาเขย่า ใบหน้าจิ้มลิ้มเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา ท่าทางคุกคามกับน้ำเสียงที่ราวกับตะคอกทำให้เหวินฉายกลัวยิ่งกว่าเก่า ลี่ฟู่ไม่ชอบให้ใครมาขัด ยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่เมื่อมีคนกล้ามาเถียงเขาซึ่งได้ชื่อว่าเป็นถึงนายน้อยเฉิน!
“โอ๊ย!! ปล่อยข้านะเจ้าบ้า!” เหวินฉายวัยห้าขวบปีดิ้นรนหนีเมื่อเด็กชายผู้เป็นถึงคุณชายตระกูลเฉินผู้มีอายุมากกว่าตนถึง5ปีนั้นกระชากแขนเขาอย่างแรง เพียงหวังให้เดินตามเขาไป
“จวนของข้าใหญ่โต เด็กตัวเล็กๆ แบบเจ้าข้าจะเลี้ยงไว้เอง” เฉินลี่ฟู่ไม่สนใจอาการดิ้นรนกับใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาสักนิด นิสัยเอาแต่ใจจากการถูกคนอื่นๆ ตามใจมันยิ่งทำให้อะไรก็ตามที่เขาอยากได้ เขาก็จะต้องได้มา
“ต่อไป เจ้าคือลูกหมาในจวนของข้า ฮ่าๆ ๆ”
“ฮึก ไม่ไป เหวินฉายไม่ใช่หมา ปล่อยนะ! นายน้อยยยยย” เสียงร้องเรียกให้ใครบางคนมาช่วยช่างขัดหูเขาเหลือเกิน เฉินลี่ฟู่จิ๊ปากด้วยความขัดใจ ไม่ชอบ ไม่ชอบสักนิดที่ลูกสุนัขตัวใหม่ของเขาเรียกร้องให้สุนัขตัวอื่นมาช่วย แรงที่ลากแขนอยู่จึงเพิ่งขึ้นแม้ว่าอีกคนจะดิ้นรนสักเพียงใดเขาก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือหรอก
เหวินฉายทั้งดิ้นรนหนีทั้งพยายามจะร้องเรียกขอความช่วยเหลือ แต่ทุกคนกลับทำราวกับว่ามันก็แค่อากาศที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ใบหน้าจิ้มลิ้มน้ำตาไหลพรากหากแต่ไร้เสียสะอื้นไห้ มีเพียงเสียงร้องห้ามโวยวายและเสียงร้องให้ช่วยเท่านั้น คนๆ นี้เป็นราวกับปีศาจร้ายที่ไม่สนใจจิตใจของใครสักนิด ทำตามแต่ใจตนเองต้องการเท่านั้น พวกลูกขุนนางเป็นเช่นนี้กันหมดเลยหรือไรกัน ช่างแตกต่างกับนายน้อยของเขาเหลือเกิน
ร่างเล็กๆ วัยเพียง5ขวบถูกลี่ฟู่ลากเข้าจวนนายอำเภออย่างไม่ออมแรง สายตาของเหล่าคนใช้ได้แต่มองร่างเด็กน้อยในมือของคุณชายของตนด้วยความสงสาร แม้จะสงสารเช่นไรแต่ก็ไม่อาจจะยื่นมือเข้าไปช่วยได้ ทำได้เพียงแต่เบือนหน้าหนีภาพนั้นไป โชคร้ายเหลือเกิน ไม่รู้ป่านนี้พ่อแม่ของเด็กคนนั้นจะตามหาไปถึงไหนต่อไหน หากรู้ว่าบุตรชายถูกนายน้อยของสกุลเฉินพาตัวมาเช่นนี้ คงได้แต่กลับไปนั่งชอกช้ำใจเป็นแน่ นายน้อยนะนายน้อย
“โอ๊ย!” ประตูทางออกถูกปิดลง ภายในห้องของลี่ฟู่เหลือเพียงเขาและเจ้าของห้องเท่านั้น เหวินฉายลูบสะโพกตัวเองปอยๆ ด้วยความเจ็บเมื่อถูกเหวี่ยงลงบนพื้น สายตาที่เคยเศร้าสร้อยมองสบตาอีกคนด้วยความโกรธเกรี้ยว เด็กเช่นไรก็คือเด็กแม้จะถูกห้ามไว้เช่นไร แต่ความรู้สึกกรุ่นๆ มันก็ย่อมระงับเอาไว้ยากอยู่แล้ว
ลี่ฟู่ยืนอยู่เบื้องหน้าลูกหมาตัวเล็กที่ตนเก็บมาจากข้างทางด้วยท่าทางราวกับเป็นเจ้าของ กอดอกมองใบหน้าที่แสนพยศนั่นด้วยท่าทีเฉยชา คิ้วของลี่ฟู่กระตุกยิบๆ ยิ่งได้เก็บมาไว้ในห้องเช่นนี้ยิ่งรู้เลยว่าเจ้าลูกหมาตัวนี้ต้องได้รับการฝึกให้เชื่องและต้องจับอาบน้ำล้างคราบดินออกเสียหน่อย ลี่ฟู่หันหลังเดินออกไปจากห้องแต่ไม่ลืมที่จะปิดเอาไว้กันไม่ให้ลูกสุนัขตัวโปรดหลุดออกมา
พ่อบ้านตระกูลเฉินพยักหน้ารับคำสั่งของลี่ฟู่ก่อนวิ่งไปตระเตรียมตามคำสั่ง ในขณะที่ในห้องของชี่ฟู่เกิดการพยศของเหวินฉายที่พยายามเหลือเกินในการเปิดประตู แต่ความเป็นเด็กวัย5ขวบทำให้รูปร่างนั้นเล็กกว่าเจ้าของห้องอยู่มาก การจะเปิดออกไปจึงได้ยากกว่าแม้ว่าความเป็นจริงแล้วลี่ฟู่จะจงใจพิงประตูเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเปิดออกได้ก็ตามที รอยยิ้มเอาแต่ใจปรากฏบนใบหน้าของลี่ฟู่ พยายามเข้าไปเถอะเจ้าหมาน้อย หากเขาไม่ยอมให้ไปเสียอย่างก็อย่าหวังจะได้ออกมา
ทันทีที่อ่างน้ำถูกเตรียมเสร็จเรียบร้อย พ่อบ้านประจำตระกูลเฉินก็กล่าวลาและพาตนเองออกไปทันทีเพราะรู้ดีว่านายน้อยของตนเองนั้นไม่ปรารถนาจะให้เขาอยู่ด้านในต่อ เด็กคนนั้นน่าสงสารนัก อายุยังน้อยแท้ๆ กลับต้องมาเป็นของเล่นให้กับนายน้อย ถ้าเกิดนายท่านรู้เข้าล่ะก็ มีหวังเป็นเรื่องใหญ่แน่!
“อย่านะ...ปล่อยข้า ข้าจะอาบเอง!!!” สองมือป่ายไปข้างหน้าไม่ยินยอมให้ลี่ฟู่แตะต้องตนเอง แต่มีหรือเด็กวัย5ขวบจะสู้รบปรบมือกับนายน้อยเฉินที่โตกว่า มือของลี่ฟู่กระชากร่างของเหวินฉายเข้ามาใกล้ ลอกคราบถอดเสื้อผ้าเก่าๆ ออกจากร่างของเหวินฉายจนเปล่าเปลือย ใบหน้าจิ้มลิ้มขึ้นสีแดงด้วยความขัดเขินและโมโห เขาไม่ใช่เด็กเล็กๆ ที่ให้ใครก็ได้มาอาบน้ำถอดเสื้อผ้าให้นะ
“อยู่นิ่งๆ ข้าขัดตัวเจ้าไม่ถนัด!” เสียงของลี่ฟู่ติดดุจนเหวินฉายชะงักหยุดดิ้นรนไปในทันที น้ำใสถูกใช้ล้างร่างของเขาแขนสองข้างก็ถูกขัดถูเสียจนบัดนี้ไร้ซึ่งคราบใดๆ เกาะกุม ใบหน้าถูกลี่ฟู่จับให้แหงนเงยขึ้นมา วักน้ำขึ้นมาลูบเบาๆ เพื่อล้างสิ่งสกปรกออก ใบหน้าจิ้มลิ้มที่เคยเปรอะเปื้อนในตอนนี้กลับดูน่ารักน่าเอ็นดูเสียจนลี่ฟู่ลืมหายใจ
หัวใจของเด็กชายวัย10ขวบเต้นแรง แก้มแดงนั่นช่างน่าลูบไล้เสียเหลือเกิน ผิวของเหวินฉายก็ขาวเป็นยองใยจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา หากจับแต่งกายด้วยชุดแบบเดียวกับเขา เด็กคนนี้คงมิพ้นถูกเรียกว่าคุณชายแบบเขาเป็นแน่ ลี่ฟู่สะบัดหัวไล่ความรู้สึกประหลาดๆ ออกไป ตั้งใจขัดถูอีกคนจนสะอาดสะอ้าน
ร่างของเหวินฉายถูกพาออกจากอ่างน้ำ ฝ่ามือปกปิดจุดเร้นกลางร่างไว้ด้วยความอับอายจนลี่ฟู่ต้องหัวเราะออกมา เหวินฉายได้แต่มองใบหน้าของลี่ฟู่อย่างโกรธแค้น แต่คนถูกมองกลับยิ้มเย้ยด้วยความมั่นใจว่าเหนือกว่า เสื้อผ้าถูกรื้อออกมาเสียหลายชุด แต่ลี่ฟู่ก็ยังหาชุดที่เข้ากับเหวินฉายไม่ได้สักตัว
จริงสิ!! ถ้าเป็นชุดของน้องสอง
“ไป่เอี้ยน!!!”
“เจ้าค่ะนายน้อยลี่ฟู่ ว๊าย!!” เจ้าของเสียงนามไป่เอี้ยนเปิดประตูเข้ามาตามเสียงเรียกของผู้เป็นนาย ใบหน้าสะอาดสะอ้านของไป่เอี้ยนดูสมวัยแรกรุ่นยิ่งนักแต่ก็ต้องรีบหันหลังกลับไปเพราะเด็กตัวน้อยอีกคนในห้องยังคงไร้เครื่องนุ่งห่มใดๆ ปกปิดร่างกาย
“เจ้า...ไปเอาชุดของน้องสองมาให้ข้าหน่อย”
“ตะ แต่ว่า...”
“ข้าสั่งเจ้า!!!!”
“จะ เจ้าค่ะๆ” น้ำเสียงอันทรงอำนาจทั้งที่อยู่ในวัยเพียง10ขวบเท่านั้นทำให้ไป่เอี้ยนต้องรีบออกจากห้องไปเอาชุดของคุณหนูเฉินผู้เป็นน้องสาวของนายน้อยมาให้ตามคำสั่ง หัวใจของไป่เอี้ยนแทบจะหลุดออกมาจากอก เหตุใดเด็กคนนั้นจึงได้ยืนล่อนจ้อนเช่นนั้นกัน แล้วเหตุใดนายน้อยจึงบอกให้นางไปเอาชุดของคุณหนูด้วย ไม่เข้าใจสักนิด
“รอก่อน เดี๋ยวชุดก็มาแล้ว” ลี่ฟู่พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าร่างกายของเด็กน้อยวัย5ขวบเริ่มสั่นสะท้านกับอากาศที่เย็นลง แสงตะวันเริ่มลับขอบฟ้า ช่วงเวลาของทิวาเริ่มหมดลงและราตรีเริ่มทำหน้าที่ หากยามนี้ยังดีนักที่มิได้มืดอะไรมากมาย ยังพอมองเห็นได้อยู่บ้าง แต่อีกไม่นาน อีกไม่นานคงถูกปกคลุมไปด้วยความมืดเป็นแน่
ลี่ฟู่เริ่มจุดเทียนเพื่อให้มีแสงสว่างพอได้มองใบหน้าของเหวินฉาย สงสารอีกคนจับใจที่ต้องยืนเปลือยเปล่าอยู่เช่นนั้น แต่อย่างไรเล่า ใบหน้านั่นยังคงไม่หยุดมองเขาด้วยความไม่พอใจเลยสักครั้ง เช่นนั้นก็ยืนต่อไปเถอะ รอจนกว่าไป่เอี้ยนจะได้ชุดของน้องสองของเขามานั่นล่ะ
“มาแล้วเจ้าค่ะนายน้อย...”
“ดี...ส่งมานี่!” ชุดเนื้อผ้าชั้นดีถูกลี่ฟู่ดึงออกไปจากมือของไป่เอี้ยน เหวินฉายมองชุดในมือของลี่ฟู่ก่อนจะเบิกตากว้าง สีเช่นนั้น ลวดลายและรูปแบบเช่นนั้นมัน.......มัน........
“นั่นมันชุดผู้หญิง จะให้ข้าใส่ไปได้อย่างไร!!!” ลี่ฟู่หาได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ยังคงเดินหน้าเข้าหาเหวินฉายไม่หยุดฝีเท้า จนเหวินฉายเองที่ถอยร่นจนติดเสา
“ใส่ซะ!”
“ข้าไม่ใส่!!”
“เจ้าเป็นลูกหมาของข้า!! ข้าสั่งเจ้าก็ต้องทำ!!” ไป่เอี้ยนยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ เช่นนี้หรอกหรือ นายน้อยลากเด็กคนนี้มาเพียงเพราะอยากเลี้ยงไว้หรอกหรือ มิน่าล่ะ ไป่เอี้ยนมองนนายน้อยของตนด้วยใบหน้าปลื้มปริ่มน้ำตาคลอเต็มสองตา รู้สึกภูมิใจอยู่เหลือเกินที่นายน้อยเกิดความปราณีจนพาเด็กน้อยยากจนผู้นี้มาเลี้ยงดู
ไป่เอี้ยนมองภาพที่มีลี่ฟู่จับเด็กอีกคนยัดลงไปในชุดสีชมพู ใบหน้าจิ้มลิ้มเมื่อถูกจับสวมใส่ชุดสีหวานจึงดูขัดตาเล็กน้อย ลี่ฟู่ยืนมองผลงานของตนเองด้วยความพึงพอใจ พยักหน้าให้ไป่เอี้ยนจัดการกับผมของเหวินฉายที่ถูกเกล้าเอาไว้ ทันทีที่ปิ่นถูกดึงออก เส้นผมสีดำก็ล่วงลงมาปกคลุมจนเต็มแผ่นหลัง ส่งให้ใบหน้าจิ้มลิ้มดูหวานขึ้นทันตา ภาพตรงหน้าทำให้ไป่เอี้ยนต้องยกมือขึ้นมาป้องปากด้วยความตกตะลึง น่ารัก น่ารักเสียจนนางแทบไม่เชื่อเลยว่านี่คือเด็กชายที่ถูกนายน้อยลากในสภาพมอมแมม ไป่เอี้ยนมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม หากเป็นแบบนี้ตลอดไปได้คงดี หากเด็กคนนี้มาอยู่ในจวนแล้วล่ะก็นางเชื่อว่า นายน้อยลี่ฟู่จะต้องมีชีวิตชีวากว่าเดิมแน่ๆ มันจะต้องดีแน่ๆ นางเชื่อ.......



      TBC


    ว๊ายย ลี่ฟู่มาแล้ววววว เหยินฉายของเรามีอดีตแบบนี้เอง ว่าแต่รักเขาก็ไม่บอกเขาไปละคะคุณพี่ แหม~
Facebook : [https://m.facebook.com/PassionateFiction]
Twitter : https://mobile.twitter.com/littlekittensY

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4

เหม่ยหลินเดินไปมาหน้าห้องของลูกชายตนเองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลายวันมานี้นางจะได้พบหน้าของเฟยหลงก็เฉพาะช่วงกลางคืนเท่านั้น ส่วนในช่วงกลางวันเฟยหลงจะเอาแต่ขังตัวอยู่ในห้อง พอพลบค่ำถึงจะได้พบเฟยหลงที่มาพร้อมกับหยางเถาจนนางอดสงสัยไม่ได้ว่าในยามค่ำคืนบุตรชายเพียงคนเดียวของนางกระทำสิ่งใดกับหยางเถากันแน่ในช่วงค่ำคืน

แม้ว่าไม่อยากจะคิด แต่ความวิตกกังวลก็ทำให้นางจินตนาการไปไกลแสนไกล ภาพการร่วมรักกันอย่างเร่าร้อนลอยมาในหัวอย่างมิอาจจะห้ามจนนางต้องสะบัดพัดไล่เอาความคิดวิปริตอันเป็นเสนียดจังไรออกไปให้พ้น บุตรชายของนางจะต้องเป็นชาย มิใช่พวกรักใครบุรุษด้วยกัน นางไม่มีวันยอม!!

“เฟยหลง ตื่นหรือยังลูก”

ไร้เสียงของผู้ใดตอบกลับมา ภายในห้องที่นางยืนอยู่ช่างเงียบราวกับไร้ผู้คน ความสงสัยทำให้นางตัดสินใจเปิดประตูล่วงล้ำเข้าไปในห้องของบุตรชาย เหม่ยหลินกวาดสายตามองไปหาร่างของบุตรชายตนเองและพบว่าเขายังคงหลับใหลอยู่บนเตียงด้วยความอ่อนเพลีย สิ่งที่นางกังวลหรือมันจะเป็นจริง เฟยหลงกับหยางเถามีความสัมพันธ์เช่นนั้นจริงๆ หรือนี่! เด็กที่นางเอ็นดูนักหนาเกิดรักชอบกับลูกชายนางหรือ

ไม่นะ! หากเช่นนั้น...หรือในทุกค่ำคืน พวกเขาจะ...

เหม่ยหลินเริ่มหวาดกลัวมากขึ้นจากความคิดและเหตุการณ์ผนวกกันในหลายๆ อย่าง มือของเหม่ยหลินเอื้อมไปเขย่าร่างของบุตรชายตนเองให้ตื่นขึ้นมา อย่างไรเสียนางก็คงต้องคุยกับลูกชายให้รู้เรื่องนางต้องจัดการมันให้เด็ดขาด ก่อนที่อะไรจะสายเกินแก้

“เฟยหลง! ตื่นเถอะ เช้าแล้วนะลูก”

“อื้อ...ท่านแม่หรือขอรับ”

เฟยหลงบิดกายด้วยความเกียจคร้าน รู้สึกราวกับนอนไม่พอจนร่างกายเรียกร้องให้กลับไปนอนต่อ แต่อย่างไรเสียก็คงทำไม่ได้เมื่อท่านแม่มาปลุกเช่นนี้ เฟยหลงอ้าปากหาวด้วยความง่วงที่จู่โจมอย่างหนัก หนังตาหนักอึ้งเสียจนแทบจะลืมขึ้นมาไม่ไหว

“ทำไมเจ้าจึงได้นอนตื่นเวลานี้ นี่ไม่ใช่นิสัยเจ้าเลยนะ หรือเมื่อคืนนี้...เกิดอะไรขึ้นหรือเฟยหลง?” แม้ว่าเหม่ยหลินจะกลัวในคำตอบ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากรู้เสียจนอดถามออกไปไม่ได้ สีหน้าอันน่าแปลกใจของเหม่ยหลินฉายชัดในบางอย่าง แต่ความมึนงงจากการตื่นนอนทำให้เฟยหลงไม่ได้สนใจจะหาคำตอบ

“เมื่อคืน?? เมื่อคืนทำไมหรือขอรับ??”

“ก็ลูก...เอ่อ เปล่า เจ้าไปเดินเล่นกับแม่ได้รึไม่” นางเกลียดตัวเองนักที่เข้มแข็งไม่พอจะถามเอาความจริงมาจึงต้องเบี่ยงประเด็นไปทางเรื่องอื่นเสีย แต่อย่างไร...เรื่องที่นางจะคุยก็สำคัญและมั่นใจได้เลยว่ามันจะต้องแก้ปัญหาที่นางกังวลอยู่ได้แน่

“ขอรับท่านแม่”

แม้ว่าจะง่วงเพียงใดแต่เมื่อท่านแม่อยากคุยกับเขา เขาก็ยินดีจะเดินไปกับท่านแม่ เฟยหลงเดินเคียงข้างเหม่ยหลินไปในสวนที่เบ่งบานไปด้วยดอกไม้งามหลากหลายสีสัน ทว่าอารมณ์ของผู้เชยชมนั้นกลับมิได้สุนทรีย์แม้แต่น้อย หนึ่งร่างเต็มไปด้วยความกังวลและคิดไม่ตก อีกหนึ่งก็เหม่อลอยคิดถึงใบหน้าของใครบางคน ดวงตาเรียวสีนิลจับจ้องแต่เพียงดอกไม้ชนิดเดียวบนต้นใหญ่ แม้รอบกายจะรายล้อมไปด้วยหมู่ไม้นานาพันธุ์แต่เขากลับชื่นชอบดอกท้อที่ยังไม่ยอมเบ่งบานนั่น

เหม่ยหลินหันไปมองตามสายตาของบุตรชาย ความแปลกใจเข้าจู่โจมจนฉายชัดทางสีหน้า นางเคยได้ยินมาจากบิดาของสามีว่า.....ท้อต้นนี้มิยอมออกดอกออกนี่ แล้วเหตุใด......เหตุใดในตอนนี้จึงมีดอกได้เล่า พลันความสงสัยยังมิทันได้กระจ่าง สายตาของเหม่ยหลินก็พบว่าบุตรชายของตนมองต้นท้อต้นนั้นราวกับกำลังมอง...คนรักก็มิปาน หัวใจคนเป็นแม่เต้นแรง ความเครียดจู่โจมอย่างหนักจนเหม่ยหลินแทบจะล้มลงไปกับพื้น ดีที่ยังคงสติเอาไว้ได้ก่อน

ทำเช่นไรดี...นางควรทำเช่นไรดี!

“เฟยหลง...”

“ขอรับท่านแม่” แม้ริมฝีปากจะเอื้อนเอ่ยรับคำ แต่สายกลับยังคงจับจ้องอยู่จุดเดิมไม่แปรเปลี่ยน

“ปีนี้เจ้าก็ย่างเข้ายี่สิบแล้วใช่หรือไม่?”

“ขอรับ...” ความสงสัยในคำถามนั้นมีมากมาย แต่เฟยหลงเองกลับไม่รู้จะถามเช่นไรดี ได้แต่นิ่งเงียบรอฟังคำถามต่อไปจากผู้เป็นแม่เท่านั้น เหม่ยหลินถอนหายใจเมื่อไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ใช่ว่านางจะชอบวิธีนี้ แต่เพื่อรักษาวงศ์ตระกูลเอาไว้ นางคงต้องทำ

“เช่นนั้น พรุ่งนี้...เจ้าไปกับแม่ได้หรือไม่?”

“แน่นอนขอรับ หากท่านแม่ปรารถนา” เฟยหลงไม่รู้เลยว่าผู้เป็นมารดาคิดจะพาตนไปที่ใดหากแต่ก็ตกลงรับปากไปเสียแล้ว ใบหน้าอันแสนทุกข์ใจของเหม่ยหลินคลายลงเมื่อได้ยินคำตอบจากบุตรชายคนเดียวของนาง ใบหน้าของนางในยามนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความโล่งใจในที่สุด เรื่องราวต่างๆ จะได้คลี่คลายเสียที เฟยหลงของนางจะได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์อย่างที่ควรจะเป็น

เฟยหลงยังคงทอดสายตามองต้นท้อใหญ่ด้วยรอยยิ้ม ในยามที่มันต้องแสงอาทิตย์ก็ดูงดงามมิต่างกับยามค่ำคืนเลยแม้แต่น้อย เจ้าดอกท้อของเขาคงกำลังหลับใหลอยู่ในนั้นเป็นแน่ ความสัมพันธ์ของเขาและหยางเถาเป็นไปอย่างราบรื่น ทุกค่ำคืนเขาจะใช้เวลาในการสอนสิ่งต่างๆ ให้หยางเถาได้รู้ ทั้งตำรา หมากรุก และเรื่องที่หยางเถาสนใจ แต่ดูเหมือนส่วนใหญ่ความสนใจของเจ้าดอกท้อตัวน้อยจะมุ่งตรงไปที่ซาลาเปาไส้เนื้อเสียมากกว่า

ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มออกกว้างยามคิดถึงแก้มกลมๆ ที่ถูกอัดแน่นไปด้วยแป้งสีขาว เสียงหัวเราะดังลอดออกมาจากลำคอหนาจนเหม่ยหลินต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจ สีหน้าของเฟยหลงนั้นเต็มไปด้วยความสุข สุข...จนนางกล้าพูดได้เลยว่า น้อยครั้งนักที่จะเห็นบุตรชายเป็นเช่นนี้ หัวใจของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดาพองโต นี่หรือว่าลูกชายของนางจะตื่นเต้นกับการออกไปดูตัวครานี้ ความคิดนั้นทำให้เหม่ยหลินยิ้มออก สุขใจนักยามคิดว่าจะได้โอบอุ้มหลานตัวน้อยๆ ในอ้อมแขน หากเฟยหลงแต่งงานไป นางก็จะได้หมดห่วงไปเสียที ไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจกลัวว่าลูกชายคนเดียวของนางจะกลายเป็นพวกรักชอบบุรุษ แต่เห็นแบบนี้ นางก็เบาใจ พรุ่งนี้...ทุกอย่างต้องเป็นไปได้ด้วยดี เพราะนางจะไม่ยอมให้มันล่มเด็ดขาด!

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

ร่างสูงของเฟยหลงเดินก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและองอาจ ท่าทางขึงขังดูมีสง่าเกินกว่าคุณชายท่านใดเรียกสายตาจากสาวน้อยใหญ่ที่เดินเลือกซื้อของอยู่ตามรายทาง แม้บนใบหน้ามิได้แต่งแต้มรอยยิ้มแต่ก็มิได้บั่นทอนความหล่อเหลาลงได้เลย มันกลับยิ่งทำให้เฟยหลงนั่นดูน่าค้นหา หญิงสาวเหล่านั้นต่างก็ส่งสายตาหวานหวังสานสัมพันธ์กับหนุ่มรูปงามผู้นี้

เฟยหลงมองเมินทุกดวงตาแม้จะมีใบหน้าสวยงามหยดย้อยเพียงใด แต่เขากลับมองว่าพวกนางมิได้งดงามดั่งที่เห็น หยางเถาของเขาต่างหากที่งดงามยิ่งกว่าผู้ใด ทั้งกิริยาและความเป็นตัวตนของหยางเถา เฟยหลงระบายยิ้มอ่อนบนใบหน้ายามเมื่อนึกถึงเจ้าดอกท้อของเขา ทั้งผิวแก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ทั้งเส้นไหมสีเงินยามถูกสายลมพัดให้ปลิวไสว ทั้งกลิ่นหอมที่ยั่วยวนใจยามได้อยู่ใกล้ชิดนั่นอีก หยางเถาไม่แม้แต่จะชายตามองเขาเลย มีเพียงเขาเองด้วยซ้ำที่เฝ้าคอยจดจ้องใบหน้าอ่อนเยาว์นั่นอย่างไม่อาจจะละสายตา

เหม่ยหลินยิ้มกริ่มยามได้เห็นเหล่าหญิงสาวที่เมียงมองลูกชายของตนด้วยความเสน่หา มิมีหญิงใดหรอกที่จะทานทนต่อใบหน้าอันหล่อเหลาราวรูปสลักของเฟยหลงไปได้ ยิ่งหากได้สนทนาได้ทำความรู้จักและใกล้ชิด นางมั่นใจเลยว่าลูกชายของนางผู้นี้ มิได้ด้อยไปกว่าใคร แม้จะเป็นเพียงบัณฑิตที่ไร้ชื่อ แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของแม่ทัพลู่จิ้นเหอ เป็นนายน้อยตระกูลลู่ที่ได้รับจวนหลังใหญ่เป็นมรดกที่ไม่ว่าชาติใดสมบัติที่มีก็มิสามารถใช้ได้หมด

ร่างของเหม่ยหลินและบุตรชายก้าวเข้าไปยังจวนที่มองเห็นได้ตรงหน้านี้ จวนของผู้ที่กว้างขวางทั้งในเมืองและในราชสำนัก จวนตระกูลเพ่ย ข้ารับใช้ของจวนต่างมาต้อนรับขับสู้อย่างดีมิมีขาดตกบกพร่องจนเหม่ยหลินยิ้มด้วยความประทับใจ ท่าทางนางจะคิดถูกจริงๆ ที่เลือกพาลูกชายมาดูตัวที่นี่ ความใหญ่โตโอ่อ่ามิได้ด้อยไปกว่าจวนของนางเลย แม้ความร่ำรวยสกุลลู่จะมีมากกว่าก็ตาม แต่ด้วยศักดิ์และชื่อเสียงบุตรสาวตระกูลเพ่ยจึงเป็นที่หมายตาของนางมากกว่าผู้ใด

“ฮูหยินลู่...อุตส่าห์มาเยี่ยมเยียนข้าและครอบครัว ต้องขอบคุณมากจริงๆ” จางเยว่หลิงหัวเราะน้อยๆ และกล่าวต้อนรับอย่างมีความสุข นางรู้ดีว่าเจตนาของอี้เหม่ยหลินคือสิ่งใด หากมิใช่พาบุตรชายของนางมาดูตัวกับบุตรสาวของตน

“มิได้หรอก ข้ารึกลัวว่าจะเป็นการมารบกวนท่านกับบุตรสาวเสียมากกว่าที่มาโดยมิได้บอกกล่าวใดๆ” เหม่ยหลินแสดงท่าทีที่ชัดเจนจนมิต้องมีใครบอกสิ่งใด นางต้องใจกับเพ่ยเยว่เผิงนัก งดงามทั้งกิริยาและการวางตัว ผมเผ้าถูกจัดเป็นทรง รูปร่างผอมบางที่มองเห็นได้นั่นเล่า ไหนจะท่าทีที่เขินอายต่อบุตรชายของนางเพียงได้มองสบตาเพียงครู่เดียวนั่นอีก ช่างดูน่ารักเสียเหลือเกินในสายตาของนาง

“รบกวนอันใด ดีเสียอีกลูกสาวข้ามิค่อยมีเพื่อนมากนัก หากคุณชายลู่เฟยหลงจะมาเป็นเยี่ยมเยียนบ่อยๆ ข้าเองก็ยินดีนัก” เฟยหลงได้แต่ยืนนิ่ง ไม่โต้ตอบสิ่งใดๆ ออกไป เขาจมอยู่ในความคิดที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าผู้ใหญ่ทั้งสองท่านนี้พูดถึงสิ่งใดกันอยู่

“หลง...เฟยหลง!”

“อ๊ะ! ขอรับท่านแม่?” เฟยหลงสะดุ้งตกใจยามได้ยินเสียงของมารดาเรีบกด้วยเสียงที่ไม่ได้เบานัก

“เยว่เผิงนางจะพาเจ้าไปเดินเล่นในสวน เจ้าไปกับนางเถิด แม่ต้องพูดคุยกับน้าจางเยว่หลิงเสียหน่อย” ร่างสูงพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ เขามิได้อยากหักหน้ามารดาเลย หากเขาทำเช่นนั้นคงมิต่างจากลูกอกตัญญู

“เชิญทางนี้เลยเจ้าค่ะ คุณชายลู่” เยว่เผิงก้มหน้าด้วยความเขินอายบอกเชิญบุรุษผู้ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีที่เรียบร้อย

“เชิญคุณหนู...”

เพ่ยเยว่เผิงเดินผ่านไปด้วยรอยยิ้มบางเบาอย่างมิต้องการให้บุรุษผู้นี้ได้เห็น นางพึงใจนิ่งนักที่ได้พบกับลาเฟยหลงผู้นี้ ผู้ที่เป็นที่หมายปองของเหล่าหญิงสาวแห่งเมืองซิ่นจือ ในคราแรกที่ท่านพ่อบอกว่าจะมีคนมาดูตัวนั้น นางมิพอใจนักด้วยไม่รู้เลยว่าเป็นผู้ใด รูปร่างหน้าต่างยิ่งแล้วใหญ่ แต่เมื่อได้พบพานในความรูปงามของลู่เฟยหลง นางพึงใจมากเสียจนอยากให้รีบจัดงานตบแต่งโดยเร็ววัน

“สวนที่นี่งามนัก ข้าขอเรียนถามคุณหนูเพ่ย...ใครเป็นคนดูแลที่นี่หรือ?” น้ำเสียงทุ้มนุ่มหูเอ่ยถามขึ้นเมื่อพวกเขาเดินมาถึงสวนขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยมวลดอกไม้แต่มิได้มีมากมายเฉกเช่นดั่งจวนของเขา กลีบดอกเบ่งบานรับแสงตะวันที่สาดส่องมา ดูด้วยตาก็รู้ว่าพวกมันถูกดูแลมาดีแค่ไหน เขาชื่นชมนักที่มีคนใส่ใจกับพวกมัน

“เป็นตัวข้าเอง...” น้ำเสียงอ้อมแอ้มตอบกลับด้วยความเหนียมอายมิกล้าสบตากับบุรุษรูปงามนามเฟยหลงสักวินาที

“เช่นนั้นหรือ...คุณหนูช่างใส่ใจนัก ข้ามิแปลกใจเลยที่พวกมันเติบโตขึ้นมาอย่างสวยงามเช่นนี้" สายตาคมกวาดมองเหล่าดอกไม้อย่างสนใจโดยมิได้ล่วงรู้เลยว่าทำให้หญิงสาวตรงหน้าบิดกายด้วยความเขินอายไปขนาดไหน เยว่เผิงยิ้มเขินและปลาบปลื้มใจ เช่นนี้เขาคงสนใจในตัวนางเป็นแน่ จึงได้กล่าววาจาเช่นนั้น

“ได้โปรด...เรียกข้าว่าเยว่เผิงเถิด คุณชายลู่” เฟยหลงเลิกคิ้วหันมามองใบหน้านวลของเพ่ยเยว่เผิงจนเต็มตา รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฟยหลงจนคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแทบจะล้มลงไปกองกับพื้นกับความหล่อเหลาที่น่าหลงใหล

“เช่นนั้น...เจ้าก็เรียกข้าว่าพี่เฟยหลงเถิด เยว่เผิง”

หัวใจของเยว่เผิงเต้นระส่ำ ภายในอกสะท้านจนแทบจะทนไม่ไหว ยามหูของนางได้ยินชื่อตนเองออกจากปากของเฟยหลงยิ่งทำให้นางแทบไร้สิ้นเรี่ยวแรง รอยยิ้มของเฟยหลงเป็นดั่งยาพิษร้ายหากแต่นางก็อยากจะลิ้มลองแม้จะรู้ว่าอันตราย เยว่เผิงได้แต่กัดปากตนเองไว้แน่น ระงับอาการสั่นไหวอย่างรุนแรงของหัวใจที่ทำงานหนักจนเกินจะรับไหว ค่อยๆ ปรับลมหายใจลงช้าๆ จนมันปกติมิให้คนตรงหน้าได้รู้

“พี่เฟยหลงท่านสนใจพวกดอกไม้หรือ” ใบหน้าหล่อพยักรับ ปากหนายิ้มแย้มอย่างเป็นสุขยามได้กล่าวถึงพวกมัน

“ข้าชื่นชอบมาก ที่จวนของข้าเองก็มีสวนเช่นนี้ หากแต่มีเหล่าดอกไม้มากกว่าที่นี่มากนัก หากเจ้าว่าง...ก็สามารถไปเยี่ยมข้าได้ที่จวน ข้าจะพาเจ้าไปดู” เยว่เผิงแทบจะยกมือบางขึ้นมากุมหัวใจตนเอง กลัวมันจะเต้นดังจนเรียกให้คนตรงหน้าหันมาสนใจ เขากล่าวว่าให้ไปเยี่ยมเขาหรือ ที่จวนเขาด้วย? หากเป็นเช่นนี้ เขาพึงใจนางแล้วใช่หรือไม่นะ แล้วถ้าเขาพึงใจนางล่ะ

ตึกตัก ตึกตัก

“หากพี่เฟยหลงต้องการให้ข้าไป...ข้าจะไปแน่นอน” เฟยหลงมิได้สนใจในความหมายที่นางพยายามสื่อราวกับโยนหินถาม เขายิ้มให้อย่างยินดีเหลือเกินกับคำถามเช่นนั้น

“ข้ายินดีมาก...หากเจ้าจะมา”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2019 11:50:52 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
(ต่อจ้า)
แสงจันทร์สาดส่องไปทั่วทั้งเมืองใบไม้สีเขียวสดในยามที่ต้องแสงตะวันนั้นในตอนนี้กลับแทบจะมองไม่เห็นสีของมัน จวนตระกูลลู่ถูกไฟจากโคมขับไล่เอาความมืดมิดให้หายไปคงความสว่างไสวเอาไว้ให้ได้มองเห็น เฟยหลงยังคงยืนรอใครบางคนอยู่ในจุดเดิมดั่งเช่นทุกค่ำคืนที่ผ่านๆ มา หลายคืนที่ผ่านมานี้เฟยหลงมั่นใจอย่างที่สุดว่า...หยางเถานั้นชอบที่จะใช้เวลาอยู่กับเขา แม้ว่ามันจะเป็นการนั่งอยู่เงียบๆ จดจ่ออยู่กับความคิดที่ตกตะกอนก็ตามที

เขาเฝ้ารอช่วงเวลาแห่งความสุขนี้มาตลอด นับเวลาให้ตะวันเลือนลับขอบฟ้าไปและให้แสงจันทราย่างกายเข้ามาแทนที่ เสียงหัวใจเต้นดังในจังหวะสม่ำเสมอ หากแต่เขากลับรู้สึกว่ามันตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ วนเวียนเพื่อรอพบคนที่ติดตรึงในหัวใจอย่างไม่อาจจะลบเลือนให้หายไปได้ เขาชอบที่จะมีหยางเถาอยู่เคียงข้าง สุขใจที่ได้รับรู้ว่ามีเจ้าดอกท้ออยู่เสมอ และเขาคงจะไม่สามารถมองใครได้อย่างที่มองเจ้าของผมสีเงินอีกแล้ว

“เจ้ามาแล้ว...” เฟยหลงเผยรอยยิ้มอย่างยินดีที่หยางเถาปรากฏกายขึ้นมาตรงหน้าตนเอง

“ข้าก็มาเช่นนี้ทุกค่ำคืน...เหตุใดเจ้าจึงยิ้มราวกับมิได้พบข้ามานาน” หยางเถาอมยิ้มน้อยๆ กับอาการตื่นเต้นของอีกฝ่าย แม้ว่าปฏิกิริยาของหยางเถาจะนิ่งเฉยแต่ภายในหัวใจกลับเต้นระรัว เฟยหลงยกมือขึ่นลูบคอตนเองเบาๆ อย่างเขินอายในทีท่า เมื่อรู้ว่าเขาไม่อาจเก็บอาการของตนเองไว้ได้

“ข้าเพียงตื่นเต้นไปเท่านั้น ฮะๆ”

“เช่นนั้นหรอกหรือ” แม้จะรู้ว่าเฟยหลงเพียงพูดแก้เก้อไป แต่หยางเถาก็จะยินยอมให้มันเป็นเช่นดั่งที่เขากล่าวก็แล้วกัน

“วันนี้...ข้าก็ยังคงมีซาลาเปาให้เจ้าเช่นเดิมนะ” หยางเถากลอกตาไปมา นี่เฟยหลงคงมิได้จะขุนให้เขาอ้วนหรอกใช่หรือไม่ ไม่ว่าจะมากี่คืนๆ เขาก็มันจะได้ลิ้มรสเจ้าก้อนขาวๆ ทุกคืนไป แม้มันจะอร่อยมากและเขาก็ชอบมันมากก็เถอะ แต่ไม่คิดว่าเขาจะอ้วนฟูจนกลายเป็นเจ้าก้อนนั่นบ้างหรือไรกันนะ

“เฟยหลง...เจ้าคงมิได้อยากให้ข้าเป็นหมูหรอกนะ?” คนถูกถามตาโต กวาดตามองคนตรงหน้าจนคนถูกมองรู้สึกเขินอาย สายตานั้นก็กระไร มองเสียราวกับจะทะลุเสื้อผ้าเขาไปได้อย่างนั้น

“ข้าเปล่าเลย...”

สายตาคมสบเข้ากับดวงตาสีหวานด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูและรักใคร่ ความวิบวับในดวงตาคมช่างชวนให้หยางเถาอยากจะคว้ากิ่งไม้แล้วจิ้มเจ้าของดวงตาเสียสักทีสองที หมั่นไส้เหลือเกินกับการแสดงออกของเฟยหลงเช่นนี้ หากมิบอกเขาว่าเป็นบัณฑิต เขาก็คงคิดว่าเป็นนักรักแน่

“แต่หากเจ้าอ้วนกลมจนเป็นดั่งเช่นซาลาเปาและกลับเข้าไปยังต้นท้อไม่ได้อีก...ข้าจะดูแลและเลี้ยงดูเจ้าเอง ดีรึไม่? โอ๊ะ!”

เฟยหลงสะดุ้งขึ้นด้วยความเจ็บปวดเมื่อหยางเถาใช้มือของตนเองหยิกเข้าที่แก้มทั้งสองข้างนั่น แต่เฟยหลงหรือจะโกรธเคือง ใบหน้างดงามที่กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานที่ได้ดึงแก้มเขาเล่นนั้น มันทำให้เขาลืมเลือนความเจ็บปวดไปจนหมด แต่ความจริงแล้วแรงของหยางเถามีเท่านั้นมันไม่สามารถทำให้เขารู้สึกเจ็บได้หรอก แค่อาจจะรู้สึกคันๆ บ้าง

หยางเถาสัมผัสได้ถึงความยืดหยุ่นของผิวหนังมนุษย์ เขาดึงมันเล่นอย่างสนุกสนาน ร่างเล็กหัวเราะจนดังก้องไปทั่วแต่ก็ไม่มีใครได้ใส่ใจ เมื่อทุกคนในจวนต่างล่วงรู้ว่าเวลาค่ำคืนเช่นนี้เป็นช่วงเวลาที่สหายรูปงามของนายน้อยจะมาเยี่ยมเยียนและพูดคุยกัน แม้ในใจของพวกเขาจะตั้งข้อสงสัยว่า...เหตุใดเล่า เหตุใดจะต้องเป็นเฉพาะช่วงตะวันลับฟ้า เหตุใดจึงมืเคยเห็นสหายผู้นี้ของนายน้อยมาในยามทิวาสักครา

เหม่ยหลินนั่งไม่ติดเก้าอี้ เสียงที่ดังผ่านหูมาให้นางได้ยินนั้นมิต้องบอกก็รู้ว่าคือผู้ใด ใจนางร้อนระอุจนไม่มีสิ่งใดมาดับได้ สิ่งที่นางวางแผนเอาไว้คงต้องเร่งเสียหน่อยแล้ว ทำเช่นไรดีนะ! ลูกชายของนางจึงจะยอมแต่งงานตามที่นางต้องการกันนะ แต่ที่นางได้เห็นในวันนี้ เฟยหลงเองก็มิได้รังเกียจเยว่เผิงเลยแม้แต่น้อย และตัวเยว่เผิงเองก็ดูจะมีใจให้เฟยหลงเช่นกัน

“เจ้าเดินไปเดินมาทำไมรึ? เหม่ยหลิน”

“ท่านพี่...ข้าร้อนใจเหลือเกิน” ท่าทางอันไม่สงบของฮูหยินตนดูก็พอจะรู้ว่าเหม่ยหลินร้อนใจเพียงใด แต่มันเรื่องใดเล่าที่ทำให้ภรรยาคนดีของเขาถึงกับร้อนรนเพียงนี้

“มีเรื่องอะไรรึ?”

“ท่านพี่เองก็ย่อมต้องได้ยิน ยามเมื่อสิ้นไร้ตะวันทอแสง หยางเถาจะต้องมาหาลูกชายเราทุกคืนไป ท่านพี่มิกังวลหรือ” จิ้นเหอลูบไล้แผ่วเบาที่หลังมือของเหม่ยหลิน มองสบใบหน้างามของภรรยาอย่างให้กำลังใจ

“มันอาจจะไม่ได้เป็นดังที่เจ้าคิดก็ได้...”

“ท่านพี่...ข้าอาจจะคิดมากไปก็เป็นได้ แต่หากไม่หาวิธีแก้ไว้เสียเนิ่นๆ ทุกสิ่งอาจจะสายไปก็ได้ ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ” สีหน้าที่กังวลใจมากของเหม่ยหลินยิ่งชวนให้จิ้นเหอต้องถอนหายใจ แม้ว่าความจริงเขาจะกังขากับความสัมพันธ์ของเฟยหลงและหยางเถาอยู่บ้างก็เถอะ แต่ก็ใช่จะกังวลขนาดนั้น อย่างไรเสียเขาก็ยังคงเชื่อมั่นว่าบุตรชายของตนมิมีวันรักชอบบุรุษด้วยกันแน่ๆ

“แล้วเจ้าคิดจะทำเช่นไร หืม”

“ข้าหวังจะให้เฟยหลงหมั้นหมายกับเพ่ยเยว่เผิงเจ้าค่ะ”

“หมั้นรึ?”

จิ้นเหอยอมรับว่าตกใจมากที่ได้ยินคำนี้จากปากของฮูหยินตนเอง ปกติเหม่ยหลินมิใช่คนที่จะจับคู่ของใคร ไม่เคยคิดจะบังคับจิตใจของลูกชายตนเอง ยิ่งเฟยหลงเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเขาด้วยแล้ว ยิ่งแทบไม่อยากจะเชื่อว่าคำๆ นี้จะออกมาจากปากนาง

เพ่ยเยว่เผิง สกุลเพ่ยหรือนี่

“เจ้าค่ะ ความจริงข้าหวังจะให้นางและลูกชายเราแต่งกันเสียให้เรียบร้อย แต่เฟยหลงคงมิยินยอมแน่ ท่านพี่...ท่านช่วยพูดกับเฟยหลงได้ไหมเจ้าคะ?”

“นี่เกี่ยวกับเรื่องภายในของข้าหรือไม่ ฮูหยิน!” จิ้งเหอหรี่ตามองภรรยาอย่างจับผิด จริงอยู่ที่ในตอนนี้เขาอาจจะไม่มีผลงานมานานเนื่องด้วยบ้านเมืองสงบสุขไร้ผู้รุกล้ำดินแดน จึงไม่จำเป็นต้องทำสงครามและเขาเองก็ไม่อาจจะมีผลงานได้ในช่วงเวลาแบบนี้ ทำได้เพียงฝึกปรือทหารไว้ให้พร้อมยามต้องพบกับสงครามเท่านั้น เขาจึงคิดว่า...นี่อาจจะเกี่ยวกับเขาก็เป็นได้

“มิ..มิเกี่ยวเลย ข้าเพียงทำเพื่อลูกเท่านั้น” หากแต่เหม่ยหลินกลับหลบเลี่ยงที่จะสบตากับจิ้งเหอ

“เช่นนั้น...ทำไมจะต้องเป็นคุณหนูตระกูลเพ่ยเล่า?” น้ำเสียงเย็นเฉียบของสามีนางทำให้นางได้แต่กุมมือที่สั่นของตนเองไว้แน่น นางกลัว เพราะรู้ดีว่านางไม่ได้รับอนุญาตให้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ขะข้า...คือ ท่านพี่ ข้าแค่เพียงห่วงใยท่าน”

ปึง!!!

“ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าอย่ายุ่งในเรื่องที่ข้าไม่พึงใจให้เจ้ามายุ่ง!!! เหตุใดเจ้าจึงทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ข้าบอก!! เจ้าไม่เห็นหัวข้าเลยใช่หรือไม่!!!” จิ้งเหอตบโต๊ะจนถ้วยชาสั่นกระทบกับจานรอง แรงที่ถูกส่งลงบนโต๊ะทำให้เกิดเสียงดังจนเหม่ยหลินสะดุ้งด้วยความตกใจ ใบหน้าของจิ้งเหอดุดันเมื่อนางทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบ คิดจะรวมตระกูลเพื่อพึ่งบารมีผู้อื่น หึ...แม่ทัพใหญ่เช่นเขามีหรือจะยอมลดศักดิ์ศรีลงไปเช่นนั้น

เหม่ยหลินได้แต่นิ่งเงียบและตัวสั่น นางไม่ค่อยได้เห็นสามีของนางโกรธนัก ยิ่งกับนางและลูกชายยิ่งแล้วใหญ่ นางโชคดีมากในยามที่ได้แต่งงานกับจิ้งเหอแต่ในเวลานี้นางกลับทำให้สามีของตนเองโกรธเคืองเสียจนไม่อยากจะมองหน้า นางรู้ดีว่ากำลังยุ่มย่ามในเรื่องที่ควรเป็นเรื่องของบุรุษ มิใช่เรื่องของสตรีในบ้าน หากแต่นางเองเพียงแค่คิดว่าหากลูกชายพึงใจกับแม่นางเยว่เผิง เรื่องของสามีนางก็คงเป็นเรื่องของผลพลอยได้ จิ้นเหอลุกขึ้นยืนไม่แม้แต่จะมองใบหน้าของเหม่ยหลินเลยสักนิด จนเหม่ยหลินต้องมองแผ่นหลังของสามีด้วยความรวดร้าวใจ

“ท่านพี่ ข้าขออภัยเจ้าค่ะ ข้าขออภัยที่ทำเรื่องนี้โดยไม่ได้ปรึกษาท่านพี่ก่อน” เหม่ยหลินจับแขนของสามีเอาไว้แน่น อ้อนวอนในแววตาด้วยความรู้สึกผิดจากหัวใจจนจิ้นเหอที่โกรธเคืองอยู่ต้องถอนหายใจออกมา

“เช่นนั้นก็อย่าทำอีก...อย่าทำเหมือนศักดิ์ศรีของข้า มีไว้ให้เจ้าเอาไปขายทิ้ง!”



.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

เฟยหลงบิดกายด้วยความเกียจคร้าน ค่ำคืนที่ผ่านมานั้นเขาใช้เวลากับหยางเถาในการพักผ่อน ไม่รู้ว่าหยางเถาล่วงรู้ได้อย่างไรว่าเขามิได้พักผ่อน หรือใบหน้าของเขาอิดโรยกันนะ ร่างสูงนั่งคิดบนเตียงของตน กวาดตามองร่องรอยย่นยับของผ้าปูที่บ่งบอกได้อย่างดีว่าเคยมีใครสักคนมานอนอยู่ตรงนี้

ฝ่ามือหนาไล่ไปตามร่องรอยนั้นอย่างเผลอไผล เขายกยิ้มด้วยความสุขใจอย่างที่ไม่เคยเป็น กลิ่นหอมยังคงลอยตลบอบอวลไปทั้งห้อง เขาชอบที่จะได้กลิ่นนี้ และจะยิ่งชอบ...หากเขาจะได้ดอมดมกลิ่นนี้ไปในทุกๆ เช้า หัวใจของเฟยหลงพองโต ยามคิดถึงเหตุการณ์ในค่ำคืนที่ผ่านพ้นมา เขาและหยางเถาต่างก็นอนมองหน้ากันและกัน ความง่วงงุนเข้าจู่โจมเขาจนผล็อยหลับไปตอนไหนก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำ หากแต่เขารู้สึกราวกับมีใครสักคนมาสัมผัสแผ่วเบาที่ใบหน้า ราวกับว่าคนๆ นั้นใคร่จะสัมผัสไปตามเคล้าโครงของใบหน้าของเขา ทั้งดวงตา คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากที่ปิดสนิท หากแต่อาการหนักๆ ของเปลือกตานั้น ทำให้เขาไม่สามารถจะลืมตาขึ้นมามองได้ จนสติเขาได้จมหายไปในนิทรา และเมื่อตะวันฉายแสงออกมา เขาก็ไม่พบคนข้างกายอีกแล้ว

เฟยหลงเดินออกมาจากห้องด้วยท่าทางสดชื่นจากการได้หลับพักผ่อน ความง่วงที่เคยสะสมมาในตอนนี้มันหายเป็นปลิดทิ้ง เหวินฉายที่อยู่ไม่ห่างจากห้องของเฟยหลงมองร่างสูงด้วยความสงสัย น่าแปลกที่ยามเช้าเช่นนี้นายน้อยของเขานั้นมีสีหน้าเปี่ยมสุขราวกับว่าได้พบอะไรบางอย่างที่พึงใจเสียจนเก็บกักความพึงพอใจเอาไว้ไม่อยู่ ใบหน้าของเฟยหลงประดับด้วยรอยยิ้มแม้จะบางเบาแต่ก็บ่งบอกได้อย่างดีว่าร่างสูงอารมณ์ดีเพียงใด

“นายน้อยจะไปไหนหรือขอรับ” เหวินฉายเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่านายของตนมิได้เดินไปเพื่อรับประทานอาหาร

“ข้าว่าจะไปชมนก ชมไม้เสียหน่อย ทำไมหรือ?”

“เปล่าขอรับ ข้าน้อยเพียงเห็นว่า เช้านี้นายน้อยยังไม่ได้รับประทานอาหาร...” เฟยหลงถึงบางอ้อ ก้มลงมองฝีเท้าตนที่หมายมั่นจะก้าวไปยังทางสวนพฤกษาเสียอย่างเดียว เสียงหัวเราะดังขึ้นในลำคอของเฟยหลงจนเหวินฉายเอียงคอมองอย่างสงสัย

“อา...นั่นสินะ ไว้ก่อนเถอะ ข้ายังมิค่อยหิวเท่าไหร่”

“เอ๊ะ...แต่ นายน้อยขอรับ!!”

เฟยหลงมิใช่คนที่จะฟังคำเอื้อนเอ่ยของผู้ใดได้นาน เขาตรงไปยังจุดหมายที่หัวใจเขาเรียกร้องอย่างรวดเร็ว เหวินฉายได้แต่มองแผ่นหลังของผู้เป็นนายด้วยความรู้สึกหลากหลาย นายน้อยยังคงเป็นเช่นเดิม มิเคยฟังสิ่งใดนอกจากตนเอง แต่เขาก็ภูมิใจที่มีเฟยหลงเป็นเจ้านาย เพราะเมื่อยามที่เขามีเรื่องใดๆ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ จะเป็นเฟยหลงที่เข้ามาช่วยเขาไว้เสมอ

เฟยหลงมองต้นท้อที่ตรงหน้าของตนด้วยแววตาแสนรัก ความรักใครทอดผ่านดวงตาคมออกมาเสียจนหยางเถาที่หลบซ่อนกายจากแสงตะวันอยู่ในต้นท้อต้นใหญ่ยังต้องเขินอาย เมื่อคืนเขาเฝ้ามองใบหน้าของเฟยหลงที่เข้าสู่นิทราจนเกือบรุ่งสางจึงได้หนีออกมาเสียก่อน ก่อนที่จะไม่เหลือเวลา ยอมรับว่าเขาอยากจะอยู่ตรงนั้นต่อ การได้นอนอยู่เคียงข้างเฟยหลงเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเขา รู้สึกว่าตนเองนั้นพิเศษกว่าผู้ใด และมันทำให้ร่างกายของเขาร้อนรุ่มเช่นกัน หยางเถาไม่รู้เลยว่าความรู้สึกเช่นนี้คืออะไร มันเกิดขึ้นเพราะสิ่งใด แต่เขาก็ต้องข่มมันเอาไว้ เพราะอย่างไรเสียมันก็คฃไม่ใช่เรื่องดีแน่

“หยางเถา...ไยเจ้ามิปลุกข้า?”

รู้...เขารู้ดีว่ากำลังพูดอยู่คนเดียว และรู้ดีว่าเขากำลังทำให้เหวินฉายที่แอบมองอยู่ตรงเสาไม่ต้องตกใจ แม้จะไม่ได้ยินเสียงชัดเจน แต่ก็คงจะรู้ว่าเขาพูดอยู่คนเดียว เพราะตรงหน้าเขาในตอนนี้ไม่ได้มีผู้ใดเลยนอกจากต้นไม้ และเหวินฉายเองก็คงไม่คิดว่าเขาพูดอยู่กับต้นไม้หรอก แม้ว่ามันจะเป็นความจริงก็ตาม

“เจ้าหนีข้ามาโดยมิบอกข้า ทิ้งไว้เพียงกลิ่นกายให้ข้าคะนึงหา เช่นนี้...เจ้ามิโหดร้ายกับข้าไปหรือ?” หยางเถากัดริมฝีปากตนเองแน่นเมื่อได้ฟังน้ำเสียงและคำกล่าวตัดพ้อนั้นราวกับเขาคือคนผิด เฟยหลงนี่กระไร ก็รู้อยู่ว่ามีใครแอบมองอยู่ ยังจะทำเช่นนี้

หยางเถาเบนสายตาไปมองร่างบอบบางที่ยืนหลบอยู่หลังเสาไม้สีเข้มที่ในตอนนี้กำลังพูดคุยกับใครสักคนซึ่งหยางเถาไม่อาจจะรู้ได้ว่าสิ่งใด เหวินฉายพยักหน้ารับจากคนส่งข่าว ก่อนจะรีบเดินเข้ามาหาเฟยหลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตีหน้าซื่อราวกับว่าตนมิได้แอบอยู่ตรงที่ใดมาก่อน

“นายน้อยขอรับ...มีคนมาขอพบขอรับนายน้อย” เฟยหลงหันมองเหวินฉายด้วยแววตาใคร่รู้ ใครกันมาเสียเช้าเช่นนี้

“ใครกัน?”

“เอ่อ...คุณหนูจากตระกูลเพ่ยขอรับ”

“เช่นนั้น ก็เชิญนางมาที่นี่เถอะ ข้าจะรับรองนางที่สวนนี้เอง”

“ขอรับนายน้อย”

เหวินฉายเดินออกมาด้วยความแปลกใจในหลายๆ สิ่ง แปลกที่จวนนี้มีคุณหนูตระกูลอื่นมาเยี่ยมนายน้อย แปลกที่นายน้อยต้อนรับแขกในสวนเช่นนี้ และแปลก...ที่นายน้อยพูดคุยอยู่เพียงคนเดียว มันทำให้เขาคาใจจนใคร่อยากจะถาม หากแต่ก็ไม่กล้าพอ อย่างไรเหวินฉายก็เป็นเพียงคนในจวน มิได้มีศักดิ์เป็นดังสหาย เป็นเพียงผู้ติดตามอำนวยความสะดวกให้นายน้อยก็เท่านั้น จะให้เอ่ยถามได้อย่างไร...

ร่างอรชรของเพ่ยเยว่เผิงเดินก้าวมาตามเหวินฉายที่นำทางมา นางมาตามคำเชิญในคราก่อนที่เฟยหลงได้กล่าวเชิญเอาไว้ ใบหน้าสดใสและยิ้มแย้มของเฟยหลงในวันนี้ช่างน่ามองเสียเหลือเกินจนนางต้องหลบเลี่ยงมิอาจจะสบตาได้โดยตรง นางรู้สึกเขินอายเสมอยามต้องยืนอยู่ชิดใกล้กับพี่เฟยหลงของนาง เขาเป็นบุรุษที่นางมีใจให้ เป็นบุรุษที่รูปงามเสียจนนางหวั่นไหว และนางเองก็เชื่อว่าความงดงามของนางย่อมต้องถูกใจเขาเช่นกัน

“อภัยด้วยคุณชะ...พี่เฟยหลง ที่ข้ามารบกวนในเวลาเช้าเช่นนี้” เฟยหลงเพียงยิ้มเบาบางให้กับเยว่เผิง สายตาทอดมองใบหน้าของเยว่เผิงด้วยความรู้สึกถูกชะตา

“มิเป็นไรเลยน้องเยว่เผิง เจ้ามาหาข้าหรือมาชมสวนของข้าเล่า?” เพ่ยเยว่เผิงแก้มแดงปลั่งยามได้ยินคำถามที่นางให้คำตอบได้ยากเช่นนี้ หากมิมีใจจะถามเช่นนี้หรือ...นางคิด

“ทั้งสองเจ้าค่ะ” เพ่ยเยว่เผิงหลุบตาลงมองพื้นให้ดูน่ารักน่าใคร่ดั่งที่มารดาได้เพียรสอนนางมา อย่าทำตัวไร้สกุล จงใช้จริตหญิงให้เขาพึงใจ นางท่องมันมาเสมอ และเชื่อว่านางทำได้ดี

บรรยากาศอันน่าอภิรมย์ของเฟยหลงและหญิงสาวที่มาใหม่กับบทสนทนาที่ไม่ว่าจะฟังเช่นไรก็เป็นของคนที่มีใจต่อกัน หยางเถามองภาพนั้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด หัวใจบีบรัดเสียจนร้าวรานไปหมดราวกับมีใครมาทำให้มันแตกสลาย ความอุ่นร้อนหลั่งไหลลงบนผิวแก้มทั้งสองข้างจนหยางเถาต้องยกมือขึ้นมาจับต้อง

นี่คือสิ่งใดกัน ข้ามิเคยรู้จักสิ่งนี้

แต่จะให้เอ่ยถามใครเล่าเมื่อคนที่สามารถให้คำตอบกับเขาได้นั้น ในยามนี้คงมิมีใจจะคิดถึงเขาหรอก เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังก้องช่างเหมือนปลายมีดที่กรีดซ้ำๆ ตรงหัวใจ จนมันเหวอะหวะไม่สามารถเต้นได้ดังที่ควรทำ หยางเถารู้สึกว่าตนนั้นช่างอ่อนแอ เป็นคนที่คิดและให้ความรู้สึกไปเพียงผู้เดียวเท่านั้น ชายหรือก็ต้องคู่กับหญิง จะมาเคียงคู่กับคนก็มิใช่ ปีศาจก็มิเชิงอย่างเขาได้เช่นไร แม้จะรู้อยู่แก่ใจดี ว่ามันคงเป็นเช่นนี้ วันหนึ่งเฟยหลงก็จะต้องแต่งงาน วันหนึ่งก็ต้องมีครอบครัว แต่ทำไมหัวใจของเขาจึงได้เจ็บมากเพียงนี้ ราวกับมันจะขาดใจ

กลีบดอกสีชมพูถูกสายลมพัดพาให้ปลิวไสวร่วงหล่นลงอย่างที่ไม่เคยได้พบเห็น หยาดน้ำใสไหลนองอยู่บนใบหน้าของหยางเถาไม่มีหยุด ความเจ็บปวดจู่โจมเขาจนแทบจะกระอักเลือด หัวใจดวงน้อยๆ แหลกสลาย ได้แต่ปล่อยเสียงร่ำไห้ให้ลอยไปกับสายลม แต่ทว่า...เสียงใดเล่าจะเท่าเสียงหัวเราะของชายหญิงคู่นั้น เสียงของคนที่ไร้ตัวตนหรือจะดังเท่าหญิงสาวผู้งดงามตรงหน้าของเฟยหลง ดอกท้อสีสวยหล่นลงบนพื้นดิน เศษดินเปรอะเปื้อนจนดอกท้อสีชมพูหม่นหมอง ความงดงามมิได้แตกต่างจากบนกิ่งยอด แต่มันกลับแตกต่าง ยามมิมีใครเชยชม
สองคู่ ชายหญิง เคียงกันมา

สมดั่ง วาสนา สร้างให้

รายล้อม ด้วยรัก ปักใจ

รอยยิ้ม หลงใหล ชื่นชม

ดอกท้อ ร่วงลง ปฐพี

เพียงนาง ผู้นี้ สนิทสนม

หัวใจ ร้าวราน ตรอมตรม

เพียงมอง ก็ซม ด้วยพิษใจ
[/i]





TBC



มาต่อแล้วนะคะ ใครได้กลิ่นหอมของอะไรไหมเอ่ยยยยย~

Facebook > https://m.facebook.com/PassionateFiction

Twitter >"> https://mobile.twitter.com/little_kittensY
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2019 11:53:05 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :m15:

กลิ่นมาม่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[7]

ซูหนิงยกไม้กวาดขึ้นมาถือเอาไว้ วันนี้คือวันที่นางจะต้องกลับไปกวาดใบไม้ที่สวนอีกแล้ว นางจำเหตุการณ์เลวร้ายนั่นได้ดีวันที่นางได้ยินเสียง วันที่นางมองเห็นต้นท้อนั่นออกดอกนางก็ตกใจจนลนลานไปหมด สุดท้ายมันก็กลายเป็นความเข้าใจผิดเมื่อมันเป็นเพียงการออกดอกตามปกติ จะมีอายุมามากมายสักกี่พันปี แต่ต้นไม้ก็คือต้นไม้อย่างไรมันก็มีเพียงการเจริญเติบโตงอกงามและออกดอกออกผลดังต้นไม้ต้นอื่น

พ่อบ้านถังลี่หยางกล่าวต่อว่านางเสียยกใหญ่กับการกระโตกกระตากไปก่อนจะได้ตรวจสอบให้ดี นางจะทำพลาดซ้ำอีกไม่ได้ วันนี้คือการแก้ตัวของนาง และดูเหมือนพ่อบ้านถังเองจะไม่ค่อยเชื่อใจนางนักจึงได้ให้หลิวเซียนมาเป็นเพื่อนนาง แต่นางกลับรู้สึกอึดอัดเสียมากกว่า เพราะแทนที่หลิวเซียนจะทำงานตามที่ได้รับมอบหมายนางกลับเอาแต่มองไปยังห้องของนายน้อยด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์จนซูหนิงอดหมั่นไส้ไม่ได้

“เจ้าเป็นอะไรของเจ้า หลิวเซียน?” ในที่สุดซูหนิงก็อดรนทนไม่ไหวเอ่ยถามออกไปอย่างรำคาญในทีท่าหงอยเหงา

“เจ้าเห็นหรือไม่ คุณหนูจากตระกูลเพ่ยที่มาหานายน้อย” ซูหนิงมองใบหน้าของหลิวเซียนด้วยความสงสัย เกี่ยวอะไรกับอาการของหลิวเซียนกันนะ

“เห็น แล้วอย่างไรหรือ?” หลิวเซียนทอดสายตาลงบนพื้นที่กำลังกวาดราวกับเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหว

“คุณหนูผู้นั้นมีนามว่าเพ่ยเยว่เผิง...เป็นหญิงที่ฮูหยินจะให้แต่งงานกับนายน้อยของเรา” ซูหนิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางก็เห็นอยู่หรอกว่ามันแปลกที่มีคุณหนูต่างตระกูลมาเยี่ยมเยียนนายน้อย แต่ก็มิได้คิดเลยว่าจะเป็นผู้ที่ถูกหมายตาไว้เป็นภรรยาของนายน้อย

“ถึงอย่างนั้นแล้วเช่นไรเล่า ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าและข้าใช่หรือหลิวเซียน” ดวงตากลมที่นองไปด้วยน้ำตาใสๆ ตวัดมองซูหนิงจนสะดุ้งเฮือก

“ข้า!!! อึก ข้าน่ะ!! มีใจให้นายน้อยนะ! เจ้าจะบอกว่าไม่เกี่ยวกับข้าได้อย่างไรกัน!” ซูหนิงที่เห็นหลิวเซียนโมโหและสะอื้นไห้ไปพร้อมกันซูหนิงก็ได้แต่ยิ้มแห้งพร้อมกับปลอบใจ

“ถึงเช่นไร...เจ้าก็เป็นเพียงสาวใช้” หลิวเซียนทิ้งกายลงพื้นอย่างหมดแรง สองมือกำชายผ้าที่ชุดของตนจนแน่น อิจฉาหญิงผู้นั้นที่จะได้นายน้อยของนางไปครอบครอง อิจฉาที่หญิงผู้นั้นมีพร้อมทุกอย่าง อิจฉาในทุกสิ่งที่ทำให้นางสามารถครองคู่กับนายน้อยได้ หัวใจของหลิวเซียนเจ็บปวด แต่ก็ไม่เท่ากับร่างเล็กๆ ที่นั่งกอดเข่าซบเซาใบหน้างามลงไปอย่างปวดร้าว

หยางเถาได้ยินทุกสิ่ง ได้ฟังในทุกอย่างจนหมดสิ้น ไหล่บางสั่นไหวตามแรงสะอื้นไห้ของเจ้าของ คำบอกเล่าของนางช่างบาดใจของเขานัก เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ นางผู้นั้น...คือว่าที่ภรรยาของเฟยหลง

ฮ่าๆ เจ็บไหมเล่าหยางเถา สมแล้วที่เจ้าถูกเรียกว่าท้อโศกศัลย์

เสียงสะอื้นดังก้องอยู่ภายในต้นท้อ ความเงียบเหงาของมันไม่เคยเป็นปัญหาใดๆ กับเขาเลยสักครั้ง หากแต่ครานี้มันกลับกัดกินหัวใจของเขาจนแทบจะไม่เหลือ ทั้งเสียงหัวเราะทั้งการพูดคุย ทั้งสีหน้าแววตาทุกสิ่งทุกอย่างวนเวียนกลับเข้ามาในหัวของหยางเถาจนอยากจะลบมันออก แต่ยิ่งคิดรอยยิ้มของเฟยหลงก็ยังวนเวียนตามมาหลอกหลอน น้ำเสียงที่คอยเรียกชื่อเขา กิริยาที่แสดงออกมายามอยู่กับเขา หากไม่คิดเช่นเดียวกับเขาไยจึงทำราวกับมีใจ หากมิได้สนใจเขาดั่งที่เขาสนใจ ไยจะต้องทำให้เขาคิดไปเองด้วย สายน้ำยังคงไหลไม่ขาดสาย เสียงร่ำไห้ของหลิวเซียนและหยางเถาดังขึ้นมาด้วยความรู้ที่ต่างกัน หลิวเซียนเพียงน้อยใจในชะตาของตน แต่หยางเถานั้นไม่ใช่...สิ่งที่ทำให้หยางเถาเจ็บปวด คือความห่วงใย ความใจดีที่เขาพึงคิดไปว่าเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับ ความจริงมันเป็นเพียงความสงสารจากเฟยหลงเท่านั้น

“อย่าร้องไห้ไปเลยหลิวเซียน ลิขิตสวรรค์...เช่นไรก็ฝืนมิได้หรอก”

“ฮึก เหตุใดเล่า! เหตุใดจึงลิขิตให้ข้า...ต้องด้อยกว่าคุณหนูตระกูลเพ่ยด้วย”

“ด้อยกว่าแล้วอย่างไร หากนายน้อยมิมีใจ ให้เจ้าสูงส่งกว่านางเท่าไหร่ เจ้าก็พ่ายแพ้อยู่ดี”

คำพูดของซูหนิงที่บอกกล่าวเพื่อปลอบใจแก่หลิวเซียนกระแทกเข้าใจของหยางเถาอย่างจัง อย่างที่นางพูด ต่อให้ดีเลิศเลอเพียงใด หากมิใช่คนที่เฟยหลงพึงใจ เช่นไรก็แพ้อยู่ดี เช่นเดียวกับ ที่พ่ายแพ้ต่อนางตั้งแต่แรกเริ่ม ทั้งที่ตัวข้าใช้เวลาและพบพานกับเฟยหลงมาก่อนแท้ๆ กลับยังต่อยอมสยบกับคำว่า เขาไม่มีใจ

สายลมพัดหวิวผ่านตัวของเขาที่อยู่ภายในลำต้นท้ออย่างอ่อนโยน ราวกับทราบดีต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับหัวใจของเขา หยางเถาแหงนเงยใบหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากว้างทั้งที่หยาดน้ำตายังคงไหลลงมาไม่ขาดสาย สวรรค์เอ๋ย ข้าผิดหรือที่มีใจให้แก่เขา หากเขามิได้มีใจแก่ข้า ไยท่านมิบอกกล่าวข้าตั้งแต่แรกเล่า ไยท่านปล่อยให้ข้า...รักเขาจนหมดใจ

เสียงร่ำไห้ราวกับจะขาดใจของหลิวเซียนดังจนคนฟังอย่าซูหนิงได้แต่มองด้วยความสงสาร นางไม่รู้จะปลอบใจหลิวเซียนเช่นไรจึงได้แต่ลูบแผ่นหลังเพื่อประโลมความทุกข์ทนในหัวใจของหลิวเซียนลงไปบ้าง ความรักแม้นางจะมิได้มีมันกับตัวเอง แต่ก็ใช่จะมิรู้ว่า...มันหอมหวาน ดูดดึงให้ลิ้มลอง...ก่อนที่พิษจะค่อยๆ กระจาย ทำให้ตายลงช้าๆ นางถึง...ไม่คิดอยากจะมีรักเลยสักครั้ง

ซูหนิงเหลือบมองบางสิ่งที่โดดเด่นจากพื้นดิน สีชมพูเล็กที่สะดุดตานั่นช่างงดงามแม้มันจะเปื้อนเศษดินไปก็ตาม มือบางเอื้อมไปหยิบเจ้าดอกท้อดอกนั้นขึ้นมา ความสวยงามของมันช่างถูกใจซูหนิงเหลือเกินจนซูหนิงเผยรอยยิ้มออก เจ้าดอกท้อสีสวยในมือของนางตอนนี้ถูกนำขึ้นไปเหน็บไว้กับผมสีดำของนาง ก่อนจะพยุงร่างของหลิวเซียนเพื่อกลับเข้าไปช่วยงานอื่นๆ ต่อ หากอู้นานกว่านี้คงถูกพ่อบ้านถังลี่หยางตำหนิอย่างไม่สิ้นสุด มีหวังนางได้หูชาอีกแน่ๆ




 •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•




ซูหนิงเดินไปมาจนทั่วทั้งจวนด้วยใบหน้าเป็นสุข นางพยายามให้ทุกคนได้เห็นดอกท้อสีสวยบนผมของนางว่ามันงดงามเมื่ออยู่กับนางเท่าไหร่ แต่ซูหนิงไม่รู้เลยว่า...ทุกสายตาที่มองนางนั้นล้วนแต่สงสัยว่านางกำลังทำอะไรอยู่แน่ มิใช่มองเพราะชื่นชมในความงดงามเลยแม้แต่น้อย ดอกท้อดอกเล็กๆ หรือจะสะกดสายตาผู้ใดได้กัน เป็นกิริยาอันแปลกประหลาดของนางต่างหากเล่าที่เรียกสายตาคนทุกผู้

เหวินฉายชะงักเท้าที่กำลังเดินเมื่อซูหนิงมายืนดักอยู่ตรงหน้าของตน เส้นผมสีดำโบกสะบัดตามแรงของนางที่โยกศีรษะไปมา เหวินฉายมองการกระทำของนางด้วยแววตาฉงน เกิดอะไรขึ้นกับสติหรือสมองของซูหนิงหรือเปล่านะ นั่นคือสิ่งที่เหวินฉายกำลังคิดอยู่ แต่ซูหนิงไม่ได้รู้ตัว ในใจนางกลับเบิกบานเมื่อคิดว่าเหวินฉายตกตะลึงกับความงดงามของนางและดอกท้อสีสวย

“พวกเจ้ามายืนทำอะไรกันตรงนี้?” เสียงของเฟยหลงทำให้เหวินฉายและซูหนิงต้องหันมามองก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้นดิน

“ข้าน้อยกำลังจะยกอาหารไปให้ขอรับนายน้อย”

“แล้วเจ้าล่ะ?” ซูหนิงสะดุ้งยามเมื่อถูกถาม นางจะตอบเช่นไรดี จะตอบว่านางมาอวดโฉมแก่ผู้คนในจวนหรือ นางคงถูกไล่ออกเป็นแน่หากตอบไปเช่นนั้น

“ข้าน้อย เพิ่งจะกลับมาจากกวาดสวนพฤกษาเสร็จเจ้าค่ะนายน้อย” ร่างสูงพยักหน้ารับกับคำตอบ

“เช่นนั้นมีอะไรทำก็ไปทำกันเถอะ...”

“เจ้าค่ะ/ขอรับ”

เหวินฉายรีบเดินไปที่ห้องของเฟยหลงเพื่อนำเอาอาหารที่ตนถือเอาไว้นั้นไปจัดเตรียมให้เรียบร้อย แต่ซูหนิงนั่นกลับยืนนิ่งไม่รู้จะไปทางทิศใดดี ความลนลานของนางทำให้ดอกท้อดอกเล็กๆ บนศีรษะร่วงลงมาตรงหน้าของเฟยหลง ดอกไม้สีชมพูอันคุ้นเคยทำให้เฟยหลงชะงักค้างไปทันที มือหนาค่อยๆ เอื้อมลงไปเก็บมันขึ้นมาอย่างเบามือราวกับกลัวเหลือเกินว่ามันจะแตกสลายหายไปในอากาศ

ดวงตาคมกร้าวขึ้นด้วยความดุดัน รังสีฆ่าฟันแทบจะแผ่กระจายออกมาอย่าห้ามไม่อยู่ หัวใจของเฟยหลงร้อยลุ่มดั่งมีไฟมาสุมเอาไว้ กล้าดียังไง! นางกล้าดียังไงมาเด็ดดอกท้อจากต้นของหยางเถา!! ตาคมประกายความโกรธเกรี้ยวตวัดมองซูหนิงจนนางสะดุ้ง สายตาหวาดหวั่นลดลงมองดอกไม้เล็กๆ ในมือของผู้เป็นนายก่อนจะเบิกกว้าง มือบางยื่นออกไปด้วยอาการสั่นระริก หวังจะขอคืนจากผู้เป็นนาย แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเฟยหลงจึงได้ดูโกรธเกรี้ยวนัก

“นายน้อย...ซูหนิงขอ เอ่อ ขอสิ่งนั้นคืนได้หรือไม่เจ้าคะ?” เสียงที่เอ่ยถามแผ่วเบาราวกับกระซิบแต่มันกลับดังในความรู้สึกของเฟยหลงจนเขาได้ยินมันทุกถ้อยคำ

“เจ้าได้สิ่งนี้มาได้อย่างไร! กล้าเด็ดดอกท้อในสวนของข้ารึ!!!” เสียงเข้มเอ่ยตวาดจนดังลั่น หัวใจดวงน้อยของซูหนิงหล่นวูบกับคำกล่าวโทษจากปากของเฟยหลง นางรีบนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของร่างสูง เสียงตอบของนางสั่นไปหมดด้วยความรู้สึกกลัว

“ปละ เปล่านะเจ้าคะนายน้อย ซูหนิงไม่เคยคิดจะเด็ดดอกไม้ใดๆ ในสวนของนายน้อยเลยนะเจ้าคะ!”

“หากไม่ใช่เจ้าเด็ดมันมา!! แล้วสิ่งนี้เล่าเจ้าจะอธิบายเช่นไร!!” เฟยหลงเกลียดคนโกหก เกลียดที่สุดคือคนที่ไม่ยอมรับผิดในสิ่ฃที่ตนเองทำ ความโกธาเดือดจนถึงขีดสุด แต่เช่นไรมือของเขาก็ยังคงประคองดอกไม้อันบอบบางนี้ไว้อย่างทะนุถนอม ยิ่งได้เห็นหัวใจของเฟยหลงยิ่งเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว เขาไม่ยอมให้ผู้ใดทำร้ายแม้แต่เสี้ยวใบของหยางเถาแน่

“ขะ ข้าน้อยเพียงหยิบขึ้นมาจากพื้นดินเท่านั้นเจ้าค่ะ ดอกท้อดอกนี้ร่วงลงมาจากต้น ข้าน้อยเห็นว่ามันงดงาม จะ จึงได้หยิบมันขึ้นมาเจ้าค่ะ” ใบหน้าของซูหนิงเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา นางกลัวเหลือเกิน นางไม่เคยเห็นนายน้อยของนางโกรธเกรี้ยวเช่นดั่งวันนี้มาก่อน เหตุใดกัน เพียงแค่ดอกท้อดอกเดียว ใยนายน้อยจึงได้โมโหนัก

“เอะอะเสียงดังอะไรหรือเฟยหลง แม่ได้ยินเสียงเจ้าดังไปทั่วทั้งจวน” เหม่ยหลินเดินมาเคียงข้างมองใบหน้าเรียบเฉยที่มีแววตาดุดันของลูกชายด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไรขอรับ”

“เอ๊ะนั่น! ...ดอกท้อใช่หรือไม่ งามนัก ขอแม่..”

ควับ!

เฟยหลงชักมือกลับทันทีที่มือบางของมารดาเอื้อมเข้ามาหาหวังแตะต้องดอกท้อบอบบางดอกนี้ แม้จะเป็นท่านแม่ของเขาก็ตาม เขาก็ไม่ปรารถนาให้ผู้ใดแตะต้องมันนอกจากเขา เฟยหลงหวาดหวั่นในแววตาเมื่อเวลาค่ำคืนที่มีกับหยางเถาก็ผ่านพ้นมาร่วมเดือน ไหนจะคำบอกเล่าจากซูหนิงที่ว่า...ดอกท้อร่วงหล่นลงจากต้นเอง

“เฟยหลง...”

“ขออภัยขอรับท่านแม่ แต่ลูกให้ไม่ได้จริงๆ”

เฟยหลงไม่คิดจะตอบสิ่งใดให้มากความกว่านี้เพียงคำพูดสั้นๆ ที่บ่งบอกว่าว่าไม่ให้แม้จะบอกว่าให้ไม่ได้ แต่สุดท้ายความหมายมันก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิมเลยสักนิด เหม่ยหลินมองตามหลังบุตรชายด้วยแววตาไม่เข้าใจกับการแสดงออกเช่นนั้น ในแววตาที่มองมาที่นางเมื่อยามบอกว่าให้ไม่ได้นั้น เหตุใดมันจึงได้เต็มไปด้วยความรู้สึกหดหู่และเจ็บปวดกันเล่า เพียงดอกท้อดอกเล็กๆ ดอกเดียว มีค่าอะไรมากมายเช่นนั้น ถึงได้ทำให้ลูกชายของนางเศร้าสร้อยและหวงแหนราวกับมันมีค่านับหมื่นตำลึงกัน

ซุหนิงมองดอกท้อที่ถูกยึดไปตาละห้อย นางเป็นผู้เก็บมันขึ้นมาแท้ๆ เป็นคนปัดเอาเศษดินที่ติดอยู่ออกแต่กลับโดนดุราวกับขโมยสิ่งล้ำค่ามาจากนายน้อย ดอกไม้ในสวนสำคัญเช่นนี้เชียวหรือ ทุกดอกหรือไม่นะ มันทำให้นางอดคิดไม่ได้ว่า มีเพียงดอกท้อหรือไม่ ที่ทำให้นายน้อยมิพอใจ หากนางเก็บดอกไม้ดอกอื่นมา ดั่งเช่นดอกโบตั๋นนายน้อยจะโกรธนางเช่นนี้หรือไม่นะ ซูหนิง เจ้านะเจ้า วันนี้เจ้าซวยเสียจริง!!

เฟยหลงเดินกลับเข้ามาในห้องตนเองด้วยหัวใจที่เจ็บปวด ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเครียดจนเหวินฉายต้องลอบมองด้วยความเป็นห่วง ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้สายตาก็จับจ้องแต่ดอกท้อในมือราวกับต้องการจะหาคำตอบบางอย่างในนั้น เสียงถอนหายใจดังออกมาเป็นระยะๆ จนในที่สุดเหวินฉายเองที่ทนต่อบรรยากาศอึดอัดนี่ไม่ไหว

“นายน้อย...ดอกท้อนั่น มีอะไรผิดปกติหรือขอรับ?”

“ไม่...ดอกท้อของข้า มิได้มีสิ่งใดผิดปกติเลยสักนิด” มันยังคงสวยงามเช่นเดียวกับเมื่อครั้งยังอยู่บนกิ่ง หากสิ่งที่เขาคาใจคือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า เรื่องที่ทำให้หยางเถาของเขาเป็นทุกข์ หรือหยางเถาของเขานั้นจะรู้สึกไม่ดี

“เช่นนั้น...ทำไมนายน้อยจึงเอาแต่จดจ้องราวกับมันมีสิ่งผิดปกติล่ะขอรับ?”

“เพราะข้าก็ไม่รู้ว่า...เหตุใดดอกท้อจึงร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน” เหวินฉายยิ้มบางเบาให้ผู้เป็นนายแม้สายตาของเฟยหลงจะมิได้จับจ้องมาก็ตาม

“เรื่องนั้น...มิใช่เพราะถึงเวลาหรอกหรือขอรับนายน้อย” เฟยหลงชะงัก หันไปมองเหวินฉายด้วยแววตาสับสน ถึงเวลาเช่นนั้นหรือ

“ถึงเวลา...” เสียงทุ้มเอ่ยราวกับละเมอ หัวใจของเฟยหลงกระตุกจนน่ากลัว

“ขอรับ ทุกสิ่งมีเวลาของมันเสมอ เหล่าสัตว์และพืชพันธุ์ย่อมรู้สึกมากกว่ามนุษย์ และเมื่อเวลานั้นมาถึง มันก็เพียง...ร่วงโรย”

ร่วงโรยตามกาลเวลา ใช่ว่าเขาจะมิรู้ กฎเกณฑ์ของสวรรค์เมื่อมีเกิดย่อมมีดับ แต่หากวันใดเขาตื่นมาแล้วพบว่า...มิมีหยางเถาให้ได้พานพบหน้าอีกต่อไป เช่นนั้นเขาหรือจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ดอกท้อบอบบางดอกนี้เพียงร่วงหล่นตามกาลเวลาแต่ใจเขากลับร้อนรุ่มราวกับกำลังจะสูญเสียหยางเถาไปแบบไม่มีวันได้คืน แค่เพียงเห็นดอกท้อร่วงหล่นเขายังทนไม่ได้ หากวันที่หยางเถาต้องสูญสลายมาถึง เขาจะทนได้หรือ

สีหน้ารวดร้าวยังคงฉายชัดบนใบหน้าของเฟยหลงที่แม้แต่เหวินฉายเองยังไม่เข้าใจสักนิด เมื่อนายน้อยเองก็รู้ดีว่ามิมีสิ่งใดยั่งยืนค้ำฟ้า เหตุใดยังคงเศร้าสร้อยเพียงแค่ดอกไม้ดอกน้อยร่วงหล่นลงมา หรือเพราะมันคือดอกท้อจากต้นไม้ต้นนั้น ต้นที่นายน้อยของเขาชอบออกไปชมมันหนักนา สุดท้ายเมื่อดอกไม้ร่วงโรยย่อมต้องมีผลเกิดต่อ มิใช่ว่าร่วงแล้วตายเสียเมื่อใด เขาไม่เข้าใจนายน้อยสักนิด





 •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
เพ่ยเยว่เผิงเดินออกมาเพื่อพบหน้ามารดาตามคำเรียกที่ฝากไปกับสาวใช้ นางอยากจะรู้เหลือเกินว่าท่านแม่ของนางจะพูดคุยในเรื่องใด เมื่อตอนเช้าของวันนี้นางเองก็ยอมรับว่าทำตัวมิสมเป็นบุตรสาวของตระกูลขุนนางนักที่ออกไปหาชายหนุ่มถึงจวน แต่เช่นไรเล่าเมื่ออีกฝ่ายเองก็บ่งบอกในทีท่าชอบชื่นชอบและมีใจให้นางเช่นกัน เช่นไรนางเองก็จะต้องได้แต่งกับพี่เฟยหลงอย่างแน่นอน เมื่อท่านป้าเหม่ยหลินเอ็นดูนางและพึงใจในตัวนางอยู่มากกว่าหญิงผู้ใด

สกุลเพ่ยมิต้องง้องอนให้ชายใดมาสู่ขอ ในทุกวันนี้ชายหนุ่มในเมืองซิ่นจือเองก็เพียรพยายามมาจีบนางมากมายแต่นางหรือก็มิได้มองผู้ใด แต่พี่เฟยหลงมิเหมือนผู้อื่น เขาไม่ได้หยอดนางด้วยคำหวาน มิได้เอ่ยวาจาให้ใจนางเต้นแรง แต่เพียงนางได้ใกล้ชิด ได้สบตาคมคู่นั้น หัวใจของนางก็เต้นไม่เป็นจังหวะ แม้พี่เฟยหลงมิได้เอ่ยปากว่าชอบ แต่นางดูจากการแสดงออกของเขาก็รู้ คนมิมีใจหรือจะชวนไปชมสวนที่จวน คนมิมีใจหรือจะต้อนรับขับสู้นางอย่างดี คนมิมีใจหรือจะเอ่ยถามคำถามเช่นดั่งวันนั้นได้ คำถามที่ทำให้สตรีอย่างนางต้องเขินอาย

“ท่านแม่...เรียกพบข้าหรือเจ้าคะ” เพ่ยหลิงมองใบหน้าของบุตรสาวแสนสวยด้วยแววตาอ่อนแสง หากมีใครเล่าลือไปเกียรติยศและชื่อเสียงของตระกูลไม่ด่างพร้อยไปด้วยหรือ

“นั่งสิแม่มีเรื่องจะคุยกับเจ้า” เยว่เผิงนั่งลงข้างมารดา มองใบหน้าเรียบตึงของมารดาด้วยความสงสัย

“เกิดอะไรขึ้นหรือท่านแม่”

“เช้านี้...เจ้าไปที่ใดมา?” เยว่เผิงที่ถูกถามตรงๆ ถึงกับชะงัก เรื่องนี้ มีมิกี่คนหรอกที่ล่วงรู้ หากไม่มีผู้ใดปากพล่อยไปมีหรือท่านแม่ของนางจะรู้ได้ สายตาของเยว่เผิงเต็มไปด้วยความไม่พอใจแต่นางกลับใช้รอยยิ้มเก็บซ่อนความโกรธนั่นไว้จนมิดชิด

“ที่ใดหรือเจ้าคะ?”

“เจ้า...เป็นสตรีนะเยว่เผิง! เป็นบุตรีของตระกูลเพ่ย! เหตุใดเจ้ากระทำตนเช่นนี้!!” เสียงของเพ่ยหลิงดังจนแทบจะเรียกว่าตะคอกแต่เยว่เผิงกลับไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิด ใบหน้าของนางเชิดขึ้นท้าทายอย่างไม่เกรงต่อผู้ใด

“ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิด ไม่ว่าอย่างไรข้ากับพี่เฟยหลงก็ย่อมต้องได้แต่งงานกัน ท่านแม่เองก็อยากให้ข้าแต่งกับเขามิใช่หรือเจ้าคะ”

“เยว่เผิงนี่เจ้า!!”

“เขาชวนข้าไปชมสวนในจวนของเขาเพราะเขาชมชอบในตัวของข้า เขายินดีต้อนรับข้าด้วยตนเองก็เป็นเพราะเขามีใจให้ข้า แล้วท่านแม่คิดว่าสิ่งใดที่ไม่เหมาะสมเจ้าคะ? ในเมื่อข้าเพียงไปหาคนที่กำลังจะได้แต่งงานด้วย” เพ่นหลิงมองบุตรสาวอย่างแทบจะไม่เชื่อสายตา ลูกสาวคนสวยที่นางเพียรพร่ำสอนทุกสิ่ง เหตุใดกันจึงได้กลับกลายเป็นหญิงที่มิเกรงต่อสายตา มิสนใจว่าใครจะพูดเช่นไร เหตุใดจึงกลายเป็นหญิงที่มั่นใจในความคิดตนเองเช่นนี้ นางเลี้ยงลูกผิดที่ใดกัน เพ่ยหลิงได้แต่นึกเสียใจ

“หากเขามิได้ชมชอบเจ้าเล่าเยว่เผิง หากมันเป็นดั่งแม่ว่าเจ้าจะทำเช่นไร?” น้ำเสียงแหบแห้งของมารดาเอ่ยถามออกมาอย่างเลื่อนลอย

“มิวันนั้นเจ้าค่ะ เช่นไรเขาก็จะต้องชมชอบข้าเป็นแน่ ข้ามั่นใจ”

เยว่เผิงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินจากไป ทิ้งให้เพ่ยหลิงได้แต่นั่งเศร้าใจอยู่เพียงผู้เดียว นางไม่เคยคิดเลยว่าลูกสาวที่แสนเรียบร้อยขอฃนางจะเป็นเช่นนี้ไปได้ เหล่าบรรพชนจะต้องตำหนินางเป็นแน่ถึงการเลี้ยงดูและสั่งสอนบุตรสาว นางไม่อยากคิดเลยหากวันหนึ่งลู่เฟยหลงบอกเยว่เผิงว่ามิได้มีใจจะเกิดสิ่งใดขึ้น หากเกิดเรื่องเล่าลือออกไปสกุลเพ่ยจะเป็นเช่นไร นางไม่อยากจะคิดสักนิด

เยว่เผิงกำหมัดแน่น ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงด้วยใบหน้าเกรี้ยวกราดเหล่าสาวใช้ต่างพากันหลบใบหน้าสวยที่แสดงออกถึงความโกรธแบบไม่ปิดบัง มิใช่มิรู้ว่าเหตุใดคุณหนูถึงได้โกรธเคืองมากเช่นนี้ แต่มิมีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมองต่างหาก เหล่าสาวใช้ในจวนตระกูลเพ่ยรู้ดีว่าอารมณ์ของคุณหนูร้ายขนาดไหน เพียงแค่มิพอใจสิ่งใดแม้จะแค่เล็กน้อย ก็มันจะถูกตบถูกตีอย่างทารุณ

“พวกเจ้าคนใดที่เป็นคนไปพูดให้ท่านแม่ของข้าฟัง!!”

“ขะ ข้าน้อยเองเจ้าค่ะ ว๊าย!”

เส้นผมถูกจิกขึ้นด้วยมืออันบอบบางของเยว่เผิงจนใบหน้าแหงนเงยขึ้นมา ฝ่ามืออีกข้างถูกฟาดลงบนแก้มทั้งสองข้างอย่างเต็มแรงจนเกิดรอยไม่หยุดยั้ง เสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาตลอดพร้อมกับเสียงฝ่ามือที่สัมผัสกับผิวหน้า

“นี่แค่สั่งสอนเจ้าเท่านั้นไป๋อี้ หากเจ้ายังไม่หุบปากข้าจะไม่หยุดเพียงแค่ตบ” สาวใช้คนอื่นพยุงร่างของไป๋อี้ที่เอาแต่ร้องไห้ขึ้นมา แม้จะสงสารแต่พวกนางก็ทำอะไรไม่ได้

“จากนี้เจ้าไม่ต้องติดตามข้าอีกไป๋อี้ ข้าจะให้เซียนเอ้อมาติดตามข้าแทน!” เยว่เผิงกระแทกร่างลงบนเก้าอี้ไม่เบานัก อารมณ์คุกรุ่นไม่ได้หายไปเลยแม้แต่น้อยขนาดลงมือระบายเอากับสาวใช้แล้ว แต่นางกลับยิ่งโมโห ไยท่านแม่พูดจาเช่นนั้นกันนะ ไยท่านแม่จึงได้คิดว่าพี่เฟยหลงมิได้มีใจให้นางกัน! เป็นไปไม่ได้! มันเป็นไปไม่ได้!

เพล้ง!

“คุณหนู!” เหล่าสาวใช้ต่างเดินเข้ามาใกล้ด้วยความเป็นห่วงเมื่อคุณหนูของพวกนางกวาดเอาของบนโต๊ะทิ้งจนมันแตกกระจายเต็มพื้น พวกนางรีบพากันเก็บก่อนที่ฝ่าเท้าของคุณหนูจะถูกบาด หาไม่แล้วพวกนางคงไม่วายถูกไล่ออกเป็นแน่ ยิ่งงานในจวนของตระกูลเพ่ยจ่ายดีเช่นนี้คงมีผู้คนมากมายเฝ้ารอมาสมัครกันไม่น้อย ในเมื่อพวกนางได้โอกาสมาทำในจุดนี้แล้ว พวกนางก็ไม่คิดจะถูกไล่ออกไปหรอก

เพ่ยเยว่เผิงกำมือแน่น สายตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ หากพี่เฟยหลงไม่รักนางล่ะก็ นางจะอาละวาดให้คนทุกผู้ได้รู้ไปเลยว่าลู่เฟยหลงนั้น...เป็นชายเจ้าสำราญ แต่อย่างไรเสีย ท่านน้าเหม่ยหลินก็อยากได้นางเป็นสะใภ้ เพียงแค่นางต้องเอาอกเอาใจ คอยดูแลให้ท่านน้าได้เห็นว่านางนี่ล่ะที่คู่ควรกับพี่เฟยหลง นางก็จะได้แต่งงานเป็นดองกับตระกูลลู่แน่นอน หญิงผู้ใดก็มิงดงามได้เท่ากับนาง หญิงผู้ใดในเมืองซิ่นจือจะมีชาติตระกูลดีเท่านางอีก หากนางมิคู่ควรแล้วจะเป็นผู้ใด ในเมื่อ...เมืองซิ่นจือแห่งนี้นางคือหญิงงามอันดับหนึ่ง









•~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• 











เฟยหลงลอบมองหน้าหวานของหยางเถาที่แม้จะประดับด้วยรอยยิ้มแต่มันกลับดูกล้ำกลืนเสียจนเฟยหลงสังเกตได้ ในตอนนี้คนตัวเล็กนั่งอยู่ตรงข้ามเขากำลังกัดแป้งซาลาเปาสีขาวเข้าปาก แต่ไร้ซึ่งความรู้สึกที่หยางเถาจะแสดงมันออกมาว่าอร่อยเลย ปากเล็กๆ เคี้ยวอย่างละเมียดละไมกว่าทุกวัน ทำราวกับว่ากลืนมันไม่ลงจนต้องเคี้ยวต่อ

“ไม่อร่อยหรือ” เสียงทุ้มที่เอ่ยถามออกมาถามไถ่นั้นทำให้หยางเถาชะงัก ก้มลงไปกัดแป้งสีขาวอีกหลายครั้งจนเต็มปากก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้เฟยหลง

“อร่อยสิ อร่อยมากเลย”

แม้ปากจะพูดไปเช่นนั้นแต่ร่างกายกลับไม่ยอมรับอาหารเลยสักนิด ลำคอตีบตันจนยากที่จะกลืนสิ่งใดลงคอ ไหนจะน้ำตาที่พร้อมจะไหลออกมาเพียงได้เห็นหน้าอันหล่อเหลา เฟยหลงพบแล้วในรักแท้ที่ตามหาแล้วเขาเล่า จะยืนอยู่ตรงนี้ไปเพื่ออะไรอีก ยิ่งคิดความร้อนก็วิ่งขึ้นมากระจุกอยู่ที่หัวตาจนร้อนผ่าว หยางเถาต้องกะพริบตาถี่ๆ พยายามฝืนกลืนทุกสิ่งลงคอไปอย่างยากลำบาก

เฟยหลงรินน้ำชาใส่ถ้วยให้ร่างบางที่เพิ่งจะฝืนกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงคอไป เขาไม่ลังเลเลยที่จะรับมันมายกดื่มจนหมด อย่างน้อยมันก็พอที่จะทำให้อาการจุกอกได้หายไปบ้าง เฟยหลงพยายามสบตากับหยางเถา แต่เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมวันนี้หยางเถาถึงเอาแต่หลบตาของเขา ราวกับว่า...ไม่อยากจะมองอีกต่อไป

ดั่งเช่นทุกทีเขาควรจะเป็นฝ่ายออกไปรออยู่หน้าต้นท้อจนกว่าหยางเถาจะออกมา แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อเขาไปถึง หยางเถาก็ยืนรอเขาอยู่แล้ว เมื่อเขาทักก็ได้กลับมาเพียงแค่รอยยิ้มเจื่อนๆ กับใบหน้าหวานที่สะบัดไปมาว่าไม่มีอะไร เฟยหลงอดสงสัยไม่ได้เลยว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเจ้าดอกท้อน้อยของเขาหรือไม่

เพียงความสงสัยก็ทำให้มือหนาเอื้อมออกไปแตะที่หน้าผากมน อุณหภูมิร่างกายของหยางเถายังเป็นเช่นเดิม มีเพียงความเย็นเฉียบเท่านั้น เรือนร่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้ไม่ได้ต่างไปจากศพแต่เพียงแค่มันยังคงเดินได้ พูดได้ และกินได้ แต่เขาไม่เคยมองว่าหยางเถาคือคนตาย สำหรับเขาหยางเถาก็คือที่สุดของหัวใจ เป็นสิ่งที่ชีวิตของเขาขาดไม่ได้อีกแล้ว

“เจ้าทำอะไรหรือ?” มือบางปัดมือหนาออกอย่างแผ่วเบา มองสบตาของเฟยหลงอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำ

“ข้า...เพียงดูให้รู้ว่าเจ้าสบายดี”

“ข้าสบายดีอย่าได้ห่วงข้าเลย” อยากเอ่ยถามเหลือเกินว่านางผู้นั้นเป็นอะไรกับเฟยหลง แต่เขาก็กลัวคำตอบจนไม่กล้าที่จะเอ่ยคำใดออกไป สายตากลมสีอำพันทอดมองออกไปไกลจนสุดฟ้า แสงจันทราสีนวลสาดส่องดั่งเช่นทุกค่ำคืนที่เราต่างเป็นสุข จันทร์ควรคู่กับเฟยหลงยิ่งนัก เขาหรือจะกล้าเอาตัวเองเข้าไปเทียบ หากวันที่เฟยหลงได้มีงานแต่งงานแล้วเขายังอยู่ ยังไม่หมดเวลาไป เขาจะมาเอ่ยคำยินดีให้อย่างจริงใจ แม้ว่ามันจะทำลายให้หัวใจของเขาแหลกสลายไปก็ตาม

เฟยหลงมองตามสายตาของหยางเถา เขาอยากจะรู้ว่ามีสิ่งใดอยู่บนนั้นที่ทำให้เจ้าดอกท้อของเขาเศร้าหมองได้ขนาดนี้ แววตาหวานที่เคยเอียงอายและขวยเขินในตอนนี้ มีแต่ความโศกเศร้าราวกับผจญเรื่องร้ายแรงจนทำให้ปกปิดความเสียใจเอาไว้ไม่มิด ยิ่งเห็นแววตาโศกศัลย์ หัวใจของเฟยหลงก็เจ็บปวดราวกับมีใครมาเหยียบลงไป

“บนนั้นมีสิ่งใดหรือ เจ้าดอกท้อ?” สิ่งใดกันที่ทำให้เจ้าเศร้าโศกได้ขนาดนี้ หยางเถายังไม่ถอนสายตาจากฟากฟ้า ยังคงปล่อยให้ห้วงอารมณ์ล่องลอยออกไปตามสายลมและแสงดาว

“มีดวงจันทรา...เจ้าเห็นหรือไม่?” เฟยหลงแหงนหน้าขึ้นมองก่อนจะยิ้มออกมา

“เห็นสิ วันนี้คืนจันทร์เพ็ญ เต็มดวงเชียว” หยางเถาเหลือบมองเฟยหลงที่กำลังมองดวงจันทร์อยู่ด้วยแววตารวดร้าว แต่เพียงครู่เดียวมันก็หายไปเมื่อหยางเถาหันกลับไปสนใจดวงจันทร์เช่นเดิม

“เจ้าว่า...จันทร์นั้นงามหรือไม่?” เฟยหลงหัวเราะก่อนจะหันมามองใบหน้าหวานของหยางเถาด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

“ไม่มีสิ่งใดงามไปกว่าเจ้าอีกแล้ว เจ้าดอกท้อ” แววตาของหยางเถาวูบไหว แต่เพียงครู่เดียวก็ตระหนักได้ว่าเฟยหลงคงเย้าแหย่ตนเล่นเพียงเท่านั้น รอยยิ้มอ่อนใจจึงถูกส่งมาให้เฟยหลงแทน

“ตอบข้าจริงจังหน่อยสิ” เฟยหลงเลิกคิ้วที่อีกคนไม่รับอารมณ์รักของตนจึงหันขึ้นไปพิจารณาดวงจันทร์ให้เต็มตาแทน

“สวยสิ จันทร์ในคืนนี้สวยยิ่งนัก” เช่นนั้นหรือ หยางเถายิ้มรับเสียจนกว้าง จนเฟยหลงเองที่ต้องแปลกใจ

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว...ดวงจันทร์น่ะ สวยงามยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกนี้ หากวันใดเจ้าคว้าจันทรามาไว้ได้ อย่าปล่อยให้มันหลุดลอยไป” แม้จะไม่เข้าใจในความหมายของอีกคน แต่เฟยหลงก็ไม่เคยคิดจะปฏิเสธในสิ่งที่เจ้าดอกท้อพูดออกมา

“อืม...ข้าจะไม่ปล่อยมือ”

เฟยหลงยังคงยิ้มกริ่มกับคำถามนั้น ตั้งกี่ค่ำคืนแล้วหนอที่มิได้มาชมความงดงามของจันทราพร้อมกับหยางเถา ไม่รู้สิ่งใดดลใจให้เจ้าดอกท้อน้อยของเขาสนใจในความงดงามของจันทราทั้งๆ ที่ก่อนหน้าเพียงสนใจแต่รับเอาแสงแห่งจันทร์ หัวใจของเฟยหลงพองโตการได้ยลความงามของธรรมชาติพร้อมกับคนที่รักช่างดีเหลือเกิน จะดีแค่ไหนหากเขาได้ชมจันทร์กับหยางเถาทุกๆ ค่ำคืนไป

หัวใจบีบรัดเสียจนร้าวรานแต่ความอดทนของหยางเถายังมีอย่างเหลือล้น แม้ในใจจะร่ำไห้เสียจนน้ำตาใกล้จะท่วมแต่ใบหน้าของเขาจะต้องคงรอยยิ้มเอาไว้ให้ได้นานที่สุด ดีแล้วที่เจ้าไม่คิดจะปล่อยมือ เฟยหลง จันทรานั้นเหมาะกับเจ้า หัวใจดวงเล็กๆ เกิดเป็นรอยร้าวแต่ไม่มีใครไหนเลยจะล่วงรู้เมื่อเจ้าตัวยังคงปกปิดความเสียหายนั้นไว้ด้วยรอยยิ้มหวาน หากดอกท้อคือเขา เช่นนั้น...ก็รอเพียงเวลาให้ร่วงโรย

เสียงใจเต้นดังระรัวยามได้มองใบหน้าของชายในดวงใจ หยางเถาไม่เคยคิดเสียดายสักนิดหากว่าอีกไม่นานเขาจะต้องสลายไป เขายินดีที่ได้ใช้เวลาอยู่เคียงข้างกับชายผู้นี้ ไม่ว่าจะมีเวลาอีกนานเท่าไหร่ ไม่ว่าจะสามารถย้อนเวลากลับไปได้อีกกี่หน เขาก็ยังคงเลือกจะทำเช่นเดิม เพื่อจะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ต่อให้ในวันข้างหน้าจะไม่ใช่เขาอีกแล้วก็ตามที่ยืนอยู่เคียงข้างเฟยหลง หากเธอผู้นั้นมายืนอยู่เคียงคู่กับเฟยหลง...มันคงเป็นภาพที่น่าประทับใจ

ชายรูปงามกับหญิงรูปงามเป็นสิ่งที่สวรรค์สรรค์สร้างมาให้อยู่คู่กัน ในภายภาคหน้าจะต้องมีเฟยหลงน้อยๆ และเด็กหญิงตัวเล็กๆ วิ่งวุ่นอยู่เต็มจวนแห่งนี้เป็นแน่ แม้ในยามนั้นจะไม่มีเขาอยู่ แม้ในเวลานั้นเขาจะมิได้เห็น ก็ไม่เป็นไร หากมันคือรอยยิ้มของเฟยหลงไม่ว่าสิ่งใด เขาก็พร้อมจะยิ้มให้เช่นกัน

“คืนนี้เจ้าอยากทำอะไรรึไม่?” หยางเถายิ้ม เขาเพียงแค่ยิ้มก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและสั่นเครือ

“ข้าอยากนั่งมองเจ้าจวบจนเช้าได้รึไม่” เฟยหลงยิ้มเอ็นดูในความน่ารักของหยางเถา ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ยังคงสั่นหัวใจของเขาได้เสมอเลยนะ

“ถ้าเช่นนั้นก็มองเถอะ...หากมองแล้วไม่พอข้าจะให้เจ้ายืมใบหน้าข้ากลับไปในต้นท้อด้วยดีรึไม่” มือบางลูบแก้มตอบของเฟยหลงเบาๆ มือเล็กๆ สั่นตามแรงอารมณ์ที่สะกดกลั้นเอาไว้ เฟยหลงไม่มีวันได้ล่วงรู้ ไม่ควรรู้ถึงความเจ็บปวดนี้ ใบหน้านี้ ตาคู่นี้ รอยยิ้มของคนๆ นี้ ควรเป็นเช่นนี้แหละดีแล้ว ไม่ควรเลยที่จะต้องมากังวลในเรื่องของเขา

“หากเจ้าอนุญาต...ข้าจะมองเจ้าจนกว่าเจ้าจะไม่มองข้าอีก” มือหนาของเฟยหลงกุมฝ่ามือเล็กๆ เอาไว้ ทอดตาสายมองหยางเถาด้วยความรักใคร่เต็มประดา

“ข้าหรือจะไม่อนุญาต...จะมองข้าเนิ่นนานสักเท่าใดก็สุดแต่เจ้าจะปรารถนาเถอะ ไม่ว่ามันจะเนิ่นนานเท่าใด...ข้าก็จะให้เจ้ามอง”



 ใจเอ๋ยใจข้า

ปวดร้าวราวอุราจะสูญสิ้น

เสียงร่ำไห้ป่าวร้องให้ได้ยิน

แหลกสลายไร้สิ้นแม้เสี้ยวใจ

เจ็บรวดร้าวยามได้ฟังซึ่งคำหวาน

เพียงนิทานที่เขาเล่าให้หลงใหล

แท้จริงนั้นข้ามิใช่คู่เคียงใจ

เป็นเพียงลมพัดไหวไร้ตัวตน
[/i]






 TBC











หอมเอย~ หอมกลิ่น มาม่า โอ๊ยยย ปวดใจแทนน้องเหลือเกิน เฟยหลง ไอ้คนใจร้าย!!


Facebook > https://m.facebook.com/PassionateFictionMaewMarum
Twitter > https://mobile.twitter.com/little_kittensY

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-11-2018 16:34:14 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[8]

เมื่อลองมาคิดๆ ทบทวนดูอีกครั้งมันแปลกจริงๆ ที่หยางเถาคุยกับเขาในเรื่องนั้น ทำไมเมื่อคืนนี้เขาถึงไม่สังเกตกันนะ ย่ำรุ่งหยางเถาก็กลับไปแล้ว ในช่วงเวลานี้ที่อาทิตย์สาดแสงก็เหลือเพียงเขาที่เฝ้าย้ำคิดถึงการสนทนาเมื่อคืน อะไรทำให้หยางเถาแปลกไป อะไรที่ทำให้ยอดดวงใจของเขาเศร้าหมอง สิ่งใดที่ตะขิดตะขวงใจต่อเจ้าดอกท้อน้อยๆ กัน เฟยหลงไม่สามารถหาคำตอบได้ และเชื่อว่าแม้จะเอ่ยถามออกไปก็คงมิได้มาซึ่งคำตอบ

เป็นเช่นนั้นเสมอมา หยางเถาไม่เคยพูดความรู้สึกใดๆ เขาใส่ใจอีกคนน้อยไปสินะถึงได้กำลังรู้สึกเช่นนี้ บุปผาแม้จะงามแต่ก็บอบบางเช่นกัน หากเขาใส่ใจเจ้าดอกถน้อยให้มากกว่านี้ เขาคงเข้าใจในความรู้สึกของหยางเถา เฟยหลงรู้สึกท้อแท้ ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความหมองเศร้ามองทอดตรงไปยังต้นท้อต้นใหญ่ อยากเอ่ยถาม อยากพูดคุย อยากรู้ว่าร่างเล็กคิดสิ่งใด เขาไม่ปรารถนาจะเห็นใบหน้าอันหมองเศร้าลืมแม้แต่แววตาสับสนวุ่นวายแต่หากเป็นไปได้เค้าหวังเพียงอยากให้หยางเถามีความสุข

ฝนตกจนชุ่มเปียกไปทั่วพื้นดิน หยาดน้ำไหลรินจากฟากฟ้าลงสู่พื้น สายลมพัดไหวนำพาใบไม้เอนไหวไปตามแรง สุ้มเสียงหรือก็ราวกับมีผู้ใดกำลังกรีดร้องด้วยความปวดร้าว ความเจ็บปวดของร่างเล็กภายในต้นท้อหรือสวรรค์จะรับรู้ได้กันนะ หัวใจที่บีบรัดทุกครั้งยามได้เฝ้ามองเขาหรือสวรรค์จะเข้าใจ หยาดน้ำใสไหลรินลงตามผิวแก้ม ร่างทั้งร่างสะอื้นอยู่เงียบๆ ลำพัง ไร้ผู้ใดรับรู้ ไร้ผู้ใดจะเห็นใจ ทำได้เพียงกอดตนเองเอาไว้ให้แน่นอย่างเดียวดาย

ความรักช่างปวดร้าวเสียเหลือเกิน แรกนั้นช่างงดงามเช่นดั่งดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ แต่ทว่า...ยามนี้ช่างหนาวเหน็บราวกับฤดูเหมันต์

เฟยหลงถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกอึดอัดในหัวใจ เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรในเรื่องนี้ดี ระหว่างที่เฟยหลงใช้ความคิดอยู่นั้นเหม่ยหลินก็เข้ามา นางยืนมองบุตรชายของตน ทอดมองไปตามสายตาของเฟยหลง ช่วงนี้...นางรู้สึกว่าลูกชายของนางมีท่าทีที่แปลกไป ยิ่งตอนนี้อาการของเฟยหลงยิ่งน่าเป็นห่วง แววตาของเขาดูเศร้าสร้อยมากนางไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นนางใคร่อยากจะรู้แต่หากถามไปจะเป็นการยิ่งทำให้เฟยหลงยิ่งเจ็บหรือไม่

“เจ้าเป็นอะไรหรือ? ลูกรัก ใยใบหน้าของเจ้าจึงเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเช่นนี้” เฟยหลงไม่ได้หันกลับมาแต่อย่างใดเขากลับยังทอดมองออกไปยังต้นท้อ เหม่ยหลินอดสงสัยไม่ได้เหตุใดลูกชายของนางจึงได้มองต้นท้อต้นใหญ่แล้วเศร้าโศกเช่นนี้ ต้นท้อต้นนั้นมีสิ่งใดสำคัญกันนะ

“เฟยหลง...หากมีสิ่งใดทำให้เจ้าหมองเศร้าบอกแม่เถอะลูกแม่ทุกข์ใจเหลือเกิน” เฟยหลงเพียงหันมาแล้วยิ้มบางๆ ให้ผู้เป็นมารดาเท่านั้นก่อนจะหันกลับไปมองหยาดฝนที่กระหน่ำลงมา

“อย่าห่วงไปเลยท่านแม่ข้ามิได้เป็นอะไรหรอกขอรับ”

“หรือเจ้ากำลังคิดถึงเยว่เผิงกัน...” นางเอ่ยถามออกไปด้วยความหวังก่อนหน้านี้นางจำได้ว่าเยว่เผิงมาเยี่ยมเยียนเฟยหลงที่บ้านแม้ว่านางจะไม่ถูกใจต่อการกระทำของเยว่เผิงก็ตาม แต่หลายๆ อย่างก็สามารถทดแทนกันได้

“เหตุใดท่านแม่จึงคิดว่าข้าคิดถึงเยว่เผิงล่ะขอรับ”

“แม่หรือจะรู้ใจเจ้า ไม่แน่หรอกว่าบางทีเจ้าอาจจะพึงใจต่อนาง” เฟยหลงได้แต่ส่ายหน้าไปมา

“เป็นไปไม่ได้หรอกท่านแม่ ข้าไม่ได้คิดสิ่งใดกับเยว่เผิงนอกจากคำว่าน้องสาว” เหม่ยหลินเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้นางมิได้คิดไปเองเป็นแน่ว่าบุตรชายนางสนใจในตัวของเยว่เผิง

“อย่าพึ่งพูดเลยตอนนี้เจ้าอาจจะเสียใจทีหลัง มิกลัวหรือว่าหากนางมาได้ยินจะเสียใจเพียงใด” เฟยหลงไม่เข้าใจเหตุใดเยว่เผิงจะต้องเสียใจกัน ในเมื่อตนมิได้เป็นอะไรกับเยว่เผิงสักนิด แต่เฟยหลงก็เลือกที่จะไม่พูดสิ่งใดอีก การเงียบไปของเฟยหลงทำให้นางเบาใจ แบบนี้แสดงว่าเฟยหลงเองก็มีใจให้เยว่เผิงไม่น้อย หรือที่เฟยหลงพูดออกมาเช่นนั้นจะเป็รเพราะหยางเถา ต้องใช่แน่ๆ ต้องเป็นเพราะหยางเถาแน่ๆ ไม่ได้ นางจะต้องทำอะไรสักอย่าง!

“เหวินฉาย! ไปแจ้งแก่จวนสกุลเพ่ยว่าคืนนี้ ข้าขอเชิญคุณหนูเพ่ยเยว่เผิงมาร่วมทานอาหารเย็น!”

“อะ เอ่อ...” เหวินฉายเหลือบตามองผู้เป็นนายด้วยต้องการจะถามความคิดเห็น หากแต่เฟยหลงกลับจดจ่ออยู่กับห้วงความคิดจนมิได้สนใจรอบข้าง

“เอ้า! รีบไปเสียสิ!”

“ขะ ขอรับฮูหยิน!”

เหวินฉายเดินออกมาจากห้องทันที ใบหัวของเหวินฉายเอาแต่คิดถึงใบหน้าสวยของสหายนายน้อย เส้นผมสีเงินกับดวงตาสีอำพันช่างเป็นที่ตราตรึงใจได้อย่างดี หากแต่ว่า...ท่าทีของนายน้อยที่มีต่อสหายคนเมื่อคืนที่เขาเห็น มันเกินคำว่าสหายไปมากโข แววตาที่นายน้อยของเขาใช้มองสหายผู้นั้น เหมือนดั่งแววตาที่ใช้มองคนรัก แล้วเหตุใด เหตุใดนายน้อยจึงมิท้วงติงกันนะ มิรู้หรอกหรือว่าในยามนี้ฮูหยินกำลังทำการจับคู่ให้อยู่

เหวินฉายลอบถอนหายใจ สงสารสหายผู้มีดวงตาแสนเศร้าอย่างสุดใจ แต่เขามิอาจจะทำสิ่งใดได้นอกจากทำตามคำสั่ง และในยามนี้คำสั่งของเขาคือเรียนเชิญคุณหนูเยว่เผิงมาร่วมทานอาหารเย็น เช่นนั้น...หรือว่าจะให้คุณหนูเพ่ยพบกับคุณชายผู้เป็นสหายของนายน้อยกันนะ! โหดร้าย...ฮูหยินโหดร้ายเกินไปแล้ว ริมฝีปากของเหวินฉายเม้มเข้าจนเจ็บ ความรู้สึกยามคิดถึงช่วงเวลานั้นที่อีกคนจะต้องพบเจอ มันก็บีบหัวใจของเหวินฉายเสียจนอยากจะร่ำไห้จนตายไปเสีย มิมีสิ่งใดเจ็บกว่าการเห็นคนที่รักอยู่กับหญิงอื่น

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.



เหวินฉายเดินมาหยุดอยู่หน้าจวนของสกุลเพ่ย เขาไม่คิดอยากจะเข้าไปเลยแม้แต่น้อย ไม่คิดอยากจะไปแจ้งข้อความที่ฮูหยินสั่งมาเลย แต่เขาเป็นเพียงเด็กรับใช้ข้างกายของนายน้อยเฟยหลง เขาหรือจะทำอะไรได้มากกว่าการทำตามคำสั่ง เขาสูดหายใจลึกๆ สงบจิตใจที่เริ่มฟุ้งซ่านให้สงบลง

เหวินฉายเคาะประตูใหญ่ด้วยหัวใจที่แห้งเหี่ยว ไม่นานนักประตูที่ปิดก็เปิดออกด้วยชายชราซึ่งน่าจะเป็นพ่อบ้านของสกุลเพ่ย ชายชรามองเหวินฉายด้วยความสงสัยก่อนเสียงแหบแห้งของเขาจะเอ่ยถามขึ้นมา

“เจ้ามาหาใครหรือ เจ้าหนุ่ม?”

“ข้านำข้อความจากฮูหยินลู่มาบอกกล่าวแก่คุณหนูเพ่ยขอรับ” พอได้ยินคำว่าฮูหยินลู่จากปากของร่างเล็ก ชายชราก็รีบเปิดประตูออกและเชิญให้เหวินฉายเข้าไป พ่อบ้านคนนั้นนำเหวินฉายเข้าไปด้านในจวนที่มีฮูหยินเพ่ยและคุณหนูเพ่ยกำลังดูเครื่องประดับกันอยู่

เหวินฉายเหลือบมองคุณหนูผู้นั้นเพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะหลุบสายตาลงเช่นเดิมมิให้อีกฝ่ายได้รู้ตัว คุณหนูผู้นี้น่ะหรือที่ฮูหยินจะให้มาเป็นนายหญิงอีกคนหนึ่งของพวกเขา คุณหนูเพ่ยแม้จะมีใบหน้าที่งดงามดุจเทพธิดาแต่แววตาของนางกลับดูเย่อหยิ่งไร้ซึ่งความอ่อนหวานสักนิด ราวกับหญิงสาวสูงศักดิ์ที่ถือตัวเป็นใหญ่และเหยียดหยามคนเบื้องล่าง

เยว่เผิงปรายตามองเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาใหม่ด้วยความรังเกียจ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนสกปรกเสียจนนางรู้สึกเหม็น ใบหน้างดงามเหยเกผ้าเช็ดหน้าสีหวานถูกยกขึ้นมาปิดจมูกตนเองไว้เพื่อมิให้กลิ่นจากกายของเหวินฉายลอยเข้ามา พ่อบ้านสกุลเพ่ยค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อมพร้อมเอ่ยขึ้น

“เรียนฮูหยิน ชายผู้นี้กล่าวว่าได้นำข้อความจากฮูหยินลู่มาบอกกล่าวแก่คุณหนูขอรับ” เพ่ยเยว่เผิงชะงัก ลดมือที่เคยปิดจมูกตนลงทันที แววตาของนางมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างอ่อนโยนราวกับคนละคนกับก่อนหน้านี้ เหวินฉายเกลียดชังต่อกิริยาของนางนักแต่เขาก็ต้องเก็บอาการเอาไว้เพราะรู้ดีว่าตนเองเป็นเพียงเด็กรับใช้เท่านั้น

“เรียนคุณหนูเพ่ย...ฮูหยินลู่เรียนเชิญท่านไปร่วมรับประทานอาหารเย็นขอรับ” แววตาของเยว่เผิงวาววับ รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างเสียจนไม่สมควรจะเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่เลยแม้แต่น้อย

“วันนี้หรือ?”

“ขอรับ วันนี้ขอรับ” ในใจของเยว่เผิงลิงโลด ความผยองของนางยิ่งมากขึ้นเมื่อรับรู้ได้ว่าไม่นานตนคงได้กลายเป็นภรรยาของเฟยหลงเป็นแน่ นางหันไปมองมารดาตนเองพร้อมกับเชิดหน้าขึ้น มั่นใจเสียเหลือเกินว่าครานี้นางเข้าใจมิผิด คำดุด่าที่จางเยว่หลิงว่ากล่าวต่อนางนั้นวันนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่านางมิได้เป็นคนผิด นางมิได้ทำตัวไม่ดีแต่อย่างใด

“ขอบใจมาก ฝากบอกท่านป้าด้วยว่าข้าจะไปแน่นอน” เหวินฉายค้อมศีรษะลงต่ำอย่างรู้งาน

“ขอรับคุณหนูเพ่ย เช่นนั้น...ข้าน้อยขอตัวก่อนนะขอรับ”

“ไปเถอะ ท่านลุงอี้มอบเงินให้แก่เขาด้วยล่ะ”

“ขอรับคุณหนู พ่อหนุ่มเชิญทางนี้” เหวินฉายไม่อยากจะได้เงินใดๆ จากคุณหนูผู้นี้เลย แต่เขารู้ดีว่าหากไม่ปฏิเสธจะเป็นประโยชน์กว่า อย่างไรเสียก็ยังไม่รู้ว่านางจะมาเป็นฮูหยินของนายน้อยเฟยหลงหรือไม่ อย่างไรเขาก็ต้องอยู่ให้เป็น มิเช่นนั้นคงไร้ซึ่งที่ให้พึ่งพา

“เหวินฉายขอบคุณคุณหนูมากขอรับ เหวินฉายขอลา”

ทันทีที่เด็กรับใช้จากสกุลลู่ลับตาไป เยว่เผิงก็กลับมาเป็นคนเดิม ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความถือดี แววตายิ่งสะท้อนความหยิ่งผยองไม่เว้นแม้แต่กับผู้เป็นมารดา เพ่ย้ยว่หลิงใจไม่ดี แม้ว่าเหม่ยหลินจะเป็นดั่งเพื่อนของนาง แต่นางก็รู้ใจของเหม่ยหลินดีว่าหากบุตรชายของเหม่ยหลินมิมีใจจะแต่งงานกับเยว่เผิง เหม่ยหลินเองก็คงไม่บังคับใจลูกเป็นแน่ นางได้แต่เฝ้าภาวนาขอให้เรื่องเช่นนั้นไม่เกิดขึ้นเท่านั้น ถึงอย่างไรนางก็ไม่อยากให้ลูกสาวของนางต้องมานั่งเสียใจ

“เห็นรึยังเจ้าคะ...เช่นไรข้าก็ต้องได้เป็นสะใภ้สกุลลู่อยู่ดี มิทันไรท่านป้าก็ให้คนมาชวนข้าไปร่วมทานอาหารเย็นเสียแล้ว เช่นนี้...ท่านแม่คงมิต้องห่วงอะไรอีก อีกไม่นานข้ากับพี่เฟยหลงก็ต้องกลายเป็นของกันและกัน” จางเยว่หลิงเบิกตากว้าง มองใบหน้าของบุตรสาวด้วยความตกใจ

“เจ้ากล่าวสิ่งใดออกมา เยว่เผิง! แม่มิเคยสั่งสอนให้เจ้ากล่าววาจาเช่นนี้!” น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวตวาดลั่น แต่หาได้ทำให้เยว่เผิงกลัวไม่ นางยังคงเชิดหน้าขึ้นด้วยความมั่นใจว่าสิ่งที่นางพูดไปมิได้ผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย

“เช่นไรล่ะเจ้าคะ ในเมื่อข้าพูดความจริง ท่านป้าพึงใจหวังให้ข้าเป็นสะใภ้สกุลลู่ พี่เฟยหลงเองก็พึงใจปรารถนาในตัวข้า แล้วข้ากล่าวสิ่งใดผิดกันล่ะเจ้าคะท่านแม่”

“เยว่เผิง! นี่เจ้า!”

จางเยว่หลิงกัดฟันกำมือแน่นด้วยความโกรธนางคงจะตามใจเยว่เผิงมากเกินไปสินะ ถึงได้ตักเตือนสิ่งใดก็ไม่ฟังเช่นนี้ นางนึกว่าจะเลี้ยงลูกให้กลายเป็นกุลสตรีที่สูงส่ง แต่กลับกลายเป็นว่านางเลี้ยงลูกให้กลายเป็นหญิงสาวผู้หยิ่งผยองในความงดงามและมั่นใจในตนเองมากเกินไป บรรพบุรุษสกุลเพ่ย ข้าทำผิดต่อพวกท่านแล้ว

“แม่มิมีสิ่งใดจะพูดกับเจ้าอีกแล้วเยว่เผิง! ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนั้น แม่ก็หวังว่าเจ้าจะไม่มานั่งเสียใจภายหลัง หากเขามิได้มีใจให้เจ้า!”

“ท่านแม่!!”

จางเยว่หลิงไม่สนใจเสียงที่ดังตามหลังมาแม้แต่น้อย นางเดินจากไปด้วยความขุ่นมัว ลูกสาวของนางกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน นางทำผิดที่ใดกันสวรรค์จึงได้ลงโทษสกุลเพ่ยเช่นนี้ นางหรือจะมิหวังให้ลูกสาวตนเป็นสะใภ้สกุลลู่ หากแต่เพราะนางรู้ความจริงว่าทุกอย่างมันมิได้ชัดเจนดั่งเช่นที่เยว่เผิงบอกแม้แต่น้อย เยว่เผิงยังเยาว์เกินไป นางยังมิอาจจะแยกแยะได้ว่า สิ่งใดคือช่องว่างระหว่างคำว่าเอ็นดูกับรักใคร่ ทำไมนะ...ทำไมนางไม่สอนเยว่เผิงมาก่อน จางเยว่หลิงได้แต่นึกเจ็บใจตนเอง

เยว่เผิงหน้าตึงหายใจแรงด้วยความโมโห นางเข้าห้องของตนมาด้วยความไม่พอใจต่อคำพูดมารดาจนใบหน้างดงามบิดเบี้ยว เพราะเหตุใดกัน...ท่านแม่ควรจะดีใจกับนางสิ มิใช่ติเตียนนางราวกับว่าไม่เห็นด้วยเช่นนี้ นางหรืออุตส่าห์หาบุรุษที่คู่ควรพบ แล้วเหตุใดท่านแม่จึงได้มีทีท่าต่อนางเช่นนี้ล่ะ มิให้กำลังใจนางก็ไม่ได้ว่า แต่นี่ราวกับจะแช่งให้นางผิดหวัง ท่านแม่ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!

สองมือของนางกำเข้าหากันเสียจนแน่น เล็บของนางจิกเข้าเนื้อจนเจ็บแต่มันกลับไม่สามารถลบเลือนความรู้สึกโมโหในใจตนเองได้เลย สายตานางตวัดมองเหล่าสาวใช้จนพวกนางสะดุ้งและรีบก้มหน้าหลบเลี่ยงสายตานั่น พวกนางหรือจะไม่รู้ ยามคุณหนูของพวกนางโกรธเกรี้ยวผู้ใดเล่าจะรับผลนั้น หากมิใช่พวกนาง...

“พวกเจ้ามองอะไร! พวกเจ้าคิดว่าข้าผิดใช่รึไม่!” เหล่าสาวใช้ต่างก้มหน้าลงพื้นตัวสั่นๆ พวกนางหวาดหวั่นต่อคุณหนูผู้นี้นัก อารมณ์หรือก็ร้ายเกินมนุษย์ ยามโกรธเกรี้ยวไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรคุณหนูก็มักจะทำร้ายร่างกายพวกนางอย่างรุนแรง

“ปะ เปล่าเจ้าค่ะ” น้ำเสียงสั่นเครือที่ตอบออกมายิ่งทำให้เยว่เผิงทวีความหงุดหงิดขึ้นกว่าเก่า มือของนางกวาดข้าวของลงพื้นอย่างบ้าคลั่ง กรีดร้องอย่างไม่อาจจะควบคุมตนเอง

เพล้ง!

“ออกไป! ออกไปให้หมด! ข้าบอกให้ออกไปเดี๋ยวนี้!”

“จะ เจ้าค่ะ เจ้าค่ะคุณหนู”

พวกนางรีบถลาวิ่งออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ประตูปิดลงพวกนางก็ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ เกือบไปแล้ว โชคดีเหลือเกินที่วันนี้ใบหน้าของพวกนางมิต้องมีรอยฟกช้ำ มิเช่นนั้นพวกนางคงต้องเจ็บปวดไปอีกหลายวันเป็นแน่ เสียงปาข้าวของดังขึ้นไม่หยุดจนพวกนางที่ยังคงยืนอยู่ด้านนอกสะดุ้ง อาการหวาดกลัวต่อคุณหนูมันคงมิอาจจะรักษาให้หายขาดเสียแล้ว เพียงครั้งใดก็ตามที่คุณหนูเริ่มมีสีหน้าบึ้งตึง บรรยากาศรอบกายก็พลันแผ่ขยายไปด้วยความเกลียดชัง พวกนางก็จะสั่นไปทั้งร่างด้วยความกลัว พวกนางอยากจะหยุดอาการเหล่านี้เหลือเกิน อยากจะให้มันหายๆ ไปเสีย! แต่มันคงเป็นได้เพียงแค่ฝัน...ที่ไม่มีวันจะเป็นจริง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2019 11:54:55 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
เหวินฉายเดินตามชายชรามาจนถึงหน้าประตู เขาหันมามองหน้าของเด็กหนุ่มเนื้อกายเปรอะเปื้อนก่อนจะถอนหายใจ ถุงสีดำถูกล้วงออกมาจากภายในเสื้อ มือเหี่ยวย่นเปิดมันออกและมองมันอย่างจดจ้อง เหวินฉายได้แต่ยืนนิ่งๆ แม้จะไม่อยากได้ แต่ก็คงต้องรับมา ช่างเถิด...ได้มาก็ดี เด็กๆ พวกนั้นคงจะรออยู่แล้ว

“นี่เงินของเจ้า...เจ้าโชคดีนักที่ได้รับรางวัลจากคุณหนูเยว่เผิง” เหวินฉายขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นจากถุงเงินสีดำที่ถูกยื่นมาตรงหน้าด้วยความสงสัย สิ่งใดกันจึงเรียกว่าโชคดี นี่มิใช่เรื่องปกติหรอกหรือ?

“อภัยด้วยขอรับ แต่ข้าขอถามท่าน เหตุใดท่านจึงบอกว่าข้าโชคดีกัน? นี่มิใช่เรื่องปกติหรอกหรือ?” อี้เจียงชะงัก เม้มปากแน่นราวกับว่าเพิ่งหลุดพูดเรื่องที่มิควรพูดออกไป สายตาของอี้เจียงเลิ่กลั่ก หันมองซ้ายขวาอย่างหวาดกลัว

“มิ มิได้มีอะไรเลยสักนิด เจ้าเพียงคิดไปเองเท่านั้น! เอ้า!! ....เมื่อได้รับรางวัลแล้วก็ไปเสีย!”

อี้เจียงเดินกลับไปพร้อมกับปิดประตูอย่างแรงจนเหวินฉายสะดุ้ง อะไรกัน...เหตุใดจะต้องโกรธเสียขนาดนั้น ในเมื่อเขาเพียงเอ่ยถามออกไปจากประโยคที่พ่อบ้านอี้พูดมันออกมา เหวินฉายยิ่งสงสัยและไม่ชอบใจ คนในจวนนี้เป็นเช่นนี้ทุกคนเชียวหรือ มิมีผู้ใดจิตใจปกติเลยหรืออย่างไร

เหวินฉายอดไม่ได้ที่จะคิดถึงใบหน้าอันงดงามของเพ่ยเยว่เผิง แต่ภายใต้ใบหน้าอันงดงามนั้นกลับแฝงไว้ซึ่งความดูถูกและเหยียดหยาม เพียงได้ยินว่าเขามาส่งข่าวจากสกุลลู่ จากความรังเกียจก็กลายเป็นความอ่อนหวาน นี่คิดว่าเขาโง่หรืออย่างไรกัน ถึงได้เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเขาอย่างรวดเร็ว เงินนี่ก็ด้วย คิดว่าเงินเพียงแค่นี้สำคัญกับเขาถึงขนาดจะเปลี่ยนสายตาที่มองนางได้หรือ คิดผิดเสียแล้ว คนอย่างถังเหวินฉาย มิใช่เด็กรับใช้ทั่วไปที่ซื้อได้ด้วยเงิน ที่หากใครนำเงินมาหลอกล่อก็พร้อมจะก้มหัวรับใช้ คนอย่างเขา ถังเหวินฉาย! รับใช้ด้วยใจเท่านั้น!

เขาเดินออกมาจากจวนสกุลเพ่ยอย่างไม่คิดจะหันไปมองอีก มือข้างหนึ่งกำถุงใส่เงินสีดำจนแน่น เขากลัวว่ามันจะหาย ในเมืองเต็มไปด้วยโจรและขโมยมากมาย เห็นแต่งกายด้วยชุดหรูหราเนื้อผ้าดีๆ ใครจะไปรู้เล่าอาจจะเป็นโจรก็ได้ เขาต้องระวังเอาไว้ก่อนคงดีที่สุด

เหวินฉายยิ้มกว้างทันทีที่ปรากฏร่างเล็กๆ ของเหล่าเด็กๆ เขาเร่งฝีเท้าจนแทบจะกลายเป็นวิ่งเข้าไปหาเหล่าเด็กน้อย พวกเด็กต่างก็ดีใจมากที่พี่ชายใจดีมาหาพวกเขาตามสัญญา เหวินฉายพบเหล่าเด็กน้อยพวกนี้ตามมุมต่างๆ ของตลาด สิ่งที่เขาเห็นเมื่อครั้งแรกเจอคือ...ของที่เด็กๆ ขโมยมันมา ทั้งที่มีของมีค่ามากมายให้ขโมย แต่พวกเด็กๆ กลับขโมยเพียงแค่ อาหาร

พวกเด็กๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเข้าไปใกล้และมองอยู่ เด็กๆ ทั้งหมดยังคงกินของที่ขโมยมาเข้าไปอย่างหิวโหย แต่แม้จะหิวมากเท่าใดก็พวกเด็กๆ ก็ยังคงแบ่งปันกันอย่างเท่าเทียม กินเพียงแค่ได้อยู่ต่อเท่านั้น เหวินฉายถูกเด็กๆ พบว่าเขายืนมองอยู่ การแต่งกายแสนมอมแมมและใบหน้าที่เปรอะเปื้อนทำให้พวกเด็กๆ ยื่นหมั่นโถก้อนนั้นมาให้เขาเพียงเพราะคิดว่าเขาหิวไม่ต่างกัน

หัวใจของเหวินฉายรู้สึกอบอุ่น สองตาร้อนผ่าวจนน้ำใสๆ แทบจะไหลลงมาอาบผิวแก้ม ใบหน้าของเด็กๆ ดูใสซื่อเสียจนเหวินฉายอดสงสารในชะตาชีวิตของพวกเขาไม่ได้เลย เด็กพวกนี้คงเป็นเด็กกำพร้า ไร้ญาติขาดมิตรจึงได้กลายเป็นขอทานและลักขโมยของไปทั่ว ด้วยความสงสารเขาจึงเป็นฝ่ายซื้อพวกอาหารมาให้เด็กๆ ได้กินกัน แม้ว่าตัวเขาเองจะเป็นเพียงแค่เด็กรับใช้ มิได้มีเงินถุงเงินถังมากมายใดๆ แต่เขาก็ใช่จะไร้เงินสักอีแปะติดตัวเพราะฉะนั้นเด็กๆ ตัวแค่นี้มิได้มีปัญหาใดๆ เลย อีกอย่าง...หากถึงเวลาที่เขาไม่มีเงินจริงๆ เขาก็จะไปขอกับท่านลุงถังก็ได้ ถ้าทำเรื่องดีๆ ละก็...ท่านลุงถังไม่มีทางต่อว่าเขาแน่ เขามั่นใจ

“พี่เหวินฉายๆ ทางนี้ขอรับ!”

เด็กน้อยนามว่าเว่ยเอี้ยนเรียกเขาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ทุกคนโบกมือโหยงๆ อย่างดีใจที่เห็นว่าเขามาถึงเสียที ท่าทางเช่นนี้คงหิวมากสินะ เหวินฉายเร่งฝีเท้าเข้าไปหา ใบหน้าของเขายิ้มให้เด็กๆ ตรงหน้าอย่างอ่อนโยน มือบางยกขึ้นลูบศีรษะเล็กๆ อย่างเบามือด้วยความเอ็นดู นึกเสียดายที่ตนมิใช่คุณชายจากตระกูลใหญ่โต มิเช่นนั้นชีวิตของเด็กๆ เหล่านี้คงดีกว่านี้มาก

“พี่เหวินฉาย วันนี้พี่ช้าจังเลย!”

“ขอโทษด้วยนะ พวกเจ้าคงรอข้านานเลยสิ แต่วันนี้ข้าต้องทำงาน จึงมาช้ากว่าทุกวัน” เด็กๆ ต่างพากันขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองหน้ากันและกันอย่างไม่เข้าใจ

“พี่เหวินฉาย สิ่งใดคือทำงานหรือขอรับ?” หานฟง เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัยและคงมิใช่แค่หานฟงแน่ที่สงสัยเช่นนี้ เพราะเพียงแค่หานฟงเอ่ยถามขึ้นมา ทุกคนก็ดูจะตั้งตารอให้เขาตอบ ช่างเป็นเด็กที่ใสซื่ออะไรเช่นนี้ เหวินฉายยิ้มบางๆ ก่อนจะอธิบาย

“ทำงานก็หมายถึงลงมือทำบางสิ่งเพื่อแลกกับเงิน เช่นวันนี้ข้าไปส่งข่าวให้สกุลเพ่ย คุณหนูเพ่ยก็จะตอบแทนข้าด้วยเงินจำนวนหนึ่ง หรือบางทีข้าทำความสะอาดจวนเพื่อแลกกับเงินอย่างไรเล่า” เด็กๆ ตาโต ลอบมองหน้ากันอย่างสนใจ

“อี้เหมยจะทำงาน! จะหาเงินมาซื้อหมั่นโถให้ฉีอันอัน” ฉีอันอันคือตุ๊กตาที่พ่อกับแม่ของอี้เหมยทิ้งไว้ให้ก่อนจะสิ้นใจ เด็กสาวแม้จะมอมแมมแต่ก็ยังคงความน่ารักเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด มือเล็กๆ กอดตุ๊กตาตัวนั้นเอาไว้จนจมอก สิ่งยึดเหนี่ยวเพียงสิ่งเดียวของนาง สิ่งสำคัญที่ไม่ว่าจะใช้เงินซื้อสักเท่าไรมันก็ไม่คุ้มค่าเลย

“ฮ่าๆ หากเจ้าให้ฉีอันอันกินมากกว่านี้ มันจะอ้วนฉุเสียจนเจ้าอุ้มไม่ไหวนะรู้ไหม”

“เอ๋! ได้ยังไงกัน แบบนั้นข้าไม่เอาดีกว่า ฉีอันอันเจ้าต้องลดลงบ้างนะ เกิดข้าอุ้มเจ้าไม่ไหว ข้าจะทิ้งเจ้าจริงๆ ด้วย!” แม้ปากเล็กๆ จะยู่และพูดขู่ออกไปเช่นนั้นแต่กลับไม่ยอมปล่อยเจ้าตุ๊กตาตัวนั้นออกจากอกเลยสักนิด เหวินฉายยิ้มเอ็นดูกับความน่ารักของอี้เหมย

“มาเถอะ...วันนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปกินของอร่อยที่ร้าน ดีหรือไม่?”

“ดีขอรับ/ดีเจ้าค่ะ!”

เหวินฉายยิ้มและเดินไปกับเด็กๆ พวกเด็กๆ ต่างดีอกดีใจกันใหญ่ ไม่บ่อยนักหรอกที่พวกเขาจะได้มีโอกาสไปนั่งที่ร้าน ส่วนมากแค่มีหมั่นโถกินก็ดีแล้ว เว่ยเอี้ยนมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้นรอลุ้นเหลือเกินว่าวันนี้พี่เหวินฉายจะพาเขาไปที่ร้านใด หานฟงเองก็ตื่นเต้นเสียจนแทบจะวิ่งนำไปข้างหน้าติดอยู่เพียงแค่เขาไม่รู้จักร้านเลย จึงทำได้เพียงเดินตามเหวินฉายไปส่วนอี้เหมยก็เดินคุยกับฉีอันอันมาตลอดทั้งทางโดยไม่ได้สนใจความตื่นเต้นของคนอื่นเลยสักนิด

ทั้งสี่คนเดินมาถึงหน้าร้านใหญ่ที่มีผู้คนมากมายอยู่ภายในร้าน เสี่ยวเอ้อของร้านเดินมาหาพวกเขาก่อนจะหยุดชะงักกวาดไล่สายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเหยียดหยาม เหวินฉายมองการกระทำนั้นด้วยความไม่พอใจ เหตุใดจึงได้มองลูกค้าด้วยแววตาเช่นนี้กัน เจ้าของร้านมิได้สั่งสอนหรือไร

“ไปๆ ออกไปให้พ้นหน้าร้านเดี๋ยวนี้! ที่นี่ไม่มีใครให้เจ้ามาขอทานหรอกนะ!” เหวินฉายหน้าตึงแววตาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เจ้าเสี่ยวเอ้อคนนี้คิดว่าตนมีดีกว่าเขาและพวกเด็กๆ ตรงไหน เหตุใดถึงได้กล้ากล่าววาจาดูแคลนผู้อื่นเช่นนี้ เหวินฉายหมายมั่นจะโต้กลับแต่แขนเล็กของเขากลับถูกพวกเด็กๆ รั้งเอาไว้ ใบหน้าของพวกเด็กๆ ดูเศร้าสลดและซีดเซียวอย่างน่าสงสาร นั่นยิ่งทำให้เหวินฉายโมโหเสียจนอยากจะบีบคอคนตรงหน้าให้ได้ตายๆ ไปเสียให้พ้นๆ

“พี่เหวินฉาย ขะ ข้าไม่กินแล้วก็ได้ขอรับ ข้าไม่หิวแล้ว” น้ำเสียงเศร้าสร้อยเอ่ยออกมาอย่างเสียไม่ได้ หากตนได้เข้าไปกินแต่พี่เหวินฉายของพวกเขาต้องลำบาก เขาไม่หิวก็ได้

“พี่เหวินฉาย เราไปกันเถอะขอรับ ข้ากับหานฟงและอี้เหมยไม่หิวแม้แต่น้อย” ทั้งๆ ที่ปากเล็กๆ นั่นสั่นแต่ก็ยังพูดกล่าวเพียงเพื่อให้เขาได้คลายความโมโห หานฟงและอี้เหมยพยักหน้ารับคำของเว่ยเอี้ยน แต่เหวินฉายกลับยิ่งโมโห ร่างเล็กกัดริมฝีปากตนเอาไว้แน่นจนคิดว่าได้กลิ่นคาวของเลือดลอยคละคลุ้งอยู่ในปาก สายตาหวานตวัดมองเสี่ยงเอ้อที่ยังคงมองพวกตนด้วยแววตาเช่นเดิมอย่างไม่ชอบใจ แต่เมื่อร้านนี้ไม่ต้อนรับ...พวกเขาก็ไม่คิดจะง้อเช่นกัน!

“อย่าห่วงเลยเว่ยเอี้ยน หานฟง อี้เหมย หากร้านนี้ไม่รับลูกค้า เช่นนั้นข้าจะพาพวกเจ้าไปกินร้านอื่น! หึ!”

“ไปๆ เกะกะหน้าร้านเสียจริง!”

“เจ้า!” เหวินฉายถลาร่างเข้าไปหาหวังจะจัดการกับคนเลวๆ คนนี้สักทีสองทีให้หายแค้น แต่เด็กๆ ทั้งสามคนต่างก็จับเขาเอาไว้แน่นพยายามลากรั้งให้เขาออกห่างจากเสี่ยวเอ้อผู้นั้นที่บัดนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน

“พี่เหวินฉาย ไปเถอะพี่ ข้าไม่อยากให้พี่มีเรื่องเลย”

คนที่กำลังโมโหได้แต่สูดลมเข้าปอดอย่างระงับอารมณ์ที่กำลังปะทุ ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างนึกในใจว่าสักวันเขาจะต้องทำให้คนๆ นี้ได้รู้สำนึกเสียบ้าง อี้เหมยตัวสั่นกอดตุ๊กตาแน่นจนหานฟงที่อยู่ข้างๆ ต้องกอดปลอบ คิดว่าดีว่าเขาหรือไร ถึงได้ดูแคลนกันเช่นนี้ คนๆ นั้นช่างไร้จิตเมตตาจนไม่น่าเกิดมาเป็นคนเสียด้วยซ้ำ

เฉินลี่ฟู่ลอบมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเงียบๆ สายตาของเขายังคงจดจ้องอยู่กับใบหน้าของร่างบางที่มิได้เปลี่ยนไปจากครั้งในอดีต หากแต่ยามที่คนๆ นั้นเติบโตจนเต็มวัยกลับดูน่ารักน่าใคร่กว่าเด็กในความทรงจำ ลี่ฟู่สำรวจทุกสัดส่วนของเหวินฉายที่ยืนอยู่ไกลๆ อย่างละเอียดจับจ้องราวกับต้องการสลักภาพนั่นเอาไว้ให้ลึกสุดหัวใจ เสียงของเสี่ยวเอ้อที่พูดจาดูแคลนถังเหวินฉายทำให้แววตาของลี่ฟู่วาววับด้วยความโกรธ ช่างกล้าเหลือเกินที่พูดจาเช่นนี้กับคนของเขา

แม้จะคาใจกับเรื่องเด็กทั้งสามคน แต่ก็มิได้ทำให้ลี่ฟู่หยุดการกระทำใดๆ ลี่ฟู่ยังคงเดินตามทั้งสี่คนอย่างเงียบๆ มองดูคนตรงหน้าที่ยิ้มแย้มให้เด็กๆ อย่างใจดี อิจฉาเหลือเกิน รอยยิ้มนั่นไม่เคยสักครั้งที่จะมีให้เขา ไม่ว่าเขาจะทำเช่นไรก็จะมีเพียงความบึ้งตึงจากเหวินฉายเท่านั้นที่ส่งกลับมา เขาหวัง...หวังเหลือเกินว่าในสักวันหนึ่ง รอยยิ้มที่แสนหวานของเหวินฉาย จะมีไว้สำหรับเขาในสักวัน

ลี่ฟู่พิจารณาร่างของเด็กๆ เหล่านั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ใคร่รู้ เด็กทั้งสามคนนี้เป็นบุตรของผู้ใดกัน เหตุใดเขาจึงมิเคยได้พบเห็น เขาอาศัยอยู่ในเมืองซิ่นจือมาทั้งชีวิต แต่กลับมิเคยได้พบเด็กทั้งสามมาก่อน หรือเด็กพวกนี้จะเป็นบุตรชายบุตรสาวของเหวินฉายกันนะ! แสดงว่าเหวินฉายของเขาแต่งงานแล้วหรือ?

ไม่! มันต้องไม่จริง!

เขาไม่มีวันจะเชื่อจนกว่าจะได้เอ่ยถามกับเจ้าตัวเอง มือหนากำเข้าหาตัวเองแน่น หัวใจเต้นระส่ำด้วยความกังวล หากเหวินฉายกล้าแต่งงานกับหญิงผู้ใด เขาจะทำให้หญิงผู้นั้นได้พบกับนรกบนดินจนไม่สามารถเข้ามายืนใกล้กับเหวินฉายของเขาอีก ข้างกายของถังเหวินฉายจะต้องเป็นของเฉินลี่ฟู่ผู้นี้เพียงผู้เดียว ต่อให้เป็นหญิงงามจากเมืองใด ตระกูลใหญ่โตแค่ไหนก็ไม่มีสิทธิ์!

“อี้เหมยหิวแล้ว...” แม้จะรู้ว่าไม่ควรบ่นแต่เด็กก็คือเด็กจะให้อดทนเอาไว้แค่ไหนมันก็ย่อมมีขีดจำกัด

“ถ้าเช่นนั้น...เราไปที่ร้านข้างหน้ากันเถอะ”

เขาไม่มีวันจะเชื่อจนกว่าจะได้เอ่ยถามกับเจ้าตัวเอง มือหนากำเข้าหาตัวเองแน่น หัวใจเต้นระส่ำด้วยความกังวล หากเหวินฉายกล้าแต่งงานกับหญิงผู้ใด เขาจะทำให้หญิงผู้นั้นได้พบกับนรกบนดินจนไม่สามารถเข้ามายืนใกล้กับเหวินฉายของเขาอีก ข้างกายของถังเหวินฉายจะต้องเป็นของเฉินลี่ฟู่ผู้นี้เพียงผู้เดียว ต่อให้เป็นหญิงงามจากเมืองใด ตระกูลใหญ่โตแค่ไหนก็ไม่มีสิทธิ์!

“นายทะ...” ยังมิทันได้กล่าวจนจบประโยค สายตาเช่นเดิมจากเสี่ยวเอ้อก็ส่งมาให้เขาอีกครั้ง เสี่ยวเอ้อของร้านกวาดตามองไล่ไปทั้งตัวของลูกค้าตรงหน้า เสื้อผ้าเก่าๆ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนเช่นนี้ คงมิใช่ลูกค้าแน่ๆ

“ข้าต้องการ...”

“ไปเสียเถอะ ร้านนี้ไม่มีใครให้เจ้ามาขอทานหรอกนะ!” มิได้สนใจประโยคของเหวินฉายเลยแม้แต่น้อย เสี่ยวเอ้อตัดบทราวกับสิ่งที่เหวินฉายจะพูดออกมานั้นไม่สำคัญสักนิด อีกแล้วสินะ เจ้าเสี่ยวเอ้อคนนี้ก็เป็นดั่งเช่นคนก่อนๆ ดูถูกผู้คนเพียงเพราะการแต่งกายงั้นหรือ! เหวินฉายกำหมัดแน่น ความโกรธพุ่งขึ้นจนแทบจะสะกดกลั้นเอาไว้ไม่ได้ หัวใจของเหวินฉายเต็มไปด้วยความเคียดแค้นจนอยากจะลงมือฆ่าคนให้ตาย

“พะ พี่เหวินฉาย...”

เด็กๆ แทบจะร้องไห้ออกมา เขาคงไม่ได้กินแล้ว ทุกร้านคงมิยินยอมให้พวกเขาได้เข้าไปกินแน่ ดั่งที่เขาว่าอีกาไม่อาจจะเป็นหงส์ พวกเขาเองก็มิใช่บุตรชายของผู้รากมากดี มิอาจจะมีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ ไร้ซึ่งพ่อแม่ ไม่มีแม้แต่ญาติพี่น้อง พวกเขามีเพียงกันและกัน อดและหิวมาด้วยกันเท่านั้น มิมีบ้านให้ได้อยู่ พวกเขาต้องอาศัยวัดร้างที่ไร้ผู้คนหลบฝนและหลับนอน ดีหน่อยที่พี่เหวินฉายนำผ้าห่มเก่าๆ มาให้พวกเขาได้ใช้คลายหนาว

เหวินฉายถูกมือใหญ่ฉุดรั้งให้มายืนอยู่เบื้องหลัง แผ่นหลังในชุดน้ำเงินเข้มช่างคุ้นตาเหลือเกิน แต่เหวินฉายก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาเมื่อเขายังตกอยู่ในอาการตกใจ ใครกันจึงได้ทำเช่นนี้ เขารู้จักชายผู้นี้ด้วยหรือ? เส้นผมสีดำร่างกายสูงใหญ่ที่ดูสง่าผ่าเผย มันช่างดู...คุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด

ใครกัน? คนๆ นี้คือผู้ใดกันแน่

“อ๊ะ! คุณชายเฉิน...วันนี้จะให้ข้าน้อยจัดโต๊ะกี่ที่ดีขอรับ” แม้จะไม่เข้าใจในสายตาเคืองขุ่น แต่เมื่อคุณชายเฉินผู้ร่ำรวยมาถึงร้านมีหรือที่เขาจะสนใจในสิ่งนั้น เสี่ยวเอ้อลอบมองไปยังข้างหลัง พวกขอทานยังมิยอมไปอีกหรือ เช่นนี้...หรือนี่จะเป็นความขุ่นใจของคุณชายเฉินกัน

เหวินฉายตัวเย็นวาบเพียงได้ยินชื่อของคนตรงหน้า ปลายนิ้วเล็กเย็นเฉียบราวกับถูกแช่ไว้ในน้ำแข็ง เฉินลี่ฟู่อย่างนั้นเหรอ คนเบื้องหน้าของเขานั่นคือเฉินลี่ฟู่สินะ เหวินฉายราวกับถูกตบหน้ากลางตลาด ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาให้อีกฝ่ายเห็นสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีของตน เกลียดหรือ? หึ! สำหรับเหวินฉายความรู้สึกที่มีต่อเฉินลี่ฟู่ มันเกินคำนั้นไปไหลแล้ว!

เหวินฉายกัดฟันด้วยความเจ็บใจ เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งเขาเช่นนี้ ส่งคนที่เขาไม่คิดจะอยากเจอมาในตอนนี้ทำไม ยามที่เขาถูกผู้อื่นดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ เหตุใดจะต้องเป็นคนผู้นี้ด้วยที่มาพบเห็น เหตุใดจะต้องเป็นเขา ต้องเป็นเฉินลี่ฟู่ที่เขาสาบานว่าทั้งชีวิตจะไม่มีวันญาติดีกับเจ้านี่เด็ดขาด!



TBC



โอ้เย้ พระเอกมาแล้ววววววว (เอ้ย พระรองนี่หว่า 555555)

Facebook > https://m.facebook.com/PassionateFiction

Twitter > https://mobile.twitter.com/little_kittensY
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2019 11:56:11 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[9]

เหวินฉายยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนจนเด็กทั้งสามต้องกระตุกมือของเหวินฉายเบาๆ เขาหลุดออกจากความคิดและหันมามองใบหน้าของเด็กๆ อย่างสงสาร หิวสินะ เหวินฉายเข้าใจดี แต่จะให้ขอร้องให้เฉินลี่ฟู่ช่วย หรือดื้อดึงถกเถียงกับเสี่ยวเอ้อต่อก็คงไม่ไหว เขาไม่อยากให้เฉินลี่ฟู่ต้องมาเยาะเย้ยถากถางใส่ เพราะเขาคงทนไม่ได้หากคนที่เขาแสนจะเกลียดชังผู้นี้ได้มาเห็นภาพเขาถูกดูแคลนจากคนอื่น

เหวินฉายมองเด็กๆ ด้วยแววตาอ่อนแสงนึกอยากจะโทษคนตรงหน้าที่มาอยู่ที่นี่ในเวลาที่เขากำลังย่ำแย่ เหวินฉายกัดฟันด้วยความเจ็บใจแต่อย่างไรเขาก็ไม่มีทางเลือกคงต้องยอมตัดใจจากร้านนี้ แม้ว่ามันจะเป็นร้านสุดท้ายของเมืองแล้วก็ตามที เหวินฉายถอนหายใจอย่างลำบากใจที่ต้องทำให้เด็กๆ ผิดหวัง เขารู้ดีว่าพวกเด็กๆ อยากจะเข้าไปนั่งในร้านมากเพียงใด แต่คงต้องเป็นคราวหลังเสียแล้ว

“เว่นเอี้ยน หานฟง อี้เหมย วันนี้พวกเจ้ากินหมั่นโถกับซาลาเปาแทนได้หรือไม่” เด็กๆ ทั้งสามเงยหน้าขึ้นมองสบตาของเหวินฉายด้วยแววตาซื่อๆ ก่อนที่ใบหน้าของเด็กทั้งสามจะประดับด้วยรอยยิ้ม

“อื้อ! ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็กินได้ทั้งนั้น ขอเพียงพี่ซื้อให้ข้า ข้าจะกินมันขอรับ”

“ข้าด้วย! มิจำเป็นต้องเป็นร้านใหญ่เลยขอรับพี่เหวินฉาย”

“ฉีอันอันชอบซาลาเปาร้อนๆ อี้เหมยก็ชอบ~”

หัวใจของเหวินฉายตื้นตันพวกเขาไม่คิดจะถามด้วยซ้ำถึงสาเหตุที่เหวินฉายต้องผิดสัญญา เหวินฉายพยายามยิ้มออกมาอย่างยากเย็น เขารู้สึกผิดที่ไม่สามารถรักษาคำพูดที่ให้ไว้ได้ เขาไม่ควรให้ความหวังกับเด็กๆ เขาเป็นคนที่แย่ที่สุดที่ทำลายความหวังน้อยๆ ของเด็กๆ พวกนี้

เด็กๆ ทั้งสามกลับหลังหันเพื่อจะเดินออกจากร้านไป เหวินฉายเองก็เช่นกัน หากแต่เพียงเขาก้าวเท้าได้เพียงแค่ก้าวเดียว แขนเล็กๆ ของเขาก็ถูกกระชากกลับมาจนแทบจะหงายหลังล้มลงดีหน่อยที่เขาเพียงแค่ปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้างของใครบางคน เหวินฉายเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะเบิกตากว้างและเริ่มดิ้นรนออกจากการเกาะกุม

ไม่เลย ไม่ดีสักนิด เขาขอถอนคำพูด ให้ล้มลงไปกระแทกพื้นยังดีกว่า!

“เจ้า! ปล่อยข้า!” แววตาของเหวินฉายแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด มองคนที่จับเขาไว้ทั้งร่างด้วยความไม่พอใจ

เสี่ยวเอ้อมองภาพตรงหน้าด้วยความงงงวย คุณชายเฉินลี่ฟู่กำลังกอดเจ้าขอทานนี่หรือ ไม่ๆ เป็นไปไม่ได้ คนอย่างคุณชายเฉินไม่มีทางสนใจเจ้าเด็กขอทานผู้นี้เป็นแน่ หรือว่าจะเป็น...สิ่งนั้น! เสี่ยวเอ้อเบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นได้ เขาหวังจะเอาหน้าต่อคุณชายผู้ร่ำรวยผู้นี้ด้วยการกระชากเอาถุงเงินสีดำที่เอวของร่างเล็กออกมาอย่างแรงพร้อมกับเปิดออกดู

เงิน เงินจำนวนไม่น้อย ขอทานอย่างเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่มีทางจะมีเงินมากมายเช่นนี้ได้แน่!

“เจ้ากล้าขโมยเงินคุณชายเฉินงั้นรึเจ้าขอทาน! ข้าจะเรียกทางการมาจับเจ้าเสีย!” เหวินฉายชะงักหยุดดิ้นโดยทันใด อย่างไรนะ! เมื่อครู่เจ้าบ้านั่นมันว่าอย่างไรนะ? เขานะหรือที่ขโมยเงินเจ้าบ้าลี่ฟู่ เหอะ! ใช้หว่างขามันคิดหรือไรกัน!

ลี่ฟู่เองก็ชะงักไปไม่ต่างกัน เจ้าเสี่ยวเอ้อคนนี้ช่างต่ำทรามยิ่งนักการกระทำราวกับตนเองเป็นคนดีแต่ความจริงเพียงพยายามจะเอาหน้ากับเขาต่างหาก คนเช่นนี้มีอยู่มากมายเหตุใดเขาจะดูมิออก นี่คงเห็นว่าเขาจับเหวินฉายเอาไว้ไม่ให้เดินจากไปสินะ คงคิดไปเองว่าเฉินลี่ฟู่ผู้นี้ถูกขโมยถุงเงิน เพียงเพราะเหวินฉายของเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ ใบหน้าเปรอะเปื้อนเพราะความซุกซนจึงถูกมองว่าเป็นขอทาน หากถูกมองว่าเป็นขอทานแล้วเช่นนั้นเงินในถุงก็คงถูกมองว่าขโมยมา

ช่างเป็นคนที่ต่ำทรามเสียจริง!

“ข้ามิเคยขโมยของผู้ใด! เงินถุงนั้นเป็นของของข้า!” หากแต่เสี่ยวเอ้อกลับแสยะยิ้มใส่ สายตามองเหวินฉายด้วยความดูถูก

“ขอทานเช่นเจ้ามีหรือจะสามารถมีเงินได้มากมายเช่นนี้ คุณชายเฉินขอรับ ข้าน้อยจะไปตามคนของทางการให้นะขอรับ” เฉินลี่ฟู่ปรายตามองคนเอ่ยถามด้วยความเย็นชาก่อนจะยิ้มใส่ด้วยความรังเกียจ

“ปล่อยพี่เหวินฉายนะ! ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้ พี่เหวินฉายมิใช่ขโมยนะ!”

“ใช่ๆ ข้าเป็นพยานได้ พี่เหวินฉายทำงานแลกมาต่างหาก เจ้าโง่!” หานฟงก่นด่าคนที่อายุมากกว่าด้วยความโมโห แม้จะถูกสอนมาว่ามิควรใช่คำพูดเช่นนั้นกับผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่ดังเสี่ยวเอ้อผู้นี้เขาไม่นับถือ เช่นนั้นก็คงไม่ต้องรักษามารยาท!

“ปล่อยนะๆ ปล่อยพี่เหวินฉายนะ อี้เหมยจะให้ฉีอันอันตีท่านจริงๆ ด้วย” คำข่มขู่ของเด็กตัวกระจ้อยมิได้ทำให้เฉินลี่ฟู่ผู้นี้หวาดหวั่นแต่อย่างใด กลับทำให้หัวใจของลี่ฟู่พองโตเสียด้วยซ้ำ พี่เหวินฉายหรือ เช่นนั้น...เหวินฉายของเขาก็มิได้แต่งงานกับหญิงใดน่ะสิ อารมณ์ที่ค้างคาจากเมื่อแรกได้เห็นใบหน้างามในอ้อมแขนยิ้มให้กับเหล่าเด็กๆ ในตอนนี้มันถูกดับไปเสียจนหมดสิ้น ทั้งความอิจฉา ทั้งความเกรี้ยวกราดที่คิดไปเอง เขาถูกเหล่าเด็กน้อยดับมันลงเพียงแค่คำเรียกที่ใช้เรียกเหวินฉายของเขา

หากเหวินฉายเรียกเด็กพวกนี้ว่าน้อง เช่นนั้นข้าก็จะนับพวกเด็กๆ เป็นน้องของข้าเช่นกัน

“หยุดนะพวกเจ้า! กล้าดีอย่างไรมาพูดจาเช่นนี้กับคุณชายเฉิน!” ลี่ฟู่ได้แต่กลอกตาไปมา เสี่ยวเอ้อผู้นี้ทำตัวราวกับเป็นเมียของเขาทั้งๆ ที่เขายังมิได้ว่ากล่าวใดๆ แต่เจ้านั่นกลับพูดจาราวกับรู้ไปเสียหมด

เหวินฉายที่เริ่มเห็นท่าไม่ดีที่จะเกิดกับเหล่าเด็กๆ ทั้งสามก็รีบดิ้นรนออกจากอ้อมแขนแกร่งที่กระชับเอวของเขาเอาไว้เสียแน่นจากทางด้านหลัง แต่แม้ว่าจะใช้แรงไปมากเพียงใดก็มิอาจทำให้เขาหลุดรอดออกไปจากอ้อมแขนนี้ได้เลย ยิ่งดิ้นรนมากขึ้นแรงกระชับก็ยิ่งเพิตาม จนเขารู้สึกว่าเท้าของเขาไม่สัมผัสพื้นอีกต่อไป

“หยุด! หากเจ้าแตะต้องพวกเขาแม้แต่ปลายเส้นผม ข้าจะให้เถ้าแก่ไล่เจ้าออกเสีย!” เสี่ยวเอ้อที่ถลาร่างเข้ามาหวังจะทุบตีหานฟง เว่นเอี้ยนและอี้เหมยก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อถูกน้ำเสียงเข้มอันทรงอำนาจสั่งขึ่นจนเขามิกล้าขยับกายได้แต่มองใบหน้าของคุณชายเฉินด้วยความไม่เข้าใจ

มิใช่ว่าพวกมันขโมยของของคุณชายไปหรอกหรือ?

“อภัยด้วยขอรับคุณชายเฉิน ข้าน้อยเพียงแต่หวังดี...” เสี่ยวเอ้อค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อมแม้แววตาจะเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจก็ตาม ดวงตาของเฉินลี่ฟู่ดุดัน มองคนตรงหน้าที่ขยันยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของเขาด้วยความไม่ชอบใจ

“ข้ามิได้ต้องการความหวังดีจากเจ้า! เหวินฉายและน้องๆ เป็นสหายของข้า! เงินถุงนั้นก็เป็นของพวกเขา เหตุใดเจ้าจึงกล่าวหาว่าพวกเขาขโมยของของข้าไปกัน? เจ้ารู้ได้อย่างไร? หรือเจ้ามองลูกค้าเพียงแค่การแต่งกาย? ข้าจะได้มิเข้าร้านนี้อีก เพราะข้าเองก็คงหวาดกลัวว่าหากวันใดข้าแต่งกายด้วยชุดเก่าๆ แล้ว คงมิพ้นถูกไล่เหมือนหมาเช่นที่พวกเจ้าทำกับสหายข้าหรอกรึ!” เสี่ยวเอ้อตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว น้ำเสียงของเฉินลี่ฟู่ดังก้องไปจนทั่วแม้แต่ภายในร้านลูกค้าบางคนยังหันมาสนใจ แม้แต่ผู้คนที่เดินสัญจรไปมาตามทางยังหยุดมองด้วยความสนใจ บางผู้ก็กระซิบกระซาบ บางผู้ก็มองเขาด้วยแววตารังเกียจมิต่างจากแววตาที่เขาใช้มองเหวินฉายและเด็กๆ เลยแม้แต่น้อย

“ขะ ข้าน้อยเพียงเห็นว่า...อะ เอ่อ ขะ ข้า”

“มีเรื่องอะไรกันหรือขอรับคุณชายเฉิน” บุรุษที่มีใบหน้าหล่อเหลาแต่งกายด้วยชุดสีขาวฟ้าเดินออกมาจากร้านด้วยความสงสัย

“เจ้าคงเป็นเถ้าแก่ร้านนี้สินะ?” เฉินลี่ฟู่เอ่ยถามด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์

“เป็นข้าเอง...มิทราบว่าคนของข้ากระทำสิ่งใดให้คุณชายทั้งสองขุ่นเคืองใจหรือ” น้ำเสียงของคนผู้นี้ช่างสุภาพยิ่งนัก ทั้งกิริยาและท่าทางของเขาก็ดูเป็นคนที่ถูกสั่งสอนมาอย่างดี

“คนของเจ้ามิยอมให้สหายของข้าเข้าไปนั่งในร้าน กล่าวหาว่าคนของข้าและน้องๆ เป็นขอทาน ซ้ำยังกล่าววาจาใส่ความว่าคนของข้าผู้นี้ขโมยเงินของข้า กล่าวว่าถุงเงินนั่นมิใช่ของเขา! เจ้าสั่งสอนให้คนของเจ้ากระทำเช่นนี้กับลูกค้าหรืออย่างไร!”

“ข้าม่ะ...อื้อๆ ๆ” ความหงุดหงิดปะทุออกมาจนหมดราวกับว่าลี่ฟู่เก็บกดมันมานาน เหวินฉายแทบไม่เชื่อหูตนเองที่ได้ยินว่าลี่ฟู่ผู้นี้กำลังปกป้องตนและเด็กๆ และเหมือนลี่ฟู่จะรู้จักเหวินฉายดีว่า คนอย่างถังเหวินฉายคงไม่ยอมให้เขาช่วยง่ายๆ แน่ มือใหญ่จองเขาจึงปิดปากเล็กๆ ของเหวินฉายเอาไว้จนคนถูกปิดปากได้แต่ดิ้นรนและร้องอู้อี้ไม่เป็นภาษา

“ขออภัยแทนคนของข้าด้วย...เป็นเพราะข้าสั่งสอนเขาน้อยไปจึงได้เสียมารยาทต่อคุณชายและสหายของท่านเช่นนี้ หากมิว่าอะไร...ถือเสียว่ามื้อนี้ให้ข้า ต้าหยงเป็นเจ้ามือเลี้ยงท่านและสหายของท่านเถอะ” เด็กๆ ทั้งสามเบิกตากว้างใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เลี้ยงหรือ เช่นนั้นพี่เหวินฉายก็มิต้องเสียเงินน่ะสิ จะกินเท่าไรก็ได้โดยมิต้องกังวลเรื่องราคา ช่างดีเสียเหลือเกิน

ลี่ฟู่เหลือบมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจของเด็กๆ เขารู้ดีว่าเหตุใดจึงได้ดีใจกันเสียขนาดนั้น แต่ด้วยตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะยากจนข้นแค้นเสียจนต้องให้ใครๆ มาเลี้ยง เพียงแค่สามชีวิตน้อยๆ กับหนึ่งดวงใจมีหรือเขาจะไม่สามารถจ่ายให้ได้ ลี่ฟู่จับจ้องใบหน้าของต้าหยงด้วยแววตาคมกริบ หรี่ตาลงน้อยๆ เมื่อเห็นว่าต้าหยงผู้นี้จับจ้องแต่ใบหน้าของคนในอ้อมแขนของเขา คนของเขา ใครก็ห้ามมอง!

“มิต้อง! ข้าจ่ายเองได้...พวกเจ้าสามคนตามข้ากับพี่เหวินฉายของเจ้าไปข้างใน ข้าจะจ่ายให้พวกเจ้าเอง อยากกินอะไรพวกเจ้าก็สั่ง”

“จะ จริงๆ หรือขอรับ ข้าจะกินอะไรก็ได้หรือขอรับ!” เว่ยเอี้ยนถามขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“ใช่...ข้ามิเคยโกหก สั่งได้ตามสบาย”

“อื้อๆ ๆ ๆ ๆ” แต่เหวินฉายกลับไม่ชอบใจสักนิด เงินเขารึก็มีเหตุใดต้องให้เจ้าลูกเต่านี้จ่ายให้ด้วยกัน!

“คืนถุงใส่เงินให้แก่คุณชายเสียสิ!” เสียงเย็นๆ จากต้าหยงกดดันให้มือของเสี่ยวเอ้อนั่นสั่นไปหมดยามยื่นสิ่งที่ยึดมาคืนให้แก่สหายของเฉินลี่ฟู่ เหวินฉายคว้ามือออกไปหมายจะดึงคืน หากแต่ลี่ฟู่กลับไวกว่า เขายึดเจ้าถุงสีดำเอามาไว้ในมือหลบเลี่ยงมิยอมให้เหวินฉายดึงคืนไปได้ เพราะเขารู้ความคิดของเหวินฉายดี หากมีเงินถุงนี้อยู่ในมือ มีหรือจะยินยอมให้เขาจ่ายค่าอาหารมื้อนี้

เด็กๆ ดีใจเสียจนไม่ได้สนใจอาการของเหวินฉายแม้แต่น้อย ทั้งสามคนเดินเข้าไปนั่งในร้านพร้อมกับกวาดตามองไปจนทั่ว ราวกับฝันไป...ที่พวกเขาได้กลับมานั่งอยู่ในที่แบบนี้อีกครั้ง เหวินฉายขัดขืนไม่ยินยอมสักนิดยามถูกลี่ฟู่ดึงข้อมือเล็กๆ ให้เดินตามมา แต่เมื่อยามเห็นสีหน้ามีความสุขของพวกเด็กๆ เขาก็ทำได้เพียงกัดปากตนเองฝืนใจไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนที่เขาไม่เคยหมายจะได้พบหน้าอีก

เหวินฉายถูกดึงให้นั่งลงเคียงข้างของลี่ฟู่ทั้งที่ใจอยากจะพังข้าวของจับคนที่ชอบบังคับตนมาเขย่าๆ ให้หายแค้นใจ แต่สุดท้ายที่ทำได้คือกระแทกตัวลงบนเก้าอี้ข้างๆ กายคนๆ นั้นเท่านั้น ลี่ฟู่รู้สึกอิ่มเอมใจ อยากจะให้ชีวิตของเขามีเหวินฉายเคียงข้างไปในทุกวันเสียจริง หากทุกวันเป็นดังเช่นวันนี้เขาคงสุขใจจนล่องลอย

“พวกเจ้าชื่ออะไรกันรึ? ข้ายังไม่รู้จักชื่อพวกเจ้ากันเลย” ลี่ฟู่เอ่ยถามขณะที่จิบน้ำชาไปด้วย เด็กๆ หันหน้ามามองกันและกันก่อนจะยิ้มกว้างให้ลี่ฟู่อย่างเป็นมิตร

“ข้าเว่ยเอี้ยนขอรับ”

“ข้าชื่อหานฟงขอรับ”

“อี้เหมยชื่อว่าอี้เหมยเจ้าค่ะ แล้วนี่ก็ฉีอันอันเจ้าค่ะ” ร่างสูงพยักหน้ารับพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยนให้แก่เด็กน้อยทั้งสาม หากดูจากการแต่งกายแล้วคงเป็นเด็กน้อยที่ไร้บ้านให้อาศัย เนื้อตัวจึงได้สกปรกมอมแมมเช่นนี้ เช่นนั้นคงจริงที่ว่าเด็กพวกนี้เป็นขอทาน

“ข้าชื่อเฉินลี่ฟู่ เป็นสหายที่สนิทสนมกับพี่เหวินฉายของเจ้า” เด็กๆ ตาโต นี่พี่เหวินฉายของพวกเขารู้จักพี่ชายที่ร่ำรวยแต่งตัวดีเช่นนี้เลยหรือ

“จริงหรือขอรับพี่เหวินฉาย! พี่รู้จักกับพี่ชายเฉินผู้นี้ด้วยหรือขอรับ?” เหวินฉายยิ้มแหยงๆ จะตอบเช่นไรดี หากปฏิเสธออกไปแล้วเฉินลี่ฟู่มิยอมให้เด็กๆ กินอาหารจะทำเช่นไร ตัวเขาเองก็ถูกคนหน้าด้านข้างๆ ยึดเงินไปแล้วเสียด้วย คงได้แต่ต้องยอมรับกับสิ่งที่ถูกหานฟงถาม

“ชะ ใช่ๆ ข้าสนิทกับคุณชายเฉินมาก!” เหวินฉายอยากจะกระอักเลือดออกมาให้สมกับความแค้นใจยิ่งนัก เขารึมิได้อยากจะตอบรับเลยแม้แต่น้อย แขนของลี่ฟู่โอบกระชับเอวบางของเหวินฉายเอาไว้แน่น ลูบเอวบางๆ นั่นเล่นอย่างสนุกมือทั้งที่ใบหน้าหล่อเหลานั่นมองสบตาของเหวินฉายด้วยความเอ็นดู

“จะเรียกคุณชายเฉินไปทำไมกัน ก็ข้ากับเจ้าสนิทกันขนาดนี้ เรียกข้าว่าพี่ลี่ฟู่เสียสิฉายเอ๋อร์” ตากลมของเหวินฉายหันขวับมองหน้าของคนพูดทันที มือบางพยายามแกะเอาความเหนียวแน่นที่จับเอวของเขาออก แต่ไม่ว่าจะงัดจะขยับจะหยิกจะทำเช่นไร มือหนาที่ทำหน้าที่โอบเขาไว้ก็มิยอมปล่อยเขาเลย เหวินฉายได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สบตาคมด้วยแววตาไม่พอใจแกมบังคับขู่เข็ญให้ปล่อย หากแต่ลี่ฟู่ก็คือลี่ฟู่ เขามิใช่คนที่จะให้ใครมาบังคับง่ายๆ ยิ่งเรื่องที่เขาอยากทำจะให้เขาเลิกทำหรือ อย่าหวังเลย

“ว่าอย่างไรเล่า...ฉายเออร์ เรียกข้าว่าพี่ลี่ฟู่เสียสิ ยอดรัก”

ลี่ฟู่ขยับใบหน้าคมลงมาใกล้ๆ แววตาของลี่ฟู่พราวระยับด้วยความพอใจ แม้เนื้อตัวจะเปรอะเปื้อนกับความซุกซน แต่เหวินฉายก็ยังมีกลิ่นหอมทาชวนให้เขาได้หลงใหลเสียเหลือเกิน ยิ่งเข้าใกล้กลิ่นก็ยิ่งชัดเจน และมันก็ยิ่งทำให้เขาอยากจะเข้าไปใกล้อีก ใกล้จนดอมดมกลิ่นนั่นจากแก้มใส แต่ลี่ฟู่ก็ทำได้เพียงแค่คิด เขาหรือจะกล้าทำให้ยอดดวงใจขุ่นเคืองและเกลียดชังตนไปมากกว่านี้

“คุณ ชาย เฉิน!” เฉินลี่ฟู่หัวเราะอย่างพอใจที่อีกคนดูมาสนใจในความต้องการหรือคำเรียกร้องของเขาสักนิด ใบหน้าหวานที่มอมแมมยังคงบึ้งตึงยามมองหน้าเขา แต่อย่างไรเล่า ในเมื่อเฉินลี่ฟู่ปรารถนาจะให้เหวินฉาย ไม่สิ! ฉายเอ๋อร์เรียกขาลเขาว่าพี่ เขาคงต้องพยายามมากกว่านี้สินะ

“เสี่ยวเอ้อ!”

“ขอรับคุณชาย...คุณชายทั้งสองจะรับสิ่งใดดีขอรับ” ดูเหมือนเจ้าเถ้าแก่ต้าหยงคนนั้นจะตักเตือนและกำชับคนของตนไว้แล้วสินะ เสี่ยวเอ้อคนนี้แม้มิใช่คนเดียวกับคนที่ต้อนรับเขาหน้าร้านแต่ก็ยังถือว่าเล่นตามน้ำได้ดี ลี่ฟู่หันไปมองเด็กๆ ทั้งสามก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ด้วยความเป็นมิตร

“เจ้าสามคนอยากจะกินอะไรเล่า สั่งเขาเสียสิ” เด็กๆ ตาโตด้วยความตกใจ จริงหรือที่เชาจะสามารถสั่งสิ่งใดก็ได้

“ดะ ได้หรือเจ้าคะ อะไรก็ได้หรือเจ้าคะพี่ลี่ฟู่” อี้เหมยกอดตุ๊กตาแน่น ช้อนสายตากลมๆ นั่นขึ้นมองลี่ฟู่ด้วยความไม่แน่ใจจนเฉินลี่ฟู่ต้องย้ำอีกครั้งด้วยรอยยิ้มขบขัน

“แน่นอน! ข้ามิเคยผิดคำพูดหรอกนะ ขอเพียงพวกเจ้าเป็ดเด็กดีต่อฉายเอ๋อร์ของข้า สิ่งใดที่เจ้าอยากจะได้ ข้าจะหามาให้แน่นอน” คนถูกพาดพิงถึงกับหันขวับมามอง เกี่ยวอะไรกับเขากัน จะเป็นพ่อพระใจบุญอะไรทำไมต้องมีเขาเป็นข้อแม้ด้วย

“คุณชายเฉิน! ข้าคิดว่านี่ไม่น่าจะ...”

“เจ้ามิอยากให้พวกเขากินอิ่มหรอกรึ? ฉายเอ๋อร์” เหวินฉายกัดปากตัวเองแน่น มองใบหน้าที่ส่งสายตาดั่งคำถามมาทางเขาด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

“ฮึ่ม! ข้าเปล่า! ข้าหรือจะไม่อยากให้เจ้าพวกนี้อิ่มท้อง!” รอยยิ้มใสซื่อของเด็กทั้งสามกว้างขึ้นอย่างดีใจ

“อี้เหมยอยากกินซาลาเปาเจ้าค่ะ”

“ข้าก็อยากกินไก่ขอรับ”

“ข้าอยากกินบะหมี่! อยากกินหมั่นโถด้วย”

“หึหึ เอาทุกอย่างที่พวกเขาว่ามา แล้วก็...นำอาหารที่ขึ้นชื่อของร้านมาด้วย” เสี่ยวเอ้อยิ้มกว้างขึ้นเมื่อได้ยิน สายตาพราวระยับมองบางสิ่งที่ถูกยื่นมาให้เขา เงินนี่! คุณชายเฉินช่างร่ำรวยเหลือเกิน

“ข้าจะรีบเตรียมให้ขอรับ ขอบคุณมากขอรับคุณชายเฉิน”

เสี่ยวเอ้อเดินจากไปเพื่อเตรียมของที่ถูกสั่งมา เหวินฉายมองบรรยากาศรอบๆ ด้วยความหงุดหงิด เมื่อไหร่เจ้าลูกเต่าลี่ฟู่จะปล่อยมือออกจากเอวของเขาเสียที สายตาของผู้อื่นที่จับจ้องมาช่างเต็มไปด้วยความสอดรู้สอดเห็น ไหนจะสายตาของหญิงสาวบางคนที่มองเขาด้วยความริษยาและเกลียดชัง ยิ่งเจ้าลูกเต่านี่พยายามแสดงออกว่าสนิทกับเขามากเท่าไร เหวินฉายก็ยิ่งถูกจับจ้องมากเท่านั้น

หวังว่าเจ้าคงไม่ได้วางแผนเอาไว้หรอกนะ เฉินลี่ฟู่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2019 11:57:33 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
ตะวันจวนเจียนจะลับฟ้า แสงสีส้มทอประกายอยู่บนเมฆช่างดูสวยงามยิ่งนัก เฟยหลงเฝ้ารอการปรากฏของจันทราเพราะนั่นหมายความว่าหยางเถากำลังจะออกมาหาเขาอีกครา แม้ในความเป็นจริงนั้นเวลามิได้เดินช้าไปกว่าวันอื่นๆ แต่สำหรับเฟยหลงที่นับลมหายใจรอนั้นมันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน

อยากพบเหลือเกิน อยากเห็นใบหน้าหวานกับเส้นผมสีเงินนั่นอีก

เหม่ยหลินเดอนเข้ามาหาบุตรชายที่ยามนี้เอาแต่จ้องมองไปบนฟ้ากว้างที่จวนเจียนจะไร้แสงตะวัน สหายผู้นั้นของเฟยหลงกำลังจะมาอีกแล้วสินะ บางครั้งนางก็อดสงสัยไม่ได้ เหตุใดหยางเถาจึงได้แวะเวียนมาหาเพียงยามราตรีกัน? มิใช่ว่ากระทำสิ่งใดมิควรและหลบๆ ซ่อนๆ หรอกนะ เหม่ยหลินครุ่นคิดด้วยความกังวล ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและคาใจ แต่ก็มิได้เอ่ยถามออกไป

“เฟยหลง...วันนี้หยางเถาก็จะมาหาเจ้าใช่หรือไม่?” เฟยหลงหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลา

“ขอรับ...เช่นไรคืนนี้หยางเถาก็จะต้องมาแน่”

“หากเป็นดังที่เจ้าว่า...คืนนี้ก็พาหยางเถามาร่วมโต๊ะอาหารเถอะ แม่เองก็ชักชวนเยว่เผิงให้มาร่วมทานอาหารเช่นกัน เจ้าคงมิว่าอะไรใช่หรือไม่” เฟยหลงเพียงยิ้มและส่ายหน้าช้าๆ เหตุใดเขาจะต้องว่าด้วยเล่า ในเมื่อท่านแม่ของเขาอยากสนทนากับนาง

“ข้ามิได้ขัดข้องอะไรขอรับ หากท่านแม่ปรารถนาจะร่วมโต๊ะกับนาง” หัวใจของเหม่ยหลินพองโต นางตื่นเต้นไปหมดกับคำตอบของบุตรชาย แม้เขามิได้ตอบรับอย่างชัดเจนหากแต่ก็มิใช่คำปฏิเสธ เช่นนี้แล้ว คงมิแคล้วว่าเฟยหลงสนใจในตัวของเยว่เผิงไม่น้อย

ดี ดีเหลือเกิน หากเป็นเช่นนี้ งานแต่งงานของเฟยหลงและเยว่เผิงคงต้องรีบจัดให้เร็วที่สุด อย่างไรเสียเยว่เผิงนางก็เป็นบุตรสาวคนเดียวของสกุลเพ่ย และสกุลเพ่ยกับสกุลลู่เองก็คบค้ากันมานาน หากลูกชายของนางและลูกสาวของจางเยว่หลิงแต่งงานกันไป ครอบครัวของเราก็จะยิ่งสนิทชิดเชื้อ เฟยหลงเองก็จะได้...เว้นระยะห่างจากหยางเถาเสียบ้าง มีครอบครัวเฟยหลงก็คงต้องสนใจครอบครัว และสถานะของเฟยหลงและหยางเถาก็คงไม่น่าห่วงเท่าไร

นางยิ้มกริ่มกับความคิดตนเองจนไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าสายตาของเฟยหลงบัดนี้เต็มไปด้วยความหมองเศร้า เจ้าดอกท้อ...เมื่อไรเจ้าจะมาหาข้ากันนะ หัวใจข้าร่ำร้องเรียกแต่เพียงชื่อของเจ้า รู้บ้างหรือไม่ แววตาที่เจ้ามองข้า ข้ามิเคยลบเลือนมันออกไปจากหัวใจ ใบหน้าของเจ้ายามส่งยิ้มให้ข้ามันเป็นดั่งสายน้ำที่ช่วยให้ข้ามีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเก่า เพียงแค่ข้าได้พบเจ้า...ข้าก็มิเคยต้องการสิ่งใด

เจ้าดอกท้อน้อย เจ้าคงมิอาจจะรู้ได้ถึงความในใจข้า ตัวข้านั้นรักเจ้าเสียจนทั้งชีวิตนี้ข้าคงไม่สามารถอยู่ได้โดยขาดเจ้าไป ข้ามิปรารถนาให้สวรรค์พรากเจ้าไป มิปรารถนาให้ถึงวันที่ข้าจะไม่มีเข้าอยู่ ข้าอ้อนวอนต่อสวรรค์ทุกวัน ให้พวกเขาเห็นใจในความรักขอข้า ขอเพียงได้มีเวลาอยู่กับเจ้ามากกว่านี้ ข้ายอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง หากมันจะทำให้ข้ามีเจ้าอยู่เคียงข้างได้ สิ่งใดก็ไม่สำคัญเลย...หากข้าไม่มีเจ้า

เฟยหลงได้แต่รำพันคำพูดนับร้อยนับพันถ้อยคำอยู่ในใจ มิอาจจะพูดออกไปได้ยามที่หยางเถาอยู่ตรงหน้า เขาก็ตื่นเต้นเสียจนไม่สามารถพูดสิ่งเหล่านี้ได้เลย ทุกครั้งเฟยหลงจะเฝ้าและรอ รอเวลายามราตรีเวียนกลับมาอีกครั้ง เฝ้ารอที่จะได้พานพบกับเจ้ายอดดวงใจที่เขาเฝ้าปรารถนาจะเด็ดลงมาไว้ข้างกาย

ความมืดเยื้องย่างเข้ามากลืนกินทุกๆ แสงแห่งทิวา ดวงจันทราลอยล่องขึ้นสู่ฟากฟ้าที่กว้างใหญ่ คืนนี้ช่างไร้หมู่เมฆ มีเพียงดวงดาวดวงน้อยที่ยังคงส่องแสงเป็นเพื่อนจันทร์ราวกับกลัวว่าจันทราจะเดียวดาย เพียงแสงจันทร์สาดส่องร่างของหยางเถามีเส้นผมสีเงินก็ปรากฏกายออกมาจากต้นท้อต้นใหญ่ ดอกท้อสีชมพูเบ่งบานคอยดูดซับแสงจันทร์เพื่อเป็นเรี่ยวแรงและกำลังให้แก่ตนเอง ร่างบอบบางเดินตรงมาข้างหน้าที่มีบุรุษร่างสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มให้ คนๆ นั้นมิใช่ใครเลยนอกจากเฟยหลง เขายังคงยืนรอหยางเถาอยู่เฉกเช่นทุกๆ ราตรี

หยางเถามองใบหน้าเปื้อนยิ้มของเฟยหลงด้วยแววตาสั่นๆ ความรู้สึกตีรวนอยู่ในหัวใจจนแยกไม่ออกว่าความรู้สึกใดที่รุนแรงกว่ากัน เขาทั้งโหยหา ทั้งปรารถนาจะชิดใกล้ แต่ก็หวาดกลัวต่อความเจ็บปวดเพราะรู้ดีว่าสำหรับเฟยหลงแล้ว...เขาก็เป็นเพียงดอกท้อดอกเล็กๆ เท่านั้น ดอกท้อที่เฝ้ารอการร่วงโรย เฟยหลงเดินเข้ามาใกล้ร่างบางเสียเองเมื่อเห็นว่าหยางเถาไม่มีทีท่าจะขยับเข้ามาใกล้ๆ อาการของหยางเถาแปลกประหลาดนัก แต่ความดีใจที่ได้พบหน้าคนที่เฝ้ารอมีมากกว่า

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า มิสบายตัวหรือ?” มือบางภายใต้เสื้อสีขาวกำเสียจนแน่นแต่ใบหน้ากลับยิ้มบางเบากลับไป

“ข้าสบายดี เจ้ามีอะไรหรือ สีหน้าเจ้าเหมือนมีเรื่องอะไรจะพูดกับข้า” เฟยหลงยิ้ม ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มใสสีระเรื่อเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

“แม่ข้าให้มาชวนเจ้าไปร่วมโต๊ะอาหารเย็น” หยางเถาปิดมือของเฟยหลงออกเบาๆ อย่างไม่ให้น่าเกลียดนัก แต่เฟยหลงที่ถูกกระทำเช่นนั้นกลับชะงักไปครู่หนึ่งอย่างไม่เข้าใจ

“มีเรื่องอะไรหรือ?”

“ไม่มีอะไรหรอก แม่ข้าคงอยากจะสนทนากับเจ้าและเยว่เผิง หรือบางทีท่านแม่คงอยากจะแนะนำเยว่เผิงให้เจ้ารู้จัก” หยางเถาชะงักร่างทั้งร่างแข็งทื่อราวกับต้องคำสาป หัวใจดวงน้อยบีบรัดเสียจนปวดร้าวไปหมด

“เยว่เผิงนางงดงามทั้งใบหน้าและกิริยา หากเจ้าได้พบนางเจ้าจะต้องชอบนางเป็นแน่ ข้ารับรองได้!” น้ำเสียงของเฟยหลงมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะที่หยางเถากลับมองมันด้วยแววตาหมองหม่น เฟยหลงจูงมือหยางเถาเอาไว้ นำพาร่างเล็กเพื่อไปร่วมโต๊ะอาหารดั่งที่ได้เอ่ยชักชวน

“ข้ารู้...”

ข้ารู้ดีว่านางงดงามและเพียบพร้อมเพียงใด ข้าเคยพบนางมาแล้ว

แต่หยางเถากลับเพียงแค่ยิ้มบางๆ ทั้งที่สองตาเริ่มร้อนผ่าว เฟยหลงเจ้าจะรู้ไหมว่า คำพูดของเจ้าช่างเหมือนกับมีดที่กรีดใจของข้านัก ร่างบางกะพริบตาถี่ๆ เสแสร้งฝืนปั่นหน้ายิ้มราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นขณะที่ฟังเจ้าตัวเอ่ยถึงหญิงสาวนามว่าเยว่เผิง ดวงจันทร์ของเฟยหลง เฟยหลงยังคงไม่ได้มองความผิดปกติของเจ้าของฝ่ามือเล็ก เฟยหลงยังคงสนุกกับการเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้หยางเถาฟัง แม้แต่เรื่องดอกไม้...

“สวนดอกไม้ของนางงดงามมากเชียว แม้จะมิเท่าสวนในจวนข้าที่ท่านปู่ดูแลมา แต่ก็ถือได้ว่างดงามไร้ที่ติ”

“ข้ารู้...” หยางเถาพยายามอย่างมากที่จะควบคุมน้ำเสียงของตนเองไม่ให้มันแสดงอารมณ์โศกเศร้าออกมา มือที่ถูกเกาะกุมเอาไว้มันสั่นไปหมด หากยังดีที่การก้าวเดินช่วยทำให้การสั่นนั้นไม่ใช่ความผิดปกติ หยางเถาได้แต่พร่ำบอกตนเองว่าอย่าร้องไห้ บอกตัวเองว่าให้อดทนเอาไว้ แม้เจ้าของแผ่นหลังกว้างใหญ่เบื้องหน้าของเขาจะมิได้มีใจให้แต่อย่างน้อยเขาก็มิได้รังเกียจใดๆ กับการนับเขาเป็นสหาย และผู้เป็นสหายจะมีน้ำตาจากคำพูดที่เขาพูดถึงหญิงในดวงใจได้อย่างไร



•~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•



โต๊ะอาหารต่างพร้อมไปด้วยจิ้นเหอผู้เป็นบิดาของเฟยหลง เหม่ยหลินมารดาของเฟยหลงและ...หญิงงามในชุดสีชมพูเหลือบฟ้าผู้มีใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาก็ไม่ปาน นางคือเยว่เผิง...หญิงผู้ครอบครองดวงใจของเฟยหลง นางเงยหน้าขึ้นมองเฟยหลงเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย แก้มนวลแดงปลั่งไปด้วยเลือดฝาด ริมฝีปากอิ่มถูกแต่งแต้มพอประมาณให้ดูระเรื่อน่าจุมพิต นางงดงามจริงๆ งดงามเสียจนหยางเถานึกอิจฉา

อิจฉาที่นางได้ครอบครองดวงใจของชายผู้กุมมือของเขา

อิจฉานางที่ได้ครอบครองความรักทั้งหมดของชายข้างๆ กายเขา

อิจฉานางที่เกิดมาเป็นมนุษย์และสามารถอยู่เคียงกายของเฟยหลงได้

เขาอิจฉา... อิจฉาแล้วอย่างไร สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงแค่มองเท่านั้น

“นั่งสิ...หยางเถา แม่จะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับเยว่เผิง” หยางเถานั่งลงตามคำชวนของเหม่ยหลินโดยไม่อิดออดแม้ว่าความจริงแล้วภายในใจของเขาจะอยากหนีออกไปจากที่นี่ก็ตาม หยางเถาส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับหญิงงามผู้นั้นและมารดาของเฟยหลง เยว่เผิงยิ้มตอบอย่างอ่อนหวานทั้งๆ ที่ในใจของนางมิชอบการสนิทสนมของเฟยหลงและหยางเถาเลยสักนิด บุรุษสองคนเดินจับมือกันมามันมิแปลกไปหน่อยหรือ ยิ่งใบหน้างดงามภายใต้เส้นผมสีเงินนั่นอีก มิว่าเป็นผู้ใดก็ล้วนต้องหลงเสน่ห์ของคนผู้นี้เป็นแน่

“เจ้ามานั่งข้างเยว่เผิงสิเฟยหลง นางเป็นแขกเจ้าเป็นเจ้าบ้านก็ควรดูแลนางให้ดี” เฟยหลงชะงัก เขากำลังจะนั่งลงเคียงข้างหยางเถาแต่กลับถูกมารดาเรียกให้ไปนั่งอยู่ตรงข้ามกับหยางเถาอย่างนั้นหรือ แม้ใจอยากจะปฏิเสธเพียงใด แต่ด้วยมารยาทเขาจึงได้แต่ทำตามที่ท่านแม่เป็นคนสั่ง

“ขอรับ...เจ้านั่งนี่นะหยางเถา”

ข้าก็นั่งนี่ล่ะ จะไปนั่งที่ใดได้อีก

หยางเถายิ้มบางๆ ให้เฟยหลงราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร นัยน์ตาหวานร้อนผ่าวจนหยาดน้ำแทบจะไหลริน แต่หยางเถาก็มิปล่อยให้มันออกมา เขาไม่อยากให้ใครรับรู้ถึงความรู้สึกที่มีต่อเฟยหลง ไม่อยากให้เฟยหลงต้องคิดมากกับการมาดูแลเขามากกว่าจะไปอยู่ใกล้ๆ หญิงในดวงใจ เหม่ยหลินลอบมองปฏิกิริยาของหยางเถาเงียบๆ นางยิ้มกริ่มในใจเมื่อจับความรู้สึกของหยางเถาได้ ดี! ดีมาก หยางเถาควรจะพึงรู้เอาไว้ว่าบุรุษย่อมต้องคู่กับสตรี และถอยห่างออกไปจากบุตรชายของนางเสีย หากได้รู้ว่าเยว่เผิงเพียบพร้อมเพียงใด

“ทานกันได้แล้ว!” เสียงอันทรงอำนาจจากจิ้นเหอดังขึ้นมาขัดนาง ออกคำสั่งให้ได้เริ่มลงมือทานเสียทีมิใช่เอาแต่กระทำในเรื่องไร้สาระ

เหม่ยหลินลอบมองบุตรชายและเยว่เผิงเงียบๆ พร้อมกับกวาดตามองหยางเถาด้วยเช่นกัน หยางเถานั้นมองข้าวของตนที่มีควันสีขาวพวยพุ่งบอกถึงอุณหภูมิความร้อนได้ดี ควันพวกนั้นก็เหมือนเช่นเขา มีตัวตน มองเห็นแต่ไม่อาจจะคงอยู่ตลอดไป หัวใจดวงน้อยเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่มือบางก็ยังจับตะเกียบเอาไว้ พยายามบังคับมือไม่ให้มันสั่นยามเอื้อมไปคีบอาหาร

“เฟยหลง...ตักปลาให้เยว่เผิงบ้างสิ เอาเนื้อไก่ด้วยนะ เจ้าต้องทานเยอะๆ รู้ไหมเยว่เผิง จะได้มีลูกเต็มบ้านเต็มเมือง”

“เจ้าค่ะ เยว่เผิงจะทานให้เยอะๆ เจ้าค่ะ” เยว่เผิงหน้าแดงซ่านอย่างเข้าใจในความหมายของเหม่ยหลินเป็นอย่างดี เหม่ยหลินหัวเราะแผ่วเบาในขณะที่เฟยหลงคอยตักโน้นตักนี่ให้เยว่เผิงมิขาด

“เจ้าทานมากๆ นะ ผักนี่ก็ดีต่อร่างกายของเจ้า”

“เจ้าค่ะพี่เฟยหลง” นางตักทุกอย่างกินอย่างอร่อย หัวใจของนางพองจนคับแน่นไปทั้งอก อดเหลือบมองสหายของพี่เฟยหลงมิได้เลย หยางเถาในตอนนี้ทำได้เพียงแค่นั่งก้มหน้าก้มตาทานอาหารของตนให้หมด ในขณะที่ทุกคนทานมันอย่างเอร็ดอร่อยแต่หยางเถากลับฝืนกลืนมันลงคออย่างยากลำบาก อาหารมื้อนี้ช่างขมเหลือเกิน ขมเสียจนอดสงสัยไม่ได้ว่า หรือคนที่หุงข้าวจะทำน้ำตาตกลงไปกัน

ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของเหวินฉาย เขามองดูทุกคนอย่างเงียบๆ ทั้งท่าทางการพูดของนายน้อยเฟยหลง ใบหน้าและการแสดงออกของคุณหนูเพ่ย รวมทั้งการกระทำของฮูหยินลู่เช่นกันและแม้แต่หยางเถาที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทานอย่างเงียบๆ ก็อยู่ในสายตาของเขา ภาพเหล่านี้มันช่าง...น่าหดหู่ ทุกสิ่งทุกอย่างมันกลับกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน การรังแกคนๆ เดียวซึ่งแปลกใหม่กับโต๊ะอาหารเช่นนี้ มันควรแล้วหรือ เหวินฉายได้แต่ถามตนเอง ขบริมฝีปากแน่นยามรับรู้ได้ถึงบรรยากาศอันหมองเศร้าของสหายคนโปรดของนายน้อยเฟยหลง

จิ้นเหอมิได้กล่าวสิ่งใด เขาเพียงมองทุกอย่างเงียบๆ ต่อไปเช่นเดิมและตักอาหารกินอยู่เรื่อยๆ หากดูเผินๆ แล้วก็จะเห็นว่าจิ้นเหอมิได้สนใจการสนทนาบนโต๊ะเลยแม้แต่น้อย แต่ใครจะรู้เล่าว่าแม่ทัพใหญ่อย่างจิ้นเหอเองก็เพียงแค่แกล้งทำเท่านั้น ภาพการร่วมโต๊ะที่แสนสุขแต่ก็มีเพียงมุมหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยความเศร้า เมื่อไรมันจะจบเสียที การทรมานใจของผู้อื่นอย่างการร่วมโต๊ะกันเช่นนี้ เหวินฉายอยากจะให้มันสิ้นสุดลงไปเสียที เขาสงสารร่างบอบบางผู้มีเส้นผมสีเงินเหลือเกิน





TBC



ความไม่ชัดเจนมักจะทำให้ความรักเกิดรอยร้าวและความเจ็บปวด บางครั้ง...คนเราก็ลืมไปว่า เส้นแบ่งความสัมพันธ์นั้นมันเบาบางขนาดไหน บางจนบางครั้งก็ถูกข้ามได้ง่ายดายเช่นกัน ขอปลาทูให้แมวโหน่ยยยยย

Facebook > https://m.facebook.com/PassionateFiction

Twitter > https://mobile.twitter.com/little_kittensY

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2019 11:59:22 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[10]

อาหารบนโต๊ะหายไปจนเกือบหมด ข้าวในถ้วยไม่หลงเหลืออยู่ดั่งเช่นก่อนนี้ หากแต่ไม่ใช่กับหยางเถา...เขาทานไม่ลงเม็ดข้าวพร่องลงไปเพียงไม่ถึงครึ่งถ้วยเท่านั้น เสียงหัวเราะราวกับว่าการสนทนาครั้งนี้สนุกสนานเหลือเกินนั้น ไม่ได้มีหยางเถาอยู่ร่วมเลยสักนิด ร่างเล็กได้แต่นั่งก้มหน้ามองข้าวในถ้วยของตน พยายามใช้สมาธิไปกับการนับเม็ดข้าวแทนที่จะฟังเสียงพูดคุยที่ชวนให้ปวดใจ

เฟยหลงยิ้มมองใบหน้าของหยางเถา...เขาคิดว่าหยางเถาคงจะเคอะเขินกับการต้องมาทำความรู้จักเยว่เผิงเพราะหยางเถาของเขานั้นช่างขี้อายเสียเหลือเกิน นี่ก็คงเขินเสียจนพูดอะไรไม่ออก นั่งนิ่งเงียบก้มหน้าก้มตามองแต่ข้าวในถ้วยของตนล่ะสิ ช่างน่าเอ็นดูเสียเหลือเกินนะเจ้าดอกท้อ

เพ่ยเยว่เผิงยิ้มขวยเขินกับคำพูดต่างๆ ของเหม่ยหลินที่ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ราวกับว่าต้องการให้ตนมาเป็นสะใภ้ ความเงียบจากร่างสูงข้างๆ ตัวทำให้นางเงยหน้าขึ้นมอง เยว่เผิงชะงักอารมณ์เขินอาย ในตอนนี้นางเต็มไปด้วยความไม่ชอบใจสักนิด สายตานั่นมันอะไรกัน เหตุใดพี่เฟยหลงจึงได้มองแต่สหายของเขาผู้นั้น มือบางจิกเข้าที่เนื้อผ้าด้วยความไม่พอใจ ดวงตาสวยของนางวาววับด้วยความไม่พอใจอย่างที่สุด การกระทำนั้นมันช่างรวดเร็ว หากเพียงกะพริบตาอาการของเยว่เผิงก็จะหายไปเหลือไว้แต่เพียงความนิ่งสงบเท่านั้น

เยว่เผิงไม่รู้เลยว่าทุกๆ การกระทำของนางล้วนตกอยู่ในสายตาของผู้เป็นใหญ่แห่งจวนนี้ทั้งสิ้น แม้ว่าจิ้นเหอจะไม่พูดสิ่งใดออกมา แต่สายตาของเขาก็มองเห็นทุกอย่างได้อย่างดี แม้แต่สิ่งที่เยว่เผิงแสดงออกมาเมื่อครู่ก็เช่นกัน เยว่เผิงข่มความไม่พอใจในแววตาที่พี่เฟยหลงใช้มองสหายผู้มีเส้นผมสีเงิน แววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูราวกับรักใคร่ นางอิจฉา! สายตาเช่นนั้นของพี่เฟยหลงควรเป็นของนางเพียงผู้เดียวสิ มิใช่ของใครอื่น!

“เฟยหลง...เจ้าอิ่มแล้วหรือลูก” เฟยหลงหันมามองใบหน้าของเหม่ยหลินผู้เป็นมารดาก่อนจะยิ้มบางๆ ส่งให้

“ขอรับท่านแม่ ข้าอิ่มแล้ว” ร่างสูงหันมามองใบหน้าของหยางเถาอีกครั้ง ใบหน้างดงามยังคงก้มหน้าลงเช่นเดิมมิยอมเอ่ยพูดคุยใดๆ บนโต๊ะอาหารเชยด้วยซ้ำ มือบอบบางของเจ้าดอกท้อเอาแต่ตักอาหารเข้าปากช้าๆ ไม่สนใจสิ่งใดรอบข้างราวกับนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว

“หยางเถา...เหตุใดเจ้าทานน้อยนักล่ะ หรือเจ้ามิชอบอาหารเหล่านี้?” คนถูกถามได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พยายามสะกดกลั้นอารมณ์น้อยใจและหยาดน้ำตาเอาไว้จนสุดความสามารถ ใบหน้างดงามแหงนเงยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม จะให้ตอบออกไปได้อย่างไรเล่าว่า เพราะเห็นเจ้ากับหญิงงามผู้นั้นข้าก็ทานอะไรไม่ลงแล้ว หากเขาพูดออกไปเช่นนั้น มิแคล้วคงถูกมองอย่างรังเกียจหรือไม่ก็คงถูกห้ามมิให้มาที่นี่อีก

“ไม่ใช่เลย ทุกอย่างอร่อยมาก เพียงแต่วันนี้ ขะ ข้าไม่ค่อยจะหิวเท่าใด” เสียงหวานสะดุดเพียงแค่เห็นภาพตรงหน้าที่เฟยหลงกับเยว่เผิงนั่งชิดใกล้ ช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน เหมาะสมกันเสียจนเขาต้องก้มหน้าลงมองมือของตนเองไว้ แม้คนตรงหน้าทั้งสองจะเหมาะสมกันเพียงใด แต่เขาก็มิปรารถนาจะเห็นภาพอันเป็นดังมีดกรีดลงบนหัวใจได้

เฟยหลงมิได้ถามสิ่งใดต่อ เขาเพียงแค่ยิ้มอย่างนึกเอ็นดูกับการหลบสายตาลงมองมือบนตักตนเองของหยางเถาเท่านั้น เขินอายสิ่งใดกัน ทำราวกับข้ามิเคยจับจ้องใบหน้าของเจ้ามาก่อนไปได้ แต่เฟยหลงก็ไม่คิดจะเย้าแหย่ให้มากกว่านี้ ด้วยเพราะทั้งท่านพ่อและท่านแม่ของเขายังคงนั่งอยู่ด้วย ไหนจะแขกอย่างเยว่เผิงอีก หากเขากระทำเช่นนั้นคงดูมิควร

ความอิจฉาของเยว่เผิงพุ่งสูงจนแทบจะระงับเอาไว้ไม่ได้ เหตุใดพี่เฟยหลงของนางจะต้องใส่ใจเพียงกับชายหนุ่มบอบบางผู้นี้ด้วย ใส่ใจจนเกินคำว่าสหาย นางไม่ชอบเลยสักนิด ไม่ชอบชายหนุ่มผู้นั้น ใบหน้างดงามที่หวานราวกับหญิงสาว เส้นผมสีเงินที่ยาวสลวย กับท่าทางน่ารักที่ดึงดูดสายตาของพี่เฟยหลง นางเกลียดมัน! เกลียดมันทั้งหมด! เกลียดเสียจนอยากจะฆ่าทิ้งเสียให้สิ้นซาก จะได้ไม่ต้องมาทำท่าทางทอดสะพานใส่พี่เฟยหลงของนางอีก! หัวใจของนางเต็มไปด้วยไฟริษยาที่ยากจะดับ สองมือกำเข้าหากันจนแน่นไปหมด

เหม่ยหลินที่มองอยู่นึกไม่ชอบใจสักนิดกับการกระทำของบุตรชายตน หญิงงามอย่าเยว่เผิงอยู่ใกล้ๆ กลับไม่ดูแล เหตุใดจึงได้ไปใส่ใจกับหยางเถา เห็นที ถ้าไม่ทำให้ชัดเจน ไม่พูดออกไปหยางเถาคงมิยอมตัดใจง่ายๆ สินะ เช่นนั้น...นางคงต้องยอมใจร้ายสักหน่อยแล้ว เพื่อชีวิตคู่ในวันข้างหน้าของเฟยหลงและเยว่เผิง แต่ก่อนอื่น...

“เฟยหลง นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าไปส่งเยว่เผิงที่จวนของนางหน่อยเถอะ เป็นหญิงใบหน้างดงามด้วยแล้ว อันตรายเหลือเกิน”

“ได้ขอรับท่านแม่ หยางเถา...เดี๋ยวข้ากลับมานะ” เฟยหลงหันมาบอกร่างบางที่ยังคงนั่งนิ่งๆ ไม่ไหวติงใดๆ

“อะ อืม” เขาเพียงตอบรับในลำคอเท่านั้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองสบตากับเฟยหลงเลยสักนิด

“ไปเถอะเยว่เผิง พี่จะไปส่งเจ้าที่จวน”

“เจ้าค่ะพี่เฟยหลง” นางยิ้มด้วยความเขินอาย ยามได้ยินชื่อของตนที่ออกมาจากปากของพี่เฟยหลง อย่างไรเสียนางก็ถือว่าสำคัญกว่าสหายผู้นั้นของพี่เฟยหลงล่ะ ไม่เช่นนั้น พี่เฟยหลงจะยินยอมทิ้งสหายเอาไว้เบื้องหลังง่ายๆ หรือ รอยยิ้มพึงพอใจของเยว่เผิงปรากฏขึ้นแต่เพียงไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์จนแทบไม่อาจจะสังเกตได้

ทันทีที่เฟยหลงและเยว่เผิงเดินออกไปจากโต๊ะก็เหลือเพียงแค่หยางเถา จิ้นเหอและเหม่ยหลินเท่านั้น เหม่ยหลินมองใบหน้าหวานที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาด้วยแววตาจริงจัง หากใครจะกล่าวว่านางรังแกเด็กชายตัวน้อยก็ช่างปะไร หากมันทำให้เด็กผู้นี้ไปจากเฟยหลงได้ นางยินดีจะทำทุกๆ อย่าง หยางเถารับรู้ถึงบรรยากาศแปลกๆ มันกดดันเสียจนแทบจะไม่มีอากาศเหลือให้ได้หายใจ ร่างบอบบางได้แต่เกร็งเฝ้ารอให้เฟยหลงกลับมาโดยเร็วเท่านั้น

“หยางเถา...” เสียงของเหม่ยหลินเต็มไปด้วยความกดดัน เรียกขานให้เจ้าของชื่อตอบรับ

“ขะ ขอบรับ”

เฟยหลง...เมื่อไรเจ้าจะกลับมา

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเยว่เผิงคือใคร?” เหม่ยหลินเอ่ยถามขึ้นอย่างต้องการจะรู้

“มะ ไม่ขอรับ หยางเถามิทราบ” เสียงหวานสั่นเครืออย่างน่าสงสาร ร่างบางสั่นสะท้านอย่างไม่อาจจะห้ามปรามได้

“เพ่ยเยว่เผิง นางคือผู้ที่จะมาเป็นสะใภ้ขอข้า คือผู้ที่จะมาเป็นภรรยาของเฟยหลง ข้าพูดแบบนี้เจ้าเข้าใจไหม”

เข้าใจหรือ? ทำไมเขาจะไม่เข้าใจล่ะ หยางเถาพยักหน้ารับ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนแน่น อย่าไหลออกมาเชียวนะเจ้าน้ำตา ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะไหล ในตอนนี้ข้าต้องการความเข้มแข็งมิใช่ความอ่อนแอ เจ้าจะอ่อนแอได้ก็ต่อเมื่อเจ้ากลับไปที่ต้นท้อเท่านั้น อดทนไว้หยางเถา เจ้าต้องอดทน

“ขอรับ หยางเถาเข้าใจดี”

เหม่ยหลินยกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อได้ยินเช่นนั้น หากหยางเถาพูดง่ายเช่นนี้ นางคงไม่ต้องพูดอะไรรุนแรง จิ้นเหอนั่งมองปฏิกิริยาของหยางเถาเงียบๆ เหลือบมองฮูหยินของตนด้วยแววตาว่างเปล่าเช่นกัน แต่ไม่มีใครจะรู้ได้เลยว่าจิ้นเหอคิดสิ่งใดอยู่

“เช่นนั้นข้าจะไม่อ้อมค้อม ข้าจะให้เงินเจ้า300ตำลึง ให้เจ้าได้เอาไปไว้ใช้จ่าย เจ้าจะทำอะไรก็ได้ จะออกไปจากเมืองแห่งนี้ หรือ จะออกเดินทาง ก็แล้วแต่เจ้า หรือหากไม่พอข้าจะเพิ่มให้เจ้าเป็น500ตำลึงเป็นอย่างไร” เหวินฉายเบิกตากว้างกับความโหดร้ายที่ได้ยิน พูดมาเช่นนี้มิใช่ว่าปรารถนาให้สหายของนายน้อยผู้นี้ออกไปจากที่นี่หรอกหรือ เหตุใด เพราะเหตุใดกันฮูหยินจึงได้โหดร้ายต่อคุณชายหยางเถาเช่นนี้! เหวินฉายมองใบหน้าหวานที่เศร้าสลดด้วยความสงสาร หัวใจของเหวินฉายเจ็บปวด เขาที่เป็นเพียงคนนอกได้ฟังน้ำตาก็แทบจะไหลออกมา แล้วคนผู้นั้นเล่า บอบบางราวกับดอกไม้ดอกน้อยเช่นนั้น ถูกเหยียบย่ำไร้ความปรานีขนาดนี้ เหตุใดยังคงนั่งก้มหน้าอยู่อีก หากเป็นเขาคงลุกหนีไปแล้ว

นายน้อย! ท่านจะรู้บ้างหรือไม่ว่าสหายที่ท่านมีใจ กำลังเจ็บปวดจนเกินจะเยียวยาแล้วนะ

“ตะ แต่ที่นี่คือบ้านของข้า ข้าไปจากที่นี่ไม่ได้จริงๆ ขอรับ” เหม่ยหลินหน้าตึง ไม่พอใจกับสิ่งที่หยางเถาตอบกลับมา นางหวังให้หยางเถาออกไปจากเมืองนี้ แต่ไม่คิดว่าหยางเถาจะปฏิเสธนาง

“ข้าให้เจ้าไม่พอหรือ? เจ้าจะอยู่ที่นี่ไปไย ในเมื่ออีกไม่นานเฟยหลงก็ต้องแต่งงานกับเยว่เผิงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น...เฟยหลงก็ไม่มีเวลาว่างมาเล่นกับเจ้าเช่นทุกวันนี้อีกแล้ว! ข้าให้เงินเจ้ามากมาย ให้เจ้าออกจากเมืองซิ่นจือไป ข้าหวังดีกับเจ้านะ!”

“หยางเถาทราบดีขอรับ แต่หยางเถาไปจากที่นี่ไม่ได้จริงๆ ท่านป้า...ได้โปรดเห็นใจข้าด้วย”

ตึง!!!!

“อย่ามาเรียกข้าว่าป้า! ต่อไปนี้เจ้าต้องเรียกข้าว่าฮูหยินลู่เท่านั้น คำเรียกขานว่าท่านป้าข้ามีไว้ให้คนที่สำคัญเรียก มิใช่คนอย่างเจ้า!”

เหม่ยหลินหงุดหงิดและโมโห นางเดินออกไปโดยไม่คิดจะหันกลับมามองด้านหลังเลยแม้แต่น้อย ไม่สนใจสิ่งใดอีกเมื่อคนที่นางหวังจะเจรจาตัดขาดสะบั้นสิ่งที่นางเสนอให้อย่างไม่สนใจ หัวใจของนางร้อนรุ่มจนยากจะดับ หยางเถา! เจ้ากล้ามานะที่ปฏิเสธข้า เช่นนั้นก็อย่าหวังความเอ็นดูจากข้าอีกเลย!

จิ้นเหอมองร่างบอบบางที่นั่งกุมมืออันสั่นไหวของตนเอาไว้แน่น ริมฝีปากพึมพำแต่เพียงว่าอดทนไว้ อย่าร้องไห้เท่านั้น ทั้งที่ดวงตากลมสีอำพันแดงก่ำไปหมด การได้นั่งเงียบๆ ทำให้ทุกคนมองว่าเขาไร้ซึ่งตัวตนมันช่างดีเหลือเกิน ทุกๆ อย่างถึงได้เข้ามาในสายตาของเขาทั้งสิ้น เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แต่กลับมีฮูหยินที่รังแกเด็กน้อยที่น่าสงสารที่นั่งตัวสั่นเทาอยู่ตรงนี้ หากผู้ใดได้รู้เขาคงไม่รู้จะแหน้าไปไว้ที่ใด แต่เรื่องนี้เขาจะสอดมือเข้าไปยุ่งไม่ได้ เมื่อคนที่ต้องแก้...คือคนที่ไม่ชัดเจนเองตั้งแต่ต้น สงสัยว่าเขาคงต้องไปคุยกับบุตรชายสักครั้งเสียแล้ว

“หยางเถา เจ้ากลับไปก่อนเถอะ กลับไปพักก่อนคืนนี้” หยางเถาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยมองสบตาของจิ้นเหอที่เต็มไปด้วยความสงสารเต็มอก

“ขะ ขอรับท่านแม่ทัพลู่”

“ส่วนเจ้าเหวินฉาย ออกไปรอรับนายน้อยของเจ้า หากเขามาบอกให้ไปพบข้า ข้าจะรออยู่ที่ห้องหนังสือ!”

“ขอรับนายท่าน!”

หยางเถาก้าวเท้าออกมาจากจิ้นเหอและเหวินฉายอย่างไม่มั่นคง ร่างบอบบางสั่นไปหมดจนแทบจะเดินไม่ไหว น้ำใสๆ ก็พลันจะไหลลงมาตลอดเวลาจนหยางเถาต้องกัดปากกลืนก้อนสะอื้นลงคอไปตลอดทางที่เดินมาหวังเพียงจะกลับไปถึงต้นท้อโดยเร็วที่สุด ยังไม่ได้ ยังอ่อนแอไม่ได้ หัวใจของหยางเถาเจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกิน สวรรค์...ข้าทำสิ่งใดผิดนักหรือ เพียงเพราะข้ารักเขา ข้าผิดหรือไรกัน เหตุใดความรักที่ข้ารู้สึกถึงได้เจ็บปวดขนาดนี้ สิ่งที่ทำให้หยางเถายังคงยังอยู่อยู่ได้คงเป็นเพราะพลังจากจันทราที่ยังคงสาดแสงลงมาอย่างต่อเนื่อง

“อึก! แค่กๆ”

นะ นี่มัน เลือดหรือ สิ่งที่ออกมาจากปากของเขาคือของเหลวสีแดงที่นองอยู่เต็มฝ่ามือบาง เจ็บปวดเหลือเกินเฟยหลง ข้าเจ็บเสียจนอยากจะหายไปให้พ้นๆ หยางเถารู้ตัวดีว่าตนเองนั้นไม่สามารถยืนมองเฟยหลงสวมชุดแต่งงานเดินเข้าพิธีไปกับเยว่เผิงได้ เขาขอวิงวอนให้วันนั้นมาถึงเมื่อครั้งที่ครบหนึ่งร้อยราตรีไปแล้ว เพราะอย่างน้อยในเวลานั้น เขาก็ไม่สามารถอยู่ดูเฟยหลงเข้าพิธีกับใครได้ เพราะตอนนั้นจะเป็นวันที่เขา...ได้หายไปตลอดกาล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2019 12:01:27 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
เหวินฉายยืนรอชะเง้อคอมองหาเฟยหลงด้วยใจที่ร้อนรุ่มราวกับมีใครเอาไฟมาสุมอก สหายของเขาเองหรือก็มิใช่แต่เขากลับรู้สึกเจ็บปวดใจทุกครั้งที่มองเห็นว่าคุณชายหยางเถาผู้นั้นโศกเศร้าจนแทบจะเสียน้ำตา เขาไม่เข้าใจนายน้อย ไม่เข้าใจสักนิดว่าเหตุใดกัน ในเมื่อมิได้พึงใจคุณหนูเยว่เผิงผู้นั้นแล้วเหตุใดจึงมิกระทำใดๆ ให้ชัดเจน นายน้อยของเขาไม่คิดสงสารหนุ่มร่างบางผมสีเงินผู้นั้นเลยหรือ?

คืนนี้เขาเพิ่งจะได้รู้อย่างแน่ชัดแล้วว่า ฮูหยินโหดร้ายเพียงใด เพียงเพื่อให้ได้สมปรารถนาตนเองถึงกับยอมปิดหูปิดตาปิดความรู้สึกที่จะรับรู้อารมณ์ของคุณชายหยางเถา ใบหน้าหวานยามเศร้าสลด ไหล่บอบบางที่สั่นอย่างไม่อาจจะห้าม มันกัดกินจิตใจของผู้ที่ได้มองเป็นอย่างดี เขาเชื่อว่าสาเหตุที่นายท่านเรียกคุยกับนายน้อยก็เพราะเหตุนี้ เพราะทนมองอีกคนโดนกระทำอยู่เงียบๆ ไม่ได้

เฟยหลงเดินกลับมาด้วยใบหน้าอันเปี่ยมสุข เขาส่งเพ่ยเยว่เผิงกลับจวนอย่างปลอดภัยแม้ว่าตลอดทั้งทางจะมิได้พูดคุยกันมากนักเพราะเขาเอาแต่คิดถึงหยางเถาเจ้าดอกท้อที่กำลังรออยู่ที่จวนของเขาก็ตาม เขารีบกลับมาเพราะไม่อยากให้หยางเถาของเขาต้องรอนานนัก ในใจของเฟยหลงคิดถึงจนใจจะขาดอยู่แล้ว คืนนี้เขาอยากร่ำสุราชมจันทร์กับหยางเถาเหลือเกิน อยากจะใช้เวลามองท้องฟ้าไปกับร่างบางเงียบๆ ปล่อยใจให้ล่องลอยไป จันทร์คืนนี้งดงามนัก แต่ไม่ว่าจะคืนใดๆ จันทร์สำหรับเขาก็งดงามเสมอ เพราะจันทร์...ทำให้เขาได้พบกับหยางเถา

เฟยหลงหยุดฝีเท้าลงเมื่อเห็นว่าหน้าประตูมีร่างของเหวินฉายเดินกะส่ายกะสับไปมา เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ? หรือว่าหยางเถาของเขาจะมีปัญหาใดกันแน่? ด้วยความกังวลทำให้เฟยหลงแทบจะกระโจนเข้าไปหาเหวินฉายด้วยความร้อนใจ ฝั่งเหวินฉายที่กำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อกับการกลับมาของนายน้อยก็ยิ่งดีใจยามได้เห็นว่าคนที่ตนรอคอยอยู่นั่นกลับมาแล้ว

“เหวินฉาย เกิดอะไรขึ้น?”

“นายท่านเรียกพบขอรับ นายท่านสั่งว่าหากนายน้อยมาให้ไปพบนายท่านที่ห้องหนังสือขอรับ” เรียกพบ? เพื่ออะไรกัน นี่มีสิ่งใดที่เขาทำผิดพลาดงั้นหรือ บิดาของเขาไม่เคยเรียกพบเขาในยามนี้เลยด้วยซ้ำ แล้วหยางเถาอีกเล่า หยางเถาต้องรอเขานานแค่ไหน

“แล้วหยางเถาเล่า? อยู่กับพ่อข้าหรืออยู่กับท่านแม่?” เหวินฉายหลุบตาลงมองพื้นเอ่ยตอบเฟยหลงด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

“คุณชายหยางเถา...กลับไปแล้วขอรับนายน้อย!” ใบหน้าหล่อขมวดคิ้วจนเป็นปม กลับไปแล้ว? จะเป็นไปได้อย่างไรก็ในเมื่อ...

“ข้าจะไปหาหยางเถา” เฟยหลงขยับหวังจะก้าวไปหาคนที่เขาคิดถึง แต่เหวินฉายกลับเดินมาขวางทางเขาเอาไว้ด้วยสีหน้าลำบากใจ

“นายน้อย...ไปพบนายท่านก่อนเถอะขอรับ นายท่านต้องการจะคุยกับนายน้อยจริงๆ นะขอรับ” เฟยหลงลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเสียงดัง

“ได้! ข้าจะไปพบท่านพ่อก่อน” เมื่อไม่รู้จะทำเช่นไรเฟยหลงจึงยอมเดินตามเหวินฉายเข้าไปพบกับบิดาที่ห้องหนังสือ ในใจของเฟยหลงห่วงเหลือเกินว่าหยางเถาจะเป็นอย่างไรบ้าง จะรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า คืนนี้หยางเถาของเขาเองก็ทานอาหารน้อยเสียจนเขานึกห่วง

เฟยหลงเปิดประตูเข้าไปหาจิ้นเหอที่กำลังยืนรอเขาอยู่ ใบหน้าของจิ้นเหอนั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งการแสดงอารมณ์ใดๆ หากแต่เฟยหลงย่อมรู้ดีว่าการที่บิดาเรียกหาเขาเพื่อพูดคุยนั้น ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“ท่านพ่อ มีเรื่องอันใดหรือขอรับ?” จิ้งเหอหันกลับมามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของบุตรชาย

“มาแล้วหรือ พ่อมีเรื่องจะถามเจ้าเสียหน่อย”

“อะไรรึขอรับท่านพ่อ”

“เฮ้อ...บอกพ่อมาตามตรงนะ เจ้าชอบพอพึงใจกับเพ่ยเยว่เผิงใช่หรือไม่?” เฟยหลงตกใจเมื่อได้ยินคำถามที่ออกมาจากปากของบิดา สิ่งใดกันที่ทำให้ท่านพ่อคิดว่าเขามีใจให้เยว่เผิง

“ลูกคิดกับเยว่เผิงเพียงน้องสาวเท่านั้นขอรับ เหตุใดจึงถามข้าถึงเรื่องนี้ล่ะขอรับท่านพ่อ” จิ้นเหอเลิกคิ้วมองสบตาของเฟยหลงราวกับจะเอ่ยถามถึงความจริงข้างใน จิ้นเหอยอมรับการแสดงออกของเฟยหลงที่มีต่อหยางเถานั้นชัดเจน แต่ต่อให้ชัดเจนเช่นไร...หากมีอีกคนที่ถูกกระทำดีด้วยเฉกเช่นเดียวกัน มันก็คงไม่แปลกที่จะอดคิดไม่ได้ว่า ใครกับแน่ที่บุตรชายเขากำลังมีใจ

“ถ้าเช่นนั้น...เหตุใดแม่ของเจ้าจึงได้พูดกับหยางเถาถึงการแต่งงานของเจ้ากับเพ่ยเยว่เผิงล่ะ”

เฟยหลงนิ่งค้าง ในสมองของเขากำลังประมวลเหตุผลต่างๆ ที่ทำให้แม่ของเขาคิดว่าเขาชอบพอกับเยว่เผิง แต่เขาไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดแม้แต่นิดเดียวที่เขาจะทำเกินกว่าพี่น้อง ถ้าเช่นนั้น เพราะเหตุใดกันล่ะ เพราะเหตุใดท่านแม่จึงได้คิดเช่นนั้น เขาไม่เข้าใจสักนิด

“ท่านพ่อ ข้า...ข้าไม่เข้าใจขอรับ ข้ามิได้ทำอะไรสักนิดที่เป็นสิ่งบ่งบอกว่าชอบเยว่เผิง แต่เหตุใด! เหตุใดท่านแม่จึงเอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานขอรับ ข้าไม่เข้าใจ” จิ้นเหอถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายใจ นี่บุตรชายของเขาโง่เสียจนไม่รู้เลยหรือว่าสิ่งที่กระทำออกไปนั้น มันเกินกว่าพี่น้องนักในสายตาของคนที่หวังจนล้นใจให้เยว่เผิงมาเป็นสะใภ้

“ถ้าจะให้พ่อพูด ทั้งหมดมันเป็นเพราะเจ้าเองนั่นล่ะ เฟยหลง” เฟยหลงไม่เข้าใจ ก็เขามั่นใจว่าไม่ได้ทำสิ่งใดสักนิดเดียว แล้วเหตุใดท่านพ่อจึงบอกว่าเป็นความผิดของเขากัน เฟยหลงมองใบหน้าของบิดาด้วยความไม่เข้าใจ หวังให้บิดาเอ่ยให้เขาได้กระจ่างแจ้ง

“เฮ้อ! เจ้าเอาอกเอาใจแม่นางเพ่ย ไปส่งและดูแล มิหนำซ้ำเจ้ายังไม่เอ่ยสิ่งใดๆ ให้แน่ชัด เจ้ากระทำราวกับการให้ความหวังทั้งนางและแม่ของเจ้า เมื่อครู่ที่โต๊ะเจ้าทำสิ่งใดบ้าง...ไม่เลย! เจ้าไม่ปฏิเสธ เจ้าตักอาหารให้นาง เจ้ายอมทิ้งกายลงเคียงข้างนางละทิ้งสหายของเจ้าเพื่อนาง เจ้าจะบอกพ่อว่าไม่ได้ยินคำเอ่ยของแม่เจ้างั้นรึเฟยหลง?” คำพูดของท่านแม่งั้นหรือ

“เฟยหลง...ตักปลาให้เยว่เผิงบ้างสิ เอาเนื้อไก่ด้วยนะ เจ้าต้องทานเยอะๆ รู้ไหมเยว่เผิง จะได้มีลูกเต็มบ้านเต็มเมือง”

จริงสินะ ท่านแม่พูดเอาไว้เช่นนั้นนี่ แต่เพราะเขาไม่ได้สนใจในความหมายที่แฝงเอาไว้จึงไม่ได้คิดมาก หนำซ้ำเขาเองที่ตอบรับกลับไปด้วยรอยยิ้ม คอยตักทุกสิ่งให้นางได้ทานให้มากๆ เพราะเห็นนางนั้นผอมบางจนแทบจะถูกสายลมพัดให้ล่องลอยออกไป สำหรับคนเป็นพี่เช่นตัวเขาทำไปทั้งหมดก็เพียงหวังดีกับนางดุจน้องสาวคนหนึ่ง แต่เขาคงขีดเส้นมันเอาไว้เบาบางจนเกินไป จนใครๆ ก็มองมันไม่เห็นเส้นบางเส้นนั้น

“ข้าผิดเองท่านพ่อ ข้าผิดเองที่คิดน้อยจนเกินไป ข้า...เสียใจขอรับ” ใบหน้าของเฟยหลงสะท้อนออกมาถึงความเสียใจและเข้าใจในสิ่งที่จิ้นเหอบอก ไม่ใช่ไม่สงสารบุตรชาย แต่หากเขาไม่พูดออกไปเสียให้มันชัดเจน คนที่เจ็บ...ก็คงหนีไม่พ้น ตัวบุตรชายของเขาเอง

“หากเช่นนั้น เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าจะต้องทำเช่นไรต่อไป” เฟยหลงพยักหน้ารับ เขารู้แล้วว่าที่ผ่านมาเขาทำผิดพลาดที่ใด และเมื่อรู้แล้ว...ก็จะไม่มีวันทำพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง

“ขอรับท่านพ่อ แล้ว...หยางเถาล่ะขอรับท่านพ่อ หยางเถาอยู่ที่ใดกัน” จิ้งเหอเหลือบมองเหวินฉายที่ยืนอยู่ทางด้านหลังด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามว่า มิได้บอกเขาไปหรอกหรือไร แต่เหวินฉายส่ายหน้า บางๆ ราวกับจะบอกว่าเจ้าตัวบอกกับบุตรชายของเขาไปเรียบร้อยแล้ว แต่ดูแววตาของเฟยหลงแล้ว คงมิเชื่อเป็นแน่

“หยางเถา...ข้าบอกให้กลับไปเอง”

“ท่านพ่อ!!! เหตุใดกัน เหตุใดท่านพ่อจึงให้หยางเถากลับไป” เฟยหลงร้องเสียงหลงจนแทบจะวิ่งออกไปตามหา แต่จิ้นเหอกลับยกมือขึ้นห้ามเอาไว้ก่อนที่คนตัวโตจะบ่นเสียให้มากความไปกว่านี้

“แล้วเจ้าจะให้เขานั่งรอเจ้าด้วยสีหน้าเจ็บปวดงั้นหรือ? อยากให้เขาเอ่ยถามว่าเป็นเช่นไร แม่นางเพ่ยเยว่เผิงกลับบ้านอย่างปลอดภัยรึไม่ เจ้าดูแลนางดีหรือไม่ ชมลมชมจันทร์งดงามดีหรือไม่ เช่นนั้นหรือ?” เฟยหลงได้แต่เงียบนิ่ง เขามิได้คิดถึงใจของหยางเถาเลยแม้แต่น้อย เขาเจ็บปวดเสียเหลือเกิน

“ไม่ท่านพ่อ แต่ข้าเพียงอยากพบหน้าของหยางเถาเท่านั้น ข้าอยากจะอธิบาย”

“เฮ้อ...เฟยหลง เช่นไรคืนนี้หยางเถาก็คงจะกลับไปที่บ้านของเขาแล้วล่ะ ในเมื่อข้าเป็นคนบอกให้เขากลับไปเอง”

“เช่นนั้นข้าก็จะไปหาหยางเถาขอรับ ข้าไม่อยากจะรออีกแล้ว หากช้าไป ข้ากลัวใจของหยางเถาเหลือเกิน กลัวว่าข้าจะไม่ได้พบเขาอีกแล้วขอรับท่านพ่อ จะขอตัว”

จิ้นเหอได้แต่มองแผ่นหลังของบุตรชายที่ค่อยๆ ก้าวออกไปจากห้อง เมื่อคุยกับบุตรชายเรียบร้อยเช่นนี้คงไม่มีอะไรน่าห่วงอีก สำหรับบุตรชายของเขา เช่นไรแล้ว...ในยามนี้เฟยหลงคงได้เข้าใจในกระทำที่เป็นปัญหาของตนแล้ว จะเหลือก็เพียงแค่ฮูหยินของเขาเท่านั้น และเขาจะต้องไปคุยกับนางให้เร็วที่สุด ก่อนที่เหม่ยหลินจะทำสิ่งใดไปมากกว่านี้

เหม่ยหลินเดินไปมาอย่างกังวล นางไม่ชอบใจสักนิด ไม่ชอบใจที่สุดเมื่อได้รู้ว่าหยางเถาคิดจะขัดใจนาง ทั้งที่นางเอ็นดูราวกับบุตรชาย แล้วเหตุใดกัน เพียงแค่นางสั่งให้ออกไปจากเมืองนี้ เหตุใดจะต้องต่อต้านราวกับว่าผูกติดเอาไว้จนไม่สามารถแยกออกได้ เห็นหน้าตาซื่อๆ มิคิดเลยว่าจะร้ายได้เช่นนี้ นี่คงหวังจะครอบครองเฟยหลง หวังออดอ้อนให้เฟยหลงต้องมนต์หลงใหลไปกับความเดียงสานั่น หึ! นางมิยอมหรอก อย่างไรสะใภ้ของนางก็มีเพียงเยว่เผิงเท่านั้น มิใช่ผู้อื่น!

ประตูห้องถูกเปิดออกด้วยฝีมือของจิ้นเหอผู้เป็นสามี นางหันไปมองด้วยความตกใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นใคร รอยยิ้มของเหม่ยหลินประดับอยู่บนใบหน้า แม้ว่าฝ่ายสามีของนางจะมีเพียงใบหน้าและแววตาเรียบเฉยก็ตาม นางขยับกายหลีกหนีให้สามีของนางได้นั่งเก้าอี้ นางรีบหยิบจับกาน้ำชาและรินมันลงในถ้วยให้จิ้นเหอได้ดับกระหาย

“ท่านพี่ น้ำชาเจ้าค่ะ” จิ้นเหอรับมันมาถือเอาไว้ มิได้ยกขึ้นดื่มแต่อย่างใดจนเหม่ยหลินมองด้วยความไม่เข้าใจ เกิดสิ่งใดขึ้นหรือเปล่านะ?

“ท่านพี่ แล้วลูกเฟยหลงล่ะเจ้าคะ กลับมาจากไปส่งเยว่เผิงหรือยัง”

“กลับมาแล้วล่ะ...” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหม่ยหลินก็ยิ้มแก้มปริ ความปลาบปลื้มเกิดขึ้นในหัวใจของนาง

“จริงหรือเจ้าคะ เช่นนั้น...ข้าว่าจะไปคุยกับเฟยหลงเสียหน่อย” เหม่ยหลินที่กำลังเดินไปหวังจะก้าวไปหาเฟยหลงบุตรชายตนด้วยหัวใจที่ลิงโลด แต่ฝีเท้าก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงอันราบเรียบที่กดดันออกมา

“เจ้าคิดจะทำอะไรรึ เหม่ยหลิน” ใบหน้าของเหม่ยหลินซีดเซียวค่อยๆ หันกลับไปมองสามีช้าๆ อย่างหวาดกลัว นางไม่รู้เลยว่าทำอะไรผิด เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าถูกโกรธเช่นนี้

“ข้าหรือ...ข้าทำอะไรกัน?”

“ข้าได้ไถ่ถามลูกมาแล้ว เฟยหลงบอกกับข้าเองว่า...มิได้ชอบพอหรือมีใจให้เยว่เผิงดังที่เจ้าว่าสักนิด แล้วเหตุใด! เหตุใดเจ้าจึงได้กล่าวคำโป้ปดทำร้ายจิตใจเด็กหนุ่มผู้นั้นด้วย!” เหม่ยหลินสะดุ้งกับน้ำเสียงดุดันที่ผู้เป็นสามีกล่าวออกมา สีหน้าของจิ้งเหอนั่นเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างชัดเจน การกระทำของเหม่ยหลินนั้น...เป็นสิ่งที่ฮูหยินแห่งแม่ทัพใหญ่ไม่ควรกระทำสักนิด

“ข้าหรือเจ้าคะที่โป้ปด ท่านพี่เข้าใจผิดแล้ว เฟยหลงมีใจให้เยว่เผิงแน่นอน ท่านพี่มิเห็นหรือ...เฟยหลงใส่ใจเยว่เผิงขนาดไหน ขนาดข้าช่วยเปิดทางให้เฟยหลงยังยินดีตอบรับมันอย่างเต็มใจ แล้วเช่นนี้จะเรียกว่าข้าโป้ปดได้อย่างไรเจ้าคะ”

“เจ้าแน่ใจได้อย่างไรเหม่ยหลิน เพียงแค่นั้นก็ทำให้เจ้าแน่ใจจนถึงขนาดทำร้ายสหายของบุตรชายตนเองเลยหรือ? จิตใจเจ้าทำด้วยอะไร มิเห็นใบหน้าแสนเศร้าหรือเหม่ยหลิน เจ้ามิเห็นเลยหรือว่าเขาเจ็บปวดแค่ไหน!” เหม่ยหลินเชิดใบหน้าขึ้น นางไม่สนใจหรอกว่าเด็กนั่นจะเจ็บเพียงใด หากมิอยากเจ็บปวดก็อย่ามายุ่งกับลูกชายของนางสิ ให้เงินก็ไม่รับ สั่งให้ออกไปจากเมืองก็ไม่ไป เช่นนี้มิใช่ว่าต้องการท้าทายนางหรอกรึ?

“ข้ามิเห็นเจ้าค่ะ ข้าเห็นเพียงแค่ความโอหังของเด็กคนนั้นเท่านั้น ข้ารึอุตส่าห์หยิบยื่นเงินทองให้ เพียงแค่แลกกับการที่ยอมออกไปจากเมืองนี้ แต่ท่านพี่ก็เห็น เด็กคนนั้นปฏิเสธข้า! เขาท้าทายข้านะ!” ยิ่งคิดเหม่ยหลินก็ยิ่งคับแค้นใจ สองมือกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ แต่มันมิได้ทำให้ความโมโหลดลงเลยแม้แต่น้อย

“เฟยหลงเป็นผู้เอ่ยปากบอกข้าด้วยตนเองว่า มิได้มีใจให้กับเพ่ยเยว่เผิงผู้นั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ และหยุด! หยุดทำสิ่งที่ตัวเจ้าทำอยู่! อย่าให้ผู้อื่นว่าเอาได้ว่า ฮูหยินลู่ภรรยาแม่ทัพใหญ่ของข้าไร้ซึ่งหัวใจ!”

“ท่านพี่!! ข้าไม่เชื่อ!...ข้าจะไปคุยกับลูกเอง! ข้ามิเชื่อหรอกว่าเฟยหลงจะกล่าวเช่นนั้น ต้องเป็นเพราะท่านพี่เห็นใจต่อหยางเถาเป็นแน่! ข้ามิเชื่อ” เหม่ยหลินหันหลังและก้าวเดินเพื่อจะไปไถ่ถามเอาจากปากบุตรชายของนาง

“เหม่ยหลิน!”

แต่นางหาได้สนใจเสียงเรียกจากผู้เป็นสามีไม่ นางยังคงก้าวเดินต่อไปไม่มีแม้แต่หางตาที่จะมองกลับมาสักนิด ในใจของนางเต็มไปด้วยความขัดเคืองใจ นางจะไม่มีวันเชื่อ ไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดว่าเฟยหลงมิได้มีใจต่อเยว่เผิง จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ก็ในเมื่อ...ทุกการกระทำและคำพูดของเฟยหลงล้วนบ่งบอกให้นางได้คิดว่าเฟยหลงเองก็มีใจต่อเยว่เผิงขนาดนั้น มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ







 •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•
[/b] 









เฟยหลงหยุดอยู่เบื้องหน้าต้นท้อต้นใหญ่ที่กิ่งก้านประดับไปด้วยดอกท้อสีชมพูที่กำลังเบ่งบานรับแสงจันทร์ เฟยหลงมองด้วยแววตาสั่นไหว เพียงแค่เขาคิดถึงเหตุการณ์บนโต๊ะอาหารเขาก็ปวดใจเหลือเกินเมื่อต้องคิดว่า...หยางเถาจะรู้สึกเช่นไร ร่างบอบบางทานอาหารน้อยลง แต่เขากลับคิดว่าอาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยหิวหรืออาจจะไม่ชอบเท่าซาลาเปา แต่ถ้าเขาใส่ใจต่อหยางเถาอีกนิด เขาก็คงจะมองเห็นความผิดปกติของหยางเถา

“หยางเถา...”

เสียงหวานดังแผ่วออกมาจากปากของเฟยหลง สายลมผัดผ่านร่างของเขาบางๆ จนราวกับถูกสัมผัส หากแต่เขารู้ดีว่า จิตใจที่บอบช้ำจากคนที่อยู่ในต้นไม้นั้น ยังไม่สามารถจะโอบกอดเขาหรือปลอบโยนเขาได้ เพราะฉะนั้น...ลมก็เป็นเพียงแค่ลม มิใช่อ้อมแขนเล็กๆ เย็นๆ ของเจ้าดอกท้อของเขา

เฟยหลงขยับร่างเข้าไปใกล้ๆ ฝ่ามือยกขึ้นลูบเปลือกไม้อย่างปลอบโยน หยางเถากำลังร้องไห้ เจ้าดอกท้อของเขากำลังเสียใจแต่เขาทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง เพียงแค่จะเช็ดน้ำตาของหยางเถาเขายังไม่สามารถทำได้ หัวใจของเฟยหลงเจ็บปวดอย่างที่สุด เขาอยากเห็นใบหน้าของหยางเถา อยากจะพูดคุยให้อีกคนได้เข้าใจเหลือเกิน ว่าเขามิได้จะแต่งงานกับผู้ใด หัวใจของเขามีเพียงแค่ดอกท้อเพียงดอกเดียวเท่านั้น

“หยางเถา ออกมาพบข้าเถอะ ข้าอยากคุยกับเจ้าเหลือเกิน” เสียงทุ้มของเฟยหลงสั่นสะท้าน ดูอ่อนแรงจนน่าสงสาร ทว่าหัวใจที่แหลกสลายของร่างบอบบางในต้นท้อต่างหากที่น่าเห็นใจ ข้อนี้ลู่เฟยหลงรู้ดี

“ได้โปรด...อย่าทรมานข้าเช่นนี้เลย เพียงเจ้าฟังข้าอธิบาย เพียงเจ้าฟังข้า ได้โปรดหยางเถา ออกมาหาข้าเถอะ” แต่ไม่ว่าจะพูดเช่นไรก็ไร้ซึ่งเงาของผู้กุมดวงใจของเขา

หยางเถาสะอื้นไห้ สองมือถูกยกขึ้นปิดหูเอาไว้แน่น เขาไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยินสิ่งใดอีกแล้ว เพียงเท่านี้...ใจของเขาก็เจ็บจนเกินจะทนไหวอีกแล้ว เขาไม่อยากรู้ว่าเฟยหลงรักนางเพียงใด ไม่อยากรู้ว่าต่อไปจะทำเช่นไร เขาเพียงอยากอยู่เงียบๆ อยากหยุดความปวดร้าวนี้เหลือเกิน อยากให้มันหยุดเสียที หยางเถากางกั้นอากาศขึ้น ปิดกั้นทั้งความรู้สึกที่เฟยหลงส่งผ่านมา ปิดกั้นเสียงที่พร่ำเรียกหาเขาอยู่ตลอดเวลา ปิดกั้น...แม้แต่ดวงตาที่จะได้มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยเช่นนี้ เขาไม่อยากรับรู้ถึงมันอีกแล้ว ไม่อยากรับรู้อีกแล้ว

เฟยหลงตะลึงเมื่อฝ่ามือถูกขวางกั้นด้วยม่านบางๆ ที่ไม่ต่างจากอากาศ ไม่ว่าจะพยายามเอื้อมไปมากเพียงใด ก็มิอาจไปถึงเปลือกไม้ของลำต้นท้อได้ หัวใจของลู่เฟยหลงหวาดกลัวขึ้นมาจนจับใจ สิ่งที่ถูกขวางกั้นคงจะมิใช่เพียงแค่ตัวเขาที่ต้องห่างจากต้นท้อ แต่คงจะเป็นความสัมพันธ์ของเขาและหยางเถาด้วยเช่นกัน และเพราะมันคือสิ่งที่หวาดกลัวจับใจ ลู่เฟยหลงจึงมิอาจจะนิ่งเฉยได้

“หยางเถา อย่าทำเช่นนี้ ข้าขอร้อง” เฟยหลงแทบเสียสติกับสิ่งที่เห็น สองมือของเฟยหลงทุบกำแพงอากาศด้วยความเจ็บปวด ปากก็พร่ำเรียกร้องอ้อนวอนให้อีกคนใจอ่อนและเห็นใจ

“ขอร้อง หยางเถา ออกมาจากต้นท้อเถอะ ออกมาหาข้า ข้ารักเจ้า! ได้ยินข้าหรือไม่!!” แต่แม้จะป่าวร้องตะโกนออกไปเช่นไรก็เสียแรงเปล่า เฟยหลงทรุดกายลงกับพื้นดินอย่างหมดเรี่ยวแรง เฟยหลงเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้ากว้างอย่างปวดร้าว ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอย่างช้าๆ น้ำตาของบุรุษที่เขามิเคยเสียมันให้กับผู้ใด แต่วันนี้…มันไหลเพื่อคนผู้เดียวเท่านั้น คนที่สำคัญสุดหัวใจ

“ข้ารักเจ้าหยางเถา ข้ามิได้รักเยว่เผิงแม้แต่น้อย ออกมาหาข้า... มาหาข้า”

น้ำเสียงสั่นเครือไปด้วยความทรมาน เฟยหลงรู้แล้วว่าตนผิด หากแต่มันก็สายไปสินะที่เขาจะได้อธิบาย เขาทำร้ายหยางเถามามากมายเท่าไร ทั้งคำพูด การกระทำ ทุกสิ่งที่เขาทำนั้นล้วนแต่ทำร้ายคนที่เขารักหมดหัวใจ ในเวลาที่เขาควรอธิบาย เขากลับเมินเฉยและกระทำเช่นเดิมจนเจ้าดอกท้อของเขาเจ็บปวดจนเกินจะรับไหว ในเวลานี้...เขาไม่เหลือโอกาสแม้จะได้กล่าวคำใดๆ เจ้าดอกท้อของเขาก็ปิดรับทุกความทุกข์ใจไปจนหมดสิ้น กางกั้นขวางเขาให้ออกห่างจากบาดแผลในหัวใจดวงน้อย

ภาพทุกภาพช่างดูหดหู่ยิ่งนัก ความรักช่างดูสวยงามในบางเวลาแต่ก็มิได้อยู่ในรูปลักษณ์ที่สวยงามตลอด ในเวลานี้ มีเพียงหยาดน้ำตาที่หลั่งไหลจากคนทั้งสองคน แม้จะคนหนึ่งจะถูกขวางกั้นเอาไว้แต่ก็มิได้เจ็บปวดน้อยไปกว่าคนด้านในต้นท้อเลยสักนิด แม้จะปิดกั้นการรับรู้ทั้งปวงแต่ก็ไม่อาจจะปิดกั้นความปวดร้าวที่กัดกินหัวใจอยู่ได้ เฟยหลงร้องไห้และทุบกำแพงอากาศอย่างบ้าคลั่ง ปากพร่ำเรียกหาเพียงชื่อของหยางเถาเท่านั้น โดยมิรู้เลยว่า มีใครบางคนกำลังช็อกและมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจเพียงใด

หยางเถามิใช่มนุษย์ เด็กคนนั้นเป็นปีศาจ! ปีศาจ!!







 TBC 





 กราบคุณพ่อค่ะ พร้อมกับตะโกนว่า เฟยหลงเอาแม่เธอไปเก็บเดี๋ยวนี้!!!!!! มันน่าจับตบจริงๆ ฮึ่ม!!!

  

Facebook : https://m.facebook.com/PassionateFiction/ 

Twitter : https://mobile.twitter.com/little_kittensY  

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2019 12:03:05 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[11]

อากาศด้านนอกเริ่มหนาวเย็นเสียจนเหวินฉายต้องถูมือของตนเองเพื่อลดความเย็นที่กำลังเล่นงาน สองเท้ารีบก้าวเดินเพื่อไปยังจุดนัดพบที่เขานั้นได้ให้สัญญากับเจ้าพวกเด็กๆ ทั้งสามเมื่อคราวก่อน เหวินฉายยิ่งนึกถึงช่วงเวลานั้นก็ยิ่งไม่ชอบใจ เจ้าลูกเต่าลี่ฟู่กล้าดีอย่างไรมาบอกว่าเป็นสหายของเขา วันก่อนยังทำเป็นจดจำเขาไม่ได้ แล้วเหตุใดวันนั้นจึงมาช่วยเหลือเขา ให้เขาได้เป็นหนี้บุญคุณอีก ไม่ชอบใจเลยสักนิด

สองเท้าของเขาหยุดชะงัก...เมื่อคนที่ควรรอเขาอยู่นั้นควรจะมีอยู่เพียงสาม แต่ในคราวนี้กลับมีถึงสี่คน! สี่คนได้อย่างไร เจ้าบ้านั่นจะมาอีกทำไมกันนะ! เหวินฉายได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันสองขาแทบจะก้าวไปข้างหน้าไม่ไหว อยากจะถอยหลังแล้ววิ่งหนี แต่ท่าทีที่ดีใจของพวกเว่ยเอี้ยนทำไมขาของเขายังคงก้าวไปข้างหน้าแม้ว่าใจเขาจะไม่ต้องการก็ตามที

“พี่เหวินฉายยยยยยยยยย” เด็กๆ ทั้งสามวิ่งเข้ามาหาเหวินฉายที่มีสีหน้าลังเล แต่เมื่อเห็นร่างของเด็กๆ วิ่งเข้าหาก็ยิ้มรับด้วยความใจดี

เฉินลี่ฟู่รวบพัดเข้าสู่มือพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก เขาทำเป็นมองไม่เห็นความลังเลในแววตาของเหวินฉาย ยังคงยิ้มบางๆ ไปให้ด้วยความสุนทรีย์ เขารู้มาจากเด็กๆ ที่วิ่งเข้าไปหาเขาด้วยความดีใจจนเก็บเอาไว้ไม่อยู่ว่า ฉายเอ๋อร์ของเขากำลังจะพาเด็กน้อยทั้งสามไปซื้อเสื้อผ้าและข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ให้ แล้วงานนี้มีหรือจะขาดเขาไป ไม่มีทางเสียหรอก เช่นไรเสีย...เขาก็จะตามไปด้วยให้ได้

“พี่เหวินฉายของรับ พี่ลี่ฟู่ขอไปด้วยนะขอรับพี่เหวินฉาย หากว่าท่านจะอนุญาต” หานฟงเอ่ยขออนุญาตจากพี่ชายด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เขาชอบพี่ลี่ฟู่ พี่ลี่ฟู่ช่วยพี่เหวินฉายจากการถูกดูแคลน เขาจึงพอใจกับพี่ชายลี่ฟู่มากเสียจนไม่ว่าจะไปที่ใดก็อยากจะให้พี่ชายลี่ฟู่ไปด้วยเช่นกัน

ในวันนี้ที่ได้เข้าไปหาพี่ชายลี่ฟู่ที่จวนนั้น เขาอดตะลึงกับความใหญ่โตของมันไม่ได้ ซ้ำยังมีสวนที่กว้างเสียจนหากเขาและเว่ยเอี้ยนมาเล่นฝึกยุทธ์กันที่นี่ก็คงสนุกแน่ แต่มันก็มิใช่จวนของเขา ในใจของเขาจึงได้หมองหม่นลง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น...หานฟงก็ยังคงยิ้มและวิ่งเข้าไปขอพบพี่ชายลี่ฟู่และเล่าให้ฟังถึงเรื่องตื่นเต้นสำหรับพวกเขา

พี่ชายลี่ฟู่ต้อนรับพวกเขาด้วยขนมและน้ำ มันช่างอร่อยเสียจนคิดว่ามิเคยได้ลิ้มรสความอร่อยเช่นนี้จากที่ไหนมาก่อน ขนมหกชิ้นที่อยู่ในจานหมดลงอย่างรวดเร็ว ปากเล็กๆ ของเขาเคี้ยวไปก็เล่าไปด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข จนคนฟังอย่างพี่ชายลี่ฟู่ยิ้มตาม

“เอ่อ...ข้าว่า คงไม่ดีนักหรอกนะ” หานฟงเอียงคอถามด้วยความสงสัย ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาจากการถูกชะล้างตั้งแต่จวนของพี่ชายลี่ฟู่นั่นช่างดูน่าเอ็นดู

“ทำไมล่ะขอรับพี่เหวินฉาย”

“เอ่อ เพราะว่า...เพราะ เอ่อ ใช่แล้ว! เพราะว่าหากพี่ลี่ฟู่ของพวกเจ้าไปด้วย เช่นนั้นบางทีข้าอาจจะต้องซื้อให้เขาด้วยอย่างไรล่ะ และหากเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็ พวกเจ้าก็จะได้ของน้อยลงเพราะตัวพี่ลี่ฟู่ของพวกเข้านั้นตัวใหญ่ม๊ากมาก ค่าชุดก็ต้องแพ๊งแพง พวกเจ้าว่าจริงหรือไม่?” เด็กๆ ชะงักและคิดตามที่เขาว่า สายตาของหานฟง เว่ยเอี้ยนและอี้เหมยหันไปมองรูปร่างของพี่ชายลี่ฟู่ของพวกเขาก่อนจะพยักหน้ารับ พี่ชายลี่ฟู่ตัวใหญ่จริงๆ เช่นนั้นคงกินเงินไปหลายอีแปะ แล้วพวกเขาก็คงไม่ได้ซื้อ เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีล่ะ

เฉินลี่ฟู่เลิกคิ้วมองด้วยความขบขันกับเหตุผลที่อีกฝ่ายยกมาเป็นข้ออ้างเพื่อกีดกันไม่ให้เขาตามไปด้วย แต่ฉายเอ๋อร์น้อยคงจะลืมไปเสียแล้วว่าเขาคือใคร คุณชายใหญ่แห่งสกุลเฉินน่ะหรือจะให้ใครซื้อเสื้อผ้าข้าวของให้ ต้องเป็นเขาหรือเปล่าที่ต้องซื้อให้แทน ใครๆ ต่างเรียกร้องเอาจากเขามากมายหลากหลายอย่าง ทั้งเครื่องประดับ เสื้อผ้าอาภรณ์หรือแม้แต่...ตัวของเขาเอง

แต่นี่อะไร ฉายเอ๋อร์น้อยของเขากลับเอาแต่หนี หลีกหนีไปทางใดได้ก็ไม่ลังเลสักนิด แต่คนอย่างเฉินลี่ฟู่ หากเขาปรารถนาจะครอบครองสิ่งใดหรือผู้ใด ต่อให้มันยากเย็นจนต้องลุยไฟเข้าไปช่วงชิง เขาก็ไม่เกรงกลัวสักนิดเดียว

“พี่ชายลี่ฟู่ขอรับ เช่นนั้นข้าคงให้พี่ชายไปด้วยไม่ได้เสียแล้วขอรับ” หานฟงเอ่ยด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย

“อ้าว! ทำไมล่ะ ไหนเจ้าว่าอยากให้ข้าไปด้วยมิใช่หรือ” เฉินลี่ฟู่แสร้งทำท่าทีตกใจและเสียใจราวกับว่าช่างเป็นคำกล่าวที่ทำร้ายจิตใจของเขาเหลือเกิน

“แต่พี่เหวินฉายบอกว่าหากพี่ชายลี่ฟู่ไปกับพวกข้า พี่เหวินฉายจะต้องจ่ายค่าเสื้อผ้าข้าวของให้พี่ชายลี่ฟู่ด้วย และมันก็จะแพงมากเพราะพี่ชายตัวใหญ่ แล้วเงินที่จะใช้ซื้อเสื้อผ้าข้าวของให้พวกข้าก็จะหมดไปขอรับ” เฉินลี่ฟู่แสร้งทำท่าครุ่นคิดก่อนจะยิ้มออกมาด้วยแววตาวาววับ ฉายเอ๋อร์น้อย จะกำจัดข้าออกไปมิใช่เรื่องง่ายหรอกนะ หึหึ

“เช่นนั้น...ให้ข้าซื้อให้พวกเจ้าแทนดีหรือไม่? ทั้งเจ้าทั้งสามคนและ...พี่เหวินฉายของพวกเจ้าด้วย” เด็กทั้งสามตาโตหันมามองหน้ากันด้วยความดีใจจนรอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้า ป่าวร้องไชโยจนเสียงดัง

“ไชโย๊!! เช่นนี้พี่ชายก็จะไปกับพวกข้าได้แล้วขอรับ ไปกันเถอะขอรับพี่ชายลี่ฟู่!” เว่ยเอี้ยนลากแขนของลี่ฟู่อย่างแรง แต่แรงของเด็กน้อยหรือจะสามารถลากบุรุษที่เรือนร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นไปได้ นอกเสียจากว่า...จะยินยอมเดินตามไปอย่างเต็มใจ

เหวินฉายเบิกตากว้างงุนงงกับการกระทำของหานฟงที่ลากเอาร่างกายใหญ่โตของเฉินลี่ฟู่มาด้วย ก็ไหนว่าเข้าใจแล้ว ทำไมยังลากคนผู้นั้นมาด้วยอีกเล่า! เหวินฉายแทบจะยืนไม่ติดพื้นใบหน้าเลิ่กลั่ก ปากบางถูกขบเม้มจากเจ้าตัวด้วยความครุ่นคิด ไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจเลย

“พี่เหวินฉายๆ พี่ชายลี่ฟู่บอกว่าจะเป็นคนซื้อให้เองขอรับ เช่นนี้พี่ชายลี่ฟู่ก็ไปด้วยได้แล้วใช่ไหมขอรับ” เว่ยเอี้ยนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“พี่ชายลี่ฟู่บอกว่าจะซื้อให้พี่ด้วยนะเจ้าคะ ฉีอันอันเองก็ดีใจมากเลย” เจ้าตุ๊กตามอมแมมถูกกอดจนแน่นแก้มกลมๆ ของอี้เหมยเบียดเข้ากับใบหน้าของฉีอันอันด้วยความดีใจดั่งคำกล่าวจริงๆ

“จริงด้วยขอรับ เช่นนี้พี่เหวินฉายก็มิต้องเสียเงินแล้ว แถมยังจะได้เสื้อผ้าใหม่ๆ อีก เพราะพี่ชายลี่ฟู่จะซื้อให้เองขอรับ ข้ามีความสุขม๊ากมากเลย”

“ว่าอย่างไรฉายเอ๋อร์ คราวนี้พี่ไปด้วยกับเจ้าได้หรือยัง หืม?” เหวินฉายถลึงตาใส่ด้วยความไม่พอใจ จะให้เอ่ยอะไรได้อีก ก็เล่นดักทางเขาไปแบบนี้จะขัดได้อย่างไร เหวินฉายสะบัดหน้าหนีต้นเหตุแห่งความไม่พอใจที่ถูกรุมล้อมด้วยพวกเด็กๆ ความรักของเหล่าเด็กน้อยตกเป็นของเฉินลี่ฟู่จนหมด ไม่หลงเหลือให้คนที่มาก่อนอย่างเหวินฉายสักนิด

น่าโมโห มันน่าโมโหยิ่งนัก

ไหนจะใบหน้าที่ยิ้มออกมารสวกับผู้ชนะนั่นอีก เขาเกลียดแสนเกลียดเสียจนอยากจะฉีกเจ้าลูกเต่านั่นให้เป็นชิ้นๆ เสียเหลือเกิน แต่เขาก็ทำสิ่งใดไม่ได้ ได้แต่ทนกักเก็บความไม่พอใจนี้เอาไว้ สองเท้าก้าวต่อไปข้างหน้าก็เท่านั้น ทุกอย่างมันช่างผิดแผนไปเสียหมด ทำไมชีวิตของเหวินฉายจะต้องผูกติดกับเจ้าบ้าลี่ฟู่ไปถึงไหนกันนะ เมื่อไรถึงจะกำจัดเจ้าบ้านี่ให้พ้นๆ ได้เสียที

อยากจะตะโกน อยากจะร่ำร้องให้โลกรู้เหลือเกินว่าเขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเจ้าบ้าลี่ฟู่ผู้นี้สักนิด หากมีหนทางใดที่เขาจะหลุดพ้นจากเจ้าลูกเต่านี่ เขาจะไม่ลังเลที่จะทำ ขอเพียงไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเจ้าบ้าลี่ฟู่อีก สิ่งใดเขาก็ยอม แต่ก่อนหน้านั้น...คงต้องหาทางตอบแทนบุญคุณครั้งนั้นเสียก่อนสินะ คนอย่างเหวินฉายจะไม่ยอมติดหนี้บุญคุณต่อเฉินลี่ฟู่เป็นแน่ ไม่มีทาง

โอ้สวรรค์ โปรดนำเขาออกไปจากชีวิตของข้าด้วยเถอะ ข้าไม่อยากมีเขาอยู่ในชีวิตจริงๆ







 •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• 









เหวินฉายหน้าง้ำงอมาตลอดทางโดยไม่มีผู้ใดให้ความสนใจเขาแม้แต่น้อย เหล่าเด็กๆ ทั้งสามต่างพากันห้อมล้อมหน้าหลังของเจ้าลูกเต่าลี่ฟู่เสียหมด ไม่รู้ว่าเจ้าบ้านั่นมีสิ่งใดดีหนักหนา หานฟง เว่ยเอี้ยนและอี้เหมยจึงได้ถูกอกถูกใจเฉินลี่ฟู่นัก! เขาหรือออกจะรำคาญเสียด้วยซ้ำไป ยิ่งได้มองสบตาที่ปรากฏแววตาแห่งชัยชนะยิ่งอยากจะหักคอทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด

ยิ่งเหวินฉายก้าวเดินด้วยความรวดเร็วเท่าไหร่ ตัวลี่ฟู่เองก็เร่งฝีเท้าตามร่างบางไปเช่นกัน ใจเขาอยากจะเดินเคียงข้างกับร่างเล็กๆ นั่นเสียเหลือเกิน อยากจะรวบเอวบางเข้ามาในอ้อมแขนเพียงเพื่อจะประกาศให้ผู้คนได้รู้ว่าเหวินฉายเป็นของเขา แต่เขาก็ไม่คิดจะทำและถึงแม้จะคิดก็ควงจะทำไม่ได้ เพราะรอบตัวเขาเต็มไปด้วยคำพูดเจื้อยแจ้วของเหล่าเด็กน้อยทั้งหลาย

“ข้านะ...ชอบดาบเป็นที่สุด ทุกๆ วันข้ากับหานฟงมักจะหาไม้มาเล่นกัน พี่ชายลี่ฟู่ แล้วท่านล่ะ? เล่นอะไรบ้างหรือไม่ขอรับ?”

“ข้าหรือ? ข้าชอบเล่น...กับพี่เหวินฉายของพวกเจ้าเสียมากกว่า และต้องเล่นบนเตียงเสียด้วย หึหึ” คำพูดของลี่ฟู่เรียกสายตาดุๆ ที่หันกลับมามองของเหวินฉายได้อย่างดี แต่เขาไม่ได้เกรงกลัวต่อสายตานั้นเลยสักนิด เขากลับส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้จนอีกฝ่ายต้องหันหน้ากลับไปด้วยซ้ำ

เหวินฉายใบหน้าเห่อร้อน ทำไมเขาจะไม่รู้เล่าว่าความหมายของคำว่าเล่นบนเตียงเป็นอย่างไร เจ้าคนลามก! เขาอยากจะผ่าสมองของเฉินลี่ฟู่ออกมาดูเสียเหลือเกินว่าเหตุใดจึงได้มีแต่เรื่องลามกกัน ใบหน้าของเหวินฉายขึ้นสีระเรื่อแม้ว่าจะพยายามสลัดเอาความคิดบ้าๆ ออกไปสักเท่าไร มันก็ไม่เป็นผล เฉินลี่ฟู่ช่างมีออิทธิพลกับความรู้สึกของเขาเหลือเกิน ความรู้สึกที่เขามีต่อเฉินลี่ฟู่นั่นมันรุนแรงและเกิดขึ้นง่ายๆ ราวกับเพียงแค่สะกิดเบาๆ ก็รู้สึกได้ ไม่ว่าจะเป็นความเกลียดชังหรือแม้แต่ความรู้สึกกระดากอายก็ตาม

ในที่สุดทั้งเหวินฉาย เฉินลี่ฟู่และเด็กๆ ทั้งสามคนก็เดินมาจนถึงร้านสำหรับขายเสื้อผ้า เด็กๆ ทั้งสามต่างไม่รีรอสักวินาที พวกเขาวิ่งเข้าไปทางด้านในด้วยความตื่นเต้นจนเหวินฉายห้ามเอาไว้ไม่ทัน ครั้นจะวิ่งตามเข้าไปก็ถูกมือใหญ่ของเฉินลี่ฟู่จับเอาไว้และดึงเข้าไปจนแผ่นหลังบางชนเข้ากับอกแกร่ง กลิ่นหอมจากกายของบุรุษใหญ่ซึ่งผ่านสนามแห่งรักมามากมายช่างเย้ายวนน่าหลงใหล

กลับกันแล้วสำหรับเฉินลี่ฟู่กลิ่นหอมจากกายของเหวินฉายนั้นช่างบริสุทธิ์เสียจนอดเผลอสูดดมเข้าไปไม่ได้ ความบริสุทธิ์ที่น่าเสน่หาเช่นนี้เขาไม่เคยได้พบจากหญิงงามนางใดหรือแม้แต่บุรุษผู้ใดสักคน เหวินฉายของเขานั้นช่างดึงดูดอารมณ์ปรารถนาได้ดีเสียเหลือเกิน จนแทบจะระงับความต้องการเอาไว้ไม่ได้

เขาไม่รู้ว่าบรรยากาศรอบตัวที่เขาปล่อยออกมานั้นเป็นเช่นไร แต่สิ่งที่ดึงสติของเขากลับมาคือร่างกายเล็กๆ ที่กำลังสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขนของเขา เขาก้มลงมองเหวินฉายที่ถูกแขนของเขารวบรัดก่ายกอดอยู่หน้าร้านจนเรียกสายตาจากผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้ดี กลิ่นหอมจากร่างกายของเหวินฉายทำให้เขาหลงลืมไปสินะ

เหวินฉายไม่กล้าดิ้นรนออกจากอ้อมแขนใหญ่ ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอาย ความกดดันที่แผ่ออกมาจากเฉินลี่ฟู่ทำให้ร่างกายทั้งร่างของเขาร้อนรุ่ม หัวใจของเหวินฉายเต้นแรงจนกลัวว่าอีกคนที่กำลังกอดเขาไว้นั่นจะได้ยินและล้อเลียนเขาออกมา

“หากเจ้ายืนนิ่งเช่นนี้...ข้าจะคิดว่าเจ้าชอบนะฉายเอ๋อร์” เสียงทุ้มที่เอ่ยกระซิบอยู่ริมใบหูทำให้สติของเหวินฉายกลับมา ร่างเล็กสะบัดตัวออกทันทีใบหน้าหวานเริ่มแดงด้วยความไม่พอใจ

“ข้าไม่ได้ชอบ!”

“หึหึ...”

เสียงหัวเราะในลำคอของลี่ฟู่มันช่างยั่วอารมณ์โมโหของเขาเหลือเกินจนร่างเล็กของเหวินฉายต้องรีบสาวเท้าเดินหนีเข้าไปหาเด็กๆ ทั้งสามที่อยู่ในร้านแทน ภาพอันแสนน่ารักที่ชวนให้อมยิ้มช่างให้ความรู้สึกดีเสียจนทุกสายตาที่มองมาต้องหัวเราะด้วยความเอ็นดู

“นายน้อยเฉิน ยินดีต้อนรับขอรับ ไม่ทราบว่าวันนี้นายน้อยต้องการกี่ชุดหรือขอรับ” ฉินฟงเจ้าของร้านผ้าใหญ่ที่สุดในเมืองซิ่นจือออกมาต้อนรับเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนร้านของตนเองนั้นคือนายน้อยลี่ฟู่แห่งสกุลเฉินผู้ร่ำรวย หลายต่อหลายครั้งที่นายน้อยเฉินแวะเวียนมาซื้อเสื้อากับร้านของเขา จนเรียกได้ว่าค้าขายกันมานานนม โดยปกติแล้วเขาจะสั่งให้คนนำไปส่งให้นายน้อยเฉินถึงจวน แต่คราวนี้กลับมาด้วยตนเองจึงทำให้ฉินฟงรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย

“วันนี้ข้าพาสหายและน้องชายของสหายข้ามา ยังไงเจ้าก็เอาออกมาให้พวก้ขาดูเสียหน่อย ขอเนื้อผ้าชั้นดีหน่อยล่ะ”

“ขอรับ รอสักครู่นะขอรับ”

ฉินฟงยิ้มให้อย่างนอบน้อมและเดินกลับเข้าไป ไม่นานนักเขาก็กลับออกมาพร้อมกับเหล่าคนงานที่ยกเอาหีบออกมาด้วยหลายหีบ แต่ละหีบมีชุดอยู่มากมายทั้งขนาดเท่าตัวของเหวินฉายเองและขนาดตัวของเด็กๆ ทั้งสามคน อี้เหมยเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ชุดมากมายก่ายกองที่ถูกนำออกมานั้นมันดูสวยงามเสียจนเด็กอย่างอี้เหมยปรารถนาอยากจะได้

“พี่เหวินฉายเจ้าคะ ข้าชอบ! ข้าชอบทั้งหมดเลย!” อี้เหมยพูดด้วยท่าทางมีความสุขมากๆ โดยที่หายฟงและเว่ยเอี้ยนยังคงดูชุดของตนด้วยแววตาพราวระยับ แต่เขาสิหน้าซีดจนแทบไม่มีสีเลือดแล้ว อี้เหมยบอกว่าชอบทั้งหมด แล้วเขาจะหาเงินที่ไหนมาจ่ายกัน ทั้งเนื้อผ้าที่ดีเยี่ยมราคาก็คงแพงอยู่แล้ว หากนับรวมๆ ชุดที่ถูกนำออกมากว่าสิบชุดแล้ว เงินในกระเป๋าของเขาคงไม่พอจ่ายแน่ๆ

เฉินลี่ฟู่มองทุกอย่างเงียบๆ อดอมยิ้มกับสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ได้แต่ส่งยิ้มแหยงๆ ตอบกลับไปหารอยยิ้มกว้างของอี้เหมย เหวินฉายของเขาคงจะลืมไปว่ามากับใคร ก่อนจะมาที่นี่เขาก็บอกไปแล้วว่าจะเป็นคนจ่ายให้ แต่ดูเหมือนสำหรับเหวินฉายแล้วคำพูดของเขาคงไม่ต่างจากลมที่พัดผ่านไปเพียงวูบหนึ่ง จึงได้หลงลืมไปเสียโดยง่าย

เหวินฉายหยิบถุงเงินออกมา มือบางเปิดถุงออกอย่างสั่นๆ ภาวนาให้จำนวนเงินในถุงที่เขาเตรียมมาจะเพียงพอสำหรับซื้อชุดพวกนี้ให้แก่เด็กๆ แต่เมื่อถุงเงินเปิดออกจำนวนที่อยู่ภายในนั้นช่างเล็กน้อยเสียจนขาของเหวินฉายอ่อนแรงจนแทบจะทรุดกายลงพื้น เขาจะทำเช่นไรล่ะ เงินก็มีไม่พอ ชุดพวกนี้ก็มิใช่ถูกๆ คราวนี้เขาจะทำเช่นไรดี

“ข้าเอาตัวนี้นะขอรับ แล้วก็ตัวนี้ๆ”

“ข้าด้วยๆ ข้าชอบสีฟ้า สีเหลืองและสีแดง ข้าจะเอาทั้งสามสีนี้ขอรับ” คะ คนละสามชุดเชียวหรือ! เหวินฉายรู้สึกราวกับจะเป็นลมไปเสียให้ได้ เพียงแค่ชุดเดียวเขาก็แทบจะมีไม่พออยู่แล้ว นี่คนละสามชุด สองคนก็หกชุด เขามิตายหรือ!

“ละ แล้วเจ้าล่ะอี้เหมย?” เด็กน้อยแสนน่ารักหันมายิ้มให้กับเหวินฉายทั้งๆ ที่ยังกอดเจ้าตุ๊กตาตัวกลมๆ นั้นอยู่แน่น

“ข้าเอาหมดเลยเจ้าค่ะ!”

ตึง!!

“พี่เหวินฉาย!! / ฉายเอ๋อร์!!” เพียงจบคำของอี้เหมยร่างของเหวินฉายก็ล้มลงไปกองกับพื้นทันทีจนเฉินลี่ฟู่ต้องรีบเข้ามาดู เด็กๆ วางชุดที่ตนสนใจเอาไว้ที่เดิมก่อนจะวิ่งเข้ามาเพื่อดูพี่เหวอนฉายว่าเป็นเช่นไรบ้างด้วยความเป็นห่วง เฉินลี่ฟู่ทำหน้าไม่ถูก จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม หัวเราะก็ไม่ได้ จะตีหน้าขรึมหรือก็ขำเกินไป นี่ยอดดวงใจของเขาเป็นลมเพียงเพราะเด็กน้อยเหล่านี้ต้องการเสื้อผ้ามากมายเท่านั้นหรือ หากเหวินฉายจำได้เพียงสักนิด คงจะรู้ว่าถึงอย่างไรเขาก็ต้องจ่ายอยู่ดี นี่ล่ะหนา! เวลาเขาพูดสิ่งใดก็ไม่เคยสนใจ เวลานี้จึงได้เป็นเช่นนี้ไงเล่า

ฉายเอ๋อร์! เจ้านี่มันโง่เสียจริงๆ หึหึ 







 •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•


ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
“ฟื้นแล้ว! พี่เหวินฉายฟื้นแล้วขอรับพี่ชายลี่ฟู่” เสียงร้องของหานฟงดังขึ้นเมื่อเห็นว่าเปลือกตาของถังเหวินฉายกะพริบก่อนจะลืมขึ้นมา อาการปวดศีรษะจากการล้มลงกระแทกจู่โจมเข้าเล่นงานจนร่างบางรู้สึกมึนๆ ทว่ายังไม่ทันที่สติจะกลับมาอย่างสมบูรณ์ ใบหน้าของเหวินฉายก็ถูกมือใหญ่ของใครบางคนช้อนขึ้นให้ใบหน้างามเงยขึ้นมาสบสายตา

เฉินลี่ฟู่มองสำรวจไปทั่วทั้งใบหน้า จับคางเล็กหันซ้ายขวามองหาบาดแผลที่อาจจะเกิดขึ้นมาจากการกระแทกได้ ก่อนจะถอนหายใจเมื่อพบว่ามันไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง สายตาของทั้งสองประสานกันจนร่างทั้งร่างของเหวินฉายและลี่ฟู่ชะงักงัน ตกอยู่ในห้วงเวลาพิเศษที่มีกันเพียงสองคนเท่านั้น

เฉินลี่ฟู่บอกเล่าความรู้สึกที่เก็บซ่อนเอาไว้ในใจออกมาทางสายตาจนหมด เผลอไผลแสดงความรักออกมาจนล้นลืมไปสิ้นว่าตรงนั้นมิได้มีกันอยู่แค่สองคน อี้เหมยแม้จะไม่เข้าใจแต่ก็ถูกบรรยากาศอันน่าเขินอายทำให้ต้องซบใบหน้าลงบนฉีอันอันเข้าตุ๊กตาตัวกลมที่ตนเองกดไว้จนแน่น เฉินลี่ฟู่ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ผิวแก้มใสอย่างแผ่วเบาราวกับต้องการเรียกเอาสีเลือดให้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเหวินฉาย

“โอ้! เจ้าฟื้นแล้ว” สติของเหวินฉายถูกดึงกลับมาทันทีที่ได้ยินเสียงเอ่ยทักขึ้นมา เหวินฉายขยับกายออกห่างจากลี่ฟู่หันใบหน้าหนีไปมองผู้มาใหม่แทน ในขณะที่ลี่ฟู่เองกลับหันไปมองต้าหยงอย่างไม่พอใจ คนกำลังตกอยู่ในวังวนแห่งความหวาน เหตุใดเจ้านี่ถึงได้ทะเล่อทะล่าเข้ามาโดยที่ไม่ดูสถานการณ์ใดๆ กว่าที่เขาจะได้มองใบหน้าและแววตาแสนน่าใคร่ของฉายเอ๋อร์ได้ มันมิใช่เรื่องที่ง่ายเลย เช่นนี้แล้วเขาจะมีโอกาสอีกหรือ!

“ท่านคือ...” เหวินฉายพยายามนึกแต่เขาก็จำคนผู้นี้ไม่ได้จริงๆ

“ข้าหรือ...ข้าคือฉีต้าหยง เถ้าแก่ร้านนี้อย่างไรเล่า” คำถามที่เอ่ยถามหาถึงตัวตนของเขานั้นมิได้ทำให้ต้าหยงโกรธเคืองหรือไม่พอใจใดๆ เขากลับยิ้มและหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู แม้แต่ดวงตาที่ใช้มองเหวินฉายก็เต็มตื้นไปด้วยความเอ็นดูเช่นกัน

เฉินลี่ฟู่รู้สึกขัดใจเสียเหลือเกินกับบรรยากาศที่เหวินฉายและต้าหยงปล่อยออกมา มันช่างปลุกเร้าความอิจฉาในใจของเขาให้โหมกระหนำเสียจนทุกสิ่งที่อยู่ในสายตานั้นช่างขัดใจไปเสียหมด เพียงแค่เหวินฉายที่ติดตามเจ้าเฟยหลงเขาก็แทบจะอกแตกตายอยู่แล้ว นี่ยังมีฉีต้าหยงเข้ามาอีกหรือ! เขาจะต้องจับเหวินฉายไปขังไว้หรือไร จึงจะหยุดความอิจฉาและหัวใจที่รุ่มร้อนด้วยไฟริษยาลงได้

“ขออภัยด้วยขอรับที่ขาจำท่านไม่ได้ สงสัยข้าคงจะมึนๆ เพราะหัวกระแทกพื้น แหะๆ” เหวินฉายลูบต้นคอของตนเองอย่างเขินๆ เมื่อเขาหลงลืมคนที่เพิ่งจะพบพานมาได้ไม่กี่วัน

“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรๆ ข้ามิได้คิดมากเสียขนาดนั้น แล้วนี่เจ้า...ยังเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะ ดูแล เขาเอง เจ้ามีงานเยอะมิใช่หรือ เชิญเจ้าไปทำงานของเจ้าเสียเถอะ!” ลี่ฟู่กดเสียงต่ำเอ่ยด้วยอารมณ์ที่ไม่พอใจ ต้าหยงพอจะเข้าใจในสถานการณ์เขาจึงได้ค้อมศีรษะและยอมรับคำไล่อย่างสุภาพของลี่ฟู่

“เช่นนั้น ข้าคงต้องขอตัวก่อน...”

เหวินฉายอ้าปากค้างมองเฉินลี่ฟู่ด้วยความตะลึง นี่เจ้าบ้าลี่ฟู่ถึงขนาดออกปากไล่เจ้าของร้านทั้งที่อาศัยนั่งพักในร้านของเขานี่หรือ ช่างกล้าเสียจริง กว่าจะได้สติกลับมาต้าหยงก็เดินหายไปเสียแล้ว พลันสมองน้อยๆ ของเหวินฉายก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ก่อนเขาจะสลบไปพวกเขากำลังซื้อเสื้อผ้าให้กับเด็กๆ นี่ แล้วเด็กๆ ล่ะ จะได้เสื้อผ้ากันหรือยัง!

“หานฟง อี้เหมย เว่ยเอี้ยน พวกเจ้าได้...” เพียงหันไปเพื่อจะรีบเอายถามแต่เด็กๆ ในตอนนี้กำลังชื่นชมเสื้อผ้าของตนกันอย่างตื่นเต้นจนเหวินฉายได้คำตอบโดยที่ไม่ต้องเอ่ยถามสิ่งใด

“ข้าว่าตัวนี้เหมาะกับเจ้ามากกว่านะ ฟงเอ๋อร์”

หือ?? ฟงอะไรนะ

“ก็บอกว่าอย่าเรียกข้าเช่นนั้นไง! เรียกอีกข้าจะโกรธเจ้าจริงๆ นะเว่ยเอี้ยน!” แต่เว่ยเอี้ยนวัยแปดขวบหาได้เกรงกลัวต่อสายตาขุ่นมัวของผู้เป็นดั่งเพื่อนและพี่น้องอย่างหานฟงไม่ เขากลับหัวเราะเสียดังลั่นอย่างสนุกสนานที่ได้เย้าแหย่ให้อีกคนหน้าบึ้งตึง เว่ยเอี้ยนหันไปสนใจเสื้อผ้าตรงหน้าของตนมากกว่า แม้ว่าคนข้างๆ จะยังมีอาการกรุ่นโกรธอยู่แต่เว่ยเอี้ยนก็ไม่ได้สนใจนัก เพราะรู้ดีว่าเพื่อนคนนี้อย่างไรก็โกรธได้ไม่นาน

“เจ้า...เสียไปเท่าไร ข้าจะจ่ายคืนให้แก่เจ้าเอง” เหวินฉายเอ่ยถามโดยหลีกเลี่ยงการเอ่ยชื่อของลี่ฟู่ออกมา

“เจ้าถามใคร?”

“ถามเจ้านั่นล่ะ!!” สีหน้าเหลอหลาของเฉินลี่ฟู่เรียกอารมณ์โกรธของเหวินฉายได้อย่างดี แต่อีกฝ่ายกลับทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ซ้ำยังยิ้มให้ราวกับไม่ถือสาใดๆ

“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าถามข้า ก็เจ้ามิได้เอ่ยชื่อข้าออกมาสักคำ” เหวินฉายกัดปากตนเองแน่น ก็เขาไม่อยากจะพูดชื่อของเจ้าลูกเต่านี่ เขาผิดตรงไหนกัน แต่เฉินลี่ฟู่ก็ช่างยียวนเสียเหลือเกิน

“ก็ข้าถามเจ้าอยู่นี่ไงเล่า ตกลงเจ้าเสียค่าเสื้อผ้าของพวกเว่ยเอี้ยนไปเท่าไร ข้าจะชดใช้คืนแก่เจ้า!”

“ข้าไม่ต้องการเงินคืนเจ้าก็รู้...”

“แต่ข้า...” ลี่ฟู่ส่ายหน้าช้าๆ ส่งยิ้มบางๆ ให้แก่เหวินฉายที่ยังคงดื้อดึงอยู่กับความต้องการของตนเอง

“ข้าบอกเจ้าตั้งแต่ก่อนจะมาแล้วใช่หรือไม่ว่าข้าจะเป็นคนจ่ายค่าเสื้อผ้าและข้าวของทั้งหมดเอง”

เหวินฉายรู้สึกสับสน ใจจริงของเขาอยากจะคืนเงินทั้งหมดแก่ลี่ฟู่ไปเสียแต่อีกใจ...ก็รู้ดีว่าหากลี่ฟู่เรียกร้องเงินคืนตัวเขาเองต่างหากที่จะมีคืนไม่พอ เสื้อผ้าข้าวของที่เด็กๆ ทั้งสามให้ความสนใจนั้นมันช่างกัดกินจิตใจของเขานัก มิได้เกิดมาร่ำรวยมีหรืออย่างเขาจะสามารถหาทุกสิ่งที่กองอยู่ตรงหน้าในตอนนี้มาให้พวกเด็กๆ ได้ สายตาของเหวินฉายเศร้าลงถนัดตา หัวใจดวงน้อยของเขาบีบตัวอย่างหนักจนเจ็บปวดกับความรู้สึกอิจฉาที่กำลังกัดกินหัวใจไปทีละน้อยๆ

เฉินลี่ฟู่บอกให้เด็กๆ ทั้งสามเก็บของชงหีบเช่นเดิม ก่อนจะนำเงินจำนวนหนึ่งออกมาและยื่นให้เสี่ยวเอ้อที่ถูกเขาวานให้นำของไปส่งที่ที่ เด็กๆ อาศัยอยู่ ในคราแรกนั้นเหวินฉายคัดค้านอย่างหนักเพราะเห็นว่าลี่ฟู่กำลังใช้งานคนของฉีต้าหยงซึ่งมันดูไม่สมควรนัก หากแต่ฉีต้าหยงเองกลับไม่ต่อว่าใดๆ ยินดีให้ใช้งานคนของตนได้ตามสบายแต่จะต้องขึ้นอยู่กับคนของตนด้วยว่าจะยินยอมหรือไม่

พวกเขาทั้งหมดเดินทางมาส่งเด็กๆ ที่บ้านร้างไร้ซึ่งผู้อาศัยๆ ข้าวของในบ้านหลังนั้นถูกหยักไย่เกาะจนทั่ว ฝุ่นหนาจนไม่อาจจะเรียกได้ว่าที่อาศัย เฉินลี่ฟู่กวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกหดหู่ มองภาพเด็กๆ ที่วิ่งเข้าอยู่ในบ้านด้วยความสนุกสนานราวกับว่าที่นี่ไม่มีอะไรแปลกเลย คนจากร้านของต้าหยงวางหีบลงในบ้านร้าง พวกเขารับเงินจากเฉินลี่ฟู่และออกจากบ้านร้างนี่ไป

เหวินฉายรู้สึกใจหายเหลือเกินกับภาพที่ได้เห็น มันเกินกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มากนัก ทั้งๆ ที่เด็กๆ ไม่ได้มีทีท่าว่าบ้านของพวกเขามันช่าง...แตกต่าง แต่สำหรับเขาแล้ว มันชวนให้น้ำตาของเขาหลั่งไหลเหลือเกิน ทั้งๆ ที่พอจะรู้มาบ้างว่าหานฟง เว่ยเอี้ยนและอี้เหมยนั้นอาศัยอยู่ที่บ้านร้างทางด้านหลังของเมือง แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะทรุดโทรมและดูน่าเวทนาเช่นนี้เลย

“พี่เหวินฉายขอรับ ท่านคิดว่าชุดนี้เข้ากับข้าหรือไม่ขอรับ” เว่ยเอี้ยนนำเสื้อผ้าที่ได้มาใหญ่ทาบลงบนอกของตนพร้อมกับเอ่ยปากถาม ใบหน้าของเว่ยเอี้ยนนั้นเต็มไปด้วยความหวังในคำตอบเสียเหลือเกิน

“เข้าสิ มันช่างเข้ากับเจ้าได้ดีเหลือเกิน” เหวินฉายพยายามควบคุมเสียงของตนเอาไว้ไม่ให้สั่น แต่มันก็ช่างยากเหลือเกิน ดีที่เด็กๆ ต่างให้ความสนใจกับของใหม่ๆ ที่ได้มามากกว่าน้ำเสียงที่แปลกไปของเขา

ยิ่งพวกเว่ยเอี้ยนมีความสุขกับของพวกนั้นมากเท่าไร เหวินฉายก็ยิ่งปวดใจ เขาอยากจะหาให้มากกว่านี้ อยากพาเด็กๆ ไปอยู่กับเขา แต่ลำพังตัวเขาเองก็เป็นเพียงเด็กรับใช้ ไม่สามารถดูแลพวกเด็กๆ ได้ ในระหว่างที่สมองคิดไปต่างๆ มือเล็กๆ ที่เริ่มเย็นเฉียบก็ถูกอีกคนจับกุมประสานเอาไว้จนแน่น บีบกระชับราวกับต้องการปลอบประโลมจิตใจและถ่ายเทความอบอุ่นให้ได้คลายความหนาวเย็น เหวินฉายช้อนสนยตาขึ้นมองลี่ฟู่ที่ส่งยิ้มบางๆ ให้เขาและเขาเองก็ยิ้มตอบกลับไปอย่างเผลอไผล สมองของเหวินฉายถูกใช้ไปหมดกับการคิดเรื่องของเด็กๆ จนหลงลืมไปว่าตนเองนั้นไม่ชอบหน้าเฉินลี่ฟู่ ซ้ำยังปล่อยให้อีกฝ่ายจับมือบางไว้อย่างนั้นไม่คิดจะดึงออกไป ปล่อยให้ความอบอุ่นค่อยๆ ซึมเข้ามาจนแผ่ซ่านเข้าไปในจิตใจช้าๆ บางทีเฉินลี่ฟู่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมายนัก เจ้าลูกเต่านี้อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ ใครจะรู้







  •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• 









ร่างของลู่เหม่ยหลินเดินผ่านตลาดไปอย่างร้อนใจ ในใจของนางนั้นเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัวในเรื่องที่ตนได้รู้มา จะต้องทำเช่นไรนางเองก็หาคำตอบไม่ได้ แต่สิ่งเดียวที่นางพอจะคิดออกคือการที่นางต้องไปยังจวนสกุลเพ่ย อย่างน้อยก็มีคนให้ได้ปรึกษาหารือ ให้ช่วยนางคิดถึงทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

หากบุรุษนั้นคู่กันไม่ได้แล้ว ปีศาจกับมนุษย์เล่า...จะคู่กันได้อย่างไร!

ริมฝีปากสีแดงจากการแต่งแต้มขบเม้มมันเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง มือไม้สั่นไปหมด นางยอมรับได้เลยว่ากลัว เมื่อคืนนางเองก็กระทำตัวไม่ดีออกไปไม่ใช่ว่านางจะไม่รู้ แต่ใครจะคิดว่าหยางเถา...เด็กคนนั้นจะเป็นปีศาจ หากนางรู้ล่ะก็ นางคงไม่ต่อว่าออกไปเช่นนั้น

หากเด็กคนนั้นโกรธขึ้นมาล่ะ จะมาฆ่านางหรือเปล่า

หรือที่เฟยหลงดูรักใคร่เอ็นดูหยางเถาจะเป็นเพราะ...เด็กคนนั้นใช้เสน่ห์ปีศาจควบคุม?

ไม่ๆ แบบนี้มันไม่ถูกต้อง! มันต้องไม่เป็นแบบนั้น!!

ยิ่งคิดนางก็ยิ่งเร่งฝีเท้ามากขึ้นเมื่อเห็นว่าประตูใหญ่ของสกุลเพ่ยอยู่ห่างไปไม่ไกลจนในที่สุดนางก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าประตูเรียบร้อย มือของนางเคาะเรียกจนเสียงดังด้วยความรีบร้อนและเมื่อนางเห็นว่ายังไม่มีผู้ใดมาเปิดนางก็เริ่มเคาะอีกครั้ง จนในที่สุดประตูใหญ่ก็เปิดออก

“ข้ามาพบเพ่ยหลิง นางอยู่หรือไม่”

“ฮูหยินมะ...”

“ท่านป้า...มาหาข้าหรือเจ้าคะ” ยังไม่ทันที่เด็กรับใช้จะได้ตอบสิ่งใด เสียงของเพ่ยเยว่เผิงก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อนเมื่อเห็นว่าผู้ใดมา

“เยว่เผิง แม่เจ้าอยู่รึไม่?” นางร้อนใจเกินกว่าที่จะอดทนรอ สิ่งที่นางเจอในตอนนี้มันเป็นเรื่องที่เสียเวลาไม่ได้อีกแล้ว

“ท่านแม่หรือเจ้าคะ? ท่านแม่เดินทางกลับไปเมืองหลวงกับท่านพ่อเมื่อเช้านี้เองเจ้าค่ะ ท่านป้ามีเรื่องอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?” ในใจของเยว่เผิงนั้นอยากรู้เหลือเกินว่าลู่เหม่ยหลินมีสิ่งใดจะพูดกับท่านแม่ของนาง หรือจะมาพูดเรื่องการแต่งงานของนางกับพี่เฟยหลงกันนะ

“ไม่อยู่งั้นหรือ...ทำอย่างไรดีล่ะ ทำอย่างไรดี” ความกระวนกระวายจู่โจมหนักเสียจนเหม่ยหลินแทบจะควบคุมตนเองไม่ได้ เยว่เผิงที่เห็นสีหน้ากังวลใจของเหม่ยหลินก็อดแปลกใจไม่ได้

“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะท่านป้า เข้ามาด้านในก่อนเถอะเจ้าค่ะ”

เยว่เผิงเดินนำพาเหม่ยหลินไปด้านใน หวังให้น้ำชาสักถ้วยพอจะดับความกังวลที่ฉายชัดออกมาทางใบหน้าของเหม่ยหลินไปได้บ้างเพราะหากเป็นเช่นนี้ นางคงไม่ได้รู้เรื่องอะไรแน่ๆ เหม่ยหลินนั่งลงแม้ว่าจะร้อนใจแต่ก็คงต้องลองปรึกษากับว่าที่สะใภ้อย่างเยว่เผิงดูสักหน่อย นางอาจจะสามารถช่วยได้ก็ได้ ใครจะไปรู้

“มีสิ่งใดหรือเจ้าคะท่านป้า เหตุใดท่านป้าจึงได้กังวลเช่นนี้”

“เยว่เผิง...เจ้าจำสหายของเฟยหลงเมื่อคืนได้รึไม่?” เยว่เผิงหน้าตึงทันที แม้ว่าเมื่อคืนนี้พี่เฟยหลงของนางจะมาส่งถึงจวนแต่ก็มิได้มีอะไรพิเศษแม้แต่น้อย เขาเพียงกล่าวราตรีสวัสดิ์และปล่อยให้นางเข้าไปในจวน ยามที่นางนึกถึงสายตาที่มีบนโต๊ะอาหารเมื่อครั้งที่พี่เฟยหลงของนางใช้มองสหายนั้น มันช่าง...เต็มไปด้วยความหลงใหลจนน่าอิจฉา แต่เยว่เผิงก็เพียงส่งสายตาสงสัยไปให้เท่านั้น

“จำได้เจ้าค่ะท่านป้า มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือเจ้าคะ?”

“หยางเถา หยะ หยางเถาเป็น ปะ ปีศาจ!”

เยว่เผิงหัวใจหล่นวูบ ปีศาจอย่างนั้นหรือ! จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ก็เมื่อคืนนี้บุรุษผู้นั้นก็ดูปกติดี แม้จะมีสีผมที่แปลกตาและงดงามเกินกว่าจะเป็นบุรุษ แต่นางก็ไม่เห็นเลยว่าสิ่งใดที่บ่งบอกว่าคนผู้นั้นเป็นปีศาจ แต่หากเป็นปีศาจจริงๆ หรือความหลงใหลที่พี่เฟยหลงมีต่อคนผู้นั้น จะเป็นเพียงมนต์สะกดของปีศาจกัน! ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ

“ปีศาจหรือเจ้าคะ! จะเป็นไปได้อย่างไรกัน! ไม่น่าเชื่อเลย หากเป็นเช่นนั้นแล้ว...พี่เฟยหลงจะไม่เป็นไรหรือเจ้าคะท่านป้า ขะ ข้าเป็นห่วงพี่เฟยหลงเหลือเกิน” เยว่เผิงทำท่าทีราวกับว่าหยางเถากระทำในสิ่งที่น่าหวาดกลัว ราวกับเฟยหลงถูกร่ายมนต์หรือกระทำบางสิ่งไม่ดีเอาไว้ในจิตใจจนเหม่ยหลินที่เกิดความกังวลอยู่นั้นยิ่งกังวลเข้าไปอีก จิตใจของนางร้อนรุ่มดั่งถูกไฟเผา ความปลอดภัยของบุตรชายของนางนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด จะให้ปีศาจตนนั้นมาทำร้ายเฟยหลงมากไปกว่านี้ไม่ได้ นางทนมองความหายนะที่คืบคลานเข้ามาใกล้กับเฟยหลงไม่ได้

“ป้าจะทำเช่นไรดีเยว่เผิง ป้ากลัวเหลือเกินว่าเฟยหลงของป้า...จะถูกล่อลวงด้วยเสน่ห์ของปีศาจ!” เพ่ยเยว่เผิงลอบยิ้มอย่างพอใจ ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะหายไปในอากาศหลงเหลือไว้เพียงความกังวลที่ถูกนำขึ้นมาไว้บนใบหน้าแสนสวย

“เช่นนั้นก็กำจัดไปเสียสิเจ้าคะท่านป้า”





  TBC





ความรักของแม่อยู่เหนือกว่าทุกสิ่ง เหม่ยหลินนั้นเพียงแค่รักลูกมากจนมองว่าสิ่งที่เราไม่รู้จักนั้นคืออันตราย จนลืมไปว่าจริงๆแล้วความสุขของลูกต่างหากที่สำคัญ ‘เพราะรักมากจนลืมเลือน’  เพราะงั้น โทษเยว่เผิงค่ะ! โทษนางเลย!!! ขอปลาทูหน่อยก๊าบบบบบ 

Facebook : https://m.facebook.com/MaewMarum/

Twitter : https://mobile.twitter.com/little_kittensY




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด