พิมพ์หน้านี้ - บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Special I ก่อนดอกท้อจะผลิบาน. up.21/07/62 [จบ]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: llมว_น้oe ที่ 22-07-2018 19:17:45

หัวข้อ: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Special I ก่อนดอกท้อจะผลิบาน. up.21/07/62 [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 22-07-2018 19:17:45
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



 

      หยางเถา จิตวิญญาณเก่าแก่แห่งต้นท้อที่ดูดซับพลังจากแสงจันทร์ ร้องขอต่อองค์เง็กเซียนเพียงเพื่อให้ได้ร่างมนุษย์เพราะต้องการอยู่กับ ลู่เฟยหลง ชายหนุ่มผู้รับรู้ความรู้สึกของเขาได้ตั้งแต่อยู่ในต้นท้อ ความรักระหว่างมนุษย์และบางสิ่งนั้นจะเป็นเช่นไร จะจบลงอย่างไร ทั้งคู่จะสมหวังหรือไม่...โปรดติดตาม
     

     
เพียงหนึ่งร้อยราตรีกาล
       บุปผาบานรับแสงจันทร์
       หากถึงคราดวงตะวัน
       ฤทัยพลันมลายไป
       พี่หวังยึดจันทรา
       ส่องแสงมาให้ไสว
       เพียงต่อเวลาใจ
       เพื่อชิดใกล้ตลอดกาล


                ลู่เฟยหลง
คุณชายตระกูลลู่ที่หลงใหลกลิ่นหอมของเจ้าดอกท้อน้อยๆ ใบหน้าหล่อเหลารูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาสีดำเรียวคมที่มักจะอ่านแต่ตำรา ริมฝีปากมักจะยิ้มแย้มเสมอยามเมื่อได้คิดถึงเจ้าดอกท้อน้อยๆของเขา
 
                หยางเถา
จิตวิญญาณแห่งต้นท้อพันปี ผู้ยอมแลกรูปลักษณ์ของมนุษย์เพื่อให้ได้อยู่กับชายผู้ที่เขามอบให้ทั้งหัวใจ ชายผู้อ่อนโยนอย่างที่มิเคยได้พบพาน มีเส้นผมสีเงินสลวย ดวงตากลมสีอำพัน แก้มแดงปลั่งเมื่อยามอยู่ชิดใกล้กับเฟยหลง รูปร่างบอบบางสวมเพียงชุดสีขาวสะอาดตาทุกครั้งไป

                  เฉินลี่ฟู่
คุณชายตระกูลเฉินเย่อหยิงและอารมณ์ฉุนเฉียว หากแต่ถูกตาต้องใจเจ้าเด็กน้อยที่เป็นบ่าวรับใช้ผู้นั้นจนอยากจะได้มาเป็นของตน ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย เส้นผมสีนิล ดวงตาสีดำดุดันและร้อนแรงมักทำให้ใครๆหลงไหล รูปร่างสูงโปร่งแต่กลับแข็งแรงมาก
   
                  ถังเหวินฉาย
บ่าวรับใช้ประจำตัวของลู่เฟยหลงที่บอบบางและซุกซน หากแต่กลับอ่อรแอและดื้อรั้นในคราเดียวกัน มีเส้นผมสีน้ำตาล ดวงตาสีเดียวกับเส้นผมกลมโต แลดูไร้เดียงสา ไม่ชอบลี่ฟู่เพราะเคยถูกอีกคนแกล้งในวัยเด็ก



** หมายเหตุ **
    นิยายเรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์ใดๆทั้งสิ้น ทุกตัวละครและสถานที่ล้วนมาจากจินตนาการของผู้แต่งล้วนๆ ทั้งนี้...โปรดทราบว่า ตัวละครและสถานที่ไม่มีอยู่จริงนะคะ ภาษาอาจจะไม่สละสลวย อาจจะไม่มีกลิ่นไอของความเป็นจีนฌบราณมากนัก แมวก็ต้องขออภัยไว้ก่อนเลยนะคะ เพราะแมวเพิ่งจะเคยแต่งแนวนี้จริงๆ

 

ป.ล.

          แมวไม่สามารถหารูปมาลงให้ได้เนื่องจากแมวพยายามหาแล้วแต่ไม่เขอที่ตรงใจเลย เพราะงั้น...จินตนาการกันเอาเนอะ ฮ่าๆ แมวมาเปิดเรื่องใหม่ไว้ก่อน แต่จะมาลงแน่นอน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่แต่งจนจบแล้ว แต่จะมาลงเรื่อยๆและแต่งไปเรื่อยๆพร้อมๆกันเหมือนกับคลินิกนะคะ แมวไม่ดองงาน ไม่เลทมากเกินไปแน่นอนค่ะ :กอด1: :n1:


ฝากเพจและทวิสเตอร์ไว้ด้วยนะคะ

Facebook : https://m.facebook.com/PassionateFiction
Twitter : https://mobile.twitter.com/little_kittensY


นิยายที่ผ่านมา

- เรื่องสั้นสุดวาย(Y)ฉบับนิทานสุดฟิน
-คลินิกรัก(ษ์) บำบัด(ไข้)ใคร่ 18+
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 22-07-2018 23:49:13
 :pig2: :pig2: :pig2:
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-07-2018 12:57:27
รออ่านนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ)
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 23-07-2018 20:15:55
น่าสนใจจจจจจจจ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีวายจีโบราณเท่าไหร่ ว้อนท์มาก55555
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 23-07-2018 21:09:37
รอติดตามครับ
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 1. Up.24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 24-07-2018 22:03:24
     ตลาดยังคงความวุ่นวาย เสียงเจื้อยแจ้วของชาวบ้านที่ยังคงทำมาหากินเพื่อเลี้ยงตนเองยังคงดังขึ้นแทบไม่ได้หยุดพัก ช่างเป็นความครึกครื้นที่ชวนให้ยิ้มเสียจริง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดสีน้ำเงินที่เพียงใช้ตามองก็รู้แล้วว่าชั้นดีแค่ไหนเดินผ่านร้านต่างๆอย่างสุขใจ วันนี้แล้วที่เขาได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง บ้านที่ครั้งเมื่อตอนยังเด็กพ่อและแม่มักจะพาเขามาหาท่านปู่ที่นี่เสมอ เมื่อท่านปู่เสียไปก็ได้ยกมันให้กับเขาเป็นมรดกตกทอด วันนี้จึงเป็นวันที่เขาจะย้ายเข้าไปอยู่

“ท่านปู่ขอรับบบบบบบบบบ” เด็กชายวัย10ขวบวิ่งเข้าไปหาร่างของชายวัยชราที่กำลังจิบชาอยู่อย่างสบายใจ

“เฟยหลง!! หลานปู่ ฮ่าๆ”

     ลู่ฮุ่ยเจิงผู้เป็นปู่วางถ้วยชาลงอ้าแขนรวบร่างผู้เป็นหลานมากอดจนจมอกด้วยความคิดถึงอย่างสุดใจ นานนับปีกว่าจะได้เจอหลานชายผู้นี้สักครั้งด้วยว่าลูกชายของเขาที่เป็นแม่ทัพใหญ่ในเมืองหลวง จึงทำให้ต้องพาลูกเมียไปด้วยนานนับปีที่เขาตั้งตาคอยวันที่จะได้พบหน้าหลานชายสักครั้ง

“คาราวะท่านพ่อ สุขภาพร่างกายของท่านเป็นเช่นไรบ้างขอรับ”

“เหม่ยหลินคาราวะท่านพ่อ”

“ข้าก็ป่วยไปตามอายุนั่นล่ะ แต่เจ้ากับเหม่ยหลินเถอะ กลับมาเหนื่อยๆพากันไปพักก่อนเถอะ”

“ท่านปู่ ข้าคิดถึงท่านปู่มากเลยขอรับ”

“ปู่ก็คิดถึงเจ้ามากเช่นกันเฟยหลง”

    ฮุ่ยเจิงมองผู้เป็นหลานด้วยสายตารักใคร่เอ็นดู หลานชายคนนี้มักทำให้ตาแก่อย่างเขารู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ให้นานกว่านี้เพื่อมองดูหลานรักเติบโต ฝ่ามือใหญ่ที่เหี่ยวย่นตามอายุขัยที่มากขึ้นลูบหัวเล็กๆอย่าเอ็นดู เหม่ยหลินจับแขนสามีตนส่งรอยยิ้มให้กันกับภาพตรงหน้า ก่อนที่จะพากันเดินออกไปปล่อยให้ปู่หลานได้คุยกันตามประสา เหล่าคนรับใช้ต่างพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นานนับปีที่พวกเขาไม่ได้เห็นใบหน้าอันอ่อนโยนของผู้เป็นนายใหญ่ของบ้าน ปกติท่านฮุ่ยเจิงจะมีสีหน้าดุขรึมไร้อารมณ์ตั้งแต่ฮูหยินได้จากไป แต่เมื่อนายน้อยเฟยหลงกลับมา ท่านฮุ่ยเจิงก็ยิ้มและหัวเราะเสียงดังไปทั่วทั้งเรือนจนพวกคนใช้ในเรือนนั้นอดยิ้มตามกันไม่ได้

“ตามมาสิ ปู่จะพาไปดูอะไร”

“อะไรหรือขอรับ?” ลู่เฟยหลงมองใบหน้าที่แสนใจดีของฮุ่ยเจิงด้วยความสงสัย

“มาเถอะ.....เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้”

    แม้จะมีความสงสัยอยู่มาก แต่เมื่อท่านปู่บอกเขาเช่นนั้นเขาก็ยินดีจะเดินตามไปโดยไม่ลังเล ฮุ่ยเจิงจูงมือหลานชายตัวน้อยกระชับฝ่ามือแน่นราวกับกลัวว่าหลานชายตนจะพลัดหลงไปที่อื่น

     สองร่างปู่หลานก้าวเข้ามายังสวนด้านหลังที่เต็มไปด้วยความงามของเหล่ามวลดอกไม้ ผีเสื้อหลากสีต่างพากันมาชื่นชมความหอมหวานของสีสันอันยวนตา ไม่แปลกใจเลยที่มันจะอดใจไม่ไหว ในเมื่อทั้งความหอมที่ล่องลอยตามสายลมมาแตะจมูกและสีสันสดใสที่สามารถมองเห็นได้นั้น ทุกอย่างช่างเป็นความงดงามที่ลงตัวจนแทบจะถลาตัวเข้าไปใกล้ๆ

“สวยใช่รึไม่ เฟยหลง” ฮุ่ยเจิงเอ่ยถามหลานชายที่ยังคงเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา

“ขอรับท่านปู่ งดงามมากเลยขอรับ”

    พลันสายตาที่จดจ่อกับความงดงามตรงหน้ากลับถูกบางสิ่งดึงดูดไป นั่นคือสิ่งใดกัน? ไยจึงมีความเศร้าแผ่กระจายออกมาเช่นนี้ คิ้วเล็กแทบจะชนกันด้วยความสงสัย ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางซ้ายคืออะไรกัน ไยไม่มีแม้แต่ดอกไม้ให้ได้ชื่นชม ไยจึงมีเพียงความขจีที่ไร้อารมณ์เช่นนี้เล่า

“ท่านปู่ขอรับ”

“ว่าอย่างไร หลานรัก” สายตาฮุ่ยเจิงยังคงชื่นชมกับมวลดอกไม้ จนมิได้สังเกตความผิดปกติของหลานชายแม้แต่น้อย

“นั่นคือต้นอะไรหรือขอรับ” นิ้วมือเล็กชี้ไปทางลำต้นสูงที่มีใบเขียวปกคลุมกระจายร่มเงา ฮุ่ยเจิงมองตามนิ้วเล็กไปจนถึงปลายเหตุแห่งคำถาม จริงสินะ เจ้านั่นเองก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน เขาลืมไปเสียสนิท ฮุ่ยเจิงลอบถอนหายใจก่อนจะหันมาตอบคำถาม

“นั่นนะ เขาเรียกกันว่าต้นท้อ”

“ต้นท้อ?” ยิ่งได้ฟังยิ่งสงสัย ต้นท้อที่เขาเคยได้พบพานมาจากเมืองหลวงนั้นล้วนแต่ผลิดอกออกผล ไม่เคยมีสักต้นที่จะโล้นจนเหลือเพียงใบเช่นต้นนี้

“ใช่แล้วหลานรัก ต้นท้อ”

“เหตุใดจึงมิมีดอกหรือผลเลยล่ะขอรับ ที่เมืองหลวงข้าเห็นมีดอกและผลมากมาย แล้วไยต้นนี้......จึงไร้สีสัน” ฮุ่ยเจิงได้ฟังคำพูดของหลานชายก็ทอดสายตาออกไปด้วยความเหม่อลอย ความจริงแล้ว ผู้ที่สังเกตเห็นความแปลกของต้นท้อต้นนี้ มีเพียงแค่เฟยหลงเท่านั้น ส่วนผู้อื่นแม้จะได้เข้ามายลสวนของเขาก็ต่างหลงไหลไปกับกลิ่นและสีของเหล่ามวลดอกไม้ทั้งสิ้น หามีใครไต่ถามถึงเหตุของต้นท้อไม่แม้แต่จะเห็นอยู่ในสายตา

“เพราะต้นท้อต้นนี้ ถูกเรียกว่า...ท้อโศกศัลย์”

“ท้อโศกศัลย์คืออะไรหรือขอรับท่านปู่”

“ท้อโศกศัลย์...ถูกเรียกด้วยชื่อนั้นเพราะมันไม่เคยผลิดอกเลยสักครั้ง นานนับพันปีแล้ว”

“นายท่าน มีแขกมาขอพบขอรับ”

“เดี๋ยวข้าตามไป” ฮุ่ยเจิงพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะหันกลับมาหาเฟยหลง

“เฟยหลง.....เจ้าไปเล่นในสวนนี้ก่อนเถอะ ปู่ขอไปพบแขกก่อน”

“ขอรับท่านปู่”

    เฟยหลงวิ่งออกไปยังดอกไม้ที่เรียงรายอยู่มากมายหลากหลายพันธุ์ เขาวิ่งเล่นไล่จับกับพวกแมลงและผีเสื้ออย่างสนุกสนาน นั่นคือสิ่งที่เขาจำได้ดีกับความรู้สึกสนุกจนลืมเวลา จำได้ว่าเขาเล่นอยู่นานจนท่านปู่ต้องมาเรียกเขาถึงยอมหยุ


    เฟยหลงหยุดยืนมองประตูใหญ่ด้วยแววตาคิดถึง เขามองเห็นเงาในอดีตของตนเองที่วิ่งซนเข้าออกจากจวนด้วยรอยยิ้มโดยมีฮุ่ยเจิงผู้เป็นปู่มองดูด้วยความเอ็นดู

    คิดถึงเหลือเกินความรู้สึกนี้

    เฟยหลงยืดกายเดินสาวเท้าก้าวเข้าไปช้าๆ การมาของเฟยหลงนั้นล้วนพกพาความตื่นเต้นให้แก่เหล่าสาวใช้ ด้วยใบหน้าอันหล่อเหลาที่แลดูสะอาดสะอ้านหมดจรดน่ามอง ดวงตาคมที่จับจ้องไปด้านหน้านั้นหากใช้มองผู้ใดย่อมสะกดผู้นั้นไว้อย่างไม่อาจต่อต้าน สันจมูกโด่งรับกับริมฝีปากบาง คิ้วเข้มช่วยเน้นให้ใบหน้าของเฟยหลงน่ามองยิ่งขึ้น สาวใช้ต่างพากันลอบมองเฟยหลงด้วยความเสน่หา ใบหน้าแดงซ่านยามถูกตาคมคู่นั้นจับจ้อง ยามลับตาไปต่างก็กรีดร้องเสียงดัง สาวใช้ต่างพากันจับกลุ่มพูดคุยถึงความงามจากรูปโฉมของนายคนใหม่แห่งจวนตระกูลลู่

    ลู่เฟยหลงเดินเข้าไปในจวน ของทุกชิ้นยังอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยน จะผ่านมากี่ปีเขาก็ยังคงจำได้ดี เก้าอี้ตัวนั้นคือตัวที่ท่านปู่ชอบนั่ง เป็นจุดที่ท่านปู่มักจะใช้เวลาดื่มชาอย่างสบายๆยามไร้แขกมาเยือน ถังลี่หยาง พ่อบ้านเก่าแก่ที่มักจะคอยดูแลฮุ่ยเจิงเมื่อครั้งยังอยู่เดินเข้ามาหาเฟยหลงช้าๆ

“นายน้อยเฟยหลง ขอต้อนรับกลับจวนสกุลลู่ขอรับ”

“ท่านลุงถัง ท่านสบายดีใช่รึไม่” ถังลี่หยางยิ้มให้นายน้อยของตนอย่างอ่อนโยน เจ้านายใครเล่าจะเป็นห่วงเป็นใยเช่นนายของเขา

“ขอรับนายน้อย เดินทางมาเหนื่อยหรือไม่ขอรับ” พอถูกทักร่างกายของเฟยหลงก็ถูกความเหนื่อยล้าเข้าเล่นงานจนปวดไปตามตัว กำปั้นจากมือของเฟยหลงทุบไปตามท่อนแขนด้วยความปวดเมื่อย น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้เขาไม่มีความรู้สึกสักนิด หากเพียงแต่ท่านลุงถังทักกลับมีความรู้สึกขึ้นมาเสียง่ายๆ

“ถ้ายังไง นายน้อยเชิญพักที่ห้องก่อนเถิด ข้าน้อยได้ให้สาวใช้ตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ”

“เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน”

   เฟยหลงเดินตามสาวใช้ที่ถูกถังลี่หยางเรียกให้มาขนสัมภาระและนำทางเขาไปยังห้องนอน แต่ก่อนนั้นเขาจำได้ว่าทุกครั้งที่เขาได้มาเยี่ยมเยือนท่านปู่ ห้องทางด้านซ้ายจะเป็นของเขา หากตอนนี้ ทิศทางที่เขากำลังไปนั้น หาใช่ทางเดิมไม่ ความแคลงใจเกิดขึ้นมาหากแต่เฟยหลงกลับไม่ได้ถามอะไรออกไป

   สาวใช้นามหลิวเซียนคอยลอบมองหน้าเฟยหลงเป็นพักๆ แก้มแดงปลั่งจนแทบไหม้ ได้เห็นคุณชายน้อยแห่งตระกูลลู่อย่างใกล้ชิดเช่นข้า ใครๆก็ต้องอิจฉาข้าทั้งนั้น รูปงามราวเทพเทวาที่ลงมาจุติจากสวรรค์ ดวงตาคู่นั้นก็กระไร เพียงสบไม่กี่คราหัวใจก็เต้นระรัวเสียนี่ หลิวเซียนนำเฟยหลงมายังห้องที่ถูกนายท่านฮุ่ยเจินสั่งเอาไว้ก่อนจะสิ้นใจว่า อย่างไรเสีย ห้องที่อยู่ตรงสวนท้อ ก็ต้องเป็นห้องของนายน้อยเฟยหลงเท่านั้น ถึงแม้พวกข้ารับใช้จะมีคำถามที่คาใจว่า ทำไมจะต้องเป็นห้องนี้ก็ตาม

“ถึงแล้วเจ้าค่ะ นายน้อย” หลิวเซียนนอบน้อมด้วยความเหนียมอาย หวังอยู่ลึกๆว่าความงามของตนจะต้องใจผู้เป็นนายคนใหม่บ้าง

“ขอบใจเจ้ามาก เจ้ากลับไปพักเถอะ”

“เจ้าค่ะ นายน้อย”

    แม้จะไม่เต็มใจ แต่คำสั่งคือคำสั่ง หลิวเซียนมีสีหน้าเสียดายเมื่อเฟยหลงไม่สนใจแม้แต่จะมองนางด้วยซ้ำ ปิดประตูหนีตั้งแต่ได้ก้าวเท้าเข้าไปในห้องราวกับมีอะไรสำคัญ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด นางเป็นสาวใช้ที่มีใบหน้างดงาม เดินไปตลาดคราใดก็ถูกชายหนุ่มมากมายมาเกี้ยวพาราสี แต่นี่กระไร นายน้อยของนางมิเพียงไม่แลแม้แต่หางตา ซ้ำยังทำราวกับว่า นางไร้ตัวตน

“ฮึ่ย!! ข้าออกจะงามขนาดนี้ ไยนายน้อยมิต้องใจกัน!!”

หรือว่า.........นายน้อยจะหมายปองผู้ใดอยู่ก่อนแล้ว



                                        ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




มีต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 1. Up.24/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 24-07-2018 22:05:11
เสียงจิ้งหรีดกรีดร้องกับความมืดที่เริ่มปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง เฟยหลงยืนมองจันทราที่สว่างไสวด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง สายลมเอื่อยพัดผ่านร่างสูงอย่าแผ่วเบา กลิ่นหอมอ่อนๆ จากที่อันแสนไกลลอยมาตามสายลมจนเฟยหลงเผลอสูดดมเข้าไป กลิ่นหอมเช่นนี้ลอยมาจากที่ใดกัน??

ยิ่งสงสัยเท้าใหญ่ก็ค่อยก้าวไปยังต้นทางของกลิ่นอันน่าอภิรมย์ ช่างหอมหวนยิ่งนัก กลิ่นหอมเช่นนี้ราวกับมันคือกลิ่นกายที่แสนจะคุ้นเคย หัวใจภายในอกแกร่งเต้นแรงจนเจ้าของร่างสั่นไหว ความคิดคนึงหาแทบจะพาเขาเหาะไปให้เร็วที่สุด กลิ่นใดกันหนอ ไยจึงทำใจข้าเต้นรัวได้ถึงเพียงนี้

ร่างสูงใหญ่หยุดยืนอยู่เบื้องหน้า เมื่อกลิ่นหอมที่เฟยหลงหลงไหลนั่นดูเหมือนจะสิ้นสุดอยู่นี้ น่าแปลก ไม่มีผู้ใดสักคนแท้ๆ ไยกลิ่นที่เขารับรู้ถึงมิคลายไป กลับยิ่งหอมรัญจวนใจมากขึ้น สิ่งใดกันหนอคือเจ้าของความหอมหวานที่เขาพึงใจ เมื่อเบื้องหน้าเขานั้น มีเพียง.....ท้อโศกศัลย์ แต่เจ้าต้นไม้นี่ มิเคยผลิดอก จะส่งกลิ่นได้อย่างไร

เฟยหลงยกมือขึ้นเอื้อมออกไปหวังแตะต้นไม้ต้นใหญ่ตรงหน้า ความรู้สึกเศร้าสร้อยถูกท่ายเทมาจนรู้สึกได้ สายลมพัดมาวูบใหญ่จนเขาเผลอลูบลำต้นใหญ่ด้วยความสงสาร

“เหตุใดจึงเศร้านักเล่า เจ้าต้นท้อ”

เฟยหลงรู้ มิมีผู้ใดตอบกลับมาเพราะเขากำลังพูดคุยกับต้นไม้ใหญ่ ใบเขียวสะบัดไปมาตามแรงลม เสียงใบไม้เสียดสีราวกับเสียงร่ำไห้ของต้นท้อ ยิ่งทำให้บรรยากาศรอบกายเศร้าเสียจนอยากโอบกอดเอาไว้ ปลอบประโลมให้หายแม้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดก็ตาม

“หากอ้อมกอดข้าจะช่วยบรรเทาความเศร้าของเจ้าลงได้ ข้ายินดีโอบกอดเจ้าทุกวัน”

เฟยหลงทำอย่างที่กล่าวจริงๆ อ้อมแขนโอบรัดรอบลำต้นใหญ่ แม้จะไม่อาจโอบได้จนรอบ แต่เฟยหลงพร้อมจะถ่ายเทความอบอุ่นที่เขามีให้ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ ได้รู้สึกดีแม้เพียงน้อยนิดก็ตาม ท้อโศกศัลย์เป็นต้นเดียวที่เป็นต้นไม้ใหญ่ รอบๆ มีเพียงดอกไม้แม่ต้นหญ้าเรียงราย

เหงามากใช่รึไม่

อยู่มานับพันปีด้วยความโดดเดี่ยว มองดูเหล่าดอกไม้รอบๆ ค่อยๆ แห้งเหี่ยวและโรยราทั้งที่ตนยังคงยืนอยู่ตรงนี้มาตลอด ทำได้เพียงแค่มองดูเพื่อนๆ ค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา ช่างน่าสงสารเสียจริง เพราะเช่นนี้ ถึงมิยอมผลิดอกออกผลสินะ

น้ำใสๆ ไหลจากใบหน้าเฟยหลง อาจเพราะใบหน้าเฟยหลงแนบอยู่กับลำต้นใหญ่นั้น จึงทำให้หยาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาถูกเปลือกสีเข้มดูดซับไปจนหมด

“เจ้าเช็ดน้ำตาให้ข้าหรือ อ่อนโยนเหลือเกิน ทั้งที่ข้าต้องเป็นฝ่ายประโลมเจ้าแท้ๆ”

เหตุใดกันนะเขาจึงได้รู้สึกผูกพันธ์ลึกซึ้งจนมิอาจให้ต้นท้อตรงหน้าโศกเศร้าได้ ปวดหัวใจเหลือเกินที่ต้องคิดถึงความรู้สึกของเจ้านี่ที่ต้องค่อยๆ มองดูเพื่อนๆ ของตัวเองตายไป อย่าเศร้านักเลยเจ้าท้อ หัวใจข้าจะขาดอยู่แล้ว

แขนแกร่งค่อยๆ คลายอ้อมกอดออก สายลมพัดเข้ามาวูบใหญ่จนร่างสูงรู้สึกดีขึ้นอย่างน่าประหลาด หากความรู้สึกดีของเขาจะส่งให้เจ้าต้นไม้ต้นนี้ได้บ้างคงดี ยิ่งเงียบสงบ เฟยหลงยิ่งมิอาจจะละสายตาจากต้นท้อผู้ไร้ดอกและผลได้ ใบไม้สีเขียวยามต้องแสงจันทร์ก็ดูเข้ากันอย่างน่าชม มองๆ ไปก็เพลิดเพลินตาได้ดี หากเขาเอาแต่หมกตัวอ่านตำรา มีหวังได้บ้าเสียก่อนเป็นแน่

อากาศรอบๆ ที่โอบกอดเจ้าต้นท้อช่างบริสุทธิ์ กลิ่นหอมที่ต้องใจยังคงลอยมามิขาดหาย กลิ่นที่ทำให้เขารู้สึกพึงใจและผ่อนคลาย หากเขารู้ว่ามันคือสิ่งใด เขาคงไม่วายเก็บมันไปไว้ข้างกายเป็นแน่ ราตรีที่แสนจะเหน็บหนาวสำหรับใครๆ เหตุใดตัวเขาจึงพึงใจและชื่นชอบกันนะ คงเป็นเรื่องแปลกแน่ ถ้าหากมีใครมารู้เข้า คงไม่วายว่าเขาเสียสติจากการอ่านตำรา

เฟยหลงตัดสินใจจะเดินกลับเข้าไปในห้องของตนเอง ทันทีที่หันหลัง กลิ่นหอมหวานก็รุนแรงขึ้นราวกับว่าต้นตอของกลิ่นนั้นได้มาอยู่ใกล้ๆ เฟยหลงชะงักเท้าที่กำลังก้าวรีบหันกลับมาด้วยความอยากรู้ ตาเรียวคมเบิกกว้างมองสิ่งที่สะท้อนอยู่ในแววตาตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง

ดอกท้อสีชมพู มันกำลังบานอยู่ตรงหน้าข้าจริงหรือนี่!!!

จะว่าไม่แน่ใจก็ใช่ เมื่อเขาเองได้ยินมาจากปู่ว่ามันคือท้อโศกศัลย์ แล้วเช่นนี้ มันจะมีดอกมีผลได้อย่างไรกัน ความสงสัยที่ตีรวนขึ้นมานั้น ทำให้เฟยหลงถึงกับต้องยกมือขึ้นขยี้ตาเพราะคิดว่าตนเองล้าจากการอ่านตำราจนตาเฝื่อน แต่เมื่อเฟยหลงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดอกท้อสีชมพูสดใสที่ต้องแสงจันทร์ยังคงบานสะพรั่งอยู่เช่นเดิม

เป็นไปไม่ได้ นี่มันไม่จริง

ยิ่งคิดก็ยิ่งงุนงงเข้าไปอีก หรือนี่จะมิใช่ต้นเดียวกับเมื่อคราวนั้นกันนะ หากแต่ลำต้นใหญ่ที่ดูแข็งแรง ใบหนาปกคลุมไปทั่วกับจุดเดิมที่เมื่อครั้นยังเยาว์เขาได้มาพบมาเจอนั้น ไม่น่าจะผิดต้นไปได้เลย

สองมือเอื้อมไปด้านหน้าหวังจะเชยชมดอกท้อที่เบ่งบานอยู่บนกิ่งนั้น สีสดสวยงามจนเฟยหลงเผลอยิ้มออกมา กลิ่นหอมที่เขาชื่ชอบลอยมาแตะจมูกจนเฟยหลงเองต้องสูดดมเข้าไปจนสุดปอด หอมนัก หอมจนเขาหลงใหลกับกลิ่นนี้เสียเหลือเกิน

สวบ



“ใคร!!!” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบเมื่ออารมณ์สุทรีย์ถูกขัดขึ้นด้วยเสียงเหยียบย้ำบนใบไม้ของใครบางคน ซึ่งเขาแน่ใจว่า พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขาแน่ๆ และคงไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาหาเขามิอนุญาต!

“ออกมา!! ข้าบอกให้เจ้าออกมาจากตรงนั้น!!” สุ่มเสียงวางอำนาจดังขึ้นจนร่างเล็กๆ หลังต้นไม้สะดุ้งด้วยความตกใจ อะไรกัน นี่เขาต้องมาเจออารมณ์ของคนผู้นี้แบบนี้หรือ สายลมพัดเอาผมสีเงินแปลกตาให้ปลิวจนเฟยหลงมองเห็น ยิ่งยามถูกแสงจันทราสาดส่องความเงางามยิ่งเด่นชัดจนเขาอดชื่นชมไม่ได้

“หากเจ้าไม่ยอมออกมา ข้าจัก...”

“ขะ ข้ายอมแล้ว!!”

ใบหน้าหวานกับผมสีเงินทำให้เฟยหลงชะงัก ดวงตากลมโตยามจับจ้องมาที่เขาช่างดูหวาดหวั่น ปลายจมูกเชิดขึ้นกับริมฝีปากบางสีพีชดึงดูดใจจนอยากเข้าไปใกล้ๆ ยามดวงตากลมสีอำพันนั้นกะพริบลงแพรขนตางอนยาวยิ่งเด่นชัดจนน่าอิจฉา ยิ่งรูปลักษณ์ของคนตรงหน้ายิ่งแล้วใหญ่ ผ้าแพรสีขาวที่คนตัวเล็กสวมใส่มิได้ทำให้คนๆ นี้ดูสมชายขึ้นเลยแม้แต่น้อย กลับดูบอบบางน่าถนุถนอมเอาไว้ มิให้แหลกคามือดังบุปผา เฟยหลงตะลึงงันไปกับความงดงามของคนตรงหน้าจนแทบจะลืมหายใจ หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หยางเถาที่ถูกเฟยหลงจับจ้องอยู่ถึงกับทำตัวไม่ถูก ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าสบสายตา แม้จะรู้ดีว่าตนกำลังถูกเพ่งพินิจจากบุคคลตรงหน้าก็ตาม สายตาคู่หวานเองก็มิวายแอบลอบมองใบหน้าของคนที่โอบกอดครั้นเมื่อตอนเขาอยู่ในต้นท้อ คนที่หลั่งน้ำตาให้เขาราวกับเจ็บปวดแทนเขาเสียเหลือเกิน ยิ่งคิดถึงปากบางๆ ก็ขบเม้มจนแน่น สับสนจนเริ่มอะไรไม่ถูก

“เจ้าคือผู้ใดกัน?” ไร้ซึ่งคำตอบ หยางเถาก้มหน้าลงมองพื้นดิน ด้วยมิรู้ว่าจะเอ่ยตอบคนตรงหน้าไปเช่นไรดี ฝ่ายเฟยหลงที่เห็นว่าอีกคนมิยอมตอบ จึงได้เลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับคำถามที่เปลี่ยนไป

“เจ้ามาจากที่ใดหรือ?” เฟยหลงเอ่ยถามเสียงติดนุ่มนวลเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเองดูจะมิคุ้นเคบกับการใส่อารมณ์มากนัก จะว่าใจอ่อนเพราะใบหน้าหวานๆ นั่นก็มิผิดไปหรอก

“ข้ามาจาก...ที่นั่น” นิ้วเรียวเล็กชี้ไปที่ต้นท้อต้นใหญ่ ลู่เฟยหลงยกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ จะบอกว่ามาจากต้นท้อหรือไร คงมิใช่หรอกระมัง

“จากต้นท้อหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? เจ้าจะบอกข้าว่าเจ้าออกมาจากต้นท้อได้เช่นนั้นหรือ” คำถามที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจถูกถามออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ สำหรับเฟยหลงเขาไม่เข้าใจมันเลย คำตอบแบบนี้มิเท่ากับการยั่วโทสะของเขาหรอกหรือ แต่หยางเถาหาได้คิดเช่นนั้นไม่ กลับพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม

“ถูกแล้ว ข้าออกมาจากต้นท้อจริงๆ” เป็นเฟยหลงเสียเองที่อ้าปากค้าง มองคนตรงหน้าอย่างตกตะลึงในใจ สายตาคู่คมกวาดมองหยางเถาทั้งร่างราวกับกำลังวิเคราะห์อะไรสักอย่างอยู่ หยางเถาเกิดความหวาดกลัวในจิตใจ ด้วยตนเพิ่งจะเคยพบมนุษย์จึงมิคุ้นชินกับการถูกจับจ้องเช่นนี้ หรือคนผู้นี้จะรังเกียจ? สายตาของร่างบางพลันเศร้าหมองจนน่าใจหาย

“เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้น" หัวใจของหยางเถาบีบรัดเสียจนแน่นไปหมด

"..."

"หรือเพราะเจ้ารังเกียจที่ข้ามิใช่มนุษย์ เจ้าจึงได้มองข้าเช่นนั้นใช่หรือไม่"

"ข้าหรือรังเกียจ? เห็นข้าเป็นเช่นคนใจแคบเช่นนั้นหรือ? " หยางเถาหลบสายตาคู่สวยลงมองพื้นดิน มิกล้าสบตาของเฟยหลง ด้วยดวงตาคู่นั้นช่างชวนให้หัวใจของเขาสั่นไหวเสียเหลือเกิน ครั้งเมื่ออีกฝ่ายบอกเป็นนัยว่ามิใช่ความรังเกียจ หัวใจของหยางเถาก็เต้นระรัวจนมิอาจจะควบคุมได้

"ข้าเพียงแปลกใจก็เท่านั้น มิได้รังเกียจใดๆ ในตัวเจ้าเลย บอกช้าหน่อย เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ? "

“ข้าชื่อหยางเถา…” เสียงนุ่มหู กลิ่นหอมหวานและรอยยิ้มแสนน่ารักของหยางเถา ช่างเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจของเขาเหลือเกิน

“มีใครเคยเห็นเจ้า เช่นที่ข้าเห็นหรือไม่” ผมสีเงินสะบัดพลิ้วเมื่อเจ้าของส่ายหน้าปฏิเสธ

“ท่านปู่ของข้าก็ด้วยหรือ??”

หยางเถาหันไปมองต้นท้อที่ตนอาศัยอยู่ภายในมานานแสนนาน มือบางยกขึ้นลูบลำต้นใหญ่ด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวและแสนเศร้า ความทรงจำต่างๆ ฉายซ้ำไม่หยุดราวกับเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกหนีได้ ความผิดข้าหรือที่มิอาจล้มตายตามเพื่อนๆ รอบๆ กายได้ ความผิดข้าหรือ ที่จักต้องวนเวียนอยู่กับความรู้สึกสูญเสียเพื่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ข้าเป็นเพียงแค่ต้นท้อ ที่มิเคยออกดอกและผลเท่านั้น มิใช่ภูตผีปีศาจเหมือนผู้อื่น” ดวงตากลมสะท้านไปกับความเจ็บปวด ริมฝีปากบางเม้มลงจนเจ็บแต่มันก็ไม่เท่ากับความเจ็บที่ใจแม้แต่น้อย เฟยหลงอับจนด้วยคำพูด การปลอบผู้อื่นเขาไม่เคยถนัดสักนิด ยิ่งเห็นหยางเถาเสียใจ ไหล่เล็กๆ ที่สั่นไหวเขายิ่งทรมานและปวดร้าว

“เช่นนั้น ไยข้าจึงเห็นเจ้ากัน”

“เพราะข้า.....” เฟยหลงมองแผ่นหลังที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีเงินอย่างรอคอยในคำตอบ หยางเถากลืนก้อนบางอย่างที่จุกอยู่บริเวณลำคอให้มันหายไป เขาเลือกแล้ว เมื่อเลือกแล้ว เขาก็ยินยอมรับความเป็นจริง

ใบหน้าหยางเถาหันกลับมาจ้องเฟยหลงด้วยสายตาจริงจัง ความลับ มิมีอยู่ในโลก หากวันนี้ไม่พูด อย่างไรเสียเขาก็จักต้องพูดออกไปสักวัน ช้าหรือเร็ววันนั้นก็ต้องมาถึง หยางเถาถอนหายใจออกมาเสียงดัง พยายามเรียบเรียงคำพูดเพื่อบอกเล่าแก่เฟยหลง

“เพราะข้าอ้อนวอนต่อองค์เง็กเซียน ข้าอยากอยู่กับเจ้าแม้จะต้องแลก...”

“แลกด้วยสิ่งใดหรือ?” เฟยหลงขมวดคิ้วอย่างสงสัย การที่อีกฝ่ายปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเขาได้เช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีข้อแลกเปลี่ยน

“องค์เง็กเซียนบอกข้า.......หากข้าต้องการอยู่กับเจ้า ข้าจะต้องมีร่างกายของมนุษย์ และเพื่อมีร่างกายของมนุษย์นั้น......ข้าจะต้องยอมสละดวงวิญญาณของข้าที่ได้รับพลังจากแสงจันทราในช่วงพันปีมานี้”

“จริงหรือ......” เฟยหลงถามด้วยความดีใจ ต่อไปนี้ เขาก็จะพบเจอใบหน้าหวานของหยางเถาทุกวี่วันที่เขาต้องการแล้ว ช่างน่ายินดีเสียงจริง

“100ราตรี เพื่อแลกกับหนึ่งร้อยราตรีจากนี้ไป ข้างจะต้องใช้วิญญาณทั้งหมดของข้าเพื่อทำให้ดอกท้อบานอยู่เช่นนั้นจนครบ100ราตรี”

“แล้วเมื่อครบเล่า จะเกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถาม รู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งที่หยางเถาไม่ได้บอกเขา บางอย่างที่มัน....สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ศีรษะเล็กส่ายไปมา จับมือใหญ่ขึ้นมากุมเอาไว้ด้วยความผูกพันธ์ที่ยากจะอธิบาย

“เมื่อครบตามกำหนดเวลา ข้าก็จะสลายไปดั่งเช่นวัฏจักรของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ หรือต้นไม้ ข้า...จะกลับกลายเป็นเพียงธุลีดิน ไม่สามารถอยู่กับเจ้าได้อีก”

“เจ้าจะตายเช่นนั้นหรือ”

หยางเถาก้มหน้าลงซ่อนดวงตาร้าวรานเอาไว้ พยายามฝืนยิ้มทั้งที่เมื่อคิดถึงวันสุดท้ายที่เขาจะต้องไป มันกลับรู้สึกว่าหัวใจคล้ายจะแตกสลาย จะตายหรือ คงใช่ เมื่อถึงวันนั้นคงเรียกว่าตายได้นั่นล่ะ

“ไม่เป็นไรหรอก อย่าลืมสิ ข้ามีเวลาอยู่กับเจ้าอีกร้อยราตรีนะ” รอยยิ้มหวานถูกหยางเถาส่งให้กับร่างสูงเพื่อปลอบประโลม เช่นไรเสีย เขาเพียงอยากใช้ช่วงเวลาสุดท้ายที่เขาแลกมา เพื่อทำให้คนคนนี้มีความสุข เพื่อเก็บความทรงจำดีๆ กับเฟยหลงเอาไว้ แม้ว่ามันจะต้องแลกกับชีวิตของเขาก็ตาม หยางเถาเอื้อมมือออกไปจับกุมมือหนาเอาไว้จนแน่น ส่งยิ้มบางเบาให้ร่างสูงเพื่อนให้เฟยหลงอารมณ์ดีขึ้น

“ยิ้มหน่อยสิ” ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพียงแค่เฟยหลงได้ยินคำนั้นที่ออกมาจากร่างบาง เฟยหลงก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้ เมื่อหยางเถายอมสละชีวิตเพียงเพื่อให้ได้อยู่กับเขาแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ เขาก็จะทำให้หยางเถามีแต่รอยยิ้ม จะไม่มีทางให้ใครมาทำร้ายดอกท้อดอกนี้ของเขาเป็นแน่ ไม่มีทาง!!

“นามของข้าคือลู่เฟยหลง เจ้าเรียกข้าว่าเฟยหลงก็ได้ แล้วเจ้าอยากจะทำอะไร”

“ไม่รู้สิ ปกติเจ้าทำอะไรบ้างล่ะเฟยหลง” เสียงหวานที่เอื้อนเอ่ยชื่อเขาออกมา ทำให้หัวใจของเฟยหลงพองโตจนคับแน่นไปทั้งอก ณ ตอนนี้ ไม่ว่าสิ่งใด ก็ไม่สำคัญเท่ากับหยางเถาอีกแล้ว

“เจ้าอ่านหนังสือออกหรือไม่” ใบหน้างามส่ายหน้าปฏิเสธ เขาเป็นต้นไม้นะ จะเคยอ่านหนังสือได้อย่างไร คิดได้แบบนั้นหยางเถาก็หัวเราะออกมา นั่นยิ่งทำให้เฟยหลงเผลอมองนิ่งด้วยความตะลึง รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของหยางเถาที่มีแสงจันทร์สาดส่องมันช่างงดงามยิ่งกว่าเทพธิดาองค์ใด

“เฟยหลง ข้าเป็นต้นท้อมาหลายพันปี เจ้าคิดว่าจะมีผู้ใดมาสอนหนังสือให้ต้นไม้เล่า”

เฟยหลงที่คิดขึ้นได้ถึงกับหน้าขึ้นสี ร่ำเรียนมาก็มา หากแค่พยายามจะหาเรื่องราวมาชวนคุย เขายังทำพลาดเลย น่าอายเสียจริง หากใครมารู้มาได้ยินเข้า เขาคงไม่รู้จักเอาหน้าไปไว้ที่ใด

“ข้าก็ลืมไปเสียสนิทเลย” ยิ่งเฟยหลงทำท่าราวกับเคอะเขินมากเท่าไหร่ ยิ่งเรียกเสียงหัวเราะจากหยางเถามากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้ว่ามันจะน่าฟังก็ตามที

“ไปเถิด ไปด้านในกับข้า ข้าจะสอนเจ้าอ่านตำราเอง” เฟยหลงกุมมือเล็กๆ เอาไว้ แม้จะไม่อุ่นเช่นดังมนุษย์ควรจะเป็นแต่เฟยหลงก็พร้อมจะกุมเอาไว้ตลอดไป ต่อให้มันจะเย็นเท่าไหร่ เขาก็พร้อมจะถ่ายเทความอบอุ่นจากตัวเขาไปให้จนกว่ามือคู่นั้นจะเต็มไปด้วยไออุ่นจากเขา

เฟยหลงและหยางเถาต่างพากันเข้าไปภายในห้องของร่างสูง ทุกอย่างมันดูแปลกไปหมดสำหรับหยางเถา ไม่ว่าสิ่งใดในห้องต่างก็ทำให้หยางเถาตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด ยิ่งหยางเถาให้ความสนใจมากเท่าไหร่ เฟยหลงก็อดยิ้มตามไปไม่ได้ ตำราสองเล่มถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ เฟยหลงกวักมือเรียกให้หยางเถาเดินเข้าไปและนั่งลงใกล้ๆ กับตน ก่อนจะเริ่มสอนหนังสือให้หยางเถาได้ค่อยๆ อ่านอย่างไม่รีบร้อน ภายใต้จันทราและหมู่ดาวสองร่างยังคงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ตำราเล่มแล้วเล่มเล่าถูกนำมาวางไว้จนข้างๆ นั้นซ้อนกันจนสูง

ดาวและเดือนเริ่มเลือนลับฟ้า ท้องนภาเริ่มแปรเปลี่ยนสี บ่งบอกว่าใกล้จะถึงเวลาสว่างแล้ว บางอย่างในกายของหยางเถาส่งสัญญาณเตือนถึงเวลาที่กำลังจะหมดลง อยากอยู่ใกล้เฟยหลงอีกนิด อยากหยุดเวลาเพิ่มอีกสักหน่อย หยางเถามีความสุขเหลือเกินในค่ำคืนแรกนี้ มีความสุขจนลืมเลือนสัญญาที่องค์เง็กเซียนได้กล่าวเอาไว้

“แม้เจ้าจะมีเวลาถึง100ราตรี แต่เป็นเพียงเวลายามราตรีเท่านั้น หากเมื่อใดทิวาย่างกลายมาแทนที่ เจ้าจะต้องกลับเข้าไปยังต้นท้อเช่นเดิม และเมื่อราตรีเวียนมาจบ เจ้าก็จะสามารถออกมาได้อีก จำไว้ให้ดี เจ้ามีเพียงแค่ไอของจันทรา มิอาจดูดกลืนพลังแห่งทิวาได้ จงอย่าลืม”

หยางเถาหันไปมองเฟยหลงที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาอ่านตำราอย่างขะมักเขม้น ต้องลากันแล้วสินะ หยางเถาได้แต่กล้ำกลืนฝืนยิ้มเอาไว้ จะอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด เพียงแค่ราตรีเวียนมา เราก็จะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง แค่อดทน แค่อดทนเท่านั้น

“เฟยหลง ออกไปกับข้าได้หรือไม่” ใบหน้าหล่อเหลาละสายตาจากตำราที่อ่านขึ้นมามองหน้าของหยางเถาอย่างสงสัย แต่กระนั้นเขาก็ยังคงยิ้มให้

“เอาสิ ไปที่ใดหรือ”

หากแต่หยางเถานั้นกลับมิได้ตอบสิ่งใด เพียงแค่กุมมือหนาเอาไว้และพาเดินออกไปด้วยกัน จันทราเลือนรางจนใกล้จะลับหาย ตะวันคงใกล้จะมาแทนที่เสียแล้ว หยางเถาเร่งฝีเท้าเดินไปยังต้นไม้ที่อยู่เบื้องหน้าจนมาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นท้อที่ดอกท้อยังคงบานสะพรั่งอยู่บนต้น แม้จะไร้แสงจันทร์แต่ความงดงามมิได้ลดลงตามแสง หยางเถาบีบมือของเฟยหลงจนแน่น ความโลภที่อยากจะอยู่กับเฟยหลงต่อมันถูกกระตุ้นขึ้นมา แต่เขาทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ก้มหน้ายอมรับความเมตตาขององค์เง็กเซียนเท่านั้น

“เฟยหลง.....”

“มีสิ่งใด เจ้าก็พูดมาเถิด” เฟยหลงยิ้มด้วยความเอ็นดู เมื่อหยางเถาของเขาเรียกขานชื่อเขาแล้วมิยอมเอ่ยสิ่งใด สีหน้าลังเลของหยางเถาและกิริยาที่ดูเศร้าหมองลงอยู่ในสายตาของเฟยหลงทั้งสิ้น เขาไม่รู้ว่าสิ่งใดคือสิ่งที่หยางเถากังวล จึงทำได้เพียงรอรับฟังอยู่เงียบๆ

“เฟยหลงข้า......ข้าต้องไปแล้ว” คำบอกเล่าที่ออกมาจากปากของหยางเถาทำให้เฟยหลงชะงัก

“ไปไหน เจ้าจะไปไหนกันหยางเถา”

“ข้าอยู่ได้เพียงยามราตรีเท่านั้น มิใช่ยามทิวา” เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยความเศร้าหมอง หากแสงอาทิตย์สาดส่องมา คงไม่ทันการเป็นแน่

“แล้วข้า จะได้เจอเจ้าอีกหรือไหม หยางเถา” หยางเถายิ้มบางๆ ให้ บีบกระชับมือใหญ่จนแน่น

“แน่นอน ข้าจะมาพบเจ้าอีกครั้งที่นี่ เมื่อจันทราขึ้นสู่ฟากฟ้า”

“ข้าจะรอ.....”

หยางเถาปล่อยมือออกจากเฟยหลง หันหลังเดินกลับไปยังลำต้นใหญ่ของต้นท้อ เพียงครู่เดียวร่างของหยางเถาก็หายไป หลงเหลือเพียงแสงสีเขียวราวหิ่งห้อยที่ตกค้างอยู่ เฟยหลงเดินเข้าไปหาต้นท้อใหญ่ที่ภายในมีหัวใจของตนซุกซ่อนอยู่ ร่างสูงจรดริมฝีปากลงบนลำต้นอย่างแผ่วเบาด้วยความอาลัย

“ข้าจะรอเจ้าหยางเถา จะตั้งตารอเจ้าเสมอ”



 TBC







สวัสดีค่าทุกคน แมวเอาน้องเถามาลงให้อ่านกันแล้วนะคะ ขอบอกเลยว่าแมวเพิ่งจะเคยแต่งเรื่องเกี่ยวกับจีนโบราณครั้งแรก! ปกติแมวจะเคยลงผลงานเรื่องสั้นมามากกว่า แต่ด้วยความชอบส่วนตัวล้วนๆ ถึงทำให้แต่งเรื่องนี้ออกมา ฝากน้องเถากับพี่เฟยไว้ด้วยนะคะ กราบขอบพระคุณมากๆ ค่า




Facebook : https://m.facebook.com/PassionateFiction

Twitter : https://mobile.twitter.com/little_kittensY

หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 2. Up.01/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 01-08-2018 12:18:59
                วันนี้คือวันที่สองของการมีนายคนใหม่ เหล่าสาวใช้ต่างพากันแต่งตัวให้ตนเองดูสวย แม้จะไม่มีโอกาสให้นายน้อยของพวกเธอเห็นก็ตาม ซูหนิงกวาดใบไม้ที่ล่วงหล่นตามพื้นอย่างอารมณ์ดี แสงตะวันสาดส่องไปตามต้นหญ้า เหล่าดอกไม้พร้อมใจกับเบ่งบานราวกับว่าถึงเวลาตื่นจากการหลับไหลและส่งกลิ่นหอมยั่วเย้าเหล่าภมรให้มาดอมดมสวนพฤกษาแห่งนี้ ราวกับว่านางกำลังเพลิดเพลินอยู่บนสรวงสวรรค์กับเหล่าผีเสื้อแสนสวยที่บินมาเล่นกับตัวนาง 
  หยางเถาที่กำลังพักผ่อนอยู่ในต้นท้ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แต่ไม่นึกเลยว่าเพียงแค่เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ตั้งใจของหยางเถานั้น จะทำให้สาวใช้ผู้นั้นมองหันซ้ายแลขวาด้วยความระแวง

“ใครหัวเราะข้า!!”

แม้ไม่มีเสียงตอบกลับ แต่นางมั่นใจว่านางได้ยินมิผิดแน่ กล้าดีอย่างไรกันถึงมาหัวเราะเทพธิดาเช่นนางได้ จะต้องเป็นถิงถิงแน่ๆ ที่อิจฉาความงามของตัวนางที่ช่างเข้ากันกับเหล่าดอกไม้งามเหล่านี้ หากแต่ว่า......

  เสียงเมื่อครู่ มาจากทางต้นท้อมิใช่รึ!!

  ซูหนิงหันไปมองทางด้านหลังช้าๆราวกับกำลังหวาดกลัวบางอย่าง สายตาตื่นตระหนกเบิกกว้างจนแทบถลน นางไม่อยากจะเชื่อ!! นี่มันวันวิปลาสใดกัน เหตุใดต้นท้อที่มิเคยผลิดอกออกผลมาหลายร้อยปี ถึงได้มีดอกไม้สีชมพูอันเป็นสีของดอกท้อประดับอยู่บนกิ่งได้เล่า 

  ไม่จริง!! ต้องมีคนมาเล่นพิเรนท์เป็นแน่

“ข้าจะเอาออกให้หมดเลย อย่าให้ข้าจับได้นะว่าใครมาแกล้งข้าเช่นนี้!!!” 

  อารมณ์หงุดหงิดมีมาก ด้วยในใจนางนั้นคิดแต่เพียงว่ามีผู้ปองร้ายหมายจะแกล้งให้นางกลัว นางจึงเอื้อมมือขึ้นไปจนสัมผัสดอกท้อได้ แต่ไม่ว่าจะดึงเช่นไร ดอกท้อก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดตามแรงของนางเลยแม้แต่น้อย ซูหนิงยิ่งโมโห ใช้ด้ามไม้กวาดที่หล่นอยู่ตรงพื้น ครูดไปตามกิ่งหวังเพียงให้เจ้าดอกท้อปลอมได้หล่นล่วงลงมา!!

“โอ้ย!”

“เอ๊ะ??” 

  เมื่อครู่ ข้าว่าข้าได้ยิน ไม่ได้ ข้าจะต้องลองอีกรอบ!!!

  ความดื้อดึงของซูหนิงทำให้ร่างของหยางเถาบาดเจ็บ ต้นไม้คือตัวของเขา หากถูกทำร้ายจากต้นเขาก็ย่อมได้รับความเจ็บปวดมิต่างกัน หยางเถาไม่มีทางเลือก หากปล่อยเอาไว้เขาคงต้องเจ็บตัวหนักกว่านี้เป็นแน่ 

  ฝ่ามือบางยกขึ้นมาตวัดออกไปด้านหน้า สายลมถูกใช้แทนคลื่นพลังดันร่างของซูหนิงเสียกระเด็น ซูหนิงที่ล้มลงมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง เมื่อครู่คือสิ่งใด ทำไมข้าถึงกระเด็นกระดอนออกห่างจากต้นท้อนั่นเล่า 

  ระ ระ หรือ หรือว่า!!!!!

“ปะ ปะ ปีศาจ!!!!! กรี๊ดดด!!!!!”

  ซูหนิงกรีดร้องลั่นพร้อมกับวิ่งหนีไป หยางเถาลอบถอนหายใจอย่างกังวล เขาทำเรื่องอีกแล้วสินะ แบบนี้มีหวังนางคงเอาไปพูดกับคนอื่นๆเป็นแน่ เห็นที......หนึ่งร้อยราตรีของข้าที่คิดเอาไว้ว่าจะใช้เวลาอยู่เฟยหลงคงไม่ง่าย จากนี้ไปข้าคงมีเรื่องวุ่นวายเป็นพันเป็นหมื่นเรื่องเข้ามาเป็นแน่

  หยางเถาเลิกแขนเสื้อสีขาวขึ้นสูง แขนเล็กปรากฏร่องรอยสีแดงช้ำที่เริ่มจะกลายเป็นสีม่วงให้ได้เห็น ใบหน้ามีรอยขีดข่วนเล็กๆแม้ไม่เจ็บแต่หยางเถาก็ไม่ชอบใจอยู่ดี หากปล่อยไว้เช่นนี้ คืนนี้เฟยหลงคงสังเกตเห็นและจะต้องเป็นห่วงเขาแน่นอน

  สองนิ้วค่อยๆไล่ลงตรงบริเวณรอยช้ำ แสงสีเขียวปรากฏขึ้นมาบดบังร่องรอยเมื่อครู่ เพียงพริบตาที่แสงนั้นหายไปร่อยรอยที่เคยเด่นชัดก็พลันหายไปเช่นกัน พลังจากแสงจันทราที่เคยดูดซับมาก็เอาไปแลกเปลี่ยนเป็นดอกท้อเกือบหมด ในตัวหยางเถามีพลังเหลือเพียงเศษเสี้ยวเดียวเท่านั้น โชคดีที่เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้พลังมากมาย แม้เมื่อครู่จะถูกนำมาใช้ไปบ้าง แต่เขาก็ยังมีพลังเหลือเก็บไว้อยู่ คงต้องพักเสียหน่อย มิเช่นนั้นร่างกายที่ได้รับมาจะทนไม่ไหวเอา

 

              ซูหนิงที่วิ่งหนีมาจากสวนด้านหลังกระหืดกระหอบอยู่ที่หน้าพ่อบ้านถัง ใบหน้านางเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว ดวงตาเบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมา ทุกคนดูตกใจกับปฏิกิริยาของซูหนิงมาก ใครถามไถ่สิ่งใดก็มิอาจตอบให้ได้เข้าใจ

“เกิดอะไรขึ้น!! เจ้าวิ่งหนีสิ่งใดมา!” 

“มะ มะ ปะ ปะ” ด้วยความอาวุโส พ่อบ้านถังจึงได้พูดถามไถ่ถึงสิ่งที่ซูหนิงได้ไปพบเจอ แต่นางกลับพูดตะกุกตะกักจับใจความไม่ได้เสียจนคนแก่อย่างถังลี่หยางเกิดอาการหงุดหงิด

เคร้ง!!!!!

“โว้ย!!! เกิดอะไรขึ้น เจ้าก็รีบเล่าสิ!! อ้ำๆอึ้งๆอยู่นั่นละ ใครมันจะไปฟังเจ้าเข้าใจกัน!!!!” 

  ทุกคนที่กำลังรอฟังต่างสะดุ้งสุดตัวกับเสียงโยนของลงกระทบกันจนเสียงดัง ซูหนิงที่ตกใจจากเหตุการณ์ก่อนหน้าเริ่มได้สติ ความหวาดกลัวต่อปีศาจมิอาจเทียบกับความน่ากลัวของตาเฒ่าถังได้เลย ใครๆก็รู้กันทั้งเมืองว่า ถังลี่หยางคนนี้ ขึ้นชื่อเรื่องดุขนาดไหน นายท่านคนเก่าหรือปู่ของนายน้อยเฟยหลงเองก็ถูกบ่นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าถังลี่หยางจะถูกไล่ออกหรือถูกคาดโทษใดๆ จะมีก็เพียงเสียงหัวเราะที่ดังออกมายามถูกบ่นก็เท่านั้น ซูหนิงกลืนน้ำลายลงคอสูดหายใจอยู่สองสามครั้งก่อนจะเล่าออกมา

“ขะ ข้า ข้าไปเจอ ปะ ปะ ปีศาจ!!”

“ปีศาจ!!!!!” ทุกคนต่างพูดขึ้นพร้อมกัน สาวใช้หลายๆคนมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง มันจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ หากแต่ท่าทางของซูหนิงเองก็ดูหวาดกลัวกับสิ่งที่ได้พบมา

“เป็นไปไม่ได้ เจ้าเห็นปีศาจจริงๆรึ!!!” 

  ถังลี่หยางหรี่ตาจับผิด ใช่ว่าเขาจะตั้งข้อสงสัยกับสาวใช้ตัวเล็กๆ แต่หากเกิดการเล่าลือออกไปผิดๆ มันจะเป็นเรื่องใหญ่ที่จะทำให้จวนตระกูลลู่เสียชื่อเสียง ซูหนิงชะงัก พยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่อีกครั้ง

“ข้าไม่เห็นตัว ตะ แต่ข้าถูกมันใช้พลังซัดข้าจนล้มเลยนะ!!!”

“แล้วเจ้าทำสิ่งใดอยู่ตอนที่ปีศาจของเจ้าซัดเจ้าล้มลงกับพื้น” ซูหนิงก้มหน้าลง ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงอ้อยอิ่ง

“ข้ากำลัง พยายามเอาไม้กวาดเขี่ยดอกท้อปลอมบนต้นของท้อโศกศัลย์ออกเจ้าค่ะท่านพ่อบ้านถัง”

“นั่นปะไร!!!” ถังลี่หยางตบเข่าดังฉาดใหญ่ คิดเอาไว้แล้วเชียวว่าพวกนี้มันตื่นตูมไปเอง

“ข้าคิดแล้วเชียว ไม่มีปีศาจที่ไหนหรอกนะ เจ้าแค่สะดุดชุดตนเองหรือไม่ก็สะดุดก้อนหินจนล้มลงเสียมากกว่า”

  หลังจากพ่อบ้านถังสรุปเหตุการณ์ที่ซูหนิงพบเจอมา เหล่าคนที่มารอฟังก็ถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคดีแล้วที่ไม่ใช่ปีศาจ ไม่เช่นนั้นคงได้ลาออกกลับไปบ้านเป็นแน่ สาวใช้คนอื่นๆมองซูหนิงด้วยแววตาสงสาร ถึงแม้ใจพวกนางจะอยากสมน้ำหน้า แต่เห็นสภาพตอนนางวิ่งมาแล้วคงจะกลัวมาก 

“เอาล่ะ แยกย้ายกันไปทำงานของพวกเจ้า แล้วใครที่พิเรนท์เอาดอกท้อปลอมไปติดไว้ก็ไปเอาออกเสียด้วย!! เดี๋ยวนายน้อยมาเห็นจะไม่พอใจเอา!!”

  หลังจากถูกสั่ง ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง ซูหนิงเองก็ได้แต่เกาหัวกับเหตุการณ์นั้น นี่สรุปแล้วนางสะดุดก้อนหินจริงๆหรือ ตัวนางเองก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วสิ ซูหนิงเดินงงๆกลับไปทำหน้าที่ตนเอง ในขณะที่ทุกๆคนต่างเกิดคำถามในใจว่า ใครหนอช่างเล่นพิเรนท์เอาดอกท้อปลอมไปติดไว้ มันน่าตียิ่งนัก!!!

 

          พ่อบ้านถังเดินตรงมายังห้องพักผ่อนของเฟยหลงพร้อมกับสาวใช้อีกสองคน ในมือของพวกนางเต็มไปด้วยอาหารที่ส่งกลิ่นหอม เขารู้ว่านายน้อยต้องอ่านตำราเพื่อเตรียมตัวเข้าสอบ หากแต่ก็น่าจะมีเวลาพักและออกไปสูดอากาศข้างนอกเสียบ้าง นี่อะไร นายน้อยเฟยหลงกลับเอาแต่ขังตัวเองไว้ในห้องกับตำรามากมายก่ายกองที่แค่เห็นเขาก็ปวดหัวแทนแล้ว 

“นายน้อยขอรับ ข้านำอาหารมาให้ขอรับ” ไร้เสียงใดๆตอบรับกลับมา ยิ่งทำให้พ่อบ้านถังกังวล หรือนายน้อยเฟยหลงจะไม่อยู่ เป็นไปไม่ได้ 

“นายน้อยเฟยหลงขอรับ ข้าขอเข้าไปนะขอรับ”

  ถังลี่หยางไม่รอคำอนุญาตใดๆ ด้วยความร้อนใจมือของเขาจึงผลักประดูเข้าไปด้านใน สายตาสอดส่องมองหน้าร่างของผู้เป็นนาย และก็ต้องตกใจเมื่อนายน้อยของตนนั้นกำลังหลับอยู่ที่โต๊ะกับกองหนังสือ ถังลี่หยางได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ช่างเหมือนกันทั้งปู่ทั้งหลาน เห็นหนังสือดีกว่าสิ่งใดจริงๆ สมแล้วที่เป็นหลานของนายท่าน

“นายน้อยขอรับ นายน้อย! ตื่นเถอะขอรับ ตะวันขึ้นแล้วนะขอรับ”

“อื้อ~ หยางเถา ข้าเพิ่งจะได้นอนเองนะ” หยางเถา ใครกัน หรือจะเป็นสหายของนายน้อย

“นายน้อย นี่ข้าเองครขอบ ถังลี่หยาง ไม่ใช่หยางเถา ตื่นเถอะขอรับนายน้อย”

  เฟยหลงขยับตัวตื่นจากการหลับเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่ช่างรบกวนการนอนของตน ดวงตาคมค่อยๆเพ่งมองไปยังคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า มุมปากของเฟยหลงยกยิ้มเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังรบกวนการหลับอย่างมีความสุขของเขานั้น มิใช่ใครอื่นใด แต่เป็นพ่อบ้านถังลี่หยางนี่เอง สองสาวที่มาพร้อมพ่อบ้านถังก้มหน้ามองอาหารที่ตนได้ถือมา ไม่กล้ามองใบหน้าตื่นนอนของเฟยหลงเพราะเกรงว่าจะเก็บอาการระริกระลี้ไว้ไม่อยู่แล้วเผลอแสดงกิริยาอันไม่เหมาะสมออกไปจนถูกพ่อบ้านถังเอ็ดเอา

“นายน้อยท่านไม่สบายหรือเปล่าขอรับ ให้ข้าน้อยตามหมอดีไหมขอรับ” ถังลี่หยางเอ่ยถามด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นใบหน้าของผู้เป็นนายดูอิดโรยราวกับคนไม่ได้นอน

“ไม่ต้องหรอกๆ ข้าแค่พักผ่อนน้อยไปเท่านั้น แล้วนี่.....ท่านมีอะไรหรือเปล่า” 

  พ่อบ้านถังพยักหน้าให้สองสาวใช้จัดการวางอาหารลงบนโต๊ะให้เรียบร้อย พวกนางลอบมองใบหน้าของเฟยหลงไม่ให้เจ้าของใบหน้าได้รู้ตัว ความหล่อเหลาที่แม้จะอยู่ในอาการเพิ่งตื่นก็ทำให้สองสาวลอบยิ้มแก้มสองข้างแดงปลั่งด้วยความเขินอาย แต่ทั้งคู่ก็ต้องสะดุ้งอย่างตกใจ เมื่อเสียงกระแอมเตือนและสายตาคาดโทษของพ่อบ้านถังดังขึ้นมา

“ข้าให้สาวใช้นำอาหารเช้ามาให้นายน้อยขอรับ เชิญนายน้อยล้างหน้าล้างตาแล้วทานเถอะขอรับ แล้วอีกสักพักข้าน้อยจะให้คนมาเก็บ” เฟยหลงมองอาหารตรงหน้าแล้วหาววอด อาการอยากนอนยังคงตกค้างอยู่ในกาย ดูท่าทางแล้วเขาคงต้องเปลี่ยนเวลานอนเสียแล้วสิ แต่จะทำอย่างไรดี หากเป็นเช่นนี้ คงไม่ง่ายเลยที่เขาจะเปลี่ยนเวลา

“ข้าเข้าใจแล้ว” 

  พ่อบ้านถังยิ้มบางๆให้เฟยหลง ค้อมศีรษะลงเป็นการกล่าวลาก่อนจะค่อยๆถอยหลังออกไป ทันทีที่ประตูปิดลง ใบหน้าของพ่อบ้านถังก็ทะมึงทึงขึ้นทันตา ร่างชายชราของถังลี่หยางหันมาหาสองสาวที่อยู่ด้านหลังแทบจะทันที

“พวกเจ้า!!!! กิริยาเมื่อครู่มันอะไร!! ข้าเคยบอกแล้วใช่หรือไม่ ว่าห้ามเล่นหูเล่นตากับนายน้อย!!!” 

  สองสาวก้มหน้าหงุด ตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวต่อสุ้มเสียงที่กำลังด่าทอพวกนาง ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่ามิควร แต่เห็นใบหน้าของนายน้อยทีไร พวกนางก็ทนไม่ไหวเสียทุกที ใครใช้ให้นายน้อยโตมาหล่อเหลาจนพวกนางหักห้ามใจไม่ได้กัน

“กลับไปทำงานของเจ้าเสีย! อย่าให้ข้าเห็นกิริยาอย่างเช่นเมื่อครู่อีก!!” 

“เจ้าค่ะ!” 

  สองสาวรีบวิ่งหนีไปทันที แค่โดนบ่นก็ถือว่าดีแล้ว หากโดนลงโทษขึ้นมา พวกนางคงมิวายถูกไล่ออกเป็นแน่ ถังลี่หยางได้แต่ส่ายหน้ากับความซุกซนของเหล่าสาวใช้ในบ้าน แม้นายน้อยของเขาจะรูปงามกว่าผู้ใด แต่ก็ควรจะรู้ว่าผู้ใดคือผู้ใดสิ มิเช่นนั้น......คงเสียระเบียบเป็นแน่

  พลันสายตาของชายชราก็เหลือไปเห็น บนกิ่งของต้นท้อที่มิเคยอยู่ในสายตา หากตอนนี้กลับมีสิ่งแปลกปลอมอยู่บนนั้นเสียจนสะดุดตา สีชมพูบนกิ่งไม่มีทางเป็นสิ่งอื่นใดแน่!! 

 นั่นมัน...ดอกท้อ!! หรือจะเป็นดอกท้อที่ซูหนิงบอกเมื่อเช้ากัน

  สองเท้าก้าวเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็วด้วยความสงสัย จนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าต้นท้อนั้น หากจำไม่ผิด ท้อต้นนี้ นายท่านเรียกมันว่า ท้อโศกศัลย์ มิใช่หรือ แล้วเหตุใดท้อโศกศัลย์จึงได้ออกดอกกัน หรือจะมีใครเล่นพิเรนท์อย่างที่ซูหนิงว่า

  ทันทีที่เกิดความสงสัย มือของถังลี่หยางก็ยื่อออกไปหวังแตะต้องและจับพิสูจน์ ว่ามันคือสิ่งใดกันแน่ หากเมื่อมือของถังลี่หยางได้สัมผัสกลับต้องตกใจยิ่งกว่า ใบหน้าของลี่หยางเต็มไปด้วยความสับสน สิ่งที่สัมผัสกับมือของเขา มิใช่สิ่งแปลกปลอมแต่อย่างใด มันเป็นของจริง!!!

“นะ นี่มัน! นี่มันดอกท้อ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!! เป็นไปได้อย่างไร!” 

  ความสับสนงุนงงทำให้ถังลี่หยางพึมพำออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ตั้งแต่เข้ามาทำงานที่นี่เขาไม่เคยเห็นต้นท้อต้นนี้ จะมีทีท่าว่าจะผลิดอกสักครั้ง แล้วเหตุใดกัน เหตุใดวันนี้มันจึงออกดอกได้ 

   แต่แม้ว่าจะเกิดความสงสัยเท่าไร ความสงสัยก็หาได้รับคำตอบที่ชัดเจนไม่ กลับเป็นถังลี่หยางเสียเอง ที่ถอนหายใจและถอดใจยอมปล่อยให้มันยังคงเป็นปริศนาต่อไป บางที มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ อาจเป็นเพียงสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นตามธรรมชาติเท่านั้น 

  ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด อย่าได้มีเรื่องเลวร้ายใดๆเกิดขึ้นเลย





                                    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





>>>>>>>>>มีต่อค่ะ<<<<<<<<<<
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 2. Up.01/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 01-08-2018 12:24:26
>>>>>>>>>ต่อค่ะ<<<<<<<<<<


                ท้องฟ้าเริ่มมืดลงจนแทบจะไร้แสงตะวัน ร่างของเฟยหลงยืนรอคอยบางอย่างอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ที่ตอนนี้มีดอกไม้เล็กๆสีชมพูประดับอยู่ตามกิ่งก้าน ใบหน้าหล่อแหงนขึ้นขึ้นเฝ้ารอการปรากฏของดวงจันทรา เพียงเพื่อให้ได้พบหน้าของคนทราติดตรึงอยู่ในใจ 

  สายลมเอื่อยพัดผ่านร่างกายกำยำ ความเย็นสัมผัสผิวกายที่ถูกปกคลุมด้วยเสื้อผ้าไปจนรู้สึกได้ กลิ่นไอหอมหวานที่เฟยหลงมักได้กลิ่นจากตัวของหยางเถา มันเป็นกลิ่นเดียวที่ออกมาจากต้นท้อต้นนี้ 

เมื่อใดหนอ จันทราจะขึ้นสู่ฟากฟ้า ฉายแสงให้ตัวข้าได้พานพบกับคนที่ใจคะนึงหา

  เมฆดำเคลื่อนตัวมาบดบังทุกสิ่งบนท้องฟ้า จนไม่หลงเหลือแสงใดๆให้ได้มองเห็น ร่างของเฟยหลงยังคงเหม่อมองขึ้นไป เฝ้ารอเพียงจัทราเพียงดวงเดียวเท่านั้น ยามใดกันหนอที่จันทราจะเห็นใจยอมปรากฏขึ้นให้ได้เห็น

  ในที่สุดจันทราที่เฟยหลงรอคอยก็ส่องสว่างอยู่บนฟ้ากว้าง หมู่ดาวรวมตัวอยู่เคียงข้างราวกับหลงไหล ในจวนตอนนี้เต็มไปด้วยแสงไฟจากเทียนที่ถูกจุดขึ้น แม้แต่ในห้องของเฟยหลงเองก็เช่นกัน มือหนาลูบลำต้นใหญ่ของต้นท้อด้วยความคิดถึง
 

เลื่อนลอยยืนคล้อยชมจันทรา

ดวงดาราส่องแสงสว่างไสว

เคียงคู่สาดส่องงามอำไพ

ตราตรึงจับใจยามจ้องมอง

สายลมเอื้อนเอ่ยเป็นคำหวาน

ประหนึ่งดั่งต้องการเป็นเจ้าของ

เสียงหรีดหริ่งเรไรคล้ายทำนอง

ดั่งอุราพี่ปองใจเจ้าจันทร์
[/i]


“เมื่อใดเจ้าจะออกมา หยางเถา ข้ามารอเจ้านานแล้วนะ”

  กลิ่นหอมไม่ได้ลดน้อยลงแต่ก็ไร้วี่แววการปรากฏกายของหยางเถาแม้แต่น้อย เฟยหลงได้แต่เฝ้ารอเท่านั้น มือก็ยังคงลูบไปตามเปลือกไม้ ดอกท้อที่รอรับแสงจันทร์ยังไม่ยอมผลิบาน อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย เขาต้องอดทน ไม่ว่านานแค่ไหน เฟยหลงก็ยินยอมจะยืนปักหลักรอพบหยางเถาอยู่ตรงนี้เสมอ ไม่นานแสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ร่างบอบบางในชุดสีขาวกับเส้นผมสีเงินอันเป็นดังเอกลักษณ์นั้นก็ออกมาจากต้นท้อ

“อ๊ะ!!”

  เฟยหลงตกใจแต่ก็ช้าเกินไปที่จะก้าวถอยหลังเพื่อหลบให้ร่างตรงหน้าได้ออกมาสะดวก แรงส่งจากภายในลำต้นคล้ายแรงผลักที่ดันให้หยางเถาออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทันทีที่ได้ออกมาถึงหยางเถาคิดไว้ว่าคงได้หกล้มหน้าคะมำลงพื้นดินเป็นแน่ เฟยหลงคงได้หัวเราะและคงว่าตนนั้นไม่รู้จักระวังตัว

  หยางเถาหลับตาปี๋กลัวความเจ็บที่จะเกิดขึ้น หน้ากระแทกพื้นคงเจ็บไม่น้อย แต่รออยู่นานกลับสัมผัสได้เพียงความหอมอ่อนๆของบางอย่างและความอบอุ่นจากอ้อมแขนของใครบางคน 

  อ้อมแขน?? อ้อมแขนของผู้ใดกัน

“อ๊ะ ขะ ข้า ข้าขอโทษ”

  กลิ่นหอมหวานของหยางเถาลอยแตะจมูกจนเฟยหลงเผลอโน้มใบหน้าลงมาสูดดมจากกลุ่มเส้นผมสีเงิน เสียงหัวใจของหยางเถาเต้นระส่ำ ยิ่งสัมผัสจากปลายจมูกโด่งยิ่งทำให้แก้มบางเห่อร้อน เฟยหลงรู้สึกตัวเมื่อรู้สึกได้ว่าคนในอ้อมแขนหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว ไหนจะอาการเกร็งตัวที่เกิดขึ้นนี้อีก คงเป็นเพราะเขาทำอะไรลงไปโดยไม่ทันได้ยั้งคิด 

  อ้อมแขนของเฟยหลงค่อยๆคลายออกจนหยางเถาขยับออกห่างออกไปได้ ใบหน้าหวานแดงซ่านไม่ต่างจากสีของดอกท้อที่กำลังเบ่งบานสักนิด เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆจากเฟยหลงนั้น ทำให้หยางเถาทำตัวไม่ถูก อาการเขินอายที่มีอยู่ส่งผลให้หยางเถาได้แต่ยกมือขึ้นมาลูบผมสีเงินของตนเล่น เฟยหลงมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาหลงไหล ใบหน้าหวานราวกับหญิงสาวที่กำลังเห่อร้อนจนขึ้นสีระเรื่อ ผมสีเงินสลวยยามต้องแสงจันทร์ช่างดึงดูดสายตาให้เมียงมองช่างดูเข้ากันดีเสียเหลือเกิน ยิ่งยามใดที่หยางเถาเม้มริมฝีปากแดงฉ่ำเอาไว้ ยิ่งน่าดูชมจนเฟยหลงอยากจะเด็ดผลท้อนี้ไปกลืนกินเพียงผู้เดียว จะหอมหวานแค่ไหนกันนะ เฟยหลงได้แต่คิด

“เจ้ามาช้า.....” สุ่มเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นราวกับตำหนิ หากแต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจเสียมากกว่า หยางเถานึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ยามเมื่อตนยังอยู่ในต้นท้อ ที่ออกมาช้า ไม่ใช่เพราะไม่อยากจะเจอเฟยหลง แต่เพียงเพราะเขาอยากจะดูดซับแสงจันทร์อีกสักเล็กน้อย การเสียงพลังไปกับการไล่คนของเฟยหลงและรักษาแผลตนนั้น อาจจะไม่ได้ใช้ไปมากมายก็จริง แต่ก็ทำให้พลังลดลงไปเหมือนกัน จากที่เหลือน้อยก็ยิ่งน้อยลงไปอีก หยางเถาจึงหวังจะดูดซับแสงจันทราให้ได้เพิ่มสักหน่อย แต่ช่างเถอะ ตอนนี้หยางเถาต้องใช้ดอกท้อดูดซับแทนเสียแล้ว มิเช่นนั้น เฟยหลงเจ้าคนโง่เง่าคนนี้ ก็มิหยุดลูบไล้ร่ากายของเขาผ่านลำต้นเป็นแน่ 

“เจ้ารอข้านานแล้วหรือ” หยางเถาช้อนสายตากลมขึ้นถามด้วยความรู้สึกผิด หัวใจคนถูกมองเต้นตึกตักจนดังราวกับมีใครมาตีกลองอยู่ภายใน ความงดงามจากใบหน้าหยางเถาที่เต็มไปด้วยอารมณ์หวาดหวั่นว่าจะถูกโกรธเคืองนั้นช่างน่ารักน่าใคร่เสียเต็มประดา ใจหมายมั่นอยากจะคว้ามากอดให้เต็มรัก แต่สุดท้ายเฟยหลงก็ได้แต่หักห้ามใจเอาไว้ เกิดเป็นบุรุษบุตรชายแม่ทัพใหญ่ ไม่ควรจะหักหาญน้ำใจของผู้ใดทั้งสิ้น

“นานแค่ไหน ข้าก็รอเจ้าได้ทั้งนั้น” ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มนุ่มทอดสายตามองด้วยแววตาหวานฉ่ำเสียจนคนถูกมองสั่นไปทั้งใจ

“ปากหวาน” หยางเถาได้แต่พึมพำเบาๆ หมดสิ้นคำพูดใดๆจะพูดกับเฟยหลง ใครจะไปรู้ว่าบัณฑิตอย่างเฟยหลงจะช่างสรรหาคำมาพูดให้เขาได้เขินอายเช่นนี้

“แล้ว...วันนี้เจ้าอยากจะทำอะไรหรือ”

“อะไรก็ได้ หากเจ้าให้ข้าทำ ข้าก็อยากทำทั้งนั้น” ดวงตาคมฉายแววเจ้าเล่ห์ หยางเถาจะรู้ตัวไหมหนอ ว่ากำลังทำให้เขานั้น......มีความคิดอกุศลกับตนเอง 

“เช่นนั้นหรือ..”

“อื้อ!!” เสียงหวานเอ่นรับในลำคอพร้อมกับรอยยิ้มกว้างตากลมหยีลงจนแทบจะปิด เฟยหลงได้แต่วางมือไว้บนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีเงินอย่างเอ็นดู

“อยากไปเที่ยวไหมหยางเถา” ดวงตากลมวาววับด้วยความสนใจ จนเฟยหลงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ 

“หากเจ้ายินดี.....” 

“หึหึ.....มาสิ ข้าจะพาเจ้าไป”

  ทั้งที่เฟยหลงเองก็เพิ่งจะมาถึงเมืองนี้ได้ไม่นานนัก แต่จากตอนที่ได้เดินเข้าเมืองมา หลายๆอย่างก็มิได้เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ ความคุ้นเคยเมื่อครั้นเป็นเด็กยังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเฟยหลงจนแน่น เขามั่นใจว่า เขาจะสามารถพาหยางเถากินลมชมเมืองได้อย่างแน่นอน เฟยหลงกระชับมือบางเข้าสู่ฝ่ามือของตนจนแน่น ส่งยิ้มอ่อนหวานเพื่อให้หยางเถามั่นใจ

“ไปกันเถอะ”

“อื้อ.....” 

  หยางเถาได้แต่ก้มหน้าหงุดแก้มสองข้างแดงปลั่งเมื่อมือเล็กๆถูกความร้อนจากฝ่ามือของอีกคนส่งผ่านมา อุ่นซ่านไปทั้งหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เฟยหลงจับจูงร่างเล็กให้เดินผ่านเหล่าสายตาทั้งหลายของคนในจวนที่กำลังทำหน้าที่ของตนเองอยู่ ความสงสัยแคลงใจเกิดขึ้นเป็นประโยคเดียวกันกับผู้พบเห็น 

   สหายของนายน้อยผู้นี้ มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

“นายน้อยจะออกไปไหนขอรับ” ถังลี่หยางเอ่ยถามขึ้นเมื่อพบว่านายแห่งจวนกำลังจะก้าวออกไปด้านนอก เฟยหลงหันกลับมามองใบหน้าของผู้เป็นพ่บ้านด้วยรอยยิ้ม 

“ข้าจะพา.....สหายของข้า ไปเที่ยวชมเมืองเสียหน่อย” ถังลี่หยางเหลือบมองคนข้างกายของนายน้อยด้วยความสงสัย ผมสีเงินเช่นนั้นหรือ แปลกตาเสียจริงเชียว แต่กระนั้นถังลี่หยางก็เอ่ยออกมาอย่างนอบน้อมอยู่ดี

“ให้เหวินฉายไปกับท่านดีไหมขอรับนายน้อย”

“ไม่ต้องหรอก ข้าอยากไปกับหยางเถาแค่สองคน” หากเหวินฉายไปด้วยเดี๋ยวก็กลายเป็นเขาต้องคอยเฝ้าเหวินฉายนะสิ เจ้านั่นก็ไม่ค่อย ยู่กับที่เสียด้วย ช่วงเวลาที่เขาพึงจะมีกับหยางเถาก็มีหวังล่มกันหมดพอดี

“เช่นนั้น โปรดระวังตัวด้วยนะขอรับนายน้อย คุณชาย” 

  แม้จะเป็นห่วงแค่ไหนแต่เมื่อนายน้อยของเขายืนยันว่าจะไปลำพังเขาก็ไม่สามารถขัดได้ ถังลี่หยางได้แต่ยืนส่งสองร่างที่เดินเคียงคู่กันไปจนลับตาด้วยแววตาห่วงใยปนสงสัย หยางเถาหรือ ลูกเต้าเหล่าใครกันหนอ เข้ามาตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดเขาไม่เห็น หรือจะสนิทสนมกับนายน้อยจนสามารถเข้านอกออกในได้โดยง่าย ยิ่งคิดก็ยิ่งพาลให้สงสัย ถังลี่หยางจึงได้แต่เดินกลับไปสนใจงานของตนแทน ยุ่งเรื่องเจ้านาย ขี้กลากจะขึ้นหัวหงอกๆเอาเสียเปล่าๆ ได้แต่หวังว่านายน้อยของเขาคงไม่หลงทางหรอกนะ เอาเถอะ หากคืนนี้นายน้อยไม่กลับ พรุ่งนี้ค่อยสั่งเหวินฉายให้ออกไปตามหา ถังลี่หยางได้แต่ถอนหายใจและเลิกสนใจในที่สุด



                             
                 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



 

                      โคมไฟถูกจุดไว้ตามรายทางเพื่อเป็นดังแสงสว่างแก่ผู้คนในเมื่องนี้ หยางเถาที่ไม่เคยเห็นดูตื่นตาตื่นใจกับความแปลกใหม่ที่ได้พบ มือบางกระชับมือของเฟยหลงแน่นอย่างลืมตัว เมืองนี้ยังไม่หลับไหล ยังคงไหลลื่นเพราะผู้คนที่เดินไปเดินมาอยู่ในที ร้านค้าต่างๆแม้จะถูกปิดไปเสียส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีบ้างบางร้านที่ยังคงเปิดให้ได้เข้าไปดื่มกิน กลิ่นหอมของหลายๆสิ่งลอยคละคลุ้งปะปนกันมา ทั้งสุรา กลิ่นหอมของอาหาร หรือแม้แต่สตรีก็เช่นกัน

  กลิ่นหอมของบางอย่างดึงดูดให้หยางเถาปล่อยมือออกจากฝ่ามือใหญ่ ขยับกายเข้าไปยืนอยู่ตรงเบื้องหน้า มองควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากสิ่งนั้นด้วยความสนใจ น้ำลายถูกกลืนลงคอจนหมด ความรู้สึกกระหายและหิวโหยกำลังเข้าจู่โจมจนท้องน้อยๆร้องประท้วงเสียดังจนเจ้าของต้องเอามือลูบปอยๆ เกิดมาหลายร้อยปี ไม่เคยสักครั้งที่จะรู้สึกเช่นนี้เลย

“ซาลาเปาร้อนไหมๆขอรับ นายท่าน” 

  ด้วยความไร้เดียงสาเมื่อถูกไถ่ถามจึงพยักหน้าตามสัญชาตญาณความหิว ท้องยิ่งร้องประท้วงอย่างรุนแรงขึ้นเมื่อพ่อค้าที่ส่งยิ้มให้และไถ่ถามเขาเมื่อครู่เปิดฝาสิ่งนั้นออก กลิ่นหอมที่มาจากก้อนกลมๆสีขาวๆที่พ่อค้าเรียกมันว่าซาลาเปาถูกหยางเถาสูดดมเข้าจมูก น้ำลายแทบจะไหลด้วยความต้องการจะกัดกิน 

“นายท่านรับกี่ลูกดีขอรับ”

“ขะ ข้าเอาสามลูก!!” มือบางยื่นออกไปรับลูกขาวๆกลมๆสามลูกมาไว้ในมือ มันช่างนุ่มและอุ่นมือเสียเหลือเกิน

“ทั้งหมดหกอีแปะขอรับนายท่าน”

“เอ๊ะ???”

“หกอีแปะขอรับ” 

  หกอีแปะหรือ หกอีแปะคือสิ่งใด หยางเถาได้แต่เอียงคอมองด้วยความไม่เข้าใจจนพ่อค้าเริ่มมีสีหน้าไม่พอใจ รับซาลาเปาของเขาไปแล้ว เหตุใดมิจ่ายค่าซาลาเปาเล่า แต่งตัวก็ดี รูปหรือก็งามแท้ๆ กลับเป็นขอทานหรอกหรือ สายตาดูแคลนถูกส่งมาจนหยางเถาสัมผัสได้ บรรยากาศรอบกายฉายความไม่เป็นมิตรชัดเสียจนหยางเถาหวาดกลัว

“นี่เจ้าเป็นขอทานหรือ!! เอาซาลาเปาข้าคืนมาเดี๋ยวนี้!! ไม่จ่ายก็ไม่ต้องกิน!!” หยางเถามีสีหน้าราวกับจะร้องไห้เสียเต็มประดา เหตุใดคนๆนี้จะต้องดุเขาด้วย ก็ไหนไถ่ถามเขาเองมิใช่หรือว่าจะรับกี่ลูก แล้วเขาผิดอะไรกัน 

  เฟยหลงที่ถูกปล่อยมือเมื่อหันมาอีกครั้งก็หาร่างเล็กๆของหยางเถาไม่เจอเสียแล้ว คนตัวโตร้อนรุ่มไปทั้งใจด้วยความเป็นห่วง หยางเถาอยู่แต่ในต้นท้อ มีหรือจะรู้จักเส้นทางในเมืองที่วุ่นวายเช่นนี้ ไม่ได้ หากหยางเถามีอันตราย เขาจะไม่ยอมให้อภัยตัวเองเป็นแน่ สายตากวาดมองหาร่างบอบบางผมสีเงินจนทั่ว จนมาสะดุดพบคนที่ตามหากำลังยืนก้มหน้าตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวที่ถูกพ่อค้าวัยกลางคนต่อว่าต่อขานจนเสียงดัง เฟยหลงสาวเทาเข้าไปหยุดอยู่เบื้องหลังร่างงามด้วยท่าทางคุกคาม สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างชัดเจนจนพ่อค้าตัวโตหยุดพูด

“มีเรื่องอะไรหรือ....” น้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์หรือเอ่ยชื่อว่ากำลังถามผู้ใด พ่อค้าที่มองเห็นเฟยหลงที่แต่งกายด้วยผ้าชั้นดีที่เอวหนามีหยกที่ถูกแกะสลักคำว่าลู่เอาไว้ ทำให้พอจะเดาได้ว่าคนๆนี้คือนายน้อยลู่เฟยหลงแน่นอน

“ก็เจ้าขอทานนี้สิขอรับคุณชายลู่! ไม่มีเงินจ่ายค่าซาลาเปาข้า แต่กลับกล้าคว้าไปกิน!!” หยางเถาจับแขนของเฟยหลงแน่น ใบหน้าเศร้าสร้อยส่ายสะบัดจนผมสีเงินกระจาย ดวงตากลมฉ่ำคลอไปด้วยหยาดน้ำตา

“ขะ เขาถามข้าว่าจะรับกี่ลูก ข้าบอกไปว่าสาม แต่ข้าไม่รู้ว่าอะไรคือหกอีแปะ” ตากลมหลุบลงมองพื้นอย่างรู้สึกผิด ใบหน้างามบิดเบี้ยวจนแทบจะร้องไห้ออกมา ความกดดันจากทุกๆอย่างทำให้หยางเถาที่ไม่เคยพบเจอเรื่องแบบนี้ได้แต่ทำอะไรไม่ถูก พ่อค้าซาลาเปายกยิ้มกระหยิ่มเมื่อเห็นว่าตนไม่ใช่คนผิด

“เจ้าอยากกินซาลาเปาหรือหยางเถา หื้ม” สุ่มเสียงทุ้มเอ่ยถามคนข้างกายอย่างอ่อนโยนเสียจนพ่อค้าซาลาเปาที่เพิ่งมั่นใจว่าตนเหนือกว่านั้นถึงกับหน้าซีดเผือด

     เจ้าขอทานนี้เป็นสหายของคุณชายลู่ ไม่จริงน่า!!!

“ท้องข้า มันโอดครวญเสียงดังมาก เหมือนวันที่ฝนตกฟ้าร้องเลย” คำบอกเล่าที่แสนลริสุทธิ์ทำให้ลู่เฟยหลงอมยิ้มกลั้นขำเอาไว้ ท้องร้องนี่เอง คงเพราะกลิ่นหอมพวกนี้สินะ สายตาคมกริบตวัดมองพ่อค้าซาลาเปาจนสะดุ้ง ราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าแม้แต่น้อย

คนของข้า ได้กัดกินซาลาเปาของเจ้าหรือไม่?” เฟยหลงจงใจเน้นคำให้พ่อค้าหน้าเลือดที่ด่าทอหยางเถาได้รู้จักว่าคนที่มันเรียกว่าขอทานนั้นแท้จริงแล้ว เป็นคนสำคัญ ของเขาต่างหาก

“เอ่อ ไม่ขอรับคุณชายผู้นี้ยังมิทันได้กินขอรับ” อับจนหนทางเกินกว่าจะบากหน้าด่าไหว คนที่เขาเข้าใจผิดว่าเป็นขอทาน ด่าทอเสียๆหายๆจนสร้างความอับอายให้แก่สหายของคุณชายลู่ ตาช่างไร้แววเสียจริง

“ถ้าเช่นนั้น คนของข้า ยังต้องจ่ายค่าซาลาเปาแก่เจ้าหรือไม่?” พ่อค้าซาลาเปาได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ความกดตันตีรวนจนเขาแทบจะคุกเข่าลงอ้อนวอนเสียตรงนี้ เพราะเงินแค่หกอีแปะที่ทำให้เขาโมโหจนขาดสติ ด่าว่าสหายของคุณชายลู่เสียยกใหญ่ หากเขาใจเย็นกว่านี้ คงไม่ต้องมายืนอยู่ในจุดที่อับอายด้วยสายตาของผู้คนที่มองมา เหมือนเช่นตอนที่เขาว่าสหายของคุณชายลู่ไป

“ขะ ขอรับ ขออภัยด้วยขอรับ คุณชายลู่ คุณชาย”

“มะ ไม่ๆ ไม่เป็นไร ข้าผิดเอง ข้าอยากกินแต่ไม่รู้ว่าอะไรคือหกอีแปะ ข้าขอโทษด้วย” ยิ่งร่างดงามราวเทพธิดาตรงหน้าแก้ต่างให้เขาก็ยิ่งอับอาย รอยยิ้มพิมพ์ใจที่แสนซื่อช่างดูไร้เดียงสาเกินกว่าจะโป้ปดด้วยคำว่าไม่รู้จักเงินหกอีแปะ พ่อค้าซาลาเปาได้แต่ก้มหน้าลง จมไปกับความคิดตนเงียบๆ

“ไปเถอะหยางเถา ข้าจะพาเจ้าไปที่อื่น” 

“ที่ไหนกัน??”

“หึหึ ก็เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่า ท้องเจ้ามันโอดครวญเสียดังลั่น เช่นนั้น เราจึงต้องพามันไปรักษา” 

  หยางเถาเบิกตากว้างอย่างตกใจ นี่เขาป่วยหรอกหรือ มิน่าเล่ามันถึงได้ส่งเสียงเสียดังลั่นราวกับจะป่าวประกาศ เฟยหลงได้แต่ขบขันกับอาการของหยางเถา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนข้างๆเขาเชื่อเสียสนิทว่ามันกำลังป่วยอยู่ ใครจะไปคิดว่า หยางเถาของเขาจะซื่อขนาดนี้ มือหนากระชับจับจูงให้แน่นขึ้นกว่าเก่า ไม่อยากให้มือเล็กๆนี้หลุดหายไปที่ไหนอีก ภาพเมื่อครู่ยังคงตรึงใจเขาไม่คลาย หากเขาไปช้ากว่านี้เล่า หากเจ้านั่นไม่หยุดเพียงการด่าทอ หยางเถาจะเป็นเช่นไร

“อย่าปล่อยมือจากข้าอีกนะหยางเถา หากอยากไปไหนเพียงบอกข้ามา ช้าจะพาเจ้าไปทุกที่” หยางเถายิ้มกว้างพร้อมกับบีบมือหนาแน่นขึ้น

“อื้อ ข้ารู้แล้ว!”

  รอยยิ้มของทั้งสองมีไปตลอดทางที่ได้เดินผ่านไป ความสุขแผ่ซ่านไปจนทั่วแม้แต่รอบๆตัวของคนทั้งสอง บรรยากาศราวกับคู่รักคืออะไรกัน แต่ก็มิมีใครกล้าถาม แววตาเอ็นดูจากคุณชายลู่เฟยหลง ทำให้เหล่าผู้คนต่างคิดว่าอาจจะรักใคร่เช่นดั่งน้องชายคนหนึ่ง ด้วยเพราะลู่เฟยหลงนั้นเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านแม่ทัพลู่ คงเหงาที่เป็นลูกโทน จึงได้เอ็นดูหนุ่มน้อยผมเงินเช่นดั่งน้องชายเป็นแน่ 

  จันทรายังคงลอยเด่นเฉิดฉายแสงดั่งเช่นทุกราตรี หากทว่าแสงจันทรา มิเคยงดงามกับเขาเลยสักครั้ง มิมีครั้งคราใดที่เขาจะจับจ้องมันด้วยความรู้สึกสิเน่หา แต่เมื่อแสงจัทรานำหยางเถามาให้เขา เขากลับมองว่างดงามราวกับว่าไม่เคยเห็นมาก่อน เพียงแค่ข้างๆกายของเฟยหลงถูกเคียงข้างด้วยหยางเถา สิ่งใดในโลกใบนี้ ก็ดูงดงามไปเสียหมด 

     เพราะมีเจ้า ดวงตาของข้าจึงมองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดขึ้น

    เพราะมีเจ้า ข้าจึงอยากไปในทุกๆที่ไม่ว่าจะไกลสักกี่พันลี้

    และเพราะมีเจ้า หยางเถา เพียงมีเจ้า ไม่ว่าสิ่งอื่นใดก็ไม่สำคัญ






TBC



    หลงรักน้องเถากันหรือยังคะ ตอนแรกๆอาจจะไม่ถูกใจแต่แมวบอกได้เลยว่าเรื่องราวมันจะยิ่ง...หนักขึ้นๆ เรื่อยๆค่ะ นิยายเรื่องนี้แมวจะเรียกมันว่า นิยายวันละหน้า 555555 คือต่อให้เกิดความขี้เกียจแค่ไหนก็จะสั่งการตัวเองไว้ว่า หน้านึงนะ ต้องให้ได้หน้าหนึ่ง ฝากน้องหยางเถาไว้ด้วยนะคะ ส่วนเหวินฉายกับลี่ฟู่ ยังไม่ถึงคิวเนอะ ยังไม่มีเงินจ้าง 55555 ค่าตัวพวกนางแพ๊งแพง กราบขอบพระคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านผลงานของแมวนะคะ

**โค้ดลับฉบับหน้า หอคณิการ์ / หอนางโลม **


 

 

Facebook : https://m.facebook.com/PassionateFiction

Twitter : https://twitter.com/little_kittensY
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 3. Up.15/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 15-08-2018 12:41:56
            เฟยหลงพาร่างของหยางเถามายังร้านใหญ่ที่ดูครึกครื้น ผู้คนต่างมานั่งดื่มด่ำสุราและพูดคุยกันอย่างออกรส ยิ่งมากโต๊ะ ก็ยิ่งมากอารมณ์ หยางเถาพินิจถึงอารมณ์ของมนุษย์ที่ตนไม่เข้าใจด้วยท่าทางสงสัย เหตุใดผู้ที่ร่ำไห้จะต้องดื่มน้ำในไหกัน รสชาติมันอร่อยอย่างนั้นหรือ สายตาของหยางเถาเต็มไปด้วยความสงสัย กลิ่นอาหารที่ลอยตลบอบอวลอยู่ในนี้ยิ่งทำให้เสียงท้องของหยางเถาดังยิ่งกว่าเดิม เฟยหลงได้แต่ยกยิ้มขำๆให้กับคนข้างๆที่ตอนนี้แทบไม่มีเขาอยู่ในสายตา เพราะดวงตากลมโตสีอำพันเอาแต่มองอาหารในจานของโต๊ะอื่นพร้อมกับมือเล็กๆที่ลูบท้องตัวเองปอยๆ 

 ใครจะน่ารักได้เท่านี้อีกไหมหนอ 

“คุณชายทั้งสอง เชิญทางนี้เลยขอรับ เชิญๆ” เสี่ยวเอ้อของร้านเข้ามาต้อนรับและนำเฟยหลงกับหยางเถาไปยังโต๊ะที่ว่างอยู่ หยางเถายังคงหันซ้ายหันขวาไม่หยุด เมียงมองเหล่าคนแปลกหน้าที่เอาแต่กินและดื่มกันอย่างไม่หยุดปาก ลิ้นเล็กๆเลียไปทั่วริมฝีปากอิ่มสีแดงสดจนฉ่ำวาว ซึ่งตอนนี้เฟยหลงกลับคิดว่ามันน่ากินกว่าอาหารทั้งหมดในร้านนี้เสียอีก

“รับอะไรดีขอรับนายท่าน”

“เจ้าอยากกินอะไรล่ะหยางเถา” คนถูกถามหันมามองสบตากับเฟยหลงด้วยความงุนงง เหตุใดจึงมาถามเขากัน ปกติเขาก็กินแต่ซากสัตว์ซากพืชทั้งหลายที่ย่อยสลายอยู่ใต้พื้นดินกับดูดซับพลังจากแสงจันทรา หากเขาขอสั่งแสงจันทราสามจานได้หรือ ยิ่งคิดก็ยิ่งตลก จนหยางเถาเผลอยกมือขึ้นป้องปากหัวเราะด้วยความขบขัน เฟยหลงได้แต่เลิกคิ้วมุมปากยกยิ้ม แม้จะไม่รู้ว่าหยางเถากำลังขบขันสิ่งใด แต่เขาชอบที่จะเห็นมันเหลือเกิน

“ข้าอยากกินสิ่งนั้น.....” เสี่ยวเอ้อหันมองตามมือบางที่ชี้ไปยังโต๊ะใกล้เคียง

“ซาลาเปาเนื้อหรือขอรับ” เสี่ยวเอ้อถามเพื่อความแน่ใจ นี่เข้ามานั่งในร้านแล้วสั่งซาลาเปาเนื้อ? สีหน้างุนงงของเสี่ยวเอ้อประจำร้านเร่งให้เฟยหลงต้องเป็นฝ่ายสั่งอาหารเสียเอง

“มีอะไรอร่อยเจ้าก็เอามาเถอะ อ้อ! อย่าลืมซาลาเปาเนื้อด้วยล่ะ”

“คุณชายจะรับสุราหรือไม่ขอรับ ทางร้านเพิ่งจะได้สุราชั้นดีมา นุ่มลิ้นเชียวนะขอรับ” ใจจริงเฟยหลงเองก็อยากจะดื่มอยู่หรอก หากแต่เขาต้องดูแลเจ้าของเส้นผมสีเงินมากกว่า รอยยิ้มถูกจุดขึ้นมุมปาก และปฏิเสธเสียงดังอย่างชัดเจน

“ไม่ต้อง......ขอแค่น้ำชาให้ข้ากับสหายเป็นพอ”

“สักครู่ขอรับคุณชาย”

  เสี่ยวเอ้อเดินกลับไปแต่หยางเถาของเขากลับยังไม่เลิกสนใจในสิ่งที่อยู่รอบๆกาย แววตาใคร่รู้ใคร่เห็นฉายชัดเสียงยิ่งกว่าสิ่งใด ท้องน้อยๆเร่งรัดส่งเสียงประท้วงออกมาจนหยางเถาต้องตะครุบเอาไว้ หันมองไปรอบๆราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดมาได้ยิน สร้างความขบขันแก่เฟยหลงได้อย่าดี เฟยหลงได้แต่นั่งมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาอย่างหลงใหล จะว่าไป เขาก็เพิ่งสังเกตเหมือนกันนะว่าดวงตากลมโตของหยางเถายเป็นสีน้ำตาลทองอ่อนๆที่ดูมีชีวิตชีวา ยิ่งเมื่อได้พบกับสิ่งใหม่ๆที่ไม่เคยได้พบเห็น ดวงตาคู่นั้นยิ่งพราวระยับงดงามกว่าอัญมณีล้ำค่าใดๆ ความสุกสกาวของพวกมันยังมิอาจเท่ากับแววตาของคนตางหน้าเขานี้

“เฟยหลง...”

“หื้ม..”

“สิ่งใดอยู่ในไหนั่นหรือ” ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัยจนต้องเอ่ยถามออกไปให้ได้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในไหสีเข้มนั่น เหตุใดผู้ที่ยกมันขึ่นมาดื่มจึงได้ตัวอ่อนเปรี้ยเพลียแรงเช่นนี้ ดวงตากลมของหยางเถาจับจ้องใบหน้าหล่ออย่างรอคอยในคำตอบ

“หึหึ...สิ่งที่อยู่ในนั่นคือ...เหล้า”

“เหล้าหรือ?” หยางเถาก็ยังคงสงสัยจนเฟยหลงต้องอธิบายต่อ

“ถูกต้อง สิ่งนั้นคือเหล้า”

“เหล้าคืออะไรหรือ ข้าเห็นมันก็ใสเช่นน้ำธรรมดา” เฟยหลงหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูในความน่ารักของหยางเถาที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาถามคำถามต่อเขา เขาไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อเลยสักนิด กลับชอบใจเสียอีกเพราะมันยิ่งทำให้เขาและหยางเถาได้พูดคุยกันมากขึ้น 

“เหล้าคือน้ำที่หากดื่มเข้าไปแล้วก็จะมึนเมาเช่นคนที่เจ้าเอ่ยถามจากข้านั่นล่ะ” 

“หากดื่มเข้าไปแล้วเป็นเช่นนั้น เหตุใดพวกเขาถึงยังคงดื่มมันเข้าไปด้วยล่ะ” 

  ความสงสัยมีมาไม่รู้จบสิ้น พอได้คำตอบหนึ่งความสงสัยอีกหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวจนหยางเถาต้องย่นคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมมนุษย์ถึงทำทั้งๆที่รู้ในผลลัพธ์ของสิ่งที่กระทำ เหตุใดมิหยุดยั้งตัวหากรู้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ต้นไม้เช่นเขาไม่มีเรื่องเช่นนี้ดั่งมนุษย์ เพราะส่วนใหญ่ก็ได้แต่ยืนมองอยู่ที่เดิม เฝ้ารับแสงและช่วยส่งสายลมให้พัดไหวก็เท่านั้น 

“นั่นสินะ...คงเพราะ อารมณ์ ก็อาจจะเป็นได้”

“ข้า...ไม่เข้าใจ” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นราวกับมันเป็นสิ่งที่บีบคั้น เขาพยายามทำการเรียนรู้อารมณ์ที่เฟยหลงบอก แม้ว่าในหลายรอยปีมานี้ ตัวหยางเถาจะยืนดูเหล่าเพื่อนๆรอบกายค่อยๆล้มตายไปตามกาลเวลา แต่ก็มีเพียงความรู้สึกโดดเดี่ยวและเหว่ว้าเท่านั้น 

“อารมณ์ก็คือความรู้สึก ความรู้สึกเช่นที่ข้า...รู้สึกอยากอยู่กับเจ้าตลอดไป หรือเช่นเวลาที่ข้าไม่พบเจ้า ข้าก็จะคิดถึงเพียงเจ้าตลอดเวลา” 

  แก้มใสขึ้นสีระเรื่อยามได้ฟังก้มใบหน้าหงุดลงมองมือที่อยู่บนตักของตนแทนการสบตากรุ้มกริ่ม เฟยหลงเอื้อมมือมาลูบไล้แก้มแดงเบาๆ ปลายนิ้วค่อยๆเกลี่ยเล่นกับความนุ่มนั้นอย่างพอใจ อยากจะดมดอมหอมแก้มสีระเรื่อนี่ดูสักครั้งให้ได้ชื่นใจ แต่ก็ทำได้แค่เพียงลูบไล้เล่น ยิ่งความร้อนของปลายนิ้วถูกส่งผ่านผิวแก้มมากเท่าไหร่ แก้มใสก็ยิ่งแดงขึ้นอีก 

“เช่นตอนนี้ ที่มนุษย์เราเรียกว่า......เขินอาย”

“อาหารมาแล้วครับ คุณชาย!” เฟยหลงรีบชักมือตัวเองออกจากแก้มนุ่ม แม้จะเสียดาย แต่คงไม่ดีนักหากมีคนเอาไปติฉินนินทา อาหารต่างๆถูกจัดวางไว้บนโต๊ะ ไอความร้อนพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศ กลิ่นหอมน่าทานจนหยางเถาได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ แต่ไม่กล้าหยิบจับสิ่งใด 

“กินเสียสิหยางเถา เหตุใดเจ้าไม่กิน หื้ม”

“ขะ ข้าไม่มีอีแปะนะเฟยหลง” หยางเถาอ้อมแอ้มตอบกลับไปเสียงเบา แม้จะไม่รู้ว่าอีแปะคืออะไร แต่เขาไม่มีจริงๆ เฟยหลงหัวเราะลั่นกับหน้าตาใสซื่อที่บ่งบอกว่าอยากจะกินเสียเต็มประดา แต่ก็ทำไม่ได้

“ฮ่าๆๆ ใครบอกว่าจะให้เจ้าจ่าย” 

“เอ๊ะ??”

“หึหึ ต่อให้เจ้าไม่มีสักอีแปะก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าสิ่งใดที่เจ้าปราถนา แม้จะแพงแสนแพงแค่ไหน ข้าก็จะหามากองให้เจ้าตรงหน้าเอง” 

  หยางเถาก้มหน้าหงุดกับคำหวานที่อีกฝ่ายหมายมั่นและเอ่ยลั่นวาจาด้วยน้ำเสียงจริงจัง มือไม้ระเกะระกะจนต้องเอื้อมไปหยิบจับอาหารตรงหน้ามากินเสีย ในขณะที่คนพูดอย่างเฟยหลงกลับนั่งเมียงมองเจ้าของผมสีเงินพร้อมยกชาขึ้นจิบด้วยท่าทางสบายๆ แก้มใสนั่นขยันขึ้นสีเสียเหลือเกินนะ แบบนี้นี่เล่าเขาจึงไม่สามารถจะปล่อยให้หยางเถาคลาดสายตาไปได้ เฟยหลงหัวเราะในลำคอเบาๆกับปากแดงๆที่เอาแต่พึมพำทั้งๆที่ยังไม่หยุดกัดกินเจ้าก้อนสีขาวกลมๆด้วยซ้ำ ถึงแม้จะไม่ได้ยิน แต่เขาก็พอจะเดาได้ 

หึหึ หยางเถา ข้าพร้อมจะนำทุกสิ่งมากองให้เจ้าตรงหน้า แค่เจ้าร้องขอกับข้า เพียงเป็นสิ่งที่เจ้าปรารถนา มิว่าสิ่งใด ข้ายินดีจะนำมาให้กับเจ้าเอง 



                                 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





               หยางเถาที่กินเสียจนพุงของตนเริ่มอึดอัดและจุกแน่นนั้นรู้สึกราวกับว่าจะเดินไม่ไหว ส่วนเฟยหลงไม่แตะอาหารใดๆเลยสักอย่าง ปล่อยให้เขาจัดการมันจนหมด กว่าจะหมดได้เล่นเอากินพื้นที่ในท้องเขาไปเสียมากมาย เฟยหลงเดินออกมาจากร้านด้วยความสบายใจ เห็นหยางเถากินได้แบบนี้เสียเงินสักเท่าไหร่เขาก็ไม่เสียดาย แต่เหตุใดกันหนอ ถึงได้ทำหน้ายู่จนทุกอย่างจะไหลมารวมกันอยู่จุดเดียวอยู่แล้ว

“ไม่ถูกปากหรือ หยางเถา”

“ไม่ๆ อาหารพวกนั่นอร่อยมากๆเลยนะ ข้าไม่เคยกินอะไรอร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย เจ้าก้อนขาวๆนั่นด้วย ทั้งนุ่มทั้งหวาน ข้าชอบ!!” หยางเถารีบอธิบายออกไปกลัวเหลือเกินว่าเฟยหลงจะเข้าใจผิด ทุกอย่างมันดี เกินไปเสียด้วยซ้ำ

“แล้วเหตุใด เจ้าจึงได้ทำสีหน้าเช่นนั้นล่ะ หื้มม” 

“ขะ ข้า เอ่อ ข้า คือว่า ตอนนี้พุงของข้า ใกล้จะแตกแล้วล่ะเฟยหลง ข้ารู้สึกเหมือนไม่อยากเดินหรือขยับไปไหนเลย” มือขาวๆลูบอยู่ที่ช่วงท้องบนชุดขาวๆให้เฟยหลงได้เห็นว่า มันจุกจริงๆ

“หึหึ......แต่เจ้าก็ชอบ”

“อื้ม.....ข้าชอบมาเลย ขอบใจเจ้ามากนะ” รอยยิ้มหวานที่ประดับอยู่บนใบหน้าของหยางเถานั้น ช่างเหมาะกับเจ้าตัวเสียเหลือเกิน จนเฟยหลงเผลอคิดไปว่า จะทำเช่นไรให้รอยยิ้มติดตรึงอยู่บนในหน้างามตลอดไปดี 

  มือหนากระชับฝ่ามือเล็กเข้ามาจับแน่น ส่งยิ้มให้กันด้วยความรู้สึกที่อิ่มเอมใจ หยางเถาของเขาช่างดูดีเหลือเกิน คืนนี้เป็นคืนที่พิเศษกับเขามาก การได้ออกมาเที่ยวชมเมืองกับหยางเถานั้น มันช่างสนุกเสียจนเฟยหลงไม่ปรารถนาให้ค่ำคืนนี้จบไปเลย สายลมเอื่อยพัดผ่านสองร่างที่เดินเคียงคู่กันให้ได้แนบชิด แม้แต่จัทรายังส่องแสงให้เฟยหลงได้มองใบหน้างามภายใต้ผมสีเงินสลวยได้อย่างชัดเจน เฟยหลงไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดอีกแล้ว หากได้มีหยางเถาอยู่เคียงข้างกาย เขาจะไม่วิงวอนขอสิ่งใดอีก 

      โอ้สวรรค์ โปรดอย่าพรากหัวใจดวงนี้ไปจากข้าเลย

  เฟยหลงพาร่างเล็กเดินมาสักพัก สายตาของคนข้างๆก็จับจ้องมองภาพเบื้อหน้าไม่ยอมละสายตา หยางเถาเฝ้ายืนนิ่งมองภาพตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ เฟยหลงไม่คิดจะดึงดันเดินต่อ หากคนข้างกายเขาใคร่จะมองเขาก็จะหยุดให้คนๆนี้มองอย่างที่ต้องการ

  ภาพตรงหน้าคือสิ่งใดกัน เหตุใดคนที่เข้าไปด้านในนั้นถึงได้ออกมาในสภาพที่แต่งกายไม่เรียบร้อย เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไปหมด เหล่าหญิงงามพวกนั้นก็กระไร มิยอมแต่งกายให้มิดชิดดั่งเช่นหญิงสาวพึงกระทำ หยางเถาคิดแต่ก็มิได้มองด้วยสายตาตำหนิ หากแต่เต็มไปด้วยความไคร่อยากจะรู้ สิ่งที่อยู่ภายในน่าสนใจเหลือเกิน นั่นทำให้มือบางบีบฝ่ามือของเฟยหลงแน่นขึ้น 

  เหยหลงเลิกคิ้ว มองตามสายตาสีน้ำตาลทองไปอย่างสนใจ มุมปากยกยิ้มกับอาการของหยางเถาผู้เดียงสา อย่างนี้เอง คงอยากจะรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรสินะ เฟยหลงบีบกระชับมือเล็กๆเอาไว้จนหยางเถาหันมามองด้วยรอยยิ้ม จะบอกให้เขาไปสินะ แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แค่เอาเถอะ เขาเองก็ไม่อยากให้เฟยหลงโกรธ 

 หมับ!!

ทว่า...เมื่อสองร่างขยับเดินหวังจะไปจากตรงนั้น หญิงสาวที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าชิ้นบางก็เข้ามาจับแขนหยางเถาและเฟยหลงเสียจนแน่น 

“คุณชายทั้งสอง เชิญข้างในก่อนสิเจ้าคะ” น้ำเสียงออดอ้อนกับใบหน้าจิ้มลิ้มช้อนสายตาขึ้นยั่วเย้าหวังอ่อยเหยื่อให้คนทั้งคู่ได้เข้าไป นานครั้งเหลือเกินที่พวกนางจะได้เจอหนุ่มหล่อ แม้อีกคนจะหน้าหวานกว่า แต่ก็ยังคงเป็นบุรุษ การแต่งกายก็ดูสะอาดสะอ้าน คงมาจากตระกูลร่ำรวยเป็นแน่

“เอ๊ะ?? เข้าไปทำไมหรือ” หยางเถาถามออกไปเวยสีหน้างุนงง จนสาวๆทั้งหลายหัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ ใสซื่อเสียจนน่าลิ้มลอง

“คิกๆ ถ้ายอมเข้ามา ข้าจะบอกนะเจ้าคะ” มือนุ่มเรียวของอิสตรีลูบไล้แขนเรียวเล็กของหยางเถาแผ่วเบาจนเจ้าตัวขนลุกซุ่ แต่ความใคร่จะรู้มีมากกว่า เฟยหลงที่ยืนนิ่งมองภาพที่ขัดตาตรงหน้าด้วยความไม่ชอบใจ แต่ครั้นจะแสดงออกหรือกระทำใดๆไป อีกฝ่ายก็คือสตรี ย่อมมิควร แม้พวกนางจะเป็น นางคณิการ์ก็ตาม

“คุณชายท่านนี้......ข้าอยากให้ท่านกับสหารได้เข้าไปพักผ่อนข้างในนะเจ้าคะ”

“ใช่เจ้าค่ะ พวกข้าจะดูแลคุณชายทั้งสองอย่างดีเลย เข้าไปด้วยกันเถอะนะเจ้าคะคุณชาย” เสียงช่างออดอ้อนเหลือเกิน แต่จะยอมเข้าไปให้หยางเถาถูกแทะโลมจากพวกนางหรือ เขาคงยอมมิได้

“เฟยหลง.......เข้าไปได้ไหม” แววตากลมโตนั่นสิที่ทำให้เขาปฏิเสธออกไปไม่ได้ เสียงหวานของใครจะออดอ้อนสักเท่าใดก็ไม่อาจเท่าน้ำเสียงของเจ้าของผมสีเงินสักนิด ใจของเฟยหลงอ่อนยวบ เผลอพยักหน้ารับคำไปอย่างลืมตัวจนสาวๆเยื้องแย่งกันเกาะแขนของหยางเถา เฟยหลงชะงักเมื่อได้สติ นี่เขาเผลอตกลงไปแล้วหรือ อยากจะตีหัวตัวเองแรงๆเหลือเกิน เช่นนี้เขาก็เท่ากับยอมปล่อยให้เหล่าแมลงน่ารำคาญดอมดมบุปผางามของเขาน่ะสิ ไม่ได้เด็ดขาด!!





                                 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


>>>>>>>>>มีต่อนะคะ<<<<<<<<<
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 3. Up.15/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 15-08-2018 12:45:08
 >>>>>>>>>>>ต่อค่ะ<<<<<<<<<

            นางคณิการ์ทั่งหลายต่างคิดจะให้หนุ่มรูปงามทั้งสองผู้นี้แยกออกจากกันแต่น้ำเสียงทรงอำนาจของเฟยหลงดั่งคำประกาศิต ประกาศกร้าวไม่ยินยอมจะแยกห้องหรือแยกโต๊ะเด็ดขาด นางคณิการ์จึงได้แต่หน้าซีดตัวสั่นรีบนำสองหนุ่มรูปงามไปยังโต๊ะใหญ่ที่ถูกเตรียมไว้ บนโต๊ะมีเพียงสุราไหใหญ่และกับแกล้มสองสามอย่าง เฟยหลงและหยางเถาถูกเหล่านางคณิการ์ดึงให้นั่งลงฝั่งตรงข้ามกันและกันโดยมีพวกนางขนาบข้าง หยางเถาตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ได้เข้ามาเห็น ทุกอย่างดูแตกต่างจากร้านที่ไปมาก่อนหน้านี้ลิบลับ หลายโต๊ะที่เป็นเช่นเดียวกับโต๊ะของเขา มีเหล่าสาวงามนั่งดื่มด่ำสำราญเป็นเพื่อน แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือ ทำไมพวกคนเหล่านั้นจึงต้องจับเนื้อต้องตัวพวกนางจนเกินงาม แล้วเหตุใดพวกนางถึงได้ดูมีความสุขเช่นนั้นกัน ความคลางแคลงใจยังไม่ได้รับคำตอบ มืออ่อนนุ่มของอิสตรีข้างๆกายก็คอบลูบไล้ไปตามสาบเสื้อ

“อะแฮ่ม!!!” 

  หยางเถาสะดุ้งหลุดออกจากความคิดในทันที น้ำเสียงกระแอมไอดังมาเรียกสติอีกทั้งยังมีสายตาคมกริบที่กำลังวาวโรจน์มองมายังตนด้วยความไม่พอใจ หยางเถาหวาดหวั่นอย่างไม่รู้สาเหตุจนมือไม้สั่นไปหมด ยกจับอะไรก็หลุดมือไปโดยง่ายจนเหล่านางคณิการ์ได้แต่หัวเราะคิกคักด้วยความขบขัน ช่างไม่รู้เสียเลยนะว่า เสือจะขย้ำจนสิ้นชีพอยู่แล้ว

“คุณชาย ดื่มนี่สิเจ้าคะ รสดีเชียวเจ้าค่ะ”

  หยางเถายอมดื่มน้ำสีใสในถ้วยอย่างไม่ได้ใส่ใจว่าคือสิ่งใด รสหวานประหลาดที่แตะสัมผัสปลายลิ้นนั้นช่างละมุนและหอมเสียจนหยางเถาติดใจ ตากลมวาววับจับจ้องน้ำในไหประหลาดอย่างสนใจ จนเหล่านางคณิการ์เติมให้ไม่หยุดหย่น จอกแล้วจอกเล่าที่ถูกเติมจนเต็มและถูกหยางเถาดื่มไปจนพร่อง 

  เฟยฟลงนั่งมองคนตรงข้ามเงียบๆ ไม่เอ่ยห้ามปราบแต่อย่างใด เหตุผลเพราะเขาชอบเหลือเกินที่ใบหน้าหวานมีสีแดงระเรื่อ ดวงตาสีน้ำตาลทองหยาดเยิ้มไปด้วยฤทธิ์สุรา ริมฝีปากอิ่มสีสดยกยิ้มไม่หยุดแถมยังหัวเราะกับพวกนางคณิการ์เสียงใสเสียอีก คราแรกเฟยหลงหงุดหงิดและไม่พอใจอย่างมากที่เหล่าคนพวกนี้แตะเนื้อต้องตัวหยางเถาของเขา หากแต่คิดอีกที ใช่ว่าจะทำอะไรคนของเขาได้ง่ายๆเสียเมื่อไหร่ ยิ่งถูกเหล่าพวกนางคณิการ์จับปลดเปลื้องผ้าออกอย่างหมิ่นเหม่ ดวงตาของเฟยหลงก็ยิ่งแพรวพราว ผิวกายที่เขาได้ลอบมองยามปกติว่าขาวงามตาแล้ว ยิ่งอยู่ใต้ร่มผ้ายิ่งขาวเสียจนร่างกายของเขาร้อนไปหมด 

  มือหนาได้แต่ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มดับความกระหายที่เกิดขึ้น หากเป็นปกติเขาคงใช้พวกนางข้างๆกายช่วยปลดเปลื้องความกระหายอยากไปแล้ว แต่หากเขาทำเช่นนั้น อีกคนคงไม่วายถูกเหล่านางคณิการ์ข้างๆแทะโลมจนไม่หลงเหลืออะไร ความหอมหวานนั้นควรจะเป็นของเขาเท่านั้น เพราะแบบนั้น เขาจึงต้องอดทนเอาไว้ ใช้เหล้าข่มอารมณ์ดิบให้มลายหายไปให้หมด

“หยางเถา ข้าว่าเราควรกลับได้แล้ว” 

“อึก! อร่อยจาง หว๊านหวานนนน”

“หยางเถา กลับกันได้แล้ว!” น้ำเสียงของเฟยหลงเข้มขึ้นเมื่อร่างของหยางเถายังคงดื่มด่ำกับน้ำสีใสในจอก

“เฟยหลงงงง ข้าอยากกินอีกกกกก~” ตากลมฉ่ำ ปรือมองพร้อมส่งยิ้มหวานออดอ้อนขอดื่มต่อ เฟยหลงใจอ่อนยวบหากแต่ถ้าหนักกว่านี้ เห็นทีหยางเถาคงไม่แคล้วถูกเหล่าสาวงามแห่งหอคณิการ์จับเปลื้องผ้าจนหมดสิ้นเป็นแน่

  ไม่ได้! ยังไงข้าก็ต้องพาหยางเถากลับ

“ว๊าย!!!!!” เฟยหลงเดินเข้าไปหาหยางเถาทันที มือหนาคว้าเอาแขนเล็กดึงให้ร่างบางลุกขึ้นทันที ความมึนจากฤทธิ์น้ำเมาทำให้หยางเถาไม่อาจจะทรงตัวอยู่ได้เซถลาเข้าหาอกแกร่งด้วยท่าทางล่อแหลมจนเหล่าสาวคณิการ์หวีดร้อง ใบหน้าของเหล่าผู้มองดูเหตุการณ์แดงซ่านด้วยความเขินอาย ยิ่งได้จับจ้องใบหน้าของเจ้าของผมสีเงินยิ่งรู้สึกแปลกๆ เหล่าชายหนุ่มที่อยู่ในหอคณิการ์ต่างมองหยางเถาอย่างหลงไหล ใบหน้าหวานราวเทพธิดา ผมสีเงินสลวยช่างดึงดูดใจ รูปร่างอรชรที่มีชุดสีขาวปิดไว้หมิ่นเหม่ยิ่งทำให้อยากจะเข้าไปช่วยถอดออกเสียเหลือเกิน 

  เฟยหลงตวัดสายตาคมกริบใส่ทุกคนที่บังอาจใช้สายตามองคนในอ้อมแขนของเขาแบบโลมเลียจนทุกคนต้องหลบสายตาไม่กล้ามองร่างขาวนวลอีก ฝ่ามือของเฟยหลงจัดเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยให้เข้าที่ปกปิดร่างกายขาวที่ดึงดูดสายตาหลากหลายคู่ มือหนากระชับประคองเอวบางเอาไว้แน่น พยายามให้หยางเถาเดินไปให้ได้ แต่ก็ไม่สำเร็จ เงินถุงเล็กที่มีจำนวนไม่น้อยถูกวางไว้บนโต๊ะโดยที่เจ้าของไม่สนใจจะนับว่าเกินไปเท่าไร 

“หยางเถา...เจ้าไหวไหม”

“เฟยหลงงง ข้ามึนหัวจางเลยยยย” คิ้วเรียวขมวดจนแทบจะผูกกันเป็นปม

“เฮ้อ...ข้าบอกเจ้าแล้วว่าให้กลับ เจ้าดอกท้อขี้เมาเอ้ย!!” แม้จะบ่นแต่ก็ปนไปด้วยความเอ็นดูไม่หยอก สองมือดึงข้อมือเล็กให้ขึ้นมาบนหลังกว้าง แต่ด้วยความเบาของตัวหยางเถาและรูปร่างที่ไม่ได้ใหญ่โตมากมายอย่างเช่นบุรุษทั่วๆไปนั้น ทำให้เฟยหลงสามารถพาร่างของหยางเถาขึ้นมาบนแผ่นหลังตนเองได้โดยง่าย เฟยหลงกระชับขาเล็กๆเข้าหาเอวของตนจนมั่นใจได้ว่าคนบนหลังของเขาจะไม่ร่วงหล่นลงไปกลางทาง 

  ในครั้งเมื่อเขาอยู่ที่เมืองหลวงบิดามารดาต่างบอกเขาว่า เหล้าหากคิดจะดื่มอย่าให้มึนเมา เพราะเรามิอาจรู้ได้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นบ้าง เขาจึงถูกสั่งให้ดื่มอยู่เพียงในจวนจนกว่าจะมั่นใจว่าเหล้าไม่สามารถทำให้ขาดสติ จึงได้ปล่อยให้เขาออกไปดื่มกับเพื่อนๆบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนใหญ่เฟยหลงเองเสียมากกว่าที่เอาแต่หมกตัวท่องตำราอยู่ภายในจวนจนเพื่อนๆเอือมระอา เมื่อครั้งนั้นเขาไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมเขาจะต้องฝึกฝนตนเองเรื่องการดื่มเหล้าด้วย หลีกเลี่ยงเสียก็จบ แต่วันนี้เองที่เขารู้สึกดีใจ หากไม่เพราะถูกสั่งมาตั้งแต่ครั้งนั้น ป่านนี้ เจ้าดอกท้อแสนงดงามของเขา มิแคล้วถูกแทะโลมเสียจนหมดสิ้น

  ดวงจันทร์ลอยล่องอยู่ที่เดิม และมีเขากับหยางเถาเช่นเดิม เพียงแต่ตอนนี้ จากคนที่เดินจับมือกันมา ต้องมีการแบกกันกลับไป เฟยหลงได้แต่หัวเราะในคำลอตนอย่างแผ่วเบา ใครจะไปรู้ว่า หยางเถาของเขาจะขี้เมาขนาดนี้ แต่จะโทษหยางเถาก็คงไม่ได้ สุราไหนั้นรสดีเสียจริง ทั้งหวานทั้งนุ่มลิ้นราวกับเชื้อเชิญให้ลิ้มลองเพิ่มขึ้นจนเขาเองก็หลงดื่มเข้าไปหลายจอก 

“เฟยหลงงง ข้าอยากดื่มอีกกกกกก” เฟยหลงได้แต่ส่ายหัวกับเสียงหวานที่พึมพำอยู่ใกล้ๆหูของเขา เมาเสียขนาดนี้ยังคิดจะดื่มอีกหรือไรกัน

“ข้าจะไม่เรียกเจ้าว่าหยางเถาแล้วนะ เจ้าดอกท้อขี้เมา! หึหึ” 

แม้ระยะทางจะไม่ใกล้แต่เฟยหลงกลับไม่รู้สึกเหนื่อยสักนิด กลิ่นหอมหวานที่เขาชอบลอยมาจากตัวหยางเถาตลอดทาง เขาชอบช่วงเวลานี้เหลือเกิน ช่วงเวลาที่เขามีหยางเถาอยู่ เฟยหลงรู้สึกสุขใจ หัวใจเขาอิ่มเอมไปด้วยความปิติ ใบหน้าหล่อเหลาถูกประดับด้วยรอยยิ้มตลอดทางจนหากใครผ่านไปผ่านมาเห็นเข้า คงได้ถูกหาว่าบ้าเป็นแน่ 



                                 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





              ถังลี่หยางถลาร่างเข้ามาหาเฟยหลงอย่างรีบร้อนเมื่อเห็นว่านายน้อยของตนกลับมาพร้อมกับแบกร่างของสหายเมื่อตอนพลบค่ำบนหลับมาด้วย จากที่ร้อนใจว่านายน้อยจะหลงทาง ตอนนี้กลับต้องร้อนใจว่าระยะทางขนาดไหนกันที่นายน้อยของเขาแบกร่างของคนๆนึงกลับมา แต่แปลกเหลือเกิน เหตุใดใบหน้าของนายน้อยถึงได้เปี่ยมสุขจนยิ้มกริ่มมาเช่นนั้น 

“นายน้อยขอรับ วางคุณชายผู้นี้ลงก่อนเถอะขอรับ ข้าน้อยจะให้คนมาช่วย..”

“ไม่ต้อง!! อา...เดี๋ยวข้าพาเขาไปพักที่ห้องข้าเอง ขอผ้ากับน้ำให้ข้าด้วย” ถังลี่หยางชงักกับเสียงเด็ดขาดจนเฟยหลงต้องรีบเปลี่ยนน้ำเสียงทันที

“ขอรับนายน้อย” 

  เฟยหลงเดินผ่านถังลี่หยางไปทั้งที่บนหลังยังมีหยางเถาอยู่ เฟยหลงแค่เพียงไม่อยากให้ใครแตะต้องหยางเถาเท่านั้น แค่ไม่อยากให้ใครสัมผัสร่างอ่อนนุ่มที่ยังคงหลับอยู่บนแผ่นหลังกว้างของเขา สองเท้ายังคงก้าวไปด้วยความมั่นคง กลิ่นอายที่คุ้นเคยที่ช่างคล้ายกับกลิ่นของหยางเถาลอยมากับสายลม ดอกท้อสีชมพูยังคงเบ่งบานรับแสงจันทราอยู่บนกิ่งก้าน สายลมพัดหวิวจนใบและดอกโบกสะบัดไปตามแรง แสงจันทร์ส่องตรงลงมาราวกับว่าจะฉายแสงให้เพียงต้นท้อที่เต็มไปด้วยดอกสีชมพูต้นนี้เท่านั้น รอบๆข้าช่างมืดมิดจนน่ากลัว เฟยหลงยืนมองต้นท้อที่ดูโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้นอย่างไม่อาจจะละสายตาไปได้ 

      นับพันปีเลยหรือ ที่เจ้าต้องอยู่ตรงนั้นเพียงผู้เดียว

ความรู้สึกหดหู่กัดกินจิตใจของเฟยหลงจนหมองเศร้า ใบหน้างามที่กำลังหลับพริ้มอยู่บนไหล่ของเขาช่างอ่อนเดียงสาต่อโลกภายนอกเหลือเกิน แล้วคนอย่างหยางเถาของเขานี่หรือที่ต้องกักเก็บเอาความเงียบเหงาและความเหว่ว้ามาไว้ในหัวใจได้นานขนาดนั้น หากเป็นเขาเล่า จะทนมันได้หรือ

  คำตอบคือไม่เลย เขาคงอดทนต่อมันไม่ได้แน่ คืนที่ลมหนาวพัดมา หิมะถาโถม หยางเถาอยู่ได้อย่างไรกัน หรือจะโอบกอดตัวเองเอาไว้ ใจของเฟยหลงสั่นไหวจนเจ็บปวดไปหมด ยิ่งยามนึกถึงความรู้สึกของหยางเถา เขายิ่งทนไม่ได้

  เฟยหลงวางร่างของหยางเถาลงบนเตียงอย่างเบามือ ปัดเส้นผมสีเงินออกจากใบหน้างามด้วยความอ่อโยน ผิวแก้มแดงด้วยฤทธิ์เหล้าหวานที่เจ้าดอกท้อดอกนี้ริอาจดื่มกินทั้งที่ไม่เคยดื่มสักครั้ง มันชวนให้เอ็นดูจนดุด่าไม่ลง ภายใต้ชุดสีขาวนี้มีไหล่เล็กสีน้ำนมที่เขาจำได้มิอาจลืมเลือนไปจากความคิด หากได้ฝากประทับรอยไว้คงดี เพียงแค่กดริมฝีปากลงไป ดูดดึงผิวเนื้อขาวจนมันแดงเท่านั้น

“ผ้ากับน้ำมาแล้วเจ้าค่ะนายน้อย” เฟยหลงหลุดออกจากความคิดทันทีที่สาวใช้เข้ามาพร้อมกับอ่างไม้ใบเล็กที่มีน้ำอยู่ 

“ขอบใจมาก” เฟยหลงนำผ้าชุบน้ำจนเปียกชุ่มบิดออกจนเหลือเพียงผ้าที่เปียกหมาดๆก่อนจะนำมาเช็ดไปตามใบหน้าและลำคอของหยางเถา หยางเถาย่นคิ้วเมื่อถูกความเย็นสัมผัสที่ใบหน้า ความรำคาญทำให้มือบางได้แต่ปัดป่ายไล่เอาสิ่งที่รบกวนการนอนออกไปจนเฟยหลงต้องจับข้อมือเล็กๆเอาไว้

“รูปงามนะเจ้าคะนายน้อย สหายของนายน้อยเป็นคุณชายตระกูลไหนหรือเจ้าคะ” ความใคร่รู้ของนางเป็นดั่งคำแสลงสำหรับเขา เฟยหลงจึงได้แต่ปรายตามองด้วยความไม่พอใจ จนนางได้แต่ละล่ำละลักขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

“ขอโทษเจ้าค่ะ นายน้อย ข้าจะไม่ทำอีกแล้วค่ะ” 

“ช่างเถอะ เจ้าจะไปทำอะไรก็ไปทำ ตรงนี้ข้าจะดูแลเอง” 

“เจ้าค่ะ นายน้อย” 

  นางได้แต่ทำหน้าหงอยแล้วเดินออกไป เฟยหลงถอนหายใจจนรู้สึกได้ว่าเมื่อครู่คงจะแสดงอารมณ์มากไปเพราะนางเองเพียงแค่ถามเท่านั้น เขาคงจะหวงร่างเล็กมากไปถึงได้เป็นเช่นนั้น มือใหญ่ยังคงซับผ้าไปตามใบหน้าหวาน เส้นผมสีเงินแผ่กระจายไปกับเตียงยิ่งส่งให้คนที่นอนอยู่น่ามองยิ่งขึ้น เฟยหลงได้แต่นอนลงข้างๆหยางเถา มองใบหน้าที่ด่ำดิ่งอยู่ในห้วงนิทราอย่างเป็นสุข แก้มที่แดงจากฤทธิ์เหล้าเริ่มกลับเป็นปกติ แผ่นอกเล็กขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจ

“หลับสบายจังนะเถาเถา นอกจากจะขี้เมาแล้วยังขี้เซาอีกเหรอ หื้ม” 

  เฟยหลงได้แต่ลูบไล้เส้นผมนุ่มด้วยความรักใคร่ รอยยิ้มอ่อนโยนถูกจุดขึ้นลนใบหน้ายิ่งเวลาที่อีกคนขยับตัวหันใบหน้างามมาทางเขาด้วยแล้ว ยิ่งแทบจะห้ามใจไม่ให้มองริมฝีปากแดงนั่นได้ยาก ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยบนปากอิ่มอย่างหลงไหล ยิ่งได้อยู่ใกล้กลิ่นหอมจากร่างบางก็ยิ่งชัดเจน มนต์ใดหนอที่เถาเถาน้อยร่ายใส่เขา ดวงใจถึงได้เต้นระรัวยามอยู่ใกล้ ยามได้มองใบหน้างามนี้ อยากจะใช้เวลากับคนข้างกายไปเสียทุกวันทุกคืน คิดแม้กระทั่งว่า......หากได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เขาคงมีความสุขไม่น้อย จมูกโด่งกดลงบนแก้มใสสูดดมเอาความหอมหวานจากเนื้อกายของหยางเถาจนสุดปอด หัวใจของเฟยหลงเต้นแรงจนอกแกร่งสะท้าน มือหนายกขึ้นทาบทับกดบริเวณตำแหน่งหัวใจเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าคนข้างๆที่หลับไหลอยู่นั่นจะตื่นขึ้นมาได้ยิน

    เจ้าจะรู้ไหมหนอ ว่ากำลังทำให้ข้า...ขาดเจ้าไปไม่ได้ หยางเถา





                                 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



           นานจนเวลาล่วงเลยไปเท่าไรไม่รู้ เสียงสัตว์ที่ป่าวร้องในช่วงเวลากลางดึกก็กลับเงียบสงบ แสงจันทร์ค่อยๆน้อยลงจนเกือบจะหมดไป บ่งบอกว่าถึงเวลาที่แสงตะวันจะมาผลัดเปลี่ยนทำหน้าที่ของช่วงทิวา เฟยหลงอยากจะขอให้เวลาช่วยผ่านไปช้ากว่านี้อีกหน่อย เขาอยากจะนอนมองใบหน้างามตานี้ให้นานอีกสักหน่อย แต่เขาก็ไม่อาจจะหยุดเวลาไม่ให้เดินต่อไปได้ ที่ทำได้ก็เพียงปลุกหยางเถาให้ตื่นขึ้นมาเท่านั้น

“เถาเถา เจ้าดอกท้อขี้เมา ตื่นเถอะ” เสียงทุ่มเอ่ยกระซิบข้างหูเล็กเพื่อเรียกอีกคนจากการนิทรา 

“อื้อ...ข้ายังง่วงอยู่เลย”

“หึหึ.....แต่ตอนนี้ใกล้จะเช้าแล้วนะ เจ้าต้องกลับแล้วมิใช่หรือ”

  ทันทีที่ได้ยิน ดวงตากลมก็พลันลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ร่างกายเล็กเด้งขึ้นจากที่นอนด้วยความเร็วจนอาการตกค้างจากการดื่มเหล้าเข้าจู่โจม โลกทั้งใบเอียงไปหมด สายตาพร่ามัวมองไม่ชัดสักอย่าง อาการปวดหัวตุบๆเล่นงานจนต้องยกมือขึ้นมากุมขมับเอา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ทุกอย่างตีกันยุ่งเหยิงไปหมด แม้แต่อาหารที่ได้กินไปเมื่อคืนก็เช่นกัน

“อุบ!!”

“เถาเถา!! เจ้าเป็นอะไร!!!” เฟยหลงเอ่ยถามอย่างร้อนรนเมื่อหยางเถายกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับวิ่งตัวปลิวออกไปนอกห้อง

“อ้วก!!! อ้วก!!!!”

รสเปรี้ยวในปากคืออะไรกัน ทำไมร่างกายของเขาถึงได้ปล่อยของเหลวออกมาทางปาก มือหนาของเฟยหลงลูบหลังบางเบาๆเพื่อช่วยบรรเทาอาการพะอืดพะอมที่กำลังเล่นงานร่างเล็กๆอยู่ในตอนนี้ หยางเถาอาเจียนจนหมดท้อง เรี่ยวแรงจากร่างกายหดหายไปจนหมด ไหนจะอาการวิงเวียนที่เกิดขึ้นมานี่อีกละ หยางเถาทรุดตัวลงอย่างอ่อนแรงโชคดีที่มีวงแขนแกร่งรวบเอวเข้ามาใกล้รองรับร่างกายเล็กเอาไว้ก่อนจะล้มไป

“ระวังหน่อยสิ! เจ้าไหวไหม หื้ม เถาเถาน้อย”

“จะ เจ้า เจ้าเรียกข้าว่าอะไร” แม้จะยังตกอยู่ในอาการมึนหัว มึนศีรษะจนสิ่งรอบกายเบลอ แต่หูเขาไม่มีทางเพี้ยนแน่

“หึหึ เถาเถาน้อย ทำไมล่ะ หรือจะให้ข้าเรียกเจ้าว่า เจ้าดอกท้อขี้เมา?” ใบหน้าสวยแดงก่ำด้วยความอับอาย นี่เขาเมาหรือ แล้วเขาทำอะไรแย่ๆลงไปบ้างไหมหนอ หยางเถาได้แต่กัดริมฝีปากล่างตัวเองเอาไว้แน่นอย่างขบคิด หากแต่ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างกลับมืดลงตั้งแต่เขากำลังดื่มน้ำสีใสรสชาติหวานปนเผื่อนลิ้นที่ให้ความรู้สึกร้อนฉ่าจนต้องยินยอมให้เหล่านางที่นั่งขนาบข้างช่วยปลดอาภรณ์บนร่างกายออกบ้าง จากนั้น...จากนั้นเขาก็ลืมมันไปหมดแล้ว ยิ่งคิด ทุกอย่างก็ยิ่งมืดราวกับราตรีที่ไร้ซึ่งแสงแห่งจันทราและหมู่ดาว หรือแม้แต่แสงไฟสักดวงก็ไม่มี 

“ขะ ข้า....”

“ว่าอย่างไร” จะให้ตอบอย่างไรกัน ไม่ว่าจะเถาเถาน้อย หรือเจ้าดอกท้อขี้เมาก็ไม่ใช่ชื่อเขาทั้งสิ้นนี่ ดวงตากลมเหลือบมองในหน้าของเฟยหลงที่มีรอยยิ้มกรุ้มกริ่มประดับอยู่ ก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลทองจะหลุบลงเพราะเขินอาย

“ถ้าหาก.....”

“หืม....”

“ถ้าหากเจ้าอยากเรียกข้าว่าอย่าไร กะ ก็แล้วแต่เจ้าเถอะ” ดวงหน้าหวานหลบลงกับอกแกร่ง ทั้งที่เป็นแค่เพียงบทสนทนาธรรมดาๆแท้ๆ แต่เขากลับรู้สึกแปลกๆจนไม่สามารถสบตาคู่นั้นได้เลย เฟยหลงได้แต่หัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูกับปฏิกิริยาของร่างในอ้อมแขน 

“หึหึ......เจ้าหน้าแดงบ่อยเหลือเกิน ไม่สบายหรือ” เฟยหลงเย้าแหย่ด้วยน้ำเสียงล้อเลียนติดหัวเราะในลำคออย่างแผ่วเบา หยางเถาได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้นมามอง ยิ่งได้ยินคำกล่าวล้อเลียนยิ่งกระดากจนแก้มใสแดงปลั่งลามไปถึงลำคอ

“ข้า......สบายดี”

“หึหึ เช่นนั้น.....คงได้เวลาแล้วล่ะ ข้าจะเดินไปส่งเจ้านะ เถาเถา”

  มือใหญ่ค่อยๆพยุงร่างบางในอ้อมแขนให้ค่อยๆก้าวเดินไปยังต้นท้อต้นใหญ่ที่ยังคงมีดอกสีชมพูเบ่งบานอยู่บนกิ่ง เฟยหลงไม่อยากให้ถึงเวลานี้เลย อยากจะใช้เวลาให้มากกว่านี้ อยากจะคอยดูแลหยางเถาให้หายดี อาการตกค้างจากเหล้าที่ได้ดื่มเข้าไปเมื่อคืนจนมึนเมานั้นยังคงมีผลจนทำให้หยางเถาไม่มีแรงแม้แต่จะเดิน ไหนจะต้องขย้อนเอาทุกอย่างออกจากกระเพาะจนหมดอีก เรี่ยวแรงจึงได้ถดถอยลงเช่นนี้ 

  เฟยหลงและหยางเถาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าต้นไม้ต้นใหญ่เพียงต้นเดียว อาการปวดหนึบบีบคั้นหัวใจแน่นเสียจนปวดร้าวไปหมด เวลาที่จะต้องจากกันในช่วงเวลาที่ตะวันขึ้นมาถึงอีกแล้ว เฟยหลงไม่อยากให้ช่วงเวลานี้มาถึงสักนิด การต้องมองใบหน้าหวานภายใต้เส้นผมสีเงินหายตัวไปต่อหน้าต่อตานั้นช่างทรมานใจเสียเหลือเกิน

“ข้า......ต้องไปแล้ว” หยางเถาพูดด้วยเสียงแผ่วจนแทบจะไม่ได้ยิน เฟยหลงได้แต่ยืนมองใบหน้าของคนตรงหน้านิ่งๆ 

“ข้าจะรอพบเจ้า ทุกคำคืน” น้ำเสียงมั่นคงและมุ่งมั่นตอกย้ำให้หยางเถารู้ว่า เขาจะเฝ้ารออยู่ไม่มีวันห่างหายไปไหน หยางเถาส่งยิ้มบางๆให้ร่างกายของคนตัวเล็กเลือนลางจนเกือบจะหายไป มือหนาเอื้อมไปจับเส้นผมนุ่มนั้นไว้ อย่างน้อย.....ก็ขอให้ได้สัมผัสจนนาทีสุดท้าย ความเลือนลางกลายเป็นความว่างเปล่าหลงเหลือเพียงแค่แสงสีเขียวคล้ายหิ่งห้องเท่านั้น เฟยหลงเหม่อมองแสงที่ลอยละล่องอยู่ในอากาศด้วยความเหว่ว้า มือหนาหมายจะคว้าแสงนั่นมาไว้ในกำมือ หากแต่สิ่งที่คว้าได้มีเพียงอากาศเท่านั้น เพียงอากาศ........ที่อยู่ในมือ ไม่ต่างกับความมืดมิดที่กำลังกัดกินหัวใจของเขา เพียงเพื่อรอแสงจันทร์สาดส่องกลับมาอีกครั้ง   



TBC



เฟยหลงงงงง ทำไมชอบแกล้งน้องงงงง ขอโทษที่มาต่อช้า เนื่องจากสองอาทิตย์มานี้แมวต้องคอยดูแลคุณแม่เลยไม่ค่อยจะมีเวลา แต่ยังไงแมวจะไม่หายไปนานหรอกนะคะ ยังไงก็ต้องมาต่อแน่นอน

Facebook : https://m.facebook.com/PassionateFiction

Twitter : https://mobile.twitter.com/little_kittensY
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) ตอนที่3. หอคณิการ์ Up.15/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 16-08-2018 14:56:48
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 4. up.25/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 25-08-2018 09:57:45

เสียงภายนอกที่ช่างดูวุ่นวายปลุกให้คนที่เพิ่งได้พักผ่อนนั้นต้องลืมตาตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทราโดยไม่เต็มใจนัก คิ้วเข้มขมวดจนแทบจะเป็นปม เฟยหลงค่อยๆ กะพริบตาเพื่อปรับความเคยชินของแสง หูยังคงได้ยินเสียงรอบข้างอย่างชัดเจน ร่างสูงของเฟยหลงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงของตนก่อนจะเดินไปเปิดประตูเพื่อดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เหล่าสาวใช้ดูวุ่นวายกับการจัดแจงอะไรบางอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด จึงได้ตัดสินใจเดอนออกไปเพื่อหวังจะไถ่ถามถังลี่หยางให้ได้รู้เรื่องราว ถังลี่หยางที่กำลังคอยชี้นิ้วสั่งเหล่าคนงานในจวนตระกูลลู่ด้วยน้ำเสียงดุ เฟยหลงมองภาพแห่งความวุ่นวายด้วยความสงสัย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่นะ

“อ้าว!! นายน้อย.....ตื่นแล้วหรือขอรับ” เฟยหลงพยักหน้ามองไปรอบๆ ตัวอย่างใคร่รู้

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า.....ทำไมทุกคนในจวนดูวุ่นวายขนาดนี้”

“อา....นายน้อยลืมแล้วหรือขอรับ วันนี้นายท่านกับฮูหยินจะมาเยี่ยมอย่างไรล่ะขอรับนายน้อย”

เฟยหลงชะงัก หลงลืมไปเสียสนิทว่าท่านพ่อท่านแม่จะมาหาในวันนี้ เพราะมัวแต่คิดถึงร่างนวลตาเจ้าของผมสีเงินที่จับจองครอบครองหัวใจเขาจนหมดสิ้น ลืมเลือนไปเสียหมดทุกอย่างที่สำคัญ ก่อนเขาจะมาที่นี่เพียงคนเดียวนั้น ท่านพ่อและท่านแม่ได้บอกเอาไว้แล้วว่าจะตามมา เป็นเฟยหลงเสียเองที่ลืมมัน หากท่านพ่อท่านแม่มาก็จะต้องพบหยางเถาน่ะสิ ไม่ได้ เขาต้องหาทางแก้ไขเสียก่อน อย่างน้อยก็ไม่ให้ทั้งสองได้สงสัยในตัวหยางเถา โดยเฉพาะเส้นผมสีเงินที่แปลกตานั่น

“ข้า.....ลืมไปเสียสนิท แล้วท่านพ่อท่านแม่จะมาถึงเมื่อไหร่”

“สักครู่ก็น่าจะมาถึงแล้วขอรับนายน้อย ข้ากำลังเร่งคนในจวนให้เตรียมจัดห้องหับไว้ให้นายท่านกับฮูหยินอยู่เลยขอรับ” อย่างนี้เอง เพราะท่านพ่อท่านแม่ของเขาจะมานี่เล่า เหล่าผู้คนในจวนจึงได้อึกกระทึกครึกโครมเสียตั้งแต่เช้า เฟยหลงป้องปากหาววอดด้วยความง่วงงุน ด้วยเพราะเมื่อคืนกว่าเขาจะได้เข้านอนก็เกือบจะเช้า แต่เมื่อตื่นขึ้นมาเช่นนี้แล้ว เขาเองก็คงนอนไม่หลับแล้วล่ะ เช่นนั้นคงต้องไปอ่านตำราในห้อง รอเวลาท่านพ่อท่านแม่มาจะดีกว่า

“หากท่านพ่อท่านแม่มาถึง ฝากท่านช่วยให้เหวินฉายไปตามข้าที่ห้องด้วยนะ ข้าว่าจะไปอ่านตำราเสียหน่อย”

“ขอรับนายน้อย นายน้อยจะรับอาหารเช้าเลยไหมขอรับ ข้าจะได้...”

“ไม่เป็นไร.....ข้าว่าจะรอท่านพ่อท่านแม่มาเสียก่อน ขอเพียงน้ำชาให้ข้าที่ห้องก็พอ”

“ขอรับนายน้อย”

เฟยหลงเดินกลับไปยังห้องของตน หยิบคว้าเอาตำรามาอ่านเพื่อให้เวลาได้ผ่านไป ครั้นจะกลับไปล้มตัวลงนอนในตอนนี้เขาก็คงนอนไม่หลับเสียแล้ว ความเบื่อหน่ายกับบรรยากาศในห้องทำให้เฟยหลงได้แต่บิดตัวไปมา ตัดสินใจจับตำราขึ้นมาถือเอาไว้และเดินออกไปที่สวนสวรรค์ทางด้านนอก ที่ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของดอกไม้งามที่เบ่งบานรับแสงตะวัน

เหล่านกตัวน้อยและแมลงสีสันสดใสต่างพากันมาเย้าหยอกล้ออยู่กับบุปผาอันเย้ายวนใจที่เรียงรายอยู่มากมาย ความงดงามของเหล่าบุปผามิได้ติดตรึงหัวใจของเฟยหลงแม้แต่น้อย สิ่งที่เพียรอยู่ในสายตาคมกลับเป็นเจ้าดอกสีชมพูเล็กๆ ที่อยู่บนกิ่งของต้นไม้ใหญ่นั่นต่างหาก ฝีเท้าเร่งเดินก้าวเข้าไปหาอย่างฉับไว ความหอมลอยละล่องมาให้ได้ดอมดมจนคนได้กลิ่นหัวใจเต้นรัวราวกับเจ้าของกลิ่นหอมนี้.....มายืนอยู่ตรงหน้า มุมปากของเฟยหลงยกยิ้มอย่างเผลอไผล เพียงแค่ได้มายืนอยู่ตรงนี้เขาก็มีความสุขล้นเหลือเกินแล้ว ร่างสูงค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งใต้ต้นท้อใหญ่ด้วยท่าทีผ่อนคลาย ศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีนิลพักพิงอยู่กับลำต้นสีน้ำตาลพร้อมกับยกตำราขึ้นมาอ่านไล่ไปตามตัวอักษรในกระดาษ ปากก็พึมพำพยายามท่องและจดจำเนื้อหาในตำรา ลมพัดใบของต้นท้อให้ปลิวไสว สายลมเอื่อยถูกส่งมาราวกับต้องการจะคลายร้อนให้แก่เฟยหลงที่ใช้ต้นท้อเป็นที่พักพิงในการอ่านตำรา







.




.

.

.

.

.

.

.

.

.



เฟยหลง ตื่นเถอะ เฟยหลง เจ้าตื่นได้แล้ว

เสียงหวานอันคุ้นเคยดังเข้ามากระทบประสาทหูจนคิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ดวงตาเรียวค่อยๆ ลืมขึ้น แสงตะวันส่องเข้ากระทบม่านตาจนต้องกะพริบอยู่หลายครั้ง แขนยาวเหยียดออกบิดกายด้วยความเมื่อยขบ นี่เขาหลับไปนานขนาดไหนกันหนอ แดดแรงขึ้นกว่าช่วงที่ออกมาอ่านตำราแรกๆ นี่ก็คงจะใกล้เวลาที่ท่านพ่อท่านแม่เขาจะมาแล้วสินะ

“นายน้อยขอรับ นายน้อยอยู่ที่ไหนขอรับนายน้อย” เฟยหลงหันไปมองตามเสียงเรียกก่อนจะผุดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“ข้าอยู่ตรงนี้ เหวินฉาย”

ถังเหวินฉายเป็นหลานชายของถังลี่หยางพ่อบ้านคนสนิทที่ท่านปู่ของเขาไว้วางใจ เหวินฉายเป็นชายหนุ่มรูปร่างเล็ก ใบหน้ามักจะเปรอะเปื้อนมอมแมมอยู่เสมอด้วยความที่เป็นดังเด็กซนจึงมักจะโดนดุด่าจากถังลี่หยางเสมอๆ แต่ก็ไม่อาจจะหยุดยั้งความซุกซนนั้นได้ ถังลี่หยางมักจะให้เหวินฉายติดตามเขา เพราะหวังให้เป็นผู้เป็นคนมากขึ้น หวังให้เหวินฉายได้เป็นดั่งคนในจวนคนอื่นๆ แต่ด้วยเพราะเขาเองด้วยที่เอ็นดูเหวินฉายมาก เอ็นดูเหมือนน้องชายคนหนึ่งจึงไม่ค่อยใช้งานหรือสั่งการใดๆ ปล่อยให้แอบไปเล่นตรงนั้นตรงนี้ตามประสา

“นายน้อยขอรับ นายท่านกับฮูหยินมาถึงแล้วขอรับ”

“มาถึงแล้วหรือนี่! ดีๆ นำข้าไปหาพวกท่านเร็ว”

“ขอรับนายน้อย ทางนี้เลยขอรับ”

เฟยหลงเดินตามเหวินฉายด้วยใจที่ลิงโลด ในที่สุดท่านพ่อท่านแม่ก็มาถึงเสียที เขาหรือเป็นห่วงเหลือเกินว่าจะเดินทางลำบากหรือไม่ แต่มาถึงแบบนี้เขาก็เบาใจหน่อย เฟยหลงก้าวเท้าเดินตามหลังอย่างมั่นคง มือหนายังคงถือตำราเอาไว้แน่นไม่ยอมวาง

ร่างของชายและหญิงวัยกลางคนสวมใส่เนื้อผ้าชั้นดี ฮูหยินอี้เหม่ยหลินมองใบหน้าบุตรชายด้วยแววตาคิดถึง สองแขนโผเข้ากอดคนเป็นลูกไว้ทั้งตัวอย่างรักใคร่ ใบหน้าสมวัยยิ้มออกมาด้วยความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นหน้าบุตรชายของนางอีกครั้ง ฝ่ามือของผู้เป็นมารดาลูบไล้ใบหน้าของลูกด้วยความรักใคร่เอ็นดูจนเฟยหลงต้องกุมมือบางของมารดาตนเอาไว้

“แม่คิดถึงลูกเหลือเกินเฟยหลง ลูกเป็นอย่างไรบ้าง”

“ข้าสบายดีขอรับท่านแม่ มิมีอะไรให้ต้องห่วงแต่อย่างใด” เหม่ยหลินยิ้มออกมาบางๆ แววตานางเต็มไปด้วยความคิดถึงอย่างสุดแสน นางใช้สายตากวาดมองบุตรชายอย่างตรวจตราว่าการเป็นอยู่เป็นเช่นไร

“ทำไมเจ้าเนื้อตัวเปรอะเปื้อนอย่างนี้” เฟยหลงก้มลงมองตัวเองก่อนจะยิ้มออกมาราวกับเด็กที่กระทำผิด

“ข้าเผลอหลับใต้ต้นท้อน่ะขอรับท่านแม่ เศษดินเศษหญ้าคงติดมาจากตอนนั้น” อี้เหม่ยหลินได้แต่ส่ายหัวกับคำตอบของบุตรชายคนเดียว มีที่ไหนไปนอนใต้ต้นไม้เสียจนมอมแมมเช่นนี้

“ได้อย่างไรกัน! นี่ลูกไม่มีห้องพักหรือไร” เฟยหลงยิ้มขำพลางส่ายหน้าปฏิเสธคำพูดของมารดาตน แม่ทัพลู่จิ้นเหอที่กำลังจิบชาอยู่ตรงเกาอี้นั้น เกิดความขบขันต่อความคิดของฮูหยินตน

“เหม่ยหลิน.......เจ้าเห็นตำราในมือของลูกรึไม่”

“ตำรา? อ้อ ข้าย่อมเห็นแน่นอนท่านพี่”

“แล้วเจ้าเดาไม่ออกหรือว่า.....ลูกชายคนเดียวของเรา อ่านตำราอยู่ใต้ต้นไม้นั่นจนเผลอหลับไป” เหม่ยหลินมองค้อนสามีเสียยกใหญ่ มีหรือนางจะไม่รู้ข้อนี้ นางเพียงแต่สอบถามเอาไว้ก่อนเท่านั้น หากไม่ใช่ที่นางคิดก็แล้วไป

“ท่านพ่อท่านแม่หิวหรือยังขอรับ”

“นั่นสินะ ป่านนี้แล้วแม่กับพ่อเจ้าก็ยังไม่ได้กินอะไรกันเลย” เฟยหลงยิ้มออกมาก่อนจะพยักหน้าให้เหวินฉายได้ไปบอกกล่าวให้พ่อบ้านถังจัดโต๊ะตั้งเตรียมอาหารให้เขาและท่านพ่อท่านแม่

เหวินฉายค้อมศีรษะรับคำสั่งก่อนจะค่อยๆ ถอยออกไป ร่างสูงของเฟยหลงยังคงถูกเหม่ยหลินกอดรัดเอาไว้อยู่นาน จนเรียกสีหน้าละอาจากผู้เป็นสามีอย่างดี จิ้นเหอจิบชาราวกับไม่สนใจสิ่งใดๆ หากแต่ความจริงแล้วทุกอย่างล้วนแต่อยู่ในสายตาของเขาทั้งสิ้น บ้านหลังนี้คือที่ๆ เขาเติบโตขึ้นมา ทั้งการตกแต่ง ทั้งกลิ่นอายหรือแม้แต่สวนดอกไม้ทางด้านในก็ล้วนเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยทั้งสิ้น ชีวิตของจิ้นเหอผ่านช่วงเวลาต่างๆ มามากมาย ทั้งต้องฝึกความอดทน ต้องท่องตำราและใช้เวลาฝึกฝีมือดาบกับฮุ่ยเจิงผู้เป็นพ่ออย่างหนักจนแทบจะหาเวลาออกไปเที่ยวเล่นเหมือนอย่างเด็กคนอื่นๆ ไม่ได้ แต่ทุกอย่างก็ต้องขอบคุณท่านพ่อ เพราะชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันก็เป็นเพราะการผลักดันของท่านพ่อทั้งสิ้น เขาถึงได้มาเป็นแม่ทัพใหญ่ในเวลาไม่นาน

“ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”

“ช่วงนี้ไม่ค่อยมีสงคราม พวกที่รุกรานก็ดูจะเกรงต่ออำนาจของเรา พ่อจึงมีเวลาว่างอยู่มากเลยล่ะ” เฟยหลงยิ้มขำกับคำพูดนั้น อาจจะฟังดูแล้วไม่มีสิ่งใดแฝง หากแต่ด้วยนิสัยของท่านพ่อเขาเป็นลูกย่อมรู้ดี

“เบื่อสินะขอรับ ท่านพ่ออยากจะออกรบใช่หรือไม่ขอรับ” จิ้งเหอยกยิ้มมุมปากปรายตามองใบหน้าของลูกชายที่มีสีหน้ารู้ทันเขาไปเสียหมด

เหม่ยหลินมองการสนทนาระหว่างสามีและลูกชายด้วยความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก หัวใจคนเป็นแม่พองโตการได้กลับมาเห็นหน้าลูกชายใกล้ๆ เช่นนี้ มันช่างดีเหลือเกิน ร่างเล็กของเหวินฉายเดินเข้ามาใกล้ๆ ด้วยท่าทีนอบน้อม แม้ใบหน้าจะเปรอะเปื้อนแต่ก็ดูน่าเอ็นดูไม่น้อยเชียว

“นายท่าน ฮูหยิน นายน้อย อาหารพร้อมแล้วขอรับ”

“เจ้านี่นะ ข้าก็บอกไปแล้วใช่หรือไม่ว่าอย่าซุกซนนัก ใบหน้าเปื้อนไปหมดแล้ว” เหม่ยหลินเอ่ยขึ้นด้วยความเอ็นดู เธอเห็นเหวินฉายมาตั้งแต่เด็ก ติดตามลูกชายเธอมาตั้งแต่ตัวน้อยๆ แต่ด้วยนิสัยซุกซนเหลือเกิน จึงบ่อยครั้งนักที่ทั้งสองจะพากันกลับเข้ามาในบ้านด้วยความมอมแมมและทุกครั้งก็มักจะถูกเธอดุเสมอ

เฟยหลงนำร่างของท่านพ่อท่านแม่ของเขาให้เดินไปยังห้องที่ถูกจัดเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว เขาผายมือให้ท่านพ่อได้นั่งก่อนจะพยุงร่างของท่านแม่ให้นั่งลงข้างๆ ผู้เป็นสามี อาหารมากมายถูกจัดเตรียมไว้จนเต็มโต๊ะ ทั้งไก่ ผัก และปลา ถูกนำมาทำอาหารหลากหลายเพื่อต้อนรับนายท่านใหญ่ซึ่งเป็นพ่อของเฟยหลง จิ้นเหอแม้จะเป็นดั่งนายท่านใหญ่แต่ทุกคนย่อมรู้ดีว่า จวนสกุลลู่แห่งนี้ นายท่านฮุ่ยเจิงมอบให้นายน้อยเฟยหลงแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าจริงๆ ควรจะมอบให้นายท่านจิ้นเหอก่อนก็ตาม แต่อย่างไรมันก็ไม่ต่างกัน เพราะเมื่อสิ้นนายท่านจิ้นเหอทรัพย์สินทุกอย่างย่อมต้องเป็นของนายน้อยเฟยหลงอยู่ดี

ถังลี่หยางได้แต่มองภาพตรงหน้าเงียบๆ คอยดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เจ้านายของตนขาดสิ่งใด ลี่หยางอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงวันวานเก่าๆ ภาพของนายท่านของเขาฮุ่ยเจิงกับฮูหยินที่แม้มิได้สมัครรักใครกันดั่งคู่อื่น แต่นายท่านก็มิเคยมีอนุให้ฮูหยินได้หมองเศร้าใจ นายท่านมุ่งตรงกับงานอย่างหนัก เพียรพยายามสร้างตนขึ้นมาเพื่อมิให้ครอบครัวของท่านได้อดอยากปากแห้ง แม้ในช่วงที่สงครามรุกรานเข้ามา ข้าวและสินค้าขึ้นราคาตามเหตุการณ์ หากแต่พวกเขาและเหล่าบริวารในจวนสกุลลู่ ไม่มีสักครั้งที่จะขาดเหลือเรื่องอาหารการกินอยู่

นายท่านฮุ่ยเจิงใส่ใจทุกๆ อย่าง แม้จะมีบ้างที่ตัวเขาเองอดรนทนไม่ไหวบ่นว่าไปกับตัวนายท่านอยู่หลายหน แต่นายท่านเองก็มิเคยกล่าวต่อว่า กลับเห็นเป็นเรื่องสนุกจนติดเป็นนิสัย ชอบหาเรื่องมาให้เขาบ่นเสียจนปวดหัว ฮูหยินเคยบอกว่า

“เจ้าเป็นดั่งสายธารใหญ่ สามารถรับสิ่งใดได้ก็รับเสียเถิด” และก่อนที่ฮูหยินจะสิ้นใจ ก็ได้กล่าวกับข้าไว้เช่นกันว่า...

“สิ้นไร้วาสนาใดเล่า จะเท่าลงมือทำ อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยเสียจนเจ้า มานึกเสียใจในวันที่สาย”

เขาไม่เข้าใจมันสักนิด แม้จะผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด เขาก็ยังไม่เข้าใจมันอยู่ดี ครั้นเอ่ยปากถามไถ่ออกไป ก็ได้กลับมาเพียงรอยยิ้มเอ็นดู เขาเข้ามาในจวนนี้ครั้งแรกเมื่อตอนอายุยังน้อยตัวเล็กเหมือนเด็กๆ ทั่วไปที่ยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราวใดๆ ดีนัก ท่านพ่อของนายท่านฮุ่ยเจิงรับเขาซึ่งเป็นเด็กน้อยเข้ามาอยู่ในจวน มีหน้าที่รับใช้และคอยดูแลนายท่านที่ตอนนั้นยังคงเป็นนายน้อย

เขานั้นอายุน้อยกว่ามาก เพียงพบเจอนายท่านฮุ่ยเจิงครั้งแรกเขายอมรับเลยว่า ชื่นชม นายท่านอยู่ในใจ รูปโฉมของนายท่านฮุ่ยเจิงเป็นที่เลื่องลือ ความหล่อเหลาของใบหน้ามิได้แตกต่างจากใบหน้าของนายน้อยเฟยหลงแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าถอดแบบกันมาเสียจะดีกว่า บรรดาสาวงามแห่งเมืองซิ่นจือนี้ มิมีบ้านใดไม่ส่งแม่สื่อมาไถ่ถาม

ยามนายท่านเคร่งขรึมก็ดูน่าเกรงขาม ยามนายท่านหัวเราะก็ดูดึงดูดสายตาผู้คน ส่วนใหญ่เวลาเดินไปตลาดกับนายท่าน เขาจึงมักจะเห็นเหล่าสาวน้อยทั้งหลายทั้งบุตรสาวของจวนผู้ว่า หรือแม้แต่สาวชาวบ้านต่างก็ตกหลุมรักใบหน้าหล่อเหลาของนายท่านฮุ่ยเจิงทั้งสิ้น แต่ฮูหยินมิใช่เลย.....

ฮูหยินอี้หลินคือบุตรสาวชาวบ้านมิได้ใหญ่โตแต่อย่างใด หากแต่กิริยาวาจาการวางตัวกลับงดงามยิ่งกว่าบุตรสาวผู้มีชาติตระกูลดีเสียอีก ท่านแม่ของนายท่านฮุ่ยเจิงทาบทามฮูหยินอี้หลินให้ตบแต่งกับนายท่าน แม้ทั้งคู่จะมิได้มีใจเสน่หาต่อกัน แต่ก็มิมีใครเอ่ยปากขอหย่าหรือโวยวายแต่อย่างใด เขาให้คำสัตย์สาบานเอาไว้ ไม่ว่าจะนานเท่าใดก็ตามเขาจะใช้ทั้งชีวิตอุทิศให้กับตระกูลลู่ ไม่ว่าเรื่องราวจะหนักหนาหรือเบาบางถังลี่หยางผู้นี้จะยินดีเป็นดาบเป็นหอกเป็นโล่ให้แก่นายท่านตระกูลลู่จนกว่าชีวิตอันต้อยต่ำของเขาจะหาไม่!

“ท่านแม่ ทานเยอะๆ นะขอรับ” เฟยหลงคีบอาหารที่เป็นของโปรดของเหม่ยหลินให้ คนเป็นแม่ยิ้มพริ้มพรายด้วยความเอ็นดูที่บุตรชายคนเดียวเอาใจใส่ขนาดนี้ มือของเหม่ยหลินคีบเอาอาหารของบุตรชายสุดที่รักเข้าปาก มองใบหน้าหล่อเหลาที่ได้เห็นมาแต่อ้อนแต่ออกอย่างไม่ละสายตา ไม่รู้เพราะเหตุใด นางจึงรู้สึกราวกับว่าบุตรชายของนางเปลี่ยนไป รอยยิ้มที่นางเคยเห็นมาตั้งแต่ก่อนนี้ กับรอยยิ้มบนใบหน้าของบุตรชายนางในตอนนี้มันช่างให้ความรู้สึกต่างกัน

เฟยหลงในตอนนี้ ดูราวกับว่าอิ่มเอมใจเสียเหลือเกิน มีความสุขเสียจนไม่สามารถกักเก็บมันเอาไว้ในหัวใจได้ จนต้องระบายความรู้สึกอันเปี่ยมล้น ออกมาทางใบหน้า เหม่ยหลินได้ตาลอบมองบุตรชาย แม้จะเกิดคำถามมากมายแต่นางก็ไม่สามารถจะเอ่ยถามสิ่งใดได้ เมื่อด้วย....มันเป็นเพียงความรู้สึกจากส่วนลึกของจิตใจเท่านั้นที่กู่ร้อง หาใช่สิ่งที่สามารถนำมาไถ่ถามได้สะดวกไม่

“ท่านแม่ขอรับ มีสิ่งใดไม่สบายใจหรือขอรับ” เหม่ยหลินชงัก กะพริบตาก่อนจะส่งยิ้มและส่ายศีรษะเบาๆ

“เปล่าเลย เจ้าอย่ากังวลไป แม่สบายดี”

“เช่นนั้น ท่านแม่ต้องทานเยอะๆ นะขอรับ”

“ได้...แม่จะทานให้หมด”

เสียงการสนทนาระหว่างเฟยหลงและเหม่ยหลินยังคงดังตลอดการทานอาหารโดยมีสายตาของจิ้นเหอผู้เป็นพ่อและสามีมองด้วยแววตาเปี่ยมสุข ครอบครัวของเขาจะเป็นเช่นนี้ตลอด ช่างเป็นภาพที่คิดถึงเสียเหลือเกิน หากท่านพ่อของเขาอยู่.....คงจะสุขกว่านี้แน่ เพราะท่านพ่อรักและเอ็นดูเฟยหลงมากกว่าผู้ใด จวนตระกูลลู่หลังนี้ท่านพ่อของเขาก็ยกให้เป็นของเฟยหลงแต่เพียงผู้เดียว อีกทั้งยังกำชับเขาให้จัดการปัญหาต่างๆ อย่าให้เฟยหลงต้องลำบาก นึกขึ้นมาก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา มีหรือที่ยกจวนให้หลานก่อนลูก ทั้งยังให้ลูกชายอย่างเขาทำหน้าที่ดูแลปกป้องต่อไปอีก

หึหึ ท่านพ่อนะท่านพ่อ หลานชายของท่าน เฟยหลง โตขึ้นมากแล้วนะขอรับ

เขาหรืออยากจะตะโกนป่าวร้องให้ท่านพ่อได้ยินเสียเหลือเกิน อย่างเฟยหลงต่อให้เขาไม่ต้องดูแลอะไร เฟยหลงก็ไม่มีทางลำบากเป็นแน่ เพราะลูกชายของเขานั้น เข้มแข็งและฉลาดหลักแหลมพร้อมต่อปัญหาทุกอย่างที่จะเข้ามา คนเป็นพ่อ ย่อมรู้ถึงสิ่งนี้ดี!
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 4. up.25/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 25-08-2018 10:00:46
>>>>>>>>>ต่อค่ะ<<<<<<<<<
ตะเกียงในจวนถูกจุดขึ้นเพื่อความสว่างสายลมพัดผ่านไปอย่างแผ่วเบา ความมืดมิดปกคลุมไปเสียจนทั่วแม้แต่ต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุยาวนานกว่าพันปีก็เช่นกัน กลีบดอกสีชมพูค่อยๆ บานออกเพื่อรับแสงจากจันทราที่สาดส่องลงมา ดูดซับมันเพื่อฟื้นกำลังให้เจ้าของร่างบอบบางภายในต้นไม้นั้น

หยางเถารับเอาแสงเข้าสู่เรือนร่าง นั่งลงประสานมือเพื่อเพิ่มพลังแก่ต้นเองเงียบๆ ร่องรอยจากการถูกไม้กวาดทำร้ายเอาเมื่อวันก่อนหายไปจนหมด พลังของหยางเถาเริ่มกลับมาทีละเล็กทีละน้อยจนเจ้าตัวเองรู้สึกได้ ไอเย็นที่ลอยคละคลุ้งผสมกลิ่นหอมแผ่กระจายไปรอบต้นราวกับดึงดูดให้ทุกสายตาได้มาเมียงมองความงามอันน่าตะลึงของต้นท้อในตอนนี้

เฟยหลงเดินออกมาด้วยท่าทางองอาจ อกแกร่งใต้เสื้อผายออกอย่าสง่างาม ท่วงท่าและการเดินชวนให้หลงใหล มือทั้งสองของเฟยหลงประสานกันอยู่ที่ด้านหลัง สายตามองตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าด้วยความคิดถึงอย่างเหลือแสน หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงเพียงแค่ได้กลิ่นหอมอันคุ้นเคยจากต้นไม้ตรงหน้า ริมฝีปากก็ยกยิ้มอย่างเฝ้ารอ

“หยางเถา เจ้าดอกท้อขี้เมา...เมื่อไหร่เจ้าจะออกมาพบข้า หืม”

เสียงเย้าหยอกดังขึ้น รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังรับแสงจันทร์ที่กำลังสาดส่อง หากแต่ใจเขาคงอดทนรอต่อไปไม่ไหวแล้วเช่นกัน สิ้นเสียงเรียกจากร่างสูงใหญ่ หยางเถาก็ปรากฏกายออกมาจากต้นท้อแทบจะทันที ใบหน้าหวานของหยางเถาแดงซ่านด้วยคำเรียกที่เฟยหลงใช้เรียกเขา เพียงพลาดพลั้งดื่มมันเข้าไปแค่ครั้งเดียว คนๆ นี้จะล้อเขาไปอีกนานเท่าไรหนอ หัวใจดวงน้อยเต้นแรงยามช้อนสายตาขึ้นมองสบกับคนตรงหน้าที่ฉายชัดแววหวานอย่างต้องการจะหยอกเย้า ริมฝีปากหนายกยิ้มพิมพ์ใจเมื่อคนที่อยากจะพบยอมออกมาพบหน้า

สายลมอ่อนๆ พัดผ่านไปให้เส้นไหมสีเงินปลิวไสว กลิ่นกายหอมเย้ายวนลอยมาแตะจมูกจนเฟยหลงต้องสูดดมมันเข้าปอด ยามใดก็ตามที่เขาได้กลิ่นนี้ หัวใจของเขาก็จะชุ่มฉ่ำและอิ่มเอม ความหลงใหลในตัวของหยางเถานั่นเกินกว่าวันแรกไปมากแล้ว ยามนี้หากจะต้องเสียหยางเถาไป ใจของเฟยหลงคงแหลกลาญ

ฝ่ามือหนายกขึ้นสัมผัสเส้นไหมสีเงิน จับยกขึ้นมาเล่นด้วยความเสน่หาในตัวเจ้าของ หากแม้ไม่สามารถแตะต้องเจ้าของได้ดั่งใจนึก ก็ขอเพียงได้สัมผัสกับเส้นผมนุ่มนี้เล็กน้อยก็เพียงพอ

“เจ้ามาช้านัก เจ้าดอกท้อ” ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วทั้งแก้มใส จนผิวแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อน่ามอง ยิ่งดวงตากลมที่สั่นระริกยามหลบเลี่ยงสายตาเขานั่น ยิ่งทำให้เฟยหลงรู้สึกต้องมนต์เหลือเกิน

ความงดงามของหยางเถาเปรียบดั่งดอกท้อสีชมพูที่กำลังเบ่งบานอยู่ใต้แสงจันทรา มันงามเสียจนไม่อาจจะละสายตาไปจากร่างบางได้ ทุกท่วงท่าทุกกิริยาที่หยางเถาแสดงมันต้องใจเขาเสียเหลือเกิน หากว่าวันเวลาที่ผ่านมาที่ได้พานพบเหล่าผู้คนมากหน้าหลายตา เฟยหลงกล้าพูดเลยว่ามิมีผู้ใดทำให้เขาสนใจได้เท่ากับร่างตรงหน้านี้

“ข้า...กำลังเพิ่มพลังให้ตัวเองอยู่ ขอโทษเจ้าด้วยที่ทำให้ต้องรอ” เสียงหวานเอ่ยแผ่วๆ ราวกับเกรงกลัวว่าอีกคนจะโกรธเคือง หลบสายตาลงมองที่มือตนเองอย่างไม่มั่นใจ

บรรยากาศเย็นๆ ของช่วงเวลาค่ำคืนกับแสงจันทร์ฉายที่ช่างดูราวกับต้องการจะเฉิดฉายให้หยางเถาเด่นขึ้นเสียอย่างนั้น ใจของเฟยหลงกระตุก มือที่สัมผัสเส้นผมสีเงินชะงักไปตามๆ กัน คิ้วหนาขมวดเข้าหากันจนแทบจะเป็นปมด้วยความสงสัย

“เจ้ายังไม่หายดี?” หยางเถาได้แต่พยักหน้ารับ มือบางลูบแขนตัวเองเบาๆ ด้วยความประหม่าที่ต้องตอบคำถามราวกับตนเองป่วย เฟยหลงยิ้มอ่อนส่งให้คนตรงหน้าที่กำลังเขินอายอยู่ท่ามกลางความมืด ใบหน้าและกิริยาของหยางเถาเช่นไรก็ยังคงน่ารักน่าใคร่เสียเหลือเกินจนเรียกความเอ็นดูจากเขาได้เสมอ

“เจ้าคงหิวแล้วใช่หรือ? ข้าให้คนเตรียมซาลาเปาร้อนๆ ไว้รอเจ้าที่ห้องของข้าเรียบร้อยแล้วนะ” เพียงแค่ได้ยินเรื่องเจ้าก้อนกลมๆ สีขาวๆ ที่นุ่มฟู ดวงตากลมสีน้ำตาลทองก็วาววับยกริมฝีปากขึ้นยิ้มอย่างลืมตัว

โครกกกกก

ท้องเล็กๆ ส่งเสียงโอดครวญเรียกร้องให้เจ้าของรีบตรงไปหาเจ้าเนื้อเนียนนุ่มนั่นโดยไวจนหยางเถาต้องยกมือขึ้นมากุมเจ้าท้องไม่รักดีที่นำความขายหน้ามาให้เขาเอาไว้ แก้มใสแดงปลั่งเมื่อคนตรงหน้าหัวเราะด้วยความเอ็นดู บรรยากาศหวานชวนให้หลงเคลิบเคลิ้มเหลือเกินแต่กลับถูกขัดขึ้นด้วยเสียงร้องของท้องเขาเช่นนี้ มันช่างน่าอายยิ่งนัก หยางเถาจึงได้แต่ยืนก้มหน้าหลบสายตาคมคู่นั้น

“หึหึ.....ถึงจะหิว แต่วันนี้ท่านพ่อท่านแม่มาเยี่ยมข้าที่นี่ ข้าอยากให้เจ้าไปพบกันพวกท่านก่อน ได้รึไม่?” หยางเถาชะงักใบหน้าหวานเกือบหงอกับคำถามที่ออกมาจากปากของเฟยหลง หากแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นสบสายตาเว้าวอนนั่นเขาก็โกรธไม่ลง

นี่คิดว่าข้าเห็นเจ้าก้อนนุ่มนั่นสำคัญกว่าหรือไรกันนะ เฟยหลง เจ้าคนบ้า

“ขะ ข้าไม่ได้เห็นแก่กินขนาดนั้นเสียหน่อย” แม้น้ำเสียงจะติดขุ่นแต่ใบหน้างามก็แดงระเรื่อจนคนมองต้องยิ้มกว้างกับคำตอบ น่ารัก เจ้าน่ารักเกินไปแล้วนะหยางเถา! หัวใจเฟยหลงเต้นระรัวราวกับเสียงกลอง กลีบดอกไม้ที่ลอยตามสายลมมาติดอยู่บนศีรษะของหยางเถา เส้นผมสีเงินกับสีแดงสดของเจ้ากลีบดอกไม้ช่างดูเข้ากันเหลือเกินในสายตาของเฟยหลง

มือหนาเอื้อมไปหยิบมันออกช้าๆ สัมผัสกลีบดอกและเส้นผมสีเงินนุ่มมืออย่างหลงใหล เฟยหลงไม่อยากเอามือออกเลยสักนิด เขาปล่อยให้กลีบสีแดงร่วงหล่นจากศีรษะของหยางเถาหากแต่มือของเขายังคงลูบไล้เส้นไหมเงินนั่นเล่น กลิ่นหอมของหยางเถาลอยมาจากกายบาง เขาชื่นชอบที่จะได้กลิ่นหอมนี้ มันช่างทำให้เขาได้รู้สึกผ่อนคลายเหลือเกิน

“ข้านึกภาพวันนั้นไม่ออกจริงๆ วันที่ข้า...จะไม่ได้เจอเจ้าอีก”

น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาจากใจ ความเจ็บปวดข้างในแทบจะเอ่อล้นออกมาเพียงแค่คิดว่า จะไม่มีโอกาสได้มองใบหน้างามเจ้าของเส้นผมสีเงิน ไม่มีโอกาสได้ยินเสียงใสที่ไร้ซึ่งความมั่นใจยามพูดคุยกับเขา เขาคงทนไม่ได้ หัวใจของเฟยหลงคงแหลกสลาย ความผูกพันที่เฟยหลงมีต่อหยางเถา แม้มันจะเกิดขึ้นมาได้ไม่นาน แต่มันก็แน่นแฟ้นเสียจนเฟยหลงคิดว่า ไม่อาจจะมีลมหายใจต่อไปได้ หากไร้ซึ่งหยางเถา

“ข้า...ก็ไม่อยากจะจากเจ้าไปสักนิด ข้าอยากจะอยู่กับเจ้าเช่นนี้ทุกราตรี ทุกทิวาไป” หยางเถาสบตาคมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเศร้า ซึ่งหยางเถารู้ดีว่าตนเองไม่สามารถทำอะไรได้

“หากเช่นนั้น...”

“แต่เจ้าคงไม่ลืมใช่หรือไม่...ว่าข้ามีเวลาเพียงแค่หนึ่งร้อยราตรี” ใบหน้าหวานแหงนหน้าขึ้นทอดสายตามองไปยังดวงจันทราที่มีเพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น หัวใจคนฟังบีบรัดจนเจ็บปวด แค่เพียงคิดว่านี่ได้ผ่านพ้นไปกี่ราตรี ลมหายใจของเฟยหลงก็แทบจะสะดุด

“เวลาของข้า......มีเพียงแค่นั้น ข้าสามารถมาหาเจ้าได้เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น” หยาดน้ำใสฉ่ำวาวทั้งดวงตาสีน้ำตาลทองทั้งสองข้าง สะท้อนความเจ็บปวดที่ทรมานออกมาจนหมดสิ้นหัวใจ

“หากจะให้ข้าพูดจริงๆ ...คงบอกได้แค่ว่า ให้คิดเสียว่ามันเป็นเพียงฝัน ที่ในเวลายามตะวันขึ้นข้าก็จะหายไป เจ้าก็จะลืมตาตื่นขึ้นมาจากฝันนั้น” เฟยหลงแทบจะลืมหายใจเพียงแค่ได้ยินคำที่ร่างเล็กกล่าวออกมา ฝันเช่นนั้นหรือ หากมันเป็นฝันเขามิปรารถนาจะลืมตาเลยสักนิด

“เช่นนั้น ข้ายินดีจะนิทราไปตลอด หากได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้าต่อ ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็ยินดี”

มือหนาเอื้อมมากุมสองมือของหยางเถาเอาไว้ กระชับมันจนแน่นราวกับต้องการจะบอกว่ายินดีจะทำเช่นดั่งที่ลั่นวาจาออกมาจริงๆ หัวใจของหยางเถาพองโต ตื้นตันที่สุดเมื่อได้ยินคำนั้น แต่ในความเป็นจริงมันไม่มีวันเป็นไปได้เลย เขาไม่สามารถมีชีวิตได้ตลอดไปเมื่อตกลงขอแลกร่างกายมนุษย์แล้วก็ต้องยอมรับว่าหลังจากสิ้นสุดเวลาในร้อยราตรีตามกำหนดเงื่อนไข ตัวของเขาและจิตวิญญาณจะแตกสลายไปดั่งเช่นสิ้นไร้ซึ่งวาสนาอีก

มันเป็นเรื่องเศร้าแต่หยางเถาก็ต้องยอมรับ เพราะนี่คือสิ่งที่เลือกเองทั้งหมด ตัดสินใจไปแล้วย่อมไม่สามารถจะคืนคำใดๆ ได้ แม้จะคืนคำได้ เขาก็ไม่ทำ การได้ใช้เวลาอยู่กับเฟยหลง ไม่มีสักครั้งที่จะทำให้เขาคิดว่ามันเสียเปล่า เขามีความสุขจนไม่รู้จะสุขอย่างไร สุขเสียจนล้นใจด้วยซ้ำ แค่จิตวิญญาณหายไป....เขาไม่เสียใจสักนิด

“ไปพบท่านพ่อท่านแม่ข้ากันดีกว่า”

“อืม..”

แม้ว่าคืนนี้จันทราจะมีเพียงเสี้ยวเดียวที่ปรากฏให้เห็น แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความงดงามของจันทร์เลยแม้แต่น้อย ค่ำคืนก็ยังเป็นค่ำคืน รอบกายจันทร์ก็พร่างพรายรายล้อมไปด้วยหมู่ดาวที่ยังเปล่งประกายแสง ความเงียบจากรอบด้านมิได้ทำให้เฟยหลงและหยางเถารู้สึกเหงาเลยแม้แต่น้อย

สีหน้าของทั้งสองกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจที่มีกันและกัน ฝ่ามือกระชับแน่นราวกับว่าจะไม่มีวันปล่อยให้อีกคนหลุดหาย สองร่างที่เดินเคียงข้างกันช่างเหมาะสมเสียยิ่งกว่าดวงจันทราและดาวดวงไหน หากใครสักคนมาเห็นแผ่นหลังของทั้งคู่ คงบอกได้แค่ว่า สวรรค์สร้างเขาทั้งสองให้มาคู่กัน เป็นแน่

เฟยหลงและหยางเถาเดินเข้าไปหาร่างของเหม่ยหลินที่กำลังรินน้ำชาให้กับจิ้นเหอผู้เป็นสามี สายตาของทั้งสองมองมายังผู้มาใหม่ด้วยความสงสัยจนเฟยหลงต้องยิ้มและขยับให้หยางเถาขึ้นมาอยู่ข้างตนเพื่อจะได้แนะนำให้ท่านพ่อและท่านแม่เขารู้จัก

“ท่านพ่อท่านแม่ นี่หยางเถาสหายของข้าขอรับ”

“ทะท่านแม่ทัพ ฮะฮูหยินลู่” มือบางยกขึ้นเคารพคนตรงหน้าที่เป็นบิดามารดาของเฟยหลงอย่าฃนอบน้อม หยางเถาไม่กล้าสบตาของพวกท่านโดยตรงได้แต่ลอบมองเป็นครั้งคราวและก้มหน้าลงเท่านั้น

เหม่ยหลินและจิ้นเหอหันมามองหน้ากันก่อนจะยิ้มขำขัน ช่างน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน ความประหม่าที่คนข้างกายบุตรชายนางได้แสดงออกมามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง แต่เป็นสิ่งที่ออกมาจากตัวตนของหยางเถาจริงๆ มันจึงได้ดูเข้ากันกับใบหน้าและแววตาที่ไม่มั่นใจนั่น ความรู้สึกเอ็นดูเข้ามาเกาะกุมหัวใจนางและสามีแทบจะทันทีที่ได้เห็นใบหน้านั้น ไม่รู้เพราะสิ่งใดกัน นางจึงได้รู้สึกผูกพันกับเด็กคนนี้เสียเหลือเกิน

“หยางเถาหรือ?” ชื่อของเด็กคนนี้ช่างน่าฟัง

“ขอรับ หยางเถาเป็นสหายของข้าที่นี่ขอรับ”

“เมื่อเป็นสหายของเฟยหลง ก็เรียกป้าเถอะมิใช่คนอื่นไกลเสียหน่อย” รอยยิ้มใจดีถูกส่งมาชโลมหัวใจดวงน้อยที่เต็มไปด้วยความกังวล เพียงได้เห็นรอยยิ้มนั่นหยางเถาก็รู้สึกผ่อนคลายราวกับได้อยู่บ้านของตนเอง

“ถูกของเจ้าฮูหยิน เมื่อเป็นสหายลูกชายข้าก็มิใช่อื่นไกล ไยจะต้องเรียกห่างเหินเช่นนั้น” แม้ว่าจิ้นเหอจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ทุกคำล้วนแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนอย่างไม่คิดปิดบัง ไม่มากนักที่บุตรชายของตนจะพาสหายมาแนะนำเช่นนี้

“แล้วบ้านเจ้าอยู่ที่ไหนเล่า เถาเถา”

เฟยหลงและหยางเถาที่ได้ยินคำเรียกจากปากเหม่ยหลินถึงกับชะงักกึก หยางเถาต้องฝืนยิ้มให้กับแม่ของเฟยหลงด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่เพียงเฉพาะชื่อเรียกที่แปลกไปหากแต่คำถามต่างหากที่ทำให้หยางเถาต้องเคร่งเครียด จะให้ตอบไปได้อย่างไรว่าอาศัยอยู่ในต้นท้อ ขืนเขาพูดไปเช่นนั้น ฮูหยิ-ไม่สิ ท่านป้าคงตกใจจนหมดสติเป็นแน่

ร่างสูงมองรอยยิ้มเจือนๆ บนใบหน้างามอย่างเข้าใจ จึงหันไปเพื่อตอบคำถามนั้นเสียเอง อย่างไรท่านแม่ก็เอ็นดูถึงขนาดเรียกอีกคนเสียสนิทสนม จะให้ท่านแม่รู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าหยางเถามิใช่มนุษย์ เฟยหลงยิ้มให้กับเหม่ยหลินด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะเป็นคนตอบคำถามนั้นเสียเอง

“อยู่ไม่ไกลจากจวนเราแม้แต่น้อยขอรับ แต่ไม่กว้างขวางใหญ่โตเท่ากับจวนของเรา” เฟยหลงเองแกล้งสีหน้าเศร้าเรียกคะแนนสงสารจากคนเป็นแม่ในเรื่องฐานะความเป็นอยู่ เขาไม่ได้โกหกเสียหน่อย ในต้นไม้หรือจะกว้างเท่าจวนของตระกูลลู่ ส่วนเรื่องที่ว่าไม่ไกลจากตระกูลเขาก็พูดจริง แต่จะให้จริงที่สุดต้องบอกว่า อยู่ในจวนเสียมากกว่า

เหม่ยหลินที่ได้ฟังยกมือขึ้นทาบอกสีหน้าบ่งบอกถึงความเห็นใจอย่างปิดไม่มิด แม้แต่จิ้นเหอที่เป็นแม่ทัพใหญ่เองก็หัวใจวูบไหว มิน่าเล่า.....ถึงได้ตัวเล็กนัก ทั้งที่เป็นบุรุษเพศแท้ๆ ไฉนจึงมีรูปร่างโปร่งบางราวกับจะต้านแรงลมไม่อยู่ เป็นเพราะยากจนนี่เองหรือ จิ้นเหอยกน้ำชาขึ้นมาจิบปกปิดความวูบไหวจากความสงสารเอาไว้ไม่ให้ใครได้เห็น

“โธ่......เจ้าคงลำบากมาสินะ” ศีรษะเล็กๆ ส่ายสะบัดจนผมสีเงินกระจาย ยิ้มแย้มอย่างเป็นสุขออกมาจากหัวใจ

“ไม่เลยขอรับ ข้ามีความสุขม๊ากมาก”

น้ำเสียงที่กล่าวออกมามิได้ฝืนกล้ำกลืนแต่อย่างใด จนทุกคนต้องยิ้มตามกับรอยยิ้มอันสว่างไสวนั่น หัวใจของหยางเถาพองโตคับอกไปหมด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับความห่วงใย เป็นครั้งแรกที่มีใครมาใส่ใจเรื่องราวของเขา (แม้ว่าเฟยหลงจะแต่งมันขึ้นมาก็ตาม)

เฟยหลงวางฝ่ามือใหญ่ลงบนกลุ่มผมนุ่มขยับลูบเบาๆ อย่างเอ็นดู ใบหน้าหล่อเหลายิ้มทั้งสายตาและริมฝีปากด้วยความเอ็นดู จนคนถูกปลอบโยนต้องแหงนเงยใบหน้าขึ้นไปยิ้มตอบ เหม่ยหลินยกมือขึ้นมาปิดปาก ความกังวลบางอย่างฉายชัดบนใบหน้า ปฏิกิริยาจากทั้งสองคนตรงหน้านางมันเกินกว่าความห่วงใยในระดับมิตรสหาย สายตาเช่นนี้มิต่างจากที่จิ้นเหอมองนางเมื่อครั้งเยาว์วัยเลยสักนิด เป็นไปไม่ได้ แม้อีกคนจะน่าเอ็นดูเพียงใด แต่นั่นก็บุรุษนะ!!

“เช่นนั้น ท่านแม่ขอรับ”

“วะ ว่าอย่างไรลูก” เหม่ยหลินถูกเสียงทุ้มของลูกชายดึงสติออกมาจากการจดจ่อกับความวิตกกังวลของตน

“ข้าขอพาหยางเถาไปทานซาลาเปาที่ห้องของข้าก่อนนะขอรับท่านพ่อท่านแม่” เหม่ยหลินที่ได้ฟังอ้าปากค้าง พูดตะกุกตะกักแทบจะไม่เป็นคำ

“พะ พา ปะ ไป ทะที่ห้อง ขะของลูก”

“ขอรับ ข้าก็พาไปที่ห้องของข้าทุกคืนนะขอรับ แปลกหรือ?”

“ไม่ ไม่เลย” นางแทบจะลมจับได้ทันทีที่ได้ฟัง ร่างของเหม่ยหลินทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างกายสามีอย่างหมดแรง จนเฟยหลงที่มองอยู่ถึงกับงุนงง

“เช่นนั้น ลูกขอตัวนะขอรับ ท่านพ่อ ท่านแม่ ไปเถอะเถาเถา หึหึ”

ยิ่งลูกชายของนางหยอกล้อจนใบหน้าหวานของหยางเถาแดงซ่าน ตวัดมองค้อนนางยิ่งใจไม่ดี เหม่ยหลินกังวลเหลือเกินว่าสิ่งที่นางกำลังคิดอยู่มันจะเป็นจริง สายตาสั่นไหวของเหม่ยหลินมองภาพลูกชายและบุรุษที่นางเอ็นดูพากันเดินออกไป นางยกมือขึ้นมากุมเอาไว้ในตำแหน่งหัวใจราวกับว่าเรื่องที่คิดมันกำลังจะเกิดขึ้น

จิ้นเหอมองใบหน้าของภรรยาด้วยความไม่เข้าใจ ยิ่งมันฉาดชัดถึงความกังวลเขายิ่งสงสัยเข้าไปอีก เรื่องใดกันที่ทำให้นางกังวล เมื่อครู่ยังเอ็นดูอยู่เลย เหตุใดตอนนี้จึงมีแต่ความเครียดกันเล่า เขาเอื้อมไปจับมือของภรรยาตนเองเอาไว้แน่นจนเหม่ยหลินต้องหันมาสบตา

“เจ้ากังวลสิ่งใดหรือ ฮูหยิน?”

“ท่านพี่.....ขะ ข้ากลัว กลัวเหลือเกินว่าลูกเราจะ.....” นางกัดปากตัวเองแน่น ระงับอาการสั่นเอาไว้ สายตาหลุบลงไม่กล้าสบสายตาสามีตรงๆ

“จะอะไร หืม”

“จะรักชอบบุรุษด้วยกัน..”







TBC









Talk : โอ้ยยย กลัวใจแม่เฟยหลงจังเลย แต่คงไม่มีอะไรหรอกเนอะ





Facebook > https://m.facebook.com/PassionateFiction

Twitter > https://mobile.twitter.com/little_kittensY





หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 4. up.25/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 26-08-2018 07:41:09
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 5. up.17/09/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 17-09-2018 19:11:47

         หยางเถาเหลือบมองใบหน้าของเฟยหลงที่ยังคงยิ้มไม่หยุดตั้งแต่ออกมาจากห้องของท่านลุงและท่านป้า จนแม้แต่ตอนนี้ที่เขากำลังนั่งกินก้อนกลมขาวๆ ที่เรียกว่าซาลาเปาในห้องแล้วก็ยังคงมีรอยยิ้มประดับใบหน้าอยู่ การถูกจ้องเวลาทานของแบบนี้มันเขิน ไม่เคยมีใครบอกหรือไงกันนะ! แบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ
เฟยหลงมองใบหน้าเนียนที่บัดนี้แก้มใสๆ นั่นนูนออกมาจากการที่เจ้าขอกัดเอาซาลาเปาร้อนๆ เข้าไปในปาก ความร้อนทำให้ปากแดงๆ ของหยางเถาแดงเข้าไปอีก ผิวแก้มขึ้นสีเลือดฝาดชวนมองยิ่งนัก เขาใช้เวลามองนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ตัวเขาไม่เคยเบื่อเลยสักครั้งที่ได้เพ่งพินิจใบหน้าขาว
สายตาไล่ขึ้นไปจนถึงถึงดวงตาสีน้ำตาลทองที่ลอบมองเขาอยู่แล้ว เมื่อสบตากับเขาดวงตากลมคู่นั้นก็หลุบมองจานที่เต็มไปด้วยซาลาเปาขาวๆ ที่กรุ่นร้อนแทน ปฏิกิริยาเช่นนั้นเรียกรอยยิ้มจากคนตรงหน้าได้อย่างดี แบบนี้ไงเล่า เขาถึงไม่สามารถละสายตาออกจากหยางเถาได้
มือบางเลื่อนจานที่มีซาลาเปาอยู่ไปตรงกน้าของเฟยหลง จนอีกคนต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัยกับการกระทำนั้น ร่างบางยังคงก้มหน้าก้มตากัดซาลาเปาร้อนๆ เข้าปากไม่ยอมหยุด ก้มหน้างุดไม่มองสิ่งใดทั้งที่แก้มใสแดงระเรื่อ เฟยหลงยิ้มกว้างเมื่อเข้าใจในการกระทำ ชวนเขากินสินะ เห็นเขาจ้องคิดว่าเขาหิวสินะ ช่างไร้เดียงสาอะไรเช่นนี้
“เจ้ากินเถอะ ข้าให้คนเตรียมมันเพื่อเจ้า” เฟยหลงเลื่อนจานนั้นกลับมาตรงหน้าหยางเถา ปฏิเสธกลิ่นหอมของมันด้วยรอยยิ้ม หากจะให้เขาเลือกกิน เขาอยากกินลูกท้อสีแดงตรงหน้ามากกว่า
“ข้า....เห็นเจ้ามอง” ความน่ารักของหยางเถากระเด็นเข้าตาคมอย่างจังจนหัวใจของเฟยหลงรู้สึกเหมือนมีใครยิงลูกศรเข้าใส่ ใครจะคิดว่าหยางเถาของเขาจะน่ารักได้มากขึ้นทุกวันๆ จนหัวใจของเขาต้องทำงานหนักแบบนี้
“ใครบอกว่าข้ามองเจ้าซาลาเปาพวกนี้กัน ไม่เห็นจะน่ามองตรงไหน” มือบางยกซาลาเปาขึ้นกัด ช้อนสายตาขึ้นสบกับเฟยหลงก่อนจะตอบด้วยเสียงอ้อมแอ้ม
“ก็ข้าเห็นว่าเจ้ามองนี่”
“ข้ามองเจ้า.......ไม่รู้เลยหรือเถาเถา”
มือหนาเลื่อนเข้าไปใกล้ใบหน้าหวาน หยิบเอาเศษซาลาเปาสีขาวที่ติดอยู่มุมปากออกก่อนจะนำเข้าปากตนเอง ดวงตากลมยิ่งหลบเลี่ยงการสบตากับเฟยหลง ความเขินอายจู่โจมจนใบหน้าหวานแทบจะระเบิด เสียงหัวใจกระหน่ำเต้นจนเจ้าของได้ยินอย่างชัดเจน ชัดจนกลัวว่าใครอีกคนจะได้ยินมันเช่นกัน
ริมฝีปากบางยังคงกัดกินแป้งขาวๆ ที่เริ่มมองเห็นไส้จนแก้มตุ่ยทั้งที่กำลังยิ้ม บรรยากาศรอบกายของคนทั้งสองเต็มไปด้วยความหวาน กลิ่นอายของความรักลอยละล่องเต็มอากาศไปหมด นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่คืนนี้ของเฟยหลงไร้แม้แต่ยุงและแมลงมาไต่ตอมให้กวนใจ มีแต่เจ้าลูกท้อลูกนี้แหละ ที่คอยทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ
“บ้า....”
เสียงต่อว่าช่างแผ่วเบาราวกับไม่ปรารถนาให้ได้ยิน แต่มันกลับเป็นสิ่งที่ทำให้เฟยหลงต้องหัวเราะออกมา บ้าหรือ ก็คงใช่ หาไม่บ้าจะมานั่งมองหน้าใครได้นานขนาดนี้หรือ หยางเถาคงไม่รู้สินะ นอกจากการได้ใช้เวลาร่วมกัน สิ่งที่เขาชอบทำมากที่สุดคือการได้มองใบหน้างามแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะสิบวัน หรือตลอดไป เขาก็ไม่มีทางเบื่อแน่
“เจ้าพูดกับท่านลุงท่านป้าเช่นนั้น จะไม่เป็นไรแน่หรือ”
“เรื่องอะไร?” คิ้วเข้มขมวดจนเป็นปมเมื่อหยางเถาเอ่ยถามในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ
“ก็.......เรื่องที่อยู่ของข้า” ใบหน้าของหยางเถาปรากฏร่องรอยความกังวลออกมา เขาไม่ชอบเลยสักนิดการต้องโกหกคนอื่น หยางเถาไม่คุ้นเคยกับสิ่งนี้แม้แต่น้อย ตลอดมานั้นเขาเคยชินแต่กับการอยู่ตัวคนเดียว มีบ้างที่ใช้จิตเพ่งมองรอบๆ กาย หากแต่ก็ไม้คยรู้จักกับการโป้ปดออกมาทั้งที่มิใช่ความจริง
เฟยหลงร้องอ๋อออกมา มือหนาประสานกันอยู่ใต้คางของเฟยหลงเพื่อใช้เป็นฐานรองรับการทิ้งน้ำหนักของใบหน้าหล่อเหลา สายตาคมจับจ้องแต่ริมฝีปากแดงที่ขยับเคี้ยวอย่างไม่ลดละ แต่คนถูกมองกลับไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยเพราะมัวแต่ให้ความสนใจในคำตอบที่อีกฝ่ายกำลังจะตอบกลับมาเสียมากกว่า
มือขยับป้อนเจ้าก้อนขาวๆ เข้าปากไม่หยุด รอคอยคำตอบที่ไม่รู้ว่าอีกคนจะตอบหรือไม่อย่างใจจดใจจ่อ ท้องน้อยๆ ก็ยังคงร้องประท้วงออกมาตลอดทั้งๆ ที่เจ้าของมันก็กัดกินซาลาเปาไปไม่น้อย เฟยหลงได้ยินเสียงเข้าก็หลบใบหน้าลงด้านข้างเพื่อขำ กลัวว่าอีกคนจะเห็นแล้วเคืองตนเอาทั้งๆ ที่ไหล่หนาสั่นตามแรงหัวเราะแท้ๆ หยางเถามองด้วยแววตาขุ่นเคือง จนเมื่อเฟยหลงหันมาเห็นต้องรีบกระแอมไอแก้ตัวว่าสำลักไปแทน
“หึหึ เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงไป แถวนี้ข้าวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็ก อีกอย่างท่านพ่อท่านแม่ไม่ใช่คนที่จะเซ้าซี้หาความใดๆ มากมายหรอก”
“หากเป็นเช่นนั้นก็ดีไม่น้อย ข้าเอง......ไม่อยากโกหกท่านทั้งสองเลย”
หยางเถาได้แต่ลอบถอนหายใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด กระทำเช่นนี้คงมิใช่ว่าเขาจะมีบาปติดตัวหรอกนะ หากเป็นเช่นนั้น แม้ว่าวิญญาณจะแตกสลายแต่บาปก็ใช่ว่าจะหายไปเสียหน่อย ขึ้นชื่อว่าโกหก จะแก้ตัวสักเท่าใดมันก็คือโกหก เหตุผลนับร้อยพันก็แค่คำแก้ตัวเท่านั้น เรื่องนี้หยางเถารู้ดี แต่ดูเหมือนเฟยหลงจะไม่ได้คิดเช่นเดียวกับเขาเลย เพราะเจ้าตัวยังคงยิ้มแย้มมองเขาด้วยแววตาพราวระยับอยู่เช่นเดิม
ค่ำคืนนี้เขาไม่ได้คิดจะออกไปไหน เขาเพียงแต่ใช้เวลาอ่านตำราเป็นเพื่อนเฟยหลงเท่านั้น หยางเถาชอบนักยามได้เห็นสีหน้าจริงจังและแววตามุ่งมั่น มันทำให้หยางเถาไม่รู้ตัวเลยว่าใช้เวลามองใบหน้าของอีกคนไปนานเท่าไหร่ เพราะเขาเพียงแค่พยายามจดจำทุกส่วนของใบหน้านี้ ทุกๆ องค์ประกอบที่ทำให้เฟยหลงยังคงเป็นเฟยหลง หากวันใดที่เขาต้องแตกสลายไป ใบหน้านี้จะคงอยู่ในความทรงจำชั่วกาลนาน
ร่องรอยความเศร้าสะท้อนทางแววตาคู่หวาน หากแต่อีกฝ่ายมิได้มองมาเท่านั้น เพียงครู่เดียวมันก็กลับเป็นแววตาที่ไร้สิ่งใดเจือปนเช่นเดิม ความทรมานที่หยางเถารู้สึก ไม่สามารถจะบอกเล่าหรือกล่าวให้ผู้ใดล่วงรู้ได้ ทำได้เพียงแค่เก็บงำมันเอาไว้ลำพังและแสดงออกด้วยท่าทางที่ไร้ซึ่งความกังวล


                        ++++++++++++++++++++++++++++++++


ยามเมื่อตะวันขึ้นสู่ขอบฟ้าแสงรำไรของดวงตะวันก็พลันขับไล่ความมืดมิดไปจนหมด ชาวบ้านพากันออกมาทำหน้าที่ของตนเอง สองข้างทางเต็มไปด้วยแผงลอยและหาบเร่ ทั้งผัก ปลา หมูและไก่มาวางขายกันมากมายจนเลือกซื้อกันไม่ไหว ปากท้องของคนเราต่างต้องการซึ่งอาหารที่พาให้อิ่มท้อง หากแต่ก็มีอีกหลายชีวิตที่ไร้ซึ่งข้าวปลาอาหารในการดำรงชีพจนต้องยอมทิ้งศักดิ์ศรีออกเร่ขอทานไปตามทางเดิน
ถังเหวินฉายหรือหลายชายคนเดียวของพ่อบ้านสกุลลู่ผู้มีนามว่าลี่หยางเดินวนอยู่แถวตลาดด้วยความสนุก หลายครั้งที่เหวินฉายมักจะแอบลอบออกมาจากในจวน ด้วยรู้ดีว่านายน้อยเฟยหลงไม่ปรารถนาจะออกไปที่ไหน เพราะนายน้อยต้องท่องตำราเสียส่วนใหญ่ จะมีก็ช่วงพักหลังๆ มานี้ ที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับคุณชายหยาง ถึงขนาดที่พากันออกไปดื่มสุราเมามายกลับมาก็มี เหวินฉายผู้ซึ่งคอยรับใช้นายน้อย เคยเป็นเหมือนดั่งเพื่อนในตอนนี้นายน้อยไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งน้อยอกน้อยใจ สองมือปาดไล่น้ำตาที่ปริ่มๆ จะไหลออกจากใบหน้า หากเมื่อนายน้อยมิสนใจไยดีเหวินฉายแล้ว เช่นนั้นเหวินฉายก็จะไปเที่ยว เปิดหูเปิดตาเสียคนเดียวก็ได้ เหมือนเช่นที่นายน้อยไปดื่มสุรากับคุณชายหยางเพียงสองคน มันน่าน้อยใจ น่าน้อยใจนัก อึดอัดเสียจนต้องยกมือขึ้นมาทุบอก รู้สึกราวกับถูกทิ้งขว้าง หัวใจของเหวินฉายนายน้อยมิมองเลยหรือไรกัน
ผลัก
“อ๊ะ เจ็บ....” เพราะมัวแต่น้อยอกน้อยใจจึงมิได้ใส่ใจจะมองขเงหน้าจนชนเข้ากับร่างใหญ่โตของบุรุษที่สวมใส่เสื้อผ้าราคาสูงเนื้อผ้าชั้นดีที่ไม่ต่างจากนายน้อยของเขาเลยสักนิด สายตาแสนเศร้าของเหวินฉายนิ่งอึ้งไปกับภาพตรงหน้า แม้จะผ่านมานานสักเท่าใด แต่ใบหน้าเช่นนี้ เขาไม่มีวันลืม!!!!
“เจ้า! เฉินลี่ฟู่!”
“หืม.....คนรู้จักของเจ้าหรือลี่ฟู่?” เจ้าของชื่อผู้มีดวงตาสีดำมืดกับใบหน้าเย็นชากระตุกยิ้มมุมปาก กวาดตาลงมามองเหวินฉายที่ล้มอยู่กับพื้นทั้งตัวก่อนจะยกพัดขึ้นมาจับเอาไว้
“ข้าไม่รู้จัก” เหวินฉายได้แต่กัดฟันกรอดเมื่อสิ้นคำตอบนั้นเขาก็ได้รับสายตาดูแคลนจากบุคคลที่เดินเกี่ยวแขนมากับเฉินลี่ฟู่ จะบอกว่าเขาจำคนผิดหรือ จะบอกว่าลืมแล้วเช่นนั้นหรือ หึ...มันก็ดีนี่ อย่างไรเสียก็แค่โดนแกล้งเมื่อครั้งเป็นเด็ก เขาก็ไม่ควรผูกใจเจ็บให้มากความใดๆ
เหวินฉายหยัดกายขึ้นยืนตรงๆ มือบางปัดฝุ่นออกจากชุดของตนเองจนหมด ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับสองผู้นี้อีกครั้ง ร่างเล็กค้อมศีรษะลงช้าๆ สองมือยกขึ้นมาอย่างขออภัยตามที่ได้ร่ำเรียนมาจากถังลี่หยาง เขาไม่เคยคิดจะทำให้ใครดูแคลนต่อสกุลถัง และไม่คิดจะให้ใครดูแคลนนายน้อยเฟยหลงเช่นกันว่าอบรมคนไม่ดีพอ
“อภัยด้วยคุณชายเฉิน ข้าน้อยมิได้ตั้งใจ” น้ำเสียงใสกล่าวออกมาอย่างจริงใจ ท่าทางแม้จะดูอ่อนน้อมแต่คนข้างๆ ซึ่งไม่ใช่ผู้ที่ถูกเขาชนเสียด้วยซ้ำกลับเดือดร้อนเสียเต็มประดา
“ไม่ตั้งใจแน่หรือ......มิใช่ว่าตั้งใจมายั่วยวนลี่ฟู่รึ?”
คำพูดดูแคลนจนร่างเล็กต้องกัดฟันกรอด คำเหยียดหยามสะท้อนก้องอยู่ในหูไม่หยุด เส้นอารมณ์แห่งความโกรธเกรี้ยวแทบจะขาดผึง แต่เมื่อนึกถึงหน้าตาของตระกูลลู่ที่ชุบเลี้ยงและดูแลเขามา เขาคงไม่สามารถจะจัดการสิ่งใดได้ตามใจชอบ แต่ที่สงสัยคือ เฉินลี่ฟู่ไม่คิดจะปริปากพูดสิ่งใดเลยหรือ ต้องให้คนข้างๆ พูดแทนเช่นนี้หรืออย่างไร โง่เขลาเสียจริง เหวินฉายใช้มือซ้ายกุมมือขวาที่กำแน่น ค้อมศีรษะลงต่ำอย่างขออภัยแม้ในใจจะเดือดดาลเท่าไหร่ก็ต้องอดทนไว้
“ขออภัย ข้ามิได้มีเจตนาเช่นนั้นจริงๆ ข้าขอตัว!”
เหวินฉายกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับไร้ความรู้สึกโดยไม่รู้เลยว่าเฉินลี่ฟู่จดจ้องมองรายละเอียดของตนจนหมดด้วยใบหน้าเช่นไร นัยน์ตาสีนิลวาววับมุมปากกระตุกยิ้มอันตรายแค่เพียงชั่วพริบตามันก็หายไป เหวินฉายไม่รีรอฟังคำตอบหรือคำด่าทอจากบุคคลอื่นใด เขาเลือกจะเดินออกมาแม้ว่าการหันหลังจะหมายถึงความพ่ายแพ้ก็ตาม หากแต่การที่ต้องมายืนให้ใครก็ไม่ทราบด่าทอก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องทำเช่นกัน
ร่างบางได้แต่หัวเสีย หงุดหงิดเสียจนต้องระบายออกด้วยการแตะเท้าไปในอากาศ หลงคิดว่าออกมาเดินให้สนุกกลับพบคนที่ไม่พึงใจจะพบเช่นนี้ เห็นทีวันนี้เขาคงจะซวยทั้งวันเป็นแน่ เขาเกลียดเฉินลี่ฟู่! ตอนเด็กเกลียดเช่นไร บัดนี้ก็เกลียดเช่นนั้น ยิ่งเมื่อได้พบกับเหตุการณ์นี้ เขาก็ยิ่งเกลียด!!!
“โอ๊ย!! ปล่อยข้านะเจ้าบ้า!” เหวินฉายวัยห้าขวบปีดิ้นรนหนีเมื่อเด็กชายผู้เป็นถึงคุณชายตระกูลเฉินผู้มีอายุมากกว่าตนถึง5ปีนั้นกระชากแขนเขาอย่างแรง เพียงหวังให้เดินตามเขาไป
“จวนของข้าใหญ่โต เด็กตัวเล็กๆ แบบเจ้าข้าจะเลี้ยงไว้เอง” เฉินลี่ฟู่ไม่สนใจอาการดิ้นรนกับใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาสักนิด นิสัยเอาแต่ใจจากการถูกคนอื่นๆ ตามใจมันยิ่งทำให้อะไรก็ตามที่เขาอยากได้ เขาก็จะต้องได้มา
“ต่อไป เจ้าคือลูกหมาในจวนของข้า ฮ่าๆ ๆ”
“ฮึก ไม่ไป เหวินฉายไม่ใช่หมา ปล่อยนะ! นายน้อยยยยย”
สุดท้ายเขาก็จำได้ว่าถูกลากไปขังไว้ในห้องของเฉินลี่ฟู่อยู่สองวัน สองวันที่ต้องถูกจับหันซ้ายหันขวา ถูกสั่งทำนั่นทำนี่ไม่หยุดหย่อน แม้จะมีอาหารดีๆ มาให้แต่อารมณ์ของเชาในตอนนั้นก็ใช่ว่าจะกินลง สองวันที่แสนจะทรมานจากการโดนกลั่นแกล้งให้แต่งชุดบ้าๆ ราวกับเป็นเด็กผู้หญิง ต้องถูกอีกคนจับอาบน้ำล้างตัวทั้งที่เขาไม่เคยให้ใครมาทำเช่นนี้ หากไม่เรียกว่าแกล้ง แล้วจะเรียกว่าอะไร สุดท้ายนายน้อยก็ไปพาเขาออกมา แล้วเขากับนายน้อยก็ต้องกลับไปเมืองหลวง เขาเคยคิดสาบานว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก แต่เขาก็ทำไม่ได้ ต้องกลับมาอยู่ดีเมื่อนายท่านฮุ่ยเจิงยกจวนหลังนี้ให้แก่นายน้อยของเขา ความคับแค้นใจและฝังใจตั้งแต่เด็กยังคงวนเวียนอยู่ไม่จบสิ้น หลับตาคราใดก็เห็นภาพนั้น ดีหน่อยที่ช่วงหลังมานี้เขาพอจะลืมมันไปได้บ้างแล้ว ไม่คิดเลยว่า เฉินลี่ฟู่จะยังอยู่ที่เมืองนี้ เจ็บใจนัก เจ็บใจจริงๆ


++++++++++++++++++++++++++++++++ 

>>>>>>>>>>>มีต่อค่ะ<<<<<<<<<<<
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 5. up.17/09/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 17-09-2018 19:16:47
>>>>>>>>>ต่อค่ะ<<<<<<<<<

            มือหนาของเฉินลี่ฟู่ขยับจัดเสื้อผ้าเข้าที่จากศึกรักที่เพิ่งจบไป ใจจริงเขาไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับใครด้วยซ้ำเพียงแค่ออกมาเดินเล่นชมเมืองก็เท่านั้น ใครจะคิดว่าจะได้เจอกับคนที่เฝ้ารอมาตลอด เขายังจำได้ดีเมื่อตอนเยาว์วัย ใบหน้าจิ้มลิ้มที่เปรอะเปื้อนคราบดินและเศษหญ้าเพราะความซนในแบบของเด็ก
เข้าต้องตาต้องใจจนอยากจะเอามาเลี้ยงไว้ให้เชื่องที่จวน ยอมกระทั่งลักพาตัวมาโดยที่เด็กนั่นไม่เต็มใจ แม้จะร้องห่มร้องไห้ แม้จะเรียกร้องจะออกไปเขาก็ทำเฉย สองวันเต็มๆ ที่ได้ครอบครองเจ้าลูกหมาตัวนั้น ทั้งจับอาบน้ำ จับขัดถูก จับแต่งเนื้อแต่ตัวให้สะอาดเขาจึงได้รู้ว่า ภายใต้ความมอมแมมของเด็กคนนั้น.....มันคือผิวขาวนวลที่ชวนให้มอง
ลี่ฟู่เผลอคิดมาตลอดทางที่เดินที่มีคนข้างๆ เกาะแกะมา เขาจดจำได้ใบหน้าไม่พอใจที่แม้จะพยายามสะกดกลั้นเอาความเกลียดชังและความรู้สึกขุ่นเคืองเอาไว้ช่างตรึงตาตรึงใจเขาเหลือเกิน เพราะมัวแต่จดจำรายละเอียดของคนตรงหน้านานเกินไป เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งคนที่ชนเขาก็หายไปเสียแล้ว เหลือเพียงเสียงต่อว่าอย่างไม่พอใจจากคนข้างกายที่ทำให้เขารู้สึกรำคาญไม่น้อย
ซุนเหว่ยลูบไล้แขนผ่านผิวผ้าอย่างไม่ให้ดูน่าเกลียดนัก ช้อนสายตาชวนเสน่หาให้อย่างยั่วยวนจนเขาได้แต่ยิ้มเยาะอยู่ในใจ เมื่อครู่มิใช่ว่าพูดจาว่าร้ายเจ้าหมาน้อยของเขาว่าหวังยั่วยวนเขาหรือ พอตอนนี้กลับทำเสียเอง ฮึ! แม้จะคิดอยู่ในใจเช่นนั้น แต่ความร้อนรุ่มในกายจากการได้พบหน้าเหวินฉายจำเป็นต้องหาที่ระบาย และซุนเหว่ยก็อยู่ถูกจังหวะเสียด้วย
เขาเป็นคนที่สามารถมีสัมพันธ์กับใครก็ได้ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย เพราะมันก็แค่สัมพันธ์นอกกายเท่านั้น ใช่ว่าบุรุษอย่าเขาจะไม่เคยเข้าหอคณิการ์เสียเมื่อไหร่ เพียบพร้อมไปดูรูปและทรัพย์เขาก็ย่อมต้องหาทางนำความสุขเข้าตัวอยู่แล้ว เพียงแต่หลังๆ มานี้เขาไม่จำเป็นจะต้องเข้าสถานที่เช่นนั้นก็มีมากมายที่ยอมพลีกายให้เขาง่ายๆ และซุนเหว่ยก็คือหนึ่งในนั้น เมื่อยินดีให้เขาใช้เรือนร่างนั้น เขาจะปฏิเสธไปไย
“เจ้าจะไปแล้วหรือลี่ฟู่”
“ใช่...ข้าจะกลับแล้ว” ซุนเหว่ยลุกขึ้นจากเตียงหยิบชุดคลุมสีขาวมาสวมไว้หมิ่นเหม่ราวกับต้องการยั่วยวนให้อีกคนอยู่ต่อ สองแขนกอดรัดร่างของลี่ฟู่จากทางด้านหลังอย่างออดอ้อน ทะนงตัวและใจว่าตนคือคนรักของคนผู้นี้ไปแล้ว
“อยู่กับข้าต่ออีกหน่อยไม่ได้หรือ?”
“หึ ข้าว่าเจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหน่อยนะ” ลี่ฟู่หันกลับมาเผชิญหน้ากับซุนเหว่ย มือหนาจับปลายคางของคนที่ทำตาเชื่อมหวานใส่อย่างรุนแรงจนเจ้าของปลายคางต้องนิ่งหน้า
“เจ็บ ลี่ฟู่.....ข้าเจ็บ”
“ข้าไม่ใช่คนรักของเจ้า แค่นอนกับข้าก็อย่าทนงตัวว่าเป็นเจ้าของ!” ลี่ฟู่กล่าวเสียงแข็ง หรี่ตาจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาดูถูกก่อนจะปล่อยปลายคางออกจากมือราวกับว่ารังเกียจเหลือเกิน
ซุนเหว่ยเจ็บปวดทิ้งกายลงบนพื้นห้องของตนอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง โหดร้าย จิตใจของคนๆ นี้ทำด้วยอะไรกัน มือเรียวกำเข้าหากันแน่น ปลายเล็บจิกเข้าเนื้อตนเองจนมีเลือดไหล หากแต่มันกลับไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดที่ใจได้เลยแม้แต่น้อย หัวใจดวงนี้ของเขาถูกคนที่ตนเองหลงใหลเหยียบย้ำจนมันสะบักสะบอมเกินจะเยียวยา ได้แต่มองใบหน้าหล่อด้วยสายตาแค้นเคืองเท่านั้น
“เฉินลี่ฟู่!!! มันจะมากไปแล้วนะ!! ข้ามิใช่พวกหอคณิการ์ที่เจ้าจะมาทิ้งๆ ขว้างๆ ได้!!! ข้าคือบุตรชายคนที่สามของตระกูลซุนผู้ร่ำรวย กล้าดียังไงถึงมาพูดกับข้าราวกับข้าเป็นเพียงเศษดินริมทาง!!” คนฟังกลับยิ้มเยาะ ดวงตาสีนิลราวกับเหยี่ยวจ้องมองไปที่ซุนเหว่ยอย่างเหยียดยาม
“เจ้าพูดเองนะ ข้ามิได้กล่าวสิ่งใด แค่บอกว่าเจ้ามิใช่คนรัก ไม่สิ ไม่ใช่เจ้าของกายข้า แค่สัมพันธ์ทางกายมีหรือข้าจะยอมเป็นของเจ้า?” ซุนเหว่ยสะอึกกับคำพูดนั้น เมื่อคิดได้ว่าเขาพูดดูถูกตนเองเสียทั้งสิ้น ใบหน้าของซุนเหว่ยบิดเบี้ยว เม้มริมฝีปากเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ เหตุใด เหตุใดเขาคนนี้จึงแพ้พ่าย เป็นถึงบุตรชายของพ่อค้ารายใหญ่ แต่กลับไม่สามารถมัดใจคนที่พึงใจได้เชียวหรือ
“ข้าไปล่ะ” สติของซุนเหว่ยกลับมาทันทีที่ร่างสูงของคนตรงหน้ากำลังจะก้าวขาออกไป ซุนเหว่ยหยัดกายขึ้นยืนความโกรธเกรี้ยวในใจเขามีมากเสียจนแทบจะฆ่าคนๆ นี้ให้ตายไปเลยก็ยังได้ หากแต่เขากลับทำได้เพียงตะโกนกลับไปเท่านั้น
“เฉินลี่ฟู่!!! แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ!! เจ้าจะต้องเสียใจที่ไม่เลือกข้า!!!!!”
ลี่ฟู่ทำเพียงเดินต่อไม่สนใจเสียงก่นด่าที่กล่าวสาปแช่งเขาอยู่ด้านในอีก เสียงขว้างปาข้าวของดังขึ้นตามหลังมาติดๆ จนเหล่าคนใช้ในจวนใหญ่ต้องวิ่งไปดูคุณชายของตน มันไม่ใช่เรื่องของเขานี่ อย่างไรเสียอีกฝ่ายเองก็ทอดสะพานให้เขาอย่างโต้งๆ จะกล่าวหาว่าเขาผิดฝ่ายเดียวคงไม่ได้ ใช่ว่าเขาตกลงจะต่อสัมพันธ์หลังจากเสร็จกิจเสียเมื่อไหร่ ซุนเหว่ยคิดไปเองทั้งนั้น แต่กับคนๆ นั้นสิ คนที่เขาเฝ้ารอมาตลอด คนที่จู่ๆ ก็หายไปทิ้งให้เขาจมอยู่กับความรู้สึกสิ้นหวัง ท้อแท้ที่จะหาอีกคนพบ ก็ดี...เมื่อกลับมาแล้ว ก็อย่าหวังว่าจะได้ไปอีกเป็นครั้งที่สองเลย เหวินฉาย!
 



++++++++++++++++++++++++++++++++




10ปีก่อน........
เฉินลี่ฟู่ชินชากับคำเรียกที่ใครๆ ต่างพากันเรียกเขา เฉินลี่ฟู่หรือ มิใช่เลย นายน้อยเฉิน คุณชายเฉินต่างหากที่เป็นดั่งคำยกย่องเขา เพราะเป็นถึงบุตรชายคนโตของนายอำเภอเมืองซิ่นจือจึงได้รับการเคารพจากผู้คนทั้งหลาย ไม่ว่าจะปรารถนาสิ่งใด ทุกคนก็แทบจะเอามากองไว้ให้เขาทั้งสิ้น เหล่าพวกลูกน้อง (เพื่อน) ที่มาคอยเล่นกับเขาก็ไม่มีใครกล้าขัดใจเขาสักคน มีแต่ตอบขอรับๆ กันทั้งนั้น หึ.....เป็นลูกนายอำเภอก็ดีเช่นนี้ล่ะ
“ข้าจะเล่นขี่ม้า!!” ลี่ฟู่วัย10ขวบยืนกอดอกพูดด้วยความเอาแต่ใจใช้สายตาคมกริบมองไปยังพวกลิ่วล้อเรียงตัวจนเด็กคนอื่นได้แต่ยืนก้มหน้า
“ตะ แต่เราเพิ่งจะเล่นกันไปเมื่อวานเอง โอ้ย!!”
กล้าเถียงเขาหรือ กล้าดีอย่างไรกัน!! กว่าจะทันได้คิดสิ่งใดมือของลี่ฟู่ก็ผลักร่างป้อมๆ ของเด็กคนนั้นที่กล้าเถียงและออกความเห็นต่างจากเขาลงไปกองที่พื้น เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังจ้าละหวั่นจนผู้คนที่อยู่ในจวนต้องออกมาดู
พ่อบ้านประจำจวนของเฉินลี่ฟู่ปลอบโยนและให้สาวใช้พาเด็กนั่นไปส่งที่บ้านของเจ้าเด็กตัวกลมนั่น ลี่ฟู่เชิดหน้าขึ้นไม่รู้สึกผิดสักนิดที่ทำลงไป อย่างไรเสียพ่อบ้านก็มิกล้าต่อว่าเขาหรอก ทุกคนจะต้องยอมให้เขาเท่านั้น เพราะเขาคือคุณชายเฉินลี่ฟู่ บุตรชายคนโตของนายอำเภอเมืองซิ่นจือ
“นายน้อยขอรับ.....”
“ข้าไม่ผิด!! เจ้านั่นต่างหากที่ผิด มันกล้าเถียงข้า!!!”
ลี่ฟู่เดินหนีโดยไม่สนใจเสียงเรียกของพ่อบ้านอีก ร่างเล็กๆ ของเด็กวัยสิบขวบเดินใบหน้าดุดันด้วยความไม่พอใจในตัวเจ้าเด็กอ้วนนั่นและพวกที่อยู่ในจวนของเขาเช่นกัน ก็แค่เด็กชาวบ้านคนเดียว แค่เขาผลักเด็กชาวบ้านล้มคนเดียว ใช่ว่าเขาจะผลักแรงเสียหน่อย เจ้าอ้วนนั่นมันสำออยเองต่างหาก แค่นิดหน่อยก็ร้องไห้เป็นเด็กขี้แย เหอะ!!
เฉินลี่ฟู่เดินห่างออกมาจากจวนยิ่งขึ้น ไม่รู้ตัวว่าเดินมาในตลาดตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ช่างเถิดเมื่อมาแล้วก็ถือโอกาสเดินเล่นเสียหน่อยก็แล้วกัน เผื่ออารมณ์จะดีขึ้นมาบ้าง สายตาของลี่ฟู่มองไปรอบกาย ทุกอย่างก็ยังเป็นเช่นทุกวันไม่มีสิ่งใดมาใหม่เลยหรือไรกันนะ น่าเบื่อจริงๆ แค่เพียงเดินพ้นออกจากจุดนั้น เสียงหวานของเด็กคนหนึ่งก็ทำให้เขาชะงักฝีเท้า
“นายน้อย จะไปไหนหรือขอรับ”
“ข้าจะไปหาท่านปู่ เจ้าก็เดินเล่นไปก่อนเถอะ!”
“อ๊ะ นายน้อยๆ” ใบหน้าจิ้มลิ้มที่มีแก้มสีระเรื่อเพราะความร้อนจากแสงตะวัน รูปร่างโปร่งขนาดครึ่งเดียวของความสูงเขามันช่างตรึงตา ทั้งๆ ที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนคราบอะไรต่อมิอะไรไม่รู้ เสื้อผ้าเก่าๆ ที่เห็นก็ต้องรู้ว่าเป็นเด็กจนๆ แต่มันกลับทำให้เขาละสายตาไปไม่ได้ บางอย่างของเด็กนั่นทำให้ลี่ฟู่ต้องยกมือขึ้นมากุมอกด้านซ้ายเอาไว้
ข้าป่วยหรือไรกัน เหตุใดหัวใจจึงได้เต้นแรงนัก
ยิ่งมองใบหน้าเศร้าสร้อยของเด็กนั่นเขายิ่งถูกใจ อยากจะเข้าไปปลอบโยน อยากจะลองกอดเด็กนั่นดูสักครั้ง ยิ่งเห็นสายตาอาลัยอาวรณ์ต่อร่างของอีกคนที่อายุคงไม่ห่างจากเขา ลี่ฟู่ยิ่งหงุดหงิด สาวเท้าเข้าไปใกล้ลูกหมาน้อยที่เขาหมายตาไว้ด้วยใบหน้าไม่ชอบใจเท่าไหร่
“เจ้า!! เกะกะข้า” สายตาเศร้าสร้อยสบเข้ากับดวงตาคมของลี่ฟู่ ตัวก็สั่นด้วยความเกรงกลัว เคยถูกสอนมาว่าอย่าไปยุ่งหรือมีเรื่องกับคนที่แต่งกายด้วยเนื้อผ้าดีๆ
“ขะ ขออภัยขอรับ” ร่างที่สั่นด้วยความกลัวค่อยถอยหลบทางอย่างขลาดเขลา สายตากลมก้มลงมองพื้นเพราะไม่กล้าจะมองใบหน้าของคนที่มีฐานะสูงกว่าตน แม่จะเป็นเพียงเด็กแต่เขาก็ถูกสลักมันจนฝังหัวแล้วว่าการแยกชนชั้นจำเป็นกับคนแบบเขาขนาดไหน ใครไม่ควรล่วงล้ำ ใครที่ควรหลีกเลี่ยง เขาจำได้ดี
“เจ้าน่ะ เป็นลูกหมาถูกทิ้งสินะ” ใบหน้าที่หวาดกลัวแหงนเงยขึ้นมามองสบสายตาคมด้วยความสงสัย เขาเป็นลูกหมาหรือ ไม่ใช่เสียหน่อย
“ข้าไม่ใช่ลูกหมา ไม่ใช่ เอ๊ะ?”
“เป็นลูกหมา เจ้าเป็นลูกหมา!!”
เฉินลี่ฟู่หงุดหงิดกับความดื้อดึงของอีกคนจนต้องกระชากคอเล็กๆ นั่นขึ้นมาเขย่า ใบหน้าจิ้มลิ้มเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา ท่าทางคุกคามกับน้ำเสียงที่ราวกับตะคอกทำให้เหวินฉายกลัวยิ่งกว่าเก่า ลี่ฟู่ไม่ชอบให้ใครมาขัด ยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่เมื่อมีคนกล้ามาเถียงเขาซึ่งได้ชื่อว่าเป็นถึงนายน้อยเฉิน!
“โอ๊ย!! ปล่อยข้านะเจ้าบ้า!” เหวินฉายวัยห้าขวบปีดิ้นรนหนีเมื่อเด็กชายผู้เป็นถึงคุณชายตระกูลเฉินผู้มีอายุมากกว่าตนถึง5ปีนั้นกระชากแขนเขาอย่างแรง เพียงหวังให้เดินตามเขาไป
“จวนของข้าใหญ่โต เด็กตัวเล็กๆ แบบเจ้าข้าจะเลี้ยงไว้เอง” เฉินลี่ฟู่ไม่สนใจอาการดิ้นรนกับใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาสักนิด นิสัยเอาแต่ใจจากการถูกคนอื่นๆ ตามใจมันยิ่งทำให้อะไรก็ตามที่เขาอยากได้ เขาก็จะต้องได้มา
“ต่อไป เจ้าคือลูกหมาในจวนของข้า ฮ่าๆ ๆ”
“ฮึก ไม่ไป เหวินฉายไม่ใช่หมา ปล่อยนะ! นายน้อยยยยย” เสียงร้องเรียกให้ใครบางคนมาช่วยช่างขัดหูเขาเหลือเกิน เฉินลี่ฟู่จิ๊ปากด้วยความขัดใจ ไม่ชอบ ไม่ชอบสักนิดที่ลูกสุนัขตัวใหม่ของเขาเรียกร้องให้สุนัขตัวอื่นมาช่วย แรงที่ลากแขนอยู่จึงเพิ่งขึ้นแม้ว่าอีกคนจะดิ้นรนสักเพียงใดเขาก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือหรอก
เหวินฉายทั้งดิ้นรนหนีทั้งพยายามจะร้องเรียกขอความช่วยเหลือ แต่ทุกคนกลับทำราวกับว่ามันก็แค่อากาศที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ใบหน้าจิ้มลิ้มน้ำตาไหลพรากหากแต่ไร้เสียสะอื้นไห้ มีเพียงเสียงร้องห้ามโวยวายและเสียงร้องให้ช่วยเท่านั้น คนๆ นี้เป็นราวกับปีศาจร้ายที่ไม่สนใจจิตใจของใครสักนิด ทำตามแต่ใจตนเองต้องการเท่านั้น พวกลูกขุนนางเป็นเช่นนี้กันหมดเลยหรือไรกัน ช่างแตกต่างกับนายน้อยของเขาเหลือเกิน
ร่างเล็กๆ วัยเพียง5ขวบถูกลี่ฟู่ลากเข้าจวนนายอำเภออย่างไม่ออมแรง สายตาของเหล่าคนใช้ได้แต่มองร่างเด็กน้อยในมือของคุณชายของตนด้วยความสงสาร แม้จะสงสารเช่นไรแต่ก็ไม่อาจจะยื่นมือเข้าไปช่วยได้ ทำได้เพียงแต่เบือนหน้าหนีภาพนั้นไป โชคร้ายเหลือเกิน ไม่รู้ป่านนี้พ่อแม่ของเด็กคนนั้นจะตามหาไปถึงไหนต่อไหน หากรู้ว่าบุตรชายถูกนายน้อยของสกุลเฉินพาตัวมาเช่นนี้ คงได้แต่กลับไปนั่งชอกช้ำใจเป็นแน่ นายน้อยนะนายน้อย
“โอ๊ย!” ประตูทางออกถูกปิดลง ภายในห้องของลี่ฟู่เหลือเพียงเขาและเจ้าของห้องเท่านั้น เหวินฉายลูบสะโพกตัวเองปอยๆ ด้วยความเจ็บเมื่อถูกเหวี่ยงลงบนพื้น สายตาที่เคยเศร้าสร้อยมองสบตาอีกคนด้วยความโกรธเกรี้ยว เด็กเช่นไรก็คือเด็กแม้จะถูกห้ามไว้เช่นไร แต่ความรู้สึกกรุ่นๆ มันก็ย่อมระงับเอาไว้ยากอยู่แล้ว
ลี่ฟู่ยืนอยู่เบื้องหน้าลูกหมาตัวเล็กที่ตนเก็บมาจากข้างทางด้วยท่าทางราวกับเป็นเจ้าของ กอดอกมองใบหน้าที่แสนพยศนั่นด้วยท่าทีเฉยชา คิ้วของลี่ฟู่กระตุกยิบๆ ยิ่งได้เก็บมาไว้ในห้องเช่นนี้ยิ่งรู้เลยว่าเจ้าลูกหมาตัวนี้ต้องได้รับการฝึกให้เชื่องและต้องจับอาบน้ำล้างคราบดินออกเสียหน่อย ลี่ฟู่หันหลังเดินออกไปจากห้องแต่ไม่ลืมที่จะปิดเอาไว้กันไม่ให้ลูกสุนัขตัวโปรดหลุดออกมา
พ่อบ้านตระกูลเฉินพยักหน้ารับคำสั่งของลี่ฟู่ก่อนวิ่งไปตระเตรียมตามคำสั่ง ในขณะที่ในห้องของชี่ฟู่เกิดการพยศของเหวินฉายที่พยายามเหลือเกินในการเปิดประตู แต่ความเป็นเด็กวัย5ขวบทำให้รูปร่างนั้นเล็กกว่าเจ้าของห้องอยู่มาก การจะเปิดออกไปจึงได้ยากกว่าแม้ว่าความเป็นจริงแล้วลี่ฟู่จะจงใจพิงประตูเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเปิดออกได้ก็ตามที รอยยิ้มเอาแต่ใจปรากฏบนใบหน้าของลี่ฟู่ พยายามเข้าไปเถอะเจ้าหมาน้อย หากเขาไม่ยอมให้ไปเสียอย่างก็อย่าหวังจะได้ออกมา
ทันทีที่อ่างน้ำถูกเตรียมเสร็จเรียบร้อย พ่อบ้านประจำตระกูลเฉินก็กล่าวลาและพาตนเองออกไปทันทีเพราะรู้ดีว่านายน้อยของตนเองนั้นไม่ปรารถนาจะให้เขาอยู่ด้านในต่อ เด็กคนนั้นน่าสงสารนัก อายุยังน้อยแท้ๆ กลับต้องมาเป็นของเล่นให้กับนายน้อย ถ้าเกิดนายท่านรู้เข้าล่ะก็ มีหวังเป็นเรื่องใหญ่แน่!
“อย่านะ...ปล่อยข้า ข้าจะอาบเอง!!!” สองมือป่ายไปข้างหน้าไม่ยินยอมให้ลี่ฟู่แตะต้องตนเอง แต่มีหรือเด็กวัย5ขวบจะสู้รบปรบมือกับนายน้อยเฉินที่โตกว่า มือของลี่ฟู่กระชากร่างของเหวินฉายเข้ามาใกล้ ลอกคราบถอดเสื้อผ้าเก่าๆ ออกจากร่างของเหวินฉายจนเปล่าเปลือย ใบหน้าจิ้มลิ้มขึ้นสีแดงด้วยความขัดเขินและโมโห เขาไม่ใช่เด็กเล็กๆ ที่ให้ใครก็ได้มาอาบน้ำถอดเสื้อผ้าให้นะ
“อยู่นิ่งๆ ข้าขัดตัวเจ้าไม่ถนัด!” เสียงของลี่ฟู่ติดดุจนเหวินฉายชะงักหยุดดิ้นรนไปในทันที น้ำใสถูกใช้ล้างร่างของเขาแขนสองข้างก็ถูกขัดถูเสียจนบัดนี้ไร้ซึ่งคราบใดๆ เกาะกุม ใบหน้าถูกลี่ฟู่จับให้แหงนเงยขึ้นมา วักน้ำขึ้นมาลูบเบาๆ เพื่อล้างสิ่งสกปรกออก ใบหน้าจิ้มลิ้มที่เคยเปรอะเปื้อนในตอนนี้กลับดูน่ารักน่าเอ็นดูเสียจนลี่ฟู่ลืมหายใจ
หัวใจของเด็กชายวัย10ขวบเต้นแรง แก้มแดงนั่นช่างน่าลูบไล้เสียเหลือเกิน ผิวของเหวินฉายก็ขาวเป็นยองใยจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา หากจับแต่งกายด้วยชุดแบบเดียวกับเขา เด็กคนนี้คงมิพ้นถูกเรียกว่าคุณชายแบบเขาเป็นแน่ ลี่ฟู่สะบัดหัวไล่ความรู้สึกประหลาดๆ ออกไป ตั้งใจขัดถูอีกคนจนสะอาดสะอ้าน
ร่างของเหวินฉายถูกพาออกจากอ่างน้ำ ฝ่ามือปกปิดจุดเร้นกลางร่างไว้ด้วยความอับอายจนลี่ฟู่ต้องหัวเราะออกมา เหวินฉายได้แต่มองใบหน้าของลี่ฟู่อย่างโกรธแค้น แต่คนถูกมองกลับยิ้มเย้ยด้วยความมั่นใจว่าเหนือกว่า เสื้อผ้าถูกรื้อออกมาเสียหลายชุด แต่ลี่ฟู่ก็ยังหาชุดที่เข้ากับเหวินฉายไม่ได้สักตัว
จริงสิ!! ถ้าเป็นชุดของน้องสอง
“ไป่เอี้ยน!!!”
“เจ้าค่ะนายน้อยลี่ฟู่ ว๊าย!!” เจ้าของเสียงนามไป่เอี้ยนเปิดประตูเข้ามาตามเสียงเรียกของผู้เป็นนาย ใบหน้าสะอาดสะอ้านของไป่เอี้ยนดูสมวัยแรกรุ่นยิ่งนักแต่ก็ต้องรีบหันหลังกลับไปเพราะเด็กตัวน้อยอีกคนในห้องยังคงไร้เครื่องนุ่งห่มใดๆ ปกปิดร่างกาย
“เจ้า...ไปเอาชุดของน้องสองมาให้ข้าหน่อย”
“ตะ แต่ว่า...”
“ข้าสั่งเจ้า!!!!”
“จะ เจ้าค่ะๆ” น้ำเสียงอันทรงอำนาจทั้งที่อยู่ในวัยเพียง10ขวบเท่านั้นทำให้ไป่เอี้ยนต้องรีบออกจากห้องไปเอาชุดของคุณหนูเฉินผู้เป็นน้องสาวของนายน้อยมาให้ตามคำสั่ง หัวใจของไป่เอี้ยนแทบจะหลุดออกมาจากอก เหตุใดเด็กคนนั้นจึงได้ยืนล่อนจ้อนเช่นนั้นกัน แล้วเหตุใดนายน้อยจึงบอกให้นางไปเอาชุดของคุณหนูด้วย ไม่เข้าใจสักนิด
“รอก่อน เดี๋ยวชุดก็มาแล้ว” ลี่ฟู่พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าร่างกายของเด็กน้อยวัย5ขวบเริ่มสั่นสะท้านกับอากาศที่เย็นลง แสงตะวันเริ่มลับขอบฟ้า ช่วงเวลาของทิวาเริ่มหมดลงและราตรีเริ่มทำหน้าที่ หากยามนี้ยังดีนักที่มิได้มืดอะไรมากมาย ยังพอมองเห็นได้อยู่บ้าง แต่อีกไม่นาน อีกไม่นานคงถูกปกคลุมไปด้วยความมืดเป็นแน่
ลี่ฟู่เริ่มจุดเทียนเพื่อให้มีแสงสว่างพอได้มองใบหน้าของเหวินฉาย สงสารอีกคนจับใจที่ต้องยืนเปลือยเปล่าอยู่เช่นนั้น แต่อย่างไรเล่า ใบหน้านั่นยังคงไม่หยุดมองเขาด้วยความไม่พอใจเลยสักครั้ง เช่นนั้นก็ยืนต่อไปเถอะ รอจนกว่าไป่เอี้ยนจะได้ชุดของน้องสองของเขามานั่นล่ะ
“มาแล้วเจ้าค่ะนายน้อย...”
“ดี...ส่งมานี่!” ชุดเนื้อผ้าชั้นดีถูกลี่ฟู่ดึงออกไปจากมือของไป่เอี้ยน เหวินฉายมองชุดในมือของลี่ฟู่ก่อนจะเบิกตากว้าง สีเช่นนั้น ลวดลายและรูปแบบเช่นนั้นมัน.......มัน........
“นั่นมันชุดผู้หญิง จะให้ข้าใส่ไปได้อย่างไร!!!” ลี่ฟู่หาได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ยังคงเดินหน้าเข้าหาเหวินฉายไม่หยุดฝีเท้า จนเหวินฉายเองที่ถอยร่นจนติดเสา
“ใส่ซะ!”
“ข้าไม่ใส่!!”
“เจ้าเป็นลูกหมาของข้า!! ข้าสั่งเจ้าก็ต้องทำ!!” ไป่เอี้ยนยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ เช่นนี้หรอกหรือ นายน้อยลากเด็กคนนี้มาเพียงเพราะอยากเลี้ยงไว้หรอกหรือ มิน่าล่ะ ไป่เอี้ยนมองนนายน้อยของตนด้วยใบหน้าปลื้มปริ่มน้ำตาคลอเต็มสองตา รู้สึกภูมิใจอยู่เหลือเกินที่นายน้อยเกิดความปราณีจนพาเด็กน้อยยากจนผู้นี้มาเลี้ยงดู
ไป่เอี้ยนมองภาพที่มีลี่ฟู่จับเด็กอีกคนยัดลงไปในชุดสีชมพู ใบหน้าจิ้มลิ้มเมื่อถูกจับสวมใส่ชุดสีหวานจึงดูขัดตาเล็กน้อย ลี่ฟู่ยืนมองผลงานของตนเองด้วยความพึงพอใจ พยักหน้าให้ไป่เอี้ยนจัดการกับผมของเหวินฉายที่ถูกเกล้าเอาไว้ ทันทีที่ปิ่นถูกดึงออก เส้นผมสีดำก็ล่วงลงมาปกคลุมจนเต็มแผ่นหลัง ส่งให้ใบหน้าจิ้มลิ้มดูหวานขึ้นทันตา ภาพตรงหน้าทำให้ไป่เอี้ยนต้องยกมือขึ้นมาป้องปากด้วยความตกตะลึง น่ารัก น่ารักเสียจนนางแทบไม่เชื่อเลยว่านี่คือเด็กชายที่ถูกนายน้อยลากในสภาพมอมแมม ไป่เอี้ยนมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม หากเป็นแบบนี้ตลอดไปได้คงดี หากเด็กคนนี้มาอยู่ในจวนแล้วล่ะก็นางเชื่อว่า นายน้อยลี่ฟู่จะต้องมีชีวิตชีวากว่าเดิมแน่ๆ มันจะต้องดีแน่ๆ นางเชื่อ.......



      TBC


    ว๊ายย ลี่ฟู่มาแล้ววววว เหยินฉายของเรามีอดีตแบบนี้เอง ว่าแต่รักเขาก็ไม่บอกเขาไปละคะคุณพี่ แหม~
Facebook : [https://m.facebook.com/PassionateFiction]
Twitter : https://mobile.twitter.com/littlekittensY
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 6. up.28/09/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 28-09-2018 13:13:42

เหม่ยหลินเดินไปมาหน้าห้องของลูกชายตนเองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลายวันมานี้นางจะได้พบหน้าของเฟยหลงก็เฉพาะช่วงกลางคืนเท่านั้น ส่วนในช่วงกลางวันเฟยหลงจะเอาแต่ขังตัวอยู่ในห้อง พอพลบค่ำถึงจะได้พบเฟยหลงที่มาพร้อมกับหยางเถาจนนางอดสงสัยไม่ได้ว่าในยามค่ำคืนบุตรชายเพียงคนเดียวของนางกระทำสิ่งใดกับหยางเถากันแน่ในช่วงค่ำคืน

แม้ว่าไม่อยากจะคิด แต่ความวิตกกังวลก็ทำให้นางจินตนาการไปไกลแสนไกล ภาพการร่วมรักกันอย่างเร่าร้อนลอยมาในหัวอย่างมิอาจจะห้ามจนนางต้องสะบัดพัดไล่เอาความคิดวิปริตอันเป็นเสนียดจังไรออกไปให้พ้น บุตรชายของนางจะต้องเป็นชาย มิใช่พวกรักใครบุรุษด้วยกัน นางไม่มีวันยอม!!

“เฟยหลง ตื่นหรือยังลูก”

ไร้เสียงของผู้ใดตอบกลับมา ภายในห้องที่นางยืนอยู่ช่างเงียบราวกับไร้ผู้คน ความสงสัยทำให้นางตัดสินใจเปิดประตูล่วงล้ำเข้าไปในห้องของบุตรชาย เหม่ยหลินกวาดสายตามองไปหาร่างของบุตรชายตนเองและพบว่าเขายังคงหลับใหลอยู่บนเตียงด้วยความอ่อนเพลีย สิ่งที่นางกังวลหรือมันจะเป็นจริง เฟยหลงกับหยางเถามีความสัมพันธ์เช่นนั้นจริงๆ หรือนี่! เด็กที่นางเอ็นดูนักหนาเกิดรักชอบกับลูกชายนางหรือ

ไม่นะ! หากเช่นนั้น...หรือในทุกค่ำคืน พวกเขาจะ...

เหม่ยหลินเริ่มหวาดกลัวมากขึ้นจากความคิดและเหตุการณ์ผนวกกันในหลายๆ อย่าง มือของเหม่ยหลินเอื้อมไปเขย่าร่างของบุตรชายตนเองให้ตื่นขึ้นมา อย่างไรเสียนางก็คงต้องคุยกับลูกชายให้รู้เรื่องนางต้องจัดการมันให้เด็ดขาด ก่อนที่อะไรจะสายเกินแก้

“เฟยหลง! ตื่นเถอะ เช้าแล้วนะลูก”

“อื้อ...ท่านแม่หรือขอรับ”

เฟยหลงบิดกายด้วยความเกียจคร้าน รู้สึกราวกับนอนไม่พอจนร่างกายเรียกร้องให้กลับไปนอนต่อ แต่อย่างไรเสียก็คงทำไม่ได้เมื่อท่านแม่มาปลุกเช่นนี้ เฟยหลงอ้าปากหาวด้วยความง่วงที่จู่โจมอย่างหนัก หนังตาหนักอึ้งเสียจนแทบจะลืมขึ้นมาไม่ไหว

“ทำไมเจ้าจึงได้นอนตื่นเวลานี้ นี่ไม่ใช่นิสัยเจ้าเลยนะ หรือเมื่อคืนนี้...เกิดอะไรขึ้นหรือเฟยหลง?” แม้ว่าเหม่ยหลินจะกลัวในคำตอบ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากรู้เสียจนอดถามออกไปไม่ได้ สีหน้าอันน่าแปลกใจของเหม่ยหลินฉายชัดในบางอย่าง แต่ความมึนงงจากการตื่นนอนทำให้เฟยหลงไม่ได้สนใจจะหาคำตอบ

“เมื่อคืน?? เมื่อคืนทำไมหรือขอรับ??”

“ก็ลูก...เอ่อ เปล่า เจ้าไปเดินเล่นกับแม่ได้รึไม่” นางเกลียดตัวเองนักที่เข้มแข็งไม่พอจะถามเอาความจริงมาจึงต้องเบี่ยงประเด็นไปทางเรื่องอื่นเสีย แต่อย่างไร...เรื่องที่นางจะคุยก็สำคัญและมั่นใจได้เลยว่ามันจะต้องแก้ปัญหาที่นางกังวลอยู่ได้แน่

“ขอรับท่านแม่”

แม้ว่าจะง่วงเพียงใดแต่เมื่อท่านแม่อยากคุยกับเขา เขาก็ยินดีจะเดินไปกับท่านแม่ เฟยหลงเดินเคียงข้างเหม่ยหลินไปในสวนที่เบ่งบานไปด้วยดอกไม้งามหลากหลายสีสัน ทว่าอารมณ์ของผู้เชยชมนั้นกลับมิได้สุนทรีย์แม้แต่น้อย หนึ่งร่างเต็มไปด้วยความกังวลและคิดไม่ตก อีกหนึ่งก็เหม่อลอยคิดถึงใบหน้าของใครบางคน ดวงตาเรียวสีนิลจับจ้องแต่เพียงดอกไม้ชนิดเดียวบนต้นใหญ่ แม้รอบกายจะรายล้อมไปด้วยหมู่ไม้นานาพันธุ์แต่เขากลับชื่นชอบดอกท้อที่ยังไม่ยอมเบ่งบานนั่น

เหม่ยหลินหันไปมองตามสายตาของบุตรชาย ความแปลกใจเข้าจู่โจมจนฉายชัดทางสีหน้า นางเคยได้ยินมาจากบิดาของสามีว่า.....ท้อต้นนี้มิยอมออกดอกออกนี่ แล้วเหตุใด......เหตุใดในตอนนี้จึงมีดอกได้เล่า พลันความสงสัยยังมิทันได้กระจ่าง สายตาของเหม่ยหลินก็พบว่าบุตรชายของตนมองต้นท้อต้นนั้นราวกับกำลังมอง...คนรักก็มิปาน หัวใจคนเป็นแม่เต้นแรง ความเครียดจู่โจมอย่างหนักจนเหม่ยหลินแทบจะล้มลงไปกับพื้น ดีที่ยังคงสติเอาไว้ได้ก่อน

ทำเช่นไรดี...นางควรทำเช่นไรดี!

“เฟยหลง...”

“ขอรับท่านแม่” แม้ริมฝีปากจะเอื้อนเอ่ยรับคำ แต่สายกลับยังคงจับจ้องอยู่จุดเดิมไม่แปรเปลี่ยน

“ปีนี้เจ้าก็ย่างเข้ายี่สิบแล้วใช่หรือไม่?”

“ขอรับ...” ความสงสัยในคำถามนั้นมีมากมาย แต่เฟยหลงเองกลับไม่รู้จะถามเช่นไรดี ได้แต่นิ่งเงียบรอฟังคำถามต่อไปจากผู้เป็นแม่เท่านั้น เหม่ยหลินถอนหายใจเมื่อไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ใช่ว่านางจะชอบวิธีนี้ แต่เพื่อรักษาวงศ์ตระกูลเอาไว้ นางคงต้องทำ

“เช่นนั้น พรุ่งนี้...เจ้าไปกับแม่ได้หรือไม่?”

“แน่นอนขอรับ หากท่านแม่ปรารถนา” เฟยหลงไม่รู้เลยว่าผู้เป็นมารดาคิดจะพาตนไปที่ใดหากแต่ก็ตกลงรับปากไปเสียแล้ว ใบหน้าอันแสนทุกข์ใจของเหม่ยหลินคลายลงเมื่อได้ยินคำตอบจากบุตรชายคนเดียวของนาง ใบหน้าของนางในยามนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความโล่งใจในที่สุด เรื่องราวต่างๆ จะได้คลี่คลายเสียที เฟยหลงของนางจะได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์อย่างที่ควรจะเป็น

เฟยหลงยังคงทอดสายตามองต้นท้อใหญ่ด้วยรอยยิ้ม ในยามที่มันต้องแสงอาทิตย์ก็ดูงดงามมิต่างกับยามค่ำคืนเลยแม้แต่น้อย เจ้าดอกท้อของเขาคงกำลังหลับใหลอยู่ในนั้นเป็นแน่ ความสัมพันธ์ของเขาและหยางเถาเป็นไปอย่างราบรื่น ทุกค่ำคืนเขาจะใช้เวลาในการสอนสิ่งต่างๆ ให้หยางเถาได้รู้ ทั้งตำรา หมากรุก และเรื่องที่หยางเถาสนใจ แต่ดูเหมือนส่วนใหญ่ความสนใจของเจ้าดอกท้อตัวน้อยจะมุ่งตรงไปที่ซาลาเปาไส้เนื้อเสียมากกว่า

ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มออกกว้างยามคิดถึงแก้มกลมๆ ที่ถูกอัดแน่นไปด้วยแป้งสีขาว เสียงหัวเราะดังลอดออกมาจากลำคอหนาจนเหม่ยหลินต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจ สีหน้าของเฟยหลงนั้นเต็มไปด้วยความสุข สุข...จนนางกล้าพูดได้เลยว่า น้อยครั้งนักที่จะเห็นบุตรชายเป็นเช่นนี้ หัวใจของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดาพองโต นี่หรือว่าลูกชายของนางจะตื่นเต้นกับการออกไปดูตัวครานี้ ความคิดนั้นทำให้เหม่ยหลินยิ้มออก สุขใจนักยามคิดว่าจะได้โอบอุ้มหลานตัวน้อยๆ ในอ้อมแขน หากเฟยหลงแต่งงานไป นางก็จะได้หมดห่วงไปเสียที ไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจกลัวว่าลูกชายคนเดียวของนางจะกลายเป็นพวกรักชอบบุรุษ แต่เห็นแบบนี้ นางก็เบาใจ พรุ่งนี้...ทุกอย่างต้องเป็นไปได้ด้วยดี เพราะนางจะไม่ยอมให้มันล่มเด็ดขาด!

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

ร่างสูงของเฟยหลงเดินก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและองอาจ ท่าทางขึงขังดูมีสง่าเกินกว่าคุณชายท่านใดเรียกสายตาจากสาวน้อยใหญ่ที่เดินเลือกซื้อของอยู่ตามรายทาง แม้บนใบหน้ามิได้แต่งแต้มรอยยิ้มแต่ก็มิได้บั่นทอนความหล่อเหลาลงได้เลย มันกลับยิ่งทำให้เฟยหลงนั่นดูน่าค้นหา หญิงสาวเหล่านั้นต่างก็ส่งสายตาหวานหวังสานสัมพันธ์กับหนุ่มรูปงามผู้นี้

เฟยหลงมองเมินทุกดวงตาแม้จะมีใบหน้าสวยงามหยดย้อยเพียงใด แต่เขากลับมองว่าพวกนางมิได้งดงามดั่งที่เห็น หยางเถาของเขาต่างหากที่งดงามยิ่งกว่าผู้ใด ทั้งกิริยาและความเป็นตัวตนของหยางเถา เฟยหลงระบายยิ้มอ่อนบนใบหน้ายามเมื่อนึกถึงเจ้าดอกท้อของเขา ทั้งผิวแก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ทั้งเส้นไหมสีเงินยามถูกสายลมพัดให้ปลิวไสว ทั้งกลิ่นหอมที่ยั่วยวนใจยามได้อยู่ใกล้ชิดนั่นอีก หยางเถาไม่แม้แต่จะชายตามองเขาเลย มีเพียงเขาเองด้วยซ้ำที่เฝ้าคอยจดจ้องใบหน้าอ่อนเยาว์นั่นอย่างไม่อาจจะละสายตา

เหม่ยหลินยิ้มกริ่มยามได้เห็นเหล่าหญิงสาวที่เมียงมองลูกชายของตนด้วยความเสน่หา มิมีหญิงใดหรอกที่จะทานทนต่อใบหน้าอันหล่อเหลาราวรูปสลักของเฟยหลงไปได้ ยิ่งหากได้สนทนาได้ทำความรู้จักและใกล้ชิด นางมั่นใจเลยว่าลูกชายของนางผู้นี้ มิได้ด้อยไปกว่าใคร แม้จะเป็นเพียงบัณฑิตที่ไร้ชื่อ แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของแม่ทัพลู่จิ้นเหอ เป็นนายน้อยตระกูลลู่ที่ได้รับจวนหลังใหญ่เป็นมรดกที่ไม่ว่าชาติใดสมบัติที่มีก็มิสามารถใช้ได้หมด

ร่างของเหม่ยหลินและบุตรชายก้าวเข้าไปยังจวนที่มองเห็นได้ตรงหน้านี้ จวนของผู้ที่กว้างขวางทั้งในเมืองและในราชสำนัก จวนตระกูลเพ่ย ข้ารับใช้ของจวนต่างมาต้อนรับขับสู้อย่างดีมิมีขาดตกบกพร่องจนเหม่ยหลินยิ้มด้วยความประทับใจ ท่าทางนางจะคิดถูกจริงๆ ที่เลือกพาลูกชายมาดูตัวที่นี่ ความใหญ่โตโอ่อ่ามิได้ด้อยไปกว่าจวนของนางเลย แม้ความร่ำรวยสกุลลู่จะมีมากกว่าก็ตาม แต่ด้วยศักดิ์และชื่อเสียงบุตรสาวตระกูลเพ่ยจึงเป็นที่หมายตาของนางมากกว่าผู้ใด

“ฮูหยินลู่...อุตส่าห์มาเยี่ยมเยียนข้าและครอบครัว ต้องขอบคุณมากจริงๆ” จางเยว่หลิงหัวเราะน้อยๆ และกล่าวต้อนรับอย่างมีความสุข นางรู้ดีว่าเจตนาของอี้เหม่ยหลินคือสิ่งใด หากมิใช่พาบุตรชายของนางมาดูตัวกับบุตรสาวของตน

“มิได้หรอก ข้ารึกลัวว่าจะเป็นการมารบกวนท่านกับบุตรสาวเสียมากกว่าที่มาโดยมิได้บอกกล่าวใดๆ” เหม่ยหลินแสดงท่าทีที่ชัดเจนจนมิต้องมีใครบอกสิ่งใด นางต้องใจกับเพ่ยเยว่เผิงนัก งดงามทั้งกิริยาและการวางตัว ผมเผ้าถูกจัดเป็นทรง รูปร่างผอมบางที่มองเห็นได้นั่นเล่า ไหนจะท่าทีที่เขินอายต่อบุตรชายของนางเพียงได้มองสบตาเพียงครู่เดียวนั่นอีก ช่างดูน่ารักเสียเหลือเกินในสายตาของนาง

“รบกวนอันใด ดีเสียอีกลูกสาวข้ามิค่อยมีเพื่อนมากนัก หากคุณชายลู่เฟยหลงจะมาเป็นเยี่ยมเยียนบ่อยๆ ข้าเองก็ยินดีนัก” เฟยหลงได้แต่ยืนนิ่ง ไม่โต้ตอบสิ่งใดๆ ออกไป เขาจมอยู่ในความคิดที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าผู้ใหญ่ทั้งสองท่านนี้พูดถึงสิ่งใดกันอยู่

“หลง...เฟยหลง!”

“อ๊ะ! ขอรับท่านแม่?” เฟยหลงสะดุ้งตกใจยามได้ยินเสียงของมารดาเรีบกด้วยเสียงที่ไม่ได้เบานัก

“เยว่เผิงนางจะพาเจ้าไปเดินเล่นในสวน เจ้าไปกับนางเถิด แม่ต้องพูดคุยกับน้าจางเยว่หลิงเสียหน่อย” ร่างสูงพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ เขามิได้อยากหักหน้ามารดาเลย หากเขาทำเช่นนั้นคงมิต่างจากลูกอกตัญญู

“เชิญทางนี้เลยเจ้าค่ะ คุณชายลู่” เยว่เผิงก้มหน้าด้วยความเขินอายบอกเชิญบุรุษผู้ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีที่เรียบร้อย

“เชิญคุณหนู...”

เพ่ยเยว่เผิงเดินผ่านไปด้วยรอยยิ้มบางเบาอย่างมิต้องการให้บุรุษผู้นี้ได้เห็น นางพึงใจนิ่งนักที่ได้พบกับลาเฟยหลงผู้นี้ ผู้ที่เป็นที่หมายปองของเหล่าหญิงสาวแห่งเมืองซิ่นจือ ในคราแรกที่ท่านพ่อบอกว่าจะมีคนมาดูตัวนั้น นางมิพอใจนักด้วยไม่รู้เลยว่าเป็นผู้ใด รูปร่างหน้าต่างยิ่งแล้วใหญ่ แต่เมื่อได้พบพานในความรูปงามของลู่เฟยหลง นางพึงใจมากเสียจนอยากให้รีบจัดงานตบแต่งโดยเร็ววัน

“สวนที่นี่งามนัก ข้าขอเรียนถามคุณหนูเพ่ย...ใครเป็นคนดูแลที่นี่หรือ?” น้ำเสียงทุ้มนุ่มหูเอ่ยถามขึ้นเมื่อพวกเขาเดินมาถึงสวนขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยมวลดอกไม้แต่มิได้มีมากมายเฉกเช่นดั่งจวนของเขา กลีบดอกเบ่งบานรับแสงตะวันที่สาดส่องมา ดูด้วยตาก็รู้ว่าพวกมันถูกดูแลมาดีแค่ไหน เขาชื่นชมนักที่มีคนใส่ใจกับพวกมัน

“เป็นตัวข้าเอง...” น้ำเสียงอ้อมแอ้มตอบกลับด้วยความเหนียมอายมิกล้าสบตากับบุรุษรูปงามนามเฟยหลงสักวินาที

“เช่นนั้นหรือ...คุณหนูช่างใส่ใจนัก ข้ามิแปลกใจเลยที่พวกมันเติบโตขึ้นมาอย่างสวยงามเช่นนี้" สายตาคมกวาดมองเหล่าดอกไม้อย่างสนใจโดยมิได้ล่วงรู้เลยว่าทำให้หญิงสาวตรงหน้าบิดกายด้วยความเขินอายไปขนาดไหน เยว่เผิงยิ้มเขินและปลาบปลื้มใจ เช่นนี้เขาคงสนใจในตัวนางเป็นแน่ จึงได้กล่าววาจาเช่นนั้น

“ได้โปรด...เรียกข้าว่าเยว่เผิงเถิด คุณชายลู่” เฟยหลงเลิกคิ้วหันมามองใบหน้านวลของเพ่ยเยว่เผิงจนเต็มตา รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฟยหลงจนคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแทบจะล้มลงไปกองกับพื้นกับความหล่อเหลาที่น่าหลงใหล

“เช่นนั้น...เจ้าก็เรียกข้าว่าพี่เฟยหลงเถิด เยว่เผิง”

หัวใจของเยว่เผิงเต้นระส่ำ ภายในอกสะท้านจนแทบจะทนไม่ไหว ยามหูของนางได้ยินชื่อตนเองออกจากปากของเฟยหลงยิ่งทำให้นางแทบไร้สิ้นเรี่ยวแรง รอยยิ้มของเฟยหลงเป็นดั่งยาพิษร้ายหากแต่นางก็อยากจะลิ้มลองแม้จะรู้ว่าอันตราย เยว่เผิงได้แต่กัดปากตนเองไว้แน่น ระงับอาการสั่นไหวอย่างรุนแรงของหัวใจที่ทำงานหนักจนเกินจะรับไหว ค่อยๆ ปรับลมหายใจลงช้าๆ จนมันปกติมิให้คนตรงหน้าได้รู้

“พี่เฟยหลงท่านสนใจพวกดอกไม้หรือ” ใบหน้าหล่อพยักรับ ปากหนายิ้มแย้มอย่างเป็นสุขยามได้กล่าวถึงพวกมัน

“ข้าชื่นชอบมาก ที่จวนของข้าเองก็มีสวนเช่นนี้ หากแต่มีเหล่าดอกไม้มากกว่าที่นี่มากนัก หากเจ้าว่าง...ก็สามารถไปเยี่ยมข้าได้ที่จวน ข้าจะพาเจ้าไปดู” เยว่เผิงแทบจะยกมือบางขึ้นมากุมหัวใจตนเอง กลัวมันจะเต้นดังจนเรียกให้คนตรงหน้าหันมาสนใจ เขากล่าวว่าให้ไปเยี่ยมเขาหรือ ที่จวนเขาด้วย? หากเป็นเช่นนี้ เขาพึงใจนางแล้วใช่หรือไม่นะ แล้วถ้าเขาพึงใจนางล่ะ

ตึกตัก ตึกตัก

“หากพี่เฟยหลงต้องการให้ข้าไป...ข้าจะไปแน่นอน” เฟยหลงมิได้สนใจในความหมายที่นางพยายามสื่อราวกับโยนหินถาม เขายิ้มให้อย่างยินดีเหลือเกินกับคำถามเช่นนั้น

“ข้ายินดีมาก...หากเจ้าจะมา”
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 6. up.28/09/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 28-09-2018 13:25:34
(ต่อจ้า)
แสงจันทร์สาดส่องไปทั่วทั้งเมืองใบไม้สีเขียวสดในยามที่ต้องแสงตะวันนั้นในตอนนี้กลับแทบจะมองไม่เห็นสีของมัน จวนตระกูลลู่ถูกไฟจากโคมขับไล่เอาความมืดมิดให้หายไปคงความสว่างไสวเอาไว้ให้ได้มองเห็น เฟยหลงยังคงยืนรอใครบางคนอยู่ในจุดเดิมดั่งเช่นทุกค่ำคืนที่ผ่านๆ มา หลายคืนที่ผ่านมานี้เฟยหลงมั่นใจอย่างที่สุดว่า...หยางเถานั้นชอบที่จะใช้เวลาอยู่กับเขา แม้ว่ามันจะเป็นการนั่งอยู่เงียบๆ จดจ่ออยู่กับความคิดที่ตกตะกอนก็ตามที

เขาเฝ้ารอช่วงเวลาแห่งความสุขนี้มาตลอด นับเวลาให้ตะวันเลือนลับขอบฟ้าไปและให้แสงจันทราย่างกายเข้ามาแทนที่ เสียงหัวใจเต้นดังในจังหวะสม่ำเสมอ หากแต่เขากลับรู้สึกว่ามันตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ วนเวียนเพื่อรอพบคนที่ติดตรึงในหัวใจอย่างไม่อาจจะลบเลือนให้หายไปได้ เขาชอบที่จะมีหยางเถาอยู่เคียงข้าง สุขใจที่ได้รับรู้ว่ามีเจ้าดอกท้ออยู่เสมอ และเขาคงจะไม่สามารถมองใครได้อย่างที่มองเจ้าของผมสีเงินอีกแล้ว

“เจ้ามาแล้ว...” เฟยหลงเผยรอยยิ้มอย่างยินดีที่หยางเถาปรากฏกายขึ้นมาตรงหน้าตนเอง

“ข้าก็มาเช่นนี้ทุกค่ำคืน...เหตุใดเจ้าจึงยิ้มราวกับมิได้พบข้ามานาน” หยางเถาอมยิ้มน้อยๆ กับอาการตื่นเต้นของอีกฝ่าย แม้ว่าปฏิกิริยาของหยางเถาจะนิ่งเฉยแต่ภายในหัวใจกลับเต้นระรัว เฟยหลงยกมือขึ่นลูบคอตนเองเบาๆ อย่างเขินอายในทีท่า เมื่อรู้ว่าเขาไม่อาจเก็บอาการของตนเองไว้ได้

“ข้าเพียงตื่นเต้นไปเท่านั้น ฮะๆ”

“เช่นนั้นหรอกหรือ” แม้จะรู้ว่าเฟยหลงเพียงพูดแก้เก้อไป แต่หยางเถาก็จะยินยอมให้มันเป็นเช่นดั่งที่เขากล่าวก็แล้วกัน

“วันนี้...ข้าก็ยังคงมีซาลาเปาให้เจ้าเช่นเดิมนะ” หยางเถากลอกตาไปมา นี่เฟยหลงคงมิได้จะขุนให้เขาอ้วนหรอกใช่หรือไม่ ไม่ว่าจะมากี่คืนๆ เขาก็มันจะได้ลิ้มรสเจ้าก้อนขาวๆ ทุกคืนไป แม้มันจะอร่อยมากและเขาก็ชอบมันมากก็เถอะ แต่ไม่คิดว่าเขาจะอ้วนฟูจนกลายเป็นเจ้าก้อนนั่นบ้างหรือไรกันนะ

“เฟยหลง...เจ้าคงมิได้อยากให้ข้าเป็นหมูหรอกนะ?” คนถูกถามตาโต กวาดตามองคนตรงหน้าจนคนถูกมองรู้สึกเขินอาย สายตานั้นก็กระไร มองเสียราวกับจะทะลุเสื้อผ้าเขาไปได้อย่างนั้น

“ข้าเปล่าเลย...”

สายตาคมสบเข้ากับดวงตาสีหวานด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูและรักใคร่ ความวิบวับในดวงตาคมช่างชวนให้หยางเถาอยากจะคว้ากิ่งไม้แล้วจิ้มเจ้าของดวงตาเสียสักทีสองที หมั่นไส้เหลือเกินกับการแสดงออกของเฟยหลงเช่นนี้ หากมิบอกเขาว่าเป็นบัณฑิต เขาก็คงคิดว่าเป็นนักรักแน่

“แต่หากเจ้าอ้วนกลมจนเป็นดั่งเช่นซาลาเปาและกลับเข้าไปยังต้นท้อไม่ได้อีก...ข้าจะดูแลและเลี้ยงดูเจ้าเอง ดีรึไม่? โอ๊ะ!”

เฟยหลงสะดุ้งขึ้นด้วยความเจ็บปวดเมื่อหยางเถาใช้มือของตนเองหยิกเข้าที่แก้มทั้งสองข้างนั่น แต่เฟยหลงหรือจะโกรธเคือง ใบหน้างดงามที่กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานที่ได้ดึงแก้มเขาเล่นนั้น มันทำให้เขาลืมเลือนความเจ็บปวดไปจนหมด แต่ความจริงแล้วแรงของหยางเถามีเท่านั้นมันไม่สามารถทำให้เขารู้สึกเจ็บได้หรอก แค่อาจจะรู้สึกคันๆ บ้าง

หยางเถาสัมผัสได้ถึงความยืดหยุ่นของผิวหนังมนุษย์ เขาดึงมันเล่นอย่างสนุกสนาน ร่างเล็กหัวเราะจนดังก้องไปทั่วแต่ก็ไม่มีใครได้ใส่ใจ เมื่อทุกคนในจวนต่างล่วงรู้ว่าเวลาค่ำคืนเช่นนี้เป็นช่วงเวลาที่สหายรูปงามของนายน้อยจะมาเยี่ยมเยียนและพูดคุยกัน แม้ในใจของพวกเขาจะตั้งข้อสงสัยว่า...เหตุใดเล่า เหตุใดจะต้องเป็นเฉพาะช่วงตะวันลับฟ้า เหตุใดจึงมืเคยเห็นสหายผู้นี้ของนายน้อยมาในยามทิวาสักครา

เหม่ยหลินนั่งไม่ติดเก้าอี้ เสียงที่ดังผ่านหูมาให้นางได้ยินนั้นมิต้องบอกก็รู้ว่าคือผู้ใด ใจนางร้อนระอุจนไม่มีสิ่งใดมาดับได้ สิ่งที่นางวางแผนเอาไว้คงต้องเร่งเสียหน่อยแล้ว ทำเช่นไรดีนะ! ลูกชายของนางจึงจะยอมแต่งงานตามที่นางต้องการกันนะ แต่ที่นางได้เห็นในวันนี้ เฟยหลงเองก็มิได้รังเกียจเยว่เผิงเลยแม้แต่น้อย และตัวเยว่เผิงเองก็ดูจะมีใจให้เฟยหลงเช่นกัน

“เจ้าเดินไปเดินมาทำไมรึ? เหม่ยหลิน”

“ท่านพี่...ข้าร้อนใจเหลือเกิน” ท่าทางอันไม่สงบของฮูหยินตนดูก็พอจะรู้ว่าเหม่ยหลินร้อนใจเพียงใด แต่มันเรื่องใดเล่าที่ทำให้ภรรยาคนดีของเขาถึงกับร้อนรนเพียงนี้

“มีเรื่องอะไรรึ?”

“ท่านพี่เองก็ย่อมต้องได้ยิน ยามเมื่อสิ้นไร้ตะวันทอแสง หยางเถาจะต้องมาหาลูกชายเราทุกคืนไป ท่านพี่มิกังวลหรือ” จิ้นเหอลูบไล้แผ่วเบาที่หลังมือของเหม่ยหลิน มองสบใบหน้างามของภรรยาอย่างให้กำลังใจ

“มันอาจจะไม่ได้เป็นดังที่เจ้าคิดก็ได้...”

“ท่านพี่...ข้าอาจจะคิดมากไปก็เป็นได้ แต่หากไม่หาวิธีแก้ไว้เสียเนิ่นๆ ทุกสิ่งอาจจะสายไปก็ได้ ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ” สีหน้าที่กังวลใจมากของเหม่ยหลินยิ่งชวนให้จิ้นเหอต้องถอนหายใจ แม้ว่าความจริงเขาจะกังขากับความสัมพันธ์ของเฟยหลงและหยางเถาอยู่บ้างก็เถอะ แต่ก็ใช่จะกังวลขนาดนั้น อย่างไรเสียเขาก็ยังคงเชื่อมั่นว่าบุตรชายของตนมิมีวันรักชอบบุรุษด้วยกันแน่ๆ

“แล้วเจ้าคิดจะทำเช่นไร หืม”

“ข้าหวังจะให้เฟยหลงหมั้นหมายกับเพ่ยเยว่เผิงเจ้าค่ะ”

“หมั้นรึ?”

จิ้นเหอยอมรับว่าตกใจมากที่ได้ยินคำนี้จากปากของฮูหยินตนเอง ปกติเหม่ยหลินมิใช่คนที่จะจับคู่ของใคร ไม่เคยคิดจะบังคับจิตใจของลูกชายตนเอง ยิ่งเฟยหลงเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเขาด้วยแล้ว ยิ่งแทบไม่อยากจะเชื่อว่าคำๆ นี้จะออกมาจากปากนาง

เพ่ยเยว่เผิง สกุลเพ่ยหรือนี่

“เจ้าค่ะ ความจริงข้าหวังจะให้นางและลูกชายเราแต่งกันเสียให้เรียบร้อย แต่เฟยหลงคงมิยินยอมแน่ ท่านพี่...ท่านช่วยพูดกับเฟยหลงได้ไหมเจ้าคะ?”

“นี่เกี่ยวกับเรื่องภายในของข้าหรือไม่ ฮูหยิน!” จิ้งเหอหรี่ตามองภรรยาอย่างจับผิด จริงอยู่ที่ในตอนนี้เขาอาจจะไม่มีผลงานมานานเนื่องด้วยบ้านเมืองสงบสุขไร้ผู้รุกล้ำดินแดน จึงไม่จำเป็นต้องทำสงครามและเขาเองก็ไม่อาจจะมีผลงานได้ในช่วงเวลาแบบนี้ ทำได้เพียงฝึกปรือทหารไว้ให้พร้อมยามต้องพบกับสงครามเท่านั้น เขาจึงคิดว่า...นี่อาจจะเกี่ยวกับเขาก็เป็นได้

“มิ..มิเกี่ยวเลย ข้าเพียงทำเพื่อลูกเท่านั้น” หากแต่เหม่ยหลินกลับหลบเลี่ยงที่จะสบตากับจิ้งเหอ

“เช่นนั้น...ทำไมจะต้องเป็นคุณหนูตระกูลเพ่ยเล่า?” น้ำเสียงเย็นเฉียบของสามีนางทำให้นางได้แต่กุมมือที่สั่นของตนเองไว้แน่น นางกลัว เพราะรู้ดีว่านางไม่ได้รับอนุญาตให้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ขะข้า...คือ ท่านพี่ ข้าแค่เพียงห่วงใยท่าน”

ปึง!!!

“ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าอย่ายุ่งในเรื่องที่ข้าไม่พึงใจให้เจ้ามายุ่ง!!! เหตุใดเจ้าจึงทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ข้าบอก!! เจ้าไม่เห็นหัวข้าเลยใช่หรือไม่!!!” จิ้งเหอตบโต๊ะจนถ้วยชาสั่นกระทบกับจานรอง แรงที่ถูกส่งลงบนโต๊ะทำให้เกิดเสียงดังจนเหม่ยหลินสะดุ้งด้วยความตกใจ ใบหน้าของจิ้งเหอดุดันเมื่อนางทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบ คิดจะรวมตระกูลเพื่อพึ่งบารมีผู้อื่น หึ...แม่ทัพใหญ่เช่นเขามีหรือจะยอมลดศักดิ์ศรีลงไปเช่นนั้น

เหม่ยหลินได้แต่นิ่งเงียบและตัวสั่น นางไม่ค่อยได้เห็นสามีของนางโกรธนัก ยิ่งกับนางและลูกชายยิ่งแล้วใหญ่ นางโชคดีมากในยามที่ได้แต่งงานกับจิ้งเหอแต่ในเวลานี้นางกลับทำให้สามีของตนเองโกรธเคืองเสียจนไม่อยากจะมองหน้า นางรู้ดีว่ากำลังยุ่มย่ามในเรื่องที่ควรเป็นเรื่องของบุรุษ มิใช่เรื่องของสตรีในบ้าน หากแต่นางเองเพียงแค่คิดว่าหากลูกชายพึงใจกับแม่นางเยว่เผิง เรื่องของสามีนางก็คงเป็นเรื่องของผลพลอยได้ จิ้นเหอลุกขึ้นยืนไม่แม้แต่จะมองใบหน้าของเหม่ยหลินเลยสักนิด จนเหม่ยหลินต้องมองแผ่นหลังของสามีด้วยความรวดร้าวใจ

“ท่านพี่ ข้าขออภัยเจ้าค่ะ ข้าขออภัยที่ทำเรื่องนี้โดยไม่ได้ปรึกษาท่านพี่ก่อน” เหม่ยหลินจับแขนของสามีเอาไว้แน่น อ้อนวอนในแววตาด้วยความรู้สึกผิดจากหัวใจจนจิ้นเหอที่โกรธเคืองอยู่ต้องถอนหายใจออกมา

“เช่นนั้นก็อย่าทำอีก...อย่าทำเหมือนศักดิ์ศรีของข้า มีไว้ให้เจ้าเอาไปขายทิ้ง!”



.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

เฟยหลงบิดกายด้วยความเกียจคร้าน ค่ำคืนที่ผ่านมานั้นเขาใช้เวลากับหยางเถาในการพักผ่อน ไม่รู้ว่าหยางเถาล่วงรู้ได้อย่างไรว่าเขามิได้พักผ่อน หรือใบหน้าของเขาอิดโรยกันนะ ร่างสูงนั่งคิดบนเตียงของตน กวาดตามองร่องรอยย่นยับของผ้าปูที่บ่งบอกได้อย่างดีว่าเคยมีใครสักคนมานอนอยู่ตรงนี้

ฝ่ามือหนาไล่ไปตามร่องรอยนั้นอย่างเผลอไผล เขายกยิ้มด้วยความสุขใจอย่างที่ไม่เคยเป็น กลิ่นหอมยังคงลอยตลบอบอวลไปทั้งห้อง เขาชอบที่จะได้กลิ่นนี้ และจะยิ่งชอบ...หากเขาจะได้ดอมดมกลิ่นนี้ไปในทุกๆ เช้า หัวใจของเฟยหลงพองโต ยามคิดถึงเหตุการณ์ในค่ำคืนที่ผ่านพ้นมา เขาและหยางเถาต่างก็นอนมองหน้ากันและกัน ความง่วงงุนเข้าจู่โจมเขาจนผล็อยหลับไปตอนไหนก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำ หากแต่เขารู้สึกราวกับมีใครสักคนมาสัมผัสแผ่วเบาที่ใบหน้า ราวกับว่าคนๆ นั้นใคร่จะสัมผัสไปตามเคล้าโครงของใบหน้าของเขา ทั้งดวงตา คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากที่ปิดสนิท หากแต่อาการหนักๆ ของเปลือกตานั้น ทำให้เขาไม่สามารถจะลืมตาขึ้นมามองได้ จนสติเขาได้จมหายไปในนิทรา และเมื่อตะวันฉายแสงออกมา เขาก็ไม่พบคนข้างกายอีกแล้ว

เฟยหลงเดินออกมาจากห้องด้วยท่าทางสดชื่นจากการได้หลับพักผ่อน ความง่วงที่เคยสะสมมาในตอนนี้มันหายเป็นปลิดทิ้ง เหวินฉายที่อยู่ไม่ห่างจากห้องของเฟยหลงมองร่างสูงด้วยความสงสัย น่าแปลกที่ยามเช้าเช่นนี้นายน้อยของเขานั้นมีสีหน้าเปี่ยมสุขราวกับว่าได้พบอะไรบางอย่างที่พึงใจเสียจนเก็บกักความพึงพอใจเอาไว้ไม่อยู่ ใบหน้าของเฟยหลงประดับด้วยรอยยิ้มแม้จะบางเบาแต่ก็บ่งบอกได้อย่างดีว่าร่างสูงอารมณ์ดีเพียงใด

“นายน้อยจะไปไหนหรือขอรับ” เหวินฉายเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่านายของตนมิได้เดินไปเพื่อรับประทานอาหาร

“ข้าว่าจะไปชมนก ชมไม้เสียหน่อย ทำไมหรือ?”

“เปล่าขอรับ ข้าน้อยเพียงเห็นว่า เช้านี้นายน้อยยังไม่ได้รับประทานอาหาร...” เฟยหลงถึงบางอ้อ ก้มลงมองฝีเท้าตนที่หมายมั่นจะก้าวไปยังทางสวนพฤกษาเสียอย่างเดียว เสียงหัวเราะดังขึ้นในลำคอของเฟยหลงจนเหวินฉายเอียงคอมองอย่างสงสัย

“อา...นั่นสินะ ไว้ก่อนเถอะ ข้ายังมิค่อยหิวเท่าไหร่”

“เอ๊ะ...แต่ นายน้อยขอรับ!!”

เฟยหลงมิใช่คนที่จะฟังคำเอื้อนเอ่ยของผู้ใดได้นาน เขาตรงไปยังจุดหมายที่หัวใจเขาเรียกร้องอย่างรวดเร็ว เหวินฉายได้แต่มองแผ่นหลังของผู้เป็นนายด้วยความรู้สึกหลากหลาย นายน้อยยังคงเป็นเช่นเดิม มิเคยฟังสิ่งใดนอกจากตนเอง แต่เขาก็ภูมิใจที่มีเฟยหลงเป็นเจ้านาย เพราะเมื่อยามที่เขามีเรื่องใดๆ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ จะเป็นเฟยหลงที่เข้ามาช่วยเขาไว้เสมอ

เฟยหลงมองต้นท้อที่ตรงหน้าของตนด้วยแววตาแสนรัก ความรักใครทอดผ่านดวงตาคมออกมาเสียจนหยางเถาที่หลบซ่อนกายจากแสงตะวันอยู่ในต้นท้อต้นใหญ่ยังต้องเขินอาย เมื่อคืนเขาเฝ้ามองใบหน้าของเฟยหลงที่เข้าสู่นิทราจนเกือบรุ่งสางจึงได้หนีออกมาเสียก่อน ก่อนที่จะไม่เหลือเวลา ยอมรับว่าเขาอยากจะอยู่ตรงนั้นต่อ การได้นอนอยู่เคียงข้างเฟยหลงเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเขา รู้สึกว่าตนเองนั้นพิเศษกว่าผู้ใด และมันทำให้ร่างกายของเขาร้อนรุ่มเช่นกัน หยางเถาไม่รู้เลยว่าความรู้สึกเช่นนี้คืออะไร มันเกิดขึ้นเพราะสิ่งใด แต่เขาก็ต้องข่มมันเอาไว้ เพราะอย่างไรเสียมันก็คฃไม่ใช่เรื่องดีแน่

“หยางเถา...ไยเจ้ามิปลุกข้า?”

รู้...เขารู้ดีว่ากำลังพูดอยู่คนเดียว และรู้ดีว่าเขากำลังทำให้เหวินฉายที่แอบมองอยู่ตรงเสาไม่ต้องตกใจ แม้จะไม่ได้ยินเสียงชัดเจน แต่ก็คงจะรู้ว่าเขาพูดอยู่คนเดียว เพราะตรงหน้าเขาในตอนนี้ไม่ได้มีผู้ใดเลยนอกจากต้นไม้ และเหวินฉายเองก็คงไม่คิดว่าเขาพูดอยู่กับต้นไม้หรอก แม้ว่ามันจะเป็นความจริงก็ตาม

“เจ้าหนีข้ามาโดยมิบอกข้า ทิ้งไว้เพียงกลิ่นกายให้ข้าคะนึงหา เช่นนี้...เจ้ามิโหดร้ายกับข้าไปหรือ?” หยางเถากัดริมฝีปากตนเองแน่นเมื่อได้ฟังน้ำเสียงและคำกล่าวตัดพ้อนั้นราวกับเขาคือคนผิด เฟยหลงนี่กระไร ก็รู้อยู่ว่ามีใครแอบมองอยู่ ยังจะทำเช่นนี้

หยางเถาเบนสายตาไปมองร่างบอบบางที่ยืนหลบอยู่หลังเสาไม้สีเข้มที่ในตอนนี้กำลังพูดคุยกับใครสักคนซึ่งหยางเถาไม่อาจจะรู้ได้ว่าสิ่งใด เหวินฉายพยักหน้ารับจากคนส่งข่าว ก่อนจะรีบเดินเข้ามาหาเฟยหลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตีหน้าซื่อราวกับว่าตนมิได้แอบอยู่ตรงที่ใดมาก่อน

“นายน้อยขอรับ...มีคนมาขอพบขอรับนายน้อย” เฟยหลงหันมองเหวินฉายด้วยแววตาใคร่รู้ ใครกันมาเสียเช้าเช่นนี้

“ใครกัน?”

“เอ่อ...คุณหนูจากตระกูลเพ่ยขอรับ”

“เช่นนั้น ก็เชิญนางมาที่นี่เถอะ ข้าจะรับรองนางที่สวนนี้เอง”

“ขอรับนายน้อย”

เหวินฉายเดินออกมาด้วยความแปลกใจในหลายๆ สิ่ง แปลกที่จวนนี้มีคุณหนูตระกูลอื่นมาเยี่ยมนายน้อย แปลกที่นายน้อยต้อนรับแขกในสวนเช่นนี้ และแปลก...ที่นายน้อยพูดคุยอยู่เพียงคนเดียว มันทำให้เขาคาใจจนใคร่อยากจะถาม หากแต่ก็ไม่กล้าพอ อย่างไรเหวินฉายก็เป็นเพียงคนในจวน มิได้มีศักดิ์เป็นดังสหาย เป็นเพียงผู้ติดตามอำนวยความสะดวกให้นายน้อยก็เท่านั้น จะให้เอ่ยถามได้อย่างไร...

ร่างอรชรของเพ่ยเยว่เผิงเดินก้าวมาตามเหวินฉายที่นำทางมา นางมาตามคำเชิญในคราก่อนที่เฟยหลงได้กล่าวเชิญเอาไว้ ใบหน้าสดใสและยิ้มแย้มของเฟยหลงในวันนี้ช่างน่ามองเสียเหลือเกินจนนางต้องหลบเลี่ยงมิอาจจะสบตาได้โดยตรง นางรู้สึกเขินอายเสมอยามต้องยืนอยู่ชิดใกล้กับพี่เฟยหลงของนาง เขาเป็นบุรุษที่นางมีใจให้ เป็นบุรุษที่รูปงามเสียจนนางหวั่นไหว และนางเองก็เชื่อว่าความงดงามของนางย่อมต้องถูกใจเขาเช่นกัน

“อภัยด้วยคุณชะ...พี่เฟยหลง ที่ข้ามารบกวนในเวลาเช้าเช่นนี้” เฟยหลงเพียงยิ้มเบาบางให้กับเยว่เผิง สายตาทอดมองใบหน้าของเยว่เผิงด้วยความรู้สึกถูกชะตา

“มิเป็นไรเลยน้องเยว่เผิง เจ้ามาหาข้าหรือมาชมสวนของข้าเล่า?” เพ่ยเยว่เผิงแก้มแดงปลั่งยามได้ยินคำถามที่นางให้คำตอบได้ยากเช่นนี้ หากมิมีใจจะถามเช่นนี้หรือ...นางคิด

“ทั้งสองเจ้าค่ะ” เพ่ยเยว่เผิงหลุบตาลงมองพื้นให้ดูน่ารักน่าใคร่ดั่งที่มารดาได้เพียรสอนนางมา อย่าทำตัวไร้สกุล จงใช้จริตหญิงให้เขาพึงใจ นางท่องมันมาเสมอ และเชื่อว่านางทำได้ดี

บรรยากาศอันน่าอภิรมย์ของเฟยหลงและหญิงสาวที่มาใหม่กับบทสนทนาที่ไม่ว่าจะฟังเช่นไรก็เป็นของคนที่มีใจต่อกัน หยางเถามองภาพนั้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด หัวใจบีบรัดเสียจนร้าวรานไปหมดราวกับมีใครมาทำให้มันแตกสลาย ความอุ่นร้อนหลั่งไหลลงบนผิวแก้มทั้งสองข้างจนหยางเถาต้องยกมือขึ้นมาจับต้อง

นี่คือสิ่งใดกัน ข้ามิเคยรู้จักสิ่งนี้

แต่จะให้เอ่ยถามใครเล่าเมื่อคนที่สามารถให้คำตอบกับเขาได้นั้น ในยามนี้คงมิมีใจจะคิดถึงเขาหรอก เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังก้องช่างเหมือนปลายมีดที่กรีดซ้ำๆ ตรงหัวใจ จนมันเหวอะหวะไม่สามารถเต้นได้ดังที่ควรทำ หยางเถารู้สึกว่าตนนั้นช่างอ่อนแอ เป็นคนที่คิดและให้ความรู้สึกไปเพียงผู้เดียวเท่านั้น ชายหรือก็ต้องคู่กับหญิง จะมาเคียงคู่กับคนก็มิใช่ ปีศาจก็มิเชิงอย่างเขาได้เช่นไร แม้จะรู้อยู่แก่ใจดี ว่ามันคงเป็นเช่นนี้ วันหนึ่งเฟยหลงก็จะต้องแต่งงาน วันหนึ่งก็ต้องมีครอบครัว แต่ทำไมหัวใจของเขาจึงได้เจ็บมากเพียงนี้ ราวกับมันจะขาดใจ

กลีบดอกสีชมพูถูกสายลมพัดพาให้ปลิวไสวร่วงหล่นลงอย่างที่ไม่เคยได้พบเห็น หยาดน้ำใสไหลนองอยู่บนใบหน้าของหยางเถาไม่มีหยุด ความเจ็บปวดจู่โจมเขาจนแทบจะกระอักเลือด หัวใจดวงน้อยๆ แหลกสลาย ได้แต่ปล่อยเสียงร่ำไห้ให้ลอยไปกับสายลม แต่ทว่า...เสียงใดเล่าจะเท่าเสียงหัวเราะของชายหญิงคู่นั้น เสียงของคนที่ไร้ตัวตนหรือจะดังเท่าหญิงสาวผู้งดงามตรงหน้าของเฟยหลง ดอกท้อสีสวยหล่นลงบนพื้นดิน เศษดินเปรอะเปื้อนจนดอกท้อสีชมพูหม่นหมอง ความงดงามมิได้แตกต่างจากบนกิ่งยอด แต่มันกลับแตกต่าง ยามมิมีใครเชยชม
สองคู่ ชายหญิง เคียงกันมา

สมดั่ง วาสนา สร้างให้

รายล้อม ด้วยรัก ปักใจ

รอยยิ้ม หลงใหล ชื่นชม

ดอกท้อ ร่วงลง ปฐพี

เพียงนาง ผู้นี้ สนิทสนม

หัวใจ ร้าวราน ตรอมตรม

เพียงมอง ก็ซม ด้วยพิษใจ
[/i]





TBC



มาต่อแล้วนะคะ ใครได้กลิ่นหอมของอะไรไหมเอ่ยยยยย~

Facebook > https://m.facebook.com/PassionateFiction

Twitter >"> https://mobile.twitter.com/little_kittensY
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 6. up.28/09/61
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-09-2018 14:01:30
 :m15:

กลิ่นมาม่า
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 7 up.20/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 20-11-2018 16:28:08
[7]

ซูหนิงยกไม้กวาดขึ้นมาถือเอาไว้ วันนี้คือวันที่นางจะต้องกลับไปกวาดใบไม้ที่สวนอีกแล้ว นางจำเหตุการณ์เลวร้ายนั่นได้ดีวันที่นางได้ยินเสียง วันที่นางมองเห็นต้นท้อนั่นออกดอกนางก็ตกใจจนลนลานไปหมด สุดท้ายมันก็กลายเป็นความเข้าใจผิดเมื่อมันเป็นเพียงการออกดอกตามปกติ จะมีอายุมามากมายสักกี่พันปี แต่ต้นไม้ก็คือต้นไม้อย่างไรมันก็มีเพียงการเจริญเติบโตงอกงามและออกดอกออกผลดังต้นไม้ต้นอื่น

พ่อบ้านถังลี่หยางกล่าวต่อว่านางเสียยกใหญ่กับการกระโตกกระตากไปก่อนจะได้ตรวจสอบให้ดี นางจะทำพลาดซ้ำอีกไม่ได้ วันนี้คือการแก้ตัวของนาง และดูเหมือนพ่อบ้านถังเองจะไม่ค่อยเชื่อใจนางนักจึงได้ให้หลิวเซียนมาเป็นเพื่อนนาง แต่นางกลับรู้สึกอึดอัดเสียมากกว่า เพราะแทนที่หลิวเซียนจะทำงานตามที่ได้รับมอบหมายนางกลับเอาแต่มองไปยังห้องของนายน้อยด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์จนซูหนิงอดหมั่นไส้ไม่ได้

“เจ้าเป็นอะไรของเจ้า หลิวเซียน?” ในที่สุดซูหนิงก็อดรนทนไม่ไหวเอ่ยถามออกไปอย่างรำคาญในทีท่าหงอยเหงา

“เจ้าเห็นหรือไม่ คุณหนูจากตระกูลเพ่ยที่มาหานายน้อย” ซูหนิงมองใบหน้าของหลิวเซียนด้วยความสงสัย เกี่ยวอะไรกับอาการของหลิวเซียนกันนะ

“เห็น แล้วอย่างไรหรือ?” หลิวเซียนทอดสายตาลงบนพื้นที่กำลังกวาดราวกับเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหว

“คุณหนูผู้นั้นมีนามว่าเพ่ยเยว่เผิง...เป็นหญิงที่ฮูหยินจะให้แต่งงานกับนายน้อยของเรา” ซูหนิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางก็เห็นอยู่หรอกว่ามันแปลกที่มีคุณหนูต่างตระกูลมาเยี่ยมเยียนนายน้อย แต่ก็มิได้คิดเลยว่าจะเป็นผู้ที่ถูกหมายตาไว้เป็นภรรยาของนายน้อย

“ถึงอย่างนั้นแล้วเช่นไรเล่า ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าและข้าใช่หรือหลิวเซียน” ดวงตากลมที่นองไปด้วยน้ำตาใสๆ ตวัดมองซูหนิงจนสะดุ้งเฮือก

“ข้า!!! อึก ข้าน่ะ!! มีใจให้นายน้อยนะ! เจ้าจะบอกว่าไม่เกี่ยวกับข้าได้อย่างไรกัน!” ซูหนิงที่เห็นหลิวเซียนโมโหและสะอื้นไห้ไปพร้อมกันซูหนิงก็ได้แต่ยิ้มแห้งพร้อมกับปลอบใจ

“ถึงเช่นไร...เจ้าก็เป็นเพียงสาวใช้” หลิวเซียนทิ้งกายลงพื้นอย่างหมดแรง สองมือกำชายผ้าที่ชุดของตนจนแน่น อิจฉาหญิงผู้นั้นที่จะได้นายน้อยของนางไปครอบครอง อิจฉาที่หญิงผู้นั้นมีพร้อมทุกอย่าง อิจฉาในทุกสิ่งที่ทำให้นางสามารถครองคู่กับนายน้อยได้ หัวใจของหลิวเซียนเจ็บปวด แต่ก็ไม่เท่ากับร่างเล็กๆ ที่นั่งกอดเข่าซบเซาใบหน้างามลงไปอย่างปวดร้าว

หยางเถาได้ยินทุกสิ่ง ได้ฟังในทุกอย่างจนหมดสิ้น ไหล่บางสั่นไหวตามแรงสะอื้นไห้ของเจ้าของ คำบอกเล่าของนางช่างบาดใจของเขานัก เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ นางผู้นั้น...คือว่าที่ภรรยาของเฟยหลง

ฮ่าๆ เจ็บไหมเล่าหยางเถา สมแล้วที่เจ้าถูกเรียกว่าท้อโศกศัลย์

เสียงสะอื้นดังก้องอยู่ภายในต้นท้อ ความเงียบเหงาของมันไม่เคยเป็นปัญหาใดๆ กับเขาเลยสักครั้ง หากแต่ครานี้มันกลับกัดกินหัวใจของเขาจนแทบจะไม่เหลือ ทั้งเสียงหัวเราะทั้งการพูดคุย ทั้งสีหน้าแววตาทุกสิ่งทุกอย่างวนเวียนกลับเข้ามาในหัวของหยางเถาจนอยากจะลบมันออก แต่ยิ่งคิดรอยยิ้มของเฟยหลงก็ยังวนเวียนตามมาหลอกหลอน น้ำเสียงที่คอยเรียกชื่อเขา กิริยาที่แสดงออกมายามอยู่กับเขา หากไม่คิดเช่นเดียวกับเขาไยจึงทำราวกับมีใจ หากมิได้สนใจเขาดั่งที่เขาสนใจ ไยจะต้องทำให้เขาคิดไปเองด้วย สายน้ำยังคงไหลไม่ขาดสาย เสียงร่ำไห้ของหลิวเซียนและหยางเถาดังขึ้นมาด้วยความรู้ที่ต่างกัน หลิวเซียนเพียงน้อยใจในชะตาของตน แต่หยางเถานั้นไม่ใช่...สิ่งที่ทำให้หยางเถาเจ็บปวด คือความห่วงใย ความใจดีที่เขาพึงคิดไปว่าเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับ ความจริงมันเป็นเพียงความสงสารจากเฟยหลงเท่านั้น

“อย่าร้องไห้ไปเลยหลิวเซียน ลิขิตสวรรค์...เช่นไรก็ฝืนมิได้หรอก”

“ฮึก เหตุใดเล่า! เหตุใดจึงลิขิตให้ข้า...ต้องด้อยกว่าคุณหนูตระกูลเพ่ยด้วย”

“ด้อยกว่าแล้วอย่างไร หากนายน้อยมิมีใจ ให้เจ้าสูงส่งกว่านางเท่าไหร่ เจ้าก็พ่ายแพ้อยู่ดี”

คำพูดของซูหนิงที่บอกกล่าวเพื่อปลอบใจแก่หลิวเซียนกระแทกเข้าใจของหยางเถาอย่างจัง อย่างที่นางพูด ต่อให้ดีเลิศเลอเพียงใด หากมิใช่คนที่เฟยหลงพึงใจ เช่นไรก็แพ้อยู่ดี เช่นเดียวกับ ที่พ่ายแพ้ต่อนางตั้งแต่แรกเริ่ม ทั้งที่ตัวข้าใช้เวลาและพบพานกับเฟยหลงมาก่อนแท้ๆ กลับยังต่อยอมสยบกับคำว่า เขาไม่มีใจ

สายลมพัดหวิวผ่านตัวของเขาที่อยู่ภายในลำต้นท้ออย่างอ่อนโยน ราวกับทราบดีต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับหัวใจของเขา หยางเถาแหงนเงยใบหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากว้างทั้งที่หยาดน้ำตายังคงไหลลงมาไม่ขาดสาย สวรรค์เอ๋ย ข้าผิดหรือที่มีใจให้แก่เขา หากเขามิได้มีใจแก่ข้า ไยท่านมิบอกกล่าวข้าตั้งแต่แรกเล่า ไยท่านปล่อยให้ข้า...รักเขาจนหมดใจ

เสียงร่ำไห้ราวกับจะขาดใจของหลิวเซียนดังจนคนฟังอย่าซูหนิงได้แต่มองด้วยความสงสาร นางไม่รู้จะปลอบใจหลิวเซียนเช่นไรจึงได้แต่ลูบแผ่นหลังเพื่อประโลมความทุกข์ทนในหัวใจของหลิวเซียนลงไปบ้าง ความรักแม้นางจะมิได้มีมันกับตัวเอง แต่ก็ใช่จะมิรู้ว่า...มันหอมหวาน ดูดดึงให้ลิ้มลอง...ก่อนที่พิษจะค่อยๆ กระจาย ทำให้ตายลงช้าๆ นางถึง...ไม่คิดอยากจะมีรักเลยสักครั้ง

ซูหนิงเหลือบมองบางสิ่งที่โดดเด่นจากพื้นดิน สีชมพูเล็กที่สะดุดตานั่นช่างงดงามแม้มันจะเปื้อนเศษดินไปก็ตาม มือบางเอื้อมไปหยิบเจ้าดอกท้อดอกนั้นขึ้นมา ความสวยงามของมันช่างถูกใจซูหนิงเหลือเกินจนซูหนิงเผยรอยยิ้มออก เจ้าดอกท้อสีสวยในมือของนางตอนนี้ถูกนำขึ้นไปเหน็บไว้กับผมสีดำของนาง ก่อนจะพยุงร่างของหลิวเซียนเพื่อกลับเข้าไปช่วยงานอื่นๆ ต่อ หากอู้นานกว่านี้คงถูกพ่อบ้านถังลี่หยางตำหนิอย่างไม่สิ้นสุด มีหวังนางได้หูชาอีกแน่ๆ




 •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•




ซูหนิงเดินไปมาจนทั่วทั้งจวนด้วยใบหน้าเป็นสุข นางพยายามให้ทุกคนได้เห็นดอกท้อสีสวยบนผมของนางว่ามันงดงามเมื่ออยู่กับนางเท่าไหร่ แต่ซูหนิงไม่รู้เลยว่า...ทุกสายตาที่มองนางนั้นล้วนแต่สงสัยว่านางกำลังทำอะไรอยู่แน่ มิใช่มองเพราะชื่นชมในความงดงามเลยแม้แต่น้อย ดอกท้อดอกเล็กๆ หรือจะสะกดสายตาผู้ใดได้กัน เป็นกิริยาอันแปลกประหลาดของนางต่างหากเล่าที่เรียกสายตาคนทุกผู้

เหวินฉายชะงักเท้าที่กำลังเดินเมื่อซูหนิงมายืนดักอยู่ตรงหน้าของตน เส้นผมสีดำโบกสะบัดตามแรงของนางที่โยกศีรษะไปมา เหวินฉายมองการกระทำของนางด้วยแววตาฉงน เกิดอะไรขึ้นกับสติหรือสมองของซูหนิงหรือเปล่านะ นั่นคือสิ่งที่เหวินฉายกำลังคิดอยู่ แต่ซูหนิงไม่ได้รู้ตัว ในใจนางกลับเบิกบานเมื่อคิดว่าเหวินฉายตกตะลึงกับความงดงามของนางและดอกท้อสีสวย

“พวกเจ้ามายืนทำอะไรกันตรงนี้?” เสียงของเฟยหลงทำให้เหวินฉายและซูหนิงต้องหันมามองก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้นดิน

“ข้าน้อยกำลังจะยกอาหารไปให้ขอรับนายน้อย”

“แล้วเจ้าล่ะ?” ซูหนิงสะดุ้งยามเมื่อถูกถาม นางจะตอบเช่นไรดี จะตอบว่านางมาอวดโฉมแก่ผู้คนในจวนหรือ นางคงถูกไล่ออกเป็นแน่หากตอบไปเช่นนั้น

“ข้าน้อย เพิ่งจะกลับมาจากกวาดสวนพฤกษาเสร็จเจ้าค่ะนายน้อย” ร่างสูงพยักหน้ารับกับคำตอบ

“เช่นนั้นมีอะไรทำก็ไปทำกันเถอะ...”

“เจ้าค่ะ/ขอรับ”

เหวินฉายรีบเดินไปที่ห้องของเฟยหลงเพื่อนำเอาอาหารที่ตนถือเอาไว้นั้นไปจัดเตรียมให้เรียบร้อย แต่ซูหนิงนั่นกลับยืนนิ่งไม่รู้จะไปทางทิศใดดี ความลนลานของนางทำให้ดอกท้อดอกเล็กๆ บนศีรษะร่วงลงมาตรงหน้าของเฟยหลง ดอกไม้สีชมพูอันคุ้นเคยทำให้เฟยหลงชะงักค้างไปทันที มือหนาค่อยๆ เอื้อมลงไปเก็บมันขึ้นมาอย่างเบามือราวกับกลัวเหลือเกินว่ามันจะแตกสลายหายไปในอากาศ

ดวงตาคมกร้าวขึ้นด้วยความดุดัน รังสีฆ่าฟันแทบจะแผ่กระจายออกมาอย่าห้ามไม่อยู่ หัวใจของเฟยหลงร้อยลุ่มดั่งมีไฟมาสุมเอาไว้ กล้าดียังไง! นางกล้าดียังไงมาเด็ดดอกท้อจากต้นของหยางเถา!! ตาคมประกายความโกรธเกรี้ยวตวัดมองซูหนิงจนนางสะดุ้ง สายตาหวาดหวั่นลดลงมองดอกไม้เล็กๆ ในมือของผู้เป็นนายก่อนจะเบิกกว้าง มือบางยื่นออกไปด้วยอาการสั่นระริก หวังจะขอคืนจากผู้เป็นนาย แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเฟยหลงจึงได้ดูโกรธเกรี้ยวนัก

“นายน้อย...ซูหนิงขอ เอ่อ ขอสิ่งนั้นคืนได้หรือไม่เจ้าคะ?” เสียงที่เอ่ยถามแผ่วเบาราวกับกระซิบแต่มันกลับดังในความรู้สึกของเฟยหลงจนเขาได้ยินมันทุกถ้อยคำ

“เจ้าได้สิ่งนี้มาได้อย่างไร! กล้าเด็ดดอกท้อในสวนของข้ารึ!!!” เสียงเข้มเอ่ยตวาดจนดังลั่น หัวใจดวงน้อยของซูหนิงหล่นวูบกับคำกล่าวโทษจากปากของเฟยหลง นางรีบนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของร่างสูง เสียงตอบของนางสั่นไปหมดด้วยความรู้สึกกลัว

“ปละ เปล่านะเจ้าคะนายน้อย ซูหนิงไม่เคยคิดจะเด็ดดอกไม้ใดๆ ในสวนของนายน้อยเลยนะเจ้าคะ!”

“หากไม่ใช่เจ้าเด็ดมันมา!! แล้วสิ่งนี้เล่าเจ้าจะอธิบายเช่นไร!!” เฟยหลงเกลียดคนโกหก เกลียดที่สุดคือคนที่ไม่ยอมรับผิดในสิ่ฃที่ตนเองทำ ความโกธาเดือดจนถึงขีดสุด แต่เช่นไรมือของเขาก็ยังคงประคองดอกไม้อันบอบบางนี้ไว้อย่างทะนุถนอม ยิ่งได้เห็นหัวใจของเฟยหลงยิ่งเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว เขาไม่ยอมให้ผู้ใดทำร้ายแม้แต่เสี้ยวใบของหยางเถาแน่

“ขะ ข้าน้อยเพียงหยิบขึ้นมาจากพื้นดินเท่านั้นเจ้าค่ะ ดอกท้อดอกนี้ร่วงลงมาจากต้น ข้าน้อยเห็นว่ามันงดงาม จะ จึงได้หยิบมันขึ้นมาเจ้าค่ะ” ใบหน้าของซูหนิงเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา นางกลัวเหลือเกิน นางไม่เคยเห็นนายน้อยของนางโกรธเกรี้ยวเช่นดั่งวันนี้มาก่อน เหตุใดกัน เพียงแค่ดอกท้อดอกเดียว ใยนายน้อยจึงได้โมโหนัก

“เอะอะเสียงดังอะไรหรือเฟยหลง แม่ได้ยินเสียงเจ้าดังไปทั่วทั้งจวน” เหม่ยหลินเดินมาเคียงข้างมองใบหน้าเรียบเฉยที่มีแววตาดุดันของลูกชายด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไรขอรับ”

“เอ๊ะนั่น! ...ดอกท้อใช่หรือไม่ งามนัก ขอแม่..”

ควับ!

เฟยหลงชักมือกลับทันทีที่มือบางของมารดาเอื้อมเข้ามาหาหวังแตะต้องดอกท้อบอบบางดอกนี้ แม้จะเป็นท่านแม่ของเขาก็ตาม เขาก็ไม่ปรารถนาให้ผู้ใดแตะต้องมันนอกจากเขา เฟยหลงหวาดหวั่นในแววตาเมื่อเวลาค่ำคืนที่มีกับหยางเถาก็ผ่านพ้นมาร่วมเดือน ไหนจะคำบอกเล่าจากซูหนิงที่ว่า...ดอกท้อร่วงหล่นลงจากต้นเอง

“เฟยหลง...”

“ขออภัยขอรับท่านแม่ แต่ลูกให้ไม่ได้จริงๆ”

เฟยหลงไม่คิดจะตอบสิ่งใดให้มากความกว่านี้เพียงคำพูดสั้นๆ ที่บ่งบอกว่าว่าไม่ให้แม้จะบอกว่าให้ไม่ได้ แต่สุดท้ายความหมายมันก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิมเลยสักนิด เหม่ยหลินมองตามหลังบุตรชายด้วยแววตาไม่เข้าใจกับการแสดงออกเช่นนั้น ในแววตาที่มองมาที่นางเมื่อยามบอกว่าให้ไม่ได้นั้น เหตุใดมันจึงได้เต็มไปด้วยความรู้สึกหดหู่และเจ็บปวดกันเล่า เพียงดอกท้อดอกเล็กๆ ดอกเดียว มีค่าอะไรมากมายเช่นนั้น ถึงได้ทำให้ลูกชายของนางเศร้าสร้อยและหวงแหนราวกับมันมีค่านับหมื่นตำลึงกัน

ซุหนิงมองดอกท้อที่ถูกยึดไปตาละห้อย นางเป็นผู้เก็บมันขึ้นมาแท้ๆ เป็นคนปัดเอาเศษดินที่ติดอยู่ออกแต่กลับโดนดุราวกับขโมยสิ่งล้ำค่ามาจากนายน้อย ดอกไม้ในสวนสำคัญเช่นนี้เชียวหรือ ทุกดอกหรือไม่นะ มันทำให้นางอดคิดไม่ได้ว่า มีเพียงดอกท้อหรือไม่ ที่ทำให้นายน้อยมิพอใจ หากนางเก็บดอกไม้ดอกอื่นมา ดั่งเช่นดอกโบตั๋นนายน้อยจะโกรธนางเช่นนี้หรือไม่นะ ซูหนิง เจ้านะเจ้า วันนี้เจ้าซวยเสียจริง!!

เฟยหลงเดินกลับเข้ามาในห้องตนเองด้วยหัวใจที่เจ็บปวด ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเครียดจนเหวินฉายต้องลอบมองด้วยความเป็นห่วง ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้สายตาก็จับจ้องแต่ดอกท้อในมือราวกับต้องการจะหาคำตอบบางอย่างในนั้น เสียงถอนหายใจดังออกมาเป็นระยะๆ จนในที่สุดเหวินฉายเองที่ทนต่อบรรยากาศอึดอัดนี่ไม่ไหว

“นายน้อย...ดอกท้อนั่น มีอะไรผิดปกติหรือขอรับ?”

“ไม่...ดอกท้อของข้า มิได้มีสิ่งใดผิดปกติเลยสักนิด” มันยังคงสวยงามเช่นเดียวกับเมื่อครั้งยังอยู่บนกิ่ง หากสิ่งที่เขาคาใจคือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า เรื่องที่ทำให้หยางเถาของเขาเป็นทุกข์ หรือหยางเถาของเขานั้นจะรู้สึกไม่ดี

“เช่นนั้น...ทำไมนายน้อยจึงเอาแต่จดจ้องราวกับมันมีสิ่งผิดปกติล่ะขอรับ?”

“เพราะข้าก็ไม่รู้ว่า...เหตุใดดอกท้อจึงร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน” เหวินฉายยิ้มบางเบาให้ผู้เป็นนายแม้สายตาของเฟยหลงจะมิได้จับจ้องมาก็ตาม

“เรื่องนั้น...มิใช่เพราะถึงเวลาหรอกหรือขอรับนายน้อย” เฟยหลงชะงัก หันไปมองเหวินฉายด้วยแววตาสับสน ถึงเวลาเช่นนั้นหรือ

“ถึงเวลา...” เสียงทุ้มเอ่ยราวกับละเมอ หัวใจของเฟยหลงกระตุกจนน่ากลัว

“ขอรับ ทุกสิ่งมีเวลาของมันเสมอ เหล่าสัตว์และพืชพันธุ์ย่อมรู้สึกมากกว่ามนุษย์ และเมื่อเวลานั้นมาถึง มันก็เพียง...ร่วงโรย”

ร่วงโรยตามกาลเวลา ใช่ว่าเขาจะมิรู้ กฎเกณฑ์ของสวรรค์เมื่อมีเกิดย่อมมีดับ แต่หากวันใดเขาตื่นมาแล้วพบว่า...มิมีหยางเถาให้ได้พานพบหน้าอีกต่อไป เช่นนั้นเขาหรือจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ดอกท้อบอบบางดอกนี้เพียงร่วงหล่นตามกาลเวลาแต่ใจเขากลับร้อนรุ่มราวกับกำลังจะสูญเสียหยางเถาไปแบบไม่มีวันได้คืน แค่เพียงเห็นดอกท้อร่วงหล่นเขายังทนไม่ได้ หากวันที่หยางเถาต้องสูญสลายมาถึง เขาจะทนได้หรือ

สีหน้ารวดร้าวยังคงฉายชัดบนใบหน้าของเฟยหลงที่แม้แต่เหวินฉายเองยังไม่เข้าใจสักนิด เมื่อนายน้อยเองก็รู้ดีว่ามิมีสิ่งใดยั่งยืนค้ำฟ้า เหตุใดยังคงเศร้าสร้อยเพียงแค่ดอกไม้ดอกน้อยร่วงหล่นลงมา หรือเพราะมันคือดอกท้อจากต้นไม้ต้นนั้น ต้นที่นายน้อยของเขาชอบออกไปชมมันหนักนา สุดท้ายเมื่อดอกไม้ร่วงโรยย่อมต้องมีผลเกิดต่อ มิใช่ว่าร่วงแล้วตายเสียเมื่อใด เขาไม่เข้าใจนายน้อยสักนิด





 •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 7. up.20/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 20-11-2018 16:30:05
เพ่ยเยว่เผิงเดินออกมาเพื่อพบหน้ามารดาตามคำเรียกที่ฝากไปกับสาวใช้ นางอยากจะรู้เหลือเกินว่าท่านแม่ของนางจะพูดคุยในเรื่องใด เมื่อตอนเช้าของวันนี้นางเองก็ยอมรับว่าทำตัวมิสมเป็นบุตรสาวของตระกูลขุนนางนักที่ออกไปหาชายหนุ่มถึงจวน แต่เช่นไรเล่าเมื่ออีกฝ่ายเองก็บ่งบอกในทีท่าชอบชื่นชอบและมีใจให้นางเช่นกัน เช่นไรนางเองก็จะต้องได้แต่งกับพี่เฟยหลงอย่างแน่นอน เมื่อท่านป้าเหม่ยหลินเอ็นดูนางและพึงใจในตัวนางอยู่มากกว่าหญิงผู้ใด

สกุลเพ่ยมิต้องง้องอนให้ชายใดมาสู่ขอ ในทุกวันนี้ชายหนุ่มในเมืองซิ่นจือเองก็เพียรพยายามมาจีบนางมากมายแต่นางหรือก็มิได้มองผู้ใด แต่พี่เฟยหลงมิเหมือนผู้อื่น เขาไม่ได้หยอดนางด้วยคำหวาน มิได้เอ่ยวาจาให้ใจนางเต้นแรง แต่เพียงนางได้ใกล้ชิด ได้สบตาคมคู่นั้น หัวใจของนางก็เต้นไม่เป็นจังหวะ แม้พี่เฟยหลงมิได้เอ่ยปากว่าชอบ แต่นางดูจากการแสดงออกของเขาก็รู้ คนมิมีใจหรือจะชวนไปชมสวนที่จวน คนมิมีใจหรือจะต้อนรับขับสู้นางอย่างดี คนมิมีใจหรือจะเอ่ยถามคำถามเช่นดั่งวันนั้นได้ คำถามที่ทำให้สตรีอย่างนางต้องเขินอาย

“ท่านแม่...เรียกพบข้าหรือเจ้าคะ” เพ่ยหลิงมองใบหน้าของบุตรสาวแสนสวยด้วยแววตาอ่อนแสง หากมีใครเล่าลือไปเกียรติยศและชื่อเสียงของตระกูลไม่ด่างพร้อยไปด้วยหรือ

“นั่งสิแม่มีเรื่องจะคุยกับเจ้า” เยว่เผิงนั่งลงข้างมารดา มองใบหน้าเรียบตึงของมารดาด้วยความสงสัย

“เกิดอะไรขึ้นหรือท่านแม่”

“เช้านี้...เจ้าไปที่ใดมา?” เยว่เผิงที่ถูกถามตรงๆ ถึงกับชะงัก เรื่องนี้ มีมิกี่คนหรอกที่ล่วงรู้ หากไม่มีผู้ใดปากพล่อยไปมีหรือท่านแม่ของนางจะรู้ได้ สายตาของเยว่เผิงเต็มไปด้วยความไม่พอใจแต่นางกลับใช้รอยยิ้มเก็บซ่อนความโกรธนั่นไว้จนมิดชิด

“ที่ใดหรือเจ้าคะ?”

“เจ้า...เป็นสตรีนะเยว่เผิง! เป็นบุตรีของตระกูลเพ่ย! เหตุใดเจ้ากระทำตนเช่นนี้!!” เสียงของเพ่ยหลิงดังจนแทบจะเรียกว่าตะคอกแต่เยว่เผิงกลับไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิด ใบหน้าของนางเชิดขึ้นท้าทายอย่างไม่เกรงต่อผู้ใด

“ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิด ไม่ว่าอย่างไรข้ากับพี่เฟยหลงก็ย่อมต้องได้แต่งงานกัน ท่านแม่เองก็อยากให้ข้าแต่งกับเขามิใช่หรือเจ้าคะ”

“เยว่เผิงนี่เจ้า!!”

“เขาชวนข้าไปชมสวนในจวนของเขาเพราะเขาชมชอบในตัวของข้า เขายินดีต้อนรับข้าด้วยตนเองก็เป็นเพราะเขามีใจให้ข้า แล้วท่านแม่คิดว่าสิ่งใดที่ไม่เหมาะสมเจ้าคะ? ในเมื่อข้าเพียงไปหาคนที่กำลังจะได้แต่งงานด้วย” เพ่นหลิงมองบุตรสาวอย่างแทบจะไม่เชื่อสายตา ลูกสาวคนสวยที่นางเพียรพร่ำสอนทุกสิ่ง เหตุใดกันจึงได้กลับกลายเป็นหญิงที่มิเกรงต่อสายตา มิสนใจว่าใครจะพูดเช่นไร เหตุใดจึงกลายเป็นหญิงที่มั่นใจในความคิดตนเองเช่นนี้ นางเลี้ยงลูกผิดที่ใดกัน เพ่ยหลิงได้แต่นึกเสียใจ

“หากเขามิได้ชมชอบเจ้าเล่าเยว่เผิง หากมันเป็นดั่งแม่ว่าเจ้าจะทำเช่นไร?” น้ำเสียงแหบแห้งของมารดาเอ่ยถามออกมาอย่างเลื่อนลอย

“มิวันนั้นเจ้าค่ะ เช่นไรเขาก็จะต้องชมชอบข้าเป็นแน่ ข้ามั่นใจ”

เยว่เผิงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินจากไป ทิ้งให้เพ่ยหลิงได้แต่นั่งเศร้าใจอยู่เพียงผู้เดียว นางไม่เคยคิดเลยว่าลูกสาวที่แสนเรียบร้อยขอฃนางจะเป็นเช่นนี้ไปได้ เหล่าบรรพชนจะต้องตำหนินางเป็นแน่ถึงการเลี้ยงดูและสั่งสอนบุตรสาว นางไม่อยากคิดเลยหากวันหนึ่งลู่เฟยหลงบอกเยว่เผิงว่ามิได้มีใจจะเกิดสิ่งใดขึ้น หากเกิดเรื่องเล่าลือออกไปสกุลเพ่ยจะเป็นเช่นไร นางไม่อยากจะคิดสักนิด

เยว่เผิงกำหมัดแน่น ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงด้วยใบหน้าเกรี้ยวกราดเหล่าสาวใช้ต่างพากันหลบใบหน้าสวยที่แสดงออกถึงความโกรธแบบไม่ปิดบัง มิใช่มิรู้ว่าเหตุใดคุณหนูถึงได้โกรธเคืองมากเช่นนี้ แต่มิมีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมองต่างหาก เหล่าสาวใช้ในจวนตระกูลเพ่ยรู้ดีว่าอารมณ์ของคุณหนูร้ายขนาดไหน เพียงแค่มิพอใจสิ่งใดแม้จะแค่เล็กน้อย ก็มันจะถูกตบถูกตีอย่างทารุณ

“พวกเจ้าคนใดที่เป็นคนไปพูดให้ท่านแม่ของข้าฟัง!!”

“ขะ ข้าน้อยเองเจ้าค่ะ ว๊าย!”

เส้นผมถูกจิกขึ้นด้วยมืออันบอบบางของเยว่เผิงจนใบหน้าแหงนเงยขึ้นมา ฝ่ามืออีกข้างถูกฟาดลงบนแก้มทั้งสองข้างอย่างเต็มแรงจนเกิดรอยไม่หยุดยั้ง เสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาตลอดพร้อมกับเสียงฝ่ามือที่สัมผัสกับผิวหน้า

“นี่แค่สั่งสอนเจ้าเท่านั้นไป๋อี้ หากเจ้ายังไม่หุบปากข้าจะไม่หยุดเพียงแค่ตบ” สาวใช้คนอื่นพยุงร่างของไป๋อี้ที่เอาแต่ร้องไห้ขึ้นมา แม้จะสงสารแต่พวกนางก็ทำอะไรไม่ได้

“จากนี้เจ้าไม่ต้องติดตามข้าอีกไป๋อี้ ข้าจะให้เซียนเอ้อมาติดตามข้าแทน!” เยว่เผิงกระแทกร่างลงบนเก้าอี้ไม่เบานัก อารมณ์คุกรุ่นไม่ได้หายไปเลยแม้แต่น้อยขนาดลงมือระบายเอากับสาวใช้แล้ว แต่นางกลับยิ่งโมโห ไยท่านแม่พูดจาเช่นนั้นกันนะ ไยท่านแม่จึงได้คิดว่าพี่เฟยหลงมิได้มีใจให้นางกัน! เป็นไปไม่ได้! มันเป็นไปไม่ได้!

เพล้ง!

“คุณหนู!” เหล่าสาวใช้ต่างเดินเข้ามาใกล้ด้วยความเป็นห่วงเมื่อคุณหนูของพวกนางกวาดเอาของบนโต๊ะทิ้งจนมันแตกกระจายเต็มพื้น พวกนางรีบพากันเก็บก่อนที่ฝ่าเท้าของคุณหนูจะถูกบาด หาไม่แล้วพวกนางคงไม่วายถูกไล่ออกเป็นแน่ ยิ่งงานในจวนของตระกูลเพ่ยจ่ายดีเช่นนี้คงมีผู้คนมากมายเฝ้ารอมาสมัครกันไม่น้อย ในเมื่อพวกนางได้โอกาสมาทำในจุดนี้แล้ว พวกนางก็ไม่คิดจะถูกไล่ออกไปหรอก

เพ่ยเยว่เผิงกำมือแน่น สายตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ หากพี่เฟยหลงไม่รักนางล่ะก็ นางจะอาละวาดให้คนทุกผู้ได้รู้ไปเลยว่าลู่เฟยหลงนั้น...เป็นชายเจ้าสำราญ แต่อย่างไรเสีย ท่านน้าเหม่ยหลินก็อยากได้นางเป็นสะใภ้ เพียงแค่นางต้องเอาอกเอาใจ คอยดูแลให้ท่านน้าได้เห็นว่านางนี่ล่ะที่คู่ควรกับพี่เฟยหลง นางก็จะได้แต่งงานเป็นดองกับตระกูลลู่แน่นอน หญิงผู้ใดก็มิงดงามได้เท่ากับนาง หญิงผู้ใดในเมืองซิ่นจือจะมีชาติตระกูลดีเท่านางอีก หากนางมิคู่ควรแล้วจะเป็นผู้ใด ในเมื่อ...เมืองซิ่นจือแห่งนี้นางคือหญิงงามอันดับหนึ่ง









•~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• 











เฟยหลงลอบมองหน้าหวานของหยางเถาที่แม้จะประดับด้วยรอยยิ้มแต่มันกลับดูกล้ำกลืนเสียจนเฟยหลงสังเกตได้ ในตอนนี้คนตัวเล็กนั่งอยู่ตรงข้ามเขากำลังกัดแป้งซาลาเปาสีขาวเข้าปาก แต่ไร้ซึ่งความรู้สึกที่หยางเถาจะแสดงมันออกมาว่าอร่อยเลย ปากเล็กๆ เคี้ยวอย่างละเมียดละไมกว่าทุกวัน ทำราวกับว่ากลืนมันไม่ลงจนต้องเคี้ยวต่อ

“ไม่อร่อยหรือ” เสียงทุ้มที่เอ่ยถามออกมาถามไถ่นั้นทำให้หยางเถาชะงัก ก้มลงไปกัดแป้งสีขาวอีกหลายครั้งจนเต็มปากก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้เฟยหลง

“อร่อยสิ อร่อยมากเลย”

แม้ปากจะพูดไปเช่นนั้นแต่ร่างกายกลับไม่ยอมรับอาหารเลยสักนิด ลำคอตีบตันจนยากที่จะกลืนสิ่งใดลงคอ ไหนจะน้ำตาที่พร้อมจะไหลออกมาเพียงได้เห็นหน้าอันหล่อเหลา เฟยหลงพบแล้วในรักแท้ที่ตามหาแล้วเขาเล่า จะยืนอยู่ตรงนี้ไปเพื่ออะไรอีก ยิ่งคิดความร้อนก็วิ่งขึ้นมากระจุกอยู่ที่หัวตาจนร้อนผ่าว หยางเถาต้องกะพริบตาถี่ๆ พยายามฝืนกลืนทุกสิ่งลงคอไปอย่างยากลำบาก

เฟยหลงรินน้ำชาใส่ถ้วยให้ร่างบางที่เพิ่งจะฝืนกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงคอไป เขาไม่ลังเลเลยที่จะรับมันมายกดื่มจนหมด อย่างน้อยมันก็พอที่จะทำให้อาการจุกอกได้หายไปบ้าง เฟยหลงพยายามสบตากับหยางเถา แต่เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมวันนี้หยางเถาถึงเอาแต่หลบตาของเขา ราวกับว่า...ไม่อยากจะมองอีกต่อไป

ดั่งเช่นทุกทีเขาควรจะเป็นฝ่ายออกไปรออยู่หน้าต้นท้อจนกว่าหยางเถาจะออกมา แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อเขาไปถึง หยางเถาก็ยืนรอเขาอยู่แล้ว เมื่อเขาทักก็ได้กลับมาเพียงแค่รอยยิ้มเจื่อนๆ กับใบหน้าหวานที่สะบัดไปมาว่าไม่มีอะไร เฟยหลงอดสงสัยไม่ได้เลยว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเจ้าดอกท้อน้อยของเขาหรือไม่

เพียงความสงสัยก็ทำให้มือหนาเอื้อมออกไปแตะที่หน้าผากมน อุณหภูมิร่างกายของหยางเถายังเป็นเช่นเดิม มีเพียงความเย็นเฉียบเท่านั้น เรือนร่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้ไม่ได้ต่างไปจากศพแต่เพียงแค่มันยังคงเดินได้ พูดได้ และกินได้ แต่เขาไม่เคยมองว่าหยางเถาคือคนตาย สำหรับเขาหยางเถาก็คือที่สุดของหัวใจ เป็นสิ่งที่ชีวิตของเขาขาดไม่ได้อีกแล้ว

“เจ้าทำอะไรหรือ?” มือบางปัดมือหนาออกอย่างแผ่วเบา มองสบตาของเฟยหลงอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำ

“ข้า...เพียงดูให้รู้ว่าเจ้าสบายดี”

“ข้าสบายดีอย่าได้ห่วงข้าเลย” อยากเอ่ยถามเหลือเกินว่านางผู้นั้นเป็นอะไรกับเฟยหลง แต่เขาก็กลัวคำตอบจนไม่กล้าที่จะเอ่ยคำใดออกไป สายตากลมสีอำพันทอดมองออกไปไกลจนสุดฟ้า แสงจันทราสีนวลสาดส่องดั่งเช่นทุกค่ำคืนที่เราต่างเป็นสุข จันทร์ควรคู่กับเฟยหลงยิ่งนัก เขาหรือจะกล้าเอาตัวเองเข้าไปเทียบ หากวันที่เฟยหลงได้มีงานแต่งงานแล้วเขายังอยู่ ยังไม่หมดเวลาไป เขาจะมาเอ่ยคำยินดีให้อย่างจริงใจ แม้ว่ามันจะทำลายให้หัวใจของเขาแหลกสลายไปก็ตาม

เฟยหลงมองตามสายตาของหยางเถา เขาอยากจะรู้ว่ามีสิ่งใดอยู่บนนั้นที่ทำให้เจ้าดอกท้อของเขาเศร้าหมองได้ขนาดนี้ แววตาหวานที่เคยเอียงอายและขวยเขินในตอนนี้ มีแต่ความโศกเศร้าราวกับผจญเรื่องร้ายแรงจนทำให้ปกปิดความเสียใจเอาไว้ไม่มิด ยิ่งเห็นแววตาโศกศัลย์ หัวใจของเฟยหลงก็เจ็บปวดราวกับมีใครมาเหยียบลงไป

“บนนั้นมีสิ่งใดหรือ เจ้าดอกท้อ?” สิ่งใดกันที่ทำให้เจ้าเศร้าโศกได้ขนาดนี้ หยางเถายังไม่ถอนสายตาจากฟากฟ้า ยังคงปล่อยให้ห้วงอารมณ์ล่องลอยออกไปตามสายลมและแสงดาว

“มีดวงจันทรา...เจ้าเห็นหรือไม่?” เฟยหลงแหงนหน้าขึ้นมองก่อนจะยิ้มออกมา

“เห็นสิ วันนี้คืนจันทร์เพ็ญ เต็มดวงเชียว” หยางเถาเหลือบมองเฟยหลงที่กำลังมองดวงจันทร์อยู่ด้วยแววตารวดร้าว แต่เพียงครู่เดียวมันก็หายไปเมื่อหยางเถาหันกลับไปสนใจดวงจันทร์เช่นเดิม

“เจ้าว่า...จันทร์นั้นงามหรือไม่?” เฟยหลงหัวเราะก่อนจะหันมามองใบหน้าหวานของหยางเถาด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

“ไม่มีสิ่งใดงามไปกว่าเจ้าอีกแล้ว เจ้าดอกท้อ” แววตาของหยางเถาวูบไหว แต่เพียงครู่เดียวก็ตระหนักได้ว่าเฟยหลงคงเย้าแหย่ตนเล่นเพียงเท่านั้น รอยยิ้มอ่อนใจจึงถูกส่งมาให้เฟยหลงแทน

“ตอบข้าจริงจังหน่อยสิ” เฟยหลงเลิกคิ้วที่อีกคนไม่รับอารมณ์รักของตนจึงหันขึ้นไปพิจารณาดวงจันทร์ให้เต็มตาแทน

“สวยสิ จันทร์ในคืนนี้สวยยิ่งนัก” เช่นนั้นหรือ หยางเถายิ้มรับเสียจนกว้าง จนเฟยหลงเองที่ต้องแปลกใจ

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว...ดวงจันทร์น่ะ สวยงามยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกนี้ หากวันใดเจ้าคว้าจันทรามาไว้ได้ อย่าปล่อยให้มันหลุดลอยไป” แม้จะไม่เข้าใจในความหมายของอีกคน แต่เฟยหลงก็ไม่เคยคิดจะปฏิเสธในสิ่งที่เจ้าดอกท้อพูดออกมา

“อืม...ข้าจะไม่ปล่อยมือ”

เฟยหลงยังคงยิ้มกริ่มกับคำถามนั้น ตั้งกี่ค่ำคืนแล้วหนอที่มิได้มาชมความงดงามของจันทราพร้อมกับหยางเถา ไม่รู้สิ่งใดดลใจให้เจ้าดอกท้อน้อยของเขาสนใจในความงดงามของจันทราทั้งๆ ที่ก่อนหน้าเพียงสนใจแต่รับเอาแสงแห่งจันทร์ หัวใจของเฟยหลงพองโตการได้ยลความงามของธรรมชาติพร้อมกับคนที่รักช่างดีเหลือเกิน จะดีแค่ไหนหากเขาได้ชมจันทร์กับหยางเถาทุกๆ ค่ำคืนไป

หัวใจบีบรัดเสียจนร้าวรานแต่ความอดทนของหยางเถายังมีอย่างเหลือล้น แม้ในใจจะร่ำไห้เสียจนน้ำตาใกล้จะท่วมแต่ใบหน้าของเขาจะต้องคงรอยยิ้มเอาไว้ให้ได้นานที่สุด ดีแล้วที่เจ้าไม่คิดจะปล่อยมือ เฟยหลง จันทรานั้นเหมาะกับเจ้า หัวใจดวงเล็กๆ เกิดเป็นรอยร้าวแต่ไม่มีใครไหนเลยจะล่วงรู้เมื่อเจ้าตัวยังคงปกปิดความเสียหายนั้นไว้ด้วยรอยยิ้มหวาน หากดอกท้อคือเขา เช่นนั้น...ก็รอเพียงเวลาให้ร่วงโรย

เสียงใจเต้นดังระรัวยามได้มองใบหน้าของชายในดวงใจ หยางเถาไม่เคยคิดเสียดายสักนิดหากว่าอีกไม่นานเขาจะต้องสลายไป เขายินดีที่ได้ใช้เวลาอยู่เคียงข้างกับชายผู้นี้ ไม่ว่าจะมีเวลาอีกนานเท่าไหร่ ไม่ว่าจะสามารถย้อนเวลากลับไปได้อีกกี่หน เขาก็ยังคงเลือกจะทำเช่นเดิม เพื่อจะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ต่อให้ในวันข้างหน้าจะไม่ใช่เขาอีกแล้วก็ตามที่ยืนอยู่เคียงข้างเฟยหลง หากเธอผู้นั้นมายืนอยู่เคียงคู่กับเฟยหลง...มันคงเป็นภาพที่น่าประทับใจ

ชายรูปงามกับหญิงรูปงามเป็นสิ่งที่สวรรค์สรรค์สร้างมาให้อยู่คู่กัน ในภายภาคหน้าจะต้องมีเฟยหลงน้อยๆ และเด็กหญิงตัวเล็กๆ วิ่งวุ่นอยู่เต็มจวนแห่งนี้เป็นแน่ แม้ในยามนั้นจะไม่มีเขาอยู่ แม้ในเวลานั้นเขาจะมิได้เห็น ก็ไม่เป็นไร หากมันคือรอยยิ้มของเฟยหลงไม่ว่าสิ่งใด เขาก็พร้อมจะยิ้มให้เช่นกัน

“คืนนี้เจ้าอยากทำอะไรรึไม่?” หยางเถายิ้ม เขาเพียงแค่ยิ้มก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและสั่นเครือ

“ข้าอยากนั่งมองเจ้าจวบจนเช้าได้รึไม่” เฟยหลงยิ้มเอ็นดูในความน่ารักของหยางเถา ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ยังคงสั่นหัวใจของเขาได้เสมอเลยนะ

“ถ้าเช่นนั้นก็มองเถอะ...หากมองแล้วไม่พอข้าจะให้เจ้ายืมใบหน้าข้ากลับไปในต้นท้อด้วยดีรึไม่” มือบางลูบแก้มตอบของเฟยหลงเบาๆ มือเล็กๆ สั่นตามแรงอารมณ์ที่สะกดกลั้นเอาไว้ เฟยหลงไม่มีวันได้ล่วงรู้ ไม่ควรรู้ถึงความเจ็บปวดนี้ ใบหน้านี้ ตาคู่นี้ รอยยิ้มของคนๆ นี้ ควรเป็นเช่นนี้แหละดีแล้ว ไม่ควรเลยที่จะต้องมากังวลในเรื่องของเขา

“หากเจ้าอนุญาต...ข้าจะมองเจ้าจนกว่าเจ้าจะไม่มองข้าอีก” มือหนาของเฟยหลงกุมฝ่ามือเล็กๆ เอาไว้ ทอดตาสายมองหยางเถาด้วยความรักใคร่เต็มประดา

“ข้าหรือจะไม่อนุญาต...จะมองข้าเนิ่นนานสักเท่าใดก็สุดแต่เจ้าจะปรารถนาเถอะ ไม่ว่ามันจะเนิ่นนานเท่าใด...ข้าก็จะให้เจ้ามอง”



 ใจเอ๋ยใจข้า

ปวดร้าวราวอุราจะสูญสิ้น

เสียงร่ำไห้ป่าวร้องให้ได้ยิน

แหลกสลายไร้สิ้นแม้เสี้ยวใจ

เจ็บรวดร้าวยามได้ฟังซึ่งคำหวาน

เพียงนิทานที่เขาเล่าให้หลงใหล

แท้จริงนั้นข้ามิใช่คู่เคียงใจ

เป็นเพียงลมพัดไหวไร้ตัวตน
[/i]






 TBC











หอมเอย~ หอมกลิ่น มาม่า โอ๊ยยย ปวดใจแทนน้องเหลือเกิน เฟยหลง ไอ้คนใจร้าย!!


Facebook > https://m.facebook.com/PassionateFictionMaewMarum
Twitter > https://mobile.twitter.com/little_kittensY

หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 8. up.20/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 20-11-2018 16:36:20
[8]

เมื่อลองมาคิดๆ ทบทวนดูอีกครั้งมันแปลกจริงๆ ที่หยางเถาคุยกับเขาในเรื่องนั้น ทำไมเมื่อคืนนี้เขาถึงไม่สังเกตกันนะ ย่ำรุ่งหยางเถาก็กลับไปแล้ว ในช่วงเวลานี้ที่อาทิตย์สาดแสงก็เหลือเพียงเขาที่เฝ้าย้ำคิดถึงการสนทนาเมื่อคืน อะไรทำให้หยางเถาแปลกไป อะไรที่ทำให้ยอดดวงใจของเขาเศร้าหมอง สิ่งใดที่ตะขิดตะขวงใจต่อเจ้าดอกท้อน้อยๆ กัน เฟยหลงไม่สามารถหาคำตอบได้ และเชื่อว่าแม้จะเอ่ยถามออกไปก็คงมิได้มาซึ่งคำตอบ

เป็นเช่นนั้นเสมอมา หยางเถาไม่เคยพูดความรู้สึกใดๆ เขาใส่ใจอีกคนน้อยไปสินะถึงได้กำลังรู้สึกเช่นนี้ บุปผาแม้จะงามแต่ก็บอบบางเช่นกัน หากเขาใส่ใจเจ้าดอกถน้อยให้มากกว่านี้ เขาคงเข้าใจในความรู้สึกของหยางเถา เฟยหลงรู้สึกท้อแท้ ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความหมองเศร้ามองทอดตรงไปยังต้นท้อต้นใหญ่ อยากเอ่ยถาม อยากพูดคุย อยากรู้ว่าร่างเล็กคิดสิ่งใด เขาไม่ปรารถนาจะเห็นใบหน้าอันหมองเศร้าลืมแม้แต่แววตาสับสนวุ่นวายแต่หากเป็นไปได้เค้าหวังเพียงอยากให้หยางเถามีความสุข

ฝนตกจนชุ่มเปียกไปทั่วพื้นดิน หยาดน้ำไหลรินจากฟากฟ้าลงสู่พื้น สายลมพัดไหวนำพาใบไม้เอนไหวไปตามแรง สุ้มเสียงหรือก็ราวกับมีผู้ใดกำลังกรีดร้องด้วยความปวดร้าว ความเจ็บปวดของร่างเล็กภายในต้นท้อหรือสวรรค์จะรับรู้ได้กันนะ หัวใจที่บีบรัดทุกครั้งยามได้เฝ้ามองเขาหรือสวรรค์จะเข้าใจ หยาดน้ำใสไหลรินลงตามผิวแก้ม ร่างทั้งร่างสะอื้นอยู่เงียบๆ ลำพัง ไร้ผู้ใดรับรู้ ไร้ผู้ใดจะเห็นใจ ทำได้เพียงกอดตนเองเอาไว้ให้แน่นอย่างเดียวดาย

ความรักช่างปวดร้าวเสียเหลือเกิน แรกนั้นช่างงดงามเช่นดั่งดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ แต่ทว่า...ยามนี้ช่างหนาวเหน็บราวกับฤดูเหมันต์

เฟยหลงถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกอึดอัดในหัวใจ เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรในเรื่องนี้ดี ระหว่างที่เฟยหลงใช้ความคิดอยู่นั้นเหม่ยหลินก็เข้ามา นางยืนมองบุตรชายของตน ทอดมองไปตามสายตาของเฟยหลง ช่วงนี้...นางรู้สึกว่าลูกชายของนางมีท่าทีที่แปลกไป ยิ่งตอนนี้อาการของเฟยหลงยิ่งน่าเป็นห่วง แววตาของเขาดูเศร้าสร้อยมากนางไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นนางใคร่อยากจะรู้แต่หากถามไปจะเป็นการยิ่งทำให้เฟยหลงยิ่งเจ็บหรือไม่

“เจ้าเป็นอะไรหรือ? ลูกรัก ใยใบหน้าของเจ้าจึงเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเช่นนี้” เฟยหลงไม่ได้หันกลับมาแต่อย่างใดเขากลับยังทอดมองออกไปยังต้นท้อ เหม่ยหลินอดสงสัยไม่ได้เหตุใดลูกชายของนางจึงได้มองต้นท้อต้นใหญ่แล้วเศร้าโศกเช่นนี้ ต้นท้อต้นนั้นมีสิ่งใดสำคัญกันนะ

“เฟยหลง...หากมีสิ่งใดทำให้เจ้าหมองเศร้าบอกแม่เถอะลูกแม่ทุกข์ใจเหลือเกิน” เฟยหลงเพียงหันมาแล้วยิ้มบางๆ ให้ผู้เป็นมารดาเท่านั้นก่อนจะหันกลับไปมองหยาดฝนที่กระหน่ำลงมา

“อย่าห่วงไปเลยท่านแม่ข้ามิได้เป็นอะไรหรอกขอรับ”

“หรือเจ้ากำลังคิดถึงเยว่เผิงกัน...” นางเอ่ยถามออกไปด้วยความหวังก่อนหน้านี้นางจำได้ว่าเยว่เผิงมาเยี่ยมเยียนเฟยหลงที่บ้านแม้ว่านางจะไม่ถูกใจต่อการกระทำของเยว่เผิงก็ตาม แต่หลายๆ อย่างก็สามารถทดแทนกันได้

“เหตุใดท่านแม่จึงคิดว่าข้าคิดถึงเยว่เผิงล่ะขอรับ”

“แม่หรือจะรู้ใจเจ้า ไม่แน่หรอกว่าบางทีเจ้าอาจจะพึงใจต่อนาง” เฟยหลงได้แต่ส่ายหน้าไปมา

“เป็นไปไม่ได้หรอกท่านแม่ ข้าไม่ได้คิดสิ่งใดกับเยว่เผิงนอกจากคำว่าน้องสาว” เหม่ยหลินเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้นางมิได้คิดไปเองเป็นแน่ว่าบุตรชายนางสนใจในตัวของเยว่เผิง

“อย่าพึ่งพูดเลยตอนนี้เจ้าอาจจะเสียใจทีหลัง มิกลัวหรือว่าหากนางมาได้ยินจะเสียใจเพียงใด” เฟยหลงไม่เข้าใจเหตุใดเยว่เผิงจะต้องเสียใจกัน ในเมื่อตนมิได้เป็นอะไรกับเยว่เผิงสักนิด แต่เฟยหลงก็เลือกที่จะไม่พูดสิ่งใดอีก การเงียบไปของเฟยหลงทำให้นางเบาใจ แบบนี้แสดงว่าเฟยหลงเองก็มีใจให้เยว่เผิงไม่น้อย หรือที่เฟยหลงพูดออกมาเช่นนั้นจะเป็รเพราะหยางเถา ต้องใช่แน่ๆ ต้องเป็นเพราะหยางเถาแน่ๆ ไม่ได้ นางจะต้องทำอะไรสักอย่าง!

“เหวินฉาย! ไปแจ้งแก่จวนสกุลเพ่ยว่าคืนนี้ ข้าขอเชิญคุณหนูเพ่ยเยว่เผิงมาร่วมทานอาหารเย็น!”

“อะ เอ่อ...” เหวินฉายเหลือบตามองผู้เป็นนายด้วยต้องการจะถามความคิดเห็น หากแต่เฟยหลงกลับจดจ่ออยู่กับห้วงความคิดจนมิได้สนใจรอบข้าง

“เอ้า! รีบไปเสียสิ!”

“ขะ ขอรับฮูหยิน!”

เหวินฉายเดินออกมาจากห้องทันที ใบหัวของเหวินฉายเอาแต่คิดถึงใบหน้าสวยของสหายนายน้อย เส้นผมสีเงินกับดวงตาสีอำพันช่างเป็นที่ตราตรึงใจได้อย่างดี หากแต่ว่า...ท่าทีของนายน้อยที่มีต่อสหายคนเมื่อคืนที่เขาเห็น มันเกินคำว่าสหายไปมากโข แววตาที่นายน้อยของเขาใช้มองสหายผู้นั้น เหมือนดั่งแววตาที่ใช้มองคนรัก แล้วเหตุใด เหตุใดนายน้อยจึงมิท้วงติงกันนะ มิรู้หรอกหรือว่าในยามนี้ฮูหยินกำลังทำการจับคู่ให้อยู่

เหวินฉายลอบถอนหายใจ สงสารสหายผู้มีดวงตาแสนเศร้าอย่างสุดใจ แต่เขามิอาจจะทำสิ่งใดได้นอกจากทำตามคำสั่ง และในยามนี้คำสั่งของเขาคือเรียนเชิญคุณหนูเยว่เผิงมาร่วมทานอาหารเย็น เช่นนั้น...หรือว่าจะให้คุณหนูเพ่ยพบกับคุณชายผู้เป็นสหายของนายน้อยกันนะ! โหดร้าย...ฮูหยินโหดร้ายเกินไปแล้ว ริมฝีปากของเหวินฉายเม้มเข้าจนเจ็บ ความรู้สึกยามคิดถึงช่วงเวลานั้นที่อีกคนจะต้องพบเจอ มันก็บีบหัวใจของเหวินฉายเสียจนอยากจะร่ำไห้จนตายไปเสีย มิมีสิ่งใดเจ็บกว่าการเห็นคนที่รักอยู่กับหญิงอื่น

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.



เหวินฉายเดินมาหยุดอยู่หน้าจวนของสกุลเพ่ย เขาไม่คิดอยากจะเข้าไปเลยแม้แต่น้อย ไม่คิดอยากจะไปแจ้งข้อความที่ฮูหยินสั่งมาเลย แต่เขาเป็นเพียงเด็กรับใช้ข้างกายของนายน้อยเฟยหลง เขาหรือจะทำอะไรได้มากกว่าการทำตามคำสั่ง เขาสูดหายใจลึกๆ สงบจิตใจที่เริ่มฟุ้งซ่านให้สงบลง

เหวินฉายเคาะประตูใหญ่ด้วยหัวใจที่แห้งเหี่ยว ไม่นานนักประตูที่ปิดก็เปิดออกด้วยชายชราซึ่งน่าจะเป็นพ่อบ้านของสกุลเพ่ย ชายชรามองเหวินฉายด้วยความสงสัยก่อนเสียงแหบแห้งของเขาจะเอ่ยถามขึ้นมา

“เจ้ามาหาใครหรือ เจ้าหนุ่ม?”

“ข้านำข้อความจากฮูหยินลู่มาบอกกล่าวแก่คุณหนูเพ่ยขอรับ” พอได้ยินคำว่าฮูหยินลู่จากปากของร่างเล็ก ชายชราก็รีบเปิดประตูออกและเชิญให้เหวินฉายเข้าไป พ่อบ้านคนนั้นนำเหวินฉายเข้าไปด้านในจวนที่มีฮูหยินเพ่ยและคุณหนูเพ่ยกำลังดูเครื่องประดับกันอยู่

เหวินฉายเหลือบมองคุณหนูผู้นั้นเพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะหลุบสายตาลงเช่นเดิมมิให้อีกฝ่ายได้รู้ตัว คุณหนูผู้นี้น่ะหรือที่ฮูหยินจะให้มาเป็นนายหญิงอีกคนหนึ่งของพวกเขา คุณหนูเพ่ยแม้จะมีใบหน้าที่งดงามดุจเทพธิดาแต่แววตาของนางกลับดูเย่อหยิ่งไร้ซึ่งความอ่อนหวานสักนิด ราวกับหญิงสาวสูงศักดิ์ที่ถือตัวเป็นใหญ่และเหยียดหยามคนเบื้องล่าง

เยว่เผิงปรายตามองเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาใหม่ด้วยความรังเกียจ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนสกปรกเสียจนนางรู้สึกเหม็น ใบหน้างดงามเหยเกผ้าเช็ดหน้าสีหวานถูกยกขึ้นมาปิดจมูกตนเองไว้เพื่อมิให้กลิ่นจากกายของเหวินฉายลอยเข้ามา พ่อบ้านสกุลเพ่ยค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อมพร้อมเอ่ยขึ้น

“เรียนฮูหยิน ชายผู้นี้กล่าวว่าได้นำข้อความจากฮูหยินลู่มาบอกกล่าวแก่คุณหนูขอรับ” เพ่ยเยว่เผิงชะงัก ลดมือที่เคยปิดจมูกตนลงทันที แววตาของนางมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างอ่อนโยนราวกับคนละคนกับก่อนหน้านี้ เหวินฉายเกลียดชังต่อกิริยาของนางนักแต่เขาก็ต้องเก็บอาการเอาไว้เพราะรู้ดีว่าตนเองเป็นเพียงเด็กรับใช้เท่านั้น

“เรียนคุณหนูเพ่ย...ฮูหยินลู่เรียนเชิญท่านไปร่วมรับประทานอาหารเย็นขอรับ” แววตาของเยว่เผิงวาววับ รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างเสียจนไม่สมควรจะเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่เลยแม้แต่น้อย

“วันนี้หรือ?”

“ขอรับ วันนี้ขอรับ” ในใจของเยว่เผิงลิงโลด ความผยองของนางยิ่งมากขึ้นเมื่อรับรู้ได้ว่าไม่นานตนคงได้กลายเป็นภรรยาของเฟยหลงเป็นแน่ นางหันไปมองมารดาตนเองพร้อมกับเชิดหน้าขึ้น มั่นใจเสียเหลือเกินว่าครานี้นางเข้าใจมิผิด คำดุด่าที่จางเยว่หลิงว่ากล่าวต่อนางนั้นวันนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่านางมิได้เป็นคนผิด นางมิได้ทำตัวไม่ดีแต่อย่างใด

“ขอบใจมาก ฝากบอกท่านป้าด้วยว่าข้าจะไปแน่นอน” เหวินฉายค้อมศีรษะลงต่ำอย่างรู้งาน

“ขอรับคุณหนูเพ่ย เช่นนั้น...ข้าน้อยขอตัวก่อนนะขอรับ”

“ไปเถอะ ท่านลุงอี้มอบเงินให้แก่เขาด้วยล่ะ”

“ขอรับคุณหนู พ่อหนุ่มเชิญทางนี้” เหวินฉายไม่อยากจะได้เงินใดๆ จากคุณหนูผู้นี้เลย แต่เขารู้ดีว่าหากไม่ปฏิเสธจะเป็นประโยชน์กว่า อย่างไรเสียก็ยังไม่รู้ว่านางจะมาเป็นฮูหยินของนายน้อยเฟยหลงหรือไม่ อย่างไรเขาก็ต้องอยู่ให้เป็น มิเช่นนั้นคงไร้ซึ่งที่ให้พึ่งพา

“เหวินฉายขอบคุณคุณหนูมากขอรับ เหวินฉายขอลา”

ทันทีที่เด็กรับใช้จากสกุลลู่ลับตาไป เยว่เผิงก็กลับมาเป็นคนเดิม ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความถือดี แววตายิ่งสะท้อนความหยิ่งผยองไม่เว้นแม้แต่กับผู้เป็นมารดา เพ่ย้ยว่หลิงใจไม่ดี แม้ว่าเหม่ยหลินจะเป็นดั่งเพื่อนของนาง แต่นางก็รู้ใจของเหม่ยหลินดีว่าหากบุตรชายของเหม่ยหลินมิมีใจจะแต่งงานกับเยว่เผิง เหม่ยหลินเองก็คงไม่บังคับใจลูกเป็นแน่ นางได้แต่เฝ้าภาวนาขอให้เรื่องเช่นนั้นไม่เกิดขึ้นเท่านั้น ถึงอย่างไรนางก็ไม่อยากให้ลูกสาวของนางต้องมานั่งเสียใจ

“เห็นรึยังเจ้าคะ...เช่นไรข้าก็ต้องได้เป็นสะใภ้สกุลลู่อยู่ดี มิทันไรท่านป้าก็ให้คนมาชวนข้าไปร่วมทานอาหารเย็นเสียแล้ว เช่นนี้...ท่านแม่คงมิต้องห่วงอะไรอีก อีกไม่นานข้ากับพี่เฟยหลงก็ต้องกลายเป็นของกันและกัน” จางเยว่หลิงเบิกตากว้าง มองใบหน้าของบุตรสาวด้วยความตกใจ

“เจ้ากล่าวสิ่งใดออกมา เยว่เผิง! แม่มิเคยสั่งสอนให้เจ้ากล่าววาจาเช่นนี้!” น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวตวาดลั่น แต่หาได้ทำให้เยว่เผิงกลัวไม่ นางยังคงเชิดหน้าขึ้นด้วยความมั่นใจว่าสิ่งที่นางพูดไปมิได้ผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย

“เช่นไรล่ะเจ้าคะ ในเมื่อข้าพูดความจริง ท่านป้าพึงใจหวังให้ข้าเป็นสะใภ้สกุลลู่ พี่เฟยหลงเองก็พึงใจปรารถนาในตัวข้า แล้วข้ากล่าวสิ่งใดผิดกันล่ะเจ้าคะท่านแม่”

“เยว่เผิง! นี่เจ้า!”

จางเยว่หลิงกัดฟันกำมือแน่นด้วยความโกรธนางคงจะตามใจเยว่เผิงมากเกินไปสินะ ถึงได้ตักเตือนสิ่งใดก็ไม่ฟังเช่นนี้ นางนึกว่าจะเลี้ยงลูกให้กลายเป็นกุลสตรีที่สูงส่ง แต่กลับกลายเป็นว่านางเลี้ยงลูกให้กลายเป็นหญิงสาวผู้หยิ่งผยองในความงดงามและมั่นใจในตนเองมากเกินไป บรรพบุรุษสกุลเพ่ย ข้าทำผิดต่อพวกท่านแล้ว

“แม่มิมีสิ่งใดจะพูดกับเจ้าอีกแล้วเยว่เผิง! ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนั้น แม่ก็หวังว่าเจ้าจะไม่มานั่งเสียใจภายหลัง หากเขามิได้มีใจให้เจ้า!”

“ท่านแม่!!”

จางเยว่หลิงไม่สนใจเสียงที่ดังตามหลังมาแม้แต่น้อย นางเดินจากไปด้วยความขุ่นมัว ลูกสาวของนางกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน นางทำผิดที่ใดกันสวรรค์จึงได้ลงโทษสกุลเพ่ยเช่นนี้ นางหรือจะมิหวังให้ลูกสาวตนเป็นสะใภ้สกุลลู่ หากแต่เพราะนางรู้ความจริงว่าทุกอย่างมันมิได้ชัดเจนดั่งเช่นที่เยว่เผิงบอกแม้แต่น้อย เยว่เผิงยังเยาว์เกินไป นางยังมิอาจจะแยกแยะได้ว่า สิ่งใดคือช่องว่างระหว่างคำว่าเอ็นดูกับรักใคร่ ทำไมนะ...ทำไมนางไม่สอนเยว่เผิงมาก่อน จางเยว่หลิงได้แต่นึกเจ็บใจตนเอง

เยว่เผิงหน้าตึงหายใจแรงด้วยความโมโห นางเข้าห้องของตนมาด้วยความไม่พอใจต่อคำพูดมารดาจนใบหน้างดงามบิดเบี้ยว เพราะเหตุใดกัน...ท่านแม่ควรจะดีใจกับนางสิ มิใช่ติเตียนนางราวกับว่าไม่เห็นด้วยเช่นนี้ นางหรืออุตส่าห์หาบุรุษที่คู่ควรพบ แล้วเหตุใดท่านแม่จึงได้มีทีท่าต่อนางเช่นนี้ล่ะ มิให้กำลังใจนางก็ไม่ได้ว่า แต่นี่ราวกับจะแช่งให้นางผิดหวัง ท่านแม่ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!

สองมือของนางกำเข้าหากันเสียจนแน่น เล็บของนางจิกเข้าเนื้อจนเจ็บแต่มันกลับไม่สามารถลบเลือนความรู้สึกโมโหในใจตนเองได้เลย สายตานางตวัดมองเหล่าสาวใช้จนพวกนางสะดุ้งและรีบก้มหน้าหลบเลี่ยงสายตานั่น พวกนางหรือจะไม่รู้ ยามคุณหนูของพวกนางโกรธเกรี้ยวผู้ใดเล่าจะรับผลนั้น หากมิใช่พวกนาง...

“พวกเจ้ามองอะไร! พวกเจ้าคิดว่าข้าผิดใช่รึไม่!” เหล่าสาวใช้ต่างก้มหน้าลงพื้นตัวสั่นๆ พวกนางหวาดหวั่นต่อคุณหนูผู้นี้นัก อารมณ์หรือก็ร้ายเกินมนุษย์ ยามโกรธเกรี้ยวไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรคุณหนูก็มักจะทำร้ายร่างกายพวกนางอย่างรุนแรง

“ปะ เปล่าเจ้าค่ะ” น้ำเสียงสั่นเครือที่ตอบออกมายิ่งทำให้เยว่เผิงทวีความหงุดหงิดขึ้นกว่าเก่า มือของนางกวาดข้าวของลงพื้นอย่างบ้าคลั่ง กรีดร้องอย่างไม่อาจจะควบคุมตนเอง

เพล้ง!

“ออกไป! ออกไปให้หมด! ข้าบอกให้ออกไปเดี๋ยวนี้!”

“จะ เจ้าค่ะ เจ้าค่ะคุณหนู”

พวกนางรีบถลาวิ่งออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ประตูปิดลงพวกนางก็ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ เกือบไปแล้ว โชคดีเหลือเกินที่วันนี้ใบหน้าของพวกนางมิต้องมีรอยฟกช้ำ มิเช่นนั้นพวกนางคงต้องเจ็บปวดไปอีกหลายวันเป็นแน่ เสียงปาข้าวของดังขึ้นไม่หยุดจนพวกนางที่ยังคงยืนอยู่ด้านนอกสะดุ้ง อาการหวาดกลัวต่อคุณหนูมันคงมิอาจจะรักษาให้หายขาดเสียแล้ว เพียงครั้งใดก็ตามที่คุณหนูเริ่มมีสีหน้าบึ้งตึง บรรยากาศรอบกายก็พลันแผ่ขยายไปด้วยความเกลียดชัง พวกนางก็จะสั่นไปทั้งร่างด้วยความกลัว พวกนางอยากจะหยุดอาการเหล่านี้เหลือเกิน อยากจะให้มันหายๆ ไปเสีย! แต่มันคงเป็นได้เพียงแค่ฝัน...ที่ไม่มีวันจะเป็นจริง
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 8. up.20/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 20-11-2018 16:37:31
เหวินฉายเดินตามชายชรามาจนถึงหน้าประตู เขาหันมามองหน้าของเด็กหนุ่มเนื้อกายเปรอะเปื้อนก่อนจะถอนหายใจ ถุงสีดำถูกล้วงออกมาจากภายในเสื้อ มือเหี่ยวย่นเปิดมันออกและมองมันอย่างจดจ้อง เหวินฉายได้แต่ยืนนิ่งๆ แม้จะไม่อยากได้ แต่ก็คงต้องรับมา ช่างเถิด...ได้มาก็ดี เด็กๆ พวกนั้นคงจะรออยู่แล้ว

“นี่เงินของเจ้า...เจ้าโชคดีนักที่ได้รับรางวัลจากคุณหนูเยว่เผิง” เหวินฉายขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นจากถุงเงินสีดำที่ถูกยื่นมาตรงหน้าด้วยความสงสัย สิ่งใดกันจึงเรียกว่าโชคดี นี่มิใช่เรื่องปกติหรอกหรือ?

“อภัยด้วยขอรับ แต่ข้าขอถามท่าน เหตุใดท่านจึงบอกว่าข้าโชคดีกัน? นี่มิใช่เรื่องปกติหรอกหรือ?” อี้เจียงชะงัก เม้มปากแน่นราวกับว่าเพิ่งหลุดพูดเรื่องที่มิควรพูดออกไป สายตาของอี้เจียงเลิ่กลั่ก หันมองซ้ายขวาอย่างหวาดกลัว

“มิ มิได้มีอะไรเลยสักนิด เจ้าเพียงคิดไปเองเท่านั้น! เอ้า!! ....เมื่อได้รับรางวัลแล้วก็ไปเสีย!”

อี้เจียงเดินกลับไปพร้อมกับปิดประตูอย่างแรงจนเหวินฉายสะดุ้ง อะไรกัน...เหตุใดจะต้องโกรธเสียขนาดนั้น ในเมื่อเขาเพียงเอ่ยถามออกไปจากประโยคที่พ่อบ้านอี้พูดมันออกมา เหวินฉายยิ่งสงสัยและไม่ชอบใจ คนในจวนนี้เป็นเช่นนี้ทุกคนเชียวหรือ มิมีผู้ใดจิตใจปกติเลยหรืออย่างไร

เหวินฉายอดไม่ได้ที่จะคิดถึงใบหน้าอันงดงามของเพ่ยเยว่เผิง แต่ภายใต้ใบหน้าอันงดงามนั้นกลับแฝงไว้ซึ่งความดูถูกและเหยียดหยาม เพียงได้ยินว่าเขามาส่งข่าวจากสกุลลู่ จากความรังเกียจก็กลายเป็นความอ่อนหวาน นี่คิดว่าเขาโง่หรืออย่างไรกัน ถึงได้เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเขาอย่างรวดเร็ว เงินนี่ก็ด้วย คิดว่าเงินเพียงแค่นี้สำคัญกับเขาถึงขนาดจะเปลี่ยนสายตาที่มองนางได้หรือ คิดผิดเสียแล้ว คนอย่างถังเหวินฉาย มิใช่เด็กรับใช้ทั่วไปที่ซื้อได้ด้วยเงิน ที่หากใครนำเงินมาหลอกล่อก็พร้อมจะก้มหัวรับใช้ คนอย่างเขา ถังเหวินฉาย! รับใช้ด้วยใจเท่านั้น!

เขาเดินออกมาจากจวนสกุลเพ่ยอย่างไม่คิดจะหันไปมองอีก มือข้างหนึ่งกำถุงใส่เงินสีดำจนแน่น เขากลัวว่ามันจะหาย ในเมืองเต็มไปด้วยโจรและขโมยมากมาย เห็นแต่งกายด้วยชุดหรูหราเนื้อผ้าดีๆ ใครจะไปรู้เล่าอาจจะเป็นโจรก็ได้ เขาต้องระวังเอาไว้ก่อนคงดีที่สุด

เหวินฉายยิ้มกว้างทันทีที่ปรากฏร่างเล็กๆ ของเหล่าเด็กๆ เขาเร่งฝีเท้าจนแทบจะกลายเป็นวิ่งเข้าไปหาเหล่าเด็กน้อย พวกเด็กต่างก็ดีใจมากที่พี่ชายใจดีมาหาพวกเขาตามสัญญา เหวินฉายพบเหล่าเด็กน้อยพวกนี้ตามมุมต่างๆ ของตลาด สิ่งที่เขาเห็นเมื่อครั้งแรกเจอคือ...ของที่เด็กๆ ขโมยมันมา ทั้งที่มีของมีค่ามากมายให้ขโมย แต่พวกเด็กๆ กลับขโมยเพียงแค่ อาหาร

พวกเด็กๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเข้าไปใกล้และมองอยู่ เด็กๆ ทั้งหมดยังคงกินของที่ขโมยมาเข้าไปอย่างหิวโหย แต่แม้จะหิวมากเท่าใดก็พวกเด็กๆ ก็ยังคงแบ่งปันกันอย่างเท่าเทียม กินเพียงแค่ได้อยู่ต่อเท่านั้น เหวินฉายถูกเด็กๆ พบว่าเขายืนมองอยู่ การแต่งกายแสนมอมแมมและใบหน้าที่เปรอะเปื้อนทำให้พวกเด็กๆ ยื่นหมั่นโถก้อนนั้นมาให้เขาเพียงเพราะคิดว่าเขาหิวไม่ต่างกัน

หัวใจของเหวินฉายรู้สึกอบอุ่น สองตาร้อนผ่าวจนน้ำใสๆ แทบจะไหลลงมาอาบผิวแก้ม ใบหน้าของเด็กๆ ดูใสซื่อเสียจนเหวินฉายอดสงสารในชะตาชีวิตของพวกเขาไม่ได้เลย เด็กพวกนี้คงเป็นเด็กกำพร้า ไร้ญาติขาดมิตรจึงได้กลายเป็นขอทานและลักขโมยของไปทั่ว ด้วยความสงสารเขาจึงเป็นฝ่ายซื้อพวกอาหารมาให้เด็กๆ ได้กินกัน แม้ว่าตัวเขาเองจะเป็นเพียงแค่เด็กรับใช้ มิได้มีเงินถุงเงินถังมากมายใดๆ แต่เขาก็ใช่จะไร้เงินสักอีแปะติดตัวเพราะฉะนั้นเด็กๆ ตัวแค่นี้มิได้มีปัญหาใดๆ เลย อีกอย่าง...หากถึงเวลาที่เขาไม่มีเงินจริงๆ เขาก็จะไปขอกับท่านลุงถังก็ได้ ถ้าทำเรื่องดีๆ ละก็...ท่านลุงถังไม่มีทางต่อว่าเขาแน่ เขามั่นใจ

“พี่เหวินฉายๆ ทางนี้ขอรับ!”

เด็กน้อยนามว่าเว่ยเอี้ยนเรียกเขาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ทุกคนโบกมือโหยงๆ อย่างดีใจที่เห็นว่าเขามาถึงเสียที ท่าทางเช่นนี้คงหิวมากสินะ เหวินฉายเร่งฝีเท้าเข้าไปหา ใบหน้าของเขายิ้มให้เด็กๆ ตรงหน้าอย่างอ่อนโยน มือบางยกขึ้นลูบศีรษะเล็กๆ อย่างเบามือด้วยความเอ็นดู นึกเสียดายที่ตนมิใช่คุณชายจากตระกูลใหญ่โต มิเช่นนั้นชีวิตของเด็กๆ เหล่านี้คงดีกว่านี้มาก

“พี่เหวินฉาย วันนี้พี่ช้าจังเลย!”

“ขอโทษด้วยนะ พวกเจ้าคงรอข้านานเลยสิ แต่วันนี้ข้าต้องทำงาน จึงมาช้ากว่าทุกวัน” เด็กๆ ต่างพากันขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองหน้ากันและกันอย่างไม่เข้าใจ

“พี่เหวินฉาย สิ่งใดคือทำงานหรือขอรับ?” หานฟง เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัยและคงมิใช่แค่หานฟงแน่ที่สงสัยเช่นนี้ เพราะเพียงแค่หานฟงเอ่ยถามขึ้นมา ทุกคนก็ดูจะตั้งตารอให้เขาตอบ ช่างเป็นเด็กที่ใสซื่ออะไรเช่นนี้ เหวินฉายยิ้มบางๆ ก่อนจะอธิบาย

“ทำงานก็หมายถึงลงมือทำบางสิ่งเพื่อแลกกับเงิน เช่นวันนี้ข้าไปส่งข่าวให้สกุลเพ่ย คุณหนูเพ่ยก็จะตอบแทนข้าด้วยเงินจำนวนหนึ่ง หรือบางทีข้าทำความสะอาดจวนเพื่อแลกกับเงินอย่างไรเล่า” เด็กๆ ตาโต ลอบมองหน้ากันอย่างสนใจ

“อี้เหมยจะทำงาน! จะหาเงินมาซื้อหมั่นโถให้ฉีอันอัน” ฉีอันอันคือตุ๊กตาที่พ่อกับแม่ของอี้เหมยทิ้งไว้ให้ก่อนจะสิ้นใจ เด็กสาวแม้จะมอมแมมแต่ก็ยังคงความน่ารักเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด มือเล็กๆ กอดตุ๊กตาตัวนั้นเอาไว้จนจมอก สิ่งยึดเหนี่ยวเพียงสิ่งเดียวของนาง สิ่งสำคัญที่ไม่ว่าจะใช้เงินซื้อสักเท่าไรมันก็ไม่คุ้มค่าเลย

“ฮ่าๆ หากเจ้าให้ฉีอันอันกินมากกว่านี้ มันจะอ้วนฉุเสียจนเจ้าอุ้มไม่ไหวนะรู้ไหม”

“เอ๋! ได้ยังไงกัน แบบนั้นข้าไม่เอาดีกว่า ฉีอันอันเจ้าต้องลดลงบ้างนะ เกิดข้าอุ้มเจ้าไม่ไหว ข้าจะทิ้งเจ้าจริงๆ ด้วย!” แม้ปากเล็กๆ จะยู่และพูดขู่ออกไปเช่นนั้นแต่กลับไม่ยอมปล่อยเจ้าตุ๊กตาตัวนั้นออกจากอกเลยสักนิด เหวินฉายยิ้มเอ็นดูกับความน่ารักของอี้เหมย

“มาเถอะ...วันนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปกินของอร่อยที่ร้าน ดีหรือไม่?”

“ดีขอรับ/ดีเจ้าค่ะ!”

เหวินฉายยิ้มและเดินไปกับเด็กๆ พวกเด็กๆ ต่างดีอกดีใจกันใหญ่ ไม่บ่อยนักหรอกที่พวกเขาจะได้มีโอกาสไปนั่งที่ร้าน ส่วนมากแค่มีหมั่นโถกินก็ดีแล้ว เว่ยเอี้ยนมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้นรอลุ้นเหลือเกินว่าวันนี้พี่เหวินฉายจะพาเขาไปที่ร้านใด หานฟงเองก็ตื่นเต้นเสียจนแทบจะวิ่งนำไปข้างหน้าติดอยู่เพียงแค่เขาไม่รู้จักร้านเลย จึงทำได้เพียงเดินตามเหวินฉายไปส่วนอี้เหมยก็เดินคุยกับฉีอันอันมาตลอดทั้งทางโดยไม่ได้สนใจความตื่นเต้นของคนอื่นเลยสักนิด

ทั้งสี่คนเดินมาถึงหน้าร้านใหญ่ที่มีผู้คนมากมายอยู่ภายในร้าน เสี่ยวเอ้อของร้านเดินมาหาพวกเขาก่อนจะหยุดชะงักกวาดไล่สายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเหยียดหยาม เหวินฉายมองการกระทำนั้นด้วยความไม่พอใจ เหตุใดจึงได้มองลูกค้าด้วยแววตาเช่นนี้กัน เจ้าของร้านมิได้สั่งสอนหรือไร

“ไปๆ ออกไปให้พ้นหน้าร้านเดี๋ยวนี้! ที่นี่ไม่มีใครให้เจ้ามาขอทานหรอกนะ!” เหวินฉายหน้าตึงแววตาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เจ้าเสี่ยวเอ้อคนนี้คิดว่าตนมีดีกว่าเขาและพวกเด็กๆ ตรงไหน เหตุใดถึงได้กล้ากล่าววาจาดูแคลนผู้อื่นเช่นนี้ เหวินฉายหมายมั่นจะโต้กลับแต่แขนเล็กของเขากลับถูกพวกเด็กๆ รั้งเอาไว้ ใบหน้าของพวกเด็กๆ ดูเศร้าสลดและซีดเซียวอย่างน่าสงสาร นั่นยิ่งทำให้เหวินฉายโมโหเสียจนอยากจะบีบคอคนตรงหน้าให้ได้ตายๆ ไปเสียให้พ้นๆ

“พี่เหวินฉาย ขะ ข้าไม่กินแล้วก็ได้ขอรับ ข้าไม่หิวแล้ว” น้ำเสียงเศร้าสร้อยเอ่ยออกมาอย่างเสียไม่ได้ หากตนได้เข้าไปกินแต่พี่เหวินฉายของพวกเขาต้องลำบาก เขาไม่หิวก็ได้

“พี่เหวินฉาย เราไปกันเถอะขอรับ ข้ากับหานฟงและอี้เหมยไม่หิวแม้แต่น้อย” ทั้งๆ ที่ปากเล็กๆ นั่นสั่นแต่ก็ยังพูดกล่าวเพียงเพื่อให้เขาได้คลายความโมโห หานฟงและอี้เหมยพยักหน้ารับคำของเว่ยเอี้ยน แต่เหวินฉายกลับยิ่งโมโห ร่างเล็กกัดริมฝีปากตนเอาไว้แน่นจนคิดว่าได้กลิ่นคาวของเลือดลอยคละคลุ้งอยู่ในปาก สายตาหวานตวัดมองเสี่ยงเอ้อที่ยังคงมองพวกตนด้วยแววตาเช่นเดิมอย่างไม่ชอบใจ แต่เมื่อร้านนี้ไม่ต้อนรับ...พวกเขาก็ไม่คิดจะง้อเช่นกัน!

“อย่าห่วงเลยเว่ยเอี้ยน หานฟง อี้เหมย หากร้านนี้ไม่รับลูกค้า เช่นนั้นข้าจะพาพวกเจ้าไปกินร้านอื่น! หึ!”

“ไปๆ เกะกะหน้าร้านเสียจริง!”

“เจ้า!” เหวินฉายถลาร่างเข้าไปหาหวังจะจัดการกับคนเลวๆ คนนี้สักทีสองทีให้หายแค้น แต่เด็กๆ ทั้งสามคนต่างก็จับเขาเอาไว้แน่นพยายามลากรั้งให้เขาออกห่างจากเสี่ยวเอ้อผู้นั้นที่บัดนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน

“พี่เหวินฉาย ไปเถอะพี่ ข้าไม่อยากให้พี่มีเรื่องเลย”

คนที่กำลังโมโหได้แต่สูดลมเข้าปอดอย่างระงับอารมณ์ที่กำลังปะทุ ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างนึกในใจว่าสักวันเขาจะต้องทำให้คนๆ นี้ได้รู้สำนึกเสียบ้าง อี้เหมยตัวสั่นกอดตุ๊กตาแน่นจนหานฟงที่อยู่ข้างๆ ต้องกอดปลอบ คิดว่าดีว่าเขาหรือไร ถึงได้ดูแคลนกันเช่นนี้ คนๆ นั้นช่างไร้จิตเมตตาจนไม่น่าเกิดมาเป็นคนเสียด้วยซ้ำ

เฉินลี่ฟู่ลอบมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเงียบๆ สายตาของเขายังคงจดจ้องอยู่กับใบหน้าของร่างบางที่มิได้เปลี่ยนไปจากครั้งในอดีต หากแต่ยามที่คนๆ นั้นเติบโตจนเต็มวัยกลับดูน่ารักน่าใคร่กว่าเด็กในความทรงจำ ลี่ฟู่สำรวจทุกสัดส่วนของเหวินฉายที่ยืนอยู่ไกลๆ อย่างละเอียดจับจ้องราวกับต้องการสลักภาพนั่นเอาไว้ให้ลึกสุดหัวใจ เสียงของเสี่ยวเอ้อที่พูดจาดูแคลนถังเหวินฉายทำให้แววตาของลี่ฟู่วาววับด้วยความโกรธ ช่างกล้าเหลือเกินที่พูดจาเช่นนี้กับคนของเขา

แม้จะคาใจกับเรื่องเด็กทั้งสามคน แต่ก็มิได้ทำให้ลี่ฟู่หยุดการกระทำใดๆ ลี่ฟู่ยังคงเดินตามทั้งสี่คนอย่างเงียบๆ มองดูคนตรงหน้าที่ยิ้มแย้มให้เด็กๆ อย่างใจดี อิจฉาเหลือเกิน รอยยิ้มนั่นไม่เคยสักครั้งที่จะมีให้เขา ไม่ว่าเขาจะทำเช่นไรก็จะมีเพียงความบึ้งตึงจากเหวินฉายเท่านั้นที่ส่งกลับมา เขาหวัง...หวังเหลือเกินว่าในสักวันหนึ่ง รอยยิ้มที่แสนหวานของเหวินฉาย จะมีไว้สำหรับเขาในสักวัน

ลี่ฟู่พิจารณาร่างของเด็กๆ เหล่านั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ใคร่รู้ เด็กทั้งสามคนนี้เป็นบุตรของผู้ใดกัน เหตุใดเขาจึงมิเคยได้พบเห็น เขาอาศัยอยู่ในเมืองซิ่นจือมาทั้งชีวิต แต่กลับมิเคยได้พบเด็กทั้งสามมาก่อน หรือเด็กพวกนี้จะเป็นบุตรชายบุตรสาวของเหวินฉายกันนะ! แสดงว่าเหวินฉายของเขาแต่งงานแล้วหรือ?

ไม่! มันต้องไม่จริง!

เขาไม่มีวันจะเชื่อจนกว่าจะได้เอ่ยถามกับเจ้าตัวเอง มือหนากำเข้าหาตัวเองแน่น หัวใจเต้นระส่ำด้วยความกังวล หากเหวินฉายกล้าแต่งงานกับหญิงผู้ใด เขาจะทำให้หญิงผู้นั้นได้พบกับนรกบนดินจนไม่สามารถเข้ามายืนใกล้กับเหวินฉายของเขาอีก ข้างกายของถังเหวินฉายจะต้องเป็นของเฉินลี่ฟู่ผู้นี้เพียงผู้เดียว ต่อให้เป็นหญิงงามจากเมืองใด ตระกูลใหญ่โตแค่ไหนก็ไม่มีสิทธิ์!

“อี้เหมยหิวแล้ว...” แม้จะรู้ว่าไม่ควรบ่นแต่เด็กก็คือเด็กจะให้อดทนเอาไว้แค่ไหนมันก็ย่อมมีขีดจำกัด

“ถ้าเช่นนั้น...เราไปที่ร้านข้างหน้ากันเถอะ”

เขาไม่มีวันจะเชื่อจนกว่าจะได้เอ่ยถามกับเจ้าตัวเอง มือหนากำเข้าหาตัวเองแน่น หัวใจเต้นระส่ำด้วยความกังวล หากเหวินฉายกล้าแต่งงานกับหญิงผู้ใด เขาจะทำให้หญิงผู้นั้นได้พบกับนรกบนดินจนไม่สามารถเข้ามายืนใกล้กับเหวินฉายของเขาอีก ข้างกายของถังเหวินฉายจะต้องเป็นของเฉินลี่ฟู่ผู้นี้เพียงผู้เดียว ต่อให้เป็นหญิงงามจากเมืองใด ตระกูลใหญ่โตแค่ไหนก็ไม่มีสิทธิ์!

“นายทะ...” ยังมิทันได้กล่าวจนจบประโยค สายตาเช่นเดิมจากเสี่ยวเอ้อก็ส่งมาให้เขาอีกครั้ง เสี่ยวเอ้อของร้านกวาดตามองไล่ไปทั้งตัวของลูกค้าตรงหน้า เสื้อผ้าเก่าๆ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนเช่นนี้ คงมิใช่ลูกค้าแน่ๆ

“ข้าต้องการ...”

“ไปเสียเถอะ ร้านนี้ไม่มีใครให้เจ้ามาขอทานหรอกนะ!” มิได้สนใจประโยคของเหวินฉายเลยแม้แต่น้อย เสี่ยวเอ้อตัดบทราวกับสิ่งที่เหวินฉายจะพูดออกมานั้นไม่สำคัญสักนิด อีกแล้วสินะ เจ้าเสี่ยวเอ้อคนนี้ก็เป็นดั่งเช่นคนก่อนๆ ดูถูกผู้คนเพียงเพราะการแต่งกายงั้นหรือ! เหวินฉายกำหมัดแน่น ความโกรธพุ่งขึ้นจนแทบจะสะกดกลั้นเอาไว้ไม่ได้ หัวใจของเหวินฉายเต็มไปด้วยความเคียดแค้นจนอยากจะลงมือฆ่าคนให้ตาย

“พะ พี่เหวินฉาย...”

เด็กๆ แทบจะร้องไห้ออกมา เขาคงไม่ได้กินแล้ว ทุกร้านคงมิยินยอมให้พวกเขาได้เข้าไปกินแน่ ดั่งที่เขาว่าอีกาไม่อาจจะเป็นหงส์ พวกเขาเองก็มิใช่บุตรชายของผู้รากมากดี มิอาจจะมีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ ไร้ซึ่งพ่อแม่ ไม่มีแม้แต่ญาติพี่น้อง พวกเขามีเพียงกันและกัน อดและหิวมาด้วยกันเท่านั้น มิมีบ้านให้ได้อยู่ พวกเขาต้องอาศัยวัดร้างที่ไร้ผู้คนหลบฝนและหลับนอน ดีหน่อยที่พี่เหวินฉายนำผ้าห่มเก่าๆ มาให้พวกเขาได้ใช้คลายหนาว

เหวินฉายถูกมือใหญ่ฉุดรั้งให้มายืนอยู่เบื้องหลัง แผ่นหลังในชุดน้ำเงินเข้มช่างคุ้นตาเหลือเกิน แต่เหวินฉายก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาเมื่อเขายังตกอยู่ในอาการตกใจ ใครกันจึงได้ทำเช่นนี้ เขารู้จักชายผู้นี้ด้วยหรือ? เส้นผมสีดำร่างกายสูงใหญ่ที่ดูสง่าผ่าเผย มันช่างดู...คุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด

ใครกัน? คนๆ นี้คือผู้ใดกันแน่

“อ๊ะ! คุณชายเฉิน...วันนี้จะให้ข้าน้อยจัดโต๊ะกี่ที่ดีขอรับ” แม้จะไม่เข้าใจในสายตาเคืองขุ่น แต่เมื่อคุณชายเฉินผู้ร่ำรวยมาถึงร้านมีหรือที่เขาจะสนใจในสิ่งนั้น เสี่ยวเอ้อลอบมองไปยังข้างหลัง พวกขอทานยังมิยอมไปอีกหรือ เช่นนี้...หรือนี่จะเป็นความขุ่นใจของคุณชายเฉินกัน

เหวินฉายตัวเย็นวาบเพียงได้ยินชื่อของคนตรงหน้า ปลายนิ้วเล็กเย็นเฉียบราวกับถูกแช่ไว้ในน้ำแข็ง เฉินลี่ฟู่อย่างนั้นเหรอ คนเบื้องหน้าของเขานั่นคือเฉินลี่ฟู่สินะ เหวินฉายราวกับถูกตบหน้ากลางตลาด ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาให้อีกฝ่ายเห็นสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีของตน เกลียดหรือ? หึ! สำหรับเหวินฉายความรู้สึกที่มีต่อเฉินลี่ฟู่ มันเกินคำนั้นไปไหลแล้ว!

เหวินฉายกัดฟันด้วยความเจ็บใจ เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งเขาเช่นนี้ ส่งคนที่เขาไม่คิดจะอยากเจอมาในตอนนี้ทำไม ยามที่เขาถูกผู้อื่นดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ เหตุใดจะต้องเป็นคนผู้นี้ด้วยที่มาพบเห็น เหตุใดจะต้องเป็นเขา ต้องเป็นเฉินลี่ฟู่ที่เขาสาบานว่าทั้งชีวิตจะไม่มีวันญาติดีกับเจ้านี่เด็ดขาด!



TBC



โอ้เย้ พระเอกมาแล้ววววววว (เอ้ย พระรองนี่หว่า 555555)

Facebook > https://m.facebook.com/PassionateFiction

Twitter > https://mobile.twitter.com/little_kittensY
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 9. up.20/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 20-11-2018 16:38:56
[9]

เหวินฉายยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนจนเด็กทั้งสามต้องกระตุกมือของเหวินฉายเบาๆ เขาหลุดออกจากความคิดและหันมามองใบหน้าของเด็กๆ อย่างสงสาร หิวสินะ เหวินฉายเข้าใจดี แต่จะให้ขอร้องให้เฉินลี่ฟู่ช่วย หรือดื้อดึงถกเถียงกับเสี่ยวเอ้อต่อก็คงไม่ไหว เขาไม่อยากให้เฉินลี่ฟู่ต้องมาเยาะเย้ยถากถางใส่ เพราะเขาคงทนไม่ได้หากคนที่เขาแสนจะเกลียดชังผู้นี้ได้มาเห็นภาพเขาถูกดูแคลนจากคนอื่น

เหวินฉายมองเด็กๆ ด้วยแววตาอ่อนแสงนึกอยากจะโทษคนตรงหน้าที่มาอยู่ที่นี่ในเวลาที่เขากำลังย่ำแย่ เหวินฉายกัดฟันด้วยความเจ็บใจแต่อย่างไรเขาก็ไม่มีทางเลือกคงต้องยอมตัดใจจากร้านนี้ แม้ว่ามันจะเป็นร้านสุดท้ายของเมืองแล้วก็ตามที เหวินฉายถอนหายใจอย่างลำบากใจที่ต้องทำให้เด็กๆ ผิดหวัง เขารู้ดีว่าพวกเด็กๆ อยากจะเข้าไปนั่งในร้านมากเพียงใด แต่คงต้องเป็นคราวหลังเสียแล้ว

“เว่นเอี้ยน หานฟง อี้เหมย วันนี้พวกเจ้ากินหมั่นโถกับซาลาเปาแทนได้หรือไม่” เด็กๆ ทั้งสามเงยหน้าขึ้นมองสบตาของเหวินฉายด้วยแววตาซื่อๆ ก่อนที่ใบหน้าของเด็กทั้งสามจะประดับด้วยรอยยิ้ม

“อื้อ! ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็กินได้ทั้งนั้น ขอเพียงพี่ซื้อให้ข้า ข้าจะกินมันขอรับ”

“ข้าด้วย! มิจำเป็นต้องเป็นร้านใหญ่เลยขอรับพี่เหวินฉาย”

“ฉีอันอันชอบซาลาเปาร้อนๆ อี้เหมยก็ชอบ~”

หัวใจของเหวินฉายตื้นตันพวกเขาไม่คิดจะถามด้วยซ้ำถึงสาเหตุที่เหวินฉายต้องผิดสัญญา เหวินฉายพยายามยิ้มออกมาอย่างยากเย็น เขารู้สึกผิดที่ไม่สามารถรักษาคำพูดที่ให้ไว้ได้ เขาไม่ควรให้ความหวังกับเด็กๆ เขาเป็นคนที่แย่ที่สุดที่ทำลายความหวังน้อยๆ ของเด็กๆ พวกนี้

เด็กๆ ทั้งสามกลับหลังหันเพื่อจะเดินออกจากร้านไป เหวินฉายเองก็เช่นกัน หากแต่เพียงเขาก้าวเท้าได้เพียงแค่ก้าวเดียว แขนเล็กๆ ของเขาก็ถูกกระชากกลับมาจนแทบจะหงายหลังล้มลงดีหน่อยที่เขาเพียงแค่ปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้างของใครบางคน เหวินฉายเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะเบิกตากว้างและเริ่มดิ้นรนออกจากการเกาะกุม

ไม่เลย ไม่ดีสักนิด เขาขอถอนคำพูด ให้ล้มลงไปกระแทกพื้นยังดีกว่า!

“เจ้า! ปล่อยข้า!” แววตาของเหวินฉายแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด มองคนที่จับเขาไว้ทั้งร่างด้วยความไม่พอใจ

เสี่ยวเอ้อมองภาพตรงหน้าด้วยความงงงวย คุณชายเฉินลี่ฟู่กำลังกอดเจ้าขอทานนี่หรือ ไม่ๆ เป็นไปไม่ได้ คนอย่างคุณชายเฉินไม่มีทางสนใจเจ้าเด็กขอทานผู้นี้เป็นแน่ หรือว่าจะเป็น...สิ่งนั้น! เสี่ยวเอ้อเบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นได้ เขาหวังจะเอาหน้าต่อคุณชายผู้ร่ำรวยผู้นี้ด้วยการกระชากเอาถุงเงินสีดำที่เอวของร่างเล็กออกมาอย่างแรงพร้อมกับเปิดออกดู

เงิน เงินจำนวนไม่น้อย ขอทานอย่างเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่มีทางจะมีเงินมากมายเช่นนี้ได้แน่!

“เจ้ากล้าขโมยเงินคุณชายเฉินงั้นรึเจ้าขอทาน! ข้าจะเรียกทางการมาจับเจ้าเสีย!” เหวินฉายชะงักหยุดดิ้นโดยทันใด อย่างไรนะ! เมื่อครู่เจ้าบ้านั่นมันว่าอย่างไรนะ? เขานะหรือที่ขโมยเงินเจ้าบ้าลี่ฟู่ เหอะ! ใช้หว่างขามันคิดหรือไรกัน!

ลี่ฟู่เองก็ชะงักไปไม่ต่างกัน เจ้าเสี่ยวเอ้อคนนี้ช่างต่ำทรามยิ่งนักการกระทำราวกับตนเองเป็นคนดีแต่ความจริงเพียงพยายามจะเอาหน้ากับเขาต่างหาก คนเช่นนี้มีอยู่มากมายเหตุใดเขาจะดูมิออก นี่คงเห็นว่าเขาจับเหวินฉายเอาไว้ไม่ให้เดินจากไปสินะ คงคิดไปเองว่าเฉินลี่ฟู่ผู้นี้ถูกขโมยถุงเงิน เพียงเพราะเหวินฉายของเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ ใบหน้าเปรอะเปื้อนเพราะความซุกซนจึงถูกมองว่าเป็นขอทาน หากถูกมองว่าเป็นขอทานแล้วเช่นนั้นเงินในถุงก็คงถูกมองว่าขโมยมา

ช่างเป็นคนที่ต่ำทรามเสียจริง!

“ข้ามิเคยขโมยของผู้ใด! เงินถุงนั้นเป็นของของข้า!” หากแต่เสี่ยวเอ้อกลับแสยะยิ้มใส่ สายตามองเหวินฉายด้วยความดูถูก

“ขอทานเช่นเจ้ามีหรือจะสามารถมีเงินได้มากมายเช่นนี้ คุณชายเฉินขอรับ ข้าน้อยจะไปตามคนของทางการให้นะขอรับ” เฉินลี่ฟู่ปรายตามองคนเอ่ยถามด้วยความเย็นชาก่อนจะยิ้มใส่ด้วยความรังเกียจ

“ปล่อยพี่เหวินฉายนะ! ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้ พี่เหวินฉายมิใช่ขโมยนะ!”

“ใช่ๆ ข้าเป็นพยานได้ พี่เหวินฉายทำงานแลกมาต่างหาก เจ้าโง่!” หานฟงก่นด่าคนที่อายุมากกว่าด้วยความโมโห แม้จะถูกสอนมาว่ามิควรใช่คำพูดเช่นนั้นกับผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่ดังเสี่ยวเอ้อผู้นี้เขาไม่นับถือ เช่นนั้นก็คงไม่ต้องรักษามารยาท!

“ปล่อยนะๆ ปล่อยพี่เหวินฉายนะ อี้เหมยจะให้ฉีอันอันตีท่านจริงๆ ด้วย” คำข่มขู่ของเด็กตัวกระจ้อยมิได้ทำให้เฉินลี่ฟู่ผู้นี้หวาดหวั่นแต่อย่างใด กลับทำให้หัวใจของลี่ฟู่พองโตเสียด้วยซ้ำ พี่เหวินฉายหรือ เช่นนั้น...เหวินฉายของเขาก็มิได้แต่งงานกับหญิงใดน่ะสิ อารมณ์ที่ค้างคาจากเมื่อแรกได้เห็นใบหน้างามในอ้อมแขนยิ้มให้กับเหล่าเด็กๆ ในตอนนี้มันถูกดับไปเสียจนหมดสิ้น ทั้งความอิจฉา ทั้งความเกรี้ยวกราดที่คิดไปเอง เขาถูกเหล่าเด็กน้อยดับมันลงเพียงแค่คำเรียกที่ใช้เรียกเหวินฉายของเขา

หากเหวินฉายเรียกเด็กพวกนี้ว่าน้อง เช่นนั้นข้าก็จะนับพวกเด็กๆ เป็นน้องของข้าเช่นกัน

“หยุดนะพวกเจ้า! กล้าดีอย่างไรมาพูดจาเช่นนี้กับคุณชายเฉิน!” ลี่ฟู่ได้แต่กลอกตาไปมา เสี่ยวเอ้อผู้นี้ทำตัวราวกับเป็นเมียของเขาทั้งๆ ที่เขายังมิได้ว่ากล่าวใดๆ แต่เจ้านั่นกลับพูดจาราวกับรู้ไปเสียหมด

เหวินฉายที่เริ่มเห็นท่าไม่ดีที่จะเกิดกับเหล่าเด็กๆ ทั้งสามก็รีบดิ้นรนออกจากอ้อมแขนแกร่งที่กระชับเอวของเขาเอาไว้เสียแน่นจากทางด้านหลัง แต่แม้ว่าจะใช้แรงไปมากเพียงใดก็มิอาจทำให้เขาหลุดรอดออกไปจากอ้อมแขนนี้ได้เลย ยิ่งดิ้นรนมากขึ้นแรงกระชับก็ยิ่งเพิตาม จนเขารู้สึกว่าเท้าของเขาไม่สัมผัสพื้นอีกต่อไป

“หยุด! หากเจ้าแตะต้องพวกเขาแม้แต่ปลายเส้นผม ข้าจะให้เถ้าแก่ไล่เจ้าออกเสีย!” เสี่ยวเอ้อที่ถลาร่างเข้ามาหวังจะทุบตีหานฟง เว่นเอี้ยนและอี้เหมยก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อถูกน้ำเสียงเข้มอันทรงอำนาจสั่งขึ่นจนเขามิกล้าขยับกายได้แต่มองใบหน้าของคุณชายเฉินด้วยความไม่เข้าใจ

มิใช่ว่าพวกมันขโมยของของคุณชายไปหรอกหรือ?

“อภัยด้วยขอรับคุณชายเฉิน ข้าน้อยเพียงแต่หวังดี...” เสี่ยวเอ้อค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อมแม้แววตาจะเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจก็ตาม ดวงตาของเฉินลี่ฟู่ดุดัน มองคนตรงหน้าที่ขยันยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของเขาด้วยความไม่ชอบใจ

“ข้ามิได้ต้องการความหวังดีจากเจ้า! เหวินฉายและน้องๆ เป็นสหายของข้า! เงินถุงนั้นก็เป็นของพวกเขา เหตุใดเจ้าจึงกล่าวหาว่าพวกเขาขโมยของของข้าไปกัน? เจ้ารู้ได้อย่างไร? หรือเจ้ามองลูกค้าเพียงแค่การแต่งกาย? ข้าจะได้มิเข้าร้านนี้อีก เพราะข้าเองก็คงหวาดกลัวว่าหากวันใดข้าแต่งกายด้วยชุดเก่าๆ แล้ว คงมิพ้นถูกไล่เหมือนหมาเช่นที่พวกเจ้าทำกับสหายข้าหรอกรึ!” เสี่ยวเอ้อตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว น้ำเสียงของเฉินลี่ฟู่ดังก้องไปจนทั่วแม้แต่ภายในร้านลูกค้าบางคนยังหันมาสนใจ แม้แต่ผู้คนที่เดินสัญจรไปมาตามทางยังหยุดมองด้วยความสนใจ บางผู้ก็กระซิบกระซาบ บางผู้ก็มองเขาด้วยแววตารังเกียจมิต่างจากแววตาที่เขาใช้มองเหวินฉายและเด็กๆ เลยแม้แต่น้อย

“ขะ ข้าน้อยเพียงเห็นว่า...อะ เอ่อ ขะ ข้า”

“มีเรื่องอะไรกันหรือขอรับคุณชายเฉิน” บุรุษที่มีใบหน้าหล่อเหลาแต่งกายด้วยชุดสีขาวฟ้าเดินออกมาจากร้านด้วยความสงสัย

“เจ้าคงเป็นเถ้าแก่ร้านนี้สินะ?” เฉินลี่ฟู่เอ่ยถามด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์

“เป็นข้าเอง...มิทราบว่าคนของข้ากระทำสิ่งใดให้คุณชายทั้งสองขุ่นเคืองใจหรือ” น้ำเสียงของคนผู้นี้ช่างสุภาพยิ่งนัก ทั้งกิริยาและท่าทางของเขาก็ดูเป็นคนที่ถูกสั่งสอนมาอย่างดี

“คนของเจ้ามิยอมให้สหายของข้าเข้าไปนั่งในร้าน กล่าวหาว่าคนของข้าและน้องๆ เป็นขอทาน ซ้ำยังกล่าววาจาใส่ความว่าคนของข้าผู้นี้ขโมยเงินของข้า กล่าวว่าถุงเงินนั่นมิใช่ของเขา! เจ้าสั่งสอนให้คนของเจ้ากระทำเช่นนี้กับลูกค้าหรืออย่างไร!”

“ข้าม่ะ...อื้อๆ ๆ” ความหงุดหงิดปะทุออกมาจนหมดราวกับว่าลี่ฟู่เก็บกดมันมานาน เหวินฉายแทบไม่เชื่อหูตนเองที่ได้ยินว่าลี่ฟู่ผู้นี้กำลังปกป้องตนและเด็กๆ และเหมือนลี่ฟู่จะรู้จักเหวินฉายดีว่า คนอย่างถังเหวินฉายคงไม่ยอมให้เขาช่วยง่ายๆ แน่ มือใหญ่จองเขาจึงปิดปากเล็กๆ ของเหวินฉายเอาไว้จนคนถูกปิดปากได้แต่ดิ้นรนและร้องอู้อี้ไม่เป็นภาษา

“ขออภัยแทนคนของข้าด้วย...เป็นเพราะข้าสั่งสอนเขาน้อยไปจึงได้เสียมารยาทต่อคุณชายและสหายของท่านเช่นนี้ หากมิว่าอะไร...ถือเสียว่ามื้อนี้ให้ข้า ต้าหยงเป็นเจ้ามือเลี้ยงท่านและสหายของท่านเถอะ” เด็กๆ ทั้งสามเบิกตากว้างใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เลี้ยงหรือ เช่นนั้นพี่เหวินฉายก็มิต้องเสียเงินน่ะสิ จะกินเท่าไรก็ได้โดยมิต้องกังวลเรื่องราคา ช่างดีเสียเหลือเกิน

ลี่ฟู่เหลือบมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจของเด็กๆ เขารู้ดีว่าเหตุใดจึงได้ดีใจกันเสียขนาดนั้น แต่ด้วยตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะยากจนข้นแค้นเสียจนต้องให้ใครๆ มาเลี้ยง เพียงแค่สามชีวิตน้อยๆ กับหนึ่งดวงใจมีหรือเขาจะไม่สามารถจ่ายให้ได้ ลี่ฟู่จับจ้องใบหน้าของต้าหยงด้วยแววตาคมกริบ หรี่ตาลงน้อยๆ เมื่อเห็นว่าต้าหยงผู้นี้จับจ้องแต่ใบหน้าของคนในอ้อมแขนของเขา คนของเขา ใครก็ห้ามมอง!

“มิต้อง! ข้าจ่ายเองได้...พวกเจ้าสามคนตามข้ากับพี่เหวินฉายของเจ้าไปข้างใน ข้าจะจ่ายให้พวกเจ้าเอง อยากกินอะไรพวกเจ้าก็สั่ง”

“จะ จริงๆ หรือขอรับ ข้าจะกินอะไรก็ได้หรือขอรับ!” เว่ยเอี้ยนถามขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“ใช่...ข้ามิเคยโกหก สั่งได้ตามสบาย”

“อื้อๆ ๆ ๆ ๆ” แต่เหวินฉายกลับไม่ชอบใจสักนิด เงินเขารึก็มีเหตุใดต้องให้เจ้าลูกเต่านี้จ่ายให้ด้วยกัน!

“คืนถุงใส่เงินให้แก่คุณชายเสียสิ!” เสียงเย็นๆ จากต้าหยงกดดันให้มือของเสี่ยวเอ้อนั่นสั่นไปหมดยามยื่นสิ่งที่ยึดมาคืนให้แก่สหายของเฉินลี่ฟู่ เหวินฉายคว้ามือออกไปหมายจะดึงคืน หากแต่ลี่ฟู่กลับไวกว่า เขายึดเจ้าถุงสีดำเอามาไว้ในมือหลบเลี่ยงมิยอมให้เหวินฉายดึงคืนไปได้ เพราะเขารู้ความคิดของเหวินฉายดี หากมีเงินถุงนี้อยู่ในมือ มีหรือจะยินยอมให้เขาจ่ายค่าอาหารมื้อนี้

เด็กๆ ดีใจเสียจนไม่ได้สนใจอาการของเหวินฉายแม้แต่น้อย ทั้งสามคนเดินเข้าไปนั่งในร้านพร้อมกับกวาดตามองไปจนทั่ว ราวกับฝันไป...ที่พวกเขาได้กลับมานั่งอยู่ในที่แบบนี้อีกครั้ง เหวินฉายขัดขืนไม่ยินยอมสักนิดยามถูกลี่ฟู่ดึงข้อมือเล็กๆ ให้เดินตามมา แต่เมื่อยามเห็นสีหน้ามีความสุขของพวกเด็กๆ เขาก็ทำได้เพียงกัดปากตนเองฝืนใจไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนที่เขาไม่เคยหมายจะได้พบหน้าอีก

เหวินฉายถูกดึงให้นั่งลงเคียงข้างของลี่ฟู่ทั้งที่ใจอยากจะพังข้าวของจับคนที่ชอบบังคับตนมาเขย่าๆ ให้หายแค้นใจ แต่สุดท้ายที่ทำได้คือกระแทกตัวลงบนเก้าอี้ข้างๆ กายคนๆ นั้นเท่านั้น ลี่ฟู่รู้สึกอิ่มเอมใจ อยากจะให้ชีวิตของเขามีเหวินฉายเคียงข้างไปในทุกวันเสียจริง หากทุกวันเป็นดังเช่นวันนี้เขาคงสุขใจจนล่องลอย

“พวกเจ้าชื่ออะไรกันรึ? ข้ายังไม่รู้จักชื่อพวกเจ้ากันเลย” ลี่ฟู่เอ่ยถามขณะที่จิบน้ำชาไปด้วย เด็กๆ หันหน้ามามองกันและกันก่อนจะยิ้มกว้างให้ลี่ฟู่อย่างเป็นมิตร

“ข้าเว่ยเอี้ยนขอรับ”

“ข้าชื่อหานฟงขอรับ”

“อี้เหมยชื่อว่าอี้เหมยเจ้าค่ะ แล้วนี่ก็ฉีอันอันเจ้าค่ะ” ร่างสูงพยักหน้ารับพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยนให้แก่เด็กน้อยทั้งสาม หากดูจากการแต่งกายแล้วคงเป็นเด็กน้อยที่ไร้บ้านให้อาศัย เนื้อตัวจึงได้สกปรกมอมแมมเช่นนี้ เช่นนั้นคงจริงที่ว่าเด็กพวกนี้เป็นขอทาน

“ข้าชื่อเฉินลี่ฟู่ เป็นสหายที่สนิทสนมกับพี่เหวินฉายของเจ้า” เด็กๆ ตาโต นี่พี่เหวินฉายของพวกเขารู้จักพี่ชายที่ร่ำรวยแต่งตัวดีเช่นนี้เลยหรือ

“จริงหรือขอรับพี่เหวินฉาย! พี่รู้จักกับพี่ชายเฉินผู้นี้ด้วยหรือขอรับ?” เหวินฉายยิ้มแหยงๆ จะตอบเช่นไรดี หากปฏิเสธออกไปแล้วเฉินลี่ฟู่มิยอมให้เด็กๆ กินอาหารจะทำเช่นไร ตัวเขาเองก็ถูกคนหน้าด้านข้างๆ ยึดเงินไปแล้วเสียด้วย คงได้แต่ต้องยอมรับกับสิ่งที่ถูกหานฟงถาม

“ชะ ใช่ๆ ข้าสนิทกับคุณชายเฉินมาก!” เหวินฉายอยากจะกระอักเลือดออกมาให้สมกับความแค้นใจยิ่งนัก เขารึมิได้อยากจะตอบรับเลยแม้แต่น้อย แขนของลี่ฟู่โอบกระชับเอวบางของเหวินฉายเอาไว้แน่น ลูบเอวบางๆ นั่นเล่นอย่างสนุกมือทั้งที่ใบหน้าหล่อเหลานั่นมองสบตาของเหวินฉายด้วยความเอ็นดู

“จะเรียกคุณชายเฉินไปทำไมกัน ก็ข้ากับเจ้าสนิทกันขนาดนี้ เรียกข้าว่าพี่ลี่ฟู่เสียสิฉายเอ๋อร์” ตากลมของเหวินฉายหันขวับมองหน้าของคนพูดทันที มือบางพยายามแกะเอาความเหนียวแน่นที่จับเอวของเขาออก แต่ไม่ว่าจะงัดจะขยับจะหยิกจะทำเช่นไร มือหนาที่ทำหน้าที่โอบเขาไว้ก็มิยอมปล่อยเขาเลย เหวินฉายได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สบตาคมด้วยแววตาไม่พอใจแกมบังคับขู่เข็ญให้ปล่อย หากแต่ลี่ฟู่ก็คือลี่ฟู่ เขามิใช่คนที่จะให้ใครมาบังคับง่ายๆ ยิ่งเรื่องที่เขาอยากทำจะให้เขาเลิกทำหรือ อย่าหวังเลย

“ว่าอย่างไรเล่า...ฉายเออร์ เรียกข้าว่าพี่ลี่ฟู่เสียสิ ยอดรัก”

ลี่ฟู่ขยับใบหน้าคมลงมาใกล้ๆ แววตาของลี่ฟู่พราวระยับด้วยความพอใจ แม้เนื้อตัวจะเปรอะเปื้อนกับความซุกซน แต่เหวินฉายก็ยังมีกลิ่นหอมทาชวนให้เขาได้หลงใหลเสียเหลือเกิน ยิ่งเข้าใกล้กลิ่นก็ยิ่งชัดเจน และมันก็ยิ่งทำให้เขาอยากจะเข้าไปใกล้อีก ใกล้จนดอมดมกลิ่นนั่นจากแก้มใส แต่ลี่ฟู่ก็ทำได้เพียงแค่คิด เขาหรือจะกล้าทำให้ยอดดวงใจขุ่นเคืองและเกลียดชังตนไปมากกว่านี้

“คุณ ชาย เฉิน!” เฉินลี่ฟู่หัวเราะอย่างพอใจที่อีกคนดูมาสนใจในความต้องการหรือคำเรียกร้องของเขาสักนิด ใบหน้าหวานที่มอมแมมยังคงบึ้งตึงยามมองหน้าเขา แต่อย่างไรเล่า ในเมื่อเฉินลี่ฟู่ปรารถนาจะให้เหวินฉาย ไม่สิ! ฉายเอ๋อร์เรียกขาลเขาว่าพี่ เขาคงต้องพยายามมากกว่านี้สินะ

“เสี่ยวเอ้อ!”

“ขอรับคุณชาย...คุณชายทั้งสองจะรับสิ่งใดดีขอรับ” ดูเหมือนเจ้าเถ้าแก่ต้าหยงคนนั้นจะตักเตือนและกำชับคนของตนไว้แล้วสินะ เสี่ยวเอ้อคนนี้แม้มิใช่คนเดียวกับคนที่ต้อนรับเขาหน้าร้านแต่ก็ยังถือว่าเล่นตามน้ำได้ดี ลี่ฟู่หันไปมองเด็กๆ ทั้งสามก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ด้วยความเป็นมิตร

“เจ้าสามคนอยากจะกินอะไรเล่า สั่งเขาเสียสิ” เด็กๆ ตาโตด้วยความตกใจ จริงหรือที่เชาจะสามารถสั่งสิ่งใดก็ได้

“ดะ ได้หรือเจ้าคะ อะไรก็ได้หรือเจ้าคะพี่ลี่ฟู่” อี้เหมยกอดตุ๊กตาแน่น ช้อนสายตากลมๆ นั่นขึ้นมองลี่ฟู่ด้วยความไม่แน่ใจจนเฉินลี่ฟู่ต้องย้ำอีกครั้งด้วยรอยยิ้มขบขัน

“แน่นอน! ข้ามิเคยผิดคำพูดหรอกนะ ขอเพียงพวกเจ้าเป็ดเด็กดีต่อฉายเอ๋อร์ของข้า สิ่งใดที่เจ้าอยากจะได้ ข้าจะหามาให้แน่นอน” คนถูกพาดพิงถึงกับหันขวับมามอง เกี่ยวอะไรกับเขากัน จะเป็นพ่อพระใจบุญอะไรทำไมต้องมีเขาเป็นข้อแม้ด้วย

“คุณชายเฉิน! ข้าคิดว่านี่ไม่น่าจะ...”

“เจ้ามิอยากให้พวกเขากินอิ่มหรอกรึ? ฉายเอ๋อร์” เหวินฉายกัดปากตัวเองแน่น มองใบหน้าที่ส่งสายตาดั่งคำถามมาทางเขาด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

“ฮึ่ม! ข้าเปล่า! ข้าหรือจะไม่อยากให้เจ้าพวกนี้อิ่มท้อง!” รอยยิ้มใสซื่อของเด็กทั้งสามกว้างขึ้นอย่างดีใจ

“อี้เหมยอยากกินซาลาเปาเจ้าค่ะ”

“ข้าก็อยากกินไก่ขอรับ”

“ข้าอยากกินบะหมี่! อยากกินหมั่นโถด้วย”

“หึหึ เอาทุกอย่างที่พวกเขาว่ามา แล้วก็...นำอาหารที่ขึ้นชื่อของร้านมาด้วย” เสี่ยวเอ้อยิ้มกว้างขึ้นเมื่อได้ยิน สายตาพราวระยับมองบางสิ่งที่ถูกยื่นมาให้เขา เงินนี่! คุณชายเฉินช่างร่ำรวยเหลือเกิน

“ข้าจะรีบเตรียมให้ขอรับ ขอบคุณมากขอรับคุณชายเฉิน”

เสี่ยวเอ้อเดินจากไปเพื่อเตรียมของที่ถูกสั่งมา เหวินฉายมองบรรยากาศรอบๆ ด้วยความหงุดหงิด เมื่อไหร่เจ้าลูกเต่าลี่ฟู่จะปล่อยมือออกจากเอวของเขาเสียที สายตาของผู้อื่นที่จับจ้องมาช่างเต็มไปด้วยความสอดรู้สอดเห็น ไหนจะสายตาของหญิงสาวบางคนที่มองเขาด้วยความริษยาและเกลียดชัง ยิ่งเจ้าลูกเต่านี่พยายามแสดงออกว่าสนิทกับเขามากเท่าไร เหวินฉายก็ยิ่งถูกจับจ้องมากเท่านั้น

หวังว่าเจ้าคงไม่ได้วางแผนเอาไว้หรอกนะ เฉินลี่ฟู่
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 9. up.20/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 20-11-2018 16:41:06
ตะวันจวนเจียนจะลับฟ้า แสงสีส้มทอประกายอยู่บนเมฆช่างดูสวยงามยิ่งนัก เฟยหลงเฝ้ารอการปรากฏของจันทราเพราะนั่นหมายความว่าหยางเถากำลังจะออกมาหาเขาอีกครา แม้ในความเป็นจริงนั้นเวลามิได้เดินช้าไปกว่าวันอื่นๆ แต่สำหรับเฟยหลงที่นับลมหายใจรอนั้นมันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน

อยากพบเหลือเกิน อยากเห็นใบหน้าหวานกับเส้นผมสีเงินนั่นอีก

เหม่ยหลินเดอนเข้ามาหาบุตรชายที่ยามนี้เอาแต่จ้องมองไปบนฟ้ากว้างที่จวนเจียนจะไร้แสงตะวัน สหายผู้นั้นของเฟยหลงกำลังจะมาอีกแล้วสินะ บางครั้งนางก็อดสงสัยไม่ได้ เหตุใดหยางเถาจึงได้แวะเวียนมาหาเพียงยามราตรีกัน? มิใช่ว่ากระทำสิ่งใดมิควรและหลบๆ ซ่อนๆ หรอกนะ เหม่ยหลินครุ่นคิดด้วยความกังวล ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและคาใจ แต่ก็มิได้เอ่ยถามออกไป

“เฟยหลง...วันนี้หยางเถาก็จะมาหาเจ้าใช่หรือไม่?” เฟยหลงหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลา

“ขอรับ...เช่นไรคืนนี้หยางเถาก็จะต้องมาแน่”

“หากเป็นดังที่เจ้าว่า...คืนนี้ก็พาหยางเถามาร่วมโต๊ะอาหารเถอะ แม่เองก็ชักชวนเยว่เผิงให้มาร่วมทานอาหารเช่นกัน เจ้าคงมิว่าอะไรใช่หรือไม่” เฟยหลงเพียงยิ้มและส่ายหน้าช้าๆ เหตุใดเขาจะต้องว่าด้วยเล่า ในเมื่อท่านแม่ของเขาอยากสนทนากับนาง

“ข้ามิได้ขัดข้องอะไรขอรับ หากท่านแม่ปรารถนาจะร่วมโต๊ะกับนาง” หัวใจของเหม่ยหลินพองโต นางตื่นเต้นไปหมดกับคำตอบของบุตรชาย แม้เขามิได้ตอบรับอย่างชัดเจนหากแต่ก็มิใช่คำปฏิเสธ เช่นนี้แล้ว คงมิแคล้วว่าเฟยหลงสนใจในตัวของเยว่เผิงไม่น้อย

ดี ดีเหลือเกิน หากเป็นเช่นนี้ งานแต่งงานของเฟยหลงและเยว่เผิงคงต้องรีบจัดให้เร็วที่สุด อย่างไรเสียเยว่เผิงนางก็เป็นบุตรสาวคนเดียวของสกุลเพ่ย และสกุลเพ่ยกับสกุลลู่เองก็คบค้ากันมานาน หากลูกชายของนางและลูกสาวของจางเยว่หลิงแต่งงานกันไป ครอบครัวของเราก็จะยิ่งสนิทชิดเชื้อ เฟยหลงเองก็จะได้...เว้นระยะห่างจากหยางเถาเสียบ้าง มีครอบครัวเฟยหลงก็คงต้องสนใจครอบครัว และสถานะของเฟยหลงและหยางเถาก็คงไม่น่าห่วงเท่าไร

นางยิ้มกริ่มกับความคิดตนเองจนไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าสายตาของเฟยหลงบัดนี้เต็มไปด้วยความหมองเศร้า เจ้าดอกท้อ...เมื่อไรเจ้าจะมาหาข้ากันนะ หัวใจข้าร่ำร้องเรียกแต่เพียงชื่อของเจ้า รู้บ้างหรือไม่ แววตาที่เจ้ามองข้า ข้ามิเคยลบเลือนมันออกไปจากหัวใจ ใบหน้าของเจ้ายามส่งยิ้มให้ข้ามันเป็นดั่งสายน้ำที่ช่วยให้ข้ามีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเก่า เพียงแค่ข้าได้พบเจ้า...ข้าก็มิเคยต้องการสิ่งใด

เจ้าดอกท้อน้อย เจ้าคงมิอาจจะรู้ได้ถึงความในใจข้า ตัวข้านั้นรักเจ้าเสียจนทั้งชีวิตนี้ข้าคงไม่สามารถอยู่ได้โดยขาดเจ้าไป ข้ามิปรารถนาให้สวรรค์พรากเจ้าไป มิปรารถนาให้ถึงวันที่ข้าจะไม่มีเข้าอยู่ ข้าอ้อนวอนต่อสวรรค์ทุกวัน ให้พวกเขาเห็นใจในความรักขอข้า ขอเพียงได้มีเวลาอยู่กับเจ้ามากกว่านี้ ข้ายอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง หากมันจะทำให้ข้ามีเจ้าอยู่เคียงข้างได้ สิ่งใดก็ไม่สำคัญเลย...หากข้าไม่มีเจ้า

เฟยหลงได้แต่รำพันคำพูดนับร้อยนับพันถ้อยคำอยู่ในใจ มิอาจจะพูดออกไปได้ยามที่หยางเถาอยู่ตรงหน้า เขาก็ตื่นเต้นเสียจนไม่สามารถพูดสิ่งเหล่านี้ได้เลย ทุกครั้งเฟยหลงจะเฝ้าและรอ รอเวลายามราตรีเวียนกลับมาอีกครั้ง เฝ้ารอที่จะได้พานพบกับเจ้ายอดดวงใจที่เขาเฝ้าปรารถนาจะเด็ดลงมาไว้ข้างกาย

ความมืดเยื้องย่างเข้ามากลืนกินทุกๆ แสงแห่งทิวา ดวงจันทราลอยล่องขึ้นสู่ฟากฟ้าที่กว้างใหญ่ คืนนี้ช่างไร้หมู่เมฆ มีเพียงดวงดาวดวงน้อยที่ยังคงส่องแสงเป็นเพื่อนจันทร์ราวกับกลัวว่าจันทราจะเดียวดาย เพียงแสงจันทร์สาดส่องร่างของหยางเถามีเส้นผมสีเงินก็ปรากฏกายออกมาจากต้นท้อต้นใหญ่ ดอกท้อสีชมพูเบ่งบานคอยดูดซับแสงจันทร์เพื่อเป็นเรี่ยวแรงและกำลังให้แก่ตนเอง ร่างบอบบางเดินตรงมาข้างหน้าที่มีบุรุษร่างสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มให้ คนๆ นั้นมิใช่ใครเลยนอกจากเฟยหลง เขายังคงยืนรอหยางเถาอยู่เฉกเช่นทุกๆ ราตรี

หยางเถามองใบหน้าเปื้อนยิ้มของเฟยหลงด้วยแววตาสั่นๆ ความรู้สึกตีรวนอยู่ในหัวใจจนแยกไม่ออกว่าความรู้สึกใดที่รุนแรงกว่ากัน เขาทั้งโหยหา ทั้งปรารถนาจะชิดใกล้ แต่ก็หวาดกลัวต่อความเจ็บปวดเพราะรู้ดีว่าสำหรับเฟยหลงแล้ว...เขาก็เป็นเพียงดอกท้อดอกเล็กๆ เท่านั้น ดอกท้อที่เฝ้ารอการร่วงโรย เฟยหลงเดินเข้ามาใกล้ร่างบางเสียเองเมื่อเห็นว่าหยางเถาไม่มีทีท่าจะขยับเข้ามาใกล้ๆ อาการของหยางเถาแปลกประหลาดนัก แต่ความดีใจที่ได้พบหน้าคนที่เฝ้ารอมีมากกว่า

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า มิสบายตัวหรือ?” มือบางภายใต้เสื้อสีขาวกำเสียจนแน่นแต่ใบหน้ากลับยิ้มบางเบากลับไป

“ข้าสบายดี เจ้ามีอะไรหรือ สีหน้าเจ้าเหมือนมีเรื่องอะไรจะพูดกับข้า” เฟยหลงยิ้ม ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มใสสีระเรื่อเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

“แม่ข้าให้มาชวนเจ้าไปร่วมโต๊ะอาหารเย็น” หยางเถาปิดมือของเฟยหลงออกเบาๆ อย่างไม่ให้น่าเกลียดนัก แต่เฟยหลงที่ถูกกระทำเช่นนั้นกลับชะงักไปครู่หนึ่งอย่างไม่เข้าใจ

“มีเรื่องอะไรหรือ?”

“ไม่มีอะไรหรอก แม่ข้าคงอยากจะสนทนากับเจ้าและเยว่เผิง หรือบางทีท่านแม่คงอยากจะแนะนำเยว่เผิงให้เจ้ารู้จัก” หยางเถาชะงักร่างทั้งร่างแข็งทื่อราวกับต้องคำสาป หัวใจดวงน้อยบีบรัดเสียจนปวดร้าวไปหมด

“เยว่เผิงนางงดงามทั้งใบหน้าและกิริยา หากเจ้าได้พบนางเจ้าจะต้องชอบนางเป็นแน่ ข้ารับรองได้!” น้ำเสียงของเฟยหลงมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะที่หยางเถากลับมองมันด้วยแววตาหมองหม่น เฟยหลงจูงมือหยางเถาเอาไว้ นำพาร่างเล็กเพื่อไปร่วมโต๊ะอาหารดั่งที่ได้เอ่ยชักชวน

“ข้ารู้...”

ข้ารู้ดีว่านางงดงามและเพียบพร้อมเพียงใด ข้าเคยพบนางมาแล้ว

แต่หยางเถากลับเพียงแค่ยิ้มบางๆ ทั้งที่สองตาเริ่มร้อนผ่าว เฟยหลงเจ้าจะรู้ไหมว่า คำพูดของเจ้าช่างเหมือนกับมีดที่กรีดใจของข้านัก ร่างบางกะพริบตาถี่ๆ เสแสร้งฝืนปั่นหน้ายิ้มราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นขณะที่ฟังเจ้าตัวเอ่ยถึงหญิงสาวนามว่าเยว่เผิง ดวงจันทร์ของเฟยหลง เฟยหลงยังคงไม่ได้มองความผิดปกติของเจ้าของฝ่ามือเล็ก เฟยหลงยังคงสนุกกับการเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้หยางเถาฟัง แม้แต่เรื่องดอกไม้...

“สวนดอกไม้ของนางงดงามมากเชียว แม้จะมิเท่าสวนในจวนข้าที่ท่านปู่ดูแลมา แต่ก็ถือได้ว่างดงามไร้ที่ติ”

“ข้ารู้...” หยางเถาพยายามอย่างมากที่จะควบคุมน้ำเสียงของตนเองไม่ให้มันแสดงอารมณ์โศกเศร้าออกมา มือที่ถูกเกาะกุมเอาไว้มันสั่นไปหมด หากยังดีที่การก้าวเดินช่วยทำให้การสั่นนั้นไม่ใช่ความผิดปกติ หยางเถาได้แต่พร่ำบอกตนเองว่าอย่าร้องไห้ บอกตัวเองว่าให้อดทนเอาไว้ แม้เจ้าของแผ่นหลังกว้างใหญ่เบื้องหน้าของเขาจะมิได้มีใจให้แต่อย่างน้อยเขาก็มิได้รังเกียจใดๆ กับการนับเขาเป็นสหาย และผู้เป็นสหายจะมีน้ำตาจากคำพูดที่เขาพูดถึงหญิงในดวงใจได้อย่างไร



•~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•



โต๊ะอาหารต่างพร้อมไปด้วยจิ้นเหอผู้เป็นบิดาของเฟยหลง เหม่ยหลินมารดาของเฟยหลงและ...หญิงงามในชุดสีชมพูเหลือบฟ้าผู้มีใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาก็ไม่ปาน นางคือเยว่เผิง...หญิงผู้ครอบครองดวงใจของเฟยหลง นางเงยหน้าขึ้นมองเฟยหลงเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย แก้มนวลแดงปลั่งไปด้วยเลือดฝาด ริมฝีปากอิ่มถูกแต่งแต้มพอประมาณให้ดูระเรื่อน่าจุมพิต นางงดงามจริงๆ งดงามเสียจนหยางเถานึกอิจฉา

อิจฉาที่นางได้ครอบครองดวงใจของชายผู้กุมมือของเขา

อิจฉานางที่ได้ครอบครองความรักทั้งหมดของชายข้างๆ กายเขา

อิจฉานางที่เกิดมาเป็นมนุษย์และสามารถอยู่เคียงกายของเฟยหลงได้

เขาอิจฉา... อิจฉาแล้วอย่างไร สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงแค่มองเท่านั้น

“นั่งสิ...หยางเถา แม่จะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับเยว่เผิง” หยางเถานั่งลงตามคำชวนของเหม่ยหลินโดยไม่อิดออดแม้ว่าความจริงแล้วภายในใจของเขาจะอยากหนีออกไปจากที่นี่ก็ตาม หยางเถาส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับหญิงงามผู้นั้นและมารดาของเฟยหลง เยว่เผิงยิ้มตอบอย่างอ่อนหวานทั้งๆ ที่ในใจของนางมิชอบการสนิทสนมของเฟยหลงและหยางเถาเลยสักนิด บุรุษสองคนเดินจับมือกันมามันมิแปลกไปหน่อยหรือ ยิ่งใบหน้างดงามภายใต้เส้นผมสีเงินนั่นอีก มิว่าเป็นผู้ใดก็ล้วนต้องหลงเสน่ห์ของคนผู้นี้เป็นแน่

“เจ้ามานั่งข้างเยว่เผิงสิเฟยหลง นางเป็นแขกเจ้าเป็นเจ้าบ้านก็ควรดูแลนางให้ดี” เฟยหลงชะงัก เขากำลังจะนั่งลงเคียงข้างหยางเถาแต่กลับถูกมารดาเรียกให้ไปนั่งอยู่ตรงข้ามกับหยางเถาอย่างนั้นหรือ แม้ใจอยากจะปฏิเสธเพียงใด แต่ด้วยมารยาทเขาจึงได้แต่ทำตามที่ท่านแม่เป็นคนสั่ง

“ขอรับ...เจ้านั่งนี่นะหยางเถา”

ข้าก็นั่งนี่ล่ะ จะไปนั่งที่ใดได้อีก

หยางเถายิ้มบางๆ ให้เฟยหลงราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร นัยน์ตาหวานร้อนผ่าวจนหยาดน้ำแทบจะไหลริน แต่หยางเถาก็มิปล่อยให้มันออกมา เขาไม่อยากให้ใครรับรู้ถึงความรู้สึกที่มีต่อเฟยหลง ไม่อยากให้เฟยหลงต้องคิดมากกับการมาดูแลเขามากกว่าจะไปอยู่ใกล้ๆ หญิงในดวงใจ เหม่ยหลินลอบมองปฏิกิริยาของหยางเถาเงียบๆ นางยิ้มกริ่มในใจเมื่อจับความรู้สึกของหยางเถาได้ ดี! ดีมาก หยางเถาควรจะพึงรู้เอาไว้ว่าบุรุษย่อมต้องคู่กับสตรี และถอยห่างออกไปจากบุตรชายของนางเสีย หากได้รู้ว่าเยว่เผิงเพียบพร้อมเพียงใด

“ทานกันได้แล้ว!” เสียงอันทรงอำนาจจากจิ้นเหอดังขึ้นมาขัดนาง ออกคำสั่งให้ได้เริ่มลงมือทานเสียทีมิใช่เอาแต่กระทำในเรื่องไร้สาระ

เหม่ยหลินลอบมองบุตรชายและเยว่เผิงเงียบๆ พร้อมกับกวาดตามองหยางเถาด้วยเช่นกัน หยางเถานั้นมองข้าวของตนที่มีควันสีขาวพวยพุ่งบอกถึงอุณหภูมิความร้อนได้ดี ควันพวกนั้นก็เหมือนเช่นเขา มีตัวตน มองเห็นแต่ไม่อาจจะคงอยู่ตลอดไป หัวใจดวงน้อยเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่มือบางก็ยังจับตะเกียบเอาไว้ พยายามบังคับมือไม่ให้มันสั่นยามเอื้อมไปคีบอาหาร

“เฟยหลง...ตักปลาให้เยว่เผิงบ้างสิ เอาเนื้อไก่ด้วยนะ เจ้าต้องทานเยอะๆ รู้ไหมเยว่เผิง จะได้มีลูกเต็มบ้านเต็มเมือง”

“เจ้าค่ะ เยว่เผิงจะทานให้เยอะๆ เจ้าค่ะ” เยว่เผิงหน้าแดงซ่านอย่างเข้าใจในความหมายของเหม่ยหลินเป็นอย่างดี เหม่ยหลินหัวเราะแผ่วเบาในขณะที่เฟยหลงคอยตักโน้นตักนี่ให้เยว่เผิงมิขาด

“เจ้าทานมากๆ นะ ผักนี่ก็ดีต่อร่างกายของเจ้า”

“เจ้าค่ะพี่เฟยหลง” นางตักทุกอย่างกินอย่างอร่อย หัวใจของนางพองจนคับแน่นไปทั้งอก อดเหลือบมองสหายของพี่เฟยหลงมิได้เลย หยางเถาในตอนนี้ทำได้เพียงแค่นั่งก้มหน้าก้มตาทานอาหารของตนให้หมด ในขณะที่ทุกคนทานมันอย่างเอร็ดอร่อยแต่หยางเถากลับฝืนกลืนมันลงคออย่างยากลำบาก อาหารมื้อนี้ช่างขมเหลือเกิน ขมเสียจนอดสงสัยไม่ได้ว่า หรือคนที่หุงข้าวจะทำน้ำตาตกลงไปกัน

ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของเหวินฉาย เขามองดูทุกคนอย่างเงียบๆ ทั้งท่าทางการพูดของนายน้อยเฟยหลง ใบหน้าและการแสดงออกของคุณหนูเพ่ย รวมทั้งการกระทำของฮูหยินลู่เช่นกันและแม้แต่หยางเถาที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทานอย่างเงียบๆ ก็อยู่ในสายตาของเขา ภาพเหล่านี้มันช่าง...น่าหดหู่ ทุกสิ่งทุกอย่างมันกลับกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน การรังแกคนๆ เดียวซึ่งแปลกใหม่กับโต๊ะอาหารเช่นนี้ มันควรแล้วหรือ เหวินฉายได้แต่ถามตนเอง ขบริมฝีปากแน่นยามรับรู้ได้ถึงบรรยากาศอันหมองเศร้าของสหายคนโปรดของนายน้อยเฟยหลง

จิ้นเหอมิได้กล่าวสิ่งใด เขาเพียงมองทุกอย่างเงียบๆ ต่อไปเช่นเดิมและตักอาหารกินอยู่เรื่อยๆ หากดูเผินๆ แล้วก็จะเห็นว่าจิ้นเหอมิได้สนใจการสนทนาบนโต๊ะเลยแม้แต่น้อย แต่ใครจะรู้เล่าว่าแม่ทัพใหญ่อย่างจิ้นเหอเองก็เพียงแค่แกล้งทำเท่านั้น ภาพการร่วมโต๊ะที่แสนสุขแต่ก็มีเพียงมุมหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยความเศร้า เมื่อไรมันจะจบเสียที การทรมานใจของผู้อื่นอย่างการร่วมโต๊ะกันเช่นนี้ เหวินฉายอยากจะให้มันสิ้นสุดลงไปเสียที เขาสงสารร่างบอบบางผู้มีเส้นผมสีเงินเหลือเกิน





TBC



ความไม่ชัดเจนมักจะทำให้ความรักเกิดรอยร้าวและความเจ็บปวด บางครั้ง...คนเราก็ลืมไปว่า เส้นแบ่งความสัมพันธ์นั้นมันเบาบางขนาดไหน บางจนบางครั้งก็ถูกข้ามได้ง่ายดายเช่นกัน ขอปลาทูให้แมวโหน่ยยยยย

Facebook > https://m.facebook.com/PassionateFiction

Twitter > https://mobile.twitter.com/little_kittensY

หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 10. up.20/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 20-11-2018 16:42:34
[10]

อาหารบนโต๊ะหายไปจนเกือบหมด ข้าวในถ้วยไม่หลงเหลืออยู่ดั่งเช่นก่อนนี้ หากแต่ไม่ใช่กับหยางเถา...เขาทานไม่ลงเม็ดข้าวพร่องลงไปเพียงไม่ถึงครึ่งถ้วยเท่านั้น เสียงหัวเราะราวกับว่าการสนทนาครั้งนี้สนุกสนานเหลือเกินนั้น ไม่ได้มีหยางเถาอยู่ร่วมเลยสักนิด ร่างเล็กได้แต่นั่งก้มหน้ามองข้าวในถ้วยของตน พยายามใช้สมาธิไปกับการนับเม็ดข้าวแทนที่จะฟังเสียงพูดคุยที่ชวนให้ปวดใจ

เฟยหลงยิ้มมองใบหน้าของหยางเถา...เขาคิดว่าหยางเถาคงจะเคอะเขินกับการต้องมาทำความรู้จักเยว่เผิงเพราะหยางเถาของเขานั้นช่างขี้อายเสียเหลือเกิน นี่ก็คงเขินเสียจนพูดอะไรไม่ออก นั่งนิ่งเงียบก้มหน้าก้มตามองแต่ข้าวในถ้วยของตนล่ะสิ ช่างน่าเอ็นดูเสียเหลือเกินนะเจ้าดอกท้อ

เพ่ยเยว่เผิงยิ้มขวยเขินกับคำพูดต่างๆ ของเหม่ยหลินที่ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ราวกับว่าต้องการให้ตนมาเป็นสะใภ้ ความเงียบจากร่างสูงข้างๆ ตัวทำให้นางเงยหน้าขึ้นมอง เยว่เผิงชะงักอารมณ์เขินอาย ในตอนนี้นางเต็มไปด้วยความไม่ชอบใจสักนิด สายตานั่นมันอะไรกัน เหตุใดพี่เฟยหลงจึงได้มองแต่สหายของเขาผู้นั้น มือบางจิกเข้าที่เนื้อผ้าด้วยความไม่พอใจ ดวงตาสวยของนางวาววับด้วยความไม่พอใจอย่างที่สุด การกระทำนั้นมันช่างรวดเร็ว หากเพียงกะพริบตาอาการของเยว่เผิงก็จะหายไปเหลือไว้แต่เพียงความนิ่งสงบเท่านั้น

เยว่เผิงไม่รู้เลยว่าทุกๆ การกระทำของนางล้วนตกอยู่ในสายตาของผู้เป็นใหญ่แห่งจวนนี้ทั้งสิ้น แม้ว่าจิ้นเหอจะไม่พูดสิ่งใดออกมา แต่สายตาของเขาก็มองเห็นทุกอย่างได้อย่างดี แม้แต่สิ่งที่เยว่เผิงแสดงออกมาเมื่อครู่ก็เช่นกัน เยว่เผิงข่มความไม่พอใจในแววตาที่พี่เฟยหลงใช้มองสหายผู้มีเส้นผมสีเงิน แววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูราวกับรักใคร่ นางอิจฉา! สายตาเช่นนั้นของพี่เฟยหลงควรเป็นของนางเพียงผู้เดียวสิ มิใช่ของใครอื่น!

“เฟยหลง...เจ้าอิ่มแล้วหรือลูก” เฟยหลงหันมามองใบหน้าของเหม่ยหลินผู้เป็นมารดาก่อนจะยิ้มบางๆ ส่งให้

“ขอรับท่านแม่ ข้าอิ่มแล้ว” ร่างสูงหันมามองใบหน้าของหยางเถาอีกครั้ง ใบหน้างดงามยังคงก้มหน้าลงเช่นเดิมมิยอมเอ่ยพูดคุยใดๆ บนโต๊ะอาหารเชยด้วยซ้ำ มือบอบบางของเจ้าดอกท้อเอาแต่ตักอาหารเข้าปากช้าๆ ไม่สนใจสิ่งใดรอบข้างราวกับนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว

“หยางเถา...เหตุใดเจ้าทานน้อยนักล่ะ หรือเจ้ามิชอบอาหารเหล่านี้?” คนถูกถามได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พยายามสะกดกลั้นอารมณ์น้อยใจและหยาดน้ำตาเอาไว้จนสุดความสามารถ ใบหน้างดงามแหงนเงยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม จะให้ตอบออกไปได้อย่างไรเล่าว่า เพราะเห็นเจ้ากับหญิงงามผู้นั้นข้าก็ทานอะไรไม่ลงแล้ว หากเขาพูดออกไปเช่นนั้น มิแคล้วคงถูกมองอย่างรังเกียจหรือไม่ก็คงถูกห้ามมิให้มาที่นี่อีก

“ไม่ใช่เลย ทุกอย่างอร่อยมาก เพียงแต่วันนี้ ขะ ข้าไม่ค่อยจะหิวเท่าใด” เสียงหวานสะดุดเพียงแค่เห็นภาพตรงหน้าที่เฟยหลงกับเยว่เผิงนั่งชิดใกล้ ช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน เหมาะสมกันเสียจนเขาต้องก้มหน้าลงมองมือของตนเองไว้ แม้คนตรงหน้าทั้งสองจะเหมาะสมกันเพียงใด แต่เขาก็มิปรารถนาจะเห็นภาพอันเป็นดังมีดกรีดลงบนหัวใจได้

เฟยหลงมิได้ถามสิ่งใดต่อ เขาเพียงแค่ยิ้มอย่างนึกเอ็นดูกับการหลบสายตาลงมองมือบนตักตนเองของหยางเถาเท่านั้น เขินอายสิ่งใดกัน ทำราวกับข้ามิเคยจับจ้องใบหน้าของเจ้ามาก่อนไปได้ แต่เฟยหลงก็ไม่คิดจะเย้าแหย่ให้มากกว่านี้ ด้วยเพราะทั้งท่านพ่อและท่านแม่ของเขายังคงนั่งอยู่ด้วย ไหนจะแขกอย่างเยว่เผิงอีก หากเขากระทำเช่นนั้นคงดูมิควร

ความอิจฉาของเยว่เผิงพุ่งสูงจนแทบจะระงับเอาไว้ไม่ได้ เหตุใดพี่เฟยหลงของนางจะต้องใส่ใจเพียงกับชายหนุ่มบอบบางผู้นี้ด้วย ใส่ใจจนเกินคำว่าสหาย นางไม่ชอบเลยสักนิด ไม่ชอบชายหนุ่มผู้นั้น ใบหน้างดงามที่หวานราวกับหญิงสาว เส้นผมสีเงินที่ยาวสลวย กับท่าทางน่ารักที่ดึงดูดสายตาของพี่เฟยหลง นางเกลียดมัน! เกลียดมันทั้งหมด! เกลียดเสียจนอยากจะฆ่าทิ้งเสียให้สิ้นซาก จะได้ไม่ต้องมาทำท่าทางทอดสะพานใส่พี่เฟยหลงของนางอีก! หัวใจของนางเต็มไปด้วยไฟริษยาที่ยากจะดับ สองมือกำเข้าหากันจนแน่นไปหมด

เหม่ยหลินที่มองอยู่นึกไม่ชอบใจสักนิดกับการกระทำของบุตรชายตน หญิงงามอย่าเยว่เผิงอยู่ใกล้ๆ กลับไม่ดูแล เหตุใดจึงได้ไปใส่ใจกับหยางเถา เห็นที ถ้าไม่ทำให้ชัดเจน ไม่พูดออกไปหยางเถาคงมิยอมตัดใจง่ายๆ สินะ เช่นนั้น...นางคงต้องยอมใจร้ายสักหน่อยแล้ว เพื่อชีวิตคู่ในวันข้างหน้าของเฟยหลงและเยว่เผิง แต่ก่อนอื่น...

“เฟยหลง นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าไปส่งเยว่เผิงที่จวนของนางหน่อยเถอะ เป็นหญิงใบหน้างดงามด้วยแล้ว อันตรายเหลือเกิน”

“ได้ขอรับท่านแม่ หยางเถา...เดี๋ยวข้ากลับมานะ” เฟยหลงหันมาบอกร่างบางที่ยังคงนั่งนิ่งๆ ไม่ไหวติงใดๆ

“อะ อืม” เขาเพียงตอบรับในลำคอเท่านั้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองสบตากับเฟยหลงเลยสักนิด

“ไปเถอะเยว่เผิง พี่จะไปส่งเจ้าที่จวน”

“เจ้าค่ะพี่เฟยหลง” นางยิ้มด้วยความเขินอาย ยามได้ยินชื่อของตนที่ออกมาจากปากของพี่เฟยหลง อย่างไรเสียนางก็ถือว่าสำคัญกว่าสหายผู้นั้นของพี่เฟยหลงล่ะ ไม่เช่นนั้น พี่เฟยหลงจะยินยอมทิ้งสหายเอาไว้เบื้องหลังง่ายๆ หรือ รอยยิ้มพึงพอใจของเยว่เผิงปรากฏขึ้นแต่เพียงไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์จนแทบไม่อาจจะสังเกตได้

ทันทีที่เฟยหลงและเยว่เผิงเดินออกไปจากโต๊ะก็เหลือเพียงแค่หยางเถา จิ้นเหอและเหม่ยหลินเท่านั้น เหม่ยหลินมองใบหน้าหวานที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาด้วยแววตาจริงจัง หากใครจะกล่าวว่านางรังแกเด็กชายตัวน้อยก็ช่างปะไร หากมันทำให้เด็กผู้นี้ไปจากเฟยหลงได้ นางยินดีจะทำทุกๆ อย่าง หยางเถารับรู้ถึงบรรยากาศแปลกๆ มันกดดันเสียจนแทบจะไม่มีอากาศเหลือให้ได้หายใจ ร่างบอบบางได้แต่เกร็งเฝ้ารอให้เฟยหลงกลับมาโดยเร็วเท่านั้น

“หยางเถา...” เสียงของเหม่ยหลินเต็มไปด้วยความกดดัน เรียกขานให้เจ้าของชื่อตอบรับ

“ขะ ขอบรับ”

เฟยหลง...เมื่อไรเจ้าจะกลับมา

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเยว่เผิงคือใคร?” เหม่ยหลินเอ่ยถามขึ้นอย่างต้องการจะรู้

“มะ ไม่ขอรับ หยางเถามิทราบ” เสียงหวานสั่นเครืออย่างน่าสงสาร ร่างบางสั่นสะท้านอย่างไม่อาจจะห้ามปรามได้

“เพ่ยเยว่เผิง นางคือผู้ที่จะมาเป็นสะใภ้ขอข้า คือผู้ที่จะมาเป็นภรรยาของเฟยหลง ข้าพูดแบบนี้เจ้าเข้าใจไหม”

เข้าใจหรือ? ทำไมเขาจะไม่เข้าใจล่ะ หยางเถาพยักหน้ารับ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนแน่น อย่าไหลออกมาเชียวนะเจ้าน้ำตา ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะไหล ในตอนนี้ข้าต้องการความเข้มแข็งมิใช่ความอ่อนแอ เจ้าจะอ่อนแอได้ก็ต่อเมื่อเจ้ากลับไปที่ต้นท้อเท่านั้น อดทนไว้หยางเถา เจ้าต้องอดทน

“ขอรับ หยางเถาเข้าใจดี”

เหม่ยหลินยกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อได้ยินเช่นนั้น หากหยางเถาพูดง่ายเช่นนี้ นางคงไม่ต้องพูดอะไรรุนแรง จิ้นเหอนั่งมองปฏิกิริยาของหยางเถาเงียบๆ เหลือบมองฮูหยินของตนด้วยแววตาว่างเปล่าเช่นกัน แต่ไม่มีใครจะรู้ได้เลยว่าจิ้นเหอคิดสิ่งใดอยู่

“เช่นนั้นข้าจะไม่อ้อมค้อม ข้าจะให้เงินเจ้า300ตำลึง ให้เจ้าได้เอาไปไว้ใช้จ่าย เจ้าจะทำอะไรก็ได้ จะออกไปจากเมืองแห่งนี้ หรือ จะออกเดินทาง ก็แล้วแต่เจ้า หรือหากไม่พอข้าจะเพิ่มให้เจ้าเป็น500ตำลึงเป็นอย่างไร” เหวินฉายเบิกตากว้างกับความโหดร้ายที่ได้ยิน พูดมาเช่นนี้มิใช่ว่าปรารถนาให้สหายของนายน้อยผู้นี้ออกไปจากที่นี่หรอกหรือ เหตุใด เพราะเหตุใดกันฮูหยินจึงได้โหดร้ายต่อคุณชายหยางเถาเช่นนี้! เหวินฉายมองใบหน้าหวานที่เศร้าสลดด้วยความสงสาร หัวใจของเหวินฉายเจ็บปวด เขาที่เป็นเพียงคนนอกได้ฟังน้ำตาก็แทบจะไหลออกมา แล้วคนผู้นั้นเล่า บอบบางราวกับดอกไม้ดอกน้อยเช่นนั้น ถูกเหยียบย่ำไร้ความปรานีขนาดนี้ เหตุใดยังคงนั่งก้มหน้าอยู่อีก หากเป็นเขาคงลุกหนีไปแล้ว

นายน้อย! ท่านจะรู้บ้างหรือไม่ว่าสหายที่ท่านมีใจ กำลังเจ็บปวดจนเกินจะเยียวยาแล้วนะ

“ตะ แต่ที่นี่คือบ้านของข้า ข้าไปจากที่นี่ไม่ได้จริงๆ ขอรับ” เหม่ยหลินหน้าตึง ไม่พอใจกับสิ่งที่หยางเถาตอบกลับมา นางหวังให้หยางเถาออกไปจากเมืองนี้ แต่ไม่คิดว่าหยางเถาจะปฏิเสธนาง

“ข้าให้เจ้าไม่พอหรือ? เจ้าจะอยู่ที่นี่ไปไย ในเมื่ออีกไม่นานเฟยหลงก็ต้องแต่งงานกับเยว่เผิงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น...เฟยหลงก็ไม่มีเวลาว่างมาเล่นกับเจ้าเช่นทุกวันนี้อีกแล้ว! ข้าให้เงินเจ้ามากมาย ให้เจ้าออกจากเมืองซิ่นจือไป ข้าหวังดีกับเจ้านะ!”

“หยางเถาทราบดีขอรับ แต่หยางเถาไปจากที่นี่ไม่ได้จริงๆ ท่านป้า...ได้โปรดเห็นใจข้าด้วย”

ตึง!!!!

“อย่ามาเรียกข้าว่าป้า! ต่อไปนี้เจ้าต้องเรียกข้าว่าฮูหยินลู่เท่านั้น คำเรียกขานว่าท่านป้าข้ามีไว้ให้คนที่สำคัญเรียก มิใช่คนอย่างเจ้า!”

เหม่ยหลินหงุดหงิดและโมโห นางเดินออกไปโดยไม่คิดจะหันกลับมามองด้านหลังเลยแม้แต่น้อย ไม่สนใจสิ่งใดอีกเมื่อคนที่นางหวังจะเจรจาตัดขาดสะบั้นสิ่งที่นางเสนอให้อย่างไม่สนใจ หัวใจของนางร้อนรุ่มจนยากจะดับ หยางเถา! เจ้ากล้ามานะที่ปฏิเสธข้า เช่นนั้นก็อย่าหวังความเอ็นดูจากข้าอีกเลย!

จิ้นเหอมองร่างบอบบางที่นั่งกุมมืออันสั่นไหวของตนเอาไว้แน่น ริมฝีปากพึมพำแต่เพียงว่าอดทนไว้ อย่าร้องไห้เท่านั้น ทั้งที่ดวงตากลมสีอำพันแดงก่ำไปหมด การได้นั่งเงียบๆ ทำให้ทุกคนมองว่าเขาไร้ซึ่งตัวตนมันช่างดีเหลือเกิน ทุกๆ อย่างถึงได้เข้ามาในสายตาของเขาทั้งสิ้น เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แต่กลับมีฮูหยินที่รังแกเด็กน้อยที่น่าสงสารที่นั่งตัวสั่นเทาอยู่ตรงนี้ หากผู้ใดได้รู้เขาคงไม่รู้จะแหน้าไปไว้ที่ใด แต่เรื่องนี้เขาจะสอดมือเข้าไปยุ่งไม่ได้ เมื่อคนที่ต้องแก้...คือคนที่ไม่ชัดเจนเองตั้งแต่ต้น สงสัยว่าเขาคงต้องไปคุยกับบุตรชายสักครั้งเสียแล้ว

“หยางเถา เจ้ากลับไปก่อนเถอะ กลับไปพักก่อนคืนนี้” หยางเถาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยมองสบตาของจิ้นเหอที่เต็มไปด้วยความสงสารเต็มอก

“ขะ ขอรับท่านแม่ทัพลู่”

“ส่วนเจ้าเหวินฉาย ออกไปรอรับนายน้อยของเจ้า หากเขามาบอกให้ไปพบข้า ข้าจะรออยู่ที่ห้องหนังสือ!”

“ขอรับนายท่าน!”

หยางเถาก้าวเท้าออกมาจากจิ้นเหอและเหวินฉายอย่างไม่มั่นคง ร่างบอบบางสั่นไปหมดจนแทบจะเดินไม่ไหว น้ำใสๆ ก็พลันจะไหลลงมาตลอดเวลาจนหยางเถาต้องกัดปากกลืนก้อนสะอื้นลงคอไปตลอดทางที่เดินมาหวังเพียงจะกลับไปถึงต้นท้อโดยเร็วที่สุด ยังไม่ได้ ยังอ่อนแอไม่ได้ หัวใจของหยางเถาเจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกิน สวรรค์...ข้าทำสิ่งใดผิดนักหรือ เพียงเพราะข้ารักเขา ข้าผิดหรือไรกัน เหตุใดความรักที่ข้ารู้สึกถึงได้เจ็บปวดขนาดนี้ สิ่งที่ทำให้หยางเถายังคงยังอยู่อยู่ได้คงเป็นเพราะพลังจากจันทราที่ยังคงสาดแสงลงมาอย่างต่อเนื่อง

“อึก! แค่กๆ”

นะ นี่มัน เลือดหรือ สิ่งที่ออกมาจากปากของเขาคือของเหลวสีแดงที่นองอยู่เต็มฝ่ามือบาง เจ็บปวดเหลือเกินเฟยหลง ข้าเจ็บเสียจนอยากจะหายไปให้พ้นๆ หยางเถารู้ตัวดีว่าตนเองนั้นไม่สามารถยืนมองเฟยหลงสวมชุดแต่งงานเดินเข้าพิธีไปกับเยว่เผิงได้ เขาขอวิงวอนให้วันนั้นมาถึงเมื่อครั้งที่ครบหนึ่งร้อยราตรีไปแล้ว เพราะอย่างน้อยในเวลานั้น เขาก็ไม่สามารถอยู่ดูเฟยหลงเข้าพิธีกับใครได้ เพราะตอนนั้นจะเป็นวันที่เขา...ได้หายไปตลอดกาล
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 10. up.20/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 20-11-2018 16:44:04
เหวินฉายยืนรอชะเง้อคอมองหาเฟยหลงด้วยใจที่ร้อนรุ่มราวกับมีใครเอาไฟมาสุมอก สหายของเขาเองหรือก็มิใช่แต่เขากลับรู้สึกเจ็บปวดใจทุกครั้งที่มองเห็นว่าคุณชายหยางเถาผู้นั้นโศกเศร้าจนแทบจะเสียน้ำตา เขาไม่เข้าใจนายน้อย ไม่เข้าใจสักนิดว่าเหตุใดกัน ในเมื่อมิได้พึงใจคุณหนูเยว่เผิงผู้นั้นแล้วเหตุใดจึงมิกระทำใดๆ ให้ชัดเจน นายน้อยของเขาไม่คิดสงสารหนุ่มร่างบางผมสีเงินผู้นั้นเลยหรือ?

คืนนี้เขาเพิ่งจะได้รู้อย่างแน่ชัดแล้วว่า ฮูหยินโหดร้ายเพียงใด เพียงเพื่อให้ได้สมปรารถนาตนเองถึงกับยอมปิดหูปิดตาปิดความรู้สึกที่จะรับรู้อารมณ์ของคุณชายหยางเถา ใบหน้าหวานยามเศร้าสลด ไหล่บอบบางที่สั่นอย่างไม่อาจจะห้าม มันกัดกินจิตใจของผู้ที่ได้มองเป็นอย่างดี เขาเชื่อว่าสาเหตุที่นายท่านเรียกคุยกับนายน้อยก็เพราะเหตุนี้ เพราะทนมองอีกคนโดนกระทำอยู่เงียบๆ ไม่ได้

เฟยหลงเดินกลับมาด้วยใบหน้าอันเปี่ยมสุข เขาส่งเพ่ยเยว่เผิงกลับจวนอย่างปลอดภัยแม้ว่าตลอดทั้งทางจะมิได้พูดคุยกันมากนักเพราะเขาเอาแต่คิดถึงหยางเถาเจ้าดอกท้อที่กำลังรออยู่ที่จวนของเขาก็ตาม เขารีบกลับมาเพราะไม่อยากให้หยางเถาของเขาต้องรอนานนัก ในใจของเฟยหลงคิดถึงจนใจจะขาดอยู่แล้ว คืนนี้เขาอยากร่ำสุราชมจันทร์กับหยางเถาเหลือเกิน อยากจะใช้เวลามองท้องฟ้าไปกับร่างบางเงียบๆ ปล่อยใจให้ล่องลอยไป จันทร์คืนนี้งดงามนัก แต่ไม่ว่าจะคืนใดๆ จันทร์สำหรับเขาก็งดงามเสมอ เพราะจันทร์...ทำให้เขาได้พบกับหยางเถา

เฟยหลงหยุดฝีเท้าลงเมื่อเห็นว่าหน้าประตูมีร่างของเหวินฉายเดินกะส่ายกะสับไปมา เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ? หรือว่าหยางเถาของเขาจะมีปัญหาใดกันแน่? ด้วยความกังวลทำให้เฟยหลงแทบจะกระโจนเข้าไปหาเหวินฉายด้วยความร้อนใจ ฝั่งเหวินฉายที่กำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อกับการกลับมาของนายน้อยก็ยิ่งดีใจยามได้เห็นว่าคนที่ตนรอคอยอยู่นั่นกลับมาแล้ว

“เหวินฉาย เกิดอะไรขึ้น?”

“นายท่านเรียกพบขอรับ นายท่านสั่งว่าหากนายน้อยมาให้ไปพบนายท่านที่ห้องหนังสือขอรับ” เรียกพบ? เพื่ออะไรกัน นี่มีสิ่งใดที่เขาทำผิดพลาดงั้นหรือ บิดาของเขาไม่เคยเรียกพบเขาในยามนี้เลยด้วยซ้ำ แล้วหยางเถาอีกเล่า หยางเถาต้องรอเขานานแค่ไหน

“แล้วหยางเถาเล่า? อยู่กับพ่อข้าหรืออยู่กับท่านแม่?” เหวินฉายหลุบตาลงมองพื้นเอ่ยตอบเฟยหลงด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

“คุณชายหยางเถา...กลับไปแล้วขอรับนายน้อย!” ใบหน้าหล่อขมวดคิ้วจนเป็นปม กลับไปแล้ว? จะเป็นไปได้อย่างไรก็ในเมื่อ...

“ข้าจะไปหาหยางเถา” เฟยหลงขยับหวังจะก้าวไปหาคนที่เขาคิดถึง แต่เหวินฉายกลับเดินมาขวางทางเขาเอาไว้ด้วยสีหน้าลำบากใจ

“นายน้อย...ไปพบนายท่านก่อนเถอะขอรับ นายท่านต้องการจะคุยกับนายน้อยจริงๆ นะขอรับ” เฟยหลงลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเสียงดัง

“ได้! ข้าจะไปพบท่านพ่อก่อน” เมื่อไม่รู้จะทำเช่นไรเฟยหลงจึงยอมเดินตามเหวินฉายเข้าไปพบกับบิดาที่ห้องหนังสือ ในใจของเฟยหลงห่วงเหลือเกินว่าหยางเถาจะเป็นอย่างไรบ้าง จะรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า คืนนี้หยางเถาของเขาเองก็ทานอาหารน้อยเสียจนเขานึกห่วง

เฟยหลงเปิดประตูเข้าไปหาจิ้นเหอที่กำลังยืนรอเขาอยู่ ใบหน้าของจิ้นเหอนั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งการแสดงอารมณ์ใดๆ หากแต่เฟยหลงย่อมรู้ดีว่าการที่บิดาเรียกหาเขาเพื่อพูดคุยนั้น ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“ท่านพ่อ มีเรื่องอันใดหรือขอรับ?” จิ้งเหอหันกลับมามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของบุตรชาย

“มาแล้วหรือ พ่อมีเรื่องจะถามเจ้าเสียหน่อย”

“อะไรรึขอรับท่านพ่อ”

“เฮ้อ...บอกพ่อมาตามตรงนะ เจ้าชอบพอพึงใจกับเพ่ยเยว่เผิงใช่หรือไม่?” เฟยหลงตกใจเมื่อได้ยินคำถามที่ออกมาจากปากของบิดา สิ่งใดกันที่ทำให้ท่านพ่อคิดว่าเขามีใจให้เยว่เผิง

“ลูกคิดกับเยว่เผิงเพียงน้องสาวเท่านั้นขอรับ เหตุใดจึงถามข้าถึงเรื่องนี้ล่ะขอรับท่านพ่อ” จิ้นเหอเลิกคิ้วมองสบตาของเฟยหลงราวกับจะเอ่ยถามถึงความจริงข้างใน จิ้นเหอยอมรับการแสดงออกของเฟยหลงที่มีต่อหยางเถานั้นชัดเจน แต่ต่อให้ชัดเจนเช่นไร...หากมีอีกคนที่ถูกกระทำดีด้วยเฉกเช่นเดียวกัน มันก็คงไม่แปลกที่จะอดคิดไม่ได้ว่า ใครกับแน่ที่บุตรชายเขากำลังมีใจ

“ถ้าเช่นนั้น...เหตุใดแม่ของเจ้าจึงได้พูดกับหยางเถาถึงการแต่งงานของเจ้ากับเพ่ยเยว่เผิงล่ะ”

เฟยหลงนิ่งค้าง ในสมองของเขากำลังประมวลเหตุผลต่างๆ ที่ทำให้แม่ของเขาคิดว่าเขาชอบพอกับเยว่เผิง แต่เขาไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดแม้แต่นิดเดียวที่เขาจะทำเกินกว่าพี่น้อง ถ้าเช่นนั้น เพราะเหตุใดกันล่ะ เพราะเหตุใดท่านแม่จึงได้คิดเช่นนั้น เขาไม่เข้าใจสักนิด

“ท่านพ่อ ข้า...ข้าไม่เข้าใจขอรับ ข้ามิได้ทำอะไรสักนิดที่เป็นสิ่งบ่งบอกว่าชอบเยว่เผิง แต่เหตุใด! เหตุใดท่านแม่จึงเอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานขอรับ ข้าไม่เข้าใจ” จิ้นเหอถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายใจ นี่บุตรชายของเขาโง่เสียจนไม่รู้เลยหรือว่าสิ่งที่กระทำออกไปนั้น มันเกินกว่าพี่น้องนักในสายตาของคนที่หวังจนล้นใจให้เยว่เผิงมาเป็นสะใภ้

“ถ้าจะให้พ่อพูด ทั้งหมดมันเป็นเพราะเจ้าเองนั่นล่ะ เฟยหลง” เฟยหลงไม่เข้าใจ ก็เขามั่นใจว่าไม่ได้ทำสิ่งใดสักนิดเดียว แล้วเหตุใดท่านพ่อจึงบอกว่าเป็นความผิดของเขากัน เฟยหลงมองใบหน้าของบิดาด้วยความไม่เข้าใจ หวังให้บิดาเอ่ยให้เขาได้กระจ่างแจ้ง

“เฮ้อ! เจ้าเอาอกเอาใจแม่นางเพ่ย ไปส่งและดูแล มิหนำซ้ำเจ้ายังไม่เอ่ยสิ่งใดๆ ให้แน่ชัด เจ้ากระทำราวกับการให้ความหวังทั้งนางและแม่ของเจ้า เมื่อครู่ที่โต๊ะเจ้าทำสิ่งใดบ้าง...ไม่เลย! เจ้าไม่ปฏิเสธ เจ้าตักอาหารให้นาง เจ้ายอมทิ้งกายลงเคียงข้างนางละทิ้งสหายของเจ้าเพื่อนาง เจ้าจะบอกพ่อว่าไม่ได้ยินคำเอ่ยของแม่เจ้างั้นรึเฟยหลง?” คำพูดของท่านแม่งั้นหรือ

“เฟยหลง...ตักปลาให้เยว่เผิงบ้างสิ เอาเนื้อไก่ด้วยนะ เจ้าต้องทานเยอะๆ รู้ไหมเยว่เผิง จะได้มีลูกเต็มบ้านเต็มเมือง”

จริงสินะ ท่านแม่พูดเอาไว้เช่นนั้นนี่ แต่เพราะเขาไม่ได้สนใจในความหมายที่แฝงเอาไว้จึงไม่ได้คิดมาก หนำซ้ำเขาเองที่ตอบรับกลับไปด้วยรอยยิ้ม คอยตักทุกสิ่งให้นางได้ทานให้มากๆ เพราะเห็นนางนั้นผอมบางจนแทบจะถูกสายลมพัดให้ล่องลอยออกไป สำหรับคนเป็นพี่เช่นตัวเขาทำไปทั้งหมดก็เพียงหวังดีกับนางดุจน้องสาวคนหนึ่ง แต่เขาคงขีดเส้นมันเอาไว้เบาบางจนเกินไป จนใครๆ ก็มองมันไม่เห็นเส้นบางเส้นนั้น

“ข้าผิดเองท่านพ่อ ข้าผิดเองที่คิดน้อยจนเกินไป ข้า...เสียใจขอรับ” ใบหน้าของเฟยหลงสะท้อนออกมาถึงความเสียใจและเข้าใจในสิ่งที่จิ้นเหอบอก ไม่ใช่ไม่สงสารบุตรชาย แต่หากเขาไม่พูดออกไปเสียให้มันชัดเจน คนที่เจ็บ...ก็คงหนีไม่พ้น ตัวบุตรชายของเขาเอง

“หากเช่นนั้น เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าจะต้องทำเช่นไรต่อไป” เฟยหลงพยักหน้ารับ เขารู้แล้วว่าที่ผ่านมาเขาทำผิดพลาดที่ใด และเมื่อรู้แล้ว...ก็จะไม่มีวันทำพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง

“ขอรับท่านพ่อ แล้ว...หยางเถาล่ะขอรับท่านพ่อ หยางเถาอยู่ที่ใดกัน” จิ้งเหอเหลือบมองเหวินฉายที่ยืนอยู่ทางด้านหลังด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามว่า มิได้บอกเขาไปหรอกหรือไร แต่เหวินฉายส่ายหน้า บางๆ ราวกับจะบอกว่าเจ้าตัวบอกกับบุตรชายของเขาไปเรียบร้อยแล้ว แต่ดูแววตาของเฟยหลงแล้ว คงมิเชื่อเป็นแน่

“หยางเถา...ข้าบอกให้กลับไปเอง”

“ท่านพ่อ!!! เหตุใดกัน เหตุใดท่านพ่อจึงให้หยางเถากลับไป” เฟยหลงร้องเสียงหลงจนแทบจะวิ่งออกไปตามหา แต่จิ้นเหอกลับยกมือขึ้นห้ามเอาไว้ก่อนที่คนตัวโตจะบ่นเสียให้มากความไปกว่านี้

“แล้วเจ้าจะให้เขานั่งรอเจ้าด้วยสีหน้าเจ็บปวดงั้นหรือ? อยากให้เขาเอ่ยถามว่าเป็นเช่นไร แม่นางเพ่ยเยว่เผิงกลับบ้านอย่างปลอดภัยรึไม่ เจ้าดูแลนางดีหรือไม่ ชมลมชมจันทร์งดงามดีหรือไม่ เช่นนั้นหรือ?” เฟยหลงได้แต่เงียบนิ่ง เขามิได้คิดถึงใจของหยางเถาเลยแม้แต่น้อย เขาเจ็บปวดเสียเหลือเกิน

“ไม่ท่านพ่อ แต่ข้าเพียงอยากพบหน้าของหยางเถาเท่านั้น ข้าอยากจะอธิบาย”

“เฮ้อ...เฟยหลง เช่นไรคืนนี้หยางเถาก็คงจะกลับไปที่บ้านของเขาแล้วล่ะ ในเมื่อข้าเป็นคนบอกให้เขากลับไปเอง”

“เช่นนั้นข้าก็จะไปหาหยางเถาขอรับ ข้าไม่อยากจะรออีกแล้ว หากช้าไป ข้ากลัวใจของหยางเถาเหลือเกิน กลัวว่าข้าจะไม่ได้พบเขาอีกแล้วขอรับท่านพ่อ จะขอตัว”

จิ้นเหอได้แต่มองแผ่นหลังของบุตรชายที่ค่อยๆ ก้าวออกไปจากห้อง เมื่อคุยกับบุตรชายเรียบร้อยเช่นนี้คงไม่มีอะไรน่าห่วงอีก สำหรับบุตรชายของเขา เช่นไรแล้ว...ในยามนี้เฟยหลงคงได้เข้าใจในกระทำที่เป็นปัญหาของตนแล้ว จะเหลือก็เพียงแค่ฮูหยินของเขาเท่านั้น และเขาจะต้องไปคุยกับนางให้เร็วที่สุด ก่อนที่เหม่ยหลินจะทำสิ่งใดไปมากกว่านี้

เหม่ยหลินเดินไปมาอย่างกังวล นางไม่ชอบใจสักนิด ไม่ชอบใจที่สุดเมื่อได้รู้ว่าหยางเถาคิดจะขัดใจนาง ทั้งที่นางเอ็นดูราวกับบุตรชาย แล้วเหตุใดกัน เพียงแค่นางสั่งให้ออกไปจากเมืองนี้ เหตุใดจะต้องต่อต้านราวกับว่าผูกติดเอาไว้จนไม่สามารถแยกออกได้ เห็นหน้าตาซื่อๆ มิคิดเลยว่าจะร้ายได้เช่นนี้ นี่คงหวังจะครอบครองเฟยหลง หวังออดอ้อนให้เฟยหลงต้องมนต์หลงใหลไปกับความเดียงสานั่น หึ! นางมิยอมหรอก อย่างไรสะใภ้ของนางก็มีเพียงเยว่เผิงเท่านั้น มิใช่ผู้อื่น!

ประตูห้องถูกเปิดออกด้วยฝีมือของจิ้นเหอผู้เป็นสามี นางหันไปมองด้วยความตกใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นใคร รอยยิ้มของเหม่ยหลินประดับอยู่บนใบหน้า แม้ว่าฝ่ายสามีของนางจะมีเพียงใบหน้าและแววตาเรียบเฉยก็ตาม นางขยับกายหลีกหนีให้สามีของนางได้นั่งเก้าอี้ นางรีบหยิบจับกาน้ำชาและรินมันลงในถ้วยให้จิ้นเหอได้ดับกระหาย

“ท่านพี่ น้ำชาเจ้าค่ะ” จิ้นเหอรับมันมาถือเอาไว้ มิได้ยกขึ้นดื่มแต่อย่างใดจนเหม่ยหลินมองด้วยความไม่เข้าใจ เกิดสิ่งใดขึ้นหรือเปล่านะ?

“ท่านพี่ แล้วลูกเฟยหลงล่ะเจ้าคะ กลับมาจากไปส่งเยว่เผิงหรือยัง”

“กลับมาแล้วล่ะ...” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหม่ยหลินก็ยิ้มแก้มปริ ความปลาบปลื้มเกิดขึ้นในหัวใจของนาง

“จริงหรือเจ้าคะ เช่นนั้น...ข้าว่าจะไปคุยกับเฟยหลงเสียหน่อย” เหม่ยหลินที่กำลังเดินไปหวังจะก้าวไปหาเฟยหลงบุตรชายตนด้วยหัวใจที่ลิงโลด แต่ฝีเท้าก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงอันราบเรียบที่กดดันออกมา

“เจ้าคิดจะทำอะไรรึ เหม่ยหลิน” ใบหน้าของเหม่ยหลินซีดเซียวค่อยๆ หันกลับไปมองสามีช้าๆ อย่างหวาดกลัว นางไม่รู้เลยว่าทำอะไรผิด เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าถูกโกรธเช่นนี้

“ข้าหรือ...ข้าทำอะไรกัน?”

“ข้าได้ไถ่ถามลูกมาแล้ว เฟยหลงบอกกับข้าเองว่า...มิได้ชอบพอหรือมีใจให้เยว่เผิงดังที่เจ้าว่าสักนิด แล้วเหตุใด! เหตุใดเจ้าจึงได้กล่าวคำโป้ปดทำร้ายจิตใจเด็กหนุ่มผู้นั้นด้วย!” เหม่ยหลินสะดุ้งกับน้ำเสียงดุดันที่ผู้เป็นสามีกล่าวออกมา สีหน้าของจิ้งเหอนั่นเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างชัดเจน การกระทำของเหม่ยหลินนั้น...เป็นสิ่งที่ฮูหยินแห่งแม่ทัพใหญ่ไม่ควรกระทำสักนิด

“ข้าหรือเจ้าคะที่โป้ปด ท่านพี่เข้าใจผิดแล้ว เฟยหลงมีใจให้เยว่เผิงแน่นอน ท่านพี่มิเห็นหรือ...เฟยหลงใส่ใจเยว่เผิงขนาดไหน ขนาดข้าช่วยเปิดทางให้เฟยหลงยังยินดีตอบรับมันอย่างเต็มใจ แล้วเช่นนี้จะเรียกว่าข้าโป้ปดได้อย่างไรเจ้าคะ”

“เจ้าแน่ใจได้อย่างไรเหม่ยหลิน เพียงแค่นั้นก็ทำให้เจ้าแน่ใจจนถึงขนาดทำร้ายสหายของบุตรชายตนเองเลยหรือ? จิตใจเจ้าทำด้วยอะไร มิเห็นใบหน้าแสนเศร้าหรือเหม่ยหลิน เจ้ามิเห็นเลยหรือว่าเขาเจ็บปวดแค่ไหน!” เหม่ยหลินเชิดใบหน้าขึ้น นางไม่สนใจหรอกว่าเด็กนั่นจะเจ็บเพียงใด หากมิอยากเจ็บปวดก็อย่ามายุ่งกับลูกชายของนางสิ ให้เงินก็ไม่รับ สั่งให้ออกไปจากเมืองก็ไม่ไป เช่นนี้มิใช่ว่าต้องการท้าทายนางหรอกรึ?

“ข้ามิเห็นเจ้าค่ะ ข้าเห็นเพียงแค่ความโอหังของเด็กคนนั้นเท่านั้น ข้ารึอุตส่าห์หยิบยื่นเงินทองให้ เพียงแค่แลกกับการที่ยอมออกไปจากเมืองนี้ แต่ท่านพี่ก็เห็น เด็กคนนั้นปฏิเสธข้า! เขาท้าทายข้านะ!” ยิ่งคิดเหม่ยหลินก็ยิ่งคับแค้นใจ สองมือกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ แต่มันมิได้ทำให้ความโมโหลดลงเลยแม้แต่น้อย

“เฟยหลงเป็นผู้เอ่ยปากบอกข้าด้วยตนเองว่า มิได้มีใจให้กับเพ่ยเยว่เผิงผู้นั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ และหยุด! หยุดทำสิ่งที่ตัวเจ้าทำอยู่! อย่าให้ผู้อื่นว่าเอาได้ว่า ฮูหยินลู่ภรรยาแม่ทัพใหญ่ของข้าไร้ซึ่งหัวใจ!”

“ท่านพี่!! ข้าไม่เชื่อ!...ข้าจะไปคุยกับลูกเอง! ข้ามิเชื่อหรอกว่าเฟยหลงจะกล่าวเช่นนั้น ต้องเป็นเพราะท่านพี่เห็นใจต่อหยางเถาเป็นแน่! ข้ามิเชื่อ” เหม่ยหลินหันหลังและก้าวเดินเพื่อจะไปไถ่ถามเอาจากปากบุตรชายของนาง

“เหม่ยหลิน!”

แต่นางหาได้สนใจเสียงเรียกจากผู้เป็นสามีไม่ นางยังคงก้าวเดินต่อไปไม่มีแม้แต่หางตาที่จะมองกลับมาสักนิด ในใจของนางเต็มไปด้วยความขัดเคืองใจ นางจะไม่มีวันเชื่อ ไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดว่าเฟยหลงมิได้มีใจต่อเยว่เผิง จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ก็ในเมื่อ...ทุกการกระทำและคำพูดของเฟยหลงล้วนบ่งบอกให้นางได้คิดว่าเฟยหลงเองก็มีใจต่อเยว่เผิงขนาดนั้น มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ







 •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•
[/b] 









เฟยหลงหยุดอยู่เบื้องหน้าต้นท้อต้นใหญ่ที่กิ่งก้านประดับไปด้วยดอกท้อสีชมพูที่กำลังเบ่งบานรับแสงจันทร์ เฟยหลงมองด้วยแววตาสั่นไหว เพียงแค่เขาคิดถึงเหตุการณ์บนโต๊ะอาหารเขาก็ปวดใจเหลือเกินเมื่อต้องคิดว่า...หยางเถาจะรู้สึกเช่นไร ร่างบอบบางทานอาหารน้อยลง แต่เขากลับคิดว่าอาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยหิวหรืออาจจะไม่ชอบเท่าซาลาเปา แต่ถ้าเขาใส่ใจต่อหยางเถาอีกนิด เขาก็คงจะมองเห็นความผิดปกติของหยางเถา

“หยางเถา...”

เสียงหวานดังแผ่วออกมาจากปากของเฟยหลง สายลมผัดผ่านร่างของเขาบางๆ จนราวกับถูกสัมผัส หากแต่เขารู้ดีว่า จิตใจที่บอบช้ำจากคนที่อยู่ในต้นไม้นั้น ยังไม่สามารถจะโอบกอดเขาหรือปลอบโยนเขาได้ เพราะฉะนั้น...ลมก็เป็นเพียงแค่ลม มิใช่อ้อมแขนเล็กๆ เย็นๆ ของเจ้าดอกท้อของเขา

เฟยหลงขยับร่างเข้าไปใกล้ๆ ฝ่ามือยกขึ้นลูบเปลือกไม้อย่างปลอบโยน หยางเถากำลังร้องไห้ เจ้าดอกท้อของเขากำลังเสียใจแต่เขาทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง เพียงแค่จะเช็ดน้ำตาของหยางเถาเขายังไม่สามารถทำได้ หัวใจของเฟยหลงเจ็บปวดอย่างที่สุด เขาอยากเห็นใบหน้าของหยางเถา อยากจะพูดคุยให้อีกคนได้เข้าใจเหลือเกิน ว่าเขามิได้จะแต่งงานกับผู้ใด หัวใจของเขามีเพียงแค่ดอกท้อเพียงดอกเดียวเท่านั้น

“หยางเถา ออกมาพบข้าเถอะ ข้าอยากคุยกับเจ้าเหลือเกิน” เสียงทุ้มของเฟยหลงสั่นสะท้าน ดูอ่อนแรงจนน่าสงสาร ทว่าหัวใจที่แหลกสลายของร่างบอบบางในต้นท้อต่างหากที่น่าเห็นใจ ข้อนี้ลู่เฟยหลงรู้ดี

“ได้โปรด...อย่าทรมานข้าเช่นนี้เลย เพียงเจ้าฟังข้าอธิบาย เพียงเจ้าฟังข้า ได้โปรดหยางเถา ออกมาหาข้าเถอะ” แต่ไม่ว่าจะพูดเช่นไรก็ไร้ซึ่งเงาของผู้กุมดวงใจของเขา

หยางเถาสะอื้นไห้ สองมือถูกยกขึ้นปิดหูเอาไว้แน่น เขาไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยินสิ่งใดอีกแล้ว เพียงเท่านี้...ใจของเขาก็เจ็บจนเกินจะทนไหวอีกแล้ว เขาไม่อยากรู้ว่าเฟยหลงรักนางเพียงใด ไม่อยากรู้ว่าต่อไปจะทำเช่นไร เขาเพียงอยากอยู่เงียบๆ อยากหยุดความปวดร้าวนี้เหลือเกิน อยากให้มันหยุดเสียที หยางเถากางกั้นอากาศขึ้น ปิดกั้นทั้งความรู้สึกที่เฟยหลงส่งผ่านมา ปิดกั้นเสียงที่พร่ำเรียกหาเขาอยู่ตลอดเวลา ปิดกั้น...แม้แต่ดวงตาที่จะได้มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยเช่นนี้ เขาไม่อยากรับรู้ถึงมันอีกแล้ว ไม่อยากรับรู้อีกแล้ว

เฟยหลงตะลึงเมื่อฝ่ามือถูกขวางกั้นด้วยม่านบางๆ ที่ไม่ต่างจากอากาศ ไม่ว่าจะพยายามเอื้อมไปมากเพียงใด ก็มิอาจไปถึงเปลือกไม้ของลำต้นท้อได้ หัวใจของลู่เฟยหลงหวาดกลัวขึ้นมาจนจับใจ สิ่งที่ถูกขวางกั้นคงจะมิใช่เพียงแค่ตัวเขาที่ต้องห่างจากต้นท้อ แต่คงจะเป็นความสัมพันธ์ของเขาและหยางเถาด้วยเช่นกัน และเพราะมันคือสิ่งที่หวาดกลัวจับใจ ลู่เฟยหลงจึงมิอาจจะนิ่งเฉยได้

“หยางเถา อย่าทำเช่นนี้ ข้าขอร้อง” เฟยหลงแทบเสียสติกับสิ่งที่เห็น สองมือของเฟยหลงทุบกำแพงอากาศด้วยความเจ็บปวด ปากก็พร่ำเรียกร้องอ้อนวอนให้อีกคนใจอ่อนและเห็นใจ

“ขอร้อง หยางเถา ออกมาจากต้นท้อเถอะ ออกมาหาข้า ข้ารักเจ้า! ได้ยินข้าหรือไม่!!” แต่แม้จะป่าวร้องตะโกนออกไปเช่นไรก็เสียแรงเปล่า เฟยหลงทรุดกายลงกับพื้นดินอย่างหมดเรี่ยวแรง เฟยหลงเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้ากว้างอย่างปวดร้าว ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอย่างช้าๆ น้ำตาของบุรุษที่เขามิเคยเสียมันให้กับผู้ใด แต่วันนี้…มันไหลเพื่อคนผู้เดียวเท่านั้น คนที่สำคัญสุดหัวใจ

“ข้ารักเจ้าหยางเถา ข้ามิได้รักเยว่เผิงแม้แต่น้อย ออกมาหาข้า... มาหาข้า”

น้ำเสียงสั่นเครือไปด้วยความทรมาน เฟยหลงรู้แล้วว่าตนผิด หากแต่มันก็สายไปสินะที่เขาจะได้อธิบาย เขาทำร้ายหยางเถามามากมายเท่าไร ทั้งคำพูด การกระทำ ทุกสิ่งที่เขาทำนั้นล้วนแต่ทำร้ายคนที่เขารักหมดหัวใจ ในเวลาที่เขาควรอธิบาย เขากลับเมินเฉยและกระทำเช่นเดิมจนเจ้าดอกท้อของเขาเจ็บปวดจนเกินจะรับไหว ในเวลานี้...เขาไม่เหลือโอกาสแม้จะได้กล่าวคำใดๆ เจ้าดอกท้อของเขาก็ปิดรับทุกความทุกข์ใจไปจนหมดสิ้น กางกั้นขวางเขาให้ออกห่างจากบาดแผลในหัวใจดวงน้อย

ภาพทุกภาพช่างดูหดหู่ยิ่งนัก ความรักช่างดูสวยงามในบางเวลาแต่ก็มิได้อยู่ในรูปลักษณ์ที่สวยงามตลอด ในเวลานี้ มีเพียงหยาดน้ำตาที่หลั่งไหลจากคนทั้งสองคน แม้จะคนหนึ่งจะถูกขวางกั้นเอาไว้แต่ก็มิได้เจ็บปวดน้อยไปกว่าคนด้านในต้นท้อเลยสักนิด แม้จะปิดกั้นการรับรู้ทั้งปวงแต่ก็ไม่อาจจะปิดกั้นความปวดร้าวที่กัดกินหัวใจอยู่ได้ เฟยหลงร้องไห้และทุบกำแพงอากาศอย่างบ้าคลั่ง ปากพร่ำเรียกหาเพียงชื่อของหยางเถาเท่านั้น โดยมิรู้เลยว่า มีใครบางคนกำลังช็อกและมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจเพียงใด

หยางเถามิใช่มนุษย์ เด็กคนนั้นเป็นปีศาจ! ปีศาจ!!







 TBC 





 กราบคุณพ่อค่ะ พร้อมกับตะโกนว่า เฟยหลงเอาแม่เธอไปเก็บเดี๋ยวนี้!!!!!! มันน่าจับตบจริงๆ ฮึ่ม!!!

  

Facebook : https://m.facebook.com/PassionateFiction/ 

Twitter : https://mobile.twitter.com/little_kittensY  

หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 11. up.20/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 20-11-2018 16:46:50
[11]

อากาศด้านนอกเริ่มหนาวเย็นเสียจนเหวินฉายต้องถูมือของตนเองเพื่อลดความเย็นที่กำลังเล่นงาน สองเท้ารีบก้าวเดินเพื่อไปยังจุดนัดพบที่เขานั้นได้ให้สัญญากับเจ้าพวกเด็กๆ ทั้งสามเมื่อคราวก่อน เหวินฉายยิ่งนึกถึงช่วงเวลานั้นก็ยิ่งไม่ชอบใจ เจ้าลูกเต่าลี่ฟู่กล้าดีอย่างไรมาบอกว่าเป็นสหายของเขา วันก่อนยังทำเป็นจดจำเขาไม่ได้ แล้วเหตุใดวันนั้นจึงมาช่วยเหลือเขา ให้เขาได้เป็นหนี้บุญคุณอีก ไม่ชอบใจเลยสักนิด

สองเท้าของเขาหยุดชะงัก...เมื่อคนที่ควรรอเขาอยู่นั้นควรจะมีอยู่เพียงสาม แต่ในคราวนี้กลับมีถึงสี่คน! สี่คนได้อย่างไร เจ้าบ้านั่นจะมาอีกทำไมกันนะ! เหวินฉายได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันสองขาแทบจะก้าวไปข้างหน้าไม่ไหว อยากจะถอยหลังแล้ววิ่งหนี แต่ท่าทีที่ดีใจของพวกเว่ยเอี้ยนทำไมขาของเขายังคงก้าวไปข้างหน้าแม้ว่าใจเขาจะไม่ต้องการก็ตามที

“พี่เหวินฉายยยยยยยยยย” เด็กๆ ทั้งสามวิ่งเข้ามาหาเหวินฉายที่มีสีหน้าลังเล แต่เมื่อเห็นร่างของเด็กๆ วิ่งเข้าหาก็ยิ้มรับด้วยความใจดี

เฉินลี่ฟู่รวบพัดเข้าสู่มือพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก เขาทำเป็นมองไม่เห็นความลังเลในแววตาของเหวินฉาย ยังคงยิ้มบางๆ ไปให้ด้วยความสุนทรีย์ เขารู้มาจากเด็กๆ ที่วิ่งเข้าไปหาเขาด้วยความดีใจจนเก็บเอาไว้ไม่อยู่ว่า ฉายเอ๋อร์ของเขากำลังจะพาเด็กน้อยทั้งสามไปซื้อเสื้อผ้าและข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ให้ แล้วงานนี้มีหรือจะขาดเขาไป ไม่มีทางเสียหรอก เช่นไรเสีย...เขาก็จะตามไปด้วยให้ได้

“พี่เหวินฉายของรับ พี่ลี่ฟู่ขอไปด้วยนะขอรับพี่เหวินฉาย หากว่าท่านจะอนุญาต” หานฟงเอ่ยขออนุญาตจากพี่ชายด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เขาชอบพี่ลี่ฟู่ พี่ลี่ฟู่ช่วยพี่เหวินฉายจากการถูกดูแคลน เขาจึงพอใจกับพี่ชายลี่ฟู่มากเสียจนไม่ว่าจะไปที่ใดก็อยากจะให้พี่ชายลี่ฟู่ไปด้วยเช่นกัน

ในวันนี้ที่ได้เข้าไปหาพี่ชายลี่ฟู่ที่จวนนั้น เขาอดตะลึงกับความใหญ่โตของมันไม่ได้ ซ้ำยังมีสวนที่กว้างเสียจนหากเขาและเว่ยเอี้ยนมาเล่นฝึกยุทธ์กันที่นี่ก็คงสนุกแน่ แต่มันก็มิใช่จวนของเขา ในใจของเขาจึงได้หมองหม่นลง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น...หานฟงก็ยังคงยิ้มและวิ่งเข้าไปขอพบพี่ชายลี่ฟู่และเล่าให้ฟังถึงเรื่องตื่นเต้นสำหรับพวกเขา

พี่ชายลี่ฟู่ต้อนรับพวกเขาด้วยขนมและน้ำ มันช่างอร่อยเสียจนคิดว่ามิเคยได้ลิ้มรสความอร่อยเช่นนี้จากที่ไหนมาก่อน ขนมหกชิ้นที่อยู่ในจานหมดลงอย่างรวดเร็ว ปากเล็กๆ ของเขาเคี้ยวไปก็เล่าไปด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข จนคนฟังอย่างพี่ชายลี่ฟู่ยิ้มตาม

“เอ่อ...ข้าว่า คงไม่ดีนักหรอกนะ” หานฟงเอียงคอถามด้วยความสงสัย ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาจากการถูกชะล้างตั้งแต่จวนของพี่ชายลี่ฟู่นั่นช่างดูน่าเอ็นดู

“ทำไมล่ะขอรับพี่เหวินฉาย”

“เอ่อ เพราะว่า...เพราะ เอ่อ ใช่แล้ว! เพราะว่าหากพี่ลี่ฟู่ของพวกเจ้าไปด้วย เช่นนั้นบางทีข้าอาจจะต้องซื้อให้เขาด้วยอย่างไรล่ะ และหากเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็ พวกเจ้าก็จะได้ของน้อยลงเพราะตัวพี่ลี่ฟู่ของพวกเข้านั้นตัวใหญ่ม๊ากมาก ค่าชุดก็ต้องแพ๊งแพง พวกเจ้าว่าจริงหรือไม่?” เด็กๆ ชะงักและคิดตามที่เขาว่า สายตาของหานฟง เว่ยเอี้ยนและอี้เหมยหันไปมองรูปร่างของพี่ชายลี่ฟู่ของพวกเขาก่อนจะพยักหน้ารับ พี่ชายลี่ฟู่ตัวใหญ่จริงๆ เช่นนั้นคงกินเงินไปหลายอีแปะ แล้วพวกเขาก็คงไม่ได้ซื้อ เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีล่ะ

เฉินลี่ฟู่เลิกคิ้วมองด้วยความขบขันกับเหตุผลที่อีกฝ่ายยกมาเป็นข้ออ้างเพื่อกีดกันไม่ให้เขาตามไปด้วย แต่ฉายเอ๋อร์น้อยคงจะลืมไปเสียแล้วว่าเขาคือใคร คุณชายใหญ่แห่งสกุลเฉินน่ะหรือจะให้ใครซื้อเสื้อผ้าข้าวของให้ ต้องเป็นเขาหรือเปล่าที่ต้องซื้อให้แทน ใครๆ ต่างเรียกร้องเอาจากเขามากมายหลากหลายอย่าง ทั้งเครื่องประดับ เสื้อผ้าอาภรณ์หรือแม้แต่...ตัวของเขาเอง

แต่นี่อะไร ฉายเอ๋อร์น้อยของเขากลับเอาแต่หนี หลีกหนีไปทางใดได้ก็ไม่ลังเลสักนิด แต่คนอย่างเฉินลี่ฟู่ หากเขาปรารถนาจะครอบครองสิ่งใดหรือผู้ใด ต่อให้มันยากเย็นจนต้องลุยไฟเข้าไปช่วงชิง เขาก็ไม่เกรงกลัวสักนิดเดียว

“พี่ชายลี่ฟู่ขอรับ เช่นนั้นข้าคงให้พี่ชายไปด้วยไม่ได้เสียแล้วขอรับ” หานฟงเอ่ยด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย

“อ้าว! ทำไมล่ะ ไหนเจ้าว่าอยากให้ข้าไปด้วยมิใช่หรือ” เฉินลี่ฟู่แสร้งทำท่าทีตกใจและเสียใจราวกับว่าช่างเป็นคำกล่าวที่ทำร้ายจิตใจของเขาเหลือเกิน

“แต่พี่เหวินฉายบอกว่าหากพี่ชายลี่ฟู่ไปกับพวกข้า พี่เหวินฉายจะต้องจ่ายค่าเสื้อผ้าข้าวของให้พี่ชายลี่ฟู่ด้วย และมันก็จะแพงมากเพราะพี่ชายตัวใหญ่ แล้วเงินที่จะใช้ซื้อเสื้อผ้าข้าวของให้พวกข้าก็จะหมดไปขอรับ” เฉินลี่ฟู่แสร้งทำท่าครุ่นคิดก่อนจะยิ้มออกมาด้วยแววตาวาววับ ฉายเอ๋อร์น้อย จะกำจัดข้าออกไปมิใช่เรื่องง่ายหรอกนะ หึหึ

“เช่นนั้น...ให้ข้าซื้อให้พวกเจ้าแทนดีหรือไม่? ทั้งเจ้าทั้งสามคนและ...พี่เหวินฉายของพวกเจ้าด้วย” เด็กทั้งสามตาโตหันมามองหน้ากันด้วยความดีใจจนรอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้า ป่าวร้องไชโยจนเสียงดัง

“ไชโย๊!! เช่นนี้พี่ชายก็จะไปกับพวกข้าได้แล้วขอรับ ไปกันเถอะขอรับพี่ชายลี่ฟู่!” เว่ยเอี้ยนลากแขนของลี่ฟู่อย่างแรง แต่แรงของเด็กน้อยหรือจะสามารถลากบุรุษที่เรือนร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นไปได้ นอกเสียจากว่า...จะยินยอมเดินตามไปอย่างเต็มใจ

เหวินฉายเบิกตากว้างงุนงงกับการกระทำของหานฟงที่ลากเอาร่างกายใหญ่โตของเฉินลี่ฟู่มาด้วย ก็ไหนว่าเข้าใจแล้ว ทำไมยังลากคนผู้นั้นมาด้วยอีกเล่า! เหวินฉายแทบจะยืนไม่ติดพื้นใบหน้าเลิ่กลั่ก ปากบางถูกขบเม้มจากเจ้าตัวด้วยความครุ่นคิด ไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจเลย

“พี่เหวินฉายๆ พี่ชายลี่ฟู่บอกว่าจะเป็นคนซื้อให้เองขอรับ เช่นนี้พี่ชายลี่ฟู่ก็ไปด้วยได้แล้วใช่ไหมขอรับ” เว่ยเอี้ยนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“พี่ชายลี่ฟู่บอกว่าจะซื้อให้พี่ด้วยนะเจ้าคะ ฉีอันอันเองก็ดีใจมากเลย” เจ้าตุ๊กตามอมแมมถูกกอดจนแน่นแก้มกลมๆ ของอี้เหมยเบียดเข้ากับใบหน้าของฉีอันอันด้วยความดีใจดั่งคำกล่าวจริงๆ

“จริงด้วยขอรับ เช่นนี้พี่เหวินฉายก็มิต้องเสียเงินแล้ว แถมยังจะได้เสื้อผ้าใหม่ๆ อีก เพราะพี่ชายลี่ฟู่จะซื้อให้เองขอรับ ข้ามีความสุขม๊ากมากเลย”

“ว่าอย่างไรฉายเอ๋อร์ คราวนี้พี่ไปด้วยกับเจ้าได้หรือยัง หืม?” เหวินฉายถลึงตาใส่ด้วยความไม่พอใจ จะให้เอ่ยอะไรได้อีก ก็เล่นดักทางเขาไปแบบนี้จะขัดได้อย่างไร เหวินฉายสะบัดหน้าหนีต้นเหตุแห่งความไม่พอใจที่ถูกรุมล้อมด้วยพวกเด็กๆ ความรักของเหล่าเด็กน้อยตกเป็นของเฉินลี่ฟู่จนหมด ไม่หลงเหลือให้คนที่มาก่อนอย่างเหวินฉายสักนิด

น่าโมโห มันน่าโมโหยิ่งนัก

ไหนจะใบหน้าที่ยิ้มออกมารสวกับผู้ชนะนั่นอีก เขาเกลียดแสนเกลียดเสียจนอยากจะฉีกเจ้าลูกเต่านั่นให้เป็นชิ้นๆ เสียเหลือเกิน แต่เขาก็ทำสิ่งใดไม่ได้ ได้แต่ทนกักเก็บความไม่พอใจนี้เอาไว้ สองเท้าก้าวต่อไปข้างหน้าก็เท่านั้น ทุกอย่างมันช่างผิดแผนไปเสียหมด ทำไมชีวิตของเหวินฉายจะต้องผูกติดกับเจ้าบ้าลี่ฟู่ไปถึงไหนกันนะ เมื่อไรถึงจะกำจัดเจ้าบ้านี่ให้พ้นๆ ได้เสียที

อยากจะตะโกน อยากจะร่ำร้องให้โลกรู้เหลือเกินว่าเขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเจ้าบ้าลี่ฟู่ผู้นี้สักนิด หากมีหนทางใดที่เขาจะหลุดพ้นจากเจ้าลูกเต่านี่ เขาจะไม่ลังเลที่จะทำ ขอเพียงไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเจ้าบ้าลี่ฟู่อีก สิ่งใดเขาก็ยอม แต่ก่อนหน้านั้น...คงต้องหาทางตอบแทนบุญคุณครั้งนั้นเสียก่อนสินะ คนอย่างเหวินฉายจะไม่ยอมติดหนี้บุญคุณต่อเฉินลี่ฟู่เป็นแน่ ไม่มีทาง

โอ้สวรรค์ โปรดนำเขาออกไปจากชีวิตของข้าด้วยเถอะ ข้าไม่อยากมีเขาอยู่ในชีวิตจริงๆ







 •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• 









เหวินฉายหน้าง้ำงอมาตลอดทางโดยไม่มีผู้ใดให้ความสนใจเขาแม้แต่น้อย เหล่าเด็กๆ ทั้งสามต่างพากันห้อมล้อมหน้าหลังของเจ้าลูกเต่าลี่ฟู่เสียหมด ไม่รู้ว่าเจ้าบ้านั่นมีสิ่งใดดีหนักหนา หานฟง เว่ยเอี้ยนและอี้เหมยจึงได้ถูกอกถูกใจเฉินลี่ฟู่นัก! เขาหรือออกจะรำคาญเสียด้วยซ้ำไป ยิ่งได้มองสบตาที่ปรากฏแววตาแห่งชัยชนะยิ่งอยากจะหักคอทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด

ยิ่งเหวินฉายก้าวเดินด้วยความรวดเร็วเท่าไหร่ ตัวลี่ฟู่เองก็เร่งฝีเท้าตามร่างบางไปเช่นกัน ใจเขาอยากจะเดินเคียงข้างกับร่างเล็กๆ นั่นเสียเหลือเกิน อยากจะรวบเอวบางเข้ามาในอ้อมแขนเพียงเพื่อจะประกาศให้ผู้คนได้รู้ว่าเหวินฉายเป็นของเขา แต่เขาก็ไม่คิดจะทำและถึงแม้จะคิดก็ควงจะทำไม่ได้ เพราะรอบตัวเขาเต็มไปด้วยคำพูดเจื้อยแจ้วของเหล่าเด็กน้อยทั้งหลาย

“ข้านะ...ชอบดาบเป็นที่สุด ทุกๆ วันข้ากับหานฟงมักจะหาไม้มาเล่นกัน พี่ชายลี่ฟู่ แล้วท่านล่ะ? เล่นอะไรบ้างหรือไม่ขอรับ?”

“ข้าหรือ? ข้าชอบเล่น...กับพี่เหวินฉายของพวกเจ้าเสียมากกว่า และต้องเล่นบนเตียงเสียด้วย หึหึ” คำพูดของลี่ฟู่เรียกสายตาดุๆ ที่หันกลับมามองของเหวินฉายได้อย่างดี แต่เขาไม่ได้เกรงกลัวต่อสายตานั้นเลยสักนิด เขากลับส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้จนอีกฝ่ายต้องหันหน้ากลับไปด้วยซ้ำ

เหวินฉายใบหน้าเห่อร้อน ทำไมเขาจะไม่รู้เล่าว่าความหมายของคำว่าเล่นบนเตียงเป็นอย่างไร เจ้าคนลามก! เขาอยากจะผ่าสมองของเฉินลี่ฟู่ออกมาดูเสียเหลือเกินว่าเหตุใดจึงได้มีแต่เรื่องลามกกัน ใบหน้าของเหวินฉายขึ้นสีระเรื่อแม้ว่าจะพยายามสลัดเอาความคิดบ้าๆ ออกไปสักเท่าไร มันก็ไม่เป็นผล เฉินลี่ฟู่ช่างมีออิทธิพลกับความรู้สึกของเขาเหลือเกิน ความรู้สึกที่เขามีต่อเฉินลี่ฟู่นั่นมันรุนแรงและเกิดขึ้นง่ายๆ ราวกับเพียงแค่สะกิดเบาๆ ก็รู้สึกได้ ไม่ว่าจะเป็นความเกลียดชังหรือแม้แต่ความรู้สึกกระดากอายก็ตาม

ในที่สุดทั้งเหวินฉาย เฉินลี่ฟู่และเด็กๆ ทั้งสามคนก็เดินมาจนถึงร้านสำหรับขายเสื้อผ้า เด็กๆ ทั้งสามต่างไม่รีรอสักวินาที พวกเขาวิ่งเข้าไปทางด้านในด้วยความตื่นเต้นจนเหวินฉายห้ามเอาไว้ไม่ทัน ครั้นจะวิ่งตามเข้าไปก็ถูกมือใหญ่ของเฉินลี่ฟู่จับเอาไว้และดึงเข้าไปจนแผ่นหลังบางชนเข้ากับอกแกร่ง กลิ่นหอมจากกายของบุรุษใหญ่ซึ่งผ่านสนามแห่งรักมามากมายช่างเย้ายวนน่าหลงใหล

กลับกันแล้วสำหรับเฉินลี่ฟู่กลิ่นหอมจากกายของเหวินฉายนั้นช่างบริสุทธิ์เสียจนอดเผลอสูดดมเข้าไปไม่ได้ ความบริสุทธิ์ที่น่าเสน่หาเช่นนี้เขาไม่เคยได้พบจากหญิงงามนางใดหรือแม้แต่บุรุษผู้ใดสักคน เหวินฉายของเขานั้นช่างดึงดูดอารมณ์ปรารถนาได้ดีเสียเหลือเกิน จนแทบจะระงับความต้องการเอาไว้ไม่ได้

เขาไม่รู้ว่าบรรยากาศรอบตัวที่เขาปล่อยออกมานั้นเป็นเช่นไร แต่สิ่งที่ดึงสติของเขากลับมาคือร่างกายเล็กๆ ที่กำลังสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขนของเขา เขาก้มลงมองเหวินฉายที่ถูกแขนของเขารวบรัดก่ายกอดอยู่หน้าร้านจนเรียกสายตาจากผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้ดี กลิ่นหอมจากร่างกายของเหวินฉายทำให้เขาหลงลืมไปสินะ

เหวินฉายไม่กล้าดิ้นรนออกจากอ้อมแขนใหญ่ ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอาย ความกดดันที่แผ่ออกมาจากเฉินลี่ฟู่ทำให้ร่างกายทั้งร่างของเขาร้อนรุ่ม หัวใจของเหวินฉายเต้นแรงจนกลัวว่าอีกคนที่กำลังกอดเขาไว้นั่นจะได้ยินและล้อเลียนเขาออกมา

“หากเจ้ายืนนิ่งเช่นนี้...ข้าจะคิดว่าเจ้าชอบนะฉายเอ๋อร์” เสียงทุ้มที่เอ่ยกระซิบอยู่ริมใบหูทำให้สติของเหวินฉายกลับมา ร่างเล็กสะบัดตัวออกทันทีใบหน้าหวานเริ่มแดงด้วยความไม่พอใจ

“ข้าไม่ได้ชอบ!”

“หึหึ...”

เสียงหัวเราะในลำคอของลี่ฟู่มันช่างยั่วอารมณ์โมโหของเขาเหลือเกินจนร่างเล็กของเหวินฉายต้องรีบสาวเท้าเดินหนีเข้าไปหาเด็กๆ ทั้งสามที่อยู่ในร้านแทน ภาพอันแสนน่ารักที่ชวนให้อมยิ้มช่างให้ความรู้สึกดีเสียจนทุกสายตาที่มองมาต้องหัวเราะด้วยความเอ็นดู

“นายน้อยเฉิน ยินดีต้อนรับขอรับ ไม่ทราบว่าวันนี้นายน้อยต้องการกี่ชุดหรือขอรับ” ฉินฟงเจ้าของร้านผ้าใหญ่ที่สุดในเมืองซิ่นจือออกมาต้อนรับเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนร้านของตนเองนั้นคือนายน้อยลี่ฟู่แห่งสกุลเฉินผู้ร่ำรวย หลายต่อหลายครั้งที่นายน้อยเฉินแวะเวียนมาซื้อเสื้อากับร้านของเขา จนเรียกได้ว่าค้าขายกันมานานนม โดยปกติแล้วเขาจะสั่งให้คนนำไปส่งให้นายน้อยเฉินถึงจวน แต่คราวนี้กลับมาด้วยตนเองจึงทำให้ฉินฟงรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย

“วันนี้ข้าพาสหายและน้องชายของสหายข้ามา ยังไงเจ้าก็เอาออกมาให้พวก้ขาดูเสียหน่อย ขอเนื้อผ้าชั้นดีหน่อยล่ะ”

“ขอรับ รอสักครู่นะขอรับ”

ฉินฟงยิ้มให้อย่างนอบน้อมและเดินกลับเข้าไป ไม่นานนักเขาก็กลับออกมาพร้อมกับเหล่าคนงานที่ยกเอาหีบออกมาด้วยหลายหีบ แต่ละหีบมีชุดอยู่มากมายทั้งขนาดเท่าตัวของเหวินฉายเองและขนาดตัวของเด็กๆ ทั้งสามคน อี้เหมยเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ชุดมากมายก่ายกองที่ถูกนำออกมานั้นมันดูสวยงามเสียจนเด็กอย่างอี้เหมยปรารถนาอยากจะได้

“พี่เหวินฉายเจ้าคะ ข้าชอบ! ข้าชอบทั้งหมดเลย!” อี้เหมยพูดด้วยท่าทางมีความสุขมากๆ โดยที่หายฟงและเว่ยเอี้ยนยังคงดูชุดของตนด้วยแววตาพราวระยับ แต่เขาสิหน้าซีดจนแทบไม่มีสีเลือดแล้ว อี้เหมยบอกว่าชอบทั้งหมด แล้วเขาจะหาเงินที่ไหนมาจ่ายกัน ทั้งเนื้อผ้าที่ดีเยี่ยมราคาก็คงแพงอยู่แล้ว หากนับรวมๆ ชุดที่ถูกนำออกมากว่าสิบชุดแล้ว เงินในกระเป๋าของเขาคงไม่พอจ่ายแน่ๆ

เฉินลี่ฟู่มองทุกอย่างเงียบๆ อดอมยิ้มกับสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ได้แต่ส่งยิ้มแหยงๆ ตอบกลับไปหารอยยิ้มกว้างของอี้เหมย เหวินฉายของเขาคงจะลืมไปว่ามากับใคร ก่อนจะมาที่นี่เขาก็บอกไปแล้วว่าจะเป็นคนจ่ายให้ แต่ดูเหมือนสำหรับเหวินฉายแล้วคำพูดของเขาคงไม่ต่างจากลมที่พัดผ่านไปเพียงวูบหนึ่ง จึงได้หลงลืมไปเสียโดยง่าย

เหวินฉายหยิบถุงเงินออกมา มือบางเปิดถุงออกอย่างสั่นๆ ภาวนาให้จำนวนเงินในถุงที่เขาเตรียมมาจะเพียงพอสำหรับซื้อชุดพวกนี้ให้แก่เด็กๆ แต่เมื่อถุงเงินเปิดออกจำนวนที่อยู่ภายในนั้นช่างเล็กน้อยเสียจนขาของเหวินฉายอ่อนแรงจนแทบจะทรุดกายลงพื้น เขาจะทำเช่นไรล่ะ เงินก็มีไม่พอ ชุดพวกนี้ก็มิใช่ถูกๆ คราวนี้เขาจะทำเช่นไรดี

“ข้าเอาตัวนี้นะขอรับ แล้วก็ตัวนี้ๆ”

“ข้าด้วยๆ ข้าชอบสีฟ้า สีเหลืองและสีแดง ข้าจะเอาทั้งสามสีนี้ขอรับ” คะ คนละสามชุดเชียวหรือ! เหวินฉายรู้สึกราวกับจะเป็นลมไปเสียให้ได้ เพียงแค่ชุดเดียวเขาก็แทบจะมีไม่พออยู่แล้ว นี่คนละสามชุด สองคนก็หกชุด เขามิตายหรือ!

“ละ แล้วเจ้าล่ะอี้เหมย?” เด็กน้อยแสนน่ารักหันมายิ้มให้กับเหวินฉายทั้งๆ ที่ยังกอดเจ้าตุ๊กตาตัวกลมๆ นั้นอยู่แน่น

“ข้าเอาหมดเลยเจ้าค่ะ!”

ตึง!!

“พี่เหวินฉาย!! / ฉายเอ๋อร์!!” เพียงจบคำของอี้เหมยร่างของเหวินฉายก็ล้มลงไปกองกับพื้นทันทีจนเฉินลี่ฟู่ต้องรีบเข้ามาดู เด็กๆ วางชุดที่ตนสนใจเอาไว้ที่เดิมก่อนจะวิ่งเข้ามาเพื่อดูพี่เหวอนฉายว่าเป็นเช่นไรบ้างด้วยความเป็นห่วง เฉินลี่ฟู่ทำหน้าไม่ถูก จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม หัวเราะก็ไม่ได้ จะตีหน้าขรึมหรือก็ขำเกินไป นี่ยอดดวงใจของเขาเป็นลมเพียงเพราะเด็กน้อยเหล่านี้ต้องการเสื้อผ้ามากมายเท่านั้นหรือ หากเหวินฉายจำได้เพียงสักนิด คงจะรู้ว่าถึงอย่างไรเขาก็ต้องจ่ายอยู่ดี นี่ล่ะหนา! เวลาเขาพูดสิ่งใดก็ไม่เคยสนใจ เวลานี้จึงได้เป็นเช่นนี้ไงเล่า

ฉายเอ๋อร์! เจ้านี่มันโง่เสียจริงๆ หึหึ 







 •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•

หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 11. up.20/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 20-11-2018 16:48:30
“ฟื้นแล้ว! พี่เหวินฉายฟื้นแล้วขอรับพี่ชายลี่ฟู่” เสียงร้องของหานฟงดังขึ้นเมื่อเห็นว่าเปลือกตาของถังเหวินฉายกะพริบก่อนจะลืมขึ้นมา อาการปวดศีรษะจากการล้มลงกระแทกจู่โจมเข้าเล่นงานจนร่างบางรู้สึกมึนๆ ทว่ายังไม่ทันที่สติจะกลับมาอย่างสมบูรณ์ ใบหน้าของเหวินฉายก็ถูกมือใหญ่ของใครบางคนช้อนขึ้นให้ใบหน้างามเงยขึ้นมาสบสายตา

เฉินลี่ฟู่มองสำรวจไปทั่วทั้งใบหน้า จับคางเล็กหันซ้ายขวามองหาบาดแผลที่อาจจะเกิดขึ้นมาจากการกระแทกได้ ก่อนจะถอนหายใจเมื่อพบว่ามันไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง สายตาของทั้งสองประสานกันจนร่างทั้งร่างของเหวินฉายและลี่ฟู่ชะงักงัน ตกอยู่ในห้วงเวลาพิเศษที่มีกันเพียงสองคนเท่านั้น

เฉินลี่ฟู่บอกเล่าความรู้สึกที่เก็บซ่อนเอาไว้ในใจออกมาทางสายตาจนหมด เผลอไผลแสดงความรักออกมาจนล้นลืมไปสิ้นว่าตรงนั้นมิได้มีกันอยู่แค่สองคน อี้เหมยแม้จะไม่เข้าใจแต่ก็ถูกบรรยากาศอันน่าเขินอายทำให้ต้องซบใบหน้าลงบนฉีอันอันเข้าตุ๊กตาตัวกลมที่ตนเองกดไว้จนแน่น เฉินลี่ฟู่ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ผิวแก้มใสอย่างแผ่วเบาราวกับต้องการเรียกเอาสีเลือดให้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเหวินฉาย

“โอ้! เจ้าฟื้นแล้ว” สติของเหวินฉายถูกดึงกลับมาทันทีที่ได้ยินเสียงเอ่ยทักขึ้นมา เหวินฉายขยับกายออกห่างจากลี่ฟู่หันใบหน้าหนีไปมองผู้มาใหม่แทน ในขณะที่ลี่ฟู่เองกลับหันไปมองต้าหยงอย่างไม่พอใจ คนกำลังตกอยู่ในวังวนแห่งความหวาน เหตุใดเจ้านี่ถึงได้ทะเล่อทะล่าเข้ามาโดยที่ไม่ดูสถานการณ์ใดๆ กว่าที่เขาจะได้มองใบหน้าและแววตาแสนน่าใคร่ของฉายเอ๋อร์ได้ มันมิใช่เรื่องที่ง่ายเลย เช่นนี้แล้วเขาจะมีโอกาสอีกหรือ!

“ท่านคือ...” เหวินฉายพยายามนึกแต่เขาก็จำคนผู้นี้ไม่ได้จริงๆ

“ข้าหรือ...ข้าคือฉีต้าหยง เถ้าแก่ร้านนี้อย่างไรเล่า” คำถามที่เอ่ยถามหาถึงตัวตนของเขานั้นมิได้ทำให้ต้าหยงโกรธเคืองหรือไม่พอใจใดๆ เขากลับยิ้มและหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู แม้แต่ดวงตาที่ใช้มองเหวินฉายก็เต็มตื้นไปด้วยความเอ็นดูเช่นกัน

เฉินลี่ฟู่รู้สึกขัดใจเสียเหลือเกินกับบรรยากาศที่เหวินฉายและต้าหยงปล่อยออกมา มันช่างปลุกเร้าความอิจฉาในใจของเขาให้โหมกระหนำเสียจนทุกสิ่งที่อยู่ในสายตานั้นช่างขัดใจไปเสียหมด เพียงแค่เหวินฉายที่ติดตามเจ้าเฟยหลงเขาก็แทบจะอกแตกตายอยู่แล้ว นี่ยังมีฉีต้าหยงเข้ามาอีกหรือ! เขาจะต้องจับเหวินฉายไปขังไว้หรือไร จึงจะหยุดความอิจฉาและหัวใจที่รุ่มร้อนด้วยไฟริษยาลงได้

“ขออภัยด้วยขอรับที่ขาจำท่านไม่ได้ สงสัยข้าคงจะมึนๆ เพราะหัวกระแทกพื้น แหะๆ” เหวินฉายลูบต้นคอของตนเองอย่างเขินๆ เมื่อเขาหลงลืมคนที่เพิ่งจะพบพานมาได้ไม่กี่วัน

“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรๆ ข้ามิได้คิดมากเสียขนาดนั้น แล้วนี่เจ้า...ยังเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะ ดูแล เขาเอง เจ้ามีงานเยอะมิใช่หรือ เชิญเจ้าไปทำงานของเจ้าเสียเถอะ!” ลี่ฟู่กดเสียงต่ำเอ่ยด้วยอารมณ์ที่ไม่พอใจ ต้าหยงพอจะเข้าใจในสถานการณ์เขาจึงได้ค้อมศีรษะและยอมรับคำไล่อย่างสุภาพของลี่ฟู่

“เช่นนั้น ข้าคงต้องขอตัวก่อน...”

เหวินฉายอ้าปากค้างมองเฉินลี่ฟู่ด้วยความตะลึง นี่เจ้าบ้าลี่ฟู่ถึงขนาดออกปากไล่เจ้าของร้านทั้งที่อาศัยนั่งพักในร้านของเขานี่หรือ ช่างกล้าเสียจริง กว่าจะได้สติกลับมาต้าหยงก็เดินหายไปเสียแล้ว พลันสมองน้อยๆ ของเหวินฉายก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ก่อนเขาจะสลบไปพวกเขากำลังซื้อเสื้อผ้าให้กับเด็กๆ นี่ แล้วเด็กๆ ล่ะ จะได้เสื้อผ้ากันหรือยัง!

“หานฟง อี้เหมย เว่ยเอี้ยน พวกเจ้าได้...” เพียงหันไปเพื่อจะรีบเอายถามแต่เด็กๆ ในตอนนี้กำลังชื่นชมเสื้อผ้าของตนกันอย่างตื่นเต้นจนเหวินฉายได้คำตอบโดยที่ไม่ต้องเอ่ยถามสิ่งใด

“ข้าว่าตัวนี้เหมาะกับเจ้ามากกว่านะ ฟงเอ๋อร์”

หือ?? ฟงอะไรนะ

“ก็บอกว่าอย่าเรียกข้าเช่นนั้นไง! เรียกอีกข้าจะโกรธเจ้าจริงๆ นะเว่ยเอี้ยน!” แต่เว่ยเอี้ยนวัยแปดขวบหาได้เกรงกลัวต่อสายตาขุ่นมัวของผู้เป็นดั่งเพื่อนและพี่น้องอย่างหานฟงไม่ เขากลับหัวเราะเสียดังลั่นอย่างสนุกสนานที่ได้เย้าแหย่ให้อีกคนหน้าบึ้งตึง เว่ยเอี้ยนหันไปสนใจเสื้อผ้าตรงหน้าของตนมากกว่า แม้ว่าคนข้างๆ จะยังมีอาการกรุ่นโกรธอยู่แต่เว่ยเอี้ยนก็ไม่ได้สนใจนัก เพราะรู้ดีว่าเพื่อนคนนี้อย่างไรก็โกรธได้ไม่นาน

“เจ้า...เสียไปเท่าไร ข้าจะจ่ายคืนให้แก่เจ้าเอง” เหวินฉายเอ่ยถามโดยหลีกเลี่ยงการเอ่ยชื่อของลี่ฟู่ออกมา

“เจ้าถามใคร?”

“ถามเจ้านั่นล่ะ!!” สีหน้าเหลอหลาของเฉินลี่ฟู่เรียกอารมณ์โกรธของเหวินฉายได้อย่างดี แต่อีกฝ่ายกลับทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ซ้ำยังยิ้มให้ราวกับไม่ถือสาใดๆ

“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าถามข้า ก็เจ้ามิได้เอ่ยชื่อข้าออกมาสักคำ” เหวินฉายกัดปากตนเองแน่น ก็เขาไม่อยากจะพูดชื่อของเจ้าลูกเต่านี่ เขาผิดตรงไหนกัน แต่เฉินลี่ฟู่ก็ช่างยียวนเสียเหลือเกิน

“ก็ข้าถามเจ้าอยู่นี่ไงเล่า ตกลงเจ้าเสียค่าเสื้อผ้าของพวกเว่ยเอี้ยนไปเท่าไร ข้าจะชดใช้คืนแก่เจ้า!”

“ข้าไม่ต้องการเงินคืนเจ้าก็รู้...”

“แต่ข้า...” ลี่ฟู่ส่ายหน้าช้าๆ ส่งยิ้มบางๆ ให้แก่เหวินฉายที่ยังคงดื้อดึงอยู่กับความต้องการของตนเอง

“ข้าบอกเจ้าตั้งแต่ก่อนจะมาแล้วใช่หรือไม่ว่าข้าจะเป็นคนจ่ายค่าเสื้อผ้าและข้าวของทั้งหมดเอง”

เหวินฉายรู้สึกสับสน ใจจริงของเขาอยากจะคืนเงินทั้งหมดแก่ลี่ฟู่ไปเสียแต่อีกใจ...ก็รู้ดีว่าหากลี่ฟู่เรียกร้องเงินคืนตัวเขาเองต่างหากที่จะมีคืนไม่พอ เสื้อผ้าข้าวของที่เด็กๆ ทั้งสามให้ความสนใจนั้นมันช่างกัดกินจิตใจของเขานัก มิได้เกิดมาร่ำรวยมีหรืออย่างเขาจะสามารถหาทุกสิ่งที่กองอยู่ตรงหน้าในตอนนี้มาให้พวกเด็กๆ ได้ สายตาของเหวินฉายเศร้าลงถนัดตา หัวใจดวงน้อยของเขาบีบตัวอย่างหนักจนเจ็บปวดกับความรู้สึกอิจฉาที่กำลังกัดกินหัวใจไปทีละน้อยๆ

เฉินลี่ฟู่บอกให้เด็กๆ ทั้งสามเก็บของชงหีบเช่นเดิม ก่อนจะนำเงินจำนวนหนึ่งออกมาและยื่นให้เสี่ยวเอ้อที่ถูกเขาวานให้นำของไปส่งที่ที่ เด็กๆ อาศัยอยู่ ในคราแรกนั้นเหวินฉายคัดค้านอย่างหนักเพราะเห็นว่าลี่ฟู่กำลังใช้งานคนของฉีต้าหยงซึ่งมันดูไม่สมควรนัก หากแต่ฉีต้าหยงเองกลับไม่ต่อว่าใดๆ ยินดีให้ใช้งานคนของตนได้ตามสบายแต่จะต้องขึ้นอยู่กับคนของตนด้วยว่าจะยินยอมหรือไม่

พวกเขาทั้งหมดเดินทางมาส่งเด็กๆ ที่บ้านร้างไร้ซึ่งผู้อาศัยๆ ข้าวของในบ้านหลังนั้นถูกหยักไย่เกาะจนทั่ว ฝุ่นหนาจนไม่อาจจะเรียกได้ว่าที่อาศัย เฉินลี่ฟู่กวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกหดหู่ มองภาพเด็กๆ ที่วิ่งเข้าอยู่ในบ้านด้วยความสนุกสนานราวกับว่าที่นี่ไม่มีอะไรแปลกเลย คนจากร้านของต้าหยงวางหีบลงในบ้านร้าง พวกเขารับเงินจากเฉินลี่ฟู่และออกจากบ้านร้างนี่ไป

เหวินฉายรู้สึกใจหายเหลือเกินกับภาพที่ได้เห็น มันเกินกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มากนัก ทั้งๆ ที่เด็กๆ ไม่ได้มีทีท่าว่าบ้านของพวกเขามันช่าง...แตกต่าง แต่สำหรับเขาแล้ว มันชวนให้น้ำตาของเขาหลั่งไหลเหลือเกิน ทั้งๆ ที่พอจะรู้มาบ้างว่าหานฟง เว่ยเอี้ยนและอี้เหมยนั้นอาศัยอยู่ที่บ้านร้างทางด้านหลังของเมือง แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะทรุดโทรมและดูน่าเวทนาเช่นนี้เลย

“พี่เหวินฉายขอรับ ท่านคิดว่าชุดนี้เข้ากับข้าหรือไม่ขอรับ” เว่ยเอี้ยนนำเสื้อผ้าที่ได้มาใหญ่ทาบลงบนอกของตนพร้อมกับเอ่ยปากถาม ใบหน้าของเว่ยเอี้ยนนั้นเต็มไปด้วยความหวังในคำตอบเสียเหลือเกิน

“เข้าสิ มันช่างเข้ากับเจ้าได้ดีเหลือเกิน” เหวินฉายพยายามควบคุมเสียงของตนเอาไว้ไม่ให้สั่น แต่มันก็ช่างยากเหลือเกิน ดีที่เด็กๆ ต่างให้ความสนใจกับของใหม่ๆ ที่ได้มามากกว่าน้ำเสียงที่แปลกไปของเขา

ยิ่งพวกเว่ยเอี้ยนมีความสุขกับของพวกนั้นมากเท่าไร เหวินฉายก็ยิ่งปวดใจ เขาอยากจะหาให้มากกว่านี้ อยากพาเด็กๆ ไปอยู่กับเขา แต่ลำพังตัวเขาเองก็เป็นเพียงเด็กรับใช้ ไม่สามารถดูแลพวกเด็กๆ ได้ ในระหว่างที่สมองคิดไปต่างๆ มือเล็กๆ ที่เริ่มเย็นเฉียบก็ถูกอีกคนจับกุมประสานเอาไว้จนแน่น บีบกระชับราวกับต้องการปลอบประโลมจิตใจและถ่ายเทความอบอุ่นให้ได้คลายความหนาวเย็น เหวินฉายช้อนสนยตาขึ้นมองลี่ฟู่ที่ส่งยิ้มบางๆ ให้เขาและเขาเองก็ยิ้มตอบกลับไปอย่างเผลอไผล สมองของเหวินฉายถูกใช้ไปหมดกับการคิดเรื่องของเด็กๆ จนหลงลืมไปว่าตนเองนั้นไม่ชอบหน้าเฉินลี่ฟู่ ซ้ำยังปล่อยให้อีกฝ่ายจับมือบางไว้อย่างนั้นไม่คิดจะดึงออกไป ปล่อยให้ความอบอุ่นค่อยๆ ซึมเข้ามาจนแผ่ซ่านเข้าไปในจิตใจช้าๆ บางทีเฉินลี่ฟู่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมายนัก เจ้าลูกเต่านี้อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ ใครจะรู้







  •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• 









ร่างของลู่เหม่ยหลินเดินผ่านตลาดไปอย่างร้อนใจ ในใจของนางนั้นเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัวในเรื่องที่ตนได้รู้มา จะต้องทำเช่นไรนางเองก็หาคำตอบไม่ได้ แต่สิ่งเดียวที่นางพอจะคิดออกคือการที่นางต้องไปยังจวนสกุลเพ่ย อย่างน้อยก็มีคนให้ได้ปรึกษาหารือ ให้ช่วยนางคิดถึงทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

หากบุรุษนั้นคู่กันไม่ได้แล้ว ปีศาจกับมนุษย์เล่า...จะคู่กันได้อย่างไร!

ริมฝีปากสีแดงจากการแต่งแต้มขบเม้มมันเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง มือไม้สั่นไปหมด นางยอมรับได้เลยว่ากลัว เมื่อคืนนางเองก็กระทำตัวไม่ดีออกไปไม่ใช่ว่านางจะไม่รู้ แต่ใครจะคิดว่าหยางเถา...เด็กคนนั้นจะเป็นปีศาจ หากนางรู้ล่ะก็ นางคงไม่ต่อว่าออกไปเช่นนั้น

หากเด็กคนนั้นโกรธขึ้นมาล่ะ จะมาฆ่านางหรือเปล่า

หรือที่เฟยหลงดูรักใคร่เอ็นดูหยางเถาจะเป็นเพราะ...เด็กคนนั้นใช้เสน่ห์ปีศาจควบคุม?

ไม่ๆ แบบนี้มันไม่ถูกต้อง! มันต้องไม่เป็นแบบนั้น!!

ยิ่งคิดนางก็ยิ่งเร่งฝีเท้ามากขึ้นเมื่อเห็นว่าประตูใหญ่ของสกุลเพ่ยอยู่ห่างไปไม่ไกลจนในที่สุดนางก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าประตูเรียบร้อย มือของนางเคาะเรียกจนเสียงดังด้วยความรีบร้อนและเมื่อนางเห็นว่ายังไม่มีผู้ใดมาเปิดนางก็เริ่มเคาะอีกครั้ง จนในที่สุดประตูใหญ่ก็เปิดออก

“ข้ามาพบเพ่ยหลิง นางอยู่หรือไม่”

“ฮูหยินมะ...”

“ท่านป้า...มาหาข้าหรือเจ้าคะ” ยังไม่ทันที่เด็กรับใช้จะได้ตอบสิ่งใด เสียงของเพ่ยเยว่เผิงก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อนเมื่อเห็นว่าผู้ใดมา

“เยว่เผิง แม่เจ้าอยู่รึไม่?” นางร้อนใจเกินกว่าที่จะอดทนรอ สิ่งที่นางเจอในตอนนี้มันเป็นเรื่องที่เสียเวลาไม่ได้อีกแล้ว

“ท่านแม่หรือเจ้าคะ? ท่านแม่เดินทางกลับไปเมืองหลวงกับท่านพ่อเมื่อเช้านี้เองเจ้าค่ะ ท่านป้ามีเรื่องอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?” ในใจของเยว่เผิงนั้นอยากรู้เหลือเกินว่าลู่เหม่ยหลินมีสิ่งใดจะพูดกับท่านแม่ของนาง หรือจะมาพูดเรื่องการแต่งงานของนางกับพี่เฟยหลงกันนะ

“ไม่อยู่งั้นหรือ...ทำอย่างไรดีล่ะ ทำอย่างไรดี” ความกระวนกระวายจู่โจมหนักเสียจนเหม่ยหลินแทบจะควบคุมตนเองไม่ได้ เยว่เผิงที่เห็นสีหน้ากังวลใจของเหม่ยหลินก็อดแปลกใจไม่ได้

“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะท่านป้า เข้ามาด้านในก่อนเถอะเจ้าค่ะ”

เยว่เผิงเดินนำพาเหม่ยหลินไปด้านใน หวังให้น้ำชาสักถ้วยพอจะดับความกังวลที่ฉายชัดออกมาทางใบหน้าของเหม่ยหลินไปได้บ้างเพราะหากเป็นเช่นนี้ นางคงไม่ได้รู้เรื่องอะไรแน่ๆ เหม่ยหลินนั่งลงแม้ว่าจะร้อนใจแต่ก็คงต้องลองปรึกษากับว่าที่สะใภ้อย่างเยว่เผิงดูสักหน่อย นางอาจจะสามารถช่วยได้ก็ได้ ใครจะไปรู้

“มีสิ่งใดหรือเจ้าคะท่านป้า เหตุใดท่านป้าจึงได้กังวลเช่นนี้”

“เยว่เผิง...เจ้าจำสหายของเฟยหลงเมื่อคืนได้รึไม่?” เยว่เผิงหน้าตึงทันที แม้ว่าเมื่อคืนนี้พี่เฟยหลงของนางจะมาส่งถึงจวนแต่ก็มิได้มีอะไรพิเศษแม้แต่น้อย เขาเพียงกล่าวราตรีสวัสดิ์และปล่อยให้นางเข้าไปในจวน ยามที่นางนึกถึงสายตาที่มีบนโต๊ะอาหารเมื่อครั้งที่พี่เฟยหลงของนางใช้มองสหายนั้น มันช่าง...เต็มไปด้วยความหลงใหลจนน่าอิจฉา แต่เยว่เผิงก็เพียงส่งสายตาสงสัยไปให้เท่านั้น

“จำได้เจ้าค่ะท่านป้า มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือเจ้าคะ?”

“หยางเถา หยะ หยางเถาเป็น ปะ ปีศาจ!”

เยว่เผิงหัวใจหล่นวูบ ปีศาจอย่างนั้นหรือ! จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ก็เมื่อคืนนี้บุรุษผู้นั้นก็ดูปกติดี แม้จะมีสีผมที่แปลกตาและงดงามเกินกว่าจะเป็นบุรุษ แต่นางก็ไม่เห็นเลยว่าสิ่งใดที่บ่งบอกว่าคนผู้นั้นเป็นปีศาจ แต่หากเป็นปีศาจจริงๆ หรือความหลงใหลที่พี่เฟยหลงมีต่อคนผู้นั้น จะเป็นเพียงมนต์สะกดของปีศาจกัน! ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ

“ปีศาจหรือเจ้าคะ! จะเป็นไปได้อย่างไรกัน! ไม่น่าเชื่อเลย หากเป็นเช่นนั้นแล้ว...พี่เฟยหลงจะไม่เป็นไรหรือเจ้าคะท่านป้า ขะ ข้าเป็นห่วงพี่เฟยหลงเหลือเกิน” เยว่เผิงทำท่าทีราวกับว่าหยางเถากระทำในสิ่งที่น่าหวาดกลัว ราวกับเฟยหลงถูกร่ายมนต์หรือกระทำบางสิ่งไม่ดีเอาไว้ในจิตใจจนเหม่ยหลินที่เกิดความกังวลอยู่นั้นยิ่งกังวลเข้าไปอีก จิตใจของนางร้อนรุ่มดั่งถูกไฟเผา ความปลอดภัยของบุตรชายของนางนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด จะให้ปีศาจตนนั้นมาทำร้ายเฟยหลงมากไปกว่านี้ไม่ได้ นางทนมองความหายนะที่คืบคลานเข้ามาใกล้กับเฟยหลงไม่ได้

“ป้าจะทำเช่นไรดีเยว่เผิง ป้ากลัวเหลือเกินว่าเฟยหลงของป้า...จะถูกล่อลวงด้วยเสน่ห์ของปีศาจ!” เพ่ยเยว่เผิงลอบยิ้มอย่างพอใจ ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะหายไปในอากาศหลงเหลือไว้เพียงความกังวลที่ถูกนำขึ้นมาไว้บนใบหน้าแสนสวย

“เช่นนั้นก็กำจัดไปเสียสิเจ้าคะท่านป้า”





  TBC





ความรักของแม่อยู่เหนือกว่าทุกสิ่ง เหม่ยหลินนั้นเพียงแค่รักลูกมากจนมองว่าสิ่งที่เราไม่รู้จักนั้นคืออันตราย จนลืมไปว่าจริงๆแล้วความสุขของลูกต่างหากที่สำคัญ ‘เพราะรักมากจนลืมเลือน’  เพราะงั้น โทษเยว่เผิงค่ะ! โทษนางเลย!!! ขอปลาทูหน่อยก๊าบบบบบ 

Facebook : https://m.facebook.com/MaewMarum/

Twitter : https://mobile.twitter.com/little_kittensY



หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 12. up.20/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 20-11-2018 16:49:42
[12]


“เช่นนั้นก็กำจัดไปเสียสิเจ้าคะท่านป้า”

“กำจัด? เจ้าหมายความว่าอย่างไรหรือเยว่เผิง” เพ่ยเยว่เผิงลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่ง นางพึงพอใจนักกับเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ นางไม่รู้หรอกว่าเหตุใดท่านป้าเหม่ยหลินจึงคิดว่าสหายของพี่เฟยหลงผู้นั้นเป็นปีศาจและนางก็ไม่สนใจด้วยว่าความจริงมันจะเป็นเช่นไร ในเมื่อตอนนี้คือเหตุผลที่จำกำจัดคนผู้นั้นออกไปจากชีวิตของพี่เฟยหลง เหม่ยหลินรอฟังคำตอบจากหลานสาวที่นางหมายมั่นจะให้ได้เป็นสะใภ้สกุลลู่ ได้แต่งงานกับบุตรชายของนางอย่างตั้งใจ

“หากเขาเป็นปีศาจ เราก็แค่หานักพรตเก่งๆ ไปกำจัดเขาเสีย...มันก็จบมิใช่หรือเจ้าคะ?”

เหม่ยหลินมองเยว่เผิงด้วยแววตาสับสนแม้ว่านางจะกลัวหยางเถาและเป็นห่วงเฟยหลงก็จริง แต่หยางเถาเองก็ดูจะเป็นเด็กดี นางไม่เคยเห็นหยางเถาทำอะไรไม่ดีสักครั้ง แล้วถ้าหากว่านางหานักพรตเข้าไปทำร้ายหยางเถา มันจะไม่เป็นการทำบาปหรือ? สิ่งที่นางคิดจะทำลงไปเช่นนั้น มันถูกแล้วหรือ มันถูกแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่ นางเองก็เริ่มไม่แน่ใจ

เพ่ยเยว่เผิงหันมามองใบหน้าของท่านป้าเหม่ยหลินเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบลงไปแทนที่จะเห็นด้วยกับความคิดของนาง นี่คงมิใช่ว่ากำลังใจอ่อนหรอกใช่หรือไม่ ไม่ได้นะ! หากเป็นเช่นนั้น พี่เฟยหลงของนางก็จะยังคงมองสหายผมสีเงินผู้นั้นด้วยแววตาหลงใหลเช่นเดิม และนางคงยอมไม่ได้! สายตาของพี่เฟยหลงจะต้องมีแค่เพียงนาง มองได้เพียงแค่นาง หัวใจของพี่เฟยหลงก็จะต้องเป็นของนางเพียงผู้เดียวเช่นกัน

“ท่านป้า...ข้าเข้าใจที่ท่านจะลังเล แต่หากท่านไม่รีบลงมือทำอะไรสักอย่าง พี่เฟยหลง...อาจจะไม่รอดนะเจ้าคะท่านป้า ปีศาจน่ะ ชอบดูดวิญญาณของมนุษย์ท่านป้าก็ทราบดีมิใช่หรือเจ้าคะ” เสียงของเยว่เผิงเต็มไปด้วยความห่วงใยและกังวลจนทำให้คนฟังอย่างเหม่ยหลินเองก็เริ่มกังวลตาม หากลองคิดดูแล้ว...การที่นางจะทำเช่นนั้นแม้มันจะเป็นบาป แต่นางก็ทำเพื่อปกป้องบุตรชายของนางเอง

ใช่แล้ว ข้ามิได้ทำผิด ทั้งหมดข้าทำเพื่อปกป้องเฟยหลงเท่านั้น

“แล้วเราจะไปหานักพรตมาจากที่ใดกันล่ะเยว่เผิง” เพ่ยเยว่เผิงยิ้มอ่อนทั้งที่ในใจของนางนั้นรู้สึกดีใจที่จะได้กำจัดเสี้ยนหนามของหัวใจออกไปเสียที นางมิใช่ต้นคิด เพียงแค่เสนอหนทางก็เท่านั้นและท่านป้าเหม่ยหลินเองต่างหากที่ตัดสินใจทำ ทุกอย่างกำลังเดินเข้าสู่หนทางที่นางวาดไว้

“ข้ารู้จักอยู่ท่านหนึ่งเจ้าค่ะ” เหม่ยหลินมองเยว่เผิงด้วยความดีใจจนร่างของนางผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว

“จริงหรือ!”

“เจ้าค่ะท่านป้า” เหม่ยหลินร้อนรนด้วยความดีใจ ในที่สุดนางก็จะได้ทำให้บุตรชายหลุดพ้นจากพลังปีศาจที่กำลังครอบงำเฟยหลงเอาไว้เสียที

“เช่นนั้น...เราไปพบเขากันเลยดีหรือไม่เยว่เผิง ป้าร้อนใจเหลือเกิน”

เยว่เผิงนิ่งคิด หากพาท่านป้าไปตอนนี้มันก็ดีกับตัวนางเองเช่นกัน งานแต่งงานของนางกับพี่เฟยหลงคงเกิดขึ้นในไม่ช้า ยิ่งนางอยู่เคียงข้างท่านป้ามากเท่าไร ท่านป้าก็จะต้องรักและเอ็นดูนางมากยิ่งขึ้น ทุกสิ่งจะต้องเป็นของนาง ทั้งร่างกายและหัวใจของพี่เฟยหลงเป็นของนางทั้งนั้น

หึ! ...หยางเถา เจ้าจะโทษข้าไม่ได้นะ ต้องโทษท่านป้าที่อยากกำจัดเจ้าต่างหาก มิใช่ข้า!

“ข้าว่าเราคงต้องรีบกันหน่อย เพราะท่านนักพรตเองก็มิค่อยจะว่างนักเข้าค่ะ”

“เช่นนั้นเราก็ไปกันเถอะ อย่าเสียเวลาอีกเลย”

“เจ้าค่ะ”

เยว่เผิงและเหม่ยหลินจึงรีบออกจากจวนสกุลเพ่ยเพื่อจะตรงไปยังที่อยู่ของนักพรตที่นางรู้จัก อย่างไรก็ต้องลองให้มากำจัดหยางเถาถึงจะไม่รู้ว่าใช่ปีศาจอย่างที่ท่านป้าบอกหรือไม่ แต่หากว่าใช่...ทุกอย่างจะได้กลับมาเข้าที่เข้าทางสำหรับนางเสียที จบจากงานนี้ท่านป้าก็คงจะมาคุยกับท่านแม่เรื่องการแต่งงานของนางกับพี่เฟยหลงเสียที

เหม่ยหลินเดินไปตามทางด้วยความกังวลใจ ตลอดทั้งทางนางเอาแต่ถกเถียงกับตนเองว่าสิ่งที่นางกำลังทำนั้นมันสมควรหรือไม่ ตัวนางเองก็มิได้เกลียดชังใดๆ ในตัวหยางเถานัก ครั้งแรกที่นางได้เห็นหยางเถานางเองก็รู้สึกถูกชะตาและเอ็นดูไม่น้อย หากแต่เพราะนางเองที่ไม่อยากให้เฟยหลงต้องรักชอบกับบุรุษด้วยกัน นางถึงต้องทำทุกทางให้เฟยหลงชอบพอกับเพ่ยเยวาเผิง หากสวรรค์ส่งหยางเถาให้มาเป็นหญิงสาวแทนบุรุษ นางก็คงไม่ต้องวุ่นวายใจเช่นนี้

ทั้งสองมาถึงบ้านหลังหนึ่งที่ไม่ใหญ่โตเท่าจวนของตนเอง ออกจะดูเล็กและธรรมดาเสียจนแทบจะไม่โดดเด่นใดๆ เลย ทางส่วนของหน้าบ้านนั้นมีต้นไม้ใหญ่เป็นร่มเงาให้บรรยากาศเย็นสบายที่ทันทีที่ได้ย่างก้าวเข้าไป ความสบายใจก็เข้ามาจนท่วมท้นในจิตใจ เหม่ยหลินรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เพียงแค่ได้ก้าวเท้าเข้าไป ความรู้สึกทุกข์ใจก็ได้รับการปลดปล่อยไปจนหมด

“ท่านนักพรตซ่ง สบายดีหรือไม่เจ้าคะ” ซ่งหยุนเฟิงที่กำลังกวาดเอาใบไม้ที่ร่วงหล่นบริเวณด้านหน้าออกก็เงยใบหน้าขึ้นมามองผู้มาเยือนทั้งสอง ก่อนจะยิ้มบางๆ ให้

“ข้าสบายดี คุณหนูเพ่ยและลู่ฮูหยิน มาหาข้ามีสิ่งใดหรือ”

“ข้าพาท่านป้ามาปรึกษาท่านเจ้าค่ะ” ซ่งหยุนเฟิงมองด้วยความสงสัย สิ่งใดกันที่ทำให้คุณหนูเพ่ยเยว่เผิงและฮูหยินอี้เหม่ยหลินมาหาตนถึงที่นี่

“มีเรื่องอะไรหรือ”

“ท่านนักพรตซ่ง ที่บ้านของข้านั้นได้มีปีศาจออกมาอยู่ใกล้ๆ กับบุตรชายของข้าเจ้าค่ะ ดูเหมือนปีศาจตนนั้นจะใช้พลังปีศาจล่อลวงบุตรชายของข้าด้วยเจ้าค่ะ ท่านนักพรตซ่งพอจะช่วยข้าได้หรือไม่เจ้าคะ” ใบหน้าอันแสนทุกข์ใจของเหม่ยหลินทำให้ซ่งหยุนเฟิงได้แต่ถอนหายใจ ความรักของคนเป็นแม่นั้นมากมายนักและโดยปกติมันก็จะเป็นดั่งเกราะคุ้มภัยให้บุตรชาย แต่แปลกเหลือเกิน ในกรณีเช่นนี้เหตุใดปีศาจจึงสามารถเข้ามารบกวนได้กันเล่า

บ้านสกุลลู่ใครๆ ก็รู้ว่าปีศาจตนใดก็ไม่สามารถย่างกรายเข้าไปได้ เพราะเขาเองก็เคยเข้าไปทำการปัดเป่าและจัดการปัญหาเหล่านี้เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว อีกอย่าง...บ้านสกุลลู่เองก็มีกลิ่นอายของเทพอันบริสุทธิ์ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีปีศาจออกมาอาละวาดได้อย่างนี้ แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นหน้าที่ของเขา ต่อให้เกิดความสงสัยเช่นไรก็ต้องทำอยู่ดี

ซ่งหยุนเฟิงเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านครู่หนึ่งโดยมีสายตาของเพ่ยเยว่เผิงและอี้เหม่ยหลินมองตามไปด้วยความดีใจ ในที่สุดความกังวลของนางก็จะหมดสิ้นไปเสียที ซ่งหยุนเฟิงเดินกลับออกมาพร้อมบางสิ่งในมือก่อนจะยื่นแผ่นกระดาษสีเหลืองที่ถูกเขียนเอาไว้ด้วยหมึกสีแดงมาให้กับอี้เหม่ยหลิน

“นำสิ่งนี้...ไปไว้ในจุดกำเนิดปีศาจหรือจะเป็นจุดที่ปีศาจอาศัย ไม่ว่าจัเป็นที่ใด ขอแค่มันสำคัญต่อปีศาจตนนั้นมันก็จะจัดการกับปีศาจตนนั้นทันที”

เหม่ยหลินแสดงความยินดีออกมาจนฉายชัดบนใบหน้าสวย เยว่เผิงนั้นก็มองแผ่นกระดาษแผ่นนั้นด้วยความพึงพอใจ ต้องแบบนี้สิ แบบนี้สหายผมสีเงินผู้นั้นจะได้ไปให้พ้นๆ เสียที ซ่งหยุนเฟิงมองทั้งสองคนด้วยความรู้สึกที่ไร้คำอธิบาย การเป็นบุคคลที่สามช่างน่ากลัวเหลือเกิน ความต้องการของมนุษย์ที่ปิดบังคนใกล้ตัวเอาไว้แต่มิได้ระวังต่อคนอื่นนั้น ช่างไม่ย่ามองเสียเลย แต่อย่างไรเสีย เขาก็คงต้องตักเตือนเอาไว้เสียก่อน

“คุณหนูเพ่ย...หากเป็นไปได้ก็อย่าเลย สิ่งที่คุณหนูกำลังคิดนั้น มันมิได้เกิดสิ่งดีๆ ต่อสกุลเพ่ยสักนิด โปรดคิดให้ดีก่อนเถอะ”

“ข้าไม่เข้าใจว่าท่านนักพรตซ่งหมายถึงสิ่งใด จึงไม่อาจจะตอบรับคำขอของท่านได้เจ้าค่ะ” เพ่ยเยว่เผิงเก็บงำความไม่พอใจเอาไว้จนลึกสุดใจ กัดฟันอดทนพูดออกมาด้วยความอ่อนหวาน ส่งรอยยิ้มบางๆ ราวกับใสซื่อเกินกว่าจะเข้าใจได้ เหม่ยหลินหันมองทั้งสองด้วยความไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่สำคัญคือการคิดหาจุดที่ต้องนำยันต์ไปไว้มากกว่า

ตรงไหนกันนะที่หยางเถาอยู่ จะใช่ต้นท้อพันปีนั่นไหมนะ

















•~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•

















เหวินฉายมองใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของฮูหยินด้วยความสงสัย ในตอนเช้านั้น...ฮูหยินเดินออกจากจวนไปด้วยสีหน้าวุ่นวายใจ แต่เมื่อกลับมานั้นใบหน้าที่เคยกังวลกลับกลายเป็นความยินดีอย่างเหลือล้นจนเหวินฉายเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไหนจะการลูบบริเวณชายข้อมือราวกับกลัวว่าของสำคัญจะหายอีก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

อี้เหม่ยหลินเดินเข้าไปในจวนด้วยความสุขใจ หัวใจของนางได้รับการปลดปล่อยจนหมดสิ้น หลังจากนี้...นางก็จะไม่ต้องกังวลใดๆ อีกในเรื่องของหยางเถา เฟยหลงของนางก็จะกลับมามีชีวิตปกติและหลุดพ้นจากการล่อลวง นางมีความสุขเหลือเกิน สุขจนรอยยิ้มบนใบหน้าของนางนั้นกว้างขึ้นจนมิว่าใครได้พบเห็นก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องใดกันที่ทำให้ฮูหยินสกุลลู่ต้องยิ้มแย้มเสียขนาดนี้

“จากนี้ไป...ทุกสิ่งในจวนนี้จะกลับมาเป็นดั่งที่มันควรจะเป็น”

เหม่ยหลินจ้องมองแผ่นยันต์ในมือและพูดออกมาเบาๆ นางให้สาวใช้เรียกเด็กรับใช้เข้ามาคนหนึ่ง ก่อนจะนำยันต์แผ่นนั้นออกมายื่นให้เขา เด็กรับใช้มองสิ่งที่ถูกยื่นมาให้ด้วยความไม่เข้าใจว่าฮูหยินจะสั่งให้เขาทำอะไรกันแน่ เหม่ยหลินมั่นใจอย่างแน่ชัดว่าหยางเถานั้นจะต้องเป็นปีศาจต้นท้อแน่ๆ เพราะเมื่อคืนนางเห็นเฟยหลงร้องเรียกหาหยางเถาอยู่ที่หน้าต้นท้อต้นใหญ่ ไหนจะอายุของมันที่อยู่มานับพันปี อีกทั้ง...ช่วงหลังๆ มานี้เฟยหลงชอบไปเดินที่สวนและมองต้นท้อต้นนั้นด้วยสายตาประหลาด

“เจ้าจงนำสิ่งนี้...ไปฝังเอาไว้ใต้ต้นท้อ”

“ตะ แต่ฮูหยินขอรับ...นายน้อยจะมิว่าหรือขอรับ ก็นายน้อย...” เหม่ยหลินหน้าตึง ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะอย่างแรงจนเด็กรับใช้ผู้นั้นสะดุ้งด้วยความตกใจและรีบก้มหน้าลงทันที

“ข้าสั่งให้ทำก็ทำไป และพวกเจ้า! ห้ามบอกเรื่องนี้แก่เฟยหลงอย่างเด็ดขาด! พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่!!”

“ขอรับ/เจ้าค่ะ”

แม้จะไม่เข้าใจแต่ก็มิสามารถขัดคำสั่งของฮูหยินได้ ทั้งหมดจึงได้นำยันต์แผ่นนั้นและเดินไปยังสวนพฤกษาที่แสนงดงามอันเป็นที่ ที่นายน้อยของพวกเขารักหนักหนา เคยได้ยินคนในจวนพูดกันว่า...เพียงแค่ดอกท้อดอกเดียวที่หล่นลงมาเปื้อนดินและซูหนิงเก็บมันมาก็ถูกนายน้อยต่อว่าต่อขานด้วยความโกรธเกรี้ยว นายน้อยเฟยหลงที่มิเคยโกรธเลยสักครั้ง กลับโมโหกับเรื่องดอกไม้ดอกเล็กๆ แล้วหากรู้ว่าพวกเขาทำเช่นนี้...มิถูกไล่ออกไปหรือ?

พวกเขาเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของต้นท้อต้นใหญ่ที่แม้จะมีดอกสีชมพูประดับอยู่บนกิ่งก้าน หากแต่กลับแผ่กระจายความโศกเศร้าที่ชวนให้หัวใจสั่นสะท้าน เพียงอยู่ใกล้ๆ ก็รับรู้ได้ถึงความปวดร้าว หัวใจของพวกเขาบีบตัวแน่นจนจุกไปด้วยความรู้สึกที่มากล้น ก่อนนี้ไม่เคยรู้สึกใดๆ แล้วเหตุใดเพียงก้าวเข้ามาใกล้กลับเจ็บปวดใจเหลือเกิน เจ็บปวดจนอยากล้มเลิกมันเสีย

ไม่อยากทำ ไม่อยากจะทำเลยสักนิด แต่พวกเขาก็ไม่อาจจะหลีกหนีได้

เขาหวังเพียงว่า...ท้อโศกศัลย์ต้นนี้ จะเลิกโศกเศร้าเสียทีพวกเขาจะได้เลิกรู้สึกหดหู่ตามไปด้วย

เมื่อฝังเอาไว้สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมาย พวกเขาทั้งหมดก็ลุกขึ้นยืนหันมองซ้ายขวาด้วยกลัวว่านายน้อยเฟยหลงจะออกมาพบเข้า หากเป็นอย่างที่คิดไว้ คงไม่พ้นโดนลงโทษและดุด่าเป็นแน่ หากแต่ว่า...หากพวกเขาไม่ยอมทำตามคำสั่งที่ได้รับมาจากฮูหยินแล้ว พวกเขาเองก็คงจะโดนไล่ออกเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาก็คงมิอาจจะขัดคำสั่งของฮูหยินได้ แม้ว่าจะเป็นการกระทำที่ไม่ดีต่อนายน้อยก็ตาม

หยางเถากระวนกระวายเมื่อเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เหตุใดดอกท้อของเขาจึงไม่สามารถเบ่งบานออกมาได้ เหตุใดเขาตึงรู้สึกว่าพลังของเขานั้นถูกตัดขาดออกจากดวงจันทราที่เริ่มฉายแสง แม้จะบางเบาเพราะยังไม่พลบค่ำแต่มันก็ยังคงมีแสงสาดส่องลงมาบ้าง แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกได้ว่า ร่างกายของเขาไม่ได้รับพลังเพิ่มมาแม้แต่น้อย

เกิดอะไรขึ้น? มีสิ่งใดผิดปกติกัน?

หยางเถาพยายามจะส่งพลังวิญญาณออกไปยังกิ่งก้านเพื่อจะบังคับให้ดอกท้อเบ่งบาน แต่พลังวิญญาณของเขากลับถูกตีกลับมา ไม่ว่าจะส่งออกไปมากเท่าไรก็จะถูกดันกลับมาเท่านั้น ราวกับว่ารางส่งของถูกตัดขาด แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อนี่ยังไม่ครบกำหนดหนึ่งร้อยราตรีเลย

มันไม่ถูกต้อง มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้

ฝ่ามือเล็กโบกสะบัดปล่อยพลังวิญญาณออกไปเป็นคลื่นพลังอย่างไม่ละความพยายาม หากปกติแล้วมันควรจะถูกนำออกจากต้นท้อไปเป็นคลื่นพลังลมปราณที่เขาเคยได้ใช้กับซูหนิงเมื่อคราวก่อน แต่คราวนี้กลับกลายเป็นว่า...คลื่นพลังนั้นถูกทำให้สลายไปทันทีที่เขาปล่อยมันออกจากร่าง ไม่ๆ มันจะเป็นแบบนี้ไม่ได้ รอ...เขาจะต้องรอเวลาให้จันทราฉายแสงเต็มกำลัง เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะออกไปจากต้นท้อ ออกไปดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่

ท้องฟ้ากว้างใหญ่มืดลงมีเพียงดวงดาวและจันทราเท่านั้นที่ยังคงทำหน้าที่ให้แสงสว่างบนฟากฟ้า หยางเถารวบรวมพลังก่อนจะย่างก้าวเพื่อออกมาจากต้นท้อต้นใหญ่ แต่เพียงแค่ก้าวออกมาเท่านั้น...ร่างของหยางเถาก็ถูกกำแพงล่องหนผลักจนล้มลงกับพื้น

ทำไมล่ะ...ทำไมเขาก้าวออกไปไม่ได้ ทำไมถึงเป็นแบบนั้นกัน!

หากเป็นแบบนี้ แล้วเขาจะพบกับเฟยหลงได้อย่างไร เขาจะใช้เวลาที่เหลืออยู่กับเฟยหลงได้เช่นไร...จะพูดคำสุดท้ายที่มีต่อเฟยหลงได้เช่นไร มือบางกำเข้าหากันจนแน่น ความหวาดหวั่นและหวาดกลัวต่างๆ กำลังเล่นงานจนหัวใจของหยางเถาเจ็บปวด กลัว...เพียงเพราะออกไปจากต้นท้อไม่ได้ กลัว...ว่าจะไม่ได้พบกับคนที่เฝ้ารอ กลัวเหลือเกินว่าเขาจะไม่ได้พูดคำนั้นออกไปให้ได้ฟัง ก่อนที่เฟยหลงจะแต่งงานกับคุณหนูเพ่ยเยว่เผิง

อยากเป็นดอกท้อสีสวยที่ต้องใจ ก่อนที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเทียบกับจันทรา

น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง เสียงหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะและทุกจังหวะของการเต้นนั้นช่าง...เจ็บปวดเหลือเกิน เขามิได้อ่อนแอ เพียงแค่ปล่อยให้ความรู้สึกทั้งหมดได้ถูกระบายออกมาเป็นหยาดน้ำตา รู้ดีว่าแพ้ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะสู้ แต่เขาก็อยากจะยืนเคียงข้าง อยากจะเห็นรอยยิ้มของเฟยหลง อยากจะได้ยินเสียง ได้พูดคุย ได้รัก...แม้จะรู้ว่าจะยิ่งเป็นการทำให้ตนเองเจ็บ แต่เขาก็ไม่อาจจะหยุดมันไว้ได้

“ฮึก ฮือ เฟยหลง เฟยหลง ฮือๆ”

ทรมานเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ใช่ว่าจะไม่เคยอยู่แค่เพียงในต้นท้อ แต่ในยามนี้ ยามที่เขา...ต้องห่างไกลจากบุคคลผู้ซึ่งเป็นที่รักนั้น มันช่างทรมานเสียจนหยางเถาไม่มั่นใจสักนิดว่าจะทนมันได้ไหว รักที่สวยงามนั้นเหตุใดจึงได้ปวดร้าวหัวใจเช่นนี้ ผู้คนที่มีความรัก...จะต้องพบเจอความเจ็บปวดเช่นเดียวกันกับเขาหรือ? จะต้องทนมองคนที่รักเดินไปมีชีวิตที่สมบูรณ์กับหญิงอื่นจริงหรือ แล้วเช่นนั้น...พวกเขาทนรับมันได้อย่างไร จมอยู่กับความเจ็บปวดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน รับมือกับความรู้สึกที่ราวกับถูกกระชากหัวใจไปได้อย่างไร

แต่ข้าทำไม่ได้เลยเฟยหลง ข้าทนรับความเจ็บปวดที่กัดกินหัวใจข้าไม่ได้จริงๆ ข้าปวดใจเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 12. up.20/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 20-11-2018 16:51:00
“เฮ้อ...”

เฟยหลงถอนหายใจออกมาอย่างครุ่นคิด ค่ำคืนที่ผ่านมาหยางเถาก็ไม่ออกมาพบซ้ำยังกางกั้นกำแพงอากาศขึ้นมาขวางเขาเอาไว้ ไม่ว่าเขาจะพยายามเรียกสักเท่าใดก็ไม่มีทีท่าว่าหยางเถาจะมา เฟยหลงใช้เวลาทั้งคืนพยายามอ้อนวอนให้ร่างเล็กที่อยู่ในต้นท้อยินยอมรับฟังคำพูดของเขาสักนิด แต่เขาก็ได้รับเพียงความว่างเปล่า ความว่างเปล่าที่ถูกกั้นด้วยความไม่เข้าใจ

ในตอนนี้ก็ก้าวเข้าสู่ราตรีกาลแล้ว แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววว่าหยางเถาจะมา เฟยหลงเฝ้าจดจ่ออยู่กับจันทราที่มีรูปเพียงเสี้ยว นี่ก็ใกล้จะถึงวันเดือนดับแล้วก็เท่ากับว่าล่วงเลยเวลาผ่านมาก็เกือบจะสองเดือน แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันช่างผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน เจ้าดอกท้อของเขาในตอนนี้จะกำลังร่ำไห้อยู่หรือไม่ กำลังเศร้าโศกเสียใจกับเรื่องของเขาอยู่หรือเปล่าในยามนี้ หากเพียงแค่เขาได้อธิบาย หากเพียงแค่เขามีโอกาสนั้นสักครั้ง เขาจะพร่ำบอกว่ารักหยางเถามากเท่าใด รักอย่างที่ไม่อาจจะรักใครได้อีก

ไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนี้นานเท่าใดแล้ว เพราะรู้สึกตัวอีกทีเขาก็ก้าวออกจากห้องมายืนอยู่หน้าต้นท้อต้นใหญ่ เพราะเพียงแค่ทอดสายตามองทางหน้าต่างมันไม่เพียงพอ ค่ำคืนนี้ดอกท้อสีชมพูไร้ซึ่งการเบ่งบาน ความโศกเศร้าที่แสนปวดร้าวหัวใจแผ่กระจายออกมาจากต้นท้อจนเฟยหลงต้องยกมือขึ้นมากดหัวใจตนเองเอาไว้

เจ้ารู้สึกเช่นนี้เองหรือ เจ็บปวดเช่นนี้ใช่หรือไม่

หัวใจของเฟยหลงบีบรัดตัวเองจนปวดร้าวไปหมด แต่มันคงเป็นเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้นของความรู้สึกที่หยางเถากำลังรู้สึก เขาผิดเองที่ไม่ทำอะไรให้ชัดเจน ไม่ขีดเส้นแบ่งระหว่างความสัมพันธ์ให้ชัดๆ จนทำให้เจ้าดอกท้อของเขาต้องเศร้าหมองและร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวด ในยามที่สามารถเอื้อมมือไปไขว่คว้าเขากลับคิดเพียงว่าสามารถดึงกลับมาได้เสมอ แต่ในยามนี้...ไม่ว่าจะเอื้อมมือออกไปเพียงใด ก็ไขว่คว้าได้แค่เพียงอากาศ เพียงความว่างเปล่าที่แสนเดียวดาย

“นายน้อย...”

เฟยหลงแหงนใบหน้าขึ้นมองกิ่งก้านที่มีดอกท้อสีชมพูประดับอยู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด เจ็บปวดที่เขาไม่สามารถพบคนที่ต้องการได้ เหวินฉายมองภาพนั้นอย่างปวดร้าวในหัวใจ ความรู้สึกของนายน้อยนั้นเขารับรู้ได้ผ่านทางสายตาและท่าที ยามสุข...นายน้อยของเขาก็มักจะทอดมองต้นท้อ ยามเศร้า...นายน้อยของเขาก็ทอดมองต้นท้อเช่นกัน เขาจึงมองเห็นทุกครั้ง ทุกความรู้สึกที่นายน้อยมีต่อสหายผมสีเงินผู้นั้น เขามองเห็นมันเสียจนแทบจะรู้สึกตามไปด้วย ความรักที่นายน้อยมีต่อคุณชายหยางเถานั้นมันฉายชัดบนใบหน้าทุกครั้งที่มอง แล้วเหตุใด...ฮูหยินจึงได้มองไม่เห็นกัน เหตุใดจึงได้ทำให้นายน้อยต่องทรมานใจเช่นนี้

“กลับเข้าข้างในกันเถอะขอรับ ข้างนอกอากาศเย็นยืนอยู่เช่นนี้ท่านจะป่วยนะขอรับนายน้อย”

เฟยหลงหันไปมองเหวินฉายที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยแววตาเศร้าหมอง ความปวดร้าวในจิตใจของเขากำลังสะท้อนออกมาจากดวงตาคมดั่งแสงจันทราที่สะท้อนจากลำธาร เหวินฉายเข้าใจดีในความรู้สึกของเฟยหลงแต่เมื่อสิ่งนี้นายน้อยของเขาเป็นผู้ผูกมันมาตั้งแต่ต้น ก็มีเพียงแต่นายน้อยเช่นกันที่จะแก้มันให้ถูกต้อง แม้ว่ามันจะยากเย็นเขาก็พร้อมจะเป็นกำลังให้จนสำเร็จดั่งใจที่นายน้อยหมายมั่น

“นายน้อย...”

“ข้ารู้...เหวินฉาย ข้าเพียงเฝ้ารอ...เพื่อจะได้พบเขาอีกครั้งเท่านั้น”

ยามได้ฟังน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหงาของเฟยหลง เหวินฉายก็สะท้านไปทั้งใจ ความเหน็บหนาวจากสายลมเทียบมิได้กับความเหน็บหนาวจากหัวใจที่ต้องเฝ้ารอ แม้จะอยากพาร่างของนายน้อยเข้าไปในห้องสักเพียงใด แต่เมื่อนายน้อยมิคิดจะถอดใจเขาก็ไม่สามารถจะบังคับนายน้อยได้ คุณชายหยางเถา...ท่านอยู่ที่ใดกัน มิรู้หรือไรว่านายน้อยเฝ้ารอท่านอยู่

“ไปรอคุณชายหยางเถาด้านในมิดีหรือขอรับ” เฟยหลงยิ้มบางๆ พร้อมกับแหงนหน้าขึ้นมองจันทรา

“ข้าจะรอหยางเถาอยู่ตรงนี้ เมื่อเขามาหาข้า ข้าจะได้บอกเขาว่า...สิ่งที่ท่านแม่พูดไปนั้นมันไม่จริงเลย” เหวินฉายได้แต่ส่ายหน้า หากว่ารักมากเช่นนั้น แล้วเหตุใดนายน้อยจึงมิกล่าวเมื่อครั้งยังมีโอกาสกัน

“แล้วหากว่าคืนนี้ คุณชายมิมาเล่าขอรับนายน้อย ท่านจะยืนรออยู่ตรงนี้ทั้งคืนเลยหรือขอรับ?” นั่นสินะ หากหยางเถาไม่มา เขาก็คง...

“คงเป็นเช่นนั้น...”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเฟยหลงผู้เป็นนายน้อยยิ่งทำให้เหวินฉายร้อนใจ นี่นายน้อยของเขาคิดจะยืนรอคุณชายผู้นั้นยืนอยู่เช้นนี้ทั้งคืนจริงๆ หรือ? หากเช่นนั้นวันพรุ่งนี้นายน้อยของเขาคงต้องป่วยไข้เพราะตากน้ำค้างทั้งคืนแน่ เขาจะทำเช่นไรดี จะทำเช่นไรดี! หากนายน้อยป่วย เขาคงมิพ้นถูกท่านลุงลงโทษเป็นแน่ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้เขาคง...

“นายน้อย!”

“เหวินฉาย! เจ้าทำอะไร ลุกขึ้นมา!” เฟยหลงร้องอย่างตกใจเมื่อเหวินฉายทรุดกายลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้า

“ไม่ขอรับ! หากนายน้อยมิยอมเข้าไปพักด้านใน ข้าก็จะคุกเข่ารออยู่ตรงนี้เช่นเดียวกัน”

“เจ้าก็จะบังคับข้าอีกคนหรือ หึ...”

“นายน้อย...” น้ำเสียงประชดประชันของเฟยหลงทำให้เหวินฉายที่ตัดสินใจทรุดกายลงคุกเข่าตรงหน้าถึงกับนิ่งงัน ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้

ภายใต้ความกดดันเหวินฉายตัดสินใจลุกขึ้นยินยอมให้นายน้อยของเขาได้ทำตามที่ใจต้องการแม้ว่าตัวเขาเองจะรู้ดีว่าควรจะห้ามก็ตามที เพียงได้ฟังคำตัดพ้อจากปากของนายน้อยก็ทำให้ทุกเหตุผลและข้อบังคับทุกสิ่งหายไปจนหมด เหวินฉายยินยอมจะยืนอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนกับนายน้อย ยินยอมจะเจ็บป่วยไปพร้อมๆ กับนายน้อยเช่นกัน ต่อให้วันพรุ่งนี้จะรู้ว่าต้องถูกทำโทษก็ตาม เขาก็ไม่เสียใจใดๆ ขอเพียงแค่เขาไม่ใช่อีกคนที่ทำให้นายน้อยเจ็บปวดก็เพียงพอ

เฟยหลงยังคงแหงนเงยใบหน้าขึ้นมองท้องนภากว้างใหญ่ จับจ้องหมู่ดาวและจันทราเสี้ยวที่บัดนี้ถูกหมู่เมฆบดบังเสียจนหมด ปล่อยให้ห้วงอารมณ์แห่งความโศกศัลย์ล่องลอยออกไป ให้ร่างกายได้สัมผัสกับความหนาวเย็นจากสายลมที่พัดไหวอยู่รอบๆ กาย แม้ว่าจะมีเสื้อผ้าปกคลุมอยู่บนร่างกาย แต่ก็มิอาจลดทอนความหนาวเย็นได้เลย

“หยางเถา...เจ้าโกรธข้าจนไม่อยากจะมาพบข้าเลยหรือ”

น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเจือไปด้วยความเจ็บปวดจนไม่อาจจะทนได้ เขาเพียงหวังให้อีกคนได้ยินและตอบกลับเขามาบ้างให้ใจชื้น เขาคิดว่าแม้หยางเถาจะโกรธเพียงใดแต่อย่างไรหยางเถาก็คงจะมาพบเขาดังเช่นทุกๆ คืน แต่ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าคิดผิด ดูเหมือนว่าหยางเถาจะโกรธเคืองเขามากเสียจนไม่อยากจะพบหน้าเขา ความวูบโหวงในหัวใจมันช่างน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเขาคือ...ความคิดของหยางเถา เพราะเขาไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าอีกคนคิดสิ่งใดอยู่

“เจ้าจะไม่ออกมาจริงๆ หรือ เจ้าเกลียดข้าแล้วหรือหยางเถา”

เฟยหลงเอ่ยถามกับสายลมด้วยเสียงที่สั่นเครือ ด้วยใจรู้ดีว่าอย่างไรก็คงมิได้มาซึ่งคำตอบ เขาทอดถอนหายใจออกมาด้วยความแน่นอกแน่นใจ ใครเล่าจะมาเข้าใจความรู้สึกของเขาที่มีอยู่ในตอนนี้ได้ พลาดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่มันกลับเป็นเหมือนดั่งความผิดพลาดที่ใหญ่เกินกว่าจะได้รับการอภัย ไม่ว่าจะเฝ้ารอไปอีกเท่าไร นานแค่ไหน คนที่ใจเขาเฝ้ารอก็คง...มิยอมออกมา

หยาดความร้อนผ่าวที่กำลังเอ่อล้นในดวงตาทำให้เฟยหลงต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อเก็บซ่อนมันเอาไว้ ความปวดร้าวที่มาจากตนเอง ทำตัวเองจะกล่าวโทษผู้ใดได้อีก เขาถึงต้องยอมรับมันถึงความทรมานที่อีกคนกำลังมอบมันให้เขา ความทรมานจากการเฝ้ารอ คิดถึงสุดใจ ปรารถนาจะได้อยู่ใกล้ๆ อีกครั้ง แต่มันก็คงจะเป็นแค่เพียงความหวังลมๆ แล้งๆ

สุดท้ายความร้อนผ่าวก็อาบผิวแก้มทั้งสองอย่างไม่อาจจะห้ามได้ บางทีมันอาจจะดีก็ได้ที่จะได้รับรู้เสียบ้างว่าอีกคนรู้สึกเช่นไร เฝ้ารอเขามานานแค่ไหน สิ่งที่เขาได้ทำลงไปต่อให้พร่ำบอกว่ามิได้ตั้งใจ แต่ก็มิได้เปลี่ยนผลของการกระทำนั้นเลย ตัวเขาทำให้หยางเถาเป็นทุกข์ เกิดความคลางแคลงใจในความสัมพันธ์ และสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการทำให้ยอดดวงใจของเขาต้องหลั่งน้ำตา

การที่ตัวเขาถูกเมินเฉย ถูกละเลยและปล่อยให้ยืนรออยู่เช่นนี้นั้นก็เป็นเสมือนบทลงโทษที่ตัวเขาควรได้รับแล้ว เขามิโทษหยางเถาสักนิด ยินดีจะยืนรออยู่อย่างนี้ทุกวันเพียงให้ยอดดวงใจของเขาหายเคืองขุ่นและออกมารับฟังเขาก็พอ เพียงแค่นั้นไม่ว่าสิ่งใดเขาก็จะทำให้ ต่อให้มันคือการทรมานร่างกายก็ตาม แม้ว่าทุกค่ำคืนต่อจากนี้ไปเขาจะต้องตากน้ำค้างข้างแรมก็ตาม เฟยหลงยินดีจะทำ





TBC









ความรักของแต่ละคนจะมีเหตุผลของการกระทำที่ต่างกันไป แต่ความรักไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรอกนะคะ การตัดสินใจของคนต่างหากที่ผิดไป รักน้องเถาของแมวมากๆ นะเจ้าคะ สงสารน้อง (T-T)

Facebook > https://m.facebook.com/PassionateFiction

Twitter > https://mobile.twitter.com/little_kittensY

หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 12. up.20/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-11-2018 17:55:20
สงสารน้องจัง
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 12. up.20/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-11-2018 18:17:10
น้ำตาท่วม ฮื่ออออ

 :o12:

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 13. up.30/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 30-11-2018 18:16:57
[13]

เช้าของวันใหม่ย่างเข้ามากลืนกินความมืดในยามราตรีจนสิ้น เหม่ยหลินที่เฝ้าชะเง้อคอยมองหาว่าค่ำคืนที่ผ่านพ้นมานั้นหยางเถาจะออกมาหรือไม่ คำตอบคือ...ไม่มี ไม่มีการปรากฏตัวของหยางเถาเลยแม้แต่เงา และนั่นมันกลับทำให้เหม่ยหลินรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง นางคิดอยู่แล้วว่ามันจะต้องได้ผล นี่คือสิ่งที่น่าพอใจมากเสียจนเหม่งหลินต้องหาคนมารับฟัง

และคนที่จะฟังนางก็จะต้องเป็น...เยว่เผิง

“พ่อบ้านถัง! ให้คนเตรียมเกี้ยวด้วยข้าจะไปบ้านสกุลเพ่ย!”

“ทราบแล้วขอรับฮูหยิน”

ถังลี่หยางสั่งคนเตรียมเกี้ยวตามความปรารถนาของฮูหยินอย่างรีบร้อน แม้ตนเองจะไม่ค่อยเข้าใจนักในเรื่องที่ทำให้ฮูหยินของบ้านสกุลลู่ยิ้มแย้มออกมาราวกับดีใจหนักหนา ครั้นจะเอ่ยถามพวกเด็กรับใช้ก็ไม่กล้า กลัวว่าพวกมันจะเอาเยี่ยงอย่างทำตามและพูดคุยในเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้านายเข้า ซึ่งถังลี่หยางผู้เป็นพ่อบ้านสกุลลู่ยิ่งยอมไม่ได้! เขาจะต้องมิใช่ผู้ที่ทำผิดกฎอย่างเด็ดขาด!

อี้เหม่ยหลินยิ้มพราวไปทั้งดวงตาและริมฝีปาก ความพึงพอใจมันช่างอิ่มเอมเสียจนนางไม่สามารถจะกักเก็บเอาไว้ในใจได้เลย ตอนนี้ในใจของนางนั้นรู้สึกราวกับเรื่องที่กลัดกลุ้มใจได้ถูกลบให้หายไปจนไม่หลงเหลือ ถึงแม้จะมีความวูบโหวงในจิตใจ แต่นางก็เลือกที่จะไม่สนใจสิ่งรบกวนเล็กๆ น้อยๆ นั่น อย่างไร...การที่เฟยหลงมิได้พบเจอกับหยางเถาเป็นเรื่องน่ายินดีอยู่แล้ว แบบนี้นางก็มั่นใจเลยว่า...หยางเถาผู้นั้น ต้องมิใช่มนุษย์!

“ฮูหยิน...เกี้ยวพร้อมแล้วขอรับ”

เหม่ยหลินเดินออกไปด้วยความปลื้มปิติ เท้าของนางก้าวเดินอย่างเร่งรีบโดยที่มิได้ใส่ใจต่อสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของพ่อบ้านถังเลยสักนิด เพราะนางไม่คิดว่าตัวของนางนั่นจะแสดงออกมาเสียชัดเจนจนผู้ที่ไม่รู้เรื่องราวที่นางทำ จะเกิดความสงสัยในตัวนาง เหม่ยหลินไม่คิดจะสนใจสิ่งใดรอบๆ กายสักนิด ในตอนนี้นางสนใจเพียงการบอกเล่าความยินดีในหัวใจให้เยว่เผิงได้ฟังเท่านั้น

เกี้ยวถูกยกขึ้นทันทีที่เหม่ยหลินเข้าไปนั่งอยู่ภายใน สองมือของนางลูบอีกข้างไปมาด้วยความตื่นเต้นและดีใจ รอยยิ้มกว้างไม่ได้เลือนหายไปจากใบหน้าของนางเลยสักวินาที มันกลับยิ่งกว้างขึ้นเมื่อคิดถึงเรื่องที่ได้กระทำลงไป ในตอนนี้เหม่ยหลินไร้ซึ่งความรู้สึกผิด ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจต่อหยางเถาไปแล้วสิ้นมีเพียงความปลื้มใจเท่านั้นที่อยู่แทนที่

เพียงไม่นานเกี้ยวก็หยุดลงตรงหน้าจวนสกุลเพ่ย เหม่ยหลินก้าวออกมาพร้อมๆ กับประตูใหญ่ที่เปิดต้อนรับให้นางได้เข้าไปภายใน เหม่ยหลินไม่คิดจะรอสิ่งใดอีก นางก้าวเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว หวังว่าจะได้บอกเล่าแก่เยว่เผิงโดยไวเพราะนางกักเก็บเอาไว้คนเดียวไม่ได้อีกแล้ว นางต้องการใครสักคนเพื่อมาดีใจร่วมไปกับนาง

“ท่านป้า...มาเยี่ยมท่านแม่หรือเจ้าคะ” เหม่ยหลินยิ้มแล้วส่ายหน้า

“เปล่าหรอก ป้ามาหาเจ้านั่นล่ะ ป้ามีเรื่องจะมาบอกเจ้าเยว่เผิง”

“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?” เหม่ยหลินคว้าเอามือบางของเยว่เผิงมากุมเอาไว้แน่น ใบหน้าของนางเปื้อนรอยยิ้มเสียจนเรียกความไม่เข้าใจได้จากเยว่เผิง

“หยางเถา...หยางเถาหายไปแล้ว เขาจะไม่มาใกล้กับเฟยหลงอีกแล้ว ป้าดีใจเหลือเกิน” เยว่เผิงเบิกตากว้าง ริมฝีปากยกยิ้มอย่างพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้แสดงความดีใจมากเกินไป เพราะเกรงว่าเหม่ยหลินจะมองเห็นความพึงพอใจนั้น

“จริงหรือเจ้าคะท่านป้า เช่นนี้...ท่านป้าก็มิต้องกังวลใจแล้วสินะเจ้าคะ ข้าโล่งใจเหลือเกิน” เหม่ยหลินมองใบหน้าอันแสนงดงามของเยว่เผิงด้วยความเอ็นดูกับความใส่ใจของนาง หัวใจของเหม่ยหลินรู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งที่เยวาเผิงทำเหลือเกิน นางทั้งใส่ใจ คอยรับฟังและเอาใจใส่เสียจนเหม่ยหลินอดคิดไม่ได้ว่า หากได้เยว่เผิงมาเป็นสะใภ้สกุลลู่จะโชคดีสักแค่ไหน

เยว่เผิงเอียงอายกับสายตาที่เหม่ยหลินกำลังมองนางอย่างเสแสร้ง นางต้องการให้เหม่ยหลินเห็นว่านางน่ารักน่าใคร่ อยากให้เห็นว่านางนั้นดูดีและอยู่สูงกว่าหญิงสาวคนใดในเมืองซิ่นจือแห่งนี้ ยางนางรับฟังและช่วยเหม่ยหลินแก้ปัญหาทุกอย่าง ท่านป้าก็จะยิ่งรักนางและปรารถนาให้นางแต่งงานกับพี่เฟยหลง ทุกสิ่งทุกอย่างคือสิ่งที่นางคิดเอาไว้แล้วทั้งสิ้น ต่อให้พี่เฟยหลงจะถูกปีศาจล่อลวง แต่คนอย่างพี่เฟยหลงมิมีทางขัดใจท่านป้าเป็นแน่หากท่านป้าปรารถนาให้แต่งกับนางแล้วละก็...พี่เฟยหลงก็จะต้องทำตามในที่สุด

“เยว่เผิง เจ้าช่างเป็นคนดีอะไรเช่นนี้ ป้ามิเคยพบเจอผู้ใดที่งดงามทั้งกิริยามารยาทและจิตใจเช่นเจ้าเลย คงเป็นบุญของสกุลลู่...หากได้เจ้าแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้” เยว่เผิงหลบสายตาของเหม่ยหลิน ผิวแก้มแดงปลั่งด้วยความเขินอายยามเมื่อได้ยินคำชมจนเหม่ยหลินที่มองอยู่อดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้

“ท่านป้า...อย่าเลยเจ้าค่ะ พี่เฟยหลงอาจจะมิได้รักชอบข้าก็เป็นได้นะเจ้าคะ”

“ไม่มีทางหรอก! ป้าเชื่อว่าเฟยหลงจะต้องรักเจ้าอยู่แล้ว แต่ที่แสดงออกมาเช่นนั้นเป็นเพราะหยางเถาล่อลวงเขาต่างหาก! ป้าจะให้เฟยหลงพาเจ้าออกไปเดินชมเมือง เจ้าทั้งสองจะได้ทำความรู้จักกันมากยิ่งขึ้น ดีหรือไม่”

“ข้า...แล้วแต่ท่านป้าเจ้าค่ะ”

“เจ้าเป็นเด็กดีเหลือเกิน เอาเถอะ...ป้าจะจัดการให้เจ้าเอง อย่าห่วงไปเลย”

อี้เหม่ยหลินพูดด้วยความมั่นใจ นางเลี้ยงเฟยหลงมา ทำไมนางจะไม่รู้จักลูกชายของนาง หากเป็นคำพูดของนางที่เป็นแม่แล้ว เช่นไรเสียเฟยหลงก็จะต้องทำตาม ยิ่งไร้ซึ่งเฟยหลงแล้วด้วยนั้น...เฟยหลงก็จะต้องคืนสติกลับมาและรักเยว่เผิงอย่างแน่นอน เหม่ยหลินคิดด้วยความฮึกเหิมในหัวใจ นางนั่งยิ้มกระหยิ่มโดยมิได้หันไปมองอีกคนเลยว่ามีสีหน้าเช่นไร ในตอนนี้นั้น สำหรับเยว่เผิงแล้วทุกสิ่งกำลังเดินเข้ามาในเส้นทางที่นางขีดไว้ทั้งสิ้น พี่เฟยหลงจะต้องเป็นของนาง บุรุษที่งดงามที่สุดในเมืองซิ่นจือจะเป็นของผู้อื่นมิได้ จะต้องเป็นของนางเพียงผู้เดียว

ความริษยาและความทะนงตนของเยว่เผิงช่างมากมายเสียจนไม่มีใครจะสามารถหยุดมันได้ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่มีผู้ใดสามารถห้ามมันได้ ไม่มีใครสามารถหยุดมันไม่ให้เกิดขึ้นได้ ถูกหรือผิดใครจะสามารถเห็นมันได้ การกระทำแม้มันจะไม่ถูกต้องแต่แล้วอย่างไร เยว่เผิงหรือจะสนใจในคำๆ นั้น สวรรค์หรือนรกต่างเพียงสูงหรือต่ำ หากนางเลือกจะปีนขึ้นไปให้ถึงยอดภูผาสิ่งใดก็หยุดนางมิได้ เช่นเดียวกัน หากนางต้องการพี่เฟยหลงแล้ว...ใครก็ไม่สามารถห้ามนางได้เช่นกัน

อารมณ์ของเหม่ยหลินและเยว่เผิงต่างกันอย่างสิ้นเชิง เหม่ยหลินนั้นเต็มไปด้วยความหวังดีที่มีต่อเฟยหลง ปรารถนาให้บุตรชายของนางก้าวเดินต่อไปอย่างถูกต้อง ในขณะที่เยว่เผิงทำไปเพื่อตนเอง คำปรามาสจากมารดาของนางที่พูดกล่าวเอาไว้ว่า พี่เฟยหลงมิได้รักชอบนางเพียงเอ็นดูนางนั้นมิได้เป็นความจริงเลย พี่เฟยหลงจะต้องรักนาง ผู้ใดกันที่ได้พบนางแล้วมิพึงใจ หึ...ไม่มีสักคน

เมื่ออุปสรรคสำคัญของนางคือหยางเถาผู้นั้นได้ถูกกำจัดลงไปเสีย จากนี้นางก็คือผู้เดียวที่ได้อยู่ชิดใกล้กับพี่เฟยหลง แล้วเช่นนี้ใครกันเล่าจะสามารถมาดึงหัวใจของชายผู้หล่อเหลาผู้นี้ไปได้ หัวใจและร่างกายของพี่เฟยหลงจะต้องเป็นของนาง ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับนางจะต้องดีที่สุด ใครก็จะมาแย่งชิงพี่เฟยหลงไปจากนางมิได้ นางไม่มีวันยอม!





•~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•





“นายน้อยขอรับ ทานยาเสียหน่อยเถิดขอรับนายน้อย”

“แค่กๆ” เฟยหลงปรายตามองใบหน้าของเหวินฉายที่บัดนี้แดงระเรื่อด้วยพิษไข้ไม่ต่างกัน หากแต่ใบหน้าของเฟยหลงนั้นซีดเซียวไร้สีเลือดเสียมากกว่าเท่านั้น สำหรับเหวินฉายแล้วพิษไข้เพียงเท่านี้มิได้ทำให้ร่างกายที่ผ่านร้อนผ่านหนาวของเหวินฉายผู้นี้ป่วยหนักไปกว่านายน้อยได้เลย เฟยหลงนั้นใช้ชีวิตอยู่ในจวนคอยท่องตำราและเขียนอักษรต่างๆ ต่างจากเขา...ที่ทุกๆ วันทำงานหนัก แม้จะไม่ได้มากเท่าเด็กรับใช้คนอื่นๆ แต่ก็มิได้สุขสบายดั่งคุณชายสกุลใหญ่ๆ ทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าเด็กรับใช้ เช่นไรก็คือผู้ที่ทำงานหนักแลกเศษเงินและที่ซุกหัวนอน

เหวินฉายสูดหายใจเข้าได้ไม่เต็มปอดนักด้วยเพราะวันนี้เขาเองรู้สึกได้ถึงอาการคัดจมูก อาจจะเป็นเพราะเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมากนั้นนายน้อยของเขาเอาแต่ยืนตาน้ำค้างเฝ้ารอคุณชายหยางทั้งคืน จวบจนดวงตะวันเริ่มจะขึ้น นายน้อยจึงได้ยินยอมกลับเข้าไปในห้องด้วยใบหน้าอันหมองเศร้า พร่ำบอกแต่คำว่าขอโทษไปกับสายลม

เหวินฉายเห็นมาตลอดดวงตาที่แสนโศกเศร้าและแดงก่ำคู่นั้น ยามปกตินายน้อยผู้นี้ของเขานั้นมิเคยสักครั้งคราที่จะแสดงสีหน้าดังกล่าว ขนาดในวันที่สิ้นนายท่านฮุ่ยเจิงนายน้อยยังไม่เคยหงอยเหงาเท่าวันนี้เลย แต่นี่...เพียงมิได้พบกับคุณชายหยาง นายน้อยก็ถึงกับซึมเศร้าลง เอ่ยเปรยๆ กับสายลมเพียงหวังให้สายลมช่วยพัดพาคำขอโทษอันเว้าวอนไปถึงคุณชายหยาง

ร้อยวันพันปีที่เหวินฉายอยู่กับนายน้อยเฟยหลงมานั้น เขานับครั้งได้เลยที่นายน้อยของเขาจะล้มป่วย แต่นี่คงจะเป็นเพราะเรื่องของจิตใจและสภาพร่างกายที่มิได้พักผ่อนมาร่วมสองคืน จึงทำให้นายน้อยของเขาถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ เหวินฉายยื่นถ้วยยาที่มีไอความร้อนกระจายออกมาให้เฟยหลงที่ในตอนนี้นั่งพิงอยู่กับหมอนด้วยท่วงท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนพร้อมกับอาการไอไม่หยุด

“นายน้อย ทานยาสักหน่อยเถอะขอรับ อย่าทรมานตนเองเช่นนี้เลย”

“ต้นท้อ แค่กๆ เจ้าไปดูต้นท้อให้ข้าที”

“แต่นายน้อยขอรับ...” เมื่อเห็นว่าเหวินฉายมีท่าทีลังเลใจ ไม่ยอมลุกไปตามที่บอก เฟยหลงจึงขยับตัวเพื่อจะก้าวลงจากเตียงเสียเองเดือดร้อนเหวินฉายต้องตาลีตาเหลือกห้ามปรามเป็นการใหญ่

“นายน้อย! จะไปไหนขอรับ!”

“ข้าจะไปดูต้นท้อ ถอยไปเสียเหวินฉาย!” เสียงอันแหบพร่าและอ่อนแรงเอ่ยบอกพร้อมกับมือใหญ่ที่พยายามดันร่างของเหวินฉายออกไปให้พ้นทาง

“นายน้อย! นายน้อยขอรับ ก็ได้ขอรับข้าจะไปดูให้เองขอรับ หากนายน้อยยอมทานยาถ้วยนี้จนหมด ข้าจะออกไปดูต้นท้อให้เอง”

เฟยหลงได้ยินเช่นนั้นจึงยอมกลับไปนอนบนเตียงอีกครั้งและยอมรับถ้วยยามาดื่มเพียงครั้งเดียวจนหมดถ้วยก่อนจะส่งถ้วยยาที่ว่างเปล่าคืนให้แก่เหวินฉายกลับไป เมื่อเห็นว่านายน้อยของตนทำตามที่พูดเหวินฉายก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความไม่เข้าใจ ต้นท้อต้นนั้นสำคัญมากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ถึงขนาดที่นายน้อยยินยอมจะทานยาเพียงเพื่อให้เขาออกไปดูต้นท้ออันแสนสำคัญให้

“นายน้อยต้องการให้ข้าดูสิ่งใดขอรับ?”

“ข้าอยากรู้ แค่กๆ ว่าดอกท้อบานอยู่หรือไม่ ร่วงโรยไปบ้างหรือไม่ เจ้าไปดูให้ข้าที” เหวินฉายแม้ในใจจะเต็มไปด้วยคำถามมากมายแต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับคำสั่งของผู้เป็นนายเท่านั้น

“ได้ขอรับ...”

เหวินฉายยอมรับปากที่จะทำตามคำสั่งโดยมิอาจจะโต้แย้งใดๆ ได้อีก เมื่อตนเองเป็นผู้ยื่นข้อเสนอแก่เฟยหลงผู้เป็นนายเองว่า หากดื่มยาถ้วยนั้นจนหมดเขาจะยอมไปดูต้นท้ออันแสนสำคัญให้ เหวินฉายค่อยๆ ก้าวออกมาจากห้องของเฟยหลงอย่างเงียบๆ มองภาพนายน้อยของตนที่เอนหลังลงนอนกับเตียงก่อนที่ประตูจะปิดอย่างครุ่นคิด หากเมื่อคืนนายน้อยมิดื้อรั้นจะอยู่รอคุณชายหยางแล้วล่ะก็ นายน้อยคงมิต้องมาเจ็บป่วยเช่นนี้

ยิ่งคิดเหวินฉายก็ยิ่งถอนหายใจ เกิดเป็นเด็กรับใช้เช่นตัวเขาก็คงจะทำสิ่งใดไปมิได้ ครั้นจะไปตามหาคุณชายหยางเพื่อจะอธิบายให้ได้เข้าใจในตัวนายน้อยก็ทำมิได้ เพราะเพียงเอ่ยถามถึงบ้านเรือนของคุณชายหยาง นายน้อยก็มีท่าทางอึกอัก บอกเพียงว่าอยู่ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง จนคนถามเหนื่อยใจที่จะเค้นเอาคำตอบและเลิกราไปในที่สุด

ร่างบางเดินออกมาตรงหน้าต้นท้อสูงใหญ่ที่มีใบสีเขียวปกคลุมทั้งต้น สายตาหวานซึ้งมองกิ่งก้านที่ถูกประดับไว้ด้วยดอกสีชมพูเล็กๆ อย่าพินิจ ดอกนั้นยังคงมิเบ่งบานดังเช่นค่ำคืนที่ผ่านมา ก่อนที่สายตาของร่างบางจะหลุมลงกวาดตามองหาเศษของดอกท้อนั้นบนพื้นดินอีกครั้ง เพราะไม่แน่ว่าดอกท้อบนต้นท้อต้นนี้อาจจะร่วงโรยลงไปแล้วก็เป็นได้

เขายังจำได้ดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับซูหนิง วันนั้นเพียงซูหนิงเก็บเอาเศษของดอกท้อมาประดับเอาไว้บนศีรษะก็กระตุกความพิโรธอันแสนน่าหวาดกลัวออกมาจากตัวของนายน้อย ซ้ำร้ายยังถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ที่เด็ดดอกไม้ดอกนั้นลงมา ใบหน้าของนายน้อยในยามนั้นน่ากลัวกว่าปีศาจตนใด มิต่างกับนายท่านฮุ่ยเจิงยามโกรธเกรี้ยวเลยสักนิด ซูหนิงถูกยึดดอกท้อกลับไปจนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเสียใจ น้ำตาแทบจะไหลรินออกมา

ตัวเขานั้นแทบไม่อยากจะเชื่อว่าดอกไม้ดอกเล็กๆ เพียงดอกเดียวนี้จะทำให้นายน้อยผู้ที่เคยยิ้มแย้มกับทุกผู้คนจะกลายเป็นชายดุดันที่แผ่กระจายความยะเยือกออกมาได้ขนาดนี้ ในยามนั้นทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ ต่างตัวสั่นกันเต็มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่เขาที่ยืนอยู่ด้วยความหวาดกลัว ไหนจะอาการ หวง ที่อยากเก็บมันเอาไว้เพียงผู้เดียว เอ่ยถามคำถามแปลกๆ กับเขายามที่หมุนดอกไม้สีชมพูในมือเล่น ช่างนำมาแต่ความสับสนมาให้เขาเสียจริงเชียว

เหวินฉายถอนหายใจออกมาเสียงดังยามเมื่อกวาดสายตามองดูแล้วมั่นใจได้ว่าไม่มีดอกท้อดอกใดร่วงหล่นลงมาบนพื้น ดีเสียจริง เพราะหากว่ามีดอกท้อร่วงโรยลงสู่พื้นดิน มิแคล้วว่าตัวเขาเองที่จะเดือดร้อนรองรับอารมณ์ที่ดุดันของนายน้อยเสียเองเหวินฉายกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ เมื่อคิดถึงสิ่งที่จะถูกลงโทษของตนเองยามเดินไปแจ้งแก่นายน้อยว่าเขาพบดอกท้อที่ร่วงโรยแล้ว หากมิเป็นเฆี่ยนตีก็คงจะเป็นหาบน้ำไปกลับสักสามสิบรอบ แล้วร่างกายอันแมนบอบบางที่มาดแมนกว่าผู้หญิงอยู่น้อยนิดจะทำอะไรแบบนั้นโดยที่ตัวเขาไม่หักครึ่งได้อย่างไรกัน!

ระหว่างที่ถังเหวินฉายยังคงกวาดสายตามองหาดอกท้อให้มั่นใจอีกครั้งว่าไม่มีตกหล่นนั้น อีกคนที่ติดอยู่ในต้นท้อกลับพยายามเสียเหลือเกิน ที่ส่งเสียงออกมา เพียงแต่ไม่ว่าจะส่งเสียให้ดังก้องสักเพียงใดก็ดูเหมือนว่าจะไร้ผล ไม่เพียงแค่เหวินฉายมิได้ยินสิ่งใดแล้วนั้น ซ้ำร้ายยังไร้ซึ่งการรับรู้ถึงตัวตนของเขา ยิ่งตกอยู่ในการกักกันนานเท่าไร พลังในกายของหยางเถาก็ยิ่งหดหายไปเรื่อยๆ เช่นกัน

ดอกท้อมิสามารถเบ่งบานได้ ถูกตัดขาดจากการดูดซับพลัง ราวกับมีม่านพลังที่มองไม่เห็นปกคลุมต้นท้อต้นนี้ทั้งต้นเพื่อมิให้รับพลังจากแสงจันทราได้ และเมื่อไร้พลัง ตัวตนของหยางเถาก็เริ่มจะอ่อนแอลงไป หยางเถาทิ้งกายลงกับพื้นอย่างน่าเวทนา ร่างบอบบางหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน ไม่ว่าจะปล่อยพลังออกไปเท่าไรผลของมันก็เป็นเช่นเดิม ซ้ำร้ายยังเป็นการบั่นทอนพลังที่เหลืออยู่ของร่างบางเสียด้วยซ้ำ

“เฟยหลง...”

ปากบางพร่ำเรียกเพียงชื่อของผู้เป็นที่รักอย่างท้อแท้ ม่านน้ำตาคลออยู่ในดวงตาคู่ใสจนเอ่อล้น หยาดใสไหลลงสู่แก้มบางจนเปียก แต่มิอาจเทียบได้กับความเจ็บปวดที่หัวใจของหยางเถาได้พบเจอเลยสักนิด ยิ่งเงียบงันยิ่งฟุ้งซ่าน ยิ่งไร้ซึ่งหนทางยิ่งหมดหวัง ความทุกข์ทรมานใจของหยางเถาหนักหนาเกินกว่าจะทิ้งมันไปได้ จึงต้องอดทนกัดฟัน หวังอ้อนวอนให้สวรรค์เมตตาให้เขาหลุดจากสิ่งที่กักเขาเอาไว้เสียที

ใบหน้าหวานซบเซาลงกับฝ่ามือ ดวงตาทั้งสองข้างหลับลงเพื่อเรียกเอาภาพแห่งความทรงจำให้เป็นเพื่อนคลายเหงาคลายเศร้า ทุกๆ การกระทำและอิริยาบถต่างๆ ของเฟยหลงปรากฏออกมาให้ได้เห็น ทั้งรอยยิ้ม ดวงตาคมที่จับจ้อง ไหนจะริมฝีปากที่คอยพร่ำเอ่ยคำหวานๆ ให้ใจของร่างบางได้สั่นไหวอีก ทุกอย่างมันช่างชัดเจนเหลือเกินสำหรับหยางเถา ทุกๆ อย่างบนใบหน้าของเฟยหลงนั้น...มันชัดเจนเหลือเกินในความทรงจำของหยางเถา

“หยางเถา...”

“เจ้าดอกท้อของข้า...”

เสียงของเจ้ายังคงดังอยู่ในความทรงจำของข้า แต่ข้าเล่า เคยได้อยู่ในเศษเสี้ยวความทรงจำของเจ้าหรือไม่

หยางเถาสะท้านในอกด้วยความเจ็บปวด เพียงคิดไปว่าผู้ใดที่อยู่ในความทรงจำของคนที่เขาเฝ้าคะนึงหานั้นก็พลันปวดร้าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ในยามนี้เขาจะทำอะไรอยู่กันหนอ จะเฝ้าคิดถึงเขาบ้างหรือไม่สักเพียงเศษหนึ่งของความคิด ให้หัวใจของเขาได้ชุ่มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดีที่ห้างหายไปนาน เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา...เฟยหลงก็ออกมายืนรอเขาดังเช่นทุกคืน หากแต่เพียงว่าเขามิสามารถจะออกไปพบร่างสูงสง่านั้นได้

ในเวลานี้คงมิใช่ว่าจะป่วยไข้ไปหรอกนะ อากาศหรือก็แสนจะหนาวเย็นแต่เจ้าคนโง่ผู้นั้นกลับมิยอมกลับเข้าไปในห้องของตนเอง เอาแต่ยืนมองต้นท้อเสียจนเช้า หากว่าเฟยหลงป่วยขึ้นมาจริงๆ จะทำเช่นไร จะมีผู้ใดดูแลหรือไม่นะ? แต่หยางเถาก็ต้องหยุดความคิด ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนแน่นเมื่อนึกได้ว่าอย่างไรเฟยหลงก็มีคุณหนูเพ่ยเยว่เผิงอยู่ทั้งคน คงมิเป็นไร ดีไม่ดีตัวเฟยหลงเองคงพึงพอใจเสียด้วยซ้ำที่ว่าที่ภรรยาของตนไปดูแลใกล้ชิด

“นานแค่ไหนข้าก็จะรอ...” สองมือบางยกขึ้นปิดหู ไม่อยากได้ยินแม้จะเป็นเพียงเสียงจากความทรงจำ เขาเจ็บปวด เขาทรมาน เหตุใดจะต้องจดจำได้แต่เพียงเฟยหลงด้วย เพียงหลับตาก็มองเห็นภาพของเฟยหลงยืนอยู่เบื้องหน้าโน้มตัวลงมาใกล้ รอยยิ้มของเฟยหลงยังคงประดับอยู่บนใบหน้า ร่างสูงยื่นมือมาสัมผัสผิวแก้มอย่างแผ่วเบา

“เถาเถา เจ้าดอกท้อขี้เมา...”

แม้แต่สัมผัสของเจ้าก็ติดตรึงอยู่ในความทรงจำของข้าด้วยหรือ

อยากจะลืม อยากจะลบสัมผัสอันอ่อนโยนนี้ออกไปให้หมดทั้งใจ แต่เขาหรือจะทำได้ สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้มีเพียงกล้ำกลืนฝืนทนต่อมัน ไม่ว่ามันจะปวดร้าวสักเท่าใดก็ทำได้เพียงทนอยู่กับมันเท่านั้น ร่างบางเอื้อมมือหมายจะคว้าหาคนตรงหน้า แต่ภาพมายาก็คือภาพมายา สิ่งที่เป็นมายาหรือจะจับต้องได้ ในมือของหยางเถาจึงมีเพียงอากาศเท่านั้น

อากาศที่ไร้ตัวตน

อากาศที่มองไม่เห็น

อากาศที่สามารถทำให้เขารู้ได้ว่า ความเงียบเหงามาพร้อมความปวดร้าวเสมอ

“เฟยหลง...เจ้าช่างโหดร้ายจริงๆ”

มาทำให้ข้ารักทั้งที่เจ้ามิได้รักข้าได้อย่างไรกัน

หรือเป็นข้าที่ผิดเพราะคิดไปเองผู้เดียว
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 13. up.30/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 30-11-2018 18:18:40
[ต่อ]

หลังจากกลับมาจากจวนสกุลเพ่ยเหม่ยหลินก็ได้ยินจากพ่อบ้านถังว่าบุตรชายของนางกำลังป่วยไข้ ด้วยความร้อนใจเหม่ยหลินจึงสาวเท้าเดินไปเยี่ยมเยียนบุตรชายด้วยความเป็นห่วง นานนับปีที่เฟยหลงมิเคยเจ็บไข้ หากแต่เหตุใดหลังจากที่ไร้ซึ่งปีศาจแล้วบุตรชายของนางจึงเจ็บป่วยง่ายดายเช่นนี้ ใจของคนเป็นมารดาร้อนรุ่ม ฝีเท้าของเหม่ยหลินก็เร่งหวังให้ไปยังห้องของบุตรชายให้เร็วขึ้น

“เฟยหลง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เหม่ยหลินถลาร่างเข้าไปดูเฟยหลงที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความห่วงใย

“ท่านแม่...” ร่างสูงขยับร่างกายขึ้นนั่งก่อนจะส่งยิ้มให้ผู้เป็นมารดาที่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

“เป็นเช่นไรบ้าง แม่จะให้คนไปตามหมอมารักษาเจ้านะ”

“ท่านแม่อย่าเลยขอรับ ข้ามิได้เป็นอะไรมาก เพียงแค่ตากลมนานไปเท่านั้น” เหม่ยหลินยิ่งขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ว่าด้วยเหตุใดกันบุตรชายของนางจึงได้ไปตากลมเสียจนเจ็บป่วย

“แล้วไยเจ้าจึงได้ไปตากลมเล่า?” เฟยหลงเพียงยิ้มบางๆ ให้กับนางเท่านั้น มิได้กล่าวสิ่งใดออกไป เหวินฉายยกน้ำชาเข้ามาพอดีรับรู้ได้ถึงบรรยากาศอันเงียบงันของแม่ลูกที่อยู่ในห้อง เหม่ยหลินหันมามองเหวินฉายด้วยสายตากดดัน ในเมื่อนางเอาคำตอบจากบุตรชายของนางมิได้ เช่นนั้นนางก็จะเอาคำตอบจากคนใกล้ตัวของเฟยหลงเอง

“เหวินฉาย!”

“ขะ ขอรับฮูหยิน” คนถูกเรียกสะดุ้งด้วยความตกใจ ยิ่งได้เห็นใบหน้าที่เรียบเฉยแต่บรรยากาศรอบกายกดดันยิ่งหวาดเกรง

“จงมาบอก เหตุใดลูกชายของข้าจึงได้เจ็บป่วยเช่นนี้!”

“เอ่อ...” เหวินฉายอับจนซึ่งคำพูด ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวออกไปตามความเป็นจริงหรือควรจะหาคำโกหกโป้ปดออกไปแทน หากฮูหยินรู้ถึงสาเหตุจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ไม่รู้ ยิ่งสายตาของเฟยหลงที่เหม่อลอยออกไปยิ่งทำให้เหวินฉายคิดไม่ตก บอกหรือไม่บอกดีนะ แต่สุดท้ายเหวินฉายก็ถอนหายใจออกมาแล้วทำในสิ่งที่สมควร

“นายน้อยยืนรอคุณชายหยางข้างนอกทั้งคืนจนเช้าขอรับ เพราะตากลมเย็นและน้ำค้างนานเกินไป จึงได้ล้มป่วยขอรับฮูหยิน”

เหม่ยหลินเม้มริมฝีปากแน่นดวงตาคู่นั้นของนางเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว นี่ขนาดนางจัดการกำจัดเสียก็ยังมิวายสร้างปัญหาให้กับบุตรชายของนางอีกหรือ ต้องทำเช่นไรจึงจะสามารถทำให้เจ้าปีศาจตนนั้นหายไปจากชีวิตของเฟยหลงเสียที! เหวินฉายหนาวยะเยือกกับบรรยากาศที่ฮูหยินแผ่ออกมาจนอยากจะตบปากตัวเองเหลือเกินที่ตัดสินใจพูดความจริงออกไปเช่นนี้ นี่เขาตัดสินใจผิดอย่างนั้นหรือ

“เฟยหลง! แม่ขอสั่งห้าม ห้ามเจ้าไปรอหยางเถาอีกเป็นอันขาด! เจ้าจะต้องพาเยว่เผิงไปเที่ยวเมื่อเจ้าหายดี เจ้าเข้าใจหรือไม่!” เฟยหลงหันมามองมารดาด้วยความไม่เข้าใจ เหตุใดความห่วงใยจึงได้กลับกลายเป็นการบังคับเขาเช่นนี้

“ท่านแม่...เพราะเหตุใดขอรับ เพราะเหตุใดท่านแม่จึงต้องห้ามข้าด้วย”

“ก็เพราะ! เพราะเจ้าเป็นลูกแม่อย่างไรเล่า เจ้าจะต้องเชื่อฟังแม่และจะต้องทำดีกับเยว่เผิงให้มากๆ นางแสนดีและงดงามเช่นนี้ มิได้หาได้ง่ายๆ เลยนะ” งดงามหรือ สำหรับเฟยหลงแล้วใครจะงดงามได้เท่ากับหยางเถากัน

“ท่านแม่...ข้าอยากจะคุยกับท่านแม่เรื่องเยว่เผิงให้ชัดเจนขอรับ” แต่เหม่ยหลินรู้ดีว่าเฟยหลงต้องการจะบอกสิ่งใดกับนาง นางจึงโบกไม้โบกมือห้ามปราบมิให้เฟยหลงได้เอ่ยออกมาในสิ่งที่นางมิได้ต้องการจะรับรู้

“เอาไว้ก่อนเถิด หายดีเมื่อไรค่อยมาคุยกับแม่ก็ได้ เอาเป็นว่า วันมะรืนนี้เจ้าพาเยว่เผิงเที่ยวชมเมืองด้วยล่ะ แม่บอกกล่าวแก่นางไว้แล้ว ตอนนี้เจ้าพักผ่อนเถอะ แม่จะไปหาพ่อเจ้าเสียหน่อย” เหม่ยหลินมิเปิดโอกาสให้เฟยหลงได้กล่าวสิ่งใดเลย จนเฟยหลงได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างมิอาจจะทำสิ่งใดได้

“ดูแลนายน้อยของเจ้าให้ดีด้วย อย่าให้นายน้อยของเจ้าออกไปยืนรอผู้ใดยามค่ำคืนอีก!”

“เอ่อ ขะ ขอรับฮูหยิน ข้าน้อยทราบแล้ว”

ดวงตาของเหม่ยหลินหรี่ลงจ้องใบหน้าของเหวินฉายจนคนถูกจ้องตัวสั่น เมื่อเห็นว่าเหวินฉายคงมิกล้าขัดคำสั่งนาง เหม่ยหลินจึงเดินออกไปด้วยใบหน้าที่มีแต่ความไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าฮูหยินของบ้านเดินออกไปแล้วเหวินฉายจึงได้ระบายลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกโล่งอก เพราะเขารู้สึกอึดอัดเหลือเกิน หากแต่เขาไม่เข้าใจยิ่งกว่าว่า เหตุใดนายน้อยจึงได้ยินยอมจะพาคุณหนูเพ่ยไปเที่ยวตามคำสั่งของฮูหยินด้วย นี่มิใช่ว่านายน้อยเข็ดจากคราวก่อนแล้วหรือ เรื่องการนิ่งเงียบจนทำให้ต้องเสียคุณชายหยางไป

เหวินฉายเต็มไปด้วยความรู้สึกกรุ่นโกรธเต็มหัวใจ เขาไม่อาจจะเข้าใจในความคิดของเฟยหลงผู้เป็นนายได้เลยแม้แต่น้อย จนบางครั้งเขาเองก็อดสงสัยมิได้ว่า นายน้อยของเขารักคุณชายหยางผู้นั้นจริงๆ หรือไม่ ที่ยอมยืนรอจนเช้านั้นเพราะรักแน่หรือ ถ้าหากรักคุณชายหยางผู้นั้นจริงๆ เหตุใดมิปฏิเสธออกไปให้ชัดเจนเล่า หรือจะต้องให้มีการตรอมใจเกิดขึ้นจึงจะพอกัน

“นายน้อยขอรับ เหวินฉายขอเอ่ยถามในเรื่องที่มิควร ได้หรือไม่ขอรับ”

“เจ้าจะถามอะไรล่ะ” เหวินฉายลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เพื่อเรียกความมั่นใจของตนเองก่อนจะเอ่ยถามออกไป

“นายน้อยรู้สึกเช่นไรกับ...คุณหนูเพ่ยขอรับ” เฟยหลงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยเพราะไม่คิดว่าเหวินฉายจะถามเขาออกมาเช่นนี้

“เหตุใดเจ้าจึงถามข้าเช่นนี้เล่า?”

“โปรดบอกให้ข้าเข้าใจด้วยเถิดนายน้อย ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ขอรับ”

เขาไม่เข้าใจสักนิด ยิ่งได้เห็นการกระทำที่เฉยเมยยามฮูหยินกล่าวถึงคุณหนูเพ่ยด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งสับสนในใจไม่น้อย ปากนายน้อยพร่ำบอกว่ารัก อ้อนวอนเพียงให้เขารับฟัง ยอมยืนตากน้ำค้างจนเช้าเพียงเพื่อเฝ้ารอให้คุณชายหยางมาหา แต่ดูตอนนี้...เพียงฮูหยินบอกให้นายน้อยพาคุณหนูเพ่ยไปเที่ยวชมเมือง นายน้อยกลับยังไม่หนักแน่นเพียงพอที่จะปฏิเสธออกไปให้เต็มคำ หากว่าคุณชายหยางเสียใจจนมิยอมกลับมาอีก ก็จะโทษผู้ใดอีกไม่ได้

“แล้วสิ่งใดเล่าที่เจ้าบอกว่าไม่เข้าใจ”

“นายน้อย...”

เหวินฉายได้แต่คร่ำครวญเรียกนายของตนเองเสียงเบาโดยที่เฟยหลงไม่มีทีท่าจะอธิบายในสิ่งที่เหวินฉายเอ่ยถามออกไป เหวินฉายนิ่งงันแววตาเต็มไปด้วยความไม่ชอบใจที่ฉายชัด ทำไมกัน เพียงคำถามง่ายๆ เหตุใดนายน้อยจึงได้บ่ายเบี่ยงที่จะตอบเช่นนี้ มิใช่ว่าหลงรักคุณหนูเพ่ยผู้นั้นหรอกหรือ หากว่าเป็นเช่นนั้นจริง แล้วเหตุใดจะต้องกระทำราวกับว่ามีใจให้คุณชายหยางด้วยเล่า หรือเห็นว่าเป็นบุรุษด้วยกัน จะกระทำเช่นไรก็ย่อมได้ เหวินฉายช้อนดวงตาขึ้นมองเฟยหลงด้วยความผิดหวัง

“หากนายน้อยรักชอบคุณหนูเพ่ย...แล้วเหตุใดนายน้อยจึงต้องกระทำราวกับว่า พึงใจต่อคุณชายหยางด้วยล่ะขอรับ”

เฟยหลงถอนหายใจเฮือกใหญ่ยามได้ยินคำถามที่ค้างคาใจของเหวินฉาย ยิ่งแววตาที่แสดงออกว่าผิดหวังในตัวของเขามากมายจนแทบจะไม่อาจจะยืนอยู่ตรงนี้ได้อีกนั้น เฟยหลงยิ่งปวดใจ เขามิใช่ว่าไร้หัวใจ มิใช่ว่าจะไม่รู้ว่าท่านแม่กำลังทำอะไร แต่การจะให้ต่อต้านออกไปในขณะที่เขายังคงอ่อนแรง เจ็บป่วยจนต้องนอนอยู่บนเตียงเช่นนี้ มันช่างไร้ความหมายนัก เพ่ยเยว่เผิงก็คืออีกหนึ่งปัญหา ด้วยตัวเขาเองยังไม่แน่ใจนักว่าเยว่เผิงคิดเช่นไร จึงได้คิดจะยอมพาเยว่เผิงไปเที่ยวชมเมืองและจะพูดคุยกับเยว่เผิงในเรื่องนี้

“มิใช่เช่นนั้นหรอกนะ หัวใจของข้า...ไม่ว่าในตอนนี้หรือต่อไป ก็จะมั่นรักเพียงหยางเถาเท่านั้น”

“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เหตุใดนายน้อยมิปฏิเสธฮูหยินออกไปให้ชัดเจนเล่าขอรับ ไยจึงปล่อยให้ฮูหยินเข้าใจว่านายน้อยจะยอมรับคุณหนูเพ่ย”

“บางอย่าง...ข้าก็เพียงรอเวลา มิใช่ว่าเราจะสามารถพูดได้ทุกเรื่องหรอกนะ เจ้ายังเด็ก อาจจะไม่เข้าใจข้า ข้าไม่โทษเจ้าหรอกหากเจ้าจะคิดว่าข้าเป็นคนโลเล” เฟยหลงยิ้มให้เหวินฉายบางๆ ราวกับว่าเข้าใจทุกอย่างไม่ว่าเหวินฉายจะมองเขาด้วยสายตาเช่นไรก็ตาม สำหรับเฟยหลงแล้ว เขามีจุดมุ่งหมายอยู่แล้ว เช่นไรเขาก็จะต้องทำให้ท่านแม่ยอมเลิกราที่จะจับคู่เขากับเยว่เผิงให้ได้ เขาไม่สนใจใครทั้งนั้น หากคนผู้นั้นมิใช่หยางเถา ชีวิตของเขามีไว้ก็เพียงเพื่อรักหยางเถาแต่เพียงผู้เดียว มิใช่ใครอื่น

“นายน้อย ข้าขอเตือนท่านนะขอรับ คุณหนูเพ่ยผู้นี้ร้ายกาจนัก หากนายน้อยมิจัดการให้เด็ดขาด ข้าเกรงว่าคุณชายหยางจะเป็นอันตราย”

“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ”

เหวินฉายพยักหน้ารับ เขาคิดเช่นนั้นจริงๆ ในครั้งที่เขาเดินทางไปแจ้งข่าวแก่สกุลเพ่ยเขาก็เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า คุณหนูเพ่ยผู้นั้นมิได้อ่อนหวานอย่างที่แสดงออกมาให้นายน้อยเห็นเลยแม้แต่น้อย สายตาที่กดคนอื่นให้ต่ำลงเสียจนจมดิน แม้ว่าในภายหลังเมื่อรู้ว่าเขาคือเด็กรับใช้ของสกุลลู่สายตาที่มองเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนหวาน แต่คนอย่างเหวินฉายเชื่อในสิ่งแรกที่เห็นเสมอ การแสดงออกของคนเราในคราแรกนั้นคือของจริง หากแต่ต่อมาล้วนแต่เป็นการปรุงแต่งทั้งสิ้น

“ข้าคิดเช่นนั้นขอรับนายน้อย แล้วนายน้อยล่ะขอรับ รักคุณหนูเพ่ยบ้างหรือไม่”

“ใจข้าหมายปองเพียงดอกท้อดอกเล็กๆ เท่านั้น มิได้ต้องการจันทรามาเคียงข้างกาย ต่อให้จันทราจะงดงามกว่าสักเพียงใด แต่สำหรับข้าแล้ว ดอกท้อดอกเล็กเพียงดอกเดียวกลับมีค่ามากกว่าจันทราในคืนเต็มดวงเสียอีก”

“หากว่าคุณชายหยางมาได้ยินคงยินดีมิน้อยนะขอรับ” เหวินฉายส่งยิ้มอบอุ่นให้เฟยหลงอย่างเบาใจ ได้ยินเช่นนี้ เขาก็รู้สึกดีขึ้นมากมายเชียว

“ข้าเองก็ปรารถนาให้เขามาฟังเช่นกัน...หากเขามายืนตรงหน้าข้าอีกครั้ง ข้าจะพร่ำบอกคำว่ารักให้ฟังเสียจนเบื่อเชียว”

แต่เขาจะมีโอกาสนั้นอีกหรือไม่นะ เขาเองก็ไม่รู้เลยจริงๆ



TBC



“ใจข้าหมายปองเพียงดอกท้อดอกเล็กๆ เท่านั้น มิได้ต้องการจันทรามาเคียงข้างกาย ต่อให้จันทราจะงดงามกว่าสักเพียงใด แต่สำหรับข้าแล้ว ดอกท้อดอกเล็กเพียงดอกเดียวกลับมีค่ามากกว่าจันทราในคืนเต็มดวงเสียอีก” สำหรับคนที่รัก ต่อให้ความสวยงามหล่อความหล่อเหลาเทียบเท่าคนอื่นไม่ได้ แต่เขาก็จะมั่นใจว่า สิ่งที่เขาถืออยู่นั้นมีค่าที่สุด คุณค่าของทุกคนมีเท่ากันนะคะ มันอยู่ที่ว่า เขามองว่าเรามีค่าอีกคนหรือเปล่า แต่แมวมองทุกคนมีค่ากับแมวมากกน๊า อย่าทิ้งแมวน๊าคนดี~

หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 13. up.30/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 01-12-2018 17:21:42
จะได้มาเจอกันไหมนะ
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 14. up.10/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 10-12-2018 16:14:36
[14]

เฉินลี่ฟู่เดินไปมาด้วยท่าทางครุ่นคิด เด็กๆ บอกกับเขาว่าเหวินฉายมิได้ไปหาเลยนับตั้งแต่วันนั้นที่พวกเขาไปซื้อเสื้อผ้าให้เด็กๆ ด้วยกัน ตัวเฉินลี่ฟู่เองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ เหวินฉายจึงได้ห่างหายไป เพราะปกติแล้วนั้นเหวินฉายจะต้องไปพบกับเด็กๆ ทั้งสามทุกวี่วัน แต่เมื่อวานนี้ เขาเฝ้ารอแล้วรอเล่าก็มิได้พบกับคนที่เฝ้ารอเลยแม้แต่เงา วันนั้นเขามั่นใจว่าเหวินฉายเองก็เริ่มรู้สึกดีกับเขาไม่มากก็น้อย เขาจึงหมายมั่นจะสานสัมพันธ์ต่อมิให้มันขาดไป แต่เหวินฉายก็มิมา...ทิ้งให้เขารอเก้อเสียจนพลบค่ำ

เขาลังเลด้วยความขลาด มิกล้าจะเดินบุ่มบ่ามเข้าไปยังบ้านสกุลลู่เพียงเพื่อจะพบกับเด็กรับใช้ เขามิได้เกรงกลัวต่อสายตาอันสอดรู้สอดเห็น เพียงแต่เขายังหาข้ออ้างดีๆ เพื่อจะเข้าไปมิได้ เกิดคนผู้นั้นที่เป็นดั่งคนสำคัญของเหวินฉายไล่เขาออกมาเล่า เขาจะทำเช่นไร จะให้เขาด้านหน้าอยู่ต่อไปก็คงจะมิดีนักหรอก พัดในมือโบกสะบัดไปมาตามแรงอารมณ์ ยิ่งว้าวุ่นใจมากเท่าใด มือใหญ่ก็ยิ่งโบกพัดสีขาวลายสวยแรงขึ้นเท่านั้น

มือใหญ่ของเฉินลี่ฟู่เคาะไปที่ประตูใหญ่ ยืนรออยู่พักหนึ่งก่อนประตูนั้นจะเปิดออก ถังลี่หยางมองผู้มาใหม่ด้วยสายตางุนงงด้วยรู้ดีว่าบุรุษผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าคือผู้ใด แต่ที่สงสัยนั้น เพราะร้อยวันพันปีมิเคยสักครั้งที่คนจากสกุลเฉินจะมาเยี่ยมเยียน แล้วนี่เกิดอะไรร้ายแรงขึ้นหรือไรกัน คุณชายเฉินผู้เย่อหยิ่งจึงได้มายืนอยู่ตรงหน้าจวนสกุลลู่เช่นนี้

“ข้า...มาพบลู่เฟยหลง”

“นายน้อยอยู่ที่ห้องขอรับ เชิญคุณชายเฉินเข้ามาก่อนเลยขอรับ” ลี่ฟู่พยักหน้าและเดินตามหลังพ่อบ้านถังเข้าไปภายใน ลี่หยางนำเฉินลี่ฟู่ไปยังห้องรับรองก่อนจะเร่งไปแจ้งกล่าวแก่นายน้อยของตน ด้วยไม่อาจจะรู้ได้ว่าเรื่องที่ทำให้เฉินลี่ฟู่ผู้นั้นมาพบนายน้อยของเขาด้วยเรื่องเร่งด่วนมดหรือไม่ จึงต้องรีบไปบอกกล่าวแก่เฟยหลงเอาไว้เสียก่อน

ลี่หยางรีบเคาะประตูห้องของลู่เฟยหลงและรอคำอนุญาต เมื่อได้ยินคำอนุญาตจึงได้รุกหน้าเข้าไป เฟยหลงกำลังจิบชากับทานขนมอยู่ภายในโดยมีถังเหวินฉายผู้เป็นหลานของตนเองนั้นช่วยบีบนวดไหล่กว้างให้ ใบหน้าของเฟยหลงนั้นดูผ่อนคลายมาก อาการเจ็บไข้ที่นายน้อยเป็นคงจะหายแล้วสินะ เช่นนี้พ่อบ้านอย่างเขาก็เบาใจขึ้น เพราะช่วงหลังมานี้นายน้อยดูเศร้าลงถนัดตา จนเขาเองก็กังวลใจไปด้วย

“นายน้อย...เฉินลี่ฟู่มาขอพบขอรับ” เฟยหลงเลิกคิ้วขึ้น มาขอพบเขาหรือ เป็นไปได้อย่างไรกัน

“ขอบคุณมากท่านลุงถัง”

ลี่หยางถอยออกไปเมื่อนายน้อยรับรู้เรื่องนี้เรียบร้อย เหวินฉายนั้นร่างแข็งทื่อด้วยความตกใจ เหตุไฉนเจ้าลูกเต่านั่นจึงได้มาหานายน้อยของเขากัน คงมิได้มาหาเรื่องอันใดกับนายน้อยของเขาใช่หรือไม่นะ เหวินฉายคิดไม่ตกคิดไปก็กัดริมฝีปากตนเองไปพลาง สองมือที่บีบนวดไหล่ค้างนิ่งก่อนจะเผลอลงแรงอย่างหนักจนเฟยหลงร้องลั่น

“โอ๊ยๆ ไหล่ข้าจะหักแล้วเหวินฉาย!” เสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดของเฟยหลงนั้นทำให้สติของเหวินฉายกลับมาทันที มือเล็กๆ ปล่อยออกจากไหล่ของผู้เป็นนายอย่างรวดเร็วราวกับถูกของร้อนก็มิปาน

“ขออภัยขอรับ! อภัยให้ข้าด้วยขอรับนายน้อย!” เหวินฉายก้มหน้าลงพื้นทิ้งร่างลงคุกเข่าอ้อนวอนด้วยความรู้สึกผิด เพราะเอาแต่คิดถึงสาเหตุการมาของเฉินลี่ฟู่จึงทำให้เขาเหม่อลอยออกไป ซ้ำยังเผลอกดแรงลงไปจนนายน้อยเจ็บปวดเช่นนั้น เขามิคู่ควรกับการเป็นเด็กรับใช้เลยสักนิด เฟยหลงโบกมือไปมาอย่างไม่ถือสากับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเพียงร้องออกมาเพราะตกใจกับแรงที่ถูกเพิ่มขึ้นกะทันหันเท่านั้น

“ข้ามิได้ว่าอะไรเจ้า อย่าได้คุกเข่าลงเช่นนั้น ยืนขึ้นเสียเหวินฉาย เจ้าก็รู้ว่าข้ามิชอบให้เจ้าทำเช่นนี้”

“ขอรับนายน้อย...” ร่างเล็กๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินตามหลังของผู้เป็นนายน้อยออกไปจากห้องเพื่อไปพบกับเฉินลี่ฟู่ที่รออยู่ เฟยหลงก้าวเดินอย่างเร่งรีบเพราะไม่รู้ว่าเรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้เฉินลี่ฟู่ผู้นั้นแวะเวียนมาหาและเอ่ยปากขอพบเขาเช่นนี้

เฉินลี่ฟู่ยืนขึ้นจากเก้าอี้ทันทีที่เห็นร่างของเฟยหลงเดินเข้ามา แต่เขาดีใจมากกว่าที่เห็นว่าเหวินฉายเองก็เข้ามาเช่นกัน ดวงตาคมฉายแววดีใจจนเฟยหลงต้องเหลือบมองไปทางด้านหลังของตนตามสายตาของเฉินลี่ฟู่ก่อนที่จะยกยิ้มขึ้นมาเล็กๆ อย่างนี้นี่เอง มิน่าเล่า ร้อยวันพันปีมิเคยมาหาเขา คงจะมาหาคนในความดูแลของเขามากกว่าสินะ แต่นี่ก็คงไม่รู้จะทำเช่นไร จึงได้เอ่ยอ้างเขาออกมา เมื่อเข้าใจในสถานการณ์ทั้งหมด เฟยหลงก็เดินเข้าไปหาเฉินลี่ฟู่ด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ

“ได้ยินว่าเจ้ามาพบข้า...มีอะไรหรือ?” เฉินลี่ฟู่ชะงัก เขาลืมคิดไปว่าจะใช้ข้ออ้างใดในการมาพบเฟยหลงครั้งนี้

“ข้า...ข้ามาเพื่อ...” เมื่อคิดหาคำอ้างไม่ได้ เฉินลี่ฟู่ก็ได้แต่ยืนอึกอักอยู่ที่เดิมจนเฟยหลงแทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้

“อา...ข้าไม่ทราบหรอกว่าเจ้ามีธุระใดกับข้า หากแต่ข้าในตอนนี้ไม่ว่างอยู่สนทนากับเจ้าเสียด้วย หากเจ้าไม่รังเกียจ จะอยู่คุยกับเหวินฉาย เด็กรับใช้ที่ข้ารักดั่งน้องชายก็ได้นะ” เฉินลี่ฟู่ได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้างเผลอยิ้มออกมาด้วยความดีใจ แต่เหวินฉายกลับตัวแข็งค้างเมื่อนายน้อยของตนโยนคนอันตรายมาให้กับเขาเช่นนี้

“นายน้อย! จะไปไหนขอรับ ข้าจะไปกับท่านด้วย” หากจะให้คุยกับเฉินลี่ฟู่เขาไปกับนายน้อยเสียดีกว่า

“ไม่ได้/เจ้าไปไม่ได้หรอก”

ทั้งสองคนต่างรีบร้อนพูดออกมาจนเหวินฉายชะงักหันไปมองใบหน้าของเฉินลี่ฟู่อย่างไม่เข้าใจ ตัวของลี่ฟู่เองก็ชะงักลงไปเช่นกันเพราะเขาเองก็ลืมตัวออกปากห้ามมิให้เหวินฉายไปกับเฟยหลงออกไป เฟยหลงมองภาพนั้นอย่างพอใจ ด้วยเขามองออกว่าเฉินลี่ฟู่คิดเช่นไรกับเหวินฉายและเหวินฉายเองก็คงรู้สึกมิต่างกัน หากแต่เพียงแค่มิยอมรับความจริงเท่านั้น

“เจ้าจะไปได้อย่างไรกัน ข้าจะไปพบเพ่ยเยว่เผิงตามคำสั่งของท่านแม่ หากเจ้าไปมิเท่ากับหาเรื่องให้ท่านแม่ลงโทษเจ้าหรอกหรือ” เหวินฉายอับจนด้วยคำพูด นายน้อยพูดถูก หากเขาตามนายน้อยไปมีแต่จะหาโทษมาเข้าตัวเอง สู้กล้ำกลืนอยู่คุยเป็นเพื่อนกับเฉินลี่ฟู่เสียดีกว่า ไม่นานก็คงกลับไปเอง

“ขอรับ...”

“ข้าขอตัวก่อน เชิญเจ้าตามสบาย”

“เชิญ...”

เฟยหลงเดินออกมาจากคนทั้งคู่ก่อนที่ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความตึงเครียด สำหรับเฟยหลงแล้วเรื่องของเขาในตอนนี้จัดการยากเสียเหลือเกิน ในเมื่อเหวินฉายเอ่ยปากบอกว่าคุณหนูเพ่ยเยว่เผิงมิธรรมดา เขาเองก็มิแน่ใจว่าการที่เขาจะพูดกับเยว่เผิงเรื่องความเข้าใจผิดในเรื่องการมีใจต่อกันนั้นจะทำให้เรื่องนี้จบลงหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องทำให้มันจบไปเสีย เพราะหากหยางเถากลับมาหาเขา อาจจะเป็นปัญหาทำให้เขาเสียเจ้าดอกท้อแสนบอบบางนั้นไปอีก ซึ่งเฟยหลงคงทนมิได้

เหวินฉายยืนนิ่งทำตัวไม่ถูก ด้วยสถานะในตอนนี้เขาเป็นเพียงเด็กรับใช้การจะนั่งลงบนเก้าอี้เองก็คงจะทำมิได้ หากท่านลุงถังเข้ามาพบคงถูกดึงจนหูยานแน่ๆ เฉินลี่ฟู่มองเหวินฉายที่มีสีหน้าสับสนก็ระบายรอยยิ้มออกมา เขายื่นห่อผ้าไปตรงหน้าของเหวินฉายจนร่างบางมองมันอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เฉินลี่ฟู่พยายามจะสื่อ

“ของเจ้าอย่างไรเล่า จำมิได้หรือ...”

ของเขา? จะเป็นไปได้อย่างไร?

แม้จะไม่เข้าใจนักแต่มือเล็กๆ ก็ยื่นออกไปรับมาอยู่ดี เหวินฉายเปิดห่อผ้าออกก่อนจะตกใจเมื่อสิ่งที่อยู่ภายในนั้นคือเสื้อผ้าแสนแพงที่เขาจำได้ว่ามันอยู่ในร้านที่เคยพาเด็กๆ ไปเลือกซื้อ ก่อนที่เขาจะสลบไปเพราะราคาที่สูงจนเขาไม่อาจจะจ่ายมันได้ แต่เมื่อตอนนี้มันกลับมาอยู่เบื้องหน้าของเขาโดยเฉินลี่ฟู่ที่เป็นผู้นำมาให้เสียด้วย เขาจะรับมันดีหรือไม่กันนะ

“ข้าได้ยินจากเด็กๆ ว่า...เจ้ามิได้ไปพบพวกเขา เกิดอะไรขึ้นหรือ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามออกมาเบาๆ แต่มันกลับดังชัดเจนสำหรับเหวินฉาย เขาเม้มปากแก้มขึ้นสีระเรื่ออย่างไม่อาจจะควบคุมเมื่อเผลอคิดไปถึงเหตุผลที่เฉินลี่ฟู่มาที่นี่

“ข้าเพียงแค่...ป่วยเท่านั้น”

“แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” คำถามช่างท่วมท้นไปด้วยความห่วงใย ทั้งน้ำเสียงที่เอ่ยถามออกมา และแววตาที่ฉายชัดจนใจของเหวินฉายสั่น

“ข้าหายดีแล้ว” ความเขินอายแล่นขึ้นมาจุกอก น้ำเสียงหวานเอ่ยตอบด้วยเสียงอ้อมแอ้มหลบสายตาคู่นั้นจนต้องไปวางอยู่ที่พื้นแทน แต่การกระทำเช่นนั้นกลับเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากเฉินลี่ฟู่ได้ไม่น้อย แม้ว่ามันจะอยู่บนใบหน้าเพียงชั่ววินาทีเท่านั้นก็ตาม

“ข้าอยากจะชวนเจ้าออกไปด้วยกันหน่อย เจ้าว่างหรือไม่?”

“ไม่ว่าง!” ปากบางเอ่ยตอบกลับทันทีอย่างลืมตัว เพราะก่อนหน้าเขาและเฉินลี่ฟู่ต่างก็เป็นดั่งศัตรู เขาจึงเคยชินที่จะเอ่ยออกไปอย่างไม่รักษาน้ำใจคนตรงหน้า เหวินฉายอยากจะตบปากตนเองที่ตอบกลับไปเช่นนั้นเหลือเกิน ยิ่งแววตาของร่างสูงที่ทอประกายความผิดหวังออกมายิ่งทำตัวไม่ถูก

“งั้นหรอกหรือ ไม่เป็นไร ช้าเข้าใจ”

เฉินลี่ฟู่ยอมรับความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นและเดินออกมาด้วยหัวใจที่รวดร้าว เขาไม่กล่าวโทษเลยที่เหวินฉายกล่าวปฏิเสธเขาอย่างไม่ไยดี ไม่โทษที่เหวินฉายจะเกลียดเขาเสียจนมิอาจจะเปิดใจรับความสัมพันธ์อันดีที่เขาหยิบยื่นให้ได้ เฉินลี่ฟู่ถอนหายใจออกมาเสียเฮือกใหญ่ขณะที่ฝีเท้ายังคงมั่นคงที่จะก้าวเพื่อออกจากธรณีประตูของจวนสกุลลู่

เขาหยุดยืนโดนไม่หันกลับไปมองประตูที่กำลังจะปิดลง เขากลัวว่าความหวังอันน้อยนิดจะทำให้เขาถูกโยนลงมาจากหน้าผาใหญ่ที่สูงเสียจนเขานึกหวาดหวั่น เพียงแค่คาดหวังว่าการมาพบเหวินฉายในครานี้จะทำให้เขาและเหวินฉายความสัมพันธ์ยิ่งขึ้นไปอีกแท้ๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดไปเองเพียงผู้เดียวเท่านั้น เฉินลี่ฟู่ยืนเหม่อลอยคิดไม่ตกโดยไม่รู้เลยว่ามีผู้ใดก้าวมายืนเคียงข้างเมื่อใด

“ยืนทำอันใดของเจ้าอยู่?” เสียงที่ดังก้องราวกับระฆังสวรรค์เรียกสติให้เฉินลี่ฟู่ต้องรีบหันกลับมามอง ดวงตาคมตกตะลึงริมฝีปากยกยิ้มออกมาอย่างลืมตัวเมื่อเห็นว่าผู้ที่มายืนเคียงข้างตนเองบัดนี้คือผู้ใด ความรู้สึกลิงโลดเกิดขึ้นในหัวใจจนมือไม้สั่นไปเสียหมด

“ข้ามิได้จะไปกับเจ้า...ข้าเพียงจะไปเยี่ยมหานฟง เว่ยเอี้ยนและอี้เหมยเท่านั้น อย่าเข้าใจข้าผิดเสียล่ะ” เหวินฉายหลบสายตาคมคู่นั้นด้วยความประหม่าแต่ก็ยังเชิดหน้าขึ้นกล่าวอย่างทะนง หากเป็นผู้อื่นคงถูกตอกกลับไปเสียจนอับอาย แต่เพราะคนตรงหน้าของเขาคือ เด็กชายในความทรงจำ คือผู้ที่กุมดวงใจของเขาเอาไว้เพียงผู้เดียว ถังเหวินฉาย

“ข้าเข้าใจแล้ว แค่เพียงได้เดินเคียงข้าเจ้าข้าก็พอใจแล้ว”

เฉินลี่ฟู่เดินไปด้วยรอยยิ้มราวกับคนวิปลาสจนเหวินฉายที่เดินอยู่เคียงข้างอยากจะตีเขาให้ตายเสียเหลือเกิน คนอะไรเดินไปยิ้มไปเช่นนี้ สายตาของผู้อื่นจะมองเช่นไรแต่สิ่งนั้นมิได้สลักสำคัญใดๆ เลย สำหรับเหวินฉายแล้วรอยยิ้มของเฉินลี่ฟู่ช่างทำให้เขาทำตัวมิถูก เขินอายเสียจนต้องกวาดตามองไปจนทั่วไม่สามารถวางสายตาไว้ที่ใดที่หนึ่งได้ แก้มใสแดงระเรื่อน่าสัมผัสมิอาจหลบซ่อนมห้พ้นจากสายตาของเฉินลี่ฟู่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้ความรักใคร่เอ็นดูในตัวของเหวินฉายมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ใครจะเข้าใจความรู้สึกของทั้งสองได้มากกว่าคนทั้งสองเอง









•~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•
[/b]









ร่างสูงใหญ่ของลู่เฟยหลงก้าวเดินไปยังที่ตั้งแห่งจวนสกุลเพ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ความเครียดจากคำพูดของเหม่ยหลินผู้เป็นมารดาหรือแม้แต่ของเหวินฉายที่ตัวเขานั้นรักไม่ได้ต่างจากน้องชายล้วนทำให้เขาคิดหนัก เขามิได้อยากจะเป็นลูกอกตัญญูสักนิด หากแต่ความสุขทั้งชีวิตของเขาจะให้เอามาทิ้งไว้กับเพ่ยเยว่เผิงก็คงมิได้ ด้วยหัวใจของเขานั้นมั่นรักเพียงแต่หยางเถา แล้วจะให้เขาเข้าพิธีแต่งงานกับหญิงอื่นได้เยี่ยงไร

เขาถอนหายใจออกมาอย่างยากลำบากใจ หากแม้เพ่ยเยว่เผิงมินึกรักชอบเขาขึ้นมาดั่งที่ท่านพ่อและเหวินฉายกล่าวออกมาก็คงจะดีไม่น้อย เพราะทุกอย่างคงจบลงอย่างง่ายดาย ตัวเขาเองก็คงมิต้องทำร้ายจิตใจของผู้ใดให้ต้องเจ็บปวด จะกล่าวโทษว่าเขาเห็นแก่ตัวก็มิผิด เพียงแต่เขาเลือกจะทำร้ายหัวใจผู้อื่นจะเป็นผู้ใดก็ได้ แต่คนผู้นั้นจะต้องมิใช่หยางเถาของเขา แม้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นหญิงสาวบอบบางก็ตาม

“คุณชายลู่...คุณหนูรออยู่ข้างในแล้วเจ้าค่ะ” เฟยหลงมองใบหน้าของสาวใช้ก่อนจะพยักหน้าให้เท่านั้น ไม่คิดจะเดินตามเข้าไปด้านในเลยสักก้าวเดียว

“เจ้าช่วยไปเรียนคุณหนูของเจ้าด้วยเถอะว่า ข้าจะรออยู่ข้างนอกจวนเพื่อจะพานางไปเที่ยวชมเมือง ตามคำสั่งของท่านแม่” น้ำเสียงเย็นชาที่ดังออกมาจากปากของคุณชายลู่เฟยหลงผู้นี้ทำให้นางถึงกับหนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ คราก่อนที่นางเคยพบคุณชายเมื่อครั้งที่เขามากับลู่ฮูหยินช่างสุภาพอ่อนโยนและอบอุ่น ช่างแตกต่างกับตอนนี้เหลือเกิน

“เจ้าค่ะคุณชายลู่”

เฟยหลงยืนรออยู่นอกจวนอย่างใจเย็นการแสดงออกของเขานั้นมันสมควรแล้ว หากการกระทำเมื่อครั้งก่อนทำให้เหล่าผู้คนเข้าใจผิดคิดไปต่างๆ นานา เขาก็จะหยุดทุกสิ่งเอาไว้เบื้องหลัง จะยอมกลายเป็นบุรุษผู้เย็นชาใส่ผู้คนจะได้มิเกิดปัญหาเดิมขึ้นอีก ทว่าลู่เฟยหลงยืนคิดอยู่เพียงลำพังไม่นาน ร่างบอบบางของเพ่ยเยว่เผิงก็เดินออกมาด้วยรอยยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้า เฟยหลงเพียงยิ้มบางๆ กลับไปเท่านั้นไม่คิดจะแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาบนใบหน้าอีก

“พี่เฟยหลง...อภัยด้วยที่ข้าออกมาช้า”

“มิเป็นไร รีบไปกันเถิด...เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน”

“เจ้าค่ะ...”

สองร่างชายหญิงเดินเคียงกันไปช่างดูเหมาะสมเสียเหลือเกิน สายตาหลากหลายคู่เมียงมองด้วยความตกตะลึงกับภาพนั้น ช่างงดงามกันดั่งสวรรค์สรรค์สร้างให้คนทั้งคู่มาเคียงข้างกัน หญิงสาวน้อยใหญ่ที่พวกเขาทั้งสองเดินผ่านต่างมองเพ่ยเยว่เผิงด้วยความอิจฉา พวกนางล้วนแต่อยากเป็นผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นทั้งสิ้น เพ่ยเยว่เผิงรู้สึกภูมิใจเหลือเกินที่ถูกมองด้วยสายตาอิจฉา นางยืนอยู่เคียงข้างพี่เฟยหลง บุรุษที่รูปโฉมงดงามและเป็นที่ปรารถนาของเหล่หญิงสาวในเมืองซิ่นจือ หากแต่ผู้ใดเล่าจะสามารถยืนเคียงข้างกับพี่เฟยหลงได้ หากมิใช่นางผู้มีใบหน้างดงามราวเทพเซียน
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 14. up.10/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 10-12-2018 16:15:37
เฟยหลงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเมื่อเยว่เผิงที่เดินเคียงข้างมานั่นยิ้มออกมาอย่างพอใจ แต่เขากลับไม่ยินดีใดๆ เลยสักนิด แผนของท่านแม่คงเป็นการเปิดตัวเยว่เผิงให้ผู้คนในเมืองได้ลือกันไปหวังบีบคั้นให้เขายอมรับการหมั้นหมายที่ท่านแม่คิดการเอาไว้ นี่คงเป็นแผนที่ถูกท่านแม่ดำเนินการมาเพราะเขาที่ยอมยืนตากน้ำค้างจนเจ็บป่วยเพื่อรอหยางเถาสินะ เฟยหลงเหลือบมองร่างของเยว่เผิงด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะมองกลับไปเบื้องหน้าอีกครั้ง ร่างสูงถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินไปทางร้านใหญ่ อย่างไรเสียวันนี้ก็ต้องคุยกับเยว่เผิงให้รู้เรื่อง เรื่องเข้าใจผิดเช่นนี้ ปล่อยไว้นานก็รังแต่จะสร้างความรู้สึกเจ็บปวดใจเปล่าๆ และผู้ที่เจ็บปวดก็มิใช่จะมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ทั้งเขา หยางเถา และเพ่ยเยว่เผิงเองก็ล้วนถูกผูกเอาไว้ด้วยกงล้อแห่งรัก เพียงแต่เขาและหยางเถานั้นอยู่ในกงล้อเดียวกัน แต่เพ่ยเยว่เผิงนั้นมิใช่...นางนั้นปรารถนาจะเข้ามาในกงล้อนี้โดยมิได้มองเลยว่ามีผู้ใดอยู่ข้างในหรือไม่ เขามิได้จะกล่าวโทษนางแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งเองเขาก็ยอมรับว่าเขา เพราะความไม่คิดของเขาที่แสดงออกถึงความเอ็นดูต่อเยว่เผิงมากเกินไป นางจึงปักใจคิดว่าเขามีใจเสน่หาเช่นชายหญิง

“เจ้าคงจะหิวแล้วใช่รึไม่” เฟยหลงเอ่ยถามหากแท้จริงแล้วเป็นดั่งคำสั่งเสียมากกว่า

“เอ่อ หากพี่เฟยหลงหิว ข้าก็หิวเช่นกัน” นางเอ่ยตอบด้วยใบหน้าระเรื่อ ส่งยิ้มเขินอายราวกับดอกไม้แรกแย้มให้ชายหนุ่มได้หลงใหล

เฟยหลงเพียงพยักหน้ารับแล้วเดินนำร่างของเพ่ยเยว่เผิงเข้าไปด้านในร้าน เยว่เผิงที่ยิ้มเอียงอายต้องยิ้มค้างเมื่อลู่เฟยหลงที่ได้สนใจในรอยยิ้มนั้นของนางเลยสักนิด หากเป็นชายอื่นคงมิแคล้วเคลิบเคล้มไปกับมัน แต่นี่...ลู่เฟยหลงกลับไม่แม้แต่หลงใหล ไม่มีแม้รอยยิ้มตอบกลับมาอย่างเช่นเคย มันเกิดอะไรขึ้นกัน นางไม่เข้าใจเลยสักนิด

“คุณชายเชิญด้านในเลยขอรับ เชิญๆ” เฟยหลงพยักหน้ารับแล้วก้าวตามหลังของเสี่ยวเอ้อเข้าไปในร้าน เขาทิ้งกายลงนั่งที่เก้าอี้มองไปรอบๆ ร้านด้วยแววตาที่โศกเศร้าขึ้นมา ครั้งหนึ่ง...เขาเคยพาหยางเถามาร้านเช่นนี้ยามค่ำคืน หยางเถามีความสุขจนล้นหัวใจ กินไปยิ้มไปด้วยความสุขที่เขามิเคยเห็นมันอีก เพียงหลังจากที่ได้รู้จักกับเยว่เผิง สีหน้าและแววตาของหยางเถาก็พลันกลับกลายเป็นสีเทา บรรยากาศอมเศร้าและเสียใจ หากเพียงเขาฉุกใจคิดสักนิดว่าเป็นเพราะเหตุใด วันนี้หยางเถาคงมิต้องมีน้ำตาและเขาคงมิต้องห่างจากยอดดวงใจเช่นนี้

“รับอะไรดีขอรับ”

“เจ้าสั่งเถิด...” เยว่เผิงเอียงอายกับความใส่ใจที่ลู่เฟยหลงมีต่อนางจึงได้แต่ใช้ท่าทางอ่อนหวานให้เฟยหลงได้เห็น

“ร้านเจ้ามีอะไรอร่อยก็นำออกมาเถิด”

“ขอรับ รอสักครู่!” เสี่ยวเอ้อเดินออกไปด้วยท่าทางดีใจ วันนี้ลูกค้าชายและหญิงผู้นี้ช่างดูสง่าและคงมากด้วยเงินทอง เช่นนี้เถ้าแก่คงปลาบปลื้มใจอย่างแน่นอน

เพ่ยเยว่เผิงนั่งนิ่งก้มหน้าลงมองมือตนเองอย่างสงบเสงี่ยมตัว บ่อยครั้งที่นางเหลือบมองใบหน้าที่แสนเหม่อลอยของเฟยหลงอย่างหลงใหล แต่นางเองก็อดสงสัยมิได้ว่าสิ่งใดกันที่ทำให้พี่เฟยหลงของนางนั้นคิดถึงจนเลื่อนลอยเช่นนี้ คงมิใช่ว่า...กำลังคิดถึงเจ้าปีศาจตนนั้นหรอกนะ! เยว่เผิงเผลอกำมือของนางจนแน่น ใบหน้างดงามบึ้งตึงขึ้นมาครู่หนึ่งก่อนจะถูกความเขินอายบดบังจนมิอาจมีผู้ใดสังเกตเห็นได้

เพ่ยเยว่เผิงแค้นจนจุกไปทั้งหัวใจ เจ้าปีศาจนั้นแม้จะถูกกำจัดก็ยังมิอาจจะนำออกไปจากใจพี่เฟยหลงได้เลยหรือ นี่นางต้องทำเช่นไรจึงจะโยนเจ้านั่นให้ห่างออกไปจนไกลสายตาของพี่เฟยหลงได้ จะต้องทำเช่นไรนางจึงจะเป็นเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่ในหัวใจเป็นเพียงผู้เดียวที่จะอยู่ในห้วงคะนึงของบุรุษที่ได้หัวใจนางกัน ชายผู้นั้นแม้จะรูปงามแล้วอย่างไร? มันก็เป็นปีศาจที่ล่อหลอกมนุษย์นั้นล่ะ มีสิ่งใดให้รักใคร่กัน ปีศาจกับมนุษย์อย่างไรเสียก็มิสามารถอยู่ร่วมกันได้ อีกอย่างเจ้าปีศาจนั่นก็เป็นบุรุษ บุรุษสองคนจะรักกันได้เยี่ยงไร! มันเป็นไปไม่ได้!

น้ำชาถูกเสี่ยวเอ้อยกมาวางไว้ตรงหน้า ดึงคนทั้งสองออกจากห้วงความคิดของตนเองอย่างรวดเร็ว เยว่เผิงปรับสีหน้าให้ดูอ่อนโยนลงภายในพริบตาโดยที่เฟยหลงได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย เฟยหลงยกน้ำชาขึ้นจิบปล่อยอารมณ์ไปกับห้วงคำนึงเสียเนิ่นนานเสียจนเกือบจะหลงลืมปัจจุบันและสิ่งที่จะต้องทำให้สำเร็จ

“เยว่เผิง...”

“เจ้าคะ...”

“เฮ้อ...ข้าอยากคุยกับเจ้า เรื่องของเรา” หัวใจของเยว่เผิงเต้นแรง ในหูของนางดังก้องไปด้วยคำว่าเรื่องของเราจนนางต้องกัดริมฝีปากเอาไว้มิให้เผยรอยยิ้มดีใจออกมา

“ระ เรื่องอันใดกันที่ทำให้พี่เฟยหลงเคร่งเครียดเช่นนี้ คงต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่”

“เรื่องการแต่งงาน” หรือที่พี่เฟยหลงเหม่อลอยเมื่อครู่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องที่จะคุยกับนางกันนะ คิดได้เช่นนั้นนางก็ยิ่งลำพองใจ ความหวังทั้งหมดกลายเป็นความหยิ่งทะนงจนเจ้าตัวเก็บเอาไว้ไม่ได้ ใบหน้าของนางแสดงออกถึงความถือดีและพึงพอใจจนลู่เฟยหลงแทบจะมิเชื่อเลยว่า หญิงสาวผู้เรียบร้อยที่ตนเคยรักใคร่เอ็นดูดุจน้องสาวจะกลับกลายเป็นคนเช่นนี้

“เชิญพี่เฟยหลงกล่าวมาเถิด...อย่าได้รีรอ” ความหยิ่งทะนงบนใบหน้านางกระตุกรอยยิ้มบนใบหน้าของเฟยหลงได้เป็นอย่างดี นี่คงมิใช่ว่านางคิดว่าเขามาขอหมั้นอะไรเช่นนั้นหรอกนะ

“ข้าอยากทำความเข้าใจกับเจ้า...ตัวข้านั้น...” หัวใจของเยว่เผิงเต้นแรงเสียจนแทบจะกระเด็นออกมาจากอก ความตื่นเต้นนางเชิดหน้าขึ้นสูงอย่างมั่นใจในตนเอง

เอาสิ...บอกรักช้าเสียสิ ลู่เฟยหลง

“ตัวข้านั้น...รักเพียงหยางเถาผู้เดียว มิได้มีใจใคร่ปรารถนาต่อเจ้าเลยแม้แต่น้อย ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจเสียตอนนี้” รอยยิ้มที่เคยอยู่บนใบหน้าของเยว่เผิงค่อยๆ หายไป หลงเหลือเพียงความไม่พอใจเท่านั้นที่ฉายชัดออกมา

“โกหก...ท่านโกหก...” เฟยหลงส่ายหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ

“ข้ามิได้โกหก ตัวข้ามั่นรักเพียงหยางเถา ใจของข้ามีเพียงแค่เขา และไม่มีวันที่จะเปลี่ยนใจ” มือบางกำเข้าที่ชุดของตัวเองแน่น ปากบางอยากจะขบกัดให้ได้เลือดเพื่อระบายความคับแค้นในใจ แต่สิ่งที่เยว่เผิงทำได้มีเพียงความโกรธเกรี้ยวที่ฉายออกมาในแววตาคู่นั้น

“แต่มันเป็นปีศาจ! ท่านจะรักกับปีศาจเช่นนั้นไม่ได้!!”

ตึง!

“เจ้าพูดเรื่องอะไร! เหตุใดเจ้าจึงได้กล่าวหาว่าหยางเถาเช่นนั้น!!” มือหนาตบลงบนโต๊ะเสียงดังด้วยความไม่พอใจในคำพูดของนาง แต่เพ่ยเยว่เผิงมิได้สนใจในความเกรี้ยวกราดนั้นสักนิด นางเชิดหน้าขึ้นราวกับว่ามิได้ทำอันใด

“ข้าพูดความจริง! หากไม่แล้วท่านป้าจะมาขอให้ข้าพาไปพบท่านนักพรตหรือ หึ...ไม่แน่ตอนนี้มันคงจะสูญสลายไปด้วยยันต์แล้วก็เป็นได้!” น้ำเสียงของเยว่เผิงเต็มไปด้วยความสะใจ รอยยิ้มหยักขึ้นมุมปากยามคิดว่าเข้าปีศาจตนนั้นไม่มีวันจะกลับมาได้อีก

ลู่เฟยหลงหน้าเครียดลงอย่างถนัดตา หรือจะเป็นอย่างที่เพ่ยเยว่เผิงพูด เพราะจากสองสามวันมานี้ ท่านแม่ของเขาเองก็มิเตยเอ่ยถึงหยางเถาสักครั้ง ซ้ำยังดูมีความสุขเสียจนเขาเองยังแปลกใจ หรือว่า...ท่านแม่จะรู้ว่าหยางเถาอยู่ในต้นท้อ เช่นนั้น...มิใช่ว่าหยางเถาของเขาอยู่ในอันตรายหรอกหรือ! เฟยหลงร้อนรนเสียจนนั่งไม่ติด ทันทีที่อาหารถูกนำมาวางอยู่บนโต๊ะ เฟยหลงก็วางเงินลงทันทีโดยไม่คิดแม้แต่จะแตะต้องอาหาร

“เพ่ยเยว่เผิง! เสียแรงที่ข้ารึคิดว่าเจ้าเป็นดังน้องสาว มิเคยคิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นนี้! แต่นี้ต่อไป...เจ้ากับข้า ไม่รู้จักกัน!”

“ลู่เฟยหลง! นี่ท่านกล้า!”

แต่เฟยหลงกลับมิได้คิดจะอยู่ฟังคำต่อว่าต่อขานใดๆ ร่างสูงลุกพรวดก้าวเดินออกจากร้านไปอย่างไม่หวนกลับ ใบหน้าของเฟยหลงเต็มไปด้วยความห่วงใยที่มีต่อหยางเถา ในใจของเฟยหลงหวาดกลัวเหลือเกินว่าจะเป็นดั่งที่เยว่เผิงกล่าวเอาไว้ หากหยางเถาของเขาสูญสลายไปเล่า เขาจะไปหายันต์แล้วทำลายทิ้งได้ที่ใด ทำอย่างไรดี เขาจะทำอย่างไรดี ตอนนี้เจ้าดอกท้อของเขาคงกำลังจะทรมานมาก เขากลับไม่เคยรู้เลย ที่หยางเถามิได้ออกมาพบเขาเป็นเพราะยันต์ที่ว่าสินะ อย่างไรเขาก็ต้องหามันให้พบ

แล้วทำลายมันทิ้ง! ให้สิ้นซาก!!









 •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• 
[/b]









ทางด้านเฉินลี่ฟู่นั้นในตอนนี้ช่างเบิกบานใจเหลือเกิน ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้ วันที่เขาและเหวินฉายจะได้มาเที่ยวชมเมืองกันด้วยความสุขใจ แม้ว่าอีกฝ่ายจะบอกว่ามาเพื่อจะไปพบเด็กๆ ทั้งสามก็ตาม แต่เขาก็รู้ดีว่าจริงๆ แล้วเหวินฉายเพียงแค่เขินอายเท่านั้น ในเมื่อเหวินฉายกล่าวว่ามิได้มาเพื่อเขา เขาก็จะยอมเชื่อเช่นนั้น ขอเพียงในตอนนี้ข้างกายของเขามีเหวินฉายเคียงข้างอยู่ก็พอ ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มออกมา แววตาทอประกายความอ่อนโยนยามจับจ้องไปที่เหวินฉายที่บัดนี้สนใจเพียงสิ่งรอบกายเท่านั้น

แสงตะวันเริ่มร้อนแรงตามเวลา กลิ่นหอมจากอาหารที่ถูกวางขายก็ช่างยั่วใจให้ทั้งสองเกิดความรู้สึกหิวโหยจนต้องหยุดฝีเท้าลง ใบหน้าเล็กๆ ที่ดูงดงามเหลือบมองใบหน้าอีกคนอย่างคาดหวัง ตัวเฉินลี่ฟู่เองก็รู้และเข้าใจในความคิดของเหวินฉายดีจึงได้แต่ยิ้มและโบกสะบัดพัดไปมาขณะที่ฝีเท้ายังคงมุ่งหน้าไปยังร้านที่อยู่ไม่ไกล ร่างเล็กมองจุดหมายที่กำลังไปด้วยรอยยิ้ม ใครจะคิดเล่าว่า เฉินลี่ฟู่ผู้นี้จะใส่ใจคนข้างๆ มากเสียจนรู้ไปหมดทุกอย่างว่าเหวินฉายต้องการสิ่งใด

“คุณชายทั้งสองเชิญด้านในเลยขอรับ” ตัวเหวินฉายไม่กล้าจะเดินเข้าไปตามร่างของลี่ฟู่ ด้วยเกิดความลังเลใจว่าคนตรงหน้าเพียงนึกหิวหรือพาเขามากันแน่

“เหตุใดเจ้าจึงมิเข้ามาเล่า? หิวมิใช่รึ” เหวินฉายกัดริมฝีปากแน่นเพื่อระงับอาการดีใจที่ชวนให้ต้องยิ้มออกมา

“ข้าจะกินให้เจ้าหมดตัวเชียว”

เฉินลี่ฟู่ได้แต่หัวเราะในลำคอด้วยความเอ็นดู เด็กหนอเด็ก เจ้าจะกินได้สักเท่าไรเชียว หากจะให้เขาเลี้ยงเสียทั้งชีวิต เขาเองก็มิปฏิเสธซ้ำยังยินดีที่จะเลี้ยงด้วยซ้ำ พัดในมือถูกขยับไปมาอย่างสบายอารมณ์ มองเหวินฉายที่กระแทกเท้าเข้าไปนั่งด้วยสายตาอบอุ่นก่อนที่ตัวลี่ฟู่เองจะก้าวเข้าไปนั่งตรงข้ามกับร่างบาง ใบหน้าของเหวินฉายในยามนี้ระยิบระยับไปด้วยความพอใจ เขาไม่ปฏิเสธเลยว่า ความรู้สึกที่มีต่อเฉินลี่ฟู่เริ่มดีขึ้นมาทีละนิดๆ ยิ่งเห็นความใส่ใจที่เฉินลี่ฟู่มีให้ เขาก็ยิ่ง...หวั่นไหว

“รับอะไรดีขอรับ”

“เอาอะไรก็ได้ง่ายๆ มาสักสองสามอย่างก็พอ” เหวินฉายเอ่ยบอกกับเสี่ยวเอ้ออย่างรวดเร็ว

“คุณชายจะรับสุรารึไม่ขอรับ วันนี้ทางร้านเรา...” เฉินลี่ฟู่เพียงยกมือขึ้นห้ามแล้วส่ายหน้า

“ไม่ล่ะ ข้ามิได้มาเพื่อร่ำสุรา ขอแค่น้ำชาก็พอ”

“ขอรับ” เมื่อเสี่ยวเอ้อเดินไปจนพ้นสายตา เหวินฉายที่กวาดตามองไปรอบร้านก็เกิดสะดุดตากับร่างที่คุ้นเคยที่กำลังนั่งอยากับหญิงสาวอีกคนหนึ่งซึ่งมิใช่ใครอื่นใด คือคุณหนูเพ่ยเยว่เผิงนั่นเอง ธุระของนายน้อยคือคุณหนูผู้นี้เองหรอกหรือ

“นายน้อย...” เฉินลี่ฟู่หัวใจกระตุกด้วยความไม่ชอบใจ อยู่กับเขาเพียงสองคนเหตุใดจะต้องกล่าวถึงคนๆ นั้นด้วย พัดในมือถูกรวบเก็บอย่างแรง ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองอย่างไม่อาจจะปิดบัง

“เหตุใดจะต้องกล่าวถึงลู่เฟยหลง” เหวินฉายหันมามองใบหน้าของเฉินลี่ฟู่ที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างไม่เข้าใจในท่าที ว่าเหตุใดเฉินลี่ฟู่จะต้องแสดงอาการเช่นนี้ด้วย

“แล้วเหตุใดข้าจะเอ่ยถึงนายน้อยมิได้เล่า ในเมื่อ...”

“เจ้าชอบมันหรือไร ถึงได้เอาแต่พร่ำหาแต่มัน!” ร่างบางตวัดสายตาใส่อย่างรุนแรง มองใบหน้าหล่อเหลาที่คิดอกุศลด้วยความตกใจ เจ้าลูกเต่านี่ใช้อะไรคิดกัน ถึงได้คิดว่าเขากับนายน้อยมีสัมพันธ์กันเช่นนั้น

“เจ้าจะบ้าหรือไร! นั่นนายของข้านะ! ที่ข้าเอ่ยถึงนายน้อยก็เพราะข้าเห็นนายน้อยนั่งอยู่ตรงนั้นต่างหาก!” เฉินลี่ฟู่หันไปมองตามนิ้วเล็กๆ ที่ชี้ออกไปก่อนจะผ่อนคลายใบหน้าลงด้วยความโล่งใจ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้งเมื่อไม่พบคนที่เหวินฉายกล่าวถึงแม้แต่เงา

“ไหนนายน้อยของเจ้า ข้าไม่เห็นลู่เฟยหลงอยู่ที่นี่เลย”

“ก็นั่น...เอ๊ะ?” ใบหน้าของถังเหวินฉายเต็มไปด้วยความแปลกใจ ก็เมื่อครู่นายน้อยของเขายังนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วเหตุใด ตอนนี้จึงเหลือเพียงคุณหนูเพ่ยเยว่เผิงเล่า ร่างเล็กยกมือขึ้นมาเกาศีรษะอย่างงุนงง ใบหน้าเอียงไปด้านข้างด้วยความไม่เข้าใจแต่กลับดึงดูดสายตาของเฉินลี่ฟู่ให้มองจนไม่อาจจะถอนสายตาออกไปจากใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นได้

อาหารถูกนำมาวางบนโต๊ะจนครบ กลิ่นหอมลอยมาแตะจมูกจนท้องเล็กๆ ส่งเสียงร้องประท้วงด้วยความหิวโหย เฉินลี่ฟู่หัวเราะเลาๆ ด้วยความเอ็นดูในความเป็นเด็กของคนตรงหน้า มือหนาคีบอาหารใส่ชามของเหวินฉายไม่ขาดมือ ไม่ทันที่อาหารจะพร่องลงไปก็ถูกร่างสูงเติมให้จนเต็ม แต่เหวินฉายไม่ได้สนใจสักนิด เพราะเขาเอาแต่กินๆ ไม่หยุด ความตะกละบดบังภาพทั้งหมดมองเห็นเพียงแค่ชามอาหารที่เต็มอยู่ตลอดเวลา รสชาติความอร่อยที่แตะปลายลิ้น ดึงสติของเหวินฉายให้จมอยู่กับมันจนหยุดขยับมือให้หยุดกินไม่ได้

“กินเสียให้มากๆ เข้าตัวบางยิ่งกว่าหญิงสาวในเมืองนี้แล้วรู้รึไม่?”

“ข้าก็กินอยู่นี่ไงเล่า!” เหวินฉายบ่นกลับพึมพำเบาๆ ขณะที่ยังคงจัดการกับอาหารตรงหน้าไม่ลดละ เฉินลี่ฟู่ยิ้มอย่างพอใจ คอยคีบอาหารให้เหวินฉายบ้าง คีบให้ตนเองบ้าง

บรรยากาศของทั้งสองเต็มไปด้วยความสุขที่ล้นเหลือจนมิว่าผู้ใดก็สามารถรับรู้ได้ รอยยิ้มบนใบหน้าของทั้งสองช่างชวนให้เผลอมองเหลือเกิน ทั้งที่การแต่งกายของเฉินลี่ฟู่ดุจคุณชายจากสกุลใหญ่ แต่คนตรงข้ามกลับแต่งตัวมิต่างจากเด็กรับใช้ธรรมดาๆ ทั่วไป แต่ก็มิได้ทำให้ความอบอุ่นตรงหน้าดูด้อยค่าลงไป ใครก็มิอาจเข้ามาขวางกั้นโลกของเฉินลี่ฟู่และถังเหวินฉายได้เลย แม้เพียงเฉียดร่างเข้ามาหวังจะสานสัมพันธ์ก็ต้องถูกความกดดันจากสายตาคมให้ก้าวถอยออกไป

เฉินลี่ฟู่ละสายตาออกจากใบหน้าของร่างเล็กไม่ได้เลย เขาจับจ้องทุกอย่างเอาไว้ราวกับจะสลักมันเอาไว้ให้ขึ้นใจว่าใบหน้าของเหวินฉายนั้นเป็นเช่นไร ทั้งจมูก คาง ดวงตา ริมฝีปาก หรือแม้แต่แก้มที่เปื้อนนั่น ไม่ว่าสิ่งใดก็ช่างตรึงใจของเสียเหลือเกิน แม้ว่าใครๆ อาจจะมองว่าเหวินฉายมีใบหน้าที่ธรรมดา แต่สิ่งที่เขาเห็นคือความน่ารักที่ฉุดกระชากหัวใจของเขาไปครอบครองตั้งแต่เมื่อครั้งแรกที่ได้เจอกัน แม้ว่าครั้งนั้นอีกฝ่ายจะเป็นเพียงแค่เด็กน้อยก็ตาม

“ฮึ! ...ไม่เจอเจ้าเสียนานเลยนะลี่ฟู่ ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน ยอดรัก...”





TBC





ขอโทษที่มาช้านะคะ ไหนใครสมน้ำหน้านางบ้างคะ แมวว่าคงมีไม่น้อย เรื่องราวกำลังเข้มข้น อย่าเพิ่งตัดสินอะไรก่อนจะได้อ่านจนจบนะคะ แล้วพบกันใหม่~


หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 14. up.10/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-12-2018 20:11:54
อยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 14. up.10/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 10-12-2018 21:13:36
หลงน้องเหวินฉายหนักมาก หมั่นไส้!

เฟยหลงไปช่วยเจ้าดอกท้อน้อยให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 16. up.19/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 19-12-2018 13:43:08
[15]

“ฮึ! ...ไม่เจอเจ้าเสียนานเลยนะลี่ฟู่ ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน ยอดรัก...”

เหวินฉายหันมองผู้มาใหม่ด้วยแววตาฉงน ก่อนที่จะนึกออกว่าคนผู้นี้คือผู้ใด ซุนเหว่ยปรายตามองจิกร่างบางที่นั่งอยู่ตรงข้ามเฉินลี่ฟู่อันเป็นที่รักของตนด้วยความเหยียดหยาม ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังเสียจนคนถูกมองต้องขยับกายไปมาอย่างไม่อาจจะอยู่นิ่ง เหวินฉายไม่เข้าใจว่าตนไปทำสิ่งใดให้กับคุณชายซุนผู้นี้ เหตุใดดวงตาคู่นั้นจึงได้จับจ้องมาที่เขาราวกับจะฆ่าเสียให้ตาย ท้องที่ยังไม่เติมไม่เต็มกลับรู้สึกอิ่มเสียจนไม่อยากแตะอาหารตรงหน้าอีก เพียงมือบางวางเอาตะเกียบลงบนชามก็เรียกสายตาของเฉินลี่ฟู่ให้สนใจมากกว่าเสียงทักทายจากซุนเหว่ยเสียอีก

“อิ่มแล้วหรือฉายเอ๋อร์?” เสียงเรียกขานชื่อของเหวินฉายเรียกสายตาเกลียดชังจากซุนเหว่ยอีกครั้ง มือของซุนเหว่ยกำแน่นเสียจนเล็บบางจิกเข้าไปในฝ่ามือ

“เฉินลี่ฟู่! ข้าทักทายเจ้าอยู่! เหตุใดจึงได้มิสนใจ คนเคยร่วมเตียงเล่า?” ซุนเหว่ยกระตุกยิ้มยามได้เอ่ยเน้นคำที่ชวนให้คิดและสีหน้าอันซีดเผือดของถังเหวินฉายที่ตอนนี้ได้แต่ก้มหน้าอยู่จนคางเล็กๆ นั่นชิดอก

“คนมิสำคัญ เหตุใดข้าจะต้องสนใจ บุปผารายทางด้วย หากข้าต้องสนใจพวกมันขนาดนั้น ฉายเอ๋อร์ของข้ามิเข้าใจผิดไปหมดรึ?” รอยยิ้มที่แสนเหยียดหยามของเฉินลี่ฟู่ช่างบีบให้หัวใจของซุนเหว่ยแต่ยังไม่เท่าคำพูดที่เสียดแทงหัวใจของคนอันเป็นที่รัก ใบหน้าของซุนเหว่ยเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนเหวินฉายสะท้านในอกด้วยความสงสารจับหัวใจ ดูก็รู้ว่าคุณชายซุนผู้นี้...รัก...เฉินลี่ฟู่มากเพียงใด

“เจ้าไม่ควรกล่าวเช่นนั้นเลยนะ มิดูใจร้ายไปหรือ?”

“ข้ามิใจดีขนาดจะสนใจคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าหรอกนะ ฉายเอ๋อร์ และข้าก็คงไม่ใจดีหากว่าเจ้า สนใจ คนอื่นที่มิใช่ข้าเช่นกัน” เหวินฉายรู้สึกดีใจและขุ่นเคืองใจไปพร้อมกัน ยามได้เห็นสีหน้าของซุนเหว่ย เหวินฉายก็ยิ่งทวีความไม่พอใจแทน

“หึ! บุปผาริมทางงั้นหรือ? หลับนอนกับข้าเสียเร่าร้อนขนาดนั้น ยังจะพูดอีกหรือว่ามิได้มีใจคิดสัมพันธ์กับข้า หรือเพราะเจ้ากำลังล้อเล่นกับหนุ่มน้อยผู้นี้? โธ่...เจ้าช่างน่าสงสารนักเด็กน้อย อีกมินานเจ้าคงจะมิต่างกับคนอื่นๆ ที่เขามีสัมพันธ์และทิ้งไปอย่างไม่ไยดี แต่มิใช่กับข้า...” มือของซุนเหว่ยไล่ไปตามไหล่กว้างอย่างพอใจและเสน่หา ดวงตาฉ่ำไปด้วยความรักที่ล้นหัวใจ มันช่างทำให้เหวินฉายเจ็บร้าวไปทั้งใจจนมือบางต้องกำชายชุดของตนเอาไว้มิให้อ่อนแอ

“เพราะข้านั้นเป็นที่รักของลี่ฟู่ จนต้องมาผูกพันกัน ครั้งแล้วครั้งเล่า หึหึ”

ปัง!

“หุบปากของเจ้าเสียที! ซุนเหว่ย หากยังไม่หยุดข้าจะ..”

“ช้าขอตัวก่อน..”

“เหวินฉาย! เหวินฉาย!”

ร่างเล็กไม่สนใจเสียงที่พร่ำเรียกชื่อเขาสักนิด เขาทนฟังอีกต่อไปไม่ได้อีกแล้วมันมากเกินไปจนหัวใจของเขาใกล้จะแสดงความอ่อนแอออกมา เขาไม่ควร ไม่ควรจะรู้สึกเช่นนี้กับคนผู้นั้น คนที่อยู่ในความทรงจำเมื่อครั้งยังเด็ก เขาไม่รู้เลยว่าความรู้สึกเฉกเช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อใด แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วเขาก็คงจะทำได้เพียงลบมันออกไปเสีย เพราะมันเกิดขึ้นมาไม่นานย่อมสามารถที่จะลบออกไปได้ไม่ยากนัก

น้ำตาใสๆ ไหลลงมาจนหยดลงสู่พื้นดิน ร่างบางใช้ตรอกเล็กๆ พาตนเองเข้าไปหลบเพื่อลี้ภัย ทิ้งกายลงร่ำไห้อย่างไม่นึกอาย เมื่อไร้ซึ่งผู้คนผ่านมาร่างบางของเหวินฉายจึงสามารถทิ้งความอ่อนแอให้ออกมาจากหัวใจได้ ไหล่เล็กสั่นไหวด้วยแรงสะอื้น นี่เขาถูกล่อหลอกด้วยความใจดีงั้นหรือ เขาหลงมายาที่เฉินลี่ฟู่กระทำราวกับว่าเขาสำคัญ จนต้องมาทรมานใจเช่นนี้ เหวินฉาย! เจ้ามันโง่งม คุณชายใหญ่แห่งสกุลเฉินหรือจะสนใจเจ้า เขาเพียงต้องการของเล่นที่มีชีวิตก็เท่านั้น เขาย่อมต้องรักปักใจกับชายซึ่งคู่ควรกับเขาสิ จะเป็นเจ้าได้อย่างไร!

เหวินฉายพยุงร่างขึ้นยืน เขาพาเอาร่างกายที่หัวใจเต็มไปความบอบช้ำให้เดินจากไปจากที่แห่งนั้น ร่างบอบบางมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านสกุลลู่ ที่ซึ่งเป็นที่พักเพียงแห่งเดียวที่จะช่วยรักษาและเยียวยาจิตใจของเขาได้ หากเพียงเหวินฉายกลับไปที่นั่น ทุกสิ่งก็จะต้องดีขึ้น พึ่งใบบุญจากนายน้อยลู่เฟยหลงอีกสักครั้งเช่นเมื่อครั้งยังเยาว์ เขาก็คงจะหายดีจากความเจ็บปวดในครานี้ มือเล็กๆ กอดตนเองเอาไว้จนแน่น สองเท้าก้าวเดินไปอย่างมั่นคงทั้งที่หัวใจแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงจะทำสิ่งใดอีก

“เหวินฉาย! เจ้าอยู่ไหน!” เสียงเรียกจากถังลี่หยางทำให้สติของเหวินฉายกลับมา มือเล็กๆ เช็ดเอาน้ำตาออกจากใบหน้าตนเองก่อนจะแสร้งยิ้มออกไป

“ขอรับท่านลุง ข้าอยู่นี่ขอรับ”

“อยู่นี่เองรึ นายน้อยเรียกหาเจ้า รีบไปหานายน้อยเสียสิ” นายน้อยเรียกหา? เกิดสิ่งใดขึ้นกันนะ หรือจะเกี่ยวกับคุณหนูเพ่ยผู้นั้น

“ขอรับท่านลุง ข้าจะรีบไปทันทีขอรับ!”

เหวินฉายรีบเดินไปยังห้องของลู่เฟยหลงด้วยความเร่งรีบร้อนใจ หากถูกลู่เฟยหลงเรียกคงมิใช่เรื่องเล็กเป็นแน่ คงจะเกิดอะไรขึ้นสักอย่าง แต่มันคือสิ่งใดเล่า เหวินฉายสูดลมหายใจเข้าปอด ข่มความปวดร้าวที่เกิดจากคนอีกผู้หนึ่งเอาไว้ก่อนที่มือบางจะผลักประตูเข้าไปและพบร่างของลู่เฟยหลงที่เดินไปเดินมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล แต่เมื่อเห็นว่าเหวินฉายก้าวเข้ามา ใบหน้าของเฟยหลงก็มีความหวังขึ้นมา ร่างสูงถลาเข้ามาหาด้วยความร้อนใจจนเรียกสายตาฉงนจากเหวินฉายได้เป็นอย่างดี

“เหวินฉาย เจ้ามาแล้วหรือ!”

“มีเรื่องอันใดหรือขอรับนายน้อย? เหตุใดนายน้อยจึงได้ร้อนใจเช่นนี้?” เหวินฉายเองก็เริ่มร้อนใจเมื่อเห็นว่าร่างสูงของผู้เป็นนายมิได้ลดความกังวลลงไปเลยแม้แต่น้อย

“ข้า เอ่อ...” จะถามออกไปเช่นไรดี จะบอกว่าหยางเถามิใช่มนุษย์และท่านแม่ใช้ยันต์อะไรก็มิอาจรู้ทำร้ายหยางเถางั้นหรือ

มิได้! จะพูดออกไปเช่นนั้นมิได้!

“ขอรับ?”

“สองสามวันก่อนนี้ เจ้าเห็นสิ่งใดผิดแปลกจากท่านแม่หรือไม่?”

“จากฮูหยินหรือขอรับ? อืม...” เหวินฉายนึกย้อนไปตามช่วงเวลาที่ลาเฟยหลงบอก พยายามคิดหาความผิดปกติจากฮูหยินก่อนที่เหวินฉายจะเบิกตากว้างเมื่อภาพบางอย่างเข้ามาในหัว

“ข้าจำได้แล้วขอรับ! วันนั้นข้าเห็นฮูหยินกลับมาจากข้างนอกด้วยสีหน้าและท่าทางมีความสุขและเรียกหาคนในจวนไปสามสี่คนขอรับ แต่ข้ามิได้ตามไปดูหรือเอ่ยถามตึงมิอาจรู้ได้ขอรับ”

“ใครกัน ใครกันที่ท่านแม่เรียกหา?” เหวินฉายก้มหน้าลงเล็กน้อยเมื่อไม่อาจจะตอบสิ่งที่ลู่เฟยหลงปรารถนาจะรู้ได้

“ข้าน้อยมิทราบจริงๆ ขอรับเรื่องนี้ แต่หากนายน้อยอยากจะทราบ นายน้อยควรจะเอ่ยถามด้วยตนเองนะขอรับ มิเช่นนั้นคงจะไม่ได้คำตอบ” ก็จริง...หากมิใช่ตัวเขาไปถามไถ่เอาความ คงจะมิมีผู้ใดกล้าเปิดปากเป็นแน่ ยิ่งคนสั่งคือมารดาของเขาด้วยแล้ว

“ได้! ข้าจะถามเอง เจ้าจงไปเรียกพวกเขามาหาข้าที่นี่ เดี๋ยวข้าจัดการเอง”

“ทราบแล้วขอรับนายน้อย”

เฟยหลงยืนรออยู่ในห้องของตนเองนิ่งๆ ในใจคาดหวังเหลือเกินให้เหล่าคนที่กำลังจะเข้ามานั้น ได้มีคำตอบให้แก่เขา สิ่งใดกันแน่ที่ท่านแม่ได้กระทำ ยันต์ใบนั้นที่เพ่ยเยว่เผิงพูดถึงมีเอาไว้ทำสิ่งใดกันแน่ หากเป็นยันต์ทั่วไปคงมีแปะอยู่ตรงประตูหรือที่ใดที่มิอยากให้เข้าไป แต่นี่เขาไม่เห็นยันต์ที่กล่าวมาเลยสักแผ่น หากมิได้มีไว้กันวิญญาณกับสิ่งชั่วร้าย เช่นนั้นแล้ว...มันมีเอาไว้ทำสิ่งใดกัน

ร่างสูงขบคิดจนคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ใบหน้าหล่อเต็มไปด้วยความตึงเครียด เสียงในหัวใจร่ำร้องเรียกหาคำตอบซึ่งยังไม่ปรากฏ เขาวนเวียนคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนหัวแทบจะระเบิด ไม่นานเหวินฉายก็เดินนำเข้ามาพร้อมกับร่างของหญิงสาวและชายหนุ่มที่เป็นเหล่าเด็กรับใช้ในจวน ทุกคนก้มหน้าลงมองพื้นไม่กล้าสบสายตากับผู้เป็นนายด้วยไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าถูกเรียกตัวมาด้วยเรื่องอันใด

“พวกเจ้า...เมื่อสามวันก่อน ผู้ใดที่ถูกท่านแม่เรียกหา?” บางคนนิ่งเงียบลอบมองใบหน้ากับเพื่อนอย่างไม่เข้าใจในคำถาม แต่ไม่กี่คนที่เป็นบุคคลในคำถามนั้นสะดุ้งเฮือกท่าทางเลิ่กลั่กด้วยความกังวล

“เหตุใดจึงได้เงียบ? นายน้อยถามพวกเจ้าอยู่มิใช่รึ?”

“อย่าได้กังวล ท่านแม่จะไม่มีวันรู้เรื่องนี้!” น้ำเสียงของเฟยหลงเต็มไปด้วยความมั่นใจจนเหล่าผู้กระทำผิดยอมแหงนเงยใบหน้าขึ้นมามองสบตา ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าถูกจับจ้องด้วยดวงตาคมคู่นั้นอยู่แล้ว ร่างกายของเด็กหนุ่มสั่นด้วยความหวาดกลัว หากถูกจับได้เขาคงจะถูกไล่ออกจากจวนเป็นแน่ ผู้ใดบ้างมิรู้ว่าหากไปยุ่งกับต้นท้อไร้ดอกของนายน้อยก็เท่ากับว่าฆ่าตัวตาย

“เจ้ามีอะไรจะพูดหรือ?” ร่างสูงเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัยเมื่อพบว่าในแววตาของเด็กผู้นั้นเต็มไปด้วยความสั่นไหว ไร้ซึ่งความมั่นคงหรืออีกนัยหนึ่งคือ...แววตาของผู้กระทำผิด

“ข้าน้อย...ข้าน้อยเองขอรับ” ร่างสูงหันไปมองเหวินฉายก่อนจะพยักหน้าเป็นนัยว่าให้คนอื่นๆ ออกไปได้

ตอนนี้ในห้องจึงเหลือเพียงเหวินฉาย เฟยหลงและเด็กรับใช้ผู้นั้น ความเงียบเป็นดั่งยาขมที่ไม่น่าอภิรมย์จนไม่มีผู้ใดนึกอยากจะกลืนมันลงคอ แต่ลู่เฟยหลงคือบุรุษผู้เป็นเจ้านาย คือผู้ที่เป็นเจ้าของจวนแห่งนี้ หากเขากระด้างกระเดื่องคงไม่พ้นถูกเฉดหัวออกไปอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าฮูหยินจะใหญ่ แต่อย่างไรเสียฮูหยินก็รักนายน้อยมาก คงไม่โกรธเขานักหากจะเล่าให้นายน้อยฟัง

“มีสิ่งใดจะเล่าหรือไม่ว่าท่านแม่ใช้ให้เข้าทำอันใด”

“เอ่อ...คือว่า เอ่อ ข้า”

“เจ้ารีบพูดออกมาสิอ้ายโหย่ว นายน้อยรอฟังคำตอบจากเจ้าอยู่” เหวินฉายเริ่มทนไม่ไหวกับอาการอ้ำอึ้งที่อ้ายโหย่วกระทำ

“นายน้อย! โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยขอรับ!”

“เจ้าพูดมาเสีย อย่าได้ร้องขอให้มากความ” อ้ายโหย่วเริ่มกระสับกระส่ายยกมือขึ้นมาชนกับกำปั้นด้วยท่าทางหวาดกลัว

“ข้าน้อย ข้าน้อยถูกฮูหยินสั่งให้ เอ่อ ให้นำยันต์ไปฝังไว้ใต้ต้นท้อขอรับ!”

สิ้นเสียงบอกเล่าของอ้ายโหย่ว เฟยหลงก็รู้สึกราวกับว่ามีใครบางคนมาเชือดเฉือนหัวใจออกไปทั้งที่ยังมีชีวิต หัวใจปวดหนึบจนสะท้าน ร่างกายสั่นไหวเสียจนแทบจะล้มลงกับพื้น ฝังยันต์ไว้ใต้ต้นท้อ นั่นย่อมหมายถึงกักขังดวงวิญญาณมิใช่หรือไรกัน! แล้วพลังเล่า! พลังจากแสงจันทราจะยังคงถูกดูดซับได้หรือไม่

“นายน้อย! จะไปไหนขอรับ?” เหวินฉายคว้าแขนของลู่เฟยหลงเอาไว้ทันทีที่ร่างสูงขยับกายหมายจะออกจากห้อง

“ข้าต้อง...ข้าต้องไปเอายันต์ออก ไม่ได้ จะช้าไปกว่านี้ไม่ได้!”

“นายน้อยได้โปรดหยุดก่อน เหตุใดนายน้อยจึงต้องร้อนรนใจเพียงเพราะยันต์ถูกฝังไว้ใต้ต้นท้อด้วยล่ะขอรับ หากฝังยันต์เอาไว้ ปีศาจและสิ่งเลวร้ายก็มิกล้าย่างกรายเข้ามาในจวน นี่มิใช่เรื่องดีหรอกหรือขอรับ?” ด้วยความไม่เข้าใจกับท่าทีของเฟยหลงจึงทำให้เหวินฉายเอ่ยถามออกไป เฟยหลงปรายตามองไปที่อ้ายโหย่วที่ยืนรอฟังอยู่ด้วยความสนใจ ตัวอ้ายโหย่วเองก็คิดว่าแปลกตั้งแต่ถูกสั่งให้นำยันต์แผ่นนั้นไปฝังไว้แล้ว แต่ที่อ้ายโหย่วสงสัยมากกว่าคือท่าทีของนายน้อยที่ร้อนใจยามได้ฟังว่ายันต์ถูกฝังเอาไว้ใต้ต้นท้อสุดรักนั่น

“เจ้าออกไปได้แล้วอ้ายโหย่ว” เฟยหลงจ้องมองอ้ายโหย่วเสียจนเหวินฉายเริ่มเข้าใจในสถานการณ์จึงได้โบกมือและออกปากไล่อีกคนให้ออกไป แม้จะเสียดายที่มิอาจจะตอบสิ่งคาใจได้ แต่อ้ายโหย่วก็ก้มหัวค้อมศีรษะลงและเดินออกจากห้องไปในที่สุด เหวินฉายลอบถอนหายใจเมื่อพบว่าในห้องเหลือเพียงเฟยหลงผู้เป็นนายกับตนแล้วจึงได้เอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง

“นายน้อย เกิดอะไรขึ้นกันแน่ขอรับ”

“ได้! ข้าจะบอกเจ้า...” ร่างบางยืนมองสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดขึ้นทันตาของผู้เป็นนายด้วยอาการหายใจติดขัด ดวงตาคู่คมมองออกไปยังต้นท้อที่มีดอกท้ออยู่บนกิ่งก้านด้วยแววตาคิดคะนึงหา บรรยากาศรอบกายของลู่เฟยหลงทำให้เหวินฉายต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

“อันที่จริงแล้ว หยางเถาเป็น...”

เฟยหลงค่อยๆ เล่าความเป็นมาตั้งแต่เมื่อครั้งพบเจอหยางเถาครั้งแรก สีหน้าของเหวินฉายเต็มไปด้วยความตกตะลึงด้วยไม่คิดว่าบุรุษผมสีเงินผู้นั้นจะเป็นจิตวิญญาณแห่งท้อโศกศัลย์ จากความตกตะลึงแววตาของเหวินฉายก็พลันเปลี่ยนเป็นความสงสารและเห็นใจ คุณชายหยางเถาคงจะมีใจมั่นรักต่อนายน้อยมาก จึงได้ยอมแลกเปลี่ยนรูปกายทั้งๆ ที่รู้ว่าจะต้องสูญสลายเช่นนี้

ยิ่งพบกันได้เพียงช่วงย่ำราตรีจวบจนถึงก่อนตะวันจะย่างกรายมาแทนที่ เวลาเพียงน้อยนิดคุณชายหยางเถากลับยิ้มแย้มมีความสุขได้เพียงแค่ได้อยู่เคียงข้างกับนายน้อย หัวใจของเหวินฉายสะท้านไปด้วยความเจ็บปวด รักที่แสนบริสุทธิ์เช่นนี้ เหตุใดฮูหยินจึงได้เรียกว่าปีศาจกัน! ยิ่งคุณชายหยางมีเวลาอยู่กับนายน้อยเพียงร้อยราตรีว่าทรมานแล้ว กลับต้องมาทนเห็นภาพที่แสนปวดใจจากคนที่รักที่คลอเคลียกับหญิงอื่น ซ้ำร้ายยังถูกฮูหยินต่อว่าเสียจนไม่เหลือชิ้นดี

แล้วเขาล่ะ? ทำสิ่งใดเพื่อความรักบ้าง

ยิ่งคิดเหวินฉายก็ยิ่งปวดใจ ตนเองมิได้ทำสิ่งใดเพื่อความรักเลยสักอย่าง ยิ่งนึกถึงภาพที่คนผู้นั้นอยู่กับชายอีกคน มันช่างปวดร้าวหัวใจเหลือเกิน เหวินฉายนับถือหัวใจของคุณชายหยางเหลือเกิน ยอมทิ้งแม้กระทั่งชีวิตเพื่อใช้เวลาอยู่ใกล้ๆ คนที่รักให้ได้เนิ่นนานที่สุด เก็บเกี่ยวความสุขให้ได้มากที่สุดก่อนจะถึงวันที่ต้องสูญสลายไป เหวินฉายเองยังนึกภาพวันนั้นไม่ออกเลยจริงๆ หากนายน้อยสูญเสียคุณชายหยางไปนายน้อยจะเป็นเช่นไร เพราะเพียงแค่สามวันที่มิได้พบหน้าคุณชายหยาง นายน้อยก็แทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน ยอมยืนตากน้ำค้างตาลมหนาวตอนกลางคืนเพียงเพื่อรอจะได้พบหน้าคุณชายหยางสักครั้ง แต่ถ้าหากจะมิอาจจะได้พบกันอีกเล่า เหวินฉ่ยไม่อยากจะคิดถึงวันนั้นเลยจริงๆ











•~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•



หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 15. up.19/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 19-12-2018 13:44:30
เมื่อจันทราทอประกายแสงลงมา ใต้ต้นท้อใหญ่ปรากฏร่างของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งก้มลงกับพื้นใช้สองมือขุดหาบางสิ่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เหงื่อของเขาไหลลงมาราวกับสายน้ำแต่มิได้ทำให้ความตั้งใจของร่างสูงลดลงเลยแม้แต่น้อย ริมฝีปากขยับพึมพำอยู่ตลอดเวลาเรียกน้ำตาจากบุรุษผมสีเงินที่อยู่ในต้นท้อด้วยความเจ็บปวด สีหน้าของทั้งสองช่างแตกต่างกันอย่างยิ่ง หนึ่งคนเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังอีกคนเต็มไปด้วยความปวดร้าวยามได้เห็นว่าสองมือของคนด้านนอกเจ็บจากการถูกทิ่มแทงด้วยรากไม้และเศษของหินที่แหลมคม

“รอข้าก่อนนะหยางเถา ข้าจะหาแล้วทำลายมันเดี๋ยวนี้ล่ะ”

เลือดสีแดงสดไหลลงมาจนซึมลงไปในพื้นดิน แต่ใบหน้าหล่อเหลากลับไม่มีแม้วี่แววของความเจ็บปวดใดๆ เฟยหลงเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น ยิ้มออกมาอย่างจริงใจ หยางเถาร่ำไห้กับภาพตรงหน้า ร้องไห้สะอื้นด้วยความทรมานที่ไม่อาจจะช่วยคนรักให้คลายเจ็บปวด ซ้ำยังต้องให้ร่างสูงลำบากทำสิ่งต่างๆ ให้เสียอีก หัวใจของหยางเถาเศร้าสลดจนแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนขึ้น ร่างบอบบางนอนอยู่กับพื้นจนผมยาวสีเงินสยายไปทั่วพื้น เรี่ยวแรงทั้งหมดใช้ไปกับการหายใจ กว่าสามคืนที่ผ่านมาหยางเถามิได้รับไอจันทราทำให้พลังถูกใช้ไปจนเกือบหมด

‘ข้านำความลำบากมาสู้เจ้าแล้ว เฟยหลง’

ลู่เฟยหลงยังคงไม่ยอมแพ้ สองมือขุดไม่หยุดจนในตอนนี้ใต้ต้นท้อเต็มไปด้วยหลุมที่ถูกขุดเอาไว้หลายหลุม ร่างสูงเบิกตากว้างสองมือสั่นยามได้เห็นกระดาษสีเหลืองที่ถูกขีดเขียนไว้ด้วยตัวอักษรสีแดง น้ำตาของเฟยหลงใหลลงมาอย่างไม่อาจจะห้ามได้ ความรู้สึกดีใจเสียจนล้นไปทั้งหัวใจนั้นมันทำให้เฟยหลงรีบหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ่นมาก่อนจะฉีกมันทิ้งอย่างไม่ไยดี แสงสีเขียวค่อยๆ สว่างขึ้นตรงหน้าของเฟยหลงก่อนที่แสงนั้นจะหายไปหลงเหลือไว้เพียงแค่ร่างเล็กๆ ของหยางเถาเท่านั้นที่นอนอยู่กับพื้นดิน

“หยางเถา...” มือของเฟยหลงสั่นไปหมดยามเอื้อมมือไปทางด้านหน้าสัมผัสบนกลุ่มผมสีเงินด้วยความไม่มั่นใจนักว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านั้นคือความจริงหรือภาพลวง

“เฟย...หลง” เสียงเรียกจากปากบางนั้นช่างเบาเสียเหลือเกินราวกับกระซิบ น้ำตาของทั้งสองไหลลงมา ฝ่ามือหนากุมผิวแก้มที่เย็นชืดด้วยความรักใคร่และคิดถึงอย่างสุดหัวใจ เฟยหลงดึงร่างบอบบางในชุดสีขาวเข้ามากอดจนแนบแน่น ริมฝีปากจุมพิตลงบนกลุ่มผมเบาๆ สองร่างกอดกันใต้แสงจันทร์อย่างไม่นึกอาย ความคิดถึงที่ทั้งสองมีต่อกันนั้นมากล้นเสียจนมิอาจมีผู้ใดเข้าใจได้ แต่เพียงแค่ต่างฝ่ายต่างเข้าใจซึ่งกันและกันก็เพียงพอ

“ข้าขอโทษ...ข้าขอโทษหยางเถา ข้ามันโง่นัก!” ร่างสูงดันกายของหยางเถาออกจากอ้อมแขน ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหยาดน้ำตาออกจากใบหน้างามอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าจะแตกหักไป หยางเถายกมือขึ้นกุมมือหนาที่ผิวแก้ม ยิ้มให้ร่างสูงด้วยความรัก

“ไม่...เจ้าไม่ผิดเลยเฟยหลง แค่กๆ ข้าผิดเอง ข้าผิดเองทั้งหมด อึก แค่กๆ”

“หยางเถา! เจ้าดอกท้อ! เจ้าอย่าเพิ่งพูดเลย ข้าจะพาเจ้าไปพักเอง” !

สองแขนช้อนตัวของหยางเถาขึ้นมาอุ้มเอาไว้แนบอกพร้อมกับเดินตรงไปยังห้องของตนเองอย่างเร่งรีบ เหวินฉายที่ยืนอยู่หน้าประตูมองนายน้อยที่กำลังอุ้มร่างของคุณชายหยางมาด้วยความตกใจ ลนลานเปิดประตูให้นายน้อยอย่างเร่งรีบ ในใจก็ร้อนรุ่มไปหมดด้วยตนเองไม่สามารถรู้ได้เลยว่าในตอนนี้ คุณชายหยางเป็นอะไรกันแน่จึงได้ถูกอุ้มมาเช่นนั้น แต่สีหน้าของนายน้อยนั้นเต็มไปด้วยความร้อนรนใจและกังวลเสียจนใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยว

ลู่เฟยหลงวางร่างของหยางเถาลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม ฝ่ามือหนาลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นไหมสีเงินงดงามอย่างปลอบประโลม อาการไอพร้อมกับเลือดที่ออกมาจากปากบางนั้นทำให้เฟยหลงไม่อาจจะวางใจใดๆ ได้ สามวันที่ผ่านมาเขามัวทำสิ่งใดอยู่จึงมิได้เอะใจใดๆ เลย กว่าจะรู้เข้าก็เมื่อหญิงผู้นั้นเป็นผู้ออกปากพูดมันออกมา ซ้ำยังเย้ยหยันว่าหยางเถาคงจักสูญสลายไปแล้ว ยิ่งนึกถึงเฟยหลงก็ยิ่งโมโห จิตใจของหญิงผู้นั้นช่างต่ำทราม ถือตนว่าสูงส่งและเหยียดหยามเจ้าดอกท้อของเขาให้ต่ำเรี่ยดิน แต่สำหรับเฟยหลง ต่อให้จันทราที่ลอยอยู่บนนภากว้างใหญ่จะสูงส่งสักเพียงใด แต่เจ้าดอกท้อของเขานั้น มีค่าเกินกว่าจะเก็บมาเปรียบกับจันทราดวงเดียว

“ข้าจะให้คนไปตามหมอ เจ้าจะต้องหาย” หยางเถาคว้าแขนของร่างสูงเอาไว้แน่นพลางส่ายหน้าด้วยสีหน้าซีดเซียว

“อย่า อึก! ไม่มีหมอที่ใดรักษาข้าได้ แค่ก หรอก เจ้าก็ย่อมรู้ดีว่า อึก! เป็นเพราะอะไร”

“แต่ข้าจะไม่ยอมนั่งเฉยๆ ดูเจ้าทรมานอยู่เช่นนี้!”

“เฟยหลง...ข้าอยู่ได้ด้วยไอจันทรา หากข้า แค่กๆ ได้รับไอจันทราสักหน่อย ข้าก็จะหายดี เจ้า อึก! แค่ก อย่าห่วง แค่กๆ” เฟยหลงใช้นิ้วแตะลงบนริมฝีปากของหยางเถาอย่างแผ่วเบาก่อนจะเอ่ยบอกร่างบางด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นหัวใจ

“ข้ารู้แล้วๆ เจ้าพักเถอะ ข้าจะเปิดหน้าต่างให้แสงจันทร์ส่องมายังกายของเจ้า เจ้าจะได้รับไอจันทราได้ดั่งเดิม” เฟยหลงมองใบหน้างดงามด้วยความห่วงใย ก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างให้แสงจันทร์ได้ส่องเข้ามาให้ตัวของหยางเถาดูดซับมัน

หยางเถาเพียงหลับตาลงพยายามตั้งสมาธิเพื่อซึมซับไอเย็นจากจันทราเข้าสู่ร่างกาย ลู่เฟยหลงนั่งมองหยางเถาอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ด้วยกลัวว่าร่างกายของตนจะไปบดบังแสงจากจันทราที่จะรักษาคนงามได้ เหวินฉายรู้สึกเหมือนตนเองเป็นเพียงอากาศไร้ตัวตน ไม่รู้ว่าจะวางตัวเองไว้ที่ใดดี อีกทั้ง...ภาพตรงหน้าที่คุณชายหยางกำลังดูดซับแสงจันทร์อยู่นั้นชวนให้ตะลึงเสียเหลือเกิน ความงดงามภายใต้แสงแห่งจันทรานั้น ช่างชวนให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระรัวราวกับมีใครมาลั่นกลอง

ยิ่งใบหน้างามถูกชโลมด้วยแสง ร่างอันผุดผ่องยิ่งทำให้ไม่สามารถละสายตาไปได้ สีหน้าซีดเซียวค่อยๆ มีสีเลือดฝาดขึ้น ใบหน้าที่ดูราวกับคนใกล้ฝั่งในตอนนี้กลับมาดูดีเช่นดังเคยแล้ว เหวินฉายเองก็รู้สึกยินดีขึ้นมา ก่อนหน้าเขายังกังวลใจอยู่เชียวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นหรือไม่ แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูดีขึ้นเขาเองก็เบาใจได้มาก อย่างน้อย...ก็คงทำให้นายน้อยของเขาสบายใจขึ้นมากเช่นกัน

ลู่เฟยหลงยิ้มจนแก้มแทบปริ ยามเมื่อได้เห็นว่าร่างบอบบางของหยางเถาค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งด้วยใบหน้าที่สดชื่นขึ้น ร่างกายของหยางเถาปกคลุมไปด้วยไอจันทราบางๆ ราวกับว่ากำลังโอบล้อมให้ร่างกายได้ฟื้นขึ้นจากความทรมานต่างๆ หยางเถามองชุดของตนเองที่เคยเปื้อนเลือด ในตอนนี้...รอยสีแดงค่อยๆ จางและหายไปในที่สุด ชุดสีขาวกลับมาบริสุทธิ์สะอาดตาผมสีเงินแผ่กระจายอยู่เต็มแผ่นหลัง ดวงตาสีอำพันมองสบตากับเฟยหลงก่อนที่แววตาคู่นั้นจะเต็มไปด้วยหยาดน้ำใส

“ข้า ฮึก นึกว่าจะมิได้พบเจ้าอีกแล้ว” เฟยหลงขยับร่างเข้ามาใกล้โอบกอดและลูบผมสีเงินเบาๆ ด้วยความรักใคร่

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น นึกว่าเจ้าเกลียดข้า โกรธข้าเสียจนไม่อยากจะพบข้าอีก” ใบหน้างดงามส่ายไปมากับอกกว้างเลื่อนเรียวแขนขึ้นมาโอบเอวหนาเอาไว้

“ข้ามิเคยโกรธเจ้า มิเคยเกลียดเจ้าเลยสักนิด ข้ารู้ตัวดี...ว่าข้าเป็นใคร เจ้าอย่าได้ห่วง”

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน จะมิให้ข้าห่วงคนที่ข้ารัก แล้วจะให้ข้าไปห่วงผู้ใด”

แววตาของร่างบางเต็มไปด้วยความตกตะลึงและตื้นตันในหัวใจพร้อมกับความสับสนที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เฟยหลงบอกว่ารักเขาหรือ แต่...เพ่ยเยว่เผิงเล่า นางผู้นั้นคือคู่หมั้นหมายที่มารดาของเฟยหลงต้องการจะให้แต่งงานกับเฟยหลง อีกทั้งวันนั้น...ท่าทีที่เฟยหลงมีต่อนางก็มิใช่คนรู้จักธรรมดา พอนึกถึงเรื่องนี้หัวใจของหยางเถาก็เต็มไปด้วยความปวดร้าว เขาทำใจแล้วว่าอย่างไรแล้ว เฟยหลงก็จักต้องแต่งงานไปกับนางผู้นั้น ส่วนเขา...ก็เพียงรอเวลาสูญสลายไปตามสัญญาที่ได้ให้เอาไว้กับองค์เง็กเซียน ยางเถากลืนก้อนสะอื้นลงไปในลำคอเล็ก ฝืนส่งยิ้มให้กับร่างสูงอย่างไม่มีทางเลือก แม้ว่าอีกคนจะบอกรักเขาแต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งใด หรือบางที...เฟยหลงเพียงอยากจะปลอบใจเขา สงสารเขาจึงได้พูดคำว่ารักออกมาให้หัวใจของเขาได้มีกำลังใจ

เหวินฉายลอบมองใบหน้าอันงดงามของหยางเถาที่ในตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มเจือนๆ จนเรียกสีหน้าไม่เข้าใจจากผู้ได้มองเหตุการณ์อยู่เบื้องหลังอย่างเขาได้เป็นอย่างดี เขาไม่เคยคิดว่าจะมีผู้ใดที่ถูกบอกรักแล้วกระทำราวกับว่าถูกขู่เข็นให้กินยาขมเยี่ยงนี้เลย คุณชายหยางผู้นี้คงมิใช่ว่ายังคิดติดใจกับถ้อยคำที่ฮูหยินพูดหรอกนะ หากเป็นเช่นนั้น เห็นที...นายน้อยของเขาคงจักต้องพบความลำบากไม่หยุดหย่อนเป็นแน่ ด้วยไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมต้องรู้ว่าฮูหยินมิใช่คนที่จะยอมแพ้ง่ายๆ เมื่อหมายให้คุณชายหยางถอยห่างและตัดใจยังสามารถกล่าวถ้อยคำโหดร้ายให้คนฟังได้ทรมานได้ มีหรือจักมิทำอีก

แล้วไหนจะเรื่องยันต์อีกเล่า...เพราะฮูหยินรู้มิใช่หรือว่าคุณชายหยางผู้นี้คือปี อา เขาหมายถึงจิตวิญญาณแห่งต้นท้อ จึงได้ร่วมมือกับคุณหนูเยว่ไปพบกับนักพรตและนำยันต์มากำจัดคุณชายหยางให้ออกไปจากชีวิตของนายน้อย เหวินฉายได้แต่ถอนหายใจเมื่อคิดถึงเรื่องต่างๆ ของหยางเถาและลู่เฟยหลง มันช่าง...สุขไม่เต็มสุข บ่อยครั้งที่มีทุกข์เข้ามาแทรก แต่รักในหัวใจของทั้งสองก็มิได้ลดน้อยลงเลย ซ้ำยังมีมากกว่าพวกข้างนอกจวนที่พร่ำกล่าวคำรักหากแต่มินานก็ทิ้งรักที่เคยหอมหวานไปอย่างไม่นึกเสียดาย

สายตาของเหวินฉายเต็มตื้นไปด้วยความปลื้มปีติและอิจฉา ในชีวิตของเขาคงมิอาจจะหาผู้ใดมารักเขาได้อย่างที่คุณชายหยางและนายน้อยรักกันอีกแล้ว นายน้อยของเขาช่างโชคดียิ่งนักที่ได้พบกับความรักแท้ที่แสนบริสุทธิ์เช่นนี้ เหวินฉายหลุบสายตาลงมิงพื้น สองเท้าค่อยๆ ก้าวถอยหลังอย่างช้าๆ เพื่อมิให้คนสองคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิดได้รู้สึกตัว เหวินฉายก้าวออกไปโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูตามหลัง ในใจได้แต่หวังให้นายน้อยกล่าวเรื่องต่างๆ ให้จบสิ้น และเขาก็หวังเหลือเกินว่าคุณชายหยางจะเข้าใจเรื่องทุกอย่างเสียที

“ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ข้าว่า...ข้าควรจะกลับไปที่ของข้าเสียที” หยางเถาหยัดกายขึ้นจากเตียงนอนจนเฟยหลงต้องรีบร้อนเข้ามาพยุงร่างบางเอาไว้อย่างห่วงใย

“เหตุใดเจ้าจึงได้รีบกลับนักเล่า...มิใช่ว่ามีเวลาจวบจนถึงใกล้รุ่งหรอกหรือ?” หยางเถาหลบสายตาคมคู่นั้นลงมองที่ปลายเท้าตนเอง เขามิได้ลืมหรอก แต่มิกล้าอยู่ใกล้ๆ เพราะกลัวว่าหัวใจจะเจ็บไปมากกว่านี้ ร่างกายยังมิแข็งแรง หากว่าหัวใจมาอ่อนแรงไปจะยิ่งแย่กับเขาไปใหญ่ ทางที่ดีเขาควรจะกลับไปรักษาตัวและใช้เวลาทำใจให้เข้มแข็งก่อนจะออกมาพลกับเฟยหลง แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลาอันน้อยนิดที่เหลือก็ตาม

“ข้าคิดจะไปรักษาตัวภายในต้นท้อ มันคงจะดีกว่า...” หยางเถาพยายามอ้างเหตุผล แต่ลู่เฟยหลงมิใช่คนโง่ มีหรือเขาจะจำมิได้กับเรื่องนี้

“ไหนเจ้าเคยบอกข้าว่าดอกท้อบนต้นมีหน้าที่ดูดซับไอจันทราไว้ให้จ้ามิใช่หรือ? เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจะต้องรีบร้อนเล่า คงมิใช่ว่าเจ้า...เกลียดข้าไปแล้วหรอกหรือ” หยางเถาที่แสนไร้เดียงสากลับเบิกตากว้างกับท่าทีน้อยอกน้อยใจที่ร่างสูงแสดงออกมา แววตาตัดพ้อคู่นั้นช่างน่าสงสารเสียเหลือเกินไหนจะน้ำเสียงเศร้าสร้อยที่เอ่ยออกมาอีกเล่า เช่นนี้แล้วหากเขาไปคงใจร้ายเหลือเกิน

“มิใช่เลยๆ ข้าเพียงแค่ เอ่อ ข้าเพียง เฮ้อ...เอาเถอะ ข้าจะอยู่กับเจ้าจนตะวันจะทอแสงก็แล้วกัน” จากสุนัขน่าสงสารที่โศกเศร้าราวกับกำลังถูกเจ้าของทอดทิ้งในตอนนี้ดวงตาคมพราวระยับด้วยความดีใจ ทิ้งตัวลงดันให้หยางเถาต้องนั่งลงบนเตียงตามเดิมจากแรงแขนที่กดลงบนบ่าเล็ก ร่างสูงค่อยๆ เอนตัวทิ้งศีรษะของตนเองลงบนตักของอีกฝ่ายที่บัดนี้ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ หยางเถาทำอะไรไม่ถูกเลย เฟยหลงคนก่อนมิใช่ชายที่ปากว่ามือถึงเช่นบุรุษทั่วไป แต่เหตุไฉนยามนี้...ลู่เฟยหลงผู้นี้จึงได้ทิ้งกายลงนอนโดยใช้ขาของเขาเป็นหมอนกัน

“ตักเจ้าช่างนุ่มนัก รู้หรือไม่?” ดวงตาสีอำพันยังคงเรียบเฉยทั้งที่แก้มสองข้างเริ่มแดงระเรื่อ ส่งเสียงตอบกลับอย่างแผ่วเบา

“อะ อืม”

“นุ่มเช่นนี้คงจักดีถ้าข้าจะได้ใช้มันนอนไปตลอดชีวิตของข้า”

ตึกตัก! ตึกตัก!

เสียงหัวใจเต้นแรงเสียจนเจ้าของหัวใจแทบจะหยุดหายใจไปกับคำพูดนั้น หยางเถาพยายามส่งยิ้มอ่อนๆ ให้ราวกับว่ามิได้คิดอะไรตามคำพูดที่อีกฝ่ายกล่าวมาหยอกเย้า แต่นัยต์ตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความสั่นไหวที่บอกได้ดีถึงความรู้สึกในหัวใจของตนเอง และเฟยหลงก็ชื่นชอบเหลือเกินที่ได้เห็นแบบนี้

ดวงตาคู่นี้ ริมฝีปากอิ่มนี้ หรือแม้แต่มือนี้ก็เช่นกัน

“กลิ่นของเจ้าก็ช่างหอมเหลือเกิน หอมเสียจนข้ามิอาจจะต้านทานหัวใจ มิให้รักเจ้าได้เลยยอดบุปผาของข้า” มือเล็กๆ ถูกจับมาจรดริมฝีปาก ความหอมจากร่างบางเรียกให้เฟยหลงฝังจมูกลงไปไม่ยอมหยุด ริมฝีปากก็จุมพิตทั่วทั้งฝ่ามือด้วยความรักใคร่ โดยไม่รู้เลยว่าหยางเถานั้น ในยามนี้แทบจะระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้ว

“มิว่าผู้ใดจะงดงามสักเพียงใด สำหรับข้า...บุปผาดอกนี้งามยิ่งกว่าจันทรานับหมื่นพันเสียอีก”

งามกว่าจันทราจริงหรือ

เสียงหัวใจเต้นดังจนหยางเถาไม่อาจจะควบคุมเอาไว้ได้ ถ้อยคำที่ออกมาจากปากของเฟยหลงมันเป็นดั่งน้ำที่ถูกเทลงบนต้นไม้แห้งเหี่ยวที่ขาดน้ำมานานแสนนาน แต่บัดนี้ กลับถูกเติมเต็มด้วยหยาดน้ำทิพย์ที่เขาเพียรรดมันให้จนชุ่มฉ่ำ แม้จะรู้ว่า...ไม่ควรดีใจไปกับหยดน้ำหยดนั้น แต่มันก็ยังดูดซับเข้าไปจนลึกสุดใจเกินกว่าจะหยุดได้ไหว หยางเถารู้สึกว่าตนเองกำลังล่องลอย ถูกอีกคนชักจูงให้เข้าไปในฟัน โบยบินไปด้วยกันอย่างสุขใจเสียจนไม่อยากจะตื่นขึ้นมา แต่สติก็ถูกดึงกลับมา ยามริมฝีปากของอีกฝ่ายแตะลงบนข้อมือบางช้าๆ จนหยางเถาขนลุกชัน ยิ่งยามสบสายตาร้อนแรงคู่นั้นยิ่งแล้วใหญ่ ความร้อนแล่นขึ้นใบหน้างามจนบัดนี้แดงก่ำไปทั้งหน้า

“ต่อให้ในสายตาผู้ใดจะด้อยค่า แต่สำหรับข้า เจ้าคือสิ่งล้ำค่าที่สุด เจ้าดอกท้อ”

เชื่อได้ใช่รึไม่เฟยหลง ข้าเชื่อเจ้าได้ใช่หรือไม่





TBC






 น้องกลับมาแล้วค่าาาาา ในที่สุดก็ทำลายยันต์ได้สักที นี่แมวไม่ได้ยืดเรื่องนะคะ มันเดินไปตามทางของมันเอง แมวพยายามกระชับเรื่องไม่ให้ทุกคนเบื่อที่สุดแล้ว จากนี้ไป อะไรจะเกิดขึ้นอีกก็...รอลุ้นกันนะ คิกๆ

หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 16. up.30/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 30-12-2018 10:39:30
[16]


 ถังเหวินฉายมองห่ออาหารในมือด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม วันก่อนเพราะเจ้าบ้าเฉินลี่ฟู่กับคนรักที่ทำให้เขามิได้นำอาหารไปให้กับพวกอี้เหมย วันนี้เหวินฉายจึงนำทั้งไก่และซาลาเปาร้อนๆ ไปให้เป็นการไถ่โทษจากเด็กๆ อารมณ์ของเหวินฉายนั้นเบิกบานเสียยิ่งกว่าดอกไม้ที่แย้มรับแสงตะวันเสียอีก ในตอนนี้เขาเลิกสนใจในเรื่องของเจ้าลูกเต่าแซ่เฉินนั่นแล้ว เมื่อนายน้อยเฟยหลงของเขานั้นได้ความสุขกลับคืนมาเสียที

ค่ำคืนที่ผ่านมาเขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของนายน้อยแทบจะทั้งคืน คุณชายหยางเถาผู้นั้นช่างงดงามแม้ยามที่อ่อนแรงไร้กำลัง ใบหน้าของคุณชายหยางอิ่มเอมยามนายน้อยเอื้อนเอ่ยคำรัก บอกถึงความสำคัญของตัวคุณชายหยางที่มีต่อนายน้อย แก้มใสๆ ของคุณชายหยางแดงระเรื่อจนนายน้อยอดไล้ปลายนิ้วลงไปมิได้ ความรักของทั้งคู่ล้วนแต่ถูกถ่ายทอดออกมาจากแววตายามได้สบประสาน ซึ่งตัวเหวินฉายเองก็ได้เห็นมันอย่างเต็มตา

ยามได้คิดถึงภาพความรักที่นายน้อยของตนและคุณชายหยางผู้นั้นมีให้กันก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ สิ่งใดเล่าจะงดงามชวนให้หลงใหลได้เท่ากับความรักอันบริสุทธิ์ที่คนทั้งคู่มีต่อกัน เหวินฉายมิกล้าพูดเลยว่าจะมีผู้ใดมีรักอันงดงามได้เท่ากับคู่ของนายน้อยอีก เสียดายก็แต่ฮูหยินมิได้มองมันด้วยหัวใจ ใช้เพียงอคติต่อเพศมองข้ามความงามนั้นเป็นความน่ารังเกียจจนมิอาจรับได้ เสียงถอนหายใจดังขึ้นมายามคิดถึงปัญหาที่ยังคงมีอยู่ ดูโดยรวมแล้วปัญหาที่หนักที่สุดคงหนีมิพ้นฮูหยิน เพราะจากท่าทีของนายท่านนั้นมิได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ออกจะเอนเอียงไปทางคุณชายหยางด้วยซ้ำ

รักช่างยากนักหากจะครอบครอง แต่ช่างง่ายนักหากจะทำลาย

ใบหน้าของร่างยางเศร้าลงทันตา ไม่รู้ว่านายน้อยเฟยหลงจะต้องพบเจอกับบททดสอบแห่งรักใดอีก สีหน้ายามจะเป็นจะตายเมื่อได้รู้ว่าคุณชายหยางมิอยากพบหน้านั้นยังติดตรึงอยู่ในหัวของเขามิอาจจะลบมันออกไปได้ เขามิชอบเห็นผู้เป็นนายทอดสายตาออกไปอย่างไร้จุดหมาย มิชอบที่ต้องเห็นใบหน้าหล่อเหลานั้นเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความเศร้าสร้อย แต่ช่างเถิด...อย่างไรเสียยามนี้นายน้อยเฟยหลงก็คงมิปล่อยให้ฮูหยินหาวิธีมากำจัดคุณชายหยางอีกแล้ว

ปีศาจรึ? ฮึ! ปีศาจใดกันจะมีนักบริสุทธิ์เช่นนี้ หากมิบอกว่ามาจากต้นท้อ เขาคงคิดว่าเป็นเทพเซียนเสียด้วยซ้ำ

ไหนจะความงดงามนั้น ไหนจะรอยยิ้มใสซื่อที่แสนบริสุทธิ์ มิมีสิ่งใดที่คล้ายปีศาจสักนิด

“ฉายเอ๋อร์...”

เสียงทุ้มอันคุ้นเคยเรียกสายตาของเหวินฉายให้หันไปมอง เหวินฉายเม้มปากแน่นแววตาสั่นระริกอย่างไม่อาจห้ามความรู้สึก เฉินลี่ฟู่มายืนอยู่เบื้องหน้าร่างบางด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย แววตาตัดพ้อให้คนถูกจับจ้องได้เจ็บปวด เหวินฉายมิเข้าใจเลยสักนิด สิ่งใดกันที่เขาทำให้เจ้าลูกเต่าลี่ฟู่มองเขาด้วยแววตาเช่นนั้น มิใช่เขาหรอกหรือ...ที่ควรปวดใจ

“เจ้ามาทำไม?” น้ำเสียงหวานเอ่ยถามอย่างไม่เป็นมิตร เรื่องราวเมื่อครั้งก่อนยังชัดเจนในความคิดของเหวินฉายเสียจนไม่อาจจะควบคุมอารมณ์ได้

“ข้าคิดถึงเจ้า...เหตุใดวันก่อนเจ้าจึงหนีข้าออกมาเช่นนั้น”

เฮอะ! คิดถึงเรอะ? เห็นเขาเป็นตัวโง่งมหรือไรกัน!

“อย่ามาพูดให้ข้าหัวเราะดีกว่าเฉินลี่ฟู่ คุณชายเช่นเจ้าก็ควรกลับไปอยู่กับคนรักของเจ้า มิใช่มาล้อเล่นกับเด็กรับใช้ผู้แสนต่ำต้อยอย่างข้า!”

กลับไปเสียเถิด...ขอเพียงเวลาให้ข้าได้ทำใจ

“ซุนเหว่ยมิใช่คนรักขอข้า! ต้องพูดเช่นไรเจ้าจึงจะรู้ว่าข้านั้นระ...”

“เจ้าจะรักใครข้ามิสนใจ! แค่เจ้าไม่มาวุ่นวายกับข้าเป็นพอ!” เหวินฉายพูดแทรกขึ้นมาราวกับมิอยากจะฟังคำพูดใดอีก

แต่ทว่ายังมิทันได้ก้าวหนีพ้น มือหนาของเฉินลี่ฟู่กลับกระชากให้เหวินฉายหันกลับไปเผชิญหน้ากับความน่ากลัวที่อยู่บนใบหน้าหล่อเหลา เฉินลี่ฟู่ไม่เคยนึกโกรธเคืองใครเท่านี้มาก่อน ถังเหวินฉายกล้าดีอย่างไรมาปฏิเสธความรักของเขาแบบนี้ หากพูดกันดีๆ แล้วคนตรงหน้ายังกล้าปากดีเช่นนี้ เห็นทีว่าคงไม่ต้องใช้คำพูดใดพูดคุยกันเสียแล้ว เหวินฉายนิ่วหน้าเมื่อแรงบีบที่แขนเพิ่มขึ้นตามแรงอารมณ์ของเฉินลี่ฟู่ พยายามสะบัดแขนให้หลุดออกจากการจับกุมที่เป็นเหมือนเหล็ก แต่ไม่ว่าจะใช้ความพยายามสักเท่าใดก็ไม่สามารถหลุดออกจากเงื้อมมือแห่งมัจจุราชได้เลย

“ปล่อยข้านะ! ข้าเจ็บ!”

“อย่าให้มันมากนักถังเหวินฉาย! คิดว่าเจ้าจะกล่าววาจาเช่นนี้ใส่ข้าแล้วจะหนีไปง่ายๆ งั้นหรือ? ข้ามิได้ใจดีขนาดนั้นหรอกนะ!” ร่างของเหวินฉายถูกดึงเข้ามาชิดอก วงแขนแกร่งตวัดรัดเอวบางเข้าหาจนแน่นราวกับกรงเล็บของพญาเหยี่ยว นัยน์ตาคมดุดันและเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวจับจ้องร่างในวงแขนราวกับจะกลืนกินไม่ให้หลงเหลือแม้แต่เศษเสี้ยว ความกลัวกัดกินหัวใจดวงน้อยจนร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน มือทั้งสองดันอกแกร่งเอาไว้พยายามให้ระยะห่างของตนนั้นมากเข้าไว้ก่อน

“อย่ามาทำรุ่มร่ามกับข้านะเฉินลี่ฟู่! หากเจ้าใคร่อยากจะกอดอยากจะทำสิ่งใดก็จงกลับไปหาคนรักของเจ้าเสีย! ไม่ใช่มาทำเช่นนี้กับข้า” เหวินฉายใช้แรงสุดกำลังผลักอกแกร่งของเฉินลี่ฟู่ออกให้ห่างจนร่างสูงเซถอยหลังไปสองก้าว เหวินฉายหันหลังเดินหนีอย่างไม่คิดจะสนใจไยดีทั้งที่ในหัวใจของเหวินฉายนั้นเต็มไปด้วยความปวดร้าวจนต้องกำมือไว้แน่นระงับความเจ็บปวดที่จู่โจมหัวใจยามได้มองใบหน้าของเฉินลี่ฟู่

“เจ้าเลือกทางนี้เองนะ ถังเหวินฉาย...”

ปึก!

เพียงพริบตาร่างบางที่กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงก็ล้มลงในอ้อมแขนของเฉินลี่ฟู่ทันที เหวินฉายไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกทำสิ่งใด รับรู้เพียงความเจ็บที่บริเวณต้นคอก่อนที่สติจะพลันหายไปในทันใด เฉินลี่ฟู่ใช้วงแขนกว้างอุ้มร่างที่ไร้สติขึ้นมาแนบอก แววตาเต็มไปด้วยความปวดร้าวก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยว สองเท้าก้าวเดินอย่างแผ่วเบาราวกับไม่อยากให้คนในอ้อมแขนกระทบกระเทือนใดๆ ทั้งที่เขารักมั่น ทั้งที่เขาหรือห่วงใย แต่ยอดดวงใจช่างไม่เข้าใจใดๆ ในความรู้สึกที่เขามีเลยสักนิด

เฉินลี่ฟู่กระโดดขึ้นไปบนหลังคาด้วยความคล่องแคล่ว โชคดีเหลือเกินที่เป็นบุตรชายของนายอำเภอแห่งเมืองซิ่นจือจึงได้มีโอกาศร่ำเรียนวิชาต่างๆ ทั้งบุ๋นและบู้ บิดาของเขานั้นต้องการให้เขาได้รับรู้ความถนัดของคนและเข้าสอบเป็นจองหงวน และเขามิใช่คนที่เกางในเชิงปรัชญา แต่ความถนัดของเขานั้นย่อมมาจากการใช้เรี่ยวแรงจากร่างกายที่เขาหมั่นฝึกฝนมาเป็นเวลานานหลายปี

ร่างสูงอาศัยความเร็วจากฝีเท้ากระโดดตรงไปยังทิศทางอันคุ้นเคย ที่ๆ เมื่อวัยเด็กนั้นเฉินลี่ฟู่ได้เคยพาร่างบอบบางเล็กๆ ไปกักขังเอาไว้ และครั้งนี้...เขาจะไม่มีวันยอมให้ผู้ใดมาพาดวงใจของเขาไปอีก เพียงไม่กี่อึดใจร่างของเฉินลี่ฟู่ก็กลับเข้ามายังจวนของตนเองและเปิดประตูพาร่างในอ้อมแขนเข้าไปวางไว้บนเตียงโดยที่มิมีผู้ใดล่วงรู้ได้เลยว่านายน้อยของตนกลับมาตั้งแต่ตอนไหน เฉินลี่ฟู่ปิดประตูอย่างแน่นหนาก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้ๆ ร่างบางที่ยังคงสลบอยู่ มือหนาปิดผมออกจากใบหน้าเล็กๆ เกลี่ยแก้มใสที่เปื้อนคราบอะไรบางอย่างออกอย่างเบามือ เขาไม่เคยอยากจะทำให้เหวินฉายเจ็บตัว ไม่เคยคิดจะทำในสิ่งที่เหวินฉายไม่พอใจสักครั้ง แต่ไม่ว่าเขาจะทำดีสักเท่าใดเหวินฉายก็มิเคยเห็นความดี มิเคยคิดจะรักเขา และเขา...ทนไม่ได้!

หากจะต้องอยู่โดยมิได้ความรักจากเจ้า ยังดีเสียกว่ามิได้เจ้ามาครอบครอง

เฉินลี่ฟู่ตัดสินใจสั่งคนให้เตรียมอ่างไม้ใส่น้ำพร้อมกับผ้าเพื่อจะทำความสะอาดร่างกายของเหวินฉาย ร่างสูงมิได้คิดจะให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าตนพาผู้ใดมา จึงได้เดินออกไปรอรับอยู่หน้าห้องพร้อมสั่งกำชับเอาไว้อย่างดีว่า มิอนุญาตให้ผู้ใดเข้ามาใกล้บริเวณที่พักของตนอย่างเด็ดขาด หากถึงเวลาอาหารตาจะเดินไปเอามาทานที่ห้องเอง แม้จะเป็นคำสั่งที่ดูน่าแปลกใจ แต่พวกบ่าวรับใช้ก็มิมีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งหรือเอ่ยถามออกไป ด้วยรู้ดีว่ามิควรสอดปากเข้าไปยุ่งกับเรื่องของเจ้านาย

เฉินลี่ฟู่ยกอ่างที่มีผ้าผืนเล็กอยู่ด้วยเข้ามาไว้ในห้องของตน ใช้ผ้าชุบน้ำและบิดออกจนแห้งหมาดๆ เช็ดไปตามใบหน้างดงามและลำคอขาวของเหวินฉายอย่างเบามือ คราบสกปรกมอมแมมที่ปิดบังเนื้อกายของเจ้าตัวค่อยๆ ถูกชำระออกอย่างช้าๆ ความงดงามที่ไม่โดดเด่นแต่กลับทำให้หัวใจของร่างสูงเค้นแรงอย่างประหลาดนั้นค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาสู่สายตา มันช่างงดงามยิ่งนักสำหรับเฉินลี่ฟู่ คนที่อยู่เบื้องหน้านี้มิว่าอย่างไรก็ไม่เคยถูกนำออกไปจากใจเขาได้เลย ไม่ว่าจะนานสักเท่าใด หัวใจไม่รักดีของเขากลับยิ่งร่ำร้องโหยหาร่างนุ่มนิ่ม ปรารถนาให้อยู่เคียงข้างไม่ไปไหน

ชุดของเหวินฉายถูกถอดออกจนหมดเหลือเพียงแค่ชุดบางๆ ที่อยู่ด้านในสุดเท่านั้น ยอดอกสีสวยถูกโลมเลียด้วยสายตาคม ไม่เพียงแค่ยอดสีสวยแต่สายตาของเฉินลี่ฟู่นั้นกวาดตามองไปทั่วทั้งร่างของเหวินฉายอย่างถือสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ ริมฝีปากหนาแห้งผากจนต้องใช้ปลายลิ้นเลีย ความร้อนรุ่มภายในช่างรุนแรงเหลือเกิน เสียในหัวพร่ำบอกให้เขาลงมือกระทำเสียตอนนี้ มิจำเป็นต้องสิ่งใดอีกแล้ว แต่เฉินลี่ฟู่มิอาจจะทำเช่นนั้นได้ หากกระทำลงไปคงมิพ้นถูกเกลียดชังจากยอดดวงใจ เพราะฉะนั้นเขาจึงได้รอ เฝ้ารอให้คนบนเตียงที่ช่างยั่วเย้าอารมณ์นั้นได้ลืมตาตื่นขึ้นมา

เฉินลี่ฟู่ชะงักเมื่อคิดอะไรได้บางอย่าง นึกย้อนไปในตอนที่เขากำลังจะนำร่างของเหวินฉายมาที่นี่ สิ่งที่เหวินฉายถือเอาไว้นั้นช่างกวนใจเขาเหลือเกิน แต่แล้วเฉินลี่ฟู่ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ ร่างหนารีบก้าวออกจากห้องไป ร้องเรียกหาบ่าวรับใช้ให้วุ่นวายก่อนจะสั่งให้จัดอาหารอย่างดีที่เต็มไปด้วยเนื้อสัตว์มากมายที่พร้อมกับประทาน ให้นำไปส่งยังบ้านร้างที่เหล่าเด็กทั้งสามที่เหวินฉายเอ็นดูนั้นอาศัยอยู่

เฉินลี่ฟู่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจเมื่อได้ทำในสิ่งที่เหวินฉายคิดจะกระทำให้ได้สำเร็จ ด้วยว่าต่อไปนี้หวินฉายเองคงมิได้มีเวลามาดูแลเด็กๆ นักหรอก เพราะหากว่าถังเหวินฉายยังคงดื้อดึงมิรับความรักจากเขา เขาเองก็คงไม่มีทางเลือก คงต้องกักขังร่างบางเอาไว้มิให้ออกไปไหน ใช้เวลาย้ำความรักให้เจ้าตัวได้มั่นใจและไม่คิดจะหนีไปไหน เฉินลี่ฟู่รู้ดีว่าเห็นแก่ตัวเพียงใด หากแต่ถังเหวินฉายคือตัวแปรทุกอย่าง หากเพียงเพื่อให้ได้มีคนผู้นี้อยู่เคียงข้าง ต่อให้ต้องกระทำต่ำช้าเพียงใด เฉินลี่ฟู่ก็ล้วนยินดีจักทำ!

“หากเจ้าลืมตาตื่นขึ้นมา ข้าหวังเพียงว่าจะมิต้องทำในสิ่งที่โหดร้ายให้เจ้าได้เกลียดชังข้าไปมากกว่านี้นะ ฉายเอ๋อร์”



•~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•







อี้เหม่ยหลินนั่งเกี้ยวมาลงยังจวนสกุลเพ่ย ในใจของนางยามนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความสบายใจอย่างเหลือเกิน สองเท้าก้าวเข้าไปยังด้านในของจวนนั้นตามที่บ่าวรับใช้คนหนึ่งได้นำทางนางไป สายตาของนางจับจ้องที่ใบหน้าของเพ่นหลิงผู้เป็นดั่งสหายและเพ่ยเยว่เผิงที่นางหมายตาเอาไว้ให้เป็นคู่ชีวิตของบุตรชายของนางเอง ทว่าบรรยากาศรอบกายของเยว่เผิงและสีหน้าของนางยามจับจ้องมาที่ตนนั้นช่างเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความเกรี้ยวกราด

นี่มันช่างไม่ปกติ มีสิ่งใดเกิดขึ้นกันแน่?

เหม่ยหลินที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจนั้น ฝืนปั้นยิ้มใส่ทั้งสองอย่างไม่มีทางเลือก จางเยว่หลิงเองเมื่อได้เห็นใบหน้าของผู้เป็นสหายก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน อี้เหม่ยหลินเป็นสหายที่แม้จะได้รู้จักกันไม่นาน แต่นางก็รู้สึกได้ว่าฮูหยินลู่ผู้นี้มิได้มาเพื่อหวังจะหลอกลวงใดๆ ตัวนางเองก็สบายใจยิ่งยามได้สนทนาร่วมกัน ผิดกับเพ่ยเยว่เผิงที่มีสีหน้าไม่พึงใจสักนิด นางกักเก็บความเกรี้ยวกราดที่ถูกลู่เฟยหลงทิ้งนางเอาไว้แล้วเร่งรีบกลับไปไม่ได้ ยิ่งวาจาที่กล่าวออกมาแต่ละคำ ตอกย้ำว่านางพ่ายแพ้แก่บุรุษผมสีเงินผู้นั้นอย่างไร้ซึ่งหนทางจะต่อสู้ หัวใจของนางทั้งเจ็บแค้นและโกรธเกรี้ยว สาปส่งคนทั้งสองมิให้ได้สมหวังดั่งใจปรารถนา

ให้พลัดพรากทั้งที่ยังหายใจ

ให้ไร้ซึ่งสุขใดๆ อีกในชีวิต

หากแม้นางมิใช่ผู้ถือครองหัวใจของชายผู้นั้น ก็มิสมควรที่ผู้ใดจะได้!

สองมือกำชุดที่หน้าขาตนเองจนแน่น อารมณ์ของนางแทบจะฉีกทึ้งทุกสิ่งตรงหน้าให้พังทลายลงไป ให้สมกับที่หัวใจของนางนั้นเจ็บแค้น สายตาตวัดมองร่างของอี้เหม่ยหลินอย่างไม่ชอบใจ แววตากร้าวไปด้วยไฟแห่งโทสะที่ยากจะระงับ หญิงผู้นี้ก็กระไร บอกกับนางว่าจะให้หมั้นหมายแต่งงานกับบุตรชายตนเองแต่กลับ...ทำให้นางกลายเป็นตัวตลกเสียอย่างนั้น ยิ่งคิดโทสะในหัวใจก็ยิ่งโหมกระพือราวกับไฟที่ถูกราดด้วยน้ำมันชั้นดี แววตาหรือวาววับเสียจนหากถูกจับจ้องคงมิต่างกับเถ้าธุลีดิน

“จางเยว่หลิง...เยว่เผิง ข้ามารบกวนแล้ว”

ฮึ! ทั้งที่รู้หรือว่ามารบกวน แต่ก็มิยอมกลับไป คงเป็นเพียงลมปากเสียมากกว่า

“ท่านป้า...มิได้รบกวนอันใด” ท่าทางหยิ่งผยองต่างจากที่เคยทำให้อี้เหม่ยหลินถึงกับงุนงง ความอ่อนหวานเมื่อครั้งก่อนเล่าหายไปไหนเสียแล้ว เหตุใด...ว่าที่สะใภ้ของนางจึงได้แสดงกิริยาออกมาเช่นนี้ แม้วาจาที่กล่าวออกมาจะคล้ายว่าเป็นมิตร หากแต่น้ำเสียงและแววตากลับมิมีความเป็นมิตรใดๆ หลงเหลืออยู่เลย มีเพียงความเกรี้ยวกราดและความหยิ่งผยองที่นางล้วนมิเคยได้เห็นในตัวว่าที่สะใภ้คนนี้สักครั้ง

“เอ่อ...จริงสิเยว่เผิง เฟยหลงพาเจ้าไปเที่ยวชมเมืองแล้วใช่หรือไม่ เป็นอย่างไรบ้าง”

ใบหน้าของอี้เหม่ยหลินนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าจะได้รับรอยยิ้มและใบหน้าอันแดงระเรื่อเหมือนดั่งทุกครั้ง หากแต่สิ่งที่คิดกับความเป็นจริงช่างต่างกันเหลือเกิน เมื่อคำถามที่ถูกถามออกมานั้นช่างไม่แตกต่างจากชนวนระเบิดที่ถูกจุดขึ้นมาเลยสักนิด เพ่ยเยว่เผิงโกรธเสียจนใบหน้างดงามนั้นบิดเบี้ยวไปหมด มือบางตบลงบนโต๊ะเสียจนเสียงดังสนั่นทำให้ทั้งจางเยว่หลิงและอี้เหม่ยหลินสะดุ้งด้วยความตกใจ

จางเยว่หลิงที่กำลังตกใจอยู่อดคิดไม่ได้ว่าเหตุใดบุตรสาวของนางที่เคยปั้นหน้ายิ้มเขินอายยามถูกเอ่ยถามถึงเฟยหลงจึงได้มีโทสะเสียจนระงับอารมณ์ของตนเอาไว้ไม่ได้อีก เพ่ยเยว่เผิงเชิดใบหน้าขึ้นอย่างถือตน ปรายตามองใบหน้าของอี้เหม่ยหลินที่กำลังชะงักกับความโกรธของตนด้วยความไม่พอใจ นี่ยังกล้าเอ่ยถามคำถามเช่นนี้กับนางอีกหรือ จักต้องให้นางอับอายบ่าวรับใช้ในจวนไปด้วยหรืออย่างไร สกุลลู่ช่างไร้ยางอาย มีแต่ความต่ำทรามอยู่ในจิตใจเช่นนี้เองหรอกหรือ มิน่าเล่า ในจวนสกุลลู่จึงได้มีปีศาจอยู่ภายใน

“นี่ท่านมาเพื่อเอ่ยถามในสิ่งที่บุตรชายของท่านกระทำต่อข้างั้นหรือเจ้าคะ? มิใช่ว่าท่านรู้อยู่แล้วหรอกหรือไร ฮึ!”

“เอ่อ เยว่เผิง ป้าไม่เช้าใจ เจ้า...หมายถึงสิ่งใดกัน?”

“นี่ท่านป้ามิทราบหรือเจ้าคะ?” ใบหน้าของเยว่เผิงค่อยๆ กลับมาเรียบเฉย เพียงไม่นานสองตาก็เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตาสีใส เยว่เผิงยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดมันออกอย่างแผ่วเบา ในเมื่ออี้เหม่ยหลินไม่ทราบเรื่องที่พี่เฟยหลงของนางกระทำ เช่นนั้นก็ดี อย่างน้อยนางก็สามารถใช้ความเป็นมารดาบีบบังคับให้ลู่เฟยหลงผู้นั้นมาสยบลงแทบเท้านางทั้งตัวและหัวใจ!

“ไม่เลย ป้ามิรู้เรื่องใดๆ เลย เอ๊ะ? เจ้าร้องไห้ทำไมกันเยว่เผิง เฟยหลงทำสิ่งใดต่อเจ้างั้นหรือ หรือว่า...เขาลวนลามเจ้า?” จางเยว่หลิงเบิกตากว้าง หันมองใบหน้าของบุตรสาวอย่างไม่เชื่อหู จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อ...ลู่เฟยหลงผู้นั้น มิได้มีทีท่าว่าจะสนใจในตัวของเพ่ยเยว่เผิงบุตรสาวของนางเลยสักครั้งเดียว

“ท่านป้า...ฮึก อย่ากล่าวโทษพี่เฟยหลงเลยเจ้าค่ะ เป็นข้า ฮึก เป็นข้าเองที่...ฮือๆ” อี้เหม่ยหลินเดินตรงเข้ามาปลอบประโลมร่างบางอย่างร้อนรน หัวใจของนางเต้นระรัวด้วยความดีใจระคนโศกเศร้าที่บุตรชายนางย่ำยีความเป็นหญิงของเพ่ยเยว่เผิงเช่นนี้ แต่เช่นนี้ก็ง่ายดายเข้าทางนางพอดี นางจะได้รีบจัดงานตบแต่งแก่เยว่เผิงและเฟยหลง

“อย่าร้องไห้อีกเลยเยว่เผิง ป้าจะจัดการให้ทุกอย่างเอง เจ้าอย่าได้ห่วง หลิงหลิง...ข้าต้องขอโทษแทนบุตรชายของข้าด้วย แต่เจ้าอย่าได้กังวล ข้าจะจัดงานแต่งงานระหว่างเยว่เผิงและเฟยหลงให้เร็วที่สุด”

“เดะ เดี๋ยว!”

จางเยว่หลิงหมายจะห้ามปรามอี้เหม่ยหลินที่กำลังเดินออกไปอย่างหมายมั่น แต่เสียงของนางก็มิสามารถส่งไปถึงเหม่ยหลินเลยแม้แต่น้อย อี้เหม่ยหลินในตอนนี้หัวใจพองโตเฝ้าคิดว่าตนจะต้องจัดงานเช่นไร เชิญผู้ใดมาบ้างจนมิได้สนใจเสียงอื่นใดๆ เลย จางเยว่หลิงหันมามองบุตรสาวของตนที่บัดนี้ยกยิ้มขึ้นมาอย่างพึงพอใจราวกับว่าก่อนหน้ามิได้ร่ำไห้ราวกับจะขาดใจเลย เพ่ยเยว่เผิงมีความสุขเสียจนต้องระบายความสุขนั้นออกมาทางใบหน้า ชายผู้นั้นจะต้องเป็นของนาง จะต้องมีเพียงนางเท่านั้นที่จะได้ครอบครองทั้งตัวและหัวใจของลู่เฟยหลงผู้นั้น

เขาจะต้องรักนาง! จะต้องเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว!

“เจ้ากำลังคิดจะทำสิ่งใดกันแน่เยว่เผิง! เหตุใดจึงได้กล่าววาจาราวกับว่าถูกเฟยหลงกระทำย่ำยีเช่นนั้น! แม่ไม่เชื่อหรอกนะว่าคนอย่างลู่เฟยหลงจะทำเช่นนั้นกับเจ้า!” เยว่เผิงปรายตามองมารดาของตนด้วยรอยยิ้มสมใจ

“ข้าก็มิได้พูดสักคำนะเจ้าคะ ว่าถูกกระทำย่ำยี ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแต่เป็นความคิดไปเองของท่านป้าเหม่ยหลินเองทั้งนั้น ท่านแม่จะมากล่าวโทษข้ามิได้หรอกนะเจ้าคะท่านแม่” จางเยว่หลิงแทบจะไม่เชื่อหูตนเองว่าบุตรสาวที่นางเลี้ยงดูมาจะกล่าวออกมาแบบนั้น

“เจ้าทำไปเพื่ออะไรกัน? อยากได้ลู่เฟยหลงผู้นั้นมากขนาดนั้นเชียวหรือ?”

“อยากได้สิเจ้าคะ ในเมื่อเขาผู้นั้นคือบุรุษรูปงามที่สุดแห่งเมืองซิ่นจือและข้าเองก็เป็นถึงสาวงามที่สุดเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น...เราย่อมควรได้เคียงคู่กัน มิใช่หรือเจ้าคะ”

จางเยว่หลิงอ้าปากค้างมองบุตรสาวที่ลุกหนีไปอย่างไม่เชื่อสายตา บุตรสาวอันเป็นที่รักที่นางพร่ำสั่งสอนมาเหตุใดจึงได้มีความคิดเช่นนี้ไปได้ ความงดงามหรือมันก็จริงอยู่ที่บุตรสาวของนางผู้นี้เป็นหญิงงามที่สุดแห่งเมือง แต่ใครเป็นผู้กล่าวกันว่าหญิงงามกับบุรุษรูปงามจักต้องเคียงคู่กัน มันมิใช่เลย สิ่งนั้นมิใช่ความจริงสักนิด เมื่อเป็นเรื่องของหัวใจ ใครกันเล่าจะสามารถบังคับมันได้ นางเห็นมาก็มาก หากมิได้รักกันอย่างจริงใจ สุดท้าย...ก็มิพ้นต้องตรอมใจอย่างทุกข์ทรมาน

อี้เหม่ยหลินก็กระไร มิเคยรู้เลยหรือว่าบุตรชายของตนเองนั้นมิได้รักใคร่สมัครใจจะผูกสัมพันธ์กับบุตรสาวของนาง เรื่องเช่นนี้มิใช่ว่าคนเป็นแม่จะรู้ใจของลูกดีที่สุดหรือไร มิใช่เพียงชักนำปัญหามาให้แก่บุตรชายของตนเองเท่านั้น ซ้ำยังนำปัญหามาสู่บุตรสาวของนางอีก คนอย่างเพ่ยเยว่เผิงหากอยากจะได้สิ่งใดก็จะมิมีวันปล่อยมือ ต่อให้ต้องทำร้ายผู้ใดอีกเท่าใด นางห็ไม่มีวันหยุดอย่างแน่นอน อี้เหม่ยหลินไม่เคยรู้ในข้อนี้ และคงไม่มีวันจะรู้ได้ เรื่องทั้งหมด คงจะกล่าวโทษใครมิได้ ต้องโทษบุตรสาวของนางและผู้ชักนำปัญหาอย่างลาเหม่ยหลิน เห็นที นางคงต้องหาทางไปคุยกับเหม่ยหลินให้รู้เรื่องเสียแล้ว

เฮ้อ...เวรกรรมอะไรของสกุลเพ่ยหนอ
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 16. up.30/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 30-12-2018 10:40:34
อี้เหม่ยหลินตรงไปยังห้องของบุตรชายด้วยความรีบร้อนจนไม่สนใจว่าจะเป็นเวลาใดๆ นางหมายมั่นแล้วว่าอย่างไรก็ต้องคุยกับเฟยหลงให้รู้เรื่อง ไหนเคยบอกแก่นางว่ามิได้มีใจต่อเพ่ยเยว่เผิง แต่เพียงไม่นานกลับกระทำในสิ่งที่เลวร้าย ย่ำยีสตรีตัวน้อยๆ เช่นนี้มันมิถูกต้องสักนิด หากหมายตาเยว่เผิงไว้ ไฉนจึงไม่มาบอกกล่าวแก่นางซึ่งเป็นมารดา นางจะได้เร่งหาฤกษ์งามยามดีจัดงานแต่งเสียให้มันสมบูรณ์ จะได้มิมีคำครหากล่าวว่าร้ายในสิ่งที่ทำลงไป หากแต่งกันไปแล้วเรื่องเข้าหอก็มิใช่เรื่องผิดบาป แต่นี่อย่างไร ยังมิทันได้พูดคุยสู่ขอกันอย่างเป็นทางการก็ต้องมาได้ยินว่าบุตรชายของนางย่ำยีเยว่เผิงไปเสียแล้ว

มือของอี้เหม่ยหลินรีบผลักบานประตูเข้าไปโดยไม่สนใจจะกล่าวบอกแก่เจ้าของห้องอย่างลู่เฟยหลงเลยแต่เหม่ยหลินกลับต้องชะงักลงเมื่อเห็นว่าบุตรชายของตนมิได้อยู่เพียงผู้เดียว ลาเฟยหลงและลู่จิ้นเหอหันมามองร่างของนางอย่างพร้อมเพรียง สายตาของเฟยหลงนั้นเต็มไปด้วยคำถามว่าเกิดสิ่งใดขึ้นที่ทำให้มารดาของเขาเร่งรีบเช่นนี้ แต่สำหรับจิ้นเหอนั้นกลับเห็นเพียงความไร้มารยาทเท่านั้นหากแต่ใบหน้าของจิ้นเหอมิได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมานอกจากแววตาที่ตำหนินางเท่านั้น

“ท่านแม่มีสิ่งใดสำคัญหรือขอรับจึงรีบร้อนเช่นนี้” เฟยหลงเอ่ยถามออกมาขณะที่จิ้นเหอกระทำเพียงจิบชาและลอบมองเท่านั้น เหม่ยหลินสะบัดหน้าไล่เอาความกังวลที่เห็นสามีตนเองนั่งอยู่กับบุตรชายออกไป พร้อมกับรีบเอ่ยในสิ่งที่นางตั้งใจ

“เฟยหลง แม่มิเคยคิดเลยว่าเจ้าจะกล้ากระทำเช่นนี้กับเยว่เผิง เจ้าทำได้ยังไงกัน นางเป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆ เหตุใดเจ้ามิยอมหักห้ามใจหรืออย่างน้อยก็มาบอกแม่ให้แม่ได้ไปสู่ขออย่างเป็นทางการเสียก่อน” เฟยหลงขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจในสิ่งที่มารดาบอกเลยสักนิด ต่างจากจิ้นเหอที่แม้ใบหน้าจะไร้ซึ่งอารมณ์แต่ในใจกลับเกิดความกังขาในคำพูดของเหม่ยหลินอย่างชัดเจน แต่ก็ทำได้เพียงนั่งดูเหตุการณ์ต่อไป

“ท่านแม่ ข้าไม่เข้าใจ”

“นั่นสิฮูหยิน...ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เจ้ากำลังพูดอยู่เช่นกัน” มิใช่ไม่เข้าใจอะไรหรอก หากแต่ที่กล่าวมานั้นล้วนแต่คลุมเครือเหลือเกิน

“ท่านพี่! ก็บุตรชายของท่านนะสิ ข้ารึอุตส่าห์หวังให้ได้ศึกษาดูใจกับเยว่เผิงจึงนัดหมายให้ได้ไปเที่ยมชมเมือง แต่เฟยหลงกลับ...กลับย่ำยีเยว่เผิง้สียจนนางร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสาร” ยามนึกถึงหยาดน้ำตาบนแก้มใสของเพ่ยเยว่เผิงว่าที่สะใภ้คนดีของนางทีไร หัวใจของคนเป็นแม่ก็เจ็บปวดเหลือเกิน

“ข้ามิได้ทำ!” ใบหน้าหล่อเหลาของเฟยหลงโกรธขึงขึ้นมายามได้ฟังคำบอกเล่าของมารดาจนจบ

“เจ้ายังกล้าปฏิเสธอีกหรือ! นี่เจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่รึไหมเฟยหลง!” น้ำเสียงของเหม่ยหลินเต็มไปด้วยความตำหนิ สายตาของมารดายามมองหน้าของเฟยหลงนั้นทำให้ดวงตาคมฉายแววตัดพ้อออกมาอย่างปวดร้าว

“ข้ามิได้ทำเช่นนั้น! คนอย่าข้า หากกระทำการต่ำช้าเช่นนั้นย่อมไม่มีวันกลับมาอยู่เป็นสุขเช่นนี้แน่ขอรับ ทุกคำกล่าวอ้าง นางล้วนโกหกทั้งสิ้น!”

“ลู่เฟยหลง! นี่เจ้า!”

“นั่นสิฮูหยิน...ข้าเองก็ไม่เชื่อเช่นกันว่าเฟยหลงจะกระทำการต่ำช้าเลวทรามเช่นนั้น แต่ที่ข้าสงสัยคือ เหตุใดคนเป็นแม่เช่นเจ้าจึงได้มิเชื่อในคำพูดของบุตรชายตนเองกัน หรือแท้จริงแล้วเป็นเจ้าที่ดีใจกับเรื่องเช่นนี้” เหม่ยหลินชะงักจนลมหายใจสะดุด นางก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เต็มปากเต็มคำว่ามิดีใจ เมื่อแท้จริงแล้วนั้นนางก็ดีใจมากจริงๆ

“ท่านพี่! เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้เจ้าคะ หรือท่านพี่จะยอมรับได้กันถ้าเฟยหลงลูกชายของเราจะรักชอบกับบุรุษ!” เหม่ยหลินแทบจะดิ้นราวกับโดนของร้อนเมื่อสามีของตนไม่คิดจะเข้าข้างนางเลยสักนิด ซ้ำยังมองมาที่นางราวกับนางคือผู้กระทำผิด

“ใช่! ข้ารับได้”

“ท่านพี่!” นางกัดปากด้วยความโกรธเคือง มองใบหน้าของสามีอย่างแทบไม่เชื่อหูตัวเองที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้น

“ท่านพี่มิกลัวคนเขาร่ำลือกันหรืออย่างไร! ว่าบุตรชายของแม่ทัพใหญ่วิปริตนิยมชมชอบบุรุษด้วยกันเช่นนั้นหรือเจ้าคะ ท่านพี่จะรับได้หรือเจ้าคะ!” แทนที่จิ้นเหอจะชะงักและคิดได้แต่เขากลับยกยิ้มอย่างที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน

เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว ฮูหยิน!

“หากกลัวเพียงวาจา แล้วต้องทำให้ลูกชายของข้าทุกข์ทน ข้ายินยอมให้เขาล่ำลือไปไกล ดีกว่าทำร้ายหัวใจของเฟยหลง!” เหม่ยหลินอ้าปากค้าง อึ้งกับคำพูดของผู้เป็นสามีจนพูดไม่ออก นางตกใจกับน้ำเสียงและใจความสำคัญของคำพูดนั้นจนร่างทั้งร่างของนางแข็งทื่อราวกับถูกสาป ยิ่งหันไปมองใบหน้าของเฟยหลงและได้สบตากับแววตาตัดพ้อของบุตรชาย นางยิ่งเจ็บหัวใจราวกับถูกเข็มนับหมื่นนับพันมาทิ่มแทง

“เจ้าคิดดูเอาก็แล้วกันว่าสิ่งใดกันแน่...ที่สำคัญ และคำพูดของผู้ใดกันแน่...ที่เจ้าควรจะเชื่อ! ฮึ!”

จิ้นเหอเดินออกไปจากห้องของบุตรชายโดยไม่คิดแม้แต่จะมองหน้าของอี้เหม่ยหลินผู้เป็นภรรยาเลยแม้แต่น้อย ส่วนเหม่ยหลินนั้นกลับคิดไม่ตกใจ มิใช่ว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้เป็นสามีบอกกล่าวแต่นางเพียงแค่...ยอมรับไม่ได้เท่านั้นหากบุตรชายเพียงคนเดียวของนางจะต้องลงเอยกับบุรุษด้วยกัน ไหนจะคำเล่าลือที่จะถูกนินทาอีกเล่า ใครจะพูดกันว่าอย่างไร แล้วต่อไปนางจะสามารถพบหน้าผู้ใดได้อีก เหม่ยหลินหันไปมองใบหน้าของเฟยหลงที่บัดนี้แววตามีแต่ความตัดพ้อ

ข้าทำสิ่งใดผิดกัน ข้าผิดหรือที่อยากให้บุตรชายของข้าได้มีชีวิตปกติสุข

แล้วเหตุใดทั้งสามีของข้าและเฟยหลงจึงได้มองข้าราวกับข้าคือคนผิด

ลู่เฟยหลงลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินเข้ามาหาร่างของมารดาที่บัดนี้ใบหน้ามีแต่ความสับสน สองแขนโอบกอดมารดาไว้จนแน่นหวังให้ความรักของตนเองช่วยทำให้เหม่ยหลินได้เข้าใจในตัวของเขาสักนิด เพียงนิดเดียวก็พอ เพียงแค่ให้ท่านแม่ของเขาหยุดพยายามยัดเยียดในสิ่งที่เขาไม่ปรารถนา ใจของเขานั้นรู้ดีว่ามิอาจจะรักนางผู้นั้นได้ เขาเองไม่อยากจะเชื่อว่าเพ่ยเยว่เผิงที่เขาเอ็นดูเช่นน้องสาวผู้นั้นจะกล่าวหาว่าเขากระทำย่ำยีนาง ยิ่งคิด แววตาของลู่เฟยหลงก็ยิ่งกร้าวไปด้วยโทสะ

ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!

“เฟยหลง เจ้าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของแม่ เจ้ากระทำเช่นนั้นกับนางแล้วจะต้องรับผิดชอบ เจ้าเข้าใจแม่ใช่รึไม่?” เฟยหลงถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ

“ท่านแม่ ข้าอยากจะถามท่านแม่สักข้อได้รึไม่ขอรับ” เหม่ยหลินกุมมือบุตรชายเอาไว้และส่งยิ้มรักใคร่ให้กับเขา

“ได้ ได้สิ เจ้าอยากถามสิ่งใดหรือ”

“ท่านแม่เลี้ยงข้ามากี่ปี ไม่รู้จริงๆ หรือขอรับว่าข้าเป็นคนเช่นไร ท่านแม่เชื่อจริงๆ หรือขอรับ กับคำพูดของนาง” ใจของเหม่ยหลินกระตุก คำพูดที่ราวกับเอ่ยถามความเชื่อมั่นในตัวของตนเองจากนางนั้นทำให้เหม่ยหลินไม่กล้าจะขยับตัว ริมฝีปากของนางเม้มเข้าหากันจนแน่นความสับสนเกิดขึ้นในหัวใจอย่างอดไม่ได้ ยิ่งได้ฟังน้ำเสียงตัดพ้อที่เอ่ยถามออกมา นางยิ่งปวดร้าวหัวใจ

“แล้วจะให้แม่ทำอย่างไร? ให้แม่ยอมรับความรักของเจ้ากับปีศาจตนนั้นที่ใช่เล่ห์กลล่อลวงเจ้างั้นหรือ! แม่ทำมิได้หรอก!” ใช่! หยางเถาผู้นั้นมิใช่เป็นเพียงแค่บุรุษ แต่ยังเป็นปีศาจร้ายที่มาล่อลวงให้บุตรชายของนางหลงใหล นางรับไม่ได้เด็ดขาด

“หยางเถามิใช่ปีศาจ!”

“จะมิใช่ได้เยี่ยงไร! ก็แม่เห็นกับตาว่าเจ้าร่ำร้องเพรียกหาหยางเถาอยู่หน้าต้นท้อ! เจ้ายังจะปฏิเสธอีกหรือ! เจ้ามันโง่ยิ่งนัก!” เหม่ยหลินสะบัดหน้าหนีด้วยความโกรธเกรี้ยว มิเคยคิดเลยว่าถึงขนาดนี้แล้วเฟยหลงยังไม่ยอมรับอีกว่าหยางเถาผู้นั้นจะเป็นปีศาจ

“มิใช่! หยางเถาเพียงแลกเปลี่ยนกับสวรรค์เพื่อให้ได้มาอยู่กับข้า! มิใช่ปีศาจร้ายที่ทำร้ายมนุษย์”

แลกเปลี่ยนกับสวรรค์รึ? ฮึ! หลอกเด็กเอาเถิด

“แม่ไม่เชื่อ! ในเมื่อยันต์ของนักพรตสามารถทำลายสิญญาณของมันได้ เหตุใดจะมิเรียกว่าปีศาจเล่า!”

“หากเช่นนั้นก็ให้ท่านแม่เชิญนักพรตท่านนั้นมาดูเองกับตาเถิด ข้ามั่นใจว่า หยางเถาของข้านั้น...มิใช่ปีศาจ!”

“เฟยหลง! ลู่เฟยหลง!!”

แม้ว่าเสียงของเหม่ยหลินจะพยายามร้องเรียกบุตรชายสักเท่าใดก็มออาจจะทำให้เฟยหลงหันกลับมามองสักนิด ลู่เฟยหลงในตอนนี้มีทั้งความน้อยเนื้อต่ำใจและความโกรธเกรี้ยวผสมปนเปกันไปจนแยกไม่ออก แต่สิ่งที่ตกค้างอยู่ในหัวใจของชายหนุ่มนั้นเป็นความสงสัยที่ชวนให้ปวดร้าวในหัวใจ ทั้งแววตาและน้ำเสียที่ส่อความตำหนิติเตียนราวกับเขาคือผู้ร้ายที่กระทำความผิด ทั้งที่ทุกคำนั้นล้วนแต่ฟังมาจากผู้อื่นทั้งสิ้น แต่ท่านแม่ของเขาก็ตัดสินโทษออกมาโดยที่มิได้เอ่ยถามความจริงใดๆ จากเขาเลยแม้แต่คำเดียว

แววตาของเฟยหลงหมองหม่นจนแทบจะไร้ชีวิตชีวา ทว่ามิได้เท่ากับดวงใจที่กำลังแหลกสลายจากวาจาที่ผู้เป็นมารดาได้กล่าวต่อว่าเขาไว้ ยิ่งแววตาที่มองราวกับเขาคือผู้กระทำผิด คนเป็นลูก...ยิ่งทรมานจนสุดใจ ความรักนานนับยี่สิบปีที่ผ่านมา ท่านแม่มีให้เขาอย่างแท้จริงหรือไม่ ในบางครั้งเขาก็อดถามตนเองไม่ได้ว่า เขาใช่บุตรชายของท่านแม่หรือเปล่า หรือแท้จริงแล้ว...เขาเป็นเพียงใครที่ไร้ความสำคัญ

อี้เหม่ยหลินได้แต่เม้มริมฝีปากจนแน่นแววตาล้วนเต็มไปด้วยความสับสน มิใช่ว่านางมิรู้จักนิสัยบุตรชายดี นางเอกก็เพียงแค่หลงไปกับความดีใจที่ความหวังของนางได้ถูกเติมเต็มจนหลงลืมไปว่าความจริงนั้นเป็นเช่นไร ถูกอย่างที่ผู้เป็นสามีได้กล่าวมา สิ่งใดที่สำคัญหรือผู้ใดที่ควรจะเชื่อ นางเลอะเลือนเสียจนไม่อาจรู้ได้เชียวหรือว่าบุตรชายของนางย่อมไม่กระทำการต่ำทรามเช่นนั้นกับหญิงผู้ใด จากความรู้สึกผิดก็กลับกลายเป็นโทสะ ฉากบีบน้ำตาจากใบหน้าอันงดงามของเยว่เผิงย้อนกลับมาในความทรงจำ เหม่ยหลินกำมือแน่นสมองนางเริ่มคิดและไตร่ตรองจากใบหน้าที่แสดงซึ่งความตัดพ้อต่อนางของบุตรชายแล้ว ยิ่งรู้สึกว่า เพ่ยเยว่เผิงผู้นี้ กำลังโกหกนางด้วยมารยาที่ไร้ซึ่งยางอาย



TBC



ฮืม? นั่นลูกนะเธอร์~ เธอร์จะเชื่อคนอื่นมากกว่าลูกไม่ได้!!! ตอนนี้เฟยหลงออกมาเรียกคะแนนสงสาร เหม่ยหลินและเยว่เผิงออกมาเรียกคะแนนความเกลียด ฮ่าๆ

หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 16. up.30/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-01-2019 19:37:59
ยัยแม่ตาสว่างยัง
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 16. up.30/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-01-2019 10:57:04
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 16. up.30/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-01-2019 22:15:41
นางเหมยหลิน ไม่ได้เชื่อฟังสามีเลย   :เฮ้อ:
ทำแต่เรื่องที่ไม่มีความสุขให้ลูก
นี่คิดจะกำจัดต้นท้ออีก 
เสียรู้เยว่เผิงเด็กรุ่นลูกเสียอีก
แล้วต้นท้อก็อยู่ในที่ดินของลูก ตัวเองก็ไม่ใช่เจ้าของที่ดินนี้
มาวุ่นวายกับเรื่องในบ้านที่เป็นทรัพย์สมบัติของลูก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 17. up.15/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 15-03-2019 20:33:15
[17]

ผ่านไปสามวันแล้วที่อี้เหม่ยหลินเข้าหน้าสามีและบุตรชายคนเดียวของตนไม่ติด ยามที่ต้องพบหน้ากันก็มีเพียงเวลาอาหารเท่านั้น แต่บ่อยครั้งที่เฟยหลงเลือกที่จะบ่ายเบี่ยงเลี่ยงการมาพบหน้าของนางโดยอ้างเพียงว่าต้องท่องตำรา ไม่หิว นางได้แต่ก้มหน้ากัดริมฝีปาก อยากจะเข้าไปพูดคุยบอกกล่าวแก่บุตรชายอย่างเหลือเกินว่านางขอโทษ แต่นางก็ไม่สามารถจะข่มความละอายเอาไว้ได้ จึงทำได้เพียงรอเวลาให้บุตรชายของนางใจเย็นลงกว่านี้ ให้ความน้อยเนื้อต่ำใจที่เกิดจากนางได้ลดน้อยลงไปอีกหน่อย

จิ้นเหอลอบมองปฏิกิริยาของภรรยาด้วยท่าทีเฉยเมย หากแต่ผู้ใดเล่าจะสามารถล่วงรู้ได้ว่าภายในใจของแม่ทัพใหญ่นั้นกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เหม่ยหลินคีบอาหารเข้าปากอย่างเชื่องช้า สองสามวันมากนี้นางทานอะไรได้น้อยเสียเหลือเกิน จนผู้เป็นสามีอย่างเขากลัวเหลือเกินว่านางจะล้มป่วยเอาได้ ยิ่งเห็นแววตาที่สั่นไหวรื้อไปด้วยหยาดน้ำตายิ่งอดสงสารไม่ได้ ความรักของผู้เป็นมารดานั้นเขาอาจจะไม่เข้าใจ แต่เขาก็มีความรักของบิดาเช่นกัน รักที่ยอมเสียได้ทุกสิ่งเพียงให้บุตรชายของเขาเป็นสุขทั้งกายและใจ เขาจึงมีโทสะยามได้ฟังวาจาที่เอ่ยถามออกมาในตอนนั้น

“เจ้ามิทานน้อยไปหรือฮูหยิน?”

“ข้าไม่ค่อยหิว ท่านพี่...ลูกโกรธข้าใช่หรือไม่” น้ำเสียงของอี้เหม่ยหลินนั้นเอ่ยออกมาราวกับจะถามให้คำตอบได้ตอกย้ำดวงใจของนางให้เจ็บปวด แต่จิ้นเหอเพียงส่ายหน้ามองใบหน้าของฮูหยินตนเองด้วยแววตาจริงจัง

“เฟยหลงมิได้โกรธเข้า เขาเพียงแค่น้อยใจ”

เหม่ยหลินใจสั่นเมื่อได้ฟังคำตอบจากปากสามี ภาพและคำพูดของนางเองย้อนกลับมาให้นางได้รู้สึกรวดร้าว

นั่นสินะ เป็นเพราะนางเองทั้งนั้น หากนางไม่เชื่อคำลวงกับหยาดน้ำตาที่เสแสร้ง บุตรชายของนางคงไม่หลบหน้านางเช่นที่ทำอยู่

“ข้า...ควรจะทำเช่นไรดีท่านพี่ ข้า...ผิดต่อลูกเหลือเกิน” จิ้นเหอได้แต่ถอนหายใจ เพราะเขาเองก็มิรู้เลยว่าควรจะพูดปลอบใจอย่างไรดี

“หากเจ้าไม่รู้จะทำเช่นไร เหตุใดมิลองเข้าไปหาเฟยหลงดูเล่า บางที...เรื่องอาจจะมิได้เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิดก็ได้” สีหน้าของเหม่ยหลินนั้นเต็มไปด้วยความลังเลใจและหวาดหวั่น ด้วยนางเองไม่แน่ใจในคำพูดของผู้เป็นสามีนัก หากเฟยหลงโกรธนางจนมิอยากจะมองหน้า ใจนางคงแตกสลายไปเป็นแน่

“ข้ากลัว...”

“ก็ถ้าเจ้ามัวแต่กลัวแล้วเมื่อใดจะได้พูดคุยเล่าฮูหยิน”

“...ข้าเข้าใจแล้วท่านพี่ ข้าจะทำตามเจ้าค่ะ” จิ้นเหอเอื้อมมือมาจับมือบางของเหม่ยหลินเอาไว้พร้อมบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจและส่งยิ้มให้บางๆ

“ดีแล้วฮูหยิน เจ้าทำถูกแล้ว”

เหม่ยหลินบีบมือของผู้เป็นสามีกลับพร้อมกับรอยยิ้ม นางก้มหน้าก้มตาทานอาหารตรงหน้าให้หมดเพื่อที่จะได้รีบไปพบกับบุตรชายและพูดคุยกันให้ได้เข้าใจ นางหวังเหลือเกินว่ามันจะยังมิสายเกินไป หวังให้หัวใจของบุตรชายของนางนั้นยังไม่แหลกสลายไปจนเกินจะเยียวยา

ลู่จิ้นเหอมองความแน่วแน่ที่ฉายชัดบนใบหน้าของภรรยาอย่างสบายใจ ตนเองจึงใช้ตะเกียบคีบเอาเนื้อปลาใส่ในชามของเหม่ยหลินเรื่อย ๆ สองสามีภรรยาทานอาหารร่วมกันอย่างมีความสุข ช่างเป็นภาพที่ชวนให้ยิ้มเสียเหลือเกิน แม้ว่าในตอนนี้ปัญหาทั้งหมดจะยังมิได้คลี่คลาย แต่มันก็ยังดีที่ทุกอย่างยังไม่ย่ำแย่เท่าใดนัก ยังพอจะมีรอยยิ้มให้กันได้ มิต้องหนีหน้าหายและร้างรา

หลังจากที่อิ่มท้องลง เหม่ยหลินก็ได้สั่งให้สาวใช้นำเอาอาหารสำหรับเฟยหลงมาให้เพื่อที่จะนำไปให้บุตรชายของนางที่ยังคงอ่านตำราอยู่ในห้อง นางเดินตรงมายังห้องของบุตรชายเคาะอยู่สองสามครั้งก่อนที่จะผลักประตูเข้าไป ลู่เฟยหลงหันมามองผู้ที่เข้ามาใหม่ด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วนใจ ยิ่งได้เห็นใบหน้าของมารดาเขาก็ยิ่งนึกถึงสิ่งที่มารดาได้กล่าวเอาไว้กับเขา ซ้ำยังหวนคิดถึงแววตาคู่นั้นที่มองมาราวกับเขาเป็นผู้กระทำความผิดที่แสนต่ำทราม หัวใจของลู่เฟยหลงปวดหนึบจึงได้แต่ก้มหน้าลง

“ท่านแม่มีอะไรหรือขอรับ?”

“คือ...แม่เห็นว่าเจ้ายังไม่ได้ทานสิ่งใดจึงนำอาหารมาให้เจ้า” เหม่ยหลินเอ่ยบอกบุตรชายด้วยใบหน้าเจื่อนๆ ยามรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ชวนให้อึดอัดใจ แต่เมื่อนางเตรียมใจมาแล้วก็มีแต่จะต้องทำเท่านั้น ถึงอย่างไรเสีย เฟยหลงก็คือบุตรชายของนาง การที่ต้องขาดสะบั้นสัมพันธ์แห่งแม่ลูก นางคงจะทำใจยอมรับไม่ได้

“ข้ายังไม่ค่อยจัก...”

“แม่ขอโทษ...” เฟยหลงเงียบลงทันทีที่ได้ยินคำขอโทษที่ออกมาจากปากของผู้เป็นมารดา ภายในใจตกตะลึงค้างอยู่กับคำๆ นั้นโดยไม่ทันได้ทำสิ่งใด

“ท่านแม่ ข้ามิได้...” เฟยหลงพยายามจะบอกกล่าวกับมารดาว่าเขามิได้โกรธเคืองอันใด หากถูกมารดาที่เลี้ยงดูและคลอดตนมากล่าวคำขอโทษเช่นนี้ เห็นทีคงไม่พ้นเป็นคนอกตัญญู

“แม่เพียงรักเจ้ามากเกินไปจึงได้ทำเช่นนั้น แม่รักเจ้ามากเฟยหลง แม่จึงไม่อยากให้เจ้าหลงเดินทางผิด การรักชอบกับบุรุษเพศด้วยกันนั้น...มันมิใช่เรื่องง่าย ซ้ำบุรุษผู้นั้นยังเป็นปีศาจอีก แม่จึงได้หวังให้เจ้าลงเอยกับเพ่ยเยว่เผิง” เฟยหลงสบตาของเหม่ยหลินด้วยความเจ็บปวด เขาไม่ติดเลยว่าจากสองสามวันที่ผ่านพ้นมานี้ ท่านแม่ของเขาจะยังมิเลิกล้มความตั้งใจที่จะให้เขาและเพ่ยเยว่เผิงผู้นั้นได้เคียงคู่กัน

“ท่านแม่! หยางเถามิใช่ปีศาจ ข้าก็ได้บอกแก่ท่านแม่ไปแล้วว่าหากมิเชื่อ ก็เชิญนักพรตผู้นั้นมาเสียที่นี่เถิด”

“ได้! แม่จะเป็นผู้เชิญท่านนักพรตผู้นั้นมาที่นี่เอง แต่มิใช่เพราะแม่ไม่เชื่อในคำพูดเจ้า แม่เพียงทำให้ทุกสิ่งกะจ่ายชัดเท่านั้น” นัยน์ตาของเหม่ยหลินเต็มไปด้วยความจริงจัง นางเพียงคาดหวังว่าเฟยหลงจะเข้าใจในเจตนาของนาง มิคิดเป็นอื่น

“ขอรับ...ข้าจะรอวันที่ความจริงกระจ่างชัด ให้ท่านแม่ได้มั่นใจว่าคนที่ข้ารักนั้น มิใช่ปีศาจต่ำทรามหากแต่เป็นจิตวิญญาณของต้นท้อเท่านั้น”

“แล้วเรื่องเยว่เผิง...เจ้าจะทำเช่นไร ในเมื่อนางกล่าววาจาว่าเจ้า...ย่ำยีนาง” เฟยหลงเผลอกำหมัดแน่นยามได้ฟังคำถามจากปากของมารดา เหม่ยหลินที่เห็นอาการของบุตรชายที่ปกคลุมไปด้วยโทสะก็เกิดความหวาดหวั่น จะอย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นสตรี หากลงมือทำหนักไปจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเสียมากกว่า เฟยหลงเอง...แม้จะเป็นบุรุษที่ยามปกติจะนิ่งเงียบก็ตามที หากแต่สิ่งที่บุตรชายของนางนั้นเกลียดที่สุดคือการถูกดูหมิ่นและกล่าวหาใส่ความในสิ่งที่ตนเองมิได้ทำ

“ข้าเชื่อว่า...หากท่านแม่ไปพบกับนักพรตผู้นั้นแล้วละก็ นางจะต้องมาแน่ ในวันที่ท่านนักพรตย่างก้าวเข้ามายังจวนของเรา และข้า...จะจัดการทุกอย่างไม่ไว้หน้าผู้ใด หากว่านางไม่หยุดกระทำในสิ่งที่ทำลายทั้งตัวข้าและสกุลลู่หรือแม้แต่หยางเถา นางจะได้รู้ว่า ข้ามิใช่คนที่นางจะรังแกได้ง่ายๆ”

แววตาของลู่เฟยหลงเต็มไปด้วยโทสะและความคับแค้นใจ ในชีวิตหนึ่งนั้นการถูกกล่าวว่ากระทำการย่ำยีสตรีผู้หนึ่งมิใช่เรื่องที่ควรอภัย ยิ่งหากว่าเรื่องนั้นมิใช่เรื่องจริง เขาหรือเคยแตะต้องตัวนาง แม้แต่เส้นผมสักเส้นเขายังมิเคยไปสัมผัส ต่างจากหยางเถาที่เขาอยากจะจับต้อง อยากลูบไล้ อยากกอดและจูบไปทั่วทั้งเรือนร่าง หญิงผู้นั้นมีสิ่งใดน่าเสน่หา ใบหน้าหรือก็มิได้งามเท่าหยางเถาของเขาแม้แต่น้อย อีกทั้งกลิ่นกายก็มิได้เย้ายวนใจเท่ากลิ่นหอมจากกายของหยางเถาเลย แล้วคนผู้นี้นะหรือที่กล่าวหาว่าเขาย่ำยีนาง เพียงแค่มองหน้านาง เขายังมิอยากจะทำ!

“ท่านแม่...ข้ามิได้พบเหวินฉายเลย ท่านแม่เห็นเหวินฉายบ้างหรือไม่ขอรับ” เหม่ยหลินขมวดคิ้วพลางนึกย้อนไปราวกับต้องการค้นหา

“ไม่นะ แม่มิได้พบเหวินฉายเลย เจ้ามิลองถามจากพ่อบ้านถังดูเล่า เผื่อว่าเขาจะเป็นผู้สั่งให้เหวินฉายไปที่ใด”

“อา...นั่นสินะขอรับ ขอบคุณท่านแม่ที่นำอาหารมาให้ข้านะขอรับ อีกสักพักข้าคงจะกิน” รอยยิ้มที่เฟยหลงส่งให้ผู้เป็นมารดานั้น เป็นรอยยิ้มแรกหลังจากการโต้เถียงในเรื่องเข้าใจผิด ซ้ำความน้อยใจที่เฟยหลงเคยมีก็ดูเหมือนจะหายไปแล้วเช่นกัน

ดีแล้ว...เช่นนี้ นางจะได้สบายใจเสียที

“แม่...ให้คนไปฝังยันต์เอาไว้ใต้ต้นท้อ หากเจ้าอยากจะพบหยางเถา ก็จงไปขุดเอายันต์นั้นไปเผาทิ้งเสียเถิด” เฟยหลงเกิดความอุ่นวายในหัวใจ เมื่อได้ยินคำบอกเล่าที่เหม่ยหลินได้พูดออกมา แม้ว่าความจริงแล้วเฟยหลงจะล่วงรู้และกำจัดมันไปแล้วก็ตามที แต่เฟยหลงก็เลือกจะยิ้มและเอ่ยขอบคุณอย่างแผ่วเบา ก่อนที่เหม่ยหลินจะเดินออกจากห้องไปทิ้งเอาไว้เพียงอาหารที่น่าทานเท่านั้น

ความอิ่มเอมใจแล่นเข้ามาจนแน่นไปทั้งอก มันทำให้ความหิวโหยนั้นหายไปแทบจะทันที ทั้งที่ยามคุยกับเหม่ยหลินอยู่ก่อนนั้น เฟยหลงแทบจะหิวเสียจนอยากจะทานไปพลางคุยกับผู้เป็นมารดาไปพลาง แต่ด้วยรู้ดีว่ามิควร เฟยหลงจึงได้สู้อดทนพูดคุยให้จบเรื่องก่อน หากแต่เมื่อผู้เป็นมารดาเอ่ยออกมาถึงเรื่องยันต์นั้น ความหิวโหยของเฟยหลงก็ละลายหายไปกับสายลม มือไม้สั่นไปหมดจนแทบจะควบคุมไม่ได้ ยิ่งรอยยิ้มบนใบหน้าด้วยแล้วหากมีผู้ใดมาพบเห็นคงไม่แคล้วถูกหาว่าวิปลาส
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 17. up.15/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 15-03-2019 20:43:40
ภายในห้องที่ใหญ่โตของจวนสกุลเฉิน ใครจะนึกว่าห้องของคุณชายใหญ่จะมีใครบางคนถูกซ่อนอยู่ ใบหน้างดงามที่ไร้คราบเปรอะเปื้อนช่างน่าเอ็นดูเหลือเกินในสายตาของเฉินลี่ฟู่ แม้ว่าในตอนนี้ใบหน้าที่แสนจะน่าเอ็นดูนั้นจะบูดบึ้งไม่พอใจและแสนงอนก็ตาม ดวงหน้าของเหวินฉายก็มิได้น่าเกลียดลงไปเลยสักนิดในสายตาของลี่ฟู่ เหวินฉายที่อยู่ในห้วงอารมณ์แห่งโทสะตวัดสายตาข่มขู่มิยินยอมให้ร่างสูงของเฉินลี่ฟู่ขยับเข้าใกล้ตนแม้แต่น้อย

สามวัน! สามวันที่เขาทั้งด่า ทั้งอ้อนวอนขอร้องให้คนตรงหน้าปลดปล่อยเขา แต่ก็ได้เห็นเพียงท่าทีที่เมินเฉย

ไหนจะอาหารมากมายที่ถูกเจ้าลูกเต่านั่นยกเข้ามาอีกเล่า เขามิใช่สัตว์เลี้ยงที่ต้องขังเอาไว้ ให้ข้างให้น้ำและที่นอนนะ! เขาเป็นมนุษย์เหมือนเจ้าบ้านั่น!

ยามอาบน้ำชำระร่างกายก็มิวายถูกเจ้าลูกเต่าลี่ฟู่บังคับขู่เข็ญอุ้มเขาไปยังอ่างอาบน้ำใบใหญ่ หากคิดว่านี่น่าอายแล้วละก็ มันผิด! สิ่งที่ทำให้เขาอับอายคือการที่เจ้าของห้องแห่งนี้ปลดชุดบนร่างกายตนเองแล้วลงมาในอ่างกับเขา หนำซ้ำยังถูไปตามร่างกายหรือจะเรียกว่าลูบไล้ก็ได้ จนเหวินฉายแทบจะไม่ได้พักหายใจต้องปัดมือที่เอาแต่ไต่ลงไปยังแท่งพู่กันของเขาตลอดเวลา ของตัวเองก็มีแต่เจ้าบ้านี่ก็คิดแต่จะจับของเขา! หากเผลอก็ไต่ลงจนเขาอยากจะลุกขึ้นจากอ่างไปหลายรอบ ไหนจะริมฝีปากร้อนๆ ที่คอยแต่จะจบอยู่กับต้นคอและไหล่ของเขา เล่นเอาแท่งพู่กันของเขาแทบจะลุกขึ้นมาโชว์ตัวให้คนงี่เง่าลี่ฟู่ได้เห็น ยังดีที่เขาสาดน้ำใส่หน้าแทนจึงได้หยุด

แต่มันไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เพราะก้นของเขาถูกแท่งพู่กันอันใหญ่ผงกหัวทักทายจนเหวินฉายอยากจะกดใบหน้าตัวเองลงน้ำแล้วตายๆ ไปเสีย โชคดีหน่อยก็ตรงที่เจ้าลูกเต่านั่นพอจะรู้ระดับอารมณ์ตนเองอยู่บ้างจึงได้ลุกออกไปก่อนทิ้งให้เขานั่งอยู่กับน้ำอุ่นๆ ที่ยังคงมีสัมผัสจากแท่งพู่กันอุ่นๆ ติดกาย เหวินฉายได้แต่กัดริมฝีปากตัวเอง คว้าเอาชุดของตนเองมาแล้วลุกขึ้นจากน้ำ เขาคิดว่าหากเดินออกมาแล้วคงจะได้พบหน้าเจ้าลูกเต่างี่เง่านั่งรอเขาอยู่เป็นแน่ แต่เขาก็พบเพียงความว่างเปล่าที่หนาวเย็น ไร้ร่างของคนงี่เง่าที่ร่วมอาบน้ำกับเขาไป

แล้วดูตอนนี้สิ! เพียงแค่เขาร้องขอจะกลับไปหานายน้อยกลับถูกคนๆ นี้จ้องมองอย่างข่มขู่เขาอีกแล้ว

“เหวินฉาย...เจ้าต้องทานสักหน่อย มิเช่นนั้นท้องเจ้าอาจจะปวดเอาได้นะ” เฮอะ! น้ำเสียงที่กล่าวหรือช่างราวกับห่วงใย แต่หากว่าห่วงใยเขาจริง มีหรือจะจับเขาขังเอาไว้มิยอมให้กลับไปยังจวนสกุลลู่!

“ข้าจะกิน...ก็เมื่อเจ้ายอมปล่อยข้า!” เฉินลี่ฟู่ถอนหายใจมองใบหน้าของคนที่ตนรักอย่างดุดัน

“เจ้ากำลังจะเรียกร้องในสิ่งที่ข้าให้เจ้าไม่ได้ หากเจ้าต้องการอิสระ ก็จงมอบหัวใจของเจ้าให้ข้าเสีย แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด ต้องการสิ่งใด ข้าให้เจ้าได้มั้งนั้น”

“ก็ข้ามิได้รักเจ้า!! ในเมื่อเจ้ามีคนรักของเจ้าอยู่แล้ว! จะมาเรียกร้องหาความรักจากข้าเพื่ออะไรอีก!”

“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วไงว่าซุนเหว่ยมิใช่คนรักของข้า!! ทำไมเจ้าจึงมิเข้าใจเสียที! หยุดยัดเหยียดความรักของข้าให้ผู้อื่นเสียที! เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้สึกอะไรเลยหรือที่คนที่ข้ารักผลักไสข้าไปหาผู้อื่นเช่นนี้!”

เหวินฉายมองเฉินลี่ฟู่ที่หอบหายใจด้วยความโกรธ มือหนากำเข้าหากันอย่างต้องการระงับโทสะ ความเดือดดาลในใจของเฉินลี่ฟู่มีมากมายนับตั้งแต่เหวินฉายต้องการจะกลับไปหาลู่เฟยหลง แต่ยังมิเท่าคำว่าไม่รักและการผลักไสเขาให้กับผู้อื่น หัวใจของเฉินลี่ฟู่เจ็บปวดจนแทบจะกระอักเลือด คนตัวเล็กตรงหน้าจะรู้บ้างไหมว่าเขาเจ็บมากแค่ไหน เหวินฉายไม่เคยคิดจะสนใจเขาเลยใช่ไหม! เอาแต่ร่ำร้องหาแต่ลู่เฟยหลงเพราะรักแต่มันใช่ไหม! หากไม่มีมัน...เหวินฉายก็คงจะมองเขาบ้าง “เจ้าคงจะรักมันมากสินะ ลู่เฟยหลงผู้นั้นฮึ!” เหวินฉายมองแววตาที่สะท้อนความเจ็บปวดด้วยหัวใจที่เจ็บมิต่างกันจนต้องเมินหน้าหนีและเลือกจะพูดออกมาให้อีกฝ่ายเลิกเข้าใจตนและนายน้อยผิดเสียที

“มีบ่าวรับใช้คนไหนเล่าจะมิรักนายของตนเอง” เฉินลี่ฟู่แทบจะถลาร่างเข้าไปหาเหวินฉายในทันทีที่ได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย แก้ความเข้าใจผิดในใจของเขาเช่นนี้...เหวินฉายคงมีใจให้เขามิน้อย เมื่อคิดได้เช่นนั้นหัวใจของเฉินลี่ฟู่ก็พองโตจนคับอก รอยยิ้มหวานบนใบหน้าหล่อเหลาทำให้ใบหน้าของเหวินฉายนั้นแดงระเรื่อ

เจ้าลูกเต่านี่! เดี๋ยวก็โกรธเดี๋ยวก็ยิ้ม วิปลาสไปแล้วหรือไร

แต่ความเฉิดฉายที่เปล่งประกายออกมาถึงความสุขของร่างสูงช่างมีอิทธิพลต่อหัวใจของเหวินฉายเสียเหลือเกิน เมื่อได้มองเพียงหางตาหัวใจของเหวินฉายก็ทำงานหนัก เต้นตึกตักด้วยความขวยเขิน หากเป็นหญิงก็คงมิแปลกอะไรแต่นี่...เขาเป็นบุรุษ มิใช่สตรีบอบบางดั่งเช่นคุณหนูเพ่ยผู้นั้น ให้นั่งใบหน้าแดงซ่านหลบเลี่ยงสายตาคมที่จับจ้องมาวาววับก็คงมิใช่ ถังเหวินฉายเชิดใบหน้าขึ้นทั้งๆ ที่แก้มแดงปลั่ง ยิ่งได้มองเห็นชัดแบบนั้นยิ่งทำให้อารมณ์ของเฉินลี่ฟู่ดีขึ้นไปถนัดตา

“เพียงแค่นั้นหรือ....” แม้ว่าจะมั่นใจแต่ก็อยากได้ยินคำยืนยันอีกครั้งจากปากของถังเหวินฉายเอง

“ข้ามิใช่เจ้านี่...จะได้มีใจให้ผู้ใดไปทั่ว!” ถ้อยคำประชดประชันแดกดันมิได้ทำให้เกิดความขุ่นมัว แต่มันกลับยิ้มทำให้เฉินลี่ฟู่ยิ้มกริ่มเข้าไปอีกจนเหวินฉายทำตัวไม่ถูก และรู้สึกพลาดที่ได้กล่าวคำพูดออกไปเช่นนั้น

“ข้ามีใจให้ผู้ใดไปทั่วเสียเมื่อไหร่...แค่มีใจให้เจ้าผู้เดียวก็มิอาจจะเหลือให้ผู้ใดได้อีกแล้ว” ความร้อนผ่าวแล่นขึ้นสู่ใบหน้าของเหวินฉายไม่หยุด จนร่างบางได้แต่นั่งซุกใบหน้าลงกับเข่าของตนเองเพียงหวังให้หลุดรอดออกจากสายตาคู่นั้นที่ชวนให้เขาเขินอายจนร่างกายแทบจะระเบิดตัวเอง

เจ้าบ้านั่นกล้าดีอย่างไรกล่าวถ้อยคำชวนให้อาเจียนเช่นนี้ แต่เหตุใดหัวใจเขาจึงได้เต้นแรงขึ้นอีกกัน

เฉินลี่ฟู่ขยับกายเดินเข้าไปหาเหวินฉายที่อยู่บนเตียงอย่างช้าๆ ก่อนจะนั่งลงอยู่เบื้องหน้าของเหวินฉายมองร่างบางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเสน่หาอย่างไม่อาจจะปิดบังได้ มือหนาค่อยๆ ลูบใบหูเล็กๆ ด้วยความเอ็นดู จนใบหน้าที่ซบเซาอยู่กับเข่าต้องแหงนเงยขึ้นมา สายตาทั้งสองจ้องมองกันอย่างที่ไม่อาจจะละสายตาจากกันได้ ความรักถูกถ่ายเทให้กันเพียงแค่ได้สบสายตาเฉินลี่ฟู่เลื่อนมือขึ้นมาเกลี่ยแก้มใสอย่างแผ่วเบาก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนแก้มนั้นด้วยความรักใคร่ เหวินฉายนิ่งอึ้งกับการกระทำนั้นแต่ในใจกลับมิได้รังเกียจแต่อย่างใด เพียงแค่ความร้อนสัมผัส ความรู้สึกในใจก็ปะทุขึ้นมาราวกับกำแพงที่ถูกพังทลายลง

เฉินลี่ฟู่ถอนริมฝีปากออกจากแก้มบางอย่างแผ่วเบาก่อนจะจูบซับลงบนเปลือกตาทั้งสองไล่ลงมายังปลายจมูกที่เชิดรั้นและจบลงที่ริมฝีปากจูบที่หวานฉ่ำไม่ต่างจากน้ำผึ้งเป็นเหมือนกับดักที่ใช้หลอกล่อเหยื่อให้เข้ามาหาและยึดเหยื่อเอาไว้ไม่ยอมให้ดิ้นหนีไปไหน จากความอ่อนหวานนุ่มนวลชวนฝันกลับกลายเป็นความร้อนแรงที่เร่งแผดเผาให้ผู้ที่ลุ่มหลงได้มอดไหม้ไปกับมัน

ปลายลิ้นร้อนแทรกเข้าไปเกี่ยวกระหวัดดูดดึงลิ้นของกันและกันอย่างวาบหวาม อารมณ์ของทั้งสองถูกดึงดูดให้จมอยู่ในห้วงแห่งรักที่ไม่อาจจะมีใครมาปลุกให้ตื่นได้ ร่างในอ้อมแขนถูกรัดจนแน่น ฝ่ามือลูบไล้ไปตามแนวกระดูกปลดชุดที่แสนเกะกะออกอย่างชำนาญ เสียงปลายลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกันดังขึ้น มันช่างน่าอายแต่กลับไม่สามารถหยุดยั้งความปรารถนาที่มีต่อกันของคนทั้งคู่ได้เลย

ยิ่งเมื่อถูกกลิ่นกายของอีกฝ่ายมอมเมาสติที่ฉุดรั้งความถูกผิดก็จมดิ่งลงไปจนไม่สามารถกลับเข้ามาห้ามปรามทั้งสองได้ หัวใจเต้นแรง เลือดสูบฉีดขึ้นจากหัวใจไปยังใบหน้าจนคนอ่อนแรงอย่างถังเหวินฉายหน้าแดงก่ำ หอบหายใจอยู่กับแผ่นอกกว้างของเฉินลี่ฟู่เมื่อถูกถอนริมฝีปากออก เขาไม่คิดจะรีรออะไรอีกแล้ว หลังจากถูกดูดเข้าไปในห้วงอารมณ์แห่งปรารถนาเขาก็ไม่คิดจะหยุดการกระทำใดๆ อีก

สาบเสื้อถูกมือใหญ่เลื่อนลงจากไหล่บางพร้อมกับริมฝีปากที่พรมจูบอย่างแผ่วเบา ใบหน้าหล่อเหลาเลื่อนไปซุกไซร้ซอกคอหอมดูดดึงผิวเนื้อจนขึ้นสีเป็นจุดๆ กระจายไปจนทั่ว เฉินลี่ฟู่มองผลงานของตนด้วยแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความพึงพอใจ ยิ่งได้เห็นร่องรอยของการตีตราหัวใจของเฉินลี่ฟู่ก็ยิ่งปรารถนาจะครอบครองเหวินฉายอย่างเต็มตัว สายตาคมเลื่อนลงไปตรงจุดแดงสองจุดที่อดบาง เม็ดไข่มุกสีชมพูสวยช่างยั่วยวนสายตาและเรียกหาปลายลิ้นของเขาได้ดีเสียจนเฉินลี่ฟู่ต้องเลียริมฝีปากแห้งผากของตนเอง

“อ๊ะ อืม”

เหวินฉายคิดสิ่งใดไม่ออกได้แต่แอ่นกายรับปลายนิ้วที่สะกิดยอดเล็ก หยอกเย้าราวกับเอ็นดูมันเหลือเกิน เฉินลี่ฟู่ไล่วนปลายนิ้วไม่หยุดจนเม็ดไข่มุกแข็งขึ้นสู้นิ้ว เรียกเสียงครางหวานผะแผ่วออกมาจากลำคอของเหวินฉายที่ยังคงซบใบหน้าลงกับแผ่อนอกของร่างสูงด้วยความอับอาย ขาทั้งสองข้างไร้เรี่ยวแรงกางออกอย่างไม่อาจจะควบคุมตนเองได้ส่งผลให้แท่งพู่กันสีอ่อนปรากฏขึ้นสู้สายตา ฝ่ามือใหญ่เลื่อนลงไปกอบกุมไว้ ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยส่วนปลายพู่กันเบาๆ จนมันขยับทักทายอย่างรู้งาน

เหวินฉายหอบหายใจด้วยอารมณ์ที่พุ่งสูง ร่างกายเล็กสั่นเทาด้วยความเสียวซ่านที่มิเคยพบพานมาก่อน ความวาบหวามที่แปลกใหม่มันหอมหวานจนล่อหลอกให้เจ้าตัวเปิดร่างกายให้อีกคนได้เห็นทั้งหมดโดยลืมไปว่าการกระทำเช่นนั้นช่างไม่ต่างอะไรกับการเชื้อเชิญให้เฉินลี่ฟู่ลิ้มลอง สมองของเหวินฉายว่างเปล่า ดวงตาทั้งสองปรือมองภาพตรงหน้าแต่กลับมิมีสติมากพอให้ได้ไตร่ตรองใดๆ

ร่างกายที่อ่อนปวกเปียกถูกดันให้นอนราบลงกับเตียง สองแขนกำยำกักร่างที่ไร้สติเอาไว้ราวกับกลัวว่าอีกคนจะได้สติขึ้นมาและหนีหายไป เฉินลี่ฟู่ก้มลงดูดดึงยอดไข่มุกเม็ดสวยเข้าสู่ปากร้อน ตวัดปลายลิ้นหยอกเย้ากับเม็ดไข่มุกจนแผ่นอกของเหวินฉายแอ่นขึ้นรับริมฝีปาก ดวงตาทั้งสองข้างของเหวินฉายปิดสนิท ริมฝีปากเม้มแน่นกลั้นเสียงที่แสนน่าอายมิให้ออกมา หากแต่เสียงที่น่าอายที่สุดกลับมาจากคนบนร่างของเหวินฉายต่างหาก ทุกครั้งที่เฉินลี่ฟู่ดูดดึงเม็ดไข่มุกนั้นมันช่างส่งเสียงที่ชวนให้อับอายเสียเหลือเกิน

เรียวลิ้นร้อนลากลงไปจนถึงแอ่งสะดือเล็ก ไล่วนและกดจูบกับหน้าท้องเนียนอย่างรักใคร่ ในตอนนี้เหวินฉายไม่รู้เลยว่าเสื้อผ้าของตนนั้นหลุดออกจากร่างไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ในตอนนี้ร่างกายของเขาและเฉินลี่ฟู่กลับไม่เหลือสิ่งใดปกปิด เฉินลี่ฟู่หยัดกายขึ้นมองใบหน้างามที่แดงระเรื่อไปด้วยพิษรักที่เขาได้มอบให้ด้วยสายตาเสน่หา ผมสีน้ำตาลแผ่กระจายส่งให้ใบหน้าของเหวินฉายดูยั่วยวนยิ่งขึ้น แท่งพู่กันของเฉินลี่ฟู่ร่ำร้องเรียกหาถ้ำมังกรของเหวินฉายจนปวดหนึบไปทั้งร่าง ความร้อนในร่างเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ

เจ้าจะยั่วอารมณ์ของข้ามากเกินไปแล้ว ฉายเอ๋อร์

“ดะ เดี๋ยว! อ๊ะ เจ้าจะทำ อื้อ อะไร” เหวินฉายผวาร่างขึ้นมาเบิกตากว้างมองแท่งพู่กันของตนที่เคยถูกสัมผัสด้วยฝ่ามืออุ่นๆ แต่ตอนนี้กลับถูกแทนที่ด้วยริมฝีปากร้อนที่ครอบครองมันจนหมด ลิ้นสีชมพูเลียไปตามความยาวของแท่งพู่กันร้อนก่อนที่จะถูกดูดกลืนจนไม่เหลือให้เห็น

“อ๊า หยะ อ๊ะๆ” เพราะความเดียงสาในเรื่องคาวโลกีย์ เพียงถูกครอบครองจนสุดตัวตนน้ำหมึกสีขาวร้อนก็พวยพุ่งออกมาเต็มปากของเฉินลี่ฟู่จนกลืนกินแทบไม่หมด

“เจ้า...รวดเร็วเกินไปแล้ว มิเคยมีใครแตะต้องกายเจ้าหรอกหรือ” เหวินฉายกัดริมฝีปากแน่นด้วยความอับอาย หลบตาหนีไม่กล้ามองใบหน้าของเฉินลี่ฟู่สักนิด

“ข้าจะไปเคยได้อย่างไร ข้ามิใช่เจ้านะ” เพียงคำตอบสั้นๆ กับวาจาที่ประชดประชันกลับทำให้เฉินลี่ฟู่ลิงโลดจนอดทนกลั้นความต้องการเอาไว้อีกไม่ไหวแล้ว

“เหวินฉาย...ข้าขอโทษ”

“อะ อะไร อ๊ะ โอ๊ย! อึก!”

ขาข้างหนึ่งของเหวินฉายถูกรั้งขึ้นพาดบ่ากว้างก่อนที่จะถูกบางสิ่งที่แข็งแกร่งราวหินจ่ออยู่ตรงปากทางจีบรัก ร่างสูงดันสะโพกพาแท่งพู่กันฝืนเข้าไปภายในอย่างแรงจนเหวินฉายที่เคยยินยอมพร้อมใจนอนนิ่งๆ นั้น บัดนี้กลับกลายเป็นแมวตัวใหญ่ที่ขู่ฟ่อ ใช้เล็บข่วนไปตามท่อนแขน อกกว้างและแผ่นหลัง น้ำตาไหลเอ่อล้นออกมาทั้งสองตา ใบหน้าที่แสนยั่วยวนสะบัดหน้าหนีริมฝีปากร้อนที่หมายจะมอบจูบแสนหวานให้แทนคำขอโทษด้วยความโกรธเคือง แต่ไม่ว่าจะทุบ จะตีจะทำอะไรรุนแรงแค่ไหนเฉินลี่ฟู่ก็ยังคงกอดรัดร่างของเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

มันเจ็บจนแทบจะตาย เจ็บจนอยากหยุดแค่นี้

แต่เพียงแค่เห็นสีหน้าทุกทรมานจากการฝังร่างเข้ามาในตัวเหวินฉายแล้วไม่ได้ปลดปล่อย ซ้ำจีบรักของเหวินฉายยังบีบรัดจนแท่งพู่กันอันใหญ่โตแทบจะหักยิ่งทำให้เหวินฉายไม่กล้าขยับตัวมากนัก ถึงแม้ว่าจะเจ็บจากการรุกรานแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายก็มิได้มีความสุขนักหรอก เหวินฉายหยุดต่อต้านนอนนิ่งมองใบหน้าที่เหยเกอย่างสงสารระคนเห็นใจ ดูเหมือนว่าความทรมานของเราคงจะมีเท่ากันเสียแล้ว

“เจ็บ...” น้ำเสียงของเหวินฉายบอกได้ดีถึงความเจ็บปวดที่กำลังเผชิญ ยิ่งได้ยินหัวใจของเฉินลี่ฟู่ก็ยิ่งอ่อนยวบ

นอนกับใครมาก็มาก มิใช่เด็กน้อยอ่อนเดียงสา แต่เหตุใดเขาจึงได้ยับยั้งอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ ฝืนดึงดันเข้าไปจนคนที่รักต้องร่ำร้องบอกว่าเจ็บปวด

น่าอับอายยิ่งนัก!

“มองหน้าของข้าเหวินฉาย ข้าขอโทษที่ไม่อาจจะยั้งตัวเองจนทำให้เจ้าเจ็บ แต่เชื่อข้า ได้โปรดเถิด ข้าสัญญาว่าจะทำให้เจ้ามีความสุขอย่างแน่นอน ให้ข้าแก้ตัวเถิด” คำกล่าวขออภัยช่างสั่นเครือเจือปนไปด้วยความหวาดกลัว เฉินลี่ฟู่ไม่มั่นใจเลยว่าคนใต้ร่างจะถือโอกาสนี้ตัดสัมพันธ์หรือหยุดสิ่งที่กระทำอยู่หรือไม่ แต่เขาก็ยังอยากจะพาเหวินฉายไปยังฝั่งฝัน ให้เหวินฉายได้รู้จักความสุขสมที่รออยู่ข้างหน้าแทนที่จะจดจำเพียงความปวดร้าวในคราแรก เหวินฉายเม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้าหันหนีสายตาเว้าวอนอย่างลังเลใจ

“หากข้าเจ็บ ข้าจะไม่ให้เจ้าแตะต้องตัวข้าอีก!” เสียงขู่ที่มาพร้อมกับใบหน้าที่แดงซ่านมิได้ทำให้เฉินลี่ฟู่เกรงกลัวแม้แต่น้อย กลับทำให้เอ็นดูเสียมากกว่า รอยยิ้มของเฉินลี่ฟู่ทำให้ใบหน้าที่แดงยิ่งแดงเข้าไปอีก ในตอนนี้นั้นร่างกายของเหวินฉายเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งการตีตราจากริมฝีปากหนา ส่วนล่างกำลังบีบรัดแท่งพู่กันใหญ่โตเอาไว้ หยาดสีแดงเปรอะเปื้อนแท่งพู่กันร้อนราวกับเป็นสิ่งเดียวที่บ่งบอกได้ถึงความบริสุทธิ? ของเหวินฉาย

“ข้าจะค่อยๆ จะไม่ทำให้เจ้าเจ็บอีก”

“อ๊ะ อืม”

ริมฝีปากถูกประกบจูบอย่างนุ่มนวล ดูดดึงกลีบปากบางอย่างละเมียดละไมราวกับต้องการซึมซับความหอมหวานเอาไว้ให้นานก่อนจะถอนออกแล้วกดจูบลงไปอีกครั้งอย่างร้อนแรง สอดลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ ลมหายใจหอบถี่ สติล่องลอยด้วยความวาบหวามจากรสจูบที่เร่าร้อน มือใหญ่ชักนำให้แท่งพู่กันสีอ่อนกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง เรียกเสียงครางหวานแผ่วออกมาจากลำคอของเหวินฉายได้อย่างดี

สะโพกหน้าค่อยๆ ขยับถอดถอนเอาแท่งพู่กันร้อนออกมาช้าๆ จนเกือบจะหลุดออกจากจีบรัก ก่อนที่จะกดเข้าไปใหม่โดยไม่เร่งรีบ เฉินลี่ฟู่ทำแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแน่ใจแล้วว่าจีบสีสวยเริ่มตอดรัดถี่ๆ และอ่อนนุ่มลงกว่าเดิมจึงเริ่มขยับเน้นจังหวะให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น เหวินฉายส่งเสียงครางอย่างเสียวซ่าน บิดเร้าร่างกายอย่างทนเอาไว้ไม่ไหว สองแขนยกขึ้นโอบกอดลำคอหนาจิกผิวเนื้อลงไปอย่างแรงเพียงเพื่อต้องการระบายความกระสันที่จู่โจมอย่าหนัก

เสียงหอบหายใจดังผสมปนเปกับเสียงครางต่ำๆ จนแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร เหวินฉายได้แต่สะบัดหน้าไปมาเอเฉินลี่ฟู่เร่งเร้าจังหวะขึ้นกระแทกกายเข้าออกอย่างแรงจนตัวโยน เขาแทบจะตายเพราะความเสียวซ่านที่ได้รับ ยิ่งถูกเจ้าแท่งพู่กันนั่นเสียดสีเข้าออกไม่หยุดยั้งอารมณ์ของเหวินฉายก็ยิ่งแทบจะระเบิดออก จนเมื่อสะโพกของเฉินลี่ฟู่หยุดลงทั้งที่ยังคงไม่ถึงฝั่งฝัน เหวินฉายก็ยิ่งดิ้นพล่านอย่างทนไม่ไหว

“อึก! ฮะ อือ” ร่างบอบบางสะอื้นเบาๆ หยาดน้ำสีใสคลออยู่ที่ดวงตาจนฉ่ำวาวเพียงแค่หลับตาลงก็ไหลออกมาจนเปื้อนแก้มทั้งสองข้าง เฉินลี่ฟู่ปาดไล่หยาดน้ำตาและจูบซีบเหงื่อให้คนใต้ร่างอย่างอ่อนโยน ก่อนจะจับร่างกายบอบบางให้พลิกคว่ำลงกับเตียงทั้งที่ร่างกายยังคงเชื่อมต่อกันอยู่ สะโพกเล็กถูกยกขึ้นสูงแต่เหวินฉายไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะยันกายขึ้นด้วยซ้ำ จึงได้แต่ปล่อยให้เฉินลี่ฟู่กระทำตามใจ

“อา ฮื่ม!”

เพียงแค่ขยับกายออกก็ถูกจีบแดงบีบรัดแน่นจนร่างสูงได้แต่แหงนเงยใบหน้าขึ้นร้องครางเสียงต่ำ กระแทกร่างกายเข้าหาเป็นจังหวะอย่างรุนแรงจนร่างบางแทบจะกรีดร้องออกมา มือเล็กกำผ้าปูเตียงเอาไว้จนแน่นหลับตาร้องครางจนเสียงหวานแหบแห้งก็ยังไม่สามารถลดความเสียวซ่านลงไปได้ กลับยิ่งเพิ่มมันมากขึ้นจนต้องตอดรัดแท่งพู่กันที่รุกล้ำอยู่ภายในอย่างแรงทุกครั้งที่ถูกถอนกายออก

“ไม่ไหว แฮกๆ ข้า อ๊า ไม่ไหวแล้ว”

“ฉายเอ๋อร์ อา ยอดรักของข้า” เพียงได้ยินว่ายอดดวงใจใกล้จะถึงฝั่งฝัน สะโพกหนาก็ยิ่งเร่งจังหวะกระแทกกายเข้าออกระรัวจนคนใต้ร่างร้องครางไม่เป็นภาษา มือหนาจับแท่งพู่กันสีอ่อนของเหวินฉายขยับรูดรั้งไปตามจังหวะเดียวกันกับสะโพกตัวเองหนักๆ จนในที่สุดน้ำหมึกสีขาวขุ่นที่ร้อนผ่าวก็ถูกปล่อยออกมาจากปลายพู่กัน เมื่อเหวินฉายปลดปล่อยความต้องการลงแล้ว เฉินลี่ฟู่ก็จับสะโพกของคนตรงหน้าเอาไว้รับการกระแทกครั้งสุดท้ายที่แสนรุนแรงและฉีดพ่นน้ำหมึกเข้าไปในจีบรักจนล้น

สองร่างหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เฉินลี่ฟู่ค่อยๆ ถอดถอนแท่งพู่กันออกอย่างช้าๆ จนเหวินฉายนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะกดจูบไปตามแผ่นหลังและไหล่บาง ปลายนิ้วสะกิดเม็ดไข่มุกด้านหน้าเล่นสร้างความรู้สึกเสียวซ่านให้เหวินฉายอีกครั้ง แต่ก็ถูกมือบางจับไว้ไม่ยอมให้อีกฝ่ายกระทำได้ตามใจ จีบรักของเขาในตอนนี้เจ็บเกินกว่าจะรับมือกับอีกคนได้ไหวอีกแล้ว และดูเหมือนว่าเฉินลี่ฟู่จะยอมเลิกราแต่โดยดี

“ไม่...ข้าไม่ไหวแล้ว ข้ายังเจ็บอยู่เลย” แม้จะน่าอายแต่เหวินฉายก็คิดว่าควรจะบอกอีกฝ่ายไปตามตรงจะดีกว่า เฉินลี่ฟู่ขยับพลิกร่างของเหวอนฉายให้หันหน้ากลับมา สบสายตาของร่างบางแล้วส่งยิ้มให้อย่างรักใคร่เอ็นดู

“เช่นนั้นข้าจะสอนเจ้า โดยไม้ข้าไปในตัวเจ้าก็แล้วกัน”

จบคำกล่าวเฉินลี่ฟู่ก็สอนร่างบางจนครบทุกสิ่งที่ควรรู้ โดยมิได้สนใจเลยว่าเหวินฉายนั้นใคร่อยากจะรู้หรือไม่ ทั้งมือและริมฝีปากสัมผัสเหวินฉายไปทั่วทุกส่วน ไม่มีตารางนิ้วใดที่รอดพ้น เขาทำการตีตราร่องรอยแห่งรักเอาไว้จนทั่ว เหวินฉายได้แต่หอยหายใจไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืนส่งเสียงร้องครวญครางอย่างสุขสมจนเหนื่อยอ่อน เฉินลี่ฟู่ไม่ได้โกหก เพราะเขามิได้ล่วงล้ำเข้าไปในกายของร่างบางเลยแม้แต่น้อย หากแต่ภายนอกนั้น ไม่มีจุดใดที่รอดพ้นการสำรวจไปได้เลย

ค่ำคืนที่เหน็บหนาวจึงไม่หนาวอีกเมื่อความร้อนจากอารมณ์ปรารถนาถูกจุดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบลง เหวินฉายถูกชักนำให้ปลดปล่อยหยาดหมึกสีขาวขุ่นออกมานับครั้งไม่ถ้วย และมันยังคงจะเป็นเช่นนั้นต่อไป หากอีกคนไม่ยอมปล่อยให้ได้หยุดพักโหมกระหน่ำความเสียวซ่านให้เหวินฉายมัวเมาและหลงใหล เพียงเพราะเหตุใดผลเดียวเท่านั้น

คือการทำให้อีกคนติดใจในรสสัมผัส จนขาดเขาไม่ได้อีกเลย



TBC



ดะ เดี๋ยวนะ! นี่เขากำลังกินกันใช่ไม๊! อ๊ากกกก ปิดตาาาาา
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 17. up.15/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-03-2019 21:49:50
 :pig4:
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 18. up.17/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 17-03-2019 11:10:31
[18]


ล่วงเลยเวลามาจนแดดเริ่มแรง ร่างของเฉินลี่ฟู่และถังเหวินฉายยังคงนอนก่ายกอดกันอย่างเป็นสุข ช่างเป็นบรรยากาศที่แสนสุขเสียเหลือเกิน ภายในห้องแม้จะคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นแห่งห้วงสวาท ทว่ากลับอบอวลไปด้วยความรักใคร่ของกันและกัน ใบหน้าที่หลับพริ้มมีรอยยิ้มแต่งแต้มราวกับกำลังอยู่ในห้วงความฝันที่แสนสุข เฉินลี่ฟู่ลืมตาตื่นขึ้นมาก่อน สายตาคมไล่มองใบหน้าของคนรักในอ้อมแขนที่ยังคงหลับใหลอย่างเหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมแห่งรักที่เขาตักตวงเฝ้าสอนเหวินฉายทั้งคืน

มือหนาปัดเอาปอยผมที่ปกคลุมใบหน้าใสออกอย่างเบามือ ราวกับกลัวว่าจะรบกวนความฝันที่แสนสุขของอีกคน ริมฝีปากกดจูบแผ่วเบาลงบนแก้มใสอย่างรักใคร่เอ็นดู ก่อนที่จะลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้าและเดินออกไปจากห้องทันที ในเมื่อเหวินฉายเต็มใจที่จะให้เขาได้รัก ก็ไม่จำเป็นจะต้องปิดบังและกักขังใดๆ อีก เฉินลี่ฟู่สั่งให้เด็กรับใช้เตรียมน้ำให้เรียบร้อยก่อนที่คนบนเตียงของเขาจะตื่นขึ้นมา เมื่อทุกอย่างถูกเตรียมไว้จนเรียบร้อย ร่างหนาของเฉินลี่ฟู่ก็เดินเข้าไปหาเหวินฉายช้าๆ นั่งลงเคียงข้างกายบางที่ยังจมอยู่ในห้วงนิทราไม่ยอมตื่น

แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเอ็นดู โน้มกายลงจุมพิตไหล่เล็กเบาๆ ก่อนจะขยับเข้ามาจุมพิตที่หลังคอ กลิ่นกายของเหวินฉายช่างกระตุ้นอารมณ์ความปรารถนาให้ตื่นขึ้นมาเหลือเกิน แต่เขาก็ทำอะไรมิได้นอกจากอดทนเท่านั้น ร่างกายที่แสนจะบอบบางนี้ถูกเขาที่ห้ามใจไว้ไม่ไหวกระทำรุนแรงจนบอบช้ำ จีบรักยังคงบวมแดงจากที่สังเกตเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาจนน่าสงสาร เฉินลี่ฟู่จึงได้แต่ข่มอารมณ์เอาไว้ สูดลมหายใจเอากลิ่นหอมจากร่างกายเหวินฉายเข้าปอดแทน

เหวินฉายขยับกายเมื่อรับรู้ถึงสันจมูกของใครบางคนคลอเคลียอยู่บริเวณต้นคอด้านหลังจนต้องย่นคอหนี เปลือกตากะพริบถี่ๆ เพื่อเรียบเรียงเหตุการณ์อีกครั้งในสมอง ก่อนที่ใบหน้าของเหวินฉายจะแดงซ่านไปด้วยความเขินอาย

“ตื่นแล้วหรือ...อยากอาบน้ำเลยหรือไม่” เหวินฉายเอียงหน้าหลบริมฝีปากซุกซนที่ก้มลงมาหวังจะสูดดมแก้มใสนั่นแรงๆ ให้หายอยาก

“พอแล้ว...ข้าเหนียวตัวไปหมดแล้วนะ”

“ข้าให้คนเตรียมน้ำอุ่นไว้แล้ว มาเถิด...ข้าจะพาเจ้าไปเอง”

“เอ๊ะ ดะ เดี๋ยว!” ครั้นจะห้ามก็มิทันได้เอ่ย ร่างบางของเหวินฉายก็ถูกยกขึ้นมาแนบอกไว้ในท่าเจ้าสาว สองแขนรีบกอดคอของเฉินลี่ฟู่อย่างรวดเร็วด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำร่างของตนหลุดมือและร่วงลงสู่พื้น ร่างกายที่ไร้สิ่งใดปกปิดเผยให้เห็นทุกสัดส่วนจนดวงตาของเฉินลี่ฟู่พราวระยับ ยิ่งมองเห็นร่องรอยสีกุหลาบที่ถูกทำไว้ทั่วร่างยิ่งพึงพอใจจนแท่งพู่กันที่เคยหลับสนิท บัดนี้ได้ผงาดขึ้นมาทักทายเสียแล้ว

เหวินฉายใบหน้าแดงก่ำยามถูกจับจ้องอย่างทะลุปรุโปร่ง แม้ว่าใจจะอยากหาอะไรสักอย่างมาปิดผิวกายมิให้ถูกจับจ้องโดยเจ้าบ้าลามกเช่นนี้ก็ตามที แต่ด้วยถูกอุ้มอยู่ในวงแขนก็มิสามารถทำสิ่งใดได้นอกเสียจาก ยอมรับมันอย่างกระดากอาย เจ้าลูกเต่าโง่เง่าตนนี้ช่างเดินช้าเสียจริง พิรี้พิไรเสียจนเขาคิดว่าหากให้เขาก้าวเดินไปเองยังเร็วกว่าเสียอีก!

ในที่สุดร่างของเหวินฉายก็มาถึงอ่างไม้ใบใหญ่ที่มีน้ำอยู่ภายในพร้อมกับกลับบุปผานานาพันธุ์ที่ส่งกลิ่นหอมผ่อนคลายให้กับร่างในอ้อมแขนอย่างดี ตัวเฉินลี่ฟู่เองก็รีบวางร่างกายของเหวินฉายลงในน้ำ ก่อนที่ตนเองจะปลดเปลื้องชุดที่สวมใส่ออกจากกายและตามลงไปอีกคน การต้องนั่งเผชิญหน้ากันในถังไม้ใบใหญ่ที่ไม่ได้ใหญ่มากมายให้หลบเลี่ยงไปที่ใดได้นั้น ช่างชวนให้เหวินฉายรู้สึกแปลกๆ วางตัวไม่ถูก สายตาของเฉินลี่ฟู่เองก็มิได้ลดความร้อนแรงลงไปเลยแม้แต่น้อย กลับยิ่งทวีคูณขึ้นเสียด้วยซ้ำ เหวินฉายพยายามหันหลังให้หากแต่มันกลับเป็นการเปิดทางให้อีกคนเสียมากกว่า เมื่อร่างบอบบางถูกดึงเข้าหาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวจนแผ่นหลังสัมผัสกับอกกว้างอย่างแรง ไหนจะแท่งพู่กันร้อนที่กำลังเสียดสีอยู่กับช่วงล่างของเหวินฉายอีกเล่า มันช่างน่าอายเสียจริงที่ต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้

“เจ้าช่างยั่วใจข้ายิ่งนัก ฉายเอ๋อร์”

“ข้ามิได้ทำอะไรเสียหน่อย เจ้ามันหื่นเองต่างหาก!” มือบางตีน้ำให้กระเซ็นเข้าใบหน้าหล่อเหลาของเฉินลี่ฟู่เต็มๆ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้โกรธกลับหัวเราะชอบใจเสียด้วยซ้ำ มือหนายกขึ้นมาลูบเอวบางอย่างหยามใจ ดวงตาหรือก็ช่างพราวระยับไปด้วยความเจ้าเล่ห์จนเหวินฉายนึกหวั่นเลยต้องรีบคว้ามือนั้นเอาไว้ ไม่ยอมให้ลูบไล้ไปไกลกว่านี้

“อย่าห่วงไปเลย ข้ามิได้จะรังแกเจ้าแต่อย่างใด ข้าเพียงจะช่วยเจ้าเอา ‘สิ่งนั้น’ ออกมาให้เจ้าได้สบายตัว”

สิ่งนั้นที่เฉินลี่ฟู่หมายถึงคงจะมิใช่สิ่งอื่นใดนอกจากหยาดหมึกสีขาวขุ่นที่อีกฝ่ายปลดปล่อยเอาไว้ในร่างของเขา เหวินฉายได้แต่นั่งหน้าแดงตัวแดงด้วยความอาย ไม่กล้าขยับพยักหน้าหรือส่ายหน้าปฏิเสธด้วยรู้ดีว่าเขาเองนั้น ไม่ได้ชำนาญเรื่องนี้จนรู้วิธีที่อีกฝ่ายกำลังบอก ใบหน้าเล็กจึงทำเพียงเอียงซบกับไหล่กว้างปล่อยกายให้อีกฝ่ายกระทำตามใจต้องการ

เฉินลี่ฟู่มองท่าทางที่โอนอ่อนลงกับผิวกายที่ขึ้นสีระเรื่อเช่นเดียวกับเสี้ยวใบหน้าที่เขาได้เห็นก็พอจะรู้ว่าเหวินฉายอายเหลือเกิน ในตอนนี้เขาจะสนใจกับความอายที่เหวินฉายแสดงออกมาไม่ได้ เฉินลี่ฟู่ค่อยๆ ไล่ปลายนิ้วลงไปจนถึงส่วนล่างที่อับสายตา ยกสะโพกบางขึ้นมาน้อยๆ ก่อนที่จะสอดปลายนิ้วเข้าไปข้างในช้าๆ ทีละนิ้ว จนจีบรักที่แดงช้ำดูดกลืนนิ้วเรียวของเฉินลี่ฟู่ทั้งสองนิ้ว

“อ๊ะ” เสียงครางหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากบางอย่างสุดจะกลั้น เมื่อถูกนิ้วเรียวทั้งสองคว้านลึกจนแตะเข้ากับจุดซ่านภายใน แท่งพู่กันสีสวยด้านหน้าเริ่มตื่นขึ้นมา ปลายพู่กันโผล่ขึ้นมาจนพ้นน้ำราวกับจะประจานความรู้สึกที่เหวินฉายกำลังรู้สึกให้ร่างหนาที่ตนกำลังพิงกายอยู่ได้รู้

เสียงหอบหายใจที่ผสมปนเปกับเสียงครางกระเส่าทุกครั้งที่เฉินลี่ฟู่ขยับปลายนิ้วเข้าออกทำให้แท่งพู่กันของร่างสูงเต้นเร่าจนปวดหนึบ อยากจะชอนไชเข้าไปสำรวจจีบบอบบางที่รัดแน่นในค่ำคืนที่ผ่านมาอีกครั้ง อยากจะขยับกายกระแทกพาแท่งพู่กันแท่งนี้เข้าไปให้ลึกที่สุดจนปลดปล่อยออกมาเมื่อถึงปลายฝัน เฉินลี่ฟู่ครางต่ำๆ ในลำคอ ยิ่งนิ้วของเขาถูกรัดแน่นเท่าไหร่ ร่างสูงก็อดจินตนาการไม่ได้ว่านั่นคือแท่งพู่กันของตนจนเผลอกดปลายนิ้วเข้าออกอย่างแรงและเร็วจนถูกเหวินฉายจิกเล็บลงบนท่อนแขนใหญ่เพื่อระบายความเสียวซ่าน

สายตาของเหวินฉายลอยไปพร้อมกับสติ ในหัวขาวโพลนจนไม่สามารถคิดอะไรได้อีก รู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่อถูกยกสะโพกขึ้นและถูกบางสิ่งแทนที่ปลายนิ้วทั้งสอง เอวบางถูกจับกดลงมาจนสูดความยาว เสียงครางดังลั่นตัวสั่นจนน่าสงสาร สองมือต้องเกาะถังไม้เอาไว้เพื่อพยุงร่างกายไม่ให้ลอยขึ้นไปพร้อมๆ กับอารมณ์ที่กำลังพุ่งขึ้นสูง

“อ๊ะๆ อ๊า อึก แฮกๆ อ๊า”

“อา ซี๊ด ฮึ่ม!” จีบรักบีบรัดจนแท่งพู่กันแทบจะแตกหัก จนเจ้าของได้แต่จับเอวบางขึ้นมาเร่งจังหวะกระแทกกายระรัวจนศีรษะเล็กต้องแหงนเงยใบหน้าขึ้นร้องครวญครางแทบไม่เป็นภาษา น้ำในถังกระเพื่อมขึ้นจนเป็นคลื่น จากความร้อนที่แสนอบอุ่นกลับกลายเป็นน้ำที่เย็นชืดแต่ความเย็นนั้นกลับไม่สามารถดับไฟรักที่แสนเร่าร้อนจากทั้งสองได้เลย แต่ความร้อนจากความเสน่หานั้นต่างหากที่เปลี่ยนความเย็นชืดให้กลับกลายเป็นอุณหภูมิที่สูงขึ้น

ร่างของเหวินฉายถูกจับโน้มไปด้านหน้าในขณะที่เฉินลี่ฟู่ขยับกายขึ้นมาดึงแท่งพู่กันร้อนเข้าออกอย่างเพลิดเพลินใจ เสียงครางกระเส่าและเสียงหอบหายใจดังขึ้นจนแยกกันแทบไม่ออก กายบางบิดเร่าพร้อมกับขยับสะโพกขึ้นรับแท่งพู่กันมากขึ้นกว่าเดิม เฉินลี่ฟู่ที่ตอนนี้ถูกบีบรัดจนหน้าเหยเกใกล้จะถึงฝั่งฝันเต็มทีจึงเอื้อมมือมาด้านหน้ากอบกุมแท่งพู่กันของคนตัวเล็กเอาไว้แน่น ขยับมือเร่งเร้าให้เหวินฉายไปถึงฝั่งพร้อมกัน จีบรักที่เริ่มบีบตัวถี่ขึ้นทำให้เฉินลี่ฟู่เร่งกายขึ้นกว่าเดิมจนเมื่อใกล้จะปลดปล่อยจึงได้ดึงแท่งพู่กันออกมาก่อนจะพ่นน้ำหมึกสีขาวลงบนแผ่นหลังเนียนแทนการปลดปล่อยเข้าสู่ภายใน ด้วยไม่อยากให้เหวินฉายต้องลำบากกับการต้องนำหยาดรักของเขาออกจากกายอีกครั้ง

มือใหญ่จับร่างของเหวินฉายให้เอนตัวลงมาพิงอก ก่อนจะอุ้มร่างเล็กๆ นั้นขึ้นจากน้ำทั้งที่เหวินฉายยังคงหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า หากใครมาพบเห็นคงจะรู้สึกว่าช่างเป็นภาพที่ชวนให้เอ็นดูเหลือเกิน แต่คงจะมิมีผู้ใดมาพบเห็นได้หรอก เพราะคนอย่างเฉินลี่ฟู่...ไม่มีทางให้ผู้ใดได้เห็นเรือนร่างของภรรยาเขาเด็ดขาด ไม่มีวัน!





•~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•





เกี้ยวสกุลลู่ถูกวางลงตรงหน้าบ้านหลังเล็กที่อยู่ห่างจากผู้คนมากมาย ความเงียบสงบยังคงเป็นเช่นวันก่อนที่นางมา แต่ครานี้มิได้เหมือนกันเพราะเขามาที่นี่เพียงลำพังแม้จะมีสาวใช้มาด้วยแต่นางก็มิได้พาหญิงผู้นั้นที่ทำให้นางเข้าใจบุตรชายผิดๆ มาให้เป็นที่รังเกียจ อี้เหม่ยหลินเดินเข้าไปด้านในอย่างองอาจ ท่าทางของนางเหมือนดั่งนางพญาที่สูงส่งจนเหล่าสาวใช้อดไม่ได้ที่จะชื่นชม

ซ่งหยุนเฟิงที่กำลังทำสมาธิได้ลืมตาขึ้นมาเมื่อรับรู้ถึงการมาของใครบางคน เขาลุกขึ้นเดินออกไปต้อนรับโดยที่สีหน้าของเขานั้นยังคงเรียบเฉย เพียงเปิดประตูออกมาซ่งหยุนเฟิงก็พบกับร่างของอี้เหม่ยหลินที่ส่งยิ้มให้เขาอย่างดีใจเหลือเกินที่ได้พบเขา ทั้งที่แววตาทั้งสองเต็มไปด้วยความรู้สึกเกรงใจเหลือเกินที่ต้องมารบกวนซ่งหยุนเฟิงอีกครั้ง ซ่งหยุนเฟิงยิ้มรับก่อนจะเดินออกมาหาด้วยท่าทีที่สำรวม

“ฮูหยินลู่ มีธุระอันใดกับข้าหรือ?” อี้เหม่ยหลินลังเลที่จะพูดออกมา แต่เมื่อมาถึงที่แล้วจะให้กลับไปมือเปล่าก็มิใช่เรื่องที่นางจะยอมรับ

“อภัยที่ข้ามารบกวนท่านนักพรต เพียงแต่ข้าอยากจะเชิญท่านไปที่จวนของข้า ได้หรือไม่เจ้าคะ” มือหนายกขึ้นลูบเคราตนเองก่อนจะครุ่นคิด แต่เมื่อได้เห็นแล้วว่าท่าทีของฮูหยินลู่นั้นไม่เหมือนเก่า มิได้มีความหวาดกลัวและโกรธเคือง กลับมีเพียงความแคลงใจต่อบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น ซ่งหยุนเฟิงจึงมีท่าทีที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาทำงานด้านนี้ก็จริงอยู่ แต่เขามิเคยได้ดูถูกดูแคลนหรือรังเกียจพวกปีศาจและวิญญาณใดๆ เลย เหตุเพราะทุกสิ่งล้วนมีเหตุและผลที่ยังคงอยู่ ทุกชีวิตย่อมมีความต้องการที่ยังไม่สมบูรณ์ทั้งนั้น

อี้เหม่ยหลินรู้สึกแปลกใจ ที่เมื่อมองดีๆ อีกครั้งสายตาที่เคยเย็นชานั้นกลับกลายเป็นความอ่อนใจ นี่นางทำสิ่งใดผิดหรือไม่นะ หรือนางจะรบกวนท่านนักพรตเกินไป อี้เหม่ยหลินอดไม่ได้ที่จะละอายแก่ใจ ด้วยนางรู้ดีว่าการมาของนางในทุกครั้งล้วนแต่นำปัญหามาให้นักพรตซ่งช่วยล้วนๆ คราวก่อนก็เรื่องยันต์ ครานี้นางยังคิดจะให้ท่านนักพรตช่วยยืนยันว่าหยางเถานั้นเป็นปีศาจจริงหรือไม่

“ต้องขออภัยฮูหยินลู่จริงๆ แต่ในคืนนี้นั้นข้ามิอาจจะไปที่จวนของท่านได้...แต่ถ้าหากเป็นคืนพรุ่งนี้ ยามซวี ข้าพอจะมีเวลาอยู่บ้าง” เหม่ยหลินที่คราแรกได้ยินคำปฏิเสธนั้นย่อมมีสีหน้าผิดหวังอยู่บ้าง แต่เมื่อซ่งหยุนเฟิงกล่าวออกมาว่าเป็นคืนพรุ่งนี้ นางจึงยิ้มออกมาอย่างดีใจ

“ได้เจ้าค่ะ ขอเพียงท่านนักพรตยอมไปที่จวนของข้าเพื่อยืนยันบางสิ่ง ข้าก็ขอบคุณท่านมากแล้ว” เหม่ยหลินหยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อของตนเองก่อนจะยื่นออกไปให้ซ่งหยุนเฟิง

“นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าค่ะ” ซ่งหยุนเฟิงยื่นมือออกมารับถุงเงินก่อนจะเปิดมันออกและหยิบเงินออกมาเพียงสองก้อนเท่านั้น ก่อนที่จะยื่นถุงเงินคืนกลับไปให้อี้เหม่ยหลิน

“ข้ารับได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือก็ขอให้ท่านนำไปทำบุญเถิด”

“เจ้าค่ะท่านนักพรต ขอบคุณท่านมาก ข้าและครอบครัวจะรอท่านในคืนพรุ่งนี้ยามซวีนะเจ้าคะ” เหม่ยหลินรับถุงเงินคืนและย้ำวันเวลาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ซ่งหยุนเฟิงเพียงแค่พยักหน้ารับ ก่อนจะส่งอี้เหม่ยหลินขึ้นเกี้ยวกลับไป

ใครเล่าจะรู้ว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาของเพ่ยเยว่เผิงทั้งสิ้น นางได้แต่กำมือแน่นมองร่างของอี้เหม่ยหลินในเกี้ยวด้วยความคับแค้นใจ หากเป็นเช่นนี้แล้วคงไม่พ้นว่าท่านป้าคงไม่เชื่อในคำของนางที่บอกไป ก็ดี...ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องดีต่อกันอีก! เพ่ยเยว่เผิงมองร่างของสาวใช้ที่นางให้ไปลอบฟังการสนทนาของอี้เหม่ยหลินและซ่งหยุนเฟิงวิ่งกลับมาหานาง ใบหน้าของนางนั้นบัดนี้ล้วนเต็มไปด้วยความโกรธแค้นใจจนแทบจะเก็บเอาไว้ไม่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดที่อี้เหม่ยหลินและสกุลลู่คิดจะกระทำ นางจะไม่มีวันให้มันจบลงอย่างเป็นสุข

เมื่อนางมิใช่ผู้ที่ได้ครอบครอง ก็ไม่สมควรที่ผู้ใดจะได้เช่นกัน!

“ว่าอย่างไร...”

“เรียนคุณหนู ข้าน้อยได้ยินฮูหยินลู่เชิญท่านนักพรตซ่งไปหาที่จวนเจ้าคะ” เพ่ยเยว่เผิงขมวดคิ้ว แต่สายตากลับมิได้ลดความโกธาลงเลยแม้แต่น้อย

“เชิญไปเพื่ออะไร”

“เอ่อ...ข้าน้อยมิแน่ใจ ตะ แต่ ได้ยินว่าจะให้ท่านนักพรตซ่งไปเพื่อยืนยันบางสิ่งเจ้าค่ะ ข้าน้อยได้ยินเพียงเท่านั้นเจ้าค่ะคุณหนู” นางรีบละล่ำละลักตอบอย่างเกรงๆ เมื่อถูกเพ่ยเยว่เผิงจับจ้องด้วยความไม่พอใจ

“ยามใด?”

“ยามซวีเจ้าค่ะ”

เพ่ยเยว่เผิงที่ได้ยินคำตอบที่พึงพอใจก็หมุนตัวเดินออกไปจากจุดที่กำลังยืนอยู่ทันที ตลอดทางที่นางเดินผ่านสายตาที่จับจ้องมาล้วนแต่เป็นชายหนุ่มมามากมายที่หวังจะได้แต่งนางมาเป็นภรรยา หากแต่ใครเล่าจะกล้าเด็ดดอกฟ้า เพียงได้มองอยู่ก็เกินจะฝันแล้ว เหล่าชายหนุ่มมีสีหน้าเพ้อฝัน ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าเทพธิดาแสนงดงามจะชายตาแลพวกเขาบ้าง แต่ฝันก็คือฝัน มิใช่ความจริง เมื่อความเป็นจริงนั้นในความคิดของผู้ที่ทุกคนมองว่าเป็นเทพธิดานั้น ช่างเต็มไปด้วยความดำมืดเสียเหลือเกิน

ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยฉายความงดงามที่หญิงสาวทุกคนพึงปรารถนานั้นมีแต่ความโหดเหี้ยมเต็มไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดและเกลียดชัง ดวงตาคู่หวานแข็งกร้าวไปหมด มือทั้งสองใต้แขนเสื้อนั้นกำแน่นจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บ

จะมีความสุขกันไม่ได้ จะรักกันไม่ได้ ผู้ที่คู่ควรแก่ลู่เฟยหลงคือนางต่างหากมิใช่ผู้อื่น!

นางผู้เดียวเท่านั้นที่สมควรจะได้ในสิ่งที่ดีที่สุด

ยาวซวีในคืนพรุ่งนี้นางจะไม่มีวันให้ทุกอย่างจบอย่างสวยงาม หากว่าอี้เหม่ยหลินคิดจะตักน้ำ นางจะทำลายถัง หากอี้เหม่ยหลินคิดจะจุดไฟ นางก็จะทำลายทิ้ง ไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม นางจะไม่มีทางคอยสนับสนุน หากผู้อื่นรู้เล่าว่าคนผู้นั้นเป็นปีศาจ? จะเกิดสิ่งใดขึ้นกัน ความโกลาหลที่แสนน่าสนใจนั้นคงจะดับความเกลียดชังของนางได้บ้าง คืนพรุ่งนี้ยามซวี...นางจะทำเรื่องสนุกให้ดูเอง

เจ้าผิดเองนะลู่เฟยหลงที่ไม่เลือกข้า งั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะมีความสุข!
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 18. up.17/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 17-03-2019 11:12:00
ในที่สุดค่ำคืนที่ลาเหม่ยหลินรอคอยก็มาถึง เมื่อวานนี้นางบอกกล่าวแก่บุตรชายแล้วว่านักพรตซ่งหยุนเฟิงจะมาที่นี่เพื่อยืนยันว่าหยางเถานั้นมิใช่ปีศาจดังที่ถูกกล่าวหา แม้ว่านางจะไม่แน่ใจนักในเรื่องนี้แต่ก็ยังดีกว่าให้ยอมรับไปโดยไม่ได้ทำสิ่งใดเป็นการพิสูจน์เลย สำหรับหยางเถานั้น นางมิใช่ว่าไม่เอ็นดู เพียงคำว่าเอ็นดูกับความรักที่นางมีให้บุตรชายนั้น หากมันจำเป็นต้องเลือกแล้วละก็ นางก็คงขอหลับหูหลับตาเลือกบุตรชายของนางจะดีกว่า

ลู่จิ้นเหอผู้เป็นสามียืนเคียงข้างฮูหยินของตนราวกับต้องการจะให้กำลังใจในความจริงที่กำลังจะได้เผชิญในอีกไม่ช้า ตัวลู่จิ้นเหอเองนั้นมิได้สนใจอะไรในเรื่องนี้เลยสักนิด ติดเพียงว่าบุตรชายของเขานั้นทุกข์ทรมานกับความรักครั้งนี้มาเพียงพอแล้ว และสิ่งที่ฮูหยินของเขากระทำนั้นมันก็ดูจะรุนแรงเสียจนใกล้จะเกินความควบคุมไปไกล ซึ่งเขาที่เป็นหัวเรือใหญ่จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงไม่ได้ งานในเมืองหลวงไม่มียิ่งเป็นการดีที่จะได้จัดการเรื่องวุ่นวายในจวนของเขาให้หมดไป หากจะเกลียดชังกันตั้งแต่แรกพบ เขาคงไม่รู้สึกโกรธขนาดนี้ แต่นี่ความเกลียดชังของอี้เหม่ยหลินล้วนแต่มาจากความกลัวไปเองทั้งสิ้น ไหนจะปัญหาที่นางก่อเอาไว้ผู้นั้นอีกเล่า ถึงขนาดกล่าวหาว่าถูกบุตรชายของเขากระทำการย่ำยีเช่นนี้ เขาคงมิอาจยอมรับเข้ามาเป็นสะใภ้ไปได้หรอก!

ซ่งหยุนเฟิงถูกบ่าวรับใช้นำทางมายังตัวสวนของบ้าน เพียงก้าวเท้าเข้ามาซ่งหยุนเฟิงก็ต้องหยุดชะงักลง ก่อนจะก้าวเดินอีกครั้งทั้งที่ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจเสียเหลือเกิน กลิ่นอายที่แปลก ที่ตัวเขาเองไม่สามารถจะอธิบายได้นั้นไม่ใกล้เคียงคำว่าปีศาจเลยสักนิด ปราบมารกำจัดปีศาจมาหรือก็มาก แต่มิเคยมีครั้งใดที่กลิ่นอายของพวกมันจะบริสุทธิ์เช่นนี้ แต่ภายในความบริสุทธิ์นั้นกลับถูกเจือปนไปด้วยไอจันทรา มันช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน

อยากเห็นปีศาจตนนี้เสียแล้วว่าจะมีหน้าตาเช่นไร!

เมื่อร่างของซ่งหยุนเฟิงมาถึงสวนพฤกษาก็ยิ่งตกตะลึงกับความงดงามจากมวลดอกไม้ทั้งหมดนี้ แม้ว่าในยามนี้จะมิได้เบ่งบานแต่มันกลับถูกโอบล้อมไปด้วยความน่าหลงใหล แต่สิ่งที่สะดุดใจของซ่งหยุนเฟิงมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือต้นท้อต้นใหญ่ที่มีลำต้นแข็งแรงซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยดอกท้อสีชมพูที่กำลังจะเบ่งบานรับแสงจันทรา ภาพตรงหน้าช่างงดงามไร้ที่ติ ชวนให้หลงใหลราวกับสวนบนสรวงสวรรค์ จะต้องมีบุญสักเพียงใดกันหนอ จึงจะได้ครอบครองสวนที่งดงามเช่นนี้

“ท่านนักพรต มาแล้วหรือเจ้าคะ” ซ่งหยุนเฟิงหลุดออกจากภวังค์ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกจากอี้เหม่ยหลิน เขามิเคยถูกดึงดูดขนาดนี้มาก่อน มิเคยคิดว่าจะมีสิ่งใดมารบกวนสมาธิที่เขามั่นใจมาตลอดว่าแข็งได้ แต่วันนี้กลับถูกความงดงามของสวนพฤกษาทำให้ตกอยู่ในภวังค์ได้

แต่นั่นยังไม่เท่ากับความโศกเศร้าที่แผ่ซ่านออกมาจากต้นท้อต้นนั้น

ความโศกเศร้าที่มีมาเนิ่นนานเกินกว่าจะสามารถบรรยายออกมาเป็นวาจาได้ ต้องเจ็บปวดมากเพียงใดกันนะ ต้องเจอเรื่องเลวร้ายขนาดไหน ต้นท้อที่ควรจะถูกโอบล้อมด้วยความรักจึงได้มีแต่กลิ่นอายแห่งความโศกศัลย์เช่นนี้

“อืม...ต้นไม้ต้นนั้นนะหรือ” เหม่ยหลินก้มลงมองมือตนเองก่อนจะตอบคำถามของซ่งหยุเฟิง

“ใช่เจ้าค่ะ ต้นท้อต้นนั้นคือสิ่งที่ข้า...ได้ไปพบกับท่านคราก่อน”

“ท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?” ซ่งหยุนเฟิงไม่คิดจะอ้อมค้อม เอ่ยถามความต้องการจากอี้เหม่ยหลินอย่างตรงไปตรงมา

“ท่านนักพรตซ่ง...โปรดรอก่อนเถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้ ข้าจะให้คนไปบุตรชายของข้ามาเสียก่อน” ซ่งหยุนเฟิงพยักหน้ารับ ยอมยืนรอพร้อมกับสังเกตต้นท้อต้นนี้นิ่งๆ ความสงสัยยังคงมีอยู่เต็มหัวใจของเขา แต่ตอนนี้เขาทำได้แค่เพียงรอเท่านั้น รอให้คนผู้นั้นที่เป็นดั่งเมล็ดได้ออกมาเสียก่อน

เพียงไม่นานลู่เฟยหลงก็เดินออกมาจากห้อง ใบหน้าที่หล่อเหลาไร้ซึ่งความกลัวใดๆ ที่อยู่ในใจ เขามีแต่ความเชื่อมั่นว่าหยางเถาของเขานั้นมิใช่ปีศาจดังที่ทุกคนเรียกขาน ซ่งหยุนเฟิงมองวิเคราะห์ใบหน้าของลู่เฟยหลงอย่างพินิจพิเคราะห์แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อใบหน้าที่แสนหล่อเหลานั้นไม่มีแม้แต่ร่องรอยสีดำจากการถูกสะกดจากปีศาจสักนิด หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เหตุใดลาเหม่ยหลินผู้เป็นมารดาจึงได้บอกกล่าวแก่เขาในคราแรกว่าบุตรชายถูกปีศาจล่อลวงกัน

ลู่เฟยหลงไม่สนใจสิ่งใด ฝีเท้าของเขาก้าวตรงไปยังด้านหน้าของต้นท้อต้นใหญ่ที่มีดอกท้อเบ่งบานอยู่อย่างอ่อนโยน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าจนซ่งหยุนเฟิงต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจว่าลาเฟยหลงจะทำสิ่งใด แต่ไม่มีสิ่งใดเลยที่ลู่เฟยหลงกระทำ เพียงแค่เขายืนอยู่เบื้องหน้าต้นท้อก็ปรากฏแสงสีเขียวคล้ายหิ่งห้อยออกมาก่อนที่แสงนั้นจะรวมตัวกันเป็นชายหนุ่มร่างบอบบางผู้มีเส้นผมสีเงิน ซ่งหยุนเฟิงตกตะลึงกับความงดงามที่หยางเถามี กลิ่นอายที่แสนบริสุทธิ์ยิ่งชัดเจนขึ้นทุกครั้งที่หยางเถาขยับกายเข้ามาใกล้ ในคราแรกนั้นเขาเพียงคิดว่าที่นี่มีเทพคอยคุ้มครอง แต่ไม่ใช่เลย กลิ่นอันบริสุทธิ์กลับมาจากคนผู้นี้ต่างหาก

นี่นะหรือปีศาจ เป็นไปไม่ได้! ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีเงินผู้นี้มิใช่ปีศาจแน่ๆ ไม่มีทาง!

“ท่านนักพรต ข้ามีนามว่าหยางเถา ยินดีที่ได้พบท่าน” รอยยิ้มอ่อนหวานช่างดึงดูดใจซ่งหยุนเฟิงยิ่งนัก แต่สิ่งที่ทำให้ซ่งหยุนเฟิงขมวดคิ้วคือกลิ่นอายจันทราที่ลอยออกมาจากตัวของหยางเถา ชายหนุ่มผู้มีกลิ่นที่บริสุทธิ์เหตุใดจึงได้มีกลิ่นอายของจันทราอยู่ด้วยกัน ปกติแล้วผู้ที่จะมีกลิ่นอันบริสุทธิ์เช่นนี้ได้ จะต้องเป็นเทพบนสวรรค์เท่านั้น ยิ่งกลิ่นอายเข้มข้นมากเท่าใด เทพองค์นั้นยิ่งสูงศักดิ์มากยิ่งขึ้น และกลิ่นที่เขาสัมผัสได้จากหยางเถาผู้นี้ มิได้เบาบางเลยแม้แต่น้อย มันเข้มข้นเสียจนอดคิดไม่ได้ว่า ชายผู้นี้คือเทพที่สูงศักดิ์สักเพียงใด จึงได้มีกลิ่นอายที่แสนบริสุทธิ์อย่างที่เขาไม่เคยได้พานพบมากก่อน

เป็นบุญของข้าแล้ว ช่างเป็นวาสนาของข้าเหลือเกิน

“ยะยินดี ข้ายินดีเหลือเกินที่ได้พบกับท่าน ไม่ทราบว่าท่านคือเทพเซียนองค์ใดหรือขอรับ” อี้เหม่ยหลินเบิกตากว้างอย่างตกใจยามได้ยินคำถามที่ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากของซ่งหยุนเฟิง เทพเซียนเลยหรือ! มิใช่ปีศาจหรอกหรือนี่!

“มะ มิใช่ๆ ข้ามิได้เป็นเทพหรือเซียนเลย ข้าเป็นเพียงจิตวิญญาณจากต้นท้อที่มีอายุกว่าพันปีเท่านั้น” หยางเถารีบแก้ไขความเข้าใจผิดด้วยกลัวว่าจะกลายเป็นการลบหลู่แก่พวกเหล่าเทพและเซียนทั้งหลายที่ตัวเขานั้นต้อยต่ำแต่กลับถูกเรียกขานดังพวกเขา

“เป็นไปไม่ได้! จิตวิญญาณใดกันจะมีกลิ่นอายที่แสนบริสุทธิ์เช่นนี้! ขนาดเทพเซียนบางคนยังมิสามารถมีกลิ่นอายบริสุทธิ์ได้เท่ากับท่านเลย แปลก...นี่มันแปลกเกินไปแล้ว” เมื่อถูกขัดแย้งออกมาด้วยเหตุผลและคำยืนยัน อี้เหม่ยหลินยิ่งไม่เข้าใจ เมื่อมองใบหน้าของเฟยหลงเองก็มิได้แสดงความตกใจใดๆ จะมีก็เพียงแค่คิ้วเข้มเท่านั้นที่ขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยเช่นเดียวกับนาง

“ท่านนักพรตซ่ง ตกลงแล้วหยางเถาคือสิ่งใดกันแน่เจ้าคะ?”

“ฮูหยินลู่...ข้าขอเรียนท่านตามตรง ตัวข้านั้นล้วนแต่พบเจอมารปีศาจมาก็มาก ข้าสามารถแยกพวกมันออกจากมนุษย์ได้โดยง่ายเช่นกัน แต่สำหรับเขานั้น...ข้ายืนยันได้เพียงแค่ว่า เขามิใช่ปีศาจ แต่หากจะถามข้าว่าเขาคือสิ่งใด ข้า...ไร้ความสามารถที่จะระบุได้จริงๆ” ซ่งหยุนเฟิงไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้วันที่เขาไม่สามารถบอกได้ว่าบุรุษผมสีเงินตรงหน้าคือสิ่งใด ทั้งที่มิใช่มนุษย์ มิใช่มารหรือปีศาจ แต่เจ้าตัวก็เอ่ยบอกอย่างไม่ปิดบังว่ามิใช่เทพเซียน เป็นเพียงจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเช่นไร วิญญาณนั้นก็ไม่สามารถชำระล้างให้ตนเองบริสุทธิ์เช่นนี้ได้หรอก

“ข้าขอถามสักคำเถิด เพราะเหตุใดท่านจึงได้มีไอจันทราแทรกซึมอยู่ในดวงจิต?”

“เรื่องนี้ข้าคงต้องเล่าตั้งแต่ต้น...” หยางเถาเล่าทุกอย่างอย่างไม่คิดปิดบังด้วยคนที่ยืนอยู่นั้นมีเพียงแค่ลู่จิ้นเหอ อี้เหม่ยหลิน ลู่เฟยหลงและซ่งหยุนเฟิงเท่านั้น ทุกคนที่ได้ยินเรื่องราวการแลกเปลี่ยนจิตวิญญาณกับร่างกายมนุษย์ก็พากันตกใจ อี้เหม่ยหลินละอายนักที่ทำสิ่งเลวร้ายลงไปกับหยางเถาทั้งที่ความรักของหยางเถาที่มีต่อเฟยหลงนั้นมากมายเสียจนสามารถสละได้ในทุกสิ่งเพียงแค่สามารถใช้เวลาร่วมกันได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

น้ำตาของนางไหลริน ความรู้สึกสงสารเกิดขึ้นในหัวใจจนอยากจะโขกศีรษะขอโทษร่างบอบบางตรงหน้า ตลอดเวลาที่ผ่านมาหยางเถาอยู่กับความโศกเศร้ามานับพันปี แต่นางกลับยิ่งเพิ่มความเศร้าหมองให้มากขึ้น ซ้ำยังกีดกันความสุขเพียงหนึ่งเดียวของหยางเถา ทำร้ายจิตใจอันแสนบอบบางได้อย่างไม่น่าให้อภัย จิ้นเหอได้ฟังก็รู้สึกสะท้านในใจตนเอง ตัวเขานั้นมิเคยคิดเลยว่าจะมีผู้ใดเสียสละได้มากมายเช่นนี้เพื่อบุตรชายของเขา ในยามนี้เขาเข้าใจความรู้สึกที่อี้เหม่ยหลินผู้เป็นภรรยากำลังเผชิญดี

รู้สึกผิด ละอายแก่ใจ และสงสาร

ทุกอย่างมันช่างพาให้หัวใจโศกเศร้าไปตามสายตาคู่สวยที่ยังคงเอ่ยเล่าไม่มีหยุดอย่างไม่อาจจะควบคุมได้ ซ่งหยุนเฟิงถอนหายใจออกมาเมื่อได้ฟังเรื่องราวจนจบ เขารู้แล้วว่าเพราะเหตุใดแต่ตอนนี้เขากำลังสงสัยมากกว่าว่าบุรุษผู้มีกลิ่นอันแสนบริสุทธิ์ผู้นี้คืออะไรกันแน่ หนำซ้ำจิตวิญญาณธรรมดาคงไม่สามารถร้องขอต่อองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ได้ ความพิเศษของคนผู้นี้อยู่ตรงไหนกันหนอ ความลับที่ยังไม่ได้รับการเฉลยนี้ เขาควรจะหาหีบที่เก็บซ่อนมันจากที่ใด

หรือความลับของคนผู้นี้ จะเป็นความลับของสวรรค์?

“เรื่องนี้อย่าได้แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด นี่อาจจะเป็นความลับสวรรค์ที่สกุลลู่ได้รับหน้าที่ให้ปกป้องเอาไว้ก็เป็นได้” ซ่งหยุนเฟิงพูดออกมาเมื่อคิดบางสิ่งขึ้นมาได้

“ข้าให้คำสัตย์! ด้วยเกียรติของข้าแม่ทัพลู่จิ้นเหอ จะไม่มีวันแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปอย่างเด็ดขาด!” จิ้นเหอกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและขึงขัง ตัวเขานั้นไม่เคยคิดว่าจะป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปอย่างแน่นอน และจะไม่ยอมให้ผู้ใดพูดเช่นกัน

เมื่อทุกอย่างคลี่คลายซ่งหยุนเฟิงก็กลับไปด้วยความรู้สึกค้างคาใจ แต่จะให้ไปเอ่ยถามหาคำตอบจากผู้ใดก็คงมิได้ ในตอนนี้จึงเหลือเพียงอี้เหม่ยหลิน ลู่จิ้นเหอและลู่เฟยหลงกับหยางเถาเท่านั้น ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาจนจุกอก ลู่จิ้นเหอได้แต่กุมมือของอี้เหม่ยหลินอยู่แบบนั้นเพียงเพื่อจะให้กำลังใจแก่ฮูหยินของตน เหม่ยหลินเองก็รู้สึกได้ภึงแรงกระชับที่มือของตนก็ยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น สายตาของนางจ้องมองหยางเถาที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งซาบซึ้งในความรักที่มีต่อบุตรชายของนาง ทั้งความสงสารที่หยางเถาได้รับแต่ความโศกเศร้า และความรู้สึกผิดที่บัดนี้มีอยู่จนล้นหัวใจ

อี้เหม่ยหลินเดินออกมาข้างหน้า ก่อนจะหยุดลงที่ตรงเบื้องหน้าของบุรุษผมสีเงิน สายตาของนางมองหยางเถาอย่างชื่นชมและขอบคุณ สิ่งที่คนเป็นแม่จะกล่าวให้แก่เด็กหนุ่มผู้นี้คงจะมีเพียงคำเดียวเท่านั้น

“หยางเถา ป้า...ไม่สิ แม่ต้องขอโทษเจ้าด้วยที่เคยทำไม่ดีกับเจ้าในคราก่อน แม่ผิดเองที่ตัดสินเจ้าจากความกังวล จนทำให้เจ้าต้องเจ็บปวดทรมานเช่นนี้ แม่ละอายใจต่อเจ้าเหลือเกิน” นางรู้สึกในทุกคำที่กล่าวมา จนต้องผินหน้าอย่างไม่อาจจะสู้หน้าได้ หยางเถาที่คิดว่าจะถูกขับไล่และคงจะถูกรังเกียจนั้นกลับต้องเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความแปลกใจ แต่หยาดน้ำตาบนใบหน้าของอี้เหม่ยหลินนั้นกลับย้ำว่าสิ่งที่หยางเถาได้ยินนั้นหาใช่เพราะหูฝาดไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างคือความจริง

มือบางของหยางเถาปาดหยาดน้ำตาบนใบหน้าของอี้เหม่ยหลินอย่างอ่อนโยน ใจของหยางเถามิเคยนึกโกรธเคืองใดๆ เลย กลับกัน...ยังเถาเองก็นึกรักเคารพรักดั่งมารดาของตนเอง ถึงแม้ว่าหยางเถาจะไม่เข้าใจในความรักของมารดาที่มีต่อบุตร แต่ส่วนลึกของจิตใจกลับรู้สึกว่าเข้าใจมันได้ดีเสียอย่างนั้น รอยยิ้มที่หยางเถาส่งให้อี้เหม่ยหลินอย่างอ่อนโยนจนเหม่ยหลินต้องร่ำไห้ออกมาอย่างไม่อายฟ้าดิน สองมือโอบกอดหยางเถาจนแน่น ใจนางนั้นคิดแต่ว่า ทั้งที่บุรุษตรงหน้าผู้นี้ช่างดีแสนดีเหลือเกิน แต่นางกลับ...ทำเรื่องโหดร้ายต่อหยางเถา หนำซ้ำเมื่อพ้นเรื่องราว เพียงนางเอ่ยขอโทษกับเรื่องราวที่ผ่านพ้น หยางเถาไม่เพียงไม่นึกโกรธใดๆ กลับยังยิ้มให้ราวกับว่าที่แล้วมามิได้เกิดสิ่งใดขึ้นเลย

“ฮูหยินอย่างร้องไห้เลยนะขอรับ ข้ามิได้โกรธเคืองใดๆ เลย”

“หากมิโกรธเคืองข้า...เหตุใดมิยอมเรียกข้าว่าท่านป้าเช่นเคยเล่า” หยางเถาถูกมือบางของเหม่ยหลินดันกายออก นางเช็ดเอาน้ำตาบนใบหน้าตนเองออก พร้อมกับจ้องมองใบหน้าใต้เส้นผมสีเงินอย่างเอ็นดูเฉกเช่นเมื่อคราก่อน

“ข้า...เข้าใจแล้วขอรับท่านป้า ข้ามิได้เคืองโกรธท่านป้าแม้แต่น้อยเลยขอรับ”

หยางเถาเงยหน้าขึ้นมองลู่จิ้นเหอที่ส่งยิ้มอ่อนมาให้ตนก่อนจะยิ้มตอบกลับไป ใบหน้าของหยางเถาในยามนี้นั้นเปล่งประกายไปด้วยความสุขที่ล้นปริ่มโดยไม่รู้เลยว่าความสุขที่กำลังมีอยู่นั้นได้อยู่ในสายตาของชายแปลกหน้าผู้หนึ่งบนหลังคาที่กลมกลืนไปกับความมืดจนมิมีผู้ใดทันสังเกตเห็น แววตาของคนแปลกหน้าผู้นั้นวาววับจ้องมองและจดจำใบหน้าของคนผู้นั้นจนขึ้นใจ

ร่างลึกลับกระโดดลงจากหลังคาอย่างแผ่วเบา วิ่งมาอีกทางที่มีร่างบอบบางใบหน้าแสนสวยที่ถูกผ้ามือบางปกปิดเอาไว้ราวกับมิต้องการให้ผู้ใดรู้ได้ว่าตนเองนั้นคือใคร สายตาหวานหยดย้อยมองร่างของชายลึกลับที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยความดุดัน ยืนรอมานานแสนนานจนนางนั้นแทบจะทนรอไม่ไหว คิดอยากจะเดินไปเองนั้นก็เกรงว่าจะถูกครหาว่าร้ายเป็นหญิงเดินไปจวนบุรุษในยามค่ำคืน มันคงมิดีต่อชื่อเสียงของนาง

“เป็นอย่างไร! จำหน้าของมันได้หรือยัง” น้ำเสียงหวานเต็มไปด้วยความคับแค้นใจอย่างที่สุด

“แน่นอนขอรับ ข้าจดจำได้อย่างดี”

“ดี! ดียิ่งนัก! เช่นนั้นเจ้าจงไปทำตามที่ข้าสั่ง อย่าลืมว่าต้องเน้นย้ำให้ผู้คนได้รู้ ว่ามันผู้นั้นเป็นปีศาจ!” รอยยิ้มเหี้ยมโหดสุดสมใจปรากฏขึ้นใต้ผ้าบาง ดวงตากน้าวไปด้วยไฟแห่งโทสะที่ยากจะดับ ถุงเงินถูกยื่นให้ชายลึกลับทันที

“คุณหนูเพ่ยช่างใจกว้างยิ่งนัก อย่าได้กังวลไป เรื่องนี้จะต้องเล่าลือไปทั่วทั้งเมืองอย่างแน่นอน ฮ่าๆ”

เพ่ยเยว่เผิงยิ้มพอใจในคำของบุรุษตรงหน้า ในใจนางยามนี้เต็มตื้นไปด้วยความสะใจและสมใจอย่างยิ่ง เฝ้ารอเพียงเมื่อถึงวันพรุ่งนี้ หากประกาศถูกติดออกไปทั้งเมืองซิ่นจือคงมีคำล่ำลือถึงปีศาจร้ายที่อาศัยอยู่จวนสกุลลู่ อยากรู้นักว่าสกุลลู่จะทำเช่นไรกับข่าวลือเช่นนี้

ฮึ! พวกท่านผิดเองที่ไม่เลือกข้า แต่กลับเห็นดีเห็นงามกับเจ้าปีศาจตนนั้น!



TBC



กลับมาต่อแล้วจ้าาาาา คิดถึงแมวกันไหม ในที่สุดความจริงก็เปิดเผย น้องไม่ใช่ปีศาจนะจ๊ะ คำว่าอภัยเป็นเหมือนการเปิดใจให้โอกาสคนที่ทำผิด ซึ่งบางครั้งมันก็จำเป็นอย่างมากสำหรับคนบางคน เพราะอย่างนั้น อภัยให้กันบ้างนะคะ (^_^)

หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 18. up.17/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-03-2019 13:39:21
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 18. up.17/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 22-03-2019 21:26:48
รออ่านต่อค่ะ ชอบบบบ :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 19. up.19/07/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 19-07-2019 00:11:37
[19]


ชาวบ้านต่างพากันให้ความสนใจกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกปิดไปทั่ว ไม่ว่าจะเดินผ่านไปที่ใดก็มักจะพบเห็นกระดาษแผ่นนี้อยู่เสมอ เสียงซุบซิบพูดคุยดังขึ้นจากหนึ่งเพิ่มเป็นสองและเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุด เสียงเล่าลือดังไปทั่วอย่างรวดเร็วถึงเนื้อความในใบประกาศนั้น ทั้งที่ยังไม่มีใครรู้ได้เลยว่าเนื้อความในประกาศนั้นจริงเท็จแค่ไหน แต่คำที่แสนน่ากลัวที่ถูกจั่วหัวเอาไว้ย่อมมีอิทธิพลมากกว่าที่จะสืบหาความจริง

“เจ้าเชื่อมันหรือไม่ล่ะ เนื้อความในประกาศนั่น” ชายผู้หนึ่งที่กำลังขายเนื้อหมูเอ่ยถามกับหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าร้านของเขา

“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ นะ แต่ช่วงนี้ข้าเองเมื่อเดินผ่านบ้านสกุลลู่ ข้าก็รู้สึกแปลกๆ ขนแขนข้าหรือลุกซู่เสียทั้งตัว” นางลูบแขนตนเองให้ดูราวกับว่าในยามนี้มันก็ยังไม่หาย “ได้ยินว่าที่บ้านสกุลลู่เองก็มีต้นท้อประหลาดอยู่ต้นหนึ่งที่มิยอมผลิดอกออกผลใดๆ มานานนับพันปี ข้าเองยังสงสัยว่ามันอาจจะเป็นที่อาศัยของเจ้าสิ่งนั้น มิเช่นนั้นจะมีหรือที่มันจะไร้ดอกไร้ผลเช่นนี้”

“ข้าเองก็เคยเห็น ปีศาจเดินออกมาจากกำแพงบ้านสกุลลู่เช่นกัน ข้าว่าแล้วว่ามันจะต้องเป็นปีศาจ!” หลายปากหลายคนต่างพูดคุยกันในเรื่องเดียวหากแต่ความจริงเป็นเช่นไรไม่มีใครรู้ บางคนเล่าลือเสียเกินจริง ว่าถูกปีศาจที่เขาพูดถึงกันหลอกหลอน ซ้ำยังเกือบจะถูกดูดกลืนวิญญาณไปก็มี แต่ไม่ใช่กับชายคนนี้ เขามีรอยบากที่หน้าเป็นรอยใหญ่ ตัดผ่านผิวแก้มไปเป็นทางยาว รอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์นั้น บ่งบอกได้อย่างดีว่าเขาช่างพูดเสียเหลือเกิน

“เห็นท่านพูดถึงปีศาจ ใช่ตนนั้นที่อยู่ในสกุลลู่หรือไม่” ทั้งสองหันมามองผู้มาใหม่อย่างฉงนใจ กลิ่นเหล้าแรงเสียจนนางต้องหันหน้าหนีไปไกล

“ใช่แล้วพี่ชาย เจ้าเคยพบมันหรือ?” ชายผู้นั้นเพียงยิ้มเยาะ พร้อมกับตบโต๊ะเสียดังลั่นจนเนื้อหมูแทบจะกระเด็นหล่นไป

“เคยเจอหรือ! ข้าได้ยินมาต่างหากว่ามันใช้เสน่ห์ล่อลวงคุณชายลู่เสียจนหัวปักหัวปำ อีกทั้งยังล่อลวงคนในจวนไม่เว้นแม้แต่ท่านแม่ทัพเอง มันคงคิดว่าจะดูดกลืนวิญญาณน่ะสิ หากมันดูดจนหมดทุกคนแล้ว คงเป็นเจ้า หรือเจ้า หรือข้าที่จะเป็นรายต่อไป!” สิ้นเสียงของชายผู้นั้น ใบหน้าของพ่อค้าหมูและหญิงผู้นั้นก็เริ่มซีดเซียว หากปีศาจมันออกมาเที่ยวไบ่ฆ่าพวกเขา พวกเขาก็คงไม่สามารถหนีรอดจากมันไปได้แน่ ยิ่งหากเมื่อท่านแม่ทัพลู่ที่แสนเก่งกาจถูกล่อลวงด้วยมนต์ปีศาจเช่นนี้ มีหรือที่พวกเขาจะรอด

ชายหน้าบากเดินออกมาด้วยรอยยิ้มสมใจ ยิ่งเติมสีเติมไข่ทุกอย่างก็จะยิ่งง่ายดายขึ้น แค่เพียงลมปากคนข่าวลือก็ดังสะพัดไปไกลมันไม่เห็นจะยากอะไร เพียงแค่บอกเล่าในสิ่งที่พวกเขาหวาดหวั่น ความหวาดกลัวก็จะชักนำให้พวกชาวบ้านทั้งหลาย...ก่อหายนะให้แก่สกุลลู่เอง ชายหน้าบากแทบอยากจะหัวเราะกับความหูเบาของพวกมัน เพียงเขาป้อนข้อมูลเข้าไปพวกหน้าโง่พวกนั้นก็ไม่คิดจะสงสัยหรือคิดจะหาความจริงเลยสักนิด พวกมันตัดสินความผิดถูกจากความหวาดกลัวของตนเอง ไม่สนใจว่าจะกระทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดบ้าง ขอเพียงพวกมันรอดก็เพียงพอ

เฉินลี่ฟู่หันมองใบหน้าของถังเหวินฉายอย่างนึกสงสัย สายตาของร่างบางจับจ้องเพียงแผ่นประกาศด้วยความคลางแคลงใจว่าผู้ใดกันที่รู้ถึงการมีอยู่ของคุณชายหยางเถา สหายผู้ที่มิใช่มนุษย์ของนายน้อยของเขา เพียงแค่สองสามวันที่เขาหายตัวไป เกิดเรื่องร้ายแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ คำล่ำลือดังยิ่งกว่าเสียงพลุยามเทศกาลเสียอีก ใบหน้าของถังเหวินฉายขมวดคิ้ว ริมฝีปากขบกัดอย่างครุ่นคิด จนเฉินลี่ฟู่ต้องกระชับมือบางเอาไว้อย่างให้กำลังใจ

ถังเหวินฉายหันมองใบหน้าของคนรักที่ทอแววหวานฉ่ำ รอยยิ้มที่ถูกส่งมาให้นั้นดับความเครียดที่ถูกจุดขึ้นมาเสียสนิท จะตั้งคำถามมากมายไปก็คงมิได้มาซึ่งคำตอบ คงมีแต่ต้องเอ่ยถามแก่นายน้อยเท่านั้นว่าเรื่องนี้เล่าลือกันออกมาได้อย่างไร ชื่อเสียงของสกุลลู่ในยามนี้ถูกข่าวเรื่องปีศาจร้ายทำลายจนหมดสิ้น ถังเหวินฉายเจ็บแค้นอยู่ในอก อยากรู้นักว่าผู้ใดที่กล้ากระทำเรื่องชั่วช้าเฉกเช่นนี้ กล้าดีอย่างไรจึงได้ปล่อยข่าวลือให้ผู้คนเข้าใจสกุลลู่ผิดๆ หากเขาพบผู้ที่กระทำ เขาจะจับมาเฉือนเนื้อแล่หนังมันแล้วควักหัวใจของคนผู้นั้นออกมาดูว่ามันเป็นสีอะไร!

“อย่าใส่ใจ! แค่ลมปากชาวบ้านมันไม่สามารถเชื่อถือได้หรอกฉายเอ๋อร์” เฉินลี่ฟู่ที่เห็นใบหน้าของคนรักเต็มไปด้วยความไม่พอใจก็พยายามปลอบใจให้ได้คนข้างได้ผ่อนคลาย

“ข้ารู้...แต่เช่นไรผู้ที่ทำเรื่องนี้ย่อมต้องการจะให้สกุลลู่เสื่อมเสีย นำมาซึ่งปัญหาอีกมากมาย เจ้าเองก็รู้นี่” เฉินลี่ฟาเงียบลง ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจในเรื่องนี้ว่าผลที่ตามมาจะมีสิ่งใดบ้าง ยิ่งมีคนพูดกันไปหนาหูยิ่งเกิดการต่อต้าน สุดท้ายเรื่องร้ายๆ ก็มักจะเกิดขึ้นมา แต่เฉินลี่ฟู่เองก็ไม่อยากให้ถังเหวินฉายขบคิดแต่เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะในวันข้างหน้า...สิ่งที่กังวลก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน บางที...มันอาจจะไม่มีสิ่งใดน่ากลัวดังที่ถังเหวินฉายคิดก็เป็นได้

“ฉายเอ๋อร์ วันนี้ข้าจะไปพูดกับท่านลุงของเจ้าในเรื่องของเราทั้งสอง นั่นมิใช่สิ่งที่ควรกังวลมากกว่าหรือกับเรื่องที่ยังอีกไกลเช่นข่าวลือพวกนั้น?” แก้มใสของถังเหวินฉายแดงซ่าน กัดปากตนเองเอาไว้จนแน่น นั่นสินะ ในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคนที่กำลังกุมมือเขาอยู่นั้นจะไปหาท่านลุงเพื่อพูดคุยถึงความสัมพันธ์

นึกย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ความร้อนก็แล่นขึ้นมาบนใบหน้าจนแดงระเรื่อ กว่าเขาจะสามารถออกมาจากจวนสกุลเฉินได้ก็นานพอดู ด้วยคนๆ นี้จริงจังกับความสัมพันธ์เสียจนต้องลากเอาเขาไปคำนับบิดามารดาของตนเองและฝังตัวเขาเป็นสะใภ้ เขาที่ไม่รู้มาก่อนแทบจะลมจับ ยิ่งท่านนายอำเภอยิ่งแล้วใหญ่ หัวเราะเสียงดังสนั่นไร้ท่าทีตกใจใดๆ หนำซ้ำยังกล่าวอีกว่ารู้มานานแล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง ตั้งแต่ครั้งที่ตัวเขาถูกลากมาด้วยความเอาแต่ใจของเฉินลี่ฟู่เมื่อเยาว์วัย

เหล่าน้องสาวน้องชายของเฉินลี่ฟู่ยิ่งแล้วใหญ่ ต่างมาคารวะเขาด้วยคำเรียกว่าพี่สะใภ้จนเขาที่มิได้เตรียมรับมือมาแทบจะขุดดินกลบตัวเองหนีความอับอายครั้งนี้ ใครบ้างเล่าจะดูไม่ออกว่าเจ้าลูกเต่าโง่เง่าตัวนี้จริงจังถึงเพียงใด หากมีตาก็คงมองเห็น แต่ความตรงไปตรงมานี้มันช่างนำความเขินอายมาให้เขาไม่จบไม่สิ้นเหลือเกิน ขนาดเขาเอ่ยถามเรื่องเด็กๆ ทั้งสามว่าเป็นเช่นไรบ้าง เจ้าลูกเต่าลี่ฟู่ก็ให้คนไปรับพวกเขามาหาถึงจวน ไม่สนใจสายตาว่าใครจะมองเช่นไร เพียงเขาเอ่ยปากขอทอง เจ้าโง่นั่นก็จะนำทองมากองไว้ตรงหน้า หากเขาเอ่ยปากขอจันทร์ เจ้าโง่นี่ก็นำจันทร์มาให้เขา ความทุ่มเทที่เฉินลี่ฟู่มีให้เขานั้นเขารับรู้ถึงมันได้อย่างดี ไม่ใช่เพียงแต่เขาแค่คนเดียว เหล่าเด็กๆ ก็มิเคยอดอยากหรืออกไปขโมยของใครอีก ด้วยว่าอาหารและน้ำถูกเฉินลี่ฟู่ส่งไปให้ทุกเวลา

ความปลาบปลื้มเต็มตื้นอยู่ในหัวใจของเขา สายตาที่เคยมองอีกคนในแง่ร้ายยามนี้หายไปแล้วหมดสิ้น หัวใจดวงน้อยก็เต้นดังทุกครั้งยามถูกสัมผัสกาย หรือแม้แต่เพียงได้มองใบหน้าของเฉินลี่ฟู่ก็ตาม นี่อาจจะเรียกว่ารักก็ได้ใครจะรู้ เพราะตัวเขาเองก็เพิ่งเคยรู้สึกเช่นนี้เป็นครั้งแรก เขาสามารถลืมเรื่องราวมากมายได้ แต่ไม่ว่ากี่ครั้งก็ไม่สามารถลืมเลือนเรื่องราวที่เกี่ยวกับเฉินลี่ฟู่ได้เลย กลับกันมันกลับยิ่งฝังแน่นอยู่ในหัวใจ เพียงย้อนมองกลับไปเขาก็รู้สึกราวกับว่าไปยืนอยู่ตรงนั้นอีกครา มันคล้ายกับว่าเรื่องราวทั้งหมดมิเคยหายไปจากหัวใจของเขาเลย

ถังเหวินฉายกระชับมือที่จับกันอยู่ของตนเองและเฉินลี่ฟู่ให้แน่นขึ้น ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจขอคนทั้งสอง แม้ไม่พูดกันสักคำแต่ต่างฝ่ายต่างก็รู้ดีว่ามือคู่นี้จะอีกฝ่ายคอยจับอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมีสิ่งใดมาพยายามแยกออกจากกันพวกเขาก็จะมั่นคงในความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวนี้ ทั้งสองต่างจับจูงกันอย่างไม่คิดจะสนใจในสายตาหรือคำพูดของผู้ใดอีก มีเพียงรอยยิ้มแห่งความสุขเท่านั้นที่จะติดตรึงอยู่กับพวกเขา แม้ว่าจะเพียงแค่ครู่เดียวหรือเสี้ยววินาที หรือแม้จะอีกสักกี่พันปี เฉินลี่ฟู่ก็จะไม่ยอมให้รอยยิ้มบนใบหน้าถังเหวินฉายหายไป

ถังเหวินฉายและเฉินลี่ฟู่เดินทางมาจนถึงบ้านสกุลลู่ พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปภายในด้วยความรู้สึกประหม่า เมื่อถูกจับจ้องด้วยสายตานับสิบคู่ของบ่าวรับใช้ที่มองมายังพวกเขาด้วยความแปลกใจและสงสัย คุณชายเฉินบุตรชายคนโตผู้หล่อเหลา มากด้วยความสามารถและเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ผู้คนต่างหลงใหล แต่กลับเดินเข้ามาพร้อมกับบ่าวรับใช้ส่วนตัวของนายน้อย มิใช่เรื่องแปลกหรอกหรือ

สาวใช้ต่างชายตามองความน่าหลงใหลที่ไม่ต่างจากเจ้านายของตนด้วยความเสน่หา ใบหน้าของพวกนางแดงซ่านด้วยความขวยเขินแม้ว่าจะไม่ถูกสายตาพราวระยับคู่นั้นจับจ้องก็ตามที เฉินลี่ฟู่ได้แต่ถอนหายใจกับอาการของพวกสาวใช้อย่างเหนื่อยหน่ายใจ มือข้างหนึ่งจึงได้กระชับเอวบางของถังเหวินฉายเข้ามาใกล้จนชิดกันเพื่อประกาศให้รู้ว่าเขานั้นมีเจ้าของแล้ว การกระทำของเฉินลี่ฟู่ทำให้เหวินฉายหน้าแดง แม้ว่าจะขยับตัวออกห่างแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จด้วยกำลังจากอีกคนมีมากกว่าและด้วยเขายังคงช้ำจากการถูกรักจึงได้แค่เพียงขยับกายออกเล็กน้อยเท่านั้น

สายตาของถังเหวินฉายมองหาร่างของถังลี่หยาง เมื่อเห็นว่าคนที่มองหานั้นกำลังยืนสั่งงานอยู่จึงได้รีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆ ถังลี่หยางเองละสายตาออกจากบ่าวรับใช้ที่กำลังรับงานจากตนอยู่มามองใบหน้าของหลานชายอย่างตกใจ เมื่อสองสามวันก่อนเขาถูกนายน้อยเอ่ยถามเรียกหาด้วยเรื่องของเจ้าหลานชายตัวดีที่อยู่ๆ ก็หายตัวไปเฉยๆ เขาเองก็แปลกใจเพราะด้วยนิสัยของเหวินฉายนั้นจะไม่ไปไหนโดยไม่บอกกล่าว วันก่อนก็เช่นกัน บอกเพียงว่าจะไปหาเด็กๆ เหล่านั้น แต่ก็มิได้กลับมาอีก วันนี้มันยังไงหลานชายของเขาจึงได้กลับมาพร้อมกับเฉินลี่ฟู่ผู้ที่ถังเหวินฉายเคยกล่าวเอาไว้ว่าเกลียดนักเกลียดหนา

เมื่อถูกสายตาของผู้เป็นลุงจับจ้องไม่วางตาด้วยความสงสัยนั้น ยิ่งทำให้เหวินฉายทำตัวไม่ถูก มือไม้ดูระเกะระกะไปเสียหมด ขนาดคนข้างๆ ยังดูน่าลงไม้ลงมือเหลือเกิน ริมฝีปากของเหวินฉายขบเม้มเข้าหากัน ครั้งจะดึงมือออกจากการเกาะกุมก็ทำไม่ได้ เพียงรับรู้ถึงแรงที่หวังจะให้หลุดจากฝ่ามือใหญ่ เฉินลี่ฟู่ก็จับแน่นขึ้นจนเหวินฉายหน่ายใจ ใบหน้าเล็กก้มลงด้วยไม่กล้าสู้หน้ากับใคร กลับเป็นเฉินลี่ฟู่เสียมากกว่าที่ออกหน้าแทนทุกสิ่ง ด้วยเข้าใจดีว่าอีกคนเขินอายมากเท่าใด ยิ่งได้เห็นแก้มใสแดงปลั่งบนใบหน้าของเฉินลี่ฟู่ก็ยิ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้มเอ็นดู

“คุณชายเฉิน...มาพบนายน้อยหรือขอรับ” เฉินลี่ฟู่ยิ้มขำ ได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ

“มิใช่หรอก ข้ามาพบท่านต่างหาก ท่านลุงถัง” ถังลี่หยางได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

“คุณชายเฉินมีสิ่งใดกับข้าหรือขอรับ?” สายตาของถังลี่หยางปรายมองร่างของหลายชายตัวดี ด้วยคิดว่าคงไปกระทำสิ่งใดที่ทำให้คุณชายเฉินลี่ฟู่บุตรชายคนโตของนายอำเภอเมืองซิ่นจือไม่พอใจเข้าเป็นแน่

“อภัยด้วยคุณชายเฉิน หลานข้านั้นยังเด็ก หากทำสิ่งใดให้ท่านขุ่นเคืองใจโปรดอภัยให้เหวินฉายด้วยเถิดขอรับ แล้วข้า ถังลี่หยางจะสั่งสอนลงโทษให้หนักจนมิกล้ากระทำเช่นนั้นอีก”

” เดี๋ยวก่อน! ข้ามิได้มาด้วยเรื่องเช่นนั้นหรอกท่านลุง” เฉินลี่ฟู่ที่เห็นถังลี่หยางก้มหัวขอโทษขอโพยเขายกใหญ่ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ส่วนเหวินฉายนั้นอ้าปากค้างกับสิ่งที่ผู้เป็นลุงเอ่ยบอก นี่คิดว่าเขาเป็นคนเช่นไรกัน จะทำเพียงแต่ความเดือดร้อนให้หรือไร เขามิใช่เด็กๆ ที่จะวิ่งไปชนผู้ใดแล้ววิ่งกลับมาหลบหลังท่านลุงเสียหน่อย เฉินลี่ฟู่หัวเราะในลำคอยามได้เห็นสีหน้าบูดบึ้งแววตาเต็มไปด้วยความโกรธเคืองแลบเด็กๆ จนน่าเอ็นดู

“หากมิใช่เรื่องที่เจ้าหลานชายของข้าล่วงเกินคุณชายเฉิน เช่นนั้น...เรื่องอะไรกันที่ทำให้คุณชายใหญ่แห่งสกุลเฉินมาพบข้าเช่นนี้?”

“เอ่อ ท่านลุง เข้าไปคุยทางด้านในดีหรือไม่ขอรับ ข้าเกรงว่ายืนอยู่เช่นนี้ ผู้อื่นอาจจะนิทาเราได้” ถังลี่หยางเบิกตากว้างรีบขอโทษขอโพยเฉินลี่ฟู่เสียยกใหญ่ก่อนจะเดินนำให้เฉินลี่ฟู่ตามเข้าไปยังทางด้านในบ้าน ร่างสูงเดินตามผู้เป็นลุงของคนรักโดยไม่ยอมปล่อยมือออกจากเหวินฉายแม้แต่น้อย จับจูงเสียราวกับว่าหากคลาดสายตาคนข้างๆ จะหายไป จนในที่สุดทั้งสามก็เข้ามาด้านใน ถังลี่หยางเชิญให้เฉินลี่ฟู่นั่ง ส่วนตนเองนั้นกลับมิยอมนั่งตามด้วยเกรงกลัวว่าจะถูกเอ่ยตำหนิเมื่อตนเองนั้นเป็นเพียงแค่พ่อบ้านสกุลลู่เท่านั้น แต่เมื่อถูกเฉินลี่ฟู่คะยั้นคะยอมากขึ้นก็เกิดความลังเลใจ จนเฉินลี่ฟู่ต้องขู่ว่าหากมิยอมนั่งลงตนก็จะลุกขึ้นยืนเช่นกัน

“มีอะไรร้ายแรงหรือขอรับคุณชายเฉิน”

“ไม่เลย ข้าเพียงแค่มาพบท่านลุง ด้วยเรื่องของเราสองคน”

“เรื่องของท่านกับเหวินฉาย?” น้ำเสียงของถังลี่หยางเต็มไปด้วยความแปลกใจ ยิ่งเห็นหลานชายของตนก้มหน้าลงไม่ยอมสบตา กับฝ่ามือที่จับกันแน่นของทั้งคู่

“นะ นี่อย่าบอกนะว่า...”

“ใช่แล้ว...ข้ามาขออนุญาตท่านที่เป็นญาติผู้ใหญ่ของฉายเอ๋อร์ ให้ข้าและฉายเอ๋อร์ได้รักกันได้รึไม่” ถังลี่หยางนิ่งอึ้ง ไม่คิดไม่ฝันว่าเรื่องราวจะกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ ในคราแรกนั้น เขาเพียงคิดว่าเจ้าหลานโง่คงจะไปล่วงเกินสิ่งใดให้อีกคนต้องมีโทสะ แต่กลับกลายเป็นว่าไปทำให้คุณชายเฉินหลงรักเสียนี่! มันจะเป็นไปได้อย่างไร

เหวินฉายที่เห็นผู้เป็นลุงนิ่งเงียบไปก็เริ่มใจไม่ดี เหลือบมองใบหน้าชราของถังลี่หยางอย่างหวาดหวั่น ในตอนนี้นั้นสำหรับเหวินฉายแล้วช่างพาให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นอย่างลุ้นในคำตอบ แต่ยิ่งเห็นว่าผู้เป็นลุงไม่ตอบจากการลุ้นระทึกก็กลับกลายเป็นความหวาดกลัวขึ้นมาแทน ถังลี่หยางสลัดใบหน้ากระแอมไอแก้เก้อเมื่อพลว่าตนเองสติหลุดลอยออกไปเพียงคำพูดสองสามคำจากคุณชายใหญ่แห่งสกุลเฉิน

“รักกัน...ได้อย่างไร ท่านและหลานข้าล้วนแต่เป็นบุรุษ อีกทั้งท่านยังเป็นถึงบุตรชายคนโตของท่านนายอำเภอ เหวินฉายของข้าเป็นเพียงเด็กรับใช้เท่านั้น หากเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงหูบิดาและมารดาของท่าน ข้าเกรงว่า...”

“เรื่องนั้นท่านอย่าได้กังวลไป ท่านพ่อท่านแม่ของข้ารับทราบเรื่องนี้และอนุญาตให้ข้ากับเหวินฉายรักกันได้ ท่านพ่อข้าบอกว่าหากท่านไม่มีปัญหาใด จะเดินทางมาสู่ขอด้วยตนเอง” นี่ถึงขนาดท่านนายอำเภอรับรู้แล้วด้วยหรือนี่! หากเป็นเช่นนี้เขาหรือจะกล้าไม่ยินยอมให้ทั้งสองรักกัน

“เช่นนั้น...ข้าน้อยก็ขอให้คุณชายรักใคร่เอ็นดูเหวินฉายหลานช้าให้มากนะขอรับ หากเขากระทำสิ่งใดผิดก็ขอให้ท่านอภัยแก่เขาด้วย”

“ท่านลุง...” ถังเหวินฉายมองใบหน้าที่เหี่ยวย่นลงตามวัยของถังลี่หยางอย่างซาบซึ้ง น้ำตาเอ่อคลอเบ้าจนล้นไหลลงอาบสู่แก้มใส ไม่เคยคิดเลยว่าท่านลุงลี่หยางจะรักและเอ็นดูเขามากเช่นนี้ ทั้งที่เขาและท่านลุงแทบจะไม่ได้คุยกันมากนัก แต่ท่านลุงก็มิได้หมางเมินยังคงเปี่ยมไปด้วยความกรุณาต่อเขาอยู่เช่นเดิม

“เหวินฉาย เจ้านี่! โตเสียจนมีคนรักแล้วยังร้องไห้อยู่อีกหรือ หากเกรงกลัวต่อคำพูดของผู้ใด ขอเจ้ารู้ไว้ ข้าผู้เป็นลุงจะไม่อยู่เฉยให้มันมากล่าววาจาชั่วร้ายต่อหลานชายของข้าแน่!” น้ำเสียงของถังลี่หยางช่างเต็มไปด้วยพลังราวกับการให้คำมั่นสัญญา เหวินฉายพยักหน้าโผเข้ากอดร่างของถังลี่หยางจนเต็มรัก เขาไม่เคยกอดท่านลุงเลยสักครั้ง เพราะคิดว่าท่านลุงคงไม่สนิทใจกับเขา แต่ในยามนี้เขาได้รู้แล้วว่า มิมีผู้ใดรักและหวังดีต่อเขาเท่าท่านลุงลี่หยางอีกแล้ว

“ข้ารักท่านลุงนะขอรับ รักท่านลุงที่สุด” ถังลี่หยางเขินกับคำบอกรักของหลานชายเสียจนแก้มทั้งสองแดงซ่าน มือไม้ทั้งสองข้างเก้ๆ กังๆ ราวกับไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ใด ถังลี่หยางถอนหายใจก่อนจะลูบศีรษะของถังเหวินฉายเบาๆ อมยิ้มให้กับความเป็นเด็กไม่รู้จักโตเสียทีของหลานชายผู้นี้ เฉินลี่ฟู่มองภาพแห่งความรักนั้นด้วยแววตาอ่อนโยนอยู่นิ่งๆ ไม่คิดจะเข้าไปขัดช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ของยอดรักของเขา ดีแล้วที่ฉายเอ๋อร์ของเขามีความสุข นั่นดีที่สุดแล้ว...


(มีต่อจ้า)
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 19. up.19/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 19-07-2019 00:14:19
(ต่อจ้า)

ลู่เฟยหลงยกชาขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ ร่างสูงหลับตาคิดถึงใบหน้าอันแสนหวานของหยางเถาด้วยความคิดถึง รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นมายามที่เขาคิดถึงหยางเถาในอิริยาบถต่างๆ ทั้งรอยยิ้ม ทั้งคววามสดใส ทั้งท่าทีที่เขินอายหรือแม้แต่... เฟยหลงลืมตาขึ้นทันที เขาเผลอคิดถึงแววตาที่สั่นระริก รอยยิ้มฝืนๆ ที่ร่างบางใช้ยามที่เขาเอ่ยถึงเพ่ยเยว่เผิง มือหนาลูบหน้าของตนเองอย่างแรง เพียงแค่หวนกลับไปนึกถึงความรู้สึกนั้น ลู่เฟยหลงก็ยิ่งปวดหัวใจเสียจนอยากจะฆ่าตัวเองในคราก่อนนัก เมื่อมองย้อนกลับไปในยามนั้น ความผิดปกติของหยางเถามีมากมายเสียจนเห็นได้อย่างชัดเจน แต่เป็นเขาเองที่มิได้สังเกตเห็นมันเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังทำให้เจ้าดอกท้อน้อยๆ เจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม ถ้าหากว่ากลับกันล่ะ?

มือหนาลูบอกตนเองเบาๆ บริเวณตำแหน่งของหัวใจ เพียงเผลอคิดไปว่าหากเขาและหยางเถาสลับตำแหน่งความเจ็บปวดกัน จะเป็นอย่างไร หากเป็นเจ้าดอกท้อของเขาที่ให้ความใกล้ชิดสนิทสนมกับบุรุษอื่น เขาจะยังทำหน้าตาเมินเฉย อดทนยืนส่งยิ้มให้ได้ดั่งที่เจ้าดอกท้อของเขาทำไหม หากเป็นหยางเถาที่กระทำเหมือนเขาก่อนหน้า เขาคงจะยังเต็มใจอยู่เคียงข้างแม้ความเจ็บปวดจะเจียนตายได้หรือ

แน่นอนเขาทำได้! แต่มิใช่ทุกอย่าง

ลู่เฟยหลงมั่นใจเลยว่า เขาไม่สามารถยืนยิ้มให้ได้ราวกับไม่มีสิ่งใด มิสามารถทนรับฟังเวลาเจ้าดอกท้อเอ่ยถึงบุรุษผู้อื่นได้แน่ เขาคงจะไม่สามารถข่มใจยอมรับความรู้สึกอิจฉาและปวดร้าวได้ เพราะหากเป็นเขาที่ต้องทนฟังสิ่งเหล่านั้น คงไม่พ้นจับเจ้าดอกท้อมากลืนลงท้องจนไม่หลงเหลือให้ผู้ใดแน่ๆ เขานั้นรู้ดีว่าตนเองกระทำสิ่งที่ไม่ชัดเจนลงไป แต่นั่นจะเป็นบทเรียนสำคัญ! เพราะไม่ว่าอีกสักกี่ร้อยกี่พันชาติ เขาจะมั่นรักและจะไม่ทำเช่นนั้นอีกแล้ว เขาจะมีเพียงแค่ดอกท้อดอกนี้ จะมองเพียงแค่ดอกท้อแสนงดงามดอกนี้เท่านั้น หากความใจดีเป็นปัญหา เช่นนั้น...เขาก็คงจะไม่ทำมันอีก เขาจะเว้นระยะในการสนทนา ไม่ว่ากับผู้ใด

“นายน้อยขอรับ อยู่หรือไม่ขอรับ” ลู่เฟยหลงหันมองประตู เสียงที่ได้ยินมิใช่ว่าเป็นของเหวินฉายหรอกหรือ

“เข้ามาได้...” เหวินฉายเปิดประตูพร้อมกับก้าวเข้ามาภายใน แต่ลู่เฟยหลงก็ต้องแปลกใจเมื่อบุคคลที่เดินตามหลังมาด้วยนั้น...

“เฉินลี่ฟู่...” ร่างสูงพึมพำชื่อของคนมาใหม่อย่างแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะมา แถมยังมาด้วยกันกับเหวินฉายอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่สำหรับเหวินฉายแล้ว เฉินลี่ฟู่คือศัตรูที่ไม่มีวันญาติดีด้วย แต่ตอนนี้กลับไร้ซึ่งท่าทีที่ไม่เป็นมิตร ยกเว้นแต่สายตาคู่นั้นของเฉินลี่ฟู่ที่มองมายังเขาจนทำให้ลู่เฟยหลงอดแปลกใจไม่ได้ เพราะเขามั่นใจว่าไม่เคยทำสิ่งใดที่เป็นการขัดแย้งกับสกุลเฉิน หรือแม้กระทั่งล่วงเกินเฉินลี่ฟู่เองก็ตาม

“นายน้อย...ขออภัยที่ข้าหายไปเสียหลายวันขอรับ หากนายน้อยจะลงโทษ...” เหวินฉายคุกเข่ารอรับโทษจากผู้เป็นนายด้วยความสำนึกผิด แม้ว่าความผิดนี้จะต้องโทษร่างสูงที่ยืนอยู่ทางด้านหลังก็ตาม แต่มันก็มิใช่ข้อแก้ตัวใดๆ เลย เพราะอย่างไรเขาก็คือผู้ที่ละทิ้งหน้าที่รับใช้นายน้อยไป

“พูดอะไรขอเจ้าเหวินฉาย ลุกขึ้นเสียเถิด เจ้าย่อมรู้ดีว่าข้ามิได้ห้ามปรามเจ้าไปที่ใด หากจะโกรธก็มีเพียงเรื่องที่เจ้ามิยอมบอกกล่าวกันก่อนว่าจะไปที่ใด ข้าเป็นห่วงเจ้า” เฉินลี่ฟู่ที่ได้ยินคำว่าห่วงถึงกับคิ้วกระตุก มองใบหน้าของเฟยหลงด้วยความไม่พอใจ ดึงร่างของถังเหวินฉายขึ้นมาก่อนจะโอบกอดเอาไว้แน่น ความหวงแหนแล่นเข้ามาจุกอก ยิ่งมองเห็นความห่วงใยที่ออกมาจากสีหน้าของเฟยหลง เฉินลี่ฟู่ยิ่งเดือดดาล

“คนของข้า! มิจำเป็นจะต้องให้เจ้าซึ่งเป็นเพียงนายน้อยมาห่วงใย!” เหวินฉายตกตะลึงไม่แพ้ลู่เฟยหลง หากแต่ต่างเหตุผลกันอย่างสิ้นเชิง เฟยหลงนั้นไม่คิดว่าเฉินลี่ฟู่และเหวินฉายจะมีความสัมพันธ์กันเช่นนี้ แต่เหวินฉายนั้นนิ่งอึ้งด้วยความคาดไม่ถึงว่าเฉินลี่ฟู่จะกล้าพูดตรงๆ ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับอีกฝ่าย เหวินฉายมีสติอีกครั้งและเริ่มดิ้นหนีออกจากอ้อมแขน

“เจ้าลูกเต่าบ้านี่! อย่ามาพูดเช่นนี้กับนายน้อยของข้านะ!”

“แต่ข้าเป็นสามีเจ้านะ!” สิ้นเสียงตะคอกของเฉินลี่ฟู่ ถังเหวินฉายและลู่เฟยหลงต่างก็หน้าแดงด้วยความเคอะเขิน จนลู่เฟยหลงต้องกระแอมไอแก้เขินอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี

“เจ้ามัน! ฮึ่ย!” เหวินฉายมองใบหน้าที่แสนจะกวนโทสะของเฉินลี่ฟู่ด้วยความไม่พอใจก่อนจะหลบสายตาหนี เม้มปากแน่นแล้วหันไปมองผู้เป็นนายน้อยแทน

“นายน้อย ตอนข้ากลับมา ข้าได้เห็นประกาศติดอยู่จนทั่ว ชาวบ้านเองก็เริ่มเล่าลือกันไปเกี่ยวกับเนื้อความในนั้นว่า...สกุลลู่เลี้ยงปีศาจ!” เฟยหลงชะงักร่าง ใบหน้าเริ่มบึ้งตึงเสียจนน่ากลัว ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง บรรยากาศแห่งความโกรธเกรี้ยวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง ใครกันกล้าเอาเรื่องแบบนี้ออกไปพูด! ในเมื่อผู้ที่รู้เรื่องปีศาจนั้น มีเพียงท่านพ่อท่านแม่ ท่านนักพรตและ...

เพ่ยเยว่เผิง!!

ใช่! ต้องเป็นนาง เป็นนางแน่ๆ ให้ตายสิ!

ลู่เฟยหลงแทบจะควบคุมความโกรธของตัวเองเอาไว้ไม่ไหว ความรู้สึกของเขาในตอนนี้นั้น แทบอยากจะพุ่งออกไปหานางอยากจะจับนางมาบีบคอ หรือทำอย่างไรก็ได้ให้นางเจ็บปวดจนเจียนตาย! สองมือกำเข้าหากันจนแน่น เคียดแค้นและชิงชังเพ่ยเยว่เผิงเสียจนไม่อยากจะอยู่ร่วมโลกกับนางแล้ว! นางไม่ได้ทำร้ายเพียงคนที่เขารัก ไม่ได้ทำร้ายเพียงดอกท้อดอกบางที่แสนสวย แต่กลับจ้องจะทำลายชื่อเสียงของสกุลลู่อีก! มันควรจะพอแล้วหรือเปล่ากับความปรานีที่เขามีให้ ในเมื่อนางต้องการจะพบกับความโกรธของเขา แล้วทำไมเขาจะต้องทนเก็บมันเอาไว้ด้วย ทำไมเขาจะต้องละเว้นนาง!

“นายน้อย...ใจเย็นก่อนเถอะขอรับ ข้าว่านายน้อยควรจะรอคุยกับนายท่านและฮูหยิน...เอ่อ” หากฮูหยินรู้เรื่องนี้คงไม่เป็นการดีต่อคุณชายหยางเถาเป็นแน่ เฟยหลงมองความกังวลบนสีหน้าของเหวินฉายแล้วลอบถอนหายใจ จริงสินะ...สองสามวันมานี้เหวินฉายมิได้อยู่ในเหตุการณ์จึงมิได้ล่วงรู้

“เรื่องท่านแม่...ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เพราะเจ้าไม่อยู่จึงไม่รู้ แต่เมื่อคืนท่านแม่เชิญท่านนักพรตมา...ท่านแม่เข้าใจในทุกสิ่งแล้ว ข้ากับหยางเถานั้น...เรามีช่วงเวลาที่ดี” สายตาที่ทอประกายความหวานราวกับพูดถึงคนรักนั้นทำให้เฉินลี่ฟู่หรี่ตาจับจ้องปฏิกิริยาที่ออกมาอย่างตั้งใจ แววตาเช่นนั้นเขารู้จักมันดี เพราะมันคือแววตาเช่นเดียวกับที่เขาใช้มองเหวินฉายทุกเวลา หรือแม้แต่ยามคิดถึงก็ตาม หยางเถาผู้นั้นคงจะสำคัญกับลาเฟยหลงมาก และคงจะรักมากเช่นกัน มิเช่นนั้นคงมิมีสีหน้าเปี่ยมสุขยามกล่าวถึง

“จริงหรือขอรับนายน้อย! เช่นนั้นข้าขอแสดงความยินดีกับนายน้อยและคุณชายหยางเถาด้วยนะขอรับ”

“ขอบใจเจ้ามาก ข้าเองก็ขอแสดงความยินดีกับเจ้าและคุณชายเฉินเช่นกัน หวังว่าเจ้าคงจะดูแลน้องชายของข้าอย่างดี” ประโยคสุดท้ายนั้นลาเฟยหลงหันไปเอ่ยกับเฉินลี่ฟู่ด้วยความกดดัน แต่เฉินลี่ฟู่กลับยิ้มออกมาพร้อมกับยืดตัวขึ้นอย่างมั่นใจ

“ข้าจะไม่มีวันทำให้ฉายเอ๋อร์ของข้า...เสียน้ำตา ข้าให้สัญญา”

คำสัญญาที่เป็นดั่งคำมั่นทำให้ลาเฟยหลงพึงพอใจและเหวินฉายใจเต้นแรงอย่างไม่อาจจะห้ามได้ ในครั้งแรกเหวินฉายไม่ขอปฏิเสธเลยว่ากังวลในเรื่องนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเฉินลี่ฟู่นั้นจะไปได้นานสักเพียงใด อีกฝ่ายจะจริงจังกับเขาแค่ไหน แต่เมื่อได้ฟังคำตอบที่เฉินลี่ฟู่ยืนยันกับนายน้อยของเขา หัวใจของเหวินฉายก็อุ่นวาบ เต้นดังราวกับกลองที่ถูกตี ขอเพียงแค่เฉินลี่ฟู่ให้ความรักทั้งหมดกับเขา ไม่ละทิ้งเขาไปไหน ไม่มีผู้อื่นใดให้เขาต้องเจ็บปวด เขาก็ไม่มีวันที่จะไปจากเฉินลี่ฟู่อย่างแน่นอน เขาจะซื่อสัตย์ จะมั่นคงดั่งเช่นที่เฉินลี่ฟู่ได้พูดเอาไว้ ไม่ว่าสิ่งใดก็เปลี่ยนความรู้สึกของเขาไม่ได้ นอกจากตัวของลี่ฟู่เอง

หลังจากออกมาจากห้องของลู่เฟยหลงแล้ว เฉินลี่ฟู่ก็ได้พบกับลู่จิ้นเหอและอี้เหม่ยหลิน บิดามารของลาเฟยหลง ทั้งสามเอ่ยทักทายกัน แม้ว่าจะเกรงๆ เพราะไม่เคยได้พบลู่จิ้นเหอแม่ทัพใหญ่ผู้นี้มาก่อน แต่จากคำกล่าวที่บิดาของเขาเคยพูดเอาไว้นั้น ก็พอจะรู้ได้ว่า บิดาของลู่เฟยหลงนั้น มีดวงตาคมดั่งเหยี่ยวที่จ้องเหยื่อ ใบหน้าหยกงดงามแทบจะเรียกได้ว่าเฟยหลงได้มาเต็มๆ แม้ว่าปากและจมูกของลู่เฟยหลงจะคล้ายผู้เป็นมารดาก็ตาม สายตาที่คอยจับจ้องเขานั้นทำเอาเฉินลี่ฟู่ประหม่า อึกอัดกับบรรยากาศแปลกๆ แม่ทัพใหญ่ลู่จิ้นเหอจับจ้องเขาราวกับต้องการจะมองจนทะลุ ไร้ซึ่งคำพูดจนเฉินลี่ฟู่ที่มั่นใจหนักหนากับการถูกจับจ้องต้องแอบกลัวอยู่ในใจ

เมื่อการพูดคุยจบลงด้วยการที่เฉินลี่ฟู่ถูกเชิญให้ทานอาหารและพักเสียทีที่ เฉินลี่ฟู่หรือจะปฏิเสธเมื่อได้ถือโอกาสอยู่กับถังเหวินฉายทั้งที่คิดว่าคืนนี้ อย่างไรก็คงจะต้องนอนหนาวกายอยู่เพียงผู้เดียว แต่เมื่อถูกเชิญให้ค้างคืนที่นี่ เฉินลี่ฟู่จึงตาวาววับด้วยความดีใจ ริมฝีปากเผยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยปากตอบตกลงอย่างเกรงใจ เหวินฉายที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของเฉินลู่แทบจะกระทืบเท้าด้วยความขัดใจ หลงคิดว่าตนเองจะหนีเจ้าหื่นกามนี้พ้นแล้ว กลับกลายเป็นการเปิดทางให้อีกใยได้เข้ามาใกล้ไปอีก สะโพกที่เคล็ด เบื้องล่างที่ยังเสียดๆ ขัดๆ ก็ยังไม่ได้หายดี แต่เห็นทีคืนนี้ก็คงไม่ได้พัก คงถูกใช้งานอย่างหนักอีกแน่

พอยามซวีมาถึงดวงจันทราก็ขึ้นสู่ฟากฟ้า ฉายแสงลงมากระทบกับดอกท้อบนกิ่ง แสงสีเขียวดวงเล็กๆ ค่อยๆ รวมตัวกันจนกลายเป็นชายหนุ่มผมสีเงินที่แสนงดงามราวกับรูปสลัก หยกงดงามไหนเลยจะสามารถงดงามได้ครึ่งหนึ่งของคนผู้นี้ ชุดสีขาวสะอาดตายิ่งเสริมให้เขาดูสูงส่งจนหากใครพบเห็นคงคิดว่าเป็นเทพเซียนลงมาจากสวรรค์ ลู่เฟยหลงส่งยิ้มหวานให้กับร่างบางของหยางเถา สาวเท้าเข้าไปใกล้อย่างมุ่งมั่น เมื่อหยุดอยู่เบื้องหน้า มือหนาก็กุมแก้มใสเอาไว้ราวกับกลัวว่านี่จะเป็นเพียงภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้นมาจากความคิดถึง

ผิวกายที่เย็น กับกลิ่นหอมเฉพาะที่คุ้นเคย มันให้หัวใจของร่างสูงเต้นแรง

ใครจะรู้เล่าว่าชาติหนึ่งนั่น เขาจะมีรักแท้กับบุรุษที่เป็นเพียงจิตวิญญาณของต้นท้อ ที่งดงามยิ่งกว่าเทพธิดาองค์ใด ยิ่งยามที่เส้นไหมสีเงินต้องแสงจันทร์ ความเงางามของมันสะท้อนออกมาจนน่ามอง ยิ่งได้เห็นผิวแก้มที่ขึ้นสียิ่งชวนให้ลู่เฟยหลงนั้นหลงใหล

“เหตุใดเจ้าจึงมองข้าเช่นนั้นเล่า?”

“ข้านึกว่า...ข้าคิดถึงเจ้าจนกลายเป็นภาพลวงตา” ลู่เฟยหลงมองใบหน้างดงามด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเฟยหลงเต็มไปด้วยความดีใจเสียจนคนถูกมองอย่างหยางเถาต้องหัวเราะออกมาแผ่วเบา เสียงหวานดังก้องแต่ฟังแล้วช่างไพเราะเหลือเกิน สีหน้าที่กำลังยิ้มแย้มของร่างเล็กช่างทำให้หัวใจดวงน้อยของเฟยหลงเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกเหมือนตกหลุมรักหยางเถาครั้งแล้วครั้งเล่าไร้ที่สิ้นสุดจนต้องยกมือขึ้นมากุมไว้ที่ตำแหน่งหัวใจของตนเอง

“ข้ามิได้หายไปไหนเสียหน่อย เจ้ายังไม่เลิกกังวลอีกหรือ”

“จริงสิ! คืนนี้ท่านแม่ให้ข้าพาเจ้าไปร่วมทานอาหารเพราะมีคนผู้หนึ่งจะแนะนำเจ้าให้รู้จัก” หยางเถาชะงักยามได้ยินถึงคำว่ามีคนผู้หนึ่งจะแนะนำให้ได้รู้จัก เพราะครั้งนั้นยามที่ได้ยินคำนี้ก็เมื่อเพ่ยเยว่เผิง คุณหนูผู้งดงามที่ถูกหมายตาให้เป็นว่าที่ภรรยาของเฟยหลง มันจึงช่วยไม่ได้ที่เขาจะเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาในหัวใจ ลู่เฟยหลงเองก็เหมือนจะล่วงรู้ถึงความหวาดกลัวที่ถูกพัดขึ้นมาก มือหนาเอื้อมจับมือบางของหยางเถาเอาไว้แน่น ปลายนิ้วไล่วนหลังมือของหยางเถาเบาๆ ราวกับต้องการคลายความกังวลทิ้งไป

“อย่ากังวลเลย...ข้าสัญญาว่ามันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก ไม่มีวัน!” เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาอย่างหนักแน่นนั้นช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและมันทำให้ความวิตกกังวลหายไปจนหมดสิ้น หยางเถาบีบกระชับมือหนาราวกับจะบอกว่า ในตอนนี้เขาไม่เป็นไรอีกแล้ว เพียงแค่ลู่เฟยหลงมิปล่อยมือออกไป หยางเถาเองก็คงไม่กลัวสิ่งใดอีก

ทั้งสองเดินพูดคุยกันไปด้วยรอยยิ้ม ความคิดถึงช่างหอมหวานเสียจนทั้งสองไม่อยากจะเสียเวลาใดๆ ไปแม้สักวินาทีเดียว บรรยากาศรอบข้างช่างงดงามและเต็มไปด้วยความสุขเสียจนหากผู้ใดได้เห็นก็คงจะอดยิ้มตามไม่ได้ เพียงเฟยหลงหยอกเย้าแก้มใสของหยางเถาก็พลันแดงซ่าน ชวนให้จับจ้องมากขึ้น รอบกายของทั้งสองราวกับถูกโปรยด้วยดอกไม้ กลิ่นความรักตลบอบอวลไปทั่วบริเวณนั้น เหล่าเด็กรับใช้ต่างพากันลอบยิ้ม นานแค่ไหนแล้วนะที่มิได้เห็นนายน้อยมีความสุขเช่นนี้ นับตั้งแต่ครั้งที่คุณหนูผู้นั้นย่างกรายเข้ามา ความสุขทั้งหลายในบ้านสกุลลู่และนายน้อยก็กลายเป็นความทุกข์ทรมานอย่างน่าหดหู่ใจ

ลู่เฟยหลงมองเสี้ยวหน้าของคนข้างกายอย่างรักใคร่ เมื่อครู่เขาเองก็ได้เห็น ดอกท้อร่วงหล่นอีกครั้ง กี่ครั้งแล้วที่เขาต้องมาเห็นเช่นนี้ กิ่งก้านที่ดอกท้อเริ่มบางลงช่างพาใจของเขาให้หายวาบ ลู่เฟยหลงรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าที่กำลังจะเกิดขึ้น หัวใจของเขาบีบรัดจนเจ็บร้าวไปหมดทั้งใจ อกแกร่งสะท้านกับความทรมานยามนึกถึงช่วงเวลาที่จะไม่มีหยางเถาอยู่ข้างกาย มันไม่ง่ายเลยสักนิดถ้าเขาจะต้องไร้เงาของหยางเถาอยู่เคียงข้างกาย หากในทุกๆ ค่ำคืนเขาจะมิได้เห็นใบหน้าที่แสนงดงามนี้อีก หากไร้ซึ่งกลิ่นหอมที่แสนรัญจวนใจนี้เล่า เขาจะมิขาดใจตายไปหรือ

มือหนากุมกระชับมือเล็กเอาไว้อย่างหวาดกลัว แม้ว่าสีหน้าและแววตาของลู่เฟยหลงจะมิได้แสดงมันออกมา แต่ใครเล่าจะล่วงรู้ได้ว่าความรู้สึกที่กำลังก่อตัวสูงขึ้นในหัวใจของเขานั้น มันช่างน่าหดหู่มากเพียงใด แม้ว่าบนใบหน้าของลู่เฟยหลงจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มราวกับสุขใจแต่ความหวาดกลัวกลับกำลังกัดกินหัวใจของเขาทีละน้อย แต่สิ่งหนึ่งที่ลู่เฟยหลงคิดเอาไว้คือ เขาจะทำให้ดีที่สุด จะกักเก็บความรักจากร่างเล็กให้ได้มากยิ่งๆ ขึ้นไป ก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง ก่อนที่ช่วงเวลาสุดท้ายแห่งความสุขจะย่างกรายเข้ามา

ก่อนที่รักแท้ของข้า...จะจากข้าไป







TBC


อยากถามเยว่เผิงเหลือเกินว่า...ตบไหม!!! หมั่นไส้จริงจังมาก ทำไมเธอไม่ไปผุดไปเกิดสักทีห๊าาาาา แล้วเจอกันใหม่ตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 19. up.19/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: Rabbitongrass ที่ 19-07-2019 07:31:52
ลุ้นให้หยางเถาเป็นเทพต้นท้อตามที่ท่านนักพรตเดาไว้ละกัน อารมณ์แบบมาสถิตที่จวนเพื่อรอเนื้อคู่พร้อมกับบททดสอบความรักเล็กๆน้อย

หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 20. up.20/07/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 19-07-2019 12:24:24
[20]

โอ้หยางเถา...เจ้ามาแล้วหรือ” เสียงของลาเหม่ยหลินดังขึ้นเมื่อพบว่าในตอนนี้นั้น ผู้ที่เดินเคียงข้างบุตรชายของนางมาคือคนที่นางรอคอยที่จะพบอย่างยิ่ง หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น อี้เหม่ยหลินเองก็มาใช้เวลายามค่ำคืนเมื่อหยางเถาปรากฏกายบ่อยครั้ง จนลู่เฟยหลงนั้นอดสงสัยมิได้ว่านี่จะเป็นการขโมยตัวหนางเถาของเขาไปหรือไม่ เหม่ยหลินเอ็นดูหยางเถาราวกับบุตรแท้ๆ อีกทั้งขนมมากมายถูกนำมาให้คนตัวเล็กที่ตาวาววับ ยามที่ริมฝีปากนั้นได้ลิ้มรสชาติแสนหวานของขนมเหล่านั้น มือของเหม่ยหลินมักจะลูบเส้นผมสีเงินบนศีรษะของหยางเถาอยู่บ่อยๆ อย่างเอ็นดู มันช่างนุ่มมือเสียจนเหม่ยหลินชื่นชอบที่จะทำเช่นนั้น

และไม่ว่าเมื่อใดที่เหม่ยหลินลูบศีรษะของหยางเถา หยางเถาก็มักจะยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน ใสซื่อและไร้การเสแสร้งจนหัวใจที่แสนเย็นยะเยือกของเหม่ยหลินกลับมาเต้นแรง

นางเอ็นดูเด็กคนนี้เหลือเกิน เอ็นดูเสียจนอยากได้เด็กน้อยคนนี้มาอยู่ในบ้านสกุลลู่ มาเป็นส่วนหนึ่งของสกุลลู่ นางเคยลองเอ่ยถามลู่จิ้นเหอผู้เป็นสามี และดูเหมือนสามีของนางก็เอ็นดูกับความอ่อนหวานและน่ารักของหยางเถาอยู่ไม่น้อย มิใช่เพียงมิคัดค้าน กลับตอบรับตกลงอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องคิดใดๆ ในยามนี้อี้เหม่ยหลินรู้สึกราวกับได้บุตรชายอีกคนมาไว้ในอ้อมอก ทั้งตื่นเต้น ตื้นตันใจ และดีใจจนกักเก็บมันเอาไว้ไม่ได้ ยิ่งในยามนี้พอหยางเถาปรากฏตัวขึ้นมา นางจึงเดินเข้ามาโอบกอดหยางเถาเอาไว้ด้วยความรักอย่างเหลือล้น หยางเถาเองที่ในคราแรกตกตะลึงก็ระบายยิ้มออกมาก่อนจะกอดตอบเหม่ยหลินไป

“ข้ามาแล้วขอรับท่านป้า...” เหม่ยหลินดึงหยางเถามานั่งข้างตนทำให้ลู่เฟยหลงต้องเดินตามมานั่งข้างๆ เช่นกัน เหวินฉายที่ในตอนนี้จำเป็นต้องนั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะในฐานะของคนรักของเฉินลี่ฟู่นั้นไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อย กับการปรากฏตัวของบุรุษร่างบางผู้มีเส้นผมสีเงิน แต่ที่ตกตะลึงคงหนีไม่พ้นจะเป็นเฉินลี่ฟู่เสียมากกว่า ใบหน้างดงามไร้ที่ติ กับเส้นผมสีเงินสลวยที่ช่างขับให้ผิวกายข่าวผ่องนั้นดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้น สายตาของเฉินลี่ฟู่มิได้ลวนลามหรือแทะโลม แต่กลับเป็นการมองอย่างไม่เชื่อในสายตาว่าจะได้พบผู้ใดที่งดงามได้เช่นนี้

จนเมื่อได้เห็นกับตาจึงทำให้ได้รู้ว่า แม้จะเป็นบุรุษย่อมงดงามได้อย่างสตรีเช่นกัน

“เจ้ามองพอหรือยัง!” มิใช่เสียงของผู้ใดเลยนอกจากจะเป็นของลู่เฟยหลง ยามได้เห็นสายตาที่มองมาของเฉินลี่ฟู่นั่นทำให้เขาไม่ชอบใจเท่าใด อย่างไรเสียคนที่จะมองหยางเถาได้มีแต่เพียงเขาเท่านั้น ผู้ใดจะหลงใหลต้องมนต์ของเจ้าดอกท้อมิได้

เฉินลี่ฟู่ได้สติ มองสายตาที่เต็มไปด้วยความหวงแหวนราวกับว่าเขาจะไปขโมยของรักด้วยความขบขัน นี่หากมิใช่ว่าฉายเอ๋อร์ของเขานั่งอยู่ด้วย เขาคงจะลงมือแกล้งให้ใครบางคนได้ทำไหน้ำส้มหกกันเสียบ้าง แต่ตอนนี้หากทำเช่นนั้นไป แทนที่เขาจะได้ความสนุกสนานสะใจจะกลับกลายเป็นนำภัยเข้าสู่ตัวเสียมากกว่า หากเหวินฉายของเขาโกรธเคืองมิมองหน้าขึ้นมา เขาคงจะทรมานและไม่รู้จะทำเช่นไรให้ยอดดวงใจได้หายโกรธเคือง

“เจ้านี่อย่างไร...หากข้าจะมองคนของเจ้า ข้ามองยอดรักของข้ามิดีกว่าหรือ?” เหวินฉายหยิกเข้าที่เอวหนาอย่างหมั้นไส้ในคำหวานแสนลวงคำนั้น เขามิได้ตาบอดจะได้มองมิเห็นว่าเจ้าลูกเต่าตัวนี้เมื่อครู่ได้หันไปมองผู้ใด พอถูกเจ้าของเขาจับได้ก็บ่ายเบี่ยงมาเสียทางนี้ เฮอะ!

“อย่านึกว่าข้ามิเห็นนะ” เสียงลอกไรฟันที่เย็นยะเยือกของคนรักทำให้เฉินลี่ฟู่ต้องรีบออดอ้อน ทำสายตาลูกสุนัขตัวเล็กให้ดูน่าสงสารแทน

“โธ่...ข้าหรือจะมีตาไว้มองผู้ใด แค่มองเจ้าก็ไม่เหลือที่ไว้ให้มองผู้ใดอีกแล้วนะยอดรัก”

“อะแฮ่ม! ทานกันเถิด” สุดท้ายก็ทนความหิวไม่ไหว ลู่จิ้นเหอจึงได้จบสงครามแห่งรักลงอย่างง่ายดาย ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตาทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เลิกโต้เถียงกันเพราะมิอยากจะเสียมารยาทต่อหน้าแม่ทัพลู่จิ้นเหอผู้ยิ่งใหญ่ อีกทั้งในยามนี้ท้องก็หิวเต็มที

ลู่จิ้นเหอกวาดสายตามองบรรยากาศบนโต๊ะด้วยสายตาเรียบเฉยแต่ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความยินดี ในคราก่อนนั้นเหม่ยหลินนางกระทำตัวไม่เหมาะสม บีบคั้นรังแกเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางผู้นี้เสียจนเรียกว่าโหดร้าย แต่เมื่อความจริงปรากฏ...นางก็พร้อมเอ่ยคำขอโทษ และแก้ไขเรื่องราวให้ดียิ่งขึ้น ยามนี้จึงเหลือแต่รอยยิ้มบนใบหน้านาง และการกระทำที่ราวกับเห่อบุตรชายคนใหม่ก็ยิ่งทำให้มุมปากของลู่จิ้นเหอจุดรอยยิ้มขึ้นมาแม้จะน้อยนิดก็ตาม ส่วนถังเหวินฉายในตอนนี้มีเพียงใบหน้าบึ้งตึงใส่คนข้างกาย เฉินลี่ฟู่เองก็พยายามง้องอนคนรักอย่างน่าเห็นใจ มือหนาคอยคีบอาหารใส่ให้ไม่ตกหล่น เพียงเหวินฉายเอื้อมออกไปที่จานใด เฉินลี่ฟู่ก็จะคีบมาให้ก่อนในทันที แม้จะโกรธอีกฝ่ายแต่ถังเหวินฉายกลับร้อนผ่าวที่ใบหน้าจนขึ้นสีระเรื่อ ยอมทานทุกอย่างที่คนข้างกายคีบมาให้ ช่างชวนให้คนมองได้สุขใจไปด้วยเช่นกัน

ลู่เฟยหลงค่อยๆ คีบนั่นคีบนี่ให้ไม่ต่างจากผู้เป็นมารดา ปากคอยถามว่าอยากได้สิ่งใดหรือไม่ หรือชอบหรือไม่อยู่ตลอดเวลา ใบหน้าของนางนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สายตาคอยจ้องมองใบหน้าของหยางเถาที่ยิ้มน้อยๆ อย่างสุขใจ นางรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างโง่งมเสียเหลือเกิน ที่เคยหลงใหลไปกับเพ่ยเยว่เผิงกับความอ่อนหวานจอมปลอมนั้น หากนางมิได้มาพบความอ่อนหวานที่แท้จริงจากหยางเถา นางคงตามืดบอดคว้าเพ่ยเยว่เผิงมาเป็นสะใภ้และมันคงจะทำให้บุตรชายของนาง...ทุกข์ทรมานใจ

“ได้ยินว่าเจ้าชอบซาลาเปามาก ป้าสั่งให้คนทำเพื่อเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ เจ้าชอบหรือไม่”

“ข้าชอบขอรับ ขอบคุณท่านป้า ข้าจะทานให้หมดเลย” รอยยิ้มอันใสซื่อถูกส่งให้อี้เหม่ยหลินจนนางอดลูบศีรษะเล็กๆ อย่างเอ็นดูไม่ได้

“อะแฮ่ม!” ลู่เฟยหลงกระแอมเสียงดังจนหยางเถาต้องมองมาด้วยสายตาห่วงใย แต่อี้เหม่ยหลินนั้นรู้ดีว่าอาการขี้หวงของบุตรชายมีมากเสียจนไม่สนใจว่าความรักที่นางให้นั้นดุจดังบุตรชายอีกคนเท่านั้น แต่ลู่เฟยหลงกลับพร้อมกระโจนเข้าโจมตีทุกคนหากเข้ามาใกล้หยางเถาผู้เป็นที่รัก

“จริงสิท่านแม่...เหวินฉายบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นในตลาด ข่าวลือแพร่สะพัดถึงเรื่องปีศาจในบ้านสกุลลู่” หยางเถาชะงักมือที่กำลังคีบอาหารเช้าปาก ดวงตาฉายแววหวาดกลัวและหวาดหวั่นออกมาจนเฟยหลงต้องจับมือบางเอาไว้เพื่อให้กำลังใจไม่ให้ร่างบางวิตกกังวลมากจนเกินไป

“จริงหรือนี่! ใครกัน...ผู้ใดกล้าพูดเรื่องเช่นนี้ หยางเถาของข้ามิใช่ปีศาจเสียหน่อย! กล้าดีอย่างไรถึงได้มาใส่ร้ายสกุลลู่!” ร่างของหยางเถาถูกดึงไปกอดแนบอกของเหม่ยหลิน นางลูบเส้นผมสีเงินที่แสนนุ่มมืออย่างปลอบประโลม ความอบอุ่นจากกายของเหม่ยหลินทำให้หยางเถาซุกกายเข้าหาอย่างไม่รู้ตัว เฉินลี่ฟู่ตาค้างตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน เด็กหนุ่มผู้นี้มิใช่มนุษย์หรอกหรือ!

“ท่านแม่คิดว่าผู้ใดเล่าขอรับ...จะมีผู้ใดหากมิใช่นางผู้นั้น” รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฟยหลง ดวงตาฉายความเกลียดชังออกมาอย่างไม่ปกปิด

“อภัยด้วย ข้าขอถาม...หยางเถาผู้นี้คือ...” เฉินลี่ฟู่เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้จึงเลือกจะเอ่ยถามออกไปตรงๆ เหม่ยหลินมองใบหน้าของเฉินลี่ฟู่พร้อมกับเชิดใบหน้าขึ้นสูงอย่างภาคภูมิใจ

“หยางเถาคือสะใภ้ของข้าเอง” แต่นั่นมิใช่สิ่งที่เฉินลี่ฟู่เอ่ยถามสักนิด เขาจึงเอ่ยถามอีกครั้งแม้จะถูกมือบางของเหวินฉายจับแขนเอาไว้แน่น

“ขออภัยฮูหยินลู่...ข้าหมายถึง...” เหม่ยหลินยิ้มน้อยๆ ไม่ถือสากับคำถามที่ถูกถามออกมาทั้งที่สีหน้ากระอักกระอ่วนใจเหลือเกินนั้น

“หยางเถาคือจิตวิญญาณต้นท้อพันปี มิใช่ปีศาจดั่งคนกล่าวหา ขอคุณชายเฉินเจ้าอย่าได้หวาดกลัว” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมามิได้เจือด้วยความไม่พอใจสักนิด ซ้ำยังมีแต่ความเอ็นดูในความอยากรู้ของเฉินลี่ฟู่เสียอีก

“ข้ามิได้ เอ่อ รังเกียจหรือหวาดกลัวใดๆ ขอฮูหยินและคุณชายหยางอย่าได้กังวล ข้าเพียงไม่เข้าใจเท่านั้นจึงได้เอ่ยถามออกไป” เหม่ยหลินจิ้มบางๆ อย่างมิได้ถือสา มือก็ลูบไล้เส้นผมสีเงินบนศีรษะเล็กอย่างเอ็นดูไม่หยุด ตัวหยางเถาที่ได้ยินว่าคุณชายเฉินลี่ฟู่ผู้นี้มิได้รังเกียจหรือหวาดกลัวก็พอเบาใจลงได้ สีหน้าจึงได้คลายความวิตกลงไปมาก

“ท่านพ่อเล่าขอรับ คิดว่าเรื่องนี้ควรลงมือทำเช่นไร” ลู่เฟยหลงเลือกจะขอความคิดเห็นของผู้เป็นบิดา ด้วยว่าความคิดของลู่จิ้นเหอนั้นรอบคอบและหลักแหลมมากกว่าเขา ด้วยเขารู้ดีว่าเรื่องนี้เกิดจากผู้ใด และเกี่ยวข้องกับยอดดวงใจที่อยู่ข้างกาย อารมณ์ของเขานั้นไม่มั่นคงเพียงพอจะคิดให้รอบคอบ เขากล้ายอมรับออกมาตรงๆ เลยว่าเขานั้น โกรธแค้นและชิงชังเพ่ยเยว่เผิงเสียจนหมายจะสังหารให้ตายไปเสีย

ลู่จิ้นเหอมองใบหน้าของบุตรชายที่แววตาฉายชัดถึงความเกลียดชังก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา หากจะต้องการเป็นใหญ่ใจจะต้องนิ่ง อารมณ์จะต้องมั่นคง มิถูกสิ่งใดรบกวน แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงหยางเถาแล้ว ดูเหมือนบุตรชายของเขานั้น...จะไร้ซึ่งความสามารถในการควบคุมมันเสียอย่างนั้น เขาเองก็มิใช่ว่าไม่เข้าใจในความรู้สึก หากแต่ว่าในตอนนี้ จะทำสิ่งใดลงไปก็คงมิเกิดผลดี รังแต่จะยิ่งแพร่สะพัดข่าวลือออกไปมากกว่า จากสิ่งที่ไร้มูลจะกลายเป็นสร้างมูลให้มันเสียเอง และผู้ที่ต้องเสียใจก็มิใช่ผู้ใดนอกจากตัวเฟยหลงและหยางเถาเอง

“หากเจ้าถามข้า ข้าก็จะบอกให้เจ้ารออยู่เฉยๆ อย่าได้กระทำสิ่งใด”

“เพราะเหตุใดขอรับ...” เฟยหลงเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่ลู่จิ้นเหอเพียงวางตะเกียบลงและจ้องมองดวงตาของบุตรชายพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่แสนน่าเกรงขาม

“เพราะมันจะทำให้ตัวการใหญ่ อยู่ไม่เป็นสุขอย่างไรล่ะ”







•~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•









หลังจากที่ทุกคนอิ่มกับอาหารบนโต๊ะพวกเขาทั้งหมดก็แยกย้ายกันไป เหวินฉายถูกอี้เหม่ยหลินสั่งให้พาเฉินลี่ฟู่ไปยังห้องที่ถูกเตรียมเอาไว้ แม้ว่าในใจของถังเหวินฉายจะคัดค้านมากเพียงใดแต่ก็ทำได้แค่เพียงก้มหน้ายอมรับและเดินนำเฉินลี่ฟู่ไป ตรงกันข้ามกับตัวเฉินลี่ฟู่ที่เมื่อได้ยินคำสั่งของฮูหยินประจำบ้านสกุลลู่ แววตาของเขาก็ฉายแววเจ้าเล่ห์ เขาพึงพอใจกับสิ่งที่ได้ยินนี้อย่างเหลือเกิน บนโต๊ะอาหารเขาเห็นท่าทางแสนงอนของคนข้างกายแล้วหัวใจยิ่งพองโต ความหึงหวงที่เหวินฉายแสดงออกมาให้เห็นนั้นช่างกระตุ้นอารมณ์ความต้องการของเขาให้พุ่งสูงจนไม่สามารถจะวัดค่าของมันได้

ริมฝีปากหนาถูกลิ้นสีแดงเลียจนชุ่ม สายตาคมกวาดมองไปทั่วทั้งร่างแม้จะเป็นเพียงแผ่นหลังของเหวินฉายก็ตามและดูเหมือนมันจะทำให้เหวินฉายไม่ชอบใจนัก จึงได้ตวัดสายตามองมาดุๆ จนเขาต้องหัวเราะในลำคอ

ด้านลู่เฟยหลงที่ตอนนี้พาหยางเถามาเดินเพื่อย่อยอาหารคาวหวานทั้งหลาย ที่ร่างบางถูกมารดาของเขายกมาให้ทั้งขนมและของกินอีกมากมาย เขาเองก็อดคิดไม่ได้ว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เจ้าดอกท้อของเขาคงไม่พ้นกลายเป็นลูกท้อกลมๆ ที่ต้องแบกเอาหน้าท้องใหญ่ๆ นั่นเข้าต้นท้อเป็นแน่ แต่ถ้าหากว่าหน้าท้องสวยๆ ของหยางเถาจะต้องยื่นออกมา เขาก็ปรารถนาให้มีบุตรชายหรือบุตรสาวของเขาอยู่ภายในนั้นอย่างเหลือเกิน

แต่เขาก็รู้ดีว่าในเป็นไปไม่ได้ เพียงแค่เวลาจะได้ใช้ร่วมกันเขาหรือก็แทบจะไม่มี

ลู่เฟยหลงลอบถอนหายใจอย่างหนักใจ เวลาที่กระชั้นชิดเข้ามาช่างบีบคั้นหัวใจของเขาเหลือเกิน แต่เมื่อมองคนข้างกายที่ในตอนนี้แหงนเงยใบหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่สาดส่องแสง เขากลับรู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่ได้อยู่ แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ใช้มันกับหยางเถา ดอกท้อแสนงดงามเพียงดอกเดียวในหัวใจของเขา ลมเย็นพัดผ่านร่างกายของทั้งสองช้าๆ จนเส้นผมสีเงินปลิวไปตามแรง แต่หยางเถาไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ดวงตากลมสีอำพันยังคงจับจ้องไปบนฟ้าไม่ละสายตา ปล่อยให้ความคิดเลื่อนลอยออกไปไกลแสนไกลจนร่างสูงไม่สามารถเดามันได้

ลู่เฟยหลงเลื่อนมือไปกุมมือบางเอาไว้ด้วยความรู้สึกรักใคร่ แผ่ซ่านความอบอุ่นออกไปให้ฝ่ามือเล็กที่เย็นชืดพอได้รับไออุ่น หยางเถาหลุดออกจากห้วงอารมณ์ที่ครุ่นคิด หันมามองใบหน้าหล่อเหลาที่ฉายความห่วงใยด้วยรอยยิ้ม ร่างบางยิ้มให้ราวกับต้องการจะบอกว่าเขามิได้เป็นอะไร บีบกระชับมือหนาให้อีกคนได้มั่นใจว่ามันเป็นเช่นนั้น สองคนต่างเดินจูงมือกันไปเรื่อยๆ แม้จะมิได้ออกไปนอกบ้านสกุลลู่แต่ก็มิได้น่าเบื่อ อย่างไรการที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกันมันก็วิเศษที่สุดแล้ว

ร่างสูงเดินเคียงข้างหยางเถาด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก กุมกระชับมือบางไว้แน่นยางรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ช่างพิเศษเหลือเกิน การได้เจ้าดอกท้อข้างกายมันเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาที่สุด

“นั่น...มันคือสิ่งใดกัน เหตุใดจึงมีแสงสวยงามเช่นนี้” น้ำเสียงของหยางเถาเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นในใจ ดวงตากลมสีอำพันเบิกกว้าง มองแสงเล็กๆ ที่กะพริบในความมืด กระจัดกระจายราวกับสิ่งมหัศจรรย์ที่แสนดึงดูดใจ เฟยหลงหันมองตามสายตาของเจ้าดอกท้อ จนต้องยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

“นั่นคือหิ่งห้อย เจ้าชอบหรือ?” หยางเถาพยักหน้า มองพวกมันไม่วางสายตา ยิ่งแสงนั่นลอยเข้ามาใกล้ หยางเถาก็ยิ่งมีสีหน้าดีอกดีใจ

“มันช่างสวยงามเหลือเกิน อ๊ะ! เฟยหลง! มันเข้ามาใกล้เราแล้ว” ท่าทางที่แสนน่ารักยามดีอกดีใจนั่นทำให้เขาหลงใหลได้เสมอ มือหนาเอื้อมออกไปหาหิ่งห้อยตัวหนึ่ง กักขังมันเอาไว้ในฝ่ามือและดึงกลับเข้าตัวก่อนจะยื่นออกไปตรงหน้าของหยางเถา ร่างบางเบิกตาโตเมื่อเฟยหลงกางมือที่กักขังเจ้าดวงไฟน้อยออกช้าๆ ตัวของมันเล็กมาก เกาะอยู่บนฝ่ามือแต่ยังเปล่งแสงไฟเป็นจังหวะช้าๆ คล้ายการหายใจ

“เจ้านี่คือหิ่งห้อย หากเจ้าชอบ...ข้าจะจับมาให้เจ้าอีกดีหรือไม่” หยางเถาเพียงยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้า

“แม้จะงดงามมากเพียงใด แต่หากกักขังมันไว้ ความงดงามของมันย่อมลดลง” เฟยหลงยิ้มให้ มือหนายกขึ้นปลดปล่อยเจ้าหิ่งห้อยตัวน้อยให้บินออกไปหาอิสรภาพ ก่อนจะหันมาลูบผิวแก้มที่เย็นชืดอย่างแผ่วเบา

“ข้ารักเจ้านะหยางเถา ข้าดีใจที่ข้ามิได้รักผิดคน” หยางเถากลับหัวเราะออกมาทั้งที่เขินอายจนหน้าแดง

“ข้าเพียงคิดว่า ความงดงามของมันอยู่กับสิ่งรอบกาย หากมันฉายแสงในความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์ มันคงจะดูงดงามมากกว่าที่จะต้องมาอยู่ในที่เดียวที่กักขังมันเอาไว้ ข้าดีใจที่เจ้าเข้าใจในสิ่งที่ข้าพูด แต่การที่อยู่ๆ เจ้าก็บอกรักแก่ข้านั้น” หยางเถาจับมือหนาของเฟยหลงมาวางบนอกข้างซ้ายของตน สบสายตาสีอำพันที่เต็มไปด้วยความรักกับดวงตาคม “...มันทำให้หัวใจของข้า เต้นแรง”

ลู่เฟยหลงแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่ มือหนาลูบผิวแก้มใสอย่างหลงใหล ใบหน้าหล่อโน้มลงมาหาจนเกือบแนบชิด ริมฝีปากหนาทาบทับลงบนกลีบปากบางอย่างแผ่วเบาก่อนจะผละออก สายตาของทั้งคู่สอดประสานกันถ่ายทอดความรักของกันและกันผ่านทางสายตา เฟยหลงก้มลงมอบจุมพิตหวานอีกครั้งทั้งที่ใจสั่น มือของหยางเถาเกาะไหล่ของเฟยหลงเอาไว้อย่างลืมตัว เผยอริมฝีปากออกรับความหวานจากปลายลิ้นที่ถูกสอดเข้ามากวาดต้อนไปทั่วทั้งปาก

ลมหายใจของทั้งคู่ติดขัด แม้ว่ารอบข้างจะหนาวเย็นจากลมที่พัดผ่านแต่ทว่าไม่อาจจะสู้กับความร้อนระอุที่ปะทุจากห้วงอารมณ์ของทั้งสองได้ เฟยหลงบดเบียดริมฝีปากอย่างหนักหน่วง กวาดปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กอย่างถือสิทธิ์ รสชาติที่หวานฉ่ำช่างยั่วยวนใจเฟยหลงเสียเหลือเกินจนแทบจะหักห้ามหัวใจเอาไว้ไม่ได้ รสจูบที่แสนนุ่มนวลค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรง หยางเถาไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งนี้จะทำให้ในหัวขาวโพลน ร่างกายที่กำลังยืนหยัดอยู่บนพื้นดินไร้เรี่ยวแรงเสียดื้อๆ

เฟยหลงครางแผ่วในลำคอ กอดประคองร่างเล็กไม่ให้ทรุดกายลงกับพื้น ริมฝีปากของเฟยหลงค่อยๆ ผละออกช้าๆ มองใบหน้าหวานที่แดงก่ำจากอารมณ์ที่ตกค้างอย่างพึงพอใจ ปลายนิ้วของเขาไล่เช็ดความฉ่ำวาวบนกลีบปากบางอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาคมแทบจะกลืนกินหยางเถาไปทั้งตัวเสียด้วยซ้ำ หากมิใช่ว่าเขารักหยางเถามากเกินกว่าจะหักหาญน้ำใจ เขาคงจะกดร่างบอบบางนี้ลงกับพื้นและกระทำในสิ่งที่เขาต้องการโดยไม่สนใจว่าจะอยู่ที่ใด

แต่ต้องมิใช่กับคนผู้นี้! หยางเถาเป็นมากกว่าชีวิตและหัวใจของเขา เขาจะไม่มีวันทำร้ายหยางเถาเด็ดขาด

เฟยหลงระงับอารมณ์ที่พุ่งสูงอย่างยากลำบาก แค่เพียงมองใบหน้าหวานที่แดงซ่านยามถูกเขาจุมพิตริมฝีปากนั้นเขาก็ยิ่งยากจะหักห้ามใจ มือหนาจับจูงให้ร่างบอบบางเดินต่อไปข้างหน้า แม้ว่าห้วงอารมณ์หวานจะยังคงอยู่ แต่ลู่เฟยหลงก็ปล่อยให้มันมาทำลายบรรยากาศของเขากับหยางเถาลงมิได้เด็ดขาด แต่เพียงแค่ไม่กี่ก้าว ร่างบางของหยางเถาก็หนีเท้าลง ใบหน้างดงามคิ้วขมวดดูยุ่งเหยิงจนน่าเป็นห่วง มือบางถูกดึงออกด้วยแรงของเจ้าตัวก่อนที่จะเดินไปอีกทางอย่างคนสงสัย

เขาเดินตามหยางเถาไปอย่างนึกห่วง มิรู้ว่าเกิดสิ่งใดผิดปกติกับเจ้าดอกท้อ แต่เขาก็ต้องชะงักเท้า เมื่อร่างของเจ้าดอกท้อยืนอยู่หน้าประตูห้องหนึ่ง ที่บัดนี้มิได้มีแสงไฟใดๆ แต่กลับมีเสียงประหลาดเกิดขึ้น เสียงที่ดังลอดออกมามันทำให้ลู่เฟยหลงตัวแข็งทื่อ ลมหายใจติดขัดจนแทบจะหายใจไม่ออก เสียงหัวใจเต้นดังแข่งกับเสียงที่ดังออกมา ในหัวจินตนาการภาพของหยางเถาที่ไร้สิ่งปกปิดเรือนร่าง

ผมสีเงินสยายไปบนเตียง เสียงหวานขับขานบทเพลงแห่งรักที่เขาเป็นผู้ชักนำ หากเขาได้สอดกายเข้าไป รุกล้ำนำความยิ่งใหญ่เข้าสู่กายของหยางเถา หากเขากระแทกกายซ้ำเล่า หากใบหน้าหวานบิดเบี้ยวเพราะรสสัมผัสของเขาจะดีเพียงไหน หากว่าเขาสามารถดูดกลืนรสชาติของเจ้าดอกท้อดอกนี้ได้ทั้งตัว เขาคงจะมีความสุขเสียจนสำลัก จนยินยอมลงไปยังปรโลกเป็นแน่

หยางเถาเอนกายเข้าหาประตูช้าๆ ใบหูแนบกับประตูอย่างตั้งใจที่จะฟังให้ได้รู้ว่านั่นคือเสียงใด เสียงร้องที่แสนทรมานและเจ็บปวด เสียงที่บางครั้งก็ดูสุขล้นเสียจนจะขาดใจ เขาทำสิ่งใดกันแน่ เหตุใดคนผู้นั้นจึงได้ร้องครวญครางเช่นนั้นกัน หยางเถายังคงยืนฟังนิ่งทั้งที่ใบหน้าขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปม เฟยหลงที่ยืนนิ่งเริ่มได้สติ สะบัดเอาความคิดอันแสนชั่วช้าออกจากหัวไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินมาคว้าแขนของหยางเถาโดยใช้มือหนาอีกข้างปิดปากบางไม่ให้ส่งเสีย และดึงร่างของหยางเถาออกห่างจากประตูช้าๆ

หยางเถาเงยหน้ามองสบตากับเฟยหลงอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ถูกกระทำ เขาจับจ้องแววตาที่คล้ายหลุมดำที่ดูดผู้คนเข้าไปโดยไม่มีแม้แต่โอกาสจะหลุดออกมาอย่างตกตะลึง เฟยหลงในบัดนี้แตกต่างจากยามปกติเหลือเกิน ดูน่าหวาดหวั่นและน่าหวาดกลัว แต่ก็ทำให้ใจของเขาเต้นแรงได้เช่นกัน เฟยหลงค่อยๆ ปล่อยมือออกจากริมฝีปากนุ่มช้าๆ สายตาทั้งสองสอดประสานกันทั้งที่ยังคงได้ยินเสียงร้องดังลอดออกมาเป็นระยะๆ

“เฟยหลง...นั่นเสียงอะไรหรือ” ด้วยความไร้เดียงสา จึงเกิดคำถามที่ชวนให้เฟยหลงปวดหัวอย่างหนัก เขาจะตอบเช่นไร จะบอกความจริงหรือก็มิควรสักนิด เจ้าดอกท้อของเขาช่างบริสุทธิ์และบอบบาง หากได้ล่วงรู้เรื่องราวที่แสนโสมมนี้จะยังรับได้อีกหรือ เฟยหลงคิดหนัก ถามตอบกับตนเองเงียบๆ จนสีหน้าเคร่งเครียด

“เฟยหลง...เกิดอะไรขึ้นหรือ” แรงโอบรัดจากด้านหลังมากขึ้นจนหยางเถาขยับก่ยไปไหนไม่ได้ ทำได้เพียงแค่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจเท่านั้น ลู่เฟยหลงก้มลงมาจนชิดใบหูเล็ก ลมหายใจร้อนผ่าวในระยะห่างที่ชวนให้เข้าใจผิดนี้ช่างน่าอายยิ่งนักในความรู้สึกของหยางเถา

“เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่อยู่ในห้องสองผู้นั้น” เสียงของเฟยหลงแหบพร่า เขาอดไม่ได้ที่จะกดริมฝีปากลงกับต้นคอขาวที่เย็นชืด เพียงความร้อนตากริมฝีปากเขาสัมผัส หยางเถาก็สะดุ้งด้วยความตกใจ

“ขะ ข้า...ข้า” แม้ว่าแท้จริงแล้วจะอยากรู้มาก แต่สัญชาตญาณบางอย่างร้องบอกเขาว่ามิควรตอบรับกับคำถามของเฟยหลง เขาควรจะเดินออกไปแล้วปล่อยความค้างคาใจนี้ไปเสียให้สิ้น แต่เฟยหลงกับไม่คิดปล่อยให้มันจบลง เพียงหยางเถาขยับกายหวังจะออกจากอ้อมอกของเขา เขาก็กอดรัดอีกครั้งจนแผ่นหลังบางสัมผัสกับอกแกร่ง กลิ่นกายของหยางเถาช่างยั่วยวนใจเสียเหลือเกิน จนเฟยหลงมิอาจจะอดทนมิให้สูดดมมันได้ เสียงหัวเราะดังขึ้นในลำคอหนา เมื่อรับรู้ถึงแรงสั่นเบาๆ จากคนในอ้อมกอด

“หากเจ้าปรารถนาจะรู้...ไยมิลองอยู่ในห้องกับข้าบ้างเล่า เจ้าดอกท้อ”
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 20. up.20/07/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 19-07-2019 12:26:19
(ต่อค่า)

เสียงอึกทึกครึกโครมดังออกมาจากในห้องใหญ่ ตามด้วยเสียงร้องของเหล่าสาวใช้ที่ดังออกมาเป็นระยะ เพ่ยเยว่เผิงในตอนนี้อาละวาดกวาดข้างของมากมายลงสู่พื้นด้วยความโมโห ความไม่พอใจของนางยิ่งทวีคูณเมื่อได้รับรู้ว่าสกุลลู่มิได้เดือดร้อนมดๆ กับข่าวลือที่นางปล่อยออกไปเลยสักนิด นางโกรธแค้นชิงชังจนอย่างจะทำลายเสียให้สิ้นทั้งตระกูล แต่นางก็ทำได้เพียงแค่ปล่อยข่าวโคมลอยออกไปเท่านั้น

ลู่เฟยหลงที่บังอาจรักกับปีศาจนั้นคือความผิด ลู่เฟยหลงที่บังอาจคิดครองคู่กับบุรุษคือความผิด! ทั้งที่นางเป็นถึงบุตรสาวผู้งดงามแห่งสกุลเพ่ย แต่ลู่เฟยหลง ชายผู้นั้นกลับไม่เลือกนาง ปรารถนาเพียงเคียงคู่กับปีศาจร้ายเช่นหยางเถา! บุรุษผู้นั้นจะงดงามกว่านางได้เยี่ยงไร นางเป็นสตรีย่อมสามารถมีบุตรให้ได้กลับไม่สนใจนางสักนิด!

นางโกรธแค้นลู่เฟยหลง เกลียดชังลู่เฟยหลง! และหมายอยากให้สกุลลู่ล่มไปด้วยคำร่ำลือของนาง!

แต่มันกลับไม่เป็นไปดังหวัง สกุลลู่ไร้วี่แววที่จะเดือดดาลกับข่าวลือ ไร้ซึ่งวี่แววความทุกข์ร้อนที่ควรจะมี ในยามนี้มีเพียงความเงียบจนนางเองยอมไม่ได้ จะมีเพียงนางที่ทรมานมิได้ สกุลลู่จะต้องชดใช้ในสิ่งที่บุตรชายของพวกเขาได้ทำไว้ ยิ่งฮูหยินแห่งสกุลลู่ยิ่งถือว่าเป็นผู้ที่กระทำผิดต่อนางเช่นกัน ในเมื่อวางนางเอาไว้ในตำแหน่งสะใภ้ แล้วเหตุใดจึงได้เปลี่ยนความคิด ปล่อยนางลอยคออยู่ในแม่น้ำที่เชี่ยวกรากเพียงผู้เดียว! เหตุใดมิสนับสนุน บังคับให้ลู่เฟยหลงมาแต่งงานกับนางเล่า!

หรือแท้จริงแล้ว หมายอยากจะให้ลู่เฟยหลงรักใคร่กับบุรุษที่เป็นปีศาจผู้นั้น

ก็ดี! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นางก็จะมิเกรงใจใดๆ อีก หากเกิดเหตุใด อย่าโทษนางก็แล้วกัน!

มือบางสั่นระริก ใบหน้าหวานบิดเบี้ยวเสียจนหาความงดงามไม่ได้ แก้วและการน้ำชาถูกปาทิ้งจนแตกกระจายไปจนทั่ว เศษซากความเสียหายยังคงกระจายอยู่เต็มพื้น บรรยากาศแสนมืดมนยังไม่มีท่าทีจะจางหายไป สีหน้าของเหล่าสาวใช้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ด้วยพวกนางสามารถหลบหลีกมิให้โดนหัวตนได้ แต่คงมิอาจจะหลบไปได้ตลอด หากคุณหนูของพวกนางต้องการจะให้โดน มีหรือที่พวกนางจะสามารถหลบมันได้พ้น

เป็นไปมิได้อยู่แล้ว! สาวใช้อย่างพวกนางเป็นเพียงเครื่องระบายอารมณ์ของผู้เป็นนายเท่านั้น

ความหวาดกลัวกระจายไปทั่วจนแม้แต่บ่าวรับใช้ภายนอกยังหวั่นเกรงมิต่างกัน ทุกคนล้วนแต่หลีกหนีมิอยากจะเฉียดเข้ามาใกล้พายุร้ายแห่งห้วงโทสะของเพ่ยเยว่เผิงแม้แต่น้อย เสียงดังที่ออกมาไม่ขาดยิ่งทำให้ทุกคนมีสีหน้าขยาดกับอารมณ์ที่คล้ายระเบิดขนาดใหญ่ หากเป็นไปได้ มิมีใครหวังจะถูกเรียกเข้าไป

“เยว่เผิง! เกิดอันใดขึ้น! เหตุใดจึงได้ทำลายข้างของเช่นนี้!” จางเยว่หลิงเอ่ยถามบุตรสาวเมื่อตกตะลึงกับความเสียหายที่กระจัดกระจายอยู่ภายในห้อง ยิ่งได้เห็นตัวสั่นๆ ของเหล่าสาวใช้ก็ยิ่งตกใจ

“ช้าเกลียดมันท่านแม่! เกลียดสกุลลู่! เกลียดลู่เฟยหลง! เกลียดอี้เหม่ยหลิน ข้าเกลียด!!” เสียงที่เคยเอ่ยด้วยความอ่อนโยนบัดนี้ถูกเติมเต็มด้วยโทสะเสียจนเสียงสูง จางเยว่หลิงได้แต่พยายามบรรเทาอารมณ์ที่พุ่งขึ้นของบุตรสาว ให้ได้ระงับโทสะก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ มากกว่านี้

“แม่รู้ๆ เข้าใจเย็นๆ ก่อนเถิด บอกแม่สิว่า สกุลลู่ทำสิ่งใดให้เจ้าเจ็บแค้น?” เพ่ยเยว่เผิงสูดลมหายใจเข้าอย่างแรงก่อนจะหันมองใบหน้าของมารดาอย่างไม่พอใจ

“นี่ท่านมิรู้หรือว่าข้าควรจะได้แต่งงานกับบุรุษผู้นั้น แต่สกุลลู่ก็เพียงแค่โกหกด้วยลมปาก! แท้จริงเพียงหวังให้บุตรชายแต่งงานกับบุรุษที่ซ้ำยังเป็นปีศาจน่าขยะแขยง!” จางเยว่หลิงเบิกตากว้างอย่างตกใจ ด้วยไม่เข้าใจว่าเรื่องเช่นนี้บุตรสาวของนางไปรู้ได้อย่างไร อีกทั้งยังออกปากเรื่องแต่งงานได้หน้าตาเฉย ทั้งที่เป็นสตรี

“เจ้ามิควรเอ่ยเช่นนี้นะเยว่เผิง เจ้าเป็นบุตรสาวของสกุลเพ่ย จะเอ่ยวาจาเรื่องแต่งงานออกมาอย่างนี้มิได้ เจ้ารู้หรือว่ามิควร!”

“เหตุใดข้าจะเอ่ยมิได้! เมื่อท่านป้าลาเหม่ยหลินเป็นผู้บอกกล่าวกับข้าเอง แต่เพราะมัน! เพราะเจ้าปีศาจโสมมนั่นผู้เดียว มันล่อลวงพี่เฟยหลงของข้า! อีกทั้งยังใช้เล่ห์กลบังคับท่านป้าให้เป็นพวกของมันอีก! ข้าจะทำลายให้สิ้น ทั้งสกุลลู่ ทั้งเจ้าปีศาจ!”

เพียะ!

“เจ้าจะเอ่ยสิ่งใดก็จงคิดเสียบ้าง! นี่เจ้ามิมียางอายขนาดนี้แล้วหรือ! ข้าเลี้ยงเจ้าให้เดินตามบุรุษหรืออย่างไร! เขามิได้รักเจ้า เหตุใดมิยอมรับความจริง!” ฝ่ามือของจางเยว่หลิงตบเรียกสติที่แตกกระเจิงของบุตรสาว นางหวังเพียงว่า เพ่ยเยว่เผิงจะหยุดและเข้าใจมันเสียที นางพร่ำบอกมาเสมอว่าให้คิดให้ดี อย่าหลงลำพองใจว่าเขารัก แล้วนี่อย่างไร นี่คือผลที่บุตรสาวของนางมิสนใจในคำเตือนของนาง

เพ่ยเยว่เผิงกุมแก้มตนเองไว้แน่น มองมารดาของตนเองอย่างโกรธแค้น ทั้งที่จางเยว่หลิงกลับมีสีหน้าเจ็บปวดราวกับตนเองที่ถูกตบ ผู้เป็นแม่เพียงอยากจะให้บุตรสาวของตนได้หยุดกระทำผิดก่อนที่มันจะแย่ไปมากกว่านี้ แต่สำหรับเพ่ยเยว่เผิงแล้ว การกระทำของจางเยว่หลิงกลับยิ่งกระตุ้นโทสะของนางยิ่งขึ้นจนมันโหมกระหน่ำราวกับพายุลูกใหญ่

“นี่ท่าน...ตบข้าเพราะสกุลลู่งั้นหรือเจ้าคะ? ท่านแม่ตบข้าเพียงเพราะพวกมันที่ทำร้ายหัวใจข้า! ท่านแม่ทำได้อย่างไร!” จางเยว่หลิงมองมือของตนเองด้วยความสับสน หากแต่ในใจนางนั้นรู้ดีว่าบุตรสาวของตนกำลังหลงเดินทางผิด และนางจะต้องแข็งใจเพื่อทำให้เยว่เผิงหยุดการกระทำ

“หากเจ้ามิเชื่อแม่ เจ้าจะต้องเสียใจภายหลัง!” จางเยว่หลิงเดินออกจากห้องไปอย่างไม่คิดจะหันกลับ ทิ้งให้เพ่ยเยวาเผิงกรีดร้องดังลั่นอย่างเจ็บแค้นใจ น้ำตานางไหลลงมาอาบสองแก้ม แววตายิ่งคุกรุ่นไปด้วยโทสะ

เจ้าปีศาจนั่น! แม้แต่มารดาของนางก็ยัง...

“กรี๊ดดดดด!!”

เพล้ง! เพล้ง!

เหล่าสาวใช้ยังคงหาที่หลบอย่างหวาดเกรง อารมณ์ที่ยิ่งทวีคูณของเพ่ยเยว่เผิงช่างน่ากลัวเหลือเกิน ในยามปกติที่นางโกรธก็น่ากลัวแล้ว แต่ในยามนี้...สีหน้าและแววตานั้นมีทั้งความเกลียดชัง โกรธแค้น สายตาเช่นนี้ยิ่งทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องต้องลนลานหาที่หลบซ่อนทันที

“เจ้า! ออกมาหาข้า!” คนถูกเรียกสีหน้าเลิ่กลั่ก แต่ก็ต้องจำใจลุกขึ้นมาหาผู้เป็นนายด้วยท่าทางหวาดกลัว

“จะ เจ้าคะคุณหนู”

“เตรียมตัวให้ข้า ข้าจะออกไปข้างนอก เดี๋ยวนี้!”

“จะ เจ้าค่ะๆ ข้าน้อยจะเตรียมตัวให้คุณหนูเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” นางลนลานจับนั่นจับนี่ด้วยมือที่สั่นๆ แต่การที่คุณหนูจะออกไปข้างนอกยังดีกว่าที่จะต้องอดทนอยู่กับอารมณ์ร้ายๆ แค่ในพื้นที่แคบๆ แม้ข้างนอกจะมิได้มีผู้ใดยื่นมือมาช่วย แต่นางยังมีพื้นที่อีกมาให้ได้หลบหนี

นางกลัว นางกล้ายอมรับ คุณหนูเพ่ยเยว่เผิงผู้งดงามช่างโหดร้ายและอารมณ์รุนแรงเหลือเกิน

นางทำสิ่งใดไม่ได้มาก เพียงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับผู้เป็นนายด้วยชุดสีฟ้าอ่อน ผมถูกปักด้วยปิ่นลายบุปผาอันแสนสวยงาม ผมเผ้าถูกจัดแต่งจนงดงาม ใบหน้าแต่งแต้มเพียงเล็กน้อยก็กลับมางดงามราวเทพธิดา แม้ว่ายังคงบึ้งตึงด้วยอารมณ์ที่ยังมิจางหาย แต่ก็มิได้ลดทอนความงดงามบนใบหน้านางเลยแม้แต่น้อย

เพ่ยเยว่เผิงจับจ้องตนเองในกระจกที่สะท้อนนางออกมาด้วยความพึงพอใจ แต่เพียงครู่เดียวมันก็กลับไปเต็มด้วยโทสะ นางเอาแต่เพียงคิดว่า ด้วยเหตุใดลู่เฟลหลงจึงได้โง่งมมิยอมเลือกนาง ทั้งที่นางนั้นมีดีกว่าบุรุษผู้นั้นมากนัก ทั้งให้กำเนิดบุตรได้ เป็นมนุษย์ธรรมดาที่เป็นถึงคุณหนูแห่งสกุลเพ่ย แต่ลู่เฟยหลงก็ยังคงโง่งมเลือกแต่เจ้าปีศาจนั่น ทั้งๆ ที่มันมิได้มีสิ่งใดคู่ควร มิได้มีสิ่งใดเทียบเทียมนางได้ด้วยซ้ำ

ดวงตาแดงฉายความรวดร้าวและความแค้นเคือง สองมือกำเข้าหากันจนแน่นจนปลายเล็บจิกเข้าสู่ฝ่ามือจนเลือดออก ภายในใจนางเอาแต่จบคิดหาวิธีทำลายสกุลลู่ที่ทำร้ายนางก่อนอย่างเจ็บใจ จะทำเช่นไรดี? ควรทำเช่นไรดีจึงจะสามารถล้มสกุลลู่ได้อย่างหมดค่า ให้คนผู้นั้นคลานเข้ามาหานางพร้อมอ้อนวอนขอความรักจากนาง

ก็ดี! ในเมื่อไร้ซึ่งเยื่อใยให้นางก่อน ก็อย่าโทษนางก็แล้วกัน!

“ท่านเลือกเองนะลู่เฟยหลง เพราะท่านไม่เลือกข้า เช่นนั้นข้าจะทำลายมันทุกสิ่ง ไม่เหลือสิ่งใดให้ท่านได้ชื่นชมอีก!”







TBC





Talk

แมว : เธอจะทำอะไรลูกช้านนนนนน!!!

นางร้าย : (ลับมีด) หึๆ ๆ ๆ ๆ

เฟยหลง : (โยนหยาเถาลงบนเตียง)

แมว : เดี๋ยวๆ แกเป็นพระเอกนะโว๊ยยยยยยย!!!

หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 20. up.20/07/62
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 19-07-2019 14:42:36
สนุกค่ะ รออ่านต่อนะคะ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 21. up.21/07/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 20-07-2019 16:38:47
[21]

เพ่ยเยว่เผิงเดินไปตามทาง มองใบประกาศด้วยใบหน้าที่พึงพอใจ แต่มันก็ยังไม่ถึงที่สุด เพียงแค่นี้มันไม่ได้ทำให้สกุลลู่เดือดร้อนจนออกมาดิ้นรนได้ ถ้าเช่นนั้น คงต้องทำมากกว่านี้ นางหันไปมองใบหน้าของชายอีกคนที่มุมมืด พยักหน้าให้กันก่อนที่ชายคนนั้นจะเดินออกมาด้วยท่าทางตื่นตระหนกและหวาดกลัวได้สมบทบาทที่ถูกว่าจ้างไว้ ชาวบ้านต่างตกใจกับท่าทางของชายผู้นั้นจนหลบหลีกเป็นทางกว้างให้ชายผู้นั้นเดินเข้ามากลางฝูงชน ใบหน้าหวาดหวั่นและเนื้อตัวสั่นระริกทำให้ผู้คนรอบข้างเริ่มพูดคุยกันเบาๆ

“ปะ ปีศาจ! ปีศาจมันจะฆ่าข้า ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย!” มือของเขายื่นออกไปจับขาของผู้คนรอบข้างอย่างขอความช่วยเหลือ ใบหน้าเปรอะเปื้อนคราบน้ำตา เสื้อผ้าก็มีร่องรอยของเลือดติดอยู่

“กรี๊ด! เลือด!” เมื่อมีคนเริ่มสังเกตเห็นรอยบนเสื้อนั้น เสียงร้องที่หวั่นวิตกก็เริ่มดังขึ้นมา ทุกคนเริ่มถอยห่างจากเขาอย่างรวดเร็ว มิมีใครอยากจะยุ่งเกี่ยวกับความเป็นความตาย แม้ในใจจะเวทนาสักเพียงใดก็ตาม

“เจ้า! ปีศาจที่ใดกัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่!” แต่แม้จะหวาดกลัวเขาก็ยังไม่อาจจะทิ้งความหอมหวานของเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าได้ ทุกคนต่างรอฟังคำตอบจากชายที่ยังคงนั่งตัวสั่นอยู่บนพื้น

เพ่ยเยว่เผิงเริ่มทำหน้าที่ของนาง นางเบียดผู้คนเข้าไปด้วยใบหน้าท่าทางที่บ่งบอกถึงความตกใจ เข้าไปพยุงร่างชายผู้นั้นให้ยืนขึ้นด้วยความสงสาร แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ทั้งสองต่างก็เตรียมการกันมาอย่างดี เพ่ยเยว่เผิงดึงผ้าเช็ดหน้าของตนออกมา เช็ดไปตามใบหน้าของชายหนุ่มอย่างเบามือ แสดงให้คนทั้งตลาดได้เห็นในความเมตตาและความมีน้ำใจไม่คิดรังเกียจผู้ที่ต่ำต้อยกว่านางแม้แต่น้อย

“เจ้าบอกมาเถิด ในเมืองซิ่นจือมิมีใครคิดนิ่งดูดายหรอกนะ เล่ามาเถิด” มือบางยังคงซับน้ำบนใบหน้าอย่างอ่อนโยน ผู้คนรอบข้างจึงพยักหน้าและตอบรับกับคำพูดของนาง

“ใช่ๆ เจ้าว่ามาเถิด ปีศาจที่ไหนกันที่ทำร้ายเจ้าจนมีสภาพเช่นนี้?”

“นั่นสิ คุณหนูเพ่ยกล่าวถูกต้องแล้ว เมืองซิ่นจือมิมีผู้ใดไร้น้ำใจ เมื่อเจ้าถูกทำร้ายเช่นนี้ พวกเราก็มิติดจะนิ่งดูดายหรอก เล่ามาเถิดเฉียนเล่อ” เฉียนเล่อที่แกล้งทำท่าหวาดหวั่นเริ่มกระตุกยิ้มมุมปากโดยไม่ให้ผู้ใดได้เห็นก่อนที่ท่าทีจะกลับเป็นใบหน้าที่หวาดกลัวอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับคนรอบข้าง แววตาสั่นๆ อย่างลังเลว่าเขาควรจะพูดไหม ทั้งที่ในใจนั้นเขาอยากจะรีบจบเรื่องนี้เสียที จะได้รับเงินแล้วไปเสีย

“ปีศาจผมสีเงิน มัน...มันทำร้ายข้า เพียงเพราะข้าเดินผ่านบ้านสกุลลู่ มันก็เข้ามาจู่โจมข้าทันที ขะ ข้าตกใจกลัวมาก มันขู่ข้าว่าหากไม่อยากตายก็อย่ายุ่งกับสกุลลู่อีกเด็ดขาด!” เสียงนินทาดังขึ้นจนหนาหู ความหวาดหวั่นเริ่มเกาะกุมเข้าไปสู่หัวใจของคนทุกผู้ จากใบประกาศที่ไร้มูลในยามนี้มีผู้เคราะห์ร้ายมายืนยัน เช่นนั้นคงมิใช่การกลั่นแกล้งหรือข่าวโคมลอยใดๆ สกุลลู่แห่งนั้นมีปีศาจอาศัยอยู่จริงๆ สินะ

ชาวบ้านทุกคนเริ่มหวั่นวิตก ลูกเด็กเล็กแดงถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดของผู้เป็นแม่แทบจะทันทีที่สิ้นเสียงบอกเล่า แม้ว่าบางคนจะยังมิอยากจะเชื่อ ด้วยคุณงามความดีของแม่ทัพลู่ในคราก่อนจากรุ่นสู่รุ่นมันทำให้หลายคนทำใจเชื่อไม่ลง แต่ในใจนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าถูกเอนเอียงไปตามคำพูดของเฉียนเล่อกว่าครึ่งไปแล้ว เพ่ยเยว่เผิงมองภาพความวุ่นวายที่เกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มกริ่มในใจ นางมั่นใจเลยว่าเมื่อเป็นเช่นนี้จะต้องมีผู้คนไม่น้อยที่จะทำความเดือดร้อนจนสกุลลู่อยู่ไม่เป็นสุข แต่คิดไปคิดมา...นางเป็นผู้เคราะห์ร้ายอีกคนก่อนจะเป็นผู้นำก็คงดี นางเริ่มร้องไห้ออกมาแม้ไม่ดังนัก แต่ก็เรียกความสนใจได้อย่างดี

“คุณหนูเพ่ย ท่านเป็นอะไรหรือ?” เสียงของชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างห่วงใย เมื่อใบหน้างดงามนองไปด้วยหยาดน้ำตา

“ข้า...ฮึก ข้าคิดว่า พี่เฟยหลงของข้าคงจะถูกเจ้าปีศาจล่อลวงเป็นแน่ ฮึก” นางยังคงเล่นละครร้องไห้ต่อหน้าฝูงชนไม่หยุด ทรุดกายทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างไม่อายใคร “ข้าถูกทาบทามจากท่านป้าเหม่ยหลิน ให้เป็นสะใภ้ ก่อนนี้ข้าและพี่เฟยหลง ฮือ รักกันมาก ฮึก จนเมื่อมีบุรุษผู้นั้น บุรุษผมสีเงินผู้เป็นปีศาจ ฮึก ฮือ เขาล่อลวงพี่เฟยหลง ใช้เล่ห์กลบางอย่างทำให้พี่เฟยหลง ฮึก เป็นของเขา ฮือๆ ในตอนนี้พี่เฟยหลงเกลียดข้า ผลักไสไล่สงข้า ฮือ ข้าเสียใจนัก ฮือๆ”

“ชั่วช้ายิ่งนัก! มิใช่เพียงทำร้ายคน แต่กลับตัดสายสัมพันธ์รัก จะเอาไว้มิได้ ต้องกำจัดให้สิ้นซาก!”

“ใช่! กำจัดมันเสียให้สิ้น หาไม่แล้วพวกเราเองคงอยู่ที่เมืองซิ่นจืออย่างสงบสุขมิได้!”

มันได้ผล เพ่ยเยว่เผิงลอบยิ้มในใจอย่างสมใจ จากนี้พวกชาวบ้านคงจักจัดการต่อให้นางอย่างไม่ต้องห่วง ใบหน้าหวานหลบซ่อนสายตาพึงพอใจเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่แสนโศกเศร้าของนางเอง ทว่าในใจกลับปีติอย่างเต็มที่ รอคอยความหายนะที่กำลังจักไปเยือนสกุลลู่อย่างใจจดใจจ่อ เมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ สกุลลู่ก็คงจะนิ่งเงียบไม่รู้ร้อนรู้หนาวได้อีกแล้ว อย่างไรการที่ชาวบ้านจะบุกเข้าไปเพื่อจัดการกับปีศาจ พี่เฟยหลงของนางก็คงจะร้อนรนได้บ้าง

มือบางกำจนแน่นยามนึกถึงอ้อมกอดของลู่เฟยหลงที่มีหยางเถาอยู่ในนั้น หากมันถูกแทนที่ด้วยนางได้ นางคงมิต้องทำเช่นนี้ แต่ในเมื่อพี่เฟยหลงของนางหมายจะอยู่ร่วมกับปีศาจ นางก็จะทำให้พี่เฟยหลงได้เห็นว่า...เขาคิดผิดมากเพียงใด ที่มิเลือกนางเป็นคู่ครอง!

เสียงร้องไห้ของเหล่าเด็กน้อยเริ่มดังขึ้น เมื่อการพูดคุยเริ่มดังขึ้นตามอารมณ์ เหล่าชาวบ้านต่างก็ไม่มีใครสนใจใดๆ ว่าตนเองมาทำสิ่งใดกันแน่ แท้จริงแล้วพวกเขาควรจะจับจ่ายใช้สอยกันมากกว่า แต่เมื่อเกิดคำเล่าลือเรื่องปีศาจ และการที่มีคนผู้หนึ่งมาร่ำร้องว่าถูกปีศาจทำร้ายยิ่งทำให้พวกเขา หยุดสนใจเรื่องของตนเอง

หลายคนที่เริ่มพาบุตรหลานกลับไป แต่ก็มีอีกหลานคนที่ยังจับกลุ่มพูดคุยไม่จบสิ้น หนึ่งในนั้นคือเฉียนเล่อและเพ่ยเยว่เผิง นางจะยังมิอาจวางใจได้ หากยังมิได้คำสรุปอันเป็นที่สิ้นสุด เพ่ยหยว่เผิงจึงพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เฉียนเล่อทำตามแผนการขั้นต่อไป เฉียนเล่อที่เห็นสัญญาณจึงพูดขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

“ข้าขอออกความเห็นหน่อยเถิด ข้าเป็นผู้เสียหาย หากจะให้ข้าเสนอทางออก ข้าว่าคืนนี้ควรจะบุกไปสกุลลู่ รวบรวมผู้คนแล้วไปจัดการกับต้นตอ ข้าว่า...จะต้องเป็นต้นท้อพันปีที่อยู่ในจวนของสกุลลู่แน่ๆ!” พวกชาวเมืองที่ยังเหลืออยู่จึงเริ่มมองหน้ากันอย่างเห็นด้วยกับความคิดของเฉียนเล่อ

“ข้าเห็นด้วย! ข้าว่าคืนนี้ควรอย่างยิ่งที่จะบุกไป หากปล่อยเวลาไว้ คงไม่พ้นพวกเราทุกคนถูกปีศาจดูดกลืนวิญญาณจนสิ้น! ข้ายอมไม่ได้!”

“ใช่! เราต้องกำจัดปีศาจ!”

ทุกเสียงตอบรับกันเป็นเสียงเดียว เพ่ยเยว่เผิงที่ได้ยินถึงกับยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ คืนนี้...เรื่องสนุกกำลังจะเกิดขึ้น ความโกลาหลของชาวเมืองซิ่นจือที่จะทำให้สกุลลู่เกิดความปั่นป่วนจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ ดูจากความหวานกลัวที่เกิดขึ้นในจิตใจของแต่ละคน ย่อมไม่จบเพียงแค่การตัดต้นท้อพันปี ไม่แน่ว่าสกุลลู่อาจจะถูกขับไล่ไสส่งให้ออกจากตัวเมืองซิ่นจือไปก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงภายในใจของนางคงจะสุขจนล้น ทั้งได้แก้แค้นเอาคืน และได้กำจัดเจ้าปีศาจชั่วช้าที่กล้าใช้เล่ห์กลปีศาจมาล่อลวงพี่เฟยหลงของนาง นางจะไม่ให้อภัย

“ไฟ...ข้าจะให้คนอื่นๆ เตรียมไฟไปด้วย หากตัดมันมิได้ก็จงเผามันให้วอดวายเสีย!” ชายวัยสามสิบคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างหวาดหวั่นแต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความแน่วแน่ ดูจากท่าทีของชาวเมืองในยามนี้คงไม่จบง่ายๆ เมื่อตกลงกันได้เรียบร้อย ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไปบ้านของตนเอง เฝ้ารอให้อาทิตย์ตกดินและจันทราขึ้นสู่ฟากฟ้า เมื่อนั้น...ก็จะถึงเวลาลงมือ

เพ่ยเยว่เผิงแยกออกมาอย่างเงียบๆ โดยมิมีผู้ใดสนใจ นางเดินกลับไปยังบ้านสกุลเพ่ยอย่างสุขใจโดยมีสาวใช้เดินตามมาเงียบๆ ในใจของพวกนางนั้นอยากจะเอ่ยห้ามปรามคุณหนูเสียเหลือเกิน หากแต่พวกนางเป็นเพียงสาวใช้จะมีความสามารถใดไปหยุดสิ่งที่คุณหนูคิดจะทำได้ ในตอนที่คุณหนูเอ่ยเรื่องของบุรุษผู้มีเส้นผมสีเงินนั้นพวกนางรู้สึกได้ถึงความรู้สึกขนลุก แต่เมื่อได้ยินถึงการตัดทำลายต้นท้อ พวกนางกลับสัมผัสได้ถึงลางร้ายและหายนะที่จะบังเกิดขึ้น

ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือไม่ แต่มิใช่เพียงสาวใช้ของเพ่ยเยว่เผิงเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงเรื่องนั้น แต่เป็นทุกผู้ในเมืองซิ่นจือต่างหากที่สัมผัสถึงลางร้ายได้ หากแต่พวกเขาเลือกจะมิสนใจมันเท่ากับการทำลายปีศาจสำหรับเมืองที่แสนสงบสุขอย่างซิ่นจือ มีหรือที่การมีปีศาจกำเนิดขึ้นมาจะไม่เกิดความหวาดกลัว ต่อให้ผู้ที่ยืนอยู่ฝ่ายปีศาจจะเป็นผู้มีคุณธรรมเพียงใด แต่คำว่าปีศาจก็มิต่างจากพวกชั่วร้ายที่หมายจะดูดวิญญาณของพวกเขาแม้แต่น้อย การกำจัดจึงสำคัญกว่าเสียงร่ำร้องเตือน

ความหายนะจะบังเกิด ผู้ใดเล่าจะเชื่อได้หากยังมิเกิดขึ้น

ย่องไม่มีทาง!!

เสียงคำรามของท้องฟ้าที่เคยสดใสไร้หมู่เมฆ บัดนี้กลับปกคลุมไปด้วยเมฆดำที่ลอยเคลื่อนมาราวกับจะเกิดพายุใหญ่ ลมโหมกระพือพัดให้ใบไม้ปลิวไหวอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งหยดน้ำจากฟากฟ้า มีเพียงลมที่ยังคงพัดอย่างแรงราวกับจะระบายความโกรธของผู้ใด

มิมีใครรู้ ทุกคนเพียงคิดว่าเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของปีศาจร้ายเท่านั้น

แต่เบื้องบนอันสูงส่งกลับไม่ปรานีใดๆ ชายผู้หล่อเหลาในชุดสีขาวทองกำลังเกิดความพิโรธอย่างสุดจะห้ามได้ แม้แต่บิดาและคนรักของเขาก็เช่นกัน อารมณ์ของเขาในตอนนี้มิมีผู้ใดอยากจะเข้าใกล้ ความโกรธเกรี้ยวโกรธาเกิดขึ้นจากคำพูดจาของเหล่ามนุษย์ในโลก ที่หมายจะรวมตัวกันเพียงเพื่อจะทำลายสิ่งหนึ่งอันเป็นสิ่งสำคัญของเขา ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึง ดวงตาแดงฉานราวกับหมู่มารแต่กลับไร้ซึ่งกลิ่นของมารร้ายแม้แต่น้อย ความบริสุทธิ์ของเขาสูงส่งเกินกว่าผู้ใด และความโกรธเกรี้ยวของเขาก็รุนแรงเกินกว่าผู้ใดด้วยเช่นกัน

หากหมายจะทำลายสิ่งอันเป็นที่รัก ก็จงเตรียมตัวพบกับหายนะของข้าผู้นี้เสีย!

บุรุษผู้นั้นได้เพียงแต่คำรามในใจอย่างแค้นเคือง ภาพเหตุการณ์จากครั้งเก่าเฝ้าหลอกหลอนจนเขามิสามารถลบมันให้หายออกไปได้ สิ่งที่ย้ำเตือนให้เขายังคงยืนหยัดอยู่ตรงนี้ก็มีเพียงแค่นั้น แค่สิ่งที่แสนสำคัญอันเป็นที่รักยิ่ง แต่หากเมื่อมันถูกทำลายจนย่อยยับ เขาจะกระหน่ำซ้ำความฉิบหายแก่พวกมันทุกตัวที่กล้าเอื้อมมือมาแตะของสำคัญ

“สงบใจเจ้าไว้ก่อนเถิดลูกรัก ยังมิถึงเวลา นี่เป็นเคราะห์กรรมของเขา เจ้าจะยื่นมือเข้าไปมิได้!” ผู้เป็นพ่อเอื้อนเอ่ยตักเตือนเพื่อเรียกสติที่กำลังถูกโทสะบดบังให้ได้ตื่นขึ้น

“พวกมันจะทำลาย...สิ่งที่ข้าเฝ้าถนอมมา ท่านพ่อจะให้ข้ายืนมองเขาตายเช่นนั้นหรือ!” ผู้เป็นบิดามีหรือจะไม่ปวดร้าวใจ เมื่อเฝ้าถนอมมามากกว่า แต่เมื่อมันคือลิขิตของชะตา ผู้เป็นเง็กเซียนทำได้เพียงหลีกทางและเฝ้ามองเงียบๆ เท่านั้น

“พ่อเป็นเง็กเซียน จะทำการใดคงมิได้ เจ้าก็รู้การขัดชะตามิได้มีผลดีใดๆ กับเขาเลย เขาเป็นผู้เลือกหนทางนี้ เช่นนั้นก็จะต้องรับเคราะห์กรรมจนกว่าจะจบสิ้น แต่ลูกข้า เจ้าไม่...” มือหนายกขึ้นห้าม ดวงตากร้าวไปด้วยโทสะที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ ชะตาหรือสิ่งใดก็ช่าง แต่หากจะให้เขายืนมองคนผู้นั้นดับดิ้นสิ้นไปด้วยน้ำมืออันสกปรกของเหล่ามนุษย์เขาย่อมทำมิได้ บางครั้งเขาเองยังอดคิดมิได้ว่า เพราะเหตุใดท่านพ่อของเขาจึงยังสามารถยืนเฉยอยู่ได้ทั้งๆ ที่มีคนมาทำลายดวงใจเช่นนี้

“ข้ามิสนใจชะตากรรมหรือสิ่งใด ข้าจะมิยอมให้เขาดับสิ้นเพียงเพราะเจ้ามนุษย์ชั่วช้าผู้นั้น!” มือบางของคนรักลูบแขนของเขาเลาๆ ราวกับจะปลอบโยน ตัวเขานั้นมิอยากเห็นการทะเลาะกันของพ่อลูกเลยสักนิด แต่การจะขัดต่อชะตาก็ผิดเช่นกัน

“ท่านผู้เฒ่า...ชะตาของเขาถึงจุดจบในครานี้หรือไม่?” เสียงหวานเอ่ยถามผู้ถือดวงชะตาอย่างเคร่งเครียด

“ตอบท่านหมิงเซ่อ ในครานี้เขายังมิถึงตาย หากแต่ก็ยังมิมีหนทางใดพอบรรเทาได้” หมิงเซ่อมองใบหน้าของคนรักอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเบิกตากว้างแล้วเอ่ยบางคำออกมา

“เช่นนั้นเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ท่านพี่ ท่านพ่อ...” เขาชะงักหันมองคนรักราวกับจะถามความคิดเห็น

“เจ้ามีวิธีใดหรือ...”

“คืออย่างนี้...” พวกเขารอฟังคำจากปากบางอย่างตั้งใจ ก่อนที่ทุกคนจะอึ้งไปกับมัน แผนการของหมิงเซ่อนั้นช่างยอดเยี่ยม และง่ายดายต่อการจะทำ มิต้องมีผู้บาดเจ็บ มิได้ผิดกฎของชะตา ทุกอย่างล้วนแต่เป็นความบังเอิญ และในความบังเอิญ ก็จะเกิดผลอันดี

จากอากาศที่แปรปรวนไปมาทำให้ซ่งหยุนเฟิงหยุดมือที่จับพู่กัน เขาจับนิ้วมือแตะคำนวณบางอย่างก่อนจะเบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้รู้ ดูเหมือนความวุ่นวายจะเกิดขึ้นมาแล้ว ทั้งๆ ที่เขาเคยเอ่ยเตือนไปแต่ดูเหมือนคุณหนูผู้นั้นมิได้สนใจในคำเตือนของเขาแม้แต่น้อย ยังคงกระทำตามชะตาที่แสนเลวร้ายนั่นไม่หยุด ทั้งที่เขาเอ่ยเตือนไปด้วยความหวังดีแท้ๆ แต่เหตุใดหนอจึงได้ชอบเดินไปหาหุบเหวลึกนัก หากได้รู้ผลแห่งการกระทำนั้น...คุณหนูผู้นั้นคงจะคิดใหม่

ซ่งหยุนเฟิงได้แต่ถอนหายใจ ทุกอย่างล้วนเกิดจากฟ้าลิขิต และดูเหมือนในครานี้ ฟ้าจะพิโรธเสียแล้ว หายนะที่คุณหนูผู้นั้นคิดจะนำเข้าสู่สกุลลู่ นางจะรู้หรือไม่ว่ามันคือการนำเข้าสู่ตนเองทั้งหมด เพียงแค่คิดจะทำก็มีโทษแสนหนักหนาแล้ว นี่ถึงกับนำพาให้ผู้อื่น... เฮ้อ! เขาคงมิอาจจะช่วยนางได้มากนัก แต่จะให้ยืนเฉยมองความพิโรธลงสู่กลางหัวนางเขาก็คงทำมิได้ ทางเดียวที่เขาจะทำได้มีเพียงบรรเทาเหตุการณ์ให้เบาบางลง ลดทอนโทษอันแสนหนักหนาของนางลงเท่านั้น

เยี่ยหวูวางน้ำชาลงบนโต๊ะ มองสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมสลับกับเหนื่อยหน่ายใจอย่างงุนงง เขามิค่อยได้เห็นอาจารย์แสดงสีหน้าเช่นนี้นัก ในยามปกติมีเพียงใบหน้าที่แสนเรียบเฉยและเย็นชาเท่านั้น ซึ่งแม้ว่าเขาจะชาชินกับมันแล้ว แต่การที่ได้เห็นสีหน้าเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วของอาจารย์ในยามนี้ช่างกวนใจเขาจนต้องเอ่ยถามออกมา

“มีสิ่งใดหรือขอรับ ท่านอาจารย์” ซ่งหยุนเฟิงอ้าปากราวกับจะเอ่ยบอกเล่า แต่ก็พลันหุบปากเสียสนิททันทีที่นึกขึ้นได้ว่า มันจะเป็นการเผยความลับสวรรค์ได้ เขาจึงได้แต่ส่ายหน้า

“มิมีสิ่งใดหรอก อาจารย์เพียงแค่เหนื่อยเท่านั้น” เยี่ยหวูไม่คิดจะซักไซ้ด้วยรู้ดีว่า หากอาจารย์มิพูดก็มิควรเซ้าซี้ให้มากความ จะนำมาแต่โทสะของอาจารย์เสียมากกว่า

เยี่ยหวูจำได้ว่าในครั้งหนึ่งนั้น เขาเคยเซ้าซี้ถามมากมายเสียจนอาจารย์โกรธทำโทษให้เขายืนแบกน้ำสองถังอยู่ครึ่งวัน อาจารย์กล่าวว่า บางเรื่องมิใช่สิ่งที่จะพูดออกมาได้ หากพูดแล้วถึงชีวิต ใครบ้างเล่าอยากจะเอ่ยออกมา การเอ่ยถามอย่างไม่นึกถึงผลที่ตามมาของผู้อื่น เป็นสิ่งมิควรอย่างยิ่ง และเขาเองก็จำได้มิเคยลืม นับตั้งแต่วันนั้นเขาจึงมิเคยทำเช่นนั้นอีก หากอาจารย์ไม่คิดจะเล่า นั่นหมายความถึงเรื่องใหญ่ที่มิอาจจะพูดได้ เขาเรียนรู้มันอย่างดี

ซ่งหยุนเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ผู้เป็นศิษย์มิคิดจะเอ่ยถามอันใดอีก เขาเริ่มวางแผนในหัวอย่างเงียบๆ ทั้งที่มือของเขายังคงใช้พู่กันเขียนอักษรไล่ปีศาจไม่หยุด เมื่อคิดได้ดังใจคิด ซ่งหยุนเฟิงก็ได้แต่คลายสีหน้าที่เคร่งเครียดลง จนมันหายไปในที่สุด

ยามราตรีในค่ำคืนนี้ เมื่อดวงจันทราทอแสงจะเกิดภัยร้าย ด้วยความผิดที่แสนหนักหนา หายนะจะนำพาให้พบกับความพิโรธของเหล่าเทพเซียน

เขามองอักษรในที่ถูกเขียนขึ้นมาจากความรู้สึกในกระดาษด้วยความรู้สึกตกใจ หันมองร่างผู้เป็นศิษย์แล้วโล่งใจเมื่อเยี่ยหวูไม่ได้อยู่ข้างหลังเขาอีกแล้ว เยี่ยหวูออกไปเมื่อใดมิอาจรู้ แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่มิได้เห็นเนื้อความในจดหมายนี้ ในใจของซ่งหยุนเฟิงเริ่มหวาดหวั่นถึงภัยร้าย เขาต้องรีบจัดการให้มันทุเลาลง มิเช่นนั้น เมืองซิ่นจือคงเหลือเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น

ขออย่าให้เหตุการณ์เลวร้ายลงไปกว่านี้เลย
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 21. up.21/07/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 20-07-2019 16:42:06
(ต่อจ้า)

หยางเถาที่เฝ้ารอคอยให้ดวงจันทราขึ้นสู่นภาอันกว้างใหญ่นั้นก้าวออกมาอย่างเร่งรีบ เวลาของเขาเหลืออีกเพียงไม่กี่ราตรีก่อนจะสูญสลายไปตามสัญญาที่ให้ไว้แก่องค์เง็กเซียน ทว่าเพียงปลายเท้าสัมผัสพื้นดิน ความเจ็บปวดก็พลันวูบไหวอยู่ในหัวใจดวงน้อยจนร่างบางต้องชะงักฝีเท้าตนเอง หยางเถาหมุ่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เขายกมือขึ้นมาแตะตรงที่เสียดร้าวกลับไม่รู้สึกใดๆ เลย เพียงครู่เดียวเท่านั้นที่เขารู้สึกร้าวราน แต่เพียงครู่เดียวราวกับกะพริบตา มันก็หายไปเหมือนมิเคยเกิดขึ้น

ความสุขกำลังจะหายไปหรือ?

มิรู้ว่าด้วยเหตุใดเขาจึงได้รู้สึกเช่นนี้ มือข้างนั้นยังคงลูบบริเวณตำแหน่งของหัวใจอย่างแผ่วเบา ลูบเหมือนกับว่ากำลังปลอบประโลมมิให้ดวงใจน้อยๆ ต้องพะวงถึงเรื่องนี้ สีหน้าของหยางเถาสะกดกลั้นความเคร่งเครียดและหวาดกลัวเอาไว้จนมิด ฝืนแต่งเติมรอยยิ้มออกมาประดับเอาไว้มิให้ผู้ใดได้รู้ถึงความหวาดกลัวที่ซ่อนกายอยู่ ร่างบางค่อยๆ เดินเจ้าไปหาลู่เฟยหลงที่กำลังยืนส่งรอยยิ้มที่แสนรักใคร่มาให้

หยางเถายิ้มตอบกลับอย่างเช่นเคย อากาศในค่ำคืนนี้ช่างหนาวเหน็บจนชวนให้ขนลุกแปลกๆ แต่หยางเถาและลู่เฟยหลงก็มิได้สนใจความเปลี่ยนของบรรยากาศรอบข้าง พวกเขาทั้งสองเพียงจดจ่ออยู่กับการมองใบหน้าของอีกคนอย่างตั้งใจ ความหวานแผ่กว้างไปทั่วทั้งบริเวณ เหล่ามวลดอกไม้ที่อยู่ในการหลับใหลยังต้องเขินอาย หยางเถาหลบสายตาคมที่ยังไม่หยุดจับจ้องด้วยท่าทางเคอะเขิน จนลู่เฟยหลงอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้

“เจ้าช่างเก่งกาจนักหยางเถา” นัยน์ตาคู่สวยสีอำพันจ้องใบหน้าหล่อของเฟยหลงอย่างไม่เข้าใจ เขาเก่งกาจอันใดกัน เขายังมิได้ทำสิ่งใดเลยสักนิด

“ข้าหรือ...ข้าเก่งกาจเรื่องใดกัน?” เฟยหลงอมยิ้มนัยน์ตาวาวพราวระยับด้วยความเจ้าเล่ห์ เอื้อมมือขึ้นจับปอยผมทัดใบหูจนมองเห็นรอยแดงบนผิวแก้มได้อย่างชัดเจน

“เจ้าช่างเก่งกาจ เพียงแค่เจ้าเดินมายังสามารถทำให้หัวใจข้าเต้นแรง” หยางเถาเม้มปากแน่นมิยอมให้หลุดยิ้ม ใบหน้าหวานยิ่งก้มลงมองพื้นหลบซ่อนร่องรอยระเรื่อไว้จากสายตาคม แต่เฟยหลงก็มิอาจจะยอมได้ ปลายนิ้วเชยคางมนขึ้นมาให้สบตากับเขาอย่างจริงจัง

“อย่าได้ทำหน้าตาเช่นนี้กับผู้ใด แม้แต่กับข้าเลยเจ้าดอกท้อ” เฟยหลงเสียงแหบพร่าด้วยเกลียวอารมณ์ แต่ดูเหมือนหยางเถามิได้เข้าใจมันด้วยเลย คิ้วเรียวหมุ่นลงด้วยความคาใจ

“เพราะเหตุใดกัน?” เขาน่าเกลียดอย่างนั้นหรือ? เฟยหลงยิ้มอ่อนพร้อมกับลูบไล้ผิวแก้ม ไล่ลงบนลำคอขาวอย่างเบามือ จินตนาการว่าได้กดริมฝีปากลงไปสัมผัสมันอย่างรักใคร่

“เฟยหลง...” สติถูกดึงกลับมาอีกครั้งด้วยเสียงเรียกขานของผู้เป็นที่รัก

“เพราะมันช่างยั่วอารมณ์เหลือเกิน ข้ากลัวเจ้าจะช้ำเสียก่อน หากยังคงทำใบหน้าเช่นนี้” ริมฝีปากของหยางเถายิ่งเม้มแน่น นัยย์ตาสีอำพันสั่นระริกด้วยความหวั่นไหว

สายลมพัดวูบมาพาให้จมูกของเฟยหลงได้สูดดมกลิ่นกายอันหอมหวานของคนตรงหน้าเต็มปอด กลิ่นที่เขาชอบและหวังจะได้กลิ่นมันไปในทุกคืนทุกวัน แต่มันก็เป็นไปมิได้ ด้วยเฟยหลงนั้นรู้ดีว่าอีกไม่นาน เวลาอันแสนสุขก็จะจบลงแล้ว ช่วงเวลาที่เขากำลังได้ใช้มันกำลังจะจากหายไปกับสายลมในอีกไม่กี่ราตรี เพียงแค่คิด หัวใจของลู่เฟยหลงก็ร้าวราน ความเจ็บแผ่กระจายไปจนทั่ว จนเขาต้องหมุ่นหน้าลง อาการเจ็บแปลบที่คล้ายถูกมือล่องหนบีบหัวใจเล่นเป็นจังหวะมันช่างทรมาน

“นายน้อยขอรับ! แย่แล้วขอรับ!”

เสียงของเหวินฉายที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทำให้เฟยหลงต้องหันไปมองอย่างสงสัย สีหน้าของเหวินฉายนั้นซีดเซียว ซ้ำยังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว มันทำให้เฟยหลงต้องดึงร่างของหยางเถามาซ่อนเอาไว้ด้านหลังตนทันที เสียงที่ร้องเรียกและเสียงที่ดังออกมาจากทางหน้าบ้าน ปลุกให้เฉินลี่ฟู่ต้องออกมาดูอย่างสงสัยด้วยเช่นกัน เฉินลี่ฟู่มองใบหน้าของคนรักที่แทบจะไม่มีสีเลือดด้วยความเคร่งเครียด ดึงเอาคนรักเข้ามาเผชิญหน้า

“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เจ้าบาดเจ็บที่ใด!” เหวินฉายส่ายหน้าแล้วดึงตัวออกห่างก่อนจะหันไปมองลู่เฟยหลงอีกครั้ง

“ข้าไม่เป็นไร แต่นายน้อยขอรับ ในตอนนี้พวกชาวเมืองกำลังจะบุกเข้ามาในบ้านแล้วขอรับ! พวกเขามีอาวุธมาด้วย ข้าเกรงว่าจะเป็นเพราะข่าวลือในช่วงนี้ เพราะข้าได้ยินพวกเขากล่าวว่าจะมา...เอ่อ” เหวินฉายลังเลด้วยความไม่กล้า ลอบมองใบหน้าของหยางเถาเป็นระยะ จนเฟยหลงต้องรีบเอ่ยถาม

“ว่าอย่างไร เจ้ารีบพูดมาเถิด” เหวินฉายสูดลมหายใจเพื่อรวบรวมความกล้า หลับหูหลับตาพูดออกมาในที่สุด

“พวกเขากล่าวว่า จะมา เอ่อ จะมากำจัดปีศาจขอรับ!” เฟยหลงใจหายวาบ มองคนตัวเล็กด้านหลังที่ตัวสั่นอย่างห่วงใย ใบหน้าหล่อเหลาแทบจะสะกดกลั้นเอาโทสะที่พุ่งขึ้นมาเอาไว้ไม่อยู่ เฉินลี่ฟู่ที่เห็นได้แต่ดึงเหวินฉายออกมาจากจุดนั้นแล้วพากลับเข้าไปในห้อง เรื่องในครั้งนี้เป็นสิ่งพิสูจน์รักแท้ของลู่เฟยหลงและหยางเถาผู้นั้น เขาและถังเหวินฉายทำได้เพียงยืนมองและเอาใจช่วย แต่หากเกิดสิ่งใดเกินกว่ากำลังของลู่เฟยหลง เขาจะไม่ลังเลที่จะออกไปช่วยอย่างแน่นอน

“เจ้าดึงข้ามาทำไมกัน!” เหวินฉายที่ถูกดึงมาสะบัดแขนหนีการเกาะกุมพร้อมกับสายตาไม่พอใจที่จับจ้องใบหน้าของคนรักอย่างเอาเรื่อง เฉินลี่ฟู่ได้แต่ถอนหายใจ เขาเข้าใจดีว่าเพราะเหตุใดเหวินฉายของเขาจึงได้โกรธเคืองเช่นนี้

“เจ้าจะอยู่ตรงนั้นมิได้ ข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นห่วงพวกเขา แต่ตอนนี้เจ้าทำได้เพียงแค่เฝ้ามองห่างๆ เตรียมพร้อมกับเหตุการณ์รุนแรงเท่านั้น” เหวินฉายสับสน ใจของเขานั้นอยากจะกลายเป็นโล่คอยปกป้องนายน้อยและคุณชายหยางเถาเต็มที่ แต่เจ้าลูกเต่าตรงหน้านี่คงไม่ยอมให้เขาไปง่ายๆ เป็นแน่

“เจ้ากำลังทำให้ข้า กลายเป็นคนขี้ขลาด” เฉินลี่ฟู่ยิ้มละมุน มองใบหน้าของคนรักด้วยแววตาหวาน

“เจ้ามิได้ขี้ขลาด ข้ารู้ดีว่าเจ้าเก่งกาจเพียงใด แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องนี้ต้องให้นายน้อยของเจ้าเป็นผู้จัดการ เขาคือเจ้าบ้าน มิใช่เจ้า!” เหวินฉายเม้มปากแน่นแต่ก็ยินยอมพยักหน้าตกลง แต่เหวินฉายก็มิได้นิ่งดูดาย เขาเดินไปหาไม้ท่อนใหญ่มาถือไว้ พร้อมกับการแง้มประตูมองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ ดังที่คนรักได้กล่าวไว้

เขามองเห็นคุณชายหยางเถาที่มองนายน้อยของเขาด้วยแววตารู้สึกผิด ราวกับตนเองเป็นต้นเหตุของปัญหาในครั้งนี้ ความห่วงใยจากนายน้อยเองก็ช่างชัดเจนเหลือเกิน ทั้งสองกอดกันเสียแนบแน่นราวกับกลัวว่าจะมิมีโอกาสนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง เหวินฉายสะท้านวูบในอกด้วยความสงสาร เพียงไม่นานนี้เท่านั้นที่นายน้อยและคุณชายหยางเถาได้มีความสุข กลับต้องมาเจอเหตุการณ์อันแสนเลวร้ายอีกครั้ง

สองมือกำเข้าหากันจนแน่น ยามคิดถึงครั้งเมื่อได้ร่วมโต๊ะอาหารกัน คำบอกกล่าวของนายน้อยยังคงชัดเจนในความทรงจำของเหวินฉาย คุณหนูเพ่ยผู้นั้นช่างร้ายกาจยิ่งนัก กล้าปล่อยเรื่องเช่นนี้เล่นงานสกุลลู่จนเกิดเหตุการณ์บานปลาย นำชาวเมืองซิ่นจือให้บุกเข้ามายังบ้านสกุลลู่โดยมิเกรงกลัวต่อสิ่งใด ยิ่งในยามวิกาลเช่นนี้อีกเล่า การที่ดึงดันจะเข้ามาด้วยการใช้กำลังนั้นถือว่าผิดแล้ว ซ้ำยังนำเอาอาวุธอันตรายเข้ามาอีก มิเท่ากับการปล้นหรอกหรือ

ฝ่ายลาเฟยหลงยังคงกอดรัดร่างบางของหยางเถาไว้แน่น มิยินยอมให้ร่างบอบบางในอ้อมกอดมอบตนเองให้แก่พวกชาวเมือง หยางเถานั้นคิดว่าการนำตัวเองไปให้พวกชาวเมืองจะทำให้ลู่เฟยหลงและสกุลลู่รอดพ้นจากคำครหาเหล่านี้ อีกทั้งบ่าวรับใช้ในบ้านจักได้ไม่เดือดร้อนเพราะตัวของเขา หยางเถาร้องไห้น้ำตานอง เสียงสะอื้นไห้ดังอยู่กับอกแกร่ง เรี่ยวแรงทั้งหมดของเขาถูกใช้กับการดิ้นรนขัดขืนหนีออกจากอ้อมกอดของลู่เฟยหลง แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามดิ้นรนอย่างไร ลู่เฟยหลงก็ยังคงกอดเขาเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยเขาออกแม้แต่น้อย

เสียงดังโวยวายจากชาวเมืองซิ่นจือยิ่งใกล้เข้ามา แสงไฟจากคบเพลิงส่องนำร่างของพวกเขามา จนลู่เฟยหลงที่เห็นรีบเอาตัวมาบดบังร่างของหยางเถาเอาไว้จนมิด เขาไม่คิดจะมอบหยางเถาให้กับใคร ยิ่งไม่ยอมให้หยางเถาต้องถูกทำร้ายด้วยเช่นกัน หากผู้ใดหมายจะทำร้ายดวงใจของเขา เขาจะไม่มีวันให้อภัยมันอย่างแน่นอน!

“นั่นไงๆ มันอยู่นั่น!” หนึ่งในชาวเมืองชี้มายังลู่เฟยหลงและหยางเถาที่ตัวสั่นอย่างน่าสงสารอยู่ไม่ไกลจากต้นท้อ

“ฆ่ามันซะ มันเป็นปีศาจ มันทำร้ายคน!” หยางเถาหน้าซีดเผือด ความงุนงงเกิดขึ้นในหัวอย่างช่วยไม่ได้ นี่เขาไปทำร้ายใครตั้งแต่เมื่อใดกัน

“พวกท่านคิดจะทำอะไร! บุกรุกบ้านของข้าในยามนี้ พร้อมอาวุธในมือ มันใช่เรื่องสมควรหรือ!” ลู่เฟยหลงพูดด้วยใบหน้าจริงจังและจับจ้องด้วยสายตาคมดุดันอย่างเอาเรื่อง แต่พวกชาวเมืองกลับไม่ได้เกรงกลัวสักนิด สิ่งใดเล่าจะน่ากลัวกว่าความตาย เมื่อตัวอันตรายอย่างปีศาจยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาในตอนนี้

“คุณชายลู่เฟยหลง หากท่านยอมปล่อยเจ้าปีศาจนั่นมาให้พวกข้า พวกข้าสัญญาว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับทุกคนในบ้านสกุลลู่อย่างแน่นอน!” มือหนากระชับข้อมือบางเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะหายไป ยืดตัวบดบังร่างบอบบางเอาไว้ไม่ยอมทำตามคำพูดของอีกคน

“ข้าไม่ให้! พวกท่านกล้าแย่งชิงคนรักของข้า กล่าวหาว่าเขาคือปีศาจ ช่างกล้าเหลือเกิน!” ลู่เฟยหลงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเจ็บใจนัก คำก็ปีศาจ สองคำก็ปีศาจ! คนพวกนี้ช่างหูเบาเหลือเกิน! ชาวเมืองคนหนึ่งเอาขวานชี้หน้าอย่างเจ็บแค้น ทั้งที่ตนเองมิได้ถูกกระทำใดๆ เพียงแค่ตามคนอื่นมาเท่านั้น

“คุณชายลู่! กล่าวให้ดี! คนรักของท่านคือคุณหนูเพ่ยเยว่เผิงผู้แสนดีต่างหาก! จะเป็นบุรุษปีศาจผู้นี้ไปได้อย่างไร! หรือท่านถูกมันล่อลวงเสียจนลุ่มหลงมัวเมาไปแล้วกัน!” เสียงกล่าวราวกับเจ็บแค้นใจทำให้ลู่เฟยหลงยิ้มเยาะออกมาอย่างไม่พอใจ

“ใครกันคนรักข้า? เจ้าหรือข้าคือลู่เฟยหลง?” คนถูกถามหน้าแดงด้วยโทสะชี้หน้าลู่เฟยหลงด้วยความโกรธเคือง

“นี่เจ้า!”

“ข้าทำไม? ข้าคือลู่เฟยหลง มิเคยสักครั้งจะมีใจให้กับเพ่ยเยว่เผิง คนที่หัวใจของข้าปรารถนาจะอยู่ร่วมชั่วนิรันดร์มิใช่เพ่ยเยว่เผิงที่แสนร้ายกาจ แต่เป็นหยางเถาคนรักที่แสนดีของข้า!” ทุกคนต่างยิ้มเยาะเย้ยในความหน้ามืดตามัวของคุณชายลู่เฟยหลง ชาวเมืองต่างก็คิดว่าเขาคงถูกปีศาจล่อลวงมานานจนฟั่นเฟือนมองเจ้าปีศาจที่ร้ายกาจเป็นคนรักที่แสนดี ซ้ำยังกล่าวหาว่าคุณหนูเพ่ยเยว่เผิงผู้อ่อนโยนเป็นหญิงร้ายกาจอีก หามิใช่ว่าวิปลาส จะเป็นอย่างไรไปได้อีก

“จับมันมา! หากจับมันมิได้ก็ตัดต้นท้อเสีย!” พวกเขามิคิดจะต่อปากต่อคำใดๆ ให้มากความอีก เมื่อผลสุดท้ายคุณชายลู่ผู้นี้ก็มิอาจจะตาสว่างได้ ย่อมเหลือเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะกระทำทุกอย่างด้วยตนเอง ปกป้องตนเองและครอบครัวจากปีศาจที่ชั่วร้าย แม้ว่าพวกเขาจะไม่เห็นก็ตาม แต่เส้นผมสีเงินย่อมบ่งบอกได้อย่างดีว่า คนผู้นี้มิใช่มนุษย์!

“ไปจับมันมา!” สิ้นเสียงสั่งการ หลายคนเริ่มล้อมกายของเฟยหลงเอาไว้ เมื่อลู่เฟยหลงกำลังมองไปอีกทาง เฉียนเล่อก็กระชากเอาร่างที่หลบซ่อนอยู่ด้านหลังออกมาทันที

“อ๊ะ!” ความเจ็บปวดบริเวณข้อมือส่งผลให้หยางเถาร้องออกมา ใบหน้าหวานหมุ่นลงซ้ำร้ายนัยน์ตาหวานสีอำพันยังคลอไปด้วยน้ำตา

เหล่าชาวเมืองยืนนิ่งงันจนแทบจะลืมหายใจ ความงดงามยามอีกฝ่ายช้อนสายตาขึ้นมองโดยมีน้ำฉ่ำวาวท้าทายแสงจันทร์ยิ่งชวนให้หลงใหล หลายคนเคลิบเคลิ้มไปกับความงดงามที่สะดุดใจนั้น จนลืมเลือนสิ่งที่ตนเองคิดจะทำไปหมดสิ้น เฉียนเล่อเองก็มิเคยคาดคิดว่า คนผู้นี้ที่ถูกเขากล่าวหาว่าเป็นปีศาจจะงดงามดึงดูดใจได้ถึงเพียงนี้ แม้เขามิใช่ลาเฟยหลง แต่ถ้าให้เขาเลือกระหว่างคุณหนูเพ่ยผู้นั้นกับบุรุษร่างน้อยคนนี้ เขาก็มิลังเลที่จะเลือกคนตรงหน้าเลยเช่นกัน!

แต่นี่มิใช่เรื่องส่วนตัว อย่างไรก็คือการค้า แม้จะรู้สึกผิดอย่างไร ก็มิอาจทรยศเงินที่ถูกจ่ายมาได้

“เจ้า! ปล่อยมือคนของข้าเดี๋ยวนี้!” ลู่เฟยหลงกระชากแขนอีกช้างของหยางเถากลับมาด้วยความไม่พอใจ ใครอนุญาตให้มันแตะต้องเจ้าดอกท้อ! ต้องมีเพียงเขาเท่านั้นที่จะจับต้องกายของอีกฝ่ายได้

“คุณชายลู่! ท่านช่างวิปลาสไปแล้วหรือ จะปกป้องปีศาจเพื่อเหตุใด?”

“หยางเถามิใช่ปีศาจ! พวกเจ้าต่างหากที่รังแกคนไม่มีทางสู้!” เฟยหลงกัดฟันกรอดด้วยความโมโห เขาอยากเจอตัวการใหญ่ แต่นางผู้นั้นกลับหลบอยู่หลังกำแพงบ้านสกุลเพ่ย ช่างไร้ยางอายเสียจริง!

“เลิกพูดมากความ ตัดต้นท้อเดี๋ยวนี้!”

“ไม่อย่านะ!” หยางเถาถลาร่างหวังจะเข้าไปห้ามปรามคนเหล่านั้น แต่ด้วยความหวาดกลัวว่าจะเป็นอันตราย ลู่เฟยหลงจึงกอดเอวเล็กเอาไว้ไม่ยอมปล่อย หยาดน้ำตาไหลรินลงผิวแก้ม มองภาพคนเหล่านั้นที่ง้างขวานขึ้นสูงหวังจะตัดลงบนลำต้นที่ใหญ่โตอย่างแรง

แต่ไม่ทันที่พวกชาวเมืองจะได้กระทำตามใจคิดก็พลันถูกซัดจากใครบางคนจนต่างพากันล้มลงสู่พื้น ถลาไปไกลจากต้นท้อและหยางเถา ร่างบอบบางชะงัก แหงนหน้าขึ้นมองผู้มีพระคุณอย่างซาบซึ้งใจ แต่ก็เห็นเพียงแผ่นหลังในชุดสีขาวกับเส้นผมสีดำสนิทกลางแสงจันทร์เท่านั้น ทว่า...ความรู้สึกที่แสนคุ้นเคยและคิดถึงกลับท่วมท้นหัวใจของหยางเถาจนขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนทรุดกายลงพื้น บุรุษลึกลับมองชาวเมืองที่พยายามพยุงตนเองล้มด้วยใบหน้าเรียบเฉย พัดราคาแพงสีดำลายมังกรถูกคลี่ออกมาพัดด้วยท่วงท่าสบายๆ ใบหน้าของผู้มาใหม่ไร้ซึ่งอารมณ์แต่ดวงตากลับฉายแววกร้าว

“รังแกคน สวรรค์จะลงโทษพวกเจ้าเอา รู้หรือไม่?” เหล่าชาวเมืองต่างพากันมองหน้าผู้มาใหม่อย่างไม่พอใจ แต่ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว วรยุทธ์ของคนผู้นี้มิธรรมดา ดูก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือ หากพวกเขาลงมือผลีผลามรังแต่จะหาความเดือดร้อนเข้ามาสู่ตนเองเสียมากกว่า เจียจงค้อมกายลงต่ำมือประสานกันอย่างนอบน้อมพร้อมกับเอ่ยบอกเล่าความจริง

“ท่านจอมยุทธ์อย่าได้เข้าใจผิด ข้าและพวกชาวเมืองเพียงพากันมาจัดการกับปีศาจเท่านั้น ด้วยเจ้าเฉียนเล่อบอกพวกข้าว่าถูกปีศาจผู้มีเส้นผมสีเงินทำร้ายจนบาดเจ็บ” เฉียนเล่อหน้าซีดตัวสั่นเมื่อถูกจอมยุทธ์นิรนามผู้นี้จับจ้อง มิอาจรู้ได้ว่าเพราะเหตุใด เพียงแค่สบสายตากับจอมยุทธ์ท่านนี้ เขาก็รู้สึกว่าตนเองคล้ายจะขาดอากาศหายใจเสียดื้อๆ รู้สึกราวกับไร้ที่จะยืน ไร้ที่จะพักพิง และไร้สิ่งใดให้ยึดเหนี่ยว ราวกับตัวเขาถูกบีบบังคับให้กลั้นใจตายเสียเดี๋ยวนั้น

“ถูกแล้ว ท่านจอมยุทธ์โปรดเข้าใจด้วย สวรรค์เองก็จะลงโทษพวกเราได้อย่างไร ในเมื่อเราเพียงแค่กำจัดปีศาจให้สิ้นเท่านั้น พวกข้าทำความดี เหตุใดจอมยุทธ์จึงได้กล่าวว่าพวกข้าจะถูกสวรรค์ลงโทษกัน?” ใบหน้าเรียบเฉยที่แผ่ไอความเย็นยะเยือกออกมารอบกายปรายตามองผู้กล่าวอ้างว่าตนทำความดีอย่างเยาะเย้ย ความคิดว่าตนทำถูก ตนกำลังทำความดีช่างเป็นจุดเด่นของพวกมนุษย์เสียจริง ทั้งที่มิได้รู้สิ่งใดอย่างแน่ชัด กลับกล้ากล่าวอ้างว่าตนทำดี เฮอะ! ช่างน่าหัวเราะนัก!

“หากเจ้ามั่นใจว่าการกระทำของพวกเจ้าถูกแล้ว ก็อย่าหาว่าข้ามิเตือน แต่ข้าขอบอกพวกเจ้าไว้! หากเจ้าแตะต้องต้นท้อแม้แต่นิดเดียว ข้าจะไม่ให้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่เช่นกัน!” เสียงทุ้มเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดจนลมหายใจของหลายๆ คนชะงัก น้ำเสียงของคนผู้นั้นมิไก้ล้อเล่นแต่อย่างใด ต่อให้คนผู้นี้จะมิได้มีอาวุธ แต่สีหน้าและคำพูดของเขาช่างสามารถทำให้พวกชาวเมืองทั้งหลายหวาดผวาจนร่างกายสั่นไปหมด

ไอสังหารแผ่ออกมาปกคลุมไปจนทั่วพื้นที่ แม้ว่าเจ้าตัวจะเพียงโบกพัดในมืออย่างไม่สนใจสิ่งใด แต่พวกเขารู้ดี หากแม้ขยับเข้าใกล้ต้นท้อพันปีสักก้าวคงมิอาจจะหายใจต่อไปได้อีก พวกชาวเมืองต่างพากันมองหน้าลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างเกรงกลัว แต่หากมิอาจจะกำจัดปีศาจไปได้ คงอยู่กันอย่างไม่สงบ ไหนจะต้องมาคอยหวาดระแวงกลัวว่าบุรุษผมสีเงินผู้นั้นจะมาไล่ทำร้าย ไล่ฆ่าเมื่อใด ก็คงมิต่างจากถูกจิมยุทธ์ผู้นี้สังหารหรอกกระมัง!

“ตัดต้นท้อ!” เมื่อตัดสินใจได้เสียงของหลายๆ คนก็ดังขึ้นราวกับเรียกขวัญกำลังใจให้ตนเอง แต่ทว่าสีหน้าของจอมยุทธ์นิรนามผู้นั้นกลับดำทะมึนขึ้นมา รอยยิ้มเหี้ยมที่ชวนให้ขนลุกปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของอีกฝ่าย แต่ก็มิอาจจะหยุดความพยายามของพวกชาวเมืองได้ พัดสีดำถูกรวบเก็บคล้ายว่าเขากำลังจะเอาจริงขึ้นมานั้น ทำให้ชาวเมืองบางคนถึงกับหยุดชะงักและเริ่มลังเล

หยุดโทสะของเจ้าเสีย! อย่าได้กระทำสิ่งที่เจ้ากำลังคิด!

ทั้งที่เสียงนั้นเป็นเสียงที่คุ้นเคย แต่ความโกรธที่ถูกผู้คนเหล่านี้โหมกระพือยิ่งทำให้เขาแผ่รังสีฆ่าฟันออกมาไม่หยุด ทั้งที่ตนเองก็รู้ดีว่า หากลงมือไปจะเกิดสิ่งใดขึ้น แต่หากจะให้เขายืนมองคนผู้นั้นถึงแก่ความตาย เขายอมมิได้! ต่อให้สวรรค์บันดาลโทสะลงมาสู่เขา ต่อให้ต้องถูกกักขังไปอีกกี่พันอีก เพียงเขาสามารถช่วยเอาไว้ได้สักครั้ง เพียงสักครั้งเขาก็ยินยอมรับโทษ!









TBC







     เอ๊!!!! ใครอ่ะๆๆๆ ใครโผล่มาาาาาา  พี่จ้าวววว พี่จ้าวของเมียยย แค่กๆ ขอโทษค่ะ แมวลืมตัว เราต้องโฟกัสที่พี่เฟยหลงสิเนอะๆ อย่าลืมหยอดปุกหมูรอพาคุณหมอสุดหล่อทั้ง9ห้องไปไว้ที่บ้านนะคะ 
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 20. up.20/07/62
เริ่มหัวข้อโดย: Rabbitongrass ที่ 21-07-2019 16:05:04
อยากจะบอกบุญคนที่รออ่านว่าลองเอาชื่อเรื่องไปค้นในอากู่ครับ
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 22. up.21/07/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 21-07-2019 16:14:28
[22]

“หยุดมือก่อน! ได้โปรดเถิดท่าน อย่าได้ทำเช่นนี้ ข้าจะพูดเองขอรับ!” แต่เขามิทันจะได้ลงมือใดๆ เสียงของคนผู้หนึ่งก็เอ่ยออกมาด้วยท่าทางที่แสนเคารพ ซ่งหยุนเฟิงปาดเหงื่อของตน เขามาทันอย่างหวุดหวิด เกือบเกิดการสังหารหมู่ไปเสียแล้ว แต่จะให้คนสูงส่งเช่นนี้ต้องมีเลือกเปื้อนมือจากการกระทำของพวกมนุษย์เช่นพวกเขามิได้

“เจ้า...เป็นใครกัน?”

“ข้าน้อยมีนามว่าซ่งหยุนเฟิง ขอท่านโปรดยั้งมือก่อน ข้าเป็นนักพรต ข้าสามารถเปลี่ยนใจของพวกเขาได้ ให้ข้าได้ลองเถิดขอรับ” ชายผู้นั้นยอมหยุดมือ ตามคำอ้อนวอนของซ่งหยุนเฟิง ปรายตามองพวกน่าสังหารก่อนจะพยักหน้าตอบรับกับซ่งหยุนเฟิงไป เหล่าชาวเมืองต่างรู้สึกโล่งใจราวกับถูกช่วยชีวิตเอาไว้ทั้งที่ยังมิได้เกิดสิ่งใดขึ้น ซ่งหยุนเฟิงหันไปเผชิญหน้ากับทุกคนในเมืองอย่างจริงจัง เขาอยากจะทำให้ทุกอย่างถูกต้องก่อนที่สวรรค์จะลงโทษพวกเขา

“ท่านนักพรต ท่านมาก็แล้ว! โปรดกำจัดปีศาจตนนี้ด้วยเถิด มันทำร้ายคน อีกหน่อยมันคงสังหารผู้คนในเมือง” ซ่งหยุนเฟิงมองความโง่เขลาตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจ เหตุใดถึงได้กล่าววาจาร้ายแรงเช่นนี้ มิรู้หรือไรว่าผู้ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้านั้น เพียงขยับปลายนิ้วพวกเขาก็สามารถจะตายลงโดยไม่ต้องทำสิ่งใดให้มากมาย

“พวกท่านจะบอกว่า บุรุษผมสีเงินทางด้านหลังของข้า คือปีศาจงั้นหรือ?” ทุกคนพยักหน้าตอบ เมื่อทุกอย่างมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

“ใช่แล้วท่านนักพรต มันเที่ยวไล่ทำร้ายชาวเมือง ซ้ำยังใช้เล่ห์ปีศาจล่อลวงคุณชายลู่เฟยหลงไปจากคุณหนูเพ่ยเยว่เผิงอีก!” น้ำเสียงของคนพูดคล้ายคนเจ็บแค้นใจ ทั้งที่ตนเองมิใช่ผู้ถูกกระทำยังโกรธได้ถึงเพียงนี้ คุณหนูเพ่ยผู้นั้นเล่าจะเจ็บปวดเพียงใด เมื่อต้องสูญเสียชายอันเป็นที่รักให้กับปีศาจเช่นนี้!

“ข้าว่าพวกท่านเข้าใจผิดไปเสียแล้วล่ะ”

“ท่านหมายความว่าอย่างไรกันที่ว่าเข้าใจผิด?” ซ่งหยุนเฟิงได้แต่ถอนหายใจกับปัญหาที่เพ่ยเยว่เผิง หญิงผู้นั้นเป็นผู้ก่อขึ้นมา เป็นเพราะคำลวงและคำโป้ปดที่ชักนำให้หายนะเข้ามาใกล้เมืองซิ่นจือแห่งนี้

“ข้ามาที่นี่เองเมื่อคืนก่อน เป็นผู้มาตรวจสอบตามที่ลู่ฮูหยินได้เชิญข้ามาเพราะสงสัยเช่นเดียวกับพวกท่าน หากแต่สิ่งที่ข้าได้กลับมิใช่ปีศาจแต่อย่างใด...” ทุกคนเริ่มตกใจและลังเล แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดปักใจเชื่อคำของซ่งหยุนเฟิงนัก

“หากมิใช่ปีศาจแล้วจะเป็นสิ่งใดกัน? มนุษย์หรือไร!” เสียงคล้ายคำเยาะเย้ยดังออกมาจากคนถามแต่ซ่งหยุนเฟิงมิได้ใส่ใจในอารมณ์นั้นไม่ สิ่งที่เขาควรจะห่วงตอนนี้คือชีวิตกี่ชีวิตที่จะต้องตายด้วยน้ำมือของคนผู้นั้น ผู้ที่สูงส่งแต่มากไปด้วยความปรานีอย่างที่สุดแล้ว

“แน่นอนว่าย่อมมิใช่ แต่เมื่อมิใช่ปีศาจแล้วพวกท่านจะหวาดกลัวไปทำไมกัน ที่พวกท่านมาก็เพราะปีศาจมิใช่หรือ ในเมื่อรู้เช่นนี้แล้วจะดึงดันทำร้ายเขาไปทำไม” เฉียนเล่อเริ่มลนลาน หากทุกคนยอมกลับง่ายๆ มิเท่ากับแผนการมิสำเร็จหรอกหรือ เช่นนี้เงินแม้แต่อีแปะเดียวเขาก็คงมิได้

“เพราะมันทำร้ายคนในเมืองอย่างไรเล่า!” ซ่งหยุนเฟิงเลิกคิ้วมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างจริงจังระคนสงสัย

“ผู้ใด?”

“ก็...” ครั้งเมื่อหันกลับไปหาเจ้าตัวการอย่างเฉียนเล่อก็กลับมิได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว การที่เฉียนเล่อหายไปเช่นนี้ทำให้ชาวเมืองต่างตกใจและทำสิ่งใดมิถูก ใบหน้าของพวกเขาเริ่มซีดเผือด เริ่มรับรู้ชะตาของการบุกรุกจวนของแม่ทัพลู่ในยามนี้ แย่แล้ว แย่แน่ๆ คำคำนี้วนเวียนอยู่ในหัวของพวกเขาจนแทบจะสำรอกมันออกมา

ตุบ!

ทว่ามิทันได้หวาดกลัวจนหายกลัว ร่างของเฉียนเล่อก็ถูกโยนมาจากทางด้านหลังของพวกเขาอย่างแรงจนกระเด็นกระแทกเข้ากับพื้นดิน เลือกสีแดงถูกพ่นออกมาจากปากของเฉียนเล่อจนเต็มพื้นดิน เฉินลี่ฟู่เดินเข้ามาใกล้ร่างที่สะบักสะบอมอย่างมั่นคงแต่กลับดูข่มขวัญไม่น้อย เขาเกลียดนัก คนที่วิ่งหนีแล้วปล่อยให้ผู้อื่นเผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง ในเมื่อสร้างมันมาด้วยกันก็จงรับผลกรรมนั้นไปร่วมกันเสีย!

ฝ่าเท้าของเฉินลี่ฟู่กระแทกอกของเฉียนเล่อจนเจ็บไปหมด มือทั้งสองข้างได้แต่จับข้อเท้าของเฉินลี่ฟู่เอาไว้แน่น พยายามดึงออกสักเท่าไหร่ก็มิมีทางยกมันออกไปได้ สีหน้าของเฉินลี่ฟู่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยที่ทำให้เฉียนเล่อรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก

“เจ้าจักรีบไปที่ใดกัน...มิอยู่รอรับกรรมของเจ้าก่อนหรือ?”

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร! อึก!” ฝ่าเท้ากระแทกลงกลางอกอีกครั้งจนเฉียนเล่อใบหน้าบิดเบี้ยว หยางเถาและเฟยหลงเห็นท่าไม่ดีจึงได้รีบเข้ามาหมายจะห้ามปราม

“ลี่ฟู่! หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เดี๋ยวมันตายจะทำอย่างไร!” เสียงของเหวินฉายดังขึ้นพร้อมกับแรงดึงที่แขนจนเฉินลี่ฟู่ยอมปล่อยให้เจ้าเฉียนเล่อรอดจากฝ่าเท้าไป ใบหน้าที่เคยเหี้ยมโหด กลับมายิ้มอ่อนหวานใส่ถังเหวินฉายราวกับประจบประแจง

“ข้าแค่ลืมตัวเท่านั้น ฉายเอ๋อร์เจ้าอย่าโกรธข้าเลย...” เหวินฉายได้แต่ส่ายหัวกับความใจร้อนของคนรัก หากมิเข้ามาห้าม มิรู้ว่าป่านนี้เจ้านั่นจะเป็นเช่นไร

“เฉียนเล่อ! บอกท่านนักพรตเสียสิว่าเจ้าถูกบุรุษผมสีเงินผู้นั้นทำร้ายใช่หรือไม่?” เมื่อถูกเอ่ยถามด้วยคำถามเช่นนี้ เฉียนเล่อก็ได้แต่นิ่งเงียบ ไม่ยอมปริปากพูดใดๆ

“หากยังไม่ยอมเปิดปาก ข้าจะส่งเจ้าให้กับท่านพ่อเป็นผู้จัดการ!” เฉียนเล่อตาโตและหวาดหวั่น รีบคุกเข่าอ้อนวอนต่อเฉินลี่ฟู่อย่างรวดเร็ว เพราะหากเขาถูกส่งตัวให้นายอำเภอผู้เป็นบิดาของเฉินลี่ฟู่ เขาคงมิพ้นถูกลงโทษอย่างหนักแน่!

“อยะ อย่านะขอรับ ข้ายอมแล้ว ข้าถูกคุณหนูเพ่ยเยว่เผิงว่าจ้างให้ใส่ความสกุลลู่ว่าถูกปีศาจทำร้ายขอรับ!” ใบหน้าของชาวเมืองต่างเต็มไปด้วยอาการตกตะลึง คำพูดของเฉียนเล่อจะว่าไม่จริงก็ไม่จริง จะว่าจริงพวกเขาก็ไม่รู้ได้ ทว่าท่าทางที่ขุดเข่าขอร้องอ้อนวอนของเฉียนเล่อก็ทำให้ในใจของพวกเขาลังเล

“เจ้า! เจ้ากล้าหลอกพวกข้ารึ! เฉียนเล่อ!!” เฉียนเล่อนั้นไม่ได้สนใจสายตาตำหนิติเตียนที่ส่งมาให้เขาแม้แต่น้อย หากว่ามันช่วยให้เขามิต้องเข้าคุก มิต้องถูกคุมขังได้เขาก็ยอมจะพูดกล่าวหานางผู้นั้น

“เจ้ามีอะไรมายืนยันกัน! มิใช่ว่าคิดจะใส่ร้ายคุณหนูเพ่ยเพื่อเอาตัวรอดรึ!” เสียงก่นด่าของชาวเมืองบางคนเริ่มหนาหู เฉียนเล่อเริ่มคิด ในใจว้าวุ่นด้วยไม่แน่ใจนักว่าจะมีสิ่งใดยืนยันได้ แต่เขาก็เบิกตาเมื่อนึกได้ถึงบางสิ่ง

“มี! ข้ามีๆ” เฉียรเล่อจับไปตามตัวราวกับกำลังค้นหาบางสิ่ง ก่อนที่จะล้วงเอากระดาษที่พับไว้ออกมา สีหน้าของเฉียนเล่อนั้นเต็มไปด้วยความดีใจ มือถือกระดาษที่พับอยู่ยื่นออกไปตรงหน้าเพื่อส่งให้กับเฉินลี่ฟู่ได้พิสูจน์ด้วยสายตา

เฉินลี่ฟู่เปิดกระดาษนั่นออก จนเห็นว่ามันคือสิ่งใด สายตาเหลือบมองเฉียนเล่อครู่หนึ่งก่อนจะพับมันเก็บเอาไว้ตามเดิม

“เห็นแล้วใช่ไหม ข้ามิได้โกหกนะ”

“อืม สิ่งนี้ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีว่าสิ่งที่เจ้าพูดมานั้น เชื่อถือได้” คำยืนยันจากปากของเฉินลี่ฟู่ยิ่งทำให้เหล่าชาวเมืองเริ่มกระวนกระวายใจ หากว่านี่คือเรื่องจริง เช่นนั้นคงเป็นพวกเขาเองที่ผิด เข้ามาบุกรุกมิพอ ยังคิดจะทำร้ายคนในบ้านสกุลลู่อีก แต่เมื่อความจริงปรากฏพวกเขาก็ทำได้เพียงแค่ก้มหน้ายอมรับความผิดเท่านั้น

ความละอายแก่ใจแล่นขึ้นมาจุกอก บางคนเริ่มยิ้มอย่างหวาดกลัวกับเรื่องที่พวกเขาได้กระทำลงไป บรรยากาศโดยรอบเริ่มกระอักกระอ่วนใจ ในยามนี้ ผู้คนจากที่เริ่มหนาตาก็ค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ จนเหลือเพียงคนที่อยู่แถวหน้าเท่านั้น เฉินลี่ฟู่เห็นความเลวร้ายที่เกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน คนในเมืองเป็นเช่นนี้เองหรือ กล้าทำแต่เมื่อความจริงปรากฏกลับไม่สามารถยอมรับได้ เฉินลี่ฟู่ได้แต่เหยียดยามพวกเขาด้วยสายตา แต่กับคนที่ยังคงยืนอยู่ในตอนนี้เท่ากับยังพอมีความเป็นคนอยู่บ้าง

“คุณชายเฉิน สิ่งนั้นคืออะไรหรือ โปรดบอกกล่าวแก่พวกข้าด้วยเถิดว่าจะใช้พิสูจน์คำพูดของเฉียนเล่อได้อย่างไร?” เฉินลี่ฟู่ยกกระดาษขึ้นมาคลี่ออกแล้วยื่นออกไปท่ามกลางสายตาของเหล่าชาวเมืองที่ยังหลงเหลือ

“นี่คือตัวเงินสกุลเพ่ย พวกเจ้าคิดว่ามันสามารถยืนยันได้หรือไม่เล่า?” ยิ่งได้รู้ว่าคือสิ่งใดเหล่าชาวเมืองยิ่งหน้าซีดเผือด ความมั่นใจก่อนหน้าหายไปราวกับมิเคยมีมาก่อน เป็นเช่นนี้แล้วคงไม่พ้นถูกกล่าวหาอย่างไร้มูล เมื่อถูกพิสูจน์ออกมาแล้วว่า สกุลลู่มิได้เก็บซ่อนปีศาจ อีกทั้งยังมิออกหน้ามาทำสิ่งใดต่อผู้ปล่อยข่าวลือ ด้วยเมื่อรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นหญิงสาวตัวเล็กๆ

ปีศาจหรือ เฮอะ! คุณหนูผู้นั้นเสียมากกว่าที่เป็นปีศาจ กล้าดีอย่างไรใส่ร้ายสกุลลู่ที่สูงส่งเช่นนี้

เหล่าบรรพบุรุษสกุลลู่ต่างทำสิ่งดีงามมาเสมอ มิเคยเบียดเบียนผู้คน หากมีภัยอันตราย สกุลลู่จะมิอยู่เฉยออกหน้าช่วยจัดการให้อย่างมิเกรงกลัว หากเกิดความขาดแคลนไม่ว่าจะสิ่งใดขึ้นกับชาวเมืองซิ่นจือ ก็เห็นมีเพียงไม่กี่สกุลเท่านั้นที่จะแจกจ่ายอาหารให้กับพวกเขา หนึ่งในนั้นย่อมเป็นสกุลลู่

แล้วสกุลเพ่ยเล่า? ทำสิ่งใดบ้าง?

จะต้องมีความกล้าเท่าใดจึงได้ใส่ร้ายในเรื่องเช่นนี้ต่อสกุลลู่ อีกทั้งยังกล้าปลุกปั่นใช้พวกเขามาเป็นดาบเพื่อทำลายสกุลลู่อีก! ในใจของเหล่าชาวบ้านเริ่มเกลียดชัง หากพ้นผ่านในเรื่องนี้ไป เห็นทีว่าสกุลเพ่ยคงจะต้องรับสิ่งที่กระทำลงไปเสียบ้าง คุณหนูเพ่ยผู้ที่เคยแสดงราวกับแสนดีหนักหนา แท้จริงเป็นเพียงปีศาจร้ายในคราบมนุษย์เท่านั้น แล้วเช่นนี้หรือที่คุณชายลู่จะรักใคร่ดั่งคนรัก งดงามแต่เพียงรูปกาย มีหรือจะต้องใจผู้ใดได้นาน!

“มีสิ่งใดเกิดขึ้น!” เสียงอันทรงอำนาจดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทุกสายตาหันไปจับจ้องพร้อมหลบทางให้ผู้มาใหม่ได้เดินเข้ามา รอบกายของจิ้นเหอถูกบรรยากาศอันแสนกดดันแผ่ออกมาจนชาวเมืองถึงกับลนลานด้วยความกลัว

“ท่านพ่อ! ท่านแม่!”

“หยางเถา! เจ้าเป็นอะไร เกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดเจ้าจึงได้ต้องหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังของเฟยหลงเช่นนั้น?” ร่างของเหม่ยหลินรีบสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ ดึงร่างบอบบางที่ถูกซ่อนอยู่เบื้องหลังของเฟยหลงเข้ามากอดจนแน่น ตวัดสายตามองเหล่าชาวเมืองด้วยความขุ่นเคือง ยิ่งยามได้เห็นหยาดน้ำตาและร่างกายที่สั่นระริก โทสะยิ่งถูกกระตุ้นให้พุ่งสูงจนไม่อาจจะระงับเอาไว้ได้

“ผู้ใดรังแกลูกช้า! ก้าวออกมาเดี๋ยวนี้!” เสียงตวาดดังลั่นจนชาวเมืองต้องก้มหน้าอย่างหลบเลี่ยงสายตาที่กวาดหาตัวคนผิด อี้เหม่ยหลินไม่คิดเลยว่าจะโกรธได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่นางมิเคยรังแกผู้ใดในเมืองแต่พวกชาวเมืองกลับพาคนมาบุกจวนสกุลลู่ในยามนี้ ซ้ำยังถือเอาอาวุธมาอย่างมิคิดเกรงกลัวต่อสิ่งใด เหม่ยหลินลูบหลังลูบศีรษะของหยางเถาอย่างปลอบประโลม ยิ่งได้เห็นร่างที่บาดเจ็บอยู่เบื้องหน้า นางยิ่งหรี่ตามองจ้องไปที่เฉียนเล่ออย่างรอคอยคำตอบ

“ฮูหยินระงับโทสะของเจ้าก่อน”

“แต่ท่านพี่...” ลู่จิ้นเหอยกมือขึ้นห้ามปรามมิยอมให้อี้เหม่ยหลินกล่าวสิ่งใดต่อ ความอบอุ่นจาหกายของผู้ที่เรียกตนว่าลูกนั้น ทำให้หยางเถาสะท้านด้วยความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เผลอพักพิงศีรษะลงกับอกของเหม่ยหลินอย่างลืมตัว

“เอาล่ะ ใครจะบอกข้าได้บ้าง ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในบ้านข้า?” เฉินลี่ฟู่ปรายตามองเหล่าตัวปัญหาที่บัดนี้ได้แต่ยืนนิ่งไม่คิดพูดจาใดๆ อย่างขุ่นเคือง เป็นเหวินฉายมากกว่าที่เริ่มบอกเล่าเหตุการณ์ขึ้นมา

“เรียนนายท่าน ชาวเมืองพวกนี้บุกเข้ามาที่นี่เพราะถูกคุณหนูเพ่ยเยว่เผิงและเฉียนเล่อผู้นี้ หลอกให้มาทำร้ายสกุลลู่ ด้วยเหตุผลว่าสกุลลู่แอบเก็บซ่อนปีศาจเอาไว้ อีกทั้งเฉียนเล่อผู้นี้ยังอ้างว่าถูกคุณชายหยางเถาทำร้ายจนบาดเจ็บขอรับ” ลู่จิ้นเหอมองเฉียนเล่อที่ทรุดกายอยู่บนพื้นด้วยแววตาเรียบเฉย หากแต่ความรู้สึกที่แผ่ซ่านออกมากลับกดดันจนเฉียนเล่อลนลานด้วยความกลัว

“ท่านแม่ทัพลู่ โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ขะ ข้าเพียงถูกคุณหนูเพ่ยจ้างมาเท่านั้น มิได้มีเจตนาจะทำร้ายพวกท่านเลย โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะขอรับ” เฉียนเล่อกลัวจนต้องโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรงหลายครั้งหวังให้ลู่จิ้นเหอปล่อยตนไปสักครั้ง เขาพลาด เขาพลาดที่รับงานของคุณหนูผู้นั้น เขาพลาดไปจริงๆ

“เหตุผลเพียงข่าวที่เล่าลือออกไป ทำให้พวกเจ้าทุกคนถึงกับบุกเข้ามาในจวนของข้าเลยอย่างนั้นหรือ? เพียงเพราะมีคำพูดบอกกับพวกเจ้าว่าบุตรชายของข้าเก็บซ่อนปีศาจ ก็สามารถทำให้พวกเจ้าเข้ามารังแกสกุลลู่ได้หรือ? มิได้เห็นข้าอยู่ในสายตาเลยใช่หรือไม่!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตะคอกจนเหล่าชาวเมืองพากันหวาดหวั่น แข้งขาอ่อนแรงจนต้องคุกเข่าลงกับพื้น

“ท่านแม่ทัพลู่ โปรดอภัยให้พวกข้าเถิด พวกข้าสัญญาว่าจะมิยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก อภัยให้พวกข้าเถิดนะขอรับ”

“เข้าจะว่าอย่างไร เฟยหลง หยางเถา” ลู่จิ้นเหอหันไปถามบุตรชายกับสหายอันเป็นที่รักซึ่งบัดนี้กำลังจมอยู่กับอกของอี้เหม่ยหลิน มีเพียงเส้นผมสีเงินเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้

“ข้าอย่างไรก็ได้ขอรับ ข้ายอมรับการตัดสินใจของหยางเถาขอรับท่านพ่อ” ลู่จิ้นเหอพยักหน้ารับรู้ในคำตอบ จึงได้หันไปถามความเห็นจากหยางเถาที่บัดนี้เงยหน้าออกจากอกของเหม่ยหลินแล้ว

“ข้า...มิถือโทษขอรับ อย่างไรพวกเขาก็ยังมิได้ทำร้ายขะ เอ่อ ต้นท้อ อีกทั้งยังเป็นความเข้าใจผิด ข้าจึงคิดว่าควรปล่อยให้พวกเขากลับไป” หยางเถาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มบางเบา เขาคิดเช่นนั้นจริงๆ แม้ว่าพวกเขาจะพยายามตัดต้นท้อหรือจะเป็นการเข้าใจว่าหมายจะฆ่าเขาก็ได้เช่นกัน หากแต่พวกเขาล้วนถูกชักนำมา มันมิใช่ความผิดของคนเหล่านั้นทั้งหมด และเขาเองก็เหลือเวลาไม่นาน ไม่อยากจะให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันกับใครหลายๆ คน

“เช่นนั้นก็แล้วกันไปเสีย แต่หากว่ามีอีกครา เห็นทีข้าคงมิอาจนิ่งเฉยให้สกุลลู่ถูกรังแกเป็นแน่!” น้ำเสียงของลู่จิ้นเหอดุดันเต็มเปี่ยมไปด้วยความข่มขวัญ จนทุกคนตัวสั่นราวกับลูกนกที่ถูกจับจ้องจากพญาอินทรีย์ ลู่จิ้นเหอมิใช่จะวางใจเสียทีเดียว สายตาคมจับจ้องปฏิกิริยาของชาวเมืองแต่ละคนอย่างกดดัน เขาจะมิยอมให้บุตรชายต้องเป็นอันตราย ทั้งที่ตัวเขาหรือคือแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ใดก็เกรงขาม ชนะศึกรบมาหลายสนาม หากมิสามารถปกป้องบุตรชายหรือเหล่าเด็กในจวนได้ คงมิเท่ากับไร้ซึ่งความสามารถหรอกหรือ!

ชาวเมืองต่างพากันหวาดหวั่น แต่ด้วยตนเองทั้งนั้นที่ทำให้เกิดความรู้สึกกลืนมิเข้าคายมิออกเช่นนี้ เพียงเพราะหลงชื่อหน้าตาใสซื่อและงดงาม หลงเชื่อหยามน้ำตาของคุณหนูผู้นั้น จึงได้มายังบ้านสกุลลู่โดยมิมีหลักฐานใด หนำซ้ำพยานที่คิดว่าสามารถยืนยันได้ กลับเปิดปากว่าถูกว่าจ้างมาเสียอีก มิแปลกเลยที่พวกเขาต่างพากันเข่าอ่อน คุกเข่าลงโขกศีรษะกับพื้นแรงๆ จนศีรษะเต็มไปด้วยรอยแดง ทว่า...สำหรับลู่จิ้นเหอและอี้เหม่ยหลินแล้ว กลับไม่สามารถเทียบได้กับความรู้สึกหวาดกลัวของเฟยหลงและหยางเถาแม้แต่น้อย

“พวกข้าต้องขออภัยต่อสกุลลู่ด้วยอีกครั้ง และชอบคุณน้ำใจจากเจ้าด้วยนะที่มิเอาความกับพวกข้า บุญคุณนี้ข้าและพวกชาวบ้านจะมิมีวันลืม!” ชาวเมืองคนหนึ่งกล่าวบอกแก่ตัวหยางเถา ซึ่งเขาเองก็เพียงพยักหน้ารับเบาๆ เท่านั้น สายตาของเหล่าชาวเมืองที่มองมาต่างก็เต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกผิด ก่อนที่พวกชาวเมืองทุกคนจะหันหลังและรีบกลับออกไปจากจวนสกุลลู่ รวมถึงนักพรตซ่งด้วยเช่นกันเมื่อพบว่าเรื่องราวกระจ่างแจ้งแล้ว

ตอนนี้จึงมีเพียงผู้กล้าที่มิทราบนามเท่านั้นที่เป็นคนแปลกหน้า ทุกสายตาจึงกลายเป็นจับจ้องบุคคลลึกลับที่เข้ามาช่วยเหลือแทนอย่างเสียไม่ได้ ลู่เฟยหลงก้าวออกมาข้างหน้า มองบุรุษร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความทราบซึ้งในน้ำใจของอีกฝ่าย ทั้งที่มิใช่เรื่องของตนเอง แต่กลับยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ชายผู้นี้ก็นับว่าหาได้ยากยิ่ง ลู่เฟยหลงยกมือขึ้นประสาน ค้อมกายลงเล็กน้อย

“ท่านจอมยุทธ์ ข้าต้องขอขอบคุณท่านมากที่เข้ามาช่วยข้าและคนรักของข้าได้ทันเวลา” หากแต่คนตรงหน้าเพียงพยักหน้ารับเบาๆ เท่านั้น ก่อนที่สายตาจะจับจ้องที่หยางเถาผู้ยืนอยู่เบื้องหลังของอี้เหม่ยหลิน เฟยหลงมองแววตาอ่อนโยนที่จับจ้องคนรักของตนเองแล้วคิ้วกระตุก ในหัวใจคันยุบยับจนรู้สึกขัดเคืองใจ

“ขอบคุณท่านมาก...” หยางเถารู้สึกตัวว่าตนถูกจับจ้อง จึงได้แต่เอ่ยออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา คนถูกเอ่ยขอบคุณยิ้มออกมาด้วยใบหน้าอ่อนโยน ความเอ็นดูนั้นล้นเหลืออยู่ในดวงตาคู่คมจนไม่ว่าผู้ใดที่มองเห็นก็รับรู้ได้ว่าคนผู้นี้มีความรู้สึกมิธรรมดากับหยางเถา

“มิเป็นไร แค่เจ้า...ปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว”

“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมไอที่เต็มไปด้วยความดุดัน เมื่อความละมุนและความอ่อนโยนแผ่กระจายออกมาจากคนทั้งสอง เฟยหลงมิสามารถทนมองเฉยๆ ได้ แม้จะไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น อีกทั้งไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นเช่นไร แต่หยางเถาเพิ่งจะได้กายมนุษย์ จะเกี่ยวข้องกับผู้อื่นที่มิใช่เขาได้อย่างไรกัน ก็เขาเป็นคนเดียวที่ได้พบหยางเถา มิใช่หรือ?

“ท่านคือ...” หยางเถาเอ่ยถามออกมา แม้ว่าตนจะมั่นใจว่ามิเคยรู้จักคนผู้นี้มาก่อน แต่กลับรู้สึกว่าผูกพันจนไม่สามารถอธิบายออกมาได้

“นามของข้าคือจ้าวมู่”

“จอมยุทธ์จ้าว ข้าและสกุลลู่ขอขอบคุณน้ำใจของท่าน ที่ช่วยเหลือในครานี้ บุญคุณของท่าน สกุลลู่จะไม่มีวันลืม” ลู่จิ้นเหอกล่าวขอบคุณออกไปอย่างจริงใจ แม้ว่าจะมองเห็นสายตาแปลกๆ ยามมองหยางเถาและอารมณ์ที่ขึ้นสูงจนใบหน้าบูดบึ้ง จะต่อว่าตรงนี้ก็มิได้ บุตรชายของเขาคงมิลืมใช่หรือไม่ ว่าคนผู้นี้เพิ่งจะช่วยเหลือตนไป

“อย่าได้คิดเป็นบุญคุณกันเลย ข้าเพียงแค่ผ่านมาก็เท่านั้น”

“เช่นนั้นให้ข้าและภรรยาเลี้ยงอาหารท่านจอมยุทธ์จ้าวหน่อยเถิด” จ้าวมู่ได้แต่ส่ายศีรษะ ใช่ว่าจะมิอยากอยู่ การได้มองใบหน้าที่แสนคิดถึงสุดใจนานๆ ผู้ใดบ้างเล่าที่มิอยากอยู่ แต่ด้วยตัวของเขาเองยังมีหน้าที่ ยังมิสามารถหยุดพักได้ในตอนนี้ แววตาของจ้าวมู่จึงได้เต็มไปด้วยความเสียดายยามมองใบหน้าของหยางเถา

“ข้าคงต้องขอปฏิเสธแม่ทัพลู่และลู่ฮูหยิน ด้วยข้ายังมีที่ที่จะต้องไปอีกไกลนัก” ลู่จิ่นเหอหันมองใบหน้าของภรรยาอย่างขอความเห็น แต่เมื่อสุดท้ายยื้อเอาไว้มิได้ก็มีแต่จะต้องปล่อยให้ผู้มีพระคุณจากไปเท่านั้น

“หากเช่นนั้นคราวหน้าข้าจะขอเลี้ยงอาหารท่านสักมื้อ” จ้าวมู่ยิ้มอ่อนแม้ว่านัยน์ตาจะมิได้ยิ้มตาม แต่ก็มีความอ่อนโยนและปรานีอยู่ในนิจ

“หากพบกันคราวหน้า ข้าย่อมรับปากแน่นอน” แต่จะมีคราวหน้าหรือไม่นั้น ย่อมสุดแล้วแต่บิดาข้า

“ข้าขอตัว ลาคุณชายลู่เฟยหลงและเจ้า...หยางเถา ข้าขอลาทุกท่าน ไว้พบกันใหม่...”

หากแต่เมื่อเพียงจ้าวมู่หันหลังให้เท่านั้น ความรู้สึกเจ็บยอกในอกก็เล่นงานหยางเถาจนหายใจไม่ออก ความรู้สึกประหลาดเหตุใดจึงได้เกิดขึ้นเพียงเพราะจอมยุทธ์จ้าวผู้นี้กำลังเดินไกลออกไป หยางเถาใจสั่น ภาพตรงหน้าดูเชื่องช้าจนต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้ มือข้างหนึ่งเอื้อมไปราวกับจะคว้าเขาเอาไว้มิยอมให้ไปไหน แต่ปลายนิ้วที่ควรสัมผัสอากาศ กลับสัมผัสได้ถึงเนื้อผ้าชั้นดีของคนตรงหน้าแทน

กลัว! อย่าไป!

หัวใจของหยางเถาร่ำร้องอยู่เพียงสองคำนี้ เพราะเหคุใดเขาเองก็มิสามารถหาคำตอบมาได้ รู้เพียงแค่มิอาจทนให้คนผู้นี้เดินจากไปได้ ทว่าพอหยางเถาสัมผัสเนื้อผ้าจากชุดของจ้าวมู่ ทั้งหยางเถาและจ้าวมู่ก็พลันชะงักไปกับเหตุการณ์นั้น แม้แต่บุคคลที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ยังเบิกตากว้างกับสิ่งที่หยางเถากระทำ ด้วยไม่คิดว่าตัวหยางเถาจะกล้าทำเช่นนี้

หัวใจของจ้าวมู่พลันเต้นระรัว ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองคนที่ดึงตนเอาไว้อย่างคาดหวัง ยิ่งเขามองหาความหวังจากร่างบางก็ยิ่งมืดมน ความหวังที่มีเพียงริบหรี่กับดับไปอย่างนั้น แววตาของคนที่จ้าวมู่คาดหวังบางสิ่งนั้น มีเพียงแค่ความสับสนและฝ่ามือเล็กที่ค่อยๆ ปล่อยชายเสื้อของจ้าวมู่ออก

สีหน้าของหยางทั้งเศร้าหมองสลับกับความอับอาย นี่เขาทำอะไรลงไปกันนะ เหตุใดจึงได้กล้าดึงชายเสื้อของผู้มีพระคุณเอาไว้เช่นนี้ ถ้าหากมิเจอความเจ็บร้าวที่ข้อมืออีกข้าง ที่ตอนนี้ถูกเฟยหลงจับเอาไว้แน่นพร้อมออกแรงบีบ เขาคงยังหาสติตนเองไม่พบ กระทำสิ่งที่น่าอายลงไปทั้งที่ไม่เข้าใจตนเองเช่นนี้

หยางเถาเงยหน้าขึ้นสบตากับจ้าวมู่ แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาจากแววตาของคนตรงหน้าคือความเจ็บปวดและความผิดหวังจนชวนให้ใจหาย ตอนนี้เขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด แต่ภายในใจของหยางเถานั้นบีบรัดจนแน่นอกไปหมด มันทรมานอย่าไม่อาจจะอธิบายออกมาให้เข้าใจเป็นถ้อยคำได้ แต่เขาสามารถบอกได้เพียงว่า มันรู้สึกราวกับว่าจะขาดใจ หยาดน้ำตาสีใสไหลรินลงสองแก้ม ตัวเขาไม่อาจห้ามปรามความรู้สึกได้ ทำได้เพียงแค่ปลดปล่อยออกมาให้มันไหลริน

สำหรับเฟยหลงการได้เห็นคนรักกำลังเอื้อมมือออกไปคว้าชายอื่นเอาไว้ ราวกับรั้งมิอยากให้จากไปมันคือความเจ็บปวดที่แสนขื่นขม ยิ่งเห็นแววตาทุกข์ทรมานของหยางเถาเขาเองก็ยิ่งปวดร้าวในใจ คนผู้นี้สำคัญอันใดกันแน่สำหรับหยางเถา แต่จะอย่างไรเขาก็มิเคยคิดจะปล่อยให้หยางเถาไปจากเขาอย่างแน่นอน ต่อให้กี่หมื่นพี่พันผู้คนบนโลกนี้ที่หยางเถาอาวรณ์ เขาก็จะดึงร่างบางกลับมาให้หันมาสนใจเพียงเขาเท่านั้น

“หยางเถา...เจ้าจะทำสิ่งใด” มิใช่คำตำหนิ เพียงแต่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหยียบเย็นก็เท่านั้น คนอย่างลู่เฟยหลง หากได้ลองรักแล้ว มิเคยคิดจะปล่อยให้ไป แม้ว่าคู่แข่งจะดีกว่าสักเพียงใดก็ตาม

“ข้า...ข้าไม่รู้” นัยน์ตาดอกท้อของหยางเถาฉายแววมึนงง ทั้งที่น้ำตายังมิหยุดไหลแต่หยางเถากลับมิได้สนใจ ปาดมันทิ้งไปอย่างไม่ไยดี

“จอมยุทธ์จ้าวขออภัยด้วย เมื่อครู่ข้าเพียงแค่หน้ามืดจะเป็นลมเท่านั้นจึงได้คว้าชายเสื้อท่านเอาไว้” ผิดหวังเหลือเกิน ทั้งที่รู้ว่ามิควรตั้งความหวังไว้แต่ก็ยังทำ จ้าวมู่ยิ้มอ่อนโยนทั้งที่ทรมานใจอย่างแสนสาหัส เอ่ยคำตอบรับด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลอย่างแผ่วเบา

“มิเป็นไร ข้าต้องไปแล้ว ขอตัว”

ความหวังสำหรับมนุษย์เป็นดั่งของหวานที่ช่วยประโลมหัวใจให้หายเจ็บปวด แต่สำหรับเขากลับคิดว่า ความหวังที่ไร้หวัง มันก็มิต่างอะไรกับยาพิษร้ายแรงที่ถูกราดลงไปบนแผลสดที่ยังมิได้รับการรักษา แต่จะทำเช่นไรได้ในเมื่อตัวเขาเองที่เลือกมันเองทั้งสิ้น มิเคยคิดจะฟังคำเตือนของผู้ใด รู้ทั้งรู้ว่า...มิใช่เช่นเดิม ก็ยังปล่อยให้หัวใจได้คาดหวัง ความเจ็บปวดที่แล่นอยู่ในแผ่นอกสะท้านจนรวดร้าวไปหมด แต่จ้าวมู่มิใช่บุรุษที่อ่อนแอ ต่อให้พ่ายแพ้จนย่ำแย่ก็มิมีวันล้มลงให้ผู้ใดได้เห็น

หยางเถา...เหตุใดเจ้าจึงจำพี่ไม่ได้กัน
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 22. up.21/07/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 21-07-2019 16:17:23
(ต่อจ้า)

หลังจากจ้าวมู่เดินจากไป ถังเหวินฉายก็ดึงให้เฉินลี่ฟู่เดินตามตนเองไปด้วยรู้ว่านายน้อยของตนนั้นต้องการจะอยู่ลำพังกับหยางเถา แม้แต่มารดาและบิดาของลู่เฟยหลงก็หลบฉากออกมา ทิ้งให้ทั้งสองเผชิญหน้ากันด้วยบรรยากาศที่แสนอึดอัดใจ สายตาของลู่เฟยหลงจับจ้องคนรักเอาไว้อย่างดุดัน ความไม่พอใจแล่นริ้วขึ้นมาจนแทบจะระเบิด ภาพเมื่อครู่ยังคงติดตาและค้างคาใจจนเฟยหลงมิอาจจะปล่อยผ่านไปได้

คนผู้นั้นก็มิใช่ขี้เหร่ กลับหล่อเหลาสมชายจนเรียกได้ว่าในปฐพีนี้ไร้ผู้เทียบเทียมก็ว่าได้เลย การที่เข้าดอกท้อจับจ้องไปที่คนผู้นั้น ใช้มือนุ่มที่เขาเคยได้กุมเอาไว้เหนี่ยวรั้งมิยินยอมให้เขาจากไป มันช่างไม่ต่างจากถูกกระชากหัวใจออกไปอย่างรุนแรง อีกทั้งแววตาที่อาวรณ์ หากมิใช่ว่ารักมั่นหรือรักมาก มีหรือจะมีแววตาต่อกันเช่นนั้น ยิ่งคิดเฟยหลงก็ยิ่งมีโทสะจนต้องขบกรามตนเองเอาไว้เพื่อระงับความโกรธเกรี้ยวที่แล่นริ้วขึ้นมา มือที่จับแขนอันบอบบางของเจ้าดอกท้อเผลอกำแน่นจนอีกคนร้องออกมา

“โอ๊ย! ข้าเจ็บ” แม้จะมีความโกรธอยู่มาในหัวใจ แต่เมื่อเสียงนุ่มเจือไปด้วยความเจ็บปวด แรงบีบที่มือก็ผ่อนลงจนเหลือไว้เพียงการรั้งไว้มิให้หนีหาย

“เข้าชอบคนผู้นั้นหรือ?” เฟยหลงกัดฟันเอ่ยถามทั้งที่มิได้อยากถามให้ตนเองต้องเจ็บ

“เจ้าหมายถึง...คุณชายจ้าวหรือ?” จะมีผู้ใดอีกเล่า! เฟยหลงพยักหน้าตอบ ใบหน้านิ่งเฉยจนน่ากลัวแต่ความน่ากลัวที่แท้จริงคือแววตาคู่นั้นที่มีความดุดันอยู่ภายใน

“ข้ามิได้ชอบคุณชายจ้าวเช่นที่เจ้ากำลังคิด”

“หากมิใช่ชอบ แล้วเหตุใดเจ้าจึงต้องรั้งเขาเอาไว้ ราวกับมิอยากแยกจากเช่นนั้นด้วย” นัยน์ตาคมทอประกายความเจ็บปวดจนหยางเถาต้องยกมือขึ้นลูบผิวแก้มของเฟยหลงอย่างปลอบประโลม เกลี่ยเอาความปวดร้าวออกไปจากดวงตา

“ข้ามิอยากแยกจากจริงดังที่เจ้ากล่าว หากแต่มิใช่เพราะข้าชอบเขาเช่นที่ข้ารักเจ้าเสียเมื่อไหร่” เฟยหลงหน้าดำสลับแดง จะเขินก็มิสุดเมื่อคำกล่าวของหยางเถาแน่ชัดแล้วว่ามิอยากให้จ้าวมู่ได้จากไป แต่ประโยคบอกรักผ่านริมฝีปากแดงนั่นกลับมีอิทธิพลเหนือกว่า

“เพราะเหตุใด หากมิใช่เจ้ารักเขา แล้วจะมีสาเหตุใดได้อีก” เสียงถอนหายใจดังออกมาจากร่างบางอย่างหนักใจ

“ข้าอธิบายมิถูก ตัวข้านั้นยามที่คุณชายจ้าวกำลังจะจากไป หัวใจของข้าร่ำร้องว่าให้หยุดเขา มันเจ็บราวกับกำลังจะถูกทิ้ง เหมือนข้ากำลังจะสูญเสียพี่ชายคนสำคัญไป” ยิ่งคิดถึงหัวใจดวงน้อยก็ยิ่งบีบรัดตัวแน่น ทรมานเสียจนหายใจไม่ออก หยางเถาไม่สามารถอธิบายอะไรได้ดีกว่านี้แล้ว สำหรับเขามันเป็นเช่นที่เขากล่าวออกไปจริงๆ มิได้โกหกเลยแม้แต่น้อย หากแต่ว่า...มันแปลกเกินกว่าจะร้องขอให้เฟยหลงเชื่อในคำพูดของเขาได้

หยางเถายืนนิ่งรอรับความเจ็บปวดทางจิตใจหากเฟยหลงคิดจะเดินจากไป แต่สิ่งที่ได้กลับมา กลับเป็นสองแขนที่เหนี่ยวรั้งให้ร่างบอบบางเข้าสู่อ้อมกอดจนจมลงไปในแผ่นอก มือหนาลูบกลุ่มผมสีเงินสลวยเบาๆ พร้อมกับริมฝีปากที่จุมพิตกลุ่มผมนั่นอย่างรักใคร่ ตัวหรือก็เล็กเพียงเท่านี้แท้ๆ หากมีผู้ใดมาปกป้องดูแลย่อมต้องโหยหาคล้ายผู้ขาดซึ่งบิดามารดาเป็นแน่แท้ เรื่องนี้เขาเองย่อมเข้าใจหยางเถาดี เจ้าดอกท้อของเขาโหยหาการปกป้องจากครอบครัว

“ข้าเชื่อเจ้า...เชื่อเจ้าอย่างแน่นอน” นัยน์ตาดอกท้อรื้อไปด้วยหยาดใส ร่างกายบอบบางในอ้อมกอดอันอบอุ่นสั่นเลาๆ ราวกับลูกนก เฟยหลงเชื่อเขา แม้ว่ามันจะเป็นเหตุผลที่เขายังมองว่าไร้สาระและเตรียมใจจะถูกผลักไสจากเฟยหลงแล้วก็ตาม แต่เฟยหลงกลับมิได้คิดทอดทิ้ง เชื่อแม้ว่าเหตุผลที่เขาบอกจะมิได้เพียงพอ มันช่างทำให้หัวใจดวงน้อยของเขาอุ่บวาบราวกับได้รับแสงตะวันหลังจากถูกความเหน็บหนาวกลืนกิน

“เจ้า...เชื่อข้าจริงๆ นะ” ลู่เฟยหลงยิ้มขำกับคำถามของร่างบาง

“เชื่อสิ ข้าเชื่อเจ้าเสมอล่ะเจ้าดอกท้อ หากเข้าบอกว่าพี่ชาย ข้าก็จะมองเขาเป็นพี่ชาย เช่นเดียวกันกับเจ้า ดีหรือไม่” หยางเถาปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลรินลงสู่ผิวแก้ม พยักหน้ารับระรัวพร้อมรอยยิ้มกว้างที่แสนสุขใจ

“อื้อ...” เฟยหลงยิ้มเอ็นดู ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหยาดน้ำตาออกจากใบหน้าหวานอย่างเบามือ

“แต่ห้ามเจ้ารั้งผู้ใดไว้อีกนะ เข้าใจรึไม่?” หยางเถาหลุบตาลง ใบหน้าหวานเริ่มหมองเศร้าแม้แต่รอยยิ้ม

“จะให้ข้ามีเวลาใดไปรั้งผู้อื่นอีกเล่า ในเมื่อข้าใกล้จะต้องจากลากับเจ้าแล้ว” ลมหายใจของเฟยหลงสะดุด มิได้ลืมคำนวณไปแต่อย่างใด หากแต่เพราะในคืนนี้มีเรื่องร้ายแรงจนเกือบสูญเสียหยางเถาและต้นท้อไป เขาจึงได้หลงลืมมันไปชั่วขณะ

นี่หยางเถากำลังจะไปจากเขาแล้วหรือ

พอได้ยินได้คิดเช่นนั้น จู่ๆ ความปวดหนึบก็แล่นเข้ามาจู่โจมหัวใจของลู่เฟยหลงจนหายใจไม่ออก ทรมานเสียจนอยากจะตายไปเสียให้พ้นๆ หากหายใจอยู่แล้วมิมีหยางเถา เขาจะยังหายใจไปเพื่ออะไรกัน หากชีวิตที่เหลือนับจากนี้ไปมิอาจจะมองเห็นรอยยิ้มของเจ้าดอกท้อได้ เขาก็ไม่อยากจะมีมันอีกแล้ว

“ข้ามิอยากให้มันมาถึง ข้าอยากจะอยู่กับเจ้าไปอีกทั้งชีวิต” แต่เฟยหลงและหยางเถาต่างก็รู้ดีว่ามันไม่มีวันที่จะเป็นไปได้ ทุกวันนี้ที่ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันนั้น ก็นับว่าสวรรค์ได้เมตตาพวกเขาทั้งสองเหลือเกินแล้ว

ลู่เฟยหลงกระชับอ้อมกอดจนแน่น หวังจะกักเก็บกลิ่นหอมจากกายบางให้ได้เนิ่นนานที่สุด ทั้งที่หัวใจของเราทั้งสองคนต่างก็ผูกพันธ์กันและกันจนแน่นด้วยความรัก แต่กลับพ่ายแพ้แต่กฎแห่งสวรรค์ กฎที่ตั้งขึ้นมากีดกันมิยินยอมให้เราทั้งสองได้ครองคู่กัน ในอ้อมกอดใต้เงาจันทร์...ทั้งสองต่างปลอบประโลมใจกันและกันอย่างไม่อาจจะทำสิ่งใดได้ เมื่อถูกลิขิตให้ต้องแยกจาก ก็ทำได้เพียงก้มหน้ารับมันเท่านั้น ใช้ช่วงเวลาที่เหลือให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะมีได้

มิให้ต้องเสียใจว่าเมื่อครั้งหนึ่งที่เคยมีเวลาแต่มิได้กระทำ









TBC



แล้วตกลงว่า ท่านพี่จ้าวมู่เป็นใครกันคะ ใครรู้มากระซิบบอกแมวหน่อยสิ เดี๋ยวแบ่งก้างปลาให้แทะเล่น ใกล้จะถึงตอนจบแล้ว แมวก็ยิ่งเครียด กลัวว่างานจะออกมาไม่ดี เฮ้อออ แต่ยังไงก็จะสู้ค่ะ สู้!!!
ปล. จะลงทีเดียวเลยนะคะ ยาวๆไปจ้าาาา เลิ่กลั่กเพราะความกลัว คิกค้ากกก
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 23. up.21/07/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 21-07-2019 16:19:31
[23]

Note : ก่อนหน้านี้แมวได้ทำการเปลี่ยนชื่อตัวละครสองตัวนะคะ นั่นคือ ลู่เหม่ยหลิน เป็น อี้เหม่ยหลิน / เพ่ยหลิง เป็น จางเยว่หลิง นอกนั้นเนื้อหายังคงเดิมจ้า เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ตั้งแต่ตอนที่ 23 เป็นต้นไป แมวจะ Note ไว้บนนิยายนะคะ



Chapter 23.

ในช่วงเวลาที่ดึกสงัด ความหนาวเหน็บจากอากาศไม่ได้ทำให้ร่างสูงของจ้าวมู่ลดละฝีเท้าลงไปเลย ความรวดเร็วในการเคลื่อนที่ยังคงเป็นดั่งสายลม เส้นผมสีดำปลิวไปตามแรงลมเมื่อร่างสูงเคลื่นกายไปข้างหน้า สีหน้าเรียบเฉยชวนให้ร่างสูงชวนมองอย่าที่สุด แสงจันทร์ที่สาดส่องมายังใบหน้าเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่ช่วยให้ชายหนุ่มดูน่าหลงใหล

จ้าวมู่ใช้ความเร็วเคลื่อนกายไปตามแนวชายป่าจวบจนถึงสุดเขตแดนของเหล่ามนุษย์ ซึ่งถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยม่านพลังกั้นเอาไว้ระหว่างทั้งสองภพ มิให้ผู้ใดทั้งมนุษย์และปีศาจได้ล่วงล้ำเขตแดนของกันและกัน หากมีมนุษย์ผู้ใดเดินผ่านม่านพลังนี้ ก็จะเกิดเป็นวังวนส่งคนผู้นั้นย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นใหม่ แต่หากเป็นปีศาจก็จะถูกม่านพลังนั้นกั้นเอาไว้มิยินยอมให้ออกมา

สำหรับจ้าวมู่ เส้นทางแห่งนี้นั้นตนชำนาญที่สุด ด้วยในครั้งอดีต ที่แห่งนี้ก็มิต่างจากบ้านอีกแห่งหนึ่งของตนเองเช่นกัน ร่างสูงพาตนเองผ่านม่านพลังเข้าไปอย่างรวดเร็ว เพียงร่างกายแทรกเข้าไป ม่านพลังสีแดงก็แยกออกให้ผู้เป็นใหญ่ก้าวล้ำเข้าไปภายในอย่างไม่อิดออดใดๆ สายตาของจ้าวมู่มองไปรอบกาย นานเพียงไหนแล้วหนอที่มิได้มาเยือนที่แห่งนี้ บ้านที่ครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยอยู่

ภายในภพมารนั้นมีกลิ่นไม่ค่อยชวนให้รื่นรมย์ใจ ด้วยเหล่าปีศาจน้อยใหญ่เป็นจำพวกกินเนื้อทิ้งกระดูก จึงเกิดกลิ่นที่ไม่ค่อยดีมากนัก เหล่าปีศาจมากมายจึงอยากจะออกไปยังภพมนุษย์ด้วยแดนมนุษย์นั้นมีอากาศที่บริสุทธิ์ กว่ามาก ตอนนี้จุดที่จ้าวมู่กำลังยืนอยู่ทางไปแดนหานเฟิง ที่นั่นจะมีอากาศเย็นและเงียบสงบกว่าที่นี่มากนัก ด้วยหานเฟิงคือที่สำหรับไว้ให้ปีศาจที่ต้องการบำเพ็ญตบะและฝึกวิชาต่างๆ

จ้าวมู่มุ่งหน้าตรงไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย มองดอกไม้สีฉูดฉาดที่ผู้ใดก็ตามในภพมารต่างก็รู้ดีว่ามันคือพิษ หากถูกพิษจากเกสรของมันแล้ว มิมีวิชาการรักษาใดมารักษามันได้ เพียงแค่สองชั่วยามก็จะถึงแก่ความตายในทันที แววตาของจ้าวมู่คมกล้าขึ้นยามได้มองดอกไม้เหล่านั้นตามริมทาง ที่นี่มีมากเหลือเกินจนเขาเองคิดจะเอามันไปใช้ แต่กฎก็คือกฎ เขามิสามารถพรากชีวิตของมนุษย์ได้ และไม่สามารถฝืนชะตาของพวกมนุษย์ได้เช่นกัน นั่นคือเหตุผลที่ทำให้จ้าวมู่มาที่แห่งนี้

หลังจากเคลื่อนกายด้วยความเร็วมานานพอสมควรในที่สุดร่างสูงก็หยุดลงตรงถ้ำรูปลักษณ์คล้ายมังกรด้วยสีหน้านิ่งสงบ สองเท่าก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว เพียงลมพัดวูบหนึ่งจ้าวมู่ก็มาถึงปากถ้ำเสียแล้ว จ้าวมู่ค่อยๆ ก้าวเข้าไปภายใน มองหาร่างอันคุ้นตาของใครบางคนที่มิได้พบมานานพอควร

จ้าวมู่ยกยิ้มมุมปากเมื่อสายตามองเห็นร่างบางของใครบางคนที่กำลังนอนหลับอย่างสบายใจอยู่บนหินก้อนใหญ่ ท่าทางที่แสนสบายอารมณ์ช่างน่าหมั่นไส้เช่นเดิมมิเคยเปลี่ยน ความขี้เกียจของโจวจื่อหมิงเป็นที่รู้กันทั่วทั้งภพมาร แม้ว่าใบหน้าของอีกฝ่ายจะงดงาม หากแต่นิสัยกลับเต็มไปด้วยความเกียจคร้านอย่างถึงที่สุด

“จื่อหมิง...”

“...” ไร้เสียงใดตอบกลับ มีเพียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอจากอีกฝ่ายเท่านั้น

“จื่อหมิง...”

“อืม...อย่ากวนข้านะ ข้าจะนอน” จ้าวมู่คิ้วกระตุก มือหนาเกร็งตามอารมณ์ขุ่นที่ถูกเสียงนุ่มและมือเล็กๆ ป่ายปัดราวกับจะไล่ให้ไปไกลๆ ความอดทนของจ้าวมู่ขาดผึง มือใหญ่คว้ากระชากเอาคนที่ยังจมอยู่ในห้วงนิทราให้ร่วงหล่นลงมาสู่พื้นดิน โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเจ็บปวดหรือไม่

“โอ๊ย! ใครทำข้า!” เสียงร้องและท่าทางที่บ่งบอกความไม่พอใจทำให้จ้าวมู่ยืดตัวไขว้มือทั้งสองเอาไว้ที่หลังแทน

“ข้าเอง” โจวจื่อหมิงหันมองใบหน้าหล่อเหลาเบื้องหน้าให้เต็มตาอีกครั้ง ก่อนที่ใบหน้างดงามจะซีดเผือด ดวงตาหวานเบิกกว้างอย่างตกใจ ใครจะไปคาดคิดว่าคนที่มาปลุกจะเป็นอดีตท่านผู้ครองแดนปีศาจอย่างจ้าวมู่ ก็ไหนว่ากลับสวรรค์ไปแล้ว จะมาทำไมอีกกัน!

“ฮะๆ อามู่...เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใดกัน” โจวจื่อหมิงมองจ้าวมู่ด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ เก็บขาหาท่านั่งที่ดูสงบเสงี่ยมเหลือเกินเมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้นี้ จ้าวมู่มองสหายร่างบางอย่างไร้อารมณ์ สำหรับจ้าวมู่แล้วการเห็นท่าทางแบบนั้นของโจวจื่อหมิงเป็นสิ่งที่คุ้นเคยจนเรียกได้ว่าชินชา

“อามู่...เจ้ามีอะไรหรือ?”

“ข้ามีงานให้เจ้าทำ” สำหรับโจวจื่อหมิงมันหมายความว่า ต้องทำไม่ใช่ให้ทำ คำสั่งชัดๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็คือคำสั่งจากเบื้องบนที่เขาไม่สามารถบ่ายเบี่ยงได้ แต่คนอย่างโจวจื่อหมิง...หากมิได้ตอบโต้ไปบ้างคงจะมิสามารถหลับตานอนลงไปได้

“หากข้าไม่ทำ?”

“ทำ!” เสียงดุดันลอดผ่านไรฟันออกมาอย่างไม่พอใจ แม้สีหน้าและท่วงท่าจะไร้ปฏิกิริยาข่มขวัญใดๆ แต่สำหรับโจวจื่อหมิงแล้ว ย่อมรู้ดีว่าอันตรายเพียงใด

“ว่ามา...” จ้าวมู่พิงผนังหินเย็นๆ ของตัวถ้ำอย่างไม่รีบร้อนใดๆ ท่วงท่าแสนสบายนั้นเรียกอาการหมั่นไส้จากโจวจื่อหมิงได้อย่างดี สีหน้าของโจวจื่อหมิงแทบจะเรียกได้ว่าเหม็นเบื่อสหายเจ้าปัญหาของตนได้เป็นอย่างดี

“ข้าต้องการให้เจ้าสร้างฝันร้าย ที่ทรมานเกินกว่าจะตายได้แก่มนุษย์ผู้หนึ่ง” โจวจื่อหมิงมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย มิใช่ว่าเทพ มีกฎห้ามทำร้ายมนุษย์มิใช่หรอกหรือ?

“เจ้า...เป็นเทพมิใช่หรืออามู่? ทำเช่นนั้นจะมิผิดกฎหรือไร?”

“ข้าเป็นเทพจริง แต่ข้ามิได้กระทำสิ่งใดนี่? เป็นเจ้าต่างหากที่ลงมือทำ” จ้าวมู่กล่าวหน้าตายโดยไม่สนใจปฏิกิริยาใดๆ จากโจวจื่อหมิงสักนิดเดียว สิ่งที่เขาปรารถนาคือการสร้างความทรมานให้แก่คนผู้นั้น คนที่ทำให้เรื่องมันอยู่ในจุดที่ย่ำแย่ คนอย่างจ้าวมู่จะมิมีวันปล่อยให้ผู้ร้ายรอดไป

โจวจื่อหมิงมองใบหน้าอันเรียบเฉยที่เอ่ยคำกล่าวโทษว่าเป็นเขาต่างหากที่กระทำสิ่งผิดบาป การโยนบาปคือเรื่องถนัดของเหล่าเทพหรือไรกัน จ้าวมู่จึงได้กล้ากระทำเช่นนี้โดยมิรู้สึกรู้สาใดๆ รู้สึกอยากกลอกตาไปมา ไม่ก็จิกกัดหรือด่าออกไปบ้าง แต่โจวจื่อหมิงหาได้มีความกล้าไม่ เพราะรู้ดีว่าหากพูดหรือด่าทอท่านผู้ครองแดนปีศาจไป ชีวิตอันแสนมีค่าของโจวจื่อหมิงคงต้องดับดิ้นกลายเป็นผงธุลีเป็นแน่

จ้าวมู่จับจ้องใบหน้าหวานที่เหยเกก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มประจบอย่างไม่สนใจมากตัก เขาเพียงต้องการคำตอบรับเท่านั้นจากอีกฝ่าย แม้ว่าจ้าวมู่และโจวจื่อหมิงจะเป็นสหายที่ค่อนข้างสนิทมากกว่าผู้ใด แต่ก็มิใช่ว่าจะสามารถยอมรับให้อีกฝ่ายปฏิเสธงานที่สำคัญนี้ได้ คำตอบเพียงหนึ่งเดียวที่จ้าวมู่ปรารถนาจะฟังคือคำว่าตกลงเท่านั้น แม้ว่าเขาจะต้องลงมือหนักๆ ให้อีกฝ่ายตกลงก็ตามที

“เจ้า ฮึ่ม! ก็ได้ ข้าทำ! ให้ตายเถอะ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องเป็นข้าด้วยนะ” เสียงบ่นพึมพำเขาๆ ราวกับไม่อยากให้อีกคนได้ยิน แต่แม้ว่าจะเบาสักเท่าใด ความเงียบงันในถ้ำกระดูกมังกรนี้ก็ทำให้มันดังอยู่ดี จ้าวมู่ยิ้มเย็นมองอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาดุดัน

“เพราะเจ้าเป็นมารฝันอย่างไรเล่า หรือเจ้าลืมไปเสียแล้ว หืม...จื่อหมิง?” โจวจื่อหมิงชะงัก ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยใบหน้าเจื่อนๆ เมื่อถูกจับได้ว่าลืมหน้าที่ตนเอง

“ฮ่าๆ ข้าก็เพียงแค่บ่นไปเช่นนั้นเองอามู่ เจ้าจะคิดเล็กคิดน้อยไปทำไมกัน” เขาเพียงถอนหายใจออกมาแล้วขยับกายเข้าหาจนใกล้เสียยิ่งกว่าใกล้ โจวจื่อหมิงสะดุ้ง ถอยหนีจนชิดกำแพงด้วยความหวาดกลัว เขาจะฆ่าข้าหรือ จะสังหารข้าหรือไม่!

“เจ้าต้องสร้างฝันให้นาง ฝันที่ทำให้ทุกข์ทรมานจนอยากจะตาย แต่ก็มิอาจจะตายได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?” โจวจื่อหมิงพยักหน้ารัวๆ อย่างเอาตัวรอด สร้างฝันสำหรับมารฝันมิใช่เรื่องยาก สิ่งที่น่ากลัวกว่าการไม่ได้นอนคือคนตรงหน้านี้ต่างหาก

“เข้าใจๆ ข้ารู้แล้ว แต่ข้าจะต้องสร้างฝันเช่นนั้นไปนานเพียงใด?”

รอยยิ้มชวนขนลุกทั้งที่ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยร่องรอยความคับแค้นใจที่มิอาจจะลงมือสังหารด้วยตนเองได้ ช่างชวนให้โจวจื่อหมิงตัวสั่นและหวาดกลัวแทนเสียเหลือเกิน เขาไม่อยากเป็นคนผู้นั้น ไม่ว่าหญิงงามหรือบุรุษผู้ใด การทำให้อามู่เจ็บแค้นใจได้คงมิใช่เรื่องธรรมดา แต่กล้าหาเรื่องจ้าวมู่ผู้นี้ก็นับว่าไม่กลัวตายแล้ว เช่นนั้น...หากทำให้ตายอย่างง่ายดายเขาคงถูกอีกฝ่ายฉีกออกเป็นชิ้นๆ แน่

“จนกว่านางจะตาย”

จนกว่าจะตาย มิใช่ว่าตลอดอายุขัยของมนุษย์หรือ! โจวจื่อหมิงเริ่มตัดพ้อกับตนเองในใจ โดยทั่วไปแล้วมนุษย์นั้นจะมีอายุขัยอยู่ที่80-90ปี ซึ่งหากมีการแย่งชิงอายุขัยมนุษย์มา มนุษย์ผู้นั้นก็จะสิ้นใจแต่ก็จะวนเวียนอยู่ที่โลกมนุษย์เพราะยังมิถึงเวลาที่จะตาย สำหรับปีศาจเช่นพวกเขา อายุขัยมนุษย์มันช่างน้อยนิดนัก เพิ่งการพลังการฝึกได้เพียง1ใน8ส่วนเท่านั้น แต่การบำเพ็ญกลับทรมานยิ่งกว่าแต่ผลสำเร็จย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน แต่สำหรับพวกปีศาจปลายแถวที่หวังจะใช้หนทางลัดเพื่อเพิ่มพลังนั้น การแย่งชิงอายุขัยของมนุษย์จึงเป็นเหมือนสิ่งที่ล่อตาล่อใจเสียเหลือเกิน

อาณาเขตที่กั้นเอาไว้ไม่ได้ช่วยหยุดยั้งพวกปีศาจได้ทุกตัว เพียงแค่ยับยั้งพวกพลังต่ำสุดไว้เท่านั้น ส่วนพวกที่บำเพ็ญมานานกว่า100ปี มันจะไม่สามารถกั้นขวางได้ แต่จะถูกทางฝั่งเทพบนสวรรค์คอยจัดการแทน เช่น หมิงเซ่อที่เป็นคนรักของอามู่ และเป็นคนจำพวกคล้ายๆ กับเขา เพราะเขาเองก็ชอบนักกับการก่อกวน กลั่นแกล้งพวกอ่อนแอกว่า แต่หมิงเซ่อ...เจ้าบ้านั่นไม่เคยเลือก เขาและหมิงเซ่อแทบจะสนิทกันมากเพราะเราทั้งสองชอบการป่วนคนมากมาย จนเรียกได้ว่าเป็นที่หวาดระแวงยามได้เห็นหน้า

“อามู่...นางเป็นใคร?”

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

“เดี๋ยวๆ ช้าๆ ข้ายังอยากกลับไปนอนนนนนนน” คอเสื้อด้านหลังถูกผู้เป็นเทพอย่างจ้าวมู่กระชากจนตัวปลิวไปตามลม มิใช่ว่าตัวของเขานั้นเบาหรืออย่างไร แต่โจวจื่อหมิงเพียงแค่ถูกลากไปด้วยความเร็วสูงเท่านั้น ฝีเท้าที่เคลื่อนผ่านจุดต่างๆ ด้วยความเร็วนั้น ทำเอาภาพตรงหน้าเบลอไปหมด ขนาดว่าตนเองเป็นปีศาจ เป็นมารฝันที่น่าเกรงขามยังถูกหิ้วเป็นแมวได้

หากมีผู้ใดมาพบเห็น คงหมดสภาพการเป็นปีศาจอย่างแน่นอน

มารฝันหรือโจวจื่อหมิงอยากจะร้องไห้ออกมาเสียงดังๆ ดีดดิ้นตะโกนป่าวร้องให้ผู้ใดได้รู้ว่าเจ้าเทพผู้สูงส่งผู้นี้ โหดร้ายกับปีศาจตัวเล็กๆ อย่างเขาได้อย่างไม่มีเมตตาธรรม โจวจื่อหมิงรู้สึกเหมือนอยากจะสำรอกเอาสิ่งที่ทานเข้าไปออกมาเสียให้หมด แต่ก็ทำไม่ได้ ด้วยรู้ดีว่าหากปลดปล่อยมันออกมาในตอนนี้ คงมีแต่เขานี่ล่ะที่เปรอะเปื้อน

จ้าวมู่ยังคงเคลื่อนกายไปข้างหน้าอย่างไม่คิดจะหยุดพักใดๆ ในใจที่ร้อนไปด้วยไฟแห่งความแค้นนั้นหมายมั่นจะทำให้นางผู้นั้นได้เจ็บปวดเสียจนแม้คิดจะจบชีวิต ก็มิอาจจะตายลงไปได้ ชีวิตที่แสนทรมานจนไร้ความสิ้นสุดคือสิ่งตอบแทนที่นางทำกับคนผู้นั้น จิตใจหรือช่างดำมืด หากเขามิลงมือกระทำสิ่งใดไปบ้าง ไม่แน่ว่าตัวเขาเองนี่ล่ะที่จะกลายเป็นปีศาจ กำจัดมนุษย์ที่แสนสกปรกผู้นั้นให้หมดไปจากโลกใบนี้ ใบหน้าที่แสนงดงามมิได้ช่วยให้นางดูงดงามตามไปเลย ภายในที่เน่าเฟะกลับชวนให้พะอืดพะอมเสียยิ่งกว่าซากสิ่งมีชีวิตที่ถูกกัดกินในแดนปีศาจเสียอีก

ต่ำช้า ไร้ยางอาย ทำร้ายผู้บริสุทธิ์

หากจะค้นหาผู้ใดที่ช่วงช้ายิ่งกว่านี้จะมีหรือไม่ ความซื่อสัตย์ก็มิเคยได้เห็น มีเพียงความโหดร้ายที่มอบให้ผู้คนในอาณัติ แล้วจะให้มีชีวิตสงบสุขได้อย่างไร!

“อามู่! ข้าจะตายเพราะเจ้าลากข้าอยู่แล้วนะ!” แต่ไม่ว่าจะร้องเรียกอย่างไร จ้าวมู่ก็มิได้ยินเลยสักคำเดียว เรียกเสียงถอนหายใจจากโจวจื่อหมิงได้อย่างดี

“อามู่...เจ้าใจเย็นลงหน่อยเถอะ ข้ากลัวจะตายก่อนไปถึงงานที่เจ้าจะให้ทำ” นั่นล่ะ จ้าวมู่จึงยอมลดฝีเท้าลงไป มือหนาปล่อยออกจากเสื้อของโจวจื่อหมิงช้าๆ เมื่อร่างกายสูงใหญ่ของตนเองหยุดนิ่งลงกลางป่า นัยน์ตาคมสะท้อนความรู้สึกผิดจนโจวจื่อหมิงต้องนิ่งงันไปครู่ใหญ่

“ขอโทษด้วย ข้าร้อนใจเกินไป เจ้าเจ็บหรือ?” น้ำเสียงเจือไปด้วยความห่วงใยจนชวนให้ใจสั่น หากแต่โจวจื่อหมิงแล้ว ไม่ต่างจากการตบหัวพร้อมกับลูบหลังเสียมากกว่า

“เอาเถอะ เล่าให้ข้าฟังหน่อยว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงคิดจะให้ข้า...ทำร้ายมนุษย์” จ้าวมู่ทอดสายตาออกไปยังป่ากว้างที่ไร้ความสิ้นสุด ปล่อยให้ความนึกคิดไหลผ่านออกไปจากสายตา

“รู้เพียงว่า คนของข้าเจ็บปวด คนที่ช้ารักและห่วงใยทุกข์ทรมานจนข้าไม่อาจจะทนมองอยู่เฉยๆ ได้! ข้าต้องทำอะไรสักอย่าง และเจ้า...ต้องทำมันให้กับข้า” โจวจื่อหมิงได้แต่เพียงส่ายหน้ากับความแค้นที่สลักแน่นจนฉายชัดออกมาทั้งแววตาและสีหน้าของคนเป็นสหาย ใช่ว่าจะมิเข้าใจ ในคราก่อนก็เคยมีเรื่องราวเช่นนี้ หากแต่เมื่อครั้งนั้นต่างออกไป เมื่อคนที่ลงมือทำร้ายคนสำคัญของจ้าวมู่เป็นปีศาจ มิใช่มนุษย์ดังเช่นในครั้งนี้

สำหรับโจวจื่อหมิงแล้ว การสร้างฝันอันแสนร้ายกาจมิใช่เรื่องยากเลย กลับกันมันช่างเป็นสิ่งที่เพียงแค่กระดิกนิ้วเท่านั้นก็สามารถเกิดฝันอันน่าสยดสยองได้ แต่ด้วยความที่เป็นสหาย การจะให้สหายรักอย่างจ้าวมู่ต้องมาทุกข์ใจกับสิ่งที่กระทำในวันข้างหน้า เขาเองก็ย่อมไม่อาจจะให้มันเกิดได้ โจวจื่อหมิงเบนสายตาจับจ้องดวงตาคู่คมที่เต็มไปด้วยเพลิงแห่งความคั่งแค้น

“เจ้ามั่นใจใช่หรือไม่อามู่? หากข้าทำดังเจ้าสั่งลงไปแล้ว เจ้าจะมิมาเสียใจในภายหลัง” จ้าวมู่แค่นยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน อย่างเขาน่ะหรือจะมาเสียใจหากคนผู้นั้นถูกทำให้ตายทั้งเป็น มิมีวันนั้นหรอก!

“ข้ามั่นใจว่าข้าจะยิ้มเยาะและหัวเราะด้วยความสะใจ หากมันจะทรมานจนอยากตายมากเพียงใดก็มิอาจตายได้!” เมื่อได้ยินคำยืนยันอันหนักแน่น ใจของโจวจื่อหมิงที่เดิมทีมีความเกียจคร้านอยู่นั้น ก็ไม่อาจจะเกียจคร้านได้อีกต่อไป จึงต้องพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้

จ้าวมู่กระชับช่วงเอวบางของผู้เป็นสหายจนแน่น ก่อนจะกระโดดใช้วิชาตัวเบาทะยานออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วโดยมิได้สนใจสักนิดว่าทิวทัศน์ที่ผ่านมางดงามหรือมีสิ่งใด สิ่งที่สุมอยู่ในหัวใจของจ้าวมู่มีแต่ความเคียดแค้นและชิงชังจนอยากจะฆ่าให้ตายเสียด้วยซ้ำ แต่หากมิใช่เพราะกฎเกณฑ์ของสวรรค์มีหรือที่เขาจะหยุด

ต่างจากโจวจื่อหมิงอย่างสิ้นเชิง คนถูกโอบเอวบางไว้ลอบมองเสี้ยวหน้าของจ้าวมู่อย่างไม่อาจจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ นัยน์ตาคู่นั้นสะท้อนความห่วงใยออกมาจนล้นเหลือ ห่วงเหลือเกินว่าสหายของเขาจะควบคุมตนเองมิได้และลงมือฆ่ามนุษย์ผู้นั้นเสียตั้งแต่ที่เห็นหน้า มิใช่ว่าเขาไม่เข้าใจ แต่ถึงจะเข้าใจก็มิอยากให้กระทำ อีกทั้งเขายังคงง่วงนอน อยากจะกลับถ้ำกระดูกมังกรแล้วไปพักเสียที

ซึ่งมันคงมิใช่เร็วนี้เป็นแน่ เมื่อคำขาดเรื่องระยะเวลานั้นคือคำว่าไม่มีที่สิ้นสุด หรือตลอดอายุขัยของมนุษย์ ก็เท่ากับเขายังต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานแสนนาน พอคิดถึงเรื่องการสร้างฝันที่กำลังต้องทำก็อดรู้สึกโกรธเคืองมนุษย์ผู้นั้นไม่ได้ หากมิใช่เพราะมัน ป่านนี้เขาคงได้หลับนอนอย่างสบายใจไปแล้ว แต่นี่อะไร เป็นมนุษย์แท้ๆ แทนที่จะอยู่ส่วนมนุษย์กลับทำให้จ้าวมู่ โอรสแห่งองค์เง็กเซียนพิโรธเสียได้ แล้วเป็นอย่างไร แทนที่เจ้ามนุษย์นั่นจะรับกรรมแต่เพียงผู้เดียวกลับกลายเป็นเขาที่ต้องมารับกรรมสร้างความฝันที่แสนโหดร้ายไร้ที่สิ้นสุด

ยิ่งคิดใบหน้าของโจวจื่อหมิงก็แทบจะร้องไห้ ใครเล่าจะมาเข้าใจว่าความสุขของมารฝันเองก็คือการนอนหลับพักผ่อน มิใช่การที่จะต้องตามผู้ใดไปเพื่อจัดการกับความฝันของคนผู้นั้น เหตุใดสวรรค์มิเรียกตัวบุตรชายของท่านกลับไปเสียที องค์เง็กเซียนจะทราบหรือไม่ว่าบุตรชายของตนมาทำความเดือดร้อนให้เขาแบบนี้ ทำให้เขามิได้หลับนอนอย่างเต็มที่ ซ้ำยังหนีบเข้าผ่านเขตกั้นมาเพื่อชำระความแค้นส่วนตนเช่นนี้!

ให้ตายเถอะองค์เง็กเซียน ท่านเกลียดอันใดข้า?

แต่เมื่อตกอยู่ในห้วงความคิดก็หลงลืมไปว่าใช้เวลามานานเท่าใด ในตอนนี้รู้เพียงว่าร่างที่ขยับกายมาอย่างต่อเนื่องนั้นหยุดชะงักลง จนโจวจื่อหมิงต้องมองออกไปรอบๆ สิ่งที่เห็นตอนนี้คือภายในจวนที่สวย แม้จะเป็นยามค่ำคืนแต่ก็มิได้ลดทอนความงดงามลงไปเลยแม้แต่น้อย หากแต่กลิ่นเหม็นของความชั่วร้ายนี่มาจากที่ใดกัน แม้ว่าสำหรับปีศาจเช่นเขาจะมิได้คิดว่ามันเหม็น แต่สำหรับเทพอย่างจ้าวมู่หรือผู้มีสัมผัสนั้น ย่อมรู้ดีว่าที่นี่เหม็นกลิ่นความชั่วร้ายเหลือเกิน

“ที่นี่คือ?”

“จวนของมนุษย์ผู้นั้นอย่างไรเล่า ตามข้ามา”

จ้าวมู่เดินนำร่างของโจวจื่อหมิงให้ตามเข้าไปในห้อง มือหนาเปิดประตูออก ปรากฏร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งใบหน้างดงามหยดย้อย หลับใหลอย่างสุขใจอยู่บนเตียง โจวจื่อหมิงเดินเข้ามาภายในอย่างไม่รีบร้อน กวาดตามองใบหน้างดงามของหญิงแปลกหน้าอย่างครุ่นคิด จะเป็นไปได้หรือที่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถสร้างความไม่พอใจให้กับสหายของเขาที่เป็นเทพได้? หนำซ้ำมนุษย์ผู้นั้นยังเป็นเพียงหญิงสาวอีกต่างหาก

ความคาใจที่ตกตะกอนอยู่บนใบหน้าของโจวจื่อหมิงมิอาจจะลอดพ้นสายตาของจ้าวมู่ไปได้ เขายังคงจับจ้องสายตาสงสัยของผู้เป็นสหายอยู่อย่างนั้นเงียบๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายคิดใคร่ครวญทุกความเป็นไปได้ โดยไม่อธิบายสิ่งใดให้กระจ่างแจ้ง เขาพูดไปหมดแล้ว บอกไปแล้วว่ามนุษย์ผู้นี้ทำร้ายคนที่เขารัก ทำร้ายคนที่เขาห่วงใยที่สุดในชีวิต เมื่อกล้าแตะต้องคนสำคัญของจ้าวมู่ ก็อย่าหวังว่าจะสามารถอยู่ได้อย่างเป็นสุข!

“นางหรือที่เจ้าจะให้ข้า...สร้างความฝัน?” หญิงตัวเล็กๆ ที่นอนหลับอย่างเป็นสุขผู้นี้หรือที่สหายของเขานั้น เคียดแค้นเสียจนไม่อาจจะทนได้

จ้าวมู่มองใบหน้าของสหาย แววตาฉายความคั่งแค้นออกมาอย่างไม่ปิดบัง “ถูกต้อง...เป็นนางที่ข้าต้องการให้เจ้าทำ”

โจวจื่อหมิงหน้าเจื่อน สีหน้าขาวซีดราวกับกระดาษบ่งบอกได้ดีว่ามิอยากทำสักนิด “จะดีหรือ ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นปีศาจ เป็นมารฝันผู้ชั่วร้าย แต่ก็มิเคยรังแกหญิงนางใดนะ”

จ้าวมู่ปล่อยบรรยากาศเย็นยะเยือกออกมา จนโจวจื่อหมิงต้องยิ้มขำพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาอย่างยอมแพ้ “ข้ารู้แล้วๆ ข้าจะทำตามคำสั่งเดี๋ยวนี้ล่ะขอรับท่านจ้าวสวรรค์” คำพูดประชดประชันหาได้ทำให้ร่างสูงโกรธเคืองไม่ กลับกันใบหน้าเรียบเฉยกระตุกยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจที่โจวจื่อหมิงรับทำ

“ดี! อย่าลืมที่ข้าบอกเจ้าละจื่อหมิง ให้นางทรมานที่สุด แต่ห้ามให้นางตาย เมื่อไหร่ที่นางใกล้จะสิ้นใจเจ้าจงปลุกนางเสีย จวบจนกว่านางจะสิ้นอายุขัย!”

เป็นเพราะเจ้าคิดทำร้ายคนสำคัญของข้า หญิงชั่วช้ามิสมควรได้รับความตายที่ง่ายดายเช่นนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปคือบทเรียนที่จะคงอยู่ตราบชั่วชีวิตของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเข้มแข็งสักเพียงใด ความทรมานก็จะค่อยๆ บั่นทอนจิตใจของเจ้าอย่างช้าๆ จวบจนเจ้าปรารถนาความตาย แต่จะมิมีวันใดที่ข้าจะมอบมันให้กับเจ้า จงอยู่กับความแค้นของข้าไปชั่วชีวิตเถิด เพ่ยเยว่เผิง!

จ้าวมู่หายออกไปจากห้องราวกับมิเคยได้ก้าวเข้ามาในห้องนี้ เหลือเพียงแค่โจวจื่อหมิงเท่านั้นที่ยังคงอยู่และจ้องมองใบหน้าอันงดงามของเพ่ยเยว่เผิงบนเตียงอย่างเย็นชา

“หน้าตาเจ้าหรือก็ออกจะงดงาม เหตุใดจึงได้มีความชั่วร้ายอยู่ในจิตใจจนทำให้อามู่แค้นเคืองเจ้าได้ถึงเพียงนี้” ปลายนิ้วปัดเส้นผมออกจากใบหน้าของเพ่ยเยว่เผิงช้าๆ ราวกับว่าอ่อนโยนเหลือเกิน ทั้งที่สายตามีแต่ความเย็นชาเสียจนหากเพ่ยเยว่เผิงลืมตาขึ้นมาคงจะกลัวเสียจนตัวสั่น

“น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ เจ้าไม่น่ารนหาเรื่องเลยจริงๆ แต่สำหรับแค้นของอามู่ก็คือส่วนของอามู่ ส่วนที่เจ้าทำให้ข้ามิได้นอน ข้าจะคิดกับเจ้าจนเจียนตายเชียว!”

โจวจื่อหมิงละมือออกจากใบหน้าของเพ่ยเยว่เผิงทันทีโดยไม่มีความอ้อยอิ่งใดๆ ราวกับว่าขยะแขยงเหลือทนหากต้องสัมผัสผิวกายของนางไปมากกว่านี้ รังเกียจที่จะต้องกายของมนุษย์ที่โสมม มีเพียงความชั่วร้ายอยู่ภายในจิตใจ สายลมพัดอย่างแรงจนประตูที่เปิดอ้าปิดลงอย่างแรง แต่เพ่ยเยว่เผิงกลับยังคงหลับสนิทอย่างไม่รับรู้สิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้น



TBC



กรี๊ดดดด พี่โจววว พี่จ้าววว มองมาทางนี้ค่าา แมวเอาตอนใหม่มาเสริฟแล้วนะคะ อย่าลืมวางปลาทูให้แมวด้วยนะ อีกแค่สองตอน เราก็จะจบกันแล้ววววว เย้~
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 24. up.21/07/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 21-07-2019 16:22:16
[24]

Note : ก่อนหน้านี้แมวได้ทำการเปลี่ยนชื่อตัวละครสองตัวนะคะ นั่นคือ ลู่เหม่ยหลิน เป็น อี้เหม่ยหลิน / เพ่ยหลิง เป็น จางเยว่หลิง นอกนั้นเนื้อหายังคงเดิมจ้า เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ตั้งแต่ตอนที่ 23 เป็นต้นไป แมวจะ Note ไว้บนนิยายนะคะ





Chapter 24.

เฟยหลงยังคงยืนเฝ้ารอการมาของหยางเถาอยู่ที่หน้าต้นท้อเช่นทุกค่ำคืน หากแต่ด้วยคืนนี้นั้นเป็นดั่งคืนพิเศษที่เขา...หวังจะพาเจ้าดอกท้อออกไปเปิดหูเปิดตา ได้พบเห็นความงดงามในโลกของมนุษย์นี้สักครั้ง เพียงแค่ต้องคิดว่าอีกคนกำลังจะจากไป หัวใจของเฟยหลงก็เจ็บปวดจนแทบจะขาดใจอยู่รอนๆ ดวงตาคมทอดมองไปยังดวงดาราที่พร่างพรายอยู่ท่ามกลางความมืดมิดอย่างคนที่กำลังจะสิ้นเรี่ยวแรง

ทุกข์ใดก็มิเคยทรมานเขาได้เลยสักครั้ง สำหรับลู่เฟยหลงนั้นจะตั้งสติรับกับเหตุการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นมา แต่สำหรับเรื่องของหยางเถาแล้ว เพียงแค่ต้องคิดว่าอีกฝ่ายกำลังจะจากเขาไป เขาก็ไม่สามารถทนหายใจต่อไปได้อีก ทุกสิ่งไร้ซึ่งความหมาย หากมิมีคนเคียงข้างเช่นหยางเถา เจ้าดอกท้อดอกน้อยที่คอยยิ้มแย้มให้กับเขา

ลู่เฟยหลงก้มลงเก็บดอกท้อที่ร่วงลงสู่พื้นดิน ปัดเศษดินที่ติดมาอย่างเบามือและทะนุถนอม กลิ่นหอมมิได้หายไปเลยแม้สักนิด ยังคงหอมรัญจวนใจเช่นเดิมในทุกคราที่เขาได้สูดลมหายใจเข้าไป จากหนึ่งดอกก็เป็นสอง จากสองก็เป็นสามไปอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ มันมากมายเสียจนลู่เฟยหลงใจหาย จนต้องมองขึ้นไปบนกิ่งเล็กๆ นั่นอีกครั้งว่ายังเหลืออีกเท่าไหร่ แต่จำนวนที่มีกลับน้อยเสียจนเฟยหลงหวาดกลัว กลัวว่าอีกคนจะต้องหายไป

“เจ้าดอกท้อ...” ร่างสูงเอ่ยพึมพำออกมาราวกับละเมอ เอื้อมมือออกไปข้างหน้าหมายจะแตะต้องดอกสีชมพูบนกิ่งนั่นสักครั้งก่อนมันจะร่วงโรย แต่สิ่งที่ได้สัมผัสกลับเป็นเส้นผมสีเงินของยอดดวงใจแทน

“เฟยหลง...เจ้าเป็นอะไรหรือ?” หยาบเถาที่เพิ่งจะออกมามองเห็นความปวดร้าวในดวงตาของเฟยหลงอย่างชัดเจน จนต้องเอ่ยถามออกมาให้ได้รู้ ลู่เฟยหลงลูบเส้นผมสีเงินนั้นอย่างเบามือ ใช้ดอกท้อเล็กๆ ค่อยๆ แซมไปบนศีรษะของหยางเถาช้าๆ อย่างไม่รีบร้อน จนบัดนี้เส้นผมสีเงินมีดอกท้อสีสดประดับอยู่ชวนให้ร่างบางตรงหน้าน่ามองขึ้นไปอีก

“มิได้เป็นอะไร เพียงแค่คิดถึงเจ้าก็เท่านั้น” คำหวานอันหลอกลวงมีหรือที่หยางเถาจะมิรู้ได้ วันนี้คือวันสุดท้ายของเขาที่จะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับบุคคลอันเป็นที่รัก ได้มอบรอยยิ้มและความสุขให้กับลู่เฟยหลงได้อย่างเต็มที่

แม้ว่าแท้จริงแล้วในหัวใจของหยางเถาจะร้างรานจนอยากจะร่ำไห้สักเพียงใด บนใบหน้าก็จะต้องมีเพียงรอยยิ้มอ่อนโยนเท่านั้น จะให้ลู่เฟยหลงเห็นน้ำตาของตนมิได้อย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นก็คงมิต่างอะไรกับการที่เขา โยนความเศร้าลงในจิตใจของอีกฝ่าย ลู่เฟยหลงควรมีเพียงรอยยิ้ม ควรมีความสุขที่สุดในราตรีนี้ หากยังมีเขาอยู่ จะมิยอมให้เฟยหลงได้มีน้ำตา แม้จะต้องมาจากเขาก็ตาม ลู่เฟยหลงจับมือบางที่แสนอ่อนนุ่มมากถมเอาไว้ ก่อนจะจรดริมฝีปากจุมพิตแผ่วเบาลงบนหลังมือนั้น

“คิดถึงเจ้าเหลือเกินยอดรัก เจ้าดอกท้อของข้า” หยางเถาได้แต่ยิ้มอ่อน ความคิดถึงช่างมากล้นเสียจนไม่อาจจะลบหายได้เพียงค่ำคืนเดียว เขาทั้งสองรู้ดีว่าเวลาเพียงเท่านี้ มิเพียงพอต่อใจของพวกเขา

“ข้าก็คิดถึงเจ้าเฟยหลง คิดถึงเจ้าเสมอ”

และจะคิดถึงตลอดไป แม้จะไร้ซึ่งร่างกายและวิญญาณก็ตาม

อยากอ้อนวอนให้สายลมช่วยพัดพาความเจ็บปวดให้เลือนหายไป แต่เพียงสายลมมิอาจจะทำได้แม้แต่เศษเสี้ยวความเจ็บปวดในใจดวงนี้ หากวอนขอต่อจันทรา ก็มิแน่ว่าจะช่วยดับความทุกข์ใจครั้งนี้ได้ ทั้งสองต่างคนต่างก็รู้ดีในเวลาที่จำกัด ทั้งที่อยากทำอะไรอีกมากมายนักแต่กลับถูกกีดกันจากเวลา ไม่ว่าจะกี่พันค่ำคืน จะกี่สิบภพชาติ สำหรับลู่เฟยหลงและหยางเถาก็มิอาจจะเพียงพอให้เขาได้ใช้เวลาร่วมกันไปได้

“คืนนี้ในตลาดครึกครื้น เจ้าสนใจจะไปเที่ยวชมหรือไม่เล่า เถาเอ๋อร์” คนถูกเรียกชื่อด้วยเสียงหวานหน้าแดงก่ำ

“เหตุใดจึงได้ครึกครื้นนัก มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือ?” เฟยหลงยิ้มบางๆ กระชับมือนุ่มจนแน่นแล้วพาเดินไปหาบิดาและมารดาของตนที่เฝ้ารออยู่ก่อนแล้ว

“คืนนี้มีงานหยวนเซียว ท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยโคม ข้าคิดว่าเจ้าจะต้องชอบเป็นแต่”

แม้ว่าปากจะเอ่ยคำพูดออกมาเช่นนั้น แต่ในใจกลับสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ ดวงตาทั้งสองคู่ทอดมองไปยังพื้นที่ต้องเดินผ่าน ราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าตนเองหลีกหนีไปไม่พ้น และไม่อาจจะทนฝืนมันได้ จึงต้องหันมองไปที่อื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตนเองเข้าไว้ จะได้มิร่ำไห้ออกมาให้อับอาย

ลุ่เฟยหลงจับจูงมือเล็กเอาไว้ นำไปหาบิดามารดาที่นั่งรออยู่ก่อนอย่างใจเย็น เดินผ่านเหล่าบ่าวรับใช้ทั้งชายหญิง ทุกคนล้วนแต่ให้ความเคารพกับหยางเถามิต่างจากคนสกุลลู่คนใดเลย ยิ่งได้รู้ว่าฮูหยินนั้นเอ็นดูและรักใคร่ทุกคนในจวนจึงค่อยๆ ให้ความเคารพแก่หยางเถาไปเช่นกัน หยางเถาส่งยิ้มให้อี้เหม่ยหลินและลู่จิ้นเหอเมื่อเดินมาจนพบพวกเขาที่นั่งรอตนอยู่

“เถาเอ๋อร์…มาแล้วหรือ หิวรึไม่?” อี้เหม่ยหลินเอ่ยถามออกมาอย่างดีใจ รอยยิ้มของนางนั้นจริงใจจนหยางเถายิ้มตามไม่ยากเย็น เหม่ยหลินเดินเข้ามาหาหยางเถาก่อนที่มืออ่อนนุ่มแต่เหี่ยวย่นตามวัยจะหยิบบางสิ่งออกมายื่นให้เขา

“สิ่งนี้คืออะไรหรือขอรับ?” หยางเถาจับจ้องบางสิ่งที่คล้ายคลึงกับกิ่งไม้สั้นๆ สีขาวสวยสบายตาที่มีสลักลวดลายคล้ายดอกท้ออยู่บนนั้น อี้เหม่ยหลินระบายยิ้มอ่อนโยนออกมาลูบศรีษะเล็กๆ ของหยางเถาอย่างเบามือ

“นี่เรียกว่าปิ่นหยก ป้าได้รับปิ่นหยกนี้ต่อมาจากท่านแม่ของป้า จากนี้มันเป็นของเจ้า ป้ายกมันให้เจ้านะเถาเอ๋อร์”

“แต่มันมีค่าต่อท่านป้านะขอรับ ยกให้ข้าเช่นนี้มันออกจะ…” สายตาของหยางเถาสับสน แม้ในใจจะดีใจที่ได้รับการปรานีและความเอ็นดูอย่างเปี่ยมล้น แต่ทว่าของที่แสนสำคัญ เขาก็คงมิอาจจะรับมันได้

อี้เหม่ยหลินคล้ายจะเข้าใจในความคิดของหยางเถาได้ นางกุมฝ่ามือของหยางเถาเอาไว้แน่น ราวกับจะส่งผ่านความจริงใจและความปรารถนาที่จะส่งมอบสิ่งนี้ให้กับหยางเถาได้เข้าใจ

“เพราะมันมีค่าเช่นนั้นอย่างไรเล่าป้าจึงได้มอบมันให้แก่เจ้า…”

“รับไปเถิดหยางเถา ท่านแม่หรืออุตส่าห์ให้ของเช่นนี้แก่เจ้า มันย่อมเป็นของเจ้า มาเถิด…ข้าจะปักให้เจ้าเอง”

เฟยหลงค่อยๆ รวบผมของหยางเถาขึ้นไปสูงจนกลายเป็นมวยผมเขาจึงได้ใช้ปิ่นสีขาวนวลปักเอาไว้ ร่างสูงค่อยๆ ถอยออกมามองใบหน้างามยามไร้ซึ่งผมที่เคยแผ่สยายกลางหลัง ใจของเฟยหลงกระตุกอย่างไม่อาจจะห้ามได้ เมื่อใบหน้าที่เคยงามหยาดเยิ้มของหยางเถายามนี้ปรากฏแต่ความน่ารักน่าใคร่ที่หากมีผู้ใดเห็นต่างก็ต้องการครอบครองความงดงามนี้อย่างแน่นอน

“เจ้าช่างงดงามเหลือเกินเถาเอ๋อร์ของป้า ป้าคิดมิผิดจริงๆ ที่มอบมันให้แก่เจ้า” ใบหน้าของร่างบางร้อนผ่าว ทั้งสายตาและคำกล่าวชื่นชมล้วนแต่เจาะจงมาที่เขาทั้งสิ้น ความแปลกใหม่ที่ถูกชมเชยจากผู้อื่นนั้นสำหรับหยางเถาแล้ว คงทำใจให้ชินกับมันคงจะยากเหลือเกิน

“ท่านป้า…ชมข้าเกินไปแล้วขอรับ” เหม่ยหลินได้แต่หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ การได้เห็นแก้มนวลทั้งสองข้างของหยางเถาแดงก่ำกับสายตาที่มิรู้ว่าควรจะเอาไปวางที่ใดก็ช่างน่ารื่นรมย์เสียเหลือเกิน

ลู่จิ้นเหอยกชาขึ้นจิบขณะที่มองภาพการกลั่นแกล้งรังแกด้วยความเอ็นดูจนอีกคนมิรู้ว่าควรจะทำสีหน้าเช่นไรดี จิ้นเหอส่ายศีรษะกับการกระทำของฮูหยินตนเองและบุตรชายเพียงคนเดียวอย่างหน่ายใจ เป็นเช่นนี้นี่เล่า หากผู้ใดได้รับความเอ็นดูจากคนสกุลลู่ล้วนแต่จะต้องเขินอายเสียจนแทบจะม้วนตัวลงไปนอนอยู่บนพื้น สองแม่ลูกแสดงความรักอันมากล้นแก่หยางเถาอย่างมิหยุดหย่อน ตัวจิ้นเหอกลับทำเพียงนั่งมองภาพนั้นอย่างสบายใจ จะอย่างไรการที่บ้านกลับมาเป็นบ้าน กลับมาสงบสุขไร้ซึ่งการว่าร้ายหรือการคิดร้าย มีเพียงความรักใคร่ที่อบอวลอยู่ในบ้าน เช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าอยู่บ้านอย่างแท้จริง

หลังจากที่ได้รับของอันแสนสำคัญอย่างปิ่นหยกเนื้ออ่อนลายดอกท้อ ก็ทำให้หยางเถาในนามนี้ดูแปลกตาเสียจนเพียงแค่เดินออกจากจวนสกุลลู่ไป เหล่าคุณชายและชายหนุ่มทั้งหลายต่างพากันเมียงมองเจ้าดอกท้อดอกนี้จนแทบจะเหลียวหลัง

หยางเถาคอยแต่ลูบคลำปิ่นเนื้ออ่อนบนศีรษะไม่หยุดมือ ราวกับว่าหวงแหนเสียจนหวาดกลัวว่าหากพลั้งเผลอไป เจ้าหยกเนื้ออ่อนที่เล็กยิ่งกว่ากิ่งของเขาจะหายไปทันที ยางที่มือเล็กๆ จับต้องไปบนปิ่นหยกใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานที่ดึงดูดสายตาของทุกผู้ได้

ช่างงดงามเสียจริง งดงามจนมิอาจจะห้ามใจของตนเองได้

มิว่าผู้ใดก็คิดเช่นนั้น ความจริงที่ถูกเอ่ยออกมาเมื่อมิอาจจะละสายตาไปจากร่างบอบบางที่สวมอาภรณ์สีขาวสะอาดไปได้

“แม่นาง…ปิ่นนี้ ข้ามอบให้เจ้า โปรดรับไว้ด้วยเถิด”

ซิ่วหยูมองร่างบางจับปิ่นตนเองแล้วอมยิ้มน้อยๆ อยู่นาน จึงได้ตัดสินใจเดินเข้าร้านเพื่อเลือกปิ่นลายเหมยมาให้คนที่ทำให้หัวใจเต้นระรัว ซิ่วหยูมิเคยสักครั้งที่จะตกหลุมรักผู้ใดโดยมิรู้จักมาก่อนเช่นนี้ ปิ่นนี้…มีไว้เพื่อซื้อเวลาให้เปิดทางเพื่อเขาจะได้รู้จักคนงามให้มากขึ้น แต่สายตาที่เต็มไปด้วยความรักของซิ่วหยูหลับทำให้ชายหนุ่มรูปหล่อ ใบหน้าคมคายที่ก่อนนี้มีเพียงความอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมราวกับจะฆ่าฟันซิ่วหยูให้ตายตกไป

“อภัยด้วยคุณชาย หากแต่ข้ามิอาจจะรับปิ่นของท่านได้ และข้า…มิใช่สตรี” ซิ่วหยูมึนงงไม่อาจจะเข้าใจได้เลยว่าเพราะเหตุใด ในเมื่ออีกคนก็แสดงออกชัดเจนว่าพึงพอใจกับปิ่นบนศีรษะ แล้วการที่เขาหาปิ่นอันงดงามนี้มาให้ เหตุใดกันเล่าจึงปฏิเสธ อีกทั้งยังต้องตกใจกับคำพูดของร่างบางที่บอกกับเขาว่า มิใช่สตรีอีก ทั้งที่งดงามเช่นนั้นน่ะหรือ

แต่ก็มิเป็นไร แม้จะเป็นบุรุษ ทว่าก็งดงามยิ่งกว่าตรีนางใด

“เพราะเหตุใดหรือ หากเจ้ามิชื่นชอบลายนี้ พรุ่งนี้ข้าจะให้…”

“เขาผู้นี้มิอาจจะรับปิ่นจากผู้ใดได้อีกแล้วล่ะ” เฟยหลงเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะที่พยายามสะกดเอาไว้

“เพราะเหตุใด?” ซิ่วหยูเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดห้วนไร้การเป็นมิตร แต่สำหรับเฟยหลงแล้วมิได้ทำให้เขาเกรงกลัวหรืออย่างใด กลับกัน…มันกลับยิ่งทำให้เฟยหลงวาดแขนลงบนไหล่ลาดของหยางเถา ดึงร่างบอบบางเข้าสู่อ้อมกอดอุ่นทั้งที่ดวงตามีแต่ความเย้ยหยัน

คิดจะมาตีสนิท หลอกกินเต้าหู้เจ้าดอกท้อของเขาหรือ…ฝันไปเถิด!

“เพราะปิ่นชิ้นนี้พิเศษยิ่งกว่าปิ่นชิ้นใดๆ ในโลกนี้”

“จะพิเศษกว่าได้เยี่ยงไร! ในเมื่อเนื้อหยกจากปิ่นของข้าย่อมเป็นหยกเนื้อดีกว่าและลวดลายก็งดงามกว่า หากเขาได้ปักปิ่นของข้าเอาไว้ มันจะยิ่งทำให้เขางดงามยิ่งขึ้นอีกอย่างแน่นอน!” ซิ่วหยูกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ คนผู้นี้ช่างกล้าดีเหลือเกินถึงได้กล่าวเปรียบเทียบของในมือเขากับสิ่งไร้ค่าบนศีรษะงามนั่น จะมองเช่นไรก็เป็นเพียงปิ่นไร้ค่า!

“ของหมั้นจากมารดาข้า ฮูหยินสกุลลู่ พอจะพิเศษได้หรือไม่?” ลู่เฟยหลงยิ้มเยาะเย้ยใบหน้าซีดขาวของอีกฝ่ายอย่างพึงพอใจ หยางเถาเป็นของเขาผู้ใดกล้าแย่งชิงไปเขาจะมิไว้หน้ามันอย่างเด็ดขาด

ซิ่วหยูได้แต่มองคนงามถูกโอบไหล่ผ่านหน้าไปอย่างหมดหวัง เขาเบนสายตาลงมามองปิ่นในมืออย่างเศร้าใจ ปิ่นของเขา ยังมิทันได้ถูกคนงามจับต้องเสียด้วยซ้ำ ก็ต้องกลายเป็นหมัน ไร้คนมอง ไร้คนครอบครองเช่นเดียวกับหัวใจเขา ช้าเกินไป เขาเจอคนงามช้าเกินไป ก็คงได้แต่ยอมรับมัน

หยางเถาลอบมองหน้าหล่อเหลาของเฟยหลงอย่างไม่เข้าใจ ของหมั้นคือสิ่งใด มิใช่ว่าฮูหยินหยิบยื่นให้เขาเพราะเอ็นดูหรอกหรือ? ลู่เฟยหลงรับรู้ได้ถึงการจับจ้องจากดวงตากลมโตสีอำพัน เขายิ้มให้ร่างบางอย่างใจดี ดวงตาจ้องกลับอย่างรักใคร่

“จ้องข้าด้วยเหตุใดเล่า หืม?” น้ำเสียงติดล้อเลียนเสียมากกว่าจริงจัง

“ของหมั้นคือสิ่งใดหรือ? ข้ามิเห็นเข้าใจเลย แล้วเหตุใดของหมั้นจึงได้สำคัญเล่า?” ลู่เฟยหลงหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู มือหนาปัดปอยผมออกจากใบหน้างามที่ต้องแสงจันทร์อย่างเขามือ

“ของหมั้น คือสิ่งที่บ่งบอกว่า…”

เฟยหลงก้มหน้าลงกระซิบเบาๆ จนริมฝีปากร้อนปัดผ่านผิวแก้มไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“เจ้า…เป็นของข้า ข้าจับจองเจ้าเอาไว้แล้วมิยอมให้ผู้ใดมาแย่งชิงไปได้” แก้มที่เคยขาวแดงปลั่งไปด้วยสีเลือดเมื่อความร้อนแล่นผ่านใบหน้ายามได้ยินคำหวานจากชายผู้กุมดวลใจ หยางเถากัดปากตนเองเอาไว้แน่น หลบเลี่ยงสายตาเจ้าชู้ที่อีกฝ่ายใช้มองด้วยการเดินหนีไปเสียดื้อๆ ไม่น่าเอ่ยถามหาความหมายเลย เขาทำให้ตัวเองต้องมาเผชิญกับการใจเต้นแรงแบบนี้ รู้สึกราวกับกำลังจะตายเสียเดี๋ยวนั้น

“ล้อข้าเล่นอยู่เรื่อยเลย” ทั้งที่เป็นเพียงคำพูดลม แต่เฟยหลงกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน มือหนากุมมือบางเอาไว้ให้หยุดเดิน ดึงสายตาของคนขี้อายกลับมาสบตากันอย่างไม่เร่งรีบใดๆ

“ล้อเล่นที่ใด ข้าจับจองเจ้าจริงๆ ทั้งกายเจ้าและใจของเจ้า ข้ามิยอมแบ่งให้ผู้ใดหรอกนะ เจ้าดอกท้อ”

หยางเถาอายม้วนเสียจนมิรู้ว่าควรจะทำสีหน้าเช่นไรดี แก้มนวลยิ่งแดงระเรื่อจนแทบจะแดงไปทั้งใบหน้า คนช่างพูดก็เหลือเกิน มิมีการเว้นว่างให้ได้หายใจหายคอเลยสักนิด มือบางถูกยกขึ้นมาจรดริมฝีปากของเฟยหลง กดย้ำแนบแน่นราวกับว่ามิปรารถนาจะผละออกแม้แต่น้อย ความน่ารักของหยางเถากำลังทำให้เขาอยู่ในห้วงความปรารถนาที่มิควร ร้อนรุ่มไปทั้งกายจนอยากจับหยางเถามากลืนกินเสียเดี๋ยวนี้ อยากลิ้มลองนักว่าคนเบื้องหน้าที่เขาหลงใหลจะมีรสชาติเช่นไร หวานหอมดั่งลูกท้อหรือไม่

แต่เพียงแหงนเงยใบหน้าขึ้นมาสบตากลมโตสีอำพันใสแจ๋ว ดวงตาของเฟยหลงก็พลันเบื่อหน่ายเมื่อเห็นคนสนิทของตนกำลังเดินเข้ามาใกล้ โดยข้างกายนั้นคือเฉินลี่ฟู่และเหล่าเด็กน้อยอีกสามคน

“โอ้…มิคิดว่าจะพบเจอเจ้าที่นี่นะลู่เฟยหลง” เฉินลี่ฟู่ยกพัดขึ้นมาโบกเบาๆ แอบเหน็บแนมชายผู้เคยเป็นคู่แข่งอย่างติดนิสัยจนถังเหวินฉายต้องแอบหยิกต้นแขนแล้วถลึงตาใส่อย่างไม่ชอบใจนัก

“นั่นเจ้านายข้านะเจ้าบ้า!” เฉินลี่ฟู่ยักไหล่ เอ่ยถามอย่างไม่นึกอายใครด้วยเสียงไม่เบานัก

“ก็แค่เจ้านายมิใช่หรือ ทีข้าเป็นสามีเจ้ามิเห็นเจ้าจะสนใจข้าบ้าง” เหวินฉายอ้าปากค้าง จะด่าก็มิรู้จะต่อว่าด้วยคำใด จะว่าอายหรือก็ใช่ เด็กมากมายไหนจะนายน้อยและคุณชายหยางอีก เขามิควรอับอายหรือ?

“เจ้า!!” เหวินฉายขบเคี้ยวเขี้ยวฟันตนเองอย่างกระดากอาย ใบหน้าทั้งแดงทั้งดำสลับไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ ยิ่งเห็นว่าเจ้าตัวปัญหายักคิ้วหลิ่วตาลอยหน้าลอยตาอย่างไม่รู้สึกรู้สายิ่งอยากจะทุบตีเสียให้ตายลงตรงนั้น

“เด็กพวกนี้คือใครหรือเหวินฉาย?”

“นายน้อย เด็กทั้งสามคนนี้คือน้องชายของข้าเองขอรับ ข้าเอ็นดูพวกเขา อีกทั้งยังมิมีผู้ใดดูแล ข้าจึง…ดูแลพวกเขาเอง” เหวินฉายกล่าวเสียงเบาหวิว มองใบหน้าของเด็กทั้งสามอย่างหวาดกลัวว่าพวกเขาจะสะเทือนใจ หยางเถามองควันสีดำที่ขมุกขมัวอยู่รอบๆ ตุ๊กตามอมแมม ในอ้อมกอดขอเด็กสาวหน้าตาน่าเอ็นดูอย่างสนใจ จนร่างบางย่อกายลงต่ำ ปัดปลายนิ้วไปตามเส้นผมสีดำของเด็กคนนั้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“เจ้าชื่ออะไรหรือ?” อี้เหมยสบตาของหยางเถา ก่อนจะมอบรอยยิ้มไร้เดียงสาให้

“ข้าชื่ออี้เหมย”

“แล้วที่เจ้ากอดอยู่เล่า ชื่ออะไร” อี้เหมยตื่นเต้น ยากนักที่จะมีคนเอ่ยถามถึงฉีอันอันของนาง รอยยิ้มของเด็กน้อยจึงกว้างขึ้นทันที

“พี่ชาย นี่คือฉีอันอัน นางเป็นเพื่อนข้าเอง พี่ชายชื่ออะไรหรือ?”

“ฉีอันอัน อี้เหมย…ข้าชื่อหยางเถา เจ้าชอบดอกไม้หรือไม่?” เด็กน้อยพยักหน้า ดอกไม้งดงามสีสันมากมี เด็กอย่างอี้เหมยจึงชอบนักยามได้เด็ดมาเล่น หยางเถาเอื้อมมือขึ้นเหนือศีรษะ หยิบเอาดอกท้อสีชมพูออกจากเส้นผมมาสองดอก ก่อนจะยื่นออกไปให้กับอี้เหมย เฟยหลงยืนมองการพูดคุยของหนึ่งคนโตกับหนึ่งเด็กน้อยอย่างสนใจ ยามได้เห็นใบหน้าของหยางเถาอ่อนโยนระคนเอ็นดู เขาก็มองมันเสียจนลืมเลือนในทุกสิ่ง

“ข้าชอบมากพี่หยางเถา พี่จะให้ข้าหรือ”

“ใช่แล้ว…นี่คือดอกท้อ ข้าจะให้เจ้าแน่นอน หากเจ้าให้ข้ายืมฉีอันอันสักหน่อย” เด็กน้อยมีสีหน้าลังเล ก้มลองตุ๊กตามอมแมมในมือตนเองสลับกับดอกท้อสีสวยใจมือของพี่ชายผมสีเงินอย่างชั่งใจ

“ไม่นานหรอก ข้าจะคืนให้เจ้าแน่นอน” อี้เหมยยิ้มกว้างยื่นตุ๊กตาที่แสนมอมแมมออกไปให้หยางเถาไร้ซึ่งอาการหวงแหนเช่นก่อนหน้านี้

“ฝากดูแลฉีอันอันด้วยนะเจ้าคะ พี่หยางเถา”

“แน่นอน ข้าจะดูแลนางแทนเจ้าเอง”

หยางเถาจับตุ๊กตาตัวน้อยนั่นเอาไว้ มองร่างเล็กที่ยิ้มร่าวิ่งตามร่างของเด็กชายอีกสองคนไปด้วยความตื่นเต้น บนศีรษะเล็กๆ ถูกประดับด้วยดอกท้อสีสวยที่หยางเถาเป็นผู้มอบให้ก่อนที่สายตาคู่สวยจะก้มลงมองตุ๊กตาตัวน้อยในมือของตนเองอีกครั้ง

“นายน้อย ข้ากับเจ้าลูกเต่านี่ขอตัวก่อนนะขอรับ ไปกับข้า!”

“ฉายเอ๋อร์ อย่าลากข้าสิ สามีเจ้าเจ็บนะ” เหวินฉายลากเฉินลี่ฟู่ไปอย่างทุลักทุเล ร่างสูงบ่นไปตลอดทางแต่ท่าทีขัดขืนของเฉินลี่ฟู่กลับไร้ซึ่งความจริงจัง อีกทั้งใบหน้ายังยิ้มกรุ้มกริ่มจนน่าหมั่นไส้ แต่เหวินฉายกลับมิได้เห็นเลยสักนิด กลับเอาแต่คิดจะลากบุคคลเจ้าปัญหาอย่างเฉินลี่ฟู่ออกไปมากกว่า

ลู่เฟยหลงมองคนข้างกายอย่างสนใจ สายตาของหยางเถายังมิได้ละออกจากตุ๊กตาตัวน้อยของเด็กผู้นั้นเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว หยางเถาลูบเบาๆ อย่างเหม่อลอย จนร่างสูงมิสามารถคาดเดาได้เลยว่าร่างบางกำลังครุ่นคิดสิ่งใด

“เจ้าเป็นอะไรหรือเจ้าดอกท้อ…เหตุใดจึงได้สนใจตุ๊กตาตัวนี้นัก หรือเจ้าชอบมัน?” หยางเถามิได้ตอบสิ่งใด ทว่าสายตาของเขากลับทอประกายความหม่นหมองในใจออกมา

“เจ้าเป็นอะไรเจ้าดอกท้อ บอกข้าสิ” เฟยหลงร้อนใจกับสายตาของหยางเถายิ่งนัก หัวใจรวดร้าวกับความหมองเศร้าในแววตาของร่างบาง

“น่าสงสารนัก…ทั้งที่ยังเยาว์วัย กลับต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายมากมาย” มือบางยังคงไล่ไปตามโครงหน้าตุ๊กตาตัวนั้น ความสงสาร ความหดหู่และความเห็นใจแผ่กระจายออกมาจากร่างบางเสียจนคนที่ยืนอยู่เคียงข้างยังสามารถรับรู้ได้

“เจ้ารู้หรือว่าเด็กผู้นั้นเจอสิ่งใดมา” หยางเถาเพียงส่ายศีรษะเบาๆ ดวงตาที่เศร้ากลับยิ่งเศร้ายิ่งขึ้นไป

“มิอาจรู้ เพียงแต่ข้ารู้สึกได้ก็เท่านั้นว่านางเผชิญความเศร้ามามากมายเหลือเกิน” น่าสงสารนัก ช่างน่าสงสารอะไรเช่นนี้ มิน่าเล่า เจ้าตุ๊กตาตัวนี้จึงได้…

“แล้วเหตุใดเจ้าจึงได้สนใจตุ๊กตาตัวนี้นักเล่า?”

“เพราะตุ๊กตาตัวนี้นั้น…มีแต่ไอความเศร้า และข้า…ปล่อยให้ข้างกายของเด็กน้อยผู้นั้นมีแต่ความโศกเศร้ารอคอยวันกัดกินจิตใจไม่ได้” ร่างบางกอดตุ๊กตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าเอาไว้จนแน่น

“เช่นนั้นก็นำมันไปทิ้งเถิด เจ้าเองก็มิควรจะอยู่ใกล้มันนะหยางเถา”

“ข้าสัญญากับอี้เหมยไว้แล้ว จะทิ้งได้อย่างไรกัน”

“เช่นนั้นแล้วเจ้าจะทำเช่นไรเล่า?” ริมฝีปากบางขบเม้มแน่น ดวงตาสับสนจนคนมองต้องถอนหายใจ

“ข้า…จะดึงไอความเศร้า เข้าสู่กายของข้าเอง” เฟยหลงกระชากร่างของหยางเถาเข้าหาตนอย่างร้อนใจ ใบหน้าฉายชัดถึงความไม่ยินยอมให้กระทำตามที่อีกฝ่ายคิด

“ไม่ได้! ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำเช่นนั้นแน่!”

“เฟยหลงฟังข้า…อย่างไรข้าก็ต้องสูญสลาย หากข้าสามารถช่วยเด็กผู้หนึ่งได้มิดีกว่าหรือ เจ้าจะบอกว่ายินดีมองดูเด็กน้อยร่าเริงผู้นั้นถูกความหมองเศร้ากัดกินเช่นข้าหรือ เจ้าจะใจร้ายเพียงนั้นเชียว?”

“แต่เจ้า…” เฟยหลงพูดไม่ออก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสับสนและขัดแย้งกันของตัวเอง ในใจของร่างสูงนั้น ไม่อาจจะพูดได้เต็มปากเต็มคำว่ามิอาจให้ทำ แต่การที่จะต้องมองยอดดวงใจกลืนกินสิ่งที่ทำร้ายตนเอง ใครบ้างเล่าจะทนได้ หยางเถายิ้มกับความสับสนของเฟยหลง มือบางค่อยจับมือของเฟยหลงขึ้นมาแนบแก้มเย็นชืดลงไป

“ข้ารู้ว่าเข้าห่วงข้า แต่ข้ามิเป็นไรจริงๆ” เฟยหลงรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงคำปลอบโยน หัวใจของเขาทรมาน ยิ่งเห็นความอ่อนโยนของหยางเถาที่พร้อมจะเอาตนเองเข้าปกป้องเด็กตัวเล็กๆ เช่นอี้เหมย เฟยหลงยิ่งเจ็บปวด เหตุใดสวรรค์มิเห็นความดีของยอดดวงใจเขาบ้าง เหตุใดจึงคิดพรากเราจากกันเร็วถึงเพียงนี้ เฟยหลงเกลี่ยปลายนิ้วลงบนแก้มใสที่ไร้ไออุ่นเบาๆ ก่อนจะทอดถอนใจออกมาอย่างไม่อาจจะทำอะไรได้อีก

“บอกข้าสิว่าเจ้ายังมิได้นำไอความเศร้าโศกเช้าสู่กายตนเอง” ร่างบางหลบตา ใครจะกล้าโกหกกัน

“ข้าเพียงแค่อยากช่วยเด็กผู้นั้น” มือหนาดึงคนตัวเล็กเข้าสู่อ้อมกอด ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงไฟสวยงามมากมายที่ลอยอยู่ ทั้งที่คืนนี้มันควรจะเป็นค่ำคืนที่แสนสุข แต่ดวงตาของเฟยหลงกลับสั่นระริกอย่างปวดร้าว อ้อมแขนยิ่งกระชับร่างบางในอ้อมกอดแน่นขึ้น

“ข้ารู้…แต่จะให้ข้าทำอย่างไร ในเมื่อข้ารักเจ้าเกินกว่าจะทนได้” หยางเถายิ้มอยู่กับอกกว้าง

“ข้ามิเป็นไรหรอก อย่าห่วงเลยนะ” ริมฝีปากร้อนจุมพิตลงบนหน้าผากเล็กอย่างรักใคร่ เมื่อไม่อาจจะห้ามปรามได้ เขาก็คงทำได้เพียงพาคนตรงหน้าสนุกกับเวลาที่เหลืออยู่

“ไปกันเถิด…ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวชมให้ทั่วเชียว”

ทั้งสองต่างจับจูงมือกันไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งที่ในใจของเฟยหลงยังคงมิอาจจะวางใจได้ แต่เพื่อให้หยางเถาได้สบายใจและสนุกไปกับงานในครั้งนี้ เฟยหลงนำโคมออกมา ลวดลายสวยสะดุดตาหยางเถาจนคนตัวเล็กมองมันอย่างตื่นเต้น หยางเถาเฝ้ามองไฟที่ถูกจุดในโคมอย่างตั้งใจ ทุกอย่างถูกสายตาคู่สวยสีอำพันจับจ้องอย่างสนอกสนใจโดยไม่คลาดสายตา

เฟยหลงและหยางเถาค่อยๆ ประคองโคมในมืออย่าทะนุถนอม ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนจะยกโคมในมือขึ้นสู่ท้องฟ้า มันล่องลอยขึ้นไปช้าๆ ท่ามกลางสายตาของเฟยหลงและหยางเถาที่จับจ้องอยู่ สำหรับเฟยหลงมันไม่ได้พิเศษเช่นเดียวกับปีก่อน แต่ความพิเศษของมันคือคนข้างๆ ที่ยืนอยู่กับเขามากกว่า แต่สำหรับหยางเถา คืนนี้คือความพิเศษที่สุด ด้วยสิ่งที่ได้มาพบมากระทำนั้น ล้วนแต่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจเหลือเกิน

มันงดงามยิ่งนักยามอยู่ในมือ…

แต่กลับงดงามยิ่กว่ายามล่องลอยอยู่บนฟากฟ้าอันกว้างใหญ่ ล่องลอยจนคล้ายกับหมู่ดาวที่ส่องแสง

ลู่เฟยหลงลอบมองคนข้างกายที่บัดนี้ยิ้มกว้างจนดวงตาทั้งสองข้างเล็กลงราวกับจันทร์เสี้ยว ใบหน้างดงามต้องแสงสว่างจนชวนให้หลงใหล หัวใจของลู่เฟยหลงเต้นแรง ดูเหมือนความงดงามของหยางเถาจะเป็นสิ่งอันตรายต่อหัวใจของเขาเหลือเกินแล้ว เพราะในยามนี้มันเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาฟ้องว่า เจ้าของหัวใจดวงนี้กำลังตื่นเต้นเพียงแค่จับจ้องใบหน้าของยอดดวงใจเท่านั้น
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 24. up.21/07/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 21-07-2019 16:23:19
(ต่อจ้า)

กว่าค่อนคืนที่ลู่เฟยหลงพาหยางเถาเที่ยวชมความงดงามของเทศกาลที่ถูกจัดขึ้น จนเมื่ออีกฝ่ายเริ่มออกอาการเมื่อยล้าจึงได้แยกกลับ หยางเถาส่งตุ๊กตาคืนสู่เจ้าของเดิม เด็กน้อยยิ้มกว้างเมื่อรู้สึกแตกต่างทั้งที่เป็นตุ๊กตาตัวเดิม อี้เหมยกลับรู้สึกว่า มันชวนให้มีความสุขจนกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่ได้ หยางเถาบอกลาทั้งถังเหวินฉายและเฉินลี่ฟู่ก่อนจะเดินเคียงข้างเฟยหลงแยกกลับไปอีกทาง ทิ้งให้คู่รักพร้อมเด็กอีกสามคนได้สนุกสนานกันไปต่อ

ท้องฟ้าที่ยังคงมีแสงจากโคมที่ถูกลอยทั่ว เสียงพูดคุยยังคงดังมาให้ได้ยินอยู่ตลอดทาง ค่ำคืนนี้ช่างเต็มไปด้วยความครื้นเครง ความสนุกสนานที่หยางเถาเองมิเคยได้รู้เลยว่ามีอยู่ หลายพันปีที่ผ่านมา ตัวหยางเถานั้นเป็นเพียงต้นท้อในจวนสกุลลู่ ถูกกำแพงล้อมไว้จนมิอาจจะเห็นสิ่งใดได้นอกจากเหล่าดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่รอบๆ ครั้งเมื่อนึกถึงวันเวลาที่เคยอยู่อย่างเดียวดาย หยางเถาก็รู้สึกสะท้านในอกอย่างไม่อาจจะอธิบายได้ เพราะหากผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไป เขาก็จะสลายจากไปจากผู้เป็นที่รักตลอดกาล

เฟยหลงและฟยางเถาต่างเดินมาจนถึงหน้าจวนในที่สุด มือหนายังกระชับมือบางเอาไว้แน่น จับจูงเดินผ่านเหล่าบ่าวรับใช้ไปอย่างไม่อายสายตา ทั้งสองเข้าไปหาบิดาและมารดาของเฟยหลงที่ยังคงรอคอยการกลับมาของพวกเขาอยู่ อี้เหม่ยหลินยิ้มกว้างเมื่อเห็นร่างของบุตรชายเดินเคียงข้างมากับหยางเถา นางยิ้มอย่างเอ็นดูจนถังลี่หยางที่ยืนอยู่ใกล้เคียงยังรู้สึกได้ถึงความรักใคร่เอ็นดูในแววตาของนาง

“กลับมากันแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง” หยางเถายิ้มกว้าง ดวงตาสีอำพันพราวระยับราวกับเด็กน้อยเจอสิ่งถูกใจ

“ท่านป้า สนุกมากเลยขอรับ เจ้าโคมพวกนั้นลอยขึ้นฟ้าไป สว่างราวกับหมู่ดาวเลยขอรับ ข้าชอบมากเลย!” ศีรษะของหยางเถาถูกมือของเหม่ยหลินลูบอย่างเบามือ ใบหน้าของนางยิ่งทวีความอ่อนโยนขึ้น

“งั้นหรือ…เจ้าชอบหรือหยางเถา สวยมากใช่รึไม่”

“ขอรับ ดูไปแล้วช่างคล้ายกับดวงดาวบนฟ้าเลย” เหม่ยหลินหัวเราะแผ่วเบา ไม่เว้นแม้แต่เฟยหลงหรือลู่จิ้นเหอเองก็ตาม ล้วนแต่หัวเราะออกมาทั้งนั้น ความน่าเอ็นดูที่ตื่นตาตื่นใจต่อสิ่งที่ได้พบเห็นช่างชวนให้หลงรักไปตามๆ กัน

“ดีแล้ว เจ้าชอบก็ดีแล้ว”

น่าเอ็นดูอะไรเช่นนี้

“พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด เดี๋ยวแม่จะให้ซูหนิงยกเอาขนมไปให้ที่ห้องของเจ้านะเฟยหลง”

“ขอรับท่านแม่ ไปเถิดหยาเถา” ลู่เฟยหลงแตะแขนของหยางเถาเป็นการชักชวนให้ได้ไปที่ห้องเพื่อรอขนมที่คนข้างๆ อยากจะทาน

“งั้นข้าไปนะขอรับท่านป้า ท่านลุง”

“จ้ะ…ไปพักผ่อนเถิด”

หยางเถาค้อมกายลงต่ำส่งยิ้มหวานให้กับลู่จิ้นเหอและอี้เหม่ยหลินด้วยท่าทีที่แสนน่าเอ็นดู จนผู้ใหญ่ทั้งสองต่างหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มด้วยความรู้สึกที่เต็มล้นไปด้วยรัก หากใครมองเห็นต่างก็ต้องรับรู้ได้ว่า ภายในสกุลลู่นั้น…ตอนนี้ช่างเต็มไปด้วยรัก ทั้งอี้เหม่ยหลิน ลู่จิ้นเหอ หรือแม้แต่ลู่เฟยหลงต่างก็มีใจรักใคร่เอ็นดูในตัวของคนผู้เดียวเท่านั้น

บุรุษผู้มีเส้นผมสีเงิน…







TBC



น้องงงง ในที่สุดน้องก็ได้รับความรักสักที จุดพลุ!! อย่าลืมวางปลาทูกับของเล่นแมวนะคะ คิกๆ
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 25. up.21/07/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 21-07-2019 16:25:50
[25]

Chapter 25.

หยางเถาและลู่เฟยหลงต่างนั่งทานขนมที่ลู่เหม่ยหลินให้ซูหนิงยกมาให้อย่างเอร็ดอร่อย สำหรับเฟยหลง…ขนมพวกนี้มันก็เหมือนทุกๆ ปี แต่เมื่อละสายตามองร่างเล็กที่อยู่ตรงข้ามแล้ว นี่คงเป็นความพิเศษสำหรับหยางเถาอย่างแน่นอน ดวงตาสีอำพันถึงได้พราวระยับยิ่งกว่าหมู่ดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน เฟยหลงเฝ้ามองใบหน้าหวานของคนรักอยู่อย่างไม่คิดจะละสายตา มองริมฝีปากอิ่มที่ต้องอ้ารับเจ้าขนมในมือเข้าไปกัดอย่างสนใจ ทุกอย่างที่หยางเถากระทำล้วนเป็นสิ่งดึงดูดใจของเขาทั้งสิ้น ทั้งน่ามองและน่าหลงใหล

หยางเถาก้มหน้าลงต่ำเมื่อรู้ตัวว่าถูกสายตาของเฟยหลงจับจ้องจนเขาต้องเขินอาย เพียงแค่เขายินดีกับการได้ทานขนมอร่อยๆ นี่ เฟยหลงจำเป็นจะต้องจับจ้องเขาอยู่เช่นนี้ด้วยหรือ รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของเฟยหลงก็เช่นกัน ยิ้มเช่นนั้นในยามที่มองเขา มิเท่ากับเป็นการทำให้เขาใจเต้นแรงยิ่งขึ้นหรอกหรือ หยางเถารู้สึกว่าลำคอแห้งผาก ขนมที่กลืนลงไปเริ่มฝืดเคืองลำคอจนต้องยกชาขึ้นมาดื่ม นี่เขาเขินเสียจนทำตัวมิถูกแล้วนะ

ภายใต้ความรู้สึกเขินอายที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศรอบกาย หยางเถากลับมีสีหน้าหมองเศร้าลงจนน่าสงสาร ขนมในมือถูกลูบไล้เล่นคล้ายมิอยากอาหารขึ้นมาเสียอย่างนั้น นัยน์ตาสีอำพันทอดมองออกไปอย่างเหม่อลอย จนคนที่จับจ้องอยู่อย่างลู่เฟยหลงยังต้องสงสัย

“เจ้าเป็นอะไรไปหรือ เจ้าดอกท้อ”

“ข้า…หวาดกลัวนัก” เฟยหลงขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ สิ่งใดกันคือความหวาดกลัวของเจ้าดอกท้อน้อยของเขา

“เจ้าหวาดกลัวสิ่งใดหรือ บอกกล่าวแก่ข้าได้หรือไม่” หยางเถาสบตากับร่างสูง น้ำเสียงของเฟยหลงนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย จนหัวใจคนฟังต้องสั่นสะท้านในอก ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันอย่างสะกดกลั้น ดวงตาหวานสั่นระริกยามจ้องเข้าไปในดวงตาคู่คมนั้น

“เจ้าจำได้หรือไม่ ว่าคืนนี้…เป็นคืนที่เท่าใดแล้ว” เมื่อได้ยินคำถามจากหยางเถา ลู่เฟยหลงพลันชะงักไปในทันใด เหตุใดเขาจะจำมิได้เล่า ค่ำคืนสุดท้ายที่จะได้อยู่กับยอดดวงใจ มีหรือเขาจะลืมมัน ยิ่งคิดเฟยหลงก็ยิ่งปวดร้าว ดวงตาฉายแววเจ็บปวดจนหยางเถาเองเสียอีกที่ต้องมองหลบสายตา

เหตุใดจึงเร็วนัก ทั้งที่เขาและหยางเถาผ่านเรื่องเลวร้ายมาต่างๆ นานา แต่กลับมีช่วงเวลาแสนสุขเพียงน้อยนิด

“ข้ามิมีทางจะลืม…แต่มิอยากยอมรับเช่นกัน” เขาพูดความจริง หากจะให้ยอมรับว่าเมื่อสิ้นราตรีนี้จะต้องสูญเสียดวงใจอันเป็นที่รักไป เขา…ทนมิได้

“แต่…หากผ่านพ้นคืนนี้ไป ข้าจะ…”

“อย่า…อย่าเอ่ยออกมา” ปลายนิ้วของเฟยหลงแตะลงบนริมฝีปากของหยางเถาเพื่อห้ามปรามไม่ยินยอมให้ได้เอ่ยจนจบประโยค

“…”

“เจ้ากำลังจะทำให้ข้าตายลงไปช้าๆ” ดวงตาหวานสั่นระริก พลันหลบเลี่ยงการสบตาปล่อยให้หยดน้ำตาค่อยไหลออกมา เฟยหลงกุมมือบางเลื่อนฝ่ามือเล็กขึ้นมาสัมผัสที่อกข้างซ้าย

“เจ้ารับรู้ถึงมันหรือไม่ หัวใจข้าในยามนี้ เจ็บปวดยิ่งนัก”

“ฮึก…” หยางเถาได้แต่ผินหน้าหนี หัวใจของเขาเองก็ปวดร้าวมิแพ้กัน หากต้องจากเฟยหลงไป…

“อยู่กับข้าเถิด อย่าจากข้าไปเลย”

แต่มันช่างเลื่อนลอยนัก เมื่อในความเป็นจริงแล้วนั้นไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใด ตะโกนป่าวร้องดังเท่าใด ก็มิได้ทำให้ความจริงที่ว่า เมื่อผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไป เขาจะมิอาจพบหยางเถาได้อีก

“อย่าไปจากข้าเลย” น้ำเสียงทุ้มต่ำสั่นไปด้วยอารมณ์เศร้าโศก เขาไม่อาจจะยอมรับได้ว่าต่อแต่นี้จะไม่มีคนผู้นี้อยู่เคียงข้างกายอีกแล้ว ทั้งที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดี ทั้งที่อุปสรรคขอเขามันเพิ่งจะหมดไป แต่กลับหมดไปพร้อมกับเวลาของคนในอ้อมแขน

ยิ่งคิด ลู่เฟยหลงก็ยิ่งเจ็บปวด แขนทั้งสองข้างโอบรัดร่างบอบบางของหยางเถาไว้จนแนบแน่น ราวกับกลัวเหลือเกินว่า เมื่อคลายมันออกสักเพียงเล็กน้อย คนคนนี้จะหายไปตลอดกาล

“แม้ใจข้าจะปรารถนาสักเพียงใด ฮึก แต่มันก็มิอาจ ฮึก ทำให้ข้าเปลี่ยนแปลงมันได้”

ใช่…เมื่อสวรรค์ลิขิต มีหรือจะขัดได้ แม้จะปรารถนาสักเพียงใดก็ตาม

เฟยหลงยืนปวดใจกับความเป็นจริง หากสามารถเลือกจะหลับตาและเฝ้าฝันหาว่ามีเพียงเขาและหยางเถาอยู่ด้วยกันจนแก่ชราได้คงจะดีไม่น้อย ทั้งที่หยางเถาคือความสุขเพียงหนึ่งเดียวที่เขามี คือความสุขเพียงหนึ่งเดียวที่เขาได้ค้นพบ แต่แล้วสวรรค์ก็มาพรากความสุขเพียงหนึ่งเดียวของเขาไป ลู่เฟยหลงปวดใจจนแทบจะไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนอยู่ ได้แต่เพียงกอดกระชับอ้อมแขนแข็งแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า เพื่อยืนยันกับตนเองว่าบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง มิได้จากไปไหน

หยางเถาโอบกอดเฟยหลงกลับด้วยสองมือที่สั่นระริก ฝังใบหน้าของตนลงกับแผ่นอกของเฟยหลง ซึมซับกลิ่นกายและสัมผัสของลู่เฟยหลงเอาไว้ก่อนจะมิมีโอกาส หากสวรรค์ไม่เห็นใจ เขาคงจะยังเป็นต้นท้อมิต่างจากต้นไม้อื่นๆ หากสวรรค์มิเมตตา เขาคงมิมีโอกาสได้กอด ได้รักคนผู้นี้อีกแล้ว แม้ความรักจะมีทุกข์มากมายนับล้านเท่าเม็ดทราย แต่ก็ไม่อาจจะทำให้รักของเขาสูญสลายไปจากใจได้ มันกลับยิ่งทำให้เราสองรักกันมากขึ้น

สิ่งที่เขาหวาดกลัวคือ…เมื่อไม่มีเขาแล้ว ลู่เฟยหลงจะเป็นเช่นไร จะทุกข์ทรมานใจมากมายเสียจนทำร้ายตนเองหรือไม่ เขากลัวเหลือเกินว่าความรักของเขาจะกายเป็นยาพิษที่ทำร้ายคนที่เขารัก เพราะหากมันเป็นเช่นนั้น เขาคง…โทษตนเองที่ดึงดันปรารถนาร่างมนุษย์จนทำร้ายคนที่เขารัก

“นับว่าสวรรค์เมตตาแล้วที่ทำให้ข้า ฮึก ได้พบเจ้า” หยางเถาแม้อยากจะยิ้มเพียงได้ ก็ทำได้เพียงสะกดกลั้นกลืนก้อนสะอื้นลงไปอย่างยากลำบาก

“หากการพบกันเพียงชั่วครู่คือลิขิตฟ้า…ข้าก็มิเคยนึกเสียใจที่ได้รักเจ้า หยางเถา”

หากช่วงเวลาจากนี้ไปจะต้องพบเจอความทุกข์ทรมานอีกนับร้อยพัน ขอเพียงมีใจรักมั่นต่อคนในอ้อมกอด เขาก็มั่นใจว่าจะผ่านพ้นมันไปได้ แต่หากไร้ซึ่งคนในอ้อมกอด ตัวเขาจะเป็นเช่นไรก็ไม่อาจจะรู้ได้

“นับจากนี้ไป หากไร้ซึ่งตัวข้า ได้โปรด...สัญญากับข้า…ว่าเจ้าจะอยู่อย่างมีความสุข ใช้ชีวิตแทนข้าที่ไร้วาสนา ฮึก ฮือ เจ้าทำให้ข้าได้หรือไม่” ทั้งที่ปวดร้าวจนอยากจะตายเสียให้พ้นๆ แต่เมื่อคนรักของเขาปรารถนาเช่นนั้น เขาก็จะยิ้มออกมา

“ข้า…” ลู่เฟยหลงพูดมิออก แววตาท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจ

“เฟยหลง ฮึก…” ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยหยาดน้ำตาออกจากแก้มนวล ฝืนยิ้มอ่อนโยนให้ทั้งที่ใจแทบขาด

“ข้ามิอาจจะสัญญากับเจ้าได้ว่า นับจากนี้ไปข้าจะมีความสุข เพราะสำหรับข้าแล้ว ชีวิตที่ไร้เจ้า…มันมิต่างจากตายทั้งเป็น”

เขาสัญญาได้เสมอ หากหยางเถาปรารถนาให้เขาอยู่ต่อโดยไร้ซึ่งหยางเถาเคียงข้างกาย เขาจะทำให้ หากแต่เขามิอาจจะสัญญาได้ว่า จากนี้ไป…เขาจะมีความสุขได้ เมื่อความสุขของเขาคือหยางเถาเพียงผู้เดียว

“เมื่อไม่มีเจ้าแล้ว ข้าจะมีความสุขได้อย่างไร”

เพียงเรื่องง่ายๆ ที่ใครๆ ก็เข้าใจ หากไร้ซึ่งหัวใจแล้ว…จะมีชีวิตได้เช่นไรกัน มันคงมิต่างจาก มีร่างกายหากแต่ไร้วิญญาณ

“เฟยหลง…ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องเจ้า”

“ได้ทุกสิ่ง…” หยางเถาลังเลเล็กน้อยก่อนจะยอมสบตาคมอย่างจริงจัง

“ข้าอยากให้เราทั้งสอง…เป็นหนึ่งเดียวกัน”

ราวกับถูกฟ้าผ่ากลางศีรษะ ลู่เฟยหลงตัวแข็งทื่อ มองคนรักด้วยความตกใจด้วยมิคาดคิดว่า หยางเถาจะเป็นผู้กล่าวขอร้องในเรื่องเช่นนี้ มิใช่ว่าเขาไร้เดียงสา กระทำมิเป็นเหมือนเด็กแรกรุ่น เพียงแต่เขารักหยางเถามาก และไม่เคยคิดว่าหยางเถาจะเป็นฝ่ายร้องขอเช่นนี้ ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำ เขินอายเสียจนน่าเอ็นดู

“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ หากมิเข้าในความหมายของมัน ก็อย่าได้กล่าวเช่นนี้”

เพราะข้า…จะห้ามตัวเองมิได้

“ข้ารู้…ข้าเพียง อยากจดจำเจ้าไว้ทุกสิ่ง อยากให้เราทั้งสองได้ใช้เวลาสุดท้ายด้วยกัน เป็นความทรงจำที่จะมิมีวันลืม” ลู่เฟยหลงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะเต็มไปด้วยความจริงจัง

“รอข้าประเดี๋ยว”

ลู่เฟยหลงผละออกห่างจากหยางเถา เขาเดินไปยังแสงเทียนที่ถูกจุดไว้ให้ห้องได้สว่างก่อนจะลงมือดับมันทันที จนในห้องเต็มไปด้วยความมืดมิด หยางเถามองการกระทำเช่นนั้นอย่างไม่เข้าใจ แต่ทว่าเมื่อห้องมืดลงแล้ว ดวงตาสีอำพันเองก็มองไม่เห็นสิ่งใด ได้แต่เฝ้ารอให้ลู่เฟยหลงเดินเข้ามาหาตนเองเท่านั้น

ร่างสูงรอจนดวงตาของเขาคุ้นชินกับความมืดจึงเดินมาหาหยางเถา ประคองใบหน้างดงามที่มีเพียงแสงจันทร์สลัวสาดส่องเข้ามาให้ได้เห็น ความงดงามของหยางเถาทำให้หัวใจของลู่เฟยหลงเต้นรัว เลือดในกายเดือดพล่านไปหมดจนยากจะระงับเอาไว้ได้ ริมฝีปากจูบลงบนแก้มใสเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนมายังกลีบปากบาง ร่างสูงจูบคนในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบาก่อนจะถอนริมฝีปากออกแล้วบดจูบลงมาใหม่อีกครั้งอย่างรุนแรงตามแรงอารมณ์

“อื้อ…”

หยางเถาตัวสั่นระริก ขาเริ่มอ่อนแรงเมื่อถูกอีกฝ่ายมอบจูบอันดูดดื่มให้ มือทั้งสองข้างเกาะไหล่หนาเพื่อพยุงกายมิให้ทรุดกายลงไปกองกับพื้น เฟยหลงเหมือนจะรู้จึงโอบเอวบางเอาไว้มิให้ร่วงหล่น ประคองร่างบอบบางเอาเข้าอ้อมกอดจนแนบแน่น รับรู้ถึงอาการสั่นเบาๆ ของร่างกาย

ในหัวของหยางเถามึนงงไปหมด สองตาพร่าเบลอจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น รสจูบหวานๆ...ชักนำให้ร่างบางคล้ายล่องลอยอยู่ในอากาศ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตนเองสัมผัสกับเตียงตั้งแต่เมื่อใด มือหนาค่อยๆ ปลดชุดสีขาวสะอาดตาออกช้าๆ จนผิวขาวละออปรากฏแก่สายตาให้ได้เชยชม ริมฝีปากของเฟลหลงผละออกจากกลีบปากบางที่ถูกดูดดึงจนบวมเจ่อ ขยับจูบเบาๆ ไปตามแก้มใสไล่ไปจนถึงลำคอขาว

กลิ่นกายชวนให้เลือดในร่างร้อนผ่าว ยิ่งได้ลูบไล้ผิวเนียน บีบขยำความอ่อนนุ่มตามร่างกายอย่างจุดอารมณ์กระสันให้โหมกระพือ ลู่เฟยหลงแลบลิ้นเลียริมฝีปากตนเองช้าๆ ยามที่สายตาจับจ้องยอดอ่อนไหวบนแผ่นอกบาง ยอดสีหวานชูชันรับสายตาราวกับเชื้อเชิญให้ลิ้มลองจนเฟยหลงอดไม่ได้ต้องก้มลงไปหยอกล้อกับมัน

“อ๊ะ!”

แผ่นอกบางแอ่นรับสัมผัสร้อนที่เปียกชื้น ริมฝีปากของเฟยหลงดูดดึงขบเม้มจนร่างกายของหยางเถาสั่นสะท้าน สะอื้นฮักกับความเสียวซ่านจนทนไม่ไหว ผมสีเงินกระจายแผ่อยู่เตียง ใบหน้างดงามแดงระเรื่อแหงนเงยขึ้นอย่างไม่อาจจะทานทนได้ไหว จุดอ่อนสองจุดบนแผ่นอกถูกลิ้นสากตวัดเลียสลับดูดดึงจนยอดอกแดงก่ำไปหมด

สองมือจิกชุดของตนที่อยู่ใกล้มืออย่างต้องการระบายความกระสันที่จู่โจม รสชาติหวานล้ำยังคงติดตรึงอยู่ที่ปลายลิ้นจนไม่อยากจะผละออก แต่ก็กลัวว่าหากยังดึงดันจะรังแกเจ้ายอดชูชันนั่นต่อไป คงได้ถูกเขารังแกเสียจนบวมช้ำยิ่งกว่านี้จนเจ้าของต้องร้องไห้ออกมา มือหนาของเฟยหลงจับแท่งพู่กันร้อนเอาไว้ในมือ ขยับรูดรั้งทั้งที่ริมฝีปากยังคงหยอกล้อกับเม็ดไข่มุกสีหวานอย่างหลงใหล

ร่างกายเล็กสั่นสะท้านเบาๆ ใบหน้าแดงก่ำตามอารมณ์หวานที่ขึ้นสูง ริมฝีปากเผยอส่งเสียงหวานฉ่ำออกมาให้ได้ยินจนลู่เฟยหลงปวดหนึบไปทั้งร่าง แท่งพู่กันร้อนใต้เสื้อผ้าปรารถนาเหลือเกินที่จะได้รุกล้ำเข้าไปยังจีบรักสีแดงที่ปรากฏขึ้นให้เห็น ลู่เฟยหลงละริมฝีปากออกจากเม็ดไข่มุกสีระเรื่อ ไล่ริมฝีปากร้อนจุมพิตไปตามหน้าท้องแบนราบจนถึงแท่งพู่กันที่ฉ่ำเยิ้มชวนให้ลิ้มลอง

“อ๊า…” หยางเถาแหงนใบหน้าขึ้นส่งเสียงครางลั่นเมื่อแท่งพู่กันของตนถูกริมฝีปากร้อนระอุกลืนกินจนสุดความยาว ดูดกลืนหยาดรักสีหวานที่ไหลออกมาจากปลายพู่กันอย่างเอร็ดอร่อย ลู่เฟยหลงเพลิดเพลินไปกับรสชาติหวานที่ปลายลิ้นได้สัมผัส เขาละเมียดละไมชิมรสหวานอย่างช้าๆ ทั้งขยับมือรูดรั้งจนหยางเถาดิ้นพล่านด้วยความเสียวซ่านอย่างไม่เคยพานพบ

สมองของหยางเถาขาวโพลน ดวงตาสีอำพันพร่าเบลอไปหมด คิดอะไรไม่ออกแม้แต่อย่างเดียว ได้แต่จิกทึ้งเส้นผมของลู่เฟยหลงเพื่อระบายอาการเสียวซ่านที่เล่นงานเขาอยู่

หยางเถาช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน เพียงแค่ใช้ปลายลิ้นแตะและสัมผัสลงไปที่กายเนื้อ ก็ทำราวกับจะระเบิดกายปลดปล่อยความหวานออกมาให้เขาได้ดื่มดิน แต่เขาไม่อาจจะเร่งรีบได้ ด้วยนี่คือค่ำคืนแรกของคนรักของเขา เขาจะต้องทะนุถนอมยอดดวงใจให้ได้รับความอิ่มเอมเปรมใจไปด้วยกัน มิใช่ตักตวงแต่เพียงลำพังดังเช่นเมื่อแรกรุ่นหวังทดลองเช่นเขาเมื่อคราวยังเยาว์วัย

“อื้อ อ๊ะ จะ จะ อ๊า” ทั้งที่เขาคิดจะรั้งรอ แต่ก็ยังเผลอลืมตัวเร่งเร้าจนหยางเถาไปถึงปลายฝั่งฝันเสียก่อนแล้ว ลู่เฟยหลงกลืนหยาดรักลงไปในลำคอจนหมด ก่อนจะใช้ปลายลิ้นของตนเลียไปตามริมฝีปากราวกับต้องการเก็บทุกหยดหยาดของหยางเถาจนหมดสิ้น มิให้หลงเหลือ

หยางเถานอนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สมองมึนและเบลอไปหมดจนไม่อาจจะรับรู้ได้ว่าในยามนี้วิ่งที่ลู่เฟยหลงนำออกมาป้ายลงบนจีบรักสีหวานนั้นคือสิ่งใด แต่ทว่าเมื่อรุกล้ำนำปลายนิ้วเข้าไปสำรวจ หยางเถาก็ผวาเฮือกอย่างตกใจ

“อะ อะไร มันคืออะไรเฟยหลง อื้อออ ข้าอึดอัดเหลือเกิน” เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ อย่างเอ็นดู ร่างเปลือยเปล่าที่ถูกแสงจันทร์อันน้อยนิดส่องมาช่างยั่วยวนใจให้ย่ำยีอย่างรุนแรงเสียเหลือเกิน ยิ่งได้จับจ้องแก้มสีแดงราวกับผลแอปเปิ้ลนั่นอีก มันยิ่งทำให้แท่งพู่กันของเขา คึกคะนองเต็มตัว

“ขี้ผึ้ง…มันจะทำให้เจ้าไม่เจ็บ ข้าต้องเตรียมเจ้าเสียก่อนให้พร้อมสำหรับข้า”

ใช่ เพราะเขานั้นใหญ่เกินไปสำหรับช่องทางเล็กๆ นั่น

มันอาจจะทำให้หยางเถาเจ็บมากก็ได้ และเขาไม่อาจจะบุ่มบ่ามกระทำในทันใดได้จริงๆ

“ตะ แต่ อืม ข้ารู้สึกแปลกๆ อ๊ะ” เพียงแค่ลู่เฟยหลงขยับนิ้ว หยางเถาก็บีบรัดเสียจนนิ้วที่อยู่ภายในคับแน่นไปหมด อาการเกร็งตัวของหยางเถา ลู่เฟยหลงรู้ดีว่าเพราะความไม่คุ้นชิน นิ้วเรียวจึงได้งอลงพยายามควานหาจุดกระสันที่จะทำให้หยางเถาของเขา เคลิบเคลิ้มไปกับมัน

“อ๊า!”

ในที่สุดเขาก็พบมันเสียที

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลู่เฟยหลงเมื่อหยางเถาร้องครางออกมา แผ่นอกแอ่นขึ้นสูงราวกับกำลังตกใจ นี่มันคืออะไร หยางเถาตั้งคำถามกับตนเอง ทั้งที่มันยังคงอึดอัดเช่นเดิม แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงอาการวูบวาบที่แล่นผ่านไปทั่วร่างกายของเขา มันดีเหลือเกิน หยางเถารู้สึกราวกับกำลังล่องลอยไปบนปุยเมฆ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกลู่เฟยหลงเพิ่มจำนวนนิ้วเข้ามาเป็นสามตั้งแต่เมื่อใด 

“อ๊ะ อ๊า” หยางเถาไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้อีก เขาขยับสะโพกตอบโต้จังหวะการเข้าออกของนิ้วทั้งสาม จีบรักสีหวานเปิดอ้ารับปลายนิ้วเข้าไปอย่างว่าง่ายจนลู่เฟยหลงพึงพอใจ ช่องทางด้านหลังชื้นแฉะทำให้เกิดเสียงทุกครั้งที่ปลายนิ้วขยับเข้าออก

“หยางเถา…ยอดรักของข้า”

ลู่เฟยหลงกระซิบเสียงพร่า จูบแก้มใสบางเบาอย่างรักใคร่ขณะเดียวกันนั้น ปลายนิ้วใหญ่ก็ถูกดึงออกจากจีบรักสีหวานเมื่อลู่เฟยหลงรับรู้ได้ว่า ร่างบางของหยางเถาพร้อมแล้วสำหรับเขา

“เจ้าพร้อมแล้ว” หยางเถาบิดกายอยู่ใต้ร่างอย่างยั่วยวนโดยมิได้ตั้งใจ หากแต่ความวาบหวามที่ถูกปล่อยค้างไว้ทำให้หยางเถาแทบขาดใจ

“อื้อ ทำข้า ได้โปรด”

เสียงร้องอ้อนวอนสั่นพร่าช่างยั่วเย้าให้ลู่เฟยหลงติดบ่วงตัณหาเข้าไปอย่างรวดเร็ว ความองอาจที่ผงาดท้าทายสายตาถูกมือใหญ่จับจ่อที่จีบรัก ก่อนที่จะค่อยๆ ดันกายเข้าไปทีละนิดอย่างเชื่องช้า ทั้งที่ในใจร้อนเร่า เร่งเร้าให้แทรกกายเข้าไปจนสุด ให้ความอ่อนนุ่มที่แสนชุ่มฉ่ำได้โอบรอบรัดกายของเขาอย่างแนบแน่น

หยางเถาเกร็งตัวเมื่อมีบางสิ่งสอดแทรกเข้ามา แม้ว่าจะถูกเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนแล้วแต่เมื่อสิ่งที่ถูกจับจ่อเข้ามาในกายนั้น มีขนาดใหญ่กว่านิ้วมือทั้งสาม อีกทั้งจีบรักที่มิเคยถูกเชยชมกำลังปริแตกอย่างช้าๆ ริมฝีปากของหยางเถาจึงถูกฟันขาวของเจ้าตัวกัดเอาไว้อย่างแรง จิกมือลงกับผ้าอย่างแรงเพื่อระบายความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้น เฟยหลงที่เห็นปากบางถูกกัดจนแดงก็อดใจไม่ไหว ก้มลงบดจูบแสนเร่าร้อนชักชวนให้หยางเถาได้ลงเพลิดเพลินไปกับรสหวานของจูบจนลืมความเจ็บปวด

มือหนาถูกเลื่อนขึ้นมาบนแผ่นอกกว้าง สะกิดหยอกเย้าปลายยอดไข่มุกสีสวยจนเจ้าของต้องสะดุ้งแอ่นกายเข้าหาปลายนิ้วจนไม่ได้คิดว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการยั่วให้อีกฝ่ายดันกายเข้ามาจนสุด

“อื้อ!!” หยางเถาเบิกตากง้างเมื่อถูกความเจ็บปวดเบื้องล่างดึงสติกลับคืนมา มือบางพยายามดันร่างสูงออกห่าง หากแต่มิใช่เพราะเกิดเปลี่ยนใจใดๆ เพียงแต่เขาเจ็บเกินไปหวังให้อีกคนได้หยุดการกระทำก่อนเพียงชั่วครู่ก็ยังดี ทว่าเฟยหลงกลับมิยอมเข้าใจ ทั้งยังดึงดันแทรกความองอาจเข้ามาจนสุดแนบแน่นมิเหลือช่องว่างใดอีก หยางเถาสั่นไปทั้งร่าง เจ็บปวดรวดร้าวไปถึงกระดูกจนต้องหลั่งน้ำตา แต่ก็มิอาจจะร้องออกมาได้ เพียงแต่จิกเล็บลงบนไหล่หนาเพื่อระบายเท่านั้น ลู่เฟยหลงหยุดกายแน่นิ่ง มองใบหน้าของคนรักใต้ร่างที่บัดนี้คล้ายสะอื้นเบาๆ ปนเสียงครางหวานอย่างสงสาร

“เจ้าเจ็บหรือ”

หยางเถาพยักหน้าอย่างไม่โกหก “เจ็บ…แต่ข้าทนได้”

ทั้งที่ใบหน้ายังเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เสียงครางหวานคล้ายเจ็บจนไม่อาจจะทนได้แต่กลับบอกว่าทนได้ หากมิใช่ว่านี่คือครั้งแรกของหยางเถา เขาคงไม่อาจจะหยุดตนเองไม่ให้สอดแทรกกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรงได้แน่

“เจ้าจะมิเจ็บอีกแน่นอน ข้าสัญญา”

ลู่เฟยหลงเริ่มขยับกายเมื่อแรงรัดจากจีบรักค่อยๆ คลายตัวไปมากแล้วอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกจังหวะกลับเน้นย้ำจนหยางเถาใบหน้าเหยเก ความเจ็บเบื้องล่างใช่จะหายไปหมดสิ้น แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความเสียวซ่านที่ถูกเติมเข้ามาจนไม่สามารถแยกได้ออกว่า สิ่งไหนที่มีมากกว่า

“อ๊ะ อื้อ” หยางเถาครางเสียงหวาน บิดกายไปมาด้วยความทรมานที่ถูกรักจากคนที่รัก อ้อมกอดของเฟยหลงร้อนแรงจนแทบเผาไหม้เขาและเฟยหลงให้มอดไหม้ แต่ก็มีความหอมหวานที่น่าหลงใหลล่อลวงให้กระโจนเข้าไปหา ลู่เฟยหลงส่งเสียงครางต่ำอย่างพอใจเมื่อถูกคนรักรัดกายจนแทบจะแตกสลาย ความองอาจขยายจนใหญ่คับช่องทางเล็กๆ และลู่เฟยหลงรู้ดีว่าร่างบอบบางนั้นพร้อมสำหรับบทรักที่ร้อนแรงนี้แล้ว

ปลายลิ้นตวัดเลียไปรอบๆ เม็ดไข่มุก ก่อนที่ฟันขาวจะกัดลงไปเบาๆ จนหยางเถาร้องลั่น แอ่นกายขึ้นราวกับส่งขนมเข้าปากอีกคนอย่างลืมตัว สะโพกหนาทำหน้าที่ขยับเข้าออกอย่างชำนาญ จากจังหวะที่เชื่องช้าก็แปรเปลี่ยนเป็นรวดเร็วจนคนถูกกระแทกกระทั้นอย่างหยางเถาเสียวซ่านจนทนแทบไม่ไหว

มือหนากอบกุมความองอาจของหยางเถาเอาไว้ในมือขณะที่ขยับสะโพกเข้าออกอย่างรุนแรงและรวดเร็ว มือของเขาก็เร่งเร้าจนหยางเถาส่ายหน้าไปมาราวกับร้องขอ

“อ๊ะ อ๊า พะ พอแล้ว อ๊า ช้าจะ ฮึก จะไป อื้อ แล้ว ฮ๊า”

“ไปพร้อมข้ายอดรัก ช้าจะปลดปล่อยมันพร้อมๆ กับเจ้า”

สิ้นเสียงของเฟยหลง ร่างบางก็ร้องครวญครางอย่างไม่เป็นภาษา ความองอาจในช่องทางเล็กๆ ถูกกระแทกถี่ยิบจนหยางเถาแทบจะขาดใจตายให้รู้แล้วรู้รอด ความรู้สึกของหยางเถาคล้ายถูกพาให้ลอยขึ้นสูงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก่อนที่ความเสียวซ่านจะพวยพุ่งออกมาจากปลายยอดของความองอาจของเขา และรับรู้ได้ถึงความร้อนที่ฉีดพุ่งเข้ามาภายในกาย

“ฮึก…” สองร่างหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะนอนก่ายกอดกันอย่างนั้น โดยที่เฟยหลงมิได้ถอนกายออกมาเลยแม้แต่น้อย

“รักข้า…รักข้าอีก” เสียงหวานของหยางเถาเรียกร้องพร้อมๆ กับมือเล็กที่ลูบไล้ไปทั่วแผ่นอก ดวงตาสีอำพันทอดมองคนบนร่างด้วยแววตาเรียกร้องจนความองอาจที่สงบลงผงาดขึ้นมาใหม่อีกครา

“เจ้าจะมิได้นอน ทั้งคืนเชียว”

บทรักแสนร้อนแรงถูกบรรเลงจวบจนใกล้สว่าง สองร่างยังมิยอมแยกจากหรือถอนกายออกห่างกันเลยสักครั้งเดียว จากบทเพลงหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่จนเสียงครวญครางแทบจะกลายเป็นเพียงเสียงหอบหายใจที่ไร้เรี่ยวแรง แต่ทว่ากลับเต็มไปด้วยความหวานล้ำของความรักที่งอกเงย
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Chapter 25. up.21/07/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 21-07-2019 16:26:46
(ต่อจ้า)

ลู่เฟยหลงปัดเส้นผมสีเงินออกจากใบหน้าหวาน จับจ้องมองใบหน้าอันงดงามด้วยแววตารักใคร่เอ็นดู ริมฝีปากค่อยๆ บรรจงจุมพิตที่หน้าผากของหยางเถาเบาๆ ก่อนจะกลับมาสบตาอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม

“เจ้างดงามเสมอ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือเมื่อแรกที่เริ่มข้าได้พบเจ้า” ตำหวานเป็นเช่นดั่งคำลวง ใครจะว่าเป็นเช่นนั้นช่างมันปะไร สำหรับเฟยหลง เขาเพียงแค่เอ่ยความจริงออกไปให้คนที่เขารักสุดหัวใจได้รับรู้ หยางเถายิ้มอ่อนแก้มใสแดงก่ำไปด้วยสีเลือด

“มิสู้จันทราบนท้องฟ้าไปได้หรอก”

“จันทราสักกี่ล้านดวง ไหนเลยจะงามสู้เจ้าได้กัน หากบนท้องฟ้ามีเจ้าอยู่บนนั้น ดวงจันทราหรือจะฉายแสงได้”

“เจ้า! ชมข้าเกินไป” หยางเถาทำได้เพียงกัดริมฝีปากบางของตนแล้วก้มหน้า เขินอายกับคำหวานที่ถูกมอบให้

“หากเจ้าอยู่กับข้าตลอดไปได้คงดี…” แววตาคมวูบไหวสะท้อนความรู้สึกปวดใจกับบางสิ่งที่ใกล้เข้ามา

“ข้าเองก็ปรารถนาเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าและข้าย่อมรู้ดีว่ามัน…เป็นไปมิได้”

แม้จะรักกันสักเท่าใด ก็มิอาจครองคู่กันได้ เป็นลิขิตสวรรค์

“หากการพบกันเพียงชั่วครู่คือลิขิตฟ้า ข้าก็มิเคยนึกเสียใจที่ได้รักเจ้า หยางเถา” ลู่เฟยหลงใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มใสอย่างเบาๆ ก่อนจะถูกมือบางจับเอาไว้แล้วแนบลงกับแก้มตน

“ข้าก็ดีใจที่ข้าได้รักเจ้า”

ทั้งที่มันงดงามอย่างที่ควรเป็น ทว่าเพียงแค่เวลาเท่านี้มิได้เพียงพอเลยสำหรับพวกเขาทั้งคู่ เวลาเพียงหนึ่งร้อยราตรีช่างสั้นเหลือเกิน ดอกท้อดอกสุดท้ายร่วงโรยลงสู่พื้นดิน หมู่ดาวนับร้อยพันต่างส่องแสงสว่างราวกับมิอยากให้ยามค่ำคืนได้ผ่านพ้นไป

หยางเถาและลู่เฟยหลงต่างพากันสวมเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนที่ดวงตาสีอำพันจะหันไปเห็นแสงรำไรที่ปลายขอบฟ้า เมื่อมันส่งสัญญาณบอกกับเขาว่า เวลาแห่งความสุขของเขา กำลังน้อยลงไปทุกที แม้จะอยากยิ้มให้กว้างมากเพียงใด เขาก็ทำได้เพียงกลั้นน้ำตา มิอาจจะปฏิเสธได้เลยว่า ตัวเขากำลัง…หวาดกลัว

“เฟยหลง…” เสียงหวานแหบแห้งอย่างน่าสงสาร ลู่เฟยหลงเพียงยิ้มและหันกลับมาสบตาอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่เมื่อเห็นแสงที่แตะปลายขอบฟ้าร่างสูงก็ชะงักไป แขนกว้างวาดกอดเอาร่างบอบบางเข้าสู่อ้อมอก เขาไม่อยากจะเสียไป หากการโอบกอดหยางเถาเอาไว้ว่าจะทำให้ไม่อาจจะเสียอีกคนไปได้ เขาจะไม่มีวันปล่อยอย่างเด็ดขาด

แต่มันก็เพียงแค่สิ่งที่คิดเท่านั้น

เมื่อความเป็นจริงตรงหน้า คือร่างของหยางเถาที่จางลงอย่างช้าๆ จนโปร่งแสง

“ไม่…ข้า ข้ายังไม่พร้อม ยังไม่พร้อมจะเสียเจ้าไป” เขาไม่พร้อม และไม่มีวันใดที่จะพร้อมรับมัน หยางเถาหลับตาปล่อยให้น้ำตารินไหลทั้งที่หัวใจแหลกสลาย เขาเองก็ไม่พร้อม…ไม่เคยพร้อมจะไป

“อย่า…ร้องไห้เพราะข้าเลย” ตัวเขาไม่มีค่าให้จดจำถึงเพียงนั้น เป็นเพียงบุปผาดอกเล็กๆ ที่อาจเอื้อมหวังประดับแจกัน ทว่าก็สุขได้เพียงไม่นาน มือบางดันร่างกายของเฟยหลงออก ก่อนจะเอื้อมไปปาดไล่น้ำตาจากใบหน้าหล่อเหลาออก

“มิมีเจ้า…ข้าจะอยู่ได้อย่างไร” ใจเขาคงขาดรอน เหมือนตายทั้งที่ยังคงมิสิ้นลม

“อยู่เพื่อข้าอย่างไรเล่า” แค่เพื่อเขา อยู่เพื่อเขาเท่านั้น หากลู่เฟยหลงสิ้นใจก็ใช่ว่าจะพบเจอเขา เมื่อเขารู้ดีว่า กำลังจะแตกสลายในไม่ช้า

“เจ้า…ต้องมีรอยยิ้ม ฮึก แทนข้า” หยางเถากัดริมฝีปาก พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สะอื้นออกมา ทั้งที่น้ำตายังคงไหลมิหยุด แต่ริ้มฝีปากก็ต้องพยายามฝืนยิ้มให้ได้

“ข้าจะยิ้มได้หากมีเจ้า…ข้ายังมิพร้อมจะเสียเจ้าไป”

มิไปมิได้หรือ? ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็คาดหวัง ทั้งที่มันสิ้นหวัง แต่เขาก็ยังโง่งมหวังอยู่เช่นนั้น ร่างกายของหยางเถาเริ่มจางลงไปอีก เมื่อแสงตะวันกำลังไล่ความมืดมิดออกไป ก็มิต่างจากกำลังพรากเอาหัวใจและวิญญาณของเขาไปเช่นกัน

“ข้าอยากอยู่กับเจ้า อยากอยู่กับเจ้าชั่วชีวิต” สองร่างกอดกันแน่นเพราะรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ เมื่อตอบตกลงย่อมต้องยอมรับ และเมื่อถึงเวลาจ่ายคืน ก็มิสามารถอิดออดได้ แต่ใครเล่าจะเข้าใจ เมื่อความรักที่งอกเงยขึ้นมาแล้วนั้น ช่างสุกงอมและหลอมรวมหัวใจทั้งสองดวงเข้าด้วยกัน

หากหนึ่งหายไป อีกหนึ่งจะอยู่ได้อย่างไรกัน

“ลู่เฟยหลง…ข้ารักเจ้า” อ้อมแขนกระชับแน่นขึ้นเมื่อได้ยินคำว้ารัก ทั้งที่เป็นคำกล่าวที่ควรยินดี แต่ในตอนนี้ เขามิอาจจะยินดีกับเรื่องเล็กน้อยนี้ได้

“อย่า…อย่าทิ้งข้า หากรักข้า ได้โปรด…อย่าไป”

เหตุใดจึงรวดเร็วนัก เขายังมิอาจจะทำใจยอมรับมันได้

“สวรรค์! ช้ามิเคยขอร้องอ้อนวอนสิ่งใด! ได้โปรด ข้าขอเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น อย่าพรากหยางเถาไปจากข้าเลย อย่านำเขาไปจากข้า!” แม้จะอ้อนวอนจนเสียงดังมากมายเพียงใด ร่างกายที่โปร่งใสก็ไร้ซึ่งท่าทีที่จะกลับมาเป็นเหมือนเก่า

สวรรค์ช่างโหดร้ายต่อเขานัก นำพาความรักมาให้ได้รู้จัก แต่กลับมิยินยอมให้เขาได้ครอบครอง

“ข้ารักเจ้าเฟยหลง จะรักเจ้าตลอดไป” หยางเถามิตอบรับคำขอ เพียงแต่เน้นย้ำคำว่ารักให้เขาได้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่ต้องการ! หากคำว่ารักมาพร้อมกับการจากไปของหยางเถาตลอดกาล

“ไม่ ไม่เอา อย่าไปจากข้า อย่าทิ้งข้าไป” หยางเถายิ้มอย่างอ่อนแรง มองใบหน้าของชายผู้เป็นที่รักราวกับจะจดจำและสลักเขาเอาไว้ให้ลึกสุดใจ มือบางลูบใบหน้าหล่อเหลาอย่างเบามือ สัมผัสครั้งสุดท้ายที่มีเพียงความเย็นจากมือบาง

“ข้า…รักเจ้า” เสียงบอกรักครั้งสุดท้ายที่กำลังจะหายไป พร้อมกับดอกท้อดอกสุดท้ายที่ร่วงหล่นเช่นกัน

“ไม่!!!!” ร่างในอ้อมแขนบัดนี้เหลือเพียงอากาศเท่านั้น ลู่เฟยหลงพยายามคว้าความว่างเปล่าตรงหน้าอย่างแรงราวกับว่าหากช้าไป เขาจะไม่สามารถจับต้องหัวใจตนเองได้อีก ทั้งที่จริงแล้ว…เขารู้ดีว่า บัดนี้…เขาได้สูญเสียคนที่รักสุดหัวใจไปแล้วตลอดกาล

“หยางเถา ฮึก หยะ หยางเถา เจ้า อย่าแกล้งข้า ออกมาเถอะ” สายตาคมกวาดไปจนทั่วทั้งห้องที่บัดนี้ แสงสว่างลอดเข้ามาจนมองเห็นทุกสิ่ง เฟยหลงที่คิดจะเดินหาร่างของคนรักต้องหยุดชะงักลงเมื่อสายตาของเขาพบกับลูกท้อลูกเล็กหล่นอยู่ตรงปลายเท้า

“หยาง…เถา” มือหนาค่อยๆ ประคองลูกท้อขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ลู่เฟยหลงร้องไห้จนไม่เหลือมาดของคุณชายแห่งจวนสกุลลู่ เขากอดลูกท้อลูกเล็กๆ เอาไว้ในอ้อมอก ทั้งที่ยังไม่สามารถหยุดน้ำตาที่ไหลลงมาได้ ร่างทั้งร่างสั่นไปด้วยแรงสะอื้น ปากก็พร่ำเรียกหาเพียงคนผู้เดียวเท่านั้น เพียงแค่ชื่อของคนรักที่จากไป

ลู่เฟยหลงไม่อาจจะยอมรับได้ เขายังคงกอดลูกท้อเอาไว้จนแน่น ราวกับนั่นคือคนรักของเขาที่ยังอยู่ เมื่อสิ่งนี้คือสิ่งที่หยางเถาทิ้งเอาไว้ให้เขา เขาจะไม่มีวันทำลายมัน ไม่มีวันให้มันบอบช้ำ จะถนอมมัน เฝ้ารอวันที่ยอดดวงใจของเขาจะกลับมาอีกครั้ง แม้จะรู้ว่า…ไม่มีวันนั้นก็ตาม





The End



จบแล้วจ้าาา //หลบรองเท้าและข้าวของ อย่าน๊าาา ใครก็ห้ามฆ่าแมวเด็ดขาด ไม่งั้นแมวจะไม่ลงตอนพิเศษด้วย งอแง มันจบจริงๆนะสำหรับตอนหลัก แต่ตอนพิเศษแมวไม่บอกหรอกว่าจะมีอะไร คิกค้ากก รอลุ้นเอานะจ๊ะทุกคนนนนน //สะใจ!!!!
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Special I ก่อนดอกท้อจะผลิบาน. up.21/07/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 21-07-2019 16:33:31
Special I ก่อนดอกท้อจะผลิบาน...

วันนี้แสงตะวันช่างร้อนจนเหล่าหมู่แมกไม้และเหล่าดอกไม้ทั้งหลายต่างพากันหันหนี แม้จะอยากขยับเข้ามาพึ่งพิงร่มเงาของข้ามากสักเพียงใด แต่เมื่อหยั่งรากลงพื้นดินก็เท่ากับหมดสิทธิ์ที่จะเคลื่อนกายไปไหน ข้าที่เป็นต้นไม้ใหญ่ก็พยายามยื่นกิ่งก้านออกไปช่วยเหลือพวกเขาเสมอ

ทั้งที่พวกเขาคือเพื่อนของข้า แต่ข้ากลับต้องมองพวกเขาค่อยๆ ตายไปอย่าช่วยอะไรมิได้

พวกเขาต่างงดงาม ชวนให้เหล่ามนุษย์ตื่นตาตื่นใจและมีรอยยิ้มไปกับความงามนั้น

ยิ่งนานวันเข้า เหล่ามนุษย์ก็ลืมเลือนตัวตนของข้า ข้าถูกความงดงามของเหล่าดอกไม้บดบังการมีตัวตนไปจนหมดสิ้น สายตาของเหล่ามนุษย์ มิมีผู้ใดเหลือสายตาไว้เพื่อมองข้าเลย

แต่ข้ามิได้เสียใจมากเท่ากับวันที่ข้า ต้องมองดูเหล่าเพื่อนพ้องล้มตายจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ พวกเขาต่างเคยเบ่งบาน เคยงดงามเฉกเช่นบุปผาแห่งสรวงสวรรค์ แต่เมื่อนานวันเข้า พวกเขาก็ค่อยๆ ร่วงโรยรา ทิ้งข้าไว้แต่เพียงลำพัง ข้าโศกเศร้า เสียใจแต่มิอาจจะทำสิ่งใดได้ ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นไปตามวัฏจักรของมัน เหมือนเช่นข้า…ที่สักวันคงต้องตายไป

แต่เวลาก็ล่วงเลยมานานนับพันปี

เป็นเวลานานนักที่ตัวข้าต้องเฝ้ามองดูการจากไป ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไร้ที่สิ้นสุด ข้าต้องทุกข์ทนทรมาน ต้องเสียใจกับการสูญเสียงเพื่อนของข้ามาตลอด

เมื่อใดข้าจะหลุดพ้น จะสิ้นสุดความทรมานนี้เสียที

ข้าจึงมิยอม…ผลิบาน มิยอมออกดอกหรือผลแม้แต่ครั้งเดียว ข้าเจ็บปวดนัก แม้จะมีเพื่อนสักกี่ครั้งกี่หน ข้าก็ต้องโดดเดี่ยวเช่นเดิม จ้องมองพวกเขาจากข้าไปเช่นเดิม ไม่ว่าจะกี่ปี ข้าก็ยังคงต้องโดดเดี่ยวไร้ผู้ใดมาเป็นเพื่อนเคียงข้าง

จากพื้นที่ที่ไร้ผู้คน ก็ก่อเกิดเป็นแหล่งอาศัยของเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย บุรุษรูปงามผู้หนึ่งได้รับที่ที่ข้าหยั่งรากลึกไว้เป็นที่อาศัย เขาสร้างความยิ่งใหญ่ขึ้นมาอย่างช้าๆ จากเล็กน้อยไปจนกว้างขวาง บุรุษผู้นั้นมีรูปโฉมที่ชวนมอง หญิงผู้ใดได้พบเจอต่างก็หลงใหลเขากันทั้งนั้น

เขาสว่างไสว รอยยิ้มชวนให้เขินอายสำหรับสตรีทั่วไป

แต่สิ่งที่ชวนให้ตกใจยิ่งกว่าคือ…ทั้งที่ข้าถูกบดบังด้วยความงดงามของเหล่ามวลดอกไม้นานาพันธุ์ เขากลับมองมาที่ข้าแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เขาคือคนที่มองเห็นตัวตนที่ไร้ผู้ใดจะสนใจ เขาไม่เพียงแต่มองเห็น…เขากลับยังเดินฝ่าความงดงามทั้งหลายมาเพื่อข้า เพียงเพื่อข้าที่ไร้สิ่งใดดึงดูดใจ

“โดดเดี่ยวหรือ…”

ใช่ ข้าโดดเดี่ยวยิ่งนัก

“ข้าได้รู้มาว่าเจ้ามิยอมผลิดอกออกผล เป็นเช่นนั้นเพราะสิ่งใดหรือ?” เขากำลังพูดกับข้า ทั้งแววตาและน้ำเสียงช่างมีแต่ความอ่อนโยน มือของเขาสัมผัสเปลือกนอกสีเข้มอย่างปลอบประโลม

“หรือเพราะเจ้าโศกเศร้ากับความโดดเดี่ยวนี้…” ตัวข้าโบกสะบัดกิ่งก้านจนเกิดลมเอื่อยๆ พัดเขาจนเส้นผมสีดำปลิวไปตามแรง หากแต่เขายังคงยิ้มให้ข้าราวกับเข้าใจตัวข้าเป็นอย่างดี

“หากเป็นเพราะความโดดเดี่ยวที่ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้ เช่นนั้น…ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเอง”

จะอยู่กับข้างั้นหรือ เหล่ามวลดอกไม้ต่างก็ล้มหายไปจากข้าทั้งสิ้น เขาน่ะหรือที่จะสามารถมาลบความโดดเดี่ยวของข้าได้ ย่อมไม่มีวันเป็นเช่นนั้นแน่!

“เพราะเจ้าเอาแต่โศกเศร้า ข้าจึงจะเรียกเจ้าว่าท้อโศกศัลย์”

ทั้งที่เป็นเพียงมนุษย์ แต่กลับคิดจะเปลี่ยนความโดดเดี่ยวของข้างั้นหรือ ช่างกล้าเสียจริง

แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านพ้นไปนานนับสิบปี ลู่อี้เหรินผู้นี้กลับทำเช่นที่เขาพูดไว้จริงๆ เขาแต่งงานมีบุตรชายและบุตรสาวแต่กลับมิเคยลืมเลือนข้า เขาคอยแวะเวียนมาหาข้าเสมออย่างไม่เคยขาด เขายังคงยิ้มแย้มให้แก่ข้า ยังคงมองข้าด้วยแววตาอ่อนโยนเฉกเช่นคราแรกที่ได้พบกัน ข้าเฝ้ามองเขากับภรรยาของเขา รักใคร่กลมเกลียวกันอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจในความรู้สึกของเขาทั้งสอง

แต่แล้วเด็กคนนั้นก็ก้าวเข้ามาหาข้าด้วยใบหน้าที่ถอดแบบมาจากผู้เป็นบิดาอย่างลู่อี้เหริน ข้าจับจ้องเขาเช่นเดียวกับเขาที่จับจ้องข้า ก่อนที่จะยกยิ้มให้ข้าราวกับว่าเขามองเห็นตัวตนของข้า

“ท่านพ่อขอรับ!” เด็กน้อยผู้นั้นส่งเสียงเรียกลู่อี้เหรินให้หันมาสนใจตนเอง ทั้งที่พี่น้องคนอื่นๆ ต่างพากันไปชื่นชมเหล่าดอกไม้ที่เบ่งบานตามฤดู

“ว่าอย่างไรเสี่ยวหยู” เด็กน้อยนามว่าลู่ฉินหยูยังคงใช้ดวงตากลมที่ปรากฏความดุดันมองข้าไม่วางตา

“ข้าชอบเขาขอรับ”

เขาหรือ? เขาที่ว่า…คือข้าเช่นนั้นหรือ?

“ฮ่าๆ เช่นนั้นหรือ เข้าชอบเขาเช่นนั้นหรือ ดีๆ” เจ้าไม่ควรจะหัวเราะเพียงเพราะบุตรชายของเจ้าบอกว่าชอบข้าหรอกนะ เด็กคนนี้บอกเจ้าว่าชอบข้า ข้าที่เป็นต้นไม้ เจ้าเข้าใจหรือไม่

ทั้งที่ลู่อี้เหรินควรจะตกใจมากกว่านี้ แต่เขากลับยิ้มและหัวเราะอย่างถูกใจเหลือเกิน

“ขอรับ ข้าอยากได้เขา ยกเขาให้ข้านะขอรับท่านพ่อ” ปลายนิ้วเล็กๆ ชี้มายังข้า ทั้งที่ไม่ควรจะมีความรู้สึกเช่นนี้ แต่ข้ากลับรู้สึกได้ว่า ตัวข้ากำลังสั่น ใบไม้ของข้ากำลังรับแรงสะเทือนของข้าจนปลิวไหว

เพียงเพราะคำว่าชอบ ของเด็กผู้นั้น กลับทำให้ข้าเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ ข้ามองร่างของเด็กผู้นั้นที่ยืนอยู่เคียงข้างผู้เป็นบิดาอย่างครุ่นคิด หากเขาชอบข้า เช่นนั้นเขาจะอยู่กับข้าใช่หรือไม่นะ

“เอาสิ…หากวันใดพ่อมิสามารถอยู่กับเขาได้อีกแล้ว คงต้องให้เจ้า…ช่วยอยู่กับเขาแทนข้า”



ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ ลู่ฉินหยูยิ่งโตวันโตคืนจนรูปร่างและใบหน้าหล่อเหลาจนน่าอิจฉา เขามิเคยลืมคำพูดในวันนั้น ที่บอกกับอี้เหรินว่าชอบข้า เขาวนเวียนมาหาข้าทุกครั้งที่มีโอกาส พร่ำบอกว่าชอบข้าอยู่ทุกวี่วัน แม้แต่พี่สาวพี่ชายและน้องชายของเขาล้วนแต่ส่ายหน้ากับการยึดติดกับข้า บางครั้งถึงขั้นต้องมาลากเขาไปเพราะเขาเอาแต่มาหยุดอยู่เบื้องหน้าของข้า

สำหรับผู้อื่นการที่บุตรชายคนที่สามแห่งสกุลลู่มายืนเอ่ยคำว่า ข้าชอบเจ้า กับต้นไม้ เห็นทีคงมิใช่เรื่องปกติ แต่ว่าเขาก็ยังคงดึงดัน จะยืนอยู่กับข้าไม่ไปไหน หนักแน่นและไม่คิดเปลี่ยนใจ ในใจของข้าอุ่นวาบ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่เกิดขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ทั้งที่ข้ามีเพื่อนมาแล้วนับร้อยปี แต่กับเจ้าเด็กคนนี้นั้น ช่างพิเศษยิ่งนัก เขาทำให้ข้า ปรารถนาในสิ่งที่มิควร ปรารถนาที่จะอยู่กับเขาไปจนชั่วนิรันดร์

บัดนี้บุตรชายและบุตรสาวของอี้เหรินต่างตบแต่งมีครอบครัวกันจนหมด เหลือเพียงฉินหยูเท่านั้นที่มิว่าอย่างไรก็มิยอมตบแต่งกับผู้ใดเสียที

แต่ต่อให้หลีกเลี่ยงเช่นไร ก็ย่อมมีวันที่มิอาจจะหลีกเลี่ยงอีกได้

เมื่อมารดาของฉินหยูเลือกสะใภ้ให้ฉินหยูตบแต่งกัน ให้ครอบครัวกลายเป็นครอบครัว จนเขามิหลงเหลือเวลาใดๆ ให้ข้าอีก

ทั้งที่ข้า…คิดว่าหลุดพ้นจากความโดดเดี่ยวนี้แล้วแท้ๆ

ทั้งที่ข้าคิดว่าตัวข้าจะสามารถมีความสุขได้แล้ว แต่มันกลับเป็นเพียงหมอกควันแห่งมายาที่ตัวข้าคาดหวังมันเพียงเท่านั้น อายุขัยมนุษย์หรือจะสามารถอยู่กับข้าได้ตลอดไป ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นได้แน่ ข้ามันก็เพียงหวังลมๆ แล้งๆ มิเคยแหงนหน้าขึ้นมองสักครั้งว่าจันทรามิได้ปรากฏในตอนกลางวัน

ความทรมานใจทำให้ข้าปิดกั้นตัวเอง ไม่ตอบรับสิ่งใดต่อฉินหยูอีก แม้ว่าเขาจะมาหาข้าบ้างในบางโอกาส แต่ข้ากลับโลภมาก อยากได้เวลาของเขาทั้งหมด ข้าดื้อดึงเหลือเกิน หากมิได้ทั้งหมด เศษเสี้ยวใดๆ ข้าก็มิรับ ข้าจะมิหันกลับไปมองและอยู่ตรงส่วนที่ข้าพอใจเท่านั้น หากเพราะความผูกพันอันแสนประหลาดนี้ทำให้ข้าทุกข์ทรมาน เช่นนั้นก็เพียงแค่ไม่สนใจผู้ใดอีก คงหยุดความทรมานของข้าได้

เพียงแค่ข้ากลับไปเป็นต้นท้อโศกศัลย์ ต้นท้อที่ไร้ดอกไร้ผลเพียงเพราะความโศกเศร้าของข้าเอง

ช้ามองเมินทุกครั้งที่ฉินหยูเข้ามาใกล้ ไม่มองไม่สนใจที่เขากระทำใดๆ ทั้งสิ้น เขาเป็นมนุษย์ มิมีวันรู้ว่าข้าคิดเช่นไร มิมีวันเข้าใจว่าในตอนนี้ ข้าและเขามิใช่สหายหรืออะไรอีก ฉินหยูมีสิ่งที่ต้องสนใจ และข้า…มิใช่สิ่งนั้น แม้จะทรมานกับความโดดเดี่ยว แม้ความอ้างว้างจะน่ากลัวเพียงใด แต่ข้าที่เคยอยู่กับมันมาเนิ่นนาน จะมิสามารถอยู่กับมันอีกได้เช่นนั้นหรือ ข้าต้องทำได้อย่างแน่นอน ข้าเชื่อเช่นนั้น

ฉินหยูยังคงมาพูดคุยกับข้า ราวกับว่าข้าสามารถตอบรับเขาได้ ทั้งที่ข้ามิได้สนใจเขาอีกแล้ว หัวใจข้าด้านชานัก หลายสิบปีมานี้ ข้าเคยชินเหลือเกินกับการอยู่เพียงผู้เดียว มิว่าใครก็ไม่สามารถมาลบเลือนความอ้างว้างของข้าได้จริงๆ ข้าเป็นท้อโศกศัลย์ ต้นท้อที่ถูกสาปให้ไม่สามารถมีผู้ใดเคียงกายได้เนิ่นนาน นั่นเพราะข้า มีชะตาที่ต้องโดดเดี่ยวเท่านั้น

ฉินหยูแก่ชรา เขามีลูกๆ น่ารักกว่าสามคน ข้าเองก็มองพวกเขาเตอมโต แต่มิได้มีความสนใจใดๆ อีก อาจจะเป็นเพราะข้าเลือกตัดใจทิ้งทุกสิ่ง ตัวตนของข้าจึงได้ลดน้อยลง ผู้คนเริ่มมองมิเห็นข้าอีกแล้ว พวกมนุษย์มองเห็นเพียงความงดงามของเหล่าดอกไม้ มิใช่ข้าที่โดดเดี่ยวไร้สีสัน

ความเขียวขจีมิอาจทัดเทียมกับสีสัน ข้าซึ้งใจกับสิ่งที่ได้รู้เหลือเกิน

“ข้าชอบเจ้า…”

ข้ามิอยากฟัง ทั้งที่ข้ามิอยากฟัง เหตุใดฉินหยูจึงยังคงพูดมันกับข้า

“ข้าชอบเจ้ามากๆ นะเจ้าต้นท้อ”

ข้าไม่สามารถเชื่อผู้ใดได้อีกแล้ว สำหรับข้าแล้ว เจ้าได้จากข้าไปเนิ่นนานเสียแล้ว ข้าในตอนนี้ ไม่คิดจะฟังเจ้าอีกแล้ว

“แค่กๆ ข้ากำลังจะตาย รู้หรือไม่” ฉินหยูทิ้งตัวลงนั่งข้างข้า เอนหลังพิงกับลำต้นใหญ่ของข้าราวกับต้องการพักพิง แต่เขามิเคยรู้…ว่าเขากำลังทำให้ข้า อ่อนแออีกแล้ว

“ข้าผิดต่อเจ้า ทั้งที่บอกว่าชอบเจ้า กลับทิ้งเจ้าให้ต้องโดดเดี่ยวเสมอ”

ไม่…ข้าไม่อยากฟัง

“เจ้าอาจจะโกรธข้า แต่ข้าปรารถนาให้เจ้าเข้าใจข้า ข้าไม่สามารถทิ้งหน้าที่ของข้าได้” ใบหน้าของฉินหยูช่างเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย แต่ริมฝีปากกลับมีรอยยิ้ม ทว่ามันช่างดูขมขื่นเสียเหลือเกิน

“หากชีวิตหน้าข้าได้พบเจ้าอีกครั้ง ข้าปรารถนาเหลือเกิน ที่จะอยู่กับเจ้าให้นาน หากเจ้าเป็นมนุษย์ ข้าคงพาเจ้าไปเที่ยว ไปดูสิ่งต่างๆ ให้เจ้าได้สนุกได้ยิ้ม หัวเราะไปกับข้า อึก! แค่กๆ” ข้าได้แต่มองฉินหยูที่ไอออกมาอย่างทรมาน ของเหลวสีแดงสดถูกฉินหยูพ่นออกมาจากริมฝีปาก ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดฉินหยูจึงได้ทรมานนัก

“หากเจ้า อึก เป็น มะ มนุษย์ แค่กๆ ก็ อึก คง ดะ ดี” ริมฝีปากของฉินหยูเปื้อนยิ้ม รอยยิ้มที่คล้ายคาดหวังที่ข้าไม่เข้าใจ ฉินหยูคงเหนื่อย จึงได้หลับไปเช่นนี้ ข้าเสียใจนัก ที่ไม่อาจจะห่มไออุ่นให้เขาได้ เสียใจที่ทำได้เพียงเป็นแหล่งพักพิงได้เท่านั้น บุตรชายและบุตรสาวของฉินหยูต่างวิ่งออกมาอย่างตื่นตระหนก มองฉินหยูที่นอนนิ่งอย่างเสียใจ

“พี่ใหญ่ ท่านพ่อ ท่านพ่อเป็นเช่นไรบ้าง” บุตรชายคนโตของฉินหยูถอนหายใจแล้วส่ายหน้า ข้าไม่อาจเข้าใจในการกระทำเช่นนั้น ได้แต่มองส่งร่างของสหายคนสำคัญที่ถูกอุ้มเข้าไปในตัวบ้านอย่างไม่อาจละสายตา เสียงร้องบางอย่างกำลังบอกข้าว่า ข้าจะไม่ได้พบกับฉินหยู เด็กน้อยที่เคยบอกว่าชอบข้าอีกแล้ว จะไม่มีเด็กผู้นั้นให้ข้าได้นึกรำคาญใจอีกแล้ว

ทำไมนะ ทำไมหัวใจของข้าถึงเจ็บปวดนัก

ฉินหยูเพียงแค่หลับไป แค่หลับไปชั่วครู่ วันพรุ่งนี้ ฉินหยูจะต้องมาคุยกับข้าอีกแน่ เพียงแค่ข้าเฝ้ารอ













แต่การเฝ้ารอของข้าช่างว่างเปล่า ฉินหยูหายไปจากที่นี่ ไม่ว่าข้าจะมองออกไปทางใด ก็มิเคยพบเห็นฉินหยูอีก ฉินหยูที่มักจะยิ้มแย้มออกมาหาข้า มักจะมาพูดกับข้าด้วยคำว่าชอบเจ้า กลับหายไปจากข้า

อีกแล้วสินะ ข้าต้องโดดเดี่ยวอีกแล้วใช่หรือไม่ เมื่อไหร่ข้าจะหลุดพ้นจากความเจ็บปวดนี้เสียที เมื่อไหร่ข้าจึงจะสามารถอยู่กับผู้ใดได้ตลอดไปเสียที ข้าไม่อยากจะต้องโศกเศร้ากับความโดดเดี่ยวของข้าอีกแล้ว ข้าไม่อยากพบเจอทันอีกแล้ว ข้าอยากหยุดมัน อยากหยุดความโหดร้ายนี้ให้มันจบสิ้น

เวลาผ่านไปเนิ่นนานนัก สกุลลู่ยังคงรุ่งเรืองขึ้น ข้าเองก็ยังคงอยู่ที่นี่ไม่เคยไปไหน เฝ้ามองลูกหลานของสหายคนสำคัญเติบโตอย่างจดจ่อ หวังเพียงว่าสักวันข้าจะพบกับฉินหยูอีกครั้ง ฉินหยูที่บอกว่าชอบข้า ฉินหยูที่ในตอนนี้มิอาจจะรู้ได้ว่า…ไปอยู่ที่ใด

ยิ่งสายลมโหมพัด พายุฝนกระหน่ำตกหนักจนตัวข้าเปียกโชก ความหนาวเย็นไม่เคยทำให้ตัวข้าที่เป็นต้นท้อต้องทรมานเลยสักครั้ง แต่ความหนาวเหน็บภายนอกนั้นเป็นกลับพัดพาเอาความทรมานในใจของข้าให้ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นต่างหาก เหล่าดอกไม้ต่างๆ รอบกายข้า บ้างก็มิอาจจะทนต่อแรงลมจนต้องล้มตายไปในที่สุด ทั้งที่ข้าก็พยายามแผ่ร่มเงาของตนออกไป เพื่อปกป้องพวกเขาอย่างสุดความสามารถ แต่กลับช่วยอะไรพวกเขามิได้

สุดท้ายก็เหลือเพียงข้าแค่ผู้เดียวที่ยังคงอยู่

เหลือเพียงข้าที่มิอาจล้มตายไปอย่างผู้ใด…

จวนเวลาเลยผ่านไปกว่า500ปี ข้ามองสกุลลู่ที่บัดนี้มิได้เติบโตและรุ่งเรืองอีกต่อไปแล้ว ข้ามิอาจจะหาสาเหตุได้เพราะตัวข้าเป็นเพียงต้นท้อเท่านั้น แต่ข้ากลับเสียใจ เสียใจแทนบรรพชนสกุลลู่ที่เร่งสร้างความรุ่งเรืองแก่สกุลลู่ขึ้นมา กลับต้องมาพังทลายล้มลงเสียไม่เป็นท่าเช่นนี้ หากฉินหยูรู้...คงทรมานใจ

500ปีที่ผ่านมานี้ทำให้ข้าได้รู้ความจริงข้อหนึ่งที่ข้าเฝ้ามองหามานาน นั่นคือฉินหยู สหายคนสำคัญของข้าหายไปไหน แท้จริงแล้ว ฉินหยูมิได้จากไปไหนเลย เขาเพียงหมดสิ้นซึ่งอายุขัยของมนุษย์ ด้วยมนุษย์นั้นมีอายุขัยที่สั้นนัก เพียงไม่ถึง100ปีก็สิ้นลมหายใจ ตายตกไปเสียแล้ว ข้าที่เป็นต้นท้อมาเนิ่นนาน ได้แต่ต้องเฝ้ามองสหายคนแล้วคนเล่า ต้นแล้วต้นเล่า ตายไปต่อหน้าต่อตา

ข้ายังมีสิ่งใดให้เรียกว่าความสุขอีกหรือ

อี้เหริน เจ้าช่างตั้งชื่อข้าได้เหมาะนัก ท้อโศกศัลย์...ช่างเหมาะจะเรียกข้าเสียจริง

ข้าได้แต่ยิ้มและหัวเราะไปกับสายลม ปล่อยให้ความโศกเศร้าและโดดเดี่ยวกัดกินรอยยิ้มให้มันสูญหายไปอย่างช้าๆ จิตใจไร้สิ่งใดยึดมั่นจนกลายเป็นเลื่อนลอย ปล่อยผ่านคือและวันไปโดยมิคิดจะสนใจใดๆ ได้แต่กลืนกินแสงจันทราเข้าสู่ลำต้นหล่อเลี้ยงมันด้วยจิตวิญญาณของข้าเอง พลังหยินที่เรียกว่าพิษสำหรับมนุษย์ สำหรับข้ามันช่างให้ความรู้สึกดีเหลือเกิน ข้าคงไม่อาจจะเป็นสหายกับมนุษย์ผู้ใดได้ และอาจจะไม่เหมาะจะมีความรู้สึกนึกคิดเช่นผู้ใดอีกเช่นกัน

กาลเวลาที่หมุนเวียนผันเปลี่ยนไป ความเป็นมนุษย์เริ่มรุกล้ำเข้ามาใกล้ ราวกับจะมิยอมให้ข้าหนีหายไปจากมัน ทั้งที่ตัวข้าเลือกแล้วว่าจะไม่สนใจมนุษย์ผู้ใดอีก เพราะทุกสิ่งล้วนแต่ต้องแตกดับและสิ้นชีวิตไปอยู่ดี แต่ข้าก็ยังถูกจองจำอยู่ตรงที่เดิม มิอาจจะขยับไปที่ใดได้ ต้องทนเฝ้ามองสกุลลู่ที่ไร้อำนาจ ตัดพ้อต่อสวรรค์ ตัดพ้อต่อโชคชะตา ทั้งที่พวกเขาเองต่างหากที่ทำให้มันมิหลงเหลือสิ่งใด

500ปีผ่านไปอีกครั้ง ข้าก็ยังคงนั่งมองสิ่งเก่าๆ ที่เป็นเช่นเดิมหมุนผ่านไป ข้าไร้ใจหรือแน่นอนว่าย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ทว่าในความไร้หัวใจของข้า ล้วนแต่ถูกความเศร้าหมองกัดกินเสียจนด้านชาเท่านั้น ในที่สุดสกุลลู่ก็พ้นเคราะห์กรรม เมื่อบุตรชายคนหนึ่งของสกุลลู่ที่มีนามว่าลู่ฮุ่ยเจิงผู้นี้ ช่างคล้ายกับอี้เหรินนัก ลู่ฮุ่ยเจิงขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้จนดิ้นรนหลุดออกจากความลำบากที่บรรพบุรุษทำเอาไว้ได้

ข้าเผลอดีใจกับเขา ดีใจที่ในที่สุดก็มีลูกหลานคนหนึ่งของสหายรัก นำความรุ่งเรืองกลับมายังสกุลของสหายเก่า แต่ข้าลืมไป...ลืมไปว่าข้ามิควรจะสนใจในตัวตนของเหล่ามนุษย์อีกแล้ว เขาในตอนนี้เพียงแค่ความโดดเดี่ยวมันก็ดีเหลือเกินแล้ว หากมิใส่ใจต่อสิ่งใด ก็จะไม่มีวันเจ็บปวดขึ้นมา และข้าช่างโชคดีเหลือเกินที่ทำเช่นนั้นได้

ลู่ฮุ่ยเจิงตบแต่งกับหญิงสาวคนหนึ่ง นางเป็นหญิงที่งดงามและเพียบพร้อม ทั้งที่เป็นเช่นนั้นทว่าข้ากลับไม่อาจสัมผัสได้ถึงความรักของทั้งสอง ต่างจากเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายฮุ่ยเจิงเสียอีก เด็กผู้นั้นกลับทำให้รอบกายของลู่ฮุ่ยเจิงเต็มไปด้วยบรรยากาศแสนหวานและรอยยิ้ม มิว่าเด็กผู้นั้นจะบ่นอะไรออกมา จะทำหน้าตาราวกับโกรธเคืองสักเพียงใด ลู่ฮุ่ยเจิงก็เพียงหัวเราะและยิ้มรับ บางครั้งก็ตอบรับคำสั้นๆ ทั้งที่มีเพียงเท่านั้น ข้ากลับสัมผัสได้ว่า...นี่ต่างหากคือรักที่แท้จริง

“หลานข้าคลอดแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ลี่หยาง” ถังลี่หยางที่ยืนอยู่เคียงข้างยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้ารับคำของเจ้านายเท่านั้น

“ข้าปลื้มใจเหลือเกิน ในที่สุด...จวนแห่งนี้ก็จะมีผู้ดูแลเสียที”

“ถึงอย่างไรนายท่านก็ต้องรอจนนายน้อยเติมโตขึ้นอีกนะขอรับ”

“หึหึ นั่นสิ” ลู่ฮุ่ยเฟิงทอดสายตามองมายังข้า ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามิเคยสนใจในตัวข้าสักครั้ง เขาหลงใหลให้กับความงดงามของเหล่าดอกไม้ ข้าที่มีเพียงความขจีหรือจะไปสู้ผู้ใดได้อีก ลู่ฮุ่ยเจิงเดินเข้ามาหาข้าช้าๆ ก่อนจะหยุดอยู่เบื้องหน้าข้าโดยมีถังลี่หยางเดินตามมาติดๆ ฝ่ามือของลู่ฮุ่ยเจิงสัมผัสลำต้นของข้าเบาๆ ใช้มืออันอบอุ่นลูบเปลือกผิวของข้าอย่างแผ่วเบา

“รู้หรือไม่ลี่หยาง...”

“อะไรหรือขอรับนายท่าน”

“ตระกูลข้านั้น บอกต่อกันมาอย่างยาวนานว่า วันหนึ่งจะมีผู้มาดูแลต้นท้อต้นนี้ เขาจะมาทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ข้ามิเคยเข้าใจเลยสักครั้ง ไม่ว่าข้าหรือพี่น้องคนใดต่างก็มิได้สนใจต้นท้อที่ไร้ดอกต้นนี้ แล้วผู้ใดกันที่จะมาดูแลต้นท้อที่มิเคยผลิดอกสักครา” นั่นสิ...ตัวข้าเองเป็นเพียงท้อไร้ดอก เป็นเพียงท้อโศกศัลย์ที่กลืนกินพลังหยาง หล่อเลี้ยงด้วยความโศกเศร้า ผู้ใดไหนเลยจะปรารถนามาดูแลข้า เพราะเพียงแค่มองเห็นข้า ยังยากจะมี ตัวตนของข้ามิเคยอยู่ในสายตาผู้ใด

“หากบรรพบุรุษของนายท่านกล่าวเช่นนั้นจริง...สักวันหนึ่งจะต้องมีคนผู้นั้นมาอย่างแน่นอนขอรับ”

“ข้าก็หวัง...ให้เป็นเช่นนั้น”

แต่ข้ามิคาดหวังใดๆ เพราะหากข้าจดจ่อและคิดคาดหวัง ตัวข้าก็จะมีความโศกเศร้าเพิ่มขึ้น เพียงตอนนี้ข้าก็มิอาจจะรับมันได้อีกแล้ว ตัวขาจึงเลือกจะมิสนใจสิ่งใดๆ เฝ้ามองเพียงท้องฟ้า นับวันเวลาที่ผันผ่านไปเท่านั้น หากข้าจดจ่อกับสิ่งมีชีวิต ตัวข้าเองที่จะต้องปวดร้าว และข้า...มิอาจรับไหวอีก

เนิ่นนานหลายปีจนเส้นผมของลู่ฮุ่ยเจิงกลายเป็นสีขาว ข้าก็พบความแปลกใจที่ในวันนี้ข้างหายของเขานั้นมีเด็กชายผู้หนึ่งเคียงข้างมา และข้ายิ่งตกใจเมื่อเด็กผู้นั้นชี้มาที่ข้า มองเห็นตัวตนของข้าจากความงดงามที่ชวนให้มอง ข้ารู้สึกประหลาดอย่างอาจจะอธิบาย ได้แต่รอคอยเพียงเพื่ออยากมองใบหน้าของเด็กผู้นั้นชัดๆ ทั้งที่มิควรคาดหวัง แต่ข้ากลับหยุดความคาดหวังให้ดับลงไปมิได้

เด็กน้อยผู้นั้นมองฮุ่ยเจิงที่เดินออกไป ตัวของเขาวิ่งเล่นกับเหล่าสัตว์เล็กๆ และสนุกสนานกับเด็กชายที่เดินเคียงข้างเขามา ข้ามองมันด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่หายไปจากข้ามาเนิ่นนาน ทว่าบัดนี้ มันกลับมาแล้ว กลับมาพร้อมกับความรู้สึกที่ข้าไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้นซ้ำสอง เพราะรู้ดีว่ามันจะจบเช่นไร ทั้งที่ข้ารู้ดีกลับหยุดยั้งมันเอาไว้ไม่ได้ เด็กน้อยผู้นั้นชะงักขาตนเองที่กำลังวิ่งให้หยุดลง ก่อนที่ร่างของเขาจะหมุนตัวกลับมาที่ข้า พร้อมกับฝีเท้าที่เร่งเดินมาหาข้าอย่างรวดเร็ว จนเขามายืนอยู่เบื้องหน้าข้าแล้ว และข้าเองก็ตกใจเช่นกัน

เด็กผู้นี้...ช่างคล้ายฉินหยูเหลือเกิน

ใบหน้าของเด็กน้อยผู้นี้ช่างเหมือนเหลือเกิน เหมือนกับลู่ฉินหยูของข้าเมื่อยามเยาว์วัยนัก ทั้งดวงตาหรือแม้แต่รอยยิ้มของเด็กผู้นั้นก็คล้ายเสียจนราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกัน

“มีอะไรหรือขอรับนายน้อย ต้นไม้ต้นนี้มีสิ่งใดที่แปลกประหลาดหรือขอรับ”

เด็กน้อยท่าทางเปรอะเปื้อนไปทั้งร่างกาย เอ่ยถามเด็กน้อยผู้นั้นที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับฉินหยูอย่างไม่เข้าใจ ข้ามองตรงไปยังเด็กผู้นั้น เด็กน้อยเองก็มองข้ามิยอมหลบเลี่ยงสายตาไปเช่นเดียวกัน ใจข้าเต้นระทึก เสียงบางอย่างร่ำร้องและเรียกหาให้ข้าโอนเอนกิ่งก้านเข้าไปหาเด็กผู้นั้น ทว่าข้าหรือจะทำได้ จะทำได้เช่นไรเล่า เมื่อเด็กผู้นั้นอาจจะมิใช่...มิใช่สหายของข้าคนนั้น

ทั้งที่เกิดความสับสนใจหัวใจข้า แต่ทว่าข้ากลับปรารถนาที่จะให้มันเป็นจริงเสียเหลือเกิน ทั้งที่ข้าอยากให้มันจบลงไปแล้วมิต้องเริ่มมันขึ้นมาอีก แต่จะทำได้หรือ ใจข้าทานทนต่อความปรารถนาที่เรียกร้องได้จริงๆ หรือ เด็กน้อยผู้นั้นทั้งที่มีเพียงใบหน้ารอยยิ้ม และดวงตาเท่านั้นที่คล้ายคลึง ข้ายังแทบทนไม่ได้ ตื้นตันและดีใจจนท่วมท้นเช่นนี้ มีหรือที่ข้าจะหยุดยั้งตนเองเอาไว้ได้อีก

ไม่มีทาง ข้ามิได้แข็งแกร่งดุจดั่งหินผา

ที่ผ่านมาหลายร้อยปี เพียงเพราะฉินหยูหายไปจากข้า มิได้มาให้ข้าพบ ข้าจึงได้ทำใจแข็ง ยอมทานทนรับความโดดเดี่ยวเอาไว้ในหัวใจของตนเอง มิยอมสนิทกับผู้ใดอีก ที่จริงแล้วมันก็เพียงเพราะข้าเฝ้ารอ เฝ้ารอที่จะพบฉินหยูอีกสักครั้ง ฉินหยูที่เคยพร่ำเพ้อบอกว่าชอบข้า แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงต้นไม้ที่มิสามารถขยับเขยื้อนได้ตามใจปรารถนา

เด็กน้อยผู้นั้นมองข้าอย่างแน่วแน่ ดวงตาคมดุมองข้าอย่างจับจ้องโดยที่ข้ายังคงมองเขากลับไปเช่นกัน ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจะกว้างขึ้นเล็กน้อย แต่กลับยิ้มไปทั้งดวงตา ฝ่ามือเล็กไล่ไปตามเปลือกไม้ของข้า เหมือนดังเช่นที่ฉินหยูมักจะทำกับข้าอยู่เสมอ สัมผัสอันแสนคุ้นเคยกระตุ้นให้ห้วงอารมณ์ที่แสนอ่อนไหวของข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ

คิดถึง คิดถึงเจ้าเหลือเกิน

ทั้งที่อยากจะเอ่ยคำนี้สักพี่ครั้ง ข้าก็ทำได้เพียงแค่โบกกิ่งให้ใบอันเขียวขจีของข้าได้ลู่ไปจนเกิดแรงลม ทั้งที่ข้าปรารถนาอยากจะบอกออกไป แต่กลับทำไม่ได้ ใจข้าร้าวรานมากเท่าใด ก็มิอาจให้เจ้ารับรู้ได้ การเป็นข้านั้น ทรมานยิ่งนักเจ้ารู้หรือไม่ เจ้าเวียนว่ายตายเกิด ทว่าข้ากลับต้องทุกข์ทนอยู่กับการจากไปของเจ้าและเหล่าดอกไม้อื่นๆ ทั้งที่ข้าอยากอยู่กับเจ้า แต่ข้าก็เป็นเพียงต้นท้อ ต้นท้อที่ไร้สีสันให้ผู้ใดได้สนใจ มีเพียงความโศกเศร้าที่แผ่ออกมาจากข้าเท่านั้นที่มีตัวตน

“ข้าก็คิดถึงเจ้านัก” ศีรษะของเด็กน้อยแตะลงบนเปลือกไม้ของข้าราวกับต้องการให้ข้าได้รับรู้มันด้วยหัวใจ ราวกับเขารับรู้ได้ถึงความคิดถึงที่ข้ามี

“นายน้อย...” สำหรับเด็กอีกคน นี่คงมิได้ปกตินัก การที่เห็นเจ้านายของตนเอ่ยคำว่าคิดถึงกับต้นไม้ มิมีผู้ใดหรอกที่ไม่มองว่ามันแปลก

“ข้า...มาตามสัญญาแล้วนะ”

ข้ารู้ และครั้งนี้จะเป็นข้าที่อยู่กับเจ้าเอง
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Special I ก่อนดอกท้อจะผลิบาน. up.21/07/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 21-07-2019 16:34:55
(ต่อจ้า)

จากวันนั้นไปข้าก็ได้รู้นามของเด็กน้อยคนนั้น ที่มิใช่ลู่ฉินหยูอีกต่อไป ทว่าเป็นลู่เฟยหลงไปแล้ว ในครานี้ลู่เฟยหลงต้องเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงกับผู้เป็นบิดาและมารดา เหลือเพียงข้าเท่านั้นที่มิได้ไปที่ใด ยังคงเฝ้ารอคำสัญญาที่จะได้ใช้มันด้วยกัน เฝ้ารอว่าสักวันหนึ่งนั้น ลู่เฟยหลงจะกลับมา กลับมาเคียงข้างกันดังเช่นที่เขาปรารถนาในภพที่เขายังเป็นลู่ฉินหยู

ข้าเฝ้าอ้อนวอนภาวนา ร้องขอต่อองค์เง็กเซียนและกักเก็บพลังจากจันทราอย่างสม่ำเสมอ วิงวอนให้ท่านเทพบนสวรรค์ผู้สูงศักดิ์ได้โปรดเห็นใจต่อข้าผู้นี้ที่มีความปรารถนาอันแรงกล้าที่ต้องการมีชีวิตและร่างกายเช่นมนุษย์ทั่วไป เพียงเพื่อเขา เขาผู้นั้นที่สักวันจะกลับมาหาข้า

และในที่สุด...สวรรค์ก็ตอบรับข้า

องค์เง็กเซียนลงมาหาข้าด้วยองค์เอง ใบหน้าขององค์เง็กเซียนนั้นมีร่องรอยความโศกเศร้าประหลาดที่ข้ามิอาจเข้าใจได้ แววตาที่มองข้าราวกับพบบางสิ่งที่สูญหายทว่ากลับกำลังจะเสียมันไปอีกครั้ง ข้า...ไม่เข้าใจ

“เจ้าปรารถนาสิ่งใด” น้ำเสียงอันทรงพลังเอ่ยถามอย่างเรียบเฉย แต่หัวใจข้ากลับสั่นและปวดหนึบ

“ข้านั้นปรารถนาจะได้ใช้เวลากับเขาผู้นั้นขอรับ ปรารถนาจะได้รูปกายเช่นดังมนุษย์ทั่วไปเพื่อที่ข้าจะได้อยู่กับเขาขอรับ” องค์เง็กเซียนถอนหายใจ มองข้าราวกับว่ามิแปลกใจในสิ่งที่ข้าร้องขอ แต่แววตาของพระองค์กลับเต็มไปด้วยความเศร้าโศก

“หากข้าให้เจ้า ย่อมรู้ใช่หรือไม่ ว่าย่อมมิอาจจะได้มาโดยมิแลกเปลี่ยน” มิมีสิ่งใดได้มาโดยเปล่า ข้อนี้ข้าย่อมรู้ดี และข้าย่อมเตรียมใจมาแล้ว สำหรับทุกสิ่ง

“ข้าทราบดีขอรับ...แต่ไม่ว่าสิ่งที่ข้าต้องสูญเสียจะเป็นสิ่งใด ข้ายินยอมทั้งสิ้น” องค์เง็กเซียนเม้มริมฝีปาก นัยน์ตาคู่ดุสั่นไหว

“เพียงเพื่อเขา ไม่ว่าสิ่งใดก็จะแลกเช่นนั้นหรือ?” ข้ายิ้มกลับไปอย่างมีความสุข ขอเพียงได้อยู่ชิดใกล้เขาผู้นั้น มิว่าสิ่งใด

“มิว่าสิ่งใด ข้าก็พร้อมยอมแลกมันอย่างแน่นอนขอรับพระองค์”

“หากเจ้ามั่นใจเช่นนั้นแล้ว ข้าคง...ห้ามอะไรเจ้ามิได้”

ข้าเพียงยิ้มและก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม

“จากนี้ไปเป็นเวลาหนึ่งร้อยราตรี เจ้าจะมีร่างกายดั่งเช่นมนุษย์ทั่วไป แต่ทว่าสิ่งที่เจ้าต้องแลกมันมา คือจิตวิญญาณของเจ้า” ข้าเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าขององค์เง็กเซียนอย่างไม่เข้าใจ

“เมื่อสิ้นสุดหนึ่งร้อยราตรี เจ้า...จะดับสูญไปดั่งเช่นวัฏจักรอื่นๆ โดยไม่มีข้อแม้” ดับสูญเช่นนั้นหรือ

หากนั้นคือข้อแลกเปลี่ยนเพียงเพื่อคนที่ข้าเฝ้ารอ

“ข้ายินยอมรับมันขอรับ ขอบพระทัยองค์เง็กเซียนที่กรุณาต่อข้า”

“ไม่...” องค์เง็กเซียนหันหลังให้ข้า “มันมิใช่ความกรุณาของข้า แต่เป็นสิ่งที่เจ้าปรารถนาต่างหาก”

องค์เง็กเซียนหายไปราวกับว่ามิเคยปรากฏตัวต่อหน้าข้ามาก่อน ข้าได้แต่มองภาพติดตาขององค์เง็กเซียนด้วยหัวใจที่ปวดหนึบ มิอาจจะเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใด ได้แต่เพียงปล่อยผ่านมันไปก็เท่านั้น

หนึ่งร้อยราตรีเพื่อแลกกับชีวิตทั้งชีวิตของข้า นับว่าคุ้มแล้ว เพียงแค่ได้พบเจอเจ้า ได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้าเท่านั้นเฟยหลง เพียงเพื่อเจ้า ข้ายอมทิ้งทุกสิ่ง แม้แต่ชีวิตของข้าเอง

“เจ้าคือผู้ใดกัน?”

“เจ้ามาจากที่ใดหรือ?”

“ข้ามาจาก...ที่นั่น”

“จากต้นท้อหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? เจ้าจะบอกข้าว่าเจ้าออกมาจากต้นท้อได้เช่นนั้นหรือ”

“ถูกแล้ว ข้าออกมาจากต้นท้อจริงๆ”

“เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้น"

"..."

"หรือเพราะเจ้ารังเกียจที่ข้ามิใช่มนุษย์ เจ้าจึงได้มองข้าเช่นนั้นใช่หรือไม่"

"ข้าหรือรังเกียจ? เห็นข้าเป็นเช่นคนใจแคบเช่นนั้นหรือ? "

"ข้าเพียงแปลกใจก็เท่านั้น มิได้รังเกียจใดๆ ในตัวเจ้าเลย บอกช้าหน่อย เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ? "

“ข้าชื่อหยางเถา…”


แม้เจ้าจะจำสิ่งใดมิได้ ข้าก็ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างเจ้าเท่านั้น ข้าจะทำตามสิ่งที่เจ้าปรารถนา จะใช้เวลาอยู่กับเจ้า จวบจนชีวิตของข้าจะดับสูญไป ลู่เฟยหลง







มาแล้วจ้าาาา เอาความหลังของน้องมาเสริฟก่อนเลยแล้วกัน จะปวดตับกระชากไตก็ต้องไปกันให้สุดเนอะ เราจะได้นับทิชชู่ที่เช็ดน้ำตาไปพร้อมกัน~

ปล. เนื่องจากทางเล้ามีกฎว่าห้ามลบเนื้อหา เพราะงั้นแมวจะลงตอนพิเศษให้อ่านแค่ตอนเดียวนะคะ ถ้าหากใครต้องการอ่านตอนพิเศษเพิ่มโปรดค้นหาเรื่องนี้จากgoogle นะคะ แต่มีเวลาเพียงสองอาทิตย์เท่านั้นนะคะ จากนั้นแมวจะทำการลบเนื้อหาตอนพิเศษในเว็บอื่นๆทันทีและไม่มีการลงซ้ำเด็ดขาด ขอบพระคุณที่ติดตามอ่านมานะคะ
:pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Special I ก่อนดอกท้อจะผลิบาน. up.21/07/62 [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-07-2019 23:37:48
 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Special I ก่อนดอกท้อจะผลิบาน. up.21/07/62 [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-07-2019 03:29:10
เราอยากให้สมหวังจัง
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Special I ก่อนดอกท้อจะผลิบาน. up.21/07/62 [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 28-07-2019 20:59:22
ไปหาอ่านตอนพิเศษเพิ่ม
แล้วอยากรู้เลยว่าหยางเถากับเง็กเซียน
เกี่ยวข้องกันยังไง?
ยังมีปมค้างอยู่เลยจะมีเรื่องต่อไหม?
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Special I ก่อนดอกท้อจะผลิบาน. up.21/07/62 [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 12:31:10
 :pig4:
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Special I ก่อนดอกท้อจะผลิบาน. up.21/07/62 [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: nonocong ที่ 04-05-2021 20:09:01
เศร้า :hao5: :hao5: :hao5: :pig4:
หัวข้อ: Re: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Special I ก่อนดอกท้อจะผลิบาน. up.21/07/62 [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 07-05-2021 15:21:26
เนื้อเรื่องสนุกมากเลยค่ะ
เราชอบอ่านแนวจีนโบราณมากๆ
แต่ว่าเรื่องนี้จบไม่เคลียเลยค่ะ
ยังมีปมที่ยังไม่ได้ไขอีกหลายเรื่องเลยค่ะ
จ้าวมู่เป็นอะไรกับอย่างเถา และองค์เง๊กเซียนเป็นอะไรกับหยางเถาด้วย