เสียงจิ้งหรีดกรีดร้องกับความมืดที่เริ่มปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง เฟยหลงยืนมองจันทราที่สว่างไสวด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง สายลมเอื่อยพัดผ่านร่างสูงอย่าแผ่วเบา กลิ่นหอมอ่อนๆ จากที่อันแสนไกลลอยมาตามสายลมจนเฟยหลงเผลอสูดดมเข้าไป กลิ่นหอมเช่นนี้ลอยมาจากที่ใดกัน??
ยิ่งสงสัยเท้าใหญ่ก็ค่อยก้าวไปยังต้นทางของกลิ่นอันน่าอภิรมย์ ช่างหอมหวนยิ่งนัก กลิ่นหอมเช่นนี้ราวกับมันคือกลิ่นกายที่แสนจะคุ้นเคย หัวใจภายในอกแกร่งเต้นแรงจนเจ้าของร่างสั่นไหว ความคิดคนึงหาแทบจะพาเขาเหาะไปให้เร็วที่สุด กลิ่นใดกันหนอ ไยจึงทำใจข้าเต้นรัวได้ถึงเพียงนี้
ร่างสูงใหญ่หยุดยืนอยู่เบื้องหน้า เมื่อกลิ่นหอมที่เฟยหลงหลงไหลนั่นดูเหมือนจะสิ้นสุดอยู่นี้ น่าแปลก ไม่มีผู้ใดสักคนแท้ๆ ไยกลิ่นที่เขารับรู้ถึงมิคลายไป กลับยิ่งหอมรัญจวนใจมากขึ้น สิ่งใดกันหนอคือเจ้าของความหอมหวานที่เขาพึงใจ เมื่อเบื้องหน้าเขานั้น มีเพียง.....ท้อโศกศัลย์ แต่เจ้าต้นไม้นี่ มิเคยผลิดอก จะส่งกลิ่นได้อย่างไร
เฟยหลงยกมือขึ้นเอื้อมออกไปหวังแตะต้นไม้ต้นใหญ่ตรงหน้า ความรู้สึกเศร้าสร้อยถูกท่ายเทมาจนรู้สึกได้ สายลมพัดมาวูบใหญ่จนเขาเผลอลูบลำต้นใหญ่ด้วยความสงสาร
“เหตุใดจึงเศร้านักเล่า เจ้าต้นท้อ”
เฟยหลงรู้ มิมีผู้ใดตอบกลับมาเพราะเขากำลังพูดคุยกับต้นไม้ใหญ่ ใบเขียวสะบัดไปมาตามแรงลม เสียงใบไม้เสียดสีราวกับเสียงร่ำไห้ของต้นท้อ ยิ่งทำให้บรรยากาศรอบกายเศร้าเสียจนอยากโอบกอดเอาไว้ ปลอบประโลมให้หายแม้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดก็ตาม
“หากอ้อมกอดข้าจะช่วยบรรเทาความเศร้าของเจ้าลงได้ ข้ายินดีโอบกอดเจ้าทุกวัน”
เฟยหลงทำอย่างที่กล่าวจริงๆ อ้อมแขนโอบรัดรอบลำต้นใหญ่ แม้จะไม่อาจโอบได้จนรอบ แต่เฟยหลงพร้อมจะถ่ายเทความอบอุ่นที่เขามีให้ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ ได้รู้สึกดีแม้เพียงน้อยนิดก็ตาม ท้อโศกศัลย์เป็นต้นเดียวที่เป็นต้นไม้ใหญ่ รอบๆ มีเพียงดอกไม้แม่ต้นหญ้าเรียงราย
เหงามากใช่รึไม่
อยู่มานับพันปีด้วยความโดดเดี่ยว มองดูเหล่าดอกไม้รอบๆ ค่อยๆ แห้งเหี่ยวและโรยราทั้งที่ตนยังคงยืนอยู่ตรงนี้มาตลอด ทำได้เพียงแค่มองดูเพื่อนๆ ค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา ช่างน่าสงสารเสียจริง เพราะเช่นนี้ ถึงมิยอมผลิดอกออกผลสินะ
น้ำใสๆ ไหลจากใบหน้าเฟยหลง อาจเพราะใบหน้าเฟยหลงแนบอยู่กับลำต้นใหญ่นั้น จึงทำให้หยาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาถูกเปลือกสีเข้มดูดซับไปจนหมด
“เจ้าเช็ดน้ำตาให้ข้าหรือ อ่อนโยนเหลือเกิน ทั้งที่ข้าต้องเป็นฝ่ายประโลมเจ้าแท้ๆ”
เหตุใดกันนะเขาจึงได้รู้สึกผูกพันธ์ลึกซึ้งจนมิอาจให้ต้นท้อตรงหน้าโศกเศร้าได้ ปวดหัวใจเหลือเกินที่ต้องคิดถึงความรู้สึกของเจ้านี่ที่ต้องค่อยๆ มองดูเพื่อนๆ ของตัวเองตายไป อย่าเศร้านักเลยเจ้าท้อ หัวใจข้าจะขาดอยู่แล้ว
แขนแกร่งค่อยๆ คลายอ้อมกอดออก สายลมพัดเข้ามาวูบใหญ่จนร่างสูงรู้สึกดีขึ้นอย่างน่าประหลาด หากความรู้สึกดีของเขาจะส่งให้เจ้าต้นไม้ต้นนี้ได้บ้างคงดี ยิ่งเงียบสงบ เฟยหลงยิ่งมิอาจจะละสายตาจากต้นท้อผู้ไร้ดอกและผลได้ ใบไม้สีเขียวยามต้องแสงจันทร์ก็ดูเข้ากันอย่างน่าชม มองๆ ไปก็เพลิดเพลินตาได้ดี หากเขาเอาแต่หมกตัวอ่านตำรา มีหวังได้บ้าเสียก่อนเป็นแน่
อากาศรอบๆ ที่โอบกอดเจ้าต้นท้อช่างบริสุทธิ์ กลิ่นหอมที่ต้องใจยังคงลอยมามิขาดหาย กลิ่นที่ทำให้เขารู้สึกพึงใจและผ่อนคลาย หากเขารู้ว่ามันคือสิ่งใด เขาคงไม่วายเก็บมันไปไว้ข้างกายเป็นแน่ ราตรีที่แสนจะเหน็บหนาวสำหรับใครๆ เหตุใดตัวเขาจึงพึงใจและชื่นชอบกันนะ คงเป็นเรื่องแปลกแน่ ถ้าหากมีใครมารู้เข้า คงไม่วายว่าเขาเสียสติจากการอ่านตำรา
เฟยหลงตัดสินใจจะเดินกลับเข้าไปในห้องของตนเอง ทันทีที่หันหลัง กลิ่นหอมหวานก็รุนแรงขึ้นราวกับว่าต้นตอของกลิ่นนั้นได้มาอยู่ใกล้ๆ เฟยหลงชะงักเท้าที่กำลังก้าวรีบหันกลับมาด้วยความอยากรู้ ตาเรียวคมเบิกกว้างมองสิ่งที่สะท้อนอยู่ในแววตาตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
ดอกท้อสีชมพู มันกำลังบานอยู่ตรงหน้าข้าจริงหรือนี่!!!
จะว่าไม่แน่ใจก็ใช่ เมื่อเขาเองได้ยินมาจากปู่ว่ามันคือท้อโศกศัลย์ แล้วเช่นนี้ มันจะมีดอกมีผลได้อย่างไรกัน ความสงสัยที่ตีรวนขึ้นมานั้น ทำให้เฟยหลงถึงกับต้องยกมือขึ้นขยี้ตาเพราะคิดว่าตนเองล้าจากการอ่านตำราจนตาเฝื่อน แต่เมื่อเฟยหลงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดอกท้อสีชมพูสดใสที่ต้องแสงจันทร์ยังคงบานสะพรั่งอยู่เช่นเดิม
เป็นไปไม่ได้ นี่มันไม่จริง
ยิ่งคิดก็ยิ่งงุนงงเข้าไปอีก หรือนี่จะมิใช่ต้นเดียวกับเมื่อคราวนั้นกันนะ หากแต่ลำต้นใหญ่ที่ดูแข็งแรง ใบหนาปกคลุมไปทั่วกับจุดเดิมที่เมื่อครั้นยังเยาว์เขาได้มาพบมาเจอนั้น ไม่น่าจะผิดต้นไปได้เลย
สองมือเอื้อมไปด้านหน้าหวังจะเชยชมดอกท้อที่เบ่งบานอยู่บนกิ่งนั้น สีสดสวยงามจนเฟยหลงเผลอยิ้มออกมา กลิ่นหอมที่เขาชื่ชอบลอยมาแตะจมูกจนเฟยหลงเองต้องสูดดมเข้าไปจนสุดปอด หอมนัก หอมจนเขาหลงใหลกับกลิ่นนี้เสียเหลือเกิน
สวบ
“ใคร!!!” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบเมื่ออารมณ์สุทรีย์ถูกขัดขึ้นด้วยเสียงเหยียบย้ำบนใบไม้ของใครบางคน ซึ่งเขาแน่ใจว่า พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขาแน่ๆ และคงไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาหาเขามิอนุญาต!
“ออกมา!! ข้าบอกให้เจ้าออกมาจากตรงนั้น!!” สุ่มเสียงวางอำนาจดังขึ้นจนร่างเล็กๆ หลังต้นไม้สะดุ้งด้วยความตกใจ อะไรกัน นี่เขาต้องมาเจออารมณ์ของคนผู้นี้แบบนี้หรือ สายลมพัดเอาผมสีเงินแปลกตาให้ปลิวจนเฟยหลงมองเห็น ยิ่งยามถูกแสงจันทราสาดส่องความเงางามยิ่งเด่นชัดจนเขาอดชื่นชมไม่ได้
“หากเจ้าไม่ยอมออกมา ข้าจัก...”
“ขะ ข้ายอมแล้ว!!”
ใบหน้าหวานกับผมสีเงินทำให้เฟยหลงชะงัก ดวงตากลมโตยามจับจ้องมาที่เขาช่างดูหวาดหวั่น ปลายจมูกเชิดขึ้นกับริมฝีปากบางสีพีชดึงดูดใจจนอยากเข้าไปใกล้ๆ ยามดวงตากลมสีอำพันนั้นกะพริบลงแพรขนตางอนยาวยิ่งเด่นชัดจนน่าอิจฉา ยิ่งรูปลักษณ์ของคนตรงหน้ายิ่งแล้วใหญ่ ผ้าแพรสีขาวที่คนตัวเล็กสวมใส่มิได้ทำให้คนๆ นี้ดูสมชายขึ้นเลยแม้แต่น้อย กลับดูบอบบางน่าถนุถนอมเอาไว้ มิให้แหลกคามือดังบุปผา เฟยหลงตะลึงงันไปกับความงดงามของคนตรงหน้าจนแทบจะลืมหายใจ หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หยางเถาที่ถูกเฟยหลงจับจ้องอยู่ถึงกับทำตัวไม่ถูก ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าสบสายตา แม้จะรู้ดีว่าตนกำลังถูกเพ่งพินิจจากบุคคลตรงหน้าก็ตาม สายตาคู่หวานเองก็มิวายแอบลอบมองใบหน้าของคนที่โอบกอดครั้นเมื่อตอนเขาอยู่ในต้นท้อ คนที่หลั่งน้ำตาให้เขาราวกับเจ็บปวดแทนเขาเสียเหลือเกิน ยิ่งคิดถึงปากบางๆ ก็ขบเม้มจนแน่น สับสนจนเริ่มอะไรไม่ถูก
“เจ้าคือผู้ใดกัน?” ไร้ซึ่งคำตอบ หยางเถาก้มหน้าลงมองพื้นดิน ด้วยมิรู้ว่าจะเอ่ยตอบคนตรงหน้าไปเช่นไรดี ฝ่ายเฟยหลงที่เห็นว่าอีกคนมิยอมตอบ จึงได้เลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับคำถามที่เปลี่ยนไป
“เจ้ามาจากที่ใดหรือ?” เฟยหลงเอ่ยถามเสียงติดนุ่มนวลเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเองดูจะมิคุ้นเคบกับการใส่อารมณ์มากนัก จะว่าใจอ่อนเพราะใบหน้าหวานๆ นั่นก็มิผิดไปหรอก
“ข้ามาจาก...ที่นั่น” นิ้วเรียวเล็กชี้ไปที่ต้นท้อต้นใหญ่ ลู่เฟยหลงยกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ จะบอกว่ามาจากต้นท้อหรือไร คงมิใช่หรอกระมัง
“จากต้นท้อหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? เจ้าจะบอกข้าว่าเจ้าออกมาจากต้นท้อได้เช่นนั้นหรือ” คำถามที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจถูกถามออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ สำหรับเฟยหลงเขาไม่เข้าใจมันเลย คำตอบแบบนี้มิเท่ากับการยั่วโทสะของเขาหรอกหรือ แต่หยางเถาหาได้คิดเช่นนั้นไม่ กลับพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม
“ถูกแล้ว ข้าออกมาจากต้นท้อจริงๆ” เป็นเฟยหลงเสียเองที่อ้าปากค้าง มองคนตรงหน้าอย่างตกตะลึงในใจ สายตาคู่คมกวาดมองหยางเถาทั้งร่างราวกับกำลังวิเคราะห์อะไรสักอย่างอยู่ หยางเถาเกิดความหวาดกลัวในจิตใจ ด้วยตนเพิ่งจะเคยพบมนุษย์จึงมิคุ้นชินกับการถูกจับจ้องเช่นนี้ หรือคนผู้นี้จะรังเกียจ? สายตาของร่างบางพลันเศร้าหมองจนน่าใจหาย
“เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้น" หัวใจของหยางเถาบีบรัดเสียจนแน่นไปหมด
"..."
"หรือเพราะเจ้ารังเกียจที่ข้ามิใช่มนุษย์ เจ้าจึงได้มองข้าเช่นนั้นใช่หรือไม่"
"ข้าหรือรังเกียจ? เห็นข้าเป็นเช่นคนใจแคบเช่นนั้นหรือ? " หยางเถาหลบสายตาคู่สวยลงมองพื้นดิน มิกล้าสบตาของเฟยหลง ด้วยดวงตาคู่นั้นช่างชวนให้หัวใจของเขาสั่นไหวเสียเหลือเกิน ครั้งเมื่ออีกฝ่ายบอกเป็นนัยว่ามิใช่ความรังเกียจ หัวใจของหยางเถาก็เต้นระรัวจนมิอาจจะควบคุมได้
"ข้าเพียงแปลกใจก็เท่านั้น มิได้รังเกียจใดๆ ในตัวเจ้าเลย บอกช้าหน่อย เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ? "
“ข้าชื่อหยางเถา…” เสียงนุ่มหู กลิ่นหอมหวานและรอยยิ้มแสนน่ารักของหยางเถา ช่างเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจของเขาเหลือเกิน
“มีใครเคยเห็นเจ้า เช่นที่ข้าเห็นหรือไม่” ผมสีเงินสะบัดพลิ้วเมื่อเจ้าของส่ายหน้าปฏิเสธ
“ท่านปู่ของข้าก็ด้วยหรือ??”
หยางเถาหันไปมองต้นท้อที่ตนอาศัยอยู่ภายในมานานแสนนาน มือบางยกขึ้นลูบลำต้นใหญ่ด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวและแสนเศร้า ความทรงจำต่างๆ ฉายซ้ำไม่หยุดราวกับเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกหนีได้ ความผิดข้าหรือที่มิอาจล้มตายตามเพื่อนๆ รอบๆ กายได้ ความผิดข้าหรือ ที่จักต้องวนเวียนอยู่กับความรู้สึกสูญเสียเพื่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ข้าเป็นเพียงแค่ต้นท้อ ที่มิเคยออกดอกและผลเท่านั้น มิใช่ภูตผีปีศาจเหมือนผู้อื่น” ดวงตากลมสะท้านไปกับความเจ็บปวด ริมฝีปากบางเม้มลงจนเจ็บแต่มันก็ไม่เท่ากับความเจ็บที่ใจแม้แต่น้อย เฟยหลงอับจนด้วยคำพูด การปลอบผู้อื่นเขาไม่เคยถนัดสักนิด ยิ่งเห็นหยางเถาเสียใจ ไหล่เล็กๆ ที่สั่นไหวเขายิ่งทรมานและปวดร้าว
“เช่นนั้น ไยข้าจึงเห็นเจ้ากัน”
“เพราะข้า.....” เฟยหลงมองแผ่นหลังที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีเงินอย่างรอคอยในคำตอบ หยางเถากลืนก้อนบางอย่างที่จุกอยู่บริเวณลำคอให้มันหายไป เขาเลือกแล้ว เมื่อเลือกแล้ว เขาก็ยินยอมรับความเป็นจริง
ใบหน้าหยางเถาหันกลับมาจ้องเฟยหลงด้วยสายตาจริงจัง ความลับ มิมีอยู่ในโลก หากวันนี้ไม่พูด อย่างไรเสียเขาก็จักต้องพูดออกไปสักวัน ช้าหรือเร็ววันนั้นก็ต้องมาถึง หยางเถาถอนหายใจออกมาเสียงดัง พยายามเรียบเรียงคำพูดเพื่อบอกเล่าแก่เฟยหลง
“เพราะข้าอ้อนวอนต่อองค์เง็กเซียน ข้าอยากอยู่กับเจ้าแม้จะต้องแลก...”
“แลกด้วยสิ่งใดหรือ?” เฟยหลงขมวดคิ้วอย่างสงสัย การที่อีกฝ่ายปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเขาได้เช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีข้อแลกเปลี่ยน
“องค์เง็กเซียนบอกข้า.......หากข้าต้องการอยู่กับเจ้า ข้าจะต้องมีร่างกายของมนุษย์ และเพื่อมีร่างกายของมนุษย์นั้น......ข้าจะต้องยอมสละดวงวิญญาณของข้าที่ได้รับพลังจากแสงจันทราในช่วงพันปีมานี้”
“จริงหรือ......” เฟยหลงถามด้วยความดีใจ ต่อไปนี้ เขาก็จะพบเจอใบหน้าหวานของหยางเถาทุกวี่วันที่เขาต้องการแล้ว ช่างน่ายินดีเสียงจริง
“100ราตรี เพื่อแลกกับหนึ่งร้อยราตรีจากนี้ไป ข้างจะต้องใช้วิญญาณทั้งหมดของข้าเพื่อทำให้ดอกท้อบานอยู่เช่นนั้นจนครบ100ราตรี”
“แล้วเมื่อครบเล่า จะเกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถาม รู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งที่หยางเถาไม่ได้บอกเขา บางอย่างที่มัน....สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ศีรษะเล็กส่ายไปมา จับมือใหญ่ขึ้นมากุมเอาไว้ด้วยความผูกพันธ์ที่ยากจะอธิบาย
“เมื่อครบตามกำหนดเวลา ข้าก็จะสลายไปดั่งเช่นวัฏจักรของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ หรือต้นไม้ ข้า...จะกลับกลายเป็นเพียงธุลีดิน ไม่สามารถอยู่กับเจ้าได้อีก”
“เจ้าจะตายเช่นนั้นหรือ”
หยางเถาก้มหน้าลงซ่อนดวงตาร้าวรานเอาไว้ พยายามฝืนยิ้มทั้งที่เมื่อคิดถึงวันสุดท้ายที่เขาจะต้องไป มันกลับรู้สึกว่าหัวใจคล้ายจะแตกสลาย จะตายหรือ คงใช่ เมื่อถึงวันนั้นคงเรียกว่าตายได้นั่นล่ะ
“ไม่เป็นไรหรอก อย่าลืมสิ ข้ามีเวลาอยู่กับเจ้าอีกร้อยราตรีนะ” รอยยิ้มหวานถูกหยางเถาส่งให้กับร่างสูงเพื่อปลอบประโลม เช่นไรเสีย เขาเพียงอยากใช้ช่วงเวลาสุดท้ายที่เขาแลกมา เพื่อทำให้คนคนนี้มีความสุข เพื่อเก็บความทรงจำดีๆ กับเฟยหลงเอาไว้ แม้ว่ามันจะต้องแลกกับชีวิตของเขาก็ตาม หยางเถาเอื้อมมือออกไปจับกุมมือหนาเอาไว้จนแน่น ส่งยิ้มบางเบาให้ร่างสูงเพื่อนให้เฟยหลงอารมณ์ดีขึ้น
“ยิ้มหน่อยสิ” ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพียงแค่เฟยหลงได้ยินคำนั้นที่ออกมาจากร่างบาง เฟยหลงก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้ เมื่อหยางเถายอมสละชีวิตเพียงเพื่อให้ได้อยู่กับเขาแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ เขาก็จะทำให้หยางเถามีแต่รอยยิ้ม จะไม่มีทางให้ใครมาทำร้ายดอกท้อดอกนี้ของเขาเป็นแน่ ไม่มีทาง!!
“นามของข้าคือลู่เฟยหลง เจ้าเรียกข้าว่าเฟยหลงก็ได้ แล้วเจ้าอยากจะทำอะไร”
“ไม่รู้สิ ปกติเจ้าทำอะไรบ้างล่ะเฟยหลง” เสียงหวานที่เอื้อนเอ่ยชื่อเขาออกมา ทำให้หัวใจของเฟยหลงพองโตจนคับแน่นไปทั้งอก ณ ตอนนี้ ไม่ว่าสิ่งใด ก็ไม่สำคัญเท่ากับหยางเถาอีกแล้ว
“เจ้าอ่านหนังสือออกหรือไม่” ใบหน้างามส่ายหน้าปฏิเสธ เขาเป็นต้นไม้นะ จะเคยอ่านหนังสือได้อย่างไร คิดได้แบบนั้นหยางเถาก็หัวเราะออกมา นั่นยิ่งทำให้เฟยหลงเผลอมองนิ่งด้วยความตะลึง รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของหยางเถาที่มีแสงจันทร์สาดส่องมันช่างงดงามยิ่งกว่าเทพธิดาองค์ใด
“เฟยหลง ข้าเป็นต้นท้อมาหลายพันปี เจ้าคิดว่าจะมีผู้ใดมาสอนหนังสือให้ต้นไม้เล่า”
เฟยหลงที่คิดขึ้นได้ถึงกับหน้าขึ้นสี ร่ำเรียนมาก็มา หากแค่พยายามจะหาเรื่องราวมาชวนคุย เขายังทำพลาดเลย น่าอายเสียจริง หากใครมารู้มาได้ยินเข้า เขาคงไม่รู้จักเอาหน้าไปไว้ที่ใด
“ข้าก็ลืมไปเสียสนิทเลย” ยิ่งเฟยหลงทำท่าราวกับเคอะเขินมากเท่าไหร่ ยิ่งเรียกเสียงหัวเราะจากหยางเถามากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้ว่ามันจะน่าฟังก็ตามที
“ไปเถิด ไปด้านในกับข้า ข้าจะสอนเจ้าอ่านตำราเอง” เฟยหลงกุมมือเล็กๆ เอาไว้ แม้จะไม่อุ่นเช่นดังมนุษย์ควรจะเป็นแต่เฟยหลงก็พร้อมจะกุมเอาไว้ตลอดไป ต่อให้มันจะเย็นเท่าไหร่ เขาก็พร้อมจะถ่ายเทความอบอุ่นจากตัวเขาไปให้จนกว่ามือคู่นั้นจะเต็มไปด้วยไออุ่นจากเขา
เฟยหลงและหยางเถาต่างพากันเข้าไปภายในห้องของร่างสูง ทุกอย่างมันดูแปลกไปหมดสำหรับหยางเถา ไม่ว่าสิ่งใดในห้องต่างก็ทำให้หยางเถาตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด ยิ่งหยางเถาให้ความสนใจมากเท่าไหร่ เฟยหลงก็อดยิ้มตามไปไม่ได้ ตำราสองเล่มถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ เฟยหลงกวักมือเรียกให้หยางเถาเดินเข้าไปและนั่งลงใกล้ๆ กับตน ก่อนจะเริ่มสอนหนังสือให้หยางเถาได้ค่อยๆ อ่านอย่างไม่รีบร้อน ภายใต้จันทราและหมู่ดาวสองร่างยังคงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ตำราเล่มแล้วเล่มเล่าถูกนำมาวางไว้จนข้างๆ นั้นซ้อนกันจนสูง
ดาวและเดือนเริ่มเลือนลับฟ้า ท้องนภาเริ่มแปรเปลี่ยนสี บ่งบอกว่าใกล้จะถึงเวลาสว่างแล้ว บางอย่างในกายของหยางเถาส่งสัญญาณเตือนถึงเวลาที่กำลังจะหมดลง อยากอยู่ใกล้เฟยหลงอีกนิด อยากหยุดเวลาเพิ่มอีกสักหน่อย หยางเถามีความสุขเหลือเกินในค่ำคืนแรกนี้ มีความสุขจนลืมเลือนสัญญาที่องค์เง็กเซียนได้กล่าวเอาไว้
“แม้เจ้าจะมีเวลาถึง100ราตรี แต่เป็นเพียงเวลายามราตรีเท่านั้น หากเมื่อใดทิวาย่างกลายมาแทนที่ เจ้าจะต้องกลับเข้าไปยังต้นท้อเช่นเดิม และเมื่อราตรีเวียนมาจบ เจ้าก็จะสามารถออกมาได้อีก จำไว้ให้ดี เจ้ามีเพียงแค่ไอของจันทรา มิอาจดูดกลืนพลังแห่งทิวาได้ จงอย่าลืม”
หยางเถาหันไปมองเฟยหลงที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาอ่านตำราอย่างขะมักเขม้น ต้องลากันแล้วสินะ หยางเถาได้แต่กล้ำกลืนฝืนยิ้มเอาไว้ จะอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด เพียงแค่ราตรีเวียนมา เราก็จะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง แค่อดทน แค่อดทนเท่านั้น
“เฟยหลง ออกไปกับข้าได้หรือไม่” ใบหน้าหล่อเหลาละสายตาจากตำราที่อ่านขึ้นมามองหน้าของหยางเถาอย่างสงสัย แต่กระนั้นเขาก็ยังคงยิ้มให้
“เอาสิ ไปที่ใดหรือ”
หากแต่หยางเถานั้นกลับมิได้ตอบสิ่งใด เพียงแค่กุมมือหนาเอาไว้และพาเดินออกไปด้วยกัน จันทราเลือนรางจนใกล้จะลับหาย ตะวันคงใกล้จะมาแทนที่เสียแล้ว หยางเถาเร่งฝีเท้าเดินไปยังต้นไม้ที่อยู่เบื้องหน้าจนมาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นท้อที่ดอกท้อยังคงบานสะพรั่งอยู่บนต้น แม้จะไร้แสงจันทร์แต่ความงดงามมิได้ลดลงตามแสง หยางเถาบีบมือของเฟยหลงจนแน่น ความโลภที่อยากจะอยู่กับเฟยหลงต่อมันถูกกระตุ้นขึ้นมา แต่เขาทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ก้มหน้ายอมรับความเมตตาขององค์เง็กเซียนเท่านั้น
“เฟยหลง.....”
“มีสิ่งใด เจ้าก็พูดมาเถิด” เฟยหลงยิ้มด้วยความเอ็นดู เมื่อหยางเถาของเขาเรียกขานชื่อเขาแล้วมิยอมเอ่ยสิ่งใด สีหน้าลังเลของหยางเถาและกิริยาที่ดูเศร้าหมองลงอยู่ในสายตาของเฟยหลงทั้งสิ้น เขาไม่รู้ว่าสิ่งใดคือสิ่งที่หยางเถากังวล จึงทำได้เพียงรอรับฟังอยู่เงียบๆ
“เฟยหลงข้า......ข้าต้องไปแล้ว” คำบอกเล่าที่ออกมาจากปากของหยางเถาทำให้เฟยหลงชะงัก
“ไปไหน เจ้าจะไปไหนกันหยางเถา”
“ข้าอยู่ได้เพียงยามราตรีเท่านั้น มิใช่ยามทิวา” เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยความเศร้าหมอง หากแสงอาทิตย์สาดส่องมา คงไม่ทันการเป็นแน่
“แล้วข้า จะได้เจอเจ้าอีกหรือไหม หยางเถา” หยางเถายิ้มบางๆ ให้ บีบกระชับมือใหญ่จนแน่น
“แน่นอน ข้าจะมาพบเจ้าอีกครั้งที่นี่ เมื่อจันทราขึ้นสู่ฟากฟ้า”
“ข้าจะรอ.....”
หยางเถาปล่อยมือออกจากเฟยหลง หันหลังเดินกลับไปยังลำต้นใหญ่ของต้นท้อ เพียงครู่เดียวร่างของหยางเถาก็หายไป หลงเหลือเพียงแสงสีเขียวราวหิ่งห้อยที่ตกค้างอยู่ เฟยหลงเดินเข้าไปหาต้นท้อใหญ่ที่ภายในมีหัวใจของตนซุกซ่อนอยู่ ร่างสูงจรดริมฝีปากลงบนลำต้นอย่างแผ่วเบาด้วยความอาลัย
“ข้าจะรอเจ้าหยางเถา จะตั้งตารอเจ้าเสมอ”
TBCสวัสดีค่าทุกคน แมวเอาน้องเถามาลงให้อ่านกันแล้วนะคะ ขอบอกเลยว่าแมวเพิ่งจะเคยแต่งเรื่องเกี่ยวกับจีนโบราณครั้งแรก! ปกติแมวจะเคยลงผลงานเรื่องสั้นมามากกว่า แต่ด้วยความชอบส่วนตัวล้วนๆ ถึงทำให้แต่งเรื่องนี้ออกมา ฝากน้องเถากับพี่เฟยไว้ด้วยนะคะ กราบขอบพระคุณมากๆ ค่า
Facebook :
https://m.facebook.com/PassionateFictionTwitter :
https://mobile.twitter.com/little_kittensY