[20]
โอ้หยางเถา...เจ้ามาแล้วหรือ” เสียงของลาเหม่ยหลินดังขึ้นเมื่อพบว่าในตอนนี้นั้น ผู้ที่เดินเคียงข้างบุตรชายของนางมาคือคนที่นางรอคอยที่จะพบอย่างยิ่ง หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น อี้เหม่ยหลินเองก็มาใช้เวลายามค่ำคืนเมื่อหยางเถาปรากฏกายบ่อยครั้ง จนลู่เฟยหลงนั้นอดสงสัยมิได้ว่านี่จะเป็นการขโมยตัวหนางเถาของเขาไปหรือไม่ เหม่ยหลินเอ็นดูหยางเถาราวกับบุตรแท้ๆ อีกทั้งขนมมากมายถูกนำมาให้คนตัวเล็กที่ตาวาววับ ยามที่ริมฝีปากนั้นได้ลิ้มรสชาติแสนหวานของขนมเหล่านั้น มือของเหม่ยหลินมักจะลูบเส้นผมสีเงินบนศีรษะของหยางเถาอยู่บ่อยๆ อย่างเอ็นดู มันช่างนุ่มมือเสียจนเหม่ยหลินชื่นชอบที่จะทำเช่นนั้น
และไม่ว่าเมื่อใดที่เหม่ยหลินลูบศีรษะของหยางเถา หยางเถาก็มักจะยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน ใสซื่อและไร้การเสแสร้งจนหัวใจที่แสนเย็นยะเยือกของเหม่ยหลินกลับมาเต้นแรง
นางเอ็นดูเด็กคนนี้เหลือเกิน เอ็นดูเสียจนอยากได้เด็กน้อยคนนี้มาอยู่ในบ้านสกุลลู่ มาเป็นส่วนหนึ่งของสกุลลู่ นางเคยลองเอ่ยถามลู่จิ้นเหอผู้เป็นสามี และดูเหมือนสามีของนางก็เอ็นดูกับความอ่อนหวานและน่ารักของหยางเถาอยู่ไม่น้อย มิใช่เพียงมิคัดค้าน กลับตอบรับตกลงอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องคิดใดๆ ในยามนี้อี้เหม่ยหลินรู้สึกราวกับได้บุตรชายอีกคนมาไว้ในอ้อมอก ทั้งตื่นเต้น ตื้นตันใจ และดีใจจนกักเก็บมันเอาไว้ไม่ได้ ยิ่งในยามนี้พอหยางเถาปรากฏตัวขึ้นมา นางจึงเดินเข้ามาโอบกอดหยางเถาเอาไว้ด้วยความรักอย่างเหลือล้น หยางเถาเองที่ในคราแรกตกตะลึงก็ระบายยิ้มออกมาก่อนจะกอดตอบเหม่ยหลินไป
“ข้ามาแล้วขอรับท่านป้า...” เหม่ยหลินดึงหยางเถามานั่งข้างตนทำให้ลู่เฟยหลงต้องเดินตามมานั่งข้างๆ เช่นกัน เหวินฉายที่ในตอนนี้จำเป็นต้องนั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะในฐานะของคนรักของเฉินลี่ฟู่นั้นไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อย กับการปรากฏตัวของบุรุษร่างบางผู้มีเส้นผมสีเงิน แต่ที่ตกตะลึงคงหนีไม่พ้นจะเป็นเฉินลี่ฟู่เสียมากกว่า ใบหน้างดงามไร้ที่ติ กับเส้นผมสีเงินสลวยที่ช่างขับให้ผิวกายข่าวผ่องนั้นดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้น สายตาของเฉินลี่ฟู่มิได้ลวนลามหรือแทะโลม แต่กลับเป็นการมองอย่างไม่เชื่อในสายตาว่าจะได้พบผู้ใดที่งดงามได้เช่นนี้
จนเมื่อได้เห็นกับตาจึงทำให้ได้รู้ว่า แม้จะเป็นบุรุษย่อมงดงามได้อย่างสตรีเช่นกัน
“เจ้ามองพอหรือยัง!” มิใช่เสียงของผู้ใดเลยนอกจากจะเป็นของลู่เฟยหลง ยามได้เห็นสายตาที่มองมาของเฉินลี่ฟู่นั่นทำให้เขาไม่ชอบใจเท่าใด อย่างไรเสียคนที่จะมองหยางเถาได้มีแต่เพียงเขาเท่านั้น ผู้ใดจะหลงใหลต้องมนต์ของเจ้าดอกท้อมิได้
เฉินลี่ฟู่ได้สติ มองสายตาที่เต็มไปด้วยความหวงแหวนราวกับว่าเขาจะไปขโมยของรักด้วยความขบขัน นี่หากมิใช่ว่าฉายเอ๋อร์ของเขานั่งอยู่ด้วย เขาคงจะลงมือแกล้งให้ใครบางคนได้ทำไหน้ำส้มหกกันเสียบ้าง แต่ตอนนี้หากทำเช่นนั้นไป แทนที่เขาจะได้ความสนุกสนานสะใจจะกลับกลายเป็นนำภัยเข้าสู่ตัวเสียมากกว่า หากเหวินฉายของเขาโกรธเคืองมิมองหน้าขึ้นมา เขาคงจะทรมานและไม่รู้จะทำเช่นไรให้ยอดดวงใจได้หายโกรธเคือง
“เจ้านี่อย่างไร...หากข้าจะมองคนของเจ้า ข้ามองยอดรักของข้ามิดีกว่าหรือ?” เหวินฉายหยิกเข้าที่เอวหนาอย่างหมั้นไส้ในคำหวานแสนลวงคำนั้น เขามิได้ตาบอดจะได้มองมิเห็นว่าเจ้าลูกเต่าตัวนี้เมื่อครู่ได้หันไปมองผู้ใด พอถูกเจ้าของเขาจับได้ก็บ่ายเบี่ยงมาเสียทางนี้ เฮอะ!
“อย่านึกว่าข้ามิเห็นนะ” เสียงลอกไรฟันที่เย็นยะเยือกของคนรักทำให้เฉินลี่ฟู่ต้องรีบออดอ้อน ทำสายตาลูกสุนัขตัวเล็กให้ดูน่าสงสารแทน
“โธ่...ข้าหรือจะมีตาไว้มองผู้ใด แค่มองเจ้าก็ไม่เหลือที่ไว้ให้มองผู้ใดอีกแล้วนะยอดรัก”
“อะแฮ่ม! ทานกันเถิด” สุดท้ายก็ทนความหิวไม่ไหว ลู่จิ้นเหอจึงได้จบสงครามแห่งรักลงอย่างง่ายดาย ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตาทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เลิกโต้เถียงกันเพราะมิอยากจะเสียมารยาทต่อหน้าแม่ทัพลู่จิ้นเหอผู้ยิ่งใหญ่ อีกทั้งในยามนี้ท้องก็หิวเต็มที
ลู่จิ้นเหอกวาดสายตามองบรรยากาศบนโต๊ะด้วยสายตาเรียบเฉยแต่ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความยินดี ในคราก่อนนั้นเหม่ยหลินนางกระทำตัวไม่เหมาะสม บีบคั้นรังแกเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางผู้นี้เสียจนเรียกว่าโหดร้าย แต่เมื่อความจริงปรากฏ...นางก็พร้อมเอ่ยคำขอโทษ และแก้ไขเรื่องราวให้ดียิ่งขึ้น ยามนี้จึงเหลือแต่รอยยิ้มบนใบหน้านาง และการกระทำที่ราวกับเห่อบุตรชายคนใหม่ก็ยิ่งทำให้มุมปากของลู่จิ้นเหอจุดรอยยิ้มขึ้นมาแม้จะน้อยนิดก็ตาม ส่วนถังเหวินฉายในตอนนี้มีเพียงใบหน้าบึ้งตึงใส่คนข้างกาย เฉินลี่ฟู่เองก็พยายามง้องอนคนรักอย่างน่าเห็นใจ มือหนาคอยคีบอาหารใส่ให้ไม่ตกหล่น เพียงเหวินฉายเอื้อมออกไปที่จานใด เฉินลี่ฟู่ก็จะคีบมาให้ก่อนในทันที แม้จะโกรธอีกฝ่ายแต่ถังเหวินฉายกลับร้อนผ่าวที่ใบหน้าจนขึ้นสีระเรื่อ ยอมทานทุกอย่างที่คนข้างกายคีบมาให้ ช่างชวนให้คนมองได้สุขใจไปด้วยเช่นกัน
ลู่เฟยหลงค่อยๆ คีบนั่นคีบนี่ให้ไม่ต่างจากผู้เป็นมารดา ปากคอยถามว่าอยากได้สิ่งใดหรือไม่ หรือชอบหรือไม่อยู่ตลอดเวลา ใบหน้าของนางนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สายตาคอยจ้องมองใบหน้าของหยางเถาที่ยิ้มน้อยๆ อย่างสุขใจ นางรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างโง่งมเสียเหลือเกิน ที่เคยหลงใหลไปกับเพ่ยเยว่เผิงกับความอ่อนหวานจอมปลอมนั้น หากนางมิได้มาพบความอ่อนหวานที่แท้จริงจากหยางเถา นางคงตามืดบอดคว้าเพ่ยเยว่เผิงมาเป็นสะใภ้และมันคงจะทำให้บุตรชายของนาง...ทุกข์ทรมานใจ
“ได้ยินว่าเจ้าชอบซาลาเปามาก ป้าสั่งให้คนทำเพื่อเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ เจ้าชอบหรือไม่”
“ข้าชอบขอรับ ขอบคุณท่านป้า ข้าจะทานให้หมดเลย” รอยยิ้มอันใสซื่อถูกส่งให้อี้เหม่ยหลินจนนางอดลูบศีรษะเล็กๆ อย่างเอ็นดูไม่ได้
“อะแฮ่ม!” ลู่เฟยหลงกระแอมเสียงดังจนหยางเถาต้องมองมาด้วยสายตาห่วงใย แต่อี้เหม่ยหลินนั้นรู้ดีว่าอาการขี้หวงของบุตรชายมีมากเสียจนไม่สนใจว่าความรักที่นางให้นั้นดุจดังบุตรชายอีกคนเท่านั้น แต่ลู่เฟยหลงกลับพร้อมกระโจนเข้าโจมตีทุกคนหากเข้ามาใกล้หยางเถาผู้เป็นที่รัก
“จริงสิท่านแม่...เหวินฉายบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นในตลาด ข่าวลือแพร่สะพัดถึงเรื่องปีศาจในบ้านสกุลลู่” หยางเถาชะงักมือที่กำลังคีบอาหารเช้าปาก ดวงตาฉายแววหวาดกลัวและหวาดหวั่นออกมาจนเฟยหลงต้องจับมือบางเอาไว้เพื่อให้กำลังใจไม่ให้ร่างบางวิตกกังวลมากจนเกินไป
“จริงหรือนี่! ใครกัน...ผู้ใดกล้าพูดเรื่องเช่นนี้ หยางเถาของข้ามิใช่ปีศาจเสียหน่อย! กล้าดีอย่างไรถึงได้มาใส่ร้ายสกุลลู่!” ร่างของหยางเถาถูกดึงไปกอดแนบอกของเหม่ยหลิน นางลูบเส้นผมสีเงินที่แสนนุ่มมืออย่างปลอบประโลม ความอบอุ่นจากกายของเหม่ยหลินทำให้หยางเถาซุกกายเข้าหาอย่างไม่รู้ตัว เฉินลี่ฟู่ตาค้างตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน เด็กหนุ่มผู้นี้มิใช่มนุษย์หรอกหรือ!
“ท่านแม่คิดว่าผู้ใดเล่าขอรับ...จะมีผู้ใดหากมิใช่นางผู้นั้น” รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฟยหลง ดวงตาฉายความเกลียดชังออกมาอย่างไม่ปกปิด
“อภัยด้วย ข้าขอถาม...หยางเถาผู้นี้คือ...” เฉินลี่ฟู่เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้จึงเลือกจะเอ่ยถามออกไปตรงๆ เหม่ยหลินมองใบหน้าของเฉินลี่ฟู่พร้อมกับเชิดใบหน้าขึ้นสูงอย่างภาคภูมิใจ
“หยางเถาคือสะใภ้ของข้าเอง” แต่นั่นมิใช่สิ่งที่เฉินลี่ฟู่เอ่ยถามสักนิด เขาจึงเอ่ยถามอีกครั้งแม้จะถูกมือบางของเหวินฉายจับแขนเอาไว้แน่น
“ขออภัยฮูหยินลู่...ข้าหมายถึง...” เหม่ยหลินยิ้มน้อยๆ ไม่ถือสากับคำถามที่ถูกถามออกมาทั้งที่สีหน้ากระอักกระอ่วนใจเหลือเกินนั้น
“หยางเถาคือจิตวิญญาณต้นท้อพันปี มิใช่ปีศาจดั่งคนกล่าวหา ขอคุณชายเฉินเจ้าอย่าได้หวาดกลัว” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมามิได้เจือด้วยความไม่พอใจสักนิด ซ้ำยังมีแต่ความเอ็นดูในความอยากรู้ของเฉินลี่ฟู่เสียอีก
“ข้ามิได้ เอ่อ รังเกียจหรือหวาดกลัวใดๆ ขอฮูหยินและคุณชายหยางอย่าได้กังวล ข้าเพียงไม่เข้าใจเท่านั้นจึงได้เอ่ยถามออกไป” เหม่ยหลินจิ้มบางๆ อย่างมิได้ถือสา มือก็ลูบไล้เส้นผมสีเงินบนศีรษะเล็กอย่างเอ็นดูไม่หยุด ตัวหยางเถาที่ได้ยินว่าคุณชายเฉินลี่ฟู่ผู้นี้มิได้รังเกียจหรือหวาดกลัวก็พอเบาใจลงได้ สีหน้าจึงได้คลายความวิตกลงไปมาก
“ท่านพ่อเล่าขอรับ คิดว่าเรื่องนี้ควรลงมือทำเช่นไร” ลู่เฟยหลงเลือกจะขอความคิดเห็นของผู้เป็นบิดา ด้วยว่าความคิดของลู่จิ้นเหอนั้นรอบคอบและหลักแหลมมากกว่าเขา ด้วยเขารู้ดีว่าเรื่องนี้เกิดจากผู้ใด และเกี่ยวข้องกับยอดดวงใจที่อยู่ข้างกาย อารมณ์ของเขานั้นไม่มั่นคงเพียงพอจะคิดให้รอบคอบ เขากล้ายอมรับออกมาตรงๆ เลยว่าเขานั้น โกรธแค้นและชิงชังเพ่ยเยว่เผิงเสียจนหมายจะสังหารให้ตายไปเสีย
ลู่จิ้นเหอมองใบหน้าของบุตรชายที่แววตาฉายชัดถึงความเกลียดชังก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา หากจะต้องการเป็นใหญ่ใจจะต้องนิ่ง อารมณ์จะต้องมั่นคง มิถูกสิ่งใดรบกวน แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงหยางเถาแล้ว ดูเหมือนบุตรชายของเขานั้น...จะไร้ซึ่งความสามารถในการควบคุมมันเสียอย่างนั้น เขาเองก็มิใช่ว่าไม่เข้าใจในความรู้สึก หากแต่ว่าในตอนนี้ จะทำสิ่งใดลงไปก็คงมิเกิดผลดี รังแต่จะยิ่งแพร่สะพัดข่าวลือออกไปมากกว่า จากสิ่งที่ไร้มูลจะกลายเป็นสร้างมูลให้มันเสียเอง และผู้ที่ต้องเสียใจก็มิใช่ผู้ใดนอกจากตัวเฟยหลงและหยางเถาเอง
“หากเจ้าถามข้า ข้าก็จะบอกให้เจ้ารออยู่เฉยๆ อย่าได้กระทำสิ่งใด”
“เพราะเหตุใดขอรับ...” เฟยหลงเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่ลู่จิ้นเหอเพียงวางตะเกียบลงและจ้องมองดวงตาของบุตรชายพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่แสนน่าเกรงขาม
“เพราะมันจะทำให้ตัวการใหญ่ อยู่ไม่เป็นสุขอย่างไรล่ะ”
•~*.*~• •~*.*~• •~*.*~• •~*.*~•
หลังจากที่ทุกคนอิ่มกับอาหารบนโต๊ะพวกเขาทั้งหมดก็แยกย้ายกันไป เหวินฉายถูกอี้เหม่ยหลินสั่งให้พาเฉินลี่ฟู่ไปยังห้องที่ถูกเตรียมเอาไว้ แม้ว่าในใจของถังเหวินฉายจะคัดค้านมากเพียงใดแต่ก็ทำได้แค่เพียงก้มหน้ายอมรับและเดินนำเฉินลี่ฟู่ไป ตรงกันข้ามกับตัวเฉินลี่ฟู่ที่เมื่อได้ยินคำสั่งของฮูหยินประจำบ้านสกุลลู่ แววตาของเขาก็ฉายแววเจ้าเล่ห์ เขาพึงพอใจกับสิ่งที่ได้ยินนี้อย่างเหลือเกิน บนโต๊ะอาหารเขาเห็นท่าทางแสนงอนของคนข้างกายแล้วหัวใจยิ่งพองโต ความหึงหวงที่เหวินฉายแสดงออกมาให้เห็นนั้นช่างกระตุ้นอารมณ์ความต้องการของเขาให้พุ่งสูงจนไม่สามารถจะวัดค่าของมันได้
ริมฝีปากหนาถูกลิ้นสีแดงเลียจนชุ่ม สายตาคมกวาดมองไปทั่วทั้งร่างแม้จะเป็นเพียงแผ่นหลังของเหวินฉายก็ตามและดูเหมือนมันจะทำให้เหวินฉายไม่ชอบใจนัก จึงได้ตวัดสายตามองมาดุๆ จนเขาต้องหัวเราะในลำคอ
ด้านลู่เฟยหลงที่ตอนนี้พาหยางเถามาเดินเพื่อย่อยอาหารคาวหวานทั้งหลาย ที่ร่างบางถูกมารดาของเขายกมาให้ทั้งขนมและของกินอีกมากมาย เขาเองก็อดคิดไม่ได้ว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เจ้าดอกท้อของเขาคงไม่พ้นกลายเป็นลูกท้อกลมๆ ที่ต้องแบกเอาหน้าท้องใหญ่ๆ นั่นเข้าต้นท้อเป็นแน่ แต่ถ้าหากว่าหน้าท้องสวยๆ ของหยางเถาจะต้องยื่นออกมา เขาก็ปรารถนาให้มีบุตรชายหรือบุตรสาวของเขาอยู่ภายในนั้นอย่างเหลือเกิน
แต่เขาก็รู้ดีว่าในเป็นไปไม่ได้ เพียงแค่เวลาจะได้ใช้ร่วมกันเขาหรือก็แทบจะไม่มี
ลู่เฟยหลงลอบถอนหายใจอย่างหนักใจ เวลาที่กระชั้นชิดเข้ามาช่างบีบคั้นหัวใจของเขาเหลือเกิน แต่เมื่อมองคนข้างกายที่ในตอนนี้แหงนเงยใบหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่สาดส่องแสง เขากลับรู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่ได้อยู่ แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ใช้มันกับหยางเถา ดอกท้อแสนงดงามเพียงดอกเดียวในหัวใจของเขา ลมเย็นพัดผ่านร่างกายของทั้งสองช้าๆ จนเส้นผมสีเงินปลิวไปตามแรง แต่หยางเถาไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ดวงตากลมสีอำพันยังคงจับจ้องไปบนฟ้าไม่ละสายตา ปล่อยให้ความคิดเลื่อนลอยออกไปไกลแสนไกลจนร่างสูงไม่สามารถเดามันได้
ลู่เฟยหลงเลื่อนมือไปกุมมือบางเอาไว้ด้วยความรู้สึกรักใคร่ แผ่ซ่านความอบอุ่นออกไปให้ฝ่ามือเล็กที่เย็นชืดพอได้รับไออุ่น หยางเถาหลุดออกจากห้วงอารมณ์ที่ครุ่นคิด หันมามองใบหน้าหล่อเหลาที่ฉายความห่วงใยด้วยรอยยิ้ม ร่างบางยิ้มให้ราวกับต้องการจะบอกว่าเขามิได้เป็นอะไร บีบกระชับมือหนาให้อีกคนได้มั่นใจว่ามันเป็นเช่นนั้น สองคนต่างเดินจูงมือกันไปเรื่อยๆ แม้จะมิได้ออกไปนอกบ้านสกุลลู่แต่ก็มิได้น่าเบื่อ อย่างไรการที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกันมันก็วิเศษที่สุดแล้ว
ร่างสูงเดินเคียงข้างหยางเถาด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก กุมกระชับมือบางไว้แน่นยางรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ช่างพิเศษเหลือเกิน การได้เจ้าดอกท้อข้างกายมันเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาที่สุด
“นั่น...มันคือสิ่งใดกัน เหตุใดจึงมีแสงสวยงามเช่นนี้” น้ำเสียงของหยางเถาเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นในใจ ดวงตากลมสีอำพันเบิกกว้าง มองแสงเล็กๆ ที่กะพริบในความมืด กระจัดกระจายราวกับสิ่งมหัศจรรย์ที่แสนดึงดูดใจ เฟยหลงหันมองตามสายตาของเจ้าดอกท้อ จนต้องยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“นั่นคือหิ่งห้อย เจ้าชอบหรือ?” หยางเถาพยักหน้า มองพวกมันไม่วางสายตา ยิ่งแสงนั่นลอยเข้ามาใกล้ หยางเถาก็ยิ่งมีสีหน้าดีอกดีใจ
“มันช่างสวยงามเหลือเกิน อ๊ะ! เฟยหลง! มันเข้ามาใกล้เราแล้ว” ท่าทางที่แสนน่ารักยามดีอกดีใจนั่นทำให้เขาหลงใหลได้เสมอ มือหนาเอื้อมออกไปหาหิ่งห้อยตัวหนึ่ง กักขังมันเอาไว้ในฝ่ามือและดึงกลับเข้าตัวก่อนจะยื่นออกไปตรงหน้าของหยางเถา ร่างบางเบิกตาโตเมื่อเฟยหลงกางมือที่กักขังเจ้าดวงไฟน้อยออกช้าๆ ตัวของมันเล็กมาก เกาะอยู่บนฝ่ามือแต่ยังเปล่งแสงไฟเป็นจังหวะช้าๆ คล้ายการหายใจ
“เจ้านี่คือหิ่งห้อย หากเจ้าชอบ...ข้าจะจับมาให้เจ้าอีกดีหรือไม่” หยางเถาเพียงยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้า
“แม้จะงดงามมากเพียงใด แต่หากกักขังมันไว้ ความงดงามของมันย่อมลดลง” เฟยหลงยิ้มให้ มือหนายกขึ้นปลดปล่อยเจ้าหิ่งห้อยตัวน้อยให้บินออกไปหาอิสรภาพ ก่อนจะหันมาลูบผิวแก้มที่เย็นชืดอย่างแผ่วเบา
“ข้ารักเจ้านะหยางเถา ข้าดีใจที่ข้ามิได้รักผิดคน” หยางเถากลับหัวเราะออกมาทั้งที่เขินอายจนหน้าแดง
“ข้าเพียงคิดว่า ความงดงามของมันอยู่กับสิ่งรอบกาย หากมันฉายแสงในความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์ มันคงจะดูงดงามมากกว่าที่จะต้องมาอยู่ในที่เดียวที่กักขังมันเอาไว้ ข้าดีใจที่เจ้าเข้าใจในสิ่งที่ข้าพูด แต่การที่อยู่ๆ เจ้าก็บอกรักแก่ข้านั้น” หยางเถาจับมือหนาของเฟยหลงมาวางบนอกข้างซ้ายของตน สบสายตาสีอำพันที่เต็มไปด้วยความรักกับดวงตาคม “...มันทำให้หัวใจของข้า เต้นแรง”
ลู่เฟยหลงแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่ มือหนาลูบผิวแก้มใสอย่างหลงใหล ใบหน้าหล่อโน้มลงมาหาจนเกือบแนบชิด ริมฝีปากหนาทาบทับลงบนกลีบปากบางอย่างแผ่วเบาก่อนจะผละออก สายตาของทั้งคู่สอดประสานกันถ่ายทอดความรักของกันและกันผ่านทางสายตา เฟยหลงก้มลงมอบจุมพิตหวานอีกครั้งทั้งที่ใจสั่น มือของหยางเถาเกาะไหล่ของเฟยหลงเอาไว้อย่างลืมตัว เผยอริมฝีปากออกรับความหวานจากปลายลิ้นที่ถูกสอดเข้ามากวาดต้อนไปทั่วทั้งปาก
ลมหายใจของทั้งคู่ติดขัด แม้ว่ารอบข้างจะหนาวเย็นจากลมที่พัดผ่านแต่ทว่าไม่อาจจะสู้กับความร้อนระอุที่ปะทุจากห้วงอารมณ์ของทั้งสองได้ เฟยหลงบดเบียดริมฝีปากอย่างหนักหน่วง กวาดปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กอย่างถือสิทธิ์ รสชาติที่หวานฉ่ำช่างยั่วยวนใจเฟยหลงเสียเหลือเกินจนแทบจะหักห้ามหัวใจเอาไว้ไม่ได้ รสจูบที่แสนนุ่มนวลค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรง หยางเถาไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งนี้จะทำให้ในหัวขาวโพลน ร่างกายที่กำลังยืนหยัดอยู่บนพื้นดินไร้เรี่ยวแรงเสียดื้อๆ
เฟยหลงครางแผ่วในลำคอ กอดประคองร่างเล็กไม่ให้ทรุดกายลงกับพื้น ริมฝีปากของเฟยหลงค่อยๆ ผละออกช้าๆ มองใบหน้าหวานที่แดงก่ำจากอารมณ์ที่ตกค้างอย่างพึงพอใจ ปลายนิ้วของเขาไล่เช็ดความฉ่ำวาวบนกลีบปากบางอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาคมแทบจะกลืนกินหยางเถาไปทั้งตัวเสียด้วยซ้ำ หากมิใช่ว่าเขารักหยางเถามากเกินกว่าจะหักหาญน้ำใจ เขาคงจะกดร่างบอบบางนี้ลงกับพื้นและกระทำในสิ่งที่เขาต้องการโดยไม่สนใจว่าจะอยู่ที่ใด
แต่ต้องมิใช่กับคนผู้นี้! หยางเถาเป็นมากกว่าชีวิตและหัวใจของเขา เขาจะไม่มีวันทำร้ายหยางเถาเด็ดขาด
เฟยหลงระงับอารมณ์ที่พุ่งสูงอย่างยากลำบาก แค่เพียงมองใบหน้าหวานที่แดงซ่านยามถูกเขาจุมพิตริมฝีปากนั้นเขาก็ยิ่งยากจะหักห้ามใจ มือหนาจับจูงให้ร่างบอบบางเดินต่อไปข้างหน้า แม้ว่าห้วงอารมณ์หวานจะยังคงอยู่ แต่ลู่เฟยหลงก็ปล่อยให้มันมาทำลายบรรยากาศของเขากับหยางเถาลงมิได้เด็ดขาด แต่เพียงแค่ไม่กี่ก้าว ร่างบางของหยางเถาก็หนีเท้าลง ใบหน้างดงามคิ้วขมวดดูยุ่งเหยิงจนน่าเป็นห่วง มือบางถูกดึงออกด้วยแรงของเจ้าตัวก่อนที่จะเดินไปอีกทางอย่างคนสงสัย
เขาเดินตามหยางเถาไปอย่างนึกห่วง มิรู้ว่าเกิดสิ่งใดผิดปกติกับเจ้าดอกท้อ แต่เขาก็ต้องชะงักเท้า เมื่อร่างของเจ้าดอกท้อยืนอยู่หน้าประตูห้องหนึ่ง ที่บัดนี้มิได้มีแสงไฟใดๆ แต่กลับมีเสียงประหลาดเกิดขึ้น เสียงที่ดังลอดออกมามันทำให้ลู่เฟยหลงตัวแข็งทื่อ ลมหายใจติดขัดจนแทบจะหายใจไม่ออก เสียงหัวใจเต้นดังแข่งกับเสียงที่ดังออกมา ในหัวจินตนาการภาพของหยางเถาที่ไร้สิ่งปกปิดเรือนร่าง
ผมสีเงินสยายไปบนเตียง เสียงหวานขับขานบทเพลงแห่งรักที่เขาเป็นผู้ชักนำ หากเขาได้สอดกายเข้าไป รุกล้ำนำความยิ่งใหญ่เข้าสู่กายของหยางเถา หากเขากระแทกกายซ้ำเล่า หากใบหน้าหวานบิดเบี้ยวเพราะรสสัมผัสของเขาจะดีเพียงไหน หากว่าเขาสามารถดูดกลืนรสชาติของเจ้าดอกท้อดอกนี้ได้ทั้งตัว เขาคงจะมีความสุขเสียจนสำลัก จนยินยอมลงไปยังปรโลกเป็นแน่
หยางเถาเอนกายเข้าหาประตูช้าๆ ใบหูแนบกับประตูอย่างตั้งใจที่จะฟังให้ได้รู้ว่านั่นคือเสียงใด เสียงร้องที่แสนทรมานและเจ็บปวด เสียงที่บางครั้งก็ดูสุขล้นเสียจนจะขาดใจ เขาทำสิ่งใดกันแน่ เหตุใดคนผู้นั้นจึงได้ร้องครวญครางเช่นนั้นกัน หยางเถายังคงยืนฟังนิ่งทั้งที่ใบหน้าขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปม เฟยหลงที่ยืนนิ่งเริ่มได้สติ สะบัดเอาความคิดอันแสนชั่วช้าออกจากหัวไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินมาคว้าแขนของหยางเถาโดยใช้มือหนาอีกข้างปิดปากบางไม่ให้ส่งเสีย และดึงร่างของหยางเถาออกห่างจากประตูช้าๆ
หยางเถาเงยหน้ามองสบตากับเฟยหลงอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ถูกกระทำ เขาจับจ้องแววตาที่คล้ายหลุมดำที่ดูดผู้คนเข้าไปโดยไม่มีแม้แต่โอกาสจะหลุดออกมาอย่างตกตะลึง เฟยหลงในบัดนี้แตกต่างจากยามปกติเหลือเกิน ดูน่าหวาดหวั่นและน่าหวาดกลัว แต่ก็ทำให้ใจของเขาเต้นแรงได้เช่นกัน เฟยหลงค่อยๆ ปล่อยมือออกจากริมฝีปากนุ่มช้าๆ สายตาทั้งสองสอดประสานกันทั้งที่ยังคงได้ยินเสียงร้องดังลอดออกมาเป็นระยะๆ
“เฟยหลง...นั่นเสียงอะไรหรือ” ด้วยความไร้เดียงสา จึงเกิดคำถามที่ชวนให้เฟยหลงปวดหัวอย่างหนัก เขาจะตอบเช่นไร จะบอกความจริงหรือก็มิควรสักนิด เจ้าดอกท้อของเขาช่างบริสุทธิ์และบอบบาง หากได้ล่วงรู้เรื่องราวที่แสนโสมมนี้จะยังรับได้อีกหรือ เฟยหลงคิดหนัก ถามตอบกับตนเองเงียบๆ จนสีหน้าเคร่งเครียด
“เฟยหลง...เกิดอะไรขึ้นหรือ” แรงโอบรัดจากด้านหลังมากขึ้นจนหยางเถาขยับก่ยไปไหนไม่ได้ ทำได้เพียงแค่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจเท่านั้น ลู่เฟยหลงก้มลงมาจนชิดใบหูเล็ก ลมหายใจร้อนผ่าวในระยะห่างที่ชวนให้เข้าใจผิดนี้ช่างน่าอายยิ่งนักในความรู้สึกของหยางเถา
“เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่อยู่ในห้องสองผู้นั้น” เสียงของเฟยหลงแหบพร่า เขาอดไม่ได้ที่จะกดริมฝีปากลงกับต้นคอขาวที่เย็นชืด เพียงความร้อนตากริมฝีปากเขาสัมผัส หยางเถาก็สะดุ้งด้วยความตกใจ
“ขะ ข้า...ข้า” แม้ว่าแท้จริงแล้วจะอยากรู้มาก แต่สัญชาตญาณบางอย่างร้องบอกเขาว่ามิควรตอบรับกับคำถามของเฟยหลง เขาควรจะเดินออกไปแล้วปล่อยความค้างคาใจนี้ไปเสียให้สิ้น แต่เฟยหลงกับไม่คิดปล่อยให้มันจบลง เพียงหยางเถาขยับกายหวังจะออกจากอ้อมอกของเขา เขาก็กอดรัดอีกครั้งจนแผ่นหลังบางสัมผัสกับอกแกร่ง กลิ่นกายของหยางเถาช่างยั่วยวนใจเสียเหลือเกิน จนเฟยหลงมิอาจจะอดทนมิให้สูดดมมันได้ เสียงหัวเราะดังขึ้นในลำคอหนา เมื่อรับรู้ถึงแรงสั่นเบาๆ จากคนในอ้อมกอด
“หากเจ้าปรารถนาจะรู้...ไยมิลองอยู่ในห้องกับข้าบ้างเล่า เจ้าดอกท้อ”