(END) [Nameverse] Call me Daddy #ความลับบนตัวผม :: Mini Special [14-08-19]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (END) [Nameverse] Call me Daddy #ความลับบนตัวผม :: Mini Special [14-08-19]  (อ่าน 146867 ครั้ง)

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
โห ไปอยู่ซะด้านหลัง จะเห็นชื่อเนื้อคู่ตัวเองตอนใหนกันละเนี่ย

ออฟไลน์ AmPnie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
นี่อาบน้ำส่องกระจกไม่เห็นเหรออ ไม่ส่องกระจกเหรอคะคริสสส หรือเราไม่เข้าใจเองว่าจุดที่ชื่ออยู่เนี่ยมันไม่ได้เห็นง่ายๆ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
คิดว่าชื่อจะอยู่ใต้ผ้าขนหนู ใจไม่ดีเลยค่ะ  :hao7:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
คริสรู้รึยังว่าชื่อโซลเมตมันขึ้นแล้ว

ออฟไลน์ ★KVH™★

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 516
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
รอค่า

ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3
Chapter 2

When I think you have charm


 

การเจอกันครั้งที่สามของผมกับเขา เหมือนการกดย้อนแผ่นหนังสักเรื่องเพื่อดูฉากเดิมซ้ำอีกครั้ง

 

คลับเดิม...หน้าห้องน้ำเหมือนเดิม และคริสเตียนกำลังฟัดกับผู้หญิงนมโตในชุดเดรสสุดเซ็กซี่เหมือนเดิม จะต่างก็ตรงที่ว่าเธอไม่ใช่คนเดียวกันกับสาวชุดแดงที่มีสามีแล้วคนนั้น น่าจะเป็นสาวคนใหม่ที่เพิ่งได้เจอกันไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำมากกว่า

ผมกระตุกยิ้มมุมปาก อะไรบางอย่างในตัวบอกให้ผมอยู่ตรงนี้ ทั้งที่ความจริงแล้วผมเลือกที่จะปล่อยผ่าน ทำเหมือนว่าเราไม่รู้จักกันก็ได้ แต่ผมก็ไม่ทำ...กอดอกแล้วยืนพิงกำแพงอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ไกลจากโซลเมตของผมมากนัก ส่งเสียงทักทายโดยไม่สนใจว่าเขาจะกำลังเสียบไอ้นั่นเข้าไปในตัวแม่สาวผมบลอนด์อยู่หรือเปล่า

“ตรงนี้เนี่ยนะ? เอาจริงเหรอพวก?”

“Fuck!” คริสเตียนสบถเสียงดัง เขาหันมามองด้วยใบหน้ากรุ่นโกรธอย่างรวดเร็วซะจนผมล่ะกลัวว่าคอของเขาจะเคล็ดเอาได้ แต่พอเห็นว่าเป็นผม เจ้าตัวกลับทำหน้าแปลกใจซะแทน “นายเองเหรอ”

“อ่าฮะ” พยักหน้าให้ “เฮ้ ไม่ขยับเหรอ เธอรอนายอยู่นะ”

ผมพยักพเยิดหน้าไปทางสาวผมบลอนด์ หล่อนมองผมตาโต ก่อนจะผลักคริสเตียนออกห่างแล้วจัดชุดเดรสที่ตัวเองใส่อยู่จนเรียบร้อย นั่นล่ะเธอถึงได้ก้าวเท้าเร็วๆ เดินหนีไป ผมพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดกำลัง แต่...ไม่ไหวครับ นี่มันตลกชะมัดยาดเลยให้ตายสิ

“หัวเราะอะไรของนาย” โซลเมตของผมเอ่ยถาม สีหน้าเขาดูไม่สบอารมณ์ สองมือก็จัดการจับไอ้หนูของตัวเองใส่กลับลงไปในกางเกง

“อึดอัดน่าดูเลยนี่”

“อะไรนะ?” คริสเตียนเงยหน้าขึ้นจากการรูดซิปกางเกงแล้วหันมาขมวดคิ้วใส่ผม

ผมก็เลยกดสายตาลงมองเป้าเขา มองไอ้สิ่งที่เพิ่งถูกจับยัดลงไปนั่นล่ะ “ไอ้หนูของนายไง คับเป้าทีเดียว”

“ไม่คิดว่าคนที่เขินเพราะเจอฉันนัวเนียกับสาวเมื่ออาทิตย์ก่อนจะกล้าถามคำถามนี้กับฉัน”

“เพราะเป็นนายอีกแล้วต่างหาก ฉันเลยเฉยๆ” ผมหน้าร้อนวาบขึ้นมาทันที แต่ก็แสร้งหาคำตอบมากลบเกลื่อน...คริสเตียนแค่นหัวเราะ เขาขยับเข้ามาใกล้ผมอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงครึ่งนาทีตัวของผมก็โดนร่างของเขาคร่อมทับเอาไว้ด้วยสองแขน กักเอาไว้กับผนังจนผมไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้ “เฮ้!”

“เพื่อน นายมาขัดจังหวะฉันเป็นครั้งที่สองแล้วนะ แถมครั้งนี้ยังทำฉันพลาดสาวสวยนมโตเข้าเต็มๆ” คริสเตียนเลื่อนใบหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหูของผม ลมหายใจร้อนๆ ของเขาเป่ารดข้างแก้ม สร้างความประหม่าและไม่น่าไว้ใจให้กับผม “จะรับผิดชอบยังไงล่ะ หืม?”

จุ๊บ...

What the fuck!

ผมอ้าปากค้าง ความเย็นเฉียบของริมฝีปากคริสเตียนแนบอยู่บนต้นคอของผม และทันทีที่ได้สติผมก็ผลักเขาออกเต็มแรง เหวี่ยงหมัดกระแทกหน้าเขาตามสัญชาตญาณเบื้องต้น

พลั่ก!

“ทำบ้าอะไรของนายวะ!”

คริสเตียนสะบัดหน้าไล่ความมึนงง ได้ยินเขาบ่นอุบ “หมัดหนักเป็นบ้า”

“ฉันไม่ตีเข่าใส่น้องชายนายก็ดีแค่ไหนแล้ว”

ผมขึงตาใส่เขา โซลเมตของผมแตะแผลเล็กๆ ที่มุมปากอันเกิดมาจากหมัดของผม สีหน้าเหยเกเพราะความเจ็บ เหอะ สมควรโดนแล้วไอ้เวรเอ๊ย

“หยอกเล่นน่า จริงจังเกินไปแล้ว” นอกจากเขาจะไม่สำนึกผิดที่ทำบ้าๆ กับผมแล้ว ยังยิ้มร้ายกาจมาให้ เหวี่ยงแขนล็อกคอผม บังคับให้เดินไปพร้อมกับเขา

“ปล่อยเลย นายจะพาฉันไปไหน” ผมพยายามสะบัดเขาออก แต่ก็พบว่ามันเป็นไปได้ยาก เกาะแน่นเป็นบ้า!

“เลี้ยงเบียร์”

“นายจะเลี้ยงฉัน?”

“ใช่ สนใจแล้วล่ะสิ”

“ก็แฟร์ดีกับที่นายลวนลามฉัน” ผมไหวไหล่ ทำตามตัวสบายมากขึ้นเมื่อแน่ใจแล้วว่าคุณโซลเมตไม่ได้มีท่าทีคุกคามผมแบบเมื่อครู่อีก

คริสเตียนแค่นหัวเราะ “พูดอย่างกับตัวเองเป็นสาวน้อยไปได้”

ให้ตาย เถียงกับเขาแล้วผมเริ่มจะปวดหัวตุบๆ ขึ้นมาแล้วสิ คนอะไรวะ หาคำพูดมาโต้กลับกันได้ตลอด

ผมถูกลากมานั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ คริสเตียนสั่งเครื่องดื่มเป็นเบียร์ยี่ห้อโปรดของผม นั่นทำให้ผมแปลกใจ...คนคนนี้มีเรื่องให้ผมแปลกใจได้ตลอดสิน่า

“นายดื่มยี่ห้อนี้?”

“ใช่” เขาพยักหน้ารับ “นายไม่ชอบ?”

“เปล่า ฉันก็ชอบเหมือนกัน”

“บังเอิญชะมัด”

นั่นสิ ผมก็ว่ามันบังเอิญมาก เพราะนอกจากที่เราเป็นโซลเมตกัน อย่างอื่นของเราก็ใกล้เคียงกัน ทั้งรูปร่างและส่วนสูงที่ไล่เลี่ยกัน...หมายถึงว่าเขาตัวโตกล้ามใหญ่กว่าผมนิดหน่อย แต่ส่วนสูงเราเท่ากันเลย หรือเขาอาจจะสูงมากกว่าผมสักครึ่งของครึ่งเซนติเมตรเห็นจะได้ ไหนจะรสนิยมความชอบบางอย่าง เช่นเบียร์ที่กำลังดื่มอยู่นี่ไง

หลังจากบาร์เทนเดอร์นำเบียร์มาให้สองขวด ผมกับเขาก็ยกมันขึ้นมาชนกันพอเป็นพิธี ก่อนจะต่างฝ่ายต่างกระดกมันเข้าปาก...ความขมปร่าอันคุ้นเคยไหลผ่านลำคอ สร้างความสดชื่นให้ผมไม่น้อย ทำงานมาเหนื่อยๆ บางทีได้ดื่มแอลกอฮอร์เย็นๆ บ้างก็ช่วยผ่อนคลายได้เยอะ

“นายมากับใคร” คริสเตียนเป็นฝ่ายชวนคุย ซึ่งนั่นค่อนข้างแปลกทีเดียว เขาดูเป็นคนที่ไม่น่าจะชวนใครคุยก่อน ก็อะไรแบบนั้น

“คนเดียว” ผมตอบ “นายล่ะ”

“เหมือนกัน”

“อ้อ มาหาเหยื่อแต่โดนฉันขัดจังหวะสินะ” ผมหลุดขำ “แม่สาวผมบลอนด์นั่น นายตรวจสอบแล้วหรือยัง”

“ตรวจสอบ?”

“...ให้แน่ใจว่าเธอไม่มีสามี”

“ไอ้เวร” คริสเตียนด่าผม แต่แทนที่ผมจะโกรธ กลับรู้สึกตลกจนต้องปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังๆ

“จะว่าไปตั้งแต่เรารู้จักกัน ฉันยังไม่รู้เลยว่านายอายุเท่าไหร่” หัวเราะจนพอใจผมก็เปลี่ยนเรื่อง

คริสเตียนเลิกคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเอียงมามองผม ดวงตาสีเทาราวเมฆหมอกของอากาศยามเช้าบนหุบเขาสูงดูมีเสน่ห์ ลึกลับ แฝงเร้นไปด้วยความอันตราย

แต่น่าหลงใหล

“ถามทำไม?”

“ก็แค่อยากรู้ ต้องมีเหตุผลด้วยงั้นเหรอ?”

“ไม่” คริสเตียนจิบเบียร์ “แต่ฉันไม่อยากตอบ”

“ได้ครับคุณแคมเบลล์ ไม่ตอบก็ไม่ตอบครับ” ผมพยักหน้าหงึกหงัก วางขวดเบียร์ที่หมดแล้วลงกับเคาน์เตอร์บาร์ รับรู้ได้ว่าคุณโซลเมตหันมามอง แต่ผมไม่ได้หันกลับไปมองเขา

ได้ยินเสียงของเขาดังแว่วมา “กวนประสาท”

ผมหัวเราะเสียงเบากับตัวเอง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน ตบบ่าคริสเตียนแล้วเอ่ยลา “ไปละ”

“จะกลับแล้วงั้นเหรอ?”

“ช่าย พรุ่งนี้ฉันยังต้องไปทำงานนะพวก เมาไม่ได้หรอก”

“นายทำงานอะไร?”

ผมเป็นฝ่ายเลิกคิ้วให้กับคำถามของเขาบ้างแล้วคราวนี้ และ... “ฉันไม่อยากตอบ”

ซึ่งนั่นทำให้ผมโดนเขาต่อว่าด้วยถ้อยคำเดียวกันกับก่อนหน้านี้เป๊ะ ซึ่งนั่นทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความชอบใจจนได้

“กวนประสาท”

 

เราจากลากันอย่าง่ายๆ ในวันนั้น...แต่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอคริสเตียนอีกในเร็วๆ นี้ คืออย่างน้อยผมอาจจะมีโอกาสได้เจอเขาที่คลับ ถ้าผมไปทุกวันแล้วโชคดีได้เจอน่ะนะ ซึ่งนั่นไม่ได้หมายรวมถึงการได้พบกันในที่ทำงานของผม

เราไม่ได้แลกเบอร์กัน เขารู้จักบ้านผม แต่ก็นั่นล่ะ...ทำไมเขาจะต้องไปหาผมด้วยล่ะจริงมั้ย? ดังนั้นการได้พบกันเป็นครั้งที่สี่ในที่ทำงานของผมเนี่ย มันเหนือความคาดหมายจนเกินไป และที่ยิ่งไปกว่านั้น...

“สวัสดีครับคุณแคมเบลล์” บอสของผมเอ่ยทักทายอย่างสุภาพ ในขณะที่ผมได้แต่ยืนมองคุณโซลเมตตาค้าง

อีกฝ่ายลอบยิ้มมุมปากให้ผม “สวัสดีครับ”

“ทางเรายินดีมากที่คุณให้เกียรติเข้ามาดูงานด้วยตัวเองนะครับ ทีมที่รับผิดชอบก็อยู่ที่นี่แล้วด้วย” บอสผายมือมาทางพวกเรา ซึ่งก็คือผม...และเพื่อนร่วมงานในโปรเจ็คออกแบบคอนโดฯ ใหม่ใจกลางเมืองอีกสามคน

คริสเตียนยิ้มสุภาพ “ผมแค่มาดูงานแทนพี่ชายเท่านั้น แต่ก็ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับ”

“ยินดีครับ หากคุณแคมเบลล์ต้องการจะแก้แบบแปลนตรงส่วนไหน สามารถพูดคุยโดยตรงกับทางทีมสถาปนิกของเราได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”

อยากบอกบอสชะมัดว่าเกรงใจบ้างก็ดี แก้มาจะสิบรอบแล้ว สัปดาห์ก่อนก็ผ่านแล้วด้วย ยังจะแก้อะไรอีกล่ะ

ผมลอบถอนหายใจ จะว่าไปก็เพิ่งจะรู้นี่ล่ะว่าลูกค้าของพวกเราคือเขา ทำไมผมไม่ตงิดใจตอนได้ยินนามสกุลของคริสเตียนกันนะ ทั้งที่มันเหมือนชื่อบริษัทที่ผมรับทำโปรเจ็คให้อยู่ตอนนี้เลย อ่า แต่เขาบอกว่ามาแทนพี่ชายนี่นา ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วลูกค้าจริงๆ คงเป็นพี่ชายของเขามากกว่า

โซลเมตของผมมีพี่ชาย นี่ผมควรจดลงสมุดเอาไว้ไหมนะ? หัวข้อ ‘เรื่องรอบตัวเกี่ยวกับโซลเมตของผม - คริสเตียน แคมเบลล์’ อะไรแบบนั้น

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ต้องไปรับรองลูกค้าอีกกลุ่ม”

“ครับ”

“เจย์เดน ฝากด้วยนะ” บอสหันมาบอกผม ผมแค่พยักหน้ารับ...ดีครับ บอสฝากได้ถูกคนมาก

หลังจากบอสของผมออกจากห้องไปแล้ว ผมก็เกร็งหน้าทำเหมือนว่าไม่รู้จักคริสเตียนมาก่อนเพื่อเอ่ยทักทาย

“ยินดีที่ได้พบกันครับ คุณแคมเบลล์”

เขายื่นมือมาจับกับมือผม แรงบีบเบาๆ ราวกับจะหยอกล้อกันทำให้ผมเผลอมุ่นคิ้ว

“ยินดีเช่นกันครับ...คุณคาร์เตอร์”

นามสกุลของผมที่หลุดออกมาจากปากเขาให้ความรู้สึกประหลาดชะมัดเลย

“อยากจะดูแบบแปลนล่าสุดที่ ‘ผ่าน’ แล้วไหมครับ” ผมเน้นย้ำคำว่าผ่าน และหวังว่าเขาจะเข้าใจความหมายที่ผมสื่อออกไป...อย่าได้สั่งให้ฉันแก้งานอีกนะเว้ย

จากสีหน้าเขา ดูก็รู้ว่าพยายามกลั้นขำสุดชีวิต ผมจะถือว่าเขาเข้าใจที่ผมพูดก็แล้วกัน “ครับ ดูครับ”

“นี่เป็นแบบคอนโดฯ ที่ทางคุณต้องการครับ” วิล เพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งของผมเอ่ยขึ้นพร้อมกับวางแปลนที่ว่าลงกลางโต๊ะ คริสเตียนก้าวเข้ามาดู และจังหวะนั้นเองที่ผมได้มีโอกาสสังเกตเขาชัดๆ

โซลเมตของผมใส่สูท ดูแปลกตากว่าตอนที่เจอในคลับ เรียกได้ว่าต่างกันลิบลับจนเหมือน อืม...เหมือนโฮมเลสที่ได้ซื้อเสื้อผ้าใส่ใหม่เป็นครั้งแรกในรอบสิบปี อะไรทำนองนั้น

ผมก็พูดโอเวอร์ไปอย่างนั้นเอง เปรียบเทียบแบบนั้นก็ดูจะไม่ให้ความเป็นธรรมกับคริสเตียนจนเกินไป เขาหล่อ (ซึ่งอันนี้ผมยอมรับเลยจริงๆ นะ แม้ว่าจะไม่อยากยอมรับก็ตาม) ไม่ว่าจะใส่สูทหรือชุดเซอร์ๆ เขาก็ยังดูดีเหมือนเดิม ให้ตาย โคตรจะอวยโซลเมตตัวเองเลยว่ะ นี่เป็นพลังของสายใยแห่งโชคชะตาหรืออะไรทำนองนั้นรึเปล่า ถึงทำให้ผมแบบว่า เอ่อ ดูหลงใหลเขาได้ขนาดนี้

กึก

ผมชะงัก เบิกตากว้างอย่างตกใจ...ผมคิดบ้าอะไรกันน่ะ หลงใหลเนี่ยนะ?! ผมไม่ได้ชอบคริสเตียนสักหน่อย (อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้แน่ๆ)

“เฮ้ คาร์เตอร์ คาร์เตอร์?”

“เอ่อ ครับ”

คริสเตียนหรี่ตามองผม “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า จู่ๆ ก็เงียบไป”

คำพูดของเขาทำให้เพื่อนอีกสามคนหันมามองเช่นกัน และแมตต์เป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น “แกโอเคนะ?”

“ฉันโอเค แต่...ขอไปชงกาแฟสักครู่นะครับ” ผมบอกกับลูกค้า มันออกจะเสียมารยาทไปสักหน่อย แต่ผมต้องการเวลาสงบสติความคิดบ้าบอของตัวเอง

คริสเตียนหรี่ตามองผมเล็กน้อย แต่เขาก็ยอมพยักหน้ารับ เห็นดังนั้นผมจึงปลีกตัวออกมาแล้วตรงไปยังห้องชงกาแฟทันที ได้คาเฟอีนมากล่อมสมองหน่อยก็คงดี ผมจะได้เลิกคิดฟุ้งซ่าน

ผมปลดเนกไทออกจากคอ ตามด้วยกระดุมเสื้อเชิ้ตสองเม็ดบน ถ้าไม่จำเป็นผมคงไม่ใส่สูทแบบนี้ มันน่าอึดอัดน่ะ

ระหว่างชงกาแฟผมก็นึกไปถึงคริสเตียนอีกจนได้ แต่เป็นการนึกเพราะแปลกใจมากกว่าที่เห็นเขาอยู่ที่นี่ แล้วก็พาลคิดไปด้วยว่าที่เขามาดูงานแทนพี่ชายได้เนี่ย ก็แปลว่าต้องอยู่ในตำแหน่งที่สูงพอสมควร คนที่จะควบคุมการออกแบบได้เป๊ะที่สุดก็ต้องเป็นพวกระดับสูงในบริษัทไม่ใช่เหรอ? ผมไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่ตรวจสอบแบบห้องด้วยตัวเองน่ะ

งั้นก็สรุปได้คร่าวๆ ว่าคริสเตียนอาจจะเป็นคณะกรรมการบริษัท หรือไม่ก็ฝ่ายบริหาร รองซีอีโอ...หรือเป็นซีอีโอซะเอง?...ไม่หรอก พี่เขาน่าจะมีตำแหน่งใหญ่กว่า อย่างน้อยเขาก็คงอยู่ในบอร์ดบริหารด้วยตำแหน่งอะไรสักอย่างนั่นล่ะ

“เหม่ออะไรของนาย กาแฟเย็นหมดแล้วมั้ง”

“Holy shit!!” ผมสะดุ้ง เผลอทำกาแฟกระฉอกใส่มือตัวเองเข้าจนได้

“เฮ้ เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“ไม่ๆ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ วางแก้วกาแฟลง ตรงที่โดนกาแฟลวกร้อนนิดหน่อย แต่ยังไม่ทันได้คิดว่าต้องทำยังไงต่อ คริสเตียนก็เป็นฝ่ายคิดแทนผม

เขาคว้ามือผมไปจับ แล้วทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ผมด้วยกล่องปฐมพยาบาลที่มีอยู่ในห้องนี้พอดี ซึ่งตลอดเวลานั้นผมได้แต่ยืนมองเขาโดยไม่พูดอะไร...พูดไม่ออกน่ะ สมองมันมึนๆ เบลอๆ เหมือนผมโดนต่อยไม่ยั้งด้วยกำปั้นยักษ์ของคิงคองสักตัวที่ถูกจับใส่นวมนักมวย มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คริสเตียนยกมือซึ่งถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวสะอาดแล้วเรียบร้อยขึ้นมาให้ผมดู

“มันแดงนิดหน่อย แต่ฉันคิดว่าพันผ้าเอาไว้น่าจะดีกว่า”

“ถูกหลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้น?” ผมเลิกคิ้ว

เขาหัวเราะ...หัวเราะในแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน มันเป็นเสียงหัวเราะแผ่วเบาราวกับสายลม แต่น่าฟังซะจนวูบหนึ่งผมอยากจะขอให้เขาหัวเราะอีกครั้งแล้วนั่งฟังอย่างไม่รู้เบื่อ

“ไม่รู้สิ”

คำตอบของเขาก็ทำให้ผมหัวเราะตามจนได้ “ขอบคุณนะครับคุณแคมเบลล์”

“เรียกชื่อเถอะน่า เรารู้จักกันแล้ว”

“ให้เรียกคริสเตียนน่ะเหรอ?”

เขาพยักหน้า “และฉันจะเรียกนายว่าเจย์เดน”

“ดูสนิทกันมากเกินกว่าจะเป็นแค่ลูกค้ากับสถาปนิกที่ถูกจ้างงานรึเปล่า หือ?”

“ฉันไม่แคร์ นายแคร์รึไง” คริสเตียนยิ้มยียวนในแบบที่ทำให้เขาดูเป็นแบดบอยตัวร้าย นี่ถ้าไปยิ้มแบบนี้ใส่ศัตรูที่ไหนคงได้โดนรุมกระทืบอีกรอบเป็นแน่

“ไม่คิดว่านายจะเป็นคน...อืม เรียกว่ายังไงดีล่ะ เฟรนด์ลี่?”

“นายยังรู้จักฉันได้ไม่ดีพอที่จะตัดสินฉันนะ”

ผมชะงัก และรู้สึกเห็นด้วยกับเขา นั่นสินะ...เราไม่ควรตัดสินคนอื่นเพียงเพราะรู้จักเขาแค่ผิวเผินหรือมองแต่รูปลักษณ์ภายนอก บางคนแต่งตัวสุภาพแต่อาจจะเป็นพ่อค้ายา หรือบางคนหน้าตาโหดเหี้ยม แต่จิตใจเขาอาจจะมีเมตตาจนไม่กล้าแม้แต่จะบี้มดก็ได้

“ก็จริงของนาย”

“อ่าฮะ ทีนี้เราจะไปทำงานกันต่อได้หรือยังล่ะ?”

ผมยิ้มให้เขา “ไปสิ”

แล้วเราสองคนก็เดินกลับไปยังห้องทำงานด้วยกัน


__________
โลกกลมหรือพรหมลิขิต 555 ก็คือเขาเริ่มสนิทกันแล้ว...รึเปล่า แล้วเมื่อไหร่คริสเตียนจะได้รู้ว่าชื่อโซลเมตโผล่อยู่บนตัวแล้ว อืมมม นั่นสิ เมื่อไหร่ดี? ฮ่าา ยิ่งไปกว่านั้น...ไอ้ที่มันตุงในกางเกงคุณแคมเบลล์เนี่ย หายอึดอัดแล้วเหรอคะถึงได้ชวนเจย์เดนไปเลี้ยงเบียร์ได้ เอ...หรือนั่งไปปวดหนึบไป 55555

ปล. ใครชอบอ่านแนวเวิร์สต่างๆ มีเรื่องหนึ่งเป็น Rainverse ของ JackXy Wu ค่ะ สนุกนะ ไปลองตำดูได้เด้อออ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-01-2019 22:15:28 โดย Hazel_nut »

ออฟไลน์ aha_aha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-5
เอาละสิสุดหล่อแสนเซอร์ กลายเป็นเจ้าชายสุดหล่อซะแล้ว แต่ดันกวน.... เหมือนเดิม 555

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
โลกกลมนิ ปะกันจนได้  :katai3:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
แล้วชาติไหนคุณคริสถึงจตเห็นชื่อโซลเมตตัวเองหรอ555555555 จะเห็นได้ไงอ่ะฮือออออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ชอบ...บบบบบบบบบบบบบบ  o13 o13 o13

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
โลกก็กลมซะเหลือเกินนน
มารอดูว่าเขาจะรู้ตอนไหนนะ

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
รบกวนเจย์เดนพาลูกค้าเข้าห้องลองเสื้อที่มีกระจกรอบด้านทีค่ะ ความโซลเมทนี้

ออฟไลน์ Kumamon_Kung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ขำเจย์เดนอ่ะ เจอกันแค่4ครั้งแต่อวยเค้าเวอร์  พลังแห่งโซลเมตที่แท้ทรู

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 :katai2-1: กรี๊ดด ำตาจะไหล ตามค่า มีโลกอื่นนอกจากโอเมก้าแล้ววว

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
เจย์เดนก็ไปคลับบ่อยเหมือนกันนะเนี่ย
ไม่รู้ว่าไปดื่มหรือไปหาใคร ><
แต่หลังจากนี้ไม่ต้องไปก็คงได้เจอกันแล้ว

ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3
Chapter 3

When I have a secret


 

ให้ตายยังไง ผมก็ไม่มีทางยอมให้เขาได้รู้ว่ามีชื่อของเขาอยู่บนตัวผม

 

ตอนที่เราเดินกลับไปยังห้องทำงานด้วยกันไม่น่าจะทำให้เพื่อนร่วมทีมของผมประหลาดใจ ได้เท่ากับตอนที่เห็นผมกับคริสเตียนพูดคุยกันด้วยท่าทีสบายๆ หรอก

คำเรียกขานจากมิสเตอร์แคมเบลล์เป็นคริสเตียนเฉยๆ ทำเอาเพื่อนของผมนิ่งอึ้ง ผมก็เลยต้องอธิบายให้พวกเขาเข้าใจว่าเราสองคนรู้จักกันมาก่อนเพราะเคยเจอกันสองสามครั้ง และคริสเตียนเคยเลี้ยงเบียร์ผม

“ทำตัวตามสบายเถอะพวก” และทันทีที่โซลเมตของผมพูดแบบนั้น บรรดาเพื่อนของผมก็พากันผ่อนคลายลง ซึ่งนั่นทำให้พวกเราทำงานร่วมกันได้ง่ายและเป็นกันเองมากขึ้น

การคุยงานผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ผมสบายอกสบายใจที่งานครั้งนี้ไม่ต้องแก้อะไรเพิ่มอีกแล้ว จนกระทั่ง...

“เจย์เดน”

“หืม?”

คริสเตียนหรี่ตา “นายสักด้วยเหรอ? ฉันเห็นรอยสักของนายตั้งแต่ที่ห้องชงกาแฟแล้ว”

“สัก?” ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา ทวนถามด้วยความงุนงง

ผมไม่เคยสัก ไม่ชอบให้เข็มแหลมๆ แทงเนื้อตัวเองเลยสักนิด แล้วทำไมเขาถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา...Shit!

แล้วผมก็ได้รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ในตอนที่อีกฝ่ายชี้นิ้ววนไปมาตรงแถวๆ อกเสื้อด้านซ้ายของผม ที่ซึ่งมีชื่อของเขาสลักลึกอยู่บนนั้นจากน้ำมือของสิ่งที่เรียกว่าพระประสงค์ของโชตชะตาแห่งพระเจ้า

หมับ!

ผมรวบคอเสื้อเชิ้ตที่ปลดกระดุมสองเม็ดบนเอาไว้ตอนปลีกตัวไปดื่มกาแฟก่อนหน้านี้เข้าด้วยกัน โดยหวังว่าจะปดปิดตัวอักษรบนนั้นจากสายตาเจ้าของชื่อได้ทัน ให้ตายเถอะ! ผมลืมไปได้ยังไงกันว่าปลดมันทิ้งไว้

เพื่อนร่วมทีมของผมพากันหันมามอง แมตต์เป็นคนแรกที่ขมวดคิ้วถาม “นายสักเหรอเจย์? นายเนี่ยนะ?”

แดเนียลเองก็ทำสีหน้าประหลาดออกมาเช่นกัน “คนกลัว...”

“แค่เพ้นท์น่ะ!” ผมโพล่งออกไปแบบไม่ทันคิด ในหัวตอนนี้คิดได้แต่คำแก้ต่างโง่ๆ แต่อย่างน้อยการเพ้นท์ก็ไม่น่าจะแปลกจนเกินไป...หรอกมั้ง

วิลเลิกคิ้วบ้าง “เพ้นท์เรอะ?”

“ใช่ ฉันไปเพ้นท์ที่ร้านมาน่ะ...ก็อะไรแบบนั้น”

พวกเขายังดูคลางแคลงใจ เหมือนจะไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็เลือกที่จะปล่อยผ่านด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่ดีมาก อย่างน้อยพวกเขาก็เงียบปากลงได้สักที

ผมเหลือบมองคริสเตียน เขามีสีหน้างุนงงสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมาอีก เห็นอย่างนั้นผมเลยรีบกล่าวสรุปปิดงานในครั้งนี้ไปพร้อมๆ กับการกลัดกระดุมเสื้อตัวเอง

“งั้นแบบแปลนของคอนโดฯ ยึดเอาตามนี้แล้วกันนะคริสเตียน”

“อืม ฉันชอบแบบนี้”

จากนั้นผมก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมรู้แต่ว่าผมมัวแต่กังวลเรื่องชื่อของเขาบนตัวผม กลัวว่าเขาจะยังติดใจสงสัยไม่เลิก ผมระแวงจนแทบไม่มีสมาธิ ซึ่งก็ได้เพื่อนร่วมทีมช่วยเอาไว้ด้วยการ...ชวนคริสเตียนไปทานมื้อกลางวัน

บัดซบเอ๊ย ตอนนี้ผมอยากอยู่ให้ห่างจากเขามากกว่านะ!

แล้วโชคก็เข้าข้างผมเมื่อใครสักคนโทรหาคริสเตียน เขาแยกตัวออกไปคุยกับปลายสายอยู่พักใหญ่ กลับมาอีกทีสีหน้าของเขาก็ดูยุ่งยากใจอย่างเห็นได้ชัด

ผมเลิกคิ้วมองเขา คริสเตียนถอนหายใจ “พี่ชายฉันเรียกกลับบริษัทน่ะ”

“งั้นนายก็คงไม่ได้ไปกินมื้อเที่ยงด้วยกันสินะ”

“ก็คงงั้น” โซลเมตของผมถอนหายใจอีกรอบ “ไว้เจอกันครั้งหน้า”

“ได้ ฉันยังอยากให้นายเลี้ยงเบียร์ฉันอีก”

เขาหัวเราะ “ถ้าอยากให้ฉันเลี้ยง เราต้องแลกเบอร์กันได้แล้ว”

แล้วตัวเลขสิบหลักของเราสองคนก็ถูกบันทึกเอาไว้ในโทรศัพท์ของอีกฝ่ายเรียบร้อย คริสเตียนโบกมือลา เขาแทบจะวิ่งออกจากบริษัทของผมเลยด้วยซ้ำ ผมมองตามเขาไปและถอนหายใจด้วยความโล่งอก...อย่างน้อยก็ขอเวลาให้ผมได้ด่าตัวเองที่ปลดกระดุมเสื้อออกหน่อยเถอะ อ้อ แล้วก็ขอเวลาให้ผมได้ตระหนักและย้ำเตือนตัวเองว่าครั้งหน้าจะพลาดไม่ได้อีกเด็ดขาด

แรงตบที่บ่าเรียกให้ผมหันไปมอง แมตต์เป็นเจ้าของมือที่วางอยู่บนไหล่ผม เขาหรี่ตามองผม สายตาเคลือบแคลงสงสัยและนั่นทำให้ผมได้แต่นึกใจว่าซวยแล้ว

แมตต์ไม่ใช่คนที่จะปล่อยผ่านคำตอบโง่ๆ ของผมไปได้ เขารู้จักผมดีกว่าใคร ดียิ่งกว่าวิล แดเนียล หรือแม้แต่พ่อแม่ของผม...เขารู้ใจผม รู้ความคิดและความรู้สึกของผมมากที่สุด จะเป็นรองก็แค่ตัวผมเท่านั้น

“เพ้นท์คือคำตอบที่ไม่ถูกต้องใช่ไหมเพื่อน?”

ผมนิ่งไปอึดใจหนึ่ง สุดท้ายเมื่อรู้ว่าโกหกเขาไม่ได้ ผมจึงต้องจำใจบอกความจริง “ใช่”

“แล้วคำตอบจริงๆ มันคืออะไรล่ะ รอยสัก?”

ผมส่ายหน้า...แมตต์ขมวดคิ้ว ผมรู้เลยว่าเขากำลังจะทายคำตอบต่อไปได้ถูกต้องแล้ว

และใช่ เขาเบิกตากว้าง “ชื่อโซลเมตงั้นเหรอ!?”

“ลองเดาอีกสักอย่างสิ เช่นชื่อของโซลเมตฉันคือใคร?” โอเค ผมต้องบอกเขา อย่างน้อยเขาก็ไว้ใจได้สำหรับผม

แมตต์เบิกตากว้างขึ้นกว่าเดิม “คริสเตียน แคมเบลล์!!!”

ตะโกนอีกสิเพื่อน คนทั้งบริษัทยังไม่ได้ยินเลยนะ...ผมถอนหายใจแล้วพยักหน้า นั่นทำให้แมตต์ช็อกไปเลย

“ช่าย ลูกค้าที่เพิ่งกลับไปนั่น คือโซลเมตของฉันเอง”

“โอ้พระเจ้า โอ้นี่มัน พระเจ้า!”

“จะตกใจอีกนานไหมพวก”

“แกคิดว่าฉันควรจะตกใจหรือเปล่าล่ะ ให้ตายเถอะ! ตั้งแต่เมื่อไหร่”

ผมเปิดปากเล่าให้เขาฟังคร่าวๆ แค่พอให้รู้ว่าผมเจอกับคริสเตียนและได้รอยสลักของชื่อเขามาอยู่บนตัวได้ยังไง แต่ไม่ได้เล่าเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากนั้นหรอกนะ อย่างเช่นที่คริสเตียนโดนรุมทำร้ายเพราะไปเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน...แมตต์เป็นผู้ฟังที่ดี เขาฟังโดยไม่เอ่ยถามอะไรขัดจังหวะผมเลยแม้แต่คำเดียว และผมรู้ว่าเรื่องนี้ผมบอกเขาได้โดยไม่ต้องห่วงว่าความลับจะรั่วไหล

“สรุปแกกับเขาเป็นโซลเมตกันจริงๆ”

“ก็ไม่แน่” ผมเม้มปาก “อย่าลืมว่าพ่อกับแม่ของฉันก็เคยเป็นโซลเมตกัน”

“เจย์เดน” แมตต์เรียกผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่สุดเท่าที่เพื่อนคนหนึ่งจะอ่อนโยนได้

ผมไหวไหล่...ไม่รู้สิ การพูดถึงพ่อแม่บางครั้งก็เหมือนผมเอ่ยถึงใครสักคนบนโลกที่ผมไม่รู้จัก บางคราวมันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนแสงแดดยามเช้า แต่บางคราวก็ให้ความรู้สึกเหมือนทะเลลึกที่ผมร่วงหล่นลงไปและไม่มีทางว่ายกลับขึ้นมาได้ ซึ่งส่วนใหญ่ผมจะนึกถึงอย่างหลังมากกว่า

ความสัมพันธ์ของผมกับพ่อแม่ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะกับพ่อเนี่ย...แย่สุดๆ ไปเลย

“ฉันโอเค” ผมบอกกับเพื่อนสนิท

แมตต์ส่ายหน้าเหมือนจะบอกว่าไม่เชื่อ “ไม่หรอก แกไม่มีทางโอเคได้หรอก ไม่เคยโอเคกับเรื่องนี้เลย”

เห็นมั้ย ผมบอกแล้วว่าเขารู้จักผมดีกว่าใคร ถ้าไม่ติดว่าเขามีโซลเมตแล้ว ผมคงจะตกหลุมรักเขา...แต่คิดดูอีกที การตกหลุมรักแมตต์นี่มันก็ค่อนข้างจะน่าขนลุกเป็นบ้าเลย ไม่ใช่เพราะผมรังเกียจเขาหรอกนะ แต่แค่คิดว่าตัวเองตกหลุมรักเพื่อนสนิทซึ่งรู้จักกันดีชนิดเคยเห็นด้านมืดของกันและกันมาหมดแล้วทุกรูปแบบ อย่างเช่นการเดินลงทะเลสาบโดยที่ทั้งตัวมีแค่กางเกงในลายลูกไม้ของผู้หญิง หรือการถกกางเกงโชว์ก้นบนรถโรงเรียน...

เอาเป็นว่าผมไม่มีวันตกหลุมรักแมตต์แน่นอน ตกลงมั้ย?

“ฉันคิดว่าจะปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด” ผมบอก

“นานแค่ไหน?” แมตต์ย้อนถาม

“ก็นานจนกว่าคริสเตียนจะรู้ว่ามีชื่อที่อาจจะเป็นชื่อของฉันอยู่บนตัวเขา”

ซึ่งมีความเป็นไปได้ยาก เพราะคนเราส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครส่องกระจกมองแผ่นหลังตัวเองหรอกจริงมั้ย? และคริสเตียนก็อาจจะไม่มีวันได้รู้ว่ามีชื่อโซลเมตอยู่บนตัว จนกว่าเขาจะไปถอดเสื้อที่ไหนสักแห่งแล้วมีคนบอกเขานั่นล่ะ อ่า แต่ถ้าเขาไปเอากับสาวแล้วเธอเห็นเลยเอ่ยทักขึ้นมาล่ะ?

โอ้ให้ตาย นี่มันสุ่มเสี่ยงเกินไปแล้ว ผมจะทำยังไงดีล่ะ?

“แกบอกว่ามันมีปฏิกิริยาเวลาแกกับเขาอยู่ใกล้กันไม่ใช่หรือไง ก็แล้วทำไมเขาจะไม่ใช่โซลเมตของแกล่ะ” แมตต์เอ่ยขึ้นขัดความคิดวิตกกังวลของผม

“ไม่รู้สิแมตต์ ฉันเชื่อเรื่องโชคชะตานะ แต่...” ผมส่ายหน้า เรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในหัวก่อนจะเอ่ยมันออกมา “ฉันไม่แน่ใจว่ามันจะไปรอดไหม ถ้าหากวันหนึ่งฉันรักเขาขึ้นมา แบบว่าก็แค่สมมติน่ะนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเขาไม่ได้รักฉันล่ะ?”

“...” แมตต์ไม่ตอบแต่จ้องมองเข้ามาในดวงตาของผม เราสบตากันนิ่งนาน

ผมเอ่ยต่อ “และถ้าหากวันหนึ่งฉันกับเขาพัฒนาความสัมพันธ์จนกลายเป็นคนรักกัน จะมีอะไรมารับประกันว่ามันจะไม่จบลงงั้นเหรอ? ไม่ว่าจะเป็นโซลเมตกันหรือไม่ แต่ความเป็นไปได้ที่เราสองคนมีสิทธิ์ที่จะเลิกกันก็มีไม่ใช่รึไงพวก?”

คราวนี้แมตต์ไม่พูดอะไร เขาแค่ตบบ่าผมหนักๆ สองสามทีแล้วเปลี่ยนเป็นโอบไหล่ผม สิ่งที่เขาทำเป็นการแสดงออกว่าเขาเข้าใจในเรื่องที่ผมพูด เข้าใจว่าผมต้องการจะสื่ออะไร...พ่อกับแม่ของผมก็เคยรักกัน แล้วผลสุดท้ายเป็นยังไงน่ะเหรอ? พวกเขาเลิกรักกันได้อย่างง่ายดายไงล่ะ นั่นไม่ได้เป็นการบ่งบอกหรอกหรือว่าโชคชะตาแค่ช่วยให้โซลเมตมาเจอกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะรักกันไปจนตาย

โอเค บางความสัมพันธ์มันก็ไม่ได้ไปจนสุดทาง ไปจนถึงการตายจากกันขนาดนั้น แต่ถ้าเลือกได้ผมก็อยากจะมีความรักที่ดี อย่างน้อยถ้ามันต้องจบลงในสักวัน ผมก็อยากให้มันจบด้วยดี ไม่ใช่เจ็บปวดเจียนตายด้วยกันทั้งคู่ หรือระหว่างทางของความสัมพันธ์มีแต่ความทุกข์ ไม่มีแม้แต่ความสุข

ผมเลือกที่จะไม่รักใคร ดีกว่ามีความรักแล้วต้องเสียใจ

ดังนั้นแม้ว่าผมจะเชื่อเรื่องคู่แห่งชะตาลิขิต แต่ไม่ได้หมายความว่าระหว่างผมกับคริสเตียนต้องเป็นคู่รัก บางที...แค่เราได้เป็นเพื่อนกันอย่างตอนนี้ผมก็คิดว่ามันเพียงพอแล้ว ว่าแต่ตอนนี้ผมกับคริสเตียนรู้จักกันมากพอจะเป็นเพื่อนกันได้แล้วหรือยังนะ?

“ไปกินข้าวเถอะ บ่ายยังมีงานต้องทำอีกเยอะเลยพวก”

พอเห็นว่าแมตต์เปลี่ยนเรื่องผมก็เลยไหลตามเขาไป “แล้ววิลกับแดเนียลล่ะ?”

“พวกมันไปรอที่ร้านอาหารแล้วมั้ง”

พอเขาว่าอย่างนั้นผมก็เลยออกเดินไปพร้อมๆ กับเขาเพื่อตรงไปยังร้านอาหารเจ้าประจำ แต่ก่อนที่เราจะก้าวเข้าไปในร้านผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ และนั่นทำให้ผมรั้งแขนของแมตต์เอาไว้...อีกฝ่ายเลิกคิ้วมองผม ผมสูดลมหายใจเข้าลึก

“อย่าบอกใครเรื่องชื่อโซลเมตของฉัน ได้มั้ยแมตต์?”

แมตต์แค่นยิ้ม “เห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย แน่นอน ฉันไม่มีทางบอกใครหรอกน่า”

“ขอบใจมากเพื่อน”

แล้วผมก็ได้ยิ้มอย่างสบายใจมากขึ้น

 

ผมมีนัดกับน้องสาวต่างพ่อและน้องชายต่างแม่ในวันหยุดสุดสัปดาห์ เป็นการนัดหมายที่เราสามคนจะหาวันที่ว่างที่สุดของทุกๆ เดือนมาเจอกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวเป็นเรื่องเข้าใจยาก...ถ้าหากว่ามันยากมาตั้งแต่ต้น

ผมเคยเป็นลูกคนเดียว โตขึ้นมาในครอบครัวที่เริ่มจะร้าวฉานตอนอายุได้สี่ขวบ และครอบครัวของผมก็พังยับเยินในตอนที่ผมมีอายุได้แปดขวบ หลังจากที่พ่อรู้ว่าน้องสาวอายุสามขวบของผมเป็นลูกของแม่กับคนรักเก่า อ่า แบบว่าแม่ของผมแอบกลับไปคบหากับคนรักเก่าจนมีลูกด้วยกันทั้งที่ยังไม่ได้หย่ากับพ่อน่ะครับ...ก็อะไรทำนองนั้น

หลังการหย่าร้างของทั้งคู่ คุณยายก็มารับผมไปอยู่ด้วย เพราะเธอไม่ไว้ใจให้ผมอยู่กับพ่อเท่าไหร่นัก ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม แต่เมื่อโตขึ้นผมจึงได้รู้ว่าพ่อทำอาชีพที่...ค่อนข้างจะอันตราย และยายไม่อยากให้ผมเสี่ยงไปด้วย แต่จะให้ไปอยู่กับแม่ก็ไม่ได้เช่นกัน แม่กำลังจะสร้างครอบครัวใหม่อีกครั้ง ยายคิดว่าผมที่เป็นลูกติดคงไม่เหมาะจะไปอยู่ในครอบครัวใหม่ของแม่ เธอกลัวว่าพ่อเลี้ยงของผมจะทำไม่ดีกับผม

ในท้ายที่สุดตอนอายุสิบหกปีผมก็ได้ออกมาอยู่คนเดียว โดยมีเงินมรดกที่ยายทิ้งเอาไว้ให้ก่อนท่านจะเสียชีวิตด้วยโรคร้ายเป็นเงินทุน พอที่จะผลักดันตัวเองจนเรียนจบไฮสกูลแล้วสอบชิงทุนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย

ที่จริงหลังยายเสียชีวิต แม่ชักชวนให้ผมไปอยู่กับเธอ แต่ว่าผมไม่อยากไป ผมอยากมีชิวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง และคิดว่าแม่ควรจะได้มีความสุขสักที...ความสุขในแบบที่ไม่มีผม เพราะการที่ผมยังอยู่ก็มีแต่จะรั้งให้แม่ทุกข์ใจ ทำไมผมจะไม่รู้กันล่ะว่าทุกครั้งที่แม่มาเยี่ยมผม เธอรู้สึกผิดต่อผมมากมายขนาดไหน แววตาของเธอมันบอกทุกอย่าง และผมก็อ่านมันออกทุกอย่างเช่นกัน

ส่วนพ่อน่ะเหรอ? เราได้มีโอกาสเจอกันบ้างเป็นครั้งคราว ผมไปเยี่ยมเขาอยู่สองสามครั้ง ซึ่งทุกครั้งก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ ถึงเขาจะเป็นพ่อของผม แต่ว่าเขาน่ะเกลียดผมมาก อาจจะเป็นเพื่อนผมคือลูกของแม่ และเพราะว่าแม่มีชู้ พ่อก็เลยพาลมาเกลียดผมด้วย เขาเป็นคนไม่ค่อยมีเหตุผลนักหรอก ดังนั้น...ทุกครั้งที่เราเจอกันจึงเต็มไปด้วยคำด่าทอจากเขาและความนิ่งเฉยอย่างยอมจำนนของผมซะมากกว่า

ก็อย่างที่บอกว่าผมเติบโตมาได้ด้วยตัวคนเดียวตั้งแต่อายุสิบหก จนกระทั่งตอนนี้เวลาผ่านไปเป็นสิบปีแล้ว และผมอนุญาตให้ตัวเองได้มีความสุข ก็ทำไมจะไม่ล่ะจริงมั้ย? ในเมื่อผมมีทั้งงานที่ดี มีบ้านที่ซื้อด้วยเงินของตัวเอง มีเพื่อนที่ดี มีเจ้านายที่ดี ชีวิตแฮปปี้สุดๆ ไปเลยนี่นา ดังนั้นผมจะไม่เศร้าเสียใจอีกแล้ว...คิดว่านะ

เอาล่ะ กลับมาที่เรื่องของผมกับพี่น้อง...น้องสาวต่างพ่อของผมมีอายุห่างกันห้าปี เท่ากับว่าตอนนี้เธอมีอายุได้ยี่สิบเอ็ดปีแล้ว แม่ไม่เคยปิดกั้นไม่ให้เราสองคนได้พบกัน แม่เป็นคนพาเธอมาหาผมเองด้วยซ้ำตอนที่เธออายุได้สิบเอ็ดปี ตอนที่ผมเริ่มใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียว และเราก็ไปมาหาสู่กันตลอด น้องสาวตัวน้อยก็เลยค่อนข้างจะสนิทกับผม

ส่วนน้องชายต่างแม่...เจ้านั่นอายุสิบแปดแล้ว ก็เท่ากับว่าห่างจากผมแปดปีได้ แรกเริ่มผมรู้ว่าพ่อมีลูกกับภรรยาใหม่หลังจากที่ผมออกจากบ้านมาได้ไม่นาน แต่น้องไม่เคยรู้ว่ามีผมเป็นพี่คนละแม่ เราเพิ่งได้เจอกันเมื่อปีก่อนนี่เอง

เมื่อเราได้มีโอกาสคุยกันผมถึงได้รู้ว่าเพราะพ่อหลุดปากเล่าถึงผมตอนเมา เขาถึงได้รู้ว่าตัวเองมีพี่ชายต่างแม่อยู่คนหนึ่ง ซึ่ง…ผมนับถือใจเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้มากทีเดียวที่ตามหาผมจนพบ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำได้ยังไง เพราะถามไปเขาก็ไม่ยอมตอบ ผมไม่ชอบบังคับใครด้วยก็เลยปล่อยผ่านมันไป แค่รู้ว่าเขาพยายามเป็นปีเพื่อตามหาผม ผมก็ซึ้งใจมากพอแล้วล่ะ

จากวันอันยุ่งเหยิงพวกนั้น ตอนนี้ก็หนึ่งปีกว่าแล้วที่เราสามคนพี่น้องมักจะนัดเจอกันเสมอ อาจจะไปกินข้าว ไปเดินเล่น ปิกนิก ปั่นจักรยาน ไปสวนสนุกหรือสวนน้ำด้วยกัน ถึงแม้ว่าน้องๆ ทั้งสองของผมจะไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวพันกัน แต่เพราะมีผมเป็นพี่ พวกเขาจึงสนิทกันมาก เรียกได้ว่าความสัมพันธ์ของเราสามคนพี่น้องแน่นแฟ้นกันสุดๆ จนแมตต์ยังบอกว่าพวกเราไม่เหมือนพี่น้องที่มาจากคนละครอบครัว

“เจย์เดน!”

เสียงร้องเรียกแหลมเล็กพร้อมแรงกอดรัดรอบลำคอจากด้านหลังทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิด ผมเงยหน้าขึ้นมองน้องสาวคนสวย ฉีกยิ้มกว้างให้เธอ และเอียงคอเล็กน้อยเพื่อให้เธอได้หอมแก้มผมถนัดๆ ก่อนจะดึงมือเธอให้ทรุดลงนั่งข้างกันบนเก้าอี้

“พี่จะตะโกนทำไมกันเจสซี่ เสียงดังรบกวนคนอื่น”

คราวนี้เป็นเสียงทุ้มๆ เพิ่งแตกหนุ่มได้ไม่กี่ปีของน้องชายผม เจ้าตัวเดินตามหลังเจสซี่เข้ามา ก่อนจะทรุดนั่งที่เก้าอี้ว่างด้านข้างผมอีกฝั่ง แล้วโจชัวก็ยกกำปั้นขึ้นมาชนกับผมเหมือนอย่างทุกครั้งที่เราเจอกัน

“ไง เจ้าพวกตัวยุ่ง สบายดีนะ” ผมเอ่ยทักทาย

เจสซี่ยิ้มกว้างพยักหน้าให้ ส่วนโจชัวแค่โคลงศีรษะไปมาไม่ได้พูดอะไร เพียงเท่านั้นผมก็เข้าใจในสิ่งที่เขาจะสื่อ คงมีปัญหากับพ่อมาอีกแล้วล่ะมั้ง แต่ผมจะไม่ไปยุ่งเรื่องของเขาตราบใดที่เขายังไม่เปิดปากเล่าเองหรอกนะ เราสามคนพี่น้องเคารพการตัดสินใจของกันและกันเสมอ เรื่องพวกนี้เราตกลงกันไว้แล้ว

“พี่อยากไปไหนเจย์ วันนี้พวกเราจะตามใจพี่ ใช่ไหมโจ?”

“ผมเคยปฏิเสธพี่ได้หรือไงเจส” โจชัวทำหน้าเอือมระอา เขาดูโตกว่าอายุจนผมอดจะหัวเราะไม่ได้ “แต่มีอย่างหนึ่งที่เราต้องบอกพี่นะเจย์”

“อะไร?” ผมเลิกคิ้ว เจสซี่กับโจชัวหันไปมองหน้ากันยิ้มๆ แล้วยัยน้องสาวตัวแสบก็เป็นฝ่ายเฉลย

“เราจะมาอยู่กับพี่ทั้งสัปดาห์นี้เลย!”

ผมแปลกใจขึ้นมาทันที “ทั้งสัปดาห์? ทำไม...”

“ฉันเบื่อๆ น่ะก็เลยขอแม่มาค้างบ้านพี่ ส่วนโจชัว...”

“โรงเรียนหยุดสัปดาห์หนึ่งพอดี พอเจสรู้เธอก็เลยชวนผมมาค้างบ้านพี่ แต่ถ้าพี่ไม่สะดวก...”

“ทำไมพี่จะไม่สะดวกกันล่ะ” ผมแทรก รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยิ้มกว้างมากแค่ไหน “พี่ดีใจมากต่างหาก”

“เยี่ยม! ฉันรู้อยู่แล้วว่าพี่ต้องดีใจ ถ้างั้นวันนี้เราจะไปไหนกันดีล่ะ”

“เอาเข้าจริงผมก็ไม่อยากจะไปไหนนะเจย์ ผมอยากกลับบ้านพี่แล้วนอนดูซีรีส์สักเรื่องด้วยกันมากกว่า ตอนเย็นก็ค่อยออกมาซื้อของไปทำมื้อเย็นกินด้วยกัน”

“ความสุขแบบพวกเราสามพี่น้อง” เจสซี่ดีดนิ้ว “ฉันเห็นด้วย พี่ว่าไง?”

ผมยิ้มให้พวกเขา “ได้สิ”

เป็นอันว่าเราสามคนเห็นพ้องต้องกัน ผมจึงต้อนเจ้าน้องตัวแสบทั้งสองขึ้นรถ ตัดสินใจแวะซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับทำมื้อเย็นเข้าบ้านไปเลย ขี้เกียจออกมาอีกรอบน่ะครับ เดินวนไปทีละโซนเพื่อมองหาส่วนประกอบทำอาหารที่ต้องการ จนกระทั่งมาถึงโซนที่เป็นของสด ระหว่างยืนเลือกแคร์รอตอยู่ ผมก็พบว่ามีใครสักคนเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ และเพียงหันไปมอง...

คริสเตียน

“ไง” เขาทักทาย ส่วนผมขมวดคิ้ว ยิ้มด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ไง นายอีกแล้วเหรอ”

“ฉันล่ะมั้งที่ต้องถามแบบนั้น” คริสเตียนแค่นหัวเราะ “แต่ที่จริงก็ไม่แปลกหรอกถ้าเราจะบังเอิญเจอกันที่นี่”

“ยังไง?”

“อพาร์ตเมนต์ของฉันอยู่ห่างออกไปไม่กี่บล็อก...จากบ้านนาย”

ผมนิ่งงัน นี่มันจะบังเอิญเกินไปแล้ว “งั้นเหรอ”

“ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ?” คุณโซลเมตกวาดสายตามองของที่อยู่ในมือผม

“อยากลองกินไหมล่ะ” ผมเอ่ยออกไปโดยไม่คิดอะไร แต่คำตอบที่ได้รับกลับมานี่สิ

“ก็ดีเหมือนกัน” พอเห็นผมหันไปมองอีกฝ่ายก็เลิกคิ้ว “ทำไม? ก็นายชวนฉันเองนี่”

“นาย...จะไปบ้านฉัน?”

“อื้อฮึ หรือนายไม่อยากให้ฉันไป?” เขาย้อนถาม

แต่ผมยังไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เจสซี่ก็เดินกลับมาพร้อมโจชัวและเป็นฝ่ายเอ่ยแทรกขัดการสนทนาระหว่างเรา “ไฮ~ เพื่อนพี่เหรอเจย์เดน”

ผมเหลือบสบตาคริสเตียน โซลเมตของผมยิ้มบางโดยไม่พูดอะไร นั่นหมายความว่าเขาให้สิทธิ์ผมในการตอบ

คนเจ้าเล่ห์

“อืม นี่คริสเตียน” ผมแนะนำให้น้องๆ ได้รู้จักเขา และไม่ลืมที่จะแนะนำบรรดาตัวแสบของผมให้คริสเตียนได้รู้จักเช่นกัน “ส่วนนี่เจสซี่กับโจชัว น้องๆ ของฉันเอง”

“นายมีน้องสาวกับน้องชายด้วยเหรอเนี่ย” คริสเตียนเหมือนจะคุยกับตัวเองมากกว่า

ผมไหวไหล่ “ตกลงนายจะไปดินเนอร์กับพวกเราจริงๆ ใช่มั้ย?”

“ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากรบกวนเวลาของครอบครัว”

คำว่าครอบครัวทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไร จนโจชัวต้องเป็นฝ่ายพูดแทน

“คุณจะไปดินเนอร์กับพวกเราก็ได้นะครับ ผมไม่มีปัญหาหรอก”

“ฉันก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน” เจสซี่เห็นด้วย

สุดท้ายคริสเตียนก็หันมามองผม เรียวคิ้วของเขาเลิกขึ้นสูงเหมือนจะถามว่าผมอนุญาตไหม แล้วผมจะไปตอบอะไรได้ล่ะในเมื่อน้องๆ ของผมโอเคและเป็นฝ่ายชวนเองซะแล้วน่ะ

“ฉันก็โอเค”

คงต้องบอกว่ายินดีต้อนรับคุณโซลเมตสู่บ้านอันแสนสุขของผมอีกครั้งแล้วล่ะนะ


_____
ชีวิตของเจย์เดนที่ผ่านมาทำให้เขาไม่กล้าก้าวข้ามสิ่งที่เรียกว่าความรักค่ะ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกที่จะเก็บเรื่องชื่อของคริสเตียนบนตัวเขาเอาไว้เป็นความลับ และนั่นก็คือที่มาของชื่อเรื่องความลับบนตัวผม แต่ความลับครั้งนี้จะถูกเปิดโปงเมื่อไหร่กันน้าา คริสเตียนจะได้รู้เมื่อไหร่ อันนี้ก็ต้องใจเย็นๆ เนอะ รับรองว่าถ้าเขารู้...ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแน่นอนค่ะ พลังแห่งโชคชะตาจะกำหนดเอง 55555

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-01-2019 22:18:16 โดย Hazel_nut »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ถ้ารู้เร็วก็ไม่สนุกสิ เก็บไว้ก่อน  :hao3:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4: :L1:

สนุกอะ

ทำไมเราชอบโจชัว เห้ยยยน้องเพิ่งมา 55

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ยังดีที่เจย์เดนมีพี่น้องที่น่ารัก..เอาใจช่วย   :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Spenguin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Kumamon_Kung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากค่าาาา :impress: :a1:

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
โชคชะตากำลังทำหน้าที่ เหวี่ยงให้เขามาเจอกันบ่อยๆล่ะ
รอดูวันที่รู้ความลับนะ ฮิๆๆ

ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3
Chapter 4

When I told myself


 

ผมอาจจะบอกตัวเองตั้งแต่ที่ได้รู้ว่าเขาคือโซลเมตของผมแล้วล่ะมั้ง...ว่าอย่าได้ตกหลุมรักคริสเตียนเด็ดขาด

 

ก่อนดินเนอร์จะเริ่มต้องมีคนทำอาหาร ซึ่งแน่นอนว่าหน้าที่อันทรงเกียรตินี้คงไม่พ้นเจ้าของบ้านอย่างผม กับลูกมืออีกหนึ่งคน และถ้าคิดว่าคนคนนั้นคือเจสซี่ล่ะก็ พวกคุณคิดผิดแล้ว เพราะผู้ช่วยเชฟของผมคือโจชัวต่างหาก

เราสองพี่น้องช่วยกันเตรียมวัตถุดิบทำอาหาร ผมไว้ใจมากพอที่จะปล่อยให้เจสซี่อยู่กับคริสเตียนสองคน มองดูก็รู้ว่าโซลเมตของผมไม่ได้สนใจอะไรน้องสาวผมเลยแม้แต่น้อย อย่างเขาคงต้องเป็นสาวสวยเซ็กซี่เข็ดฟัด มากกว่าจะเป็นสาวน้อยน่ารักแต่ห้าวหาญอย่างน้องสาวของผม

อีกอย่างเจสซี่เองก็เจอโซลเมตของตัวเองแล้วด้วย เธอกับแฟนสาวน่ะรักกันจะตายไป ดังนั้นไม่มีอะไรให้ผมต้องกังวลเมื่อจำต้องปล่อยให้พวกเขาสองคนนั่งดูหนังอยู่ด้วยกันตามลำพัง

“เจย์เดน พี่จะทำเมนูอะไรบ้าง” โจชัวถาม

ผมตอบ มือก็ปอกมันฝรั่งไปด้วย “สตูว์เนื้อ พาสต้า กุ้งอบชีส นายอยากกินอะไรอีกมั้ย พี่จะได้ทำเพิ่ม”

“มีของพอจะทำแซนวิชอกไก่อะโวคาโดมั้ยพี่”

ผมพยักหน้า “มี เดี๋ยวพี่ทำให้”

“ขอบคุณ”

ผมรับหน้าที่ทำสตูว์เนื้อ กุ้งอบชีสและแซนวิช ให้โจชัวทำแค่พาสต้ากับเป็นลูกมือหยิบจับเครื่องปรุงและวัตถุดิบอื่นๆ ให้ผมก็พอ นานๆ ทีน้องจะได้กินอาหารฝีมือผม ผมก็อยากทำให้เต็มที่

เริ่มจากสตูว์เนื้อ หลังจากปอกมันฝรั่งเสร็จผมก็ส่งให้โจชัวช่วยหั่นมันเป็นชิ้นขนาดเท่าลูกเต๋าพอดีคำเหมือนมะเขือเทศ แคร์รอตและหอมใหญ่ที่หั่นเสร็จไปแล้วก่อนหน้านี้ ส่วนเนื้อวัวผมหั่นเอาไว้ก่อนแล้วเป็นอย่างแรก ผมโรยเกลือและพริกไทยลงบนเนื้อ คลุกเคล้ามันให้เข้ากัน จากนั้นจึงตั้งกระทะเปิดไฟใส่น้ำมันพืช รอให้มันร้อนไม่นานก็ใส่ชิ้นเนื้อลงไป ทอดจนเป็นสีน้ำตาลเท่าๆ กันทุกด้าน

ผมรับถ้วยแคร์รอตและหอมใหญ่ที่โจชัวส่งมาให้ราวกับรู้คิว เทของที่ว่าใส่ลงในกระทะ ผัดจนเห็นว่ามันนิ่มแล้วจึงใส่มันฝรั่ง ผัดอีกนิดแล้วถึงได้ใส่มะเขือเทศ ปรุงด้วยเครื่องปรุงต่างๆ จนกระทั่งทุกอย่างเข้าที่ผมจึงเทลงหม้อแล้วเติมน้ำสต็อก (หรือก็คือน้ำต้มกระดูกนั่นล่ะ) ลงไปพร้อมด้วยเครื่องปรุงอื่นๆ จากนั้นผมก็เคี่ยวมันทิ้งไว้

“พอเดือดแล้วเบาไฟนะ คอยช้อนฟองออกให้พี่ด้วย เดี๋ยวพี่จะทำกุ้งอบชีสต่อ”

เราสองคนวุ่นวายกันอยู่ในครัวนานเป็นชั่วโมง กว่าทุกอย่างจะเสร็จก็เกือบจะได้เวลาอาหารเย็นพอดี

“พี่จะไปอาบน้ำก่อนมั้ย เดี๋ยวผมเก็บล้างเอง”

“เอางั้นเหรอ”

“เอางั้นล่ะ ไปครับ” โจชัวดันแผ่นหลังของผมให้เดินออกจากครัว ระหว่างทางผมก็เลยแวะที่ห้องนั่งเล่น

คริสเตียนกับเจสซี่ยังนั่งอยู่ที่เดิม ซึ่งก็คือโซฟาเดี่ยวตรงข้ามกัน พวกเขากำลังพูดคุยถึงหนังที่ฉายอยู่บนจออย่างสนุกสนาน จนกระทั่งคุณโซลเมตหันมาเห็นผม เขาจึงเอ่ยทัก

“มื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว?”

ผมพยักหน้า “ฉันขอไปอาบน้ำก่อน”

“ตามสบาย เรารอได้”

“โจชัวล่ะคะพี่” เจสซี่ถาม ผมชี้นิ้วกลับหลังไปที่ห้องครัว

“เก็บล้างอยู่น่ะ”

“งั้นหนูไปช่วยเขาดีกว่า”

“ไปช่วยแน่นะ ไม่ใช่ไปพังครัวพี่ล่ะ”

“โธ่ เจย์เดน”

ผมหัวเราะแล้วโบกมือให้น้องกับคริสเตียนก่อนจะเดินขึ้นห้องนอน ชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อและกลิ่นอาหารจนสะอาดก็ออกมาเจอโจชัวนั่งอยู่บนเตียงนอนของผมเข้าพอดี

ผมกำลังจะทักเขา แต่เสียงตอบโต้ของน้องชายกับใครสักคนทางโทรศัพท์ก็ทำให้ผมเงียบปากได้ทัน

“ผมอยู่กับเพื่อน พ่อไม่เชื่อผมหรือไง” ผมนิ่งงัน มองสบตาโจชัวที่หันมาเห็นผมเข้าพอดี...เขาเองก็นิ่งไปเช่นกัน “แค่นี้นะพ่อ ไว้คุยกันทีหลัง”

“ไม่ได้บอกพ่อว่ามาค้างบ้านพี่ล่ะสิ” ทันทีที่เขาวางสายผมก็เอ่ยถาม

โจชัวเงียบไปนาน แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับ “อืม”

ผมถอนหายใจ “พี่ไม่อยากให้นายโกหกพ่อแบบนั้น”

“แล้วถ้าผมไม่โกหกผมจะได้มาหาพี่หรือไง” โจชัวแย้ง เขาเม้มปากแน่น “พ่อไม่มีสิทธ์ห้ามผม”

“แต่...” ผมอยากจะแย้งอะไรกลับไปบ้างเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรเลยได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง “พี่ขอโทษที่ทำให้นายต้องลำบาก”

“หมายความว่ายังไง?” คราวนี้โจชัวเงยหน้าขึ้นมองผมอย่างไม่เข้าใจ

“...ที่ทำให้นายต้องโกหกพ่อเพื่อมาหาพี่ไง”

“มันไม่ใช่ความผิดพี่เลยนะเจย์เดน” เขาโกรธแล้ว ผมมองเห็นไฟกรุ่นๆ ได้จากดวงตาของเขาเลยเชียวล่ะ “พี่เลิกทำตัวแบบนี้สักทีได้มั้ย เอาแต่โทษตัวเองอยู่นั่น ทั้งที่พี่ไม่ได้ผิดอะไรเลยด้วยซ้ำ คนผิดคือพ่อต่างหาก เขามันเฮงซวย”

“เฮ้ อย่าพูดถึงพ่อแบบนั้น” แม้ผมจะเห็นด้วยก็เถอะน่า

“เพราะเขา เพราะเขาพี่ถึง...” โจชัวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ และผมรู้ดีว่าเขาไม่อยากให้ปลอบ เขาไม่อยากให้ใครๆ มองว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเดินเข้าไปหาเขา ดึงเขาเข้ามากอดเอาไว้หลวมๆ รับรู้ได้ถึงน้ำตาของเขาที่เปียกเสื้อของผม

“พี่ไม่เป็นไร ไอ้น้องชาย ไม่เป็นไร”

“เป็นสิ! ผมรู้ว่าพี่เป็น ผมรู้ว่าพี่ทรมานมาตลอดหลายปี แม้แต่ตอนนี้พี่ก็ยังเจ็บปวด” โจชัวกำชายเสื้อของผมเอาไว้แน่น “ผมขอโทษ”

“คราวนี้พี่ต้องเป็นฝ่ายถามแล้วหรือเปล่าว่านายขอโทษพี่ทำไม” ผมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ พยายามจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น...แม้ว่าตัวผมเองจะด้านชาไปทั้งใจแล้วก็ตาม

โจชัวส่ายหน้ากับอกเสื้อของผม “ผมไม่รู้ ผมก็แค่...อยากขอโทษ แทนพ่อ แทนทุกอย่าง”

“เด็กดี” ผมรู้สึกโชคดีชะมัดที่ได้มีน้องชายแสนดีขนาดนี้

เรากอดกันอยู่แบบนั้นพักใหญ่ จนกระทั่งโจชัวหยุดร้องไห้ เขาถอยห่างจากผม เช็ดคราบน้ำตาบนหน้าตัวเองลวกๆ ด้วยท่าทีขึงขัง ปากก็พูดไปด้วย

“ผมไม่ใช่เด็กนะ และ...”

“ฮึ?”

“และผมก็ไม่ได้ร้องไห้ด้วย”

ผมหัวเราะ “โอเค นายไม่ได้ร้องไห้ แค่เจ็บตาเท่านั้น”

โจชัวกลอกตาใส่ผม พอดีกับที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เรียกสายตาของเราสองพี่น้องให้หันไปมอง...คริสเตียนโผล่หน้าเข้ามาพ้นขอบประตูที่ผมแง้มเอาไว้ตั้งแต่แรก อ่า ผมคิดไปเองหรือเปล่านะว่าเขามองผมด้วยสายตาแปลกๆ

“เจสซี่ให้มาตามไปกินข้าวน่ะ เธอบ่นว่าหิวแล้ว”

“โอเค เรากำลังจะลงไป” หลังจากคริสเตียนถอยกลับลงไปที่ชั้นล่าง ผมก็หันกลับมาลูบหัวโจชัวแล้วเอ่ยชักชวนเขา “ไปดินเนอร์กันเถอะ”

 

ครู่ต่อมาพวกเราก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากลางโต๊ะอาหาร มื้อเย็นเริ่มตอนหัวค่ำ เจสซี่ลอบสบตากับผมเป็นเชิงไถ่ถามถึงตาแดงช้ำของโจชัว แต่ผมก็แค่ส่ายหน้าให้เธอแล้วพูดโดยไม่ออกเสียงว่า...ไว้จะเล่าให้ฟังทีหลัง

ผมให้ความสนใจไปที่คุณโซลเมตของผม เขาม้วนเส้นพาสต้ายัดใส่ปาก จากนั้นสีหน้าแปลกใจก็ฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา และนั่นทำให้ผมเผลอหลุดหัวเราะ

“อร่อยล่ะสิ”

“เยี่ยมเลยล่ะ” คริสเตียนพยักหน้ารับ “นายทำได้ขนาดนี้เลยเหรอ?”

“พาสต้านั่นฉันไม่ได้ทำ”

“โจชัวทำ?” เขาทำหน้าแปลกใจอีกครั้ง

น้องชายของผมยิ้มบาง “ครับ”

“เจ๋งเป็นบ้าเลยไอ้น้อง ไม่น่าเชื่อว่านายจะทำอาหารได้อร่อยขนาดนี้”

“เจย์เดนทำอร่อยกว่าผมอีก”

“พูดเพราะจะอวดพี่ชายหรือเปล่าไอ้หนู” คริสเตียนหรี่ตาแซว ผมกลอกตาใส่เขา ส่วนโจชัวหัวเราะ

“คุณต้องลองชิมเอง สตูว์เนื้อของเขาคือสุดยอดอาหาร”

“ฉันเห็นด้วย” เจสซี่สนับสนุน

คริสเตียนดูเหมือนจะไม่เชื่อ และเพื่อเป็นการพิสูจน์คำพูดจากน้องๆ ที่น่ารักของผม อีกฝ่ายก็เลยจัดการตักสตูว์เนื้อใส่ถ้วยแล้วชิมมัน...ผมลอบมองอย่างลุ้นระทึก

“ให้ตาย” เขาร้องขึ้น “ไม่น่าเชื่อว่านายจะทำอาหารได้สุดยอดขนาดนี้”

“มีอีกหลายเรื่องที่นายยังไม่รู้เกี่ยวกับตัวฉัน”

คริสเตียนหัวเราะ “ก็จริง”

แล้วดินเนอร์มื้อนี้ก็ผ่านไปด้วยเสียงพูดคุยของพวกเราสี่คน ผมอดจะประหลาดใจไม่ได้ที่การมีคริสเตียนร่วมโต๊ะอาหารไม่ได้สร้างความอึดอัดให้กับผมหรือแม้แต่น้องๆ เขาเข้ากับพวกเราได้ดี ดีมากจนเกินไปด้วยซ้ำ

กระทั่งมื้อเย็นจบลง ผมไล่โจชัวให้ไปอยู่กับคริสเตียน ส่วนผมปลีกตัวเข้ามาล้างจานชามในห้องครัวกับเจสซี่ ตอนแรกคริสเตียนอาสาจะล้างให้ แต่เพราะเขาเป็นแขก...เรียกอย่างนั้นได้ล่ะมั้ง และนั่นคือเหตุผลที่ผมไม่ยอมให้เขาทำเด็ดขาด ส่วนเจสซี่มีเรื่องจะคุยกับผม เธอถึงได้กำลังยืนเช็ดจานอยู่ข้างๆ ผมในเวลานี้

“โจร้องไห้”

“อืม” ผมตอบรับ

“เรื่องพ่อของเขาอีกแล้วสินะ”

ผมถอนใจ “เขาเอาแต่ขอโทษพี่อีกแล้ว”

“อ่า” เจสซี่พยักหน้ารับว่าเข้าใจ น้องสาวของผมถอนใจเช่นกัน “ถ้างั้นฉันเองก็ต้องขอโทษพี่ด้วยเหมือนกัน”

“นี่เราจะไม่จบกับประเด็นนี้ใช่ไหมเนี่ย” ผมบ่นกลั้วหัวเราะ

“พี่ปฏิเสธคำขอโทษของเราสองคนไม่ได้หรอกเจย์เดน”

“พวกเธอไม่ได้ทำอะไรผิด”

“แต่พ่อของโจกับแม่ของฉันผิด”

“นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเขาเหมือนกัน”

เจสซี่หยุดมือ เธอหันมามองผมอย่างไม่สบอารมณ์ “เลิกแย้งสักทีได้มั้ย พี่รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นความผิดของพวกเขา ที่ทอดทิ้งพี่ ที่ทำให้พี่เจ็บปวด ที่…“

“เจส เราคุยเรื่องนี้กันกี่ครั้งแล้ว” ผมเอ่ยแทรกอะไรก็ตามที่จะหลุดออกมาจากปากของน้องอีก “พี่บอกแล้วไงว่าไม่มีใครผิด ถ้าจะหาคนผิดก็คงเป็นโชคชะตา หรือพระเจ้า จะอะไรก็ช่าง แต่ไม่ใช่พ่อ แม่ เธอ หรือโจที่ผิด”

“...” เจสซี่เงียบไป และผมรู้เลยว่าเธอหาคำพูดมาเถียงไม่ออก สุดท้ายเธอก็เป็นฝ่ายยอมแพ้เหมือนทุกครั้งแล้วเปลี่ยนเรื่อง “จะว่าไปโจนี่ไก่อ่อนชะมัด โตจนอายุสิบแปดแล้วยังร้องไห้อีก”

“อย่าว่าน้องแบบนั้นเจส อีกอย่างเธอเองก็อายุยี่สิบเอ็ดแล้ว แต่ยังร้องไห้เป็นเด็กๆ เหมือนกันนั่นล่ะ”

“แต่ฉันเป็นผู้หญิงนะ”

“จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ร้องไห้ได้เหมือนกันล่ะน่า”

เจสซี่ยักไหล่ “พี่ไปนั่งเล่นเถอะ ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง”

“โอเค ฝากด้วยนะ”

ผมเช็ดมือเปียกๆ เข้ากับผ้าเช็ดมือจนแห้ง ตั้งใจจะไปดูหนังที่ห้องนั่งเล่น แต่ฝีเท้าของผมเป็นอันต้องชะงักเมื่อพบว่าคริสเตียนยืนอยู่หน้าประตูครัว ใจผมเต้นแรงขึ้นมาทันที...เขาได้ยินที่ผมกับเจสคุยกันหรือเปล่า

“นายมายืนตรงนี้นานหรือยัง”

คุณโซลเมตไหวไหล่ “ก็สักพัก”

“แล้วได้ยิน...”

“เรื่องที่นายคุยกับเจสซี่น่ะเหรอ?” เขาเลิกคิ้ว “อยากได้คำตอบจริงๆ หรือโกหกล่ะ”

“ไม่ตลกเลยคริสเตียน” ผมก็ต้องอยากได้ความจริงสิ แต่ถ้าเขาถามแบบนี้มันหมายความว่าเขาได้ยินไม่ใช่รึไง

หัวใจผมเต้นเร็วแรงขึ้นกว่าเดิม เรื่องครอบครัวของผมมีน้อยคนที่จะรู้ แต่เขา...เขาได้ยินไปแล้ว

“อ่าฮะ ฉันได้ยิน”

“แอบฟังคือพฤติกรรมที่แย่มากนะครับ มิสเตอร์แคมเบลล์”

เขาไหวไหล่อีกครั้ง “โทษที”

ไอ้คนเฮงซวยเอ๊ย ผมไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้โซลเมตนิสัยเสียได้ขนาดนี้ ไม่เชิงว่าผมโกรธเขาหรอกนะ แต่ผมก็แค่...นั่นล่ะ เรื่องของครอบครัว ผมไม่อยากให้คนนอกรู้นักหรอก

ผมพ่นลมหายใจ ในเมื่อทำอะไรไม่ได้กับสิ่งที่มันเกิดไปแล้วผมก็แค่ต้องยอมรับ กำลังจะเดินผ่านเขาไปหาโจชัวในห้องนั่งเล่น แต่คริสเตียนกลับรั้งผมเอาไว้ด้วยฝ่ามือร้อนผ่าวแข็งแรง

เราสบตากัน...ผมเลิกคิ้วรอเขาพูด

คริสเตียนจ้องเข้ามาในดวงตาของผมนานหลายนาที แต่ให้ความรู้สึกยาวนานมากกว่านั้น ทุกนาทีที่เราสบตากันผมรู้สึกเหมือนเป็นชั่วโมง...แล้วในที่สุดโซลเมตตัวร้ายของผมก็เอ่ยขึ้น

“นายบอกว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็มีสิทธิ์ร้องไห้ได้เหมือนกัน”

“..!” นั่นไง เขาได้ยินทุกอย่างที่ผมคุยกับเจสจริงๆ ด้วย!

“ถ้างั้นนายน่ะ” ผมสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ ปลายนิ้วชี้ของเขาแตะลงที่ตรงหางตาของผมโดยไม่บอกกล่าว “อยากจะร้องไห้บ้างหรือเปล่า?”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ทันทีที่ผมได้ยินเขาพูดแบบนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนกำแพงอะไรบางอย่างในตัวได้พังทลายลง ขอบตาร้อนผ่าว แต่ผมก็พยายามอย่างสุดความสามารถไม่ให้น้ำตาได้มีโอกาสบดบังดวงตาของผมจากภาพเบื้องหน้า

คริสเตียนลูบขอบตาด้านล่างของผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน และนั่นยิ่งทำให้ผมรั้งทุกความรู้สึกเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว...ผมก้มหน้าลง โซลเมตของผมโอบกอดตัวผมหลวมๆ จนใบหน้าของผมซบอยู่ที่บ่าของเขา

ผมหลับตา ปล่อยให้ความเจ็บปวดที่กักเก็บเอาไว้มานานได้ทะลักทะลายออกมา ห่อไหล่ทิ้งตัวลงพิงร่างกายแข็งแรงของคริสเตียน

ผมไม่รู้ว่าทำไมคริสเตียนทำแบบนี้ และไม่รู้ด้วยเหมือนกันว่าอะไรทำให้ผมยอมปลดปล่อยความอ่อนแอออกมาต่อหน้าเขา อาจจะเป็นพลังโซลเมตงี่เง่านั่น หรืออาจจะเป็นเพราะความอบอุ่นของเขาก็ได้ ทั้งที่เราเพิ่งได้เจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ได้รู้จักกันไม่นานด้วยซ้ำ...ถึงอย่างนั้นผมกลับรู้สึกปลอดภัยในอ้อมกอดของเขา

กระนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมไม่มีทางลืม คือการบอกตัวเองว่าอย่าได้หลงใหลไปกับความอ่อนโยนนี้เด็ดขาด

อย่าตกหลุมรักเขา


__________
อย่าตกหลุมรักเขาเนอะ ห้ามอะไรห้ามได้ แต่ห้ามไม่ให้รักน่ะมันยากนะเจย์เดน ว่าแต่มิสเตอร์คริสเตียนไปกอดเขาน่ะ กำลังคิดอะไรอยู่ หื้มมม เป็นแค่โซลเมตหื่นกามของเจย์เดนแท้ๆ แต่ดันมาแอบฟังเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของเขา ขี้เสือกนะเราน่ะ 55555

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-01-2019 22:21:44 โดย Hazel_nut »

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
อ่านแล้วทั้งหิว เศร้า และอบอุ่น  :กอด1:
 :pig4:

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
เจย์เดนมีกุ้งอบชีสเราก็มีกุ้งอบวุ้นเส้นไง #ปลอบตัวเอง55555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด