Chapter 2
When I think you have charm
การเจอกันครั้งที่สามของผมกับเขา เหมือนการกดย้อนแผ่นหนังสักเรื่องเพื่อดูฉากเดิมซ้ำอีกครั้ง
คลับเดิม...หน้าห้องน้ำเหมือนเดิม และคริสเตียนกำลังฟัดกับผู้หญิงนมโตในชุดเดรสสุดเซ็กซี่เหมือนเดิม จะต่างก็ตรงที่ว่าเธอไม่ใช่คนเดียวกันกับสาวชุดแดงที่มีสามีแล้วคนนั้น น่าจะเป็นสาวคนใหม่ที่เพิ่งได้เจอกันไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำมากกว่า
ผมกระตุกยิ้มมุมปาก อะไรบางอย่างในตัวบอกให้ผมอยู่ตรงนี้ ทั้งที่ความจริงแล้วผมเลือกที่จะปล่อยผ่าน ทำเหมือนว่าเราไม่รู้จักกันก็ได้ แต่ผมก็ไม่ทำ...กอดอกแล้วยืนพิงกำแพงอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ไกลจากโซลเมตของผมมากนัก ส่งเสียงทักทายโดยไม่สนใจว่าเขาจะกำลังเสียบไอ้นั่นเข้าไปในตัวแม่สาวผมบลอนด์อยู่หรือเปล่า
“ตรงนี้เนี่ยนะ? เอาจริงเหรอพวก?”
“Fuck!” คริสเตียนสบถเสียงดัง เขาหันมามองด้วยใบหน้ากรุ่นโกรธอย่างรวดเร็วซะจนผมล่ะกลัวว่าคอของเขาจะเคล็ดเอาได้ แต่พอเห็นว่าเป็นผม เจ้าตัวกลับทำหน้าแปลกใจซะแทน “นายเองเหรอ”
“อ่าฮะ” พยักหน้าให้ “เฮ้ ไม่ขยับเหรอ เธอรอนายอยู่นะ”
ผมพยักพเยิดหน้าไปทางสาวผมบลอนด์ หล่อนมองผมตาโต ก่อนจะผลักคริสเตียนออกห่างแล้วจัดชุดเดรสที่ตัวเองใส่อยู่จนเรียบร้อย นั่นล่ะเธอถึงได้ก้าวเท้าเร็วๆ เดินหนีไป ผมพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดกำลัง แต่...ไม่ไหวครับ นี่มันตลกชะมัดยาดเลยให้ตายสิ
“หัวเราะอะไรของนาย” โซลเมตของผมเอ่ยถาม สีหน้าเขาดูไม่สบอารมณ์ สองมือก็จัดการจับไอ้หนูของตัวเองใส่กลับลงไปในกางเกง
“อึดอัดน่าดูเลยนี่”
“อะไรนะ?” คริสเตียนเงยหน้าขึ้นจากการรูดซิปกางเกงแล้วหันมาขมวดคิ้วใส่ผม
ผมก็เลยกดสายตาลงมองเป้าเขา มองไอ้สิ่งที่เพิ่งถูกจับยัดลงไปนั่นล่ะ “ไอ้หนูของนายไง คับเป้าทีเดียว”
“ไม่คิดว่าคนที่เขินเพราะเจอฉันนัวเนียกับสาวเมื่ออาทิตย์ก่อนจะกล้าถามคำถามนี้กับฉัน”
“เพราะเป็นนายอีกแล้วต่างหาก ฉันเลยเฉยๆ” ผมหน้าร้อนวาบขึ้นมาทันที แต่ก็แสร้งหาคำตอบมากลบเกลื่อน...คริสเตียนแค่นหัวเราะ เขาขยับเข้ามาใกล้ผมอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงครึ่งนาทีตัวของผมก็โดนร่างของเขาคร่อมทับเอาไว้ด้วยสองแขน กักเอาไว้กับผนังจนผมไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้ “เฮ้!”
“เพื่อน นายมาขัดจังหวะฉันเป็นครั้งที่สองแล้วนะ แถมครั้งนี้ยังทำฉันพลาดสาวสวยนมโตเข้าเต็มๆ” คริสเตียนเลื่อนใบหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหูของผม ลมหายใจร้อนๆ ของเขาเป่ารดข้างแก้ม สร้างความประหม่าและไม่น่าไว้ใจให้กับผม “จะรับผิดชอบยังไงล่ะ หืม?”
จุ๊บ...
What the fuck!
ผมอ้าปากค้าง ความเย็นเฉียบของริมฝีปากคริสเตียนแนบอยู่บนต้นคอของผม และทันทีที่ได้สติผมก็ผลักเขาออกเต็มแรง เหวี่ยงหมัดกระแทกหน้าเขาตามสัญชาตญาณเบื้องต้น
พลั่ก!
“ทำบ้าอะไรของนายวะ!”
คริสเตียนสะบัดหน้าไล่ความมึนงง ได้ยินเขาบ่นอุบ “หมัดหนักเป็นบ้า”
“ฉันไม่ตีเข่าใส่น้องชายนายก็ดีแค่ไหนแล้ว”
ผมขึงตาใส่เขา โซลเมตของผมแตะแผลเล็กๆ ที่มุมปากอันเกิดมาจากหมัดของผม สีหน้าเหยเกเพราะความเจ็บ เหอะ สมควรโดนแล้วไอ้เวรเอ๊ย
“หยอกเล่นน่า จริงจังเกินไปแล้ว” นอกจากเขาจะไม่สำนึกผิดที่ทำบ้าๆ กับผมแล้ว ยังยิ้มร้ายกาจมาให้ เหวี่ยงแขนล็อกคอผม บังคับให้เดินไปพร้อมกับเขา
“ปล่อยเลย นายจะพาฉันไปไหน” ผมพยายามสะบัดเขาออก แต่ก็พบว่ามันเป็นไปได้ยาก เกาะแน่นเป็นบ้า!
“เลี้ยงเบียร์”
“นายจะเลี้ยงฉัน?”
“ใช่ สนใจแล้วล่ะสิ”
“ก็แฟร์ดีกับที่นายลวนลามฉัน” ผมไหวไหล่ ทำตามตัวสบายมากขึ้นเมื่อแน่ใจแล้วว่าคุณโซลเมตไม่ได้มีท่าทีคุกคามผมแบบเมื่อครู่อีก
คริสเตียนแค่นหัวเราะ “พูดอย่างกับตัวเองเป็นสาวน้อยไปได้”
ให้ตาย เถียงกับเขาแล้วผมเริ่มจะปวดหัวตุบๆ ขึ้นมาแล้วสิ คนอะไรวะ หาคำพูดมาโต้กลับกันได้ตลอด
ผมถูกลากมานั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ คริสเตียนสั่งเครื่องดื่มเป็นเบียร์ยี่ห้อโปรดของผม นั่นทำให้ผมแปลกใจ...คนคนนี้มีเรื่องให้ผมแปลกใจได้ตลอดสิน่า
“นายดื่มยี่ห้อนี้?”
“ใช่” เขาพยักหน้ารับ “นายไม่ชอบ?”
“เปล่า ฉันก็ชอบเหมือนกัน”
“บังเอิญชะมัด”
นั่นสิ ผมก็ว่ามันบังเอิญมาก เพราะนอกจากที่เราเป็นโซลเมตกัน อย่างอื่นของเราก็ใกล้เคียงกัน ทั้งรูปร่างและส่วนสูงที่ไล่เลี่ยกัน...หมายถึงว่าเขาตัวโตกล้ามใหญ่กว่าผมนิดหน่อย แต่ส่วนสูงเราเท่ากันเลย หรือเขาอาจจะสูงมากกว่าผมสักครึ่งของครึ่งเซนติเมตรเห็นจะได้ ไหนจะรสนิยมความชอบบางอย่าง เช่นเบียร์ที่กำลังดื่มอยู่นี่ไง
หลังจากบาร์เทนเดอร์นำเบียร์มาให้สองขวด ผมกับเขาก็ยกมันขึ้นมาชนกันพอเป็นพิธี ก่อนจะต่างฝ่ายต่างกระดกมันเข้าปาก...ความขมปร่าอันคุ้นเคยไหลผ่านลำคอ สร้างความสดชื่นให้ผมไม่น้อย ทำงานมาเหนื่อยๆ บางทีได้ดื่มแอลกอฮอร์เย็นๆ บ้างก็ช่วยผ่อนคลายได้เยอะ
“นายมากับใคร” คริสเตียนเป็นฝ่ายชวนคุย ซึ่งนั่นค่อนข้างแปลกทีเดียว เขาดูเป็นคนที่ไม่น่าจะชวนใครคุยก่อน ก็อะไรแบบนั้น
“คนเดียว” ผมตอบ “นายล่ะ”
“เหมือนกัน”
“อ้อ มาหาเหยื่อแต่โดนฉันขัดจังหวะสินะ” ผมหลุดขำ “แม่สาวผมบลอนด์นั่น นายตรวจสอบแล้วหรือยัง”
“ตรวจสอบ?”
“...ให้แน่ใจว่าเธอไม่มีสามี”
“ไอ้เวร” คริสเตียนด่าผม แต่แทนที่ผมจะโกรธ กลับรู้สึกตลกจนต้องปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังๆ
“จะว่าไปตั้งแต่เรารู้จักกัน ฉันยังไม่รู้เลยว่านายอายุเท่าไหร่” หัวเราะจนพอใจผมก็เปลี่ยนเรื่อง
คริสเตียนเลิกคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเอียงมามองผม ดวงตาสีเทาราวเมฆหมอกของอากาศยามเช้าบนหุบเขาสูงดูมีเสน่ห์ ลึกลับ แฝงเร้นไปด้วยความอันตราย
แต่น่าหลงใหล
“ถามทำไม?”
“ก็แค่อยากรู้ ต้องมีเหตุผลด้วยงั้นเหรอ?”
“ไม่” คริสเตียนจิบเบียร์ “แต่ฉันไม่อยากตอบ”
“ได้ครับคุณแคมเบลล์ ไม่ตอบก็ไม่ตอบครับ” ผมพยักหน้าหงึกหงัก วางขวดเบียร์ที่หมดแล้วลงกับเคาน์เตอร์บาร์ รับรู้ได้ว่าคุณโซลเมตหันมามอง แต่ผมไม่ได้หันกลับไปมองเขา
ได้ยินเสียงของเขาดังแว่วมา “กวนประสาท”
ผมหัวเราะเสียงเบากับตัวเอง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน ตบบ่าคริสเตียนแล้วเอ่ยลา “ไปละ”
“จะกลับแล้วงั้นเหรอ?”
“ช่าย พรุ่งนี้ฉันยังต้องไปทำงานนะพวก เมาไม่ได้หรอก”
“นายทำงานอะไร?”
ผมเป็นฝ่ายเลิกคิ้วให้กับคำถามของเขาบ้างแล้วคราวนี้ และ... “ฉันไม่อยากตอบ”
ซึ่งนั่นทำให้ผมโดนเขาต่อว่าด้วยถ้อยคำเดียวกันกับก่อนหน้านี้เป๊ะ ซึ่งนั่นทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความชอบใจจนได้
“กวนประสาท”
เราจากลากันอย่าง่ายๆ ในวันนั้น...แต่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอคริสเตียนอีกในเร็วๆ นี้ คืออย่างน้อยผมอาจจะมีโอกาสได้เจอเขาที่คลับ ถ้าผมไปทุกวันแล้วโชคดีได้เจอน่ะนะ ซึ่งนั่นไม่ได้หมายรวมถึงการได้พบกันในที่ทำงานของผม
เราไม่ได้แลกเบอร์กัน เขารู้จักบ้านผม แต่ก็นั่นล่ะ...ทำไมเขาจะต้องไปหาผมด้วยล่ะจริงมั้ย? ดังนั้นการได้พบกันเป็นครั้งที่สี่ในที่ทำงานของผมเนี่ย มันเหนือความคาดหมายจนเกินไป และที่ยิ่งไปกว่านั้น...
“สวัสดีครับคุณแคมเบลล์” บอสของผมเอ่ยทักทายอย่างสุภาพ ในขณะที่ผมได้แต่ยืนมองคุณโซลเมตตาค้าง
อีกฝ่ายลอบยิ้มมุมปากให้ผม “สวัสดีครับ”
“ทางเรายินดีมากที่คุณให้เกียรติเข้ามาดูงานด้วยตัวเองนะครับ ทีมที่รับผิดชอบก็อยู่ที่นี่แล้วด้วย” บอสผายมือมาทางพวกเรา ซึ่งก็คือผม...และเพื่อนร่วมงานในโปรเจ็คออกแบบคอนโดฯ ใหม่ใจกลางเมืองอีกสามคน
คริสเตียนยิ้มสุภาพ “ผมแค่มาดูงานแทนพี่ชายเท่านั้น แต่ก็ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับ”
“ยินดีครับ หากคุณแคมเบลล์ต้องการจะแก้แบบแปลนตรงส่วนไหน สามารถพูดคุยโดยตรงกับทางทีมสถาปนิกของเราได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”
อยากบอกบอสชะมัดว่าเกรงใจบ้างก็ดี แก้มาจะสิบรอบแล้ว สัปดาห์ก่อนก็ผ่านแล้วด้วย ยังจะแก้อะไรอีกล่ะ
ผมลอบถอนหายใจ จะว่าไปก็เพิ่งจะรู้นี่ล่ะว่าลูกค้าของพวกเราคือเขา ทำไมผมไม่ตงิดใจตอนได้ยินนามสกุลของคริสเตียนกันนะ ทั้งที่มันเหมือนชื่อบริษัทที่ผมรับทำโปรเจ็คให้อยู่ตอนนี้เลย อ่า แต่เขาบอกว่ามาแทนพี่ชายนี่นา ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วลูกค้าจริงๆ คงเป็นพี่ชายของเขามากกว่า
โซลเมตของผมมีพี่ชาย นี่ผมควรจดลงสมุดเอาไว้ไหมนะ? หัวข้อ ‘เรื่องรอบตัวเกี่ยวกับโซลเมตของผม - คริสเตียน แคมเบลล์’ อะไรแบบนั้น
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ต้องไปรับรองลูกค้าอีกกลุ่ม”
“ครับ”
“เจย์เดน ฝากด้วยนะ” บอสหันมาบอกผม ผมแค่พยักหน้ารับ...ดีครับ บอสฝากได้ถูกคนมาก
หลังจากบอสของผมออกจากห้องไปแล้ว ผมก็เกร็งหน้าทำเหมือนว่าไม่รู้จักคริสเตียนมาก่อนเพื่อเอ่ยทักทาย
“ยินดีที่ได้พบกันครับ คุณแคมเบลล์”
เขายื่นมือมาจับกับมือผม แรงบีบเบาๆ ราวกับจะหยอกล้อกันทำให้ผมเผลอมุ่นคิ้ว
“ยินดีเช่นกันครับ...คุณคาร์เตอร์”
นามสกุลของผมที่หลุดออกมาจากปากเขาให้ความรู้สึกประหลาดชะมัดเลย
“อยากจะดูแบบแปลนล่าสุดที่ ‘ผ่าน’ แล้วไหมครับ” ผมเน้นย้ำคำว่าผ่าน และหวังว่าเขาจะเข้าใจความหมายที่ผมสื่อออกไป...อย่าได้สั่งให้ฉันแก้งานอีกนะเว้ย
จากสีหน้าเขา ดูก็รู้ว่าพยายามกลั้นขำสุดชีวิต ผมจะถือว่าเขาเข้าใจที่ผมพูดก็แล้วกัน “ครับ ดูครับ”
“นี่เป็นแบบคอนโดฯ ที่ทางคุณต้องการครับ” วิล เพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งของผมเอ่ยขึ้นพร้อมกับวางแปลนที่ว่าลงกลางโต๊ะ คริสเตียนก้าวเข้ามาดู และจังหวะนั้นเองที่ผมได้มีโอกาสสังเกตเขาชัดๆ
โซลเมตของผมใส่สูท ดูแปลกตากว่าตอนที่เจอในคลับ เรียกได้ว่าต่างกันลิบลับจนเหมือน อืม...เหมือนโฮมเลสที่ได้ซื้อเสื้อผ้าใส่ใหม่เป็นครั้งแรกในรอบสิบปี อะไรทำนองนั้น
ผมก็พูดโอเวอร์ไปอย่างนั้นเอง เปรียบเทียบแบบนั้นก็ดูจะไม่ให้ความเป็นธรรมกับคริสเตียนจนเกินไป เขาหล่อ (ซึ่งอันนี้ผมยอมรับเลยจริงๆ นะ แม้ว่าจะไม่อยากยอมรับก็ตาม) ไม่ว่าจะใส่สูทหรือชุดเซอร์ๆ เขาก็ยังดูดีเหมือนเดิม ให้ตาย โคตรจะอวยโซลเมตตัวเองเลยว่ะ นี่เป็นพลังของสายใยแห่งโชคชะตาหรืออะไรทำนองนั้นรึเปล่า ถึงทำให้ผมแบบว่า เอ่อ ดูหลงใหลเขาได้ขนาดนี้
กึก
ผมชะงัก เบิกตากว้างอย่างตกใจ...ผมคิดบ้าอะไรกันน่ะ หลงใหลเนี่ยนะ?! ผมไม่ได้ชอบคริสเตียนสักหน่อย (อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้แน่ๆ)
“เฮ้ คาร์เตอร์ คาร์เตอร์?”
“เอ่อ ครับ”
คริสเตียนหรี่ตามองผม “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า จู่ๆ ก็เงียบไป”
คำพูดของเขาทำให้เพื่อนอีกสามคนหันมามองเช่นกัน และแมตต์เป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น “แกโอเคนะ?”
“ฉันโอเค แต่...ขอไปชงกาแฟสักครู่นะครับ” ผมบอกกับลูกค้า มันออกจะเสียมารยาทไปสักหน่อย แต่ผมต้องการเวลาสงบสติความคิดบ้าบอของตัวเอง
คริสเตียนหรี่ตามองผมเล็กน้อย แต่เขาก็ยอมพยักหน้ารับ เห็นดังนั้นผมจึงปลีกตัวออกมาแล้วตรงไปยังห้องชงกาแฟทันที ได้คาเฟอีนมากล่อมสมองหน่อยก็คงดี ผมจะได้เลิกคิดฟุ้งซ่าน
ผมปลดเนกไทออกจากคอ ตามด้วยกระดุมเสื้อเชิ้ตสองเม็ดบน ถ้าไม่จำเป็นผมคงไม่ใส่สูทแบบนี้ มันน่าอึดอัดน่ะ
ระหว่างชงกาแฟผมก็นึกไปถึงคริสเตียนอีกจนได้ แต่เป็นการนึกเพราะแปลกใจมากกว่าที่เห็นเขาอยู่ที่นี่ แล้วก็พาลคิดไปด้วยว่าที่เขามาดูงานแทนพี่ชายได้เนี่ย ก็แปลว่าต้องอยู่ในตำแหน่งที่สูงพอสมควร คนที่จะควบคุมการออกแบบได้เป๊ะที่สุดก็ต้องเป็นพวกระดับสูงในบริษัทไม่ใช่เหรอ? ผมไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่ตรวจสอบแบบห้องด้วยตัวเองน่ะ
งั้นก็สรุปได้คร่าวๆ ว่าคริสเตียนอาจจะเป็นคณะกรรมการบริษัท หรือไม่ก็ฝ่ายบริหาร รองซีอีโอ...หรือเป็นซีอีโอซะเอง?...ไม่หรอก พี่เขาน่าจะมีตำแหน่งใหญ่กว่า อย่างน้อยเขาก็คงอยู่ในบอร์ดบริหารด้วยตำแหน่งอะไรสักอย่างนั่นล่ะ
“เหม่ออะไรของนาย กาแฟเย็นหมดแล้วมั้ง”
“Holy shit!!” ผมสะดุ้ง เผลอทำกาแฟกระฉอกใส่มือตัวเองเข้าจนได้
“เฮ้ เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่ๆ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ วางแก้วกาแฟลง ตรงที่โดนกาแฟลวกร้อนนิดหน่อย แต่ยังไม่ทันได้คิดว่าต้องทำยังไงต่อ คริสเตียนก็เป็นฝ่ายคิดแทนผม
เขาคว้ามือผมไปจับ แล้วทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ผมด้วยกล่องปฐมพยาบาลที่มีอยู่ในห้องนี้พอดี ซึ่งตลอดเวลานั้นผมได้แต่ยืนมองเขาโดยไม่พูดอะไร...พูดไม่ออกน่ะ สมองมันมึนๆ เบลอๆ เหมือนผมโดนต่อยไม่ยั้งด้วยกำปั้นยักษ์ของคิงคองสักตัวที่ถูกจับใส่นวมนักมวย มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คริสเตียนยกมือซึ่งถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวสะอาดแล้วเรียบร้อยขึ้นมาให้ผมดู
“มันแดงนิดหน่อย แต่ฉันคิดว่าพันผ้าเอาไว้น่าจะดีกว่า”
“ถูกหลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้น?” ผมเลิกคิ้ว
เขาหัวเราะ...หัวเราะในแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน มันเป็นเสียงหัวเราะแผ่วเบาราวกับสายลม แต่น่าฟังซะจนวูบหนึ่งผมอยากจะขอให้เขาหัวเราะอีกครั้งแล้วนั่งฟังอย่างไม่รู้เบื่อ
“ไม่รู้สิ”
คำตอบของเขาก็ทำให้ผมหัวเราะตามจนได้ “ขอบคุณนะครับคุณแคมเบลล์”
“เรียกชื่อเถอะน่า เรารู้จักกันแล้ว”
“ให้เรียกคริสเตียนน่ะเหรอ?”
เขาพยักหน้า “และฉันจะเรียกนายว่าเจย์เดน”
“ดูสนิทกันมากเกินกว่าจะเป็นแค่ลูกค้ากับสถาปนิกที่ถูกจ้างงานรึเปล่า หือ?”
“ฉันไม่แคร์ นายแคร์รึไง” คริสเตียนยิ้มยียวนในแบบที่ทำให้เขาดูเป็นแบดบอยตัวร้าย นี่ถ้าไปยิ้มแบบนี้ใส่ศัตรูที่ไหนคงได้โดนรุมกระทืบอีกรอบเป็นแน่
“ไม่คิดว่านายจะเป็นคน...อืม เรียกว่ายังไงดีล่ะ เฟรนด์ลี่?”
“นายยังรู้จักฉันได้ไม่ดีพอที่จะตัดสินฉันนะ”
ผมชะงัก และรู้สึกเห็นด้วยกับเขา นั่นสินะ...เราไม่ควรตัดสินคนอื่นเพียงเพราะรู้จักเขาแค่ผิวเผินหรือมองแต่รูปลักษณ์ภายนอก บางคนแต่งตัวสุภาพแต่อาจจะเป็นพ่อค้ายา หรือบางคนหน้าตาโหดเหี้ยม แต่จิตใจเขาอาจจะมีเมตตาจนไม่กล้าแม้แต่จะบี้มดก็ได้
“ก็จริงของนาย”
“อ่าฮะ ทีนี้เราจะไปทำงานกันต่อได้หรือยังล่ะ?”
ผมยิ้มให้เขา “ไปสิ”
แล้วเราสองคนก็เดินกลับไปยังห้องทำงานด้วยกัน
__________
โลกกลมหรือพรหมลิขิต 555 ก็คือเขาเริ่มสนิทกันแล้ว...รึเปล่า แล้วเมื่อไหร่คริสเตียนจะได้รู้ว่าชื่อโซลเมตโผล่อยู่บนตัวแล้ว อืมมม นั่นสิ เมื่อไหร่ดี? ฮ่าา ยิ่งไปกว่านั้น...ไอ้ที่มันตุงในกางเกงคุณแคมเบลล์เนี่ย หายอึดอัดแล้วเหรอคะถึงได้ชวนเจย์เดนไปเลี้ยงเบียร์ได้ เอ...หรือนั่งไปปวดหนึบไป 55555
ปล. ใครชอบอ่านแนวเวิร์สต่างๆ มีเรื่องหนึ่งเป็น Rainverse ของ JackXy Wu ค่ะ สนุกนะ ไปลองตำดูได้เด้อออ