เขมินทรากัดริมฝีปากล่าง แต่ครั้งนี้ถูกนิ้วหัวแม่มือของอีกคนสอดมารับแรงกัด เห็นคิ้วเข้มบนใบหน้าเรียบเฉยขมวดมุ่นแล้วก็ออกแรงกัดมากขึ้น ทว่าเจ้าของนิ้วกลับไม่ส่งเสียงร้องหรือดึงนิ้วออก กลับสอดอีกนิ้วเข้ามา ในขณะที่แววตาเย็นชาเปลี่ยนเป็นความกรุ้มกริ่ม “เลียดีกว่าครับ”
“อื้อ...” ริมฝีปากของเขมินทรารับฟังคำสั่งอย่างง่ายดาย ไม่ได้เต็มใจแต่มันเคยชินที่จะทำตามคำพูดของเขาไปเสียแล้ว ปากเล็กดูดงับนิ้วในโพรงปากอย่างยั่วยวนพลางลิ้นเล็กก็โลมเลียไปตามความยาวของนิ้ว เขมินทราหลับตา จินตนาการถึงสิ่งที่ใหญ่กว่านิ้วของเขา สิ่งที่เปลี่ยนเขมินทราให้กลายเป็นคนร่านรัก
เสียงดูดนิ้วดังเบาๆ ยามที่ริมฝีปากเล็กขยับ นิ้วของเขาสอดเข้าออก แววตาเย็นชามองสบตากับคนที่กำลังยั่วยวนพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปาก เขมินทราไม่เหลือความกระดากอาย เปิดเผยความต้องการก่อนจะถอนริมฝีปากออกแล้วมองตาปรอย “อยากแล้ว”
“ไม่ได้ครับ” เขาปฏิเสธอย่างใจร้าย “ผมต้องไปรับมิสเตอร์เคมาที่นี่”
“เหลืออีกตั้งสองชั่วโมง” เขมินทราส่งเสียงกระเง้ากระงอด มือบางขยับเคลื่อนไปตรงกลางกายของร่างสูง รูดซิปกางเกงที่เป็นปราการขีดขวางลงอย่างรีบร้อนพลางเข้ากอบกุมส่วนแข็งขืนที่ซ่อนอยู่ภายใน “ไอ้พี่โง่มันรอได้”
“ไม่อยากรีบไปหาธนิกหรือไงครับ ซี๊ดดด..ด ขิม คุณแม่ง...” คนถูกปลุกเร้าถามเสียงพร่าพลางสูดริมฝีปากเพราะมือของเขมินทรากำลัังรูดรั้งอาวุธร้ายให้พร้อมใช้งาน มือบางขยับอย่างช่ำชองกับของที่ขนาดคุ้นมือ บีบบี้ส่วนหัว ปาดน้ำใสที่ไหลซึมแล้วคลึงเล่น
“อยาก แต่ว่า...” เขมินทราทำหน้าคิดหนักราวกับกำลังลังเลใจที่จะพูดออกมา ต่อสู้กับตัวเองอยู่นานสุดท้ายก็เปลี่ยนเรื่องไปเสียดื้อๆ “ช่างมัน แล้วนี่ถ้าไอ้พี่โง่มันเปลี่ยนตัวกับกู มึงจะทำมันมั้ย...กูหมายถึง บทบาทของเขมินทราต้องตกอยู่ในนรกของมึงนี่”
“อย่าโง่สิครับ อื้มมม...ม อะ...ซี๊ดด ผมไม่ทำเรื่องแบบนั้นกับมิสเตอร์เค”
เขมินทราหลุดยิ้ม แต่ก็รีบกลบเกลื่อนด้วยการทำหน้าบึ้งตึง “อืม ดีแล้ว อย่าให้ใครมาทรมานเหมือนกู”
“ครับ” เสียงตอบรับสั่นพร่าเพราะมือบางเพิ่มความเร็วในการรูดรั้ง “อดทนอีกนิดก็แล้วกัน ถ้ามิสเตอร์เคจบเรื่องได้เมื่อไหร่ คุณก็เป็นอิสระเมื่อนั้น”
อิสระ...เขมินทราจะเป็นอิสระจากนรกนี่แล้วอย่างนั้นเหรอ
ดีใจหน่อยสิ...สุขใจกับมันหน่อย
“หมายความว่าไง” เขมินทราถามพลางชะงักข้อมือ
“ผมไม่ได้คิดจะขังคุณไปตลอดนี่ครับ”
“เหรอ”
“วันนี้คุณเป็นอะไรเขมินทรา” เขาตั้งคำถาม ขมวดคิ้วมองเขมินทราด้วยความไม่เข้าใจ “งอแงมากนะครับ”
“ไม่รู้”
เขมินทรารู้ดีว่าคำตอบที่ให้ไปนั้นไม่ถือว่าเป็นคำตอบ แต่เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองเป็นอะไร ทั้งๆ ที่วันนี้จะได้มีโอกาสไปหาคนที่รักโดยที่ปกติเข้าใกล้ไม่ได้ ควรดีใจกับโอกาสที่พี่ชายหยิบยื่นให้มากกว่านี้ แต่มันก็เป็นเพียงความดีใจชั่วครู่ตอนที่ได้รู้ว่าขวัญพัฒน์ขอเปลี่ยนตัว ส่วนตอนนี้นั้น...บอกไม่ถูก รู้สึกยังไงก็บอกไม่ถูก
“ผมต้องไปแล้ว” เขาบอก แต่เขมินทราไม่ยอมปล่อย กลับเริ่มขยับข้อมือของตัวเองต่อ “ได้ยินที่ผมพูดไหม”
“ก็ไปสิ”
“ปล่อยของผมก่อนครับ” เขาว่าอย่างใจเย็นพลางหยุดข้อมือบาง “เลอะหมดแล้ว”
เขมินทราเม้มริมฝีปากแน่น แววตาตัดพ้อน้อยใจอย่างไม่รู้ตัว “อีกตั้งสองชั่วโมง รีบเหรอ อยากไปเจอไอ้พี่โง่เร็วขนาดนั้น มึงคิดอะไรกับพี่กูก็บอกมาเถอะ”
“เขมินทรา” เขาเรียกเสียงเข้ม “ผมไม่จำเป็นต้องอธิบายกับคุณนะ ไม่ว่าผมจะคิดหรือไม่คิดอะไรกับใคร”
“ก็ไม่ได้ขอให้มึงอธิบายอะไรนี่ แค่ว่าถ้ามึงชอบพี่กู กูก็จะช่วย เพราะยังไงพี่ธนิกก็จะกลับมาหากู กูไม่อยากให้ไอ้พี่โง่มันไม่เหลือใคร”
“งั้นผมจะบอกคุณไว้ตรงนี้ว่าผมไม่ได้ชอบมิสเตอร์เค”
“แล้วมึงชอบใคร”
“ผมมีดวงอาทิตย์ของผม”
เขมินทราเหมือนคนที่โดนยิงแสกหน้าหมดลมหายใจลงตรงนั้น ความรู้สึกตอนที่ได้ยินคำตอบก็เป็นแบบนั้นเอง อ่า...นั่นสินะ มีคนในใจอยู่แล้วจริงๆ ด้วย แล้วถ้าเป็นคนนั้นก็ตอบข้อสงสัยของเขมินทราได้จนหมด
“แบบนี้เอง มึงถึงได้เป็นพันธมิตรกับพี่กู”
“ครับ ตามนั้น”
“แล้วทำไมวันนั้นถึงไม่ยิงกูให้ตายไปเลยล่ะ แค่ถากๆ ไม่สมกับเป็นมึง”
คำถามของเขมินทราทำให้มิสเตอร์ทีเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่มีความหวั่นเกรงที่ถูกล่วงรู้ในสีหน้า แววตายังเย็นชาไม่เปลี่ยน “ผมต้องลงโทษนี่ครับ คุณจะได้หลาบจำ ไม่ได้คิดฆ่าให้ตาย”
“แล้วพี่กูล่ะ มึงกะฆ่ามันเหรอ”
“นั่นสินะครับ” คำตอบเล่นลิ้นของมิสเตอร์ทีทำให้เขมินทราเงื้อกำปั้นขึ้นจะทุบอกกว้าง แต่ข้อมือก็ถูกรวบไว้ “แต่เพราะยังอยู่ในข้อตกลง ต่อให้อยากทำผมก็ไม่ทำ ผมเล่นตามกฎของผมเสมอ คนที่สั่งยิงมิสเตอร์เคที่สถานีรถไฟจึงไม่ใช่ผม อีกอย่างคนที่ควรจะโดนยิงอาจจะไม่ใช่มิสเตอร์เคก็ได้ แต่อาจจะเป็นธนิกเองที่เป็นเป้าหมายตั้งแต่แรก เพราะระยะยิงใกล้แบบนั้น ไม่น่าพลาดจุดสำคัญ คนยิงไม่ใช่มือสมัครเล่น ถ้าเล็งมิสเตอร์เคตั้งแต่แรก แค่ที่หัวหรืออกซ้ายนัดเดียวก็จอดแล้ว เพราะอย่างนั้นคนที่ไม่ควรมองข้าม นอกจากธนิษฐากับแขไข ก็คือคนเริ่มเกมอย่างพ่อของพวกคุณ”
เขมินทราพยักหน้าน้อยๆ ตัวเลือกในใจตอนนี้ตัดธนิษฐาออกไปอย่างไม่ลังเล เพราะเขมินทรารู้จักผู้หญิงจิตวิปริตคนนั้นดี “ก็คงจริงอย่างที่มึงพูด แต่แปลกดีนะพอเป็นกู...มึงยิงกูไม่ลังเล แต่กับพี่กู มึงบอกว่ามึงไม่ทำ”
“อีกนิดนะเขมินทรา อีกนิดผมจะคิดว่าคุณน้อยใจผม”
เขมินทราขึงตามอง ริมฝีปากเม้มแน่น ให้ตายอย่างไรก็จะไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าน้อยใจคนที่เกลียดที่สุดในโลกอย่างเขา
“ตอนนี้ปล่อยผมได้แล้วครับ เสียเวลามากแล้ว”
“ทำ...ก่อน ไม่ได้เหรอ” ในที่สุดเขมินทราก็พ่ายแพ้ต่อตัวเอง ใบหน้าเล็กขยับเข้าใกล้ใบหน้าได้รูปคม กลีบปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อย แววตาหวานเชิญชวนอย่างไม่ปิดบัง “จะไม่เจออีกหลายวัน มึงทำกูติดไปแล้ว”
“ใครบอกว่าจะไม่เจอ” มิสเตอร์ทีถามกลับ แววตาที่มองสบกับเขมินทราเปรียบเหมือนเหวลึกที่ฉุดให้คนมองดำดิ่งลงไป “คุณยังอยู่ในนรกของผม ผมไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆ หรอก”
“แต่ว่ากูไปอยู่ในบ้านหลังนั้นแล้วจะได้เจอเหรอ...”
ร่างสูงยกมือซ้ายขึ้นดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะรั้งร่างผอมเข้าแนบชิด “งั้นให้ห้านาที ถ้าทำให้ผมพอใจได้ ผมต่อเวลาให้คุณเอง”
ตั้งแต่ตกอยู่ในนรกของมิสเตอร์ที ก็ไม่มีเขมินทราคนเดิม หัวใจอาจจะยังคงมีเจ้าของเดิมแต่ร่างกายเปลี่ยนไป เขมินทราโหยหาสัมผัส เสพติดเซ็กส์ของมิสเตอร์ที ร่างกายรุ่มร้อนแค่เพียงถูกเขามองหรือสัมผัส เขมินทรากลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ เมื่อต้องการอ้อนขอให้เขาเติมเต็ม คำพูดบอกว่าเกลียดเขาแต่ก็ใช้ริมฝีปากสัมผัสเขาแทบทุกส่วนราวกับรักใคร่ ปรนเปรอเขาทุกทางเพื่อหวังให้ห้านาทีกลายเป็นหนึ่งชั่วโมง
เขมินทราไม่เคยชนะและตอนนี้ก็แน่ใจแล้วว่าอยากพ่ายแพ้อยู่ในนรกของมิสเตอร์ทีต่ออย่างไม่ขอให้มีวันจบสิ้น
********************
“ไงไอ้น้องโง่” ขวัญพัฒน์เอ่ยทักเมื่อมาถึงที่นัดหมาย “มึงไหวมั้ยเนี่ย ท่าทางเพลียๆ”
“กูไหว แค่ง่วงนิดหน่อย” เขมินทราตอบกลับ ขยับเปลี่ยนจากการขดตัวนอนเป็นนั่งพิงหลัง ก่อนจะมองหาใครอีกคนที่ควรจะมาด้วย “แล้ว...หมารับใช้ของมึงล่ะ ไม่มาด้วยเหรอ”
“มา แต่รอไปส่งมึงอยู่ข้างล่าง” ขวัญพัฒน์ตอบพลางนั่งลงบนโซฟาอีกตัว “แล้วยังไงไอ้ขิม การเป็นมึงนี่กูต้องทำอะไรบ้าง”
“พิมพ์ใส่โน๊ตไว้ในคอมฯ ให้แล้ว ไปเปิดดูเอง” เขมินทราหาวหวอด ขยับตัวเล็กน้อยพลางบิดกายคลายความเมื่อยขบ “ของกูน่ะไม่ยุ่งยาก เพราะนอกจากอยู่คอนโดฯ แล้วก็แค่ต้องไปมหาลัย กลับบ้านบ้างเดือนละครั้ง เดือนนี้กูก็เพิ่งกลับไปก็ตัดปัญหาข้อนี้ได้ อีกอย่างพ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยงไปต่างประเทศ กำหนดกลับอีกสามเดือน หายห่วงเลย แต่ของมึงกูต้องไปติดแหง็กอยู่ในบ้านหลังนั้น แล้วก็ต้องลุ้นว่าพี่ธนิกจะเตะกูออกจากบ้านหรือเปล่า เขาต้องรู้ทันทีว่ากูไม่ใช่มึงแล้วก็ต้องบีบคอกูเพื่อถามว่ามึงอยู่ไหนแน่”
“ใช้คำว่าเค้นคอเถอะ พี่นิกไม่โหดกับมึงหรอก อีกอย่างมึงแก้ปัญหาเอาเองละกันเรื่องนี้”
“โยนขี้ให้กูตลอดไอ้สัดพี่” เขมินทราเบ้ปากใส่พลางมองพี่ชายฝาแฝดที่นั่งกางขาอย่างมาดแมนสมชาย ดูไม่ทุกข์ร้อนกับปัญหาที่เขาต้องเจอ
ขวัญพัฒน์เป็นคนแบบไหน เขมินทราก็ตอบไม่ได้ ตอนที่แอบตามมิสเตอร์ทีไปแล้วพบเข้าจนตัดสินใจเข้าไปคุยด้วยก็รู้สึกได้ว่าเป็นคนโง่คนหนึ่งที่ไม่มีพิษภัยต่อใคร หลอกง่ายและอาจถูกจูงจมูกได้ไม่ยาก ท่าทางขวัญพัฒน์หัวอ่อนไม่สู้คน ผิดวิสัยจากเด็กที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย เชื่อแน่ว่าเด็กหนุ่มในละแวกบ้านเช่าของขวัญพัฒน์นั้นติดยาไปเกินครึ่ง เป็นนักเลงหัวไม้ ตั้งกลุ่มแก้งแว๊นรบกวนชาวบ้านอีกหลายคน แต่ขวัญพัฒน์กลับเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาที่เรียนจบชั้นมัธยมปลายและมีอาชีพขับวินมอเตอร์ไซค์ไปวันๆ ครอบครัวที่รับเลี้ยงขวัญพัฒน์ไม่ได้ร่ำรวย บางครั้งก็อดมื้อกินมื้อ ขวัญพัฒน์อยู่บ้านเช่าหลังเล็กกับน้าวัยสี่สิบกว่าๆ และหมาอีกหนึ่งตัว
ธรรมดา ไม่เด่น ไม่สะดุดตา ไม่มีอะไรเลย คำจำกัดความแรกที่ให้ไว้กับขวัญพัฒน์ซึ่งแตกต่างจากเขมินทราราวฟ้ากับเหว
เขมินทราเคยรู้สึกดีใจตอนที่รู้ว่ามีพี่ชายฝาแฝดแต่พอได้ทำความรู้จักกันแล้วความรู้สึกดีใจก็หายไปแทนที่ด้วยความหงุดหงิดแทน เพราะขวัญพัฒน์เป็นพี่ชายที่พึ่งพาอะไรไม่ได้ ทั้งที่หน้าเหมือนกันแต่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย นิสัยก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในระหว่างที่เขมินทราคิดแก้แค้นและเรียกร้องทุกอย่างที่ควรเป็นของตัวเองคืนมาแต่ขวัญพัฒน์กลับเมินเฉย ไม่โกรธไม่แค้น ไม่หือไม่อือต่อสิ่งใด
ทว่าบางครั้งก็ทำเรื่องที่คาดไม่ถึงขึ้นมา นั่นแหละ...จากที่คิดว่าพึ่งพาไม่ได้ก็ใจชื้น เขมินทราจึงรู้ได้ทันทีว่าคนอย่างขวัญพัฒน์เอาแน่เอานอนไม่ได้ ทำเหมือนไม่คิดอะไรแต่ก็คิดและอาจจะคิดมากกว่าคนอื่น ในขณะที่เขมินทราวิ่งเต้นเป็นเด็กน้อยแต่ขวัญพัฒน์กลับแค่นั่งดูอยู่นิ่งๆ เพราะแบบนั้นล่ะมั้ง...มิสเตอร์ทีถึงละความสนใจจากเขาไปหาขวัญพัฒน์ พักหลังมานี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่ได้อยู่ในสายตา อาจมีเตือนบ้างแต่ก็แค่นั้น...ไม่ได้สนใจเหมือนเมื่อก่อน
อิจฉา...คือความรู้สึกที่เขมินทรามีต่อขวัญพัฒน์
“มึงไปได้แล้วไอ้ขิม มีอะไรไลน์คุยกับกูได้ แต่ไม่ต้องส่งรูปมึงกับพี่นิกมา เข้าใจมั้ย” ขวัญพัฒน์พูดขึ้นพลางลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ “ไป กูเดินไปส่ง”
“เออๆ แต่ถ้ากูจะโดนพี่ธนิกฆ่า มึงต้องไปช่วยกูทันทีนะเว้ย” เขมินทราลุกขึ้นตาม ความเมื่อยขบจากกิจกรรมรักที่เพิ่งทำไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้ากำลังทำพิษเข้าให้แล้ว แค่ยืนขึ้นเขมินทราก็เซถอยหลัง แข้งขาอ่อนแรงแต่เพราะมือของขวัญพัฒน์คว้าไว้ได้ทันจึงไม่ล้มไปเสียก่อน
“มึงไหวแน่นะ” ขวัญพัฒน์ถามย้ำ มองสำรวจใบหน้าน้องชายฝาแฝดก่อนจะพูดขึ้นตามใจคิดอย่างไม่จริงจังว่า “หน้าเพลียอย่างกะเพิ่งไปเอากับใครมา”
“กูจะไปเอากับใครที่ไหนเล่า!!” แต่คนฟังที่มีชนักติดหลังกลับร้อนตัวขึ้นมา เขมินทราเสหน้าหลบเลี่ยงสายตาของพี่ชาย
“นี่มึงไปเอากับใครมาจริงเรอะ” ขวัญพัฒน์ทำตาโต ถือวิสาสะดึงเสื้อยืดที่น้องชายสวมใส่ขึ้นจนเห็นหน้าท้องขาวกับแผ่นอกที่ถูกทำรอย “ไอ้ขิม ใครทำ”
“ไม่ใช่พี่ธนิกละกัน” เขมินทราตอบพลางปัดมือคนพี่ออกจากเสื้อแล้วดึงปิดร่องรอยด้วยใบหน้าขึ้นสีระเรื่อน่ามอง
“รู้ว่าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้เขาเอากับกูอยู่” ขวัญพัฒน์ว่ายียวน เห็นไอ้แฝดน้องทำหน้าบูดบึ้งแล้วก็ยิ่งชอบใจ
“มึงเกทับกูใช่มั้ย”
“เปล่า บอกความจริง แต่เอากูเสร็จก็กลับบริษัทแล้วตอนนี้คงไปรับคุณนิ่มไปกินข้าว ดึกๆ น่าจะกลับนั่นแหละ”
เขมินทราถอนหายใจแรงเมื่อได้ยินคำพูดจากคนที่ดูไม่ทุกข์ร้อน แต่เห็นตาบวมๆ นั่นก็รู้แล้วว่าผ่านการร้องไห้มา “ไอ้สัดพี่ มึงนี่มันเป็นแค่ชู้รัก แค่ที่พักใจจริงๆ”
“แล้วมึงล่ะเป็นอะไร” ขวัญพัฒน์ย้อนถาม “เป็นอะไรสำหรับคนที่เอามึง”
“ทาส” เขมินทราตอบเสียงแผ่ว “แต่กูก็ไม่ได้อยากได้สถานะอะไรจากมัน เพราะกูเกลียดมัน”
“สีหน้าที่บอกว่าเกลียดเหมือนกับสีหน้าตอนบอกว่ายังรักพี่นิกอยู่ว่ะ” แฝดพี่มองแฝดน้องที่สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสนแล้วก็ยื่นมือไปผลักหน้าผากเนียนหนึ่งที “ไปหาคำตอบความรู้สึกเอาเอง มึงไปเจอพี่นิกให้มันชัดเจนไปเลยก็ดี เพราะกูก็ต้องการความชัดเจนเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ไหวให้รีบบอกกู”
“อืม จะบอกมึงคนแรก เพราะที่กูเคยบอกมึงกูไม่ได้โกหกนะ” เขมินทราเงยหน้าขึ้นสบตากับพี่ชาย “พี่ธนิกใจร้ายจริงๆ กูอาจจะทนไม่ไหวก็ได้”
“ทำเต็มที่ก็พอ รักแล้วก็ไปให้สุดแล้วหยุดที่เจ็บ”
“ดูเหมือนมึงเชี่ยวชาญ”
“อืม” ขวัญพัฒน์รับคำสั้นๆ ก่อนบอก “เพราะขนาดยังไม่หยุดกูยังเจ็บเลย”
“สมน้ำหน้ามึง”
“เดี๋ยวกูเอาตีนฟาดปาก ไปได้แล้ว”
ขวัญพัฒน์เดินนำหน้าเขมินทราออกจากห้อง ก่อนจะลงลิฟต์ไปยังล็อบบี้ของคอนโดฯ ที่มิสเตอร์ทีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์คอยท่า
เขมินทราเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อเห็นชายร่างสูงที่มักจะมีสีหน้าเย็นชาอยู่เป็นนิตย์เผยรอยยิ้ม ทั้งที่เวลาอยู่กับเขมินทรากลับเอาแต่ทำหน้าราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ ทว่าพออยู่ต่อหน้าขวัญพัฒน์กลับพูดคุยกันอย่างถูกคอ เขมินทราจึงได้แต่ยืนเป็นส่วนเกินอยู่นอกวงสนทนาเพราะไม่มีเรื่องใดจะหยิบยกไปพูดคุยด้วย
“ยังไงก็ฝากเขมินทราด้วยนะมิสเตอร์ที ส่งเขาถึงบ้านแล้วมาคุยกันหน่อย ผมต้องการความช่วยเหลืออยู่มากทีเดียวเพราะการเป็นคนรวยมันไม่ง่าย” ขวัญพัฒน์เอ่ยขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าต่อบทสนทนากันมานานแล้ว อีกสองคนควรต้องไปสักที
“ได้ครับมิสเตอร์เค ผมทำธุระเสร็จจะแวะมา สักสามทุ่มนะ อยากฝากซื้อของก็ไลน์บอกผม ผมจะซื้อเข้ามาให้”
“งั้นซื้อข้าวมากินกับผมด้วยได้มั้ย ขี้เกียจหาอะไรกินเอง”
“รับบัญญาครับมิสเตอร์เค”
เขมินทราไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตัวเขากำลังทำสีหน้าแบบไหน แต่มันคงแย่มากพอที่พี่ชายฝาแฝดจะทักขึ้นมาว่า “เป็นอะไรตาแดงๆ มึงอย่ามาป๊อดตอนนี้นะเว้ย โตแล้วห้ามงอแง”
“ใครงอแงไอ้สัดพี่ กูแค่ง่วงนอน”
“เออๆ งั้นก็รีบกลับไปพัก ตื่นแล้วจะได้สู้รบกับพี่นิก กูฝากด้วยละกันนะ แล้วก็มิสเตอร์เคอย่าลืมข้าวผม ข้าวมันไก่พิเศษแตงกวาเยอะๆ”
“ครับ เอาร้านที่คุณชอบกินนะ”
“ใช่ครับพี่ ร้านนั้นเลย” ขวัญพัฒน์พยักหน้าก่อนจะขอตัวแยกออกไป ตอนนี้เหลือเพียงมิสเตอร์ทีกับเขมินทราที่ยืนอยู่ด้วยกัน
“ใจดีจังนะ” เขมินทราเอ่ยเสียงแผ่ว “ทีกับกูไม่เห็นมึงทำให้บ้าง มาหากูแค่จะมาเอา”
“แล้วผมต้องทำอย่างอื่นด้วยเหรอครับ” ร่างสูงย้อนถาม “เราไม่ได้มีธุระอย่างอื่นด้วยกันนี่”
รู้อยู่แล้วว่าคนอย่างเขาไม่เคยแยแส รู้อยู่แล้วว่าที่ข้องเกี่ยวกันทุกวันนี้ก็แค่เพราะความสัมพันธ์ทางกาย แต่เขมินทราก็ยังหวัง ความคาดหวังที่ทำให้ทุรนทุรายจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง
“ไปที่รถกันครับ คุณต้องถึงบ้านก่อนหนึ่งทุ่มครึ่ง”
เขมินทราไม่มีแรงโต้เถียง ขาเรียวก้าวตามร่างสูงไปอย่างว่าง่ายจนมาถึงรถเบนซ์คันหรูสีดำเงางามที่ลานจอดรถชั้น G ประตูรถถูกเปิดออกช้าๆ แต่ยังไม่ทันที่เขมินทราจะก้าวขึ้นไปนั่ง ต้นแขนก็ถูกคว้าไว้ ก่อนใบหน้าคมจะเคลื่อนเข้าใกล้แล้วบดจูบลงมา เขมินทราขัดขืน พยายามเบี่ยงหน้าหนีสัมผัสแต่ก็ไม่เป็นผลจึงยืนปล่อยให้อีกฝ่ายจูบทั้งน้ำตา
“น้อยใจผมเหรอเขมินทรา” เสียงแหบพร่ากระซิบถามเมื่อละจากกลีบปากบางแล้วใช้นิ้วเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย “หรือเป็นอะไร”
“ไม่ต้องมาสนใจ”
“ครับ ได้ตามต้องการ”
มือหนาละจากต้นแขน ร่างสูงทำท่าจะผละออกแต่เป็นเขมินทราเองที่รั้งไว้ “พาไปกินข้าวก่อนได้ไหม”
“ไม่ได้ครับ”
“แต่พี่กูฝากกูไว้กับมึง”
“งั้นก็ตามบัญชา”
เขมินทราปล่อยมือจากชายเสื้อของเขาแล้วเข้าไปนั่งในรถ ส่วนเขาก็ปิดประตูให้แล้วเดินอ้อมมาขึ้นนั่งประจำที่คนขับ
เขมินทราหลับตาลงทันทีที่เขาสตาร์ทเครื่องยนต์ แต่แล้วก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อมีอะไรเย็นๆ มาแปะที่หน้าผาก พอลืมตาขึ้นก็เห็นว่าเขากำลังให้ความสนใจกับแผ่นเจลบนหน้าผากพลางใช้นิ้วจัดทรงผมหน้าให้เขมินทรา
“ติดไว้ คุณเหมือนมีไข้”
“ห่วงด้วยเหรอ”
คำถามของเขมินทราทำให้เขาเลิกคิ้วน้อยๆ “ถามแปลกนะครับ ก็รู้อยู่แล้วว่าหน้าที่”
“อืม”
“งอแงมากรู้ตัวไหมครับ” เขายกมือลูบแก้มนุ่มเบาๆ
“จะกลับมาหาพี่กูอีกเหรอ” คนงอแงกุมมือที่ลูบอยู่บนแก้ม “แล้วจะอยู่ด้วยจนถึงเช้าเลยมั้ย”
“ถ้ามิสเตอร์เคต้องการผมก็จะอยู่”
“แล้วถ้ากู...ไม่ต้องการให้มึงอยู่ล่ะ”
“ความต้องการของคุณไม่เกี่ยวกับผมเขมินทรา”
เพราะพิษไข้นั่นแหละที่ทำให้รู้สึกแย่แบบนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับคำพูดของอีกคนเลย เขมินทราก็แค่อ่อนแอเวลาที่กำลังป่วย “มึงบอกว่าเป็นผัวกู...แล้วกูไม่เกี่ยวกับเรื่องของมึงเลยเหรอ”
“เป็นผัวแค่ตอนเอาครับ ตอนอื่น...ไม่ใช่”
“อืม เข้าใจแล้ว” เขมินทราบอกพลางขยับเลื่อนมือไปยังซิบกางเกงของร่างสูง ก่อนจะโน้มตัวข้ามกระปุกเกียร์แล้วก้มหน้าลงชิด “งั้นก็เอากูตอนนี้ แล้วก็เลิกพูดคำแย่ๆ กับกูสักที นะครับผัว”
“งั้นก็จัดการสิครับ ให้โอกาสใช้ปากจนกว่าจะถึงร้านข้าว ถ้าทำให้ผมแวะเข้าข้างทางก่อนถึงร้านได้ ถือว่าคุณทำสำเร็จ”
เขมินทราชอบความท้าทาย ยิ่งเป็นความท้าทายจากร่างสูงตรงหน้าด้วยแล้วกลับยิ่งต้องทุ่มเททุกสิ่งที่มีทั้งหมดเพื่อเอาชนะให้ได้ แม้ว่าจะไม่เคยเอาชนะได้สักครั้งก็ตามที
นรกของมิสเตอร์ทีคือนรกแห่งความทรมาน แต่ก็เป็นความทรมานที่เขมินทราไม่ต้องการจะแบ่งปันกับใคร แค่อยากเป็นคนเดียวที่ได้อยู่ในนรกของเขา อยากเป็นคนเดียวที่เขาให้ความสนใจ
.......................To be continue..................
กอดน้องขิมค่ะ