“ไอ้ขวัญ มึงจะลากกูมาด้วยทำไมเนี่ย กูต้องทำงานหาเงินนะเว้ย” ไอ้แนนกระซิบเสียงดุเพราะตอนนี้เรากำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟที่นัดหมายกับเขมินทราไว้
“ก็กูบอกคุณธนิกว่าจะพามึงมาเลี้ยงกาแฟ เอาน่า ค่าแรงมึงวันนี้กูจ่ายให้” ผมบอกพลางยกน้ำเปล่าที่พนักงานนำมาเสิร์ฟคู่กับอเมริกาโน่ขึ้นจิบ
“มึงไปรวยมาจากไหนเนี่ย” ไอ้แนนเบ้ปากใส่ผมด้วยความหมั่นไส้ “คุณธนิกเปย์มึงมาใช่ไหม”
“อือ” ผมตอบรับตรงๆ “เงินคุณธนิกทั้งนั้นแหละที่กูใช้ ผลาญๆ ไปเถอะ เขาบอกว่าเขามีเยอะ”
ไอ้แนนยกนิ้วโป้งมาให้ “มีเรื่องนี้สินะที่มึงไม่โง่ เอาเถอะ ถ้าเรื่องที่มึงเป็นลูกเศรษฐีขึ้นมาเป็นเรื่องจริง เงินที่มึงใช้อยู่ก็เงินพ่อมึงนั่นแหละ ไม่ต้องคิดไรมาก กูจะช่วยใช้เอง เลี้ยงแน่นะ”
“เออๆ อยากสั่งไรเอาเลย”
“กูอยากกินเค้ก เดินผ่านเมื่อกี้เห็นหน้าตาน่ากินดี” ไอ้แนนว่าพลางเดินไปเลือกเค้กที่มันจะกิน ผมก็เลยต้องนั่งรออยู่คนเดียว กำลังนั่งมองนั่นมองนี่ โทรศัพท์มือถือก็ส่งเสียงแจ้งเตือน
คุณธนิก: กินอะไรครับ ถ่ายรูปให้พี่ดูหน่อย
คุณธนิกมาส่งผมหลังจากที่เราไปกินข้าวด้วยกันเสร็จแล้ว เขาทำท่าว่าจะเข้ามานั่งดื่มกาแฟด้วยจนผมลำบากใจที่จะปฏิเสธ แต่แล้วเขาก็ถูกเรียกกลับบริษัทเพราะมีเอกสารสำคัญที่ต้องรีบเซ็น เขาจึงทำหน้างอเล็กน้อย แต่ก็ยอมกลับไป ไม่ลืมที่จะกำชับว่ากินเสร็จแล้วให้ไอ้แนนไปส่งที่บริษัททันที
ขวัญพัฒน์: *ส่งรูป*
คุณธนิก: น่ากิน
ขวัญพัฒน์: กินมั้ยครับ ผมซื้อไปให้
คุณธนิก: หมายถึงขวัญอะที่น่ากิน
ขวัญพัฒน์: ซะงั้น
คุณธนิก: รีบกลับนะ เป็นห่วงครับ
ขวัญพัฒน์: ครับ กินเสร็จจะรีบไปหาครับ
คุณธนิก: หรือจะให้ลุงกล้วยไปรับดี
ขวัญพัฒน์: ไม่ต้องหรอกครับ ผมซ้อนมอเตอร์ไซค์ไอ้แนนไปดีกว่า จะได้ไม่รบกวนลุงกล้วย
คุณธนิก: สวมหมวกกันน็อกด้วยนะครับ
ขวัญพัฒน์: ครับ
ไอ้แนนเดินกลับมาที่โต๊ะ มันนั่งลงพลางชะโงกหน้ามองหน้าจอโทรศัพท์มือถือของผม “มึงเป็นเด็กเสี่ยนิกจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย”
“เปล่า ไม่ได้เป็น”
“จริงน่ะ” ไอ้แนนทำหน้าไม่เชื่อ “มึงไม่ได้นอนกับเขาเหรอ อยู่บ้านเดียวกันสองต่อสองเลยนะเว้ย”
“ยังไม่ได้นอน” ผมรู้สึกหน้าร้อนเล็กน้อย
“แสดงว่าจะนอนเหรอ” ไอ้แนนเค้น
“อือ” ผมตอบตามตรง “แต่กูยังไม่พร้อมหรอก คุณธนิกเขาก็รอ”
“ไม่พร้อมอะไรล่ะ มึงเคยมีอะไรกับเขามาแล้วนะ”
“ก็ตอนนั้นเมานี่ ตอนไม่เมามันทำลำบากนะเว้ย”
ไอ้แนนหัวเราะ “กากไอ้สัด แต่เอาเถอะ แค่ตอนนี้ มึงอยากมีความสุขยังไง ก็ทำไป แต่มึงต้องอย่าลืมว่าความสุขน่ะมันอยู่กับเราได้ไม่นาน เวลาที่มึงสุขมากๆ มึงก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะเจ็บมากๆ ด้วย”
“กูรู้”
“ตอนนี้นี่คงเป็นทางที่ดีที่สุดแล้วล่ะ ขอโทษอีกครั้งนะเว้ยที่กูช่วยอะไรไม่ได้เลย”
“เฮ้ย...กูบอกแล้วไงไม่เป็นไร แล้วมึงสั่งอะไรมา”
“บราวน์นี่สองชิ้น เผื่อมึงด้วย”
“ขอบใจว่ะ แล้วอย่าลืมเอาไปให้ฝนด้วยนะ ฝนชอบกินอะไรมึงสั่งเลยนะ วันนี้คุณธนิกให้เงินกูมาสองพัน”
“ดีงามมาก ถามคุณธนิกให้กูทีดิ๊ว่ารับเด็กเพิ่มมั้ย”
“ทำไม” ผมถามทันที “มึงจะเป็นเหรอ แต่มึงมีเมียแล้วนะเว้ย”
“ไอ้โง่” ไอ้แนนตบหัวผมทันที “กูล้อเล่น ทำมาขึงตาใส่ เดี๊ยะๆ ทำหวง มึงน่ะไม่มีสิทธิ์อะไรจะไปหวงเขาไอ้ขวัญ”
ผมยิ้มเจื่อน “ก็จริง”
“พอกูพูดความจริงก็ทำหน้าหงอยใส่กูอีก” ไอ้แนนผลักหัวผมอีกครั้ง ก่อนมันจะเงียบเสียงเมื่อเห็นว่าคนที่นัดหมายกับเราวันนี้เดินผ่านประตูร้านเข้ามาแล้ว
วันนี้เขมินทราอยู่ในชุดนิสิต ที่ไหล่มีกระเป๋าแบรนด์ดังสะพายไว้ เขาเดินเข้ามาจนถึงโต๊ะที่พวกผมนั่ง ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าไอ้แนนนั่งอยู่ด้วย แต่สุดท้ายก็ยอมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกัน
“ขอโทษทีนะพี่ ผมเพิ่งเลิกเรียน” เขมินทราบอกพลางส่งยิ้มมาให้ “สวัสดีครับแนน”
“ดีๆ” ไอ้แนนตอบ “ไอ้ขวัญมันลากผมมาด้วยน่ะ คุณขิมสะดวกมั้ย ถ้าไม่สะดวก ตอนที่คุยกันผมไปนั่งอีกโต๊ะได้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้มีเรื่องที่เป็นความลับอะไร”
“ไปเรียนมาเหรอ” ผมเอ่ยถาม “ผมยังไม่รู้เลยว่าขิมเรียนอะไร”
“ผมเรียนบริหารครับ”
“ชอบเหรอ”
“ไม่ชอบหรอกครับ แต่ถ้าสักวันมีบริษัทเป็นของตัวเอง เรียนบริหารคงมีประโยชน์”
บริษัทเป็นของตัวเอง...เขมินทราคงไม่ได้หมายถึงบริษัทของคุณธนิกใช่ไหม หรือเขาจะหมายถึงบริษัทของพ่อบุญธรรมของเขากันนะ
“แล้วพี่ล่ะครับ ตอนนี้เรียนอะไร หรือไม่ได้เรียน”
“ไม่ได้เรียน พี่ไม่มีเงินเรียน แล้วก็ไม่ได้อยากเรียนอะไรเป็นพิเศษด้วย”
“นั่นสินะ” เขมินทรายิ้ม “แบบนั้นคงเหมาะกับพี่มากกว่าครับ”
ผมเห็นไอ้แนนขมวดคิ้ว สีหน้ามันดูไม่พอใจ แต่ผมรีบหยิกแขนมันไว้ไม่ให้พูดอะไรออกมา
“ผมก็คิดแบบนั้นแหละครับ ผมเรียนไม่เก่ง เรียนไปก็เปลืองตังค์เปล่าๆ”
“แต่ก็จบมอหกใช่ไหมครับ”
“อืม จบสิ แต่ก็เกือบไม่รอดนะ เทอมสุดท้ายนี่ติด 0 ไปตัว แต่ไอ้แนนติดสองตัวใช่ไหมมึงน่ะ”
ไอ้แนนพยักหน้า ไม่รับมุกกับคำพูดติดตลกของผม มันเอาแต่นั่งกินบราวน์นี่ไปเงียบๆ
“พี่นี่มีแต่เรื่องให้แปลกใจนะครับ ขนาดมัธยมปลายเรียนง่ายแท้ๆ แต่ยังทำให้ติด 0 ได้”
การพูดคุยกับเขมินทราในครั้งนี้นั้นไม่เหมือนครั้งแรกที่ได้พูดกัน ผมคงทำให้น้องชายไม่พอใจอยู่แน่ๆ ถึงได้จิกกัดเก่งเหลือเกิน และคิดว่าหากไม่เลิกพูด ได้โดนหมัดไอ้แนนกินแทนกาแฟแหงๆ
“เข้าเรื่องกันดีกว่านะ ขิมมีอะไรจะบอกผมเหรอครับ เรื่องรูปถ่ายที่ส่งมาให้ดูใช่มั้ย”
“ใช่ครับ อย่างที่ผมบอกในไลน์แล้วว่าอะไรเป็นอะไร” เขมินทรามองผมด้วยแววตาเย็นชาเล็กน้อย “พี่คิดยังไงครับ กับเรื่องนี้”
หากถามว่าผมคิดยังไง ผมก็คงมีแต่ความเสียใจถ้าหากว่าเป็นเรื่องจริงและเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะตัวผม “คือว่า...”
“ไม่โกรธหน่อยเหรอครับ ไม่อยากแก้แค้นให้น้าที่เลี้ยงพี่มาเลยเหรอครับ” เขมินทราถามย้ำ “พี่จะยอมให้อภัยกับคนที่ทำร้ายคนที่พี่รักง่ายๆ เหรอครับ”
“ถ้าผมไม่ยอมแล้วผมจะทำอะไรได้”
“นั่นสินะ ก็พี่ทำอะไรไม่ได้เลย กับแค่เรื่องง่ายๆ ที่ผมบอกให้ทำ พี่ยังทำไม่ได้ตามที่รับปากไว้ คนโง่น่ะ...ต้องให้เสียคนที่รักอีกกี่คนกันล่ะครับถึงจะฉลาดขึ้นมาบ้าง”
“นี่!” ไอ้แนนทุบโต๊ะเสียงดัง “จะหยุดพูดจาหมาๆ กับเพื่อนกูได้รึยัง”
เขมินทราหัวเราะ “อะไรนะครับ พูดจาหมาๆ เหรอ หมายถึงผมเนี่ยนะ คนที่กำลังพูดจาหมาๆ คือคุณไม่ใช่เหรอครับ ผมกับพี่กำลังคุยกัน แล้วแทรกขึ้นมาทำไม”
“ไอ้ขวัญ มึงอย่าเสียเวลาคุยกับคนแบบนี้เลย กลับกันเถอะว่ะ”
“ใจเย็นๆ ก่อนน่า” ผมดึงมือไอ้แนนให้มันนั่งลงตามเดิม “ขอโทษทีนะขิม เพื่อนผมเป็นคนใจร้อน”
“ไอ้โง่ มึงจะไปขอโทษมันทำไม” ไอ้แนนเดือดดาลขึ้นมา “ตั้งแต่ที่มันเริ่มพูด ยังไม่มีประโยคไหนเลยที่มันไม่ดูถูกมึง”
“ผมก็แค่พูดตามความจริงนี่ครับ พี่โกรธเหรอ” เขมินทรามองมาที่ผมพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าโกรธก็บอกนะครับ ผมขอโทษ”
“เอ่อ...ที่จริงก็ไม่น่าฟัง แต่ไม่เป็นไรหรอก”
ไอ้แนนทำเสียงในลำคอ มันกรอกตาไปมาแล้วลุกขึ้น “กูจะไปสูบบุหรี่รอข้างนอก คุยเสร็จแล้วก็ตามไป”
ผมพยักหน้า ไม่กล้ารั้งมันไว้อีก เพราะกลัวว่าหากมันยังนั่งอยู่ มันคงต่อยน้องชายของผมจนปากแตก รูปร่างอย่างเขมินทราน่ะสู้ไอ้แนนไม่ได้แม้แต่น้อย
“คนนอกไปแล้ว มาเข้าเรื่องกันดีกว่านะครับ” เขมินทรากลับมาเข้าบทสนทนาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ถ้าพี่อยากแก้แค้น ผมจะช่วย”
“คือ…”
“คนผิดต้องได้รับโทษนะครับ”
“ผมก็เข้าใจเรื่องนั้นนะขิม แต่ผมก็ไม่อยากรื้อฟื้นอะไรขึ้นมาให้ยุ่งยาก น้าลีน่ะไปสบายแล้วล่ะ”
ผมคงเป็นคนอกตัญญูในสายตาของเขมินทราไปแล้ว แต่ความรู้สึกของผมนั้นไม่ได้มีเรื่องแก้แค้นหรืออยากเอาคนผิดอะไรมาลงโทษเลยแม้แต่น้อย ผมอยากให้เรื่องมันจบ ไม่อยากต้องมานั่งสู้รบกับใคร เพราะผมไม่มีอะไรจะไปสู้ ผมแค่เสียใจที่ตัวผมเป็นต้นเหตุก็เท่านั้น
“พี่ครับ! น้าของพี่จะตายตาหลับได้ยังไง ถ้าคนชั่วยังลอยนวล แล้วคนชั่วคนนั้นก็ยังจะตามฆ่าพี่ มันน่ะฆ่าแม่ของพวกเรามาแล้วนะครับ”
“ขิม...เอาจริงๆ ผมก็ไม่รู้จะบอกยังไงนะ ผมน่ะไม่เคยเห็นหน้าแม่เลย ผูกพันกันก็น้อยมากๆ ผมไม่รู้อะไรเลยจนกระทั่งขิมบอกผม ผมก็เลยไม่รู้ว่าผมควรจะรู้สึกยังไงดี ตัวผมไม่มีความแค้นอะไรต่อใครเลย ผมแค่อยากมีชีวิตที่เงียบสงบของตัวเองไปวันๆ”
“พี่เห็นแก่ตัวมากนะครับ เห็นแก่ตัวแล้วก็รักแต่ตัวเอง” เขมินทรามีสีหน้าบิดเบี้ยวยามที่ไม่สามารถระงับโทสะไว้ได้ “ผมต้องการที่จะทวงทุกอย่างที่ควรจะเป็นของแม่ ควรจะเป็นของเราคืนมา แต่พี่กลับเอาแต่พูดว่าไม่อยากยุ่ง ทั้งที่น้าของพี่ก็ถูกพวกมันฆ่าตาย พี่โตมายังไงกันแน่ โตมาด้วยความคิดโง่ๆ แบบนี้เหรอ”
“ผมขอโทษ” ผมบอกเบาๆ รู้สึกแย่กับคำพูดที่ได้ยิน ผมคงเห็นแก่ตัวมากที่ปล่อยให้เขมินทราต่อสู้อยู่เพียงลำพัง “ขิมฟังผมนะ เราต่างก็มีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้มันก็ดีมากแล้ว ชีวิตของพวกเราไม่ได้แย่เลย เราไม่ต้องไปแย่งชิงอะไรกับคนอื่นหรอกนะ ขิมจะให้ทั้งชีวิตมีแต่เรื่องพวกนี้เหรอ แก้แค้น ทวงคืน แต่เราหาความสุขจากมันไม่ได้เหรอครับ”
“พี่ไม่เข้าใจผม” ดวงตาของเขมินทราแดงก่ำ “พี่ไม่รู้หรอกว่าผมไม่มีความสุขกับบ้านที่ไม่ใช่ของผม ที่ที่พวกเราจะอยู่ได้คือที่ที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ผมก็แค่ต้องการที่ของพวกเราคืน พี่จะไม่ช่วยผมเลยเหรอ”
“แล้วขิมจะให้ผมช่วยยังไง ทั้งที่ขิมก็ไม่พอใจเลยที่พี่อยู่ใกล้คุณธนิก”
“ผมถึงบอกให้พี่สลับตัวกับผม”
“คิดว่าคุณธนิกเขาจะดูไม่ออกเหรอ”
“เขาไม่ได้รักพี่มากพอจะแยกผมกับพี่ไม่ออกหรอกครับ หน้าตาเราเหมือนกันมากขนาดนี้ เขาไม่มีวันรู้หรอกว่าคนไหนคือขวัญพัฒน์ คนไหนคือเขมินทรา”
“แต่ว่า...”
“ช่วยผมนะครับพี่ ผมทำเพื่อเรานะ ในโลกนี้เราเหลือกันอยู่แค่สองคนแล้ว ผมเป็นน้องของพี่ พี่จะช่วยคนอื่นนอกจากผมเหรอ”
มันเป็นเรื่องที่ผมไม่กล้าตัดสินใจ ผมไม่กล้าช่างน้ำหนักความสำคัญ มันจริงอยู่แล้วว่าสายเลือดเดียวกันกับผมเหลืออยู่แค่เขมินทรา แต่เราไม่ได้มีความผูกพันกันมากมาย เราไม่ได้สนิทกัน ไม่เคยได้รู้จักพูดคุยกันมาก่อน และผมมีความรู้สึกไม่เชื่อใจน้องชายคนนี้ หากเปรียบเทียบกับคุณธนิกแล้ว ผมกลับเชื่อคุณธนิกมากกว่าเขมินทรา
หากบอกให้ไอ้แนนรู้ มันคงพูดว่าความรักทำให้ผมตาบอด
“ผมจะช่วยเท่าที่ช่วยได้นะขิม แต่ผมขอไม่รับปากอะไรนะ”
“ก็ได้ครับ เท่าที่ได้ก็ยังดี” เขมินทราผ่อนลมหายใจ ดูเหมือนว่าเขาจะควบคุมตัวเองได้แล้ว “แล้วพี่กับพี่ธนิกไปถึงไหนกันแล้วครับ”
“ไม่ถึงไหนหรอก ไม่มีอะไรเลย”
“งั้นเหรอครับ ผมก็นึกว่าจะไปได้สวย เพราะเราหน้าเหมือนกัน”
ผมเผลอกัดริมฝีปากของตัวเอง รู้สึกหัวใจเจ็บแปลบขึ้นมา “คุณธนิกเคยรักขิมมากสินะ”
“พี่ธนิกเคยบอกอย่างนั้นครับ แต่ผมไม่รู้นะว่าจริงไหม”
“ก็คงจะจริงแหละ”
“เอาอย่างนี้ไหมครับ พี่ก็ลองเอาอกเอาใจพี่ธนิกดู พี่ธนิกชอบคนดูแลเอาใจใส่ ยิ่งเวลาอ้อน เขาจะยิ่งตามใจ” เขมินทราเวลาพูดถึงคุณธนิกจะมีประกายของความสุขแผ่ออกมาจากตัว แม้แววตาจะเศร้าสร้อย แต่ใบหน้าก็เปื้อนรอยยิ้มเสมอ “เรามีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกัน ก็เลยเห็นอกเห็นใจกัน”
“ขิมคบกับคุณธนิกกี่ปีเหรอ”
“ไม่เรียกว่าคบหรอกครับ แต่เราอยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา พี่ธนิกไม่เคยพูดว่าเราเป็นอะไรกัน แต่เวลาที่ผมต้องการใครสักคน เขาก็จะรีบมาหา เป็นแบบนั้นมาตลอดสี่ปี”
สี่ปี...สี่ปีมันนานพอที่จะทำให้ใครสักคนจำฝังใจไปตลอดชีวิตได้ไหมนะ
“แต่สุดท้ายเขาก็หักหลังผม” แววตาของเขมินทราเปลี่ยนไป “ถ้าพี่ไปหาพ่อของเขาไม่ได้ พี่ก็ต้องหาเอกสารมาให้ผม เป็นเอกสารสำคัญที่ผมทำพลาดไปเมื่อหลายปีก่อน”
“เอกสารอะไรเหรอขิม” ผมแสร้งถาม ทำทีเหมือนว่าตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“เป็นเอกสารการยินยอมไม่เกี่ยวข้องกับมรดกที่ผมจะได้รับ”
“ผมไม่ค่อยเข้าใจ”
“พี่ไม่ต้องเข้าใจหรอกครับ แค่หามาให้ผมก็พอ มีชื่อของผม เขมินทราอยู่ในเอกสารนั้น พี่อ่านหนังสือออกใช่ไหมครับ”
ผมคิดว่าผมไม่อยากจะช่วยเจ้าน้องชายปากร้ายคนนี้เท่าไรหรอกนะ
“อ่านออก แล้วผมจะหามันได้ยังไง”
“ผมก็ไม่รู้ว่าพี่ธนิกเก็บไว้ที่ไหน พี่ต้องหาวิธีถามจากเขานะครับ พี่ช่วยผมเรื่องนี้เรื่องเดียวก็พอ แล้วผมจะไม่รบกวนอะไรอีกเลย”
“สรุปง่ายๆ เลยก็คือถ้าผมไปหาพ่อของคุณธนิกไม่ได้ ผมก็ต้องหาเอกสารให้ขิมใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“แบบไหนมันจะง่ายกว่ากันนะ” ผมครุ่นคิด “มันยากทั้งคู่เลย”
เขมินทรามองหน้าผมด้วยสีหน้าที่ให้ความรู้สึกว่าตัวผมนั้นโง่เง่าเสียเต็มประดา “พี่ทำได้แน่ครับ”
“จะพยายามนะ”
“ขอบคุณครับ ผมหวังพึ่งพาพี่นะ แต่ถ้ามันยากเกินไป พี่กับผม เราสลับตัวกันก็ได้”
“เอาไว้พี่ทำไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ เราค่อยมาว่ากันอีกทีดีกว่านะ”
“ก็ได้ครับ”
ตอนนี้ผมอยู่ตรงกลาง แม้ว่าจะเอนเข้าหาคุณธนิกมากแค่ไหน แต่เรื่องที่เขมินทราพูดผมก็จะไม่บอกกับคุณธนิก และเรื่องของคุณธนิก ผมก็จะไม่บอกเขมินทราเช่นกัน ผมแค่ต้องเฝ้ามองอยู่เงียบๆ และหาทางจบปัญหาให้กับตัวผมเอง เพื่อที่ตัวผมจะได้หลุดพ้นจากเรื่องพวกนี้เสียที
ผมไม่ชอบความยุ่งยาก ไม่เข้าใจกับความรู้สึกของน้องชายอย่างเขมินทรา แม่ผู้ให้กำเนิดนั้นจะเป็นอย่างไร พ่อที่แท้จริงจะเป็นใคร ผมไม่สนใจเลยสักนิด แต่คงเป็นเรื่องที่สำคัญกับน้องชายของผม น้องชายที่ถูกเลี้ยงดูด้วยครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยแต่กลับโหยหาความรักที่ผมได้รับจนล้นจากน้าลี เขมินทราไขว่คว้าหาพื้นที่ของตัวเองในขณะที่ผมพบที่อยู่ของตัวเองแล้ว
หากผมสามารถสื่อสารกับน้าลีได้บ้าง ผมก็อยากจะถามน้าว่าน้าโกรธมั้ยที่ผมไม่คิดจะแค้นเคืองหรือเอาผิดคนที่ทำร้ายน้าเลย เรื่องมันผ่านมาแล้ว หากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ความสดใหม่ของมันอาจจะทำให้ผมรู้สึกแค้นเคืองอยู่บ้าง แต่มาจนป่านนี้แล้ว ผมจะเอาชีวิตที่เหลืออยู่ไปเสียให้กับความรู้สึกแย่ๆ แบบนั้นทำไม ผมจึงไม่เข้าใจเขมินทราเลยแม้แต่น้อย
......................To be Continue.......................
ขอบคุณทุกความคิดเห็นค่า ดีใจมากๆ ที่มีคนตามอ่านค่ะ