BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่ EP30- It's been you and always will [9.9.20 UP!]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่ EP30- It's been you and always will [9.9.20 UP!]  (อ่าน 15908 ครั้ง)

ออฟไลน์ nlygust13

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :o8: เราชอบพี่ดินแดน

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#14




กลับมาถึงคอนโดได้ผมก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียง ทั้งๆที่วันนี้ก็ยังไม่ได้ทำอะไรมากแต่การที่ต้องไปนั่งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยตั้งแต่เช้ายันเย็นนี่แม่งโคตรน่าอึดอัด แล้วปกติเวลาเรียนส่วนใหญ่เอกผมจะเรียนแค่ครึ่งวันด้วยไง

ผมคลายเนคไทด์ก่อนจะดึงมันออกให้พ้นคอ เจ้าก้อนกลมกระโดดตบมันทันทีที่ผมโยนทิ้งไปบนพื้นที่ว่างบนเตียง เป็นแมวนี่ก็ดีนะแค่นี้ก็สนุกได้ละ ผมล้วงเอาไอโฟนในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดดู มีข้อความใหม่จากพี่แดนในบทสนทนาที่คุยกันค้างไว้ตั้งแต่เมื่อพักกลางวันแล้วผมยังไม่ได้เปิดอ่านอยู่ อ่านจบก็กดวีดีโอคอลออกไปซักพักพี่มันก็กดตอบรับ

“ผมกลับไปนอนบ้านนะ” ผมพูดกับอีกฝ่าย เพิ่งสังเกตุว่าวันนี้แบคกราวน์มันดูแปลกๆ

“อืม เดี๋ยวกลับไปแล้วจะไปรับ” พี่มันตอบมาแบบนั้นก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นเหมือนกำลังดูอะไรบางอย่างก่อนจะได้ยินเสียงคนอื่นแทรกเข้ามาในสายจากที่ไกลๆเลยฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่

“พี่อยู่ไหน?” พี่มันยักยิ้มมุมปากเล็กๆก่อนจะสลับไปกล้องหน้าให้ผมดูบรรยากาศรอบๆตัว

อารมณ์มันเหมือนร้าน Cafe & Bistro ที่ยังตกแต่งไม่เสร็จแล้วพี่มันก็นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ทรงสูงหน้าเค้าท์เตอร์บาร์ คนอื่นๆอีกสามสี่คนกำลังเดินวนไปเวียนมา บันไดอลูมิเนียมถูกกางไว้ตรงกลางห้องและมีคนกำลังติด Modern Chanderlier อยู่ด้วย

“ไม่ได้ไปซนที่ไหนเลยครับ” กล้องที่สลับกลับมาแสดงให้เห็นใบหน้าของคนที่กำลังพูด ดวงตาคมนั่นประกายวิบวับจนอยากจะเอานิ้วจิ้มแม่งให้บอด

“ใครถาม” ผมถลึงตาใส่ แต่แม่งหัวเราะอ่ะ

“อยากบอกเอง” พี่มันทำหน้ามึนแต่มุมปากก็หยักยิ้ม

จะว่าไปช่วงนี้พี่มันดูอารมณ์ดีนะ เอาจริงๆตั้งแต่ผมวาร์ปมาตอนนี้เคยเห็นพี่มันทำหน้าบึ้งตึงใส่ผมแค่ครั้งเดียว ก็ไอ้วันที่ผมหนีกลับบ้านแล้วไม่รับสายมันน่ะแหละ 

“แล้วสรุปวันนี้ได้ทำอะไรมั่ง”

“หึ” ผมส่ายหน้าให้พี่มันเป็นคำตอบ

“อย่างเบื่อ” ผมเด้งตัวขึ้นนั่ง เจ้าก้อนกลมก็กระโดดขึ้นมานอนบนตักทันที ผมเลยขยำก้อนเนื้อย้วยๆกับขนนุ่มๆนั่นเล่นซะเลย

“อยากไปไหนคิดไว้เลย วันเสาร์จะพาไป” คนพูดมันยิ้มจนผมเผลอยิ้มตามอย่างไม่รู้ตัว

“พูดเองนะ” ผมชี้นิ้วไปที่หน้าจอ คนที่กำลังยิ้มอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามมันหัวเราะก่อนจะพูดเสียงกลั้วขำ

“ครับ พี่พูดเอง”

“เออ แค่นี้แหละ!” หึ้ยยยย ผมยู่หน้าใส่พี่มันก่อนจะกดวางสายทันที 

แม่งรู้สึกแปลกๆกับตัวเองยังไงก็บอกไม่ถูก เดี๋ยวหน้าร้อน เดี๋ยวมือเย็น แต่ที่เป็นเอามากก็อารมณ์กูนี่แหละ แค่พี่มันบอกจะพาไปเที่ยว ทำไมต้องดีใจขนาดนี้ด้วยวะ รถตัวเองก็มีขับไปเองก็ได้ไหมล่ะ บ้าบอ!




วันที่สองของการฝึกงาน เหมือนลางแห่งความวุ่นวายจะแวะมาทักทายผมตั้งแต่เช้าเลยว่ะ

“เออ กูกำลังออกไปโว้ย” ผมโวยวายใส่โทรศัพท์ก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายวิ่งออกจากห้อง อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมตื่นสายนะ ผมหาบัตรพนักงานกับคีย์การ์ดไม่เจอต่างหากล่ะ

“พี่แป้ง ตังฝากเอาอาหารให้คอตตอนด้วยนะ” ผมกำชับพี่แป้งที่เดินสวนกันตรงบันไดก่อนจะวิ่งเหยียบส้นรองเท้าไปหน้าบ้านทันที

“สัด จะสายแล้วเนี่ย” ไอ้ป่านมันบ่นแต่มือก็ยังกดเกมส์ในมือถือยิกๆ

“กูหาบัตรไม่เจอว่ะ”

“ไอ้ห่า เพิ่งวันที่สองไหม” มันส่ายหัวเหมือนระอาผมเต็มที ไอ้เชี่ยนี่ กูขอให้มึงแพ้ เพี้ยง!

“มึงลืมไว้ที่คอนโดหรือเปล่า?” ไปปอมันพูดขึ้นมาบ้าง

“เออว่ะ” 

ฝ่ารถติดมาได้ก็ต้องรีบตาลีตาลานวิ่งมาเข้าออฟฟิศให้ทันอีก


7:58

เซฟ!!!!!!

ผมเรียงหน้ากันเดินเข้าไปในห้อง โฮริอิซังยิ้มหวานก่อนจะดึงตัวไอปอไปทันที คราวนี้ในห้องก็เหลือแต่คนไทยล้วนๆล่ะครับ ไอ้ป่านมันไปนั่งประจำที่คือโต๊ะข้างๆพี่กุ๊ก พี่แพรวบัญชีก็นั่งเงียบเหมือนมนุษย์ล่องหนเหมือนเดิม ซักพักพี่ตาต้ากับพี่ออยก็เดินถือแก้วกาแฟเข้ามา

“อุ๊ย สุดหล่อของพี่มาแล้ว” พี่ออยเดินเข้ามากอดไหล่ก่อนจะซบหน้าที่แขนผม พี่กุ๊กกับพี่ต้าพากันยิ้ม แต่ไอ้ป่านนี่หัวเราะก๊ากไม่มีเก็บอารมณ์เลย

“หัวเราะอะไรคะน้องป่าน?” พี่ออยผละจากแขนผมแล้วไปนั่งซบไอ้ป่านแทน

“ป่าวคร้าบบบ”

“เออใช่ เมื่อวานพี่กุ๊กกับน้องปอเจอครูปอนด์เหรอคะ?” พี่ต้าเปิดประเด็น ทุกคนเลยหันหน้าไปสนใจ

“ไม่ได้เจอนะ” พี่กุ๊กปฏิเสธ

“อ่าวเหรอคะ ก็เมื่อวานครูปอนด์เขาถามต้าว่าบริษัทเรามีเด็กมาฝึกงานด้วยเหรอ ต้าก็บอกไปว่ามีค่ะ พอถามว่ามีอะไรหรือเปล่าเขาก็บอกว่าไม่มีอะไร ต้าก็เลยนึกว่าเขาเจอพี่กุ๊กกับน้องป่านซะอีกค่ะ”

“เพราะถ้าเจอน้องตังเขาก็ไม่น่าจะรู้ เอ๊ะ หรือยังไง?” คราวนี้ทุกคนเลยหันมามองผมแทน

“ผมไม่รู้จักนะครับ” ผมโบกมือปฏิเสธ ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีคนรู้จักที่ชื่อปอนด์เลยซักคน นี่พูดจริงนะ

“หรือเขาถามเผื่อจะฝากใครมาฝึกงานหรือเปล่า?” พี่ออยออกความเห็น ก่อนจะอมยิ้มแล้วพูดประโยคต่อมา

“เอ๊ะ แฟนหรือเปล่านะ?”

“หึ ต้าไม่คุยกับพี่ออยแล้ว” พี่ต้าเดินหน้าหงอยกลับไปนั่งประจำที่ตัวเองผิดกับพี่ออยที่เดินหัวเราะคิกคักกลับไปนั่งที่ตัวเองเหมือนกัน

“น้องตังมาช่วยพี่เก็บประวัติพนักงานดีกว่าค่ะ อย่าไปคุยกับคนใจร้ายเลยเนอะ”

“เอ้า ยัยนี่” พี่ออยทำเสียงจิ๊จ๊ะแต่กก็ยังหัวเราะอารมณ์ดีก่อนจะหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อ

“ดูตรงนี้นะคะน้องตัง” พี่ต้าเรียกให้ผมหันไปสนใจงานที่อยู่ในหน้าจอคอมก่อนจะอธิบายรายละเอียดยาวเหยียด

“ถ้าคันจิตัวไหนอ่านไม่ได้ก็บอกพี่นะคะ”

“ครับ”


‘ก๊อกๆๆ’

เสียงเคาะประตูรัวๆเรียกความสนใจของทุกคนอีกครั้งก่อนที่จะมีพนักงานคนญี่ปุ่นเดินหน้าตาตื่นเข้ามายืนที่หน้าโต๊ะพี่กุ๊กทันที เธอพ่นภาษาญี่ปุ่นรัวมาก รัวจนผมแทบจับใจความไม่ได้ แต่เหมือนกับเธอจะบอกว่ามีใครซักคนโดนรถชนอยู่ที่โรงพยาบาล

“มีอะไรกุ๊ก?” พี่ออยถาม

“อิเคะจังโดนรถชนเมื่อเช้าค่ะพี่ออย” พี่กุ๊กพูดเสียงตกใจ

“แต่กุ๊กมี internet conference กับทางญี่ปุ่นตอน9 โมงน่ะค่ะ” พี่กุ๊กพูดจบพนักงานคนนั้นก็ยิ่งทำหน้าเป็นกังวล ผมว่าเธอคงจะฟังภาษาไทยออกบ้าง

“น้องป่านช่วยไปโรงพยาบาลแทนพี่หน่อยได้ไหมคะ?” พี่กุ๊กหันไปถามไอ้ป่าน มันทำหน้าตื่นเลยทีนี้

“ไม่ต้องตกใจค่ะ อิเคะจังพูดภาษาไทยเก่งมาก” พี่กุ๊กบอก ก็ไม่รู้ว่าพูดให้กำลังใจไอ้ป่านมันหรือเปล่านะครับ

“ก็ได้ครับ” ไอ้ป่านตอบรับก่อนจะหันไปคุยรายละเอียดกับพนักงานญี่ปุ่นคนนั้น เธอยิ้มก่อนจะก้มหัวลงน้อยๆ

“お願いね” (ฝากด้วยนะคะ)



เงยหน้าขึ้นมาจากคอมอีกทีก็ปาไปเกือบจะ 5 โมงเย็นเข้าไปแล้ว อะไรจะไวเหมือนโกหกขนาดนี้ ไอ้ปอกับไอ้ป่านยังไม่โผล่หัวกลับมากันซักคน

จากที่ไลน์คุยกันเมื่อเกือบจะครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ไอ้ป่านบอกว่าแฟนของคนที่ชื่ออิเคะจังกำลังเดินทางมาคงไม่เกิน 6 โมง แต่ฝ่ายไอ้ปอยังเงียบอยู่ พี่กุ๊กกับพี่ออยก็ออกไปกันตั้งแต่บ่าย ดูจากเหตุการณ์แล้วคงจะไม่กลับเข้ามาแล้วล่ะมั้ง

“น้องตังกลับยังไงคะวันนี้?” พี่ต้าหันมาถาม ตั้งท่าจะปิดคอมแล้วครับตอนนี้

“ผมคงต้องรอไอ้ปออ่ะครับ”

“จะรอในห้องนี้ก็ได้นะคะ หรือถ้าจะไปรอที่ร้านกาแฟชั้นล่างก็ปิดไฟล็อคประตูได้เลย”

“ครับ”

“งั้นพี่ไปก่อนนะ ไปค่ะพี่แพรว”

“สวัสดีครับ”

ผมกดสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆแบบคนไม่มีอะไรจะทำ ข้อความไลน์ที่ส่งไปพี่แดนมันก็ยังไม่เปิดอ่าน ไอ้ปอกับไอ้ป่านก็เงียบจ้อย เฮ้ออออ


‘ก๊อกๆๆ’

เสียงเคาะประตูเบาๆดังขึ้นก่อนที่จะมีคนดันประตูเปิดเข้ามาเรียกให้ผมดีดตัวขึ้นนั่งดีๆหลังจากที่แทบจะนอนเลื้อยเป็นงูอยู่นาน

“อ่าว คุณ” คนที่เดินเข้ามาร้องทัก ถ้าจำไม่ผิดนี่มันคนที่เดินชนผมเมื่อวานนี่

“ผมนึกว่าจะมาไม่ทันแล้วซะอีก” คนที่พูดวางกระเป๋าแล้วนั่งลงตรงโซฟารับแขกที่อยู่ด้านหน้าโต๊ะพี่ต้าก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“คุณคือ…”

“โทษที ผมชื่อปอนด์นะ”

“อ๋อ คุณนั่นเอง” ฝ่ายตรงข้ามยิ้มรับเมื่อผมพูดจบ ก่อนจะหันไปหยิบอะไรบางอย่างแล้วเดินมายื่นให้ผมตรงหน้า

“ของคุณ”

“เห้ย ผมนึกว่าลืมไว้ที่คอนโดซะอีก” ผมรับบัตรพนักงานพร้อมกับคีย์การ์ดที่ใส่สายคล้องไว้ด้วยกันมาถือไว้

“ผมเก็บได้ตอนที่ชนกับคุณเมื่อวานน่ะ”

“ขอบคุณมากนะครับ”

“แล้วคุณ…”

“ผมชื่อตัง” ผมตอบ ฝ่ายตรงข้ามยกยิ้มมุมปากน้อยๆก่อนจะพูดต่อ

“ขอแทนตัวเองว่าพี่แล้วกัน เพราะดูแล้วพี่คงแก่กว่าน้องตังหลายปีเลย”

“ครับ”

“น้องตังมาฝึกงานที่นี่นานหรือยังครับ?” อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งลงที่โซฟาอีกครั้ง

“เริ่มฝึกเมื่อวานวันแรกครับ”

“อ๋อ” คนฟังยิ้มรับก่อนจะหยิบหนังสือจากในกระเป๋าตัวเองออกมาเตรียมจะเปิดอ่าน

“เอ่อ...แล้วพี่ปอนด์ยังไม่ไปสอนเหรอครับ?” คิ้วหนาๆนั้นเลิกขึ้นเล็กน้อย

“วันนี้พี่มีสอน 2 ทุ่มครับ”

“อ่าว แล้ว”

“ก็กลัวไม่เจอน้องตังเลยรีบออกมาก่อน แต่รถมันติดมาก ตอนแรกยังลุ้นอยู่เลยว่าจะมาทันได้เจอไหม”

“แล้วคนอื่นกลับกันไปหมดแล้วเหรอ?” ผมพยักหน้าให้กับคำถามเป็นการตอบ คนที่นั่งอยู่ที่โซฟาเลยทำตาโตก่อนจะยัดหนังสือลงกระเป๋า

“ขอโทษที น้องตังจะรีบกลับหรือเปล่า เดี๋ยวพี่ลงไปนั่งที่ร้านกาแฟข้างล่างก็ได้ครับ”

“คือจริงๆผมก็รอเพื่อนอยู่เหมือนกัน” ผมตอบคนที่ลุกขึ้นยืนสะพายกระเป๋าไว้บนบ่าเรียบร้อย

“ถ้าอย่างงั้น...ลงไปนั่งรอที่ร้านกาแฟข้างล่างด้วยกันไหม?”



ผมหยิบไอโฟนขึ้นมาจากโต๊ะแล้วสไลด์หน้าจอเพื่อดูข้อความไลน์ที่ถูกส่งมา มันเป็นข้อความจากไอ้ป่านบอกว่าตอนนี้ไอ้ปอแวะไปรับมันที่โรงพยาบาลแล้วและกำลังจะมารับผมที่นี่ ผมส่งสติ๊กเกอร์ว่าโอเคกลับไป พอกดล็อคหน้าจอแล้ววางมือถือลงกับโต๊ะอีกครั้งก็เป็นจังหวะที่สบตากับคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามพอดี

“เพื่อนมาแล้วเหรอ?”

“กำลังมาแล้วครับ” ผมตอบรับกลับไป อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรต่อผมก็เลยเลือกที่จะนั่งกินเค้กที่สั่งมาต่อ เพิ่งรู้ว่าเค้กร้านนี้อร่อยมาก ไว้พรุ่งนี้ผมชวนไอ้ฝาแฝดมากินดีกว่า

นั่งกินไปได้ซักพักเสียงเรียกเข้าจากวีดีโอคอลของไลน์ก็ดังขึ้น ผมเลือกที่จะกดปิดก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้

“ขอตัวซักครู่นะครับ”

ผมเดินเลี่ยงออกมาที่หน้าร้านก่อนจะเป็นฝ่ายกดคอลกลับไปเอง แล้วพี่มันก็กดรับทันทีด้วย

“ตอนนี้อยู่ข้างนอก” ผมกรอกเสียงลงไปเป็นการตอบคำถาม

“อือ ไอ้ปอกำลังมาแล้ว”

“แล้วพี่ทำไรอยู่อ่ะเสียงโคตรดัง” ผมถามกลับไปบ้าง ได้ยินเสียงคนคุยกันแซ่งแซ่ไปหมด แต่ผมรู้สึกได้ว่าอารมณ์มันต่างจากเมื่อวาน พี่แดนมันหัวเราะนิดหน่อยก่อนจะตอบว่ากำลังนั่งดื่มอยู่กับพวกคนงานไม่ได้ออกไปไหน

“อืม ก็แล้วแต่เลย” ผมบอกเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าเดี๋ยวดึกๆจะวีดีโอคอลมาหาก่อนจะกดวางแล้วกลับเข้าไปในร้านอีกครั้ง

พี่ปอนด์เงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่กำลังอ่านก่อนจะส่งยิ้มน้อยๆให้เมื่อผมกลับมานั่งฝั่งตรงข้ามเขาอีกครั้ง เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อ ผมก็นั่งกินเค้กต่อไปเงียบๆโดยที่พี่เขาก็ก้มลงอ่านหนังสือในมือของตัวเองต่อไปเงียบๆเหมือนกัน





‘นี่พุงไม่ใช่หมอน’

ผมใส่แคปชั่น พร้อมแฮชแท็ก #เป็นทุกอย่างให้ก้อนแล้ว ก่อนจะกดโพสต์รูปเจ้าก้อนกลมสีเทาที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนพุงผมอย่างสบายอารมณ์ลงในอินสตาแกรม มันคงนึกว่ามันเป็นลูกแมวน้อยๆล่ะมั้ง ไม่ได้สำเหนียกเลยว่าตัวเองน่ะเป็นแมวยักษ์หนักเป็นสิบกิโลน่ะ

ไม่นานก็มีคอมเม้นต์ไหลเข้ามาจนขี้เกียจจะตอบและส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่ผมไม่รู้จักด้วยอ่ะ แต่เดี๋ยวนะ ไอ้พวกที่โฟกัสที่พุงผมมากกว่าแมวนี่คืออะไรวะ

“พุงขาวมว้ากกก”

“ขาวไปอี้กกกก”

“โอ้ยยย เนียนกว่าหน้ากูอีกจย้าาา” 


kamipaan : ขี้อ่อยจังวะ
ikemenpor : หื้มมมมมมมมมมมมมม
urboy69 : @dindanvongvrp

ผมขมวดคิ้วก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งดีๆ เจ้าก้อนกลมที่กลิ้งตกลงไปส่งสายตามาแอบด่าผมที่รบกวนการนอนของมันก่อนจะกระโดดลงจากเตียงไปนอนขดตัวบนที่นอนของตัวเองแทน

@kamipaan @ikemenpor เป็นเชี่ยไรกัน ?

ผมเมนชั่นตอบกลับไปก่อนจะก้มลงติดกระดุมเสื้อชุดนอนที่มันหลุดออกสองเม็ดสุดท้ายเข้าที่เดิม ซิกแพคแฟ่บๆของผมมันมีไรดีวะ แซวกูกันจัง

ไม่ทันจะล้มตัวลงนอนแจ้งเตือนวีดีโอคอลจากไลน์ก็ดังขึ้น ไม่ต้องบอกก็รู้กันใช่ไหมว่าใครโทรมา ผมกดรับสายก่อนที่ภาพเคลื่อนไหวจากปลายสายจะปรากฏขึ้นมาในจอ สภาพพี่มันที่เห็นตอนนี้ต้องบอกได้ว่าค่อนข้างต่างจากปกติมากพอสมควร

“เมาเหรอวะพี่?” ผมถาม แต่ฟันธงได้เลยครับว่ามันเมาแน่นอน

“นิดหน่อย” พี่มันยิ้มแล้วก็ตอบรับข้อกล่าวหาของผมแต่โดยดี

“กากว่ะ” ผมว่าแต่พี่มันกลับหัวเราะ ดวงตาคมที่มักจะมองมาที่ผมเสมอตอนนี้มันสะท้อนแสงไฟเป็นประกาย

บรรยากาศโดยรอบเงียบไปชั่วขณะเมื่อเราต่างก็ได้แต่มองหน้ากันเงียบๆ มุมปากหยักยังคงยักยิ้มน้อยๆโดยที่ดวงตาคมนั่นยังคงไม่ได้ละไปจากสายตาผมเลย

“มองอะไรนักเล่า” ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายแพ้อีกจนได้ พี่มันยิ้มใขณะที่ผมเองเป็นฝ่ายต้องหันหน้าหนีเพราะอยู่ๆก็ไม่กล้าสบตามันซะอย่างนั้น

“ก็คิดถึง”

“มากๆด้วย”

ผมหันกลับไปมองที่หน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง คนที่พูดประโยคนั้นยังคงมองตรงมา น้ำเสียงที่ทุ้มเข้าไปในใจนั่นเหมือนมนต์สะกดให้ผมไม่สามารถละสายตาไปจากพี่มันได้อีก และสีหน้ากับแววตาคู่นั้นที่ปรากฏอยู่ในกรอบสายตาของผมในตอนนี้ มันทำให้ผมไม่อาจจะปฏิเสธคำพูดที่สะท้อนอยู่ในหัวของตัวเองตอนนี้ได้เลย

“อืม…”

“ผมก็เหมือนกัน”




xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


ขอบคุณทุกคนมากๆที่กดเข้ามาอ่านแล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์ด้วยค่ะ เป็นกำลังใจที่ดีมากๆเลย   :pig4:
ช่วงนี้งานยุ่งมากๆเลยค่ะ แต่ยังไงจะพยายามอัพให้สม่ำเสมอนะคะ ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปจนจบด้วยน้าา :กอด1:
เจอกันตอนหน้าวันที่ 20 ค่ะ 

B2
Twitter : @B2YFICTION
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2018 16:45:27 โดย B2Fictions »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:


แหม่...ก็เอาภาพหน้าท้องขาว ๆ เนียน ๆ ไปโชว์โซเชียล  ใคร ๆ เขาก็ต้องมองว่าอ่อย ว่าบริหารเสน่ห์ทั้งนั้นแหละ  อิอิ

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#15



เสียงฝีเท้าพร้อมกับเสียงลากสิ่งของอะไรบางอย่างทำให้ผมค่อยๆเริ่มรู้สึกตัว แม้ว่าความง่วงงุนจะทำให้ผมยังไม่ยอมลืมตาตื่นก็ตามที

ต้นตอของเสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนในที่สุดก็หยุดอยู่ที่ปลายเตียง และอยู่ๆก็เหมือนแผ่นดินไหวเมื่อมีบางอย่างที่โคตรหนักและก็คงจะใหญ่โตไม่ใช่น้อยล้มลงมาทับผมอย่างแรงจนผมสะดุ้งตื่นเต็มตาแต่ขยับตัวไม่ได้

ไอ้ห่า ผีอำตอนเช้าได้เหรอวะ!?

“อื้ออ ปล่อย!”

“ปล่อยกูนะเว่ย!” ผมตะโกนสุดเสียง แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงเสียงหัวเราะ

“พี่แดน! พี่ มึงอยู่ไหน!?” เสียงหัวเราะมันดังขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้ผมเริ่มจะแน่ใจละว่ามันไม่ใช่ผี มันต้องเป็นไอ้ห่าตัวไหนซักตัวที่โคตรจะโรคจิตถึงกับว่างพอที่จะถ่อมาแกล้งผมได้ตั้งแต่เช้าวันหยุดแบบนี้! ไอ้เหี้ย จิตใจมึงทำด้วยอะไรวะ

“ไอ้สัด ใครแกล้งกูวะ!?” ผมรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายก่อนจะผลักสิ่งที่ทับอยู่บนตัวออกได้ แต่เมื่อโผล่หน้าพ้นผ้าห่มออกมา ผมก็ยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก ไอ้เหี้ยที่นั่งหัวเราะเอาเป็นเอาตายนี่คือใครวะ?

ผมหยิบของที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดนั่นก็คือหมอนแล้วฟาดหน้ามันไปเต็มๆก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วเตะมันรัวๆไปหลายที

“โอ้ย ไอ้ตัง กูเจ็บนะเนี่ย” ไอ้คนตัวใหญ่มันร้องโอดโอยพร้อมกับจับขาผมเอาไว้ แต่เดี๋ยวนะ มันเรียกชื่อผม หมายความว่า...ผมกับมันรู้จักกันงั้นเหรอ?

“มึง…” ผมมองหน้ามัน แอบหอบแดกเล็กๆที่กระหน่ำเตะมันไม่ยั้ง แต่ดูจากขนาดตัวมันแล้ว เหมือนมันจะไม่ค่อยสะเทือนซักเท่าไหร่ก็เถอะ


“มึงเมาขี้ตาเหรอครับพี่สะใภ้ กูเอง น่านฟ้า” ผมเหลือกตาขึ้นมอง ยิ่งมันลุกขึ้นยืนยิ่งโคตรสูง ผมผงะถอยหลังนิดหน่อยเมื่อมันเดินใกล้เข้ามา แต่มันกลับเดินไปหยิบหมอนที่ตกอยู่ที่พื้นแล้วโยนคืนไปบนที่นอนเท่านั้น

“เจ็บสัด นี่ถ้าน้องชายกูคอหักไปจะทำไงวะ” มันทิ้งตัวลงนอนแบบไม่ทุกข์ไม่ร้อน แถมยังลูบเป้าโชว์ผมอีกด้วย โอ้โห้ ไอ้เหี้ยนี่แม่งโคตรหน้าด้านอ่ะ

แต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้มันเรียกผมว่า พี่สะใภ้?

ถ้าอย่างนั้น…

ผมขยี้ตาแล้วมองหน้ามันอีกที จะว่าไปมันก็หน้าคล้ายพี่แดนเหมือนกันนะ แต่ว่ามันสูงกว่าและก็ขาวกว่านิดหน่อย

ก็หมายความว่า….พี่ดินแดนมันมีน้องชาย และผมก็รู้จักมันด้วย

งี้เหรอ!

“แล้วยืนทำหน้าประหลาดอะไรตรงนั้น?” มันเลิกคิ้วถามก่อนจะตบมือลงที่หมอนข้างๆมันแปะๆ

“ง่วงก็มานอนต่อดิ่ ถึงมึงจะน่ารัก แต่กูไม่เอาเมียพี่ตัวเองหรอกไว้ใจได้” ไม่อยากจะบอกว่าหน้าตามึงนี่สวนทางกับคำพูดมาก ไอ้สัด

“หรือจะให้เอา ได้นะ จริงๆกูก็พร้อมตลอด” มันเด้งตัวขึ้นนั่งทำเอาผมต้องผงะถอยหลังไปอีกก้าว แต่ถ้าแม่งหยาบมาผมก็หยาบกลับอ่ะ คนจริงเขาไม่โกงกันอยู่แล้ว

“ -วยเหอะ” ผมชูนิ้วกลางให้ มันหัวเราะก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเหมือนเดิม

ไม่ทันที่ผมกับไอ้แขกไม่รับเชิญจะได้พูดอะไรกันต่อ ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมๆกับเจ้าของห้องที่เดินเข้ามา

“พี่แดน” ผมหันไปหาแนวร่วมทันที ใครเร็วกว่าคนนั้นต้องชนะสิ

“ไอ้ฟ้า” พี่มันพูดเสียงเรียบๆ แต่ไอ้คนที่นอนอยู่ก็เด้งตัวลุกขึ้นมานั่งทันที

“แกล้งน้อยเดียวมะดาย แถมบ่ปอขาดทุนแหม แม่งเตะยับเลย” ไอ้คนที่นั่งขัดสมาธิบนเตียงมันบ่นอุบ ทำหน้าเป็นหมาหงอย

“อยากอยู่ไทยเมินๆ ก่อล่ะ?” พี่แดนมันยกมือขึ้นกอดอกก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วพูดต่อ

“จ๋าว่าแขนหักสักข้างอย่างน้อยๆอ้ายว่า ได้อยู่แหมเป๋นเดื้อนปุ้นเนาะ”

“อ้ายนี่น้องแอ่ ข๋างเมียเฮียแต้เฮียว่า แตะบ่ได้เลย” มันคว่ำปากใส่ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกที

“กิ๋นอะหยั๋งมาผ่อง?” คนพี่มันถาม

“ยังเตื่อ อ้ายยะเผื่อตวย แต่ของีบสักกำหนึ่ง เดี๋ยวลุกไปกิ๋นคนเดียว”

“อืม”

“เออ ไอ้ตัง” ผมที่กำลังจะเดินเข้าห้องน้ำต้องชะงักเมื่อไอ้คนที่นอนอยู่มันชะโงกหัวขึ้นมาเรียก

“ของมึงอยู่ในกระเป๋า ส่วนของไอ้ปอกับไอ้ป่านอยู่ในถุง กูวางไว้บนโซฟา ถ้ามันรีบก็ให้มาเอาเอง ถ้าไม่รีบเดี๋ยวเย็นเจอกันที่สยาม”

“อะ เออ” ผมรับปาก แต่เอาจริงป่ะ ของอะไรวะ กูไม่รู้เรื่องเลย

“ถ้ามันมาบอกด้วยว่าห้ามปลุกกู แค่นี้ เลิกกัน” พูดจบมันก็ทิ้งหัวลงบนหมอนแล้วนอนหันหลังให้ผมทันที พี่แดนส่ายหัวก่อนจะรุนหลังผมให้เดินไปที่ประตูห้องน้ำส่วนพี่มันก็แยกเดินออกไปทางห้องครัว

ผมเลื่อนดูรายชื่อในไลน์ไปเรื่อยๆก่อนจะเจอชื่อที่ตัวเองต้องการ ソラV. แต่จริงๆต้องบอกว่าหาเจอจากรูปโปรไฟล์มากกว่า กดเข้าไปในห้องสนทนาก็ต้องรีบสไลด์ขึ้นไปที่ข้อความที่เก่าที่สุด ไอ้น่านฟ้ากูขอรู้จักมึงแบบเร่งรัดหน่อยนะ

สรุปได้ว่า ไอ้น่านฟ้า หรือ ไอ้ฟ้า เป็นน้องชายคนสุดท้องของบ้านวงศ์วรภูมิ และผมก็ได้ไขข้อข้องใจอีกอย่างหนึ่งด้วยว่าพี่ธารคือใคร พี่ธารคือพี่ชายคนโต ถึงตอนนี้จะยังไม่รู้ชื่อเต็มๆก็เถอะ

โอเค มาเรื่องไอ้ฟ้าต่อ มันอายุเท่าผม และตอนนี้มันอยู่ที่ญี่ปุ่นเพราะได้ทุนวิจัยของมหาลัยไปที่นั่น ที่รู้ก็เพราะผมนี่แหละที่ช่วยมันทำเอกสารอ่ะ (ผมที่ไม่ใช่ผมตอนนี้อ่ะ เอ่อ...ไม่งงเนอะ)

และสุดท้าย ไอ้ของที่มันว่ามันคือรองเท้าครับ ผม ไอ้ปอ ไอ้ป่าน ฝากมันหิ้วรองเท้ามาจากญี่ปุ่น Onitsuka Tiger รุ่น Kabuki - the Villian เชี่ยยย อยากจะวิ่งออกจากห้องน้ำไปรื้อกระเป๋ามันซะเดี๋ยวนี้เลย! ว่าแล้วก็รีบจัดการล้างหน้าแปรงฟันแล้วออกไปข้างนอกดีกว่า

เปิดประตูห้องน้ำออกมาก็เห็นไอ้มนุษย์ร่างยักษ์มันนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง คิดแล้วก็หมั่นไส้แม่ง ถ้าไม่ติดว่ามันหิ้วของรักมาให้ผมนะ ก็อยากจะกระโดดขึ้นไปกระทืบแม่งอีกซักทีสองทีอยู่หรอก คือแม่งน่าตาดีไง เออ ถ้าจะให้พูดตรงๆแม่งก็หล่ออ่ะแหละ แล้วยิ่งโปรไฟล์แบบนี้ ฟันธงเลยดีกว่าว่าแฟนคลับสาวๆของมันคงจะโคตรเยอะ

เอ่อ...ในที่นี้ไม่รวมความกวนตีนและความหื่นกามของมันนะ ถามว่าผมรู้ได้ไงอ่ะเหรอว่ามันหื่นกาม ก็จากที่อ่านข้อความในไลน์น่ะแหละ แค่เมื่อกี้ผมเล่าข้ามๆไปเท่านั้นเอง เป็นคนดีด้วยไงเลยไม่อยากจะดิสเครดิตใคร

ออกจากห้องมาได้ก็ยังไม่ทันได้ไปรื้อกระเป๋ามันหรอก จะอะไรซะอีกล่ะก็เพราะไอ้กลิ่นหอมๆจากในครัวมันตกผมได้ก่อนน่ะสิ อย่ามองแบบนั้น ผมไม่ได้เห็นแก่กินนะ สาบานเลย

“ไปไหนกันดี?” นี่เป็นคำถามจากคนที่กำลังบิดขวดพริกไทดำลงในกระทะที่มีอกไก่หั่นเต๋าอยู่ในนั้นตอนที่ผมเดินเข้าไปชะโงกหน้าดู

“อืม…ไม่รู้อ่ะพี่”

“ขี้เกียจด้วย” ผมให้เหตุผลประกอบ พี่มันส่ายหัวยิ้มๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

“ลงไปฟิตเนสมาเหรอ?” ผมถามต่อ ดูจากชุดที่มันใส่แล้วน่าจะเป็นแบบนั้น

“ใช่” พี่มันตอบสั้นๆ ผมพยักหน้ารับ ก็ถึงว่าทำไมหุ่นพี่มันถึงได้ดีจังวะ ไม่เหมือนกูเลย

“วันหลังไปด้วยดิ่” พี่มันหันมาทำตาโตก่อนจะหัวเราะ

“แน่ใจ?”

“ไม่แน่ดีกว่า” ผมยู่หน้าก่อนจะหนีมานั่งที่โต๊ะกินข้าวหน้าเค้าท์เตอร์ครัว เอาจริงๆการออกกำลังกายมันก็ไม่เหมาะกับคนอย่างผมหรอก ทำไมอ่ะเหรอ ผมขี้เกียจไง 

“ตัง”

“หื้ม”

“มานี่หน่อยครับ”

ผมเดินเข้าไปตามเสียงเรียกก่อนที่พี่มันจะหันกลับมาส่งจานอาหารเช้ามาให้ผมรับไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ไม่ทันที่ผมจะหันไปไหนริมฝีปากบางนั่นก็จูบลงที่หน้าผากผมพอดิบพอดี

“มอร์นิ่งครับ”

หึ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย

บอกไว้เลยนะ ถ้ามึงทำแบบนี้อีกกูจะเอาจานทุ่มใส่หัวมึงจริงๆด้วย ไอ้บ้า!






“เดี๋ยวปอกับป่านจะเข้ามาหรือเปล่า?” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนถามที่ตอนนี้มันนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาโดยที่ผมนั่งอยู่บนพื้นพรมเพราะกำลังเล่นกับเจ้าก้อนกลมอยู่

“ไม่อ่ะ มันบอกว่าเดี๋ยวค่อยเจอที่สยาม”

“แล้วจะไม่ไปไหนจริงเหรอ?”

“อืม...เดี๋ยวไปสยามตอนเย็นก็ได้” ผมตอบก่อนที่พี่มันจะวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะแล้วย้ายตัวเองลงมานั่งที่พื้นด้วยกัน

เจ้าก้อนกลมมันเอนตัวนอนก่อนจะหงายท้องให้ฝ่ามือกว้างๆได้ลูบพุงมันเล่น ดวงตากลมสีเหลืองวาววับค่อยๆหรี่ลงจนปิดสนิทพร้อมเสียงครางเบาๆ โอ้โห้ ฟินอะไรเบอร์นั้นล่ะ ผมหยิบไอโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะมากดถ่ายหน้ากลมๆนั่นไว้ ถ้าเอาไปลงไอจีล่ะก็เบ้าหน้าแน่นกรอบแน่ๆไอ้อ้วนเอ้ย

“พี่ว่าเวลาเราไม่อยู่มันจะเหงาไหมอ่ะ?” ผมถาม เอาจริงๆนะ อย่างเฮงเฮงเนี่ยมันอยู่ในร้านเจ้ตวง ซึ่งมันก็มีคนอยู่ด้วยทั้งวันไง ส่วนเจ้าคอตตอนเวลาที่ผมกับพี่มันไม่อยู่มันก็ต้องอยู่ตัวเดียวอ่ะ

“เหงาสิ”

“หาเพื่อนให้มันดีไหม”

“พี่ว่าแบบนั้นมันจะรู้สึกว่าโดนแย่งความรักจากเราไปมากกว่า” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนพูด มุมปากหยักยักยิ้มน้อยๆก่อนที่พี่มันจะละฝ่ามือจากพุงนิ่มๆนั่นแล้วพูดต่อ

“อีกอย่าง พี่คงเลี้ยงแมว 3 ตัวไม่ไหว เพราะว่าแมวตัวนี้มันต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ” ฝ่ามือกว้างวางลงที่หัวผมแล้วขยี้เบาๆ ผมจิ๊ปากก่อนจะดึงฝ่ามือนั่นลงจากหัว

“ต้องตามใจมากเป็นพิเศษ” เสียงนุ่มทุ้มเจือเสียงหัวเราะเบาๆยังคงดังขึ้นให้ได้ยิน แล้วทำไมผมถึงยังไม่ปล่อยมือที่จับฝ่ามือกว้างนี้ไว้นะ

“แล้วก็...ต้องรักมากเป็นพิเศษด้วย” ไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปกี่วินาทีที่ผมถูกตรึงไว้ด้วยคำพูดนั้น พอรู้สึกอีกทีใบหน้าคมก็ขยับเข้ามาใกล้จนเป็นสิ่งเดียวที่ผมมองเห็นอยู่ในกรอบสายตา

และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมไม่สามารถละสายตาไปจากดวงตาคู่นั้นได้ ลมหายใจร้อนที่ปะทะเบาๆที่ปลายจมูกทำให้ผมต้องหรี่ตาลงมอง และเมื่อปลายจมูกของเราสัมผัสกันมันก็ทำให้ผมต้องหลับตาลงอย่างอัตโนมัติ

ความอุ่นชื้นแนบลงที่ริมฝีปาก เสียงหัวใจเต้นที่ดังก้องอยู่ในหัวมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกบางอย่าง มันสั่นไหวแต่ก็อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ริมฝีปากอุ่นที่ขบเน้นย้ำเบาๆบนริมฝีปากทำให้ผมต้องเปิดปากออกเมื่อรับรู้ถึงนัยที่ถูกส่งมา

ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ตัวเองถลำลึกลงไปกับจูบนี้ มันวาบหวามเหมือนจะหลอมละลายแต่ก็อ่อนหวานจนยากที่จะถอนตัว ผมยึดลำคอแกร่งไว้ด้วยฝ่ามือทั้งสองข้างโดยที่วงแขนแข็งแรงก็ประคองแผ่นหลังผมเอาไว้ในขณะที่รู้สึกว่าแรงโน้มถ่วงของโลกมันกำลังฉุดรั้งผมให้ทิ้งตัวลงกับพื้น

“พี่..แดน” ผมเปล่งเสียงออกไปเมื่อถูกจ้องมอง ปลายนิ้วเรียวยาวถูกส่งมาเกลี่ยปอยผมที่ข้างแก้มของผมออกและมันก็ยังคงไล้วนเบาๆอยู่บนนั้น ไม่มีเสียงตอบรับอะไรกลับมามีเพียงสายตาที่กำลังสื่อความหมายอะไรบางอย่าง แต่แล้วเงาอะไรบางอย่างที่แว้บผ่านหางตาไปก็ทำให้ผมนึกอะไรออก

ไอ้น่านฟ้า!

ผมใช้สองมือดันไหล่ของคนที่กำลังคร่อมตัวผมอยู่ด้านบนเอาไว้ พี่แดนยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองแรงๆก่อนจะยอมถอยออกไปแต่โดยดี ผมกัดปากตัวเองแรงๆแบบคนที่อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ความรู้สึกนึกคิดของผมที่เริ่มกลับมาเป็นปกติมันทำให้ผมหน้าร้อนจนแทบจะระเบิด โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย

“ผมแค่หิวอ่ะ” ไอ้คนที่ยกมือขึ้นเหนือหัวทั้งสองข้างเหมือนโจรที่โดนตำรวจเอาปืนจ่อมันร้องบอกเป็นภาษากลางเหมือนจงใจให้ผมฟังรู้เรื่องด้วย

“ไม่ได้ตั้งใจรบกวนเลย นี่พยายามย่องแล้วด้วย แต่เมียพี่เห็นเองนะ” อยู่ดีๆก็โยนมาให้กูเฉย แต่จริงๆผมก็ควรขอบใจมัน หรือเปล่าวะ?

“ต่อเลยๆ” มันรีบเฟดตัวไปในครัวแต่ก็ไม่วายส่งสายตาล้อเลียนมาให้ แต่จะด่ามันกลับกูก็อายเกินจะมองหน้ามัน หมดกันแล้วชีวิตกู

ได้ยินเสียงคนข้างๆถอนหายใจแรงๆแต่ก็ไม่กล้าหันไปมอง ไอ้ที่ว่าหน้าร้อนตอนนี้มันยิ่งรู้สึกร้อนไปหมดทั้งตัว โว้ยยย ใครมันปิดแอร์ในห้องอีกแล้ววะ

“ไอ้ฟ้าตื่นแล้ว งั้น งั้น ผมไปอาบน้ำเลยแล้วกันนะ” ผมหลับหูหลับตาพูดก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนแล้วปิดประตูลงกลอนทันที

นี่มันบ้าไปแล้ว!

กูจูบผู้ชาย กูจูบผู้ชาย กูจูบผู้ชาย โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ผมทึ้งหัวตัวเองแรงๆสองสามที ภาพและเสียงจากเหตุการณ์เมื่อกี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว สัมผัสที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนริมฝีปากเรียกให้ผมต้องยกมือขึ้นแตะมันไว้ก่อนจะตบหน้าตัวเองแรงๆด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อเรียกสติ

เป็นเรื่องจริงที่ว่าเราคงไปเรียกร้องหาความอะไรไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่จะว่าก็ว่าเถอะ ผมรู้สึกได้ว่าอนาคตที่กำลังตามมา มันมีลางว่าเริ่มจะน่ากลัวฉิบหายวายวอดแล้ว ก็แม่งไม่มีอะไรที่ไว้ใจได้เลยซักอย่าง

ใช่ แม้กระทั่งตัวผมเองนี่แหละ!





จากสยามย้ายมาเทอร์มินอล เพิ่งจะรู้ว่าโคตรคิดผิดที่เลือกออกมาใช้วันหยุดแบบโง่ๆกับไอ้น่านฟ้าแบบนี้ เป็นเวรเป็นกรรมอะไรที่กูต้องออกมาช่วยมันหิ้วของเพื่อแจกจ่ายให้เพื่อนมันด้วยวะ!

“สัดฟ้ากูหิว” ไอ้ป่านมันพูดขึ้นมา แล้วแม่งก็ได้ใจผมชิบหาย

“เออๆ” ไอ้น่านฟ้ามันตอบรับส่งๆก่อนจะกดโทรศัพท์โทรออก

“ร้านxxx เทอร์มินอลนะ มาไม่ทันกูขว้างทิ้งแถวนี้แหละสัด” พูดจบก็กดวางเหมือนแม่งจะไม่ได้ต้องการคำตอบอะไร แต่ที่แน่ๆมันเลือกร้านแล้วครับ ไอ้เชี่ย ไม่ถามสุขภาพเพื่อนซักคำ

 “กูเอาไข่ข้นปู พี่เอาข้าวผัดแซลมอนไหม?” ผมพูดกับไอ้ป่านก่อนจะหันมาหาคนที่นั่งอยู่ข้างๆกันอย่างลืมตัวว่ากำลังไม่กล้าสบตามันอยู่

“ครับ” พี่มันตอบยิ้มๆ

‘ตึ่ก’

‘ตึ่ก’

‘ตึ่ก’

อืม....ริมฝีปากสีธรรมชาตินั่นมันดึงสติผมไปอีกแล้ว บ้าเอ้ย!

“เออ แค่นี้” ผมปิดเมนูดังฉับก่อนจะทำเป็นหันไปสนอกสนใจฟังไอ้ป่านกับไอ้ฟ้ามันเถียงกันเรื่องข้าวซอย อีกคนจะกินเนื้ออีกคนจะกินไก่ แต่ว่ามันจะเถียงกันไปทำไมยังไงมันก็สั่งกันคนละชามอยู่แล้ว อยู่กับพวกมันนานๆผมต้องประสาทแดกแหงๆ

“สรุปน้องหมวยล่าสุดนี่ได้เท่าไหร่?” ไอ้ปอมันจุดประเด็นหลังจากที่สั่งอาหารกันไปเรียบร้อย

“8.5” ไอ้ฟ้ามันเอามือท้าวโต๊ะ

“เชี่ยยย สูงสุดในแรงค์อ่ะ” ไอ้ป่านมันทำตาโตก่อนจะโอดครวญบ้าบอไม่เป็นภาษา

“คนไหนวะ” ผมลุกขึ้นชะโงกหน้าไปอีกฝั่งที่พวกมันนั่งกันอยู่ทั้งสามคนแล้วกำลังรวมหัวกันดูอะไรในหน้าจอโทรศัพท์

“ไม่ใช่เรื่องของคุณครับ” ไอ้ฟ้ามันเอามือปิดจอแล้วดึงเข้าตัวโดยมีผู้สนับสนุนเป็นไอ้แฝดนรกที่นั่งขนาบข้างโดยการพยักหน้ารัวๆ

“สัด จำไว้นะ” ผมชี้หน้าพวกมันก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงเหมือนเดิม ได้ยินพี่แดนมันหัวเราะก่อนจะวาดมือมาพาดที่พนักอิงข้างหลังผม

“พี่เคยเห็นป่ะ?” ผมถาม

“ไม่เคยครับ” คนตอบมันยกยิ้มมุมปากน้อยๆผมเลยได้แต่ยู่หน้า ทำไมพี่มันดูไม่อยากรู้อยากเห็นเหมือนกูเลยวะ แล้วอะไรคือการที่พวกมันสามตัวต้องทำหน้าทำตาข่มกูแบบนั้น เออ อย่าให้ถึงทีกูบ้างแล้วกัน

พออาหารมาวางตรงหน้าผมก็เลิกสนใจพวกมันละ แม่งทำเหมือนผมเป็นเห็บอ่ะ ดีดผมออกจากบทสนทนาตลอดๆ งุบงิบคุยกันอยู่สามคนพอผมถามแม่งก็ประสานเสียงกันด่าว่าเสือก มึงโปรดจำความเคียดแค้นกูไว้ไอ้แฝดนรก เห็นคนอื่นดีกว่ากูนักนะ

ผมนั่งกินข้าวไข่ข้นสุดโปรดไปเรื่อยๆอาหารที่ทยอยมาวางบนโต๊ะก็ยังไม่หมด คือวางจนไม่รู้จะวางตรงไหนแล้วอ่ะ

“เหมือนอดอยากเนอะ” ขอแซะแม่งหน่อยเถอะ

“กูไม่ได้มีคนทำให้แดกเหมือนมึงไหมล่ะครับคุณพี่สะใภ้” มันลอยหน้าลอยตาพูด แต่ก็ทำเป็นคว่ำปากใส่ผม

“อ้าย ไปอยู่กับน้องซักเดือนสองเดือนก่อล่ะ” ซาวด์แทรกมาอีกละ แต่อันนี้กูฟังออกโว้ย

“อืม...ไปญี่ปุ่นก่อท่าจะดี” ผมหันควับไปมองคนนั่งข้างๆพอดีเมื่อได้ยินมันตอบ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนแต่พี่มันยิ้ม

“เอาไว้ตังฝึกงานเสร็จก่อนไง พี่ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไปคนเดียว” ได้ยินแบบนั้นแล้วผมก็หันไปยักคิ้วใส่ไอ้ฟ้า มันส่ายหัวก่อนจะใช้ซาวด์แทรกคุยกับพี่มัน

“ตวยใจ๋กันเข้าแต่วๆ” แต่ไม่ทันที่พี่แดนจะตอบโต้อะไรมันก็พูดต่อ

“บ่จ่างว่า มันน่าฮักอ่าเนาะ” อยากจะตะโกนใส่หน้ามันดังๆว่ากูหล่อ แต่ก็ไม่ทันเปลือกมะนาวที่เคยอยู่ในจานข้าวผัดที่มันลอยไปกระทบหน้าผากมันซะก่อน

“อ้าย! นี่น้องหนา น้องแอ่” ไอ้น่านฟ้ามันโอดครวญ

“ก่อถ้าบ่ใจ้น้อง อ้ายยอกไปเมินละ” พี่มันพูดเสียงเรียบๆแต่คนฟังมันทำหน้าเหมือนเด็กห้าขวบโดนขโมยของเล่นอะไรแบบนั้นผมเลยอดที่จะหัวเราะไม่ได้ แต่ที่แน่ๆไอ้ป่านมันหัวเราะดังกว่าผมอีก

เสียงถกเถียงเงียบไปซักพักเมื่อต่างคนต่างกิน ถ้าไม่นับที่ไอ้ฟ้ามันทะเลาะกับไอ้ป่านเรื่องเอาข้าวซอยเนื้อกับไก่เทรวมกันเพราะที่วางจานไม่พออ่ะนะ

เพิ่งสังเกตุว่ากลุ่มคนที่เข้ามาใหม่เมื่อกี้กำลังส่งสายตามาที่โต๊ะผม ไอ้สามคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามมันไม่เห็นหรอกเพราะมันหันหลังให้ แต่เมื่ออีกคนที่นั่งหันหลังให้โต๊ะผมหันมาผมก็เลยเข้าใจ  คือ จำคนญี่ปุ่นที่ทะเลาะกับไอ้ปอวันนั้นได้ไหม ใช่ โยเนะมุระนั่นแหละ

ผมยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นทักทาย ไอ้สามตัวเลยทำหน้างงก่อนจะหันหลังกลับไปมอง

“ไอ้ตัวจี้ดนี่เอง” ไอ้ปอมันหันกลับมาทำหน้าเหม็นเบื่อนิดหน่อย แต่ก็นั่งกินข้าวต่อ

ที่โต๊ะนั้นกลุ่มใหญ่พอสมควร แต่ดูแล้วส่วนใหญ่เป็นคนไทยนะ มีญี่ปุ่นอยู่น่าจะสองสามคน และส่วนใหญ่ก็มีแต่ผู้หญิง ผมเห็นพวกเธอทำท่ากระซิบกระซาบอะไรกับโยเนะมุระก่อนจะดันให้ลุกขึ้นแล้วเดินมาทางที่พวกผมนั่งอยู่

“สวัสดี” โยเนะมุระทักทายพลางยิ้มน้อยๆ

“ขอผมนั่งตรงนี้นะ” พูดจบก็นั่งลงตรงที่นั่งฝั่งผมข้างๆพี่แดนเพราะผมนั่งอยู่ด้านในติดกระจกร้าน พี่แดนหันมามองหน้าผมก่อนจะขยับตัวชิดผมเข้ามาอีก

“ใครเขาให้นั่ง” ไอ้ปอมันพูดเสียงเรียบ

“ผมไม่ได้คุยกับคุณ” โยเนะมุระพูดกับไอ้ปอก่อนจะหันมาทางผมกับพี่แดน

“พอดีว่าเพื่อนผมอยากรู้จักเพื่อนคุณคนนี้” ถือว่าเป็นคำพูดที่ตรงมากครับ ไอ้น่านฟ้ากระซิบกระซาบอะไรกับไอ้ป่านอยู่พักนึงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้ม

“นั่นพี่ชายผม เขาไม่โสดแล้ว คุณพูดภาษาไทยเก่งจัง”

“ขอบคุณครับ” คนตัวเล็กทำตาโตแล้วส่งยิ้มให้ ผมอยากให้คุณมาเห็นหน้าไอ้ฟ้าตอนนี้จังว่ะ สายตาแม่งวิบวับเหลือเกิ้นนน

“คุณอยากรู้จักผมแทนไหม?” คนพูดมันยิ้มมุมปาก ร้อยทั้งร้อยคนที่ให้โยเนะมุระมาขอไลน์พี่แดนถ้าเห็นหน้าไอ้น่านฟ้าตอนนี้ล่ะก็ มีละลายคาพื้นแน่นอน

“คือเพื่อนผม…” คนตัวเล็กอ้ำอึ้ง แต่ผมแอบเห็นว่าโยเนะมุระหน้าแดงมากทีเดียว

“ผมหมายถึงคุณ” พรึ่บบบ หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงเข้าไปอีกแต่ก็พีคมากที่คนตัวเล็กๆพยักหน้ารับซะแบบนั้น

“รำคาญลูกตาว่ะ หลบดิ๊ไอ้เหี้ยฟ้า กูจะไปเยี่ยว” ไอ้ปอมันลุกขึ้นยืนแล้วใช้ขาเตะหน้าแข้งไอ้ฟ้าให้หลบทางแล้วพรวดพราดเดินออกไปแบบคนหัวเสีย ดูแล้วรู้สึกเกินเบอร์มากบอกเลย ผมเห็นไอ้ฟ้ามันหันไปมองหน้ากับไอ้ป่านก่อนที่จะอ่านปากไอ้ป่านได้ว่ามันพูดว่า “กูบอกแล้ว”

ผมกับพี่แดนนั่งกินข้าวต่อแบบไม่ได้สนใจว่าไอ้ฟ้ากับไอ้ป่านมันคุยอะไรกับโยเนะมุระต่อ แต่ซักพักคนตัวเล็กก็หันมาทางผมกับพี่แดนอีกครั้ง

“ไม่โสดแล้วจริงเหรอครับ?” ก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกหงุดหงิดกับคำถามนี้ขึ้นมาซะเฉยๆ

“จริงครับ” คนที่นั่งข้างผมตอบเสียงเรียบ

“ขอแค่ไลน์ได้ไหมครับ?” ผมเม้มปากเมื่อรอฟังคำตอบของคนข้างๆ ดูจากเสี้ยวหน้าแล้วดูพี่มันออกจะเริ่มไม่พอใจอะไรซักอย่าง

“ไม่ได้ครับ” สั้นๆได้ใจความ โยเนะมุระพยักหน้ารับก่อนจะขอตัวแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเองพอดีกับไอ้ปอที่มันเดินสวนกลับมาพอดี

ความหงุดหงิดของผมลดลงไปเมื่อเรากลับมานั่งกันแค่5คนเหมือนเดิม แต่ก็ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองไหมที่อยู่ๆก็รู้สึกว่าคนที่นั่งข้างๆกันดูเงียบไปแบบแปลกๆ ใบหน้าคมนั้นเรียบเฉย และมุมปากหยักก็ไม่ได้ยกยิ้มเวลาที่ฟังผมพูดเหมือนอย่างเคย ผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร


แต่แบบนี้ผมรู้สึกไม่ดีเลยว่ะ



xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


หว่ายยยยย น้องตังของแม่ยอมให้ผู้ชายจูบซะแล้วววววว >////////<


ขอบคุณทุกคนมากๆที่กดเข้ามาอ่านแล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์ด้วยค่ะ มันเป็นกำลังใจที่ดีมากๆเลย :pig4:
วันนี้ลงก่อนกำหนดหนึ่งวัน เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้มีทริปยาวไปถึงสิ้นเดือนเลยค่ะ ตอนหน้าจะมาทันวันที่30ไหมยังรับปากไม่ได้แต่จะพยายามมาให้เร็วที่สุดนะค้า ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปจนจบด้วยนะคะ :กอด1:

B2
Twitter : @B2YFICTION
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-10-2018 16:30:53 โดย B2Fictions »

ออฟไลน์ nlygust13

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สังหรณ์ใจไม่ดีซะแล้ว  :katai1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ.....ไอ้พี่แดนเป็นอะไรไปอ่ะ  ตอนจบถึงมีอาการแปลกไป

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#15




ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าวันหยุดของผมจะหมดไปด้วยความปวดประสาทเพราะไอ้น่านฟ้า แล้วที่ทำให้คิ้วกระตุกไม่หยุดอยู่ตอนนี้คืออะไรรู้ไหม คือผมเพิ่งรู้ว่าจริงๆแล้วมันมีคอนโดที่แชร์กันอยู่กับเพื่อนด้วยแต่มันไม่ยอมกลับไปนอน มันบอกว่ามันคิดถึงผมกับพี่ชายมันมากกกกกกกกกก แบบก.ไก่ล้านตัวน่ะ ดูความกวนตีนของมันก็แล้วกัน ส่วนเรื่องที่ผมคิดไปเองว่าพี่แดนมันดูนิ่งๆไป ผมก็คงจะคิดไปเองจริงๆนั่นแหละ เพราะเมื่อเช้าก่อนไอ้น่านฟ้าจะลากพี่มันออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนมัน พี่แดนก็ยังทำอาหารเช้าเตรียมไว้ให้ผมอยู่เลยนะ

อืม….

ส่วนวันนี้จะเรียกว่าเป็นวันที่เงียบที่สุดตั้งแต่มาฝึกงานที่นี่เลยก็ว่าได้ ทำไมน่ะเหรอครับ ก็เพราะทั้งห้องเหลือแค่ผมกับพี่แพรวอยู่น่ะสิ เงียบจนผมเผลอคิดว่านั่งอยู่คนเดียวมาหลายทีแล้วเนี่ย ใครก็ได้ช่วยกลับเข้ามาซักคนเถอะ กูขอล่ะ

ผมนั่งไถหน้าจอโทรศัพท์เพราะว่านอกจากห้องมันจะเงียบแล้วผมยังว่างด้วยไง แต่ที่ต้องนั่งอยู่ก็ด้วยเหตุผลที่ว่าเผื่อคนญี่ปุ่นเขาต้องการอะไรผมจะได้คอยซัพพอร์ตได้ วันนี้ไอ้ป่านก็ยังคงไปอยู่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนอิเคดะซังที่ถูกรถชนเหมือนเคย ดูท่าทางจะกลายเป็นเพื่อนซี้กันไปแล้ว ไอ้ป่านมันเล่าว่าอิเคดะซังเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก แต่ที่ไม่คิดจะจีบก็เพราะว่าแฟนเธอเป็นนักมวย ลองคิดถึงหน้าแข้งพี่บัวขาวดูสิครับ เออ เป็นผมก็ไม่เสี่ยงหรอก

ป๊อบอัพแจ้งเตือนไลน์เด้งขึ้นมาทำให้ผมต้องกดเข้าไปดูเผื่อไอ้สองแฝดมันจะมีอะไรอัพเดท แต่ก็เปล่าครับ เป็นพี่แดนที่ส่งข้อความมาแทน

‘อยากได้อะไรไหม พี่อยู่พารากอน’
                                                                                                 
‘อยากกินขนม’ ผมพิมพ์ตอบกลับไป ก็ใกล้เที่ยงแบบนี้จะอยากได้อะไรล่ะนอกจากของกิน

อีกฝ่ายส่งสติ๊กเกอร์รูปแมวพร้อมคำว่าOKมาให้ บางทีผมก็อยากรู้นะว่าใครซื้อสติ๊กเกอร์ให้แม่งวะ แต่ละอันไม่ได้เข้ากับหน้ามันเล้ยยย



วันนี้ผมเลือกที่จะกินข้าวกลางวันที่Food courtในตึกแทนการเดินตากแดดหัวไหม้ออกไปกินข้างนอก จริงๆมันก็สบายดีนะ มีแอร์ด้วย

แต่....จะมองอะไรกูกันหนักหนาวะ นั่งกินข้าวคนเดียวมันแปลกมากหรือไง?

ผมมองหน้าคนที่อยู่ในรัศมีใกล้ที่สุด ดูจากยูนิฟอร์มแล้วน่าจะเป็นหนุ่มออฟฟิศจากชั้นล่าง พอเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า แม่งกลับฉีกยิ้มโชว์ฟันเกือบหมดปากให้ผมดูซะงั้น ห่าราก ไม่พอแค่นั้นนะ ยังทำท่าจะลุกเดินเข้ามาหาผมอีก แต่โชคดีที่โทรศัพท์ผมดังซะก่อนเลยรีบรับรีบลุกขึ้นเดินหนีมาได้ทัน

“พี่กดขึ้นมาชั้น 7 เลย” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีเมื่อรู้ว่าใครเป็นคนโทรมา ตอนนี้ผมก็ยืนอยู่แถวๆหน้าลิฟท์น่ะแหละ ซักพักพี่มันก็มาถึงพร้อมๆกับคนอื่นๆที่โดยสารลิฟท์มาด้วย

“แล้วไอ้ฟ้าล่ะ” ผมถามเพราะไม่เห็นเงาหัวมันตามมาด้วย

“คุยกับอาจารย์อยู่ที่มหาลัยน่ะ” ผมพยักหน้ารับ เออลืมไปเลยว่ามหาลัยมันอยู่แถวนั้น

“แล้วพี่กินอะไรมาหรือยัง?”

“ยังเลย”

“งั้นกินนี่เลยไหม?” ผมถามแบบไม่รอคำตอบก่อนจะเดินนำพี่มันเข้าไปในFood courtอีกครั้ง โต๊ะเดิมที่ผมนั่งมันยังว่างอยู่เหมือนเดิม ต่างจากเดิมตรงที่จานข้าวที่ผมกินอยู่เมื่อกี้มันหายไปแล้ว ป้าแม่บ้านที่นี่ขยันโคตรๆบอกเลย

“พี่จะกินอะไรอ่ะ”

“ได้ทุกอย่างครับ”

“งั้นรอนี่แหละ เดี๋ยวผมไปสั่งเอง” พูดจบผมก็ผละออกไปต่อคิวที่ร้านขายบะหมี่ ร้านนี้คนค่อนข้างเยอะ เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะมันอร่อยที่สุดในนี้แล้วไง

“แกกกก คนนั้นหล่อมากกก”

“เออ ฉันกะแล้วว่าแกต้องมองเหมือนกัน”

“อยู่ชั้นไหนวะ ฉันจะได้ไปดักรอถูก”


เสียงของผู้หญิงที่เดินมายืนต่อหลังทำให้ผมหันไปมองตามอย่างอัตโนมัติ ความเสือกมันอยู่ในสันดานอ่ะบอกเลย ในนี้จะมีคนหล่อกว่ากูคนนี้อีกเหรอ

อืม….เป๊ะเลย

ก็จะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่พี่มันน่ะ!

ชิ ยอมรับก็ได้ว่าพี่มันโคตรเด่น ทั้งๆที่ตรงนั้นมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมดแต่ผมก็มองเห็นมันได้แบบไม่ต้องหาอยู่ดี

จะว่าไปช่วงนี้พี่มันผมยาวขึ้นนะ ผมมองคนที่นั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองนิ่งๆ พี่มันจะรู้ตัวไหมว่ากำลังเป็นเป้าสายตาของคนเยอะแยะไปหมด

“คุณๆ” เสียงเรียกจากคุณป้าร้านบะหมี่เล่นเอาผมสะดุ้งก่อนจะรีบเดินเข้าไปสั่งบะหมี่พิเศษ2ชามแล้วถอยออกมายืนรอ ไม่นานก๋วยเตี๋ยวชามโตก็ถูกวางไว้บนถาดให้ผมยกเดินผ่านพวกผู้หญิงที่ต่อหลังผมไปที่โต๊ะ

“ฮรื้ออ คนนี้ก็น่ารักมากก” 




“เจอกันตอนเย็นนะ” พี่แดนส่งถุงขนมจากร้านโปรดของผมมาให้ (จะว่าไป ไม่ว่าจะเป็นผมคนไหนขนมร้านนี้ก็ยังเป็นร้านโปรดอยู่ดี) จริงๆผมกินไปเยอะแล้วเมื่อกี้แต่เพราะพี่มันซื้อมาเยอะมากก็เลยต้องถือมาด้วย จะได้เอาไว้แบ่งคนอื่นๆบ้าง

“อื้อ” ผมรับถุงขนมใบใหญ่มาถือไว้ก่อนจะยกมือบายๆ มุมปากหยักนั้นยกยิ้มก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะยีหัวผมเบาๆเหมือนเคย

“ผมยุ่ง!” ผมใช้มือข้างที่ว่างดึงมือของคนที่กำลังหัวเราะออกจากหัวตัวเอง ไม่ทันได้คิดอะไรอยู่ๆลิฟท์ตรงหน้าก็เปิดออกพร้อมกับพนักงานคนญี่ปุ่นสองสามคนที่เดินออกมาทำให้ผมผละออกจากพี่แดนอย่างอัตโนมัติ

“ผมไปนะ” พูดจบผมก็หันหลังเดินออกมาจากตรงนั้นเลย ไม่ทันได้มองว่าพี่มันจะลงลิฟท์ไปแล้วหรือยัง จะว่าผมคิดไปเองก็ว่าเถอะ แต่ผมไม่ชอบสายตาของคนพวกนั้นที่มองมาเลยมันดูมีนัยแปลกๆซ่อนอยู่ยังไงก็ไม่รู้   




ในที่สุดคำขอของผมก็เป็นจริงตอนบ่าย 3 แต่มันเป็นอะไรที่น่าแปลกใจมากเมื่อคนที่กลับมาเป็นไอ้ปอที่ปกติมันจะกลับมาก็เกือบเลิกงานแล้วทุกที

“เป็นไรวะ?” ผมถามคนที่เอาแต่จ้องออกไปที่หน้าต่างกระจกฝั่งออฟฟิศคนญี่ปุ่น

“เปล่า” มันหันมายักไหล่ก่อนจะหยิบโดนัทออกจากถุงมานั่งกิน

“พี่แดนมาเหรอ?”

“เออ”

“แล้วไอ้ฟ้า…” มันพูดเหมือนจะถามอะไรซักอย่างแต่ก็ชะงักไว้แค่นั้นก่อนจะหยิบโดนัทอีกชิ้นมากินเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้พูดอะไร

“มันไม่ได้มาด้วย” ผมก็พูดแบบเดาส่งๆไปงั้น แต่แอบเห็นนะว่ามุมปากมันกระตุกยิ้มน้อยๆ

“แล้วผัว โอ๊ย” ผมขว้างยางลบใส่หน้ามันทั้งๆที่มันยังพูดไม่จบ สำเนียกไว้บ้างสิโว้ยว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยน่ะ ถึงเขาจะนั่งเงียบเป็นรูปปั้น แต่ก็เขามีหูป่ะวะ

“พูดดีๆ” ผมกระแอมเสียงขรึม ไอ้ปอมันพยักหน้า แต่รอยยิ้มชั่วๆของมันก็ยังคงฉายอยู่

 “แล้วพี่เขามาทำไมวะ หรือแค่เอาขนมมาให้เมียอย่างเดียว” ไอ้เหี้ยปอมึงนี่ไม่มีความยำเกรงกูบ้างเลยเนอะ ไอ้เพื่อนเหี้ย!

‘ปึ่ก!’

ผมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อกระทืบเท้าผิดเป้าหมาย ไอ้เพื่อนนรกมันหัวเราะร่วนเมื่อยกขาหลบตีนผมได้แบบหวุดหวิด มันลุกขึ้นก่อนจะชะโงกหน้ามากระซิบที่ข้างหูผมแบบไม่ดังนัก

“มึงน่ะแหละที่ทำตัวมีพิรุธ”

“พี่แพรวครับ ปอไปห้องน้ำนะ” เงยหน้าขึ้นได้มันก็พูดทิ้งท้ายแล้วฉีกยิ้มกว้าง พี่แพรวเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ก่อนจะพยักหน้างงๆว่ามึงจะบอกกูทำไมก่อนจะกลับไปมองที่หน้าจอตัวเองอีกครั้ง

บางทีกูก็สงสารตัวเองนะที่ต้องมาเป็นเพื่อนกับไอ้พวกเหี้ยนี่เนี่ย กวนประสาทกูกันจัง ห่าราก




ผมทาบคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูห้องเหมือนอย่างเคย แต่ที่แปลกคือถึงแอร์และไฟที่ห้องนั่งเล่นจะเปิดอยู่แต่มันไม่มีวี่แววว่ามีคนอยู่เลยซักคน

“เมี๊ยว” เจ้าก้อนกลมมันทักทายก่อนจะเดินเข้ามาเอาหัวถูไถกับของขาผม

“เจ้ามนุษย์พวกนั้นไปไหนกันหมด หื้ม” ผมอุ้มก้อนนิ่มๆขึ้นมาจ้องหน้าก่อนจะปล่อยมันลงสู่พื้นห้องอีกครั้ง

“พี่แดน”

เงียบ...

“ไอ้ฟ้า”

เงียบ…

แม่งพากันหายหัวไปไหนหมดวะ

ผมล้วงเอาไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดโทรออก แต่เสียงเรียกเข้าที่ได้ยินมันกลับดังอยู่ในห้องนอน พอผลักประตูเข้าไป ก็มีแค่โทรศัพท์เครื่องบางสีดำที่กำลังส่งเสียงดังอยู่บนโต๊ะ

“ไปไหนวะ”

พอขี้เกียจจะหาคำตอบแล้วก็เลยเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่น คว้ารีโมทย์มากดเปิดทีวีก่อนจะโยนมันไว้ใกล้ๆมือเผื่ออยากจะเปลี่ยนช่อง เจ้าก้อนกลมกระโดดขึ้นโซฟามานอนขดอยู่ๆใกล้ๆเลยมีขนนิ่มๆให้ลูบเล่นแก้เบื่อ

จริงๆเปิดทีวีไปก็ไม่ได้ดูหรอกเพราะตาก็มองแต่หน้าจอโทรศัพท์ มืออีกข้างที่ว่างก็สไลด์หน้าจอไปมา เข้าแอปนู้นแอปนี้ไปเรื่อยก่อนจะไปหยุดอยู่ที่อินสตาแกรมส่องสตอรี่ของชาวบ้านชาวช่องไปเรื่อยเปื่อย จนถึงสตอรี่ของไอ้ตัวป่วนประสาทอย่างไอ้ฟ้า

อันแรกเป็นรูปถุงนาฬิกาข้อมือของVestalพร้อมแท็กชื่อใครซักคนพร้อมแคปชั่นว่า “จะเอามั๊ยไอ้สัด”

อันที่สองเป็นภาพแคปหน้าจอประวัติการเล่น ROV แล้วแท็ก @kamipaan พร้อมแคปชั่น “คนจริงไม่พูดเยอะ เจ็บคอว่ะ”

ส่วนอันสุดท้ายเป็นวีดีโอที่ถ่ายในฟิตเนส มันแท็ก @dindanvongvrp ตรงเงาของคนที่สะท้อนอยู่ด้านหลัง อ๋อ...แม่งหนีกูไปฟิตเนสกันนี่เอง ผมยู่หน้าอย่างหมั่นไส้ก่อนจะวางมือถือลงข้างๆ แล้วเอนตัวลงนอนแบบคนขี้เกียจ

แต่จะว่าไปกูก็หิวเหมือนกันนะเนี่ย....

จากที่ตั้งใจจะลงไปร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใต้คอนโดก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องฟิตเนสได้ยังไง พอเห็นคนเดินออกจากลิฟท์ที่ชั้นนี้ก็เดินตามเขาออกมาซะเฉย แล้วกูก็แต่งตัวเข้ากับบรรยากาศมาก เสื้อเชิตสีขาวพับแขนกับกางเกงขาเดฟสีดำรองเท้าอีหนีบซะด้วย

มองผ่านกระจกเข้าไปซักพักก็เห็นพี่มันจนได้ แต่พี่มันยังไม่เห็นผมหรอกเพราะมันกำลังหันข้างให้ผมอยู่ วันนี้พี่มันใส่เสื้อคัตออฟสีขาวกับกางเกงกีฬาขาสั้นสีดำ บางทีก็อยากจะบอกมันนะว่าถ้าแขนเสื้อมันจะคว้านลึกจนเลยลงไปเห็นหน้าท้องขนาดนั้นล่ะก็...

มึงไม่ต้องใส่แม่งหรอก ถอดไปเลยเถอะ!

แล้วยิ่งมองด้านข้างนี่ยิ่งเห็นชัด คิดดูนะว่าขนาดยืนอยู่ไกลขนาดนี้ยังเห็นแล้วรอบข้างตรงนั้นจะเห็นชัดขนาดไหน ท่อนแขนแข็งแรงที่ดึง Pull down machine ขึ้นลงช้าๆยิ่งทำให้เห็นกล้ามแขนได้ชัด และแม่งต้องมีสมาธิขนาดไหนวะที่จะไม่สนใจสายตาหลายคู่ที่กำลังจับจ้องมันอยู่ เห็นแล้วก็หงุดหงิดยังไงบอกไม่ถูก

ไม่รู้ว่าผมเผลอยืนมองพี่มันอยู่นานขนาดไหนรู้ตัวอีกทีใบหน้าคมก็หันมามองทางผมแล้ว มุมปากหยักยักยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะพูดแบบไม่มีเสียงซึ่งผมพอจะอ่านปากได้ว่า “มานี่หน่อยครับ”

อืม...เป็นอะไรที่ผมต้องชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมทำตามที่พี่มันบอกอยู่ดี

จังหวะที่กำลังเดินเข้าไปอยู่ๆก็มีผู้หญิงคนนึงเดินเข้าไปหาพี่มันซะก่อน บอกได้คำเดียวว่าเธอหุ่นดีมาก เส้นผมสีดำขลับถูกรวบมัดไว้อย่างดี และที่สำคัญเธอยิ้มสวย สวยมากซะด้วย

ผมชะงักเท้าที่กำลังเดินตรงเข้าไปหาเป้าหมาย แต่พอพี่มันหันมามองที่ผมเมื่อทักทายกับผู้หญิงคนนั้นเสร็จแล้ว ก็ทำให้ผมตัดสินใจเดินหน้าต่อ

“มารอพี่นานหรือยังครับ” พี่แดนมันพูดกับผมพร้อมๆกับฝ่ามือกว้างที่ยื่นมาเกี่ยวฝ่ามือผมไปจับไว้

“แค่ผ่านมาหรอก” ถึงจะตอบไปแบบนั้นผมก็ยังยืนนิ่งให้พี่มันจับมือไว้อยู่ดี ทั้งๆที่รู้ว่ามีคนกำลังจ้องมองเราอยู่ รวมทั้งผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆผมก็ด้วย

“นี่พี่หลิว ที่พี่เคยเล่าให้ตังฟังไง” พี่มันแนะนำ แต่เออผมไม่รู้ว่ามันเคยเล่าให้ผมฟังตอนไหนหรอกนะ ใบหน้าเธอดูเจื่อนๆไปเมื่อได้ยินพี่แดนเรียกชื่อผม ไม่ต้องเดาให้เมื่อยหรอกบอกได้เลยว่าเธอคงไม่อยากรู้จักผมซักเท่าไหร่

“สวัสดีครับ” ผมทักทายตามมารยาท เพราะถึงเธอจะสวยจนผมแอบใจสั่นแต่ผมก็ไม่ค่อยจะชอบเธออยู่ดี คุณนึกออกไหม เวลาถูกคนทำท่าทางเหมือนไม่ค่อยจะชอบขี้หน้าทั้งๆที่เราไม่ได้ทำอะไรให้อ่ะมันรู้สึกยังไง

“ค่ะ” เธอตอบรับคำทักทายผมแค่สั้นๆก่อนจะหันไปชวนพี่แดนคุยเกี่ยวกับการออกกำลังกายอะไรซักอย่างที่ผมไม่เข้าใจเพราะไม่ได้ตั้งใจฟัง ไอ้นี่ก็ยังคุยกับเขาอยู่ได้ กูเริ่มจะหงุดหงิดแล้วนะ หิวข้าวก็หิว

ซักพักไอ้ฟ้ามันก็เดินเช็ดเหงื่อลงมาจากลู่วิ่งที่อยู่ไม่ไกล มันมองหน้าผมก่อนจะหันไปมองหน้าผู้หญิงคนนั้น

“กูหิว ไปแดกข้าวกันฟ้า” ผมดึงมือออก แต่ก็ดึงไม่ออกเพราะคนที่กุมมือผมไว้มันไม่ยอมปล่อย ไอ้ฟ้ามันไม่ได้ตอบรับคำพูดของผม แต่มันกลับยิ้ม

“ขอโทษนะครับพี่หลิว แต่แฟนผมรอนานแล้ว” พี่แดนมันพูดออกไปแบบนั้นทั้งๆที่ผู้หญิงคนนั้นยังพูดไม่จบ พร้อมกับกระชับฝ่ามือผมให้แน่นขึ้นแล้วพาผมเดินออกไปจากตรงนั้นโดยไม่ได้ล่ำลาหรือรอคำตอบรับอะไรจากอีกฝ่าย

“แล้วเจอกันอีกนะครับพี่คนสวย” ได้ยินเสียงไอ้ฟ้ามันพูดทิ้งท้ายแบบนั้นก่อนจะเดินตามพวกผมออกมาอีกคน

ผมรู้สึกว่าตอนนี้สมองมันอื้อๆมึนๆแปลกๆแต่ก็ทุ้มในใจอย่างบอกไม่ถูก ฝ่ามือที่ถูกกระชับเอาไว้ด้วยฝ่ามือกว้างมันทำให้รู้สึกอุ่นใจจนปฏิเสธไม่ได้เลยต้องปล่อยเลยตามเลยให้พี่มันจับจูงไปแบบนั้น




“ไข่เจียวก็ได้” ผมบอกคนที่กำลังหยิบนู่นนี่นั่นออกจากตู้เย็นมาวางไว้บนโต๊ะเพื่อที่จะเริ่มลงมือทำอาหารเย็น ซึ่งมันก็เลทมากแล้วสำหรับคำว่าอาหารเย็นน่ะนะ

“ผมโคตรหิวเลย”

“โอเค รอแปบนะ” ผมพยักหน้าเออๆออๆไป จริงๆถ้าเมื่อกี้ลงไปถึงเซเว่นล่ะก็คงอิ่มไปแล้ว ไม่ต้องไปเสียอารมณ์กับคนบางคนด้วย

“อันนี้ขอผมทำเอง” ผมแย่งไข่ไก่ฟองโตจากมือพี่มันมาตอกลงในชามก่อนจะใช้ส้อมมาตีมันจนเกิดฟอง

“อ่ะ พี่ปรุงดิ่” ผมหยุดมือที่กำลังตีไข่แล้วหันไปเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนที่พี่มันจะพูดเจือเสียงหัวเราะเบาๆ

“ไหนบอกจะทำเองไง”

“กลัวกินไม่ได้ว่ะ” ผมตอบออกไปตรงๆ พี่แม่งยิ่งหัวเราะดังกว่าเดิม เดี๋ยวเหอะนะ เดี๋ยวมึงจะเจอฤทธิ์คนโมโหหิว

“หยิบซอสฝาสีเหลืองมาสิ”

“อ่ะ” ผมยื่นให้แต่แทนทีพี่มันจะรับมันกลับเดินอ้อมมาซ้อนอยู่ข้างหลังผมก่อนจะเปิดฝาขวดซอสที่ผมถืออยู่แล้วทาบฝ่ามือกว้างลงบนมือผม

“ใส่ประมาณนี้” เสียงทุ้มดังขึ้นที่ข้างหูแบบไม่ดังนัก

“คนต่อสิครับ” ได้ยินว่าพี่มันพูดแบบนั้นแต่ผมกลับยืนทื่อ ไม่รู้ว่าทำไมแต่รู้สึกว่ามือไม้ตัวเองมันเกะกะไปหมด

“หึ้ย! ไม่ทำแล้ว” ผมผละออกจากทุกอย่างตรงหน้าก่อนจะหันกลับไปทางคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง

แต่กูพลาด พลาดอีกแล้วโว้ย!

พี่แดนมันท้าวแขนทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ผมถูกขังอยู่ในวงแขนมันไปซะแล้ว ใบหน้าคมที่จุดรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากค่อยๆโน้มลงมาหาผมช้าๆจนต้องหลับตาลงก่อนจะรับรู้ได้ถึงความอุ่นจากริมฝีปากบางที่ข้างแก้ม และไม่ทันได้โต้แย้งอะไรความอุ่นนั้นก็ย้ายมาจบลงที่ริมฝีปาก ผมอ้าปากรับปลายลิ้นร้อนทันทีที่ถูกกระตุ้น

ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกันที่เผลอต้อนรับพี่มันมันด้วยปลายลิ้นของตัวเองอย่างไม่ยอมแพ้

“พี่...” ผมพูดออกไปทั้งๆที่ยังหอบหายใจโดยที่ใบหน้าคมนั่นอยู่ห่างจากผมแค่ไม่ถึงคืบ ก็ไม่รู้ว่าเรียกสติพี่มันหรือตัวเองกันแน่เมื่อผมยังเอาแต่มองจ้องริมฝีปากบางนั่น

ปลายนิ้วโป้งอุ่นๆถูกส่งมาคลึงบนริมฝีปากผมเบาๆก่อนที่พี่มันจะผละตัวเองออก แต่ก็ยังไม่วายที่จะฝังปลายจมูกโด่งลงที่ข้างแก้มผมอีกครั้งแล้วหยิบชามไข่บนโต๊ะเลี่ยงไปที่หน้าเตาแก๊ซ ปล่อยให้ผมยืนเก้ๆกังๆอยู่ซักพักก่อนจะตัดสินใจหมุมตัวเดินออกจากครัวเพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม

แต่… ก็นั่นแหละ ใครบางคนที่ยืนกอดอกพิงเค้าท์เตอร์หน้าครัวมันกำลังยืนทำหน้าล้อเลียนผมอยู่

โว้ยยย แม่งมายืนดูอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย!

“นึกว่าจะต้องลงไปหาอะไรแดกเซเว่นแล้ว” มันยื่นหน้ามากระซิบข้างหูผมก่อนจะรีบชิ่งออกไปอย่างเร็ว แล้วคิดว่าผมจะยอมเหรอ

“ไอ้เหี้ยฟ้า!”


ถ้าวันนี้ผมไม่ได้ถีบหน้ามันล่ะก็ ผมยอมให้เรียกผมว่าไอ้หมาตังเลยเอ้า!



xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


หว่ายยยยย หน่องตังของแม่โดนพี่เขาจูบอีกแล้วววววว >////////<
ส่วนตอนต่อไปนั้น... :hao5:  :katai1:


ขอบคุณทุกคนมากๆที่กดเข้ามาอ่านแล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์ด้วยค่ะ มันเป็นกำลังใจที่ดีมากๆเลย :pig4:
ตอนหน้าจะพยายามไม่ให้เกินวันที่ 10 นะคะ งานยุ่งมากกกก  :katai1:
ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปจนจบด้วยนะคะ :กอด1:

B2
Twitter : @B2YFICTION
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-11-2018 13:43:28 โดย B2Fictions »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แทงคิ้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 301
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#17



หมดไปอีกวันกับการฝึกงาน วันนี้มันก็เรื่อยๆไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ดีแค่ตรงที่ว่าวันนี้ผมมีไอ้ป่านอยู่เป็นเพื่อนทั้งวันเพราะภารกิจเฝ้าอิเคดะซังคอมพลีทแล้วน่ะแหละ  เออ วันนี้เธอมาทำงานด้วยนะ น่ารักสมกับที่ไอ้ป่านมันเล่าจริงๆด้วย

“อ่าว น้องตัง” เสียงทักจากทางด้านหลังเรียกให้ผมหันกลับไปมอง

“พี่ปอนด์ หวัดดีครับ”

“หวัดดีครับ ทำไมมายืนตรงนี้คนเดียวล่ะ?” คนถามยิ้มมุมปากเล็กๆก่อนจะเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“พอดีรอคนมารับน่ะครับ” ใช่แล้ว ตอนนี้ผมยืนหัวโด่รอไอ้พี่แดนอยู่ตรงข้างร้านกาแฟหน้าตึก ก็ร้านที่ผมเคยมานั่งกินกาแฟรอไอ้ปอกับพี่ปอนด์น่ะแหละ

วันนี้ผมไม่ได้ขับรถมาเองเพราะพี่แดนมันชวนไปตัดผมที่สยาม พี่มันเลยขับรถมาส่งเมื่อเช้าเพราะจะได้ไม่ต้องเอารถออกหลายคัน

“ไปนั่งรอในร้านกาแฟด้วยกันไหม?”

“คือ...วันนี้ผมคงไม่สะดวกครับ” ผมปฏิเสธ พี่ปอนด์เลิกคิ้วเหมือนสงสัยอะไรซักอย่างก่อนจะพยักหน้ารับแกนๆแล้วส่งยิ้มเล็กๆมาให้

“งั้นพี่ไปนะครับ ไว้เจอกันนะ”

“ครับ”

ผมล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบเจ้าไอโฟนออกมาดูเวลา คนที่บอกว่ากำลังจะมาถึงเมื่อ 5 นาทีที่แล้วตอนนี้มันอยู่ไหนวะ แต่ไม่นานรถสีขาวคันเดิมก็มาจอดเทียบที่ฟุตบาตข้างหน้า ผมเปิดประตูก่อนจะแทรกตัวเข้าไปนั่งทันทีเพื่อที่พี่มันจะได้ไม่ต้องจอดนาน ไม่ใช่อะไรหรอก มันจะขวางทางคนอื่นเขาน่ะ

“มายืนรอนานหรือยัง?” พี่มันเอ่ยถาม ผมส่ายหัวก่อนจะตอบ

“แปบเดียว แต่หิวมากกกก” ผมลากเสียงยาว พี่มันหัวเราะก่อนที่ฝ่ามือใหญ่ๆจะยื่นมายีหัวผมเบาๆ

“แล้วจะกินอะไร?”

“อืม...รางเมงมะ?” ผมเสนอ

“อ่าหะ”

“หรือจะเป็นชาบูดีอ่ะ”

“แล้วแต่ครับ”

“ไม่เอาๆ เนื้อย่างดีกว่า” ผมบอก แต่คราวนี้พี่มันเงียบแฮะ

“พี่” ผมสะกิดมือที่วางอยู่บนเกียร์เบาๆเพื่อให้พี่มันหันมาหา 

“ส้มตำไก่ย่างก็น่ากินเนอะ” ผมหัวเราะแหะๆก่อนจะชี้ไปที่หน้าต่างรถฝั่งตัวเอง ก็ตอนนี้รถมันติดอ่ะ ละแบบบนฟุตบาตเป็นร้านขายอาหารอีสานไง คนยืนมุงกันเพียบเลย สงสัยจะอร่อย

“อ่าหะ”   

“แต่...เอาไว้ไปถึงสยามก่อนก็ได้” ผมพูดเสียงอ่อย พี่มันหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมต้องหันหน้าหนีไปอีกทางเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรโต้ตอบออกไป

“พี่อนุญาติให้หลายใจได้เฉพาะเรื่องกินนะครับ”

หึ้ยยยยยยยยยยยยยยยย บ้าบอ!




“เฮ้อออ” ผมถอนหายใจแล้วทิ้งตัวไถลลงกับโซฟาทันทีที่กลับมาถึงห้อง สรุปไอ้ที่คิดว่าจะกินนั่นกินนี่ก็จบด้วยราเมงนั่นแหละง่ายสุดละ จากนั้นก็ไปตัดผม และโชคดีเรื่องเดียวของวันนี้ก็คือช่างประจำของผมคิวว่างพอดี

เออ ผมทำสีผมใหม่ด้วยนะ เป็นสีเทาหม่นแต่ออกเข้มเหมือนสีควันบุหรี่แต่เข้มกว่า คิดภาพกันออกไหมอ่ะ แต่เอาเถอะ พูดง่ายๆว่ามันเท่โคตร เท่จนใครบางคนมันทำตามอ่ะ แต่แม่ง ทำออกมาแล้วดันดูดีกว่ากูเนี่ยสิ ชิส์

“พี่แดน แล้วไอ้ฟ้าอ่ะ?” ผมถามเมื่อไอ้คนที่ผมกำลังนินทาในใจมันเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผมสีเทาหม่นๆสะท้อนกับแสงไฟยิ่งทำให้หน้ามันดูเด่นขึ้นไปอีก พี่มันยกยิ้มมุมปากก่อนจะตอบคำถามผมด้วยน้ำเสียงสบายๆ 

“ไล่ไปแล้ว”

“เอาจริงดิ่?”

“จริง” พี่มันย้ำเสียงกลั้วขำก่อนจะทิ้งตัวลงมานอนหนุนตักผมซะดื้อๆ ดวงตาคมปิดลงครู่หนึ่งจนเห็นแพขนตายาวก่อนจะลืมขึ้นมองหน้าผมพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ที่คว้ามือผมไปจับเอาไว้โดยที่พี่มันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

“หนักนะเนี่ยะ” ผมแกล้งขยับขาไปมาเมื่ออยู่ดีๆพี่มันก็ถือถือวิสาสะจูบหลังมือผมซะเฉยๆแถมยังจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อยอีกต่างหาก

“ยังอีก” ผมเหล่ตามองคนที่ยังนอนยิ้มจนตาหยี่แบบไม่สะทกสะท้านอะไรใดๆทั้งสิ้น

“พี่แดน!”

“โอเคๆ ยอมแล้วครับ” ปากก็พูดแบบนั้นแต่หน้าตาก็ไม่มีสำนึกอะไรหรอก พี่มันยังคงยิ้มแต่ก็ยอมดีดตัวลุกขึ้นนั่ง

“ปล่อยมือด้วยสิ” ผมหรี่ตามองฝ่ามือใหญ่ที่ยังจับมือผมไว้ไม่ยอมปล่อย แต่พี่มันยังทำหูทวนลม

“ต้องจูบก่อน”

“......” ไอ้ ไอ้ ไอ้บ้า! ผมถลึงตาใส่ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างตีแรงๆที่หน้าอกแกร่งแต่ก็ต้องโดนพี่มันยึดมือไปด้วยอีกข้างจนได้ แถมยิ่งผมพยายามดึงออกมันก็ยิ่งแน่น เออ กูซึ้งละว่าการไม่ออกกำลังกายมันทำให้ง่อยแบบนี้นี่เอง ห่า สะบัดยังไงก็ไม่หลุด

“งั้นก็จับไปจนตายเลยนะ” ผมกระแทกเสียงใส่เมื่อขี้เกียจจะสู้ มุมปากบางหยักยิ้มน้อยๆก่อนจะคลายความแน่นของฝ่ามือออก แต่ก็ยังจับไว้อยู่ดี

“จนตายก็ไม่ปล่อย” ผมเม้มปากแน่นเมื่ออยู่ๆความร้อนก็ฉาบไปทั่วทั้งใบหน้า น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั่นกระแทกเข้ามาในอกจนเหมือนหัวใจของผมจะปลิดปลิวออกมากับคำพูดนั้นเสียให้ได้

ดวงตาคมที่จ้องมามันทำให้ผมไม่สามารถจะละสายตาตัวเองที่จ้องมองตอบกลับไป และระยะของสายตามันก็สั้นขึ้นเรื่อยๆจนผมต้องหลุบตาลงเมื่อลมหายใจของเราทั้งคู่ต่างก็ปะทะกันอยู่บนปลายจมูก

ลิ้นร้อนที่ค่อยๆสอดแทรกเข้ามาในห้วงจังหวะหายใจทำให้ผมต้องเปิดปากออกและตอบสนองมันด้วยปลายลิ้นของตัวเองก่อนที่จะปล่อยให้แรงโน้มถ่วงดึงตัวผมให้เอนราบลงไปกับโซฟาโดยที่ริมฝีปากก็ยังถูกพี่มันถือวิสาสะครอบครองอยู่แบบนั้น

ผมก็ไม่รู้ว่าเราจูบกันอยู่นานแค่ไหน รู้เพียงแต่ว่ายิ่งเราจูบกันนานขึ้นเท่าไหร่ ความต้องการในสิ่งที่มากกว่าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว

“อืม….” ริมฝีปากชื้นที่ลากไล้รอยจูบไปถึงแอ่งชีพจรนำพาความซ่านแล่นริ้วไปถึงปลายเท้าจนผมต้องเม้มริมฝีปากเมื่อระงับเสียงครางของตัวเองไม่ไหว

“ทำกันนะ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นติดริมฝีปากเรียกให้ผมต้องลืมตาขึ้นมองเจ้าของน้ำเสียงนั้นช้าๆ ดวงตาคมที่กำลังจ้องมองมามันบอกความหมายของสิ่งที่เจ้าของมันต้องการได้อย่างชัดเจน 


และทั้งๆที่ผมเข้าใจความหมายนั้น…

แต่ผมก็ยังหลับตาลงเพื่อเป็นคำตอบของคำถามอยู่ดี



“ไปที่เตียงกันเถอะ”


ผมแทบจะตั้งตัวอะไรไม่ทันอีกเลยหลังจากประโยคนั้นเพราะทันทีที่แผ่นหลังของผมสัมผัสกับเตียงกว้างพี่แดนก็กดจูบลงมาทันที ริมฝีปากร้อนนั่นแทบจะทำให้ผมหายใจผิดจังหวะ และไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ผมครางประท้วงพี่มันก็จะผละออก แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นแล้วก็ย้ำลงมาใหม่ ผมไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่ากระดุมเสื้อนักศึกษาเม็ดสุดท้ายหลุดออกไปตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีริมฝีปากร้อนๆนั่นก็ลากไล้ทิ้งรอยสัมผัสไว้ทั่วผิวเนื้อผมแล้ว

“อื้อ…” ผมเกร็งตัวแน่นเมื่อปลายลิ้นร้อนถูกลากผ่านจุดอ่อนไหวบนหน้าอก ก่อนที่มันจะวนกลับมาดูดเม้มย้ำๆหลายทีจนผมต้องกัดปากแน่น

“พี่….” ผมท้วงเมื่อริมฝีปากร้อนนั่นเริ่มจาบจ้วงต่ำลงไปจนถึงหน้าท้อง ความซ่านแล่นริ้วไปตามผิวหนังจนผมต้องจิกปลายนิ้วลงบนบ่ากว้างนั่น ใบหน้าคมเงยขึ้นมาสบตาผมอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากหยักก่อนที่ฝ่ามือกว้างจะปลดเข็มขัดของผมออกทั้งๆที่เรายังสบตากันอยู่

ผมเม้มปากแน่นด้วยความอายกับอะไรหลายๆอย่างในร่างกายที่กำลังรอการตอบสนอง แต่ดวงตาคมนั่นก็ยังท้าทายให้ผมมองจ้องตอบแบบไม่หลบสายตา แล้วอยู่ๆพี่มันก็ยืดตัวขึ้นแล้วปลดกระดุมเสื้อเชิ๊ตสีดำของตัวเองออกจนหมดแล้วโยนทิ้งลงที่ข้างเตียง

และนั่น…

มันก็ทำให้ผมแพ้แบบไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับได้เลย


ความเย็นวาบที่ช่วงล่างเล่นงานผมทันทีเมื่อกางเกงถูกถอดออกไป คราวนี้ต่อให้ใจกล้าแค่ไหนผมก็ไม่สามารถบังคับตัวเองให้สบตาคมนั่นได้อีกแล้ว

“มองพี่สิครับ” เสียงทุ้มๆนั่นกระซิบที่ข้างหูก่อนที่ฝ่ามือกว้างจะจับมือที่ผมยกขึ้นปิดหน้าออกแล้วกดริมฝีปากจูบลงที่ริมฝีปากผมอีกครั้ง

“อือ...ไม่..เอา..” ฝ่ามือใหญ่กดมือขวาผมลงที่เตียงในขณะที่ริมฝีปากร้อนก็ไล้เลียตั้งแต่ลำคอลงมาจนถึงยอดอก

“พี่…แดน..” จากที่พยายามจะดันไหล่กว้างๆนั่นผมกลับต้องยึดเอาไว้แน่นเมื่อฝ่ามือร้อนกอบกำส่วนที่อ่อนไหวที่สุดในร่างกายผมเอาไว้ในมือโดยที่ปลายลิ้นร้อนนั่นก็ลามเลียต้นขาด้านในจนความเสียวซ่านแล่นริ้วไปถึงปลายเท้า

“อ๊ะ...อื้อออ” ความอุ่นวาบของโพรงปากที่เข้าครอบครองผมแทนฝ่ามือยิ่งถ่าโถมความสุขซ่านให้เพิ่มขึ้นจนผมแทบจะรับมือไม่ไหว และไม่ว่าผมจะดึงทึ้งผ้าปูที่นอนยังไงมันก็ไม่สามารถบรรเทาความชาวาบที่ปลายนิ้วได้เลย

“พี่ แดน ผม...ไม่ อืออ” ผมกัดปากแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดเสียงครางดังๆออกมาเมื่อถึงจุดสิ้นสุดของอารมณ์ ใบหน้าคมเงยขึ้นมาสบตาผมอีกครั้ง ปลายลิ้นร้อนถูกส่งออกมาเลียคราบสีขาวขุ่นที่มุมปากหยักช้าๆ

ความขัดเขินทำให้ผมหน้าร้อนจนแทบไหม้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกว่าสิ่งที่เห็นมันเป็นภาพที่น่าดูจนไม่อาจจะละสายตาไปได้

ริมฝีปากบางก้มลงมาจูบผมอีกครั้งความฝาดเฝื่อนที่ยังหลงเหลืออยู่ในโพรงปากทำให้ผมต้องครางประท้วงแต่พี่มันกลับหัวเราะในลำคอเบาๆซะแบบนั้น ใช่ มันหัวเราะทั้งๆที่ยังจูบผมอยู่นั่นแหละ ไอ้บ้านี่!

“ไม่อร่อยเหรอครับ?” น้ำเสียงหยอกเย้าคลอเคลียอยู่ข้างแก้มเมื่อพี่มันถอนจูบออก ริมฝีปากบางจูบซับที่มุมปากผมอีกครั้งก่อนจะย้ำลงมาจูบปิดปากผมอีกครั้งเหมือนไม่ต้องการคำตอบหรือคำท้วงติงใดๆ

ฝ่ามือร้อนเริ่มลูบไล้ไปจนถึงบั้นเอว ริมฝีปากบางก็ยังคงย้ำจูบผมไม่ละออกไปไหน ความรู้สึกเสียวซ่านเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อร่างกายหนาๆของพี่มันแทรกเข้ามาตรงกลางหว่างขาของผมที่ถูกจับแยกออก

“ซี้ด…อือออ” ผมสูดลมหายใจเข้าทางปากก่อนจะกัดริมฝีปากล่างแรงๆเพื่อระงับเสียงครวญครางที่น่าอายเมื่อริมฝีปากร้อนดูดดึงยอดอกจนแข็งตึง ความต้องการที่ส่วนล่างของผมถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อฝ่ามือใหญ่ไม่ยอมปล่อยให้มันเป็นอิสระ

ความกระสันต์แล่นริ้วไปทั่วร่างกายผมจนเหมือนมันจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ทั้งเสียงริมฝีปากร้อนที่ดูดเคล้ายอดอกผมอย่างหยาบโลนทั้งฝ่ามือใหญ่ที่รูดรั้งปรนเปรอส่วนอ่อนไหวผมไม่หยุด ความสุขซ่านที่พุ่งทะยานทำให้ผมต้องยกสองมือขึ้นรั้งลำคอแกร่งเอาไว้เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยว

“พี่…แดน ไม่” ผมผวาเฮือกเมื่ออยู่ๆสัมผัสจาบจ้วงจากฝ่ามือร้อนก็หยุดลง พี่มันยืดตัวขึ้นก่อนจะจับมือของผมไปวางที่ขอบกางเกงยีนส์ตัวหนา มุมปากหยักยักยิ้มน้อยๆในขณะที่ดวงตาคมนั่นก็กำลังท้าทาย

และหลังจากที่ผมปลดซิปบนกางเกงยีนส์นั่น…

“ขอบคุณนะครับ” น้ำเสียงทุ้มก้มลงมากระซิบติดริมฝีปากก่อนจะจูบย้ำๆให้ผมเปิดปากรับลิ้นร้อนที่เจ้าตัวกำลังส่งเข้ามาหยอกเย้ากับปลายลิ้นของผมในโพรงปาก

ผมหลับตาลงอีกครั้งเพื่อตัดทุกอย่างออกจากสมองในขณะที่ปล่อยให้สัญชาติญาณได้ทำงานของมันอย่างเต็มที่ ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเหตุผลหรือความผิดชอบชั่วดีอะไรก็ตามแต่ ผมไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว

“อื้ออ” ความเย็นของเจลหล่อลื่นทำให้ผมกระตุกตัวเกร็ง ความเสียวซ่านแล่นปราดจนถึงปลายเท้าทันทีทีนิ้วเรียวยาวสอดแทรกเข้ามาที่ช่องทางด้านหลัง ความเสียดเสียวประดังประเดเข้ามาจนผมแทบจะรับไม่ไหว แต่ยิ่งพี่มันสอดลึกเข้ามาเท่าไหร่ ผมกลับยิ่งต้องการมันมากกว่านั้น

“พี่...แดน..ผม..” ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเรียกร้องออกไปยังไงกับสิ่งที่ตัวเองกำลังต้องการเลยเลือกที่จะยกมือขึ้นดันไหล่กว้างนั่นเพื่อให้พี่มันเงยหน้าขึ้นมาสบสายตา และเมื่อเราสบตากันริมฝีปากบางนั่นก็ยกยิ้มก่อนที่ผมจะได้ในสิ่งที่กำลังต้องการ

ซองพลาสติกสีเงินถูกฉีกและโยนทิ้งอย่างไม่ใยดีเมื่อสิ่งที่ถูกห่อหุ้มถูกนำออกมาใช้ และทันทีที่ส่วนปลายของสิ่งที่แสดงความต้องการของพี่มันถูกสอดเข้ามามันก็ทำให้ผมต้องสูดลมหายใจเข้าทางปากเพื่อระบายความเสียดเสียวนั่น

“ซี้ด...อือออ”

“พี่ แดน...”

“ครับ...ที่รัก” เสียงทุ้มนุ่มที่ตอบรับกลับมามันทำให้ผมรู้สึกซ่านเข้าไปในอกอย่างบอกไม่ถูก และยิ่งมองจ้องคนที่กำลังเคลื่อนไหวร่างกายอยู่บนตัวผมนานเท่าไหร่ หัวใจผมก็ยิ่งเต้นแรง

“ผม..ไม่ อืออ” เหงื่อกาฬที่ผุดพราวเต็มใบหน้าคมจนไหลลงมาถึงหน้าอกแกร่งทำให้ผมเผลอมองตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กล้ามเนื้อที่ขึ้นรูปสวยนั่นยิ่งเร่งเร้าความตื่นเต้นของผมให้พุ่งขึ้นอย่างไม่มีขีดจำกัด

และยิ่งมองต่ำลงไปกว่านั้น สิ่งที่กำลังเชื่อมต่อเราอยู่ก็แทบจะทำให้ผม...

“อ๊ะ…” จังหวะการเคลื่อนไหวที่ถี่กระชั้นทำให้ผมผวากอดพี่มันไว้แน่น และเสียงหอบหายใจหนักๆที่ข้างหูนั่นก็ยิ่งเป็นตัวเร่งเร้าความวาบหวามให้ถึงขีดสุด

“พี่ แดน ผม ไม่ อ๊ะ”

“อีกนิด เดียว อาา ที่รัก” เสียงกระเซ่ากระซิบเบาๆที่ข้างหู ก่อนที่ทุกอย่างจะขาวโพลนเหมือนกลุ่มควันที่พุ่งทะยานขึ้นในอากาศ

ริมฝีปากร้อนชื้นฝังลงที่ข้างขมับผมในขณะที่เราต่างก็ยังหอบหายใจ พี่แดนดันตัวขึ้นจากตัวผมช้าๆ แววตาที่มองสบกันมันให้ความรู้สึกที่ผมเองก็อธิบายไม่ถูก

บรรยากาศรอบตัวเราเงียบไปชั่วอึดใจเมื่อเราต่างก็จ้องมองกันและกันอยู่แบบนั้น แต่แล้วริมฝีปากบางที่ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ก็ทำให้ผมค่อยๆหลับตาลงเพื่อรอรับสัมผัส และเมื่อเราจูบกันอีกครั้ง ผมก็ไม่สามารถจะหยุดสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ได้อีกเลย


ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งในความมืด วงแขนกว้างที่โอบกอดผมไว้จากด้านหลังยังคงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีว่าทุกสัมผัสที่หลงเหลืออยู่บนร่างกายผมนั้นมันเป็นของจริง ไม่ว่าจะเป็นด้วยจากฝ่ามือหรือริมฝีปาก หรือแม้แต่….

ใช่ สุดท้ายผมก็ปล่อยให้ทุกอย่างเลยเถิดไปไกล ไกลจนผมมองไม่เห็นต้นทางที่ผ่านมาแล้วด้วยซ้ำ คำถามมากมายที่ถ่าโถมเข้ามาในหัวสมองเรียกให้ผมต้องกัดปากตัวเองเอาไว้เมื่อต้องใช้ความคิดในการหาเหตุผลที่จะตอบ

แต่อย่างหนึ่งที่ผมรู้ก็คือ

ผมไม่ได้เสียใจ ในทางกลับกันผมยอมรับเลยว่ามันรู้สึกดีเอามากๆด้วยซ้ำ

อาจเป็นเพราะว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก…

ด้วยสัญชาติญาณและความคุ้นชินทุกอย่างมันตอกย้ำผมได้อย่างดีว่าตลอด2ปีที่ผ่านมา เราคงจะทำเรื่องแบบนี้ด้วยกันมามากมายแค่ไหน

อยู่ๆอ้อมแขนที่คลายกอดอย่างกระทันหันก็ทำให้ผมผวา แต่สัมผัสจากฝ่ามือที่ลูบเบาๆบนหัวมันก็ทำให้ผมรู้สึกเบาใจขึ้นมาอย่างประหลาด

“พี่กอดแน่นไปหรือเปล่า?” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นเบาๆที่ข้างหู ผมส่ายหัว ถึงแม้ว่าห้องมันจะมืดแค่ไหนผมก็มันใจว่าพี่มันจะรู้คำตอบในเมื่อเราร่างกายเราแนบชิดกันมากขนาดนี้

“พี่แดน…” ผมเอ่ยออกไปเสียงแผ่วแต่ก็เลือกที่จะหยุดคำพูดเอาไว้ เพราะแม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากจะพูดอะไรออกไป

“ครับ?” 

“ผม…”

“เปล่า ไม่มีอะไร” ความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจมันทำให้ผมแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง ผมเม้มปากเมื่อไม่อยากให้ตัวเองได้พล่ามอะไรออกมาอีกก่อนจะตัดสินใจพลิกตัวเข้าไปหาอ้อมกอดของคนที่นอนอยู่ข้างหลัง และอ้อมกอดนั้นก็รับตัวผมเข้าไปในทันที

“ฝันดีนะครับ”

ผมผยักหน้ากับแผ่นอกกว้างของคนที่จูบหน้าผากผมเบาๆและบอกให้ฝันดี ถึงแม้ว่าผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะนอนหลับได้จริงๆหรือเปล่าก็ตาม ในเมื่อคำถามที่อยู่ในใจผมมันยังสว่างเด่นชัดไม่จางไปไหน


นี่ผม….รักพี่มันไปแล้ว


จริงๆน่ะเหรอ?





xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


หว่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
เขินพี่เขาจังค่ะ >////////<



ขอบคุณทุกคนมากๆที่กดเข้ามาอ่านแล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์ด้วยค่ะ มันเป็นกำลังใจที่ดีมากๆเลย :pig4:
ช่วงนี้เรางานยุ่งมากกกกกกกจริงๆค่ะ แต่ตอนหน้าจะพยายามมาให้ไม่เลทมากนะคะ   :katai1:
ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปจนจบด้วยนะคะ :กอด1:

B2
Twitter : @B2YFICTION
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2018 17:52:57 โดย B2Fictions »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอาเวลาที่หายไปสองปี มาขยายเด๋วนี้  มันค้างคาอ่ะ  สองปีที่หายไป มันเกิดไรขึ้น  พวกเขามาลงเอยแบบเน้ได้ยังไง?

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :ling1:  เราก็อยากรู้ มันต้องมีอะไรแน่ๆ

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ changemoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบจัง เขินมี่จะเม้นว่าเป็นซีนมีอะไรกันที่เต็มไปด้วยความรักมาก รู้สึกได้ถึงความรักของทั้งคู่ ฮือ ทำไมรู้สึกซึ้ง :กอด1:

ออฟไลน์ nlygust13

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :pighaun: พี่ดินแดนมีขายที่ Lazada มั้ยค่ะ วันนี้ลดราคาด้วย

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#18



ความรู้สึกหลากหลายประดังประเดเข้ามามากมายนับตั้งแต่คืนนั้น คำถามมากมายที่วนไปเวียนมาอยู่ในหัวก็ยังคงเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบเหมือนอย่างเคย หรือจริงๆแล้วนั่นอาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่ได้จริงจังกับการหาคำตอบให้มันอย่างที่ควรจะเป็นหรือเปล่า

ผมนั่งมองแผ่นหลังของคนที่กำลังทำอะไรซักอย่างอยู่ในห้องครัว ร่างกายสูงใหญ่ที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาด้วยกิจกรรมที่ผมเริ่มจะคุ้ยเคยไปแล้วอย่างการทำอาหาร มันก็ดูเพลินตาอย่างประหลาด ฝ่ามือกว้างหยิบนู่นวางนี่ กล้ามเนื้อแขนที่ขึ้นรูปสวยเริ่มมีเหงื่อผุดพราวขึ้นมาเล็กน้อยนั่น….

ผมเม้มปากจนเป็นเส้นตรงเมื่ออยู่ๆก็นึกไปถึงเรื่องอย่างว่าเข้าจนได้ ทั้งแรงกอดกระชับจากอ้อมแขนแกร่ง หรือแม้กระทั่งเสียงหอบหายใจหนักๆที่ข้างหูนั่น ทุกอย่างมันยังชัดเจน ชัด จนคิดว่าคงจะไม่สามารถลืมมันได้เลยด้วยซ้ำ

“บ้าเอ้ย” ผมสบถก่อนจะเขกหัวตัวเองไปสองสามที

“เป็นอะไร หิวแล้วเหรอ?” คนที่เดินมาท้าวแขนบนเค้าท์เตอร์บาร์ข้างหน้าผมยกยิ้มก่อนจะถาม ดวงตาคมที่มองตรงมาทำให้ผมพยักหน้ารัวๆก่อนจะเสมองผ่านไปด้านหลังของพี่มันแทน สำหรับผมตอนนี้แล้วการสบสายตาคมๆนั่นในระยะประชิดแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะอันตรายพอสมควร

“พาสต้าอกไก่ผัดซอสเพสโต” เสียงทุ้มเอ่ยบอกเป็นคำตอบในท่าทางของผมก่อนจะหันหลังไปหยิบจานสองใบมาส่งให้ผมเอาไปวางบนโต๊ะ

กาแฟสองแก้วถูกพี่มันถือเดินตามมาก่อนที่มันจะถูกส่งมาวางไว้ข้างจานพาสต้าของผมหนึ่งแก้ว กลิ่นหอมๆของกาแฟผสมไซรัปกลิ่นส้มเรียกให้ผมต้องยกขึ้นดื่ม โดยที่คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็ทำเช่นเดียวกัน

“เดี๋ยวพี่ไปแต่งตัวก่อนนะ” ผมขมวดคิ้วก่อนที่ปากจะเอ่ยคำถามออกไปอย่างอัตโนมัติ

“พี่จะไปไหน?”

“เช้านี้พี่ต้องเข้ามอ มีappointกับมิสธัญญา”

“อ๋อ”

“กลัวพี่จะไปไหนเหรอครับ?” คนถามมันยิ้ม

“ไปไหนก็ไปดิ่ ทำไมผมต้องกลัว” ผมยู่หน้าก่อนจะม้วนเส้นพาสต้าแล้วยัดเข้าปากตัวเอง ชักเริ่มไม่อยากคุยกับแม่งละ

“นั่นสิ มีอะไรต้องกลัว” และคำพูดยอกย้อนก็ทำให้ผมต้องจิ๊ปากใส่อย่างไม่สบอารมณ์ ริมฝีปากหยักมันยกยิ้มเล็กๆในขณะที่ดวงตาคมก็ฉายแววท้าทายผมอยู่

“ก็ลองดูแล้วกัน”

พูดจบก็ยกจานเดินหนีแม่ง โว้ย กูพูดอะไรออกไปวะเนี่ย บ้าบอ!




“ไอ้ตัง วันนี้กูกลับด้วยนะ” ไอ้ป่านมันทำหน้ายุ่งก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ว่างข้างๆผม

“แล้วพี่มึงอ่ะ?” ผมถามตาก็ยังจ้องจอคอมคีย์รายชื่อนักเรียนแทนพี่ตาต้าที่ลาพักร้อน จริงๆตอนนี้ทั้งห้องก็เหลือสมาชิก 3 คนเหมือนเดิมคือผม พี่แพรว ไอ้ป่าน คือมันเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้วล่ะครับ

“ไม่รู้แม่ง แต่กูรู้สึกได้ว่ามันผิดปกติ” เสียงมันขุ่นจนผมต้องวางมือจากงานแล้วหันไปมองมันเต็มๆ

“สัด มันทำกูนอนไม่พอมาหลายวันแล้วเนี่ย” ไอ้ป่านมันยังทำหน้ายุ่งไม่เลิกแต่ก็ยังพูดต่อ

“มึงเข้าใจกูป่ะ แบบ บางทีมันก็ทำให้กูรู้สึกหงุดหงิด บางทีกูก็รู้สึกว่าหัวใจมันเต้นแรงมาก แบบ  มันต้องทำเรื่องเหี้ยอ่ะมึง” ผมหัวเราะทันทีที่มันพูดจบ เพราะไอ้คำว่าเรื่องเหี้ยของมันนี่ผมดันตีความได้น่ะสิ

ผมยังไม่เคยเล่าให้ฟังกันใช่ไหมว่านอกจากไอ้แฝดนรกนี่มันจะมีภาษาฝาแฝดที่คุยกันรู้เรื่องแค่สองคนแล้ว มันยังมีความรู้สึกร่วมกันในบางเรื่องอีกด้วย แบบว่าถ้าอีกคนกำลังทำอะไรที่ไม่ปกติอีกคนจะรู้สึกไปด้วยน่ะครับ ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อนะ แต่จากที่เจอมาหลายเหตุการณ์แล้วก็ต้องเชื่ออ่ะ

“เออๆ เข้าใจ แล้วมึงไม่ได้คุยกันเลยเหรอวะ?”

“ก็ไอ้พี่เหี้ยมันตอบกูที่ไหน”

“โอ๋ๆนะ” ผมตบไหล่มันเบาๆสองสามทีก่อนจะหันเก้าอี้มานั่งคีย์ข้อมูลต่อ

“ว่าแต่มึงนี่ดูอารมณ์ดีจังเนอะ” อ่าวไอ้นี่ อยู่ๆก็วกมาเรื่องกูซะงั้น

“ก็ปกติป่ะวะ” ผมตอบปัดๆไป  เริ่มรู้สึกหวาดระแวงมันหน่อยๆ

“อ๋อๆ ลืมไป” และน้ำเสียงกลั้วขำของมันทำให้ผมต้องหันไปหามันอีกครั้ง

“ไอ้ฟ้ามันโดนเฉดหัวกลับคอนโดไปแล้วนี่เนอะ พี่แดนคงเอ็นดูมึงเต็มที่ไปเลยสิ” ไอ้ป่านมันยักคิ้ว ก่อนจะรีบย้ายตัวเองไปนั่งที่เดิมแบบรอดส้นเท้าผมหวุดหวิด

อืม ขอบคุณนะเพื่อนป่านที่คำศัพท์ของมึงทำให้ประโยคเหี้ยๆออกมาดูน่ารักขนาดนี้

ถุ้ย!


⇤  BEGIN AGAIN  ⇥


“พรุ่งนี้เราไปดูหนังกันไหม?” ไอ้คนที่มันไม่ชอบใส่เสื้อเวลานอนกำลังเกาพุงเจ้าก้อนกลมอยู่บนเตียงเอ่อถามทันทีที่ผมเปิดประตูห้องน้ำออกมาหลังจากที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ

“อือ ก็ไปดิ่” ผมตอบก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มแล้วแย่งเจ้าก้อนกลมมากอดแทน

“แล้วดูเรื่องอะไรกันดี”

“ไม่รู้อ่ะ ไปเลือกเอาหน้าโรงก็ได้มั้งพี่” ผมตอบโดยที่ไม่ได้หันไปมองคนที่อยู่ข้างหลัง เพราะกำลังบริการท่านก้อนกลมด้วยการเกาคางนุ่มๆนั่นอยู่ ดูแล้วท่านคงพอใจผมมากซะด้วย

“คอตตอนง่วงนอนแล้วครับ”

ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆวงแขนกว้างก็รวบตัวผมเข้าไปกอดจากด้านหลัง ลมหายใจร้อนเป่ารดเบาๆที่ข้างแก้มเมื่อเสียงนุ่มทุ้มดังอยู่ข้างหู

“รู้ดี” ผมตีแขนพี่มันอย่างหมั่นไส้ ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆก่อนที่วงแขนแกร่งจะกระชับกอดแน่นขึ้นไปอีก

“พี่แดน” ผมขู่มันเสียงเข้ม แต่ไม่ทันที่พี่มันจะขยับตัวหรือผมจะพูดอะไรต่อเจ้าแมวก้อนกลมนั่นก็ลุกขึ้นสะบัดตัวแล้วกระโดดลงจากที่นอนก่อนจะเดินออกจากห้องไปซะเฉยๆ

“แบบนี้ก็ได้เหรอวะ?” ผมอดหัวเราะไม่ได้ ก็ดูมันทำกับผมดิ่


“ให้รู้บ้างว่าลูกใคร” เสียงกลั้วขำกระซิบข้างหูก่อนที่ไอ้คนพูดมันจะถือวิสาสะหอมแก้มผมซะจนตัวเอียง

“งั้นก็ออกไปนอนโซฟาด้วยกันเลยไป” ผมดันไหล่กว้างเพื่อให้ไอ้ตัวหนาๆออกไปให้พ้นตัวแต่พี่มันกลับพลิกตัวขึ้นแล้วดันผมให้นอนราบไปบนเตียงแทนซะแบบนั้น

“เรื่องอะไรล่ะครับที่รัก”

“ไอ้พี่แดน!” ผมฟาดไหล่มันแรงๆด้วยความหมั่นไส้ไปหนึ่งทีก่อนจะโดนพี่มันจับข้อมือทั้งสองข้างกดลงกับที่นอนนุ่ม ดวงตาคมมองตรงมาที่ผม และริมฝีปากบางนั่นก็ยักยิ้มอย่างอารมณ์ดี ผมไม่ได้พูดอะไร พี่มันก็ไม่ได้พูดอะไร เราแค่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปด้วยการมองหน้ากันและกันเฉยๆแบบนั้น และฝ่ามือใหญ่ก็ค่อยๆคลายแรงที่จับข้อมือผมออก นั่นอาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้ออกแรงฝืนหรือขัดขืนอะไรเลยนั่นแหละ

ใบหน้าคมที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ทำให้ผมหลับตาลง และความอุ่นชื้นก็เกิดขึ้นที่หน้าผาก ข้างแก้ม ปลายจมูก และริมฝีปากเหมือนอย่างเคย ความคุ้นชินที่ผมเคยกลัวมันค่อยๆละลายหายไปตั้งแต่ครั้งแรกที่เราจูบกัน จนมาถึงตอนนี้แล้วผมก็แทบจะไม่มั่นใจเลยว่ามันยังคงหลงเหลืออยู่อีกหรือเปล่า รู้เพียงแค่ว่าในตอนนี้ผมไม่สามารถที่จะปฏิเสธจูบของพี่มันได้อีกต่อไปแล้วก็เท่านั้นเอง




ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนสายของวันเสาร์เมื่อรู้สึกถึงพลังงานอะไรบางอย่างที่มาขนตัวนอนอยู่ข้างหมอน ชิ ทีเมื่อคืนล่ะเดินหนีเราซะอย่างนั้นน่ะ

“มานอนใกล้เราทำไม?” ผมขยี้พุงเจ้าก้อนกลมอย่างหมั่นเขี้ยว และดวงตาสีเหลืองแวววาวนั่นก็มองผมอย่างตำหนิทันที

“อ่ะๆ ดีกันก็ได้” พูดจบก็เลยหอมหัวกลมๆนุ่มๆสีเทานั่นไปแรงๆซะหนึ่งทีก่อนจะอุ้มเจ้าแมวอ้วนขึ้นมานอนบนพุง กำลังควานหาโทรศัพท์มือถือที่ใต้หมอนอยู่ดีๆเจ้าของห้องมันก็เดินเข้ามาพอดี พี่แดนมันยังคงใส่แค่กางเกงนอนตัวเดียวเหมือนกับเมื่อคืน ถือว่าตัวเองหุ่นดีนักเหรอวะ โชว์กันอยู่ได้!

“ออกกันกี่โมงดี?” พี่มันนั่งลงที่ข้างเตียงแล้วเอ่ยถาม ฝ่ามือกว้างก็ยื่นมาลูบเจ้าแมวก้อนกลมที่นอนซบหน้าอยู่บนพุงผมไปด้วย

“บ่ายๆได้ป่ะ ตอนนี้ขี้เกียจอ่า” ผมตอบออกไปตามจริง ก็มันวันหยุดอ่ะ จะรีบไปทำไมเล่า ขอนอนโง่ๆกอดแมวก่อนได้ไหมล่ะ

“งั้นพี่ลงไปฟิตเนสก่อนนะ” คนพูดมันตั้งท่าจะผละออกไปแต่ผมก็คว้าแขนแข็งแกร่งนั่นไว้ได้ซะ
ก่อน

“พี่แดน”

“หื้ม?”

“ผม…”

“ผม...หิว”

“คอตตอนก็หิวด้วย” ผมพูดต่อเมื่อคนตรงหน้าเงียบไม่ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร พี่แดนมันหัวเราะก่อนจะอุ้มเอาเจ้าก้อนกลมไปจ้องหน้าอ้วนๆนั่น

“กินแล้วไม่ใช่เหรอเราน่ะ หื้ม”

“เมี๊ยว” เออ แม่งก็ตอบรับกันไปอีกนะ พี่แดนมันหอมหัวไอ้ตัวกลมๆนั่นก่อนจะวางมันลงบนพื้นห้องแล้วหันมามองหน้าผมเต็มๆ สายตาคมของมันวิบวับจนน่าโมโหจริงๆ ให้ตายเถอะ

“หึหึ” และเสียงหัวเราะเบาๆในคอนั่นก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเสียหน้าเข้าไปอีก

“เออ จะไปไหนก็ไปเลยไป ต้มมาม่ากินเองก็ได้” ผมตวัดผ้านวมที่ห่มอยู่ออกก่อนจะลุกขึ้นนั่งดีๆ

“ถอยดิ๊” และพี่มันก็ทำตามที่ผมสั่งโดยไม่ได้พูดอะไร พี่แดนมันลุกขึ้นยืนแล้วถอยหลังหลีกทางให้ผมก้าวลงจากเตียงนอนได้อย่างสะดวก

ผมยู่หน้าใส่คนที่มันทำเป็นยืนเฉยก่อนจะเดินผ่านมันออกไปเข้าห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันได้ปิดประตูพี่มันก็แทรกตัวเข้ามาแล้วถือวิสาสะปิดประตูล็อกกลอนเองเสร็จสรรพ ผมหันไปถลึงตาใส่ไอ้คนกวนประสาทมันก็ได้แต่ยิ้ม

“กวนตีน” ผมอุบอิบด่าโดยที่ไม่ได้หันไปมองก่อนจะหยิบแปรงสีฟันขึ้นมาบีบยาสีฟันแล้วแปรงอย่างเงียบๆ มองผ่านกระจกก็เห็นว่าคนที่ยืนข้างๆกันมันทำตาม ดวงตาคมสบตากับผมผ่านกระจก และถึงจะมีฟองเต็มปากผมก็รู้หรอกว่ามันกำลังยิ้มน่ะ

ผมดึงผ้าขนหนูสีขาวที่พับไว้บนชั้นข้างอ่างล้างหน้ามาเช็ดคราบน้ำบนหน้า พี่มันก็ดึงผ้าขนหนูสีน้ำเงินเข้มที่พับอยู่ข้างๆกันมาเช็ดหน้าตัวเองเหมือนกัน พอผมเอาผ้าลงพี่มันก็เอาผ้าลง เลียนแบบกูแม่งทุกท่า

“พี่แดน!” ผมจิ๊ปากก่อนจะเรียกชื่อมันเสียงดังอย่างนึกโมโห และผลที่ได้ก็คือ มันยิ้ม เออดี

“โอเคๆ ไม่แกล้งแล้ว” พี่มันยกมือยอมแพ้เมื่อผมชูกำปั้นใส่ แต่ถึงปากจะบอกว่ายอมแพ้หน้าตามันก็ไม่ได้ดูมีความสำนึกเลยอยู่ดี แล้วก็ไม่ทันได้คิดจะทำอะไรมันคืนหรอก ไอ้คนฉวยโอกาสมันก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มผมแรงๆอีกจนได้

“มอร์นิ่งนะครับที่รัก”





กว่าจะมาถึงพารากอนได้ก็ปาไปเกือบจะบ่าย 3 จริงๆระยะทางจากคอนโดมามันก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่หรอก แต่ก็อย่างว่ากรุงเทพอ่ะเนอะ ถ้ารถไม่ติดมันก็แปลกประหลาดเกินไปแล้ว

“รอบ 4 โมงครึ่งเลยเหรอ?” ผมหยิบตั๋วหนังที่พี่มันยื่นมาตรงหน้าขึ้นมาดู โห้ อีกชั่วโมงกว่าเลยนะนั่น

“ไปเดินดูของก่อนไหม?”

“ไป” ผมส่งตั๋วหนังคืนให้ พี่แดนมันก็พับใส่กระเป๋าตังค์ก่อนจะยัดลงที่กระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านหลัง

วงแขนกว้างพาดลงมาบนบ่าเรียกให้ผมหันไปมองแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ก็...มันไม่ได้หนักอะไรเท่าไหร่อ่ะ ปล่อยให้มันวางๆไปก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่เนอะ



ผมเดินวนไปวนมาในชอปเสื้อผ้าแบรนด์โปรด และตอนนี้มันก็เริ่มมีนู่นนี่นั่นติดมือมาไม่น้อย ส่วนไอ้คนที่มาด้วยน่ะเหรอ นู่น ไปนั่งไขว่ห้างเล่นโทรศัพท์รออยู่ที่โซฟากลางร้านนู่นแล้ว

‘คนนั้นหล่อมากก’

อืม...ไม่ใช่ครั้งแรกของวันหรอกครับที่ได้ยิน ตอนยืนกดตั๋วหนังเมื่อกี้ก็ได้ยิน ประโยคเดียวกัน เป๊ะๆเลย

กลุ่มผู้หญิงที่อยู่ในล็อคด้านหน้าผมยังคงรวมตัวกันไม่ไปไหน พวกเธอจะรู้สึกตัวไหมเนี่ยว่าข้างหลังมีคนอื่นอยู่น่ะ

‘ฮอลล ฉันอยากได้’

‘ใจเย็นนะแก’

‘ฉันว่าเขาต้องกำลังนั่งรอแฟนอ่ะ’


แล้วอยู่ๆเป้าสายตาของทุกคนก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะหันมายิ้ม ผมสีเทาหม่นนั่นเวลาที่มันสะท้อนกับแสงไฟยิ่งทำให้ใบหน้าคมดูเด่นมากขึ้นไปอีกไม่รู้กี่เท่าตัว แม่งจะรู้ตัวบ้างป่ะวะว่าทำคนใจเหลวไปแล้วกี่คน คืออย่างน้อยๆตรงหน้าผมตอนนี้ก็สามคนแล้วล่ะ

‘มึงงง เขาไม่อ่อนโยนกับกูเลยอ้ะ’


เคยเป็นป่ะ อยู่ดีๆก็รู้สึกเหม็นเบื่อหน้าคนบางคนขึ้นมาซะเฉยๆน่ะ หมั่นไส้ จะหล่ออะไรนักหนาวะ ผมถอนหายใจก่อนจะพยายามเดินเลี่ยงออกมาอีกทาง แต่ใครบางคนที่เป็นจุดสนใจก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงเข้ามาพอดี

“ขอโทษนะครับ”

“คะ..ค่ะ”

“มา พี่ถือให้” ฝ่ามือกว้างยื่นมาตรงหน้าก่อนจะดึงเอาของที่ผมถืออยู่ไปถือเอาไว้ซะเอง พี่มันหันไปยิ้มแล้วก้มหัวเล็กน้อยให้กลุ่มคนที่ยังคงยืนอยู่กับที่เป็นเชิงขอทางก่อนจะหันมาดึงมือผมให้เดินตามออกไปพร้อมกัน และประโยคสุดท้ายที่พี่มันพูดก็ทำให้ผมได้ยินเสียงหวีดจนตึกเกือบจะถล่มตามมาติดๆจากด้านหลัง

“ไม่ลองแล้วใช่ไหม งั้นพี่จ่ายเลยนะครับ” 

อืม....ก็นั่นแหละ



ดูหนังกินข้าวเสร็จแล้วก็ฝ่ารถติดกลับคอนโด แต่แค่นี้ก็หมดวันหยุดไปแล้วอีกวัน ผมไถตัวเองลงนอนบนโซฟานุ่มในขณะที่พี่มันก็กำลังเทอาหารใส่ในชามให้เจ้าแมวก้อนกลมอยู่ ไม่นานพี่มันก็เดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ

“พี่ลองนี่หน่อย” ผมหยิบเสื้อตัวหนึ่งขึ้นมาจากถุงที่วางกองไว้ข้างๆโซฟาแล้วยื่นให้ พี่มันมองแต่แทนที่จะรับไปกลับเลือกที่จะปลดกระดุมเสื้อเชิ๊ตสีดำของตัวเองแทนซะแบบนั้น เก่งจังเรื่องแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นเนี่ย!

ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าซิกแพคพี่มันขึ้นรูปสวยแค่ไหน แล้วไม่ว่าผมจะเห็นบ่อยจนเกือบจะชินไปแล้วก็เหอะ แต่ก็อดเผลอมองไม่ได้ซักที คือมันไม่ใช่แค่สวย มันแน่นมากด้วย

“ตัง...”

“ตัง”

“ที่รัก” ผมสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหน้าร้อนวาบกับสายตาของพี่มันที่มองมา มุมปากหยักยักยิ้มน้อยๆแต่แค่นั้นมันกลับทำให้ผมรู้สึกอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เพราะไอ้ซิกแพคบ้านั่นแท้ๆเลยโว้ย

“ขอเสื้อด้วยครับ” ฝ่ามือกว้างยื่นมาตรงหน้า ผมเม้มปากก่อนจะยัดเสื้อใส่มือพี่มันไป 

“ก็พอดีนะ” พี่มันติดกระดุมก่อนจะพับแขนเสื้อขึ้นถึงข้อศอกเหมือนปกติ ไม่น่าเชื่อแฮะว่าผมกะไซส์มันได้พอดีเป๊ะเลย

“งั้นก็เอาไป” ผมหยิบถุงที่ข้างในบรรจุเสื้อไซส์เดียวกันกับที่ให้พี่มันลองอีกสามตัวยัดใส่ตักกว้างๆนั่น พี่มันยิ้มก่อนจะยื่นมือมายีหัวผมเบาๆเหมือนที่มันชอบทำประจำ

“ขอบคุณนะครับ”

“ก็เงินพี่น่ะแหละ” ผมยู่จมูกใส่ พี่มันหัวเราะก่อนจะย้อนคำพูดผมกลับมา

“แต่คนเลือกเป็นแฟนพี่”

อืม...ก็อยากจะถามตัวเองเหมือนกันว่ามึงเป็นอะไร แหม หน้าบางใจบางเหลือเกิน เขินเก่งจังเนอะ!




ผมนอนเล่นกับเจ้าก้อนกลมอยู่บนที่นอนเมื่อเจ้าของห้องมันกำลังอาบน้ำ จะว่าไปผมก็อยู่ที่นี่มาได้เดือนกว่าแล้วนะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เปลี่ยนไปจากที่ไม่เคยชินมันก็เคยชินไปหมดจนบางครั้งก็เผลอคิดไปว่าเป็นแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน


ดี...งั้นเหรอวะ

‘พรึ่บ’

“เห้ย!” อยู่ดีๆไฟในห้องก็ดับวูบลงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยก่อนที่ผมจะต้องยกมือขึ้นบังสายตาเมื่อแสงสว่างเจิดจ้ามันวาบขึ้นมาตรงหน้า

“ท่าน...เทวดา” แสงเจิดจ้าที่ดับไปเหลือเพียงแสงดวงเทียนสลัวๆทำให้ผมลดมือลง และบางอย่างที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นอะไรอย่างที่ผมคิดเอาไว้จริงๆ

“ก็ข้าน่ะสิเจ้าเด็กโง่”

ผมมองหน้าท่านเทวดาที่กำลังยิ้มน้อยๆส่งมาให้ มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกน้ำท่วมปากจนไม่รู้ว่าอยากจะพูดอะไรออกไป คำถามมากมายที่เคยอยากถามมันจางหายไปจนแทบจะไม่เหลืออะไรอีกแล้ว

“สบายดีล่ะสิ”

“ผม…”

“โอ้ เจ้านิ่มไม่เจอกันนานเลย” ท่านเทวดาเปลี่ยนประเด็นเมื่อผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป

“เมี๊ยว” เจ้าก้อนกลมลุกขึ้นจากตักผมก่อนจะยืดตัวบิดขี้เกียจก่อนจะเดินตรงไปทิ้งตัวนอนหงายพุงอยู่ข้างหน้าท่านเทวดา นี่ก็ทำตัวสนิทสนมกับเขาจังนะ

“มีความสุขดีก็ดีแล้ว” ถึงมือใหญ่ๆนั่นจะกำลังลูบขนนุ่มๆของเจ้าก้อนกลมอยู่ แต่ใบหน้าคมก็เงยขึ้นมาส่งยิ้มบางๆให้ผม

“เรื่องของใจกังขาไปก็ไร้ประโยชน์”

ผมเม้มปากเมื่อใช้ความคิด แต่คิดเท่าไหร่มันก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปอยู่ดี

“เด็กโง่เอ้ย” เทวดาที่ลุกขึ้นยืนยื่นมือมายีหัวผมไปมาเบาๆ หุ้ย นี่หัวคนนะไม่ใช่พุงแมว

“หึหึ”

“อ่านความคิดผมอีกแล้วนะ”

“ไม่งั้นข้าจะรู้เหรอว่าเอ็งสบายดี” รอยยิ้มแปลกๆนั่น

ไม่นะ!

“ไม่ทันแล้ว”

จบประโยคก็หายวับไปกับตาก่อนที่ความสว่างไสวในห้องก็กลับมาอีกครั้งพร้อมๆกับประตูห้องน้ำที่เปิดออก

“ไฟตกเหรอ?” พี่มันขมวดคิ้วเล็กน้อยในขณะที่เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม

“อะ..อื้ม”

“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ผมส่ายหัวจนผมกระจายให้กับคำถาม แต่สิ่งที่ได้คือการที่พี่มันโน้มตัวลงมาก่อนจะส่งฝ่ามือมาทาบที่ข้างแก้มของผม

“ตัวก็ไม่ร้อนเท่าไหร่ ทำไมหน้าแดงจังครับ”


ตู้มมมมมม 


เหมือนระเบิดถูกทิ้งลงมาอีกระรอก เออ กูกำลังอายไงเข้าใจป่ะ


พี่มึงจะขยี้ทำไมโว้ยยยยยยย




xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


ท่านเทวดามาแล้ววววววววว
คิดถึงกันบ้างไหมเอ่ย ?

งื้อออ ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนเลยที่มาช้ามากๆ แต่งานมันยุ่งมากจริงๆ
ตอนหน้าจะพยายามไม่ให้เลทกว่านี้ค่ะ :katai1:

ขอกำลังใจให้น้องตังกับพี่แดนด้วยนะคะ  :กอด1:
เจอกันตอนหน้าค่ะ
B2
Twitter : @B2YFICTION
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-01-2019 17:55:22 โดย B2Fictions »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
มาแล้ววว

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

มาช้ายังดีกว่าไม่มาครับ

ท่านเทวดามาทำไมอ่ะ?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 301
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
จะต้องย้อนกลับอดีตอีกมั้ยหนิ555

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#19





‘お疲れ様です’** 


ผมก้มหัวทักทายให้คนญี่ปุ่นที่เดินสวนกันที่หน้าลิฟท์ จะว่าไปผมก็เริ่มจะคุ้นเคยกับการฝึกงานที่นี่แล้วนะ แถมเริ่มจะสนิทกับพวกพนักงานที่เข้ามาใหม่แล้วด้วยล่ะ ดังนั้นเวลาที่ไอ้แฝดนรกไม่อยู่ผมก็พอจะมีเพื่อนไปกินข้าวกลางวันด้วยกันแล้ว ไม่ต้องง้อพวกแม่งแล้วเว้ยยย

แต่ตอนนี้เลิกงานแล้วครับ ผมเดินออกจากลิฟต์มุ่งหน้าไปที่คาเฟ่ชั้นล่างเหมือนอย่างเคย ไม่ต้องเสียเวลามองหาก็เจอคนที่มานั่งรออยู่แล้ว อืม ก็พี่มันนั่นแหละ ขนาดนั่งอยู่มุมร้านยังเด่นซะขนาดนี้

วันนี้พี่มันใส่เสื้อเชิ๊ตสีน้ำเงินเข้มพับแขนมาถึงข้อศอกตัวที่ผมซื้อให้เมื่อวันก่อนกับกางเกงขาเดฟสีดำ จะว่าไป ผมไม่เคยเห็นพี่มันใส่เครื่องประดับอะไรเลยนอกจากนาฬิกาข้อมือยี่ห้อที่ทุกคนก็น่าจะรู้จักดีอยู่แค่เรือนเดียว

“กินเค้กก่อนไหม?” นี่คือประโยคแรกที่พี่มันเอ่ยถามทันทีที่ผมเดินมาถึงโต๊ะ

“อื้อ” ผมพยักหน้า จัดแจงวางกระเป๋าที่เก้าอี้ข้างๆก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม พี่แดนลุกขึ้นก่อนจะเดินตรงไปที่หน้าเค้าท์เตอร์สั่งอาหาร ไม่นานก็เดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมเค้ก Chocolate fudge ของโปรดของผมกับน้ำเปล่าเย็นๆหนึ่งแก้ว

“ขอบคุณครับ” ผมรับเค้กมาวางไว้ตรงหน้าก่นจะเริ่มลงมือกินเหมือนปกติ ช่วงหลังๆมานี้ถ้าไม่มีธุระอะไรพี่แดนก็จะคอยมารับมาส่งผมตลอด ชวนไปดูหนังต่อบ้าง ซื้อของบ้าง กินข้าวข้างนอกบ้าง จะว่าไปแล้วแบบนี้มันก็รู้สึกดีนะ

“อยากไปไหนต่อหรือเปล่า?”

“ไม่อ่ะ แล้วพี่ล่ะ?”

“ไม่ครับ”

“งั้นกลับคอนโดเลยก็ได้”


กลับมาถึงคอนโดผมก็นั่งกอดเจ้าก้อนกลมดูซีรี่ย์ใน Netflix อยู่ที่โซฟาในขณะที่พี่มันก็เข้าไปทำอะไรก๊อกแก๊กๆอยู่ในครัวเหมือนอย่างทุกวัน

“ตัง” และเสียงที่เรียกชื่อผมออกมาจากในครัวก็ทำให้ผมต้องลุกเดินเข้าไปในนั้น พอแบบมือรับจานพาสต้าจากที่พี่มันส่งให้ข้างแก้มก็โดนจมูกโด่งๆกดลงมาหอมอย่างเคย ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะโวยวายลั่น แต่ตอนนี้ผมว่ามัน….

ก็โอเคอ่ะ ><

กินข้าวอาบน้ำเสร็จแล้วก็มานั่งโง่ๆดูซีรี่ย์ต่อ ไม่นานคนที่ไปอาบน้ำต่อจากผมก็เดินมานั่งลงข้างๆแล้วก็นะ ยังคงคอนเซปต์ใส่แต่กางเกงนอนตัวเดียวเหมือนเดิม เราไม่ได้คุยอะไรกัน ต่างคนต่างสนใจซีรี่ย์ที่กำลังฉายอยู่ในทีวี มีแค่เพียงฝ่ามือกว้างที่ลูบปอยผมที่หลังคอผมเล่นเบาๆเหมือนเคย แล้วผมก็ดันรู้สึกชินกับมันไปแล้วด้วยเหมือนกัน

“พรุ่งนี้พี่ต้องไปเชียงใหม่นะ” และเสียงทุ้มๆที่เอ่ยออกมาก็ทำให้ผมต้องหันหน้าไปมองก่อนจะหันหน้ากลับมามองทีวีอีกครั้งเมื่อไม่รู้จะพูดอะไร 

“แต่วันอาทิตย์ก็กลับแล้ว”

“อืม” ผมตอบรับในลำคอเบาๆ อยู่ดีๆมันก็รู้สึกตึงๆยังไงก็บอกไม่ถูกความรู้สึกบางอย่างเริ่มผุดขึ้นในใจทำให้ผมต้องเม้มปากก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อหงุดหงิดกับความงี่เง่าของตัวเอง

“ผมไปนอนก่อนนะ” ผมลุกขึ้นยืนแต่ก็โดนพี่มันดึงมือเอาไว้ซะก่อน

“ไม่งอนพี่สิครับ”

“งอนบ้าอะไรเล่า!” ผมหันไปโพล่งใส่พี่มันเสียงดัง ไอ้อาการที่เขาเรียกว่าจี้ใจดำมันเป็นแบบนี้นี่เอง

“โอเค ไม่งอนก็ไม่งอน” ไอ้คนที่ดึงผมให้กลับลงไปนั่งลงบนตักมันพูด แล้วมันก็น่าหงุดหงิดจนผมต้องยู่หน้าใส่

“ตังคนจริง ไม่เคยงอนอยู่แล้ว” ปลายจมูกโด่งรั้นก้มลงมาชนที่ข้างแก้ม น้ำเสียงทุ้มๆยังคงพูดเจือเสียงหัวเราะนั่นฟังแล้วยิ่งน่าโมโห

“ไอ้พี่แดน!” ผมหันหน้ากลับไปก็เป็นจังหวะที่ใครบางคนมันรออยู่แล้ว ดวงตาคมที่จ้องมองมาเรียกให้ผมต้องจ้องมองตอบ และริมฝีปากบางนั่นก็ยกยิ้ม ใบหน้าทะเล้นๆนั่นทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม บ้าเอ้ย

“ยิ้มแล้ว” เสียงทุ้มๆกระซิบติดริมฝีปากก่อนจะกดจูบลงมาเบาๆ

แล้วผมก็ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็น  เราต่างตอบสนองจูบของกันและกัน สัมผัสกันด้วยผิวเนื้อที่ค่อยๆเปลือยเปล่า นาทีนี้ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถดึงความสนใจของผมไปได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเสียงทีวีที่ยังคงเปิดค้างเอาไว้หรือแม้แต่แสงไฟที่ยังคงส่องสว่าง ทั้งหมดนั่น มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย


⇤  BEGIN AGAIN  ⇥


เป็นอีกวันที่นาฬิกาปลุกตอนเช้าดังแล้วก็ยังไม่อยากจะตื่น ผมกดปิดเจ้าไอโฟนที่ร้องดังอย่างบ้าคลั่งก่อนจะยัดมันลงใต้หมอน แต่ไม่นานมันก็ดังขึ้นมาใหม่ รำคาญจนต้องตัดใจลุกขึ้นมานั่งจนได้ แม่งเอ้ย


อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ต้องรีบสไลด์ตัวออกจากห้องเหมือนเดิม ไม่อยากจะโทษว่าพอพี่มันไม่อยู่แล้วผมก็แทบจะไปทำงานไม่ทัน แถมข้าวเช้าก็ไม่ได้กินอีกต่างหาก แต่อย่าไปบอกพี่มันล่ะ ผมขี้เกียจฟังมันบ่น

“เราไปก่อนนะ” ผมเทอาหารแมวใส่ชามก่อนจะยกเจ้าตัวอ้วนขึ้นมาจูบหัวกลมๆแรงๆแล้วรีบวิ่งออกไปทันที วันนี้ก็คงจะเฉียดตายอีกแหงๆ เฮ้อ



ฝึกงานวันนี้ก็เรื่อยๆเหมือนเดิมหรืออาจจะเป็นเพราะผมค่อนข้างจะชินแล้วด้วยล่ะมั้ง แต่ไอ้ที่มันไม่เหมือนเดิมก็คือไลน์ผมแม่งโคตรเงียบ ตั้งแต่เช้ามาจนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อความอะไรจากพี่แดนเลยซักข้อความเดียว ที่ผมไลน์ไปมันก็ยังไม่ตอบ

“เฮ้อ” ผมเงยหน้าขึ้นจากจอมือถือ ก่อนที่จะเห็นสายตาใฝ่รู้ของไอ้สองแฝดที่กำลังมองมาที่ผมอยู่แล้ว จะว่าไปตั้งแต่ฝึกงานมาวันนี้เป็นวันแรกเลยนะที่พวกผมได้มากินข้าวกลางวันพร้อมกันทั้ง 3 คนแบบนี้อ่ะ

“มองห่าไร?” ผมถาม ไอ้ป่านมันยักไหล่ก่อนจะก้มหน้าลงซูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากต่อ ไอ้ปอมันยิ้มก่อนจะพูด

“เกรี้ยวกราดจังครับน้องตัง”

“น้องพ่องสิ” ชูนิ้วกลางใส่หน้าแม่ง

“อย่าไปถือสามันนะปอ คนไม่สบายตัวก็เงี้ยะแหละ หงุดหงิดง่าย” ไอ้ป่านมันตบไหล่พี่ชายมันเบาๆ ไอ้เหี้ยปอก็ทำเป็นพยักหน้าเข้าใจไปอีก ห่าราก

“ส้นตีนเหอะ” ไม่อยากจะเถียงกับพวกแม่งก็เลยนั่งก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยวในชามอย่างเซ็งๆ ได้ยินเสียงพวกมันหัวเราะคิกคักก็อยากจะถีบแม่งซักคนละที กวนตีนกูกันจัง





“คอตตอนของพี่ป่านนน” ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในห้องไอ้ป่านมันก็ถลาตัวไปหาเจ้าก้อนกลมที่นอนขดอยู่บนโซฟา อืม ถึงเวลาที่อยู่กับพวกแม่งจะปวดประสาท แต่ผมก็ว่ามันดีกว่าการที่กลับมาแล้วต้องอยู่คนเดียวล่ะนะ

ผมกดรีโมทย์เปิดทีวีในขณะเดียวกันไอ้ปอมันก็กดโทรศัพท์สั่งพิซซ่า ไม่ต้องถามหรอกว่าใครจะกินอะไร เสียเวลาเปล่าๆ ไอ้ปอมันว่างี้อ่ะนะ

“มึงคอสเป็นปลาทูแม่กลองเหรอ?” ไอ้ป่านที่จับอุ้งเท้าปุยๆสีเทาของเจ้าก้อนกลมมาตีที่ข้างแก้มผมถาม

“อะไร”

“ก็หน้างอคอหักขนาดนี้” ไอ้ป่านมันพูดกลั้วขำจนผมอดไม่ได้ที่จะยกตีนเตะหน้าแข้งมันไปแรงๆด้วยความหมั่นไส้

“สัดนี่ กวนตีน”

“เออ พรุ่งนี้อิเคะจังชวนไปวันเกิดพี่บัวขาวว่ะ มึงไปมะ?” อยู่ๆไอ้ป่านมันก็โพล่งขึ้นมา แล้วดูมันนะ มันเรียกแฟนเขาว่าพี่บัวขาวจนผมนี่จำไม่ได้แล้วอ่ะว่าจริงๆพี่เขาชื่ออะไร

“ที่ไหนอ่ะ”

“ไม่รู้ว่ะ ยังไม่ได้ถาม”

“เออ ถ้าไปก็มารับกูด้วยแล้วกัน” ผมตัดบทก่อนจะลุกขึ้นมาเตรียมอาหารให้เจ้าก้อนกลม ออกไป Hang out บ้างก็ดี ไม่งั้นวันทั้งวันคงหนีไม่พ้นการนอนโง่ๆไปจนหมดวันหรอก

“คอตตอน come on” วางชามอาหารลงบนพื้นก่อนจะหันไปเรียกเจ้าแมวอ้วนที่ยืดตัวบิดขี้เกียจก่อนจะวิ่งมาหาผมอย่างไม่มีอิดออด เรื่องกินน่ะไว้ใจคุณเขาเถอะ



ในที่สุดห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้งเมื่อไอ้สองพี่น้องมันพากันกลับบ้านไปแล้ว บอกให้ค้างแม่งก็ไม่ค้างไง ไอ้ปอก็ทำตัวมีลับลมคมในขึ้นทุกวัน ส่วนไอ้ป่านนี่ก็มีงานประจำต้องไปปั่นวิวในยูทูปให้พวกสาวๆของมัน ชีวิตโอตะนี่ช่างหรรษาสุดๆไปเลย

ออกจากห้องน้ำมาเจ้าก้อนกลมก็ขึ้นไปขดตัวนอนรออยู่บนเตียง หงายหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาดูมันก็บอกเวลาเกือบจะ4ทุ่มแล้ว เมื่อไหร่พี่มันจะโทรมาซักทีวะ ถ้าถามว่าทำไมผมถึงไม่เป็นฝ่ายที่โทรไปล่ะก็ บอกเลยว่าเพราะไอ้บ้าบางคนมันทำโทรศัพท์ตกจอแตกกระจายคาพื้นไปไงครับ

แล้วผมรู้ได้ไงน่ะเหรอ ก็เมื่อตอนบ่ายพี่มันใช้โทรศัพท์ไอ้ฟ้าโทรมาบอกเองน่ะแหละ แล้วบอกว่าจะโทรมาอีก จนป่านนี้ก็ยังไม่โทรมาเลย

“เฮ้อออ” ผมทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มก่อนที่สายตาจะพลันไปเห็นแว่นสายตาที่วางไว้บนหนังสือที่พี่แดนอ่านค้างไว้ก่อนที่จะไปเชียงใหม่ หน้าปกมันเขียนว่า ‘More With Less’ แต่ดูแล้วคงจะเกี่ยวกับการทำอาหารล่ะมั้ง หยิบมาเปิดดูสองสามหน้าแล้วก้ต้องวาง มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับการทำอาหารจริงๆด้วย และถึงรูปมันจะสวยชวนกิน แต่หนังสือภาษาอังกฤษล้วนแบบนี้ไม่เหมาะที่จะอ่านเล่นหรอกเอาจริงๆ

อืม… จะว่าไปพี่มันสายตาสั้นหรือเอียงวะ ว่าแล้วก็ลองหยิบแว่นกรอบสีดำเรียบๆนั่นขึ้นมาลองใส่ดู มันก็ไม่เชิงมองไม่รู้เรื่องนะ แต่มันแค่รู้สึกเบลอๆเหมือนภาพมันซ้อนกันเบาๆแค่นั้นแหละ อยู่ๆเสียงแจ้งเตือนวีดีโอคอลจากไลน์ก็ดังขึ้นจนผมแอบตกใจ แต่ชื่อที่เห็นบนหน้าจอนั่นก็ทำให้ผมกดรับทันที

“นานไปป่ะ”

“เพิ่งล็อคอินเสร็จเมื่อกี้เอง” คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมันพูดก่อนจะหัวเราะเบาๆเมื่อผมยู่หน้าใส่ แต่อยู่ๆพี่มันก็ชะงักไป ดวงตาคมมองตรงมาที่ผมโดยที่เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไรแต่กลับยิ้มกว้างแบบกว้างมากๆออกมาแทน

“พี่แดน” ผมเรียก อีกฝ่ายกัดริมฝีปากล่างก่อนจะยกมือขึ้นถูที่ปลายจมูกเบาๆ

“เป็นไรเนี่ย” ผมขมดคิ้วใส่ก่อนที่รอยยิ้มกว้างจะค่อยๆลดขนาดลงเล็กน้อยในขณะที่ดวงตาคมเริ่มมีประกายอะไรบางอย่างที่ผมเห็นทีไรก็ต้องใจเต้นแรงไปกับมันทุกที

“แฟนพี่ทำไมน่ารักจังครับ”

ผมยกมือขึ้นปิดหน้าเมื่อรู้สึกว่ามันเป็นศูนย์รวมของความร้อน และอะไรบางอย่างที่กระทบกับฝ่ามือก็ทำให้ผมต้องรีบดึงมันออกด้วยความเก้อเขิน

“ยิ้มอะไรนักเล่า” ผมแหวใส่ก่อนจะวางไอ้แว่นเจ้าปัญหาลงบนโต๊ะ

“ก็แฟนน่ารักไงเลยต้องยิ้ม ไม่ได้เหรอ?”

“ไม่ได้!” ผมแยกเขี้ยวก่อนจะเอามือกดปิดกล้องไปซะเลย โอ้ย แล้วกูจะเขินอะไรนักหนาวะเนี่ย

“ตัง”

“....”

“ตังครับ”

“....”

“ที่รัก”

“เปิดกล้องนะ” ผมกัดริมฝีปากล่างอย่างชั่งใจเมื่อใจมันยังเต้นแรงไม่หยุดก่อนจะพูดตัดบทออกไป

“ง่วง จะนอนแล้ว ฝันดีนะพี่”

พูดแล้วก็กดเปิดกล้องแล้วจูบลงไปที่หน้าจอเร็วๆแล้วกดวางสายทันที

แม่งงง ทำเองก็เขินเอง ไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายจะกำลังทำหน้าแบบไหน แต่กูเนี่ย หน้าร้อนจนแทบจะระเบิดอยู่แล้วโว้ยยย


⇤  BEGIN AGAIN  ⇥


เสียงดนตรีจังหวะกลางๆในช่วงหัวค่ำทำให้บรรยากาศภายในร้านนั่งดื่มแห่งหนึ่งย่านข้าวสารดูดีไม่น้อย แต่ผมดันต้องนั่งตัวลีบโยกหัวเบาๆอยู่ที่โต๊ะไม่ใกล้ไม่ไกลเวทีซักเท่าไหร่ ทำไมน่ะเหรอ ก็ตอนนี้ผมอยู่ในงานวันเกิดพี่บัวขาวเขาไงครับ แล้วเพื่อนพี่เขาก็มีแต่พวกล่ำๆกันทั้งนั้นเลยด้วย ถ้าเกิดผมเมาแล้วรั่วขึ้นมาล่ะก็คงต้องไปนอนให้คนแวะมาอโหสิกรรมที่ศาลาวัดแหงๆ

“ไอ้ป่านมันหายหัวไปไหนวะ?” ผมยื่นหน้าไปถามไอ้ปอที่นั่งอยู่ข้างๆกัน มันนั่งกระดกเบียร์อึกๆ ไม่เห็นจะตัวลีบเหมือนกูเลยวะ

“หึ” แทนที่จะตอบกูแม่งกลับแค่นลมขึ้นจมูกใส่ซะงั้น

“คุณตัง!” เสียงเรียกพร้อมกับมือที่วางบนไหล่ผมทั้งสองข้างทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย แต่พอหันไปเห็นว่าเป็นโยเนะมุระที่เดินเข้ามาพร้อมกับพี่ปอนด์ก็เลยส่งยิ้มทักทายกลับไป

“สวัสดีครับพี่ปอนด์ นั่งด้วยกันสิครับ”

“โชคดีจังที่น้องตังก็มา” พี่ปอนด์ยิ้มก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับโยเนะมุระก่อนจะพูดต่อ

“แล้วนี่...”

“ผมชื่อปอ” ไอ้คนที่วางขวดเบียร์ลงบนโต๊ะมันแนะนำตัวเอง

“ไอ้ปอ นี่พี่ปอนด์เป็นครูที่มาสอนภาษาไทยอ่ะ” ผมแนะนำต่อให้ ไอ้ปอมันพยักหน้าก่อนจะหยิบเบียร์ขึ้นมาดื่มต่อนิ่งๆ แต่ผมเห็นนะว่าตามันน่ะมองใครอยู่ ส่วนอีกฝ่ายก็เอาแต่เบือนหน้าหนีแล้วหันไปส่งยิ้มให้คนที่นั่งข้างๆแทน

“ครูปอนด์ดูเหมือนสนิทกับคุณตังจัง” โยเนะมุระบอกก่อนจะหันมามองผมด้วย ผมยกยิ้มมุมปากแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร จะปฏิเสธก็คงจะเสียมารยาทมั้ง เพราะเจ้าตัวคนที่ถูกถามก็ไม่ได้ออกตัวอะไร เพียงแค่อมยิ้มเล็กๆเท่านั้น

“หรือว่า...จีบกันอยู่เหรอ?” คนถามทำตาโต ก่อนที่ผมจะโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน

“เฮ้ย ไม่ใช่ๆ”

คนตัวเล็กหัวเราะก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ พี่ปอนด์ไม่ตอบอะไรเพียงแค่ยิ้มเหมือนเดิม และนั่นมันยิ่งทำให้คนที่นั่งข้างๆทำตาวิบวับ

“ครูปอนด์~~”

“ผมขอเอาของขวัญไปให้เจ้าของวันเกิดก่อนนะ” พี่ปอนด์บอกก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะโดยที่โยเนะมุระก็ลุกขึ้นวิ่งตามไปติดๆ พอดีกับที่ไอ้ป่านก็เดินกลับมาที่โต๊ะพอดี

“คนนั้นหน้าคุ้นๆ”

“พี่ปอนด์อ่ะเหรอ?” ผมถามกลับไป  มันขมวดคิ้วน้อยๆ

“มึงรู้จักเขาด้วย?”

“เขาเป็นครูที่มาสอนภาษาไทยไง”

“อ๋อ”

“มองข้างหลังแม่งเหมือนพี่แดนเลยว่ะ” ผมมองตามที่ไอ้ป่านมันพยักพเยิดไปทางคนที่ยืนหันหลังอยู่ไม่ไกล ก็คล้ายมั้ง…. แต่ไม่เหมือนหรอก

“กูต้องไปฟิตหุ่นบ้างละ เดินอยู่ในดงนี้แล้วเหมือนคนเป็นปอลิโอสัดๆ” มันว่าแล้วหัวเราะ ผมก็อดหัวเราะตามไม่ได้ แม่งพูดซะกูเห็นภาพ แล้วถ้ามันเป็นปอลิโอ ผมก็เหมือนคนเป็นปอลิโอที่อดข้าวมาทั้งอาทิตย์อ่ะ โอ้ย ชีวิตกู อยากจะร้องเหี้ยให้ดังก้องโลก

นั่งฟังเพลงเพลินๆไปได้ซักพัก ไอ้ป่านมันก็เริ่มขมวดคิ้วก่อนจะโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“มึงหงุดหงิดอะไรวะปอ?”

จริงๆผมก็สังเกตุมาซักพักแล้ว ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไรมาก แต่ถ้าถึงขนาดไอ้ป่านก็รู้สึกไปด้วยนี่ก็คงจะไม่ธรรมดาแล้วล่ะ

ไอ้ปอมันถอนหายใจก่อนจะพูดออกมาไม่ดังเท่าไหร่

“ขอโทษ”

“กูไปสูบบุหรี่แปบ” พูดจบมันก็ลุกเดินออกไปทันที ไอ้ป่านมันถอนหายใจก่อนจะยกเบียร์ขึ้นมาดื่ม

“เป็นห่าอะไรของแม่งอีกวะ กูล่ะเซ็ง”



ยิ่งดึกบรรยากาศในร้านก็ยิ่งครึกครื้น ผมนั่งดื่มไปเรื่อยๆในขณะที่ไอ้ป่านมันก็ลุกเดินไปเดินมา ทักทายคนนั้นคนนี้ไปทั่ว ส่วนไอ้ปออ่ะหายหัวไปแล้ว

“เป็นแฝดที่ไม่เหมือนกันเลย” พี่ปอนด์พูดขึ้นมาในขณะที่เหลือแค่เราสองคนที่โต๊ะ ผมเลิกคิ้วเป็นคำถามก่อนที่พี่เขาจะขยายความต่อ

“หมายถึงนิสัยน่ะ”

“อ๋อ” ผมพยักหน้า

“แต่จริงๆไอ้ปอมันก็สูงกว่าไอ้ป่านนะครับ ถึงจะแค่ 2 เซนต์ก็เถอะ” ใช่ครับ ไอ้ปอมันสูง 178 ส่วนไอ้ป่านมันสูงแค่ 176 แต่มันก็พยายามใส่ที่เสริมส้นเพื่อจะได้สูงเท่าไอ้ปออ่ะนะ

“งั้นเหรอ?”

“แต่พี่ห้ามพูดเรื่องนี้กับมันเลยนะ ร้ายแรงระดับ10 ผมบอกเลย” คนฟังหัวเราะแต่ก็พยักหน้ารับ

“อืม...ไม่รู้ว่าพี่จะถามดีไหม?”

“อะไรเหรอครับ”

“ตอนนี้น้องตังกำลังคบกับใครอยู่หรือเปล่า?” คำถามของพี่ปอนด์ทำให้ผมต้องยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม

“พี่หมายถึง…” ผมหยุดคำพูดไว้เท่านี้ก่อนจะเปลี่ยนคำพูดเมื่อรู้สึกได้ว่าคนถามคงจะหมายความตามที่ผมคิด

“ครับ ผมมีแฟนแล้ว”



อยู่ๆไอโฟนในกระเป๋ากางเกงของผมก็สั่นเป็นเจ้าเข้าเลยต้องล้วงมันขึ้นมากดดู ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเป็นไอ้ปอที่โทรมา

“เหี้ยไรวะ” ผมสบถใส่สิ่งที่ได้ยินจากปลายสาย

“สัด ทิ้งพวกกู” อืม ไม่ต้องเดาเลยใช่ไหมล่ะว่าผมกับไอ้ป่านแม่งถูกลอยแพแล้วน่ะ ส่วนเหตุผลมันตอบสั้นๆแค่มีปัญหาต้องเคลียร์นิดหน่อย

“ เออ แล้วมึงโอเคไหม?” ได้ยินเสียงของใครซักคนแทรกเข้ามา แต่ไอ้ปอมันก็ตอบปัดผมมาว่าไม่เป็นไร

“อืม ขับรถดีๆ” ผมสำทับก่อนสายจะถูกตัดไปแทบจะทันที

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเอ่ยถามเมื่อผมเก็บโทรศัพท์ยัดในกระเป๋ากางเกงแล้วยกกระป๋องเบียร์ที่เหลือแค่ค่อนขึ้นดื่มรวดเดียวหมด

“โดนเทอ่ะพี่ งั้นเดี๋ยวผมคงต้องกลับแล้ว”

“ไอ้ป่าน!” ผมป้องปากตะโกนเรียกคนที่ยืนคุยอยู่ไม่ไกลนัก ซักพักมันก็ยกมือขึ้นโบกลาคนที่ยืนอยู่ในกลุ่มนั้นแล้วเดินตรงมาหาผมทันที

“เออ กูรู้ละ”

“ส่งกูก่อนนะ กระเป๋าตังค์กูติดไปในรถไอ้พี่เวรละ สัด” ไอ้ป่านมันส่ายหัว

“งั้นพวกผมกลับก่อนนะครับพี่ปอนด์” ผมกับไอ้ป่านยกมือไหว้ แต่พี่ปอนด์ก็ลุกขึ้นยืนตามพวกผมเหมือนกัน

“พี่ก็ว่าจะกลับแล้วเหมือนกัน ถ้ายังไง...ติดรถพี่ไปก็ได้นะ”





“เมี๊ยว” เจ้าก้อนกลมเงยหน้าขึ้นจากอุ้งเท้าอวบที่ซุกหน้าอ้วนๆนั้นไว้แล้วร้องทักผมที่เดินมาหย่อนตัวนั่งลงข้างๆโซฟาที่มันนอนอยู่ที่ห้องรับแขก ดวงตาสีเหลืองวาววับพองโตเหมือนกำลังตำหนิผมกรายๆที่กลับบ้านผิดเวลา

“เราขอโทษน่า” ผมอุ้มเจ้าก้อนกลมขึ้นมาฟัดพลางๆกับที่พากันเข้าไปในห้องนอน แต่พอวางมันลงบนที่นอนนุ่มปุ๊บมันก็เดินหนีผมไปขดตัวนอนที่เตียงอีกฟากนึงทันที งอนกันไม่เลิกนะไอ้อ้วน ผมทิ้งตัวลงนอนก่อนจะล้วงไอโฟนจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาสไลด์หน้าจอแล้วกดเข้าแอปสีเขียวเหมือนอย่างเคย

“พี่….” ผมลากเสียงยาวทันทีที่หน้าจอปรากฏภาพของคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

“ดูดิ่ ลูกชายพี่มันงอนผมอ่า” กดสลับเป็นกล้องหลังให้พี่มันดูไอ้ก้อนกลมๆที่ยังนอนหันหลังให้ แต่สิ่งที่ได้คือพี่มันหัวเราะใส่ผมซะงั้นน่ะ หุ้ย นี่โทรมาให้ช่วยง้อเว้ย ไม่ใช่ให้ซ้ำเติม!

“พี่แดน!”

“โอ๋ๆ ไม่งอแงนะครับ” เสียงทุ้มกลั้วเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“เดี๋ยวก็โดนดีหรอก” ผมสลับมาที่กล้องหน้าก่อนจะชี้นิ้วใส่หน้าคนที่ยังยิ้มไม่เลิก

“กลับมาง้อลูกพี่ให้ผมเลยนะ”

“ครับ” พี่มันตอบรับ นี่ก็กะจะชมซักหน่อยว่าดีมากถ้ามันไม่พ่นคำพูดกวนประสาทออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มๆให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะซะก่อนอ่ะนะ

“จะรีบกลับไปง้อทั้งลูกทั้งเมียเลย” ผมยู่หน้าใส่โทรศัพท์ ไอ้คนกวนประสาทก็เอาแต่ยิ้ม

“เออ แค่นี้แหละ”

“ฝันดีครับ....พรุ่งนี้เจอกัน”

“อื้อ” ผมตอบรับเบาๆ แค่ได้ยินว่าพรุ่งนี้จะได้เจอกันใจมันก็พองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“พี่แดน เดี๋ยวก่อน” ผมเรียกคนที่ปลายสายก่อนที่อีกฝ่ายจะได้กดวาง


“ผมมีอะไรจะบอก กลับมาเร็วๆนะ”



xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx



งื้อออ ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนเลยที่มาช้ามากกกกกกมากกกกกก แต่งานมันยุ่งมากจริงๆ
หลายสิ่งอย่างจนบางทีก็ท้อเหมือนกันนะ แต่อยู่ด้วยกันมาตั้งขนาดนี้แล้วก็ไม่อยากทำให้ทุกคนผิดหวัง
เราจะพยายามให้มากกว่านี้ค่ะ   :hao5:

ส่วนตอนนี้ขอกำลังใจให้น้องตังกับพี่แดนด้วยนะคะ  :กอด1:
เจอกันตอนหน้าค่ะ จะพยายามมาให้เร็วที่สุด ขอบคุณคนอ่านที่ยังรอแล้วไม่ทิ้งกันเช่นกันค่ะ  :L1:

B2
Twitter : @B2YFICTION

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

ดีใจที่มาแล้ว

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….

#20










ผมนอนฟุบหน้าลงกับหมอนใบนิ่มอีกครั้งหลังจากที่ลุกขึ้นไปให้อาหารเช้าเจ้าก้อนกลมเป็นที่เรียบร้อย ก็ไม่รู้ว่าเผลอหลับลึกไปตอนไหน รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่โดนใครบางคนมันรวบตัวเข้าไปกอดซะแล้วน่ะแหละ


“เด็กขี้เซา”


เสียงนุ่มๆที่เจือเสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นข้างหูทำให้ผมซุกหน้าเข้าหาแผ่นอกกว้างเพราะยังไม่อยากจะลืมตาตื่น พี่แดนไม่ได้พูดอะไรต่อมีเพียงฝ่ามือกว้างที่ลูบหัวผมเบาๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นปลายจมูกโด่งรั้นที่ฝังลงบนหน้าผากแทน


เอาจริงนะ แม่ง….รู้สึกดีชะมัด


ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าพี่มันเมื่อบรรยากาศในห้องเงียบไปซักพัก และดวงตาคมนั่นก็อ่อนแสงลงยามที่ก้มมองลงมา แม้ว่าพี่มันจะไม่ได้เปล่งคำพูดใดๆ แต่ดวงตาคมนั่นก็บอกทุกความหมายของความรู้สึกได้เป็นอย่างดี คำพูดของท่านเทวดาที่ผุดขึ้นในสมองทำให้ผมค่อยๆขยับตัวขึ้นแล้วจูบลงที่มุมปากของคนที่กำลังอมยิ้มเล็กๆส่งมาให้ มาถึงตอนนี้ มันไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอะไรมาเพื่อโต้แย้งความรู้สึกที่มันก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างจนชัดเจนขนาดนี้อีกแล้วล่ะมั้ง


เพราะว่าถ้าความรู้สึกมันคือ ‘รัก’ นั่น.... มันก็คือ ‘ความรัก’


“ไหน มีอะไรจะบอกพี่ครับ” เสียงทุ้มๆเอ่ยถาม ดวงตาคมนั่นอบอุ่นจนทุ้มในใจไปหมด


“หึ” ผมส่ายหัว


“ไม่ขี้โกงสิ” ใบหน้าคมก้มลงใกล้จนผมต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นทาบลงข้างแก้มที่เริ่มสากเพราะเมื่อเช้าเจ้าตัวคงจะไม่ได้โกนหนวดมาแน่ๆ


“ก็แค่...”


ผมค่อยๆโน้มใบหน้าคมเข้ามาช้าๆก่อนจะขยับขึ้นไปจูบที่ริมฝีปากของพี่แดนอีกครั้งอย่างตั้งใจ


“คิดถึงพี่นะ”


“แล้วก็….รักพี่มากๆด้วย”



รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นบนใบหน้าคมก่อนที่ฝ่ามืออุ่นจะลูบลงที่ข้างแก้มผมเบาๆแล้วดึงตัวผมลงไปกอดจนแน่น ปลายจมูกโด่งรั้นกดลงที่ข้างแก้ม ริมฝีปากชื้นที่สัมผัสกับผิวเนื้อยามที่เจ้าตัวกำลังจะเปล่งคำพูดออกมามันทำให้รู้สึกหวามไหวอย่างบอกไม่ถูก


“พี่คงคิดมากไปเองจริงๆ” น้ำเสียงทุ้มที่เจือเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอของคนอารมณ์ดีกลับทำให้ผมรู้สึกวูบโหวงเหมือนกำลังจมดิ่งลงในภวังค์ความคิด


“พี่แดน”


“ถ้าผม....”


“....ช่างมันเถอะ” ผมกลืนคำถามลงคอก่อนจะเป็นฝ่ายดันร่างกายหนาลงบนที่นอนนุ่มแล้วแนบริมฝีปากจูบลงบนริมฝีปากร้อนๆนั่นอีกครั้งโดยที่อีกฝ่ายก็ส่งวงแขนมากระชับกอดผมเอาไว้เช่นกัน ผมไม่รู้ว่า ถ้าพี่แดนรู้ว่าผมไม่ใช่ตังคนเดิมคนนั้นพี่มันจะยังชอบผมคนนี้ไหม แต่สำหรับผมในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นผมคนไหนก็ตกหลุมรักพี่มันจนหัวปักหัวปำไปแล้วทั้งคู่


เรายังคงจูบกันและกันเหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่รู้จักและปราถนา ยิ่งจูบยิ่งเหมือนต้องมนต์ ทุกอย่างรอบกายมันพร่าเลือนจนมองอะไรไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นมีแค่พี่แดนเท่านั้นที่ยังคงชัดเจนทั้งตัวตนและความรู้สึก


“พี่ก็คิดถึงครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นที่ข้างหูก่อนที่ความร้อนจากริมฝีปากชื้นจะเคลื่อนต่ำลงมาที่ลำคอจนถึงแอ่งชีพจร พี่แดนชันตัวขึ้นนั่งทำให้ผมต้องยืนเข่าคร่อมหน้าขาของพี่มันเอาไว้ ฝ่ามือร้อนทั้งสองข้างสอดเข้ามาในเสื้อของผมก่อนที่มันจะถูกถอดออกจนพ้นตัว ความเย็นของเครื่องปรับอากาศทำให้ผมต้องเกร็งตัวนิดหน่อยก่อนที่จะรู้สึกผ่อนคลายด้วยความอบอุ่นจากอุณภูมิของร่างกายเมื่อถูกสวมกอดจากวงแขนกว้างอีกครั้ง


“ผมรักพี่นะ” ผมกระซิบบอกอีกครั้งกับแผ่นอกอุ่น มันอาจจะดูฟุ่มเฟือยกับการพร่ำบอกรักซ้ำๆ แต่ทว่าความรู้สึกที่ถูกประทุออกมาแล้ว ผมก็ไม่สามารถหยุดมันได้อีกต่อไป


“ครับ พี่ก็รัก”


และแค่ได้ยินคำว่ารักที่ตอบสนองกลับมาพร้อมจูบจากริมฝีปากอุ่นนั้น ผมก็ไม่ลังเลใจอะไรอีกที่จะปล่อยให้พี่มันทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ


ก็เพราะว่าการถูกรักน่ะ….มันรู้สึกดีมากกว่าที่เคยรู้สึกซะอีก




“อื้ออออ” เสียงหยาบโลนของร่างกายที่ขยับเสียดสีกันทำให้ผมต้องกัดริมฝีปากล่างเพื่อระงับเสียงครางของตัวเองไม่ให้มันดังมากจนเกินไป


ฝ่ามือร้อนกระชับบั้นเอวผมเอาไว้ทั้งสองข้างเมื่อพี่แดนกำลังนำพาความสุขเข้ามาในตัวผมอย่างช้าๆ ความซ่านที่แล่นริ้วบนผิวหนังทำให้ผมต้องกัดริมฝีปากแน่นเมื่อจังหวะการเคลื่อนไหวของร่างกายสูงใหญ่นั้นถี่กระชั้น


แต่อยู่ๆมันก็กลับช้าลงจนหยุดไปเสียดื้อๆ


“พี่ แดน...” ผมร้องเรียกคนที่หยุดการเคลื่อนไหว ดวงตาคมนั่นมองตรงมา ประกายสายตาที่มีเพียงแค่ผมที่สะท้อนอยู่ในนั้นมันทำให้หัวใจหวาบหวามแบบแปลกๆ แล้วอยู่ๆฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างก็กระชับลงที่บั้นเอวก่อนที่ตัวผมจะถูกยกขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนตักกว้าง


รอยยิ้มเล็กๆที่กดลงตรงมุมปากนั่นทำให้ผมต้องเม้มปากเข้าหากันอย่างชั่งใจ คนตัวโตกว่าที่อยู่ด้านล่างโน้มใบหน้าผมลงไปใกล้ก่อนที่เสียงนุ่มทุ้มจะกระซิบที่ข้างหู


“นะ ที่รัก”


และนั่น….

มันก็ทำให้ผมพ่ายแพ้ให้กับคนๆนี้อีกจนได้


“นิสัยไม่ดี” ผมพึมพำก่อนจะซบหน้าลงบนบ่ากว้างด้วยความกระดากอาย เสียงหัวเราะแผ่วๆในลำคอแกร่งนั่นทำให้ผมอยากจะทุบแรงๆบนแผ่นอกหนานั่นจริงๆ


“อื้ออ” ผมครางประท้วงเมื่อสองมือหนานั่นกระขับเข้าที่บั้นเอวอีกครั้งเหมือนจะเร่งเร้า ผมกัดริมฝีปากอย่างชั่งใจอีกครั้งก่อนจะค่อยๆขยับโยกตัวไปตามสัญชาตญาณ ความซ่านที่แล่นริ้วไปจนถึงปลายเท้าเรียกให้ผมต้องฝังคมเขี้ยวลงบนลำคอแกร่งเพื่อระงับมันเอาไว้ก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะลูบลงบนหัวผมเบาๆพร้อมเสียงกระซิบทุ้มๆที่ข้างหู


“เก่งมากครับ...ที่รัก”








ผมหยิบเจ้าไอโฟนที่ซ่อนตัวอยู่ใต้หมอนขึ้นมากดดูเวลาหลังจากที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และมันก็บอกว่านี่เกือบจะบ่ายโมงแล้ว



“เมี๊ยว” เจ้าก้อนกลมกระโดดขึ้นมานั่งอยู่ตรงหน้าก่อนจะส่งเสียงทักทาย ผมยิ้มก่อนจะอุ้มมันขึ้นมากอดเอาไว้


“แซวเราเหรอหะ” อืม...ก็นั่นแหละ เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ผมรู้สึกเก้อๆกับดวงตาสีเหลืองแวววาวของมันน่ะ


“ตัง” คนตัวสูงที่เปิดประตูห้องเข้ามาร้องบอกในขณะที่ก็เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่ข้างเตียง


“ออกไปกินข้าวได้แล้วนะ”


เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าพี่มันไม่ชอบใส่เสื้อเวลาที่อยู่ด้วยกันแค่สองคน แล้วตอนนี้มันก็อยู่ในสภาพนั้นแหละ ผมหลุบสายตาลงเล็กน้อยเมื่อพลันสายตาไปเห็นรอยฟันสีห้อเลือดบนบ่าแกร่งนั่น 


“ไปเร็ว” กลิ่นอาฟเตอร์เชฟยังคงหลงเหลือให้ได้กลิ่นจางๆเมื่อพี่มันโน้มตัวเข้ามาใกล้เพื่ออุ้มเจ้าแมวก้อนกลมออกจากตักผม และก็ไม่ลืมที่จะฝังปลายจมูกลงที่แก้มผมแรงๆซะด้วย


“พี่แดน”


“ขี่หลังหน่อย” คนตัวสูงเลิกคิ้วเป็นคำถาม แต่มุมปากหยักก็ยักยิ้ม


“ก็ตังขี้เกียจเดินอ่า”


“นะ”


สิ้นเสียงผมเจ้าก้อนกลมก็ถูกปล่อยลงบนพื้นก่อนที่คนตัวสูงจะหันหลังให้ผมแล้วย่อเข่าลงตรงหน้าโดยที่ไม่ได้อิดออดอะไร



เอาจริงดิ่...พี่แม่งโคตรน่ารักเลย


พาสต้าแซลม่อนรมควันแบบง่ายๆกำลังส่งกลิ่นหอมอยู่ตรงหน้า จะว่าไปนี่มันคือเมนูแรกที่ผมเคยกินฝีมือพี่แดนเลยนะ รสชาติมันยังเหมือนเดิม รอยยิ้มของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็ยังเหมือนเดิม บางทีก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าพี่แดนเริ่มชอบผมตั้งแต่ตอนไหน


แต่....ผมอีกคนก็คงจะเคยถามไปแล้วมั้ง คิดแล้วก็เซ็ง


“คิ้วขมวดอีกแล้ว” เสียงทักจากคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามทำให้ผมยู่หน้า


“เปล่าซะหน่อย”   


“อาทิตย์หน้าวันหยุดยาวได้หยุดใช่ไหม?”


“อื้อ”


“ไปเชียงใหม่กับพี่นะ แม่บ่นคิดถึงใหญ่แล้ว”


“อ่าหะ” ผมตอบรับเบาๆพลางใช้ส้อมม้วนเส้นพาสต้าเข้าปาก


แม่เหรอ…


จากที่เคยได้คุยกันทางโทรศัพท์ ผมว่าท่านก็เป็นคนที่ใจดีมากๆนะ ฟังจากน้ำเสียงแล้วก็คงจะเอ็นดูผมอยู่ไม่น้อย แต่...ผมจะต้องทำตัวยังไงในเมื่อผมในตอนนี้แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบ้านพี่แดนเลยซักอย่าง บ้านที่เชียงใหม่เป็นยังไง แล้วที่นั่นมีใครอยู่บ้าง แล้วทุกคนจะโอเคกับผมเหมือนกับแม่เอื้องไหม แล้วที่แน่ๆผมจำหน้าใครไม่ได้เลยนอกจากไอ้น่านฟ้า คิดแล้วก็เริ่มจะนอยด์ขึ้นมาหน่อยๆแล้วว่ะ


“พี่…”


“หื้ม?”


“ถ้าเกิดว่าตังไปไม่ได้….” ผมถามออกไปเสียงอ่อย คิ้วหนาขมวดเข้าหากันนิดหน่อยแต่เจ้าตัวก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเหมือนกำลังรอฟังว่าผมจะพูดอะไรต่อ


“ก็อาจจะมีธุระกระทันหัน อะไรแบบนั้น” ฝ่ามือเริ่มชื้นเหงื่อหน่อยๆแต่ก็ยังช้อนสายตามองคนที่ยังเงียบ ก็มันป๊อดขึ้นมาแล้วอ่ะเอาจริงๆ ขอเตรียมใจก่อนได้ไหมล่ะ


“ก็ไว้ไปวันอื่นก็ได้” มุมปากหยักยักยิ้มน้อยๆก่อนจะพูดต่อ


“ฝึกงานก็เหลืออีกแค่เดือนเดียวเองนี่”


“อื้อ” ผมครางรับในลำคอก่อนจะยิ้มให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วก้มหน้าก้มตากินต่อ


จากหลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้รู้ว่าพี่แดนไม่ใช่คนจู้จี้ ไม่ใช่คนเอาแต่ใจ ไม่เคยห้ามอะไรไร้สาระ จริงๆแล้วผมก็ไม่อยากเทียบกันระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง แต่บางทีนี่ก็อาจจะเป็นข้อดีของการคบกับผู้ชายด้วยกันก็ได้ล่ะมั้ง


และอีกอย่าง พี่แดนเป็นคนมีเหตุผล แต่ก็ไม่เคยยกเอาเหตุผลอะไรขึ้นมาเพื่อทำให้เราทะเลาะกัน ถึงแม้เรื่องนั้นผมจะเป็นคนผิดก็ตาม มาถึงตอนนี้ผมก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมผมถึงคบกับพี่มันมาได้ตั้ง 2 ปีแล้ว


ถึงนั่น….จะไม่ใช่ผมคนนี้ก็ตามที


ก็เอาเป็นว่าขอเวลาผมหน่อยแล้วกันนะพี่ ขอเตรียมใจแปบ ไม่นานหรอกครับ






วันเวลามักจะผ่านไปเสมอเวลาที่เราไม่ได้ตั้งตัว นี่ก็วันพุธแล้ว และวันศุกร์นี้ก็จะเป็นวันแรกของช่วงวันหยุดยาว แน่นอนว่าผมยังไม่ได้ซื้อตั๋วเครื่องบิน ซึ่งพี่แดนเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเจ้าตัวก็ยังไม่ได้ซื้อเหมือนกัน


ผมมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่กำลังขับรถอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าเผลอไปตอนไหน รู้สึกตัวอีกทีพี่แดนก็หันมาส่งยิ้มเล็กๆที่มุมปากให้แล้ว


“ว่าไง?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ผมก็ได้แค่ส่ายหน้า


“ง่วง” ผมยกมือข้างที่ถูกฝ่ามือใหญ่กุมไว้ขึ้นมาแนบแก้มก่อนจะหลับตาประกอบ


จริงๆก็อยากไปเชียงใหม่นะ


แต่...มันก็ยังป๊อดว่ะ


“ยูเทิร์นข้างหน้าแล้วกลับบ้านเลยได้ไหมอ่ะ?” ผมพูดกับคนขับรถเสียงเนือยด้วยความขี้เกียจ พี่มันหัวเราะก่อนจะยีหัวผมเล่นเบาๆ


“ทำไมวันนี้งอแงจังครับ”


“ก็ตังขี้เกียจนี่” ผมยู่หน้าใส่ก่อนจะเอนหลังพิงเบาะเมื่อรถขยับเลื่อนไปข้างหน้าอีกครั้ง


“อีกไม่ถึงเดือนเอง ฝึกงานเสร็จแล้วค่อยไปญี่ปุ่นกัน”


“พูดแล้วนะ” ผมหันไปหาคนที่สายตายังมองถนนแต่ริมฝีปากหยักยักยิ้มก่อนจะยักคิ้วข้างหนึ่งให้ผมเป็นการตอบรับ หึ เบี้ยวกันล่ะน่าดูนะคุณดินแดน!






ฝึกงานวันนี้ก็เรื่อยเปื่อยเหมือนเดิม ผมนั่งคีย์ข้อมูลของพนักงานคนญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ ไอ้ป่านก็ยืนรื้อเอกสารบนชั้นใกล้ๆไปพลางหันมาคุยกับผมเป็นระยะ ไม่นานไอ้ปอก็โผล่หน้าเข้ามาหลังจากหายไปครึ่งวัน


เออ ผมยังไม่ได้เล่าให้ฟังใช่ไหมว่าหลังจากงานวันเกิดพี่บัวขาวเมื่อวันเสาร์ ผมกับไอ้ป่านก็เพิ่งได้เจอหน้าอันยับเยินของไอ้ปอเมื่อวันจันทร์น่ะ คิ้วแตก ปากแตก โคตรหมดสภาพเลย แต่ถามเท่าไหร่มันก็บอกว่าไม่มีอะไรแค่ไปกัดกับหมามา โอ้โห้ หมาที่มึงว่าคงมือหนักตีนหนักน่าดู


“พี่กุ๊กครับ ปอขอกุญแจล็อคเกอร์ของนาโอะหน่อยได้ไหมครับ?” มันถอนหายใจก่อนจะนั่งลงตรงหน้าโต๊ะของพี่กุ๊ก นาโอะ? ผมกับไอ้ป่านได้แต่หันมามองหน้ากันแบบงงๆ อย่าว่าแต่ผมสองคนเลย พี่กุ๊กเองก็ดูจะงงไม่น้อย


“อ่า...ขอโทษครับ ผมหมายถึงโยเนะมุระน่ะครับ”


หื้มมมมมมมม ผมกับไอ้ป่านสบตากันอีกครั้ง สนิทสนมกันขนาดเรียกชื่อเล่นกันแล้วเหรอออ แถมเป็นชื่อเล่นจากชื่อต้นซะด้วย


“เอาไปทำอะไรคะรูปหล่อ” พี่กุ๊กยิ้มอารมณ์ดี แต่ผมแย้งนิดนึงครับ หน้าแบบไอ้ปอตอนนี้ต้องเรียกว่าไอ้หน้ายับครับพี่กุ๊ก


“ก็ไอ้เปี๊ยกมันไปเด๋อทิ้งไว้ที่ไหนก็ไม่รู้….” ไอ้ปอมันตอบเสียงไม่ดัง แต่ผมกับไอ้ป่านก็ยังได้ยินชัดเต็มสองรูหู 


“อ๋อ….ค่ะ” พี่กุ๊กรับคำก่อนจะลุกขึ้นเดินไปปลดล็อคชั้นเพื่อเปิดเอากล่องกุญแจสำรองออกมา


“แน่ะ” ไอ้ป่านมันกระแซะพี่ชายมัน


“ไม่เสือกนะน้อง” ไอ้ปอมันยิ้มเย็นก่อนจะดันหัวน้องชายตัวเองซะเกือบหงายหลัง แม่งเขินว่ะ


 โอ้โห้ อะเมซซิ่งเว่อร์


แต่จะว่าไป...ผมก็เพิ่งจะนึกได้ว่าโยเนะมุระเองก็ใส่แว่นกันแดดมาทำงานตั้งแต่วันจันทร์จนถึงวันนี้ เอาจริงนะ ไอ้สองคนนี้มันต้องมีซัมติงอะไรแหงๆ




 

กลับมาถึงห้องกินข้าวเสร็จ ก็เข้าไปอาบน้ำแต่พอเดินออกมาจากห้องน้ำก็ไม่เห็นพี่มันอยู่ในห้องเหมือนทุกที แต่ประตูระเบียงที่เปิดเอาไว้ก็ทำให้รู้ว่าพี่มันยืนอยู่ข้างนอกนั่น


กำลังจะเดินตามออกไปก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินประโยคที่พี่มันกำลังพูดออกมาซะก่อน


“ครับแม่ ยังบ่ฮู้เลยครับ ว่าตังจะไปตวยก่อ”


“บ่ได้ผิดกั๋นครับ อู้แต้ๆครับแม่”



ผมเม้มปากเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง ผมในตอนนี้คงจะทำตัวแปลกจนใครๆก็รู้สึกหรือเปล่า แล้วผมที่เป็นแบบนี้จะประคับประคองความสัมพันธ์ของผมกับพี่มันเอาไว้ได้ไหม ถ้าเป็นเมื่อเดือนก่อนตอนที่ผมเพิ่งจะวาร์ปมาโผล่ที่นี่ ผมคงจะไม่รู้สึกอะไรหากผมกับพี่มันจะต้องเลิกกัน แต่ถ้าเป็นตอนนี้....


แค่คิด ในใจมันก็อึดอัดไปหมด


ผมยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ อยู่ดีๆก็เหมือนตัวเองกำลังตกจากที่สูงดิ่งลงบนพื้น ความรู้สึกมันคอนทราสต์กันจนน่ากลัว แผ่นหลังกว้างที่ผมจ้องมองอยู่ด้านหน้า อยู่ๆมันก็ไกลออกไปจนเหมือนจะเอื้อมมือไปไม่ถึง ไม่เอานะ


ผมก้าวขาออกไปอย่างเร็วก่อนจะโถมตัวเข้ากอดคนที่กำลังยืนหันหลัง พี่แดนสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะเอี้ยวตัวมาแล้วส่งยิ้มจางๆให้


“แล้วฟ้ามันแผ๋วบ้านละกา” 


ผมซบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ได้ยินเสียงพี่มันหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตัดสายที่กำลังคุยอยู่


“ครับแม่ ปะกั๋นวันศุกร์นะครับ”


“อ้อนเหรอครับ?” ฝ่ามือกว้างวางลงบนไหล่ผมก่อนจะดันออกเบาๆแล้วหันมาเผชิญหน้ากัน ใบหน้าคมระบายรอยยิ้มน้อยๆ ดวงตาสวยอ่อนแสงลงเมื่อเจ้าตัวมองลงมา


“มันหนาวต่างหาก” ผมแก้ตัว พี่มันหัวเราะก่อนจะกระชับวงแขนกอดผมแล้วโยกเบาๆ


“ถ้างั้น….”


“เราไปนอนกอดกันดีกว่าเนอะ”


“อื้อ”





xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx



คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้น้องตังคนป๊อดกันหน่อยนะค้าาา
เจอกันตอนหน้า ไม่เกินอาทิตย์หน้าค่ะ สัญญา  :n1:


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อุ้ย...น้องตังกลับมาแล้ว

ออฟไลน์ nlygust13

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#21



 

“พี่แดน…” ผมเม้มปากก่อนจะสาวเท้าเดินไปหยุดอยู่ข้างหลังของคนที่กำลังนั่งพิมพ์อะไรบางอย่างลงบนโน๊ตบุ๊ค

“ว่าไง”

“คือ...วันเสาร์นี้” ผมเว้นจังหวะเมื่อใบหน้าคมหันหลังกลับมา มือที่จับพนักเก้าอี้เพิ่มแรงบีบเล็กน้อยเมื่อเห็นข้อมูลที่พี่มันกำลังพิพ์ค้างไว้ มันเป็นชื่อของผมในฟอร์มการจองตั๋วของสายการบินหนึ่ง

“ตังต้องไปบ้านเจ๊กเล็กกับม๊า” ผมกลั้นใจตอบรวดเดียว เหมือนแรงกดดันในอกมันถูกดันออกมาพร้อมคำโกหกที่เพิ่งพูดออกไป ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าการโกหกมันเป็นอะไรที่น่าอึดอัดขนาดนี้

ใช่...สุดท้ายผมก็เลือกที่จะโกหก ถึงมันจะไม่ได้คลายความวิตกของผมไปได้ซักเท่าไหร่ก็ตามที

“โอเค” คนพูดหันกลับไปที่หน้าจอ และข้อมูลในส่วนของผมก็ถูกลบออกไป มีเพียงข้อมูลของพี่มันคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่แต่วันเดินทางถูกเลื่อนออกไปอีกวันแทน

“ผมขอโทษ” ผมเลื่อนมือที่จับพนักเก้าอี้ไปโอบรอบบ่ากว้างแล้วกอดไว้หลวมๆก่อนจะซบหน้าลงที่ข้างลำคอแกร่ง

“เรื่องอะไรครับ?” ฝ่ามือใหญ่ถูกส่งมาจับวงแขนของผมเอาไว้พรางบีบเบาๆในตอนที่ถาม ผมเงยตัวขึ้นก่อนที่พี่แดนจะหมุนเก้าอี้แล้วหันมาหาผมแบบเต็มตัว

“ก็ที่ไม่ได้ไปด้วย” ผมตอบก่อนจะเม้มปากเข้าหากัน พี่แดนยิ้มเล็กๆที่มุมปากก่อนจะยื่นมือมาจับมือผมเอาไว้แล้วฉุดให้ผมนั่งลงบนตักซะอย่างนั้น

“ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ แต่ตังก็แค่…”

“ต้องทนคิดถึงพี่หลายวันกว่าเดิมแค่นั้นเอง”  คำพูดเจือเสียงหัวเราะดังขึ้นข้างหูก่อนที่ปลายจมูกจะกดลงที่ข้างแก้มผมแรงๆหลายที

“อื้อออ” ผมครางอย่าขัดใจเมื่อจะขยับไปไหนก็ไม่ได้เพราะวงแขนแกร่งนั้นกอดผมแน่นซะจนขยับแทบจะไม่ได้เลย

แต่...มันอาจจะเป็นอย่างที่พี่มันพูดจริงๆก็ได้

“แล้วทำไมคราวนี้พี่ไปนานจังอ่ะ” ผมถาม เพราะปกติพี่แดนจะไปแค่ไม่เกินอาทิตย์ แต่คราวนี้เกือบสองอาทิตย์เลยนะ แล้วจริงๆหยุดยาวมันก็แค่สี่วัน ถ้าผมไปด้วยก็ต้องกลับก่อนอยู่ดี

อ้อมกอดแน่นๆคลายออกนิดหน่อยพอให้ผมขยับตัวหันไปหาพี่มันได้ มุมปากหยักยักยิ้มน้อยๆ ที่สันกรามมีไรหนวดขึ้นมานิดหน่อยเพราะเมื่อวานเจ้าตัวคงจะไม่ได้โกน ก็ไม่รู้ทำไมผมถึงอดใจที่จะไม่ส่งปลายนิ้วขึ้นไปแตะเบาๆไม่ได้เหมือนกัน

“ขั้นตอนสุดท้าย มันต้องใช้เวลานิดหน่อยครับ” เสียงทุ้มเอ่ยตอบ ถึงผมไม่เข้าใจมันเท่าไหร่ แต่มันคงเป็นอะไรที่สำคัญมาก เพราะผมเห็นว่าดวงตาคมนั่นมีประกายความสุขเล็กๆออกมา ถึงตอนนี้มันจะถูกบดบังด้วยกรอบของแว่นสายตาก็ตามที

“อื้ม” ผมส่งยิ้มตอบรับคำพูดนั้น ฝ่ามือกว้างส่งมาลูบแก้มผมเบาๆโดยที่พี่แดนก็ไม่ได้พูดอะไร และถึงเวลาที่พี่มันใส่แว่นเนิร์ดๆนี่จะดูมีเสน่ห์แค่ไหน แต่ในบางเวลามันก็เป็นแค่อะไรที่….

“เกะกะชะมัด”

คนตัวโตหัวเราะในลำคอก่อนจะนั่งนิ่งๆให้ผมดึงแว่นสายตาออกจากกรอบหน้าคม และไม่ทันที่ผมจะได้ขยับตัวไปไหนฝ่ามือกว้างก็รั้งท้ายทอยผมแล้วดึงเข้าไปแนบจูบทันที

“พี่ต้องคิดถึงมากจนคลั่งแน่ๆ” ผมงับริมฝีปากช่างพูดนั่นก่อนจะเป็นฝ่ายเริ่มจูบพี่มันก่อนบ้าง คนตัวโตไม่ได้ขัดขืนอะไรนอกจากปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายจูบอยู่แบบนั้นจนพอใจ

“ก็ถ้าจะน่ารักขนาดนี้….” ดวงตาคมประกายวิบวับก่อนที่ริมฝีปากชื้นจะก้มลงมากระซิบเบาๆที่ข้างหู และประโยคที่ได้ยินนั่นก็ทำให้ผมหน้าร้อนจนแทบไหม้

“Give me a sexy call please, honey”




“เฮ้ออออ” วันนี้เป็นคืนวันศุกร์ที่ผมเลือกที่จะกลับมานอนที่บ้านแทนที่จะนอนที่คอนโด เพียงเพราะเรื่องโกหกของผมน่ะแหละ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมนอนไม่หลับทั้งๆที่นอนอยู่บนเตียงของตัวเองแท้ๆ บ้าบอชิบ

ผมลุกขึ้นนั่งก่อนจะเปิดประตูระเบียงแล้วเดินออกไป แสงไฟภายในบริเวณบ้านถึงจะไม่ได้สว่างมากนักแต่ก็ทำให้ผมมองเห็นบรรยากาศโดยรอบอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นสวนบอนไซของป๊า น้ำพุ หรือบ่อปลาคาร์ฟที่เจ้าก้อนกลมชอบไปนอนเอาอุ้งเท้าอ้วนๆลงไปแกว่งเวลาที่ผมพาออกไปเดินเล่นที่นอกบ้าน

ความอึดอัดที่ก่อตัวอยู่ในใจเรียกให้ผมต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาถูหน้าแรงๆอย่างหงุดหงิด บางครั้งผมก็อยากที่จะพูดความจริงออกไป….แต่ใครจะเชื่อล่ะ เรื่องของผมมันธรรมดาซะที่ไหน

หลายครั้งที่ผมนั่งชั่งน้ำหนักในใจว่าควรจะใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ หรือควรจะไป….

แต่นั่นมันก็เป็นแค่ความคิดเมื่อก่อน

ส่วนในตอนนี้....

ผมคิดไม่ออกอีกแล้วว่าถ้าไม่มีพี่แดนแล้วชีวิตผมจะเป็นแบบไหน มันอาจจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่สำหรับผมมันกลับมีความหมายมากกว่าที่จะอธิบายได้

พี่แดนไม่ใช่คนช่างพูด

แต่บางครั้งคำพูดน้อยๆเหล่านั้นมันก็ทำให้ผมเขินจนทำตัวไม่ถูก

พี่แดนเป็นนักฟังที่ดีเสมอ

ดวงตาคมนั่นมักจะอ่อนแสงลงทุกครั้งเวลาที่พี่มันกำลังรับฟังผมอย่างตั้งใจ แม้มันจะเป็นเรื่องที่โคตรไร้สาระเลยก็ตาม

และเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้ผมนอนไม่หลับนั่นก็เพราะ….ผมกลัว

ก็เพราะผมคนนี้เป็นคนที่ไม่มีความทรงจำอะไรเลยในช่วงสองปีที่ผ่านมา แล้วพี่มันจะรับได้ไหม ?

แล้วผมคนนี้กับผมคนนั้น….พี่รักใครมากกว่า ?

จริงๆมันก็เป็นแค่คำถามโง่ๆเท่านั้น ก็ผมคนนี้จะไปสู้อะไรกับผมคนนั้นได้ จริงไหม ?

“เฮ้อออออ” ผมสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดก็จะระบายออกมาจนหมด เกลียดตัวเองตอนนี้ชะมัด

“เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกเจ้าเด็กโง่” เสียงของคน ไม่สิ เทวดาที่ปรากฏตัวขึ้นมายืนพิงระเบียงอยู่ข้างๆกันดังขึ้นมาให้ได้ยิน

“ถ้าผมหัวใจวายขึ้นมาทำไง”

“เอ็งไม่ได้ตกใจซักนิดด้วยซ้ำ” ท่านเทวดาแย้ง นั่นทำให้ผมแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ

“ผมชินแล้วล่ะมั้ง”

เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อเพียงแค่ทอดสายตาไปข้างหน้า ลมเย็นๆยามค่ำคืนพัดไล้ผิวกายเบาๆแต่มันกลับทำให้รู้สึกหนาวแบบแปลกๆ

“เอ็งควรไปนอนได้แล้ว” ท่านเทวดาเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะวางฝ่ามืออบอุ่นนั้นบนหัวผม

“พรุ่งนี้...ยังมีอะไรให้เอ็งต้องทำอีกเยอะ”

“คงงั้น” ผมตอบรับ ยิ้มแกนๆส่งให้ท่านเทวดาที่ดูจริงจังไม่เหมือนกับทุกที

“ก็สาวๆน่ะชอบคนตลกนี่” และก็เป็นอีกครั้งที่ท่านเทวดาตอบความคิดของผมทั้งๆที่ผมไม่ได้เอ่ยปากถาม

“รุกล้ำความเป็นส่วนตัวตลอด”

“พูดมากน่า ไปนอนได้แล้วไป”

“ราตรีสวัสด์นะท่าน”

“อืม…”

“ฝันดีเด็กน้อย”




“เป็นอะไรคะลูกชาย หน้าตาไม่สดชื่นเลย” เสียงม๊าทักเมื่อผมเดินลงมานั่งที่โต๊ะอาหาร ส่วนป๊า ถ้าเดาไม่ผิดคงจะอยู่ในสวนบอนไซนู่น

“ตังนอนไม่ค่อยหลับอ่ะม๊า” ผมตอบออกไปตามตรง ม๊าอมยิ้มเล็กๆก่อนจะลูบหัวผมเบาๆเหมือนเคย

“คิดถึงพี่แดนเหรอคะ?” ผมยู่หน้าใส่ม๊าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

ไม่นานพี่แป้งก็เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับวางชามข้าวต้มลงตรงหน้า กลิ่นหอมๆของมันเรียกให้ผมหยิบช้อนขึ้นมาคนเบาๆแล้วตักเข้าปาก อืม มันอร่อยมาก ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นฝีมือม๊าแน่นอน

แต่จริงๆผมว่า...แซนด์วิชแซลมอนรมควันกับอเมริกาโน่ใส่ไซรัปส้มหอมๆมันก็ดีเหมือนกัน

‘พวกมึงอยู่ไหนกันวะ?’

ผมพิมพ์ข้อความลงไปในไลน์กลุ่ม เพราะโทรหาใครก็ไม่มีใครรับเลยทั้งไอ้ปอ ไอ้ป่าน ซักพักก็มีแจ้งเตือนว่ามีหนึ่งคนที่เปิดอ่าน นั่นก็คือไอ้ปอ

‘ดูหนัง มีไร’


‘เบื่อๆว่ะ’

‘มึงดูอยู่ไหน’

ไม่นานมันก็พิมพ์ชื่อสถานที่ตอบกลับมา ผมเม้มปากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจพิมพ์ข้อความตอบลงไป

‘งั้นกูไปรอร้านxxxนะ’

“พี่แป้ง”

“คะ น้องตัง”

“ตังฝากเอาอาหารให้คอตตอนด้วยนะครับ ตังจะออกไปข้างนอก”

“ได้ค่ะ”




ขับรถออกจากบ้านมาได้ไม่นานก็ถึงที่หมาย รู้สึกอะเมซซิ่งเล็กๆที่ช่วงสายๆของวันเสาร์แบบนี้รถแทบจะไม่ติดเลย ผมกดดูนาฬิกาที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอไอโฟน เกือบจะเที่ยงแล้ว ป่านนี้พี่แดนคงออกไปถึงสนามบินแล้วล่ะ

‘ถึงแล้วรีบโทรมาด้วยนะ’ ผมพิมพ์ข้อความลงในไลน์ ผ่านไปซักพักแล้วแต่มันก็ยังไม่ถูกเปิดอ่านก็เลยกดปิดแอปแล้วเปิดไอจีแทน

“น้องตังจริงๆด้วย”

ผมเงยหน้าขึ้นตามเสียงที่ได้ยิน เป็นพี่ปอนด์ที่กำลังส่งยิ้มมาให้

“หวัดดีครับพี่”

“สวัสดีครับ แล้ว…” พี่ปอนด์ชี้ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเป็นเชิงถาม

“เชิญเลยครับ” ผมผายมือให้ก่อนที่คนตัวสูงจะลากเก้าอื้ออกแล้วนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับวางกระเป๋าโน๊ตบุ๊คลงที่เก้าอี้อีกตัวที่ว่าง

“น้องตังไม่ไปเที่ยวไหนเหรอครับ?” คำถามของพี่ปอนด์เรียกให้ผมเม้มปากเข้าหากันก่อนจะตอบออกไปเสียงแผ่ว

“ก็...ไม่ครับ”

“แล้วพี่ปอนด์ล่ะครับ?” ผมส่งยิ้มแกนๆให้เมื่อคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเงียบไปซักครู่

“อ๋อ เย็นนี้พี่มีสอนครับ”

“อ๋อ…”

“น้องตังโอเคหรือเปล่า?” คำถามจากฝั่งตรงข้ามเรียกให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะเอ่ยปฎิเสธออกไป

“ผม ไม่ได้เป็นอะไรนะครับ”

“ถ้างั้นก็ดีแล้ว” คนพูดส่งยิ้มน้อยๆก่อนจะมองเลยไปข้างหลังผมแล้วทำสายตาเหมือนสงสัยอะไรซักอย่าง และผมก็ได้คำตอบเมื่อคนที่พี่ปอนด์กำลังมองเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างโต๊ะพอดี

“มาทำธรุระให้ม๊า...ใช่ไหม?” เป็นพี่แดนที่เดินมาพร้อมกับแฟ้มเอกสารปึกใหญ่ที่ถือไว้ในอ้อมแขนขวา ส่วนมือซ้ายกำลังกำกุญแจรถเอาไว้

“พี่แดน....”

“คือว่า”

เหมือนน้ำท่วมปากเมื่อผมไม่สามารถเอ่ยคำพูดอะไรออกไปได้เลย สมองมันอื้อไปหมด พี่แดนถอนหายใจแรงๆ ดวงตาคมนั้นนิ่งสนิท นิ่งจนผมกลัว

“พี่แดน!”

ผมวิ่งตามคนที่ก้าวถอยหลังแล้วหันหลังเดินจากไปก่อนจะคว้าแขนแกร่งเอาไว้จากข้างหลัง พี่แดนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะหันกลับมา ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มมองเราด้วยความสนใจ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสนใจอะไรเลย

“คือมันไม่ใช่แบบที่พี่คิดนะ” ผมพูดก่อนจะเม้มปากเพื่อไม่ให้ปลายเสียงมันสั่น   

“ผมมารอไอ้ปอ แล้วบังเอิญเจอพี่เขา เราไม่ได้นัดเจอกัน…” ผมอธิบายต่อ แต่ผมคงจะลืมไปว่าตอนนี้ผมไม่ควรจะอยู่ที่นี่ ไม่ควรจะนัดกับไอ้ปอ ผมควรจะอยู่ที่ชลบุรีกับม๊าต่างหาก

“แล้วตังมาทำอะไรที่นี่ แล้วทำไมไม่ไปกับม๊า พี่ควรจะเข้าใจว่ายังไง?” คนตัวสูงหันกลับมาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแบบไม่ดังเท่าไหร่   

 “คือว่า มัน” ผมหลบสายตาคมก้มมองลงที่พื้นเมื่อแววตาคมนั้นสะท้อนความผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน

“ตรงไหนที่มันเป็นเรื่องจริงบ้าง” เสียงทุ้มนั้นเบาจนเหมือนจะเป็นเสียงกระซิบ แต่ความสั่นไหวของน้ำเสียงนั่นมันกลับฝังลึกลงไปในอกของผมจนรู้สึกเสียดไปหมด

“ผม…”

“.....ทำไมต้องโกหก?”

“พี่มันโง่มากใช่ไหม” คำตัดพ้อนั่นเรียกให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาคมแดงก่ำจนเห็นได้ชัด ฝ่ามือใหญ่กำลังกำแน่นเข้าหากันจนเห็นเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นมา 

“มันไม่ใช่แบบนั้น”

“แต่ผม...แค่ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง” ผมพูดออกไปตามจริง ความร้อนจากรอบดวงตาทำให้ผมต้องเม้มปากเพื่อสะกดกลั้นก้อนสะอื้นที่วิ่งขึ้นมาจนจุกอยู่ที่หน้าอก แต่คนตรงหน้าก็ยังนิ่ง ดวงตาคมกำลังสะท้อนว่าผิดหวังในตัวผมเต็มที   

“แต่มันไม่ใช่แบบที่พี่คิดจริงๆนะ”

“แล้วมันคืออะไร!” พี่แดนตะคอกออกมาจนผมสะดุ้ง และสิ่งที่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้มันก็ล้นทะลักออกมาทันที

“ถ้าไม่มีความจริงจะพูดก็อย่าพยายามแก้ตัว พอได้แล้ว เลิกทำให้พี่รู้สึกว่าตัวเองเป็นไอ้หน้าโง่ซักที!”

คนที่ฟิวส์ขาดยกมือขึ้นเสยผมแรงๆก่อนจะเมินหน้าไปทางอื่น แต่คำพูดของพี่แดนเหมือนตรึงขาของผมเอาไว้กับที่ไม่ให้ขยับไปไหน สมองของผมมันอื้ออึงด้วยคำพูดของพี่มันที่สะท้อนไปมาอยู่ในหัว ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่ามีฝ่ามือมาวางอยู่บนหัวไหล่จากทางด้านหลัง

“พี่ไปเถอะ” คนที่พูดประโยคนี้คือไอ้ปอ ใช่ เป็นมันเองที่เดินมาจับไหล่ผมเอาไว้ก่อนจะดึงเข้าไปกอดด้วยแขนข้างเดียว

“พี่…” เสียงทุ้มดังขึ้นก่อนที่จะหยุด พี่แดนถอนหายใจก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายแล้วหันหลังเดินออกไปจากตรงนี้ทันที

“ขอโทษว่ะปอ”


เป็นหลายนาทีที่สมองของผมประมวนผลอะไรไม่ได้ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ฝ่ามือเล็กๆของโยเนะมุระยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวมาตรงหน้าแล้ว

“คุณตาแดงมาก”

ผมได้แต่เม้มปากเข้าหากันโดยที่ไม่ได้ตอบรับอะไรกับคำพูดนั้น ตอนนี้สมองของผมมันจำได้แค่ภาพของคนที่หันหลังเดินออกไปจากตรงนี้

“ไอ้ปอ...”

“เอาไว้ไปคุยกันที่ห้อง” มันดึงผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวในมือผมออกแล้วเป็นฝ่ายเช็ดให้ผมแทนก่อนจะดึงมือผมไปทางลานจอดรถโดยมีโยเนะมุระเดินตามมาอย่างเงียบๆ

วันนี้ไอ้ปอมันไม่ได้ขับรถมา ดังนั้นหน้าที่ในการขับรถผมกลับจึงเป็นของไอ้ปอ ผมกับมันไม่ได้พูดอะไรกันตลอดทางที่ผ่านมา เหมือนมันจะปล่อยให้ผมค่อยๆตกตะกอนความคิดของตัวเองไปเงียบๆจนมาถึงที่คอนโด ผมเล่าให้มันฟังในเรื่องที่สามารถที่จะเล่าได้เท่านั้นก่อนที่มันจะพูดขึ้นมาในตอนที่ผมพูดจบ

“เมื่อไหร่จะเลิกหนีปัญหาซักทีวะตัง?” คำพูดของมันทำให้ผมต้องเม้มปากเข้าหากันอีกครั้ง

“กูไม่รู้”

“แล้วมึงจะทำยังไง?” ผมส่ายหน้าให้กับคำถาม

“จะปล่อยเอาไว้แบบนี้?” แต่คำถามนี้ก็ทำให้ผมส่ายหน้าอีกครั้ง

ความเงียบปกคลุมเราอยู่ชั่วครู่ เป็นเหมือนสัญญาณที่บอกให้ผมต้องตัดสินใจทำอะไรซักอย่าง

“กู...จะไปเชียงใหม่” และคำพูดของผมก็ทำให้ไอ้ปอคลี่ยิ้มเล็กๆที่มุมปาก มันพยักหน้าก่อนจะหลีกทางให้ผมเดินไปนั่งลงที่หน้าจอคอมที่ยังเปิดกางไว้บนโต๊ะ  แต่อยู่ๆเสียงเรียกเข้าจากไอโฟนที่ดังขึ้นก็ต้องทำให้ผมหยิบมันขึ้นมาเพื่อกดรับสาย

“พี่แดนถึงเชียงใหม่หรือยังฟ้า?” ผมรีบกรอกเสียงลงไปทันที แต่สิ่งที่ได้คือความเงียบจากปลายสาย

“ฮัลโหล ฟ้า มึงได้ยินกูหรือเปล่า?” และปลายสายที่เรียกชื่อผมกลับมา ก็ทำให้ผมเงียบเพื่อจะฟังสิ่งที่ปลายสายกำลังจะพูดต่อ


‘มึงอยู่ที่ห้องใช่ไหม อย่าเพิ่งออกไปไหนนะ เดี๋ยวกูไปรับมึงเอง’



XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX


ขอคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้น้องตังกันหน่อยนะค้าาา
ใจไม่ดีไปหมดแล้วววว

ตอนหน้าจะคั่นด้วยตอนพิเศษของพี่แดนก่อนนะคะ มาฟังคนพี่เขาเล่าถึงคนน้องกันบ้างเนอะ
ป.ล.พี่แดนถึงเชียงใหม่แล้วหรือยังน้อ ตอนหน้ารู้กันค่ะ
บีสอง Twitter @B2YFICTION
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2019 16:39:46 โดย B2Fictions »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไม่เข้าใจกระบวนการความคิดของตังอ่ะ

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
*ตอนพิเศษของพี่แดนที่บอกไว้คราวก่อนขอติดไว้ก่อนนะคะ มันยาวแล้วเราก็แก้ไม่เสร็จซักที T_T
อ่านน้องตังต่อไปก่อนนะคะ *
 ____________________________________________________


Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#22





น้ำเสียงนิ่งขรึมของไอ้ฟ้าขาดห้วงไปเป็นระยะในแต่ละประโยค และนั่นมันก็ทำให้ผมคิดเป็นเรื่องดีไม่ได้เลย


“ฟ้า พี่แดน...เป็นอะไร” ผมขย้ำเสื้อตรงหน้าอกแน่นในขณะที่ต้องเค้นเสียงถาม และเสียงสะอื้นที่หลุดเข้ามาก็แทบจะทำให้ผมปล่อยโทรศัพท์ออกจากมือ


“ไอ้ฟ้า นี่กูปอนะ มึงอยู่ที่ไหน” เป็นไอ้ปอที่เข้ามาดึงโทรศัพท์ออกไปแล้วพูดแทน ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ สมองมันตื้อไปหมด


“โอเค จะรีบไปเดี๋ยวนี้” มันกดวางสายก่อนจะหันมาหาผมเต็มตัว สองมือของมันจับที่ต้นแขนทั้งสองข้างเอาไว้ก่อนจะกระชับฝ่ามือเบาๆเหมือนจะเรียกสติ


“ตัง มึงฟังกูนะ”


แต่คำพูดของมันก็ต้องทำให้ผมส่ายหัวแรงๆ ความพร่าเลือนของสายตาเริ่มทำให้ผมมองอะไรไม่เป็นรูปเป็นร่าง


“แต่เราช้าไม่ได้!” เสียงไอ้ปอดังเข้มขึ้นเรียกให้ก้อนสะอื้นที่อัดแน่นอยู่ในอกของผมล้นทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่


“พี่แดน...ฮึก เป็น อะไร ปอ” 


“กูก็ไม่รู้ แต่เราต้องไปโรงพยาบาลกันเดี๋ยวนี้”





ลงจากรถได้ผมก็รีบวิ่งออกไปข้างหน้า ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางมันอยู่ตรงไหนเพราะภาพข้างหน้ามันพร่าเลือนจนแทบมองไม่เห็น สมองมันเบลอ มือมันสั่นไปหมด


“ตัง!” ฝ่ามือใหญ่ที่คว้าต้นแขนทำให้ผมต้องหยุดวิ่ง


“พี่แดนอยู่ไหน!”


“ฟ้า! บอกกูมาว่าพี่แดนอยู่ไหน!” ผมกำเสื้อยืดสีดำของมันไว้แน่น ไอ้ฟ้ามันเม้มปากเข้าหากันเป็นเส้นตรงก่อนจะพูดออกมาช้าๆ


“ตอนนี้อยู่ ICU” เสียงขรึมนั้นขาดห้วงไปพร้อมๆกับตัวผมที่ทรุดลงกับพื้น ภาพแผ่นหลังกว้างที่เดินจากไปเมื่อตอนสายวนเข้ามาในหัวอีกครั้ง


ถ้าผมไม่โกหกเรื่องอะไรโง่ๆนั่น….


“ฮึก….” ผมกำเสื้อตรงหน้าอกของตัวเองเอาไว้แน่นก่อนจะทุบลงไปแรงๆเพราะมันรู้สึกเจ็บจนหายใจไม่ออก


“พี่เขาอยู่กับหมอแล้ว เขาจะต้องปลอดภัย” เสียงขรึมนั้นสั่นเครือ มันไม่ใช่แค่เพื่อปลอบประโลมผม แต่มันก็ปลอบใจตัวเองด้วยเช่นกัน ดวงตาที่มักจะมีแววขี้เล่นนั่นแดงก่ำ และวงแขนกว้างก็ดึงผมเข้าไปกอดเอาไว้แน่น


“พ่อกับแม่ก็มาแล้ว...” เสียงขรึมขาดห้วงเมื่อเจ้าตัวกลั้นเสียงสะอื้น


“ไปหาท่านกันนะ” เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้ปอและโยเนะมุระเดินตรงเข้ามาหาเรา ไอ้ปอยื่นมือมาแตะที่หัวไหล่ของเราทั้งคู่ก่อนจะบีบเบาๆ


“ไอ้ป่านกำลังมา” ผมไม่ได้ตอบรับอะไรออกไป ในอกมันปวดจนร้าวไปหมด ในชีวิตผมตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยต้องตกอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน มันเคยห่างไกลกับผมมาก...จนมาถึงวันนี้


ทำไมวะ ?


ทันทีที่บันไดเลื่อนเลื่อนขึ้นมาถึงขั้นสุดท้ายหัวใจมันก็หน่วงหนักจนแทบจะก้าวขาไม่ออก ภาพหญิงชายวัยกลางคนในชุดผ้าไทยที่กำลังนั่งกุมมือกันตรึงสายตาผมเอาไว้ทำให้ผมต้องสะอื้นออกมาอีกครั้ง ความรู้สึกผิดมันวิ่งวนอยู่ในหัวก่อนที่จะโถมใส่จนผมตั้งรับไม่ทัน


“ฮึก…”


“ตัง” เป็นผู้ชายรูปร่างสูงที่เดินมาโอบไหล่ผมไว้ก่อนจะพาเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าผู้ใหญ่สองท่านที่ผมรู้ได้ทันทีว่าท่านเป็นใคร


“มานั่งตวยแม่นิลูก”


ผมพยักหน้ารับทั้งๆที่ยังไม่กล้าแม้แต่จะสบตาท่าน แล้ววงแขนอุ่นที่ถูกส่งมาโอบกอดผมไว้ก็ทำให้ความรู้สึกทุกอย่างที่มันอัดแน่นอยู่ในใจผมล้นทะลักออกมาจนหมด


“อ้ายแดนเขากำลังพยายาม ตังต้องเป๋นกำลังใจ๋หื้ออ้ายเขานะลูก”  น้ำเสียงใจดีสั่นเครือและขาดห้วง ดวงตาคมสวยแดงก่ำแต่ก็ยังดูสงบ แต่ผมรู้ดีว่าในใจของเธอคงจะแตกสลายไปแล้ว


ไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่สำหรับผมมันยาวนานจนเหมือนใจจะขาด ทุกคนต่างเงียบเมื่อกำลังรอคอยให้บานประตูสีขาวตรงหน้าเปิดออก ไอ้ป่านที่เพิ่งมาถึงซักพักจับมือผมไว้แล้วบีบเบาๆ ปากก็ได้แต่พึมพำเบาๆว่าทุกอย่างต้องโอเค ไม่นานประตูก็เปิดพร้อมกับคุณหมอที่เดินออกมา ทุกคนรีบถลาเข้าไปหาแทบจะทันที แต่แล้วคำพูดของคุณหมอก็เหมือนคำสาปที่ทำให้ทุกคนยืนนิ่งอยู่กับที่



“หมอจำเป็นจะต้องยุติการรักษา เสียใจด้วยนะครับ”

นี่มัน….ไม่จริงใช่ไหม ?





เป็นอีกหลายชั่วโมงที่ผมนั่งจมอยู่กับตัวเอง ไม่มีแรงที่จะลุกไปไหน ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างมันย้อนกลับไปกลับมา เสียงร้องไห้ของแม่เอื้องที่ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทแทบจะตัดขั้วหัวใจผมให้ขาดสะบั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะผม


ที่พี่แดนต้องตาย….นั่นก็เพราะผม


“ผมหื้อบัวจัดการเรื่องไฟล์ทบินแล้ว คืนนี้น้องจะปิ๊กบ้านพร้อมเฮา” เสียงเข้มขรึมนั้นเอ่ยเบาๆแทบจะเป็นเสียงกระซิบ พี่ธารนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าแม่ก่อนจะจับมือทั้งสองข้างนั้นไว้


ไม่นานประตูห้องอีกห้องที่เรามานั่งรอก็เปิดออก และนี่ก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายชั่วโมงที่ผมได้เจอพี่แดน….


ใบหน้าคมนั่นถึงจะผ่านการทำความสะอาดมาแล้วแต่ก็ยังเต็มไปด้วยรอยแผลฟกช้ำ ผิวที่ไม่ขาวจัดตอนนี้เริ่มซีดสนิทจนแทบไม่มีสี ผมจับฝ่ามือกว้างนั้นมาแนบที่แก้มก่อนที่ความเย็นจากร่างกายที่ไร้ไออุ่นจะทำให้ผมต้องสะอื้นออกมา


“ผมขอ ฮึก โทษ” ซบหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง กอดแน่นเท่าไหร่ร่างซีดเย็นนั้นก็ยังนิ่งเฉย ไม่มีการกอดตอบ ไม่มีการลูบหัวเบาๆเหมือนอย่างเคย


“พี่..แดน” ทาบมือลงบนสองแก้มเย็นเฉียบก็ยังไร้การตอบสนอง ไม่ว่าผมจะร้องไห้เสียงดังขนาดไหนพี่แดนก็ยังคงนอนนิ่ง


“ตัง ปล่อยพี่เขาไปเถอะ” ไอ้ฟ้ามันรั้งตัวผมขึ้นแบบไม่แรงนักทั้งๆที่ตัวเองก็ยังร้องไห้ ผมขืนตัวไว้ แต่ก็ต้องก้าวถอยหลังออกมาเมื่อทั้งพ่อและแม่ของพี่เขาก้าวเข้ามาประชิดร่างกายที่นอนนิ่งเช่นกัน


แม่เอื้องจับฝ่ามือใหญ่ที่ไร้อุณหภูมินั้นไว้ก่อนจะก้มหน้าลงกระซิบที่ข้างหูของลูกชายคนกลาง


“กลับบ้านเฮานะลูก”


“บ่เจ็บบ่ปวดแล้วนะ”


มืออุ่นลูบลงบนแก้มของลูกชายเบาๆทั้งๆที่สั่นเทา ความเจ็บปวดที่แฝงอบู่ในประโยคนั้นทำให้ผมไม่กล้าที่จะเงยหน้ามองใครได้อีก


ผม...ทำอะไรลงไป


“ฮึก…” ก้อนสะอื้นที่ล้นทะลักออกมาทำให้ต้องกัดปากเอาไว้แน่น น้ำตาที่มันไหลเอ่อออกมาทำให้ดวงตาพล่าเลือนจนแทบจะมองไม่เห็น


“ตัง…”


“เราก็ต้องไปแล้ว” คำพูดของไอ้ปอเรียกสติผมกลับมา พี่ธารกำลังส่งแฟ้มอะไรบางอย่างให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก่อนที่ร่างของพี่แดนจะถูกเข็นเข้าประตูไปอีกครั้งโดยที่ผมไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย   





ผมบินมาเชียงใหม่ในเที่ยวบินสุดท้ายของวันพร้อมป๊ากับม๊า โดยที่ไอ้ปอและไอ้ป่านพร้อมกับพวกพี่สโมจะบินตามมาในเช้าวันพรุ่งนี้


บ้านทรงไทยแบบล้านนาหลังใหญ่ที่ผมไม่เคยเห็นกลับคุ้นเคยด้วยความรู้สึก ผมก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าโดยมีจุดมุ่งหมายเป็นห้องโถงกว้างที่กลางบ้าน รูปของพี่แดนตั้งอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากยังเป็นอะไรที่น่ามองอยู่เสมอ


“ตังครับ”


“ที่รัก”



เสียงทุ้มเบาๆที่ได้ยินทำให้ผมต้องหลับตาลงเพื่อตั้งใจฟัง แต่มันก็กลับไม่ได้ดังขึ้นอย่างที่ใจหวัง ทุกอย่างรอบตัวมันเงียบไปหมด


“บอกพี่เขาสิลูกว่าน้องตังมาถึงแล้ว” และคำพูดของม๊าก็ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมองภาพความเป็นจริงทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า


“ตัง…” ผมเม้มปากก่อนจะก้าวถอยหลัง


“ตัง ขอ โทษ” พูดจบก็เดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้นโดยที่ไม่ได้รับธูปจากที่ผู้หญิงคนหนึ่งยื่นมาให้


ไม่รู้ว่าตัวเองเดินมาไกลแค่ไหน ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไร แต่เมื่อฝ่ามืออุ่นมาวางลงบนไหล่ทุกอย่างที่กักเก็บไว้มันก็ล้นทะลักออกมาทันที


“ตัง ฮึก ทำ ไม่ ได้”


“พี่แดน ตาย แล้ว ฮึก จริงๆ เหรอ ม๊า”


ม๊าไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมามีเพียงวงแขนอบอุ่นที่ถูกส่งมากอดผมเอาไว้แล้วลูบแผ่นหลังไปมาเบาๆ แล้วนั่นมันก็ยิ่งทำให้ผมสะอื้นออกมาจนตัวโยน





“มึงต้องกินอะไรบ้างนะตัง” ไอ้ปอมันพูดกับผมเสียงนิ่งขรึม วันนี้ทุกคนมากันพร้อมแล้วทั้งไอ้ปอ ไอ้ป่าน พี่บอย พี่เต๋า และพวกพี่สโมคนอื่นๆที่ผมคุ้นหน้าแต่ไม่รู้จัก ผู้คนมากมายผ่านเข้ามาในสายตาแล้วก็ผ่านเลยออกไป


“ตัง ได้ยินกูบ้างไหม?”


“อื้อ” ผมตอบรับในลำคอ ไอ้ปอมันส่ายหัวก่อนจะผละออกไปแล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมชามข้าวต้มและขวดน้ำในมือ


“กินนะ” เสียงขรึมพูดไม่ดังนัก แววตามันอ่อนแสงลงอย่างอ่อนใจ ผมรับชามข้าวต้มมาถือไว้ก่อนจะพยายามตักมันขึ้นมากิน


“อึก…” แค่คำแรกก็ต้องรีบยกมือขึ้นปิดปากก่อนจะวิ่งไปที่อ่างล้างหน้า ในปากมันขมปร่าไปหมด จะกลืนก็กลืนไม่ได้เมื่อรู้สึกว่าลำคอมันตีบตัน เหมือนมีก้อนอะไรซักอย่างอัดแน่นอยู่ในหน้าอกจนทำให้หายใจไม่ออก


“ตัง เปิดประตูหน่อย” เสียงไอ้ปอร้องบอกอยู่อีกฝั่งของประตู ตามด้วยเสียงไอ้ป่านที่ร้องตะโกนเสียงสั่นพร้อมกับกระแทกลูกบิดประตูอย่างแรง


“ตัง...”


“มึงไหวไหม?”


“ตอบกูสิวะ!”


“กู ไม่ เป็นไร” เปิดประตูออกไปทั้งมือยังสั่น เห็นสีหน้าของเพื่อนแล้วก็ต้องเม้มปากเข้าหากันแน่น


“ขอกูอยู่คนเดียวซักพักนะ”


ไอ้ปอมันถอนหายใจแต่ก็พยักหน้า ไอ้ป่านที่เหมือนจะทักท้วงก็ยอมพยักหน้าเพียงแค่หันไปสบตากับพี่ชายมัน


“ฮึก…”


ทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าตัวเองทันทีที่ปิดประตูห้องลง ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาดังๆอีกครั้งอย่างกลั้นไม่ไหว



“ไม่ร้องแล้วนะคนดี” เสียงกระซิบนุ่มทุ้มดังขึ้นที่ข้างหูพร้อมอ้อมกอดแกร่งที่กระชับกอดผมจนแน่นแล้วค่อยๆคลายออก ผมไม่ได้พูดอะไรตอบได้แต่เงยหน้ามองคนที่กอดตัวเองเอาไว้ ใบหน้าคมอมยิ้มเล็กๆเหมือนอย่างเคย


“ตัง คิดถึงพี่” เหมือนเสียงของตัวเองดังซ้อนก้องอยู่ในหัว ฝ่ามืออุ่นถูกส่งมาวางบนหัวก่อนจะยีเบาๆ พี่แดนยังคงยิ้มให้ แต่ภาพใบหน้าคมนั้นกลับพล่าเลือนเต็มที


“ใจมันจะขาดอยู่แล้ว...” 


จับฝ่ามืออุ่นลงจากหัวมาแนบแก้ม แต่ก็ต้องสะอื้นเมื่อไม่มีเสียงตอบรับอะไรกลับมา ความอบอุ่นที่โอบล้อมร่างกายค่อยๆจางหายจนสุดท้ายก็หมดไป


“พี่แดน!”


สะดุ้งสุดตัวก่อนจะลืมตาตื่น นี่ผมหลับไปได้ยังไงทั้งๆที่ยังนั่งกอดเข่าอยู่ที่เดิม ความปวดหัวเริ่มเล่นงานหนักขึ้นจนต้องใช้สองมือกดมันเอาไว้แล้วเงยหัวโขกกับบานประตูที่นั่งพิงอยู่ตอนนี้แบบไม่แรงนัก





ชิ้นส่วนของศาลาไม้หลังใหญ่ถูกขนลงวางที่หน้าบ้านก่อนจะถูกประกอบขึ้นเป็นรูปร่าง ผมยืนมองด้วยความไม่เข้าใจมันเท่าไหร่นัก แต่คำพูดของคนที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆก็ทำให้ผมหันไปตั้งใจฟัง


“เขากำลังทำปราสาทให้แดนน่ะ มันเป็นประเพณีของที่นี่ พรุ่งนี้....แดนต้องไปจากเราจริงๆแล้วนะ” พี่ธารพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางทอดสายตาไปยังเบื้องหน้าที่คนงานหลายสิบคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการตั้งเสาต่างๆ


“มันทำใจยากแต่ตังก็ต้องทำให้ได้” ใบหน้าคมหันมามองที่ผม แววตานั้นบอกนัยที่ผมเองก็พอจะเดาความหมายได้


“พี่ขอนะ” ผมเม้มปากก่อนจะก้มหน้าลงเมื่อไม่อาจจะสบสายตาคมของพี่ธารได้


“อโหสิกรรมให้แดนได้ไหม?”


“พี่ไม่อยากให้แดนต้องมีห่วง ตังเองก็ต้องมีชีวิตของตัวเองต่อไปนะ”


“ผม ฮึก ขอ โทษ”  วงแขนกว้างดึงผมเข้าไปกอดไว้เมื่อผมเริ่มสะอื้นออกมาอีกครั้ง


ศาลาไม้หลังใหญ่ที่ถูกประกอบจนสมบูรณ์ตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาวที่มีกลิ่นหอมหลากหลายชนิด พี่แดนกำลังนอนหลับอยู่ตรงกึ่งกลางนั้น เพียงแค่...ในตอนนี้ผมไม่สามารถมองเห็นได้อีกแล้ว


ธูปหนึ่งดอกถูกจุดแล้วยื่นมาข้างหน้าผมอีกครั้งในวันนี้ ผมรับมันไว้ด้วยมือที่สั่นเทา ดวงตาพล่าเริ่มมองภาพข้างหน้าไม่ชัดเจนนัก สมองเริ่มหนักอึ้ง ในหูได้ยินเสียงของใครหลายคนสลับทับซ้อนกันจนฟังไม่เป็นภาษา


แล้วอยู่ๆทุกอย่างก็ดับวูบลงโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว





แสงสปอร์ตไลท์ที่สาดลงมาจากด้านบนทำให้ผมค่อยๆลืมตาขึ้น กระพริบตาถี่ๆหลายครั้งเพราะว่ายังปรับแสงไม่ทัน
 

“เอ็งเป็นลมไปน่ะ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นก่อนที่จะมีฝ่ามือใหญ่ยื่นมาตรงหน้า


ผมหันซ้ายขวาก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง ความรู้สึกของผมตอนนี้มันว่างเปล่าไปหมด ที่รอบตัวผมไม่มีใครอยู่เลย มีเพียงท่านเทวดาเท่านั้นที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้า


“ข้า...เข้ามาในจิตเอ็ง เพราะงั้นที่นี่ไม่มีใครหรอก”


ผมฟังคำพูดของท่านเทวดาอย่างเงียบๆ ที่นี่ ผมไม่รู้สึกปวดหัวหรือมีอาการด้านร่างกายอะไร มีแค่ใจเท่านั้นที่ยังคงเจ็บปวดเหมือนเดิม


“บางครั้งพรหมลิขิตก็เอาชนะโชคชะตาไม่ได้” ท่านเทวดาตอบข้อสงสัยในใจของผมก่อนจะถอนหายใจ ดวงตาสีดำขลับนั้นออ่นแสงลงเล็กน้อย


“มัน...ไม่ใช่ความผิดของเอ็ง”


ผมส่ายหัวให้กับคำพูดนั้นก่อนจะก้าวถอยหลังไปสองก้าว


“มันเป็นเพราะผม ถ้าผมไม่กลับมาเรื่องทุกอย่างมันก็จะไม่เกิดขึ้น!”


“ถ้าผม...ไม่กลับมา พี่แดนก็จะไม่..ตาย” ท่านเทวดาเงียบไป นั่นมันยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่ผมพูดมันเป็นเรื่องจริง ผมเม้มปากเพื่อสกัดกั้นความรู้สึกบางอย่างที่กำลังจะเอ่อล้นออกมาก่อนจะพูดต่อ


“ท่านตอบมาสิว่ามันไม่จริง”


และเพราะรู้ว่าท่านเทวดาไม่สามารถที่จะโกหกออกมาได้ ผมถึงได้เข้าใจว่าการที่ท่านเทวาดายังคงยืนมองผมด้วยความเงียบงันนั้นมันหมายความว่าอะไร


“ฮึก…” ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้น


ความทรงจำตั้งแต่ได้เจอกับท่านเทวดาเป็นครั้งแรกค่อยๆฉายขึ้นมาในสมองอีกครั้ง เรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆค่อยๆไหลวนเวียนไปช้าๆ


‘เจ้ามีโอกาสสองครั้งเพื่อที่จะย้อนไปแก้ไขอดีตที่ผิดพลาด ถ้าตกลงให้หลับตาแล้วพยักหน้าสองครั้ง ถ้าหากไม่รับให้พูดว่าไม่ แล้วข้าจะหายตัวไปทันที’


ผมรับคำตกลงนั่น….แต่แล้วผมก็ไม่สามารถแก้ไขอดีตให้กลายเป็นอย่างที่ตั้งใจได้ กลับกลายว่าผมได้เจอกับคนๆหนึ่ง คนที่เริ่มเปลี่ยนแปลงหัวใจผม คนที่สั่นคลอนความรู้สึกจนผมอยากจะหนีด้วยเหตุผลที่บ้าบอ


'เอางี้ ไถ่โทษที่ข้าไม่ได้ถามเอ็งเมื่อคราวก่อนก็แล้วกัน….อยากจะข้ามไปไหม?'


แต่แล้ว...ผมก็หนีเขาไม่พ้น 


ความทรงจำที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นทำให้ผมยิ้มออกมาทั้งๆที่น้ำตายังคงไหล การที่ได้รู้จัก และได้รักพี่แดน มันเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของผม


แต่ถึงอย่างนั้น...ผมก็รักษาสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเอาไว้ไม่ได้


นั่นอาจจะเป็นเพราะพี่แดนไม่ใช่ของผม ผมมันก็เป็นแค่คนที่เห็นแก่ตัวที่เพียงแค่อยากจะแก้ไขสิ่งที่ตัวเองทำพลาดลงไปโดยไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น ในความเป็นจริงแล้วผมไม่มีสิทธิ์จะแก้ไขชีวิตของเบลเพื่อให้กลับมารักคนอย่างผม ไม่มีสิทธิ์ก้าวเข้าไปในชีวิตใคร ไม่มีสิทธ์ไปเลือกทางเดินให้ชีวิตของใคร


ไม่เคยมีใครที่แก้ไขอดีตได้ และคงไม่มีใครที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตได้เช่นกัน


ผมลุกขึ้นช้าๆก่อนจะสาวเท้าไปข้างหน้าก่อนจะหยุดลงที่เบื้องหน้าของท่านเทวดาโดยมีระยะห่างเพียงสองก้าว


“ผม…”


“ถ้าเอ็งเปล่งคำพูดออกมาทุกอย่างจะเกิดขึ้น” ผมพยักหน้ารับก่อนจะเปล่งคำพูดออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา


“ผมไม่ต้องการเจอท่าน ผมไม่ต้องการจะแก้ไขอะไรทั้งนั้น”


“ทุกอย่างจะเป็นอย่างที่เอ็งต้องการ...เด็กน้อย”


“แต่...ผมขออะไรท่านอย่างหนึ่งได้ไหม?”


แววตาคมนั้นอ่อนแสงลงอย่างชั่งใจก่อนที่ท่านเทวดาจะพยักหน้ารับคำขอ



“ได้สิ...”



xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


เป็นตอนที่เขียนยากมากๆเลยค่ะ งื้อออ ต้องการกำลังใจอย่างหนักหน่วง
ขอคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้บีสองหน่อยนะคะ ตอนนี้ดาวน์มากสงสารลูก T_T

ตอนหน้าจะพยายามปั่นมาลงให้ได้เร็วที่สุดค่ะ   
บีสอง
Twitter @B2YFICTION
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-06-2019 14:11:48 โดย B2Fictions »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด