พิมพ์หน้านี้ - BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่ EP30- It's been you and always will [9.9.20 UP!]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: B2Fictions ที่ 05-07-2018 11:33:40

หัวข้อ: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่ EP30- It's been you and always will [9.9.20 UP!]
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 05-07-2018 11:33:40
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

BEGIN AGAIN
 xxx  intro  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3856015#msg3856015) xxx
xxx  EP01 - Suddenly Begin  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3856481#msg3856481) xxx
xxx  EP02 - Mr.Caramel   (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3859453#msg3859453) xxx
 xxx  EP03 - Unknow Person , Unknow Story   (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3862709#msg3862709) xxx  
 xxx  EP04 - WHAT A STORY!?  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3865719#msg3865719) xxx
 xxx  EP05 - TRAPPED!!  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3869440#msg3869440) xxx
 xxx  EP06 - No rules  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3871646#msg3871646) xxx
 xxx  EP07 - R I V A L  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3872614#msg3872614) xxx
 xxx  EP08 - FAST FORWARD  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3875262#msg3875262) xxx
 xxx  EP09 - A very NEW life   (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3877967#msg3877967) xxx
 xxx  EP10 - It's ME  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3881340#msg3881340) xxx
 xxx  EP11 - Broken Past  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3884052#msg3884052) xxx
 xxx  EP12 - Unexpected  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3888189#msg3888189) xxx
 xxx  EP13 - My BAE ❤  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3893695#msg3893695) xxx
 xxx  EP14 - ME too""  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3898336#msg3898336) xxx
 xxx  EP15 - (un)Welcome Guest  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3901951#msg3901951) xxx
 xxx  EP16 - Boyfriend  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3905998#msg3905998) xxx
 xxx  EP17 - Fallin' All in You  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3909842#msg3909842) xxx
 xxx  EP18 - (Extra)ordinary Day  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3919079#msg3919079) xxx
 xxx  EP19 - Something wanna tell  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3932193#msg3932193) xxx
 xxx  EP20 - NAKED  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3942898#msg3942898) xxx
 xxx  EP21 - Missing Truth  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3945375#msg3945375) xxx
 xxx  EP22 - Decision  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3950216#msg3950216) xxx
 xxx  #Special (1) Until we meet again  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3980855#msg3980855) xxx
 xxx  EP23 - BACK TO ZERO  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3988634#msg3988634) xxx
 xxx  EP24 - stay or move on  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67690.msg3999671#msg3999671) xxx




xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


intro




‘ตัง เบลว่าเราเลิกกันเถอะ’

‘อยู่กันไปก็ไม่มีอะไรดีกว่านี้หรอก’

‘บอกตามตรงนะตัง เบลมองไม่เห็นอนาคตของเราเลย’


“เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” ผมสบถดังๆก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปากเมื่อคำบอกเลิกยังคงดังวนไปวนมาอยู่ในหัวสลัดยังไงก็ไม่หลุดเหนียวแน่นยิ่งกว่าติดด้วยกาวตราช้างก็ไม่ปาน

“สัดตังมึงจะเสียงดังหาพ่อมึงเหรอ” ฝ่ามือลุ่นๆตบลงมาบนหัวพร้อมกับคำด่าเล่นเอาผมต้องหันไปมองค้อน เหี้ยนี่ตบมาได้หน้ากูเกือบคว่ำ

“ไอ้สัดป่าน!” ผมโวย เงื้อมือขึ้นแม่งก็หลบวืด

“นั่นไอ้ปอ” ไอ้คนที่หน้าเหมือนไอ้เหี้ยที่ตบหัวผมพูดขึ้นมา ผมมองหน้ามันสองคนสลับไปมาก่อนจะถอนหายใจแรงๆ ผมล่ะเกลียดความแฝดที่โคตรเหมือนของมันสองคนซะชิบ

“ช่างแม่งพวกมึง” เหล้าแก้วเดิมถูกยกขึ้นมาดืมอีกครั้งจนหมดก่อนที่ผมจะกระแทกแก้วลงวางที่เดิม

“โว้ยยยยยยย กูอกหัก กูโดนทิ้ง มึงเข้าใจกูไหมไอ้พวกเหี้ย!!” ผมโวยวาย ไม่สนห่าสนเหวอะไรแล้วตอนนี้ ใครจะมองก็ช่างแม่ง กูเมากูเฮิร์ต พวกมึงไม่เคยเป็นกันเหรอมองมาทำเหี้ยไรทั้งร้านวะ

“ไอ้สัด ขอโทษครับ เพื่อนผมมันเพิ่งโดนเมียทิ้งมาครับ ขอโทษครับๆ” ไอ้หมาแฝดตัวนึงมันด่าผมก่อนจะเอามือเค็มๆของมันมาปิดปากแล้วหันไปส่งยิ้มเรี่ยราดรอบทิศทาง

“ถ้ามึงยังไม่หุบปากก็กลับไปแดกที่ห้องมึงนู่น ไอ้เหี้ย โวยวายเรียกส้นตีนชาวบ้านอยู่ได้” เดาว่านี่คงเป็นไอ้ป่านที่ด่า ผมสลัดไอ้คนที่มันล็อคคอปิดปากผมอยู่ให้พ้นจากตัว มันมองหน้าผมก่อนจะยอมถอยออกไปดีๆเมื่อตอนนี้ผมเงียบปากลง

“ผู้หญิงคนเดียวว่ะ” ฝ่ามือหนาๆตบลงบนไหล่ผม

“มึงไม่เข้าใจกูหรอก”

“เอาน่ะ ถ้ามึงรักเขาขนาดนั้น พรุ่งนี้มึงก็ลองไปง้อเขาดูสิวะ” ไอ้แฝดมันบอก ผมพยักหน้ารับแกนๆก่อนจะหยิบแก้วขึ้นมาดื่มต่อ จริงๆถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงจะดีกว่า….


ใช่ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้…..


“ตกลงเอ็งจะรับข้อเสนอของข้าหรือเปล่า?” เสียงของคนที่นั่งอยู่ที่เบาะข้างๆผมดังขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้ในสมองผมกำลังสับสนชิบหาย

เดี๋ยวนะ ผมขอเวลานอกรำลึกเหตุการณ์แปบ

เมื่อเย็นผมโดนเบลบอกเลิก จากนั้นก็ไปกินเหล้ากับไอ้แฝด จากนั้นก็ขับรถจะกลับบ้าน แต่เสือกฟูมฟายอย่างหนักจนต้องหักพวงมาลัยหลบสิบล้ออย่างฉิวเฉียดจนรถลงข้างทางมาหยุดอยู่ตรงหน้าต้นไม้ใหญ่พร้อมเสียงโวยลั่นของอะไรบางอย่างที่พุ่งออกมาจากต้นไม้นั่น กลุ่มควันขาวๆม้วนตัวเป็นพายุหมุนเล็กๆก่อนจะวาบมาปรากฎเป็นคนอยู่ที่เบาะข้างๆผม

เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย นี่ผมโดนผีหลอกเหรอวะ?

“ไอ้เด็กนี่ ก็ข้าบอกแล้วไงว่าข้าเป็นเทวดา” เสียงทุ้มๆดังขึ้นอีกจนผมต้องหันไปมองคนข้างๆอย่างเต็มตา

“ทะ ท่าน ระ รู้ได้ไง”

“แหมมม นั่งใกล้ขนาดนี้ คิดอะไรก็ได้ยินหมดแหละน่า” สิ่งที่บอกว่าตัวเองเป็นเทวดาส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะพูดกลั้วขำ นี่มันความคิดนะเว้ย กูคิดคนเดียวไม่ได้พูดซักหน่อยป่ะวะ

“เอ้า ยังๆ ก็ข้าเป็นเทวดานี่” ท่านเทวดาถลึงตาใส่จนผมต้องหดคอหลบอย่างหวาดๆ เทวดาจะไม่หลอกคนเหมือนผีใช่ไหม?

“ข้าถือศีลจะหลอกเอ็งได้ยังไง” นั่น ตอบความคิดผมอีกละ

“แล้วจะตอบข้าได้หรือยังว่าเอ็งจะรับข้อเสนอข้าหรือไม่?” ท่านเทวดาทวงคำตอบอีกครั้งเมื่อผมยังนั่งเงียบลำลึกถึงข้อเสนอที่ท่านเทวดาบอกเมื่อซักครู่

‘เจ้ามีโอกาสสองครั้งเพื่อที่จะย้อนไปแก้ไขอดีตที่ผิดพลาด ถ้าตกลงให้หลับตาแล้วพยักหน้าสองครั้ง ถ้าหากไม่รับให้พูดว่าไม่ แล้วข้าจะหายตัวไปทันที’

“ก็จำได้นี่ ตกลงว่าไง?” ท่านเทวดากอดอกแล้วยักคิ้วให้ผมข้างนึง ตอนนี้สมองของผมมันมึนงงไปหมด นี่มันคือความฝันหรือความจริง หรือนี่ผมเมาจนหลอน หรือมันอะไรกันแน่

แต่… ถ้าย้อนเวลาได้จริงๆ ผมก็จะไม่ลังเลที่ย้อนกลับไปเลย

ผมหลับตาลงก่อนจะพยักหน้าสองครั้ง ทันใดนั้นเสียงลมหมุนก็ดังขึ้นรอบตัวผมจนหูอื้อไปหมด

“ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” ผมตะโกนสุดเสียงเมื่อตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเล่นรถไฟเหาะตีลังกายังไงหยั่งงั้น

แต่...เดี๋ยวนะ

ผมยังไม่ได้บอกท่านเลยว่าผมอยากจะย้อนไปตอนไหน


เฮ้ย เราต้องตกลงกันก่อนสิ 


ท่านเทวดาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!!



xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


สวัสดีทุกคนนะคะ ดีใจที่กดเข้ามาอ่านกันค่ะ
นิยายเรื่องนี้จะลงทุกวันศุกร์ ฉะนั้นตอนแรกจะมาลงพรุ่งนี้นะคะ
สำหรับคนที่เล่นทวิตเตอร์ เจอกันได้ที่ #ที่เก่าเวลาเดิมแต่ #ดินแดนของตัง รอเจอทุกคนอยู่นะค้าาา >///<

หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่... intro [05.07.18]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 06-07-2018 09:07:40
รอติดตามต่อคราบบบ ให้ +1 นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่... intro [05.07.18]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 06-07-2018 09:18:16
มารอ
หัวข้อ: : : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP01 - Suddenly Begin [06.07.18]
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 06-07-2018 13:24:22
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….

#1






“ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” ผมตะโกนสุดเสียงทั้งที่ยังหลับตาปี๋ แต่ทำไมรู้สึกแปลกๆวะ เสียงลมหมุนเงียบไปแล้ว ตอนนี้แม่งเงียบกริบเลย

“คุณไม่พอใจอะไรผมหรือเปล่า?” คำถามที่ได้ยินเรียกให้ผมเบิกตาโพล่ง มองไปรอบๆก็เห็นทุกสายตากำลังจดจ้องมาที่ผมที่ยืนผ่าเหล่าผ่ากออยู่คนเดียวในวงล้อมคนที่กำลังนั่งอยู่นับร้อยชีวิต

ทุกคนเงียบกริบ....

“ว่ายังไงครับ คุณ...ตัง” คนที่กำลังสาวเท้าเข้ามาหาผมหรี่สายตามองป้ายชื่อที่คล้องคอผมอยู่

ป้ายชื่อ!


ผมหันไปมองรอบๆตัวอีกครั้ง ทุกคนที่นั่งอยู่ก็คล้องป้ายชื่อกันหมดทุกคนไม่เว้นไอ้ฝาแฝดปอป่านที่นั่งเงยหน้ามองผมเหวอๆนี่ก็คล้องป้ายชื่อเหมือนกัน อย่าบอกนะว่านี่ผมย้อนเวลากลับมาตอนรับน้องปี1เลยอ่ะ เห้ยยย มันย้อนเยอะไปไหม ตอนนี้ผมอยู่ปี3แล้วนะ!

“คุณมีปัญหาอะไรกับผมงั้นเหรอ? ผมถาม ทำไมคุณถึงไม่ตอบ?” เสียงทุ้มๆเข้มขึ้นเกือบขั้นสุด ดวงตาคมปราดมองมาที่ผมจนผมกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ คราวซวยอะไรของผมวะ ไอ้เชี่ย นี่มันพี่ดินแดนในตำนานเลยนะ แม่งโหดแค่ไหนไม่ต้องอธิบายอ่ะ โอ้ยยยผมจะตายคาตีนมันไหมเนี่ยยยยยยย

“มะ ไม่มีครับ” ผมหลบสายตาคมก่อนจะตอบออกไปเสียงอ่อย

“แล้วคุณลุกขึ้นแหกปากขัดจังหวะผมทำไมไม่ทราบ?” คนตัวสูงกอดอกแล้วปรายสายตาลงมามองที่ผม ต้องพูดว่าปรายสายตาครับ ก็พี่แม่งสูงตั้งเกือบ 190 ส่วนผมมาตรฐานชายไทยครับ 175 พอดีเป๊ะๆ

“คือ…” ผมอ้ำอึ้ง เห็นสายตาพี่มันแล้วรู้สึกมือเย็นขึ้นมาเลยกู

“คือ...มดมันกัดครับพี่” เอาวะม้งมดตอบแม่งไปก่อน เหลือบตาขึ้นดูก็เห็นมุมปากพี่มันยกขึ้นข้างนึงก่อนจะแค่นหึออกมาเบาๆ

“โอเค ต่อจากที่ผมพูดเมื่อกี้ จับกลุ่มครับ” พูดจบก็เกิดเหตุโกลาหลครับ ย้ายตูดกันให้อุตลุด เดี๋ยวนะ ตอนนั้นผมต้องได้อยู่กลุ่มเดียวกับเบลสิ ใช่...วันนี้เป็นวันที่ผมได้รู้จักเบลเป็นวันแรก ผมหันหลังมองไปทางที่จำได้ว่าเบลนั่งอยู่ตรงนั้น แต่วันนี้มันกลับไม่เหมือนเดิมตรงที่มีร่างหนาๆของไอ้พี่ดินแดนมันยืนขวางสายตาผมอยู่

“ไอ้ตังมานี่” ไอ้ป่านมันฉุดมือผม แต่ผมก็ยังยื้อเอาไว้ ผมต้องอยู่กลุ่มเดียวกับเบล!

“ครบแล้วนั่งครับ….ผมรับประกันเลยว่าคุณไม่อยากเป็นกลุ่มสุดท้ายแน่นอน” พี่ดินแดนมันพูดเสียงเรียบในประโยคแรก แต่ไอ้ประโยคหลังมันเย็นเยียบจนผมขนลุก จะไม่ให้ขนลุกได้ไงล่ะ ก็ตาพี่แม่งจ้องอยู่บนหน้าผมเนี่ย เหี้ยเอ้ย!

“นั่งสิโว้ย” ไอ้ป่านมันกระชากพรวดเดียวคราวนี้ผมลงไปนั่งพับเพียบเลยครับ แม่งงง

เอาเป็นว่าวันนี้ผมก็หมดกิจกรรมรับน้องไปแบบมึนๆโดยไม่ได้พูดกับเบลเลยซักคำ แล้วทีนี้จะเอาไงต่อดีวะ? ถ้าเป็นวันนี้ในตอนนั้น คือ..ไม่งงกันใช่ไหม ผมหมายถึงวันนี้ในอดีตที่ผมไม้ได้ย้อนเวลากลับมาน่ะ เออ หรือยิ่งอธิบายยิ่งงง เอาเป็นว่าช่างแม่งก่อน ผมจะบอกว่าถ้าเป็นตอนนั้นเวลานี้ผมคงกำลังขับรถไปส่งเบลที่บ้านแล้วครับ ไม่ต้องมานั่งเหี่ยวเป็นผักบุ้งตากแดดอยู่แบบนี้หรอก คิดแล้วเซ็ง

“โว้ยยยยยยยยยยยยย” ผมแหกปากอย่างสุดทน คงไม่มีใครสนใจหรอกครับ ก็ตอนนี้แม่งไม่มีใครอยู่ตรงนี้นี่ ป่านนี้เขากลับหอกลับบ้านกลับช่องกันไปหมดแล้วมั้ง แล้วทำไมผมยังไม่กลับอ่ะเหรอ ก็มันเซ็งอ่ะ แบบโคตรเซ็งเลยมาหาที่นั่งเงียบๆทำใจอยู่เนี่ย

“ท่านเทวดา!!” ลองเรียกดูหน่อยดิ๊ ยังเงียบครับ แต่ช่างดิ่ พูดต่อแม่งเลย เป็นเทวดาต้องได้ยินดิ่วะ ขนาดคิดในใจยังได้ยินเลย

“ผมว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันอ่ะ!” แล้วอยู่ๆผมก็ได้ยินเสียงในหูดัง คลิ๊ก เหมือนเวลาที่เข็มนาฬิกาหยุดเดินก่อนที่ทุกอย่างรอบตัวจะมืดไปหมดเหลือเพียงแสงสปอร์ตไลท์ที่ส่องมาที่ตัวผม

“ไหนมีอะไรว่ามาซิ” คน...ไม่สิ เทวดาที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาสีแดงยกถ้วยชาขึ้นดื่มก่อนจะถามผมแบบชิลสุดๆ

“คืออะไรของท่านเนี่ย ผมแม่งงงไปหมดละอ่ะ” ผมพ่นลมหายใจก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งยองๆอย่างหมดแรง

“แล้วเอ็งงงอะไรล่ะ ถามมาแบบชัดๆหน่อย ข้ามีเวลาให้เอ็งไม่มากนะ”

“ก็ผมย้อนเวลามาแล้วใช่มะ แล้วแบบ...ทำไมมันไม่เหมือนเดิมอ่ะ?” ถ้าย้อนมาแล้วผมไม่ได้รู้จักกับเบลแบบนี้ ผมจะย้อนกลับมาทำไมวะ? เรียนคณะเดียวกันก็จริงแต่คนละเอกมันก็ไม่ใช่ว่าจะได้เจอกันบ่อยๆนะเว่ย

“หึ ก็ถ้าย้อนเวลากลับมาแล้วมันเหมือนเดิม มันก็จะลงเอยเหมือนเดิมไงไอ้เด็กโง่ ที่ข้าให้เอ็งย้อนกลับมา ก็เพื่อให้แก้ไขสิ่งที่มันพลาดไป เอ็งมีโอกาสขนาดนี้แล้วเอ็งก็ต้องมีความพยายามด้วยสิวะ”

ผมถอนหายใจแรงๆเพื่อระบายอารมณ์ เออ...จริงๆท่านก็พูดถูก

“แล้วข้าจะบอกอะไรเอ็งหน่อย ข้าให้พรเอ็งไปแล้วใช่ว่าข้าจะต้องคอยออกมาเจอเอ็งทุกครั้งที่เอ็งเรียกหรอกนะ ข้าไม่ได้ว่างขนาดนั้นเด็กน้อย” ท่านเทวดาลุกขึ้นจากโซฟาสีแดง ถ้วยชาในมือหายวับไปกับตาเมื่อท่านสะบัดข้อมือแล้วดึงสูธสีเทาให้เข้าที่ มันเป็นคนละชุดกับครั้งแรกที่เจอ จำได้ว่าตอนนั้นท่านใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ อ่านไม่ผิดหรอกครับ เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์จริงๆครับ ผมสาบาน

“มีอะไรจะถามอีกไหม? วันนี้ข้ามีธุระ”

“แล้วผมต้องเป็นเด็กปี 1 อยู่แบบนี้อ่ะเหรอ?” ผมถาม ใช่ มันเป็นคำถามที่โคตรโง่เลย

“เออเอ็งคิดถูกแล้ว ไอ้เด็กโง่” นั่นแหละครับ อ่านใจมาด่าผมอีกแล้ว

“ขอให้สนุกกับชีวิตเฟรชชี่นะเด็กน้อย ข้าไปล่ะ” แสงสีทองวาบขึ้นมาแล้วทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม

“เออ จะมาก็มาจะไปก็ไปซะงั้นน่ะ” ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปคว้ากระเป๋าที่วางไว้บนโต๊ะก่อนจะต้องชะงักเท้าเมื่อมีใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้น รูปร่างสูงๆ ตาคมๆ มุมปากที่ยกยิ้มข้างเดียวนั่นไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมล่ะว่าเป็นใคร

“พี่มาทำอะไรตรงนี้วะ?” ผมหลุดปากพูดออกไปก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดปาก เชี่ย มึงไปทักมันทำไมมมม

“กูผ่านมา บังเอิญได้ยินเสียงคนบ้ามันแหกปากเลยเดินมาดู” น้ำเสียงทุ้มๆเอ่ยตอบผม ลับหลังแบบนี้คุณๆผมๆไม่มีแน่น้อน เวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆทำพูดจาดี ผมว่าจริงๆแม่งก็เถื่อนเหมือนหน้าตาแม่งแหละ แต่เดี๋ยว...ผมแค่นินทามันในใจ แต่แม่งด่าผมเห็นๆเลยนี่หว่า

“ผมไม่ได้บ้าเหอะ” ผมตอบ อยากจะตบปากตัวเองให้รางวัลแก่ความปากไวจริงๆ ผมจะไปเถียงแม่งทำไมเนี่ย

“งั้น งั้นผมไปก่อนนะ” ผมบอกก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกไปอย่างเร็ว

เอ้า… แล้วพี่แม่งเดินตามผมมาทำไมวะ?

ผมรีบเดินจ้ำอ้าวไม่สนใจเสียงฝีเท้าที่แม่งแทบจะตามมาติดๆ ยิ่งเดินไปข้างหน้ายิ่งรู้สึกว่าเสียงฝีเท้ามันจะใกล้ขึ้นทุกที เอาก็เอาวะ ผมหยุดเดินก่อนจะหันหลังกลับไปทันที

“เหวออ” ผมร้องเสียงหลง แม่งใกล้ป่ะล่ะ หน้าผมนี่แทบจะทิ่มเข้าไปที่หน้าอกแม่งเลยอ่ะ

“พะ พี่ตามผมมาทำไมวะ?” ผมถอยหลังมาก้าวนึงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไอ้คนที่หยุดเดินตามผม พี่มันถอนหายใจ ตาคมๆของมันมองมาที่ผมแบบไม่อยากจะเสวนาก่อนที่มันจะก้มลงมาพูดใส่หน้าผมเต็มๆ

“หยุดเดินทำเหี้ยอะไร เกะกะกู”

พูดจบมันก็เดินออกไปแล้วไม่หันกลับมาอีกเลย

ไอ้พี่ดินแดน

ไอ้ตะกวดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!



⇤  BEGIN AGAIN  ⇥



“มึงจะกัดหลอดกูทำเชี่ยอะไรไอ้สัด! แหวะ” ไอ้ปอมันโวยวายลั่นแล้วดึงหลอดน้ำในแก้วของมันที่ผมเผลอกัดซะบี้แบนโยนลงข้างโต๊ะ

“แค่นี้ทำรังเกียจ”

“ขโมยแดกน้ำกูแล้วยังสันดาน” มันยังบ่นอุบใส่ ผมยักไหล่ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดเล่น เมื่อคืนผมนอนไม่หลับเลยเอาจริงๆ คือเรื่องที่มันกำลังเกิดขึ้นกับผมตอนนี้มันเป็นเรื่องจริงใช่ไหมวะ?

แต่...มาถึงขั้นนี้ก็น่าจะจริงอ่ะนะ

ข้อความแจ้งเตือนเฟซบุ๊คที่ขึ้นมาเป็นร้อยเรียกให้ผมต้องกดเข้าไปเปิดดู ตอนนี้สเตตัสของผมขึ้นว่า ‘Single’ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มันเคยขึ้นว่า ‘In a relationship with’ กับเบลอยู่เลย เห็นแล้วน้ำตาจะไหลว่ะแม่ง

‘เอ็งต้องมีความพยายามด้วยสิวะ’

ผมสูดลมหายใจเข้าเมื่ออยู่ๆคำพูดของท่านเทวดาเมื่อวานก็ดังขึ้นมาในหู ใช่ ต้องพยายามดิ่วะ! ผมปิดหน้าจอมือถือลงก่อนจะยัดมันใส่กระเป๋าโดยที่ไม่ได้ส่งคำขอเป็นเพื่อนกับเบลเหมือนที่ผมนั่งจ้องเฟซบุ๊คของเบลมาทั้งคืน ความประทับใจแรกเจอมันต้องเกิดขึ้นกับคนจริงๆดิ่!

“ไอ้ปอ มึงมีตารางเรียนเอกอิงก์ป่ะวะ?” ผมถาม มันละสายตาจากหน้าจอมือถือขึ้นมามองหน้าผม

“นั่นแน่ะ จะเอาไปทำไรวะ?” มุมปากมันยกยิ้มเหมือนคนมีเลสนัยอะไรซักอย่าง ไอ้เชี่ยแม่งทำหน้ากวนตีนแบบไอ้พี่ดินแดนไม่มีผิด

“เอามาเถอะน่า”

“เออ แปบ” มันบอกก่อนที่ผมจะเห็นมันเปิดไลน์กลุ่มที่มันมักจะใช้เวลาแชตอยู่ในนั้นมากกว่าคุยกับเพื่อนกับฝูง มันเคยลากผมเข้ากลุ่มนะครับ แต่เอาจริงๆนะ ผมอยู่ได้ชั่วโมงเดียวต้องออก ไอ้เหี้ยแจ้งเตือนชั่วโมงเป็นพัน มึงเอาเวลาไปตั้งใจเรียนกันดีไหม ใช่ครับ มันชื่อกลุ่มว่า ‘คนเสือกแห่งมทก59’ 

“มาละๆ” มันบอก ผมรีบกดเปิดไลน์ดูเมื่อเห็นแจ้งเตือนที่หน้าจอ

วันนี้วันพุธ ผมไล่สายตาดูตารางก็เห็นว่าวันนี้เอกอิงก์ปี1 ก็เรียนถึงแค่เที่ยง ตอนนี้บ่ายกว่าแล้ว แต่...วันนี้มีเรียกรวมตอนบ่ายสามนี่หว่า เห้ยยยย

“กูไปเยี่ยวแปบ” ผมบอกไอ้สองแฝด ไม่มีใครตอบรับอะไร อีกคนนั่งจมอยู่ในกลุ่มแชต ส่วนอีกคนนั่งดูเอ็มวี AKB48  เออ...ช่างแม่งพวกมัน

ผมวิ่งหอบแฮ่กๆมาที่โถงใต้ตึก9 เบลกับเพื่อนๆนั่งอยู่ตรงนั้นจริงๆด้วย ผมยืนเกาหัวแกร่กๆ อยู่ๆจะเดินเข้าไปหาแล้วบอกว่า “เบล นี่ตังไง แฟนเธอในอนาคตอ่ะ” ก็ไม่ง่ายงั้นป่ะวะ? มองซ้ายแลขวาเห็นซุ้มขายขนมอยู่ข้างตึกพอดี เออ ฟอร์มซื้อขนมไปนั่งกินรอเรียกรวมอยู่แถวนั้นก็ได้นี่หว่า

“ป้า เอาโค้กแก้วนึง ขนมนี่ด้วย”

 แล้วก็…

‘พลั่กกกกก’

“เชี่ยยยยยยยย” ผมสบถออกมาดังๆ สบัดมือที่เคยถือแก้วโค้กด้วยความเจ็บเมื่อผมกระแทกเข้ากับอะไรข้างหน้าเข้าเต็มๆ ตรงนี้มันมีกำแพงตั้งแต่เมื่อไหร่วะ? สัดเอ้ยยย ทั้งเจ็บทั้งเปียก แต่พอเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้นแหละครับ

เหี้ย ไอ้พี่ดินแดน!

พี่มันจ้องหน้าผมนิ่ง ฝ่ามือใหญ่ๆของมันก็สะบัดคราบโค้กของผมที่เปียกอยู่เต็มอกออกไปด้วย

“ขอ ขอโทษครับพี่” ผมรีบโพล่งออกไป ดวงตาคมยังจ้องหน้าผมเขม็ง

“ขอโทษแล้วกูหายเปียกไหม?” เสียงเย็นๆถามผมนิ่งๆ

“ก็ผมไม่ได้ตั้งใจ” ผมตอบ แต่ก็ยังไม่กล้ามองหน้าพี่มันตรงๆอยู่ดี

“เป็นบ้าแล้วยังซุ่มซ่ามอีกนะมึง”

“เอ้า ไอ้แดน” เสียงคนมาใหม่เรียกให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง เป็นพี่เต๋ากับพี่บอยเพื่อนสนิทพี่มันแหละครับที่กำลังเดินเข้ามา

“เดี๋ยวนี้ชอบใครให้สาดโค้กงี้เหรอ?” พี่เต๋าพูดยิ้มๆ แบบแม่งไม่ได้แคร์สายตาโหดๆของเพื่อนแม่งเลย แต่เดี๋ยวนะ พี่มันว่าไงนะ?

“เห้ย ผมเปล่านะเว่ย ผมไม่ได้ชอบเพื่อนพี่ซักหน่อย” ผมพลั้งตอบออกไปแบบอัตโนมัติ ไอ้นิสัยชอบพูดคำหยาบแบบคิดไม่ทันคิดนี่แม่ง…..

“อ่าวววว” พี่บอยหัวเราะ มันตลกตรงไหนวะครับพี่

“เงียบปากไปเลยไอ้สัด” ไอ้คนหน้านิ่งพูดเสียงเย็นก่อนจะหันมาฉุดข้อมือผมอย่างแรง

“มานี่”

“เช็ด” คำสั่งสั้นๆจากคนที่ยืนพิงอ่างล้างมือในห้องน้ำเรียกให้ผมต้องเอานิ้วชี้ย้อนมาชี้หน้าตัวเอง

“สั่งผม?”

“สั่งหมามั้ง?” พี่มันพูดเสียงเรียบๆ แต่หน้าแม่งอย่างกวนตีนเลย เกลียดแม่งว่ะ

“เร็ว กูรีบ” รีบมากก็เช็ดเองดิ่วะ ก็ได้แต่พูดในใจอ่ะนะ ผมมองหน้าพี่มันนิดๆก่อนจะหันไปเปิดก๊อกน้ำ แต่ยังไม่ทันไร เสื้อนักศึกษาเปื้อนโค้กก็คลุมพึ่บลงบนหัวซะก่อน

“เฮ้ยย พี่ทำไรวะ มันเปื้อนนะเว่ย!” ผมสบถ

“ก็มึงลีลาชิบหาย” แม่งด่ากูอีกละไง ไอ้ตะกวดยักษ์เอ้ย

ผมดึงเสื้อที่คลุมหัวออกก่อนจะต้องสะดุ้งโหยง แต่จะถอยหลังก็ไม่ได้เพราะติดอ่างล้างมือ ซ้ายขวาก็ขยับไม่ได้อีก เพราะไอ้พี่ดินแดนมันท้าวแขนลงบนอ่างล้างมือคร่อมผมเอาไว้ทั้งตัว

อกแม่งอย่างแน่นอ่ะ….

ซิกแพคห่าเหวนั่นอีก….

เหี้ยยยย กูใจเต้นทำไมวะ?

“ถะ ถอยไป ดะ ดิ่วะ!” ผมผลักพี่มันออกให้พ้นตัว เอาดิ่ถึงกูสั่นก็สั่นสู้นะโว้ย แต่คนโดนผลักมันดันยิ้มมุมปากเฉย ไม่มีทีท่าโกรธอะไร บนในหน้าคมๆนั่นมีแต่ความกวนตีนล้วนๆ พี่มันถอยหลังก่อนจะไปยืนหันหลังพิงอ่างล้างหน้าแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นซะเฉยๆ ผมเลยหันไปเปิดก๊อกน้ำแล้วหันด้านที่เปื้อนไปล้างน้ำให้มันหมดคราบแล้วบิดเอาน้ำออก

อยากจะสะบัดใส่หน้าแม่ง แต่พอหันไปจะแกล้งสะบัดใส่ไอ้ชีเปลือยมันดันกอดอกมองผมอยู่นิ่งๆซะงั้น สัด เมื่อกี้กูยังแอบเห็นมึงเล่นมือถืออยู่เลย

พรึ่บ! ผมหันไปสะบัดเสื้ออีกด้านอย่างเร็ว ไอ้เหี้ยเอ้ยยย ละอองน้ำเข้าหน้ากูเต็มๆครับท่านผู้ชม

“โง่” เออ กูรู้ตัว ซ้ำเติมกูอีก

“เอาเสื้อพี่คืนไป” ผมยื่นเสื้อนักศึกษาสีขาวที่เปียกเป็นหย่อมๆคืนให้พี่มัน

“ที่หลังก็อย่าซุ่มซ่ามอีกล่ะ” ไอ้พี่ดินแดนบอกก่อนจะวางมือหนาๆของมันบนหัวผมแล้วเดินออกไป อะไรบางอย่างทำให้ผมต้องยกมือขึ้นจับบนหัวตัวเอง และมันก็ทำให้ผมรู้ว่าสิ่งนั้นมันคือผ้าเช็ดหน้า


ผ้าเช็ดหน้าสีเทาของไอ้พี่ดินแดน….


xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


สวัสดีทุกคนนะคะ ดีใจที่กดเข้ามาอ่านกันค่ะ  :pig4:
สำหรับคนที่เล่นทวิตเตอร์เจอกันได้ที่แท๊ก #ที่เก่าเวลาเดิมแต่ #ดินแดนของตัง
เจอกันอีกทีวันศุกร์ที่ 13 นะคะ
B2
หัวข้อ: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP02 - Mr.Caramel [13.07.18]
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 13-07-2018 09:51:32
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#2





“พี่ดินแดนน่ากลัวมากอ่ะ”

“ใช่ๆ เราไม่กล้าสบตาพี่เขาเลย”

“เราก็เหมือนกัน”

นี่เป็นบทสนทนาของสาวๆที่ผมได้มาเป็นส่วนหนึ่งหลังจากเหตุการณ์สาดโค้กของผมเมื่อกี้ เอาจริงๆถ้ารู้ว่าผมจะต้องเสียโค้กไปฟรีๆรู้งี้ผมเอาสาดใส่หน้าแม่งไปเลยดีกว่า สะใจกว่าเยอะอ่ะ แต่จะว่าก็ว่าครับ ในความซวยก็มีเรื่องดีๆเหมือนกัน

ใช่แล้ว ตอนนี้ผมมานั่งแป้นแล้นอยู่ในกลุ่มของเบลแล้วคร้าบบบบ

คือเรื่องมันเป็นงี้ พวกสาวๆเขาเห็นที่ผมชนกับไอ้พี่ดินแดนที่หน้าซุ้มโค้กเมื่อกี้ครับ แล้วยังมีกลุ่มรุ่นพี่เพื่อนของไอ้พี่ดินแดนเข้ามาประกบอีกก็เลยเรียกผมมานั่งเพื่อที่จะถามเหตุการณ์ เออ พวกผู้หญิงนี่ก็ใฝ่รู้กันดีนะครับ

“แล้วพี่ดินแดนจูงมือตังเข้าไปในห้องน้ำทำไมเหรอ?” เอ๊ะ ทำไมผมรู้สึกว่าคำถามนี้มันแปลกๆวะ จูงมงจูงมืออะไร แม่งลากกูครับ ลาก

ตาประกายวิบวับยังจ้องผมไม่ละสายตา จำได้ว่านี่คือลูกน้ำ จริงๆผมก็จำสาวๆกลุ่มนี้ได้ทุกคนน่ะแหละ ก็พวกนี้เป็นเพื่อนสนิทเบลนี่ครับ

“เขาให้เราซักเสื้อให้” ผมตอบออกไปตรงๆผสมน้ำเสียงที่โคตรน่าเห็นใจลงไปนิดหน่อย

“ต้องขนาดนั้นเลยเหรอ นิสัยแย่ชะมัด” นี่ไงครับแฟนผม มองคนเก่งเหมือนผมเลยเห็นป่ะ

“แต่เอาจริงนะ ถ้าตัดความโหดออก พี่แม่งหล่อมากกกกกอ่ะ” คราวนี้เป็นอีกสาว คนนี้ชื่อแตงครับ

“จริง” คราวนี้ทุกคนครับที่พูดพร้อมกัน เฮ้ย หล่อตรงไหนวะ สู้ตังคนนี้ไม่ได้เลยเหอะ

“ตังก็น่ารักนะ” คำชมของลูกน้ำเล่นเอาผมอดยิ้มไม่ได้ แต่ก็ต้องหุบยิ้มดังฉับเมื่อได้ยินประโยคต่อมา

“เหมาะกับพี่ดินแดนมากเลย”

ลูกน้ำ เธอเป็นบ้าเหรออออออออออ!!!


“น้องๆทุกคนได้กระดาษกันหมดแล้วใช่ไหมคะ ทีนี้พี่อยากจะให้น้องๆเขียนชื่อเพื่อนที่คิดว่าสวยหล่อที่สุดลงไปอย่างละหนึ่งชื่อค่ะ” อันนี้พี่น้ำว้าคนสวยรุ่นพี่เอกของผมเองครับ

“เสร็จแล้วเอาไปใส่กล่องที่พี่แดนเลยนะคะ” ได้ยินชื่อแล้วแอบเซ็งว่ะครับ แม่งใช้ผมเช็ดเสื้อให้แต่ดันเปลี่ยนมาใส่เสื้อรุ่นเฉยเลย ไอ้สันขวานเอ้ย แต่ช่างแม่งก่อน ผมหันไปมองเบลที่นั่งถัดจากผมไปสองแถว จังหวะเดียวกับที่เบลก็หันมายิ้มให้ผมพอดี โอ้ยย โคตรน่ารักเลยว่ะแฟนผม เออ ผมยังไม่ได้อวดใช่ป่ะครับว่าเบลเนี่ยแหละที่เป็นดาวคณะศิลปศาตร์ของเราปีนี้

ผมจรดปากกาลงเขียนชื่อเบลลงไปแบบไม่ต้องคิดเลยครับ แล้วผู้ชายนี่จะเขียนใครดี ตอนนั้นใครเป็นเดือนคณะวะ?

“ไอ้ตัง คนหมวยๆ ตู้มๆนั่นใครวะ กูอ่านชื่อไม่เห็น” ไอ้ป่านมันสะกิดผมยิกๆ ผมจิ๊ปากใส่ ไอ้สัดนั่นแฟนกูเว่ย!

“เบลไงมึง” อันนี้ไม่ใช่ผมตอบหรอก ไอ้ปอพี่ชายฝาแฝดมันแหละครับที่ตอบ ไอ้สัดนี่ก็เสือกรู้ทุกเรื่อง

“ไอ้ฟายยย มั่นหน้าสัดๆอ่ะเขียนชื่อตัวเอง” ไอ้ปอมันโบกหัวผมหน้าเกือบทิ่ม ไอ้สัดนี่ทำร้ายร่างกายกู

“ก็กูหล่อ” ผมตอบก่อนจะโบกหัวมันคืน มันส่ายหัวแล้วหันไปมองหน้าฝาแฝดมันแล้วสามัคคีกันเบ้ปากใส่ผม แล้วไง ใครแคร์วะ

“น้องเบล น้องนัทออกมายืนข้างหน้าเพื่อนเลยค่ะ” เสียงพี่น้ำว้าดังขึ้นเสียงจอแจก็เงียบลงทันที เออ..ผมนึกออกละอีนัทตี้นี่เองเดือนคณะ มันแมนอยู่เดือนเดียวแหละครับ จากนั้นก็วิ่งกรี๊ดผู้ชายไปทั่ว

หลังจากไอ้เรื่องเดือนดาวก็ต่อด้วยกิจกรรมรับน้องเหมือนเดิมๆที่ผมผ่านมาหลายปีจนหมดอารมณ์ตื่นเต้นไปหมดละ แล้วไอ้เอะอ่ะก้มเอะอ่ะก้มนี่ขอซื้อได้ไหมวะ ก้มจนหน้ามืดดาวขึ้นแล้วโว้ยยยย

“เบล” ผมเรียกคนที่กำลังหยิบกระเป๋า เบลหันมามองก่อนจะยิ้มน้อยๆให้ผม โอ้ยยย น่ารักโว้ยย

“วันนี้กลับด้วยกันไหม?”

“แหมมม ตังชวนแต่เบลเหรอ แล้วแตงล่ะ?”

“ก็ชวนทุกคนแหละครับ” ผมตอบกลับไปยิ้มๆ จีบเพื่อนเขาก็ต้องเอาใจขาซักหน่อย

“เราล้อเล่นหรอก บ้านอยู่แถวนี้เองกลับเองดีกว่า ไม่ไปเป็นก้างหรอก” แตงแซวยิ้มๆ ผมก็ยิ้มรับ

“พูดอะไรน่ะแตง” เบลพูดเสียงดุ แต่ดูยังไงก็น่ารักมากอ่ะครับ

“เจอกันพรุ่งนี้นะ ไปส่งเพื่อนเราดีๆนะตัง” แตงพูดแล้วผละออกไปก่อน ผมหันไปมองหน้าเบลก่อนจะยิ้มน้อยๆแบบตังสไตล์

“มาเดี๋ยวเราช่วยถือ” ผมเอื้อมมือไปดึงหนังสือเล่มหนาจากฝ่ามือบาง

“อ๊ะ..” เบลร้องขึ้นมาเบาๆ ผมหันไปมองก็เห็นฝ่ามือบางอีกข้างกำลังกำปลายนิ้วเรียวอยู่ ผมรีบวางหนังสือก่อนจะเอื้อมมือไปแกะมือเบลออก

“เลือดออกเลย เจ็บหรือเปล่า?”

“ไม่เท่าไหร่หรอก กระดาษบาดน่ะ”

“เดี๋ยวนะ” ผมล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองเมื่อนึกได้ว่ามีผ้าเช็ดหน้าอยู่ในนั้น ขอยืมก่อนแล้วกันนะไอ้พี่ดินแดน

“ขอบคุณนะ” เบลร้องบอกขณะที่ผมทาบผ้าเช็ดหน้าสีเทาลงบนปลายนิ้วเรียว

“ไม่เป็น...ไร ครับ” ผมตอบ แต่ก็ไม่ได้เต็มเสียงนักเมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบกับสายตาคมของใครบางคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก สายตาที่อ่านไม่ออกว่าหมายความว่าอะไรจ้องมองมาทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก มันรู้สึกปั่นป่วนแปลกๆ แต่ใบหน้านิ่งขึงนั้นก็หันกลับไปแล้ว แผ่นหลังกว้างก็ไกลออกไปเรื่อยๆจนสุดสายตา ผมก้มลงไปมองฝ่ามือที่กำลังกำผ้าเช็ดหน้าแน่นของตัวเอง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมผละมือออกจากเบลแล้วเผลอกำผ้าเช็ดหน้าผืนเรียบนี้จนยับ

และก็ไม่รู้ว่าทำไม….

ผมต้องรู้สึกผิดกับพี่มันด้วยวะ ?


⇤  BEGIN AGAIN  ⇥


สามวันมาแล้วที่ผมไม่มีโอกาสได้เจอกับไอ้พี่ดินแดนแบบที่สามารถจะพูดคุยกับพี่มันได้เลย เวลาไม่อยากเจอก็เจอตลอด ทีเวลาอยากเจอแม่งก็ไม่ได้เจอ เออ โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าผมพิสวาทพี่มันล่ะ ผมแค่อยากจะขอโทษเรื่องผ้าเช็ดหน้าแค่นั้นแหละ แต่ช่างมันก่อนก็ได้ มาอัพเดทเรื่องผมกับเบลกันดีกว่า สามวันที่ผ่านมาเรามีพัฒนาการที่ดีมากครับ มีไลน์คุยกันทุกวันก่อนนอน กินข้าวกลางวันด้วยกันบ้าง และกลับบ้านด้วยกันเกือบจะทุกวัน โคตรจะแฮปปี้อ่ะ

“สรุปมึงจีบเบลถูกมะ?” ไอ้ปอมันถาม

“เออไง”

“สัด แล้วทำเงียบ” ผมยักไหล่แบบไม่สนใจก่อนจะตั้งใจกินข้าวต่อ วันนี้ผมมากินข้าวที่โรงอาหารกลางเพราะไอ้แฝดมันอยากจะมาเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง จริงๆน่าจะเรียกว่าเปลี่ยนที่ส่องสาวมากกว่า ห่า เป็นแค่ปีหนึ่งเสือกเร่ร่อนมาถึงนี่

ผมนั่งดูดโค้กอย่างสบายใจเมื่อซัดข้าวมันไก่เจ้าอร่อยจนเกลี้ยง เจ้านี้อร่อยจริงนะผมกินมาหลายปีแล้ว เออ ไม่งงกันเนอะ

“อ่าว..พี่เต๋าหวัดดีครับ” ทันทีที่ผมรู้สึกว่ามีคนเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังไอ้ปอก็ส่งเสียงทักทันที ผมรีบหันควับก็เห็นว่าพี่มันยืนยิ้มเผล่

“ผมนั่งด้วยคนได้ไหม โต๊ะมันเต็ม”

“ตามสบายครับพี่” ไอ้ป่านตอบพลางขยับสัมภาระไปสุดมุมโต๊ะ

“มองหาใครเหรอครับน้องตัง?” พี่เต๋าหันมาถามผม รอยยิ้มพี่มันดูกวนตีนพิกล

“เปล่าครับ แล้วนี่พี่เต๋ามาคนเดียวเหรอครับ?”

“ก็มากันครบแหละ นั่นไง” พี่เต๋าโบกมือหยอยๆไอ้คนหน้านิ่งที่ถือข้าวมันไก่สองจานก็เดินตรงเข้ามาพร้อมกับพี่บอยที่ประคองชามก๋วยเตี๋ยวของตัวเองมาด้วย

“สัด กูบอกให้มึงไปซื้อน้ำไง” คนที่นั่งลงตรงข้ามกับผมพูดก่อนจะวางจานข้าวมันไก่ลงตรงหน้าพี่เต๋า นั่งตรงข้ามกันก็จริงแต่แม้แต่หางตาพี่มันยังไม่มองผมเลยครับ

“ก็มาหาโต๊ะให้พวกมึงนั่งก่อนนี่ไง ถูกใจป่ะล่ะ?” พี่เต๋ามันยิ้ม ผมนี่ขยี้ตาแรง ตรรกะแก๊งค์นี้มันเพี้ยนหรือไงวะ อีกคนก็ทำหน้าเหมือนโกรธใครมาซักสิบปี อีกคนก็ระรื่นหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน

“รีบไปให้ไว” พี่บอยบอกก่อนที่พี่เต๋าจะลุกเดินออกไปโดยดี

ผมหยิบมือถือขึ้นมากดดูแจ้งเตือนไปพลางๆ แม่งโคตรกระอักกระอ่วนยังไงบอกไม่ถูก เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้เพราะไม่ได้นับที่ผมลอบมองใบหน้าของคนที่ยังกินข้าวนิ่งๆไม่สนใจคนรอบข้าง แบบ...มันไม่มีจังหวะให้ผมแทรกเข้าโลกส่วนตัวมันได้เลย พี่เต๋ากับพี่บอยแม่งก็ไม่สนใจจะคุยกับเพื่อนมันเลยเหรอวะ? เห็นแม่งยุกยิกๆกันอยู่แค่สองคน เออ ไอ้ปอกับไอ้ป่านแม่งก็ไม่สนใจผมเหมือนกันแหละ

“พี่..” ผมตัดสินใจเรียกคนตรงหน้าเบาๆเมื่อมันวางช้อนส้อมแล้วหยิบแก้วโค้กขึ้นดื่ม พี่มันไม่ได้ตอบรับอะไรแค่มองหน้าผมนิ่งๆ

“เรื่องผ้าเช็ดหน้า ผม...ขอ”

“ช่างเถอะ กูตั้งใจจะทิ้งอยู่แล้ว” มันพูดก่อนจะหยิบจานข้าวของตัวเองแล้วลุกขึ้นเดินออกไปซะเฉยๆ เหวอเลยกู คือนี่กูต้องรู้สึกผิดต่อหรือควรจะเลิกสนใจแม่งดี ไอ้สันขวานดินแดน!


และแล้วช่วงเวลาแห่งความวิงเวียนก็กลับมาอีกกครั้ง วันนี้พี่ว้ากแม่งดูจะขยันเป็นพิเศษสั่งก้มแล้วก้มอีกจนผมแทบจะขย้อนเอาข้าวมันไก่ออกมาดูเล่น

“ใครที่รู้ตัวว่าตัวเองทำผิด ผมขอให้ลุกขึ้นยืนด้วยครับ” ไอ้พี่ดินแดนพูดเสียงเย็น จากนั้นเสียงงึมงำก็ดังขึ้นระงมเพราะตอนนี้ทุกคนกำลังถูกสั่งให้ก้มหน้ากันอยู่ ใครพูดอะไรมันเลยฟังไม่ค่อยจะได้ศัพท์

“น้องสี่คนออกมาข้างหน้าเพื่อนเลยครับ เอาล่ะ ทุกคนเงยหน้าได้” ประโยคนี้พี่ว้ากเบอร์สองนั่นก็คือพี่วินเป็นคนพูดต่อ ผมเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะเห็นว่าเบลก็เป็นคนนึงที่ยืนอยู่ตรงนั้น ความทรงจำของผมวิ่งย้อนกลับมาแทบจะทันที

“เนคไทด์คุณไปไหนครับ?” คำถามแรกกับเพื่อนคนที่ยืนอยู่ริมสุด

“มะ มันหายครับ”

“แล้วคุณล่ะ?” นี่ก็อีกคนที่ไม่มีเนคไทด์ ผมว่าพวกมันโดนเพื่อนแกล้งชัวร์ๆ

“หะ หาย มะ เหมือนกันครับ”

“แล้วคุณล่ะ ป้ายชื่อของคุณไปไหน?” คำถามนี้เป็นของเบลครับ ไอ้พี่ดินแดนมันกอดอกนิ่งๆ แม้แต่กับผู้หญิงน่ารักๆมันยังทำหน้าเฉยเมยไร้อารมณ์ได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ!

“ลืมไว้บนห้องกิจกรรมค่ะ”

“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าป้ายชื่อเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับปีหนึ่งทุกคนคุณกลับไม่ใส่ใจกับมัน หรือคุณคิดว่าใครๆก็จำคุณได้งั้นเหรอ?” พี่วินพูดเสียงดังลั่นจนทุกคนเงียบกริบ

“คุณ ยืนขึ้นครับ” พี่วินมองตรงมาที่ข้างๆผม มันคือไอ้ป่านครับ

“เพื่อนคุณคนนี้ชื่ออะไรครับ?”

“เบลครับ” พี่วินและพี่ว้ากคนอื่นๆพยักหน้า มีอยู่แค่คนเดียวที่ยังคงตีหน้านิ่งสนิท

“สรุปว่าพวกคุณทุกคนรู้จักเพื่อนคนนี้?” พี่วินขึ้นเสียงสูงท้ายประโยคเป็นคำถาม ทุกคนยังเงียบสนิท

“รู้จักครับ” ใช่ครับ ผมเอง

“น่าดีใจมาก ปีหนึ่งปีนี้รู้จักกันดีจริงๆ” พี่วินยิ้มก่อนจะหันไปสบตากับไอ้คนหน้านิ่งนั่น พี่ดินแดนก้าวออกมาข้างหน้าสองก้าวก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆตามสไตล์

“ปีหนึ่งทุกคนหันป้ายชื่อเข้าหาตัวครับ” 

“คุณ” ไอ้พี่ดินแดนชี้มือมาที่ผม

“เพื่อนคุณคนนั้นชื่ออะไร?” นิ้วเรียวยาวชี้ไปที่เด็กเอกอิงก์ที่นั่งอยู่ในแถวอีกฟาก นึกย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อนไอ้ห่านี่เป็นคนที่ทำให้ผมเหนื่อยแทบปางตาย เพราะผมจำชื่อมันไม่ได้  แต่คราวนี้ไม่ได้กินกูหรอกครับ

“เจมส์ครับ” ไอ้เจมส์จิหันป้ายกลับมา ทำให้ผมยิ้มเหนือ หึหึ

“คนนั้นล่ะ?”

“มิวครับ” อึ้งครับทุกคนอึ้ง เจ้าตัวมันยังอึ้งเลยครับว่าผมรู้ได้ยังไง กูรู้จักมึงมาสามปีแล้วครับ เออ หรือผมจะไปรับจ๊อบเป็นหมอดูดีวะ บอกเลยว่าแม่นแน่นวลลลล

“แล้วคนนั้นล่ะ?”

“.......”

เหี้ยแล้วไง ไอ้ห่านั่นมันเป็นใครวะ?   

ผมพยายามนึก แต่หน้าตาแบบนี้ไม่มีผุดขึ้นมาเลยในความทรงจำที่ผ่านมา กูว่ามึงต้องซิ่วไปนานแล้วชัวร์ ไอ้สันดานนนน

“หันป้ายชื่อมาครับ” ไอ้หน้าจืดหันป้ายชื่อมาข้างหน้า ‘น้องจิ้ง’  จิ้งพ่องสิ

“ปีหนึ่งตบมือให้เพื่อนคุณด้วยครับ” พี่วินพูดพร้อมตบมือนำเป็นตัวอย่าง

“ผมยกย่องคุณในเรื่องความกล้า แต่การที่เข้ามาช่วยเหลือเพื่อนแบบผิดๆยังไงคุณก็ต้องถูกลงโทษด้วยเช่นกัน” พี่วินพูดต่อก่อนที่ใครบางคนจะก้าวมายืนคู่กัน แล้วภาพนี้ผมก็ยังคงจำได้ดี มันเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมได้รู้จักกับไอ้พี่ดินแดนเป็นครั้งแรกเมื่อสามปีก่อน ไอ้พี่ดินแดน ไอ้โหดดดดด

“ผมเห็นแก่ความที่คุณเป็นคนรักเพื่อนมาก ดังนั้น ทุกคนกลับไปนั่งที่ของตัวเองได้ครับ” คำพูดของพี่มันทำให้พวกเพื่อนๆถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วหันมาขอบคุณผมเป็นการใหญ่ แต่แม่งงงง นรกกำลังจะเกิดขึ้นกับกูครับ

“ส่วนคุณ วิ่งรอบสนามฟุตบอล 10 รอบ เชิญครับ” ผมมองหน้านิ่งๆของคนสั่ง ดวงตาคมก็มองผมตอบ

“พี่ครับ” เป็นไอ้ป่านเพื่อนรักผมครับที่ร้องท้วง แม่งโคตรซึ้งใจ

“ผมไม่รับคำอุธรณ์”

สาดดดดดดดดดดดดด


“ไหนว่าเป็นเทวดาไม่โกหกไงวะ?” ผมแอบบ่นในใจ จะได้ยินก็ได้ยินไปเถอะ ไม่อยากจะคบละเทวดาขี้โกหกเนี่ย

“เอ็งด่าใครไอ้เด็กโง่” นั่นไง ที่งี้ล่ะออกมาไวเลย แล้วชุดวอร์มสีแดงแจ้ดนี่มันอะไรกัน คิดดูเหอะ แดงยันรองเท้าวิ่งอ่ะ

“ท่านก็น่าจะรู้ป่ะ?”

“แล้วข้าไปโกหกอะไรเอ็ง”

“ก็ไหนบอกว่ามันจะไม่เหมือนเดิมไง โห้ยนี่วิ่ง 10 รอบเหมือนเดิมเป๊ะๆ”

“ถ้าไม่อยากให้เหมือนเดิมแล้วเอ็งทำเหมือนเดิมทำไมล่ะ? จะว่าไป มันไม่ดีเหรอ ข้าแอบเห็นนะว่าสาวประทับใจ” ท่านเทวดาที่วิ่งข้างๆผมตอบเสียงสบายๆ วิ่งอะไรเหงื่อไม่ออกซักหยด ผมนี่เปียกตั้งแต่รักแร้ยันไข่ละ

“ไม่อยากจะด่าว่าโง่” เสียงที่ลอยตามลมมาว่างี้

“ก็รู้หรอกว่าอ่านใจคนได้ แต่ผมคิดอะไรก็ปล่อยข้ามๆไปบ้างก็ได้ป่ะ?”

“ก็เรื่องของข้าป่ะ?” เลียนแบบกันงี้ก็ได้เหรอ

“แต่จริงๆ มันก็ไม่ได้เหมือนเดิมไปซะทีเดียวหรอก” ผมหันไปมองท่านเทวดาที่หยุดวิ่งแต่กลับมองไม่เห็นเทวดาซักองค์ที่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่มันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมเห็นใครบางคนวางอะไรบางอย่างที่ข้างกระเป๋าของผมบนสแตนด์เชียร์

ที่ผมจำได้ก็คือหลังจากที่พี่เต๋าเดินเข้ามาบอกผมให้หยุดวิ่ง พอกลับไปสิ่งที่วางอยู่ข้างกระเป๋ามันคือขวดน้ำกับอมยิ้มรสคาราเมลที่ผมคิดมาตลอดว่าเบลเป็นคนเอามาวางไว้ให้ แต่รูปร่างของคนที่เห็นในวันนี้มันแตกต่างจากเบลอย่างสิ้นเชิง ถึงมันจะไกลจนมองแทบไม่ออกว่าเป็นใคร แต่คนที่ผมเห็นตรงนั้นเป็นผู้ชาย และเป็นผู้ชายที่ตัวสูงมากๆด้วย

รูปร่างท่าทางแบบนั้น...

“ตัง น้องตัง พอแล้วล่ะ” พี่เต๋าเรียกให้ผมตื่นจากภวังค์ ผมหันไปพยักหน้ารับเบาๆโดยไม่ได้ถามหาเหตุผลอะไรเหมือนครั้งก่อนเพราะตอนนี้มันมีสิ่งที่ผมสนใจมากกว่านั้น

เจ้าของอมยิ้มคาราเมลหวานๆนั่น เป็นพี่เองเหรอวะ ?

แม่ง

ตบหัวแล้วลูบหลังกันนี่หว่า...


xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

มาแล้วค่าาา
ขอบคุณทุกคนที่กดเข้ามาอ่านน้า  :pig4:
สำหรับคนที่เล่นทวิตเตอร์เจอกันได้ที่แท๊ก #ที่เก่าเวลาเดิมแต่ #ดินแดนของตัง
เจอกันตอนหน้าวันศุกร์ที่ 20 ค่ะ
หัวข้อ: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP03 - Unknow Person [20.07.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 20-07-2018 16:11:26
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#3




ในที่สุดก็ถึงวันนี้ที่รอยคอย รับน้องใหญ่ซักทีโว้ยยยยย

มาถึงตอนนี้บอกได้เลยว่าความสัมพันธ์ของผมกับเบลก้าวหน้าแบบสุดๆเลยครับ แต่เอาจริงๆแว้บนึงผมก็แอบเบื่อนะ แม่ง คิดถึงชีวิตปี3 ของผมจังว่ะ

“พี่เขาเรียกรวมแล้ว” ผมพยักหน้าเนือยๆกับคำพูดของไอ้ป่าน ก้มลงมองสารรูปตัวเอง กางเกงวอร์มขายาวสีดำกับเสื้อสีน้ำเงินเข้มที่มองยังไงมันก็คือผ้าขี้ริ้วดีๆนี่แหละ นี่เลือกแบบเน่าสุดเลยนะเอาจริง นึกย้อนไปตอนนั้นเสื้อยืดจิออดาโน่สีดำของผมที่กลายเป็นของสังเวยถังขยะแล้วอยากร้องไห้

“แนะนำตัวค่ะ” นี่เสียงพี่น้ำว้าคนสวยครับผมจำได้ ตอนนี้พวกผมกำลังยืนอยู่ที่ซุ้มแรกหลังจากโดนปิดตาเป็นที่เรียบร้อย

“ผมชื่อ ชัยภัส อรุณมา ชื่อเล่นชื่อ ป่าน ครับ”

“ชัยพล อรุณมา ปอ ครับ”

“ธนพัฒน์ อัครเดชาภา ตัง ครับ” ต่อจากไอ้แฝดก็คือผมเองพ่วงด้วยเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกเจ็ดคน

“น้องหน้าดูซีดๆกันนะคะวันนี้” โปรดอย่าคิดว่าพวกพี่เขาเป็นห่วงครับ

“มาค่ะ เดี๋ยวพี่แต่งหน้าให้” หลังจากนั้นหน้าพวกผมก็บรรลัยไปด้วยลิปสติกสีแดง แหมม ละเลงกันสนุกไปครับ  แต่นี่หน้าคนนะเว่ยไม่ใช่กระดานเล่นเอ็กซ์โอ!

“หมุนตัวหนึ่งรอบแล้วไปต่อได้ค่ะ!”

ผมสูดหายใจเฮือกใหญ่เตรียมรับชะตากรรม 

สู้โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยย!   แต่จริงๆมันก็ไม่ขนาดนั้นหรอก

“ก้มหัวแล้วมุดเข้าไปเลยค่ะ” ได้ยินเสียงรุ่นพี่สาวๆคอยบอกอยู่ข้างหู ก่อนจะได้ยินเสียงซอกแซ่กๆของใบมะพร้าวที่เอามามัดเป็นซุ้ม

“อ้ากกก ตัวเหี้ยอะไรวะเนี่ย!?” เอาละครับไอ้ป่านเปิดประเด็นแล้ว

“ไอ้เหี้ยๆ ๆ ๆ” 

“เหี้ยยยยยยยยยยยย”

“กรี้ดดดดดด”

“ไม่เอาาาาาาาา ฮึก หนูกลัว ฮืออออ”

แล้วก็ตามมาเป็นสิบๆเสียง เอาจริงๆตอนนั้นผมนี่ก็แหกปากดังไม่ใช่เบาครับ แต่ตอนนี้เบๆครับ เกลียดอย่างเดียวแม่งเลอะเทอะชิบหาย

“เหี้ย ไส้เดือน!”

“กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”

จ้าล่ะหวั่นกันล่ะทีนี้เพราะทุกคนในกลุ่มที่กำลังคลานอยู่ในซุ้มกำลังแตกแถวฮือ เพราะไส้เดือนของไอ้ป่าน จริงๆแล้วมันคือเส้นเฉาก๊วยครับพี่น้องค้าบบบ

“ไอ้เชี่ยปอ นี่มันเฉาก๊วยโว้ยย!” ผมโพล่งออกไปลั่นเมื่อได้ยินเสียงมันแหกปากร้องไม่หยุด จากนั้นความอลม่านก็สงบลงชั่วครู่ ก่อนที่เสียงเรียบๆจะดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล

“อย่าให้ผมรู้นะครับว่าใครถอดผ้าปิดตาออกหรือแอบมอง” จำไม่ผิดนี่คือเสียงพี่วิน ใช่ครับในซุ้มจะต้องมีรุ่นพี่สองสามคนคอยยืนอยู่ด้านในเพื่อคอยช่วยไม่ให้พวกน้องๆเหยียบกันเอง ปีผมไอ้ปอไอ้ป่านก็อยู่ในนี้ครับแต่ผมอยู่ด่านถัดไปกับพวกสาวๆ คือขี้เกียจเลอะเทอะอ่ะ

“ยกขาครับระวังสะดุด!” เสียงร้องเตือนมาเป็นระยะๆ พ่วงด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ แม่ง กูรู้หรอกมึงหลอกให้พวกกูยกขาหลบอากาศน่ะ!

“เฮ้ย ไอ้วินระวัง!” ไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่เสียงนี้ดังขึ้นอะไรบางอย่างก็กระแทกผมอย่างจังจนหงายหลังไปนั่งจ้ำเบ้าบนพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำโคลนเฉอะแฉะ

“โทษทีๆ น้องเป็นไงบ้าง?”

“สัด” ผมได้ยินเสียงสบถเบาๆอยู่ข้างหูก่อนที่ความแสบจะเล่นงานข้อเท้าผมอย่างจัง ตอนนั้นมันไม่ได้เป็นแบบนี้นี่หว่า....

“ไอ้....ให้กูช่วยไหม?” เสียงของพี่วินขาดห้วงไปก่อนจะพูดต่อ ผมไม่ได้ยินคู่สนทนาอีกฝ่ายโต้ตอบอะไรออกไป แต่รู้สึกว่ามีคนประคองผมให้ลุกขึ้นยืนแล้วหิ้วปีกผมเดินออกไป

“โอ้ย” ผมเผลอร้องออกไปไม่ดังนักก่อนจะเม้มปากแน่น สำออยไม่ดีครับเสียฟอร์ม แต่แม่งแสบชิบหายเลยโว้ยยยย

“พี่ ผมเปิดตานะ” ผมบอกออกไปเมื่อถูกประคองมานั่งลงบนเก้าอี้ ตรงนี้น่าจะเป็นซุ้มหน่วยพยาบาลนะคิดว่า

“.......”

“พี่” ผมเรียกย้ำอีกครั้งเมื่อคนที่พาผมมาแม่งไม่ยอมตอบ จะเปิดเลยก็เดี๋ยวแม่งด่าอีก

“.......”

“ถ้าพี่ไม่ตอบงั้นผมเปิดเลยนะ” ผมดึงผ้าที่ผูกปิดตาออกก็เห็นพี่แก้มส่งยิ้มน้อยๆให้ผม

“แสบหน่อยนะคะ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะมองเลยไปด้านหลังของพี่แก้ม ที่นอกเต้นท์นั่นก็มีคนเดินไปเดินมาขวักไขว่แต่ดูที่ท่าแล้วพวกนั้นก็ไม่น่าจะใช่คนที่พาผมมาตรงนี้นะ

“เขาไปแล้วค่ะ” พี่แก้มพูดยิ้มๆ แถมน้ำเสียงยังดูมีนัยแปลกๆยังไงไม่รู้อ่ะ คือไรวะ?

ผมนั่งมองข้อเท้าตัวเองที่ตอนนี้ถูกพันด้วยผ้าก๊อซสีขาวไว้อย่างเรียบร้อย จริงๆผมก็ยังเดินไหวเพราะไม่ได้เจ็บอะไรมาก แผลมันไม่ได้ลึกมากแต่เป็นรอยขูดยาวๆแล้วก็ถลอกน่าจะไปขูดกับอะไรซักอย่างตอนที่ลื่นล้ม แต่ยังไงผมก็ไม่ได้รับอนุญาติให้ไปร่วมกิจกรรมรับน้องต่ออยู่ดี จะว่าไปมันก็ดีนะ ไม่ต้องไปถึงด่านแดกนรกนั่น บรเพชเคลือบน้ำตาลยังหลอนผมไม่หาย ใครแม่งเป็นคนคิดผมก็อยากจะรู้ ขมจนขนหัวลุกไปหมด!

‘คลิ๊ก’

อยู่ๆรอบตัวผมก็มืดลง คนที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมาก็หยุดนิ่งไม่ขยับ แสงสปอร์ตไลต์ส่องมาที่หน้าผมแว้บนึงจนต้องยกมือขึ้นมาบังไว้

“เป็นไงบ้างไอ้เดี้ยง?” เทวดาที่ใส่ชุดกราวน์คุณหมอถามผม แหมห้อยสเตทไว้ที่คอซะด้วย พร้อบท่านนี่พร้อมเหลือเกิ้นนน

“ก็เจ็บอ่ะดิ่” ผมตอบ ท่านเทวดาหัวเราะก่อนจะนั่งลงบนอากาศธาตุที่อยู่ๆก็กลายเป็นโซฟานวมอย่างดีซะอย่างนั้น

“แล้ววันนี้เล่นเป็นคุณหมอเหรอ?”

“เผื่อเอ็งเจ็บหนักไงข้าจะได้รักษาทัน”

“เฮ้ย ท่านทำได้ด้วยเหรอ!?” ผมออกจะตื่นเต้นนิดๆ แต่เป็นเทวดาก็น่าจะทำได้อยู่แล้วนี่เนอะ

“ล้อเล่น”

“อ่าว...ไหนบอกเทวดาโกหกไม่ได้ไง?”

“ก็ไม่ได้โกหกแค่ล้อเล่นป่ะ”

“เบื่อจะเถียง” ผมบอกแล้วถอนหายใจ ได้ยินท่านเทวดาหัวเราะหึหึก่อนที่โซฟานวมจะหายไปเมื่อท่านลุกขึ้นยืน

“ข้าไปดีกว่า”

“เอ้า มาแค่เนี้ยะ?” ไหนบอกว่าเทวดางานยุ่งไงวะ

“ก็ยุ่ง แต่อยากมาดูหน้าคนเดี้ยงอ่ะมีไรป่ะ?” จบประโยคปุ๊บรอบๆตัวผมก็สว่างทันตา คนที่ยืนหยุดอยู่กับที่ก็ออกเดินต่อไปเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน เออดีเนอะ

“น้องตัง เดี๋ยวไปรอเรียกรวมที่ใต้ตึกเก้าได้เลยนะ” พี่แก้มเดินมาบอกผม ก่อนจะใช้นิ้วชี้วนๆตรงหน้าตัวเองแล้วอมยิ้ม

“เอ่อ...ครับ” ผมตอบรับ เชี่ย ตารางเอ็กซ์โอบนหน้ากู! แล้วก็ไม่มีใครเตือนกูเลยทั้งคนทั้งเทวดา ถึงว่าใครเดินผ่านมาก็ทำหน้ากลั้นขำใส่ แม่งงงงง

ผมเดินไปเข้าห้องน้ำที่ดูสภาพก็รู้ว่าผ่านสมรภูมิรบมาโชกโชนขนาดไหน ทั้งกระดาษทิชชู่เปื้อนลิปสติกสีแดงแปรดที่ล้นออกมาจากถังขยะ ทั้งซากไส้เดือนเฉาก๊วยที่นองเต็มพื้น ทุกคนคงเข้ามาล้างกันหมดแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เอาเข้าจริงมันไม่ได้ทำให้สะอาดขึ้นเท่าไหร่หรอกเพราะมีเวลาล้างแค่ 5 นาทีเท่านั้นแหละ

ผมเปิดก๊อกน้ำก่อนจะวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า แม่งถูยังไงก็ถูไม่ออก ตอนนี้โฟมล้างหน้าไม่ต้องพูดถึงแค่ทิชชู่ยังไม่มีเลย จะเอาไอ้เสื้อเน่าๆที่ใส่อยู่มาเช็ดก็… ห่า หน้าแหกพอดี!

“หน้ามึงแม่งโคตรน่าเกลียดอ่ะ”

เสียงทักที่หน้าห้องน้ำดังขึ้นทันทีที่ผมก้าวออกไป ไม่ต้องเดาก็รู้ใช่ไหมว่าใคร มันนั่นแหละ ไอ้คนหน้านิ่งที่ชอบกระตุกยิ้มด้วยมุมปากข้างเดียวคนนั้นนั่นแหละ ผมถอนหายใจก่อนจะก้าวขาเดินต่อ แต่พี่แม่งก็เดินมาขวางตรงหน้าผมพอดี

“พี่มีไรกับผมหนักหนาวะ?” ผมโพล่งออกไป เอาอีกแล้วไงกู หยาบคายไม่คิดอีกละ

“สงเคราะห์ให้” พี่มันพูดก่อนที่ฝ่ามือใหญ่ๆที่ถือผ้าเช็ดหน้าจะโปะลงมาบนหน้าผมเต็มๆจนผมต้องรีบแกะมือมันออก

“อื้อออ” กูหายใจไม่ออกตายไปทำไงวะ!

ผมหน้ามุ่ยอย่างอารมณ์เสียแต่พี่มันกลับยิ้ม แถมยิ้มกว้างซะด้วย

“จับมือกู ชอบกูเหรอ?” ไอ้พี่ดินแดนมันชูมือข้างที่ผมจับมือมันไว้พร้อมกับผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา ผมรีบสะบัดออกแทบไม่ทัน

“บ้าบออะไรล่ะ”

“หึหึ” ไอ้คนกวนประสาทมันหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะยัดผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มใส่มือผม

“เปื้อนหน้ามึงแล้วเอาไปซักให้ด้วย ถอย จะไปฉี่” พูดจบมันก็เดินผ่านผมก้าวเข้าห้องน้ำไปซะเฉยๆ แบบนี้ก็ได้เหรอวะ?

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินไปไหนก็มีเสียงเข้มๆดังขึ้นจากข้างหลังก่อนที่จะได้ยินเสียงประตูห้องน้ำปิดลง

“อันนี้ไม่ได้ทิ้ง อย่าเอาไปให้คนอื่นใช้อีกล่ะ”


⇤  BEGIN AGAIN  ⇥


วันนี้ก็ครบอาทิตย์พอดีหลังจากวันรับน้องใหญ่วันนั้น แผลที่ขาผมก็หายดีแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนปกติดีแต่จริงๆในใจผมว่ามันไม่ใช่ว่ะ ผมคิดว่าช่วงชีวิตของผมในตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด เปลี่ยนไปแม้กระทั่งความรู้สึกของผมเองด้วยซ้ำ…

ผมพยายามจะสลัดบางสิ่งบางอย่างที่มันคาใจผมออกไปให้หมดแล้วสานสัมพันธ์กับเบลให้ก้าวหน้ากว่านี้ แต่แว้บนึงในห้วงของความคิดมันกลับไปนึกถึงการกระทำหลายๆอย่างของใครบางคนทุกทีไป

โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ผมแหกปากในใจดังลั่นก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างตบแปะที่ข้างแก้มตัวเอง เบล เบล เบล ผมท่องชื่อคนที่ควรจะคิดถึงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ไลน์ส่งให้เธอ


                                                                                           
‘เย็นนี้ว่างป่ะครับ ไปดูหนังกัน’

‘พรุ่งนี้เช้าเรามีควิซ ไว้วันอื่นได้ไหม?’

                                                                                                                         
‘ครับ’

ผมพิมพ์ตอบกลับไปก่อนจะยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม บทสนทนาของเราสั้นมาก และมันก็สั้นขึ้นทุกทีในช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา และมันก็น่าแปลกมากที่ผมไม่ได้ผิดหวังกับการปฏิเสธของเบลแบบที่คิดไว้เลย…

“สัด แม่งซุ่ม” ไอ้ป่านมันแขวะผมหลังจากที่ดูผลควิซที่ติดไว้บนกระดาน ผมได้เต็มไง ควิซง่ายๆของปีหนึ่ง ถ้าไม่เต็มก็ควายละครับ

“ซุ่มพ่อง” ผมเตะข้อพับมันไปทีก่อนจะเดินหนีออกมาก่อน

“ไปไหนกันดีวะ สยามมะ?”

“เออ กูอยากแดกชาบู”

เสียงไอ้แฝดสยามมันเดินคุยกันเรื่อยเปื่อยตามหลังผมมา ผมที่กำลังจะหันไปร่วมบทสนทนาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นใครบางคนจากประตูกระจกของห้องกิจกรรมภาษาอังกฤษเข้าซะก่อน

“ไอ้ตัง...เชี่ยตัง”

“ไอ้เชี่ยตัง!”

“ฮะ...อะ อะไรของพวกมึงวะ?” ไอ้แฝดมันประสานเสียงจนผมสะดุ้งเฮือก

“มึงจะไปไหมสยามอ่ะ?” ไอ้ปอถาม

“ไปดิ่ แต่เดี๋ยวกูตามไปนะ พวกมึงไปกันก่อนเลย”

ผมตัดสินใจหยุดยืนอยู่ที่มุมบันไดด้านล่างเพื่อรอใครบางคน เออ ก็ไอ้พี่ดินแดนน่ะแหละ เดี๋ยว อย่าเพิ่งคิดกันไปไกล มันไม่ได้เป็นแบบที่พวกคุณคิดหรอก เชื่อดิ่

“พี่ดินแดน” ผมส่งเสียงเรียกเมื่อเห็นเป้าหมายกำลังเดินลงบันไดมาพร้อมกับพี่เต๋า

“อ้าว น้องตัง” ไม่ใช่พี่มันหรอกที่ทักทายกลับมา ไอ้พี่ดินแดนมันได้แต่เลิกคิ้วเป็นคำถาม

“หวัดดีครับพี่เต๋า” ผมยกมือไหว้ พี่เต๋ายิ้มรับก่อนจะหันไปตบไหล่หนาๆของเพื่อตัวเองเบาๆสองสามที

“งั้นกูไปก่อนนะไอ้แดน ปล่อยเหี้ยบอยแม่งรอนานเดี๋ยวแดกหัวกูอีก”

“เออ”

“ฝากพาเพื่อนพี่ไปกินข้าวทีนะ” หะ ผมเอานิ้วชี้มาทีตัวเองเป็นเชิงถามว่าพี่มึงพูดกับกูเหรอครับ? พี่เต๋ามันพยักหน้ายิ้มๆก่อนจะโบกมือบายๆแล้วเดินหนีไปเลย แบบนี้ก็ได้เหรอ? 

“มีอะไร?” คำถามสั้นๆเปล่งออกมาจากคนยืนอยู่ข้างหน้า ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่มันก่อนจะเปิดกระเป๋าสะพายแล้วล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวมาทั้งอาทิตย์ยื่นคืนให้

“เอาของพี่คืนไป” ทำไมประโยคนี้วันนี้มันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆวะ

ไอ้พี่ดินแดนไม่ตอบรับอะไร ฝ่ามือกว้างยื่นมารับผ้าเช็ดหน้าในมือผมแล้วใส่ลงในกระเป๋าเสื้อ

“งั้นผม…”

“อยากกินซูชิ ไปกินด้วยกันหน่อยดิ่”

“.......” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่พูด พี่มันถอนหายใจเบาๆก่อนจะคว้าข้อมือผมแล้วพาเดินออกไปซะเฉยๆ

“เห้ยพี่!” ผมร้องท้วงแต่สองขาก็ไม่ได้หยุดเดินเพราะคนที่กำลังจับข้อมือผมไว้ไม่ยอมหยุด ใบหน้านิ่งๆหันกลับมามองผม ฝ่ามือใหญ่คลายออกนิดหน่อยแต่ก็ยังไม่ปล่อยมือออกไป

“ก็มึงช้า” คนที่หันหน้ากลับไปแล้วพูดแบบนั้นแล้วเดินต่อไปโดยที่ไม่หันหน้ากลับมาอีกเลย

แต่….

พี่ดินแดนมันต้องพาผมเดินเร็วมากแน่ๆหัวใจผมถึงได้เต้นเร็วและแรงขนาดนี้ แดดแม่งก็คงแรงมากเหมือนกันเพราะมันทำให้ผมรู้สึกร้อนหน้าไปหมด แต่ถ้าจะถามว่าทำไมผมยังยอมให้พี่มันจับมือผมเดินไปถึงรถได้ล่ะก็…..

ผมแม่งก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย




“กินยาลืมเขย่าขวดเหรอ?” อยู่ๆไอ้พี่ดินแดนมันก็พูดขึ้นมาทำให้ผมถลึงตาใส่

“พี่อ่ะเหรอ?”

“มึงน่ะแหละ”

“ผมทำไม?”

“ก็มึงเงียบ ปกติต้องโวยวายดิ่” คนพูดยังทำหน้านิ่งเหมือนเดิมแต่น้ำเสียงพี่มันเจือเสียงหัวเราะอยู่นิดๆ

“บ้าบอ” ผมพูดก่อนจะหันหน้าหนีสายตาคมๆนั่นไปมองสายพานของซูชิแทน แซลมอน โอโทโระ อุนิ โฮตาเตะ อะไรทั้งหลายแหล่มันเลื่อนผ่านหน้าผมไปเรื่อยๆโดยที่ผมไม่คิดจะหยิบมัน

เอาจริงๆ ผมเรียนเอกญี่ปุ่นแต่ผมก็ไม่ชอบกินซูชิหรอกนะ เออ คือมันก็ไม่เกี่ยวกันเนอะ ดูอย่างไอ้คนเรียนเอกอิงก์ข้างๆผมสิมันซัดเอาๆจนจานเรียงกันเป็นสิบชั้นละ แลดูหิวโหยมากกก

ผมนั่งมองคนที่กำลังกดสั่งอะไรในจอข้างๆนั่นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก พี่ดินแดนในตอนนี้มันไม่เหมือนกับความทรงจำที่ผ่านมาของผมเลยซักนิด ถ้าตอนนี้คือตัวตนจริงๆ ตอนนั้นก็คงต้องเรียกว่าผมไม่ได้รู้จักอะไรพี่มันเลยดีกว่า

“ทีรามิสุค่ะ” เสียงพนักงานในร้านดังขึ้นทำให้ผมต้องหันไปมอง

“ขอบคุณครับ” 

อ่าว….แม่งสั่งของหวานไม่บอกกูเลย ห่า

และตอนที่ผมกำลังค้อนมันในใจอยู่ๆจานเค้กก็ย้ายมาวางข้างหน้าผมแทน

“เอาไป กูไม่กิน”

“ไม่กินแล้วสั่งมาไมล่ะ?”

“.........” พี่มันเงียบไม่ยอมตอบ แต่ฝ่ามือใหญ่ๆมันเอื้อมมาจะหยิบจานเค้าทำให้ผมต้องรีบดึงเข้าหาตัว 

“ให้แล้วห้ามเอาคืนดิ่วะ”

“หึหึ” ฝ่ามือกว้างหดกลับไปพร้อมๆกับที่พี่มันหัวเราะเบาๆในลำคอ ห่านี่!



“ตังงงงงงงงงงงงง” เสียงเรียกชื่อผมยาวๆดังขึ้นจากข้างหลังทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปมอง เป็นแตงที่โบกมือแล้วยิ้มให้

“หวัดดี” ผมเดินย้อนไปหาแตงที่ยืนอยู่ตรงทางเดินไปห้องน้ำ

“แอบมาเดทกับสาวเหรอ นอกใจเพื่อนเราป่ะเนี่ย?”

“บ้าดิ่ มากินข้าวเฉยๆหรอก แล้วแตงล่ะมาเดทเหรอ?”

“ถ้ามีคู่เดทก็ดีนะ เรามาซื้อหนังสือกับเบล เนี่ยเข้าห้องน้ำอยู่”

“อ้าว ตัง” เบลเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วยิ้มให้ผม ยิ้มของเบลยังสดใสเหมือนเคย

“ขอโทษนะ ไว้วันหลังเราไถ่โทษ”

“ไม่เป็นไรครับ แต่สัญญาแล้วนะว่าจะไถ่โทษอ่ะ” ผมยิ้มตอบ เบลก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

“จ้า ไม่ลืมแน่นอน”

“แหมมม ไถ่โทษอะไรกันเหรอออ” แตงแซวยิ้มๆ

“ความลับครับ แล้ว..” ผมชะงักเมื่ออยู่ๆก็มีมือใครบางคนมาวางบนไหล่

“ก็ว่าทำไมถึงเข้าห้องน้ำโคตรนาน”

“พี่ดินแดนสวัสดีค่ะ” เบลกับแตงยกมือขึ้นสวัสดีคนที่เพิ่งเข้ามาขัดจังหวะการสนทนาของพวกเรา คนหน้านิ่งไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่พยักหน้ารับเบาๆ

“อ่าว ตังมากินข้าวกับพี่ดินแดนเหรอ?”

“ครับ” แตงถาม แต่คนที่ตอบไม่ใช่ผมหรอก ไอ้ห่านี่

“กลับได้ยัง?”

“ถ้าพี่มีธุระ เดี๋ยวผมรอกลับพร้อมเพื่อนก็ได้ครับ” ผมหันไปบอกคนที่ยังยืนอยู่ข้างๆ เลือกพูดด้วยคำพูดแบบสุภาพนิดหน่อยเพื่อแสดงความไม่สนิทสนม

ย้ำ ไม่สนิทสนม!

แต่ไอ้คนข้างๆแม่งก็ไม่ให้ความร่วมมือกับกูเลยครับ เพราะฝ่ามือกว้างที่จับไหล่ผมตอนนี้มันเลื่อนมาโอบผมเต็มๆเลย


“มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกันสิ”  



xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

มาแล้วค่าาา
ขอบคุณทุกคนที่กดเข้ามาอ่านน้า  :pig4:
สำหรับคนที่เล่นทวิตเตอร์เจอกันได้ที่แท๊ก #ที่เก่าเวลาเดิมแต่ #ดินแดนของตัง
เจอกันตอนหน้าวันศุกร์ที่ 27 ค่ะ
หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP03 - Unknow Person , [20.07.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 23-07-2018 21:42:09
 :katai5: :katai5: :katai5: น่ารัก
หัวข้อ: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP04 - WHAT A STORY!? [26.07.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 26-07-2018 13:57:46
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#4





“ไอ้ตัง นี่มันอะไรยังไง” เสียงไอ้ปอมันจี้ดเข้าเส้นประสาทผมแต่เช้าเพิ่มความปวดกะบาลให้ผมอีกเท่าตัว แต่จริงๆอาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับด้วยก็ได้มั้ง

“อะไรของมึงวะ?”

“กูต้องถามมึงมากกว่านี่มันอะไร?” น้ำเสียงหนักๆของมันเรียกให้ผมต้องดึงเอาโทรศัพท์ของมันเข้ามาดูให้เต็มๆตา

“เหี้ย ใครถ่ายวะ!?” ผมสบถเสียงดังลั่น มองหน้าไอ้ปอมันก็ได้แต่ทำหน้าจริงจังใส่

“ที่มึงเบี้ยวพวกกูเพราะพี่ดินแดนเหรอวะ ไปสนิทกันตอนไหน มีเดินโอบกันงี้เลยเหรอ?” ไอ้ป่านมันร่ายยาวจนผมรู้สึกเหมือนน้ำในหูไม่เท่ากันแบบกระทันหัน ไอ้ที่ปวดหัวอยู่แล้วยิ่งจี้ดหนัก  ผมกดลบภาพที่มีใครซักคนโพสต์ลงในกลุ่มไลน์คนเสือกของไอ้ปอออกอย่างหัวเสีย อะไรมันจะจังหวะดีขนาดนั้นวะ

คือไอ้พี่ดินแดนมันโอบไหล่ผมไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำ ย้ำ ไม่ถึงสองนาที!

“มันแค่เหตุสุดวิสัยโว้ย”

“ฟังไม่ขึ้นว่ะ” ไอ้ปอว่าต่อ สีหน้ามันยังเคร่งเครียด

“เล่าความจริงมาดีกว่า” ไอ้ป่านเสริม หน้าตามันก็จริงจังไม่แพ้กัน

“ความจริงเหี้ยอะไร?” ผมโพล่งเสียงดังเมื่อตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นจำเลยในคดีฆาตรกรรมอะไรทำนองนั้น กูไม่ใช่ฆาตรกรโว้ยไอ้พวกเหี้ยนี่

ไอ้ป่านมันถอนหายใจแรงๆก่อนจะทำเป็นพูดเสียงเรียบ

“มึงแอบคบกันตอนไหนวะ?”

“คบพ่อมึงสิไอ้สัด!”

“แค่นี้เล่นถึงพ่อกูเลยเหรอวะ” ไอ้ปอมันพูดก่อนจะหัวเราะ ความจริงจังเมื่อกี้หายเกลี้ยง แม่งทำเนียนจะล้วงความลับกูอ่ะดิ่

“ก็มึงอ่ะไอ้เหี้ย ความคิดหมาโคตรๆ อย่างกูจะไปคบกับพี่มันได้ไง กูผู้ชายนะเว้ย แมนๆเลยด้วย แล้วจะไปคบกันยังไง คบกันตอนไหน คบกันทำไม” สงสัยผมจะพูดรัวไป หัวใจผมนี่เต้นเร็วอย่างกับกลอง 

“โวยวายขนาดนี้พิรุธมาก” พูดจบไอ้ป่านมันก็หันไปสบตากับแฝดของมัน ส่วนไอ้ปอก็พยักหน้ารับ แม่งส่งภาษาแฝดนรกอะไรกันอีกแล้ววะ

“พิรุธอะไร มึงพูดมาดีๆ”

“ก็เปล๊าววว” มันประสานเสียงกันตอบ

“แล้วอย่าให้กูรู้นะว่าใครเป็นคนถ่ายรูปเหี้ยๆนั่น กูจะกระทืบให้ไส้แตก” ผมกัดฟันตอบ แต่ไอ้สองแฝดแม่งกลับทำหน้าระรื่นจนน่าถีบ



เอาเป็นว่าตลอดช่วงเช้าวันนี้ผมเรียนไม่รู้เรื่องเลย รู้สึกว่าทุกคนในห้องแม่งมองผมแปลกๆไงไม่รู้ว่ะ มานั่งคิดๆดูแล้วขนาดเพื่อนสนิทอย่างไอ้แฝดนรกมันยังคิด แล้วคนอื่นจะไม่คิดได้ไง

เห้ยยยยยยย หรือจริงๆแล้วที่เบลไม่ตอบไลน์ผมตั้งแต่เมื่อคืนก็จะไม่ใช่เพราะอ่านหนังสืออยู่อย่างที่ผมเข้าใจ ไม่นะเว่ย ผมจะมาพลาดการเป็นแฟนกับเบลเพราะเรื่องเข้าใจผิดแบบนี้ไม่ได้!

ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูไลน์ที่ส่งหาเบลไปเมื่อคืน มันขึ้นว่าถูกอ่านแล้ว แต่ไร้ซึ่งการตอบกลับใดๆทั้งสิ้น

“เหี้ยเอ้ย” ผมสบถก่อนจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง เห็นไอ้แฝดมันสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะหันมามองหน้าผม

“กูไปหาเบลนะ” พวกมันพยักหน้าหงึกหงักแล้วก็ไม่ได้สนใจผมอีก ดีมากไอ้เพื่อนเวร




‘นั่นป่ะ’

‘น่ารักอ่ะ’

‘มาหาพี่ดินแดนแหงเลยอ่ะแกกก’


โอเค รู้ซึ้งถึงการเป็นเป้าสายตา แรกๆก็ยังพอทนแต่ไอ้ประโยคสุดท้ายนี่แทบจะทำให้อยากกัดลิ้นตายตรงนี้แม่งจะได้จบๆ รู้งี้ลากไอ้แฝดเวรมาด้วยดีกว่า อย่างน้อยก็รู้สึกดีกว่านี้อ่ะ

ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะหินหน้าแผนกเพราะไม่รู้จะทำหน้ายังไง จะแหกปากโวยวายก็ไม่ใช่ถิ่น แถมตอนนี้ผมก็เป็นแค่ไอ้เด็กปี 1 ที่ไร้ซึ่งอำนาจใดๆอีกต่างหาก อดทนไว้ธนพัฒน์ อดทนไว้

‘แกกก พี่ดินแดนมาแล้วววว’

ประโยคที่แว่วเข้าหูมาเรียกให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นทันที เป็นอย่างที่ได้ยิน แก๊งค์สามทหารเสือแม่งกำลังเดินเข้ามาหาผมเลย

“โอ๊ะโอ” พี่เต๋ามันทำเสียงประหลาดไม่พอแม่งยังยิ้มกรุ่มกริ่มใส่ผมอีก แล้วอะไรคือไอ้พวกพี่ๆมันมานั่งล้อมวงที่โต๊ะหินกับผมด้วยซะงั้นล่ะ

“เอ่อ..” กูจะไล่มันยังไงดีวะ

“ป่ะบอย” ไอ้พี่เต๋ามันพูดขึ้น

“น้องตังเอาน้ำไรดี? โค้กใช่ป่ะ?” พี่บอยถาม แต่ผมว่าแม่งไม่ได้จริงจังกับคำถามอ่ะ เพราะมันพูดจบแม่งก็เดินฉับๆออกไปเลย

“พี่มานั่งอะไรตรงนี้วะ?” ผมโผล่งออกไปทันที ไอ้คนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามมันเลิกคิ้ว

“นี่โต๊ะประจำกู มึงนั่นแหละมานั่งโง่อะไรตรงนี้” คำตอบพี่แม่งแทบจะทำให้ผมยกมือขึ้นบีบคอ เออ บีบคอตัวกูเองเนี่ยแหละ เหี้ยเอ้ย มาอยู่ในถิ่นมันยังเสือกมานั่งโต๊ะประจำมันให้เป็นขี้ปากเพิ่มไปอี้กกกกกกกกกกกก

“งั้นลาล่ะ”

“ไอ้บอยมันซื้อน้ำให้มึงอยู่”

“งั้นผมไปนั่งรอโต๊ะนั้นดีกว่า” ผมตอบแล้วย้ายตัวเองไปอีกโต๊ะ มองไปที่หน้าตึกก็ยังไม่มีท่าทีว่าเบลจะเดินออกมาเลย แล้วทำไมแดดมันต้องส่องตรงโต๊ะนี้โต๊ะเดียววะ ถึงว่าแม่งไม่มีคนนั่งเลย

‘งอนกันแน่ๆ’ ไอ้เสียงพรายกระซิบนี่แม่งก็ไม่หยุดง่ายๆ งอนบ้าบออะไร ห่าเอ้ย ร้อนก็ร้อนเดี๋ยวพ่ออะละวาดแม่ง ผมปาดเหงื่อที่ไรผมออกก่อนจะรู้สึกว่ามีเงาพาดมาจากด้านหลัง

‘อร้ายยยยยยยยย’ ซาวด์ประกอบห่าเหวอะไรอีกล่ะ

“ไปนั่งที่เดิม เดี๋ยวกูย้ายที่เอง” เสียงเรียบๆดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวมันจะเดินไปเก็บกระเป๋าของเพื่อนอีกสองคนบนโต๊ะไปโยนไว้บนโต๊ะที่มีคนนั่งอยู่แล้ว ก็น่าจะเป็นเพื่อนๆในเซคเดียวกับพี่มันนั่นแหละมั้ง

คือความจริงผมก็อยากจะหยิ่งไม่ลุกไปนั่งที่เดิมหรอกนะ แต่แม่งร้อนว่ะครับ แดดแม่งส่องตาเชี่ยๆด้วย ผมเลยจำใจ(จริงๆ)ที่ต้องย้ายมานั่งที่เดิม

คนเดียว…..

แผ่นหลังกว้างของคนที่ลุกไปนั่งรวมกับเพื่อนๆคนอื่นเป็นจุดรวมสายตาของผมในตอนนี้ ผมไม่ได้ยินเสียงพี่มันพูดอะไรเลยแม้ผมจะตั้งใจฟังขนาดไหน ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมควรจะรู้สึกยังไง แต่ลึกๆแล้วมัน….แย่ว่ะ


‘คลิ๊ก’

เสียงเข็มนาฬิกาหยุดเดินดังขึ้นในหัวก่อนที่รอบตัวจะมืดลงและทุกคนก็หยุดการเคลื่อนไหว อินโทรมาแบบนี้ก็ไม่ใช่ใครหรอก เทวดาที่คุณก็รู้ว่าเป็นเทวดาน่ะแหละ

“เหงาป่ะ มานั่งเป็นเพื่อน” ผมเหล่ตามองเทวดาที่นั่งลงข้างๆ วันนี้แต่งตัวปกติแฮะ เสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนส์สีดำ เออ แต่จริงๆแบบนี้เรียกปกติป่ะวะ

“ปกติดิ่ ตามยุคสมัยไง จะให้ข้าใส่ชุดราชปะแตนก็ไม่ใช่แล้ว”

“นั่นสิเนอะ” ผมหัวเราะ ว่าไปก็อดนึกภาพตามไม่ได้

“แล้วว่างเหรอไง วันนี้ท่านถึงมานั่งเป็นเพื่อนผมได้เนี่ย”

“ก็ไม่เชิง แต่เดี๋ยวอีกไม่กี่วันนี้คงไม่ว่างยาวเลย” คำตอบของท่านเทวดาเล่นเอาผมต้องขมวดคิ้ว

“ไม่ต้องถามนะ ข้าตอบเอ็งไม่ได้หรอก”

“เออว่าแต่ว่า ท่านมาแบบนี้เวลาผมก็ยิ่งเดินช้าอ่ะดิ่” ผมมองไปรอบๆตัวที่ตอนนี้ทุกคนหยุดนิ่งอย่างกับรูปปั้นหิน ท่านเทวดาหัวเราะก่อนจะแว้บไปยืนตรงโต๊ะที่ใครอีกคนนั่งหันหลังให้ผมอยู่

“ก็จริงของเอ็ง”

“งั้นท่านก็ไปเหอะ ผมหิวข้าวละเนี่ย”

“อ่าว เดี๋ยวนี้มีไล่กันแล้ว?” ท่านเทวดาทำเสียงสูงแบบไม่ได้จริงจังอะไร

“ใครจะไปกล้า”

“ก็เอ็งไล่ข้าอยู่หยกๆ” ท่านเทวดาว่า ผมก็ได้แต่ยิ้มตอบกลับไป แล้วอยู่ๆก็มีBGMเป็นเพลงคนไม่จำเป็นดังขึ้นมาซะแบบนั้น

“ท่านนี่ก็เล่นใหญ่ไป้” ผมหัวเราะ เทวดานี่ทำหน้างอนได้ด้วยเหรอ

“ตัง” อยู่ๆท่านเทวดาก็เรียกชื่อทำให้ผมต้องหยุดหัวเราะ จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกที่ท่านเรียกชื่อผมนะ ปกติต้องเรียกว่าไอ้เด็กโง่สิ นั่นไง คิดจบปุ๊บก็ได้ยินท่านเทวดาหัวเราะเบาๆในลำคอปั๊บ

“ก็บอกว่าปล่อยผ่านมั่งก็ได้ไงท่าน”

“เอ็งก็อย่าคิดต่อหน้าข้าสิ บอกแล้วไงว่าเวลาอยู่ใกล้ๆข้าได้ยินชัดเป๊ะเลย” ผมเงยหน้าขึ้นสบตากันท่านเทวดาที่มองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว ท่านยิ้มน้อยๆก่อนจะพูดประโยคทิ้งท้ายแล้วหายตัวไปซะเฉยๆเหมือนเคย


“ถ้าเหงาตอนนี้ก็เลือกคนที่พร้อมจะนั่งเป็นเพื่อนเราตอนนี้สิ อย่ารออนาคตที่เราก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือเปล่าเลย”

ผมเนี่ยนะเหงา….

ถ้าคิดแบบนั้นล่ะก็ เรื่องที่ผมเคยบอกว่าท่านเทวดาอ่านใจคนได้น่ะ

ผมขอถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลย!!
 


⇤  BEGIN AGAIN  ⇥


“ขอโทษนะตัง เราลืมเอาโทรศัพท์มาอ่ะ เมื่อเช้ารีบมากเลย”

“อ่า...ครับ”

“แล้ววันนี้เราจะดูเรื่องอะไรกันดี?”

“.........”

“ตัง”

“.........”

“ตังคะ”

“หะ ขอโทษทีครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมองเบลที่นั่งขมวดคิ้วอยู่ด้านตรงข้าม เดี๋ยว ผมขอตั้งสติแปบ อืม...ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ที่คาเฟ่เล็กๆในพารากอนกับเบลหลังจากที่ผมไปนั่งหน้าบื้อเป็นขี้ปากชาวบ้านรอเบลที่หน้าแผนกอิงก์ และผมก็ได้คำตอบจากเบลแล้วว่าทำไมเบลถึงไม่ตอบไลน์ผม แล้ว แล้วไงต่อวะ

“เมื่อกี้เบลว่าอะไรนะครับ?”

“เราถามว่าวันนี้จะดูเรื่องอะไรกันดี?”

“อ่อ”

“แต่เอาไว้วันหลังก็ได้นะ” คำพูดของเบลทำให้ผมเลิกคิ้วเป็นคำถาม น้ำเสียงเบลแปร่งๆเหมือนไม่พอใจนิดหน่อย

“เหมือนตังไม่อยากดูอ่ะ แล้วจริงๆเราก็ไม่ค่อยอยากดูเท่าไหร่เหมือนกัน” เบลพูดต่อออกมาโดยไม่ต้องรอให้ผมถาม ถ้าผมไม่รู้จักเบลมาก่อนผมก็คงจะคิดว่าเบลคิดแบบที่พูดออกมาจริงๆ แต่นี่
ผมว่าเบลกำลังไม่พอใจผมอยู่แน่นอน

“ขอโทษที่ไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่ตังอยากดูหนังกับเบลจริงๆครับ” ผมบอกออกไปโดยเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเป็นแบบที่เราเคยใช้พูดกัน

“นะ ไปดูหนังกับตังนะ” ผมอ้อนเมื่อใบหน้าสวยมีรอยยิ้มผุดขึ้นเล็กๆ เบลเม้มริมฝีปากสีพีชหวานๆก่อนจะพูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงน่ารักแบบที่ผมชอบมาตลอดเมื่อง้อให้เบลหายงอนได้

“ถ้าตังอยากดู เราไปด้วยก็ได้”

ผมยิ้มรับกับคำพูดปนความเขินอายนั้นถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ทำให้หัวใจผมชุ่มช่ำอย่างที่คิดไว้ก็ตาม…

ทำไมวะ ?



“อ่าว เจอกันอีกแล้วน้องตัง” พี่บอยทักผมยิ้มๆ ไอ้คำว่าเจอกันอีกแล้วของพี่มันเนี่ยมันห่างจากที่เราเจอกันครั้งก่อนมาสามวันแล้วเหอะ แล้วทำไมกูจำแม่นจังวะ

“หวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้ เห็นไอ้ป่านมันยืนโบกมือหยอยๆอยู่อีกมุมหนึ่งของโรงอาหารคณะที่ผมไม่ค่อยจะเห็นพวกไอ้พี่ดินแดนมันจะมานั่งกันซักเท่าไหร่ แต่พอเห็นกองกระดาษกองชีทบนโต๊ะที่กางอยู่ก็พอจะรู้ว่าคงจะกำลังปั่นงานกันอยู่ ผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นธรรมเนียมอะไรของคณะนี้ที่ชอบมาปั่นงานบนโต๊ะกินข้าวแบบนี้อ่ะ

“ผมขอตัวก่อนนะพี่ เพื่อนเรียก”

“เดี๋ยวดิ่ นั่งนี่ก่อน” พี่บอยฉุดผมให้นั่งลงข้างๆ แล้วโบกมือไล่ไอ้ป่านให้มันนั่งลงที่เดิมซะงั้น พี่เต๋ากับคนหน้านิ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนงานโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสนใจ แต่กลับเป็นคนรอบข้างที่หันมามองผมแทน เป็นอีกครั้งที่โดนห้อมล้อมด้วยประชากรชาวอิงก์ คือถึงจะคณะเดียวกันแต่ปกติแล้วมันจะนั่งแยกกันคนละโซนอ่ะ แล้วยิ่งเป็นผมที่มานั่งอยู่ในโซนอิงก์โต๊ะเดียวกับไอ้พี่ดินแดนอีกแล้วล่ะก็…..

“ขอชื่อนามสกุลหน่อยครับ?” พี่บอยจรดปลายปากกาลงบนกระดาษ ก่อนที่พี่เต๋าจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผมรวมถึงไอ้คนที่นั่งตรงกันข้ามด้วย แต่ไอ้คนนี้มันไม่ยิ้มครับ หน้ายังนิ่งเหมือนเดิม

“อะไรอะพี่?”

“สัมภาษณ์หน่อย”

“อันนี้จริงจัง” พี่เต๋าย้ำทำให้ผมพยักหน้าเบาๆแบบงงๆ

“เริ่มใหม่นะ ชื่อนามสกุลครับ”

“ธนพัฒน์ อัครเดชาภา”

“อายุ ส่วนสูง น้ำหนัก”

“อายุ 20 เอ้ย 18 สูง 175 หนัก 60”

“สถานภาพ”

ผมเลิกคิ้วก่นจะตอบเบาๆ

“โสดครับ”

“โอเค จีบได้” พี่เต๋าหัวเราะก่อนจะพูดกลั้วขำให้ผมร้องเสียงหลง

“บ้านพี่ดิ่!”

“ฮ่าๆๆ ล้อเล่นๆ” แม่ง พูดกับกูทำไมตบไหล่คนอื่นวะพี่เต๋า คนหน้านิ่งกระตุกยิ้มมุมปากทำให้ผมต้องเสมองไปอีกทางเมื่อถูกจับได้ว่าแอบมองใบหน้านิ่งๆนั่น

“แล้วถามอะไรของพี่เนี่ย สำรวจสัมโนประชากรเหรอ?” ผมหันไปพูดกับพี่บอยที่ตอนนี้กลั้นยิ้มจนตาหยี่ ได้ยินเสียงคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามหัวเราะเบาๆในลำคอก็ไม่อยากจะหันไปมอง แม่งงงงงง ทำใจกูเต้นผิดจังหวะแล้วยังจะมาหัวเราะอีก!

“เอามานี่” เสียงทุ้มๆดังขึ้นก่อนที่ฝ่ามือกว้างจะยื่นมาดึงกระดาษในมือพี่บอยแล้วอ่านคำถามที่เขียนบนกระดาษแทน

“คุณคิดว่าอะไรคือจุดแข็งของสินค้าแบรนด์เนม?”

“หะ?” ผมอ้าปากเหวอ อะไรคำถามมันจะเปลี่ยนทิศได้เร็วขนาดนี้วะ?

“อันนี้จริง เมื่อกี้มันไร้สาระ”

“อ่าว…” ผมเหล่ตามองไปที่พี่บอยแม่งก็ได้แต่หัวเราะ

“เค้าเรียกคำถามสนอง need ไง” นี้ดพ่องดิ่ แม่งกวนตีนจริง

“ตอบได้ยัง?” เสียงเรียบๆตัดบท ดวงตาคมมองมาที่ผม หน้ามันนิ่งแต่ไม่ให้ความรู้สึกไม่ดีอะไร มันกลับตรงกันข้ามด้วยซ้ำ

“คุณภาพที่สมราคา...มั้ง”

“คุณคิดว่าการโปรโมทสินค้าด้วยบุคคลที่มีชื่อเสียงนั้นมีผลต่อยอดขายหรือไม่”

“คิดว่ามีนะ”

“อืม” คนตรงหน้าจรดปากกาเขียนคำตอบของผมแต่เป็นภาษาอังกฤษลงในกระดาษก่อนจะวางปากกาแล้วส่งกระดาษคืนให้พี่บอย

“จบ”

“แต้งกิ้วครับน้องตัง” พี่บอยบอกกับผม เอาจริงๆนะ กูไม่ชอบเลยไอ้เสียงสองของมึงเนี่ยพี่บอย ผมรู้นะว่าพี่มันเจ้าชู้ แต่แบบ กูเป็นผู้ชายนะโว้ยยยยยยย   

“ไปหาเพื่อนได้แล้ว” ไอ้คนหน้านิ่งพูดเรียบๆ ผมพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงโดยที่พี่มันก็ลุกขึ้นด้วยเช่นกัน

“กูจะไปซื้อน้ำ” พี่มันว่าแบบนั้นแล้วเดินนำหน้าผมออกไป และผมก็ได้ยินเสียงงึมงำของพรายกระซิบตลอดทางเดินเช่นเคย นี่กูควรจะชินหรือจะหันไปแยกเขี้ยวใส่พวกแม่งดี

“หยับดิ๊” ผมนั่งลงที่โต๊ะเมื่อเดินมาถึง ยังไม่ทันได้หายใจหายคอหรือหันไปหาไอ้ป่านที่ทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรซักอย่างแก้วนมเย็นสีชมพูก็ถูกวางลงตรงหน้าผมพอดี

“ค่าตัวเมื่อกี้” เสียงทุ้มบอกแบบนั้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไปพร้อมกับแก้วชานมที่ถืออยู่อีกมือโดยไม่ได้สนใจหันกลับมามองที่ผมอีก สัด ค่าตัวพ่องดิ่ กูไม่ใช่อีหนูของมึงนะไอ้พี่ดินแดน!!!

“เชี่ยยยยย นี่มันเด็กนั่งดริ้งค์ชัดๆ”

“นั่งกับพี่สิบนาทีมีค่าตัวนะจ๊ะ”

“พ่องสิไอ้สัด!” ผมโวยใส่ไอ้แฝดนรกที่แม่งยังแซวผมไม่หยุด จริงๆอยากจะด่าแม่งทั้งโต๊ะ สายตาที่มองกูนี่กรุ่มกริ่มซะเหลือเกิ้นนนนนน

“เออไอ้ตัง” ไอ้ป่านมันสะกิดต้นแขน ผมถอนหายใจก่อนจะเหล่ตามองมัน

“ไร”

“แล้วพี่ดินแดนรู้ได้ไงวะว่านมมึงอ่ะสีชมพู”

“ไอ้เหี้ยป่าน!” ผมผลักหน้าที่ทำเป็นมากระซิบข้างหูแต่เสียงดังจนได้ยินกันทั้งโต๊ะอย่างเหลืออด  ไอ้หน้าเหี้ยนี่หัวเราะจนตัวงอ

“ไม่เกรี้ยวกราดสิครับน้องตัง” มันยังไม่ยอมเลิกจนผมต้องยกกำปั้นขึ้นขู่

“กูน้องพ่อมึงเหรอ?”

“อุ้ย แรงงงง” ไอ้ป่านมันทำเป็นคอหดไปแอบอยู่หลังไอ้ปอที่ยกมือขึ้นปิดปากแล้วส่ายหัวไปมา พวกเหี้ยนี่เดี๋ยวก่อนนะ เดี๋ยวก่อน กูขอไปจัดการไอ้ตัวต้นเหตุก่อน พวกมึงคือรายต่อไป กูบอกเลย

“เดี๋ยวกูมา” ผมลุกขึ้นก่อนจะหยิบไอ้นมชมพูเจ้าปัญหาติดมือไปด้วย

“เอาของพี่คืนไป” ผมกระแทกแก้วลงตรงหน้าไอ้คนหน้าตาย พี่มันเลิกคิ้วก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากกวนประสาทเหมือนเคย

“โอ๊ะโอ นมชมพู” พี่บอยมันทำหน้ากรุ่มกริ่ม ผมเกลียดหน้าแม่งว่ะ เดี๋ยวกูเอานมสาดหน้าเลยไอ้ห่า เออ สาดไอ้ห่าดินแดนด้วยอีกคนนึง

“พี่แม่งกวนตีน” ผมพูดอย่างเหลืออด ตายเป็นตายวะแม่ง กูไม่กลัวแล้วโว้ยยยย

“กูหวังดีหรอกไอ้เตี้ย” โอ้โห้ เจ็บจึ่กเลยไอ้ตะกวดยักษ์ ใครจะสูงเป็นเสาไฟฟ้าแบบมึงวะ

“ดีตายห่า” ผมพึมพำ หน้าตาแม่งโคตรจะจริงใจเลย สัด

“เต๋าๆ โหลดเพลงทำไงวะ?” อยู่ดีๆไอ้พี่บอยมันก็ล้วงไอโฟนขึ้นมาจากกระเป๋า แม่งมาโหลดพงโหลดเพลงอะไรตอนนี้วะ

“จะโหลดเพลงอะไรครับบอย?” นี่ก็ทำน้ำเสียงกระดี๋กระด๋าสุดตีน แม่งห่าเหวอะไรของพวกมันเนี่ย

“หวังดีประสงค์รักอ่ะครับ ฮิ้วววว” เออ แบบนี้ก็ได้ พูดเองโห่เองไม่ต้องรอลูกคู่ 

แต่เดี๋ยวนะ เสียงหัวเราะคิกคักรอบๆตัวกูนี่มันอะไร….

เชี่ยยยยยยยยยยยยยย

นี่กูอยู่โรงอาหารนี่หว่า

โอ้ยยยย หมดกัน ชีวิตกูป่นปี้หมดแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยย


XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX


วันนี้มาเร็วกว่าปกติ 1 วัน เพราะหยุดยาวนี้จะแอบหนีเที่ยวแหละ
ขอบคุณทุกคนที่กดเข้ามาอ่านนะคะ รวมทั้งคอมเม้นต์และคำติชมด้วยค่ะ :pig4:
สำหรับคนที่เล่นทวิตเตอร์ฟอลโล่ที่แอค @B2YFICTION (https://twitter.com/B2YFICTION) ไว้พูดคุยกันได้นะคะ
หรือเจอกันได้ที่แท๊ก #ที่เก่าเวลาเดิมแต่ #ดินแดนของตัง
เจอกันตอนหน้าวันศุกร์ที่ 3 สิงหาค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP04 - WHAT A STORY!? [26.07.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: nlygust13 ที่ 03-08-2018 09:29:36
รอมาอัพนะคะ  #ทีมพี่ดินแดน  :heaven
หัวข้อ: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP05 - TRAPPED!! [03.08.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 03-08-2018 10:02:07
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#5




หงุดหงิด

หงุดหงิด

และ หงุดหงิดโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

เป็นอีกวันที่ผมเป็นบ้าแหกปากอยู่ในใจ เพราะไอ้ตะกวดยักษ์พวกนั้นแท้ๆที่ทำให้ผมพลาดคะแนนเต็มจากควิซไวยกรณ์เบสิกที่โคตรง่ายของบ่ายนี้ไป

“ห่านี่ซุ่มอีกละ” ได้ยินเสียงไอ้ป่านมันแว่วเข้ามาในโสตประสาทแบบนั้น

“ช่วงนี้สมองมึงทำงานดีเกินไปป่ะ สัด ทำได้ไงวะผิดข้อเดียว กูนี่ปาไปเกือบสิบ” ไอ้ปอมันพูดต่อ ไอ้ที่โง่นั่นมันกูในอดีตไง ตอนนี้กูต้องได้เต็มโว้ยยย

“ตัง วันนี้มึงจะไปสยามกับพวกกูป่ะ? ไอ้ป่านมันจะไปเอาซีดี”

“ก็อยากไปว่ะ” ผมตอบมันออกไปแบบเซ็งๆ ผมอยากไปกับมันจริงๆนะวันนี้ อยากไปมากถ้าไอ้เจ้ากรรมนายเวรผมมันไม่ได้ยืนหัวโด่เป็นเสาไฟฟ้าอยู่ตรงโน้นอ่ะ โธ่เว้ยยย

“อะไรของมึงวะ?” ไอ้ป่านมันขมวดคิ้ว แต่มันก็สงสัยได้ไม่นานหรอกครับ ไม่ต้องเดากันให้เมื่อยด้วยว่าเพราะอะไร ก็นั่นแหละ ไอ้พี่ดินแดนมันเดินตรงเข้ามาหาผมแบบไม่สนสายตาประชาชีชาวแจ๊ปปี1ที่เพิ่งจะทยอยกันเดินลงมาจากแผนกเลย

“อั่ยย่ะ” กูล่ะเกลียดเสียงอุทานของมึงจัง ไอ้สัดป่าน

“วันนี้เอารถมาหรือเปล่า?” นี่คือคำทักทายเหรอ

“อือ”

“งั้นก็ไปรถมึง กูไม่ได้เอารถมา” พี่มันบอก ไอ้แฝดมันมองหน้าพี่ดินแดนก่อนจะหันมามองหน้าผมสลับกันไปมาก่อนจะพยักหน้าให้กันโดยไม่ต้องพูดอะไร ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่ามันสองคนชอบใช้ภาษาฝาแฝดที่รู้กันแค่สองคนน่ะ

“โอเค แยกย้าย หวัดดีครับพี่ดินแดน” มันประสานเสียงกันแล้วยกมือไหว้ไอ้เสาไฟฟ้าอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะกอดคอกันเดินออกไปโดยไม่ได้สนใจผมเลยซักนิด เออดี ไอ้เพื่อนฟวย



“เลี้ยวซ้ายข้างหน้า” ตุ๊กตาตะกวดหน้ารถมันสั่ง ผมเบ้ปากแต่ก็ต้องยอมทำตามที่มันบอกอยู่ดี เอาเป็นว่าเพื่อความไม่งง ผมจะเล่าเรื่องความซวยย่อๆให้ฟัง จำได้ใช่ไหมที่ผมเอาไอ้นมสีชมพูห่าเหวนั่นไปคืนมันเมื่อกลางวันน่ะ ผมได้สาดมันเต็มๆอย่างที่เคยบอกเลยแหละ ช้งชีทเปียกไม่เหลือ แหม คิดแล้วก็แอบสะใจลึกๆ แต่จะว่าสาดก็ดูจงใจไป จริงๆมันเป็นอุบัติเหตุอ่ะ มันเสือกจับยัดใส่มือผมเองนี่หว่า แต่ผมไม่รับไงเลยร่วงโป๊ะ กระจายแม่งทั้งโต๊ะ เออ แต่มันก็เป็นต้นเหตุแห่งความซวยไง ชีทวิชา English for public relation ของมันเปียกยกปึก  อย่าให้ผมจินตนการถึงหน้าพี่มันตอนนั้นเลย ไอ้คำว่า ‘มึงควรรับผิดชอบ’ ของแม่งทำเอาผมขนลุกซู่

ผมเดินทอดน่องตามหลังไอ้เจ้านายคนใหม่อยู่ห่างๆ ก่อนที่คนที่เดินนำหน้ามันจะหยุดอยู่หน้าห้องเลขที่ 2906 แล้วเปิดประตูเข้าไป

“เข้ามาแล้วรีบปิดประตูด้วย” เจ้าของห้องมันร้องสั่งในขณะที่วางกองเท็กซ์บุ๊คและชีทไว้ที่โต๊ะกระจกตัวเตี้ยกลางห้องนั่งเล่น ผมเดินตามมันเข้ามาก็ไม่ลืมที่จะสังเกตุการณ์ไปด้วย คือห้องแม่งโคตรกว้างอ่ะ แถมยังแบ่งเป็นสัดส่วนเรียบร้อยอีกต่างหาก

“จะกินอะไรหยิบเอาในตู้เย็นนะ” พี่มันยื่นหน้ามาบอกก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง ผมเอนหลังพิงกับโซฟาสีเทานุ่มๆอย่างขี้เกียจ แม่งแอบง่วงว่ะ

‘ตุ๊บ’

 เสียงวัตถุประหลาดตกลงบนหน้าตักทำให้ผมสะดุ้งโหยงแล้วเบิกตาโพล่ง

“เห้ยยยย”

“เมี๊ยว” ไอ้ก้อนกลมๆสีเทาบนหน้าตักผมส่งเสียงทักทาย หุ้ยยย น่ารักกกกกก ผมขยับตัวนั่งดีๆแล้วใช้สองมือโกยไอ้ก้อนกลมมาอุ้มไว้ในอ้อมกอด หื้ออ ขนมันนิ่มมากกกกก นิ่มจนอยากเอาหน้าไปไถพุงแต่ไม่กล้ากลัวหน้าแหกเพราะโดนข่วนน่ะสิ

“คอตตอน come on” มนุษย์เจ้าของห้องมันที่เข้าไปเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงบอลทีมอาร์เซนอลนั่งยองๆแล้วส่งเสียงเรียก ไอ้ก้อนกลมๆพันธุ์บริทติช ชอร์ตแฮร์ก็รีบสะบัดตัวออกจากตักผมวิ่งไปหาคนที่กำลังเทอาหารเม็ดลงในชามทันที เห็นแก่กินนี่หว่าไอ้อ้วนเอ้ย

“หิวหรือเปล่า?”

“........”

“ตัง”

ผมเงยหน้ามองคนที่มายืนอยู่ข้างหน้า อยู่ๆหัวใจมันก็เต้นตุ๊บตั๊บ สมองประมวลไม่ได้เลยว่าเมื่อกี้พี่มันถามว่าอะไร กูเป็นไรวะ? ตกใจชื่อตัวเองทำไมเนี่ย 

“ถามว่าหิวไหม?”

“นะ นิดหน่อย ไหน พี่จะให้ผมทำไรวะ รีบทำจะได้เสร็จๆ” ผมพูดตัดบทแล้วกุลีกุจอรื้อกองชีทที่เปื้อนคราบสีชมพูจางๆออกมาโดยไม่มองหน้าคนที่ยังยืนอยู่ ได้ยินเสียงมันหัวเราะหึหึในลำคอก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆผม

“ไม่ต้องใจร้อนน่า คืนนี้ยังอีกยาวไกล” ผมเหล่สายตามองคนพูดที่มันทำท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรทั้งสิ้น แม่งกวนตีนว่ะ

“บ้าบอ”

“หึหึ”ไอ้คนกวนประสาทมันหัวเราะเบาๆก่อนจะเปิดหน้าจอโน๊ตบุ๊คขึ้นมาคลิ๊กนู่นนี่ซักพักแล้วหันมาหาผม

“พิมพ์คำตอบทั้งหมดในกระดาษลงในฟอร์มนี้ อันไหนเลือนๆมองไม่เห็นก็เอาปากกาติ๊กไว้ก่อนเดี๋ยวจะมาอ่านให้”

“อ่าหะ”

“ง่ายๆแค่นี้คงทำได้นะ”

“ก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้นป่ะ?” ผมพูดแบบไม่สบอารมณ์ เหล่ตามองคนข้างๆก็เห็นมันกระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะลุกขึ้นขยี้หัวผมแรงๆ

“ครับ พ่อคนฉลาด”    

โว้ยยยยยยยยยยยย ผมแอบแหกปากในใจดังลั่น(อีกแล้ว) ในห้องนี้มันต้องมีพลังงานอะไรบางอย่างแน่ๆที่ทำให้ผมหัวใจเต้นแรงจนเหนื่อยขนาดนี้ ผมเอาหน้าฟุบลงกับโต๊ะด้วยความรู้สึกแบบโคตรเหนื่อย(หัวใจ) แต่ไอ้ก้อนกลมๆนิ่มๆก็เอาตัวมาถูไถจนต้องเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเหลืองเข้มจ้องหน้าผมตาแป๋วก่อนจะกระโดดขึ้นมานั่งตักผมอีกครั้ง หึ ขี้อ้อนขัดกับหน้าตาจริงๆนะไอ้ก้อนเอ้ย

ผมอุ้มเจ้าแมวอ้วนด้วยสองมือก่อนจะขยับลงไปนั่งกับพื้นพรมเพื่อความสะดวกในการทำงาน แต่ก็ยังปล่อยให้ก้อนกลมๆนิ่มๆนอนอยู่บนตักเหมือนเดิม เจ้านี่ว่าง่ายจังแฮะ ไม่เหมือนไอ้เฮงเฮงของเจ้ตวงที่หน้าผมมันยังไม่อยากจะมองแต่จ้องจะกระโดดกัดส้นเท้าผมตลอดที่เดินผ่านซะอย่างนั้น

ไอ้เจ้าของห้องมันหายไปเกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่เสียงก๊อกแก๊กๆพร้อมกลิ่นหอมๆของการทำอาหารก็ทำให้ผมรู้ว่าพี่มันอยู่ไหน แอบแปลกใจอยู่หน่อยๆว่าพี่มันทำอาหารกินเองได้ด้วยเหรอวะ? กูนี่ทอดไข่ดาวยังไหม้ แม่ง ยิ่งได้กลิ่นก็ยิ่งหิว ตาลายจนอ่านตัวหนังสือแทบไม่ออกแล้ววววว

“มานี่สิ” เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเสียงของพี่ดินแดนแม่งโคตรจะน่าฟัง ผมรีบลุกพรวดไปที่โต๊ะอาหารขนาดย่อมๆที่หน้าเค้าท์เตอร์ห้องครัวทันที (แต่ก็ไม่ลืมที่จะอุ้มไอ้ก้อนกลมไปด้วย) พาสต้าแซลม่อนรมควันผัดใส่ใบอะไรซักอย่างส่งกลิ่นหอมกระแทกจมูกหนักกว่าเมื่อกี้ซะอีก

“ไปล้างมือก่อน” ผมชะงักเมื่อจานพาสต้าถูกยกออกไปต่อหน้าต่อตา ไอ้คนตัวสูงมันยักคิ้วไปทางซิ้งค์ล้างมือทำให้ผมต้องปล่อยไอ้ก้อนกลมให้กระโดดลงจากตักและเดินไปแต่โดยดี

พาสต้าหอมๆถูกส่งมาวางข้างหน้าผมอีกครั้ง กลิ่นที่โคตรหอมทำให้ผมรีบจ้วงมันเข้าปากทันที

อื้อหื้อออ ทำไมอร่อยจังวะ

ก้มหน้าก้มตากินไปได้ซักพักความรู้สึกบางอย่างก็ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และก็เป็นไปตามที่รู้สึกเมื่อคนๆนั้นกำลังมองมาที่ผม ใบหน้าคมมีรอยยิ้มเล็กๆระบายอยู่บนนั้น ผมก้มหน้าลงหลบสายตาคมนั่นก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองอีกครั้งแต่ท่าทีของพี่ดินแดนก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง พี่มันยังคงยิ้มให้ผม ไม่อยากจะยอมรับกับตัวเองว่ายิ้มของพี่มันทำให้ผมทำอะไรไม่ถูกเลยตอนนี้

แม่ง….ใจผมมันเต้นแรงอีกแล้วว่ะ

“มองไรวะพี่?” ผมโพล่งออกไป เมื่อรู้สึกถึงความรู้สึกแปลกประหลาดที่กำลังก่อตัวขึ้นในอก คนตรงข้ามไม่ตอบอะไร มันยักไหล่ก่อนจะก้มหน้าหน้ากินพาสต้าในจานของตัวเองต่อไปเงียบๆ



ผมเดินกลับมาที่โต๊ะกระจกตัวเตี้ยอีกครั้งหลังจากที่ล้างจานเสร็จตามคำสั่งของเจ้าของห้องที่ตอนนี้มันกำลังนั่งพิมพ์คำตอบจากกระดาษลงในโน๊ตบุ๊คโดยมีเจ้าก้อนกลมนอนขดอยู่บนตัก ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาสีเทาเมื่อคนที่ดูเหมือนกำลังตั้งใจทำงานไม่ได้พูดอะไรกับผม เออดี ทำเองไปเลยนะ

ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดเปิดๆปิดๆไลน์อยู่หลายครั้งก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงเมื่อรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรน่าสนใจเลย

พี่ดินแดนมันยังคงเงียบ เออ เพิ่งจะสังเกตุว่าตอนนี้พี่มันใส่แว่นด้วยล่ะ แล้วทำไมจมูกมันถึงโด่งจังวะ แล้วไอ้ริมฝีปากบางสีธรรมชาตินั่นอีก แม่งดูดีไปหมด กูนี่อิจฉาจนใจสั่นไปหมดแล้วเนี่ย! 

“พี่”

“แปบ”

และคำว่าแปบของมันก็ผ่านไปแล้ว 10 นาทีโดยที่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลยซักอย่าง

“พี่ดินแดน”

“เดี๋ยว” อะไรของแม่งวะ

“ถ้าพี่ทำเองผมก็จะกลับแล้วนะ” ในที่สุดมันก็หันมาสนใจผมจนได้

“ฝากคอตตอนหน่อย เมื่อย” ไอ้โย่งมันตอบแค่นั้นก่อนจะอุ้มเจ้าก้อนกลมมาวางที่ตักผมแทนแล้วหันกลับไปนั่งพิมพ์งานต่ออีกครั้ง

คือไรวะ?

เจ้าก้อนกลมอ้าปากหาวก่อนจะซุกหน้าลงที่หน้าท้องผมแล้วนอนต่อ มันเป็นแมวขนสั้นแต่ว่าขนมันนิ่มลื่นมือมากบ่งบอกว่าเจ้าของมันดูแลเป็นอย่างดี
 
นี่เป็นอีกมุมที่ผมมองต่างออกไป พี่ดินแดนในตอนนี้ก็เป็นอีกคนที่ผมไม่เคยรู้จัก ไม่สิ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยเข้ามาอยู่ในชีวิตพี่มันเหมือนอย่างในตอนนี้เลยนี่นะ รู้จักแค่ผิวเผิน ไม่เคยพูดคุยกันแบบเป็นเรื่องเป็นราวเลยซักครั้ง

หรือถ้าเรื่องราวต่างที่เกิดขึ้รก่อนหน้านั้นมันคืออคติของผมเองฝ่ายเดียว งั้นตอนนี้ จะถือว่ามันเป็นความผิดพลาดที่ถูกแก้ไขแล้วใช่ไหมนะ...?




⇤  BEGIN AGAIN  ⇥




“ตัง”

“ตัง”

“ไอ้เด็กโง่!”

“เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นหน้าท่านเทวดาที่อยู่ในระยะประชิดก่อนจะหายตัวแว้บไปโผล่ที่มุมเตียงอีกด้านนึงแทน

“ท่านเล่นอะไรแต่เช้าเนี่ย?” ผมถามเทวดาที่อยู่ในชุดพนักงานรูมเซอร์วิสของโรงแรมระดับห้าดาวโรงแรมหนึ่ง

“บริการปลุกพร้อมอาหารเช้า” ท่านเทวดาฉีกยิ้มกว้างก่อนจะเข็นรถเสิร์ฟอาหารมาที่ข้างเตียงด้านที่ผมนั่งอยู่

เตียง!

ที่นี่มันที่ไหนวะ!?

ผมหันซ้ายหันขวาก่อนจะเริ่มประมวลผลในสมองอย่างรวดเร็ว เมื่อวานนี้…….

เชี่ย!

ผมรีบก้มลงมองสภาพของตัวเองในตอนนี้ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกเมื่อชุดนักศึกษายังอยู่ครบ

“เป็นอะไรไอ้บ๊อง?” ท่านเทวดาพูดกลั้วขำก่อนจะหายตัวแว้บไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือข้างหน้าต่างแต่สายตาคมก็ยังมองมาที่ผม

“ผมมานอนในนี้ได้ไง?”

“เรื่องอะไรมาถามข้า” ท่านเทวดายักไหล่ไม่สนใจก่อนจะหันไปยิ้มกับไอ้ก้อนกลมที่ยืนจ้องหน้าท่านตาแป๋ว

“ว่ายังไงไอ้ตัวนิ่ม”   

“เมี๊ยว” ไอ้ตัวนิ่มของท่านเทวดาร้องตอบก่อนจะกระโดดขึ้นไปนอนตักกว้าง ฝ่ามือหนาๆลูบขนเจ้าแมวอ้วนไปมาเบาๆ ดูสนิทสนมกันดีเหลือเกิน

“เฮ้ย สนใจผมหน่อยดิ่ท่าน” คนฟังเลิกคิ้ว แต่ดูจากท่าทางแล้วยังไงท่านเทวดาก็คงไม่คิดจะตอบคำถามผมแน่นอน

“ไม่รีบเดี๋ยวสายนะ”

“........” ผมเหล่ตามองคนที่พูด เอาจริงๆนะ เคืองว่ะ

“อย่ามาทำหน้างอนใส่ข้า”

“เฮ้อออ เบื่อหน้าคนโง่จังเนอะ” ผมค้อนควับ แม่งมีไปด่ากูให้แมวฟังอีกนะ!

“บอกให้ก็ได้” 

“นู่นแน่ะ” พูดจบก็แว่บหายไปทันตาเหลือเพียงแมวตัวอ้วนที่กลายเป็นว่าไปนอนขดอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือแทน เออแปลก...วันนี้ไม่ยักกะหยุดเวลาแฮะ

ผมลุกขึ้นเดินไปทางประตูห้องน้ำตามที่ท่านเทวดาพยักพเยิดเมื่อซักครู่ก็เห็นว่ามีเมมโม่สีฟ้าแปะอยู่ตรงระดับสายตาของผมพอดี

‘คีย์การ์ดอยู่บนโต๊ะ อย่าให้อาหารคอตตอน เพราะมันกินแล้ว ถึงมอแล้วโทรมา 085-558-XXXX ’

แม่งไม่เห็นมีคำตอบแบบที่ผมอยากรู้ซักหน่อย โกหกผมอีกแล้วนะท่านเทวดา!

ผมกำจัดคำถามที่อยู่ในหัวออกไปก่อนจะจัดแจงตัวเองให้รีบออกจากห้องนี้ให้เร็วที่สุดเมื่อไอ้ป่านมันโทรมาถามว่าผมถึงไหนแล้ว จริงๆมันอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะเริ่มคลาสแต่ปกติแล้วผมต้องไปนั่งกินข้าวพร้อมท่องคำศัพท์สำหรับทำควิซของเช้านี้กับพวกไอ้แฝดก่อนน่ะสิ

โชคดีที่ในห้องน้ำมีแปรงสีฟันที่ยังไม่ได้แกะกล่องวางอยู่ที่อ่างล่างหน้าด้วยผมเลยหยิบเอามาใช้แม่งซะเลย เห็นผ้าขนหนูสีน้ำเงินเข้มพับวางอยู่ใกล้ๆแต่ก็ไม่กล้าหยิบมาใช้เลยดึงเสื้อตัวเองขึ้นมาเช็ดแทน เดี๋ยวค่อยไปเปลี่ยนเสื้อใหม่ในรถเอาก็ได้วะ

“ไปนะเจ้าอ้วน” ผมอุ้มไอ้ก้อนกลมขึ้นมากอดก่อนจะวางมันไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือตามเดิมแล้วรีบสไลด์ตัวออกจากห้องนอนอย่างเร็วแต่ก็ไม่ลืมที่จะเดินแวะไปที่โต๊ะหน้าเค้าท์เตอร์ครัว และสิ่งที่วางทับอยู่บนคีย์การ์ดนั่นก็ทำให้ผมต้องเม้มปากอย่างชั่งใจ แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจหยิบมันติดมือออกไปด้วยจนได้...



“โห้ไอ้เชี่ยตังอีก 15 นาทีเองนะเว้ยยย” ไอ้ป่านมันร้องทักเมื่อผมเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะประจำหน้าแผนก

“สัด อย่าเสียงดังดิ่วะกูจำไม่ได้” ไอ้ปอมันตบหัวฝาแฝดมันดังป้าบก่อนจะก้มหน้าก้มตาท่องศัพท์ต่อ

“ท่องไปยังไงมึงก็โง่ไอ้ควาย” ไอ้ป่านมันผลักหัวไอ้ปอแรงๆก่อนจะหันมาคุยกับผมต่อ

“แล้วมึงแดกอะไรมายัง?”

“ยัง”

“ไปหาไรแดกไป้ไอ้ห่า”

“เออๆ มึงท่องศัพท์ไปเหอะไม่ต้องห่วงกูหรอก”

ผมมองเพื่อนๆที่เริ่มทะยอยกันเดินขึ้นตึกกันไปก่อนจะหยิบห่อกระดาษที่หยิบติดมือมาจากห้องไอ้พี่ดินแดนออกมาจากกระเป๋าเป้ ดูจากห่อก็รู้ว่ามันต้องเป็นแซนด์วิชแน่นอน

“เชี่ย น่ากินว่ะ” ไอ้ปอมันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ตอนผมแกะห่อกระดาษออกเป็นที่เรียบร้อย มันคือ แซนด์วิชแซลม่อนรมควันกับอะโวคาโด ก็แบบ...น่ากินอย่างที่ไอ้ปอมันบอกน่ะแหละ

“ร้านไหนวะ วันหลังซื้อมาเผื่อกูด้วยดิ่”

“.......” ผมไม่ได้ตอบ รีบก้มหน้าก้มตากินให้หมดไอ้ปอจะได้เลิกสนใจผมซักที

“แต่เอ….” นั่นไง สันดานความเสือกมันเริ่มออกมาละ

“ดูๆแล้วกูว่าห่อแบบนี้มึงไม่ได้ซื้อมาหรอก” ผมเหลือบสายตามองดูไอ้เพื่อนแสนรู้ก่อนจะเอาแซนด์วิชที่กินเหลืออยู่ในมือยัดปิดปากมันไป

“อยากแดกก็แดกๆไปซะ!”



“ตัวมึง” ไอ้ป่านมันสะกิดหัวไหล่ผมยิกๆตั้งแต่เซนเซย์ยังไม่ออกประตู ผมที่กำลังก้มเก็บหนังสือลงกระเป๋าอยู่พอเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องสะดุ้งเมื่อตอนนี้ทุกคนในห้องกำลังหันมองมาที่ผมเป็นจุดเดียวจนผมต้องก้มลงสำรวจตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า กูเขางอกเหรอวะ?

“ไม่ได้อ่านเมมโม่หรือไง?” เงาตะคุ่มๆพร้อมด้วยเสียงทุ้มต่ำที่โคตรจะคุ้นหูดังขึ้นจนต้องรีบเงยหน้าขึ้นมอง ไอ้เชี่ยพี่ดินแดน! มึงมาได้ไงวะ!?

“..........” ในห้องที่น่าจะโหวกเหวกเพราะเพิ่งเลิกคลาสกลับเงียบกริบ ดวงตาใฝ่รู้ของทุกคนกำลังจ้องมองมาที่ผมกับไอ้ตะกวดยักษ์ที่บุกขึ้นมาถึงนี่ ร่างสูงๆยังคงยืนล้วงกระเป๋านิ่งๆเหมือนไม่ได้แคร์ห่าอะไรทั้งสิ้น

“เอ่อ...เพื่อนผมมันไปทำไรให้พี่ป่าวครับ?” ไอ้ปอมันถาม แต่น้ำเสียงมันดูแบบกระตือลือล้นเป็นพิเศษ ไอ้เชี่ยแม่งก็แค่อยากเสือกอย่างใกล้ชิดสินะ คนตัวสูงเหลือบตามาที่ผมเหมือนจะขอความเห็นจนผมต้องตาลีตาเหลือกลุกขึ้นจากเก้าอี้เลคเชอร์อย่างเร็ว

“กูไปก่อนนะ!” ผมบอกลาเพื่อนก่อนจะดึงแขนเสื้อของมนุษย์เสาไฟฟ้าให้เดินตามออกมาอย่างเร็ว

“พี่มาทำไมวะ?” ผมร้องถามมันเสียงดังอย่างเหลืออด ป่านนี้กลายเป็นขี้ปากชาวบ้านไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แม่ง

“......” ไอ้พี่ดินแดนมันยืนกอดอกแต่ไม่ตอบอะไร สายตาคมมองมาที่ตัวผมเหมือนกับกำลังสำรวจอะไรบางอย่าง

“มองไร?”

“ไม่ได้อาบน้ำ?”

“.....!.”  เชี่ย แม่งรู้ได้ไงวะ นี่กูเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ละนะ

“มั่ว”

“แล้วทำไมไม่เห็นเมมโม่”

“ทำไมจะไม่เห็น นี่ไง” ผมล้วงเอากระดาษสีฟ้าออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้มันดู

“แล้วสั่งว่าอะไร?”

“ก็ลืม” ผมหยักไหล่ตอบก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบคีย์การ์ดที่ห้อยพวงกุญแจแมวเนียนบอร์ดสีดำส่งคืนให้คนตรงหน้า
 
“อ่ะ เอาคืนไป” ฝ่ามือกว้างยื่นออกมารับโดยที่เจ้าตัวมันไม่ได้พูดอะไร

“เออ พี่ดินแดน” ผมเรียกคนตรงหน้าอีกครั้ง คิ้วหนาๆเลิกขึ้นน้อยๆเป็นเชิงว่ากำลังรอฟังสิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อ

“แซนด์วิชพี่ผมกินหมดแล้วนะ” ก็ไม่รู้พี่มันลืมหยิบมาหรือมันทำไว้ให้ใครหรือเปล่าก็เลยต้องบอกให้เจ้าตัวมันรู้ซักหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่มีมารยาท

“อืม” พี่มันตอบรับในลำคอเบาๆ ดวงตาคมยังมองมาที่ผมเหมือนกำลังรอฟังผมพูดต่อทั้งๆที่ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว

“ผม…”

“ไม่ได้เอาอาหารให้คอตตอนด้วย”

ริมฝีปากบางยักยิ้มก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะวางลงบนหัวผมแล้วขยี้เบาๆ

“ดีมาก”

แม่ง….

“นี่หัวคนนะเว่ย” ผมโวยก่อนจะดึงฝ่ามือกว้างออกจากหัวเมื่อถูกพี่มันขยี้ผมจนยุ่งเหยิงไปหมด กูไม่ใช่แมวมึงนะไอ้บ้า

“หึหึ จับมือกูอีกแล้ว” เชี่ยแม่ง ผมรีบสะบัดมือใหญ่ๆนั่นออกอย่างเร็ว เดี๋ยวแม่งจะหาว่าชอบมันอีก สันดาน

“ไม่มีไรแล้วผมไปนะ เพื่อนรอ” ผมพูดแล้วหันหลังผละออกมาก่อน แต่เดินออกมาได้แค่ไม่กี่ก้าวผมก็ตัดสินใจหยุดและหันมองกลับไปเพียงเพราะความเงียบเมื่อไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร พี่ดินแดนมันยังคงยืนอยู่ตรงนั้นและมุมปากหยักก็ยักยิ้มขึ้นทันทีที่เราสบตากัน

ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ก่อขึ้นในใจตอนนี้มันเรียกว่าอะไร รอยยิ้มนั่นทำให้หัวใจของผมเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ แต่มันก็กลับตรึงสายตาของผมเอาไว้ไม่ให้ละไปไหน เงาของร่างกายสูงที่ทอดยาวมาข้างหน้าค่อยๆสาดเข้ามาใกล้ รู้สึกตัวอีกทีปลายรองเท้าโอนิซึกะก็อยู่ห่างจากไนกี้แอร์จอร์แดนของผมเพียงแค่ไม่ถึงก้าว


“ไปกินข้าวด้วยกันไหม…?”



XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX


1 ก้าว   
2 ก้าว   
3 ก้าว
คนพี่ก็แค่เดิมพันไว้ในใจว่าคนน้องจะหันกลับมามั๊ยน้าาาา >//<


ขอบคุณทุกคนที่กดเข้ามาอ่านนะคะ รวมทั้งคอมเม้นต์และคำติชมด้วยค่ะ :pig4:
สำหรับคนที่เล่นทวิตเตอร์ฟอลโล่ที่แอค @B2YFICTION (https://twitter.com/B2YFICTION) ไว้พูดคุยกันได้นะคะ
หรือเจอกันได้ที่แท๊ก #ที่เก่าเวลาเดิมแต่ #ดินแดนของตัง
เจอกันตอนหน้าวันศุกร์ที่ 10 สิงหาค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP05 - TRAPPED!! [03.08.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: nlygust13 ที่ 03-08-2018 13:44:51
 :mc4:
หัวข้อ: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP06 - No rules [08.08.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 08-08-2018 16:49:48
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#6





“เชี่ย!” ผมสบถออกมาเบาๆแต่ก็สะดุ้งแรงจนถังป๊อปคอร์นในมือแทบร่วงจากตักเมื่ออยู่ๆก็มีผีซอมบี้พุ่งออกมาจากมุมมืดในตึกร้าง ตัวละครในจอภาพกำลังวิ่งหนีกันจ้าละหวั่นไร้ทิศทาง ผมจ้องมองภาพการเอาตัวรอดของผู้คนอย่างใจจดใจจ่อโดยคราวนี้เอามือกอดถังป๊อปคอร์นเอาไว้แน่นขนัด

“หึหึ” เสียงแมลงหวี่แมลงวันมันดังขึ้นใกล้ๆตัวจนผมต้องเหล่สายตาไปมอง ดีที่ตอนนี้ตัวละครที่กำลังหนีตายกันหนีรอดไปหมดละเลยไม่มีอะไรให้ลุ้น

“กลัวถูกแย่งกินขนาดนั้นเลย?”

“......!” ผมสะดุ้งตัวน้อยๆเมื่อคนที่นั่งข้างๆหันหน้ามาทางผมซะเต็มตัว ถึงในโรงหนังจะมืดแต่แสงสว่างจากจอภาพก็ทำให้ผมเห็นว่าใบหน้าที่มักจะนิ่งเฉยของมันกำลังยิ้ม แถมดวงตาคมยังหลุบต่ำมองถังป๊อปคอร์นในตักผมอีกตังหาก

“บ้าดิ่ พี่เอาไปถือเองเลยไป” ผมยกถังป๊อปคอร์นรสชีสดันใส่หน้าอกกว้างๆของมันให้ถอยออกไป ไอ้พี่ดินแดนมันหัวเราะเบาๆก่อนจะรับถังป๊อปคอร์นไปถือไว้แล้วเอนหลังพิงพนักพิงนั่งดูหนังที่ฉายอยู่บนจอภาพแบบสบายๆ ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองไหม? แต่ผมรู้สึกว่าพี่มันยิ้มง่ายกว่าที่เคยเห็นซะอีก

อาจจะเป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่าที่ทำให้ความอึดอัดของผมมันน้อยลงทุกครั้งที่เราได้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือตอนที่นั่งกินชาบูด้วยกันก่อนหน้านี้

“เฮ้ย อะไรของพี่วะ” ผมโวยเมื่อแซลม่อนโรลถูกคีบมาวางในจาน

“เอาคืนไป ผมไม่ชอบ”

“ไม่ชอบแซลม่อน? แต่เมื่อวานมึงก็กินนะ”

“อันนี้มันดิบ”

“อ๋อ”  พี่ดินแดนมันตอบรับก่อนจะคีบใส่ปากตัวเองแทน

“พี่ชอบเหรอ?”

“มาก”

“พี่ไม่ตอกไข่อ่ะ?”

“หึ กูไม่กินไข่ดิบ”

“แต่พี่กินปลาดิบ”

“แล้วไง”

“มันแปลก”

“งั้นมึงก็แปลก มึงกินไข่ดิบแต่ไม่กินปลาดิบนะตัง”

“เออว่ะ”

“มันมีแค่ชอบกับไม่ชอบ ความรู้สึกน่ะมันไม่มีกฏเกณฑ์หรอกนะ”

ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่านอกจากจะไม่อึดอัดแล้วผมยังสามารถคุยเรื่องชอบหรือไม่ชอบอะไรกับพี่มันได้ด้วย….

“อ่ะพี่” ผมส่งเงินให้คนตัวสูงหลังจากที่เดินออกมาจากโรงหนังเพราะพี่มันเป็นคนจ่ายก่อน จริงๆที่ตัดสินใจจะดูหนังกันมันกระทันหันน่ะ แต่ก็ดีนะ เข้าโรงปุ๊บหนังก็เริ่มฉายเลย

“ไว้คราวหน้ามึงจ่าย”

“ไม่เอาดิ่ ไม่ชอบเป็นหนี้ใครนาน” ผมปฏิเสธ อันนี้ผมพูดจริงป๊าม๊าสอนไว้ตั้งแต่เด็ก จำจนขึ้นใจ

“โอเค” พี่มันดึงเงินออกจากมือผมแล้วพับให้เล็กลงก่อนจะยัดใส่มือผมคืนเหมือนเดิม

“ฝากหน่อย” เอ้า แบบนี้ก็ได้เหรอวะ

“ฝากผมไม่มีดอกนะเว่ย”

“ก็ไม่ได้อยากได้”

“อยากได้มึงมาดูหนังด้วยมากกว่า”

“.....!”

“แอคติ้งมึงเยอะดี หนังเขาเครียดๆแม่งตลกขึ้นมาเลย กูชอบ”

ไอ้ดินแดน ไอ้เชี่ย แม่งกวนตีนชิบ!


⇤  BEGIN AGAIN  ⇥



“หวัดดีเจ้”

“เมื่อคืนแกไปไหนมา ม๊าบอกแกไม่กลับบ้าน”

“ไปค้างหอเพื่อน แล้วเฮียกิจไปไหนอ่ะ ปล่อยเมียเฝ้าร้านคนเดียวได้ไง” ผมเปลี่ยนประเด็นขี้เกียจตอบคำถามเลยเป็นคนถามซะเอง พวกผู้หญิงนี่ข่าวไวจริงๆ ขนาดเจ้ตวงไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับผมกับป๊าม๊านะ

“พาน้องต่อไปซื้อขนม แล้วลมอะไรหอบแกมา”

“ลมขี้เกียจขับรถ” ผมตอบก่อนจะเอนหลังพิงโซฟาสำหรับลูกค้าตรงโถงร้าน ใกล้ๆค่ำแบบนี้ไม่ค่อยจะมีลูกค้าแล้วล่ะครับ

เออ ยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่าบ้านผมขายทองอ่ะ ร้านนี้เป็นสาขา3 ที่เจ้ตวงเป็นคนดูแล ส่วนสาขาใหญ่ตอนนี้เฮียเต้ยึดจากป๊าม๊าไปละ ส่วนผมอ่ะเหรอ ไม่มีสมบัติอะไรกับเขาหรอก ฉะนั้นนอกจากเป็นนักศึกษาแล้วก็ยึดอาชีพเกาะม๊าเกาะป๊ากินไง ลูกดีเด่นป่ะล่ะ

“เออ มาก็ดี ฝากครีมไปให้ม๊าด้วย”

“อ่าหะ”

“แล้วจะกินข้าวเย็นด้วยกันไหม?”

“ไม่อ่ะ ยังอิ่มอยู่เลย”

“ไม่ใช่นัดสาวที่ไหนไว้เหรอ?”

“เออ…..” อันนี้ผมไม่ได้ตอบเจ้ตวงหรอก แค่กำลังคิด ผมน่าจะชวนเบลไปกินข้าวเย็นวันนี้ดีป่ะวะ

“นั่นไง” เจ้ตวงส่ายหัวยิ้มๆ   

“คิดออกเพราะเจ้เลยนะเนี่ย” ผมได้โอกาสล้วงไอโฟนออกมาจากกระเป๋าแล้วกดโทรออกทันที

“เย็นนี้ว่างป่ะครับ?” ผมกรอกเสียงลงไปเมื่อได้ยินเสียงทักทายจากเบลที่ปลายสาย

“ยังอยู่ที่คณะเหรอ? งั้นเดี๋ยวตังไปรับ ได้ครับ เจอกันนะ” โชคดีจริงๆที่ผมมาแวะร้านเจ้ตวงก่อน เพราะจากร้านไปมหาลัยใกล้นิดเดียวเอง

“อ่าวตัง”

“หวัดดีครับเฮีย”

“กู๋ตังงง” เจ้าหลานชายตัวกลมวิ่งมาโถมตัวใส่ผมจนแทบจุก พี่สาวผมคงเลี้ยงลูกดีไปหน่อย หุ่นเสี่ยตั้งกะ5ขวบอ่ะคิดดู

“โห้ น้องต่อซื้อไรมาเยอะแยะเลย แบ่งให้กู๋ด้วยได้ป่ะ?” ผมแกล้งถาม นิ้วชี้เล็กๆจิ้มแก้มป่องๆของตัวเองเมื่อใช้ความคิด

“อันนี้ของหม่าม๊า อันนี้ของต่อ อันนี้ของป่ะป๊า อืมมม อันนี้ให้กู๋ตังก็ได้” ซองขนมสำหรับแมวถูกยื่นออกมาให้ผม ไม่ต้องสงสัยเลยนี่ของไอ้เฮงเฮงชัวร์

“แต่อันนี้มันของเฮงเฮงไม่ใช่เหรอ?”

“อื้อ”

“แต่เฮงเฮงบอกให้กู๋ตังได้” ผมรับซองขนมสำหรับแมวมาถือไว้ก่อนจะฟัดแก้มป่องๆไปสองที ไม่นานไอ้แมวหน้าไร้อารมณ์ก็เดินตรงเข้ามาสีตัวที่ขาของผมจนต้องอุ้มมันขึ้นมานั่งบนตัก โห้ ไม่เจอกันแปบเดียวมึงอ้วนขึ้นอีกแล้วเหรอไอ้แมวยักษ์ 

ผมแกะซองขนมแมวรสปลาแซลม่อนได้ไม่ทันเสร็จไอ้ตัวอ้วนก็ตะปบมือผมแทบจะทันที ผมปล่อยให้ไอ้เฮงเฮงมันเลียขนมในมืออย่างเอร็ดอร่อย ลูบหลังแบนๆไปก็อดนึกถึงไอ้ก้อนกลมนิ่มๆอีกตัวไม่ได้ ถ้าจะให้เทียบกันล่ะก็เรื่องความอ้วนนั้นไอ้เฮงเฮงชนะขาด แต่ถ้าเรื่องความนุ่มนิ่มล่ะก็เจ้าคอตตอนชนะขาดลอยไปเลย

“ตัง”

“หื้อ?”

“ไม่รีบไปเหรอ?”

“เห้ยย” ผมหันไปมองนาฬิกาแล้วอดแหกปากไม่ได้ ผมแม่งเป็นอะไรวะ ได้จับตัวแมวอ้วนๆทีไรเหมือนโดนมนต์สะกด เพลินจนลืมเวลาทุกทีสิน่า!



ผมขับรถมาจอดที่ข้างตึกคณะ มีรถจอดอยู่สองสามคันแล้วหนึ่งในนั้นมันก็คุ้นตามาก มันเหมือนรถของเจ้ากรรมนายเวรผมเลยอ่ะ เดินเข้าไปดูทะเบียนใกล้ๆถึงจะจำเลขไม่ได้แต่ทะเบียน ‘เชียงใหม่’ นี่ผมว่าใช่แน่นอน แม่งมาทำไรวะ กูนึกว่ากลับบ้านกลับช่องไปละนะ

“ตัง ทางนี้” แตงครับเป็นคนหันมาเห็นผมคนแรกเลยลุกขึ้นโบกมือหยอยๆ

“หวัดดี แล้วเบลล่ะ?” ผมถามหาเมื่อมองซ้ายแลขวาก็ยังไม่เจอเป้าหมายของผม

“อ๋อ เบลกับลูกน้ำไปช่วยรุ่นพี่เขาถือของน่ะ”

“แล้วนี่ทำไรกันเหรอ?”

“ก็งานคณะปีนี้ไง อะไรพวกเอกแจ๊ปยังไม่เตรียมตัวกันอีกเหรอ?”

“อ๋อ ก็คุยๆกันแล้วเหมือนกัน เอกอิงก์นี่ฟิตกันจัง” ผมตอบกลับไปบ้าง ไอ้งานคณะที่พูดกันอยู่นี่ก็คืองานวัฒนธรรมครับ ซึ่งปี1ของแต่ละเอกจะต้องทำการแสดงละครเวทีสั้นๆ จริงๆผมว่าแม่งเหมือนงานสังเวยอาจารย์และรุ่นพี่ปีสูงอ่ะ จำได้ว่าตอนนั้น (เออ ซึ่งมันก็คือตอนนี้อ่ะแหละ)เซคผมแสดงลิเกเรื่องบ้านทรายทอง ลิเกภาษาญี่ปุ่นซะด้วย ไม่ต้องถามว่าผมแสดงเป็นตัวอะไรนะ หล่อๆอย่างผมก็ทำพรอบไง ถุ้ย

“แล้วเอกอิงก์เล่นเรื่องอะไรเหรอ?”

“ความลับดิ่” แตงพูดแล้วหัวเราะ เดี๋ยวขอนึกแปบ...ตอนนั้นเอกอิงก์เล่นเรื่องอะไรวะ?

อ๋อ…

จำได้แล้วว่าเบลได้เล่นเป็นนางเอก

จำได้ว่าเรื่อง…..

ผมยันตัวลุกขึ้นยืนทันที อยู่ๆอารมณ์ของผมมันก็ตึงๆขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นว่าเบลกำลังเดินมากับใคร ที่ผมเห็นในตอนนี้คือใครอีกคนที่หิ้วถุงอะไรไม่รู้อยู่เต็มสองมือนั่น เบลกำลังยิ้มนิดหน่อยและถึงอีกคนมันจะไม่ยิ้มแต่มันก็ไม่ได้ไร้อารมณ์เหมือนอย่างทุกที

“อ่าวตัง มาแล้วเหรอ?” เบลยิ้มทักผมทันทีที่เดินเข้ามาใกล้ ผิดกับไอ้คนที่มาด้วยที่ตอนนี้หน้าของมันดูไร้อารมณ์ขึ้นมาทันทีที่สบตากับผม

“ครับ”

“นพมารับของหน่อย” สายตาคมยังคงมองหน้าผม แต่มันไร้การทักทาย มือกว้างส่งของให้รุ่นน้องอีกคนก่อนที่มันจะหันหลังเดินออกไปตามทางที่เดินมาก่อนหน้านี้

“รอเราอีกแปบได้ไหม? ใกล้จะกลับกันแล้วล่ะ” เบลบอกผมแล้วนั่งลงบนพื้นที่มันเต็มไปด้วยกองกระดาษสีสันต่างๆข้างๆกับแตง ผมพยักหน้าก่อนจะนั่งลงตามโดยที่ไม่ได้พูดอะไร

“แล้วลูกน้ำล่ะ?”

“กำลังเดินมากับพวกพี่บอย” เบลตอบข้อสงสัยที่แตงถามได้ไม่ทันจบก็เห็น พี่บอย พี่เต๋า พี่โอ แล้วก็ปี1อีกสองสามคนรวมทั้งลูกน้ำและไอ้คนหน้าไร้อารมณ์บอกบุญไม่รับกำลังเดินถือของกันมาพะรุงพะรัง

ต่อจากนั้นก็ถึงช่วงเวลาเดธแอร์ครับ ความรู้สึกของการเป็นส่วนเกินมันเป็นแบบนี้นี่เอง ผมนั่งมองคนที่กำลังนั่งคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวโดยที่เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง พอมีเวลาก็นึกออกว่าเรื่องที่พวกเอกอิงก์แสดงในตอนนั้นก็คือเรื่อง Letter to Juliet ซึ่งจากวันนั้นจนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังไม่เคยดู

นพซึ่งผมคิดว่าน่าจะรับเป็นคนเขียนบทกำลังพยักหน้าหงึกหงักแล้วพิมพ์ทุกอย่างที่เพื่อนพูดลงในโน๊ตบุ๊ค ส่วนพวกปี2ก็คอยเสริมรายละเอียดเล็กๆน้อยๆจากประสบการณ์ที่ตัวเองเจอมาเมื่อปีที่แล้ว โดยไม่มีใครพูดกับกูเลยครับ ทำอะไรไม่ได้ก็นั่งตบยุงโชว์แม่ง

พี่แดนคะ” ผมหันไปสนใจทันทีเมื่อสิ้นเสียงเรียก ก็ไม่รู้ว่าแม่งเป็นอะไรความรู้สึกคันยุบยิบในอกทำให้ผมต้องเม้มปากแน่น เมื่อไม่กี่วันก่อนผมยังจำได้ว่าเบลยังเรียกไอ้โย่งนี่ว่าพี่ดินแดนอยู่เลย แล้วแม่งไปสนิทสนมกันตอนไหนวะ

“ว่าไงครับน้องเบล

“.......” ทุกอย่างรอบตัวมันดูเงียบและมืดไปหมด ถ้าตอนนี้ทุกคนไม่ได้ขยับตัวผมคงคิดว่าท่านเทวดาคงแวะมาทักทายผมแน่ๆ

แต่เอาเข้าจริงส่วนที่มืดนั้นมันคือตัวผมเองนี่หว่า คนที่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนมันก็คือตัวผมเอง คนที่หูดับฟังอะไรไม่ได้ยินในตอนนี้มันก็ตัวกูเองอีกนี่แหละ ความรู้สึกตอนนี้มันคืออะไรวะ แม่ง! อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนเลือดขึ้นหน้าจนต้องเอ่ยปากทำลายความเงียบในหูของตัวเองโดยการส่งเสียงพูดออกไป

“เบลครับ”

“อุ้ย โทษทีนะตัง”

“งั้นเราขอตัวก่อนนะ พอดีตังมารอนานแล้วด้วย” เบลรีบหันไปบอกกับเพื่อน ก็ยังทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง ที่อย่างน้อยเบลก็ยังเห็นหัวผม ไม่เหมือนกับใครบางคน ทำตัวหยั่งกับคนเป็นไบโพล่า ทั้งๆที่เมื่อบ่ายยังเดินหัวเราะเรื่องไร้สาระด้วยกันอยู่เลย ไอ้บ้าเอ้ย

“พี่เต๋า พี่บอย พี่โอ พี่แดน พี่หม่อน เบลขอตัวกลับก่อนนะคะ”

“หวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้แบบรวดเดียวก่อนจะดึงหนังสือในมือเบลมาถือเอาไว้ซะเอง พี่บอยมันส่งยิ้มแห้งๆแล้วโบกมือบายๆให้ผมโดยไม่ได้แซวอะไรบ้าบอเหมือนทุกที เออ อย่างงี้ก็ดีเหมือนกัน

“เอกแจ๊ปยังไม่เตรียมตัวกันอีกเหรอ?” เบลชวนผมคุยในขณะที่กำลังเดินออกไปด้วยกัน

“ยังครับ” เอาจริงพวกผมไม่ค่อยจริงจังกันหรอกเน้นฮาไว้ก่อน

“ไม่กลัวไม่ทันเหรอ อีกเดือนเดียวเองนะ” ผมยิ้มแห้งๆให้กับคำถามเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไรดีแต่เบลก็ยังคงชวนผมคุยไปเรื่อยๆ

“นี่เรายังกลัวไม่ทันเลย ยังดีที่วันนี้พวกพี่ปี2มาช่วยแนะแนวให้ด้วย”

“......”

“เออ จะว่าไปพี่แดนเขาใจดีมากเลยนะตัง ไม่เหมือนตอนรับน้องเลยล่ะ” และชื่อของบุคคลที่สามก็ทำให้ผมต้องเม้มปาก ทั้งๆที่ผมพาเบลออกมาจากตรงนั้นแล้วเบลก็ยังจะพูดเรื่องของคนๆนั้นอยู่ดี ผมแม่งไม่ชอบเลยว่ะ

“งั้นเหรอ แล้ว….เบลหิวไหมครับ ไปหาอะไรกินกันนะ”

“คือ...มันดึกแล้วอ่ะ เราไม่อยากกินอะไรแล้ว” ผมพยักหน้าเข้าใจก่อนจะขับรถต่อไปโดยไม่ได้ถามอะไรเบลอีก ถ้านับเป็นคะแนน ความก้าวหน้าของผมกับเบลวันนี้คงเป็นศูนย์

แต่นั่น…

มันกลับไม่ใช่เรื่องที่ค้างคาใจของผมอยู่ในตอนนี้เลย




ผมนั่งจ้องหน้าจอไอโฟนที่กดเบอร์ใครบางคนค้างเอาไว้แต่จ้องมันจนจอดับไปก็ไม่ได้โทรออกไปซักที

แต่เอาจริงๆ แม่งหงุดหงิดว่ะ

ผมกดเปิดหน้าจออีกครั้งก่อนจะหลับหูหลับตากดโทรออกไปทันที เสียงรอสายดังขึ้นได้ไม่นานปลายสายก็กรอกเสียงตอบรับกลับมา

“ฮัลโหล” 

“......”

“นี่ผมเอง”

“.......” และก็เป็นคราวที่อีกฝ่ายไม่ตอบกลับมาบ้าง และมันก็นานซะด้วย

“พี่เป็นไรวะ?”

“......”

“แม่ง” ผมสบถใส่ ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะอีกฝ่ายแม่งก็เอาแต่เงียบ

“Hotel Transylvania หรือ Pan เลือกมาเลย” อยู่ๆปลายสายก็พูดออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย อะไรของแม่งวะ

“ให้เวลาเลือกสิบวิ”

“......”

“โอเค Pan”

“เฮ้ย พี่แม่งอย่ามั่วดิ่วะ!” ผมแย้ง ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากปลายสายอย่างอารมณ์ดี แม่งไบโพล่าจริงๆสินะมึง

“พี่ดินแดน”

“ผมไม่ได้โทรมาชวนพี่ดูหนังซักหน่อย”

“แล้วไง คิดถึงเหรอ?”

“ประสาทกลับเหรอไง” ผมแย้งกลับไป แม่งอยู่ดีๆมากวนตีนเฉย ใครมันจะคิดถึงมึงไม่ทราบ

“หึหึ....แล้วโทรมาทำไม?” นั่นดิ่ กูโทรหามันทำไมวะ โอเคไม่เล่นละ ผมสูดหายใจเฮือกใหญ่ที่ก่อนจะ

“ก็…วันนี้....” พี่เมินผมทำไมวะ? แต่แล้วคำถามมันก็ถูกกลืนลงไปในลำคอเมื่อรู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้า

“ผมกำลังคุยๆกับเบลอยู่” แต่นี่คือสิ่งที่ผมเลือกที่จะพูดออกไปแทนคำถามนั้น

“แล้วมาบอกกูทำไม?”

“ก็บอกไว้ก่อน”

“.......”

“พี่ห้ามยุ่งนะเว่ย”

“แล้วกูต้องเชื่อมึงด้วยเหรอ?”

“พี่หมายความว่าไง?”

“ระวังตัวไว้ให้ดีๆเถอะ” เสียงเรียบๆพูดเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่สายจะตัดไป และถึงผมจะกดโทรซ้ำไปอีกเท่าไหร่มันก็ไม่รับสายอีกเลย…

โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ไอ้พี่ดินแดนมันก็ชอบเบลเหมือนกันเหรอวะ !?



XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX


วันนี้มาเร็ว ฉลองวันแมวโลก 5555
ขอบคุณทุกคนที่กดเข้ามาอ่านนะคะ รวมทั้งคอมเม้นต์และคำติชมด้วยค่ะ :pig4:
สำหรับคนที่เล่นทวิตเตอร์ ฟอลโล่ที่แอค @B2YFICTION (https://twitter.com/B2YFICTION) ไว้พูดคุยกันได้นะคะ
หรือเจอกันได้ที่แท๊ก #ที่เก่าเวลาเดิมแต่ #ดินแดนของตัง
เจอกันตอนหน้าวันศุกร์ที่ 10 สิงหาเหมือนเดิมค่ะ
อาทิตย์นี้แถม ลง 2 ตอนไปเลย!  :mew1:
หัวข้อ: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP07 - R I V A L [10.08.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 10-08-2018 21:13:02
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#7





ผ่านไปสามวันความสงสัยของผมก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เอาจริงๆกูคิดมากจนประสาทจะแดกละ จากวันนั้นผมก็ยังไม่เจอหน้าไอ้สันขวานดินแดนอีกเลย รวมถึงเบลด้วยเหมือนกัน แต่ก็เพราะตอนนี้พวกเราต่างก็ยุ่งเรื่องการเตรียมงานคณะกันอยู่ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร….ละมั้ง

“ไอ้เชี่ยตังทาแบบมึงชาติไหนเสร็จ” ไอ้ปอมันเดินมาแย่งแปรงทาสีในมือผมแล้วลงมือทาเองไปเป็นที่เรียบร้อยหลังจากที่ก่อนหน้านี้มันนั่งจ้องจอมือถืออยู่เกือบจะชั่วโมง!

“ก็ยังดีกว่ามึงล่ะวะ” ผมเถียง

“แล้วมึงเหม่อหาส้นตีนไรอยู่ สีไหลลงข้อศอกแล้วยังไม่รู้เรื่องเลย” ไอ้ปอมันใช้แปรงทาสีชี้ๆมาทำให้ผมต้องรีบยกแขนขึ้นดู ไอ้เหี้ยเอ้ยยยยย ไม่เหลือดีเลยกู

“เชี่ยแม่ง”

“ไปล้างไปไอ้ควาย”

“ไปด้วยๆ กูปวดเยี่ยว” ไอ้ป่านมันวางกระป๋องสีลงกับพื้นแล้วเดินปรี่เข้ามาหาผม

“เชี่ยป่าน กลับมาซื้อน้ำมาให้กูแดกด้วยนะ”

“เออ”

“เอากุญแจรถมาเดี๋ยวกูไปเอาเสื้อให้”

“เออ ขอบใจ”

“แล้วมึงเอาโค้กใช่มะ?”

“อ่าหะ” ไอ้ป่านมันพยักหน้าตอบรับก่อนจะปลีกตัวเดินออกไปเหลือแต่ผมที่ยืนถอดเสื้อโชว์หัวนมอยู่ในห้องน้ำใต้ตึก แม่งก็ขนลุกแปลกๆอยู่นะเนี่ย ผมโยนไอ้เสื้อนักศึกษาเคราะห์ร้ายลงในถังขยะเพราะคิดว่ายังไงมันก็ซักไม่ออก ก็ยังโชคดีที่มันเป็นเสื้อแขนยาวเลยทำให้สีไม่ซึมมาโดนผิวเนื้อซักเท่าไหร่ ไม่งั้นคงต้องยืนถูจนหนังกำพร้าหลุดแหงๆ ยืนกอดอกหันหลังพิงอ่างล้างหน้าได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินใกล้เข้ามา และมันก็เป็นไอ้ป่านที่โผล่เข้ามาอย่างที่คิด

“อ่ะ” มันยื่นเสื้อให้ผม แต่ท่าทางมันดูกระหืดกระหอบชอบกล

“เห้ยตัง” มันเกริ่นก่อนจะเว้นจังหวะไปแปบนึง จนผมที่กำลังติดกระดุมเสื้อต้องเงยหน้าขึ้นสบตากับมันผ่านกระจกเงาที่อยู่ตรงหน้า

“มึงกับเบลนี่ยังไงวะ?”

“ก็คุยๆกันอยู่” ผมตอบก่อนจะหันหน้าไปหา ไอ้ป่านมันขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรจนผมต้องถามมันต่อ

“มีไรวะ?”

“เมื่อกี้...กูเห็นเบลกับพี่ดิน..”

“เออ กูก็เห็น” คำตอบของผมทำให้ไอ้ป่านชะงักเท้าก่อนจะเงยหน้ามองตามสิ่งที่ผมกำลังมองอยู่เมื่อเราเดินออกมาจากห้องน้ำได้ไม่ถึงสิบก้าว ที่หน้าบอร์ดประชาสัมพันธ์ใหญ่ของคณะมีคนสองคนกำลังยืนอยู่และก็กำลังช่วยกันแปะโปสเตอร์อะไรบางอย่าง

“แต่คือ...มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้...เนอะ”

“อืม” ผมครางรับในลำคอ แต่ก็ยังไม่ได้ละสายตาไปจากภาพที่มองเห็น ภาพที่คนสองคนกำลังยืนคุยกันถึงมันจะไกลจนผมไม่ได้ยินแต่จากท่าทางก็พอจะเดาว่าคงจะไม่ใช่เรื่องซีเรียส เบลกำลังยิ้มในขณะที่คนตัวสูงก็ดูจะมีความสุขดี

แม่งเจ็บจี๊ดเลยว่ะ


“มึงจะเอาไงต่อวะไอ้ตัง?” ไอ้ปอมันเปิดประเด็นหลังจากที่ไอ้แฝดนรกของมันส่งโทรจิตเล่าเรื่องของผมจนจบ

“เอาไงคืออะไร?”

“เอาจริงๆตอนแรกกูนึกว่าพี่ดินแดนมันจีบมึงซะอีก”

“จีบเหี้ยอะไรล่ะไอ้สัด!”

“เอ้า เพิ่งรู้ว่ากูมีเพื่อนเป็นเหี้ย” มันลอยหน้าลอยตาพูดจนผมต้องใช้ตีนยันมันออกไปให้ไกลๆ

“กูก็ว่างั้นอ่ะ” ไอ้แฝดน้องมันเสริม ว่างั้นนี่ว่าไง ว่ากูเป็นเหี้ย?

“ไม่ๆ กูหมายความว่ากูก็คิดว่าพี่ดินแดนมันจีบมึงเหมือนกัน” ไอ้ป่านอธิบาย สงสัยว่ามันจะอ่านสายตาผมออก

“เห็นเทียวไปเทียวมาอยู่ดีๆ ที่ไหนได้” คนพูดมันยักไหล่ก่อนจะดูดโค้กอึกใหญ่ เปิดโอกาสให้แฝดผู้พี่มันพูดต่อ

“คู่แข่งมึงน่ากลัวมาก”

“เหมือนกำลังเดินนำหน้าแล้วถูกยิงธนูปักเข่า”

“ล้มเลยสัด”

“โดยเหยียบซ้ำแบบเนียนๆ”

“รู้สึกตัวอีกทีเขาได้เสียเป็นเมียผัวแล้วงี้”

“พ่อมึงสิไอ้เพื่อนเหี้ย!” ผมโพล่งด่าออกไป เห็นกูเงียบเข้าละเอาใหญ่เลยนะ สัด

“แต่แบบ กูว่ามันแปลกๆว่ะ” ไอ้ปอมันเอามือจับคางตัวเองแล้วทำหน้าครุ่นคิดเหมือนพระเอกหนังสืบสวน ถึงหน้าจะไม่ให้ก็เหอะ

“แปลกยังไงวะ?” ผมถาม

“ก็แปลกตรง...มึงนี่แหละ”

“กูเนี่ยนะ?” ผมชี้หน้าตัวเองมันก็พยักหน้าหงึกหงัก กูแปลกยังไง เขางอกหางโผล่งี้เหรอ

“เออ”

“แล้วกูแปลกยังไง?”

“กูว่ากูไม่ควรตอบ” ไอ้ปอมันยักไหล่

“กูว่ามึงคิดถูกไอ้พี่ชาย” ไอ้ป่านมันตบไหล่ไอ้ปอปุๆก่อนจะพากันเดินไปเติมสีแบบไม่สนใจอะไรผมอีก ห่าเหวอะไรของพวกแม่งอีกวะ ไอ้เพื่อนเวร



คุณเคยเป็นไหม? เมื่อเรากำลังรู้สึกหรือหมกมุ่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันก็มักจะมีสิ่งที่สนับสนุนความคิดนั้นเสมอ ใช่ และนี่ก็เป็นครั้งที่2ของวันที่ผมเห็นเบลกับไอ้พี่ดินแดนอยู่ด้วยกันตามลำพังอีกแล้วโว้ยยยย แม่งจะไม่ให้เวลากูตั้งหลักเลยช้ะ?

เอาก็เอาดิ่วะ แม่งมาถึงขั้นนี้ละ!

ผมสูดลมหายใจลึกๆก่อนที่จะเดินเข้าไปที่โต๊ะม้าหินหน้าแผนกอิ้งก์อย่างช้าๆ ยิ้มเข้าไว้ไอ้ตัง ยิ้มเข้าไว้

“เบลครับ” ผมส่งเสียงเรียกคนที่นั่งหันหลังให้ก่อนที่เธอจะหันมา ไอ้คนตัวสูงเลิกคิ้วใส่แต่ผมก็เลือกที่จะไม่สบตามันตอบ

“มานั่งด้วยกันสิตัง” ผมยิ้มรับก่อนที่จะนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวที่ว่างอยู่

“อ่าว พี่ดินแดนก็อยู่เหรอครับ ผมไม่ทันเห็น” ผมหันไปฉีกยิ้มใส่ไอ้คนที่ตีหน้านิ่ง ดวงตาคมจ้องหน้าผมก่อนที่มุมปากบางจะกระตุกยิ้มเล็กๆ

“มาทำอะไรที่นี่เหรอครับน้องตัง?” มุมปากมันยิ้ม แต่น้ำเสียงที่มันเปล่งออกมานี่อย่างเย็น ไม่
ได้เย็นใจนะ เย็นยะเยียบเลยต่างหาก

“ผมมารับเบลอ่ะครับ”

“พี่คิดว่าอีกนาน เราต้องทำอะไรกันอีกเยอะ น้องตังกลับไปก่อนเถอะครับ” น้ำเสียงเย็นเริ่มมีแววขุ่น แต่ก็ไม่เท่ากับคำว่าเราที่มันเปล่งออกมาจากริมฝีปากนั้น มันทำให้ผมรู้สึกเสียดในหน้าอกแปลกๆ

“นั่นน่ะสิคะตัง วันนี้เราคงจะดึกแน่ๆเลย”

“ตังรอได้ครับ” ผมตอบก่อนจะเม้มปากข่มใจตัวเองหนักๆ

“อืมมม ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ แต่ถ้ารอไม่ไหวจะกลับก่อนก็ได้นะ” เบลสบตาผมก่อนจะหันไปอ่านข้อความไลน์ที่หน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง


“งั้นเดี๋ยวเราขึ้นไปที่ห้องกิจกรรมก่อนนะ” เบลบอกผมก่อนจะหันไปมองอีกคนเป็นเชิงถาม ไอ้คนตัวสูงมันยิ้มน้อยๆก่อนพยักหน้าเบาๆ

“เดี๋ยวพี่ตามขึ้นไปครับ”

“พี่แม่งจะเอายังไงกับผมวะ!?” ผมโพล่งออกมาอย่างหมดความอดทน ตอนนี้กูเย็นไม่ไหวละแม่ง

“แล้วมึงอยากจะเอาแบบไหนล่ะ?” ไอ้คนหน้านิ่งมันถามกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ มันเหมือนจะกวนตีน แต่น้ำเสียงก็เหมือนคนที่กำลังโกรธ

“ผมบอกพี่แล้วว่าผมจีบเบลอยู่ พี่ก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับเบลป่ะวะ?”

“แล้วมึงมีสิทธิ์อะไรมาห้าม มึงจีบได้ กูก็จีบได้

“แม่งเหี้ยไปป่ะ” ผมพูดเสียงรอดไรฟัน ความรู้สึกในตอนนี้มันอัดแน่นจนต้องระเบิดออกมา ผมไม่รู้ว่ากำลังโกรธหรือไม่พอใจมากขนาดไหน ผมรู้อย่างเดียวว่าผมเกลียดคำพูดของมันทุกคำในตอนนี้ เกลียดน้ำเสียงของมันจนอยากจะต่อยหน้าแม่งให้คว่ำ

“ถ้ามึงยังไม่รู้นะตัง” ไอ้พี่ดินแดนมันยืนเต็มความสูงก่อนจะก้าวออกมายืนที่ข้างโต๊ะโดยที่ผมก็ทำเหมือนมันเช่นกัน

“กูไม่เคยยอมให้ใครมาด่าฟรีๆแบบนี้หรอกนะ”

ดวงตาคมมองมาโดยที่ผมก็จ้องตอบ คนตัวสูงขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับฝ่ามือกว้างที่ยื่นออกมาจนผมต้องห่อไหล่แล้วหลับตาปี๋อย่างอัตโนมัติ ทุกสิ่งรอบตัวเงียบลงไปชั่ววินาทีก่อนที่สัมผัสอุ่นๆจะเกิดขึ้นที่ข้างแก้มจนผมต้องค่อยๆลืมตาขึ้นด้วยความไม่เข้าใจก่อนที่เสียงทุ้มๆจะเอ่ยคำพูดต่อออกมาพร้อมกับดวงตาคมนั้นที่ยังคงจ้องตรงมาที่ผม

“ถ้าคนๆนั้น ไม่พิเศษพอ”


⇤  BEGIN AGAIN  ⇥


เสียงฝีเท้าของกลุ่มคนที่ค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอไอโฟนที่นั่งจ้องมันอยู่นานสองนาน เบลกำลังเดินมาทางผมพร้อมกับลูกน้ำและแตง รวมไปถึงพี่เต๋ากับเพื่อนมันที่ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อเท่าไหร่ด้วยอีกคน

โทษนะเว่ยไอ้แดน แต่กูรีบจริงๆว่ะ” ไอ้พี่เต๋ามันบอกก่อนจะตีไหล่หนาๆของเพื่อนสนิทสองสามทีแล้วผละตัวออกไปอย่างเร็ว ผมหลุบสายตาหลบเมื่อรู้สึกได้ว่าคนตัวสูงกำลังจะจับได้ว่าผมกำลังมองมันอยู่

“เรานึกว่าตังจะหนีกลับไปแล้วซะอีก” เบลยิ้มเมื่อมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

“ตังไม่ทำงั้นหรอก สำหรับเบลแค่ไหนก็รอได้” ผมยิ้มตอบรอยยิ้มน่ารักนั้น ใช่ เบลน่ารัก น่ารักมากๆด้วย

“หู้ยยย เหม็นความรัก ” แตงแซวก่อนจะหัวเราะเบาๆ

“เราไปดีกว่า ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ หวัดดีค่ะพี่แดน บายๆทุกคน”

“ตังคะ วันนี้ช่วยไปส่งพี่แดนด้วยได้ไหม?” คำพูดของเบลทำให้ผมต้องเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม ไอ้คนตัวสูงนั่นยังทำหน้านิ่ง ดวงตาคมฉายแววแปลกๆ เหมือนไม่พอใจ แต่ก็ไม่

“ถ้าคุณไม่สะดวกผมไม่รบกวนดีกว่า” น้ำเสียงทุ้มตัดบทเมื่อผมไม่ตอบคำถามของเบล

“พี่กลับรถไฟฟ้าได้ครับน้องเบล” มุมปากบางยกยิ้มขึ้นเล็กๆก่อนจะผละตัวออกไป ผมเม้มปากก่อนจะตัดสินใจเปล่งคำพูดออกไปสั้นๆแล้วเดินนำไปอีกทาง

“ผมสะดวก เชิญครับ”


ผมจอดรถเทียบอยู่ที่หน้าตึกคอนโดของผู้โดยสารคนสุดท้ายหลังจากที่แวะส่งเบลและลูกน้ำแล้วเป็นที่เรียบร้อย ห้านาทีผ่านไปทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ผมนั่งนิ่ง คนข้างๆมันก็นิ่ง

“พี่ดินแดน” ผมเรียก ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆจากคนที่นั่งเบาะข้างๆก่อนที่หางตาจะเห็นว่าไอ้คนตัวสูงมันหยิบไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเปิดแอพอะไรซักอย่างดูโดยไม่มีทีท่าว่าจะปลดเบล์ทออกเพื่อลงจากรถ

“นั่งรอที่หน้าประตูแบบนี้คงจะหิวข้าวแล้วล่ะสิ” เสียงทุ้มงึมงำเหมือนพูดกับตัวเองแต่ก็ดังพอที่ผมจะได้ยินด้วยเหมือนกัน หน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังแสดงภาพจากกล้องCCTVทำให้ผมเห็นเจ้าก้อนกลมๆสีเทากำลังนอนขดกลมอยู่ตรงหน้าประตูนั่น

“พี่ดินแดน” ใบหน้าคมหันมาตาคำเรียกแต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองอีกครั้ง ผมถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจใส่เกียร์เดินหน้าเพื่อเข้าไปยังที่จอดรถด้านใน

โอเค สงครามประสาทคราวนี้ผมแพ้ แพ้ให้กับไอ้ก้อนกลมขนสีเทานั่น ผมก็แค่ไม่อยากให้มันกินอาหารผิดเวลาก็เท่านั้น!

ผมเดินนำหน้าคนขายาวที่วันนี้มันดูจะเดินช้าเป็นพิเศษ ตั้งแต่จอดรถเมื่อกี้ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดประตูลงจากรถก็เป็นผมที่ต้องทำก่อนทุกอย่าง แม่งจะกวนตีนกูไปถึงไหนวะ

“เปิดดิ่” ผมหันไปบอกกับคนที่เดินมาข้างหลัง มุมปากบางกระตุกยิ้มน้อยๆก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะทาบคีย์การ์ดที่ประตูโดยที่เจ้าตัวมันยังยืนซ้อนอยู่ข้างหลังจนผมต้องรีบผลักประตูเข้าไปก่อนเพื่อหนีวงแขนที่เหมือนจะโอบผมอยู่กรายๆนั่น

“เมี๊ยว” เจ้าก้อนกลมส่งเสียงทักทาย หางยาวๆโบกไปมาช้าๆก่อนที่มันจะเสียดสีลำตัวกับขาของผมไปมาแล้วเดินเลยไปหาเจ้าของมัน ตากลมโตสีเหลืองจ้องหน้าไอ้คนตัวสูงตาแป๋ว เจ้าของมันอมยิ้มมุมปากก่อนจะคว้าร่างนิ่มๆขึ้นมากอด

“ขอโทษได้ป่ะล่ะ”

“เมี๊ยว!”

“ดีกันน่า” เจ้าของมันว่าแล้วก็ใช้ปลายจมูกโด่งๆถูกับปลายจมูกชื้นๆของเจ้าแมวเหมียวจนมันต้องย่นคอหนี หึ คนอะไรแมวยังรำคาญเลย

แล้วกูจะไปยืนจ้องมันทำบ้าอะไรเนี่ย!

“ฝากหน่อย” เสียงทุ้มเอ่ยบอกก่อนจะยัดแมวตัวอ้วนใส่อ้อมแขนผมแล้วปลีกตัวเข้าไปหลังเค้าท์เตอร์ส่วนของห้องครัวไปซะดื้อๆ ผมเลยต้องจำใจอุ้มเจ้าก้อนกลมไปนั่งลงบนโซฟาสีเทานุ่มๆแทนที่จะเปิดประตูห้องแล้วเดินออกไป เชื่อสิ ผมจำใจจริงๆนะ

“คอตตอน come on” ไม่ทันจะสิ้นเสียงเจ้าของมันเรียกเจ้าก้อนกลมกูลุกขึ้นจะโดดออกจากตักของผมวิ่งไปที่ชามอาหารทันที หิวมากเลยสิไอ้อ้วน ผมเดินตามร่างกลมๆนั่นก่อนจะไปหยุดยืนมองเจ้าอ้วนที่เอาหน้ามุดชามอาหารไม่ยอมเงย หางสีเทาแกว่งไปมาเบาๆ ดูแล้วหน้าหมั่นเขี้ยวเป็นบ้า

“กินมันบดได้ไหม?” อยู่ดีๆไอ้คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆแมวตัวกลมก็เงยหน้าขึ้นมาถาม ก่อนจะอธิบายเพิ่มเมื่อผมทำหน้าไม่เข้าใจ

“พอดีวันนี้ไม่มีข้าวน่ะ”

“.…” แล้วยังไงวะ ชวนกินข้าว?

“ตัง”

“อื้อ”



เจ้าก้อนกลมที่ซัดอาหารเปียกจนอิ่มแปล้เดินมาทิ้งตัวนอนลงบนเท้าของผมก่อนจะกลิ้งตัวไปมา พอหาท่าเหมาะๆได้ก็หยุดนอนผึ่งพุงไม่ขยับไปไหน เสียงก็อกแก็กพร้อมกับกลิ่นอาหารที่ลอยมาเป็นระยะๆยิ่งทำให้ผมตอบคำถามในใจของตัวเองไม่ได้

ทำไมผมยังนั่งอยู่ตรงนี้วะ?

อย่าว่าแต่ทำไมยังนั่งอยู่ตรงนี้เลย เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมในตอนนี้มันคืออะไรก็ยังตอบไม่ได้ซักอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของไอ้เจ้าของห้องนี้นี่แหละ ตกลงผมกับพี่มันเป็นอะไรกันวะ?

เป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง…..อันนี้ใช่

สนิทกันไหม…. อันนี้คงไม่ใช่...มั้ง แล้วทำไมกูต้องไม่แน่ใจด้วยวะ

และถึงมันจะโคตรกวนประสาทขนาดไหน แต่บางครั้งก็อดยอมรับไม่ได้ว่าพี่มันก็ใจดีกับผมมากเหมือนกัน

แต่ไม่สิ!

ตอนนี้มันกำลังจะแย่งเบลไปจากผม ฉะนั้น ตอนนี้พี่มึงคือศัตรู!

“หึหึ” เสียงหัวเราะในลำคอเบาๆเรียกให้ผมหันควับไปมองไอ้คนตัวโตที่ทิ้งตัวนั่งข้างๆผม กลิ่นหอมเนยจางๆทำให้ผมเผลอเลียริมฝีปากอย่างอดไม่ได้ ท้องกูร้องเลยแบบนี้

“ขมวดคิ้วขนาดนั้นหิวมากเหรอไง”

“บ้าดิ่” เพราะมึงน่ะแหละ

“เป็นปมเลยเนี่ย” นิ้วชี้ยาวๆจิ้มลงระหว่างคิ้วของผม แล้วอยู่ๆก็เหมือนไฟฟ้าช็อตแปล๊บจนต้องรีบขยับหน้าหนี   

“พะ เพื่อนเล่นเหรอ?”

“ก็ไม่ได้อยากเป็น”  คนพูดมันยักไหล่ก่อนจะลุกขึ้นยืน

“ลุกดิ่ เดี๋ยวก็หิวตายหรอก”

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนนี้เจ้าก้อนกลมตัวนิ่มเดินตามมาถูไถขาผมที่ใต้โต๊ะไม่หยุด ก็ไอ้สเต๊กแซลม่อนชิ้นหนาที่อยู่ในจานตรงหน้าผมนี่สิ ขนาดคนยังห้ามใจไม่ไหวแล้วแมวล่ะจะเหลือเหรอ

“ห้ามขาด” คำสั่งสั้นๆพร้อมฝ่ามือกว้างที่เอื้อมมาจับมือผมไว้ทำเอาผมชะงัก

“เดี๋ยวมันเสียนิสัย”

“นิดนึงก็ไม่ได้เหรอ?” ผมถาม ก็ดูเจ้าก้อนกลมมันมองผมดิ่

“ไม่ได้”

“เสียใจนะเจ้าก้อน พ่อแกมันใจร้าย” ผมก้มลงไปพูดกับเจ้าแมวอ้วนก่อนจะเงยหน้าขึ้นยู่หน้าใส่ไอ้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแต่มันกลับยิ้มมุมปาก

“แต่ดูเหมือนแม่มันใจดีนะ”

“แค่กๆ” ผมรีบหยิบแก้วน้ำขึ้นมากระดกทันที นี่มันสเต๊กปลาบ้าบออะไรเนี่ย นอกจากจะทำให้สำลักแล้วยังทำให้ใจเต้นแรงอีกต่างหาก บ้าเอ้ย!



ผมนั่งลูบขนนุ่มของเจ้าก้อนกลมที่นอนขดตัวอยู่บนตักอย่างเพลินมือเมื่อถูกไอ้เจ้าของห้องมันไล่ให้มานั่งตรงนี้ทั้งคนทั้งแมว ไอ้พี่ดินแดนมันยังคงมุ่นอยู่หลังเค้าท์เตอร์ในครัว ก็ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ แต่ว่าก็ว่าเถอะ พอหนังท้องตึงหนังตามันก็หย่อนอ่ะ ผมเอนหลังพิงโซฟาก่อนจะหลับตาลงเพื่อพักสายตา

นึกถึงครั้งแรกตอนที่มาที่ห้องนี้ ใช่ตอนนั้นผมก็นั่งหลับอยู่ตรงนี้ แต่พอตื่นมาผมกลับไปนอนอยู่บนเตียงของไอ้พี่ดินแดน…ได้ยังไงวะ!? ผมลืมที่จะถามคำถามนี้กับพี่มันไปได้ยังไงเนี่ย!

ไม่ทันที่สมองของผมจะได้คิดอะไรอีก เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามากลับทำให้ผมต้องแกล้งหลับตาต่อ ไม่รู้ว่าเพื่ออะไรแต่สมองของผมมันสั่งให้ทำไปโดยอัตโนมัติ เสียงฝีเท้าเงียบไปแล้ว แต่โซฟาข้างๆผมกลับไม่ได้ยุบลงอย่างที่คิด อยู่ๆก็รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดที่ปลายจมูกจนต้องเกร็งตัวนิ่ง

 และความอุ่นชื้นก็เกิดขึ้นบนหน้าผากผมเบาๆแต่กลับทำให้หัวใจของผมปลิดปลิวไปไกล ผมควรจะลุกขึ้นแหกปากโวยวาย แต่จิตใจที่มันเป๋ไปแล้วทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก เสียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในหูทำให้ผมได้แต่ภาวนาว่าไอ้คนที่กำลังทำอะไรบ้าๆนี่จะไม่ได้ยิน

“แมวอะไรไม่ระวังตัวเลย” เสียงทุ้มที่เบาราวกับกระซิบนั้นกลั้วขำในลำคอก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไปตามด้วยเสียงเปิดประตูที่ดูเหมือนจะเบากว่าปกติ แต่นั่นมันก็ดังพอที่ทำให้ผมเบิกตาโพล่งแล้วรีบพาตัวเองลุกออกไปจากโซฟาทันที

เจ้าก้อนกลมเงยหน้าขึ้นมองผมเหมือนจะตำหนิกรายๆที่ทำให้มันตกใจตื่น แต่ตอนนี้ผมคงไม่มีเวลาที่จะมาง้อเจ้าแมวอ้วนนี่แล้ว ผมควรจะรีบพาตัวเองออกไปจากที่นี่ ไม่ว่าสมองของผมจะอึนจนเบลอขนาดไหน

แต่ตอนนี้…

ผมจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว!


XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXxxxxXXXXXXX


มาต่อแล้วค่าา ดึกไปหน่อย ขอโทษน้าาา ขอบคุณทุกคนที่กดเข้ามาอ่านนะคะ รวมทั้งคอมเม้นต์และคำติชมด้วยค่ะ :pig4:
สำหรับคนที่เล่นทวิตเตอร์ ฟอลโล่ที่แอค @B2YFICTION (https://twitter.com/B2YFICTION) ไว้พูดคุยกันได้นะคะ หรือเจอกันได้ที่แท๊ก #ที่เก่าเวลาเดิมแต่ #ดินแดนของตัง
เจอกันตอนหน้าวันศุกร์ที่ 17 สิงหา ฝากติดตามกันด้วยนะ!
 :mew1:
หัวข้อ: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP08 - ⏩ FF ⏩ [17.08.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 17-08-2018 17:30:22
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….

#8




‘ติ้ง’


ผมมองจอไอโฟนที่แจ้งเตือนข้อความอะไรซักอย่างจากไอ้ปอก่อนจะทิ้งมันลงข้างหมอนแบบไม่เปิดอ่าน อาการปวดหัวตุ๊บๆเรียกให้ผมปิดตาลงอีกครั้ง โชคดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์ผมเลยไม่จำเป็นต้องรีบตื่นไปมหาลัย และนั่นมันก็ดีมากที่ผมจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับใครบางคน

‘ติ้ง’

‘ติ้ง’

และเสียงแจ้งเตือนรัวๆกก็ทำให้ผมต้องหยิบขึ้นมาดูอีกจนได้ 

‘イケメンPOR Sent you a photo’ เชี่ยปอแม่งส่งรูปห่าเหวไรมานักหนาวะ ผมสไลด์หน้าจอเพื่อปลดล็อคก่อนจะจิ้มเข้าแอฟไลน์อย่างรวดเร็ว

“เห้ยยยยยยยยยยย” ผมกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งจนเตียงสะเทือนก่อนจะเอามือขยี้เอาขี้ตาออกแล้วเพ่งมองรูปที่หน้าจออีกครั้ง นี่มันเหี้ยอะไรกันเนี่ย กูเคยเห็นแต่รูปข่าวก็อซซิปดาราในเฟซบุ๊ค แต่ไอ้ที่เห็นหราอยู่นี่หน้ากูเองครับ โอโห้ชีวิตเศษเล็บสัดๆ เลื่อนดูรูปต่อๆไปมันก็เป็นช็อตต่อๆกัน มันเป็นรูปเมื่อวันพุธที่ผ่านมานี่เอง มันเป็นตอนที่ผมเดินออกมาจากโรงหนังกับไอ้โย่งไบโพล่านั่น แล้วไอ้รูปที่มันกำลังยัดเงินใส่มือผม(ซึ่งมองจากมุมแล้วไม่เห็นแบ้งซักใบ)

พอเป็นภาพนิ่งแล้วทำไมมันดูมุ้งมิ้งจังวะ สัด!

イケメンPOR : อ่านแล้วไม่ตอบว่ะ
             
เหี้ยอะไร ไอ้สัด ผมพิมพ์ตอบกลับไปก่อนจะกำไอโฟนไว้ในมือเมื่อกำลังใช้ความคิด แม่งไม่รู้จะรู้สึกยังไงอ่ะตอนนี้ มันห่าเหวไปหมด

“ท่านเทวดา” ผมลองส่งเสียงเรียกแบบไม่ดังเท่าไหร่และมันก็ไร้ซึ่งคำตอบรับใดๆ จะว่าไปผมก็ไม่ได้เจอท่านเทวดามาหลายวันแล้วล่ะ ก็คงจะยุ่งแบบที่บอกจริงๆล่ะมั้ง

“เฮ้อออออ” ไม่รู้จะทำอะไรก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาหนักๆแล้วทึ้งผมตัวเองแรงๆสองสามทีเพื่อเรียกสติ แต่สติแม่งยังมาไม่ทันครบก็ต้องเตลิดไปอีกเมื่อเสียงทุบประตูที่หน้าห้องนอนผมดังขึ้นอย่างกะฟ้าจะถล่ม

‘ปังๆๆ’

“ไอ้สัดตังเปิดประตู” ผมถอนหายใจหนักๆก่อนจะวาดขาลงขางเตียงแล้วเดินไปปลดล๊อคที่ประตู

“มึงเคยเกรงใจป๊ากับม๊ากูบ้างป่ะ?”

“ป๊ากับม๊ามึงไม่อยู่ พี่แป้งบอกว่าเฮียเต้มารับไปตั้งแต่เช้าแล้ว” ไอ้ปอมันตอบหน้าตาเฉย กูก็ได้แต่ถอนหายใจดิ่ ก็แม่งเข้าออกบ้านผมมาตั้งแต่ม.1อ่ะ ไม่ต้องแปลกใจเลยใช่ไหมที่มันจะรู้จักตั้งแต่เหล่าม่ายันแม่บ้านน่ะ

“แล้วนี่จะนอนให้หนอนแดกเหรอไอ้สัด จะเที่ยงอยู่ละ” ไอ้ป่านมันพูดก่อนจะกระโดดขึ้นมานอนเกยตื้นอยู่ใกล้ๆผม

“รีโมททีวีอยู่ไหน?”

“หาเอง” ผมตอบก่อนจะลุกขึ้นยืน

“กูไปอาบน้ำนะ”

“อ่าหะ” ไอ้ปอมันตอบรับในลำคอก่อนจะขึ้นไปนอนเกยตื้นใกล้ๆน้องมัน เพื่อ...แย่งรีโมทีวี เออ ดีเนอะพวกมึง



ผมเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเดินไปนั่งที่มุมหัวเตียงเงียบๆ รายการที่ฉายอยู่ในทีวีตอนนี้ก็คือรายการแข่งสวาปามมหาโหดของญี่ปุ่นรายการนึงที่ไอ้ปอมันชอบดูมากมาแต่ไหนแต่ไร แต่คราวนี้เป็นผู้หญิงแข่งกันแฮะ ไอ้ปอกับไอ้ป่านมันยังนอนดูทีวีกันเงียบๆ ผมก็เลยเงียบเพราะไม่อยากจะเป็นผู้เปิดประเด็น เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่ามันสองคนมาหาผมเพราะอะไร

“มึงเข้าใจหรือยังล่ะว่ามันแปลก” และคำพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆก็แหวกอากาศขึ้นมา ไอ้ปอมันถาม แต่ตามันยังจ้องอยู่กับจอทีวี

“.....” ไม่มีคำพูดอะไรที่ผมสามารถจะตอบออกไปได้เมื่อเข้าใจดีในสิ่งที่ไอ้ปอมันพูด

“พี่มันชอบมึง กูไม่แปลกใจเลย”

“แล้วมึงล่ะตัง ชอบเขาเหรอถึงได้ทำตัวเหมือนกำลังคบกับพี่มันแบบนี้” ไอ้ปอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่มันกลับแทงใจผมจนเจ็บแปลบไปหมด ผมสูดหายใจเข้าก่อนจะโพล่งใส่มันเสียงดัง 

“คบเชี่ยอะไร! กูไม่ได้คบ ไม่ได้เป็นอะไรกับแม่งทั้งนั้นแหละ กูชอบเบล กูกำลังจีบเบลอยู่มึงก็รู้” ไอ้ปอมันหันมามองผมเต็มๆตัวก่อนจะกดรีโมทปิดทีวีทันที

“ตัง มึงตั้งสติ”

“มึงสิต้องตั้งสติไอ้ปอ!” ผมตะคอกมันกลับไปเสียงดัง

“.....” ไอ้ปอมันเงียบไปก่อนจะถอนหายใจยาวๆออกมา

“งั้นกูก็ขอโทษแล้วกัน” มันบอกแล้วทิ้งตัวพิงหัวเตียงก่อนจะกดรีโมทให้ทีวีเปิดอีกครั้ง ผมกับมันไม่ได้คุยอะไรกันต่อได้แต่มองภาพเคลื่อนไหวในทีวีไปเรื่อยๆ แม้ว่าผมจะโฟกัสอะไรไม่ได้เลย จนกระทั่งไอ้ป่านมันเกริ่นออกมาเบาๆ

“แต่ถ้ามึงแค่อาย กูจะบอกว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องน่าอายอะไรเลยที่มึงจะยอมรับว่าคบอยู่กับพี่เขา กูสองคนไม่ได้จะคิดมากหรือรังเกียจอะไรที่เพื่อนชอบผู้ชายหรอกนะ”

ไม่รู้กี่วินาทีที่สมองของผมเผลอประมวนเรื่องที่ไอ้ปอกับไอ้ป่านมันพูดออกมา ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้รู้สึกอึดอัดแปลกๆ ใบหน้าและการกระทำของใครบางคนที่วนเวียนเข้ามาในหัวของผมอีกครั้งทำให้ผมต้องเม้มปากตัวเองแน่นก่อนจะย้ำคำพูดที่ค้างคาใจมาตลอดทั้งคืนออกมา

“กูไม่ได้เป็น...เกย์




หมดวันหยุดไปหนึ่งวันกับการนอนดูทีวีและเล่นเกมส์กับไอ้แฝดที่ตอนนี้มันหนีผมกลับบ้านมันไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย และนี่ก็เป็นครั้งแรกในรอบวันที่ผมหันไปสนใจไอโฟนที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนที่นอนก่อนจะตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาปลดล็อคหน้าจอ ตัวเลขสีแดงที่ขึ้นโชว์อยู่หน้าแอปต่างๆเยอะแยะจนผมไม่สนใจจะเปิดดู แต่นอกจากนั้นยังมีอีก 1 missed call ที่ผมจงใจไม่รับมันมาตั้งแต่เมื่อคืน

“ท่านจะทิ้งผมไปจริงๆน่ะเหรอ” ผมเปรยออกไปกับท้องฟ้าสีดำที่นอกหน้าต่างในมือก็ยังคงกำไอโฟนเอาไว้เมื่อไม่รู้จะทำอะไรกับมันดี

“ตอนนี้ผมโคตรแย่เลยนะ” ผมบอกแล้วทิ้งตัวลงนอนก่อนจะสะดุ้งเมื่อแทนที่หัวจะสัมผัสลงบนหมอนกับสัมผัสลงที่ตักของท่านเทวดาแทน

“เห้ย ตกใจนะเนี่ย” ผมพูดกับเทวดาที่หัวเราะเบาๆในลำคอ

“ไม่เอาดิ่ ห้ามลุก” ผมท้วงก่อนจะเอามือจับหัวเข่าเทวดาที่กำลังจะลุกออกไป ไม่รู้สิ ตอนนี้มันรู้สึกเบาใจอย่างบอกไม่ถูก

“ท่านยุ่งมากเลยเหรอ?”

“ก็พอดู”

“ผม…ไม่ชอบความรู้สึกตอนนี้เลย”

“แม่ง...ผิดปกติไปหมด”

“หึหึ เด็กเอ้ย” ฝ่ามืออุ่นๆลูบลงบนหัวผมเบาๆ ก่อนที่ท่านเทวดาจะเกริ่นคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“เอางี้ ไถ่โทษที่ข้าไม่ได้ถามเอ็งเมื่อคราวก่อนก็แล้วกัน” ผมยันตัวขึ้นนั่งเมื่อท่านเทวดาหยุดคำพูดของตัวเองเอาไว้

“อยากจะข้ามไปไหม?”

“.....!”

“เอ้า ทำหน้าโง่อีก”

“ท่านหมายความว่า….” ผมเม้มปากอย่างช่างใจ อย่างที่ผมคิด ก็หมายความว่าผมจะข้ามไปอนาคตได้เลย....ใช่ป่ะวะ?

“เออ ก็อย่างที่เอ็งคิดน่ะแหละ”

“......”

“ว่าไง”

“......”

“ข้ามีเวลาไม่มากแล้วนะ”

“ผม……” เสียงหัวใจที่มันดังก้องอยู่ในหูทำเอาผมแทบจะไม่มีสมาธิที่จะคิดอะไรได้ ผมไม่รู้ว่าความเจ็บแปลบๆที่หน้าอกในตอนนี้มันจะตีความหมายได้ว่ายังไง ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่วันที่ผมย้อนกลับมาถูกรื้อฟื้นขึ้นในสมองจนสับสนปนเปกันไปหมด

‘ตัง’

‘ตังคะ’


น้ำเสียงของคนสองคนที่เรียกชื่อผมดังสลับกันไปมาไม่หยุด ภาพเคลื่นไหวในสมองเริ่มหมุนเร็วขึ้นเหมือนกับพายุทอร์นาโดจนผมต้องหลับตาแล้วยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองข้างเพื่อปิดกั้นภาพและเสียงทุกอย่างที่จะรบกวนการตัดสินใจของผมในตอนนี้ออกไป

“2 ปี”

“ผมขอข้ามไปอีก 2 ปี”

พายุความคิดของผมสงบลงพร้อมกับความมืดมิด แม้ความครางแครงใจจะยังคงไม่หมดไป แต่นี่ก็คงจะเป็นทางเดียวที่ผมจะหนีไปจากความรู้สึกสับสนในตอนนี้ได้

“เราคงจะไม่ได้เจอกันซักพักนะ”

สติของผมค่อยๆเลือนลางลงไปพร้อมกับเสียงสุดท้ายของท่านเทวดาที่ผมไม่สามารถตั้งคำถามหรือโต้แย้งอะไรออกไปได้อีก

“ฝันดีเด็กน้อย”


⇤  BEGIN AGAIN  ⇥


ความรู้สึกเหมือนกำลังตกจากที่สูงทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวก่อนจะเบิกตาโพล่ง จังหวะหัวใจที่เต้นรัวจนเหมือนจะกระดอนออกมานอกอกทำให้ผมต้องหลับตาลงอีกครั้งแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจช้าๆ มันเป็นความฝันสินะ แต่ก็เป็นความฝันที่โคตรเหมือนจริงซะชิบ

ผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกไม่คุ้นชินของอะไรบางอย่างทำให้ผมต้องขมวดคิ้วเป็นปมแล้วยันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ ของใช้ทุกอย่างในห้องนี้มันแม็ตช์อยู่ในโทนเดียวกัน หลักๆมีอยู่แค่สามสีก็คือ สีดำ สีขาว และสีเทา แต่ก็มีสีเขียวจากต้นไม้เล็กๆที่ประดับอยู่ตามขอบหน้าต่างบ้างประปราย บนโต๊ะอ่านหนังสือมีแม็คบุ๊คที่เปิดจอค้างเอาไว้ และชั้นหนังสือข้างๆก็มีเท็กซ์บุ๊คที่สันเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดเรียงรายกันแน่นขนัด มันเป็นห้องที่เรียกได้ว่าโคตรจะเป็นระเบียบมาก

เป็นระเบียบ เหมือน…..ไม่!

ไม่นะ ไม่

ไม่

ไม่!

ความรู้สึกไม่คุ้นชินเริ่มหายไปเมื่อผมเริ่มรู้สึกว่าเคยเห็นห้องๆนี้มาก่อน ใช่ ผมเคยมาที่นี่ เคยนอนตรงนี้ และแม้จะแค่ครั้งเดียว แต่ผมก็จำมันได้

“ไม่ๆ มึงฝันอยู่” ผมตบแก้มตัวเองก่อนจะหลับตาแล้วลืมตาขึ้นใหม่ แต่ภาพที่เห็นก็ยังไม่เปลี่ยนไปบวกกับความเจ็บน้อยๆที่ข้างแก้มมันก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีว่านี่คือความจริง

ผมไม่ได้ฝัน!

“เมี๊ยว” ก้อนกลมๆสีเทาที่มุดผ้าห่มออกมาปีนขึ้นบนตักยิ่งตอกย้ำอย่างชัดเจนว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน ดวงตาสีเหลืองเข้มจ้องมองผมก่อนที่มันจะเอียงคอเหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง

“คะ คอตตอน เหรอ..?”

“เมี๊ยว!”

เหมือนความรู้สึกเย็นวาบที่ปลายนิ้วลุกลามไปทั่วร่างกาย สมองของผมเบลอจนคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะแปลกๆมันเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บหน้าอกไปหมด ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกในตอนนี้มันควรจะเรียกว่าอะไร จะบอกว่าแม่งโคตรช็อคเลยก็คงได้มั้ง

เจ้าคอตตอนเดินลงจากตักไปขดตัวนอนกลมอยู่ที่ปลายเตียงเหมือนจะรู้ว่าผมกำลังต้องการเวลาและไม่พร้อมจะเล่นกับมันในตอนนี้ ผมเสยผมตัวเองแรงๆก่อนจะชันเข่าขึ้นมานั่งกอดมันเอาไว้ คำถามมากมายถ่าโถมเข้ามาจนผมเริ่มจะเก็บมันเอาไว้ไม่อยู่

“ท่านเทวดา!”

ทุกอย่างในห้องเงียบสนิทมีเพียงเสียงหายใจครืดคราดของเจ้าคอตตอนที่ดังสลับกับเสียงลมเบาๆของแอร์เท่านั้นที่ผมได้ยินตอบกลับมา

“ท่านเทวดา…”

“ท่าน..”

“จะไม่ออกมาจริงๆใช่ไหม?” ผมยังคงคุยกับดินฟ้าอากาศ และมันก็ยังไรซึ่งปฏิกิริยาใดๆ ความรู้สึกร้อนๆที่ขอบตาเรียกให้ผมต้องเม้มปากแน่น มันไม่ใช่ความรู้สึกเสียใจ ผมรู้ แต่มันเป็นความรู้สึกอึดอัด เหมือนคนโง่ เหมือนตัวเหี้ยอะไรซักอย่าง

แม่ง!

ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่ซักพักก่อนที่ผมจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วปาดคราบน้ำตาที่ข้างแก้มออกอย่างลวกๆ โอเค ในเมื่อไม่มีใครให้คำตอบอะไรได้ ผมก็ควรจะต้องเป็นฝ่ายหาคำตอบเอง ผมล้วงมือเข้าไปใต้หมอนก็เจอสิ่งที่ตัวเองกำลังต้องการอย่างที่คิด มันคือไอโฟนสีขาวรุ่นที่ต่างจากตอนที่ผมย้อนอดีตกลับไปซึ่งมันก็แน่นอนอยู่แล้ว แต่ที่แปลกก็คืถึงมันจะเป็นรุ่นเดียวกับตอนก่อนที่ผมจะย้อนอดีตกลับไปแต่มันก็คนละสีอยู่ดี

ผมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะสไลด์หน้าจอเพื่อปลดล็อค รูปที่อยู่บนหน้าจอก็เป็นหน้ากลมๆของเจ้าแมวคอตตอนที่มีมือผมกำลังยืดแก้มนิ่มๆนั่นอยู่ พอกดเข้าไปในฟังค์ชั่นรูปโทรศัพท์แล้ว ชื่อแรกที่ปรากฏอยู่บนนั้นก็ทำให้ผมต้องเม้มปากอย่างใช้ความคิด มันเป็นชื่อที่ผมแอบคิดว่าจะต้องเจออยู่ในใจ และมันก็เป็นไปตามที่คิดซะด้วย เชี่ยเอ้ย

‘พี่แดน’

ใช่ ชื่อของไอ้คนๆนั้นน่ะแหละ แล้วนอกจากนั้นก็เป็น เจ้ตวง ไอ้ปอ ป๊า ม๊า และคนอื่นๆรวมทั้งเบอร์ที่ไม่ได้เมมไว้อีกประปราย แต่ทั้งหมดนั่นก็ไม่มีชื่อของเบล ทั้งสายที่โทรเข้าหรือแม้แต่โทรออกก็ตาม

ผมกดกลับมาที่หน้าจอก่อนจะกดเข้าไปที่แอพพลิเคชั่นสีเขียวๆ และชื่อแรกที่ผมเจอก็เป็นคนๆเดียวกับเมื่อกี้ พร้อมกับข้อความล่าสุดที่ปรากฏอยู่ที่ด้านล่างของชื่อ เป็นข้อความสั้นๆว่า ‘อื้อ’

เปิด ไม่เปิด เปิด ไม่เปิด

เปิด

ผมขยับนิ้วโป้งไปมาก่อนที่จะพ่ายแพ้ต่อความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง หัวใจผมเริ่มเต้นแรงขึ้นตั้งแต่ข้อความแรกที่สายตาโฟกัสได้ ปลายนิ้วเย็นๆเริ่มรู้สึกว่ามันชื้นไปด้วยเหงื่อ

‘คิดถึงแล้ว’

เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!

อยากจะเหี้ยไปให้ถึงดาวอังคาร แม่งเอ้ย มึงประสาทหลอนเหรอไอ้ตังถึงได้ส่งข้อความอะไรแบบนั้นออกไปได้น่ะ!

“โว้ยยยยยยยยยย” ผมกดปิดหน้าจอก่อนจะโยนสมาร์ทโฟนเจ้าปัญหาลงบนพื้นที่ว่างบนเตียงเหมือนมันเป็นของร้อนแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

“ไม่ไม่ไม่ ไม่ ไม่!!” ไม่รู้จะทำอะไรก็ได้แต่แหกปากสุดเสียงเพื่อกลบเกลื่อนเสียงดังโหวกเหวกที่อยู่ในหัว ทั้งเสียงหัวใจทั้งอะไรต่อมิอะไรมันดังจนหูอื้อไปหมด


โว้ยยยยยยยย กูอยากจะหลับให้แม่งตายๆไปซะ!



xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


ขอกำลังใจให้น้องตังคนงงกันหน่อยน้าา ตั้งตัวไม่ถูกแล้ววววว 5555

ขอบคุณทุกคนที่กดเข้ามาอ่าน ดีใจมากๆค่ะ  :pig4:
สำหรับคนที่เล่นทวิตเตอร์ใช้แท๊ก #ที่เก่าเวลาเดิมแต่ #ดินแดนของตัง ไว้เม้ามอยกันนะคะ อยากคุยมาก 555
เจอกันอีกทีวันศุกร์ที่ 24 ค่ะ
 
B2
หัวข้อ: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP09 - A very NEW life [24.08.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 24-08-2018 14:16:17
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#9





เสียงก๊อกแก๊กอะไรซักอย่างทำให้ผมค่อยๆปรือตาขึ้นอีกครั้ง เห้ย นี่ผมหลับไปจริงๆเหรอวะเนี่ย แล้วนี่หลับไปนานแค่ไหน แล้วนี่ตายหรือยังมีชีวิตอยู่?

เออ ผมมันเพ้อเจ้อ

“ซ้อมตายอยู่เหรอ?” เสียงทักของเงาลางๆที่เดินผ่านประตูห้องเข้ามาทำให้ผมขยี้ตาแรงๆ ก่อนจะสะดุ้งตัวพรวดพราดขึ้นนั่งเมื่อสมองเริ่มประมวลอะไรได้

“ไอ้ พะ พี่ดินแดน!” ไอ้โย่งมันขมวดคิ้วหนาๆเข้าหากันก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนั่งที่ข้างเตียงจนผมต้องรีบขยับตัวหนีเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว

“หื้ม?”

“อย่ามาใกล้ดิ่วะ” ผมร้องบอกเมื่อร่างหนาๆขยับเข้ามาใกล้ คิ้วเข้มๆเริ่มขมวดเป็นปมใหญ่

“เป็นอะไร?”

“ผะ ผมฝันไม่ค่อยดีอ่ะ” ผมหาข้ออ้างระงับการคุกคาม และดูเหมือนมันก็ได้ผลเมื่อฝ่ามือกว้างหยุดที่จะยื่นเข้ามาหาก่อนที่พี่ดินแดนมันจะกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม

“ไอ้เด็กบ๊อง” 

“ตื่นแล้วก็ลุก แม่ฝากของกินมาให้เพียบเลยนะ” แม่ แม่ใครวะ?

“ยังอีก” ไอ้คนตัวโตมันเหล่ตามองก่อนทำท่าจะขยับเข้ามาใกล้ผมเลยต้องรีบดีดตัวลอยออกจากที่นอนแล้ววิ่งรี่เข้าไปในห้องน้ำอย่างเร็ว แม่งเอ้ย กูต้องอยู่แบบนี้ไปอีกกี่วันวะเนี่ย!

“กลับมาถึงได้ซักกำแล้วครับ” ผมเดินตามเสียงทุ้มๆที่กำลังพูดภาษาท้องถิ่นมาที่หน้าโต๊ะกินข้าวหน้าเค้าท์เตอร์ในครัว จำได้ว่าไอ้พี่ดินแดนมันเป็นคนเชียงใหม่ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ยินมันพูดภาษาเหนือ

มาพอดีเลย กำนึ่งนะครับแม่ ตังแม่จะคุยด้วย” ผมมองไอโฟนรุ่นเดียวกับของผมแต่เป็นสีดำที่ยื่นมาข้างหน้าอย่างชั่งใจก่อนจะค่อยๆยื่นมือออกไปรับเพราะกลัวคนที่ปลายสายจะรอนานเกินไป

“สวัสดีครับ”

“อ่า ครับ ขอบคุณครับ”

“เอ่อ..แล้ว คุณ คุณแม่สบายดีไหมครับ?” และเรื่องราวอีกมากมายก่ายกองที่คนปลายสายชวนผมคุยไม่หยุด ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูท่าทางท่านจะเป็นคนที่ใจดีมากๆ หลายคำถามที่ผมตอบไม่ได้ ก็ได้แต่เออออไปบ้าง ส่องสายตาหาไอ้คนตัวสูงมันก็หันหลังไปทำอะไรก๊อกๆแก๊กๆอยู่หลังเค้าท์เตอร์ครัวซะแล้ว

“ครับ สวัสดีครับ” ผมกดวางโทรศัพท์และวางมันลงบนโต๊ะกินข้าว ไอ้พี่ดินแดนยังคงไม่ได้หันกลับมา แผ่นหลังกว้างๆนั่นมันให้ความรู้สึกแบบที่ผมเองก็อธิบายไม่ถูก

“เมี๊ยว” ไอ้ก้อนกลมๆที่เดินมาถูลำตัวกับขาทำให้ผมต้องยกมันขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วเอาคางเกยบนหัวนุ่มนิ่มนั่น เจ้าคอตตอนไม่ได้ขัดขืนอะไรเหมือนกับมันเคยชินซะด้วยซ้ำ

เคยชิน....เหรอวะ

“ตัง” พี่มันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าทำให้ผมต้องเหลือบสายตาขึ้นมอง

“ไม่สบายหรือเปล่า?” ผมส่ายหน้า ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอะไร มันเหมือนกับตัวเองเป็นคนความจำเสื่อมยังไงยังงั้น

“งอนพี่เหรอ?”

และคำถามของมันก็ทำให้ผมสะดุ้งนั่งตัวตรง
 
“บ้าบออะไรล่ะ” งอนพ่องดิ่ กูจะงอนมึงทำสันขวานอะไรไม่ทราบ ผมแหวใส่แต่มันดันยกมุมปากยิ้มซะอย่างนั้น
 
“รู้ครับว่าคิดถึง” พูดจบริมฝีปากร้อนๆก็ฝังลงมาที่หน้าผากของผมทันที ความร้อนที่วิ่งพล่านเฉียบพลันทำให้ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆพูดอะไรไม่ออก โลกกลมๆหมุนเคว้งคว้างจนสติหลุดวิญญาณแทบออกจากร่าง

ไอ้เหี้ยพี่ดินแดน มึงจูบหน้าผากกูอีกแล้วนะ!!




สติมาปัญญาเกิด แต่ถ้าสติเตลิด….ก็ชิบหายสิโว้ยยยยยยยยย

เอาใหม่ๆ ไอ้ตังมึงต้องตั้งสติก่อน

ผมยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองแรงๆก่อนจะเสยผมขึ้นไปให้เข้าที่เข้าทางแล้วล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบสมาร์ทโฟนสีขาวออกมาปลดล็อคหน้าจอที่ยังเป็นรูปเจ้าก้อนกลมอยู่เหมือนเดิม

“เชี่ย!” จ้องไปจ้องมาอยู่ดีๆเจ้าไอโฟนก็สั่นเป็นเจ้าเข้าตกใจจนแทบจะโยนทิ้ง ห่านี่

“ว่าไง?” ผมกรอกเสียงลงไปทันที่ที่รับสาย เป็นไอ้ป่านเองครับที่โทรมา

‘พรุ่งนี้เจอกันใต้ตึกเจ็ด  9โมง มึงอย่าลืมเอกสารส่งตัวด้วยนะเว่ย’

“หะ ใครจะไปไหนวะ?” ผมยกมือขึ้นเกาหัวแกร่กๆ แน่นอนว่ามันไม่มีอะไรอยู่ในความทรงจำเลยซักนิด

‘งงเชี่ยอะไร ไข้แดกจนประสาทกลับเหรอ?’

“เออ ตอบกูมาเหอะน่า”

‘ฝึกงานไงครับ ฝึกงาน จำได้ยังครับคุณตัง’

“ฝึกงาน….”

‘ครับท่าน’

“.........”

‘ไอ้ตัง ?’

“เออๆ รู้แล้วๆ” ผมตอบรับไปส่งๆแบบตัดรำคาญ เอกสารอะไรนั่นเดี๋ยวค่อยออกไปรื้อหาเอาก็ได้วะ

เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงได้ก็เปิดน้ำจากก๊อกขึ้นมาลูบหน้าเรียกสติ เออ ตอนนี้ผมอยู่ในห้องน้ำ จริงๆคืออยู่มานานซักพักแล้วด้วย ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะตัดสินใจบิดลูกบิดประตูแล้วเดินออกไป ไอ้พี่ดินแดนมันกำลังอ่านหนังสืออะไรซักอย่าง ดวงตาคมถูกบดบังด้วยแว่นสายตาที่ผมเคยเห็นพี่มันใส่มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังอดที่จะคิดไม่ได้ว่าเวลาใส่แว่นแม่งดูดีจังวะ!

ผมเนียนเดินเลี่ยงไปที่ตู้ทรงเตี้ยข้างๆโต๊ะเขียนหนังสือแล้วเปิดมันออก มันเหมือนสัญชาตญาณอะไรบางอย่างที่บอกผมว่ากระเป๋าใส่ชีทเรียนของผมมันต้องอยู่ในนี้ แล้วมันก็อยู่จริงๆด้วย รุ่นมันเปลี่ยนไปก็จริง แต่ยี่ห้อนี้ของผมแน่นอน

แล้วไหนวะเอกสารส่งตัว ค้นดูทุกช่องแล้วก็ยังหาไม่เจอเลย

“ตัง” เสียงทุ้มๆดังขึ้นเรียกให้ผมต้องเหลือบสายตาขึ้นมอง

“พี่เห็นเอกสารส่งตัวฝึกงานผมไหมอ่ะ?” ก็ถามไปงั้น พี่แม่งจะรู้ได้ไง

“ล่าสุดเอาไปเขียนตรงไหนล่ะ” มือหนาพับหน้าหนังสือเข้าหากันก่อนจะวางมันไว้ที่ข้างหัวเตียง

“..........”

“เลิกทำหน้ายุ่งแล้วเดินไปที่โต๊ะหน้าทีวีไป” เอ้า แม่ง เสือกรู้อีก ผมยันตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะวิ่งตัวปลิวออกไปตามที่พี่มันบอก เอกสารสองสามชุดที่วางอยู่บนโต๊ะถูกรีโมทวางทับเอาไว้ พอหยิบขึ้นมาดูมันก็เป็นเอกสารที่ผมกำลังหาอยู่พอดี ช่องว่างทุกช่องถูกกรอกรายละเอียดเอาไว้ครบแล้ว ลองมานึกๆดูอีกที ชื่อบริษัทนี้ก็เป็นบริษัทที่ผมยื่นฝึกงานไปก่อนที่เรื่องยุ่งๆทั้งหมดนี่มันจะเกิดขึ้น เอาจริงๆผมควรจะฝึกงานจบไปแล้วด้วยซ้ำ

“เจอแล้วก็นอนได้แล้ว” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นข้างหูเรียกให้ผมสะดุ้งเฮือก ลมหายใจร้อนๆที่เป่ารดต้นคอทำให้ผมต้องรีบยกมือขึ้นมาจับเอาไว้ก่อนจะรีบหันไปเผชิญหน้ากับคนที่เดินมายืนซ้อนที่ด้านหลัง

“พี่แม่ง…” 

“แม่ง...อะไรครับ?”

‘ตึ่ก’
‘ตึ่ก’
‘ตึ่ก’
‘ตึ่ก’

เออ นี่เสียงหัวใจกูเอง!

แม่งพูดเพราะทำเหี้ยอะไรวะ แล้วใครไม่เห็นแต่กูเห็นไง ไอ้สายตาวิบวับใต้กรอบแว่นนั่น ไอ้เชี่ยขนลุกไปทั้งตัวเลยกู

“พะ พี่ไปนอนก่อนเลย ผม ผมยังต้องเตรียมตัวอีกนาน” ผมละล่ำละลักพูดออกไป คิ้วหนาขมวดเข้าหากันน้อยๆ

“หื้ม?”

“หมายถึง ต้องจัดเอกสารอีกนานไง พรุ่งนี้ผมต้องไปที่ฝึกงานอ่ะ” พี่มันเงียบผมเลยต้องพล่ามต่อ

“ยังไม่ได้เก็บอะไรเลย”

“เอกสารนี่ยังไม่รู้ต้องเขียนอะไรบ้างเนี่ย”

“แล้ว แล้ว” แล้วอะไรอีกดีวะ แต่ไม่ทันได้พูดต่อเพราะคิดไม่ออกฝ่ามือกว้างก็ดึงเอกสารในมือผมไปพลิกดู

“กรอกแล้วทุกช่องเลย”

“อ้าว เหรอ” ผมยิ้มเจื่อนก่อนจะรับเอาเอกสารคืนมาถือไว้ ไอ้พี่ดินแดนมันส่ายหัวก่อนที่มันจะกระทำอุกอาจรวบตัวผมเข้าไปกอดจนจมูกผมแทบจะกระแทกซอกคอมัน เกิดดั้งกูยุบขึ้นมาทำไงวะ

“ไม่ได้กอดตั้งหลายวัน นอนไม่หลับเลย”

“.........”

“พี่...”

“ไว้พรุ่งนี้เช้านะ” แรงกอดจากวงแขนกว้างกระชับเข้ามาอีก ปลายคางที่เกยอยู่บนหัวแปรเปลี่ยนเป็นลมหายใจร้อนๆจากปลายจมูก เหมือนความคิดในหัวของผมหยุดชะงัก ข้ออ้างอะไรต่างๆนานาพลันหายออกไปจากความคิด ความรู้สึกต่อต้านเหมือนถูกกดเอาไว้ด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มนั่น

อาจเป็นเพราะว่าผมเหนื่อยเกินไปจากการใช้ความคิดมาตลอดทั้งวันที่ผ่านมาก็เป็นได้ที่ทำให้ผมปล่อยให้วงแขนกว้างกระชับกอดผมจนแน่น กลิ่นกายที่ไม่คุ้นชินแต่กลับคุ้นเคยด้วยสัญชาตญาณทำให้ผมพยักหน้ารับในอ้อมอกกว้าง

“อือ”

วงแขนที่คลายออกทำให้ผมเบี่ยงตัวออกได้ถนัดขึ้นก่อนจะเป็นฝ่ายผละเดินออกไปก่อน เสียงฝีเท้าหนักๆเดินตามหลังมาตามด้วยเสียงประตูห้องที่ปิดลงในตอนที่ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มนี้อีกครั้ง ไฟที่ปิดลงพร้อมกับใครอีกคนที่ล้มตัวนอนข้างๆกันทำให้ผมต้องนอนตะแคงหันหน้าไปอีกทาง อีกฝ่ายไม่ได้พูดหรือร้องขอให้ผมทำอะไร มีเพียงวงแขนกว้างที่กอดกระชับผมจากด้านหลังพร้อมเสียงกระซิบเบาๆว่าฝันดีเท่านั้น

เป็นครั้งแรกที่ความมืดมิดไม่ได้ทำให้ผมหลับตาลงได้ หัวใจผมที่เต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ก็หวังว่าคนที่นอนอยู่ด้วยกันจะไม่ได้ยิน

มันจะต้องเป็นแบบนี้อีกนานไหมท่านเทวดา ?

บอกตามตรงเลยนะท่านว่าผมกลัวว่ะ….


⇤  BEGIN AGAIN  ⇥


“โอ้โห้ไอ้ตัง ถ้าจะสายขนาดนี้มึงไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะ” คำทักทายแรกจากไอ้ป่านครับ ทักแบบนี้เดี๋ยวกูหันหลังกลับเลยนะ ยิ่งง่วงๆอยู่

“แค่สิบนาทีป่ะล่ะ”

“แดกอะไรมายัง?” คราวนี้เป็นไอ้ปอที่เงยหน้าจากจอโทรศัพท์ขึ้นมาถาม

“แล้ว” ผมตอบสั้นๆ แล้วหย่อนตูดลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“ลืมไปว่าผัวมึงเลี้ยงดี”

“ผัวเหี้ยอะไร ไอ้สัดปอ มึงพูดให้มันดีๆนะ” ผมแหวใส่ไอ้สองแฝดที่เลิกคิ้วทำตาโตใส่ผมงงๆ เอ้า กูพูดผิดอะไรตรงไหนวะ

“เมื่อเช้าพี่แดนเอาไรให้มึงแดกวะ วันนี้แปลกๆนะมึงเนี่ย”

“เออนั่นดิ่ กูไม่เห็นมึงสะดิ้งกับคำว่ามีผัวมานานละนะ” ไอ้ป่านมันเสริม เหี้ยเอ้ยยย นี่กูยอมรับกับการมีผัวเป็นตัวเป็นตนขนาดนั้นเลยเหรอวะ?

มีผัว….

ผัว

หมายความว่า……….. ว้อท เดอะ ฟ้าคคคคคคคคคคคค

กูเสียอาณานิคมให้แม่งไปแล้วเหรอวะ!?

ไม่นะ

ไม่

ไม่

ไอ้เหี้ย ชีวิตกูป่นปี้ไปหมดแล้วโว้ยยยยย

“เอ้า เป็นเหี้ยไรอีก ทำหน้าเหมือนแดกไบก้อนเลยไอ้สัดตัง”

“มะ ไม่มีอะไร จะไปกันได้ยัง?” ผมตัดบทแล้วพยายามกอบกู้สติของตัวเองกลับมาให้ได้มากที่สุด

จำไว้ไอ้ตัง อดีตที่ไม่ได้อยู่ในความทรงจำแสดงว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นจริงเว่ย! มึงยังเป็นมึงคนเดิม โอเคนะ

“ไอ้ตัง มึงขนกระเป๋าอะไรมาเยอะแยะวะ?” ไอ้ป่านมันเกิดความสงสัยทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในรถผมเพราะว่าวันนี้พวกแม่งไม่เอารถมาครับ กะประหยัดน้ำมันไง สันดาน

“กูจะกลับบ้าน”

“เอาจริงไอ้ตัง มึงทะเลาะกับพี่แดนเหรอ?” เสียงไอ้ป่านแลดูจริงจังขึ้นมานิดหน่อย

“เปล่า” นี่เรื่องจริงเลยไม่ได้โกหก แค่หยิบของยัดใส่กระเป๋ามาตอนพี่มันอาบน้ำอยู่แค่นั้นเอง

“ขนมาซะอย่างกะจะย้ายบ้านหนีเจ้าหนี้”

“...วยเหอะ”

“แค่นี้ต้องหยาบคาบ แม่งมีเงี่ยนงำนะเนี่ย” ถุ้ย เงื่อนงำไหมไอ้สัด

“น้องมึงเงี่ยนว่ะไอ้ปอ”

“กลับไปเด้าหมอนที่บ้านไปไอ้ป่าน”

“...วยครับ ไอ้พี่เหี้ย”

“เห้ยอันนี้จริงจัง เขาจะรับเราสามคนฝึกงานจริงเหรอวะ?” ผมถาม ก็ปกติเวลาหาที่ฝึกงานส่วนใหญ่เขาจะรับเป็นคู่ แต่นี่พวกผมโผล่มาสามหน่อเลยไง

“รับดิ่ กูคุยกับพี่กุ๊กไว้แล้ว อาจารย์ก็โอเคด้วย เพราะบริษัทนี้ญี่ปุ่นแม่งเยอะสัด” พี่กุ๊กนี่คือพี่สาวข้างบ้านไอ้แฝดมันครับ เห็นว่าเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่บริษัทนี้

“เออ กูเคยเอาของมาให้พี่กุ๊กครั้งนึง ไอ้สัดนึกว่าหลุดเข้าไปในออฟฟิศที่ญี่ปุ่น” ไอ้ป่านมันเสริมต่อ

“มีน่ารักๆเยอะป่ะวะ?” ผมอดที่จะถามไม่ได้  แหม เป็นผู้ชายมันก็ต้องมีนิดนึง

“มึงไม่มีสิทธิ์แล้วป่ะวะ”  ไอ้สัดป่านนี่ก็ดักคอกูจัง
       
“กูแค่อยากรู้ไม่ได้เหรอ?”

“สาระแน”

“ไอ้สัด” ผมยกนิ้วกลางใส่หน้ามันก่อนที่มันจะหัวเราะบ้าบอจนผมต้องหัวเราะตาม ได้อยู่กับเพื่อนมันก็ดีนะ ถึงแม้จะต้องทนความผีบ้าของมันบ้างก็เหอะ



“พี่กุ๊กคนสวย ตอนนี้ป่านอยู่หน้าประตูแล้วครับ” ไอ้ป่านกรอกเสียงพูดเข้าไปในโทรศัพท์ทันทีที่พาพวกผมขึ้นลิฟท์มาที่ชั้น 20 ของตึกเอกชนแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งบริษัทที่พวกผมจะมาฝึกงานนั้นเช่าเหมาชั้นทั้งชั้นนี้เลยครับ ความปลอดภัยดีมาก เพราะต้องมีคีย์การ์ดถึงจะเข้าไปในส่วนของออฟฟิศได้

“หวัดดีครับพี่กุ๊ก” ไอ้ปอไอ้ป่านยกมือไหว้ ผมเองก็ทำตามไปด้วย พี่กุ๊กเป็นผู้หญิงที่พูดได้เลยว่าสวยมาก หุ่นนี่แม่งโคตรดี ถึงจะดูมีอายุเล็กน้อย แต่แบบโคตรสวยอยู่ดีอ่ะ

“ตามพี่มาเลยหนุ่มๆ พี่ออยกำลังรออยู่เลย” ริมฝีปากสีเปรี้ยวจี๊ดแย้มยิ้มก่อนจะเดินนำพวกผมเข้าไปข้างใน บอกเลยครับว่าที่ไอ้ป่านเคยพูดไว้ไม่ได้เว่อร์เลย คนญี่ปุ่นแม่งเกือบร้อยเลยครับ เชี่ยยยยยยย พวกกูเหมือนกลายเป็นกระเหรี่ยงหลงดอยไปเลยว่ะ

“อร้ายยย น่ารักจริงๆด้วย” ทันทีที่พวกผมย้ายตัวเองตามพี่กุ๊กเข้ามาในห้องที่เขียนว่าฝ่ายธุรการเท่านั้น เสียงทักทายจากคนที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นพี่ออยก็ดังขึ้นทันที

“ไหน มายืนใกล้ๆพี่หน่อยสิคะลูก” พูดแบบนั้นแต่จริงๆพี่แกย้ายร่างมาตรงหน้าพวกผมแล้วครับ

“หวะ หวัดดีครับ” ประสานเสียงกันตะกุกตะกักเลยครับงานนี้

“ดีจ่ะ คนนี้หน้าไม่เหมือนเพื่อน ต้องเป็นน้องตังแน่นอน”

“ครับ”

“หวานมาก กรุบกริบๆ” เอ่อ...นี่ผมคนครับ ไม่ใช่ขนม

“โอ้ย พอก่อนค่ะพี่ออย น้องเกร็งจนตัวลีบไปหมดแล้วค่ะ” พี่กุ๊กหัวเราะก่อนจะจูงมือพี่ออยกลับไปนั่งที่โต๊ะประจำตำแหน่งเหมือนเดิม

“เด็กๆคะ นี่พี่ออยผู้จัดการฝ่ายการเงิน ส่วนคนนั้นพี่แพรวบัญชี”

“หวัดดีครับ”

“พี่อยากเปย์หนูมากลูกแต่ก็เกรงใจนามสกุล” พี่ออยทำหน้าเสียดายเต็มที่ ผมก็ได้แต่หัวเราะแหะๆ แต่ในใจก็แอบขอบคุณป๊า ไม่ใช่อะไรครับกลัวโดนพี่ออยเปย์ไง เพราะดูจากหน่วยก้านแล้วผมคงขัดขืนไม่ไหวอ่ะ

“ที่นี่มีคนไทยทั้งหมด 4 คนนะคะ คือพี่ พี่ออย พี่แพรว แล้วก็พี่ตาต้าแต่ตอนนี้ออกไปข้างนอกกับโฮริอิซัง”

“ยังไงเดี๋ยววันนี้ออกไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันเนอะแล้วค่อยกลับ” พี่กุ๊กยิ้มใจดีก่อนจะเคลียร์เก้าอี้ให้พวกผมได้นั่งรอกันแบบสบายๆ แอบมองผ่านกระจกออกไปด้านนอกโซนที่คนญี่ปุ่นนั่งทำงานกัน เพิ่งสังเกตุครับว่าทุกคนใส่เฮดโฟนกันหมด อยากรู้เหมือนกันว่าเขาทำงานอะไรกันอ่ะ แต่ไว้เดี๋ยวสนิทก่อนค่อยถาม

“พี่กุ๊ก ห้องน้ำอยู่ไหนอ่ะครับ?” ไอ้ปอมันกระซิบเสียงแผ่วก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน

“อยู่ด้านนอกจ้า น้องปอเอาคีย์การ์ดพี่ไปใช้ก่อนแล้วกัน” รับคีย์การ์ดจากพี่กุ๊กได้มันก็รีบตะกายไปเปิดประตูทันที สงสัยแม่งจะอั้นมานาน แต่

‘ปั่ก!’   

เสียงของแข็งกระแทกเข้ากับอะไรอย่างจัง ผมว่าแน่ๆต้องเป็นหัวคนเพราะได้ยินเสียงร้องดังตามมาติดๆ

“いって!” (เจ็บ!)

“เฮ้ย” ไอ้ปอมันร้องเสียงหลงเมื่อบานประตูเปิดออกแล้วเห็นใครบางคนไปนั่งจ้ำเบ้าอยู่หน้าประตู คราวนี้จากที่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาทำงานก็หันมาเป็นตาเดียวเลยครับ

“ว้าย โยเนะ大丈夫?” (เป็นอะไรไหม?)

“น้องปอช่วยพยุงพี่เขาเข้ามาก่อนค่ะ” ไอ้ปอรีบพุ่งไปทันทีที่พี่กุ๊กบอก แต่ไม่ถึงตัวเขาหรอกครับ ฝ่ามือเล็กๆของคนที่ลงไปนั่งจ้ำเบ้าปัดมือไอ้ปอออกดังเพี้ยะก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นเดินเข้ามาในห้องเอง

“ドア閉めてよ” (ปิดประตูดิ่) คนตัวเล็กที่ทำหน้าบูดบึ้งร้องบอกไอ้ปอที่ยังยืนทำหน้าอึ้งๆก่อนที่มันจะหรี่ตามองแบบไม่ค่อยจะสบอารมณ์แต่ก็ยอมปิดประตูห้องแต่โดยดี ผมว่ารังสีแปลกๆเริ่มแพร่ในอากาศแล้วว่ะตอนนี้

“ごめん” (โทษที)  โอ้โห้มึงขอโทษเขาแต่ท่าทางเหมือนจะท้าต่อยชิบหาย ไอ้ปอ ไอ้เหี้ยย

“ไม่เต็มใจก็ไม่ต้อง” ภาษาไทยครับ ชัดๆเลย แม่งโคตรพีค

“งั้นก็ขอคืน” จบประโยคปุ๊บคนฟังก็วาดค้อนใส่ไอ้ปอวงใหญ่ ดวงตากลมๆจ้องหน้ากวนประสาทของไอ้ปอเขม็ง แต่ดูแล้วผมก็อดขำไม่ได้ อารมณ์มันแบบชิวาว่ากำลังขู่ไซบีเรียนฮัสกี้อ่ะครับ จริงๆไอ้ปอมันก็ไม่ได้สูงกว่าผมซักเท่าไหร่ แต่โยเนะนี่ตัวเล็กมาก ฟันธงว่าคงสูงไม่เกิน 165 แน่นอน

“เดี๋ยวๆ หยุดก่อนค่ะเด็กๆ ไหน ขอพี่ดูหัวหน่อยค่ะ” พี่กุ๊กร้องปรามก่อนจะเข้าไปลูบหัวคนตัวเล็กกว่าเบาๆ

“น้องปอไม่ได้ตั้งใจค่ะ โยเนะอย่าโกรธน้องปอเลยนะคะ” พี่กุ๊กพูดเป็นภาษาไทยแบบช้าๆชัดๆ คนฟังพยักหน้าเข้าใจแต่ก็ยังเงยหน้าขึ้นมาค้อนใส่ไอ้ปอตาเขียวปัดก่อนจะพูดกับพี่กุ๊กเสียงอ่อย

“ผมเจ็บมากเลยพี่กุ๊ก” เห้ย เอาจริงๆคนญี่ปุ่นเวอร์ชั่นนี้ผมเพิ่งเคยเจออ่ะ

“สำออยไปอีก” ไอ้ปอมันพึมพำเบาๆก่อนจะเบ้ปากใส่ ได้ยินเสียงพี่ออยหัวเราะเบาๆในลำคอก่อนจะหยิบเอกสารมาทำเป็นเปิดพลิกไปพลิกมาแต่ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนถูกใจอะไรซักอย่าง

“ปอขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะพี่กุ๊ก” พูดจบมันก็เดินลิ่วออกไปตามด้วยไอ้น้องฝาแฝดมันที่เดินตามออกไปติดๆ

ผมว่านะ ฝึกงานคราวนี้แม่งต้องมีเรื่องปวดกะบาลอ่ะ แน่นอนเลย




xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


มาต่อแล้วค่าา ขอบคุณทุกคนที่กดเข้ามาอ่านนะคะ รวมทั้งคอมเม้นต์และคำติชมด้วยค่ะ :pig4:
แต่วันนี้คนพี่ค่าตัวแพง ขอออกน้อยนิดนึงเนอะ 5555

สำหรับคนที่เล่นทวิตเตอร์ ฟอลโล่ที่แอค @B2YFICTION ไว้พูดคุยกันได้นะคะ หรือเจอกันได้ที่แท๊ก #ที่เก่าเวลาเดิมแต่ #ดินแดนของตัง
เจอกันตอนหน้าวันศุกร์ที่ 31 สิงหา ฝากติดตามกันด้วยนะ!  :กอด1:
หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP09 - A very NEW life [24.08.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 25-08-2018 06:50:57
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP10 - It's ME [01.09.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 01-09-2018 09:25:42
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#10


“เชี่ย เอาไงดีวะ” ผมสบถเบาๆเมื่อขับรถเข้ามาจอดบริเวณที่จอดรถในบ้านตัวเองหลังจากที่ไปส่งไอ้แฝดนรกที่บ้านมันเป็นที่เรียบร้อย และที่ต้องสบถออกมาแบบนี้เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะไอ้รถToyota Camry Hybrid สีขาวป้ายทะเบียนเชียงใหม่มันจอดอยู่ข้างๆรถผมน่ะสิ!

บอกตามตรงว่าตอนนี้คิดอะไรไม่ออกเลยได้แต่นั่งกุมขมับ นี่กูกับพี่มันคบกันจริงจังขนาดเข้านอกออกในบ้านกันได้แบบนี้เลยเหรอวะ? เอาจริงๆที่ผมตัดสินใจกลับมาตั้งหลักที่บ้านก็เป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าพี่มันจะตามมาไง คือไม่ใช่คิดว่าพี่มันไม่รู้จักบ้านผมหรอกนะ แต่ป๊าไม่ใช่คนที่ยอมรับไอ้เรื่องแบบนี้ง่ายๆไง คิดว่าเรา หมายถึง...ผมกับพี่มันน่ะ คงไม่ถึงขั้นเปิดเผยความสัมพันธ์ให้ป๊ารู้หรอก

แต่คิดไปคิดมา หรือจริงๆป๊าอาจจะยังไม่รู้ก็ได้มั้ง ไม่งั้นผมคงถูกตัดออกจากกองมรดกไปแล้วแหละ เอ๊ะ หรือจริงๆคือถูกตัดไปแล้ว…. โว้ยยยยย ไม่ดิ่ ไม่ ไม่

“ท่านเทวดา...”

คำพูดของผมยังคงไร้การตอบสนอง มีเพียงเสียงเพลงจากเครื่องเสียงรถยนต์เท่านั้นที่ยังคงดังอยู่เหมือนเดิม

“ท่าน…”

“ท่านไม่ว่างออกมาหาผมซักนิดเลยเหรอ?”

“แค่ 2 นาทีก็ได้”

“นะ” ไม่ว่าผมจะทำเสียงเหมือนหมาหงอยยังไงก็ยังคงไร้คำตอบรับอยู่ดี

เออ ให้มันได้งี้ดิ่!

“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน” ผมดับเครื่องยนต์ก่อนจะสูดหายใจแรงๆเป็นการเรียกพลัง ใจเย็นไอ้ตัง มึงอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ดิ่วะ นิ่งไว้เดี๋ยวดีเองเชื่อกูดิ่ (เหรอวะ?)

“มาแล้วเหรอไอ้ตัวแสบ” คำทักทายแรกจากเฮียเต้ โอ้โห นี่มันวันรวมญาติเหรอวะ เรียกได้ว่ามากันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวเลยครับ แม่งงง

“หวัดดีเฮีย มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

“มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เจ้าแดนคุยอยู่กับป๊าที่สวนแน่ะ” เฮียเต้พยัดเพยิดไปที่สวนบอนไซสุดโปรดปรานของป๊าที่ข้างบ้าน ผมได้แต่พยักหน้ารับแกนๆ จากสรรพนามแลดูสนิดสนิทเนอะ 

“ระ เหรอ”

ผมเลี่ยงเดินออกไปที่ประตูเชื่อมด้านข้างตัวบ้านก่อนที่พวกเด็กๆจะเห็นแล้วส่งเสียงเรียก แอบยืนส่องอยู่ข้างกำแพงก็เห็นแค่ป๊ากำลังยืนแต่งกิ่งบอนไซต้นโปรดอยู่คนเดียว ไร้วี่แววเงาหัวของไอ้คนที่เฮียเต้พูดถึง แต่พอกำลังจะถอนหายใจก็รู้สึกว่ามีฝีเท้าหนักๆเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างหลัง

“แอบดูอะไร”

“อุ่ย” ผมสะดุ้งเมื่อหันหลังกลับไปสบตากับพี่มันเต็มๆ สายตาคมมองหน้าผมนิ่งๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

“อ่าว ไอ้ตัวแสบ”

“ครับป๊า” ผมรีบดีดตัวออกไปทันทีที่ป๊าหันมาเจอหน้าผม

“ต้นนั้นป๊าตัดเสร็จแล้ว ทาได้เลย” และก็ได้แต่ยืนยิ้มแห้ง เพราะป๊าไม่ได้พูดกับผมครับ เขาพูดกับไอ้พี่ดินแดนมันนู่น 

“ครับ” พี่มันตอบรับนิ่งๆก่อนจะลงมือป้ายน้ำสีเขียวๆลงบนรอยตัดบนกิ่งไม้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่ออ่ะ ท่าทางพี่มันดูชำนานมากเหมือนเคยทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เอาจริงๆผมเนี่ยยังไม่เคยได้แตะต้องคุณบอนไซของป๊าเลยซักครั้ง

“มีอะไรก็คุยกันไป ป๊าเข้าบ้านก่อนล่ะ” ป๊าบอกก่อนจะเก็บอุปกรณ์แต่งกิ่งลงในกล่องแล้วเดินผละออกไป ผมเม้มปากไปมาเบาๆเพราะไม่รู้จะพูดอะไร จนคนที่เอาแต่สนใจต้นไม้หันหลังกลับมามองที่ผม

“เป็นอะไร?” คำถามสั้นๆที่เปล่งออกมาถามผม มันอาจจะเป็นคำถามง่ายๆ แต่มันแบบ ตอบโคตรยากเลยว่ะ

“ก็...เปล่า”

“แล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์?”

“คุยธุระอยู่ แล้วพี่ก็โทรมาแค่ครั้งเดียว” คิ้วหนาๆนั่นขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินคำตอบ พี่มันทำหน้าเหมือนกับว่าผมพูดอะไรผิดไปซะอย่างนั้น

“ช่างเถอะ” พี่ดินแดนมันถอนหายใจก่อนจะหันไปยกกล่องใส่อุปกรณ์แต่งกิ่งของป๊ามาถือเอาไว้แล้วเดินเลี่ยงออกไปทางหลังบ้าน

แม่ง! ผมสบถออกมาไม่ดังนักเมื่อรู้สึกถึงความอึดอัดแปลกๆ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ดวงตาคมนั่นมันทำให้ผมรู้สึกผิดชิบหาย

ก็แค่ไม่รับโทรศัพท์แล้วไม่โทรกลับ ทั้งๆที่คิดว่าช่างมันเถอะ แต่พอมาเจอหน้าพี่มันแล้วแม่งกลับรู้สึกผิดจนจุกไปเลยว่ะ



“ตกลงวันนี้จะค้างที่นี่กันใช่ไหมลูก ม๊าจะได้ให้พี่แป้งเขาทำความสะอาดห้องให้” ม๊าถามในขณะที่เรากับลังทานข้าวเย็นกันพร้อมหน้า ทั้งเฮียเต้กับอาซ้อ น้องพลอย น้องพริ้ง หลานสาวตัวเล็กของผม เจ้ตวงกับเฮียกิจ และ น้องต่อที่ตอนนี้ดูโตขึ้นจากตอนที่ผมเจอคราวก่อนอยู่เล็กน้อย รวมไปถึงไอ้คนหน้านิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆผมนี่ด้วย

“ตวงกลับค่ะม๊า พรุ่งนี้น้องต่อมีเรียนพิเศษตอนเช้า”

“ผมก็ต้องกลับเหมือนกัน ไม่ได้เข้าร้านมา 2 วันแล้ว”

“ตังค้าง” ผมตอบสั้นๆเป็นคนสุดท้ายก่อนจะเหลือบสายตาไปมองคนที่นั่งข้างๆ พี่มันส่งยิ้มน้อยๆให้กับม๊าก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่ดูสุภาพ

“ไม่ต้องให้พี่แป้งจัดห้องให้ผมนะครับม๊า พรุ่งนี้ผมต้องรีบบินแต่เช้า” ม๊าพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะเริ่มทานข้าวกันต่อ แต่คำตอบของพี่มันยังคงค้างอยู่ในหัว มันเพิ่งกลับมาไม่ใช่เหรอ แล้วมันจะไปไหนอีกล่ะ

“ยุ่งเลยสิตอนนี้” เป็นป๊าครับที่พูดประโยคนี้

“ก็นิดหน่อยครับป๊า แต่ผมก็อยากให้เรื่องมันลงตัวเร็วๆเหมือนกันครับ”

“ไว้ปิดโครงการเมื่อไหร่ป๊ากับม๊าจะขึ้นไปดูแล้วกัน” นี่ยิ่งทำให้ผมงงตาแตก ต่อมความใฝ่รู้เริ่มทำงานหนัก คือกูฟังเขาพูดไม่รู้เรื่องเลยไง ให้ตายดิ่วะ

“ขอบคุณครับ”

“แล้วเราล่ะว่าไงเจ้าตัง เห็นว่าวันนี้ไปยื่นเอกสารฝึกงาน” คราวนี้ก็ถึงตาผมบ้าง ถ้าถามว่าทำไมป๊าม๊าไม่ค่อยคุยกับเฮียกับเจ้อ่ะเหรอครับ ง่ายๆเลยก็สองรายนั้นมัวแต่วุ่นวายกับการกินข้าวของลูกตัวเองอยู่น่ะสิ นู่นไงน้องพริ้งแทบจะเอาเป็ดย่างไปถูหัวน้องพลอยแล้วครับ

“ก็เรียบร้อยดีป๊า เริ่มฝึกสิ้นเดือนนี้แล้ว”

“ที่เดียวกันทั้งแก๊งค์เลยใช่ไหม?”

“ใช่เลย”

“คิดแล้วปวดหัวแทนเขาจริงๆ”

“โห่ป๊า นี่ตังไง ตังลูกชายป๊าอ่ะ”

“อ่าวเหรอ”

“โห่ ป๊าาาา”

มันอาจจะเป็นรีแอคชั่นอัตโนมัติที่ทำให้ผมหันไปมองหน้าคนข้างๆเหมือนขอความเห็นใจ มุมปากสีธรรมชาตินั่นจุดรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมรู้สึกว่าใจมันสั่นแปลกๆแต่ก็เหมือนกับว่าคุ้นเคยกับรอยยิ้มนั่นอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน



“พี่...จะไปไหน..เหรอ?” ผมเลียบๆเคียงๆถามคนที่นั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องรับแขก ตอนนี้ทุกคนกลับไปหมดแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ป๊ากับม๊าก็ขึ้นห้องนอนไปแล้วเหมือนกัน

“เชียงใหม่” เสียงเรียบๆนั้นเอ่ยสั้นๆ แต่คำตอบกลับทำให้ผมต้องขมวดคิ้วและเอ่ยคำพูดออกไปไวกว่าสมองจะยั้งคิด

“แต่พี่เพิ่งกลับมา” คิ้วหนาเลิกขึ้นน้อยๆเป็นเชิงสนใจ ผมเม้มปากก่อนจะย้ำคำพูดออกมาเบาๆอีกครั้ง

“ก็จริงนี่”

“นึกว่าไม่สนใจกันแล้ว” น้ำเสียงทุ้มๆนั้นคลายความแข็งลงนิดหน่อย ฝ่ามือกว้างเอื้อมมาจับที่หัวผมแล้วลูบเล่นเบาๆ อึดใจแรกผมอยากจะเบี่ยงตัวหนี แต่ก็ไม่รู้ทำไมผมถึงทำแบบนั้นไม่ได้เหมือนกัน

“ก็...เปล่าซะหน่อย”

“ตัง” เสียงนุ่มทุ้มนั้นเอ่ยชื่อผมเบาๆ พอหันไปหาต้นเสียงใบหน้าคมเข้มก็กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ ก่อนที่ลมหายใจอุ่นจะปะทะที่ปลายจมูกของผมบ่งบอกถึงสัญญาณอันตรายจนผมต้องกลั้นหายใจ เสียงหัวใจที่เต้นโครมครามรบกวนสมาธิของผมซะจนคิดอะไรไม่ออก

ไม่ดิ่ กูไม่เคยจูบกับผู้ชายโว้ยยยย

ผมหันหน้าหลบริมฝีปากสีธรรมชาตินั่นได้ในเสี้ยววินาทีแต่แม่งกลับกลายเป็นว่าผมหันแก้มให้พี่มันจูบเฉย ห่าเอ้ย!

“ฮึ้ยยยย” ผมเอี้ยวตัวหลบก่อนจะดันใบหน้าคมนั่นให้ขยับออกไปไกลๆ คิ้วหนาเลิกขึ้นนิดๆก่อนที่มันจะหัวเราะหึหึในลำคอ เชี่ย สายตาแม่งไม่น่าไว้ใจเลยว่ะ

“ดะ เดี๋ยว มีคนเห็น” ผมละล่ำละลักก่อนจะรีบเอามือยันหน้าอกกว้างๆนั่นเมื่อพี่มันเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อีกครั้ง

“งั้น...” ดวงตาคมที่ประกายวิบวับเหลือบไปที่บันไดเป็นนัย

“ไม่เอา!” ผมปฏิเสธเสียงหลง สายตาแม่งน่ากลัวฉิบหาย มึงจะจับกูแดกเหรอ!?

พี่มันเงียบแต่ก็ยังไม่เลิกใช้สายตาวิบวับคุกคามผมอยู่ดี

“พี่ ดะ แดน” ผมปรามมันเสียงอ่อย พอเรียกสั้นๆแบบนี้รู้สึกแม่งเขินปากพิกล

“ว่าไงครับ?” ดวงตาคมยังคงพราวระยับ น้ำเสียงนุ่มๆมันทุ้มเข้าไปในใจจนผมแทบจะนั่งไม่ติดโซฟา

“พี่แม่ง...” เป็นอีกครั้งที่ผมต้องสบถคำนี้เพราะสมองรวนจนคิดคำพูดอะไรไม่ออก เสียงหัวใจมันเต้นดังโครมครามไปหมด รู้สึกร้อนหน้าจนอยากจะมุดเข้าไปในตู้เย็นให้มันรู้แล้วรู้รอด

เออ กูเขิน เขินเหี้ยอะไรก็ไม่รู้เนี่ย แม่ง!

“หึหึ ไอ้เด็กบ๊อง” ปลายนิ้วกลางยาวๆดีดลงที่หน้าผากผมดังป๊อกก่อนที่พี่มันจะเอนหลังพิงโซฟาแล้วหยิบรีโมทมากดเปลี่ยนช่อง ผมนั่งประเมินเหตุการณ์อยู่ซักพักก่อนจะทิ้งหลังพิงโซฟาแล้วหันไปสนใจที่หน้าจอทีวีเหมือนพี่มันบ้าง

เราไม่ได้คุยอะไรกันต่ออีกเพียงแค่นั่งดูทีวีอยู่ด้วยกันเงียบๆจนดึกดื่น ไม่รู้ว่าผมลืมความรู้สึกอึดอัดที่ต้องนั่งอยู่กับพี่มันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฝ่ามือกว้างๆนั่นกุมมือผมเอาไว้

แล้วก็ไม่รู้ทำไม….

หัวใจของผมมันต้องรู้สึกอบอุ่นแบบแปลกๆด้วยวะ



⇤  BEGIN AGAIN  ⇥



“อ่าวน้องตัง ตื่นแล้วเหรอลูก?” ม๊าหันมาทักทันทีที่ผมโผล่หัวเข้าไปในครัว

“วันนี้มีอะไรกินบ้างอ่ะม๊า? โอ้โห้หอมเชียว” ผมสอดแขนเข้าไปกอดม๊าก่อนจะหอมแก้มนุ่มนิ่มแรงๆไปหนึ่งที

“ปากหวานนะคะ แต่ม๊าไม่อินหรอกค่ะคุณลูก”

“โห้ ใจร้าวเลย” ผมพูดเสียงหงอยขนาดนี้ม๊ายังมีหน้ามาหัวเราะอีก ใช่ซิ ผมไม่ใช่ป๊านี่ 

“แล้วตกลงม๊าทำอะไรอ่ะ?”

“กระเพาะปลาค่ะ”

“แล้วกินได้ยังอ่า แหะๆ ตังหิว”

“ไปรอที่โต๊ะเลย เดี๋ยวม๊าให้พี่แป้งเอาไปให้ค่ะ” ม๊าตีแขนผมที่โอบรอบเอวเบาๆก่อนจะผละออกไปล้างมือแล้วหันไปคุยกับพี่แป้งสองสามประโยคแล้วเดินนำผมออกไปที่โต๊ะกินข้าว

“น้องตังงอนอะไรพี่แดนหรือเปล่า?” ม๊าเปิดประเด็นทันทีที่ผมทิ้งตัวนั่ง แง่ะ หลังยังไม่ทันเอนถึงพนักอิงเลยอ่ะ

“เปล่านะม๊า แต้งกิ้วพี่แป้ง” ผมตอบ พอดีกับที่พี่แป้งยกชามกะเพาะปลามาวางตรงหน้าพอดี หุ้ยย น่ากินมากกก

“แล้วยังไงคะ อ้อนให้พี่เขากลับมาแล้วหนีมานอนที่บ้านทำไมคะ?”

“อะไรม๊า ตังไม่ได้อ้อนพี่มันซักหน่อย” ผมหน้ามุ่ย ม๊าหรี่ตามองผม อะไรอ่ะ ทำหน้าจับผิดผมทำไมเนี่ย ก็ผมพูดเรื่องจริงอ่ะ

“แม่ง ขี้ฟ้อง”

“พี่แดนเขาไม่ได้พูดอะไรเลยค่ะลูก” ผมพึมพำแต่ม๊าก็ยังได้ยินอีกแน่ะ

“แค่พี่แดนเขามาที่บ้านโดยที่น้องตังไม่ได้มาด้วยม๊าก็รู้แล้วค่ะ งอนทีไรก็หนีพี่เขามาทุกที มีอะไรก็พูดกับพี่เขาดีๆสิลูก พี่เขาเหนื่อยนะคะ ต้องบินไปบินมาทั้งๆที่งานก็ยังไม่เรียบร้อย”

สิ่งที่ม๊าพูดทำให้ผมต้องเงียบฟัง ดูเหมือนในตอนนี้จะมีแค่ผมคนเดียวที่ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับตัวพี่มันเลยซักอย่าง ในความคิดผมพี่มันก็เป็นแค่นักศึกษาที่กำลังจะเรียนจบกลายเป็นบัณฑิตเร็วๆนี้ก็เท่านั้น จริงๆแล้วตอนนี้พี่มันกำลังทำอะไรอยู่บ้างนะ

“เอาล่ะ ถ้างอนก็รีบหายนะคะ ม๊าล่ะยอมใจพี่แดนจริงๆที่ทนความเอาแต่ใจของทั้งป๊าทั้งลูกชายป๊าได้ขนาดนี้” ม๊าพูดยิ้มๆก่อนจะลุกเดินหายไปทิ้งไว้แค่ผมกับชามกะเพาะปลาตรงหน้า

2ปีที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นบ้างนะ ใจนึงผมก็อยากรู้ แต่อีกใจก็ไม่อ่ะ มันรู้สึกหน่วงในใจแบบแปลกๆ ผมบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงกับเรื่องราวของผมที่กลับกลายมาเป็นแบบนี้ ทำไมผมกับพี่มันถึงมาคบกันได้ทั้งๆที่ผมไม่เคยชอบผู้ชาย และไม่เคยคิดจะชอบผู้ชายด้วยกันเองเลยด้วย ไม่เลย

‘ติ๊ง’

เสียงแจ้งเตือนจากไลน์เรียกให้ผมหยิบเจ้าไอโฟนสีขาวออกมากดดู แล้วก็ไม่ใช่ใครเลยที่ส่งข้อความมา อืม ก็พี่มันนั่นแหละ

'ถ้าจะค้างที่บ้านก็ไปรับคอตตอนมาด้วยนะ'

'อืม'

ผมตอบกลับไปสั้นๆ ลืมไปเลยว่าถ้าผมกับพี่มันไม่อยู่ที่ห้องแล้วใครจะเป็นคนหาข้าวหาน้ำให้เจ้าก้อนกลมมันกินล่ะ ถ้าผอมขึ้นมาล่ะก็หมดหล่อแหงๆ

“จะรีบกลับนะ”

อีกข้อความที่ถูกส่งกลับมา ผมมองมันอยู่ครู่ใหญ่ๆเพราะไม่รู้จะตอบรับยังไง จะบอกว่าก็ช่างพี่ดิ่ มันก็คงไม่ดีมั้งวะ ว่าแต่...กูจะคิดมากทำไม?

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมไม่ตอบหรืออะไรยังไงพี่มันถึงได้ส่งสติ๊กเกอร์กลับมา เป็นสติ๊กเกอร์แมวหน้ากวนๆกำลังส่งจูบพร้อมข้อความภาษาอังกฤษสั้นๆที่ผมเห็นแล้วต้องคว่ำหน้าจอไอโฟนลงกับโต๊ะกินข้าวแรงๆอย่างลืมตัว

‘Miss U Babe’  คิดถึงเตี่ยมึงดิ่ไอ้บ้า! แล้วนี่ใครปิดแอร์วะ อยู่ๆแม่งร้อนเฉย

“พี่แป้งค้าบบบ รีโมทแอร์หายไปไหนเนี่ยยยยยยยยยยย!”



หลังจากที่ถกเถียงกับพี่แป้งเรื่องแอร์เสียไม่เสีย(และแน่นอนว่าผมแพ้)เสร็จแล้วผมก็คว้ากุญแจรถออกจากบ้านมาทันที ไม่ต้องเดาให้ยากว่าผมไปไหน ก็ไปรับลูกใครบางคนที่พ่อมันทิ้งให้อยู่ห้องตัวเดียวนั่นแหละ

“เมี๊ยว” เจ้าก้อนกลมร้องก่อนจะยืดตัวบิดขี้เกียจเมื่อรู้สึกตัวตื่นเพราะผมนั่งลงบนเตียงกว้างที่มันนอนยึดเอาไว้

“หิวไหมฮึ?” ผมยกก้อนกลมๆขึ้นมาวางบนตัก เจ้าตัวมันก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นอนนิ่งให้ผมเกาหัวเกาคางอย่างสบายอารมณ์

“นิ่งแบบนี้แสดงว่าอิ่ม พ่อแกคงเอาอาหารให้กินก่อนไปแล้วล่ะสิ”

“ฮึบ” ผมทิ้งตัวลงนอนโดยที่เจ้าก้อนกลมยังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนตัก หน้ากลมๆของมันดูฟินกับการนอนจนผมต้องล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้

อัพลงไอจีดีกว่า

‘หลับเก่ง’  ใส่แคปชั่นก่อนจะกดโพสต์ จะว่าไปตั้งแต่ข้ามเวลามาผมยังไม่ได้เข้าไอจีเลยแฮะ

“หึหึ” ผมหัวเราะเมื่อกดเข้ามาที่หน้าโปรไฟล์ รูปหน้าตาประหลาดๆของเจ้าก้อนกลมมันอัดแน่นไปหมด แต่มันก็คั่นด้วยรูปของกินอยู่ประปราย

ผมเลื่อนดูไปเรื่อยๆสายตาก็ไปสะดุดที่ภาพๆนึงจนต้องกดเข้าไปขยายดู เป็นภาพที่ใครบางคนกำลังถือชามข้าวต้มด้วยมือข้างเดียวโดยที่อีกมือกำลังถือช้อนที่กำลังตักข้าวต้มในชาม ในภาพเห็นแค่ใต้คางลงมาจนถึงหน้าอก แต่ถึงจะไม่เห็นหน้าผมก็รู้ว่าคนๆนั้นเป็นใคร

ผมแคปชั่นไว้แค่สั้นๆว่า ‘いつもありがとう’ โดยที่ไม่ได้แท็กถึงใคร

ขอบคุณในทุกๆครั้ง

มันเป็นสิ่งที่ผมแทบจะไม่อยากเชื่อว่าผมเป็นคนที่โพสต์อะไรแบบนี้ มันตรงกับความรู้สึกมากเกินไป มาก….เกินไปจริงๆ

แต่พออ่านคอมเม้นต์ข้างล่างก็ต้องจิ๊ปากแรงๆอย่างขัดใจ

ikemenpor คนอวดผัว 2018
urboy69 @dindanvongvrp คนโอ๋เมีย 2018

จี๊ดเลยกู จี๊ดเลย ไอ้พวกเชี่ย!

ใช่ครับ คนแรกคือไอ้ปอ ที่ชื่อแอคเค้าท์ทุกอย่างต้องมีคำว่า ‘ปอคนหล่อ’ ก็ไม่มีใครชมเลยต้องชมตัวเองอ่ะนะ  ส่วนแอคเค้าท์ข้างล่างผมคิดว่าน่าจะเป็นพี่บอย เพราะว่ามันแท็กถึงคนที่คุณก็รู้ว่าใคร ผมเม้มปากชั่งใจก่อนจะกดเข้าไปตามชื่อนั่น

ไอจีของพี่ดินแดน

เรียบๆธรรมดา ไม่มีการคุมโทนอะไร มันมีแค่ภาพอะไรไม่กี่อย่าง นั่นคือ ภาพอาหาร เจ้าก้อนกลม และอย่างสุดท้าย สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า....

ผมเอง



xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

มาต่อแล้วค่าา ขอโทษที่ช้าค่ะ แต่เมื่อวานเราไม่ไหวจริงๆ ปั่นงานเสร็จก็สลบไปเลย :hao5: 
ขอบคุณทุกคนที่กดเข้ามาอ่านนะคะ รวมทั้งคอมเม้นต์และคำติชมด้วยค่ะ :pig4:
สำหรับคนที่เล่นทวิตเตอร์ ฟอลโล่ที่แอค @B2YFICTION ไว้พูดคุยกันได้นะคะ หรือเจอกันได้ที่แท๊ก #ที่เก่าเวลาเดิมแต่ #ดินแดนของตัง
เจอกันตอนหน้าวันศุกร์ที่ 7 กันยา ฝากติดตามกันด้วยนะ!  :กอด1:
หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP10 - It's ME [01.09.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 02-09-2018 10:11:27
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13 o18 :man1: :z2: :m4: :จุ๊บๆ: :oni1:
หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP10 - It's ME [01.09.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Pa'veaw ที่ 02-09-2018 11:16:04
น่าติดตามมากๆเลยค่ะ

ตังคงสับสนน่าดู คนอ่านก็อยากรู้เรื่องที่เกิด 2 ปีเหมือนกัน

รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP10 - It's ME [01.09.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-09-2018 20:25:35
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอาช่วงเวลาที่วาร์ปไปคืนมาเด๋วเน้
หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP10 - It's ME [01.09.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 02-09-2018 23:36:49
เนื้อเรื่อง​สนุกชวนติดตามมากค่ะ​ เราอ่านรวดเดียวเลย​ เราเป็นตังเราก็งงนะ​ วาปมาสองปีเป็นแหนกันเลยจากที่สับสนในตัวเองว่าชอบเค้ารึป่าวสองปีผ่านไปอยู่ด้วยกันแล้ว​ พี่แดนน่ารักน้องตังก็น่าเอ็นดู​
หัวข้อ: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP11 - Broken Past [07.09.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 07-09-2018 22:19:04
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#11


ผมเลื่อนผ่านรูปที่เป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆนับร้อยรูปโดยที่ไม่ได้กดขยายใหญ่เพราะยังไม่พร้อมที่จะอ่านแคปชั่นหรือคอมเม้นต์ใดๆในตอนนี้ รูปภาพของผมมันมีหลายอิริยาบทซะจนไม่คิดว่าคนอย่างไอ้พี่ดินแดนจะขยันถ่ายอะไรแบบนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นรูปที่ผมยิ้ม ผมหัวเราะ ผมหน้าบึ้ง ผมเหม่อ หรือผมหลับ ไม่เว้นแม้แต่รูปที่ผมนั่งทำหน้าโง่ๆนั่นอีก แม่ง ไม่น่าเชื่อว่าการที่ต้องดูรูปของตัวเองมันจะทำให้รู้สึกหน่วงในใจได้ขนาดนี้เลย

ให้ตายสิวะ!

“เมี๊ยว” หัวกลมๆเลื่อนมาไถที่ข้างแก้มทำให้ผมหันไปสนใจ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเจ้าคอตตอนโดดลงจากตักไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีมันก็มาเอาหัวมาไถแก้มซะแล้ว

“กลับบ้านกันดีกว่าเนอะ” ผมกดออกจากแอพแล้วล็อคหน้าจอก่อนจะยัดไอโฟนใส่ในกระเป๋ากางเกง เจ้าก้อนกลมกระโดดลงจากเตียงเดินนำออกจากห้องไปแล้ว ผมก็เลยต้องว่าง่ายเดินตามเจ้านายเขาออกไปด้วย

ใช้เวลาไม่นานผมก็หยิบของที่คิดว่าจำเป็นทั้งหมดมาจนครบ บอกตามตรงว่าผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไม่ว่าของจะวางอยู่ตรงไหนผมก็เดินไปหยิบถูกแทบจะทุกที่ ทั้งๆที่ตัวตนของผมเพิ่งจะข้ามเวลามาตอนนี้แท้ๆ

“เข้าไปอยู่ในนี้ก่อนนะ” ผมอุ้มเจ้าก้อนกลมใส่ไปในกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยงก่อนจะรูดซิปแล้วพากันออกจากห้องไป

กดรอลิฟต์ได้ซักพักประตูมันก็เปิดออกเพื่อรับผมเข้าไปเป็นผู้โดยสารแค่หนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวในนั้น  แต่สัญญาณไฟตัวเลขที่แสดงอยู่ก็ทำให้ผมรู้ว่ามันจะเปิดรับผู้โดยสารคนอื่นอีกที่ชั้น4 ผมขยับตัวไปด้านหลังเพราะไม่รู้ว่ามีคนที่รออยู่ตรงนั้นกี่คน แต่พอประตูลิฟต์เปิดออกหัวใจผมมันก็เหมือนจะหยุดเต้นไปซะแบบนั้น

“เบล…”

ใบหน้าสวยเงยขึ้นมองมาที่ผมโดยที่ไม่ฉายแววใดๆ ไม่ขุ่นเคืองแต่ก็ไม่ได้ยินดี

“จะพาคอตตอนไปไหนเหรอ” เป็นประโยคที่เธอทักทายผม

“บ้าน..เรา น่ะ” ผมตอบออกไปเบาๆ มันไม่รู้จะแทนตัวว่าอะไร ในท้องมันรู้สึกปั่นป่วนไปหมด ผมไม่รู้ว่าความสัมพันธุ์ของเราในตอนนี้มันเป็นยังไง 2ปีมานี้มันเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้าง ใบหน้าของเบลมันทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมาในใจจนเอ่อล้นไปหมด

ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าที่ผมข้ามเวลามาตอนนี้มัน...เพื่ออะไร ?

‘ติ๊ง’

เสียงลิฟต์ที่ดังขึ้นเหมือนแย่งซีนทุกอย่าง เบลยิ้มน้อยๆให้ผมก่อนจะเป็นฝ่ายก้าวออกจากลิฟท์ไปก่อน

“เราไปนะ”

คำพูดของเบลที่ทิ้งท้ายเอาไว้โดยที่ผมไม่ทันได้ตอบรับอะไร แผ่นหลังบางไกลออกไปเรื่อยๆเหมือนเป็นสิ่งที่ผมจับต้องไม่ได้

ทำไมแม่งปวดใจแบบนี้วะ


“เฮ้ออ” ผมถอนหายใจก่อนจะดีดตัวนั่งดีๆแล้วเปิดหน้าจอแมคบุ๊คขึ้นมาหลังจากปล่อยตัวเองนั่งโง่ๆมาได้ซักพักใหญ่ ส่วนเจ้านายของผมตอนนี้นอนหงายท้องหายใจครืดคราดอย่างสบายอกสบายใจอยู่บนเตียงนู่น

หลังจากที่ได้เจอเบลวันนี้มันทำให้ผมตัดสินใจที่จะรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา ถึงมันจะไม่เหมือนในละครที่จะมีสมุดบันทึกที่มีเรื่องราวของตัวเองเขียนอยู่ในนั้นไว้ให้อ่าน แต่นี่มันยุคไทยแลนด์ 4.0 ไง เปิดดูตามในเฟซบุ๊คก็ได้นี่

ล็อคอินเข้าในแอคเค้าท์ตัวเองก็ไม่พ้นได้เห็นหน้ากลมๆของเจ้าคอตตอน แต่ก็ยังดีที่ยังมีเบ้าหน้าของผมอยู่ในเฟรมเดียวกันด้วย ดูจากสเตตัสแล้ว อืม...เหมือนผมจะไม่ค่อยได้เล่นอะไรเลยนะ โว้ยยย น้ำตาจะไหล

ถ้าถามว่าทำไมไม่เปิดไลน์ดู จะบอกไว้ก่อนเลยว่าช่องสนทนาว่างเปล่าครับ อาจจะเป็นเพราะผม(อาจจะ)ซื้อเจ้าไอโฟนเครื่องนี้มาใหม่ด้วยก็ได้ ผมกดเปิดเข้าไปในช่องib ก็มีข้อความประปรายจากไอ้ปอบ้าง ไอ้ป่านบ้าง เพื่อนคนอื่นๆบ้าง จนเลื่อนไปเกือบจะท้ายสุดถึงได้เจอข้อความที่ผมได้คุยกับเบลเอาไว้

ผมยกมือที่ชื้นเหงื่อของตัวเองขึ้นมาลูบหน้าเพื่อตั้งสติก่อนจะคลิ๊กเข้าไปอ่าน ข้อความสุดท้ายเป็นของเมื่อต้นปีที่แล้ว นับเวลาดูก็เกือบจะ 2 ปีเลยนะ

‘ถ้าถึงเวลานั้นเราคงได้คุยกันอีก’

มันเป็นข้อความสุดท้ายจากเบล โดยคำตอบรับของผมคือคำว่า ‘เราขอโทษ’

นั่น...มันคือการจากลาโดยไม่ต้องสงสัย ไม่มีถ้อยคำรุนแรงอะไรแต่มันต้องเป็นแผลที่ใหญ่พอสมควรสำหรับผมกับเบล ผมเลื่อนข้อความขึ้นไปดูถึงต้นตอเพื่อประติดประต่อความ ถึงจะรู้สึกเสียดในใจจนแน่นหน้าอกแทบหายใจไม่ออก แต่ในเมื่อผมตัดสินใจแล้วผมก็ต้องเดินต่อไป

‘ขอโทษนะที่ไม่รับโทรศัพท์ บอกตรงๆว่าเรายังทำใจที่จะคุยกับตังตรงๆไม่ได้ แต่ก็ขอบคุณนะที่อย่างน้อยตังก็พยายามจะบอก’

‘เราขอโทษ เราไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ เรามันเห็นแก่ตัว แต่เราไม่อยากให้ใครต้องเจ็บไปมากกว่านี้อีกแล้ว’


‘ใครคนนั้นของตังหมายถึงพี่แดนสินะ’ ผมเม้มปากแน่นเมื่ออ่านถึงข้อความนี้ ข้อความโต้ตอบจากผมหายไปหลายนาที ตอนนั้นผมคงจะรู้สึกผิดและแย่ไม่แพ้จากตอนนี้แน่นอน

‘ขอโทษนะเบล’

ผมไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของเบล ผมยอมรับว่ามันเป็นแบบนั้นงั้นเหรอ ?

‘ไม่ต้องขอโทษหรอก มันไม่มีใครผิด เราบังคับให้ใครรักหรือไม่รักเราไม่ได้หรอกนะ มันเป็นกฏเกณฑ์ของความรักที่เราต้องยอมรับมันให้ได้ แต่ถึงเราจะบอกตังแบบนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะกลับไปพูดคุยกับตังได้เหมือนเดิมหรอกนะ’

‘แต่….ก็คงมีซักวันล่ะมั้ง’

‘ถ้าถึงเวลานั้นเราคงได้คุยกันอีก’


และนี่ก็เป็นประโยคสุดท้ายที่ผมเลื่อนมาเจอมันอีกครั้ง ความร้อนที่เบ้าตาทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นแต่นั่นมันก็ไม่สามารถจะหยุดแรงโน้มถ่วงของโลกได้ ผมปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาอย่างไม่คิดจะกลั้นหวังแค่ให้ความปวดที่อัดแน่นในหน้าอกมันไหลออกมากกับน้ำตา ผมไม่ใช่คนอ่อนไหวอะไร แต่เรื่องนี้มันก็หนักเกินไปอยู่ดี

อยู่ๆเจ้าก้อนกลมที่นอนสบยอยู่บนที่นอนก็เดินมากระโดดขึ้นที่ตักจนผมต้องกอดมันเอาไว้ แต่ยิ่งเห็นมันน้ำตาผมก็ยิ่งไหล ความรู้สึกผิดความสับสนมันผสมปนเปกันจนมั่วไปหมด

ผมรักเบลมาก นั่นคือความจริง

แต่ถึงผมจะคิดว่ารักมากมายขนาดไหน ตัวผมที่ย้อนเวลากลับไปก็ยังสร้างความเจ็บปวดให้เบลอยู่ดี ผมรักคนอื่นไปแล้วจริงๆเหรอ ?

ไอ้พี่ดินแดนคนนั้น…

มีผลกับหัวใจของผมมากมายขนาดนี้เลยเหรอวะ ?



⇤  BEGIN AGAIN  ⇥



“ปอ..วันนี้มึงว่างป่ะวะ?” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีที่มีคนรับสาย ไอ้ปอมันตอบรับก่อนจะบอกว่ากำลังขับรถมาทำธุระให้แม่แถวๆบ้านผมพอดี ไอ้ป่านก็อยู่ด้วย จังหวะโคตรเหมาะ

“เออ งั้นก็แวะมาบ้านกูหน่อยดิ่” 

“อือ เจอกัน” ผมวางสาย อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงพวกมันคงมาถึง มีหลายอย่างที่ผมอยากจะถามอยากจะระบาย ถึงจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกมันฟังไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเก็บไว้คนเดียวอ่ะ ท่านเทวดาก็ไม่รู้หายหัวไปไหน เอาผมมาทิ้งไว้แล้วก็หายตัวเงียบจ้อย

เออ ผมจำได้ว่าท่านจะบอกว่าคงไม่ได้เจอกันซักพัก แต่ไอ้ซักพักของเทวดานี่มันนานขนาดไหนวะเนี่ย ผมใกล้จะอกแตกตายอยู่แล้วนะท่าน!

“เมื่อไหร่จะโผล่มาซักทีเนี่ยยย” ผมตะโกนออกไปกับฟ้ากับอากาศ หวังว่าท่านเทวดาคนดีของผมจะได้ยินบ้าง และอยู่ๆไม่ถึงนาทีประตูห้องผมก็เปิดผลั่วะออกอย่างแรง

“ว่าไงคุณชาย ม๊าบอกข้าวปลาไม่ลงไปแดก” คำทักทายแรกจากแฝดนรกผู้บุกรุก มาถึงมันก็ทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนแบบไม่มีคำว่าเกรงใจเจ้าของห้องอย่างผมเลยซักนิด

“กูไม่หิว” ผมตอบเนือยๆ อยู่ๆไอ้ปอมันก็เด้งตัวลุกขึ้นมาลากเก้าอี้ผมไปจนหัวเข่าผมชนกับเข่ามันที่ทิ้งตัวนั่งลงบนที่นอน

“โกหก” ไอ้ปอมันว่าก่อนที่ไอ้ป่านจะแทรกหัวเข้ามาใต้รักแร้พี่มันแล้วยื่นมือมาอุ้มเจ้าก้อนกลมออกไปจากตักผม

“คอตตอนมาเล่นกับพี่ป่านดีกว่า” มันว่างั้นน่ะ

“เฮ้อออ” ผมถอนหายใจ ตอนนี้ไอ้ปอมันทำท่าคุกคามผมเต็มที่ มันยื่นมือทั้งสองข้างมาจับที่วางแขนเก้าอี้ของผมเอาไว้ กลายเป็นว่าตอนนี้ผมหนีมันไปไหนไม่ได้เลย

“มึง… กูคุยกับเบลครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่วะ?” ผมถามในสิ่งที่อยากรู้ ไอ้ปอมันเบะปากทำท่างงๆ แต่ก็ยอมตอบออกมา

“เมื่องานคณะมั้ง ที่กูเห็นอ่ะนะ”

“แล้วกูคุยอะไรมึงรู้ป่ะ?”

“เอ้า คุยเองเสือกมาถามกู แล้วเป็นห่าอะไรขึ้นมาอีกอ่ะ?”

“ตอบมาเหอะน่า” ผมเผลอเสียงดังอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไอ้ปอมันขมวดคิ้วใส่

“เออ ขอโทษ”

“ก็ทักทายปกติ ไม่ได้คุยอะไรเป็นเรื่องเป็นราว”

“เหรอ..”

“มีอะไรหรือเปล่า ?” ไอ้ปอถาม ผมส่ายหน้าก่อนจะพูดต่อ

“วันนี้กูเจอเบลที่คอนโดตอนไปรับคอตตอน”

“อ่าหะ แล้ว?”

“ก็ไม่มีอะไร ทักทายกัน...ปกติ” ผมพยามบังคับเสียงตัวเองให้เรียบๆ ไอ้ปอทำหน้าเหมือนประเมินผมอยู่แปบนึงก่อนที่มันจะผละตัวออกไปทิ้งลงตัวลงนอนข้างๆไอ้ป่านแล้วแย่งเจ้าก้อนกลมออกจากมือไอ้ป่าน

“แล้วพ่อมันกลับเมื่อไหร่?”

“วันศุกร์หน้ามั้ง” ผมตอบเพราะรู้ว่าไอ้ป่านมันคงจะหมายถึงไอ้เจ้าของแมวก้อนกลมนั่น

“แลดูไม่งอแง” สิ่งที่ไอ้ป่านพูดทำเอาผมขมวดคิ้ว หมายถึงใครวะ แมว ?

“ก็กูรับมาอยู่ด้วยแล้วนี่ไง” จบประโยค ไอ้แฝดมันหันหน้ามองกันก่อนจะทำหน้าเหมือนเอือมความโง่

“มึงน่ะ”

“พ่องสิ” ผมขว้างหมอนใส่หน้ามันก่อนจะขึ้นไปนอนเบียดกับพวกแม่งอีกคนบนเตียง นอนมองมันสองพี่น้องเล่นแมวไปเงียบๆแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเปรยคำถามออกมาเบาๆ

“มึงว่า พี่มัน...เป็นยังไงวะ?”

“คือ ?”

“ก็...เป็นคนยังไง อะไรแบบเนี้ยะ” อันนี้คือสิ่งที่ผมอยากรู้จริงๆ ก็เพราะคนรอบตัวผมดูเหมือนจะสนิทสนมชอบพอกับพี่มันพอตัว ไม่เว้นแม้กระทั่งป๊ากับม๊า

“มึงเป็นอะไรตัง ช่วงนี้มึงดูแปลกๆนะ”

“ก็...เปล่า”

“ก็ดูมึงถามดิ่ มึงคบกับพี่แดนมาจะ 2 ปีแล้วนะ มันเป็นคำถามที่ต้องเอามาถามพวกกูตอนนี้เหรอ?” ไอ้ป่านมันทำหน้าไม่เข้าใจ

“ไม่ว่ามึงคิดจะทำอะไรนะตัง” ไอ้ปอมันเกริ่นประโยคด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ผมกับไอ้ป่านก็เงียบเพื่อรอฟัง

“อย่าลืมว่ามึงกับพี่แดนต้องผ่านอะไรมาบ้าง มันยากแค่ไหนกว่าจะมาถึงจุดนี้”

“และ...ถ้าถามกูว่าพี่มันเป็นคนยังไง กูบอกได้เลยว่าพี่มันเป็นผู้ชายในแบบที่กูไม่คิดจะเอาชนะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม” 

ผมปล่อยให้เวลาผ่านไปกับการนอนมองเพดานเงียบๆ ปล่อยให้ไอ้สองแฝดมันนอนเล่นเกมส์ของมันไป ตอนนี้เจ้าคอตตอนย้ายมานอนขดอยู่ข้างตัวผมแล้ว สงสัยจะรำคาญเสียงเกมส์ในมือถือของไอ้แฝดนรกนั่น

“ไปกินข้าวกันเถอะ” ผมดีดตัวขึ้นมานั่งโดยที่เจ้าก้อนกลมก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจไปด้วย ผมหยุดคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มันวุ่นวายอยู่ในสมอง มีเวลาอีกเกือบอาทิตย์ที่จะคิดทบทวนทุกอย่างก่อนที่พี่มันจะกลับมา ฉะนั้นตอนนี้ผมควรจะทำในสิ่งที่ควรทำก่อนนั่นก็คือการให้อาหารแมวนั่นเอง

“กูก็นึกว่าเรียกกู” ไอ้ป่านมันเด้งตัวตามมา แต่ตามันก็ยังจ้องที่จอมือถือ

“หิวก็ลงไปแดกสิ” ผมพูดแบบไม่อยากจะใส่ใจมันเท่าไหร่ก่อนจะเทอาหารเม็ดลงในชามของเจ้าแมวเห็นแก่กิน

“อีกสิบนาที” มันพูดกับหน้าจอมือถืออีกครั้ง ผมส่ายหน้าก่อนจะลุกเดินออกไปเปิดประตูระเบียงโดยมีเจ้าก้อนกลมวิ่งตามมาติดๆ

พอวางชามลงหัวกลมๆก็มุดลงในชามแทบจะทันที มันตลกอ่ะ หัวกลมๆนั่นมันใหญ่กว่าชามข้าวซะอีกนะ ผมล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้ ชั่งใจอยู่ครู่นึงก่อนที่จะเปิดไลน์แล้วส่งภาพไปให้เจ้าของมันดู

‘กินข้าวอยู่’

ผมพิมพ์ข้อความไปสั้นๆ พอมันขึ้นว่าถูกอ่านไม่ถึงสิบวินาทีด้วยซ้ำก็มีวีดีโอคอลกลับมาแทนที่จะเป็นข้อความตอบกลับแบบปกติ

“ว่าไงพี่?”

“แล้วคนล่ะกินข้าวหรือยัง?” พี่มันหรี่ตาใส่ผมเหมือนจับผิด แต่มุมปากก็จุดรอยยิ้มเล็กๆ แม่งใครไปบอกมันอีกล่ะ

“ยังไม่หิว”

“หวัดดีครับพี่แดน” ไอ้ปอที่เดินตามออกมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผมก่อนจะเสนอหน้าเข้ามาในกล้องบ้าง

“อ่าวปอ” พี่มันทัก จะว่าไปพี่มันแยกไอ้ปอกับไอ้ป่านออกด้วยเหรอวะเนี่ย?

“แม่นเหมือนเดิมนะพี่” ไอ้ปอมันหัวเราะ ก่อนจะเฟดตัวเองออกจากกล้องให้ผมได้คุยกับพี่มันต่อ

“ไปกินข้าวได้แล้ว” พี่มันไล่ แต่ก็ยังไม่ยอมวางสาย เพิ่งสังเกตุว่าหน้าพี่มันดูแปลกตาไปนิดหน่อย มันผอมลง...ใช่ไหมนะ?

“แล้วพี่อ่ะกินยัง?”

“ก็...ยังครับ” ว่าแล้ว เดาจากรีแอคชั่นได้ไม่ผิดเลย

“ว่าแต่คนอื่น” ผมพึมพำบอก ได้ยินเสียงไอ้ปอมันหัวเราะเบาๆในลำคอก่อนจะเดินเลี่ยงกลับเข้าไปในห้อง

“แม่บ่นคิดถึงนะ”

“เปลี่ยนเรื่อง” ผมว่าไอ้คนที่ยกยิ้มมุมปาก

“ก็เดี๋ยวกำลังจะไปกิน แต่รอพี่ธารก่อน” นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมต้องหาคำตอบใช่ไหม พี่ธารคือใครวะ

“ว่าพี่เปลี่ยนเรื่อง แล้วตังล่ะ ทุ่มกว่านี่เลยเวลากินข้าวของป๊ามานานแล้วนะ” ใช่ครับ คือบ้านผมมีกฏอยู่ว่าถ้าอยู่กันพร้อมหน้าคือต้องกินข้าวพร้อมกันตอน6โมงครึ่งซึ่งเป็นเวลาที่ป๊าเป็นคนกำหนด

“ก็บอกแล้วนี่ว่ายังไม่หิว”

“งั้นก็หิวได้แล้ว”

“เอ้า หิวไม่หิวมันสั่งกะเพาะได้ด้วยเหรอวะพี่?”

“หึหึ” ปลายสายหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะหันหลังกลับไปที่หน้าประตูห้องที่ผมได้ยินแว่วๆเหมือนว่ามีคนกำลังเคาะมันอยู่แล้วตะโกนโต้ตอบออกไป

“เดี๋ยวแดนลงไปครับ”

“ไปเลย” ผมบอก

“ไล่พี่เหรอครับที่รัก” ผมแทบจะสำลักอากาศตาย มุมปากบางมันยักยิ้มซุกซนจนผมล่ะล่ำละลักจนด่าไม่ออก

“เออ!” ได้แต่กระแทกเสียงใส่ก่อนจะกดวางทันทีอย่างไม่ต้องรีรอ

ก็แบบนี้ไงผมถึงไม่อยากจะคุยกับพี่มัน แม่งคุยกันทีไรหยอดกูเป็นกระปุกเลยไอ้ห่านี่!

ผมหัว(หน้า)ร้อนเดินกลับเข้าไปในห้อง ไอ้แฝดนรกก็ยังนอนหงายท้องแอ้งแม้งเล่นโทรศัพท์ไม่ยอมเลิก

“พวกมึงก็ลุกสิ กูหิวแล้วไอ้สัด”

“อ้าว เมื่อกี้ใครนะบอกไม่หิว”

“ก็ตอนนี้เค้าหิวแล้วนี่ที่รัก” สิ้นเสียงไอ้ปอผมที่เดินนำหน้าเลยหยุดชะงักกึกก่อนจะหันไปตาเขียวใส่ไอ้แฝดที่มันอมยิ้มกรุ่มกริ่ม

“ที่รักพ่องสิ!”




xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

มาต่อแล้วค่าา ดึกไปหน่อยขอโทษนะคะ :hao5: 
ขอบคุณคุณมากๆที่กดเข้ามาอ่าน ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์ด้วย ฝากติดตามกันต่อไปจนจบด้วยนะคะ :pig4:
เจอกันตอนหน้าวันศุกร์ที่ 14 กันยา ฝากติดตามกันด้วยนะ!  :กอด1:
Twitter : @B2YFICTION
หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP11 - Broken Past [07.09.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-09-2018 02:24:06
 :pig4: :pig4: :pig4:

อยากรู้เหตุการณ์ตอนวาร์ป
หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP11 - Broken Past [07.09.18] UP!
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 10-09-2018 07:49:08
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP12 - Unexpected (17.09.18) NEW UP!
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 17-09-2018 16:00:21
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#12


เมื่อวานวันพุธ งั้นวันนี้ก็ต้องเป็นวันพฤหัส และพรุ่งนี้ก็คือวันศุกร์ พี่มันจะกลับมาแล้วโว้ยยยย!!

ไอ้ที่บอกจะคิดทบทวนห่าเหวอะไรนั่นบอกตามตรงว่าไม่ได้คิดอะไรเลย 4-5วันที่ผ่านมา นอกจากจะแบกสมองกลวงๆไปสอบไฟนอล (พอกลับมาอยู่ปี3แล้วทำไมต้องกลับมาโง่เหมือนเดิมด้วยวะ บ้าบอที่สุด!) กลับบ้านก็เอาแต่นัวเนียอยู่กับเจ้าก้อนกลมตลอด ก็มีบ้างที่พี่มันวีดีโอคอลมาหา จะว่าบ้าง ก็วันละครั้งก่อนนอน เขาเรียกว่าบ้างป่ะวะ เออ ก็นั่นแหละ แต่ไม่ต้องถามว่าคุยอะไรกันนะ แม่งหาเนื้อหาสาระอะไรไม่ได้หรอก แต่ก็บ้าบอมากที่แม่งกินเวลาเป็นชั่วโมงๆทุกทีสิน่า!

ส่วนเรื่องของเบล ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้เจอกับเบลอีกเลย ได้เจอแค่ลูกน้ำกับแตงครั้งนึงที่โรงอาหารกลาง ผมยิ้มทักทายไปซึ่งสองสาวก็ยิ้มตอบกลับมาแบบปกติ มันทำให้นึกย้อนไปตอนที่เจอกับเบลวันนั้น มาคิดแบบไตร่ตรองดูอีกที น้ำเสียงของเบลที่พูดกับผมมันดูไม่ได้แฝงความรู้สึกใดๆ เหมือนคนที่รู้จักกันทักทายกันตามปกติมากกว่า และนั่นมันก็ทำให้ผมคิดอะไรบางอย่างได้

บางอย่างที่บอกผมว่า เวลาจะเยียวยาทุกสิ่งเอง ในตอนนี้ ผมกับเบลจบกันไปแล้ว และนี่มันเป็นความจริงที่ผมต้องยอมรับให้ได้ จริงๆเหรอวะ ?

แต่ ต้องไม่ใช่ดิ่!

ไม่งั้นมันจะมีประโยชน์อะไรที่ผมต้องมาเจอเรื่องบ้าๆอะไรแบบนี้ด้วยล่ะวะ!

“เฮ้ออออ” ถอนหายใจรอบที่สองล้านแปด ใครไม่รู้บอกว่าการถอนหายใจจะทำให้อายุสั้นลง เออ กูคงจะอยู่ได้อีกไม่ถึง 3 เดือนแล้วละมั้ง

“เฮ้ออ” นั่นไง เอาอีกแล้วกู ตายเร็วเข้าไปทุกทีๆ

ผมอุ้มเจ้าก้อนกลมที่นอนขดอยู่ข้างๆขึ้นมาวางบนพุงแล้วกอดเอาไว้ มันก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรแค่ซบหน้าลงกับอุ้งเท้าอวบๆแล้วหลับต่อ

ทำไมวันนี้กูรู้สึกว่างจังวะ มองไปที่นาฬิกามันก็บอกว่าตอนนี้4ทุ่มกว่าแล้ว กำลังจะถอนหายใจก็นึกขึ้นมาได้ว่าเดี๋ยวอายุสั้นเลยยั้งเอาไว้ก่อน เกือบไปละ

ผมหยิบไอโฟนขึ้นมาปลดล็อคอีกครั้งก็ไม่ได้มีแจ้งเตือนอะไรที่รู้สึกว่าสำคัญซักอย่าง ก็แล้วทำไมพี่มันไม่โทรมาซะทีวะ…

“บ้าบอ” ผมสบถใส่ความคิดตัวเองก่อนจะเอามือโขกหัวตัวเองแรงๆ ว่างจัดมั้งกูถึงได้ฟุ้งซ่านขนาดนี้

ผมมองหน้าจอก่อนที่มือจะกดเข้าไปในไลน์ ข้อความของคนที่มักจะอยู่บนสุดเป็นอันดับหนึ่งตอนนี้หล่นไปอยู่ที่สามต่อจากของไลน์กลุ่มปี3ที่กำลังชวนกันออกเที่ยวเพราะวันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้าย ถ้าถามว่าทำไมผมถึงไม่ไปกับเขาน่ะเหรอ บอกตามตรงตั้งแต่ย้อนเวลากลับไปจนวาร์ปกลับมาตอนนี้ ผมไม่รู้สึกสนิทใจกับใครเลยนอกจากไอ้ปอกับไอ้ป่าน คือแบบ ไม่รู้ดิ่มันแปลกๆ
 
ผมเลือกที่จะจิ้มนิ้วลงไปที่ช่องข้อความของพี่มันก่อนจะชะงักนิ้วที่กำลังจะกดโทรออกไปและเลือกที่จะปิดแอปและล็อคหน้าจออีกครั้งก่อนจะโยนมันไว้ใกล้ๆตัว

“ช่างแม่งดิ่วะ”   



“อื้อ” ความอึดอัดเรียกให้ผมต้องครางในลำคออย่างรำคาญ จะขยับตัวหนีก็ขยับไม่ได้

“อื้อออออ” ผมดิ้นแรงขึ้น คราวนี้มันได้ผล อะไรซักอย่างที่รัดเอวผมไว้คลายออกทันทีพร้อมกับเสียงงึมงำอะไรบางอย่างทำให้ผมค่อยๆปรือตาขึ้นดู ยังไม่ทันโฟกัสอะไรตรงหน้าได้ฝ่ามืออุ่นๆก็ขยี้ลงบนหัวผมเบาๆซะก่อน

“เด็กขี้เซา” เสียงพูดกลั้วขำเบาๆบอกออกมาแบบนั้น ถึงจะยังง่วงๆเบลอๆก็จำได้แหละว่าใคร

“อย่ากวนดิ่วะ คนจะนอน” ผมปัดมือมันออกก่อนจะพลิกตัวนอนหันหลังให้

‘ปุ๊บ’

“อื้อออ” คราวนี้เป็นอุ้งตีนแมว เออ เต็มๆหน้าเลย ผมลืมตาโพล่งก่อนจะดีดตัวขึ้นนั่ง เจ้าก้อนกลมมันเงยหน้ามองผมตาแป๋ว เสียงหัวเราะหึหึจากข้างหลังทำให้ผมต้องหันไปเหวี่ยงค้อนใส่อย่างนึกโมโห แม่งกวนประสาททั้งคนทั้งแมว

“พี่แม่ง!” ผมสบถ พี่มันไม่ได้พูดอะไรได้แต่ส่ายหัวยิ้มๆ แต่กูไม่ขำเว่ย กูง่วง!

“ออกไปเลยไป” ผมบอกอีกแต่พี่มันเงียบ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันน้อยๆ ดวงตาคมนั่นทำผมเดาอารมณ์มันไม่ออก ตอนนี้สติผมเริ่มมา เริ่มตื่นเต็มตา ก็มันเงียบแบบนี้ผมก็เริ่มหวาดระแวงไง

“พี่ แดน….” ผมเรียกเสียงอ่อย และมันก็ทำให้คนเงียบยกยิ้มน้อยๆ ไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัวทัน ใบหน้าคมนั่นก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนที่ปลายจมูกโด่งรั้นจะฝังลงที่แก้มผมแรงๆจนตัวเอียง

“มอร์นิ่งครับ”

ไอ้เชี่ยยยยยยยยยยยย

ผมได้แต่ตาค้างสมองตายทำอะไรไม่ถูก ไอ้คนที่กระทำการอุกอาจมันยิ้มก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วยีหัวผมแรงๆเหมือนหมั่นเขี้ยวอะไรแบบนั้น

“รีบตามลงมานะ คอตตอน come on”

และไอ้ก้อนกลมสีเทาก็กระโดดลงจากเตียงแล้วเดินหางตั้งตามเจ้าของมันไป ทิ้งไว้แต่กูเนี่ยที่ยังเก็บสติตัวเองไม่ครบ

ฉิบหาย หัวใจกูนี่ก็อะไร เต้นแรงจนแทบจะวายตายแล้วโว้ยยยยยยยยยย 




“วันนี้ตื่นเช้านะคะลูกชาย” ม๊าทักเมื่อผมเดินมาถึงโต๊ะกินข้าวที่ตอนนี้เหมือนจะเป็นสภากาแฟตอนเช้าอยู่ ป๊ากับไอ้ตัวโย่งนั่นกำลังคุยอะไรกันซักอย่าง ในมือพี่มันถือไอแพดอยู่แล้วป๊าก็กำลังมองอะไรจากในนั้น

“คนบ้ามันกวน” ผมพึมพำ แต่สิ่งที่ได้รับจากม๊าคือการถูกตีแขนเบาๆหนึ่งที

“พี่แป้ง ตังขอกาแฟเข้มๆเลยนะ” ผมยู่หน้าใส่ม๊าก่อนจะหันไปบอกกับพี่แป้งที่เดินออกจากครัวมาที่โต๊ะพอดี

“ได้ค่ะน้องตัง”

“ขอขนมปังด้วย” ผมบอกต่อ พี่แป้งยิ้มรับแต่ไม่ได้พูดอะไร ซักพักก็เดินออกมาพร้อมกับถาดที่มีแก้วกาแฟและจานอาหารเช้ามาวางไว้ข้างหน้าผมก่อนจะพยัดเพยิดไปทางไอ้พี่แดนแล้วอมยิ้มน้อยๆ แซนด์วิชอโวคาโดกับแซลม่อนรมควันท๊อปปิ้งด้วยไข่ดาว ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ป่ะล่ะว่าฝีมือใคร แม่งบินไฟล์ทไหนวะถึงมาบ้านผมได้เช้าขนาดนี้

“ป๊า ม๊าอยากไปดูสวนแล้วค่ะ” ม๊าหันไปสะกิดป๊าก่อนจะพากันเดินเลี่ยงออกไปทางสวนบอนไซข้างบ้าน ทิ้งไว้แค่ผมกับไอ้ตัวโย่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะกัน

“อยากไปไหนไหม?” พี่มันถาม ผมส่ายหน้าก่อนจะเป็นฝ่ายถามมันบ้าง

“พี่ไม่ง่วงเหรอวะ?”

“นอนมาเต็มที่แล้ว”

“บ้าละ นี่มันเพิ่ง8โมงเช้าเองนะเว่ย” ผมบอกก่อนที่จะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้

“พี่มาเมื่อไหร่?”

“เมื่อคืนนี้” พี่มันตอบ ถึงว่ามันไม่โทรมาหาผม แต่เดี๋ยวนะ ถึงยังไงก่อนขึ้นเครื่องมันก็โทรได้นี่หว่า

“แล้วทำไม..” เกือบจะถามแต่ก็ยั้งปากทัน พี่มันเลิกคิ้วเหมือนจะบอกผมว่ากำลังรอฟังผมเลยเลือกที่จะส่ายหน้าแล้วยกกาแฟขึ้นซดแทน

สรุปกินอาหารเช้าเสร็จผมก็ไปนอนเกยตื้นดูทีวีอยู่ที่ห้องนั่งเล่นโดยมีผู้ติดตามชีวิตตั้งแต่ตื่นนอนวันนี้มันนั่งเหยียดขายาวๆอยู่ข้างๆ เพิ่งสังเกตุว่าวันนี้พี่มันใส่เสื้อเชิ๊ตแขนยาวแต่พับแขนไว้ตรงข้อศอก โห้อากาศร้อนปานนี้เนอะ


อยู่ๆสายตาคมก็ทอดมองกลับมาจนผมที่กำลังแอบมองมันอยู่หลบสายตาไม่ทัน รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นที่ริมฝีปากบางจนผมต้องยู่หน้าใส่แล้วหันไปมองจอทีวีเหมือนเดิม แต่ฝ่ามือกว้างๆนั่นก็ตามลงมาคุกคามผมจนได้

พี่มันขยี้มือเบาๆที่หัวก่อนจะค่อยๆเลื่อนมาที่ข้างแก้มจนถึงริมฝีปาก ปลายนิ้วอุ่นคลึงไปมาเบาๆ ความรู้สึกวาบหวามในอกทำให้ผมหายใจไม่สะดวก ใบหน้าคมก้มลงมาใกล้โดยที่ดวงตาคู่นั้นยังคงจับจ้อง เหมือนผมกำลังต้องมนต์อะไรบางอย่าง มันไม่สามารถหลบสายตาหรือขยับตัวไปไหนได้อีก เสี้ยววินนาทีนั้น….

‘ตึ่ก’
‘ตึ่ก’
‘ตึ่ก’


“เห้ยย” ผมผลักหน้าอกของพี่มันด้วยสองมือเมื่อเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นดึงสติผมกลับมา พี่มันถอยหลังกลับไปก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นลูบหน้าตัวเองในขณะที่ผมดีดตัวขึ้นยืนตัวตรง

“ฮะ ฮะโหล” ผมกรอกเสียงลงไปแบบไม่ทันดูด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนโทรมา สองขาก็ก้าวเดินออกไปเรื่อยๆโดยที่ไม่รู้จุดหมายว่าจะเดินไปไหน

‘น้องตังก่ะ นี่แม่นะลูก’ สำเนียงแปลกหูทำให้ผมชะงักฝีเท้าก่อนจะเอาโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อดูหน้าจอ ผมเมมไว้ว่าแม่เอื้อง ตอนนี้ก็พอจะเดาได้แล้วครับว่าใคร

“สวัสดีครับแม่”

‘ตอนนี้อ้ายแดนอยู่กับน้องตังแล้วแม่นก่อ’

“ครับ”

‘แบบนี้แม่กะเบาใจ๋ เจ็บตั๋วอยู่แต้ๆก็ยังจะดื้อ ห้ามอะหยังบ่าเกยได้เลยลูกคนนี้’

“แม่หมายความว่ายังไงครับ?” ผมย้อนถาม ถึงจะฟังไม่ค่อยออกแต่ก็พอเข้าใจว่าพี่มันต้องเป็นอะไรซักอย่าง

‘ท่าจะยังบ่ายอมบอกน้องตังเตื่อนิ’

แม่เอื้องถอนหายใจเบาๆก่อนจะเล่าให้ผมฟังเรื่องที่คนงานทำไม้ที่วางขัดนั่งร้านร่วงลงมาฟาดที่ต้นแขนซ้ายพี่มันอย่างแรง เสี้ยนไม้ขูดจนเสื้อขาดแขนถลอกช้ำเลือดเป็นทางยาว อักเสบจนไข้ขึ้น ปล่อยให้อยู่โรงพยาบาลคนเดียวแค่พักเดียวพอคนงานที่บ้านไปถึงก็หายตัวจ้อย

‘โทรมาหาแม่แหมกำก่ะอยู่ตี่สนามบินแล้ว’

ผมได้แต่เงียบเพราะไม่รู้ว่าจะตอบโต้ออกไปยังไง ทำไมแม่งถึงได้บ้าบิ่นขนาดนี้วะ

‘แม่ฝากน้องตังผ่ออ้ายแดนหื้อแม่ตวยเน่อ หยิกหื้อแม่ซักกำตวยกะดี’

พูดจบคุณแม่ก็วางสายไปปล่อยให้ผมยืนกำโทรศัพท์อยู่เงียบๆคนเดียว สิ่งที่ได้ฟังทำให้ผมลำดับเหตุการณ์ได้หลายๆอย่าง อยู่ๆก็หงุดหงิดอยากจะโมโหขึ้นมาซะอย่างนั้น เดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่นก็เห็นไอ้คนทำตัวน่าหงุดหงิดนั่งเอนหลังดูทีวีอยู่เงียบๆ

“พี่แดน”

“ครับ?” มันตอบรับ ประเมินดูแล้วเหมือนมันจะพอเดาได้แล้วว่าผมคุยโทรศัพท์กับใคร

“มึงคิดว่าตัวเองเป็นกัปตันอเมริกาเหรอ?”

แต่พี่มันเงียบไม่ตอบ

“เป็นใบ้เหรอวะ?” ผมผลักหน้าอกมันเมื่อมันกำลังเดินเข้ามาใกล้ แล้วก็ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกโกรธมันมากขนาดนี้กก็ไม่รู้เหมือนกัน

“เก่งนักเหรอ” ผมผลักพี่มันออกอีกครั้งแต่ก็ต้องหยุดเมื่อถูกรวบตัวเข้าไปกอดเอาไว้แน่น และแค่ผมขยับตัวดิ้นนิดเดียวพี่มันก็เบ้หน้าด้วยความเจ็บ ใช่ เพราะมันเจ็บผมถึงต้องยอมให้มันกอดนิ่งๆถึงแม้อารมณ์ตอนนี้อยากจะผลักมันออกไปให้พ้นขนาดไหนก็ตาม

“กินยาแล้วครับ เดี๋ยวก็หาย” พี่มันพึมพำอยู่ข้างหู เสียงทุ้มๆนั่นทำให้ผมเม้นปากแน่น 

“มึงมันบ้า” ผมสบถด่ากับแผ่นอกหนาๆนั่น ไม่มีคำโต้แย้งอะไรกลับมามีเพียงเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอและความอุ่นชื้นจากปลายจมูกโด่งรั้นที่กดลงมาข้างขมับเท่านั้น



⇤  BEGIN AGAIN  ⇥




“กุญแจ” ผมยื่นมือไปตรงหน้าพี่มันหลังจากที่อยู่กินข้าวเย็นกับป๊าม๊าเรียบร้อยแล้ว วันนี้ผมตัดสินใจจะกลับไปคอนโดกับไอ้คนที่มันอวดเก่งไม่ยอมพกยามาด้วย ไม่ได้พิสวาทอะไรมันหรอกนะ แค่เวทนามันต่างหาก

“เร็วๆ” ผมเร่งเมื่อพี่มันเอาแต่อมยิ้มจนต้องจิ๊ปากใส่มันถึงได้ล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบออกมาให้ ทำเป็นลีลา เดี๋ยวก็เหนี่ยวแม่งซะเลยนี่

แต่แม่ง การขับรถออกจากบ้านในช่วงเย็นวันเสาร์นี่เป็นอะไรที่โคตรคิดผิด ถ้ารถจะติดขนาดนี้เดี๋ยวกูก็จอดทิ้งไว้ตรงนี้แม่งซะหรอก ผมเอนหลังพิงลงไปกับเบาะ หันหน้าไปมองคนข้างๆที่เงียบไปพักใหญ่ เอ้า แม่งหลับเฉยเลย แบบนี้ก็ได้เหรอวะ

“พี่…” ผมเอ่ยปากเบาๆก่อนจะตัดใจไม่เรียกมันอีก พอคิดดูแล้วเรียกไปก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับพี่มันอยู่ดีก็เลยทัชหน้าจอเครื่องเสียงแล้วกดฟังเพลงแทน อืมมม มีแต่ Ed Sheeran ไม่ใช่แนวผมเลยอ่ะ แต่จะว่าไปก็เพิ่งรู้นะว่าพี่มันชอบฟังเพลงแนวนี้

ขับเข้ามาถึงลานจอดรถของคอนโดพี่มันก็ยังไม่มีวี่แววจะตื่น ผมดับเครื่องก่อนจะเขย่าที่ไหล่ขวามันเบาๆ

“พี่”

“พี่แดน”

“อื้อ” พี่มันค่อยๆปรือตาขึ้นมามอง อะไรจะหลับลึกปานนั้นวะ

“ถึงแล้ว” ผมบอก มันพยักหน้ารับแต่ไม่ได้พูดอะไร ท่าทางมันดูเพลียๆเหมือนไปตากแดดแบกกระสอบข้าวสารมาครึ่งวันอะไรแบบนั้น

“พี่เดินไปก่อนเลย เดี๋ยวผมเอาคอตตอนไปเอง” ก็ไม่รู้มันฟังหรือเปล่าแต่ผมก็เปิดประตูรถลงไปจัดแจงกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าก้อนกลมนอนขดตัวเงียบอยู่ในนั้น พอเงยหน้าออกจากรถก็เห็นพี่มันยืนพิงกระโปรงรถอยู่

“พี่โอเคป่ะเนี่ย”

“โอเค” มันตอบก่อนจะเด้งตัวออกมาแล้วเดินนำเข้าไปในตัวตึก เออปกติพี่มันเป็นคนพูดน้อยก็เข้าใจ แต่ตอนนี้มันยิ่งน้อยกว่าปกติ ผมว่าจริงๆมันไม่โอเคแล้วล่ะ


รอลิฟท์ไม่นานก็มาถึงห้องซะที ผมปล่อยเจ้าคอตตอนออกจากกระเป๋าเป็นอย่างแรก ออกมาได้ก็บิดขี้เกียจซะยกใหญ่ก่อนที่มันจะเดินไปคลอเคลียเจ้าของมันที่นั่งอยู่ที่โซฟา ผมจัดแจงเดินไปเปิดไฟเปิดแอร์ในห้องนอนก่อนจะเดินกลับออกมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง พี่มันยังนั่งหลับตาพิงพนักโซฟาอยู่เหมือนเดิม

“เชี่ยยย” ผมอุทานออกมาเมื่ออิงหลังมือไปบนหน้าผากของคนที่นั่งอยู่ มันร้อนมาก ร้อนจนต้องมือออกด้วยความตกใจ

“ยาอยู่ไหนวะ” ผมพึมพำพลางหันรีหันขวางแต่อยู่ๆฝ่ามือร้อนๆของพี่มันก็คว้ามือผมเอาไว้

“บนโต๊ะในห้อง”

ผมพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องอีกครั้ง ไม่ลืมแวะหยิบขวดน้ำจากในครัวติดมือออกมาด้วย

“ขอบคุณนะครับ” พี่มันยิ้มเนือยๆ ก่อนจะพูดต่อแบบคนอวดเก่งอ่ะ

“ตังไปอาบน้ำเถอะ พี่โอเค”

ผมยืนมองพี่มันนิ่งๆก่อนจะตัดสินใจทิ้งตัวลงนั่งข้างๆแล้วแย่งถุงยามาไว้ที่ตัวเอง

“อยู่เฉยๆ” ผมออกคำสั่ง และก็ดีที่พี่มันก็ยอมทำตามโดยดี

ผมขยับตัวลงไปยืนเข่าที่พื้นหน้าโซฟาก่อนจะปลดกระดุมเสื้อเชิ๊ตสีน้ำเงินเข้มที่พี่มันใส่อยู่ออก อยากจะสบถหยาบๆใส่หน้าแม่งว่ะ มึงไปเอาเวลาที่ไหนออกกำลังกายวะซิกแพคมึงถึงได้แน่นขนาดนี้ โว้ยยย แต่พอแกะผ้าพันแผลที่มีรอยเลือดซึมนั่นออกแผลบวมช้ำก็ทำให้ผมต้องเม้มปากแล้วเบือนหน้าหนีนิดหน่อย คือแค่เห็นมันก็เจ็บแล้วอ่ะ

“ซี้ด..”

เสียงสูดลมหายใจของพี่มันทำให้ผมหยุดมือ ฟันซี่คมกัดอยู่ที่ริมฝีปากแน่นเพื่อระงับความเจ็บ อยากจะสมน้ำหน้าที่แม่งเสือกดื้อหนีกลับมา แต่พอเห็นสีหน้าพี่มันตอนนี้แล้ว…

“อีกแปบเดียว จะเสร็จแล้ว” ผมบอกมันเสียงเบาและค่อยๆป้ายยาลงไปอีกครั้งแล้วพันด้วยผ้าพันแผลทับลงไปก่อนจะผละออกไปล้างมือ พี่มันลุกขึ้นจากโซฟาไอ้เจ้าแมวก้อนกลมนั่นก็ลุกขึ้นตามก่อนจะพากันเดินเข้าไปที่ห้อง เห็นแบบนั้นผมก็เลยตัดสินใจไปอาบน้ำก่อนเลยดีกว่า

“พี่แดน” ผมส่งเสียงเรียกเมื่อในห้องมันเงียบเชียบ อดส่ายหัวกับสภาพพี่แม่งไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ยามั้งมันถึงได้หลับไม่รู้เรื่องแบบนี้ พี่มันนอนตะแคงข้างเอาด้านที่เจ็บไว้ด้านบน ในอ้อมกอดมีเจ้าก้อนกลมๆซุกอยู่ด้วย ชิ รักกันจนน่าหมั่นไส้

“พี่ ลุกขึ้นมาใส่เสื้อก่อน” ผมเขย่าแขนมันเบาๆ ก็เข้าใจว่ามันหลับไปแแล้ว แต่มันจะมานอนเปลือยท่อนบนแบบนี้ไม่ได้ไง อย่างน้อยมันควรจะเกรงใจไข้ที่ขึ้นสูงของมันด้วยดิ่

“พี่แดน” พี่มันขยับตัวแต่ก็ยังไม่ยอมลืมตา กลายเป็นว่าเจ้าก้อนกลมนั่นกลับมุดออกจากอ้อมแขนแกร่งเดินหนีไปนอนที่อีกมุมของเตียงแทน

ผมส่ายหัวอย่างยอมแพ้ก่อนจะดึงผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมตัวคนที่นอนหลับ แต่ไม่ทันได้ตั้งตัว วงแขนกว้างกลับตวัดรอบเอวผมแล้วดึงเข้าไปกอดซะอย่างนั้น

“พี่” ผมพยายามขยับตัวออก ตอนนี้คนที่ผมคิดว่าหลับไปแล้วมันดันลืมตาขึ้นมาซะเฉยๆ และวงแขนแกร่งนั่นก็ยังไม่ละออกไปจากตัวผม

“ถ้าขยับตัวช้ากว่านี้ คงไม่ได้กลับมาแล้ว” เสียงนุ่มเจือเสียงหัวเราะแกนๆในลำคอถูกเอ่ยออกมาเบาๆ แต่ผมกลับรู้สึกหน่วงในใจแบบตั้งตัวไม่ทัน

“คงไม่ได้กอดตังเอาไว้แบบนี้” วงแขนแกร่งกระชับกอดผมแน่นจนรู้สึกเจ็บจนผมต้องจับท่อนแขนแกร่งที่ร้อนผ่าวนั้นไว้

“พี่แดน ผม..”

“คงไม่ทันได้รู้ ว่าพี่รักตังมากขนาดไหน”


“มันโคตรดีเลยจริงๆ ที่ได้กลับมา…”





xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

ขอโทษที่มาต่อช้ามากๆนะคะ :hao5: 
ขอบคุณทุกคนมากๆที่กดเข้ามาอ่านแล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์ด้วยค่ะ(เป็นกำลังใจที่ดีมากเลย :กอด1: )
แต่ก็มีเรื่องจะแจ้งนิดนึง คือตอนนี้เรางานยุ่งมากๆ เลยจะขอเปลี่ยนมาลงนิยายทุกวันที่ 10 20 30 แทนนะคะ ขอโทษจริงๆค่ะ
แต่ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปจนจบด้วยนะคะ :pig4:
เจอกันตอนหน้าวันอาทิตย์ที่ 30 กันยาค่ะ  :กอด1:

ป.ล. ตอนนี้มีภาษาเหนือเยอะเลย ถ้าไม่เข้าใจบอกนะคะ จะมาใส่คำแปลให้ค่ะ

Twitter : @B2YFICTION
หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP12 - Unexpected [17.09.18] NEW UP!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-09-2018 20:20:42
 :pig4: :pig4: :pig4:

มาช้าไม่เป็นไร  แต่ขอให้มาสม่ำเสมอ นาจา
หัวข้อ: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP13 - My BAE ❤ [29.09.18] NEW UP!
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 29-09-2018 16:36:50
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#13


ผ่านมาหลายวันแล้วหลังจากคืนนั้น….

เดี๋ยวๆ

อย่าเพิ่งคิดลึก มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบที่พวกคุณคิดหรอกนะ บทสนทนามันจบลงแค่นั้น และผมก็แค่...โดนคนตัวร้อนๆนั่นนอนกอดจนหลับไปด้วยกันตอนไหนก็ไม่รู้นั่นแหละ

แม่ง แล้วทำไมกูจะต้องมานึกถึงมันอีกวะเนี่ย!

ผมมองไอ้ตัวต้นเหตุที่ตั้งอกตั้งใจอ่านฉลากบนแพ็คสินค้าเหมือนจะจำไปทำข้อสอบอะไรแบบนั้น ฝ่ามือใหญ่หยิบผักสดที่บรรจุเป็นแพ็คอันนู้นทีอันนี้ที พลิกไปพลิกมาจนน่าปวดหัวก่อนจะหยิบใส่รถเข็น ก็ไม่อยากจะเชื่อนะว่าการออกจากห้องในรอบหลายวันของผมจะเป็นการออกมาเดินซุปเปอร์เพื่อซื้อของเข้าครัว โคตรอะเมซซิ่ง

“อันนั้นเอาไปทำไรวะพี่?” ผมถามคนที่กำลังเลือกผักใส่ในรถเข็น พี่แดนมันเลิกคิ้วก่อนจะชูถุงผักในมือขึ้นเป็นเชิงถามกลับว่าไอ้นี่น่ะเหรอ

“อ่าหะ” ผมพยักหน้า

“ก็หลายอย่าง” พี่มันตอบพลางหยิบไอ้ผักใบเขียวหยิกๆใสลงมาอีกสองสามแพ็ค ผมแอบหยิบขึ้นมาจ้องใกล้ๆ มันเขียนว่า kale แบบสีแม่งเขียวปี๋จนสยอง

“แล้วคิดออกหรือยังว่าจะกินอะไร?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม แต่ดวงตาคมก็ยังจดจ่ออยู่กับผักบนชั้นตรงหน้า

“ชาบู”

ไอ้คนตัวสูงกว่ามันยกยิ้มมุมปากก่อนจะส่ายหัวเบาๆ

“ไม่ได้?” ผมเหลือบสายตาขึ้นมอง พี่มันหัวเราะก่อนจะวาดแขนมาจับที่หน้ารถเข็นแล้วยื่นหน้าที่อมยิ้มกวนประสาทมาข้างหน้าผม

“พี่พูดเหรอครับ” เออ ไม่พูดก็ไม่พูดจะยื่นหน้ามาใกล้ทำหอกอะไรล่ะ ผมย่นจมูกใส่ก่อนจะเดินฉับๆออกไปตรงแผนกเนื้อสัตว์ทิ้งให้มันยื่นหัวโด่อยู่ในดงผักนั่นแหละ

“พี่..” ผมหยิบเนื้อสไลด์สองแพ็คไว้ในมือหันหลังกลับไปคนที่เข็นรถเดินตามมาเมื่อกี้มันกลับหายไปซะเฉยๆ

“พี่แดน” ผมชะโงกไปอีกฝั่งถึงได้เห็นพี่มันยืนคุยอะไรอยู่กับสาวผมทองอยู่ที่สุดมุมล็อกพอดี ไม่ได้ยินหรอกว่าพี่มันคุยอะไรกับเขา แต่มุมปากหยักยกยิ้มนิดๆ เหอะ แม่งโคตรน่าหมั่นไส้ นึกว่าหล่อมากมั้ง ผู้หญิงคนนั้นยืนหันหลังให้ผม เธอไม่เห็นผมคงไม่แปลก แต่คนบางคนที่มันหันหน้ามาทางผมแต่กลับไม่ได้มองผมนี่แม่ง…

แต่พอหันหลังกำลังจะเดินกลับไปหยิบตะกร้ามาใส่ของเอง เพราะจะได้ไม่ต้องไปรบกวนใครบางคนให้มันเสียเวลาหลีสาว อยู่ๆไอ้คนตัวสูงมันก็ชี้มือมาที่ผมก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะหันตามมาแล้วส่งยิ้มเจื่อนๆมาให้ ก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนแต่ผู้หญิงคนนั้นก็เดินผละออกไปทันที ผมเดินเอาเนื้อสไลด์ไปใส่ลงในรถเข็นเพราะถือไว้นานจนโคตรเย็นมือแล้ว แต่ไอ้คนที่ยืนจับรถเข็นเอาไว้มันกลับอมยิ้มแปลกๆ

“ยิ้มไรวะ”

“ตลกคนคิ้วขมวด” ปลายนิ้วยาวๆจิ้มลงตรงระหว่างคิ้วผมก่อนจะชักออกเพราะผมยกมือขึ้นจะตี มัน ผมก็เลยได้แต่จิ๊ปากอย่างขัดใจ

“เขาขอให้ช่วยหยิบของให้หน่อย” พี่มันพูดพลางเดินเข็นรถมายืนขนาบข้างก่อนจะโน้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูผม

“แต่พอบอกว่า my bae’s coming เขาก็เดินหนีไปเลย” พูดจบมันก็เดินเข็นรถไปซะเฉยๆ ทิ้งให้ผมยืนเก็บสติอยู่พักใหญ่

ไอ้ ไอ้ ไอ้ โว้ยยยยยยยยยยยยยย



“โอเค ตามนี้” ผมพูดก่อนจะกดวางสาย ไหนๆก็ซื้อของมาซะเต็มท้ายรถละ ก็เลยโทรชวนไอ้ปอกับไอ้ป่านมันมากินด้วยกันซะเลย

“เออพี่แล้วตกลงพี่บอยกับพี่เต๋าจะมาป่ะ?” จะว่าไปตั้งแต่วาร์ปมาตอนนี้ก็ยังไม่ได้เจอพี่บอยกับพี่เต๋าเลยอ่ะ พี่มันจะเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่านะ

“เปิดไลน์ดูสิ” พี่มันตอบก่อนจะหยิบเจ้าไอโฟนที่วางตรงช่องประตูฝั่งคนขับส่งมาให้ ผมสไลด์หน้าจอเพื่อปลดล็อคแล้วก็ต้องกรอกตามองบน เคยป่ะ อยู่ดีๆก็เกลียดหน้าตัวเองอ่ะ แม่งยิ้มแป้นแล้นแน่นหน้าจอเลยให้ตายดิ่!

ทนดูไม่ได้นานเลยต้องรีบจิ้มนิ้วเข้าไอ้แอปสีเขียว ในไลน์กลุ่มพี่มันมีตัวเลขแจ้งเตือนข้อความใหม่อยู่ 4 ข้อความ สรุปใจความง่ายๆว่าพี่เต๋าเพิ่งกลับมาจากบ้านที่สมุยเมื่อเช้าแต่ก็จะมา ส่วนพี่บอยไม่ได้ตอบอะไร

“พี่เต๋ามา แต่พี่บอยไม่ตอบ” ผมบอก

“ก็คงมาน่ะแหละ” พี่มันตอบเสียงสบายๆผมเลยไม่ถามต่อ ปิดแอปล็อคหน้าจอแล้วก็วางโทรศัพท์พี่มันลงที่ช่องข้างๆเกียร์แล้วหยิบของตัวเองออกมาไถต่อ ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษพอๆกับการที่ต้องนั่งมองสองข้างที่รถขับผ่านอยู่ตอนนี้น่ะแหละ

“พี่…”

“หื้ม”

“เรา…”

“เปล่า ไม่มีอะไร” ผมส่ายหัวก่อนจะหันหน้าไปมองที่ข้างทางอีกครั้ง ไม่รู้ว่าพี่มันหันมามองที่ผมหรือเปล่า พอสมองมันคิดอะไรเพี้ยนๆขึ้นมาผมก็ไม่กล้าสู้หน้าพี่มันขึ้นมาซะอย่างนั้น อยากจะเอาหัวโขกกระจกแรงๆซักสองสามทีให้สิ่งที่กำลังคิดอยู่มันหายไปจากสมอง  เราไปเที่ยวที่ไหนกันไหม?

ก็แล้วทำไมถึงต้องอยากชวนมันไปด้วยวะ ?



ห้องนั่งเล่นตอนนี้ดูแคบไปถนัดตาเมื่อมีผู้ชายตัวใหญ่ๆมาอัดรวมกันอยู่4-5คน โซฟาสีดำกับโต๊ะกระจกตัวเตี้ยที่เคยตั้งอยู่กลางห้องตอนนี้ถูกดันไปจนติดกำแพงอีกฝั่งเปิดที่ว่างตรงกลางห้องเอาไว้วางเตาแก๊ซกระป๋องกับหม้อชาบูที่พี่แดนมันกำลังไปเตรียมอยู่หลังเค้าท์เตอร์ครัว

“เดี๋ยวผมยกเอง” ผมยื่นหน้าเข้าไปบอกเมื่อนั่งมองอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวขนาดเล็กหน้าเค้าท์เตอร์อยู่พักใหญ่

ตั้งแต่กลับมาถึงห้องพี่มันก็เปลี่ยนไปใส่เสื้อคัตออฟสีดำแทนเสื้อเชิ๊ตที่ใส่ออกไปข้างนอกทันที ขนาดเปิดแอร์อยู่แบบนี้ผมยังเห็นเหงื่อเล็กๆผุดพราวเต็มใบหน้าคมนั่น ส่วนแผลที่แขนพี่มันดีขึ้นมากแล้วก็จริงแต่ผมว่ามันก็ยังไม่ควรยกอะไรหนักๆโดยไม่จำเป็นอยู่ดี

“พี่เอาไรเพิ่มป่ะ เดี๋ยวผมจะลงไปซื้อน้ำแข็งกับพี่เต๋า” ไอ้ปอมันเดินมาเคาะนิ้วบนโต๊ะกินข้าวตามจังหวะเพลงที่ใครซักคนมันเปิดอยู่ตอนนี้

“ไม่ดีกว่า”

“มา กูยกเอง” ไอ้ปอมันพยักหน้าก่อนจะเดินเข้ามาแย่งของในมือผมไปซะเฉยๆ
 
“โห้ ซาบซึ้ง” ผมตบไหล่มันแปะๆ ก่อนจะคว้าพวกถ้วยชามเดินตามมันออกมาติดๆ

“มึงถือกูกลัวไม่ได้แดกไง” มันวางหม้อที่มีน้ำซุปลงบนเตาก่อนจะหันมาพูดกับผมหน้าตาเฉย แถมยังยีหัวผมเหมือนยีขนหมาซะด้วย

“สัด” ผมด่าเสียงรอดไรฟัน ไม่ทันจะได้ง้างมือไปฟาดกะบาลไอ้คนตรงหน้าก็มีวงแขนของใครบางคนมาพาดไว้บนไหล่ซะก่อน

“พี่ดูมันดิ่” ผมหันไปหาแนวร่วม ก่อนที่ไอ้ปอมันจะคว่ำปากใส่

“สู้กูไม่ได้ก็ฟ้องผัว ไปกันเหอะพี่เต๋า ลำคนว่ะ” พูดจบมันก็รีบแจ้นออกประตูไปทันที โวะ ไอ้เพื่อนเหี้ยนี่

“ไม่ต้องมาค้อน กูไม่รู้เรื่องด้วย” ไอ้ป่านมันรีบออกตัว ได้ยินเสียงคนที่ยืนท้าวแขนบนไหล่ผมมันหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะดันผมให้ไปนั่งลงที่โซฟาด้วยกัน

“เบียร์นะ” พี่บอยหันมาถาม พอพี่แดนพยักหน้ารับพี่มันก็ส่งกระป๋องสีเงินมาให้สองกระป๋อง พี่แดนมันส่งต่อให้ผมกระป๋องนึงก่อนจะเปิดอีกกระป๋องที่เหลือแล้วยกขึ้นดื่ม เห็นแบบนั้นผมเลยทำตามมันบ้าง

ความเย็นของเบียร์ที่ไหลลงคอมันรู้สึกดีจนทำให้ผมกระดกมันขึ้นดื่มอย่างต่อเนื่อง มันนานแล้วเหมือนกันนะที่ผมไม่ได้ดื่มเลย จำได้ว่าครั้งสุดท้าย…. ใช่ ตอนที่เบลบอกเลิกผม วันนั้นที่ผมได้เจอกับท่านเทวดา

เทวดา….

ใช่ เทวดาที่เอาผมมาทิ้งไว้นี่ แล้วหายจ้อยไปซะเฉยๆน่ะ คิดแล้วก็ยังเคืองไม่หาย

“เบาน้องเบา” พี่บอยมันพูดเสียงกลั้วขำแต่ก็ส่งเบียร์กระป๋องใหม่มาให้เมื่อผมจัดการกระป๋องเก่าไปแล้วเรียบร้อย

“กินอะไรรองท้องบ้างก่อน” พี่ดินแดนมันยกมือขึ้นขยี้หัวผมก่อนจะเลื่อนลงมาที่ท้ายทอยแล้วจับปอยผมของผมเล่นเบาๆ น้ำเสียงสบายๆพร้อมกับสายตาที่ส่งมานั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดหรืออยากจะต่อต้านอะไร มันเป็นความรู้สึกทุ้มในใจเล็กๆที่ทำให้ผมลดมือที่กำลังยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มลงมาถือเอาไว้ พี่มันไม่ได้ห้ามไม่ให้ผมดื่ม และน้ำเสียงที่เปล่งออกมานั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังถูกต่อว่าหรือถูกบังคับ และนั่นมันทำให้ผมรู้สึกดีอย่างคิดไม่ถึงเลยทีเดียว

“มึงลงมาได้ละไอ้ตัง” ไอ้ป่านมันกวักมือเรียก ผมเลยเด้งตัวลุกขึ้นลงไปนั่งข้างๆมัน น้ำซุปในหม้อที่กำลังเดือดพล่านส่งกลิ่นหอมมาเตะจมูกอย่างแรง ผมกับไอ้ป่านจัดการเทผักลงหม้อไปจนหมดเหลือไว้แต่พวกเนื้อสัตว์ที่เวลาจะกินค่อยเอาไปจุ่มๆให้พอสุก ซักพักพี่แดนกับพี่บอยก็ตามลงมานั่งร่วมวงรวมถึงไอ้ปอกับพี่เต๋าที่กลับจากไปซื้อเครื่องดื่มมาเพิ่มพอดี

เกือบจะค่อนคืนที่พวกเรากินกันไปดื่มกันไปรวมทั้งเปิดทีวีนั่งดูฟุตบอลกันไปด้วย พี่แดนมันเป็นแฟนอาร์เซนอลซึ่งผมก็ไม่ได้แปลกใจเมื่อนึกได้ว่าในตู้เสื้อผ้ามันมีเสื้อบอลของทีมนี้แขวนอยู่หลายตัวทีเดียว ส่วนผมไม่ได้ชอบทีมไหนเป็นพิเศษ แต่ยังไงการนั่งดูบอลไปด้วยดื่มไปด้วยมันก็เป็นอะไรที่สนุกดี ทั้งๆที่แม้กระทั่งเกมจะจบด้วยสกอร์ 0-0 แบ่งคนละหนึ่งแต้มกลับบ้านกันไปทั้งคู่ก็เถอะ

“พวกผมกลับก่อนนะพี่” ผมจำได้ว่านี่มันเป็นเสียงไอ้ปอ ถึงจะเหมือนกับว่ามันดังมาจากที่ไกลๆก็ตาม

“อืม ขับดีๆระวังโดนเป่า” เสียงตอบรับเจือเสียงหัวเราะของพี่มันก็เหมือนกัน ทำไมมันเหมือนอยู่ไกลจังวะ อยากจะลืมตาขึ้นดูแต่ก็รู้สึกง่วงและขี้เกียจเกินกว่าจะทำ 

“ผมเก็บมันให้ไหม?” หื้ม ใครจะไปเก็บอะไรที่ไหนวะ?

“ไม่เป็นไร”

“อื้ออออออออ” ผมครางอย่างรำคาญเมื่อรู้สึกเหมือนโดนยกตัวขึ้นพาดอะไรบางอย่างจนหัวห้อยต่องแต่ง ไม่นานก็รู้สึกถึงความนุ่มสบายจนต้องซุกหน้ามุดลงไปกับความนุ่มนิ่มนั่นก่อนที่ความรู้สึกนึกคิดจะถูกตัดจบแบบมืดสนิทไปเลย



⇤  BEGIN AGAIN  ⇥



หลังจากหมดวันหยุดสุดท้ายไปกับการนอนดูทีวี เล่นเกมส์ แล้วก็กินสมูธตี้ไอ้ผักใบเขียวที่พี่มันซื้อมาวันก่อนที่ถึงสีมันจะเขียวจนสยดสยองแต่แม่งก็ดันอร่อยแบบแปลกๆซะอย่างนั้น

แล้ววันนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องเริ่มฝึกงานซักที เช้านี้ผมขับรถออกมาเองเพราะพี่แดนมันออกไปสนามบินตั้งแต่เช้า อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์พี่มันก็ต้องไปอยู่เชียงใหม่อีกแล้ว ผมขับรถเข้าจอดในอาคารจอดรถ ก่อนจะลงก็หยิบเนคไทด์ที่วางอยู่เบาะข้างๆขึ้นมาผูก วันแรกก็ต้องเรียบร้อยหน่อยไงครับ

“เออ กูจอดรถแล้ว” ผมกรอกเสียงลงไปเมื่อไอ้ป่านมันโทรมาตาม สองขาก็รีบเดินไปที่ลิฟต์เพราะไอ้สองแฝดนั่นมันรออยู่ที่หน้าประตูออฟฟิศแล้ว

“สวัสดีครับ” พวกผมประสานเสียงกันพลางยกมือไหว้เมื่อพี่กุ๊กพาเดินเข้ามาในห้องที่เขียนว่าฝ่ายธุรการ พูดก็พูด มันดูเหมือนหลุมหลบภัยของคนไทยในดงยุ่นมากกว่า

“โอ๊ยยย แต่งตัวเต็มยศแบบนี้ก็น่ารักไปอีก” พี่ออยลุกขึ้นมาเดินวนรอบตัวจนพวกผมได้แต่หัวเราะแหะๆ

“ก่อนจะเริ่มงานเรามาพูดถึงกฏระเบียบอันน้อยนิดของบริษัทกันก่อนดีกว่าเนอะ” พี่กุ๊กเกริ่นก่อนจะพูดต่อ

“ตั้งแต่พรุ่งนี้ไม่ต้องใส่ชุดนักศึกษามาก็ได้ค่ะ แต่งตัวตามสบายเลย แล้วเดี๋ยวพี่จะให้คีย์การ์ดพวกเราคนละหนึ่งใบเพื่อใช้เข้าออก”

“ครับ”

“ห้ามมาสายเด็ดขาด แต่ถ้ามีธุระด่วนให้โทรมาแจ้งพี่ล่วงหน้า ห้ามคุยกับพนักงานคนญี่ปุ่นนอกเหนือจากเวลาพักเบรก” พี่กุ๊กพูดเสียงนิ่งก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาและพูดประโยคถัดไป

“ยกเว้นเวลาที่อยู่ในห้องนี้ คุยได้เลยเต็มที่ แต่อย่าลืมปิดประตูก่อนล่ะ”

“โอเคครับ”

“ส่วนตอนนี้ส่งรูปที่หล่อที่สุดเข้าไลน์ให้พี่ด้วยค่ะ พี่จะทำบัตรประจำตัวให้”

“ปอหล่อทุกรูปอยู่แล้ว” ไอ้ปอมันยิ้มกริ่มจนผมอดจะคว่ำปากใส่ไม่ได้

“จ้ะ พ่อคุณ” พี่กุ๊กหัวเราะก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะประจำตำแหน่งอีกครั้งแล้วลงมือทำบัตรแบบสมาร์ทการ์ดให้พวกผมคนละใบ โอ้โห้ คนหล่อแบบผมนี่ยังไงมันก็หล่อจริงๆเลยแฮะ



เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่ตอนนี้มันบอกว่าใกล้จะ5โมงเย็นแล้ว เฮ้อออ หมดหนึ่งวันไปแบบมึนๆเลย สรุปแล้วผมทั้งสามคนก็ไม่ได้เกาะกลุ่มอยู่กันเป็นบอยแบนด์อย่างที่คิดเอาไว้ ไอ้ปอถูกดึงไปอยู่กับโฮริอิซัง(ที่วันนั้นพวกผมมาแล้วเธอไม่อยู่) หลักๆเป็นงานออกไปข้างนอก และวันนี้มันก็ได้ออกไปแล้วด้วย ส่วนไอ้ป่านที่กะดี๊กระด๊ากับการได้นั่งอยู่หน้าจอคอมนั่นได้เป็นผู้ช่วยพี่กุ๊กทำเอกสารเกี่ยวกับการขอวีซ่าให้คนญี่ปุ่น ส่วนผมน่ะเหรอ…

ตอนนี้เหมือนเป็นส่วนเกินยังไงก็ไม่รู้ว่ะ 

“น้องตังมาหาพี่หน่อยลูก” พี่ตาต้ากวักมือเรียกผมหยอยๆให้ไปหาที่โต๊ะ

“ช่วยโทรไปที่ TPR ให้พี่หน่อยแล้วบอกว่าขอเลื่อนคลาสของครูปอนด์ไปเป็น 2 ทุ่มนะ” ผมรับสมุดนามบัตรจากพี่ตาต้ามาถือไว้ก่อนจะเดินไปใช้โทรศัพท์บนโต๊ะโฮริอิซังที่ตอนนี้เจ้าของไม่อยู่

“จัดตารางผิดอีกแล้วเหรอยะยัยต้า” ได้ยินเสียงพี่กุ๊กหันไปคุยกับพี่ตาต้าขณะรอสาย พี่ตาต้าเบะปากก่อนจะพูดเสียงเบาจนเหมือนจะกระซิบ

“ที่ไหนล่ะพี่กุ๊ก ก็อีตาสุดะเจ้าเดิมน่ะแหละ ให้พนักงานทำโอกระทันหันอีกละ” จบประโยคพี่กุ๊กก็พยักหน้าแบบปลงๆ

“คุณไซโต้กลับมาคราวนี้พี่คงต้องขอคุยแล้ว ไม่ไหวจริงๆ”

“ฮัลโหล เอ่อ โทรจากบริษัท JNP นะครับ คือวันนี้จะขอเลื่อนคลาสของครูปอนด์เป็น 2 ทุ่ม อ่าว...งั้นเหรอครับ” ผมพูดไปตามที่พี่ตาต้าบอก ทั้งๆที่ก็ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่ามันเป็นคลาสเรียนอะไรแล้วเกี่ยวอะไรกับงานของบริษัท แต่ยังไม่ทันจะพูดจบได้ความฝ่ายตรงข้ามก็แย้งมาบอกว่าตอนนี้ครูปอนด์ออกจากที่โรงเรียนมาแล้ว

“พี่ต้าครับ คือเขาบอกว่าครูปอนด์ออกมาแล้วครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมาบอก พี่ตาต้าพยักหน้าก่อนจะทำมือเป็นสัณญาณบอกให้ผมวางโทรศัพท์ได้

“ครับ สวัสดีครับ” ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ก่อนจะวางสายแล้วเอาสมุดนามบัตรไปส่งคืนให้พี่เขา

“โอ้ย ต้องให้ครูปอนด์รออีกแล้วเหรอเนี่ย น่าสงสารจริงๆ” พี่ตาต้าทำหน้าจ๋อยสนิทก่อนที่พี่กุ๊กจะหัวเราะเบาๆ

“เธอก็ชวนเขาไปนั่งกินกาแฟรอข้างล่างตึกสิยัยต้า”

“โธ่พี่กุ๊ก ถ้าเขายอมไปกับต้าก็ดีสิคะ”

“ก็ไม่แน่หรอก”

“แต่ยังไงวันนี้ต้าก็ต้องอยูรอขอโทษเขาอยู่ดีแหละค่ะ”

“ 頑張ってね” (พยายามเข้านะ)

“พี่กุ๊กอ่ะ” พี่ตาต้าหัวเราะเขินๆก่อนจะหันหน้าเข้าหาจอคอมของตัวเองอีกครั้ง ผมกับไอ้ป่านหันหน้าสบตากันงงๆก่อนที่พี่กุ๊กจะขยายความให้ฟัง

“บริษัทเรามีสวัสดิการให้พนักงานคนญี่ปุ่นเลือกอีกอย่างหนึ่งก็คือการเรียนภาษาไทย แล้ว TPR เนี่ยก็เป็นโรงเรียนสอนภาษาไทยค่ะ ส่วนครูปอนด์นี่ขวัญใจพี่ต้าเขา” พี่กุ๊กพูดเจือเสียงหัวเราะในประโยคสุดท้ายทำเอาพี่ตาต้ายิ่งเขินเข้าไปใหญ่  ส่วนผมกับไอ้ปอก็ได้แต่ร้องอ๋อแล้วพยักหน้าพร้อมกัน บริษัทนี้แม่งโคตรคูลเลย ถึงว่าพนักงานญี่ปุ่นหลายคนถึงพูดภาษาไทยได้

“แล้ววันนี้น้องป่านจะกลับยังไงคะ ต้องรอน้องปอไหม?” พี่กุ๊กหันไปถามเมื่อยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา ตอนนี้มันก็5โมงกว่าไปแล้ว

“ป่านกลับกับพี่กุ๊กได้ไหมอ่ะครับ?”

“ได้สิคะ”

“แล้ววันนี้มึงกลับบ้านหรือคอนโดอ่ะตัง” ไอ้ป่านมันหันมาถาม เพราะผมเล่าให้มันฟังไปแล้วเมื่อตอนกลางวันว่าวันนี้พี่แดนมันไม่อยู่

“ไปรับไอ้ก้อนก่อนแล้วจะกลับบ้าน”

“งั้นพรุ่งนี้มาพร้อมพวกกูป่ะล่ะ?” ไอ้ป่านมันเสนอ เพราะจริงๆบ้านผมกับพวกมันก็ทางเดียวกัน และก็ไม่ไกลกันซักเท่าไหร่

“เออ มารับกูด้วย”

“เค เจอกันพรุ่งนี้” ไอ้ป่านมันตบไหล่ผมเบาๆก่อนจะผละไปเก็บของบ้าง

ล่ำลากับพี่กุ๊กและไอ้ป่านเรียบร้อยผมก็ก้าวออกจากลิฟต์เมื่อถึงชั้นที่ตัวเองจอดรถเอาไว้ซึ่งมันคนละชั้นกับที่พี่กุ๊กจอดพวกนั้นเลยต้องลงไปอีก

ผมสะบัดหัวไล่ความปวดเมื่อยออกไปก่อนจะเลี้ยวตรงมุมระหว่างทางเข้าลิฟต์กับตัวอาคารจอดรถ แต่ไม่ทันจะก้าวออกไปก็ชนกับใครบางคนเจ้าอย่างจัง เชี่ยเอ้ย แม่งอย่างเจ็บเลย


“ขอโทษที ผมไม่ทันเห็นคุณ”



xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


ขอบคุณทุกคนมากๆที่กดเข้ามาอ่านแล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์ด้วยค่ะ (เป็นกำลังใจที่ดีมากๆเลย :กอด1: )
ฝากติดตามกันต่อไปจนจบด้วยนะคะ :pig4: เจอกันตอนหน้าวันพุธที่ 10 ตุลาค่ะ 

B2
Twitter : @B2YFICTION
หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP13 - My BAE ❤ [29.09.18] NEW UP!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-09-2018 20:44:03
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใครโผล่มาหนอ?   ครูปอนด์?
หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP13 - My BAE ❤ [29.09.18] NEW UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-09-2018 21:10:57
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP13 - My BAE ❤ [29.09.18] NEW UP!
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 01-10-2018 19:19:04
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP13 - My BAE ❤ [29.09.18] NEW UP!
เริ่มหัวข้อโดย: nlygust13 ที่ 05-10-2018 14:37:13
 :o8: เราชอบพี่ดินแดน
หัวข้อ: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP13 - ME Too"" [10.10.18] NEW UP!
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 10-10-2018 15:04:44
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#14




กลับมาถึงคอนโดได้ผมก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียง ทั้งๆที่วันนี้ก็ยังไม่ได้ทำอะไรมากแต่การที่ต้องไปนั่งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยตั้งแต่เช้ายันเย็นนี่แม่งโคตรน่าอึดอัด แล้วปกติเวลาเรียนส่วนใหญ่เอกผมจะเรียนแค่ครึ่งวันด้วยไง

ผมคลายเนคไทด์ก่อนจะดึงมันออกให้พ้นคอ เจ้าก้อนกลมกระโดดตบมันทันทีที่ผมโยนทิ้งไปบนพื้นที่ว่างบนเตียง เป็นแมวนี่ก็ดีนะแค่นี้ก็สนุกได้ละ ผมล้วงเอาไอโฟนในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดดู มีข้อความใหม่จากพี่แดนในบทสนทนาที่คุยกันค้างไว้ตั้งแต่เมื่อพักกลางวันแล้วผมยังไม่ได้เปิดอ่านอยู่ อ่านจบก็กดวีดีโอคอลออกไปซักพักพี่มันก็กดตอบรับ

“ผมกลับไปนอนบ้านนะ” ผมพูดกับอีกฝ่าย เพิ่งสังเกตุว่าวันนี้แบคกราวน์มันดูแปลกๆ

“อืม เดี๋ยวกลับไปแล้วจะไปรับ” พี่มันตอบมาแบบนั้นก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นเหมือนกำลังดูอะไรบางอย่างก่อนจะได้ยินเสียงคนอื่นแทรกเข้ามาในสายจากที่ไกลๆเลยฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่

“พี่อยู่ไหน?” พี่มันยักยิ้มมุมปากเล็กๆก่อนจะสลับไปกล้องหน้าให้ผมดูบรรยากาศรอบๆตัว

อารมณ์มันเหมือนร้าน Cafe & Bistro ที่ยังตกแต่งไม่เสร็จแล้วพี่มันก็นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ทรงสูงหน้าเค้าท์เตอร์บาร์ คนอื่นๆอีกสามสี่คนกำลังเดินวนไปเวียนมา บันไดอลูมิเนียมถูกกางไว้ตรงกลางห้องและมีคนกำลังติด Modern Chanderlier อยู่ด้วย

“ไม่ได้ไปซนที่ไหนเลยครับ” กล้องที่สลับกลับมาแสดงให้เห็นใบหน้าของคนที่กำลังพูด ดวงตาคมนั่นประกายวิบวับจนอยากจะเอานิ้วจิ้มแม่งให้บอด

“ใครถาม” ผมถลึงตาใส่ แต่แม่งหัวเราะอ่ะ

“อยากบอกเอง” พี่มันทำหน้ามึนแต่มุมปากก็หยักยิ้ม

จะว่าไปช่วงนี้พี่มันดูอารมณ์ดีนะ เอาจริงๆตั้งแต่ผมวาร์ปมาตอนนี้เคยเห็นพี่มันทำหน้าบึ้งตึงใส่ผมแค่ครั้งเดียว ก็ไอ้วันที่ผมหนีกลับบ้านแล้วไม่รับสายมันน่ะแหละ 

“แล้วสรุปวันนี้ได้ทำอะไรมั่ง”

“หึ” ผมส่ายหน้าให้พี่มันเป็นคำตอบ

“อย่างเบื่อ” ผมเด้งตัวขึ้นนั่ง เจ้าก้อนกลมก็กระโดดขึ้นมานอนบนตักทันที ผมเลยขยำก้อนเนื้อย้วยๆกับขนนุ่มๆนั่นเล่นซะเลย

“อยากไปไหนคิดไว้เลย วันเสาร์จะพาไป” คนพูดมันยิ้มจนผมเผลอยิ้มตามอย่างไม่รู้ตัว

“พูดเองนะ” ผมชี้นิ้วไปที่หน้าจอ คนที่กำลังยิ้มอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามมันหัวเราะก่อนจะพูดเสียงกลั้วขำ

“ครับ พี่พูดเอง”

“เออ แค่นี้แหละ!” หึ้ยยยย ผมยู่หน้าใส่พี่มันก่อนจะกดวางสายทันที 

แม่งรู้สึกแปลกๆกับตัวเองยังไงก็บอกไม่ถูก เดี๋ยวหน้าร้อน เดี๋ยวมือเย็น แต่ที่เป็นเอามากก็อารมณ์กูนี่แหละ แค่พี่มันบอกจะพาไปเที่ยว ทำไมต้องดีใจขนาดนี้ด้วยวะ รถตัวเองก็มีขับไปเองก็ได้ไหมล่ะ บ้าบอ!




วันที่สองของการฝึกงาน เหมือนลางแห่งความวุ่นวายจะแวะมาทักทายผมตั้งแต่เช้าเลยว่ะ

“เออ กูกำลังออกไปโว้ย” ผมโวยวายใส่โทรศัพท์ก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายวิ่งออกจากห้อง อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมตื่นสายนะ ผมหาบัตรพนักงานกับคีย์การ์ดไม่เจอต่างหากล่ะ

“พี่แป้ง ตังฝากเอาอาหารให้คอตตอนด้วยนะ” ผมกำชับพี่แป้งที่เดินสวนกันตรงบันไดก่อนจะวิ่งเหยียบส้นรองเท้าไปหน้าบ้านทันที

“สัด จะสายแล้วเนี่ย” ไอ้ป่านมันบ่นแต่มือก็ยังกดเกมส์ในมือถือยิกๆ

“กูหาบัตรไม่เจอว่ะ”

“ไอ้ห่า เพิ่งวันที่สองไหม” มันส่ายหัวเหมือนระอาผมเต็มที ไอ้เชี่ยนี่ กูขอให้มึงแพ้ เพี้ยง!

“มึงลืมไว้ที่คอนโดหรือเปล่า?” ไปปอมันพูดขึ้นมาบ้าง

“เออว่ะ” 

ฝ่ารถติดมาได้ก็ต้องรีบตาลีตาลานวิ่งมาเข้าออฟฟิศให้ทันอีก


7:58

เซฟ!!!!!!

ผมเรียงหน้ากันเดินเข้าไปในห้อง โฮริอิซังยิ้มหวานก่อนจะดึงตัวไอปอไปทันที คราวนี้ในห้องก็เหลือแต่คนไทยล้วนๆล่ะครับ ไอ้ป่านมันไปนั่งประจำที่คือโต๊ะข้างๆพี่กุ๊ก พี่แพรวบัญชีก็นั่งเงียบเหมือนมนุษย์ล่องหนเหมือนเดิม ซักพักพี่ตาต้ากับพี่ออยก็เดินถือแก้วกาแฟเข้ามา

“อุ๊ย สุดหล่อของพี่มาแล้ว” พี่ออยเดินเข้ามากอดไหล่ก่อนจะซบหน้าที่แขนผม พี่กุ๊กกับพี่ต้าพากันยิ้ม แต่ไอ้ป่านนี่หัวเราะก๊ากไม่มีเก็บอารมณ์เลย

“หัวเราะอะไรคะน้องป่าน?” พี่ออยผละจากแขนผมแล้วไปนั่งซบไอ้ป่านแทน

“ป่าวคร้าบบบ”

“เออใช่ เมื่อวานพี่กุ๊กกับน้องปอเจอครูปอนด์เหรอคะ?” พี่ต้าเปิดประเด็น ทุกคนเลยหันหน้าไปสนใจ

“ไม่ได้เจอนะ” พี่กุ๊กปฏิเสธ

“อ่าวเหรอคะ ก็เมื่อวานครูปอนด์เขาถามต้าว่าบริษัทเรามีเด็กมาฝึกงานด้วยเหรอ ต้าก็บอกไปว่ามีค่ะ พอถามว่ามีอะไรหรือเปล่าเขาก็บอกว่าไม่มีอะไร ต้าก็เลยนึกว่าเขาเจอพี่กุ๊กกับน้องป่านซะอีกค่ะ”

“เพราะถ้าเจอน้องตังเขาก็ไม่น่าจะรู้ เอ๊ะ หรือยังไง?” คราวนี้ทุกคนเลยหันมามองผมแทน

“ผมไม่รู้จักนะครับ” ผมโบกมือปฏิเสธ ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีคนรู้จักที่ชื่อปอนด์เลยซักคน นี่พูดจริงนะ

“หรือเขาถามเผื่อจะฝากใครมาฝึกงานหรือเปล่า?” พี่ออยออกความเห็น ก่อนจะอมยิ้มแล้วพูดประโยคต่อมา

“เอ๊ะ แฟนหรือเปล่านะ?”

“หึ ต้าไม่คุยกับพี่ออยแล้ว” พี่ต้าเดินหน้าหงอยกลับไปนั่งประจำที่ตัวเองผิดกับพี่ออยที่เดินหัวเราะคิกคักกลับไปนั่งที่ตัวเองเหมือนกัน

“น้องตังมาช่วยพี่เก็บประวัติพนักงานดีกว่าค่ะ อย่าไปคุยกับคนใจร้ายเลยเนอะ”

“เอ้า ยัยนี่” พี่ออยทำเสียงจิ๊จ๊ะแต่กก็ยังหัวเราะอารมณ์ดีก่อนจะหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อ

“ดูตรงนี้นะคะน้องตัง” พี่ต้าเรียกให้ผมหันไปสนใจงานที่อยู่ในหน้าจอคอมก่อนจะอธิบายรายละเอียดยาวเหยียด

“ถ้าคันจิตัวไหนอ่านไม่ได้ก็บอกพี่นะคะ”

“ครับ”


‘ก๊อกๆๆ’

เสียงเคาะประตูรัวๆเรียกความสนใจของทุกคนอีกครั้งก่อนที่จะมีพนักงานคนญี่ปุ่นเดินหน้าตาตื่นเข้ามายืนที่หน้าโต๊ะพี่กุ๊กทันที เธอพ่นภาษาญี่ปุ่นรัวมาก รัวจนผมแทบจับใจความไม่ได้ แต่เหมือนกับเธอจะบอกว่ามีใครซักคนโดนรถชนอยู่ที่โรงพยาบาล

“มีอะไรกุ๊ก?” พี่ออยถาม

“อิเคะจังโดนรถชนเมื่อเช้าค่ะพี่ออย” พี่กุ๊กพูดเสียงตกใจ

“แต่กุ๊กมี internet conference กับทางญี่ปุ่นตอน9 โมงน่ะค่ะ” พี่กุ๊กพูดจบพนักงานคนนั้นก็ยิ่งทำหน้าเป็นกังวล ผมว่าเธอคงจะฟังภาษาไทยออกบ้าง

“น้องป่านช่วยไปโรงพยาบาลแทนพี่หน่อยได้ไหมคะ?” พี่กุ๊กหันไปถามไอ้ป่าน มันทำหน้าตื่นเลยทีนี้

“ไม่ต้องตกใจค่ะ อิเคะจังพูดภาษาไทยเก่งมาก” พี่กุ๊กบอก ก็ไม่รู้ว่าพูดให้กำลังใจไอ้ป่านมันหรือเปล่านะครับ

“ก็ได้ครับ” ไอ้ป่านตอบรับก่อนจะหันไปคุยรายละเอียดกับพนักงานญี่ปุ่นคนนั้น เธอยิ้มก่อนจะก้มหัวลงน้อยๆ

“お願いね” (ฝากด้วยนะคะ)



เงยหน้าขึ้นมาจากคอมอีกทีก็ปาไปเกือบจะ 5 โมงเย็นเข้าไปแล้ว อะไรจะไวเหมือนโกหกขนาดนี้ ไอ้ปอกับไอ้ป่านยังไม่โผล่หัวกลับมากันซักคน

จากที่ไลน์คุยกันเมื่อเกือบจะครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ไอ้ป่านบอกว่าแฟนของคนที่ชื่ออิเคะจังกำลังเดินทางมาคงไม่เกิน 6 โมง แต่ฝ่ายไอ้ปอยังเงียบอยู่ พี่กุ๊กกับพี่ออยก็ออกไปกันตั้งแต่บ่าย ดูจากเหตุการณ์แล้วคงจะไม่กลับเข้ามาแล้วล่ะมั้ง

“น้องตังกลับยังไงคะวันนี้?” พี่ต้าหันมาถาม ตั้งท่าจะปิดคอมแล้วครับตอนนี้

“ผมคงต้องรอไอ้ปออ่ะครับ”

“จะรอในห้องนี้ก็ได้นะคะ หรือถ้าจะไปรอที่ร้านกาแฟชั้นล่างก็ปิดไฟล็อคประตูได้เลย”

“ครับ”

“งั้นพี่ไปก่อนนะ ไปค่ะพี่แพรว”

“สวัสดีครับ”

ผมกดสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆแบบคนไม่มีอะไรจะทำ ข้อความไลน์ที่ส่งไปพี่แดนมันก็ยังไม่เปิดอ่าน ไอ้ปอกับไอ้ป่านก็เงียบจ้อย เฮ้ออออ


‘ก๊อกๆๆ’

เสียงเคาะประตูเบาๆดังขึ้นก่อนที่จะมีคนดันประตูเปิดเข้ามาเรียกให้ผมดีดตัวขึ้นนั่งดีๆหลังจากที่แทบจะนอนเลื้อยเป็นงูอยู่นาน

“อ่าว คุณ” คนที่เดินเข้ามาร้องทัก ถ้าจำไม่ผิดนี่มันคนที่เดินชนผมเมื่อวานนี่

“ผมนึกว่าจะมาไม่ทันแล้วซะอีก” คนที่พูดวางกระเป๋าแล้วนั่งลงตรงโซฟารับแขกที่อยู่ด้านหน้าโต๊ะพี่ต้าก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“คุณคือ…”

“โทษที ผมชื่อปอนด์นะ”

“อ๋อ คุณนั่นเอง” ฝ่ายตรงข้ามยิ้มรับเมื่อผมพูดจบ ก่อนจะหันไปหยิบอะไรบางอย่างแล้วเดินมายื่นให้ผมตรงหน้า

“ของคุณ”

“เห้ย ผมนึกว่าลืมไว้ที่คอนโดซะอีก” ผมรับบัตรพนักงานพร้อมกับคีย์การ์ดที่ใส่สายคล้องไว้ด้วยกันมาถือไว้

“ผมเก็บได้ตอนที่ชนกับคุณเมื่อวานน่ะ”

“ขอบคุณมากนะครับ”

“แล้วคุณ…”

“ผมชื่อตัง” ผมตอบ ฝ่ายตรงข้ามยกยิ้มมุมปากน้อยๆก่อนจะพูดต่อ

“ขอแทนตัวเองว่าพี่แล้วกัน เพราะดูแล้วพี่คงแก่กว่าน้องตังหลายปีเลย”

“ครับ”

“น้องตังมาฝึกงานที่นี่นานหรือยังครับ?” อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งลงที่โซฟาอีกครั้ง

“เริ่มฝึกเมื่อวานวันแรกครับ”

“อ๋อ” คนฟังยิ้มรับก่อนจะหยิบหนังสือจากในกระเป๋าตัวเองออกมาเตรียมจะเปิดอ่าน

“เอ่อ...แล้วพี่ปอนด์ยังไม่ไปสอนเหรอครับ?” คิ้วหนาๆนั้นเลิกขึ้นเล็กน้อย

“วันนี้พี่มีสอน 2 ทุ่มครับ”

“อ่าว แล้ว”

“ก็กลัวไม่เจอน้องตังเลยรีบออกมาก่อน แต่รถมันติดมาก ตอนแรกยังลุ้นอยู่เลยว่าจะมาทันได้เจอไหม”

“แล้วคนอื่นกลับกันไปหมดแล้วเหรอ?” ผมพยักหน้าให้กับคำถามเป็นการตอบ คนที่นั่งอยู่ที่โซฟาเลยทำตาโตก่อนจะยัดหนังสือลงกระเป๋า

“ขอโทษที น้องตังจะรีบกลับหรือเปล่า เดี๋ยวพี่ลงไปนั่งที่ร้านกาแฟข้างล่างก็ได้ครับ”

“คือจริงๆผมก็รอเพื่อนอยู่เหมือนกัน” ผมตอบคนที่ลุกขึ้นยืนสะพายกระเป๋าไว้บนบ่าเรียบร้อย

“ถ้าอย่างงั้น...ลงไปนั่งรอที่ร้านกาแฟข้างล่างด้วยกันไหม?”



ผมหยิบไอโฟนขึ้นมาจากโต๊ะแล้วสไลด์หน้าจอเพื่อดูข้อความไลน์ที่ถูกส่งมา มันเป็นข้อความจากไอ้ป่านบอกว่าตอนนี้ไอ้ปอแวะไปรับมันที่โรงพยาบาลแล้วและกำลังจะมารับผมที่นี่ ผมส่งสติ๊กเกอร์ว่าโอเคกลับไป พอกดล็อคหน้าจอแล้ววางมือถือลงกับโต๊ะอีกครั้งก็เป็นจังหวะที่สบตากับคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามพอดี

“เพื่อนมาแล้วเหรอ?”

“กำลังมาแล้วครับ” ผมตอบรับกลับไป อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรต่อผมก็เลยเลือกที่จะนั่งกินเค้กที่สั่งมาต่อ เพิ่งรู้ว่าเค้กร้านนี้อร่อยมาก ไว้พรุ่งนี้ผมชวนไอ้ฝาแฝดมากินดีกว่า

นั่งกินไปได้ซักพักเสียงเรียกเข้าจากวีดีโอคอลของไลน์ก็ดังขึ้น ผมเลือกที่จะกดปิดก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้

“ขอตัวซักครู่นะครับ”

ผมเดินเลี่ยงออกมาที่หน้าร้านก่อนจะเป็นฝ่ายกดคอลกลับไปเอง แล้วพี่มันก็กดรับทันทีด้วย

“ตอนนี้อยู่ข้างนอก” ผมกรอกเสียงลงไปเป็นการตอบคำถาม

“อือ ไอ้ปอกำลังมาแล้ว”

“แล้วพี่ทำไรอยู่อ่ะเสียงโคตรดัง” ผมถามกลับไปบ้าง ได้ยินเสียงคนคุยกันแซ่งแซ่ไปหมด แต่ผมรู้สึกได้ว่าอารมณ์มันต่างจากเมื่อวาน พี่แดนมันหัวเราะนิดหน่อยก่อนจะตอบว่ากำลังนั่งดื่มอยู่กับพวกคนงานไม่ได้ออกไปไหน

“อืม ก็แล้วแต่เลย” ผมบอกเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าเดี๋ยวดึกๆจะวีดีโอคอลมาหาก่อนจะกดวางแล้วกลับเข้าไปในร้านอีกครั้ง

พี่ปอนด์เงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่กำลังอ่านก่อนจะส่งยิ้มน้อยๆให้เมื่อผมกลับมานั่งฝั่งตรงข้ามเขาอีกครั้ง เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อ ผมก็นั่งกินเค้กต่อไปเงียบๆโดยที่พี่เขาก็ก้มลงอ่านหนังสือในมือของตัวเองต่อไปเงียบๆเหมือนกัน





‘นี่พุงไม่ใช่หมอน’

ผมใส่แคปชั่น พร้อมแฮชแท็ก #เป็นทุกอย่างให้ก้อนแล้ว ก่อนจะกดโพสต์รูปเจ้าก้อนกลมสีเทาที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนพุงผมอย่างสบายอารมณ์ลงในอินสตาแกรม มันคงนึกว่ามันเป็นลูกแมวน้อยๆล่ะมั้ง ไม่ได้สำเหนียกเลยว่าตัวเองน่ะเป็นแมวยักษ์หนักเป็นสิบกิโลน่ะ

ไม่นานก็มีคอมเม้นต์ไหลเข้ามาจนขี้เกียจจะตอบและส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่ผมไม่รู้จักด้วยอ่ะ แต่เดี๋ยวนะ ไอ้พวกที่โฟกัสที่พุงผมมากกว่าแมวนี่คืออะไรวะ

“พุงขาวมว้ากกก”

“ขาวไปอี้กกกก”

“โอ้ยยย เนียนกว่าหน้ากูอีกจย้าาา” 


kamipaan : ขี้อ่อยจังวะ
ikemenpor : หื้มมมมมมมมมมมมมม
urboy69 : @dindanvongvrp

ผมขมวดคิ้วก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งดีๆ เจ้าก้อนกลมที่กลิ้งตกลงไปส่งสายตามาแอบด่าผมที่รบกวนการนอนของมันก่อนจะกระโดดลงจากเตียงไปนอนขดตัวบนที่นอนของตัวเองแทน

@kamipaan @ikemenpor เป็นเชี่ยไรกัน ?

ผมเมนชั่นตอบกลับไปก่อนจะก้มลงติดกระดุมเสื้อชุดนอนที่มันหลุดออกสองเม็ดสุดท้ายเข้าที่เดิม ซิกแพคแฟ่บๆของผมมันมีไรดีวะ แซวกูกันจัง

ไม่ทันจะล้มตัวลงนอนแจ้งเตือนวีดีโอคอลจากไลน์ก็ดังขึ้น ไม่ต้องบอกก็รู้กันใช่ไหมว่าใครโทรมา ผมกดรับสายก่อนที่ภาพเคลื่อนไหวจากปลายสายจะปรากฏขึ้นมาในจอ สภาพพี่มันที่เห็นตอนนี้ต้องบอกได้ว่าค่อนข้างต่างจากปกติมากพอสมควร

“เมาเหรอวะพี่?” ผมถาม แต่ฟันธงได้เลยครับว่ามันเมาแน่นอน

“นิดหน่อย” พี่มันยิ้มแล้วก็ตอบรับข้อกล่าวหาของผมแต่โดยดี

“กากว่ะ” ผมว่าแต่พี่มันกลับหัวเราะ ดวงตาคมที่มักจะมองมาที่ผมเสมอตอนนี้มันสะท้อนแสงไฟเป็นประกาย

บรรยากาศโดยรอบเงียบไปชั่วขณะเมื่อเราต่างก็ได้แต่มองหน้ากันเงียบๆ มุมปากหยักยังคงยักยิ้มน้อยๆโดยที่ดวงตาคมนั่นยังคงไม่ได้ละไปจากสายตาผมเลย

“มองอะไรนักเล่า” ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายแพ้อีกจนได้ พี่มันยิ้มใขณะที่ผมเองเป็นฝ่ายต้องหันหน้าหนีเพราะอยู่ๆก็ไม่กล้าสบตามันซะอย่างนั้น

“ก็คิดถึง”

“มากๆด้วย”

ผมหันกลับไปมองที่หน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง คนที่พูดประโยคนั้นยังคงมองตรงมา น้ำเสียงที่ทุ้มเข้าไปในใจนั่นเหมือนมนต์สะกดให้ผมไม่สามารถละสายตาไปจากพี่มันได้อีก และสีหน้ากับแววตาคู่นั้นที่ปรากฏอยู่ในกรอบสายตาของผมในตอนนี้ มันทำให้ผมไม่อาจจะปฏิเสธคำพูดที่สะท้อนอยู่ในหัวของตัวเองตอนนี้ได้เลย

“อืม…”

“ผมก็เหมือนกัน”




xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


ขอบคุณทุกคนมากๆที่กดเข้ามาอ่านแล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์ด้วยค่ะ เป็นกำลังใจที่ดีมากๆเลย   :pig4:
ช่วงนี้งานยุ่งมากๆเลยค่ะ แต่ยังไงจะพยายามอัพให้สม่ำเสมอนะคะ ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปจนจบด้วยน้าา :กอด1:
เจอกันตอนหน้าวันที่ 20 ค่ะ 

B2
Twitter : @B2YFICTION
หัวข้อ: Re: : : BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP14 - ME too"" P.2 [10.10.18] NEW UP!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-10-2018 02:32:15
 :pig4: :pig4: :pig4:


แหม่...ก็เอาภาพหน้าท้องขาว ๆ เนียน ๆ ไปโชว์โซเชียล  ใคร ๆ เขาก็ต้องมองว่าอ่อย ว่าบริหารเสน่ห์ทั้งนั้นแหละ  อิอิ
หัวข้อ: BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP15 - (un)Welcome Guest P.2 [19.10.18]UP!
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 19-10-2018 17:22:29
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#15



เสียงฝีเท้าพร้อมกับเสียงลากสิ่งของอะไรบางอย่างทำให้ผมค่อยๆเริ่มรู้สึกตัว แม้ว่าความง่วงงุนจะทำให้ผมยังไม่ยอมลืมตาตื่นก็ตามที

ต้นตอของเสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนในที่สุดก็หยุดอยู่ที่ปลายเตียง และอยู่ๆก็เหมือนแผ่นดินไหวเมื่อมีบางอย่างที่โคตรหนักและก็คงจะใหญ่โตไม่ใช่น้อยล้มลงมาทับผมอย่างแรงจนผมสะดุ้งตื่นเต็มตาแต่ขยับตัวไม่ได้

ไอ้ห่า ผีอำตอนเช้าได้เหรอวะ!?

“อื้ออ ปล่อย!”

“ปล่อยกูนะเว่ย!” ผมตะโกนสุดเสียง แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงเสียงหัวเราะ

“พี่แดน! พี่ มึงอยู่ไหน!?” เสียงหัวเราะมันดังขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้ผมเริ่มจะแน่ใจละว่ามันไม่ใช่ผี มันต้องเป็นไอ้ห่าตัวไหนซักตัวที่โคตรจะโรคจิตถึงกับว่างพอที่จะถ่อมาแกล้งผมได้ตั้งแต่เช้าวันหยุดแบบนี้! ไอ้เหี้ย จิตใจมึงทำด้วยอะไรวะ

“ไอ้สัด ใครแกล้งกูวะ!?” ผมรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายก่อนจะผลักสิ่งที่ทับอยู่บนตัวออกได้ แต่เมื่อโผล่หน้าพ้นผ้าห่มออกมา ผมก็ยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก ไอ้เหี้ยที่นั่งหัวเราะเอาเป็นเอาตายนี่คือใครวะ?

ผมหยิบของที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดนั่นก็คือหมอนแล้วฟาดหน้ามันไปเต็มๆก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วเตะมันรัวๆไปหลายที

“โอ้ย ไอ้ตัง กูเจ็บนะเนี่ย” ไอ้คนตัวใหญ่มันร้องโอดโอยพร้อมกับจับขาผมเอาไว้ แต่เดี๋ยวนะ มันเรียกชื่อผม หมายความว่า...ผมกับมันรู้จักกันงั้นเหรอ?

“มึง…” ผมมองหน้ามัน แอบหอบแดกเล็กๆที่กระหน่ำเตะมันไม่ยั้ง แต่ดูจากขนาดตัวมันแล้ว เหมือนมันจะไม่ค่อยสะเทือนซักเท่าไหร่ก็เถอะ


“มึงเมาขี้ตาเหรอครับพี่สะใภ้ กูเอง น่านฟ้า” ผมเหลือกตาขึ้นมอง ยิ่งมันลุกขึ้นยืนยิ่งโคตรสูง ผมผงะถอยหลังนิดหน่อยเมื่อมันเดินใกล้เข้ามา แต่มันกลับเดินไปหยิบหมอนที่ตกอยู่ที่พื้นแล้วโยนคืนไปบนที่นอนเท่านั้น

“เจ็บสัด นี่ถ้าน้องชายกูคอหักไปจะทำไงวะ” มันทิ้งตัวลงนอนแบบไม่ทุกข์ไม่ร้อน แถมยังลูบเป้าโชว์ผมอีกด้วย โอ้โห้ ไอ้เหี้ยนี่แม่งโคตรหน้าด้านอ่ะ

แต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้มันเรียกผมว่า พี่สะใภ้?

ถ้าอย่างนั้น…

ผมขยี้ตาแล้วมองหน้ามันอีกที จะว่าไปมันก็หน้าคล้ายพี่แดนเหมือนกันนะ แต่ว่ามันสูงกว่าและก็ขาวกว่านิดหน่อย

ก็หมายความว่า….พี่ดินแดนมันมีน้องชาย และผมก็รู้จักมันด้วย

งี้เหรอ!

“แล้วยืนทำหน้าประหลาดอะไรตรงนั้น?” มันเลิกคิ้วถามก่อนจะตบมือลงที่หมอนข้างๆมันแปะๆ

“ง่วงก็มานอนต่อดิ่ ถึงมึงจะน่ารัก แต่กูไม่เอาเมียพี่ตัวเองหรอกไว้ใจได้” ไม่อยากจะบอกว่าหน้าตามึงนี่สวนทางกับคำพูดมาก ไอ้สัด

“หรือจะให้เอา ได้นะ จริงๆกูก็พร้อมตลอด” มันเด้งตัวขึ้นนั่งทำเอาผมต้องผงะถอยหลังไปอีกก้าว แต่ถ้าแม่งหยาบมาผมก็หยาบกลับอ่ะ คนจริงเขาไม่โกงกันอยู่แล้ว

“ -วยเหอะ” ผมชูนิ้วกลางให้ มันหัวเราะก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเหมือนเดิม

ไม่ทันที่ผมกับไอ้แขกไม่รับเชิญจะได้พูดอะไรกันต่อ ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมๆกับเจ้าของห้องที่เดินเข้ามา

“พี่แดน” ผมหันไปหาแนวร่วมทันที ใครเร็วกว่าคนนั้นต้องชนะสิ

“ไอ้ฟ้า” พี่มันพูดเสียงเรียบๆ แต่ไอ้คนที่นอนอยู่ก็เด้งตัวลุกขึ้นมานั่งทันที

“แกล้งน้อยเดียวมะดาย แถมบ่ปอขาดทุนแหม แม่งเตะยับเลย” ไอ้คนที่นั่งขัดสมาธิบนเตียงมันบ่นอุบ ทำหน้าเป็นหมาหงอย

“อยากอยู่ไทยเมินๆ ก่อล่ะ?” พี่แดนมันยกมือขึ้นกอดอกก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วพูดต่อ

“จ๋าว่าแขนหักสักข้างอย่างน้อยๆอ้ายว่า ได้อยู่แหมเป๋นเดื้อนปุ้นเนาะ”

“อ้ายนี่น้องแอ่ ข๋างเมียเฮียแต้เฮียว่า แตะบ่ได้เลย” มันคว่ำปากใส่ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกที

“กิ๋นอะหยั๋งมาผ่อง?” คนพี่มันถาม

“ยังเตื่อ อ้ายยะเผื่อตวย แต่ของีบสักกำหนึ่ง เดี๋ยวลุกไปกิ๋นคนเดียว”

“อืม”

“เออ ไอ้ตัง” ผมที่กำลังจะเดินเข้าห้องน้ำต้องชะงักเมื่อไอ้คนที่นอนอยู่มันชะโงกหัวขึ้นมาเรียก

“ของมึงอยู่ในกระเป๋า ส่วนของไอ้ปอกับไอ้ป่านอยู่ในถุง กูวางไว้บนโซฟา ถ้ามันรีบก็ให้มาเอาเอง ถ้าไม่รีบเดี๋ยวเย็นเจอกันที่สยาม”

“อะ เออ” ผมรับปาก แต่เอาจริงป่ะ ของอะไรวะ กูไม่รู้เรื่องเลย

“ถ้ามันมาบอกด้วยว่าห้ามปลุกกู แค่นี้ เลิกกัน” พูดจบมันก็ทิ้งหัวลงบนหมอนแล้วนอนหันหลังให้ผมทันที พี่แดนส่ายหัวก่อนจะรุนหลังผมให้เดินไปที่ประตูห้องน้ำส่วนพี่มันก็แยกเดินออกไปทางห้องครัว

ผมเลื่อนดูรายชื่อในไลน์ไปเรื่อยๆก่อนจะเจอชื่อที่ตัวเองต้องการ ソラV. แต่จริงๆต้องบอกว่าหาเจอจากรูปโปรไฟล์มากกว่า กดเข้าไปในห้องสนทนาก็ต้องรีบสไลด์ขึ้นไปที่ข้อความที่เก่าที่สุด ไอ้น่านฟ้ากูขอรู้จักมึงแบบเร่งรัดหน่อยนะ

สรุปได้ว่า ไอ้น่านฟ้า หรือ ไอ้ฟ้า เป็นน้องชายคนสุดท้องของบ้านวงศ์วรภูมิ และผมก็ได้ไขข้อข้องใจอีกอย่างหนึ่งด้วยว่าพี่ธารคือใคร พี่ธารคือพี่ชายคนโต ถึงตอนนี้จะยังไม่รู้ชื่อเต็มๆก็เถอะ

โอเค มาเรื่องไอ้ฟ้าต่อ มันอายุเท่าผม และตอนนี้มันอยู่ที่ญี่ปุ่นเพราะได้ทุนวิจัยของมหาลัยไปที่นั่น ที่รู้ก็เพราะผมนี่แหละที่ช่วยมันทำเอกสารอ่ะ (ผมที่ไม่ใช่ผมตอนนี้อ่ะ เอ่อ...ไม่งงเนอะ)

และสุดท้าย ไอ้ของที่มันว่ามันคือรองเท้าครับ ผม ไอ้ปอ ไอ้ป่าน ฝากมันหิ้วรองเท้ามาจากญี่ปุ่น Onitsuka Tiger รุ่น Kabuki - the Villian เชี่ยยย อยากจะวิ่งออกจากห้องน้ำไปรื้อกระเป๋ามันซะเดี๋ยวนี้เลย! ว่าแล้วก็รีบจัดการล้างหน้าแปรงฟันแล้วออกไปข้างนอกดีกว่า

เปิดประตูห้องน้ำออกมาก็เห็นไอ้มนุษย์ร่างยักษ์มันนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง คิดแล้วก็หมั่นไส้แม่ง ถ้าไม่ติดว่ามันหิ้วของรักมาให้ผมนะ ก็อยากจะกระโดดขึ้นไปกระทืบแม่งอีกซักทีสองทีอยู่หรอก คือแม่งน่าตาดีไง เออ ถ้าจะให้พูดตรงๆแม่งก็หล่ออ่ะแหละ แล้วยิ่งโปรไฟล์แบบนี้ ฟันธงเลยดีกว่าว่าแฟนคลับสาวๆของมันคงจะโคตรเยอะ

เอ่อ...ในที่นี้ไม่รวมความกวนตีนและความหื่นกามของมันนะ ถามว่าผมรู้ได้ไงอ่ะเหรอว่ามันหื่นกาม ก็จากที่อ่านข้อความในไลน์น่ะแหละ แค่เมื่อกี้ผมเล่าข้ามๆไปเท่านั้นเอง เป็นคนดีด้วยไงเลยไม่อยากจะดิสเครดิตใคร

ออกจากห้องมาได้ก็ยังไม่ทันได้ไปรื้อกระเป๋ามันหรอก จะอะไรซะอีกล่ะก็เพราะไอ้กลิ่นหอมๆจากในครัวมันตกผมได้ก่อนน่ะสิ อย่ามองแบบนั้น ผมไม่ได้เห็นแก่กินนะ สาบานเลย

“ไปไหนกันดี?” นี่เป็นคำถามจากคนที่กำลังบิดขวดพริกไทดำลงในกระทะที่มีอกไก่หั่นเต๋าอยู่ในนั้นตอนที่ผมเดินเข้าไปชะโงกหน้าดู

“อืม…ไม่รู้อ่ะพี่”

“ขี้เกียจด้วย” ผมให้เหตุผลประกอบ พี่มันส่ายหัวยิ้มๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

“ลงไปฟิตเนสมาเหรอ?” ผมถามต่อ ดูจากชุดที่มันใส่แล้วน่าจะเป็นแบบนั้น

“ใช่” พี่มันตอบสั้นๆ ผมพยักหน้ารับ ก็ถึงว่าทำไมหุ่นพี่มันถึงได้ดีจังวะ ไม่เหมือนกูเลย

“วันหลังไปด้วยดิ่” พี่มันหันมาทำตาโตก่อนจะหัวเราะ

“แน่ใจ?”

“ไม่แน่ดีกว่า” ผมยู่หน้าก่อนจะหนีมานั่งที่โต๊ะกินข้าวหน้าเค้าท์เตอร์ครัว เอาจริงๆการออกกำลังกายมันก็ไม่เหมาะกับคนอย่างผมหรอก ทำไมอ่ะเหรอ ผมขี้เกียจไง 

“ตัง”

“หื้ม”

“มานี่หน่อยครับ”

ผมเดินเข้าไปตามเสียงเรียกก่อนที่พี่มันจะหันกลับมาส่งจานอาหารเช้ามาให้ผมรับไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ไม่ทันที่ผมจะหันไปไหนริมฝีปากบางนั่นก็จูบลงที่หน้าผากผมพอดิบพอดี

“มอร์นิ่งครับ”

หึ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย

บอกไว้เลยนะ ถ้ามึงทำแบบนี้อีกกูจะเอาจานทุ่มใส่หัวมึงจริงๆด้วย ไอ้บ้า!






“เดี๋ยวปอกับป่านจะเข้ามาหรือเปล่า?” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนถามที่ตอนนี้มันนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาโดยที่ผมนั่งอยู่บนพื้นพรมเพราะกำลังเล่นกับเจ้าก้อนกลมอยู่

“ไม่อ่ะ มันบอกว่าเดี๋ยวค่อยเจอที่สยาม”

“แล้วจะไม่ไปไหนจริงเหรอ?”

“อืม...เดี๋ยวไปสยามตอนเย็นก็ได้” ผมตอบก่อนที่พี่มันจะวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะแล้วย้ายตัวเองลงมานั่งที่พื้นด้วยกัน

เจ้าก้อนกลมมันเอนตัวนอนก่อนจะหงายท้องให้ฝ่ามือกว้างๆได้ลูบพุงมันเล่น ดวงตากลมสีเหลืองวาววับค่อยๆหรี่ลงจนปิดสนิทพร้อมเสียงครางเบาๆ โอ้โห้ ฟินอะไรเบอร์นั้นล่ะ ผมหยิบไอโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะมากดถ่ายหน้ากลมๆนั่นไว้ ถ้าเอาไปลงไอจีล่ะก็เบ้าหน้าแน่นกรอบแน่ๆไอ้อ้วนเอ้ย

“พี่ว่าเวลาเราไม่อยู่มันจะเหงาไหมอ่ะ?” ผมถาม เอาจริงๆนะ อย่างเฮงเฮงเนี่ยมันอยู่ในร้านเจ้ตวง ซึ่งมันก็มีคนอยู่ด้วยทั้งวันไง ส่วนเจ้าคอตตอนเวลาที่ผมกับพี่มันไม่อยู่มันก็ต้องอยู่ตัวเดียวอ่ะ

“เหงาสิ”

“หาเพื่อนให้มันดีไหม”

“พี่ว่าแบบนั้นมันจะรู้สึกว่าโดนแย่งความรักจากเราไปมากกว่า” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนพูด มุมปากหยักยักยิ้มน้อยๆก่อนที่พี่มันจะละฝ่ามือจากพุงนิ่มๆนั่นแล้วพูดต่อ

“อีกอย่าง พี่คงเลี้ยงแมว 3 ตัวไม่ไหว เพราะว่าแมวตัวนี้มันต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ” ฝ่ามือกว้างวางลงที่หัวผมแล้วขยี้เบาๆ ผมจิ๊ปากก่อนจะดึงฝ่ามือนั่นลงจากหัว

“ต้องตามใจมากเป็นพิเศษ” เสียงนุ่มทุ้มเจือเสียงหัวเราะเบาๆยังคงดังขึ้นให้ได้ยิน แล้วทำไมผมถึงยังไม่ปล่อยมือที่จับฝ่ามือกว้างนี้ไว้นะ

“แล้วก็...ต้องรักมากเป็นพิเศษด้วย” ไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปกี่วินาทีที่ผมถูกตรึงไว้ด้วยคำพูดนั้น พอรู้สึกอีกทีใบหน้าคมก็ขยับเข้ามาใกล้จนเป็นสิ่งเดียวที่ผมมองเห็นอยู่ในกรอบสายตา

และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมไม่สามารถละสายตาไปจากดวงตาคู่นั้นได้ ลมหายใจร้อนที่ปะทะเบาๆที่ปลายจมูกทำให้ผมต้องหรี่ตาลงมอง และเมื่อปลายจมูกของเราสัมผัสกันมันก็ทำให้ผมต้องหลับตาลงอย่างอัตโนมัติ

ความอุ่นชื้นแนบลงที่ริมฝีปาก เสียงหัวใจเต้นที่ดังก้องอยู่ในหัวมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกบางอย่าง มันสั่นไหวแต่ก็อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ริมฝีปากอุ่นที่ขบเน้นย้ำเบาๆบนริมฝีปากทำให้ผมต้องเปิดปากออกเมื่อรับรู้ถึงนัยที่ถูกส่งมา

ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ตัวเองถลำลึกลงไปกับจูบนี้ มันวาบหวามเหมือนจะหลอมละลายแต่ก็อ่อนหวานจนยากที่จะถอนตัว ผมยึดลำคอแกร่งไว้ด้วยฝ่ามือทั้งสองข้างโดยที่วงแขนแข็งแรงก็ประคองแผ่นหลังผมเอาไว้ในขณะที่รู้สึกว่าแรงโน้มถ่วงของโลกมันกำลังฉุดรั้งผมให้ทิ้งตัวลงกับพื้น

“พี่..แดน” ผมเปล่งเสียงออกไปเมื่อถูกจ้องมอง ปลายนิ้วเรียวยาวถูกส่งมาเกลี่ยปอยผมที่ข้างแก้มของผมออกและมันก็ยังคงไล้วนเบาๆอยู่บนนั้น ไม่มีเสียงตอบรับอะไรกลับมามีเพียงสายตาที่กำลังสื่อความหมายอะไรบางอย่าง แต่แล้วเงาอะไรบางอย่างที่แว้บผ่านหางตาไปก็ทำให้ผมนึกอะไรออก

ไอ้น่านฟ้า!

ผมใช้สองมือดันไหล่ของคนที่กำลังคร่อมตัวผมอยู่ด้านบนเอาไว้ พี่แดนยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองแรงๆก่อนจะยอมถอยออกไปแต่โดยดี ผมกัดปากตัวเองแรงๆแบบคนที่อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ความรู้สึกนึกคิดของผมที่เริ่มกลับมาเป็นปกติมันทำให้ผมหน้าร้อนจนแทบจะระเบิด โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย

“ผมแค่หิวอ่ะ” ไอ้คนที่ยกมือขึ้นเหนือหัวทั้งสองข้างเหมือนโจรที่โดนตำรวจเอาปืนจ่อมันร้องบอกเป็นภาษากลางเหมือนจงใจให้ผมฟังรู้เรื่องด้วย

“ไม่ได้ตั้งใจรบกวนเลย นี่พยายามย่องแล้วด้วย แต่เมียพี่เห็นเองนะ” อยู่ดีๆก็โยนมาให้กูเฉย แต่จริงๆผมก็ควรขอบใจมัน หรือเปล่าวะ?

“ต่อเลยๆ” มันรีบเฟดตัวไปในครัวแต่ก็ไม่วายส่งสายตาล้อเลียนมาให้ แต่จะด่ามันกลับกูก็อายเกินจะมองหน้ามัน หมดกันแล้วชีวิตกู

ได้ยินเสียงคนข้างๆถอนหายใจแรงๆแต่ก็ไม่กล้าหันไปมอง ไอ้ที่ว่าหน้าร้อนตอนนี้มันยิ่งรู้สึกร้อนไปหมดทั้งตัว โว้ยยย ใครมันปิดแอร์ในห้องอีกแล้ววะ

“ไอ้ฟ้าตื่นแล้ว งั้น งั้น ผมไปอาบน้ำเลยแล้วกันนะ” ผมหลับหูหลับตาพูดก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนแล้วปิดประตูลงกลอนทันที

นี่มันบ้าไปแล้ว!

กูจูบผู้ชาย กูจูบผู้ชาย กูจูบผู้ชาย โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ผมทึ้งหัวตัวเองแรงๆสองสามที ภาพและเสียงจากเหตุการณ์เมื่อกี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว สัมผัสที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนริมฝีปากเรียกให้ผมต้องยกมือขึ้นแตะมันไว้ก่อนจะตบหน้าตัวเองแรงๆด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อเรียกสติ

เป็นเรื่องจริงที่ว่าเราคงไปเรียกร้องหาความอะไรไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่จะว่าก็ว่าเถอะ ผมรู้สึกได้ว่าอนาคตที่กำลังตามมา มันมีลางว่าเริ่มจะน่ากลัวฉิบหายวายวอดแล้ว ก็แม่งไม่มีอะไรที่ไว้ใจได้เลยซักอย่าง

ใช่ แม้กระทั่งตัวผมเองนี่แหละ!





จากสยามย้ายมาเทอร์มินอล เพิ่งจะรู้ว่าโคตรคิดผิดที่เลือกออกมาใช้วันหยุดแบบโง่ๆกับไอ้น่านฟ้าแบบนี้ เป็นเวรเป็นกรรมอะไรที่กูต้องออกมาช่วยมันหิ้วของเพื่อแจกจ่ายให้เพื่อนมันด้วยวะ!

“สัดฟ้ากูหิว” ไอ้ป่านมันพูดขึ้นมา แล้วแม่งก็ได้ใจผมชิบหาย

“เออๆ” ไอ้น่านฟ้ามันตอบรับส่งๆก่อนจะกดโทรศัพท์โทรออก

“ร้านxxx เทอร์มินอลนะ มาไม่ทันกูขว้างทิ้งแถวนี้แหละสัด” พูดจบก็กดวางเหมือนแม่งจะไม่ได้ต้องการคำตอบอะไร แต่ที่แน่ๆมันเลือกร้านแล้วครับ ไอ้เชี่ย ไม่ถามสุขภาพเพื่อนซักคำ

 “กูเอาไข่ข้นปู พี่เอาข้าวผัดแซลมอนไหม?” ผมพูดกับไอ้ป่านก่อนจะหันมาหาคนที่นั่งอยู่ข้างๆกันอย่างลืมตัวว่ากำลังไม่กล้าสบตามันอยู่

“ครับ” พี่มันตอบยิ้มๆ

‘ตึ่ก’

‘ตึ่ก’

‘ตึ่ก’

อืม....ริมฝีปากสีธรรมชาตินั่นมันดึงสติผมไปอีกแล้ว บ้าเอ้ย!

“เออ แค่นี้” ผมปิดเมนูดังฉับก่อนจะทำเป็นหันไปสนอกสนใจฟังไอ้ป่านกับไอ้ฟ้ามันเถียงกันเรื่องข้าวซอย อีกคนจะกินเนื้ออีกคนจะกินไก่ แต่ว่ามันจะเถียงกันไปทำไมยังไงมันก็สั่งกันคนละชามอยู่แล้ว อยู่กับพวกมันนานๆผมต้องประสาทแดกแหงๆ

“สรุปน้องหมวยล่าสุดนี่ได้เท่าไหร่?” ไอ้ปอมันจุดประเด็นหลังจากที่สั่งอาหารกันไปเรียบร้อย

“8.5” ไอ้ฟ้ามันเอามือท้าวโต๊ะ

“เชี่ยยย สูงสุดในแรงค์อ่ะ” ไอ้ป่านมันทำตาโตก่อนจะโอดครวญบ้าบอไม่เป็นภาษา

“คนไหนวะ” ผมลุกขึ้นชะโงกหน้าไปอีกฝั่งที่พวกมันนั่งกันอยู่ทั้งสามคนแล้วกำลังรวมหัวกันดูอะไรในหน้าจอโทรศัพท์

“ไม่ใช่เรื่องของคุณครับ” ไอ้ฟ้ามันเอามือปิดจอแล้วดึงเข้าตัวโดยมีผู้สนับสนุนเป็นไอ้แฝดนรกที่นั่งขนาบข้างโดยการพยักหน้ารัวๆ

“สัด จำไว้นะ” ผมชี้หน้าพวกมันก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงเหมือนเดิม ได้ยินพี่แดนมันหัวเราะก่อนจะวาดมือมาพาดที่พนักอิงข้างหลังผม

“พี่เคยเห็นป่ะ?” ผมถาม

“ไม่เคยครับ” คนตอบมันยกยิ้มมุมปากน้อยๆผมเลยได้แต่ยู่หน้า ทำไมพี่มันดูไม่อยากรู้อยากเห็นเหมือนกูเลยวะ แล้วอะไรคือการที่พวกมันสามตัวต้องทำหน้าทำตาข่มกูแบบนั้น เออ อย่าให้ถึงทีกูบ้างแล้วกัน

พออาหารมาวางตรงหน้าผมก็เลิกสนใจพวกมันละ แม่งทำเหมือนผมเป็นเห็บอ่ะ ดีดผมออกจากบทสนทนาตลอดๆ งุบงิบคุยกันอยู่สามคนพอผมถามแม่งก็ประสานเสียงกันด่าว่าเสือก มึงโปรดจำความเคียดแค้นกูไว้ไอ้แฝดนรก เห็นคนอื่นดีกว่ากูนักนะ

ผมนั่งกินข้าวไข่ข้นสุดโปรดไปเรื่อยๆอาหารที่ทยอยมาวางบนโต๊ะก็ยังไม่หมด คือวางจนไม่รู้จะวางตรงไหนแล้วอ่ะ

“เหมือนอดอยากเนอะ” ขอแซะแม่งหน่อยเถอะ

“กูไม่ได้มีคนทำให้แดกเหมือนมึงไหมล่ะครับคุณพี่สะใภ้” มันลอยหน้าลอยตาพูด แต่ก็ทำเป็นคว่ำปากใส่ผม

“อ้าย ไปอยู่กับน้องซักเดือนสองเดือนก่อล่ะ” ซาวด์แทรกมาอีกละ แต่อันนี้กูฟังออกโว้ย

“อืม...ไปญี่ปุ่นก่อท่าจะดี” ผมหันควับไปมองคนนั่งข้างๆพอดีเมื่อได้ยินมันตอบ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนแต่พี่มันยิ้ม

“เอาไว้ตังฝึกงานเสร็จก่อนไง พี่ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไปคนเดียว” ได้ยินแบบนั้นแล้วผมก็หันไปยักคิ้วใส่ไอ้ฟ้า มันส่ายหัวก่อนจะใช้ซาวด์แทรกคุยกับพี่มัน

“ตวยใจ๋กันเข้าแต่วๆ” แต่ไม่ทันที่พี่แดนจะตอบโต้อะไรมันก็พูดต่อ

“บ่จ่างว่า มันน่าฮักอ่าเนาะ” อยากจะตะโกนใส่หน้ามันดังๆว่ากูหล่อ แต่ก็ไม่ทันเปลือกมะนาวที่เคยอยู่ในจานข้าวผัดที่มันลอยไปกระทบหน้าผากมันซะก่อน

“อ้าย! นี่น้องหนา น้องแอ่” ไอ้น่านฟ้ามันโอดครวญ

“ก่อถ้าบ่ใจ้น้อง อ้ายยอกไปเมินละ” พี่มันพูดเสียงเรียบๆแต่คนฟังมันทำหน้าเหมือนเด็กห้าขวบโดนขโมยของเล่นอะไรแบบนั้นผมเลยอดที่จะหัวเราะไม่ได้ แต่ที่แน่ๆไอ้ป่านมันหัวเราะดังกว่าผมอีก

เสียงถกเถียงเงียบไปซักพักเมื่อต่างคนต่างกิน ถ้าไม่นับที่ไอ้ฟ้ามันทะเลาะกับไอ้ป่านเรื่องเอาข้าวซอยเนื้อกับไก่เทรวมกันเพราะที่วางจานไม่พออ่ะนะ

เพิ่งสังเกตุว่ากลุ่มคนที่เข้ามาใหม่เมื่อกี้กำลังส่งสายตามาที่โต๊ะผม ไอ้สามคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามมันไม่เห็นหรอกเพราะมันหันหลังให้ แต่เมื่ออีกคนที่นั่งหันหลังให้โต๊ะผมหันมาผมก็เลยเข้าใจ  คือ จำคนญี่ปุ่นที่ทะเลาะกับไอ้ปอวันนั้นได้ไหม ใช่ โยเนะมุระนั่นแหละ

ผมยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นทักทาย ไอ้สามตัวเลยทำหน้างงก่อนจะหันหลังกลับไปมอง

“ไอ้ตัวจี้ดนี่เอง” ไอ้ปอมันหันกลับมาทำหน้าเหม็นเบื่อนิดหน่อย แต่ก็นั่งกินข้าวต่อ

ที่โต๊ะนั้นกลุ่มใหญ่พอสมควร แต่ดูแล้วส่วนใหญ่เป็นคนไทยนะ มีญี่ปุ่นอยู่น่าจะสองสามคน และส่วนใหญ่ก็มีแต่ผู้หญิง ผมเห็นพวกเธอทำท่ากระซิบกระซาบอะไรกับโยเนะมุระก่อนจะดันให้ลุกขึ้นแล้วเดินมาทางที่พวกผมนั่งอยู่

“สวัสดี” โยเนะมุระทักทายพลางยิ้มน้อยๆ

“ขอผมนั่งตรงนี้นะ” พูดจบก็นั่งลงตรงที่นั่งฝั่งผมข้างๆพี่แดนเพราะผมนั่งอยู่ด้านในติดกระจกร้าน พี่แดนหันมามองหน้าผมก่อนจะขยับตัวชิดผมเข้ามาอีก

“ใครเขาให้นั่ง” ไอ้ปอมันพูดเสียงเรียบ

“ผมไม่ได้คุยกับคุณ” โยเนะมุระพูดกับไอ้ปอก่อนจะหันมาทางผมกับพี่แดน

“พอดีว่าเพื่อนผมอยากรู้จักเพื่อนคุณคนนี้” ถือว่าเป็นคำพูดที่ตรงมากครับ ไอ้น่านฟ้ากระซิบกระซาบอะไรกับไอ้ป่านอยู่พักนึงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้ม

“นั่นพี่ชายผม เขาไม่โสดแล้ว คุณพูดภาษาไทยเก่งจัง”

“ขอบคุณครับ” คนตัวเล็กทำตาโตแล้วส่งยิ้มให้ ผมอยากให้คุณมาเห็นหน้าไอ้ฟ้าตอนนี้จังว่ะ สายตาแม่งวิบวับเหลือเกิ้นนน

“คุณอยากรู้จักผมแทนไหม?” คนพูดมันยิ้มมุมปาก ร้อยทั้งร้อยคนที่ให้โยเนะมุระมาขอไลน์พี่แดนถ้าเห็นหน้าไอ้น่านฟ้าตอนนี้ล่ะก็ มีละลายคาพื้นแน่นอน

“คือเพื่อนผม…” คนตัวเล็กอ้ำอึ้ง แต่ผมแอบเห็นว่าโยเนะมุระหน้าแดงมากทีเดียว

“ผมหมายถึงคุณ” พรึ่บบบ หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงเข้าไปอีกแต่ก็พีคมากที่คนตัวเล็กๆพยักหน้ารับซะแบบนั้น

“รำคาญลูกตาว่ะ หลบดิ๊ไอ้เหี้ยฟ้า กูจะไปเยี่ยว” ไอ้ปอมันลุกขึ้นยืนแล้วใช้ขาเตะหน้าแข้งไอ้ฟ้าให้หลบทางแล้วพรวดพราดเดินออกไปแบบคนหัวเสีย ดูแล้วรู้สึกเกินเบอร์มากบอกเลย ผมเห็นไอ้ฟ้ามันหันไปมองหน้ากับไอ้ป่านก่อนที่จะอ่านปากไอ้ป่านได้ว่ามันพูดว่า “กูบอกแล้ว”

ผมกับพี่แดนนั่งกินข้าวต่อแบบไม่ได้สนใจว่าไอ้ฟ้ากับไอ้ป่านมันคุยอะไรกับโยเนะมุระต่อ แต่ซักพักคนตัวเล็กก็หันมาทางผมกับพี่แดนอีกครั้ง

“ไม่โสดแล้วจริงเหรอครับ?” ก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกหงุดหงิดกับคำถามนี้ขึ้นมาซะเฉยๆ

“จริงครับ” คนที่นั่งข้างผมตอบเสียงเรียบ

“ขอแค่ไลน์ได้ไหมครับ?” ผมเม้มปากเมื่อรอฟังคำตอบของคนข้างๆ ดูจากเสี้ยวหน้าแล้วดูพี่มันออกจะเริ่มไม่พอใจอะไรซักอย่าง

“ไม่ได้ครับ” สั้นๆได้ใจความ โยเนะมุระพยักหน้ารับก่อนจะขอตัวแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเองพอดีกับไอ้ปอที่มันเดินสวนกลับมาพอดี

ความหงุดหงิดของผมลดลงไปเมื่อเรากลับมานั่งกันแค่5คนเหมือนเดิม แต่ก็ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองไหมที่อยู่ๆก็รู้สึกว่าคนที่นั่งข้างๆกันดูเงียบไปแบบแปลกๆ ใบหน้าคมนั้นเรียบเฉย และมุมปากหยักก็ไม่ได้ยกยิ้มเวลาที่ฟังผมพูดเหมือนอย่างเคย ผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร


แต่แบบนี้ผมรู้สึกไม่ดีเลยว่ะ



xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


หว่ายยยยย น้องตังของแม่ยอมให้ผู้ชายจูบซะแล้วววววว >////////<


ขอบคุณทุกคนมากๆที่กดเข้ามาอ่านแล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์ด้วยค่ะ มันเป็นกำลังใจที่ดีมากๆเลย :pig4:
วันนี้ลงก่อนกำหนดหนึ่งวัน เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้มีทริปยาวไปถึงสิ้นเดือนเลยค่ะ ตอนหน้าจะมาทันวันที่30ไหมยังรับปากไม่ได้แต่จะพยายามมาให้เร็วที่สุดนะค้า ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปจนจบด้วยนะคะ :กอด1:

B2
Twitter : @B2YFICTION
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP15 - (un)Welcome Guest P.2 [19.10.18]UP!
เริ่มหัวข้อโดย: nlygust13 ที่ 19-10-2018 23:00:25
 :katai1:
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP15 - (un)Welcome Guest P.2 [19.10.18]UP!
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 20-10-2018 00:01:28
สังหรณ์ใจไม่ดีซะแล้ว  :katai1:
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP15 - (un)Welcome Guest P.2 [19.10.18]UP!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-10-2018 02:45:30
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ.....ไอ้พี่แดนเป็นอะไรไปอ่ะ  ตอนจบถึงมีอาการแปลกไป
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP15 - (un)Welcome Guest P.2 [19.10.18]UP!
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 22-10-2018 06:40:46
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP16 - Boyfriend :) P.2 [30.10.18] NEW UP!
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 30-10-2018 17:10:55
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#15




ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าวันหยุดของผมจะหมดไปด้วยความปวดประสาทเพราะไอ้น่านฟ้า แล้วที่ทำให้คิ้วกระตุกไม่หยุดอยู่ตอนนี้คืออะไรรู้ไหม คือผมเพิ่งรู้ว่าจริงๆแล้วมันมีคอนโดที่แชร์กันอยู่กับเพื่อนด้วยแต่มันไม่ยอมกลับไปนอน มันบอกว่ามันคิดถึงผมกับพี่ชายมันมากกกกกกกกกก แบบก.ไก่ล้านตัวน่ะ ดูความกวนตีนของมันก็แล้วกัน ส่วนเรื่องที่ผมคิดไปเองว่าพี่แดนมันดูนิ่งๆไป ผมก็คงจะคิดไปเองจริงๆนั่นแหละ เพราะเมื่อเช้าก่อนไอ้น่านฟ้าจะลากพี่มันออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนมัน พี่แดนก็ยังทำอาหารเช้าเตรียมไว้ให้ผมอยู่เลยนะ

อืม….

ส่วนวันนี้จะเรียกว่าเป็นวันที่เงียบที่สุดตั้งแต่มาฝึกงานที่นี่เลยก็ว่าได้ ทำไมน่ะเหรอครับ ก็เพราะทั้งห้องเหลือแค่ผมกับพี่แพรวอยู่น่ะสิ เงียบจนผมเผลอคิดว่านั่งอยู่คนเดียวมาหลายทีแล้วเนี่ย ใครก็ได้ช่วยกลับเข้ามาซักคนเถอะ กูขอล่ะ

ผมนั่งไถหน้าจอโทรศัพท์เพราะว่านอกจากห้องมันจะเงียบแล้วผมยังว่างด้วยไง แต่ที่ต้องนั่งอยู่ก็ด้วยเหตุผลที่ว่าเผื่อคนญี่ปุ่นเขาต้องการอะไรผมจะได้คอยซัพพอร์ตได้ วันนี้ไอ้ป่านก็ยังคงไปอยู่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนอิเคดะซังที่ถูกรถชนเหมือนเคย ดูท่าทางจะกลายเป็นเพื่อนซี้กันไปแล้ว ไอ้ป่านมันเล่าว่าอิเคดะซังเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก แต่ที่ไม่คิดจะจีบก็เพราะว่าแฟนเธอเป็นนักมวย ลองคิดถึงหน้าแข้งพี่บัวขาวดูสิครับ เออ เป็นผมก็ไม่เสี่ยงหรอก

ป๊อบอัพแจ้งเตือนไลน์เด้งขึ้นมาทำให้ผมต้องกดเข้าไปดูเผื่อไอ้สองแฝดมันจะมีอะไรอัพเดท แต่ก็เปล่าครับ เป็นพี่แดนที่ส่งข้อความมาแทน

‘อยากได้อะไรไหม พี่อยู่พารากอน’
                                                                                                 
‘อยากกินขนม’ ผมพิมพ์ตอบกลับไป ก็ใกล้เที่ยงแบบนี้จะอยากได้อะไรล่ะนอกจากของกิน

อีกฝ่ายส่งสติ๊กเกอร์รูปแมวพร้อมคำว่าOKมาให้ บางทีผมก็อยากรู้นะว่าใครซื้อสติ๊กเกอร์ให้แม่งวะ แต่ละอันไม่ได้เข้ากับหน้ามันเล้ยยย



วันนี้ผมเลือกที่จะกินข้าวกลางวันที่Food courtในตึกแทนการเดินตากแดดหัวไหม้ออกไปกินข้างนอก จริงๆมันก็สบายดีนะ มีแอร์ด้วย

แต่....จะมองอะไรกูกันหนักหนาวะ นั่งกินข้าวคนเดียวมันแปลกมากหรือไง?

ผมมองหน้าคนที่อยู่ในรัศมีใกล้ที่สุด ดูจากยูนิฟอร์มแล้วน่าจะเป็นหนุ่มออฟฟิศจากชั้นล่าง พอเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า แม่งกลับฉีกยิ้มโชว์ฟันเกือบหมดปากให้ผมดูซะงั้น ห่าราก ไม่พอแค่นั้นนะ ยังทำท่าจะลุกเดินเข้ามาหาผมอีก แต่โชคดีที่โทรศัพท์ผมดังซะก่อนเลยรีบรับรีบลุกขึ้นเดินหนีมาได้ทัน

“พี่กดขึ้นมาชั้น 7 เลย” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีเมื่อรู้ว่าใครเป็นคนโทรมา ตอนนี้ผมก็ยืนอยู่แถวๆหน้าลิฟท์น่ะแหละ ซักพักพี่มันก็มาถึงพร้อมๆกับคนอื่นๆที่โดยสารลิฟท์มาด้วย

“แล้วไอ้ฟ้าล่ะ” ผมถามเพราะไม่เห็นเงาหัวมันตามมาด้วย

“คุยกับอาจารย์อยู่ที่มหาลัยน่ะ” ผมพยักหน้ารับ เออลืมไปเลยว่ามหาลัยมันอยู่แถวนั้น

“แล้วพี่กินอะไรมาหรือยัง?”

“ยังเลย”

“งั้นกินนี่เลยไหม?” ผมถามแบบไม่รอคำตอบก่อนจะเดินนำพี่มันเข้าไปในFood courtอีกครั้ง โต๊ะเดิมที่ผมนั่งมันยังว่างอยู่เหมือนเดิม ต่างจากเดิมตรงที่จานข้าวที่ผมกินอยู่เมื่อกี้มันหายไปแล้ว ป้าแม่บ้านที่นี่ขยันโคตรๆบอกเลย

“พี่จะกินอะไรอ่ะ”

“ได้ทุกอย่างครับ”

“งั้นรอนี่แหละ เดี๋ยวผมไปสั่งเอง” พูดจบผมก็ผละออกไปต่อคิวที่ร้านขายบะหมี่ ร้านนี้คนค่อนข้างเยอะ เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะมันอร่อยที่สุดในนี้แล้วไง

“แกกกก คนนั้นหล่อมากกก”

“เออ ฉันกะแล้วว่าแกต้องมองเหมือนกัน”

“อยู่ชั้นไหนวะ ฉันจะได้ไปดักรอถูก”


เสียงของผู้หญิงที่เดินมายืนต่อหลังทำให้ผมหันไปมองตามอย่างอัตโนมัติ ความเสือกมันอยู่ในสันดานอ่ะบอกเลย ในนี้จะมีคนหล่อกว่ากูคนนี้อีกเหรอ

อืม….เป๊ะเลย

ก็จะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่พี่มันน่ะ!

ชิ ยอมรับก็ได้ว่าพี่มันโคตรเด่น ทั้งๆที่ตรงนั้นมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมดแต่ผมก็มองเห็นมันได้แบบไม่ต้องหาอยู่ดี

จะว่าไปช่วงนี้พี่มันผมยาวขึ้นนะ ผมมองคนที่นั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองนิ่งๆ พี่มันจะรู้ตัวไหมว่ากำลังเป็นเป้าสายตาของคนเยอะแยะไปหมด

“คุณๆ” เสียงเรียกจากคุณป้าร้านบะหมี่เล่นเอาผมสะดุ้งก่อนจะรีบเดินเข้าไปสั่งบะหมี่พิเศษ2ชามแล้วถอยออกมายืนรอ ไม่นานก๋วยเตี๋ยวชามโตก็ถูกวางไว้บนถาดให้ผมยกเดินผ่านพวกผู้หญิงที่ต่อหลังผมไปที่โต๊ะ

“ฮรื้ออ คนนี้ก็น่ารักมากก” 




“เจอกันตอนเย็นนะ” พี่แดนส่งถุงขนมจากร้านโปรดของผมมาให้ (จะว่าไป ไม่ว่าจะเป็นผมคนไหนขนมร้านนี้ก็ยังเป็นร้านโปรดอยู่ดี) จริงๆผมกินไปเยอะแล้วเมื่อกี้แต่เพราะพี่มันซื้อมาเยอะมากก็เลยต้องถือมาด้วย จะได้เอาไว้แบ่งคนอื่นๆบ้าง

“อื้อ” ผมรับถุงขนมใบใหญ่มาถือไว้ก่อนจะยกมือบายๆ มุมปากหยักนั้นยกยิ้มก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะยีหัวผมเบาๆเหมือนเคย

“ผมยุ่ง!” ผมใช้มือข้างที่ว่างดึงมือของคนที่กำลังหัวเราะออกจากหัวตัวเอง ไม่ทันได้คิดอะไรอยู่ๆลิฟท์ตรงหน้าก็เปิดออกพร้อมกับพนักงานคนญี่ปุ่นสองสามคนที่เดินออกมาทำให้ผมผละออกจากพี่แดนอย่างอัตโนมัติ

“ผมไปนะ” พูดจบผมก็หันหลังเดินออกมาจากตรงนั้นเลย ไม่ทันได้มองว่าพี่มันจะลงลิฟท์ไปแล้วหรือยัง จะว่าผมคิดไปเองก็ว่าเถอะ แต่ผมไม่ชอบสายตาของคนพวกนั้นที่มองมาเลยมันดูมีนัยแปลกๆซ่อนอยู่ยังไงก็ไม่รู้   




ในที่สุดคำขอของผมก็เป็นจริงตอนบ่าย 3 แต่มันเป็นอะไรที่น่าแปลกใจมากเมื่อคนที่กลับมาเป็นไอ้ปอที่ปกติมันจะกลับมาก็เกือบเลิกงานแล้วทุกที

“เป็นไรวะ?” ผมถามคนที่เอาแต่จ้องออกไปที่หน้าต่างกระจกฝั่งออฟฟิศคนญี่ปุ่น

“เปล่า” มันหันมายักไหล่ก่อนจะหยิบโดนัทออกจากถุงมานั่งกิน

“พี่แดนมาเหรอ?”

“เออ”

“แล้วไอ้ฟ้า…” มันพูดเหมือนจะถามอะไรซักอย่างแต่ก็ชะงักไว้แค่นั้นก่อนจะหยิบโดนัทอีกชิ้นมากินเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้พูดอะไร

“มันไม่ได้มาด้วย” ผมก็พูดแบบเดาส่งๆไปงั้น แต่แอบเห็นนะว่ามุมปากมันกระตุกยิ้มน้อยๆ

“แล้วผัว โอ๊ย” ผมขว้างยางลบใส่หน้ามันทั้งๆที่มันยังพูดไม่จบ สำเนียกไว้บ้างสิโว้ยว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยน่ะ ถึงเขาจะนั่งเงียบเป็นรูปปั้น แต่ก็เขามีหูป่ะวะ

“พูดดีๆ” ผมกระแอมเสียงขรึม ไอ้ปอมันพยักหน้า แต่รอยยิ้มชั่วๆของมันก็ยังคงฉายอยู่

 “แล้วพี่เขามาทำไมวะ หรือแค่เอาขนมมาให้เมียอย่างเดียว” ไอ้เหี้ยปอมึงนี่ไม่มีความยำเกรงกูบ้างเลยเนอะ ไอ้เพื่อนเหี้ย!

‘ปึ่ก!’

ผมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อกระทืบเท้าผิดเป้าหมาย ไอ้เพื่อนนรกมันหัวเราะร่วนเมื่อยกขาหลบตีนผมได้แบบหวุดหวิด มันลุกขึ้นก่อนจะชะโงกหน้ามากระซิบที่ข้างหูผมแบบไม่ดังนัก

“มึงน่ะแหละที่ทำตัวมีพิรุธ”

“พี่แพรวครับ ปอไปห้องน้ำนะ” เงยหน้าขึ้นได้มันก็พูดทิ้งท้ายแล้วฉีกยิ้มกว้าง พี่แพรวเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ก่อนจะพยักหน้างงๆว่ามึงจะบอกกูทำไมก่อนจะกลับไปมองที่หน้าจอตัวเองอีกครั้ง

บางทีกูก็สงสารตัวเองนะที่ต้องมาเป็นเพื่อนกับไอ้พวกเหี้ยนี่เนี่ย กวนประสาทกูกันจัง ห่าราก




ผมทาบคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูห้องเหมือนอย่างเคย แต่ที่แปลกคือถึงแอร์และไฟที่ห้องนั่งเล่นจะเปิดอยู่แต่มันไม่มีวี่แววว่ามีคนอยู่เลยซักคน

“เมี๊ยว” เจ้าก้อนกลมมันทักทายก่อนจะเดินเข้ามาเอาหัวถูไถกับของขาผม

“เจ้ามนุษย์พวกนั้นไปไหนกันหมด หื้ม” ผมอุ้มก้อนนิ่มๆขึ้นมาจ้องหน้าก่อนจะปล่อยมันลงสู่พื้นห้องอีกครั้ง

“พี่แดน”

เงียบ...

“ไอ้ฟ้า”

เงียบ…

แม่งพากันหายหัวไปไหนหมดวะ

ผมล้วงเอาไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดโทรออก แต่เสียงเรียกเข้าที่ได้ยินมันกลับดังอยู่ในห้องนอน พอผลักประตูเข้าไป ก็มีแค่โทรศัพท์เครื่องบางสีดำที่กำลังส่งเสียงดังอยู่บนโต๊ะ

“ไปไหนวะ”

พอขี้เกียจจะหาคำตอบแล้วก็เลยเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่น คว้ารีโมทย์มากดเปิดทีวีก่อนจะโยนมันไว้ใกล้ๆมือเผื่ออยากจะเปลี่ยนช่อง เจ้าก้อนกลมกระโดดขึ้นโซฟามานอนขดอยู่ๆใกล้ๆเลยมีขนนิ่มๆให้ลูบเล่นแก้เบื่อ

จริงๆเปิดทีวีไปก็ไม่ได้ดูหรอกเพราะตาก็มองแต่หน้าจอโทรศัพท์ มืออีกข้างที่ว่างก็สไลด์หน้าจอไปมา เข้าแอปนู้นแอปนี้ไปเรื่อยก่อนจะไปหยุดอยู่ที่อินสตาแกรมส่องสตอรี่ของชาวบ้านชาวช่องไปเรื่อยเปื่อย จนถึงสตอรี่ของไอ้ตัวป่วนประสาทอย่างไอ้ฟ้า

อันแรกเป็นรูปถุงนาฬิกาข้อมือของVestalพร้อมแท็กชื่อใครซักคนพร้อมแคปชั่นว่า “จะเอามั๊ยไอ้สัด”

อันที่สองเป็นภาพแคปหน้าจอประวัติการเล่น ROV แล้วแท็ก @kamipaan พร้อมแคปชั่น “คนจริงไม่พูดเยอะ เจ็บคอว่ะ”

ส่วนอันสุดท้ายเป็นวีดีโอที่ถ่ายในฟิตเนส มันแท็ก @dindanvongvrp ตรงเงาของคนที่สะท้อนอยู่ด้านหลัง อ๋อ...แม่งหนีกูไปฟิตเนสกันนี่เอง ผมยู่หน้าอย่างหมั่นไส้ก่อนจะวางมือถือลงข้างๆ แล้วเอนตัวลงนอนแบบคนขี้เกียจ

แต่จะว่าไปกูก็หิวเหมือนกันนะเนี่ย....

จากที่ตั้งใจจะลงไปร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใต้คอนโดก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องฟิตเนสได้ยังไง พอเห็นคนเดินออกจากลิฟท์ที่ชั้นนี้ก็เดินตามเขาออกมาซะเฉย แล้วกูก็แต่งตัวเข้ากับบรรยากาศมาก เสื้อเชิตสีขาวพับแขนกับกางเกงขาเดฟสีดำรองเท้าอีหนีบซะด้วย

มองผ่านกระจกเข้าไปซักพักก็เห็นพี่มันจนได้ แต่พี่มันยังไม่เห็นผมหรอกเพราะมันกำลังหันข้างให้ผมอยู่ วันนี้พี่มันใส่เสื้อคัตออฟสีขาวกับกางเกงกีฬาขาสั้นสีดำ บางทีก็อยากจะบอกมันนะว่าถ้าแขนเสื้อมันจะคว้านลึกจนเลยลงไปเห็นหน้าท้องขนาดนั้นล่ะก็...

มึงไม่ต้องใส่แม่งหรอก ถอดไปเลยเถอะ!

แล้วยิ่งมองด้านข้างนี่ยิ่งเห็นชัด คิดดูนะว่าขนาดยืนอยู่ไกลขนาดนี้ยังเห็นแล้วรอบข้างตรงนั้นจะเห็นชัดขนาดไหน ท่อนแขนแข็งแรงที่ดึง Pull down machine ขึ้นลงช้าๆยิ่งทำให้เห็นกล้ามแขนได้ชัด และแม่งต้องมีสมาธิขนาดไหนวะที่จะไม่สนใจสายตาหลายคู่ที่กำลังจับจ้องมันอยู่ เห็นแล้วก็หงุดหงิดยังไงบอกไม่ถูก

ไม่รู้ว่าผมเผลอยืนมองพี่มันอยู่นานขนาดไหนรู้ตัวอีกทีใบหน้าคมก็หันมามองทางผมแล้ว มุมปากหยักยักยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะพูดแบบไม่มีเสียงซึ่งผมพอจะอ่านปากได้ว่า “มานี่หน่อยครับ”

อืม...เป็นอะไรที่ผมต้องชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมทำตามที่พี่มันบอกอยู่ดี

จังหวะที่กำลังเดินเข้าไปอยู่ๆก็มีผู้หญิงคนนึงเดินเข้าไปหาพี่มันซะก่อน บอกได้คำเดียวว่าเธอหุ่นดีมาก เส้นผมสีดำขลับถูกรวบมัดไว้อย่างดี และที่สำคัญเธอยิ้มสวย สวยมากซะด้วย

ผมชะงักเท้าที่กำลังเดินตรงเข้าไปหาเป้าหมาย แต่พอพี่มันหันมามองที่ผมเมื่อทักทายกับผู้หญิงคนนั้นเสร็จแล้ว ก็ทำให้ผมตัดสินใจเดินหน้าต่อ

“มารอพี่นานหรือยังครับ” พี่แดนมันพูดกับผมพร้อมๆกับฝ่ามือกว้างที่ยื่นมาเกี่ยวฝ่ามือผมไปจับไว้

“แค่ผ่านมาหรอก” ถึงจะตอบไปแบบนั้นผมก็ยังยืนนิ่งให้พี่มันจับมือไว้อยู่ดี ทั้งๆที่รู้ว่ามีคนกำลังจ้องมองเราอยู่ รวมทั้งผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆผมก็ด้วย

“นี่พี่หลิว ที่พี่เคยเล่าให้ตังฟังไง” พี่มันแนะนำ แต่เออผมไม่รู้ว่ามันเคยเล่าให้ผมฟังตอนไหนหรอกนะ ใบหน้าเธอดูเจื่อนๆไปเมื่อได้ยินพี่แดนเรียกชื่อผม ไม่ต้องเดาให้เมื่อยหรอกบอกได้เลยว่าเธอคงไม่อยากรู้จักผมซักเท่าไหร่

“สวัสดีครับ” ผมทักทายตามมารยาท เพราะถึงเธอจะสวยจนผมแอบใจสั่นแต่ผมก็ไม่ค่อยจะชอบเธออยู่ดี คุณนึกออกไหม เวลาถูกคนทำท่าทางเหมือนไม่ค่อยจะชอบขี้หน้าทั้งๆที่เราไม่ได้ทำอะไรให้อ่ะมันรู้สึกยังไง

“ค่ะ” เธอตอบรับคำทักทายผมแค่สั้นๆก่อนจะหันไปชวนพี่แดนคุยเกี่ยวกับการออกกำลังกายอะไรซักอย่างที่ผมไม่เข้าใจเพราะไม่ได้ตั้งใจฟัง ไอ้นี่ก็ยังคุยกับเขาอยู่ได้ กูเริ่มจะหงุดหงิดแล้วนะ หิวข้าวก็หิว

ซักพักไอ้ฟ้ามันก็เดินเช็ดเหงื่อลงมาจากลู่วิ่งที่อยู่ไม่ไกล มันมองหน้าผมก่อนจะหันไปมองหน้าผู้หญิงคนนั้น

“กูหิว ไปแดกข้าวกันฟ้า” ผมดึงมือออก แต่ก็ดึงไม่ออกเพราะคนที่กุมมือผมไว้มันไม่ยอมปล่อย ไอ้ฟ้ามันไม่ได้ตอบรับคำพูดของผม แต่มันกลับยิ้ม

“ขอโทษนะครับพี่หลิว แต่แฟนผมรอนานแล้ว” พี่แดนมันพูดออกไปแบบนั้นทั้งๆที่ผู้หญิงคนนั้นยังพูดไม่จบ พร้อมกับกระชับฝ่ามือผมให้แน่นขึ้นแล้วพาผมเดินออกไปจากตรงนั้นโดยไม่ได้ล่ำลาหรือรอคำตอบรับอะไรจากอีกฝ่าย

“แล้วเจอกันอีกนะครับพี่คนสวย” ได้ยินเสียงไอ้ฟ้ามันพูดทิ้งท้ายแบบนั้นก่อนจะเดินตามพวกผมออกมาอีกคน

ผมรู้สึกว่าตอนนี้สมองมันอื้อๆมึนๆแปลกๆแต่ก็ทุ้มในใจอย่างบอกไม่ถูก ฝ่ามือที่ถูกกระชับเอาไว้ด้วยฝ่ามือกว้างมันทำให้รู้สึกอุ่นใจจนปฏิเสธไม่ได้เลยต้องปล่อยเลยตามเลยให้พี่มันจับจูงไปแบบนั้น




“ไข่เจียวก็ได้” ผมบอกคนที่กำลังหยิบนู่นนี่นั่นออกจากตู้เย็นมาวางไว้บนโต๊ะเพื่อที่จะเริ่มลงมือทำอาหารเย็น ซึ่งมันก็เลทมากแล้วสำหรับคำว่าอาหารเย็นน่ะนะ

“ผมโคตรหิวเลย”

“โอเค รอแปบนะ” ผมพยักหน้าเออๆออๆไป จริงๆถ้าเมื่อกี้ลงไปถึงเซเว่นล่ะก็คงอิ่มไปแล้ว ไม่ต้องไปเสียอารมณ์กับคนบางคนด้วย

“อันนี้ขอผมทำเอง” ผมแย่งไข่ไก่ฟองโตจากมือพี่มันมาตอกลงในชามก่อนจะใช้ส้อมมาตีมันจนเกิดฟอง

“อ่ะ พี่ปรุงดิ่” ผมหยุดมือที่กำลังตีไข่แล้วหันไปเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนที่พี่มันจะพูดเจือเสียงหัวเราะเบาๆ

“ไหนบอกจะทำเองไง”

“กลัวกินไม่ได้ว่ะ” ผมตอบออกไปตรงๆ พี่แม่งยิ่งหัวเราะดังกว่าเดิม เดี๋ยวเหอะนะ เดี๋ยวมึงจะเจอฤทธิ์คนโมโหหิว

“หยิบซอสฝาสีเหลืองมาสิ”

“อ่ะ” ผมยื่นให้แต่แทนทีพี่มันจะรับมันกลับเดินอ้อมมาซ้อนอยู่ข้างหลังผมก่อนจะเปิดฝาขวดซอสที่ผมถืออยู่แล้วทาบฝ่ามือกว้างลงบนมือผม

“ใส่ประมาณนี้” เสียงทุ้มดังขึ้นที่ข้างหูแบบไม่ดังนัก

“คนต่อสิครับ” ได้ยินว่าพี่มันพูดแบบนั้นแต่ผมกลับยืนทื่อ ไม่รู้ว่าทำไมแต่รู้สึกว่ามือไม้ตัวเองมันเกะกะไปหมด

“หึ้ย! ไม่ทำแล้ว” ผมผละออกจากทุกอย่างตรงหน้าก่อนจะหันกลับไปทางคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง

แต่กูพลาด พลาดอีกแล้วโว้ย!

พี่แดนมันท้าวแขนทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ผมถูกขังอยู่ในวงแขนมันไปซะแล้ว ใบหน้าคมที่จุดรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากค่อยๆโน้มลงมาหาผมช้าๆจนต้องหลับตาลงก่อนจะรับรู้ได้ถึงความอุ่นจากริมฝีปากบางที่ข้างแก้ม และไม่ทันได้โต้แย้งอะไรความอุ่นนั้นก็ย้ายมาจบลงที่ริมฝีปาก ผมอ้าปากรับปลายลิ้นร้อนทันทีที่ถูกกระตุ้น

ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกันที่เผลอต้อนรับพี่มันมันด้วยปลายลิ้นของตัวเองอย่างไม่ยอมแพ้

“พี่...” ผมพูดออกไปทั้งๆที่ยังหอบหายใจโดยที่ใบหน้าคมนั่นอยู่ห่างจากผมแค่ไม่ถึงคืบ ก็ไม่รู้ว่าเรียกสติพี่มันหรือตัวเองกันแน่เมื่อผมยังเอาแต่มองจ้องริมฝีปากบางนั่น

ปลายนิ้วโป้งอุ่นๆถูกส่งมาคลึงบนริมฝีปากผมเบาๆก่อนที่พี่มันจะผละตัวเองออก แต่ก็ยังไม่วายที่จะฝังปลายจมูกโด่งลงที่ข้างแก้มผมอีกครั้งแล้วหยิบชามไข่บนโต๊ะเลี่ยงไปที่หน้าเตาแก๊ซ ปล่อยให้ผมยืนเก้ๆกังๆอยู่ซักพักก่อนจะตัดสินใจหมุมตัวเดินออกจากครัวเพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม

แต่… ก็นั่นแหละ ใครบางคนที่ยืนกอดอกพิงเค้าท์เตอร์หน้าครัวมันกำลังยืนทำหน้าล้อเลียนผมอยู่

โว้ยยย แม่งมายืนดูอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย!

“นึกว่าจะต้องลงไปหาอะไรแดกเซเว่นแล้ว” มันยื่นหน้ามากระซิบข้างหูผมก่อนจะรีบชิ่งออกไปอย่างเร็ว แล้วคิดว่าผมจะยอมเหรอ

“ไอ้เหี้ยฟ้า!”


ถ้าวันนี้ผมไม่ได้ถีบหน้ามันล่ะก็ ผมยอมให้เรียกผมว่าไอ้หมาตังเลยเอ้า!



xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


หว่ายยยยย หน่องตังของแม่โดนพี่เขาจูบอีกแล้วววววว >////////<
ส่วนตอนต่อไปนั้น... :hao5:  :katai1:


ขอบคุณทุกคนมากๆที่กดเข้ามาอ่านแล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์ด้วยค่ะ มันเป็นกำลังใจที่ดีมากๆเลย :pig4:
ตอนหน้าจะพยายามไม่ให้เกินวันที่ 10 นะคะ งานยุ่งมากกกก  :katai1:
ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปจนจบด้วยนะคะ :กอด1:

B2
Twitter : @B2YFICTION
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP16 - Boyfriend :) [30.10.18] NEW UP! P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 30-10-2018 22:45:27
 :pig4: :pig4: :pig4:

แทงคิ้ว
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP16 - Boyfriend :) [30.10.18] NEW UP! P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 02-11-2018 01:57:41
รอค่า
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN : : ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP16 - Boyfriend :) [30.10.18] NEW UP! P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-11-2018 10:04:55
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: BEGIN AGAIN :: ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP17 Fallin' All in You [10.11.18 UP!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 10-11-2018 14:58:35
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#17



หมดไปอีกวันกับการฝึกงาน วันนี้มันก็เรื่อยๆไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ดีแค่ตรงที่ว่าวันนี้ผมมีไอ้ป่านอยู่เป็นเพื่อนทั้งวันเพราะภารกิจเฝ้าอิเคดะซังคอมพลีทแล้วน่ะแหละ  เออ วันนี้เธอมาทำงานด้วยนะ น่ารักสมกับที่ไอ้ป่านมันเล่าจริงๆด้วย

“อ่าว น้องตัง” เสียงทักจากทางด้านหลังเรียกให้ผมหันกลับไปมอง

“พี่ปอนด์ หวัดดีครับ”

“หวัดดีครับ ทำไมมายืนตรงนี้คนเดียวล่ะ?” คนถามยิ้มมุมปากเล็กๆก่อนจะเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“พอดีรอคนมารับน่ะครับ” ใช่แล้ว ตอนนี้ผมยืนหัวโด่รอไอ้พี่แดนอยู่ตรงข้างร้านกาแฟหน้าตึก ก็ร้านที่ผมเคยมานั่งกินกาแฟรอไอ้ปอกับพี่ปอนด์น่ะแหละ

วันนี้ผมไม่ได้ขับรถมาเองเพราะพี่แดนมันชวนไปตัดผมที่สยาม พี่มันเลยขับรถมาส่งเมื่อเช้าเพราะจะได้ไม่ต้องเอารถออกหลายคัน

“ไปนั่งรอในร้านกาแฟด้วยกันไหม?”

“คือ...วันนี้ผมคงไม่สะดวกครับ” ผมปฏิเสธ พี่ปอนด์เลิกคิ้วเหมือนสงสัยอะไรซักอย่างก่อนจะพยักหน้ารับแกนๆแล้วส่งยิ้มเล็กๆมาให้

“งั้นพี่ไปนะครับ ไว้เจอกันนะ”

“ครับ”

ผมล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบเจ้าไอโฟนออกมาดูเวลา คนที่บอกว่ากำลังจะมาถึงเมื่อ 5 นาทีที่แล้วตอนนี้มันอยู่ไหนวะ แต่ไม่นานรถสีขาวคันเดิมก็มาจอดเทียบที่ฟุตบาตข้างหน้า ผมเปิดประตูก่อนจะแทรกตัวเข้าไปนั่งทันทีเพื่อที่พี่มันจะได้ไม่ต้องจอดนาน ไม่ใช่อะไรหรอก มันจะขวางทางคนอื่นเขาน่ะ

“มายืนรอนานหรือยัง?” พี่มันเอ่ยถาม ผมส่ายหัวก่อนจะตอบ

“แปบเดียว แต่หิวมากกกก” ผมลากเสียงยาว พี่มันหัวเราะก่อนที่ฝ่ามือใหญ่ๆจะยื่นมายีหัวผมเบาๆ

“แล้วจะกินอะไร?”

“อืม...รางเมงมะ?” ผมเสนอ

“อ่าหะ”

“หรือจะเป็นชาบูดีอ่ะ”

“แล้วแต่ครับ”

“ไม่เอาๆ เนื้อย่างดีกว่า” ผมบอก แต่คราวนี้พี่มันเงียบแฮะ

“พี่” ผมสะกิดมือที่วางอยู่บนเกียร์เบาๆเพื่อให้พี่มันหันมาหา 

“ส้มตำไก่ย่างก็น่ากินเนอะ” ผมหัวเราะแหะๆก่อนจะชี้ไปที่หน้าต่างรถฝั่งตัวเอง ก็ตอนนี้รถมันติดอ่ะ ละแบบบนฟุตบาตเป็นร้านขายอาหารอีสานไง คนยืนมุงกันเพียบเลย สงสัยจะอร่อย

“อ่าหะ”   

“แต่...เอาไว้ไปถึงสยามก่อนก็ได้” ผมพูดเสียงอ่อย พี่มันหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมต้องหันหน้าหนีไปอีกทางเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรโต้ตอบออกไป

“พี่อนุญาติให้หลายใจได้เฉพาะเรื่องกินนะครับ”

หึ้ยยยยยยยยยยยยยยยย บ้าบอ!




“เฮ้อออ” ผมถอนหายใจแล้วทิ้งตัวไถลลงกับโซฟาทันทีที่กลับมาถึงห้อง สรุปไอ้ที่คิดว่าจะกินนั่นกินนี่ก็จบด้วยราเมงนั่นแหละง่ายสุดละ จากนั้นก็ไปตัดผม และโชคดีเรื่องเดียวของวันนี้ก็คือช่างประจำของผมคิวว่างพอดี

เออ ผมทำสีผมใหม่ด้วยนะ เป็นสีเทาหม่นแต่ออกเข้มเหมือนสีควันบุหรี่แต่เข้มกว่า คิดภาพกันออกไหมอ่ะ แต่เอาเถอะ พูดง่ายๆว่ามันเท่โคตร เท่จนใครบางคนมันทำตามอ่ะ แต่แม่ง ทำออกมาแล้วดันดูดีกว่ากูเนี่ยสิ ชิส์

“พี่แดน แล้วไอ้ฟ้าอ่ะ?” ผมถามเมื่อไอ้คนที่ผมกำลังนินทาในใจมันเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผมสีเทาหม่นๆสะท้อนกับแสงไฟยิ่งทำให้หน้ามันดูเด่นขึ้นไปอีก พี่มันยกยิ้มมุมปากก่อนจะตอบคำถามผมด้วยน้ำเสียงสบายๆ 

“ไล่ไปแล้ว”

“เอาจริงดิ่?”

“จริง” พี่มันย้ำเสียงกลั้วขำก่อนจะทิ้งตัวลงมานอนหนุนตักผมซะดื้อๆ ดวงตาคมปิดลงครู่หนึ่งจนเห็นแพขนตายาวก่อนจะลืมขึ้นมองหน้าผมพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ที่คว้ามือผมไปจับเอาไว้โดยที่พี่มันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

“หนักนะเนี่ยะ” ผมแกล้งขยับขาไปมาเมื่ออยู่ดีๆพี่มันก็ถือถือวิสาสะจูบหลังมือผมซะเฉยๆแถมยังจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อยอีกต่างหาก

“ยังอีก” ผมเหล่ตามองคนที่ยังนอนยิ้มจนตาหยี่แบบไม่สะทกสะท้านอะไรใดๆทั้งสิ้น

“พี่แดน!”

“โอเคๆ ยอมแล้วครับ” ปากก็พูดแบบนั้นแต่หน้าตาก็ไม่มีสำนึกอะไรหรอก พี่มันยังคงยิ้มแต่ก็ยอมดีดตัวลุกขึ้นนั่ง

“ปล่อยมือด้วยสิ” ผมหรี่ตามองฝ่ามือใหญ่ที่ยังจับมือผมไว้ไม่ยอมปล่อย แต่พี่มันยังทำหูทวนลม

“ต้องจูบก่อน”

“......” ไอ้ ไอ้ ไอ้บ้า! ผมถลึงตาใส่ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างตีแรงๆที่หน้าอกแกร่งแต่ก็ต้องโดนพี่มันยึดมือไปด้วยอีกข้างจนได้ แถมยิ่งผมพยายามดึงออกมันก็ยิ่งแน่น เออ กูซึ้งละว่าการไม่ออกกำลังกายมันทำให้ง่อยแบบนี้นี่เอง ห่า สะบัดยังไงก็ไม่หลุด

“งั้นก็จับไปจนตายเลยนะ” ผมกระแทกเสียงใส่เมื่อขี้เกียจจะสู้ มุมปากบางหยักยิ้มน้อยๆก่อนจะคลายความแน่นของฝ่ามือออก แต่ก็ยังจับไว้อยู่ดี

“จนตายก็ไม่ปล่อย” ผมเม้มปากแน่นเมื่ออยู่ๆความร้อนก็ฉาบไปทั่วทั้งใบหน้า น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั่นกระแทกเข้ามาในอกจนเหมือนหัวใจของผมจะปลิดปลิวออกมากับคำพูดนั้นเสียให้ได้

ดวงตาคมที่จ้องมามันทำให้ผมไม่สามารถจะละสายตาตัวเองที่จ้องมองตอบกลับไป และระยะของสายตามันก็สั้นขึ้นเรื่อยๆจนผมต้องหลุบตาลงเมื่อลมหายใจของเราทั้งคู่ต่างก็ปะทะกันอยู่บนปลายจมูก

ลิ้นร้อนที่ค่อยๆสอดแทรกเข้ามาในห้วงจังหวะหายใจทำให้ผมต้องเปิดปากออกและตอบสนองมันด้วยปลายลิ้นของตัวเองก่อนที่จะปล่อยให้แรงโน้มถ่วงดึงตัวผมให้เอนราบลงไปกับโซฟาโดยที่ริมฝีปากก็ยังถูกพี่มันถือวิสาสะครอบครองอยู่แบบนั้น

ผมก็ไม่รู้ว่าเราจูบกันอยู่นานแค่ไหน รู้เพียงแต่ว่ายิ่งเราจูบกันนานขึ้นเท่าไหร่ ความต้องการในสิ่งที่มากกว่าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว

“อืม….” ริมฝีปากชื้นที่ลากไล้รอยจูบไปถึงแอ่งชีพจรนำพาความซ่านแล่นริ้วไปถึงปลายเท้าจนผมต้องเม้มริมฝีปากเมื่อระงับเสียงครางของตัวเองไม่ไหว

“ทำกันนะ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นติดริมฝีปากเรียกให้ผมต้องลืมตาขึ้นมองเจ้าของน้ำเสียงนั้นช้าๆ ดวงตาคมที่กำลังจ้องมองมามันบอกความหมายของสิ่งที่เจ้าของมันต้องการได้อย่างชัดเจน 


และทั้งๆที่ผมเข้าใจความหมายนั้น…

แต่ผมก็ยังหลับตาลงเพื่อเป็นคำตอบของคำถามอยู่ดี



“ไปที่เตียงกันเถอะ”


ผมแทบจะตั้งตัวอะไรไม่ทันอีกเลยหลังจากประโยคนั้นเพราะทันทีที่แผ่นหลังของผมสัมผัสกับเตียงกว้างพี่แดนก็กดจูบลงมาทันที ริมฝีปากร้อนนั่นแทบจะทำให้ผมหายใจผิดจังหวะ และไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ผมครางประท้วงพี่มันก็จะผละออก แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นแล้วก็ย้ำลงมาใหม่ ผมไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่ากระดุมเสื้อนักศึกษาเม็ดสุดท้ายหลุดออกไปตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีริมฝีปากร้อนๆนั่นก็ลากไล้ทิ้งรอยสัมผัสไว้ทั่วผิวเนื้อผมแล้ว

“อื้อ…” ผมเกร็งตัวแน่นเมื่อปลายลิ้นร้อนถูกลากผ่านจุดอ่อนไหวบนหน้าอก ก่อนที่มันจะวนกลับมาดูดเม้มย้ำๆหลายทีจนผมต้องกัดปากแน่น

“พี่….” ผมท้วงเมื่อริมฝีปากร้อนนั่นเริ่มจาบจ้วงต่ำลงไปจนถึงหน้าท้อง ความซ่านแล่นริ้วไปตามผิวหนังจนผมต้องจิกปลายนิ้วลงบนบ่ากว้างนั่น ใบหน้าคมเงยขึ้นมาสบตาผมอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากหยักก่อนที่ฝ่ามือกว้างจะปลดเข็มขัดของผมออกทั้งๆที่เรายังสบตากันอยู่

ผมเม้มปากแน่นด้วยความอายกับอะไรหลายๆอย่างในร่างกายที่กำลังรอการตอบสนอง แต่ดวงตาคมนั่นก็ยังท้าทายให้ผมมองจ้องตอบแบบไม่หลบสายตา แล้วอยู่ๆพี่มันก็ยืดตัวขึ้นแล้วปลดกระดุมเสื้อเชิ๊ตสีดำของตัวเองออกจนหมดแล้วโยนทิ้งลงที่ข้างเตียง

และนั่น…

มันก็ทำให้ผมแพ้แบบไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับได้เลย


ความเย็นวาบที่ช่วงล่างเล่นงานผมทันทีเมื่อกางเกงถูกถอดออกไป คราวนี้ต่อให้ใจกล้าแค่ไหนผมก็ไม่สามารถบังคับตัวเองให้สบตาคมนั่นได้อีกแล้ว

“มองพี่สิครับ” เสียงทุ้มๆนั่นกระซิบที่ข้างหูก่อนที่ฝ่ามือกว้างจะจับมือที่ผมยกขึ้นปิดหน้าออกแล้วกดริมฝีปากจูบลงที่ริมฝีปากผมอีกครั้ง

“อือ...ไม่..เอา..” ฝ่ามือใหญ่กดมือขวาผมลงที่เตียงในขณะที่ริมฝีปากร้อนก็ไล้เลียตั้งแต่ลำคอลงมาจนถึงยอดอก

“พี่…แดน..” จากที่พยายามจะดันไหล่กว้างๆนั่นผมกลับต้องยึดเอาไว้แน่นเมื่อฝ่ามือร้อนกอบกำส่วนที่อ่อนไหวที่สุดในร่างกายผมเอาไว้ในมือโดยที่ปลายลิ้นร้อนนั่นก็ลามเลียต้นขาด้านในจนความเสียวซ่านแล่นริ้วไปถึงปลายเท้า

“อ๊ะ...อื้อออ” ความอุ่นวาบของโพรงปากที่เข้าครอบครองผมแทนฝ่ามือยิ่งถ่าโถมความสุขซ่านให้เพิ่มขึ้นจนผมแทบจะรับมือไม่ไหว และไม่ว่าผมจะดึงทึ้งผ้าปูที่นอนยังไงมันก็ไม่สามารถบรรเทาความชาวาบที่ปลายนิ้วได้เลย

“พี่ แดน ผม...ไม่ อืออ” ผมกัดปากแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดเสียงครางดังๆออกมาเมื่อถึงจุดสิ้นสุดของอารมณ์ ใบหน้าคมเงยขึ้นมาสบตาผมอีกครั้ง ปลายลิ้นร้อนถูกส่งออกมาเลียคราบสีขาวขุ่นที่มุมปากหยักช้าๆ

ความขัดเขินทำให้ผมหน้าร้อนจนแทบไหม้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกว่าสิ่งที่เห็นมันเป็นภาพที่น่าดูจนไม่อาจจะละสายตาไปได้

ริมฝีปากบางก้มลงมาจูบผมอีกครั้งความฝาดเฝื่อนที่ยังหลงเหลืออยู่ในโพรงปากทำให้ผมต้องครางประท้วงแต่พี่มันกลับหัวเราะในลำคอเบาๆซะแบบนั้น ใช่ มันหัวเราะทั้งๆที่ยังจูบผมอยู่นั่นแหละ ไอ้บ้านี่!

“ไม่อร่อยเหรอครับ?” น้ำเสียงหยอกเย้าคลอเคลียอยู่ข้างแก้มเมื่อพี่มันถอนจูบออก ริมฝีปากบางจูบซับที่มุมปากผมอีกครั้งก่อนจะย้ำลงมาจูบปิดปากผมอีกครั้งเหมือนไม่ต้องการคำตอบหรือคำท้วงติงใดๆ

ฝ่ามือร้อนเริ่มลูบไล้ไปจนถึงบั้นเอว ริมฝีปากบางก็ยังคงย้ำจูบผมไม่ละออกไปไหน ความรู้สึกเสียวซ่านเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อร่างกายหนาๆของพี่มันแทรกเข้ามาตรงกลางหว่างขาของผมที่ถูกจับแยกออก

“ซี้ด…อือออ” ผมสูดลมหายใจเข้าทางปากก่อนจะกัดริมฝีปากล่างแรงๆเพื่อระงับเสียงครวญครางที่น่าอายเมื่อริมฝีปากร้อนดูดดึงยอดอกจนแข็งตึง ความต้องการที่ส่วนล่างของผมถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อฝ่ามือใหญ่ไม่ยอมปล่อยให้มันเป็นอิสระ

ความกระสันต์แล่นริ้วไปทั่วร่างกายผมจนเหมือนมันจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ทั้งเสียงริมฝีปากร้อนที่ดูดเคล้ายอดอกผมอย่างหยาบโลนทั้งฝ่ามือใหญ่ที่รูดรั้งปรนเปรอส่วนอ่อนไหวผมไม่หยุด ความสุขซ่านที่พุ่งทะยานทำให้ผมต้องยกสองมือขึ้นรั้งลำคอแกร่งเอาไว้เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยว

“พี่…แดน ไม่” ผมผวาเฮือกเมื่ออยู่ๆสัมผัสจาบจ้วงจากฝ่ามือร้อนก็หยุดลง พี่มันยืดตัวขึ้นก่อนจะจับมือของผมไปวางที่ขอบกางเกงยีนส์ตัวหนา มุมปากหยักยักยิ้มน้อยๆในขณะที่ดวงตาคมนั่นก็กำลังท้าทาย

และหลังจากที่ผมปลดซิปบนกางเกงยีนส์นั่น…

“ขอบคุณนะครับ” น้ำเสียงทุ้มก้มลงมากระซิบติดริมฝีปากก่อนจะจูบย้ำๆให้ผมเปิดปากรับลิ้นร้อนที่เจ้าตัวกำลังส่งเข้ามาหยอกเย้ากับปลายลิ้นของผมในโพรงปาก

ผมหลับตาลงอีกครั้งเพื่อตัดทุกอย่างออกจากสมองในขณะที่ปล่อยให้สัญชาติญาณได้ทำงานของมันอย่างเต็มที่ ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเหตุผลหรือความผิดชอบชั่วดีอะไรก็ตามแต่ ผมไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว

“อื้ออ” ความเย็นของเจลหล่อลื่นทำให้ผมกระตุกตัวเกร็ง ความเสียวซ่านแล่นปราดจนถึงปลายเท้าทันทีทีนิ้วเรียวยาวสอดแทรกเข้ามาที่ช่องทางด้านหลัง ความเสียดเสียวประดังประเดเข้ามาจนผมแทบจะรับไม่ไหว แต่ยิ่งพี่มันสอดลึกเข้ามาเท่าไหร่ ผมกลับยิ่งต้องการมันมากกว่านั้น

“พี่...แดน..ผม..” ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเรียกร้องออกไปยังไงกับสิ่งที่ตัวเองกำลังต้องการเลยเลือกที่จะยกมือขึ้นดันไหล่กว้างนั่นเพื่อให้พี่มันเงยหน้าขึ้นมาสบสายตา และเมื่อเราสบตากันริมฝีปากบางนั่นก็ยกยิ้มก่อนที่ผมจะได้ในสิ่งที่กำลังต้องการ

ซองพลาสติกสีเงินถูกฉีกและโยนทิ้งอย่างไม่ใยดีเมื่อสิ่งที่ถูกห่อหุ้มถูกนำออกมาใช้ และทันทีที่ส่วนปลายของสิ่งที่แสดงความต้องการของพี่มันถูกสอดเข้ามามันก็ทำให้ผมต้องสูดลมหายใจเข้าทางปากเพื่อระบายความเสียดเสียวนั่น

“ซี้ด...อือออ”

“พี่ แดน...”

“ครับ...ที่รัก” เสียงทุ้มนุ่มที่ตอบรับกลับมามันทำให้ผมรู้สึกซ่านเข้าไปในอกอย่างบอกไม่ถูก และยิ่งมองจ้องคนที่กำลังเคลื่อนไหวร่างกายอยู่บนตัวผมนานเท่าไหร่ หัวใจผมก็ยิ่งเต้นแรง

“ผม..ไม่ อืออ” เหงื่อกาฬที่ผุดพราวเต็มใบหน้าคมจนไหลลงมาถึงหน้าอกแกร่งทำให้ผมเผลอมองตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กล้ามเนื้อที่ขึ้นรูปสวยนั่นยิ่งเร่งเร้าความตื่นเต้นของผมให้พุ่งขึ้นอย่างไม่มีขีดจำกัด

และยิ่งมองต่ำลงไปกว่านั้น สิ่งที่กำลังเชื่อมต่อเราอยู่ก็แทบจะทำให้ผม...

“อ๊ะ…” จังหวะการเคลื่อนไหวที่ถี่กระชั้นทำให้ผมผวากอดพี่มันไว้แน่น และเสียงหอบหายใจหนักๆที่ข้างหูนั่นก็ยิ่งเป็นตัวเร่งเร้าความวาบหวามให้ถึงขีดสุด

“พี่ แดน ผม ไม่ อ๊ะ”

“อีกนิด เดียว อาา ที่รัก” เสียงกระเซ่ากระซิบเบาๆที่ข้างหู ก่อนที่ทุกอย่างจะขาวโพลนเหมือนกลุ่มควันที่พุ่งทะยานขึ้นในอากาศ

ริมฝีปากร้อนชื้นฝังลงที่ข้างขมับผมในขณะที่เราต่างก็ยังหอบหายใจ พี่แดนดันตัวขึ้นจากตัวผมช้าๆ แววตาที่มองสบกันมันให้ความรู้สึกที่ผมเองก็อธิบายไม่ถูก

บรรยากาศรอบตัวเราเงียบไปชั่วอึดใจเมื่อเราต่างก็จ้องมองกันและกันอยู่แบบนั้น แต่แล้วริมฝีปากบางที่ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ก็ทำให้ผมค่อยๆหลับตาลงเพื่อรอรับสัมผัส และเมื่อเราจูบกันอีกครั้ง ผมก็ไม่สามารถจะหยุดสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ได้อีกเลย


ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งในความมืด วงแขนกว้างที่โอบกอดผมไว้จากด้านหลังยังคงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีว่าทุกสัมผัสที่หลงเหลืออยู่บนร่างกายผมนั้นมันเป็นของจริง ไม่ว่าจะเป็นด้วยจากฝ่ามือหรือริมฝีปาก หรือแม้แต่….

ใช่ สุดท้ายผมก็ปล่อยให้ทุกอย่างเลยเถิดไปไกล ไกลจนผมมองไม่เห็นต้นทางที่ผ่านมาแล้วด้วยซ้ำ คำถามมากมายที่ถ่าโถมเข้ามาในหัวสมองเรียกให้ผมต้องกัดปากตัวเองเอาไว้เมื่อต้องใช้ความคิดในการหาเหตุผลที่จะตอบ

แต่อย่างหนึ่งที่ผมรู้ก็คือ

ผมไม่ได้เสียใจ ในทางกลับกันผมยอมรับเลยว่ามันรู้สึกดีเอามากๆด้วยซ้ำ

อาจเป็นเพราะว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก…

ด้วยสัญชาติญาณและความคุ้นชินทุกอย่างมันตอกย้ำผมได้อย่างดีว่าตลอด2ปีที่ผ่านมา เราคงจะทำเรื่องแบบนี้ด้วยกันมามากมายแค่ไหน

อยู่ๆอ้อมแขนที่คลายกอดอย่างกระทันหันก็ทำให้ผมผวา แต่สัมผัสจากฝ่ามือที่ลูบเบาๆบนหัวมันก็ทำให้ผมรู้สึกเบาใจขึ้นมาอย่างประหลาด

“พี่กอดแน่นไปหรือเปล่า?” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นเบาๆที่ข้างหู ผมส่ายหัว ถึงแม้ว่าห้องมันจะมืดแค่ไหนผมก็มันใจว่าพี่มันจะรู้คำตอบในเมื่อเราร่างกายเราแนบชิดกันมากขนาดนี้

“พี่แดน…” ผมเอ่ยออกไปเสียงแผ่วแต่ก็เลือกที่จะหยุดคำพูดเอาไว้ เพราะแม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากจะพูดอะไรออกไป

“ครับ?” 

“ผม…”

“เปล่า ไม่มีอะไร” ความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจมันทำให้ผมแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง ผมเม้มปากเมื่อไม่อยากให้ตัวเองได้พล่ามอะไรออกมาอีกก่อนจะตัดสินใจพลิกตัวเข้าไปหาอ้อมกอดของคนที่นอนอยู่ข้างหลัง และอ้อมกอดนั้นก็รับตัวผมเข้าไปในทันที

“ฝันดีนะครับ”

ผมผยักหน้ากับแผ่นอกกว้างของคนที่จูบหน้าผากผมเบาๆและบอกให้ฝันดี ถึงแม้ว่าผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะนอนหลับได้จริงๆหรือเปล่าก็ตาม ในเมื่อคำถามที่อยู่ในใจผมมันยังสว่างเด่นชัดไม่จางไปไหน


นี่ผม….รักพี่มันไปแล้ว


จริงๆน่ะเหรอ?





xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


หว่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
เขินพี่เขาจังค่ะ >////////<



ขอบคุณทุกคนมากๆที่กดเข้ามาอ่านแล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์ด้วยค่ะ มันเป็นกำลังใจที่ดีมากๆเลย :pig4:
ช่วงนี้เรางานยุ่งมากกกกกกกจริงๆค่ะ แต่ตอนหน้าจะพยายามมาให้ไม่เลทมากนะคะ   :katai1:
ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปจนจบด้วยนะคะ :กอด1:

B2
Twitter : @B2YFICTION
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP17 - Fallin' All in You [10.11.18 UP!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-11-2018 16:53:20
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอาเวลาที่หายไปสองปี มาขยายเด๋วนี้  มันค้างคาอ่ะ  สองปีที่หายไป มันเกิดไรขึ้น  พวกเขามาลงเอยแบบเน้ได้ยังไง?
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP17 - Fallin' All in You [10.11.18 UP!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-11-2018 21:06:44
 :ling1:  เราก็อยากรู้ มันต้องมีอะไรแน่ๆ

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP17 - Fallin' All in You [10.11.18 UP!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: changemoo ที่ 10-11-2018 22:48:24
ชอบจัง เขินมี่จะเม้นว่าเป็นซีนมีอะไรกันที่เต็มไปด้วยความรักมาก รู้สึกได้ถึงความรักของทั้งคู่ ฮือ ทำไมรู้สึกซึ้ง :กอด1:
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP17 - Fallin' All in You [10.11.18 UP!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nlygust13 ที่ 11-11-2018 21:50:55
 :pighaun: พี่ดินแดนมีขายที่ Lazada มั้ยค่ะ วันนี้ลดราคาด้วย
หัวข้อ: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP18 - (Extra)ordinary Day [03.12.18 UP!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 03-12-2018 18:21:13
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#18



ความรู้สึกหลากหลายประดังประเดเข้ามามากมายนับตั้งแต่คืนนั้น คำถามมากมายที่วนไปเวียนมาอยู่ในหัวก็ยังคงเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบเหมือนอย่างเคย หรือจริงๆแล้วนั่นอาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่ได้จริงจังกับการหาคำตอบให้มันอย่างที่ควรจะเป็นหรือเปล่า

ผมนั่งมองแผ่นหลังของคนที่กำลังทำอะไรซักอย่างอยู่ในห้องครัว ร่างกายสูงใหญ่ที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาด้วยกิจกรรมที่ผมเริ่มจะคุ้ยเคยไปแล้วอย่างการทำอาหาร มันก็ดูเพลินตาอย่างประหลาด ฝ่ามือกว้างหยิบนู่นวางนี่ กล้ามเนื้อแขนที่ขึ้นรูปสวยเริ่มมีเหงื่อผุดพราวขึ้นมาเล็กน้อยนั่น….

ผมเม้มปากจนเป็นเส้นตรงเมื่ออยู่ๆก็นึกไปถึงเรื่องอย่างว่าเข้าจนได้ ทั้งแรงกอดกระชับจากอ้อมแขนแกร่ง หรือแม้กระทั่งเสียงหอบหายใจหนักๆที่ข้างหูนั่น ทุกอย่างมันยังชัดเจน ชัด จนคิดว่าคงจะไม่สามารถลืมมันได้เลยด้วยซ้ำ

“บ้าเอ้ย” ผมสบถก่อนจะเขกหัวตัวเองไปสองสามที

“เป็นอะไร หิวแล้วเหรอ?” คนที่เดินมาท้าวแขนบนเค้าท์เตอร์บาร์ข้างหน้าผมยกยิ้มก่อนจะถาม ดวงตาคมที่มองตรงมาทำให้ผมพยักหน้ารัวๆก่อนจะเสมองผ่านไปด้านหลังของพี่มันแทน สำหรับผมตอนนี้แล้วการสบสายตาคมๆนั่นในระยะประชิดแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะอันตรายพอสมควร

“พาสต้าอกไก่ผัดซอสเพสโต” เสียงทุ้มเอ่ยบอกเป็นคำตอบในท่าทางของผมก่อนจะหันหลังไปหยิบจานสองใบมาส่งให้ผมเอาไปวางบนโต๊ะ

กาแฟสองแก้วถูกพี่มันถือเดินตามมาก่อนที่มันจะถูกส่งมาวางไว้ข้างจานพาสต้าของผมหนึ่งแก้ว กลิ่นหอมๆของกาแฟผสมไซรัปกลิ่นส้มเรียกให้ผมต้องยกขึ้นดื่ม โดยที่คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็ทำเช่นเดียวกัน

“เดี๋ยวพี่ไปแต่งตัวก่อนนะ” ผมขมวดคิ้วก่อนที่ปากจะเอ่ยคำถามออกไปอย่างอัตโนมัติ

“พี่จะไปไหน?”

“เช้านี้พี่ต้องเข้ามอ มีappointกับมิสธัญญา”

“อ๋อ”

“กลัวพี่จะไปไหนเหรอครับ?” คนถามมันยิ้ม

“ไปไหนก็ไปดิ่ ทำไมผมต้องกลัว” ผมยู่หน้าก่อนจะม้วนเส้นพาสต้าแล้วยัดเข้าปากตัวเอง ชักเริ่มไม่อยากคุยกับแม่งละ

“นั่นสิ มีอะไรต้องกลัว” และคำพูดยอกย้อนก็ทำให้ผมต้องจิ๊ปากใส่อย่างไม่สบอารมณ์ ริมฝีปากหยักมันยกยิ้มเล็กๆในขณะที่ดวงตาคมก็ฉายแววท้าทายผมอยู่

“ก็ลองดูแล้วกัน”

พูดจบก็ยกจานเดินหนีแม่ง โว้ย กูพูดอะไรออกไปวะเนี่ย บ้าบอ!




“ไอ้ตัง วันนี้กูกลับด้วยนะ” ไอ้ป่านมันทำหน้ายุ่งก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ว่างข้างๆผม

“แล้วพี่มึงอ่ะ?” ผมถามตาก็ยังจ้องจอคอมคีย์รายชื่อนักเรียนแทนพี่ตาต้าที่ลาพักร้อน จริงๆตอนนี้ทั้งห้องก็เหลือสมาชิก 3 คนเหมือนเดิมคือผม พี่แพรว ไอ้ป่าน คือมันเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้วล่ะครับ

“ไม่รู้แม่ง แต่กูรู้สึกได้ว่ามันผิดปกติ” เสียงมันขุ่นจนผมต้องวางมือจากงานแล้วหันไปมองมันเต็มๆ

“สัด มันทำกูนอนไม่พอมาหลายวันแล้วเนี่ย” ไอ้ป่านมันยังทำหน้ายุ่งไม่เลิกแต่ก็ยังพูดต่อ

“มึงเข้าใจกูป่ะ แบบ บางทีมันก็ทำให้กูรู้สึกหงุดหงิด บางทีกูก็รู้สึกว่าหัวใจมันเต้นแรงมาก แบบ  มันต้องทำเรื่องเหี้ยอ่ะมึง” ผมหัวเราะทันทีที่มันพูดจบ เพราะไอ้คำว่าเรื่องเหี้ยของมันนี่ผมดันตีความได้น่ะสิ

ผมยังไม่เคยเล่าให้ฟังกันใช่ไหมว่านอกจากไอ้แฝดนรกนี่มันจะมีภาษาฝาแฝดที่คุยกันรู้เรื่องแค่สองคนแล้ว มันยังมีความรู้สึกร่วมกันในบางเรื่องอีกด้วย แบบว่าถ้าอีกคนกำลังทำอะไรที่ไม่ปกติอีกคนจะรู้สึกไปด้วยน่ะครับ ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อนะ แต่จากที่เจอมาหลายเหตุการณ์แล้วก็ต้องเชื่ออ่ะ

“เออๆ เข้าใจ แล้วมึงไม่ได้คุยกันเลยเหรอวะ?”

“ก็ไอ้พี่เหี้ยมันตอบกูที่ไหน”

“โอ๋ๆนะ” ผมตบไหล่มันเบาๆสองสามทีก่อนจะหันเก้าอี้มานั่งคีย์ข้อมูลต่อ

“ว่าแต่มึงนี่ดูอารมณ์ดีจังเนอะ” อ่าวไอ้นี่ อยู่ๆก็วกมาเรื่องกูซะงั้น

“ก็ปกติป่ะวะ” ผมตอบปัดๆไป  เริ่มรู้สึกหวาดระแวงมันหน่อยๆ

“อ๋อๆ ลืมไป” และน้ำเสียงกลั้วขำของมันทำให้ผมต้องหันไปหามันอีกครั้ง

“ไอ้ฟ้ามันโดนเฉดหัวกลับคอนโดไปแล้วนี่เนอะ พี่แดนคงเอ็นดูมึงเต็มที่ไปเลยสิ” ไอ้ป่านมันยักคิ้ว ก่อนจะรีบย้ายตัวเองไปนั่งที่เดิมแบบรอดส้นเท้าผมหวุดหวิด

อืม ขอบคุณนะเพื่อนป่านที่คำศัพท์ของมึงทำให้ประโยคเหี้ยๆออกมาดูน่ารักขนาดนี้

ถุ้ย!

⇤  BEGIN AGAIN  ⇥


“พรุ่งนี้เราไปดูหนังกันไหม?” ไอ้คนที่มันไม่ชอบใส่เสื้อเวลานอนกำลังเกาพุงเจ้าก้อนกลมอยู่บนเตียงเอ่อถามทันทีที่ผมเปิดประตูห้องน้ำออกมาหลังจากที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ

“อือ ก็ไปดิ่” ผมตอบก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มแล้วแย่งเจ้าก้อนกลมมากอดแทน

“แล้วดูเรื่องอะไรกันดี”

“ไม่รู้อ่ะ ไปเลือกเอาหน้าโรงก็ได้มั้งพี่” ผมตอบโดยที่ไม่ได้หันไปมองคนที่อยู่ข้างหลัง เพราะกำลังบริการท่านก้อนกลมด้วยการเกาคางนุ่มๆนั่นอยู่ ดูแล้วท่านคงพอใจผมมากซะด้วย

“คอตตอนง่วงนอนแล้วครับ”

ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆวงแขนกว้างก็รวบตัวผมเข้าไปกอดจากด้านหลัง ลมหายใจร้อนเป่ารดเบาๆที่ข้างแก้มเมื่อเสียงนุ่มทุ้มดังอยู่ข้างหู

“รู้ดี” ผมตีแขนพี่มันอย่างหมั่นไส้ ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆก่อนที่วงแขนแกร่งจะกระชับกอดแน่นขึ้นไปอีก

“พี่แดน” ผมขู่มันเสียงเข้ม แต่ไม่ทันที่พี่มันจะขยับตัวหรือผมจะพูดอะไรต่อเจ้าแมวก้อนกลมนั่นก็ลุกขึ้นสะบัดตัวแล้วกระโดดลงจากที่นอนก่อนจะเดินออกจากห้องไปซะเฉยๆ

“แบบนี้ก็ได้เหรอวะ?” ผมอดหัวเราะไม่ได้ ก็ดูมันทำกับผมดิ่


“ให้รู้บ้างว่าลูกใคร” เสียงกลั้วขำกระซิบข้างหูก่อนที่ไอ้คนพูดมันจะถือวิสาสะหอมแก้มผมซะจนตัวเอียง

“งั้นก็ออกไปนอนโซฟาด้วยกันเลยไป” ผมดันไหล่กว้างเพื่อให้ไอ้ตัวหนาๆออกไปให้พ้นตัวแต่พี่มันกลับพลิกตัวขึ้นแล้วดันผมให้นอนราบไปบนเตียงแทนซะแบบนั้น

“เรื่องอะไรล่ะครับที่รัก”

“ไอ้พี่แดน!” ผมฟาดไหล่มันแรงๆด้วยความหมั่นไส้ไปหนึ่งทีก่อนจะโดนพี่มันจับข้อมือทั้งสองข้างกดลงกับที่นอนนุ่ม ดวงตาคมมองตรงมาที่ผม และริมฝีปากบางนั่นก็ยักยิ้มอย่างอารมณ์ดี ผมไม่ได้พูดอะไร พี่มันก็ไม่ได้พูดอะไร เราแค่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปด้วยการมองหน้ากันและกันเฉยๆแบบนั้น และฝ่ามือใหญ่ก็ค่อยๆคลายแรงที่จับข้อมือผมออก นั่นอาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้ออกแรงฝืนหรือขัดขืนอะไรเลยนั่นแหละ

ใบหน้าคมที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ทำให้ผมหลับตาลง และความอุ่นชื้นก็เกิดขึ้นที่หน้าผาก ข้างแก้ม ปลายจมูก และริมฝีปากเหมือนอย่างเคย ความคุ้นชินที่ผมเคยกลัวมันค่อยๆละลายหายไปตั้งแต่ครั้งแรกที่เราจูบกัน จนมาถึงตอนนี้แล้วผมก็แทบจะไม่มั่นใจเลยว่ามันยังคงหลงเหลืออยู่อีกหรือเปล่า รู้เพียงแค่ว่าในตอนนี้ผมไม่สามารถที่จะปฏิเสธจูบของพี่มันได้อีกต่อไปแล้วก็เท่านั้นเอง




ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนสายของวันเสาร์เมื่อรู้สึกถึงพลังงานอะไรบางอย่างที่มาขนตัวนอนอยู่ข้างหมอน ชิ ทีเมื่อคืนล่ะเดินหนีเราซะอย่างนั้นน่ะ

“มานอนใกล้เราทำไม?” ผมขยี้พุงเจ้าก้อนกลมอย่างหมั่นเขี้ยว และดวงตาสีเหลืองแวววาวนั่นก็มองผมอย่างตำหนิทันที

“อ่ะๆ ดีกันก็ได้” พูดจบก็เลยหอมหัวกลมๆนุ่มๆสีเทานั่นไปแรงๆซะหนึ่งทีก่อนจะอุ้มเจ้าแมวอ้วนขึ้นมานอนบนพุง กำลังควานหาโทรศัพท์มือถือที่ใต้หมอนอยู่ดีๆเจ้าของห้องมันก็เดินเข้ามาพอดี พี่แดนมันยังคงใส่แค่กางเกงนอนตัวเดียวเหมือนกับเมื่อคืน ถือว่าตัวเองหุ่นดีนักเหรอวะ โชว์กันอยู่ได้!

“ออกกันกี่โมงดี?” พี่มันนั่งลงที่ข้างเตียงแล้วเอ่ยถาม ฝ่ามือกว้างก็ยื่นมาลูบเจ้าแมวก้อนกลมที่นอนซบหน้าอยู่บนพุงผมไปด้วย

“บ่ายๆได้ป่ะ ตอนนี้ขี้เกียจอ่า” ผมตอบออกไปตามจริง ก็มันวันหยุดอ่ะ จะรีบไปทำไมเล่า ขอนอนโง่ๆกอดแมวก่อนได้ไหมล่ะ

“งั้นพี่ลงไปฟิตเนสก่อนนะ” คนพูดมันตั้งท่าจะผละออกไปแต่ผมก็คว้าแขนแข็งแกร่งนั่นไว้ได้ซะ
ก่อน

“พี่แดน”

“หื้ม?”

“ผม…”

“ผม...หิว”

“คอตตอนก็หิวด้วย” ผมพูดต่อเมื่อคนตรงหน้าเงียบไม่ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร พี่แดนมันหัวเราะก่อนจะอุ้มเอาเจ้าก้อนกลมไปจ้องหน้าอ้วนๆนั่น

“กินแล้วไม่ใช่เหรอเราน่ะ หื้ม”

“เมี๊ยว” เออ แม่งก็ตอบรับกันไปอีกนะ พี่แดนมันหอมหัวไอ้ตัวกลมๆนั่นก่อนจะวางมันลงบนพื้นห้องแล้วหันมามองหน้าผมเต็มๆ สายตาคมของมันวิบวับจนน่าโมโหจริงๆ ให้ตายเถอะ

“หึหึ” และเสียงหัวเราะเบาๆในคอนั่นก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเสียหน้าเข้าไปอีก

“เออ จะไปไหนก็ไปเลยไป ต้มมาม่ากินเองก็ได้” ผมตวัดผ้านวมที่ห่มอยู่ออกก่อนจะลุกขึ้นนั่งดีๆ

“ถอยดิ๊” และพี่มันก็ทำตามที่ผมสั่งโดยไม่ได้พูดอะไร พี่แดนมันลุกขึ้นยืนแล้วถอยหลังหลีกทางให้ผมก้าวลงจากเตียงนอนได้อย่างสะดวก

ผมยู่หน้าใส่คนที่มันทำเป็นยืนเฉยก่อนจะเดินผ่านมันออกไปเข้าห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันได้ปิดประตูพี่มันก็แทรกตัวเข้ามาแล้วถือวิสาสะปิดประตูล็อกกลอนเองเสร็จสรรพ ผมหันไปถลึงตาใส่ไอ้คนกวนประสาทมันก็ได้แต่ยิ้ม

“กวนตีน” ผมอุบอิบด่าโดยที่ไม่ได้หันไปมองก่อนจะหยิบแปรงสีฟันขึ้นมาบีบยาสีฟันแล้วแปรงอย่างเงียบๆ มองผ่านกระจกก็เห็นว่าคนที่ยืนข้างๆกันมันทำตาม ดวงตาคมสบตากับผมผ่านกระจก และถึงจะมีฟองเต็มปากผมก็รู้หรอกว่ามันกำลังยิ้มน่ะ

ผมดึงผ้าขนหนูสีขาวที่พับไว้บนชั้นข้างอ่างล้างหน้ามาเช็ดคราบน้ำบนหน้า พี่มันก็ดึงผ้าขนหนูสีน้ำเงินเข้มที่พับอยู่ข้างๆกันมาเช็ดหน้าตัวเองเหมือนกัน พอผมเอาผ้าลงพี่มันก็เอาผ้าลง เลียนแบบกูแม่งทุกท่า

“พี่แดน!” ผมจิ๊ปากก่อนจะเรียกชื่อมันเสียงดังอย่างนึกโมโห และผลที่ได้ก็คือ มันยิ้ม เออดี

“โอเคๆ ไม่แกล้งแล้ว” พี่มันยกมือยอมแพ้เมื่อผมชูกำปั้นใส่ แต่ถึงปากจะบอกว่ายอมแพ้หน้าตามันก็ไม่ได้ดูมีความสำนึกเลยอยู่ดี แล้วก็ไม่ทันได้คิดจะทำอะไรมันคืนหรอก ไอ้คนฉวยโอกาสมันก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มผมแรงๆอีกจนได้

“มอร์นิ่งนะครับที่รัก”





กว่าจะมาถึงพารากอนได้ก็ปาไปเกือบจะบ่าย 3 จริงๆระยะทางจากคอนโดมามันก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่หรอก แต่ก็อย่างว่ากรุงเทพอ่ะเนอะ ถ้ารถไม่ติดมันก็แปลกประหลาดเกินไปแล้ว

“รอบ 4 โมงครึ่งเลยเหรอ?” ผมหยิบตั๋วหนังที่พี่มันยื่นมาตรงหน้าขึ้นมาดู โห้ อีกชั่วโมงกว่าเลยนะนั่น

“ไปเดินดูของก่อนไหม?”

“ไป” ผมส่งตั๋วหนังคืนให้ พี่แดนมันก็พับใส่กระเป๋าตังค์ก่อนจะยัดลงที่กระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านหลัง

วงแขนกว้างพาดลงมาบนบ่าเรียกให้ผมหันไปมองแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ก็...มันไม่ได้หนักอะไรเท่าไหร่อ่ะ ปล่อยให้มันวางๆไปก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่เนอะ



ผมเดินวนไปวนมาในชอปเสื้อผ้าแบรนด์โปรด และตอนนี้มันก็เริ่มมีนู่นนี่นั่นติดมือมาไม่น้อย ส่วนไอ้คนที่มาด้วยน่ะเหรอ นู่น ไปนั่งไขว่ห้างเล่นโทรศัพท์รออยู่ที่โซฟากลางร้านนู่นแล้ว

‘คนนั้นหล่อมากก’

อืม...ไม่ใช่ครั้งแรกของวันหรอกครับที่ได้ยิน ตอนยืนกดตั๋วหนังเมื่อกี้ก็ได้ยิน ประโยคเดียวกัน เป๊ะๆเลย

กลุ่มผู้หญิงที่อยู่ในล็อคด้านหน้าผมยังคงรวมตัวกันไม่ไปไหน พวกเธอจะรู้สึกตัวไหมเนี่ยว่าข้างหลังมีคนอื่นอยู่น่ะ

‘ฮอลล ฉันอยากได้’

‘ใจเย็นนะแก’

‘ฉันว่าเขาต้องกำลังนั่งรอแฟนอ่ะ’


แล้วอยู่ๆเป้าสายตาของทุกคนก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะหันมายิ้ม ผมสีเทาหม่นนั่นเวลาที่มันสะท้อนกับแสงไฟยิ่งทำให้ใบหน้าคมดูเด่นมากขึ้นไปอีกไม่รู้กี่เท่าตัว แม่งจะรู้ตัวบ้างป่ะวะว่าทำคนใจเหลวไปแล้วกี่คน คืออย่างน้อยๆตรงหน้าผมตอนนี้ก็สามคนแล้วล่ะ

‘มึงงง เขาไม่อ่อนโยนกับกูเลยอ้ะ’


เคยเป็นป่ะ อยู่ดีๆก็รู้สึกเหม็นเบื่อหน้าคนบางคนขึ้นมาซะเฉยๆน่ะ หมั่นไส้ จะหล่ออะไรนักหนาวะ ผมถอนหายใจก่อนจะพยายามเดินเลี่ยงออกมาอีกทาง แต่ใครบางคนที่เป็นจุดสนใจก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงเข้ามาพอดี

“ขอโทษนะครับ”

“คะ..ค่ะ”

“มา พี่ถือให้” ฝ่ามือกว้างยื่นมาตรงหน้าก่อนจะดึงเอาของที่ผมถืออยู่ไปถือเอาไว้ซะเอง พี่มันหันไปยิ้มแล้วก้มหัวเล็กน้อยให้กลุ่มคนที่ยังคงยืนอยู่กับที่เป็นเชิงขอทางก่อนจะหันมาดึงมือผมให้เดินตามออกไปพร้อมกัน และประโยคสุดท้ายที่พี่มันพูดก็ทำให้ผมได้ยินเสียงหวีดจนตึกเกือบจะถล่มตามมาติดๆจากด้านหลัง

“ไม่ลองแล้วใช่ไหม งั้นพี่จ่ายเลยนะครับ” 

อืม....ก็นั่นแหละ



ดูหนังกินข้าวเสร็จแล้วก็ฝ่ารถติดกลับคอนโด แต่แค่นี้ก็หมดวันหยุดไปแล้วอีกวัน ผมไถตัวเองลงนอนบนโซฟานุ่มในขณะที่พี่มันก็กำลังเทอาหารใส่ในชามให้เจ้าแมวก้อนกลมอยู่ ไม่นานพี่มันก็เดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ

“พี่ลองนี่หน่อย” ผมหยิบเสื้อตัวหนึ่งขึ้นมาจากถุงที่วางกองไว้ข้างๆโซฟาแล้วยื่นให้ พี่มันมองแต่แทนที่จะรับไปกลับเลือกที่จะปลดกระดุมเสื้อเชิ๊ตสีดำของตัวเองแทนซะแบบนั้น เก่งจังเรื่องแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นเนี่ย!

ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าซิกแพคพี่มันขึ้นรูปสวยแค่ไหน แล้วไม่ว่าผมจะเห็นบ่อยจนเกือบจะชินไปแล้วก็เหอะ แต่ก็อดเผลอมองไม่ได้ซักที คือมันไม่ใช่แค่สวย มันแน่นมากด้วย

“ตัง...”

“ตัง”

“ที่รัก” ผมสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหน้าร้อนวาบกับสายตาของพี่มันที่มองมา มุมปากหยักยักยิ้มน้อยๆแต่แค่นั้นมันกลับทำให้ผมรู้สึกอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เพราะไอ้ซิกแพคบ้านั่นแท้ๆเลยโว้ย

“ขอเสื้อด้วยครับ” ฝ่ามือกว้างยื่นมาตรงหน้า ผมเม้มปากก่อนจะยัดเสื้อใส่มือพี่มันไป 

“ก็พอดีนะ” พี่มันติดกระดุมก่อนจะพับแขนเสื้อขึ้นถึงข้อศอกเหมือนปกติ ไม่น่าเชื่อแฮะว่าผมกะไซส์มันได้พอดีเป๊ะเลย

“งั้นก็เอาไป” ผมหยิบถุงที่ข้างในบรรจุเสื้อไซส์เดียวกันกับที่ให้พี่มันลองอีกสามตัวยัดใส่ตักกว้างๆนั่น พี่มันยิ้มก่อนจะยื่นมือมายีหัวผมเบาๆเหมือนที่มันชอบทำประจำ

“ขอบคุณนะครับ”

“ก็เงินพี่น่ะแหละ” ผมยู่จมูกใส่ พี่มันหัวเราะก่อนจะย้อนคำพูดผมกลับมา

“แต่คนเลือกเป็นแฟนพี่”

อืม...ก็อยากจะถามตัวเองเหมือนกันว่ามึงเป็นอะไร แหม หน้าบางใจบางเหลือเกิน เขินเก่งจังเนอะ!




ผมนอนเล่นกับเจ้าก้อนกลมอยู่บนที่นอนเมื่อเจ้าของห้องมันกำลังอาบน้ำ จะว่าไปผมก็อยู่ที่นี่มาได้เดือนกว่าแล้วนะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เปลี่ยนไปจากที่ไม่เคยชินมันก็เคยชินไปหมดจนบางครั้งก็เผลอคิดไปว่าเป็นแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน


ดี...งั้นเหรอวะ

‘พรึ่บ’

“เห้ย!” อยู่ดีๆไฟในห้องก็ดับวูบลงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยก่อนที่ผมจะต้องยกมือขึ้นบังสายตาเมื่อแสงสว่างเจิดจ้ามันวาบขึ้นมาตรงหน้า

“ท่าน...เทวดา” แสงเจิดจ้าที่ดับไปเหลือเพียงแสงดวงเทียนสลัวๆทำให้ผมลดมือลง และบางอย่างที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นอะไรอย่างที่ผมคิดเอาไว้จริงๆ

“ก็ข้าน่ะสิเจ้าเด็กโง่”

ผมมองหน้าท่านเทวดาที่กำลังยิ้มน้อยๆส่งมาให้ มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกน้ำท่วมปากจนไม่รู้ว่าอยากจะพูดอะไรออกไป คำถามมากมายที่เคยอยากถามมันจางหายไปจนแทบจะไม่เหลืออะไรอีกแล้ว

“สบายดีล่ะสิ”

“ผม…”

“โอ้ เจ้านิ่มไม่เจอกันนานเลย” ท่านเทวดาเปลี่ยนประเด็นเมื่อผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป

“เมี๊ยว” เจ้าก้อนกลมลุกขึ้นจากตักผมก่อนจะยืดตัวบิดขี้เกียจก่อนจะเดินตรงไปทิ้งตัวนอนหงายพุงอยู่ข้างหน้าท่านเทวดา นี่ก็ทำตัวสนิทสนมกับเขาจังนะ

“มีความสุขดีก็ดีแล้ว” ถึงมือใหญ่ๆนั่นจะกำลังลูบขนนุ่มๆของเจ้าก้อนกลมอยู่ แต่ใบหน้าคมก็เงยขึ้นมาส่งยิ้มบางๆให้ผม

“เรื่องของใจกังขาไปก็ไร้ประโยชน์”

ผมเม้มปากเมื่อใช้ความคิด แต่คิดเท่าไหร่มันก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปอยู่ดี

“เด็กโง่เอ้ย” เทวดาที่ลุกขึ้นยืนยื่นมือมายีหัวผมไปมาเบาๆ หุ้ย นี่หัวคนนะไม่ใช่พุงแมว

“หึหึ”

“อ่านความคิดผมอีกแล้วนะ”

“ไม่งั้นข้าจะรู้เหรอว่าเอ็งสบายดี” รอยยิ้มแปลกๆนั่น

ไม่นะ!

“ไม่ทันแล้ว”

จบประโยคก็หายวับไปกับตาก่อนที่ความสว่างไสวในห้องก็กลับมาอีกครั้งพร้อมๆกับประตูห้องน้ำที่เปิดออก

“ไฟตกเหรอ?” พี่มันขมวดคิ้วเล็กน้อยในขณะที่เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม

“อะ..อื้ม”

“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ผมส่ายหัวจนผมกระจายให้กับคำถาม แต่สิ่งที่ได้คือการที่พี่มันโน้มตัวลงมาก่อนจะส่งฝ่ามือมาทาบที่ข้างแก้มของผม

“ตัวก็ไม่ร้อนเท่าไหร่ ทำไมหน้าแดงจังครับ”


ตู้มมมมมม 


เหมือนระเบิดถูกทิ้งลงมาอีกระรอก เออ กูกำลังอายไงเข้าใจป่ะ


พี่มึงจะขยี้ทำไมโว้ยยยยยยย




xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


ท่านเทวดามาแล้ววววววววว
คิดถึงกันบ้างไหมเอ่ย ?

งื้อออ ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนเลยที่มาช้ามากๆ แต่งานมันยุ่งมากจริงๆ
ตอนหน้าจะพยายามไม่ให้เลทกว่านี้ค่ะ :katai1:

ขอกำลังใจให้น้องตังกับพี่แดนด้วยนะคะ  :กอด1:
เจอกันตอนหน้าค่ะ
B2
Twitter : @B2YFICTION
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP18 - (Extra)ordinary Day [03.12.18 UP!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-12-2018 18:27:00
มาแล้ววว

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP18 - (Extra)ordinary Day [03.12.18 UP!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-12-2018 20:53:41
 :pig4: :pig4: :pig4:

มาช้ายังดีกว่าไม่มาครับ

ท่านเทวดามาทำไมอ่ะ?
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP18 - (Extra)ordinary Day [03.12.18 UP!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 07-12-2018 16:59:32
จะต้องย้อนกลับอดีตอีกมั้ยหนิ555
หัวข้อ: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP19- Something wanna tell :) [09.01.19 UP]P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 09-01-2019 18:16:47
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#19





‘お疲れ様です’** 


ผมก้มหัวทักทายให้คนญี่ปุ่นที่เดินสวนกันที่หน้าลิฟท์ จะว่าไปผมก็เริ่มจะคุ้นเคยกับการฝึกงานที่นี่แล้วนะ แถมเริ่มจะสนิทกับพวกพนักงานที่เข้ามาใหม่แล้วด้วยล่ะ ดังนั้นเวลาที่ไอ้แฝดนรกไม่อยู่ผมก็พอจะมีเพื่อนไปกินข้าวกลางวันด้วยกันแล้ว ไม่ต้องง้อพวกแม่งแล้วเว้ยยย

แต่ตอนนี้เลิกงานแล้วครับ ผมเดินออกจากลิฟต์มุ่งหน้าไปที่คาเฟ่ชั้นล่างเหมือนอย่างเคย ไม่ต้องเสียเวลามองหาก็เจอคนที่มานั่งรออยู่แล้ว อืม ก็พี่มันนั่นแหละ ขนาดนั่งอยู่มุมร้านยังเด่นซะขนาดนี้

วันนี้พี่มันใส่เสื้อเชิ๊ตสีน้ำเงินเข้มพับแขนมาถึงข้อศอกตัวที่ผมซื้อให้เมื่อวันก่อนกับกางเกงขาเดฟสีดำ จะว่าไป ผมไม่เคยเห็นพี่มันใส่เครื่องประดับอะไรเลยนอกจากนาฬิกาข้อมือยี่ห้อที่ทุกคนก็น่าจะรู้จักดีอยู่แค่เรือนเดียว

“กินเค้กก่อนไหม?” นี่คือประโยคแรกที่พี่มันเอ่ยถามทันทีที่ผมเดินมาถึงโต๊ะ

“อื้อ” ผมพยักหน้า จัดแจงวางกระเป๋าที่เก้าอี้ข้างๆก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม พี่แดนลุกขึ้นก่อนจะเดินตรงไปที่หน้าเค้าท์เตอร์สั่งอาหาร ไม่นานก็เดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมเค้ก Chocolate fudge ของโปรดของผมกับน้ำเปล่าเย็นๆหนึ่งแก้ว

“ขอบคุณครับ” ผมรับเค้กมาวางไว้ตรงหน้าก่นจะเริ่มลงมือกินเหมือนปกติ ช่วงหลังๆมานี้ถ้าไม่มีธุระอะไรพี่แดนก็จะคอยมารับมาส่งผมตลอด ชวนไปดูหนังต่อบ้าง ซื้อของบ้าง กินข้าวข้างนอกบ้าง จะว่าไปแล้วแบบนี้มันก็รู้สึกดีนะ

“อยากไปไหนต่อหรือเปล่า?”

“ไม่อ่ะ แล้วพี่ล่ะ?”

“ไม่ครับ”

“งั้นกลับคอนโดเลยก็ได้”


กลับมาถึงคอนโดผมก็นั่งกอดเจ้าก้อนกลมดูซีรี่ย์ใน Netflix อยู่ที่โซฟาในขณะที่พี่มันก็เข้าไปทำอะไรก๊อกแก๊กๆอยู่ในครัวเหมือนอย่างทุกวัน

“ตัง” และเสียงที่เรียกชื่อผมออกมาจากในครัวก็ทำให้ผมต้องลุกเดินเข้าไปในนั้น พอแบบมือรับจานพาสต้าจากที่พี่มันส่งให้ข้างแก้มก็โดนจมูกโด่งๆกดลงมาหอมอย่างเคย ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะโวยวายลั่น แต่ตอนนี้ผมว่ามัน….

ก็โอเคอ่ะ ><

กินข้าวอาบน้ำเสร็จแล้วก็มานั่งโง่ๆดูซีรี่ย์ต่อ ไม่นานคนที่ไปอาบน้ำต่อจากผมก็เดินมานั่งลงข้างๆแล้วก็นะ ยังคงคอนเซปต์ใส่แต่กางเกงนอนตัวเดียวเหมือนเดิม เราไม่ได้คุยอะไรกัน ต่างคนต่างสนใจซีรี่ย์ที่กำลังฉายอยู่ในทีวี มีแค่เพียงฝ่ามือกว้างที่ลูบปอยผมที่หลังคอผมเล่นเบาๆเหมือนเคย แล้วผมก็ดันรู้สึกชินกับมันไปแล้วด้วยเหมือนกัน

“พรุ่งนี้พี่ต้องไปเชียงใหม่นะ” และเสียงทุ้มๆที่เอ่ยออกมาก็ทำให้ผมต้องหันหน้าไปมองก่อนจะหันหน้ากลับมามองทีวีอีกครั้งเมื่อไม่รู้จะพูดอะไร 

“แต่วันอาทิตย์ก็กลับแล้ว”

“อืม” ผมตอบรับในลำคอเบาๆ อยู่ดีๆมันก็รู้สึกตึงๆยังไงก็บอกไม่ถูกความรู้สึกบางอย่างเริ่มผุดขึ้นในใจทำให้ผมต้องเม้มปากก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อหงุดหงิดกับความงี่เง่าของตัวเอง

“ผมไปนอนก่อนนะ” ผมลุกขึ้นยืนแต่ก็โดนพี่มันดึงมือเอาไว้ซะก่อน

“ไม่งอนพี่สิครับ”

“งอนบ้าอะไรเล่า!” ผมหันไปโพล่งใส่พี่มันเสียงดัง ไอ้อาการที่เขาเรียกว่าจี้ใจดำมันเป็นแบบนี้นี่เอง

“โอเค ไม่งอนก็ไม่งอน” ไอ้คนที่ดึงผมให้กลับลงไปนั่งลงบนตักมันพูด แล้วมันก็น่าหงุดหงิดจนผมต้องยู่หน้าใส่

“ตังคนจริง ไม่เคยงอนอยู่แล้ว” ปลายจมูกโด่งรั้นก้มลงมาชนที่ข้างแก้ม น้ำเสียงทุ้มๆยังคงพูดเจือเสียงหัวเราะนั่นฟังแล้วยิ่งน่าโมโห

“ไอ้พี่แดน!” ผมหันหน้ากลับไปก็เป็นจังหวะที่ใครบางคนมันรออยู่แล้ว ดวงตาคมที่จ้องมองมาเรียกให้ผมต้องจ้องมองตอบ และริมฝีปากบางนั่นก็ยกยิ้ม ใบหน้าทะเล้นๆนั่นทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม บ้าเอ้ย

“ยิ้มแล้ว” เสียงทุ้มๆกระซิบติดริมฝีปากก่อนจะกดจูบลงมาเบาๆ

แล้วผมก็ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็น  เราต่างตอบสนองจูบของกันและกัน สัมผัสกันด้วยผิวเนื้อที่ค่อยๆเปลือยเปล่า นาทีนี้ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถดึงความสนใจของผมไปได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเสียงทีวีที่ยังคงเปิดค้างเอาไว้หรือแม้แต่แสงไฟที่ยังคงส่องสว่าง ทั้งหมดนั่น มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย


⇤  BEGIN AGAIN  ⇥


เป็นอีกวันที่นาฬิกาปลุกตอนเช้าดังแล้วก็ยังไม่อยากจะตื่น ผมกดปิดเจ้าไอโฟนที่ร้องดังอย่างบ้าคลั่งก่อนจะยัดมันลงใต้หมอน แต่ไม่นานมันก็ดังขึ้นมาใหม่ รำคาญจนต้องตัดใจลุกขึ้นมานั่งจนได้ แม่งเอ้ย


อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ต้องรีบสไลด์ตัวออกจากห้องเหมือนเดิม ไม่อยากจะโทษว่าพอพี่มันไม่อยู่แล้วผมก็แทบจะไปทำงานไม่ทัน แถมข้าวเช้าก็ไม่ได้กินอีกต่างหาก แต่อย่าไปบอกพี่มันล่ะ ผมขี้เกียจฟังมันบ่น

“เราไปก่อนนะ” ผมเทอาหารแมวใส่ชามก่อนจะยกเจ้าตัวอ้วนขึ้นมาจูบหัวกลมๆแรงๆแล้วรีบวิ่งออกไปทันที วันนี้ก็คงจะเฉียดตายอีกแหงๆ เฮ้อ



ฝึกงานวันนี้ก็เรื่อยๆเหมือนเดิมหรืออาจจะเป็นเพราะผมค่อนข้างจะชินแล้วด้วยล่ะมั้ง แต่ไอ้ที่มันไม่เหมือนเดิมก็คือไลน์ผมแม่งโคตรเงียบ ตั้งแต่เช้ามาจนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อความอะไรจากพี่แดนเลยซักข้อความเดียว ที่ผมไลน์ไปมันก็ยังไม่ตอบ

“เฮ้อ” ผมเงยหน้าขึ้นจากจอมือถือ ก่อนที่จะเห็นสายตาใฝ่รู้ของไอ้สองแฝดที่กำลังมองมาที่ผมอยู่แล้ว จะว่าไปตั้งแต่ฝึกงานมาวันนี้เป็นวันแรกเลยนะที่พวกผมได้มากินข้าวกลางวันพร้อมกันทั้ง 3 คนแบบนี้อ่ะ

“มองห่าไร?” ผมถาม ไอ้ป่านมันยักไหล่ก่อนจะก้มหน้าลงซูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากต่อ ไอ้ปอมันยิ้มก่อนจะพูด

“เกรี้ยวกราดจังครับน้องตัง”

“น้องพ่องสิ” ชูนิ้วกลางใส่หน้าแม่ง

“อย่าไปถือสามันนะปอ คนไม่สบายตัวก็เงี้ยะแหละ หงุดหงิดง่าย” ไอ้ป่านมันตบไหล่พี่ชายมันเบาๆ ไอ้เหี้ยปอก็ทำเป็นพยักหน้าเข้าใจไปอีก ห่าราก

“ส้นตีนเหอะ” ไม่อยากจะเถียงกับพวกแม่งก็เลยนั่งก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยวในชามอย่างเซ็งๆ ได้ยินเสียงพวกมันหัวเราะคิกคักก็อยากจะถีบแม่งซักคนละที กวนตีนกูกันจัง





“คอตตอนของพี่ป่านนน” ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในห้องไอ้ป่านมันก็ถลาตัวไปหาเจ้าก้อนกลมที่นอนขดอยู่บนโซฟา อืม ถึงเวลาที่อยู่กับพวกแม่งจะปวดประสาท แต่ผมก็ว่ามันดีกว่าการที่กลับมาแล้วต้องอยู่คนเดียวล่ะนะ

ผมกดรีโมทย์เปิดทีวีในขณะเดียวกันไอ้ปอมันก็กดโทรศัพท์สั่งพิซซ่า ไม่ต้องถามหรอกว่าใครจะกินอะไร เสียเวลาเปล่าๆ ไอ้ปอมันว่างี้อ่ะนะ

“มึงคอสเป็นปลาทูแม่กลองเหรอ?” ไอ้ป่านที่จับอุ้งเท้าปุยๆสีเทาของเจ้าก้อนกลมมาตีที่ข้างแก้มผมถาม

“อะไร”

“ก็หน้างอคอหักขนาดนี้” ไอ้ป่านมันพูดกลั้วขำจนผมอดไม่ได้ที่จะยกตีนเตะหน้าแข้งมันไปแรงๆด้วยความหมั่นไส้

“สัดนี่ กวนตีน”

“เออ พรุ่งนี้อิเคะจังชวนไปวันเกิดพี่บัวขาวว่ะ มึงไปมะ?” อยู่ๆไอ้ป่านมันก็โพล่งขึ้นมา แล้วดูมันนะ มันเรียกแฟนเขาว่าพี่บัวขาวจนผมนี่จำไม่ได้แล้วอ่ะว่าจริงๆพี่เขาชื่ออะไร

“ที่ไหนอ่ะ”

“ไม่รู้ว่ะ ยังไม่ได้ถาม”

“เออ ถ้าไปก็มารับกูด้วยแล้วกัน” ผมตัดบทก่อนจะลุกขึ้นมาเตรียมอาหารให้เจ้าก้อนกลม ออกไป Hang out บ้างก็ดี ไม่งั้นวันทั้งวันคงหนีไม่พ้นการนอนโง่ๆไปจนหมดวันหรอก

“คอตตอน come on” วางชามอาหารลงบนพื้นก่อนจะหันไปเรียกเจ้าแมวอ้วนที่ยืดตัวบิดขี้เกียจก่อนจะวิ่งมาหาผมอย่างไม่มีอิดออด เรื่องกินน่ะไว้ใจคุณเขาเถอะ



ในที่สุดห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้งเมื่อไอ้สองพี่น้องมันพากันกลับบ้านไปแล้ว บอกให้ค้างแม่งก็ไม่ค้างไง ไอ้ปอก็ทำตัวมีลับลมคมในขึ้นทุกวัน ส่วนไอ้ป่านนี่ก็มีงานประจำต้องไปปั่นวิวในยูทูปให้พวกสาวๆของมัน ชีวิตโอตะนี่ช่างหรรษาสุดๆไปเลย

ออกจากห้องน้ำมาเจ้าก้อนกลมก็ขึ้นไปขดตัวนอนรออยู่บนเตียง หงายหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาดูมันก็บอกเวลาเกือบจะ4ทุ่มแล้ว เมื่อไหร่พี่มันจะโทรมาซักทีวะ ถ้าถามว่าทำไมผมถึงไม่เป็นฝ่ายที่โทรไปล่ะก็ บอกเลยว่าเพราะไอ้บ้าบางคนมันทำโทรศัพท์ตกจอแตกกระจายคาพื้นไปไงครับ

แล้วผมรู้ได้ไงน่ะเหรอ ก็เมื่อตอนบ่ายพี่มันใช้โทรศัพท์ไอ้ฟ้าโทรมาบอกเองน่ะแหละ แล้วบอกว่าจะโทรมาอีก จนป่านนี้ก็ยังไม่โทรมาเลย

“เฮ้อออ” ผมทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มก่อนที่สายตาจะพลันไปเห็นแว่นสายตาที่วางไว้บนหนังสือที่พี่แดนอ่านค้างไว้ก่อนที่จะไปเชียงใหม่ หน้าปกมันเขียนว่า ‘More With Less’ แต่ดูแล้วคงจะเกี่ยวกับการทำอาหารล่ะมั้ง หยิบมาเปิดดูสองสามหน้าแล้วก้ต้องวาง มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับการทำอาหารจริงๆด้วย และถึงรูปมันจะสวยชวนกิน แต่หนังสือภาษาอังกฤษล้วนแบบนี้ไม่เหมาะที่จะอ่านเล่นหรอกเอาจริงๆ

อืม… จะว่าไปพี่มันสายตาสั้นหรือเอียงวะ ว่าแล้วก็ลองหยิบแว่นกรอบสีดำเรียบๆนั่นขึ้นมาลองใส่ดู มันก็ไม่เชิงมองไม่รู้เรื่องนะ แต่มันแค่รู้สึกเบลอๆเหมือนภาพมันซ้อนกันเบาๆแค่นั้นแหละ อยู่ๆเสียงแจ้งเตือนวีดีโอคอลจากไลน์ก็ดังขึ้นจนผมแอบตกใจ แต่ชื่อที่เห็นบนหน้าจอนั่นก็ทำให้ผมกดรับทันที

“นานไปป่ะ”

“เพิ่งล็อคอินเสร็จเมื่อกี้เอง” คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมันพูดก่อนจะหัวเราะเบาๆเมื่อผมยู่หน้าใส่ แต่อยู่ๆพี่มันก็ชะงักไป ดวงตาคมมองตรงมาที่ผมโดยที่เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไรแต่กลับยิ้มกว้างแบบกว้างมากๆออกมาแทน

“พี่แดน” ผมเรียก อีกฝ่ายกัดริมฝีปากล่างก่อนจะยกมือขึ้นถูที่ปลายจมูกเบาๆ

“เป็นไรเนี่ย” ผมขมดคิ้วใส่ก่อนที่รอยยิ้มกว้างจะค่อยๆลดขนาดลงเล็กน้อยในขณะที่ดวงตาคมเริ่มมีประกายอะไรบางอย่างที่ผมเห็นทีไรก็ต้องใจเต้นแรงไปกับมันทุกที

“แฟนพี่ทำไมน่ารักจังครับ”

ผมยกมือขึ้นปิดหน้าเมื่อรู้สึกว่ามันเป็นศูนย์รวมของความร้อน และอะไรบางอย่างที่กระทบกับฝ่ามือก็ทำให้ผมต้องรีบดึงมันออกด้วยความเก้อเขิน

“ยิ้มอะไรนักเล่า” ผมแหวใส่ก่อนจะวางไอ้แว่นเจ้าปัญหาลงบนโต๊ะ

“ก็แฟนน่ารักไงเลยต้องยิ้ม ไม่ได้เหรอ?”

“ไม่ได้!” ผมแยกเขี้ยวก่อนจะเอามือกดปิดกล้องไปซะเลย โอ้ย แล้วกูจะเขินอะไรนักหนาวะเนี่ย

“ตัง”

“....”

“ตังครับ”

“....”

“ที่รัก”

“เปิดกล้องนะ” ผมกัดริมฝีปากล่างอย่างชั่งใจเมื่อใจมันยังเต้นแรงไม่หยุดก่อนจะพูดตัดบทออกไป

“ง่วง จะนอนแล้ว ฝันดีนะพี่”

พูดแล้วก็กดเปิดกล้องแล้วจูบลงไปที่หน้าจอเร็วๆแล้วกดวางสายทันที

แม่งงง ทำเองก็เขินเอง ไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายจะกำลังทำหน้าแบบไหน แต่กูเนี่ย หน้าร้อนจนแทบจะระเบิดอยู่แล้วโว้ยยย


⇤  BEGIN AGAIN  ⇥


เสียงดนตรีจังหวะกลางๆในช่วงหัวค่ำทำให้บรรยากาศภายในร้านนั่งดื่มแห่งหนึ่งย่านข้าวสารดูดีไม่น้อย แต่ผมดันต้องนั่งตัวลีบโยกหัวเบาๆอยู่ที่โต๊ะไม่ใกล้ไม่ไกลเวทีซักเท่าไหร่ ทำไมน่ะเหรอ ก็ตอนนี้ผมอยู่ในงานวันเกิดพี่บัวขาวเขาไงครับ แล้วเพื่อนพี่เขาก็มีแต่พวกล่ำๆกันทั้งนั้นเลยด้วย ถ้าเกิดผมเมาแล้วรั่วขึ้นมาล่ะก็คงต้องไปนอนให้คนแวะมาอโหสิกรรมที่ศาลาวัดแหงๆ

“ไอ้ป่านมันหายหัวไปไหนวะ?” ผมยื่นหน้าไปถามไอ้ปอที่นั่งอยู่ข้างๆกัน มันนั่งกระดกเบียร์อึกๆ ไม่เห็นจะตัวลีบเหมือนกูเลยวะ

“หึ” แทนที่จะตอบกูแม่งกลับแค่นลมขึ้นจมูกใส่ซะงั้น

“คุณตัง!” เสียงเรียกพร้อมกับมือที่วางบนไหล่ผมทั้งสองข้างทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย แต่พอหันไปเห็นว่าเป็นโยเนะมุระที่เดินเข้ามาพร้อมกับพี่ปอนด์ก็เลยส่งยิ้มทักทายกลับไป

“สวัสดีครับพี่ปอนด์ นั่งด้วยกันสิครับ”

“โชคดีจังที่น้องตังก็มา” พี่ปอนด์ยิ้มก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับโยเนะมุระก่อนจะพูดต่อ

“แล้วนี่...”

“ผมชื่อปอ” ไอ้คนที่วางขวดเบียร์ลงบนโต๊ะมันแนะนำตัวเอง

“ไอ้ปอ นี่พี่ปอนด์เป็นครูที่มาสอนภาษาไทยอ่ะ” ผมแนะนำต่อให้ ไอ้ปอมันพยักหน้าก่อนจะหยิบเบียร์ขึ้นมาดื่มต่อนิ่งๆ แต่ผมเห็นนะว่าตามันน่ะมองใครอยู่ ส่วนอีกฝ่ายก็เอาแต่เบือนหน้าหนีแล้วหันไปส่งยิ้มให้คนที่นั่งข้างๆแทน

“ครูปอนด์ดูเหมือนสนิทกับคุณตังจัง” โยเนะมุระบอกก่อนจะหันมามองผมด้วย ผมยกยิ้มมุมปากแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร จะปฏิเสธก็คงจะเสียมารยาทมั้ง เพราะเจ้าตัวคนที่ถูกถามก็ไม่ได้ออกตัวอะไร เพียงแค่อมยิ้มเล็กๆเท่านั้น

“หรือว่า...จีบกันอยู่เหรอ?” คนถามทำตาโต ก่อนที่ผมจะโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน

“เฮ้ย ไม่ใช่ๆ”

คนตัวเล็กหัวเราะก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ พี่ปอนด์ไม่ตอบอะไรเพียงแค่ยิ้มเหมือนเดิม และนั่นมันยิ่งทำให้คนที่นั่งข้างๆทำตาวิบวับ

“ครูปอนด์~~”

“ผมขอเอาของขวัญไปให้เจ้าของวันเกิดก่อนนะ” พี่ปอนด์บอกก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะโดยที่โยเนะมุระก็ลุกขึ้นวิ่งตามไปติดๆ พอดีกับที่ไอ้ป่านก็เดินกลับมาที่โต๊ะพอดี

“คนนั้นหน้าคุ้นๆ”

“พี่ปอนด์อ่ะเหรอ?” ผมถามกลับไป  มันขมวดคิ้วน้อยๆ

“มึงรู้จักเขาด้วย?”

“เขาเป็นครูที่มาสอนภาษาไทยไง”

“อ๋อ”

“มองข้างหลังแม่งเหมือนพี่แดนเลยว่ะ” ผมมองตามที่ไอ้ป่านมันพยักพเยิดไปทางคนที่ยืนหันหลังอยู่ไม่ไกล ก็คล้ายมั้ง…. แต่ไม่เหมือนหรอก

“กูต้องไปฟิตหุ่นบ้างละ เดินอยู่ในดงนี้แล้วเหมือนคนเป็นปอลิโอสัดๆ” มันว่าแล้วหัวเราะ ผมก็อดหัวเราะตามไม่ได้ แม่งพูดซะกูเห็นภาพ แล้วถ้ามันเป็นปอลิโอ ผมก็เหมือนคนเป็นปอลิโอที่อดข้าวมาทั้งอาทิตย์อ่ะ โอ้ย ชีวิตกู อยากจะร้องเหี้ยให้ดังก้องโลก

นั่งฟังเพลงเพลินๆไปได้ซักพัก ไอ้ป่านมันก็เริ่มขมวดคิ้วก่อนจะโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“มึงหงุดหงิดอะไรวะปอ?”

จริงๆผมก็สังเกตุมาซักพักแล้ว ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไรมาก แต่ถ้าถึงขนาดไอ้ป่านก็รู้สึกไปด้วยนี่ก็คงจะไม่ธรรมดาแล้วล่ะ

ไอ้ปอมันถอนหายใจก่อนจะพูดออกมาไม่ดังเท่าไหร่

“ขอโทษ”

“กูไปสูบบุหรี่แปบ” พูดจบมันก็ลุกเดินออกไปทันที ไอ้ป่านมันถอนหายใจก่อนจะยกเบียร์ขึ้นมาดื่ม

“เป็นห่าอะไรของแม่งอีกวะ กูล่ะเซ็ง”



ยิ่งดึกบรรยากาศในร้านก็ยิ่งครึกครื้น ผมนั่งดื่มไปเรื่อยๆในขณะที่ไอ้ป่านมันก็ลุกเดินไปเดินมา ทักทายคนนั้นคนนี้ไปทั่ว ส่วนไอ้ปออ่ะหายหัวไปแล้ว

“เป็นแฝดที่ไม่เหมือนกันเลย” พี่ปอนด์พูดขึ้นมาในขณะที่เหลือแค่เราสองคนที่โต๊ะ ผมเลิกคิ้วเป็นคำถามก่อนที่พี่เขาจะขยายความต่อ

“หมายถึงนิสัยน่ะ”

“อ๋อ” ผมพยักหน้า

“แต่จริงๆไอ้ปอมันก็สูงกว่าไอ้ป่านนะครับ ถึงจะแค่ 2 เซนต์ก็เถอะ” ใช่ครับ ไอ้ปอมันสูง 178 ส่วนไอ้ป่านมันสูงแค่ 176 แต่มันก็พยายามใส่ที่เสริมส้นเพื่อจะได้สูงเท่าไอ้ปออ่ะนะ

“งั้นเหรอ?”

“แต่พี่ห้ามพูดเรื่องนี้กับมันเลยนะ ร้ายแรงระดับ10 ผมบอกเลย” คนฟังหัวเราะแต่ก็พยักหน้ารับ

“อืม...ไม่รู้ว่าพี่จะถามดีไหม?”

“อะไรเหรอครับ”

“ตอนนี้น้องตังกำลังคบกับใครอยู่หรือเปล่า?” คำถามของพี่ปอนด์ทำให้ผมต้องยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม

“พี่หมายถึง…” ผมหยุดคำพูดไว้เท่านี้ก่อนจะเปลี่ยนคำพูดเมื่อรู้สึกได้ว่าคนถามคงจะหมายความตามที่ผมคิด

“ครับ ผมมีแฟนแล้ว”



อยู่ๆไอโฟนในกระเป๋ากางเกงของผมก็สั่นเป็นเจ้าเข้าเลยต้องล้วงมันขึ้นมากดดู ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเป็นไอ้ปอที่โทรมา

“เหี้ยไรวะ” ผมสบถใส่สิ่งที่ได้ยินจากปลายสาย

“สัด ทิ้งพวกกู” อืม ไม่ต้องเดาเลยใช่ไหมล่ะว่าผมกับไอ้ป่านแม่งถูกลอยแพแล้วน่ะ ส่วนเหตุผลมันตอบสั้นๆแค่มีปัญหาต้องเคลียร์นิดหน่อย

“ เออ แล้วมึงโอเคไหม?” ได้ยินเสียงของใครซักคนแทรกเข้ามา แต่ไอ้ปอมันก็ตอบปัดผมมาว่าไม่เป็นไร

“อืม ขับรถดีๆ” ผมสำทับก่อนสายจะถูกตัดไปแทบจะทันที

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเอ่ยถามเมื่อผมเก็บโทรศัพท์ยัดในกระเป๋ากางเกงแล้วยกกระป๋องเบียร์ที่เหลือแค่ค่อนขึ้นดื่มรวดเดียวหมด

“โดนเทอ่ะพี่ งั้นเดี๋ยวผมคงต้องกลับแล้ว”

“ไอ้ป่าน!” ผมป้องปากตะโกนเรียกคนที่ยืนคุยอยู่ไม่ไกลนัก ซักพักมันก็ยกมือขึ้นโบกลาคนที่ยืนอยู่ในกลุ่มนั้นแล้วเดินตรงมาหาผมทันที

“เออ กูรู้ละ”

“ส่งกูก่อนนะ กระเป๋าตังค์กูติดไปในรถไอ้พี่เวรละ สัด” ไอ้ป่านมันส่ายหัว

“งั้นพวกผมกลับก่อนนะครับพี่ปอนด์” ผมกับไอ้ป่านยกมือไหว้ แต่พี่ปอนด์ก็ลุกขึ้นยืนตามพวกผมเหมือนกัน

“พี่ก็ว่าจะกลับแล้วเหมือนกัน ถ้ายังไง...ติดรถพี่ไปก็ได้นะ”





“เมี๊ยว” เจ้าก้อนกลมเงยหน้าขึ้นจากอุ้งเท้าอวบที่ซุกหน้าอ้วนๆนั้นไว้แล้วร้องทักผมที่เดินมาหย่อนตัวนั่งลงข้างๆโซฟาที่มันนอนอยู่ที่ห้องรับแขก ดวงตาสีเหลืองวาววับพองโตเหมือนกำลังตำหนิผมกรายๆที่กลับบ้านผิดเวลา

“เราขอโทษน่า” ผมอุ้มเจ้าก้อนกลมขึ้นมาฟัดพลางๆกับที่พากันเข้าไปในห้องนอน แต่พอวางมันลงบนที่นอนนุ่มปุ๊บมันก็เดินหนีผมไปขดตัวนอนที่เตียงอีกฟากนึงทันที งอนกันไม่เลิกนะไอ้อ้วน ผมทิ้งตัวลงนอนก่อนจะล้วงไอโฟนจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาสไลด์หน้าจอแล้วกดเข้าแอปสีเขียวเหมือนอย่างเคย

“พี่….” ผมลากเสียงยาวทันทีที่หน้าจอปรากฏภาพของคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

“ดูดิ่ ลูกชายพี่มันงอนผมอ่า” กดสลับเป็นกล้องหลังให้พี่มันดูไอ้ก้อนกลมๆที่ยังนอนหันหลังให้ แต่สิ่งที่ได้คือพี่มันหัวเราะใส่ผมซะงั้นน่ะ หุ้ย นี่โทรมาให้ช่วยง้อเว้ย ไม่ใช่ให้ซ้ำเติม!

“พี่แดน!”

“โอ๋ๆ ไม่งอแงนะครับ” เสียงทุ้มกลั้วเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“เดี๋ยวก็โดนดีหรอก” ผมสลับมาที่กล้องหน้าก่อนจะชี้นิ้วใส่หน้าคนที่ยังยิ้มไม่เลิก

“กลับมาง้อลูกพี่ให้ผมเลยนะ”

“ครับ” พี่มันตอบรับ นี่ก็กะจะชมซักหน่อยว่าดีมากถ้ามันไม่พ่นคำพูดกวนประสาทออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มๆให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะซะก่อนอ่ะนะ

“จะรีบกลับไปง้อทั้งลูกทั้งเมียเลย” ผมยู่หน้าใส่โทรศัพท์ ไอ้คนกวนประสาทก็เอาแต่ยิ้ม

“เออ แค่นี้แหละ”

“ฝันดีครับ....พรุ่งนี้เจอกัน”

“อื้อ” ผมตอบรับเบาๆ แค่ได้ยินว่าพรุ่งนี้จะได้เจอกันใจมันก็พองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“พี่แดน เดี๋ยวก่อน” ผมเรียกคนที่ปลายสายก่อนที่อีกฝ่ายจะได้กดวาง


“ผมมีอะไรจะบอก กลับมาเร็วๆนะ”



xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx



งื้อออ ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนเลยที่มาช้ามากกกกกกมากกกกกก แต่งานมันยุ่งมากจริงๆ
หลายสิ่งอย่างจนบางทีก็ท้อเหมือนกันนะ แต่อยู่ด้วยกันมาตั้งขนาดนี้แล้วก็ไม่อยากทำให้ทุกคนผิดหวัง
เราจะพยายามให้มากกว่านี้ค่ะ   :hao5:

ส่วนตอนนี้ขอกำลังใจให้น้องตังกับพี่แดนด้วยนะคะ  :กอด1:
เจอกันตอนหน้าค่ะ จะพยายามมาให้เร็วที่สุด ขอบคุณคนอ่านที่ยังรอแล้วไม่ทิ้งกันเช่นกันค่ะ  :L1:

B2
Twitter : @B2YFICTION
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP19- Something wanna tell :) [9.1.19 UP!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-01-2019 19:16:30
 :L2: :L1: :pig4:

ดีใจที่มาแล้ว
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP19- Something wanna tell :) [9.1.19 UP!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-01-2019 22:29:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP20 - NAKED [08.02.19 UPDATE!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 08-02-2019 16:36:40
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….

#20










ผมนอนฟุบหน้าลงกับหมอนใบนิ่มอีกครั้งหลังจากที่ลุกขึ้นไปให้อาหารเช้าเจ้าก้อนกลมเป็นที่เรียบร้อย ก็ไม่รู้ว่าเผลอหลับลึกไปตอนไหน รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่โดนใครบางคนมันรวบตัวเข้าไปกอดซะแล้วน่ะแหละ


“เด็กขี้เซา”


เสียงนุ่มๆที่เจือเสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นข้างหูทำให้ผมซุกหน้าเข้าหาแผ่นอกกว้างเพราะยังไม่อยากจะลืมตาตื่น พี่แดนไม่ได้พูดอะไรต่อมีเพียงฝ่ามือกว้างที่ลูบหัวผมเบาๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นปลายจมูกโด่งรั้นที่ฝังลงบนหน้าผากแทน


เอาจริงนะ แม่ง….รู้สึกดีชะมัด


ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าพี่มันเมื่อบรรยากาศในห้องเงียบไปซักพัก และดวงตาคมนั่นก็อ่อนแสงลงยามที่ก้มมองลงมา แม้ว่าพี่มันจะไม่ได้เปล่งคำพูดใดๆ แต่ดวงตาคมนั่นก็บอกทุกความหมายของความรู้สึกได้เป็นอย่างดี คำพูดของท่านเทวดาที่ผุดขึ้นในสมองทำให้ผมค่อยๆขยับตัวขึ้นแล้วจูบลงที่มุมปากของคนที่กำลังอมยิ้มเล็กๆส่งมาให้ มาถึงตอนนี้ มันไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอะไรมาเพื่อโต้แย้งความรู้สึกที่มันก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างจนชัดเจนขนาดนี้อีกแล้วล่ะมั้ง


เพราะว่าถ้าความรู้สึกมันคือ ‘รัก’ นั่น.... มันก็คือ ‘ความรัก’


“ไหน มีอะไรจะบอกพี่ครับ” เสียงทุ้มๆเอ่ยถาม ดวงตาคมนั่นอบอุ่นจนทุ้มในใจไปหมด


“หึ” ผมส่ายหัว


“ไม่ขี้โกงสิ” ใบหน้าคมก้มลงใกล้จนผมต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นทาบลงข้างแก้มที่เริ่มสากเพราะเมื่อเช้าเจ้าตัวคงจะไม่ได้โกนหนวดมาแน่ๆ


“ก็แค่...”


ผมค่อยๆโน้มใบหน้าคมเข้ามาช้าๆก่อนจะขยับขึ้นไปจูบที่ริมฝีปากของพี่แดนอีกครั้งอย่างตั้งใจ


“คิดถึงพี่นะ”


“แล้วก็….รักพี่มากๆด้วย”



รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นบนใบหน้าคมก่อนที่ฝ่ามืออุ่นจะลูบลงที่ข้างแก้มผมเบาๆแล้วดึงตัวผมลงไปกอดจนแน่น ปลายจมูกโด่งรั้นกดลงที่ข้างแก้ม ริมฝีปากชื้นที่สัมผัสกับผิวเนื้อยามที่เจ้าตัวกำลังจะเปล่งคำพูดออกมามันทำให้รู้สึกหวามไหวอย่างบอกไม่ถูก


“พี่คงคิดมากไปเองจริงๆ” น้ำเสียงทุ้มที่เจือเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอของคนอารมณ์ดีกลับทำให้ผมรู้สึกวูบโหวงเหมือนกำลังจมดิ่งลงในภวังค์ความคิด


“พี่แดน”


“ถ้าผม....”


“....ช่างมันเถอะ” ผมกลืนคำถามลงคอก่อนจะเป็นฝ่ายดันร่างกายหนาลงบนที่นอนนุ่มแล้วแนบริมฝีปากจูบลงบนริมฝีปากร้อนๆนั่นอีกครั้งโดยที่อีกฝ่ายก็ส่งวงแขนมากระชับกอดผมเอาไว้เช่นกัน ผมไม่รู้ว่า ถ้าพี่แดนรู้ว่าผมไม่ใช่ตังคนเดิมคนนั้นพี่มันจะยังชอบผมคนนี้ไหม แต่สำหรับผมในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นผมคนไหนก็ตกหลุมรักพี่มันจนหัวปักหัวปำไปแล้วทั้งคู่


เรายังคงจูบกันและกันเหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่รู้จักและปราถนา ยิ่งจูบยิ่งเหมือนต้องมนต์ ทุกอย่างรอบกายมันพร่าเลือนจนมองอะไรไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นมีแค่พี่แดนเท่านั้นที่ยังคงชัดเจนทั้งตัวตนและความรู้สึก


“พี่ก็คิดถึงครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นที่ข้างหูก่อนที่ความร้อนจากริมฝีปากชื้นจะเคลื่อนต่ำลงมาที่ลำคอจนถึงแอ่งชีพจร พี่แดนชันตัวขึ้นนั่งทำให้ผมต้องยืนเข่าคร่อมหน้าขาของพี่มันเอาไว้ ฝ่ามือร้อนทั้งสองข้างสอดเข้ามาในเสื้อของผมก่อนที่มันจะถูกถอดออกจนพ้นตัว ความเย็นของเครื่องปรับอากาศทำให้ผมต้องเกร็งตัวนิดหน่อยก่อนที่จะรู้สึกผ่อนคลายด้วยความอบอุ่นจากอุณภูมิของร่างกายเมื่อถูกสวมกอดจากวงแขนกว้างอีกครั้ง


“ผมรักพี่นะ” ผมกระซิบบอกอีกครั้งกับแผ่นอกอุ่น มันอาจจะดูฟุ่มเฟือยกับการพร่ำบอกรักซ้ำๆ แต่ทว่าความรู้สึกที่ถูกประทุออกมาแล้ว ผมก็ไม่สามารถหยุดมันได้อีกต่อไป


“ครับ พี่ก็รัก”


และแค่ได้ยินคำว่ารักที่ตอบสนองกลับมาพร้อมจูบจากริมฝีปากอุ่นนั้น ผมก็ไม่ลังเลใจอะไรอีกที่จะปล่อยให้พี่มันทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ


ก็เพราะว่าการถูกรักน่ะ….มันรู้สึกดีมากกว่าที่เคยรู้สึกซะอีก




“อื้ออออ” เสียงหยาบโลนของร่างกายที่ขยับเสียดสีกันทำให้ผมต้องกัดริมฝีปากล่างเพื่อระงับเสียงครางของตัวเองไม่ให้มันดังมากจนเกินไป


ฝ่ามือร้อนกระชับบั้นเอวผมเอาไว้ทั้งสองข้างเมื่อพี่แดนกำลังนำพาความสุขเข้ามาในตัวผมอย่างช้าๆ ความซ่านที่แล่นริ้วบนผิวหนังทำให้ผมต้องกัดริมฝีปากแน่นเมื่อจังหวะการเคลื่อนไหวของร่างกายสูงใหญ่นั้นถี่กระชั้น


แต่อยู่ๆมันก็กลับช้าลงจนหยุดไปเสียดื้อๆ


“พี่ แดน...” ผมร้องเรียกคนที่หยุดการเคลื่อนไหว ดวงตาคมนั่นมองตรงมา ประกายสายตาที่มีเพียงแค่ผมที่สะท้อนอยู่ในนั้นมันทำให้หัวใจหวาบหวามแบบแปลกๆ แล้วอยู่ๆฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างก็กระชับลงที่บั้นเอวก่อนที่ตัวผมจะถูกยกขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนตักกว้าง


รอยยิ้มเล็กๆที่กดลงตรงมุมปากนั่นทำให้ผมต้องเม้มปากเข้าหากันอย่างชั่งใจ คนตัวโตกว่าที่อยู่ด้านล่างโน้มใบหน้าผมลงไปใกล้ก่อนที่เสียงนุ่มทุ้มจะกระซิบที่ข้างหู


“นะ ที่รัก”


และนั่น….

มันก็ทำให้ผมพ่ายแพ้ให้กับคนๆนี้อีกจนได้


“นิสัยไม่ดี” ผมพึมพำก่อนจะซบหน้าลงบนบ่ากว้างด้วยความกระดากอาย เสียงหัวเราะแผ่วๆในลำคอแกร่งนั่นทำให้ผมอยากจะทุบแรงๆบนแผ่นอกหนานั่นจริงๆ


“อื้ออ” ผมครางประท้วงเมื่อสองมือหนานั่นกระขับเข้าที่บั้นเอวอีกครั้งเหมือนจะเร่งเร้า ผมกัดริมฝีปากอย่างชั่งใจอีกครั้งก่อนจะค่อยๆขยับโยกตัวไปตามสัญชาตญาณ ความซ่านที่แล่นริ้วไปจนถึงปลายเท้าเรียกให้ผมต้องฝังคมเขี้ยวลงบนลำคอแกร่งเพื่อระงับมันเอาไว้ก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะลูบลงบนหัวผมเบาๆพร้อมเสียงกระซิบทุ้มๆที่ข้างหู


“เก่งมากครับ...ที่รัก”








ผมหยิบเจ้าไอโฟนที่ซ่อนตัวอยู่ใต้หมอนขึ้นมากดดูเวลาหลังจากที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และมันก็บอกว่านี่เกือบจะบ่ายโมงแล้ว



“เมี๊ยว” เจ้าก้อนกลมกระโดดขึ้นมานั่งอยู่ตรงหน้าก่อนจะส่งเสียงทักทาย ผมยิ้มก่อนจะอุ้มมันขึ้นมากอดเอาไว้


“แซวเราเหรอหะ” อืม...ก็นั่นแหละ เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ผมรู้สึกเก้อๆกับดวงตาสีเหลืองแวววาวของมันน่ะ


“ตัง” คนตัวสูงที่เปิดประตูห้องเข้ามาร้องบอกในขณะที่ก็เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่ข้างเตียง


“ออกไปกินข้าวได้แล้วนะ”


เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าพี่มันไม่ชอบใส่เสื้อเวลาที่อยู่ด้วยกันแค่สองคน แล้วตอนนี้มันก็อยู่ในสภาพนั้นแหละ ผมหลุบสายตาลงเล็กน้อยเมื่อพลันสายตาไปเห็นรอยฟันสีห้อเลือดบนบ่าแกร่งนั่น 


“ไปเร็ว” กลิ่นอาฟเตอร์เชฟยังคงหลงเหลือให้ได้กลิ่นจางๆเมื่อพี่มันโน้มตัวเข้ามาใกล้เพื่ออุ้มเจ้าแมวก้อนกลมออกจากตักผม และก็ไม่ลืมที่จะฝังปลายจมูกลงที่แก้มผมแรงๆซะด้วย


“พี่แดน”


“ขี่หลังหน่อย” คนตัวสูงเลิกคิ้วเป็นคำถาม แต่มุมปากหยักก็ยักยิ้ม


“ก็ตังขี้เกียจเดินอ่า”


“นะ”


สิ้นเสียงผมเจ้าก้อนกลมก็ถูกปล่อยลงบนพื้นก่อนที่คนตัวสูงจะหันหลังให้ผมแล้วย่อเข่าลงตรงหน้าโดยที่ไม่ได้อิดออดอะไร



เอาจริงดิ่...พี่แม่งโคตรน่ารักเลย


พาสต้าแซลม่อนรมควันแบบง่ายๆกำลังส่งกลิ่นหอมอยู่ตรงหน้า จะว่าไปนี่มันคือเมนูแรกที่ผมเคยกินฝีมือพี่แดนเลยนะ รสชาติมันยังเหมือนเดิม รอยยิ้มของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็ยังเหมือนเดิม บางทีก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าพี่แดนเริ่มชอบผมตั้งแต่ตอนไหน


แต่....ผมอีกคนก็คงจะเคยถามไปแล้วมั้ง คิดแล้วก็เซ็ง


“คิ้วขมวดอีกแล้ว” เสียงทักจากคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามทำให้ผมยู่หน้า


“เปล่าซะหน่อย”   


“อาทิตย์หน้าวันหยุดยาวได้หยุดใช่ไหม?”


“อื้อ”


“ไปเชียงใหม่กับพี่นะ แม่บ่นคิดถึงใหญ่แล้ว”


“อ่าหะ” ผมตอบรับเบาๆพลางใช้ส้อมม้วนเส้นพาสต้าเข้าปาก


แม่เหรอ…


จากที่เคยได้คุยกันทางโทรศัพท์ ผมว่าท่านก็เป็นคนที่ใจดีมากๆนะ ฟังจากน้ำเสียงแล้วก็คงจะเอ็นดูผมอยู่ไม่น้อย แต่...ผมจะต้องทำตัวยังไงในเมื่อผมในตอนนี้แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบ้านพี่แดนเลยซักอย่าง บ้านที่เชียงใหม่เป็นยังไง แล้วที่นั่นมีใครอยู่บ้าง แล้วทุกคนจะโอเคกับผมเหมือนกับแม่เอื้องไหม แล้วที่แน่ๆผมจำหน้าใครไม่ได้เลยนอกจากไอ้น่านฟ้า คิดแล้วก็เริ่มจะนอยด์ขึ้นมาหน่อยๆแล้วว่ะ


“พี่…”


“หื้ม?”


“ถ้าเกิดว่าตังไปไม่ได้….” ผมถามออกไปเสียงอ่อย คิ้วหนาขมวดเข้าหากันนิดหน่อยแต่เจ้าตัวก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเหมือนกำลังรอฟังว่าผมจะพูดอะไรต่อ


“ก็อาจจะมีธุระกระทันหัน อะไรแบบนั้น” ฝ่ามือเริ่มชื้นเหงื่อหน่อยๆแต่ก็ยังช้อนสายตามองคนที่ยังเงียบ ก็มันป๊อดขึ้นมาแล้วอ่ะเอาจริงๆ ขอเตรียมใจก่อนได้ไหมล่ะ


“ก็ไว้ไปวันอื่นก็ได้” มุมปากหยักยักยิ้มน้อยๆก่อนจะพูดต่อ


“ฝึกงานก็เหลืออีกแค่เดือนเดียวเองนี่”


“อื้อ” ผมครางรับในลำคอก่อนจะยิ้มให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วก้มหน้าก้มตากินต่อ


จากหลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้รู้ว่าพี่แดนไม่ใช่คนจู้จี้ ไม่ใช่คนเอาแต่ใจ ไม่เคยห้ามอะไรไร้สาระ จริงๆแล้วผมก็ไม่อยากเทียบกันระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง แต่บางทีนี่ก็อาจจะเป็นข้อดีของการคบกับผู้ชายด้วยกันก็ได้ล่ะมั้ง


และอีกอย่าง พี่แดนเป็นคนมีเหตุผล แต่ก็ไม่เคยยกเอาเหตุผลอะไรขึ้นมาเพื่อทำให้เราทะเลาะกัน ถึงแม้เรื่องนั้นผมจะเป็นคนผิดก็ตาม มาถึงตอนนี้ผมก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมผมถึงคบกับพี่มันมาได้ตั้ง 2 ปีแล้ว


ถึงนั่น….จะไม่ใช่ผมคนนี้ก็ตามที


ก็เอาเป็นว่าขอเวลาผมหน่อยแล้วกันนะพี่ ขอเตรียมใจแปบ ไม่นานหรอกครับ






วันเวลามักจะผ่านไปเสมอเวลาที่เราไม่ได้ตั้งตัว นี่ก็วันพุธแล้ว และวันศุกร์นี้ก็จะเป็นวันแรกของช่วงวันหยุดยาว แน่นอนว่าผมยังไม่ได้ซื้อตั๋วเครื่องบิน ซึ่งพี่แดนเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเจ้าตัวก็ยังไม่ได้ซื้อเหมือนกัน


ผมมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่กำลังขับรถอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าเผลอไปตอนไหน รู้สึกตัวอีกทีพี่แดนก็หันมาส่งยิ้มเล็กๆที่มุมปากให้แล้ว


“ว่าไง?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ผมก็ได้แค่ส่ายหน้า


“ง่วง” ผมยกมือข้างที่ถูกฝ่ามือใหญ่กุมไว้ขึ้นมาแนบแก้มก่อนจะหลับตาประกอบ


จริงๆก็อยากไปเชียงใหม่นะ


แต่...มันก็ยังป๊อดว่ะ


“ยูเทิร์นข้างหน้าแล้วกลับบ้านเลยได้ไหมอ่ะ?” ผมพูดกับคนขับรถเสียงเนือยด้วยความขี้เกียจ พี่มันหัวเราะก่อนจะยีหัวผมเล่นเบาๆ


“ทำไมวันนี้งอแงจังครับ”


“ก็ตังขี้เกียจนี่” ผมยู่หน้าใส่ก่อนจะเอนหลังพิงเบาะเมื่อรถขยับเลื่อนไปข้างหน้าอีกครั้ง


“อีกไม่ถึงเดือนเอง ฝึกงานเสร็จแล้วค่อยไปญี่ปุ่นกัน”


“พูดแล้วนะ” ผมหันไปหาคนที่สายตายังมองถนนแต่ริมฝีปากหยักยักยิ้มก่อนจะยักคิ้วข้างหนึ่งให้ผมเป็นการตอบรับ หึ เบี้ยวกันล่ะน่าดูนะคุณดินแดน!






ฝึกงานวันนี้ก็เรื่อยเปื่อยเหมือนเดิม ผมนั่งคีย์ข้อมูลของพนักงานคนญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ ไอ้ป่านก็ยืนรื้อเอกสารบนชั้นใกล้ๆไปพลางหันมาคุยกับผมเป็นระยะ ไม่นานไอ้ปอก็โผล่หน้าเข้ามาหลังจากหายไปครึ่งวัน


เออ ผมยังไม่ได้เล่าให้ฟังใช่ไหมว่าหลังจากงานวันเกิดพี่บัวขาวเมื่อวันเสาร์ ผมกับไอ้ป่านก็เพิ่งได้เจอหน้าอันยับเยินของไอ้ปอเมื่อวันจันทร์น่ะ คิ้วแตก ปากแตก โคตรหมดสภาพเลย แต่ถามเท่าไหร่มันก็บอกว่าไม่มีอะไรแค่ไปกัดกับหมามา โอ้โห้ หมาที่มึงว่าคงมือหนักตีนหนักน่าดู


“พี่กุ๊กครับ ปอขอกุญแจล็อคเกอร์ของนาโอะหน่อยได้ไหมครับ?” มันถอนหายใจก่อนจะนั่งลงตรงหน้าโต๊ะของพี่กุ๊ก นาโอะ? ผมกับไอ้ป่านได้แต่หันมามองหน้ากันแบบงงๆ อย่าว่าแต่ผมสองคนเลย พี่กุ๊กเองก็ดูจะงงไม่น้อย


“อ่า...ขอโทษครับ ผมหมายถึงโยเนะมุระน่ะครับ”


หื้มมมมมมมม ผมกับไอ้ป่านสบตากันอีกครั้ง สนิทสนมกันขนาดเรียกชื่อเล่นกันแล้วเหรอออ แถมเป็นชื่อเล่นจากชื่อต้นซะด้วย


“เอาไปทำอะไรคะรูปหล่อ” พี่กุ๊กยิ้มอารมณ์ดี แต่ผมแย้งนิดนึงครับ หน้าแบบไอ้ปอตอนนี้ต้องเรียกว่าไอ้หน้ายับครับพี่กุ๊ก


“ก็ไอ้เปี๊ยกมันไปเด๋อทิ้งไว้ที่ไหนก็ไม่รู้….” ไอ้ปอมันตอบเสียงไม่ดัง แต่ผมกับไอ้ป่านก็ยังได้ยินชัดเต็มสองรูหู 


“อ๋อ….ค่ะ” พี่กุ๊กรับคำก่อนจะลุกขึ้นเดินไปปลดล็อคชั้นเพื่อเปิดเอากล่องกุญแจสำรองออกมา


“แน่ะ” ไอ้ป่านมันกระแซะพี่ชายมัน


“ไม่เสือกนะน้อง” ไอ้ปอมันยิ้มเย็นก่อนจะดันหัวน้องชายตัวเองซะเกือบหงายหลัง แม่งเขินว่ะ


 โอ้โห้ อะเมซซิ่งเว่อร์


แต่จะว่าไป...ผมก็เพิ่งจะนึกได้ว่าโยเนะมุระเองก็ใส่แว่นกันแดดมาทำงานตั้งแต่วันจันทร์จนถึงวันนี้ เอาจริงนะ ไอ้สองคนนี้มันต้องมีซัมติงอะไรแหงๆ




 

กลับมาถึงห้องกินข้าวเสร็จ ก็เข้าไปอาบน้ำแต่พอเดินออกมาจากห้องน้ำก็ไม่เห็นพี่มันอยู่ในห้องเหมือนทุกที แต่ประตูระเบียงที่เปิดเอาไว้ก็ทำให้รู้ว่าพี่มันยืนอยู่ข้างนอกนั่น


กำลังจะเดินตามออกไปก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินประโยคที่พี่มันกำลังพูดออกมาซะก่อน


“ครับแม่ ยังบ่ฮู้เลยครับ ว่าตังจะไปตวยก่อ”


“บ่ได้ผิดกั๋นครับ อู้แต้ๆครับแม่”



ผมเม้มปากเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง ผมในตอนนี้คงจะทำตัวแปลกจนใครๆก็รู้สึกหรือเปล่า แล้วผมที่เป็นแบบนี้จะประคับประคองความสัมพันธ์ของผมกับพี่มันเอาไว้ได้ไหม ถ้าเป็นเมื่อเดือนก่อนตอนที่ผมเพิ่งจะวาร์ปมาโผล่ที่นี่ ผมคงจะไม่รู้สึกอะไรหากผมกับพี่มันจะต้องเลิกกัน แต่ถ้าเป็นตอนนี้....


แค่คิด ในใจมันก็อึดอัดไปหมด


ผมยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ อยู่ดีๆก็เหมือนตัวเองกำลังตกจากที่สูงดิ่งลงบนพื้น ความรู้สึกมันคอนทราสต์กันจนน่ากลัว แผ่นหลังกว้างที่ผมจ้องมองอยู่ด้านหน้า อยู่ๆมันก็ไกลออกไปจนเหมือนจะเอื้อมมือไปไม่ถึง ไม่เอานะ


ผมก้าวขาออกไปอย่างเร็วก่อนจะโถมตัวเข้ากอดคนที่กำลังยืนหันหลัง พี่แดนสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะเอี้ยวตัวมาแล้วส่งยิ้มจางๆให้


“แล้วฟ้ามันแผ๋วบ้านละกา” 


ผมซบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ได้ยินเสียงพี่มันหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตัดสายที่กำลังคุยอยู่


“ครับแม่ ปะกั๋นวันศุกร์นะครับ”


“อ้อนเหรอครับ?” ฝ่ามือกว้างวางลงบนไหล่ผมก่อนจะดันออกเบาๆแล้วหันมาเผชิญหน้ากัน ใบหน้าคมระบายรอยยิ้มน้อยๆ ดวงตาสวยอ่อนแสงลงเมื่อเจ้าตัวมองลงมา


“มันหนาวต่างหาก” ผมแก้ตัว พี่มันหัวเราะก่อนจะกระชับวงแขนกอดผมแล้วโยกเบาๆ


“ถ้างั้น….”


“เราไปนอนกอดกันดีกว่าเนอะ”


“อื้อ”





xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx



คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้น้องตังคนป๊อดกันหน่อยนะค้าาา
เจอกันตอนหน้า ไม่เกินอาทิตย์หน้าค่ะ สัญญา  :n1:

หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP20 NAKED [08.02.19 UPDATE!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-02-2019 18:52:43
 :pig4: :pig4: :pig4:

อุ้ย...น้องตังกลับมาแล้ว
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP20 NAKED [08.02.19 UPDATE!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nlygust13 ที่ 09-02-2019 18:27:30
ดันๆ
หัวข้อ: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่...EP21 Missing Truth [15.02.19 UPDATE!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 15-02-2019 20:42:00
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#21



 

“พี่แดน…” ผมเม้มปากก่อนจะสาวเท้าเดินไปหยุดอยู่ข้างหลังของคนที่กำลังนั่งพิมพ์อะไรบางอย่างลงบนโน๊ตบุ๊ค

“ว่าไง”

“คือ...วันเสาร์นี้” ผมเว้นจังหวะเมื่อใบหน้าคมหันหลังกลับมา มือที่จับพนักเก้าอี้เพิ่มแรงบีบเล็กน้อยเมื่อเห็นข้อมูลที่พี่มันกำลังพิพ์ค้างไว้ มันเป็นชื่อของผมในฟอร์มการจองตั๋วของสายการบินหนึ่ง

“ตังต้องไปบ้านเจ๊กเล็กกับม๊า” ผมกลั้นใจตอบรวดเดียว เหมือนแรงกดดันในอกมันถูกดันออกมาพร้อมคำโกหกที่เพิ่งพูดออกไป ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าการโกหกมันเป็นอะไรที่น่าอึดอัดขนาดนี้

ใช่...สุดท้ายผมก็เลือกที่จะโกหก ถึงมันจะไม่ได้คลายความวิตกของผมไปได้ซักเท่าไหร่ก็ตามที

“โอเค” คนพูดหันกลับไปที่หน้าจอ และข้อมูลในส่วนของผมก็ถูกลบออกไป มีเพียงข้อมูลของพี่มันคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่แต่วันเดินทางถูกเลื่อนออกไปอีกวันแทน

“ผมขอโทษ” ผมเลื่อนมือที่จับพนักเก้าอี้ไปโอบรอบบ่ากว้างแล้วกอดไว้หลวมๆก่อนจะซบหน้าลงที่ข้างลำคอแกร่ง

“เรื่องอะไรครับ?” ฝ่ามือใหญ่ถูกส่งมาจับวงแขนของผมเอาไว้พรางบีบเบาๆในตอนที่ถาม ผมเงยตัวขึ้นก่อนที่พี่แดนจะหมุนเก้าอี้แล้วหันมาหาผมแบบเต็มตัว

“ก็ที่ไม่ได้ไปด้วย” ผมตอบก่อนจะเม้มปากเข้าหากัน พี่แดนยิ้มเล็กๆที่มุมปากก่อนจะยื่นมือมาจับมือผมเอาไว้แล้วฉุดให้ผมนั่งลงบนตักซะอย่างนั้น

“ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ แต่ตังก็แค่…”

“ต้องทนคิดถึงพี่หลายวันกว่าเดิมแค่นั้นเอง”  คำพูดเจือเสียงหัวเราะดังขึ้นข้างหูก่อนที่ปลายจมูกจะกดลงที่ข้างแก้มผมแรงๆหลายที

“อื้อออ” ผมครางอย่าขัดใจเมื่อจะขยับไปไหนก็ไม่ได้เพราะวงแขนแกร่งนั้นกอดผมแน่นซะจนขยับแทบจะไม่ได้เลย

แต่...มันอาจจะเป็นอย่างที่พี่มันพูดจริงๆก็ได้

“แล้วทำไมคราวนี้พี่ไปนานจังอ่ะ” ผมถาม เพราะปกติพี่แดนจะไปแค่ไม่เกินอาทิตย์ แต่คราวนี้เกือบสองอาทิตย์เลยนะ แล้วจริงๆหยุดยาวมันก็แค่สี่วัน ถ้าผมไปด้วยก็ต้องกลับก่อนอยู่ดี

อ้อมกอดแน่นๆคลายออกนิดหน่อยพอให้ผมขยับตัวหันไปหาพี่มันได้ มุมปากหยักยักยิ้มน้อยๆ ที่สันกรามมีไรหนวดขึ้นมานิดหน่อยเพราะเมื่อวานเจ้าตัวคงจะไม่ได้โกน ก็ไม่รู้ทำไมผมถึงอดใจที่จะไม่ส่งปลายนิ้วขึ้นไปแตะเบาๆไม่ได้เหมือนกัน

“ขั้นตอนสุดท้าย มันต้องใช้เวลานิดหน่อยครับ” เสียงทุ้มเอ่ยตอบ ถึงผมไม่เข้าใจมันเท่าไหร่ แต่มันคงเป็นอะไรที่สำคัญมาก เพราะผมเห็นว่าดวงตาคมนั่นมีประกายความสุขเล็กๆออกมา ถึงตอนนี้มันจะถูกบดบังด้วยกรอบของแว่นสายตาก็ตามที

“อื้ม” ผมส่งยิ้มตอบรับคำพูดนั้น ฝ่ามือกว้างส่งมาลูบแก้มผมเบาๆโดยที่พี่แดนก็ไม่ได้พูดอะไร และถึงเวลาที่พี่มันใส่แว่นเนิร์ดๆนี่จะดูมีเสน่ห์แค่ไหน แต่ในบางเวลามันก็เป็นแค่อะไรที่….

“เกะกะชะมัด”

คนตัวโตหัวเราะในลำคอก่อนจะนั่งนิ่งๆให้ผมดึงแว่นสายตาออกจากกรอบหน้าคม และไม่ทันที่ผมจะได้ขยับตัวไปไหนฝ่ามือกว้างก็รั้งท้ายทอยผมแล้วดึงเข้าไปแนบจูบทันที

“พี่ต้องคิดถึงมากจนคลั่งแน่ๆ” ผมงับริมฝีปากช่างพูดนั่นก่อนจะเป็นฝ่ายเริ่มจูบพี่มันก่อนบ้าง คนตัวโตไม่ได้ขัดขืนอะไรนอกจากปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายจูบอยู่แบบนั้นจนพอใจ

“ก็ถ้าจะน่ารักขนาดนี้….” ดวงตาคมประกายวิบวับก่อนที่ริมฝีปากชื้นจะก้มลงมากระซิบเบาๆที่ข้างหู และประโยคที่ได้ยินนั่นก็ทำให้ผมหน้าร้อนจนแทบไหม้

“Give me a sexy call please, honey”




“เฮ้ออออ” วันนี้เป็นคืนวันศุกร์ที่ผมเลือกที่จะกลับมานอนที่บ้านแทนที่จะนอนที่คอนโด เพียงเพราะเรื่องโกหกของผมน่ะแหละ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมนอนไม่หลับทั้งๆที่นอนอยู่บนเตียงของตัวเองแท้ๆ บ้าบอชิบ

ผมลุกขึ้นนั่งก่อนจะเปิดประตูระเบียงแล้วเดินออกไป แสงไฟภายในบริเวณบ้านถึงจะไม่ได้สว่างมากนักแต่ก็ทำให้ผมมองเห็นบรรยากาศโดยรอบอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นสวนบอนไซของป๊า น้ำพุ หรือบ่อปลาคาร์ฟที่เจ้าก้อนกลมชอบไปนอนเอาอุ้งเท้าอ้วนๆลงไปแกว่งเวลาที่ผมพาออกไปเดินเล่นที่นอกบ้าน

ความอึดอัดที่ก่อตัวอยู่ในใจเรียกให้ผมต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาถูหน้าแรงๆอย่างหงุดหงิด บางครั้งผมก็อยากที่จะพูดความจริงออกไป….แต่ใครจะเชื่อล่ะ เรื่องของผมมันธรรมดาซะที่ไหน

หลายครั้งที่ผมนั่งชั่งน้ำหนักในใจว่าควรจะใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ หรือควรจะไป….

แต่นั่นมันก็เป็นแค่ความคิดเมื่อก่อน

ส่วนในตอนนี้....

ผมคิดไม่ออกอีกแล้วว่าถ้าไม่มีพี่แดนแล้วชีวิตผมจะเป็นแบบไหน มันอาจจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่สำหรับผมมันกลับมีความหมายมากกว่าที่จะอธิบายได้

พี่แดนไม่ใช่คนช่างพูด

แต่บางครั้งคำพูดน้อยๆเหล่านั้นมันก็ทำให้ผมเขินจนทำตัวไม่ถูก

พี่แดนเป็นนักฟังที่ดีเสมอ

ดวงตาคมนั่นมักจะอ่อนแสงลงทุกครั้งเวลาที่พี่มันกำลังรับฟังผมอย่างตั้งใจ แม้มันจะเป็นเรื่องที่โคตรไร้สาระเลยก็ตาม

และเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้ผมนอนไม่หลับนั่นก็เพราะ….ผมกลัว

ก็เพราะผมคนนี้เป็นคนที่ไม่มีความทรงจำอะไรเลยในช่วงสองปีที่ผ่านมา แล้วพี่มันจะรับได้ไหม ?

แล้วผมคนนี้กับผมคนนั้น….พี่รักใครมากกว่า ?

จริงๆมันก็เป็นแค่คำถามโง่ๆเท่านั้น ก็ผมคนนี้จะไปสู้อะไรกับผมคนนั้นได้ จริงไหม ?

“เฮ้อออออ” ผมสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดก็จะระบายออกมาจนหมด เกลียดตัวเองตอนนี้ชะมัด

“เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกเจ้าเด็กโง่” เสียงของคน ไม่สิ เทวดาที่ปรากฏตัวขึ้นมายืนพิงระเบียงอยู่ข้างๆกันดังขึ้นมาให้ได้ยิน

“ถ้าผมหัวใจวายขึ้นมาทำไง”

“เอ็งไม่ได้ตกใจซักนิดด้วยซ้ำ” ท่านเทวดาแย้ง นั่นทำให้ผมแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ

“ผมชินแล้วล่ะมั้ง”

เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อเพียงแค่ทอดสายตาไปข้างหน้า ลมเย็นๆยามค่ำคืนพัดไล้ผิวกายเบาๆแต่มันกลับทำให้รู้สึกหนาวแบบแปลกๆ

“เอ็งควรไปนอนได้แล้ว” ท่านเทวดาเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะวางฝ่ามืออบอุ่นนั้นบนหัวผม

“พรุ่งนี้...ยังมีอะไรให้เอ็งต้องทำอีกเยอะ”

“คงงั้น” ผมตอบรับ ยิ้มแกนๆส่งให้ท่านเทวดาที่ดูจริงจังไม่เหมือนกับทุกที

“ก็สาวๆน่ะชอบคนตลกนี่” และก็เป็นอีกครั้งที่ท่านเทวดาตอบความคิดของผมทั้งๆที่ผมไม่ได้เอ่ยปากถาม

“รุกล้ำความเป็นส่วนตัวตลอด”

“พูดมากน่า ไปนอนได้แล้วไป”

“ราตรีสวัสด์นะท่าน”

“อืม…”

“ฝันดีเด็กน้อย”




“เป็นอะไรคะลูกชาย หน้าตาไม่สดชื่นเลย” เสียงม๊าทักเมื่อผมเดินลงมานั่งที่โต๊ะอาหาร ส่วนป๊า ถ้าเดาไม่ผิดคงจะอยู่ในสวนบอนไซนู่น

“ตังนอนไม่ค่อยหลับอ่ะม๊า” ผมตอบออกไปตามตรง ม๊าอมยิ้มเล็กๆก่อนจะลูบหัวผมเบาๆเหมือนเคย

“คิดถึงพี่แดนเหรอคะ?” ผมยู่หน้าใส่ม๊าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

ไม่นานพี่แป้งก็เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับวางชามข้าวต้มลงตรงหน้า กลิ่นหอมๆของมันเรียกให้ผมหยิบช้อนขึ้นมาคนเบาๆแล้วตักเข้าปาก อืม มันอร่อยมาก ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นฝีมือม๊าแน่นอน

แต่จริงๆผมว่า...แซนด์วิชแซลมอนรมควันกับอเมริกาโน่ใส่ไซรัปส้มหอมๆมันก็ดีเหมือนกัน

‘พวกมึงอยู่ไหนกันวะ?’

ผมพิมพ์ข้อความลงไปในไลน์กลุ่ม เพราะโทรหาใครก็ไม่มีใครรับเลยทั้งไอ้ปอ ไอ้ป่าน ซักพักก็มีแจ้งเตือนว่ามีหนึ่งคนที่เปิดอ่าน นั่นก็คือไอ้ปอ

‘ดูหนัง มีไร’


‘เบื่อๆว่ะ’

‘มึงดูอยู่ไหน’

ไม่นานมันก็พิมพ์ชื่อสถานที่ตอบกลับมา ผมเม้มปากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจพิมพ์ข้อความตอบลงไป

‘งั้นกูไปรอร้านxxxนะ’

“พี่แป้ง”

“คะ น้องตัง”

“ตังฝากเอาอาหารให้คอตตอนด้วยนะครับ ตังจะออกไปข้างนอก”

“ได้ค่ะ”




ขับรถออกจากบ้านมาได้ไม่นานก็ถึงที่หมาย รู้สึกอะเมซซิ่งเล็กๆที่ช่วงสายๆของวันเสาร์แบบนี้รถแทบจะไม่ติดเลย ผมกดดูนาฬิกาที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอไอโฟน เกือบจะเที่ยงแล้ว ป่านนี้พี่แดนคงออกไปถึงสนามบินแล้วล่ะ

‘ถึงแล้วรีบโทรมาด้วยนะ’ ผมพิมพ์ข้อความลงในไลน์ ผ่านไปซักพักแล้วแต่มันก็ยังไม่ถูกเปิดอ่านก็เลยกดปิดแอปแล้วเปิดไอจีแทน

“น้องตังจริงๆด้วย”

ผมเงยหน้าขึ้นตามเสียงที่ได้ยิน เป็นพี่ปอนด์ที่กำลังส่งยิ้มมาให้

“หวัดดีครับพี่”

“สวัสดีครับ แล้ว…” พี่ปอนด์ชี้ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเป็นเชิงถาม

“เชิญเลยครับ” ผมผายมือให้ก่อนที่คนตัวสูงจะลากเก้าอื้ออกแล้วนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับวางกระเป๋าโน๊ตบุ๊คลงที่เก้าอี้อีกตัวที่ว่าง

“น้องตังไม่ไปเที่ยวไหนเหรอครับ?” คำถามของพี่ปอนด์เรียกให้ผมเม้มปากเข้าหากันก่อนจะตอบออกไปเสียงแผ่ว

“ก็...ไม่ครับ”

“แล้วพี่ปอนด์ล่ะครับ?” ผมส่งยิ้มแกนๆให้เมื่อคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเงียบไปซักครู่

“อ๋อ เย็นนี้พี่มีสอนครับ”

“อ๋อ…”

“น้องตังโอเคหรือเปล่า?” คำถามจากฝั่งตรงข้ามเรียกให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะเอ่ยปฎิเสธออกไป

“ผม ไม่ได้เป็นอะไรนะครับ”

“ถ้างั้นก็ดีแล้ว” คนพูดส่งยิ้มน้อยๆก่อนจะมองเลยไปข้างหลังผมแล้วทำสายตาเหมือนสงสัยอะไรซักอย่าง และผมก็ได้คำตอบเมื่อคนที่พี่ปอนด์กำลังมองเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างโต๊ะพอดี

“มาทำธรุระให้ม๊า...ใช่ไหม?” เป็นพี่แดนที่เดินมาพร้อมกับแฟ้มเอกสารปึกใหญ่ที่ถือไว้ในอ้อมแขนขวา ส่วนมือซ้ายกำลังกำกุญแจรถเอาไว้

“พี่แดน....”

“คือว่า”

เหมือนน้ำท่วมปากเมื่อผมไม่สามารถเอ่ยคำพูดอะไรออกไปได้เลย สมองมันอื้อไปหมด พี่แดนถอนหายใจแรงๆ ดวงตาคมนั้นนิ่งสนิท นิ่งจนผมกลัว

“พี่แดน!”

ผมวิ่งตามคนที่ก้าวถอยหลังแล้วหันหลังเดินจากไปก่อนจะคว้าแขนแกร่งเอาไว้จากข้างหลัง พี่แดนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะหันกลับมา ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มมองเราด้วยความสนใจ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสนใจอะไรเลย

“คือมันไม่ใช่แบบที่พี่คิดนะ” ผมพูดก่อนจะเม้มปากเพื่อไม่ให้ปลายเสียงมันสั่น   

“ผมมารอไอ้ปอ แล้วบังเอิญเจอพี่เขา เราไม่ได้นัดเจอกัน…” ผมอธิบายต่อ แต่ผมคงจะลืมไปว่าตอนนี้ผมไม่ควรจะอยู่ที่นี่ ไม่ควรจะนัดกับไอ้ปอ ผมควรจะอยู่ที่ชลบุรีกับม๊าต่างหาก

“แล้วตังมาทำอะไรที่นี่ แล้วทำไมไม่ไปกับม๊า พี่ควรจะเข้าใจว่ายังไง?” คนตัวสูงหันกลับมาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแบบไม่ดังเท่าไหร่   

 “คือว่า มัน” ผมหลบสายตาคมก้มมองลงที่พื้นเมื่อแววตาคมนั้นสะท้อนความผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน

“ตรงไหนที่มันเป็นเรื่องจริงบ้าง” เสียงทุ้มนั้นเบาจนเหมือนจะเป็นเสียงกระซิบ แต่ความสั่นไหวของน้ำเสียงนั่นมันกลับฝังลึกลงไปในอกของผมจนรู้สึกเสียดไปหมด

“ผม…”

“.....ทำไมต้องโกหก?”

“พี่มันโง่มากใช่ไหม” คำตัดพ้อนั่นเรียกให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาคมแดงก่ำจนเห็นได้ชัด ฝ่ามือใหญ่กำลังกำแน่นเข้าหากันจนเห็นเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นมา 

“มันไม่ใช่แบบนั้น”

“แต่ผม...แค่ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง” ผมพูดออกไปตามจริง ความร้อนจากรอบดวงตาทำให้ผมต้องเม้มปากเพื่อสะกดกลั้นก้อนสะอื้นที่วิ่งขึ้นมาจนจุกอยู่ที่หน้าอก แต่คนตรงหน้าก็ยังนิ่ง ดวงตาคมกำลังสะท้อนว่าผิดหวังในตัวผมเต็มที   

“แต่มันไม่ใช่แบบที่พี่คิดจริงๆนะ”

“แล้วมันคืออะไร!” พี่แดนตะคอกออกมาจนผมสะดุ้ง และสิ่งที่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้มันก็ล้นทะลักออกมาทันที

“ถ้าไม่มีความจริงจะพูดก็อย่าพยายามแก้ตัว พอได้แล้ว เลิกทำให้พี่รู้สึกว่าตัวเองเป็นไอ้หน้าโง่ซักที!”

คนที่ฟิวส์ขาดยกมือขึ้นเสยผมแรงๆก่อนจะเมินหน้าไปทางอื่น แต่คำพูดของพี่แดนเหมือนตรึงขาของผมเอาไว้กับที่ไม่ให้ขยับไปไหน สมองของผมมันอื้ออึงด้วยคำพูดของพี่มันที่สะท้อนไปมาอยู่ในหัว ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่ามีฝ่ามือมาวางอยู่บนหัวไหล่จากทางด้านหลัง

“พี่ไปเถอะ” คนที่พูดประโยคนี้คือไอ้ปอ ใช่ เป็นมันเองที่เดินมาจับไหล่ผมเอาไว้ก่อนจะดึงเข้าไปกอดด้วยแขนข้างเดียว

“พี่…” เสียงทุ้มดังขึ้นก่อนที่จะหยุด พี่แดนถอนหายใจก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายแล้วหันหลังเดินออกไปจากตรงนี้ทันที

“ขอโทษว่ะปอ”


เป็นหลายนาทีที่สมองของผมประมวนผลอะไรไม่ได้ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ฝ่ามือเล็กๆของโยเนะมุระยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวมาตรงหน้าแล้ว

“คุณตาแดงมาก”

ผมได้แต่เม้มปากเข้าหากันโดยที่ไม่ได้ตอบรับอะไรกับคำพูดนั้น ตอนนี้สมองของผมมันจำได้แค่ภาพของคนที่หันหลังเดินออกไปจากตรงนี้

“ไอ้ปอ...”

“เอาไว้ไปคุยกันที่ห้อง” มันดึงผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวในมือผมออกแล้วเป็นฝ่ายเช็ดให้ผมแทนก่อนจะดึงมือผมไปทางลานจอดรถโดยมีโยเนะมุระเดินตามมาอย่างเงียบๆ

วันนี้ไอ้ปอมันไม่ได้ขับรถมา ดังนั้นหน้าที่ในการขับรถผมกลับจึงเป็นของไอ้ปอ ผมกับมันไม่ได้พูดอะไรกันตลอดทางที่ผ่านมา เหมือนมันจะปล่อยให้ผมค่อยๆตกตะกอนความคิดของตัวเองไปเงียบๆจนมาถึงที่คอนโด ผมเล่าให้มันฟังในเรื่องที่สามารถที่จะเล่าได้เท่านั้นก่อนที่มันจะพูดขึ้นมาในตอนที่ผมพูดจบ

“เมื่อไหร่จะเลิกหนีปัญหาซักทีวะตัง?” คำพูดของมันทำให้ผมต้องเม้มปากเข้าหากันอีกครั้ง

“กูไม่รู้”

“แล้วมึงจะทำยังไง?” ผมส่ายหน้าให้กับคำถาม

“จะปล่อยเอาไว้แบบนี้?” แต่คำถามนี้ก็ทำให้ผมส่ายหน้าอีกครั้ง

ความเงียบปกคลุมเราอยู่ชั่วครู่ เป็นเหมือนสัญญาณที่บอกให้ผมต้องตัดสินใจทำอะไรซักอย่าง

“กู...จะไปเชียงใหม่” และคำพูดของผมก็ทำให้ไอ้ปอคลี่ยิ้มเล็กๆที่มุมปาก มันพยักหน้าก่อนจะหลีกทางให้ผมเดินไปนั่งลงที่หน้าจอคอมที่ยังเปิดกางไว้บนโต๊ะ  แต่อยู่ๆเสียงเรียกเข้าจากไอโฟนที่ดังขึ้นก็ต้องทำให้ผมหยิบมันขึ้นมาเพื่อกดรับสาย

“พี่แดนถึงเชียงใหม่หรือยังฟ้า?” ผมรีบกรอกเสียงลงไปทันที แต่สิ่งที่ได้คือความเงียบจากปลายสาย

“ฮัลโหล ฟ้า มึงได้ยินกูหรือเปล่า?” และปลายสายที่เรียกชื่อผมกลับมา ก็ทำให้ผมเงียบเพื่อจะฟังสิ่งที่ปลายสายกำลังจะพูดต่อ


‘มึงอยู่ที่ห้องใช่ไหม อย่าเพิ่งออกไปไหนนะ เดี๋ยวกูไปรับมึงเอง’


XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX


ขอคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้น้องตังกันหน่อยนะค้าาา
ใจไม่ดีไปหมดแล้วววว

ตอนหน้าจะคั่นด้วยตอนพิเศษของพี่แดนก่อนนะคะ มาฟังคนพี่เขาเล่าถึงคนน้องกันบ้างเนอะ
ป.ล.พี่แดนถึงเชียงใหม่แล้วหรือยังน้อ ตอนหน้ารู้กันค่ะ
บีสอง Twitter @B2YFICTION
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP21 Missing Truth [15.02.19 UPDATE!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-02-2019 01:03:43
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไม่เข้าใจกระบวนการความคิดของตังอ่ะ
หัวข้อ: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP22 Decision [1.03.19 UPDATE!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 01-03-2019 16:51:29
*ตอนพิเศษของพี่แดนที่บอกไว้คราวก่อนขอติดไว้ก่อนนะคะ มันยาวแล้วเราก็แก้ไม่เสร็จซักที T_T
อ่านน้องตังต่อไปก่อนนะคะ *
 ____________________________________________________


Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#22





น้ำเสียงนิ่งขรึมของไอ้ฟ้าขาดห้วงไปเป็นระยะในแต่ละประโยค และนั่นมันก็ทำให้ผมคิดเป็นเรื่องดีไม่ได้เลย


“ฟ้า พี่แดน...เป็นอะไร” ผมขย้ำเสื้อตรงหน้าอกแน่นในขณะที่ต้องเค้นเสียงถาม และเสียงสะอื้นที่หลุดเข้ามาก็แทบจะทำให้ผมปล่อยโทรศัพท์ออกจากมือ


“ไอ้ฟ้า นี่กูปอนะ มึงอยู่ที่ไหน” เป็นไอ้ปอที่เข้ามาดึงโทรศัพท์ออกไปแล้วพูดแทน ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ สมองมันตื้อไปหมด


“โอเค จะรีบไปเดี๋ยวนี้” มันกดวางสายก่อนจะหันมาหาผมเต็มตัว สองมือของมันจับที่ต้นแขนทั้งสองข้างเอาไว้ก่อนจะกระชับฝ่ามือเบาๆเหมือนจะเรียกสติ


“ตัง มึงฟังกูนะ”


แต่คำพูดของมันก็ต้องทำให้ผมส่ายหัวแรงๆ ความพร่าเลือนของสายตาเริ่มทำให้ผมมองอะไรไม่เป็นรูปเป็นร่าง


“แต่เราช้าไม่ได้!” เสียงไอ้ปอดังเข้มขึ้นเรียกให้ก้อนสะอื้นที่อัดแน่นอยู่ในอกของผมล้นทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่


“พี่แดน...ฮึก เป็น อะไร ปอ” 


“กูก็ไม่รู้ แต่เราต้องไปโรงพยาบาลกันเดี๋ยวนี้”





ลงจากรถได้ผมก็รีบวิ่งออกไปข้างหน้า ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางมันอยู่ตรงไหนเพราะภาพข้างหน้ามันพร่าเลือนจนแทบมองไม่เห็น สมองมันเบลอ มือมันสั่นไปหมด


“ตัง!” ฝ่ามือใหญ่ที่คว้าต้นแขนทำให้ผมต้องหยุดวิ่ง


“พี่แดนอยู่ไหน!”


“ฟ้า! บอกกูมาว่าพี่แดนอยู่ไหน!” ผมกำเสื้อยืดสีดำของมันไว้แน่น ไอ้ฟ้ามันเม้มปากเข้าหากันเป็นเส้นตรงก่อนจะพูดออกมาช้าๆ


“ตอนนี้อยู่ ICU” เสียงขรึมนั้นขาดห้วงไปพร้อมๆกับตัวผมที่ทรุดลงกับพื้น ภาพแผ่นหลังกว้างที่เดินจากไปเมื่อตอนสายวนเข้ามาในหัวอีกครั้ง


ถ้าผมไม่โกหกเรื่องอะไรโง่ๆนั่น….


“ฮึก….” ผมกำเสื้อตรงหน้าอกของตัวเองเอาไว้แน่นก่อนจะทุบลงไปแรงๆเพราะมันรู้สึกเจ็บจนหายใจไม่ออก


“พี่เขาอยู่กับหมอแล้ว เขาจะต้องปลอดภัย” เสียงขรึมนั้นสั่นเครือ มันไม่ใช่แค่เพื่อปลอบประโลมผม แต่มันก็ปลอบใจตัวเองด้วยเช่นกัน ดวงตาที่มักจะมีแววขี้เล่นนั่นแดงก่ำ และวงแขนกว้างก็ดึงผมเข้าไปกอดเอาไว้แน่น


“พ่อกับแม่ก็มาแล้ว...” เสียงขรึมขาดห้วงเมื่อเจ้าตัวกลั้นเสียงสะอื้น


“ไปหาท่านกันนะ” เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้ปอและโยเนะมุระเดินตรงเข้ามาหาเรา ไอ้ปอยื่นมือมาแตะที่หัวไหล่ของเราทั้งคู่ก่อนจะบีบเบาๆ


“ไอ้ป่านกำลังมา” ผมไม่ได้ตอบรับอะไรออกไป ในอกมันปวดจนร้าวไปหมด ในชีวิตผมตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยต้องตกอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน มันเคยห่างไกลกับผมมาก...จนมาถึงวันนี้


ทำไมวะ ?


ทันทีที่บันไดเลื่อนเลื่อนขึ้นมาถึงขั้นสุดท้ายหัวใจมันก็หน่วงหนักจนแทบจะก้าวขาไม่ออก ภาพหญิงชายวัยกลางคนในชุดผ้าไทยที่กำลังนั่งกุมมือกันตรึงสายตาผมเอาไว้ทำให้ผมต้องสะอื้นออกมาอีกครั้ง ความรู้สึกผิดมันวิ่งวนอยู่ในหัวก่อนที่จะโถมใส่จนผมตั้งรับไม่ทัน


“ฮึก…”


“ตัง” เป็นผู้ชายรูปร่างสูงที่เดินมาโอบไหล่ผมไว้ก่อนจะพาเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าผู้ใหญ่สองท่านที่ผมรู้ได้ทันทีว่าท่านเป็นใคร


“มานั่งตวยแม่นิลูก”


ผมพยักหน้ารับทั้งๆที่ยังไม่กล้าแม้แต่จะสบตาท่าน แล้ววงแขนอุ่นที่ถูกส่งมาโอบกอดผมไว้ก็ทำให้ความรู้สึกทุกอย่างที่มันอัดแน่นอยู่ในใจผมล้นทะลักออกมาจนหมด


“อ้ายแดนเขากำลังพยายาม ตังต้องเป๋นกำลังใจ๋หื้ออ้ายเขานะลูก”  น้ำเสียงใจดีสั่นเครือและขาดห้วง ดวงตาคมสวยแดงก่ำแต่ก็ยังดูสงบ แต่ผมรู้ดีว่าในใจของเธอคงจะแตกสลายไปแล้ว


ไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่สำหรับผมมันยาวนานจนเหมือนใจจะขาด ทุกคนต่างเงียบเมื่อกำลังรอคอยให้บานประตูสีขาวตรงหน้าเปิดออก ไอ้ป่านที่เพิ่งมาถึงซักพักจับมือผมไว้แล้วบีบเบาๆ ปากก็ได้แต่พึมพำเบาๆว่าทุกอย่างต้องโอเค ไม่นานประตูก็เปิดพร้อมกับคุณหมอที่เดินออกมา ทุกคนรีบถลาเข้าไปหาแทบจะทันที แต่แล้วคำพูดของคุณหมอก็เหมือนคำสาปที่ทำให้ทุกคนยืนนิ่งอยู่กับที่



“หมอจำเป็นจะต้องยุติการรักษา เสียใจด้วยนะครับ”

นี่มัน….ไม่จริงใช่ไหม ?





เป็นอีกหลายชั่วโมงที่ผมนั่งจมอยู่กับตัวเอง ไม่มีแรงที่จะลุกไปไหน ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างมันย้อนกลับไปกลับมา เสียงร้องไห้ของแม่เอื้องที่ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทแทบจะตัดขั้วหัวใจผมให้ขาดสะบั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะผม


ที่พี่แดนต้องตาย….นั่นก็เพราะผม


“ผมหื้อบัวจัดการเรื่องไฟล์ทบินแล้ว คืนนี้น้องจะปิ๊กบ้านพร้อมเฮา” เสียงเข้มขรึมนั้นเอ่ยเบาๆแทบจะเป็นเสียงกระซิบ พี่ธารนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าแม่ก่อนจะจับมือทั้งสองข้างนั้นไว้


ไม่นานประตูห้องอีกห้องที่เรามานั่งรอก็เปิดออก และนี่ก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายชั่วโมงที่ผมได้เจอพี่แดน….


ใบหน้าคมนั่นถึงจะผ่านการทำความสะอาดมาแล้วแต่ก็ยังเต็มไปด้วยรอยแผลฟกช้ำ ผิวที่ไม่ขาวจัดตอนนี้เริ่มซีดสนิทจนแทบไม่มีสี ผมจับฝ่ามือกว้างนั้นมาแนบที่แก้มก่อนที่ความเย็นจากร่างกายที่ไร้ไออุ่นจะทำให้ผมต้องสะอื้นออกมา


“ผมขอ ฮึก โทษ” ซบหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง กอดแน่นเท่าไหร่ร่างซีดเย็นนั้นก็ยังนิ่งเฉย ไม่มีการกอดตอบ ไม่มีการลูบหัวเบาๆเหมือนอย่างเคย


“พี่..แดน” ทาบมือลงบนสองแก้มเย็นเฉียบก็ยังไร้การตอบสนอง ไม่ว่าผมจะร้องไห้เสียงดังขนาดไหนพี่แดนก็ยังคงนอนนิ่ง


“ตัง ปล่อยพี่เขาไปเถอะ” ไอ้ฟ้ามันรั้งตัวผมขึ้นแบบไม่แรงนักทั้งๆที่ตัวเองก็ยังร้องไห้ ผมขืนตัวไว้ แต่ก็ต้องก้าวถอยหลังออกมาเมื่อทั้งพ่อและแม่ของพี่เขาก้าวเข้ามาประชิดร่างกายที่นอนนิ่งเช่นกัน


แม่เอื้องจับฝ่ามือใหญ่ที่ไร้อุณหภูมินั้นไว้ก่อนจะก้มหน้าลงกระซิบที่ข้างหูของลูกชายคนกลาง


“กลับบ้านเฮานะลูก”


“บ่เจ็บบ่ปวดแล้วนะ”


มืออุ่นลูบลงบนแก้มของลูกชายเบาๆทั้งๆที่สั่นเทา ความเจ็บปวดที่แฝงอบู่ในประโยคนั้นทำให้ผมไม่กล้าที่จะเงยหน้ามองใครได้อีก


ผม...ทำอะไรลงไป


“ฮึก…” ก้อนสะอื้นที่ล้นทะลักออกมาทำให้ต้องกัดปากเอาไว้แน่น น้ำตาที่มันไหลเอ่อออกมาทำให้ดวงตาพล่าเลือนจนแทบจะมองไม่เห็น


“ตัง…”


“เราก็ต้องไปแล้ว” คำพูดของไอ้ปอเรียกสติผมกลับมา พี่ธารกำลังส่งแฟ้มอะไรบางอย่างให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก่อนที่ร่างของพี่แดนจะถูกเข็นเข้าประตูไปอีกครั้งโดยที่ผมไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย   





ผมบินมาเชียงใหม่ในเที่ยวบินสุดท้ายของวันพร้อมป๊ากับม๊า โดยที่ไอ้ปอและไอ้ป่านพร้อมกับพวกพี่สโมจะบินตามมาในเช้าวันพรุ่งนี้


บ้านทรงไทยแบบล้านนาหลังใหญ่ที่ผมไม่เคยเห็นกลับคุ้นเคยด้วยความรู้สึก ผมก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าโดยมีจุดมุ่งหมายเป็นห้องโถงกว้างที่กลางบ้าน รูปของพี่แดนตั้งอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากยังเป็นอะไรที่น่ามองอยู่เสมอ


“ตังครับ”


“ที่รัก”



เสียงทุ้มเบาๆที่ได้ยินทำให้ผมต้องหลับตาลงเพื่อตั้งใจฟัง แต่มันก็กลับไม่ได้ดังขึ้นอย่างที่ใจหวัง ทุกอย่างรอบตัวมันเงียบไปหมด


“บอกพี่เขาสิลูกว่าน้องตังมาถึงแล้ว” และคำพูดของม๊าก็ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมองภาพความเป็นจริงทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า


“ตัง…” ผมเม้มปากก่อนจะก้าวถอยหลัง


“ตัง ขอ โทษ” พูดจบก็เดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้นโดยที่ไม่ได้รับธูปจากที่ผู้หญิงคนหนึ่งยื่นมาให้


ไม่รู้ว่าตัวเองเดินมาไกลแค่ไหน ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไร แต่เมื่อฝ่ามืออุ่นมาวางลงบนไหล่ทุกอย่างที่กักเก็บไว้มันก็ล้นทะลักออกมาทันที


“ตัง ฮึก ทำ ไม่ ได้”


“พี่แดน ตาย แล้ว ฮึก จริงๆ เหรอ ม๊า”


ม๊าไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมามีเพียงวงแขนอบอุ่นที่ถูกส่งมากอดผมเอาไว้แล้วลูบแผ่นหลังไปมาเบาๆ แล้วนั่นมันก็ยิ่งทำให้ผมสะอื้นออกมาจนตัวโยน





“มึงต้องกินอะไรบ้างนะตัง” ไอ้ปอมันพูดกับผมเสียงนิ่งขรึม วันนี้ทุกคนมากันพร้อมแล้วทั้งไอ้ปอ ไอ้ป่าน พี่บอย พี่เต๋า และพวกพี่สโมคนอื่นๆที่ผมคุ้นหน้าแต่ไม่รู้จัก ผู้คนมากมายผ่านเข้ามาในสายตาแล้วก็ผ่านเลยออกไป


“ตัง ได้ยินกูบ้างไหม?”


“อื้อ” ผมตอบรับในลำคอ ไอ้ปอมันส่ายหัวก่อนจะผละออกไปแล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมชามข้าวต้มและขวดน้ำในมือ


“กินนะ” เสียงขรึมพูดไม่ดังนัก แววตามันอ่อนแสงลงอย่างอ่อนใจ ผมรับชามข้าวต้มมาถือไว้ก่อนจะพยายามตักมันขึ้นมากิน


“อึก…” แค่คำแรกก็ต้องรีบยกมือขึ้นปิดปากก่อนจะวิ่งไปที่อ่างล้างหน้า ในปากมันขมปร่าไปหมด จะกลืนก็กลืนไม่ได้เมื่อรู้สึกว่าลำคอมันตีบตัน เหมือนมีก้อนอะไรซักอย่างอัดแน่นอยู่ในหน้าอกจนทำให้หายใจไม่ออก


“ตัง เปิดประตูหน่อย” เสียงไอ้ปอร้องบอกอยู่อีกฝั่งของประตู ตามด้วยเสียงไอ้ป่านที่ร้องตะโกนเสียงสั่นพร้อมกับกระแทกลูกบิดประตูอย่างแรง


“ตัง...”


“มึงไหวไหม?”


“ตอบกูสิวะ!”


“กู ไม่ เป็นไร” เปิดประตูออกไปทั้งมือยังสั่น เห็นสีหน้าของเพื่อนแล้วก็ต้องเม้มปากเข้าหากันแน่น


“ขอกูอยู่คนเดียวซักพักนะ”


ไอ้ปอมันถอนหายใจแต่ก็พยักหน้า ไอ้ป่านที่เหมือนจะทักท้วงก็ยอมพยักหน้าเพียงแค่หันไปสบตากับพี่ชายมัน


“ฮึก…”


ทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าตัวเองทันทีที่ปิดประตูห้องลง ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาดังๆอีกครั้งอย่างกลั้นไม่ไหว



“ไม่ร้องแล้วนะคนดี” เสียงกระซิบนุ่มทุ้มดังขึ้นที่ข้างหูพร้อมอ้อมกอดแกร่งที่กระชับกอดผมจนแน่นแล้วค่อยๆคลายออก ผมไม่ได้พูดอะไรตอบได้แต่เงยหน้ามองคนที่กอดตัวเองเอาไว้ ใบหน้าคมอมยิ้มเล็กๆเหมือนอย่างเคย


“ตัง คิดถึงพี่” เหมือนเสียงของตัวเองดังซ้อนก้องอยู่ในหัว ฝ่ามืออุ่นถูกส่งมาวางบนหัวก่อนจะยีเบาๆ พี่แดนยังคงยิ้มให้ แต่ภาพใบหน้าคมนั้นกลับพล่าเลือนเต็มที


“ใจมันจะขาดอยู่แล้ว...” 


จับฝ่ามืออุ่นลงจากหัวมาแนบแก้ม แต่ก็ต้องสะอื้นเมื่อไม่มีเสียงตอบรับอะไรกลับมา ความอบอุ่นที่โอบล้อมร่างกายค่อยๆจางหายจนสุดท้ายก็หมดไป


“พี่แดน!”


สะดุ้งสุดตัวก่อนจะลืมตาตื่น นี่ผมหลับไปได้ยังไงทั้งๆที่ยังนั่งกอดเข่าอยู่ที่เดิม ความปวดหัวเริ่มเล่นงานหนักขึ้นจนต้องใช้สองมือกดมันเอาไว้แล้วเงยหัวโขกกับบานประตูที่นั่งพิงอยู่ตอนนี้แบบไม่แรงนัก





ชิ้นส่วนของศาลาไม้หลังใหญ่ถูกขนลงวางที่หน้าบ้านก่อนจะถูกประกอบขึ้นเป็นรูปร่าง ผมยืนมองด้วยความไม่เข้าใจมันเท่าไหร่นัก แต่คำพูดของคนที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆก็ทำให้ผมหันไปตั้งใจฟัง


“เขากำลังทำปราสาทให้แดนน่ะ มันเป็นประเพณีของที่นี่ พรุ่งนี้....แดนต้องไปจากเราจริงๆแล้วนะ” พี่ธารพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางทอดสายตาไปยังเบื้องหน้าที่คนงานหลายสิบคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการตั้งเสาต่างๆ


“มันทำใจยากแต่ตังก็ต้องทำให้ได้” ใบหน้าคมหันมามองที่ผม แววตานั้นบอกนัยที่ผมเองก็พอจะเดาความหมายได้


“พี่ขอนะ” ผมเม้มปากก่อนจะก้มหน้าลงเมื่อไม่อาจจะสบสายตาคมของพี่ธารได้


“อโหสิกรรมให้แดนได้ไหม?”


“พี่ไม่อยากให้แดนต้องมีห่วง ตังเองก็ต้องมีชีวิตของตัวเองต่อไปนะ”


“ผม ฮึก ขอ โทษ”  วงแขนกว้างดึงผมเข้าไปกอดไว้เมื่อผมเริ่มสะอื้นออกมาอีกครั้ง


ศาลาไม้หลังใหญ่ที่ถูกประกอบจนสมบูรณ์ตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาวที่มีกลิ่นหอมหลากหลายชนิด พี่แดนกำลังนอนหลับอยู่ตรงกึ่งกลางนั้น เพียงแค่...ในตอนนี้ผมไม่สามารถมองเห็นได้อีกแล้ว


ธูปหนึ่งดอกถูกจุดแล้วยื่นมาข้างหน้าผมอีกครั้งในวันนี้ ผมรับมันไว้ด้วยมือที่สั่นเทา ดวงตาพล่าเริ่มมองภาพข้างหน้าไม่ชัดเจนนัก สมองเริ่มหนักอึ้ง ในหูได้ยินเสียงของใครหลายคนสลับทับซ้อนกันจนฟังไม่เป็นภาษา


แล้วอยู่ๆทุกอย่างก็ดับวูบลงโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว





แสงสปอร์ตไลท์ที่สาดลงมาจากด้านบนทำให้ผมค่อยๆลืมตาขึ้น กระพริบตาถี่ๆหลายครั้งเพราะว่ายังปรับแสงไม่ทัน
 

“เอ็งเป็นลมไปน่ะ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นก่อนที่จะมีฝ่ามือใหญ่ยื่นมาตรงหน้า


ผมหันซ้ายขวาก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง ความรู้สึกของผมตอนนี้มันว่างเปล่าไปหมด ที่รอบตัวผมไม่มีใครอยู่เลย มีเพียงท่านเทวดาเท่านั้นที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้า


“ข้า...เข้ามาในจิตเอ็ง เพราะงั้นที่นี่ไม่มีใครหรอก”


ผมฟังคำพูดของท่านเทวดาอย่างเงียบๆ ที่นี่ ผมไม่รู้สึกปวดหัวหรือมีอาการด้านร่างกายอะไร มีแค่ใจเท่านั้นที่ยังคงเจ็บปวดเหมือนเดิม


“บางครั้งพรหมลิขิตก็เอาชนะโชคชะตาไม่ได้” ท่านเทวดาตอบข้อสงสัยในใจของผมก่อนจะถอนหายใจ ดวงตาสีดำขลับนั้นออ่นแสงลงเล็กน้อย


“มัน...ไม่ใช่ความผิดของเอ็ง”


ผมส่ายหัวให้กับคำพูดนั้นก่อนจะก้าวถอยหลังไปสองก้าว


“มันเป็นเพราะผม ถ้าผมไม่กลับมาเรื่องทุกอย่างมันก็จะไม่เกิดขึ้น!”


“ถ้าผม...ไม่กลับมา พี่แดนก็จะไม่..ตาย” ท่านเทวดาเงียบไป นั่นมันยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่ผมพูดมันเป็นเรื่องจริง ผมเม้มปากเพื่อสกัดกั้นความรู้สึกบางอย่างที่กำลังจะเอ่อล้นออกมาก่อนจะพูดต่อ


“ท่านตอบมาสิว่ามันไม่จริง”


และเพราะรู้ว่าท่านเทวดาไม่สามารถที่จะโกหกออกมาได้ ผมถึงได้เข้าใจว่าการที่ท่านเทวาดายังคงยืนมองผมด้วยความเงียบงันนั้นมันหมายความว่าอะไร


“ฮึก…” ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้น


ความทรงจำตั้งแต่ได้เจอกับท่านเทวดาเป็นครั้งแรกค่อยๆฉายขึ้นมาในสมองอีกครั้ง เรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆค่อยๆไหลวนเวียนไปช้าๆ


‘เจ้ามีโอกาสสองครั้งเพื่อที่จะย้อนไปแก้ไขอดีตที่ผิดพลาด ถ้าตกลงให้หลับตาแล้วพยักหน้าสองครั้ง ถ้าหากไม่รับให้พูดว่าไม่ แล้วข้าจะหายตัวไปทันที’


ผมรับคำตกลงนั่น….แต่แล้วผมก็ไม่สามารถแก้ไขอดีตให้กลายเป็นอย่างที่ตั้งใจได้ กลับกลายว่าผมได้เจอกับคนๆหนึ่ง คนที่เริ่มเปลี่ยนแปลงหัวใจผม คนที่สั่นคลอนความรู้สึกจนผมอยากจะหนีด้วยเหตุผลที่บ้าบอ


'เอางี้ ไถ่โทษที่ข้าไม่ได้ถามเอ็งเมื่อคราวก่อนก็แล้วกัน….อยากจะข้ามไปไหม?'


แต่แล้ว...ผมก็หนีเขาไม่พ้น 


ความทรงจำที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นทำให้ผมยิ้มออกมาทั้งๆที่น้ำตายังคงไหล การที่ได้รู้จัก และได้รักพี่แดน มันเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของผม


แต่ถึงอย่างนั้น...ผมก็รักษาสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเอาไว้ไม่ได้


นั่นอาจจะเป็นเพราะพี่แดนไม่ใช่ของผม ผมมันก็เป็นแค่คนที่เห็นแก่ตัวที่เพียงแค่อยากจะแก้ไขสิ่งที่ตัวเองทำพลาดลงไปโดยไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น ในความเป็นจริงแล้วผมไม่มีสิทธิ์จะแก้ไขชีวิตของเบลเพื่อให้กลับมารักคนอย่างผม ไม่มีสิทธิ์ก้าวเข้าไปในชีวิตใคร ไม่มีสิทธ์ไปเลือกทางเดินให้ชีวิตของใคร


ไม่เคยมีใครที่แก้ไขอดีตได้ และคงไม่มีใครที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตได้เช่นกัน


ผมลุกขึ้นช้าๆก่อนจะสาวเท้าไปข้างหน้าก่อนจะหยุดลงที่เบื้องหน้าของท่านเทวดาโดยมีระยะห่างเพียงสองก้าว


“ผม…”


“ถ้าเอ็งเปล่งคำพูดออกมาทุกอย่างจะเกิดขึ้น” ผมพยักหน้ารับก่อนจะเปล่งคำพูดออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา


“ผมไม่ต้องการเจอท่าน ผมไม่ต้องการจะแก้ไขอะไรทั้งนั้น”


“ทุกอย่างจะเป็นอย่างที่เอ็งต้องการ...เด็กน้อย”


“แต่...ผมขออะไรท่านอย่างหนึ่งได้ไหม?”


แววตาคมนั้นอ่อนแสงลงอย่างชั่งใจก่อนที่ท่านเทวดาจะพยักหน้ารับคำขอ



“ได้สิ...”



xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


เป็นตอนที่เขียนยากมากๆเลยค่ะ งื้อออ ต้องการกำลังใจอย่างหนักหน่วง
ขอคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้บีสองหน่อยนะคะ ตอนนี้ดาวน์มากสงสารลูก T_T

ตอนหน้าจะพยายามปั่นมาลงให้ได้เร็วที่สุดค่ะ   
บีสอง
Twitter @B2YFICTION
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP22 Decision [01.03.19 UPDATE!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-03-2019 18:25:41
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตังจะขออะไรกันนะ?

ป.ล.  พี่แดนตายด้วยสาเหตุอะไรอ่ะ?
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP22 Decision [01.03.19 UPDATE!] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-03-2019 19:14:02
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: #Special (1) Until we meet again
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 08-06-2019 14:19:16
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#Special (1) Until we meet again



‘เอี๊ยดดดดดดด’


เสียงล้อรถบดไปกับพื้นถนนดังลั่นอยู่ในหูเมื่อผมเหยียบเบรกอย่างกระทันหันแต่มันก็ไม่ทันเมื่อรถพ่วงคันใหญ่ที่พุ่งเข้ามาไม่ได้ชะลอความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย และมันคงเป็นโชคร้ายที่มันพุ่งชนเข้าที่ด้านของคนขับพอดี เสี้ยวนาทีนั้นมันไม่มีทางหนี ผมไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย


ความเจ็บปวดมันวิ่งพล่านไปทั้งร่าง กลิ่นคาวเลือดมันอบอวนรายล้อมคละคลุ้ง สมองของผมกำลังสั่งการให้ร่างกายของผมเคลื่อนย้ายออกไปจากตรงนี้ แต่ไม่ว่าพยายามซักแค่ไหน ร่างกายก็เหมือนไม่ใช่ของผมอีกต่อไปแล้ว แน่นิ่ง จนไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ เหมือนทุกส่วนของร่างกายได้ถูกตัดขาดจากการควบคุมของสมองไปหมดสิ้น


มันคงไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับผมอีกต่อไปแล้วใช่ไหม...



เขาว่ากันว่าคนที่ใกล้ตายจะมีเวลาทบทวนเรื่องราวต่างๆในชีวิตที่ผ่านมา แม้อาจเป็นแค่เสี้ยววินาทีแต่ภาพแฟลชแบคที่ไหลย้อนมามันก็เพียงพอให้จดจำไปจนหมดลมหายใจ


เหมือนผมกำลังนั่งดูหนังจอใหญ่อยู่ในห้องที่มืดมิด มองไม่เห็นอะไรนอกจากภาพความทรงจำที่กำลังฉายอยู่เบื้องหน้า ภาพเคลื่อนไหวเริ่มต้นตั้งแต่วันแรกที่ผมจำความได้ มันหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆก่อนจะช้าลงเหมือนให้ผมลำลึกถึงเหตุการณ์ ณ ช่วงเวลานั้น


ผมมองเห็นตัวเองในตอนเด็กๆ พี่ธาร พ่อ และ แม่ที่กำลังอุ้มไอ้ฟ้าเอาไว้ เรายืนอยู่ที่หน้าปราสาทใหญ่โต จำได้ว่าตอนนั้นครอบครัวเราไปเที่ยวที่ดิสนีย์แลนด์ฮ่องกงด้วยกันเป็นครั้งแรก ไอ้ฟ้ากำลังร้องไห้เพาะกลัวมาสคอต์ตัวอะไรซักอย่าง หน้าตามันตอนนั้นน่าเกลียดชะมัด


ผมกระพริบตาถี่ๆเมื่อภาพเหตุการณ์มันหมุนไปอย่างรวดเร็วจนเก็บรายละเอียดเอาไว้ไม่ทันก่อนที่มันจะมาหยุดตรงที่ผมกำลังยื่นกล่องแหวนให้พี่ธารในวันแต่งงานของพี่ธารกับพี่บัวในพิธีแบบคริสต์ จำได้ว่าวันนั้นแม่ยิ้มสวยมากกว่าวันไหนๆซะอีก


และภาพก็หมุนวนด้วยความเร็วอีกครั้งก่อนกลับมาเป็นปกติ


อืม… นั่นรับน้องแล้วสินะ ภาพที่เห็นใต้ตึกคณะวันนั้นมีผม ไอ้บอย ไอ้เต๋า ไอ้วิน และไอ้ตุลย์ที่ซิ่วไปอยู่มหาลัยชื่อดังแถวรังสิตตั้งแต่ยังไม่จบปีหนึ่ง เรากำลังรุมแย่งกันยืนบนกระดาษแผ่นเล็กมากบนพื้นท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนๆและรุ่นพี่สันทนาการ และก็เป็นไอ้วินที่มักจะวินสมชื่อเสมอ


ภาพตัดมาที่ห้องในคอนโดที่ตั้งอยู่ไม่ไกลมหาวิทยาลัยนัก ครั้งแรกกับการใช้ชีวิตคนเดียวของผมเริ่มต้นที่นี่ แต่จะว่าไปก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่คนเดียวจริงๆหรอก เพราะผมพาเจ้าคอตตอนมาอยู่ด้วย คอตตอนมันเป็นแมวลูกโทนไม่มีพี่น้อง แม่ของมันชื่อแคนดี้ซึ่งเป็นแมวของคุณย่า แต่อยู่ๆวันหนึ่งมันก็หายไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย ตอนนั้นคอตตอนเพิ่งจะอายุได้แค่เดือนกว่าๆ เพราะอย่างนั้นผมก็เลยกลายเป็นพ่อมันอย่างสมบูรณ์


แล้วภาพก็เคลื่อนไหวหมุนไปด้วยความเร็วอีกครั้ง ก่อนจะหยุดลงที่ภาพใบหน้าของใครบางคน คนที่เป็นเหมือนลมหายใจของผม


“พี่แดน”


เสียงเรียกอ้อนๆดังขึ้นหลังจากที่เจ้าของใบหน้าน่ารักนั้นลืมตาตื่น ผมเห็นตัวเองเดินเข้าไปในจอภาพนั้นก่อนจะนั่งลงแล้วยีกลุ่มผมนุ่มลื่นมือเล่นเบาๆ


“ตังขี้เกียจอ่ะ ไม่ไปได้ไหม?”  สองแขนเล็กๆถูกส่งมากอดรอบเอวผมไว้ทั้งๆที่เจ้าตัวยังไม่ลุกขึ้นจากที่นอน ใบหน้าน่ารักซุกลงที่ข้างเอวเหมือนลูกแมวขี้อ้อน


“ให้ตังอยู่บ้านนอนกอดพี่แดนทั้งวันยังดีกว่าอีก”  พูดเสียงอู้อี้ มือก็ยังกอดแน่นไม่ปล่อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างเคย


แล้วนั่น...มันก็ทำให้ผมแพ้ให้คนขี้อ้อนอีกจนได้


ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันนะว่าไอ้เด็กห้าวเป้งพูดจาไม่รื่นหูคนนั้นยิ่งนานวันก็ยิ่งเหมือนลูกแมวขี้อ้อนได้ขนาดนี้ นึกถึงครั้งแรกที่ได้เผชิญหน้ากันอย่างจริงจังก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ วันนั้นเป็นวันรับน้องรวมของคณะ ผมรับหน้าที่เป็นพี่ว้ากซึ่งจริงๆมันไม่ใช่ตัวผมเอาซะเลย แต่ก็ขัดอะไรไม่ได้เพราะไอ้พวกเพื่อนเวรมันบอกว่าเวลาที่ผมทำหน้านิ่งๆมันดูเย็นชาไร้ความรู้สึกและไม่น่าเข้าหา


อืม...หน้าผมมันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ


ตอนนั้นผมตีหน้านิ่งพยายามบังคับตัวเองให้ดูเฉยเมยไร้ความรู้สึกที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ส่วนน้องน่ะเหรอ หน้าซีดอย่างกับไก่ต้มไปเลยล่ะ


"คุณมีปัญหาอะไรกับผมงั้นเหรอ คุณ...ตัง" ผมอ่านชื่อที่ป้ายคล้องคอนั่น ในที่สุดก็ได้รู้จักชื่อซักที เกือบจะหลุดยิ้มแต่ก็ต้องตีหน้านิ่งเอาไว้


"ปะ เปล่าครับ" คนหน้าซีดตอบเสียงสั่น มันดูน่ารักแต่ก็น่าแกล้งไปในเวลาเดียวกันอย่างบอกไม่ถูก


นี่เป็นครั้งแรกที่น้องรับรู้ถึงการมีตัวตนของผมซึ่งมันก็ติดลบจนไม่รู้ว่าจะกู้คะแนนยังไงไหว แต่ทำไงได้ล่ะ มาสายโหดแบบนี้แล้วก็คงต้องไปให้สุดทางล่ะมั้ง



แต่ถ้าจะให้ผมพูดถึงครั้งแรกของผมที่ได้เจอน้องจริงๆล่ะก็...มันไม่ถึงกับเป็นรักแรกพบหรืออะไรขนาดนั้นหรอกนะ แต่ก็ไม่รู้ทำไมผมถึงได้หยุดยืนแอบดูอยู่เป็นนานสองนาน


ก็ไม่รู้ว่าเคยเห็นกันไหมนะ คนที่ยืนคุยกับแมวจรที่ปีนไปนอนบนหลังคารถตัวเองเหมือนสนิทสนมกันมาแต่ชาติปางก่อน ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเปิดรถไปหยิบซองขนมเลียมานั่งยองๆข้างรถแล้วเอาให้แมวเลียจนหมดห่อ


หน้าตาหยิ่งซะขนาดนั้น...แต่พอยิ้มแล้วผมดันลืมใบหน้าขาวๆนั่นไม่ได้เลย





และหลังจากวันนั้นก็ไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่คิดถึงเจ้าของรอยยิ้มน่ารักนั่น


ก็ตกหลุมรักไปแล้ว จะให้ทำยังไงได้ล่ะ






“มึงชอบน้องตังเอกแจปเหรอวะ?”



ไอ้บอยกับไอ้เต๋ามันแทบจะโพล่งออกมาพร้อมกัน ใบหน้าอมยิ้มกรุ่มกริ่มนั่นบอกเลยว่าโคตรน่ากระทืบ


“อืม” ผมตอบรับสั้นๆ ก็ไม่รู้จะปฏิเสธไปทำไมในเมื่อมันเป็นเรื่องจริง


แล้วพวกมันก็ไม่เลิกที่จะโห่แซวด้วยเสียงประหลาด รู้สึกรำคาญพวกแม่งนิดหน่อยก็เลยลุกหนีออกมา แล้วก็โชคดีชะมัดเพราะวันนี้ผมก็ได้เจอน้องอีกแล้ว…


มือหนึ่งถือแก้วโค้กมือหนึ่งกอดถุงขนมสีเหลืองสดใสเอาไว้ แต่ตาน่ะไม่ได้มองทางที่เดินเลยซักนิด ผมก็แค่ยืนอยู่เฉยๆ อืม...แต่จะเรียกว่าจงใจยืนขวางทางก็ได้


แล้วใครจะไปเชื่อว่าน้องจะเดินมาชนผมซะเต็มรักจริงๆ เสื้อนักศึกษาของผมเปียกชุ่มไปด้วยโค้ก แต่จริงๆนั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก


“เช็ด” ผมบอกสั้นๆเมื่อดึงมือคนตัวเล็กให้เดินตามมาถึงในห้องน้ำ น้องมันช้อนตาขึ้นมามองผมแต่ก็ยังไม่ยอมตอบรับอะไร ดวงตากลมมีแววขัดเคืองใจ นั่นมันยิ่งน่าแกล้งเป็นบ้า


“ถะ ถอยไป ดะ ดิ่วะ” น้องผลักผมออกอย่างลนลานเมื่อผมแกล้งเดินเข้าไปประชิด ท่าทางตลกๆนั่นทำให้ผมอดอมยิ้มเล็กๆไม่ได้


ริมฝีปากบางสวยขมุบขมิบเหมือนกำลังสาปแช่งผมอยู่ในขณะที่สองมือก็ขยี้เสื้อผมอย่างแรงเหมือนโกรธแค้นกันมานาน อดไม่ได้ที่ต้องหยิบมือถือขึ้นมากดถ่ายรูปเอาไว้ เจ้าตัวก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับ แถมยังสะบัดน้ำใส่หน้าตัวเองให้ผมดูอีกต่างหาก


ซุ่มซ่ามชะมัด แต่ก็โคตรน่ารักเลย...




ผมยืนมองคนที่กำลังวิ่งรอบสนามฟุตบอลด้วยท่างทางหอบเหนื่อยกว่าคนปกติหลายเท่า ดูก็รู้ว่าน้องเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกายตัวถึงได้เล็กแค่นั้น เห็นแล้วก็สงสารนะ แต่คนที่สั่งให้น้องวิ่งก็คือผมเองนี่แหละ คราวนี้ผมไม่ได้จะแกล้งน้องหรอกนะ แต่คนที่ทำผิดก็ต้องโดนลงโทษ ถึงสิ่งที่น้องทำจะเป็นการช่วยเพื่อนก็ตาม


“ไอ้แดนสิบรอบมันเยอะไปป่ะวะ? ตัวแม่งเล็กนิดเดียวโคตรน่าสงสารอ่ะ” ไอ้เต๋ามันเดินมากอดคอผมก่อนจะพูดออกมา


“มึงก็ทำมันลงเนอะ” ผมถอนหายใจก่อนดึงแขนหนักๆของมันออกจากบ่า


“งั้นก็ฝากมึงไปบอกให้พอเลยแล้วกัน”


ได้ยินเสียงมันหัวเราะไล่หลังตอนที่กำลังผละออกมาซื้อน้ำก่อนจะหยิบอมยิ้มรสคาราเมลติดมือมาด้วยหนึ่งอัน


ก็เพราะเวลาเหนื่อยๆแล้วได้กินของหวานมันก็จะหายเหนื่อยเร็วขึ้นยังไงล่ะ






“มึงแม่งทำอะไรไม่ระวังเลย”
ผมสบถใส่ไอ้วินอย่างหัวเสียหลังจากที่หิ้วปีกเด็กขาเจ็บไปที่หน่วยพยาบาลกลับมา


“กูไม่ได้ตั้งใจป่ะล่ะ เดี๋ยวกูก็จะไปขอโทษน้องมันอยู่แล้ว” ผมพยักหน้าแล้วคว้าเอาขวดน้ำใกล้ๆขึ้นมาดื่มเพื่อเตรียมตัวเข้าประจำฐานเหมือนเดิม


“ไอ้บอยบอกว่านั่นเด็กมึง” ไอ้วินมันยิ้มก่อนจะพูดต่อ


“ถึงว่าประคบประหงมเหลือเกินไอ้สัด”


แล้วก็เป็นเพราะไอ้บอยรู้โลกรู้ ตอนนี้น้องมันก็เลยกลายเป็น ‘เด็กผม’ ไปซะแล้ว







เป็นหลายวันที่ผมไม่ได้เจอน้องอีกเลยหลังจากรับน้องใหญ่ของคณะ จริงๆมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ผมจะไม่ได้เจอน้องบ่อยๆเพราะว่าเราอยู่กันคนละเอก ตารางเรียนก็แทบจะไม่ตรงกัน แต่วันนี้พอออกจากห้องกิจกรรมมา ใครจะไปคิดว่าน้องจะยืนรออยู่ตรงนั้นได้ล่ะ


“พี่ดินแดน”


“มีอะไร?” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่จริงๆก็แค่เกร็กขรึมไปอย่างนั้น


“เอาของพี่คืนไป” ฝ่ามือเรียวเล็กล้วงผ้าเช็ดหน้าสีเทาออกมาจากกระเป๋าสะพายก่อนจะยื่นมาตรงหน้า ผมรับมันมาก่อนจะเอายัดใส่กระเป๋าเสื้อแบบไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพราะสิ่งที่ผมสนใจคือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ต่างหาก


เราเงียบกันอยู่ครู่หนึ่งเหมือนเป็นสัญญาณอะไรซักอย่าง


“งั้นผม…”


“อยากกินซูชิ ไปกินด้วยกันหน่อยดิ่” พูดขัดออกไปแบบนั้นก่อนจะคว้ามือน้องมาจับแล้วเดินออกไปซะดื้อๆ


“เห้ยพี่!” คนที่โดนผมจับมือร้องออกมาเสียงหลง แต่ก็เงียบลงเมื่อผมคลายมือออกแต่ก็ไม่ได้ปล่อย มันอาจจะเป็นเพราะถ้าเสียงดังจะกลายเป็นจุดสนใจของคนอื่นก็ได้ที่ทำให้น้องไม่โวยวายอะไร ปล่อยให้ผมเดินจับมืออยู่แบบนั้นจนไปถึงที่จอดรถ


และวันนั้นก็เป็นวันที่เราได้เดทกันครั้งแรกจริงๆ


ถึงจะเป็นเดทแบบมึนๆก็เถอะ







และผมก็รู้ว่าเราควรพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ใช่แล้ว นี่คือสิ่งที่ผมกำลังบอกกับตัวเองอยู่ ถึงมันจะทำให้ผมต้องเสียเวลารวบรวมข้อมูลรายงานใหม่เพราะไอ้เด็กขี้โวยวายมันสาดนมชมพูใส่กระดาษแบบสอบถามของผมซะเปียกชุ่มไปหมด แต่ก็ถือว่าเป็นโชคดีที่วันนี้ผมไม่ได้หยิบแมคบุ๊คไปโรงอาหารด้วย


“มึงควรรับผิดชอบ” แค่แกล้งขู่นิดหน่อย ก็ไม่คิดหรอกว่าน้องจะตามมาช่วยผมทำรายงานที่คอนโดผมจริงๆ


ใบหน้าน่ารักเกยค้ำอยู่บนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยเมื่อเจ้าตัวกำลังเพ่งอ่านตัวหนังสือที่ผมเขียนอยู่ในกระดาษ บนตักก็มีเจ้าคอตตอนนอนขดอยู่ เกินหน้าเกินตาพ่อมันเหลือเกิน


ผมกลับมานั่งพิมพ์รายงานต่อเองเมื่อสั่งให้คนที่กินช้าเก็บจานไปล้าง คนที่เดินตามมาที่หลังทิ้งตัวลงนั่งมองผมอยู่บนโซฟาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดอะไรอยู่หลายที อยากจะแกล้งให้มาทำให้อยู่หรอก ติดแค่กลัวมันจะไม่เสร็จทันพรีเซนต์พรุ่งนี้น่ะสิ


“ถ้าพี่ทำเองผมจะกลับแล้วนะ”


แต่ถึงแบบนั้นผมก็ยังอยากให้น้องนั่งอยู่ด้วยกันอยู่ดี


“ฝากคอตตอนหน่อย เมื่อย” ก็เลยต้องอุ้มเจ้าคอตตอนออกจากตักไปส่งให้คนที่นั่งทำหน้าเหวออยู่บนโซฟาแล้วหันกลับมานั่งทำงานต่อ


ใครจะไปคิดล่ะว่าหันไปอีกทีจะนอนกอดกันหลับทั้งคนทั้งแมวไปแล้ว เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น ช่วยไม่ได้ก็เลยต้องอุ้มเข้าไปนอนบนเตียงให้เจ้าตัวได้นอนหลับสบายก่อนที่ผมจะกลับออกมานั่งทำงานต่อจนเกือบเช้า


เจ้าเด็กขี้โวยวายนั่น ตื่นมาจะทำหน้ายังไงนะ







ผมตัดสินใจเดินขึ้นมาที่ห้องเรียนของน้องเมื่อไม่ได้รับการติดต่อใดๆจากคนที่น่าจะออกจากห้องของผมเมื่อตอนสายเพราะมีเรียนบ่าย เมื่อเช้าผมทำแซนด์วิชเผื่อไว้ให้ ก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวแสบจะหยิบมันมากินหรือเปล่า ผมไม่ได้โน๊ตบอกไว้ด้วยสิ


เสียงจอแจหลังเลิกคลาสเงียบกริบหลังจากที่ผมก้าวเข้ามาในห้อง ทุกคนหันมามองที่ผมแทบจะเป็นตาเดียว ยกเว้นคนที่ผมตั้งใจมาหานี่แหละที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเก็บของลงกระเป๋าเป้ แต่ก็นะ พอเงยหน้ามาเห็นผมเท่านั้นแหละ


“กูไปก่อนนะ!” พูดจบก็ดึงแขนเสื้อผมลากออกจากห้องไปอย่างเร็วเลย ท่าทางลนๆนั่นน่ารักดีเป็นบ้า


ผมรับคีย์การ์ดที่ถูกส่งมาจากมือน้องก่อนที่จะพูดคุยกันต่อแค่สองสามประโยค


“ไม่มีไรแล้วผมไปนะ เพื่อนรอ”


ผมได้แต่พยักหน้าเบาๆ แม่งเอ้ย แม้แต่ประโยคโง่ๆอะไรก็ได้ที่จะพูดเพื่อรั้งน้องเอาไว้ผมก็ดันนึกมันไม่ออก แต่อะไรก็ได้ช่วยทำให้น้องหันกลับมาทีได้ไหม


สาบานเลยว่าถ้าน้องหันกลับมา ผมจะเดินหน้าแบบไม่มีถอยอีกแล้ว


1 ก้าว

2 ก้าว

3 ก้าว


แล้วผมก็ต้องเปิดยิ้มกว้างทั้งที่หัวใจกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อสองขาเรียวเล็กนั้นหยุดลงก่อนที่ใบหน้าน่ารักจะหันกลับมา และผมก็ไม่รอช้าที่จะก้าวตรงไปหยุดอยู่ข้างหน้าน้องในทันที


“ไปกินข้าวด้วยกันไหม…?”


“อื้อ”



คำเดียวแค่สั้นๆ แต่พอได้ยินแบบนั้นแล้วโคตรมีความสุขเลยว่ะ











น้องหายไป…


ผมกำลังถูกหลบหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย สาเหตุก็คงจะเป็นเพราะเรื่องที่ผมตั้งใจจูบหน้าผากน้องมันวันก่อนน่ะแหละ วันนั้นน้องไม่ได้หลับ ผมรู้ และที่ผมทำไปก็เพราะอยากจะให้น้องมันรู้ว่า ไอ้ที่มาขู่ผมฟ่อๆห้ามไม่ให้ผมไปยุ่งกับเบลรุ่นน้องในเอกนั่นมันไม่ได้มีความหมายอะไรกับผมเลยซักนิด


ก็ไอ้ที่ผมพูดว่า มึงจีบได้ กูก็จีบได้ นั่นหมายถึงจีบเจ้าตัวเองต่างหากล่ะ ชวนไปกินข้าว ชวนไปดูหนัง ตามจีบตามวอแวขนาดนี้ยังคิดว่าผมจะไปชอบคนอื่นได้อีกเหรอวะ จะซื่อบื้อเกินไปหน่อยแล้วมั้ง


‘นี่เด็กใครวะ’

‘หน้าคุ้นๆมั๊ยไอ้แดน’

‘AlwaysWin Sent you a photo’


ผมเปิดอ่านข้อความในไลน์ที่ไอ้วินเป็นคนส่งมาก่อนจะกดเข้าไปดูรูปที่มันส่งต่อมาอีก เป็นรูปน้องกับเจ้าเด็กแฝดนั่นที่ร้านเหล้าหลังมอ แล้วนั่นก็ทำให้ผมต้องคว้ากุญแจรถออกจากห้องไปแทบจะทันที


“ไอ้...พี่ดิน แดน...ไอ้เหี้ย ภาพหลอน” ฝ่ามือเรียวตบแก้มผมแปะๆก่อนที่เจ้าขอฝ่ามือจะสบัดหัวเบาๆแต่ก็ทำให้เจ้าตัวเซถลาเกือบล้มลงกับพื้นจนผมต้องรีบคว้าเอวบางมากอดเอาไว้


“ไอ้ปอกูจะอ้วกว่ะ” เสียงงึมงัมดังขึ้นจากคนที่ซุกหน้าอยู่กับอกผม แม่งหวยจะออกที่กูไหมล่ะ


“กูอยู่นี่ต่างหาก” เสียงพูดกลั้วขำของหนึ่งในฝาแฝดดังขึ้นก่อนที่อีกคนจะหัวเราะเสียงดังแล้วพูดบางอย่างออกมาให้ผมหายงุ่นง่านที่เห็นไอ้ตัวดื้อนี่เมาไม่เป็นท่า


“ถ้าพี่บอกว่ามาเพราะไอ้ตังเรียกผมก็จะเชื่ออ่ะ แม่งพูดชื่อพี่มาร้อยครั้งแล้วมั้งตั้งแต่นั่งมาเนี่ย”








“ผมไม่ได้เป็นเกย์!” เสียงตะโกนดังลั่นก่อนที่สองมือที่ติดสั่นจะผลักหน้าอกผมแรงๆอยู่หลายทีจนผมต้องรวบข้อมือบางเอาไว้


“ตัง…” ผมเรียกในขณะที่อีกคนได้แต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตา ไหล่เล็กๆยังคงสั่นเทาในขณะที่เจ้าตัวก็กำลังคงเปล่งคำพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวออกมา


“พี่เข้าใจป่ะวะว่าผมไม่ได้เป็น…”


ผมเม้มปากแน่นในขณะที่มือที่กำข้อมือบางไว้จะค่อยๆคลายออก วันนี้...มันคงเป็นวันสุดท้าย ในเมื่อท้ายที่สุดแล้วน้องมันก็เลือกที่จะสร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อกันผมออกไปจากชีวิต


“โอเคตัง พี่ยอมแพ้”


ปล่อยมือไปแล้ว และก็คงจะไม่มีโอกาสได้จับเอาไว้อีกแล้วสินะ


แต่อยู่ๆฝ่ามือบางก็ถูกส่งขึ้นมากำเสื้อตรงหน้าอกผมไว้จนยับย่น ดวงตาสวยมีประกายสั่นไหวและเต็มไปด้วยนัยบางอย่างมากมาย


“แล้วทำไมแม่งต้องเป็นพี่ด้วยวะ”


“ทำไมไอ้หัวใจเฮงซวยนี่แม่งต้องเต้นแรงแค่ตอนที่อยู่กับพี่ด้วย?”


ผมรวบตัวน้องเข้ามากอดแน่นด้วยแรงทั้งหมดที่มีหลังจากที่ดวงตาคู่สวยเงยขึ้นมาสบตากันก่อนจะกระซิบบอกน้องว่านั่นมันเป็นสิ่งที่ดีแล้ว และผมดีใจมากแค่ไหนที่มันเป็นแบบนั้น


“เราคบกันนะ”






ผมกระพริบตาถี่ๆหลายครั้งเมื่อจอความคิดมันดับวูบลงและแทนด้วยเสียงไซเรนของรถพยาบาลที่ดังขึ้นจนอื้ออึงอยู่ในหู เลือดที่ไหลซึมเข้ามาในตาทำให้ผมมองอะไรไม่เห็น แต่ความรู้สึกมันเหมือนว่ากำลังถูกรายล้อมด้วยกลุ่มคนที่กำลังสนทนากันเซ็งแซ่


“คุณๆ คุณได้ยินผมหรือเปล่า?”


ได้ยินสิ ผมได้ยิน


“เขาเสียเลือดมาก ผมว่าคงช็อคหมดสติไปแล้ว”
 

นั่นหมายถึงผมเหรอ


“คุณ….”


“ผมว่าเขาไม่รอดแล้ว”


ไม่นะ ใครก็ได้ช่วยผมที


“หลีกทางให้เจ้าหน้าที่ด้วยครับ ถอยด้วยครับ”


ใช่ ช่วยผมนะ


ผมยังไม่อยากตาย…..









xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


หายไปนานมาก ขอโทษด้วยค่ะ
ใครลืมแล้วก็อ่านย้อนเก่าก่อนนะคะ T-T
สัญญาว่าถึงจะดองนานแค่ไหนก็จะเขียนให้จบค่ะ
บีสอง
Twitter @B2YFICTION
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่..Special1 Until we meet again [08.06.19 UP!] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-06-2019 20:20:28
 :pig4: :pig4: :pig4:

ง่า...รอที่จะรู้ว่า 

น้องตังจะทำอย่างไรให้พี่มันฟื้น
หัวข้อ: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่.. EP23 - BACK TO ZERO [09.07.19 UP!] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 09-07-2019 18:34:05
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#23


‘ติ๊ด’

‘ติ๊ด’

‘ติ๊ด’

เสียงสัญญาณอะไรซักอย่างที่ดังขึ้นต่อเนื่องเรียกให้ผมค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ ใบหน้าของใครบางคนที่เลือนลางปรากฏขึ้นตรงหน้าก่อนจะมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาให้ได้ยิน

“ป๊าคะ ม๊าคะ ตังฟื้นแล้วค่ะ”

ผมกระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับโฟกัสให้ภาพที่พร่าเบลอค่อยๆชัดเจนขึ้น แต่พอคิดจะขยับตัวก็ต้องยอมแพ้เมื่ออาการปวดจี๊ดที่หัวและไหล่ข้างขวามันทำให้ผมไม่สามารถขยับได้อย่างที่ใจนึก

“น้องตังของม๊า” ฝ่ามืออุ่นๆทาบลงที่ข้างแก้มผม น้ำเสียงอ่อนโยนของม๊าสั่นเครือเล็กๆ ผมหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะลืมขึ้นมาใหม่ และในตอนนี้ผมก็มองทุกอย่างได้ชัดเจนขึ้น

“ม๊า…” ผมเอ่ยเรียก ม๊าพยักหน้าก่อนจะลูบที่ข้างแก้มผมเบาๆ

“ป๊า…เฮียเต้…”

และคนสุดท้ายที่ผมมองเห็นในสายตาตอนนี้

“เบล.…”

ภาพเหตุการณ์หลายอย่างที่ประดังประเดเข้ามาในสมองทำให้ผมต้องหลับตาลงอีกครั้ง

“ฮึก…”

ไม่ว่าจะพยายามกลั้นสักเท่าไหร่สุดท้ายผมก็ปล่อยให้ตัวเองสะอื้นออกมาอยู่ดี มันเหมือนกับเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่เป็นทั้งฝันร้ายและฝันดีในเวลาเดียวกัน

ฝัน….ที่ยาวนานเหลือเกิน

“ตังเจ็บตรงไหนหรือเปล่าลูก? ป๊ากดกริ่งเรียกพยาบาลสิคะ”

“ฮึก…”

“ตังคะ เจ็บตรงไหน ค่อยๆพูดออกมานะ ใจเย็นๆ” ฝ่ามือเล็กๆของเบลกุมมือผมเอาไว้แล้วบีบเบาๆ แต่น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นกลับมีน้ำหนักราวกับหินก้อนโตที่กดทับหน้าอกผมเอาไว้จนหายใจไม่ออก ความรู้สึกผิดมันวิ่งวนเข้ามาในใจอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นภาพของใครอีกคนก็ยังแจ่มชัดในความรู้สึกของผมอยู่ดี

พี่แดน…

“ทุกอย่างปกติ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ” คุณหมอหันไปพูดกับป๊าและม๊าหลังจากที่เข้ามาตรวจเช็คอาการของผมอยู่พักใหญ่

“แต่น้องผม…”

“หมอคิดว่าคนไข้อาจจะรู้สึกเจ็บที่บาดแผลหรืออาจจะมีความฝังใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครับ” และนั่นทำให้ผมเลือกที่จะพลิกตัวหันหลังให้กับเสียงสนทนาที่ได้ยิน

ผมไม่ได้อยากร้องไห้ให้ทุกคนเป็นห่วง และสิ่งที่ผมเลือกนั้นก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

ผมคืนชีวิตให้พี่แล้วนะ

“ตัง” เสียงเรียกของเฮียเต้พร้อมฝ่ามือกว้างที่วางไว้บนไหล่ทำให้ผมต้องเม้มปากแน่นเพื่อสกัดกลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้ก่อนจะโต้ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ตังแค่ เจ็บ แผล จริงๆ เฮีย”

เฮียเต้ไม่ได้พูดอะไรอีก ฝ่ามือกว้างลูบหัวผมเบาๆก่อนจะละออกไป เมื่อเสียงป๊ากับม๊าที่พูดคุยกับคุณหมอเงียบลง

ผมไม่ได้หันหลังกลับไปอีกจนกระทั่งหลับไปอีกครั้งและตื่นขึ้นมาในกลางดึกที่เงียบเฉียบ โคมไฟข้างหัวเตียงที่เปิดทิ้งไว้ทำให้มองเห็นว่าวันนี้เป็นม๊ากับพี่แป้งที่มานอนเป็นเพื่อนผม

ผมลุกขึ้นนั่งชันเข่าขึ้นมากอดไว้ด้วยแขนข้างเดียว ความเงียบเป็นเหมือนแรงดึงดูดให้มวลความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวและหมุนวนอยู่ในท้องก่อนที่มันจะค่อยๆรุนแรงขึ้นจนผมควบคุมมันไม่ได้ สุดท้าย ก็ต้องปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาอีกจนได้

“ฮึก…” ฟุบหน้าลงกับหัวเข่าโดยที่ยังใช้มือปิดปากเอาไว้ แต่ผมขอได้ไหม…

อย่าให้ม๊าตื่นขึ้นมาได้ยินผมเลยนะ



ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้วหลังจากที่ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงในห้องพิเศษของโรงพยาบาล เหตุการณ์ต่อเนื่องจากวันนั้นที่ผมขับรถชนกับต้นไม้ใหญ่ที่ข้างทางแล้วสลบไป ไอ้ป่านเล่าว่าผมไม่รู้สึกตัวเลยตลอดเวลาสามวัน ใช่ ที่นี่มันแค่สามวันเท่านั้นเอง

“น้องตังอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะลูก?” หม่าม๊าที่มีสีหน้าดีขึ้นจากวันก่อนเอ่ยถาม ผมยิ้มก่อนจะส่ายหัวเบาๆ แล้วพูดต่อ
“ม๊ากับป๊ากลับไปพักผ่อนเถอะครับ ตังอยู่ได้”

เอาจริงๆอาการผมดีขึ้นมากแล้ว ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วจนคุณหมอยังตกใจ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่รู้สึกตัวดูเหมือนอาการจะแย่เอามากๆ สัญญาณชีพเต้นเบาจนทุกคนใจไม่ดี แต่พอฟื้นขึ้นมาทุกอย่างกลับเป็นปกติ เหลือแค่รอยกระดูกร้าวที่ไหล่ขวากับหัวที่มีรอยเย็บเล็กๆเพราะมันแตกแค่นั้น

“ม๊าก็อยู่ได้ค่ะ” ม๊าลูบแก้มผมเบาๆแล้วส่งยิ้มสวยให้

“ทำไมม๊าดื้อ” ผมแกล้งว่า

“ดื้อเหมือนลูกชายค่ะ” ม๊าบอกแล้วหัวเราะเบาๆจนผมยู่หน้าใส่ มีที่ไหนล่ะม๊า เขามีแต่ลูกเหมือนแม่ต่างหาก

“น้องตังพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวม๊าออกไปทานข้าวกับป๊าแปบหนึ่งนะคะ”  ผมพยักหน้าในขณะที่ม๊าก็กดปรับเตียงลงแล้วพากันเดินออกจากห้องไปพร้อมกับป๊า 

เงียบอีกแล้ว….

ผมเงยหน้ามองเพดานสีขาวแล้วก็ต้องเม้มปากเข้าหากันเมื่อรู้สึกว่าขอบตามันร้อนผ่าว มันไม่ใช่ความรู้สึกเศร้าหรือเสียใจ เพราะมันประเมินไม่ได้เลยว่าผมดีใจมากแค่ไหนเมื่อตอนนี้พี่แดนยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าตอนนี้พี่แดนอยู่ที่ไหนหรือใช้ชีวิตทุกวันยังไง จะมีความสุขดีหรือเปล่า

แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเพียงความรู้สึกเดียวที่ไม่ว่ายังไงผมก็สลัดมันออกจากหัวใจไม่ได้

‘คิดถึง’ มันร้ายแรงและทรมานมากขนาดนี้เลยเหรอ

ผมงอตัวเขาหากันทั้งๆที่กอดตัวเองไว้ ไม่ว่าผ้านวมผืนใหญ่ที่ห่มอยู่จะหนาซักแค่ไหนมันก็ไม่อุ่นเมื่อความรู้สึกที่เคยโดนโอบกอดจากวงแขนกว้างยังไม่จางไปไหน ผมยังคงจำได้ทุกอย่าง

“ผม ฮึก คิดถึงพี่นะ”

แต่ก็มีเพียงแค่ความเงียบงันเท่านั้นที่เป็นเหมือนดั่งคำตอบของความรู้สึก 

เสียงฝีเท้าหนักๆดังใกล้เข้าทำให้ผมเริ่มรู้สึกตัวก่อนที่จะลืมตาตื่นเมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหู

“คิดถึงจังครับ”  และวงแขนกว้างก็รวบตัวผมเข้าไปกอดไว้ ใบหน้าคมที่แสนคิดถึงขยับเข้ามาใกล้จนเป็นสิ่งเดียวที่มองเห็นก่อนที่ริมฝีปากอุ่นสีธรรมชาติจะกดจูบลงมาเบาๆ

“ผมคิดถึงพี่มากกว่าอีก” กระซิบชิดริมฝีปากก่อนจะเป็นฝ่ายเริ่มจูบพี่แดนก่อนบ้าง ผมกอดร่างกายหนาไว้ในอ้อมแขน เราต่างจูบกันและกันอยู่อย่างนั้นอย่างไม่รู้เบื่อ

“ผมรักพี่นะ….รักมากที่สุด” พร่ำบอกรักในขณะที่ริมฝีปากก็ยังเคล้าเคลียอยู่บนริมฝีปากอุ่น   

แต่อยู่ๆร่างกายที่เคยอุ่นก็เริ่มเย็นเยียบ

“พี่แดน…”

ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น แต่ยิ่งกอดแน่นเท่าไหร่ก็เหมือนกอดผืนทรายที่ค่อยๆไหลออกไปจนไม่หลงเหลืออะไรอีก

“พี่แดน ไม่!”

ผมสะดุ้งสุดตัวตื่นก่อนจะลุกขึ้นมาหอบหายใจแรงๆ ความปวดที่หัวไหล่ซ้ายเริ่มเล่นงานเมื่อผมขยับตัวเร็วจนเผลอท้าวมันลงกับขอบเตียง

“ฮึก…”

น้ำตาที่ไหลล้นออกมาจากหางตาทำให้ผมต้องรีบยกมือขึ้นปาดมันออกเพราะเสียงประตูห้องที่กำลังถูกเปิดออกแล้วมันก็คงจะช้าเกินไปเมื่อป๊ากับมารีบเดินตรงเข้ามาที่ข้างเตียง

“น้องตังเป็นอะไรคะลูก?” หม่าม๊าลูบหลังผมเบาๆ ในขณะที่ป๊าก็มีสีหน้าไม่ดีเท่าไหร่นัก

“เจ็บตรงไหนบอกป๊าสิลูก” เสียงทุ้มของป๊าขรึมลงอย่างเป็นกังวลแบบที่ผมไม่เคยได้ยิน แล้วนั่นมันก็ทำให้ความพยายามของผมพังทลายไม่มีชิ้นดี ผมทำให้ป๊ากับม๊าเป็นกังวลอีกจนได้

“ฮึก…”
“แบบนี้ มัน ฮึก เจ็บจังเลยป๊า”

“คนเก่งของม๊าไม่ร้องนะคะ” ฝ่ามืออุ่นทาบลงที่แก้มก่อนจะเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน ในขณะที่ป๊าก็ลูบหัวผมเบาๆ

“เดี๋ยวมันก็ผ่านไปนะลูก”



“ตังเป็นยังไงบ้างคะ?” คำถามพร้อมรอยยิ้มเล็กๆของคนที่เดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงเหมือนกับทุกวัน

“ดีขึ้นมากแล้วครับ” ผมตอบก่อนจะยิ้มน้อยๆให้

จากวันที่ผมฟื้นจนถึงวันนี้เบลไม่เคยพูดเรื่องที่บอกเลิกผมอีกเลย เบลยังคงดูแลผมอย่างดี นั่นยิ่งทำให้ปมที่อยู่ในใจของผมขมวดเข้าหากันแน่นขึงเข้าไปอีก

“หิวไหมคะ? ม๊าบอกว่าวันนี้ตังกินข้าวน้อยมากกก” เสียงเล็กๆน่ารักลากยาวในท้ายประโยคในขณะที่เจ้าของคำพูดก็นั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง และยังคงเป็นเหมือนทุกวันที่ป๊ากับม๊าจะปล่อยให้เบลกับผมได้อยู่กันตามลำพัง

“เปล่านะครับ ม๊าโกหกเบลแล้วล่ะ”

“กินแอปเปิ้ลไหม เดี๋ยวเบลปอกให้นะ” 

“ไม่เป็นไรครับ”

“ดูทีวีไหม?” ผมส่ายหัวเบาๆ มองคนที่ยังกระตือลือล้นก่อนจะต้องเม้มปาก ความรู้สึกผิดมันเริ่มเอ่อล้นขึ้นมาจนอัดแน่นอยู่ในอก ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆก่อนที่จะตัดสินใจเปล่งเสียงเรียกออกไป

“เบลครับ”

แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของเบลที่ดังขึ้นก็แย่งความสนใจของเบลไปจากผมจนได้ ใบหน้าสวยเงยขึ้นมามองผมหลังจากที่ก้มมองที่หน้าจอโทรศัพท์แต่ยังไม่ได้กดรับสาย

“เดี๋ยวเบลมานะคะ”

ชั่วครู่หนึ่งในแววตาสวยนั้นวูบไหวในขณะที่เบลยิ้มน้อยๆให้ผมก่อนจะลุกเดินออกไปที่นอกระเบียงเพื่อรับสาย

“ตังคะ”

“เบลไปทำธุระเถอะ ตังโอเคครับ” ผมพูดออกไปแบบนั้นเพราะพอจะเดาได้ เบลเดินเข้ามาจับมือผมไว้ก่อนจะบีบเบาๆ

“ขอโทษนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เบลจะมาอยู่เป็นเพื่อนตังทั้งวันเลย” เบลยิ้มน้อยๆก่อนจะทำตาโตเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

“อืม ใช่สิ ตังคะ พรุ่งนี้จะมีพี่ๆจากสโมมาเยี่ยมนะคะ”

“อ่า...ครับ”

“เจอกันพรุ่งนี้นะคะ” 

พี่จากสโมเหรอ….ผมไปรู้จักกับใครตอนไหนนะ ?




ช่วงเวลากลางคืนที่เงียบงันกลับมาเยี่ยมผมอีกครั้งหลังจากที่เจ้ตวงกับเฮียกิจพาน้องต่อมาอยู่เล่นเป็นเพื่อนผมจนถึงหัวค่ำ และเพราะวันนี้ไอ้ปอกับไอ้ป่านต้องไปงานเลี้ยงกับที่บ้านก็เลยไม่ได้มาอยู่กับผมจนดึกดื่นเหมือนทุกวันนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าช่วงเวลากลางคืนในวันนี้มันยาวนานกว่าวันไหนๆ

เป็นครั้งแรกที่ผมตัดสินใจหยิบเจ้าไอโฟนสีดำของตัวเองขึ้นมากดเปิดเครื่อง ที่วอลเปเปอร์หน้าจอปรากฏรูปภาพผมกับเบลที่ถ่ายคู่กัน ไม่ใช่รูปเจ้าก้อนกลมสีเทานั่นอย่างที่คุ้นตา มีข้อความในไลน์ที่ขึ้นแจ้งเตือนให้อ่านอยู่มากมายแต่ก็ไม่มีอันไหนที่ทำให้ผมสนใจอยากจะอ่านเพราะชื่อไลน์ของคนที่เคยขึ้นอยู่เป็นอันดับแรกนั้นไม่มีอีกแล้ว

อินสตาแกรมเป็นแอพลิเคชั่นต่อไปที่ผมเลือกที่จะกดเข้าไปดู ไม่มีภาพเจ้าแมวเทาหน้าอ้วนตัวนั้นรวมถึงภาพของเจ้าของมันที่ผมกำลังคิดถึงจนจะเป็นบ้าอยู่เลยซักภาพเดียว….

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดหนักๆก่อนจะกดพิมพ์ชื่อแอคเค้าท์ที่จำได้ขึ้นใจในช่องค้นหาในขณะที่ในใจก็ลุ้นว่าในตอนนี้มันจะเป็นชื่อเดียวกับที่ผมจำได้หรือเปล่า

dindanvongvrp

หัวใจมันเต้นแรงจนปวดหนึบอยู่ในอก และชื่อพร้อมรูปโปรไฟล์ที่ปรากฎขึ้นก็ทำให้ปลายนิ้วที่ติดสั่นและชื้นไปด้วยเหงื่อของผมแตะเข้าไปดูอย่างอัตโนมัติ

พี่แดน...

ผมก้มหน้าลงซบที่หัวเข่าในขณะที่มือก็กำเจ้าไอโฟนไว้แน่น ความรู้สึกหลายอย่างมันประดังประเดเข้ามาในหัวจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ขอบตาที่ร้อนผ่าวทำให้ผมต้องยกหลังมือขึ้นปาดหยดน้ำที่เอ่อล้นออกมาอย่างลวกๆแล้วกดเข้าไปที่ภาพล่าสุด

ใบหน้าคมที่มีเหงื่อผุดพราวนั้นกำลังยิ้มให้กับกล้องโดยที่สองมือก็กำลังยกตระกร้าส้มใบใหญ่ ดูจากแบ็คกราวน์ที่ถึงแม้มันจะเบลอก็ตามทีแต่ก็รู้ได้ว่ามันน่าจะเป็นไร่ส้มที่ไหนซักที่ รอยยิ้มที่มีความสุขนั่นอดที่จะทำให้ผมยิ้มตามไม่ได้เลย ยิ้มทั้งๆที่น้ำตามันก็ยังไม่ยอมหยุดไหลซักที

ภาพต่อมาเป็นเจ้าแมวก้อนกลมที่กำลังใส่หมวกชาวเขาทรงสามเหลี่ยม หน้ากลมๆนั่นดูจะไม่ค่อยสบอารมณ์ซักเท่าไหร่เลย ตลกชะมัด

เลื่อนดูไปเรื่อยๆภาพในความทรงจำมันก็ค่อยๆไหลกลับเข้ามาในสมอง พี่แดนก็ยังคงเป็นพี่แดนคนที่ลงรูปถ่ายอะไรอยู่ไม่กี่อย่างคนนั้น

และภาพนี้ที่ผมกำลังกดดูอยู่มันถูกถ่ายในฟิสเนสที่คอนโด แต่มันไม่ใช่รูปเซลฟี่

แล้ว...ใครกันนะที่เป็นคนถ่ายภาพนี้

อยู่ๆก็รู้สึกหน่วงในใจเมื่อภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเจอในฟิตเนสนั่นก็ฉายขึ้นมาในสมอง มันคงจะไม่ใช่เธอหรอกใช่ไหม มันอาจจะเป็นไอ้ฟ้าก็ได้ที่เป็นคนถ่ายให้

แต่เงาลางๆที่สะท้อนในกระจกนั่นก็ทำให้ผมต้องรู้สึกผิดหวัง

เงาของผู้หญิง แล้วเธอก็ผมยาวมากด้วย

ผมเม้มปากก่อนจะใช้หลังมืออีกข้างที่ว่างปาดน้ำตาตัวเองที่ไหลไม่หยุดอย่างน่ารำคาญลวกๆก่อนจะสไลด์ภาพในอินสตาแกรมไปเรื่อยๆด้วยปลายนิ้ว มีหลายรูปที่ไม่ใช่ภาพเซลฟี่ แม้กระทั่งรูปอาหารเช้าง่ายๆที่ผมคุ้นเคยดี เพียงแต่ในรูปที่เห็นมันก็ไม่ได้มีแค่ชุดเดียว

และภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนที่ผมจะปล่อยให้โทรศัพท์ร่วงลงบนที่นอนเพราะมือมันสั่นเกินกว่าที่จะจับอะไรไหวอีกแล้วก็คือรูปที่พี่แดนถ่ายคู่กับผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่ผมไม่เคยเห็นหน้า…

พี่แดนยิ้ม และมันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและความหมายดีๆที่ผมสัมผัสได้

“ฮึก…”

เหมือนตื่นจากความฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า และความจริงหลังตื่นจากความฝันก็ทำให้หัวใจมันเจ็บจนแทบจะขาด

มันไม่มีอะไรที่เหมือนเดิมอีกแล้ว เมื่อโลกแห่งความเป็นจริงในตอนนี้...

ผมก็เป็นแค่คนที่ไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิตของพี่แดนเลย



TBC


ขอบคุณที่ยังไม่ลืมกันนะคะ
ยืนยันเหมือนเดิม ดองนานยังไงก็จะเขียนให้จบค่ะ
ขอคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้บ้างนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่.. EP23 - BACK TO ZERO [09.07.19 UP!] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-07-2019 21:29:57
 :L2: :pig4: :L1:

ดีใจ มาต่อแล้ว
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่.. EP23 - BACK TO ZERO [09.07.19 UP!] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-07-2019 08:52:36
 :pig4: :pig4: :pig4:

ย้อนกลับมาที่ไทม์ไลน์ปกติ เวลาปกติ  เหตุการณ์จะเป็นไงน้อ?

อิพี่แดนจะยังคงให้ความสนใจน้องตังเหมือนไทม์ไลน์นั้นไหม?

คงต้องมาลุ้นกัน

ป.ล. มาต่อเร็ว ๆ น้า
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่.. EP23 - BACK TO ZERO [09.07.19 UP!] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 10-07-2019 20:43:39
 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่.. EP23 - BACK TO ZERO [09.07.19 UP!] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 21-07-2019 15:28:56
ฮือออออ เป็นตอนที่ร้องไห้หนักมากเลยค่ะ
หัวข้อ: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่.. EP24 - stay or move on [26.08.19 UP!] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 26-08-2019 15:05:09
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#24



ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงสายของวัน เอาจริงๆผมก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองหลับไปตอนไหนหรือได้นอนไปกี่ชั่วโมง มันตื่น เพราะร่างกายตื่นก็เท่านั้น อาการบาดเจ็บต่างๆมันเริ่มหายไปจนแทบจะไม่รู้สึกเจ็บอะไรแล้ว ซึ่งอีกแค่ 2-3 วันผมก็จะได้ออกจากโรพยาบาลไปพักฟื้นที่บ้านต่อได้

“น้องตังอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ?” หม่าม๊าร้องทักขึ้นเมื่อผมลุกขึ้นนั่งบนเตียง ฝ่ามือบางลูบหัวผมเบาๆพร้อมรอยยิ้มบางๆ

“ตังกินอะไรก็ได้ม๊า” ผมตอบและพยายามยิ้มเหมือนอย่างเคย หม่าม๊าส่ายหัวก่อนจะใช้ฝ่ามืออุ่นโอบแก้มผมทั้งสองข้าง

“น้องตังผอมไปมากเลยรู้ไหมลูก”

“เป็นอะไร บอกหม่าม๊าได้ไหมครับ?” ผมจับมือที่ติดสั่นน้อยๆของม๊าเอาไว้ก่อนจะเป็นฝ่ายกอดร่างอุ่นเอาไว้ด้วยสองมือ

“ตังไม่ได้เป็นอะไรม๊า ตังแค่อยากออกจากโรพยาบาลแล้ว อยากให้ป๊ากับม๊าพักผ่อน”

“งั้นน้องตังก็ต้องกินเยอะๆสิคะ จะได้แข็งแรง”

“ครับม๊า วันนี้ตังจะกินเยอะๆเลย”

“ดีค่ะ”

“ฉะนั้นวันนี้ม๊าต้องกลับไปพักผ่อนที่บ้านนะ เดี๋ยววันนี้ตังอยู่กับไอ้ปอไอ้ป่านเอง” ผมบอก ม๊ายิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ

“ตกลงค่ะลูกชาย” 





และมันก็ผ่านไปอีกวันกับการใช้ชีวิตในโรงพยาบาล ไอ้ปอกับไอ้ป่านที่มาเฝ้าผมตั้งแต่เมื่อวานตอนนี้กำลังออกไปซื้อเสบียงมาตุนเพิ่มเพราะที่มันซื้อมาเมื่อวานไอ้ป่านมันฟาดเรียบไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน

เสียงประตูที่เปิดออกพร้อมเสียงพูดคุยของคนหลายคนทำให้ผมต้องยันตัวเพื่อลุกขึ้นนั่ง เป็นเบลที่เดินเข้ามาพร้อมๆกับพวกรุ่นพี่อีกสองสามคนทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานเบลโทรมาบอกผมว่าที่จะมีพี่ๆจากสโมสรนักศึกษามาเยี่ยมผมเมื่อวานขอเลื่อนเป็นวันนี้แทน

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ในขณะที่ทุกคนก็ส่งยิ้มให้แล้วทักทายกลับมา

“แข็งแรงเร็วๆนะครับน้องตัง ผมขอวางตรงนี้นะ” พี่วินวางกระเช้าผลไม้ไว้ที่โต๊ะกระจกตัวเตี้ยข้างหน้าโซฟาก่อนจะหันซ้ายขวาเหมือนกำลังหาอะไรซักอย่าง 

“ปุ่น แล้วช่อดอกไม้อ่ะ?”

“คนถือเขาแวะคุยโทรศัพท์อยู่หน้าห้องนู่นค่ะ ขอบคุณค่ะน้องเบล” พี่ปุ่นบุ้ยใบ้ชี้มือไปที่หน้าประตู ก่อนจะหันไปรับแก้วน้ำที่เบลส่งให้

พูดคุยกันได้ซักพักพี่วินกับพวกพี่ๆที่เหลือก็ย้ายไปนั่งที่โซฟาเหลือแค่เบลที่ยังนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงผมเหมือนอย่างเคย ส่วนไอ้ปอกับไอ้ป่านพอรู้ว่าเบลมาก็เลยขอกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านแล้วค่อยกลับมาตอนเย็นๆแทน ก็พอจะรู้เจตนาของมันสองคนแหละครับ แต่แค่ในตอนนี้ระหว่างผมกับเบลมันคงจะกลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว

ซักพักเสียงประตูห้องที่ถูกเปิดออกก็เป็นจุดสนใจเดียวที่ทำให้ทุกคนในห้องหันไปมองเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา และการปรากฏตัวของใครบางคนก็แทบทำให้ผมลืมหายใจ

“กูนึกว่ามึงจะไม่เข้ามาแล้วไอ้ห่า” พี่วินร้องทักคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาที่ผมเสียงดัง ช่อดอกทานตะวันสีเหลืองสดใสถูกยื่นออกมาข้างหน้าทำให้ผมต้องยื่นมือออกไปรับทั้งๆที่มือยังติดสั่น

“แผลดูดีกว่าวันแรกเยอะเลยนะ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นเคยดังก้องอยู่ในหัว ถึงผมจะไม่เข้าใจในความหมายที่เขาต้องการจะสื่อออกมา แต่แค่น้ำเสียงนุ่มทุ้มนั่นที่มันสะท้อนไปสะท้อนมาอยู่ในหูก็ทำให้หัวใจผมเต้นแรงจนเจ็บหน้าอกไปหมด

ผมไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป มันแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่พี่เขาจะมายืนอยู่ตรงนี้ ข้างหน้าผม ใบหน้าคมคายนั้นยังคงเหมือนเดิม เหมือนกับที่เด่นชัดอยู่ในทุกห้วงความทรงจำ

“ดีแล้วที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก” คนพูดยิ้มเล็กๆที่มุมปาก ฝ่ามือกว้างถูกยกขึ้นมาแตะเบาๆที่ข้างผ้าก๊อซที่แปะทับรอยเย็บบนหน้าผาก

“พี่...แดน” ผมยกมือขึ้นแค่ไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่จะได้สัมผัสฝ่ามือกว้างก็เหมือนมีกระแสไฟฟ้าอย่างแรงมาปะทะให้เจ้าตัวชักมือออกจากผมไปทันที ดวงตาคมวูบไหวก่อนที่คนตรงหน้าจะหลับตาลงชั่วครู่แล้วลืมตาขึ้นมาด้วยสายตาที่แปลกไปไม่เหมือนเดิม แล้วถอยตัวห่างออกไปอีกก้าว

“พี่แดนคะ น้ำค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ดวงตาคมละออกไปจากผมแล้ว ความวูบโหวงตีตื้นอยู่ในอกทำให้ผมต้องเม้มปากแน่นเมื่อความรู้สึกทุอยากที่ประทุอยู่ข้างในมันเหมือนจะล้นทะลักออกมา ทั้งๆที่ห่างกันแค่ไม่ถึงสองก้าวแต่มันกลับไกลจนจับต้องไม่ได้อีกแล้ว

“ตังจำพี่แดนได้ไหมคะ?” 

จะจำไม่ได้ ได้ยังไง ก็ไม่เคยลืมเลยซักที

“วันนั้น ที่ตังขับรถชน พี่แดนเขาเป็นคนที่เข้าไปช่วยตังนะคะ เบลตกใจมากตอนที่มาถึงโรงพยาบาลแล้วเห็นเลือดเต็มเสื้อพี่แดนไปหมด”

“เลือด...พี่...แดน..เหรอ” 

เป็นพี่เขาที่ขมวดคิ้วให้กับสรรพนามที่หลุดจากปากผมอีกครั้ง ดวงตาคมฉายแววสับสนไปชั่วขณะ แล้วนั่นก็ทำให้ทุกอย่างที่ตีรวนอยู่ข้างในตัวผมล้นทะลักออกมาจนหมด

“ฮึก…” ภาพความทรงจำในวันนั้นถูกย้อนกลับเข้ามาในสมองผมจนหมดอีกครั้ง ทั้งร่องรอยบาดแผลบนใบหน้าคม ทั้งร่างกายหนาที่เต็มไปด้วยเลือดนั่น…

วันนั้น...มันเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน

“ฮึก...ผม ขอโทษ…” 

ช่อดอกไม้สีสดใสตกลงไปที่พื้นอย่างช่วยไม่ได้เมื่อผมไม่มีแรงที่จะถือมันเอาไว้อีกแล้ว เสียงเรียกชื่อผมจากใครต่อใครที่ดังเซ็งแซ่เป็นเหมือนแค่ลมที่พัดผ่านออกไปจากหัว ทุกอย่างรอบตัวมันมืดไปหมดเหลือเพียงภาพจำที่ยังคงฉายชัดอยู่ในสมอง

“พี่แดน ตัง ขอ..โทษ..”

“น้อง...เอ่อ ตัง”

“ผม ขอ โทษ”

“ตัง” เสียงเรียกทุ้มๆที่ดังขึ้นพร้อมความอบอุ่นของอ้อมกอดจากวงแขนกว้างยิ่งทำให้น้ำตามันไหลไม่หยุด ความรู้สึกมากมายมันเอ่อล้นออกมาจนเรียบเรียงไม่ถูก

“ฮึก ขอ โทษ”

“ชู่ว์ ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” ฝ่ามืออุ่นลูบเบาๆบนหัวในขณะที่มืออีกข้างก็ลูบแผ่นหลังขึ้นลงเป็นการปลอบประโลม มันกลายเป็นว่าตอนนี้เป็นผมเองที่กำลังกอดคนตรงหน้าเอาไว้แน่น

“ไม่เป็นไร” เสียงพร่ำบอกไม่ดังนักยังคงดังอยู่ข้างหู ความอื้ออึงในสมองมันเริ่มเบาบางลงช้าๆ ความอบอุ่นจากร่างกายหนาทำให้ปลายนิ้วที่เย็นจนชาค่อยๆกลับเข้าสู่อุณหภูมิปกติอีกครั้ง

“ตัง ขอโทษ..”

“ครับพี่รู้”







ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบ่าย ความวุ่นวายสงบลงด้วยการที่ใครซักคนตามหมอเข้ามาด้วยความตกใจ ตอนนี้พี่ๆทุกคนกลับไปแล้ว โดยได้รับคำอธิบายจากคุณหมอว่าเรื่องที่เบลบอกผมอาจจะไปกระตุ้นความทรงจำในวันนั้นซึ่งความหวาดกลัวมันทำให้ผมเกิดความสับสนและร้องหาคนที่เป็นคนช่วยเหลือ ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วมันใช่ เพียงแต่มันเป็นคนละเหตุการณ์ก็เท่านั้น จากสายตาท่าทางแล้วผมรู้ว่าทุกคนยังคงคาใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีใครถามหรือพูดถึงมันอีก รวมถึงพี่แดนด้วยเช่นกันที่กลับออกไปโดยที่เราไม่ได้แม้แต่จะพูดล่ำลาอะไรกันอีก

บรรยากาศในห้องยังคงปกคลุมไปด้วยความเงียบ ความอึดอัดที่รายล้อมอยู่รอบตัวผมกับเบลมันเหมือนกับฝุ่นหนาๆที่ทำให้เราต่างก็หายใจไม่สะดวก

“ตังคะ เบลขอโทษนะ” แล้วก็เป็นเบลที่ทำลายความเงียบที่อึดอัดระหว่างเรา มือเล็กบีบฝ่ามือผมเบาๆทั้งๆที่เจ้าตัวก็เพิ่งจะหยุดร้องไห้ได้ไม่นาน

“ถ้าเบลไม่พูดถึงเรื่องนั้น….”

“ไม่หรอก เบลไม่ต้องขอโทษตังนะ”

“เบลไม่ผิดเลย ทุกอย่างมันเป็นเพราะตังเอง คนที่ผิดมันเป็นตังเอง”

ใช่ ผิดมาตั้งแต่แรกและตลอดมา

“ที่ผ่านมาขอบคุณมากนะ” ผมบีบฝ่ามือเล็กนั้นตอบเบาๆก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆเมื่อตั้งใจจะพูดในสิ่งที่คิดทบทวนอยู่ในหัวมาตลอด

“และก็ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่เคยทำให้เบลเสียใจ ขอโทษที่ละเลยความรู้สึกของเบลมาตลอด”

บ่อยครั้งในช่วงเวลาที่คบกันที่ผมละเลยไป หรือแม้กระทั่งวันนี้ผมก็ทำเบลหล่นหายไปจากความทรงจำอีกครั้งเมื่อผมเอาแต่ร้องเรียกแค่ใครอีกคนที่เฝ้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเขาคนนั้นจะไม่รับรู้อะไรก็ตาม

“ที่เบลบอกเลิกวันนั้น...ตังเข้าใจแล้วครับ”

ไม่มีคำพูดตอบรับใดๆกลับมามีเพียงแค่อ้อมกอดจากวงแขนเล็กๆที่โถมเข้ามากอดผมเอาไว้ทั้งตัวพร้อมกับเสียงร้องไห้ มันแปลกที่เราต่างก็ร้องไห้แต่มันกลับทำให้ความอึดอัดใจระว่างเรามันจางลงไปจนแทบจะไม่เหลืออะไรคั่งค้างเอาไว้อีกแล้ว





“กูเลิกกับเบลจริงๆแล้วนะ” ผมตัดสินใจเปิดปากเล่าให้ไอ้ปอกับไอ้ป่านฟังเมื่อมันสองคนกลับเข้ามาในตอนเกือบจะค่ำ ไอ้ปอมันเลิกคิ้วก่อนจะละสายตาออกจากหน้าจอโทรศัพท์ไปมองหน้าไอ้ป่าน

“ถ้ามึงโอเค”

“อืม กูโอเค”

“แต่สภาพมึงกูว่าไม่ว่ะ”

“เหี้ยนี่” ผมปัดไอ้นิ้วชี้ยาวๆของไอ้ป่านออกได้ก่อนที่มันจะมาจิ้มหน้าผากผมได้ มันแค่นหัวเราะก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงคนไข้ข้างๆผม

“ตัง เรื่องวันนี้มันยังไง?” เป็นไอ้ปอที่เอ่ยถามขึ้นก่อนจะเดินมานั่งที่ปลายเตียงอีกคน ผมเม้มปากก่อนจะส่ายหัวเบาๆเป็นคำตอบ

“พวกกูเป็นห่วงมึงนะ”

“ไม่ตอบกูก็ได้ แต่มึงลองดูตัวเองสิ ผอมจนจะไม่เหลืออะไรแล้วนะ แล้วที่มึงร้องไห้ทุกวันคิดว่าพวกกูไม่รู้เหรอ” ไอ้ป่านบอกเสียงเครียด

“มัน…” ผมเม้นปากก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วพรูลหายใจออก

“ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนว่ะ” พยายามจะแค่นหัวเราะแล้วแต่มันก็ทำไม่ได้ จนต้องยกสองมือขึ้นปิดหน้าตัวเองแทน

“ไม่เป็นไรนะตัง กูขอโทษ” ไอ้ป่านมันดึงผมเข้าไปกอดแล้วพึมพำขอโทษซ้ำๆ พวกมันเป็นห่วงผมนั่นมันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลย แล้วก็เป็นหลายนาทีที่พวกเราต่างเงียบ กกลายเป็นบรรยากาศแบบที่เราต่างไม่คุ้นชิน เพราะปกติเวลาที่พวกเราอยู่ด้วยกันมันมักจะมีแต่เสียงโต้เถียงกันและเสียงหัวเราะบ้าบอแค่เท่านั้น

“ป่าน” ผมเอ่ยเรียกก่อนจะดันตัวเองออกมาซึ่งมันก็ผละตัวเองออกแบบไม่โต้แย้งอะไร ผมสูดหายใจลึกก่อนที่จะค่อยๆพยามพูดออกมา และสัมผัสได้ว่ามันสองคนก็กำลังตั้งใจฟังอยู่

“สมมตินะว่า...พวกมึงฝัน ฝันว่ารักใครคนหนึ่ง...มากๆ” ผมเม้มปากก่อนจะเช็ดน้ำตาตัวเองที่เริ่มรื้นออกมาที่หัวตาด้วยหลังมืออย่างลวกๆ

“และเขาก็รักมึงมากๆ มันแบบ...ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน โคตรมีความสุข...แล้ววันหนึ่งมึงก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เข้าต้องตาย..ฮึก…เขา ตาย”

“แต่...มึงมีพรวิเศษอยู่หนึ่งข้อ…” ผมยังคงเล่าต่อไป  ถ้าเป็นเวลาปกติมันคงผลักหัวผมแล้วด่าว่าเพ้อเจ้อ แต่วันนี้ไอ้ปอได้แต่นิ่งฟังในขณะที่ไอ้ป่านขมวดคิ้วเล็กๆแต่ก็ยังคงเงียบเพื่อฟังต่อ

“มึงสามารถขอ ให้เขาฟื้นกลับมามีชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยมีข้อแม้ว่า...เขาจะลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวมึง ลืมทุกสิ่ง ทุกอย่าง….”

“และถ้าพวกมึงมีโอกาสได้เจอเขาอีกครั้ง...มึงจะทำยังไงต่อไป?” คำถามของผมไม่ถูกปล่อยไว้นาน เพราะเพียงไม่ถึงนาทีมันก็ได้รับคำตอบ

“กูจะจีบเขา” ไอ้ป่านพูดติดตลก แต่ในน้ำเสียงก็เจือความจริงจังอยู่ด้วย

“ถ้าบอกว่าฝัน มันก็เป็นแค่ความฝัน” เสียงไอ้ปอที่แทรกขึ้นมาทำให้ผมกับไอ้ป่านต้องเงยหน้าขึ้นมองเมื่อมันเดินมายืนอยู่ข้างๆ

“แต่ถ้ามึงตื่นขึ้นมาแล้วยังมีโอกาสได้เจอเขาจริงๆ แสดงว่านี่คือโอกาสที่มึงจะได้แก้ตัวที่ทำทุกอย่างพลาดไป แล้วกูก็จะบอกมึงเหมือนกับไอ้ป่านนะว่า กูก็จะจีบเขาเหมือนกัน”

“แล้วถ้าโอกาสมันเป็นศูนย์ล่ะ” ผมถามต่อ ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงเหมือนกัน แต่พอได้ยินคำตอบของไอ้แฝดแล้วมันทำให้รู้สึกใจเบาขึ้นมานิดหน่อยอย่างบอกไม่ถูก

“คำว่าโอกาสเป็นศูนย์มันไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของคนที่ลงมือทำหรอกครับคุณชายตัง”

“แต่ก่อนที่มึงจะตื่นจากฝัน มึงต้องนอนก่อนครับถึงจะฝันแล้วตื่น” ไอ้ป่านมันตัดบทก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงคนป่วย

“ฉะนั้นกูขอไปฝันถึงริสะจังเมียในอนาคตกูก่อนนะ”

“เพ้อเจ้อชิบหาย” ไอ้ปอมันด่าแฝดตัวเองก่อนจะส่ายหัวทำหน้าหน่ายแล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้มันถึงดึงคอเสื้อน้องมันจนไอ้ป่านแทบหงายหลัง

“เฮ้ยเดี๋ยว”

“สรุปฝึกงานนี่ยังไง?”

“เหี้ย เจ็บ”

“เออ กูคุยกับพี่กุ๊กแล้ว เหลือแค่ส่งเอกสารนี่แหละ เราทั้งสามคน” นั่นสิ ไทม์ไลน์ในตอนนี้คืออีกไม่กี่เดือนผมต้องไปฝึกงานแล้วนี่นะ

“ทำดีมากไอ้น้อง”

จะว่าไปก็นึกถึงบรรยากาศที่ไปฝึกงานในตอนนั้น มันมีเหตุการณ์อะไรต่างๆที่เกิดขึ้นไม่น้อยเหมือนกันนะ ได้รู้จักอะไรใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ ซึ่งมันก็มีทั้งเรื่องดีๆ และเรื่องที่ผมก็กลัวถ้ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง จะว่าไปเรื่องของไอ้ปอกับโยเนะมุระจะเกิดขึ้นเหมือนเดิมหรือเปล่านะ?

แต่ในส่วนของผม….

“กูว่า กูจะไม่ไปกับพวกมึงว่ะ” ผมพูดต่อในขณะที่ไอ้แฝดมันเงียบ

“กูหมายถึง กูอาจจะขอเลื่อนฝึกงานไปก่อน”

“มึงจะเอาแบบนั้นเหรอ” ไอ้ป่านมันทำหน้าเสียดายอย่างไม่ปิดบัง

“กูแค่อยากลงมือทำอะไรซักอย่างก่อนน่ะ” ไอ้ปอมันแค่ยิ้มมุมปากน้อยๆก่อนจะพยักหน้าแล้วกดเปิดไฟหัวเตียงคนไข้ให้ผมแล้วเดินไปปิดไฟในส่วนอื่นๆก่อนจะไปทิ้งตัวลงนอนข้างๆไอ้ป่านแล้วเอ่ยคำพูดออกมาด้วยเสียงไม่ดังนัก

“เออตัง มึงเคยได้ยินหรือเปล่า?”

“หื้ม?”

“เขาว่ากันว่าถ้าเราฝันร้าย สุดท้ายมันจะกลายเป็นดีนะ”

แล้วมันก็เป็นคำพูดที่ทำให้ผมยิ้มได้ในความสลัวของค่ำคืนนี้

ก็ขอให้มันดีอย่างที่มึงว่าแล้วกันนะปอ







พอมีเวลาก็รีบปั่นมาต่อให้ค่ะ
ตอนหน้าก็จะพยายามรีบมา ขอคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้บ้างนะคะ
อีกซักตอนสองตอนจะจ่ายค่าตัวให้พี่แดนมาโซโล่บ้าง มาช่วยแม่ๆไขข้อข้องใจที :)
ยืนยันคำเดิม ดองนานแค่ไหนก็จะเขียนให้จบค่ะ อยู่ด้วยกันไปนานๆนะคะ
B2
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่.. EP24 - stay or move on [26.08.19 UP!] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-08-2019 20:11:36
 :pig4: :pig4: :pig4:

ดีใจที่เห็นตอนใหม่คลอดออกมา
หัวข้อ: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่.. EP25- Cupid Cotton P.3 [9.9.2020 UP!]
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 09-09-2020 15:50:40
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#25





วันแรกของการอยากลองทำอะไรซักอย่างของผม นั่นก็คือ….


การที่มันผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไรซักอย่างเหมือนเดิม





วันที่ 2

วันนี้ผมได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว





วันที่ 3

ผมกลับมาเรียนตามปกติ และ อีก 3 สัปดาห์หลังจากนี้คือการสอบไฟนอล และ อีก 1 สัปดาห์หลังจากนั้นคือการเริ่มต้นฝึกงาน และผมก็ได้ยื่นเรื่องปฏิเสธการฝึกงานไปแล้ว ซึ่งมันโชคดีที่คณะผมไม่ได้ซีเรียสอะไรกับการฝึกงาน และถ้าให้พูดตรงๆผมก็ไม่ได้ต้องการประสบการณ์เพื่อไปสมัครงานที่ไหนอยู่แล้ว และผมก็มีเรื่องที่อยากจะทำ ถึงแม้ว่าไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก็ตาม


เพราะจากวันนั้น ผมก็ไม่มีโอกาสได้เจอกับพี่แดนอีกเลย….
บางครั้งมันก็เหมือนกับว่าผมกำลังวิ่งตามเงาของอะไรบางอย่าง ที่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนสุดท้ายผมก็ฉวยมันมาไว้ในมือไม่ได้อยู่ดี





วันที่ 4

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม ผมเดินออกมาที่ลานจอดรถหลังตึกหลังจากที่แยกย้ายกับพวกไอ้ฝาแฝดเพราะไม่รู้จะอยู่ม.ไปทำอะไรเมื่อคนที่อยากเจอก็ไม่มีเรียนในวันนี้ แต่เมื่อกดกุญแจเพื่อเปิดประตูรถตัวนุ่มนิ่มบางอย่างที่มาคลอเคลียอยู่กับขาก็ทำให้ต้องก้มหน้าลงไปมองแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเจ้าก้อนนุ่มนิ่มนั่นไม่ใช่คุณสีส้มเหมือนเช่นเคย กลับเป็นเจ้านุ่มนิ่มขนสีเทา และดวงตาสีเหลืองเข้มที่คุ้นเคยนั้นทำให้ผมรีบทรุดตัวลงไปนั่งยองๆกับพื้น


“คะ คอตตอนเหรอ?”


“เมี๊ยว” เจ้าก้อนกลมสีเทาเงยหน้าขึ้นมองผมก่อนจะส่งเสียงตอบรับเหมือนอย่างเคย ผมรวบเจ้าก้อนขึ้นมาไว้ในอ้อมกอดก่อนจะยืนขึ้นแล้วหอมลงบนหัวกลมๆนั่นแรงๆ


“เราคิดถึง นะ” ผมเม้มปากเมื่อความรู้สึกบางอย่างมันตีขึ้นมาในอก ดวงตาสีเหลืองแวววาวยังคงจ้องมองผมนิ่งๆก่อนที่เจ้าของดวงตานั่นจะไซร้หัวกลมๆกับท่อนแขนผมเบาๆ


ผมไม่รู้ว่าเจ้าคอตตอนมาอยู่ตรงนี้ตอนนี้ได้ยังไง ผมรู้แค่ว่าการได้กอดก้อนกลมๆนิ่มๆนี้ไว้เป็นสิ่งปลอบประโลมใจผมได้ดีที่สุดตั้งแต่ลืมตาตื่นกลับมาที่นี่อีกครั้ง


“คอตตอน!” และเสียงฝีเท้าหนักๆพร้อมกับเสียงตะโกนร้องเรียกจากข้างหลังก็ทำให้ผมสะดุ้งก่อนจะหันไปมอง


“ทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้หะ?” คำพูดที่ดูเหมือนจะกำลังโมโหนั้นถูกเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่บอกก็รู้ว่าเอ็นดูเจ้าก้อนกลมในอ้อมกอดผมขนาดไหน มุมปากหยักที่ยักยิ้มน้อยๆทำให้หัวใจของผมเต้นแรงจนสมองมันวิ้งค์ไปหมด


“คือ แมว” คนตรงหน้าชี้นิ้วมาข้างหน้า และมันก็ทำให้ผมตื่นจากภวังค์อีกครั้ง ก่อนจะรีบยัดเจ้าก้อนกลมคืนให้กับอ้อมแขนกว้างของคนตรงหน้า


“ขะ ขอโทษครับ”


“ออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ?” ในที่สุดเสียงทุ้มก็เอ่ยทักทายผมบ้าง


“ครับ”


“ดีแล้ว” ผมเงยหน้ามองคนที่ส่งยิ้มมาให้ เรื่องราวมากมายไหลย้อนเข้ามาในหัวเมื่อสบสายตากับคนตรงหน้า


“ครับ..” ทั้งๆที่มีเรื่องที่อยากจะพูดตั้งมากมาย ทั้งๆที่ซ้อมกับตัวเองมาเป็นร้อยครั้งว่าถ้าได้เจอพี่เขาแล้วจะต้องพูดอะไร แต่สุดท้ายสิ่งที่พูดออกมาได้กลับมีแค่เท่านี้


“แขน...ไม่เจ็บแล้วใช่ไหม?” แล้วมันก็หนักกว่าเดิมที่ครั้งนี้ผมทำได้แค่พยักหน้า เพราะมันหนักอึ้งไปหมดทุกอย่าง


“ถ้ายังเจ็บก็ไม่ต้องฝืนหรอกครับ”  ฝ่ามือกว้างที่วางมาบนหัวเหมือนกุญแจที่ปลดล็อคความรู้สึกที่กำลังท่วมท้นอยู่ข้างใน ผมพยักหน้าอีกครั้งกับคำพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนั่น ไม่ทันรู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าน้ำตามันไหลออกมาตอนไหน


ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนที่เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อ แต่พี่แดนก็ยังไม่ได้เดินหนีไปไหน ยังคงยืนอุ้มเจ้าก้อนกลมไว้เบื้องหน้าพร้อมกับส่งมือมาลูบหัวผมเป็นระยะ



ผม...กอดพี่เขาได้ไหมนะ



และแขนที่กำลังยกขึ้นเพื่อทำตามสัญชาตญาณก็ต้องถูกทิ้งลงข้างตัวอีกครั้งเมื่อเสียงเรียกของพี่บอยทำให้เราต้องผละตัวออกจากกันอย่างอัตโนมัติ


“เจอแล้วก็ไม่บอกนะไอ้ห่า ให้กูหาซะหอบ” พี่บอยที่ถือกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยงสีน้ำตาลเดินตรงเข้ามาให้ให้ผมต้องรีบใช้หลังมือเช็ดน้ำตาออกอย่างลวกๆ


“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เมื่อพี่บอยกำลังมองหน้าผมสลับกับพี่แดนไปมา


“หวัดดีครับ” เขายิ้มก่อนจะทักทายกลับมาบ้างก่อนจะหันไปถามพี่แดนที่ยืนอยู่ข้างๆ ดวงตาพี่บอยยังคงเปล่งประกายวิบวับเหมือนอย่างเคย เพียงแต่ไม่ได้พูดเล่นหัวกับผมเหมือนก่อน


“นี่ใช่น้องป่ะ?” มันคงหมายถึงผม แต่ไม่รู้ในความหมายไหน เพราะอยู่ๆพี่แดนก็หลบสายตาไปก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแกนๆแบบติดรำคาญเล็กๆ


“เออ”


“น่ารักเหี้ย” น้ำเสียงทะเล้นที่ดังขึ้นไม่ดังนักเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนพูดที่ตอนนี้ทำตัวงอเบาๆเพราะโดนถองด้วยศอกโดยคนที่ยืนทำหน้าเบื่อใส่ก่อนจะหันมาส่งยิ้มเล็กๆให้ผม


“อย่าไปสนใจมัน”


“สนได้แค่มึงงี้เหรอไอ้แดน มึงมันไอ้ตัวร้าย แปบนะมึงแปบนะ” คนจีบปากจีบคอพูดยกมือขึ้นชี้หน้าพี่แดนก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่ส่งเสียงร้องอยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นรับสาย


“เออ เจอแล้ว มึงไปนั่งหาโค้กเย็นๆแดกก่อนเลย เออ กูจัดการเพื่อนมึงแปบ ไอ้สัดหาแมวเจอเป็นครึ่งชั่วโมงละเสือกซุ่ม เออ แค่นี้”


“ไร้สาระ” คนพูดส่ายหน้าเบาๆก่อนจะหันกลับมาสนใจผมอีกครั้ง ผมก็ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกตอนนี้ยังไง มันกระอักกระอ่วนจนไม่รู้จะพูดอะไรหรือทำอะไรจนได้ก้มลงมองเจ้าก้อนกลมที่พี่เขาอุ้มเอาไว้ ถึงได้พูดถามออกไป


“พี่..จะพาคอตตอนไปไหนเหรอ...ครับ”


แต่มันกลับทำให้กระอักกระอ่วนกว่าเดิมไปซะแบบนั้น เมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าขมวดคิ้วรวมถึงพี่บอยที่ทำตาโตแล้วมองหน้าผมสลับกับพี่แดนไปมาก่อนจะอุทานประหลาดๆ


“นั่นแน่ะ”


“ไม่ คือ ผมได้ยิน พี่เรียกน้องเมื่อกี้ไง อืม ใช่ไหมคอตตอน” ผมยิ้มเจื่อนก่อนจะรัวคำแก้ตัวออกไป พร้อมกับยกมือชื้นเหงื่อขึ้นลูบหัวกลมๆสีเทาไปมาเบาๆ


“เมี๊ยว” และก็ไม่ผิดหวังเมื่อเจ้าก้อนกลมมันก็รับมุกผมด้วย เลยอดไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยปากชมคุณเขาซักหน่อย


“good boy”


แต่อยู่ๆสัมผัสอุ่นๆจากฝ่ามือที่วางลงบนหัวก็ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะสะดุดเข้ากับรอยยิ้มที่หยักโค้งขึ้นจากมุมปากของคนตรงหน้า ดวงตาคมที่ทอดมองลงมามันสะท้อนแววตาอบอุ่นแบบที่คุ้นเคยจนหัวใจผมเต้นแรงจนเจ็บหน้าอกไปหมด


“พี่จะพาคอตตอนไปฉีดวัคซีนครับ พอดีเจ้าตัวดื้อมันหนีวิ่งมาหาน้องตังซะก่อน”


“โอ้โห้ ฟุ้งมาก”


รีแอคชั่นจากประโยคนั้นทำให้เราผละออกจากกันอย่างอัตโนมัติอีกครั้ง


“เอ่อ…” ผมเม้มปากเบาๆก่อนที่อีกคนจะยกมืออีกข้าที่ว่างเกาท้ายทอยแก้เก้อ


“คือ..”


“เอางี้ดีกว่า” คนที่ยังถือกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยงสีน้ำตาลเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนจะดึงเจ้าก้อนกลมออกจากอ้อมแขนของพี่แดนไปจัดแจงใส่กระเป๋าแล้วยัดใส่ฝ่ามือกว้างของพี่แดน แล้วหันมาพูดกับผม


“น้องครับ”


“คะ ครับ”


“พอดีพี่นึกได้ว่ามีธุระกระทันหัน จริงๆนึกออกเมื่อกี้นี้แหละ ฝากน้องพาเพื่อนพี่ไปส่งที่โรงพยาบาลสัตว์หน้ามอหน่อยได้ไหมอ่ะครับ คือรถมันเสียเข้าอู่อยู่อ่ะครับ” รัวมาเป็นชุดแบบไม่หยุดหายใจก่อนจะฉีกยิ้มกว้างจนผมอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ พี่บอยนี่มันพี่บอยจริงๆสิน่า


“ได้ครับ” ผมตอบรับก่อนที่พี่บอยจะชูนิ้วโป้งให้แล้วหันไปตบไหล่เพื่อนสองสามทีแล้ววิ่งออกไปจนพี่แดนตะโกนไล่หลังซะเสียงดัง


“ไอ้ห่าบอย!”


“คือ เพื่อนพี่มันล้อเล่นน่ะ พี่ไปก่อนนะ”


“แต่ผมอยากพาไปครับ” ไวเท่าความคิดเมื่อมือผมเอื้อมไปดึงชายเสื้อของพี่เขาได้ทันแล้วเอ่ยออกไปทันที พี่แดนดูงงๆนิดหน่อยแต่ก็ยังยิ้มส่งกลับมาเป็นคำตอบ


“ถ้าไม่ว่าอะไรพี่ขับให้ไหม?” พี่เขาพูดขึ้นมาในตอนที่ผมกำลังเปิดประตูฝั่งคนขับค้างเอาไว้ ผมพยักหน้าแทบจะทันทีกก่อนจะรับกระเป๋าใส่เจ้าก้อนกลมมาถือไว้แล้วเดินอ้อมไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งแทน ยอมรับว่าทั้งตื่นเต้นและประหม่ากว่าครั้งไหนๆ แต่ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้รถมันติดจนไม่ต้องขยับเลยก็ยิ่งดี


ความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามาทำให้ผมต้องแอบหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับ แต่ใครจะไปคิดว่าพี่แดนก็กำลังมองมาที่ผม พอสบตากันมันก็อดไม่ได้ที่ต้องหัวเราะแก้เขินด้วยกันทั้งคู่ การที่ผมได้มีโอกาสได้อยู่ใกล้ๆพี่แดนอีกครั้ง แม้เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันแต่บรรยากาศในตอนนี้มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีเป็นบ้า


เพลงจากเพลย์ลิสต์ใหม่ที่ผมใส่เอาไว้ดังคลอเบาๆอยู่ในตอนนี้ที่เราสองคนต่างคนต่างเงียบ พี่แดนดูค่อนข้างจะผ่อนคลายเมื่อเพลงทุกเพลงที่ผมเปิดในตอนนี้เป็นเพลย์ลิสต์ที่ผมเลียนแบบมาจากเขาเอง ผมจะบอกให้ว่าพี่แดนน่ะแฟนตัวยงของ ed sheeran เลยแหละ


ปลายนิ้วชี้เรียวยาวเคาะตามจังหวะเพลงเบาๆเมื่อตอนที่รถติดไฟแดง เสียงฮัมเพลงเบาๆในลำคอก็ทำให้ผมต้องเผลอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ก่อนที่จะร้องคลอเบาๆในท่อนสุดท้ายแบบไม่ดังนัก


When I'm away, I will remember how you kissed me
Under the lamppost back on Sixth street
Hearing you whisper through the phone,
"Wait for me to come home"


แต่ผมก็มั่นใจว่าพี่แดนต้องได้ยินมันแน่นอน



ไม่นานอย่างที่ใจหวังพี่แดนก็หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าที่จอดรถของโรพยาบาลสัตว์ ผมเปิดประตูรถกก่อนที่จะเดินหิ้วกระเป๋าใส่เจ้าคอตตอนเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า พี่แดนที่เดินตามมาส่งมือมารับกระเป๋าไปถือเอาไว้เองก่อนจะเดินนำผมเข้าไปด้านใน ผมจะคิดไปเองว่าพี่เขายังอยากให้ผมอยู่เป็นเพื่อนด้วยเหมือนเมื่อก่อนที่เคยทำได้ใช่ไหม? ก็เพราะถึงตอนนี้พี่แดนก็ยังไม่ยอมส่งกุญแจรถคืนผมเลย หรือบางทีพี่เขาอาจจะลืม แต่ก็ช่างเถอะผมไม่คิดจะร้องท้วงอยู่แล้ว


ที่นั่งรอตรงโซฟาไม่กว้างพอที่จะนั่งข้างกันได้ผมจึงทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม และกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยงที่วางหันหน้ามาทางผมทำให้เห็นเจ้าก้อนกลมทำหน้าไม่พอใจได้อย่างชัดเจนจนผมอดไม่ได้ที่จะหยิบมือถือออกเปิดอินสตาแกรมแล้วกดถ่ายมันเอาไว้


“ผมลงสตอรี่ได้ไหม?” ผมเอ่ยถามออกไปเมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามันไม่ได้เป็นเหมือนก่อน แต่คนที่นั่งตรงข้ามก็พยักหน้า


“ได้ครับ อ่าว...ถ่ายติดพี่ด้วยเหรอ?” พี่แดนถามเมื่อผมหันหน้าจอไปให้ดู พี่แดนเอื้อมมือมาหยิบโทรศัพท์ออกจากมือผมแล้วเงียบไปซักพักจนผมเกือบใจฝ่อ แต่สุดท้ายพี่เขาก็กดพิมพ์อะไรบางอย่างก่อนจะส่งคืนมาให้


ผมก้มลงมองชื่อที่ถูกกดแท๊กเข้ามาในคลิปก่อนจะต้องเม้มปากกลั้นยิ้มจนเกือบจะกลั้นไม่อยู่เมื่อได้ยินประโยคที่พี่แดนพูดออกมาแบบไม่ดังเท่าไหร่นักก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นหิ้วกระเป๋าใส่เจ้าก้อนกลมเดินตรงเข้าไปที่ห้องตรวจตามคิว


“ถ้าอยากเห็นคอตตอนบ่อยๆก็ฟอลมานะ”




“ขอโทษทีที่ทำให้เสียเวลา” พี่แดนบอกก่อนจะล้วงกุญแจรถผมออกมาจากกระเป๋ากางเกงเมื่อนึกได้ว่าลืมคืนตั้งแต่ตอนที่มาถึงจนตอนนี้เจ้าก้อนกลมผมโดนเข็มจิ้มไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมส่ายหน้าก่อนจะรับกระเป๋าใส่เจ้าก้อนกลมมาถือไว้แทนที่จะรับกุญแจรถตัวเอง


“รถติดแบบนี้แท๊กซี่มันหายากนะครับ” พูดจบก็หมุนตัวเดินนำออกไปก่อนบ้าง ก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมทำตัวมึนได้ขนาดนี้เหมือนกันนะ คิดแล้วก็อายเหมือนกันแหละ


แต่ยังไม่ทันได้ผลักประตูออกไป คนที่เดินสวนเข้ามาก็เดินตรงมาหยุดอยู่ข้างหน้าผมพลางเอียงคอสงสัยก่อนจะหันไปคุยกับคนที่เดินตามผมมาด้านหลังแทน


“แดนอยู่ที่นี่จริงๆด้วย”


“บอยบอกแก้วเหรอครับ”


“เปล่าหรอกค่ะ แก้วจำได้ว่าวันนี้คอตตอนต้องมาฉีดวัคซีนที่นี่ต่างหาก ไลน์ถามแดนแล้วด้วย แต่แดนไม่ตอบแก้วก็เลยลองแวะมาดูค่ะ” น้ำเสียงหวานฟังดูแล้วเจือความงอนนิดหน่อย ใบหน้าสวยยู่น้อยๆแบบไม่ได้น่าเกลียด และผมสีดำเข้มที่ตัดกับผิวขาวยิ่งทำให้กรอบหน้าดูชัด และมันก็ทำให้ผมนึกออกว่าเคยเห็นเธอในไอจีของพี่แดนมาก่อนหน้านี้แล้ว


“แล้วนี่…” ใบหน้าสวยหันมามองที่ผมก่อนจะเอ่ยเสียงออกมา


“น้องชื่อตัง เป็นรุ่นน้องแดนเอง แล้วนี่...” พี่แดนตอบ และก่อนที่พี่เขาจะแนะนำอีกคนให้ผมรู้จักบ้าง น้ำเสียงหวานๆก็เอ่ยแทรกขึ้นมาซะก่อน


“พี่ชื่อแก้วค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”





TBC


ขอโทษที่ไม่ได้เอามาลงต่อนานเลยค่ะ
วันนี้จะลงให้ทันตอนปัจจุบันคือตอนที่ 30 เลยค่ะ







หัวข้อ: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่.. EP26 - Maybe it's worth to try : )
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 09-09-2020 15:58:15
EP26 - Maybe it's worth to try : )
Part ดินแดน






“พี่แดน…”


“ผมรักพี่นะ”


“พี่แดน ได้ยินไหม?”


“ตังรักพี่แดนนะ”


“พี่แดน…”



เสียงเรียกนั้นค่อยๆไกลออกไปสวนทางกับสติสัมปชัญญะของผมที่กำลังกลับคืนมาเมื่อเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นจากความฝัน


ความฝัน….อีกแล้วเหรอวะ ?


ผมลืมตาขึ้นก่อนจะขยับตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงเหมือนทุกวัน เจ้าคอตตอนที่พักหลังๆผมมักจะเห็นว่าไปนั่งอยู่ข้างประตูระเบียงทุกครั้งที่ผมตื่นกระโดดขึ้นมานั่งข้างๆก่อนจะร้องทักทายเสียงดังจนผมต้องอุ้มมานอนบนตัก


“เดี๋ยวนี้ตื่นก่อนทุกวันเลยนะ” ผมหอมหัวกลมๆของมันเบาๆก่อนจะอุ้มมันขึ้นมาเสมอใบหน้าเพื่อจ้องดวงตาสีเหลืองแวววาวนั่น และมันก็ไม่มีคำตอบให้เหมือนเคย


แต่ก็นั่นแหละ ตั้งแต่ผมเริ่มฝันแปลกๆเมื่อสองเดือนก่อน มันเหมือนกับบรรยากาศรอบๆตัวผมเปลี่ยนไปอย่างบอกไม่ถูก บางครั้งมันก็เหมือนกับว่าผมกำลังใช้ชีวิตอยู่กับใครซักคนในห้องนี้ จนบางทีก็เผลอเรียกชื่อใครบางคนออกไป


แต่พอรู้สึกตัว…มันก็เป็นแค่การที่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันแค่นั้นเอง


‘ตัง’  นี่คือชื่อของคนที่ผมฝันถึงมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา และที่คาดไม่ถึงคือคนๆนั้นมีตัวตนจริงๆ และเขาก็ไม่ได้อยู่ไกลจากผมเลย


ผมเคยเจอเขาตอนรับน้องใหญ่ของคณะ จำได้ว่าตอนนั้นผมลงโทษเขาด้วยนะ ผมสั่งให้เขาวิ่งรอบสนามสิบรอบ แต่พอเอาเข้าจริงเห็นแล้วก็สงสาร ตัวก็เล็กแบบนั้น วิ่งไปก็หยุดหอบไป อดไม่ได้เลยเอาน้ำกับอมยิ้มคาราเมลหวานๆไปวางไว้ให้ข้างๆกระเป๋า


ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องเขาได้หยิบมันไปหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆเขาไม่มีทางรู้หรอกว่าเป็นผมที่เอาไปวางเอาไว้ เพราะถ้ารู้...เขาคงไม่มีทางที่จะหยิบมันไปแน่ๆ


หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยได้คุยอะไรกันอีก ผมไม่แน่ใจว่าน้องจะจำผมได้ไหม แต่ผมจำน้องเขาได้นะ แล้วก็จำได้ว่าน้องเขาเป็นแฟนกับรุ่นน้องในเอกของผมด้วย… และก็ไม่รู้ทำไมที่ผมรู้สึกไม่ค่อยจะพอใจกับมันเลยซักนิดโดยเฉพาะในตอนนี้ที่ผมฝันถึงเขาแทบทุกครั้งที่หลับตานอนแบบนี้


นั่นก็เพราะในความฝันนั้น…
น้องเขาเป็นของผม


ทุกอย่างมันเหมือนความจริงมาก มากเสียจนผมโคตรหงุดหงิดที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยเมื่อต้องเจอเขา ต้องคอยแอบหลบตาทุกครั้งที่ต้องเดินสวนกัน มันรู้สึกบ้ามากกับการที่เรามีความรู้สึกบางอย่างลึกๆข้างในกับใครซักคนทั้งๆที่แทบจะไม่เคยแม้กระทั่งจะคุยกันมาก่อน


และครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้เข้าใกล้และสัมผัสตัวน้องมันก็เป็นเรื่องที่ทำให้ผมตกใจจนแทบบ้า แต่ก็คิดว่าเป็นโชคดีแค่ไหนที่ผมตัดสินใจขับรถตามน้องออกมา หลังจากบังเอิญเห็นน้องที่ร้านเหล้าร้านหนึ่งไม่ไกลจากมหาลัย


รถน้องเกิดอุบัติเหตุ และผมก็แทบจะเสียสติตอนที่เห็นว่ามีเลือดไหลลงมาเต็มแก้มขาวๆของเขา


“ตัง” ผมเรียกชื่อเขาพลางลูบข้างแก้มขาวที่เปื้อนเลือดเบาๆว่ายังมีสติรับรู้อยู่หรือเปล่า


“ตัง ได้ยินพี่ไหม?” ดวงตาสวยฝืนปรือขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้ผมต้องใช้แขนเสื้อตัวเองซับเลือดที่กำลังจะไหลเข้าไปในดวงตานั่น


“หลับตาไว้นะ” และดวงตาสวยที่ปิดลงทำให้ผมรับรู้ได้ว่าน้องยังคงมีสติอยู่


“ไม่ต้องกลัว เจ้าหน้าที่กำลังมาแล้ว” ผมปลอบน้องไปแบบนั้นทั้งๆที่มือของตัวเองก็กำลังสั่นไม่น้อย ร่างบอบบางที่กำลังบาดเจ็บตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกปวดแปลบในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และถึงอยากจะดึงน้องเข้ามากอดปลอบแค่ไหนก็ต้องห้ามตัวเองเอาไว้เมื่อเราไม่ควรขยับหรือเคลื่อนย้ายร่างกายคนเจ็บจนกว่าเจ้าหน้าที่จะมาถึงจุดเกิดเหตุ


ใบหน้าขาวซีดลงตัดกับสีแดงของเลือดที่ผมพยายามจะหยุดมันไม่ให้ไหลลงมา ฝ่ามือเล็กที่เริ่มเย็นถูกส่งขึ้นมาจับมือผมไว้ก่อนที่ริมฝีปากบางจะพยายามพูดอะไรซักอย่าง


“ขอโทษ…”


“ครับ ?”


“พี่แดน...ตังขอโทษ..” เป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่คนพูดจะนิ่งไปเพราะหมดสติ คำถามมากมายวิ่งเข้ามาในสมองของผมตามด้วยความรู้สึกมากมายที่ถ่วมท้นเข้ามาจนผมแทบจะตั้งสติรับมันไม่ไหว สิ่งที่น้องพูดออกมาคืออะไร มันหมายความว่ายังไง


“พี่แดน” ที่น้องพูดถึงมันคือผมใช่หรือเปล่า ?


แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าเป็นผม ?


และที่สำคัญ คำพูดนี้มันเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความฝัน เพียงแต่ว่าคนที่นอนหมดสติด้วยร่างกายที่เปื้อนเลือดในเหตุการณ์ในฝันนั้นมันเป็น….ตัวผมเอง


จิตใจผมกลับมาสงบอีกครั้งเมื่อมาถึงโรงพยาบาลและหมอบอกว่าอาการของน้องไม่ได้ถึงขั้นสาหัส ผมมองไอโฟนสีดำที่อยู่ในมือตัวเองอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจกดเปิดหน้าจอขึ้นมาอีกครั้ง มันคือโทรศัพท์ของน้องซึ่งยังคงถูกล็อคเอาไว้เหมือนครั้งแรกที่ผมกดเปิดมันเมื่อต้องการจะติดต่อกับเพื่อนสนิทหรือครอบครัวของเขา


หัวใจผมเริ่มเต้นแรงขึ้นเมื่อกำลังกดตัวเลขที่ปรากฎขึ้นในสมอง ตัวเลขที่เป็นรหัสปลดล็อคโทรศัพท์ของ “ตัง” คนที่อยู่ในความฝัน นิ้วมือที่ชื้นเหงื่อสั่นจนผมรู้สึกได้เมื่อกดตัวเลขตัวสุดท้ายและหน้าโฮมก็ปรากฏขึ้นมาทันที


เพราะมันคือรหัสเดียวกันจริงๆ


ผมสติแตก หัวใจมันเต้นแรงจนเป็นเสียงเดียวที่ได้ยินอยู่ในหัว มือไม้ที่สั่นกำลังเกะกะไปหมดเมื่อไม่รู้จะเอามันวางไว้ที่ไหน


“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ” ผมสบถก่อนจะยกมือขึ้นเสยผมตัวเองแรงๆ แต่อยู่ๆไอโฟนในมือที่เริ่มสั่นก่อนจะได้ยินเสียงริงโทนเรียกเข้าก็ทำให้ผมต้องยุติทุกความรู้สึกเอาไว้แล้วรีบกดรับสาย เป็นคนชื่อปอที่โทรเข้ามา และผมก็จำได้อีกว่าคนๆนี้เป็นเพื่อนสนิทกับน้องที่ผมมักจะฝันเห็นในหลายๆเหตุการณ์ในฝัน


ผมรีบแจ้งข่าวกับปลายสายก่อนที่อีกฝ่ายจะกล่าวขอบคุณและบอกกับผมว่าจะรีบมาแล้วตัดสายทันที


ผมกลับไปเยี่ยมน้องอีกครั้งในวันถัดมา เราไม่มีโอกาสได้คุยอะไรกันเพราะน้องยังคงนอนไม่ได้สติ ใบหน้าขาวดูซีดกว่าเดิมจนเห็นได้ชัด ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย


"ม๊าขอบคุณนะลูกที่ช่วยน้องเอาไว้ ถ้าน้องตังเป็นอะไรไปม๊ากับป๊าก็ไม่รู้จะอยู่ยังไง" แม่ของน้องเดินเข้ามาจับมือผมทันทีที่สองฝาแฝดแนะนำว่าผมเป็นคนเจอน้องตอนเกิดอุบัติเหตุแล้วยังช่วยเป็นธุระให้ด้วย


"น้องจะต้องไม่เป็นอะไรครับ เดี๋ยวก็คงฟื้นแล้ว"


ถึงผมจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในวันถัดมาน้องก็ยังคงไม่ฟื้นอยู่ดี


ผมไม่ได้กลับไปเยี่ยมน้องอีกเลยตั้งแต่วันนั้นเพราะต้องรีบกลับมาที่เชียงใหม่แล้วก็ยังไม่มีโอกาสปลีกตัวกลับกรุงเทพได้เลยซักที แต่ก็ต้องขอบคุณไอ้วินที่มันโทรมาในวันถัดมาว่าน้องอาการดีขึ้นและฟื้นแล้วหลังจากที่นอนไม่ได้สติอยู่สามวันเต็ม


"มึงจะลงมาเยี่ยมน้องเมื่อไหร่ ?" เป็นคำถามที่มันถามผมตอนนั้น


"ต้องไปเยี่ยมเหรอวะ"


"อย่าทำมาเป็น มึงโทรถามอาการน้องกับกูวันละสามเวลาหลังอาหาร จนกูคิดว่าตัวเองเป็นหมอเจ้าของเคสน้องเขาแล้วป้ะ"


"กูก็แค่อยากแน่ใจว่าน้องเขาจะปลอดภัย"


"อ่ะเหรอ….งั้นมึงก็รีบมาดูเองให้เห็นกับตาเลยพ่อ" มันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆก่อนจะตัดสายไป


และไฟล์ทสุดท้ายของวันนั้นก็พาผมกลับมาถึงกรุงเทพจนได้



ผมมองช่อดอกทานตะวันสีเหลืองสดใสที่ถือไว้ในมือก่อนจะสูดหายใจแรงๆเพื่อระบายความประหม่าก่อนจะผลักประตูห้องผู้ป่วยพิเศษเข้าไปเป็นคนสุดท้ายเมื่อทุกคนเข้าไปกันได้ซักพัก


ใบหน้าขาวของคนป่วยที่นั่งอยู่บนเตียงเรียกให้ผมก้าวตรงเข้าไปหาโดยไม่ได้สนใจคนอื่นๆที่ยืนรอบข้างเขาเลยด้วยซ้ำ


ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นในขณะที่ฝ่ามือเล็กก็ยื่นออกมารับช่อดอกไม้จากมือของผมเข้าไปถือเอาไว้ และฝ่ามือบางๆนั้นก็กำลังสั่นจนผมเองก็รู้สึกได้


"แผลดูดีกว่าวันแรกเยอะเลยนะ" ถึงจะเอ่ยทักออกไป คนถูกทักก็ยังเงียบไม่มีคำตอบ ดวงตาสวยที่ยังคงจ้องมองผมเริ่มมีน้ำตาไหลออกมาคลอหน่วยโดยที่เจ้าตัวก็คงยังไม่ทันได้สังเกตุ ความรู้สึกโหยหาที่สัมผัสได้จากความรู้สึกและแววตานั้นทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปแตะเบาๆบนผ้าก๊อซที่ถูกติดไว้บนหน้าผากเนียน


“ดีแล้วที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก”


ผมยิ้มให้กับดวงตากลมสวยของคนเจ็บที่ช้อนมองขึ้นมา ใบหน้าขาวๆที่ถึงจะมีแววหม่นหมองไม่สดใสเหมือนในภาพความฝัน แต่ผมก็ยังอยากมองหน้าเขาอยู่ดี แต่แล้วเสียงเรียกที่ดังขึ้นจากข้างหลังก็ทำให้ผมต้องตื่นจากภวังค์ความคิดแล้วรีบชักมือกลับมา


"พี่แดนคะ น้ำค่ะ"


นี่มันไม่ใช่ความฝันของมึงไอ้แดน ผมบอกกับตัวเอง และที่สำคัญ ตัวจริงของเขาก็กำลังส่งแก้วน้ำมาให้มึงกินอยู่นี่!


ผมก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อเว้นระยะ อยู่ๆก็รู้สึกว่าทำตัวไม่ถูกอีกแล้ว ความไม่เข้าใจหลายๆอย่างมันประดังประเดเข้ามาในหัวจนมั่วไปหมด เบลอจนไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าในห้องเขาพูดเรื่องอะไรกัน จนได้ยินน้องเรียกชื่อตัวเองอีกครั้งนั่นแหละถึงได้รู้สึกตัว


“พี่แดน...ตัง ขอโทษ..”


อยู่ๆน้องก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกับพร่ำคำขอโทษออกมาไม่ขาด แรงสะอื้นจนตัวโยนนั้นทำให้ผมละความคิดทุกอย่างแล้วรวบตัวน้องเข้ามากอดทันทีโดยไม่สนใจอะไรอีก ความรู้สึกคุ้นเคยทำให้ผมต้องกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นโดยที่น้องเองก็กอดผมตอบเช่นกัน


“ขอโทษ..”


ผมก็ไม่รู้ว่าที่น้องพูดหมายความว่าอะไร แต่ไม่ว่ามันจะหมายความถึงอะไร ผมก็ไม่ได้กังขาอะไรกับคำขอโทษนั้นเลย ไม่เลยซักนิดเดียว


“ตัง ขอโทษ”


ผมลูบแผ่นหลังบางขึ้นลงเบาๆเพื่อให้คนที่กำลังสะอื้นรู้สึกผ่อนคลายก่อนจะกระซิบเบาๆที่ข้างหูเพื่อให้เราได้ยินกันเพียงแค่สองคน


“ครับพี่รู้”





เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเรียกผมให้ตื่นจากภวังค์ แล้วก็เป็นไอ้บอยที่โทรมาเหมือนเคย


“เออ แปบ” ผมกรอกเสียงลงไปก่อนจะลุกไปเปิดประตูให้มันเข้ามาในห้อง


“ยังไม่อาบน้ำอีกเหรอพ่อ?” มันถามพลางทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาและก็ไม่ลืมที่จะหยิบรีโมทย์ขึ้นมากดเปิดทีวีไปด้วย


“มึงรีบเหรอ” ผมบอกก่อนจะส่ายหัวเดินเข้าไปในส่วนของห้องนอนเพื่อหยิบผ้าขนหนูเตรียมตัวเข้าไปอาบน้ำ


จริงๆวันนี้ผมไม่มีคลาสเรียน แต่ต้องพาคอตตอนไปฉีดวัคซีนที่คลีนิกแถวๆมหาลัยแล้วผมก็ไม่มีรถเพราะเพิ่งเอาเข้าอู่ไปเมื่อวาน และไอ้บอยก็มีนัดคุยงานกับมิสธันยาพอดีผมเลยให้มันมารับด้วย


อาบน้ำแต่งตัวเสร็จออกมาก็เห็นลูกชายตัวเองมานั่งคอตั้งดูซีรี่ย์ใน Netflix เป็นเพื่อนไอ้บอยแล้ว


“คอตตอน come on”


เรียกไปได้ซักพักเจ้าตัวกลมก็เดินทำหน้ามู่ทู่มาหา ตาสีเหลืองวาวฉายแววไม่พอใจเมื่อเห็นกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยงในมือผมถูกรูดซิปลงแต่ก็ยอมนั่งเฉยให้ผมอุ้มเข้ากระเป๋าโดยไม่ขัดขืน


บรรยากาศในมหาลัยช่วงนี้จะคึกคักกว่าเดิมหน่อยเพราะใกล้จะสอบไฟนอลแล้ว ส่วนตัวผมแทบจะไม่ต้องซีเรียสอะไรเพราะเทอมสุดท้ายนี้เรียนแค่สามรายวิชาเท่านั้น ส่วนจะซีเรียสน่ะก็คงเป็นเรื่องโปรเจครีสอร์ทใหม่ที่พ่อส่งต่อให้ผมตอนนี้มากกว่า


"เมี๊ยว"


ได้ยินเสียงประท้วงดังขึ้นจากกระเป๋าทำให้ต้องก้มหน้าลงไปดู เจ้าลูกชายทำตาขวางก่อนจะร้องประท้วงเสียงดังอีกครั้งผมถึงได้เปิดกระเป๋าแล้วพามาวางไว้บนตัก วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน เลยดูเหมือนเจ้าตัวดื้อจะหงุดหงิดง่ายกว่าปกตินิดหน่อย


"ลูกมึงจะข่วนหน้ากูไหมวะ?" ไอ้เต๋าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมันร้องถาม คู่นี้เขาไม่ค่อยจะถูกกันเท่าไหร่ คนอะไรไม่รู้กลัวแมว


"มึงโทรตามไอ้บอยดิ่ว่าเสร็จยัง?" พูดไม่ทันจบดีก็เห็นตัวสูงๆของมันเดินมาแต่ไกล แต่ยังไม่ทันได้พูดพร่ำทำเพลงอะไรไอ้ตัวดื้อก็หนีออกจากตักผมวิ่งหายไปซะเฉยๆ เห็นอ้วนๆแบบนั้นวิ่งเร็วอย่าบอกใครเชียวล่ะ


"คอตตอน"


ผมเรียกก่อนจะวิ่งตาม เอาจริงๆนะปกติไอ้ลูกชายผมมันก็ไม่เคยทำตัวเกเรแบบนี้เลย วันนี้เป็นอะไรของมันขึ้นมาล่ะเนี่ย


"คอตตอน stop!"


วิ่งเลาะมาเรื่อยๆจนถึงที่จอดรถตรงหลังตึกคณะ และภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ผมชะลอฝีเท้าลงแล้วเปลี่ยนเป็นหยุดยืนมองแทน

จากมุมนี้เขาคงไม่ทันสังเกตุเห็นผมหรอก


จะว่าแปลกใจกับภาพที่เห็นแต่ความรู้สึกของผมมันกลับรู้สึกคุ้นชิน และผมก็กำลังลุ้นว่าสิ่งที่ตัวเองคาดหวังจะเกิดขึ้นหรือเปล่า


ถ้ามันเกิดขึ้นจริง....


แล้วผมก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อเห็นคนตัวบางรวบเจ้าตัวดื้อขึ้นมากอดแล้วฝังจมูกลงบนหัวสีเทากลมๆนั่น คอตตอนไม่ได้ขัดขืนอะไรเลย แถมดูแล้วเจ้าตัวจะพอใจกับอ้อมกอดเล็กๆนั่นด้วย


ผมรู้สึกว่ามันบ้ามากกับสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดอยู่ในหัว แต่ผมก็เลือกที่จะลองทำมันดู ผมสาวเท้าเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าน้อง เขาทำหน้าตกใจ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดคือน้องไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยจนผมต้องเป็นฝ่ายออกปากทักทายเขาก่อน


แล้วเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเพราะมันก็เป็นอีกครั้งที่น้องเจอหน้าผมแล้วก็เริ่มร้องไห้ออกมาอีกแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ผมไม่อยากให้เขาเป็นแบบนี้เลย


เรายืนอยู่ตรงนั้นด้วยกันพักใหญ่ ทั้งๆที่ผมก็ไม่เข้าใจความรู้สึกในตอนนี้เหมือนกัน มันรู้แค่ว่าผมไม่อยากละสายตาไปจากเขา ไม่อยากให้เขาต้องร้องไห้เลยได้แต่ลูบกลุ่มผมลื่นมือนั้นเบาๆแล้วบอกน้องว่าไม่เป็นอะไรแล้วนะ แล้วก็เป็นโชคดีอีกอย่างที่เจ้าคอตตอนก็ไม่งอแงและทำตัวดีพอที่จะอยู่นิ่งๆให้ผมอุ้มด้วยแขนข้างเดียวอยู่แบบนั้น


"เจอแล้วก็ไม่บอกนะไอ้ห่า ให้กูหาซะหอบ" เสียงของไอ้บอยที่ดังขึ้นจากข้างหลังทำให้คนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างหน้าผงะ ก่อนจะใช้หลังมือปาดน้ำตาออกจกแก้มขาวของตัวเองลวกๆ แล้วส่งยิ้มให้กับคนที่เข้ามาใหม่


"สวัสดีครับ"


แล้วไอ้บอยก็ทำท่าจับผิดผมเหมือนเคย เพราะหลายครั้งที่ผมแอบมองน้อง...มันก็มักจะจับได้ตลอด


"ก็เข้าไปจีบเลยดิ่วะ" มันเคยพูดประโยคนี้กับผม


ยอมรับว่าผมเคยจะทำตามที่มันบอกจริงๆ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายไม่ใช่เหรอวะที่จะเดินเข้าไปจีบใครซักคนที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน และที่สำคัญคือ เขามีแฟนอยู่แล้ว


ผมสลัดคำพูดมันออกจากหัวก่อนจะโต้ตอบความไร้สาระของมัน ดวงตากลมมองผมกับไอ้บอยสลับกันไปมาก่อนที่ริมฝีปากบางที่ถูกเจ้าตัวเม้มเอาไว้เหมือนกำลังใช้ความคิดจะคลี่ออกแล้วเอ่ยคำพูดออกมาแบบไม่ดังเท่าไหร่ แต่มันก็ทำให้ลมหายใจผมสะดุดอีกครั้ง


"พี่..จะพาคอตตอนไปไหนเหรอ...ครับ"


"ไม่ คือ ผมได้ยิน พี่เรียกน้องเมื่อกี้ไง" คนตรงหน้าผมรัวคำแก้ตัวออกมาอย่างลนลานทั้งๆที่ยังไม่มีใครเอ่ยถามอะไรเลยด้วยซ้ำ


"อืม ใช่ไหม คอตตอน"  ฝ่ามือบางถูกยกขึ้นมาลูบบนหัวเจ้าตัวดื้อเบาๆพลางขอความคิดเห็น แถมไอ้ลูกชายผมมันก็รับมุกซะด้วยสิ

และท่าทางของน้องที่มีต่อเจ้าดื้อของผมก็ทำให้ผมตัดสินใจจะพิสูจน์สิ่งที่ตัวเองค้างคาใจมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา


"ถ้าไม่ว่าอะไรพี่ขับให้ไหม?" ผมเอ่ยออกไปเมื่อน้องตกลงจะเป็นคนไปส่งผมที่คลีนิก แล้วน้องก็ตกลงทันที ซึ่งอะไรที่ทำให้น้องไว้ใจผมได้ขนาดนั้นวะ


เพลย์ลิสต์เพลงที่กำลังเล่นให้ได้ฟังอยู่ตอนนี้ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ไม่ยากเมื่อทุกเพลงที่ได้ฟังมันเป็นเพลงโปรดของผมทั้งนั้น


"ed sheeran อีกละ" คำพูดที่เคยได้ยินจากในความฝันทำให้ผมต้องแอบหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน ก่อนที่เจ้าตัวจะหันมาสบตาผมแล้วก็ต้องหัวเราะกลบเกลื่นความเขินไปด้วยกันทั้งคู่


เรามาถึงคลีนิกในไม่กี่อึดใจ และผมก็เลือกที่จะเก็บกุญแจรถน้องใส่กระเป๋ากางเกงไว้โดยไม่คืนให้เจ้าตัวอย่างที่ควรจะทำ แต่น้องก็ไม่ได้ท้วงอะไร ตรงกันข้าม เขาดูสนุกกับการที่ได้เล่นกับเจ้าคอตตอนอยู่เรื่อยๆแบบนี้ซะด้วยซ้ำ


"ผมลงสตอรี่ได้ไหม?" ใบหน้าน่ารักเงยขึ้นมาถามพร้อมกับหันจอไอโฟนมาให้ดูคลิปที่เจ้าตัวถ่ายเอาไว้ซึ่งถ่ายติดผมด้วย และก็ถ้าเป็นอย่างนั้น....


"ถ้าอยากเห็นคอตตอนบ่อยๆ ก็ฟอลมานะ"


มันก็ควรต้องมีชื่อผมแท๊กอยู่ด้วยสิ จริงไหม ?


การฉีดวัคซีนของเจ้าดื้อผ่านไปอย่างไม่มีปัญหาและไม่ได้ใช้เวลามากนัก แต่ก่อนที่ผมกับน้องจะได้กลับบ้าน แก้วก็ผลักประตูเข้ามาซะก่อน


"แดนอยู่ที่นี่จริงๆด้วย" เธอร้องทักเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าน้องและผม


"บอยบอกแก้วเหรอครับ" ผมถาม ทั้งๆที่ก็คิดว่าคงจะไม่ใช่


"เปล่าหรอกค่ะ แก้วจำได้ว่าวันนี้คอตตอนต้องมาฉีดวัคซีนที่นี่ต่างหาก ไลน์ถามแดนแล้วด้วย แต่แดนไม่ตอบแก้วก็เลยลองแวะมาดูค่ะ" เธออธิบาย ก่อนจะหันไปสนใจคนที่ยืนเงียบอยู่ข้างหน้าผม


"แล้วนี่…"


“น้องชื่อตัง เป็นรุ่นน้องแดนเอง แล้วนี่...” แนะนำไม่ทันจบแก้วก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน ทำให้คนที่ยืนเงียบยิ่งนิ่งเข้าไปอีก


“พี่ชื่อแก้วค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”


น้องไม่ได้ตอบอะไรออกไปมีเพียงใบหน้าขาวที่เงยขึ้นมามองผม และดวงตาสวยนั้นกำลังฉายแววสงสัย ซึ่งผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเท่าไหร่ เพราะหลายๆคนมักจะเข้าใจผิดว่าผมกับแก้วกำลังคบกันอยู่แล้ว ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น เพียงแต่ว่าเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆ และตอนนี้แก้วก็พักอยู่ที่คอนโดเดียวกันกับผม แต่ถ้าให้พูดจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าแก้วอาจจะรู้สึกกับผมมากกว่าความเป็นเพื่อนแบบที่เป็นอยู่ แต่เพราะว่าแก้วเองก็ไม่เคยพูดออกมาตรงๆซึ่งนั่นก็ทำให้ผมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธการกระทำที่บางครั้งมันล้ำเส้นความเป็นเพื่อนแบบปกติไปบ้าง


" กลับคอนโดพร้อมแก้วเลยไหมคะแดน วันนี้แก้วขับรถมาค่ะ"


เพียงแต่วันนี้ผมคงจะปล่อยให้มีคนเข้าใจผิดความสัมพันธ์ของผมกับแก้วไปแบบนั้นไม่ได้อีกแล้วล่ะ


"ไม่เป็นไรครับ วันนี้แดนต้องพาน้องไปทานข้าวด้วย" ผมปฏิเสธก่อนจะยกมือขึ้นวางบนไหล่บางของคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหน้า คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่มุมปากบางจะยกยิ้มขึ้นนิดหน่อยเมื่อเราสบตากัน


"งั้นแก้ว.."


"แก้วขับรถกลับดีๆนะครับ แดนกับน้องขอตัวก่อนนะ" ผมดันไหล่บางของน้องไปข้างหน้าเบาๆก่อนที่เจ้าตัวจะออกเดินโดยที่ผมเองก็ยังไม่ละมือออกจากไหล่บางของเขา


"ตัง" ผมเรียกก่อนที่คนที่กำลังดึงเข็มขัดนิรภัยมาเสียบตัวล็อคที่เบาะฝั่งข้างคนขับจะหันกลับมาจึงได้เอ่ยถาม


"พาสต้าแซลมอนรมควันดีไหม?" น้องจะรู้นัยที่ซ่อนอยู่ในคำถามของผมหรือเปล่านะ


แต่รอยยิ้มกว้างที่เปิดขึ้นบนใบหน้าน่ารักก็ทำให้หัวใจผมเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ


และเมื่อเจ้าของรอยยิ้มพยักหน้าเร็วๆหลายครั้งแล้วส่งเสียงตอบรับออกมา


"อื้อ ตังคิดถึงมันมากๆเลย"


มันก็ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต้องเปิดยิ้มกว้างออกมาเช่นเดียวกัน



TBC
หัวข้อ: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่... EP27 - One way ticket P.3 [9.9.2020 UP!]
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 09-09-2020 16:04:16
EP27 - One way ticket





สอบไฟนอลผ่านไปแล้วโดยสวัสดิภาพ ช่วงนี้เลยเป็นช่วงที่ทุกคนจะหาเรื่องพักผ่อนสมองก่อนที่จะต้องเริ่มฝึกงานในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า ผมเองก็กำลังเก็บกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางกับเขาด้วยเหมือนกัน และเสียงเปิดประตูอย่างถือวิสาสะก็ทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปมอง มารยาทดีเด่นแบบนี้คงหนีไม่พ้นไอ้แฝดนรกอย่างเคย


“อธิบายก่อนไหม หื้ม” ไอ้ป่านมันเดินเข้ามาดักหน้าผมที่หันกลับมาเก็บกระเป๋าต่อโดยไม่สนใจการปรากฏตัวของมันสองพี่น้อง


“เก็บกระเป๋าไปไหนจ๊ะ? หายดีแล้วแรดเลยเหรอ” มันลากเสียงยาวพลางทำท่าจับผิดจนผมต้องหลุดยิ้มออกมากับความโอเว่อร์แอคติ้งของมัน


“ก็บอกในไลน์แล้วไง” ผมตอบแบบปัดๆไปจนมันจิ๊ปากใส่


‘กู...ต้องไปช่วยงานรุ่นพี่ที่ต่างจังหวัดว่ะ’  ก็อาจจะเพราะข้อความที่ผมใช้ปฏิเสธคำชวนไปเที่ยวทะเลของพวกมันน่ะแหละที่ทำให้พวกมันย้ายตัวเองมาหาผมได้แบบนี้อ่ะ

 
“รุ่นพี่คนไหนเอ่ย?” คราวนี้เป็นไอ้ปอที่กลิ้งตัวลงจากที่นอนมาดึงเสื้อที่ผมกำลังจะยัดเข้ากระเป๋าออกจากมือผม ริมฝีปากมันยิ้ม แต่ตาคมจ้องหน้าผมอย่างจับผิดไม่เลิก


“ก็…” ผมเว้นจังหวะ สายตาใฝ่รู้ของมันสองคนจ้องผมขเม็งเชียว


“พี่แดนไง” มันสองคนหันไปมองหน้ากันก่อนจะหันกลับมาจ้องผมใหม่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม


“พี่ดินแดนเอกอิงก์ คนที่ช่วยกูอ่ะ” มันสองคนยังเงียบแต่ก็พยักหน้ารับ ผมคว้าเสื้อตัวที่อยู่ในมือไอ้ปอมายัดใส่กระเป๋าตามด้วยของใช้อีกสองสามอย่างก่อนจะรูดซิบปิดแล้วใช้เท้าเขี่ยมันไปชิดกำแพงเพื่อไม่ให้เกะกะทางเดิน


“ไปสนิทกันตอนไหนวะ” ไอ้ป่านมันเกาหัวงงๆก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนที่นอน


“พี่ดินแดนเอกอิงก์ อย่าบอกนะว่า…” ไอ้ปอมันขมวดคิ้วก่อนจะพูดออกมาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้


“เออ กูจะไปเชียงใหม่” ผมตอบมันอย่างพอจะเดาได้ ไอ้แฝดมันหันไปส่งสัญญาณต่างดาวใส่กันสักพักไอ้ป่านมันก็หันมาพูดกับผมด้วยโทนเสียงที่สูงกว่าปกติซัก35เท่า


“ว้อทท มึงจริงจังเหรอธนพัฒน์?”


“อือฮึ” ผมพยักหน้าให้มันสองทีก่อนจะเบียดตัวลงบนที่นอนอีกคน


“แล้วมึงบอกป๊ากับม๊ายัง?”


“บอกแล้ว” ผมตอบสั้นๆ นอกจากป๊ากับม๊าจะไม่ว่าอะไรแล้ว ยิ่งพอบอกว่าเป็นพี่แดนม๊ายิ่งสนับสนุนด้วยนะเอ้อ


ไอ้ป่านยังขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ พวกมันเงียบกันไปซักพักก่อนที่ไอ้ปอจะเป็นคนทำลายความเงียบออกมาบ้าง


“อยากไปเองใช่ไหม?” เสียงมันขรึมขึ้นนิดหน่อยบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังจริงจัง


“อื้อ กูอยากไปเอง อยากไปมากๆ” ผมยิ้มก่อนจะย้ำคำตอบอย่างหนักแน่น เมื่อมันเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจอยากจะทำที่สุดในตอนนี้ ผมอยากจะรู้จักพี่แดนให้มากกว่านี้ อยากจะรู้จักทุกสิ่งที่แวดล้อมรอบๆตัวพี่เขา อยากจะรับรู้ทุกอย่างในสิ่งที่ผมเคยปฏิเสธมันมาก่อน และครั้งนี้ผมจะไม่ทางวิ่งหนีมันอีก


‘เอ็งต้องมีความพยายามด้วยสิวะ’ เสียงที่ผุดขึ้นจากความทรงจำเหมือนจะคอยย้ำ ก็ไม่รู้ว่าท่านเทวดาจะยังคอยมองผมอยู่ไหม แต่ตอนนี้ผมพยายามสุดตัวเลยนะ หน้าด้านขอตามเขาไปก็ทำมาแล้วด้วย นึกแล้วก็อายว่ะ


วันนั้น…


หลังจากที่กลับจากคลีนิกที่พาเจ้าก้อนกลมไปฉีดวัคซีน จะเรียกว่ามันเป็นครั้งแรกก็ได้ที่ผมมีโอกาสไปที่คอนโดของพี่แดน ซึ่งก็ใช่ มันเป็นคอนโดที่เราเคยอยู่ด้วยกันในช่วงเวลานั้น ทุกอย่างแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยน เพียงแค่ว่ามันไม่มีของอะไรที่เป็นของผมอยู่เลยก็เท่านั้น
 

ทั้งๆที่ตื่นเต้นจนมือชื้นไปด้วยเหงื่อ แต่ใจผมมันกลับอุ่นแบบแปลกๆ แม้กระทั่งไอ้โซฟาสีเทาตัวนี้ที่ผมกำลังนั่งอยู่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีจนพูดไม่ถูก มันมีหลากหลายความทรงจำที่เกิดขึ้นตรงนี้ ไม่เว้นแม้แต่…


การจูบกันครั้งแรก…


“ร้อนเหรอ?” ผมส่ายหน้าให้กับคำถามที่ได้รับ พี่แดนยิ้มก่อนที่จะก้มหน้าลงมาหากันแล้วพูดต่อ


“หน้าเราแดงมากเลยรู้ไหม?” แล้วถ้าพี่มันไม่เดินเข้าครัวไปซะก่อนก็คงจะได้เห็นคนหน้าไหม้ทั้งที่ไม่ได้ตากแดดแน่ๆล่ะ


เรานั่งดูซีรี่ย์ใน Netflix อยู่ด้วยกันเงียบๆโดยมีเจ้าคอตตอนนอนขดตัวอยู่บนตักของผม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษมีเพียงแค่เวลาที่เราปล่อยให้มันไหลผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ดึงความสนใจของพี่แดนไปจากหน้าจอก่อนจะลุกเดินหายไป อยากจะรู้ว่าใครโทรมา แต่ก็ต้องบอกตัวเองไว้ว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะถาม


จับใจความไม่ได้แล้วว่าตอนนี้ซีรี่ย์ในจอเล่นไปถึงไหนเหมือนสมาธิมันหดหายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้ ไม่ทันรู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าเจ้าก้อนกลมกระโดดลงจากตักไปนอนบนเบาะของตัวเองเมื่อไหร่  จนกระทั่งพี่แดนเดินเข้ามา เขาก็ยังไม่วางโทรศัพท์อยู่ดี


“ครับ ขอแดนเซาะหากำหนึ่ง” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันก่อนจะคลายออกเมื่อเปิดแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยที่อยู่ข้างหน้าผม


“ปะแล้วครับ ใจ่ตี่มีแพทเทิร์นกับตัวอย่างผ้าอยู่ 2 ชิ้น แม่นก่อครับ”


“ลูกค้าญี่ปุ่นก่อปี้บี”


“อ่า..ครับ แดนจะปิ๊กขึ้นไปวันผูกครับ”


อาจจะเป็นเพราะผมจ้องเขานานเกินไป คนที่กดวางสายแล้วจึงหันมาหาผมก่อนจะยิ้มเล็กๆที่มุมปาก


“ผ้าตีนจกน่ะ รู้จักไหมครับ?” เสียงทุ้มๆเอ่อถาม พลางหยิบตัวอย่างผ้าในมือส่งให้ผมดู ส่วนผมก็ได้แค่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ


“มันคือผ้าฝ้ายทอมือแบบมีลวดลายของภาคเหนือน่ะ” พี่แดนอธิบายต่อ ผมพยักหน้ารับช้าๆ แต่ก็ยังงงๆ คนที่นั่งข้างกันถึงได้หัวเราะออกมา


“คุณแม่พี่ทำร้านขายผ้าทอน่ะ โทษที” พี่แดนอธิบายเสียงกลั้วขำ


“อ๋อ”


“แล้วเมื่อกี้...ผมได้ยินว่าลูกค้าญี่ปุ่นเหรอครับ?” ผมหันไปพูดกับคนที่นั่งข้างๆ พอสบตาคมนั้นแล้วก็ต้องรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน


“คือตังไม่ได้แอบฟังพี่คุยโทรศัพท์นะ คือมันได้ยินเฉยๆอ่ะ”


“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยครับ” พี่แดนยังพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วขำก่อนจะยิ้มเล็กๆที่มุมปากแล้วพูดต่อ


“ใช่ เป็นลูกค้าญี่ปุ่น เขาจะเข้ามาดีลงานพรุ่งนี้”


“แล้วพี่ต้องไปเชียงใหม่พรุ่งนี้เช้าเลยเหรอ?”


“ใช่ครับ” คนตอบยิ้มเนือยๆก่อนจะเอนหลังนั่งพิงโซฟา ผมเม้มปากอย่างช่างใจก่อนจะเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก


“เป็นแบบนี้บ่อยไหม?”   


“พี่ชินแล้วล่ะ ไม่เหนื่อยหรอก” พี่แดนตอบเหมือนเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่


“แต่พรุ่งนี้คงจะเหนื่อยหน่อย” ผมเลิกคิ้ว คนพูดประโยคนี้เลยอมยิ้มก่อนจะพูดต่อ


“สำเนียงภาษาอังกฤษของคนญี่ปุ่นเข้าใจลำบากนิดหนึ่งอ่ะ”


“อ๋อ” ผมครางรับ อดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมาบ้างก่อนที่ห้องจะเงียบลงเพราะฉากที่กำลังฉายอยู่ในซีรี่ย์ตอนนี้เป็นช่วงเดธแอร์พอดี


“ถ้ามีอะไรที่ผมทำได้….ผมอยากช่วยพี่นะ” ก็ลองเสี่ยงที่จะพูดออกไปแบบนั้นทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำใจที่จะฟังคำตอบ ได้ยินเสียงคนข้างๆขยับตัวเบาๆก็ยังไม่กล้าหันไปมองอยู่ดี


“ถ้าอย่างนั้น เอาไว้โทรคุยกันนะครับ” 


ผมยังจำรอยยิ้มที่มากับคำพูดของพี่แดนวันนั้นได้ แล้วก็ยังจำความรู้สึกของตัวเองได้ดีอีกว่าเขินกับรอยยิ้มนั่นมากขนาดไหน

 
แล้วเสียงพูดของไอ้ป่านที่ดังขึ้นมาพร้อมฝ่ามือกว้างที่ผลักหัวผมแบบไม่แรงเท่าไหร่ก็เรียกให้ผมตื่นจากภวังค์ความคิดถึงใครอีกคนได้ 


“ไม่ต้องยิ้มกว้างขนาดนั้นก็ได้ กูเชื่อแล้วว่ามึงอยากไปจริงๆ”




*




ผมลากกระเป๋าเดินออกจากเกทที่สนามบินเชียงใหม่หลังจากเครื่องแลนด์ได้ไม่นาน อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นช่วงเช้าของวันธรรมดาผู้คนถึงไม่พลุกพล่านเท่าไหร่นัก และเดินออกมายังไม่ทันถึงด้านนอกก็เห็นคนที่เพิ่งคุยโทรศัพท์กันเมื่อเช้ากำลังยืนดูนาฬิกาข้อมืออยู่ไม่ไกล แต่ถึงจะไกลผมก็มองเห็นพี่เขาเป็นคนแรกอยู่ดี


“หวัดดีครับ” ผมทักคนที่ส่งยิ้มเล็กๆให้ตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึง พี่แดนพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยถามเมื่อเริ่มออกเดินมาด้วยกัน


“หิวไหมอ่ะเรา?”   


“ตอนนี้ยังครับ แล้วพี่แดนกินอะไรมาหรือยัง?”


“ร้องท้องมานิดหน่อยแล้วครับ งั้น..ถ้าตังยังไม่หิวก็ไปกินที่บ้านเลยดีไหม?” คนพูดหันมายิ้ม และนั่นก็ทำให้ผมแอบหน้าร้อนอีกแล้ว

 
ขับรถออกมาจากสนามบินได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบ้านที่พี่แดนว่า ซึ่งมันอยู่ภายในบริเวณรีสอร์ทที่เป็นของครอบครัวพี่เขานั่นแหละ บ้านไม้หลังใหญ่นี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ บรรยากาศดีจนไม่รู้จะพูดยังไง เรียกได้ว่ามันเป็นทำเลทองเลยล่ะ


แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเคยมาที่บ้านหลังนี้ เพียงแต่ว่าความรู้สึกในตอนนั้นมันทำให้ผมแทบจะจำอะไรไม่ได้ ทั้งบรรยากาศทั้งผู้คน มันมีแต่ความเสียใจที่กัดเซาะความรู้สึกผมจนไม่เหลืออะไรเลย


“ตัง”


“ตัง”


“อ่ะ ครับ” ผมหลุดจากภวังค์เมื่อเจ้าของบ้านส่งเสียงเรียกจนต้องเกาท้ายทอยแก้เขินเมื่อมายื่นเหม่ออยู่หน้าบ้านเขาซะอย่างนั้น


“เข้าบ้านก่อน” ฝ่ามือใหญ่แตะที่หัวไหล่ผมเบาๆก่อนจะดันให้เดินเข้าบ้านไปด้วยกัน


“อ่าว มากั๋นแล้วก๊ะ?” ผมยกมือไหว้แม่เอื้องที่ละมือออกจากการปอกผลไม้แล้วหันมาสนใจผมกับพี่แดนที่เดินเข้ามา


“สวัสดีครับ”


“สวัสดีจ้า” เธอตอบรับก่อนจะหันไปพูดกับลูกชายตัวเองด้วยรอยยิ้ม


“หั๋นอ้ายแดนฝั่งออกไปตะเจ้า นึกว่าจะไปฮับสาวบ้านไหนมาหื้อแม่ผ่อตั๋วซะอีก”


“แม่กะว่าไปเรื่อย แดนก็บอกแล้วว่าจะไปฮับรุ่นน้อง”


“จ้า แม่ก่ะแซวเล่นบ่ดาย” แม่เอื้องหัวเราะเบาๆก่อนจะหันมาสบตาผมที่ยังคงยืนทำหน้าไม่ถูก


“นั่งก่อนสิลูก ทำตัวตามสบายนะครับ”


“ครับ”


แม่เอื้องนั่งคุยกับผมและพี่แดนอยู่ซักพักก็ขอตัวเอาผลไม้ไปให้คุณพ่อในห้องทำงานพร้อมทั้งไล่ให้เราไปหาข้าวกินกันซะก่อนค่อยเริ่มทำอะไร ซึ่งพี่แดนก็ไม่ได้พาผมออกไปไหนเพราะเป้าหมายก็คือโต๊ะอาหารของที่บ้านนี่แหละ


“เดี๋ยวตอนบ่ายพี่จะแวะไปที่ร้านผ้า เสร็จแล้วเราไปไหว้พระธาตุกันดีไหม?”


“ดีครับ”


“งั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จพี่ให้เวลาเราพักสองชั่วโมงนะ” คนพูดยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ซึ่งตอนนี้มันบอกเวลาเกือบจะ 11 โมงแล้วล่ะ


“แล้ว…”


“ว่าไงครับ?”


“เปล่าครับ” ผมยิ้มก่อนจะส่ายหน้า ก่อนหน้านี้ตื่นเต้นอยากจะมาแทบตาย เอาเข้าจริงตอนนี้โคตรประหม่าเลยให้ตายสิวะ


“อีกสองชั่วโมงเจอกันครับ” คนพูดยิ้มเมื่อหยุดส่งผมที่หน้าห้องก่อนจะเดินแยกไปอีกทางเพราะบอกผมว่าจะไปคุยงานกับพ่อต่อ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่แดนต้องช่วยงานที่บ้านเยอะมากขนาดนี้ ไม่เหมือนกับผมที่แทบจะไม่เคยทำอะไรเลย มีแต่เรียนแล้วก็เที่ยวเล่นไปวันๆ นึกแล้วก็สงสารป๊ากับม๊าเหมือนกันนะที่มีลูกแบบผมเนี่ย


“เฮ้อออ” ได้แต่ถอนหายใจแล้วก็ทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่ม กลิ่นหอมสะอาดของน้ำยาปรับผ้านุ่มทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะดึงหมอนใบใหญ่มากอดไว้


นึกย้อนกลับไปตอนที่เริ่มคุยกับพี่แดนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา บางครั้งมันมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ผมก็อดที่จะเข้าข้างตัวเองไม่ได้ มันรู้สึกเหมือนกับว่าพี่แดนเองก็รู้จักผมมาก่อน แล้วยิ่งได้เจอกัน คุยกันต่อหน้า แววตาของพี่เขาที่มองมา...มันไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมเลย


แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง?
พี่เขาก็ผ่านเรื่องแบบนั้นมาเหมือนกับผมงั้นเหรอ!?


ท่าจะบ้า ผมส่ายหัวให้กับความคิดของตัวเอง


และถ้าพี่เขาผ่านเหตุการณ์นั้นมาเหมือนกับผมจริง….


พี่แดนก็คงจะไม่ดีกับผมแบบนี้หรอก เพราะหลังจากที่เราทะเลาะกันวันนั้น ผมกับพี่เขาก็ไม่มีโอกาสได้คุยกันอีกเลย…


และเสียงเคาะประตูที่หน้าห้องก็ดึงผมออกจากภวังค์ความคิดอีกครั้ง


“ครับ” ขานรับแล้วก็รีบสวมสลิเปอร์ที่ถอดทิ้งไว้อย่างไม่เป็นระเบียบก่อนจะออกไปเปิดประตู


“เร็วไป 30 นาที” คนพูดยิ้มเล็กๆที่มุมปาก ผมยิ้มตอบ ดีซะอีกที่พี่มาเร็ว ผมไม่ได้อยากมาเพื่ออยู่คนเดียวซักหน่อย


“เราจะไปกันเลยไหม?” ผมถามคนที่ยังยิ้มในหน้าก่อนที่พี่แดนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ


“ไปก็ไปครับ”



ถนนในเมืองเชียงใหม่ช่วงบ่ายๆก็ไม่ต่างอะไรจากในกรุงเทพมากนัก เรียกได้ว่ารถติดไม่เบาเลยทีเดียวแหละ ผมมองสองข้างทางที่เรียกได้ว่าแปลกตาไปมากจากที่เคยมาเที่ยวกับครอบครัวเมื่อตอนยังเป็นเด็ก เอาจริงๆตอนเด็กๆผมก็จำอะไรไม่ค่อยได้หรอกเพราะเวลาอยู่บนรถก็เอาแต่เล่นเกมส์ แล้วก็งอแงใส่ม๊า


ไม่นานเท่าไหร่พี่แดนก็พาผมมาถึงที่หมาย ด้วยว่าจริงๆแล้วร้านผ้าทอของแม่เอื้องก็ไม่ได้อยู่ไกลจากบ้านซักเท่าไหร่ แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ผมกำลังค่อนข้างอึ้งอ่ะ เพราะถ้าจะให้ถูกพี่แดนควรจะพูดคำว่าบริษัทแทนคำว่าร้านจะดีกว่ามั้ง


พี่แดนพาผมเดินผ่านโถงใหญ่ที่ประดับด้วยผ้าทอหลากหลายลวดลายผสมผสานกับดอกไม้เมืองหนาวหลากหลายสีสัน มันคลาสสิคแต่ก็ดูทันสมัยในคราวเดียวกัน


“สวัสดีเจ้าอ้ายแดน”  ผู้หญิงที่สวมชุดผ้าทอพื้นเมืองเอ่ยทักทายก่อนที่พี่แดนจะทักทายตอบ พอมาสังเกตุดูแล้วพนักงานที่นี่ใส่ชุดผ้าทอกันทุกคนเลยแฮะ


“สวัสดีครับ”


“วันนี้ปี้บีเข้ามาก่อครับ?”


“ปี้บีออกไปกลุ่มแม่บ้านที่แม่แจ่มตั้งแต่ตะเจ้าแล้วเจ้า น่าจะปิ๊กมามะแลงเลย”


“อ่า ผมกะลืมไปเลย” พี่แดนครางรับ ก่อนจะหันมาทางผมแล้วแนะนำออกมาเป็นภาษากลาง


“ตัง คนนี้ชื่อพี่ปุ๊ก พี่ปุ๊กครับ นี่น้องตังนะ”


“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ก่อนที่เธอจะรีบโบกมือไปมาแล้วบอกผมว่าไม่ต้องยกมือไหว้ก็ได้


“จริงๆวันนี้พี่จะพาตังมาทำความรู้จักกับพี่บีก่อน ส่วนใหญ่งานในร้านพี่บีจะเป็นคนดูแล พี่เองยังไม่รู้เรื่องเท่าพี่บีเลยครับ ยังเป็นเด็กฝึกงานอยู่เหมือนกัน” พี่แดนพูดกลั้วขำ พี่ปุ๊กเองก็หัวเราะเบาๆเหมือนกับเห็นด้วยกับเรื่องที่พี่แดนบอกผมเหมือนกัน


“คงต้องพรุ่งนี้แล้วล่ะค่ะ”


และหลังจากที่ผมนั่งรอพี่แดนเข้าไปเช็คอีเมลลูกค้าได้ซักพักพี่เขาก็ชวนผมออกจากร้านมุ่งหน้าไปไหว้พระธาตุตามที่บอกกับผมตั้งแต่เมื่อเช้า และถึงวันนี้จะเป็นวันธรรมดาคนก็ยังดูคึกคักไม่ต่างจากวันหยุดซักเท่าไหร่


ระหว่างทางลงพี่แดนแวะจอดรถตรงจุดชมวิวก่อนจะชวนผมออกมานั่งรับลมที่ศาลา ผมว่าพี่เขาคงดูออกอ่ะว่าตอนนี้ผมโคตรเวียนหัวเลย


“ไหวไหมเรา?”


“ไม่ค่อยจะดีเลยพี่” ผมตอบตามจริง แล้วมันก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนถามได้อย่างดังเลย


“เดี๋ยวมากับพี่บ่อยๆก็ชิน” ผมเม้มปากก่อนจะเสมองวิวข้างหน้า แต่ละอองฝุ่นที่ฟุ้งจนเกือบไม่เห็นฟ้าก็ไม่ทำให้ผมเห็นวิวทิวทัศน์อะไรหรอก


“ที่ไหนก็มีแต่ฝุ่น” แล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา


“ตังชอบกินส้มไหม?” อยู่ๆคนข้างๆก็ตั้งคำถามให้ผมหันกลับไปหา พี่เขาจะรู้ไหมว่าผมชอบจังเวลาที่พี่เขาเรียกชื่อผมออกมาแบบนี้

 
“ก็กินได้ครับ” ผมตอบ


“เดี๋ยวถ้ามีเวลาพี่จะพาไปไร่ส้มของพี่ชายพี่ที่ฝาง บรรยากาศดีกว่าที่นี่เยอะเลย” พี่แดนพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะเปิดยิ้มมุมปาก


“รับรองเลยว่าตังจะรักเชียงใหม่จนไม่อยากกลับเลยล่ะ”

 

กลับลงมาในเมืองพี่แดนก็ไม่ได้ขับรถตรงกลับบ้านอย่างที่ผมคิด แต่พี่เขาก็ไม่ทำให้ผมต้องแปลกใจนานเมื่อเขาต่อสายโทรหาแม่เอื้องว่าวันนี้จะไม่กินข้าวเย็นที่บ้านก่อนจะหันมาถามผมว่าอยากกินอะไรหลังจากที่วางสายแล้ว


“ผม..” จะตอบว่าอะไรก็ได้แม่งก็ดูจะเป็นคนน่ารำคาญไปหน่อยมั้งวะ ผมตัดสินใจไม่พูดต่อก่อนจะหันไปสนใจร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ข้างทางเหมือนถนนทองหล่อ


“ซูชิไหมครับ?” ผมหันกลับมาถามคนขับ


“ดีเหมือนกันครับ” แล้วพี่เขาก็ยิ้มอย่างที่ผมคิดซะด้วย


กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็ไม่ใช่ง่าย ขนาดมากับคนพื้นที่ยังขนาดนี้ ถ้าผมมาเองคงไม่ต้องจอดแล้วล่ะ


เราเลือกที่นั่งด้านในสุดที่โชคดีว่ามันยังว่าง เพราะลูกค้าค่อนข้างจะเยอะเพียงแต่ส่วนมากจะมากันเป็นกลุ่มใหญ่ ผมมองเมนูก่อนจะขมวดคิ้ว เพราะก็เออนั่นแหละ ผมเคยชอบกินซูชิที่ไหนวะ


“ยากิโมโนะร้านนี้อร่อยนะ” และอยู่ๆคำพูดของพี่แดนก็ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นจากเมนู หัวใจมันเต้นตุบๆ จนหนวกหูไปหมด


“เอ่อ...พี่หมายถึง บางทีเราอาจจะไม่ชอบซูชิ ก็ได้”


“คือ พี่แค่เดาน่ะ” คนที่พูดเสมองไปทางอื่นเหมือนกำลังจะมองหาพนักงานให้มารับออเดอร์ซะเดี๋ยวนี้อย่างไรอย่างนั้น


“ถ้าแบบนั้นพี่แดนสั่งให้ตังหน่อยได้ไหมครับ?” ผมพูดออกไปทั้งๆที่ในใจมันยังสั่นระรัว มันตื่นเต้นจนรู้สึกว่าแม้แต่มือก็ยังสั่น


และคำตอบที่ได้ก็ทำให้ต้องยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว


“ได้สิครับ”
 




TBC
หัวข้อ: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่.. EP28 - Long way to go (1/2) P.3 [9.9.2020 UP!]
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 09-09-2020 16:21:06
 EP28 - Long way to go (1/2)





บางทีการตื่นเช้ามันก็ไม่ได้แย่ไปซะทุกวันหรอก : )


ผมหยิบเจ้าไอ้โฟนขึ้นมาปิดการแจ้งเตือนก่อนจะนอนกลิ้งไปกลิ้งมาเมื่อมันยังมีเวลาให้นอนขี้เกียจอีกพักใหญ่ จิ้มนิ้วเข้าไปในอินสตาแกรมที่มันมีแจ้งเตือนที่ยังคงค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผมลงรูปยากิโมโนะชุดใหญ่เอาไว้แล้วก็ต้องยิ้มเหมือนกับคนบ้าเมื่อหนึ่งในคอมเม้นต์นั้นมาจากแอคเค้าท์ที่ชื่อว่า dindanvongvrp


‘ พรุ่งนี้นะ : ) ’  สั้นๆ แล้วก็คงมีแค่พี่แดนกับผมที่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอะไร

@dindanvongvrp วันนี้แล้วครับ  : )


ผมตอบข้อความแล้วมุดหน้าลงกับหมอนด้วยความรู้สึกเขินแปลกๆก่อนจะวางโทรศัพท์ลงที่โต๊ะข้างเตียงโดยไม่ได้ตอบข้อความเหม็นเบื่อของไอ้พี่น้องแฝดนรกนั่น แต่ก็นั่นแหละ อีกไม่เกิน 72ชั่วโมงมันต้องวีดีโอคอลมาแน่ เชื่อผมสิ


‘ก๊อกๆ'

“ครับ”อาบน้ำแต่งตัวเสร็จซักพักก็ได้ยินเสียงเคาะที่หน้าประตู ผมขานรับก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู แล้วมันก็ไม่ได้ผิดจากที่คาดเมื่อเปิดประตูออกไปก็เจอคนที่คิดเอาไว้จริงๆ


“พี่ไม่ได้มาเร่งเราใช่หรือเปล่า?” คนถามยิ้มที่มุมปากเล็กๆ ส่วนผมก็ได้แต่รีบส่ายหน้าปฏิเสธ


“ไม่ครับ ตังเสร็จนานแล้ว” ผมรีบหันกลับไปหยิบกระเป๋าสะพายกับโทรศัพท์ แล้วเดินกลับออกมาอีกครั้งก่อนที่พี่แดนจะชวนลงไปนั่งกินข้าวเช้าพร้อมพ่อและแม่ จากนั้นก็พาผมออกไปที่ร้าน


เช้าวันนี้แดดไม่ได้แรงเหมือนกับเมื่อวาน ท้องฟ้าออกจะครึ้มฝนซะด้วยซ้ำ แต่วิวสองข้างทางก็ไม่ได้แปลกตาไปจากเมื่อวานเลย เพลงในเพลย์ลิสต์ที่กำลังเล่นอยู่ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเพลงของ Ed Sheeran เหมือนเคย แต่ที่แปลกก็คือไม่รุ้ทำไมแค่คนข้างๆหันมายิ้มให้กันตอนที่รถติด หัวใจผมแม่งก็เต้นแรงโครมครามจนหูแทบแตกเลยให้ตายเถอะ


เข้ามาถึงร้านพี่แดนก็บอกให้ผมไปนั่งรอในห้องทำงานที่เคยเข้ามาเมื่อวาน ก่อนจะเดินหายออกไปแล้วเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับใครอีกคนที่ผมไม่รู้จัก ผมไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนไม่ว่าจะเป็นความทรงจำจากครั้งไหนก็ตาม
 

ผู้ชายตัวเล็กที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมยกยิ้มน้อยๆ ใบหน้าขาวเนียนละเอียด ริมฝีปากอิ่มสีสวยได้รูป ดวงตากลมโตนั้นทำให้ผมเผลอจ้องเขาอย่างเสียมารยาท


“อ่าว พี่นึกว่าน้องนภซะอีกค่ะ” คนตัวเล็กแตะที่แขนแกร่งของพี่แดนเบาๆก่อนจะเอ่ยออกมา แล้วน้ำเสียงและคำลงท้ายประโยคก็สนับสนุนว่าสิ่งที่ผมคิดนั้นถูกต้องแล้ว


“เอ่อ..สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เพราะรู้สึกว่าถึงเขาจะตัวเล็กกว่าผมแต่คงจะอายุมากกว่าเพราะขนาดพูดกับพี่แดนยังแทนตัวเองว่าพี่เลย


“ตัง นี่พี่บีนะ”  คงเป็นเพราะไอ้หน้าเหวอๆของผมตอนนี้ล่ะมั้งพี่แดนถึงได้แนะนำคนตัวเล็กตรงหน้าให้ผมรู้จักด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะเบาๆ


“ปี้บีครับ อันนี่น้องตังนะ”


“ตี่แดนเล่าว่ารุ่นน้องจะมาฝึกงาน ปี้กะกึดว่าเป็นน้องนพแหมซ้ำค่ะ ก็ว่าอยู่ทำไมถึงพูดภาษาญี่ปุ่นได้ ว่าแต่คนนี้บ่เกยหันแดนอู้ถึงมาก่อนเลยนะ” 


คำพูดที่เหมือนว่าผมไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยดังขึ้นจากคนที่ตัวเล็กกว่าโดยที่พี่แดนไม่ได้พูดโต้ตอบอะไรเพียงแต่ยิ้มตอบรับ และเพราะว่าคำพูด น้ำเสียง ท่าทาง หรือแววตาที่กำลังมองมาที่ผม มันมีความรู้สึกไม่ชอบใจแผงอยู่ ถึงแม้ผมอาจจะฟังไม่ค่อยถนัดแต่ก็ทำให้รู้สึกแย่ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้


“แล้วมะเดี่ยวนี้พักอยู่ที่บ้านป้อเลี้ยงกะว่าจะใดเจ้า” คนถามเบนสายตาที่มองผมหันไปเงยหน้าถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆตัวเอง


“ใช่ครับ แดนว่าเราไปนั่งคุยกันดีกว่า” เป็นพี่แดนที่ตอบก่อนจะเดินมาแตะที่ไหล่ผมเป็นเชิงบอกให้เดินไปนั่งพร้อมกัน และมันก็ทำให้ผมรู้สึกคลายความอึดอัดได้บ้างเมื่อพี่เขาเลือกที่จะใช้ภาษากลางแทน


“พักที่รีสอร์ตไม่สะดวกกว่าเหรอคะ” คนชื่อพี่บียังคงถาม ก่อนที่ริมฝีปากสีสวยจะคลี่ยิ้มออกนิดหน่อยเมื่อผมไม่ตอบคำถามของเขา ก็มันจะให้ตอบว่าอะไรได้วะ


“พี่ไม่ได้อะไรหรอกนะคะ แค่คิดว่าบางทีน้องตังอาจต้องการพื้นที่ส่วนตัวน่ะ พี่เองยังชอบอยู่คนเดียวเลยค่ะ”


อารมณ์ที่ดีๆมาตั้งแต่เมื่อเช้าเริ่มจางหายไปเพียงแค่ได้ยินคำพูดไม่กี่ประโยคจากคนตรงหน้า มันใช่ ที่ผมไม่ชอบใจคำพูดและแววตาที่มีนัยอะไรบางอย่างของเขา แต่ก็อดที่จะยอมรับไม่ได้เลยว่าผมอาจจะกำลังรบกวนพื้นที่ของครอบครัวของพี่แดนอยู่ก็ได้ มันเหมือนโดนด่าว่าคิดไม่เป็นเหรอว่าเราไม่ควรไปล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของใครถ้าไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น


แล้วตอนนี้ผมควรจะทำยังไง ?


อยู่ๆสมองมันก็ตื้อจนคิดอะไรไม่ออกไปซะดื้อๆ หันไปมองผู้ร่วมบทสนทนาอีกคนที่ยังคงเงียบก็รู้สึกวูบโหวงในท้องแปลกๆเมื่อกำลังคิดว่าถ้าหากพี่แดนจะถามผมกลับมาว่า “ตังอยากไปพักที่รีสอร์ทหรือเปล่า?” ผมก็คงจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตอบว่า “ครับ” ซึ่งผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย


“แดนสะดวกให้น้องพักที่บ้านมากกว่าครับ”


แต่แล้วคำพูดพร้อมรอยยิ้มของคนที่นั่งข้างๆกันก็ทำให้ความรู้สึกแย่ๆของผมสลายไปในชั่วพริบตา และไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัวอะไรฝ่ามืออุ่นๆก็วางลงบนหัวแล้วขยี้เบาๆ


“ไม่ให้ตอบครับ พี่บังคับ”


การเรียนรู้เรื่องผ้าเริ่มขึ้นหลังจากที่พี่แดนตัดบทไปแบบนั้น ส่วนพี่บีก็แค่ยิ้มมุมปากแล้วทำเหมือนไม่ได้เอาสาระอะไรกับสิ่งที่พูดคุยกันไปก่อนหน้านี้ บอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยจะโอเคเท่าไหร่ แต่ก็ยอมรับเลยว่าพอเข้าเรื่องงานแล้วพี่เขาจริงจังมากๆ ยิ่งพอเล่าถึงรายละเอียดเกี่ยวกับผ้าแต่ละลาย น้ำเสียงพี่เขานั้นยิ่งมีชีวิตชีวาและน่าฟัง


“เที่ยงนี้เรากินอะไรกันดีล่ะ” พี่แดนถามหลังจากที่พนักงานกำลังทะยอยกันออกไปพักกลางวันกันได้ซักพักแล้ว


“เจ้าถิ่นแนะนำหน่อยสิครับ” ผมตอบ


“อืม...เนื้อตุ๋นดีไหม?”


“ดีครับ” ผมตอบรับพร้อมทั้งหันไปยิ้ม โดยพี่เขาก็ยิ้มตอบก่อนจะพากันเดินออกมาที่หน้าร้านแล้วก็เห็นว่ามีแค่พี่บีคนเดียวที่ยังคงสาละวนกับดิสเพลย์ผ้าที่หน้าร้าน


“พี่บีออกไปกินข้าเที่ยงด้วยกันไหมครับ” พี่แดนเอ่ยชวน แต่อีกคนส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับยิ้มน้อยๆที่มุมปากสวย


“ไปเตอะค่ะ ปี้ห่อข้าวเกียมมาแล้ว”


“จะอั้นแดนจะซื้อขนมมาฝากเน้อ” พี่แดนยิ้มก่อนที่จะหันมาชวนผมเดินออกไปด้วยกัน


เดินที่เรียกว่าเดินจริงๆน่ะ เพราะร้านเนื้อตุ๋นที่พี่แดนว่ามันอยู่ในซอยไม่ไกลกับร้านมากนัก แต่ช่วงเที่ยงๆแบบนี้ก็ต้องทำใจหน่อยแล้วว่าคนต้องเยอะแน่ๆ ดังนั้นพี่แดนจึงชวนผมเดินไปร้านเบอเกอรี่ที่อยู่ถัดออกไปอีกไม่ไกลเพื่อซื้อขนมไปฝากพี่บีและคนอื่นๆก่อนที่จะเดินวนกลับมาที่ร้านเนื้อตุ๋นอีกครั้ง แล้วผมก็ไม่ผิดหวังเลยเพราะว่ามันอร่อยมากจริงๆ ถึงร้านจะเล็กจนเราต้องแชร์โต๊ะร่วมกับคนอื่น ก็เถอะ


“เรียนงานจากพี่บีเป็นยังไงบ้าง” พี่แดนชวนผมคุยในระหว่างที่เรากำลังเดินกลับร้านตอนบ่ายแก่ๆ เพราะตอนที่ผมเรียนเรื่องผ้า พี่แดนก็เข้าไปทำงานในห้องทำงานของตัวเอง


“พี่เขาเก่งมากเลยพี่แดน รายละเอียดเป๊ะมาก” พี่ถามเรื่องงาน ผมก็ตอบตามจริง แต่ไม่นับรวมเวลาที่ดวงตาสวยๆนั่นมองผมเหมือนกับจับผิดอะไรซักอย่างอยู่บ่อยๆอ่ะนะ


“ใช่ ก็ตั้งแต่พี่จำได้ พี่บีเขาก็สนใจเรื่องผ้ามาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ ที่บ้านพี่บีมีกี่ทอผ้าด้วยนะ” อาจจะเป็นเพราะคิ้วของผมมันกำลังขมวดเข้าหากันเลยทำให้พี่แดนพูดต่อโดยที่ผมไม่ต้องถาม


“พี่รู้จักกับบ้านพี่บีมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ อีกอย่าง พี่สาวของพี่บีก็เป็นพี่สะใภ้พี่ด้วย” คนพูดยิ้มในขณะที่ผมกำลังนึกตามสิ่งที่พี่แดนบอก พี่สะใภ้ ก็หมายความว่าพี่สาวของพี่บีเป็นภรรยาของพี่ธาร บางทีตอนนั้น….ผมอาจจะเคยเจอเธอแล้วก็ได้


“อ๋อ” ผมตอบรับในลำคอเบาๆ ก่อนที่เราจะคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปอย่างตรงนี้คือซอยอะไร ร้านนั้นขายอะไร ร้านนี้ขายอะไร จนกลับมาถึงที่ร้าน


บ่ายนี้ผมไม่ได้ติดตามพี่บีเหมือนเมื่อตอนเช้าเพราะกำลังเอาข้อมูลที่จดไว้มาหาคำศัพท์เฉพาะที่ไม่เข้าใจ ซึ่งมันก็เยอะมาก เพราะส่วนใหญ่ที่เรียนมาจะเน้นคำศัพท์เฉพาะด้านเกี่ยวกับการท่องเที่ยว การผลิตรถยนต์และอิเลคทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่


“เครียดขนาดนั้นเลยเหรอ” คนที่เดินมาทิ้งตัวนั่งที่โซฟาข้างๆผมเอ่ยถามยิ้มๆ ซึ่งก็ใช่ ผมเลยพยักหน้ารัวๆเลย


“ศัพท์เฉพาะเยอะมากเลยพี่แดน”


“ค่อยๆหาก็ได้ครับ ค่อยๆเรียนรู้ ไม่ต้องซีเรียสนะ” พี่แดนบอกก่อนจะเอนหลังพิงโซฟา


“ก็ลูกค้าจะเข้ามาอีกทีพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอครับ”


“ก็ใช่ครับ”


“นั่นไง ตังกลัวทำไม่ได้ ไม่อยากเกะกะพี่ด้วย” ผมพูดออกไปตามจริง เพราะถ้าไปนั่งเอ๋อตอนเขาดีลงานกันผมต้องแย่แน่ๆ


“ฝั่งนู้นเขามีล่ามมาด้วยครับไม่ต้องห่วง” พี่แดนตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่มันทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว


“เอ้า” ครั้งก่อนที่คุยโทรศัพท์กันพี่เขาไม่ได้บอกผมแบบนี้นี่


พี่แดนยิ้มก่อนจะพูดต่อ


“ที่ชวนมาพี่ไม่ได้จะใช้งานเราหนักขนาดนั้นซะหน่อย คิดว่าพี่ใจร้ายแบบนั้นเลยเหรอเนี่ย”


“ก็ไม่ใช่แบบนั้น…” ผมได้แต่บอกเสียงอ่อยจนอีกคนหัวเราะออกมาเบาๆ


“จริงๆแล้วพี่ใจร้ายกว่านั้นต่างหาก”


“หะ” ผมหันไปมองคนที่เหมือนกับว่ากำลังมองผมอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว


“เพราะพี่จะยึดตัวตังไว้ที่นี่จนหมดปิดเทอมเลยล่ะ”


สรุปก็เดธแอร์ คนพูดยิ้มทิ้งท้ายก่อนลุกหนีกันไปซะดื้อๆปล่อยให้ผมนั่งปัดหน้าจอไอแพดสไลด์ไปมาเพราะทำอะไรไม่ถูก พี่แดนแม่ง อะไรของพี่วะ


เย็นวันนี้ก็เหมือนเดิม พี่แดนกับผมไม่ได้กลับไปกินข้าวที่บ้านเพราะเมื่อวานพี่แดนบอกว่าจะพาผมไปร้านอิซากายะที่ทำยากิโมโนะอร่อยกว่าร้านที่พาผมไปเมื่อวานอีก ดูจากเส้นทางที่พี่แดนพามามันย้อนกลับมาทางที่บ้านและเลยมาแค่ไม่กี่กิโลเท่านั้นเอง ร้านนี้เป็นร้านอาหารเล็กๆตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำ เป็นร้านเหล้าที่มีบรรยากาศอบอุ่นแปลกๆบอกไม่ถูก


“いらっしゃいませ!” เสียงทักทายดังฟังชัดตามสไตล์ร้านอาหารญี่ปุ่น ในร้านมีเค้าท์เตอร์บาร์เล็กๆ กับโต๊ะนั่งอีกเพียงสองโต๊ะซึ่งมีจับจองนั่งอยู่แล้ว


“แดนคุงมาแล้ว” คุณลุงที่ยืนอยู่หลังเค้าท์เตอร์ส่งเสียงทักทายพี่แดนด้วยสำเนียงภาษาไทยแปร่งๆอย่างคุ้นเคย ทำให้ผมก้มหัวให้เล็กน้อยเป็นการทักทาย


“เพื่อนกันเหรอ” คุณลุงที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นคนญี่ปุ่นร้องถาม แต่อาจจะเพราะเป็นคนต่างชาติคำถามก็เลยฟังแปลกๆ เพราะจริงๆผมคิดว่าเขาจะถามว่าพาเพื่อนมาเหรอ หรือไม่ก็มาด้วยกันเหรอ มากกว่า


“มาด้วยกันครับจี้จัง” พี่แดนตอบยิ้มๆก่อนจะชวนผมนั่งเก้าอี้ที่หน้าเค้าท์เตอร์บาร์ เห็นไหมล่ะพี่แดนยังเข้าใจเหมือนผมเลย แต่ทำไมยิ้มจี้จังดูกรุ่มกริ่มแปลกๆก็ไม่รู้


“เอาเหมือนเดิมนะ”


“ครับ แต่ขอเพิ่มหมูสามชั้นย่างเกลือด้วยนะครับจี้จัง” พี่แดนตอบก่อนที่จี้จังจะหันกลับไปทำสิ่งที่ค้างมืออยู่ซักครู่


“พี่มาบ่อยเหรอ” ผมหันไปถามคนที่นั่งข้างๆ


“ตอนม.ปลายบ่อยนะ แต่ตอนนี้ถ้ามีเวลามาก็มาบ้าง”


“ม.ปลาย แต่นี่มันร้านเหล้านะพี่” ผมท้วง พี่แดนหัวเราะแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

 
“เอ้า เชิญๆ” จี้จังวางถาดที่ใส่ขวดและแก้วเซรามิกเล็กๆเล็กสองใบไว้ตรงกลางระหว่างผมกับพี่แดนก่อนจะวางจานสี่เหลี่ยมเล็กๆที่วางหมูสามชั้นและอกไก่ย่างไว้อย่างละสองไม้มาให้


“อันนี้จี้จังโฮมเมด” จี้จังชี้มือมาที่ขวดเซรามิกรูปร่างแปลกตาที่พี่แดนกำลังรินใสแก้วแล้วส่งให้ผม


“อุเมะชุ เคยดื่มไหม?”


“เคยครับ” ผมตอบคำถามจี้จังก่อนจะยกแก้วเซรามิกใบเล็กขึ้นมาลองดมกลิ่น


“ของจี้จังนะเป็นที่หนึ่งเลย” จี้จังยังขายของไม่หยุด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเหล้าบ๊วยแกกลิ่นดีจริงๆ


“เบานะ” คนที่นั่งข้างๆผมร้องเตือน แต่ผมเคยกินน่า


“ฮึก แค่กๆ” กระดกหมดแก้วถึงกับสำลัก โอ้โห้ กลิ่นละมุนแบบนั้นทำไมมันแรงขนาดนี้วะ


“ดื้อ” ฝ่ามือใหญ่ลูบหลังผมหนักๆ แต่กลับพูดกลั้วขำจนเสียงขึ้นจมูก


“โอเคไหม”


“แม่ง ทำไมโคตรแรงเลยวะพี่” ผมสบถคำหยาบออกไปอย่างลืมตัว แต่พี่แดนก็ดูไม่ได้ติดใจอะไรนอกเสียจากยังนั่งขำไม่เลิก


“อย่าดูถูกเหล้าเหนือสิเด็กน้อย” ผมยู่หน้าใส่คนขี้ขำก่อนจะพูดกรอกหูคนข้างๆอย่างเสียงดังฟังชัด


“ผมไม่เด็กแล้วครับ”



ก็นั่นแหละ พี่มันหันมาทำเป็นเลิกคิ้วมองผมตาโตอย่างล้อเลียนจนน่าทุบให้ซักที แต่จะทำอะไรเขาได้ล่ะ มากสุดก็ได้แค่ทำหน้าข่มขู่เขาไปอย่างนั้น แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าแค่นี้จะทำให้เขายกมือยอมแพ้กันง่ายๆเลย


“โอเคๆ พี่ยอมครับ”


อาจจะเป็นเพราะผ่านอะไรมาเยอะถึงทำให้จี้จังมีเรื่องเล่ามากมายที่ฟังแล้วไม่เบื่อ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่แดนถึงชอบมานั่งที่นี่อยู่บ่อยๆ เรานั่งอยู่ที่ร้านของจี้จังยาวไปจนถึงสี่ทุ่มโดยที่ไม่ได้สั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอลมาเพิ่มอีก นอกซะจากยากิโมโนะที่เหลือแค่ไม้เสียบกองอยู่เกือบ20ไม้ จี้จังย่างได้อร่อยมากสมราคาคุยของพี่แดนจริงๆ โดยเฉพาะหมูสามชั้นย่างเกลือที่ผมซัดไปซะหลายไม้ แอบสังเกตุว่าพี่แดนกินแต่อกไก่ย่างกับเห็ดและต้นหอมญี่ปุ่นย่าง คือไม่ว่าจะเป็นพี่แดนคนไหนก็ยังคีพคลีนไม่เปลี่ยน ถ้าไม่นับเรื่องดื่มแอลกอฮอลล่ะก็นะ


ผมกดอัพสตอรี่ที่คุยกับจี้จังโดยที่ผมพูดภาษาญี่ปุ่นและจี้จังพูดภาษาไทย มุกตึ่งโป๊ะของจี้จังใช้ได้ที่เดียวล่ะเพราะคนข้างๆผมหัวเราะจนตัวงอ นั่งหัวเราะไปได้ซักพักอยู่ๆสัญญาณแจ้งเตือน video calling ก็เด้งขึ้นที่หน้าจอ ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมล่ะว่าใครโทรมา


“ว่าไง” ผมกดรับสาย แต่ก็ส่งสัญญาณบอกให้พวกมันรู้ว่าผมอยู่ข้างนอกอย่าโวยวายให้มันดังมากนัก


“ไม่ว่าไงจ้าคุณชาย เงียบเหมือนหายเข้าป่าช้าไปเลยน้า” ไอ้ป่านมันยื่นหน้าเข้ามาทัก ก็ดูปากมันแล้วกัน


“นั่นบ้านมึงไงป่าน”


“เหรอตัง แล้วถามจริงคุณอยู่เชียงใหม่หรือโตเกียวอ่ะครับ ผมสับสน”


“เรื่องกู” ผมตัดบท คนที่นั่งข้างๆผมนี่ก็ยังไงเอาแต่นั่งยิ้มขำไม่เลิก


“จริงๆกูมีเรื่องจะเม้าท์ แต่เอาไว้ก่อนดีกว่า ไอ้พี่เหี้ยแม่งมาละ” ไอ้ป่านมันทำหน้าเซ็งจากนั้นก็เป็นไอ้ปอที่ยื่นหน้าเข้ามาในจอแทน


“หน้าระรื่นจังนะ” มันทักผม ปากผีพอกันทั้งพี่ทั้งน้อง


“แล้วไงอ่ะครับ” ผมถามมันกลับมันยักไหล่แล้วก็หายไปจากจอซะดื้อๆ


“แค่นี้” ไอ้ป่านพูดก่อนจะกดตัดสายไป ผมวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะ หันมามองคนข้างๆก็ยังเห็นว่าพี่ีแดนยังนั่งหันหน้ามาทางผมเหมือนกับเมื่อกี้ มุมปากโค้งก็ยังยกยิ้มเล็กๆ


“เพื่อนที่เป็นฝาแฝดใช่ไหม” เขาถาม


“ใช่พี่ ไม่แฝดธรรมดาด้วย แฝดนรก” ผมตอบพี่แดนก่อนจะหัวเราะ พี่แดนส่ายหัวยิ้มๆก่อนที่จะถามถึงวีรกรรมของผมกับไอ้สองแฝดจนผมต้องเล่ายาวไปยันระหว่างขับรถกลับบ้าน ถึงบ้านแล้วก็ยังไม่จบนะ


“พี่แยกออกไหมว่าคนไหนไอ้ปอคนไหนไอ้ป่าน” ผมยื่นโทรศัพท์ที่มีรูปพวกผมสามคนให้พี่แดนดูหลังจากที่จอดรถแล้ว พี่แดนขมวดคิ้วเล็กๆก่อนจะหยิบไอโฟนของผมไปดูใกล้ๆ


อยู่ๆผมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเมื่อกำลังคิดว่าพี่แดนในตอนนั้นสามารถแยกออกว่าคนไหนเป็นคนไหนโดยไม่ต้องต้องเสียเวลาคิดให้เหนื่อย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่เขาสังเกตจากตรงไหน เพราะเพื่อนในเซคบางคนยังแยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ 


“พี่เดานะ” เขาออกตัว


“พี่ว่าคนนี้ปอ ส่วนคนนี้ป่าน” แล้วพี่เขาก็เลือกถูกจริงๆจนผมอดที่จะทึ่งไม่ได้


“พี่รู้ได้ไงอ่ะ” ผมถามคนที่ส่งไอโฟนคืนผม


“ความลับ” พี่แดนบอกก่อนที่จะเดินนำผมเข้าบ้านไปก่อนจนผมต้องรีบเดินตามด้วยความอยากรู้ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรหรอกเพราะพี่เขาไม่ยอมบอกเอาแต่ยิ้มขำอย่างเดียว


“พรุ่งนี้ไม่ต้องรีบนะครับ พี่ว่าจะเข้าร้านสายๆหน่อย” พี่แดนบอกผมเมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง


“ครับ”


“แต่ต้องลงมากินข้าวเช้านะ” เขาสำทับ ผมก็พยักหน้ารับ


“แล้วก็...ฝันดีนะครับ” พี่เขายิ้มก่อนจะวางมือบนหัวผมแล้วขยี้เบาๆ


สัมผัสจากฝ่ามืออุ่นและแววตาที่มองมานั้นยังคงเหมือนพี่แดนคนเดิมคนนั้น จะว่าผมเข้าข้างตัวเองก็ได้แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ มันอาจจะมีเรื่องราวอีกมากมายที่เราต้องพูดคุยเพื่อเรียนรู้กันและกัน แต่ความรู้สึกเมื่อได้สัมผัสกันนั้นมันกลับคุ้นเคยไม่เปลี่ยน ผมจับฝ่ามือกว้างที่ยังคงวางค้างไว้บนหัวมาจับไว้ ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาเรียกให้ผมยกฝ่ามือนั้นมาทาบไว้ที่ข้างแก้มของตัวเอง


“ตังต้องฝันดีแน่ๆเลย” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าที่ยังคงเงียบ ก่อนที่ปลายนิ้วโป้งอุ่นจะไล้ที่แก้มผมเบาๆ


“พี่ก็เหมือนกันครับ” 



TBC
หัวข้อ: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่.. EP28 - Long way to go (2/2) P.3 [9.9.2020 UP!]
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 09-09-2020 16:25:57
EP28 - Long way to go (2/2)





เช้าวันนี้ไม่ต้องบอกก็รู้เลยใช่ไหมว่าผมโคตรเขินแค่ไหนเมื่อเปิดประตูห้องนอนมาเจอพี่แดนที่ยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง ก็ไม่ได้อยากเผาแต่คนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างหน้าผมก็หูแดงจนเห็นได้ชัดเหมือนกันน่ะแหละ


นึกแล้วก็ยังอายอ่ะ มาพูดอะไรแบบนั้นก่อนนอนมันทำให้นอนหลับฝันดีได้ที่ไหนกันเล่า นอนใจเต้นตึกตักกันไปน่ะสิ และเพราะลงมาสายก็เลยต้องนั่งกินข้าวเช้าด้วยกันสองคนแบบนี้อีกด้วย แม่ง...เขินจังวะ


“ตัง”


“ตัง”


“ตังครับ”


“อ่า...ครับ” ผมขานรับก่อนจะเม้มปากกลั้นเขินเมื่อในหัวของผมมันดันได้ยินเสียงคำว่า “ที่รัก” จากความทรงจำที่พี่แดนชอบเรียกผมเวลาที่ต้องการความสนใจตามมาซะอย่างงั้นน่ะ


“ก่อนเข้าร้านไปรีสอร์ทกับพี่ก่อนไหม” พี่แดนทวนคำถามอีกครั้งผมเลยรีบพยักหน้ารับ


“ไปครับ”


ขับรถออกมาจากตัวบ้านแค่ไม่นานก็เข้าสู่โซนรีสอร์ท ซึ่งจริงๆเราจะใช้รถกอล์ฟที่จอดไว้ที่โรงรถของที่บ้านมาก็ได้ เพียงแต่ว่าวันนี้พี่แดนบอกว่าที่ขับรถมาเพราะจะเลยไปที่ร้านเลยจะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมาให้เสียเวลา


ตลอดถนนเส้นที่เราขับผ่านจะถูกปกคลุมไปด้วยเงาของต้นไม้ใหญ่ ซึ่งพี่แดนเล่าว่าเกือบจะทั้งหมดนี้ถูกปลูกด้วยฝีมือของคุณปู่ และคุณพ่อก็ยังคงดูแลพวกมันอย่างดี ผ่านโซนที่พักแบบวิลล่าเข้ามาไม่ไกลเท่าไหร่พี่แดนก็พาผมมามาหยุดที่อาคารสามชั้นขนาดกลางที่เป็นล๊อบบี้สำหรับเช็คอิน และเป็นห้องจัดเลี้ยง โดยที่ชั้นสองเป็น ฟิตเนส ห้องอาหาร สระว่ายน้ำรวม และชั้นที่สามเป็นออฟฟิศที่มีบรรยากาศไม่ค่อยเป็นทางการเท่าไหร่ ทุกคนส่งเสียงทักทายพี่แดนอย่างเป็นกันเองโดยไม่ลืมจะเผื่แแผ่รอยยิ้มมาให้กับผมด้วยก่อนจะหันไปทำงานของตัวเองต่อ


“ป้อเลี้ยงบ่ได้อยู่ในห้องหน่ะเจ้าคุณแดน” เสียงทักดังขึ้นเมื่อพี่แดนกำลังจะผลักประตูเข้าไปในห้องทำงานที่อยู่ด้านหลังสุดของออฟฟิศ

 
“อ่า..เหรอครับ” พี่แดนรับคำแต่ก็ผลักประตูเข้าไปที่ด้านในอยู่ดี


“ตังรอพี่ในห้องนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่มานะครับ”


“ครับ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวนิ่มที่มุมห้อง ไม่ทันได้คิดอะไรประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคุณพ่อของพี่แดนที่เดินเข้ามา


“สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้เป็นการทักทาย เพราะเมื่อเช้านี้ผมไม่ได้เจอกับท่านเหมือนกับทุกวัน


“มาดูงานกับพี่เขาเหรอ” ท่านเดินมานั่งตรงโซฟาตรงข้ามผมก่อนจะเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงทุ้มๆ


“ก็...ครับ”


“แล้วชอบที่นี่ไหม?” พ่อเลี้ยงชลธีถาม ใบหน้าคมมีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก ตรงนี้แหละที่ผมคิดว่าพี่แดนเหมือนพ่อจัง


“ชอบครับ รีสอร์ทคุณพ่อสวยมากเลยครับ”

 
“ของพ่อที่ไหนล่ะ ของเจ้าแดนมันต่างหาก” พ่อบอกพร้อมหัวเราะเบาๆก่อนที่พี่แดนจะผลักประตูเข้ามา พร้อมกับอุ้มเจ้าก้อนกลมสีเทาคุ้นตาเข้ามาด้วย


“คอตตอน!” ผมเด้งตัวลุกขึ้นวิ่งเข้าไปหาพี่แดนอย่างลืมตัว พี่แดนยิ้มก่อนจะส่งเจ้าขนนุ่มนิ่มมาให้ผมได้อุ้มบ้าง


“พี่พาคอตตอนมาด้วยเหรอ ไม่เห็นบอกตังเลย”


“พี่ก็เพิ่งได้เจอเหมือนกันแหละครับ ปู่ย่าเขายึดตัวไว้ไม่ปล่อยมาหาพี่เลย” พี่แดนพยักหน้าไปทางพ่อตัวเองก่อนที่ท่านจะทำเป็นไม่สนใจแล้วหันมาพูดกับผมแทน


“ชอบแมวเหรอเรา”


“ชอบครับ” ผมเงยหน้าขึ้นจากเจ้าก้อนกลมบนตักก่อนจะตอบ พ่อยิ้มมุมปากน้อยๆก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตัวเอง พร้อมกับพี่แดนที่เดินตามไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของท่านด้วย


“ตกลงกึ๊ดออกละก้าว่าจะเป๋นรูปแบบจะใด?” ผมได้ยินพ่อถาม ก่อนที่พี่แดนโต้ตอบกลับไปบ้าง จับใจความได้คร่าวๆว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างที่พักอะไรซักอย่าง แต่ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหนยังไง


“เดี๋ยวแดนว่าจะลองไปอู้กับอ้ายธารแหมกำก่อนครับ”


“แล้วจะไปเมื่อใด”


“น่าจะวันผูกครับ เพราะถ้าจบดีลงานกับลูกก้าใหม่วันนี้ตี่ร้านผ้ากบ่น่าจะมีอะหยั๋งแล้วครับ”


“ถือโอกาสพาน้องไปเที่ยวด้วยล่ะสิ” แล้วอยู่ๆภาษาเหนือที่ฟังเพลินๆก็กลายเป็นภาษากลางขึ้นมาซะอย่างนั้น และผมว่ามันต้องเกี่ยวกับผม แต่ผมก็ยังไม่กล้าหันไปมองอยู่ดี และคำถามกลายๆของพ่อก็ไม่มีคำตอบรับอะไรจากพี่แดน ได้ยินก็แต่เสียงหัวเราะไม่ดังนักจากคนเป็นพ่อเท่านั้น


“ดูเจ้าคอตตอนสิ ปกติเคยนอนพริ้มให้ใครอุ้มซะที่ไหน” ผมชะงักมือพลางมองเจ้าก้อนกลมที่เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยดวงตาสีเหลืองแวววาว แต่เท่าที่ผมจำได้ครั้งแรกที่เจอกัน...เจ้าก้อนกลมก็ยอมให้ผมอุ้มเล่นนี่นา


“นั่นสิครับพ่อ นี่ขนาดเพิ่งเจอกันแค่สองครั้งเองนะครับ”

 
“หื้ม? จริงเหรอ"


"พ่อถามจริง คุยกันมานานเท่าไหร่แล้ว” และคำถามของพ่อก็ทำให้ลมหายใจผมสะดุด หัวใจเต้นเร็วด้วยความประหม่า สองมือเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อจนเจ้าคอตตอนกระโดดลงจากตักแล้วเดินไปทางโต๊ะทำงานที่ด้านหลัง คนถูกถามเงียบไปซักพักก่อนจะตอบออกมาให้ผมได้ยิน


“ก็...เดือนกว่าแล้วครับ”


และคำตอบโดยปราศจากคำแก้ต่างของพี่แดนก็ทำให้หัวใจผมมันเต้นแรงจนหูอื้อไปหมด

พี่หมายความว่าอะไร…
ผมไม่อยากเข้าข้างตัวเองนะ


“ถ้าจะอั้นผมเข้าร้านก่อนเน่อครับป้อ" และผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อฝ่ามืออุ่นมาวางอยู่บนหัวจากทางด้านหลังโซฟาโดยไม่ทันรู้ตัวว่าพี่แดนเดินมาหยุดอยู่ตรงนี้แล้ว


“ไปกันเถอะ”


“อะ อื้อ” 




เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อหลังจากที่เดินออกมาจากห้องทำงานของพ่อ จนแม้กระทั่งตอนนี้ที่กำลังนั่งอยู่บนรถระหว่างทางไปร้าน ความเงียบในตอนนี้มันไม่ได้ทำให้อึดอัด แต่ความตื่นเต้นของผมก็ยังไม่คลายลง ผิดกับพี่แดนที่ยังคงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ไม่สิ ผมก็ควรจะทำตัวเป็นปกติได้แล้ว


"พี่แดน" ผมเอ่ยเรียกเมื่อรถกำลังติดไฟแดง


"ครับ?"


"คืนนี้...ผมขอคอตตอนไปนอนด้วยได้ไหม?" ลองเอ่ยถามออกไป พี่แดนหัวเราะเบาๆก่อนจะตอบ


"ตังต้องไปขอพ่อแล้วล่ะ"


ผมยู่หน้าให้กับคำตอบ พี่แดนหัวเราะก่อนจะวางมือลงบนหัวผมแล้วขยี้เบาๆ


"เดี๋ยวพี่พาไปขอ"


"พี่พูดแล้วนะ" ผมหันไปสัมทับ พี่แดนยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะละมือไปจับพวงมาลัยด้วยสองมือเหมือนเดิม


มาถึงที่ร้านพี่บีที่เตรียมเอกสารทั้งหมดเรียบร้อยแล้วก็ยื่นมาให้ผมกับพี่แดนคนละหนึ่งชุดก่อนที่จะออกไปเตรียมตัวอย่างผ้าที่โต๊ะทำงานของตัวเองที่หน้าร้านปล่อยให้ผมกับพี่แดนอยู่กันตามลำพังในห้อง แต่เราก็ไม่ได้คุยอะไรกันเพราะพี่แดนก็นั่งทำงานของตัวเองเงียบๆโดยที่ผมเองก็ค้นหาคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นตามเอกสารที่ได้รับมาจากพี่บี


พูดถึงพี่บี บางทีผมก็รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจความคิดเขาเท่าไหร่ บางครั้งการกระทำและคำพูดของเขาก็ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาไม่ชอบผม แต่บางครั้งดวงตาสวยๆของเขาที่มองมาที่ผมมันก็ดูเศร้าแแบบแปลกๆยังไงก็บอกไม่ถูก แต่ถ้าจะให้พูดตามที่ผมรู้สึก ผมคิดว่าพี่บีต้องชอบพี่แดนแน่ ๆ

ชอบ เหมือนกับที่ผม...


 ผมเม้มปากเมื่อความรู้สึกบางอย่างมันตีรวนขึ้นมาในอก


'หึง' 


ใช่ ผมรู้สึกแบบนั้นทั้งๆที่ก็ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย


ผมก็บอกไม่ได้ว่าผมรู้สึกกับพี่แดนมากมายขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน แต่พอถึงวันที่ต้องเสียเขาไปผมก็คิดไม่ออกเลยว่าตัวเองจะมีชีวิตต่อไปยังไง ผมเคยคิดว่าผมคงอยู่ไม่ไหวถ้าต้องมีชีวิตอยู่กับความทรงจำที่เต็มไปด้วยพี่แดนโดยที่เขาไม่มีวันหวนกลับมา แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการที่พี่แดนจะได้กลับมามีชีวิตเป็นของตัวเองอีกครั้ง ชีวิตที่เป็นอิสระ ปลอดภัย และมีความสุข ถึงแม้ว่าจะไม่มีผมอยู่ในนั้นก็ตาม


ผมยังจำความรู้สึกครั้งแรกที่เห็นหน้าพี่แดนผ่านอินสตาแกรมของเขาเป็นครั้งแรกหลังจากที่ตื่นขึ้นมาได้ มันดีใจมากๆที่รุ้ว่าพี่เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ แต่ก็เจ็บปวดและเสียใจมากที่สุดเหมือนกันที่เราไม่มีกันและกันอีกต่อไปแล้ว และเพียงแค่คิดว่าถ้าพี่แดนแค่เดินผ่านไปโดยไม่มองกันในวันที่เราอาจจะได้เจอกันด้วยความบังเอิญ แค่นั้นมันก็เจ็บจนต้องปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง


"เป็นอะไรครับ เครียดเหรอ?" ผมเงยหน้ามองคนที่เอ่ยถาม พี่แดนนั่งลงข้างๆก่อนจะจับมือที่ผมเผลอกำเอาไว้แน่นขึ้นมาคลายออกช้าๆแล้วคลึงปลายนิ้วโป้งอุ่นอยู่บนฝ่ามือผมเบาๆ


"คือ...เปล่าครับ" ผมตอบก่อนจะยิ้มให้คนที่ยังจับมือกันไว้จนอุ่นใจ


"พรุ่งนี้ไปฝางกันนะ" 


"พ่อเลี้ยงนทีธารเขาอยากได้คนงานเก็บส้มเพิ่มพอดี" พี่แดนพูดเสียงกลั้วหัวเราะจนผมกก็อดไม้ได้ที่จะยิ้มตามก่อนจะแกล้งว่า


"โห้ นึกว่าจะพาไปเที่ยว นี่หลอกผมไปใช้แรงงานเหรอเนี่ย" พี่แดนหัวเราะ แต่ไม่ทันได้พูดอะไรต่อพี่บีก็เดินเข้ามาพอดี


"ลูกค้า...กำลังจะเข้ามาแล้วค่ะ" พี่บีชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าฝ่ามือกว้างของพี่แดนกำลังจับมือผมเอาไว้ แต่ซักพักใบหน้าสวยก็เรียบเฉยเหมือนเดิม


"พี่รอที่ห้องประชุมนะคะ" พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนที่ร่างแบบบางจะเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรต่อ ฝ่ามือกว้างของพี่แดนละออกจากมือผมก่อนจะเปลี่ยนมาวางบนหัวผมแล้วยีเบาๆ


"ไปกัน" 


การดีลงานกับลูกค้าวันนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ น่าจะเป็นเพราะฝั่งนู้นมีล่ามที่มืออาชีพโคตรๆมาด้วย และตัวคนญี่ปุ่นเองก็พยายามสื่อสารภาษาอังกฤษกับพี่แดนโดยตรงด้วยเพื่อไม่ให้มีการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ผมเองก็มีหน้าที่แค่ฟังแล้วก็จดในส่วนที่สำคัญแล้วก็แอบฟังไปด้วยว่าเวลาที่ฝั่งนั้นเขาคุยกันเองมันมีอะไรที่นอกเหนือจากที่ล่ามแปลหรือเปล่า ก็หัวร้อนนิดหน่อยแหละที่แอบได้ยินฝั่งนู้นชมพี่แดนไม่ขาดปาก จะหล่อ จะเก่ง จะสุภาพอะไรนักล่ะ




"พี่บี เย็นนี้กินข้าวด้วยกันนะครับ"


“ได้ค่ะ” คนตัวเล็กพยักหน้าก่อนจะส่งยิ้มสวยกลับมาให้พี่แดน แล้วหมดโควต้าตอนสบตากับผมพอดี พี่บีหุบยิ้มก่อนจะเอ่ยคำถามออกมาโดยที่มองหน้าผมไปด้วย

 
“ร้านเดิมที่พาพี่ไปบ่อยๆหรือเปล่าคะ?”

 
“อืม...ร้านนั้นก็ได้ครับ” พี่แดนตอบรับมันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง ร้านเดิมที่ไปด้วยกันบ่อยๆงั้นเหรอ มันต้องบ่อยแค่ไหนถึงไม่ต้องพูดชื่อร้านก็เข้าใจกันได้น่ะ

 
“ว่าแต่น้องตังชอบอาหารเมืองไหมคะ?” มุมปากสวยยกยิ้มในขณะที่เอ่ยถาม ไม่ได้คิดไปเอง และค่อนข้างแน่ใจเลยว่าตอนนี้พี่บีกำลังเริ่มจะปั่นผมอีกแล้วว่ะ


“ถ้าเป็นของกินผมก็กินได้ทุกอย่างแหละครับ”


“ดีจัง”

 
“ครับ” ผมตอบรับคนที่ยังส่งสายตามองมา พี่บีเลิกคิ้วก่อนจะหันไปคุยกับพี่แดนเหมือนไม่อยากสนใจอะไรผมอีก

 
“จะอั้นเดี๋ยวปี้ออกไปก่อนเลยเน่อ ปะกั๋นตี่ร้านค่ะ”


ไม่ทันได้มีใครได้ก้าวขาออกไปไหน อยู่ๆฝนก็เทลงมาแบบไม่บอกไม่กล่าว แต่จริงๆมันก็เริ่มครึ้มๆมาตั้งแต่บ่ายๆแล้วล่ะ พี่บีละมืออกจากประตูกระจกก่อนจะเดินย้อนกลับมาวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะตัวเองอีกครั้ง


"ไปพร้อมกันดีกว่าครับพี่บี เดี๋ยวแดนไปส่งที่บ้านเอง" พี่แดนร้องบอกก่อนจะหันมาสบตาผม แล้วยิ้ม


"ไปกันเถอะ"


ก็ยังดีที่มันยังไม่เหมือนในละครที่ต้องมาแย่งกันนั่งข้างหน้า เพราะพี่บีก็ยอมเดินไปเปิดประตูด้านหลังแล้วขึ้นไปนั่งเล่นโทรศัพท์อย่างเงียบๆ เราไม่ได้คุยอะไรกันมากนักเพราะว่าฝนตกหนักมากพี่แดนจึงค่อนข้างจะต้องใช้สมาธิในการขับรถพอสมควร ไม่นานก็มาถึงที่ร้านอาหารอย่างปลอดภัย และโชคดีมากที่ที่จอดรถของร้านมีหลังคาแล้วมีทางเชื่อมที่เดินเข้าจากหลังร้านได้ด้วย

"สั่งไหมคะ?" พี่บียิ้มแล้วส่งเมนูมาให้ผม มันก็มีหลายอย่างหน้าตาน่ากิน เคยเห็นบ้างไม่เคยเห็นบ้าง เอาจริงปกติก็ไม่ค่อยเคยกินอาหารเหนืออะไรแบบนี้หรอก แต่ก็ไม่แปลกใช่ป่ะล่ะก็ที่บ้านไม่เคยทำให้กินนี่


"อันนี้แกงฮังเล สีมันดูน่ากลัวแต่ไม่เผ็ดครับ" เป็นพี่แดนที่ขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้ๆแล้วยื่นหน้าเข้ามาดูเมนูที่อยู่ในมือผมด้วยกัน


"ใส่หมูสามชั้นด้วย พี่ว่าตังต้องชอบแน่ๆ" พี่แดนพูดกลั้วขำ


"งั้นผมเอาอันนี้"


"แล้วอันนี้คืออะไรครับ" ผมชี้รูปที่มันเป็นก้อนข้าวทรงสามเหลี่ยมสีน้ำตาลเข้มที่ห่อในใบตอง มันดูน่ากินดีนะ


"อ่า...อันนี้คือข้าวกั้นจิ้นครับ แต่ว่ามันใส่เลือดหมูนะ" ไหนวะเลือด ผมขมวดคิ้วพี่แดนเลยอธิบายต่อโดยไม่ต้องรอให้ถาม


"พี่หมายถึง เขาเอาเลือดหมูสดๆมาผสมกับข้าวแล้วเอาไปนึ่งน่ะ"

 
"ง่า งั้นไม่เอาครับ" ผมส่ายหัวปฏิเสธด้วยความรวดเร็ว วิธีทำมันดูสยองๆยังไงพิกล


"เอาอันนี้ดีกว่า" ผมชี้รูปซี่โครงหมูย่างที่มันดูเบสิกสุดนี่แหละ พี่แดนหัวเราะก่อนจะสั่งอะไรอีกอย่างแล้วหันไปถามพี่บีบ้าง


"พี่เอายำจิ้นไก่กับแกงแคแล้วกันค่ะ"


นั่งรออาหารมาเสิร์ฟได้ซักพักพี่แดนก็หันไปพูดกับพี่บีเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้


"พี่บัวโทรบอกพี่บีหรือยังครับ?"


"เรื่องวันเกิดน้องเหนือใช่ไหมคะ?" พี่บียิ้มก่อนจะพูดต่อ


"บัวโทรมาแล้วค่ะ แต่พี่รอบัวพาหลานมาบ้านใหญ่ก็ได้ค่ะ พี่ไม่อยากทิ้งร้าน" พี่บีตอบก่อนที่อาหารจะมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ แต่ก็ยังไม่มีใครสนใจจะเริ่มลงมือเพราะว่ายังคุยกันไม่จบ


"ไปด้วยกันเถอะครับ แดนว่าจะไปซักสองสามวันเอง" ผมเม้มปาก มือก็ถือช้อนส้อมเก้ๆกังๆเพราะไม่รู้ว่าถ้าเริ่มกินเลยจะดีไหม หรือควรจะนั่งรอเขาคุยกันก่อนโดยที่จริงๆแล้วผมเองก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในบทสนทนานั้นด้วยซ้ำ


"งั้นก็ได้ค่ะ" พี่บีตอบรับ ก่อนที่พี่แดนจะหันมาสนใจผมจนได้ ก็ไม่ได้อยากจะงี่เง่าอะไร มันก็แค่ทำตัวไม่ถูกเฉยๆ พี่แดนไม่ได้พูดอะไรแต่เลือกที่จะตักชิ้นหมูสามชั้นนุ่มๆในแกงมาใส่ไว้ในจานผมแล้วยิ้มน้อยๆ ผมตัดสินใจตักมันเข้าปากโดยไม่พูดอะไรเหมือนกันเพราะว่าคนที่เขาตักมาให้ยังไม่ละสายตาไปไหน ยังคงนั่งอมยิ้มมองผมอยู่อย่างนั้น

 
"อร่อยไหมครับ?"

 
"อร่อยครับ" ผมยิ้มตอบ เพราะมันอร่อยมากจริงๆอ่ะ พี่แดนยิ้มรับก่อนจะลงมือกินบ้าง

 
"เอ้าคุณแม่" เสียงทักดังขึ้นที่ข้างโต๊ะทำให้ผมเงยขึ้นมอง ก็เห็นพวกพี่สาวทรานส์เจนเดอร์สองคนส่งยิ้มมาให้ก่อนที่พวกเขาจะหันไปทักทายพี่บีต่อ

 
"มากิ๋นข้าวกับป้อเลี้ยงอีกแล้วแอ้"

 
"จิ๊! จะไปปาก"

 
"สวัสดีเจ้าป้อเลี้ยง"

 
"หยังมาหมั่นแซวแต้ว่าครับมินนี่"  ผมมองคนที่โต้ตอบพร้อมรอยยิ้มเล็กๆก่อนที่คนชื่อมินนี่จะหัวเราะแล้วหันไปพูดคุยกับพี่บีต่อซักพัก จนพี่แดนชวนให้นั่งที่โต๊ะเดียวกัน

 
"ไม่ดีกว่าค่ะ ไม่อยากเป็นก้าง" แล้วจากที่พูดเหนือจนลิงหลับ อยู่ๆก็พูดภาษากลางขึ้นมาซะเฉยๆ

 
"อุ้ย ไม่ใช่สิ วันนี้มีคนอื่นมาด้วยนี่นา" เคยไหมล่ะ กินข้าวอยู่ดีๆก็รู้สึกหน้าชา ผมวางช้อนก่อนจะหันไปมองหน้าคนพูดแบบเต็มๆ ริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกสีแดงนั่นยังคงแย้มยิ้มเหมือนไม่มีนัยอะไรมากไปกว่าที่ต้องการจะสื่อ แต่ในทางกลับกันพวกเธอกำลังปั่นผมแบบเต็มๆเลยล่ะ แล้วมันก็ได้ผลดีด้วย

 
"ไปไหนกะไป ก่อยว่ากั๋นใหม่"  เป็นพี่บีที่ตัดบทพร้อมรอยยิ้มก่อนที่พวกเพื่อนสาวของเธอจะล่ำลาแล้วเดินไปนั่งโต๊ะอื่นที่ไม่ไกลนัก
 

"ตัง"
 

"ตังครับ"
 

"ผมอิ่มแล้วครับ" ผมตอบก่อนจะส่งยิ้มแกนๆให้พี่แดน ผมรู้นะว่าแบบนี้มันทำให้บรรยากาศมันดูแย่ แต่ผมก็พยายามที่สุดแล้วนะ เพราะปกติแล้วผมคงไม่มานั่งเงียบแบบนี้หรอก ผมคงแสดงอาการหรือตอกกลับคนพวกนั้นไปแล้ว

 
แต่พอมานึกดูอีกที ที่พวกเธอพูดมันก็ไม่ผิด ณ ตอนนี้ ที่นี่ ผมก็เป็น “คนอื่น” อย่างที่พวกเธอว่าจริงๆนั่นแหละ

 
“ผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” ผมบอกก่อนที่จะดันเก้าอี้แล้วลุกขึ้น แต่ไม่ทันได้เดินออกไปไหนฝ่ามือกว้างก็ขว้าข้อมือผมเอาไว้แล้วลุกขึ้นตามมาด้วย

 
เราเดินออกไปพร้อมกันทั้งๆที่พี่แดนยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากข้อมือผม ฝ่ามือกว้างนั้นอุ่น แต่มือผมก็ยังเย็นอยู่ดี เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อ และจุดมุ่งหมายที่เราเดินไปก็ไม่ใช่ห้องน้ำอย่างที่ผมอ้าง มันกลับเป็นแค่มุมๆหนึ่งในร้านที่ค่อนข้างลับตาคนอยู่ซักหน่อย ที่ด้านนอกฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย และมันก็ตกกระทบกับกระจกจนเป็นฝ้า มันเหมือนกับความรู้สึกของผมยังไงก็บอกไม่ถูก มันอึดอัด ฝ้าฟาง และไม่ชัดเจน

 
“เดี๋ยวไปส่งพี่บีแล้วเรากลับบ้านกัน” พี่แดนวางมือไว้บนหัวผมแล้วขยี้เบาๆเหมือนเคย

 
“เสียดายวันนี้ฝนตก” และคำพูดของพี่แดนก็ทำให้ผมละสายตาจากกระจกด้านหน้าที่มีหยาดฝนตกกระทบเป็นสาย แล้วหันกลับไปมองใบหน้าคมที่มองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว

 
“จำถนนข้างหลังรีสอร์ทที่เราผ่านมาเมื่อเช้าได้ไหมครับ” ผมพยักหน้า พี่แดนเลยพูดต่อ

 
“ตอนกลางคืนเขามีตลาดโต้รุ่งนะ” พี่แดนพูดกลั้วขำ ทำให้ผมอดที่จะยิ้มตามไม่ได้เมื่อรู้ว่าที่พี่แดนพูดมันหมายความว่าอะไร

 
“แล้วมีร้านโจ๊กไหมครับ?”

 
“เจ้าดังเลยล่ะ”   



TBC
หัวข้อ: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่.. EP29 - hold me, please P.3 [9.9.2020 UP!]
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 09-09-2020 16:35:32
EP29 - hold me, please






“แดนคะ” น้ำเสียงหวานๆที่มาพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินตรงเข้ามาทำให้ผมต้องเงยหน้าจากจานอาหารเช้าขึ้นมอง


“คุณลุงคุณป้าสวัสดีเจ้า” เธอยิ้มหวานก่อนจะหันหลังกลับไปรับตะกร้าใส่ของฝากจากคนที่เดินตามมาข้างหลัง


“ไหว้พระเตอะลูก หนูแก้วลุกกรุงเทพมาเมื่อใดหย่ะ”


“ตะวาวันซืนเจ้าป้า นี่จ้าว แก้วซื้อขนมมาฝากคุณลุงคุณป้าตวย”


“ขอบใจมากลูก แล้วหนูกินอะไรมาหรือยัง?” แม่เอื้องเอ่ยถามคนที่เดินอ้อมเก้าอี้ไปทิ้งตัวลงข้างๆพี่แดนเหมือนเป็นความเคยชิน ผมก็ได้แต่มองโดยที่ไม่ได้ทักทายอะไรออกไป เพราะดูเหมือนเธอจะไม่เห็นผม หรือจริงๆคือไม่ได้ใส่ใจมากกว่า


“ยังย่ได้กินเตื่อจ้าว ตั้งอกตั้งใจมาฝากต้องตี่บ้านป้านี่เลยเจ้า” เธอหัวเราะน้อยๆท้ายประโยคด้วยท่าทางน่ารัก แม่เอื้องก็ยิ้มรับก่อนจะสั่งให้แม่บ้านไปเตรียมข้าวต้มมาให้เธออีกคน


“วันนี้แดนว่างไหมคะ? แก้วว่าจะขอเข้าไปดูตัวอย่างผ้าที่ร้านหน่อยค่ะ” เธอหันไปถามคนที่เพิ่งวางช้อนลงในชาม พี่แดนยกน้ำขึ้นดื่มก่อนจะตอบ


“ถ้าเรื่องผ้าตัดยูนิฟอร์มของพี่กานต์แก้วเข้าไปคุยกับพี่ปุ๊กได้เลยครับ”


“แล้วแดนล่ะคะ”


“วันนี้แดนจะพาตังไปที่ไร่พี่ธาร” พี่แดนพูดก่อนจะหันมา ผมเลยได้แต่ยิ้มเจื่อนเมื่ออีกคนที่หันตามมาทำหน้าเหมือนเพิ่งเห็นว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย


“น้องคนนี้…” เธอทำท่าคิดก่อนจะพูดต่อ


“อ๋อ ที่เจอกันที่คลีนิกใช่ไหมคะ?” เธอถาม


“ครับ สวัสดีครับพี่แก้ว” ผมพยักหน้าก่อนจะเอ่ยทักทายเธอเพื่อไม่ให้เสียมารยาท


“สวัสดีค่ะ ว่าแต่ไปไร่พี่ธารเหรอคะแดน ช่วงนี้เป็นฤดูเก็บส้มนี่นา แก้วขอไปด้วยได้ไหมคะ?” เธอหันไปจับต้นแขนพี่แดนเขย่าเบาๆเหมือนเป็นการอ้อนกรายๆ ผมที่ไม่รู้จะพูดหรือทำอะไรได้ก็เลยต้องก้มหน้าลงมองถ้วยข้าวต้มของตัวเองเพราะไม่อยากยกมือถือขึ้นมาเล่นบนโต๊ะอาหารที่มีผู้ใหญ่นั่งอยู่ด้วย


“แดนไปหลายวันครับ”


“แก้วกลับเองก็ได้ค่ะ เดี๋ยวให้ลุงหนันไปรับ”


“พี่กานต์จะไม่ว่าเอาเหรอครับแก้ว?”


“ไม่ว่าหรอกค่ะ นะคะแดน นะ” ยิ่งผมไม่อยากที่จะสนใจหูมันก็ยิ่งได้ยินเสียงของเธอได้ชัดเจน ฝ่ามือเล็กๆยังคงเขย่าต้นแขนแกร่งเบาๆ ยิ่งน้ำเสียงอ้อนๆอย่างน่ารักนั่น ผมบอกตามตรงเลยว่าผมไม่ชอบ ไม่ชอบมากๆเลยด้วย


“คุณป้าจ้าว” 


“เอาๆ หมู่สูก็ตกลงกันเองเตอะลูก แม่กับป้อขอตัวไปเตียวย่อยหน่อยหนึ่ง”  แม่เอื้องพูดพลางยิ้มน้อยๆ


“ไปเตอะแม่ แหมปึ๊ดขึ้นไปฮับอ้ายคอตตอนตวย” พ่อเลี้ยงชลธีเอ่ยก่อนจะจูงมือภรรยาเดินออกไปจากโต๊ะอาหาร


“งั้นเดี๋ยวผมขอตัวขึ้นไปเอากระเป๋าก่อนนะครับ” ผมตัดบท จะเอายังไงกันก็เอาเถอะ แต่ผมไม่อยากอยู่ในสถาณการณ์แบบนี้แล้วไง เชิญอ้อนกันไปให้พอใจเลย


“ตัง” ผมหยุดชั่ววินาทีเมื่อได้ยินเสียงพี่แดนเรียก แต่ก็ตัดสินใจเดินต่อไปเพราะรู้ตัวดีว่าไม่สามารถกำจัดอารมณ์งี่เง่าของตัวเองได้หมดในตอนนี้


ผมเดินกลับลงมาด้านล่างเมื่อถึงเวลาที่เราจะออกเดินทาง แล้วก็เป็นแบบที่คาดเมื่อผมเห็นพี่แก้วยังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่ห้องรับแขก เธอเงยหน้าขึ้นมองแต่พอเห็นว่าเป็นผมก็ก้มหน้าลงเล่นโทรศัพท์ต่อโดยไม่ได้พูดอะไร


“ลงมาไม่รอพี่เลยครับ” พี่แดนเดินมาวางมือลงบนไหล่ผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มอย่างเคย แต่ถึงอย่างนั้นอารมณ์งี่เง่าของผมมันก็ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง เลยอดไม่ได้ที่จะหันไปบอกด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะดัง โดยที่ก็ลืมไปว่าอาจจะมีคนกำลังสนใจมองเราอยู่


“ก็ตังไม่รู้ว่าพี่แดนจะไป..” แต่ก็พูดไม่ทันจบเมื่อนิ้วชี้เรียวยาวของพี่แดนถูกส่งมาทาบไว้บนริมฝีปากของตัวเอง ผมชะงักก่อนจะปัดมือพี่แดนออกแบบไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นนาทีที่กระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก ผมเงยหน้ามองพี่แดนโดยที่ดวงตาคมนั้นก็มองตอบกลับมา ความรู้สึกอึดอัดแปลกๆทำให้ผมหลุบตาลงก่อนจะเอ่ยขอโทษออกไปเสียงแผ่ว


“ขอโทษครับ”  ให้ตายเถอะ ผมไม่ชอบความรู้สึกตอนนี้เลยจริงๆ แต่พี่แดนกลับส่ายหัวก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะถูกส่งมาวางบนหัวผมแล้วขยี้เบาๆเหมือนเคย


“พี่ก็ขอโทษครับ” ผมเงยหน้าขึ้นทั้งๆที่ฝ่ามือกว้างยังวางอยู่บนหัว และดวงตาคมที่อ่อนแสงลงก็ทำให้ผมรู้ว่าพี่แดนก็ยังคงเป็นพี่แดนที่ใจดีกับผมเสมอ ใจดีไม่เคยเปลี่ยนเลย


“แก้วว่าเราไปกันเลยดีไหมคะ?”


“ครับ” เสียงพูดที่ดังขึ้นทำให้ผมกับพี่แดนผละออกจากกันเล็กน้อยก่อนที่พี่แดนจะตอบรับและวางมือลงบนไหล่ผมพลางรุนหลังให้เดินออกไปพร้อมกันจนถึงรถที่จอดรอไว้ที่หน้าบ้าน แล้วก็ไม่ลืมที่จะหันหลังไปบอกคนที่ตามมาด้วย


“แก้วนั่งข้างหลังดีกว่าครับ จะได้เป็นเพื่อนคุยกับพี่บีนะ”


เราแวะรับพี่บีที่หน้าบ้านก่อนจะมุ่งหน้าออกนอกเมืองทันที จะว่าไปก็อดจะขำกับโมเม้นต์กระอักกระอ่วนตอนพี่บีเปิดรถมาเจอพี่แก้วไม่ได้ ดูก็รู้ว่าคงจะไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไหร่
 



ผมละสายตาจากท้องฟ้าสีเข้มหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังขับรถ แต่แอบมองได้ไม่นานก็ถูกจับได้ซะแล้ว พี่แดนหันมามองผมก่อนจะส่งยิ้มน้อยๆมาให้แล้วเอ่ยถาม


“อยากแวะตรงไหนไหม?”


“ไม่ครับ”


“แล้วพี่บีกับแก้วล่ะครับ?”


“ไม่ล่ะค่ะ” เป็นครั้งแรกที่แทบจะประสานเสียงกันตอบเลยทีเดียว


ผมหันหน้าออกไปมองที่หน้าต่างด้านข้างอีกครั้งเมื่อในรถกลับมาเงียบไม่มีเสียงพูดคุยอะไรเหมือนเคย และเพราะออกมานอกเมืองได้ซักพักแล้วรถที่วิ่งบนถนนก็เริ่มบางตาลง สองข้างทางเริ่มสับเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าบ้างสวนผลไม้พื้นเมืองบ้าง สีเขียวๆที่ตัดสลับไปมามองแล้วก็เพลินตาดีเหมือนกัน


“ถ้าง่วงก็นอนได้เลยนะ” ผมไม่ได้ตอบรับอะไรออกไปจนกระทั่งฝ่ามือกว้างของพี่แดนมาวางลงบนหัวแล้วขยี้เบาๆ


“ไม่ง่วงครับ” ผมตอบ แต่อยู่ๆก็มีความรู้สึกเหมือนเบาะที่นั่งโดนดึงจากข้างหลังก่อนที่จะมีหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างหลังโผล่มา


“แดนคะ แก้วว่าจะถาม โอ๊ย” อยู่ดีๆพี่แก้วก็ร้องออกมาทำให้ผมต้องเอี้ยวตัวไปมองว่าเกิดอะไรขึ้นโดยที่พี่แดนก็มองผ่านกระจกมองหลัง


“นั่งหนิ๋มๆน้อยคะ แหมเดียวน้องแดนเบรกทีกะปุ้งทะลุกระจกไปปุ้นเนาะ”


“แก้วกำลังคุยกับแดนอยู่นะคะพี่บี”


“นั่งอู้ดีๆแดนเขาก่อได้ยิน บ่าต้องเสนอหน้าขนาดนั้นกะได้ค่ะ”


แล้วเรื่องมันก็จบตอนที่อีกคนถอนหายใจอีกคนยกยิ้มมุมปากแล้วก็นหันหน้ากันไปคนละทาง ส่วนผมก็เอี้ยวตัวกลับมานั่งเหมือนเดิม


“กดเปลี่ยนเพลงให้พี่หน่อยได้ไหมครับ?” อยู่ๆคนที่กำลังขับรถก็หันมาบอกด้วยเสียงไม่ดังนัก ผมพยักหน้าก่อนจะจรดปลายนิ้วลงที่จอทัชสกรีน แล้วเลื่อนๆดูไปเรื่อยๆ พลางเอ่ยถามออกไปเมื่อตัดสินใจไม่ถูก
 

“เพลงอะไรดีอ่ะ”


“ตามใจตังเลย” และคำตอบที่ได้ก็ทำให้ผมตัดสินใจกดเข้าเพลย์ลิสต์ที่พี่แดนชอบฟังอยู่บ่อยๆจนเจ้าตัวหันมายิ้มตาปิดใส่ผม


“ใจตรงกับพี่เหรอครับ”


ก็ไม่รู้ยังไงหรอก แต่..ไอ้อารมณ์ขุ่นๆมัวๆมันหายไปไหนหมดแล้ววะ!




จากที่ขับรถออกมาได้เกือบ2ชั่วโมง เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางกันซักที ผมอดจะตื่นตาตื่นใจกับสองข้างทางที่เห็นอยู่ตอนนี้ไม่ได้ ยอมรับเลยว่าไม่เคยเห็นสวนผลไม้ที่ใหญ่มากขนาดนี้มาก่อน มันแบบดูสุดลูกหูลูกตาไปหมด


“เตรียมตัวไว้เลยครับน้องคนงานใหม่” พี่แดนพูดก่อนจะหัวเราะเบาๆเมื่อผมยู่หน้าใส่ จะว่าไปก็อยากลองเก็บดูเหมือนกันแฮะ มันดูน่าสนุกดีเหมือนกัน แต่ผมคงเก็บแล้วปอกใส่ปากมากกว่าจะเก็บใส่ตะกร้าเหมือนชาวบ้านเค้า


พอพ้นเขตไร่ส้มขึ้นมาก็เป็นสวนดอกไม้กว้างๆ มีดอกไม้หลากหลายสีสันก่อนจะเห็นบ้านทรงไทยประยุกต์ตั้งอยู่ไม่ไกล และก็ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่พี่แดนก็พาพวกเรามาหยุดรถตรงหน้าบ้านหลังนั้น


“มากันแล้ว” เสียงทักทายดังขึ้นจากคนที่เดินมาหยุดยืนที่หน้าบ้านพร้อมรอยยิ้มสวย ในวงแขนของเธอก็กำลังอุ้มเด็กหญิงแก้มยุ้ยน่าตาจิ้มลิ้มน่ารักอยู่ด้วย


ผู้หญิงคนนี้…


“สวัสดีครับเอื้อยบัว”


 อ่า...ผมจำเธอได้แล้ว เป็นเธอเองที่ส่งธูปให้กับผมในตอนนั้นก่อนที่ผมจะหมดสติไปแล้วได้เจอกับท่านเทวดาเป็นครั้งสุดท้าย


“อาแดน น้าบี” เด็กน้อยยิ้มร่าแล้วดิ้นขลุกขลักเพื่อให้คนเป็นแม่ปล่อยเธอลงยืนกับพื้นก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาหาพี่แดน


“ไงคะคนสวย” พี่แดนทักทายก่อนจะอุ้มเด็กหญิงแก้มยุ้ยขึ้นมา แต่พอพี่บียกแขนขึ้นทำท่าจะอุ้มเด็กน้อยก็รีบโผเข้าอ้อมแขนเล็กๆทันทีจนพี่แดนต้องรีบส่งให้


“น้าบีๆ เหนือคิดถึงน้าบีที่ฉุด” เด็กน้อยว่าทำให้คนเป็นน้าต้องให้รางวัลด้วยการหอมแก้มยุ้ยๆนั่นทั้งสองข้าง


“น้าบีก็คิดถึงน้องเหนือค่ะ” 


“แล้วไม่คิดถึงอาแดนเหรอครับ” พี่แดนเย้าด้วยรอยยิ้มทำให้เด็กน้อยต้องรีบแก้ตัว


“คิดถึงอาแดน คิดถึงน้าบี คิดถึงฉองคนเลย”


“แล้วเมื่อไหร่คนสวยของน้าจะพูดสอเสือชัดซักทีคะ” พี่บีพูดแล้วหัวเราะทำเอาคนเป็นแม่ต้องหัวเราะตาม


“เปิ้นก็สอนจนบ่ฮู้จะสอนจะใดละบี” 


“แหมน้อยเข้าโฮงเฮียนแล้วก็สีท่าจะอู้ชัดขึ้นมาผ่องน่ะล่ะ”


“เอื้อยบัวสวัสดีเจ้า”


“อ่าว น้องแก้ว บ่ได้ปะกั๋นเมินเลยหนาคะ เป๋นจะใดมาจะใดนิ” พี่บัวรับไหว้พี่แก้วก่อนจะทำหน้างงเล็กน้อย


“ยุ่งๆหลายเรื่องจ้าว แดนเขาก็ยุ่งเลยบ่ค่อยได้มาตวยกั๋นเลยเจ้า” พี่บัวพยักหน้ารับคำตอบพร้อมยิ้มน้อยๆก่อนที่จะเหลือบสายตามองมาที่พี่แดน


“อ่า...พี่บัว นี่ตังครับ คือคนที่แดนจะพามา” พี่แดนตอบสายตานั้นเป็นภาษากลางก่อนจะวางมือลงบนไหล่ จนผมต้องรีบยกมือไหว้ทักทายพี่เขา


“สวัสดีครับ”


“สวัสดีค่ะ” พี่บัวส่งยิ้มสวยให้ผม แต่กลับหันไปบอกกับพี่แดนในประโยคถัดมา


“น่ารักนะคะ”


อา..ตอนนี้ผมควรจะทำหน้ายังไงนะ คือ พี่เขาหมายถึงผมเหรอ?


“มากันเหนื่อยๆขึ้นไปพักกันก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวพ่อเลี้ยงกลับมาจะได้กินกลางวันกันค่ะ น้องเหนือมากับคุณแม่เร็ว เดี๋ยวเราพาพี่คนสวยไปดูห้องกันนะคะ” เธอพูดแล้วเตรียมจะไปอุ้มลูกสาวตัวอวบของเธอจากพี่บี แต่เด็กน้อยส่ายหน้าก่อนจะกอดคอพี่บีแน่น


“ไม่เอา เหนือจะอยู่กับน้าบี”


“จ่างเตอะบัว ตั๋วไปเตอะ เปิ้ลจะผ่อหลานหื้อ”


“คืนนี้น้าบีนอนกับน้องเหนือนะคะ” เด็กน้อยอ้อนเสียงใส ทำเอาคนเป็นน้ายิ้มหวาน


“ได้สิคะ” พี่บีหอมแก้มยุ้ยๆไปฟอดใหญ่ เอาจริงๆผมก็อยากจะหอมบ้างเหมือนกันนะเนี่ย ว่าไปก็คิดถึงน้องต่อซะแล้วสิเนี่ย
 

“แดน หื้อตังนอนห้องปี้กะได้หนา ห้องปี้ กว้างกว่าห้องแขกปะเล้อจะได้บ่อึดอัด”


ผมแยกกับพี่แดนเมื่อเขาเดินมาส่งที่หน้าห้องของพี่บี แต่ก่อนจะแยกกันพี่แดนก็ไม่ลืมที่จะชี้ให้ดูว่าห้องพี่เขาอยู่ตรงไหนก่อนจะนัดเวลากันว่าจะลงไปข้างล่างตอนกี่โมง ผมวางกระเป๋าเป้ลงที่ข้างโต๊ะเครื่องแป้ง ประตูระเบียงถูกเปิดเอาไว้จนมองเห็นสวนดอกไม้กว้าง รวมถึงไร่ส้มที่มองเห็นจนสุดลูกตา ผมเดินออกไปยืนดูได้ซักพักก็ต้องล่าถอยเข้ามาเปิดแอร์แล้วทิ้งตัวนอนบนเตียงกว้าง เพราะวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสแดดแรงขนาดนี้มันก็ร้อนเอามากๆด้วย


ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหนมารู้สึกตัวก็ตอนที่ได้ยินเสียงเหมือนมีคนไขกุญแจแล้วเดินเข้ามา แต่ส่วนของที่นอนที่หลบมุมจากประตูทำให้มองไม่เห็นว่าเป็นใคร หรือผมแค่หูฝาด หรือเป็นเจ้าของห้องเขาจะเข้ามาเอาอะไรหรือเปล่านะ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาควรจะเคาะประตูเรียกผมไม่ใช่เหรอ


ผมเหวี่ยงเท้าลงจากเตียงก่อนจะเดินตรงไปที่ประตู มันยังปิดล็อคอยู่ เพียงแต่ประตูห้องน้ำทางด้านขวามันกลับเปิดออก หัวใจผมเริ่มเต้นแรงขึ้นอย่างหวาดๆ มาถึงครั้งแรกก็จะโดนดีเลยเหรอวะ ?


คิดได้ก็รีบคว้าลูกบิดประตูเตรียมจะวิ่งออกไป แต่อยู่ๆก็มีวงแขนมากอดเอวผมไว้จากข้างหลังแล้วดึงกลับเข้ามาในห้องอย่างเร็ว จะอ้าปากร้องก็ร้องไม่ออก แต่พอตั้งสติได้ก็กระทืบเท้าลงข้างหลังอย่างแรงจนวงแขนปริศนานั้นปล่อยออกจากเอวผมทันที ผมรีบหันไปเผชิญหน้าแล้วผลักมันออกอย่างแรงก่อนจะยืนหอบด้วยความตกใจได้เพียงครู่เดียว ไอ้มนุษย์ปริศนาก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี


ผมชี้หน้ามัน ในขณะที่มันก็ชี้หน้าผมกลับมา แม่งเอ้ย!


ทำไมการได้เจอกับมันทุกครั้งของผมแม่งไม่เคยมีโมเม้นต์ดีๆเหมือนกับคนอื่นเขาบ้างวะเนี่ย ผมถอนหายใจหน่ายๆก่อนจะถอยไปยืนพิงโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ด้านหลังตัวเอง และเป็นเพราะผมรู้จักมันอยู่แล้วเลยทำให้ผมตั้งสติได้ก่อนมันที่ตอนนี้ทำตาโตเหมือนกับเจอผี


“มึง...เป็นใครวะ?”


“กูชื่อตัง” ผมแนะนำตัว มันพยักหน้าก่อนจะเสยผมแล้วเท้าแขนไปด้านหลังโดยที่สายตามันก็ยังกำลังสำรวจหน้าผมอยู่


“แล้วมึงเข้ามาทำอะไรที่ห้องบี?” คำถามของมันทำให้ผมเลิกคิ้วขึ้น บีเลยเหรอไอ้ฟ้า ปีนเกลียวจังนะมึง


“พี่บีให้กูมานอนห้องนี้” ผมเน้นคำ มันหรี่ตาลงน้อยๆเหมือนกำลังประมวนผลอะไรอยู่ในสมอง แต่ก่อนที่ผมกับมันจะได้คุยอะไรกันต่อเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นจนทั้งผมทั้งมันต้องหันไปมองพร้อมกัน


“ตัง” และเสียงเรียกที่ตามมาก็เฉลยให้รู้ว่าเป็นพี่แดนเองที่เป็นคนเคาะประตู แต่ก่อนที่ผมจะได้ขานรับ ไอ้ฟ้ามันก็เด้งตัวลุกขึ้นจากที่นอนมายืนอยู่ตรงหน้าผม กอดอกแล้วก้มหน้าลงมาใกล้จนผมผงะถอยหลัง แต่ก็ไปไหนไม่ได้เพราะติดโต๊ะเครื่องแป้งที่ตัวเองยืนพิงอยู่เมื่อครู่


“ตังครับ อยู่ในห้องหรือเปล่า?” อยู่ๆไอ้ฟ้ามันก็ยักยิ้มมุมปาก สายตามันเริ่มวิบวับแปลกๆจนผมต้องออกแรงผลักมันออกจากตัวอย่างเร็ว


“ครับ” ผมขานรับพลางเดินไปเปิดประตูโดยมีไอ้ฟ้ายืนกอดอกและมองผมทุกการกระทำโดยที่ไม่ขยับไปไหน 


“นอนอยู่เหรอครับ” พี่แดนยิ้มมุมปากน้อยๆก่อนที่จะวางมือลงบนหัวและลูบผมให้ ไอ้นอนก็ใช่ครับ แต่ที่หัวยุ่งนี่เพราะฟัดกับหมามานิดหน่อยมากกว่า


“พี่ธารมาแล้วเหรอครับ” ผมถาม พี่แดนพยักหน้ารับแต่ยังไม่ได้พูดอะไรก็มีเสียงพูดแทรกขึ้นมาก่อนจากด้านหลังผมเอง


“เอ้า ไม่มานอนด้วยกันต่อแล้วเหรอ..ครับ” มันเน้นคำว่าครับหนักๆแล้วมายืนฉีกยิ้มอยู่ข้างๆ ไอ้เหี้ยนี่กวนตีนผมอีกแล้วเนี่ย


“มาเมื่อใด?” พี่แดนพูดเสียงขรึม ไอ้ฟ้ามันยักไหล่ก่อนจะตอบ


“สักบึ๊ดล่ะ  หื้อลุงหนานสมมาส่ง” 


“แล้วเข้าไปได้จะใด?”  พี่แดนยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ไอ้คนถูกถามมันกลับหัวเราะ


“ไม่สืบสวนน้องตอนนี้น่า ผมเจ็ทแล็กนะขอนอนก่อน” ไอ้ฟ้าพูดก่อนทำท่าจะหันหลังกลับเข้าไปในห้องแต่ก็ไม่ทันเมื่อฝ่ามือกว้างของพี่แดนเกี่ยวคอเสื้อมันจากข้างหลังแล้วลากมันออกมาซะก่อน


“ห้องมึงอยู่ตรงนู้น”


“กับน้องนี่โหดจัง ไม่มีเสียงสองเสียงสามเลยเนอะ” มันจัดคอเสื้อตัวเองหลังจากที่พี่แดนปล่อยมือพลางบ่นด้วยน้ำเสียงกวนประสาทก่อนจะหันมายิ้มให้ผมอีกที


“ไปนอนต่อด้วยกันไหมครับ” แล้วก็ยังไม่เลิกกวนประสาทด้วยการเน้นคำสุภาพ ผมเลยได้แต่ถอนหายใจใส่อย่างหน่ายๆ พี่แดนไม่ได้พูดอะไรต่อแค่แตะฝ่ามือลงบนไหล่ผมก่อนจะดันเข้าให้กลับเข้าห้องแล้วตามเข้ามาด้วยกัน ผมได้ยินเสียงไอ้ฟ้ามันหัวเราะไปพร้อมๆกับเสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินออกไปก่อนที่ประตูห้องจะปิดลง ก็เนี่ยนะ เจอมันกี่ครั้งก็ยังกวนตีนไม่เคยเปลี่ยน


“เมื่อกี้” พี่แดนเกริ่น


“มันชื่อน่านฟ้า น้องชายพี่เอง”


“มันค่อนข้างจะกวนประสาทนิดหน่อย” พูดมาถึงตรงนี้ผมเลยหัวเราะก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ


“ตังก็ว่างั้น” ผมพูดกลั้วเสียงหัวเราะ พี่แดนถอนหายใจก่อนที่จะยิ้มตาม


“ที่หลังเข้าห้องแล้วล็อคด้วยนะครับ” คำพูดของพี่แดนเรียกให้ผมขมวดคิ้วเล็กๆ


“ตังล็อคแล้วนะ แต่ไอ้...เอ่อ น่านฟ้ามันไขกุญแจเข้ามา” แต่หลังจากที่พูดจบกลับเป็นพี่แดนที่ขมวดคิ้วจนเป็นปม ก่อนทำท่าจะเดินออกไปจนผมต้องดึงแขนไว้ก่อน


“ไปกินข้าวกันก่อนไหมครับ?” พี่แดนหยุดอยู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าเบาๆแล้วยอมเดินตามแรงดึงของผม แล้วเป็นฝ่ายเลื่อนฝ่ามือกว้างมาจับมือผมไว้ซะเองแล้วเดินไปด้วยกัน



บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเสียงหัวเราะบ้างเวลาที่น้องเหนือพูดเจื้อยแจ้วน่ารัก พี่ธารหรือพ่อเลี้ยงนทีธารก็มีบรรยากาศเหมือนกับที่ผมเคยเจอในตอนนั้น และถึงเขาจะเป็นคนเคร่งขรึม พูดน้อย แต่ก็เป็นสามีและคุณพ่อที่อบอุ่นมาก


แต่ก็นั่นแหละ เรียบง่ายยังไงมันก็มีจุดที่ผมแอบเซ็งอยู่เหมือนกันแหละ อย่างเช่นว่าก็มีคนที่เหมือนจะยึดพี่แดนไว้คุยกับตัวเองคนเดียวอยู่คนหนึ่ง ผมก็ไม่รู้จะทำอะไรก็นั่งกินข้าวไปเหลือบมองคนนู้นคนนี้ไปเรื่อยเปื่อย สบตากับพี่บีบ้างเป็นบางครั้ง แต่พี่เขาก็ละสายตาไปอย่างไม่มีอะไรทุกครั้งที่หลานสาวตัวน้อยเรียกให้สนใจ 


“น้องตังชอบน้ำตกไหมคะ?” เป็นพี่บัวที่เอ่ยถามผมด้วยรอยยิ้ม


“ชอบครับ”


“ที่ท้ายไร่เรามีน้ำตกนะคะ ถึงจะไม่ใหญ่แต่ก็สวย”


“แดนก็พาน้องไปสิ” เป็นพี่ธารที่พูดต่อจากภรรยา ผมก็เลยได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เพราะไม่รู้ว่าพี่แดนได้ยินที่พ่อเลี้ยงเขาบอกหรือเปล่า


“ผมจะชวนน้องอยู่แล้วครับ” เสียงคนที่นั่งอยู่ซ้ายมือผมตอบ ผมไม่ได้หันไปจนกระทั่งพี่เขาพูดต่อ


“งั้นซัก 4 โมงเราไปกันไหม?”


“แก้วไปด้วยนะคะ ดีจังที่เอาเสื้อผ้ามาเผื่อด้วย กะแล้วค่ะว่าแดนต้องพาไปน้ำตกแน่ๆ” คนที่พูดต่อทำให้ผมมองเลยไปถึงต้นเสียง พี่แก้วพูดจบก็ยิ้ม ผมหันหน้ากลับมาที่เดิมแล้วก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆให้กับพี่บัวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วผมตอบตัวเองในใจ แต่ก็อดรู้สึกงี่เง่านิดๆไม่ได้ที่พี่แก้วพูดเหมือนกับว่าคุ้นเคยกับที่นี่และรู้ใจพี่แดนทุกอย่าง เพราะมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอก แต่มันก็รวมถึงทุกเรื่องที่เธอพูดออกมาตั้งแต่เราเดินมานั่งที่โต๊ะนี่แหละ


“ได้ยินแว่วๆ จะไปไหนกันเหรอ?” ไอ้คนมาใหม่มันเดินมาหยุดที่ข้างโต๊ะอาหาร ปากก็พูดไปส่วนมือก็ลูบหัวหลานตัวน้อยที่ยังยึดตักพี่บีอยู่ไม่ไปไหน


“หล่ายต่า” พี่ธาารตอบ มันพยักหน้าก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างข้างๆพี่บี แล้วเอาส้อมในจานพี่บีจิ้มหมูทอดมาใส่ปากตัวเอง


“บีเติมข้าวหน่อยฟ้าหิว”  ผมเงยหน้าไปมองคนที่พูด พี่บีถอนหายใจก่อนจะหอมแก้มหลานสาวตัวน้อยแล้วกระซิบอะไรซักอย่าง น้องเหนือพยักหน้ารับก่อนจะยอมลงจากตักพี่บีแล้ววิ่งไปอ้อนคุณพ่อขาแทน ส่วนพี่บีก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบโถใส่ข้าวที่ป้าแม่บ้านวางไว้ที่โต๊ะริมประตู ก่อนที่จะมาตักลงในจานข้าวของตัวเองที่ตอนนี้โดนไอ้ฟ้ายึดไปแล้ว

 
“เมื่อใดจะเป๋นคนใหญ่น่านฟ้า”  พี่ธารพูดแบบหน่ายๆ แต่ไอ้คนที่นั่งเคี้ยวข้าวเต็มปากก็ดูจะไม่สนใจอะไร ก่อนที่พี่ธารจะเปลี่ยนเป้าหมายมาหาพี่บีแทน


“บีก่อไปตวยใจ๋มันตลอด”

 
“ตวยใจ๋ฟ้าคนเดียวมันก่อถูกแล้ว” ไอ้คนที่ก้มหน้าก้มตากินมันเงยขึ้นมาตอบก่อนจะหันไปฉีกยิ้มใส่พี่บีที่ทำหน้าดุใส่แต่มันก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย





(ต่อข้างล่างนะคะ มันยาวเกินโพสต์ไม่พอค่ะ)


หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่.. EP25- Cupid Cotton P.3 [9.9.2020 UP!]
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 09-09-2020 16:36:26
เราแยกกันไปเตรียมตัวเมื่อนัดเวลากันเสร็จสรรพ สรุปว่ามีสมาชิกที่ไปทั้งหมด 5 คน คือ ผม พี่แดน ไอ้ฟ้า พี่แก้ว และ พี่บีที่ดูไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่เพราะอยากอยู่บ้านเล่นกับหลานจนพี่บัวต้องคะยั้นคะยอให้ไปเที่ยวบ้าง แต่ผมว่าเอาจริงๆที่พี่บีไปน่าจะเป็นเพราะรำคาญไอ้ฟ้ามากกว่า


ผมเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นก่อนจะหยิบแค่โทรศัพท์มือถือติดมือลงมาด้วย ว่าจะออกไปเดินเล่นรอบๆบ้านรอเวลา แต่พอเดินออกไปทางข้างบ้านก็เห็นสองพี่น้องเขายืนคุยอะไรกันอยู่ก่อนแล้ว


“กำนี้จะไปหยะแหมซ้ำหนา” พี่แดนพูดเสียงขรึมดูจริงจัง ผมเลยหยุดเดินเพราะไม่อยากเข้าไปแทรก


“ฮู้แล้วครับ ฮู้แล้วๆๆ ฮู้แล้ววว” แต่น่านฟ้ายังไงก็เป็นน่านฟ้าแหละครับ มันยังคงตอบรับแบบไม่จริงจังเท่าไหร่ พี่แดนถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ และคำพูดนั้นก็เหมือนตอกขาผมให้หยุดอยู่กับที่เมื่อเริ่มจะรู้แล้วว่าเขาคุยกันเรื่องอะไรอยู่


“ถ้าคนตี่อยู่ในห้องเป๋นคนอื่นจะหยะจะใด ยิ่งถ้าเป๋นแม่ญิ๋งแหมซ้ำ”


ลองคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว มันก็จริงอย่างที่พี่แดนพูด ถ้าเป็นผู้หญิงมันคงจะไม่ดีแน่ๆ แต่ถึงแม้จะเข้าใจ แต่หัวใจมันเริ่มหน่วงขึ้นมาแล้ว และยิ่งได้ยินชื่อของคนที่รบกวนจิตใจอยู่ตลอดเวลาในตอนนี้ มันก็อดที่จะงี่เง่าไม่ได้


“อ้ายหมายถึงปี้แก้ว?”


“เคสนี้ว่าจะนั้นมันก่อแม่น”


จริงๆแล้วพี่ไม่ได้ห่วงว่าจะเป็นคนอื่นหรือใครที่ไหนใช่ไหม พี่ก็แค่หวงเพราะเป็นเขา ความรู้สึกอึดอัดมีตีตื้นขึ้นมาแน่นอยู่ในอก เมื่อรู้ว่าความห่วงหวงนั้นมันไม่ได้เป็นของผมเหมือนในตอนนั้นอีกแล้ว


ก็ใช่สิ ตอนนี้เราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่นะ

ไม่ใช่แฟน

ไม่ใช่คนที่รู้จักคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก

จะเอาอะไรกับคนที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่ถึง 2 เดือนล่ะจริงไหม ?


ผมสูดหายใจลึกๆก่อนที่จะตัดสินใจเดินกลับไปอีกทางโดยไม่สนใจจะฟังสิ่งที่พี่น้องเขาคุยกันอีกแล้ว ใจมันปวดจนอึดอัด ร้อนที่เบ้าตาจนต้องเงยหน้าขึ้น แต่อยู่ๆเสียงโทรศัพท์ที่กำไว้ในมือก็ดังขึ้น พอเห็นว่าเป็นใครโทรมาผมก็กดรับอย่างไม่ลังเล


“ไอ้ป่าน” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีที่รับ พวกมันมักจะมาถูกเวลาเสมอ ผมก้าวเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆในขณะที่ก็ฟังในสิ่งที่มันเล่าไปด้วย มันเล่าเรื่องที่ฝึกงานให้ฟังโดยที่เมนหลักก็คือนินทาฝาแฝดตัวเองน่ะแหละ


“จริงป่ะ” ผมถามพลางหัวเราะเบาๆ แต่ก็ไม่รู้ทำไมไอ้ป่านถึงเงียบเสียงลง


‘มึงกำลังไม่โอเคใช่ไหม?’


ผมพยักหน้าทั้งๆที่ก็รู้ว่ามันไม่เห็น ปลายจมูกที่ปวดหนึบทำให้ผมต้องสูดหายใจเข้าก่อนที่จะตอบ


“อื้อ” และก็เลือกที่จะบอกความรู้สึกของตัวเองโดยไม่ได้ปิดบังอะไร


“อย่าบอกไอ้ปอนะ” ผมสำทับ มันถอนหายใจ


“เออ สัญญาว่ากลับไปแล้วจะเล่าให้ฟัง” ผมตอบรับสิ่งที่มันถาม ก่อนจะสูดหายใจแรงๆแล้วหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อถูกมันกวนประสาทเหมือนเคย


“น้องพ่องสิ เออ แค่นี้” ผมวางสายก่อนที่จะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงแล้วนั่งลงบนเก้าอี้เหล็กใต้ต้นไม้ใหญ่ สายลมที่พัดเบาๆทำให้ผมหลับตาลงก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้


มีโอกาสแล้วก็ต้องพยายาม เทวดาองค์หนึ่งเคยสอนผมเอาไว้แบบนั้น แต่ถ้าพยามแล้วไม่มีประโยชน์ มันก็ควรต้องพอได้แล้ว ใช่ไหมท่านเทวดา


ผมหลับตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาใกล้ พอลืมตาขึ้นก็เป็นพี่แดนที่กำลังยืนมองผมอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาคมนั้นที่ทอดมองมา ผมเดามันไม่ออกแล้วว่าเจ้าขอมันมีความรู้สึกแบบไหน อาจจะเป็นเพราะเข้าใจในความรู้สึกอีกด้านมันเลยทำให้ผมไม่กล้าเข้าข้างตัวเองอีกแล้วมากกว่า


“อยู่นี่เอง”


“ขอโทษครับ จะไปกันแล้วใช่ไหม?” ผมตอบก่อนจะรีบดีดตัวลุกขึ้นยืนโดยที่ไม่ได้สบตากับคนที่ยังยืนอยู่แล้วเดินเลี่ยงจากกรอบสายตาเขา


“ตัง”


“ไปเถอะครับ เดี๋ยวคนอื่นรอ” ผมตัดบทก่อนจะเดินล่วงหน้ามาก่อน

 
ทุกคนรออยู่ตามที่คาด ผมเอ่ยขอโทษทุกคนก่อนจะเลือกเปิดประตูด้านหลังของรถกระบะ 4WD ที่เป็นพาหนะที่จะพาเราไปที่น้ำตกท้ายไร่ เป็นพี่บีที่ก้าวตามขึ้นมาและปิดท้ายด้วยไอ้ฟ้า พี่แดนมองมาเหมือนจะพูดอะไรซักอย่างแต่พอผมหันหน้าไปอีกทางเขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ และเมื่อผู้โดยสารคนสุดท้ายขึ้นมานั่งที่เบาะข้างคนขับ เราก็ได้ออกเดินทางกันซักที


แดดค่อนข้างจะร่มลงเยอะแล้วเมื่อเรามาถึง มันเป็นน้ำตกแค่ชั้นเดียวเล็กๆแต่มีแอ่งน้ำกว้างให้ได้เล่นน้ำอย่างสะดวก และมันก็สวยอย่างที่เจ้าของไร่เขาบอกเอาไว้จริงๆ


ผมนั่งลงก่อนที่จะเอาเท้าแช่ลงในน้ำ มันเย็นจนแอบสะดุ้งแต่ก็รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย ไม่ทันได้ถ่ายคลิปลงไอจีก็มีคนเดินมานั่งลงข้างๆ เป็นพี่แดนเหมือนเคยแต่มันก็คงจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีใครอีกคนตามมาด้วย


“แดนคะ เล่นน้ำกัน” เธอเอ่ยชวน


“แก้วลงก่อนได้เลยครับ แดนว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้อีกสักพัก” พี่แดนตอบ พี่แก้วพยักหน้าก่อนจะถอดเสื้อเชิ้้ตตัวใหญ่ออกแล้ววางไว้ข้างตัวพี่แดนเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงขาสั้นแล้วเดินลงน้ำไปจากตรงนั้น แต่ก็ไม่วายหันกลับมา


“ตามมาเร็วๆนะคะ”


ผมกับพี่แดนไม่ได้คุยอะไรกัน เป็นเพราะผมกำลังรวบรวมความกล้าที่จะพูดสิ่งที่มันอัดอั้นอยู่ในใจ ในขณะที่อีกฝั่งที่มองเห็นเป็นพี่บีที่โดนไอ้ฟ้าลากลงน้ำไปแล้ว มันหัวเราะชอบใจเมื่อโดนอีกคนต่อว่าเสียงดังแล้วโดนฝ่ามืออรหันต์ฟาดไหล่กว้างไปหลายที
 

“พี่/ผม” และบทจะพูดก็พูดออกมาพร้อมกันซะอย่างนั้น


“ตังพูดก่อนเลย” พี่แดนบอก แต่ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรน้ำที่กระเพื่อมอยู่ตรงหน้าก็ทำให้รู้ว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาข้างหน้า


“แดนคะ จำตรงนู้นได้ไหมที่แดนเคยห้ามไม่ให้แก้วกระโดดลงมา” เธอชี้ไปตรงโขดหินที่ผมกะความสูงได้ประมาณสองเมตร


“อ่า ครับ” คนที่นั่งข้างๆผมตอบรับ ส่วนคนที่ตัวเปียกปอนก็เผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า


“วันนี้แก้วขอขึ้นไปได้ไหม?” เธอถาม แต่เพราะพี่แดนไม่ได้พูดอะไรตอบเธอถึงพูดต่อ


“งั้นก็ไปเล่นน้ำด้วยกันสิคะ มาเที่ยวทั้งทีจะนั่งกันอยู่เฉยๆทำไม” ชั่วครู่นั้นพี่แก้วหันมามองหน้าผม ผมถอนหายใจก่อนจะเมินหน้าหนี โอเค ผมรู้ตัวว่าทำตัวแย่ใส่เธอ แต่ผมก็ไม่ชอบคำพูดของเธอเหมือนกัน


ไม่มีใครพูดอะไรก่อนที่พี่แก้วจะเดินกลับลงไปที่เดิม แล้วกำลังจะปีนขึ้นอีกฝั่งที่เธอชี้ให้ดูเมื่อครู่ มันเป็นช่วงเวลาที่เร็วมากหลังจากที่ผมได้ยินพี่แดนสบถออกมาเสียงดังแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแล้วพุ่งตัวลงน้ำไปทันที


และแค่เสี้ยวนาทีพี่แดนก็ขึ้นไปยืนอยู่บนโขดหินนั้นที่ใครอีกคนกำลังยืนอยู่ด้วยกัน และมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมเองก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากตรงนั้นเช่นเดียวกัน


ก็ไม่รู้จะเดินไปไหนหรอก แค่ไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว ตัวผมตอนนี้มันก็แค่ส่วนเกินดีๆนี่แหละ ยิ่งได้ยินเสียงของวัตถุบางอย่างที่ตกลงมากระทบน้ำพร้อมเสียงพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์ก็ทำให้ผมยิ่งสาวเท้าเดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว


“โอ้ย” ผมอุทานก่อนจะก้มหน้าลงไปดูที่เท้าเพราะดันโง่ไปเตะแง่หินที่โผล่ขึ้นมาจากดิน โชคดีที่มันไปถึงกับได้เลือด แต่แม่งเจ็บชิบ


“เหี้ยเอ้ย มึงนี่แม่งโง่จังวะ” ผมสบถกับตัวเองก่อนจะนั่งลงไปกับพื้นนั่นแหละ ตาที่เริ่มพร่าเลือนพร้อมจมูกที่เริ่มปวดทำให้ต้องสูดลมหายใจเข้าก่อนจะฟุบหน้าลงกับเข่าที่ชันขึ้นมากอดไว้ ไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่มันไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกผมมันดีขึ้นได้เลย


ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อเริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนที่เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะรีบปาดน้ำตาออกลวกๆ ก็ไม่รู้น้ำตามันมาจากไหนหนักหนาเอามือปาดเท่าไหร่ก็ไม่หมดเลยต้องดึงเสื้อขึ้นมาเช็ดแทน ไม่อยากจะพูดถึงสภาพ เละเทะไม่มีชิ้นดี


“ตัง” เสียงเรียกดังจากข้างหลัง ผมไม่ได้หันกลับไปทันทีเพราะกำลังปรับลมหายใจให้เป็นปกติก่อนจะหันกลับไป ฝืนยิ้มนิดหน่อยมันก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถอะไร


“ทำไมเลิกเล่นกันเร็วจังครับ” ผมถาม บังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่น ก็เพิ่งจะรู้ว่ามันทำยากเหมือนกัน


“กลับกันเถอะ” พี่แดนไม่ได้ตอบคำถามผม ฝ่ามือกว้างยื่นมา แต่พอมันสัมผัสที่แขนผมก็ชักหลบไปไว้ข้างหลัง มันคงไม่ดีถ้าพี่เขาจะจับมือผมต่อหน้าคนที่กำลังมองมาที่เรา และผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรแต่สายตาเธอกำลังบอกผมว่าตอนนี้เธอไม่ชอบผมมากกว่าเมื่อก่อนซะอีก


“ตังครับ” พี่แดนพูดเสียงขรึม ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังอารมณ์ไม่ดี มันเป็นครั้งแรกเลยนะตั้งแต่ผมเจอเขาในตอนนี้ที่พี่เขาใช้น้ำเสียงแบบนี้กับผม


ผมเม้มปากก่อนจะรีบสาวเท้าเดินนำออกไปทั้งๆที่รู้สึกปวดแปลบที่เท้า เจ็บก็ช่างแม่งเหอะ ดีกว่าอยู่ตรงนี้แล้วรู้สึกแย่กับการที่ไม่เป็นที่พอใจของใครซักคน


เดินกลับมาถึงที่รถก็เห็นไอ้ฟ้ากับพี่บีที่ยืนรออยู่แล้ว ทั้งสองคนไม่ได้ว่าอะไรแต่ผมก็รู้สึกกระดากถ้าจะไม่พูดอะไรเลย


“ผมไม่นึกว่าจะเลิกเล่นกันเร็ว ขอโทษนะที่ต้องให้รอ”


“ที่หลังจะเดินไปไหนก็บอกก่อนนะคะ แดนเขาเป็นห่วงน้องตังนะ” พี่บีบอก แต่น้ำเสียงก็ไม่ได้พูดเป็นเชิงตำหนิอะไร สองมือก็ยังสาละวนกับการเช็ดผมให้ไอ้ฟ้าที่นั่งอยู่ท้ายกระบะ เป็นห่วงหรือหงุดหงิดล่ะ แต่ถึงจะคิดก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องพูดออกไป
 

มองเห็นคนสองคนที่กำลังเดินกลับมาด้วยกันแล้วก็ต้องรีบเมินหน้าหนี ก็ว่าทำไมถึงช้าจนคนขาเจ็บอย่างผมยังเดินมาถึงก่อนตั้งนาน ก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ท่าที่ประคองกันเดินมาขนาดนั้นก็นะ ผมเม้มปากเมื่อต้องอดทนกับก้อนความรู้สึกแย่ๆที่กำลังตีรวนกันอยู่ในท้องก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งข้างไอ้ฟ้าแล้วหันไปชวนมันคุย


“นั่งแบบนี้กลับไปถึงไร่เลยได้ป่ะวะ?”


“อยากกลิ้งตกรถเป็นลูกหมาก็เอา” มันพูดติดตลก ก่อนจะพูดต่อเพราะว่าผมไม่ได้โต้ตอบอะไร


“แต่ถ้ามึงไม่อยากนั่งข้างหน้าก็คลานเข้าไปนั่งลึกๆเดี๋ยวกูปิดท้ายให้” มันพูดกลั้วขำนิดๆแต่ก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยที่อย่างน้อยมันก็ยังพูดเล่นกับผม


“กูเดินก็ได้มั้ง ไม่ได้เป็นหมานะถึงต้องคลาน” ผมตอบ มันหัวเราะก่อนจะลงไปจากท้ายกระบะแล้วไม่ลืมที่จะยกท้ายปิดให้ผมจริงๆ


ผมนั่งเอาหลังพิงกับตัวรถโดยเหยียดขายาวไปทางท้ายกระบะ ตอนนี้แดดร่มแล้วก็ไม่ค่อยจะร้อนซักเท่าไหร่ เอาจริงๆผมก็ไม่ค่อยได้มาเที่ยวอะไรแบบนี้เลยนะ เป็นสายขี้เกียจชอบนอนดูซีรี่ย์โง่ๆอยู่ที่ห้องมากกว่า ไอ้แฝดมันถึงชอบเรียกผมว่าคุณชายตังไง


คิดแล้วก็น่าขำ กูแม่งมาทำอะไรที่นี่วะ


ผมหลับตาก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ไม่ทันที่รถจะเคลื่อนตัวก็มีอีกคนที่กระโดดขึ้นมาที่ท้ายกระบะ แล้วก็เป็นพี่เขา คนที่ผมไม่อยากจะสู้หน้าด้วยเลยในตอนนี้ ผมขยับตัวไปชิดทางด้านซ้ายมือเมื่อเขาเข้ามานั่งข้างๆด้วยท่าเดียวกัน


ลมที่พัดสวนมาเริ่มแรงขึ้นเมื่อรถเคลื่อนที่ออกจากจุดจอด มุ่งหน้ากลับไปทางเดิมที่เราผ่านมา ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีวนิลาแซมด้วยแสงสีทอง ผมคงจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายมันเก็บไว้ถ้าไม่ได้อยู่ในบรรยากาศที่อึดอัดแบบนี้


“พี่ขอโทษ” อยู่ดีๆเสียงทุ้มก็ดังขึ้นมาท่ามกลางเสียงลมที่กำลังตีปะทะ


“ครับ” ตอบออกไปทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าพี่เขาขอโทษให้กับอะไร ไม่รู้เลย


ผมตัดทุกโอกาสที่จะทำให้เกิดบทสนทนาขึ้นระหว่างเราโดยการหันไปนั่งเท้าคางอยู่กับด้านข้างของกระบะ ปล่อยให้สายลมแรงพัดใส่หน้าจนกลบเสียงทุกอย่าง ทั้งจากความจริง และเสียงในความคิดของตัวเอง


กลับมาถึงบ้านทุกคนก็แยกย้านกันไปอาบน้ำกก่อนจะลงมาทานอาหารเย็นด้วยกันในช่วงหัวค่ำ บรรยากาศยังคงเหมือนกับเมื่อกลางวัน ขาดไปก็เพียงแต่พี่แก้วที่ขอไม่ลงมาร่วมโต๊ะโดยให้เหตุผลว่าเจ็บข้อเท้ามากจนเดินไม่ไหว พูดคุยกันที่โต๊ะอาหารได้ซักพักทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน


ผมถอนหายใจก่อนจะก้มลงมองเท้าตัวเองที่เริ่มมีอาการบวมขึ้นนิดหน่อย ถ้าไม่ฝืนเดินมาก มันก็คงจะไม่บวมขนาดนี้ แล้วพรุ่งนี้จะเดินยังไงวะเนี่ย ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากไลน์ พอเปิดดูข้อความแล้วก็ได้แต่ปล่อยหน้าจอค้างไว้อย่างนั้นซักพัก


‘กำลังจะนอนแล้วครับ’  ในที่สุดก็เลือกที่จะพิมพ์ตอบกลับไป แต่ไม่ทันได้ละโทรศัพท์ออกจากมือก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาซะก่อน


“เปิดประตูให้พี่หน่อยได้ไหมครับ?”


ผมก้าวเท้าลงจากเตียงก่อนจะค่อยๆเดินไปหยุดที่ประตู


“พี่แค่เอาของมาให้” คนที่อยู่อีกฝั่งประตูบอก ก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้ของที่ว่ามันคืออะไรแต่สุดท้ายผมก็ยอมเปิดประตูให้พี่แดนอยู่ดี


พี่แดนไม่ได้ก้าวเข้ามายังคงยืนอยู่ตรงหน้าประตูเหมือนมีเส้นที่ขีดแบ่งไว้ไม่ให้ล่วงล้ำ ผมเม้มปากสนิทเมื่อสายตาคมที่ทอดมองมามันสื่อนัยยะอะไรบางอย่าง


“เจ็บมากไหมครับ?” ฝ่ามือกว้างคลี่ออกให้เห็นหลอดยาที่เจ้าตัวกำไว้ แล้วมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมโถมตัวใส่ร่างกายอบอุ่นของคนข้างหน้าแล้วกอดเอาไว้แน่นก่อนจะพยักหน้ากับแผ่นอกกว้าง


“เจ็บ มาก” วงแขนแกร่งกอดผมตอบกลับทันทีที่จบประโยคนั้น ปลายจมูกอุ่นจรดลงที่ข้างขมับผมก่อนที่พี่แดนจะเอ่ยคำพูดด้วยเสียงนุ่มทุ้มให้ได้ยิน



“แล้วตังจะยังมีโอกาสให้พี่อยู่ไหมครับ?”




TBC
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่.. #Special Extend P.3 [9.9.2020 UP!]
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 09-09-2020 16:39:33
#Special Extend



เนื่องจากว่าอีก 2 ตอนก็จะจบแล้ว
ตอนนี้เราก็เลยจะมาขยายความในบางเหตุการณ์ที่ทุกคนอาจจะสงสัยอยู่ค่ะ


จะเริ่มจากตอนที่ 9 - A very new life นะคะ
มันเป็นตอนที่น้องตังขอพรท่านเทวดาให้ข้ามมาอีก 2 ปีแล้วโผล่มาก็กลายเป็นว่าตัวเองคบกับพี่แดนไปแล้วเฉยเลย คือตั้งแต่ตอนนี้มันเป็นจุดเปลี่ยนหลายอย่าง คือน้องก็ไม่รู้ว่าในเวลา 2 ปีที่ผ่านมาที่คบกับพี่แดนแล้วตัวเองเป็นแบบไหน ฉะนั้นท่าทาง คำพูดคำจา สรรพนามที่ใช้แทนตัวก็เลยดูแปลกไปจนพี่แดนเองก็รู้สึกได้ ก็คิดมากมาตลอดว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างตัวเองกับน้อง ฟีลเหมือนเพลงเสียงที่เปลี่ยนอ่ะค่ะ แต่ก็พยายามจะทำตัวให้เหมือนเดิม ก็รักเขามากอ่ะเนอะ


แต่ในขณะที่พี่กลัวน้องบอกเลิกเพราะหมดรักกัน แต่ดันกลับกันตรงที่ว่าพอยิ่งอยู่ด้วยกันทุกวันน้องก็ค่อยๆตกหลุมรักพี่เขาขึ้นมาซะงั้น เริ่มมีมาครบทุกอารมณ์ ทั้งรัก ทั้งหลง ทั้งหึง มาหมดเลย จนในตอนที่ 19 - Something wanna tell ก็ยอมบอกกับคนอื่นว่า “ผมมีแฟนแล้วครับ”


และตอนที่ 20 - Naked ก็เปลือยทุกความรู้สึกเลยค่ะ บอกรักพี่เขา เริ่มใช้สรรพนามแทนตัวด้วยชื่อ ซึ่งมันก็ปลดล็อคความกลัวของพี่แดนออกเลย ถ้าจำได้ในตอนนี้ จะมีซีนที่พี่แดนพูดว่า “พี่คงคิดมากไปเองจริงๆ”


(*เรื่องสรรพนามแทนตัวที่ในปัจจุบันน้องจะแทนตัวเองว่า ตังบ้าง ผมบ้าง อันนี้มันขึ้นอยู่กับบริบทในตอนนั้นๆค่ะ อ้างอิงจากตัวเราเองนี่แหละค่ะ บางที่ก็ชื่อ บางทีก็หนู บางทีก็เค้า บางทีก็เรา ประมาณนี้ค่ะ)


แต่ก็นั่นล่ะค่ะ พอรักเขาไปเต็มๆกลับเริ่มกลัวเพราะตัวเองไม่รู้เรื่องราวใน 2 ปีที่ผ่านมาเลย จะถามก็ไม่กล้า ตอนที่ 21 - Missing Truth ก็ตามชื่อตอนเลยค่ะ ความจริงที่หายไป ทุกคนอาจจะงงว่าพี่แดนโผล่มาในห้างได้ยังไงใช่ไหมคะ คือร้านขายผ้าของแม่มีชอปอยู่ที่กรุงเทพค่ะ แล้วเช้าวันนั้นก่อนที่จะบินไปเชียงใหม่พี่แดนแวะไปเอารายงานบัญชีกับตัวอย่างผ้าที่จะเอาไปคุยกับลูกค้า ซึ่งก็แน่นอนว่าน้องตัง(คนนี้)ไม่รู้เรื่องนี้ค่ะ ก็เลยโป๊ะ พอพี่ถามหาความจริงก็ตอบไม่ได้ จะเล่าเรื่องย้อนเวลาข้ามเวลาก็ก็คิดว่าใครจะเชื่อล่ะ  มันก็เลยเป็นความจริงที่พูดออกไปไม่ได้ ทุกอย่างก็เลยพังไปหมด


แล้วเรื่องมันก็มาหนักตอนที่ 22 - Decision เพราะว่าพี่แดนดันมาเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตไปก่อน มันเลยทำให้น้องตังคิดอะไรหลายๆอย่างได้ ก็เลยเกิดจุดเปลี่ยนอีกครั้งด้วยการที่น้องขอกลับไปที่ปัจจุบันที่ตัวเองจากมาแทน โดยมีคำขอสุดท้ายที่เราไม่ได้เขียนให้ทุกคนรู้ว่า สิ่งที่น้องขอก็คือ ถึงจะกลับมาที่ปัจจุบันแล้วแต่ก็ขอที่จะไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเองกับพี่แดนค่ะ


ในส่วนของเหตุการณ์ปัจจุบันก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้วค่ะนอกจากทั้งคู่ต้องทำตามหัวใจของตัวเองเนอะ : ) แน่นอนว่าอุปสรรคมันต้องมีบ้างอยู่แล้ว ทุกตัวละครลับที่โผล่ออกมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่ในอดีตนะคะ เพียงแต่ว่าช่วงเวลาที่ตังสคิปผ่านไป2ปีนั้นทำให้น้องไม่รู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเท่านั้นเองค่ะ


จากตรงนี้ก็ขอให้ทุกคนมาลุ้นเรื่องราวของพี่แดนกับน้องตังด้วยกันไปจนจบด้วยนะคะ : )


ป.ล. จบจากเรื่องหลักนี้เราจะเขียนตอนพิเศษเป็น side story ของ 2 คู่ค่ะ ใบ้ไว้ก่อนว่าถึงไทม์ไลน์ในชีวิตน้องตังจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแต่ก็ไม่มีผลกระทบกับไทม์ไลน์ชีวิตของคนอื่นค่ะ พระพรหมท่านลิขิตไว้แล้วอ่ะเนอะ


ป.ล. อันนี้ลืมเล่า เรื่องการอู้คำเมืองที่ปกติแล้วบ้านอื่นอาจจะไม่ค่อยพูดกันแล้ว แต่บ้านพี่แดนเขาถือค่ะ พูดภาษาอื่นได้ก็ต้องไม่ลืมภาษาบ้านเกิดตัวเอง ถ้าสังเกตุทุกคนจะเห็นว่าพี่แดนไม่ได้อู้เมืองกับแก้วนะคะ ส่วนแก้วที่อู้เมืองกับบ้านพี่แดนก็เพราะทุกคนอู้เมืองกันหมดค่ะ


หัวข้อ: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่.. EP 30 P.3 [9.9.2020 UP!]
เริ่มหัวข้อโดย: B2Fictions ที่ 09-09-2020 16:43:46
EP 30 - It's been you and always will (PART 1/2)

 **ตอนนี้ครึ่งแรกจะเป็นพาร์ทพี่แดน ส่วนครึ่งหลังจะเป็นพาร์ทน้องตังค่ะ**



                                                                                                                                                                                               
ตั้งแต่เช้าวันนี้มันไม่มีอะไรที่ได้ดั่งใจผมเลยซักอย่าง มันผิดพลาดไปหมด ผิดพลาดจนผมโคตรหงุดหงิดตัวเอง ผมไม่ได้จะโทษใคร เพราะสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพราะตัวผมเองทั้งนั้น ถ้าเมื่อเช้าผมเด็ดขาดพอที่จะปฏิเสธแก้ว น้องก็คงจะไม่หมางเมินผมแบบนี้ และถ้าเมื่อตอนเย็นที่น้ำตกนั่นผมไม่ปล่อยให้น้องคลาดสายตาไป น้องก็คงจะไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้


“เธอทำบ้าอะไรของเธอหะ!?” ผมตะคอกเมื่อโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ แก้วดูตกใจมาก มันก็น่าจะต้องเป็นแบบนั้นเพราะผมไม่เคยเสียงดังใส่ใครแบบนี้มาก่อน


“คือ แก้ว ขอโทษ”


“เธอรู้ แต่ก็เอาความเป็นห่วงเพื่อนของเรามาทำให้น้องเข้าใจเราผิด”


“แก้วไม่ได้..แดนคะ” ผมส่ายหัวอย่างหัวเสียก่อนจะเดินลุยน้ำขึ้นมาก่อน โดยที่แก้วก็เดินตามขึ้นมาแล้วรั้งแขนผมเอาไว้


“เราชอบน้องแบบไหน เรารู้ว่าเธอรู้” ผมหันกลับไปสบตาเธอ พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง ก่อนจะเอ่ยคำพูดสุดท้ายแล้วรีบเดินไปตามทางที่เห็นว่าน้องเดินหายไป แต่แก้วก็ยังเดินตามมาแล้วมันก็ยิ่งทำให้เรื่องมันยุ่งยากเข้าไปอีก


“กลับกันเถอะ” ผมข่มความหงุดหงิด พยายามปรับเสียงให้เป็นปกติ แต่มันก็คงยังไม่ปกติพอ


“ตังครับ” ผมเรียกน้องอีกครั้งเมื่อสายตาตัดพ้อนั้นจ้องมาที่ผมก่อนที่เจ้าตัวจะหันหน้าหนีแล้วสาวเท้าเดินออกไปก่อน และตอนนั้นเองที่ผมได้รู้ว่าน้องน่าจะเจ็บเท้าแต่เจ้าตัวก็ยังฝืนเดินด้วยความเร็วโดยที่ไม่หันกลับมามองกันอีก


ผมรีบสาวเท้าเดินตามออกไป มันเกือบจะทันถ้าไม่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บของคนที่เดินตามมาข้างหลัง


“โอ้ย”


ผมหยุดเดินก่อนจะถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายอีกครั้ง


“แก้วเจ็บจริงๆ” เพราะผมยังคงยืนหันหลังให้แก้วถึงได้พูดออกมา


“ช่วยแก้วก่อนได้ไหม เรื่องนั้นแก้วเข้าใจแล้ว”


เดินกลับมาถึงรถก็เป็นอย่างที่คาด น้องไม่เปิดโอกาสให้ผมได้คุยอะไรด้วยอีก หรือแม้แต่ตอนที่กลับมาถึงบ้าน บนโต๊ะอาหารผมก็ไม่ได้อยู่ในสายตาน้องเลย


‘นอนหรือยังครับ?’  ในที่สุดผมก็เลือกที่จะกดส่งข้อความออกไปเมื่ออดทนต่อความงุ่นง่านของตัวเองไม่ไหว และก็ไม่ใช่แค่นั้นเมื่อตอนนี้ผมพาตัวเองมายืนอยู่ที่หน้าห้องน้องแล้ว


ยังไม่มีข้อความใดๆตอบกลับมา ความร้อนรนมันตีรวนอยู่ในอกจนเผลอกำหลอดยาทาแก้ปวดในมือจนแน่น แต่ในที่สุดน้องก็ตอบกลับมาแม้จะเป็นข้อความตัดรอนกันก็ตามที


‘กำลังจะนอนแล้วครับ’


และผมก็จะไม่ปล่อยโอกาสให้ลอยหลุดมือไปอีกแล้ว


“เปิดประตูให้พี่หน่อยได้ไหมครับ พี่แค่เอาของมาให้” ผมพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก ความคาดหวังที่ไม่รู้จะสมหวังหรือเปล่ามันทำให้หน้าอกแน่นขนัด แต่แล้วเสียงประตูที่เปิดออกมันก็ทำให้ผมหายใจได้สะดวกขึ้น


“เจ็บมากไหมครับ?” ผมถามเมื่อใบหน้าน่ารักเงยขึ้นสบตากัน แพขนตาเปียกชื้นเมื่อดวงตากลมคลอด้วยน้ำตา และไม่ทันจะได้พูดอะไรน้องก็โถมตัวเข้ามากอดผมไว้


“เจ็บ มาก” เสียงปนสะอื้นที่ตอบกลับมาทำให้ผมต้องกระชับอ้อมแขนกอดร่างกายบางเอาไว้แน่นแล้วจรดปลายจมูกลงข้างขมับ กลิ่นกายหอมที่คุ้นเคยจากในความฝันมันบ่งบอกให้ผมรู้ว่า มันถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องทำให้มันกลายเป็นความจริงซักที


“แล้วตังจะยังมีโอกาสให้พี่อยู่ไหมครับ?” ผมถามออกไปเมื่อคนในอ้อมกอดคลายอาการสะอื้น น้องไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแต่ก็พยักหน้าอยู่กับอกผม แล้วมันก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมามากทีเดียว


“ถ้าอย่างนั้น ตังไปกับพี่ได้ไหม?” น้องคลายกอดออกก่อนจะมองผมด้วยดวงตากลมที่มีความเคลือบแคลงสงสัยแต่ก็ยอมตอบตกลงกลับมาในที่สุด


ผมขับรถออกมาจากตัวบ้านลัดไปทางเส้นทางเล็กๆในสวนดอกไม้ไม่ถึง15นาทีก็มาถึงจุดหมาย มันเป็นบ้านพักหลังเล็กๆที่พวกผมสามพี่น้องเรียกมันว่า safe house เป็นที่ๆรู้กันว่าหากใครคนใดคนหนึ่งมาที่นี่ คนนั้นมีสิทธิ์ที่จะไม่รับโทรศัพท์ ไม่รับการติดต่อใดๆ โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องบอกให้คนอื่นรับรู้ก่อนและต้องไม่ขาดการติดต่อเกิน 2 วัน และครั้งนี้ก่อนจะขับรถออกจากบ้านใหญ่ผมก็ไลน์บอกพี่ธารกับไอ้ฟ้าเอาไว้แล้ว ผมดับเครื่องจอดรถที่หน้าบ้าน มันไม่ได้รกร้างเพราะถึงจะเรียกว่าเป็น safe house แต่พี่ธารก็คอยให้คนมาดูแลอยู่เสมอในตอนที่ไม่มีใครอยู่


ผมเปิดประตูลงจากรถแล้วอ้อมไปฝั่งผู้โดยสารแล้วเปิดประตูออกเมื่อคนที่พามาด้วยยังไม่ขยับตัวไปไหนเพียงแต่ปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวแค่นั้น ดวงตากลมยังจัองมองไปยังบ้านที่อยู่ข้างหน้า ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันเหมือนกำลังใช้ความคิดกับเรื่องอะไรบางอย่าง


“พี่แดน!” น้องเรียกชื่อผมเสียงดังเมื่อผมตัดสินใจช้อนร่างกายบางขึ้นมาอุ้มไว้ เจ้าตัวขัดขืนแต่ผมก็กระชับกอดเอาไว้แน่น


“พรุ่งนี้มันจะบวม ตังคงไม่อยากให้พี่อุ้มเดินทั้งวันหรอกใช่ไหมครับ” ผมบอกด้วยเสียงกลั้วขำแบบไม่จริงจัง แต่มันก็ทำให้คนที่ขัดขืนยอมอยู่นิ่งๆให้ผมอุ้มไปที่เก้าอี้ไม้ที่ชานหน้าบ้าน


ผมผละออกไปเปิดไฟจากโทรศัพท์เพื่อหากุญแจบ้านที่ซ่อนไว้ตรงกระถางดอกไม้เล็กๆริมหน้าต่าง ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า มีเพียงตะเกียงเจ้าพายุที่ตั้งไว้ที่ชานหน้าบ้าน และข้างหน้าต่างด้านในบ้านเท่านั้น และผมก็เลือกที่จะจุดมันขึ้นเพื่อให้แสงสว่างกับเราในตอนนี้


น้องไม่ได้พูดอะไรออกมาเพียงแต่ดวงตากลมสวยก็คอยเฝ้ามองว่าผมกำลังทำอะไร ผมไขประตูเข้าไปในบ้าน จุดตะเกียงอีกอันที่อยู่ด้านใน สำรวจความเรียบร้อยแล้วผละออกมาหาคนที่ยังนั่งรออยู่ก่อนจะย่อตัวนั่งลงข้างหน้าเก้าอี้ที่น้องนั่งอยู่


และดวงตากลมสวยยังคงจ้องมองมาที่ผม ความวูบไหวในแววตามันบ่งบอกความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งหวั่นไหว ไม่มั่นใจ และสับสน


“คืนนี้เราจะอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครคนอื่นนอกจากเราแค่สองคน” ผมจับมือน้องเอาไว้ก่อนจะพูดต่อเมื่อน้องยังคงเงียบ


“แต่ถ้าตังไม่โอเค เราจะกลับบ้านใหญ่กัน”


และก็เป็นอีกครั้งที่ไม่มีคำตอบอะไรหลุดมาจากริมฝีปากอิ่มสวยนั้น มีเพียงดวงตาสวยที่ทอดลงมามองสบกับตาผมเงียบๆ และมันไม่ใช่เพราะแรงโน้มถ่วงหรืออะไรที่ทำให้ริมฝีปากของเราเคลื่อนใกล้เข้าหากัน นั่นเพราะเราต่างก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเราถึงได้จูบ และเพราะอะไรเราถึงได้สวมกอดกันอยู่ในตอนนี้


เราจูบกันเหมือนเป็นสิ่งเดียวที่รู้จักและปารถนา ไม่ได้เร่งเร้ารุนแรง แต่ก็แนบแน่นด้วยความโหยหาในสัมผัส มันเป็นเหมือนความคุ้นเคยที่ขาดหาย และเราต่างก็ต้องการจะเติมเต็มให้กันและกัน


ผมรวบร่างกายบางขึ้นมาอุ้มไว้อีกครั้งในขณะที่ริมฝีปากก็ยังคลอเคลียจูบกันไม่ห่าง ก่อนที่จะพาร่างกายบางไปวางลงบนเตียงนุ่ม เราผละริมฝีปากออกเพื่อสบตากัน และประกบจูบกันอีกครั้งเมื่อเราต่างก็ยังต้องการ


เป็นเวลาที่เงียบไปหลายนาที อาจจะเป็นชั่วโมงหรือมากกว่านั้นที่เรานอนหันหน้าเข้าหากัน มองหน้ากัน จับมือ และจูบกันอยู่อย่างนั้นจนความรู้สึกดีๆมันพองตัวคับอยู่ในอก แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังมีสิ่งที่ควรจะทำผมถึงได้หยัดกายลุกขึ้นนั่ง


“ทายาที่เท้าหน่อยนะครับ” ผมเปล่งคำพูดออกไปในที่สุดก่อนจะลงไปนั่งขัดสมาธิบนพื้นโดยที่น้องก็ลุกขึ้นนั่งตาม


“พี่แดน เดี๋ยวตังทำเอง” น้องชักขากลับแต่ก็ไม่เร็วไปกว่าผมที่จับเอาไว้ได้ทันและบังคับให้น้องวางฝ่าเท้าลงบนหน้าขาก่อนจะหยิบหลอดยาทาแก้ฟกช้ำออกจากกระเป๋ากางเกงที่ใส่ติดมาด้วยแล้วบรรจงป้ายยาลงไปที่หลังเท้าทางด้านขวาที่เริ่มบวมช้ำและห้อเลือด

 
“พี่แดน” ผมเงยหน้าตามเสียงเรียก ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆให้กับสายตาที่เป็นกังวลนั่น


“ตังก็เคยทายาให้พี่ ดุพี่ด้วยจำได้หรือเปล่า” ผมยิ้มให้กับคนที่กำลังทำหน้าตกใจสุดขีด ก่อนจะละล่ำละลักออกมาไม่เป็นประโยค


“ทะ ทำไม พี่”


“มันเคยเกิดขึ้นใช่ไหม?” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ ผมเคยเห็นเหตุการณ์นั้นในความฝัน และทุกอย่างผมยังจำได้ เหมือนมันเป็นความทรงจำในเรื่องที่เกิดขึ้นจริง มันฝังแน่นอยู่ในสมองและหัวใจของผมอยู่ตลอดเวลา


“สิ่งที่ตังเก็บไว้ เล่าให้พี่ฟังหน่อยได้ไหมครับ?” ผมตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าน้องจะตอบออกมาแบบไหน มันอาจจะเป็นเรื่องบ้าๆที่ผมฝันไปแค่คนเดียว แต่ลึกๆแล้วผมกลับมั่นใจ


“พี่แดน จะเชื่อ ตังใช่ไหม?” ในที่สุดน้องก็เปล่งคำพูดออกมาจนได้ และถึงจะอึกอักไม่มั่นใจ แต่ผมก็เชื่อเต็มร้อยไปแล้วว่าทุกอย่างที่น้องจะพูดออกมามันเป็นเรื่องจริง


ผมลุกขึ้นล้างมือกับน้ำในขวดที่ตั้งไว้มุมห้องก่อนจะมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้างๆคนที่กำลังสูดลมหายใจเข้าแรงๆแล้วเริ่มเล่าเรื่องออกมาช้าๆ


“มันเริ่มตั้งแต่วันที่รถชน…”


ผมนั่งฟังอย่างเงียบๆโดยที่ไม่ได้ขัด แล้วมันก็ตรงกับสิ่งที่ผมฝันจริงๆ ถึงในฝันมันจะไม่เรียบเรียงเป็นเรื่องเป็นราวก็ตาม มีบางจังหวะที่น้องเว้นช่วงไปทำให้ผมต้องเอื้อมมือไปจับฝ่ามือขาวนั้นไว้ บีบเบาๆเพื่อให้รู้ว่าผมกำลังฟัง และเชื่อทุกอย่างที่เขาเล่า


“แต่พอข้ามเวลามา ตังก็กลายเป็นแฟนพี่เฉยเลย” น้องหัวเราะ ทั้งๆที่ก็ยังไม่หยุดร้องไห้ มันน่าเอ็นดูจนผมอดไม่ได้ที่จะฝังจมูกลงบนหน้าผากเนียน


“ในฝัน มันไม่ชัดว่าเราเริ่มกันที่ตรงไหน...” ผมเริ่มเล่าบ้าง และคราวนี้ก็เป็นน้องที่เงียบฟังผม

 
“แต่พี่จำความรู้สึกได้ว่าตอนที่เห็นเรายิ้มให้เจ้าส้มที่ลานจอดรถหลังคณะ หัวใจพี่เต้นแรงมาก ตอนนั้นตังน่ารักมากรู้ไหม”


“ผมไม่เห็นรู้ตัวเลย” คนที่อุบอิบตอบเหมือนจะเขิน แต่ก็ยิ้มน่ารักให้ผม


เราสลับกันเล่าเรื่องในฝั่งของตัวเองไปมา จริงจังบ้าง ตลกบ้าง แต่อยู่ๆน้องก็เงียบไปก่อนจะหันมามองผมด้วยแววตาสำนึกผิด ฝ่ามือขาวทั้งสองข้างส่งมาทาบที่ข้างแก้มของผมเอาไว้


“ถึงพี่แดนจะโกรธ แต่พี่แดนไม่เกลียดตังได้ไหม” คำพูดนั้นช่างเว้าวอน ผมส่ายหน้าเมื่อรู้ว่าน้องกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไรก่อนจะส่งมือขึ้นมาทาบบนหลังมือน้องข้างหนึ่ง


“สัญญาได้ไหมว่ามีอะไรเราจะพูดกันตรงๆ ไม่โกหกกัน” ผมบอกคนที่เริ่มน้ำตาคลออีกครั้งจนต้องส่งมือไปเช็ดออกให้เมื่อในที่สุดมันก็ไหลลงมาที่ข้างแก้มขาว


“ไม่เอาสิ จะร้องทำไมครับ” ได้จังหวะก็ดึงร่างแบบบางมาไว้ในอ้อมแขนแล้วกอดน้องเอาไว้ทั้งตัว


“ตัง ไม่ได้ ตั้งใจ มันแค่ ไม่รู้จะพูดยังไง” คนที่กลั้นสะอื้นอธิบาย


“ตังขอโทษ”


“ชู่วว” ผมโยกตัวน้องเบาๆเป็นการปลอบก่อนจะพูดเบาๆที่ข้างหูในประโยคที่เคยพูดมาแล้วก่อนหน้านี้


“พี่รู้ครับ เคยบอกไปแล้วตังยังจำได้ไหม” ใบหน้าขาวเงยหน้าขึ้นมองผมทันทีที่จบประโยค ก่อนจะพยักหน้ารับ


“เรื่องนั้นตังไม่ต้องไปนึกถึงมันแล้วนะ” ผมจับมือขาวขึ้นมากุมไว้ ไล้ปลายนิ้วโป้งเบาๆบนหลังมืออุ่น มองเข้าไปในดวงตาสวยที่จ้องมาที่ผมอยู่ก่อนหน้าแล้ว


“พี่อยู่ตรงนี้” ผมจับฝ่ามือเล็กขึ้นมาทาบที่ข้างแก้มของตัวเอง


“ขอบคุณนะครับที่กลับมาหากัน” น้องยิ้มในขณะที่ดวงตาสวยยังคงชุ่มไปด้วยน้ำตา ผมไล้นิ้วโป้งบนแก้มเนียนช้าๆก่อนที่น้องจะยกมือขึ้นมาจับมือผมเอาไว้แล้วจรดริมฝีปากอิ่มลงมาจูบบนหลังมือผม และไม่เกินอึดใจผมก็ดึงน้องมากอดไว้อีกครั้ง ตระกองกอดกันแล้วผ่อนร่างลงบนเตียงนุ่ม เราเริ่มจูบกันอีกครั้ง และก็ไม่รู้ว่าจูบนี้มันจะไปสิ้นสุดที่ตอนไหน


ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานแค่ไหนแต่เราก็ยังนอนคุยกันอยู่อย่างนี้ มันมีอีกหลายเรื่องที่เราสองคนต่างคนต่างไม่เคยรู้ แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะผมกับน้องยังมีเวลาเรียนรู้กันไปอีกนานเลย


“พี่แดน”


“ครับ?”  ผมตอบรับเสียงเรียกจากคนในอ้อมกอด


“กลับมาคบกับตังได้ไหม?” คำพูดของน้องทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆจนคิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น


“เราไม่เคยเลิกกันเลยต่างหาก” 


จบประโยคนั้นก็ทำให้คนที่ขมวดคิ้วมุ่นเผยรอยยิ้มน่ารัก และผมก็อดไม่ได้ที่จะกดจูบลงไปบนริมฝีปากอิ่มอีกครั้งอย่างห้ามใจไม่ไหว

 
“ปากตังจะแตกแล้วนะ” น้องบ่นแต่ก็หัวเราะ


“หมั่นเขี้ยวแฟนจัง” ผมยีกลุ่มผมลื่นมือไม่แรงนักก่อนที่น้องจะขยับเข้ามาซุกหน้าอยู่กับอก ผมเลยสอดแขนเข้าไปให้เขาหนุนแทนหมอน 


“ง่วงแล้วเหรอครับ?”


“หึ” น้องปฏิเสธอยู่ในลำคอแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ


“อืม...แล้ว...ตังยังได้เจอเขาอยู่ไหม?”


“พี่หมายถึง ท่านน่ะ” ผมถามด้วยความอยากรู้ ผมไม่เคยเจอ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะท่านหรือเปล่าที่ทำให้ผมฝันถึงเรื่องของเราแบบนั้น


“ไม่ครับ ไม่เจออีกเลย” น้องตอบเสียงหงอย


“อืม..” ผมรับคำแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ เราปล่อยเวลาให้ผ่านไปในอ้อมกอดของกันและกันก่อนที่ผมจะตัดสินใจลุกขึ้นมาดับตะเกียง

 
“พี่แดน”


“อยู่นี่ครับ” ผมส่งมือไปให้น้องจับแล้วทิ้งตัวลงนอนข้างกันเหมือนเดิม ปรับสายตากับความมืดได้ซักพักก็เริ่มมองเห็นทุกอย่างแม้มันจะเลือนลางเพราะในคืนเดือนหงายแบบนี้มันก็ไม่ได้มืดสนิทเท่าไหร่นัก


“ฝันดีนะครับ” ผมกดจมูกลงบนกลุ่มผมหอมก่อนที่น้องจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วจูบที่ปลายคางผมเบาๆเป็นการตอบรับ


ผมลืมตาตื่นอีกครั้งในความเงียบ รอบตัวมันมืดไปหมดจนมองอะไรไม่เห็น แต่อยู่ๆแสงไวท์เอ้าท์ที่ส่องเข้ามาก็ทำให้ต้องยกมือขึ้นบังเพราะปรับสายตาไม่ทัน



“ได้ข่าวว่าอยากเจอ” เสียงที่ดังขึ้นทำให้ผมหันไปมองรอบตัว แต่ก็มองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด


“ท่านเหรอ?” ผมเปล่งเสียงถามออกไป แล้วอยู่ๆเงามืดก็แหวกออกพร้อมกับมีใครคนหนึ่งเดินออกมาจากตรงนั้น เขาทิ้งตัวลงนั่งบนอากาศแล้วอยู่ๆมันก็กลายเป็นโซฟามารองรับเอาไว้ได้ทัน


“อือฮึ ข้านี่แหละ” ผมยืนมองอย่างทึ่งๆ ก่อนที่ท่านจะกระตุกยิ้มที่มุมปาก


“ไม่สนุกหรอก น่าเบื่อจะตาย” พูดจบก็ยกถ้วยชาที่ไม่รู้มันมาจากไหนขึ้นมาดื่ม ผมหัวเราะเมื่อนึกถึงเรื่องที่น้องเล่าว่าท่านชอบถือวิสาสะอ่านความคิดคนอื่น น้องใช้คำนี้จริงๆนะ


“ไอ้เด็กโง่นั่น” ท่านเทวดาเบ้ปากอย่างขัดใจ ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง


“มีความสุขกันก็ดีแล้ว รักษากันไว้ให้ดีล่ะ”


“ขอบคุณนะครับ” ผมบอก แต่เทวดาที่นั่งเอนหลังพิงโซฟาตัวนุ่มปัดมือไปมา


“ข้าไปดีกว่า” พูดจบท่านก็ลุกขึ้นยืน แล้วโซฟาก็หายวับไปกับตา


“ฝากบอกเจ้าตังด้วยว่าข้าดีใจด้วยนะ” ฝ่ามือใหญ่ตบลงบนไหล่ผมสองสามทีก่อนที่ท่านจะหายวับไปกับความมืด แล้วไม่ทันไรตัวผมก็เหมือนถูกผลักตกลงจากที่สูงจนสะดุ้งตื่นอย่างแรง


ผมปรับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ น้องยังคงหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดผม สายลมเย็นๆที่พัดผ่านหน้าต่างในเวลาเกือบรุ่งสางทำให้ผมต้องกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง




TBC



เนื้อเรื่องตอนนี้มีการอ้างอิงเหตุการณ์จากตอนอื่นค่อนข้างเยอะ
ถ้าใครลืมย้อนกลับไปอ่านก่อนได้นะคะ : )
หัวข้อ: Re: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่ EP30- It's been you and always will [9.9.20 UP!]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 10-11-2021 20:03:39
 :pig4:
 :3123: