Chapter Eleven.
“ฮึก...ไม่เอา ไม่ไป”
ฝุ่นร้องไห้จนปินไม่อาจเช็ดน้ำตาได้ไหว สองมือหนาจึงวางประกบใบหน้าเล็กไว้ทั้งสองข้าง ส่งเสียงปลอบประโลมให้อีกคนใจเย็น
ช่วงหลังมานี้ฝุ่นอ่อนไหวง่าย คงเป็นเพราะเรื่องหนักหนาที่เพิ่งเจอ
“ชู่ว ไม่ต้องร้องไห้นะคนดี”
“...” น้ำตายังคงไหลพรูจนมือของปินเปียกไปด้วยกัน
“ฝุ่น ฝุ่นครับ ผมไม่ได้จะทิ้งฝุ่นไปไหนถ้าฝุ่นยังอยากอยู่ตรงนี้”
“ยะ อยู่ ให้ฝุ่นอยู่นะ” เสียงสั่นๆ รีบเอ่ยทันใด อีกทั้งมือยังยกขึ้นมาจับข้อมือแกร่งเอาไว้แน่น
“สถานะระหว่างเราอาจจะเปลี่ยนไป แต่ความรู้สึกที่ผมมีต่อฝุ่นยังเหมือนเดิม มันแค่อาจมีบางอย่างที่ต้องเปลี่ยนแปลง”
ริมฝีปากได้รูปคลี่ออกเป็นรอยยิ้มน่ามอง ขณะปลายนิ้วก็ขยับเกลี่ยแก้มเปียกชื้นแผ่วเบา เกิดความรู้สึกทั้งเอ็นดูและสงสารคนร้องไห้เป็นเผาเต่าไปพร้อมกัน
“จะไม่ทิ้งกันใช่ไหม” ฝุ่นถามย้ำอย่างต้องการความหนักแน่นให้ใจอันสั่นไหว
“ผมมันเห็นแก่ตัว...และเห็นแก่ตัวจนไม่อาจปล่อยฝุ่นไปได้” ใบหน้าหล่อโน้มลงไปจนปลายจมูกโด่งปัดป่ายกับปลายจมูกเล็ก
“...”
“ฝุ่นจะมีอิสระในชีวิตได้ทุกอย่าง ยกเว้นตรงนี้” ปินเลื่อนมือลงมาวางบนอกด้านซ้าย สัมผัสให้รู้ว่าตรงไหนที่จะไร้ซึ่งอิสระ
หัวใจดวงนี้ไม่มีสิทธิ์เลือกคนอื่นอีกต่อไป
“ตรงนี้ก็ไม่ได้ต้องการอิสระอะไร” คนซึ่งน้ำตาเพิ่งหยุดไหลพูดเสียงเบา
“ถ้าอย่างนั้นก็เชื่อใจผมนะว่าจะไม่ทิ้งฝุ่นไปไหน”
ท่อนแขนแกร่งโอบรั้งร่างบางเข้าหาตัวอีกครั้งก่อนจะซบหน้าลงกับลาดไหล่เล็ก กอดฝุ่นเอาไว้แน่น
“แล้วเรื่องสัญญา...”
“ไว้ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง”
“อื้อ”
“ทำฝุ่นร้องไห้อีกแล้ว” คนในอ้อมแขนแกร่งถูกโยกตัวไปมาน้อยๆ อย่างปลอบประโลม
“ก็ไม่รีบพูดให้จบ” คำบ่นอุบดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงสูดน้ำมูกให้ปินหลุดยิ้ม
“ถ้าเผื่อฝุ่นทำหน้าดีใจผมก็อาจจะไม่พูดส่วนหลังไง”
“ไม่ดีใจหรอก ทำไมต้องดีใจกับการไม่ได้อยู่ด้วยกันด้วย”
“ผมจะทำให้เราได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”
แม้ไม่เห็นหน้าคนพูดแต่ประโยคซึ่งถูกเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นก็ทำให้ความวูบโหวงในอกคนฟังมลายหาย หลงเหลือเพียงความเชื่อมั่นที่มีต่อกัน
จะอยู่กับปินไม่ไปไหน...แม้ว่าจะไม่อาจจับมือกันข้างนอกได้ก็ตาม
--
สิ่งที่ปินตั้งใจจะพาฝุ่นไปแล้วเกิดการทะเลาะกันขึ้นก่อนถูกทดแทนในค่ำวันหนึ่งที่พรุ่งนี้ไม่มีตารางงาน
“ผมไม่เคยเห็นฝุ่นใส่เสื้อตัวนี้เลย”
คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อร่างเล็กเดินออกจากห้องแต่งตัวมาด้วยการแต่งกายที่แปลกตา
ขณะคนถูกทักก็ขมวดคิ้ว ก้มลงมองเสื้อที่ตัวเองสวมใส่ด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ
“ไม่โอเคเหรอ”
“มันก็โอเค...แต่คอกว้างไปหน่อยหรือเปล่า” ฝุ่นกะพริบตาปริบพลางส่ายหน้าไปมาช้าๆ
“ไม่หรอกมั้ง เราไม่ได้ต้องไปเจอใครอยู่แล้วนี่”
“ตอนนี้ไม่เป็นไร แต่ถ้าออกไปเดินข้างนอกผมไม่อนุญาตนะครับ”
ปลายนิ้วแกร่งไล้ไปตามกระดูกไหปลาร้าที่โผล่พ้นเสื้อออกมาอย่างสื่อให้รู้ว่าทำไมถึงไม่อนุญาต
“ทีตัวเองยังถอดเสื้อถ่ายแบบให้คนเป็นล้านดูเลย”
คนร่างเล็กเอ่ยเสียงเบาเมื่อรู้สึกวูบวาบในตำแหน่งที่ถูกสัมผัส ปลายนิ้วของปินทิ้งความร้อนเอาไว้จางๆ ราวกับมีประกายไฟกรุ่นติด
“แมวฝุ่นหวงผมหรือ” คิ้วเข้มเปลี่ยนเป็นเลิกขึ้นพร้อมทั้งถามคำถามเย้าหยอก
“...หรือว่าไม่ได้” คนถูกถามไม่ตอบออกมาตรงๆ อีกทั้งยังทำสีหน้าหาเรื่องเพื่อปกปิดความขัดเขิน
ปินระบายยิ้ม ขายาวก้าวเข้าไปใกล้อีกคนมากกว่าเดิมแล้วยกมือขึ้นสัมผัสแก้มเนียน ทอดมองใบหน้าน่ารักด้วยแววตาอ่อนโยน
“มันเป็นงาน แต่ไม่ว่ายังไงผมก็เป็นของฝุ่นคนเดียว...
ทั้งตัวและหัวใจ”
ฝุ่นคิดว่ามือหนาอาจมีไฟติดอยู่จริงๆ เพราะบริเวณข้างแก้มร้อนก็ขึ้นมาเหมือนถูกไฟลวก หัวใจเต้นถี่จนกลัวว่าคนอยู่ใกล้จะได้ยิน
“...ไปกันเถอะ เดี๋ยวรถติด” ร่างเล็กเป็นฝ่ายผละออก ทิ้งให้ปารินทร์ได้แต่หลุดยิ้มแล้วก้าวตามไปทีหลัง
แมวฝุ่นขี้เขิน ไม่ชอบได้ยินอะไรหวานๆ เท่าไหร่นัก
“จะพาไปไหน ทำไมต้องดูลึกลับขนาดนี้”
ฝุ่นถามขึ้นด้วยความหวาดระแวงเมื่อดวงตาถูกปิดด้วยผ้าทันทีที่ขึ้นรถ การมองเห็นที่มีเพียงความมืดมิดยิ่งเพิ่มความสงสัยให้กับคนที่ไม่รู้จุดหมาย
“ผมอยากเซอร์ไพร์ส” ปารินทร์ตอบกลับพลางฮัมเพลงของตัวเองที่เปิดคลออยู่ในรถอย่างอารมณ์ดี
“ไม่ได้จะลวงไปทำอะไรใช่ไหม” คนถูกถามหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฝุ่นดูข่าวเยอะเกินไปหรือเปล่า”
“ใครจะรู้ สมัยนี้คนฆ่ากันง่ายจะตาย”
“คิดว่าผมจะกล้าทำแบบนั้นหรือไง”
“ไว้ใจได้เหรอ”
จุ๊บ
ปารินทร์โน้มหน้าไปจูบแก้มคนข้างตัวเร็วๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ได้สิครับ”
รถคันหรูกำลังมุ่งตรงไปตามเส้นทางที่เริ่มขรุขระ พาให้คนในรถซึ่งเผลอหลับไปรู้สึกว่าร่างกายโยกไหวจนต้องตื่น ฝุ่นขมวดคิ้ว ความสงสัยที่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
รู้เพียงว่าถูกพามาต่างจังหวัดแต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน
“ยังไม่ถึงอีกเหรอ” เสียงแหบพร่าเอ่ยถามขึ้นในความมืด
“ใกล้แล้วครับ”
ปินขับรถต่อไปอีกประมาณห้านาทีก็หยุด จากนั้นหลังคารถก็ค่อยๆ ถูกเลื่อนกลับไปเก็บไว้ด้านหลัง เสร็จแล้วจึงโน้มตัวไปปลดเข็มขัดนิรภัยให้อีกคน ปมผ้าผูกตาด้านหลังหัวเล็กถูกคลายออก
“ถึงแล้วครับ ฝุ่นลืมตาได้”
เปลือกตาบางกะพริบถี่เพื่อปรับการมองเห็น พอภาพตรงหน้าชัดขึ้นก็กวาดมองรอบตัว ก่อนจะเงยมองด้านบนเป็นลำดับสุดท้าย
“สวยจัง” ฝุ่นพึมพำเมื่อไม่ได้เห็นท้องฟ้าที่มีดวงดาวสวยงามแบบนี้มานานแสนนาน
ในเมืองกรุงท้องฟ้ามักถูกบดบังด้วยแสงไฟ ยากที่จะได้เห็นดวงดาวเปล่งประกายอย่างเต็มที่แบบที่กำลังเห็น
“ตรงนี้เป็นจุดชมวิวส่วนตัวในรีสอร์ทของเพื่อนผม นึกได้ว่าเราไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกด้วยกันเลยพาฝุ่นมา”
ใบหน้าเล็กหันกลับมามองคนพูด สองสายตามองสบด้วยความรู้สึกเดียวกัน
ไม่ต้องจับมือกันต่อหน้าใครๆ แค่เราได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้ว
“ขอบคุณนะ ชอบมากเลย” ฝุ่นเอ่ยกับคนข้างตัว
“ลงจากรถกัน” ร่างสูงดับเครื่องแล้วลงจากรถ จากนั้นจึงเดิมอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งให้ฝุ่นก้าวลงมา
อากาศในยามค่ำคืนเย็นกว่าตอนกลางวัน และเพราะรอบข้างคือต้นไม้จึงยิ่งทำให้รู้สึกสบายผิว ไม่ร้อนอบอ้าวแล้วก็ไม่ได้เย็นจนเกินไป
“อากาศดีจัง”
คนร่างเล็กเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงรั้วไม้เป็นทางซึ่งมีไฟดวงเล็กติดอยู่ ตรงนี้คือหน้าผาที่ด้านล่างเป็นต้นไม้ พลันให้จินตนาการว่าหากเป็นยามเช้าที่พระอาทิตย์ขึ้นคงสวยไม่แพ้กัน
“ผมชอบที่ตรงนี้มีแค่เรา”
แผ่นอกกว้างเคลื่อนเข้ามาชิดทางด้านหลัง ตามมาด้วยท่อนแขนแกร่งที่โอบรอบเอวบาง ปลายคางวางเกยอยู่บนไหล่ของฝุ่น
“...ชอบทุกที่ที่มีปิน” “ว้า คำพูดผมกร่อยไปเลย สู้ฝุ่นไม่ได้ซะแล้ว” ใบหน้าหล่อเหลาเอียงมองคนในอ้อมแขนอย่างยอมแพ้
“...” ด้านคนหลุดพูดความรู้สึกอ่อนหวานออกไปก็ได้แต่นิ่งเงียบ ทำเป็นมองต้นไม้มองฟ้าไปเรื่อย
“แอบเสียดายที่วันนั้นไม่ได้มาเพราะพระจันทร์สวยกว่านี้” ดวงตาเรียวรีทอดมองพระจันทร์เสี้ยวตรงหน้าด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กๆ
“เสียใจที่เราทะเลาะกันด้วย” ฝุ่นหันมาพูดกับคนที่กอดตัวเองอยู่แล้ววางมือลงบนแขนที่สอดรัดอยู่ตรงหน้าท้อง
เมื่อย้อนคิดไปถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นก็อดรู้สึกวูบโหวงในอกไม่ได้
ไม่ชอบการทะเลาะกับปินเลย
“มันคงต้องมีบ้าง แต่ไม่ว่ายังไงเราจะเข้าใจกันได้ถ้าพูดคุยกันอย่างมีเหตุผล...วันนั้นผมอาจจะงี่เง่าไป แต่ต่อจากนี้สัญญาว่าจะใช้สติให้มากขึ้น”
“เหมือนกัน”
“ถ้าสุดท้ายเราจะยังอยู่ด้วยกันก็ไม่รู้จะทะเลาะกันนานไปทำไม ถูกไหม” คนฟังพยักหน้ารับพลางทิ้งน้ำหนักไปพิงแผ่นหลังกว้างเอาไว้
“ปิน”
“หืม?” คนถูกเรียกขานรับ
“มาถ่ายรูปกันไหม”
“เอาสิ ผมเอากล้องมาด้วยพอดี”
คนตัวโตผละกายออกห่างเพื่อเดินกลับไปหยิบกล้องในรถ แล้วอุปกรณ์สำหรับถ่ายรูปก็ได้ทำหน้าที่เก็บความทรงจำในครั้งนี้เอาไว้หลายร้อยรูป
ทริปแรกของเรา
“ฝุ่นหนาวหรือเปล่า” ฝุ่นส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนเครื่องดื่มในมือจะถูกยกขึ้นมาจิบ
คนทั้งสองนั่งอยู่บนกระโปรงรถแล้วทอดมองท้องฟ้าพร้อมทั้งคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ
และอาจเพราะฝุ่นได้แอลกอฮอล์ที่อีกคนเตรียมมาอย่างดีช่วยเอาไว้ส่วนหนึ่งจึงไม่หนาวสั่นกับอากาศเย็นชืดรอบตัว
“แก้มแดงแล้ว” ปลายนิ้วแกร่งเกลี่ยแก้มเนียนที่แดงระเรื่อแผ่วเบา
“ไม่รู้ทำไม พอดื่มแล้วแก้มจะแดงทุกทีทั้งที่ยังไม่ได้เมา”
“ฝุ่นดื่มเก่ง อันนี้ก็ถูกฝึกมาเหมือนกันเหรอ”
“อืม ก็ถูกฝึกแทบจะทุกอย่าง”
“เกี่ยวกับตัวฝุ่น...มีอะไรที่พอจะเล่าให้ผมฟังบ้างได้ไหม” คนถูกถามนิ่งคิดไปเล็กน้อย
“พอพ่อแม่เสียไปเมื่อแปดปีก่อนฝุ่นกับน้องก็ทำงานกันอย่างหนักเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง ฝุ่นไม่ได้เรียนต่อเพราะต้องส่งน้องเรียนมัธยม กระทั่งวันนึงตอนที่ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ในร้านอาหารก็มีคนเข้ามาติดต่อให้ทำงานนี้...เพราะความจำเป็นเลยทำให้ตัดสินใจตกลง”
ความจำเป็นที่ไม่อยู่แล้ว...
ฝุ่นพยายามไม่ร้องไห้แม้ปลายจมูกและกระบอกตาจะร้อนผ่าว เวลาผ่านมาสักระยะความเข้มแข็งก็มีมากขึ้น อาจไม่มากมายแต่ก็พอให้ชีวิตเดินต่อได้ อีกทั้งยังพยายามบอกตัวเองตลอดว่าอย่าทำให้คนบนฟ้าต้องเป็นห่วง
“ผมดีใจที่ฝุ่นตกลงนะ”
ความเศร้าที่เจืออยู่ในทั้งน้ำเสียงและแววตาทำให้ปินโน้มใบหน้าลงไปใกล้ ริมฝีปากได้รูปทาบทับลงบนหน้าผากเนียน ก่อนปลายจมูกโด่งจะไล้ลงมาตามสันจมูกเล็ก ลมหายใจที่เจือด้วยกลิ่นองุ่นจากเครื่องดื่มในมือแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่ง
“กว่าจะได้มาดูแลปินนั้นไม่ง่ายเลย” ฝุ่นเอ่ยพูดพลางหลับตาลง
“...”
“กว่าจะผ่านแต่ละการฝึกมันยากมาก แต่ก็คิดเอาไว้ว่าเพื่อเงิน” ภาพการฝึกแต่ละขั้นตอนไหลเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ
“...”
“แต่พอได้เงินมาแล้วก็รู้ว่ามันไม่ได้ซื้อได้ทุกอย่างแบบที่คิด”
ประโยคนั้นดังแผ่วเบาจนปินรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด มือหนายกขึ้นมาแนบกับแก้มอีกคนพร้อมเอ่ยคำปลอบโยน
“ฝุ่นมีผมอยู่ตรงนี้”
ดวงตาคู่สวยเปิดลืมขึ้นมองคนที่อยู่ใกล้ชิด ทั้งที่ได้ยินประโยคนี้จากปินหลายครั้งแต่ก็ยังรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ยิน
“มันเป็นเรื่องโชคดีที่สุดสำหรับการตกลงรับงานนี้...โชคดีที่เป็นปิน”
แก้มสากถูกสัมผัสด้วยมือเล็ก จากนั้นจึงเลยไปวางแนบกับลำคอ แล้วฝุ่นก็เป็นฝ่ายแตะริมฝีปากเข้าหาริมฝีปากอีกคน
ความรู้สึกทั้งหมดถูกเอ่ยผ่านสัมผัสที่เกาะเกี่ยว มือบางขยับไปลูบไรผมตรงหลังคอแกร่ง รสชาติหวานปนขมติดอยู่ตรงปลายลิ้น ดั่งยิ่งจูบยิ่งรู้สึกมัวเมา
ขวดทั้งสองถูกปล่อยลงบนพื้นอย่างไม่มีใครใส่ใจ เสียงดูดดึงของริมฝีปากดังคลอกับเสียงแมลงที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ อาจเพราะแอลกอฮอล์ที่เจืออยู่ในกระแสเลือดความยับยั้งชั่งใจจึงลดน้อยลง รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังบางก็สัมผัสได้ถึงความแข็งของกระจกหน้ารถ ร่างกายอีกคนคร่อมอยู่ด้านบนขณะริมฝีปากยังคงแนบชิด
“ปะ ปิน ตรงนี้มัน...” ฝุ่นจำได้ว่าตัวเองพูดประโยคนี้ออกไปเพื่อหยุดยั้งการกระทำที่ไม่เหมาะสมกับสถานที่ ทว่าพอซอกคอถูกสัมผัส หน้าท้องถูกลูบไล้ ความหนักแน่นก็ปลิวหายไปกับสายลม
มันเลยเถิดจนไม่อาจหยุดยั้ง
“อื้อ” ความเจ็บแปลบบริเวณลำคอมาพร้อมกับความเสียวซ่านตรงเม็ดกลางอกซึ่งถูกบีบบี้
แผ่นอกบางสะท้านไหวจากการหอบหายใจ ริมฝีปากสีสดถูกขบกัดบ้างคลายบ้าง
อากาศตอนกลางคืนในป่ายิ่งดึกยิ่งเย็น หากแต่คนทั้งสองกลับไม่รู้สึกถึงเนื่องจากความร้อนระหว่างกายที่เพิ่มขึ้นตามสัมผัสและอารมณ์
สองแขนเรียวยกขึ้นคล้องลำคอคนตรงหน้า ความลื่นของกระโปรงรถส่งผลให้ตัวไถลลงมาเล็กน้อย โดยมีปินคอยขยับขึ้นทั้งยังช่วยคนร่างเล็กขยับไปด้วย
“ปะ ปิน” เสียงเรียกชื่อสั่นๆ ดังขึ้นเมื่อรู้สึกโล่งตรงส่วนล่าง ทั้งชั้นในและกางเกงตัวนอกของฝุ่นถูกเลื่อนลงไปกองตรงเข่า ก่อนกลางกายจะถูกแตะต้องด้วยมือสาก
“อ๊ะ อา” ปินเริ่มจากเพียงลูบไล้ จากนั้นจึงค่อยๆ ขยับรูดรั้ง
ใบหน้าเล็กซบลงกับไหล่แกร่ง พยายามส่งเสียงอยู่เพียงในลำคอ ขณะสะโพกบิดเร้าน้อยๆ
จังหวะของมือใหญ่เป็นขั้นบันไดไปเรื่อยๆ กระทั่งขั้นสุดท้ายมาถึง
ฝุ่นไม่อาจกลั้นเสียงครางหวาน ไม่อาจห้ามการเกร็งกระตุก ไม่อาจรั้งการปลดปล่อยได้อีกต่อไป
แล้วความต้องการก็ถูกรีดเคล้นลงบนหน้าท้องบาง จนเมื่อหมดทุกหยอดหยดคนเพิ่งปลดปล่อยก็ผละหน้าออกไปจูบอีกคน
จุ๊บ
“รอก่อนนะครับ” ปินกดริมฝีปากหนักๆ ทิ้งท้ายแล้วลงจากหน้ากระโปรงเพื่อไปหยิบสิ่งที่จำเป็นในรถ ทิ้งร่างเล็กให้นอนอยู่บนนั้นไม่กี่วินาทีก่อนจะกลับมาอีกครั้ง
สองขาเรียวที่ตั้งชันอยู่ถูกดันขึ้นเกือบชิดอก จากนั้นปินจึงค่อยๆ ขยับมาอยู่ตรงกลาง พยายามทรงตัวด้วยการจับขอบกระจกหน้ารถเอาไว้ด้วยมือหนึ่งข้าง
“ปิน เรา...” ฝุ่นไม่อาจพูดจนจบเมื่อริมฝีปากได้รูปทาบทับลงมาปิดกลั้นอย่างจงใจ วินาทีนี้ปินไม่สนคำตักเตือน ไม่สนใจว่าเราจะอยู่ที่ไหน เนื่องจากอารมณ์ที่ถูกกระตุ้นด้วยเครื่องดื่มและสถานที่
ยิ่งไม่เหมาะ ยิ่งไม่สมควร มนุษย์เรายิ่งชอบลอง
ปินละมือออกจากการยึดเหนี่ยวมาปลดกระดุมและรูดซิปกางเกง ซองเล็กๆ ซึ่งถูกเหน็บไว้ที่กระเป๋ากางเกงทางด้านหลังถูกดึงออกมาฉีกด้วยมือและปาก ก่อนมันจะถูกสวมลงบนกลางกายใหญ่โต
ช่องทางสีกุหลาบถูกถูไถด้วยส่วนร้อนผ่าวอยู่เพียงไม่กี่ครั้งก็ถูกรุกล้ำเข้าไป
“อึก” ปลายเล็บสั้นกุดเผลอจิกลงบนกระโปรงรถอย่างลืมตัวเมื่อความอึดอัดคับแน่นที่เจือมากับความเสียวซ่านคลืบคลานเข้ามาในกาย
สะโพกสอบเดินหน้าช้าๆ และถอยหลังบ้างเป็นบางจังหวะ กระทั่งเติมเต็มความวางเปล่านั้นได้หมด
ฝุ่นทำได้เพียงผ่อนลมหายใจเพื่อผ่อนคลายร่างกาย ระหว่างนั้นปินก็กลับมาจูบซับไปตามลำคอบาง เพิ่มรอยใหม่เข้าไปรอยสองรอย ยามฝุ่นพร้อมแล้วจึงเริ่มต้นขยับ
“อืม” เสียงครางทุ้มดังอยู่ในลำคอแผ่วเบาเมื่อตัวตนถูกโอบรัดด้วยความนุ่มอุ่นทุกทิศทาง
อาจด้วยเพราะบรรยากาศ น้ำเมา และสถานที่ที่ทำให้รู้สึกมากขึ้นในอีกแบบ
ฝ่ามือใหญ่ที่วางอยู่บนเข่าเล็กขยับดันอีกนิดให้ส่วนล่างแนบชิดกันยิ่งขึ้น ขณะมืออีกข้างก็ยึดเหนี่ยวร่างกายไม่ให้ตกอยู่ตำแหน่งเดิม
ปินยังไม่ได้ขยับสะโพกเร็วแต่เน้นหนัก บดคลึงบ้าง หมุนคว้านบ้างสลับกันไปจนถึงจุดที่ต้องดำเนินการไปมากกว่านั้น
ร่างเล็กสั่นคลอนตามแรงตอกตรึงที่เพิ่มขึ้นอีกจังหวะ มาถึงตอนนี้ฝุ่นก็ไม่อาจกักเก็บเสียงครวญครางอันน่าอาย แม้จิตใต้สำนึกจะหวั่นกลัวคนผ่านมาได้ยินแต่ก็ยังห้ามใจไม่ได้
มันรู้สึกมากเกินกว่าจะอดทน
ดวงตาโตที่พร่ามัวเพราะความเสียวซ่านเลื่อนขึ้นมองท้องฟ้าด้านบน ความสวยงามระยิบระยับถูกลดระดับลงเพราะไม่มีสมาธิกับการเชยชมเท่าไหร่นัก
นอกจากเสียงหอบหายใจและเสียงครางจากคนทั้งสองที่ดังคลอกับเสียงแมลง ก็ยังมีเสียงอื่นให้ได้ยิน
พรึบ พรึบ
เสียงที่เกิดจากการเสียดสี...
“อา ปะ ปิน เร็ว...อื้อ” ดวงดาวบนนภาที่ใกล้จะเอื้อมถึงถูกเร่งเร้าให้อีกคนพาเข้าไปใกล้
ศีรษะเล็กซึ่งกระแทกกับกระจกรถไม่ได้อยู่ในความสนใจของเจ้าของเมื่อสิ่งที่ต้องการใกล้จะมาอยู่ตรงหน้า
ฝุ่นเว้าวอน อ้อนขอ ก่อนจะหวีดร้องออกมาในจังหวะสุดท้าย...
“อ๊าาาาา” การปลดปล่อยครั้งที่สองเกิดขึ้น ขณะที่คนด้านบนยังคงขยับกายเข้าออก จนอารมณ์ที่ค่อยๆ มอดดับลงของฝุ่นเกือบจะถูกปลุกขึ้นมาอีกคราปินจึงปลดปล่อยออกมาตามกัน
“อืมมมม” เปลือกตาสีอ่อนหลับลงรับการกระตุกของบางส่วนในกาย แม้ไม่มีสิ่งใดถูกฉีดพ่นเข้ามา แต่ความแนบชิดอันลึกล้ำก็ทำให้สามารถรับรู้ได้และรู้ได้ว่ามันหมดสิ้นเมื่อไหร่
ปินแช่กายอยู่ในความอุ่นนั้นนิ่ง กระทั่งลมหายใจเริ่มกลับมาเป็นปกติจึงรั้งกายออกจากการเชื่อมต่อ ดวงตาเรียวรีทอดมองคนใต้ร่างเป็นประกาย ริมฝีปากยกยิ้ม
“ดาวที่นี่สวยจริงๆ”
ปึก
“กะ กลับได้แล้ว...อายท้องฟ้าจะแย่” ฝุ่
นหลบสายตาทำเป็นมองฟ้ามองดาว พอความอารมณ์ความต้องการหมดลงความกระดากอายอันมากมายจึงเข้ามาแทนที่
ให้ตาย...กับปิน...ตรงที่โล่ง...ตรงหน้ารถ
มันบ้ามาก
“ไม่ต้องอายหรอกครับ ฟ้าคงเข้าใจ” ต่างจากคนหน้าหนาที่ไม่สะทกสะท้าน ทั้งยังพูดด้วยท่าทีสบายๆ
“เข้าใจว่าเราหื่นน่ะสิ” ฝุ่นเข่นเขี้ยว ก่อนจะไล่อีกคนให้ลงไปหยิบทิชชู่มาเช็ดคราบเลอะตรงหน้าท้องซึ่งไหลและกระเซ็นถูกกระโปรงรถบางส่วนด้วยความกระดาก
แม้จะกลับเข้ามาในรถเพื่อกลับที่พักสำหรับคืนนี้ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ยังติดอยู่ในหัว ร่างกายรู้สึกวูบวาบราวกับยังคงถูกอีกคนแตะต้อง
ปล่อยให้มันเลยเถิดขนาดนั้นได้ยังไง...
ฝุ่นอยากทึ้งหัวตัวเอง ทั้งยังด่าความต้องการทางกายที่มีมากเกินจนไม่สนใจสถานที่
“วิวมันน่ามองกว่าผมอีกหรือ” คนขับรถที่ถูกเมินตั้งแต่ขึ้นรถมาเอ่ยถามขึ้น
“ขับรถไปเลย” ฝุ่นหันไปตอบแล้วก็หันกลับมาดูวิวนอกรถตามเดิมยามเสียงหัวเราะทุ้มดังตามมา
--
ฝุ่นแทบไม่มีเวลาชื่นชมที่พักแบบส่วนตัวเพราะต้องรีบกลับกรุงเทพในตอนฟ้ายังไม่สางเนื่องจากกลัวว่าจะมีใครเห็นปินเข้า ธนทัตทำหน้าที่ดูแลความสะดวกของเพื่อนโดยพาไปทางหลังรีสอร์ทที่ไม่มีผู้คน จากนั้นก็นำรถมาให้อย่างมั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครพบเห็น
“ขอบใจมากนะ” ปารินทร์เอ่ยกับเพื่อนยามนั่งอยู่ในรถแล้วเรียบร้อย
“ตอบแทนเรื่องนั้นไง” เรื่องนั้นที่ว่าก็คือการเป็นพ่อสื่อให้กับดาราสาวที่ปินรู้จักเป็นอย่างดี
“หึ...แล้วไว้เจอกันที่กรุงเทพ”
“เจอกัน” ธนทัตเลื่อนสายตาลึกเข้าไปเพื่อค้อมหัวบอกลากับอีกคน เมื่อฝุ่นพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มร่างสูงจึงขยับถอยห่างให้รถคันหรูเคลื่อนตัวออกจากรีสอร์ทไป
จากกาญจนบุรีมากรุงเทพใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง และคนที่รู้สึกอ่อนเพลียก็หลับมาตลอดทาง กระทั่งกลับมาถึงห้องฝุ่นก็รู้สึกหนักๆ หัว คราแรกคิดว่าเป็นเพราะเครื่องดื่มที่ดื่มเข้าไปเมื่อคืน หากแต่พอลมหายใจร้อนขึ้นก็รับรู้ได้ทันทีว่าร่างกายกำลังส่งสัญญาณว่าจะป่วย
“ฝุ่นทานยาทำไม รู้สึกไม่สบายเหรอ” ปินที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินเข้ามาในครัวเพื่อช่วยอีกคนทำมื้อเช้าเอ่ยถามขึ้น คิ้วเข้มขมวดมุ่น ขาแกร่งก้าวยาวๆ เข้าไปชิด ก่อนจะวางมือแนบกับหน้าผากเนียน
“แสบจมูกนิดหน่อย”
“ตัวรุมๆ คงเป็นเพราะตากน้ำค้างเมื่อคืน...ผมขอโทษ” คนที่เป็นสาเหตุกล่าวด้วยความรู้สึกผิดขณะลูบแก้มนิ่มไปด้วยอย่างแผ่วเบา
“คงเพราะช่วงนี้ฝุ่นไม่ได้ออกกำลังกาย ร่างกายเลยอ่อนแอน่ะ” ฝุ่นพยายามปลอบคนตรงหน้าไม่ให้รู้สึกผิด
“เป็นเพราะผมเอง ยังไงฝุ่นไปพักในห้องก่อนเถอะ เดี๋ยวผมทำอาหารเอง เสร็จแล้วจะเข้าไปบอก”
“ไม่เป็นไร ฝุ่นยังไหว”
“อย่าดื้อสิครับ ผมเป็นห่วง”
เห็นความเป็นห่วงทั้งในแววตาและน้ำเสียงนั้นแล้วฝุ่นก็ไม่อาจดื้อรั้นต่อไปได้อีก สุดท้ายจึงจำต้องพยักหน้ารับแล้วออกห่างจากคนร่างสูงเพื่อกลับไปยังห้องนอน
หยิบกล้องมาดูรูปรอสักพักปินก็ออกมาตามไปทานข้าว หลังจากนั้นก็ถูกบังคับให้นอนพัก
ค่ำมาอาการกลับทวีความรุนแรงขึ้นกลายเป็นคนป่วยเต็มตัว ทั้งปวดหัวตัวร้อนและเจ็บคอ
“จิบน้ำอุ่นนะ จะได้รู้สึกดีขึ้น”
ฝุ่นอยากเบือนหน้าหนีเพราะไม่ชอบจิบน้ำอุ่นแต่ความทรมานในร่างกายก็ทำให้ต้องทำตาม มันเจ็บคอจนเผลอแสดงท่าทีงอแงใส่อีกคน
“เจ็บคอ” คนป่วยซบหน้าผากเข้ากับอกกว้างพลางเอ่ยเสียงเบาให้ปินวาดวงแขนโอบรอบร่างบางพร้อมทั้งเอ่ยคำปลอบโยน
“อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวจิบน้ำอุ่นไปก็จะค่อยๆ ดีขึ้น” ฝุ่นซุกหน้าอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับไปไหน กระทั่งปินต้องบอกให้นอนลง
“ฝุ่นนอนนะ พักผ่อนเยอะๆ จะได้หายเร็วๆ” ก้มลงพูดกับคนในอ้อมแขนทว่ากลับได้รับการส่ายหน้าเป็นคำตอบ
ปินนั่งมึนอยู่ชั่วครู่ เมื่ออีกคนไม่ยอมขยับจึงเข้าใจว่าฝุ่นคงจะอยู่ในท่านี้ไม่ไปไหน ชายหนุ่มยกยิ้มเมื่อนานๆ จะได้เห็นท่าทีงอแงจากคนอายุมากกว่า
ปารินทร์นั่งนิ่งให้คนไม่สบายซบอยู่หลายนาทีจนสัมผัสได้ถึงความนิ่งงันและจังหวะการหายใจที่สม่ำเสมอจึงค่อยๆ ดันฝุ่นลงนอน ผ้าห่มถูกขยับมาห่มให้ถึงอกแล้วตบท้ายด้วยการจูบหน้าผากแผ่วเบา
“หายเร็วๆ ครับแมวฝุ่น” เสียงทุ้มกระซิบบอกคนที่หลับใหล จากนั้นจึงหยัดกายขึ้นเพื่อตรงไปยังห้องทำงานเนื่องจากยังไม่ถึงเวลานอน
--
“ฝุ่นอยู่คนเดียวได้แน่นะ” ปินซึ่งกำลังจะออกไปทำงานในตอนเช้าถามย้ำเป็นรอบที่ห้า ขณะที่คนถูกถามซึ่งยังคงรู้สึกไม่สบายอยู่ก็รับคำ
“อื้อ” ฝุ่นยืนยันอีกครั้ง อาการเจ็บคอจนกลืนน้ำลายลำบากเริ่มดีขึ้น อาจเพราะได้น้ำอุ่นช่วยเอาไว้ ส่วนไข้นั้นยังคงมีอยู่ อาการโดยรวมยังถือว่าหนักแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นดูแลตัวเองไม่ได้
“ผมเป็นห่วงจัง” คนป่วยถูกรั้งเข้ามากอดแน่นๆ ใจปินไม่อยากออกไปทำงานเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องห่วง ฝุ่นอยู่ได้” เสียงพูดดังอู้อี้เล็กน้อยเพราะแมสก์ปิดปากและเพราะอาการคัดจมูก
“ถ้าไม่ไหวโทรบอกผมหรือไม่ก็พี่หวานนะ”
“อื้อ ไปทำงานเถอะ”
ปินผละออกมองหน้าคนร่างเล็ก ริมฝีปากได้รูปกดลงบนหน้าผากที่มีแผ่นเจลแปะอยู่ก่อนจะต้องตัดใจบอกลาในที่สุด
“แล้วผมจะรีบกลับ”
ฝุ่นโบกมือลาร่างสูงเล็กน้อยยามที่อีกคนยังดูอาลัยอาวรณ์กับการเปิดประตู กว่าปารินทร์จะก้าวออกจากห้องได้ก็ใช้เวลาหลายนาที และเมื่อประตูปิดลงคนป่วยก็เดินลากเท้ากลับมาทิ้งตัวลงบนโซฟาหน้าโทรทัศน์
ปวดหัวจัง...
เปลือกตาร้อนผ่าวเพราะอาการไข้ปิดลงอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนฤทธิ์ยาที่ทานเข้าไปหลังอาหารเช้าจะค่อยๆ เริ่มทำงาน แล้วสุดท้ายฝุ่นก็ผล็อยหลับไป
“ฝุ่นไม่สบายงั้นเหรอ” ภาวิดาถามขึ้นหลังจากปารินทร์เล่าให้ฟังถึงเหตุผลที่จะกลับเร็วกว่าตารางที่วางเอาไว้
“ครับ เป็นไข้หวัด อาการหนักไม่น้อยเลย...เพราะงั้นงานงานแต่งเย็นนี้ผมขอตัวนะพี่หวาน”
“แต่ผู้ใหญ่อุตสาห์เชิญ มันก็ดูเสียมารยาทอยู่หน่อยนึงนะ”
คนเป็นผู้จัดกาส่วนตัวทำสีหน้าครุ่นคิดถึงสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้ กลัวว่าผู้ใหญ่จะเคืองที่ปารินทร์ไม่ไปร่วมงานกะทันหัน
“เดี๋ยววันหลังผมจะเข้าไปขอโทษผู้ใหญ่เอง วันนี้ฝากพี่หวานจัดการให้ก่อนนะครับ...นะ”
“แล้วฝุ่นอาการหนักถึงขั้นดูแลตัวเองไม่ได้เลยเหรอ”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นแต่ผมอยากดูแลเขา” ปินเอ่ยตอบทันควันเมื่อถูกเอ่ยถามแบบสะกิดใจเล็กๆ
ไม่ว่าจะป่วยน้อยหรือมาก ใครก็ต้องอยากดูแลคนที่เรา
รักทั้งนั้น
ขณะที่คนได้ยินก็ชะงัก ก่อนภาวิดาจะพูดกับคนตรงหน้าเสียงเรียบ
“ปินดูเป็นห่วงฝุ่นมากเลยนะ”
“...” คนที่เพิ่งรู้ว่าเผลอแสดงท่าทีอะไรออกไปนิ่งเงียบ แต่ถึงอย่างนั้นดวงตาเรียวรีก็ไม่ได้หลบสายตาคนดูแล มันแสดงออกถึงความไม่หลบซ่อนจนคนมองนึกหวั่นใจ
“ที่ผ่านมาไม่ใช่พี่ไม่รู้นะปิน แล้วพี่ก็ขอเตือนว่าอย่าให้ความรักมันสำคัญกว่าคนที่รักปินและความพยายามที่ปินทำมาทั้งหมด”
ภาวิดาผ่านโลกมามากและก็ใกล้ชิดกับเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นอย่างดี อะไรเกิดขึ้นบ้างทำไมเธอจะไม่รู้ไม่เห็น เพียงแต่เลือกที่จะไม่พูดก็เท่านั้น
“...”
“ปินอดทนที่จะปกปิดมันไปอีกนานได้ใช่ไหม”
“ผมรู้ว่าผมควรทำยังไง” ปินไม่ได้รับปากแต่เอ่ยประโยคที่บ่งบอกให้รู้ว่าจะจัดการเรื่องนี้ไปในทิศทางไหน
“พี่เชื่อปิน อย่าทำให้พี่ผิดหวังล่ะ...งานเย็นนี้พี่จะจัดการให้ แต่คราวหลังเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวต้องอยู่คนละส่วนกัน ที่พี่เตือนเพราะหวังดีกับปินรู้ใช่ไหม”
“ครับ ผมรู้ ผมจะไม่ทำให้พี่หวานผิดหวัง”
เมื่อคนในปกครองรับคำภาวิดาก็ลอบถอนหายใจพลางเลื่อนสายตาไปมองนอกรถ ในหัวคิดถึงเรื่องนี้ที่พยายามจะไม่คิดมาตลอดอย่างกังวลใจ
เธอกลัวว่าวันหนึ่งปินจะให้ความรักอยู่เหนือทุกอย่างเหมือนที่คนอื่นเป็น...แล้ววันนั้นเองที่ปิน ปารินทร์จะถูกสังคมทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี
มีความรักว่าหนักแล้ว มีความรักในเพศเดียวกันมันเป็นเรื่องใหญ่มากTBC.
มาแล้วค่าาา
มาช้าเพราะเมื่อวานเหนื่อยๆ
เห็นไหมว่าดราม่าแป๊บเดียวเอง อิอิ
ฝากให้กำลังพี่ฝุ่น แล้วก็ให้คะแนนความร้อนแรงของหมาปินด้วยนะคะ-.,-
ฝากแท็ก #secrecyลับรัก ด้วยน้าาาา