__________________________________________
อากาศภายนอกค่อย ๆ โรยตัวลงมา ดีว่าช่วงนี้เป็นฤดูร้อนจึงทำให้ความมืดเคลื่อนที่ปกคลุมแผ่นฟ้าได้ช้ากว่าปกติ... ออกมาจากตู้ หูก็ได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้องระงมราวกับจะบอกว่านี่เป็นเวลาแห่งการพักผ่อน บรรยากาศโดยรอบดูเงียบเหงา ทะมึนทึม มันทำให้อดคิดถึงในเมืองใหญ่ที่เคยอยู่ไม่ได้ แต่ก็อย่างว่า แถวบ้านนอกก็แบบนี้แหละ...จะมีแสงไฟที่ไหนนอกจากไฟทางถ้าไม่ใช่บนตึกที่กำลังทำการก่อสร้างอยู่
“ช่าง ยังไม่กลับอีกหรอครับ” น้ำเสียงแหบทุ้มของเด็กเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มเรียกให้คนที่กำลังจับจ้องอยู่กับแสงไฟบนตึกของชั้น 15 ต้องละสายตาลงมา ดวงตาเรียวหรี่มองรอยยิ้มแจ่มใสของคนตรงหน้าก่อนจะส่ายหัวแล้วยกริมฝีปากน้อย ๆ เพื่อตอบอีกฝ่ายกลับเป็นมารยาท
“กลับไปแล้ว ที่เห็นยืนอยู่น่ะผี ไม่ใช่คน”
“โธ่...ช่างเก้าก็...อย่าล้อเล่นสิ ผมยิ่งขี้กลัวอยู่”
แก้วหัวเราะกับคำพูดสัพยอกของเจ้านายตัวขาว เด็กหนุ่มยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองตนกลับมาด้วยสายตาเอ็นดู
“แล้วนี่มาทำอะไรที่ไซต์? ไม่ได้เลิกงานแล้วหรือยังไง?” ณเกล้าเอ่ยทักเมื่อมองปราดตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแล้วเห็นว่าคนตรงหน้าอยู่ในชุดลำลองอีกชุดที่ไม่ใช่ชุดเดียวกับเมื่อตอนบ่าย
“อ๋อ” เด็กหนุ่มก้มลงมองตนเองตามสายตาช่างสังเกตของเจ้านาย “เลิกแล้วครับ แต่แม่วานให้เอาปิ่นโตมาให้เฮีย”
“เฮีย?” วิศวกรหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม “คุณจินไตยยังไม่กลับอีกหรือไง?”
“ครับ...ยังไม่กลับ” แก้วทวนคำเสียงใส “แต่ไล่ลูกน้องกลับหมดแล้วนะช่าง... เฮียเขาว่าจะอยู่ทำทั้งชั้นให้เสร็จก่อน...เขาว่ามันอีกนิดเดียว”
ร่างโปร่งถอนหายใจทันทีที่ได้ฟังประโยคบอกเล่าของเด็กแก้ว ไม่ต้องสืบเลยว่าที่ไฟบนชั้น 15 นั่นยังเปิดอยู่เป็นเพราะใคร เย็นย่ำป่านนี้ไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่องแต่มานั่งทรมานตัวเองอยู่คนเดียวเพื่อทำงานแทนคนงานคนอื่นเขาเนี่ยนะ?
เชื่อเลย...ให้ตายเหอะ
สุดโต่งจริง ๆ เลย
ตาลุงจินไตยเนี่ย...
“โอเค ไม่มีอะไรแล้วงั้นก็รีบกลับไปหาแม่เถอะ...แล้วก็ ถ้ามีปัญหาอะไรอีกโทรเข้าเบอร์ฉันได้เลยไม่ต้องกลัวแม่ดุ ไม่ต้องเกรงใจ...ถ้าเป็นอะไรหนักขึ้นมาเดี๋ยวจะพาไปส่งโรงพยาบาลไม่ทัน”
แก้วพยักหน้ารังๆ ให้กับคนที่เพิ่งจะก้มหน้าลงมองนาฬิกาข้อมือ ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องแปลกใจเลยที่ช่างเก้าจะเป็นที่รักของคนในละแวกนี้ เพราะไม่ใช่ว่าคน ๆ นี้มีดีแค่ที่หน้าตา ทว่าภายใต้ใบหน้านิ่ง ๆ ติดจะหยิ่งยะโส ดูไม่สนใจคนอื่นเท่าไหร่นั่น (แถมยังน่ากลัวนิด ๆ เวลาเข้ามาฟาดงวงฟาดงากับเฮียของเขา) กลับแฝงไปด้วยความใจดี และรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่นเป็นอย่างมาก
ตัวอย่างก็เช่นเขาคนนึง... จำได้ว่าเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน ตอนแม่ของเขาเกิดเป็นลมล้มลงไปเพราะเป็นความดันขึ้นก็ได้ช่างเก้ากับเฮียนี่ล่ะที่ช่วยขับรถพาเข้าไปหาหมอในเมือง...(ไม่ต้องถามนะว่าทำไมช่างเก้าถึงไปอยู่กับเฮียได้...เขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม)
เพราะงั้นถึงใครจะว่าช่างเก้าน่ากลัว หรือดูจุกจิกยังไง แต่ในสายตาเขา ช่างก็เป็นคนน่ารักในแบบที่เขาเป็นนั่นล่ะ (ถึงเวลางานจะไม่ค่อยน่าคบเท่าไหร่ก็เถอะ)
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ ถ้าช่างเก้าจะขึ้นไปดูเฮียก็อย่าทะเลาะกันแรงนะครับ เกิดต่อยกันพลัดตกลงมาผมจะบาปหนาเพราะยังไม่มีโอกาสได้ทดแทนให้ผู้มีพระคุณทั้งสอง”
“ปากดี รีบกลับไปเลยไป ถ้ามัวแต่ยืดยาดพูดจาเพ้อเจ้อฉันจะเข้าไปหาแม่เธอแล้วฟ้องว่าลูกชายของแม่น่ะ...มันไม่ตั้งใจทำงาน”
“โธ่...ช่างเก้าก็” แสร้งทำเป็นถอนใจอย่างไม่จริงจัง เด็กหนุ่มหัวเราะเมื่อเห็นสายตาดุ ๆ จากอีกฝ่าย “งั้นผมกลับแล้วนะครับ ช่างเก้าก็ขับรถกลับดี ๆ ล่ะ” พูดจบก็ค้อมหัวทำความเคารพแล้วรีบหมุนตัวกลับออกไป ใครจะรู้ ขืนปล่อยเวลาอยู่ช้ากว่านี้อีกซักนาทีสองนาทีเขาอาจจะโดนช่างเก้าบังคับให้นั่งรถกลับเป็นเพื่อนก็ได้...
ไอ้เรื่องนั่งรถกลับกับช่างเก้าสบายจะตาย ไม่ต้องเดิน
แต่ขืนแม่รู้ล่ะก็โดนด่ายันเช้าแน่ แม่ยิ่งเกรงใจช่างเขาอยู่...“อืม...”
ณเกล้าครางในลำคอแล้วมองตามแผ่นหลังของเด็กแก้วจนลับสายตา จะว่าน่าเอ็นดูก็ใช่ น่าชื่นชมก็ไม่ปฏิเสธ... มองเด็กคนนี้ทีไรแล้วนึกย้อนไปถึงตอนตัวเองอายุเท่ากันทุกที เพิ่งจะ 20 กว่า ๆ เท่านี้แต่ก็ต้องมารับภาระหน้าที่ดูแลแม่ละน้องที่ป่วยกระเสาะกระแสะเสียแล้ว
ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นมองไปยังชั้น 15 อีกครั้ง... รายนั้นก็เหมือนกัน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้เขาต้องนึกย้อนกลับมามองตัวเองเมื่ออยู่ในวัยเดียวกันกับเขา และก็เป็นเกือบทุกครั้ง ที่ฟังเรื่องของ ‘โฟร์แมน’ คนเก่งจากปากนายใหญ่แล้วจะอดชื่นชมไม่ได้...
แต่ไอ้เรื่องที่ว่าชื่นชมแล้วจะพูดดี ๆ กันได้น่ะ มันคนล่ะส่วนกัน...
ยังไงงานก็คืองาน...ถ้าจะฉะต้องฉะให้ได้เรื่อง
ก็ตาลุงนั่นเป็นคนพูดเอาไว้เอง...
“ทำไมยังไม่กลับอีก”มือหนาชะงักงันทันทีที่ได้ยินเสียงแหบปนทุ้มแสนคุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลัง จินไตยหยุดทุกการกระทำแล้วผินหน้าหันไปมองวิศวกรขวัญใจประชาชนที่กำลังยืนจังก้ากอดอกมองเขานิ่งๆ ดวงตาเรียวคู่นั้นไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใดๆ เพียงแต่ยังคงจ้องเขาไม่วางตาเหมือนเดิม
“มีตาก็ดูสิว่าทำอะไรอยู่”
พูดพลางพยักเพยิดหน้าไปทางเศษปูนที่เพิ่งแย๊กออกไปเมื่อครู่ จินไตยผ่อนลมหายใจออกทางจมูกช้า ๆ พอเห็นหน้าขาว ๆ ของหมอนั่นก็นึกอยากบุหรี่ขึ้นมาอีก ทั้ง ๆ ที่คิดว่าจะเลิกแล้วเชียว...
“แล้วไม่กินข้าวหรือไง”
เห็นอีกฝ่ายลุกขึ้นจากพื้น เดินล้วงกระเป๋ากางเกงนำเข้าไปในมุมอับแล้วก็ต้องสาวเท้าตาม ณเกล้าหรี่ตามองตาลุงคนเก่าคนแก่ของสาขานี้จุดไฟกับมวนบุหรี่ก่อนจะปล่อยควันโขมวงออกมาทางปากและจมูก...
ไหนว่าจะเลิกแล้วไง ก็รู้ว่าปอดไม่ค่อยดีแล้วยังจะดูด... “กิน...ถึงวานไอ้แก้วเอาปิ่นโตมาให้ไง” จินไตยตอบพลางยกมือขึ้นลูบคางสาก ไรหนวดเริ่มขึ้นอีกแล้วแฮะ
“แล้วที่นัดกันล่ะ จะเบี้ยวรึไง”
“ก็แล้วงานมันเสร็จไหมล่ะ” พูดสวนขึ้นมาแล้วขมวดคิ้วมองสบตากับอีกฝ่าย “เห็น ๆ อยู่ ว่าไม่เสร็จ...ไม่เสร็จแล้วไง เดี๋ยวคนแถวนี้ก็โดนคอนซัลต์ด่าอีก”
ทู่ซี้ฟังน้ำเสียงกวนอารมณ์จนจบแล้วก็ต้องยิ้มออกมา ณเกล้าคิดว่านี่ช่างเป็นคำถากถางที่น่ารักเสียจริง
“อะไร จะบอกว่าที่ทำอยู่เนี่ย...เพื่อผมหรอ?” จงใจย้ำคำว่า ‘เพื่อผม’ เป็นพิเศษเพื่อเอาคืนจากเมื่อตอนกลางวันที่ด่าสาดกันซะจนลูกน้องเข้าหน้าไม่ติด ณเกล้ายกมือขึ้นกอดอกตัวเองแล้วเอนไหล่พิงกับพื้นผนังข้าง ๆโดยที่ดวงตายังคงจับจดอยู่กับริมฝีปากหนา “ถ้าจะทำเพื่อผมก็ทำทุกอย่างไม่ได้หรอ...บุหรี่น่ะเพลา ๆ หน่อย ก็เคยบอกแล้วไงว่าไม่ชอบกลิ่น”
“แล้วจะให้ดูดอะไร…ดูดปากช่างเก้าแทนได้ไหมล่ะ” เลิกคิ้วถามพลางปั้นหน้ากวนอารมณ์ใส่อีกฝ่าย ชายหนุ่มยืนนิ่งแล้วเตรียมกอดอกรอดูว่าวิศวกรขวัญใจประชาชนจะทำอย่างไรเมื่อโดนรวนใส่ในสถานการณ์แบบนี้....
แบบที่
ตัวเองก็ต้องการเขาจนแทบจะแย่...
“จะดูดอะไรก็ดูด เหม็นจะตายชัก.... รีบ ๆ บี้มันทิ้งซักที”
สิ้นเสียงสั่งรอยยิ้มบนริมฝีปากหนาก็ผุดพราย จินไตยยอมปล่อยบุหรี่ราคาแพงที่เพิ่งดูดไปไม่ถึงครึ่งมวนทิ้งลงพื้นอย่างไม่เสียดาย เขาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหาคนที่อายุน้อยกว่าเกือบ 7 ปี
“งั้นก็ขออนุญาตแล้วกันครับ...ช่างเก้า” โฟร์แมนคนเก่งกระซิบเสียงพร่าข้างใบหูบางแล้วออกแรงดันจนหลังของอีกฝ่ายแนบชิดติดกำแพง เขาไม่สนใจแล้วว่าตอนนี้ปากเล็ก ๆ ไซต์เอนฯจะบ่นว่าตนนั้นรุนแรงแค่ไหนที่เอาแต่ใจอย่างนี้ ที่เขาสนอย่างเดียวคือกลิ่นกายของคนตรงหน้าต่างหาก มันทั้งเย็นทั้งหอมชื่นใจ... เตะจมูกคนที่ร่างชื้นเหงื่อมาทั้งวันอย่างเขาเหลือเกิน
“ไหนว่าจะจูบ...จูบสิ มาจ้องกันทำไมนักหนา”
จะว่าปากดีก็ได้ แต่ณเกล้าไม่เห็นความจำเป็นว่าทำไมจะต้องมาจ้องกันราวกับจะกลืนลงไปทั้งตัวแบบนี้ซักนิด จะว่าเขาอิดออดเองหรือก็ไม่ใช่ ทั้งเชิญชวนทั้งต่อรองยอมอ่อนให้ขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังใช้ตาคม ๆ คู่นั้นพิจกันราวกับไม่เคยเห็นไปได้
ไม่รู้หรือไงว่ามันน่าอาย“...ทำไม จ้องแค่นี้ทำอย่างกับทองจะหลุดออกจากตัวไปได้” จินไตยกระเซ้าร่างในอ้อมกอดด้วยความหมั่นไส้ เขายกมือขึ้นเท้ากับผนังคอนกรีตก่อนจะก้มลงไปลากริมฝีปากแถว ๆ บริเวณแก้มเนียน “ก็แค่อยากจะมองช่างเก้าคนดุตอนที่อยู่นอกเวลางานบ้าง...แค่นี้มองไม่ได้หรือไง”
ณเกล้าหัวเราะหึแล้วกดสายตามองกลุ่มผมของคนที่กำลังคลอเคลียอยู่บริเวณลำคอของตน ไรหนวดอ่อน ๆ ของตาแก่นี่เริ่มผุดเป็นตอขึ้นมาอีกแล้ว มันทั้งสากและให้สัมผัสหยาบ ๆ เมื่ออีกฝ่ายลากปากไปทั่วทั้งผิวอ่อนของเขาแบบนี้
“เลิกเรียกผมอย่างนั้นซักที ตอนนี้อยู่ด้วยกันแค่สองคน...ถ้าจะเรียกเก้าเฉยๆก็คงไม่เสียปากเฮียนักหรอกใช่ไหมล่ะ”
สิ้นน้ำเสียงกระแนะกระแหนของวิศวกรขวัญใจประชาชนจินไตยก็ต้องหัวเราะออกมาดัง ๆ
จะบ้าตาย ไอ้คำพูดคำจาช่างถากถางนี่มันอะไร? ทำไมออกมาจากปากแดง ๆ ของณเกล้าแล้วโคตรน่าฟัดเลย
“ไม่บังอาจหรอกครับช่างเก้า...ผมมันก็แค่ลูกน้อง เป็นแค่โฟร์แมนใต้บังคับบัญชาของคุณแล้วจะไปเรียกคุณอย่างนั้นได้ยังไง เสียการปกครองหมด”
“เฮีย...” ณเกล้ากลอกตามองเพดานแล้วถอนหายใจทิ้งราวกับว่าเรื่องนี้มันหนักใจเขานักหนา “ถ้าล้อเล่นแบบนี้อีกครั้งเดียว...อีกแค่ครั้งเดียว ผมจะยันเฮียออกไปจากตัวด้วยเท้าข้างซ้ายแล้วชกเฮียซักหมัดให้ตาเขียวมาทำงานวันพรุ่งนี้เลยดีไหม”
“แล้วจากนั้นช่างเก้าก็จะโดนโฟร์แมนคนนี้เอาจนขาถ่าง หยุดงานไปพร้อมกันเลยก็ดีนะจะได้ถือเป็นการพักผ่อน” พูดจบจินไตยก็ผละหน้าจากลำคอขาว เขายันตัวออกมาสบตากับอีกฝ่ายแล้วหัวเราะ น้อย ๆ เมื่อณเกล้ากำลังเกิดอาการไปไม่เป็นเพราะสรรหาคำมาเถียงไม่ได้
“หึ...ถ่างไม่กลัว กลัวไม่ถ่างมากกว่า”
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังปากดีใส่... ไม่รู้จริง ๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่นะว่าที่ทำอยู่นี่มันกระตุ้นให้เขาเกิดอารมณ์มากแค่ไหน... ถึงจะไม่ค่อยแสดงออกอะไรแต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกซักหน่อย ที่ชอบมาทำเป็นเจ้ากี้เจ้าการ ขึ้นมาบงการสั่งโน่นสั่งนี่บนไซต์บ่อย ๆ ก็คงเพราะอยากจะมาหา มาเห็นหน้าตามประสา
เด็กขี้เหงานั่นล่ะ
คิดว่าดูไม่ออกหรือยังไง
“อ๋อ...ไม่กลัวหรอ” เห็นถดคอหนีก็รู้หรอกว่าไม่ชอบให้เอาหนวดไปถูคอ แต่ก็เพราะว่าทำหน้าตามีอารมณ์แบบนั้นไม่ใช่หรือไงถึงได้โดนแกล้งให้ต้องเจ็บใจอยู่อย่างนี้ “ถ้างั้นวันนี้เอาให้ถ่างเลยดีไหม...ถ้าเป็นหมาเขาเรียกว่าอะไรนะ...ติดเป้งหรอ”
“เป้งเปิ้งอะไรล่ะ...ทำไมชอบพูดจาแบบนี้นัก ไม่อายปากบ้างหรือไง”
ณเกล้าขมวดคิ้วใส่ ‘เฮีย’ ที่ก้มหน้าลงมาจรดริมฝีปากกับคอเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเฮียถึงชอบไว้หนวดให้เป็นตอแล้วเอามันมาถูกับคอเขา ไม่รู้ว่าสนุกสนานอะไรนักหนาจนต้องรวบเอวเข้าไปหาทั้ง ๆ ที่เขายอมถดตัวถอยหลังหนีไปแล้ว
“ไม่อาย” จินไตยค้อมหน้าลงไปกดจูบกับกระดูกไหปลาร้าของอีกฝ่าย ลากปากลงต่ำแล้วอ้างับเม็ดติ่งที่แข็งเป็นไตผ่านเชิ้ตขาวก่อนจะพูดอู้อี้กับอกของอีกฝ่าย “ยังไม่ชินอีกหรือไงกับคำพูดพวกนี้น่ะ”
“จะให้ชินได้ไง...อ..อืม.... ผม...ไม่ใช่เฮียนะ”
“ก็ไม่ใช่เฮียน่ะสิ...”
“...”
“แต่เป็นเมีย...” สิ้นเสียงกระซิบแบ่งแยกสรรพนามทั้งคู่ก็โรมรันเข้าหากันอย่างรุนแรง ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่แผ่นหลังของร่างโปร่งแนบชิดสนิทกับพื้นปูนเบื้องล่าง ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่กระดุมเชิ้ตสีสะอาดถูกปลดออกจนเหลือแต่ผิวกายขาวเนียนลอยอยู่ตรงหน้า ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มือเรียวของณเกล้ารูดเสื้อกล้ามสีดำคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหงื่อออกไปจากตัวของ ‘เฮีย’
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ริมฝีปากของพวกเขาแนบกันจนแทบไม่เหลือพื้นที่ให้อากาศได้วิ่งผ่าน...
“ซี๊ด....เฮีย...อย่ากัด”
ณเกล้าแอ่นตัวแล้วออกแรงขยำกลุ่มผมสีดำของอีกฝ่ายเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงขบที่รุนแรงบริเวณต้นขาอ่อน
ให้ตายเถอะ เขาอยากจะเอาขาหนีบหัวตาแก่นี่ให้มึนไปเลยด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่าปากของหมอนั่นยังรูดขึ้นรูดลงอยู่ตรงกลางลำตัวเขา
“ทำไม...ไม่ชอบหรอ นึกว่าชอบซะอีก...”
“ใคร—อืม--จะชอบ ขบอยู่นั่นแหละ จะเอายังไงกันแน่!”
“ก็ไม่ได้จะทำแค่สองอย่างนี่” จินไตยหัวเราะแล้วกดจูบเบา ๆ กับปลายหัวหยักก่อนจะลากลิ้นลงไปเลียวนให้ที่บริเวณช่องทางสีอ่อน “จะทำนี่ให้ด้วย...”
สิ้นเสียงนุ่มทุ้ม ณเกล้าก็ต้องสะดุ้งอีกรอบ ตาแก่นี่ชักจะไปกันใหญ่!! ให้ตายเถอะ เขากำลังจะหัวใจวายตายเมื่อสัมผัสได้ถึงเรียวลิ้นร้อนที่ค่อย ๆ แทรกเข้ามาในตัว จินไตยกำลังจะทำให้บ้า! ตาแก่นั่นกระดกลิ้นขึ้นลง ทั้งหมุนทั้งควงโดยไม่รังเกียจรังงอนซักนิด...
ใจเขาแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว มันเต้นถี่จนเจ็บหน้าอกไปหมดเลย
ตั้งแต่รู้ตัวว่าเป็นเกย์ มีเซ็กส์มาก็มาก แต่ไม่เคยมีใครทำให้เขาแบบนี้
ไม่มีใครเหมือนตาลุงนี่ซักคน...
“อ...เฮีย...อย่า อย่าเพิ่ง...ขอล่ะ...อย่าเพิ่ง”
เสียงครางไม่ได้ศัพท์ทำให้คนที่กำลังสาละวนอยู่กับช่องทางคับแคบต้องชะงักปากลง จินไตยเงยหน้าขึ้นมองร่างโปร่งที่นอนสูดปากครางหวือด้วยความพึงใจอย่างเอ็นดู... วิธีจะสยบเด็กปากดีมันไม่ยากนักหรอก เพียงแต่...แค่ต้องหาจุดที่จะกุมบังเหียนเอาไว้ได้ แล้วจากนั้นจะฟาดแส้ลงไปยังไงม้ามันก็วิ่งไปตามทางที่เราต้องการอยู่ดี
“แล้วจะให้ทำยังไง อย่าเพิ่งทำงี้ แล้วจะให้ทำอะไรต่อ?”
ถามออกไปเหมือนกับคนไม่รู้ทั้งที่ตอนนี้ก็ประคองท่อนเอ็นร้อนฉ่าของตัวเองถูวนอยู่รอบช่องทางที่ตอดยิบ แน่นอนว่าไม่มีการใช้นิ้วช่วยเบิกช่องทางอะไรให้ทั้งนั้น... ไม่ใช่ว่าจินไตยเป็นคนใจไม้ไส้ระกำที่ไหน แต่บริเวณรอบหูรูดของณเกล้านั้นยังอ่อนนุ่มมากอยู่...
แหงล่ะ... จะไม่ให้นุ่มได้ยังไงไหว...
ก็เมื่อคืนเจ้าเด็กนี่ยังร่อนเอวใส่เขาจนเอวแทบเคล็ดอยู่เลย
“ยังจะถามอีก...เข้า...มา...อ๊ะ”
ไม่ต้องรอให้พูดจนจบจินไตยก็พร้อมเสียบทันที... เขากะไว้อยู่แล้วว่าเด็กนี่ต้องพูดแบบนี้ด้วยสีหน้ายะโส ดูเอาเถอะ ไอ้นิสัยกับปากที่ไม่ค่อยจะดีนี่มันแก้ยากนักนะ เพราะงั้นเลยต้องเจอกับคนอย่างเขาไง
หนามยอกก็ต้องเอาหนามบ่ง
“เฮีย...แม่ง...ไอ้เหี้ยเอ้ย”
ชำแรกเข้าก็กระแทกเข้ามาเสียมิดด้าม ไม่ได้ถ้อยทีถ้อยอาศัยค่อย ๆ แทรกตัวเข้ามากลัวจะเจ็บเหมือนที่เคยทำกันหนแรกเลย.. ณเกล้าเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกดของหัวหยักที่ดันเบา ๆ กับจุดอ่อนไหวในตัวของเขา จะบ้าตายอยู่แล้ว! ของเฮียมันใหญ่มากซะจนต้องหลับตาแล้วผ่อนลมหายใจออกมาช้า ๆ เพราะมันแน่นจนจุกไปหมด...
“เฮีย..เฮีย ไอ้....อ๊ะ!!”
ยิ่งได้ยินคำสบถด่าก็ยิ่งถอนกายออกมาเร็วมากยิ่งขึ้น ทีแรกจินไตยกะว่าจะค่อย ๆ ดึงออกช้า ๆ ให้คนร่างโปร่งได้ปรับสภาพอะไรต่อมิอะไรให้เข้าที่ แต่พอได้ยินอย่างนี้เลยเกิดอารมณ์หมั่นไส้ปนอยากแกล้ง ดึงแม่งออกมารวดเดียวจนก้นขาวลอยหวือขึ้นเหนือพื้น
“อึก!!”
“ซี๊ด...”
จินไตยสูดปากครางต่ำ ไม่รอให้ถึงนาทีเขาก็กดปลายหยักกลับเข้าช่องแคบนั่นทันที... คราวนี้ทั้งกระแทกเข้าแล้วถอนออกอย่างเร็วผิดกับตอนแรกจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ช่องทางอ่อนนุ่มของเด็กนี่มันตอดรัดซะถี่จนเขาเกือบถึงอยู่รอมร่อ แล้วยังสีหน้าตอนโดนเอากับริมฝีปากแดงฉ่ำที่เอาแต่กระซิบคำว่า ‘เฮีย’ นั่นอีก....
มันทำให้เขาแทบทนไม่ได้...
จินไตยครางเบา ๆ ในลำคอ เขาแทบจะสำลักความสุขตายอยู่แล้วเพราะคนตัวขาวตรงหน้านี่ล่ะ คนอะไร...ให้ตายเถอะ บทจะน่าหมั่นไส้ก็น่าแกล้งเป็นบ้า แต่บทจะช่างยั่วนี่ก็ไม่เคยรู้ตัวเองเลยซักครั้ง เรียกว่าตอนนี้เขาต้องพยายามไม่หันไปมองณเกล้าในระหว่างที่ยังกระแทกกระทั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากมอง แต่มันแทบจะถึงไปแล้วเป็นพันครั้ง ตอนที่เห็นแก้มขาว ๆ นั่นขึ้นสีระเรื่อ....
จินไตยคงกลายเป็นคนบ้าไปแล้วจริงๆ
“เฮีย...เฮีย....อือ....ไม่ไหวแล้ว...”
“เก้า...ซี๊ด.....”
เสียงเนื้อกระทบกันกับเสียงครางลั่นทำให้จินไตยต้องเร่งจังหวะการสอดใส่ นาทีนี้เขาทุ่มสุดตัว กระทุ้งแรง ๆ จนอีกฝ่ายต้องถ่างขาออกแล้วยกสะโพกให้ง่ายต่อการสวนรับ ณเกล้าเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นเมื่อตาแก่ของเขาสอดใส่เข้ามาไม่ยั้ง ทั้งครูดกับผนังอ่อนจนเสียววาบไปทั้งหลัง...
สะโพกหนานั่นกระแทกเข้ามาเน้น ๆ อีกเพียงแค่สองสามครั้งณเกล้าก็กระตุกเกร็งพร้อมสูดปากครางหวือ เขารู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่น ๆ ที่อัดฉีดเข้ามาในช่องท้องอย่างแรงพร้อม ๆ กับของตัวเองที่ปลดปล่อยออกมาจนแทบจะหมดทุกหยดหยาด ริมฝีปากเล็กหอบครางก่อนจะกดจูบบริเวณขมับซับเหงื่อชื้นของคนที่ทิ้งตัวโถมลงมานอนหมดแรงอยู่ข้าง ๆ
“ผมเหนื่อย” ณเกล้าพูดเบา ๆ แล้วยกมือขึ้นพาดกับเอวหนา ร่างโปร่งเขยิบเข้าหา ‘เฮีย’ เหมือนทุกครั้งอย่างรู้งาน
“เหนื่อยเหมือนกัน” เฮียพูดเบา ๆ แล้วรั้งเอวของเขาเข้าไปกอด ริมฝีปากหนากับไรหนวดนั่นลากไล้บริเวณแก้มอีกแล้ว แต่คราวนี้ณเกล้าไม่ถือสา เขากลับหลับตาพริ้มแล้วเชิดหน้าให้อีกฝ่ายได้ทำตามใจชอบแทน
“แล้วคืนนี้จะนอนไหน...ต้องกลับไปดู
จูนหรือเปล่า”
พูดถึงลูกชายวัย 5 ขวบของอีกฝ่ายแล้วก็อดนึกตลกขึ้นมาไม่ได้... เห็นพ่อเถื่อน ๆ ขนาดนี้แต่เวลาอยู่กับลูกนี่อย่างกับเป็นคนละคน
“นอนกับเรานั่นล่ะ...คืนนี้เจ้าจูนมันไปค้างกับแม่มัน”
“อ๋อ...” ตอบแบบขอไปที พยักหน้ากับอกแกร่งอยู่พักใหญ่ก็ผละออกมานอนตะแคงมองสบกับดวงตาคมที่จ้องอยู่ก่อนแล้ว “งั้นวันนี้เฮียขับนะ...ผมขับไม่ไหวหรอก เมื่อกี้เกร็งจนขาแทบเป็นตะคริว””
ได้ยินอย่างนั้นโฟร์แมนคนเก่งก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปเคาะหน้าผากบางด้วยความเอ็นดู
“เอาสิ...งั้นขอค้างนะ...สงบศึกกันก่อนนะคืนนี้”
“...”
“แล้วพรุ่งนี้ค่อยมากัดกันให้ลูกน้องดูใหม่” ________________________________________________
#ช่างรักของเรา จ้า