( 1/3)
“หัวข้อที่เราจะคุยกันในวันนี้ก็คือ...ความรักไม่ผิด แต่ ผิดที่...”
“สวัสดีครับพี่ออยพี่ฉอต...ผมชื่อ จีฮุน เป็นคนเกาหลีใต้ครับ เรียกสั้นๆว่าจีก็ได้ครับ”
“สวัสดีค่ะคุณจี...แหม สำเนียงภาษาไทยชัดเจนพอสมควรเลยนะคะ ความรักของคุณจีไม่ผิด แต่ผิดที่อะไรคะ...”
“ความรักไม่ผิดครับ แต่สำหรับผม”
“....”
“มันผิดที่เรา...รักเขาข้างเดียวครับ”
____________________________
‘สถานนีต่อไป อโศก, ผู้โดยสารสามารถเปลี่ยนเส้นทางไปรถไฟฟ้ามหานครได้ ที่สถานีนี้’ เสียงของคุณรัดเกล้า อมระดิษฐ์เจ้าของบทบาทในใจผมหรือที่เราคุ้นหูกันดีว่า ‘เซนเซยูกิ’ ยังคงดังขึ้นตามหน้าที่เมื่อรถไฟฟ้าเคลื่อนตัวไปยังสถานีใหม่ แอร์เย็นฉ่ำที่เป่ารดบนหัวกับสาวในชุดนักศึกษากระโปรงเอผ่าหน้าไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นยามเมื่อนึกไปถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าที่ต้องฝ่าฝูงชนเพื่อแย่งชิงสารถีผู้ขี่จักรยานยนต์ตรงข้างทางลง MRT สุขุมวิท
ผมพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัด... นี่แหละที่เป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ!
อ้อ! ลืมแนะนำตัวสินะ... สวัสดีครับผมชื่อคิมจีฮุน เป็นพนักงานเงินเดือนในประเทศไทยมาได้ปีครึ่งแล้ว... อย่าถือสาเลยถ้าหากการบรรยายของผมจะติดขัดบ้างสักเล็กน้อย ผมยังไม่ค่อยคุ้นชินกับภาษาไทยเท่าไหร่ ถ้าจะให้เขียนสื่อสารก็พอเขียนได้เพราะผมแม่นเป๊ะไวยกรณ์พอสมควร แต่พอต้องใช้ภาษานี้พูดจาสื่อสารกับใครทีไร ผมก็มักจะทำมันไม่ได้ดีทุกที
ก็ผมมันคนขี้อาย... พี่นัท หัวหน้าแผนก AE ที่มักจะมาชวนคุยบ่อย ๆ ก็บอกว่าไอ้นิสัยแบบนี้มันดูไม่เข้ากับหน้าตาหล่อเหลาของผมเท่าไหร่... ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าหล่อแล้วทำไมต้อง
เหลา แต่ก็เอาเถอะ ถึงมันจะดูไม่เข้าท่านัก แต่นี่ก็เป็นนิสัยจริง ๆ ของผมล่ะนะ...
‘อโศก’ เสียงของคุณรัดเกล้าดังขึ้นอีกครั้งเพื่อย้ำว่าในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าจะเป็นเวลาของการแข่งขัน ผู้คนรอบ ๆ ที่ทำงานอยู่ในละแวกนี้ต่างก็เตรียมความพร้อมที่จะแทรกตัวผ่านประตูกรอบเล็ก ๆ นั่น เรามีที่หมายต่างกัน แต่แน่นอนว่าไม่มีใครอยากไปถึงที่ทำงานช้ากว่าเวลาตอกบัตร และเหตุผลง่าย ๆ ที่พวกเราต้องรีบสาวเท้าลงจากสถานีให้ไวยิ่งกว่าวิ่งผลัดสี่คูณร้อยในทุก ๆ วัน ก็มีอยู่ข้อเดียว...
นั่นคือ
วินมอเตอร์ไซค์ไม่เคยเพียงพอสำหรับพวกเรา...
“น้องฌอนนนน♥”
ผมสาบานได้ว่ารีบเดินลงบันไดมาจนขาแทบขวิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังช้ากว่าสาวผิวขาวตัวเล็กที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปจนถึงตัววินเบอร์ 9 ที่ผมหมายตาเอาไว้ ร่างสูงโปร่ง เจ้าของผิวสีเข้มกับใบหน้าคมเข้มเหมือนดาราไทยชื่อพี่เวียร์ค่อย ๆ เบือนกลับมามองเธอแล้วหรี่ตาลงช้า ๆ
นี่แหละ เหตุผลที่ทำให้ผมแทบจะวิ่งลงจากบีทีเอสทุกวัน
ผู้ชายคนนี้แหละ…
คังชอน หรือ น้องฌอนนนนน ของทุกคน“อ้าวพี่ลูกปลา...” น้องฌอนนนนนน วินเบอร์ 9 เอ่ยทักผู้หญิงคนนั้นเสียงใส ดวงตาของเขาหดเล็กลงเมื่อริมฝีปากหนา ๆ นั่นแย้มยิ้มกว้างขึ้น
“วันนี้บิดหน่อยน้า พี่ใกล้จะสายแล้วค่ะ”
พูดจบเจ้าหล่อนก็ทำท่าจะเหวี่ยงตัวขึ้นซ้อนท้ายหมอนั่นแทบจะในทันที และผมคงจะช้ำใจมากถ้าหากคังชอนตอบรับคำขอของเธอแล้วขี่ออกไปโดยไม่แยแสผมที่ยืนห่างออกมาไม่กี่ก้าวจากตรงนี้ ผมได้แต่ยืนเม้มริมฝีปาก กำสายกระเป๋าโน้ตบุ๊คที่สะพายเอาไว้แน่น พยายามส่งสายตาส่งกระแสจิตเป็นเชิงให้เขามองผ่านคุณลูกปลามาถึงผมบ้าง
“ตอนนี้ไม่ได้นะพี่ลูกปลา ยังไม่ใช่คิวผม...อีกอย่างผมมีนัดกับลูกค้าประจำน่ะครับ...”
“...”
“นั่นไง” เขาเงยหน้าขึ้นจากสาวร่างเล็กคนนั้นแล้วหันมากวักมือเรียกผมที่ยืนอยู่ตรงนี้
“เฮ้ย ! คุณ ยืนบื้ออยู่ได้ เดี๋ยวก็ไปทำงานสายหรอก” “...”
“ยังอีก...งงหรอ หรือต้องให้พูดภาษาเกาหลีด้วยถึงจะเข้าใจอะ”
เหมือนมีเพลง ยูอาร์มายเดสตินี่ ที่ประกอบซีรี่ย์เรื่อง ฮูยูแคมฟอร์มเดอะสตาร์ดังวิ๊งในหู ฌอน ลงจากมอ’ไซค์คันที่คร่อมไว้แล้วสาวเท้าเดินเข้ามาประชิดตัวผมที่ยืนงงอยู่ ณ ตอนนี้
คังชอน หรือ น้องฌอนนนนนน(เรียกตามคนอื่นน่ะครับ) เป็นลูกครึ่งเกาหลี-ไทย แน่นอนว่าเขาพูดได้สองภาษาเพราะเขาเล่าให้ฟังว่าพ่อไม่ยอมให้ทิ้งภาษาของพ่อ แต่ที่แน่นอนกว่าคือเขาทั้งหล่อ ทั้งคม ทั้งเข้ม ทั้งฮอต ทำให้ผู้หญิงที่ทำงานในออฟฟิศละแวกนี้ไม่มีใครไม่อยากซ้อนท้ายน้องฌอน
“ม...ไม ไป โส่ง คุน โคน นั้น หรือ?” ผมถามออกไปด้วยสำเนียงที่เขาเคยบอกว่าฟังพอรู้เรื่องกว่าคนงานพม่าที่บ้านนิดหน่อย
“ส่งเสิ่งอะไรล่ะ ก็นัดกันแล้วไม่ใช่หรอว่าจะขี่ไปรับไปส่งคุณ”
“...”
“ยืนอึ้งอะไร ผมพูดเร็วไปหรอ... 아니면 한국어로 말하면 더 좋을까요? ” (หรือว่า ถ้าพูดเป็นภาษาเกาหลีจะดีกว่าไหม?)
“괜찮아 (ไม่เป็นไร) , พา สา ไท ก่อ ได่ คังชอน อุด ส่า ช่วยฝึกกือ”
“อ่า เอางั้นหรอ? แน่ใจนะ?”
“แน่ จาย”
“โอเค งั้นก็รีบไปเหอะ เดี๋ยวก็สายพอดี”
ผมกระพริบตาปริบ ๆ เมื่อเขาเอื้อมมือมาคว้าข้อแขนผมแล้วออกแรงดึงให้เดินตามไปยังบิ๊กไบค์คันโตของเขา แผ่นหลังของคังชอนเวลาสวมเสื้อวินดูดีมาก ๆ ต้องขอบคุณการขนส่งไทยที่มีมาตรการให้แปะบัตรประจำตัวคนขี่ไว้ที่ด้านหลัง...มันรู้สึกสดชื่นนะครับที่ได้เห็นหน้าเขาแม้ว่าเขาจะกำลังขี่รถอยู่ก็ตาม
“พี่กร งั้นผมไปก่อนนะ ส่งคนนี้เสร็จต้องไปเรียนต่อเลย คงไม่ได้มาเข้าคิวนะพี่”
น้องฌอนหันไปเอ่ยกับพี่วินเบอร์ 7 พลางเหวี่ยงตัวคร่อมบิ๊กไบค์แล้วหันหน้ามาส่งสัญญาณให้ผมรีบปีนตามขึ้นไป ตอนนี้ผมมองไม่เห็นอะไรแม้แต่ถนนที่เคยมีรถขวักไขว่อยู่ตรงหน้า ไม่ได้ยินเสียงใคร แม้เจ๊ติ๋มที่ยืนตำส้มตำอยู่ในร้านข้างวินจะกำลังกระแทกสากลงกับครกดังป๊อก ป๊อก...
ผมได้ยินแต่เสียงนุ่มทุ้มของเขา กับกลิ่นแป้งเย็นตรางูจาง ๆ ที่โชยออกมาตอนรถเคลื่อนตัวไปข้างหน้า...
“เป็นไรอ่ะเมื่อกี้ ยังตื่นไม่เต็มตาเหรอ ยืนเอ๋ออยู่ได้ เห็นผมนั่งรอแล้วทำไมไม่รีบเดินเข้ามาหาล่ะ”
เขาหันมาพูดรัวตอนที่รถติดไฟแดงอยู่หน้าตึกแกรมมี่ ด้วยความที่ผมไม่ได้เตรียมตัวที่จะเผชิญหน้ากับเขาในสถานการณ์อย่างนี้ ผมจึงเอนหลังให้หน้าตัวเองห่างจากแก้มของเขาไปเล็กน้อย
“ถ้าคนอื่นแย่งผมไปจะทำยังไง”
“...”
“คุณจะพูดกับใครเขารู้เรื่องวะ ซื่อบื้อจริง ๆ”
เขาบ่นออกมา มันทั้งเร็ว และ เบาเกินกว่าที่ผมจะได้ยินถนัด... แต่ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงของเขาก็ทำให้ผมรู้สึกผิดจนต้องเอ่ยคำขอโทษออกมาเป็นภาษาไทยสำเนียงแปร่ง ๆ
“ขอ...ท่ด”
ผมเอ่ยออกไปเบา ๆ โดยที่ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินไหม เพราะเห็นว่าฌอนยังคงพูดของเขาต่อไปเรื่อย ๆ แต่มันก็ยังเบาเกินไป...เบาจนผมต้องโน้มหน้าเข้าไปใกล้ แล้วเอาคางวางบนไหล่เขาเพื่อฟังให้ถนัด
“ทีหลังนะ ถ้าเห็นผมไม่มีใครซ้อนอยู่ก็รีบวิ่งเข้ามาเลย เข้าใจไหม”
“อื้อ”
“แล้วเพลงที่ให้ไปอะ ได้ฟังบ้างหรือเปล่า”
เขาคงจะหมายถึงลิ้งก์รวมเพลงฮิตของ
เสกโลโซเวอร์ชั่น 1 ที่ส่งให้ผมทางไลน์มาฟังใช้ฝึกภาษา... ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน พยายามนึกถึงเพลงที่ชอบที่สุดในนั้น
“ฟาง” ผมตะโกนสวนเสียงลมหวีดหวิวที่ดังคลอระหว่างบทสนทนาของเรา “เพลนนึน แม่ ว่า...เพาะ ดี”
“เพลง ออกเสียงว่า พา-เลง ไม่ต้องมีนึน ไม่ต้องเอาลิ้นแตะเพดานดิ”
“พา-เลงงงง”
“เออ แบบนั้นแหละ แล้วเพลงมันชื่อเพลงแม้ว่า-- แม่ว่าก็ฉิบหายกันพอดี”
ฌอนแก้ให้กลั้วหัวเราะพลางชะลอความเร็วลง เขาหยุดอยู่กลางถนนเพื่อรอให้เบ๊นซ์คันสีดำเคลื่อนตัวผ่านไป ก่อนจะเร่งเครื่องแล้วหักเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าตึกที่ผมทำงานอยู่
“เออว่าแต่ เพลงนั้นผมก็ชอบ” เขาพูดขึ้นมาตอนที่เท้าผมแตะถึงพื้น อันที่จริงผมกะจะลงจากเบาะแล้วรีบวิ่งเข้าไปตอกบัตรในออฟฟิศทันทีที่ถึงเลย แต่เพราะรอยยิ้มเล็ก ๆ ของเขาที่ส่งมาให้นั่นแหละ ทำให้ผมยังต้องยืนนิ่งอยู่ตรงนี้
“ไว้จะหามาให้ฟังอีกนะ” ‘สมมติเอานะว่าฝันเป็นจริง
ก็แบบว่าเธอมีใจให้กัน
ขนาดแค่คิดหัวใจยังสั่น จริงๆ นะเธอ’ อยู่ๆ เพลงแม้ว่าท่อนสุดท้ายก็ดังขึ้นในสมอง อยู่ๆหน้าก็ร้อนโดยไม่มีสาเหตุ
แบบนี้เขาเรียกใจสั่นได้หรือเปล่านะ...
มันคือความสงสารที่ผมพูดภาษาไทยไม่ชัดหรืออะไรกันแน่?
แต่ที่แน่ ๆ เขากำลังทำให้ผมรู้สึก
ชอบ เขามากกว่าเดิม
ไม่ใช่เพราะกลิ่นแป้งตรางูจากตัวเขา
ไม่ใช่เพราะเขาพูดภาษาเดียวกับผมได้
แต่เพราะผมชอบเขา
ผมชอบ
ฌอน ____________________
เขินจุง ชื่อเรื่องสิ้นคิดไปอีกค่า 555555
#เลิฟวินวิน
ไว้คุยกันนนนค่า