บทที่ 1
[03:49]
รุ่งสางกำลังมาเยือนในอีกไม่ถึงสองชั่วโมง ทว่าภายในห้องพักบนคอนโดหรูของนักเขียนนิยายชื่อดังกลับยังมีเสียงพรมนิ้วบนคีย์บอร์ดรัวเร็วแข่งกับเสียงเข็มวินาทีไม่หยุดยั้ง ราวกับกลัวว่าหากหยุดพักสายตาแค่เดี๋ยวเดียว เขาจะไล่ตามเข็มวินาทีไม่ทัน
กวี นั่งเอนหลังกับเบาะนุ่มนิ่มที่ถูกจัดตำแหน่งไว้อย่างดี สองขาเหยียดยาวสอดเข้าไปใต้โต๊ะญี่ปุ่นสูงพอดีตัว ดวงตาแดงก่ำใต้แว่นทรงกลมจ้องมองไปที่จอคอมพิวเตอร์ไม่กระพริบ ริมปีปากอิ่มขยับพึมพำบางประโยคออกมาแทบไม่มีเสียง สมองคิดบทสนทนาและบทบรรยายให้สอดคล้องกับพล็อตอย่างละเอียดที่วางเอาไว้ก่อนหน้า โดยพยายามอย่างยิ่งยวดไม่ให้สติแตกจนพาให้เนื้อเรื่องมหากาพย์ไหลออกทะเล
เขาจมดิ่งลงไปในเรื่องราวของผู้กล้าและจอมมารทั้งเจ็ด และรู้สึกอินกับฉากต่อสู้ของเรื่องจนเหมือนกำลังเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์เสียเอง กระทั่งผ่านจุดพีคของตอนไปแล้ว จมูกรั้นจึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจและปล่อยไหล่ตั้งตรงให้ลู่ลงอย่างผ่อนคลาย
จากนั้นจึงพาให้จังหวะของบทบรรยายไปหยุดลงที่ช่วงสุดท้ายของตอน เหมือนเครื่องบินค่อยๆ แลนดิ้งลงสู่พื้นดินโดยสวัสดิภาพ
ครั้นเคาะเส้นปิดตอนจบจนเขียนบทสนทนาคุยกับคนอ่านตอนท้าย และไม่ลืมกดเซฟเสร็จเรียบร้อย กวีก็ทิ้งตัวลงกับเบาะนิ่มๆ ที่ใช้พยุงหลัง ก่อนผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ อีกครั้ง และส่งเสียงออกไปอย่างอ่อนแรง
“…เสร็จสักที”
หลังจากเค้นพลังกายและพลังสมองเขียนงานหามรุ่งหามค่ำมาสามวันติด ชายหนุ่มก็สามารถหายใจหายคออย่างโล่งอกไปได้อีกสองสามวันก่อนวงจรนรกจะวนกลับมาอีกครั้ง
ตอนนี้กวีทำงานหลักเป็นนักเขียนนิยายรายปักษ์ให้กับเว็บไซด์นิยายออนไลน์ชื่อดังเว็บไซด์หนึ่ง วงจรการทำงานของเขาจะเริ่มค่อยเป็นค่อยไปในอาทิตย์แรก แต่จะมาปั่นไฟแล่บในช่วงอาทิตย์หลัง
ความจริงก่อนหน้านี้กวีจะเขียนนิยายจนจบก่อนจึงเอามาทยอยลงเว็บไซด์สาธารณะให้คนได้อ่าน แต่หลังจากที่ทำงานกับทางเว็บไซด์ เขาก็เริ่มเขียนเรื่องยาวหลายภาคต่อ ดังนั้นมันจึงต้องเขียนไปลงไป ช่วงไหนที่ไม่มีงานเขียนอื่นๆ มาแทรกเขาก็จะมีสต็อกต้นฉบับไว้บ้าง แต่สักพักก็จะมีงานอื่นๆ มาช่วยลดทอนเวลาของต้นฉบับรายปักษ์เรื่องนี้ทุกที
ครืด ครืด ครืด~
เอนหลังได้ไม่นาน กวีก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือสั่นอยู่ไม่ไกลจากที่มือเอื้อมถึง เขาจึงคว้าเอาเครื่องมือสื่อสารนั่นมาถือไว้ และรับสายโดยไม่ต้องมองว่าคนปลายสายคือผู้ใด
[ไอ้ก้อน!]
ทันทีที่กดรับ เสียงของบก.ที่ดูแลต้นฉบับให้กวีก็แผดดังลั่น จนนักเขียนหนุ่มต้องดึงโทรศัพท์ออกห่างเพราะกลัวหูดับไปเสียก่อน
“ครับพี่เจน” กวีตอบเนือยๆ
[ไม่ต้องมาทำเสียงเฉื่อยเลยนะ ทำไมเพิ่งรับสาย] เธอดุเขาคำหนึ่ง
“ผมก็รีบปั่นต้นฉบับอยู่ไงครับ พี่ก็รู้นี่นา”
ทุกครั้งที่กวีเขียนงาน เขาจะตัดตัวเองออกจากโลกภายนอกโดยอัตโนมัติ ทั้งที่โทรศัพท์หรือช่องทางติดต่อทางออนไลน์ก็ยังเปิดรับปรกติ ทว่านักเขียนหนุ่มจะไม่ตอบกลับมนุษย์หน้าไหนที่พยายามติดต่อเข้ามาเลย ซึ่งบก.ประจำตัวอย่างเจนก็รู้เรื่องนี้ดี ด้วยเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นทุกครั้งตั้งแต่กวีเริ่มเขียนนิยายรายสัปดาห์ให้กับทางเว็บไซด์
เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ พยายามปรับอารมณ์ให้สงบเพื่อรับมือกับนักเขียนสุดเฉื่อยของตัวเอง
[งานเสร็จหรือยัง] เจนเลิกบ่นแล้วพุ่งเข้าจู่โจมเป้าหมายทันทีโดยไม่อ้อมค้อม
“เสร็จแล้วครับ ร้อนๆ เลย” กวีตอบคำที่คิดว่าเจนอยากได้ยินให้เธอชื่นใจ
[เสร็จแล้วก็ส่งมาเร็วเข้า จะรอให้ใครมาตัดริบบิ้นล่ะ]
ได้ยินเสียงของบก.ประจำตัวผ่อนคลายลง ชายหนุ่มก็อดหยอกไม่ได้
“ผมรอพี่ทวงไง”
[แหม~ กับเรื่องนี้ไม่ต้องทำตัวสม่ำเสมอทุกอาทิตย์ก็ได้ค่ะคุณก้อน เดี๋ยวก็ทำต้นฉบับไม่ทันกันพอดี อาทิตย์นี้ส่งช้าอีกแล้วนะ ถ้าต้องแก้เยอะจะทำไงฮึ ไม่ให้พี่ทวงสักอาทิตย์จะกินข้าวไม่อร่อยหรือไง]
“ไม่ได้พี่ เดี๋ยวหลุดคอนเซ็ปต์”
[แกนี่จริงๆ เล้ย] เธอว่าพลางถอนหายใจ ก่อนจะเร่งอีกครั้ง [เอ้า! เร็วเข้า ส่งมาสักที คนจะได้ไปหลับไปนอนบ้าง]
“ครับๆ รอแป๊บหนึ่ง”
กวีรับปาก ก่อนจะดึงตัวเองขึ้นมาจากกองเบาะนุ่มอย่างเกียจคร้าน เขากดส่งงานให้บก.ทางอีเมล์ รอครู่เดียวเธอก็ได้รับ
[โอเค พี่ได้ไฟล์แล้ว]
“งั้นผมไปนอนแล้วนะครับ ตาจะปิดอยู่แล้ว”
[อืมๆ เดี๋ยวมีปัญหาอะไรพี่จะติดต่อไป บ่ายๆ ตื่นมารับโทรศัพท์ด้วยนะ อย่าให้ต้องไปหาถึงบ้านเข้าใจไหม]
“ครับๆ จะพยายาม แต่ถ้าผมไม่ตื่น ผมฝากพี่ซื้อหมูหยองมาให้ด้วยได้ไหม อยากกินข้าวต้มกุ๊ย”
[เดี๋ยวเถอะไอ้ก้อน! มีขาก็ลงไปซื้อเองสิ เลิกหมกอยู่แต่ในห้องได้แล้ว]
“โอเคๆ งั้นผมวางละนะ ง่วง~”
[อื้ม ไปนอนเถอะ]
เจนสั่งไว้แค่นั้น แล้วเธอก็วางสายไป แต่กวีจับได้ว่าตรงท้ายประโยคนั้นทอดเสียงอ่อนลง นั่นแสดงให้เห็นว่าเจนคงปรานีเขาอยู่บ้างหลังจากใช้งานหนักมาทั้งอาทิตย์
จากนั้นกวีก็ปิดคอมพิวเตอร์ ยกโต๊ะญี่ปุ่นออกไปให้พ้นตัวแบบส่งๆ ลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศเรียบร้อย ล้มตัวลงนอนบนกองเบาะและหมอนตรงนั้น พร้อมกับคว้าผ้าห่มขนนุ่มมาห่มเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนหลับไปอย่างรวดเร็วราวกับถูกปิดสวิตซ์
ติ้ง!
กวีสะดุ้งตื่นเพราะเผลองีบหลับคาโต๊ะอาหารเมื่อได้ยินเสียงไมโครเวฟร้องเตือนตอนหมุนรอบครบ 30 วินาที เขาลุกจากเก้าอี้อย่างเกียจคร้านเพื่อหยิบนมจืดอุ่นๆ ออกมาเทใส่กาโนล่าก้นห่อ จากนั้นจึงเริ่มกินมื้อเช้าหกโมงครึ่ง
ถูกแล้ว เวลานี้เพิ่งจะหกโมงครึ่ง…
นั่นเท่ากับว่าชายหนุ่มเพิ่งหลับไปได้ไม่ถึงสามชั่วโมงด้วยซ้ำ!
แต่แม้กวีจะง่วงเพราะอดนอนจนตาลึกโหลเพียงใด เขาก็ไม่อาจทนนอนได้จนถึงบ่ายเหมือนที่บอกบก.เจน เพราะท้องเจ้ากรรมดันร้องประท้วงไม่หยุด
สุดท้ายความง่วงก็พ่ายให้ความหิว ชายหนุ่มจึงจำเป็นต้องลุกมาอุ่นนมกินกับกาโนล่าแบบนี้
ครั้นจัดการมื้อเช้าเสร็จ เขาก็ทิ้งถ้วยไว้ในอ่างล้างจานแบบส่งๆ ก่อนกลับเข้าห้องนอนที่ไม่ได้นอนมาหลายคืน เพราะอาศัยงีบหลับในห้องทำงานแทน
เขาเปิดเครื่องปรับอากาศให้อุณหภูมิต่ำกว่ามาตรฐาน จากนั้นจึงแทรกตัวลงไปในกองหมอนนิ่มๆ บนเตียงแล้วห่มผ้า
กวีเป็นคนติดหมอนกับผ้านิ่มๆ มาก เขาชอบให้ร่างกายมีอะไรมารองรับทุกด้านเวลานอน เพราะมันให้ความรู้สึกปลอดภัยกว่า แต่เนื่องจากรอบตัวมีผ้าห่มกับหมอนมากเกินไปทำให้ต้องปรับแอร์เย็นๆ จะได้ไม่ร้อนและสามารถนอนได้นานๆ
ซึ่งนั่นเป็นความชอบส่วนตัวที่ใครก็ตามที่มาค้างด้วยไม่เข้าใจ
พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อนอีกครั้ง ทว่าก่อนมันจะหย่อนจนปิดสนิท ชายหนุ่มก็บังเอิญนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เป็นเรื่องที่เขาจะละเลยไม่ได้ ทำให้กวีต้องเอื้อมมือไปหยิบแว่นมาสวมพร้อมกับโทรศัพท์ตรงหัวเตียงมากดเข้าแอปพลิเคชันหนึ่ง
พี่รถกับข้าว
แอปพลิเคชันนี้ เป็นแอปพลิเคชันสำหรับแม่บ้านยุคใหม่ แม่บ้านที่ไม่มีเวลาพอจะออกไปจ่ายตลาดด้วยตนเอง โดยทางร้านจะมีข้าวของให้เลือกซื้อหลากหลาย ตั้งแต่อุปกรณ์ทำอาหาร เครื่องปรุงรส ไปจนถึงอาหารสด ซ้ำยังมีบริการส่งอีกด้วย
กวีเป็นคนทำงานที่บ้าน ไม่ชอบออกไปไหนถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เพราะเบื่อกับสภาพอากาศและการจราจร ซ้ำชายหนุ่มยังอาศัยอยู่คนเดียว ดังนั้นพอเจอเข้ากับตัวช่วยที่ทำให้ไม่ต้องนั่งรถไปจ่ายตลาด ชายหนุ่มก็กดโหลดแอปฯ และสมัครสมาชิกเพื่อลองใช้บริการทันที
ซึ่งร้านพี่รถกับข้าวก็ไม่ทำให้กวีต้องผิดหวัง
หลังจากทดลองสั่งมาครั้งหนึ่ง กวีก็ได้รับวัตถุดิบทำอาหารคุณภาพดี โดยที่ไม่ต้องออกไปเลือกซื้อเองให้เหนื่อย แถมยังมีเวลาปั่นต้นฉบับมากขึ้นเวลาเร่งรีบ
ทุกวันนี้พี่รถกับข้าวจึงเป็นแอปพลิเคชันที่สำคัญและจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของกวีไปแล้ว
ชายหนุ่มกดเลือกรายการอาหารที่คิดว่าจะทำตุนไว้ในสามวันนี้ กับพวกเครื่องปรุง นม ซีเรียล และขนมกระจุกกระจิกเล็กน้อยก่อนกดสั่งและจ่ายเงินผ่านบัตรเรียบร้อย เพราะเขาไม่ค่อยพกเงินสด
เมื่อทุกขั้นตอนเสร็จสิ้น ชายหนุ่มก็ถอดแว่นเก็บแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
คราวนี้ก็นอนได้อย่างสบายใจเสียที...
สบายใจกับผีน่ะสิ!
ยังหลับไปไม่ถึงสี่ชั่วโมง บก.คนดีของกวีก็โทรเข้ามาหา ก่อนเวลาที่เธอบอกเขาไว้ตั้งสามชั่วโมง!
กวีเกือบหลุดเสียงหงุดหงิดใส่เธอเสียแล้ว หากไม่ได้ยินข่าวดีที่เธอบอกล่ะก็...
เหตุที่เจนโทรมาก่อนกำหนด เพราะเธออยากแจ้งข่าวว่ารวมเรื่องสั้นที่เขาเขียนเมื่อเดือนที่แล้วและส่งไปให้พิจารณากำลังจะได้รับการตีพิมพ์ และรูปเล่มจะออกพร้อมการเปิดตัวสำนักพิมพ์ของทางเว็บไซด์
แต่เดิมเว็บไซด์ที่เขาลงนิยายออนไลน์จะมีแต่การขายงานเขียนให้ทางอ่านทางออนไลน์อย่างเดียว โดยมีระบบเหรียญให้คนอ่านซื้อเพื่อจ่ายตอนอ่านนิยายที่ต้องการ แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมาทางเว็บไซด์มีการทำหนังสือแบบรูปเล่มเพื่อจำหน่ายในกรณีพิเศษ เพราะนิยายเรื่องที่ว่าค่อนข้างเป็นที่สนใจมาก ซึ่งกระแสตอบรับก็ดีมาก จึงทำให้ทางผู้บริหารของเว็บไซด์มีโครงการเปิดตัวสำนักพิมพ์ เพื่อพิมพ์นิยายในเว็บไซด์ของตัวเอง
[เดี๋ยววันนี้พี่จะเอาสัญญาเข้าไปให้เราดูรายละเอียดก่อน หลังจากสัญญาเรียบร้อยเราค่อยคุยกันเรื่องรูปเล่มและการPR]
“PRหรือครับ” กวีขมวดคิ้ว “ปรกติก็โฆษณาในเว็บอยู่แล้วนี่ครับ”
[นั่นมันนิยายลงออนไลน์ แต่คราวนี้เห็นนายบอกว่าจะให้นักเขียนแจกลายเซ็นด้วย]
“แจกลายเซ็นเนี่ยนะพี่ ผมไม่ไปหรอกครับ”
[เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งปฏิเสธสิ นายเขาอยากให้เราดูเงื่อนไขก่อนนะ]
“แต่ผมไม่ชอบเจอคนเยอะๆ พี่ก็รู้”
กวีเป็นมนุษย์ที่ไม่ชอบทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นมาตั้งแต่สมัยเรียน ที่ไม่ทำ ไม่ใช่เพราะรังเกียจหรือกลัวผู้คน แต่เพราะกวีขี้เกียจ
กิจกรรมที่ชายหนุ่มชอบ คือกิจกรรมที่ไม่ต้องออกแรงมาก ทำคนเดียวเงียบๆ ได้ เช่น การอ่านหนังสือ ดูหนัง หรือดูการ์ตูนอยู่ที่บ้านเงียบๆ เพราะมันไม่ทำให้เขาเหนื่อย
ทว่าการเก็บตัวอยู่คนเดียวนานๆ ทำให้กวีไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก ทั้งที่รู้สึกว่าตัวเองอัธยาศัยดีพอตัว แต่เวลาที่ไปสังสรรค์พบปะกับเพื่อนร่วมรุ่นนานๆ ครั้ง หรือไปงานเลี้ยงสิ้นปีของทางเว็บไซด์ ชายหนุ่มกลับคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง เหมือนกำลังคุยกันคนละภาษาอย่างไรอย่างนั้น
กวีจึงเริ่มขยาด และทำตัวไม่ถูกเวลาพบเจอคนมากๆ
[แต่นี่คนอ่านนะ ไม่รู้หรือไงว่าพวกเขาอยากเจอน้องวีจะตายไป]
ชายหนุ่มนิ่งไปเมื่อได้ยิน หากเรื่องนี้เป็นความต้องการของคนอ่าน เขาคงทำอะไรไม่ได้ อีกทั้งถ้าบก.เจนกลับมาเรียกชื่อจริงของเขา แทนชื่อย่อๆ จากนามปากกาแล้วล่ะก็...
กวีจะรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธเธอได้แล้ว
“เอาไว้เราคุยเรื่องสัญญาให้เรียบร้อยก่อนก็แล้วกันครับ” กวีบอกอ้อมแอ้ม ไม่ได้ค้านอะไรอีก เจนจึงตอบรับเสียงหวาน
[โอเค เดี๋ยวเย็นนี้พี่เอาสัญญาเข้าไปให้ดูนะคะน้องวี]
“ไม่ต้องทำมาเรียกน้องกดดันเลยพี่เจน”
[ทำไมล่ะคะน้องวี]
“ผมขนลุก”
[ฮ่าๆๆๆ] เจนหัวเราะร่วน [โอเคๆ ฉันก็ขนลุกเหมือนกัน งั้นตกลงตามนี้นะ เย็นๆ เจอกันนะก้อน]
“ครับ”
[ว่าแต่แกจะยังเอาหมูหยองอยู่ไหม พี่จะได้ซื้อเข้าไปให้]
“ไม่ต้องแล้วครับ ผมสั่งซื้อแล้ว”
[นี่ร้านนั้นเขามีทุกอย่างเลยหรือไง]
“แทบทุกอย่างแหละครับ”
[แต่เรทราคาก็เอาเรื่องอยู่ไม่ใช่หรือ ฉันเห็นคนที่ออฟฟิศบ่นอยู่เพราะซื้อตามที่แกโฆษณาน่ะ]
“แต่ของเขามีคุณภาพนะพี่ ไม่ต้องไปหาซื้อเองด้วย เนื้อสัตว์กับผักก็เกรดดี ผมว่าก็สมราคาเค้านั่นแหละ”
[พอๆ ไม่ต้องมาอวยแล้ว ฉันไม่ซื้อตามหรอก เพราะถึงซื้อก็ไม่ได้ทำเองอยู่ดี ซื้อเค้ากินเหมือนเดิมง่ายกว่า]
“แต่กินอาหารแช่แข็งบ่อยๆ มันไม่มีประโยชน์นะ แถมไม่อร่อยด้วย”
เขาเป็นคนง่ายๆ อะไรก็ได้กับทุกอย่าง ติดจะใช้ชีวิตแบบคนขี้เกียจขั้นสุดด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นเรื่องกิน กวีก็อดเถียงไม่ได้ทุกที
[งั้นถ้าเป็นห่วงกัน เย็นนี้ทำกับข้าวเผื่อด้วยนะ จะทำข้าวต้มกุ๊ยใช่ไหม]
“ครับ”
[งั้นเดี๋ยวซื้อไชโป๊วผัดไข่ไปเผื่อ] เธอเอ่ยชื่อเมนูโปรดอีกอย่างของกวีออกมา ก่อนจะเอ่ยตัดบทเอาดื้อๆ [เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะก้อน คุณภาคเรียกอีกแล้ว ไม่รู้จะอะไรนักหนา]
“ครับๆ สู้ๆ นะพี่”
[อื้ม] ตอบรับเสร็จเจนก็วางสายไปทันที ดูท่าจะรีบมากจริงๆ
ตอนเริ่มคุยโทรศัพท์กับเจน กวียังรู้สึกงัวเงียไม่น้อย แต่พอได้ยินข่าวเรื่องงานเขียนจะได้ตีพิมพ์ ตาเขาก็สว่างขึ้นมาทันที จะให้กลับไปหลับตอนนี้ก็หลับไม่ลงเสียแล้ว เขาลุกขึ้นจากที่นอน ปัดกองหมอนและผ้าห่มไปรวมกันข้างหนึ่ง ไม่ลืมหยิบแว่นขึ้นสวมก่อนหย่อนขาลงจากเตียง
เขาหยิบกิ๊บติดผมที่เจนซื้อให้จากกล่องใส่หน้าห้องน้ำมาติดลวกๆ กันไม่ให้ผมเปียก ก่อนเข้าไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน พอจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ ชายหนุ่มก็ออกมาที่ครัวเพื่อทำอาหารกลางวันง่ายๆ กิน
แต่กวีเพิ่งสังเกตว่าของสดในตู้ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ไข่ หรือต้นหอมผักชีก็ไม่มี เขาเหลือบมองนาฬิกา มันบอกเวลาเที่ยงกว่าๆ แล้ว
อีกเดี๋ยวพี่รถกับข้าวคงมา
ชายหนุ่มคิดเช่นนั้น เขาจึงหันไปหุงข้าวเอาไว้รอ เพราะมีข้าวสารเหลืออยู่ กะว่าวันนี้มีเวลาว่าง จะทำอาหารใส่กล่องแช่ตู้เก็บไว้กินในวันถัดๆ ไปช่วงที่ไม่มีเวลาทำกับข้าว
นักเขียนหนุ่มวุ่นวายอยู่ในครัวพักหนึ่ง ก่อนเปิดสมุดจดสูตรอาหารที่เขียนเก็บไว้บนหลังตู้เย็นขึ้นดู เขาตั้งใจจะเลือกอาหารง่ายๆ สองสามอย่างที่สอดคล้องกับรายการของสดซึ่งสั่งไปเมื่อเช้ามาทำ ทว่ายังไม่ทันเลือกก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่นเสียก่อน
“สวัสดีครับ” เพราะเป็นเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้ กวีจึงทักทายด้วยและน้ำเสียงคำสุภาพ
[สวัสดีครับ คุณกวีใช่ไหมครับ]
“ครับ” กวีตอบรับอีกฝ่ายที่ทำเสียงสุภาพไม่แพ้เขา
[ผมโทรมาจากร้านพี่รถกับข้าวนะครับ พอดีทางร้านมีเหตุขัดข้องนิดหน่อย เราจึงจะแจ้งให้ทราบว่าวันนี้สินค้าที่สั่งอาจไปถึงล่าช้ากว่าที่แจ้งในทีแรก ไม่ทราบว่าคุณกวียังต้องการจะสั่งสินค้าอยู่ไหมครับ หรือจะยกเลิกออเดอร์ก่อน]
“เอ่อ…ผมไม่ยกเลิกครับ แต่ทางร้านจะมาส่งได้ประมาณกี่โมงครับ”
[จากคิวของคุณกวี น่าจะเป็นช่วงบ่ายสองถึงบ่ายสามครับ ไม่ทราบจะสะดวกไหมครับ]
“สะดวกครับ ผมอยู่บ้านทั้งวัน”
[โอเคครับ ทางร้านต้องขอโทษด้วยนะครับที่ล่าช้า แต่เราจะรักษาคุณภาพอาหารอย่างดีจนกว่าจะถึงมือคุณลูกค้า ขอบคุณที่ใช้บริการครับ]
นักเขียนหนุ่มคุยกับพนักงานอีกเล็กน้อยก่อนกดวางสาย แล้วไปเลือกเมนูที่จะทำอีกหน ตอนนี้เขาหิวนิดหน่อย แต่ยังพอทนได้ กวีจึงหันไปหาอะไรทำเพลินๆ
กระทั่งผ่านไปหลังจากนั้นเกือบสองช่วงโมง...
“เมื่อไหร่พี่รถกับข้าวจะมานะ” ชายหนุ่มบ่นงึมงำกับตัวเอง ขณะที่เดินวนอยู่ในครัวเพื่อหาอะไรประทังความหิว
นี่นอกจากอาหารสดจะหมดเกลี้ยงแล้ว ทั้งนม ซีเรียล กาโนล่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือแม้แต่ผงโรยข้าวของญี่ปุ่นที่เขามีติดบ้านเสมอก็ยังหมด
อะไรมันจะซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้!
กวีคิดพลางเดินงุ่นง่านไปที่หม้อหุงข้าว
ข้าวสุกรอกับข้าวเป็นชั่วโมงแล้ว แต่พี่รถกับข้าวก็ยังไม่มา กวีหิวจนแสบไส้ไปหมด เพราะตั้งแต่เช้าเขากินไปแค่มื้อเดียว มิหนำซ้ำยังเป็นแค่อาหารรองท้อง
ถ้าเรื่องอื่นกวีคงพอทนได้ แต่พอเป็นเรื่องกินเขาก็ชักอยากจะร้องไห้ขึ้นมา
ทำไมมันหิวอย่างนี้!!
ชายหนุ่มกรีดร้องในใจ และมองนาฬิกาอย่างสิ้นหวัง เขาคิดจะโทรสั่งอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ มากินประทังความหิว แต่มาคิดได้เอาตอนนี้ เขาก็ต้องนั่งรออีกอยู่ดี
กวีมองข้าวเม็ดสวยที่เรียงกันในหม้อสลับกับขวดน้ำปลาที่วางอยู่ใกล้ๆ ระหว่างอาหารอร่อยที่ต้องรอ กับอาหารประทังชีวิตกันหิวตายแบบไม่ต้องรอครู่เดียว นักเขียนหนุ่มก็ตัดสินใจ
เขาเปิดตู้เหนือหัวเอาถ้วยออกมาตักข้าว ก่อนจะหยิบน้ำปลาดีขึ้นเปิดฝาเหยาะ
“น่ากินจัง”
กวีเอ่ยออกมาอย่างเคลิบเคลิ้มทันทีที่ซอสสีจางหยดพรมลงบนข้าวขาว ฟิลเตอร์ของของหิวทำให้มองอะไรก็ดูน่ากินไปหมด จนไม่รู้ว่ากลิ่นข้าวหอมมะลิกับกลิ่นน้ำปลาหอมถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ทว่าก่อนจะหยิบช้อนมาตักกิน เสียงกริ่งหน้าประตูห้องก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงท้องร้อง
ตื๊อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~ ตื่อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~
เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นแค่จังหวะเดียว กวีก็วางช้อนกับถ้วยข้าวคลุกน้ำปลาในมือลง ก่อนจะรีบสาวเท้าเร็วๆ ไปที่ประตูหน้า
ตึง!
กวีรีบจนเผลอเตะที่ใส่ร่มกลิ้งหลุนๆ หากมันก็ไม่อาจหยุดยั้งคนดีใจจนลิงโลดได้ นักเขียนหนุ่มเปิดประตูห้องดังผลัวะ ก่อนยื่นหน้าออกไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“มาแล้ว!~”
เขาเอ่ยเสียงสดใส ก่อนถลาออกจากห้องไปอย่างยินดี ลืมไปหมดสิ้นว่าก่อนเปิดประตูให้คนแปลกหน้า เขาควรส่องตาแมวดูก่อนว่าใครมา
พนักงานของร้านพี่รถกับข้าวคนนี้ไม่ใช่พนักงานคนเก่า ซ้ำยังแต่งตัวดีจนดูไม่เหมือนพนักงานส่งของ แต่กวีก็ไม่คิดสนใจ เพราะพอเขาเห็นตะกร้ากับข้าวของตัวเอง เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
“ขอโทษที่ทำให้รอครับ พอดีเกิดเหตุขัดข้องกับพนักงานของเรานิดหน่อย ทางเรามี…” ยังไม่ทันที่พนักงานส่งคนใหม่พูดจบ กวีก็แทรกขึ้น
“ไม่เป็นไรๆ ผมไม่ถือ อย่างน้อยพี่รถกับข้าวก็เอาเสบียงมาส่งผมล่ะนะ ถ้าไม่มา ผมคงต้องกินข้าวคลุกน้ำปลาแน่ๆ”
คนหิวจนหน้ามืดบอกเรื่องน่าอายไปตามตรง
ไม่เพียงเท่านั้น นักเขียนหนุ่มยังเข้ามาคว้าหมับที่มือของพนักงานส่งซึ่งถือตะกร้าเอาไว้ ตั้งใจจะเอาตะกร้ากับข้าวของตัวเองไปถือ แต่พนักยังไม่ยอมปล่อยตะกร้าให้ กวีจึงรวบมือของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วย
“เป็นหน้าที่ที่เราต้องส่งอยู่แล้วครับ ทางเรามีบัตรส่วนลด 25% แนบไปพร้อมกับใบเสร็จในตะกร้าให้คุณลูกค้าใช้เป็นส่วนลดซื้อของในครั้งถัดไป แทนคำขอโทษน่ะครับ”
“โอ๊ะ! จริงหรือครับ” คนฟังตาเป็นประกายก่อนดึงตะกร้ามาตรวจดู มือของพวกเขาจึงเลื่อนหลุดออกจากกัน “มีจริงด้วย! ขอบคุณนะครับ ไว้ผมจะใช้สั่งครั้งต่อไป--”
จ๊อก~~
ระหว่างที่กวีกำลังพูดไม่หยุด เสียงน้ำย่อยในกระเพาะของเขาก็ร้องเตือน แก้มย้วยๆ ที่ขยับไปขยับมาตอนพูดขึ้นสีแดงแปร๊ด ชายหนุ่มขยับแว่นพลางยิ้มแหยๆ แล้วเอ่ยแก้เก้อ
เพราะครานี้รู้สึกอายขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว
“อีกสามวันเจอกันนะครับ”
พูดจบกวีก็ค่อยๆ กระดึ๊บถอยหลังเข้าไปในอาณาเขตของตัวเอง ก่อนปิดประตูห้องเขาเห็นพนักงานหน้าหล่อยืนยิ้มแหยๆ ท่าทางคงตกใจกับเสียงกระเพาะของเขาไม่น้อย
แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ก็คนมันหิวนี่นา!
กวีนึกแก้ตัวให้ตนเองในใจ ก่อนจะเลิกสนใจเรื่องน่าอายแล้วเอาตะกร้ากับข้าวเข้าไปในครัว
มื้ออาหารกันตายของกวีคือไข่ดาวสองฟองโปะข้าวสวยกับน้ำปลาที่เหยาะเอาไว้ก่อนหน้า หลังกินอิ่มจนท้องกลับมาป่องเหมือนเดิมแล้ว นักเขียนหนุ่มจึงเริ่มล้างจานและเก็บของที่สั่งซื้อมาเข้าที่
พอจัดของเสร็จกวีก็เริ่มทำอาหารที่ตั้งใจจะตุนเก็บไว้เป็นเสบียง
เขาทำอกไก่อบกับซอสบาบีคิว รวมทั้งอบผักต่างๆ อย่างพวกเบบี้แครอท กะหล่ำดาว บรอกโคลีอบในซอสเดียวกัน ปรุงรสง่ายๆ โรยพริกไทยกับออริกาโน่ เสร็จทุกขั้นตอนแล้วก็รอให้เย็นแล้วเก็บใส่กล่องเข้าตู้เย็นเอาไว้อุ่นกินมื้อต่อๆ ไป
แต่เย็นนี้อาหารของเขาจะพิเศษหน่อย เพราะเป็นอาหารที่อยากกินมาหลายวันตอนเขียนนิยาย ซ้ำยังมีบก.คนสวยมากินด้วย กวีจึงโชว์ฝีมือทำกับข้าวหลายอย่างหน่อย
ชายหนุ่มเอาข้าวในหม้อมาต้มเป็นข้าวต้มกุ๊ย ระหว่างนั้นก็เริ่มทำผัดผักบุ้ง ทอดกุนเชียง และยำไข่ต้มเป็นอย่างสุดท้าย ถึงตอนนี้เขาก็หมดพลังพอดี
กวีทิ้งจานชามกองโตเอาไว้ในอ่างแล้วหนีไปอาบน้ำ อาบเสร็จก็เข้าไปนอนเปิดแอร์กลิ้งไปกลิ้งมาในห้องพร้อมกับเล่นทวิตเตอร์ไปด้วย
กวีตามข่าว ตามงานเขียนของเพื่อนนักเขียนไปเรื่อย ก่อนจะแจ้งข่าวกับคนอ่านว่าคืนพรุ่งนี้เขาจะลงนิยายตอนใหม่ ต่อจากนั้นชายหนุ่มก็อัพเดตชีวิตประจำวันเล็กๆ น้อยๆ ตามประสา
เขานึกถึงบัตรส่วนลดที่ได้มากับเหตุการณ์ในวันนี้ นักเขียนหนุ่มจึงถ่ายรูปลงทวิตเตอร์พร้อมกับแคปชั่น
หินก้อนสุดท้าย @ROCK_01
วันนี้เพิ่งได้บัตรลดราคามาจาก #พี่รถกับข้าว
ถึงจะส่งช้าแต่ให้อภัย เพราะบริการหลังจากขายเขาดีมากครับ
อวยขนาดนี้ก็จ้างเป็นพรีเซนเตอร์เถอะ /ค่าตัวไม่แพง 555
5:24 PM . 07 ก.ค.18
พอกดส่งทวีตเสร็จก็เป็นจังหวะที่เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นอีกครั้ง กวีจึงเก็บมือถือลงก่อนออกไปต้อนรับบก.คนสนิท โดยไม่ทันเห็นว่าแอคเคาท์ร้านพี่รถกับข้าวกดปุ่มรูปหัวใจให้เขาเป็นคนแรก พร้อมกับตอบ
พี่รถกับข้าว @Peerodkubkhao
กำลังตอบกลับถึง @ROCK_01
ค่าตัวผมคงไม่มี แต่ถ้าส่งกับข้าวฟรีก็พอไหวครับ 555
5:26 PM . 07 ก.ค.18
----------------------------------------------------------------------
มาต่อแล้วค่ะ
พาร์ทนี้เป็นของเจ้าก้อนที่จริงๆ ไม่ได้ชื่อก้อน 555
อาจจะเรื่อยๆ เปื่อยๆ นิดนึง แต่ไม่ดราม่านะคะ นี่แต่งเพราะต้องการจะฮีลหัวใจตัวเองค่ะ 555
ความตั้งใจคืออยากดำเนินเรื่องเรื่อยๆ ตัดสลับระหว่างสองฝั่งค่ะ
ดังนั้นตอนหน้าจะเป็นพาร์ทของพี่ลมนะคะ
จะรีบมาต่อเร็วๆ ฝากเอ็นดูเจ้าหมูก้อนของฝนด้วยน้า ^^
เจอกันตอนหน้าค่ะ
ละอองฝน.