[^._.^]ノ彡 Dear Mr.Lion #คุณสิงโตที่รัก Final Chapter [Update 18/10/61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [^._.^]ノ彡 Dear Mr.Lion #คุณสิงโตที่รัก Final Chapter [Update 18/10/61]  (อ่าน 57723 ครั้ง)

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
เชียร์ให้ทั้งคู่เข้าใจกันเร็วๆ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
 :sad4 :sad4: :sad4: :sad4:   พี่สิงโต มัวแต่ลีลาอะ จีบไปเลยสิ  :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ดูท่า แมท ไม่บอกความจริงกับคี คีก็เข้าใจผิดต่อไป  :hao5:
แต่แมท ก็เหมือนเข้าใจคีไปอีกทาง
ว่าคีไม่อยากมีสัมพันธ์กับตัวเอง   :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
ตายแล้ว คิดไปคนละทางแล้วแน่ๆ แล้วจะเริ่มปรับความเข้าใจกันยังไงเนี่ยคุณสิงโตกับแมวน้อย

ปล.รอได้ค่าาา

ออฟไลน์ kaokorn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 903
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
หวังว่าคุณสิงโตจะใจกล้าๆทำให้คีเข้าใจอะไรให้ถูกต้องเร็วๆนะฮะ

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
น้องคีดูยังไม่ไว้ใขใครนะครับ พี่แมทสู้ต่อไปนะครับ เป็นกำลังใจให้ ^^

ออฟไลน์ naoto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 24

สองวันต่อมาเป็นช่วงที่อึดอัดใจที่สุดตั้งแต่ผมมาอยู่ฮาร์นาส ไม่ใช่ว่าแมทมีท่าทีเปลี่ยนไปหลังจากผมบอกเขาว่าไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องคืนนั้นอีก คุณสิงโตยังคงดูแลผมอย่างดี พวกเราออกไปทำงานแต่เช้าตรู่และกลับที่ห้องพักตอนค่ำด้วยกันเหมือนเดิม เพียงแต่ระยะห่างระหว่างเราสองคนดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น แมทระวังไม่เข้าใกล้ผมมากนัก หรือหากจำเป็นต้องสัมผัสตัวกัน เขาจะพึมพำขอโทษอย่างสุภาพทุกครั้ง ส่วนผมเองก็ได้ยิ้มและบอกเขาว่า ไม่เป็นไร

...แล้วผมก็พยายามบอกตัวเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนกันว่า ไม่เป็นไร

ท่าทางผิดปกติของเราสองคนอยู่ในสายตาเพื่อนในกลุ่ม โซเฟียกับมาเรียนน่าถึงกับแอบดึงผมไปถามว่า ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมผมกับแมททำเย็นชาใส่กัน ผมได้แต่อ้างไปว่า ผมกำลังทำใจเรื่องแฟนเก่า ไม่ค่อยอยากคุยอะไรกับใครมากนัก ส่วนแมทก็คงไม่อยากกวนผมก็เลยไม่ได้ชวนคุยเหมือนปกติ

โซเฟียหันไปแปลมาภาษามือให้มาเรียนน่า แล้วสองสาวก็หันกลับมา ทำหน้าบูด ส่งภาษามือใส่ผมพร้อมกันฉับๆ โดยโซเฟียออกเสียงกำกับไปด้วย

“พวกเรา-ไม่-เชื่อ”

ผมเลยได้แต่ยิ้มเซียวพร้อมกับถอนใจ สีหน้าของผมคงหงอยไปหน่อย เพื่อนทั้งสองเห็นแล้วก็เลยพลอยหงอยตาม

โซเฟียถอนใจเฮือกก่อนจะออกปากว่า “พวกฉันไม่ได้อยากจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคีกับแมทหรอกนะ แค่เป็นห่วง คิดว่าถ้ามีเรื่องอะไรก็อยากให้เคลียร์กัน แต่มาคิดอีกที คีคงยังเครียดเรื่องแฟนเก่าห่วยๆ นั่น ก็คิดอะไรเงียบๆ รอให้อารมณ์ขึ้นดีกว่านี้ก่อนก็ได้ ยังไงคีก็ยังอยู่ที่นี่อีกตั้ง 2 สัปดาห์ มีเวลาคุยกับแมทอีกตั้งเยอะ”

ผมยิ้มแล้วพยักหน้า ไม่ได้บอกพวกเธอว่า ผมอาจจะไม่อยู่นานขนาดนั้น

ผมลองเช็กตารางไฟลท์บินและคำนวณเรื่องการเดินทางแล้ว เที่ยวบินขามาค่อนข้างฉุกละหุก เจ้เคธต้องจองตั๋วให้ผม 3 ไฟลท์กว่าจะมาถึง แต่ขากลับโชคดีที่ได้ไฟลท์บินตรงจากกาต้า ต่อเครื่องที่สนามบินโดฮาแค่ครั้งเดียวก็ถึงกรุงเทพ แถมเป็นตั๋วแบบ Fully Flexible ที่เปลี่ยนไฟลท์ได้ เพียงแต่ต้องโทรไปแจ้งเปลี่ยนไฟลท์ล่วงหน้าและดูว่ามีที่ว่างรึเปล่า

ส่วนการเดินทางจากฮาร์นาส รถบัสของที่นี่จะออกไปรับอาสาสมัครใหม่ที่สนามบิน Hosea Kutako เมืองวินดฮุกตอนเช้ามืดวันจันทร์กับวันพฤหัสบดี วันจันทร์หน้าคงกะทันหันเกินไป วันพฤหัสน่าจะเหมาะกว่า ผมมีเวลาเปลี่ยนตั๋วและบอกลาเพื่อนๆ ...รวมถึงบอกลาใครอีกคนให้เรียบร้อย

ผมยังไม่ได้บอกเรื่องจะเลื่อนวันกลับกับใคร ตั้งใจว่าจะรอให้ถึงวันสุดท้ายของโปรแกรม Exclusive เสียก่อน อย่างน้อยก็อ้างได้ว่า จบโปรแกรมแล้ว ได้เห็นได้ลองทำทุกอย่างแล้ว เกิดคิดถึงบ้านขึ้นมามากๆ ก็เลยอยากกลับเร็วขึ้นเท่านั้นเอง


“คีโอเคแน่นะครับ”

ร็อบที่เดินอยู่ข้างๆ ผมถามขึ้นระหว่างที่เรากำลังทำภารกิจตรวจรั้วกั้นตอนเช้า ผมหันไปหาเขาแล้วพยักหน้า “อื้อ ผมโอเคสิครับ ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

สองวันนี้ผมเกาะติดอยู่กับร็อบ เขาไม่ได้ซักไซ้ผมเหมือนที่โซเฟียกับมาเรียนน่าถาม เพียงแต่คอยมองผมอย่างเป็นห่วงเหมือนตอนนี้ เพื่อนชาวอเมริกันยกมือขึ้นยกมือลูบศีรษะผมทีหนึ่ง ยอมรับง่ายๆ “โอเคก็โอเค แต่ถ้าคีมีเรื่องไม่สบายใจแล้วไม่รู้จะคุยกับใคร ผมพร้อมจะรับฟังนะ”

“ขอบคุณนะครับ” ผมฝืนยิ้มให้อีกครั้ง

ร็อบมองแล้วถอนใจ “เฮ้อ เห็นคีซึมแบบนี้แล้วเป็นห่วงชะมัด ถ้าไม่ติดว่าผมรับปากยัยลิซ่าไว้ว่าจะพายัยนั่นกับพวกเพื่อนๆ ไปเที่ยวทะเลทรายนามิบ ผมคงอยู่ฮาร์นาสต่อแล้วละ แต่นี่พวกนั้นจองที่พักไว้แล้ว จะปล่อยให้ไปกันเองแต่พวกสาวๆ ก็ไม่ได้เสียด้วย” เขาบ่นพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด

“ปล่อยให้พวกคุณลิซ่าไปกันเองไม่ได้อยู่แล้วละครับ มีแต่ผู้หญิง อันตรายเกินไป”

ผมรีบบอกเขาอย่างร้อนใจ กลัวเขาจะยกเลิกทริปเพราะผมจริงๆ “อีกอย่าง ร็อบเองก็อุตส่าห์มาถึงนามิเบียแล้ว ควรจะเที่ยวให้ทั่ว คุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวอีกไม่กี่วันผมก็กลับไทยแล้วเหมือนกัน”

ร็อบทำท่าจะเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่พวกเราเดินมาถึงลานหน้าส่วนกลางที่จะประชุมประจำวันพอดี เห็นแมทที่เดินนำมาหยุดรออยู่ ร็อบก็เลยไม่ได้พูดต่อ พวกเรานั่งลงแล้วรอให้สตีฟกับเฮเลนมาบรีฟว่า กิจกรรมวันนี้มีอะไรบ้าง

ธีมของวันนี้เป็น Baboon Day ตอนเช้าเราจะไปให้อาหารลิงบาบูนที่อยู่ตามธรรมชาติตรงพื้นที่ด้านนอกก่อน คนไทยคุ้นหูกับชื่อลิงบาบูนมากกว่าสัตว์ป่าจากแอฟริกาใต้ชนิดอื่นๆ อาจจะเพราะชื่อของมันจำง่าย แม้ว่าจะไม่มีสวนสัตว์ในประเทศไทยที่มีลิงบาบูนให้ดูมากนัก

รูปร่างของลิงบาบูนค่อนข้างใหญ่ ใหญ่กว่าลิงกังซึ่งเป็นลิงพื้นเมืองของแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่พอสมควร ขนเป็นสีน้ำตาลและใบหน้าสีดำ ลิงบาบูนขึ้นต้นไม้ไม่เก่ง จึงมักจะอยู่ตามเขาหินและอาศัยนอนน้ำ ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่รวมกันเป็นฝูง ฝูงหนึ่งอาจจะมีถึง 200-300 ตัว

สตีฟเล่าว่า บาบูนเป็นสัตว์ป่าที่มีความเสี่ยงสูญพันธุ์ต่ำ แต่ก็ใช่ว่าพวกมันจะไม่ถูกคุกคาม เมื่อ 4-5 ปีก่อนมีข่าวว่า เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ซึ่งอยู่ติดกับนามิเบีย มีฝูงลิงบาบูนบุกรุกเข้าไปในเมือง บุกเข้าไปในอาคาร ขโมยอาหาร และถึงกับวิ่งไล่ผู้คนที่เพิ่งซื้อของออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต สร้างความโกลาหลไปทั่ว

ลิงพวกนี้เคยอาศัยอยู่บริเวณคาบสมุทรเคปใกล้กับแหลมกู๊ดโฮปมานาน จนกระทั่งผู้คนย้ายถิ่นฐานเข้าไปตั้งรกรากในแถบนั้น พวกลิงถูกล่าแถมยังถูกตัดห่วงโซ่อาหาร จนสุดท้ายเมื่อไม่มีแหล่งอาหารตามธรรมชาติ พวกมันจึงต้องดิ้นรนเข้ามาขโมยอาหารกินในเมือง

ผมฟังเรื่องฝูงลิงบุกเมืองแล้วก็นึกถึงภาพยนตร์ชุด Planet of the Apes ซึ่งเป็นเรื่องลิงกลายพันธุ์ที่เข้าครอบครองโลก พอนึกภาพเจ้าลิงบาบูนฝูงใหญ่ที่กำลังกินอาหารอยู่อีกฝั่งของรั้วกั้นบุกเข้าไปในเมืองเหมือนในหนัง ก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน แต่คิดแล้วมนุษย์เราก็เป็นสาเหตุหลักทั้งในหนังและในโลกจริงนั่นแหละ


กิจกรรมช่วงบ่ายพวกเราต้องแบ่งกันไปดูแลทำความสะอาดพื้นที่อนุบาลลิงบาบูนซึ่งยังไม่ปล่อยออกสู่ธรรมชาติ พื้นที่ของลิงบาบูนค่อนข้างใหญ่ กินอาณาเขตกว้างที่สุดในพื้นที่อนุบาลสัตว์ส่วนกลาง มีทั้งกรงใหญ่แล้วก็กรงย่อย ในกรงใหญ่จะมีบ่อน้ำและสนามให้พวกลิงเล่น

“ตรงกรงใหญ่เข้าไปพร้อมกันหลายๆ คนได้ แต่ส่วนกรงย่อยค่อนข้างแคบ เข้าไปได้แค่ 2 คน วันนี้อาสาสมัครกลุ่มเราส่วนหนึ่งจึงต้องแยกไปทำงานกับอาสาสมัครเก่าที่เคยทำงานแล้ว ขอตัวแทนกลุ่มละ 1 คนก็แล้วกันนะคะ”

เฮเลนบอกกลางวงประชุม ผมเห็นโซเฟียกับมาเรียนน่าหันไปมองหน้ากัน สองสาวคงต้องไปด้วยกันอยู่แล้ว เพราะไม่อย่างนั้นมาเรียนน่าก็จะไม่มีคนแปลภาษามือให้ฟัง กลุ่มเราจึงเหลือแค่ผมกับร็อบ ผมยกมืออาสา

“กลุ่มนี้ ผมไปเองครับ”

ผมบอกเฮเลนก่อนจะหันไปบอกเพื่อนๆ “งั้นผมไปทางโน้นแล้วกัน ไว้เจอกันตอนกินอาหารเย็นนะ”

ผมก้าวเท้าเข้าไปรวมกลุ่มกับตัวแทนที่เหลือ แมทขยับตัวเหมือนจะเดินมาหา แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ชะงัก ใบหน้ารกด้วยหนวดถอนใจก่อนที่เจ้าตัวจะหมุนตัวเดินตามสตีฟไป ผมมองตามหลังร่างสูงหนาไปด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ก่อนจะเดินตามเฮเลนแยกไปอีกทาง

เฮเลนเดินพาพวกเราไปส่งให้อาสาสมัครเก่าที่รออยู่แล้วทีละกรง จนกระทั่งเหลือผมเดินไปถึงกรงสุดท้าย แต่เมื่อเดินไปถึงผมก็กลับชะงัก พอคนที่ยืนอยู่รอเห็นผมเข้าก็ชะงัก พลอยทำหน้าพิพักพิพ่วนไปด้วยเหมือนกัน

อาสาสมัครเก่าที่ผมต้องมาช่วยงานวันนี้คือ...คุณลิซ่า

..............................................................



ผมเดินถือคราดกับถังใส่เศษใบไม้เข้าไปในกรงขนาดกว้างประมาณ 4 x 4 เมตร คุณลิซ่ายืนกอดอกรออยู่ด้านในแล้ว วันนี้เธอแต่งตัวทะมัดทะแมงกว่าทุกวัน สวมเสื้อแขนยาว กางเกงวอร์มขาห้าส่วน รวบผมบลอนด์เกล้าเป็นมวยเก็บเรียบ ใบหน้าสวยจัดมองผมนิ่งโดยไม่เอ่ยทักอะไร ผมได้แต่ยิ้มแหย เตรียมอ้าปากทักทายตามมารยาท

“ฮาย ลิซ่า..เป็นไงบ้างครั...อุ๊ปส์”

คำทักเปลี่ยนเป็นเสียงอุทานเมื่อลูกลิงบาบูนตัวหนึ่งกระโดดจากซี่ลูกกรงไปเกาะกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง เฉี่ยวศีรษะผมไปนิดเดียว ผมสะดุ้งโหยง เบิกตากว้าง ขณะที่เจ้าลิงตัวนั้นหันกลับมามองแล้วแยกเขี้ยวขู่ฟ่อใส่

คุณลิซ่ายื่นขวดนมขวดเล็กให้เจ้าลิงตัวนั้น มันคว้าไปขวดนมไปกระดกคอดูดแล้วไม่สนใจผมอีก ส่วนคนที่เพิ่งป้อนนมลูกลิงก็หันมาทางผม เตือนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อย่าทำท่ากลัว ลิงพวกนี้ฉลาด ถ้าหงอใส่ มันจะข่มแล้วก็คอยแกล้ง ยืดหลังตรงไว้ อย่าทำตัวงอ ต้องทำให้มันรู้ว่า เราตัวใหญ่กว่าแล้วก็แข็งแรงกว่า”

คุณลิซ่าสอน ส่วนผมได้แต่กลืนน้ำลายแล้วพยักหน้าหงึกๆ ตอนนี้ผมกลัวทั้งคนทั้งลูกลิงเลยละครับ

หลังจากนั้นผมก้มหน้าก้มตากวาดพื้นเก็บเศษใบไม้ตามหน้าที่ ขณะที่คุณลิซ่าให้อาหารพวกลิง เราต่างคนต่างทำงานโดยไม่ได้คุยกัน แต่ผมก็สัมผัสได้ว่า สาวสวยผมบลอนด์คอยมองมาทางผมอยู่เป็นระยะ

ตั้งแต่วันที่คุณลิซ่าไม่สบายจนแมทต้องพาไปห้องพยาบาล ผมก็ไม่ได้เจอเธออีก มาเจอกันอีกทีวันนี้ ท่าทางของหญิงสาวเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ชวนคุยล้วงถามโน่นนี่เหมือนตอนที่เจอกันแรกๆ คงเพราะแมทปฏิเสธเธอจริงจังไปแล้ว ลิซ่าถอยห่างจากแมท เธอก็เลยพลอยวางตัวเหินห่างกับผมไปด้วย

...คือไม่ชวนคุยก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เล่นจ้องผมนิ่งๆ แบบนี้ ผมก็อึดอัดเหมือนกันนะ

ผมนึกในใจแต่ไม่กล้าชวนเธอคุยลดบรรยากาศอึดอัดเหมือนกัน

คุณลิซ่ารอจนลูกลิงบาบูนกินนมหมดขวดแล้วก็เก็บขวดนมใส่ตะกร้า หญิงสาวยืดตัวขึ้น ยื่นแขนไปข้างหน้าแล้วดึงตัวเจ้าลิงน้อยที่เกาะอยู่บนซี่กรงเข้าไปกอดอย่างง่ายดายเหมือนเวลาอุ้มเด็กทารก ผมอดอุทานอย่างทึ่งไม่ได้

“โอ้โห คุณเก่งจังครับ ไม่กลัวมันกัดเอาเหรอ”


คุณลิซ่าตวัดสายตามองผมทีหนึ่ง ไม่ได้ยิ้มรับคำชม แต่กลับชี้นิ้วไปที่ตะกร้าซึ่งวางอยู่บนพื้นกรง “หยิบผ้าอ้อมในนั้นมาให้หน่อย”

“หือ ครับ?” ผมถามอย่างงุนงง ก็เลยโดนถอนใจเฮือกใส่ไปอีกที

“ผ้าอ้อมสำเร็จรูปในตะกร้า...หยิบมาให้หน่อย แล้วก็ใส่ให้เจ้านี่ด้วย” อีกฝ่ายบอกพลางก้มลงมองเจ้าลิงที่เกาะตัวเองหนึบ

“เห? ผมเหรอครับ?” คราวนี้ผมถามเสียงดัง

คุณลิซ่าหรี่ สีหน้าขุ่นมัวแบบกึ่งๆ จะรำคาญ เธอออกปากเร่ง

“ถ้าไม่ใช่นายแล้วใครจะทำ ฉันต้องอุ้มมันอยู่เนี่ย เร็วหน่อย”

“ครับๆ” ผมรีบรับคำแล้วก้มตัวลงไปหยิบผ้าอ้อมสำเร็จรูปในตะกร้า เป็นผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กทารกไซส์เล็กสุดนั่นแหละ พอเอามาใส่ให้เจ้าลูกลิงที่เริ่มตัวโตหน่อยพวกนี้แล้วก็พอดีเปี๊ยบ

ผมพยายามใส่ผ้าอ้อมอย่างเก้ๆ กังๆ กลัวทั้งลูกลิงกลัวทั้งเจ้าแม่ลิงที่กำลังมองผมด้วยสายตาหงุดหงิด

พวกเราช่วยกันใส่ผ้าอ้อมให้ลิงอีก 2 ตัวที่เหลือ พอเสร็จแล้วคุณลิซ่าก็ปล่อยเจ้าลิงตัวสุดท้ายกลับไปเกาะยางรถยนต์เก่าที่ผูกโซ่ร้อยไว้เป็นที่เล่น ก่อนจะหันมาทางผมแล้วถามขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย “ได้ยินร็อบเล่าว่า นายทะเลาะกับแมทหรือ?”

“เอ่อ...ไม่ได้ทะเลาะนะครับ” ผมตอบอึกอัก นึกในใจว่า นี่ร็อบเอาเรื่องผมไปเมาท์ให้น้องสาวเขาฟังด้วยเหรอเนี่ย “ผมแค่...มีเรื่องต้องคิด แล้วก็เกิดโฮมซิคขึ้นมานิดหน่อย ก็เลยดูนิ่งไปเท่านั้นเอง ร็อบเป็นห่วงมากไปแล้ว”

ผมพยายามออกตัว แอบนึกในใจอย่างหวาดเสียว นี่ร็อบคงไม่ได้ไปเปรยกับคุณลิซ่าว่าอยากล่มทริปนามิบเพื่ออยู่ฮาร์นาสต่อเหมือนที่บอกผมเมื่อเช้าหรอกนะ ไม่อย่างนั้นคุณลิซ่าได้กินหัวผมแน่

“อ้อ” หญิงสาวผมบลอนด์ทำเสียงอือออ

ผมฝืนยิ้มเลยเอ่ยต่อ “ฝากคุณบอกร็อบด้วยนะครับ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง ผมอาจจะกลับไทยสัปดาห์หน้านี้แล้ว”

คราวนี้คุณลิซ่าขมวดคิ้วฉับ “กลับไทยสัปดาห์หน้า? ตอนที่ฉันถามคราวก่อน นายบอกว่าจะอยู่ที่นี่หนึ่งเดือนไม่ใช่หรือ”

“ก็พอดี...ผมเกิดคิดถึงบ้านขึ้นมาน่ะครับ ก็อีกไม่กี่วันจะหมดโปรแกรม Exclusive แล้ว เลยคิดว่า กลับบ้านดีกว่า พี่สาวผมจองตั๋วแบบ Flexible ให้ ถ้ามีที่นั่งว่าง ผมก็เลื่อนตั๋วกลับก่อนได้”

ผมอ้างเหมือนที่คิดว่าจะอ้างกับพวกเพื่อนๆ หรือเจ้เคธ แต่ดูเหมือนคุณลิซ่าจะไม่เชื่อ เธอเลิกคิ้วแล้วแค่นเสียงถาม “โฮมซิคก็เลยอยากกลับบ้านก่อน หรือว่าจริงๆ แล้วนายตั้งใจจะหนีหน้าใครกันแน่”

ผมหลบตาเธอแล้วงึมงำปฏิเสธ “ไม่ได้หนีสักหน่อยครับ”

ผมรู้แหละว่า ทำแบบนี้ก็เท่ากับหนีหน้าแมท แต่ผมยอมเป็นคนขี้ขลาดหนีไปเสียดีกว่าจะปล่อยให้เราสองคนต้องอยู่กันแบบอึดอัดอย่างนี้ไปอีกเกือบครึ่งเดือน แค่สองวันที่เรามองหน้ากันไม่ติดก็กระอักกระอ่วนจะแย่แล้ว ผมไม่อยากให้แมทต้องลำบากใจไปมากกว่านี้ ไม่งั้นคงกลายเป็นว่า การที่ผมมาฮาร์นาสทำให้แผนพักร้อนของเขาพังหมด

คุณลิซ่ามองผมนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะโพล่งถามขึ้นมาว่า

“แทนที่จะกลับไทย ไปเที่ยวนามิบกับพวกฉันไหม”


“เอ๋?” ผมเบิกตากว้างอย่างงุนงง “ไปเที่ยวทะเลทรายนามิบ...กับพวกคุณลิซ่าเหรอครับ?”

“อืม นายเคยบอกเจนกับคอร์เดียว่า อยากไปเที่ยวนามิบแต่ไม่สะดวกเพราะไม่มีรถไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นไปกับพวกฉันก็ได้ รถที่ร็อบเช่ามาค่อนข้างใหญ่ นั่ง 5 คนได้สบายๆ อีกอย่าง ฉันจองที่พักที่ Sossusvlei ไว้ 2 ห้อง แยกชายหญิง ร็อบพักคนเดียว มีเตียงว่างอีกเตียงพอดี นายไปแจมด้วยก็ได้ ช่วยหารแค่ค่าน้ำมันรถก็พอ”

“อย่าเลยครับ พวกคุณไปกันเป็นเพื่อนเป็นพี่น้อง ถ้าผมไปด้วย จะอึดอัดกันเสียเปล่าๆ” ผมค้านเสียงอึกอัก

“ถ้าอึดอัด ฉันไม่ชวนหรอกย่ะ ร็อบน่ะอยากให้นายไปด้วยแน่ๆ อยู่แล้ว เห็นพูดถึงนายทุกวันจนฉันจะเอียนตาย”

หญิงสาวว่าแขวะผมเสียอย่างนั้น ก่อนจะอธิบายต่อ “พวกฉันแพลนว่าจะเที่ยวนามิบ 3 วัน แล้วตีรถกลับมาวินดฮุก รอขึ้นเครื่องกลับบ้าน ส่วนนายก็ขึ้นรถบัสของฮาร์นาสที่มารับอาสาสมัครใหม่ที่สนามบินตอนวันพฤหัสกลับมาที่นี่ได้พอดี สนใจไหม”

“สนใจน่ะ สนใจอยู่หรอกครับ แต่ทำไมคุณลิซ่าถึงชวนผมละ” ผมถามออกไปตรงๆ

สาวผมบลอนด์ฟังแล้วระบายลมหายใจพรืดใหญ่

“เพราะฉันเกลียดการวิ่งหนีปัญหาที่สุดน่ะสิ เห็นใครทำแบบนี้แล้วก็หงุดหงิด ทนไม่ได้ทุกที”

เธอยกมือเท้าเอว จ้องผมแล้วร่ายต่อ “ฉันไม่รู้หรอกนะว่า ระหว่างนายกับแมทมีเรื่องปัญหาอะไรกัน แต่ฉันรับไม่ได้ที่หนุ่มหล่อล่ำบึ้กที่ปฏิเสธสาวสวยสุดเพอร์เฟคอย่างฉันจะมาถูกเด็กอย่างนายทิ้งอีกทอด พ่อยักษ์นั่นน่ะฉันอ่อยแทบตาย เสียเวลาไปเป็นอาทิตย์ๆ ยังไม่ติดเบ็ด นายตกได้แล้วจะมาสะบัดทิ้งเหมือนของไม่มีค่าไม่ได้นะยะ”

ผมฟังคุณลิซ่าแล้วก็พยายามเรียบเรียงสิ่งที่เธอพูด แต่ยิ่งคิดยิ่งงง รู้แค่ว่า เธอไม่พอใจที่ผมจะทิ้งแมทกลับเมืองไทยไปก่อน ผมกำลังจะอ้าปากอธิบายว่า ผมไม่ได้ทิ้งแมทแบบนั้น แต่คุณลิซ่ากลับเอ่ยต่อเหมือนจะสอน

“ฉันว่าสถานการณ์ของนายไม่ได้เลวร้ายขนาดต้องหนีกลับไทยหรอกน่า ถ้าอึดอัดก็แค่ลองถอยห่างออกมาสักหน่อย คิดอะไรได้แล้วค่อยกลับมาเคลียร์กันใหม่ ดีกว่าหนีหายไปแล้วมานั่งเสียใจซะเอง”

ผมจุกไปนิดหนึ่งเมื่อถูกจี้ใจดำ เลยประชดเธอกลับเสียงอุบอิบ “คุณลิซ่าพูดง่ายจังนะครับ”

คนถูกประชดกลับยักไหล่ไม่สะทกสะท้าน “แล้วทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องยากละ โอกาสเจอหนุ่มฮอตแถมนิสัยดีไม่ได้วนมาบ่อยๆ นายทิ้งไปแล้วจะมาเสียดายทีหลัง” คุณลิซ่าสรุป ก่อนจะถามผมว่า

“ว่ายังไง ตกลงจะไปไหม? ไปเที่ยวทะเลทราย 4-5 วัน ให้เวลาตัวเองไปคิดให้ตก แล้วค่อยกลับมาใหม่”

ผมนิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจ ไปเที่ยวที่อื่นสัก 5 วันกลับมาฮาร์นาสอีกทีก็เหลืออีกแค่อาทิตย์กว่าเท่านั้นก็ถึงกำหนดกลับบ้านแล้ว ติดรถเพื่อนไปเที่ยวก็ดูเป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้นกว่าคิดถึงบ้านแล้วอยากกลับเร็วเสียอีก ดูจากเมื่อกี้ที่ผมอ้างกับคุณลิซ่าแล้วเธอไม่เชื่อ ไปอ้างกับเจ้เคธหรือพวกโซเฟียกับมาเรียนน่า พี่สาวผมกับเพื่อนๆ ก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน

สุดท้ายผมจึงพยักหน้าให้คุณลิซ่า

“ตกลงครับ ผมขอไปเที่ยวนามิบด้วยคนนะ”

.............................................................................



“ฉันไม่เข้าใจ ทำไมอยู่ๆ คีถึงตกลงจะไปกับพวกคุณร็อบ”


แมทถามด้วยน้ำเสียงเกือบจะเป็นหงุดหงิด วันนี้พอกลับมาถึงที่พัก ผมก็บอกเขาเรื่องที่คุณลิซ่าชวนไปเที่ยวนามิบด้วย พอรู้ว่าผมตอบตกลงไปแล้ว คุณสิงโตขมวดคิ้วมุ่นทันที

ผมก้มหน้าหลบสายตาเขา ตอบเสียงเบา “ผมแค่...เบื่อนิดหน่อยน่ะครับ อยู่ฮาร์นาสมาตั้งครึ่งเดือน มีแต่ทุ่งหญ้ากับท้องฟ้า ผมอยากไปเที่ยวที่อื่นบ้าง อีกอย่าง มาถึงนามิเบียทั้งที ผมก็อยากไปทะเลทรายนามิบอยู่แล้ว พอคุณลิซ่าชวน ผมก็เลยตกลง”

“ถ้าคีอยากไปเที่ยวนามิบ ฉันพาไปเองก็ได้ ไม่ต้องกวนพวกลิซ่ากับคุณร็อบ” แมทบอกเสียงจริงจัง

“ไม่ครับ! แมทไม่ต้องพาผมไปหรอก”

ผมรีบเงยหน้าขึ้นปฏิเสธเขาเสียงร้อนรน “แค่คุณขับรถไปรับผมที่สนามบินมาถึงที่นี่ แถมยังคอยดูแลผมตั้งหลายวัน ผมก็เกรงใจมากแล้ว คุณมาพักร้อนที่ฮาร์นาสเพราะตั้งใจจะมาทำงานดูแลสัตว์ป่า จะมาเสียเวลาพาคนอื่นเที่ยวได้ยังไงครับ”

“คีไม่ใช่คนอื่นสำหรับฉัน ฉันเคยบอกแล้วนี่ว่า ฉันยินดีจะดูแลคี”

แมทเอื้อมมือมาจะลูบศีรษะผม แต่ผมผละถอยหนีไปนิดหนึ่ง เขาชะงักก่อนจะถอนใจ เอ่ยปากยอมตกลงในที่สุด

“ถ้าคีอยากไปเที่ยวกับพวกคุณร็อบ ก็ไปเถอะ แล้ววันพฤหัส ฉันจะขับรถไปรับคีที่วินดฮุกเอง ไม่ต้องรอรถบัสที่ไปรับอาสาสมัครใหม่”

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมกลับมากับรถของฟาร์มก็ได้ ผมไม่อยากกวน...”

ผมแทรกขึ้นมาอีก แต่คราวนี้แมทจ้องผมแล้วดุเสียงเข้ม

“เลิกดื้อได้แล้ว คีตะ! ถ้าคลาดกับรถบัสของฟาร์ม คีจะกลับมาโกเบบิสยังไง อีกวันพวกคุณร็อบก็ต้องขึ้นเครื่องกลับอเมริกา คีอยู่ที่วินดฮุกคนเดียว มันอันตรายเกินไป ฉันไม่ว่าถ้าคีจะไปเที่ยวกับเพื่อน แต่ควรจะรู้ด้วยว่า ทำยังไงตัวเองจะไม่เดือดร้อน และไม่ทำให้คนอื่นเป็นห่วง”

เขาดุผมยาวเหยียด แต่พอเห็นผมเม้มปาก พูดไม่ออกที่ถูกเขาดุเป็นครั้งแรก คุณสิงโตก็พยายามสะกดอารมณ์ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนลง “รอฉันไปรับเถอะ ฉันรับปากกับเคธี่ว่าจะดูแลคีให้ดี อย่าให้ฉันผิดสัญญาเลยนะ”

อะไรๆ ก็เจ้เคธ...

ผมนึกในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป เพียงแต่ก้มหน้า ฝืนกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ ก่อนจะพยักหน้ารับ

“ครับ”

...........................TBC..............................



ส่งงานจ็อบเสร็จก็รีบมาต่อเลยค่ะ ยังคงหน่วงกันต่อไปอีก

ตอนนี้ลูกแมวน้อยทำท่าจะบินหนีกลับซะแล้ว แต่ถูกแม่เสือเกี่ยวคอไว้เสียก่อน (พี่ชายเป็นจากัวร์ น้องสาวก็จากัวร์นะคะ) ส่วนตัวแล้วเราชอบเขียนตัวละครผู้หญิงให้เก่งและฉลาดค่ะ (ใครอ่านเรื่องอื่นๆ ก็คงพอมองออก) คุณลิซ่าเองตอนแรกอาจจะเปิดตัวเหมือนนางอิจฉาตามละคร แต่ตอนหลังก็มีพาร์ทให้โชว์ความเริ่ดเหมือนกัน เราชอบมากๆ และหวังว่าจะถูกใจผู้อ่านทุกท่านนะคะ ^^

ตอนหน้าจะตามน้องคีข้ามประเทศไปเที่ยวทะเลทรายนามิบ ซึ่งอยู่อีกภูมิภาคหนึ่งของประเทศนามิเบียนะคะ วิวสวยขาดใจ แต่ใจลูกแมวน้อยจะรับรู้ความสวยงามรึเปล่าก็ไม่รู้



cr. pix by GenesJourney pixabay.com



ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามด้วยค่ะ หากท่านผู้อ่านอ่านแล้วรู้สึกอย่างไร คอมเมนท์ได้ท้ายตอน หรือในทวิตเตอร์ #คุณสิงโตที่รัก ก็ได้ค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยค่า /โค้ง

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ไหนบอกจะกลับไงมาเปลี่ยนใจไปกับพวกร็อบกับลิซ่าแบบนี้พ่อสิงโตใจเสียแย่

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
จังหวะสารภาพรักไม่ลงตัว  :really2:
คี ก็เข้าใจว่าแมท ชอบเจ้เคท  :serius2:
เลยอิหลักอิเหลื่อกันไป  :mew2:

ลิซ่า พูดกับคีว่าไม่พอใจเสียหน้าที่จีบแมท แล้วแมทไม่สน
มาแพ้คีที่เป็นผู้ชาย คียังคิดตามไม่ทัน  :เฮ้อ: :z3: :ling1:
แมท ก็บอกคีอีกครั้งให้ชัดๆกันไปเลยก็ดีนะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
น้องคียังกลัวอยู่ หรือยังไงครับ ตอนนี้สงสารพี่แมทมากเลย พ่อสิงโตเศร้า

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
มันเหงาๆหน่วงๆ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
คีชอบหนีปัญหาแบบที่ลิซ่าว่าจริงๆ
เลยเหมือนเด็กไม่รู้จักโต

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
ดูเหมือนจะไปกันใหญ่แล้ว ต่างคนต่างเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว
ฮือออ เอาใจช่วยทุกคนเลย

ออฟไลน์ dyno

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขัดจายยยย คี..เทอต้องรู้สิ ว่ามีหนุ่มหล่อล่ำบึ้กมาชอบ  o18

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:

งอนอีก

ออฟไลน์ naoto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 25


คนที่งอนเรื่องผมจะไปเที่ยวนามิบมากที่สุดกลับเป็นโซเฟียกับมาเรียนน่า พอผมบอกพวกเธอตอนเช้าวันต่อมา สองสาวก็ทำหน้าบูด ถามเหมือนแมทเปี๊ยบว่า ทำไมผมถึงตัดสินใจปุบปับนัก ผมอ้างไปว่า ผมอยากไปเที่ยวทะเลทรายอยู่แล้ว พอคุณลิซ่าออกปากชวน ผมเลยตกลง อีกอย่างผมก็สนิทกับร็อบสนิทอยู่แล้วด้วย เขาโอเคที่ผมจะจอยทริป

สองสาวไม่รู้จะค้านยังไงเลยได้แต่งอน “ฉันนึกว่าจะได้ทำงานกลุ่มเดียวกันต่อเป็นสามทหารเสือ คีดันมาทิ้งกัน หนีตามดาตาญังร็อบไปเที่ยวเฉยเลย” โซเฟียบ่นน้อยใจออกมาดังๆ

“ผมไปแค่ 5 วันก็กลับแล้ว ยังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกตั้งอาทิตย์ไง”

ผมยิ้มแหย พยายามอ้อนพวกเพื่อนๆ แต่สองสาวก็ยังออกอาการงอนไปอีกพักใหญ่ ผมต้องตามง้ออยู่นานกว่าจะยอมพูดด้วย นึกภาพออกเลยว่า ถ้าผมทำตามแผนเดิมที่จะหนีกลับไทยก่อนกำหนด มีหวังต้องถูกโกรธมากกว่านี้แน่

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของโปรแกรม Exclusive พวกเราไม่ต้องไปทำภารกิจตอนเช้า มีแค่พอกินอาหารแล้วก็ประชุมครั้งสุดท้าย พูดคุยกันว่าใครจะกลับใครจะอยู่ต่อ และคนที่อยู่ต่อจะย้ายไปทำงานส่วนอื่นบ้างไหมเท่านั้น

อาสาสมัครที่มาจากอังกฤษสนใจเรื่องงานด้านสังคมสงเคราะห์ เลยจะย้ายไปสอนหนังสือเด็กๆ พื้นเมืองในศูนย์ของฮาร์นาส อาสาสมัครจากญี่ปุ่นกับพวกโซเฟียและมาเรียนน่าจะทำงานดูแลสัตว์ป่าต่อ คนที่จะกลับอย่างร็อบต้องไปเคลียร์บิลค่าใช้จ่ายกับทางฟาร์ม ส่วนผมแค่จะหนีไปเที่ยวเลยยังไม่เช็กเอาท์ เก็บเสื้อผ้ากับของใช้สำหรับ 5 วันลงกระเป๋าเป้ก็เสร็จ

แมทไม่ได้คัดค้านอะไรอีกเรื่องที่ผมจะไปเที่ยวกับพวกร็อบ เพียงแต่เตือนว่า ผมควรเตรียมอะไรใส่กระเป๋าไปเพิ่ม เพราะอากาศแถบนามิบต่างจากที่โกเบบิสพอสมควร “คีเตรียมรองเท้าผ้าใบที่ไม่หลุดง่าย หมวกกับแว่นกันแดดไปด้วย แล้วก็อย่าลืมพวกมอยซ์เจอร์ไรซ์เซอร์กับครีมกันแดด ทะเลทรายอากาศค่อนข้างแห้ง แดดจัดมาก ถ้าไม่ทาครีมกันไว้ ผิวเบิร์นแล้วจะลำบาก”

“ครับ” ผมรับคำแล้วเดินไปหยิบของที่เขาบอก ถ้าเป็นช่วงก่อนที่เรายังไม่มึนตึงใส่กัน ผมคงอดแซวคุณสิงโตไม่ได้ว่า ทำตัวเหมือนคุณพ่อที่ลูกจะไปออกค่ายลูกเสืออีกแล้ว แต่ตอนนี้ผมเพียงแต่จัดกระเป๋าต่อไปเงียบๆ

ตอนเย็นสตีฟกับเฮเลนพาพวกเราไปทัวร์ฟาร์มรอบสุดท้ายเพื่อบอกลาพวกสัตว์ป่า พอตกค่ำทางฟาร์มจัดงานเลี้ยงบาร์บีคิวปิดโปรแกรม แล้วก็เลี้ยงส่งอาสาสมัครที่จะกลับหรือไปเที่ยวที่อื่นต่อ

ร็อบดีใจออกนอกหน้าที่ผมตกลงไปเที่ยวกับเขา เลยกระตือรือร้นมาช่วยผมเอาใจโซเฟียกับมาเรียนน่า เขาอธิบายเรื่องทริปนามิบให้สองสาวฟังคร่าวๆ แล้วก็ย้ำว่า “ทริป 4-5 วัน เที่ยวทะเลทราย 2 วันเท่านั้นแหละครับ เดินทางไปกลับอีก 2 วัน ผมรับรองว่าจะดูแลคีอย่างดี จะพากลับมาที่วินดฮุก แล้วอยู่รอเป็นเพื่อนจนแมทไปรับคีกลับมาฮาร์นาส”

“เรื่องนั้นไม่ห่วงหรอกค่ะ รู้อยู่แล้วว่าร็อบใส่ใจดูแลคีแน่ๆ” โซเฟียตอบ สีหน้าดีกว่าตอนเช้านิดหน่อย เธอตวัดตาค้อนผมนิดหนึ่งแล้วบ่นต่อ “พวกเราแค่น้อยใจที่อยู่ๆ คีก็ตัดสินใจไปโดยไม่บอกกันล่วงหน้าเท่านั้นแหละ”

“จะบอกตอนไหนละ คุณลิซ่าเพิ่งจะชวนผมเมื่อวานนี้เอง” ผมแก้ตัวเสียงอ่อย

งานเลี้ยงยังต่อเนื่องจนดึก แต่พรุ่งนี้ผมกับร็อบและพวกคุณลิซ่าต้องออกจากฮาร์นาสแต่เช้า ขับรถยิงยาวเกือบ 8 ชั่วโมงกว่าจะถึงนามิบ พวกเราก็เลยขอตัวออกจากงานก่อน โซเฟียกับมาเรียนน่าออกตัวว่าคงไม่ได้มาส่ง พวกเธอกอดผมแน่น ย้ำว่ายังไงก็ต้องกลับมาฮาร์นาสนะ อย่างกับรู้ว่าก่อนหน้านี้ผมคิดจะหนีกลับเมืองไทยยังงั้นละ

ผมกอดตอบพวกเธอพร้อมกับสัญญาหนักแน่น “อืม เดี๋ยวผมก็กลับมาแล้ว อีก 5 วันเจอกันนะ”



เช้าวันต่อมาจึงมีเพียงแมทเดินมาส่งผมที่ลานจอดรถ ร็อบขยับรถออกมารอที่ด้านหน้าแล้ว เขาช่วยรับกระเป๋าเป้ของผมไปใส่กระบะหลัง ผมยืนคุยกับเจนและคลอเดีย ขณะที่คุณลิซ่าเดินไปคุยกับแมท สาวสวยผมบลอนด์ไม่ได้ยิ้มหวานเหมือนช่วงก่อนที่ยังปิ๊งคุณสิงโต เธอยืนกอดอกคุยกับเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะส่ายหน้าเหมือนอ่อนใจเมื่อแมทพูดอะไรบางอย่าง พอเธอหันมาเห็นว่าผมกำลังมองอยู่ ก็กลอกตาอย่างเบื่อๆ อีกรอบ

สองคนนั้นคุยอะไรกันอยู่ เกี่ยวกับผมรึเปล่าเนี่ย

ใกล้จะได้เวลาเดินทาง แมทจึงเดินเข้ามาหา ผมอดไม่ได้ที่จะถาม “เมื่อกี้คุยอะไรกับคุณลิซ่าหรือครับ”

แมทยิ้มอ่อนใจ “ไม่มีอะไรหรอก ลิซ่าแค่บ่นเรื่องที่ฉันทำอะไรไม่เคลียร์สักอย่างน่ะ” เขาว่าพลางยื่นมือมาลูบศีรษะผมโดยไม่ได้ทำท่าลังเลอย่างเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ผมเองก็ไม่ได้ถอยหนี เพียงแต่หรุบตาลงไม่สบตาเขา ได้ยินเสียงคุณสิงโตถอนใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ

“คีเที่ยวให้สนุกนะ อีก 4 วัน ฉันจะไปรับที่วินดฮุก ลิซ่าบอกที่อยู่โรงแรมไว้แล้ว ถ้ามีอะไรก็โทรหาฉัน ฉันจะเปิดเครื่องไว้ตลอด 24 ชั่วโมง”

“ครับ” ผมพยักหน้า

ร็อบเดินเข้ามาหาพวกเรา “คี พร้อมหรือยังครับ ได้เวลาออกเดินทางแล้ว” เขาว่าแล้วก็หันไปพูดกับแมท น้ำเสียงจริงจัง ไม่ได้มีเค้าเย้าแหย่เหมือนปกติ “ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลคีอย่างดี”

“ฝากด้วยนะครับ” แมทยิ้มบาง ก่อนจะหันมาหาผมอีกครั้ง “คีไปเถอะ Have a good trip”

“ครับ ไว้เจอกันนะ” ผมบอกลาแล้วเดินไปเปิดประตูนั่งข้างคนขับ ร็อบสตาร์ทรถขับออกไป ผมเหลือบมองกระจกข้าง เห็นคุณสิงโตยืนมองรถของพวกเราแล่นจากมา เงาสะท้อนของเขาค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ จนลับสายตาไปในที่สุด ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหาย

รอก่อนนะครับ แมท ผมจะพยายามลบความรู้สึกพวกนั้นออกไปจากใจให้ได้ ช่วงเวลาที่เหลือในฮาร์นาส ผมจะได้เงยหน้ามองคุณให้เต็มตา แล้วก็บอกลาคุณกลับบ้านโดยไม่รู้สึกผิดหรือเจ็บปวดเหมือนตอนนี้อีก
…………………………………………………



จากเมืองโกเบบิสที่ตั้งของฮาร์นาสซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนามิเบีย ข้ามไปยังเขตทะเลทรายนามิบทางภาคตะวันตก กินระยะทาง 600 กว่ากิโลเมตร แปลว่าพวกเราต้องขับรถทั้งวันและน่าจะไปถึงที่พักช่วงค่ำ

ผมอาสาช่วยร็อบขับรถบ้างเพราะเห็นว่าถนนที่นามิเบียค่อนข้างโล่ง ความหนาแน่นของประชากรที่นี่ค่อนข้างเบาบาง นานครั้งจึงจะมีรถแล่นสวนทางกันบนไฮด์เวย์ อีกอย่างรถแคมป์ปิ้งที่ร็อบเช่ามาก็เป็นเกียร์ออโต้ ขับง่ายแม้จะคันใหญ่กว่ารถยนต์ที่ผมเคยขับที่เมืองไทยอยู่บ้างก็เถอะ

“ถ้าคุณเหนื่อยก็เปลี่ยนกันขับได้นะครับ”

ร็อบที่อยู่หลังพวงมาลัยหัวเราะ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ “โอเคครับ เดี๋ยวพวกเราหนุ่มๆ สองคนผลัดกันเป็นสารถีแล้วกันนะ ความจริงยัยลิซ่าก็ขับรถคล่อง สมัยอยู่ฟาร์มของพ่อแม่ยังขับโฟล์วิลลุยดะ พอเข้ามาเป็นสาวชาวเมือเข้าหน่อยคอยแต่จะนั่งเบาะหลังเป็นคุณหนูชี้นิ้วอยู่เรื่อย”

ร็อบแซวน้องสาว เลยถูกคุณลิซ่าแยกเขี้ยวใส่ “ฉันใช้แรงงานอยู่ในฮาร์นาสตั้ง 3 สัปดาห์นะยะ ยังจะใช้ฉันขับรถอีกเหรอ”

พี่ชายที่ถูกดุทำคอย่น “ไม่ได้ใช้ครับ ไม่กล้าใช้หรอก เชิญคุณหนูนั่งรถให้สบายเถอะ”

ผมหัวเราะท่าทางหงอๆ ของร็อบ เพิ่งจะเห็นเขาต่อปากต่อคำกับคุณลิซ่าแบบเต็มๆ ก็วันนี้ เป็นพี่ชายประเภทที่โดนน้องสาวข่มจริงๆ นั่นละ

พวกเราแวะกินอาหารกลางวันที่วินดฮุกตอนบ่าย เติมน้ำมันแล้วก็ซื้อเสบียงกับของใช้ส่วนตัวเพิ่มอีกนิด แล้วยิงยาวต่อไปยังโรงแรมที่พักใกล้ทะเลทรายนามิบ

ตอนที่ร็อบบอกว่าคุณลิซ่าจองที่พักไว้ ผมนึกว่าจะเป็นโรงแรมเล็กๆ พอเห็นประตูทางเข้าซึ่งเป็นซุ้มใหญ่อลังการ ข้างในมีสระว่ายน้ำกับร้านอาหารแบบโอเพนแอร์ใต้แสงเทียน ผมเลยถึงขั้นอ้าปากค้าง พอร็อบเห็นสีหน้าผมเข้าก็กลอกตา

“รีเควชคุณหนูลิซ่าครับ ผมบอกแล้วว่า ไปพักที่แคมป์ไซต์ของอุทยานดีกว่า ราคาถูกกว่ากันตั้งครึ่ง แถมอยู่ข้างในตัวอุทยาน ตอนไปดูพระอาทิตย์ขึ้นก็ไม่ต้องรอเวลาเปิดด่านตอนเช้าด้วย”

คุณลิซ่าฟังแล้วย่นจมูก “No more campsite! ฉันอยู่หมู่บ้านอาสาสมัคร ใช้ห้องน้ำรวมมามากพอแล้วย่ะ ขอพักสบายๆ นอนแช่อ่างอาบน้ำหลังลุยทะเลทรายมาเหนื่อยๆ บ้าง ไม่ต้องห่วง ปากับมาเห็นลูกสาวทำงานหนักมาเป็นเดือนก็เลยสงสาร โอนพ็อกเก็ตมันนี่มาให้ฉันเพิ่มแล้ว”

“เพราะเธอส่งรูปตอนทำงานกลางแจ้งตากแดดตากลมไปอ้อนน่ะสิ”

ร็อบช่วยเติมให้เพราะรู้จักนิสัยน้องสาวดี ส่วนผมเห็นที่พักก็ชักไม่ค่อยสบายใจ รู้ว่าราคาค่าห้องต่อคืนไม่ใช่ถูกๆ แน่ เลยออกปากอย่างเกรงใจว่า “เดี๋ยวผมช่วยหารค่าห้องกับร็อบดีกว่าครับ”

ร็อบส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอกครับ คีหารแค่ค่าน้ำมันเหมือนเดิมนั่นแหละ ถึงคีไม่มาจอย ผมพักคนเดียวก็ต้องจ่ายค่าห้องเท่านี้อยู่แล้ว”

“งั้นขอผมเลี้ยงดินเนอร์ทุกคนมื้อหนึ่งนะ ที่นี่หรือที่วินดฮุกก็ได้”

ผมยังยืนกราน คนทั้งคณะคงรู้ว่าผมไม่สบายใจ ทุกคนก็เลยยอมตกลง


ห้องพักที่โรงแรมนี้เป็นยูนิตแยกจากกัน เป็นตึกแบบชั้นครึ่ง มีดาดฟ้าเตี้ยๆ เอาไว้ให้ปีนบันไดขึ้นไปยืนชมวิว พวกเราแวะกินอาหารเย็นง่ายๆ ตั้งแต่ก่อนจะถึงที่พัก ตอนนี้ก็เลยแยกทีม เข้าห้องพักของตัวเอง ร็อบดูค่อนข้างเหนื่อยเพราะวันนี้เขาขับรถทั้งวัน มีสลับให้ผมขับแทนบ้างแค่บางช่วง ผมเลยให้เขาใช้ห้องน้ำก่อน ส่วนตัวเองปีนบันไดขึ้นไปชมวิวทะเลทรายสักรอบหนึ่ง

ตอนนี้ทุ่มกว่าเกือบสองทุ่ม ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว น่าเสียดายที่โรงแรมเปิดไฟค่อนข้างสว่างเลยไม่เห็นดาวชัดเหมือนตอนอยู่ฮาร์นาส ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีภูเขาทรายเป็นขอบด้านล่าง พลางนึกถึงใครอีกคนซึ่งอยู่ห่างออกไปคนละภูมิภาคของประเทศ

แมทอยู่คนเดียว ไม่รู้จะลากที่นอนปิกนิกออกมาดูดาวอีกไหมนะ

ผมถอนใจแล้วปีนบันไดกลับลงมาข้างล่าง

...อย่าคิดดีกว่า ตั้งใจแล้วว่าจะพยายามลืมความรู้สึกนั้น อันดับแรกก็ควรจะเลิกคิดถึงให้ได้เสียก่อน

..........................................................



เช้าวันต่อมา พวกเราต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น

อุทยานแห่งชาตินามิบ-น็อคลัฟท์ (Namib-Naukluft National Park) นั้นมีพื้นที่กว่า 49,768 ตารางกิโลเมตร เป็นอุทยานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของแอฟริกา ถ้าจะเที่ยวให้ทั่วคงใช้เวลาเป็นเดือน แต่เขตที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ รวมถึงพวกเราเลือกมาคือ ซอสซัสเฟลย์ (Sossusvlei) ซึ่งได้ชื่อว่ามีสันทรายสีแดงที่ใหญ่และสวยที่สุดในโลก

จุดหมายแรกที่พวกเราจะไปกัน คือ Dune45 จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นยอดนิยมของซอสซัสเฟลย์ ที่เรียกว่า Dune45 ก็เพราะมันเป็นเนินทรายที่อยู่ห่างจากทางเข้าอุทยานไป 45 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถจากที่พักของพวกเราประมาณ 40-50 นาที แต่อาจจะต้องเสียเวลาเข้าคิวรอด่านหน้าอุทยานเปิดอีก เลยต้องเผื่อเวลากันอีกหน่อย

“ถ้าพักแคมป์ไซด์ข้างในก็ไม่ต้องรีบตื่นแบบนี้หรอก”

ร็อบงึมงำ เลยโดนน้องสาวหงุดหงิดใส่รับอรุณ “เรื่องตื่นเช้าพวกฉันไม่ยั่นอยู่แล้วย่ะ ตอนอยู่ฮาร์นาสก็ไม่ได้ตื่นสายสักวัน ที่เลือกพักโรงแรมเพราะฉันอยาก-พัก-ให้-สบาย! เข้าใจไหม เลิกบ่นได้แล้ว ฉันอุตส่าห์รีบวิ่งไปรับกล่องปิกนิกที่สั่งทางโรงแรมไว้มาให้ จะกินไหม อาหารเช้าเนี่ย”

“กินครับ กิน” ร็อบรีบรับคำ

พวกเราที่เหลือในรถมองฉากน้องสาวข่มพี่ชายแล้วก็หัวเราะกันครืน

เนื่องจากเป็นช่วงฤดูแล้ง พระอาทิตย์ขึ้นช้ากว่าฤดูอื่น ตอนที่พวกเราไปถึงตีนเนินของ Dune 45 แสงแรกของวันจึงเพิ่งจับปลายขอบฟ้า แสงแดดอุ่นสีทองทาบทับเนินทรายสูงตรงหน้า ผมหยิบเป้เดย์แพ็คขึ้นสะพายหลังแล้วก้าวตามพวกลิซ่าขึ้นไปบนเนิน

ทะเลทรายนามิบอยู่ใกล้กับมหาสมุทรแอทแลนติก อิทธิพลจากทะเลทำให้ลมค่อนข้างแรง พอลมแรงก็พัดทรายมาปะทะตัวพวกเราเป็นระยะ ทั้งกินแรงเดินทั้งแสบหน้าไปหมด ทำเอาเนินเตี้ยๆ ความสูงแค่ 170 เมตรที่เห็นจากด้านล่างดูสูงทะมึนขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่ตอนปืนขึ้นไป

ผมหยิบแว่นกันแดดจากกระเป๋าเป้มาสวม พอกันไม่ให้ทรายเข้าตาได้บ้าง อดนึกขอบคุณคนที่เตือนให้หยิบแว่นกันแดดกับเลือกรองเท้าผ้าใบที่กระชับข้อเท้ามาใส่ไม่ได้ ถ้าขืนใส่รองเท้าที่ผมเลือกตอนแรกมีหวังรองเท้าหลุดหายไปตั้งแต่เดินได้ไม่ถึงครึ่งเนิน รอบคอบสมกับเป็นแมทจริงๆ

นั่นไง...คิดถึงอีกแล้ว ผมถอนใจพลางนึกบ่นตัวเอง

“คี หันมาหน่อยครับ เฮ้ ลิซ่า เธอด้วย ยิ้มกว้างๆ สดใสเลยนะ Smile! ”

เสียงร็อบตะโกนมาจากทางด้านหลัง ผมกับคุณลิซ่าหันกลับไป เห็นเขากำลังยกกล้องเล็งมาที่พวกเรา เลยได้แต่พยายามฉีกยิ้ม แต่ปรากฏว่าพอยิ้มยิงฟัน ลมก็พัดทรายเข้าปากไปเต็มๆ “แคกๆ แหวะ” ผมสำลักแล้วก้มหน้าลง พยายามจะถ่มทรายออก ได้ยินเสียงคุณลิซ่าโวยพี่ชายตัวเองลั่น

“ไอ้พี่งี่เง่า สั่งให้ยิ้มทำไมยะ ทรายเข้าปากหมดแล้ว”


พอเดินไปถึงจุดที่สูงที่สุดบนเนินผมก็ยอมแพ้ นั่งลงพักตรงนั้นแล้วปล่อยให้คนอื่นๆ เดินแซงไป

พวกสามสาว ทั้งคุณลิซ่า เจน และคลอเดียแกร่งกว่าผม พวกเธอลุยไปได้อีกตั้งไกล แถมยังบอกให้ร็อบที่เดินตามไปคอยถ่ายรูปให้ด้วย ส่วนผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นเอาไว้ กะว่ากลับโรงแรมแล้วจะโพสลงเฟสบุ๊ค ไหนๆ ก็พี่เมธก็รู้แล้วว่าผมอยู่ไหน ผมไม่ต้องปิดเรื่องที่มานามิเบีย ขออวดโซเชียลเสียหน่อยก็แล้วกัน

พอลงจากเนินแล้วพวกเราก็เอาน้ำที่เตรียมไว้มาล้างมือล้างหน้าเสียหน่อย กินอาหารเช้าง่ายๆ กันในรถ ก่อนจะขับต่อไปยัง Deadvlei แอ่งโคลนแห้งซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่ต้นคาเมลธอร์นที่ยืนต้นตายเหลือแต่ซาก ตัดกับพื้นสีขาว

ตรงนี้รถธรรมดาเข้าไปไม่ได้ต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อ เพราะเป็นพื้นทรายทั้งหมด ถึงรถของร็อบจะเป็นระบบ 4x4 แต่เขาไม่แน่ใจว่าจะขับรถไปบนทรายนุ่มๆ ได้ตลอดทาง ถ้าติดหลุมขึ้นมาจะลำบาก พวกเราเลยเลือกจ่ายเงินนั่งชัตเตอร์บัสของอุทยานเข้าไปแล้วเดินต่อ

Deadvlei เป็นแอ่งน้ำที่เกิดในสมัยโบราณที่ยังมีแม่น้ำไหลผ่านบริเวณนี้ ทำให้ต้นไม้อย่างต้นคาเมลธอร์นสามารถเจริญเติบโตได้ ต่อมาพอสภาพภูมิอากาศเปลี่ยน เกิดเนินทรายล้อมรอบแอ่ง ตัดทางเดินของแม่น้ำ น้ำในแอ่งก็ค่อยๆ เหือดแห้ง ต้นคาเมลธอร์นจึงยืนต้นตายหมด แต่ด้วยสภาพอากาศที่แห้งจัด ซากของต้นไม้เหล่านี้จึงคงสภาพอยู่ไม่ย่อยสลายมากกว่า 900 ปีแล้ว

ท้องฟ้าสีฟ้าสด เนินทรายสีแดง พื้นสีขาว กับซากต้นไม้สีดำ สีสันที่ตัดกันสุดๆ ทำให้เกิดภาพเหนือจริงเหมือนอยู่ในโลกแฟนตาซี ดึงดูดให้ตากล้องและคนที่รักการถ่ายภาพ พากันดั้นด้นมาเก็บภาพที่นี่

ร็อบเองก็กระตือรือร้นมาก ขณะที่คนอื่นเดินลากขาเพราะตอนสายอากาศเริ่มร้อน แถมระยะทางก็ไกลเอาเรื่อง พ่อหนุ่มผมบลอนด์กลับเดินดุ่มๆ นำไปแถมหันมาเรียกพวกเราเป็นระยะ แต่พอไปถึงทุกคนก็หายเหนื่อย สวยคุ้มกับที่เดินลุยทรายตากแดดมาเป็นกิโลจริงๆ



ใกล้เที่ยง พวกเราขับรถกลับไปกินอาหารที่โรงแรมและหยุดพัก ช่วงบ่ายอากาศร้อนเกินกว่าจะเดินเที่ยวในทะเลทรายได้ ผมถือโอกาสใช้ไวไฟที่โรงแรมโพสรูปลงเฟสบุ๊คแล้วก็นอนพักเอาแรงหน่อยหนึ่ง พอบ่ายแก่ แสงแดดเริ่มอ่อนลง เราจึงค่อยออกไป Sesriem Canyon หุบเขาลึกที่เกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำเมื่อ 2 ล้านปีก่อน แล้วกลับไปชมวิวพระอาทิตย์ตกที่ Dune45 อีกครั้ง

ไม่รู้เพราะได้นอนกลางวันมาตื่นหนึ่งหรือเริ่มชินกันการเดินย่ำพื้นทราย ผมเลยปีนขึ้นเนินคล่องกว่าเมื่อเช้า คราวนี้ถึงกับเดินนำคนที่เหลือในกลุ่มมาตั้งไกล พอไปถึงก็ทรุดนั่งลงชมวิวรอคนอื่น

ผมนั่งกอดเข่าพลางท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากสีฟ้าสดเป็นสีส้มอมชมพูอยู่เงียบๆ นึกแปลกใจที่ทั้งที่เป็นสถานที่เดียวกัน แต่บรรยากาศตอนพระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ใกล้ตกกลับให้อารมณ์แตกต่างกันคนละแบบ ทิวทัศน์ตอนพระอาทิตย์ขึ้นนั้นทำให้จิตใจสงบ แต่ท้องฟ้าเดียวกันตอนพระอาทิตย์ตกกลับทำให้รู้สึก...เหงานิดหน่อย ไม่รู้เป็นเพราะสภาพรอบด้านหรือเพราะใจของผมเอง

ใครอีกคนเดินมาทรุดนั่งลงข้างๆ ผมหันกลับไปแล้วก็เห็นว่าเป็นร็อบ

“คนอื่นละครับ” ผมถาม

ร็อบชี้ไปที่ด้านล่างเนิน ห่างออกไปสัก 20 เมตร ผมมองตามลงไป เห็นพวกคุณลิซ่านั่งปักหลักกันอยู่ “พวกสาวๆ ยอมแพ้แล้วครับ บอกว่าจะไม่ลุกขึ้นมาเดินอีกแม้แต่ก้าวเดียว เห็นว่าเมื่อตอนบ่ายไม่ยอมนอนพัก มัวแต่แชทคุยกับเพื่อนที่อเมริกาเพลินไปหน่อย ตอนนี้เลยแบตหมด” หนุ่มผมบลอนด์บ่นพลางส่ายหน้าอ่อนใจ

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ร็อบมองหน้าผมแล้วก็ยิ้ม เปรยว่า

“ดีจังที่คีมาเที่ยวด้วย ค่อยรู้สึกว่าร่าเริงขึ้นมาหน่อย ไม่ดูเศร้าเหมือนเมื่อ 2-3 วันก่อน ถึงจะมีแอบถอนใจบ้างก็เถอะ”

ผมชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเสหลบตาเขา “ร็อบเห็นผมแอบถอนใจด้วยเหรอครับ”

“เห็นสิ ก็ผมมองคีอยู่ตลอด ตั้งแต่ตอนอยู่ฮาร์นาสแล้ว...”

ประโยคนั้นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปสบตาคนพูดอย่างแปลกใจ ร็อบยังคงยิ้มกว้างสดใส ตอนที่เอ่ยออกมาว่า

“ผมว่า ผมชอบคีละ”

...........................TBC..............................


แฮ่ม! ตอนนี้คุณสิงโตบทน้อยมาก แต่ยังไม่เปลี่ยนพระเอกนะคะ เชื่อว่าทีมจากัวร์เตรียมโบกธงกันแน่เลย >_<

ตอนนี้มีกลิ่นสารคดีท่องเที่ยวอยู่ค่อนข้างมาก เพราะอยากให้เห็นภาพทะเลทรายนามิบ ที่อยู่คนละภูมิภาคกับฮาร์นาสค่ะ เลยใส่รายละเอียดเยอะหน่อย ถือว่าตามน้องคีไปเที่ยวเคลียร์สมองก่อน ตอนหน้ามาวุ่นๆ เรื่องหัวใจกันต่อนะคะ อย่างน้อยก็ต้องลุ้นละว่าน้องเหมียวจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับการสารภาพรักสายฟ้าแลบ

แอบแปะภาพ Deadvlei ที่คณะของน้องคีดั้นด้นไปจนถีงค่ะ

เป็นวิวแบบที่หาไม่ได้ที่อื่นในโลกจริงๆ มิน่า ร็อบถึงกระตือรือร้นอยากไปมากๆ



cr. pix by kuloser pixabay.com

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามด้วยค่ะ หากท่านผู้อ่านอ่านแล้วรู้สึกอย่างไร คอมเมนท์ได้ท้ายตอน หรือในทวิตเตอร์ #คุณสิงโตที่รัก ก็ได้ค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยค่า /โค้ง

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
โอ๊ยยย ร๊อบคะแนนนำไปละมั่ง

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
คุณสิงโตไม่ทันละ

 :L2: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เมื่อไหร่คุณสิงโตจะทำแต้มบ้างค่ะ

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
โอ๊ะโอ เสือจากัวร์จะเริ่มออกตัวแล้วหรือเปล่านะ
พี่สิงโตจะมามัวใจเย็นไม่ได้แล้วนะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
คุณสิงโตแมทต้องสู้นะครับ มัดใจน้องคีให้ได้

ออฟไลน์ jaibang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เป็นนิยายที่ดีมากๆเลย อ่านแล้วอิน อยากไปแอฟริกา

ออฟไลน์ naoto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 26


ผมนิ่งอึ้งไปทันทีที่ร็อบพูดจบ ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายรอให้เขาหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า ล้อเล่นน่า แต่ร็อบกลับจ้องตอบผมด้วยสีหน้าจริงจัง สุดท้ายผมจึงเป็นฝ่ายก้มหน้าละสายตาก่อน ก้มหน้าลงอึกอักบอกว่า

“ขอโทษนะครับ ผม...”

ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี ได้ยินเสียงร็อบถอนใจออกมาเบาๆ

“เฮ้อ! คีเล่นชิงขอโทษตั้งแต่ประโยคแรกแบบนี้ ผมหมดสิทธิ์แน่ๆ เลยสินะครับ”

ผมเงยหน้าขึ้นมองคนพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่ร็อบไม่ได้มีท่าทางหงุดหงิดหรือผิดหวังอย่างที่ผมหวั่น ใบหน้าหล่อเหลายังคงดูสบายๆ เหมือนเดิม เพียงแต่เพิ่มแววตาอ่อนใจเข้ามาเท่านั้น “อย่างน้อยถ้าคีทำท่าตกใจสักหน่อย ถามว่า จริงเหรอครับ? ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงชอบผมละ? ผมยังพอมีหวังบ้างสัก 2-3 นาที นี่ขึ้นประโยคแรกมาก็รู้เลยว่าจะเซย์โน ตัดทางกันสุดๆ”

เขาออกปากบ่นเหมือนงอน ส่วนผมก็ได้แต่ฝืนยิ้มให้คำพูดติดตลกปนน้อยใจนั้น

“ขอโทษจริงๆ ครับ ผมไม่รู้เลยว่าร็อบคิดกับผมแบบนี้ ถ้ารู้คง...”

“ถ้ารู้ว่าผมคิดยังไงกับคี คีก็คงไม่มาเที่ยวนามิบกับพวกเรา เพราะกลัวจะกลายเป็นให้ความหวัง แล้วทำให้ผมรู้สึกแย่ทีหลังสินะครับ”

ร็อบช่วยต่อให้ พอเห็นผมกะพริบตาปริบเพราะแปลกใจที่เขาเดาความคิดผมได้ตรงเป๊ะ เขาก็หัวเราะ “คีน่ะดูออกง่ายจะตาย ชอบคิดมาก แล้วก็ห่วงความรู้สึกคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ ผมรู้ตั้งแต่ตอนที่คีข้อเท้าพลิกแล้วไม่ยอมบอกโซเฟียกับมาเรียนน่าแล้วละ จะว่าไป...นี่ก็เป็นจุดที่ทำให้ผมเริ่มสนใจคีละนะ”

“ตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอครับ”

ผมนึกสงสัยขึ้นมาบ้าง “ร็อบรู้ด้วยเหรอครับว่า ผมเป็นเกย์ ผมนึกว่ามีแค่โซเฟียกับมาเรียนน่าที่มองออก”

“อืม ก็ไม่เชิงว่ามองออกหรอกครับ แต่ผมไม่ถือเรื่องนี้อยู่แล้ว ถ้าถูกใจ ไม่ว่าเป็นเพศไหนก็จีบได้ทั้งนั้นแหละ ปกติผมไม่ค่อยมองผู้ชาย ชอบควงสาวๆ มากกว่า แต่คีน่ารัก สดใส แล้วก็ซื่อๆ ดี อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ผมก็เลยสนใจคีขึ้นมาน่ะ”

ร็อบตอบกลับก่อนจะยักไหล่ “น่าเสียดายที่ตอนอยู่ฮาร์นาส เรามีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยไปหน่อย แถมดูท่าทางผมจะมาช้าไปก้าวหนึ่งด้วย แค่คิดจะเริ่มจีบ คีก็ยกหัวใจให้คนอื่นไปเสียแล้ว”

ชายหนุ่มผมบลอนด์ว่าพลางถอนใจ ขณะที่ผมนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง กลืนน้ำลายอึกใหญ่ แล้วถามว่า

“แม้แต่เรื่องนั้น...คุณก็มองออกหรือครับ”

ร็อบหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของผม “ผมว่า ใครๆ ก็มองออกนะ ทั้งยัยลิซ่า แล้วก็พวกโซเฟียกับมาเรียนน่าด้วย พวกสาวๆ น่ะเซนส์ดีกว่าหนุ่มๆ อย่างพวกเราอีก เพียงแต่พวกเธอจะพูดออกมารึเปล่าก็เท่านั้นละ”

เขายกขามากอดเข่าแล้วเอียงคอมองผม ถามต่อเสียงอ่อนโยน “พวกเราทุกคนมองออกว่าคีรู้สึกยังไง แต่ที่ไม่เข้าใจคือ ทำไมช่วงหลังอยู่ๆ คีถึงได้ทำท่าทางแปลกไปต่างหาก คีอยากเล่าให้ผมฟังไหม เราขับรถข้ามประเทศมาตั้ง 600 กว่ากิโล คนทางโน้นไม่รู้หรอกครับ ผมสัญญาว่าจะเก็บเงียบ”

เขาทำท่าเอามือปิดปาก จนผมต้องหัวเราะออกมา การที่ร็อบสารภาพความรู้สึกของเขา และถามผมอย่างตรงไปตรงมาทำให้ผมรู้สึกโล่งใจจนอยากระบายสิ่งที่ติดค้างอยู่ในหัวใจออกมาบ้าง

“ผมกลัวน่ะครับ...”

ผมนิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจ แล้วจึงเอ่ยออกมา

“ผมมีพี่สาวอยู่คนหนึ่ง เธอเป็นคนสวย เก่ง สอบได้ที่หนึ่งตลอด เป็นนักกีฬาเทนนิส เล่นเปียโนจนได้ขึ้นโชว์อยู่บ่อยๆ แล้วก็เป็นคนร่าเริงสนุกสนาน ขณะที่ผมเป็นเด็กขี้อายคอยหลบอยู่หลังพ่อกับแม่ ผมรู้ตัวดีว่า คงไม่มีทางเก่งได้เท่าเธอ ถ้าเราสองคนเป็นตัวเลือก 2 ช้อยส์ ทุกคนก็ต้องเลือกเจ้เคธ”

ร็อบนั่งฟังเงียบๆ โดยไม่ได้เอ่ยขัด แม้สิ่งที่ผมพูดออกมาจะดูไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่เราคุยกันก่อนหน้าสักนิด

“ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่ได้โตมาแบบมีปมด้อยอะไรนะ เจ้เคธเป็นพี่สาวที่ใจดีที่สุดในโลก เธอคอยหันมามองหาผมเสมอ ถ้าเห็นว่าผมยืนหงอยอยู่คนเดียว เจ้เคธจะละจากเพื่อน ละจากทุกสิ่งที่ทำ เดินมาจูงมือผมไปเล่นด้วยทันที แล้วเธอก็คอยห่วง คอยดูแลผมอย่างนี้มาตลอด”

ผมยิ้มบางเมื่อนึกถึงความทรงจำตอนเด็ก ก่อนจะถอนใจแล้วเบือนหน้าไปมองดวงอาทิตย์ที่กำลังคล้อยต่ำ

“เพราะฉะนั้น ตอนนี้ผมจึงกลัวมาก...กลัวว่าตัวเองจะเป็นสาเหตุทำให้พี่สาวที่รักผมมากสุดต้องเสียใจ กลัวจะทำให้คนที่คอยเทคแคร์ผมอย่างดีอย่างแมทต้องอึดอัด”

ผมยังจำความเจ็บปวดตอนที่ถูกพี่เมธนอกใจได้ ผมไม่อยากให้เจ้เคธรู้สึกแบบเดียวกัน และมันจะยิ่งแย่กว่ามาก ถ้าต้นเหตุของเรื่องมาจากผมซึ่งเป็นน้องชาย ผมควรหยุดความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นนี้เสียก่อนที่คนสองคนที่ผมแคร์มากที่สุดจะรับรู้

ร็อบนั่งฟังผมเล่าจนจบ แล้วก็เปรยว่า

“พอเข้าใจแล้วครับว่าทำไมคีถึงไม่สบายใจ ดูท่าทางเรื่องนี้จะซับซ้อนกว่าที่ผมคิดไว้นิดหน่อยแฮะ”

เขาว่าแล้วยื่นมือมาลูบศีรษะผม เอ่ยชมเหมือนผมเป็นเด็กเล็ก “คีเป็นเด็กดีนะ แต่เคสนี้ ตามความเห็นผม ผมว่า คีคิดเผื่อคนอื่นมากไปหน่อย ถ้าให้เดา คีคงไม่เคยบอกความรู้สึกของตัวเองกับแมท แล้วก็ไม่เคยถามเขาตรงๆ ด้วยละสิ”

พอผมพยักหน้าหงึกๆ อีกฝ่ายก็ส่ายหน้า

“กะแล้วเชียว แอบคิดเอง กลัวเอง แล้วก็ถอยหนีเองสินะครับ”

“ครับ” ผมอุบอิบตอบกลับเมื่อถูกจี้ใจดำ

ร็อบถอนใจใหญ่ “เฮ้อ คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าตัวเอง บางทีก็ไม่ดีนะครับ คีคิดแทนคนอื่นโดยอิงจากมุมมองของตัวเองอย่างเดียว ถ้าอีกฝ่ายเขาไม่ได้คิดแบบนั้น หรือคีมองผิดเข้าใจผิด คีจะเสียโอกาสดีๆ ในชีวิตไปแบบน่าเสียดายเลยนะ”

เขามองผมแล้วสรุปเสียงจริงจัง

“ผมว่าลองไปถามแมทตรงๆ เลยดีกว่าว่า เขาคิดยังไง”

ผมส่ายหน้าดิก รีบค้านทันที “ไม่เอาครับ จะให้ผมบอกแมทได้ยังไง ผมต้องอยู่ร่วมห้องกับเขาอีกตั้งหลายวัน ถ้าพูดออกไปแล้วขืนมองหน้ากันไม่ติด แมทคงลำบากใจแย่”

“คิดแทนคนอื่นอีกแล้ว กลัวอะไรครับ คีอยู่ฮาร์นาสอีกแค่อาทิตย์กว่าเองนะครับ” ร็อบดุเอาเบาๆ “ถ้าเป็นยัยลิซ่าก็คงบอกว่า ลองพุ่งชนเข้าไปสักที ไม่เวิร์คก็เลี้ยวกลับ ถ้าอึดอัดขนาดอยู่ร่วมห้องกันไม่ได้ ก็หนีมานอนหมู่บ้านอาสาเสียก็สิ้นเรื่อง ห้องว่างไม่มีก็ขอไปอาศัยนอนกับโซเฟียมาเรียนน่า สองสาวจะดีใจที่คีมาค้างด้วยเสียอีก เห็นไหมครับ ทางออกมีตั้งเยอะแยะ เพียงแต่คีจะกล้าเสี่ยงหรือเปล่าเท่านั้นเอง”

“ร็อบนี่สมกับเป็นพี่ชายคุณลิซ่าจริงๆ ด้วย”

ผมออกปากบ่นเขาบ้าง เรื่องที่ทำให้ผมคิดมากจนนอนไม่หลับมาตั้งหลายวัน เขากลับพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายอย่างนั้นละ แต่คนถูกกลับบ่นหัวเราะ ยอมรับเสียอย่างนั้น

“สงสัยจะเป็นนิสัยตามสายเลือดน่ะครับ คีลองกลับไปคิดดูนะ”

เขาบอกแล้วยกมือขยี้ผมของผมอีกที ส่วนผมยิ้มให้ แม้จะยังไม่ตัดสินใจว่าจะทำตามที่เขาแนะนำดีหรือเปล่า แต่อย่างน้อยการได้ระบายออกมาก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งขึ้นจริงๆ

“ขอบคุณนะครับ ร็อบ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ตอบรับความรู้สึกของคุณไม่ได้”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ รอบนี้ผมยังตกหลุมรักไม่ลึกเท่าไหร่ พอจะปืนขึ้นมาได้โดยไม่เจ็บหัวใจมาก ส่วนคำขอบคุณ ขอเปลี่ยนเป็นยิ้มสดใสของคี ตลอดทริปที่เหลือของพวกเราดีกว่า โอเคไหมครับ”

“โอเคครับ” ผมพยักหน้ารับคำแล้วยิ้มกว้างขึ้นอีก

จังหวะนั้นพวกเราก็ได้ยินเสียงคุณลิซ่าร้องเรียกมาจากด้านล่างเนิน

“เฮ้! สองคนนั้นน่ะ จะคุยกันอีกนานไหม ดวงอาทิตย์ตกแล้ว ไม่รีบกลับเดี๋ยวก็ไม่ทันด่านปิดหรอก”


“บอกแล้วว่าให้พักแคมป์ไซต์ของอุทยาน จะได้ไม่ต้องกลัวปิดด่าน ก็ไม่เชื่อนี่นา”

ร็อบงึมงำแต่ไม่กล้าค้าน ผมหัวเราะท่าทางหงอน้องสาวของเขาอีกครั้ง พวกเราขยับลุกขึ้น ปัดทรายออกจากตัวแล้ววิ่งลงเนินไปหาสามสาวที่รอยืนอยู่

.............................................................


วันต่อมา ตอนเช้าพวกเราออกไปเที่ยวในอุทยานกันอีกรอบเพื่อเก็บบรรยากาศ แล้วจึงค่อยกลับมาเก็บกระเป๋า เช็กเอาท์ออกจากโรงแรมกลับวินดฮุก

ระหว่างทางเราแวะกินอาหารกลางวันที่เมืองโซลิแตร์ Solitaire ซึ่งอยู่บนทางหลวงหมายเลข c14 ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ ริมขอบทะเลทราย มีแค่ร้านอาหาร คาเฟ่ ปั๊มน้ำมัน แล้วก็ที่พักประเภทลอดจ์กับแคมป์ไซต์ แต่เป็นจุดแวะพักขึ้นชื่อ เพราะอยู่ระหว่างเส้นทางจากวินดฮุกไปซอสซัสเฟลย์ และเส้นทางที่จะไปสวาคอปมุน เมืองท่องเที่ยวริมทะเลที่ร็อบเคยไปมาแล้ว

ร็อบเล่าว่า ตอนข้ามจากสวาคอปมุนไปฮาร์นาส เขาแวะพักค้างคืนที่นี่คืนหนึ่ง แล้วบอกว่า ทุกคนต้องชิมพายแอปเปิ้ลของร้านเบเกอรี่ที่โซลิแตร์ให้ได้ “เป็นเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ครับ ในอินเทอร์เน็ตมีแต่คนบอกว่าเป็น Best Apple Pie Ever เลยละ” หนุ่มผมบลอนด์โฆษณาซ้ำ พวกเราที่เหลือเลยลองสั่งมาชิมกันคนละชิ้น แล้วก็อร่อยจริงๆ เสียด้วย คุณลิซ่าที่ตอนแรกบ่นว่าไม่อยากกินของหวานเยอะเพราะกลัวอ้วน ยังสั่งชิ้นที่สองมาแบ่งกับผมคนละครึ่ง

หลังจากนั้นพวกเราก็ตีรถตรงไปวินดฮุก ถึงตัวเมืองในช่วงบ่ายแก่ๆ เช็กอินในโรงแรมที่คุณลิซ่าจองไว้ แยกเข้าห้อง นอนพักกันตื่นหนึ่งแล้วค่อยออกไปกินอาหารเย็น

ผมตั้งใจจะเจ้ามือตามที่บอกทุกคนไว้ตั้งแต่ตอนอยู่นามิบ เลยนั่งค้นอินเทอร์เน็ตหาร้านอาหาร ในเว็บไซต์มีแต่คนแนะนำร้าน Joe’ s Beerhouse ซึ่งร้านสไตล์ซาฟารี มีอาหารแปลกๆ อย่างเนื้อม้าลาย, นกกระจอกเทศ แล้วก็จระเข้ แต่อาหารทั่วไปก็อร่อยมาก แถมให้เยอะด้วย ผมจึงชวนทุกคนไปกินอาหารเย็นที่นี่

ร้านนี้เป็นที่นิยมจริงๆ ค่อนข้างแน่นจนเกือบจะไม่มีโต๊ะว่าง โชคดีที่ขอจอยโต๊ะกับนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กอีกกลุ่ม ได้กินอาหารแล้วก็นั่งฟังเพลงสไตล์คันที่สลับกับคุยกันไปพอเพลินๆ อยู่ในทุ่งหญ้าต่อด้วยทะเลทรายมาครึ่งค่อนเดือน พอกลับมาชมแสงสีในเมืองแล้วก็รู้สึกคึกคักขึ้นมาเหมือนกัน

พออิ่มแล้วคุณลิซ่านึกครึ้มขึ้นมา ชวนพวกเราไปหาที่แฮงค์เอาท์กันต่อ

“ถือว่าเลี้ยงส่งคีด้วยไง พรุ่งนี้แมทจะมารับกลับฮาร์นาสแล้ว”

ผมจะออกปากบอกว่าไม่ต้องเลี้ยงส่งก็ได้ แต่เห็นท่าทางกระตือรือร้นของคุณลิซ่าแล้วน่าจะอยากเที่ยวเองมากกว่า จึงเออออตามใจเธอ คุณลิซ่าไปถามพนักงานในร้านอาหารว่ามีไนต์คลับไหนน่าสน คนท้องที่แนะนำมาแห่งหนึ่ง เป็นผับกึ่งคลับเลาจน์ เปิดตั้งแต่ห้าทุ่มจนถึงตีสี่ มีวงดนตรี ดีเจเปิดแผ่นแล้วก็ฟลอร์เต้นรำ

คุณลิซ่าตื่นเต้นจนออกนอกหน้า ชวนเพื่อนๆ กลับไปเปลี่ยนชุดที่โรงแรมก่อน พอลงมาเจอกันที่ล็อบบี้อีกครั้งตอนสี่ทุ่มครึ่ง ผมก็แทบอ้าปากค้าง สามสาวสลัดชุดเที่ยวทะเลทรายสมบุกสมบัน มาใส่สกินนี่ยีนพอดีตัวกับเสื้อแขนกุดสุดเซ็กซี่ แต่งหน้าแบบจัดเต็มอีกต่างหาก

“นี่เอาชุดแบบนี้มาด้วยเหรอครับเนี่ย...”

ผมพึมพำกับร็อบ ส่วนพี่ชายของหนึ่งในสามสาวกลอกตา หันมากระซิบเมาท์ว่า

“พวกสาวๆ เขามีชุดปาร์ตี้ติดตัวไปไหนต่อไหนตลอดละครับ พร้อมเที่ยวกลางคืนได้ทั่วโลก ยัยลิซ่าเนี่ยตัวดีเลย นึกว่าไปเลี้ยงสัตว์อยู่ในทุ่งหญ้ามาตั้งเกือบเดือนจะสงบเสงี่ยมขึ้นบ้าง พอได้ยินว่ามีฟลอร์เต้นรำเข้าหน่อย ต่อมสาวเปรี้ยวทำงานทันที”



พวกเราไปถึงที่ผับนั้นตอนห้าทุ่มกว่าๆ คนเริ่มทยอยมาเที่ยว ตัวร้านค่อนข้างกว้าง แต่ที่จอดรถด้านนอกน้อยไปหน่อย ผมกับร็อบจอดส่งพวกสาวๆ ที่หน้าร้านแล้วขับเลยไปอีก 2-3 บล็อกเพื่อจอดรถในที่ฝากรถแบบจ่ายเงิน นามิเบียมีสถิติอาชญากรรมไม่สูง แต่ตามเมืองใหญ่ๆ ก็ยังมีคดีลักทรัพย์และทุบรถอยู่ ยิ่งเป็นรถเช่าแบบนี้ ถ้าโดนทุบต้องทำเรื่องเคลมประกันกันยุ่งยาก ไม่ประมาทดีกว่า

พอเข้าไปข้างในกำลังคึกคักพอดี ดีเจบนเวทีเริ่มเปิดแผ่นแล้ว เสียงดนตรีเร้าใจดังกระหึ่ม แสงไฟวูบวาบ ผมเคยเที่ยวกลางคืนบ้าง ส่วนใหญ่จะไปกับเจ้เคธไม่ก็พวกเพื่อนๆ เพราะพี่เมธไม่ชอบเที่ยวกลางคืน

ผมกวาดตามองรอบตัวอย่างสนใจ ไม่คิดว่านามิเบียที่เน้นการเที่ยวเที่ยวแนวธรรมชาติจะมีผับหรูไม่ต่างจากกรุงเทพ แต่เมืองใหญ่ทุกเมืองในโลกก็คงเหมือนกันละมั้ง นักเที่ยวเท่าที่มองดูก็มีหลากหลายเชื้อชาติ ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเหมือนพวกเรา

ผมไม่กินเหล้าเลยอาสาเป็นสารถีขับรถพาทุกคนกลับ บอกให้ร็อบดื่มเหล้าได้ตามสบาย เดี๋ยววันมะรืนพวกเขาก็จะบินกลับอเมริกาไปทำงานแล้ว ควรสนุกกันให้เต็มที่ ร็อบสั่งเหล้าแล้วมายืนจิบอยู่ข้างผมที่เคาน์เตอร์บาร์ ดูพวกคุณลิซ่าออกไปเต้นรำ

“ยัยลิซ่าปล่อยผีซะแล้ว”

ร็อบบ่นน้องสาวที่เป็นดาวเด่นอยู่กลางฟลอร์ มีหนุ่มๆ มาขอเต้นด้วยไม่ขาด สาวสวยพยักหน้าตกลง แต่ไม่เข้าใกล้ผู้ชายคนไหนมากเกินไป ร็อบเห็นทุกคนสนุกกันดี ก็หันไปคุยกับนักเที่ยวคนอื่นที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บ้าง มีผมแต่ที่คอยมองพวกสาวๆ บนฟลอร์อยู่

พักหนึ่งผมจึงสังเกตเห็นว่า มีผู้ชายคนหนึ่งพยายามจะเข้าไปนัวเนียกับคุณลิซ่า และสาวสวยผมบลอนด์ก็พยายามดันตัวเขาออกไปอย่างสุภาพ แม้สีหน้าจะเริ่มออกอาการหงุดหงิด ผมรีบสะกิดพี่ชายของเธอทันที

“ร็อบครับ ผมว่าคุณลิซ่ามีปัญหา”

ร็อบหันไปมองแล้วขมวดคิ้ว พอเห็นน้องสาวถูกผู้ชายตื๊อ เขาก็รีบลุกเดินเข้าไปช่วย ดึงผู้ชายคนนั้นออกมาจากจากคุณลิซ่าแล้วบอกด้วยสีหน้าดุดัน “เฮ้! คุณ เธอไม่โอเค เห็นรึเปล่า”

ชายหนุ่มซึ่งน่าจะเป็นนักเที่ยวเที่ยวลาตินอเมริกันหันมา ตาฉ่ำเยิ้มนิดๆ บ่งบอกว่าคงมีแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดพอสมควร ถามเสียงอ้อแอ้ “เสือกอะไรด้วยวะ แฟนมึงเหรอ”

“ไม่ใช่แฟน นั่นน้องสาว” ร็อบตอบเสียงเย็น

อีกฝ่ายเดาะลิ้น เอ่ยเสียงระคายหู “อ่อ...คุณพี่ชายหวงน้องสาว โตจนเต้นยั่วผู้ชายได้ทั้งฟลอร์แบบนี้คงไม่ต้องห่วงแล้วละมั้ง ฉันแค่ขอเต้นด้วยเพลงเดียวทำเป็นเล่นตัว หรือต้องจ่ายเงิน”

“เอ๊ะ ไอ้เวรนี่! ”

คุณลิซ่าอุทาน เตรียมถลันเข้าไปจัดการกับผู้ชายคนนั้น แต่ร็อบชิงเอากำปั้นตั๊นหน้าคนเมาปากหมาจนร่วงลงไปกองกับพื้นเสียก่อน พออีกฝ่ายลุกขึ้นมาได้ก็ทำท่าจะเข้ามาสวน คนทั้งฟลอร์แตกฮือ

การ์ดรีบเข้ามาเคลียร์ทันที โชคดีที่มีพยานเห็นว่าฝั่งนั้นมาหาเรื่องลวนลามคุณลิซ่าก่อน ผู้ชายคนนั้นจึงถูกลากออกไปนอกร้านทั้งที่ยังก่นด่าเสียงดัง พอจบเรื่อง ทุกอย่างก็กลับสู่สภาพปกติ แต่คุณลิซ่าชวนพวกเราเดินลงจากฟลอร์ แล้วหันมาบอกหน้าบึ้งตึง

“กลับเถอะ หมดสนุกแล้ว เพราะไอ้บ้านั่นคนเดียว” หญิงสาวบ่นเสียงเข่นเขี้ยว

พวกเราทุกคนเห็นด้วยกับเธอ ผมกับร็อบให้พวกสาวๆ ออกมายืนรอหน้าร้าน อย่างน้อยตรงนี้ก็สว่างแล้วก็มีการ์ดยืนคุมอยู่ด้วย แล้วเราสองคนก็เดินกลับไปเอารถที่ลานจอด

ตอนนี้ดึกมากแล้ว ผมเองก็ชักเพลีย ส่วนร็อบดื่มไปพอสมควรคงชักมึนเหมือนกัน พวกเราเลยชะลอฝีเท้าเดินช้าลงนิดหนึ่ง เขาเงยหน้าสูดอากาศเย็นฉ่ำยามดึกเพื่อช่วยให้สร่างเมา แล้วก็เปรยว่า “พรุ่งนี้แมทจะมารับคีแล้ว กลับไปก็อย่าลืมลองวิธีที่ผมบอกนะครับ”

ผมแกล้งทำหน้าบึ้งใส่ “ร็อบย้ำจังเลย นี่ตกลงเป็นศัตรูหัวใจ หรือเป็นกองเชียร์ให้แมทกันแน่เนี่ย”

ชายหนุ่มผมบลอนด์หัวเราะแล้วตอบกลับ

“ผมเป็นกองเชียร์คีต่างหากละครับ อยากเห็นคีกลับมาร่าเริงเหมือนตอนแรกที่อยู่ฮาร์นาสไง”

ผมหัวเราะออกมาบ้าง กำลังจะอ้าปากตอบเขา แต่อยู่ๆ ก็มีใครบางคนโผล่ออกมาจากเงามืดข้างกำแพงมุมตึก เจ้าตัวฟาดอะไรบางอย่างใส่ศีรษะชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้างผมอย่างแรง

ผลัวะ!

คนถูกฟาดล้มหน้าคว่ำลงไปทันที ผมรีบคว้าตัวเขาไว้ อุทานออกมาเสียงดังลั่น “ร็อบ! ”



...........................TBC..............................



ตอนนี้ร็อบมีบทเด่นอย่างจริงจังค่ะ รู้สึกเหมือนร็อบเป็นตัวแทนของคนเขียนและคนอ่านที่จะดุน้องคีจอมคิดมาก คุณจากัวร์เป็นตัวละครที่หลุดไปจากอิมเมจแรกที่เราวางไว้มากที่สุดแล้ว ไว้วันหลังจะเมาท์ Fact เรื่องร็อบลงในเพจเหมือนตอนเมาท์เรื่องคุณสิงโตนะคะ

ทิ้งท้ายจบตอนแบบตื่นเต้น ไว้มาติดตามตอนหน้านะคะว่าร็อบกับน้องคีจะเป็นอะไรรึเปล่า เรื่องนี้เท่าที่วางโครงไว้ น่าจะจบในอีก 3-4 ตอนข้างหน้านี้แล้วค่ะ ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามด้วยนะคะ

หากท่านผู้อ่านอ่านแล้วรู้สึกอย่างไร คอมเมนท์ได้ท้ายตอน หรือในทวิตเตอร์ #คุณสิงโตที่รัก ก็ได้ค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยค่า /โค้ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-10-2018 12:41:29 โดย naoto »

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
อ้าว โดนหมาลอบกัดแล้ว

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
อ้าว อีร๊อบจะเป็นไรมากไหมเนี่ยะ อุตสาห์ช่วยพูดให้คีคิดได้แล้วเชียว  :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ร็อบอย่าเป็นอะไรมากนะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
อ้าว หมาลอบกัดนี่หว่าซึ่งหน้าไม่ได้ลอบกัดมันซะเลย ไม่แมนหนี่หว่าไอ้นี่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด