Photo(20)
“ตั้งใจเรียนนะ”
เพ้นท์พยักหน้ารับคำอวยพรกับฝ่ามือใหญ่ที่ยกขึ้นลูบหัว เป็นสถานการณ์ปกติที่ไม่ควรใจเต้นแต่เพราะรู้ว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนี้คนขี้กังวลจึงเก็บอาการไม่อยู่
“กลัวว่ะ”
“มึงแค่ทำตัวปกติ ไม่มีอะไรต้องกลัว”
พยักหน้ารับอีกครั้ง เพ้นท์ได้ฟังคำปลอบใจมาแล้วทั้งคืน แต่ถึงอย่างนั้นความกังวลกลับไม่ได้ลดลงเท่าไร ความกลัวมันแฝงอยู่ในความกล้า กลัวว่าความลนลานของตัวเองจะทำแผนที่วางไว้พังหมด
“แล้วถ้ามันไม่มาล่ะทัพ”
“กูก็แค่รอกลับพร้อมมึงไง”
“อืม”
“ไปได้แล้ว”
“ระวังตัวนะ”
“ครับ”
ได้รับคำตอบเพ้นท์ก็หันหลังเดินเข้าตัวอาคาร ปล่อยทัพให้รอสังเกตการณ์อยู่รอบตึกคณะ ทำตามแผนที่วางกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืน แต่ทุกอย่างจะสำเร็จหรือไม่นั้นไม่ได้อยู่ที่พวกเขาฝ่ายเดียว
ไอ้โรคจิตคนนั้น หวังว่ามันจะปรากฏตัวออกมาตามที่บอกไว้จริงๆ
ตั้งแต่ช่วงบ่ายที่ส่งเพ้นท์เข้าเรียนทัพทำทีเป็นอ่านหนังสืออยู่ใต้โถงอาคารอย่างเฝ้ารอ เขาปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกให้ต่างจากเดิมนิดหน่อย ใส่แว่นและเซ็ตผมขึ้นจนดูคล้ายเด็กเรียน สลัดคราบชายหนุ่มผู้เกรี้ยวกราดในวันนั้นออกไป คิดว่าไอ้โรคจิตนั่นน่าจะไม่ทันสังเกตหรือจำเขาได้
อีกไม่ถึงสิบนาทีจะถึงเวลาเลิกเรียนคนที่รอก็ยังไม่โผล่มา ใกล้ได้เวลายกเลิกภารกิจที่วางไว้เอฟก็ส่งข่าวมาบอกคนที่นั่งรออยู่ข้างล่าง
ไอ้โรคจิตเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
‘ผมเบื่อการรอคอยแล้ว หมดเวลาเล่นสนุกแล้วครับที่รัก รีบออกมาเจอผมนะ คุณ FxxanPxx คนดีของผม’
ทัพกำหมัดแน่น อารมณ์ที่นิ่งมาตลอดทั้งวันเริ่มพุ่งสูง เมื่อทวีตล่าสุดของ MU ไม่ได้มีเพียงข้อความเหมือนทุกที แต่มีรูปแนบมาด้วย
รูปเพ้นท์ในชุดนักศึกษาที่มันแอบถ่ายไว้ เป็นรูปถ่ายครึ่งตัวที่ซูมจนภาพแตก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเห็นหน้าเพ้นท์ชัดอยู่ดี ชัดระดับที่ว่าถ้าเป็นคนรู้จักมองย่อมรู้ว่าคนในรูปคือใคร
กดออกจากทวิตเตอร์กำลังจะตอบกลับไปหาเอฟ จังหวะที่ทัพเงยหน้าขึ้นเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลงโดยรอบอย่างที่ทำมาตลอดทั้งวัน สายตาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายตัวใหญ่ที่เคยเห็นเพียงครั้งเดียวแต่กลับจำได้ขึ้นใจ ในที่สุดก็โผล่หัวออกมาสักที
TTW : มันมาแล้วนะมึง ทำตามแผนเลย
กลายเป็นกระแสฮือฮาในหมู่ผู้ติดตามเมื่อรูปที่คาดว่าน่าจะเป็นตัวจริงของอดีตนายแบบ FxxanPxx ถูกโพสต์ เอฟที่รู้ความเคลื่อนไหวทุกอย่างยังไม่ได้บอกเรื่องนี้เพราะกลัวว่าเพื่อนจะยิ่งกังวล พวกเขายังคงทำตามแผนที่วางกันไว้ ประวิงเวลารออีกสักนิด กระตุ้นให้เหยื่อกระวนกระวายใจเพิ่มอีกสักหน่อยก่อนเริ่มปฏิบัติการ
ทัพยังคอยรายงานสถานการณ์ให้ตลอด ไอ้โรคจิตเองก็ยังวนเวียนอยู่ไม่ห่าง นั่งบ้างเดินบ้าง คอยมองตามกลุ่มนักศึกษาที่ทยอยลงมาจากตึก จนถึงกลุ่มท้ายๆ คนที่มันรอคอยก็ออกมา
เพ้นท์กวาดตามองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวงเมื่อรับรู้ถึงรังสีคุกคาม จากมุมที่เขาอยู่ไม่สามารถมองเห็นไอ้โรคจิตนั่นได้ แต่จากมุมที่ทัพมองนั้นเห็นได้ชัดเจนว่ามันกำลังทำอะไร ใช้สายตาแบบไหนมองเหยื่อของมันอยู่ แน่นอนว่าไม่ใช่สายตาแบบที่เพ้นท์อยากเห็น
สมอลทอร์คที่เสียบหูเหมือนกำลังฟังเพลงเป็นอีกหนึ่งการหลอกล่อให้คิดว่าเหยื่อไม่ทันระวังตัว แต่แท้จริงแล้วนั้นเพ้นท์ใช้มันเพื่อรับฟังสถานการณ์ที่กำลังดำเนินไป จะได้รู้ว่าไอ้โรคจิตนั่นอยู่ตรงไหน กำลังทำอะไรจากการติดตามของทัพ ส่วนเอฟนั้นกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อมัดตัวคนร้ายอยู่
แผนที่คิดขึ้นโดยการหลอกให้เชื่อว่าเพ้นท์อยู่ตัวคนเดียวนั้นพวกเขาไม่ได้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะทำให้ไอ้โรคจิตเชื่อได้แน่ไหน แต่จากการที่มันเดินตามโดยไม่ทันระแวงใดๆ ก็ถือว่าแผนยังใช้การได้อยู่ไม่มากก็น้อย
[มันยังตามอยู่นะ เดินไปเรื่อยๆ อย่าหันกลับมามอง]
เสียงทัพในสายดังบอกเป็นระยะ ถึงจะรู้ความเคลื่อนไหวและเชื่อว่าตัวเองยังปลอดภัยแต่เพ้นท์ก็อดกลัวไม่ได้อยู่ดีเมื่อมีโรคจิตเดินตาม เพราะแท้จริงแล้วพวกเขาไม่รู้เลยว่านอกจากการเปิดโปงตัวจริงของนายแบบ FxxanPxx แล้วมันต้องการอะไรอีกกันแน่ ถึงได้พยายามเข้าหาเขาแบบนี้
[แวะพักเซเว่นก่อนมั้ย] ประโยคคำถามหลุดมาทั้งที่รู้ว่าหากตอบจะเป็นพิรุธ แต่เห็นท่าทางที่ไม่เป็นธรรมชาติแล้วทัพอดสงสารไม่ได้ เพ้นท์ยังกลัวทั้งที่มีผู้คนอยู่รอบตัว
“ได้ใช่มั้ย” ตอบกลับเบาๆ เหมือนกำลังฮัมเพลง เพ้นท์หันมองรอบข้าง ใจอยากจะรู้เหมือนกันว่าไอ้โรคจิตมันอยู่ตรงไหน แต่มันคงไม่โผล่ออกมาให้เหยื่อเห็นตัวง่ายๆ
[จะเข้าก็เข้า หาอะไรกินไปก่อนก็ได้ หยุดทำลอกแลกด้วย ถามจริงตะคริวกินยังเดินเกร็งขนาดนั้น]
ถ้าอยู่ใกล้ๆ เพ้นท์คงยันโครมให้หงายหลัง ในสถานการณ์เคร่งเครียดแบบนี้ยังจะมีอารมณ์มากวนประสาทอีก
“ทัพ กูกลัว”
[กูอยู่ตรงนี้ ไม่ปล่อยให้มันทำอะไรมึงหรอก]
“ถ้ามันเข้าใกล้กูมึงรีบบอกเลยนะ”
[ทราบแล้วครับ]
“งั้นขอแวะเซเว่นแป๊บ”
[ซื้อถุงยางให้ด้วย หมดแล้ว]
“สัดทัพ” เพ้นท์ด่าเบาๆ ผิดกับในใจที่อยากตะโกนให้ดังลั่นซอย ได้ยินเสียงหัวเราะของคนกวนประสาทผ่านสายมาเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้นำเสียงจริงจังพูดต่อ
[กูปกป้องมึงอยู่ ไม่ต้องกลัว]
เพ้นท์ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เลี้ยวเข้าเซเว่นรับอากาศเย็นๆ ให้จิตใจผ่อนคลายลงบ้าง ซึ่งมันช่วยได้มากเมื่อความรู้สึกประหลาดที่เหมือนโดนจับจ้องหายไป
เข้ามาด้านในเพ้นท์ก็เดินเลี้ยวไปยังโซนเครื่องดื่ม ยืนมองน้ำหลากหลายรสขาติในตู้อย่างประวิงเวลาเพราะยังไม่อยากกลับไปเผชิญความจริงนัก ตัดสินใจเลือกอยู่นานกว่าจะเปิดตู้หยิบชารสที่กินเป็นประจำ จากนั้นอ้อมไปยังโซนขนม มองดูแล้วเดินผ่าน จกานั้นวนกลับไปยืนหน้าแผงลูกอกใกล้ๆ กับแคชเชียร์ จนทัพทักมา
[เพ้นท์]
“ขออีกแป๊บ”
[คือกูจะบอกว่ามันไม่ได้อยู่รอนะ แต่มันเดินไปที่หน้าหอแล้ว]
“จริงดิ”
[อืม กูว่ามันน่าจะรู้มานานแล้วด้วย โมโหว่ะ ทำไมไม่เคยสังเกตอะไรเลยวะ มันเคยแอบตามมึงมาถึงที่นี่บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันจะคิดจะทำอะไรกับมึงบ้างก็ไม่รู้อีก อยากเข้าไปต่อยหน้าแม่งตอนนี้เลย]
“ได้นะ กูอนุญาต”
[มึงควรห้ามดิเพ้นท์]
เพ้นท์หัวเราะเบาๆ กับอาการหัวเสียของทัพ เข้าใจดีว่าทำไมถึงโมโห เขาเองก็อยากจับตัวไอ้โรคจิตนั่นให้ได้เร็วๆ เหมือนกันถึงไม่ห้าม แล้วก็รู้ด้วยว่าทัพไม่มีทางทำอย่างที่พูดไม่อย่างนั้นแผนจะพังหมด พวกเขาต้องจับมันให้ได้ขาหนังขาเขา และต้องมั่นใจว่าเมื่อแสดงตัวออกไปแล้วมันจะหาทางหนีไปไหนไม่ได้ นอกจากโดนรวบตัวยัดเข้าตาราง
“กูจะออกไปแล้วนะ” หยิบลูกอมรสมิ้มเพิ่มอีกห่อเพ้นท์ก็เดินไปที่แคชเชียร์ เตรียมพร้อมสำหรับการออกไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัวอีกครั้ง
[มันเดินผ่านศาลพระภูมิเข้าไปแล้ว น่าจะอยู่แถวลานจอดรถ]
“ทำไมน่าจะ มึงคลาดสายตาเหรอ” เพ้นท์แกล้งแซว อยากผ่อนคลายตัวเองด้วยก็ส่วนหนึ่ง แต่กลัวว่าทัพจะมองไม่เห็นไอ้โรคจิตนั่นมากกว่า เกิดจู่ๆ มันกระโจนออกมาล็อกคอเขาจะทำยังไง
[มันหลบอยู่หลังรถ]
"ยังเห็นมันอยู่ใช่มั้ย แล้วมันเข้าไปตรงลานจอดรถได้ไง ยามไม่ห้ามเหรอ"
[ยามเขานั่งตรงหน้าประตูทางขึ้นไง แต่จริงๆ แม่งก็ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นใคร ลองมีคนลืมปิดประตูใครก็ขึ้นไปได้]
เป็นความจริงที่ไม่อยากจะยอมรับ ถ้าไม่ใช่คอนโดหรูราคาแพงการรักษาความปลอดภัยมักหละหลวม หอของเขาเองก็เช่นกัน โชคดีแค่ไหนที่ก่อนหน้านี้ไอ้โรคจิตไม่บุกขึ้นมาถึงบนห้อง
"ตอนนี้มึงอยู่ตรงไหนเหรอทัพ"
[ร้านข้าวฝั่งตรงข้าม มึงเดินมาเลย กูรออยู่ตรงนี้แหละ ถ้ามันหนีจะได้ล็อกตัวไว้ทัน]
"กูกำลังจะเดินไปที่หอแล้ว มึงต้องคอยบอกกูนะทัพ ถ้ามันจะเข้ามาทำอะไรกูรีบเข้ามาล็อกมันไว้เลยนะ"
[ไม่ต้องห่วงครับ]
"รักมึงนะ"
[อารมณ์ไหนของมึงเนี่ย] ปลายสายถามเสียงสูงกลับมาจนเพ้นท์หลุดหัวเราะ แค่อยากหยอกให้หายเครียด แต่ที่บอกว่ารักนั้นพูดจริงๆ
ออกจากเซเว่นก็เลี้ยวเข้าซอย เพ้นท์เปิดน้ำชาที่ซื้อมาดื่มระหว่างเดิน มองเข้าไปในร้านข้าวฝั่งตรงข้ามกับหอพักตอนหยุดยืนอยู่หน้าหอ เขาเห็นทัพยืนอยู่ตรงนั้น มองมาโดยไร้รอยยิ้ม ก่อนพยักหน้าบอกให้เขาเดินผ่านศาลพระภูมิเข้าไปด้านใน
ความรู้สึกคุกคามเข้าเล่นงานทันทีเมื่อเพ้นท์เดินผ่านบริเวณลานจอดรถใต้หอเพื่อไปยังประตูทางขึ้น คนขี้กลัวเผลอหันมองตามสัญชาตญาณ ก่อนจะได้ยินเสียงทัพผ่านสายโทรศัพท์บอกให้เดินหน้าต่อไป ทำตามแผนที่ให้เพ้นท์ใช้คีย์การ์ดเปิดประตู ถ้าหากไอ้โรคจิตคิดจะตามเข้าไปก็รวบตัวมันเสียตอนนั้น แต่ถ้าไม่ก็รอจับตอนมันหนีออกมา
เพ้นท์เปิดประเป๋าค้นคีย์การ์ดเมื่อยืนอยู่ตรงหน้าประตู หยิบมันขึ้นมาได้พร้อมกับได้ยินเสียงเหรียญตกดังอยู่ข้างตัว ก้มลงหันไปมองเห็นเหรียญสิบกลิ้งไปหยุดอยู่ที่ข้างรถไม่ไกลนัก เผลอจิ๊ปากอย่างนึกหงุดหงิด ก้าวเท้าออกห่างจากประตูเพื่อเดินไปเก็บมัน ลืมตัวไปเสียสนิทว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่
[เพ้นท์ มึงทำอะไร!] เสียงตระหนกตกใจของทัพดังผ่านสายตอนเพ้นท์ก้าวไปแล้วนั่งลงข้างรถ
"กูทำเหรียญตก"
[ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ถอยออกมา เร็ว!]
กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอทำอะไรลงไปก็ตอนที่มีคนเดินมายืนอยู่ตรงหน้า เพ้นท์เงยหน้าขึ้นมอง เสียงทัพเหมือนสลายหายไปกับอากาศ หูอื้ออึงไม่ได้ยินเสียงใดๆ เมื่อได้เห็นรอยยิ้มอันน่าสยดสยองนั้น
รอยยิ้มของไอ้โรคจิตที่ย่อตัวนั่งลงและกำลังเอื้อมมือมาสัมผัสตัวเขา
"ไอ้เหี้ยเอ้ย!"
คนที่กำลังช็อคอ้าปากค้างเมื่อจู่ๆ ไอ้โรคจิตก็กระเด็นไปด้านข้างด้วยแรงถีบจากคนที่พุ่งตัวเข้ามา ทัพจับมันนอนคว่ำนั่งทับไว้แล้วล็อกมือไขว้หลัง เกิดการขัดขืนดิ้นรนจนกลัวว่าแรงของทัพคนเดียวจะต้านไว้ไม่ไหว เพราะไอ้โรคจิตคนนี้ตัวมันใหญ่เอาเรื่อง ยังดีที่ยามเฝ้าประตูกระตือรือร้นเข้ามาดู เพราะถ้าหากยังทำเพิกเฉยไม่สนใจอะไรก็ควรเตรียมตัวโดนไล่ออกได้เลย
"โรคจิตครับพี่ ช่วยจับหน่อย"
ยามตัวผอมแห้งทำหน้าตื่นตกใจรีบวิ่งเข้ามาหาหวังจะช่วยล็อกตัวเมื่อได้ยินคำบอก แต่ไม่ทันการที่ทัพจะสามารถต้านแรงไอ้โรคจิตตัวยักษ์เอาไว้ได้ มันพลิกตัวกลับมาแล้วถีบทัพจนกระเด็น ยามที่วิ่งเข้ามาล็อคแขนก็โดนเหวี่ยงจนล้มไปอีกทาง เพ้นท์มองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ ขาก้าวถอยหลังเร็วๆ จนไปชิดโต๊ะยาม มือคว้ากระบองที่วางอยู่แล้วซ่อนไว้ข้างหลัง ขณะที่สายตาจ้องมองไอ้โรคจิตเดินเข้ามาหา มันมอบรอยยิ้มอันน่าสยดสยองมาให้ แต่ยังไม่ทันเดินเข้ามาหาถึงตัวมันก็โดนทัพถีบจนกระเด็นอีกรอบ
“ทัพหลบ!” เพ้นท์ตะโกนบอกพลางก้าวเข้าไปหาไอ้โรคจิต จ้องคนตัวยักษ์ที่กำลังโซซัดโซเซด้วยความโมโหแล้วฟาดกระบองเข้าที่หัวมันเต็มแรงจนล้มไปอีกรอบ
ทัพอ้าปากค้างกับภาพที่เห็นก่อนจะยกยิ้มอย่างชอบใจ เขาเข้าไปซ้ำไอ้โรคจิตอีกรอบให้มันไม่มีแรงต่อต้านโดยมียามตัวผอมแห้งช่วยอีกแรง เพ้นท์เองก็หันไปตะโกนบอกเพื่อนบ้านที่เริ่มเข้ามามุงดูให้ช่วยกัน
“ช่วยจับโรคจิตด้วยครับ!”
แค่ได้ยินคำว่าโรคจิตคนที่มุงดูอยู่รอบๆ ก็กรูกันเข้ามาช่วยกันมะรุมมะตุ้ม แม่ค้าร้านข้าวหน้าหอยังหยิบตะหลิวติดมือมาด้วย รุมสะกำเสียจนไอ้โรคจิตไม่มีแรงหนี ก่อนมันจะถูกจับมัดไว้กับเสารอตำรวจมารับตัวไป
ความวุ่นวายจบลงเมื่อทุกคนร่วมมือร่วมใจช่วยกันจับโรคจิตได้สำเร็จ สภาพมันที่ถูกจับมัดติดเสายับเยินจนดูไม่ได้ คราบเลือดเปรอะเลอะเต็มใบหน้า ตากับปากบวมช้ำ แต่ก็สมควรแล้วกับสิ่งที่มันกระทำ หากมันรักและชื่นชมในตัวเพ้นท์จริงๆ ก็ไม่ควรที่จะทำแบบนี้เอฟที่เพิ่งเสร็จภารกิจจากการรวบรวมหลักฐานมาถึงที่เกิดเหตุหลังจากทุกอย่างสงบลง ไม่มีการพูดคุยกับผู้ต้องหามากนักเพราะแค่ยืนมองหน้ากันเฉยๆ ยังแทบควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ อีกอย่างมันก็คงอ้าปากตอบคำถามอะไรไม่ไหว เพ้นท์เลยชวนเอฟไปนั่งหลบมุมระหว่างรอตำรวจ ปล่อยให้ทัพที่กำลังอารมณ์ร้อนเฝ้าตัวไอ้โรคจิตอยู่กับยาม
"จบเรื่องสักที" เพ้นท์ถอนหายใจยาว มองสถานการณ์ตรงหน้าที่กลับมาจนเกือบเป็นปกติ พอจับไอ้โรคจิตได้แล้วรู้สึกโล่งใจขึ้น
เอฟเหลือบมองเพื่อนรักด้วยความไม่สบายใจนัก เพ้นท์ยังไม่รู้เรื่องที่รูปถูกโพสต์ไปแล้วถึงได้คิดว่าจบเรื่อง ยิ่งคิดความรู้สึกผิดก็ยิ่งประดังประเดเข้ามา เอฟขยับเข้าไปกอดเพ้นท์แน่นๆ เพื่อเพิ่มกำลังใจก่อนสารภาพผิดว่าสาเหตุของเรื่องทั้งหมดมาจากตัวเขา
"อะไรของมึงเนี่ยเอฟ"
"ขอโทษนะ"
"ขอโทษทำไม"
"ขอโทษที่ทำให้มึงเป็นแบบนี้"
"มึงไม่ได้ทำอะไรกูสักหน่อย" เพ้นท์ดันหัวเอฟออกให้นั่งคุยกันดีๆ ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เพื่อนอยากบอกนัก แต่ถ้าเอฟผิด เขาเองก็ผิดด้วยเหมือนกัน
"ทำดิ กูเพิ่งจะรู้ตัวก็ตอนเห็นหน้าไอ้โรคจิตชัดๆ นี่แหละ มึงไม่สงสัยเหรอเพ้นท์ว่าทำไมใครที่ไหนไม่รู้อย่างมันถึงรู้ว่าเป็นมึง ทั้งที่เราไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้หรือพูดให้ใครฟังเลย"
แน่นอนว่าเพ้นท์สงสัย และเป็นเรื่องที่ยังหาคำตอบไม่ได้ แต่เอฟจะบอกว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ไอ้โรคจิตนั่นรู้ว่าเขาคือตัวจริงของนายแบบอย่างนั้นน่ะเหรอ
"ไอ้โรคจิตมันรู้ว่าเป็นมึงเพราะกูเองอ่ะ มึงจำวันที่เราไปดูหนังก่อนเปิดเทอมได้มั้ย ที่ร้านไอเจแปนนีสตอนมึงพาคนที่น้ำหกใส่ไปซื้อเสื้อใหม่อ่ะ วันนั้นกูเปิดรูปมึงดูในมือถือ แล้วมันมีรูปที่ถ่ายติดหน้ามึงไว้ด้วย กูก็ไม่คิดนะว่าจังหวะสั้นๆ ที่มีใครที่ไหนไม่รู้มาเห็นมันจะทำให้เรื่องบานปลายขนาดนี้ จนกูได้เห็นหน้าไอ้นั่นชัดๆ นี่แหละ มันคือคนที่เห็นรูปมึงวันนั้น กูขอโทษจริงๆ" เอฟสารภาพออกมายาวเหยียดด้วยความรู้สึกผิด ปิดท้ายด้วยคำขอโทษกับตาแดงๆ ที่ทำให้เพ้นท์ต้องดึงเพื่อนเข้ามากอดแน่นๆ เขาไม่เคยโกรธเอฟเลย ไม่ว่าสาเหตุทั้งหมดจะมาจากอะไรก็ตาม
"คิดมากว่ะ กูไม่โกรธมึงสักหน่อย มึงไม่ได้ตั้งใจกูรู้"
"แต่ถ้าตอนนั้นกูไม่เปิดรูปดู..."
"ถ้าไม่หยุดโทษตัวเองกูจะตบปากตัวเองแล้วนะ"
เอฟยอมหยุดเพราะเพ้นท์ง้างมือเตรียมทำอย่างที่พูด ถ้าขู่ว่าตบเขาจะไม่ว่าเลย ยินดีให้ตบด้วยซ้ำ แต่นี่คนอะไรดันขู่ว่าจะตบปากตัวเอง
"เรื่องมันจบแล้วมึง เดี๋ยวตำรวจก็มาเอามันไปแล้ว"
"ไม่มึง มันยังไม่จบ" เป็นอีกเรื่องที่เอฟไม่อยากบอก เขาอยากให้เพ้นท์คิดว่ามันจบไปแล้ว แต่ถึงจะปิดไปเรื่องก็ต้องแตกเร็วๆ นี้อยู่ดี
สองเพื่อนรักสบตากันนิ่ง เพ้นท์เองก็พอจะรู้ตัว นอกจากจับตัวไอ้โรคจิตได้แล้วยังมีอีกปัญหาที่ยังค้างคา เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วเขาทำได้เพียงทำใจยอมรับมันเท่านั้น
"ไอ้โรคจิตมันโพสต์รูปมึงไปแล้วนะ"
มันคือข่าวร้ายที่ไม่อยากได้ยินที่สุด
กว่าจะเสร็จเรื่องเสร็จราวจากโรงพักก็เย็นย่ำค่ำมืด เอฟติดต่อคุยกับทีมงาน FxxanPxx เป็นระยะตั้งแต่รูปถูกโพสต์ กระแสยังแรงอย่างต่อเนื่องในหมู่แฟนคลับ ถึงขนาดมีคนเอาประวัติกับรูปของเเพ้นท์มาลงเพิ่มเติม มีการวิจารณ์ทั้งในแง่บวกและลบ ทำให้ทางทีมงานต้องรีบปรึกษากันเพื่อหาข้อสรุป
FxxanPxx ทุกช่องทางในโซเชียลมีเดียออกแถลงการณ์พร้อมกันตอนเวลาสามทุ่มตรง เป็นการปฏิเสธคำแอบอ้างของผู้ไม่ประสงค์ดี ว่าชายในรูปที่ถูกแอบอ้างนั้นไม่ใช่คนเดียวกับอดีตนายแบบคนดัง และพร้อมจะดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหาย รวมถึงกล่าวขอโทษกับชายผู้ถูกใส่ร้าย ปิดท้ายด้วยการยืนยันว่าจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของอดีตนายแบบตามข้อตกลงของสัญญา
เพ้นท์นั่งอ่านคอมเมนต์ใต้โพสต์แถลงการณ์ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ความคิดเห็นคนเป็นร้อยย่อมไม่มีใครคิดเหมือนกันไปทั้งหมด มีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ บางคนก็ด่าเหมือนเขาทำผิดบาปมหันต์ แม้ความเห็นดีๆ ก็มีอยู่มาก แต่สมองมันกลับจำอะไรที่ทำร้ายจิตใจแทน
"เลิกอ่านได้แล้วมั้ง" ทัพบอกคำนี้กับเพ้นท์เป็นครั้งที่สิบเห็นจะได้ เขายอมทำตามที่เพ้นท์ขอเพราะเจ้าตัวบอกว่าทำใจยอมรับได้ สุดท้ายกลับนั่งซึมอย่างที่เห็น
เพ้นท์รับฟังแล้วปล่อยคำพูดของทัพให้ลอยหายไปในอากาศ มือยังเลื่อนดูคอมเมนต์ใต้โพสต์ไปเรื่อยๆ อ่านความเห็นทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเอง ไม่ว่าจะดีหรือร้ายริมฝีปากก็ยังเหยียดตรงไม่แสดงอาการใดๆ
"ไหนบอกว่ารับได้ไง"
"ให้เวลากูหน่อยดิ"
"มานี่มา" ทัพที่นั่งอยู่บนเตียงเรียกคนที่คร่ำเครียดอยู่หน้าคอมฯ ให้มาหา เพ้นท์มองอย่างชั่งใจอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ยอมก้าวขึ้นเตียง เบียดตัวเข้าหาอ้อมกอดอุ่นๆ ที่เป็นดั่งที่พักพิงของเขา
เพ้นท์นอนกอดทัพแน่น ทำใจไว้แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึงแต่พอเอาเข้าจริงก็ทำเอาจิตใจบอบช้ำใช่ย่อย ความลับที่ไม่อยากให้ใครรู้ตอนนี้ทุกคนได้รู้กันหมดแล้ว มันอาจจะไม่ได้ดูน่าเชื่อถือ ทั้งยังมีการแก้ข่าว แต่เพราะรู้ดีว่าแท้จริงเป็นยังไงเลยโกหกกับตัวเองไม่ได้ว่าความลับยังคงเป็นความลับอยู่
"กูไม่น่ายอมให้มึงอ่านเลยว่ะ ถ้าปิดมึงไว้แล้วรอให้เรื่องมันซาไปเองคงดีกว่านี้"
"พูดเหมือนมึงจะปิดได้อ่ะทัพ ยังไงกูก็ต้องรู้อยู่ดีมั้ย กูตามเพจอยู่"
"ทุกคนพยายามช่วยมึงอยู่นะ"
"กูรู้ แล้วก็ขอบคุณมากๆ ด้วย กูพยายามบอกตัวเองอยู่ตลอดนะว่าไม่เป็นไร ถึงคนจะรู้ก็ไม่เป็นไร คนทั้งประเทศมีตั้งกี่ล้านคนตามเอฟแอนพีแค่หลักแสน มันจะมีสักกี่คนกันที่รู้จักกู แต่ก็ลืมไปว่าสมัยนี้โซเชียลมันเร็ว คนช่างขุดช่างคุ้ยก็เยอะ มียันประวัติกูที่คนเอามาโพสต์อ่ะ แม่ง อยากร้องไห้" ระบายออกมาด้วยความอัดอั้นเพราะทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ตลอดไหลออกมาอย่างห้ามไม่ไหว เพ้นท์ไม่ได้ร้องฟูมฟาย นอนให้ทัพเช็ดน้ำตา แสดงความอ่อนแอให้คนที่ยังเข้มแข็งกว่าช่วยปลอบประโลม แค่กอดกับฝ่ามือที่คอยลูบหัวกันอยู่ซ้ำๆ ก็ทำให้ความทุกข์ใจค่อยๆ สลายหายไปได้แล้ว
เพียงแค่อ้อมกอดจากคนที่รัก
ได้ระบายจนรู้สึกดีขึ้นเพ้นท์ก็ผละออกลุกไปหน้าคอมฯ ตั้งใจจะปิดแล้วกลับไปนอนกอดทัพเหมือนเดิม อยากทิ้งเรื่องทุกอย่างไว้ข้างหลังแล้วหลับไป เผื่อตื่นขึ้นมาทุกอย่างจะดีขึ้นกว่าเดิม แต่เมื่อเห็นคอมเมนต์ใหม่ที่โพสต์ยาวเหยียดมันก็อดนั่งอ่านไม่ได้อยู่ดี
"เพ้นท์ ไม่ต้องอ่าน ปิดแล้วรีบกลับมานอนเลย"
"อันนี้ใช่เฟซจิวหรือเปล่า"
ทัพรีบลุกจากเตียงเดินไปยืนซ้อนหลัง ชื่อกับรูปโปรไฟล์ใช่จิวเพื่อนเขาไม่ผิดแน่
‘ผมเป็นเพื่อนคนในรูปเองครับ และโกรธคนที่แอบอ้างเอารูปเพื่อนผมมาโพสต์ให้เสียหายมากๆ ผมไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรถึงได้ทำแบบนี้ ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกของเพื่อนผมคนนี้มองแล้วชวนให้นึกถึงอดีตนายแบบคนนั้น ซึ่งยอมรับตรงๆ เลยว่าผมก็เคยคิด เพราะหุ่นมันคล้ายจริงๆ แต่การแอบอ้างขึ้นมาโดยไม่มีหลักฐานัมนไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย แบบนี้ผมก็หารูปใครที่หุ่นดูคล้ายๆ มาโพสต์แล้วบอกว่าเป็นตัวจริงของนายแบบก็ได้เหมือนกัน อยากให้ทุกคนเลิกขุดคุ้ยนะครับ เป็นการขอความร่วมมือ ขอยืนยันอีกครั้งว่าเพื่อนผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการถ่ายแบบแน่นอน รู้จักเพจนี้หรือเปล่าผมก็ยังไม่รู้เลย’
สิ่งที่มันคอมเมนต์เป็นการแก้ต่างให้กับผู้เสียหายโดยการบอกว่าเป็นคนรู้จัก อธิบายเหตุผลบวกความคิดเห็นส่วนตัว ก่อนปิดท้ายด้วยการยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีทางใช่คนคนเดียวกันอย่างแน่นอน
ริมฝีปากที่เหยียดตรงมานานยิ้มได้บ้างแล้ว แม้แทบจะมองไม่เห็นว่ามันเป็นรอยยิ้มก็ตาม
"จิวก็ตามเพจนี้ด้วยเหรอ" เพ้นท์หันกลับมาหาคนที่ยืนซ้อนอยู่หลังอ่านจบ จะว่าตกใจก็ใช่ แต่ก็รู้สึกดีขึ้นที่มีเพื่อนมาช่วยพูดให้แบบนี้
"ใช่"
"ตามหมดทั้งกลุ่มเลยมั้ยเนี่ย"
"ไอทีไม่น่าจะตามมั้ง"
"แล้วจิวรู้เรื่องหรือเปล่า"
"มันจะไปรู้ได้ไงไม่มีใครบอก"
"แล้วทำไมถึงมาเม้นต์ให้แบบนี้อ่ะ มึงบอกให้ทำเหรอ"
"ไม่เห็นต้องบอกเลยเรื่องแบบนี้ น้ำใจระหว่างเพื่อนไง กูยังไม่ได้คุยกับมันเลยด้วยซ้ำ มันคงเห็นว่ามึงกำลังแย่เลยยื่นมือมาช่วยตามประสาคนรู้จัก แต่หลังจากนี้โดนซักยาวแน่ๆ ล่ะ" ทัพตอบไปตามที่คิด เขาเองก็ตกใจที่จิวออกมาแก้ต่างให้แบบนี้ ทั้งที่มันไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
"แล้วถ้าจิวถามจะว่าไงอ่ะ"
"คงตอบไปตามความจริง"
เพ้นท์ทำน้าหงอยทันที เขาไม่อยากบอกความจริง หรือจะบอกว่าไม่อยากเล่าอะไรให้ใครฟังทั้งนั้นก็ได้ ในเมื่อจิวยังไม่รู้ก็อยากให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป รู้สึกขอบคุณจากใจจริงที่ช่วย แต่ไม่อยากแลกน้ำใจนั้นด้วยความจริง
"บอกไปว่าโดนโรคจิตตาม โดนใส่ร้าย ก็แค่นี้เอง" เรื่องนี้ทัพคิดว่าอธิบายกับจิวไม่น่ายาก มันยังเคยบอกเลยว่าน้องนุ่มนิ่มมีส่วนคล้ายเพ้นท์ แล้วคนอื่นที่เห็นเพ้นท์และติดตามเพจย่อมคิดเหมือนมันได้เช่นกัน เพียงแต่ไอ้คนนั้นดันเป็นโรคจิตเท่านั้นเอง
"แล้วถ้าจิวถามเรื่องนายแบบล่ะ"
"ก็บอกไปดิว่าสนิทกันเหรอมาถามแบบนี้"
คนกวนประสาทก็ยังกวนได้ทุกช่วงเวลา ทัพแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศขมุกขมัวให้ดีขึ้น แต่เมื่อเห็นว่าเพ้นท์ไม่เล่นด้วยเลยก้มลงสวมกอดและใช้วิธีอธิบายแทน
"ถึงเจอหน้าจิวมันก็ไม่ถามซอกแซกอะไรมึงหรอกเพ้นท์ ถึงมันจะชอบเสือกเรื่องชาวบ้านแต่มันก็รู้ว่าอะไรควรไม่ควร บอกแค่ไหนมันก็รับแค่นั้น ถ้าสืบต่อเองไม่ได้เดี๋ยวมันก็ล้มเลิกไปเอง มันไม่ใช่คนขี้วอแว เข้าใจมั้ยครับ"
"อืม"
"กูจะไม่บอกให้มึงเลิกคิดนะเพราะรู้ว่ายังไงก็ห้ามไม่ได้ แต่อย่าให้มันกลายเป็นทั้งหมดของชีวิตมึง รู้มั้ยโลกสมัยนี้มันหมุนเร็วจะตาย แป๊บๆ เดี๋ยวคนก็ลืมกันหมด อย่าเก็บมันมาใส่ใจนักเลย เอาเวลามาใส่ใจกูดีกว่า"
"ยังจะหยอดอีก" บรรยากาศตึงเครียดแค่ไหน ทัพก็ยังเป็นทัพอยู่ดี
"ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวกูประคบตาให้ พรุ่งนี้จะได้ไม่บวม"
ทัพปิดคอมฯ ให้ โบกมือบอกให้เพ้นท์ไปรอที่เตียงส่วนเขาเดินไปเตรียมอุปกรณ์สำหรับประคบตา ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำเย็นบิดให้หมาดแทนการห่อน้ำแข็ง ก้มลงประทับจูบบนเปลือกตาช้ำๆ ของคนที่นอนหลับตาพริ้มรออยู่ ก่อนจะวางผ้าขนหนูลงไป บรรเทาให้ฝนที่ตกหนักในวันนี้ไม่เป็นอุปสรรคกับท้องฟ้าที่ควรจะสดใสในวันพรุ่งนี้
แม้วันนี้ท้องฟ้าจะมืดมัว ผ่านไปวันพรุ่งนี้ก็อาจจะไม่สดใสเหมือนดังเก่า แต่สักวันมันจะกลับมาสดใสได้อย่างแน่นอน
TBC
ตอนเขียนพาร์ทหลังขึ้นมาเราคิดว่าการเลิกทำในสิ่งที่ยังเป็นความลับ และส่งผลกับคนหมู่มากน่าจะเกิดผลกระทบอะไรสักอย่าง
ลองคิด ลองหาข่าวดู เจอข่าวโรคจิตพอดี บวกกับข่าวไอดอลญี่ปุ่นเกาหลีที่มีโรคจิตตามบ่อยๆ เลยจับมาเป็นประเด็น
ตอนแรกจะกะเฉลยตั้งแต่ตอนที่ 14 แล้วค่ะว่ามีคนเห็นแต่กลัวว่าจะรู้ง่ายเกินไปเลยเก็บมาเฉลยทีหลัง
ก็ไม่คิดว่าจะถูกเดาเป็นคนใกล้ตัวของเพ้นท์ ทั้งจิวทั้งเอฟ แถมสงสัยกันสุดๆ ขนาดนี้ด้วยค่ะ
ตัวจิวเองถูกวางให้เป็นพวกขี้สงสัยก็จริง แต่จริงๆ ไม่มีพิษมีภัยอะไรเลย
เอฟก็เพื่อน ถึงจะดูเห็นแก่ตัวไปบ้าง แต่มีเพื่อนสนิทคนเดียวเขาก็รักของเขา และเคารพกันนะ
คุณวิชัยกับแสน เราไม่เคยวางให้ร้ายเลยค่ะแม้จะมีคนได้กลิ่นร้ายๆ ออกมาจากสองคนนี้ก็ตาม
ไม่อยากให้คนที่ทำร้ายเพ้นท์เป็นคนใกล้ตัว เพราะแค่นี้ก็สาหัสแล้ว
กับการใช้ชีวิตไม่มีอะไรง่ายเลย สิ่งร้ายๆ จะเข้ามาเมื่อไรก็ไม่รู้ ใครจะคิดร้ายกับเราก็ไม่รู้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะเป็นไปตามที่อยากให้เป็นเสมอไป
ความจริงพาร์ทหลังนี้เรากะจะทำให้เป็นดราม่าน้ำตาซึมไปเลย แต่ตอนเขียนดันเจอความทัพเข้าแทรก
กลายเป็นหน่วงๆ จะหวานก็หวานไม่สุดแทน มีความระแวงตลอดเวลา เลยออกมาเป็นแบบนี้
ตอนหน้าจบแล้วนะคะ มาเอาใจช่วยให้น้องผ่านช่วงเวลาร้ายไปให้ได้เร็วๆ กันเนอะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า