หลังจากอ่านถึงตอนล่าสุด หลาย ๆ คห.บ่นว่าแต่อีธาน แต่เราขอพูดตรง ๆ เลยค่ะว่าขัดใจภูริที่สุด
นิสัยของภูริไม่สมเหตุสมผลสำหรับเราค่ะ จากในเรื่องภูริมีความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างเรียกได้ว่าปากกัดตีนถีบ
มีภาระต้องรับผิดชอบมากมายทั้งค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่ายา และต้องดูแลแม่กับน้อง
นิสัยของคนที่อยู่ในสภาวะแบบนี้ควรจะแข็งกว่านี้ ต้องปกป้องตนเองและพยายามคิดถึงคนข้างหลัง
ไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบง่าย ๆ
ภูริยอมคนอื่นตลอดเพราะไม่อยากมีปัญหา กลัวโดนไล่ออกแล้วจะกระทบค่าใช้จ่าย จุดนี้เราเข้าใจค่ะ
แต่ที่เราขัดใจที่สุดคือการยอมให้คนอื่น (อีธาน) เข้าใจผิดบ่อย ๆ ไม่ยอมอธิบายใด ๆ ทั้งสิ้น
เพราะคิดว่าอีกคนไม่รู้จักตัวเองดีพอ ดังนั้นแม้จะอธิบายไปก็ไร้ความหมาย เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่าย
ก็ยึดความคิดตนเองเป็นใหญ่อยู่ดี ในกรณีนี้มีปากก็ควรพูดเพื่อปกป้องผลประโยน์ของตนเอง
นี่คือปกติวิสัยของมนุษย์ที่อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน มีคนต้องดูแล
เขาต้องตอบโต้เพื่อปกป้องตนเองและคนข้างหลัง ต้องมีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง
ถึงจะไม่เอาเปรียบคนอื่นแต่ก็จะไม่ยอมเสียประโยชน์ง่าย ๆ
จากเรื่องที่ปูมาพื้นเพของภูริเรียกได้ว่าค่อนข้างลำบาก ไม่มีเงินเก็บ เงินใช้เดือนชนเดือน
กับข้าวก็เป็นอาหารเมนูไข่ ไม่มีอะไรอื่นมาทำเท่าไรนัก อ่านแล้วสัมผัสได้ว่าความเป็นอยู่อัตคัด
ดังนั้นนิสัยไม่ควรปล่อยวางไหลลื่น มองโลกในแง่ดี ยอมอ่อนข้ออย่างง่ายดาย คิดแล้วไม่พูด
ไม่ปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง นิสัยแบบนี้ไม่สมเหตุสมผลกับพื้นเพของตัวละครค่ะ
สิ่งที่ภูริทำคือยอมเกือบหมดเลย เพิ่งมาแข็งข้อเล็กน้อยตอนน้องป่วยเท่านั้น
อีกทั้งความคิดปกป้องตนเองอยากจะอธิบายก็ไม่มีเลย ทำไมไม่พูดไปว่าขอไปโรงพยาบาลแต่หัวหน้าไม่ให้
ดันพูดว่าขอลาแล้วไม่ให้ ใจความสำคัญมันอยู่ที่คำว่า "โรงพยาบาล" เพราะสื่อถึงความรุนแรงของสถานการณ์
คนปกติมันต้องพูดค่ะ (ขอย้ำอีกครั้ง) เพื่อปกป้องตนเอง นี่คือเซนส์ที่มนุษย์ทุกคนเป็น
ถ้าจะอธิบายจุดนี้ว่าเพราะเป็นนิสัยผู้ชายจึงไม่อยากพูดเรื่องหยุมหยิม จะกลัวเป็นเหมือนฟ้อง
อันนี้ไม่เห็นด้วยค่ะ การฟ้องกับการอธิบายความจริงห่างกันเพียงนิดเดียวอยู่ที่เจตนาของผู้พูด
ยอมคนเกินไป ไม่สมเหตุสมผลกับพื้นเพตัวละครค่ะ
เราเน้นเรื่องปกป้องตนเองมากเพราะนี่คือจุดเด่นที่ตัวละครที่มาจากพื้นเพเช่นนี้ควรมี
การที่นักอ่านคนอื่นต่อว่าอีธานว่าโง่และไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เราถามหน่อยค่ะว่าถ้าคนที่มีปัญหาไม่พูด
แล้วอีกคนจะมีปัญญากระจ่างแจ้งไหมคะ ถึงพูดไปแล้วอีกคนไม่เชื่อ แต่ถ้าพูดบ่อย ๆ ประกอบกับสิ่งที่
เขาได้เห็น อย่างไรก็ต้องมีสะกิดใจกันบ้าง นี่ถ้าภูริอธิบายบ้างอีธานก็จะสะกิดใจได้เร็วกว่านี้
คนเขียนก็จะดำเนินเรื่องได้กระชับและรวดเร็วขึ้น
"หากแม้แต่ตัวคุณยังไม่ยอมปกป้องตนเอง แล้วคุณคาดหวังว่าใครหน้าไหนจะมาปกป้องคุณ"
ทำไมต้องรอให้วันเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ในเมื่อเราก็สามารถกระตุ้นให้เกิดการพิสูจน์ได้เร็วกว่าการใช้
เครื่องมือที่เรียกว่า "วันเวลา" เราส่ายหัวกับหลาย ๆ คห.ที่ต่อว่าอีธานว่าทำไมไม่รู้ความจริงสักที
ทำไมไม่ต่อว่าภูริแทน
อีกประเด็นหนึ่งคือการทำงานของอลัน สิ่งที่อลันทำไม่เรียกว่า "สืบ"
แต่เรีียกว่า "หาข้อมูล" สองคำนี้เซนส์มันต่างกัน สืบนี่คือต้องพยายามเจาะลึกเสาะแสวงหาข้อมูลสำคัญมาให้ได้
ความสำคัญและความยากลำบากมีมากว่า "หาข้อมูล" สิ่งที่อลันทำก็แค่เอาข้อมูลจากเอกสารมารายงานอีธานเท่านั้น
ไม่มีเอะใจเลยว่าทำไมผลการประเมินของหัวหน้ากับเพื่อนร่วมงานแตกต่างกันขนาดนั้น
ถ้าเป็นคนที่ทำงานตำแหน่งสูงระดับนั้นจริงมันต้องมีเซนส์ค่ะ ต้องคิดและเอะใจไปแล้ว
ถ้าจะแย้งว่าอคติถือตัวว่าเป็นอัลฟ่าแล้วใช้ความรู้สึกนึกคิดตัวเองบดบังการทำงานแบบนี้
บอกเลยค่ะชีวิตจริงคุณอยู่ตำแหน่งสูงขนาดนั้นได้ไม่นานหรอก มันอยู่ไม่ได้ ยิ่งสูงยิ่งหนาว ลมยิ่งแรง
คุณไม่มีเซนส์แบบนี้คุณปลิวไปกับลม หรือไม่ก็โดนคนอื่นลอบกัดผลักตกหน้าผาตายไปแล้วค่ะ
ขนาดอีธานยังมีเอะใจบ้างเพราะได้ใกล้ชิดกับภูริ แต่ตัวคนไปสืบมันต้องได้กลิ่นทะแม่ง ๆ เหมือนกันค่ะ
เพราะต้องเห็นข้อมูลมากกว่าก่อนจะเลือกประเด็นสำคัญมารายงานเจ้านาย แต่นี่อะไร...
เราเขียนมาทั้งหมดนี้เพราะเราชอบเรื่องนี้ค่ะ อดทนอ่านจนถึงตอนล่าสุดก่อนจะแสดงความคิดเห็น
เพราะอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดก่อนจะวิจารณ์อะไรออกไป เราอยากให้นิยายของคุณเป็นนิยายที่มีคุณภาพ
อ่านแล้วก็อยากกลับมาอ่านซ้ำบ่อย ๆ ไม่ใช่นิยายคั่นเวลาที่อ่านแก้ขัดรอบเดียวพอ
ถึงอย่างไรเราก็จะอ่านเรื่องนี้ต่อค่ะ เราติเพื่อก่อ เพราะสนุกเราถึงพยายามเขียนขนาด
อย่าท้อก่อนนะคะ เราไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร