จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)  (อ่าน 47097 ครั้ง)

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-12-2018 15:36:07 โดย KPMwolf »

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Intro

      ไม่รู้ว่าด้วยความซวยอะไรทำให้นักผจญภัยใจบาปผู้ชอบใช้ชีวิตอิสระสบายๆ และทานพ่อหมีเป็นของว่างอย่างผม ถึงต้องมาทำสัญญาผูกมัดกับอัศวินมากคุณธรรมคนนี้เพื่อช่วยมันทำภารกิจสำคัญ แล้วนี่ชีวิตผมจะลงเอยยังไงเนี่ย

.................................................

     “ข้าว่าแล้วว่าโจรอย่างเจ้ามันไว้ใจไม่ได้”

     “นะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

     “ดาบเล่มนี้มีชื่อว่า Oathkeeper คำสาบานใดๆต่อหน้าดาบเล่มนี้จะถูกจดจำไว้ และผู้สาบานจะถูกพันธนาการไว้จนกว่าคำสาบานนั้นจะลุล่วง”

     “หน่านิ๊”

     “เจ้าหนีไปไหนไม่ได้แล้วหละ เจ้าโจร”

.................................................

     “นี่ๆ ว่ากันว่าพวกนักเรียนอัศวินอาบน้ำร่วมกันจริงใช่ป่ะ”

     “อืม ใช่”

     “แล้วทุกคนนี่คือล่ำบึกกล้ามเป็นมัดใช่ป่ะ”

     “นี่ไม่ต้องมาคิดลามกเลย ถึกเป็นควายทั้งนั้น ไม่มีอะไรน่าดูหรอก”

     “แสดงว่ามองอยู่บ้างอ่ะดิ”

     “ชินแล้ว”

     “แล้วที่ว่ามีพิธีกระชับความสัมพันธ์ระหว่างอัศวินหล่ะ”

     “หมายความว่ายังไง”

     “ก็แบบขัดดาบให้กันงี้”

     “ขัดดาบก็ขัดในโรงเก็บอาวุธสิ จะมาในห้องอาบน้ำทำไม”

     “...” โอ้ว มาย ก้อดดดด!!! มันไม่เข้าใจผมจริงดิ


     สวัสดีครับ ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่แวะเข้ามาครับ

     นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของผม กำลังหัดเขียนครับ ค่อนข้างกลัวว่าจะอ่านไม่รู้เรื่องอยู่พอสมควร มีอะไรผิดพลาดช่วยแนะนำด้วยครับ

     เรื่องนี้จะเป็นแนวแฟนตาซี ผจญภัย มี NC บ้างเล็กน้อย ในยุคสมัยที่มีอัศวิน จอมเวทย์ และมอนสเตอร์ หากนึกภาพไม่ออกลองดูพวก The witcher ,Konosuba หรือ Grimoire of zero ครับ


     แผนที่ของเรื่องครับ
     https://twitter.com/CruisingDog/status/1014070947651829760
     https://twitter.com/CruisingDog/status/1015300252612481024
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2018 16:50:39 โดย KPMwolf »

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 1 Adventurer's desire

ภายในท้องพระโรงอันโอ่โถง

“ยินดีต้อนรับท่านผู้กล้าทั้งสี่ของเรา ตัวแทนของเสาหลักที่ค้ำจุนราชวงศ์ของเรามาช้านาน” หญิงสาวผมทองในชุดเดรสขาวบริสุทธิ์ผายมือออกต้อนรับชายหนุ่ม 4 คน นางยืนอยู่หน้าบัลลังก์ที่มีตราสัญลักษณ์รูปเขากวางที่องค์ราชานั่งประทับ หลังไปอีกคือเสาผลึกคริสตัลสีน้ำตาลที่เปี่ยมไปด้วยพลังเวท

ชายหนุ่มทั้ง 4 ก้มคำนับรอฟังคำสั่งท่ามกลางสายตาของข้าราชบริพารที่ยืนรายล้อมทั่วห้อง พวกเขากำลังปรึกษากันเกี่ยวกับอนาคตของประเทศเทอร่า

เทอร่า อาณาจักรแห่งดินอันอุดมสมบูรณ์ เขตแดนกว้างใหญ่ไพศาล สั่งสมวัฒนธรรมจากนานาประเทศมาช้านาน เป็นหนึ่งในอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดเพราะระบบทางทหารที่มั่นคง

หญิงสาวหลับตาลงยกมือขึ้นพนมไว้ที่อก ห้องทั้งห้องเงียบงันในพริบตา ผลึกคริสตัลทอประกายแสงสีน้ำตาลเกิดออร่าสีเดียวกันปกคลุมตัวหญิงสาวไว้ ทันทีที่นางลืมตาขึ้นออร่าก็กระจายแผ่ไปยังผู้กล้าทั้งสี่ เกิดเป็นออร่าสีที่แตกต่างกันไป

ออร่าสีแดงที่ชายหนุ่มผมแดงในชุดจอมเวทย์

ออร่าสีเหลืองทองที่ชายหนุ่มผมทองในชุดนักธนู

ออร่าสีเขียวที่ชายร่างท้วมในชุดนักประดิษฐ์

และออร่าสีฟ้าที่ชายผมดำในเกราะอัศวิน

ฉับพลันออร่าทั้งสี่ก็แยกออกมาจากร่างรวมกันเป็นกลุ่มก้อนแสง ร่างทั้งสี่กระตุกเล็กน้อยแต่ยังคงรักษาท่าทีไว้ มวลแสงบิดวนกลางอากาศก่อนจะพุ่งออกไปตามทวารทั้งสี่ทิศของห้องก่อนจะหายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน

“หากพวกท่านปรารถนาเกียรติยศสูงสุด ท่านจงออกเดินทางเพื่อตามหาแสงที่หายไปของตน เส้นทางของท่านจะเต็มไปด้วยบททดสอบที่อันตราย”

“และเหนือสิ่งอื่นใด เราหวังว่าพวกท่านจะได้พบตัวตนที่แท้จริงของตนเอง”

“เราขอให้พวกท่านโชคดี”

...........


รุ่งเช้า ณ บ้านไม้หลังเล็กๆบริเวณชายขอบหมู่บ้านอัลฟี่ (Alphy)

แสงแดดอ่อนๆยามเช้าส่องเข้ามาแยงตา เสียงนกร้องรบกวนจนผมตื่นในที่สุด ผมลุกขึ้นนั่งแล้วบิดขี้เกียจ ก่อนหันไปมองชายร่างใหญ่ที่นอนอยู่ข้างๆเจ้าหมีเจ้าของบ้านที่กรุณาแบ่งที่พักให้กับผม สมแล้วจริงๆที่เป็นช่างไม้ประจำหมู่บ้าน แม้จะเข้าสู่วัยกลางคนแล้วแต่เมื่อคืนแรงดีไม่มีตกจริงๆ อืม...โดยเฉพาะเคราอ่อนๆนั่น แค่นึกก็รู้สึกสยิวกิ้วแล้ว

ผมลุกเข้าไปใช้ห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา และคราบต่างๆตามลำตัว

ตึง!!

เสียงถังไม้ตกพื้น ผมโผล่หน้าออกไปดูเจ้าบ้านบนเตียง…ยังไม่ตื่นแฮะ สงสัยที่ชมว่าแรงดีไม่มีตกจะมาหมดสภาพเอาตอนนี้กระมัง ฮ่าๆ

ผมส่องกระจกสำรวจความเรียบร้อยของร่างกายวัย 18 ของตนเอง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลแดง เส้นผมสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้ารูปไข่เชิญชวนให้ใครต่อหลายคนหลงไหล...นี่ไม่ได้หลงตัวเองนะ

ผิวขาวเนียนมีรอยแดงที่คอนิดหน่อยจากกิจกรรมเมื่อคืน...รุนแรงแฮะแต่เดี๋ยวก็หาย

ร่างกายปราดเปรียวมีกล้ามเนื้อสมสัดส่วน...มันแน่อยู่แล้วผมเป็นนักผจญภัยต้องเดินทางและต่อสู้กับมอนสเตอร์ตลอด มันต้องฟิตหน่อย

ผมสวมกางเกงขายาว เสื้อยืดแขนสั้นทับด้วยเกราะอ่อนปิดช่วงอกแล้วคลุมด้วยแจ็คเก็ต กระชับถุงมือที่มือซ้ายและสายหนังที่ข้อมือขวาก่อนออกจากห้องน้ำ เก็บสำภาระลงกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางต่อ ทันทีที่นั่งลงเพื่อจะใส่รองเท้าบูทที่ข้างเตียง หนุ่มใหญ่ที่ตอนแรกนึกว่ายังหลับอยู่ก็สวมกอดจากข้างหลัง พร้อมเอาคางที่เต็มไปด้วยเคราอ่อนๆนั่นมาเกยที่คอ

“อย่าพึ่งไปสิเจ้าหนู เจ้าไม่อยากอยู่ต่อกับข้าที่นี่หรอกเหรอ บ้านหลังนี้มีที่พอสำหรับคนสองคนนะ” ผมหันข้างยิ้มให้พร้อมเอามือลูบศีรษะของเขา

“แหม...คุณทอมก็ ผมบอกแล้วไงว่าผมมีภารกิจต้องเดินทางไปยังชายแดนของประเทศ แค่คุณทอมกรุณาให้ที่พักผมก็เป็นพระคุณอย่างสูงแล้วล่ะครับ”

“ก็เกินไป นานๆข้าจะมีแขกสักครั้งนึง ข้าต้องยินดีอยู่แล้ว น่าอิจฉานักผจญภัยหนุ่มๆอย่างเจ้าจริงๆ ถ้าตอนนั้นเข่าข้าไม่เจ็บเสียก่อนข้าก็ยังคงได้ผจญภัยเช่นเจ้า” ไม่ได้พูดอย่างเดียว คุณทอมเอาเครามาซุกไซร้ที่ต้นคอจนผมขนลุก

“ฮ่าๆ คุณต้องเป็นนักผจญภัยที่เก่งกาจคนนึงแน่ๆ” คุณทอมยิ่งรุกหนัก มือข้างหนึ่งล้วงผ่านเสื้อลูบหน้าท้องเป็นลอนของผม อีกข้างนวดคลึงที่เอว

“อ่า...คุณทอมอย่าเลย ผมต้องเดินทางไปที่หมู่บ้านถัดไปก่อนพลบค่ำนะครับ เดินทางตอนกลางคืนมันอันตราย ยิ่งต้องค้างแรมกลางป่ายิ่งแล้วใหญ่” คุณทอมยอมหยุดลงจนได้

“นั่นสินะ เดินทางตอนนี้กว่าจะถึงหมู่บ้านบริจต้า (Bridgta) ก็คงพระอาทิตย์เกือบตกดินพอดี” หนุ่มใหญ่ยอมปล่อยมือ แล้วเปลี่ยนมาเท้ายันตัวเองไว้บนเตียง “ข้าจะได้พบเจ้าอีกไหม” เขาส่งสายตาวิงวอน

ผมลุกขึ้นจากเตียง หันตัวกลับ โน้มตัวลงไปจูบเบาๆที่ริมฝีปากหนา “ผมจะรอคอยวันที่เราได้พบกันอีกครับ”
 
“ขอให้โชคดีและเดินทางปลอดภัยนะ เจ้าหนุ่ม” คุณทอมยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“ขอบคุณครับ จุดแข็งที่สุดของผมก็โชคนี่แหละครับ”

“อย่างอื่นด้วยกระมัง” เขาพูดปนหัวเราะ

ฮ่าๆๆ เราทั้งคู่ต่างหัวเราะ ก่อนที่ผมจะเดินทางออกจากบ้านช่างไม้

..............................

หลังจากจัดแจงซื้อเสบียงเตรียมเดินทางเสร็จ จุดหมายต่อไปคือหมู่บ้านบริจต้าทางทิศตะวันออก อันที่จริงก็รู้สึกผิดที่โกหกคุณทอมไปว่ามีภารกิจ ทั้งที่จริงๆแล้วเป็นเป้าหมายส่วนตัวเสียมากกว่า

สองคืนก่อนผมไปเก็บสมุนไพรหายากที่เขาแบรกดิก (Blacdick) ตามคำขอร้องของนักปรุงยาที่หมู่บ้านแห่งนี้ กว่าจะขึ้นเขาจนเกือบยอดเพื่อเก็บของป่าก็ใช้เวลาทั้งวันแล้ว เลยจำเป็นต้องค้างแรมบนเขา ขณะกำลังจะหลับนั่นเองก็มีแสงประหลาดสีฟ้าพุ่งข้ามท้องฟ้า แหวกผ่านก้อนเมฆและหมู่ดาวไปทางทิศตะวันออก ดูท่าจะมาจากทางเมืองหลวงที่ตั้งอยู่กลางประเทศเทอร่า (Terra) แห่งนี้ ผมตาสว่างทันทีด้วยความตื่นเต้น รีบสังเกตทิศทางที่แสงนั้นพุ่งไปและคำนวณจุดตกของแสงนั้นทันที

“อืม...น่าจะแถวๆสุดขอบชายแดนทางตะวันออกเลยแฮะ” ผมพึมพำ แสงนั้นข้ามผ่านหุบเขาสีแดง แล้วสว่างวาบก่อนจะหายไป
 
“เอ...ทางทิศนั้นน่าจะเป็นป่าต้องห้าม ป่าจันทราแน่ๆ” แม้จะอันตรายแต่เลือดนักผจญภัยที่ชอบความท้าทายและเสี่ยงอันตรายมันพลุ่งพล่านเหลือเกิน ไม่ว่าจะการล่าสมบัติ สำรวจสถานที่ใหม่ๆ มันช่างน่าตื่นเต้น ตลอด 6 ปีที่ผจญภัยมาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย…ต้องรีบไปสำรวจให้ได้

วันถัดมากว่าจะลงจากภูเขาและกลับมาส่งของตามคำขอที่ได้รับก็ปาไปตอนพระอาทิตย์เกือบจะตกดิน

“คงต้องค้างที่นี่อีกคืน” ผมเดินทางไปที่โรงเตี๊ยมประจำหมู่บ้าน หมู่บ้านอัลฟี่แม้จะเป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างครบเพราะเป็นจุดพักสุดท้ายก่อนจะออกสู่เขตรอบนอกของประเทศ

เมื่อถึงโรงเตี๊ยมผมรีบสั่งอาหารและเครื่องดื่มด้วยความหิวกระหาย ตอนแรกก็กะจะรีบทานให้เสร็จแล้วไปจองห้องพักเพื่อพักผ่อนก่อนจะออกเดินทางแต่เช้า แต่ตาดันไปสะดุดกับหนุ่มใหญ่หน้าคมร่างใหญ่กำยำราวกับหมีที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโรงเตี๊ยมเข้า
 
แบบนี้แหละ...สเปคเลย โอ้...มองมาทางนี้ด้วย ผมยิ้มด้วยไมตรีจิตให้เล็กน้อย อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับพร้อมยิ้มตอบกลับมา ผมก็ได้แต่ยิ้มเขินๆแล้วทานอาหารต่อ

ไม่นานชายคนนั้นก็ลุกมาขอร่วมโต๊ะด้วย...หมีเริ่มออกล่าแล้วสินะ

พวกเราคุยกันเรื่องทั่วไปจนทราบว่าเขาชื่อทอม เป็นช่างไม้ประจำหมู่บ้าน ยิ่งตอนรู้ว่าผมเป็นนักผจญภัย เรายิ่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติ เพราะเขาเองก็เคยเป็นนักผจญภัยก่อนที่จะโดนลูกธนูปักเข่าจนต้องรามือไป เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดรู้ตัวอีกทีก็ดึกมากแล้ว

“ค่ำคืนอากาศหนาวๆแบบนี้ถ้าต้องนอนคนเดียวมันหนาวนะ เจ้าหนุ่ม สนใจมาพักที่บ้านข้าไหมจะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าที่พักด้วย” เชี่ย...คำเชิญชวนเชยชิบหาย แต่ไม่เป็นไรให้อภัยหมีหล่อ

“จะดีหรอครับคุณทอม รบกวนเกินไปรึเปล่า”

“รบกวนอะไรกัน นานๆข้าจะได้รับรองแขกสักคน คืนนี้ให้ข้าได้ดูแลเจ้าเถอะนะ”

“ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนด้วยนะครับ” แหมได้ที่พักฟรีทั้งทีพร้อมมีหนุ่มใหญ่ร่างหมีแถมมาด้วย จะปฏิเสธได้ยังไง ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าที่พักเป็นของแถมเสียมากกว่า ฮ่าๆ

ผมเดินตามหลังช่างไม้ร่างใหญ่ไปยังบ้านของเขา ระหว่างเดินก็สำรวจสรีระของเจ้าหมีตรงหน้า บ่ากว้างรับกับไหล่หนาสมชายชาตรี กล้ามแขนมัดใหญ่ตามภาษาผู้ที่ใช้แรงกายทำงานเป็นหลัก โดนกอดทีน่าจะรัดแน่นน่าดู แผ่นหลังกว้างเห็นลวดลายกล้ามเนื้อชัดเจนผ่านเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีแดง สายตาไล่ลงไปที่บั้นท้ายกลมคู่นั้น น่าบีบขย้ำจริงๆ

เมื่อเดินถึงที่หมายก็พบบ้านไม้ตั้งอยู่ที่ชายขอบของหมู่บ้าน มีท่อนซุงวางกระจัดกระจายอยู่โดยรอบ เปิดประตูเข้าบ้านไปก็พบห้องนั่งเล่นของบ้าน มีโต๊ะทำงาน เก้าอี้ โซฟาหนังสัตว์ และเครื่องมือช่างวางกระจัดกระจาย

“แหะๆ รกหน่อยนะ” คุณทอมยิ้มแห้งๆ

“สบายมากครับ ไม่ถือสาหรอก แค่ให้ที่ซุกหัวนอนก็บุญคุณเหลือล้นแล้วครับ” ผมฉีกยิ้มตอบกลับไป “ให้ผมนอนตรงไหนดีครับ” ถามลอยๆไปอย่างนั้นแหละ

“แหม แน่นอนว่าต้องเตียงดีๆอยู่แล้ว” เขาเปิดประตูไปอีกห้องหนึ่ง จุดตะเกียงส่องแสงเผยให้เห็นห้องนอนมีเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งเรียบง่าย แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือเตียงขนาดใหญ่ปกคลุมด้วยขนสัตว์มากมาย ถ้าได้ล้มตัวลงนอนคงจะนุ่มสบาย

หมับ!!!

ผมก้าวพ้นประตูห้องนอนไปไม่เท่าไหร่ผมก็โดนแขนแกร่งรวบเอวไปกอด ซอกคอถูกซุกไซร้โจมตีด้วยหนวดเคราอ่อนๆจนเคลิ้ม…ก็เข้าถ้ำหมีมาแล้วนี่เนอะ

“จ๊วบ…เจ้าเป็นนักผจญภัยที่ผิวขาวนุ่มเนียนดีจริงๆ” หนุ่มใหญ่ออกแรงดูดอย่างจาบจ้วงจนทิ้งรอยแดงไว้ มือไม้สอดผ่านชายเสื้อเข้าไปลูบไล้ผิวกาย

“อาห์ มันต้องดูแลดีกว่าปกติครับ อื้อ” ผมครางไปกับสัมผัสของเขา เจ้าหมีนี่ไม่ธรรมดา ลูบไล้จู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวจนแทบจะเข่าอ่อน “ฮึก ฮือ คุณทอมครับ วันนี้ผมเดินลุยลงเขาทั้งวันเลย ขออาบน้ำหน่อยนะครับ” ผมวอนขอด้วยเสียวกระเส่า พวกหนุ่มใหญ่นี่ดีตรงนี้แหละ รู้หมดว่าจะปลุกอารมณ์ยังไง

“อืม…จริงๆข้าไม่ถือสาหรอกนะ กลิ่นกายเจ้าตอนนี้ก็เย้ายวนข้าจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว แต่...” เจ้าหมียกผมขึ้นพาดบ่า “แต่ถ้าอยากอาบจริงๆเดี๋ยวข้าจัดให้เอง ฮ่าๆ บอกแล้วนี่ว่าวันนี้จะดูแลเอง”

“หึหึ นั่นสิครับ”

.......................

เดินทางไปนึกถึงทบทวนเหตุการณ์ของสองวันก่อนไป รู้ตัวอีกทีก็บ่ายแก่ๆแล้ว  แสงแดดอ่อนยามพระอาทิตย์ใกล้ล่วงลับ สายลมเอื่อยๆพัดผ่าน เสียงกิ่งไม้สีกันตามแรงลม การได้เดินทางไปไหนอย่างเสรีไร้พันธะนี่ช่างให้ความรู้สึกที่ดีจริงๆ

ผมรีบเร่งฝีเท้าไปตามถนนกลางป่าเพื่อจะให้ถึงที่พักก่อนอาทิตย์ตกดิน ข้างหน้านั่นมีเกวียนและกลุ่มคน 3-4 คนกำลังชุลมุนอะไรกันอยู่

“เจ้าหนุ่มๆ เจ้าเป็นนักผจญภัยใช่ไหม โปรดช่วยพวกเราด้วย” ทันทีที่เห็นผม หญิงสูงวัยผมขาวรีบเดินตรงมาทีผมอย่างรีบร้อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-12-2018 10:43:12 โดย KPMwolf »

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 2 Unlucky


ณ ที่ไหนก็ไม่รู้กลางป่า

          เห้อ ผมนี่หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ ทั้งๆที่แสงแดดใกล้จะหมดแล้ว แต่ดันต้องมาแกะรอยมอนสเตอร์เข้ามาในป่าด้วยตัวคนเดียว

แบบนี้ แถมยังอาจจะเป็นงานการกุศลไม่มีค่าตอบแทนอีก ต้องโทษนิสัยเสียของตัวเองที่เป็นคนใจอ่อน โดยเฉพาะต่อสายตา

วิงวอนของชายวัยสามสิบต้นๆ ร่างกายกำยำที่ได้รับบาดเจ็บคนนั้น ดูเหมือนคาราแวนกลุ่มนั้นกำลังเดินทางกลับจากการค้าขาย

โดยมีชายหนุ่มคนนั้นคนเดียวทำหน้าที่คุ้มกัน แล้วโดนมอนสเตอร์ดักทำร้ายและขโมยของมีค่าไป


          <งานเสร็จแล้วคงต้องไปเยี่ยมชายคนนั้นสักหน่อยละ หึหึ> ผมคิดเล่นๆในใจขณะที่สายตาสอดส่องหาร่องรอยของพวก

ก๊อบลิน ผมแกะรอยตามที่อาจารย์พรานป่าเคยสอนผมไว้ พร้อมทั้งเคลื่อนที่ตามไปอย่างรวดเร็วให้ไร้เสียงที่สุด ดูจากรอยเท้า

แล้วน่าจะมีกันห้าตัว ด้วยจำนวนเท่านี้ไม่น่ายากเกินไปสำหรับผมคนเดียว

          เจ้ามอนสเตอร์ที่ผมกำลังตามล่าอยู่คือก๊อบลิน เป็นมอนสเตอร์ขนาดเล็กระดับต่ำ พลังกายน้อย มักใช้อาวุธอย่างง่ายเช่น

 มีด ดาบ ธนู พวกมันชอบขโมยของมีค่ามาเก็บสะสมไว้ที่รังของมัน แม้จะอ่อนแอแต่ก็ประมาทไม่ได้เพราะพวกมันชอบจับตัวกัน

เป็นกลุ่ม ถ้าไม่รู้จำนวนที่แน่นอน ขืนผลีผลามบุกเข้าไปอาจโดนรุมฆ่าตายได้ด้วยจำนวนที่มากกว่าของมัน น่าแปลกใจที่มีพวก

ก๊อบลินบริเวณนี้ แม้จะเป็นเขตรอยต่อวงในกับวงนอกของประเทศ พวกทหารและมือปราบไม่น่าปล่อยให้มีเจ้าพวกนี้อาละวาดได้

          ไม่นานนักผมก็เห็นพวกก๊อบลินข้างหน้า โชคดีจริงๆที่แสงยังไม่หมดเสียก่อน

          นับจำนวนได้เพียงสี่ตัว ดูท่าจะแยกตัวออกไปตัวนึง ต้องระวังตัวกว่าเดิมสักหน่อยแล้วสินะ

ผมแอบเคลื่อนที่ไปด้านข้างเพื่อแซงพวกมันอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้พวกมันรู้ตัวเพื่อหาตำแหน่งดีๆดักรอพวกมันไว้ มือขวาถือดาบ

สั้นไว้ มือซ้ายกำมือกระชับถุงมือหนังที่ฝังหินเวทย์รูปไข่ห้าสี เรียงตัวเป็นรูปดาวห้าแฉก ไว้ที่กลางหลังมือ <ใช้เม็ดเดียวน่าจะ

เพียงพอ> ผมคิดในใจ

          จังหวะที่พวกมันกำลังผ่านหน้าผมไปนี่หละ หินสีแดงส่องประกายแสงสีแดงขึ้น ลูกบอลไฟสีแดง ขนาดเท่าหัวคนสองลูก

ปรากฏขึ้นสองข้างตัวของผม พวกก๊อบลินที่พึ่งรู้ตัวแตกตื่นคว้าอาวุธอย่างลนลาน แต่ช้าไปแล้ว ผมยิงลูกไฟลูกหนึ่งไปที่กลางวง

ของพวกมัน

          “บึ้ม” เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว ส่งร่างไหม้เกรียมของก็อบลินสองตัวลอยไปคนละทิศคนละทาง ในขณะที่อีกสองตัวไหว

ตัวหลบทัน กลิ่นเนื้อไหม้น่าสะอิดสะเอียนคละคลุ้งไปทั่ว

          ตัวหนึ่งไม่รอช้าง้างคันธนูยิงลูกธนูมาทิศทางของผม ผมเคลื่อนตัวหลบไปหลังต้นไม้ได้อย่างทันท่วงที “เกือบแม่นแล้ว

นะเจ้าก๊อบลิน” ผมพึมพำเบาๆ

          ชั่วขณะที่มันกำลังขึ้นลูกธนูอีกลูก ผมกระโดดออกจากที่กำบังยิงลูกไฟอีกลูกสวนไป

          “บึ้ม” โดนเข้าอย่างจัง ร่างกายดำเป็นตอตะโกของก๊อบลินตัวนั้นปลิวไปกระแทกต้นไม้ใกล้ๆ

          “ก๊าสสสสสส” ก๊อบลินที่เหลืออีกตัวส่งเสียงคำรามถือมีดพุ่งเข้ามาจากด้านข้าง

          “แกร๊ง” เสียงโลหะกระทบกัน ผมใช้ดาบสั้นรับไว้ได้อย่างทันท่วงทีพร้อมหันฝ่ามือข้างซ้ายไปที่ลำตัวของมัน

          “พรึ่บ” ไฟสีแดงพุ่งออกจากฝ่ามือเป็นสายเผามันทั้งเป็น มันร้องด้วยความเจ็บปวด วิ่งเคลื่อนที่สะเปะสะปะสักพักก่อนจะ

ล้มลงแล้วแน่นิ่งไป

          ถึงจะจัดการหมดสี่ตัวแล้วผมก็ยังไม่วางใจเพราะร่องรอยของพวกมันมีกันห้าตัว ผมตั้งท่าเตรียมต่อสู้ พร้อมทั้งสังเกต

สภาพแวดล้อมรอบตัวเตรียมรับมือกับก๊อบลินที่อาจจะซุ่มซ่อนตัวอยู่หลายนาที แต่ไม่มีท่าทีว่ามันจะออกมา

          แสงของหินสีแดงที่หลังมือดับลงแล้วเปลี่ยนกลายเป็นหินสีเทาเป็นสัญญาณว่าพลังเวทของมันหมดแล้ว

          “ชิ หมดเวลาแล้วสินะ หรือว่าเราจะอ่านรอยผิดไป” แต่ก็ไม่มีเวลาคิดแล้ว ตอนนี้แสงอาทิตย์หมดลงแล้ว มีเพียงแสงไฟ

จากเวทย์มนต์ของผมที่เริ่มมอดลงเท่านั้นที่พอจะให้ผมมองเห็น

          “ต้องรีบหาของที่ถูกขโมยแล้วกลับแล้วหละ” ผมเก็บดาบและพยายามสอดส่องหาถุงสัมภาระที่ถูกขโมยด้วยแสงจาก

เปลวไฟที่ยังหลงเหลืออยู่ “นั่นไง” ผมเก็บสัมภาระบางส่วนที่กระจายอยู่ตามพื้นเข้าถุง แบกขึ้นหลังเตรียมเดินทางกลับ

          “แซ๊กๆๆๆๆ” ด้วยสัญชาตญาณ ผมหันไปหาที่มาของเสียงทันทีพร้อมชักดาบขึ้นมา แสงสีขาววาบพุ่งตรงมาที่ใบหน้าของ

ผม แต่ผมยกดาบขึ้นกันไว้ทัน “ออกมาจนได้” ศัตรูที่ปรากฏขึ้นมาเป็นก๊อบลินขนาดใหญ่กว่าก๊อบลินทั่วไปสองเท่า ตัวสูงพอๆกับ

มนุษย์ “พวกกลายพันธ์งั้นหรอ”

          “ถ้าหน้าข้าเสียโฉมไปจะทำยังไง” ผมพูดติดตลกอีกฝ่ายไม่ตลกด้วย มันฟันดาบมาอีกครั้ง ผมรีบปล่อยมือซ้ายจากถุง

สัมภาระเพื่อใช้สองมือจับดาบรับดาบของอีกฝ่ายไว้ <แรงเยอะจริงๆ> อีกฝ่ายไม่ปล่อยจังหวะให้ว่างส่งลูกถีบไปที่ท้องอย่างแรง

          “อัก” ร่างผมกระเด็นไปกระแทกต้นไม้อย่างแรง มือกุมท้องด้วยความจุก มันไม่รอช้าพุ่งตัวเข้ามาฟันดาบลงมาเป็นแนวดิ่ง

 สองมือรีบกระชับดาบเพื่อป้องกันทันที

          “แกร็ง ครืดๆๆๆ” ก๊อบลินยักษ์ออกแรงกดดาบเกิดเสียงโลหะเสียดสีกันจนบาดหู ใบหน้าของมันกำลังยิ้มโชว์เคี้ยวแหลม

คมหน้าเกลียดหน้ากลัว มันกำลังหยิ่งผยองที่มันกำลังจะได้รับชัยชนะ

          “กรอดดดด” ผมกัดฟันแน่นเอาชนะความเจ็บปวดที่ท้องและหลังเพื่อออกแรงต้านดาบของอีกฝ่ายไว้จนมันหมดความอด

ทน เอามือที่ว่างอีกข้างมาบีบคอแล้วยกจนผมตัวลอย

          “อ๊อก” มันลดดาบลงหวังจะบีบคอให้ตาย <แกพลาดแล้วหละ> ผมแสยะยิ้มทั้งๆที่กำลังจะขาดหายใจ

          ขณะมันทำหน้าแปลกใจ ผมยกมือซ้ายมาจับมือของมันไว้ หินสีเหลืองเรืองแสงขึ้น

          “เปรี้ยะๆๆๆๆๆๆ” เสียงไฟฟ้าช๊อตดังขึ้น กระแสไฟฟ้ามหาศาลไหลผ่านมือผมเข้าสู่ร่างของก๊อบลินยักษ์ ร่างของมันชัก

กระตุกอยู่สักพักก่อนจะหงายหลังล้มลงไป กลิ่นเหม็นไหม้พุ่งเข้าจมูกจนแทบสำลัก

          “แค่กๆๆๆ” ผมเอามือลูบคอตัวเองพร้อมไอสำลักอากาศและกลิ่นเหม็น “เกือบไปแล้วมั้ยหละ”

          “อย่างน้อยชาวบ้านพวกนั้นต้องมีที่ให้ข้าอาบน้ำล้างตัวเท่านั้น” ผมลุกขึ้นเอามือกุมท้องอย่างเสียอารมณ์ “นอกจากเจ็บ

ตัวและใช้หินเวทย์ไปถึงสองเม็ดแล้ว ยังต้องมาตัวเหม็นเนื้อย่างอีก” ผมเก็บถุงสัมภาระแล้วเดินทางไปที่หมู่บ้านที่คาราแวนนั้นรอ

อยู่ทันที

...

ณ หมู่บ้านบริจต้า

          ผมใช้เวลาพอสมควรลากร่างกายสะบักสะบอมของผมจนมาถึงจุดหมาย หมู่บ้านบริจต้า คือจุดนัดพบกับคาราแวนนั้น

และยังเป็นจุดหมายที่ผมตั้งใจไว้ว่าจะเดินทางมาถึงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

          หมู่บ้านขนาดกลางประมาณ 20 ครัวเรือนมีกำแพงไม้สูงล้อมรอบเพื่อป้องกันภัย

          “เห้อ ถ้าไม่หาเรื่องใส่ตัวป่านนี้คงเข้าที่พักนอนสบายไปแล้ว” ผมถอนหายใจ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่สว่างด้วยดาวระยิบ

ระยับ และแสงจันทร์

          “เอ้านี่ ของที่โดนขโมยไป” ผมยื่นถุงสัมภาระให้ชายหญิงสูงวัยที่บ้านของพวกเขา

          “โอ ขอบคุณมาก ขอบคุณท่านมากจริงๆ ท่านนักผจญภัย” ชายแก่รับของไปแล้วเดินไปตรวจนับ

                    ………เงียบ <จะไม่มีอะไรตอบแทนตรูเลยหรอฟระ> ผมยืนหน้านิ่วคิดในใจ

          “ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าลำบาก ดูสิตัวมอมแมมไปหมดเลย มาเดี๋ยวป้าเตรียมที่พักและห้องอาบน้ำให้นะ” หญิงแก่

ผมขาวท่าทางใจดีกล่าวและยิ้มให้พร้อมเดินเข้าไปในห้อง หยิบผ้าขนหนูมายื่นให้ <เออ ต้องแบบนี้สิ>

          “เดี๋ยว!!! มาธาร์ หยุดก่อน ของไม่ครบ” ชายแก่ตะโกนออกมา

          “หะ”

          หญิงแก่นามมาธาร์ชักมือดึงผ้าขนหนูกลับทันที พร้อมทำหน้าโหดเหี้ยม “หนอย เจ้าเด็กเวรนี่คิดจะงุบงิบหรอ” เห้ย ท่า

ทางใจดีเมื่อกี้หายไปไหนหมด

          “ดีนะที่ข้าตรวจนับดูก่อน ไม่เช่นนั้นเสร็จโจรแน่ๆ” ชายแก่กล่าวเสริม

          “เห้ย ข้าไม่ได้ขโมยนะ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในถุงนั้นมีของเท่าไหร่ ข้าแค่กวาดๆเก็บเข้าถุงหลังจากแย่งคืนมาจากพวก

    ก๊อบลินเท่านั้นเอง” ดูท่าจะไม่ดีแล้วแฮะ “ผมให้ค้นตัวและสัมภาระก็ได้ เอ้า” ยื่นข้อเสนอยืนยันความบริสุทธ์ใจ

          “เหอะ พวกข้าไม่หลงกลหรอก พูดแบบนี้ต้องเอาไปซ่อนแล้วกลับไปเก็บแน่ๆ เด็กๆจับมันไปขังแล้วแจ้งผู้ตรวจการเดี๋ยว

นี้” ชายแก่ตะโกนสั่ง

          ผมหันไปมองรอบตัวเห็นชายหลายคนปรากฏตัวพร้อมอาวุธจากประตูรอบห้อง <มาจากไหนเยอะแยะฟระ คนมากขนาด

นี้ไม่เอาไปคุ้มกันแต่แรกวะ>

          อะไรวะ ไม่ได้การแล้ว ยิ่งหงุดหงิดเรื่องกลิ่นตัวอยู่ด้วย นี่ยังมีเรื่องน่าปวดหัวอีกหรอ ผมกำมือซ้ายแน่นกระชับถุงมือ

<อย่าหาว่ารุนแรงละกัน> หินสีฟ้าที่ถุงมือเรืองแสงขึ้น

          “ฟ้าวๆๆๆๆๆ” ลมกรรโชกรุนแรงพัดข้าวของรอบตัวกระจัดกระจาย ชายหลายคนล้มหงายหลังกระแทกพื้น

          “เห้ย เจ้าโจรนี่มันใช้เวทมนต์ได้”

          “เพล้ง” ผมรีบใช้จังหวะชุลมุนนี้ พุ่งตัวออกทางหน้าต่าง แล้วใช้เวทย์ลมเสริมการเคลื่อนที่ให้เร็วขึ้นเพื่อหนีออกจากหมู่บ้าน

          <ไม่น่าปากดีพูดว่าดวงแข็งเมื่อเช้าเลย ให้ตายสิ>

          ขณะกำลังจะพ้นประตูทางเข้าหมู่บ้านนั่นเอง ก็มีชายหนุ่มสวมชุดเกราะขี่ม้าขาวกำลังตรงเข้าหมู่บ้านพอดี

          “ท่านอัศวิน โปรดช่วยจับโจรนั่นด้วย”

          <ชิบหายละ>


...

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 3 The vow

ณ ประตูทางเข้าหมู่บ้านบริจต้า

          ไม่ได้การละ ถ้าเป็นพวกยามหรือชาวบ้านนี่คงไม่กังวลเท่าไหร่ แต่นี่ระดับอัศวินคงตึงมือหน้าดู ต้องหนีเท่านั้น

ผมยังคงพุ่งตรงไปข้างหน้า อัศวินชักดาบออกจากฝักกำลังเตรียมลงจากม้า


          <จังหวะนี้หละ> ผมย่อตัวลงต่ำ เปิดใช้งานหินสีน้ำตาลให้เรืองแสง


          “ครืนนนน” เสาดินพุ่งขึ้นมาใต้เท้าของผมช่วยออกแรงส่งตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงหลายเมตร ผมกระโดดหมุนตัวข้ามหัว

ของอัศวินคนนั้นที่เงยหน้ามองด้วยความตกตะลึง พอสังเกตดีๆก็หน้าตาดีใช้ได้แฮะ หน้าตาหล่อคม เรือนผมสีดำเข้ากับดวงตาสี

ดำคมคาย เสียดายถ้าดูมีอายุมากกว่านี้สัก 10 ปีอาจจะยอมให้จับดีๆก็ได้ แต่ เอ๊ะ สัญลักษณ์ตรงเกราะเหล็กที่ไหล่นั่นมันตรา

ราชสีห์นี่หว่า <นี่มันแย่กว่าที่คิดอีกนะเนี่ย>


          “ตู้ม” ผมควบคุมลมรอบตัวด้วยหินสีฟ้าที่ยังเรืองแสงอยู่เพื่อช่วยในจังหวะลงพื้น แล้วหันไประเบิดพื้นดินเป็นเสาต้นเล็ก

หลายต้นจนฝุ่นตลบไปหมด อาศัยฝุ่นเหล่านี้อำพรางตัวก่อนหนีเข้าไปในป่าใกล้ๆ


          ผมวิ่งลัดเลาะเข้าไปในป่า อาศัยแสงจันทร์ช่วยในการหลบหลีกต้นไม้ หินสีฟ้าเปลี่ยนกลายเป็นสีเทาไปแล้วทำให้ความ

เร็วของผมตกลงไปบ้าง ยังคงได้ยินเสียงฝีเท้าตามมาข้างหลัง <กัดไม่ปล่อยเลยแฮะ อัศวินคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆด้วย>


          “ฟุบ” เสียงบางอย่างแหวกอากาศพุ่งเข้ามา ทันทีที่หันไปดูผมก็ต้องตกตะลึง อัศวินหนุ่มพุ่งตัวปิดระยะเข้ามาด้วยความ

เร็วราวกับลูกศร <ระ เร็วมาก>


          “พลั่ก” อัศวินหนุ่มพุ่งตัวเข้าประชิดเอาไหล่เข้ากระแทก ผมรีบหมุนตัวยกแขนสองข้างตั้งรับไว้ เราสองคนหกล้มกลิ้ง

เกลือกไปตามทางลาดลงของเนิน ทันทีที่ตั้งตัวได้ผมรีบดีดตัวจากพื้นเพื่อตั้งท่าเตรียมต่อสู้


          อีกฝ่ายก็เช่นกัน


          “เจ้าโจรเอ๊ย เจ้าหนีไม่พ้นแล้วหละ” ชายหนุ่มตั้งดาบเตรียมบุกเข้ามา


          ผมเองก็ชักดาบเตรียมไว้เหมือนกัน อะไรกัน กลิ้งลงมาขนาดนั้นชุดเกราะเจ้านั่นไม่มีแม้รอยขีดข่วนเลยเมื่อเทียบกับตัว

ผมที่มอมแมมไปด้วยฝุ่นและชุดบางส่วนขาดรุ่งริ่ง


          “ข้าไม่ได้ขโมยอะไรทั้งนั้น มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด”


          “ถ้าเจ้าบริสุทธิ์จริง จะกลัวแล้วหนีทำไม” โอ้โหพ่อคุณ ก็ถ้ามันง่ายอย่างนั้นผมไม่หนีหรอก “ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ทิ้งอาวุธ

แล้วยอมให้จับซะดีๆ” อัศวินกล่าวต่อด้วยแววตาจริงจัง


          บ้าจริง หินเวทเม็ดนี้ก็ใกล้จะหมดพลังแล้ว แถมบริเวณนี้ไม่มีแหล่งน้ำให้ใช้หินเม็ดสุดท้ายด้วย


          ผมลดปลายดาบลงเล็กน้อยทำท่าเหมือนจะยอมแพ้ เจ้าอัศวินดูแปลกใจเล็กน้อย <จังหวะนี้หละ> ผมตวัดแขนซ้ายยิง

ก้อนดินขนาดใหญ่พร้อมเศษหินก้อนเล็กจากพื้นข้างหน้าพุ่งตรงเข้าหาศัตรู


          อีกฝ่ายไม่มีท่าทางกังวลเลยแม้แต่เล็กน้อย ตวัดดาบฟันก้อนดินขาดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย ยกดาบปัดป้องเศษหิน

ตามที่จำเป็น ส่วนที่เหลือที่กระทบชุดเกราะก็กระดอนออกโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้


          ผมไม่ยอมหรอก อาศัยจังหวะต่อเนื่องจากเมื่อครู่สร้างคลื่นดินขนาดเล็กพุ่งเข้าหาศัตรู อีกฝ่ายขยับหลบอย่างง่ายดาย

 แต่แผนผมไม่จบเท่านี้ เสาดินขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาจากใต้เท้าอัศวินหนุ่มส่งร่างลอยขึ้นไปกลางอากาศ แต่ก็ไม่เป็นผล มันตีลังกา

ลงพื้นอย่างสวยงาม


          และแล้วแสงจากหินสีน้ำตาลก็ดับลงกลายเป็นหินสีเทา <ซวยละไง หมดเวลาแล้ว>


          “อะไรกัน หมดลูกเล่นแล้วรึ” อีกฝ่ายกล่าวเยาะเย้ยเมื่อเห็นท่าทีลนลานของผมพร้อมเดินตรงเข้ามาหา “หมดเวลาเล่น

ของเจ้าแล้วหละเจ้าโจร” อัศวินถีบตัวพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงพร้อมตวัดดาบมาด้วยความรุนแรง


          “เปรี้ยงงง”ผมยกดาบกันไว้ทัน แต่ด้วยแรงมหาศาลผมไม่สามารถต้านไว้ได้ ร่างผมกระเด็นลอยไปกระแทกต้นไม้อย่าง

รุนแรง ดาบหลุดมือกระเด็นไปปักที่ต้นไม้ข้างๆ <ทั้งความเร็วและความรุนแรงแบบนี้นี่มันเวทเสริมกำลังชัดๆ>


          “อึก” จุกและเจ็บไปหมดทั้งตัว ประกอบกับอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้เมื่อเย็น ทำให้ผมไม่สามารถลุกมาสู้ได้อีก


          แม้จะเงยหน้าผมก็ทำไม่ไหว ได้แต่กรอกตามองอัศวินที่เดินเข้ามาในท่าดาบพาดบ่าแบบสบายๆ


          “ข้าบอกแล้วไงถ้าไม่อยากเจ็บตัวให้ยอมข้าดีๆ” มันย่อตัวลงมานั่งยองๆยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเยาะเย้ย

<ชิ อยากต่อยให้ฟันหักชะมัด>


          “เจ้าถูกจับกุมแล้วเจ้าโจรกระจอก”



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2018 18:52:28 โดย KPMwolf »

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 3.2

ณ กลางป่าใกล้หมู่บ้านบริจต้า

          ผมในสภาพสะบักสะบอม สองมือโดนมัดไว้ เดินคอตกตามแรงดึงเชือกของอัศวินหนุ่มที่กำลังเดินนำหน้าฝ่าป่าท่ามกลางแสงจันทร์ ในหัวคิดหาวิธีร้อยแปดพันเก้าหาวิธีหนี

          “นี่พี่ชาย ข้าบอกแล้วไงว่าข้าถูกใส่ความ ข้าไม่ได้ขโมยของชาวบ้านพวกนั้นสักหน่อย” เอาวะ ลองทำตัวดีๆ

          “เอาไว้ไปบอกเจ้าหน้าที่สอบสวนหลังข้าจับเจ้าไปขังเถอะ” ตอบแบบไม่แม้แต่จะหันมามอง น่าหมั่นไส้ชะมัด

          “ชิ ว่าแต่อัศวินมากฝีมืออย่างพี่ชายมาทำอะไรที่เขตบ้านนอกแบบนี้” ข้อนี้สงสัยจริงๆ อัศวินเก่งระดับนี้ไม่มีทางออกจากเมืองหลวงมาที่นี่แน่ๆ

          “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” โอ้ เป็นพวกปากหนักสินะ

          “ตราราชสีห์นั่นเป็นของตระกูล Lyonel สินะ แถมชุดเกราะยังทำจากวัสดุชั้นดีด้วย อัศวินยศสูงแบบนี้ไม่น่าออกมาในเขตนี้นี่หน่า” 1ใน4 ตระกูลใหญ่ที่ปกป้องประเทศและราชวงศ์มาช้านาน ตระกูลแห่งราชสีห์นี้ควบคุมกองทัพอัศวินเกินครึ่งของประเทศ

          “โอ้ รู้มากจริงๆ ทั้งๆที่เป็นโจรกระจอกแท้ๆ”

          “ไม่ใช่โจรเฟ้ย เป็นนักผจญภัยต่างหาก”  แล้วก็ไม่ได้กระจอกด้วย ถึงจะแพ้ก็เถอะ

          “เงียบได้แล้ว!!” มันกระตุกเชือกให้เดินไวขึ้น

          “เหตุผลที่อัศวินยศสูงขนาดนี้ออกเดินทางมาทางนี้ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ จะเกี่ยวกับแสงสีฟ้าที่พุ่งออกมาจากเมืองหลวงไปทางทิศตะวันออกรึเปล่าน้าา”

          “!!!” อัศวินหันขวับมาพร้อมแววตาประหลาดใจ

          “ดูจากสีหน้าแล้วท่าจะเดาถูกแฮะ” เอาวะเริ่มได้เรื่องละ

          “นี่เจ้าเห็นแสงนั้นด้วยรึ”

          “ฮ่าๆ ข้าทำให้พี่ชายสนใจได้แล้วสินะ แน่นอน ไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังคำนวนจุดตกของแสงนั้นไว้แล้วด้วย”

          “บอกสิ่งที่เจ้ารู้มา” สายตาแปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่จริงจัง

          “โอ้ ช้าก่อนสิพี่ชาย เมื่อเรามีสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการเราต้องต่อรองสิ งั้นเรามาสร้างข้อตกลงกันดีมั้ย” โอกาสมาถึงแล้ว

          “......แลกกับชีวิตเจ้าดีมั้ย” อัศวินชักดาบออกมาจากฝักข้างเอว แต่ผมไม่กลัวหรอก

          “โอ้ว อัศวินคุญธรรมสูงอย่างพี่ชายไม่ฆ่าข้าหรอก ไม่งั้นหัวข้าขาดตั้งแต่ตอนขัดขืนแล้ว” ดีไม่ดีร่างอาจกระจุยกระจายศพไม่สวยไปแล้วด้วยซ้ำ

          “ถ้าพี่ชายไม่พาข้าไปส่งชาวบ้านพวกนั้น ข้ายินดีที่จะนำทางไปที่แสงประหลาดนั่น เป็นยังไงน่าสนใจมั้ย”

          “ข้าจะเชื่อโจรอย่างเจ้าได้อย่างไร” สายตาแสดงถึงความลังเล

          “เอ๊ะ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่โจร” คำก็โจร สองคำก็โจรกระจอก

          “คำพูดของข้าคือคำสัญญา” ผมกล่าวต่อ

          “ถ้าเช่นนั้นก็จงสาบานต่อหน้าดาบเล่มนี้ว่าถ้าข้าปล่อยเจ้า เจ้าจะนำทางข้าไปสู่จุดหมายของข้า” อัศวินหนุ่มตั้งดาบขึ้นตรงไว้ด้านหน้า ปลายดาบชี้ฟ้า แสงจันทร์สะท้อนให้เห็นลวดลายอ่อนช้อยสวยงามที่ตัวดาบ สีทองแวววับตัดกับสีน้ำเงินที่โกร่งดาบ ด้ามดาบหุ้มด้วยหนังชั้นดี

           สาบานกับดาบเนี่ยนะ พิลึกชะมัด พวกอัศวินนี่จะอะไรนักหนากับดาบกับเลือดฟระ แต่ก็ช่างเหอะ ตามน้ำไปก่อน

          “แน่นอน ข้าขอสาบาน”

          ทันใดนั้นอัศวินก็ตวัดดาบลงมา

          “เฮ้ย” ผมหลับตาลงด้วยความหวาดเสียว

          “ฉัวะ” เชือกที่มัดมือถูกตัดขาด ปล่อยมือสองข้างเป็นอิสระ

        <ค่อยยังชั่ว ปล่อยสักที> ผมบีบนวดคลายเจ็บข้อมือตัวเองที่ช้ำเป็นรอยเชือก

          “ข้าขอเตือนไว้ก่อนนะว่า”

          “พลั่ก”

          “เฮ้ย นี่เจ้า” ผมอาศัยจังหวะทีเผลอขณะที่เจ้านั่นกำลังเก็บดาบและเชือก พุ่งตัวกระแทกร่างหนาของอัศวินจนหงายหลังตกไหล่ทางสูงชันลงไป แต่คงไม่ตายหรอก

          “ฮ่าๆ ติดกับข้าแล้วหละ” ผมพยุงร่างบาดเจ็บของตนเองออกวิ่ง เมื่อครู่ได้ยินเสียงเหมือนลำธารแถวๆนี้ ถ้ามีแหล่งน้ำหละก็น่าจะพอมีโอกาสหนีได้

          “แกร็งๆๆ” จู่ๆร่างกายก็ขยับไม่ได้ สายโซ่จากไหนไม่รู้มาล่ามตัวไว้ ลมกรรโชกรุนแรงพัดรอบ มิติรอบตัวเริ่มบิดเบี้ยว

           รู้ตัวอีกที เจ้าอัศวินคนเดิมก็ยืนกอดอกอยู่ข้างหน้า หันตัวมองรอบๆก็พบว่าเราอยู่ที่ด้านล่างของไหล่ทางที่ผลักเจ้านั่นตกลงมา

          “นี่มันอะไรกัน ทำไมข้ามาอยู่ตรงนี้ได้”

          “ข้าว่าแล้วว่าโจรอย่างเจ้ามันไว้ใจไม่ได้” อัศวินกล่าวพร้อมยิ้มที่มุมปาก

          “นะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

          อัศวินชักดาบออกมาอีกครั้ง <คราวนี้ตรูตายจริงแน่ๆ>

          “ดาบเล่มนี้มีชื่อว่า Oath keeper คำสาบานใดๆต่อหน้าดาบเล่มนี้จะถูกจดจำไว้ และผู้สาบานจะถูกพันธนาการไว้จนกว่าคำสาบานนั้นจะลุล่วง”

          “หน่านิ๊” ผมอุทานด้วยความตกใจ ของพรรณ์นี้มันอาวุธเทวะภัณฑ์

          ขึ้นชื่อว่าเทวะภัณฑ์แต่จริงๆแล้วคือสิ่งของต่างๆที่มนุษย์นี่แหละเป็นผู้ทำขึ้น อาจจะด้วยวัสดุพิเศษหายากก็ดี หรือวิธีการผลิตที่ใช้เวทมนต์ซับซ้อนก็ดี ของเหล่านี้จะมีอำนาจพิเศษไม่เหมือนใครแฝงอยู่ และมีอยู่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น

          “เจ้าหนีไปไหนไม่ได้แล้วหละ เจ้าโจร” มันยกปลายดาบชี้หน้าผมพร้อมส่งยิ้มจองหองใส่

          “อาวุธระดับเทวภัณฑ์แบบนี้ หรือว่าเจ้าคือ...”

          “ดวงกุดแล้วหละเจ้าโจรกระจอก ใช่แล้ว ข้าคือบุตรแห่งบ้าน Lyonel เร็กซัส ไลโอเนล” อัศวินหนุ่มแนะนำตนเองเสียเต็มยศ

        เร็กซัสชักดาบกลับออกจากหน้าผมเก็บเข้าฝักดาบข้างเอวตามเดิม สายโซ่ตรวนที่ล่ามร่างของผมจางหายไป

   “ปัก” มันปล่อยหมัดเข้ามาที่ท้องคงเพื่อเอาคืน ผมจุกจนตัวงอ

          “ตราบใดที่เจ้ายังไม่บรรลุคำสาบาน ไม่ว่าเจ้าจะหนีไปไหน ข้าสามารถเรียกเจ้ากลับมาอยู่ตรงหน้าข้าได้ทุกเมื่อ ฉะนั้นข้าจะย้ำอีกครั้ง ยอมทำตามที่ข้าสั่งซะดีๆถ้าไม่อยากเจ็บตัว”

          ผมยืนจุกยอมรับชะตากรรม ต่อหน้าเทวะภัณฑ์แบบนี้คงหมดหลทางแล้วจริงๆ <วันนี้มันจะซวยเกินไปแล้ว>

          แต่เหมือนความซวยของผมยังไม่จบเพียงเท่านี้

          “เห้ย พวกมันสองคนทำอะไรกันหนะ” เสียงตะโกนดังจากข้างบนไหล่ทาง ดูเหมือนพวกชาวบ้านจะตามมาทันแล้ว

          “มันต้องเป็นพวกเดียวกันแน่ๆ เห็นยืนคุยกันมาสักพักแล้ว หนอย เจ้าอัศวินนี่มันตัวปลอม จับพวกมันกลับไปให้หมด”

          “ดะ เดี๋ยวก่อนพวกท่าน รับฟังข้าก่อน” อัศวินหนุ่มพูดตะกุกตะกักพร้อมทำหน้าเหวอ

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
รีบมาลงตอนที่ 4 ก่อนจะติดภารกิจมาลงต่อไม่ได้ 2 อาทิตย์

ชอบไม่ชอบยังไง เม้นติได้ครับจะได้นำไปปรับปรุง

คำถามถึงผู้อ่าน : การบรรยายฉาก NC ตอนแรกพอไหวไหมครับ หรือในอนาคตให้ตัดไปที่หัวเตียงดีครับ


Chapter 4 No escape


เวลาเกือบเที่ยงคืน ณ ห้องขังของหมู่บ้านบริจต้า

   ผมนั่งหลับตา สองมือโดนมัดไพล่หลัง เอาหลังพิงกำแพงหิน ก้มหน้า พยายามพักผ่อนเอาแรงหลังจากเหนื่อยล้าและเจ็บ

ตัวมาทั้งวัน ใช่แล้วผมโดนจับตัวมาขังไว้ในห้องขังที่ทางเข้าทำเป็นซี่กรงเหล็ก กำแพงทำจากหิน และมีช่องระบายอากาศเล็กๆ

ติดกรงไว้ อาวุธและสัมภาระโดนยึดไปหมด รวมถึงถุงมือเวทด้วย ยังดีที่ไม่ให้ถอดเสื้อผ้าและเครื่องประดับเช่นสายหนังรัดข้อมือ

ไปจนหมด

   “จ๋อม ตึกๆๆ จ๋อมๆๆ ตึกๆๆ” เสียงน้ำหยดลงถังสลับกับเสียงฝีเท้าดังน่ารำคาญ <เห้อ คิดถึงเตียงนุ่มกับอ้อมกอดอุ่นๆของ

คุณหมีเมื่อวานเหลือเกิน>

   “นี่ เลิกเดินไปเดินมาเสียงดังได้แล้ว ข้ารำคาญ” ผมกล่าวกับคนที่ถูกขังอยู่ห้องตรงข้าม

   ใช่แล้วคนห้องตรงข้ามคือเร็กซัส ในชุดลำลองเดินวนรอบห้องขังรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ มือสองข้างถูกมัดไพล่หลังไว้

เช่นกัน เมื่อไร้ซึ่งเกราะเหล็กทำให้สังเกตรูปร่างได้ชัดขึ้น ร่างสูง ใหญ่ กำยำอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อที่ได้รับการฝึกมาอย่างหนัก

ลำตัวหนากว่าผมเสียอีก

   “เจ้าไม่ต้องมาบ่นเลย เพราะเจ้าแท้ๆเลย ทำให้ข้าต้องมาติดอยู่ในคุกแบบนี้”

   “ตึงๆๆๆ เจ้าสองคนหุบปากได้แล้ว” เสียงผู้คุมเคาะโต๊ะแล้วตะคอกใส่


   คงสงสัยสินะว่าทำไมเราสองคนถึงถูกชาวบ้านจับมาได้ทั้งๆที่มีคุณอัศวินผู้เก่งกาจคนนี้อยู่ด้วย

___________________________________________________________________________


   ขณะที่พวกชาวบ้านทยอยลงจากทางเดินเพื่อที่จะมาล้อมจับพวกเรา เร็กซัสเลือกที่จะยืนอธิบายความบริสุทธ์ของตนให้

ชาวบ้านเข้าใจแทนที่จะต่อสู้หรือหนี พร้อมทั้งแสดงตราประจำตระกูลให้ดู แล้วความซวยก็เกิดขึ้น เกราะไหล่ชิ้นที่มีตราราชสีห์

หลุดหายไปตอนกลิ้งตกลงมา พวกชาวบ้านไม่เชื่อข้อแก้ตัวแล้วรุมจับทันทีโดยที่เจ้านี่ไม่ขัดขืนใดๆ

   “ข้าไม่สามารถทำร้ายชาวบ้านไร้ทางสู้พวกนี้ได้” คือข้ออ้างของอัศวินหนุ่ม


   โอ้ย ผมละปวดหัวจะมาเป็นคนดีอะไรนักหนา ทีกับผมนี่เล่นเอาลุกไม่ขึ้น “เพราะเจ้าคือคนร้าย” และนี่คือเหตุผลที่เจ้านี่อัด

ผมซะยับ

___________________________________________________________________________

                                    
   “เจ้าใช้เวทมนต์ได้ไม่ใช่รึ แอบพาพวกเราออกไปจากที่นี่ไม่ได้รึไง” เร็กซัสกระซิบ


   “ไม่มีถุงมือเวทข้าก็ทำอะไรไม่ได้ เจ้าสิใช้เวทเสริมกำลังแหกคุกออกไปง่ายๆได้ไม่ใช่หรอ” สีหน้าอัศวินหนุ่มดูแปลกใจ

ทันทีเมื่อได้ยินคำว่าเวทเสริมกำลัง

   “มีอะไรที่เจ้าไม่รู้บ้างเนี่ย”

   “ที่ไม่รู้แน่ๆก็ทำไมอัศวินจิตใจใสซื่ออย่างเจ้าถึงมีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้” ผมลืมตาข้างนึงดูหน้าไม่พอใจของมัน

   “อย่าให้ข้าจับตัวเจ้าได้ละกัน” ฮ่าๆๆผมแอบขำในใจ

   “เวทเสริมกำลังของข้ายังไม่สมบูรณ์ใช้ได้กับกล้ามเนื้อทีละไม่กี่มัด จะให้แหกกรงเหล็กนี้ได้ต้องเสริมกำลังถึงครึ่งตัว” มัน

ตอบแล้วนั่งลงทำหน้าครุ่นคิด

      นี่ผมพ่ายแพ้ให้แก่ไอ้เจ้าอัศวินซื่อบื้อไร้ประโยชน์นี่จริงๆหรอเนี่ย

   “เอาหละหนูๆ ทำตัวดีๆ อย่าซนหละ กว่าผู้ตรวจการจะมาถึงคงพรุ่งนี้เย็น อยู่ในนั้นก็ทำตัวสบายๆละกัน ฮ่าๆๆ” ผู้คุมเดินมา

ถากถางก่อนเดินออกไปตามทางเดินเพื่อเปลี่ยนกะ

   ผมยังคงนั่งหลับตาจนกระทั่งเสียงฝีเท้าหายไปและมีเสียงประตูปิดลง เอาหละได้โอกาสแล้ว

   “แผลบ” ผมคายหินเวทสีน้ำเงินที่แอบถอดออกไว้ออกจากปากมากัดไว้ด้วยฟันหน้า หินเวทเรืองแสงสีน้ำเงินออกมา

          น้ำในถังใกล้ๆก่อตัวเป็นสายเคลื่อนที่แหวกอากาศมาที่ตัวผม ผมใช้เวทมนต์สร้างใบมีดน้ำแข็งเพื่อตัดเชือกที่มัดมือออก

เมื่อเป็นอิสระก็ลุกขึ้นยืนแล้วนำหินมาถือไว้บนมือ

       “นะ นี่เจ้าทำได้ยังไง ตลอดเวลามานี้เจ้าซ่อนหินไว้ในปากตลอดเลยงั้นรึ” อัศวินซื่อบื้อ เหมือนพึ่งรู้ตัว ถามขึ้นด้วยความ

ประหลาดใจ

       “ฮ่าๆ แน่นอน ดูไม่ออกหละสิ ปากกับลิ้นข้าทำได้มากกว่าพูดนะ” แล้วทำได้เก่งซะด้วย

       ผมเคลื่อนตัวไปชิดกรงเหล็กเพื่อให้มองเห็นโต๊ะของผู้คุมที่อีกฟากของทางเดิน <นั่นไง> เป้าหมายของผมคือกุญแจห้อง

ขังที่แขวนอยู่ข้างโต๊ะ

       “เจ้าจะทำอะไรหนะ”

       “ช่วยเงียบก่อนได้มั้ย” ผมหันไปเอ็ด เร็กซัสปิดปากเงียบทันที

       ผมควบคุมน้ำให้ไหลเลื้อยเหมือนงูเป็นสายไปตามพื้นจนถึงโต๊ะผู้คุม เปลี่ยนส่วนปลายสายน้ำเป็นกรงเล็บน้ำแข็ง

       “กริ๊ง” สำเร็จ ผมใช้กรงเล็บเกี่ยวกุญแจจากที่แขวนแล้วรีบนำกลับมาทันที ไม่นานนักผมก็เป็นอิสระ

       “โอ้ เยี่ยมมากเจ้าโจ..” ผมหันขวับไปมองหน้าคนปากเสีย “จะ เจ้านักผจญภัย ที่นี่ปล่อยข้าออกเร็วเข้า”

       ผมแสยะยิ้มให้เจ้านั่นทันที

       “โอ้พี่ชายยยย ข้าว่ามันจะไม่ง่ายแบบนั้นหนะสิ” ผมยืนโบกพวงกุญแจในมือไปมาหน้ากรงของชายหนุ่ม เจ้านั่นเริ่มทำหน้าเสีย

       “หมายความว่ายังไง เจ้าจะหักหลังข้าอีกแล้วสินะ”

       “ข้อตกลงของเราคือให้ข้านำทางไปถึงจุดหมายของเจ้า ถ้าเจ้าติดอยู่ที่นี่แบบนี้จนข้านำทางไปไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ความผิด

ของข้ารึเปล่า”

       “แคว้ก” อัศวินกระชากแขนสองข้างออกจากกันฉีกเชือกทิ้งอย่างง่ายดาย แล้วรีบพุ่งมาคว้าตัวผมผ่านลูกกรง แต่ผมคาด

การณ์ไว้แล้วจึงขยับตัวถอยหลังเพียงก้าวเดียวเพื่อให้พ้นระยะแขนของอีกฝ่าย

       “เจ้าคิดว่าจะหนีไปได้ง่ายๆหรอ ลืมไปแล้วหรอไงว่าข้าสามารถใช้ Oath keeper เรียกเจ้ากลับมาได้ทุกเมื่อ” มันกัดฟัน

กรอดจ้องผมด้วยความเคียดแค้น

       “นั่นก็ใช่ แต่ถ้าข้าเอาดาบเล่มนั้นติดตัวไปด้วยหละ” อัศวินหนุ่มหน้าถอดสีทันที

       ฮ่าๆๆ ผมหัวเราะในใจ สะใจจริงๆ คุ้มค่าจริงๆที่ได้เห็นท่าทางอวดดีของเจ้านี่หายไปหมด

       “เจ้าคิดจะขโมยสมบัติประจำตระกูล Lyonel งั้นรึ คิดให้ดีๆนะ ทางตระกูลไม่ปล่อยให้เจ้าลอยนวลแน่”
       
       “หึหึ ข้าเองก็ไม่อยากให้เกิดเหตการณ์เช่นนั้นเหมือนกัน ข้าจึงมีข้อเสนอมาให้”

       “…..”

       “ถ้าข้าปล่อยเจ้าออกมา เจ้าต้องปลดปล่อยข้าจากพันธนาการของ Oath keeper และไม่มาตามรังควานข้าอีก” ถึงจะตะ

หงิดๆตรงที่คำสาบานนั่นจะเป็นโมฆะรึเปล่าทั้งๆที่ผมยังโดนจับมาขังแบบนี้ แต่เพื่อความมั่นใจผมต้องกันไว้ก่อน

       “…”อัศวินยังคงเงียบไม่โต้ตอบอะไร เอาจ้องผมด้วยสายตาโกรธแค้น

       “เวลาไม่คอยท่านะพี่ชาย” ผมหันไปมองที่ประตูทางเข้าห้องขัง

       “เออๆ” มันกล่าวอย่างเสียมิได้

       “เออ อะไร”

       “ข้ายอมก็ได้”

       “ยอมทำอะไร”

       “ข้าจะปล่อยเจ้าจากพันธนาการและไม่รังควานเจ้าอีก”

       “สาบานด้วยเกียรติของอัศวินด้วยสิ”

       “ข้าสาบานด้วยเกียรติของข้า” มันกระแทกเสียงด้วยความโกรธจัด

       “ดี ว่าง่ายแบบนี้เรื่องก็จบนานแล้ว” สนุกชะมัดเลย

___________________________________________________________________________

                                    
       “อื้อๆๆ” เสียงร้องอู้อี้ของผู้คุมห้องขังลอดผ่านผ้ามัดปาก ผมจัดการมัดมือมัดเท้ามัดปากเจ้าผู้คุมคนใหม่ไว้หลังจากดักจู่

โจมและเค้นข้อมูลที่เก็บสัมภาระ โดยที่เจ้าอัศวินซื่อบื้อไม่ได้ช่วยอะไรเลย

       “โปรดอภัยให้ข้าด้วยท่านลุง แต่ข้าจำเป็น” เร็กซัสเอ่ยขอโทษพร้อมโค้งคำนับก่อนปิดประตูห้องขังแล้วตามผมออกมา ผม

กรอกตามองบนแล้วกลับมาตั้งใจสอดส่องทางเดินด้วยความระมัดระวังอาจจะเพราะโชคช่วย หรือไม่ก็เพราะเป็นหมู่บ้านไม่ใหญ่

ทำให้ขาดคนเฝ้ายาม พวกเรามาถึงห้องเก็บสัมภาระที่ถูกยึดไว้ได้อย่างราบรื่น

       ผมจัดแจงเกราะอ่อน ดาบสั้นและถุงมือหนังเข้าที่อย่างรวดเร็วแล้วแบกกระเป๋าสัมพาระขนาดเล็กไว้ที่หลัง จากนั้นเอาตัว

ไปแนบข้างประตูเพื่อเฝ้าระวังระหว่างที่เร็กซัสกำลังสวมเกราะ

       “นี่ เราไม่มีเวลาทั้งคืนนะ เร็วหน่อยได้มั้ย”

       “การสวมเกราะไม่ใช่เรื่องง่าย อยากให้เร็วก็มาช่วยข้าซะสิ” แม้จะไม่ใช่เกราะเหล็กแบบฟูลเพลท แต่การจะสวมใส่ด้วยตัว

คนเดียวดูลำบากเอาการอยู่

       <ถนัดเวลาช่วยถอดมากกว่าหวะ> ผมคิดในใจ สายตาเฝ้ามองทางเดินต่อ

___________________________________________________________________________
                                    

       ในที่สุดเราก็มาถึงประตูทางออกเรือนจำ บ้านเรือนรอบข้างดับไฟหมดแล้วเหลือแต่คบเพลิงตามทางเดิน ได้ยินเสียงฝีเท้า

บนพื้นหญ้าอยู่ไกลๆ

       “พวกเราจะหนีออกไปยังไง” อัศวินในชุดเกราะเต็มยศถาม

       “คงต้องย่องออกจากหมู่บ้านให้ได้โดยไม่ให้พวกชาวบ้านรู้ตัว แล้วมุ่งไปทางทิศตะวันตกเพื่อเข้าไปหลบในป่า” พื้นที่รอบๆ

หมู่บ้านเป็นทุ่งหญ้าโล่งบนที่ราบ มีเพียงทางทิศตะวันตกที่เป็นป่าที่ผมพึ่งเดินทางมา ส่วนถนนเชื่อมไปที่เมืองเทรโร่ (Trero)

ทางทิศตะวันออกนั้นเป็นทางโล่งจะโดนชาวบ้านตามจับเอาได้ง่ายๆ

       “แต่เราต้องเดินทางไปทางทิศตะวันออกไม่ใช่รึ”

       “ทางตะวันออกเป็นทุ่งหญ้าโล่งๆ ถ้าโดนตามทันจะไม่มีที่หลบซ่อน” ผมแย้ง

       “งั้นรึ”

       ผมจำได้ว่าเรือนจำตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ไปที่ทางออกทางเหนือน่าจะง่ายที่สุด

       “เอาหละ ตรงไปทางทิศนี้จนถึงออกจากหมู่บ้านแล้วค่อยลัดเลอะไปตามกำแพงหมู่บ้าน ตามมาเงียบๆหละ”

       “….” เออ เงียบดีมาก

       ผมรีบเคลื่อนที่ลัดเลาะไปตามตรอกซอยให้เร็วที่สุดและเงียบที่สุด แต่ก็ทำได้ค่อนข้างลำบากเพราะอาการปวดร้าวทั้งตัว

จากการต่อสู้

       <เอาหละใกล้แล้ว ว่าแต่ทำไมเจ้านี่มันเงียบดีจนเกินไปแฮะ> ผมหันกลับไปหาอัศวินหนุ่มแต่พบความว่างเปล่า “เฮ้ย มัน

หายไปไหนวะ” ผมอุทานเบาๆ

       “วี๊ดดดดดด” เสียงผิวปากดังกังวานไปทั่วหมู่บ้าน

       “ไอ้บ้านั่นทำเชี่ยไรวะ” ผมสบถด้วยความตกใจ

       “เห้ย เสียงไรหนะ” เสียงชาวบ้านเริ่มแตกตื่นเมื่อมีเสียงประหลาดดังขึ้น ไฟบ้านเริ่มสว่างขึ้นทีละหลังๆ

       “เห้ย นั่นมันเจ้าโจร มันแหกคุกออกมาแล้วรีบตามจับมันเร็วเข้า” ชาวบ้านคนหนึ่งพบตัวผมเข้า รีบตะโกนเรียกพวกพ้อง

 พร้อมทั้งหยิบอุปกรณ์ทำสวนข้างกายมาเป็นอาวุธ

       “บ้าเอ้ยแผนเสียหมด ไอ้อัศวินซื่อบื้อนี่” ผมสบถด้วยความโมโห แล้วรีบออกวิ่งไปที่ทางออกของหมู่บ้าน เสียงฝีเท้าชาว

บ้านกรูกันตามผมมา “แฮ่กๆ บ้าที่สุด ร่างกายเราจะไม่ไหวแล้ว”

       “กุบกับๆๆ” เสียงม้าวิ่งตามหลังมา

       “ขี่ม้าไล่เลยเรอะ แบบนี้ไม่ทันแน่ๆ” ชั่วอึดใจตัวผมก็โดนคว้าที่เสื้อตรงหลังแล้วยกจนตัวลอย ร่างกายโยกไปมาตามจังหวะ

วิ่งของม้า ผมหันขึ้นไปดูคนขี่ก็พบว่าเป็นเร็กซัสนั่นเอง

       “เพียงเท่านี้พวกชาวบ้านก็ตามไม่ทันแล้วหละ” อัศวินกล่าวขณะยกตัวผมไว้ด้วยแขนเดียว
       
       “เออๆ อย่ามัวแต่ลีลา รีบดึงข้าขึ้นไปสิ” ผมกล่าวด้วยความโล่งอก

       “มันไม่ง่ายแบบนั้นมั้ง ไอ้น้องชาย” บัดซบนี่มันจะเอาคืนตอนนี้เนี่ยนะ

       “...” ผมกัดฟันแน่น คาดเดาได้เลยว่ามันจะพูดว่าอะไร

       “ถ้าข้าช่วยเจ้า เจ้าก็ต้องช่วยข้า ถูกมั้ย”

       “เออๆๆ” ผมกล่าวอย่างเสียไม่ได้

       “เออ อะไร” หนอยยยยย

       “เออ ข้าสัญญาว่าจะนำทางให้เจ้า ดึงข้าขึ้นไปซะที”

       “ดี ว่าง่ายแบบนี้เรื่องก็จบนานแล้ว” มันกล่าวพร้อมยิ้มที่มุมปาก

       และแล้วการผจญภัยของอัศวินหนุ่ม และนักผจญภัยผู้โชคร้ายก็เริ่มต้นขึ้น เสียงควบม้าค่อยๆห่างออกไปและหายไปกับ

ความมืดของรัตติกาล


ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ไม่ได้อ่านวาย แฟนตาซีจ๋าขนาดนี้มานานแล้ว น่าสนุกดีครับ

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 5 Nice to meet you

รุ่งเช้า ณ ถนนเชื่อมไปยังเมืองเทรโร่


   พวกเราขี่ม้ามาทั้งคืนจนรุ่งเช้า แสงตะวันสีส้มอ่อนลอยพ้นขอบฟ้าส่องแสงอบอุ่นมาสัมผัสร่างกายของผม ผมโงนเงนไปมา
ตามแรงควบของม้า ผมกำลังจะพ่ายแพ้ให้กับความเหนื่อยล้าและปวดร้าวของร่างกาย

   “ขอหยุดพักก่อนได้มั้ย” ผมตบบ่าอัศวินหนุ่ม ผมแทบจะประคองตัวเองไม่ให้ร่วงจากม้าไม่ไหวแล้ว

   “ได้สิ วิ่งมาทั้งคืนแล้วด้วยให้ฟรีดได้พักบ้างก็ดี”

   <ใครคือฟรีดวะ> แต่ไม่ใช่เวลามาสนใจ

   “ลงจากทางถนนไปทางนั้นน่าจะมีลำธารเล็กๆอยู่ เราไปพักทางนั้นได้”

   “เจ้ารู้จักภูมิประเทศแถวนี้น่าดูเลยนะ”

   “แน่สิ เหนือ ใต้ ออก ตก ข้าเดินทางมาหมดแล้ว” 6 ปีแล้วที่ผมเดินทางหาสิ่งท้าทายใหม่ๆไปทั่ว

   “ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรยังไม่ได้แนะนำตัวเลย”

   นั่นสินะ ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย “รอส (Ross)”

   “รอสเฉยๆงั้นหรือ”

   รอส อะไรดีนะ รอส สมิท(Smith) ดีมั้ยโหลดี หรือรอส ดอว์สัน(Dawson)ดี แต่ของจริงไม่สั้นนะ หรือจะรอสโซ่ดี(Rosso)

   “เออ รอส เฉยๆนั่นแหละ”

   “ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้นก็ตามใจ อย่างที่ข้าบอกไป ชื่อของข้าคือเร็กซัส แห่งตระกูลไลโอเนล เรียกว่าเร็กซ์เฉยๆก็ได้ ส่วนนี่ฟรีด้อม หรือ ฟรีด” อัศวินแนะนำตัวเองอีกครั้งและม้าขาวของมัน

   “โอ้ ให้เรียกชื่อย่อเลยเรอะ จะให้ความสนิทเกินไปรึเปล่า พึ่งพบกันไม่ถึงวันด้วยซ้ำ”

   “ยังไงเราก็ต้องเป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปอีกสักพักอยู่แล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไร”

   <จร้าๆ พ่ออัศวินผู้สูงศักดิ์แต่ไม่ถือตัว> ผมมองแผ่นหลังของเจ้านี่ด้วยความหมั่นไส้

   ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงลำธารเล็กๆล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้าโล่งและต้นไม้ไม่กี่ต้น

   เร็กซ์พลิกตัวกระโดดลงจากม้าอย่างคล่องแคล่ว ในขณะที่ผมค่อยๆหย่อนตัวลงมาอย่างทุลักทุเล <เกลียดการขี่ม้าชะมัดเลย ขึ้นลงก็ยาก นั่งก็ไม่สบาย ควบอย่างอื่นยังดีซะกว่า>

   ไม่ทันตั้งคัวก็มีแขนมาสอดใต้รักแร้ผมเพื่อออกแรงพยุง

   “อย่าฝืนเลยหน่า เจ้าโดนข้าซัดไปขนาดนั้นยังเดินอยู่ได้นี่ถือว่ามหัศจรรย์มากเลยนะ อึดใช้ได้หนิ”

   “ชิ” ทันทีที่เท้าผมถึงพื้นผมก็สะบัดแขนแยกตัวออกมาอย่างเสียอารมณ์ “มันแน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่ใช่พวกกระจอกสักหน่อย”

   ผมเดินตรงไปที่ต้นไม้ข้างลำธารขณะที่เจ้านั่นกำลังจัดแจงสัมภาระที่ม้าของตน ปลดอาวุธและกระเป๋าสัมภาระออกวางไว้ที่โคนต้นไม้ต้นใหญ่ เริ่มปลดเกราะอ่อนที่ทำจากหนังออกและถอดชุดเปื้อนฝุ่นและขาดรุ่งริ่งจนเหลือแต่กางเกงชั้นใน หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กติดตัว แล้วเดินตรงลงลำธารทันที

   น้ำใสหลายเย็นเห็นตัวปลา ว่ายแหวกปทุมาอยู่ไหวๆ เดี๋ยว! ไม่ใช่ละ

   ผมเดินฝ่าสายน้ำที่เย็นกำลังดีลงไปจนถึงครึ่งตัว ความเย็นของน้ำช่วยชำระล้างความเหนื่อยล้าออกและฟื้นคืนความสดชื่นกลับมา ผมใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าและลูบไปตามลำตัว

   “อึก” ผมกัดฟันทนเจ็บเมื่อกดเช็ดตามบาดแผลและรอยฟกช้ำที่คอ ท้อง และลำตัว

   จากนั้นจึงยกมือขวาขึ้นมาแล้วเอามือซ้ายมาวางที่สายรัดข้อมือหนังที่ข้อมือข้างขวา เพ่งสมาธิไปที่สายรัดข้อมือเวทมนต์ เกิดแสงออร่าสีเขียวอ่อนสว่างขึ้นรอบตัวผมจนน้ำรอบตัวเป็นสีเขียวอ่อนๆ รอยฟกช้ำจางลงเล็กน้อย ความเจ็บปวดบรรเทาลดลงไป แม้จะไม่หายเป็นปลิดทิ้งแต่ก็ช่วยให้สบายตัวขึ้นมาระดับหนึ่ง

   “เวทมนต์ฟื้นฟูสินะ” เสียงของเร็กซ์เรียกสติผมกลับมา เมื่อผมหันไปดูก็พบเจ้านั่นกำลังนั่งแทะผลไม้อยู่ด้วยมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งถือผลไม้ป้อนให้ฟรีด้อมที่กำลังแทะอย่างเอร็ดอร่อยจากข้างหลัง สายตามองผมด้วยความสนอกสนใจ

   ใช่แล้วสายรัดข้อมือเวทมนต์เป็นอีกหนึ่งของวิเศษที่ผมพกติดตัวไว้ มันมีอำนาจช่วยฟื้นฟูร่างกาย ถึงแม้ประสิทธิภาพจะไม่เท่าเวทมนต์รักษาที่พวกจอมเวทย์ขาวใช้ แต่ก็เพียงพอให้ผมเดินทางได้สะดวกขึ้น ที่ผมยังเดินอยู่ได้เพราะมันนี่แหละ ไม่เช่นนั้นคงนอนพักฟื้นบนเตียงไปไหนไม่ได้ไปแล้ว

   “ทำไมเจ้าที่ไม่ใช่จอมเวทย์ถึงสามารถใช้เวทมนต์ได้”

   ปกติคำถามแบบนี้ผมจะไม่ตอบเพราะต้องเก็บความสามารถของตนเองไว้เป็นความลับ ไม่เช่นนั้นผู้คนอื่นๆอาจจะล่วงรู้จุดอ่อนของผมได้ แต่ไหนๆต้องเดินทางกับเจ้านี่อีกสักพัก บอกให้มันรู้ไว้ก็ดีจะได้ไม่พาผมไปทำอะไรที่เสี่ยงเกินไป

   “ข้ามีสายเลือดของจอมเวทย์อยู่บ้าง ถึงจะไม่มากพอที่จะทำให้ใช้เวทมนต์ได้อย่างอิสระ แต่ก็พอทีจะควบคุมอุปกรณ์เวทมนต์ได้”

   “ถุงมือหนังนั่นเป็นเทวภัณฑ์สินะ”

   “มันเป็นสมบัติไม่กี่ชิ้นที่ข้านำติดตัวมาด้วย อานุภาพของมันยังห่างชั้นจากเทวภัณฑ์มาก เพราะข้อจำกัดในการใช้งาน ถุงมือจะฝังหินเวทมนต์ไว้ห้าเม็ด มันสามารถทำให้ข้าควบคุมธาตุพื้นฐานทั้งห้าอันประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ และสายฟ้าได้ชั่วขณะ ก่อนที่จะต้องรอประมาณครึ่งวันเพื่อให้พลังเวทย์ของมันฟื้นกลับมา” ผมพูดขณะเริ่มใส่ชุดสะอาดที่พกติดตัวมาด้วยพลางจ้องไปที่ถุงมือที่หินสีแดงและเหลืองกลับมามีสีอีกครั้ง

   “ฮ่าๆ ผลงานข้านี่ไม่เลวแฮะ” อัศวินกล่าวขณะจ้องมาที่แผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยช้ำจางๆของผม “แล้วรอยที่คอนั่นหละ”

   “ได้มาตอนสู้กับก๊อบลิน”

   “ก๊อบลินตัวเล็กจะไปคว้าคอเจ้าได้ยังไง”

   “พวกกลายพันธ์หน่ะ”

   “แล้วรอยจ้ำแดงๆที่ต้นคอกับอกเจ้านั่นหละ” มันถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
   
   “รอยจากหมี”

   “โอ้ เจ้าผ่านมาสองศึกก่อนมาประมือกับข้าเลยหรอเนี่ย ข้าชักอยากลองดวลกับเจ้าอีกทีตอนเจ้าหายดีแล้วสิ” หะ นี่มันบื้อขนาดนั้นเลยหรอ

   ผมรีบหันหลังให้มัน “เลิกถามได้แล้ว จะดวลอะไรอีก” ไอ้บ้านี่ สำรวจร่างผมอยู่ได้ ผมรีบแต่งตัวจนเสร็จ

   “ฮ่าๆ โอเคๆ ว่าแต่เราจะเดินทางยังไงต่อ ไหนเจ้าว่ามาซิว่าแสงนั่นไปตกที่ไหน”

   อ่าจริงสินะ มัวแต่วุ่นวายเลยไม่ได้คุยเรื่องนี้เลย ผมนั่งลงหยิบขนมปังจากกระเป๋าขึ้นมาทาน

   “ทำไมเจ้าถึงเชื่อข้าเรื่องแสงนั่น” ผมถามกลับด้วยความสงสัย ทั้งๆที่หลายครั้งมันดูระแวงผมด้วยซ้ำ

   “เพราะข้าควรจะเป็นคนเดียวที่เห็นแสงนั่น”

   “มันคืออะไร”

   “บททดสอบของข้า”

   ไม่ทันที่ผมจะอ้าปากถามต่อเจ้านั่นก็พูดแทรกขึ้นมา “ไว้ข้าจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง แต่ช่วยตอบคำถามข้าก่อน”

   “แสงนั่นไปตกที่ป่าจันทราที่อยู่ทางทิศตะวันออกของประเทศ รอบล้อมด้วยหุบเขาสีแดง ข้าตั้งใจไว้ว่าจะเดินทางผ่านช่องแคบสองสีไปทางตะวันออกเฉียงใต้เพื่ออ้อมหุบเขาสีแดงไปจนถึงเมืองเอนดิลอน (Endilon) แล้วจึงขึ้นเหนือไปถึงป่าจันทรา” มันฟังผมอธิบายอย่างตั้งใจ

   “ใช้เวลาเท่าไหร่”

   “น่าจะประมานสองสัปดาห์ แต่ถ้ามีม้าน่าจะเร็วกว่านั้นพอสมควร”

   “ข้าเคยอ่านรายงานเกี่ยวกับป่าจันทรา มันเป็นป่าต้องห้ามเพราะมีเวทมนต์ประหลาดปกคลุม การจะเข้าไปไม่ใช่เรื่องง่าย” เร็กซ์ทำท่าครุ่นคิด

   “ก็ถ้าเจ้ารู้ฤกษ์ยามที่เข้าไปได้ก็ไม่มีปัญหา” มันจ้องหน้าผมด้วยความสงสัย “ข้าเคยเข้าไปในป่าจันทรากับอาจารย์ของข้าเมื่อนานมาแล้ว หากเข้าป่าไปในเวลาที่เหมาะสมเวทนมต์ของป่าจันทราจะไม่มีอันตราย” ผมอธิบายต่อ

   “เวลาใดรึ”

   “ไว้ใกล้ถึงป่าข้าจะอธิบายอีกทีแล้วกัน เจ้าทานเสร็จแล้วใช่มั้ย เดินทางต่อกันเลย” ผมกล่าวหลังทานขนมปังหมด

   “หืม พึ่งพักไม่นาน ไหวแล้วหรอ”

   “ได้ล้างตัวแล้วสบายขึ้นแล้วหละ รีบเดินทางให้ถึงเมืองก่อนค่ำเถอะ”

   อัศวินไม่กล่าวอะไรต่อ พวกเราเก็บสัมภาระ ขึ้นม้าแล้วเดินทางต่อทันที

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 6 Main quest

ณ ถนนเชื่อมไปยังเมืองเทรโร่

          “เจ้าพอจะรู้เกี่ยวกับพิธีคัดเลือกรัชทายาทใช่มั้ย” เร็กซ์เอ่ยขึ้นมาหลังจากเดินทางมาสักพัก

          “อื้อ ก็พอรู้มาบ้าง” ตามปกติเพื่อให้ทางราชวงศ์และขุนนางใกล้ชิดกันมากขึ้น กษัตริย์จะจัดพิธีสมรสให้กับโอรสและธิดากับลูกหลานของขุนนาง

          “อย่างที่เจ้ารู้ รัชสมัยนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา องค์ราชาไม่มีโอรส มีเพียงพระธิดาคนเดียว ทำให้การคัดเลือกคู่สมรสครั้งนี้สำคัญมาก เพราะนอกจากจะได้รับการอุปถัมภ์จากราชวงศ์แล้ว ยังมีโอกาสได้ขึ้นเป็นราชาคนถัดไปด้วย สิทธิการเข้าร่วมการคัดเลือกจึงตกอยู่กับบุตรชายคนโตของสี่ตระกูลใหญ่ของประเทศเท่านั้น”

          อ่า นั่นสินะ พึ่งจะนึกได้เหมือนกันว่าถึงอายุที่องค์หญิงจะต้องสมรสแล้ว ยิ่งสำคัญขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจที่ผู้มีสิทธิจึงต้องเป็นคนในสี่ตระกูลนี้เท่านั้น

          ตระกูลอัศวินแห่งตะวันออกผู้ถือตราราชสีห์ ตระกูล Lyonel

          ตระกูลจอมเวทย์แห่งทิศเหนือผู้ถือตรามังกร ตระกูล Dragonus

          ตระกูลพลธนูแห่งทิศตะวันตกผู้ถือตรากริฟฟิน ตระกูล Hawkeye

          และตระกูลช่างประดิษฐ์แห่งทิศใต้ผู้ถือตรากระทิง ตระกูล Blackhorn

          สี่ตระกูลใหญ่ที่คอยปกป้องดูแลประเทศและราชวงศ์มาช้านาน

          “และเนื่องจากองค์หญิงเดลิซา (Deliza) มีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งจนได้รับขนานนามว่าเทพธิดาพยากรณ์ องค์หญิงจึงขอเป็นคนคัดเลือกเองด้วยการทดสอบที่ต่างออกไปจากที่ผ่านมา” อัศวินกล่าวต่อ

          เห้อ น่าสงสารเจ้านี่จริงๆ จะเข้าไปติดในบ่วงของชีวิตคู่ทั้งทียังต้องลำบากอีก

          “แล้วบททดสอบคืออะไร โยนของออกไปสุดขอบประเทศแล้วให้คาบกลับมาหรอ” ผมพูดขำๆ

          “ชิ้ง” อีกฝ่ายไม่ขำด้วย กระตุกดาบออกจากฝักเล็กน้อย ผมยกมือสองข้างขึ้นทำท่ายอมแพ้

          “องค์หญิงดึงพลังครึ่งหนึ่งออกจากเทวภัณฑ์ประจำตัวของแต่ละคนและกระจายออกไปรอบประเทศ ภารกิจคือการตามหาพลังอีกครึ่งหนึ่งนั้นแล้วกลับไปรายงานตัวภายใน 1 เดือน”

          <มันก็คือการคาบของกลับมานั่นแหละ> ผมคิดในใจ

          “การทดสอบนี้ไม่ใช่เพียงการตามหาอีกครึ่งหนึ่งของเทวภัณฑ์ของพวกท่าน การเดินทางของพวกท่านจะเต็มไปด้วยอุปสรรคเพื่อทดสอบให้พวกท่านตระหนักถึงความประสงค์ที่แท้จริงของตนเอง คือสิ่งที่องค์หญิงกล่าวไว้” อัศวินกล่าวต่อ

          “บอกตรงไปตรงมาไม่ได้หรอไง ทำไมต้องเป็นปริศนาด้วย” เร็กซ์ไม่ตอบอะไร “ตระกูลของเจ้าก็ใหญ่ทำไมถึงไม่มีผู้ติดตามหละ”

          “องค์ตจริงบอกว่าการเดินทางคนเดียวจะทำให้ำด้คิดทบทวนอะไรดีขึ้น”

          “อ่าว แล้ว…” ผมยังพูดไม่ทันจบ

          “แต่สามารถหาเพื่อนร่วมเดินทางระหว่างทางได้” เร็กซ์ดักคอก่อนผมจะถามว่าลากผมมาด้วยทำไม

          “เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแสงนั้นตกที่ไหน เจ้าจะหาเจอได้ยังไงถ้าไม่บังเอิญเจอข้า”

          “สิ่งที่เคยเป็นหนึ่งเดียว เมื่อแยกเป็นสองจะเรียกหากันและกัน” เห้อ ปริศรนากำกวมอีกละ พูดง่ายๆว่าใช้ดาบนั่นแหละนำทางไม่ได้หรอไง โวะ พวกผู้หญิงนี่ชอบพูดให้งง

          “ลำบากลำบนตั้งมากมาย คงรักองค์หญิงมากสินะ”

          “…..” อัศวินนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร

          เจ้านี่นี่มันบื้อจริงๆ แทนที่จะเงียบจนเดาได้แบบนี้สู้โกหกมายังจะฟังดูดีซะกว่า แต่ก็อย่างว่าแหละ เป็นลูกขุนนางจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ยังไง


          ณ เมืองเทรโร่


          แสงสีส้มเข้มยามตะวันคล้อยตกกระทบกำแพงหินขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบเมืองเทรโร่ไว้ สิ่งปลูกสร้างน้อยใหญ่เรียงรายกันอย่างมีระเบียบปรากฏให้เห็นทันทีที่ผ่านพ้นประตูเมือง

          ในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึงเทรโร่ก่อนพระอาทิตย์จะตกพอดี เมืองตั้งอยู่ปากทางผ่านหุบเขาสองสีซึ่งเป็นเส้นทางการค้าไปยังทิศตะวันออกของประเทศ ทำให้เป็นเมืองที่ค่อนข้างคึกคักตลอดเวลาด้วยร้านรวงต่างๆ เพราะคาราแวนค้าขายมักจะมาแวะพักที่นี่เสมอ

          ผมนำทางไปหาโรงเตี๊ยมทันทีเพื่อหาที่พัก แน่นอนว่าให้คุณอัศวินเป็นคนจ่าย ซึ่งมันก็ยอมแต่โดยดี

          “เจ้าหาอะไรทานแล้วพักผ่อนได้เลยนะ ข้าจะออกไปข้างนอก” ผมกล่าวหลังจัดแจงเก็บสัมภาระเข้าห้องพัก

          “จะไปไหน” เร็กซ์ถามขณะนั่งถอดชุดเกราะอยู่บนเตียง

          “ไม่หนีไปไหนหรอกหน่า แค่ไปหาคนรู้จัก” ผมไม่รอคำตอบ ตรงออกจากห้องพักทันที

          ผมเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยอย่างชำนาญ เพื่อหลบเส้นทางหลักที่แน่นไปด้วยผู้คนที่กำลังเดินชมสินค้าตามร้านแผงลอยแม้จะเริ่มค่ำแล้วก็ตาม ผมเคยอาศัยอยู่เมืองนี้อยู่พักหนึ่งทำให้ค่อนข้างคุ้นชินกับผังเมือง เป้าหมายของผมคือกิลนักผจญภัย

          ตึกไม้สองชั้นขนาดใหญ่ติดตราสัญลักษญ์ดาบและโล่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองคือสถานที่รวมตัวของนักผจญภัยมากมาย

          ทันทีที่ผมเดินผ่านประตูบานใหญ่เข้าไปก็ได้ยินเสียงดังจอแจจากผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็นนักดาบสวมเกราะเต็มยศ นักล่าสาวผู้สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นจนดูป้องกันอะไรไม่ได้ จอมเวทย์สวมผ้าคลุมมิดชิด หรือนักสู้ชอบโชว์เนื้อหนังมังสาล่อตาล่อใจ

          กิลนักผจญภัยแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือส่วนรับภารกิจที่มีกระดานประกาศขนาดใหญ่แปะกระดาษมากมายจนแทบไม่มีที่ว่าง แน่นอนกระดาษพวกนั้นคือรายละเอียดคำร้องขอของผู้คนที่นักผจญภัยสามารถเลือกรับเพื่อทำภารกิจแลกเงินประทังชีวิต และโต๊ะที่มีเจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องการลงทะเบียน ส่วนที่สองคือโรงเลี้ยงที่นักผจญภัยมักจะมารวมตัวกันเฉลิมฉลองหลังจบภารกิจ มีทั้งอาหารและเครื่องดื่มมึนเมามากมาย เป็นส่วนที่วุ่นวายพอสมควรดูได้จากผู้คนที่แน่นจนไม่มีที่นั่ง พนักงานสาวเดินให้บริการจนลายตา และเสียงเอะอะโวยวาย

          ตามปกติผมคงจะตรงไปที่กระดานประกาศเพื่อเลือกภารกิจน่าสนุกแล้วถ้าไม่ติดที่ต้องช่วยเหลือคุณอัศวินคาบของไปขอองค์หญิงแต่งงาน

          “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะรอส ลมอะไรหอบคุณมาหละเนี่ย” เสียงหวานไพเราะเสนาะหูที่คุ้นเคยของหญิงสาวดังขึ้นจากข้างหลังผม

          “แวะมาทักทายสาวสวยคนสนิทที่ชื่อมีนา(Mina)หนะสิ” ผมหันกลับไปยิ้มหวานให้นักล่าสาวผมแดงยาวถึงกลางหลัง ร่างสูง หุ่นเพรียว ดูสง่างาม

          “หึหึ ไม่ต้องมาปากดีเลย ไม่ใช่ว่ามาหิ้วใครกลับหรอ” มีนาหัวเราะพร้อมเดินตรงเข้ามากอดด้วยความคิดถึง

          “ไม่มีตรงเสป็คสักคน วันนี้คงกลับมือเปล่า” ผมตอบพร้อมยิ้มกวนๆให้

          “หรอ ไม่ใช่ว่าเอากลับไม่ได้เพราะมีคนรออยู่หรอกหรอ” นางกล่าวยิ้มๆ

          “หืม”

          “แหมๆ อย่ามาทำเป็นสตอเบอรี่ ข้าเห็นนะ อัศวินหนุ่มหน้าตาดีที่คุณขี่ม้ามาด้วยกันไง ไหนว่าไม่ชอบแบบนี้ไง เสป็คเปลี่ยนแล้วหรอ” สมแล้วที่เป็นนักล่าฝีมือเยี่ยม ไม่มีอะไรหลุดพ้นสายตาได้จริงๆ

          “เหอะ ไม่มีทางอ่ะ อัศวินซื่อบื้อแบบนั้น นั่นนายจ้างที่ข้าต้องนำทางให้หนะ” แค่คิดก็ขนลึกแล้ว

          “ฮ่าๆๆ อย่าเผลอไปชิมเข้าหละ มันจะไม่มืออาชีพ” มีนาหัวเราะเยาะ

          เอาเถอะ ยังดีที่ไม่ถามรายละเอียดมากเพราะมันเป็นมารยาทที่จะไม่ถามเรื่องภารกิจของกันและกัน เพราะถ้าต้องการความช่วยเหลือเจ้าของภารกิจจะเป็นคนเริ่มเล่าให้ฟังเอง

          “อ้าว พูดถึงไม่ทันไรอัศวินขี่ม้าขาวของคุณก็โผล่มาเลย”

          หะ ว่าไงนะ ผมรีบหันไปตามทิศทางที่มีนาจ้องไปทันที

          ชายหนุ่มร่างหนา หน้าคม ผมดำสั้นตามสไตล์ทหารกำลังยืนเก้ๆกังๆเหมือนมองหาอะไรสักอยางอยู่ที่ประตูทางเข้า



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 7 Side quest

   ณ กิลนักผจญภัย


   ทันทีที่เร็กซ์เห็นผมมันก็ตรงเข้ามาโวยวายทันทีว่าทำไมทิ้งมันไว้ทั้งๆที่บอกให้รอก่อน


   พอผมถามว่าแล้วตามมาจนเจอได้ยังไง มันก็บอกว่าใช้ดาบนำทางมา โห ตามแกะรอยได้ด้วย นี่มันของสำหรับพวกสตอล์คเกอร์ชัดๆ


   กลางโรงเลี้ยงที่เต็มไปด้วยผู้คนของกิล ในที่สุดพวกเราก็สามารถหาโต๊ะนั่งรับประทานอาหารได้


   “ไหนๆ แนะนำให้รู้จักบ้างสิ” มีนาเริ่มขยั้นขยอหลังพวกเราสั่งอาหารเสร็จ


   “ผมชื่อเร็กซั…..” เร็กซ์เริ่มแนะนำตัวทันทีแต่ผมต้องรีบเอามืออุดปากมันไว้

   
   “มีนา อย่าถือสาเลยนะ ขอเวลานอกแปปนึง” ผมยิ้มแห้งๆแล้วดึงตัวมันออกห่างจากโต๊ะ


   “เจ้าคิดจะทำอะไร” มันโวยวายอีกรอบ


   “เจ้านั่นแหละ คิดจะทำอะไร คิดดีแล้วหรอที่จะประกาศชื่อเต็มๆที่นี่หน่ะ”


   “ทำไมจะไม่ได้ ชื่อตระกูลของข้าคือความภูมิใจเลยนะ” โอ้ย ทำไมมันซื่อแบบนี้


   “นี่คิดบ้างรึเปล่าว่าถ้าผู้คนรู้ตัวตนของเจ้าจะเกิดอะไรขึ้น ลูกขุนนางชั้นสูงมาเพ่นพานแถวเขตชั้นนอกของประเทศแบบนี้มันไม่ได้จบดีหรอกนะ แถมติดภาระกิจสำคัญด้วยไม่ใช่หรอ คงไม่อยากให้มันยากไปกว่านี้อย่างมีคนมาคอยขัดขวางใช่มั้ย” ผมอธิบาย


   “แต่..”


   “ไม่ต้องแต่ ถ้าอยากให้ข้านำทางให้ก็ทำตามที่ข้าบอก ข้าไม่อยากให้มันวุ่นวายมากไปกว่านี้”


   “ชิ” ไม่ส่งเสียงไม่พอใจ แต่ก็ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี


   เมื่อตกลงกันเรียบร้อยเราสองคนก็กลับไปที่โต๊ะ


   “ได้ยินหมดแล้วใช่มั้ย” ผมถามมีนาที่กำลังนั่งยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่


   หล่อนไม่ตอบอะไร แค่พยักหน้าน้อยๆ เร็กซ์ทำหน้างง


   “เวทย์เสริมการรับรู้หนะ” ยัยนี่เป็นนักล่ามากฝีมือ แค่การใช้เวทเสริมการได้ยินเพื่อฟังพวกเราคุยกันกลางเสียงเซ็งแซ่นี่ไม่ยากเกินไปเลย ไปยัยจอมเผือกที่น่ากลัว ที่ไม่บอกไม่ใช่ไม่ไว้ใจนะ แค่ไม่อยากให้คนรอบข้างรับรู้เท่านั้น


   “เอาหละดีแล้วจะได้ไม่ต้องอธิบายมาก เจ้านี่ชื่อเร็กซ์ เป็นนายจ้างของข้าให้ข้านำทางไปที่ชายแดนทางตะวันออกของประเทศ” มีนาเท้าคางพยักหน้าเบาๆ “ส่วนนี่มีนานักล่ามือหนึ่งของเมืองนี้”


   “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณมีนา” เร็กซ์ยิ้มทักทายด้วยความสุภาพ


   “เช่นกัน แต่ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ นี่ไม่ใช่เมืองหลวงนะ”


   โอเค ผมขอคืนคำพูด ยัยนี่มันไร้มารยาท และขี้เผือกสุดๆ


   “พาไปหาของที่หายไปหนะ” ผมรีบพูดแทรก


   “งั้นหรอ” หญิงสาวทำหน้าครุ่นคริด แต่ก็ไม่ถามอะไรต่อเพราะรู้ว่าผมคงไม่ตอบตรงๆ “ไปทางตะวันออก แสดงว่าต้องผ่านช่องแคบสองสีสินะ”


   “ใช่แล้ว”


   “พอดีเลย พรุ่งนี้ฉันรับงานคุ้มกันคาราแวนให้พ่อค้ากลุ่มนึงผ่านช่องแคบพอดี สนใจมาด้วยกันมั้ยหละ” มีนาถาม แต่ไม่ได้ถามผมหันไปถามเร็กซ์


   “ได้สิ เป็นหน้าที่ของอัศวินที่ต้องช่วยเหลือผู้คนอยู่แล้ว” มันตอบโดยไม่ปรึกษาผมใดๆ


   ผมจ้องเขม็งไปที่เจ้าซื่อบื้อนี่ บีบแขนที่แน่นไปด้วยกล้ามจนกำแทบไม่มิดแล้วดึงตัวมาใกล้ๆทันที


   “นี่เจ้าจะรับงานส่งเดชแบบนี้ได้ยังไง คุ้มกันคาราแวนใช้เวลามากกว่าเดินทางเองเยอะเลยนะ” ผมโวยวาย เดินทางยิ่งมากคนยิ่งใช้เวลานาน รับงานส่งเดชแบบนี้แล้วเมื่อไหร่มันจะถึงที่หมาย


   “เอาหน่า ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ยังไงก็ต้องเดินทางทางเดียวกัน ช่วยเหลือกันไปด้วย ดีออก” มันสะบัดแขนผมออก แล้วตอบหน้าตาเฉย


   <ว๊าก> ผมกรีดร้องในใจ ทั้งๆที่อยากจะให้งานจบๆไวๆแท้ๆ นี่ยังต้องมารับงานเสริมอีก วุ่นวายจริงๆ


   “ต้องมีค่าตอบแทนให้ด้วยนะ มีนา” ผมหันขวับไปถามยัยตัวดี


   “แน่นอน ฉันต้องจัดการให้อยู่แล้ว” นางยิ้มแย้มอย่างสบายใจ เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ


   หลังจากนั้นเราก็สนทนากันเรื่องทัวไปอีกเล็กน้อยก่อนขอตัวกลับไปพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวทำเควสเสริมที่กลายๆโดนบังคับให้รับ



ณ ช่องแคบสองสี


   เสียงกงล้อเกวียน และเสียงฝีเท้าม้าและผู้คนดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอผสานเสียงกับเสียงสีกันของใบไม้ยามลมพัดผ่านฟังแล้วชวนหลับ ขบวนคาราแวนประกอบด้วยรถม้าขนสัมภาระ 4 คัน และมีรถม้าโดยสาร 2 คันขนาบสบหัวท้ายพร้อมคนคุ้มกันอีก 10 ชีวิตขี่ม้าอยู่รอบๆกำลังเคลื่อนผ่านถนนท่ามกลางยอดไม้สูงของป่ารกทึบ


   ผมนั่งง่วงอยู่กับมีนาที่กำลังคุมขับรถโดยสารที่หัวขบวนโดยมีคนขี่ม้านำอยู่ข้างหน้า 2 คน ส่วนเร็กซ์ควรจะอยู่ที่หัวขบวนด้วยโดนเรียกตัวให้ไปตีขนาบข้างรถโดยสารคนสุดท้ายอันเป็นที่นั่งของลูกสาวของผู้ว่าจ้างที่เป็นพ่อค้ารายใหญ่ของเมือง หญิงสาวเปิดกระจกออกมาคุยกับอัศวินหนุ่มอย่างยิ้มแย้มตลอดทาง พอผมหันไปมองแล้วก็รู้สึกหมั่นไส้เจ้าอัศวินรูปหล่อที่ใครๆก็หลง


   “หึหึ” เสียงหัวเราะในลำคอของมีนาเรียกให้ผมหันกลับไปเจอรอยยิ้มและแววตากรุ้มกริ่มของนาง


   “หึหึ นี่แปลว่าอะไร” ผมถามอย่างรำคาญใจ


   “เปล่าสักหน่อย” นางยิ้มให้แล้วหันกลับไปคุมบังเหียนม้าต่อ


   “อย่ามากวนอารมณ์ ยิ่งหงุดหงิดนอนไม่พออยู่” เล่นเรียกรวมคนตั้งแต่อาทิตย์ยังไม่ขึ้นนี่หน่า


   “ก็เห็นว่าแปลกดี ปกติคุณไม่รับงานนำทางที่กินเวลานานขนาดนี้ แถมดูเอาใจใส่นายจ้างเหลือเกิน ชะเง้อมองบ่อยๆ”


   หะ ล้อเล่นรึเปล่า ที่ต้องมารับงานนี่เพราะโดนบังคับทั้งนั้น แต่ขืนบอกไปว่าโดนเทวภัณฑ์พันธนาการไว้จะเสียฟอร์ม


   “ไม่ได้มองเพราะใส่ใจเฟ้ย แค่กลัวเจ้านี่ไปทำอะไรขัดใจคุณหนูเข้าแล้วผมจะพลอยซวยไปด้วยต่างหาก” ขืนไปขัดใจลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าพ่อรายใหญ่เข้ากลัวจะอยู่ไม่เป็นสุขเนี่ยหน่ะสิ


   “คุณนี่ก็แปลกนะ หนุ่มๆแน่นๆหน้าตาดีดันไม่ชอบ ดันไปชอบคนมีอายุ”


   “คนมีอายุแน่นๆแรงดีมีถมเถไป พวกรุ่นเดียวกันหน่ะมัน...” ผมไม่ทันพูดจบผมก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างซ่อนตัวอยู่ในป่ารอบๆ มีนาเองก็สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที


ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 7.2

               “30 ไม่สิ อาจจะ 40” มีนากล่าวขณะมองไปรอบๆด้วยเวทเสริมการรับรู้ แล้วส่งสัญญาณให้หยุดขบวนรถ

               “โอ้ รู้ตัวแล้วหรอเนี่ย ไม่เลวแฮะ” เสียงดังกังวานพร้อม ชายร่างใหญ่กำยำปรากฏตัวออกมาจากพุ่มไม้ข้างทางพร้อมลูกน้องอีก 2 คนมาปิดทางด้านหน้าไว้ “กะว่าจะโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวสักหน่อย แต่ก็เอาเถอะ ในนามของฮาเก้น (Haagen) หัวหน้ากลุ่มโจนผ้าแดง ส่งของมีค่าทั้งหมดมาถ้ายังรักชีวิตอยู่” หัวหน้าโจรร่างใหญ่นามฮาเก้นตวัดดาบยักษ์มาชี้พวกเราด้วยแขนเพียงข้างเดียว

               “เหอะ มีกันแค่ 3 คนเนี่ยนะ ดูจำนวนด้วยว่าต่างกันขนาดไหน” พ่อค้านายจ้างโผล่ศีรษะออกมาจากรถโดยสารที่ผมนั่งอยู่ตอบกลับขณะที่ผู้คุ้มกันทุกคนต่างชักอาวุธออกมา

               “3 คนงั้นเรอะ” ร่างใหญ่ยิ้มเยาะ แล้วชูดาบขึ้น ทันใดนั้นก๊อบลิ้นหลายสิบตนพร้อมอาวุธครบมือก็ปรากฏตัวออกมาจากป่ารอบๆเข้าล้อมขบวนรถไว้

               “มะ..มากขนาดนี้เลยหรอเนี่ย มะ..มานี” นายจ้างเริ่มหน้าถอดสีพร้อมเรียกหามีนา

               “หลบอยู่ในรถ อย่าออกไปไหน เดี๋ยวดิฉันจัดการเอง”

               “ฆ่าพวกมันให้หมด” ทันทีที่หัวหน้าโจรออกคำสั่ง พวกก๊อบลิ้นก็วิ่งกรูเข้ามาจากรอบด้านพร้อมเสียงโห่ร้อง

               “อย่าประมาทพวกเรานะ” มีนาตะโกนเป็นสัญญาณให้นักรบทุกคนตอบโต้

               เสียงโลหะกระทบกัน เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังไปทั่ว แม้จะมีแต่เสียงของพวกก๊อบลิ้นก็ตามแต่ก็ไม่ทำให้ผมสบายเลยสักนิด

               “ฟิ้วๆๆ”

               “เปรี้ยงๆๆ”

               ด้วยลูกธนูของมีนา และเวทย์สายฟ้าของผม ผมกับมีนากำจัดพวกก๊อบลิ้นที่พุ่งเข้ามาทางต้นขบวนจากระยะไกลได้ไม่ยากนัก ที่กังวนคือเจ้าฮาเก้นที่เอาแต่ยืนคุมเชิงดูลูกสมุนก๊อบลิ้นถูกกำจัดอยู่ต่างหาก

               “บทแห่งลมที่ 14 Wind coat” ลูกน้องที่ยืนข้างๆทำปากขมุบขมิบร่ายคาถาก่อนลั่นชื่อคาถาออกมา ลมเริ่มก่อตัวเป็นวังวนรอบตัวหัวหน้าของพวกมัน

               <ชิ มีคนใช้เวทมนต์ได้ด้วยงั้นเรอะ> นั่นเป็นบัฟเวทลมใช้ป้องกันการโจมตีระยะไกลและเสริมความเร็ว

               ทันทีที่ได้รับบัฟจากลูกน้อง ฮาเก้นพุ่งตรงเข้ามาหาผมกับมีนาทันที

               มีนายิงลูกธนูออกไป 2 ดอก แต่กลับถูกกระแสลมพัดเบี่ยงทิศออกไปจากเป้าหมาย เมื่อผมยิงสายฟ้าออกไปมันก็เบี่ยงตัวหลบได้ไม่ยาก นักรบสองคนเข้าปะทะแต่เพียงการตวัดดาบครั้งเดียวก็ส่งร่างของทั้งสองกระเด็นไปไกลแม้จะป้องกันไว้ได้ก็ตาม

               เมื่อเห็นท่าไม่ดีผมชักดาบพุ่งตัวไปข้างหน้าเพื่อปกป้องมีนา ฮาเก้นเห็นเช่นนั้นก็ตวัดดาบใส่ผมแต่ผมสร้างเสาดินขึ้นมากันไว้

               “เคร้ง” มันฟันตัดเสาดินของผมอย่างง่ายดาย แต่ก็ช่วยผ่อนแรงให้ผมเอาดาบรับแรงปะทะไว้ได้

               “ไม่เลวนี่ กะจะฟันให้ขาดไปพร้อมเสาโง่ๆของเจ้าสักหน่อย” มันกล่าวพร้อมออกแรงสะบัดดาบมากขึ้นจนส่งร่างผมไถลครูดไปข้างหลัง ยังดีที่ผมทรงตัวไว้ได้

               “พลั๊ก” ผมอาศัยทีเผลอเคลื่อนหน้าดินที่มันเหยียบอยู่จนมันเสียหลักแล้วสร้างเสาดินพุ่งกระแทกกลางลำตัวของมันอย่างจัง แต่ก็มีผลทำให้อีกฝ่ายถอยหลังผงะไปไม่กี่ก้าวเท่านั้น ผมรีบถอยหลังเพื่อรักษาระยะทันที

               ฮาเก้นไม่ปล่อยจังหวะให้ว่างพุ่งตรงเข้ามาหาผมทันที

               ทันใดนั้นก็มีบางอย่างพุ่งมาทางด้านข้างผมตรงเข้ารับแรงปะทะ

               “เคร้ง ครืดๆๆๆ” เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น อัศวินพุ่งเข้ามากันดาบยักษ์นั่นไว้ได้อย่างง่ายได้

               “มาเจอกับคนที่สูสีกันหน่อยเป็นไง” เร็กซ์กล่าวพร้อมสะบัดดาบส่งร่างของหัวหน้าโจรผงะถอยหลังไป แล้วถอยมายืนด้านหน้าผม

               “บาดเจ็บตรงไหนมั้ย”

               “ข้าไม่เป็นอะไร ว่าแต่เจ้าควรจะคุมเชิงอยู่ท้ายขบวนไม่ใช่หรอ”

               “ทางนั้นตั้งรับกันเองได้อยู่”
               
               “โอ้ แล้วไม่ไว้ใจว่าทางนี้จัดการเองได้หรอกหรอ”

               “หึ อวดดีไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ” ผมเห็นมันยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

               “ข้าสังเกตมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว..” หัวหน้าโจรกล่าวขึ้นมาหลังจากที่ตั้งหลักได้ “สามารถใช้เวทมนต์ได้โดยไม่ต้องร่ายหรือเอ่ยชื่อคาถา ความสามารถแบบนี้นี่มันของหัวขโมยแห่งบารา.. บารา.. อะไรนะ”

               “หัวขโมยแห่งเบลลาเดีย โว้ย อย่าสับสน” ผมตะโกนกลับไป แม้จะเป็นฉายาที่ทิ้งไปนานแล้ว แต่ก็ไม่อยากให้เรียกผิดกับเจ้าไร้ประโยชน์นั่น

               “นี่เจ้าเป็นโจรจริงๆสินะ” เร็กซ์มองผมด้วยหางตา

               “มองแบบนั้นหมายความว่ายังไง อาชีพพาร์ทไทม์หนะ ทำอยู่ไม่นานก็เลิกไป ยังไงอาชีพหลักก็นักผจญภัยตลอดนั่นแหละ” ผมตอบแบบไม่ใส่ใจ อดีตก็คืออดีต แถมตอนนั้นไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงด้วย

               “บรึ้ม” เสียงระเบิดดังสนั่นมาจากทางท้ายขบวน คลื่นอากาศจากแรงระเบิดพัดฝุ่นจนคละคลุ้งไปทั่ว

               “กรี๊ด” เสียงกรีดร้องของลูกสาวพ่อค้าท้ายขบวนนี่

               เมื่อฝุ่นเริ่มจางลงก็เผยให้เห็นชายหนุ่มสวมหมวกปลายแหลม ถือไม้คทายาวติดอัญมณีสีแดงก้อนใหญ่ที่ปลาย ยืนคู่กับลูกน้องที่กำลังอุ้มหญิงสาวไว้อยู่ เหล่าผู้คุ้มกันนอนบาดเจ็บระเนระนาดอยู่รอบๆ

               “ฮ่าๆๆๆ ข้ารอจังหวะนี้มานานแล้ว หัวหน้าของกลุ่มโจรผ้าแดงไม่ได้มีคนเดียวหรอกนะ ข้าดาส(Dazs)ขอรับตัวคุณหนูไปหละนะ” มันกล่าวพร้อมออกวิ่งหนีเข้าป่าไป

               “บ้าจริง” เร็กซ์สบถ

               “ตูมๆๆ” แต่ไม่ทันจะขยับตัวระเบิดควันก็ระเบิดรอบตัวจนบดบังทิวทัศน์ทั้งหมด

               ผมที่อยู่นอกรัศมีควันพุ่งตัวหวังจะไปช่วยคุณหนู มือซ้ายกระชับถุงมือให้แน่นขึ้นเพื่อเตรียมตัวใช้เวทมนต์ทันทีที่ได้ระยะ
               
               “ฮ่า ยังคิดจะตามมาอีกหรอ งั้นก็ตายซะ” ดาสชี้คทามาที่ผม

               “บทแห่งไฟที่ 23 Explosion”

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 8 Rescue quest


   ไวเท่าความคิดผมสร้างกำแพงดินขึ้นมาด้านหน้าเพื่อรับแรงระเบิด

   “บรึ้มมมม” แรงระเบิดทำลายกำแพงของผมจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ร่างผมลอยกระเด็นไปข้างหลัง ผมหลับตากัดฟันเตรียมรับแรงกระแทก

   “ควับ” ผมรู้สึกถึงแขนแกร่งสองข้างมากอดรัดตัวผมแน่น ใครบางคนมารับตัวผมไว้

   “โครมมม” ร่างของเราทั้งสองกระแทกกับรถขนสินค้าอย่างแรงจนเกวียนหักทรุดตัวลง ผมจุกจนขยับตัวไม่ได้ อีกใจก็เป็นห่วงใครก็ตามที่มารับผมไว้เพราะต้องรับแรงปะทะแรงกว่าผมแน่ๆ

   “เป็นอะไรมากมั้ย” เสียงคุ้นหูดังมาจากหลังผม

   “เร็กซ์?” เจ้าอัศวินนี่เองหรอที่มาช่วยรับผมเอาไว้

   “จุกนิดหน่อยแต่ไม่บาดเจ็บอะไร เจ้าเป็นอะไรมากมั้ย” ผมถามกลับด้วยความเป็นห่วง

   “แค่นี้น้อยกว่าตอนฝึกที่ค่ายเยอะ” ผมหันไปเห็นมันยิ้มเยาะด้วยมุมปาก หน้าตาอวดดีนี่อีกแล้ว ผมขอความเป็นห่วงเมื่อครู่คืนได้มั้ย

   “คุณสองคนจะกอดกันตรงนั้นอีกนานมั้ย” มีนาตะโกนใส่ขณะยิงลูกธนูสังหารก๊อบลิ้นที่กำลังพุ่งเข้ามา “รีบเก็บกวาดเจ้าพวกนี้เร็วเข้า ก่อนที่พวกนั้นจะหนีไปไกล”

   ผมรวบรวมพละกำลังรีบผละตัวออกมาจากอ้อมแขนแกร่งแล้วลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ในขณะที่เร็กซ์ดีดตัวขึ้นมายืนข้างผมอย่างคล่องแคล่ว โดนขนาดนี้ยังดูไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรนี่มันจะถึกเกินไปแล้วนะ

.......................................................


   พวกเราใช้เวลาไม่นานก็จัดการพวกก๊อบลิ้นจนหมด ดูเหมือนว่าพอไม่มีพวกหัวขโมยอยู่ด้วยแล้ว ความระบบระเบียบในการจู่โจมของพวกมันจะลดลง ทำให้เราตอบโต้และจัดการได้ไม่ยาก โดยไม่มีใครตายหรือบาดเจ็บสาหัส แต่ก็อย่างว่า พวกก๊อบลิ้นมันไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น   

   “ฮือออออ โซเฟีย ลูกสาวสุดที่รักของข้า” ชายร่างท้วมผู้เป็นนายจ้างกำลังถือผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาเศร้าโศกเสียใจ

   “อย่าเป็นห่วงไปเลยค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะจัดทีมออกติดตามไปเดี๋ยวนี้” มีนารีบปลอบใจ และสั่งการทันที

   “เท่าที่ชั้นเช็คดูพวกมันจะมีอยู่แค่ห้าคน จัดทีมติดตามไปซัก 4-5 คนน่าจะเพียงพอ” มีนาปรึกษาพวกผม

   “เราไม่รู้ว่าพวกมันมีคนซุกซ่อนอยู่อีกรึเปล่า แถมอาจจะมีพวกก๊อบลิ้นอีกก็ได้นะ” ผมแย้ง

   “แต่เราต้องทิ้งคนไว้บางส่วนเพื่อคุ้มกันที่นี่ เผื่อว่ามันวกกลับมาอีก” เร็กซ์กล่าว

   “ถ้างั้นก็ให้ไปแต่คนระดับทอป นั่นคือชั้น รอส แล้วก็เร็กซ์ ใช้การเสริมการรับรู้ของชั้นประเมิณอีกทีละกัน”

   “เสี่ยงหน่อยแต่คงต้องเป็นแบบนั้น” ผมกล่าว

..................................................................

   ผมให้มีนาที่เชี่ยวชาญการแกะรอยมากกว่าผมเป็นคนนำทางในขณะที่ผมกับเร็กซ์วิ่งตามไป ดูจากร่องรอยแล้วน่าจะมีกันอยู่แค่ 5 คนจริงๆ เพราะไม่มีร่องรอยของพวกก๊อบลิ้นเลย

   “ตอนปะทะกันอีกรอบระวังตัวไว้ด้วย ข้าคิดว่าหัวหน้าสองคนของพวกนั้นน่าจะมีอุปกรณ์เวทมนต์” ผมกล่าวขณะวิ่งตาม

   “ชั้นก็คิดแบบนั้น เจ้าฮาเก้นน่าจะมีดาบที่ใช้ควบคุมพวกก๊อบลิ้นได้” มีนากล่าวเสริม ตาแหลมจริงๆ “แต่ชั้นไม่รู้เกี่ยวกับอีกคน”

   “อีกคนน่าจะมีคทาที่ทำให้สามารถใช้เวทมนต์ได้โดยไม่ต้องร่ายเวทย์” ผมตอบ คิดแล้วก็เจ็บใจที่คำนวณพลาดไป ตอนพุ่งเข้าไปนี่คิดไว้แล้วว่ายังไงต้องเข้าระยะใช้เวทก่อนมันร่ายมนต์จบ แต่ดันพลาดท่าซะได้

   “ร้ายกาจไม่เบา” เร็กซ์เสริม

   “ไม่หรอก อานุภาพเวท Explosion ที่มันใช้ถือว่าเบามาก ข้าเคยเห็นเด็กหญิงอายุ 13 ใช้เวทบทนี้รุนแรงขนาดระเบิดบ้านทั้งหลังให้หายไปในพริบตาได้ คทานั่นคงช่วยได้แค่ข้ามขั้นตอน แต่ลดทอนความรุนแรงลง”

   “แต่ก็เล่นเอาเจ้าลอยละลิ่วเลยนะ” อัศวินยิ้มหยอก

   “พูดแบบนี้จะเอาใช่มะ” ผมแยกเขี้ยวใส่

   “คุณสองคนนี้หยอกกันน่ารักดีนะ” มีนาหันมายิ้มให้ผม

   แต่มันทันที่ผมจะอ้าปากเถียงมีนาก็ยกมือส่งสัญญาณให้เงียบ

   “ได้ยินเสียงพวกนั้นแล้ว”

   พวกเราเคลื่อนที่กันอย่างระมัดระวังมากขึ้นไปอีกสักพักมีนาก็สั่งให้หยุด นางเริ่มตั้งสมาธิเพื่อรับสัมผัสต่างๆรอบตัว

   “พวกมันมีกัน 5 คนเหมือนเดิมอยู่ข้างหน้าห่างไป 50 เมตร”

   “จะบุกเข้าไปยังไงดี เราเสียเปรียบด้านจำนวน”

   “ไม่ต้องห่วง แค่นี้สบายมากสำหรับผม” เร็กซ์กล่าว

   “เหอะ ข้าไม่เสี่ยงดีกว่า” แต่ผมขัดเจ้าคนอวดดีนี่

   “นี่ไม่ไว้ใจข้าหรอไง”

   “ไม่” ผมตอบเสียงเรียบ “เอาแบบนี้ มีนาจะคอยสนับสนุนจากด้านหลัง ข้าจะลอบโจมตีจากด้านบน แล้วเจ้าก็ค่อยบุกเก็บกวาดพวกที่เหลือ” ผมอธิบายแผน ถ้าใช้เวทลมของผมละก็ ผมสามารถเคลื่อนที่ไปตามต้นไม้ได้สบาย แล้วจู่โจมจากมุมอับจัดการให้ได้มากที่สุด น่าจะเข้าท่าดี

   “ลอบโจมตีแบบกองโจรเนี่ยนะ ไม่มีศักดิ์ศรีเลย” อุวะ มันใช่เวลามั้ย

   “ใจเย็นเร็กซ์ ชั้นว่าแผนของรอสก็เข้าท่าดี อย่าลืมว่าความปลอดภัยของคุณหนูต้องมาก่อน อย่าเกี่ยงวิธีการเลยนะ” มีนาช่วยประนีประนอม

   “งั้นก็ตามนี้” ผมตัดบท

..........................................................


ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 8.2


   ผมใช้เวทลมช่วยในการร่อนตัวจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปต้นถัดไปเรื่อยๆจนมองเห็นพวกกลุ่มโจรกำลังเดินทางอย่างสบายใจ ไม่รีบร้อนอะไร ประมาทกันจริงๆ

   ทันทีที่เข้าระยะผมก็มองสำรวจพวกเร็กซ์และมีนาว่าประจำตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว ผมเริ่มบีบอัดอากาศรอบๆฝ่ามือเป็นทรงกลมแล้วส่งสัญญาณให้มีนาทันที

   “ฟ้าวๆๆ” เสียงลูกธนูหลายดอกแหวกอากาศตรงเข้าโจรเคราะห์ร้ายคนหนึ่ง

   “อ๊ากกก” เสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้นลั่น ลูกธนูสองดอกปักที่ต้นขา อีกดอกปักที่ไหล่ส่งร่างผู้เคราะห์ร้ายลงไปนอนร้องโอดโอยที่พื้น

   อาจจะดูใจดี โลกสวยไปหน่อย แต่การจะเอาชีวิตโจรพวกนี้เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับผมและมีนา แต่ถ้าตายไปก่อนก็ไม่ได้ลิ้มรสความเจ็บปวดของการโดนลงโทษสิ

   “เห้ย บ้าหน่า พวกมันตามทันแล้วหรอ”

   “หึ เดี๋ยวข้าจะเผาพวกมันเอง บทแห่งไฟที่ อักกก” ก่อนที่เจ้าดาสจะเอ่ยชื่อคาถาผมยิ่งกระสุนอากาศอัดหน้ามันอย่างจังจนมันหงายหลังล้มลง

   “เห้ย ขี้โกงนี่หว่า รอให้ร่ายมนต์จบก่อนเซ่” มันร้องโวยวาย

   <ใครจะไปรอฟระ> อันที่จริงกระสุนอากาศของผมมีอานุภาพพอๆกับหมัดหนักๆของชายกำยำร่างใหญ่เลยนะ โดนเข้าหน้าจังๆแบบนั้นน่าจะสลบเหมือดด้วยซ้ำ ท่าทางระยะจะห่างไปหน่อยทำให้ความรุนแรงลดลง

   “บทแห่งลมที่ 15 Wind curtain” ลูกสมุนอีกคนหนึ่งอาศัยจังหวะว่างร่ายมนต์

   กำแพงลมหมุนวนปัดป้องลูกธนูของมีนาอีกระลอกอย่างฉิวเฉียด กระแสลมขวางกั้นกลางระหว่างมีนาและพวกกลุ่มโจรไว้ทำให้การโจมตีของมีนาไม่ได้ผลอีกต่อไป

   <ชิ มีลูกน้องไหวพริบดีอยู่ด้วยสินะ> ผมเอ่ยชมในใจ แต่ด้วยเหตุนี้ผมถึงขึ้นมาบนนี้

   ผมกระโดดลัดเลาะไปตามกิ่งไม้จนข้ามผ่านกำแพงลมไปแล้วซัดกระสุนอากาศอีกสองนัดตรงเข้าลูกน้องที่ใช้เวทลมได้และเจ้าดาสต่อทันที

   นัดหนึ่งกระแทกเข้าหน้าของลูกสมุนเต็มๆส่งร่างนั้นไปนอนที่พื้น แต่อีกนัดถูกดาบขนาดใหญ่ของเจ้าฮาเก้นมาขวางไว้
ตอนนี้เหลือเพียงฮาเก้นที่อุ้มคุณหนูที่หมดสติพาดบ่าไว้ เจ้าดาสที่กำลังลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าโกรธแค้น และลูกสมุนอีกคนเท่านั้น

   “หึ คิดจะมาขัดขวางบท 3p ของพวกข้างั้นหรอ” ฮาเก้นวางร่างของคุณหนูลง มันและลูกสมุนพุ่งตรงไปหามีนาทันที ทิ้งให้ดาสสนับสนุนจากด้านหลัง

   “พลั๊ก” เร็กซ์ที่ดักซุ่มอยู่พุ่งเข้ากระแทกร่างบางของลูกสมุนอย่างจัง ส่งร่างนั้นไปกระแทกต้นไม้ใกล้ๆจนหมดสติไป ทิ้งให้เหลือเพียงฮาเก้นเผชิญหน้ากับคุณอัศวินคนเก่งของเรา

   “เอาหละ เหลือแค่จัดการเจ้านี่” ผมยิงกระสุนอากาศออกไปอีกนัด

   “บทแห่งไฟที่ 20 Cinder storm” เจ้าดาสไม่หลงกลยุทธ์ของผมแล้ว มันหลบกระสุนอากาศผมได้ แล้วร่ายมนต์สวนทันที

   กระสุนเพลิงหลายนัดพุ่งตรงมาที่ผม ผมกระโดดลัดเลาะไปตามยอดไม้อย่างคล่องแคล่วเพื่อหลบหลีกกระสุนพวกนี้อย่างง่ายดาย เล่นยิงสะเปะสะปะไร้การควบคุมแบบนี้แสดงให้ผมเห็นชัดเลยว่าไม่มีทักษะในการใช้เวทมนต์ อาศัยแต่อุปกรณ์เวทมนต์ช่วยล้วนๆ

   หลังจากหมดกระสุนระลอกแรกผมรีบร่อนตัวลงพื้นหลบหลังควันไฟที่ตลบอบอวนไปรอบๆบริเวณ ผมต้องระมัดระวังพอสมควรเพราะเวทลมที่ผมใช้อาจจะทำให้ไฟพวกนี้ยิ่งโหมแรงขึ้นไปอีก

    “แน่จริงออกมาสิเฟร้ย” ดาสตะโกนท้าทาย

   “หึ ได้เลย” ผมตะโกนกลับพร้อมกระโดดเข้าประชิดตัวจากด้านหลังของมัน ในมือมีเสียงวี๊ๆๆจากการหมุนอัดตัวของอากาศ

   “หะ เห้ย” มันอ้าปากร้องเหวออย่างตกใจ

   ผมยิ้มเยอะอย่างมั่นใจ เตรียมอัดบอลอากาศของผมเข้าหน้าของมัน

   แต่แล้ว...

   “รอส ระวัง” หะ อะไรนะ ผมมองไปตามทิศทางของเสียงของเร็กซ์ด้วยหางตา วัตถุใหญ่ๆลอยตรงมาทางผมด้วยความเร็ว    

   <ฉิบ หลบไม่ทันแล้ว>

   “พลั๊ก” วัตถุนั้นเป็นร่างใหญ่ๆของฮาเก้นลอยมากระแทกร่างผมอย่างจัง ส่งร่างของเราทั้งสองไปกระแทกต้นไม้ใกล้ๆ

   “อัก” แรงกระแทกเล่นเอาสติผมเกือบหลุด ร่างใหญ่นอนหมดสติทับร่างผมไว้

   “หะฮ่า โชคดีจริงๆ พวกเจ้าไม่เข้าขากันยิ่งกว่าพวกข้าอีก” ดาสยิ้มเยาะแล้วชี้คทาไปทางที่พวกเร็กซ์อยู่

   “บทแห่งไฟที่ อ๊อกกก” ผมรวบรวมสติสุดท้ายไว้แล้วยิงกระสุนอากาศเข้าเบ้าหน้าอวดดีนั้นเข้าจังๆ ส่งร่างของดาสลงไปนอนหมดสติกับพื้น ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลงไปพร้อมกับสติของผม

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 9 Aftermath

 

          ผมรู้สึกถึงโลหะเย็นๆแนบอยู่ที่ใบหน้า แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงไออุ่นอยู่ใกล้ๆ ร่างกายผมขยับโยกไปมาเป็นจังหวะ ผมขยับตัวแล้วค่อยๆลืมตาขึ้นมา


          “อ้าว ฟื้นแล้วหรอ” เสียงของเร็กซ์ดังขึ้นมา ผมใช้เวลาสักพักเพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงแล้วเริ่มสำรวจรอบตัว


          เร็กซ์กำลังเดินแบกผมอยู่ที่หลังของมัน แขนสองข้างของผมโอบรอบคอ ส่วนขาสองข้างถูกมันหนีบไว้ข้างเอว มีนาที่เดินอยู่ข้างๆก็กำลังแบกคุณหนูโซเฟียที่นอนไม่ได้สติอยู่ในท่าเดียวกัน


          “เกิดอะไรขึ้น” ผมพยายามนึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะหมดสติไป ร่างเจ้าฮาเก้นลอยมากระแทกผมได้ยังไง


          “อะ เอ่ออ คืออ…” เร็กซ์กล่าวขึ้นมาด้วยเสียงตะกุกตะกัก พร้อมปล่อยมือข้างหนึ่งขึ้นมาเกาแก้ม “พอข้าจัดการเจ้าหัวหน้านั่นเสร็จแล้ว ข้ากะจะจัดการอีกคนไปพร้อมๆกันเลย ก็เลย..”


          คิ้วผมเริ่มกระตุก


          “ก็เลยอาศัยจังหวะที่จอมเวทย์คนนั้นกำลังโวยวายเหวี่ยงร่างของฮาเก้นใส่ แต่ว่า…”


          “เพี้ย”


          “โอ้ย” มันร้องเจ็บหลังผมตบกระโหลกมันไปทีนึง


          “ฮว๊ากกก ไอ้เจ้าบ้านี่ ข้าว่าแล้วเชียวต้องเป็นฝีมือเจ้าแน่ๆ นี่” ผมโวยวายด้วยความโมโห


          “ข้าขอโทษๆ ก็ข้าไม่คิดหนิว่าเจ้าจะเข้าประชิดตัวมันแบบนั้น โอ้ยๆ อย่าดึงผมข้าแบบนั้นสิ” ผมเอามือจิกทึ้งผมเจ้าอัศวินบ้านี่จนหัวมันโยกไปมา


          “ขอโทษหรอ ขอโทษแล้วมันหายเจ็บมั้ยเล่า ดีขนาดไหนแล้วที่โดนกระแทกแรงขนาดนั้นแล้วกระดูกข้าไม่หักไปซะก่อน” แรงจนเล่นเอาผมน๊อคเลยนะนั่น


          “นี่ไงข้าก็รับผิดชอบเจ้าแล้วไง ด้วยการแบกกลับมาเนี่ย”


          <รับผิดชอบข้า? ใช้คำอะไรของมันฟระ ฟังแล้วหยั่งกะเสียตัวให้มันแล้ว>


          “ฮิๆๆ” เสียงขำเบาๆของมีนาทำให้ผมหยุดอาละวาดแล้วหันไปเจอใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของยัยนี่


          “ยิ้มอะไร” ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่


          “ปล๊าววว” แหนะเสียงสูงเลยนะ ยัยนี่เป็นสาววายชอบจิ้นหรอไง


          “ชิ” ผมส่งเสียงไม่สบอารมณ์ “ปล่อยข้าลงได้แล้ว”


          “ไหวหรอ เจ็บไม่ใช่หรอ”


          “เออ หน่า” เร็กซ์ยอมปล่อยผมลงแต่โดยดี ขืนไม่รีบลงมามีหวังยัยมีนาเลือดกำดาวไหลแน่ๆ ดูฟินเกินไปละ


          “แล้วพวกโจรนั่นหละ” ผมถามพร้อมออกเดินยืดเส้นยืดสายให้หายตึงหายปวด


          “จับมัดไว้อย่างแน่นหนา รอส่งคนมาจับกลับไปแล้ว” มีนารายงาน


          “แล้วคุณหนูเป็นยังไงบ้าง”


          “น่าจะโดนยาสลบไปทำให้ยังไม่ได้สติคืนมา”


          “อะ อื้มม” พูดไม่ทันขาดคำคุณหนูโซเฟียก็ตื่นขึ้น “อะ อ๊า!!! อย่าทำอะไรฉันเลยน้า” ตื่นมาก็โวยวายทันที


          “คุณหนู คุณหนูโซเฟียตั้งสติก่อน นี่ฉันเอง พี่มีนาไง” มีนาเริ่มปลอบประโลม พร้อมย่อตัวลงให้โซเฟียลงจากหลังเพราะนางเริ่มดิ้น “พวกเรามาช่วยคุณหนูแล้ว คุณหนูปลอดภัยแล้ว”


          โซเฟียที่เริ่มตั้งสติได้กวาดสายตามองรอบๆ ท่าทางเริ่มสงบลงแล้ว


          “ฮือออ ท่านเร็กซ์ ฉันกลัวเหลือเกิน” นางผละตัวออกจากมีนา พุ่งผ่านผมตรงเข้าไปกอดซบอกอัศวินหนุ่มแล้วร้องไห้ทันที


          ผมหันไปสบตากับมีนาด้วยความระอา <ยัยคุณหนูนี่นะ>


          คิดแล้วก็เคือง <แผนก็แผนตรู คนเข้าเปิดก่อนก็ตรู คนเจ็บก็ตรู แต่ความดีงามตกไปอยู่ที่เจ้าเร็กซ์ซะนี่ โวะ หงุดหงิด>


          ผมได้แต่มองดูเร็กซ์ทำท่าเก้งๆกังๆเหมือนทำตัวไม่ถูก ทั้งๆที่รูปหล่อ หน้าตาดีขนาดนั้นน่าจะเจอแบบนี้มาเยอะแล้วแท้ๆ


          สุดท้ายหลังจากปลอบประโลมกันพักนึง คุณหนูโซเฟียก็ขอขึ้นขี่หลังเร็กซ์ให้อัศวินหนุ่มช่วยแบกกลับเพราะเจ็บเท้าเดินไม่ไหว


          <แหม แล้วที่พุ่งตัวไปเมื่อกี้คืออะไรฟระ ?>

........................................................................................

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 9.2

ณ กองคาราวาน

ไม่นานนักพวกเราก็กลับมาถึงกองคาราวาน ดูเหมือนพวกคนคุ้มกันที่เหลือจะเก็บกวาดซากพวกก๊อบลิ้นไปทิ้งข้างทางหมดแล้ว ข้าวของสินค้าที่กระจัดกระจายก็ถูกเก็บเข้าที่


พ่อค้านายจ้างรีบมารับตัวลูกสาวสุดที่รักของตนไปกอดทันทีที่เห็นพวกเรากลับมาถึง พร้อมกับกล่าวชมเชยเร็กซ์อย่างดิบดี อีกทั้งจะตบรางวัลให้ ซึ่งแน่นอนเจ้าทึ่มนี่ปฏิเสธ


“มันเป็นหน้าที่ของอัศวินอยู่แล้วที่จะต้องช่วยเหลือผู้คน สิ่งตอบแทนใดๆไม่จำเป็นหรอกครับ” มันตอบเสียงหล่อเรียกคะแนนนิยมจากนายจ้างและคุณหนูขึ้นไปอีก


<เออ เอาหน้าเข้าไป จะไม่รับรางวัลนี่ปรึกษาตรูก่อนบ้างมั้ย> ผมคิดเคืองในใจ


มีนาถูกตำหนิที่ปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น แต่เพราะเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่สามารถคาดการณ์ได้ อีกทั้งปัญหาต่างๆก็คลี่คลายแล้ว ทำให้ไม่โดนต่อว่าหนักจนเกินไป


นางตัดสินใจนำขบวนคาราวานกลับเมืองเนื่องจากเกวียนขนสินค้าเสียหายจนซ่อมไม่ได้ถึง 2 เล่ม อีกทั้งยังมีผู้บาดเจ็บและยังเดินทางไม่ถึงครึ่งทางทำให้การขนของกลับน่าจะง่ายกว่า


พวกผมตัดสินใจแยกตัวออกเดินทางไปยังเมืองควินิค (Quinic) ต่อกันเองเพราะไม่อยากใช้เวลาเดินทางวนไปมา ตามปกติกว่าจะผ่านช่องแคบสองสีได้ก็ใช้เวลาวันครึ่งอยู่แล้ว


“ดิฉันจะได้พบท่านเร็กซ์อีกมั้ยคะ” โซเฟียยกมือข้างหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้าปิดปากด้วยความเหนียมอาย ดวงตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง


“หากมีโอกาสกระผมยินดีรับใช้คุณหนูอีกครับ” มันตอบด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ


ผมหันหน้าไปทางมีนาทำท่าแลบลิ้นเหมือนจะอ้วก จนนางหัวเราะคิกคัก


“ดิฉันจะรอคอยวันนั้นค่ะ” ว่าแล้วก็วิ่งงุดๆขึ้นรถม้าไป


<โถ หนูจ๋า พึ่งจะ 14-15 อย่าพึ่งรีบขนาดน้านนน> ผมคิดในใจด้วยความระอา แต่เอ๊ะ บทสนทนาแบบนี้คุ้นๆแฮะ


“โชคดีนะรอส ขอให้เดินทางปลอดภัย” มีนากล่าวลาพร้อมเข้ามากอดผมไว้


“อื้อ ผมว่าช่วงนี้ผมต้องการโชคเพิ่มขึ้นด่วนๆเลย เจ้าเองก็เดินทางปลอดภัยนะ”


“เสร็จงานแล้วอย่าลืมแวะมาเยี่ยมบ้างหละ”


“ได้เลย” ผมกล่าวอำลาเสร็จแล้วเดินไปหาเร็กซ์ที่กำลังเตรียมเจ้าฟรีดให้พร้อมเดินทาง


“แล้วฉันจะรอฟังข่าวดีนะ” นางตะโกนตามหลังมา


ผมไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มให้ <ข่าวดีอะไรของยัยนี่ฟระ>


…………………………………………………………….


ริมลำธารแห่งหนึ่ง กลางช่องแคบสองสี

แสงอาทิตย์สีแดงส้มตัดผ่านท้องฟ้าสีน้ำเงินครึ้มเป็นสัญญาณบอกพวกเราว่าใกล้จะมืดแล้ว พวกเราที่เดินทางมาทั้งวันจนพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินตัดสินใจที่จะหาจุดค้างแรมกลางป่า ซึ่งพวกเราเลือกบริเวณลานโล่งๆใกล้ๆลำธารเพื่อเติมน้ำและหาเสบียงเพิ่ม


“เดี๋ยวข้าจะลงไปจับปลาในลำธารเอง ส่วนเจ้าไปหาฟืนมาก่อไฟ” หลังจากจัดแจงสัมภาระเสร็จเจ้าเร็กซ์ก็สั่งการทันที พวกเราขนสัมภาระได้ทีละไม่มาก การหาของป่าเป็นอาหารเพิ่มจึงเป็นเรื่องที่ดี


“โห คุณชายอย่างเจ้าเนี่ยนะจะจับปลา ให้นักผจญภัยที่อยู่กลางดินกินกลางทรายทำให้ดีกว่ามั้ง” ผมแย้งขึ้น ถ้าใช้หินเวทน้ำของผมการจับปลาไม่ใช่เรื่องยาก


“เหอะหน่า วันนี้เจ้าเจ็บตัวมาเยอะแล้ว ข้าจัดการเอง” โอ๊ะ โอ๋ มีเป็นห่วงด้วย เมื่อว่าอย่างนั้นผมเลยยอมเดินเข้าป่าแต่โดยดี


“จะไหวมั้ยเนี่ย” ผมพึมพำกับตัวเอง มองไปที่เร็กซ์ขณะที่สองขาก็ก้าวเดินลึกเข้าไปในป่าใกล้ๆเพื่อหากิ่งไม้แห้งมาก่อไฟ

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
nc นี่แล้วแต่เลยนะ อยากเขียนแบบไหน
อ่านแล้วอยากให้มี world map คร่าวๆ ดูทรงแล้วจักรวาลในเรื่องน่าจะใหญ่ไม่เบา

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
จริงๆมีวาดแผนที่แบบกากๆไว้อยู่ครับ แต่เนื้อเรื่องไม่กว้างใหญ่ขนาดนั้นครับ ค่อนข้างจะเส้นตรงคือจบเรื่องที่ส่งเควสหลักพอดี

ช่วงแรกดำเนินช้าหน่อย(ค่อนข้างมาก)จะ10ตอนละพึ่ง4วัน เพราะกะจะให้ตัวละครคุ้นเคยกันก่อน เดี๋ยวช่วงหลังจากนี้จะกระโดดไวหน่อยครับ

ปล. เรื่องนี้เรื่องแรกครับ ยังไม่กล้าทำสเกลใหญ่จนเกินไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-06-2018 15:22:41 โดย KPMwolf »

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 10 Big fish


ใช้เวลาไม่นานผมก็หอบกิ่งไม้ที่เหมาะจะนำมาใช้เป็นฟืนมาเต็มสองแขน เมื่อผมเดินพ้นออกมาจากชายป่าเพื่อกลับจุดพักผมก็ต้องชะงักไป


ร่างเปลือยเปล่าเหลือแต่เพียงกางเกงผ้าขาสั้นที่เปียกจนลู่แนบเนื้อของเร็กซ์ปรากฏแก่สายตาของผม ร่างหนาแผ่นหลังกว้าง กล้ามไหล่และแขนเป็นวง มีหยดน้ำที่เกาะตามผิวกายสะท้อนแสงสีส้มเข้มของอาทิตย์อัสดงในลำธาร เขากำลังยืนถือดาบอยู่ในลำธารหันหลังให้ผมแล้วจดจ้องไปที่พื้นน้ำ


<เซ็กซี่ชะมัดเลย> ผมคิดขณะตกอยู่ในภวังค์


“ซู่” เสียงปลายดาบพุ่งแหวกผืนน้ำลงไปช่วยเรียกสติผมกลับคืนมา อัศวินหนุ่มตวัดดาบขึ้นมาจากน้ำพร้อมปลาที่ปลายดาบ เมื่อปลาแน่นิ่งไปเขาจึงดึงมันออกจากดาบแล้วโยนมาบนพื้นหญ้า


ผมค่อยๆเดินมาวางกองฟืนไว้ <ทำไมต้องค่อยๆเดินฟระ ไม่ได้แอบถ้ำมองสักหน่อย> แล้วผมก็สังเกตเห็นว่ากองปลาที่พื้นพึ่งจะมีสี่ตัว


<ปล่อยให้จับอีกสักพักละกัน> นี่ไม่ได้มีเจตนาใดๆแอบแฝงเลยนะ


ผมเริ่มลงมือก่อกองไฟโดยไม่ได้ใช้เวทมนต์เข้าช่วย ผมจำเป็นที่จะต้องแบ่งการใช้งานหินเวทอย่างระมัดระวัง ด้วยข้อจำกัดของถุงมือเวทที่ต้องรอให้พลังเวทฟื้นคืนเป็นเวลานาน ทำให้ผมเคยเกือบตายมาแล้วเพราะไม่มีหินเวทใดพร้อมใช้งานเลยในยามคับขัน


“ซู่” เสียงดาบพุ่งแหวกน้ำลงไปอีกครั้งเรียกความสนใจผมไปมองร่างหนานั้น ดูเหมือนคราวนี้จะพลาดไม่มีอะไรติดขึ้นมา มันสะบัดเอียงคอเหมือนไม่สบอารมณ์


เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมเริ่มทำความสะอาดปลาที่เร็กซ์จับได้ ขอดเกล็ด แล้วควักเครื่องในด้วยดาบสั้นของผม นำไปเสียบไม้ แล้วไปเสียบไว้ใกล้ๆกองไฟ


หลังจากเร็กซ์จับได้อีกสองตัวผมก็ตะโกนบอกไปว่าพอได้แล้ว เพราะถ้ามากเกินไปสุดท้ายจะเสียของเปล่าๆ มันตอบตกลงแต่ก็ยังไม่ยอมขึ้นมาจากน้ำ


พอผมเตรียมปลาจนครบผมก็นำกระติกไปตักน้ำในลำธารขึ้นมาดื่มแล้วนั่งพักผ่อนบ้าง


“นี่ รอส ” เร็กซ์ตะโกนเรียกผม ผมที่ยังอมน้ำอยู่ในปากจึงหันไปตามเสียงเรียก


“หืม พรวด” ผมพ่นน้ำที่พึ่งดื่มเข้าไปออกมาจนหมดเมื่อเห็นภาพตรงหน้า


อัศวินหนุ่มยืนอยู่ในน้ำระดับต้นขา ร่างเปลือยเปล่าไร้สิ่งใดปกปิดกำลังหันหน้ามาหาผม มันถอดกางเกงไปพาดที่บ่าแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กล้ามอกกว้างหนา หน้าท้องเป็นลอน ขนอ่อนไล่ลงจากสะดือลงไป..ลงไป..ลงไป สายตาผมมองตามลงไปด้วยจิตใจต่ำทรามของตัวเองโดยไม่รู้ตัว


<หะ หญะ ใหญ่> ผมเอามือปิดปาก อุทานในใจเมื่อเห็นดาบประจำกายอีกเล่มที่กลางตัวของเร็กซ์


“นี่ เป็นอะไร ช่วยข้าหยิบผ้าสะอาดในกระเป๋าที่ฟรีดให้หน่อย” มันกล่าวด้วยเสียงเรียบราวกับเป็นเรื่องปกติ


เหมือนฟรีดจะรู้หน้าที่ เดินเอาหัวมาสะกิดหลังผมจนผมได้สติกลับมา ผมรีบความหาของที่มันต้องการแล้วเดินไปให้ใกล้ๆ


“เอื๊อก” ผมกลืนน้ำลายเสียงดังเมื่อได้สังเกตใกล้ๆตอนยื่นผ้าให้


<นี่มันไม่ได้อ่อยตรูอยู่ใช่มั้ยๆๆ> ผมถามตัวเองซ้ำไปมา การกระทำมันช่างยั่วอารมณ์ผมเหลือเกิน


ถึงจะเคยได้ยินเรื่องของห้องอาบน้ำรวมในโรงเรียนอัศวินจากพวกอัศวินรุ่นใหญ่ที่เคยนอนด้วยมาบ้าง แต่มาเจอเองกลางที่แจ้งแบบไม่ทันตั้งตัวก็ทำตัวไม่ถูกแฮะ


เมื่อได้สิ่งที่ต้องการเร็กซ์ก็หันหลังให้ผมแล้วเดินลงน้ำไป


<ก้นแน่นๆนั่น น่าบีบชะมัด> ผมมองไปที่บั้นท้ายของเร็กซ์แล้วพยายามข่มใจเอาไว้ ถ้าไม่ติดตรงที่มันเป็นคุณชายกำลังจะไปแต่งงานกับองค์หญิง ป่านนี้ผมคงกระโจนลงน้ำไปด้วยแล้ว แต่บทเรียนในอดีตสอนผมไว้ว่าอย่าไปยุ่งย่ามกับพวกที่ไม่มีรสนิยมเดียวกัน

............................................................................................

หลังอาทิตย์ตกดิน


หลังจากที่เราทานอาหารจนอิ่ม พวกเราก็จัดแจงที่นอนของตนเอง


“เดี๋ยวข้าจะเฝ้าเวรยามแรกให้เอง” เร็กซ์กล่าวขึ้นมา


ปกติการค้างแรมกลางป่าควรจะมีการแบ่งเวรเฝ้ายามเพื่อป้องกันตัวจากสัตว์ป่าและมอนสเตอร์หากินกลางคืน


“เดินทางกับข้าไม่จำเป็นต้องเฝ้าเวรยามหรอก” ผมตอบกลับพลางควานหาของในกระเป๋าสัมพาระ เร็กซ์มองผมด้วยความสงสัย


“นี่เป็นอุปกรณ์เวทมนต์ที่ช่วยสร้างอาณาเขตเพื่ออำพรางได้” ผมกล่าวต่อ พร้อมแสดงหินรูปลูกเต๋า 4 ก้อนบนมือ ทุกก้อนมี

อักขระเวทมนต์จารึกไว้รอบด้าน “เพียงวางไว้รอบๆที่พัก มันก็สามารถอำพรางได้ทั้งรูป และกลิ่น ผู้ที่เดินผ่านจะเห็นเป็นเพียงพื้นที่เปล่าๆเท่านั้น ถ้าทางนี้ไม่ส่งเสียงดังอ่ะนะ” ผมอธิบายพลางเดินไปวางที่มุมทั้งสี่ของที่พัก


เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์เวทมนต์ที่อาจารย์ของผมให้ไว้ หลักการของมันลอกเลียนแบบเวทมนต์อำพรางของเหล่าจอมเวทย์ที่นิยมใช้ปกปิดห้องหรือถ้ำลับต่างๆ ข้อจำกัดที่ด้อยกว่าเวทมนต์เหล่านั้นคือปกปิดเสียงไม่ได้ และอาณาเขตไม่กว้างนัก แต่ถ้าสำหรับสองคนและม้าอีกหนึ่งตัวนี่สบายมาก


“สะดวกจริงๆ” เร็กซ์กล่าวชม


“ถ้าไม่มีของแบบนี้ ข้าคงเดินทางคนเดียวไม่ได้” ตั้งแต่แยกตัวจากอาจารย์ของผมมาเมื่อ 2 ปีก่อนก็เดินทางคนเดียวเกือบตลอด ขืนไม่มีของแบบนี้อยู่หละก็ ได้ตกเป็นอาหารของพวกมอนสเตอร์กลางป่าพอดี


พวกเราสองคนล้มตัวลง ผมนอนหงายขึ้นดูหมู่ดาวบนท้องฟ้า ทุกอย่างเงียบสงบมีเพียงเสียงใบไม้สีกันตามแรงลมและเสียงกิ่งไม้ลั่นในกองไฟ ผมตั้งสมาธิพยายามสงบจิตสงบใจจากภาพเมื่อเย็นเพื่อที่จะหลับพักผ่อน ถ้าเดินทางตั้งแต่รุ่งเช้าก็น่าจะถึงเมืองช่วงเที่ยงๆพอดี


ระหว่างที่ผมคิดนู่นนี่นั่นไปเรื่อย เร็กซ์ก็ทำลายความสงบลง


“รอส ข้าขอโทษด้วยนะ”


“หืม เรื่องบ่ายหนะหรอ ช่างมันเถอะ” ถึงผมจะโวยวายแต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรขนาดนั้น


“ไม่ใช่เรื่องนั้น”


“….”


“เรื่องที่หาว่าเจ้าเป็นโจรแล้วอัดเจ้าซะน่วมหนะ”


“อะไรดลใจให้เจ้ามาขอโทษตอนนี้ นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว” เรื่องนั้นผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก ถึงจะไม่พอใจเรื่องถูกบังคับทำพันธะสัญญาอยู่บ้างก็ตาม แต่ช่วยตัดตรงที่โดนอัดซะน่วมไปได้มั้ย ถ้าเป็นสภาพเต็มร้อยผมไม่แพ้ง่ายๆหรอกนะ


“เจ้าพุ่งตัวออกไปปกป้องมีนาทั้งๆที่พละกำลังด้อยกว่า อีกทั้งยังพุ่งไปหาพวกมันด้วยตัวคนเดียวเพื่อจะช่วยโซเฟีย ถ้าไม่ใช่คนดีไม่มีทางทำแบบนั้นแน่”


“หึหึ งั้นหรอกหรอ” แอบตัวลอยนิดๆแฮะ


“เจ้าทำให้ข้าได้เห็นว่าเจ้าเองก็มีจิตใจที่ดี” ผมก็ไม่ได้ดีเดอะไรขนาดน้านน


“งั้นก็ปล่อยข้าจากพันธะของ Oathkeeper สิ”


“ไม่” มันตอบสั้นๆเสียงแข็ง


<ชิ ว่าจะเนียนซะหน่อย>


“ส่วนเรื่องหัวขโมยแห่งเบลาเดียที่เคยออกอาละวาดช่วงสั้นๆทางตอนใต้เมื่อ 2 ปีก่อน ข้าจะถือซะว่าไม่เคยได้อ่านรายงานแล้วกัน” เสียงเรียบๆแต่เล่นเอาผมเหงื่อแตก


“อ..เอ่อ ขอบคุณละกัน” ผมกล่าวเบาๆพร้อมยิ้มแห้งๆ ดูท่ามันจะรู้วีรกรรมของผมพอสมควร


แต่นั่นก็ช่วยดึงความสนใจของผมจนคลายความกำหนัดลงไปได้และหลับลงในที่สุด


…………………………………..


กลางดึก


ผมก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นเพราะมีบางอย่างมากดทับตัวผมไว้จนอึดอัดไปหมด พอผมลืมตาขึ้นผมก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น…


แสงสีส้มจากกองไฟสะท้อนใบหน้าของเร็กซ์ที่แทบจะติดกับหน้าของผม ร่างเปลือยเปล่าของอัศวินหนุ่มขึ้นคร่อมร่างผมไว้ ขาสองข้างผมโดนลำตัวมันทาบทับไว้  แขนสองข้างโดนจับกางออกแล้วถูกแขนแกร่งกดไว้เช่นกัน


“หัวขโมยแห่งเบลาเดีย ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องถูกลงโทษแล้ว” เร็กซ์กล่าว พร้อมยิ้มกริ่มราวกับราชสีห์ที่กำลังหยอกล้อเหยื่อของมันก่อนที่จะลงมือขย้ำ


ด้วยความสลึมสลือ และสมองที่ประมวลผลไม่ทันทำให้ผมพูดอะไรโง่ๆไร้เดียงสาไปว่า “จะทำอะ….อุบ” แต่พูดไม่ทันจบปากของผมก็ถูกปิดลง


ริมฝีปากของอัศวินหนุ่มบดลงมาอย่างหนักหน่วง มันเป็นจูบที่เร่าร้อนและรุนแรง ผมที่อารมณ์เริ่มปะทุขึ้นก็ไม่ยอมแพ้โต้ตอบกลับไปจนเสียงดังจ๊วบจ๊าบ แต่ไม่นานผมก็พยายามถอนตัวออกมาเพราะกำลังจะหมดลม อีกฝ่ายแกล้งรั้งไว้สักพักถึงจะยอมปล่อยออกมา


มาดคุณชายแสนดีของเร็กซ์หายไปจนหมดสิ้น เร็กซ์แสยะยิ้มอย่างพึ่งพอใจเมื่อเห็นผมหายใจหอบเอาอากาศเข้าไป แต่มันก็ไม่ปล่อยผมให้พัก กดหน้าซุกไซร้มาที่ข้างหูของผมแล้วค่อยๆไล่ต่ำลงมา


“อ๊ะ..” ผมหลุดเสียงออกมาเมื่อปลายจมูกเคลื่อนผ่านจุดอ่อนที่ลำคอของผม เจ้าราชสีห์ผมดำไม่รอช้าขบกัดเข้าที่ลำคอตำแหน่งเดิมทันที


“อะ เร็กซ์ อ๊า” ผมครางยาวด้วยความเสียวซ่าน ลำตัวแอ่นขึ้นจนไปแนบกับร่างของนักล่า


“รอส” มันเรียกชื่อผมด้วยเสียงกระเส่า


“อะ อือ” ผมที่สติกระเจิดไปแล้วขานรับเบาๆ


“รอส”


“หืม”


“รอส” เรียกซ้ำๆจนผมเริ่มหงุดหงิด


“อะไร”


“ตื่น”


“หะ” ผมสะดุ้งโหยง ลืมตาตื่นขึ้นมานั่ง หายใจหอบเหนื่อย เหงื่อโทรมกาย


<ฝะ ฝันงั้นหรอ>


“เจ้าเป็นอะไร เห็นนอนกระสับกระส่ายไปมาแล้วเรียกชื่อข้า” ผมหันไปมองเจ้าของเสียงที่ใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวมามอง อีกข้างขยี้ตาไปมาด้วยความง่วง


“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร ฝันเฉยๆ หนะ” ผมตอบเสียงตะกุกตะกัก <เชี่ย ภาพเมื่อเย็นติดเข้ามาในฝันเลยหรอเนี่ย> ผมรีบพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้เร็กซ์เพื่อไม่ให้มันเห็นความผิดปกติของผม


“จะ เจ้า นอนต่อเถอะ ขะ ข้าไม่เป็นอะไร” ผมไล่มันไปนอนต่อ เร็กซ์ล้มตัวลงไปนอนแล้วเงียบไป


ทุกอย่างเงียบลงเหลือแต่เสียงลั่นของฟืนในกองไฟดังเปรี้ยะๆ ผมใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อที่จะลบภาพติดตาเมื่อครู่ สงบสติอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านแล้วข่มตานอน


<ไม่ได้การ พรุ่งนี้ไปถึงเมืองคงต้องแวะสถานที่แห่งนั้นซะแล้ว>




ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
น้องงงงงงอย่าเพิ่งหื่นแตกใส่เขาสิ 5555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
น้องขาดน้ำไปหลายวัน น้องเลยฟุ้งซ่าน

แผนที่คร่าวๆครับ อาจมีการแก้ไขเพิ่มเติม ตัวเลขคือที่ตั้งของแต่ละบทครับ
พอดีอัพรูปลงไม่ได้เลยแปะลิงค์ทวีตละกัน
https://twitter.com/CruisingDog/status/1014070947651829760

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 11 Young lord

ช่วงสายๆ ณ ถนนกลางป่า


“หาววววว” ผมอ้าปากหาวหวอดๆรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ตั้งแต่ตื่นแล้วเริ่มเดินทางมาก็นั่งโงนเงนสัปหงกไปมาอยู่บนหลังม้า


“เป็นอะไร ทำไมวันนี้เจ้าดูไม่สดใสเลย” เร็กซ์ที่นั่งอยู่ข้างหน้าถามผม


“ข้าก็ปกติดีหนิ” ผมโกหกแบบขอไปที


<ก็เพราะเอ็งนั่นแหละ> ผมนึกโกรธในใจ เมื่อคืนนอนไม่พอเพราะหยุดความคิดฟุ้งซ่านของตนเองไม่ได้ ครั้นจะใช้อีกวิธีก็เกรงใจคนที่อยู่ด้วย


พวกเราตื่นนอนกันตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น หลังจากทานปลาที่เหลือและเก็บสัมภาระเสร็จก็ออกเดินทางต่อทันที อีกไม่กี่ชั่วโมงก็น่าจะถึงเมืองควินิกแล้ว พอถึงเมืองนะ ผมจะรับเข้าที่พักเพื่อเก็บของแล้วพุ่งตรงไปที่แห่งนั้นทันทีเลยคอยดู


ขณะที่ผมกำลังคิดอะไรบาปๆอยู่นั่นเองก็มีขบวนม้าสวนมาจากฝั่งตรงข้ามพอดี เป็นกลุ่มอัศวินสวมเกราะเต็มยศขี่ม้าสวมเกราะทั้งตัวมาประมาณ 7-8 คน แต่ที่สะดุดตาผมคือหัวหน้าขบวน


ชายร่างใหญ่สวมเกราะสีเงินทั้งตัว กลางแผ่นเกราะที่อกติดสัญลักษณ์รูปราชสีห์ ตาข้างซ้ายถูกปิดด้วยผ้าคาดตาสีดำ แต่ก็ไม่สามารถปกปิดรอยแผลเป็นแนวตั้งยาวตั้งแต่หน้าผากลงมาถึงโหนกแก้มได้ มีเคราที่เล็มไว้จนได้รูปไปกับจอนเป็นกรอบให้ใบหน้าแลดูหน้าเกรงขาม ริ้วรอยบนใบหน้าและผมสีขาวที่แซมอยู่ด้านข้างบ่งบอกว่าอายุประมาณ 40ต้นๆ


<ดูดีจัง> ผมมองอ้าปากค้างจนน้ำลายเกือบไหล


เมื่อทางฝ่ายนั้นเห็นพวกเราหัวหน้าขบวนก็ชะงักไป ทางเร็กซ์เองก็สั่งให้ม้าหยุดเช่นกัน คงจะเป็นคนรู้จักกันเพราะมีสัญลักษณ์ราชสีห์


“ท่านอาจารย์มาโก้ (Margo)”   


“นายน้อย!!!” ผมแทบจะหลุดขำ โตป่านนี้ยังเรียกนายน้อยอีกหรอเนี่ย


มาโก้ลงจากม้าแล้วพุ่งตรงมาถึงพวกเราภายในอึดใจเดียว พอได้เห็นใกล้ๆแล้วรู้สึกว่าจะสูงกว่าและตัวใหญ่กว่าเร็กซ์อีกนะเนี่ย
ทันทีที่เร็กซ์ลงจากเจ้าฟรีด้อม อัศวินรุ่นใหญ่ก็สอดมือไปใต้แขนของอัศวินหนุ่มแล้วยกขึ้นจนตัวลอยราวกับอุ้มเด็ก ต้องมีแรงเยอะขนาดไหนเนี่ยถึงยกเจ้าเร็กซ์ขึ้นง่ายๆแบบนี้


“โอ้ นายน้อยของข้าโตขึ้นเยอะมากเลยนะครับ” ใบหน้าที่ยิ้มแย้มราวกับคุณลุงใจดีและท่าทีอ่อนโยนลบภาพหน้าเกรงขามเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น


<นี่ตรูดูอะไรอยู่ฟระเนี่ย> ผมคิดในใจขณะค่อยๆพลิกตัวลงจากม้า


“อะ เอ่อ ท่านอาจารย์ปล่อยผมลงก่อนเถอะครับ” เร็กซ์ยิ้มแหยๆ หน้าเริ่มแดงอาย พวกอัศวินคนอื่นๆเริ่มหัวเราะคิกคักกัน แต่เมื่อมาโก้หันกลับไปจ้องเพียงปราดเดียว พวกเขาก็กลับมานั่งตัวตรงบนหลังม้าอย่างเป็นระเบียบ และเงียบกริบทันที


“อ่า ขออภัย ข้าลืมไปว่านายน้อยไม่ใช่เด็กอายุ 10 ขวบแล้ว ฮ่าๆๆ” มาโก้หัวเราะเสียงดังแล้ววางตัวเร็กซ์ลง “นายน้อยมาทำอะไรที่นี่ครับ”


“เควสพิธีคัดเลือกรัชทายาทหน่ะครับ อาจารย์” เร็กซ์ตอบขณะจัดแจงชุดเกราะของตนเองให้เข้าที่เข้าทาง


“จริงสินะ ถึงเวลาที่นายน้อยของข้าต้องแต่งงานแล้วสินะ ในฐานะอาจารย์ มันช่างน่าภาคภูมิใจเหลือเกิน” เขากล่าวขณะเอามือขึ้นมาปาดน้ำตาแห่งความยินดี “แล้วเจ้านี่เป็นใคร” เขาเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วแล้วชี้มาที่ผม ถามด้วยเสียงเรียบฟังดูเย็นชา


“นี่รอสครับ เพื่อนร่วมเดินทางและคนนำทางของผมครับอาจารย์”


“งั้นรึ ดีแล้วๆ หาพวกพ้องเดินทางไปด้วยจะได้พึ่งพายามลำบาก” อัศวินรุ่นใหญ่กล่าวแล้วเดินมาหาผม ยกมือขึ้นมาตบบ่าผมไว้ “ต้องขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยเหลือนายน้อยของข้า”


“ด้วยความยินดีครับ” ผมยิ้มตอบกลับ


<ถ้าตอบแทนด้วยร่างกายของท่าน ผมนี่จะตั้งใจทำงานเลยครับ> อยากได้ใจจะขาดแต่ก็เกรงว่าหัวจะขาด


“หมับ” มาโก้ออกแรงบีบมาที่ไหล่ผมอย่างแรงราวกับจะบีบให้หัก


<อ๊ากกกก> ผมร้องดังๆในใจ ดวงตาเบิกกว้าง กัดฟันกรอดทนความเจ็บปวด แต่พยายามปั้นหน้าให้ดูปกติที่สุด


“จงภูมิใจที่ได้รับใช้ตระกูลไลโอเนล แต่หากเจ้าคิดลอบกัดหรือหักหลังนายน้อยละก็.. ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน ข้าจะตามไปจัดการเจ้า เข้าใจมั้ยเจ้าหนุ่ม” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเหี้ยมโหด รังสีอัมหิตแผ่ออกมาจนผมเหงื่อแตก


“ครับ รับทราบครับ” ผมตอบรับเสียงดัง <เป็นไบโพล่าหรอไง เปลี่ยนบุคลิกเร็วมาก>


มาโก้ปล่อยมือจากบ่าผมแล้วเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นคุณลุงใจดีเหมือนเดิม ผมรีบเอามืออีกข้างมาบีบนวดที่ไหล่ แล้วถอยห่างออกมา


<น่ากลัวชะมัด>


“ดี เมื่อเข้าใจตรงกันแล้วก็ดี”


“ว่าแต่ท่านอาจารย์มาทำอะไรแถบนี้หรอครับ” เร็กซ์ถามแทรกขึ้นมา


“มีรายงานมาว่ามีมอนสเตอร์ระดับสูงอาละวาดใกล้ป่าเอเดน(Eden) ก่อกวนขบวนขนส่งสินค้า พวกคนในพื้นที่จัดการไม่ไหว เลยขอกำลังจากเมืองหลวงหน่ะ นี่ก็จัดการเรียบร้อยแล้วเลยเดินทางกลับ” อัศวินรุ่นใหญ่รายงาน


“ทางผ่านพอดีเลย” ผมพึมพำ


หลังจากเดินทางถึงเมืองควินิก เราก็ต้องเดินทางยาวไปทางตะวันออกผ่านป่าเอเดนเพื่อไปถึงเมืองเอนเดลอน นับว่าโชคดีอยู่ที่มีคนจัดการตัวปัญหาไปเสียก่อน


“โอ้ งั้นรึ แค่ได้ทราบว่าข้าแบ่งเบาภาระของนายน้อยไปข้าก็ยินดี” เขากำหมัดชูขึ้นระดับอกทำหน้าตาปิติยินดีแบบสุดๆ


“เอาหละ ข้าไม่รบกวนเวลาเดินทางของนายน้อยแล้วหละ อีกไม่นานก็จะถึงเมืองควินิก เตรียมเสบียงให้พร้อมหละ ข้าขออวยพรให้พวกเจ้าเดินทางและทำเควสให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี” ไม่ว่าเปล่า ดึงตัวอัศวินหนุ่มเข้าไปกอดเต็มรัก เจ้าเร็กซ์หน้าแดงขึ้นไปอีก ทำตัวอิดออดจะดิ้นหลุดออกมา


“ขอบคุณท่านอาจารย์มากครับ แฮะๆ ยินดีจริงๆที่ได้เจอท่านอีก” มันยิ้มเขินๆ


หลังจากร่ำลากันเสร็จเรียบรอยพวกเราขึ้นม้าแล้วออกเดินทางต่อ แต่ไม่วายที่ผมจะรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เมื่อหันไปก็พบสายตาอัมหิตของมาโก็จ้องมาที่ผม


“ไหล่เป็นอะไรมั้ย” เร็กซ์เรียกความสนใจผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง


“ไม่เป็นอะไรมากครับ นายน้อยยย” ผมลากเสียงยาวแกล้งมัน


“ยะ..อย่าเรียกข้าแบบนั้นนะ” ฟังเสียงก็รู้ว่าเจ้าคุณชายนี่กำลังเขิน ช่างสมเป็นลูกขุนนางจริงๆ ใครๆก็รักใครๆก็หวง


.........................................................................................

เมืองควินิก


เมื่อดวงอาทิตย์อยู่กลางศีรษะ พวกเราก็มาถึงเมืองกันพอดี


เมืองควินิกนั้นเป็นเมืองขนาดใหญ่คล้ายเทรโร่ เพราะเป็นสถานที่ที่มักใช้เป็นจุดพักก่อนลำเลียงสินค้าผ่านช่องแคบสองสีที่ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 วัน จึงมีผู้คน, พ่อค้า และสถานที่อำนวยความสะดวกต่างๆอยู่เต็มไปหมด


“วันนี้พวกเราพักที่นี่แล้วกัน” ผมกล่าวบอกเร็กซ์ขณะเดินนำมันไปยังโรงเตี๊ยมไม้ 2 ชั้นที่ดูเรียบๆ ไม่น่ามีราคาแพงมาก


“นี่พึ่งจะเที่ยงเองไม่ใช่หรอ รีบตุนเสบียงแล้วเดินทางต่อดีกว่ามั้ย” มันแย้งผมขณะที่กำลังเดินจูงม้าตามหลังผมมา


“เห นี่เป็นเมืองเดียวในเขตนี้ละนะ ถ้าพ้นจากที่นี่ไปกว่าจะถึงเมืองเอนเดลอนก็ต้องนอนกลางป่า 3 วัน 3 คืนเลยนะ” ไม่ได้นะ ถ้ามาฟิตตอนนี้ ผมก็อดไปที่นั่นหน่ะสิ


“ข้ามาปฏิบัติภารกิจนะ ไม่ได้มาเที่ยวเล่น จะทำตัวสบายๆแบบนี้ไม่ได้” มันตอบเสียงแข็ง


“โหย คุณอัศวิน อย่าตึงเกินไปเลยหน่า ไม่ใช่ทุกวันนะที่เจ้าจะได้ออกมาเที่ยวชมเมืองไกลๆแบบนี้”


“ข้าไม่ได้ตึงเกินไป ข้าแค่ทำตามหน้าที่ที่อัศวินที่ดีควรจะทำ”


“แล้วหน้าที่ที่ว่าคือ?”


“ตั้งใจทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายมาสำเร็จโดยไม่วอกแวก” มันหยุดเดินแล้วทำหน้าเป็นจริงเป็นจังกับผม เจ้านี่ไม่รู้จักการใช้ชีวิตให้อิสระสบายๆเลยหรอไง แต่ผมไม่ยอมแพ้หรอกนะ


“แต่ข้ายังบาดเจ็บอยู่นะ เนี่ยข้ายังปวดๆจากผลงานเจ้าเมื่อวานอยู่เลย” ผมพูดพลางกุมสีข้างฝั่งที่โดนกระแทก


“ชิ” มันส่งเสียงไม่พอใจ เบือนหน้าหนีเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง “ก็ได้ ให้เจ้าได้พักผ่อนในเมืองก่อน แล้วพรุ่งนี้เดินทางแต่เช้า”


<ย้า หู้ว> ผมกระโดดโลดเต้นในใจ ถึงจะสมเพศตัวเองอยู่บ้างที่ต้องมาแกล้งสำออยแบบนี้ แต่ยังไงก็ต้องไปที่นั่นให้ได้ ไม่งั้นผมทุรนทุรายแน่นอน


.................................................................................

 
หลังจากเช็คอินเข้าที่พักและเก็บข้าวของแล้ว ผมก็แสร้งขอตัวออกไปข้างนอกทันที โดยบอกว่าจะไปซื้อเสบียงเพิ่ม แต่เจ้าเร็กซ์ก็ไม่วายขอตามมาด้วย แต่ผมก็คิดแผนสำรองไว้แล้ว


“เดี๋ยวเราแยกย้ายกันซื้อของที่จำเป็นละกันจะได้เสร็จเร็วขึ้น แล้วค่อยกลับไปเจอกันที่ที่พัก” ผมกล่าวหลังจากเดินนำมันมาถึงส่วนตลาดของเมือง


“เป็นความคิดที่ดี” เร็กซ์ตอบกลับ


<ติดกับแล้วหละ>


เราแยกกันไปซื้อของคนละทาง ผมไปหาสมุนไพรไว้ทำแผลนิดหน่อยเพราะเวทฟื้นฟูระดับไม่ล่างของผมไม่เพียงพอในการรักษาบาดแผล เสร็จแล้วจึงเดินหายเข้าไปในตรอกแคบๆของตลาดทันที เดินลัดเลาะไปไม่นานก็ถึงบริเวณที่ผู้คนไม่มากนัก ตรงเข้าไปในซอยแคบๆแล้วผมก็เห็นที่หมายของผม ร้านที่ติดป้ายรูปไก่สีทองอยู่เหนือประตู ร้าน “Golden Cock”

…………………………………………………………….



ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่ยังติดตามมาจนถึงตอนนี้นะครับ สงสัยอะไรถามได้นะครับ มันเป็นโลกแฟนตาซีที่ไม่อิงความจริงเลยอาจจะคิดตามยากครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2018 17:47:38 โดย KPMwolf »

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เข้าไปดูแผนที่โลกละครับ ก็ดูใช้ได้นี่นา ถ้ามีคำอธิบายบอกอะไรอยู่ตรงไหนคร่าวๆ อีกจะดีเลย
อ่านตอนนี้ไป ถึงกับอยากโดดลงเรือผี นายน้อย-อาจารย์ ตลกนายน้อยโดนอุ้ม

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เพิ่งได้มาอ่าน สนุกมาก เพลินดีค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
PsychePie - พอได้ยินว่ามีคนชิบคู่ นายน้อย-อาจารย์ ปุปก็ทำให้นึกถึงคู่นี้

https://twitter.com/yy62401/status/999320780902207490
https://twitter.com/yy62401/status/1005502604200140801

แล้วพอค้นรูปเจอนี่ผมก็อ๋อเลยว่ารูปลักษณ์เร็กซ์กับอาจารย์มาโก้มาจากไหน 555

ส่วนอันนี้แผนที่ Ver.2.0 ครับ
https://twitter.com/CruisingDog/status/1015300252612481024

Nocto - ขอบคุณมากครับ มีคนเม้นก็มีกำลังใจครับ



ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ปกติชอบอ่านแนวแฟนตาซี ผจญภัยอยู่แล้วค่ะ อีกอย่างคือไม่ค่อยเจอแนวบาระแบบนี้ซักเท่าไร พอได้มาอ่านแล้วคือ มันลงตัว สนุก แล้วก็ทำให้อินไปกับเนื้อเรื่องได้เลยค่ะ

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 12 The golden chicken

ในอาณาจักรเทอร่าการหลับนอนกับเพศเดียวกันไม่ใช่เรื่องต้องห้าม สิ่งที่ทางโบสถ์ต้องห้ามไว้คือการนอกกายหรือใจของคู่ครอง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถแสดงออกได้อย่างโจ่งแจ้ง เหตุผลคือเรื่องหน้าตาทางสังคม การสืบสกุลถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะกับพวกตระกูลชั้นสูง ฉะนั้นการที่คู่สมรสล่วงรู้ว่าชายที่จะแต่งงานด้วยหลับนอนกับชายอื่นมาก่อนอาจก่อให้เกิดปัญหาได้


แต่ก็ไม่ใช่ทุกกรณีไป ผมเคยได้ยินข่าวซุบซิบตามมุมมืดของเมืองว่าภรรยาของพวกขุนนางบางคนยอมที่จะสมรสและมีทายาทให้ แม้จะรู้ว่าขุนนางคนนั้นเลี้ยงชายหนุ่มไว้มากมาย แต่เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายและยกฐานะตนเองแล้ว ตนก็ยอม


แต่โดยทั่วไปแล้วบางคนเลือกที่จะปกปิดความต้องการที่แท้จริงของตนเองไปตลอดชีวิต ในขณะที่บางคนเลือกที่จะตอบสนองความต้องการแบบลับๆ สถานที่แบบนี้จึงเกิดขึ้น


ร้าน Golden cock ภายนอกจะดูเหมือนร้านเหล้าธรรมดาที่มีพื้นที่กว้างสำหรับนั่งดื่ม ทั้งส่วนบาร์ โต๊ะนั่งขนาดเล็ก และเก้าอี้บุขนสัตว์ขนาดใหญ่ บริเวณด้านหน้านี่เองคือที่ๆแขกของร้านจะมานั่งเพื่อเลือกคู่ที่จะไปนอนด้วย อาจจะเป็นคนของร้าน หรืออาจจะเป็นแขกคนอื่นก็ได้ โซนหลังร้านคือห้องพักชั้นดีหลายห้องหลายสไตล์ที่จัดไว้ให้แขกใช้หลับนอนกัน แลกเปลี่ยนกับเงินตราที่สมเหตุสมผล


ร้านประเภทนี้มักจะชื่อที่ล้อแหลมและกระจายอยู่ตามมุมมืดของเมืองใหญ่ๆทั่วอาณาจักร เป็นร้านที่เป็นที่รู้จักในหมู่ชายรักชายโดยอาศัยการบอกกันแบบปากต่อปาก ทั้งนี้เพื่อรักษาความลับให้กับลูกค้านั่นเอง


เมื่อผมเข้ามาในร้านผมก็เลือกหาที่นั่งทำเลดีๆที่สามารถสอดส่องได้ทั่วร้าน สั่งเครื่องดื่ม แล้วจึงเริ่มมองสำรวจรอบๆ เวลาเที่ยงๆบ่ายๆแบบนี้คนไม่ค่อยคึกคักมากนัก จากที่ผมนับดูก็มีแขกอยู่ประมาณ 10 คน มีตั้งแต่คนรุ่นราวคราวเดียวกับผมไปถึงชายรุ่นใหญ่ มีทั้งรูปร่างผอมเพรียวไปจนถึงร่างกายกำยำ บ้างก็แต่งตัวธรรมดาๆ บ้างก็พอมองออกว่าเป็นนักผจญภัยขาจร แต่ยังไม่เห็นพวกที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชั้นดีระดับขุนนาง


ขณะที่ผมกำลังนั่งดูรอบๆเพลินๆนั่นเอง บริกรก็เดินมาข้างหลังผม


“ชายหนุ่มผมทองที่บาร์ฝากข้อความมาให้ครับ” ผมรับกระดาษมา ตามปกติแล้วเมื่อแขกสนใจแขกคนไหน แขกคนนั้นมักจะส่งข้อความแบบนี้ผ่านบริกรไป ถ้าใจป้ำหน่อยก็อาจจะส่งเครื่องดื่มไปด้วย


“ข้ากำลังหาแรงบันดาลใจสำหรับบทละครบทใหม่ ได้โปรดช่วยแสดงให้ข้าเห็นด้วยว่าการตกเป็นจำเลยรักให้นักผจญภัยหนุ่มเป็นเช่นไร” อ่านเสร็จผมจึงหันไปพบดวงตาสีฟ้าอันน่าหลงใหลจ้องมองมาที่ผม เขาเป็นชายรุ่นราวคราวเดียวกับผม ใบหน้าเรียวสวย ผมทองระต้นคอ ริมฝีปากบางยิ้มมาให้ผม สังเกตจากชุดที่มีความฟรุ้งฟริ้งผิดหูผิดตาแล้วคาดว่าน่าจะเป็นนักแสดงของคณะละคร


<หงะ ไม่ใช่สเป็คอ่ะ หน้าสวยกว่าตรูอีก> ผมคิดในใจ


ผมยิ้มให้แล้วยกมือทำท่าขอโทษเพื่อปฏิเสธไปอย่างสุภาพ ฝ่ายนั้นสะบัดค้อนใส่ผมแล้วกลับไปจิบไวน์แก้วหรูของตน
ผมยิ้มแหยๆแล้วหันไปสำรวจรอบๆต่อ ตาผมไปสะดุดเข้ากับชายอีกคนหนึ่งที่มุมร้าน


<ได้เป้าหมายแล้ว> เป็นชายวัยกลางคนร่างใหญ่ตามสไตล์หมีๆที่ผมชอบ ดูเหมือนทางนั้นก็จะสนใจผมเช่นกัน เราส่งยิ้มทักทายกันเล็กน้อย อีกฝ่ายทำท่าจะเรียกบริกร


แต่แล้ววิสัยทัศน์ของผมก็โดนบดบังด้วยชายร่างใหญ่อีกคนหนึ่งที่กำลังจะนั่งลงตรงข้ามผม


“เจ้าหนีเที่ยวอีกแล้วนะ ไหนบอกว่าบาดเจ็บจะพักผ่อนไง” เมื่อได้ยินเสียงหน้าผมก็บูดลงทันทีโดยไม่ต้องเงยขึ้นไปมอง


“ตามมานี่ได้ยังไง” อัศวินเจ้าปัญหาโผล่มาจนได้


“ก็บอกแล้วไงว่า..”


“เออ ข้ารู้หน่าว่าใช้ดาบตามมาได้ ข้าหมายถึงจะตามมาทำไม”


“ก็พอซื้อของเสร็จแล้วเห็นเจ้าอยู่แวบๆแล้วก็หายไปในตรอก เลยสงสัยแล้วก็ตามมา” มันตอบผมเสียงเรียบ


<โว้ยยยยย> ผมกรีดร้องด้วยความโมโหในใจ อุตส่าห์หาทางแยกตัวออกมาได้แล้วแท้ๆ ยังจะมาสงสัยอะไรอีก


ผมชะเง้อมองข้ามไหล่เจ้าเร็กซ์ไป ดูพ่อหมีของผมกำลังทำหน้าเสีย คงคิดว่าโดนตัดหน้าไปแล้ว


“ป้าบ”


“อ๊ะ” เร็กซ์หลุดเสียงออกมาเมื่อมีชายปริศนาเดินผ่านหลังแล้วเอามือไปตบก้นแน่นๆของมัน


“เมื่อกี้แปลว่าอะไรหนะ” มันก้มลงถามผมเสียงเบา ดูท่าทีลนลาน


“....”ผมเงียบไม่ตอบอะไร


“แล้วทำไมชายที่โต๊ะนั้นถึงส่งสายตาแปลกๆมาให้ข้า” มันถามต่อ


“นี่เจ้าไม่รู้เลยใช่มั้ยว่าเข้าร้านอะไรมา” ผมเอาหน้าซุกไปที่ฝ่ามือของตนเองพลางบีบนวดขมับ <ปวดกบาลโว้ยยย>


“ก็ร้านเหล้าไม่ใช่หรอ”


“เห้ออออ” ผมถอนหายใจยาวๆ “ชายพวกนั้นสนใจเจ้าไง”


“สนใจ? หมายความว่ายังไง”


“พวกเค้าอยากหลับนอนกับเจ้าไง”


“หา!!! หมายความว่ายังไง รอส ร้านนี้คืออะไรกันแน่” มันเริ่มเสียงดังจนผมต้องทำสัญลักษณ์มือปรามมัน


“เป็นสถานที่ที่ผู้ชายมาเพื่อนัดหลับนอนกับผู้ชาย” ผมพยายามใช้คำที่เรียบง่ายที่สุดละ


“หา!!!!!!!!” ผมเอามืออุดปากมันแทบไม่ทัน


ขืนมันเสียงดังกว่านี้ต้องไม่ดีแน่ ผมส่งสัญญาณบอกบริกรว่าเดี๋ยวผมกลับมา แล้วรีบลากเจ้าตัวปัญหาออกจากร้านทันที


“หลับนอนกับชายแปลกหน้าเนี่ยนะ พวกเจ้าทำเรื่องแบบนี้กันได้ยังไง” มันโวยวายเสียงดังทันทีที่ออกจากประตูร้านจนผมต้องลากมันออกมาห่างๆจากร้าน


เป็นคำถามที่ตรงไปตรงมาจนผมแปลกใจและไม่คาดคิด แต่ในเมื่อกล้าถาม ผมก็คงต้องกล้าตอบ


“โอเค ถ้าเจ้ากล้าถามมาแบบนี้ ข้าก็กล้าตอบ เจ้าจะให้เริ่มจากไหนดี ตอนเล้าโลม หรือว่าตอนสอดใส่”


“ขะ..ข้ารู้หน่าว่าผู้ชายกับผู้ชายเค้าทำกันยังไง” มันตอบแทรกผมขึ้นมา พร้อมหลบตาด้วยท่าทีอึดอัด หน้าเริ่มแดง


“โอ้..” ผมส่งเสียงตอบรับและเลิกคิ้วข้างนึงขึ้นเป็นการบอกให้มันขยายความ


“ขะ..ข้าเคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาบ้างตอนยังอยู่โรงเรียนอัศวิน” เสียงเริ่มตะกุกตะกัก


“แสดงว่ามีประสบการณ์มาบ้างแล้ว?”


“ยะ..อย่าพูดบ้าๆนะ ข้าไม่เคยหลับนอนกับผู้ชาย” มันแทบจะสำลักคำตอบกลับมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ


“แสดงว่าเคยกับผู้หญิง” ผมแกล้งถามต่อ ชักเริ่มจะสนุกแล้วสิ


“ไม่... ข้าเป็นอัศวิน ข้าต้องให้เกียรติคู่ครองของข้า คนแรกที่ข้าหลับนอนด้วยคือคนที่ข้าแต่งงานด้วยเท่านั้น” มันยืดอกตอบมาเต็มภาคภูมิ


<เอาจริงดิ> นี่มันอัศวินแบบในเทพนิยายชัดๆ


“นี่เจ้าอายุเท่าไหร่” ผมถามต่อ


“21 ถามทำไม” เมื่อได้ยินคำตอบผมก็หลุดขำ


“ฮ่าๆๆๆๆ เจ้าจะบอกข้าว่าตลอด 21 ปีมานี้ อัศวินรูปหล่อ หน้าตาดี จากตระกูลผู้ดีอย่างเจ้ายังบริสุทธิ์อยู่เนี่ยนะ ฮ่าๆๆ” โอ้ยผมขำจนหยุดไม่อยู่ นี่มันออกมาจากในนิทานชัดๆ


“หัวเราะอะไร เงียบเดี๋ยวนี้นะ” หน้ามันแดงไปถึงหู คงจะทั้งเขินและโกรธที่โดนหยาม “ข้าหมายถึงเจ้าร่วมหลับนอนกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนได้ยังไง” มันรีบวกกลับไปเรื่องแรก


“ถามแปลกๆก็แค่กิจกรรมผ่อนคลายที่ต้องใช้คนตั้งแต่สองคนขึ้นไป ไม่ต่างอะไรจากเวลาเจ้าไปขอใครดวลดาบสักหน่อย” ผมยกมือปาดน้ำตาแล้วตอบไปตามตรง ดวลดาบคือดวลดาบจริงๆนะ ไม่ได้เปรียบเปรย


“เหมือนกันซะที่ไหนเล่า เจ้าควรจะมอบกายให้กับคนที่เจ้ามอบใจให้ไม่ใช่หรอ” มันแย้งผมกลับด้วยท่าทีจริงจัง


“นี่คุณอัศวิน ข้าไม่อยากเสียเวลาเถียงเรื่องไร้สาระกับเจ้านานหรอกนะ” ผมหันหลังจะเดินกลับเข้าร้าน “กลับไปเถอะ เดี๋ยวเย็นๆเจอกันที่ห้องพัก” ผมตัดบท


“ไม่” มันตอบเสียงแข็ง คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของผม


“....”


“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าทำเรื่องบัดสีแบบนี้เด็ดขาด”

 
ผมเริ่มหงุดหงิดละนะ


“ในฐานะอะไร” ผมหันกลับไปเลิกคิ้วข้างนึงถาม


“ใน..ใน..ในฐานะผู้มีพันธะสัญญากับเจ้า” น้ำเสียงเริ่มเจือความไม่มั่นใจ


“หึ ตามสัญญาข้าเป็นคนนำทางให้เจ้านะ ไม่ใช่เมียเจ้า ฉะนั้นเจ้าไม่มีสิทธิมาห้ามข้า” ผมยืนกรานคำเดิมของผม แล้วจะเดินกลับเข้าร้านแต่มันไม่ยอมปล่อยมือผม จนยื้อฉุดกระชากกันอยู่สักพัก


<ได้...ในเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผลก็คงต้องใช้ไม้แข็ง>


ผมอาศัยจังหวะทีเผลอพุ่งเข้าประชิดตัวแล้วออกแรงผลักเร็กซ์จนมันเสียหลักถอยหลังไปจนหลังชิดกำแพง ผมเอาลำตัวผมแนบชิดเบียดตัวมันไว้จนใบหน้าผมห่างจากใบหน้ามันไม่กี่คืบ


“จะ..เจ้าจะทำอะไร” มันเงยหน้าหนีผมแต่ยังกรอกตาลงมาจ้องตาผม


“ข้าหนะอยากจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว” ผมบอกมันด้วยเสียงกระเส่า


“...” เร็กซ์เม้มปากเงียบ ใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อ


“เจ้าเป็นอัศวินผู้แสนดี ชอบช่วยเหลือผู้คนไม่ใช่หรอ เจ้าช่วยข้าได้รึเปล่า” ผมส่งเสียงเว้าวอน และจ้องเข้าไปในดวงตาสีดำคู่นั้น


“อึก” มันกลืนน้ำลายอึกใหญ่เสียงดัง เบือนหน้าหันหนีไปด้านข้าง ทำสีหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างที่ซับซ้อน เหลือบมามองผมด้วยหางตาเป็นช่วงๆ หน้าแดงไปถึงใบหู


ผมเร่งรัดคำตอบโดยการมือผมค่อยๆลูบขึ้นจากต้นขาเข้าไปในชายเสื้อเพื่อสัมผัสท้องน้อยของอัศวินหนุ่ม มันสะดุ้งรีบคว้าหมับมาที่มือผมก่อนที่ผมจะได้สัมผัสเนื้อแน่นๆเนียนๆของมัน


“จะทำอะไรก็เรื่องของเจ้า ข้าไปก็ได้” มันผละตัวออกจากผมแล้วเดินตึงตังออกไป


<เห้อ..สำเร็จ ไปซะที> ผมถอนหายใจโล่งอก


“ถ้าเจ้าอยากหาครูซ้อมก่อนแต่งงานหล่ะก็ เดินไปทางนั้นอีก 3 ตรอกมีร้านแบบเดียวกันสำหรับชายหญิงนะ” ผมตะโกนตามหลังมันไป “อ้อ แล้วก็ถ้าจะเล่นสกปรกใช้ Oathkeeper ดึงตัวข้ากลับตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มละก็เจ้าโดนแน่นอนนะ” บอกขู่มันกันไว้ก่อนดีกว่าแก้


ผมเดินทางเข้าร้านมานั่งที่เดิม พ่อหมีที่ผมเล็งไว้หายตัวไปแล้ว คงจะเข้าไปด้านหลังกบคนอื่นแล้ว ผมจึงนั่งจิบเครื่องดื่มต่อเพื่อรอให้มีแขกเข้ามาเพิ่ม


<อะไรกันคุณอัศวิน จะแต่งงานกับองค์หญิงไม่ใช่หรอ จะมาทำตัวลังเลแบบนี้จะดีเร้อ เจ้าไก่อ่อนเอ้ย> ระหว่างที่นั่งรอไปเรื่อยๆก็คิดถึงท่าทีของเร็กซ์เมื่อครู่




ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เร็กซ์ดูซื่อ น่ารักดี เวลาขึ้นเตียงจะมีประสบการณ์บ้างไหมเนี่ย 555 เข้ามารออีก 50 % ค่ะ

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เดี๊ยววววววว นายจะเป็นจะเป็นอัศวินใสซื่อผุดผ่องขนาดนี้ไม่ได้นะ

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
12.2

“โห้ มีกระต่ายน้อยหน้าใหม่เข้ามาด้วยหรอเนี่ย” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นหลังผม เรียกสติผมกลับมา


เมื่อผมหันหลังไปก็พบชายร่างใหญ่ สวมกางเกงขาสั้นเผยให้เห็นต้นขาแกร่ง ช่วงบนสวมแต่เสื้อเชิ้ตแขนกุดโชว์วงแขนแกร่ง เสื้อไม่ติดกระดุมเผยให้เห็นอกหนากว้างและหน้าท้องแน่นๆ ขนสีขาวเงินไล่ลงตั้งแต่กลางอกผ่านหน้าท้องจนหายไปที่ขอบกางเกง


แค่เห็นรูปร่างโดยยังไม่ทันมองหน้าผมก็อ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายเอามือมาลูบสันกรามผมแล้วออกแรงปิดปากผมเบาๆ เดินไปฝั่งตรงข้ามโต๊ะแล้วนั่งลง


ผู้มาใหม่เป็นชายวัยประมาณ 40 หนวดเคราสีขาวได้รับการเล็มตัดอย่างดีจนเป็นกรอบต่อขึ้นไปกับจอนและผมสีเดียวกัน ที่สันจมูกมีรอยแผลเป็นพาดผ่านเป็นแนวนอน ทำให้ใบหน้าดูดุดัน


<นี่สินะที่เรียกว่าหมีขาว> 


“ในนี้มันอันตรายนะเจ้ากระต่าย หึหึ” เจ้าหมีขาวหัวเราะในลำคอ คงเพลิดเพลินใจกับการหยอกล้อเหยี่อของมัน แต่ขอโทษนะ ผมใช่กระต่าย


“กระต่ายไม่เข้ามาในที่แบบนี้หรอกคร้าบบ” ผมเริ่มโต้ตอบ


“งั้นหรอ แล้วเป็นเจ้าเป็นตัวอะไรหละ หืม” มันยิ้มที่มุมปากเผยให้เห็นเขี้ยวแหลม


“สุนัขจิ้งจอก” ผมยิ้มตอบกลับอย่างท้าทาย เจอพวกนักล่าที่ชอบความท้าทายแบบนี้ ขืนนอนเสริฟไปให้พวกเขาก็ไม่สนุกสิ


“โอ้ พอจะมีแววตาเจ้าเล่ห์อยู่บ้าง”


“ว่าแต่หมีแก่อย่างท่านออกล่าที่นี่ไหวหรอครับ” ผมกระตุกคิ้วให้ข้างหนึ่ง


“หนอยแหนะเจ้าหนู ลองโดนข้าขย้ำสักครั้งแล้วจะติดใจนะ” มันทำท่าเลียปาก สายตาจับจ้องราวกับสัตว์ป่าที่พร้อมจะกระโดดเข้าจู่โจม


“งั้นรออะไรอยู่หล่ะครับ” อีกฝ่ายไม่รอช้าลุกขึ้นวางเงินไว้กลางโต๊ะ แล้วออกแรงลากผมไปหลังร้านทันที


เหตุผลที่ผมชอบพวกรุ่นใหญ่ก็คือ พวกเขารู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร พวกเขารู้ว่าผมต้องการอะไร และพวกเขารู้ว่าจะต้องทำยังไงถึงจะได้สิ่งที่ต้องการ


...................................................................................................



ผมลืมตาตื่นขึ้นในห้องที่มืดสลัวๆ มีเสียงกรนของเจ้าหมีขาวอยู่ข้างตัวผม หรี่มองดูนาฬิกาที่ผนังทำให้ผมรู้ว่านี่ก็เย็นมากแล้ว


<เริ่มหิวแล้วแฮะ> ผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่านอกจากปลาตอนเช้าแล้วก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย แต่ทำยังไงได้หละ ตอนนั้นมันหน้ามืดตามัวอยู่นี่หน่า


ผมจัดการล้างตัว แต่งตัว แล้วเดินไปบอกลาคุณหมีขาวแต่ดูเหมือนว่าจะหมดแรงหลับสนิทไปเลย พอออกมาหน้าร้านก็วางเงินส่วนที่เหลือไว้ให้บริกรแล้วเดินกลับไปที่โซนตลาด


โชคดีที่ผมตื่นมาตอนที่ยังพอมีแสงอาทิตย์เหลืออยู่ และร้านค้ายังไม่ปิดลง ผมเลือกซื้อขนมปังหอมฉุยที่ร้านขนมปังแห่งหนึ่ง


ขณะกำลังหยิบเงินจ่ายก็พลันนึกถึงเจ้าเร็กซ์ รู้สึกผิดหน่อยๆแฮะที่ไล่ไปแบบนั้น ผมจึงซื้อเพิ่มขึ้นเผื่อเอาไว้สำหรับมัน


“นี่ได้ยินข่าวมั้ยว่าที่หมู่บ้านเครสเซนท์ (Crescent) หน่ะกำลังลำบาก จู่ๆแหล่งน้ำก็โดนตัดขาดไป” เสียงชาวบ้านกำลังคุยกันใกล้ๆเรียกความสนใจของผม


“นั่นสิฉันก็ได้ยินมาบ้าง แต่ที่นั่นมีพรานป่าชื่อดังอยู่ไม่ใช่หรอ”


“โอ้ย ก็ถ้าจัดการเองได้คงไม่มาติดป้ายขอความช่วยเหลือหรอก นี่ก็เกิดเรื่องมาอาทิตย์กว่าแล้ว ยังติดป้ายอยู่เลย”


ผมได้ยินแล้วก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เดินหอบขนมปังใส่ถุงเดินไปตามทาง ปากก็คาบเอาไว้ชิ้นนึง ผมตัดสินใจตรงไปตรวจสอบป้ายประกาศที่ได้ยินมาเมื่อครู่ที่กิลนักผจญภัยก่อนที่จะเดินกลับที่พัก


เมื่อเปิดประตูเข้าห้องมาก็เห็นเจ้าเร็กซ์กำลังนอนอ่านหนังสือบางอย่างอยู่บนเตียง


“อ่ะนี่ ข้าซื้อมาให้” ผมพูดพลางวางถุงขนมปังไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียงที่ตั้งอยู่ระหว่างเตียงของพวกเรา


“ข้าทานแล้ว” มันตอบสั้นๆโดยไม่ละสายตาจากหนังสือ


“งั้นเก็บไว้สำหรับพรุ่งนี้ละกัน” ผมพอจะอ่านมันออกว่ามันกำลังไม่พอใจ “เป็นไงบ้างได้ไปร้านที่ข้าแนะนำมั้ย” ผมเลยแอบหยอกมันเล่น


“บะ..บ้าหรอ จะไปไปได้ยังไง” ได้ผลแฮะ มันหันหน้าหนีไปอีกทาง หน้าแดงนิดๆ


“หึหึ นั่นสินะ” ผมเดินไปเตรียมสัมภาระสำหรับเดินทางวันพรุ่งนี้ เสร็จแล้วจึงล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลีย ตอนนี้ผมไม่ขอต่อล้อต่อเถียงกับมันเพราะใจผมกำลังวิตกกังวลกับป้ายที่อ่านมา


-ประกาศขอความช่วยเหลือจากนักผจญภัย
   มีมอนสเตอร์มาทำรังที่ฝั่งตะวันออกของภูเขาแบรดดิค พวกมันทำอะไรบางอย่างกับต้นน้ำบนภูเขา บัดนี้ลำธารที่ผ่านหมู่บ้านเครสเซนท์กำลังจะแห้งหมดไป โปรดให้ความช่วยเหลือกำจัดมอนสเตอร์เหล่านี้ด้วย
                                                          ลงชื่อ ซิท (Sid) -


   “ท่านอาจารย์ ท่านไม่เคยต้องขอแรงใครช่วยกำจัดพวกมอนสเตอร์เลยไม่ใช่หรอ แล้วทำไมถึงได้..” ผมพึมพำกับตนเองก่อนที่จะหลับไป

............................................................

Map V.1.0
https://twitter.com/CruisingDog/status/1014070947651829760

Map V.2.0
https://twitter.com/CruisingDog/status/1015300252612481024

Characterหมีขาวได้รับแรงบัลดาลใจมากจาก
https://twitter.com/rollingStoneX6/status/1013272541085908992

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด